Professional Documents
Culture Documents
จิตวิทยาการเรียนการสอนและความเป็นครู
จิตวิทยาการเรียนการสอนและความเป็นครู
จิตวิทยาการเรียนการสอนและความเป็นครู
หน้ า
ความหมายจิตวิทยาการเรี ยนการสอน........................................................................... 1
ความสาคัญของจิตวิทยาการเรี ยนการสอน................................................................... 2
จิตวิทยาทางการศึกษา................................................................................................... 4
แรงจูงใจ....................................................................................................................... 5
ประเภทของแรงจูงใจ................................................................................................... 7
การปรับตัว................................................................................................................... 10
กลวิธีในการปรับตัว..................................................................................................... 11
สุ ขภาพจิตและลักษณะของผูท้ ี่มีสุขภาพจิตดี............................................................... 13
ทัศนคติและความสนใจ............................................................................................... 19
องค์ประกอบของทัศนคติ............................................................................................ 19
การสร้างและพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อการเรี ยน................................................................ 20
การสร้างและพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อการเรี ยน................................................................ 23
ความหมายของการเรี ยนรู ้ .......................................................................................... 24
หลักการของทฤษฎี สิ่งเร้ าและการตอบสนอง............................................................ 25
การจัดสภาพที่เอื้อต่อการเรี ยนรู ้ ................................................................................. 27
การถ่ายโยงการเรี ยนรู ้ ................................................................................................. 29
ธรรมชาติของการเรี ยนรู ้ ............................................................................................. 30
จิตวิทยาการรับรู ้ และปั จจัยที่เกี่ ยวข้องกับการรับรู ้ ..................................................... 32
จิตวิทยาการเรี ยนรู้....................................................................................................... 34
จิตวิทยาพัฒนาการ....................................................................................................... 36
บรรณานุกรม............................................................................................................... 38
คานา
คณะผูจ้ ดั ทา
18/02/2554
จิตวิทยาการเรียนการสอนและความเป็ นครู
ความหมาย
“จิตวิทยา”เป็ นศาสตร์ ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมและกระบวนการทางจิต โดยศึกษาว่าสิ่ งเหล่านี้ได้
อิทธิ พลอย่างไรจากสภาวะทางร่ างกาย สภาพจิตใจและสิ่ งแวดล้อมภายนอก
แนวทางในการศึกษา
ศึกษาและสังเกตพฤติกรรมการเรี ยนรู ้อย่างเป็ นระบบในห้องทดลอง นาผลการทดลองไปใช้ในสถานการณ์
จริ งในห้องเรี ยนค้นหาวิธีการเรี ยนการสอนที่มีประสิ ทธิภาพ ศึกษาเกี่ยวกับการวัดและการประเมินทาง
การศึกษา ศึกษาพัฒนาการด้านต่างๆของนักเรี ยน
จิตวิทยากับการเรียนการสอน
จิตวิทยาการเรี ยนการสอนเป็ นศาสตร์ อนั มุ่งศึกษาการเรี ยนรู ้และพฤติกรรมของผูเ้ รี ยนในสถานการณ์
การเรี ยนการสอน พร้อมทั้งหาวิธีที่ดีที่สุดในการสอนให้ผเู ้ รี ยนได้เรี ยนรู ้อย่างสอดคล้องกับพัฒนาการของ
ผูเ้ รี ยน
ความรู้ ทอี่ ยู่ในขอบข่ ายการเรี ยนการสอน
1. ความรู้เรื่ องพัฒนาการมนุษย์
2. หลักการของการเรี ยนรู้และการสอนประกอบด้วย
ทฤษฎีการเรี ยนรู ้และการเรี ยนรู ้ชนิ ดต่างๆ
3. ความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มีผลต่อการเรี ยน
4. การนาเอาหลักการและวิธีการเรี ยนรู้ไปใช้ในการ
แก้ปัญหาการเรี ยนการสอน
จุดมุ่งหมายของการนาจิตวิทยามาประยุกต์ ใช้ กบั การเรียนการสอน
ประการแรก มุ่งพัฒนาองค์ความรู ้เกี่ยวกับการเรี ยนรู ้ของมนุษย์ในสถานการณ์การเรี ยนการสอน
ประการที่สอง นาเอาองค์ความรู ้ขา้ งต้นมาสร้างรู ปแบบเชิงปฏิบตั ิเพื่อครู และผูท้ ี่เกี่ยวข้องกับการจัด
การศึกษา สามารถนาไปใช้ประโยชน์ในการเรี ยนการสอน
หลักการสาคัญ
1. มีความรู ้ในเนื้อหาวิชาที่สอน
2. มีความสามารถในการประยุกต์หลักการจิตวิทยาเพื่อการเรี ยนการสอน
3. มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่
4. มีเจตคติที่ดีต่อผูเ้ รี ยน
จิตวิทยาครู
ครู หมายถึง ผูส้ อน มาจากภาษาบาลีวา่ “ครุ ”
ภาษาสันสกฤตว่า “คุรุ” แปลว่า หนัก สู งใหญ่
- ครู ตอ้ งรับภารหนักในหน้าที่และความรับผิดชอบ
- ครู ตอ้ งมีความหนักแน่น สุ ขมุ ไม่ววู่ าม ทั้งความคิดและการกระทา
บทบาทและความสาคัญของครู ในปัจจุบัน
ธี รศักดิ์ (2542) ได้กล่าวถึง 4 ประเด็น ดังนี้
- บทบาทและความสาคัญต่อเยาวชน
- บทบาทและความสาคัญของครู ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
- บทบาทและความสาคัญของครู ในการรักษาชาติ
- บทบาทและความสาคัญของครู ในเยียวยาสังคม
การจูงใจ
การจูงใจ (Motivation) คืออะไร มีผ้ ใู ห้ คาจากัดความของการจูงใจไว้ ดงั นี ้
๑. การจูงใจ คือขบวนการทางจิตใจที่ผลักดันให้ บคุ คลแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึง่ จน
สาเร็จ และถูกต้ องตามแนวทางที่ต้องการ
๒. การจูงใจ หมายถึงแรงซึง่ ส่งเสริมให้ เด็กทางานจนบรรลุถึงความสาเร็จ และแรงนี ้ย่อมนาทาง
ให้ เด็กทางานไปในแนวที่ถกู ต้ องด้ วย
๓. การจูงใจ หมายถึงพฤติกรรมที่สนองความต้ องการของมนุษย์ และเป็ นพฤติกรรมที่นาไปสู่
จุดหมายปลายทาง
แม้ วา่ นักจิตวิทยาจะใช้ คาอธิบายถึงความหมายของการจูงใจไว้ ตา่ งๆ กัน แต่ความหมาย
ก็คล้ ายคลึงกัน โดยสรุปแล้ ว การจูงใจหมายถึง "พลังแรงที่ทาให้ เกิดพฤติกรรมและควบคุมแนวทางของ
พฤติกรรมด้ วย"
การปรับตัว
ความหมายของการปรับตัว
วิธีการที่บคุ คลหาทางลดความวิตกกังวลให้ น้อยลงหรื อหมดไปนี ้ก็คือการปรับตัว
(Adjustment)
สาเหตุของการปรับตัว
คนเราจะปรับตัวเมื่อเกิดความไม่สบายใจ ความวิตกกังวล (Anxiety) ความคับข้ องใจ
(Frustration) และความเครี ยด (Tension) ซึง่ อาจจะเกิดจากสิ่งต่อไปนี ้
๑. ไม่ สามารถตอบสนองความต้ องการพื้นฐาน (need) ของตนได้
๑.๑ ความต้ องการทางด้ านร่างกาย
๑.๒ ต้ องการความปลอดภัย
๑.๓ ต้ องการความรักและความเป็ นเจ้ าของ
๑.๔ ต้ องการได้ รับการยกย่องนับถือ
๑.๕ ต้ องการผู้ทาสัญญาแห่งตน
๒. เกิดจากความขัดแย้ ง ความขัดแย้ ง หมายถึง การที่บคุ คลไม่สามารถจะตัดสินใจเลือก
กระทา ทัง้ ๒ อย่างได้ ในขณะเดียวกันแต่จะต้ องเลือกกระทาเพียงอย่างเดียว กล่าวคือไม่สามารถจะ
สนองความต้ องการของคนได้ เด็ดขาดลงไป ความขัดแย้ งมี ๓ ลักษณะ
๒.๑ เป็ นความขัดแย้ งที่เกิดจากการที่จะต้ องเลือกเพียงอย่างเดียว ในสิ่งที่ตวั ชอบเท่าๆ กัน
ตังแต่
้ ๒ - ๓ อย่างขึ ้นไป จะไม่เลือกก็ไม่ได้ เลือกไปแล้ วก็ไม่สบายใจเพราะสิ่งต่างๆ เหล่านันเราไม่
้ ชอบ
เลยแต่เราก็ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึง่
๒.๒ เกิดจากการที่ตวั เองต้ องเลือกในสิ่งที่ไม่ชอบเลยตังแต่
้ ๒ - ๓ อย่างขึ ้นไป จะไม่เลือก
ก็ไม่ได้ เลือกไปแล้ วก็ไม่สบายใจ เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านันเราไม่
้ ชอบเลย แต่เราก็ต้องเลือกอย่างใดอย่าง
หนึง่
๒.๓ เกิดขึ ้นในกรณีที่สิ่งต่างๆ หรื อบุคคลหรื อสัตว์ ที่เราต้ องเลือกนันมี
้ ทงถู
ั ้ กใจและไม่ถกู ใจ
เราในระดับที่เท่าๆ กันทังหมดตั
้ งแต่
้ ๒ อย่างขึ ้นไป แต่เราก็ต้องเลือกเพียงอย่างเดียว
กลวิธานในการปรับตัวมีลักษณะต่ าง ๆ ดังต่ อไปนี ้
๑. อ้ างเหตุผลเข้ าข้ างตนเอง (Rationalization) เป็ นการอ้ างเหตุผลที่คดิ ว่าคนอื่นย่อม
รับ เพื่อรักษาศักดิศ์ รี ของตนเอง หรื อเพื่อให้ ตวั เขาสบายใจขึ ้น อาจแสดงออกในรูปขององุ่นเปรี ย้ วหรื อ
มะนาวหวาน
องุ่นเปรี ย้ ว เป็ นวิธีการที่ทาให้ ตนเองหรื อคนอื่นเข้ าใจว่าสิ่งที่ตนอยากได้ แล้ วไม่ได้ นนั ้ ไม่ดี เช่น
อยากมีรถเก๋งขี่ แต่ไม่มีก็ปลอบใจตนเองว่าไม่มีดีแล้ ว มีแล้ วรอจ่ายเพิ่ม หรื อเสียค่าดูแลรักษามากขึ ้น
มะนาวหวาน ตรงกันข้ ามกับองุ่นเปรี ย้ ว คือการที่บคุ คลพยายาามทาให้ ผ้ อู ื่นเข้ าใจว่าสิ่งที่เราได้
นันดี้ เลิศอยู่แล้ ว ทังๆ้ ที่ความจริงตัวอาจจะไม่ต้องการมาก่อน เช่น สอบเข้ าครูได้ ก็บอกใครๆ ว่าครูนี ้สอบ
เข้ ายากนะ เป็ นแล้ วรู้จกั คนมาก สังคมยกย่องด้ วย เป็ นต้ น
๒. การปรับตัวแบบหาสิ่งอื่นมาทดแทน (Substitution) เป็ นการหาสิ่งอื่นมาชดเชยสิ่งที่
ตัวเองขาด ซึง่ มี ๒ ลักษณะได้ แก่
๒.๑ การชดเชย (Compensation) เมื่อขาดสิ่งใดสิ่งหนึง่ ก็ไปหาสิ่งอื่นมาชดเชย
เป็ นการเปลี่ยนความต้ องการหรื อเป้าหมายใหม่ เช่น เด็กที่ไม่สวย อาจขยันเรี ยนเป็ นเด็กดีของโรงเรี ยน
เด็กที่เรี ยนอ่อนอาจจะหันไปฝึ กซ้ อมด้ านกีฬา หรื อด้ านศิลป์ หรื อคนร่างเตี ้ยอยากสูง มีวิธีการชดเชยโดย
วางท่าใหญ่หรื อเสียงดังฟั งชัด หรื อพูดจาโอ้ อวด
๒.๒ การทดแทน (Displacement) วิธีนี ้ไม่เปลี่ยนเป้าหมายแต่พยายามหาสิ่ง
ทดแทนอย่างอื่นที่มีลกั ษณะใกล้ เคียงกับความต้ องการเดิมและสิ่งใหม่นี ้ตัวเองพอจะหาทางตอบสนองได้
เช่น
คนก้ าวร้ าว อยากทาร้ ายตบตีชกต่อยคนอื่น แต่สงั คมไม่ยอมรับก็พยายามหาสิ่งทดแทนที่สงั คม
ยอมรับ เช่น เป็ นนักมวย จัดชกมวย เป็ นทหาร ตารวจ เป็ นต้ น หรื อคนอกหัก ก็หาทางระบายด้ วยการ
เขียนนิยายรักรันทดใจ เป็ นต้ น
๓. การปรับตัวแบบโทษผู้อื่นหรื อการโยนบาป (Projection) เป็ นการอ้ างความผิดของคน
อื่นขึ ้นมา ลบความผิดของตน เช่น ฉันไม่ได้ ๒ ขัน้ เพราะถูกเจ้ านายกลัน่ แกล้ ง หรื อเราลอกข้ อเดียว แต่
คนอื่นลอกการบ้ านทุกข้ อเลย เป็ นต้ น
๔. การนับตนเป็ นพวกเดียวกับปั ญหา (Identification) เป็ นทานองว่าถ้ าเอาชนะใคร
ไม่ได้ ก็ยอมเป็ นพวกเขาแต่โดยดี เช่น
๔.๑ เห็นเขาเก่งกว่าเรา มีความสามารถมากกว่าเราหรื อดีกว่าเรา เราอยากเป็ นอย่างนัน้
บ้ าง แต่เป็ นไปไม่ได้ จึงใช้ วิธีทาตนเป็ นพวกเดียวกับเขา เช่น การเอาอย่างบุคคลที่เด่นๆ ในสังคม ใน
เรื่ องกิริยาท่าทาง การแต่งตัวหรื อรสนิยม เป็ นต้ น
๔.๒ การนับตนเป็ นพวกเดียวกับใคร เพื่อให้ ได้ มาซึ่งความรัก เช่น เด็กอยากให้ พอ่ แม่รักก็
ทาตามอย่างพ่อแม่ ทาตามที่พอ่ แม่สอน เป็ นต้ น
๔.๓ การนับตนเป็ นพวกเดียวกับผู้ที่เราเห็นว่าถูกกดขี่ขม่ เหง เช่น ประกาศตนเป็ นพวก
เดียวกับ ชนหมูน่ ้ อยที่ไม่ได้ รับความเป็ นธรรม หรื อเข้ าข้ างผู้แพ้ เพราะตนมีความรู้สกึ ท้ าทายอานาจอยู่
แล้ ว
๔.๔ การนับตนเองเป็ นพวกเดียวกับใครที่เหมือนเรา ซึง่ มีอยูท่ วั่ ไป เช่น ชายหญิงที่มีฐานะ
เสมอกัน มีความสนใจและรู้รสนิยมคล้ ายกัน ได้ มาพบกันเข้ าก็รักกัน แต่งงานกัน เป็ นต้ น
(ข้ อ ๔.๔ นี ้อาจจะไม่เกี่ยวข้ องกับความวิตกกังวล)
๕. ความก้ าวร้ าว (Aggression) เป็ นการลดความคับข้ องใจโดยให้ ผ้ อู ื่นได้ รับความ
กระทบกระเทือน ซึง่ ส่วนใหญ่จะเนื่องมาจากความโกรธ เช่น
๕.๑ การก้ าวร้ าวโดยตรง (Direct Aggression) เป็ นการแสดงความก้ าวร้ าวต่อ
สิ่งของหรื อบุคคลที่ทาให้ โกรธหรื อคับข้ องใจ เช่น การเตะต่อยหรื อใช้ วาจาพูดให้ สะเทือนใจ หรื อการฟั น
แทง หรื อยิงกันจนบาดเจ็บหรื อตาย
๕.๒ การก้ าวร้ าวทางอ้ อม (Displaced Aggression) เช่น โกรธครูแล้ วตวาดเพื่อน
ไม่พอใจแฟนก็ทบุ ข้ าวของแตกหักเสียหาย โกรธเพื่อนบ้ านแล้ วลักของ หรื อทะเลาะกันแล้ วจุดไฟเผาบ้ านเป็ น
ต้ น
๖. การเปลี่ยนหน้ ามือเป็ นหลังมือ (Reaction Formation) เป็ นการปรับตัวแบบหน้ าไหว้ หลัง
หลอกโดยที่เจ้ าตัวไม่ร้ ูสกึ เช่น แม่ที่ปกป้องลูกขนาดหนัก จนลูกช่วยตัวเองไม่เป็ นตลอดชีวิต หารู้ไม่วา่ ส่วนลึก
นันชิ
้ งชังลูกอย่างเหลือเกิน การตามใจลูกเป็ นการแสดงหน้ าฉากเท่านัน้
๗. การเก็บกด (Repression) เป็ นการปรับตัวโดยการทาเป็ นลืม ทาไม่สนใจ ไม่คดิ ไม่กงั วล
พยายามปั ดออกไปจากจิตรู้สานึก โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ทาให้ เราเดือดร้ อน มีความทุกข์ ความละอายหรื อ
ความเจ็บปวดหรื อเจ็บแน่นแสนสาหัส นานๆ เข้ าอาจจะลืมได้ วิธีการแบบนี ้บุคคลไม่ได้ ระบายความวิตก
กังวลเลย ความวิตกกังวลหรื อความไม่สบายใจจึงมีอยูต่ ลอดเวลา นานๆ เข้ าจะทาให้ เป็ นคนเจ้ าทุกข์ เจ้ าคิด
เจ้ าแค้ น ไม่มีเวลาสาหรับความรื่ นรมย์ใด ๆ ในชีวิตเลย
๘. การปรับตัวแบบถอยกลับ (Regression) เป็ นวิธีการที่บคุ คลถอยกลับไปใช้ วิธีการแบบ
เด็กๆ อีก เพื่อเรี ยกร้ องความสนใจ เช่น การดูดนิ ้ว (ในเด็กอายุเกิน ๒ ขวบ) หรื อการปั สสาวะรดที่นอน
(ในเด็กอายุเกิน ๔ - ๕ ขวบ) หรื อผู้ใหญ่ที่ทาตนเป็ นวัยรุ่น เป็ นต้ น
๙. การติดชะงัก (Fixation) ปกติคนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพตามขันตอนวั ้ ย
แตกต่างกันออกไป และคนเราย่อมจะก้ าวจากขันหนึ ้ ง่ ไปสูอ่ ีกขันหนึ้ ง่ เรื่ อยๆ ไปจนกว่าจะบรรลุความเป็ น
ผู้ใหญ่เต็มตัว แต่บางคนอายุมากแล้ ว แต่ยงั ติดชะงักอยูใ่ นวัยเด็กอยู่นนั่ เอง เป็ นเพราะว่าเขาเกิดความ
กลัวว่าขันต่
้ อไปจะเต็มไปด้ วยความลาบากยากแค้ น พวกนี ้จึงเป็ นพวกเลี ้ยงไม่ร้ ูจกั โต หรื อพวกที่เจ้ าระเบียบ
แบบกระดิกตัวไม่ได้ หรื อพวกที่ยดึ มัน่ อยู่กบั สิ่งเดียวตลอดชาติ ก็เป็ นพวกติดชะงัก เช่นเดียวกัน
๑๐. การสร้ างจุดเด่นให้ แก่ตนเอง (Geocentricism) เกิดแก่บคุ คลที่เรี ยกร้ องความสนใจ
จากผู้อื่น โดยการคุยโอ้ อวดความมัง่ มี คุยอวดความเก่งกล้ าสามารถ หรื อแต่งตัวผิดแปลกไปจากคน
อื่นหรื อพูดจาไม่เหมือนคนอื่น เป็ นต้ น
๑๑. การปรับตัวแบบต่อต้ านหรื อปฏิเสธตลอดเวลา (Negativism) เป็ นการเรี ยกร้ องความ
สนใจ และเป็ นการแก้ แค้ นวิธีหนึง่ เช่น การชอบทาอะไรในสิ่งที่คนอื่นไม่อยากให้ ทา หรื อเขาบอกไม่ให้ ทา
เราจะทาหรื อเราจะทาแต่พอเขาบอกให้ ทา กลับไม่ทาเลย
๑๒. การปรับตัวแบบเพ้ อฝั นหรื อฝั นกลางวัน (Fantasy or Day dreaming) เป็ นการ
ลดความคับข้ องใจโดยหนีไปสร้ างความสุขโดยการฝั นเฟื่ อง หรื อเหม่อลอยชัว่ ขณะ ซึง่ จะทาให้ เกิด
ความสุขชัว่ ครัง้ ชัว่ คราว
๑๓. การปรับตัวแบบหลบหนี (Withdrawal) เป็ นการหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ ากับปั ญหา
หรื อคนอื่นๆ ชัว่ ขณะ อาจจะเก็บตัวหรื ออาจจะเจ็บป่ วยทางร่างกายโดยหาสาเหตุทางกายไม่พบก็ได้ หรื อ
อาจจะหันเขาหาสุรา กัญชาหรื อยาเสพติดประเภทต่างๆ ได้
สุขภาพจิต
สุขภาพจิต หมายถึงคุณลักษณะทางจิตใจของบุคคลที่จะปรับตัวให้ มีความสุขอยูก่ บั สังคมได้ ดี
พอสมควรและสามารถจะสนองความต้ องการของตนเองในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยูต่ ลอดเวลาและ
สิ่งแวดล้ อมอื่นโดยไม่มีข้อขัดแย้ งภายในจิตใจมากนัก
คนที่สขุ ภาพจิตดี จะสามารถตอบสนองความต้ องการของตนเองได้ ในระดับที่เหมาะสม สามารถ
ลดความวิตกกังวลอันเนื่องมาจากการแก้ ปัญหาหรื อเนื่องมาจากความขัดแย้ งด้ วยวิธีการที่สมเหตุสมผล
และไม่ใช้ กลวิธานป้องกันตนเองอย่างใดอย่างหนึง่ นานๆ หรื อรุนแรงจนเกินไป
ลักษณะของผู้ท่ มี ีสุขภาพจิตดี
ผู้ที่มีสขุ ภาพจิตดีนนจะต้
ั ้ องมีลกั ษณะดังนี ้
๑. เป็ นผู้ที่ร้ ูจกั และเข้ าใจตนเองอย่างดี ซึง่ จะแสดงออกในรูปของ
- ยอมรับความผิดหวังได้ อย่างกล้ าหาญ
- ใจกว้ างพอที่จะยอมรับและเข้ าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น
- ประมาณความสามารถของตนเองได้ ใกล้ เคียงกับความเป็ นจริง
- ยอมรับสภาพความขาดแคลนหรื อขีดจากัดบางอย่างของตนได้ และยอมรับนับถือ
ตนเอง
- สามารถจัดการกับสภาพการณ์หรื อเหตุการต่าง ๆ ที่เกิดขึ ้นกับตนได้
- พอใจและชื่นชมยินดีตอ่ ความสุขหรื อความสาเร็จของตนที่เกิดในชีวิตประจาวัน ไม่วา่
จะเล็กน้ อยก็ตาม
๒. เป็ นผู้ที่ร้ ูจกั เข้ าใจผู้อื่นได้ ดี ซึง่ แสดงออกในรูปของ
- ให้ ความสนใจและรักคนอื่นเป็ นและยอมรับความสนใจและความรักใคร่ที่คนอื่นมีตอ่ ตน
- เข้ าใจและยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล
- เป็ นได้ ทงผู ั ้ ้ นาและผู้ตามที่ดี
- เป็ นส่วนหนึง่ ของหมูค่ ณะ
- มีความรับผิดชอบต่อหมูค่ ณะหรื อบุคคลอื่นที่เกี่ยวโยง
๓. เป็ นผู้ที่สามารถเผชิญกับความจริงในชีวิตได้ เป็ นอย่างดี เช่น
- แก้ ปัญหาและเผชิญกับอุปสรรคได้ ด้วยตัวเอง โดยไม่หวาดกลัวมากนัก
- มีการวางแผนล่วงหน้ าในการกระทางานหรื อการปฏิบตั งิ านต่าง ๆ
- ตังจุ ้ ดมุง่ หมายของชีวิตไว้ สอดคล้ องกับความจริง
- ตัดสินใจในปั ญหาต่างๆ ได้ อย่างฉลาด ฉับพลัน ปกติปราศจากการลังเลหรื อเสียใจ
ภายหลัง
- สามารถใช้ พลังงานที่มีอยู่ได้ อย่างเต็มที่และเกิดประโยชน์มากที่สดุ เท่าที่จะทาได้
๔. ไม่ใช้ กลวิธานป้องกันตนเอง แบบใดแบบหนึง่ มากเกิน แต่จะยอมรับความจริงที่เกิดขึ ้นและ
พยายามหาวิธีลดความวิตกกังวลลงด้ วยวิธีการที่สมเหตุสมผล
๕. เป็ นผู้มีอารมณ์ขนั บ้ าง พยายามมองโลกในแง่ดีด้วยการพิจารณาข้ อดีของเหตุการต่างๆ หรื อการ
กระทาต่างๆ ของเรา เพราะเหตุการณ์หรื อการกระทาบางอย่างนันมี ้ ทงข้
ั ้ อดีและข้ อเสีย และการใช้ อารมณ์ขนั
ช่วยขัดจังหวะหรื อช่วยแก้ ไขเหตุการณ์ที่ตงึ เครี ยด จะทาให้ มองโลกน่ารื่ นรมย์ขึ ้น
บุคคลที่มีสุขภาพจิตใจไม่ ดี
บุคคลที่มีสขุ ภาพจิตไม่ดี จะเป็ นคนที่มีลกั ษณะตรงกันข้ ามกับที่กล่าวมาแล้ ว และเมื่อเกิดปั ญหาหรื อ
มีความวิตกกังวลมากๆ จะหาทางลดความวิตกกังวลด้ วยวิธีการที่ไม่สมเหตุสมผล และจะใช้ กลวิธานป้องกัน
ตนเองอยูต่ ลอดเวลา และจะทาให้ พฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากปกติธรรมดา พฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปจากปกติ
ธรรมดานี ้อาจเรี ยกได้ วา่ เป็ นพฤติกรรมที่ผิดปกติ โดยเริ่มจากดีกรี น้อยไปจนถึงดีกรี มากตามลาดับดังนี ้
๑. พฤติกรรมแปรปรวน (Behavior disorder)
๒. บุคลิกภาพแปรปรวน (Personality disorder)
๓. Psychosomatic disorder
๔. โรคประสาท (Neurosis)
๕. โรคจิต (Psychosis)
ภาพ
๑. น่ารังเกียจ
ยาเสพติด
สภาพคนติดยาจริง
๒
น่ากลัวอันตราย
.
. ยาเสพติด
ความสนใจกับการเรี ยนรู้
ความสนใจ (Interest) เป็ นส่วนหนึง่ ของทัศนคติ กล่าวคือเป็ นความรู้สึกในทางที่ดีตอ่ สิ่งใดสิ่ง
หนึง่ โดยเฉพาะ ซึง่ จะทาให้ แนวโน้ มของพฤติกรรมเป็ นในทางที่ดี เช่น ถ้ าเด็กสนใจคณิตศาสตร์ จะเข้ า
เรี ยนทุกชัว่ โมงและใช้ เวลาส่วนใหญ่ไปเพื่อวิชานี ้ มากกว่าอย่างอื่นความสนใจของบุคคลจะแตกต่างกันไป
ทังนี
้ ้ขึ ้นอยู่กบั ความต้ องการ ความถนัด รวมทังสภาพแวดล้
้ อมภายนอกเป็ นสาคัญ
การสร้ างความสนใจให้ กับผู้เรี ยน
๑. ต้ องศึกษาถึงความต้ องการของผู้เรี ยนโดยส่วนใหญ่วา่ เป็ นอย่างไร จะได้ จดั บทเรี ยน สภาพ
ห้ องเรี ยน สื่อการเรี ยนต่างๆ ให้ ตรงกับความต้ องการของเขา
๒. ก่อนจะสอนเรื่ องใดควรสารวจความสามารถพื ้นฐานตลอดจนความถนัดของผู้เรี ยนก่อน เพื่อ
จัดสิ่งเร้ าให้ ตรงกับที่เขาต้ องการ
๓. จัดสภาพห้ องเรี ยนให้ นา่ สนใจ ตังค ้ าถามยัว่ ยุและท้ าทายความสามารถของนักเรี ยน ใน
ขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้ ผ้ เู รี ยนตื่นตัวกับสภาพการณ์บางอย่างที่เป็ นปั ญหา ที่แปลกไปจากเดิม เป็ นต้ น
๔. ให้ ผ้ เู รี ยนประสบผลสาเร็จในงานที่ทาบ้ าง เพื่อเป็ นกาลังใจให้ เขาทางานระดับสูงต่อไป โดยเลือก
งานที่เหมาะกับความสามารถและความถนัดของผู้เรี ยน จะช่วยให้ เขาสนใจงานที่มอบหมายให้ ทา
๕. ชี ้ทางหรื อรายงานผลความก้ าวหน้ าของผู้เรี ยนให้ ทราบเป็ นระยะๆ ให้ เขาได้ ทราบว่าเขาก้ าว
มาถึงไหนแล้ ว อีกไม่กี่ขนก็ ั ้ จะถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการแล้ ว จะทาให้ เขาตังใจท
้ าเพื่อผลสาเร็จของ
ตัวเขาเอง
๖. ฝึ กให้ ผ้ เู รี ยนเรี ยนรู้ด้วยตัวเขาบ้ าง จากการศึกษานอกสถานที่ จากการสังเกต หรื อจากการ
สัมภาษณ์ สอบถามจากแหล่งวิชาการต่าง ๆ ตลอดจนการทดลองค้ นคว้ าหาคาตอบด้ วยตนเอง ด้ วย
วิธีการเรี ยนแบบสืบสวนสอบสวน หรื อให้ นกั เรี ยนฝึ กเป็ นผู้นาและผู้ตามได้ ในโรงเรี ยน หรื อนอกห้ องเรี ยน
โดยให้ นกั เรี ยนเป็ นผู้ดาเนินงานเกี่ยวกับการเรี ยนการสอนและการฝึ กวินยั ด้ วยตัวของนักเรี ยนเอง
ทฤษฎีการเรี ยนรู้ ท่ ีเป็ นพืน้ ฐานของเทคโนโลยีการศึกษานั น้ เป็ นทฤษฎีท่ ีได้ จาก 2 กลุ่ม
คือ
1. กลุ่มพฤติกรรม (Behaviorism)
2. กลุ่มความรู้ (Cognitive)
ทฤษฎีจากกลุ่มพฤติกรรมนิยม
กลุ่มความรู้ (Cognitive)
ความหมายของการเรี ยนรู้
การเรี ยนรู้ (Learning) หมายถึง "การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปจากเดิม อันเป็ นผลมาจากการ
ได้ รับประสบการณ์" พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงในที่นี ้ มิ ได้ หมายถึงเฉพาะพฤติกรรมทางกายเท่านั ้น แต่
ยังรวมถึงพฤติกรรมทังมวลที
้ ่มนุษย์แสดงออกมาได้ ซึ่งจะแยกได้ เป็ น 3 ด้ านคือ
1. พฤติกรรมทางสมอง (Cognitive) หรื อพุทธิพิสยั เป็ นการเรี ยนรู้ เกี่ยวกับข้ อเท็จจริ ง (Fact)
ความคิดรวบยอด (Concept) และหลักการ (Principle)
2. พฤติกรรมด้ านทักษะ (Psychromotor) หรื อทักษะพิสยั เป็ นพฤติกรรมทางกล้ ามเนื ้อ
แสดงออกทางด้ านร่ างกาย เช่น การว่ายน ้า การขับรถ อ่านออกเสียง แสดงท่าทาง
3.พฤติกรรมทางความรู้ สึก (Affective) หรื อจิตพิสัย เป็ นพฤติกรรมที่เกิดขึ ้นภายในเช่น การ
เห็นคุณค่า เจตคติ ความรู้ สึ กสงสาร เห็นใจเพื่อนมนุษย์ เป็ นต้ น
นักการศึกษา ได้ ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการเรี ยนรู้ ของ มนุษย์ มีผลการศึกษาที่สอดคล้ องกัน
สรุ ปเป็ นทฤษฎีการเรี ยนรู้ ที่สาคัญ 2 ทฤษฎีคือ
1 ทฤษฎีสิ่งเร้ าและการตอบสนอง (S-R Theory)
2 ทฤษฎีสนามความรู้ (Cognitive Field Theory)
ทฤษฎีสิ่งเร้ าและการตอบสนอง
ทฤษฎีนี ้มีชื่อเรี ยกหลายชื่อ ทังภาษาไทยและภาษาต่
้ างประเทศ โดยเฉพาะในภาษาอังกฤษ มี
ชื่อเรี ยกต่างๆ เช่น Associative Theory, Associationism, Behaviorism เป็ นต้ น นักจิตวิทยาที่สาคัญ
ในกลุ่มนี ้ คือ พาฟลอฟ (Pavlov) วัตสัน (Watson) ธอร์ นไดค์ (Thorndike) กัทธรี (Guthrie) ฮัล (Hull)
และสกินเนอร์ (Skinner) ทฤษฎีนี ้อธิ บายว่า พื ้นฐานการกระทาซึ่งเป็ นผลมาจากการเรี ยนรู้ ของแต่คน
ขึ ้นอยู่กับอิทธิพลของสิ่งแวดล้ อม หน้ าที่ของผู้สอน คือ คอยเป็ นผู้จดั ประสบการณ์ การเรี ยนรู้ ให้ กับ
ผู้เรี ยน
การจูงใจ (Motivation)
หลักการและแนวคิดที่สาคัญของการจูงใจ คือ
1. การจูงใจเป็ นเครื่ องมือสาคัญที่ผลักดันให้ บุคคลปฏิบตั ิ กระตือรื อร้ น และปรารถนาที่จะร่ วม
กิจกรรมต่าง ๆ เพราะการตอบสนองใด ๆ จะเป็ นผลเพื่อลดความตึงเครี ยดของบุคคล ที่มีต่อความ
ต้ องการนัน้ ๆ ดังนันคนเราจึ
้ งดิ ้นรนเพื่อให้ ได้ ตามความต้ องการที่เกิดขึ ้นต่อเนื่อง กิจกรรมการเรี ยนการ
สอนจึงต้ องอาศัยการจูงใจ
2. ความต้ องการทางกาย อารมณ์ และสังคม เป็ นแรงจูงใจที่สาคัญต่อกระบวนการเรี ยนรู้ ของ
ผู้เรี ยน ผู้สอนจึงควรหาทางเสริ มแรงหรื อกระตุ้นโดยปรับกิจกรรมการเรี ยนการสอนที่สอดคล้ องกับ
ความต้ องการเหล่านัน้
3. การเลือกสื่อและกิจกรรมการเรี ยนการสอน ให้ เ หมาะสมกับ ความสนใจ ความสามารถและ
ความพึงพอใจแก่ผ้ เู รี ยนจะเป็ นกุญแจสาคัญให้ การจัดกระบวนการเรี ยนรู้ ประสบความสาเร็ จได้ ง่าย มี
แรงจูงใจสูงขึ ้น และมีเจตคติที่ดีต่อการเรี ยนเพิ่มขึ ้น
4. การจูงใจผู้เรี ยนให้ มีความตังใจ
้ และสนใจในการเรี ยน ย่อมขึ ้นอยู่กับบุคลิกภาพของผู้ เรี ยน
แต่ละคน ซึ่งผู้สอนจะต้ องทาความเข้ าใจลักษณะความต้ องการของผู้เรี ยนแต่ละระดับ แต่ละสังคม แต่
ละครอบครัว แล้ วจึงพิจารณากิจกรรมการเรี ยนที่จะจัดให้ สอดคล้ องกัน
5. ผู้สอนควรจะพิจารณาสิ่งล่อใจหรื อรางวัล รวมทังกิ ้ จกรรมการแข่งขัน ให้ รอบคอบและ
เหมาะสมเพราะเป็ นแรงจูงใจที่มีพลังรวดเร็ ว ซึ่งให้ ผลทัง้ ทางด้ านเสริ ม สร้ างและการทาลายก็ได้ ทังนี
้ ้
ขึ ้นอยู่กับสถานการณ์และวิธีการ
ทฤษฎีการจูงใจ ได้ อธิ บายเกี่ยวกับสภาวะของบุคคล ที่พร้ อม ที่จะสนองความต้ องการหากสิ่ง
นันมี
้ อิทธิพลสาหรับความต้ องการของเขา ทฤษฎีการจูงใจที่สาคัญคือ ทฤษฎี ความต้ องการของมาส
โลว์ (Maslow`s Theory) ซึ่งอธิบายความต้ องการของบุคคลว่า พฤติกรรมต่างๆ ของบุคคล ล้ วนเป็ น
สิ่งแสดงให้ เห็นถึงความพยายามหาวิธีการสนองความต้ องการให้ กับตนเองทังสิ ้ ้น และคนเรามีความ
ต้ องการหลายด้ าน ซึ่งมาสโลว์ ได้ จาแนกความต้ องการของคนไว้ ดงั นี ้ คือ
1. ความต้ องการทางกาย ได้ แก่ ความต้ องการปั จจัยที่จาเป็ นพื ้นฐาน สาหรับการดารงชีวิต อัน
ได้ แก่ อาหาร น ้า และ อากาศ
2. ความต้ องการความปลอดภัย เช่น ต้ องการความสะดวกสบาย การคุ้มครอง
3 .ความต้ องการความรัก และความเป็ นเจ้ าของ เช่น ต้ องการเป็ นที่รักของบุคคลอื่ น
4. ความต้ องการให้ ผ้ ูอื่นเห็นคุณค่าของตนเช่นการยอมรับและยกย่องจากสังคม
5 .ความต้ องการเข้ าใจตนเอง คือความเข้ าใจสภาวะของตน เช่น ความสามารถ ความถนัด ซึ่ง
สามารถเลือกงาน เลือกอาชีพที่เหมาะกับตนเอง
6. ความต้ องการที่จะรู้ และเข้ าใจ คือ พยายามที่จะศึกษาหาความรู้ และการแสวงหาสิ่งที่มี
ความหมายต่อชีวิต
7.ความต้ องการด้ านสุนทรี ยะ คือความต้ องการในด้ านการจรรโลงใจดนตรี ความสวยงาม
และงานศิลปะต่าง ๆ
จิตวิทยาการเรี ยนรู้
"การเรี ยนรู้ เกิดขึ ้นเมื่อสิ่งเร้ า (stimulus) มาเร้ าอินทรี ย์ (organism) ประสาทก็ตื่นตัว เกิดการ
รับสัมผัส หรื อเพทนาการ (sensation) ด้ วยประสาททัง้ 5 แล้ วส่งกระแสสัมผัสไปยังระบบประสาท
ส่วนกลาง ทาให้ เกิดการแปลความหมายขึ ้นโดยอาศัยประสบการณ์ เดิมและอื่น ๆ เรี ยกว่า สัญชาน
หรื อการรับรู้ (perception) เมื่อแปลความหมายแล้ ว ก็จะมีการสรุ ปผลของการรับรู้ เป็ นความคิดรวบ
ยอดเรี ยกว่า เกิดสังกัป (conception) แล้ วมีปฏิกิริยาตอบสนอง (response) อย่างหนึ่งอย่างใดต่อสิ่ง
เร้ าตามที่รับรู้ เป็ นผลให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤิตกรรม แสดงว่าการเรี ยนรู้ ได้ เกิดขึน้ แล้ วประเมินผลที่
เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้ าได้ แล้ ว "
2.1 หลักของความใกล้ ชิด หมายถึง สิ่งเร้ าที่อยูใ่ กล้ กนั ทาให้ เรามีแนวโน้ มที่จะรับรู้เป็ นพวก
เดียวกันมากกว่าสิ่งที่อยูห่ า่ งกัน
จิตวิทยาการเรี ยนรู้
1. ประเภทของการเรี ยนรู้
จิตวิทยาพัฒนาการ
1.วัยเด็กตอนต้ น
เด็กวัยนี ้มีอายุตงแต่
ั ้ 2 ถึง 6 ปี เป็ นเด็กวัยเรี ยนในระดับชันบริ
้ บาล อนุบาล และประถมศึกษาปี ที่ 1
เป็ นวัยที่มีการปรับตัวเข้ ากับสิ่งแวดล้ อมเป็ นอย่างมากเพราะเริ่มก้ าวออกสูส่ งั คมนอกบ้ าน เด็กวัยนี ้ชอบสิ่ง
แปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยรู้จกั มาก่อน สนใจสิ่งรอบตัว เป็ นวัยแห่งการสารวจอย่างแท้ จริ ง ช่างซักถาม ชอบ
รูปภาพในหนังสือและชมสิ่งเคลื่อนไหวที่มีสีสนั สดใสชัดเจนสนใจของเล่นที่จบั ต้ องได้ ถนัดมือ ชอบวิ่งเล่น
ปี นป่ ายเคลื่อนไหว ร้ องเพลงที่มีจงั หวะง่าย ๆ เนื ้อร้ องสัน้ ๆ เลียนแบบผู้ที่โตกว่า
2. วัยเด็กตอนกลาง
4. วัยผู้ใหญ่
4.3 วัยชรา โดยทัว่ ไปมักจะกาหนดให้ ผ้ ทู ี่มีอายุ 60 ปี ขึ ้นไปเข้ าสูว่ ยั ชรา วัยนี ้เป็ นวัยปรั บตัวให้
เหมาะกับความเสื่อมของสุขภาพร่างกาย คนในวัยชราจึงสนใจเรื่ องสุขภาพ ชอบให้ มีคนอยูเ่ ป็ นเพื่อน
สนใจเรื่ องราวในอดีตที่ตนเองเคยร่วมสมัย ต้ องการการยอมรับและการยกย่องประสบการณ์และ
ความสาเร็จในอดีตที่ผา่ นมา
บรรณานุกรม
http://www.std.kku.ac.th/4830500452/new/
http://edtechno.msu.ac.th/mod/resource/view.php?id=86
www.ais.rtaf.mi.th/paper/
http://edtechno.msu.ac.th/mod/resource/view.php?id=86