Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 195

สาขา: เหมืองแร วิชา: MN14 Physical Metallurgy

ขอที่ : 1


โครงสรางผลึกแบบใดมีการเรียงตัวหนาแนนที่สุด

่ า
คําตอบ 1 : FCC


คําตอบ 2 : BCT

ํจาห
คําตอบ 3 : BCC
คําตอบ 4 : Tetragonal

้ าม
ขอที่ : 2

ิธ์ ห
ระนาบใดที่อะตอมเรียงตัวหนาแนนที่สุดในโครงสรางผลึกแบบ FCC
คําตอบ 1 : {100}
คําตอบ 2 :

ิท
{110}


คําตอบ 3 : {111}


คําตอบ 4 : {112}

ขอที่ :

ง ว

3
ระนาบใดที่อะตอมเรียงตัวหนาแนนที่สุดในโครงสรางผลึกแบบ BCC

ขอ
คําตอบ 1 : {100}


คําตอบ 2 : {110}


คําตอบ 3 : {111}


คําตอบ 4 : {112}

าวศ

ขอที่ : 4

สภ
ทิศทางที่อะตอมเรียงตัวหนาแนนที่สุดในโครงสรางผลึกแบบ FCC
คําตอบ 1 : <100>
คําตอบ 2 : <110>
คําตอบ 3 : <111>
คําตอบ 4 : <112>

ขอที่ : 5 1 of 195
ทิศทางที่อะตอมเรียงตัวหนาแนนที่สุดในโครงสรางผลึกแบบ BCC
คําตอบ 1 : <100>
คําตอบ 2 : <110>
คําตอบ 3 : <111>


คําตอบ 4 :

่ า
<112>


ํจาห
ขอที่ : 6
ที่มุมทั้งสามของ Standard Triangle Stereographic Projection สําหรับผลึกรูปลูกบาศกประกอบไปดวยทิศทางอะไรบาง
คําตอบ 1 : <000> <100> <110>


คําตอบ 2 :

้ า
<000> <100> <111>
คําตอบ 3 :

ิธ์ ห
<000> <110> <111>
คําตอบ 4 : <100> <110> <111>

ิท
ขอที่ : 7


ในแผนภาพ Stereographic projection ทิศทางหรือโพลของผลึกแสดงแทนดวยจุดบนแผนภาพ ในขณะที่ระนาบของผลึกแสดงแทนดวยเสนวงกลมหลัก (Grea

วน
คําตอบ 1 : ทิศทางของระนาบ


คําตอบ 2 : ทิศทางที่ขนานหรืออยูบนระนาบ


คําตอบ 3 : ทิศทางที่ทํามุมกับระนาบ


คําตอบ 4 : ไมมีขอใดถูก

ขอที่ :

ก ร8


ิ ว
าว
สภ
2 of 195
คําตอบใดเปน Zone axis หรือทิศทางรวมของระนาบ (0-11) (10-1) และ (1-10)
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
3 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
4 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
5 of 195
คําตอบ 1 : a
คําตอบ 2 : b
คําตอบ 3 : c
คําตอบ 4 : d

่ าย

ขอที่ : 9

ํจาห
Polymorphism หมายถึง
คําตอบ 1 : ภาวะที่ธาตุแตละชนิดมีหลายโครงสราง โดยการเปลี่ยนโครงสรางหนึ่งไปเปนอีกโครงสรางหนึ่งขึ้นอยูกับอุณหภูมิและความดัน
คําตอบ 2 : ภาวะที่วัสดุมีหลายผลึก โดยแตละผลึกมีการเรียงตัวในทิศทางแบบไรระเบียบ


คําตอบ 3 : ภาวะที่วัสดุมีหลายผลึก โดยการเรียงตัวของแตละผลึกมีแนวโนมไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง

้ า
คําตอบ 4 : ภาวะที่สมบัติทางกายภาพของวัสดุมีขนาดเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางการเรียงตัวของผลึก

ขอที่ : 10
ิธ์ ห
ิท
ชนิดของชองวาง (Voids) ในผลึกของโลหะไดแก


คําตอบ 1 : ชองวางเตตราฮีดรอล (Tetrahedral voids) และชองวางเฮกซาโกนอล (Hexagonal voids)

วน
คําตอบ 2 : ชองวางเฮกซาโกนอล (Hexagonal voids) และชองวางออกตาฮีดรอล (Octahedral voids)


คําตอบ 3 : ชองวางเตตราฮีดรอล (Tetrahedral voids) และชองวางออกตาฮีดรอล (Octahedral voids)


คําตอบ 4 : ชองวางเตตราฮีดรอล (Tetrahedral voids) ชองวางเฮกซาโกนอล (Hexagonal voids) และชองวางออกตาฮีดรอล (Octahedral voids)

ขอที่ :

ร ข
11


จํานวนโคออรดิเนชัน (Coordination number) ของชองวางเตตราฮีดรอล (Tetrahedral voids) เทากับเทาใด


คําตอบ 1 : 4



คําตอบ 2 :


5


คําตอบ 3 : 6

สภ
คําตอบ 4 : 8

ขอที่ : 12
จํานวนโคออรดิเนชัน (Coordination number) ของชองวางออกตาฮีดรอล (Octahedral voids) เทากับเทาใด

คําตอบ 1 : 4
คําตอบ 2 : 5
คําตอบ 3 : 6 6 of 195
คําตอบ 4 : 8

ขอที่ : 13


ขอใดไมใช Polymorph ของเหล็ก

่ า
คําตอบ 1 : Alpha iron


คําตอบ 2 : Gamma iron

ํจาห
คําตอบ 3 : Cementite
คําตอบ 4 : Delta iron

้ าม
ขอที่ : 14

ิธ์ ห
ขอใดไมใชโครงสรางผลึกของโลหะ
คําตอบ 1 : BCC (Body-Centered Cubic)
คําตอบ 2 :

ิท
FCC (Face-Centered Cubic)
คําตอบ 3 :


KFC (K - Faced Cubic)
คําตอบ 4 :


HCP (Hexagonal Closed Pack)

ขอที่ : 15

ง ว

ขอใดตอไปนี้เปนการจับคูชนิดของโลหะและโครงสรางผลึกที่อุณหภูมิหองไดถูกตอง

ขอ
คําตอบ 1 : สังกะสี – BCC


คําตอบ 2 : ตะกั่ว – FCC


คําตอบ 3 : บิสมัท - KFC


คําตอบ 4 : ทังสเตน - HCP

าวศ

ขอที่ : 16

สภ
โลหะชนิดใดตอไปนี้มี Atomic Packing Factor ต่ําที่สุดที่อุณหภูมิหอง
คําตอบ 1 : โครเมียม
คําตอบ 2 : โคบอลต
คําตอบ 3 : อะลูมิเนียม
คําตอบ 4 : ไททาเนียม

ขอที่ : 17 7 of 195
โลหะชนิดในขอใดตอไปนี้สามารถดึงขึ้นรูปเปนลวดไดดีที่สุด
คําตอบ 1 : โคบอลต
คําตอบ 2 : เหล็ก
คําตอบ 3 : ทองแดง


คําตอบ 4 : แมกนีเซียม

น่ า
ํจาห
ขอที่ : 18
ขอใดตอไปนี้มีโครงสรางผลึกตางจากพวก
คําตอบ 1 : ตะกั่ว


คําตอบ 2 : เบอริลเลียม

้ า
คําตอบ 3 : อะลูมิเนียม

ิธ์ ห
คําตอบ 4 : แพลทตินัม

ิท
ขอที่ : 19


โมลิบดีนัมมีโครงสรางผลึกที่อุณหภูมิหองแบบ BCC และมีรัศมีอะตอมเทากับ 0.140 นาโนเมตร จงคํานวณหา Lattice Constant ของโมลิบดีนัม

วน
คําตอบ 1 : 0.323 นาโนเมตร


คําตอบ 2 : 0.123 นาโนเมตร


คําตอบ 3 : 0.223 นาโนเมตร


คําตอบ 4 : 0.423 นาโนเมตร

ขอที่ :

ก ร ข
20


ทองคํามี Lattice Constant เทากับ 0.40788 นาโนเมตรและมีโครงสรางผลึกที่อุณหภูมิหองแบบ FCC จงคํานวณหารัศมีอะตอมของทองคํา



คําตอบ 1 : 0.144 นาโนเมตร

าว
คําตอบ 2 : 0.244 นาโนเมตร

สภ
คําตอบ 3 : 0.344 นาโนเมตร
คําตอบ 4 : 0.444 นาโนเมตร

ขอที่ : 21
ทองแดงมีโครงสรางผลึกแบบ FCC ที่อุณหภูมิหองและมี Lattice Constant เทากับ 0.361 นาโนเมตร จงคํานวณหาระยะหางระหวางระนาบ (220) แตละระนาบ

คําตอบ 1 : 0.128 นาโนเมตร


คําตอบ 2 : 0.228 นาโนเมตร 8 of 195
คําตอบ 3 : 0.328 นาโนเมตร
คําตอบ 4 : 0.428 นาโนเมตร


ขอที่ : 22

่ า
ทองแดงมีโครงสรางผลึกแบบ FCC และมีรัศมีอะตอมเทากับ 0.1278 นาโนเมตร จงคํานวณหาความถวงจําเพราะของทองแดง กําหนดให Atomic mass ของทอ


คําตอบ 1 : 8.98

ํจาห
คําตอบ 2 : 7.78
คําตอบ 3 : 9.68
คําตอบ 4 : 4.51

้ าม
ิธ์ ห
ขอที่ : 23
ขอใดเปน Miller Indice ของระนาบในภาพ

สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : (100)
คําตอบ 2 : (110)
คําตอบ 3 : (111)
คําตอบ 4 : (010)

ขอที่ : 24
9 of 195
ขอใดเปน Miller Indice ของระนาบในภาพ
่ าย

ํจาห
คําตอบ 1 :

้ าม
ิธ์ ห
(110)
คําตอบ 2 : (100)
คําตอบ 3 : (111)

ิท
คําตอบ 4 : (010)

นส

ขอที่ : 25


ขอใดเปน Miller Indice ของระนาบในภาพ

อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
คําตอบ 3 :
(111)
(100)
(110)
คําตอบ 4 : (010)
10 of 195
ขอที่ : 26
ขอใดเปน Miller Indice ของ Direction ในภาพ

่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 1 : [100] และ [110]
คําตอบ 2 : [111] และ [100]

ิท
คําตอบ 3 : [110] และ [121]


คําตอบ 4 : [100] และ [101]

ขอที่ : 27

ง วน

ขอใดเปน Miller Indice ของ Direction ในภาพ

ร ขอ
วก
าวศ

สภ คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
คําตอบ 3 :
[111]
[100]
[110]
คําตอบ 4 : [001]
11 of 195
ขอที่ : 28
ขอใดเปน Miller Indice ของ Direction ในภาพ

่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 1 : [210]
คําตอบ 2 : [100]

ิท
คําตอบ 3 : [110]


คําตอบ 4 : [001]

ขอที่ : 29

ง วน

ขอใดเปน Miller Indice ของ Equivalent Vector กับ Vector ในภาพ

ร ขอ
วก
าวศ

สภ คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
[110]
[210]
คําตอบ 3 : [100]
12 of 195
คําตอบ 4 : [001]

ขอที่ : 30


สังกะสีมีโครงสรางเปน

่ า
คําตอบ 1 : B.C.C.


คําตอบ 2 : F.C.C.

ํจาห
คําตอบ 3 : H.C.P.
คําตอบ 4 : B.C.T.

้ าม
ขอที่ : 31

ิธ์ ห
ทองแดงมีโครงสรางเปน
คําตอบ 1 : B.C.C.
คําตอบ 2 :

ิท
F.C.C.
คําตอบ 3 :


H.C.P.
คําตอบ 4 :


B.C.T.

ขอที่ : 32

ง ว

โมลิบดีนัมมีโครงสรางเปน

ขอ
คําตอบ 1 : B.C.C.


คําตอบ 2 : F.C.C.


คําตอบ 3 : H.C.P.


คําตอบ 4 : B.C.T.

าวศ

ขอที่ : 33

สภ
ความสัมพันธระหวางความยาวดานของ unit cell (a) และรัศมีของอะตอม (R) ในโครงสรางใดที่เขียนไดดวยสมการ

คําตอบ 1 : BCC
คําตอบ 2 : FCC
คําตอบ 3 : HCP
คําตอบ 4 : Simple Cubic 13 of 195
ขอที่ : 34
ความสัมพันธระหวางความยาวดานของ unit cell (a) และรัศมีของอะตอม (R) ใน โครงสรางใดที่เขียนไดดวยสมการ

่ าย

คําตอบ 1 : BCC

ํจาห
คําตอบ 2 : FCC
คําตอบ 3 : HCP
คําตอบ 4 : Simple Cubic

้ าม
ิธ์ ห
ขอที่ : 35
ความสัมพันธระหวางความยาวดานของ unit cell (a) และรัศมีของอะตอม (R) ใน โครงสราง Simple Cubic คือ
คําตอบ 1 : a = 2R

สิท

คําตอบ 2 :

ง ว
อ ส
คําตอบ 3 :

ก ร ข
คําตอบ 4 : a = 4R


ิ ว
ขอที่ :


36


ความสัมพันธระหวางความยาวดานของ unit cell (a) และรัศมีของอะตอม (R) ใน โครงสราง Face-centered Cubic คือ

สภ
คําตอบ 1 : a = 2R

คําตอบ 2 :

คําตอบ 3 :
14 of 195
คําตอบ 4 : a = 4R

่ าย

ขอที่ : 37
ความสัมพันธระหวางความยาวดานของ unit cell (a) และรัศมีของอะตอม (R) ใน โครงสราง Body-centered Cubic คือ

ํจาห
คําตอบ 1 : a = 2R

้ าม
คําตอบ 2 :

ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 3 :

นส
คําตอบ 4 : a = 4R

ง ว

ขอที่ : 38


โครงสราง Body Centered Cubic (BCC) มีเลขโคออดิเนชันเทากับเทาใด


คําตอบ 1 : 6


คําตอบ 2 : 8

วก
คําตอบ 3 : 12



คําตอบ 4 : 16

าว
ขอที่ :

สภ
39
โครงสราง Face Centered Cubic (FCC) มีเลขโคออดิเนชันเทากับเทาใด
คําตอบ 1 : 6
คําตอบ 2 : 8
คําตอบ 3 : 12
คําตอบ 4 : 16

15 of 195
ขอที่ : 40
โครงสราง Hexagonal Close-packed (HCP) มีเลขโคออดิเนชันเทากับเทาใด
คําตอบ 1 : 6
คําตอบ 2 : 8


คําตอบ 3 :

่ า
12
คําตอบ 4 :


16

ํจาห
ขอที่ : 41
เพราะเหตุใดโลหะจึงไมมีคุณสมบัติโปรงแสง


คําตอบ 1 : เพราะประกอบไปดวยพันธะอิออนิกผสมกับโควาเลนต

้ า
คําตอบ 2 : เพราะสามารถนําไฟฟาได

ิธ์ ห
คําตอบ 3 : เพราะมีความเปนแมเหล็ก
คําตอบ 4 : เพราะเปนวัสดุที่มีโครงสรางผลึก

ขอที่ : 42

สิท
วน
ขอใดไมใชโครงสรางผลึกพื้นฐานของโลหะ


คําตอบ 1 : body-centered cubic


คําตอบ 2 : face-centered cubic


คําตอบ 3 : hexagonal-close-packed


คําตอบ 4 : body-centered tetragonal

ก ร

ขอที่ : 43



ขอใดคือ atomic packing factor (APF)

าว
คําตอบ 1 : รัศมีอะตอมใน unit cell / ปริมาตรของ unit cell

สภ
คําตอบ 2 : ปริมาตรของอะตอมทั้งหมดใน unit cell / ปริมาตรของ unit cell
คําตอบ 3 : เสนผาศูนยกลางของอะตอมใน unit cell / ปริมาตรของ unit cell
คําตอบ 4 : มวลของอะตอมใน unit cell / ปริมาตรของ unit cell

ขอที่ : 44
โลหะที่สามารถเปลี่ยนระบบผลึกเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลงเรียกปรากฏการณนี้วาอะไร
คําตอบ 1 : amorphous 16 of 195
คําตอบ 2 : meta stable
คําตอบ 3 : lattice parameter
คําตอบ 4 : allotropy

่ าย
ขอที่ : 45


โครงสรางผลึกแบบใดที่มีการเรียงตัวแบบอัดแนนที่สุด

ํจาห
คําตอบ 1 : FCC, BCC
คําตอบ 2 : FCC, HCP
คําตอบ 3 : BCC, HCP


คําตอบ 4 : BCC, FCC และ HCP

ขอที่ : 46

ิธ์ ห้ า
ระนาบพื้นหรือ Basal Plane ใน HCP เขียนเปนดัชนีมิลเลอรไดเปน

ิท
คําตอบ 1 :


(1000)
คําตอบ 2 :


(0100)


คําตอบ 3 : (0010)


คําตอบ 4 : (0001)

ขอที่ :

อ ส

47


ใน Stereographic Projection แสดงทิศทางหรือ Pole ของผลึกดวยอะไร


คําตอบ 1 : จุด


คําตอบ 2 : เสนตรง



คําตอบ 3 : เสนโคง

าว
คําตอบ 4 : พื้นที่

สภ
ขอที่ : 48
ใน Stereographic Projection แสดงระนาบของผลึกดวยอะไร
คําตอบ 1 : จุด
คําตอบ 2 : เสนตรง
คําตอบ 3 : เสนวงกลมหลัก (Great Circle)
คําตอบ 4 : พื้นที่
17 of 195
ขอที่ : 49
ขอใดมีความหมายเดียวกันกับ Polymorphism
คําตอบ 1 : Allotropy


คําตอบ 2 :

่ า
Polycrystalline
คําตอบ 3 :


Crystallography
คําตอบ 4 : Amorphous

ขอที่ : 50

ํจาห

จํานวนอะตอมตอหนึ่งยูนิตเซลลในโครงสรางผลึกแบบ FCC คือ

้ า
คําตอบ 1 :

ิธ์ ห
2
คําตอบ 2 : 4
คําตอบ 3 : 8

ิท
คําตอบ 4 : 14

นส

ขอที่ : 51

สง
ร ขอ
วก
าวศ

สภ
18 of 195
รูปดานลางแสดงใหเห็นดิสโลเคชันแบบวงสี่เหลี่ยม I , II , III และ IV และทิศทางของเบอรเกอรเวกเตอร (Burger’s vector) และทิศทางของเสนดิสโลเคชันดัง
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : I และ II
คําตอบ 2 : III และ IV
คําตอบ 3 : I , II , III และ IV
คําตอบ 4 : ไมมีดิสโลเคชันใดเปนแบบสกูร

ขอที่ : 52 19 of 195
รูปดานลางแสดงใหเห็นดิสโลเคชันแบบวงสี่เหลี่ยม I , II , III และ IV และทิศทางของเบอรเกอรเวกเตอร (Burger’s vector) และทิศทางของเสนดิสโลเคชันดัง

่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : I และ II
คําตอบ 2 : III และ IV
คําตอบ 3 : I , II , III และ IV
คําตอบ 4 : ไมมีดิสโลเคชันแบบขอบ

20 of 195
ขอที่ : 53
การเคลื่อนที่แบบปน (Climb) ของดิสโลเคชันแบบขอบ (Edge dislocation) เปนการเคลื่อนที่แบบ Non-conservation ซึ่งตองอาศัยกลไกอะไรมาชวยทําใหเกิ
คําตอบ 1 : การสรางและทําลายของวาเคนซี (Vacancies)
คําตอบ 2 : การแตกตัวของดิสโลเคชัน (Dislocation dissociation)


คําตอบ 3 : การเลื่อนขามระนาบ (Cross-slip)

่ า
คําตอบ 4 : การตัดกันของวาเคนซี (Dislocation intersection)


ํจาห
ขอที่ : 54
การเลื่อนขามระนาบ (Cross slip) พบไดในดิสโลเคชันแบบใด และในโลหะที่มีสมบัติอยางไร


คําตอบ 1 : ดิสโลเคชันแบบขอบ (Edge dislocation) และโลหะที่มี Stacking Fault Energy (SFE) ต่ํา

้ า
คําตอบ 2 : ดิสโลเคชันแบบขอบ (Edge dislocation) และโลหะที่มี Stacking Fault Energy (SFE) สูง

ิธ์ ห
คําตอบ 3 : ดิสโลเคชันแบบสกูร (Screw dislocation) และโลหะที่มี Stacking Fault Energy (SFE) ต่ํา
คําตอบ 4 : ดิสโลเคชันแบบสกูร (Screw dislocation) และโลหะที่มี Stacking Fault Energy (SFE) สูง

ขอที่ : 55

สิท
วน
การแตกตัวของดิสโลเคชันที่สมบูรณ (Perfect dislocation) 1 สวนในโลหะ FCC ออกเปนดิสโลเคชันยอย (Partial dislocations) 2 สวน ทําใหเกิดบริเวณที่เรีย


คําตอบ 1 : โลหะที่มีความหนาแนนของดิสโลเคชันสูง


คําตอบ 2 : โลหะที่มีความหนาแนนของดิสโลเคชันต่ํา


คําตอบ 3 : โลหะที่มี Stacking Fault Energy (SFE) สูง


คําตอบ 4 : โลหะที่มี Stacking Fault Energy (SFE) ต่ํา

ก ร

ขอที่ : 56

าวศ

สภ
21 of 195
ดิสโลเคชันแบบขอบ mnop (Edge dislocation) เดิมทีเดียวมีลักษณะเปนเสนตรงอยูในแนวเดียวกัน แตหลังจากตัดกัน (Intersecting) กับดิสโลเคชันเสนอื่น ทํ
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
คําตอบ 1 : Jog


คําตอบ 2 : Kink


คําตอบ 3 : Shockley Partial


คําตอบ 4 :


Stair-rod

วศ

ขอที่ :


57

สภ
22 of 195
ดิสโลเคชันแบบขอบ mnop (Edge dislocation) เดิมทีเดียวมีลักษณะเปนเสนตรงอยูในแนวเดียวกัน แตหลังจากตัดกัน (Intersecting) กับดิสโลเคชันเสนอื่น ทํ
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

คําตอบ 1 : Jog



คําตอบ 2 :


Kink


คําตอบ 3 : Shockley partial

สภ
คําตอบ 4 : Stair-rod

ขอที่ : 58
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับวาเคนซี (Vacancies)

คําตอบ 1 : จํานวนวาเคนซีที่สภาวะสมดุล (Equilibrium concentration of vacancies) แปรตามอุณหภูมิ โดยจํานวนวาเคนซีที่สภาวะสมดุลเพิ่มขึ้นเมื่ออุ


คําตอบ 2 : การเคลื่อนที่ของวาเคนซี (Vacancy motion) ไมแปรตามอุณหภูมิ แตขึ้นอยูกับโครงสรางผลึกของโลหะ
คําตอบ 3 : ในผลึกโลหะทั่วไปจะมีวาเคนซีอยูเสมอ 23 of 195
คําตอบ 4 : โลหะที่ผานการบมแข็ง และชุบเย็นอยางรวดเร็ว จะมีจํานวนวาเคนซีในผลึกมากกวาจํานวนวาเคนซีที่สภาวะสมดุล (Equilibrium concentratio

ขอที่ : 59


จากรูปดานลาง แกนนอนเปนจํานวนวาเคนซี (Xv) ใหพิจารณาวาตําแหนงใดเปนจํานวนวาเคนซีที่สภาวะสมดุล (Equilibrium concentration of vacancies)

น่ า
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
a
b
คําตอบ 3 : c
คําตอบ 4 : d
24 of 195
ขอที่ : 60
ขอใดไมใช Point defects ที่พบในผลึก
คําตอบ 1 : Self-interstitials


คําตอบ 2 :

่ า
Dislocations
คําตอบ 3 :


Vacancies
คําตอบ 4 : Substitutional atoms

ขอที่ : 61

ํจาห

ขอใดเปนเบอรเกอรเวกเตอร (Burger’s vector) ของดิสโลเคชันที่สมบูรณ (Perfect dislocation) ในโลหะที่มีผลึกแบบ FCC

คําตอบ 1 :

ิธ์ ห้ า

คําตอบ 2 :
ิท
ง วน

คําตอบ 3 :

ร ขอ

คําตอบ 4 :


ิ ว
าว
ขอที่ :

สภ
62

25 of 195
คําตอบ 1 :

่ าย
คําตอบ 2 :


ํจาห
คําตอบ 3 :

้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 4 :

ขอที่ : 63

สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 :

คําตอบ 2 :

คําตอบ 3 :
26 of 195
คําตอบ 4 :


ขอที่ :

่ า
64
ขอใดเปน Line Imperfection ของผลึก


ํจาห
คําตอบ 1 : Edge Dislocation
คําตอบ 2 : Vacancy
คําตอบ 3 : Interstitial Atom


คําตอบ 4 : Self-Interstitials

ขอที่ : 65

ิธ์ ห้ า
ธาตุในขอใดตอไปนี้สามารถแทรกตัวอยูใน Atomic Lattice ของเหล็กได

ิท
คําตอบ 1 : คารบอน


คําตอบ 2 : ทองแดง


คําตอบ 3 : ดีบุก

ง ว
คําตอบ 4 : บิสมัท

ขอที่ : 66

อ ส

ธาตุในขอใดตอไปนี้ไมสามารถแทรกตัวอยูใน Atomic Lattice ของเหล็กได

ก ร
คําตอบ 1 : คารบอน


คําตอบ 2 : ไนโตรเจน



คําตอบ 3 : โบรอน


คําตอบ 4 : อะลูมิเนียม


สภ
ขอที่ : 67
Crystal Imperfection ในขอใดตอไปนี้มี Burger Vector ขนานกับทิศทางการเคลื่อนที่
คําตอบ 1 : Edge Dislocation
คําตอบ 2 : Screw Dislocation
คําตอบ 3 : Vacancy
คําตอบ 4 : Interstitial Atom
27 of 195
ขอที่ : 68
Crystal Imperfection ในขอใดตอไปนี้มี Burger Vector ตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่
คําตอบ 1 : Screw Dislocation


คําตอบ 2 :

่ า
Edge Dislocation
คําตอบ 3 :


Vacancy
คําตอบ 4 : Interstitial Atom

ขอที่ : 69

ํจาห

จากภาพขางตนเปนภาพของ Crystal Imperfection ในขอใด

ิธ์ ห้ า
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : Edge Dislocation
คําตอบ 2 : Screw Dislocation
คําตอบ 3 : Vacancy
คําตอบ 4 : Self-Interstitials

ขอที่ : 70 28 of 195
จากภาพขางตนเปนภาพของ Crystal Imperfection ในขอใด

่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
วน
คําตอบ 1 : Screw Dislocation


คําตอบ 2 : Edge Dislocation


คําตอบ 3 : Vacancy


คําตอบ 4 : Self-Interstitials

ขอที่ :

ก ร ข
71


ิ ว
าว
สภ
29 of 195
จากภาพขางตนเปนภาพของ Crystal Imperfection ในขอใด
่ าย

ํจาห
้ าม
คําตอบ 1 :
ิธ์ ห
ิท
Vacancy
คําตอบ 2 :


Screw Dislocation


คําตอบ 3 : Edge Dislocation


คําตอบ 4 : Self-Interstitials

สง

ขอที่ : 72


จากภาพขางตนเปนภาพของ Crystal Imperfection ในขอใด

ก ร

ิ ว
าว
สภ
30 of 195
คําตอบ 1 : Screw Dislocation
คําตอบ 2 : Edge Dislocation
คําตอบ 3 : Vacancy
คําตอบ 4 : Self-Interstitials

่ าย

ขอที่ : 73

ํจาห
ตําหนิ (defect) หรือความไมสมบูรณในโครงสรางผลึกของวัสดุในขอใดที่จัดเปนตําหนิประเภทที่มีหนึ่งมิติ (one-dimensional defect)
คําตอบ 1 : ชองวาง (vacancies)
คําตอบ 2 : อะตอมแทรก (interstitial atoms)


คําตอบ 3 : อะตอมแปลกหลอมหรืออะตอมตัวถูกละลาย (solute atom)

้ า
คําตอบ 4 : ดิสโลเคชัน (dislocation)

ขอที่ : 74
ิธ์ ห
ิท
ขอใดไมใชชนิดของดิสโลเคชันที่มีอยูจริง


คําตอบ 1 : ดิสโลเคชันชนิดขอบ (Edge Dislocations)

วน
คําตอบ 2 : ดิสโลเคชันชนิดเกลียว (Screw Dislocations)


คําตอบ 3 : ดิสโลเคชันชนิดผสม (Mixed Dislocations)


คําตอบ 4 : ดิสโลเคชันชนิดยืดหยุน (Elastic Dislocations)

ขอที่ :

ร ข
75


เมื่อมีอะตอมของธาตุอื่นเขาไปปนในโครงสรางผลึกของโลหะชนิดหนึ่ง จะมีโอกาสเกิดตําหนิในโครงสรางผลึกของโลหะนั้นไดหลายกรณี ยกเวนขอใด


คําตอบ 1 : Interstitial Atoms



คําตอบ 2 :


Substitutional Atoms


คําตอบ 3 : Vacancies

สภ
คําตอบ 4 : Inclusion

ขอที่ : 76
Vacancy ในโลหะบริสุทธิ์มีสาเหตุมาจากกระบวนการใดตอไปนี้
คําตอบ 1 : annealing
คําตอบ 2 : normalising
คําตอบ 3 : quenching อยางรวดเร็ว 31 of 195
คําตอบ 4 : tempering

ขอที่ : 77


โลหะที่ผานกระบวนการ plastic deformation แลวจะมี dislocation density เปลี่ยนแปลงอยางไร

่ า
คําตอบ 1 : ลดลง


คําตอบ 2 : เพิ่มขึ้น

ํจาห
คําตอบ 3 : ไมเปลี่ยนแปลง
คําตอบ 4 : ไมแนนอนขึ้นกับชนิดของโลหะ

้ าม
ขอที่ : 78

ิธ์ ห
Dislocation density หมายถึง
คําตอบ 1 : มวลของผลึกตอปริมาตรของผลึก
คําตอบ 2 : มวลของ dislocation ทั้งหมดในผลึกตอปริมาตรของผลึก

ิท
คําตอบ 3 : ความยาวทั้งหมดของ dislocation ในผลึกตอปริมาตรของผลึก


คําตอบ 4 : ปริมาตรของ dislocation ทั้งหมดในผลึกตอปริมาตรของผลึก

ขอที่ : 79

ง วน

ขอใดไมใชตําหนิแบบจุด (Point Defect) ที่ปรากฏในโครงสรางผลึกของโลหะ

ขอ
คําตอบ 1 : อะตอมของธาตุอื่น


คําตอบ 2 : ชองวาง (Vacancy)


คําตอบ 3 : เม็ดแกรไฟตในเนื้อเหล็ก


คําตอบ 4 : อะตอมคารบอนในเนื้อเหล็ก

าวศ

ขอที่ : 80

สภ
ขอใดเปนตําหนิแบบเสน (Line Defect) ที่ปรากฏในโครงสรางผลึกของโลหะ
คําตอบ 1 : Grain Boundary
คําตอบ 2 : ชองวาง (Vacancy)
คําตอบ 3 : Screw Dislocation
คําตอบ 4 : อะตอมคารบอนในเนื้อเหล็ก

ขอที่ : 81 32 of 195
ตําหนิในผลึกของแข็งในขอใดที่ไมพบในกรณีของโลหะบริสุทธิ์ 100%
คําตอบ 1 : Self Interstitial Atoms
คําตอบ 2 : Vacancies
คําตอบ 3 : Interstitial Solute Atoms


คําตอบ 4 :

่ า
Dislocations


ํจาห
ขอที่ : 82
ทองแดงชิ้นที่หนึ่ง มี ASTM Grain Size No. 7
ทองแดงชิ้นที่สอง มี ASTM Grain Size No. 8


ขอใดกลาวถูกตอง

้ า
คําตอบ 1 : ทองแดงชิ้นที่หนึ่งมีเกรนละเอียดกวา

ิธ์ ห
คําตอบ 2 : ทองแดงชิ้นที่หนึ่งมีเกรนหยาบกวา
คําตอบ 3 : ทองแดงทั้งสองชิ้นมีขนาดเกรนเฉลี่ยเทากัน
คําตอบ 4 : บอกไมได ตองทราบพารามิเตอรอื่นประกอบดวย

สิท

ขอที่ : 83


ทองแดงชิ้นที่หนึ่ง มี ASTM Grain Size No. 7


ทองแดงชิ้นที่สอง มี ASTM Grain Size No. 8


หมายความวา เมื่อนับจํานวนเกรนตอพื้นที่ที่เทากัน ภายใตกําลังขยายที่เทากันแลว ทองแดงชิ้นที่หนึ่งมีจํานวนเกรนตอพื้นที่เปนกี่เทาของชิ้นที่สอง


คําตอบ 1 : 2 เทา


คําตอบ 2 : 1/2 เทา


คําตอบ 3 : 10 เทา

วก
คําตอบ 4 : 1/10 เทา

าวศ

ขอที่ : 84

สภ
โลหะใดที่มี Dislocation อยูนอยที่สุด
คําตอบ 1 : โลหะบริสุทธิ์
คําตอบ 2 : โลหะที่ผานการรีดรอน
คําตอบ 3 : โลหะที่ผานการรีดเย็น
คําตอบ 4 : โลหะที่ผานการรีดเย็นแลวถูกอบออนใหตกผลึกใหมโดยสมบูรณ

ขอที่ : 85
33 of 195
โลหะใดที่มี Dislocation อยูนอยที่สุด
คําตอบ 1 : โลหะบริสุทธิ์
คําตอบ 2 : โลหะผสม
คําตอบ 3 : วิสเกอร (Whisker)


คําตอบ 4 : โลหะที่อุณหภูมิหอง

น่ า
ํจาห
ขอที่ : 86
ที่อุณหภูมิใด โลหะมีตําหนิประเภทชองวางในโครงสรางผลึก หรือ Vacancy นอยที่สุด
คําตอบ 1 : 0K


คําตอบ 2 : อุณหภูมิหอง

้ า
คําตอบ 3 : 0.3 Tm, เมื่อ Tm = melting point (K)

ิธ์ ห
คําตอบ 4 : 0.6 Tm, เมื่อ Tm = melting point (K)

ิท
ขอที่ : 87


อะตอมแมงกานีสในเหล็ก จัดเปนตําหนิในผลึกของแข็ง (Crystal Defect) ประเภทใด

วน
คําตอบ 1 : แบบจุด (Point Defect)


คําตอบ 2 : แบบธาตุผสม (Alloying Element Atoms)


คําตอบ 3 : แบบเสน (Line Defect)


คําตอบ 4 : แบบกอน (Bulk Defect)

ขอที่ :

ก ร ข
88


เฟสแกรไฟตในเหล็กหลอ จัดเปนตําหนิในผลึกของแข็ง (Crystal Defect) ประเภทใด



คําตอบ 1 : แบบจุด (Point Defect)

าว
คําตอบ 2 : แบบธาตุผสม (Alloying Element Atoms)

สภ
คําตอบ 3 : แบบเสน (Line Defect)
คําตอบ 4 : แบบกอน (Bulk Defect)

ขอที่ : 89
ตําหนิในผลึกของแข็ง (Crystal Defect) แบบใดสงผลใหความหนาแนนของโลหะนั้นลดลง
ก. Vacancies
ข. Edge Dislocations
คําตอบ 1 : ก. 34 of 195
คําตอบ 2 : ข.
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.

่ าย
ขอที่ : 90


Edge Dislocation และ Screw Dislocation เมื่อเคลื่อนที่มาพบกัน จะเกิด

ํจาห
คําตอบ 1 : ผลึกสมบูรณ เนื่องจากดิสโลเคชันทั้งสองชนิดหักลางกันไป
คําตอบ 2 : Mixed Dislocation
คําตอบ 3 : เหลือแต Edge Dislocation


คําตอบ 4 :

้ า
Cross Slip

ิธ์ ห
ขอที่ : 91
ขอใดเปน point imperfection ของผลึก

ิท
คําตอบ 1 :


vacancy
คําตอบ 2 :


screw dislocation


คําตอบ 3 : edge dislocation


คําตอบ 4 : mixed dislocation

ขอที่ :

อ ส

92


อะตอมของคารบอนที่แทรกอยูใน lattice ของเหล็ก ถือวาเปน crystal defect แบบใด


คําตอบ 1 : Substitutional atom


คําตอบ 2 : Interstitial atom



คําตอบ 3 :


Vacancy


คําตอบ 4 : Dislocation

สภ
ขอที่ : 93
ถาขอบเขตเอียงมุมเล็ก (Small angle tilt boundary) มีมุมเอียง ( ) เปน 0.1° และระยะหางระหวางดิสโลเคชันที่แทรกตามแนวขอบเขตมีขนาดเปน 188.6 นาโน
คําตอบ 1 : 0.165 นาโนมิเตอร
คําตอบ 2 : 0.33 นาโนมิเตอร
คําตอบ 3 : 0.66 นาโนมิเตอร
คําตอบ 4 : 1.32 นาโนมิเตอร
35 of 195
ขอที่ : 94
ขอใดเปนแรงผลักดัน (Driving forces) ที่ทําใหขอบเกรนระหวางเกรนทั้งสองของโลหะชนิดเดียวกันเกิดการเคลื่อนที่
คําตอบ 1 : ความแตกตางของพลังงานสะสม (Stored energy) ในเกรนทั้งสอง


คําตอบ 2 : ความแตกตางของโมดูลัสความยืดหยุน (Elastic modulus) ในเกรนทั้งสอง

่ า
คําตอบ 3 : ความโคงของขอบเกรน


คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ

ขอที่ : 95

ํจาห

อิทธิพลใดที่ทําใหเกรนที่มีขนาดเล็กถูกกลืนไปโดยเกรนที่มีขนาดใหญกวา ทําใหจํานวนเกรนลดลงและขนาดของเกรนใหญขึ้น

้ า
คําตอบ 1 : ความแตกตางของพลังงานสะสม (Stored energy) ในเกรนทั้งสอง

ิธ์ ห
คําตอบ 2 : ความแตกตางของโมดูลัสความยืดหยุน (Elastic modulus) ในเกรนทั้งสอง
คําตอบ 3 : ความโคงของขอบเกรน

ิท
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ

นส

ขอที่ : 96


อิทธิพลใดที่ทําใหเกิดการนิวคลีเอชัน (Nucleation) ของเกรนใหมในกระบวนการรีคริสตัลไลเซชัน (Recrystallization process) ของชิ้นงานที่ผานการรีดเย็นแล


คําตอบ 1 : ความแตกตางของพลังงานสะสม (Stored energy)


คําตอบ 2 : ความแตกตางของโมดูลัสความยืดหยุน (Elastic modulus) ในเกรนทั้งสอง


คําตอบ 3 : ความโคงของขอบเกรน


คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ

วก


ขอที่ : 97


Mobility ของขอบเกรนเปนฟงกชันกับตัวแปรใด


สภ
คําตอบ 1 : ความเขมขนของ Impurity atoms
คําตอบ 2 : ขนาดและความหนาแนนของ Second-phase particles
คําตอบ 3 : อุณหภูมิ
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ

ขอที่ : 98
พลังงานขอบเกรนแบบใดมีขนาดต่ําสุด
36 of 195
คําตอบ 1 : Coherent twin boundary
คําตอบ 2 : Incoherent twin boundary
คําตอบ 3 : High-angle grain boundary
คําตอบ 4 : พลังงานเทากันทุกขอ

่ าย

ขอที่ : 99

ํจาห
อินเตอรเฟสในรูปดานลางเปนแบบใด

้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
คําตอบ 3 :
Coherent interface
Semi-coherent interface
Incoherent interface
คําตอบ 4 : Incoherent twin boundary
37 of 195
ขอที่ : 100
รูปดานลางแสดงใหเห็นพรีซิพิเทต (Precipitate) ที่ฟอรมบนขอบเกรน ใหพิจารณาวาอินเตอรเฟสระหวางพรีซิพิเทตกับเมตริกซขอใดเปนแบบเซมิโคเฮียเรนทอน

่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 1 : A


คําตอบ 2 : B

วน
คําตอบ 3 : C


คําตอบ 4 : A และ B

ขอที่ :


101

ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
38 of 195
ขอใดเปนขอบเขต (Boundary) ที่แสดงในรูปดานลาง
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
Tilt boundary


Twist boundary
คําตอบ 3 :



Twin boundary


คําตอบ 4 : Coincident boundary


สภ
ขอที่ : 102

39 of 195
ขอใดเปนขอบเขต (Boundary) ที่แสดงในรูปดานลาง
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห

คําตอบ 1 :

ิท Tilt boundary


คําตอบ 2 : Twist boundary

ง ว
คําตอบ 3 : Twin boundary


คําตอบ 4 : Coincident boundary

ขอที่ :

ร ขอ
103
รูปดานลางแสดงใหเห็นการนิวคลีเอชันของเงินบนผนังแบบหลอ จากรูปนี้ใหหามุมที่เอมบริโอของเงิน (Angle of contact) กระทํากับผนังแบบหลอวามีขนาดเทา

วก
าวศ

สภ
คําตอบ 1 : 11.03°
คําตอบ 2 : 22.05° 40 of 195
คําตอบ 3 : 44.1°
คําตอบ 4 : 88.2°


ขอที่ : 104

่ า
อินเตอรเฟสในรูปดานลางเปนแบบใด


ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว

คําตอบ 1 : Coherent interface


คําตอบ 2 : Semi-coherent interface

สภ
คําตอบ 3 : Incoherent interface
คําตอบ 4 : Incoherent twin boundary

ขอที่ : 105

41 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 1 : 41.51°
คําตอบ 2 : 83.01°
คําตอบ 3 : 166.02°

ิท
คําตอบ 4 : 332.04°

นส

ขอที่ : 106

สง
ร ขอ
วก
าวศ
ิ คําตอบ 1 : 327°C

สภ
คําตอบ 2 : 475°C
คําตอบ 3 : 568°C
คําตอบ 4 : 614°C

ขอที่ : 107
ขอใดตอไปนี้เปนการตรวจสอบการกระจายตัวของ Sulfur ในเหล็กกลา

คําตอบ 1 : Sulfur Print 42 of 195


คําตอบ 2 : Optical Microscopy
คําตอบ 3 : Electro Microscopy
คําตอบ 4 : Emission Spectroscopy

่ าย
ขอที่ : 108


จากภาพคือสวนประกอบใดของกลองจุลทรรศนใชแสง

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
Binocular Eyepieces
Focusing Knob
คําตอบ 3 : Knurl Knob
43 of 195
คําตอบ 4 : Objective Lens

ขอที่ : 109


จากภาพคือสวนประกอบใดของกลองจุลทรรศนใชแสง

น่ า
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว คําตอบ 1 : Focusing Knob

สภ
คําตอบ 2 : Binocular Eyepieces
คําตอบ 3 : Knurl Knob
คําตอบ 4 : Objective Lens

ขอที่ : 110
Etching คือ
คําตอบ 1 : กระบวนการกัดผิวหนาชิ้นงานดวยกรด 44 of 195
คําตอบ 2 : กระบวนการขัดผิวชิ้นงานใหเรียบอยางหยาบ
คําตอบ 3 : กระบวนการลบเหลี่ยมคมของชิ้นงาน
คําตอบ 4 : กระบวนการขัดผิวชิ้นงานใหเรียบอยางละเอียด

่ าย
ขอที่ : 111


Polishing คือ

ํจาห
คําตอบ 1 : กระบวนการขัดผิวชิ้นงานใหเรียบอยางละเอียด
คําตอบ 2 : กระบวนการกัดผิวหนาชิ้นงานดวยกรด
คําตอบ 3 : กระบวนการขัดผิวชิ้นงานใหเรียบอยางหยาบ


คําตอบ 4 : กระบวนการลบเหลี่ยมคมของชิ้นงาน

ขอที่ : 112

ิธ์ ห้ า
จากภาพโครงสรางจุลภาค สามารถสันนิษฐานไดวาเปนเหล็กกลาที่มีปริมาณคารบอนเทาใด

สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 0 %C 45 of 195
คําตอบ 2 : 0.2 %C
คําตอบ 3 : 0.8 %C
คําตอบ 4 : 6.67 %C

่ าย
ขอที่ : 113


เพื่อหาขนาดเกรนตามมาตรฐาน ASTM ของตัวอยางโลหะชนิดหนึ่ง ภาพถายโครงสรางจุลภาคที่กําลังขยาย 100 เทา ถูกถายและนับจํานวนเกรนได 16 เกรนใน

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 1 : 3

ิท
คําตอบ 2 : 4


คําตอบ 3 : 5


คําตอบ 4 : 6

ขอที่ :

ง ว

114


ขอความใดตอไปนี้ผิด


คําตอบ 1 : โลหะที่แข็งตัวดวยอัตราการเย็นตัวสูงมักจะมีโครงสรางที่ละเอียดกวาโลหะที่แข็งตัวดวยอัตราการเย็นตัวต่ํา


คําตอบ 2 : การทําฝนเทียมมีหลักการคือทําใหเกิด Heterogeneous Nucleation


คําตอบ 3 : ผิวที่ขรุขระจะปรากฏใน Optical Microscope เปนบริเวณมืด


คําตอบ 4 : การกัดกรด (Etching) เปนวิธีการที่ทําใหชิ้นงานตัวอยางมีผิวเรียบมากขึ้น

าวศ

ขอที่ : 115

สภ
สารละลาย Nital 2% มีสวนผสมคือ
คําตอบ 1 : 2 mL Nitric acid + 100 mL alcohol
คําตอบ 2 : 2 mL Nitric acid + 98 mL alcohol
คําตอบ 3 : 2 mL Nitric acid + 100 mL water
คําตอบ 4 : 2 mL Nitric acid + 98 mL water

ขอที่ : 116 46 of 195


ขอใดเปนสิ่งที่ตรวจพบไดจากการตรวจสอบโครงสรางจุลภาค
ก. ขนาดเกรนและลักษณะของเกรน
ข. เฟสที่สอง
คําตอบ 1 : ก.


คําตอบ 2 : ข.

่ า
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.


คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.

ํจาห
ขอที่ : 117


ขอใดที่เปน Sub-grain Structure

้ า
คําตอบ 1 : Twin

ิธ์ ห
คําตอบ 2 : เฟสที่สอง (Second Phase)
คําตอบ 3 : Inclusion
คําตอบ 4 :

ิท
Equi-axed Grain

ขอที่ : 118

นส

ขอใดที่จัดเปน Grain Boundary


คําตอบ 1 : Habit Plane ของ Martensite

อ ส
คําตอบ 2 : High-angle Boundary


คําตอบ 3 : Cell Boundary


คําตอบ 4 : Twin Boundary

วก


ขอที่ : 119


แรงขับเคลื่อน (Driving Force) ของการขยายตัวของเกรน (Grain Growth) คือ ความพยายามลดพลังงานของระบบโดยลด...


คําตอบ 1 : บรรยากาศดิสโลเคชัน

สภ
คําตอบ 2 : ความเคน (Stress)
คําตอบ 3 : ความเครียด (Strain)
คําตอบ 4 : พลังงานพื้นผิว (Surface Energy)

ขอที่ : 120

อัตราการขยายตัวของเกรน (Grain Growth Rate) ขึ้นอยูกับปจจัยใด


47 of 195
ก. สัมประสิทธิ์การแพร โดยเฉพาะการแพรที่ขอบเกรน
ข. Mobility ของขอบเกรน
คําตอบ 1 : ก.
คําตอบ 2 : ข.
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.


คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.

น่ า
ํจาห
ขอที่ : 121
บทบาทของขอบเกรน (Grain Boundary) คือ
ก. เปนที่รวมของตําหนิในผลึกของแข็งตางๆ เชน ดิสโลเคชัน vacancy ฯลฯ


ข. หยุดยั้งการเคลื่อนที่ของดิสโลเคชัน

้ า
คําตอบ 1 : ก.

ิธ์ ห
คําตอบ 2 : ข.
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.

สิท

ขอที่ : 122


โดยปกติ ผิวสัมผัส (Interface) ระหวางเฟสพื้น (Matrix Phase) และ เฟสที่สอง (Second Phase) ซึ่งเปนเฟสสมดุลที่ปรากฏตามเฟสไดอะแกรมและมีโครงสรา

สง
คําตอบ 1 : Coherent Interface


คําตอบ 2 : Incoherent Interface


คําตอบ 3 : Tilt Interface


คําตอบ 4 : Twist Interface

วก


ขอที่ : 123

าว
สภ
จากรูปขางลาง แสดงโลหะผสมอะลูมิเนียม-ทองแดง ใหอานคําอธิบายในรูป (a) ประกอบ
48 of 195
ถามวา เฟสที่สองที่ตกตะกอนออกมาในรูป (b) มี Interface กับเฟสพื้นในลักษณะใด?
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
คําตอบ 1 : Coherent Interface


คําตอบ 2 : Incoherent Interface


คําตอบ 3 : Tilt Interface


คําตอบ 4 : Twist Interface

ก ร

ขอที่ : 124

าวศ

สภ
จากรูปขางลาง แสดงโลหะผสมอะลูมิเนียม-ทองแดง ใหอานคําอธิบายในรูป (a) ประกอบ
49 of 195
ถามวา เฟสที่สองที่ตกตะกอนออกมาในรูป (c) มี Interface กับเฟสพื้นในลักษณะใด?
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
คําตอบ 1 : Coherent Interface


คําตอบ 2 : Incoherent Interface


คําตอบ 3 : Tilt Interface


คําตอบ 4 : Twist Interface

ก ร

ขอที่ : 125

าวศ

สภ
จากรูปขางลาง แสดงโลหะผสมอะลูมิเนียม-ทองแดง ใหอานคําอธิบายในรูป (a) ประกอบ
50 of 195
ในรูปใดที่แสดงถึงผิวสัมผัสระหวางเฟสพื้นกับเฟสที่สอง ในลักษณะที่เกิด Coherency
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
คําตอบ 1 : (a)


คําตอบ 2 : (b)


คําตอบ 3 : (c)


คําตอบ 4 : (b) และ (c)

ก ร

ขอที่ : 126



ขอใดเปนลักษณะการละลายของไนโตรเจนในเหล็ก


คําตอบ 1 :


Interstitial solid solution
คําตอบ 2 :

สภ
Substitutional solid solution
คําตอบ 3 : Compound
คําตอบ 4 : ไมมีขอใดถูก

ขอที่ : 127

51 of 195
ขอใดเปนจํานวน Compound ที่เกิดขึ้นในแผนภูมิสมดุลภาค (Phase diagram)ของระบบ Ag-Sr
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 1 : 0


คําตอบ 2 : 2


คําตอบ 3 : 4


คําตอบ 4 : 6

สง

ขอที่ : 128


ขอใดเปนจํานวน Solid solution ที่เกิดขึ้นในแผนภูมิสมดุลภาค (Phase diagram)ของระบบ Ag-Sr

ก ร

ิ ว
าว
สภ
52 of 195
คําตอบ 1 : 0
คําตอบ 2 : 2
คําตอบ 3 : 4
คําตอบ 4 : 6

่ าย

ขอที่ : 129

ํจาห
ขอใดเปนจํานวน Compound ที่เกิดขึ้นในแผนภูมิสมดุลภาค (Phase diagram)ของระบบ Cu-Zn

้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
คําตอบ 1 : 0

สภ
คําตอบ 2 : 4
คําตอบ 3 : 6
คําตอบ 4 : 7

ขอที่ : 130

53 of 195
ขอใดเปนจํานวน Solid solution ที่เกิดขึ้นในแผนภูมิสมดุลภาค (Phase diagram)ของระบบ Cu-Zn
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
คําตอบ 1 : 0


คําตอบ 2 : 3


คําตอบ 3 : 5

ร ข
คําตอบ 4 : 7


ขอที่ :

ก 131

วศ

ขอใดที่อธิบายคําวา Solution ไดดีที่สุด


คําตอบ 1 : A pure element or substance

สภ
คําตอบ 2 : A material that contains more than one phase
คําตอบ 3 : A mixture of two or more kinds of atoms
คําตอบ 4 : A phase with more than one component

ขอที่ : 132
ขอใดเปน Interstitial solid solution ของคารบอนในเหล็ก BCC ณ อุณหภูมิหอง

คําตอบ 1 : Martensite 54 of 195


คําตอบ 2 : Austenite
คําตอบ 3 : Cementite
คําตอบ 4 : Ferrite

่ าย
ขอที่ : 133


รูปดานลางเปน Phase diagram ของระบบ A-B ใหหาวามีจํานวน Solid solutions กี่ชนิด

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว คําตอบ 1 : 3


คําตอบ 2 : 4


คําตอบ 3 : 5

สภ
คําตอบ 4 : 6

ขอที่ : 134
โอกาสที่โลหะสองชนิดจะผสมกันแลวเกิดสารละลายของแข็ง (Solid Solution) ไดทุกชวงของสวนผสม (completely soluble in solid state) นั้น ประกอบดวย

คําตอบ 1 : โลหะทั้งสองชนิดมีโครงสรางผลึกเหมือนกัน
คําตอบ 2 : ขนาดอะตอมใกลเคียงกัน
55 of 195
คําตอบ 3 : มีจํานวนอิเล็กตรอนวงนอก (Valence Electrons) เทากัน
คําตอบ 4 : มีความหนาแนนใกลเคียงกัน


ขอที่ : 135

่ า
โลหะ A มีโครงสรางผลึกเปน FCC


โลหะ B มีโครงสรางผลึกเปน HCP
สารละลายของแข็งระหวาง A กับ B มีโครงสรางผลึกเปนแบบใด

ํจาห
คําตอบ 1 : FCC
คําตอบ 2 : HCP


คําตอบ 3 : FCC เมื่อเปนสารละลายของแข็งของ B ใน A

้ า
คําตอบ 4 : FCC เมื่อเปนสารละลายของแข็งของ A ใน B

ขอที่ : 136

ิธ์ ห
ิท
ในเฟสไดอะแกรมระหวางโลหะ A กับ B พบวา มีเฟสซึ่งมีสวนผสมตายตัว เทากับ 50 atom% A 50 atom%B เฟสนี้ควรจะเปน


คําตอบ 1 : สารละลายของแข็งระหวาง A กับ B


คําตอบ 2 : โครงสรางยูเทกติกระหวาง A กับ B


คําตอบ 3 : สารประกอบเชิงโลหะที่มีสูตรอยางงายเปน AB

สง
คําตอบ 4 : สารประกอบวาเลนซระหวาง A กับ B

ขอที่ :

ร ขอ
137
ในระบบของโลหะผสมระหวางธาตุ A กับ B พบวามีเฟสซึ่งมีสวนผสมไดตั้งแตชวง 0%B ถึง 10%B และเฟสนี้มีโครงสรางผลึกเหมือนกับโครงสรางผลึกของ A


เฟสนี้ควรจะเปนอะไร


คําตอบ 1 : สารประกอบเชิงโลหะระหวาง A กับ B

วศ

คําตอบ 2 : สารประกอบแบบแทรกที่ระหวาง A กับ B


คําตอบ 3 : สารละลายของแข็งของ B ใน A

สภ
คําตอบ 4 : สารละลายของแข็งของ A ใน B

ขอที่ : 138
ผลของการเกิดเปนสารละลายของแข็ง (Solid Solution) ในโลหะผสมคือ

คําตอบ 1 : ทําใหเกิดความเคนรอบอะตอมตัวถูกละลายไมวาจะเปนสารละลายของแข็งชนิดใด
คําตอบ 2 : ทําใหเกิดความเคนรอบอะตอมตัวถูกละลาย ในกรณีที่เปนสารละลายของแข็งชนิดแทรกที่ (Interstitial Solid Solution)
คําตอบ 3 : ทําใหเกิดความเคนรอบอะตอมตัวถูกละลาย ในกรณีที่เปนสารละลายของแข็งชนิดแทนที่ (Substitutional Solid Solution) 56 of 195
คําตอบ 4 : ทําใหเกิดการแปรรูปถาวรในโลหะผสมนั้น

ขอที่ : 139


ขอใดเปนสาเหตุหลักที่ทําใหเหล็กออสเตนไนตสามารถละลายคารบอนไดมากกวาเหล็กเฟอรไรต

่ า
คําตอบ 1 : เฟสออสเตนไนตอยูที่อุณหภูมิสูงกวา


คําตอบ 2 : เฟสออสเตนไนตมีโครงสรางผลึก FCC

ํจาห
คําตอบ 3 : เฟสออสเตนไนตมีแรงดึงดูดกับอะตอมคารบอนดีกวา
คําตอบ 4 : คารบอนแพรในออสเตนไนตไดเร็วกวาในเฟอรไรต

้ าม
ขอที่ : 140

ิธ์ ห
ธาตุใดที่สามารถเกิดสารละลายของแข็งชนิดแทรกที่ (Interstitial Solid Solution) กับเหล็กได
คําตอบ 1 : ออกซิเจน
คําตอบ 2 : แมงกานีส

ิท
คําตอบ 3 : ซิลิคอน


คําตอบ 4 : ตะกั่ว

ขอที่ :

ง วน

141
จากรูปที่กําหนดให แทนการเรียงตัวของอะตอมโลหะสองชนิดในโครงสรางผลึกของโลหะผสมชนิดหนึ่ง


รูปนี้นาจะแสดงถึงอะไร

ก ร ข

ิ ว
าว
สภ คําตอบ 1 : สารละลายของแข็งชนิดแทนที่ (Substitutional Solid Solution)
คําตอบ 2 : สารละลายของแข็งชนิดแทรก (Interstitial Solid Solution)
คําตอบ 3 : สารประกอบเชิงโลหะ (Intermetallic Compound) 57 of 195
คําตอบ 4 : ดิสโลเคชัน (Dislocation)

ขอที่ : 142


จากรูปที่กําหนดให แทนการเรียงตัวของอะตอมโลหะสองชนิดในโครงสรางผลึกของโลหะผสมชนิดหนึ่ง

่ า
รูปนี้นาจะแสดงถึงอะไร


ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท

คําตอบ 1 : สารละลายของแข็งชนิดแทนที่ (Substitutional Solid Solution)


คําตอบ 2 : สารละลายของแข็งชนิดแทรก (Interstitial Solid Solution)


คําตอบ 3 : สารประกอบเชิงโลหะ (Intermetallic Compound)


คําตอบ 4 : ดิสโลเคชัน (Dislocation)

ขอที่ :

ร ขอ
143

วก
าวศ

สภ
จากรูปแสดงถึง Dislocation Atmosphere ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ Edge Dislocation
หากมีอะตอมแปลกปลอมที่มีขนาดใหญกวาอะตอมของโลหะพื้น โดยอะตอมแปลกปลอมนี้ละลายในโครงสรางผลึกแบบแทนที่อะตอมของโลหะพื้น (เปน Substit
58 of 195
ที่อยูที่เสถียรสําหรับอะตอมแปลกปลอมขนาดใหญนี้ คือ
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท

คําตอบ 1 : บริเวณดานบนของดิสโลเคชัน


คําตอบ 2 : บริเวณดานลางของดิสโลเคชัน


คําตอบ 3 : บน Slip Plane


คําตอบ 4 : อยูใหหางไกลจากดิสโลเคชัน

ขอที่ :

ร ขอ
144

วก
าวศ

สภ
จากรูปแสดงถึง Dislocation Atmosphere ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ Edge Dislocation
หากมีอะตอมแปลกปลอมที่มีขนาดเล็กกวาอะตอมของโลหะพื้น โดยอะตอมแปลกปลอมนี้ละลายในโครงสรางผลึกแบบแทนที่อะตอมของโลหะพื้น (Substitution
59 of 195
ที่อยูที่เสถียรสําหรับอะตอมแปลกปลอมขนาดเล็กนี้ คือ
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท

คําตอบ 1 : บริเวณดานบนของดิสโลเคชัน


คําตอบ 2 : บริเวณดานลางของดิสโลเคชัน


คําตอบ 3 : บน Slip Plane


คําตอบ 4 : อยูใหหางไกลจากดิสโลเคชัน

ขอที่ :

ร ขอ
145

วก
าวศ

สภ
จากรูปแสดงถึง Dislocation Atmosphere ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ Edge Dislocation
หากในรูปแสดงถึงการเรียงตัวของอะตอมของเหล็ก เมื่อในเหล็กนี้มีคารบอนละลายอยู
60 of 195
ที่อยูที่เสถียรสําหรับอะตอมคารบอนในเหล็ก คือ
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท

คําตอบ 1 : บริเวณดานบนของดิสโลเคชัน


คําตอบ 2 : บริเวณดานลางของดิสโลเคชัน


คําตอบ 3 : บน Slip Plane


คําตอบ 4 : อยูใหหางไกลจากดิสโลเคชัน

ขอที่ :

ร ขอ
146


ปรากฏการณจุดครากอธิบายไดจาก


คําตอบ 1 : Solute Atom กับ Dislocation Atmosphere



คําตอบ 2 :


Critical Resolved Shear Stress


คําตอบ 3 : Orawan Theory

สภ
คําตอบ 4 : Grain Boundary กับ Dislocation Movement

ขอที่ : 147
อะตอมของโลหะ A และ B ผสมกันเกิดเปนสารละลายของแข็งที่มีลักษณะคือ คา activity ของ A ในสารละลายของแข็งนี้มีคามากกวา mole fraction ของ A ใ
ภายใตสภาวะเชนนี้ ในเฟสไดอะแกรมระหวาง A-B มีโอกาสเกิดสภาพใดตอไปนี้ขึ้น

คําตอบ 1 : Miscibility Gap


คําตอบ 2 : Superlactice
61 of 195
คําตอบ 3 : Eutectic
คําตอบ 4 : Eutectoid


ขอที่ : 148

่ า
อะตอมของโลหะ A และ B ผสมกันเกิดเปนสารละลายของแข็งที่มีลักษณะคือ คา activity ของ A ในสารละลายของแข็งนี้มีคาต่ํากวา mole fraction ของ A ใน


ภายใตสภาวะเชนนี้ ในเฟสไดอะแกรมระหวาง A-B มีโอกาสเกิดสภาพใดตอไปนี้ขึ้น

ํจาห
คําตอบ 1 : Miscibility Gap
คําตอบ 2 : Superlactice
คําตอบ 3 : Eutectic


คําตอบ 4 : Eutectoid

ขอที่ : 149

ิธ์ ห้ า
ในระบบโลหะผสมสององคประกอบระหวาง Cu-Zn ซึ่งทองแดงมีโครงสรางผลึกเปน FCC สวนสังกะสีเปน HCP

ิท
พบวา ที่สวนผสมหนึ่งเกิดเฟส Delta ขึ้น มีโครงสรางผลึกเปน Body-centered Cubic


เฟส Delta นี้ควรเปน


คําตอบ 1 : Terminal Phase


คําตอบ 2 : Substitutional Solid Solution ระหวางทองแดงกับสังกะสี


คําตอบ 3 : Intermediate Phase


คําตอบ 4 : Interstitial Solid Solution ระหวางทองแดงกับสังกะสี

ขอที่ :

ร ขอ
150


ในระบบโลหะผสมสององคประกอบระหวาง Cu-Zn ซึ่งทองแดงมีโครงสรางผลึกเปน FCC สวนสังกะสีเปน HCP


พบวา ที่สวนผสมหนึ่งเกิดเฟส Alpha ขึ้น มีโครงสรางผลึกเปน Face-centered Cubic



เฟส Alpha นี้ควรเปน

าว
คําตอบ 1 : Intermetallic Compound

สภ
คําตอบ 2 : Substitutional Solid Solution ระหวางทองแดงกับสังกะสี
คําตอบ 3 : Intermediate Phase
คําตอบ 4 : Interstitial Solid Solution ระหวางทองแดงกับสังกะสี

ขอที่ : 151
ขอใดเปนความสามารถในการละลายสูงสุดของคารบอนในเหล็กแอลฟา
คําตอบ 1 : 0.09 wt.% 62 of 195
คําตอบ 2 : 0.022 wt.%
คําตอบ 3 : 2.11 wt.%
คําตอบ 4 : 6.67 wt.%

่ าย
ขอที่ : 152


ขอใดเปนความสามารถในการละลายสูงสุดของคารบอนในเหล็กเบตา

ํจาห
คําตอบ 1 : 0.09 wt.%
คําตอบ 2 : 0.022 wt.%
คําตอบ 3 : 2.11 wt.%


คําตอบ 4 :

้ า
6.67 wt.%

ิธ์ ห
ขอที่ : 153
จากรูปดานลาง จํานวน Eutectic points ในระบบ Ag-Sr มีทั้งหมดเทาใด

สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 4
คําตอบ 2 : 5
คําตอบ 3 : 6
คําตอบ 4 : 7

ขอที่ : 154 63 of 195


จากรูปดานลาง จํานวน Eutectoid points ในระบบ Ag-Sr มีทั้งหมดเทาใด

่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 1 :


0


คําตอบ 2 : 1


คําตอบ 3 : 2


คําตอบ 4 : 3

อ ส

ขอที่ : 155

ก ร

ิ ว
าว
สภ
64 of 195
จากรูปดานลาง จํานวน Congruent points ในระบบ Ag-Sr มีทั้งหมดเทาใด
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 1 : 3


คําตอบ 2 : 4


คําตอบ 3 : 5


คําตอบ 4 : 6

สง

ขอที่ : 156


ขอใดเปน Eutectoid mixture ในระบบ Fe-Fe3C


คําตอบ 1 : Ferrite + Cementite


คําตอบ 2 :


Ferrite + Austenite
คําตอบ 3 :



Austenite + Cementite


คําตอบ 4 : Martensite


สภ
ขอที่ : 157

65 of 195
รูปดานลางเปน Phase diagram ของระบบ A-B ใหหาวามี Eutectic reactions เกิดขึ้นกี่จุด
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
คําตอบ 1 : 0


คําตอบ 2 : 1


คําตอบ 3 : 2


คําตอบ 4 : 3

ก ร

ขอที่ : 158

าวศ

สภ
66 of 195
รูปดานลางเปน Phase diagram ของระบบ A-B ใหหาวามี Eutectoid reactions เกิดขึ้นกี่จุด
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
คําตอบ 1 : 0


คําตอบ 2 : 1


คําตอบ 3 : 2


คําตอบ 4 : 3

ก ร

ขอที่ : 159

าวศ

สภ
67 of 195
รูปดานลางเปน Phase diagram ของระบบ A-B ใหหาวามี Peritectic reactions เกิดขึ้นกี่จุด
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
คําตอบ 1 : 0


คําตอบ 2 : 1


คําตอบ 3 : 2


คําตอบ 4 : 3

ก ร

ขอที่ : 160

าวศ

สภ
68 of 195
รูปดานลางเปน Phase diagram ของระบบ A-B ใหหาวามี Peritectoid reactions เกิดขึ้นกี่จุด
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
คําตอบ 1 : 0


คําตอบ 2 : 1


คําตอบ 3 : 2


คําตอบ 4 : 3

ก ร

ขอที่ : 161

าวศ

สภ
69 of 195
รูปดานลางเปน Phase diagram ของระบบ Ti-Al จากรูปนี้จะสังเกตเห็นปฏิกิริยาเพอริเทคติค (Peritectic reactions) ทั้งหมด 2 ตําแหนง ซึ่งแตละตําแหนงเปนจ
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว คําตอบ 1 : TiAl , Ti2Al

สภ
คําตอบ 2 : TiAl , TiAl2
คําตอบ 3 : TiAl , Ti3Al
คําตอบ 4 : TiAl , TiAl3

ขอที่ : 162

70 of 195
ขอใดเปนแผนภาพระหวาง Free energy กับ Composition ของระบบ A-B ณ อุณหภูมิ T1 ดังแสดงในรูปดานลาง
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
71 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 1 :

สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
72 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 2 :

นส
ง ว
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
73 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 3 :

นส
ง ว
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
74 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
คําตอบ 4 :

ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
ขอที่ : 163

75 of 195
ขอใดเปนแผนภาพระหวาง Free energy กับ Composition ของระบบ A-B ณ อุณหภูมิ T2 ดังแสดงในรูปดานลาง
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
76 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 1 :

สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
77 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 2 :

นส
ง ว
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
78 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 3 :

นส
ง ว
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
79 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
คําตอบ 4 :

ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
ขอที่ : 164

80 of 195
ขอใดเปนแผนภาพระหวาง Free energy กับ Composition ของระบบ A-B ณ อุณหภูมิ T3 ดังแสดงในรูปดานลาง
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
81 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 1 :

สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
82 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 2 :

นส
ง ว
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
83 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 3 :

นส
ง ว
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
84 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
คําตอบ 4 :

ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
ขอที่ : 165

85 of 195
ขอใดเปนแผนภาพระหวาง Free energy กับ Composition ของระบบ A-B ณ อุณหภูมิ T4 ดังแสดงในรูปดานลาง
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
86 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 1 :

สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
87 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 2 :

นส
ง ว
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
88 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 3 :

นส
ง ว
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
89 of 195
่ าย

ํจาห
้ าม
คําตอบ 4 :

ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
ขอที่ : 166

90 of 195
จาก Phase diagram ของระบบ Mg-Cu ใหพิจารณาโลหะผสม Mg-40wt.%Cu วามีสวนประกอบของ Microconstituents เปน Proeutectic Mg2Cu และ Eu
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว

คําตอบ 1 : Proeutectic Mg2Cu = 71wt.% และ Eutectic solid = 29wt.%


คําตอบ 2 : Proeutectic Mg2Cu = 36wt.% และ Eutectic solid = 64wt.%

สภ
คําตอบ 3 : Proeutectic Mg2Cu = 61wt.% และ Eutectic solid = 39wt.%
คําตอบ 4 : Proeutectic Mg2Cu = 48%wt. และ Eutectic solid = 52wt.%

ขอที่ : 167

91 of 195
จาก Phase diagram ของระบบ Mg-Cu ใหพิจารณาโลหะผสม Mg-40wt.%Cu ณ สภาวะสมดุลที่อุณหภูมิ 400°C วาประกอบดวยเฟสอะไรบาง และแตละเฟสม
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว

คําตอบ 1 : Mg (0%Cu) = 71% และ Mg2Cu (56.6 wt.%Cu) = 29%


คําตอบ 2 : Mg2Cu (56.6 wt.%Cu) = 68% และ MgCu2 (83.94 wt.%Cu) = 32%

สภ
คําตอบ 3 : Mg (0%Cu) = 46% และ Mg2Cu (56.6 wt.%Cu) = 54%
คําตอบ 4 : Mg (0%Cu) = 29% และ Mg2Cu (56.6 wt.%Cu) = 71%

ขอที่ : 168

92 of 195
จากรูป (a)-(d) ขอใดเปนปฏิกิริยายูเทคทอย (Eutectoid reaction)
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

คําตอบ 1 :

าวศ
ิ คําตอบ 2 :

สภ
คําตอบ 3 :

คําตอบ 4 :

ขอที่ : 169
93 of 195
จากรูป (a)-(d) ขอใดเปนปฏิกิริยายูเทคทิค (Eutectic reaction)

่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
คําตอบ 1 :

าว คําตอบ 2 :

สภ
คําตอบ 3 :

คําตอบ 4 :

ขอที่ : 170 94 of 195


จากรูป (a)-(d) ขอใดเปนปฏิกิริยาเพอริเทคทอย (Peritectoid reaction)

่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
คําตอบ 1 :

าว คําตอบ 2 :

สภ
คําตอบ 3 :

คําตอบ 4 :

ขอที่ : 171 95 of 195


จากรูป (a)-(d) ขอใดเปนปฏิกิริยาเพอริเทคทิค (Peritectic reaction)

่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
คําตอบ 1 :

าว คําตอบ 2 :

สภ
คําตอบ 3 :

คําตอบ 4 :

ขอที่ : 172 96 of 195


โดยทั่วไปเหล็กหลอมีคารบอนไมต่ํากวารอยละ
คําตอบ 1 : 0.25
คําตอบ 2 : 0.45
คําตอบ 3 : 0.80


คําตอบ 4 :

่ า
2.00


ํจาห
ขอที่ : 173
จากแผนภูมิสมดุลระหวาง Cu และ Zn จุดหลอมตัวของ Cu และ Zn บริสุทธิ์มีคาเทากับเทาใด

้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
1084 องศาเซลเซียส และ 787 องศาเซลเซียส ตามลําดับ
1950 องศาเซลเซียส และ 787 องศาเซลเซียส ตามลําดับ
คําตอบ 3 : 1084 องศาเซลเซียส และ 420 องศาเซลเซียส ตามลําดับ
คําตอบ 4 : 1950 องศาเซลเซียส และ 420 องศาเซลเซียส ตามลําดับ
97 of 195
ขอที่ : 174
จุดหลอมตัวของโลหะผสม 60 at%Cu-Zn เทากับเทาใด

่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว คําตอบ 1 : 825 องศาเซลเซียส

าว
คําตอบ 2 : 1680 องศาเซลเซียส

สภ
คําตอบ 3 : 900 องศาเซลเซียส
คําตอบ 4 : 1580 องศาเซลเซียส

ขอที่ : 175

98 of 195
จากแผนภูมิสมดุลระหวาง Ag และ Cu จงระบุเสน Liquidus, Solidus และ Solvus ตามลําดับ
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
คําตอบ 1 : Liquidus = AEGF, Solidus = CBEGH, Solvus = AB และ GF


คําตอบ 2 : Liquidus = ABEGF, Solidus = ABEF, Solvus = AB และ GF



คําตอบ 3 : Liquidus = AEF, Solidus = CBEGH, Solvus = BC และ GH


คําตอบ 4 : Liquidus = AEF, Solidus = ABEGF, Solvus = BC และ GH


สภ
ขอที่ : 176

99 of 195
จากแผนภูมิสมดุลระหวาง Pb และ Sn สําหรับโลหะผสม 80 wt%Sn-Pb ที่อุณหภูมิ 184 องศาเซลเซียส จงระบุเฟสและปริมาณของเฟสที่เกิดขึ้น
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
คําตอบ 1 : ประกอบไปดวยเฟส beta 49.5% และ L 50.5% โดยน้ําหนัก


คําตอบ 2 : ประกอบไปดวยเฟส beta 22.5% และ L 77.5% โดยน้ําหนัก



คําตอบ 3 : ประกอบไปดวยเฟส alpha 22.5% และ beta 77.5% โดยน้ําหนัก


คําตอบ 4 : ประกอบไปดวยเฟส alpha 50.5% และ beta 49.5% โดยน้ําหนัก


สภ
ขอที่ : 177

100 of 195
จากแผนภูมิสมดุลระหวาง Pb และ Sn สําหรับโลหะผสม 80 wt%Pb-Sn ที่อุณหภูมิ 182 C จงระบุเฟสและปริมาณของเฟสที่เกิดขึ้น
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
คําตอบ 1 : ประกอบไปดวยเฟส alpha 22.5% และ L 77.5% โดยน้ําหนัก


คําตอบ 2 : ประกอบไปดวยเฟส alpha 2.1% และ L 97.9% โดยน้ําหนัก



คําตอบ 3 : ประกอบไปดวยเฟส alpha 22.5% และ beta 77.5% โดยน้ําหนัก


คําตอบ 4 : ประกอบไปดวยเฟส alpha 97.9% และ beta 2.1% โดยน้ําหนัก


สภ
ขอที่ : 178

101 of 195
จากแผนภูมิสมดุลระหวางเหล็กและเหล็กกลา จงคํานวณปริมาณ pearlite ในโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลาคารบอน 0.1%C ที่อุณหภูมิหอง
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 2.7% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 2 : 11.6% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 3 : 5% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 4 : 23.2% โดยน้ําหนัก

ขอที่ : 179
102 of 195
จงคํานวณหาปริมาณ cementite ทั้งหมดในโครงสรางจุลภาคของเหล็กหลอ 4.3%C ที่อุณหภูมิ eutectic
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 49.2% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 2 : 44.2% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 3 : 50.8% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 4 : 55.8% โดยน้ําหนัก

ขอที่ : 180
103 of 195
จงคํานวณปริมาณ cementite ในโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลาคารบอน 1.4%C ที่อุณหภูมิหอง
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 10.2% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 2 : 20.8% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 3 : 14.2% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 4 : 30.4% โดยน้ําหนัก

ขอที่ : 181
104 of 195
จงคํานวณหาปริมาณ ferrite ในโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลาคารบอน 0.5%C ที่อุณหภูมิ Eutectoid
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 81.8% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 2 : 92.9% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 3 : 88.2% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 4 : 95.1% โดยน้ําหนัก

ขอที่ : 182
105 of 195
จงคํานวณหาปริมาณ Pro-eutectoid ferrite ในโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลาคารบอน 0.2%C ที่อุณหภูมิหอง
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 75.7% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 2 : 77.4% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 3 : 88.2% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 4 : 97.1% โดยน้ําหนัก

ขอที่ : 183
106 of 195
จงประมาณคา Tensile Strength ที่อุณหภูมิหองของเหล็กกลาคารบอน 1010
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 28 kg/mm2
คําตอบ 2 : 34 kg/mm2
คําตอบ 3 : 43.7 kg/mm2
คําตอบ 4 : 53.7 kg/mm2

ขอที่ : 184
107 of 195
จงประมาณคา Tensile Strength ที่อุณหภูมิหองของเหล็กกลาคารบอน 1040
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 24 kg/mm2
คําตอบ 2 : 34 kg/mm2
คําตอบ 3 : 43.7 kg/mm2
คําตอบ 4 : 53.7 kg/mm2

ขอที่ : 185
108 of 195
จากโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลาคารบอนตอไปนี้จงประมาณปริมาณคารบอนที่เปนไปไดในชิ้นงานตัวอยาง
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 0.1%C
คําตอบ 2 : 0.8%C
คําตอบ 3 : 0.4%C
คําตอบ 4 : 1.0%C

ขอที่ : 186 109 of 195


จากโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลาคารบอนตอไปนี้จงประมาณปริมาณคารบอนที่เปนไปไดในชิ้นงานตัวอยาง

่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 0.1%C
คําตอบ 2 : 0.8%C
คําตอบ 3 : 0.4%C
คําตอบ 4 : 1.0%C

110 of 195
ขอที่ : 187
เหล็กกลาซึ่งมีคารบอนมากกวา 0.8 เปอรเซ็นตเรียกวา ................steel
คําตอบ 1 : hypo-eutectoid
คําตอบ 2 : hyper-eutectoid


คําตอบ 3 :

่ า
eutectoid
คําตอบ 4 :


peritectic

ํจาห
ขอที่ : 188
กฎของเฟสเปนไปตามขอใด


คําตอบ 1 :

้ า
P=C+F+2
คําตอบ 2 :

ิธ์ ห
P=C-F-2
คําตอบ 3 : P=C-F+2
คําตอบ 4 : P=C+F-2

ขอที่ : 189

สิท
วน
ถาเหล็กกลามีคารบอน 0.6 เปอรเซ็นต ถูกปลอยใหเย็นตัวชาๆจาก 900 องศาเซลเซียส ไปที่อุณหภูมิหอง โครงสรางจุลภาคจะประกอบดวย


คําตอบ 1 : pearlite


คําตอบ 2 : austenite


คําตอบ 3 : ferrite และ austenite


คําตอบ 4 : ferrite และ cementite

ก ร

ขอที่ : 190



เมื่อปลอยใหเหล็กกลาไฮโปยูเทกตอยดเย็นตัวชาๆลงมาที่อุณหภูมิหอง โครงสรางจุลภาคจะประกอบดวย

าว
คําตอบ 1 : ferrite

สภ
คําตอบ 2 : ferrite และ cementite
คําตอบ 3 : ferrite และ pearlite
คําตอบ 4 : pearlite และ cementite

ขอที่ : 191
ที่อุณหภูมิหอง เหล็กหลอที่มีคารบอน 4.3% จะมีเพียงเฟส

คําตอบ 1 : ferrite 111 of 195


คําตอบ 2 : pearlite
คําตอบ 3 : ledeburite
คําตอบ 4 : cementite

่ าย
ขอที่ : 192


เมื่อเหล็กกลาไฮเปอรยูเทกตอยดถูกปลอยใหเย็นตัวลงมาที่อุณหภูมิหอง โครงสรางจุลภาคประกอบดวย

ํจาห
คําตอบ 1 : ferrite
คําตอบ 2 : ferrite และcementite
คําตอบ 3 : ferrite และ pearlite


คําตอบ 4 : pearlite และ cementite

ขอที่ : 193

ิธ์ ห้ า
Ledeburite คือสวนผสมของ

ิท
คําตอบ 1 : ferrite และcementite


คําตอบ 2 : ferrite และ pearlite

วน
คําตอบ 3 : austeniteและ pearlite


คําตอบ 4 : pearlite และ cementite

ขอที่ :

อ ส

194


โครงสรางที่ไมปรากฏในเหล็กหลอขาว (white cast iron )คือ


คําตอบ 1 : pearlite


คําตอบ 2 : ledeburite



คําตอบ 3 :


cementite


คําตอบ 4 : graphite

สภ
ขอที่ : 195
ปริมาณคารบอนใน cementite เทากับ
คําตอบ 1 : 2.0 %
คําตอบ 2 : 4.3%
คําตอบ 3 : 6.67%
คําตอบ 4 : 0.2%
112 of 195
ขอที่ : 196
ถาเหล็กกลาที่มีคารบอน 1.8 เปอรเซ็นต อยูที่อุณหภูมิสูงถูกปลอยใหเย็นตัวลงมาที่ 1000 องศาเซลเซียส โครงสรางจุลภาคจะประกอบดวย
คําตอบ 1 : pearlite


คําตอบ 2 :

่ า
austenite
คําตอบ 3 : austenite และ cementite


คําตอบ 4 : austenite และ ferrite

ขอที่ : 197

ํจาห

Cementite คือ

้ า
คําตอบ 1 : ferrite ผสม เหล็กคารไบด

ิธ์ ห
คําตอบ 2 : ferrite ผสม pearlite
คําตอบ 3 : pearlite ผสม เหล็กคารไบด

ิท
คําตอบ 4 : เหล็กคารไบด

นส

ขอที่ : 198


Pearlite คือ


คําตอบ 1 : ferrite ผสม cementite


คําตอบ 2 : cementite


คําตอบ 3 : cementite ผสม ledeburite


คําตอบ 4 : เหล็กคารไบด

วก


ขอที่ : 199


โครงสรางจุลภาคของ hypoeutectic white cast iron ประกอบดวย


สภ
คําตอบ 1 : ferrite กับ graphite
คําตอบ 2 : pearlite กับ graphite
คําตอบ 3 : pearlite กับ ledeburite
คําตอบ 4 : ledeburite กับ graphite

ขอที่ : 200
Curie temperature เทากับ
113 of 195
คําตอบ 1 : 523 องศาเซลเซียส
คําตอบ 2 : 723 องศาเซลเซียส
คําตอบ 3 : 768 องศาเซลเซียส
คําตอบ 4 : 910 องศาเซลเซียส

่ าย

ขอที่ : 201

ํจาห
การแข็งตัวของโลหะพบไดนอยที่สุดที่บริเวณใด
คําตอบ 1 : ผนังภาชนะบรรจุ
คําตอบ 2 : Impurity atoms


คําตอบ 3 : เมล็ดผลึก (Inoculants)

้ า
คําตอบ 4 : เนื้อของเหลว

ขอที่ : 202
ิธ์ ห
ิท
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับการแข็งตัว


คําตอบ 1 : โดยทั่วไปแลว การนิวคลีเอชัน (Nucleation) ของของแข็งจากของเหลวเปนแบบ Heterogeneous nucleation

วน
คําตอบ 2 : การแข็งตัว (Solidification) ของน้ํา เริ่มเกิดที่อุณหภูมิ 0°C


คําตอบ 3 : การฟอรมอินเตอรเฟสระหวางของแข็งและของเหลวขณะที่ของเหลวเกิดการแข็งตัว ทําใหพลังงานอิสระของระบบเพิ่มสูงขึ้น


คําตอบ 4 : ที่ขนาดอันเดอรคูล (Undercooling) มากเกินไป อัตราการนิวคลีเอชันของของแข็งจากของเหลวลดลง แตถาขนาดอันเดอรคูลต่ําไป การนิวคลี

ขอที่ :

ร ขอ
203


ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับการแข็งตัวของโลหะ


คําตอบ 1 : การสะสมของตัวถูกละลายบริเวณอินเตอรเฟสมากขึ้น ถาอัตราการแข็งตัวเพิ่มขึ้น



คําตอบ 2 : การแข็งตัวแบบฉับพลัน (Rapid solidification) ทําใหไดโลหะผสมที่ได มีความเขมขนใกลเคียงกันทั้งชิ้น

าว
คําตอบ 3 : เดนไดรท (Dendrite) ที่พบในการแข็งตัวของโลหะบริสุทธิ์ และโลหะผสมเกิดไดเมื่ออุณหภูมิของของเหลวลดต่ําลงเรื่อยๆ เมื่อหางจากอินเตอ

สภ
คําตอบ 4 : โลหะที่มีสัมประสิทธิ์การแพรในสถานะของเหลวสูง จะเกิดการสะสมตัวถูกละลายนอยลง

ขอที่ : 204
ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับ Constitutional supercooling

คําตอบ 1 : Constitutional supercooling เกิดจากการสะสมของตัวถูกละลายบริเวณอินเตอรเฟส


คําตอบ 2 : Constitutional supercooling เกิดไดในโลหะผสมเทานั้น
คําตอบ 3 : Constitutional supercooling เกิดกับโลหะผสมที่มีอุณหภูมิของของเหลวเพิ่มขึ้นเมื่อหางจากอินเตอรเฟสมากขึ้น 114 of 195
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ

ขอที่ : 205


ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับ Segregation ที่เกิดขึ้นในโลหะหลอ

่ า
คําตอบ 1 : Homogenization เปนกระบวนการที่ใชลด Micro-segregation


คําตอบ 2 : Inverse segregation พบไดทั้งบริเวณใกลกับผนังแบบหลอ และตรงกลางแบบหลอ

ํจาห
คําตอบ 3 : การขับตัวถูกละลายออกมาทางดานขางของเดนไดรทเปนสาเหตุที่ทําใหเกิด Micro-segregation
คําตอบ 4 : ปริมาณ Segregation ขึ้นอยูกับปริมาตรการหดตัว (Shrinkage) และความยาวของเดนไดรต

้ าม
ขอที่ : 206

ิธ์ ห
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับโครงสราง (Structure) ของโลหะหลอ
คําตอบ 1 : บริเวณ Chill zone อยูติดกับผนังแบบหลอ เกรนบริเวณนี้มีการเรียงตัวแบบ Preferred orientation
คําตอบ 2 : Columnar zone เปนโครงสรางที่อยูระหวาง Chill zone กับ Equiaxed / Central Zone เปนเกรนที่ยาวขนานกับทิศทางการถายเทความรอน

ิท
คําตอบ 3 : การเย็นตัวอยางรวดเร็ว (Rapid cooling) มีสวนเสริมใหบริเวณ Equiaxed / Central Zone กวางขึ้น


คําตอบ 4 : ปจจัยสําคัญที่ทําใหเกิด Equiaxed / Central Zone คือ Constitutional supercooling และการแตกเปนเศษยอยๆของปลายเดนไดรทจากกร

ขอที่ : 207

ง วน

ขอใดไมใชวิธีการลดขนาดของเกรนในโลหะหลอ

ขอ
คําตอบ 1 : Rapid cooling


คําตอบ 2 : Adding inoculants


คําตอบ 3 : Zone melting


คําตอบ 4 : Oscillation of a mold

าวศ

ขอที่ : 208

สภ
ขนาดวิกฤติของนิวเคลียส (Critical nucleus size) ในการนิวคลีเอชัน หมายถึง
คําตอบ 1 : รัศมีของอนุภาคของแข็งที่เล็กที่สุด ซึ่งสามารถเติบโตตอไปเปนนิวเคลียสของการแข็งตัวได โดยไมมีการละลายกลับไปเปนของเหลวอีก ภายใ
คําตอบ 2 : รัศมีของอนุภาคของแข็งที่ใหญที่สุด ซึ่งสามารถพบไดในการแข็งตัวภายใตอุณหภูมิอันเดอรคูลคงที่คาหนึ่ง
คําตอบ 3 : รัศมีของอนุภาคของแข็งที่เล็กที่สุด ซึ่งสามารถพบไดในการแข็งตัวภายใตอุณหภูมิอันเดอรคูลคงที่คาหนึ่ง
คําตอบ 4 : รัศมีของอนุภาคของแข็งที่เหมาะสมที่สุด สําหรับการแข็งตัวภายใตอุณหภูมิอันเดอรคูลคงที่คาหนึ่ง

ขอที่ : 209 115 of 195


ขอใดกลาวไมถูกตอง เมื่อพิจารณาจากรูปดานลาง

่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 :

คําตอบ 2 :
116 of 195
คําตอบ 3 :

่ าย

คําตอบ 4 :

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ขอที่ : 210

สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
แทงโลหะผสม Ag-5 wt.%Cu เกิดการแข็งตัวในทิศทางเดียวตามแนวความยาว และการแข็งตัวเปนแบบ Nonequilibrium freezing ใหหาความเขมขนของ Cu
117 of 195
ตัวไปไดระยะทาง Z , เปน Equilibrium distribution coefficient, เป
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

คําตอบ 1 : 1.87 wt.%Cu



คําตอบ 2 : 2.52 wt.%Cu


คําตอบ 3 : 3.22 wt.%Cu


คําตอบ 4 : 4.01 wt.%Cu

สภ
ขอที่ : 211

แทงโลหะผสม Ag-5 wt.%Cu เกิดการแข็งตัวในทิศทางเดียวตามแนวความยาว และการแข็งตัวเปนแบบ Nonequilibrium freezing ใหหาวาชิ้นงานเริ่มฟอรมเฟ


118 of 195
งานแข็งตัวไปไดระยะทาง Z , เปน Equilibrium distribution c
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

คําตอบ 1 : 89.5%



คําตอบ 2 : 74.5%


คําตอบ 3 : 91.9%


คําตอบ 4 : 99.7%

สภ
ขอที่ : 212

แทงโลหะผสม Ag-5 wt.%Cu เกิดการแข็งตัวในทิศทางเดียวตามแนวความยาว และการแข็งตัวเปนแบบ Nonequilibrium freezing ใหหาวาเมื่อชิ้นงานแข็งตัว


119 of 195
งานแข็งตัวไปไดระยะทาง Z , เปน Equilibrium distribution
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

คําตอบ 1 : 0.28%



คําตอบ 2 : 5.42%


คําตอบ 3 : 10.5%


คําตอบ 4 : 8.1%

สภ
ขอที่ : 213

แทงโลหะผสม Cu-5 wt.%Ag เกิดการแข็งตัวในทิศทางเดียวตามแนวความยาว และการแข็งตัวเปนแบบ Nonequilibrium freezing ใหหาความเขมขนของ Ag


120 of 195
ตัวไปไดระยะทาง Z , เปน Equilibrium distribution coefficient, เป
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

คําตอบ 1 : 1.03 wt.%Ag



คําตอบ 2 : 0.0103 wt.%Ag


คําตอบ 3 : 2.52 wt.%Ag


คําตอบ 4 : 0.0252 wt.%Ag

สภ
ขอที่ : 214

แทงโลหะผสม Cu-5 wt.%Ag เกิดการแข็งตัวในทิศทางเดียวตามแนวความยาว และการแข็งตัวเปนแบบ Nonequilibrium freezing ใหหาวาชิ้นงานเริ่มฟอรมเฟ


121 of 195
ชิ้นงานแข็งตัวไปไดระยะทาง Z , เปน Equilibrium distributio
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

คําตอบ 1 : 89%



คําตอบ 2 : 99%


คําตอบ 3 : 78%


คําตอบ 4 : 95%

สภ
ขอที่ : 215

แทงโลหะผสม Cu-5 wt.%Ag เกิดการแข็งตัวในทิศทางเดียวตามแนวความยาว และการแข็งตัวเปนแบบ Nonequilibrium freezing ใหหาวาเมื่อชิ้นงานแข็งตัว


122 of 195
งานแข็งตัวไปไดระยะทาง Z , เปน Equilibrium distribution
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

คําตอบ 1 : 5%



คําตอบ 2 : 11%


คําตอบ 3 : 1%


คําตอบ 4 : 22%

สภ
ขอที่ : 216
ทฤษฎี Constitutional Undercooling (หรือ Supercooling) อธิบายเกี่ยวกับอะไร

คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
การแข็งตัวยิ่งยวด (Rapid Solidification) ของโลหะและโลหะผสม
การเกิดโครงสรางแบบกิ่งไม (Dendritic Structure) จากการแข็งตัวของโลหะบริสุทธิ์
คําตอบ 3 : การเกิดโครงสรางแบบกิ่งไม (Dendritic Structure) จากการแข็งตัวของโลหะผสม
123 of 195
คําตอบ 4 : การเกิดโครงสรางที่แบงเปนสามโซน (ชิลดโซน คอลัมนา และ อิควิแอกซโซน) ในงานหลอโลหะ

ขอที่ : 217


เมื่อตรวจสอบโครงสรางจุลภาคของโลหะผสมของทองแดงชิ้นหนึ่ง ที่ขึ้นรูปดวยวิธีการหลอ พบวามีลักษณะเปน Cored Structure แสดงวา

่ า
คําตอบ 1 : ชิ้นงานหลอมีสวนผสมไมสม่ําเสมอในระดับมหภาค (macro segregation) ตรงใจกลางชิ้นงานมีสวนผสมไมเหมือนบริเวณขอบ


คําตอบ 2 : ชิ้นงานหลอมีสวนผสมไมสม่ําเสมอในระดับจุลภาค (micro segregation) ตรงใจกลางเกรนมีสวนผสมตางจากบริเวณขอบเกรน

ํจาห
คําตอบ 3 : เกิด Cored Structure แสดงวาการเตรียมชิ้นงานไมดี โดยเฉพาะการกัดน้ํายาเตรียมผิว (Etching) ไมสมบูรณ
คําตอบ 4 : ชิ้นงานมีเกรนละเอียด

้ าม
ขอที่ : 218

ิธ์ ห
การที่วัสดุเชน โลหะ สามารถคงสภาพเปนของเหลวอยูไดทั้งที่อุณหภูมิต่ํากวาจุดเยือกแข็งของมันแลว อธิบายไดโดยปรากฏการณหรือกระบวนการในขอใด
คําตอบ 1 : การเกิด Homogeneous Nucleation กับ Heterogeneous Nucleation
คําตอบ 2 : การที่โลหะนั้นมีสิ่งเจือปนอยูมาก

ิท
คําตอบ 3 : การเกิด Crytal Growth


คําตอบ 4 : การเกิด Segregation

ขอที่ : 219

ง วน

ในการควบคุมโครงสรางจุลภาคของโลหะดวยกระบวนการแข็งตัว (Solidification) นั้น ไมสามารถทําสิ่งใดได

ขอ
คําตอบ 1 : ทําใหโลหะแข็งตัวเปนโลหะอสัณฐาน (Amouphous Metal) ดวยกระบวนการแข็งตัวฉับพลัน (Rapid Solidification)


คําตอบ 2 : ควบคุมใหเหล็กหลอสามารถเลือกเกิดโครงสรางเปนเหล็กหลอขาวหรือเหล็กหลอเทาก็ได โดยควบคุมที่อัตราการเย็นตัว


คําตอบ 3 : ทําใหเหล็กกลาแข็งตัวกลายเปนโครงสรางมารเตนไซตโดยตรง


คําตอบ 4 : ควบคุมใหโลหะที่ไดมีเกรนละเอียดโดยการเติมสารลดขนาดเกรน (Grain Refiners)

าวศ

ขอที่ : 220

สภ
การแข็งตัว (Solidification) ของโลหะผสมแบงเปนสองแบบใหญ คือ Skin forming และ Mushy forming
โลหะผสมที่มีแนวโนมวา แข็งตัวแบบ Skin forming ไดแก
คําตอบ 1 : โลหะที่มีจุดหลอมเหลวต่ํา
คําตอบ 2 : โลหะที่มีจุดหลอมเหลวสูง
คําตอบ 3 : โลหะผสมที่มีชวงการแข็งตัว (Solidification Range) แคบ
คําตอบ 4 : โลหะผสมที่มีชวงการแข็งตัว (Solidification) กวาง

124 of 195
ขอที่ : 221
ขีดความสามารถในการละลายของกาซไฮโดรเจนในโลหะอะลูมิเนียมแสดงไดดังกราฟ
ขอใดกลาวไมถูกตอง

่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว

คําตอบ 1 : ที่อุณหภูมิสูง กาซละลายในโลหะไดมากขึ้น


คําตอบ 2 : กาซละลายในโลหะหลอมเหลวไดสูงกวาโลหะที่เปนของแข็ง

สภ
คําตอบ 3 : เมื่อทําการหลอโลหะชนิดนี้ ขณะแข็งตัวจากของเหลวกลายเปนของแข็ง จะไมมีปญหาโพรงอากาศ
คําตอบ 4 : ขณะหลอมโลหะชนิดนี้ ควรกําจัดกาซที่ละลายในโลหะหลอมเหลวออกใหเหลือนอยที่สุด เพื่อปองกันปญหาขณะโลหะแข็งตัว

ขอที่ : 222
อุณหภูมิในขอใดไมมีความสําคัญตอกระบวนการแข็งตัว (Solidification) ของโลหะผสม

คําตอบ 1 : อุณหภูมิยูเทกติก
125 of 195
คําตอบ 2 : อุณหภูมิยูเทกตอยด
คําตอบ 3 : อุณหภูมิโซลิดัส
คําตอบ 4 : อุณหภูมิลิควิดัส

่ าย
ขอที่ : 223


จากรูปเปนผลการทดลอง หลอมโลหะผสมระหวางทองแดงกับนิกเกิลใหเปนของเหลว แลวฉีดพนเปนละออง (หยดของเหลวเล็ก ๆ) วัดอุณหภูมิของหยดของเหล

ํจาห
ผลการทดลองพบวา อุณหภูมิที่หยดของเหลวเริ่มแข็งตัวนั้น ต่ํากวาอุณหภูมิโซลิดัส (Solidus temperature) มากในทุกสวนผสม
ขอใดเปนขอสรุปที่ถูกตองจากการทดลองนี้

้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
126 of 195
คําตอบ 1 : อุณหภูมิเริ่มแข็งตัวที่วัดได คือ อุณหภูมิที่เกิด Homogeneous Nucleation
คําตอบ 2 : อุณหภูมิเริ่มแข็งตัวที่วัดได คือ อุณหภูมิที่เกิด Heterogeneous Nucleation
คําตอบ 3 : อุณหภูมิเริ่มแข็งตัวของหยดของเหลวเล็ก ๆ ต่ํากวาอุณหภูมิโซลิดัส เพราะในหยดของเหลวเล็ก ๆ ตองคิดผลของแรงตึงผิวดวย ทําใหอุณหภูมิโ
คําตอบ 4 : อุณหภูมิเริ่มแข็งตัวที่วัดได ผิดพลาดเนื่องจากเกิดออกไซดที่ผิวหยดของเหลว

่ าย

ขอที่ : 224

ํจาห
การเติมสารลดขนาดเกรนลงไปในโลหะหลอมเหลวกอนหรือขณะเทเขาแบบหลอ ทําใหโลหะหลอที่ไดมีเกรนละเอียดนั้น อาศัยหลักการใด
คําตอบ 1 : การเกิด Homogeneous Nucleation
คําตอบ 2 : การเกิด Heterogeneous Nucleation บนผนังแบบหลอ


คําตอบ 3 : การเกิด Heterogeneous Nucleation โดยอาศัยนิวเคลียสเทียม

้ า
คําตอบ 4 : การลดอุณหภูมิที่จะเกิดนิวเคลียสของแข็งใหต่ําลง

ขอที่ : 225
ิธ์ ห
ิท
เมื่อโลหะอะลูมิเนียมแข็งตัว (เปลี่ยนสถานะจากของเหลวเปนของแข็ง)


คําตอบ 1 : ปริมาตรจะเพิ่มขึ้น

วน
คําตอบ 2 : เกิดการหดตัว


คําตอบ 3 : กาซสามารถละลายเขาไปในเนื้อโลหะไดดีขึ้น


คําตอบ 4 : น้ําหนักจะเพิ่มขึ้น

ขอที่ :

ร ขอ
226


ปรากฏการณใดไมไดเปนผลโดยตรงจากกระบวนการแข็งตัว (Solidification) ของโลหะผสมโดยทั่วไปที่ใชงานทางวิศวกรรม


คําตอบ 1 : การเกิด Macro segregation



คําตอบ 2 : การเกิด Micro segregation

าว
คําตอบ 3 : เกิดโพรงจากการหดตัวขณะเปลี่ยนสถานะ

สภ
คําตอบ 4 : เกิดโครงสรางมารเตนไซต

ขอที่ : 227
การเกิด Micro Segregation ขึ้นในโครงสรางของโลหะที่ผานการหลอ เปนผลมาจากปรากฏการณใด

คําตอบ 1 : การแพรของอะตอมตัวถูกละลายชาเกินไป
คําตอบ 2 : การแพรของอะตอมตัวถูกละลายเร็วเกินไป
คําตอบ 3 : อุณหภูมิน้ําโลหะสูงเกินไป 127 of 195
คําตอบ 4 : อุณหภูมิน้ําโลหะต่ําเกินไป

ขอที่ : 228


การเกิดโครงสราง Dendrite ในโลหะผสมอธิบายดวยทฤษฎีบทใด

่ า
คําตอบ 1 : การเกิดนิวเคลียสแบบโฮโมจีเนียส


คําตอบ 2 : การเกิดนิวเคลียสแบบเฮเทอโรจีเนียส

ํจาห
คําตอบ 3 : การเกิด Constitutional Supercooling (หรือ Undercooling)
คําตอบ 4 : การแปลงเฟสแบบไมอาศัยการแพร

้ าม
ขอที่ : 229

ิธ์ ห
สภาวะขอใดที่ทําใหไดโลหะหลอที่มีขนาดเกรนละเอียด
คําตอบ 1 : อัตราการเกิดนิวเคลียสสูง อัตราการโตของผลึกต่ํา
คําตอบ 2 : อัตราการเกิดนิวเคลียสสูง อัตราการโตของผลึกสูง

ิท
คําตอบ 3 : อัตราการเกิดนิวเคลียสต่ํา อัตราการโตของผลึกสูง


คําตอบ 4 : อัตราการเกิดนิวเคลียสต่ํา อัตราการโตของผลึกต่ํา

ขอที่ : 230

ง วน

ในการหลอใบ Turbine Blade เพื่อใชงานที่อุณหภูมิสูงและทนตอ Creep ตองการโครงสรางชิ้นงานที่เปนผลึกเดี่ยว (Single Crystal) จะตองหลอภายใตสภาวะ

ขอ
คําตอบ 1 : อัตราการเกิดนิวเคลียสสูง อัตราการโตของผลึกต่ํา


คําตอบ 2 : อัตราการเกิดนิวเคลียสสูง อัตราการโตของผลึกสูง


คําตอบ 3 : อัตราการเกิดนิวเคลียสต่ํา อัตราการโตของผลึกสูง


คําตอบ 4 : อัตราการเกิดนิวเคลียสต่ํา อัตราการโตของผลึกต่ํา

าวศ

ขอที่ : 231

สภ
การเกิดโครงสรางของเกรนโลหะในโซนใดของงานหลอ ที่อาศัยกลไกของการโตของผลึก (Growth) เปนหลัก โดยไมอาศัยการเกิดนิวเคลียส (Nucleation)
คําตอบ 1 : Chill Zone
คําตอบ 2 : Columnar Zone
คําตอบ 3 : Equi-axed Zone
คําตอบ 4 : Core Zone

ขอที่ : 232 128 of 195


ขอใดไมใชตําหนิหรือขอบกพรองในโลหะอันเนื่องจากกระบวนการแข็งตัว (Solidification)
คําตอบ 1 : ฟองกาซ
คําตอบ 2 : โพรงหดตัว
คําตอบ 3 : ความไมสม่ําเสมอของสวนผสม (Segregation)


คําตอบ 4 : สนิมที่ผิว

น่ า
ํจาห
ขอที่ : 233
ระหวางการแข็งตัวของน้ําโลหะกลายเปนของแข็ง ผลึกโลหะในบริเวณที่เปน Columnar Grain จะมีทิศทางการโตของผลึกเปนอยางไร เมื่อเทียบกับทิศการถายเ
คําตอบ 1 : ทิศเดียวกัน


คําตอบ 2 : ทิศตั้งฉากกัน

้ า
คําตอบ 3 : ทิศสวนทางกัน (ขนานแตทิศตรงขาม)

ิธ์ ห
คําตอบ 4 : ไมสัมพันธกัน

ิท
ขอที่ : 234


การศึกษาเรื่อง Solidification of Metals ทําใหมีความเขาใจถึงเรื่องตอไปนี้ ยกเวนเรื่องใด

วน
คําตอบ 1 : การที่โลหะในอุตสาหกรรมมีโครงสรางแบบ Polycrystalline


คําตอบ 2 : วิธีการผลิตชิ้นงานโลหะใหมีโครงสรางเปนแบบ Single Crystal


คําตอบ 3 : สาเหตุของการเกิดตําหนิตาง ๆ ในโลหะหลอ


คําตอบ 4 : ปจจัยที่ควบคุมความแข็งของโลหะหลอ

ขอที่ :

ก ร ข
235


ในการแข็งตัวของน้ําโลหะ



ก. การเกิด Homogeneous Nucleation นั้นจะเกิดที่อุณหภูมิต่ํากวาการเกิด Heterogeneous Necleation


ข. การที่เกิดนิวเคลียสของแข็งบนผนังแบบหลอหรือผนังภาชนะ เปนการเกิดนิวเคลียสแบบ Heterogeneous


คําตอบ 1 : ก.

สภ
คําตอบ 2 : ข.
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.

ขอที่ : 236

ขอใดเปน Macro Segregation


129 of 195
ก. Coring
ข. Inverse Segregation
คําตอบ 1 : ก.
คําตอบ 2 : ข.
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.


คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.

น่ า
ํจาห
ขอที่ : 237
ขอใดเปน Micro Segregation
ก. Coring


ข. Inverse Segregation

้ า
คําตอบ 1 : ก.

ิธ์ ห
คําตอบ 2 : ข.
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.

สิท

ขอที่ : 238


Constitutional Supercooling เปนกลไกของการเกิดปรากฏการณใดตอไปนี้

สง
คําตอบ 1 : การเกิดโครงสรางแบบ Dendrite ในโลหะบริสุทธิ์


คําตอบ 2 : การเกิดโครงสรางแบบ Dendrite ในโลหะผสม


คําตอบ 3 : การเกิด Homogeneous Necleation


คําตอบ 4 : การแข็งตัวเร็วยิ่งยวด (Rapid Solidification)

วก


ขอที่ : 239


ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับการโต (Growth) ของผลึกของแข็งระหวางกระบวนการแข็งตัว (Solidification)


ก. ระนาบที่มีการเรียงตัวอะตอมแบบอัดแนน (Close-packed Plane) จะมีอัตราการโตชากวาระนาบที่มีการเรียงตัวหลวม ๆ ข. เมื่อผลึกของแข็งโตไปไดระยะหนึ่ง

สภ
คําตอบ 1 : ก.
คําตอบ 2 : ข.
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.

ขอที่ : 240
ปรากฏการณใดไมเกิดระหวางกระบวนการแข็งตัวของโลหะ 130 of 195
คําตอบ 1 : การแพรของอะตอมธาตุผสม
คําตอบ 2 : การเกิดนิวเคลียสใหม
คําตอบ 3 : การถายเทความรอน
คําตอบ 4 : การแปรรูปถาวร

่ าย

ขอที่ : 241

ํจาห
ขอใดที่ไมมีความสัมพันธกับการเกิด Coring ในทองแดงผสมหลอ
คําตอบ 1 : microsegregation
คําตอบ 2 : dendritic structure


คําตอบ 3 :

้ า
solidification shrinkage
คําตอบ 4 :

ิธ์ ห
solute diffusion

ขอที่ : 242

ิท
ขอใดเรียงลําดับการแข็งตัวของโลหะไดถูกตอง


คําตอบ 1 :


nucleus --> dendrite --> grain


คําตอบ 2 : dendrite --> nucleus --> grain


คําตอบ 3 : grain --> nucleus --> dendrite


คําตอบ 4 : nucleus --> grain --> dendrite

ขอที่ :

ร ขอ
243


นิวเคลียสที่เกิดโดยใชพื้นผิววัตถุอื่นเกิด คือ กลไกการเกิดนิวเคลียสแบบใด


คําตอบ 1 : Heterogeneous



คําตอบ 2 :


Homogeneous


คําตอบ 3 : Embryo

สภ
คําตอบ 4 : Nuclei

ขอที่ : 244
วิธีเพิ่มความแข็งแรงใหกับอลูมิเนียมหลอ โดยการเติมธาตุบางชนิดเพื่อใหเกิดนิวเคลียสเทียม เปนวิธีที่ใชกลไกเกิดนิวเคลียสแบบใด
คําตอบ 1 : Heterogeneous
คําตอบ 2 : Nuclei
คําตอบ 3 : Embryo 131 of 195
คําตอบ 4 : Homogeneous

ขอที่ : 245


ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับสัมประสิทธิ์การแพร (D)

่ า
คําตอบ 1 : D surface > D grain boundary > D lattice


คําตอบ 2 : D surface > D lattice > D grain boundary

ํจาห
คําตอบ 3 : D grain boundary > D surface > D lattice
คําตอบ 4 : D grain boundary > D lattice > D surface

้ าม
ขอที่ : 246

ิธ์ ห
ขอใดไมใชอะตอมแบบแทรก (Interstitial atoms) ในเหล็ก
คําตอบ 1 : C
คําตอบ 2 :

ิท
N
คําตอบ 3 :


H
คําตอบ 4 :


Cr

ขอที่ : 247

ง ว

ตัวแปรขอใดมีอิทธิพลตอสัมประสิทธิ์การแพร (Diffusion coefficient) มากที่สุด

ขอ
คําตอบ 1 : อุณหภูมิ


คําตอบ 2 : ความดัน


คําตอบ 3 : ความเขมขนของตัวถูกละลาย (Concentration of solute atoms)


คําตอบ 4 : เวลา

าวศ

ขอที่ : 248

สภ
ขอใดเปนการแพรแบบ Steady-state
คําตอบ 1 : การแพรโดยความเขมขนของตัวถูกละลายทุกๆ ตําแหนงมีขนาดคงที่ ไมเปลี่ยนแปลงตามเวลา
คําตอบ 2 : การแพร โดยอัตราการแพรของตัวถูกละลายทุกๆตําแหนงมีขนาดคงที่ ไมเปลี่ยนแปลงตามเวลา
คําตอบ 3 : การแพร โดยความเขมขนของตัวถูกละลายทุกๆ ตําแหนงมีขนาดเทากัน
คําตอบ 4 : การแพร โดยอัตราการแพรของตัวถูกละลายทุกๆ ตําแหนงมีขนาดเทากัน

ขอที่ : 249 132 of 195


การแพรในขอใดที่ไมตองอาศัยการแพรของของวาเคนซี (Vacancy diffusion)
คําตอบ 1 : การแพรแบบแทรก (Interstitial diffusion)
คําตอบ 2 : การแพรแบบแทนที่ (Substitutional diffusion)
คําตอบ 3 : การแพรภายในตัวเอง (Self diffusion)


คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ

น่ า
ํจาห
ขอที่ : 250
ทองเหลืองเปนโลหะผสมของ Cu-Zn ถูกนํามาพันดวยลวดโมลิบดินัม และวางไวตรงกลางแทงทองแดงบริสุทธิ์ กอนนําไปอบในเตา เมื่อเวลาผานไปชวงหนึ่ง ให

้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : W ลดลง
คําตอบ 2 : W กวางขึ้น
คําตอบ 3 : W คงที่
คําตอบ 4 : W กวางขึ้นในชวงแรก และลดลงในเวลาตอมา

ขอที่ : 251
ขอใดเปนการแพรของสังกะสีในเมตริกซของทองแดง 133 of 195
คําตอบ 1 : การแพรแบบแทรก (Interstitial diffusion)
คําตอบ 2 : การแพรแบบแทนที่ (Substitutional diffusion)
คําตอบ 3 : การแพรภายในตัวเอง (Self diffusion)
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ

่ าย

ขอที่ : 252

ํจาห
แผนเหล็กบริสุทธิ์ถูกประกบดวยแกรไฟตดังรูปดานลาง แลวนํามาใหความรอนที่อุณหภูมิ 800°C เปนระยะเวลาหนึ่ง จากรูปใหพิจารณาวาขอใดเปน Phase 1

้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว คําตอบ 1 : Austenite

สภ
คําตอบ 2 : Ferrite
คําตอบ 3 : Cementite
คําตอบ 4 : Pearlite

ขอที่ : 253

134 of 195
แผนเหล็กบริสุทธิ์ถูกประกบดวยแกรไฟตดังรูปดานลาง แลวนํามาใหความรอนที่อุณหภูมิ 740°C เปนระยะเวลาหนึ่ง จากรูปใหพิจารณาวาขอใดเปน Phase 2
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน

คําตอบ 1 : Austenite


คําตอบ 2 : Ferrite


คําตอบ 3 : Cementite


คําตอบ 4 : Pearlite

วก


ขอที่ : 254


ขอใดกลาวไมถูกตอง


คําตอบ 1 : สัมประสิทธิ์การแพร (Diffusion coefficient) แบบแทรกสูงกวาสัมประสิทธิ์การแพรแบบแทนที่

สภ
คําตอบ 2 : สัมประสิทธิ์การแพร (Diffusion coefficient) แบบแทรกมีขนาดลดลง เมื่อความเขมขนของอะตอมแบบแทรกเพิ่มขึ้น
คําตอบ 3 : สัมประสิทธิ์การแพร (Diffusion coefficient) แบบแทรกของอะตอมแทรกที่มีขนาดใหญ จะต่ํากวาของอะตอมแบบแทรกที่มีขนาดเล็กกวา
คําตอบ 4 : สัมประสิทธิ์การแพร(Diffusion coefficient) บริเวณขอบเกรนต่ํากวาสัมประสิทธิ์การแพรภายในแลททิซ

ขอที่ : 255
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับการแพร
135 of 195
คําตอบ 1 : ความแตกตางของความเขมขน (Concentration gradient) ในของแข็งเปนแรงผลักดัน (Driving force) ที่ทําใหเกิดการแพร
คําตอบ 2 : การเพิ่มอุณหภูมิทําใหความเร็วของการแพรสูงขึ้น
คําตอบ 3 : โดยทั่วไปแลว การแพรภายในโลหะ FCC จะชากวาในโลหะ BCC
คําตอบ 4 : การแพรแบบแทรก (Interstitial diffusion) เปนกลไกการแพรเพียงชนิดเดียวที่เกิดขึ้น

่ าย

ขอที่ : 256

ํจาห
ขอใดแสดงใหเห็นความสัมพันธระหวางสัมประสิทธิ์การแพร (Diffusion coefficient, D) กับอุณหภูมิ (T)


คําตอบ 1 :

คําตอบ 2 :

ิธ์ ห้ า
สิท
วน
คําตอบ 3 :

สง

คําตอบ 4 :

ก ร ข

ขอที่ : 257

าวศ

สภ
136 of 195
ขอใดเปนเฟสที่พบในชิ้นงานโลหะผสม Cu-Zn เมื่อนํามาอบที่อุณหภูมิ 300°C
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 :

คําตอบ 2 :

คําตอบ 3 :

137 of 195
คําตอบ 4 :

ขอที่ : 258


ขอใดเปนเฟสที่พบในชิ้นงานโลหะผสม Cu-Zn เมื่อนํามาอบที่อุณหภูมิ 500°C

น่ า
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 :
138 of 195
คําตอบ 2 :

คําตอบ 3 :

่ าย

คําตอบ 4 :

ขอที่ : 259

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน

คําตอบ 1 :


1.57
คําตอบ 2 :


2.48


คําตอบ 3 : 6.15


คําตอบ 4 : 7.88


ิ ว

ขอที่ : 260


สภ
139 of 195
คําตอบ 1 : 15 นาที
คําตอบ 2 : 127 นาที
คําตอบ 3 : 228 นาที
คําตอบ 4 : 315 นาที

่ าย

ขอที่ : 261

ํจาห
Kirkendall Effect เปนปรากฏการณที่เกี่ยวของกับอะไร
คําตอบ 1 : การเกิดจุดครากในโลหะ
คําตอบ 2 : การแพรที่เกิดขึ้นระหวาง Diffusion Couple


คําตอบ 3 : วิธีการวัดสัมประสิทธิ์การแพร

้ า
คําตอบ 4 : การเปราะเนื่องจาก Dynamic Strain Aging

ขอที่ : 262
ิธ์ ห
ิท
หนวยของสัมประสิทธิ์การแพร (Diffusion Coefficient) คือ


คําตอบ 1 :


m/s


คําตอบ 2 : m^2/s


คําตอบ 3 : kg/m^2/s


คําตอบ 4 : mol/s

ขอที่ :

ร ขอ
263


การแพรของอะตอมตอไปนี้ในโลหะเหล็ก (แอลฟาหรือเฟอรไรต) อะตอมใดนาจะแพรไดเร็วที่สุด


คําตอบ 1 : N



คําตอบ 2 :


Si


คําตอบ 3 : Mn

สภ
คําตอบ 4 : Fe

ขอที่ : 264
ขอใดกลาวผิดเกี่ยวกับการแพร
คําตอบ 1 : ในโลหะบริสุทธิ์ ก็เกิดการแพรได เรียกวา Self-Diffusion
คําตอบ 2 : เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น การแพรจะเกิดไดเร็วขึ้น
คําตอบ 3 : การแพรของอะตอมตัวถูกละลายชนิดแทรก เกิดไดเร็วกวาของอะตอมตัวถูกละลายชนิดแทนที่ 140 of 195
คําตอบ 4 : กฎที่อธิบายอัตราเร็วในการแพร คือ กฎของ Fourier

ขอที่ : 265


สมการในขอใดที่บอกถึงความสัมพันธระหวางสัมประสิทธิ์การแพรกับอุณหภูมิ

น่ า
ํจาห
คําตอบ 1 :

้ าม
คําตอบ 2 :

ิธ์ ห
สิท
ง วน

คําตอบ 3 :

ร ขอ
วก


คําตอบ 4 :

าว
สภ
ขอที่ : 266
สําหรับเหล็กกลาผสมแผนหนึ่ง หากทราบวาการทําคารบูไรซิงเปนเวลา 10 ชั่วโมง จะทําใหความเขมขนของคารบอนที่ระดับความลึกจากผิว 2.5 mm มีคาเปน 0.

คําตอบ 1 : 20 ชั่วโมง
คําตอบ 2 : 40 ชั่วโมง
คําตอบ 3 : 100 ชั่วโมง 141 of 195
คําตอบ 4 : ไมสามารถคํานวณได เพราะไมทราบสัมประสิทธิ์การแพรของคารบอนในเหล็กดังกลาว

ขอที่ : 267


กระบวนการใดที่ไมไดอาศัยการแพรเปนกลไกหลัก

่ า
คําตอบ 1 : การอบออนเพื่อทําใหสวนผสมสม่ําเสมอ (Homogenizing Annealing) สําหรับงานหลอ


คําตอบ 2 : การทําคารบูไรซิง (Carburizing)

ํจาห
คําตอบ 3 : การกรองกาซไฮโดรเจนใหบริสุทธิ์โดยใชแผนโลหะเชน แพลเลเดียม เปนตัวกรอง
คําตอบ 4 : การชุบแข็งเหล็กกลาโดยทําใหเปนมารเตนไซต

้ าม
ขอที่ : 268

ิธ์ ห
ขอใดกลาวผิดเกี่ยวกับการแพรของอะตอมธาตุผสมในเนื้อของโลหะหลัก
คําตอบ 1 : โดยทั่วไป การแพรจะเกิดในทิศทางที่ทําใหสวนผสมสม่ําเสมอมากขึ้น
คําตอบ 2 : โดยทั่วไป การแพรมีทิศทางเดียวกับทิศของ Concentration Gradient

ิท
คําตอบ 3 : อะตอมธาตุผสมชนิดแทรก (Interstitial Atom) มีความเร็วในการแพรสูงกวาอะตอมธาตุผสมชนิดแทนที่ (Substitutional Atom)


คําตอบ 4 : การแพรของอะตอมธาตุผสมชนิดแทรก ตองอาศัยการมีอยูของชองวาง (Vacancies) ในโครงสรางผลึก

ขอที่ : 269

ง วน

คูการแพรใดที่นาจะมีอัตราเร็วของการแพรสูงที่สุด (ภายใตอุณหภูมิเดียวกัน)


โลหะที่เขียนชื่อแรก เปน อะตอมที่เกิดการแพร


สวนโลหะที่เขียนชื่อหลัง คือ โลหะหลัก (เมตริกซ)


คําตอบ 1 : นิกเกิล ใน ทองแดง

วก
คําตอบ 2 : ทองแดง ใน นิกเกิล



คําตอบ 3 : คารบอน ใน เหล็ก


คําตอบ 4 : เหล็ก ใน คารบอน (แกรไฟต)


สภ
ขอที่ : 270
เมื่อแทงทองแดงและนิกเกิลที่ขัดปลายจนเรียบ มาเชื่อมตอกันในสถานะของแข็ง แลวอบทิ้งไวที่อุณหภูมิสูง พบวา บริเวณรอยตอจะเกิดชั้นของโลหะผสมระหวาง
คําตอบ 1 : เกิดการแพรของอะตอมธาตุทั้งสองชนิดเขาหากัน
คําตอบ 2 : เกิดปฏิกิริยาเคมีทําใหเกิดการเชื่อมประสาน
คําตอบ 3 : เกิดปฏิกิริยาเคมีทําใหเกิดการกัดกรอน
คําตอบ 4 : เกิดการแปลงเฟส (Phase Transformation) ที่อุณหภูมิสูง
142 of 195
ขอที่ : 271
จากกฎการแพรของฟก ดังแสดงในรูปประกอบ
คา Jx ทางซายมือของสมการ นาจะเปนปริมาณอะไร

่ าย

คําตอบ 1 : Mass Flux Density ของอะตอมที่เกิดการแพร

ํจาห

คําตอบ 2 : Heat Flux ของการแพร

้ า
คําตอบ 3 : ความเขมขนของธาตุผสมที่เกิดการแพร

ิธ์ ห
คําตอบ 4 : สัมประสิทธิ์การแพร

ิท
ขอที่ : 272


คา D ในสมการการแพรของฟก ที่แสดงในรูป คือปริมาณอะไร

ง วน
อ ส
ร ข
คําตอบ 1 : สัมประสิทธิ์การแพร (Diffusion Coefficient)


คําตอบ 2 : สัมประสิทธิ์การสงถายมวล (Mass Transfer Coefficient)


คําตอบ 3 : ความเขมขน (Concentration)



คําตอบ 4 : สัมประสิทธิ์เชิงอุณหภูมิ (Thermal Coefficient)

าว
สภ
ขอที่ : 273
ในการทําคารบูไรซิงเพื่อเพิ่มคารบอนที่ผิวของชิ้นงานเหล็ก ความลึกผิวแข็งที่ได แปรผันตามเวลาอยางไร
คําตอบ 1 : แปรผันตรงตามเวลา
คําตอบ 2 : แปรผันตรงตามเวลายกกําลังสอง
คําตอบ 3 : แปรผันตรงตามรากที่สองของเวลา
คําตอบ 4 : แปรผันตรงตามเวลายกกําลังสี่

143 of 195
ขอที่ : 274
สัมประสิทธิ์การแพร(diffusion coefficient) ของโลหะที่อยูในสารละลายของแข็ง(solid solution)
คําตอบ 1 : เปนฟงชันของสวนผสมเทานั้น
คําตอบ 2 : เปนฟงชันของอุณหภูมิเทานั้น


คําตอบ 3 : เปนฟงชันของทั้งสวนผสมและอุณหภูมิ

่ า
คําตอบ 4 : ไมเปนฟงชันของสวนผสมและอุณหภูมิ


ํจาห
ขอที่ : 275
Fick’s law เปนกฎพื้นฐานในเรื่อง


คําตอบ 1 :

้ า
solidification
คําตอบ 2 :

ิธ์ ห
X-ray diffraction
คําตอบ 3 : diffusion
คําตอบ 4 : heat convection

ขอที่ : 276

สิท
วน
ตําหนิชนิดใดเกี่ยวของกับการแพรของอะตอมธาตุผสมชนิดแทนที่ (Substitutional Solute Atoms) มากที่สุด


คําตอบ 1 : ชองวางในโครงสรางผลึก (Vacancy)


คําตอบ 2 : Edge Dislocation


คําตอบ 3 : Screw Dislocation


คําตอบ 4 : ขอบเกรน

ก ร

ขอที่ : 277



การทํา Carburizing อาศัยปรากฏการณใด

าว
คําตอบ 1 : การแปรรูปถาวร

สภ
คําตอบ 2 : การแปลงเฟส
คําตอบ 3 : การแพร
คําตอบ 4 : การเกิดคารบอน

ขอที่ : 278
กลไกของการแพรประกอบดวยสิ่งตาง ๆ ตอไปนี้ ยกเวนขอใด
คําตอบ 1 : การสั่นสะเทือนของอะตอม 144 of 195
คําตอบ 2 : ชองวางในโครงสรางผลึก (Vacancies)
คําตอบ 3 : พลังงานกระตุนอันเนื่องจากความรอน
คําตอบ 4 : การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนวงนอก

่ าย
ขอที่ : 279


กรรมวิธีใดที่ตองอาศัยการแพร
ก. Carburizing

ํจาห
ข. Homogenization
คําตอบ 1 : ก.


คําตอบ 2 : ข.

้ า
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.

ิธ์ ห
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.

ิท
ขอที่ : 280


การแพรในขอใดไมตองอาศัย Vacancies ในผลึกของแข็ง ก็สามารถเกิดการแพรนั้นได


คําตอบ 1 : การแพรที่อุณหภูมิสูง


คําตอบ 2 : การแพรที่อุณหภูมิต่ํา


คําตอบ 3 : การแพรของ Interstitial Solute Atoms

อ ส
คําตอบ 4 : การแพรของอะตอมของธาตุนั้นเอง

ขอที่ :

ก ร ข
281


ขอใดที่ไมเกี่ยวของกับการแพร (Diffusion)



คําตอบ 1 : Matano Method

าว
คําตอบ 2 :

สภ
คําตอบ 3 : Kirkendall Effect
คําตอบ 4 : Hall-Petch Equation

ขอที่ : 282
ขอใดที่เกี่ยวของกับการแพร

คําตอบ 1 : 145 of 195


คําตอบ 2 : Hall-Petch Equation
คําตอบ 3 : Bauschinger Effect


คําตอบ 4 : Bragg Law

ขอที่ : 283

น่ า
ํจาห
กระบวนการใดที่อาศัยการแพรเปนกลไกสําคัญ
ก. Nitriding
ข. การแปลงเฟสเปนมารเตนไซต


คําตอบ 1 : ก.

้ า
คําตอบ 2 : ข.

ิธ์ ห
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.

ขอที่ : 284

สิท

ปรากฏการณใดที่อธิบายเปนสมการพื้นฐานไดจาก

ง ว

คําตอบ 1 : การแพร


คําตอบ 2 : การเคลื่อนที่ของดิสโลเคชัน


คําตอบ 3 : การเกิด Work Hardening


คําตอบ 4 : ผลของขนาดเกรนเฉลี่ยตอความแข็งของโลหะ

วก


ขอที่ : 285


ขอใดเปนปจจัยสําคัญนอยที่สุดของการแพรของอะตอมในสภาวะของแข็ง


สภ
คําตอบ 1 : ความรอน
คําตอบ 2 : แรงกระทํา
คําตอบ 3 : เวลาในการแพร
คําตอบ 4 : ความเขมขนของอะตอม

ขอที่ : 286
Concentration gradient หมายถึง อะไร
146 of 195
คําตอบ 1 : สัมประสิทธิการแพร
คําตอบ 2 : ความเขมขนการแพร
คําตอบ 3 : การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
คําตอบ 4 : การเปลี่ยนแปลงความเขมขนตามระยะทาง

่ าย

ขอที่ : 287

ํจาห
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับการเปลี่ยนเฟส
คําตอบ 1 : การเปลี่ยนเฟสเกิดที่อุณหภูมิ และความดันคาหนึ่ง
คําตอบ 2 : การเปลี่ยนเฟสอาจผาน Intermediate metastable state กอนเปลี่ยนเปน Stable equilibrium state


คําตอบ 3 : การเปลี่ยนเฟสเกิดขึ้นไดเอง (Spontaneous) โดยไมมีการดูด (Absorption) หรือคาย (Evolution) ความรอน

้ า
คําตอบ 4 : การเปลี่ยนเฟสเกิดขึ้นโดยมีการดูด (Absorption) หรือคาย (Evolution) ความรอน

ขอที่ : 288
ิธ์ ห
ิท
Metastable phase เปน


คําตอบ 1 :


Fully stable against all disturbances


คําตอบ 2 : Unstable to any disturbance


คําตอบ 3 : Stable only against small disturbances


คําตอบ 4 : ไมมีขอใดถูก

ขอที่ :

ร ขอ
289


ขอใดเปน Hypoeutectoid steel


คําตอบ 1 : มีปริมาณคารบอนมากกวา 0.77 wt.%



คําตอบ 2 : ไมสามารถทําใหแข็งดวยกระบวนการทางความรอนได

าว
คําตอบ 3 : ฟอรม Proeutectoid cementite ระหวางอุณหภูมิ A3 กับ A1

สภ
คําตอบ 4 : ฟอรม Proeutectoid ferrite ระหวางอุณหภูมิ A3 กับ A1

ขอที่ : 290
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับ Martensitic transformation

คําตอบ 1 : มีการพรีซิพิเทชัน (Precipitation) ของ Metastable phase


คําตอบ 2 : เกิดขึ้นอยางรวดเร็ว
คําตอบ 3 : ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสรางผลึกของเฟส 147 of 195
คําตอบ 4 : ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงองคประกอบทางเคมีของเฟส

ขอที่ : 291


ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับ Martensite

่ า
คําตอบ 1 : Martesite เปนเฟสที่แข็งแตเปราะ


คําตอบ 2 : ไมมีการแสดงเฟส Martensite บน Phase diagram ของระบบ Fe-Fe3C

ํจาห
คําตอบ 3 : การกําจัดเฟส Martensite ทําไดโดยเพิ่มอุณหภูมิของชิ้นงานใหอยูในชวง Austenite region
คําตอบ 4 : Martensite transformation อาศัยการแพรของคารบอนไปสูบริเวณขอบเกรน

้ าม
ขอที่ : 292

ิธ์ ห
TTT diagram หาไดจากวิธีการตางๆ หลายวิธี ยกเวนวิธีใด
คําตอบ 1 : Jominy end-quench test
คําตอบ 2 :

ิท
Dilatometry
คําตอบ 3 :


Metallography
คําตอบ 4 :


Hardness measurements

ขอที่ : 293

ง ว

ขอใดกลาวถูกตองที่สุด เกี่ยวกับ TTT diagram

ขอ
คําตอบ 1 : Each TTT diagram is suitable for a single composition of steel only


คําตอบ 2 : TTT diagrams provide us with an accurate means to produce certain microstructures in steels over the entire range of possible


คําตอบ 3 : TTT diagrams are suitable for equilibrium cooling condtions


คําตอบ 4 : TTT diagrams are absolutely identical to CCT diagrams in every respect

าวศ

ขอที่ : 294

สภ
Bainite มีความแตกตางจาก Pearite ดังนี้
คําตอบ 1 : Bainite ไมประกอบดวยเฟส Ferrite และ Cementite
คําตอบ 2 : Bainite จะเสถียรภาพที่อุณหภูมิสูงกวา 800°C เทานั้น
คําตอบ 3 : Bainite ประกอบดวยเฟส Austenite และ Ferrite ที่อุณหภูมิหอง
คําตอบ 4 : Bainite ประกอบดวย Non-lamellar, lath-shaped Ferrite และ Cementite

ขอที่ : 295 148 of 195


Nucleation ของ Second phase พบไดที่ตําแหนงใดนอยที่สุด
คําตอบ 1 : Homogeneous sites
คําตอบ 2 : Dislocations
คําตอบ 3 : Grain boundaries


คําตอบ 4 :

่ า
Vacancies


ํจาห
ขอที่ : 296
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับ Nucleation rate
คําตอบ 1 : Nucleation rate ในชวงตนของ Nucleation จะต่ํา และสูงขึ้นในเวลาถัดมา กอนจะลดลงอีกครั้งในชวงทายของ Nucleation


คําตอบ 2 : Nucleation rate เพิ่มขึ้นเมื่อขนาด Undercooling มากขึ้น เนื่องจากแรงผลักดันของการเปลี่ยนเฟสเพิ่มสูงขึ้น

้ า
คําตอบ 3 : ณ ขนาด Undercooling ที่เหมาะสมคาเดียวกัน Homogeneous nucleation rate ต่ํากวา Heterogeneous nucleation rate

ิธ์ ห
คําตอบ 4 : ที่ขนาด Undercooling มากไป ทําให Nucleation rate ลดลง เนื่องจาก Atomic mobility ต่ํา

ิท
ขอที่ :


297

ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
149 of 195
ขอใดเปนโครงสรางของ Eutectoid steel ที่ถูกนํามาออสเทนไนต ณ อุณหภูมิ 750°C กอนชุบเย็นลงมาที่อุณหภูมิหองภายในเวลาที่นอยกวา 1 วินาที (ตามเสน
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว คําตอบ 1 : Martensite


คําตอบ 2 : Bainite


คําตอบ 3 : Austenite + Martensite

สภ
คําตอบ 4 : Bainite + Martensite

ขอที่ : 298

150 of 195
ขอใดเปนโครงสรางของ Eutectoid steel ที่ถูกนํามาออสเทนไนต ณ อุณหภูมิ 750°C กอนชุบเย็นลงมาที่อุณหภูมิ 160°C ภายในเวลาที่นอยกวา 1 วินาที และค
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว คําตอบ 1 : Austenite + Martensite


คําตอบ 2 : Bainite + Martensite


คําตอบ 3 : Martensite

สภ
คําตอบ 4 : Pearlite + Martensite

ขอที่ : 299

151 of 195
ขอใดเปนโครงสรางของ Eutectoid steel ที่ถูกนํามาออสเทนไนต ณ อุณหภูมิ 750°C กอนชุบเย็นลงมาที่อุณหภูมิ 650°C ภายในเวลาที่นอยกวา 1 วินาที และค
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว คําตอบ 1 : Pearlite


คําตอบ 2 : Bainite + Pearlite


คําตอบ 3 : Bainite + Pearlite + Martensite

สภ
คําตอบ 4 : Pearlite + Martensite

ขอที่ : 300

152 of 195
ขอใดเปนโครงสรางของ Eutectoid steel ที่ถูกนํามาออสเทนไนต ณ อุณหภูมิ 750°C กอนชุบเย็นลงมาที่อุณหภูมิ 550°C ภายในเวลาที่นอยกวา 1 วินาที และค
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว คําตอบ 1 : Pearlite + Bainite


คําตอบ 2 : Bainite + Martensite


คําตอบ 3 : Bainite + Pearlite + Martensite

สภ
คําตอบ 4 : Pearlite + Martensite

ขอที่ : 301

153 of 195
รูปดานลางเปน TTT diagram ของเหล็กกลา 1080 ขอใดเปนโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลานี้ เมื่อถูกชุบเย็นจากอุณหภูมิออสเทนไนตอยางรวดเร็วลงมาที่ 900
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 1 : Fine Pearlite + Upper Bainite


คําตอบ 2 : Upper Bainite


คําตอบ 3 :


Pearlite + Martensite


คําตอบ 4 : Upper Bainite + Martensite

ขอที่ :


302

ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
154 of 195
รูปดานลางเปน TTT diagram ของเหล็กกลา 1080 ขอใดเปนโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลานี้ เมื่อถูกชุบเย็นจากอุณหภูมิออสเทนไนตอยางรวดเร็วลงมาที่ 120
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 1 : Fine Pearlite + Martensite


คําตอบ 2 : Upper Bainite


คําตอบ 3 :


Coarse Pearlite + Martensite


คําตอบ 4 : Upper Bainite + Martensite

ขอที่ :


303

ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
155 of 195
รูปดานลางเปน TTT diagram ของเหล็กกลา 1080 ขอใดเปนโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลานี้ เมื่อถูกชุบเย็นจากอุณหภูมิออสเทนไนตอยางรวดเร็วลงมาที่ 500
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 1 : Upper Bainite + Martensite


คําตอบ 2 : Lower Bainite


คําตอบ 3 :


Lower Bainite + Martensite


คําตอบ 4 : Upper Bainite + Martensite

ขอที่ :


304


ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับ Precipitate-free zone (PFZ)

ก ร
คําตอบ 1 : PFZ เกิดขึ้นบริเวณขอบเกรน เพราะบริเวณดังกลาวเปน Sink ของวาเคนซีที่เกินมา (Excess vacancies) จากปริมาณวาเคนซีที่สภาวะสมดุล


คําตอบ 2 : บริเวณ PFZ จะพบพรีซิพิเทต (Precipitates) นอยมาก เนื่องจากวาเคนซีซึ่งเปนจุดกําเนิดของ Heterogeneous nucleation มีจํานวนนอย



คําตอบ 3 : บริเวณ PFZ จะพบพรีซิพิเทต (Precipitates) นอยมาก เนื่องจากตัวถูกละลาย (Solute) บริเวณใกลเคียงกับขอบเกรนถูกดึงไปใชในการฟอรมพ


คําตอบ 4 : อัตราการเย็นตัว (Cooling rate) ของการชุบเย็นไมมีผลตอความกวางของบริเวณ PFZ


สภ
ขอที่ : 305
ขอใดเปน Hypereutectoid steel
คําตอบ 1 : มีปริมาณคารบอนมากกวา 0.77 wt.%
คําตอบ 2 : ไมสามารถทําใหแข็งดวยกระบวนการทางความรอนได
คําตอบ 3 : ฟอรม Proeutectoid cementite ระหวางอุณหภูมิ A3 กับ A1
คําตอบ 4 : ฟอรม Proeutectoid ferrite ระหวางอุณหภูมิ A3 กับ A1
156 of 195
ขอที่ : 306
ขอใดกลาวไมถูกตอง
คําตอบ 1 : วาเคนซี (Vacancies) มีสวนอยางมากตอการฟอรม GP zones ในขั้นตอนของการพรีซิพิเทต


คําตอบ 2 : ในโลหะผสมที่ตองการ Precipitation hardening จําเปนอยางยิ่งที่พรีซิพิเทตที่มีความเสถียรภาพตองฟอรมตั้งแตขั้นตอนแรกของการพรีซิพิเท

่ า
คําตอบ 3 : อินเตอรเฟสระหวาง GP zone กับเมตริกซเปนแบบ Coherent


คําตอบ 4 : Artificial aging คือ การบมแข็งที่อุณหภูมิสูงกวาอุณหภูมิหอง

ขอที่ : 307

ํจาห

เมื่อพิจารณาในเชิงอุณหพลศาสตร ขอใดเปนแรงผลักดัน (Driving force) ในการเปลี่ยนเฟส (Phase transformation)

้ า
คําตอบ 1 :

ิธ์ ห
Dislocations

คําตอบ 2 :


คําตอบ 3 :
ิท
ง วน
คําตอบ 4 :

อ ส
ร ข
ขอที่ : 308

วก
าวศ
ิ คําตอบ 1 :

สภ
คําตอบ 2 :

คําตอบ 3 :

คําตอบ 4 : 157 of 195


ขอที่ :


309

่ า
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับการพรีซิพิเทชัน (Precipitation) ในโลหะผสม Al-Cu


ํจาห
คําตอบ 1 :

คําตอบ 2 : การฟอรม GP zones ในชวงตนของ Precipitation เปนการลดพลังงานอินเตอรเฟสระหวางเมตริกซกับ Precipitates สงผลใหพลังงานกีดขวา


คําตอบ 3 : การฟอรม GP zones เกิดขึ้นที่ทุกอุณหภูมิของการบมแข็ง (Ageing temperature)

้ า
คําตอบ 4 : Precipitation ในโลหะผสม Al-Cu เปนกระบวนการที่อาศัยการแพร

ขอที่ : 310

ิธ์ ห
ิท
ขอใดเปนเฟสที่ออนที่สุดในเหล็กกลาคารบอน


คําตอบ 1 : ferrite


คําตอบ 2 : austenite


คําตอบ 3 :


cementite
คําตอบ 4 :


pearlite

ขอที่ :

ร ขอ
311
ตัวอยางเหล็กกลาคารบอนในสภาพหลอมีความตานแรงดึง ( tensile strength ) 470 N/mm2 และมี % การยืดตัว(% elongation) เทากับ 18 เมื่อนําไปผานการ

วก
คําตอบ 1 : ไมเปลี่ยนแปลง



คําตอบ 2 : ลดลง


คําตอบ 3 : เพิ่มขึ้น


คําตอบ 4 : ไมแนนอนขึ้นกับอุณหภูมิที่ใช

สภ
ขอที่ : 312
การทํา normalising เหล็กกลาไฮโปยูเทกตอยดตางจากการทํา full annealing เหล็กกลาดังกลาวที่
คําตอบ 1 : อุณหภูมิที่ใชในการอบ
คําตอบ 2 : บรรยากาศภายในเตา
คําตอบ 3 : อัตราการเย็นตัว
คําตอบ 4 : ชนิดของเตาที่ใช 158 of 195
ขอที่ : 313
กระบวนการใดตอไปนี้ทําใหความแข็งของเหล็กกลาเพิ่มขึ้น
คําตอบ 1 : annealing


คําตอบ 2 :

่ า
spheroidizing
คําตอบ 3 : tempering หลังการทําquenching


คําตอบ 4 : martempering

ขอที่ : 314

ํจาห

ในการทํา martempering เหล็กกลา

้ า
คําตอบ 1 : cementiteจะแตกตัวเปนเหล็กแอลฟาและคารบอน

ิธ์ ห
คําตอบ 2 : austenite จะเปลี่ยนไปเปน pearlite
คําตอบ 3 : austenite จะเปลี่ยนไปเปน martensite

ิท
คําตอบ 4 : austenite จะเปลี่ยนไปเปน bainite

นส

ขอที่ : 315


ในการเปลี่ยนแปลงของออสเทไนต (austenitic transformation) ในเหล็กกลา อัตราการเย็นตัววิกฤต (critical cooling rate) ขึ้นอยูกับ


คําตอบ 1 : ปริมาณคารบอนในเหล็กกลา


คําตอบ 2 : ขนาดเกรนของออสเทไนต


คําตอบ 3 : ทั้งปริมาณคารบอนในเหล็กกลาและขนาดเกรนของออสเทไนต


คําตอบ 4 : อุณหภูมิที่เริ่มเย็นตัว

วก


ขอที่ : 316


ขอใดมิใชกระบวนการ heat treatment


สภ
คําตอบ 1 : stress-relief annealing
คําตอบ 2 : tempering
คําตอบ 3 : casting
คําตอบ 4 : normalizing

ขอที่ : 317
Natural ageing เกิดขึ้นที่อุณหภูมิ
159 of 195
คําตอบ 1 : ต่ํา
คําตอบ 2 : สูง
คําตอบ 3 : หอง
คําตอบ 4 : ประมาณ 200 องศาเซลเซียส

่ าย

ขอที่ : 318

ํจาห
กระบวนการ carburising โดยทั่วไปใชเวลา
คําตอบ 1 : ไมเกินหนึ่งชั่วโมง
คําตอบ 2 : หนึ่งชั่วโมง


คําตอบ 3 : สองชั่วโมง

้ า
คําตอบ 4 : มากกวาแปดหรือเกาชั่วโมง

ขอที่ : 319
ิธ์ ห
ิท
กระบวนการที่ทําใหผิวของเหล็กกลามีทั้งคารบอนและไนโตรเจนอิ่มตัวในบรรยากาศของกาซเรียกวา


คําตอบ 1 :


cyaniding


คําตอบ 2 : carbonitriding


คําตอบ 3 : nitriding


คําตอบ 4 : carburising

ขอที่ :

ร ขอ
320


ในการทํา carburising การแทรกซึมของคารบอนเขาไปในเหล็กกลาไมขึ้นกับ


คําตอบ 1 : อุณหภูมิ



คําตอบ 2 : เวลา

าว
คําตอบ 3 : สารที่ใชทํา carburising

สภ
คําตอบ 4 : ความดันบรรยากาศ

ขอที่ : 321
ในการทํา heat treatment จะไดอัตราการเย็นตัวจะชาที่สุดใน

คําตอบ 1 : น้ํามัน
คําตอบ 2 : น้ํา
คําตอบ 3 : น้ําเกลือ 160 of 195
คําตอบ 4 : อากาศ

ขอที่ : 322


การทํา sub-zero treatment ตอเหล็กกลาที่ถูกทําใหแข็งขึ้นมีวัตถุประสงคเพื่อ

่ า
คําตอบ 1 : ลดความแข็งของเหล็กกลา


คําตอบ 2 : ลดความตานทานตอการเสียดสี ( wear ) ของเหล็กกลา

ํจาห
คําตอบ 3 : ลดปริมาณ retained austeniteในเหล็กกลาที่ถูกทําใหแข็งขึ้น
คําตอบ 4 : เพิ่มปริมาณretained austeniteในเหล็กกลาที่ถูกทําใหแข็งขึ้น

้ าม
ขอที่ : 323

ิธ์ ห
การทําใหเหล็กกลาเย็นตัวอยางรวดเร็ว (quenching)มีวัตถุประสงคหลักเพื่อเปลี่ยน austeniteไปเปน
คําตอบ 1 : pearlite
คําตอบ 2 :

ิท
ferrite
คําตอบ 3 :


martensite
คําตอบ 4 :


bainite

ขอที่ : 324

ง ว

ขอใดเปนเฟสที่แข็งที่สุด

ขอ
คําตอบ 1 : ferrite


คําตอบ 2 : austenite


คําตอบ 3 : cementite


คําตอบ 4 : pearlite

าวศ

ขอที่ : 325

สภ
ในกรรมวิธี pack carburising เราใชอะไรเปนตัวใหคารบอน
คําตอบ 1 : กาซมีเทน
คําตอบ 2 : กาซคารบอนมอนอกไซด
คําตอบ 3 : ถานไม
คําตอบ 4 : เกลือโซเดียมไซยาไนดและแบเรียมคลอไรดหลอมเหลว

ขอที่ : 326 161 of 195


สารใดตอไปนี้สามารถใชเปน energiser ในกรรมวิธี pack carburising
คําตอบ 1 : โซเดียมซัลเฟต
คําตอบ 2 : โซเดียมคลอไรด
คําตอบ 3 : แบเรียมคารบอเนต


คําตอบ 4 : แบเรียมคลอไรด

น่ า
ํจาห
ขอที่ : 327
ขอใดไมใชกรรมวิธี heat treatment
คําตอบ 1 : carburising


คําตอบ 2 :

้ า
spheroidising
คําตอบ 3 :

ิธ์ ห
galvanizing
คําตอบ 4 : normalising

ิท
ขอที่ : 328


Internal stress ในวัตถุสามารถลดไดโดยการทํา

วน
คําตอบ 1 : forging


คําตอบ 2 : extrusion


คําตอบ 3 : annealing


คําตอบ 4 : quenching

ขอที่ :

ก ร ข
329


ถาเหล็กกลาคารบอนที่มีคารบอน 0.3 เปอรเซ็นต ถูกปลอยใหเย็นตัวลงมาอยางชาๆจาก 1000 องศาเซลเซียสไปที่ 800 องศาเซลเซียส โครงสรางจุลภาคที่ไดจะ



คําตอบ 1 :


pearlite


คําตอบ 2 : ferrite และ austenite

สภ
คําตอบ 3 : pearlite และ cementite
คําตอบ 4 : ferrite และ pearlite

ขอที่ : 330
Malleable iron ทํามาจาก
คําตอบ 1 : เหล็กหลอเทาโดยผานกระบวนการ annealing
คําตอบ 2 : เหล็กหลอแกรไฟตกลม 162 of 195
คําตอบ 3 : เหล็กกลาเจือโดยผานกระบวนการ annealing
คําตอบ 4 : เหล็กหลอขาวโดยผานกระบวนการ annealing


ขอที่ : 331

่ า
หากตองการอบชุบเหล็กกลาเพื่อคลายความเคนภายในเหล็กกลาที่ผานการชุบแข็งมาควรเลือกกระบวนการใดตอไปนี้


คําตอบ 1 : Quenching

ํจาห
คําตอบ 2 : Tempering
คําตอบ 3 : Normalizing
คําตอบ 4 : Full Annealing

้ าม
ิธ์ ห
ขอที่ : 332
หากตองการอบชุบดาบเหล็กกลา 0.6 %C ใหมีความแข็งเหมาะตอการนําไปใชงานควรเลือกกระบวนการใดตอไปนี้
คําตอบ 1 :

ิท
Quenching
คําตอบ 2 :


Tempering
คําตอบ 3 :


Normalizing


คําตอบ 4 : Full Annealing

ขอที่ :

สง

333
หากตองการอบชุบเหล็กกลาเพื่อเพิ่มความสามารถในการกลึง (Machinability) ควรเลือกกระบวนการใดตอไปนี้

ร ข
คําตอบ 1 : Quenching


คําตอบ 2 : Tempering


คําตอบ 3 : Normalizing



คําตอบ 4 :


Full Annealing


สภ
ขอที่ : 334
หากตองการอบชุบโลหะเพื่อเพิ่มความเหนียวใหกับเหล็กกลาที่ตองการนําไปขึ้นรูปตอควรเลือกกระบวนการใดตอไปนี้
คําตอบ 1 : Quenching
คําตอบ 2 : Tempering
คําตอบ 3 : Normalizing
คําตอบ 4 : Full Annealing

163 of 195
ขอที่ : 335
ขอใดตอไปนี้กลาวถึงวิธีการทํา Normalizing เหล็กกลา AISI 1090 ไดอยางถูกตอง
คําตอบ 1 : อบที่อุณหภูมิสูงกวาเสน A3 ประมาณ 50K เปนระยะเวลานานพอที่จะทําใหอุณหภูมิสม่ําเสมอแลวปลอยใหเย็นตัวในเตา
คําตอบ 2 : อบที่อุณหภูมิสูงกวาเสน Acm ประมาณ 50K เปนระยะเวลานานพอที่จะทําใหอุณหภูมิสม่ําเสมอแลวปลอยใหเย็นตัวในอากาศ


คําตอบ 3 : อบที่อุณหภูมิสูงกวาเสน A1 ประมาณ 50K เปนระยะเวลานานพอที่จะทําใหอุณหภูมิสม่ําเสมอแลวปลอยใหเย็นตัวในอากาศ

่ า
คําตอบ 4 : อบที่อุณหภูมิสูงกวาเสน Acm ประมาณ 50K เปนระยะเวลานานพอที่จะทําใหอุณหภูมิสม่ําเสมอแลวปลอยใหเย็นตัวในเตา


ํจาห
ขอที่ : 336
ขอใดตอไปนี้กลาวถึงวิธีการทํา Full Annealing เหล็กกลา AISI 1040 ไดอยางถูกตอง


คําตอบ 1 : อบที่อุณหภูมิสูงกวาเสน A3 ประมาณ 50K เปนระยะเวลานานพอที่จะทําใหอุณหภูมิสม่ําเสมอแลวปลอยใหเย็นตัวในเตา

้ า
คําตอบ 2 : อบที่อุณหภูมิสูงกวาเสน A3 ประมาณ 50K เปนระยะเวลานานพอที่จะทําใหอุณหภูมิสม่ําเสมอแลวปลอยใหเย็นตัวในอากาศ

ิธ์ ห
คําตอบ 3 : อบที่อุณหภูมิสูงกวาเสน A1 ประมาณ 50K เปนระยะเวลานานพอที่จะทําใหอุณหภูมิสม่ําเสมอแลวปลอยใหเย็นตัวในอากาศ
คําตอบ 4 : อบที่อุณหภูมิสูงกวาเสน Acm ประมาณ 50K เปนระยะเวลานานพอที่จะทําใหอุณหภูมิสม่ําเสมอแลวปลอยใหเย็นตัวในเตา

ขอที่ : 337

สิท
วน
แดจังกึมขับรถยนตทางไกล แลวพบวาเกิดเพลิงไหมในหองเครื่อง แดจังกึมทราบวาไมควรดับเพลิงไหมดวยน้ํา เพราะเหตุใด


คําตอบ 1 : เพราะน้ําจะกลายเปนไอมีแรงดันสูงอาจเกิดอันตรายได


คําตอบ 2 : เพราะน้ําจะทําใหเครื่องยนตเปนสนิม


คําตอบ 3 : เพราะน้ําทําใหเครื่องยนตเย็นตัวอยางรวดเร็วและเกิดความเคนตกคาง


คําตอบ 4 : เพราะน้ําเปนทรัพยากรที่มีคา ควรประหยัด ไมเชนนั้นลูกหลานจะไมมีน้ําใช

ก ร

ขอที่ : 338



ขอใดเปนกลไกหลักที่เกิดขึ้นเมื่อชิ้นงานเกิด Plastic deformation

าว
คําตอบ 1 : Slip

สภ
คําตอบ 2 : Grain boundary sliding
คําตอบ 3 : Diffusional creep
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ

ขอที่ : 339
ขอใดหมายถึง Slip system

คําตอบ 1 : ระนาบเลื่อน 164 of 195


คําตอบ 2 : ทิศทางการเลื่อน
คําตอบ 3 : ระนาบเลื่อน และทิศทางของระนาบเลื่อน
คําตอบ 4 : ระนาบเลื่อน และทิศทางการเลื่อนบนระนาบ

่ าย
ขอที่ : 340


ขอใดเปน Slip system ของโลหะที่มีผลึกแบบ FCC

ํจาห
คําตอบ 1 : {111} <110>
คําตอบ 2 : {110} <111>
คําตอบ 3 : {111} <100>


คําตอบ 4 :

้ า
{110} <100>

ิธ์ ห
ขอที่ : 341
Slip system ที่เปนไปไดสําหรับโลหะที่มีผลึกแบบ FCC มีทั้งหมดกี่ระบบ

ิท
คําตอบ 1 :


3
คําตอบ 2 :


6


คําตอบ 3 : 9


คําตอบ 4 : 12

ขอที่ :

อ ส

342


Slip system ที่เปนไปไดสําหรับโลหะที่มีผลึกแบบ HCP มีทั้งหมดกี่ระบบ


คําตอบ 1 : 3


คําตอบ 2 : 6



คําตอบ 3 :


9


คําตอบ 4 : 12

สภ
ขอที่ : 343
เหตุใดโลหะที่มีผลึกเดี่ยว (Single crystal) แบบ HCP จึงมีอัตราสเตรนฮารเดนนิง (Strain hardening rate) ต่ํา
คําตอบ 1 : เพราะโลหะ HCP มีจุดหลอมเหลวต่ํา การยืดตัวจึงเกิดขึ้นไดงาย
คําตอบ 2 : เพราะโลหะ HCP มีจํานวน Slip system นอย โอกาสที่ดิสโลเคชันเกิดการตัดกันจึงคอนขางนอย
คําตอบ 3 : เพราะโลหะ HCP มีการเรียงตัวของผลึกที่หนาแนน การเลื่อนตัว (Slip) ของดิสโลเคชันจึงเกิดไดงาย
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ
165 of 195
ขอที่ : 344
เหตุใดความเคนเฉือนวิกฤติ (Critical resolved shear stress) ของโลหะจึงเพิ่มตามปริมาณอะตอมปนเปอนที่มีอยูในโลหะ
คําตอบ 1 : เพราะอะตอมปนเปอนในโลหะทําใหการเลื่อน (Slip) ของดิสโลเคชันเกิดไดยากขึ้น


คําตอบ 2 : เพราะอะตอมปนเปอนในโลหะทําใหแลททิซเกิดการเปลี่ยนรูปไป

่ า
คําตอบ 3 : เพราะอะตอมปนเปอนในโลหะทําใหจุดหลอมเหลวของโลหะเพิ่มสูงขึ้น


คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ

ขอที่ : 345
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
166 of 195
รูปดานลางแสดงใหเห็นความสัมพันธระหวาง Stress และ Strain ของผลึกเดี่ยว FCC ขณะรับแรงดึง โดยชวง I, II และ III เปนการเปลี่ยนแปลง 3 ขั้นตอนที่เกิด
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : Easy glide, Linear hardening, Parabolic hardening
คําตอบ 2 : Easy glide, Linear hardening, Softening
คําตอบ 3 : Parabolic hardening, Linear hardening, Easy glide
คําตอบ 4 : Yielding, Hardening, Softening

ขอที่ : 346
ทิศทางใดในผลึกเดี่ยว FCC ที่ไมเกิดการเลื่อน (Slip) ขึ้นเมื่อออกแรงดึงผลึกในทิศทาง [001]
167 of 195
คําตอบ 1 : [-101]
คําตอบ 2 : [-110]
คําตอบ 3 : [101]
คําตอบ 4 : [0-11]

่ าย

ขอที่ : 347

ํจาห
ผลึกเดี่ยว FCCที่มีรูปรางเปนทรงกระบอกขนาดเสนผาศูนยกลาง 10 mm ถูกแรงดึงกระทําในทิศทาง [131] ทําใหเกิดการเลื่อนขึ้นบนระนาบและทิศทาง (11-1)
คําตอบ 1 : 18.42 N
คําตอบ 2 : 30.08 N


คําตอบ 3 :

้ า
35.27 N
คําตอบ 4 :

ิธ์ ห
45.23 N

ขอที่ :

ิท
348

นส
ง ว
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
168 of 195
เมื่อพิจารณาจาก Stereographic projection ที่แสดงใหเห็น Active slip systems ของผลึกเดี่ยว FCC ดานลาง ขอใดเปนจํานวน Active slip systems ที่เกิด
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว คําตอบ 1 :

สภ
1
คําตอบ 2 : 4
คําตอบ 3 : 6
คําตอบ 4 : 8

ขอที่ : 349

169 of 195
เมื่อพิจารณาจาก Stereographic projection ที่แสดงใหเห็น Active slip systems ของผลึกเดี่ยว FCC ดานลาง ขอใดเปนจํานวน Active slip systems ที่เกิด
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว คําตอบ 1 :

สภ
1
คําตอบ 2 : 4
คําตอบ 3 : 6
คําตอบ 4 : 8

ขอที่ : 350

170 of 195
เมื่อพิจารณาจาก Stereographic projection ที่แสดงใหเห็น Active slip systems ของผลึกเดี่ยว FCC ดานลาง ขอใดเปนจํานวน Active slip systems ที่เกิด
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว คําตอบ 1 :

สภ
1
คําตอบ 2 : 4
คําตอบ 3 : 6
คําตอบ 4 : 8

ขอที่ : 351

171 of 195
เมื่อพิจารณาจากรูปดานลาง ขอใดเปนผลึกเดี่ยว FCC ที่มี Active slip systems นอยที่สุด
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ร ข
คําตอบ 1 : A


คําตอบ 2 : B


คําตอบ 3 : C



คําตอบ 4 : D

าว
สภ
ขอที่ : 352
ขอใดเปน Active slip system ของผลึกเดี่ยว FCC เมื่อแรงดึงผลึกอยูในทิศทาง [123]
คําตอบ 1 : ระนาบเลื่อน ( 1-1-1) และทิศทางเลื่อน [ 101]
คําตอบ 2 : ระนาบเลื่อน ( 1-1-1) และทิศทางเลื่อน [110 ]
คําตอบ 3 : ระนาบเลื่อน (11-1 ) และทิศทางเลื่อน [ 101]
คําตอบ 4 : ระนาบเลื่อน (11-1 ) และทิศทางเลื่อน [ 1-10]

172 of 195
ขอที่ : 353
ขอใดเปน Slip systems ของโลหะที่มีผลึกแบบ BCC
คําตอบ 1 : {110} <111>
คําตอบ 2 : {112} <111>


คําตอบ 3 :

่ า
{123} <111>
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ


ํจาห
ขอที่ : 354

้ าม
ิธ์ ห
สิท

คําตอบ 1 : 0.250


คําตอบ 2 : 0.728


คําตอบ 3 : 0.499


คําตอบ 4 : 1.201

ขอที่ :

ร ขอ
355


ขอใดเปนขอเสียของ Hot working


คําตอบ 1 : ใชพลังงานนอยในการทําใหโลหะเสียรูปอยางถาวร

วศ

คําตอบ 2 : ใหความเหนียวนอยเมื่อเทียบกับ Cold working


คําตอบ 3 : เกิดการตกผลึกซ้ําในระหวางทําการขึ้นรูป (Recrystallization)

สภ
คําตอบ 4 : เกิด Oxidation

ขอที่ : 356
Degree of deformation ที่มากขึ้น มีผลตอสมบัติเชิงกลของเหล็กกลาคารบอนต่ําอยางไร
คําตอบ 1 : ความแข็งลดลง
คําตอบ 2 : ความตานแรงดึงลดลง
คําตอบ 3 : % การยืดตัวลดลง 173 of 195
คําตอบ 4 : ความแข็งเพิ่มขึ้นแตความตานแรงดึงลดลง

ขอที่ : 357


โดยทั่วไป degree of deformation ที่มากขึ้น มีผลตออุณหภูมิเริ่มตนของการเกิด recrystallization ของโลหะอยางไร

่ า
คําตอบ 1 : ลดลง


คําตอบ 2 : เพิ่มขึ้น

ํจาห
คําตอบ 3 : ไมมีผล
คําตอบ 4 : ไมแนนอนขึ้นกับชนิดของโลหะ

้ าม
ขอที่ : 358

ิธ์ ห
โดยทั่วไป Creep rate จะเปลี่ยนแปลงอยางไร เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
คําตอบ 1 : เพิ่มขึ้น
คําตอบ 2 : ลดลง

ิท
คําตอบ 3 : ไมเปลี่ยนแปลง


คําตอบ 4 : ไมแนนอน ขึ้นกับชนิดของโลหะ

ขอที่ : 359

ง วน

ปรากฏการณจุดคราก (Yield Point Phenomena) ในเหล็กกลาคารบอนปานกลาง เกี่ยวของกับขอใด

ขอ
คําตอบ 1 : อะตอมตัวถูกละลายชนิดแทนที่ กับ การเคลื่อนที่ของดิสโลเคชัน


คําตอบ 2 : อะตอมตัวถูกละลายชนิดแทรก กับ การเคลื่อนที่ของดิสโลเคชัน


คําตอบ 3 : อะตอมตัวถูกละลายชนิดแทนที่ กับ การแพร


คําตอบ 4 : อะตอมตัวถูกละลายชนิดแทรก กับ การแพร

าวศ

ขอที่ : 360

สภ
ปรากฏการณ Strain Aging เกี่ยวของกับกระบวนการหรือปรากฏการณใด
คําตอบ 1 : การมีจุดคราก (Yield Point) ในโลหะบางชนิด
คําตอบ 2 : การบมแข็ง (Age Hardening)
คําตอบ 3 : การบม (Aging)
คําตอบ 4 : การเกิด Strain Hardening

ขอที่ : 361 174 of 195


ขอใดเปน Slip System ที่เปนไปไดในระบบผลึก FCC (Face-centered Cubic)
คําตอบ 1 : {111}/<111>
คําตอบ 2 : {100}/<011>

่ าย
คําตอบ 3 :


ํจาห
คําตอบ 4 :

้ าม
ิธ์ ห
ขอที่ : 362
จํานวน Slip Systems ที่เปนไปไดในระบบผลึก FCC (Face-centered Cubic) คือ

ิท
คําตอบ 1 : 3


คําตอบ 2 : 6


คําตอบ 3 : 9


คําตอบ 4 :


12

ขอที่ :


363



สังกะสีซึ่งมีโครงสรางผลึก HCP มี Slip Plane เดียวคือ {0001} ดังนั้นสังกะสีมี Slip Systems กี่ระบบ


คําตอบ 1 :


1


คําตอบ 2 : 2



คําตอบ 3 : 3


คําตอบ 4 : 4


สภ
ขอที่ : 364

กําหนดความสัมพันธของแรงที่กระทําบนผลึกโลหะ และทิศทางของ Slip Direction ดังในรูป


175 of 195
ขอใดคือ สมการสําหรับหาคา Resolved Shear Stress ที่เกิดขึ้นบน Slip System ที่กําลังสนใจในรูปนี้
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 :

176 of 195
คําตอบ 2 :

่ าย

ํจาห
คําตอบ 3 :

้ าม
ิธ์ ห
สิท
คําตอบ 4 :

ง วน
ขอที่ :


365

ร ข
โลหะชิ้นหนึ่งประกอบดวยผลึก (เกรน) เพียงผลึกเดียว ภายใตเงื่อนไขของแรงกระทําในขอใด ที่จะเกิดการ Slip ขึ้นกับผลึกนี้


คําตอบ 1 : Resolved Shear Stress > Critical Resolved Shear Stress


คําตอบ 2 : ทิศทางของแรงกระทําขนานกับ Slip Plane



คําตอบ 3 : ทิศทางของแรงกระทําขนานกับทิศของ Slip Direction


คําตอบ 4 : ทิศทางของแรงกระทําตั้งฉากกับ Slip Plane


สภ
ขอที่ : 366
ปจจัยใดใชเปนเกณฑแบงแยกระหวางการแตกหักแบบเหนียวและแบบเปราะ
คําตอบ 1 : ขนาดของความเคนที่ทําใหเกิดการแตกหัก
คําตอบ 2 : ทิศทางของแรงกระทํา
คําตอบ 3 : ปริมาณการแปรรูปถาวรที่เกิดขึ้นกอนแตกหัก
คําตอบ 4 : ระยะเวลาในการแตกหัก
177 of 195
ขอที่ : 367
โลหะที่มีโครงสรางผลึกแบบ FCC มีพฤติกรรมดานการแปรรูปถาวร และ สมบัติดานความแกรง (Toughness) อยางไร
คําตอบ 1 : เหนียวที่อุณหภูมิสูง เปราะที่อุณหภูมิต่ํา


คําตอบ 2 : เหนียวทุกชวงอุณหภูมิ

่ า
คําตอบ 3 : เปราะทุกชวงอุณหภูมิ


คําตอบ 4 : เหนียวที่อุณหภูมิต่ํา เปราะที่อุณหภูมิสูง

ขอที่ : 368

ํจาห

โลหะที่มีโครงสรางผลึกแบบ BCC มีพฤติกรรมดานการแปรรูปถาวร และ สมบัติดานความแกรง (Toughness) อยางไร

้ า
คําตอบ 1 : เหนียวที่อุณหภูมิสูง เปราะที่อุณหภูมิต่ํา

ิธ์ ห
คําตอบ 2 : เหนียวทุกชวงอุณหภูมิ
คําตอบ 3 : เปราะทุกชวงอุณหภูมิ

ิท
คําตอบ 4 : เหนียวที่อุณหภูมิต่ํา เปราะที่อุณหภูมิสูง

นส

ขอที่ : 369


โลหะที่มีโครงสรางผลึกแบบ HCP มีพฤติกรรมดานการแปรรูปถาวร และ สมบัติดานความแกรง (Toughness) อยางไร


คําตอบ 1 : เหนียวที่อุณหภูมิสูง เปราะที่อุณหภูมิต่ํา


คําตอบ 2 : เหนียวทุกชวงอุณหภูมิ


คําตอบ 3 : เปราะทุกชวงอุณหภูมิ


คําตอบ 4 : เหนียวที่อุณหภูมิต่ํา เปราะที่อุณหภูมิสูง

วก


ขอที่ : 370


กลไกในขอใดไมเกี่ยวของกับการแปรรูปถาวรของโลหะ


สภ
คําตอบ 1 : การเกิดนิวเคลียส
คําตอบ 2 : การเคลื่อนที่ของดิสโลเคชัน
คําตอบ 3 : การ Slip ของระนาบชนิด Close-packed
คําตอบ 4 : การเคลื่อนที่ของอะตอมไปยังตําแหนงใหมโดยยังรักษาโครงสรางผลึกเดิม

ขอที่ : 371
ขอใดไมใชผลของการแปรรูปถาวรของโลหะ
178 of 195
คําตอบ 1 : โลหะมีความเหนียวเพิ่มขึ้น
คําตอบ 2 : ปริมาณ (ความหนาแนน) ของดิสโลเคชันสูงขึ้น
คําตอบ 3 : เกิด Work Hardening
คําตอบ 4 : โลหะไมสามารถกลับไปสูรูปรางเดิมแมวาแรงกระทําภายนอกนั้นถูกปลดออกแลวก็ตาม

่ าย

ขอที่ : 372

ํจาห
Frank-Read Source เกี่ยวของกับขอใดในตอไปนี้
คําตอบ 1 : Dislocation Generator
คําตอบ 2 : Vacancies Generator


คําตอบ 3 :

้ า
Stress Generator
คําตอบ 4 :

ิธ์ ห
Diffusion

ขอที่ : 373

ิท
ขอใดตอไปนี้ที่ไมเกี่ยวของกับการเกิด Slip ในโครงสรางของโลหะ


คําตอบ 1 :


Resolved Shear Stress


คําตอบ 2 : Critical Resolved Shear Stress


คําตอบ 3 : Dislocation Climb


คําตอบ 4 : Slip Direction

ขอที่ :

ร ขอ
374


Edge Dislocation ไมสามารถเคลื่อนที่ในแบบใดได


คําตอบ 1 : Easy Glide



คําตอบ 2 :


Climb


คําตอบ 3 : Cross Slip

สภ
คําตอบ 4 : เคลื่อนที่ไปตาม Slip Plane

ขอที่ : 375
Dislocation ชนิดใดที่สามารถทําใหเกิด Cross Slip ได
ก. Edge Dislocation
ข. Screw Dislocation
คําตอบ 1 : ก.
คําตอบ 2 : ข. 179 of 195
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.


ขอที่ : 376

่ า
ขอใดเปนรองรอยจากการแปรรูปถาวรในโลหะ ซึ่งสังเกตพบไดในกลองจุลทรรศน


ก. Slip Bands
ข. Slip Lines

ํจาห
คําตอบ 1 : ก.
คําตอบ 2 : ข.


คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.

้ า
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.

ขอที่ : 377

ิธ์ ห
ิท
การเพิ่มจํานวนของดิสโลเคชัน เกิดไดจากกลไกใดตอไปนี้


คําตอบ 1 : Frank-Read Source


คําตอบ 2 : Matano Method


คําตอบ 3 :


Work Hardening
คําตอบ 4 :


Cross Slip

ขอที่ :

ร ขอ
378

วก
าวศ

สภ
180 of 195
ในรูปเปนการแสดงถึงการ slip ที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของ...
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ร ข
คําตอบ 1 : Edge Dislocation


คําตอบ 2 : Screw Dislocation


คําตอบ 3 : Mixed Dislocation



คําตอบ 4 : Cross Slip

าว
สภ
ขอที่ : 379

181 of 195
รูปดานลางแสดงใหเห็นเกรนของชิ้นงานที่ผานการรีดเย็น (Cold-worked) แลว และนํามาอบออน (Annealing) ที่อุณหภูมิคาหนึ่งที่เวลาตางๆ ขอใดเปนกลไกที่
่ าย

ํจาห
คําตอบ 1 : Recovery


คําตอบ 2 : Recrystallization

้ า
คําตอบ 3 : Grain growth

ิธ์ ห
คําตอบ 4 : Polygonization

ิท
ขอที่ : 380


รูปดานลางแสดงใหเห็นเกรนของชิ้นงานที่ผานการรีดเย็น (Cold-worked) แลว และนํามาอบออน (Annealing) ที่อุณหภูมิคาหนึ่งที่เวลาตางๆ ขอใดเปนกลไกที่

ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว คําตอบ 1 : Recovery


คําตอบ 2 : Recrystallization


คําตอบ 3 : Grain growth

สภ
คําตอบ 4 : Polygonization

ขอที่ : 381

182 of 195
รูปดานลางแสดงใหเห็นเกรนของชิ้นงานที่ผานการรีดเย็น (Cold-worked) แลว และนํามาอบออน (Annealing) ที่อุณหภูมิคาหนึ่งที่เวลาตางๆ ขอใดเปนกลไกที่
่ าย

ํจาห
คําตอบ 1 : Recovery


คําตอบ 2 : Recrystallization

้ า
คําตอบ 3 : Grain growth

ิธ์ ห
คําตอบ 4 : Polygonization

ิท
ขอที่ : 382


เมื่อนําชิ้นงานไปผานการรีดเย็น (Cold-worked) พลังงานบางสวนจะถูกสะสมอยูในชิ้นงานในรูปของพลังงานสะสม (Stored energy) ใหพิจารณาวาปริมาณของพ


คําตอบ 1 : ความบริสุทธิ์ (Purity) ของชิ้นงาน


คําตอบ 2 : อุณหภูมิรีดเย็น


คําตอบ 3 : ขนาดของเกรนในชิ้นงานกอนการรีดเย็น


คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ

ขอที่ :

ร ขอ
383

วก
ขอใดเปนกลไกการรีคอฟเวอรี (Recovery mechanisms) จากรูป A ไปเปนรูป B ดังแสดงดานลาง

าวศ

สภ
183 of 195
คําตอบ 1 : Subgrain growth
คําตอบ 2 : Subgrain coalescence
คําตอบ 3 : Polygonization
คําตอบ 4 : Geometrical coalescence

่ าย

ขอที่ : 384

ํจาห
ขอใดเปนกลไกการรีคอฟเวอรี (Recovery mechanisms) จากรูป A ไปเปนรูป D ดังแสดงดานลาง

้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
คําตอบ 1 : Subgrain growth


คําตอบ 2 : Subgrain coalescence



คําตอบ 3 : Polygonization


คําตอบ 4 :


Geometrical coalescence

สภ
ขอที่ : 385
ขอใดไมใชตัวแปรที่มีอิทธิพลตออัตราการรีคริสตัลไลเซชัน (Rate of recrystallization)
คําตอบ 1 : ความแข็ง (Hardness) ของชิ้นงาน
คําตอบ 2 : อุณหภูมิอบออน (Annealing temperature)
คําตอบ 3 : ความเครียดที่ชิ้นงานไดรับ (Amount of deformation)
คําตอบ 4 : ขนาดของเกรนกอนการรีดเย็น (Initial grain size)
184 of 195
ขอที่ : 386
ขอใดเปนการเคลื่อนที่ของดิสโลเคชันที่เกิดขึ้นในการโพลีโกไนเซชัน (Polygonization)
คําตอบ 1 : เลื่อน (Slip)


คําตอบ 2 : ปน (Climb)

่ า
คําตอบ 3 : เลื่อนขามระนาบ (Cross slip)


คําตอบ 4 : เลื่อน (Slip) และปน (Climb)

ขอที่ : 387

ํจาห

ขอใดสรุปถูกตอง เมื่อพิจารณาจากรูปดานลางที่แสดงใหเห็นขอมูลการรีคริสตัลไลเซชัน (Recrystallization) ของทองแดงบริสุทธิ์ 99.999% ที่ผานการรีดเย็น 9

ิธ์ ห้ า
สิท
ง วน

คําตอบ 1 : เมื่ออุณหภูมิอบออนสูงขึ้น เวลาที่ใชในการรีคริสตัลไลเซชัน (Recystallization time) 100% เร็วขึ้น


คําตอบ 2 : อัตราการรีคริสตัลไลเซชัน (Recystallization rate) มีขนาดคงที่ที่อุณหภูมิแตละคา

ร ข
คําตอบ 3 : เวลาที่ใชในการรีคริสตัลไลเซชัน (Recystallization time) 100% เปน 2 เทาของเวลาที่ใชในการรีคริสตัลไลเซชัน (Recystallization time)


คําตอบ 4 : การเพิ่มอุณหภูมิอบออนขึ้นมา 2 เทา ทําใหเวลาที่ใชในการรีคริสตัลไลเซชัน (Recystallization time) 100% ลดลง 2 เทา


ิ ว

ขอที่ : 388


สภ
185 of 195
ขอใดสรุปไมถูกตอง เมื่อพิจารณาจากกราฟดานลางที่แสดงความสัมพันธระหวางอุณหภูมิกับเวลาที่ใชในการรีคริสตัลไลเซชัน (Recrystallization) ของเซอรโคเ
่ าย

ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : ณ อุณหภูมิอบออนเดียวกัน ชิ้นงานที่มีการแปลงรูปหรือลดพื้นที่หนาตัดมากกวา จะใชเวลารีคริสตัลไลเซชัน (Recystallization time) สั้นลง
คําตอบ 2 : ในกรณีที่เวลารีคริสตัลไลเซชัน (Recystallization time) เทากัน ชิ้นงานที่มีการแปลงรูปหรือลดพื้นที่หนาตัดนอยกวา ตองใชอุณหภูมิอบออนส
คําตอบ 3 : พลังงานกระตุนในการรีคริสตัลไลเซชันของชิ้นงานทั้งสองมีขนาดเทากัน
คําตอบ 4 : ในกรณีที่เวลารีคริสตัลไลเซชัน (Recystallization time) เทากับ 1 ชั่วโมง อุณหภูมิอบออนจะสําหรับชิ้นงานที่ถูกลดพื้นที่หนาตัด 13% จะสูงก

ขอที่ : 389
ขอใดสงผลใหเกรนที่รีคริสตัลไลซ (Recrystallized grain) มีขนาดเล็ก ในที่นี้กําหนดใหอัตราการนิวคลีเอชัน (Nucleation rate)ของเกรนที่รีคริสตัลไลซเทากับ
186 of 195
คําตอบ 1 : GN สูง
คําตอบ 2 : GN ต่ํา
คําตอบ 3 : N/Gสูง
คําตอบ 4 : N/G ต่ํา

่ าย

ขอที่ : 390

ํจาห
ขอใดมีอิทธิพลตอขนาดของเกรนที่รีคริสตัลไลซ (Recrystallized grain) นอยที่สุด
คําตอบ 1 : ความเครียดที่ชิ้นงานไดรับกอนการอบออน
คําตอบ 2 : อุณหภูมิอบออน


คําตอบ 3 : ขนาดของเกรนกอนการอบออน

้ า
คําตอบ 4 : ความบริสุทธิ์ของชิ้นงาน

ขอที่ : 391
ิธ์ ห
ิท
ขอใดกลาวไมถูกตอง


คําตอบ 1 : Secondary recrystallization สงผลใหเกรนของชิ้นงานมีขนาดเล็กลง

วน
คําตอบ 2 : Secondary recrystallization เกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิอบออนเพิ่มสูงขึ้นจากการอบออนครั้งแรก


คําตอบ 3 : Secondary recrystallization เกิดขึ้นกับเกรนที่ถูกยับยั้งการเติบโตในการรีคริสตัลไลเซชันครั้งแรก


คําตอบ 4 : แรงผลักดัน (Driving force) ของ Secondary recrystallization คือ การลดพลังงานอิสระของขอบเกรนในชิ้นงาน

ขอที่ :

ร ขอ
392


สมบัติทางกายภาพขอใดของชิ้นงานที่ไมเปลี่ยนแปลงหลังจากผาน Cold-worked


คําตอบ 1 : ความแข็ง



คําตอบ 2 :


Tensile strength


คําตอบ 3 : ความตานทานไฟฟา

สภ
คําตอบ 4 : Modulus of elasticity

ขอที่ : 393
ใหพิจารณาวาสมควรหรือไมที่จะนําทองเหลืองที่ผานการรีดเย็นมาใชเปนชั้นวางชิ้นงานในเตาอบโดยเตาอบทํางานที่อุณหภูมิ 525°C และจุดหลอมเหลวของทอง

คําตอบ 1 : สมควร เพราะอุณหภูมิการใชงานไมสูงเกินไป


คําตอบ 2 : สมควร เพราะทองเหลืองมีราคาถูก
คําตอบ 3 : ไมสมควร เพราะที่อุณหภูมิดังกลาว จะเกิดการรีคริสตัลไลเซชัน (Recrystallization) ขึ้นทําใหความแข็งแรงลดลง 187 of 195
คําตอบ 4 : ไมสมควร เพราะทองเหลืองนําความรอนไมดี

ขอที่ : 394


ในการอบออนโลหะที่ผานการขึ้นรูปเย็นมานั้น จะเกิดปรากฏการณตาง ๆ เรียงตามลําดับเวลาอยางใด

่ า
คําตอบ 1 : Recovery - Recrystallization - Grain Growth


คําตอบ 2 : Recrystallization - Recovery - Grain Growth

ํจาห
คําตอบ 3 : Phase Transformation - Tempering - Annealing
คําตอบ 4 : Hardening - Tempering - Second Tempering

้ าม
ขอที่ : 395

ิธ์ ห
กลไกใดที่ไมใชกลไกของ Recovery ที่เกิดขึ้นระหวางการอบออนแผนอะลูมิเนียมที่ผานการรีดเย็น
คําตอบ 1 : การเกิด Polygonization
คําตอบ 2 : การหักลางกันของดิสโลเคชันเครื่องหมายตรงกันขาม

ิท
คําตอบ 3 : การไล point defect ไปที่ขอบเกรน


คําตอบ 4 : การขยายตัวของเกรนโดยการเคลื่อนที่ของขอบเกรน

ขอที่ : 396

ง วน

แรงขับเคลื่อน (Driving Force) ของการเกิด Grain Growth คือ

ขอ
คําตอบ 1 : ความตองการปลดปลอยพลังงานสะสมจากการขึ้นรูปเย็น


คําตอบ 2 : ความตองการลดพลังงานพื้นผิวโดยลดพื้นที่ของขอบเกรน


คําตอบ 3 : ความตองการลดพลังงานพื้นผิวโดยเพิ่มพื้นที่ของขอบเกรน


คําตอบ 4 : การเตรียมพรอมเพื่อใหเกรนมีทิศของผลึกเหมาะสมตอการแปรรูปถาวรภายใตแรงภายนอกตอไป

าวศ

ขอที่ : 397

สภ
ปจจัยในขอใดที่มีผลทําใหโลหะเกิดการตกผลึกใหมไดยากขึ้น (อุณหภูมิตกผลึกใหมสูงขึ้น)
คําตอบ 1 : โลหะผานการแปรรูปเย็นในปริมาณสูง
คําตอบ 2 : โลหะมีความบริสุทธิ์สูง
คําตอบ 3 : โลหะมีธาตุผสมอยูมาก
คําตอบ 4 : โลหะมีขนาดเกรนตั้งตนละเอียด

ขอที่ : 398 188 of 195


การเกิด recrystallization ในโลหะจะเร็วขึ้นเมื่อ
คําตอบ 1 : โลหะมี degree of deformation สูงขึ้น
คําตอบ 2 : โลหะมี degree of deformation ต่ําลง
คําตอบ 3 : ใชอุณหภูมิในการอบต่ําลง


คําตอบ 4 : ไมเกี่ยวกับอุณหภูมิที่ใชในการอบ

น่ า
ํจาห
ขอที่ : 399
Recrystallization เกิดไดดี
คําตอบ 1 : เมื่ออุณหภูมิที่ใชต่ํา


คําตอบ 2 : หากมีมลทิน(impurity) ในเนื้อโลหะมาก

้ า
คําตอบ 3 : หากมีมลทิน(impurity) ในเนื้อโลหะนอย

ิธ์ ห
คําตอบ 4 : อุณหภูมิและมลทิน(impurity)ในเนื้อโลหะไมใชปจจัย

ิท
ขอที่ : 400


ธาตุผสม (Alloying elements) ขอใดที่ลด Hardenability ของเหล็กกลา

วน
คําตอบ 1 : Molybdenum


คําตอบ 2 : Cobalt


คําตอบ 3 : Nickel


คําตอบ 4 : Manganese

ขอที่ :

ก ร ข
401


ความสามารถของเหล็กกลาในการฟอรม Martensite ขณะทําการชุบเย็น (Quenching) เรียกวา



คําตอบ 1 :


Hardening


คําตอบ 2 : Hardenability

สภ
คําตอบ 3 : Undercooling
คําตอบ 4 : Martensitization

ขอที่ : 402
ขอใดเปนชนิดของ Strengthening ที่แสดงอยูในรูปสมการของ Hall-Petch

คําตอบ 1 : Precipitation strengthening


คําตอบ 2 : Solid solution strengthening 189 of 195
คําตอบ 3 : Grain size strengthening
คําตอบ 4 : Work hardening


ขอที่ : 403

่ า
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับ Age-Hardening ในโลหะผสม Al-4 wt.%Cu


คําตอบ 1 : ในการบมแข็ง ณ อุณหภูมิคงที่ ความแข็งสูงสุด (Optimum hardness) ที่ไดจากการบมแข็งเพิ่มตามการเพิ่มของอุณหภูมิบมแข็ง (Aging tem

ํจาห
คําตอบ 2 : ในการบมแข็ง ณ อุณหภูมิคงที่ ระยะเวลาการบมเพื่อใหไดความแข็งสูงสุด (Optimum aging time) สั้นลง เมื่ออุณหภูมิบมแข็งเพิ่มสูงขึ้น
คําตอบ 3 : ในการบมแข็ง ณ อุณหภูมิคงที่ ความแข็งสูงสุด (Optimum hardness) ที่ไดจากการบมแข็งเพิ่มขึ้นเมื่อความเขมขนของทองแดงเพิ่มขึ้นเล็กน
คําตอบ 4 : ความแข็งแรงที่ไดจากการบมแข็งโลหะผสม Al-Cu เปน Precipitation hardening

้ าม
ิธ์ ห
ขอที่ : 404
ในการทําใหเหล็กกลาแข็งขึ้นดวยกระบวนการทางความรอน (Heat treatment) ปริมาณคารบอนในเหล็กกลาควรสูงกวาเทาใด
คําตอบ 1 :

ิท
0.022 wt.%
คําตอบ 2 :


0.25 wt.%
คําตอบ 3 :


0.40 wt.%


คําตอบ 4 : 0.77 wt.%

ขอที่ :

สง

405
Full annealing เกิดกับชิ้นงานที่เย็นตัว

ร ข
คําตอบ 1 : อยางชาๆ ภายในเตาที่ปดสวิทชแลว


คําตอบ 2 : เย็นตัวที่อุณหภูมิคงที่ในชวง 100-200°C


คําตอบ 3 : ชุบเย็นในน้ํามัน



คําตอบ 4 : ชุบเย็นในน้ํา

าว
สภ
ขอที่ : 406
การปรับปรุงสมบัติโดยวิธี Quenching มีกรรมวิธีอยางไร
คําตอบ 1 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวปลอยใหเย็นตัวชาๆในอากาศนิ่ง
คําตอบ 2 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวปลอยใหเย็นตัวชามากๆในเตาอบ
คําตอบ 3 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวทําใหเย็นตัวอยางรวดเร็วมากๆ
คําตอบ 4 : ใหความรอนกับเหล็กกลาที่อุณหภูมิสูงแตไมถึงอุณหภูมิ Austenite แลวคงไวเปนเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง แลวปลอยใหเย็นตัวชาๆในอากาศนิ่

190 of 195
ขอที่ : 407
การปรับปรุงสมบัติโดยวิธี Normalizing มีกรรมวิธีอยางไร
คําตอบ 1 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวปลอยใหเย็นตัวชาๆในอากาศนิ่ง
คําตอบ 2 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวปลอยใหเย็นตัวชามากๆในเตาอบ


คําตอบ 3 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวทําใหเย็นตัวอยางรวดเร็วมากๆ

่ า
คําตอบ 4 : ใหความรอนกับเหล็กกลาที่อุณหภูมิสูงแตไมถึงอุณหภูมิ Austenite แลวคงไวเปนเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง แลวปลอยใหเย็นตัวชาๆในอากาศนิ่


ํจาห
ขอที่ : 408
การปรับปรุงสมบัติโดยวิธี Full Anneal มีกรรมวิธีอยางไร


คําตอบ 1 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวปลอยใหเย็นตัวชาๆในอากาศนิ่ง

้ า
คําตอบ 2 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวปลอยใหเย็นตัวชามากๆในเตาอบ

ิธ์ ห
คําตอบ 3 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวทําใหเย็นตัวอยางรวดเร็วมากๆ
คําตอบ 4 : ใหความรอนกับเหล็กกลาที่อุณหภูมิสูงแตไมถึงอุณหภูมิ Austenite แลวคงไวเปนเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง แลวปลอยใหเย็นตัวชาๆในอากาศนิ่

ขอที่ : 409

สิท
วน
การปรับปรุงสมบัติโดยวิธี Spheroidizing มีกรรมวิธีอยางไร


คําตอบ 1 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวปลอยใหเย็นตัวชาๆในอากาศนิ่ง


คําตอบ 2 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวปลอยใหเย็นตัวชามากๆในเตาอบ


คําตอบ 3 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวทําใหเย็นตัวอยางรวดเร็วมากๆ


คําตอบ 4 : ใหความรอนกับเหล็กกลาที่อุณหภูมิสูงแตไมถึงอุณหภูมิ Austenite แลวคงไวเปนเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง แลวปลอยใหเย็นตัวชาๆในอากาศนิ่

ก ร

ขอที่ : 410



การอบชุบโดยวิธีใดที่ทําให Cementite ที่มีรูปรางเปนเสนเปลี่ยนรูปรางเปนกอนกลม

าว
คําตอบ 1 : Martempering

สภ
คําตอบ 2 : Bainitizing
คําตอบ 3 : Pearlitizing
คําตอบ 4 : Spheroidizing

ขอที่ : 411
การอบชุบโดยวิธีใดที่ชวยแกปญหาการเกิดการแตกราวของชิ้นงานได
คําตอบ 1 : Austempering 191 of 195
คําตอบ 2 : Bainitizing
คําตอบ 3 : Pearlitizing
คําตอบ 4 : Spheroidizing

่ าย
ขอที่ : 412


การอบชุบโดยวิธีใดใหโครงสราง Bainite เปนโครงสรางสุดทาย

ํจาห
คําตอบ 1 : Austempering
คําตอบ 2 : Bainitizing
คําตอบ 3 : Pearlitizing


คําตอบ 4 :

้ า
Spheroidizing

ิธ์ ห
ขอที่ : 413
การอบชุบโดยวิธี Martempering ใหโครงสรางใด

ิท
คําตอบ 1 :


Martensite
คําตอบ 2 :


Pearlite


คําตอบ 3 : Ferrite


คําตอบ 4 : Bainite

ขอที่ :

อ ส

414


ถาตองการใหไดชิ้นงานที่แข็งที่สุด ควรใชการอบชุบโดยวิธีใด


คําตอบ 1 : Full Anneal


คําตอบ 2 : Spheroidizing



คําตอบ 3 :


Quenching


คําตอบ 4 : Normalizing

สภ
ขอที่ : 415
ถาตองการใหไดชิ้นงานที่ออนที่สุด ควรใชการอบชุบโดยวิธีใด
คําตอบ 1 : Full Anneal
คําตอบ 2 : Spheroidizing
คําตอบ 3 : Quenching
คําตอบ 4 : Normalizing
192 of 195
ขอที่ : 416
วัตถุประสงคของการทํา annealing คือ
คําตอบ 1 : ทําใหเหล็กกลาแข็งขึ้น


คําตอบ 2 : ทําใหเหล็กกลาออนลง

่ า
คําตอบ 3 : เพิ่มคารบอนในเหล็กกลา


คําตอบ 4 : ลดคารบอนในเหล็กกลา

ขอที่ : 417

ํจาห

โดยทั่วไปกระบวนการ tempering จะนํามาใชกระทําตอเหล็กกลาหลังผานการทํา

้ า
คําตอบ 1 :

ิธ์ ห
annealing
คําตอบ 2 : normalizing
คําตอบ 3 : quenching

ิท
คําตอบ 4 : plastic deform

นส

ขอที่ : 418


ขอใดถูกตองถาอุณหภูมิของวัสดุสูงขึ้น


คําตอบ 1 : strength และ ductility เพิ่มขึ้น


คําตอบ 2 : strength และ ductility ลดลง


คําตอบ 3 : strength ลดลงแต ductility เพิ่มขึ้น


คําตอบ 4 : strength เพิ่มขึ้นแต ductility ลดลง

วก


ขอที่ : 419


เฟสใดตอไปนี้มีความตานแรงดึงต่ําสุด


สภ
คําตอบ 1 : ferrite
คําตอบ 2 : bainite
คําตอบ 3 : cementite
คําตอบ 4 : martensite

ขอที่ : 420
คาความตานแรงดึงของเฟอรไรตอยูที่ประมาณ
193 of 195
คําตอบ 1 : 10000 ปอนดตอตารางนิ้ว
คําตอบ 2 : 20000 ปอนดตอตารางนิ้ว
คําตอบ 3 : 40000 ปอนดตอตารางนิ้ว
คําตอบ 4 : 80000 ปอนดตอตารางนิ้ว

่ าย

ขอที่ : 421

ํจาห
กรรมวิธีใดตอไปนี้เปนการทํา themo-mechanical treatment ตอโลหะ
คําตอบ 1 : austempering
คําตอบ 2 : martempering


คําตอบ 3 :

้ า
tempering
คําตอบ 4 :

ิธ์ ห
ausforming

ขอที่ : 422

ิท
กรณีใดตอไปนี้ทําใหไดเกรน(grain)ของโลหะละเอียดที่สุด


คําตอบ 1 :


annealing


คําตอบ 2 : normalising


คําตอบ 3 : quenching


คําตอบ 4 : full annealing

ขอที่ :

ร ขอ
423


ขอความใดตอไปนี้ไมถูกตองสําหรับอธิบายเกี่ยวกับเฟส bainite


คําตอบ 1 : bainite ประกอบดวย ferrite และเหล็กคารไบด



คําตอบ 2 : bainite มีความแข็งอยูระหวาง pearlite และ martensite

าว
คําตอบ 3 : bainite มีความแข็งมากกวา pearlite

สภ
คําตอบ 4 : bainite มีความแข็งมากกวา martensite

ขอที่ : 424
เหล็กกลาในขอใดตอไปนี้นาจะรับแรงกระแทกไดนอยที่สุด
คําตอบ 1 : AISI 1010
คําตอบ 2 : AISI 1020
คําตอบ 3 : AISI 1045 194 of 195
คําตอบ 4 : AISI 10110

ขอที่ : 425


เหล็กกลาในขอใดตอไปนี้นาจะมีความแข็งสูงที่สุด

่ า
คําตอบ 1 : AISI 1010


คําตอบ 2 : AISI 1020

ํจาห
คําตอบ 3 : AISI 1045
คําตอบ 4 : AISI 10110

้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข

ิ ว
าว
สภ
195 of 195

You might also like