Professional Documents
Culture Documents
ข้อสอบภาคีวิศวกรเหมืองแร่ วิชา Physical Metallurgy
ข้อสอบภาคีวิศวกรเหมืองแร่ วิชา Physical Metallurgy
ขอที่ : 1
ย
โครงสรางผลึกแบบใดมีการเรียงตัวหนาแนนที่สุด
่ า
คําตอบ 1 : FCC
น
คําตอบ 2 : BCT
ํจาห
คําตอบ 3 : BCC
คําตอบ 4 : Tetragonal
้ าม
ขอที่ : 2
ิธ์ ห
ระนาบใดที่อะตอมเรียงตัวหนาแนนที่สุดในโครงสรางผลึกแบบ FCC
คําตอบ 1 : {100}
คําตอบ 2 :
ิท
{110}
ส
คําตอบ 3 : {111}
น
คําตอบ 4 : {112}
ขอที่ :
ง ว
ส
3
ระนาบใดที่อะตอมเรียงตัวหนาแนนที่สุดในโครงสรางผลึกแบบ BCC
ขอ
คําตอบ 1 : {100}
ร
คําตอบ 2 : {110}
ก
คําตอบ 3 : {111}
ว
คําตอบ 4 : {112}
าวศ
ิ
ขอที่ : 4
สภ
ทิศทางที่อะตอมเรียงตัวหนาแนนที่สุดในโครงสรางผลึกแบบ FCC
คําตอบ 1 : <100>
คําตอบ 2 : <110>
คําตอบ 3 : <111>
คําตอบ 4 : <112>
ขอที่ : 5 1 of 195
ทิศทางที่อะตอมเรียงตัวหนาแนนที่สุดในโครงสรางผลึกแบบ BCC
คําตอบ 1 : <100>
คําตอบ 2 : <110>
คําตอบ 3 : <111>
ย
คําตอบ 4 :
่ า
<112>
น
ํจาห
ขอที่ : 6
ที่มุมทั้งสามของ Standard Triangle Stereographic Projection สําหรับผลึกรูปลูกบาศกประกอบไปดวยทิศทางอะไรบาง
คําตอบ 1 : <000> <100> <110>
ม
คําตอบ 2 :
้ า
<000> <100> <111>
คําตอบ 3 :
ิธ์ ห
<000> <110> <111>
คําตอบ 4 : <100> <110> <111>
ิท
ขอที่ : 7
ส
ในแผนภาพ Stereographic projection ทิศทางหรือโพลของผลึกแสดงแทนดวยจุดบนแผนภาพ ในขณะที่ระนาบของผลึกแสดงแทนดวยเสนวงกลมหลัก (Grea
วน
คําตอบ 1 : ทิศทางของระนาบ
ง
คําตอบ 2 : ทิศทางที่ขนานหรืออยูบนระนาบ
ส
คําตอบ 3 : ทิศทางที่ทํามุมกับระนาบ
อ
คําตอบ 4 : ไมมีขอใดถูก
ขอที่ :
ก ร8
ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
2 of 195
คําตอบใดเปน Zone axis หรือทิศทางรวมของระนาบ (0-11) (10-1) และ (1-10)
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
3 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
4 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
5 of 195
คําตอบ 1 : a
คําตอบ 2 : b
คําตอบ 3 : c
คําตอบ 4 : d
่ าย
น
ขอที่ : 9
ํจาห
Polymorphism หมายถึง
คําตอบ 1 : ภาวะที่ธาตุแตละชนิดมีหลายโครงสราง โดยการเปลี่ยนโครงสรางหนึ่งไปเปนอีกโครงสรางหนึ่งขึ้นอยูกับอุณหภูมิและความดัน
คําตอบ 2 : ภาวะที่วัสดุมีหลายผลึก โดยแตละผลึกมีการเรียงตัวในทิศทางแบบไรระเบียบ
ม
คําตอบ 3 : ภาวะที่วัสดุมีหลายผลึก โดยการเรียงตัวของแตละผลึกมีแนวโนมไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
้ า
คําตอบ 4 : ภาวะที่สมบัติทางกายภาพของวัสดุมีขนาดเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางการเรียงตัวของผลึก
ขอที่ : 10
ิธ์ ห
ิท
ชนิดของชองวาง (Voids) ในผลึกของโลหะไดแก
ส
คําตอบ 1 : ชองวางเตตราฮีดรอล (Tetrahedral voids) และชองวางเฮกซาโกนอล (Hexagonal voids)
วน
คําตอบ 2 : ชองวางเฮกซาโกนอล (Hexagonal voids) และชองวางออกตาฮีดรอล (Octahedral voids)
ง
คําตอบ 3 : ชองวางเตตราฮีดรอล (Tetrahedral voids) และชองวางออกตาฮีดรอล (Octahedral voids)
ส
คําตอบ 4 : ชองวางเตตราฮีดรอล (Tetrahedral voids) ชองวางเฮกซาโกนอล (Hexagonal voids) และชองวางออกตาฮีดรอล (Octahedral voids)
ขอที่ :
ร ข
11
อ
ก
จํานวนโคออรดิเนชัน (Coordination number) ของชองวางเตตราฮีดรอล (Tetrahedral voids) เทากับเทาใด
ว
คําตอบ 1 : 4
ศ
ิ
คําตอบ 2 :
ว
5
า
คําตอบ 3 : 6
สภ
คําตอบ 4 : 8
ขอที่ : 12
จํานวนโคออรดิเนชัน (Coordination number) ของชองวางออกตาฮีดรอล (Octahedral voids) เทากับเทาใด
คําตอบ 1 : 4
คําตอบ 2 : 5
คําตอบ 3 : 6 6 of 195
คําตอบ 4 : 8
ขอที่ : 13
ย
ขอใดไมใช Polymorph ของเหล็ก
่ า
คําตอบ 1 : Alpha iron
น
คําตอบ 2 : Gamma iron
ํจาห
คําตอบ 3 : Cementite
คําตอบ 4 : Delta iron
้ าม
ขอที่ : 14
ิธ์ ห
ขอใดไมใชโครงสรางผลึกของโลหะ
คําตอบ 1 : BCC (Body-Centered Cubic)
คําตอบ 2 :
ิท
FCC (Face-Centered Cubic)
คําตอบ 3 :
ส
KFC (K - Faced Cubic)
คําตอบ 4 :
น
HCP (Hexagonal Closed Pack)
ขอที่ : 15
ง ว
ส
ขอใดตอไปนี้เปนการจับคูชนิดของโลหะและโครงสรางผลึกที่อุณหภูมิหองไดถูกตอง
ขอ
คําตอบ 1 : สังกะสี – BCC
ร
คําตอบ 2 : ตะกั่ว – FCC
ก
คําตอบ 3 : บิสมัท - KFC
ว
คําตอบ 4 : ทังสเตน - HCP
าวศ
ิ
ขอที่ : 16
สภ
โลหะชนิดใดตอไปนี้มี Atomic Packing Factor ต่ําที่สุดที่อุณหภูมิหอง
คําตอบ 1 : โครเมียม
คําตอบ 2 : โคบอลต
คําตอบ 3 : อะลูมิเนียม
คําตอบ 4 : ไททาเนียม
ขอที่ : 17 7 of 195
โลหะชนิดในขอใดตอไปนี้สามารถดึงขึ้นรูปเปนลวดไดดีที่สุด
คําตอบ 1 : โคบอลต
คําตอบ 2 : เหล็ก
คําตอบ 3 : ทองแดง
ย
คําตอบ 4 : แมกนีเซียม
น่ า
ํจาห
ขอที่ : 18
ขอใดตอไปนี้มีโครงสรางผลึกตางจากพวก
คําตอบ 1 : ตะกั่ว
ม
คําตอบ 2 : เบอริลเลียม
้ า
คําตอบ 3 : อะลูมิเนียม
ิธ์ ห
คําตอบ 4 : แพลทตินัม
ิท
ขอที่ : 19
ส
โมลิบดีนัมมีโครงสรางผลึกที่อุณหภูมิหองแบบ BCC และมีรัศมีอะตอมเทากับ 0.140 นาโนเมตร จงคํานวณหา Lattice Constant ของโมลิบดีนัม
วน
คําตอบ 1 : 0.323 นาโนเมตร
ง
คําตอบ 2 : 0.123 นาโนเมตร
ส
คําตอบ 3 : 0.223 นาโนเมตร
อ
คําตอบ 4 : 0.423 นาโนเมตร
ขอที่ :
ก ร ข
20
ว
ทองคํามี Lattice Constant เทากับ 0.40788 นาโนเมตรและมีโครงสรางผลึกที่อุณหภูมิหองแบบ FCC จงคํานวณหารัศมีอะตอมของทองคํา
ศ
ิ
คําตอบ 1 : 0.144 นาโนเมตร
าว
คําตอบ 2 : 0.244 นาโนเมตร
สภ
คําตอบ 3 : 0.344 นาโนเมตร
คําตอบ 4 : 0.444 นาโนเมตร
ขอที่ : 21
ทองแดงมีโครงสรางผลึกแบบ FCC ที่อุณหภูมิหองและมี Lattice Constant เทากับ 0.361 นาโนเมตร จงคํานวณหาระยะหางระหวางระนาบ (220) แตละระนาบ
ย
ขอที่ : 22
่ า
ทองแดงมีโครงสรางผลึกแบบ FCC และมีรัศมีอะตอมเทากับ 0.1278 นาโนเมตร จงคํานวณหาความถวงจําเพราะของทองแดง กําหนดให Atomic mass ของทอ
น
คําตอบ 1 : 8.98
ํจาห
คําตอบ 2 : 7.78
คําตอบ 3 : 9.68
คําตอบ 4 : 4.51
้ าม
ิธ์ ห
ขอที่ : 23
ขอใดเปน Miller Indice ของระนาบในภาพ
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : (100)
คําตอบ 2 : (110)
คําตอบ 3 : (111)
คําตอบ 4 : (010)
ขอที่ : 24
9 of 195
ขอใดเปน Miller Indice ของระนาบในภาพ
่ าย
น
ํจาห
คําตอบ 1 :
้ าม
ิธ์ ห
(110)
คําตอบ 2 : (100)
คําตอบ 3 : (111)
ิท
คําตอบ 4 : (010)
นส
ว
ขอที่ : 25
ง
ขอใดเปน Miller Indice ของระนาบในภาพ
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
คําตอบ 3 :
(111)
(100)
(110)
คําตอบ 4 : (010)
10 of 195
ขอที่ : 26
ขอใดเปน Miller Indice ของ Direction ในภาพ
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 1 : [100] และ [110]
คําตอบ 2 : [111] และ [100]
ิท
คําตอบ 3 : [110] และ [121]
ส
คําตอบ 4 : [100] และ [101]
ขอที่ : 27
ง วน
ส
ขอใดเปน Miller Indice ของ Direction ในภาพ
ร ขอ
วก
าวศ
ิ
สภ คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
คําตอบ 3 :
[111]
[100]
[110]
คําตอบ 4 : [001]
11 of 195
ขอที่ : 28
ขอใดเปน Miller Indice ของ Direction ในภาพ
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 1 : [210]
คําตอบ 2 : [100]
ิท
คําตอบ 3 : [110]
ส
คําตอบ 4 : [001]
ขอที่ : 29
ง วน
ส
ขอใดเปน Miller Indice ของ Equivalent Vector กับ Vector ในภาพ
ร ขอ
วก
าวศ
ิ
สภ คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
[110]
[210]
คําตอบ 3 : [100]
12 of 195
คําตอบ 4 : [001]
ขอที่ : 30
ย
สังกะสีมีโครงสรางเปน
่ า
คําตอบ 1 : B.C.C.
น
คําตอบ 2 : F.C.C.
ํจาห
คําตอบ 3 : H.C.P.
คําตอบ 4 : B.C.T.
้ าม
ขอที่ : 31
ิธ์ ห
ทองแดงมีโครงสรางเปน
คําตอบ 1 : B.C.C.
คําตอบ 2 :
ิท
F.C.C.
คําตอบ 3 :
ส
H.C.P.
คําตอบ 4 :
น
B.C.T.
ขอที่ : 32
ง ว
ส
โมลิบดีนัมมีโครงสรางเปน
ขอ
คําตอบ 1 : B.C.C.
ร
คําตอบ 2 : F.C.C.
ก
คําตอบ 3 : H.C.P.
ว
คําตอบ 4 : B.C.T.
าวศ
ิ
ขอที่ : 33
สภ
ความสัมพันธระหวางความยาวดานของ unit cell (a) และรัศมีของอะตอม (R) ในโครงสรางใดที่เขียนไดดวยสมการ
คําตอบ 1 : BCC
คําตอบ 2 : FCC
คําตอบ 3 : HCP
คําตอบ 4 : Simple Cubic 13 of 195
ขอที่ : 34
ความสัมพันธระหวางความยาวดานของ unit cell (a) และรัศมีของอะตอม (R) ใน โครงสรางใดที่เขียนไดดวยสมการ
่ าย
น
คําตอบ 1 : BCC
ํจาห
คําตอบ 2 : FCC
คําตอบ 3 : HCP
คําตอบ 4 : Simple Cubic
้ าม
ิธ์ ห
ขอที่ : 35
ความสัมพันธระหวางความยาวดานของ unit cell (a) และรัศมีของอะตอม (R) ใน โครงสราง Simple Cubic คือ
คําตอบ 1 : a = 2R
สิท
น
คําตอบ 2 :
ง ว
อ ส
คําตอบ 3 :
ก ร ข
คําตอบ 4 : a = 4R
ศ
ิ ว
ขอที่ :
ว
36
า
ความสัมพันธระหวางความยาวดานของ unit cell (a) และรัศมีของอะตอม (R) ใน โครงสราง Face-centered Cubic คือ
สภ
คําตอบ 1 : a = 2R
คําตอบ 2 :
คําตอบ 3 :
14 of 195
คําตอบ 4 : a = 4R
่ าย
น
ขอที่ : 37
ความสัมพันธระหวางความยาวดานของ unit cell (a) และรัศมีของอะตอม (R) ใน โครงสราง Body-centered Cubic คือ
ํจาห
คําตอบ 1 : a = 2R
้ าม
คําตอบ 2 :
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 3 :
นส
คําตอบ 4 : a = 4R
ง ว
ส
ขอที่ : 38
อ
โครงสราง Body Centered Cubic (BCC) มีเลขโคออดิเนชันเทากับเทาใด
ข
คําตอบ 1 : 6
ร
คําตอบ 2 : 8
วก
คําตอบ 3 : 12
ศ
ิ
คําตอบ 4 : 16
าว
ขอที่ :
สภ
39
โครงสราง Face Centered Cubic (FCC) มีเลขโคออดิเนชันเทากับเทาใด
คําตอบ 1 : 6
คําตอบ 2 : 8
คําตอบ 3 : 12
คําตอบ 4 : 16
15 of 195
ขอที่ : 40
โครงสราง Hexagonal Close-packed (HCP) มีเลขโคออดิเนชันเทากับเทาใด
คําตอบ 1 : 6
คําตอบ 2 : 8
ย
คําตอบ 3 :
่ า
12
คําตอบ 4 :
น
16
ํจาห
ขอที่ : 41
เพราะเหตุใดโลหะจึงไมมีคุณสมบัติโปรงแสง
ม
คําตอบ 1 : เพราะประกอบไปดวยพันธะอิออนิกผสมกับโควาเลนต
้ า
คําตอบ 2 : เพราะสามารถนําไฟฟาได
ิธ์ ห
คําตอบ 3 : เพราะมีความเปนแมเหล็ก
คําตอบ 4 : เพราะเปนวัสดุที่มีโครงสรางผลึก
ขอที่ : 42
สิท
วน
ขอใดไมใชโครงสรางผลึกพื้นฐานของโลหะ
ง
คําตอบ 1 : body-centered cubic
ส
คําตอบ 2 : face-centered cubic
อ
คําตอบ 3 : hexagonal-close-packed
ข
คําตอบ 4 : body-centered tetragonal
ก ร
ว
ขอที่ : 43
ศ
ิ
ขอใดคือ atomic packing factor (APF)
าว
คําตอบ 1 : รัศมีอะตอมใน unit cell / ปริมาตรของ unit cell
สภ
คําตอบ 2 : ปริมาตรของอะตอมทั้งหมดใน unit cell / ปริมาตรของ unit cell
คําตอบ 3 : เสนผาศูนยกลางของอะตอมใน unit cell / ปริมาตรของ unit cell
คําตอบ 4 : มวลของอะตอมใน unit cell / ปริมาตรของ unit cell
ขอที่ : 44
โลหะที่สามารถเปลี่ยนระบบผลึกเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลงเรียกปรากฏการณนี้วาอะไร
คําตอบ 1 : amorphous 16 of 195
คําตอบ 2 : meta stable
คําตอบ 3 : lattice parameter
คําตอบ 4 : allotropy
่ าย
ขอที่ : 45
น
โครงสรางผลึกแบบใดที่มีการเรียงตัวแบบอัดแนนที่สุด
ํจาห
คําตอบ 1 : FCC, BCC
คําตอบ 2 : FCC, HCP
คําตอบ 3 : BCC, HCP
ม
คําตอบ 4 : BCC, FCC และ HCP
ขอที่ : 46
ิธ์ ห้ า
ระนาบพื้นหรือ Basal Plane ใน HCP เขียนเปนดัชนีมิลเลอรไดเปน
ิท
คําตอบ 1 :
ส
(1000)
คําตอบ 2 :
น
(0100)
ว
คําตอบ 3 : (0010)
ง
คําตอบ 4 : (0001)
ขอที่ :
อ ส
ข
47
ร
ใน Stereographic Projection แสดงทิศทางหรือ Pole ของผลึกดวยอะไร
ก
คําตอบ 1 : จุด
ว
คําตอบ 2 : เสนตรง
ศ
ิ
คําตอบ 3 : เสนโคง
าว
คําตอบ 4 : พื้นที่
สภ
ขอที่ : 48
ใน Stereographic Projection แสดงระนาบของผลึกดวยอะไร
คําตอบ 1 : จุด
คําตอบ 2 : เสนตรง
คําตอบ 3 : เสนวงกลมหลัก (Great Circle)
คําตอบ 4 : พื้นที่
17 of 195
ขอที่ : 49
ขอใดมีความหมายเดียวกันกับ Polymorphism
คําตอบ 1 : Allotropy
ย
คําตอบ 2 :
่ า
Polycrystalline
คําตอบ 3 :
น
Crystallography
คําตอบ 4 : Amorphous
ขอที่ : 50
ํจาห
ม
จํานวนอะตอมตอหนึ่งยูนิตเซลลในโครงสรางผลึกแบบ FCC คือ
้ า
คําตอบ 1 :
ิธ์ ห
2
คําตอบ 2 : 4
คําตอบ 3 : 8
ิท
คําตอบ 4 : 14
นส
ว
ขอที่ : 51
สง
ร ขอ
วก
าวศ
ิ
สภ
18 of 195
รูปดานลางแสดงใหเห็นดิสโลเคชันแบบวงสี่เหลี่ยม I , II , III และ IV และทิศทางของเบอรเกอรเวกเตอร (Burger’s vector) และทิศทางของเสนดิสโลเคชันดัง
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : I และ II
คําตอบ 2 : III และ IV
คําตอบ 3 : I , II , III และ IV
คําตอบ 4 : ไมมีดิสโลเคชันใดเปนแบบสกูร
ขอที่ : 52 19 of 195
รูปดานลางแสดงใหเห็นดิสโลเคชันแบบวงสี่เหลี่ยม I , II , III และ IV และทิศทางของเบอรเกอรเวกเตอร (Burger’s vector) และทิศทางของเสนดิสโลเคชันดัง
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : I และ II
คําตอบ 2 : III และ IV
คําตอบ 3 : I , II , III และ IV
คําตอบ 4 : ไมมีดิสโลเคชันแบบขอบ
20 of 195
ขอที่ : 53
การเคลื่อนที่แบบปน (Climb) ของดิสโลเคชันแบบขอบ (Edge dislocation) เปนการเคลื่อนที่แบบ Non-conservation ซึ่งตองอาศัยกลไกอะไรมาชวยทําใหเกิ
คําตอบ 1 : การสรางและทําลายของวาเคนซี (Vacancies)
คําตอบ 2 : การแตกตัวของดิสโลเคชัน (Dislocation dissociation)
ย
คําตอบ 3 : การเลื่อนขามระนาบ (Cross-slip)
่ า
คําตอบ 4 : การตัดกันของวาเคนซี (Dislocation intersection)
น
ํจาห
ขอที่ : 54
การเลื่อนขามระนาบ (Cross slip) พบไดในดิสโลเคชันแบบใด และในโลหะที่มีสมบัติอยางไร
ม
คําตอบ 1 : ดิสโลเคชันแบบขอบ (Edge dislocation) และโลหะที่มี Stacking Fault Energy (SFE) ต่ํา
้ า
คําตอบ 2 : ดิสโลเคชันแบบขอบ (Edge dislocation) และโลหะที่มี Stacking Fault Energy (SFE) สูง
ิธ์ ห
คําตอบ 3 : ดิสโลเคชันแบบสกูร (Screw dislocation) และโลหะที่มี Stacking Fault Energy (SFE) ต่ํา
คําตอบ 4 : ดิสโลเคชันแบบสกูร (Screw dislocation) และโลหะที่มี Stacking Fault Energy (SFE) สูง
ขอที่ : 55
สิท
วน
การแตกตัวของดิสโลเคชันที่สมบูรณ (Perfect dislocation) 1 สวนในโลหะ FCC ออกเปนดิสโลเคชันยอย (Partial dislocations) 2 สวน ทําใหเกิดบริเวณที่เรีย
ง
คําตอบ 1 : โลหะที่มีความหนาแนนของดิสโลเคชันสูง
ส
คําตอบ 2 : โลหะที่มีความหนาแนนของดิสโลเคชันต่ํา
อ
คําตอบ 3 : โลหะที่มี Stacking Fault Energy (SFE) สูง
ข
คําตอบ 4 : โลหะที่มี Stacking Fault Energy (SFE) ต่ํา
ก ร
ว
ขอที่ : 56
าวศ
ิ
สภ
21 of 195
ดิสโลเคชันแบบขอบ mnop (Edge dislocation) เดิมทีเดียวมีลักษณะเปนเสนตรงอยูในแนวเดียวกัน แตหลังจากตัดกัน (Intersecting) กับดิสโลเคชันเสนอื่น ทํ
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
คําตอบ 1 : Jog
ข
คําตอบ 2 : Kink
ร
คําตอบ 3 : Shockley Partial
ก
คําตอบ 4 :
ว
Stair-rod
วศ
ิ
ขอที่ :
า
57
สภ
22 of 195
ดิสโลเคชันแบบขอบ mnop (Edge dislocation) เดิมทีเดียวมีลักษณะเปนเสนตรงอยูในแนวเดียวกัน แตหลังจากตัดกัน (Intersecting) กับดิสโลเคชันเสนอื่น ทํ
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ว
คําตอบ 1 : Jog
ศ
ิ
คําตอบ 2 :
ว
Kink
า
คําตอบ 3 : Shockley partial
สภ
คําตอบ 4 : Stair-rod
ขอที่ : 58
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับวาเคนซี (Vacancies)
ขอที่ : 59
ย
จากรูปดานลาง แกนนอนเปนจํานวนวาเคนซี (Xv) ใหพิจารณาวาตําแหนงใดเปนจํานวนวาเคนซีที่สภาวะสมดุล (Equilibrium concentration of vacancies)
น่ า
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
a
b
คําตอบ 3 : c
คําตอบ 4 : d
24 of 195
ขอที่ : 60
ขอใดไมใช Point defects ที่พบในผลึก
คําตอบ 1 : Self-interstitials
ย
คําตอบ 2 :
่ า
Dislocations
คําตอบ 3 :
น
Vacancies
คําตอบ 4 : Substitutional atoms
ขอที่ : 61
ํจาห
ม
ขอใดเปนเบอรเกอรเวกเตอร (Burger’s vector) ของดิสโลเคชันที่สมบูรณ (Perfect dislocation) ในโลหะที่มีผลึกแบบ FCC
คําตอบ 1 :
ิธ์ ห้ า
ส
คําตอบ 2 :
ิท
ง วน
ส
คําตอบ 3 :
ร ขอ
ก
คําตอบ 4 :
ศ
ิ ว
าว
ขอที่ :
สภ
62
25 of 195
คําตอบ 1 :
่ าย
คําตอบ 2 :
น
ํจาห
คําตอบ 3 :
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 4 :
ขอที่ : 63
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
คําตอบ 3 :
26 of 195
คําตอบ 4 :
ย
ขอที่ :
่ า
64
ขอใดเปน Line Imperfection ของผลึก
น
ํจาห
คําตอบ 1 : Edge Dislocation
คําตอบ 2 : Vacancy
คําตอบ 3 : Interstitial Atom
ม
คําตอบ 4 : Self-Interstitials
ขอที่ : 65
ิธ์ ห้ า
ธาตุในขอใดตอไปนี้สามารถแทรกตัวอยูใน Atomic Lattice ของเหล็กได
ิท
คําตอบ 1 : คารบอน
ส
คําตอบ 2 : ทองแดง
น
คําตอบ 3 : ดีบุก
ง ว
คําตอบ 4 : บิสมัท
ขอที่ : 66
อ ส
ข
ธาตุในขอใดตอไปนี้ไมสามารถแทรกตัวอยูใน Atomic Lattice ของเหล็กได
ก ร
คําตอบ 1 : คารบอน
ว
คําตอบ 2 : ไนโตรเจน
ศ
ิ
คําตอบ 3 : โบรอน
ว
คําตอบ 4 : อะลูมิเนียม
า
สภ
ขอที่ : 67
Crystal Imperfection ในขอใดตอไปนี้มี Burger Vector ขนานกับทิศทางการเคลื่อนที่
คําตอบ 1 : Edge Dislocation
คําตอบ 2 : Screw Dislocation
คําตอบ 3 : Vacancy
คําตอบ 4 : Interstitial Atom
27 of 195
ขอที่ : 68
Crystal Imperfection ในขอใดตอไปนี้มี Burger Vector ตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่
คําตอบ 1 : Screw Dislocation
ย
คําตอบ 2 :
่ า
Edge Dislocation
คําตอบ 3 :
น
Vacancy
คําตอบ 4 : Interstitial Atom
ขอที่ : 69
ํจาห
ม
จากภาพขางตนเปนภาพของ Crystal Imperfection ในขอใด
ิธ์ ห้ า
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : Edge Dislocation
คําตอบ 2 : Screw Dislocation
คําตอบ 3 : Vacancy
คําตอบ 4 : Self-Interstitials
ขอที่ : 70 28 of 195
จากภาพขางตนเปนภาพของ Crystal Imperfection ในขอใด
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
วน
คําตอบ 1 : Screw Dislocation
ง
คําตอบ 2 : Edge Dislocation
ส
คําตอบ 3 : Vacancy
อ
คําตอบ 4 : Self-Interstitials
ขอที่ :
ก ร ข
71
ศ
ิ ว
าว
สภ
29 of 195
จากภาพขางตนเปนภาพของ Crystal Imperfection ในขอใด
่ าย
น
ํจาห
้ าม
คําตอบ 1 :
ิธ์ ห
ิท
Vacancy
คําตอบ 2 :
ส
Screw Dislocation
น
คําตอบ 3 : Edge Dislocation
ว
คําตอบ 4 : Self-Interstitials
สง
อ
ขอที่ : 72
ข
จากภาพขางตนเปนภาพของ Crystal Imperfection ในขอใด
ก ร
ศ
ิ ว
าว
สภ
30 of 195
คําตอบ 1 : Screw Dislocation
คําตอบ 2 : Edge Dislocation
คําตอบ 3 : Vacancy
คําตอบ 4 : Self-Interstitials
่ าย
น
ขอที่ : 73
ํจาห
ตําหนิ (defect) หรือความไมสมบูรณในโครงสรางผลึกของวัสดุในขอใดที่จัดเปนตําหนิประเภทที่มีหนึ่งมิติ (one-dimensional defect)
คําตอบ 1 : ชองวาง (vacancies)
คําตอบ 2 : อะตอมแทรก (interstitial atoms)
ม
คําตอบ 3 : อะตอมแปลกหลอมหรืออะตอมตัวถูกละลาย (solute atom)
้ า
คําตอบ 4 : ดิสโลเคชัน (dislocation)
ขอที่ : 74
ิธ์ ห
ิท
ขอใดไมใชชนิดของดิสโลเคชันที่มีอยูจริง
ส
คําตอบ 1 : ดิสโลเคชันชนิดขอบ (Edge Dislocations)
วน
คําตอบ 2 : ดิสโลเคชันชนิดเกลียว (Screw Dislocations)
ง
คําตอบ 3 : ดิสโลเคชันชนิดผสม (Mixed Dislocations)
ส
คําตอบ 4 : ดิสโลเคชันชนิดยืดหยุน (Elastic Dislocations)
ขอที่ :
ร ข
75
อ
ก
เมื่อมีอะตอมของธาตุอื่นเขาไปปนในโครงสรางผลึกของโลหะชนิดหนึ่ง จะมีโอกาสเกิดตําหนิในโครงสรางผลึกของโลหะนั้นไดหลายกรณี ยกเวนขอใด
ว
คําตอบ 1 : Interstitial Atoms
ศ
ิ
คําตอบ 2 :
ว
Substitutional Atoms
า
คําตอบ 3 : Vacancies
สภ
คําตอบ 4 : Inclusion
ขอที่ : 76
Vacancy ในโลหะบริสุทธิ์มีสาเหตุมาจากกระบวนการใดตอไปนี้
คําตอบ 1 : annealing
คําตอบ 2 : normalising
คําตอบ 3 : quenching อยางรวดเร็ว 31 of 195
คําตอบ 4 : tempering
ขอที่ : 77
ย
โลหะที่ผานกระบวนการ plastic deformation แลวจะมี dislocation density เปลี่ยนแปลงอยางไร
่ า
คําตอบ 1 : ลดลง
น
คําตอบ 2 : เพิ่มขึ้น
ํจาห
คําตอบ 3 : ไมเปลี่ยนแปลง
คําตอบ 4 : ไมแนนอนขึ้นกับชนิดของโลหะ
้ าม
ขอที่ : 78
ิธ์ ห
Dislocation density หมายถึง
คําตอบ 1 : มวลของผลึกตอปริมาตรของผลึก
คําตอบ 2 : มวลของ dislocation ทั้งหมดในผลึกตอปริมาตรของผลึก
ิท
คําตอบ 3 : ความยาวทั้งหมดของ dislocation ในผลึกตอปริมาตรของผลึก
ส
คําตอบ 4 : ปริมาตรของ dislocation ทั้งหมดในผลึกตอปริมาตรของผลึก
ขอที่ : 79
ง วน
ส
ขอใดไมใชตําหนิแบบจุด (Point Defect) ที่ปรากฏในโครงสรางผลึกของโลหะ
ขอ
คําตอบ 1 : อะตอมของธาตุอื่น
ร
คําตอบ 2 : ชองวาง (Vacancy)
ก
คําตอบ 3 : เม็ดแกรไฟตในเนื้อเหล็ก
ว
คําตอบ 4 : อะตอมคารบอนในเนื้อเหล็ก
าวศ
ิ
ขอที่ : 80
สภ
ขอใดเปนตําหนิแบบเสน (Line Defect) ที่ปรากฏในโครงสรางผลึกของโลหะ
คําตอบ 1 : Grain Boundary
คําตอบ 2 : ชองวาง (Vacancy)
คําตอบ 3 : Screw Dislocation
คําตอบ 4 : อะตอมคารบอนในเนื้อเหล็ก
ขอที่ : 81 32 of 195
ตําหนิในผลึกของแข็งในขอใดที่ไมพบในกรณีของโลหะบริสุทธิ์ 100%
คําตอบ 1 : Self Interstitial Atoms
คําตอบ 2 : Vacancies
คําตอบ 3 : Interstitial Solute Atoms
ย
คําตอบ 4 :
่ า
Dislocations
น
ํจาห
ขอที่ : 82
ทองแดงชิ้นที่หนึ่ง มี ASTM Grain Size No. 7
ทองแดงชิ้นที่สอง มี ASTM Grain Size No. 8
ม
ขอใดกลาวถูกตอง
้ า
คําตอบ 1 : ทองแดงชิ้นที่หนึ่งมีเกรนละเอียดกวา
ิธ์ ห
คําตอบ 2 : ทองแดงชิ้นที่หนึ่งมีเกรนหยาบกวา
คําตอบ 3 : ทองแดงทั้งสองชิ้นมีขนาดเกรนเฉลี่ยเทากัน
คําตอบ 4 : บอกไมได ตองทราบพารามิเตอรอื่นประกอบดวย
สิท
น
ขอที่ : 83
ว
ทองแดงชิ้นที่หนึ่ง มี ASTM Grain Size No. 7
ง
ทองแดงชิ้นที่สอง มี ASTM Grain Size No. 8
ส
หมายความวา เมื่อนับจํานวนเกรนตอพื้นที่ที่เทากัน ภายใตกําลังขยายที่เทากันแลว ทองแดงชิ้นที่หนึ่งมีจํานวนเกรนตอพื้นที่เปนกี่เทาของชิ้นที่สอง
อ
คําตอบ 1 : 2 เทา
ข
คําตอบ 2 : 1/2 เทา
ร
คําตอบ 3 : 10 เทา
วก
คําตอบ 4 : 1/10 เทา
าวศ
ิ
ขอที่ : 84
สภ
โลหะใดที่มี Dislocation อยูนอยที่สุด
คําตอบ 1 : โลหะบริสุทธิ์
คําตอบ 2 : โลหะที่ผานการรีดรอน
คําตอบ 3 : โลหะที่ผานการรีดเย็น
คําตอบ 4 : โลหะที่ผานการรีดเย็นแลวถูกอบออนใหตกผลึกใหมโดยสมบูรณ
ขอที่ : 85
33 of 195
โลหะใดที่มี Dislocation อยูนอยที่สุด
คําตอบ 1 : โลหะบริสุทธิ์
คําตอบ 2 : โลหะผสม
คําตอบ 3 : วิสเกอร (Whisker)
ย
คําตอบ 4 : โลหะที่อุณหภูมิหอง
น่ า
ํจาห
ขอที่ : 86
ที่อุณหภูมิใด โลหะมีตําหนิประเภทชองวางในโครงสรางผลึก หรือ Vacancy นอยที่สุด
คําตอบ 1 : 0K
ม
คําตอบ 2 : อุณหภูมิหอง
้ า
คําตอบ 3 : 0.3 Tm, เมื่อ Tm = melting point (K)
ิธ์ ห
คําตอบ 4 : 0.6 Tm, เมื่อ Tm = melting point (K)
ิท
ขอที่ : 87
ส
อะตอมแมงกานีสในเหล็ก จัดเปนตําหนิในผลึกของแข็ง (Crystal Defect) ประเภทใด
วน
คําตอบ 1 : แบบจุด (Point Defect)
ง
คําตอบ 2 : แบบธาตุผสม (Alloying Element Atoms)
ส
คําตอบ 3 : แบบเสน (Line Defect)
อ
คําตอบ 4 : แบบกอน (Bulk Defect)
ขอที่ :
ก ร ข
88
ว
เฟสแกรไฟตในเหล็กหลอ จัดเปนตําหนิในผลึกของแข็ง (Crystal Defect) ประเภทใด
ศ
ิ
คําตอบ 1 : แบบจุด (Point Defect)
าว
คําตอบ 2 : แบบธาตุผสม (Alloying Element Atoms)
สภ
คําตอบ 3 : แบบเสน (Line Defect)
คําตอบ 4 : แบบกอน (Bulk Defect)
ขอที่ : 89
ตําหนิในผลึกของแข็ง (Crystal Defect) แบบใดสงผลใหความหนาแนนของโลหะนั้นลดลง
ก. Vacancies
ข. Edge Dislocations
คําตอบ 1 : ก. 34 of 195
คําตอบ 2 : ข.
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.
่ าย
ขอที่ : 90
น
Edge Dislocation และ Screw Dislocation เมื่อเคลื่อนที่มาพบกัน จะเกิด
ํจาห
คําตอบ 1 : ผลึกสมบูรณ เนื่องจากดิสโลเคชันทั้งสองชนิดหักลางกันไป
คําตอบ 2 : Mixed Dislocation
คําตอบ 3 : เหลือแต Edge Dislocation
ม
คําตอบ 4 :
้ า
Cross Slip
ิธ์ ห
ขอที่ : 91
ขอใดเปน point imperfection ของผลึก
ิท
คําตอบ 1 :
ส
vacancy
คําตอบ 2 :
น
screw dislocation
ว
คําตอบ 3 : edge dislocation
ง
คําตอบ 4 : mixed dislocation
ขอที่ :
อ ส
ข
92
ร
อะตอมของคารบอนที่แทรกอยูใน lattice ของเหล็ก ถือวาเปน crystal defect แบบใด
ก
คําตอบ 1 : Substitutional atom
ว
คําตอบ 2 : Interstitial atom
ศ
ิ
คําตอบ 3 :
ว
Vacancy
า
คําตอบ 4 : Dislocation
สภ
ขอที่ : 93
ถาขอบเขตเอียงมุมเล็ก (Small angle tilt boundary) มีมุมเอียง ( ) เปน 0.1° และระยะหางระหวางดิสโลเคชันที่แทรกตามแนวขอบเขตมีขนาดเปน 188.6 นาโน
คําตอบ 1 : 0.165 นาโนมิเตอร
คําตอบ 2 : 0.33 นาโนมิเตอร
คําตอบ 3 : 0.66 นาโนมิเตอร
คําตอบ 4 : 1.32 นาโนมิเตอร
35 of 195
ขอที่ : 94
ขอใดเปนแรงผลักดัน (Driving forces) ที่ทําใหขอบเกรนระหวางเกรนทั้งสองของโลหะชนิดเดียวกันเกิดการเคลื่อนที่
คําตอบ 1 : ความแตกตางของพลังงานสะสม (Stored energy) ในเกรนทั้งสอง
ย
คําตอบ 2 : ความแตกตางของโมดูลัสความยืดหยุน (Elastic modulus) ในเกรนทั้งสอง
่ า
คําตอบ 3 : ความโคงของขอบเกรน
น
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ
ขอที่ : 95
ํจาห
ม
อิทธิพลใดที่ทําใหเกรนที่มีขนาดเล็กถูกกลืนไปโดยเกรนที่มีขนาดใหญกวา ทําใหจํานวนเกรนลดลงและขนาดของเกรนใหญขึ้น
้ า
คําตอบ 1 : ความแตกตางของพลังงานสะสม (Stored energy) ในเกรนทั้งสอง
ิธ์ ห
คําตอบ 2 : ความแตกตางของโมดูลัสความยืดหยุน (Elastic modulus) ในเกรนทั้งสอง
คําตอบ 3 : ความโคงของขอบเกรน
ิท
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ
นส
ว
ขอที่ : 96
ง
อิทธิพลใดที่ทําใหเกิดการนิวคลีเอชัน (Nucleation) ของเกรนใหมในกระบวนการรีคริสตัลไลเซชัน (Recrystallization process) ของชิ้นงานที่ผานการรีดเย็นแล
ส
คําตอบ 1 : ความแตกตางของพลังงานสะสม (Stored energy)
อ
คําตอบ 2 : ความแตกตางของโมดูลัสความยืดหยุน (Elastic modulus) ในเกรนทั้งสอง
ข
คําตอบ 3 : ความโคงของขอบเกรน
ร
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ
วก
ศ
ิ
ขอที่ : 97
ว
Mobility ของขอบเกรนเปนฟงกชันกับตัวแปรใด
า
สภ
คําตอบ 1 : ความเขมขนของ Impurity atoms
คําตอบ 2 : ขนาดและความหนาแนนของ Second-phase particles
คําตอบ 3 : อุณหภูมิ
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ
ขอที่ : 98
พลังงานขอบเกรนแบบใดมีขนาดต่ําสุด
36 of 195
คําตอบ 1 : Coherent twin boundary
คําตอบ 2 : Incoherent twin boundary
คําตอบ 3 : High-angle grain boundary
คําตอบ 4 : พลังงานเทากันทุกขอ
่ าย
น
ขอที่ : 99
ํจาห
อินเตอรเฟสในรูปดานลางเปนแบบใด
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
คําตอบ 3 :
Coherent interface
Semi-coherent interface
Incoherent interface
คําตอบ 4 : Incoherent twin boundary
37 of 195
ขอที่ : 100
รูปดานลางแสดงใหเห็นพรีซิพิเทต (Precipitate) ที่ฟอรมบนขอบเกรน ใหพิจารณาวาอินเตอรเฟสระหวางพรีซิพิเทตกับเมตริกซขอใดเปนแบบเซมิโคเฮียเรนทอน
ิ
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 1 : A
ส
คําตอบ 2 : B
วน
คําตอบ 3 : C
ง
คําตอบ 4 : A และ B
ขอที่ :
อ
101
ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
38 of 195
ขอใดเปนขอบเขต (Boundary) ที่แสดงในรูปดานลาง
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
Tilt boundary
ว
Twist boundary
คําตอบ 3 :
ศ
ิ
Twin boundary
ว
คําตอบ 4 : Coincident boundary
า
สภ
ขอที่ : 102
39 of 195
ขอใดเปนขอบเขต (Boundary) ที่แสดงในรูปดานลาง
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ส
คําตอบ 1 :
ิท Tilt boundary
น
คําตอบ 2 : Twist boundary
ง ว
คําตอบ 3 : Twin boundary
ส
คําตอบ 4 : Coincident boundary
ขอที่ :
ร ขอ
103
รูปดานลางแสดงใหเห็นการนิวคลีเอชันของเงินบนผนังแบบหลอ จากรูปนี้ใหหามุมที่เอมบริโอของเงิน (Angle of contact) กระทํากับผนังแบบหลอวามีขนาดเทา
วก
าวศ
ิ
สภ
คําตอบ 1 : 11.03°
คําตอบ 2 : 22.05° 40 of 195
คําตอบ 3 : 44.1°
คําตอบ 4 : 88.2°
ย
ขอที่ : 104
่ า
อินเตอรเฟสในรูปดานลางเปนแบบใด
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
ว
คําตอบ 1 : Coherent interface
า
คําตอบ 2 : Semi-coherent interface
สภ
คําตอบ 3 : Incoherent interface
คําตอบ 4 : Incoherent twin boundary
ขอที่ : 105
41 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 1 : 41.51°
คําตอบ 2 : 83.01°
คําตอบ 3 : 166.02°
ิท
คําตอบ 4 : 332.04°
นส
ว
ขอที่ : 106
สง
ร ขอ
วก
าวศ
ิ คําตอบ 1 : 327°C
สภ
คําตอบ 2 : 475°C
คําตอบ 3 : 568°C
คําตอบ 4 : 614°C
ขอที่ : 107
ขอใดตอไปนี้เปนการตรวจสอบการกระจายตัวของ Sulfur ในเหล็กกลา
่ าย
ขอที่ : 108
น
จากภาพคือสวนประกอบใดของกลองจุลทรรศนใชแสง
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
Binocular Eyepieces
Focusing Knob
คําตอบ 3 : Knurl Knob
43 of 195
คําตอบ 4 : Objective Lens
ขอที่ : 109
ย
จากภาพคือสวนประกอบใดของกลองจุลทรรศนใชแสง
น่ า
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว คําตอบ 1 : Focusing Knob
สภ
คําตอบ 2 : Binocular Eyepieces
คําตอบ 3 : Knurl Knob
คําตอบ 4 : Objective Lens
ขอที่ : 110
Etching คือ
คําตอบ 1 : กระบวนการกัดผิวหนาชิ้นงานดวยกรด 44 of 195
คําตอบ 2 : กระบวนการขัดผิวชิ้นงานใหเรียบอยางหยาบ
คําตอบ 3 : กระบวนการลบเหลี่ยมคมของชิ้นงาน
คําตอบ 4 : กระบวนการขัดผิวชิ้นงานใหเรียบอยางละเอียด
่ าย
ขอที่ : 111
น
Polishing คือ
ํจาห
คําตอบ 1 : กระบวนการขัดผิวชิ้นงานใหเรียบอยางละเอียด
คําตอบ 2 : กระบวนการกัดผิวหนาชิ้นงานดวยกรด
คําตอบ 3 : กระบวนการขัดผิวชิ้นงานใหเรียบอยางหยาบ
ม
คําตอบ 4 : กระบวนการลบเหลี่ยมคมของชิ้นงาน
ขอที่ : 112
ิธ์ ห้ า
จากภาพโครงสรางจุลภาค สามารถสันนิษฐานไดวาเปนเหล็กกลาที่มีปริมาณคารบอนเทาใด
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 0 %C 45 of 195
คําตอบ 2 : 0.2 %C
คําตอบ 3 : 0.8 %C
คําตอบ 4 : 6.67 %C
่ าย
ขอที่ : 113
น
เพื่อหาขนาดเกรนตามมาตรฐาน ASTM ของตัวอยางโลหะชนิดหนึ่ง ภาพถายโครงสรางจุลภาคที่กําลังขยาย 100 เทา ถูกถายและนับจํานวนเกรนได 16 เกรนใน
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 1 : 3
ิท
คําตอบ 2 : 4
ส
คําตอบ 3 : 5
น
คําตอบ 4 : 6
ขอที่ :
ง ว
ส
114
อ
ขอความใดตอไปนี้ผิด
ข
คําตอบ 1 : โลหะที่แข็งตัวดวยอัตราการเย็นตัวสูงมักจะมีโครงสรางที่ละเอียดกวาโลหะที่แข็งตัวดวยอัตราการเย็นตัวต่ํา
ร
คําตอบ 2 : การทําฝนเทียมมีหลักการคือทําใหเกิด Heterogeneous Nucleation
ก
คําตอบ 3 : ผิวที่ขรุขระจะปรากฏใน Optical Microscope เปนบริเวณมืด
ว
คําตอบ 4 : การกัดกรด (Etching) เปนวิธีการที่ทําใหชิ้นงานตัวอยางมีผิวเรียบมากขึ้น
าวศ
ิ
ขอที่ : 115
สภ
สารละลาย Nital 2% มีสวนผสมคือ
คําตอบ 1 : 2 mL Nitric acid + 100 mL alcohol
คําตอบ 2 : 2 mL Nitric acid + 98 mL alcohol
คําตอบ 3 : 2 mL Nitric acid + 100 mL water
คําตอบ 4 : 2 mL Nitric acid + 98 mL water
ย
คําตอบ 2 : ข.
่ า
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
น
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.
ํจาห
ขอที่ : 117
ม
ขอใดที่เปน Sub-grain Structure
้ า
คําตอบ 1 : Twin
ิธ์ ห
คําตอบ 2 : เฟสที่สอง (Second Phase)
คําตอบ 3 : Inclusion
คําตอบ 4 :
ิท
Equi-axed Grain
ขอที่ : 118
นส
ว
ขอใดที่จัดเปน Grain Boundary
ง
คําตอบ 1 : Habit Plane ของ Martensite
อ ส
คําตอบ 2 : High-angle Boundary
ข
คําตอบ 3 : Cell Boundary
ร
คําตอบ 4 : Twin Boundary
วก
ศ
ิ
ขอที่ : 119
ว
แรงขับเคลื่อน (Driving Force) ของการขยายตัวของเกรน (Grain Growth) คือ ความพยายามลดพลังงานของระบบโดยลด...
า
คําตอบ 1 : บรรยากาศดิสโลเคชัน
สภ
คําตอบ 2 : ความเคน (Stress)
คําตอบ 3 : ความเครียด (Strain)
คําตอบ 4 : พลังงานพื้นผิว (Surface Energy)
ขอที่ : 120
ย
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.
น่ า
ํจาห
ขอที่ : 121
บทบาทของขอบเกรน (Grain Boundary) คือ
ก. เปนที่รวมของตําหนิในผลึกของแข็งตางๆ เชน ดิสโลเคชัน vacancy ฯลฯ
ม
ข. หยุดยั้งการเคลื่อนที่ของดิสโลเคชัน
้ า
คําตอบ 1 : ก.
ิธ์ ห
คําตอบ 2 : ข.
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.
สิท
น
ขอที่ : 122
ว
โดยปกติ ผิวสัมผัส (Interface) ระหวางเฟสพื้น (Matrix Phase) และ เฟสที่สอง (Second Phase) ซึ่งเปนเฟสสมดุลที่ปรากฏตามเฟสไดอะแกรมและมีโครงสรา
สง
คําตอบ 1 : Coherent Interface
อ
คําตอบ 2 : Incoherent Interface
ข
คําตอบ 3 : Tilt Interface
ร
คําตอบ 4 : Twist Interface
วก
ศ
ิ
ขอที่ : 123
าว
สภ
จากรูปขางลาง แสดงโลหะผสมอะลูมิเนียม-ทองแดง ใหอานคําอธิบายในรูป (a) ประกอบ
48 of 195
ถามวา เฟสที่สองที่ตกตะกอนออกมาในรูป (b) มี Interface กับเฟสพื้นในลักษณะใด?
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
คําตอบ 1 : Coherent Interface
ส
คําตอบ 2 : Incoherent Interface
อ
คําตอบ 3 : Tilt Interface
ข
คําตอบ 4 : Twist Interface
ก ร
ว
ขอที่ : 124
าวศ
ิ
สภ
จากรูปขางลาง แสดงโลหะผสมอะลูมิเนียม-ทองแดง ใหอานคําอธิบายในรูป (a) ประกอบ
49 of 195
ถามวา เฟสที่สองที่ตกตะกอนออกมาในรูป (c) มี Interface กับเฟสพื้นในลักษณะใด?
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
คําตอบ 1 : Coherent Interface
ส
คําตอบ 2 : Incoherent Interface
อ
คําตอบ 3 : Tilt Interface
ข
คําตอบ 4 : Twist Interface
ก ร
ว
ขอที่ : 125
าวศ
ิ
สภ
จากรูปขางลาง แสดงโลหะผสมอะลูมิเนียม-ทองแดง ใหอานคําอธิบายในรูป (a) ประกอบ
50 of 195
ในรูปใดที่แสดงถึงผิวสัมผัสระหวางเฟสพื้นกับเฟสที่สอง ในลักษณะที่เกิด Coherency
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
คําตอบ 1 : (a)
ส
คําตอบ 2 : (b)
อ
คําตอบ 3 : (c)
ข
คําตอบ 4 : (b) และ (c)
ก ร
ว
ขอที่ : 126
ศ
ิ
ขอใดเปนลักษณะการละลายของไนโตรเจนในเหล็ก
ว
คําตอบ 1 :
า
Interstitial solid solution
คําตอบ 2 :
สภ
Substitutional solid solution
คําตอบ 3 : Compound
คําตอบ 4 : ไมมีขอใดถูก
ขอที่ : 127
51 of 195
ขอใดเปนจํานวน Compound ที่เกิดขึ้นในแผนภูมิสมดุลภาค (Phase diagram)ของระบบ Ag-Sr
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 1 : 0
ส
คําตอบ 2 : 2
น
คําตอบ 3 : 4
ว
คําตอบ 4 : 6
สง
อ
ขอที่ : 128
ข
ขอใดเปนจํานวน Solid solution ที่เกิดขึ้นในแผนภูมิสมดุลภาค (Phase diagram)ของระบบ Ag-Sr
ก ร
ศ
ิ ว
าว
สภ
52 of 195
คําตอบ 1 : 0
คําตอบ 2 : 2
คําตอบ 3 : 4
คําตอบ 4 : 6
่ าย
น
ขอที่ : 129
ํจาห
ขอใดเปนจํานวน Compound ที่เกิดขึ้นในแผนภูมิสมดุลภาค (Phase diagram)ของระบบ Cu-Zn
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
คําตอบ 1 : 0
สภ
คําตอบ 2 : 4
คําตอบ 3 : 6
คําตอบ 4 : 7
ขอที่ : 130
53 of 195
ขอใดเปนจํานวน Solid solution ที่เกิดขึ้นในแผนภูมิสมดุลภาค (Phase diagram)ของระบบ Cu-Zn
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
คําตอบ 1 : 0
ส
คําตอบ 2 : 3
อ
คําตอบ 3 : 5
ร ข
คําตอบ 4 : 7
ว
ขอที่ :
ก 131
วศ
ิ
ขอใดที่อธิบายคําวา Solution ไดดีที่สุด
า
คําตอบ 1 : A pure element or substance
สภ
คําตอบ 2 : A material that contains more than one phase
คําตอบ 3 : A mixture of two or more kinds of atoms
คําตอบ 4 : A phase with more than one component
ขอที่ : 132
ขอใดเปน Interstitial solid solution ของคารบอนในเหล็ก BCC ณ อุณหภูมิหอง
่ าย
ขอที่ : 133
น
รูปดานลางเปน Phase diagram ของระบบ A-B ใหหาวามีจํานวน Solid solutions กี่ชนิด
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว คําตอบ 1 : 3
ว
คําตอบ 2 : 4
า
คําตอบ 3 : 5
สภ
คําตอบ 4 : 6
ขอที่ : 134
โอกาสที่โลหะสองชนิดจะผสมกันแลวเกิดสารละลายของแข็ง (Solid Solution) ไดทุกชวงของสวนผสม (completely soluble in solid state) นั้น ประกอบดวย
คําตอบ 1 : โลหะทั้งสองชนิดมีโครงสรางผลึกเหมือนกัน
คําตอบ 2 : ขนาดอะตอมใกลเคียงกัน
55 of 195
คําตอบ 3 : มีจํานวนอิเล็กตรอนวงนอก (Valence Electrons) เทากัน
คําตอบ 4 : มีความหนาแนนใกลเคียงกัน
ย
ขอที่ : 135
่ า
โลหะ A มีโครงสรางผลึกเปน FCC
น
โลหะ B มีโครงสรางผลึกเปน HCP
สารละลายของแข็งระหวาง A กับ B มีโครงสรางผลึกเปนแบบใด
ํจาห
คําตอบ 1 : FCC
คําตอบ 2 : HCP
ม
คําตอบ 3 : FCC เมื่อเปนสารละลายของแข็งของ B ใน A
้ า
คําตอบ 4 : FCC เมื่อเปนสารละลายของแข็งของ A ใน B
ขอที่ : 136
ิธ์ ห
ิท
ในเฟสไดอะแกรมระหวางโลหะ A กับ B พบวา มีเฟสซึ่งมีสวนผสมตายตัว เทากับ 50 atom% A 50 atom%B เฟสนี้ควรจะเปน
ส
คําตอบ 1 : สารละลายของแข็งระหวาง A กับ B
น
คําตอบ 2 : โครงสรางยูเทกติกระหวาง A กับ B
ว
คําตอบ 3 : สารประกอบเชิงโลหะที่มีสูตรอยางงายเปน AB
สง
คําตอบ 4 : สารประกอบวาเลนซระหวาง A กับ B
ขอที่ :
ร ขอ
137
ในระบบของโลหะผสมระหวางธาตุ A กับ B พบวามีเฟสซึ่งมีสวนผสมไดตั้งแตชวง 0%B ถึง 10%B และเฟสนี้มีโครงสรางผลึกเหมือนกับโครงสรางผลึกของ A
ก
เฟสนี้ควรจะเปนอะไร
ว
คําตอบ 1 : สารประกอบเชิงโลหะระหวาง A กับ B
วศ
ิ
คําตอบ 2 : สารประกอบแบบแทรกที่ระหวาง A กับ B
า
คําตอบ 3 : สารละลายของแข็งของ B ใน A
สภ
คําตอบ 4 : สารละลายของแข็งของ A ใน B
ขอที่ : 138
ผลของการเกิดเปนสารละลายของแข็ง (Solid Solution) ในโลหะผสมคือ
คําตอบ 1 : ทําใหเกิดความเคนรอบอะตอมตัวถูกละลายไมวาจะเปนสารละลายของแข็งชนิดใด
คําตอบ 2 : ทําใหเกิดความเคนรอบอะตอมตัวถูกละลาย ในกรณีที่เปนสารละลายของแข็งชนิดแทรกที่ (Interstitial Solid Solution)
คําตอบ 3 : ทําใหเกิดความเคนรอบอะตอมตัวถูกละลาย ในกรณีที่เปนสารละลายของแข็งชนิดแทนที่ (Substitutional Solid Solution) 56 of 195
คําตอบ 4 : ทําใหเกิดการแปรรูปถาวรในโลหะผสมนั้น
ขอที่ : 139
ย
ขอใดเปนสาเหตุหลักที่ทําใหเหล็กออสเตนไนตสามารถละลายคารบอนไดมากกวาเหล็กเฟอรไรต
่ า
คําตอบ 1 : เฟสออสเตนไนตอยูที่อุณหภูมิสูงกวา
น
คําตอบ 2 : เฟสออสเตนไนตมีโครงสรางผลึก FCC
ํจาห
คําตอบ 3 : เฟสออสเตนไนตมีแรงดึงดูดกับอะตอมคารบอนดีกวา
คําตอบ 4 : คารบอนแพรในออสเตนไนตไดเร็วกวาในเฟอรไรต
้ าม
ขอที่ : 140
ิธ์ ห
ธาตุใดที่สามารถเกิดสารละลายของแข็งชนิดแทรกที่ (Interstitial Solid Solution) กับเหล็กได
คําตอบ 1 : ออกซิเจน
คําตอบ 2 : แมงกานีส
ิท
คําตอบ 3 : ซิลิคอน
ส
คําตอบ 4 : ตะกั่ว
ขอที่ :
ง วน
ส
141
จากรูปที่กําหนดให แทนการเรียงตัวของอะตอมโลหะสองชนิดในโครงสรางผลึกของโลหะผสมชนิดหนึ่ง
อ
รูปนี้นาจะแสดงถึงอะไร
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ คําตอบ 1 : สารละลายของแข็งชนิดแทนที่ (Substitutional Solid Solution)
คําตอบ 2 : สารละลายของแข็งชนิดแทรก (Interstitial Solid Solution)
คําตอบ 3 : สารประกอบเชิงโลหะ (Intermetallic Compound) 57 of 195
คําตอบ 4 : ดิสโลเคชัน (Dislocation)
ขอที่ : 142
ย
จากรูปที่กําหนดให แทนการเรียงตัวของอะตอมโลหะสองชนิดในโครงสรางผลึกของโลหะผสมชนิดหนึ่ง
่ า
รูปนี้นาจะแสดงถึงอะไร
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
น
คําตอบ 1 : สารละลายของแข็งชนิดแทนที่ (Substitutional Solid Solution)
ว
คําตอบ 2 : สารละลายของแข็งชนิดแทรก (Interstitial Solid Solution)
ง
คําตอบ 3 : สารประกอบเชิงโลหะ (Intermetallic Compound)
ส
คําตอบ 4 : ดิสโลเคชัน (Dislocation)
ขอที่ :
ร ขอ
143
วก
าวศ
ิ
สภ
จากรูปแสดงถึง Dislocation Atmosphere ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ Edge Dislocation
หากมีอะตอมแปลกปลอมที่มีขนาดใหญกวาอะตอมของโลหะพื้น โดยอะตอมแปลกปลอมนี้ละลายในโครงสรางผลึกแบบแทนที่อะตอมของโลหะพื้น (เปน Substit
58 of 195
ที่อยูที่เสถียรสําหรับอะตอมแปลกปลอมขนาดใหญนี้ คือ
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
น
คําตอบ 1 : บริเวณดานบนของดิสโลเคชัน
ว
คําตอบ 2 : บริเวณดานลางของดิสโลเคชัน
ง
คําตอบ 3 : บน Slip Plane
ส
คําตอบ 4 : อยูใหหางไกลจากดิสโลเคชัน
ขอที่ :
ร ขอ
144
วก
าวศ
ิ
สภ
จากรูปแสดงถึง Dislocation Atmosphere ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ Edge Dislocation
หากมีอะตอมแปลกปลอมที่มีขนาดเล็กกวาอะตอมของโลหะพื้น โดยอะตอมแปลกปลอมนี้ละลายในโครงสรางผลึกแบบแทนที่อะตอมของโลหะพื้น (Substitution
59 of 195
ที่อยูที่เสถียรสําหรับอะตอมแปลกปลอมขนาดเล็กนี้ คือ
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
น
คําตอบ 1 : บริเวณดานบนของดิสโลเคชัน
ว
คําตอบ 2 : บริเวณดานลางของดิสโลเคชัน
ง
คําตอบ 3 : บน Slip Plane
ส
คําตอบ 4 : อยูใหหางไกลจากดิสโลเคชัน
ขอที่ :
ร ขอ
145
วก
าวศ
ิ
สภ
จากรูปแสดงถึง Dislocation Atmosphere ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ Edge Dislocation
หากในรูปแสดงถึงการเรียงตัวของอะตอมของเหล็ก เมื่อในเหล็กนี้มีคารบอนละลายอยู
60 of 195
ที่อยูที่เสถียรสําหรับอะตอมคารบอนในเหล็ก คือ
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
น
คําตอบ 1 : บริเวณดานบนของดิสโลเคชัน
ว
คําตอบ 2 : บริเวณดานลางของดิสโลเคชัน
ง
คําตอบ 3 : บน Slip Plane
ส
คําตอบ 4 : อยูใหหางไกลจากดิสโลเคชัน
ขอที่ :
ร ขอ
146
ก
ปรากฏการณจุดครากอธิบายไดจาก
ว
คําตอบ 1 : Solute Atom กับ Dislocation Atmosphere
ศ
ิ
คําตอบ 2 :
ว
Critical Resolved Shear Stress
า
คําตอบ 3 : Orawan Theory
สภ
คําตอบ 4 : Grain Boundary กับ Dislocation Movement
ขอที่ : 147
อะตอมของโลหะ A และ B ผสมกันเกิดเปนสารละลายของแข็งที่มีลักษณะคือ คา activity ของ A ในสารละลายของแข็งนี้มีคามากกวา mole fraction ของ A ใ
ภายใตสภาวะเชนนี้ ในเฟสไดอะแกรมระหวาง A-B มีโอกาสเกิดสภาพใดตอไปนี้ขึ้น
ย
ขอที่ : 148
่ า
อะตอมของโลหะ A และ B ผสมกันเกิดเปนสารละลายของแข็งที่มีลักษณะคือ คา activity ของ A ในสารละลายของแข็งนี้มีคาต่ํากวา mole fraction ของ A ใน
น
ภายใตสภาวะเชนนี้ ในเฟสไดอะแกรมระหวาง A-B มีโอกาสเกิดสภาพใดตอไปนี้ขึ้น
ํจาห
คําตอบ 1 : Miscibility Gap
คําตอบ 2 : Superlactice
คําตอบ 3 : Eutectic
ม
คําตอบ 4 : Eutectoid
ขอที่ : 149
ิธ์ ห้ า
ในระบบโลหะผสมสององคประกอบระหวาง Cu-Zn ซึ่งทองแดงมีโครงสรางผลึกเปน FCC สวนสังกะสีเปน HCP
ิท
พบวา ที่สวนผสมหนึ่งเกิดเฟส Delta ขึ้น มีโครงสรางผลึกเปน Body-centered Cubic
ส
เฟส Delta นี้ควรเปน
น
คําตอบ 1 : Terminal Phase
ว
คําตอบ 2 : Substitutional Solid Solution ระหวางทองแดงกับสังกะสี
ง
คําตอบ 3 : Intermediate Phase
ส
คําตอบ 4 : Interstitial Solid Solution ระหวางทองแดงกับสังกะสี
ขอที่ :
ร ขอ
150
ก
ในระบบโลหะผสมสององคประกอบระหวาง Cu-Zn ซึ่งทองแดงมีโครงสรางผลึกเปน FCC สวนสังกะสีเปน HCP
ว
พบวา ที่สวนผสมหนึ่งเกิดเฟส Alpha ขึ้น มีโครงสรางผลึกเปน Face-centered Cubic
ศ
ิ
เฟส Alpha นี้ควรเปน
าว
คําตอบ 1 : Intermetallic Compound
สภ
คําตอบ 2 : Substitutional Solid Solution ระหวางทองแดงกับสังกะสี
คําตอบ 3 : Intermediate Phase
คําตอบ 4 : Interstitial Solid Solution ระหวางทองแดงกับสังกะสี
ขอที่ : 151
ขอใดเปนความสามารถในการละลายสูงสุดของคารบอนในเหล็กแอลฟา
คําตอบ 1 : 0.09 wt.% 62 of 195
คําตอบ 2 : 0.022 wt.%
คําตอบ 3 : 2.11 wt.%
คําตอบ 4 : 6.67 wt.%
่ าย
ขอที่ : 152
น
ขอใดเปนความสามารถในการละลายสูงสุดของคารบอนในเหล็กเบตา
ํจาห
คําตอบ 1 : 0.09 wt.%
คําตอบ 2 : 0.022 wt.%
คําตอบ 3 : 2.11 wt.%
ม
คําตอบ 4 :
้ า
6.67 wt.%
ิธ์ ห
ขอที่ : 153
จากรูปดานลาง จํานวน Eutectic points ในระบบ Ag-Sr มีทั้งหมดเทาใด
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 4
คําตอบ 2 : 5
คําตอบ 3 : 6
คําตอบ 4 : 7
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 1 :
ส
0
น
คําตอบ 2 : 1
ว
คําตอบ 3 : 2
ง
คําตอบ 4 : 3
อ ส
ข
ขอที่ : 155
ก ร
ศ
ิ ว
าว
สภ
64 of 195
จากรูปดานลาง จํานวน Congruent points ในระบบ Ag-Sr มีทั้งหมดเทาใด
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 1 : 3
ส
คําตอบ 2 : 4
น
คําตอบ 3 : 5
ว
คําตอบ 4 : 6
สง
อ
ขอที่ : 156
ข
ขอใดเปน Eutectoid mixture ในระบบ Fe-Fe3C
ร
คําตอบ 1 : Ferrite + Cementite
ก
คําตอบ 2 :
ว
Ferrite + Austenite
คําตอบ 3 :
ศ
ิ
Austenite + Cementite
ว
คําตอบ 4 : Martensite
า
สภ
ขอที่ : 157
65 of 195
รูปดานลางเปน Phase diagram ของระบบ A-B ใหหาวามี Eutectic reactions เกิดขึ้นกี่จุด
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
คําตอบ 1 : 0
ส
คําตอบ 2 : 1
อ
คําตอบ 3 : 2
ข
คําตอบ 4 : 3
ก ร
ว
ขอที่ : 158
าวศ
ิ
สภ
66 of 195
รูปดานลางเปน Phase diagram ของระบบ A-B ใหหาวามี Eutectoid reactions เกิดขึ้นกี่จุด
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
คําตอบ 1 : 0
ส
คําตอบ 2 : 1
อ
คําตอบ 3 : 2
ข
คําตอบ 4 : 3
ก ร
ว
ขอที่ : 159
าวศ
ิ
สภ
67 of 195
รูปดานลางเปน Phase diagram ของระบบ A-B ใหหาวามี Peritectic reactions เกิดขึ้นกี่จุด
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
คําตอบ 1 : 0
ส
คําตอบ 2 : 1
อ
คําตอบ 3 : 2
ข
คําตอบ 4 : 3
ก ร
ว
ขอที่ : 160
าวศ
ิ
สภ
68 of 195
รูปดานลางเปน Phase diagram ของระบบ A-B ใหหาวามี Peritectoid reactions เกิดขึ้นกี่จุด
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
คําตอบ 1 : 0
ส
คําตอบ 2 : 1
อ
คําตอบ 3 : 2
ข
คําตอบ 4 : 3
ก ร
ว
ขอที่ : 161
าวศ
ิ
สภ
69 of 195
รูปดานลางเปน Phase diagram ของระบบ Ti-Al จากรูปนี้จะสังเกตเห็นปฏิกิริยาเพอริเทคติค (Peritectic reactions) ทั้งหมด 2 ตําแหนง ซึ่งแตละตําแหนงเปนจ
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว คําตอบ 1 : TiAl , Ti2Al
สภ
คําตอบ 2 : TiAl , TiAl2
คําตอบ 3 : TiAl , Ti3Al
คําตอบ 4 : TiAl , TiAl3
ขอที่ : 162
70 of 195
ขอใดเปนแผนภาพระหวาง Free energy กับ Composition ของระบบ A-B ณ อุณหภูมิ T1 ดังแสดงในรูปดานลาง
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
71 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 1 :
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
72 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 2 :
นส
ง ว
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
73 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 3 :
นส
ง ว
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
74 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
คําตอบ 4 :
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
ขอที่ : 163
75 of 195
ขอใดเปนแผนภาพระหวาง Free energy กับ Composition ของระบบ A-B ณ อุณหภูมิ T2 ดังแสดงในรูปดานลาง
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
76 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 1 :
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
77 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 2 :
นส
ง ว
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
78 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 3 :
นส
ง ว
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
79 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
คําตอบ 4 :
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
ขอที่ : 164
80 of 195
ขอใดเปนแผนภาพระหวาง Free energy กับ Composition ของระบบ A-B ณ อุณหภูมิ T3 ดังแสดงในรูปดานลาง
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
81 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 1 :
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
82 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 2 :
นส
ง ว
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
83 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 3 :
นส
ง ว
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
84 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
คําตอบ 4 :
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
ขอที่ : 165
85 of 195
ขอใดเปนแผนภาพระหวาง Free energy กับ Composition ของระบบ A-B ณ อุณหภูมิ T4 ดังแสดงในรูปดานลาง
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
86 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
คําตอบ 1 :
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
87 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 2 :
นส
ง ว
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
88 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 3 :
นส
ง ว
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
89 of 195
่ าย
น
ํจาห
้ าม
คําตอบ 4 :
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
ขอที่ : 166
90 of 195
จาก Phase diagram ของระบบ Mg-Cu ใหพิจารณาโลหะผสม Mg-40wt.%Cu วามีสวนประกอบของ Microconstituents เปน Proeutectic Mg2Cu และ Eu
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
ว
คําตอบ 1 : Proeutectic Mg2Cu = 71wt.% และ Eutectic solid = 29wt.%
า
คําตอบ 2 : Proeutectic Mg2Cu = 36wt.% และ Eutectic solid = 64wt.%
สภ
คําตอบ 3 : Proeutectic Mg2Cu = 61wt.% และ Eutectic solid = 39wt.%
คําตอบ 4 : Proeutectic Mg2Cu = 48%wt. และ Eutectic solid = 52wt.%
ขอที่ : 167
91 of 195
จาก Phase diagram ของระบบ Mg-Cu ใหพิจารณาโลหะผสม Mg-40wt.%Cu ณ สภาวะสมดุลที่อุณหภูมิ 400°C วาประกอบดวยเฟสอะไรบาง และแตละเฟสม
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
ว
คําตอบ 1 : Mg (0%Cu) = 71% และ Mg2Cu (56.6 wt.%Cu) = 29%
า
คําตอบ 2 : Mg2Cu (56.6 wt.%Cu) = 68% และ MgCu2 (83.94 wt.%Cu) = 32%
สภ
คําตอบ 3 : Mg (0%Cu) = 46% และ Mg2Cu (56.6 wt.%Cu) = 54%
คําตอบ 4 : Mg (0%Cu) = 29% และ Mg2Cu (56.6 wt.%Cu) = 71%
ขอที่ : 168
92 of 195
จากรูป (a)-(d) ขอใดเปนปฏิกิริยายูเทคทอย (Eutectoid reaction)
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ว
คําตอบ 1 :
าวศ
ิ คําตอบ 2 :
สภ
คําตอบ 3 :
คําตอบ 4 :
ขอที่ : 169
93 of 195
จากรูป (a)-(d) ขอใดเปนปฏิกิริยายูเทคทิค (Eutectic reaction)
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
คําตอบ 1 :
าว คําตอบ 2 :
สภ
คําตอบ 3 :
คําตอบ 4 :
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
คําตอบ 1 :
าว คําตอบ 2 :
สภ
คําตอบ 3 :
คําตอบ 4 :
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
คําตอบ 1 :
าว คําตอบ 2 :
สภ
คําตอบ 3 :
คําตอบ 4 :
ย
คําตอบ 4 :
่ า
2.00
น
ํจาห
ขอที่ : 173
จากแผนภูมิสมดุลระหวาง Cu และ Zn จุดหลอมตัวของ Cu และ Zn บริสุทธิ์มีคาเทากับเทาใด
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
1084 องศาเซลเซียส และ 787 องศาเซลเซียส ตามลําดับ
1950 องศาเซลเซียส และ 787 องศาเซลเซียส ตามลําดับ
คําตอบ 3 : 1084 องศาเซลเซียส และ 420 องศาเซลเซียส ตามลําดับ
คําตอบ 4 : 1950 องศาเซลเซียส และ 420 องศาเซลเซียส ตามลําดับ
97 of 195
ขอที่ : 174
จุดหลอมตัวของโลหะผสม 60 at%Cu-Zn เทากับเทาใด
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว คําตอบ 1 : 825 องศาเซลเซียส
าว
คําตอบ 2 : 1680 องศาเซลเซียส
สภ
คําตอบ 3 : 900 องศาเซลเซียส
คําตอบ 4 : 1580 องศาเซลเซียส
ขอที่ : 175
98 of 195
จากแผนภูมิสมดุลระหวาง Ag และ Cu จงระบุเสน Liquidus, Solidus และ Solvus ตามลําดับ
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
คําตอบ 1 : Liquidus = AEGF, Solidus = CBEGH, Solvus = AB และ GF
ว
คําตอบ 2 : Liquidus = ABEGF, Solidus = ABEF, Solvus = AB และ GF
ศ
ิ
คําตอบ 3 : Liquidus = AEF, Solidus = CBEGH, Solvus = BC และ GH
ว
คําตอบ 4 : Liquidus = AEF, Solidus = ABEGF, Solvus = BC และ GH
า
สภ
ขอที่ : 176
99 of 195
จากแผนภูมิสมดุลระหวาง Pb และ Sn สําหรับโลหะผสม 80 wt%Sn-Pb ที่อุณหภูมิ 184 องศาเซลเซียส จงระบุเฟสและปริมาณของเฟสที่เกิดขึ้น
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
คําตอบ 1 : ประกอบไปดวยเฟส beta 49.5% และ L 50.5% โดยน้ําหนัก
ว
คําตอบ 2 : ประกอบไปดวยเฟส beta 22.5% และ L 77.5% โดยน้ําหนัก
ศ
ิ
คําตอบ 3 : ประกอบไปดวยเฟส alpha 22.5% และ beta 77.5% โดยน้ําหนัก
ว
คําตอบ 4 : ประกอบไปดวยเฟส alpha 50.5% และ beta 49.5% โดยน้ําหนัก
า
สภ
ขอที่ : 177
100 of 195
จากแผนภูมิสมดุลระหวาง Pb และ Sn สําหรับโลหะผสม 80 wt%Pb-Sn ที่อุณหภูมิ 182 C จงระบุเฟสและปริมาณของเฟสที่เกิดขึ้น
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
คําตอบ 1 : ประกอบไปดวยเฟส alpha 22.5% และ L 77.5% โดยน้ําหนัก
ว
คําตอบ 2 : ประกอบไปดวยเฟส alpha 2.1% และ L 97.9% โดยน้ําหนัก
ศ
ิ
คําตอบ 3 : ประกอบไปดวยเฟส alpha 22.5% และ beta 77.5% โดยน้ําหนัก
ว
คําตอบ 4 : ประกอบไปดวยเฟส alpha 97.9% และ beta 2.1% โดยน้ําหนัก
า
สภ
ขอที่ : 178
101 of 195
จากแผนภูมิสมดุลระหวางเหล็กและเหล็กกลา จงคํานวณปริมาณ pearlite ในโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลาคารบอน 0.1%C ที่อุณหภูมิหอง
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 2.7% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 2 : 11.6% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 3 : 5% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 4 : 23.2% โดยน้ําหนัก
ขอที่ : 179
102 of 195
จงคํานวณหาปริมาณ cementite ทั้งหมดในโครงสรางจุลภาคของเหล็กหลอ 4.3%C ที่อุณหภูมิ eutectic
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 49.2% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 2 : 44.2% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 3 : 50.8% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 4 : 55.8% โดยน้ําหนัก
ขอที่ : 180
103 of 195
จงคํานวณปริมาณ cementite ในโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลาคารบอน 1.4%C ที่อุณหภูมิหอง
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 10.2% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 2 : 20.8% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 3 : 14.2% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 4 : 30.4% โดยน้ําหนัก
ขอที่ : 181
104 of 195
จงคํานวณหาปริมาณ ferrite ในโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลาคารบอน 0.5%C ที่อุณหภูมิ Eutectoid
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 81.8% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 2 : 92.9% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 3 : 88.2% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 4 : 95.1% โดยน้ําหนัก
ขอที่ : 182
105 of 195
จงคํานวณหาปริมาณ Pro-eutectoid ferrite ในโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลาคารบอน 0.2%C ที่อุณหภูมิหอง
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 75.7% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 2 : 77.4% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 3 : 88.2% โดยน้ําหนัก
คําตอบ 4 : 97.1% โดยน้ําหนัก
ขอที่ : 183
106 of 195
จงประมาณคา Tensile Strength ที่อุณหภูมิหองของเหล็กกลาคารบอน 1010
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 28 kg/mm2
คําตอบ 2 : 34 kg/mm2
คําตอบ 3 : 43.7 kg/mm2
คําตอบ 4 : 53.7 kg/mm2
ขอที่ : 184
107 of 195
จงประมาณคา Tensile Strength ที่อุณหภูมิหองของเหล็กกลาคารบอน 1040
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 24 kg/mm2
คําตอบ 2 : 34 kg/mm2
คําตอบ 3 : 43.7 kg/mm2
คําตอบ 4 : 53.7 kg/mm2
ขอที่ : 185
108 of 195
จากโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลาคารบอนตอไปนี้จงประมาณปริมาณคารบอนที่เปนไปไดในชิ้นงานตัวอยาง
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 0.1%C
คําตอบ 2 : 0.8%C
คําตอบ 3 : 0.4%C
คําตอบ 4 : 1.0%C
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : 0.1%C
คําตอบ 2 : 0.8%C
คําตอบ 3 : 0.4%C
คําตอบ 4 : 1.0%C
110 of 195
ขอที่ : 187
เหล็กกลาซึ่งมีคารบอนมากกวา 0.8 เปอรเซ็นตเรียกวา ................steel
คําตอบ 1 : hypo-eutectoid
คําตอบ 2 : hyper-eutectoid
ย
คําตอบ 3 :
่ า
eutectoid
คําตอบ 4 :
น
peritectic
ํจาห
ขอที่ : 188
กฎของเฟสเปนไปตามขอใด
ม
คําตอบ 1 :
้ า
P=C+F+2
คําตอบ 2 :
ิธ์ ห
P=C-F-2
คําตอบ 3 : P=C-F+2
คําตอบ 4 : P=C+F-2
ขอที่ : 189
สิท
วน
ถาเหล็กกลามีคารบอน 0.6 เปอรเซ็นต ถูกปลอยใหเย็นตัวชาๆจาก 900 องศาเซลเซียส ไปที่อุณหภูมิหอง โครงสรางจุลภาคจะประกอบดวย
ง
คําตอบ 1 : pearlite
ส
คําตอบ 2 : austenite
อ
คําตอบ 3 : ferrite และ austenite
ข
คําตอบ 4 : ferrite และ cementite
ก ร
ว
ขอที่ : 190
ศ
ิ
เมื่อปลอยใหเหล็กกลาไฮโปยูเทกตอยดเย็นตัวชาๆลงมาที่อุณหภูมิหอง โครงสรางจุลภาคจะประกอบดวย
าว
คําตอบ 1 : ferrite
สภ
คําตอบ 2 : ferrite และ cementite
คําตอบ 3 : ferrite และ pearlite
คําตอบ 4 : pearlite และ cementite
ขอที่ : 191
ที่อุณหภูมิหอง เหล็กหลอที่มีคารบอน 4.3% จะมีเพียงเฟส
่ าย
ขอที่ : 192
น
เมื่อเหล็กกลาไฮเปอรยูเทกตอยดถูกปลอยใหเย็นตัวลงมาที่อุณหภูมิหอง โครงสรางจุลภาคประกอบดวย
ํจาห
คําตอบ 1 : ferrite
คําตอบ 2 : ferrite และcementite
คําตอบ 3 : ferrite และ pearlite
ม
คําตอบ 4 : pearlite และ cementite
ขอที่ : 193
ิธ์ ห้ า
Ledeburite คือสวนผสมของ
ิท
คําตอบ 1 : ferrite และcementite
ส
คําตอบ 2 : ferrite และ pearlite
วน
คําตอบ 3 : austeniteและ pearlite
ง
คําตอบ 4 : pearlite และ cementite
ขอที่ :
อ ส
ข
194
ร
โครงสรางที่ไมปรากฏในเหล็กหลอขาว (white cast iron )คือ
ก
คําตอบ 1 : pearlite
ว
คําตอบ 2 : ledeburite
ศ
ิ
คําตอบ 3 :
ว
cementite
า
คําตอบ 4 : graphite
สภ
ขอที่ : 195
ปริมาณคารบอนใน cementite เทากับ
คําตอบ 1 : 2.0 %
คําตอบ 2 : 4.3%
คําตอบ 3 : 6.67%
คําตอบ 4 : 0.2%
112 of 195
ขอที่ : 196
ถาเหล็กกลาที่มีคารบอน 1.8 เปอรเซ็นต อยูที่อุณหภูมิสูงถูกปลอยใหเย็นตัวลงมาที่ 1000 องศาเซลเซียส โครงสรางจุลภาคจะประกอบดวย
คําตอบ 1 : pearlite
ย
คําตอบ 2 :
่ า
austenite
คําตอบ 3 : austenite และ cementite
น
คําตอบ 4 : austenite และ ferrite
ขอที่ : 197
ํจาห
ม
Cementite คือ
้ า
คําตอบ 1 : ferrite ผสม เหล็กคารไบด
ิธ์ ห
คําตอบ 2 : ferrite ผสม pearlite
คําตอบ 3 : pearlite ผสม เหล็กคารไบด
ิท
คําตอบ 4 : เหล็กคารไบด
นส
ว
ขอที่ : 198
ง
Pearlite คือ
ส
คําตอบ 1 : ferrite ผสม cementite
อ
คําตอบ 2 : cementite
ข
คําตอบ 3 : cementite ผสม ledeburite
ร
คําตอบ 4 : เหล็กคารไบด
วก
ศ
ิ
ขอที่ : 199
ว
โครงสรางจุลภาคของ hypoeutectic white cast iron ประกอบดวย
า
สภ
คําตอบ 1 : ferrite กับ graphite
คําตอบ 2 : pearlite กับ graphite
คําตอบ 3 : pearlite กับ ledeburite
คําตอบ 4 : ledeburite กับ graphite
ขอที่ : 200
Curie temperature เทากับ
113 of 195
คําตอบ 1 : 523 องศาเซลเซียส
คําตอบ 2 : 723 องศาเซลเซียส
คําตอบ 3 : 768 องศาเซลเซียส
คําตอบ 4 : 910 องศาเซลเซียส
่ าย
น
ขอที่ : 201
ํจาห
การแข็งตัวของโลหะพบไดนอยที่สุดที่บริเวณใด
คําตอบ 1 : ผนังภาชนะบรรจุ
คําตอบ 2 : Impurity atoms
ม
คําตอบ 3 : เมล็ดผลึก (Inoculants)
้ า
คําตอบ 4 : เนื้อของเหลว
ขอที่ : 202
ิธ์ ห
ิท
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับการแข็งตัว
ส
คําตอบ 1 : โดยทั่วไปแลว การนิวคลีเอชัน (Nucleation) ของของแข็งจากของเหลวเปนแบบ Heterogeneous nucleation
วน
คําตอบ 2 : การแข็งตัว (Solidification) ของน้ํา เริ่มเกิดที่อุณหภูมิ 0°C
ง
คําตอบ 3 : การฟอรมอินเตอรเฟสระหวางของแข็งและของเหลวขณะที่ของเหลวเกิดการแข็งตัว ทําใหพลังงานอิสระของระบบเพิ่มสูงขึ้น
ส
คําตอบ 4 : ที่ขนาดอันเดอรคูล (Undercooling) มากเกินไป อัตราการนิวคลีเอชันของของแข็งจากของเหลวลดลง แตถาขนาดอันเดอรคูลต่ําไป การนิวคลี
ขอที่ :
ร ขอ
203
ก
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับการแข็งตัวของโลหะ
ว
คําตอบ 1 : การสะสมของตัวถูกละลายบริเวณอินเตอรเฟสมากขึ้น ถาอัตราการแข็งตัวเพิ่มขึ้น
ศ
ิ
คําตอบ 2 : การแข็งตัวแบบฉับพลัน (Rapid solidification) ทําใหไดโลหะผสมที่ได มีความเขมขนใกลเคียงกันทั้งชิ้น
าว
คําตอบ 3 : เดนไดรท (Dendrite) ที่พบในการแข็งตัวของโลหะบริสุทธิ์ และโลหะผสมเกิดไดเมื่ออุณหภูมิของของเหลวลดต่ําลงเรื่อยๆ เมื่อหางจากอินเตอ
สภ
คําตอบ 4 : โลหะที่มีสัมประสิทธิ์การแพรในสถานะของเหลวสูง จะเกิดการสะสมตัวถูกละลายนอยลง
ขอที่ : 204
ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับ Constitutional supercooling
ขอที่ : 205
ย
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับ Segregation ที่เกิดขึ้นในโลหะหลอ
่ า
คําตอบ 1 : Homogenization เปนกระบวนการที่ใชลด Micro-segregation
น
คําตอบ 2 : Inverse segregation พบไดทั้งบริเวณใกลกับผนังแบบหลอ และตรงกลางแบบหลอ
ํจาห
คําตอบ 3 : การขับตัวถูกละลายออกมาทางดานขางของเดนไดรทเปนสาเหตุที่ทําใหเกิด Micro-segregation
คําตอบ 4 : ปริมาณ Segregation ขึ้นอยูกับปริมาตรการหดตัว (Shrinkage) และความยาวของเดนไดรต
้ าม
ขอที่ : 206
ิธ์ ห
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับโครงสราง (Structure) ของโลหะหลอ
คําตอบ 1 : บริเวณ Chill zone อยูติดกับผนังแบบหลอ เกรนบริเวณนี้มีการเรียงตัวแบบ Preferred orientation
คําตอบ 2 : Columnar zone เปนโครงสรางที่อยูระหวาง Chill zone กับ Equiaxed / Central Zone เปนเกรนที่ยาวขนานกับทิศทางการถายเทความรอน
ิท
คําตอบ 3 : การเย็นตัวอยางรวดเร็ว (Rapid cooling) มีสวนเสริมใหบริเวณ Equiaxed / Central Zone กวางขึ้น
ส
คําตอบ 4 : ปจจัยสําคัญที่ทําใหเกิด Equiaxed / Central Zone คือ Constitutional supercooling และการแตกเปนเศษยอยๆของปลายเดนไดรทจากกร
ขอที่ : 207
ง วน
ส
ขอใดไมใชวิธีการลดขนาดของเกรนในโลหะหลอ
ขอ
คําตอบ 1 : Rapid cooling
ร
คําตอบ 2 : Adding inoculants
ก
คําตอบ 3 : Zone melting
ว
คําตอบ 4 : Oscillation of a mold
าวศ
ิ
ขอที่ : 208
สภ
ขนาดวิกฤติของนิวเคลียส (Critical nucleus size) ในการนิวคลีเอชัน หมายถึง
คําตอบ 1 : รัศมีของอนุภาคของแข็งที่เล็กที่สุด ซึ่งสามารถเติบโตตอไปเปนนิวเคลียสของการแข็งตัวได โดยไมมีการละลายกลับไปเปนของเหลวอีก ภายใ
คําตอบ 2 : รัศมีของอนุภาคของแข็งที่ใหญที่สุด ซึ่งสามารถพบไดในการแข็งตัวภายใตอุณหภูมิอันเดอรคูลคงที่คาหนึ่ง
คําตอบ 3 : รัศมีของอนุภาคของแข็งที่เล็กที่สุด ซึ่งสามารถพบไดในการแข็งตัวภายใตอุณหภูมิอันเดอรคูลคงที่คาหนึ่ง
คําตอบ 4 : รัศมีของอนุภาคของแข็งที่เหมาะสมที่สุด สําหรับการแข็งตัวภายใตอุณหภูมิอันเดอรคูลคงที่คาหนึ่ง
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
116 of 195
คําตอบ 3 :
่ าย
น
คําตอบ 4 :
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ขอที่ : 210
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
แทงโลหะผสม Ag-5 wt.%Cu เกิดการแข็งตัวในทิศทางเดียวตามแนวความยาว และการแข็งตัวเปนแบบ Nonequilibrium freezing ใหหาความเขมขนของ Cu
117 of 195
ตัวไปไดระยะทาง Z , เปน Equilibrium distribution coefficient, เป
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ว
คําตอบ 1 : 1.87 wt.%Cu
ศ
ิ
คําตอบ 2 : 2.52 wt.%Cu
ว
คําตอบ 3 : 3.22 wt.%Cu
า
คําตอบ 4 : 4.01 wt.%Cu
สภ
ขอที่ : 211
ศ
ิ
คําตอบ 2 : 74.5%
ว
คําตอบ 3 : 91.9%
า
คําตอบ 4 : 99.7%
สภ
ขอที่ : 212
ศ
ิ
คําตอบ 2 : 5.42%
ว
คําตอบ 3 : 10.5%
า
คําตอบ 4 : 8.1%
สภ
ขอที่ : 213
ศ
ิ
คําตอบ 2 : 0.0103 wt.%Ag
ว
คําตอบ 3 : 2.52 wt.%Ag
า
คําตอบ 4 : 0.0252 wt.%Ag
สภ
ขอที่ : 214
ศ
ิ
คําตอบ 2 : 99%
ว
คําตอบ 3 : 78%
า
คําตอบ 4 : 95%
สภ
ขอที่ : 215
ศ
ิ
คําตอบ 2 : 11%
ว
คําตอบ 3 : 1%
า
คําตอบ 4 : 22%
สภ
ขอที่ : 216
ทฤษฎี Constitutional Undercooling (หรือ Supercooling) อธิบายเกี่ยวกับอะไร
คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
การแข็งตัวยิ่งยวด (Rapid Solidification) ของโลหะและโลหะผสม
การเกิดโครงสรางแบบกิ่งไม (Dendritic Structure) จากการแข็งตัวของโลหะบริสุทธิ์
คําตอบ 3 : การเกิดโครงสรางแบบกิ่งไม (Dendritic Structure) จากการแข็งตัวของโลหะผสม
123 of 195
คําตอบ 4 : การเกิดโครงสรางที่แบงเปนสามโซน (ชิลดโซน คอลัมนา และ อิควิแอกซโซน) ในงานหลอโลหะ
ขอที่ : 217
ย
เมื่อตรวจสอบโครงสรางจุลภาคของโลหะผสมของทองแดงชิ้นหนึ่ง ที่ขึ้นรูปดวยวิธีการหลอ พบวามีลักษณะเปน Cored Structure แสดงวา
่ า
คําตอบ 1 : ชิ้นงานหลอมีสวนผสมไมสม่ําเสมอในระดับมหภาค (macro segregation) ตรงใจกลางชิ้นงานมีสวนผสมไมเหมือนบริเวณขอบ
น
คําตอบ 2 : ชิ้นงานหลอมีสวนผสมไมสม่ําเสมอในระดับจุลภาค (micro segregation) ตรงใจกลางเกรนมีสวนผสมตางจากบริเวณขอบเกรน
ํจาห
คําตอบ 3 : เกิด Cored Structure แสดงวาการเตรียมชิ้นงานไมดี โดยเฉพาะการกัดน้ํายาเตรียมผิว (Etching) ไมสมบูรณ
คําตอบ 4 : ชิ้นงานมีเกรนละเอียด
้ าม
ขอที่ : 218
ิธ์ ห
การที่วัสดุเชน โลหะ สามารถคงสภาพเปนของเหลวอยูไดทั้งที่อุณหภูมิต่ํากวาจุดเยือกแข็งของมันแลว อธิบายไดโดยปรากฏการณหรือกระบวนการในขอใด
คําตอบ 1 : การเกิด Homogeneous Nucleation กับ Heterogeneous Nucleation
คําตอบ 2 : การที่โลหะนั้นมีสิ่งเจือปนอยูมาก
ิท
คําตอบ 3 : การเกิด Crytal Growth
ส
คําตอบ 4 : การเกิด Segregation
ขอที่ : 219
ง วน
ส
ในการควบคุมโครงสรางจุลภาคของโลหะดวยกระบวนการแข็งตัว (Solidification) นั้น ไมสามารถทําสิ่งใดได
ขอ
คําตอบ 1 : ทําใหโลหะแข็งตัวเปนโลหะอสัณฐาน (Amouphous Metal) ดวยกระบวนการแข็งตัวฉับพลัน (Rapid Solidification)
ร
คําตอบ 2 : ควบคุมใหเหล็กหลอสามารถเลือกเกิดโครงสรางเปนเหล็กหลอขาวหรือเหล็กหลอเทาก็ได โดยควบคุมที่อัตราการเย็นตัว
ก
คําตอบ 3 : ทําใหเหล็กกลาแข็งตัวกลายเปนโครงสรางมารเตนไซตโดยตรง
ว
คําตอบ 4 : ควบคุมใหโลหะที่ไดมีเกรนละเอียดโดยการเติมสารลดขนาดเกรน (Grain Refiners)
าวศ
ิ
ขอที่ : 220
สภ
การแข็งตัว (Solidification) ของโลหะผสมแบงเปนสองแบบใหญ คือ Skin forming และ Mushy forming
โลหะผสมที่มีแนวโนมวา แข็งตัวแบบ Skin forming ไดแก
คําตอบ 1 : โลหะที่มีจุดหลอมเหลวต่ํา
คําตอบ 2 : โลหะที่มีจุดหลอมเหลวสูง
คําตอบ 3 : โลหะผสมที่มีชวงการแข็งตัว (Solidification Range) แคบ
คําตอบ 4 : โลหะผสมที่มีชวงการแข็งตัว (Solidification) กวาง
124 of 195
ขอที่ : 221
ขีดความสามารถในการละลายของกาซไฮโดรเจนในโลหะอะลูมิเนียมแสดงไดดังกราฟ
ขอใดกลาวไมถูกตอง
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
ว
คําตอบ 1 : ที่อุณหภูมิสูง กาซละลายในโลหะไดมากขึ้น
า
คําตอบ 2 : กาซละลายในโลหะหลอมเหลวไดสูงกวาโลหะที่เปนของแข็ง
สภ
คําตอบ 3 : เมื่อทําการหลอโลหะชนิดนี้ ขณะแข็งตัวจากของเหลวกลายเปนของแข็ง จะไมมีปญหาโพรงอากาศ
คําตอบ 4 : ขณะหลอมโลหะชนิดนี้ ควรกําจัดกาซที่ละลายในโลหะหลอมเหลวออกใหเหลือนอยที่สุด เพื่อปองกันปญหาขณะโลหะแข็งตัว
ขอที่ : 222
อุณหภูมิในขอใดไมมีความสําคัญตอกระบวนการแข็งตัว (Solidification) ของโลหะผสม
คําตอบ 1 : อุณหภูมิยูเทกติก
125 of 195
คําตอบ 2 : อุณหภูมิยูเทกตอยด
คําตอบ 3 : อุณหภูมิโซลิดัส
คําตอบ 4 : อุณหภูมิลิควิดัส
่ าย
ขอที่ : 223
น
จากรูปเปนผลการทดลอง หลอมโลหะผสมระหวางทองแดงกับนิกเกิลใหเปนของเหลว แลวฉีดพนเปนละออง (หยดของเหลวเล็ก ๆ) วัดอุณหภูมิของหยดของเหล
ํจาห
ผลการทดลองพบวา อุณหภูมิที่หยดของเหลวเริ่มแข็งตัวนั้น ต่ํากวาอุณหภูมิโซลิดัส (Solidus temperature) มากในทุกสวนผสม
ขอใดเปนขอสรุปที่ถูกตองจากการทดลองนี้
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
126 of 195
คําตอบ 1 : อุณหภูมิเริ่มแข็งตัวที่วัดได คือ อุณหภูมิที่เกิด Homogeneous Nucleation
คําตอบ 2 : อุณหภูมิเริ่มแข็งตัวที่วัดได คือ อุณหภูมิที่เกิด Heterogeneous Nucleation
คําตอบ 3 : อุณหภูมิเริ่มแข็งตัวของหยดของเหลวเล็ก ๆ ต่ํากวาอุณหภูมิโซลิดัส เพราะในหยดของเหลวเล็ก ๆ ตองคิดผลของแรงตึงผิวดวย ทําใหอุณหภูมิโ
คําตอบ 4 : อุณหภูมิเริ่มแข็งตัวที่วัดได ผิดพลาดเนื่องจากเกิดออกไซดที่ผิวหยดของเหลว
่ าย
น
ขอที่ : 224
ํจาห
การเติมสารลดขนาดเกรนลงไปในโลหะหลอมเหลวกอนหรือขณะเทเขาแบบหลอ ทําใหโลหะหลอที่ไดมีเกรนละเอียดนั้น อาศัยหลักการใด
คําตอบ 1 : การเกิด Homogeneous Nucleation
คําตอบ 2 : การเกิด Heterogeneous Nucleation บนผนังแบบหลอ
ม
คําตอบ 3 : การเกิด Heterogeneous Nucleation โดยอาศัยนิวเคลียสเทียม
้ า
คําตอบ 4 : การลดอุณหภูมิที่จะเกิดนิวเคลียสของแข็งใหต่ําลง
ขอที่ : 225
ิธ์ ห
ิท
เมื่อโลหะอะลูมิเนียมแข็งตัว (เปลี่ยนสถานะจากของเหลวเปนของแข็ง)
ส
คําตอบ 1 : ปริมาตรจะเพิ่มขึ้น
วน
คําตอบ 2 : เกิดการหดตัว
ง
คําตอบ 3 : กาซสามารถละลายเขาไปในเนื้อโลหะไดดีขึ้น
ส
คําตอบ 4 : น้ําหนักจะเพิ่มขึ้น
ขอที่ :
ร ขอ
226
ก
ปรากฏการณใดไมไดเปนผลโดยตรงจากกระบวนการแข็งตัว (Solidification) ของโลหะผสมโดยทั่วไปที่ใชงานทางวิศวกรรม
ว
คําตอบ 1 : การเกิด Macro segregation
ศ
ิ
คําตอบ 2 : การเกิด Micro segregation
าว
คําตอบ 3 : เกิดโพรงจากการหดตัวขณะเปลี่ยนสถานะ
สภ
คําตอบ 4 : เกิดโครงสรางมารเตนไซต
ขอที่ : 227
การเกิด Micro Segregation ขึ้นในโครงสรางของโลหะที่ผานการหลอ เปนผลมาจากปรากฏการณใด
คําตอบ 1 : การแพรของอะตอมตัวถูกละลายชาเกินไป
คําตอบ 2 : การแพรของอะตอมตัวถูกละลายเร็วเกินไป
คําตอบ 3 : อุณหภูมิน้ําโลหะสูงเกินไป 127 of 195
คําตอบ 4 : อุณหภูมิน้ําโลหะต่ําเกินไป
ขอที่ : 228
ย
การเกิดโครงสราง Dendrite ในโลหะผสมอธิบายดวยทฤษฎีบทใด
่ า
คําตอบ 1 : การเกิดนิวเคลียสแบบโฮโมจีเนียส
น
คําตอบ 2 : การเกิดนิวเคลียสแบบเฮเทอโรจีเนียส
ํจาห
คําตอบ 3 : การเกิด Constitutional Supercooling (หรือ Undercooling)
คําตอบ 4 : การแปลงเฟสแบบไมอาศัยการแพร
้ าม
ขอที่ : 229
ิธ์ ห
สภาวะขอใดที่ทําใหไดโลหะหลอที่มีขนาดเกรนละเอียด
คําตอบ 1 : อัตราการเกิดนิวเคลียสสูง อัตราการโตของผลึกต่ํา
คําตอบ 2 : อัตราการเกิดนิวเคลียสสูง อัตราการโตของผลึกสูง
ิท
คําตอบ 3 : อัตราการเกิดนิวเคลียสต่ํา อัตราการโตของผลึกสูง
ส
คําตอบ 4 : อัตราการเกิดนิวเคลียสต่ํา อัตราการโตของผลึกต่ํา
ขอที่ : 230
ง วน
ส
ในการหลอใบ Turbine Blade เพื่อใชงานที่อุณหภูมิสูงและทนตอ Creep ตองการโครงสรางชิ้นงานที่เปนผลึกเดี่ยว (Single Crystal) จะตองหลอภายใตสภาวะ
ขอ
คําตอบ 1 : อัตราการเกิดนิวเคลียสสูง อัตราการโตของผลึกต่ํา
ร
คําตอบ 2 : อัตราการเกิดนิวเคลียสสูง อัตราการโตของผลึกสูง
ก
คําตอบ 3 : อัตราการเกิดนิวเคลียสต่ํา อัตราการโตของผลึกสูง
ว
คําตอบ 4 : อัตราการเกิดนิวเคลียสต่ํา อัตราการโตของผลึกต่ํา
าวศ
ิ
ขอที่ : 231
สภ
การเกิดโครงสรางของเกรนโลหะในโซนใดของงานหลอ ที่อาศัยกลไกของการโตของผลึก (Growth) เปนหลัก โดยไมอาศัยการเกิดนิวเคลียส (Nucleation)
คําตอบ 1 : Chill Zone
คําตอบ 2 : Columnar Zone
คําตอบ 3 : Equi-axed Zone
คําตอบ 4 : Core Zone
ย
คําตอบ 4 : สนิมที่ผิว
น่ า
ํจาห
ขอที่ : 233
ระหวางการแข็งตัวของน้ําโลหะกลายเปนของแข็ง ผลึกโลหะในบริเวณที่เปน Columnar Grain จะมีทิศทางการโตของผลึกเปนอยางไร เมื่อเทียบกับทิศการถายเ
คําตอบ 1 : ทิศเดียวกัน
ม
คําตอบ 2 : ทิศตั้งฉากกัน
้ า
คําตอบ 3 : ทิศสวนทางกัน (ขนานแตทิศตรงขาม)
ิธ์ ห
คําตอบ 4 : ไมสัมพันธกัน
ิท
ขอที่ : 234
ส
การศึกษาเรื่อง Solidification of Metals ทําใหมีความเขาใจถึงเรื่องตอไปนี้ ยกเวนเรื่องใด
วน
คําตอบ 1 : การที่โลหะในอุตสาหกรรมมีโครงสรางแบบ Polycrystalline
ง
คําตอบ 2 : วิธีการผลิตชิ้นงานโลหะใหมีโครงสรางเปนแบบ Single Crystal
ส
คําตอบ 3 : สาเหตุของการเกิดตําหนิตาง ๆ ในโลหะหลอ
อ
คําตอบ 4 : ปจจัยที่ควบคุมความแข็งของโลหะหลอ
ขอที่ :
ก ร ข
235
ว
ในการแข็งตัวของน้ําโลหะ
ศ
ิ
ก. การเกิด Homogeneous Nucleation นั้นจะเกิดที่อุณหภูมิต่ํากวาการเกิด Heterogeneous Necleation
ว
ข. การที่เกิดนิวเคลียสของแข็งบนผนังแบบหลอหรือผนังภาชนะ เปนการเกิดนิวเคลียสแบบ Heterogeneous
า
คําตอบ 1 : ก.
สภ
คําตอบ 2 : ข.
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.
ขอที่ : 236
ย
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.
น่ า
ํจาห
ขอที่ : 237
ขอใดเปน Micro Segregation
ก. Coring
ม
ข. Inverse Segregation
้ า
คําตอบ 1 : ก.
ิธ์ ห
คําตอบ 2 : ข.
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.
สิท
น
ขอที่ : 238
ว
Constitutional Supercooling เปนกลไกของการเกิดปรากฏการณใดตอไปนี้
สง
คําตอบ 1 : การเกิดโครงสรางแบบ Dendrite ในโลหะบริสุทธิ์
อ
คําตอบ 2 : การเกิดโครงสรางแบบ Dendrite ในโลหะผสม
ข
คําตอบ 3 : การเกิด Homogeneous Necleation
ร
คําตอบ 4 : การแข็งตัวเร็วยิ่งยวด (Rapid Solidification)
วก
ศ
ิ
ขอที่ : 239
ว
ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับการโต (Growth) ของผลึกของแข็งระหวางกระบวนการแข็งตัว (Solidification)
า
ก. ระนาบที่มีการเรียงตัวอะตอมแบบอัดแนน (Close-packed Plane) จะมีอัตราการโตชากวาระนาบที่มีการเรียงตัวหลวม ๆ ข. เมื่อผลึกของแข็งโตไปไดระยะหนึ่ง
สภ
คําตอบ 1 : ก.
คําตอบ 2 : ข.
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.
ขอที่ : 240
ปรากฏการณใดไมเกิดระหวางกระบวนการแข็งตัวของโลหะ 130 of 195
คําตอบ 1 : การแพรของอะตอมธาตุผสม
คําตอบ 2 : การเกิดนิวเคลียสใหม
คําตอบ 3 : การถายเทความรอน
คําตอบ 4 : การแปรรูปถาวร
่ าย
น
ขอที่ : 241
ํจาห
ขอใดที่ไมมีความสัมพันธกับการเกิด Coring ในทองแดงผสมหลอ
คําตอบ 1 : microsegregation
คําตอบ 2 : dendritic structure
ม
คําตอบ 3 :
้ า
solidification shrinkage
คําตอบ 4 :
ิธ์ ห
solute diffusion
ขอที่ : 242
ิท
ขอใดเรียงลําดับการแข็งตัวของโลหะไดถูกตอง
ส
คําตอบ 1 :
น
nucleus --> dendrite --> grain
ว
คําตอบ 2 : dendrite --> nucleus --> grain
ง
คําตอบ 3 : grain --> nucleus --> dendrite
ส
คําตอบ 4 : nucleus --> grain --> dendrite
ขอที่ :
ร ขอ
243
ก
นิวเคลียสที่เกิดโดยใชพื้นผิววัตถุอื่นเกิด คือ กลไกการเกิดนิวเคลียสแบบใด
ว
คําตอบ 1 : Heterogeneous
ศ
ิ
คําตอบ 2 :
ว
Homogeneous
า
คําตอบ 3 : Embryo
สภ
คําตอบ 4 : Nuclei
ขอที่ : 244
วิธีเพิ่มความแข็งแรงใหกับอลูมิเนียมหลอ โดยการเติมธาตุบางชนิดเพื่อใหเกิดนิวเคลียสเทียม เปนวิธีที่ใชกลไกเกิดนิวเคลียสแบบใด
คําตอบ 1 : Heterogeneous
คําตอบ 2 : Nuclei
คําตอบ 3 : Embryo 131 of 195
คําตอบ 4 : Homogeneous
ขอที่ : 245
ย
ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับสัมประสิทธิ์การแพร (D)
่ า
คําตอบ 1 : D surface > D grain boundary > D lattice
น
คําตอบ 2 : D surface > D lattice > D grain boundary
ํจาห
คําตอบ 3 : D grain boundary > D surface > D lattice
คําตอบ 4 : D grain boundary > D lattice > D surface
้ าม
ขอที่ : 246
ิธ์ ห
ขอใดไมใชอะตอมแบบแทรก (Interstitial atoms) ในเหล็ก
คําตอบ 1 : C
คําตอบ 2 :
ิท
N
คําตอบ 3 :
ส
H
คําตอบ 4 :
น
Cr
ขอที่ : 247
ง ว
ส
ตัวแปรขอใดมีอิทธิพลตอสัมประสิทธิ์การแพร (Diffusion coefficient) มากที่สุด
ขอ
คําตอบ 1 : อุณหภูมิ
ร
คําตอบ 2 : ความดัน
ก
คําตอบ 3 : ความเขมขนของตัวถูกละลาย (Concentration of solute atoms)
ว
คําตอบ 4 : เวลา
าวศ
ิ
ขอที่ : 248
สภ
ขอใดเปนการแพรแบบ Steady-state
คําตอบ 1 : การแพรโดยความเขมขนของตัวถูกละลายทุกๆ ตําแหนงมีขนาดคงที่ ไมเปลี่ยนแปลงตามเวลา
คําตอบ 2 : การแพร โดยอัตราการแพรของตัวถูกละลายทุกๆตําแหนงมีขนาดคงที่ ไมเปลี่ยนแปลงตามเวลา
คําตอบ 3 : การแพร โดยความเขมขนของตัวถูกละลายทุกๆ ตําแหนงมีขนาดเทากัน
คําตอบ 4 : การแพร โดยอัตราการแพรของตัวถูกละลายทุกๆ ตําแหนงมีขนาดเทากัน
ย
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ
น่ า
ํจาห
ขอที่ : 250
ทองเหลืองเปนโลหะผสมของ Cu-Zn ถูกนํามาพันดวยลวดโมลิบดินัม และวางไวตรงกลางแทงทองแดงบริสุทธิ์ กอนนําไปอบในเตา เมื่อเวลาผานไปชวงหนึ่ง ให
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : W ลดลง
คําตอบ 2 : W กวางขึ้น
คําตอบ 3 : W คงที่
คําตอบ 4 : W กวางขึ้นในชวงแรก และลดลงในเวลาตอมา
ขอที่ : 251
ขอใดเปนการแพรของสังกะสีในเมตริกซของทองแดง 133 of 195
คําตอบ 1 : การแพรแบบแทรก (Interstitial diffusion)
คําตอบ 2 : การแพรแบบแทนที่ (Substitutional diffusion)
คําตอบ 3 : การแพรภายในตัวเอง (Self diffusion)
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ
่ าย
น
ขอที่ : 252
ํจาห
แผนเหล็กบริสุทธิ์ถูกประกบดวยแกรไฟตดังรูปดานลาง แลวนํามาใหความรอนที่อุณหภูมิ 800°C เปนระยะเวลาหนึ่ง จากรูปใหพิจารณาวาขอใดเปน Phase 1
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว คําตอบ 1 : Austenite
สภ
คําตอบ 2 : Ferrite
คําตอบ 3 : Cementite
คําตอบ 4 : Pearlite
ขอที่ : 253
134 of 195
แผนเหล็กบริสุทธิ์ถูกประกบดวยแกรไฟตดังรูปดานลาง แลวนํามาใหความรอนที่อุณหภูมิ 740°C เปนระยะเวลาหนึ่ง จากรูปใหพิจารณาวาขอใดเปน Phase 2
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
ส
คําตอบ 1 : Austenite
อ
คําตอบ 2 : Ferrite
ข
คําตอบ 3 : Cementite
ร
คําตอบ 4 : Pearlite
วก
ศ
ิ
ขอที่ : 254
ว
ขอใดกลาวไมถูกตอง
า
คําตอบ 1 : สัมประสิทธิ์การแพร (Diffusion coefficient) แบบแทรกสูงกวาสัมประสิทธิ์การแพรแบบแทนที่
สภ
คําตอบ 2 : สัมประสิทธิ์การแพร (Diffusion coefficient) แบบแทรกมีขนาดลดลง เมื่อความเขมขนของอะตอมแบบแทรกเพิ่มขึ้น
คําตอบ 3 : สัมประสิทธิ์การแพร (Diffusion coefficient) แบบแทรกของอะตอมแทรกที่มีขนาดใหญ จะต่ํากวาของอะตอมแบบแทรกที่มีขนาดเล็กกวา
คําตอบ 4 : สัมประสิทธิ์การแพร(Diffusion coefficient) บริเวณขอบเกรนต่ํากวาสัมประสิทธิ์การแพรภายในแลททิซ
ขอที่ : 255
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับการแพร
135 of 195
คําตอบ 1 : ความแตกตางของความเขมขน (Concentration gradient) ในของแข็งเปนแรงผลักดัน (Driving force) ที่ทําใหเกิดการแพร
คําตอบ 2 : การเพิ่มอุณหภูมิทําใหความเร็วของการแพรสูงขึ้น
คําตอบ 3 : โดยทั่วไปแลว การแพรภายในโลหะ FCC จะชากวาในโลหะ BCC
คําตอบ 4 : การแพรแบบแทรก (Interstitial diffusion) เปนกลไกการแพรเพียงชนิดเดียวที่เกิดขึ้น
่ าย
น
ขอที่ : 256
ํจาห
ขอใดแสดงใหเห็นความสัมพันธระหวางสัมประสิทธิ์การแพร (Diffusion coefficient, D) กับอุณหภูมิ (T)
ม
คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
ิธ์ ห้ า
สิท
วน
คําตอบ 3 :
สง
อ
คําตอบ 4 :
ก ร ข
ว
ขอที่ : 257
าวศ
ิ
สภ
136 of 195
ขอใดเปนเฟสที่พบในชิ้นงานโลหะผสม Cu-Zn เมื่อนํามาอบที่อุณหภูมิ 300°C
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 :
คําตอบ 2 :
คําตอบ 3 :
137 of 195
คําตอบ 4 :
ขอที่ : 258
ย
ขอใดเปนเฟสที่พบในชิ้นงานโลหะผสม Cu-Zn เมื่อนํามาอบที่อุณหภูมิ 500°C
น่ า
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 :
138 of 195
คําตอบ 2 :
คําตอบ 3 :
่ าย
น
คําตอบ 4 :
ขอที่ : 259
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
ส
คําตอบ 1 :
อ
1.57
คําตอบ 2 :
ข
2.48
ร
คําตอบ 3 : 6.15
ก
คําตอบ 4 : 7.88
ศ
ิ ว
ว
ขอที่ : 260
า
สภ
139 of 195
คําตอบ 1 : 15 นาที
คําตอบ 2 : 127 นาที
คําตอบ 3 : 228 นาที
คําตอบ 4 : 315 นาที
่ าย
น
ขอที่ : 261
ํจาห
Kirkendall Effect เปนปรากฏการณที่เกี่ยวของกับอะไร
คําตอบ 1 : การเกิดจุดครากในโลหะ
คําตอบ 2 : การแพรที่เกิดขึ้นระหวาง Diffusion Couple
ม
คําตอบ 3 : วิธีการวัดสัมประสิทธิ์การแพร
้ า
คําตอบ 4 : การเปราะเนื่องจาก Dynamic Strain Aging
ขอที่ : 262
ิธ์ ห
ิท
หนวยของสัมประสิทธิ์การแพร (Diffusion Coefficient) คือ
ส
คําตอบ 1 :
น
m/s
ว
คําตอบ 2 : m^2/s
ง
คําตอบ 3 : kg/m^2/s
ส
คําตอบ 4 : mol/s
ขอที่ :
ร ขอ
263
ก
การแพรของอะตอมตอไปนี้ในโลหะเหล็ก (แอลฟาหรือเฟอรไรต) อะตอมใดนาจะแพรไดเร็วที่สุด
ว
คําตอบ 1 : N
ศ
ิ
คําตอบ 2 :
ว
Si
า
คําตอบ 3 : Mn
สภ
คําตอบ 4 : Fe
ขอที่ : 264
ขอใดกลาวผิดเกี่ยวกับการแพร
คําตอบ 1 : ในโลหะบริสุทธิ์ ก็เกิดการแพรได เรียกวา Self-Diffusion
คําตอบ 2 : เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น การแพรจะเกิดไดเร็วขึ้น
คําตอบ 3 : การแพรของอะตอมตัวถูกละลายชนิดแทรก เกิดไดเร็วกวาของอะตอมตัวถูกละลายชนิดแทนที่ 140 of 195
คําตอบ 4 : กฎที่อธิบายอัตราเร็วในการแพร คือ กฎของ Fourier
ขอที่ : 265
ย
สมการในขอใดที่บอกถึงความสัมพันธระหวางสัมประสิทธิ์การแพรกับอุณหภูมิ
น่ า
ํจาห
คําตอบ 1 :
้ าม
คําตอบ 2 :
ิธ์ ห
สิท
ง วน
ส
คําตอบ 3 :
ร ขอ
วก
ศ
ิ
คําตอบ 4 :
าว
สภ
ขอที่ : 266
สําหรับเหล็กกลาผสมแผนหนึ่ง หากทราบวาการทําคารบูไรซิงเปนเวลา 10 ชั่วโมง จะทําใหความเขมขนของคารบอนที่ระดับความลึกจากผิว 2.5 mm มีคาเปน 0.
คําตอบ 1 : 20 ชั่วโมง
คําตอบ 2 : 40 ชั่วโมง
คําตอบ 3 : 100 ชั่วโมง 141 of 195
คําตอบ 4 : ไมสามารถคํานวณได เพราะไมทราบสัมประสิทธิ์การแพรของคารบอนในเหล็กดังกลาว
ขอที่ : 267
ย
กระบวนการใดที่ไมไดอาศัยการแพรเปนกลไกหลัก
่ า
คําตอบ 1 : การอบออนเพื่อทําใหสวนผสมสม่ําเสมอ (Homogenizing Annealing) สําหรับงานหลอ
น
คําตอบ 2 : การทําคารบูไรซิง (Carburizing)
ํจาห
คําตอบ 3 : การกรองกาซไฮโดรเจนใหบริสุทธิ์โดยใชแผนโลหะเชน แพลเลเดียม เปนตัวกรอง
คําตอบ 4 : การชุบแข็งเหล็กกลาโดยทําใหเปนมารเตนไซต
้ าม
ขอที่ : 268
ิธ์ ห
ขอใดกลาวผิดเกี่ยวกับการแพรของอะตอมธาตุผสมในเนื้อของโลหะหลัก
คําตอบ 1 : โดยทั่วไป การแพรจะเกิดในทิศทางที่ทําใหสวนผสมสม่ําเสมอมากขึ้น
คําตอบ 2 : โดยทั่วไป การแพรมีทิศทางเดียวกับทิศของ Concentration Gradient
ิท
คําตอบ 3 : อะตอมธาตุผสมชนิดแทรก (Interstitial Atom) มีความเร็วในการแพรสูงกวาอะตอมธาตุผสมชนิดแทนที่ (Substitutional Atom)
ส
คําตอบ 4 : การแพรของอะตอมธาตุผสมชนิดแทรก ตองอาศัยการมีอยูของชองวาง (Vacancies) ในโครงสรางผลึก
ขอที่ : 269
ง วน
ส
คูการแพรใดที่นาจะมีอัตราเร็วของการแพรสูงที่สุด (ภายใตอุณหภูมิเดียวกัน)
อ
โลหะที่เขียนชื่อแรก เปน อะตอมที่เกิดการแพร
ข
สวนโลหะที่เขียนชื่อหลัง คือ โลหะหลัก (เมตริกซ)
ร
คําตอบ 1 : นิกเกิล ใน ทองแดง
วก
คําตอบ 2 : ทองแดง ใน นิกเกิล
ศ
ิ
คําตอบ 3 : คารบอน ใน เหล็ก
ว
คําตอบ 4 : เหล็ก ใน คารบอน (แกรไฟต)
า
สภ
ขอที่ : 270
เมื่อแทงทองแดงและนิกเกิลที่ขัดปลายจนเรียบ มาเชื่อมตอกันในสถานะของแข็ง แลวอบทิ้งไวที่อุณหภูมิสูง พบวา บริเวณรอยตอจะเกิดชั้นของโลหะผสมระหวาง
คําตอบ 1 : เกิดการแพรของอะตอมธาตุทั้งสองชนิดเขาหากัน
คําตอบ 2 : เกิดปฏิกิริยาเคมีทําใหเกิดการเชื่อมประสาน
คําตอบ 3 : เกิดปฏิกิริยาเคมีทําใหเกิดการกัดกรอน
คําตอบ 4 : เกิดการแปลงเฟส (Phase Transformation) ที่อุณหภูมิสูง
142 of 195
ขอที่ : 271
จากกฎการแพรของฟก ดังแสดงในรูปประกอบ
คา Jx ทางซายมือของสมการ นาจะเปนปริมาณอะไร
่ าย
น
คําตอบ 1 : Mass Flux Density ของอะตอมที่เกิดการแพร
ํจาห
ม
คําตอบ 2 : Heat Flux ของการแพร
้ า
คําตอบ 3 : ความเขมขนของธาตุผสมที่เกิดการแพร
ิธ์ ห
คําตอบ 4 : สัมประสิทธิ์การแพร
ิท
ขอที่ : 272
ส
คา D ในสมการการแพรของฟก ที่แสดงในรูป คือปริมาณอะไร
ง วน
อ ส
ร ข
คําตอบ 1 : สัมประสิทธิ์การแพร (Diffusion Coefficient)
ก
คําตอบ 2 : สัมประสิทธิ์การสงถายมวล (Mass Transfer Coefficient)
ว
คําตอบ 3 : ความเขมขน (Concentration)
ศ
ิ
คําตอบ 4 : สัมประสิทธิ์เชิงอุณหภูมิ (Thermal Coefficient)
าว
สภ
ขอที่ : 273
ในการทําคารบูไรซิงเพื่อเพิ่มคารบอนที่ผิวของชิ้นงานเหล็ก ความลึกผิวแข็งที่ได แปรผันตามเวลาอยางไร
คําตอบ 1 : แปรผันตรงตามเวลา
คําตอบ 2 : แปรผันตรงตามเวลายกกําลังสอง
คําตอบ 3 : แปรผันตรงตามรากที่สองของเวลา
คําตอบ 4 : แปรผันตรงตามเวลายกกําลังสี่
143 of 195
ขอที่ : 274
สัมประสิทธิ์การแพร(diffusion coefficient) ของโลหะที่อยูในสารละลายของแข็ง(solid solution)
คําตอบ 1 : เปนฟงชันของสวนผสมเทานั้น
คําตอบ 2 : เปนฟงชันของอุณหภูมิเทานั้น
ย
คําตอบ 3 : เปนฟงชันของทั้งสวนผสมและอุณหภูมิ
่ า
คําตอบ 4 : ไมเปนฟงชันของสวนผสมและอุณหภูมิ
น
ํจาห
ขอที่ : 275
Fick’s law เปนกฎพื้นฐานในเรื่อง
ม
คําตอบ 1 :
้ า
solidification
คําตอบ 2 :
ิธ์ ห
X-ray diffraction
คําตอบ 3 : diffusion
คําตอบ 4 : heat convection
ขอที่ : 276
สิท
วน
ตําหนิชนิดใดเกี่ยวของกับการแพรของอะตอมธาตุผสมชนิดแทนที่ (Substitutional Solute Atoms) มากที่สุด
ง
คําตอบ 1 : ชองวางในโครงสรางผลึก (Vacancy)
ส
คําตอบ 2 : Edge Dislocation
อ
คําตอบ 3 : Screw Dislocation
ข
คําตอบ 4 : ขอบเกรน
ก ร
ว
ขอที่ : 277
ศ
ิ
การทํา Carburizing อาศัยปรากฏการณใด
าว
คําตอบ 1 : การแปรรูปถาวร
สภ
คําตอบ 2 : การแปลงเฟส
คําตอบ 3 : การแพร
คําตอบ 4 : การเกิดคารบอน
ขอที่ : 278
กลไกของการแพรประกอบดวยสิ่งตาง ๆ ตอไปนี้ ยกเวนขอใด
คําตอบ 1 : การสั่นสะเทือนของอะตอม 144 of 195
คําตอบ 2 : ชองวางในโครงสรางผลึก (Vacancies)
คําตอบ 3 : พลังงานกระตุนอันเนื่องจากความรอน
คําตอบ 4 : การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนวงนอก
่ าย
ขอที่ : 279
น
กรรมวิธีใดที่ตองอาศัยการแพร
ก. Carburizing
ํจาห
ข. Homogenization
คําตอบ 1 : ก.
ม
คําตอบ 2 : ข.
้ า
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
ิธ์ ห
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.
ิท
ขอที่ : 280
ส
การแพรในขอใดไมตองอาศัย Vacancies ในผลึกของแข็ง ก็สามารถเกิดการแพรนั้นได
น
คําตอบ 1 : การแพรที่อุณหภูมิสูง
ว
คําตอบ 2 : การแพรที่อุณหภูมิต่ํา
ง
คําตอบ 3 : การแพรของ Interstitial Solute Atoms
อ ส
คําตอบ 4 : การแพรของอะตอมของธาตุนั้นเอง
ขอที่ :
ก ร ข
281
ว
ขอใดที่ไมเกี่ยวของกับการแพร (Diffusion)
ศ
ิ
คําตอบ 1 : Matano Method
าว
คําตอบ 2 :
สภ
คําตอบ 3 : Kirkendall Effect
คําตอบ 4 : Hall-Petch Equation
ขอที่ : 282
ขอใดที่เกี่ยวของกับการแพร
ย
คําตอบ 4 : Bragg Law
ขอที่ : 283
น่ า
ํจาห
กระบวนการใดที่อาศัยการแพรเปนกลไกสําคัญ
ก. Nitriding
ข. การแปลงเฟสเปนมารเตนไซต
ม
คําตอบ 1 : ก.
้ า
คําตอบ 2 : ข.
ิธ์ ห
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.
ขอที่ : 284
สิท
น
ปรากฏการณใดที่อธิบายเปนสมการพื้นฐานไดจาก
ง ว
ส
คําตอบ 1 : การแพร
อ
คําตอบ 2 : การเคลื่อนที่ของดิสโลเคชัน
ข
คําตอบ 3 : การเกิด Work Hardening
ร
คําตอบ 4 : ผลของขนาดเกรนเฉลี่ยตอความแข็งของโลหะ
วก
ศ
ิ
ขอที่ : 285
ว
ขอใดเปนปจจัยสําคัญนอยที่สุดของการแพรของอะตอมในสภาวะของแข็ง
า
สภ
คําตอบ 1 : ความรอน
คําตอบ 2 : แรงกระทํา
คําตอบ 3 : เวลาในการแพร
คําตอบ 4 : ความเขมขนของอะตอม
ขอที่ : 286
Concentration gradient หมายถึง อะไร
146 of 195
คําตอบ 1 : สัมประสิทธิการแพร
คําตอบ 2 : ความเขมขนการแพร
คําตอบ 3 : การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
คําตอบ 4 : การเปลี่ยนแปลงความเขมขนตามระยะทาง
่ าย
น
ขอที่ : 287
ํจาห
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับการเปลี่ยนเฟส
คําตอบ 1 : การเปลี่ยนเฟสเกิดที่อุณหภูมิ และความดันคาหนึ่ง
คําตอบ 2 : การเปลี่ยนเฟสอาจผาน Intermediate metastable state กอนเปลี่ยนเปน Stable equilibrium state
ม
คําตอบ 3 : การเปลี่ยนเฟสเกิดขึ้นไดเอง (Spontaneous) โดยไมมีการดูด (Absorption) หรือคาย (Evolution) ความรอน
้ า
คําตอบ 4 : การเปลี่ยนเฟสเกิดขึ้นโดยมีการดูด (Absorption) หรือคาย (Evolution) ความรอน
ขอที่ : 288
ิธ์ ห
ิท
Metastable phase เปน
ส
คําตอบ 1 :
น
Fully stable against all disturbances
ว
คําตอบ 2 : Unstable to any disturbance
ง
คําตอบ 3 : Stable only against small disturbances
ส
คําตอบ 4 : ไมมีขอใดถูก
ขอที่ :
ร ขอ
289
ก
ขอใดเปน Hypoeutectoid steel
ว
คําตอบ 1 : มีปริมาณคารบอนมากกวา 0.77 wt.%
ศ
ิ
คําตอบ 2 : ไมสามารถทําใหแข็งดวยกระบวนการทางความรอนได
าว
คําตอบ 3 : ฟอรม Proeutectoid cementite ระหวางอุณหภูมิ A3 กับ A1
สภ
คําตอบ 4 : ฟอรม Proeutectoid ferrite ระหวางอุณหภูมิ A3 กับ A1
ขอที่ : 290
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับ Martensitic transformation
ขอที่ : 291
ย
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับ Martensite
่ า
คําตอบ 1 : Martesite เปนเฟสที่แข็งแตเปราะ
น
คําตอบ 2 : ไมมีการแสดงเฟส Martensite บน Phase diagram ของระบบ Fe-Fe3C
ํจาห
คําตอบ 3 : การกําจัดเฟส Martensite ทําไดโดยเพิ่มอุณหภูมิของชิ้นงานใหอยูในชวง Austenite region
คําตอบ 4 : Martensite transformation อาศัยการแพรของคารบอนไปสูบริเวณขอบเกรน
้ าม
ขอที่ : 292
ิธ์ ห
TTT diagram หาไดจากวิธีการตางๆ หลายวิธี ยกเวนวิธีใด
คําตอบ 1 : Jominy end-quench test
คําตอบ 2 :
ิท
Dilatometry
คําตอบ 3 :
ส
Metallography
คําตอบ 4 :
น
Hardness measurements
ขอที่ : 293
ง ว
ส
ขอใดกลาวถูกตองที่สุด เกี่ยวกับ TTT diagram
ขอ
คําตอบ 1 : Each TTT diagram is suitable for a single composition of steel only
ร
คําตอบ 2 : TTT diagrams provide us with an accurate means to produce certain microstructures in steels over the entire range of possible
ก
คําตอบ 3 : TTT diagrams are suitable for equilibrium cooling condtions
ว
คําตอบ 4 : TTT diagrams are absolutely identical to CCT diagrams in every respect
าวศ
ิ
ขอที่ : 294
สภ
Bainite มีความแตกตางจาก Pearite ดังนี้
คําตอบ 1 : Bainite ไมประกอบดวยเฟส Ferrite และ Cementite
คําตอบ 2 : Bainite จะเสถียรภาพที่อุณหภูมิสูงกวา 800°C เทานั้น
คําตอบ 3 : Bainite ประกอบดวยเฟส Austenite และ Ferrite ที่อุณหภูมิหอง
คําตอบ 4 : Bainite ประกอบดวย Non-lamellar, lath-shaped Ferrite และ Cementite
ย
คําตอบ 4 :
่ า
Vacancies
น
ํจาห
ขอที่ : 296
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับ Nucleation rate
คําตอบ 1 : Nucleation rate ในชวงตนของ Nucleation จะต่ํา และสูงขึ้นในเวลาถัดมา กอนจะลดลงอีกครั้งในชวงทายของ Nucleation
ม
คําตอบ 2 : Nucleation rate เพิ่มขึ้นเมื่อขนาด Undercooling มากขึ้น เนื่องจากแรงผลักดันของการเปลี่ยนเฟสเพิ่มสูงขึ้น
้ า
คําตอบ 3 : ณ ขนาด Undercooling ที่เหมาะสมคาเดียวกัน Homogeneous nucleation rate ต่ํากวา Heterogeneous nucleation rate
ิธ์ ห
คําตอบ 4 : ที่ขนาด Undercooling มากไป ทําให Nucleation rate ลดลง เนื่องจาก Atomic mobility ต่ํา
ิท
ขอที่ :
ส
297
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
149 of 195
ขอใดเปนโครงสรางของ Eutectoid steel ที่ถูกนํามาออสเทนไนต ณ อุณหภูมิ 750°C กอนชุบเย็นลงมาที่อุณหภูมิหองภายในเวลาที่นอยกวา 1 วินาที (ตามเสน
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว คําตอบ 1 : Martensite
ว
คําตอบ 2 : Bainite
า
คําตอบ 3 : Austenite + Martensite
สภ
คําตอบ 4 : Bainite + Martensite
ขอที่ : 298
150 of 195
ขอใดเปนโครงสรางของ Eutectoid steel ที่ถูกนํามาออสเทนไนต ณ อุณหภูมิ 750°C กอนชุบเย็นลงมาที่อุณหภูมิ 160°C ภายในเวลาที่นอยกวา 1 วินาที และค
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว คําตอบ 1 : Austenite + Martensite
ว
คําตอบ 2 : Bainite + Martensite
า
คําตอบ 3 : Martensite
สภ
คําตอบ 4 : Pearlite + Martensite
ขอที่ : 299
151 of 195
ขอใดเปนโครงสรางของ Eutectoid steel ที่ถูกนํามาออสเทนไนต ณ อุณหภูมิ 750°C กอนชุบเย็นลงมาที่อุณหภูมิ 650°C ภายในเวลาที่นอยกวา 1 วินาที และค
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว คําตอบ 1 : Pearlite
ว
คําตอบ 2 : Bainite + Pearlite
า
คําตอบ 3 : Bainite + Pearlite + Martensite
สภ
คําตอบ 4 : Pearlite + Martensite
ขอที่ : 300
152 of 195
ขอใดเปนโครงสรางของ Eutectoid steel ที่ถูกนํามาออสเทนไนต ณ อุณหภูมิ 750°C กอนชุบเย็นลงมาที่อุณหภูมิ 550°C ภายในเวลาที่นอยกวา 1 วินาที และค
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว คําตอบ 1 : Pearlite + Bainite
ว
คําตอบ 2 : Bainite + Martensite
า
คําตอบ 3 : Bainite + Pearlite + Martensite
สภ
คําตอบ 4 : Pearlite + Martensite
ขอที่ : 301
153 of 195
รูปดานลางเปน TTT diagram ของเหล็กกลา 1080 ขอใดเปนโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลานี้ เมื่อถูกชุบเย็นจากอุณหภูมิออสเทนไนตอยางรวดเร็วลงมาที่ 900
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 1 : Fine Pearlite + Upper Bainite
ส
คําตอบ 2 : Upper Bainite
น
คําตอบ 3 :
ว
Pearlite + Martensite
ง
คําตอบ 4 : Upper Bainite + Martensite
ขอที่ :
อ
302
ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
154 of 195
รูปดานลางเปน TTT diagram ของเหล็กกลา 1080 ขอใดเปนโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลานี้ เมื่อถูกชุบเย็นจากอุณหภูมิออสเทนไนตอยางรวดเร็วลงมาที่ 120
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 1 : Fine Pearlite + Martensite
ส
คําตอบ 2 : Upper Bainite
น
คําตอบ 3 :
ว
Coarse Pearlite + Martensite
ง
คําตอบ 4 : Upper Bainite + Martensite
ขอที่ :
อ
303
ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
155 of 195
รูปดานลางเปน TTT diagram ของเหล็กกลา 1080 ขอใดเปนโครงสรางจุลภาคของเหล็กกลานี้ เมื่อถูกชุบเย็นจากอุณหภูมิออสเทนไนตอยางรวดเร็วลงมาที่ 500
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
ิท
คําตอบ 1 : Upper Bainite + Martensite
ส
คําตอบ 2 : Lower Bainite
น
คําตอบ 3 :
ว
Lower Bainite + Martensite
ง
คําตอบ 4 : Upper Bainite + Martensite
ขอที่ :
อ
304
ส
ข
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับ Precipitate-free zone (PFZ)
ก ร
คําตอบ 1 : PFZ เกิดขึ้นบริเวณขอบเกรน เพราะบริเวณดังกลาวเปน Sink ของวาเคนซีที่เกินมา (Excess vacancies) จากปริมาณวาเคนซีที่สภาวะสมดุล
ว
คําตอบ 2 : บริเวณ PFZ จะพบพรีซิพิเทต (Precipitates) นอยมาก เนื่องจากวาเคนซีซึ่งเปนจุดกําเนิดของ Heterogeneous nucleation มีจํานวนนอย
ศ
ิ
คําตอบ 3 : บริเวณ PFZ จะพบพรีซิพิเทต (Precipitates) นอยมาก เนื่องจากตัวถูกละลาย (Solute) บริเวณใกลเคียงกับขอบเกรนถูกดึงไปใชในการฟอรมพ
ว
คําตอบ 4 : อัตราการเย็นตัว (Cooling rate) ของการชุบเย็นไมมีผลตอความกวางของบริเวณ PFZ
า
สภ
ขอที่ : 305
ขอใดเปน Hypereutectoid steel
คําตอบ 1 : มีปริมาณคารบอนมากกวา 0.77 wt.%
คําตอบ 2 : ไมสามารถทําใหแข็งดวยกระบวนการทางความรอนได
คําตอบ 3 : ฟอรม Proeutectoid cementite ระหวางอุณหภูมิ A3 กับ A1
คําตอบ 4 : ฟอรม Proeutectoid ferrite ระหวางอุณหภูมิ A3 กับ A1
156 of 195
ขอที่ : 306
ขอใดกลาวไมถูกตอง
คําตอบ 1 : วาเคนซี (Vacancies) มีสวนอยางมากตอการฟอรม GP zones ในขั้นตอนของการพรีซิพิเทต
ย
คําตอบ 2 : ในโลหะผสมที่ตองการ Precipitation hardening จําเปนอยางยิ่งที่พรีซิพิเทตที่มีความเสถียรภาพตองฟอรมตั้งแตขั้นตอนแรกของการพรีซิพิเท
่ า
คําตอบ 3 : อินเตอรเฟสระหวาง GP zone กับเมตริกซเปนแบบ Coherent
น
คําตอบ 4 : Artificial aging คือ การบมแข็งที่อุณหภูมิสูงกวาอุณหภูมิหอง
ขอที่ : 307
ํจาห
ม
เมื่อพิจารณาในเชิงอุณหพลศาสตร ขอใดเปนแรงผลักดัน (Driving force) ในการเปลี่ยนเฟส (Phase transformation)
้ า
คําตอบ 1 :
ิธ์ ห
Dislocations
คําตอบ 2 :
ส
คําตอบ 3 :
ิท
ง วน
คําตอบ 4 :
อ ส
ร ข
ขอที่ : 308
วก
าวศ
ิ คําตอบ 1 :
สภ
คําตอบ 2 :
คําตอบ 3 :
ย
309
่ า
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับการพรีซิพิเทชัน (Precipitation) ในโลหะผสม Al-Cu
น
ํจาห
คําตอบ 1 :
ม
คําตอบ 3 : การฟอรม GP zones เกิดขึ้นที่ทุกอุณหภูมิของการบมแข็ง (Ageing temperature)
้ า
คําตอบ 4 : Precipitation ในโลหะผสม Al-Cu เปนกระบวนการที่อาศัยการแพร
ขอที่ : 310
ิธ์ ห
ิท
ขอใดเปนเฟสที่ออนที่สุดในเหล็กกลาคารบอน
ส
คําตอบ 1 : ferrite
น
คําตอบ 2 : austenite
ว
คําตอบ 3 :
ง
cementite
คําตอบ 4 :
ส
pearlite
ขอที่ :
ร ขอ
311
ตัวอยางเหล็กกลาคารบอนในสภาพหลอมีความตานแรงดึง ( tensile strength ) 470 N/mm2 และมี % การยืดตัว(% elongation) เทากับ 18 เมื่อนําไปผานการ
วก
คําตอบ 1 : ไมเปลี่ยนแปลง
ศ
ิ
คําตอบ 2 : ลดลง
ว
คําตอบ 3 : เพิ่มขึ้น
า
คําตอบ 4 : ไมแนนอนขึ้นกับอุณหภูมิที่ใช
สภ
ขอที่ : 312
การทํา normalising เหล็กกลาไฮโปยูเทกตอยดตางจากการทํา full annealing เหล็กกลาดังกลาวที่
คําตอบ 1 : อุณหภูมิที่ใชในการอบ
คําตอบ 2 : บรรยากาศภายในเตา
คําตอบ 3 : อัตราการเย็นตัว
คําตอบ 4 : ชนิดของเตาที่ใช 158 of 195
ขอที่ : 313
กระบวนการใดตอไปนี้ทําใหความแข็งของเหล็กกลาเพิ่มขึ้น
คําตอบ 1 : annealing
ย
คําตอบ 2 :
่ า
spheroidizing
คําตอบ 3 : tempering หลังการทําquenching
น
คําตอบ 4 : martempering
ขอที่ : 314
ํจาห
ม
ในการทํา martempering เหล็กกลา
้ า
คําตอบ 1 : cementiteจะแตกตัวเปนเหล็กแอลฟาและคารบอน
ิธ์ ห
คําตอบ 2 : austenite จะเปลี่ยนไปเปน pearlite
คําตอบ 3 : austenite จะเปลี่ยนไปเปน martensite
ิท
คําตอบ 4 : austenite จะเปลี่ยนไปเปน bainite
นส
ว
ขอที่ : 315
ง
ในการเปลี่ยนแปลงของออสเทไนต (austenitic transformation) ในเหล็กกลา อัตราการเย็นตัววิกฤต (critical cooling rate) ขึ้นอยูกับ
ส
คําตอบ 1 : ปริมาณคารบอนในเหล็กกลา
อ
คําตอบ 2 : ขนาดเกรนของออสเทไนต
ข
คําตอบ 3 : ทั้งปริมาณคารบอนในเหล็กกลาและขนาดเกรนของออสเทไนต
ร
คําตอบ 4 : อุณหภูมิที่เริ่มเย็นตัว
วก
ศ
ิ
ขอที่ : 316
ว
ขอใดมิใชกระบวนการ heat treatment
า
สภ
คําตอบ 1 : stress-relief annealing
คําตอบ 2 : tempering
คําตอบ 3 : casting
คําตอบ 4 : normalizing
ขอที่ : 317
Natural ageing เกิดขึ้นที่อุณหภูมิ
159 of 195
คําตอบ 1 : ต่ํา
คําตอบ 2 : สูง
คําตอบ 3 : หอง
คําตอบ 4 : ประมาณ 200 องศาเซลเซียส
่ าย
น
ขอที่ : 318
ํจาห
กระบวนการ carburising โดยทั่วไปใชเวลา
คําตอบ 1 : ไมเกินหนึ่งชั่วโมง
คําตอบ 2 : หนึ่งชั่วโมง
ม
คําตอบ 3 : สองชั่วโมง
้ า
คําตอบ 4 : มากกวาแปดหรือเกาชั่วโมง
ขอที่ : 319
ิธ์ ห
ิท
กระบวนการที่ทําใหผิวของเหล็กกลามีทั้งคารบอนและไนโตรเจนอิ่มตัวในบรรยากาศของกาซเรียกวา
ส
คําตอบ 1 :
น
cyaniding
ว
คําตอบ 2 : carbonitriding
ง
คําตอบ 3 : nitriding
ส
คําตอบ 4 : carburising
ขอที่ :
ร ขอ
320
ก
ในการทํา carburising การแทรกซึมของคารบอนเขาไปในเหล็กกลาไมขึ้นกับ
ว
คําตอบ 1 : อุณหภูมิ
ศ
ิ
คําตอบ 2 : เวลา
าว
คําตอบ 3 : สารที่ใชทํา carburising
สภ
คําตอบ 4 : ความดันบรรยากาศ
ขอที่ : 321
ในการทํา heat treatment จะไดอัตราการเย็นตัวจะชาที่สุดใน
คําตอบ 1 : น้ํามัน
คําตอบ 2 : น้ํา
คําตอบ 3 : น้ําเกลือ 160 of 195
คําตอบ 4 : อากาศ
ขอที่ : 322
ย
การทํา sub-zero treatment ตอเหล็กกลาที่ถูกทําใหแข็งขึ้นมีวัตถุประสงคเพื่อ
่ า
คําตอบ 1 : ลดความแข็งของเหล็กกลา
น
คําตอบ 2 : ลดความตานทานตอการเสียดสี ( wear ) ของเหล็กกลา
ํจาห
คําตอบ 3 : ลดปริมาณ retained austeniteในเหล็กกลาที่ถูกทําใหแข็งขึ้น
คําตอบ 4 : เพิ่มปริมาณretained austeniteในเหล็กกลาที่ถูกทําใหแข็งขึ้น
้ าม
ขอที่ : 323
ิธ์ ห
การทําใหเหล็กกลาเย็นตัวอยางรวดเร็ว (quenching)มีวัตถุประสงคหลักเพื่อเปลี่ยน austeniteไปเปน
คําตอบ 1 : pearlite
คําตอบ 2 :
ิท
ferrite
คําตอบ 3 :
ส
martensite
คําตอบ 4 :
น
bainite
ขอที่ : 324
ง ว
ส
ขอใดเปนเฟสที่แข็งที่สุด
ขอ
คําตอบ 1 : ferrite
ร
คําตอบ 2 : austenite
ก
คําตอบ 3 : cementite
ว
คําตอบ 4 : pearlite
าวศ
ิ
ขอที่ : 325
สภ
ในกรรมวิธี pack carburising เราใชอะไรเปนตัวใหคารบอน
คําตอบ 1 : กาซมีเทน
คําตอบ 2 : กาซคารบอนมอนอกไซด
คําตอบ 3 : ถานไม
คําตอบ 4 : เกลือโซเดียมไซยาไนดและแบเรียมคลอไรดหลอมเหลว
ย
คําตอบ 4 : แบเรียมคลอไรด
น่ า
ํจาห
ขอที่ : 327
ขอใดไมใชกรรมวิธี heat treatment
คําตอบ 1 : carburising
ม
คําตอบ 2 :
้ า
spheroidising
คําตอบ 3 :
ิธ์ ห
galvanizing
คําตอบ 4 : normalising
ิท
ขอที่ : 328
ส
Internal stress ในวัตถุสามารถลดไดโดยการทํา
วน
คําตอบ 1 : forging
ง
คําตอบ 2 : extrusion
ส
คําตอบ 3 : annealing
อ
คําตอบ 4 : quenching
ขอที่ :
ก ร ข
329
ว
ถาเหล็กกลาคารบอนที่มีคารบอน 0.3 เปอรเซ็นต ถูกปลอยใหเย็นตัวลงมาอยางชาๆจาก 1000 องศาเซลเซียสไปที่ 800 องศาเซลเซียส โครงสรางจุลภาคที่ไดจะ
ศ
ิ
คําตอบ 1 :
ว
pearlite
า
คําตอบ 2 : ferrite และ austenite
สภ
คําตอบ 3 : pearlite และ cementite
คําตอบ 4 : ferrite และ pearlite
ขอที่ : 330
Malleable iron ทํามาจาก
คําตอบ 1 : เหล็กหลอเทาโดยผานกระบวนการ annealing
คําตอบ 2 : เหล็กหลอแกรไฟตกลม 162 of 195
คําตอบ 3 : เหล็กกลาเจือโดยผานกระบวนการ annealing
คําตอบ 4 : เหล็กหลอขาวโดยผานกระบวนการ annealing
ย
ขอที่ : 331
่ า
หากตองการอบชุบเหล็กกลาเพื่อคลายความเคนภายในเหล็กกลาที่ผานการชุบแข็งมาควรเลือกกระบวนการใดตอไปนี้
น
คําตอบ 1 : Quenching
ํจาห
คําตอบ 2 : Tempering
คําตอบ 3 : Normalizing
คําตอบ 4 : Full Annealing
้ าม
ิธ์ ห
ขอที่ : 332
หากตองการอบชุบดาบเหล็กกลา 0.6 %C ใหมีความแข็งเหมาะตอการนําไปใชงานควรเลือกกระบวนการใดตอไปนี้
คําตอบ 1 :
ิท
Quenching
คําตอบ 2 :
ส
Tempering
คําตอบ 3 :
น
Normalizing
ว
คําตอบ 4 : Full Annealing
ขอที่ :
สง
อ
333
หากตองการอบชุบเหล็กกลาเพื่อเพิ่มความสามารถในการกลึง (Machinability) ควรเลือกกระบวนการใดตอไปนี้
ร ข
คําตอบ 1 : Quenching
ก
คําตอบ 2 : Tempering
ว
คําตอบ 3 : Normalizing
ศ
ิ
คําตอบ 4 :
ว
Full Annealing
า
สภ
ขอที่ : 334
หากตองการอบชุบโลหะเพื่อเพิ่มความเหนียวใหกับเหล็กกลาที่ตองการนําไปขึ้นรูปตอควรเลือกกระบวนการใดตอไปนี้
คําตอบ 1 : Quenching
คําตอบ 2 : Tempering
คําตอบ 3 : Normalizing
คําตอบ 4 : Full Annealing
163 of 195
ขอที่ : 335
ขอใดตอไปนี้กลาวถึงวิธีการทํา Normalizing เหล็กกลา AISI 1090 ไดอยางถูกตอง
คําตอบ 1 : อบที่อุณหภูมิสูงกวาเสน A3 ประมาณ 50K เปนระยะเวลานานพอที่จะทําใหอุณหภูมิสม่ําเสมอแลวปลอยใหเย็นตัวในเตา
คําตอบ 2 : อบที่อุณหภูมิสูงกวาเสน Acm ประมาณ 50K เปนระยะเวลานานพอที่จะทําใหอุณหภูมิสม่ําเสมอแลวปลอยใหเย็นตัวในอากาศ
ย
คําตอบ 3 : อบที่อุณหภูมิสูงกวาเสน A1 ประมาณ 50K เปนระยะเวลานานพอที่จะทําใหอุณหภูมิสม่ําเสมอแลวปลอยใหเย็นตัวในอากาศ
่ า
คําตอบ 4 : อบที่อุณหภูมิสูงกวาเสน Acm ประมาณ 50K เปนระยะเวลานานพอที่จะทําใหอุณหภูมิสม่ําเสมอแลวปลอยใหเย็นตัวในเตา
น
ํจาห
ขอที่ : 336
ขอใดตอไปนี้กลาวถึงวิธีการทํา Full Annealing เหล็กกลา AISI 1040 ไดอยางถูกตอง
ม
คําตอบ 1 : อบที่อุณหภูมิสูงกวาเสน A3 ประมาณ 50K เปนระยะเวลานานพอที่จะทําใหอุณหภูมิสม่ําเสมอแลวปลอยใหเย็นตัวในเตา
้ า
คําตอบ 2 : อบที่อุณหภูมิสูงกวาเสน A3 ประมาณ 50K เปนระยะเวลานานพอที่จะทําใหอุณหภูมิสม่ําเสมอแลวปลอยใหเย็นตัวในอากาศ
ิธ์ ห
คําตอบ 3 : อบที่อุณหภูมิสูงกวาเสน A1 ประมาณ 50K เปนระยะเวลานานพอที่จะทําใหอุณหภูมิสม่ําเสมอแลวปลอยใหเย็นตัวในอากาศ
คําตอบ 4 : อบที่อุณหภูมิสูงกวาเสน Acm ประมาณ 50K เปนระยะเวลานานพอที่จะทําใหอุณหภูมิสม่ําเสมอแลวปลอยใหเย็นตัวในเตา
ขอที่ : 337
สิท
วน
แดจังกึมขับรถยนตทางไกล แลวพบวาเกิดเพลิงไหมในหองเครื่อง แดจังกึมทราบวาไมควรดับเพลิงไหมดวยน้ํา เพราะเหตุใด
ง
คําตอบ 1 : เพราะน้ําจะกลายเปนไอมีแรงดันสูงอาจเกิดอันตรายได
ส
คําตอบ 2 : เพราะน้ําจะทําใหเครื่องยนตเปนสนิม
อ
คําตอบ 3 : เพราะน้ําทําใหเครื่องยนตเย็นตัวอยางรวดเร็วและเกิดความเคนตกคาง
ข
คําตอบ 4 : เพราะน้ําเปนทรัพยากรที่มีคา ควรประหยัด ไมเชนนั้นลูกหลานจะไมมีน้ําใช
ก ร
ว
ขอที่ : 338
ศ
ิ
ขอใดเปนกลไกหลักที่เกิดขึ้นเมื่อชิ้นงานเกิด Plastic deformation
าว
คําตอบ 1 : Slip
สภ
คําตอบ 2 : Grain boundary sliding
คําตอบ 3 : Diffusional creep
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ
ขอที่ : 339
ขอใดหมายถึง Slip system
่ าย
ขอที่ : 340
น
ขอใดเปน Slip system ของโลหะที่มีผลึกแบบ FCC
ํจาห
คําตอบ 1 : {111} <110>
คําตอบ 2 : {110} <111>
คําตอบ 3 : {111} <100>
ม
คําตอบ 4 :
้ า
{110} <100>
ิธ์ ห
ขอที่ : 341
Slip system ที่เปนไปไดสําหรับโลหะที่มีผลึกแบบ FCC มีทั้งหมดกี่ระบบ
ิท
คําตอบ 1 :
ส
3
คําตอบ 2 :
น
6
ว
คําตอบ 3 : 9
ง
คําตอบ 4 : 12
ขอที่ :
อ ส
ข
342
ร
Slip system ที่เปนไปไดสําหรับโลหะที่มีผลึกแบบ HCP มีทั้งหมดกี่ระบบ
ก
คําตอบ 1 : 3
ว
คําตอบ 2 : 6
ศ
ิ
คําตอบ 3 :
ว
9
า
คําตอบ 4 : 12
สภ
ขอที่ : 343
เหตุใดโลหะที่มีผลึกเดี่ยว (Single crystal) แบบ HCP จึงมีอัตราสเตรนฮารเดนนิง (Strain hardening rate) ต่ํา
คําตอบ 1 : เพราะโลหะ HCP มีจุดหลอมเหลวต่ํา การยืดตัวจึงเกิดขึ้นไดงาย
คําตอบ 2 : เพราะโลหะ HCP มีจํานวน Slip system นอย โอกาสที่ดิสโลเคชันเกิดการตัดกันจึงคอนขางนอย
คําตอบ 3 : เพราะโลหะ HCP มีการเรียงตัวของผลึกที่หนาแนน การเลื่อนตัว (Slip) ของดิสโลเคชันจึงเกิดไดงาย
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ
165 of 195
ขอที่ : 344
เหตุใดความเคนเฉือนวิกฤติ (Critical resolved shear stress) ของโลหะจึงเพิ่มตามปริมาณอะตอมปนเปอนที่มีอยูในโลหะ
คําตอบ 1 : เพราะอะตอมปนเปอนในโลหะทําใหการเลื่อน (Slip) ของดิสโลเคชันเกิดไดยากขึ้น
ย
คําตอบ 2 : เพราะอะตอมปนเปอนในโลหะทําใหแลททิซเกิดการเปลี่ยนรูปไป
่ า
คําตอบ 3 : เพราะอะตอมปนเปอนในโลหะทําใหจุดหลอมเหลวของโลหะเพิ่มสูงขึ้น
น
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ
ขอที่ : 345
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
166 of 195
รูปดานลางแสดงใหเห็นความสัมพันธระหวาง Stress และ Strain ของผลึกเดี่ยว FCC ขณะรับแรงดึง โดยชวง I, II และ III เปนการเปลี่ยนแปลง 3 ขั้นตอนที่เกิด
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : Easy glide, Linear hardening, Parabolic hardening
คําตอบ 2 : Easy glide, Linear hardening, Softening
คําตอบ 3 : Parabolic hardening, Linear hardening, Easy glide
คําตอบ 4 : Yielding, Hardening, Softening
ขอที่ : 346
ทิศทางใดในผลึกเดี่ยว FCC ที่ไมเกิดการเลื่อน (Slip) ขึ้นเมื่อออกแรงดึงผลึกในทิศทาง [001]
167 of 195
คําตอบ 1 : [-101]
คําตอบ 2 : [-110]
คําตอบ 3 : [101]
คําตอบ 4 : [0-11]
่ าย
น
ขอที่ : 347
ํจาห
ผลึกเดี่ยว FCCที่มีรูปรางเปนทรงกระบอกขนาดเสนผาศูนยกลาง 10 mm ถูกแรงดึงกระทําในทิศทาง [131] ทําใหเกิดการเลื่อนขึ้นบนระนาบและทิศทาง (11-1)
คําตอบ 1 : 18.42 N
คําตอบ 2 : 30.08 N
ม
คําตอบ 3 :
้ า
35.27 N
คําตอบ 4 :
ิธ์ ห
45.23 N
ขอที่ :
ิท
348
นส
ง ว
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
168 of 195
เมื่อพิจารณาจาก Stereographic projection ที่แสดงใหเห็น Active slip systems ของผลึกเดี่ยว FCC ดานลาง ขอใดเปนจํานวน Active slip systems ที่เกิด
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว คําตอบ 1 :
สภ
1
คําตอบ 2 : 4
คําตอบ 3 : 6
คําตอบ 4 : 8
ขอที่ : 349
169 of 195
เมื่อพิจารณาจาก Stereographic projection ที่แสดงใหเห็น Active slip systems ของผลึกเดี่ยว FCC ดานลาง ขอใดเปนจํานวน Active slip systems ที่เกิด
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว คําตอบ 1 :
สภ
1
คําตอบ 2 : 4
คําตอบ 3 : 6
คําตอบ 4 : 8
ขอที่ : 350
170 of 195
เมื่อพิจารณาจาก Stereographic projection ที่แสดงใหเห็น Active slip systems ของผลึกเดี่ยว FCC ดานลาง ขอใดเปนจํานวน Active slip systems ที่เกิด
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว คําตอบ 1 :
สภ
1
คําตอบ 2 : 4
คําตอบ 3 : 6
คําตอบ 4 : 8
ขอที่ : 351
171 of 195
เมื่อพิจารณาจากรูปดานลาง ขอใดเปนผลึกเดี่ยว FCC ที่มี Active slip systems นอยที่สุด
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ร ข
คําตอบ 1 : A
ก
คําตอบ 2 : B
ว
คําตอบ 3 : C
ศ
ิ
คําตอบ 4 : D
าว
สภ
ขอที่ : 352
ขอใดเปน Active slip system ของผลึกเดี่ยว FCC เมื่อแรงดึงผลึกอยูในทิศทาง [123]
คําตอบ 1 : ระนาบเลื่อน ( 1-1-1) และทิศทางเลื่อน [ 101]
คําตอบ 2 : ระนาบเลื่อน ( 1-1-1) และทิศทางเลื่อน [110 ]
คําตอบ 3 : ระนาบเลื่อน (11-1 ) และทิศทางเลื่อน [ 101]
คําตอบ 4 : ระนาบเลื่อน (11-1 ) และทิศทางเลื่อน [ 1-10]
172 of 195
ขอที่ : 353
ขอใดเปน Slip systems ของโลหะที่มีผลึกแบบ BCC
คําตอบ 1 : {110} <111>
คําตอบ 2 : {112} <111>
ย
คําตอบ 3 :
่ า
{123} <111>
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ
น
ํจาห
ขอที่ : 354
้ าม
ิธ์ ห
สิท
น
คําตอบ 1 : 0.250
ว
คําตอบ 2 : 0.728
ง
คําตอบ 3 : 0.499
ส
คําตอบ 4 : 1.201
ขอที่ :
ร ขอ
355
ก
ขอใดเปนขอเสียของ Hot working
ว
คําตอบ 1 : ใชพลังงานนอยในการทําใหโลหะเสียรูปอยางถาวร
วศ
ิ
คําตอบ 2 : ใหความเหนียวนอยเมื่อเทียบกับ Cold working
า
คําตอบ 3 : เกิดการตกผลึกซ้ําในระหวางทําการขึ้นรูป (Recrystallization)
สภ
คําตอบ 4 : เกิด Oxidation
ขอที่ : 356
Degree of deformation ที่มากขึ้น มีผลตอสมบัติเชิงกลของเหล็กกลาคารบอนต่ําอยางไร
คําตอบ 1 : ความแข็งลดลง
คําตอบ 2 : ความตานแรงดึงลดลง
คําตอบ 3 : % การยืดตัวลดลง 173 of 195
คําตอบ 4 : ความแข็งเพิ่มขึ้นแตความตานแรงดึงลดลง
ขอที่ : 357
ย
โดยทั่วไป degree of deformation ที่มากขึ้น มีผลตออุณหภูมิเริ่มตนของการเกิด recrystallization ของโลหะอยางไร
่ า
คําตอบ 1 : ลดลง
น
คําตอบ 2 : เพิ่มขึ้น
ํจาห
คําตอบ 3 : ไมมีผล
คําตอบ 4 : ไมแนนอนขึ้นกับชนิดของโลหะ
้ าม
ขอที่ : 358
ิธ์ ห
โดยทั่วไป Creep rate จะเปลี่ยนแปลงอยางไร เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
คําตอบ 1 : เพิ่มขึ้น
คําตอบ 2 : ลดลง
ิท
คําตอบ 3 : ไมเปลี่ยนแปลง
ส
คําตอบ 4 : ไมแนนอน ขึ้นกับชนิดของโลหะ
ขอที่ : 359
ง วน
ส
ปรากฏการณจุดคราก (Yield Point Phenomena) ในเหล็กกลาคารบอนปานกลาง เกี่ยวของกับขอใด
ขอ
คําตอบ 1 : อะตอมตัวถูกละลายชนิดแทนที่ กับ การเคลื่อนที่ของดิสโลเคชัน
ร
คําตอบ 2 : อะตอมตัวถูกละลายชนิดแทรก กับ การเคลื่อนที่ของดิสโลเคชัน
ก
คําตอบ 3 : อะตอมตัวถูกละลายชนิดแทนที่ กับ การแพร
ว
คําตอบ 4 : อะตอมตัวถูกละลายชนิดแทรก กับ การแพร
าวศ
ิ
ขอที่ : 360
สภ
ปรากฏการณ Strain Aging เกี่ยวของกับกระบวนการหรือปรากฏการณใด
คําตอบ 1 : การมีจุดคราก (Yield Point) ในโลหะบางชนิด
คําตอบ 2 : การบมแข็ง (Age Hardening)
คําตอบ 3 : การบม (Aging)
คําตอบ 4 : การเกิด Strain Hardening
่ าย
คําตอบ 3 :
น
ํจาห
คําตอบ 4 :
้ าม
ิธ์ ห
ขอที่ : 362
จํานวน Slip Systems ที่เปนไปไดในระบบผลึก FCC (Face-centered Cubic) คือ
ิท
คําตอบ 1 : 3
ส
คําตอบ 2 : 6
น
คําตอบ 3 : 9
ว
คําตอบ 4 :
ง
12
ขอที่ :
อ
363
ส
ข
สังกะสีซึ่งมีโครงสรางผลึก HCP มี Slip Plane เดียวคือ {0001} ดังนั้นสังกะสีมี Slip Systems กี่ระบบ
ร
คําตอบ 1 :
ก
1
ว
คําตอบ 2 : 2
ศ
ิ
คําตอบ 3 : 3
ว
คําตอบ 4 : 4
า
สภ
ขอที่ : 364
176 of 195
คําตอบ 2 :
่ าย
น
ํจาห
คําตอบ 3 :
้ าม
ิธ์ ห
สิท
คําตอบ 4 :
ง วน
ขอที่ :
อ
365
ส
ร ข
โลหะชิ้นหนึ่งประกอบดวยผลึก (เกรน) เพียงผลึกเดียว ภายใตเงื่อนไขของแรงกระทําในขอใด ที่จะเกิดการ Slip ขึ้นกับผลึกนี้
ก
คําตอบ 1 : Resolved Shear Stress > Critical Resolved Shear Stress
ว
คําตอบ 2 : ทิศทางของแรงกระทําขนานกับ Slip Plane
ศ
ิ
คําตอบ 3 : ทิศทางของแรงกระทําขนานกับทิศของ Slip Direction
ว
คําตอบ 4 : ทิศทางของแรงกระทําตั้งฉากกับ Slip Plane
า
สภ
ขอที่ : 366
ปจจัยใดใชเปนเกณฑแบงแยกระหวางการแตกหักแบบเหนียวและแบบเปราะ
คําตอบ 1 : ขนาดของความเคนที่ทําใหเกิดการแตกหัก
คําตอบ 2 : ทิศทางของแรงกระทํา
คําตอบ 3 : ปริมาณการแปรรูปถาวรที่เกิดขึ้นกอนแตกหัก
คําตอบ 4 : ระยะเวลาในการแตกหัก
177 of 195
ขอที่ : 367
โลหะที่มีโครงสรางผลึกแบบ FCC มีพฤติกรรมดานการแปรรูปถาวร และ สมบัติดานความแกรง (Toughness) อยางไร
คําตอบ 1 : เหนียวที่อุณหภูมิสูง เปราะที่อุณหภูมิต่ํา
ย
คําตอบ 2 : เหนียวทุกชวงอุณหภูมิ
่ า
คําตอบ 3 : เปราะทุกชวงอุณหภูมิ
น
คําตอบ 4 : เหนียวที่อุณหภูมิต่ํา เปราะที่อุณหภูมิสูง
ขอที่ : 368
ํจาห
ม
โลหะที่มีโครงสรางผลึกแบบ BCC มีพฤติกรรมดานการแปรรูปถาวร และ สมบัติดานความแกรง (Toughness) อยางไร
้ า
คําตอบ 1 : เหนียวที่อุณหภูมิสูง เปราะที่อุณหภูมิต่ํา
ิธ์ ห
คําตอบ 2 : เหนียวทุกชวงอุณหภูมิ
คําตอบ 3 : เปราะทุกชวงอุณหภูมิ
ิท
คําตอบ 4 : เหนียวที่อุณหภูมิต่ํา เปราะที่อุณหภูมิสูง
นส
ว
ขอที่ : 369
ง
โลหะที่มีโครงสรางผลึกแบบ HCP มีพฤติกรรมดานการแปรรูปถาวร และ สมบัติดานความแกรง (Toughness) อยางไร
ส
คําตอบ 1 : เหนียวที่อุณหภูมิสูง เปราะที่อุณหภูมิต่ํา
อ
คําตอบ 2 : เหนียวทุกชวงอุณหภูมิ
ข
คําตอบ 3 : เปราะทุกชวงอุณหภูมิ
ร
คําตอบ 4 : เหนียวที่อุณหภูมิต่ํา เปราะที่อุณหภูมิสูง
วก
ศ
ิ
ขอที่ : 370
ว
กลไกในขอใดไมเกี่ยวของกับการแปรรูปถาวรของโลหะ
า
สภ
คําตอบ 1 : การเกิดนิวเคลียส
คําตอบ 2 : การเคลื่อนที่ของดิสโลเคชัน
คําตอบ 3 : การ Slip ของระนาบชนิด Close-packed
คําตอบ 4 : การเคลื่อนที่ของอะตอมไปยังตําแหนงใหมโดยยังรักษาโครงสรางผลึกเดิม
ขอที่ : 371
ขอใดไมใชผลของการแปรรูปถาวรของโลหะ
178 of 195
คําตอบ 1 : โลหะมีความเหนียวเพิ่มขึ้น
คําตอบ 2 : ปริมาณ (ความหนาแนน) ของดิสโลเคชันสูงขึ้น
คําตอบ 3 : เกิด Work Hardening
คําตอบ 4 : โลหะไมสามารถกลับไปสูรูปรางเดิมแมวาแรงกระทําภายนอกนั้นถูกปลดออกแลวก็ตาม
่ าย
น
ขอที่ : 372
ํจาห
Frank-Read Source เกี่ยวของกับขอใดในตอไปนี้
คําตอบ 1 : Dislocation Generator
คําตอบ 2 : Vacancies Generator
ม
คําตอบ 3 :
้ า
Stress Generator
คําตอบ 4 :
ิธ์ ห
Diffusion
ขอที่ : 373
ิท
ขอใดตอไปนี้ที่ไมเกี่ยวของกับการเกิด Slip ในโครงสรางของโลหะ
ส
คําตอบ 1 :
น
Resolved Shear Stress
ว
คําตอบ 2 : Critical Resolved Shear Stress
ง
คําตอบ 3 : Dislocation Climb
ส
คําตอบ 4 : Slip Direction
ขอที่ :
ร ขอ
374
ก
Edge Dislocation ไมสามารถเคลื่อนที่ในแบบใดได
ว
คําตอบ 1 : Easy Glide
ศ
ิ
คําตอบ 2 :
ว
Climb
า
คําตอบ 3 : Cross Slip
สภ
คําตอบ 4 : เคลื่อนที่ไปตาม Slip Plane
ขอที่ : 375
Dislocation ชนิดใดที่สามารถทําใหเกิด Cross Slip ได
ก. Edge Dislocation
ข. Screw Dislocation
คําตอบ 1 : ก.
คําตอบ 2 : ข. 179 of 195
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.
ย
ขอที่ : 376
่ า
ขอใดเปนรองรอยจากการแปรรูปถาวรในโลหะ ซึ่งสังเกตพบไดในกลองจุลทรรศน
น
ก. Slip Bands
ข. Slip Lines
ํจาห
คําตอบ 1 : ก.
คําตอบ 2 : ข.
ม
คําตอบ 3 : ถูกทั้ง ก. และ ข.
้ า
คําตอบ 4 : ผิดทั้ง ก. และ ข.
ขอที่ : 377
ิธ์ ห
ิท
การเพิ่มจํานวนของดิสโลเคชัน เกิดไดจากกลไกใดตอไปนี้
ส
คําตอบ 1 : Frank-Read Source
น
คําตอบ 2 : Matano Method
ว
คําตอบ 3 :
ง
Work Hardening
คําตอบ 4 :
ส
Cross Slip
ขอที่ :
ร ขอ
378
วก
าวศ
ิ
สภ
180 of 195
ในรูปเปนการแสดงถึงการ slip ที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของ...
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ร ข
คําตอบ 1 : Edge Dislocation
ก
คําตอบ 2 : Screw Dislocation
ว
คําตอบ 3 : Mixed Dislocation
ศ
ิ
คําตอบ 4 : Cross Slip
าว
สภ
ขอที่ : 379
181 of 195
รูปดานลางแสดงใหเห็นเกรนของชิ้นงานที่ผานการรีดเย็น (Cold-worked) แลว และนํามาอบออน (Annealing) ที่อุณหภูมิคาหนึ่งที่เวลาตางๆ ขอใดเปนกลไกที่
่ าย
น
ํจาห
คําตอบ 1 : Recovery
ม
คําตอบ 2 : Recrystallization
้ า
คําตอบ 3 : Grain growth
ิธ์ ห
คําตอบ 4 : Polygonization
ิท
ขอที่ : 380
ส
รูปดานลางแสดงใหเห็นเกรนของชิ้นงานที่ผานการรีดเย็น (Cold-worked) แลว และนํามาอบออน (Annealing) ที่อุณหภูมิคาหนึ่งที่เวลาตางๆ ขอใดเปนกลไกที่
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว คําตอบ 1 : Recovery
ว
คําตอบ 2 : Recrystallization
า
คําตอบ 3 : Grain growth
สภ
คําตอบ 4 : Polygonization
ขอที่ : 381
182 of 195
รูปดานลางแสดงใหเห็นเกรนของชิ้นงานที่ผานการรีดเย็น (Cold-worked) แลว และนํามาอบออน (Annealing) ที่อุณหภูมิคาหนึ่งที่เวลาตางๆ ขอใดเปนกลไกที่
่ าย
น
ํจาห
คําตอบ 1 : Recovery
ม
คําตอบ 2 : Recrystallization
้ า
คําตอบ 3 : Grain growth
ิธ์ ห
คําตอบ 4 : Polygonization
ิท
ขอที่ : 382
ส
เมื่อนําชิ้นงานไปผานการรีดเย็น (Cold-worked) พลังงานบางสวนจะถูกสะสมอยูในชิ้นงานในรูปของพลังงานสะสม (Stored energy) ใหพิจารณาวาปริมาณของพ
น
คําตอบ 1 : ความบริสุทธิ์ (Purity) ของชิ้นงาน
ว
คําตอบ 2 : อุณหภูมิรีดเย็น
ง
คําตอบ 3 : ขนาดของเกรนในชิ้นงานกอนการรีดเย็น
ส
คําตอบ 4 : ถูกทุกขอ
ขอที่ :
ร ขอ
383
วก
ขอใดเปนกลไกการรีคอฟเวอรี (Recovery mechanisms) จากรูป A ไปเปนรูป B ดังแสดงดานลาง
าวศ
ิ
สภ
183 of 195
คําตอบ 1 : Subgrain growth
คําตอบ 2 : Subgrain coalescence
คําตอบ 3 : Polygonization
คําตอบ 4 : Geometrical coalescence
่ าย
น
ขอที่ : 384
ํจาห
ขอใดเปนกลไกการรีคอฟเวอรี (Recovery mechanisms) จากรูป A ไปเปนรูป D ดังแสดงดานลาง
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
คําตอบ 1 : Subgrain growth
ว
คําตอบ 2 : Subgrain coalescence
ศ
ิ
คําตอบ 3 : Polygonization
ว
คําตอบ 4 :
า
Geometrical coalescence
สภ
ขอที่ : 385
ขอใดไมใชตัวแปรที่มีอิทธิพลตออัตราการรีคริสตัลไลเซชัน (Rate of recrystallization)
คําตอบ 1 : ความแข็ง (Hardness) ของชิ้นงาน
คําตอบ 2 : อุณหภูมิอบออน (Annealing temperature)
คําตอบ 3 : ความเครียดที่ชิ้นงานไดรับ (Amount of deformation)
คําตอบ 4 : ขนาดของเกรนกอนการรีดเย็น (Initial grain size)
184 of 195
ขอที่ : 386
ขอใดเปนการเคลื่อนที่ของดิสโลเคชันที่เกิดขึ้นในการโพลีโกไนเซชัน (Polygonization)
คําตอบ 1 : เลื่อน (Slip)
ย
คําตอบ 2 : ปน (Climb)
่ า
คําตอบ 3 : เลื่อนขามระนาบ (Cross slip)
น
คําตอบ 4 : เลื่อน (Slip) และปน (Climb)
ขอที่ : 387
ํจาห
ม
ขอใดสรุปถูกตอง เมื่อพิจารณาจากรูปดานลางที่แสดงใหเห็นขอมูลการรีคริสตัลไลเซชัน (Recrystallization) ของทองแดงบริสุทธิ์ 99.999% ที่ผานการรีดเย็น 9
ิธ์ ห้ า
สิท
ง วน
ส
คําตอบ 1 : เมื่ออุณหภูมิอบออนสูงขึ้น เวลาที่ใชในการรีคริสตัลไลเซชัน (Recystallization time) 100% เร็วขึ้น
อ
คําตอบ 2 : อัตราการรีคริสตัลไลเซชัน (Recystallization rate) มีขนาดคงที่ที่อุณหภูมิแตละคา
ร ข
คําตอบ 3 : เวลาที่ใชในการรีคริสตัลไลเซชัน (Recystallization time) 100% เปน 2 เทาของเวลาที่ใชในการรีคริสตัลไลเซชัน (Recystallization time)
ก
คําตอบ 4 : การเพิ่มอุณหภูมิอบออนขึ้นมา 2 เทา ทําใหเวลาที่ใชในการรีคริสตัลไลเซชัน (Recystallization time) 100% ลดลง 2 เทา
ศ
ิ ว
ว
ขอที่ : 388
า
สภ
185 of 195
ขอใดสรุปไมถูกตอง เมื่อพิจารณาจากกราฟดานลางที่แสดงความสัมพันธระหวางอุณหภูมิกับเวลาที่ใชในการรีคริสตัลไลเซชัน (Recrystallization) ของเซอรโคเ
่ าย
น
ํจาห
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
คําตอบ 1 : ณ อุณหภูมิอบออนเดียวกัน ชิ้นงานที่มีการแปลงรูปหรือลดพื้นที่หนาตัดมากกวา จะใชเวลารีคริสตัลไลเซชัน (Recystallization time) สั้นลง
คําตอบ 2 : ในกรณีที่เวลารีคริสตัลไลเซชัน (Recystallization time) เทากัน ชิ้นงานที่มีการแปลงรูปหรือลดพื้นที่หนาตัดนอยกวา ตองใชอุณหภูมิอบออนส
คําตอบ 3 : พลังงานกระตุนในการรีคริสตัลไลเซชันของชิ้นงานทั้งสองมีขนาดเทากัน
คําตอบ 4 : ในกรณีที่เวลารีคริสตัลไลเซชัน (Recystallization time) เทากับ 1 ชั่วโมง อุณหภูมิอบออนจะสําหรับชิ้นงานที่ถูกลดพื้นที่หนาตัด 13% จะสูงก
ขอที่ : 389
ขอใดสงผลใหเกรนที่รีคริสตัลไลซ (Recrystallized grain) มีขนาดเล็ก ในที่นี้กําหนดใหอัตราการนิวคลีเอชัน (Nucleation rate)ของเกรนที่รีคริสตัลไลซเทากับ
186 of 195
คําตอบ 1 : GN สูง
คําตอบ 2 : GN ต่ํา
คําตอบ 3 : N/Gสูง
คําตอบ 4 : N/G ต่ํา
่ าย
น
ขอที่ : 390
ํจาห
ขอใดมีอิทธิพลตอขนาดของเกรนที่รีคริสตัลไลซ (Recrystallized grain) นอยที่สุด
คําตอบ 1 : ความเครียดที่ชิ้นงานไดรับกอนการอบออน
คําตอบ 2 : อุณหภูมิอบออน
ม
คําตอบ 3 : ขนาดของเกรนกอนการอบออน
้ า
คําตอบ 4 : ความบริสุทธิ์ของชิ้นงาน
ขอที่ : 391
ิธ์ ห
ิท
ขอใดกลาวไมถูกตอง
ส
คําตอบ 1 : Secondary recrystallization สงผลใหเกรนของชิ้นงานมีขนาดเล็กลง
วน
คําตอบ 2 : Secondary recrystallization เกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิอบออนเพิ่มสูงขึ้นจากการอบออนครั้งแรก
ง
คําตอบ 3 : Secondary recrystallization เกิดขึ้นกับเกรนที่ถูกยับยั้งการเติบโตในการรีคริสตัลไลเซชันครั้งแรก
ส
คําตอบ 4 : แรงผลักดัน (Driving force) ของ Secondary recrystallization คือ การลดพลังงานอิสระของขอบเกรนในชิ้นงาน
ขอที่ :
ร ขอ
392
ก
สมบัติทางกายภาพขอใดของชิ้นงานที่ไมเปลี่ยนแปลงหลังจากผาน Cold-worked
ว
คําตอบ 1 : ความแข็ง
ศ
ิ
คําตอบ 2 :
ว
Tensile strength
า
คําตอบ 3 : ความตานทานไฟฟา
สภ
คําตอบ 4 : Modulus of elasticity
ขอที่ : 393
ใหพิจารณาวาสมควรหรือไมที่จะนําทองเหลืองที่ผานการรีดเย็นมาใชเปนชั้นวางชิ้นงานในเตาอบโดยเตาอบทํางานที่อุณหภูมิ 525°C และจุดหลอมเหลวของทอง
ขอที่ : 394
ย
ในการอบออนโลหะที่ผานการขึ้นรูปเย็นมานั้น จะเกิดปรากฏการณตาง ๆ เรียงตามลําดับเวลาอยางใด
่ า
คําตอบ 1 : Recovery - Recrystallization - Grain Growth
น
คําตอบ 2 : Recrystallization - Recovery - Grain Growth
ํจาห
คําตอบ 3 : Phase Transformation - Tempering - Annealing
คําตอบ 4 : Hardening - Tempering - Second Tempering
้ าม
ขอที่ : 395
ิธ์ ห
กลไกใดที่ไมใชกลไกของ Recovery ที่เกิดขึ้นระหวางการอบออนแผนอะลูมิเนียมที่ผานการรีดเย็น
คําตอบ 1 : การเกิด Polygonization
คําตอบ 2 : การหักลางกันของดิสโลเคชันเครื่องหมายตรงกันขาม
ิท
คําตอบ 3 : การไล point defect ไปที่ขอบเกรน
ส
คําตอบ 4 : การขยายตัวของเกรนโดยการเคลื่อนที่ของขอบเกรน
ขอที่ : 396
ง วน
ส
แรงขับเคลื่อน (Driving Force) ของการเกิด Grain Growth คือ
ขอ
คําตอบ 1 : ความตองการปลดปลอยพลังงานสะสมจากการขึ้นรูปเย็น
ร
คําตอบ 2 : ความตองการลดพลังงานพื้นผิวโดยลดพื้นที่ของขอบเกรน
ก
คําตอบ 3 : ความตองการลดพลังงานพื้นผิวโดยเพิ่มพื้นที่ของขอบเกรน
ว
คําตอบ 4 : การเตรียมพรอมเพื่อใหเกรนมีทิศของผลึกเหมาะสมตอการแปรรูปถาวรภายใตแรงภายนอกตอไป
าวศ
ิ
ขอที่ : 397
สภ
ปจจัยในขอใดที่มีผลทําใหโลหะเกิดการตกผลึกใหมไดยากขึ้น (อุณหภูมิตกผลึกใหมสูงขึ้น)
คําตอบ 1 : โลหะผานการแปรรูปเย็นในปริมาณสูง
คําตอบ 2 : โลหะมีความบริสุทธิ์สูง
คําตอบ 3 : โลหะมีธาตุผสมอยูมาก
คําตอบ 4 : โลหะมีขนาดเกรนตั้งตนละเอียด
ย
คําตอบ 4 : ไมเกี่ยวกับอุณหภูมิที่ใชในการอบ
น่ า
ํจาห
ขอที่ : 399
Recrystallization เกิดไดดี
คําตอบ 1 : เมื่ออุณหภูมิที่ใชต่ํา
ม
คําตอบ 2 : หากมีมลทิน(impurity) ในเนื้อโลหะมาก
้ า
คําตอบ 3 : หากมีมลทิน(impurity) ในเนื้อโลหะนอย
ิธ์ ห
คําตอบ 4 : อุณหภูมิและมลทิน(impurity)ในเนื้อโลหะไมใชปจจัย
ิท
ขอที่ : 400
ส
ธาตุผสม (Alloying elements) ขอใดที่ลด Hardenability ของเหล็กกลา
วน
คําตอบ 1 : Molybdenum
ง
คําตอบ 2 : Cobalt
ส
คําตอบ 3 : Nickel
อ
คําตอบ 4 : Manganese
ขอที่ :
ก ร ข
401
ว
ความสามารถของเหล็กกลาในการฟอรม Martensite ขณะทําการชุบเย็น (Quenching) เรียกวา
ศ
ิ
คําตอบ 1 :
ว
Hardening
า
คําตอบ 2 : Hardenability
สภ
คําตอบ 3 : Undercooling
คําตอบ 4 : Martensitization
ขอที่ : 402
ขอใดเปนชนิดของ Strengthening ที่แสดงอยูในรูปสมการของ Hall-Petch
ย
ขอที่ : 403
่ า
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับ Age-Hardening ในโลหะผสม Al-4 wt.%Cu
น
คําตอบ 1 : ในการบมแข็ง ณ อุณหภูมิคงที่ ความแข็งสูงสุด (Optimum hardness) ที่ไดจากการบมแข็งเพิ่มตามการเพิ่มของอุณหภูมิบมแข็ง (Aging tem
ํจาห
คําตอบ 2 : ในการบมแข็ง ณ อุณหภูมิคงที่ ระยะเวลาการบมเพื่อใหไดความแข็งสูงสุด (Optimum aging time) สั้นลง เมื่ออุณหภูมิบมแข็งเพิ่มสูงขึ้น
คําตอบ 3 : ในการบมแข็ง ณ อุณหภูมิคงที่ ความแข็งสูงสุด (Optimum hardness) ที่ไดจากการบมแข็งเพิ่มขึ้นเมื่อความเขมขนของทองแดงเพิ่มขึ้นเล็กน
คําตอบ 4 : ความแข็งแรงที่ไดจากการบมแข็งโลหะผสม Al-Cu เปน Precipitation hardening
้ าม
ิธ์ ห
ขอที่ : 404
ในการทําใหเหล็กกลาแข็งขึ้นดวยกระบวนการทางความรอน (Heat treatment) ปริมาณคารบอนในเหล็กกลาควรสูงกวาเทาใด
คําตอบ 1 :
ิท
0.022 wt.%
คําตอบ 2 :
ส
0.25 wt.%
คําตอบ 3 :
น
0.40 wt.%
ว
คําตอบ 4 : 0.77 wt.%
ขอที่ :
สง
อ
405
Full annealing เกิดกับชิ้นงานที่เย็นตัว
ร ข
คําตอบ 1 : อยางชาๆ ภายในเตาที่ปดสวิทชแลว
ก
คําตอบ 2 : เย็นตัวที่อุณหภูมิคงที่ในชวง 100-200°C
ว
คําตอบ 3 : ชุบเย็นในน้ํามัน
ศ
ิ
คําตอบ 4 : ชุบเย็นในน้ํา
าว
สภ
ขอที่ : 406
การปรับปรุงสมบัติโดยวิธี Quenching มีกรรมวิธีอยางไร
คําตอบ 1 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวปลอยใหเย็นตัวชาๆในอากาศนิ่ง
คําตอบ 2 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวปลอยใหเย็นตัวชามากๆในเตาอบ
คําตอบ 3 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวทําใหเย็นตัวอยางรวดเร็วมากๆ
คําตอบ 4 : ใหความรอนกับเหล็กกลาที่อุณหภูมิสูงแตไมถึงอุณหภูมิ Austenite แลวคงไวเปนเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง แลวปลอยใหเย็นตัวชาๆในอากาศนิ่
190 of 195
ขอที่ : 407
การปรับปรุงสมบัติโดยวิธี Normalizing มีกรรมวิธีอยางไร
คําตอบ 1 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวปลอยใหเย็นตัวชาๆในอากาศนิ่ง
คําตอบ 2 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวปลอยใหเย็นตัวชามากๆในเตาอบ
ย
คําตอบ 3 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวทําใหเย็นตัวอยางรวดเร็วมากๆ
่ า
คําตอบ 4 : ใหความรอนกับเหล็กกลาที่อุณหภูมิสูงแตไมถึงอุณหภูมิ Austenite แลวคงไวเปนเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง แลวปลอยใหเย็นตัวชาๆในอากาศนิ่
น
ํจาห
ขอที่ : 408
การปรับปรุงสมบัติโดยวิธี Full Anneal มีกรรมวิธีอยางไร
ม
คําตอบ 1 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวปลอยใหเย็นตัวชาๆในอากาศนิ่ง
้ า
คําตอบ 2 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวปลอยใหเย็นตัวชามากๆในเตาอบ
ิธ์ ห
คําตอบ 3 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวทําใหเย็นตัวอยางรวดเร็วมากๆ
คําตอบ 4 : ใหความรอนกับเหล็กกลาที่อุณหภูมิสูงแตไมถึงอุณหภูมิ Austenite แลวคงไวเปนเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง แลวปลอยใหเย็นตัวชาๆในอากาศนิ่
ขอที่ : 409
สิท
วน
การปรับปรุงสมบัติโดยวิธี Spheroidizing มีกรรมวิธีอยางไร
ง
คําตอบ 1 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวปลอยใหเย็นตัวชาๆในอากาศนิ่ง
ส
คําตอบ 2 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวปลอยใหเย็นตัวชามากๆในเตาอบ
อ
คําตอบ 3 : ใหความรอนกับเหล็กกลาจนมีโครงสราง Austenite แลวทําใหเย็นตัวอยางรวดเร็วมากๆ
ข
คําตอบ 4 : ใหความรอนกับเหล็กกลาที่อุณหภูมิสูงแตไมถึงอุณหภูมิ Austenite แลวคงไวเปนเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง แลวปลอยใหเย็นตัวชาๆในอากาศนิ่
ก ร
ว
ขอที่ : 410
ศ
ิ
การอบชุบโดยวิธีใดที่ทําให Cementite ที่มีรูปรางเปนเสนเปลี่ยนรูปรางเปนกอนกลม
าว
คําตอบ 1 : Martempering
สภ
คําตอบ 2 : Bainitizing
คําตอบ 3 : Pearlitizing
คําตอบ 4 : Spheroidizing
ขอที่ : 411
การอบชุบโดยวิธีใดที่ชวยแกปญหาการเกิดการแตกราวของชิ้นงานได
คําตอบ 1 : Austempering 191 of 195
คําตอบ 2 : Bainitizing
คําตอบ 3 : Pearlitizing
คําตอบ 4 : Spheroidizing
่ าย
ขอที่ : 412
น
การอบชุบโดยวิธีใดใหโครงสราง Bainite เปนโครงสรางสุดทาย
ํจาห
คําตอบ 1 : Austempering
คําตอบ 2 : Bainitizing
คําตอบ 3 : Pearlitizing
ม
คําตอบ 4 :
้ า
Spheroidizing
ิธ์ ห
ขอที่ : 413
การอบชุบโดยวิธี Martempering ใหโครงสรางใด
ิท
คําตอบ 1 :
ส
Martensite
คําตอบ 2 :
น
Pearlite
ว
คําตอบ 3 : Ferrite
ง
คําตอบ 4 : Bainite
ขอที่ :
อ ส
ข
414
ร
ถาตองการใหไดชิ้นงานที่แข็งที่สุด ควรใชการอบชุบโดยวิธีใด
ก
คําตอบ 1 : Full Anneal
ว
คําตอบ 2 : Spheroidizing
ศ
ิ
คําตอบ 3 :
ว
Quenching
า
คําตอบ 4 : Normalizing
สภ
ขอที่ : 415
ถาตองการใหไดชิ้นงานที่ออนที่สุด ควรใชการอบชุบโดยวิธีใด
คําตอบ 1 : Full Anneal
คําตอบ 2 : Spheroidizing
คําตอบ 3 : Quenching
คําตอบ 4 : Normalizing
192 of 195
ขอที่ : 416
วัตถุประสงคของการทํา annealing คือ
คําตอบ 1 : ทําใหเหล็กกลาแข็งขึ้น
ย
คําตอบ 2 : ทําใหเหล็กกลาออนลง
่ า
คําตอบ 3 : เพิ่มคารบอนในเหล็กกลา
น
คําตอบ 4 : ลดคารบอนในเหล็กกลา
ขอที่ : 417
ํจาห
ม
โดยทั่วไปกระบวนการ tempering จะนํามาใชกระทําตอเหล็กกลาหลังผานการทํา
้ า
คําตอบ 1 :
ิธ์ ห
annealing
คําตอบ 2 : normalizing
คําตอบ 3 : quenching
ิท
คําตอบ 4 : plastic deform
นส
ว
ขอที่ : 418
ง
ขอใดถูกตองถาอุณหภูมิของวัสดุสูงขึ้น
ส
คําตอบ 1 : strength และ ductility เพิ่มขึ้น
อ
คําตอบ 2 : strength และ ductility ลดลง
ข
คําตอบ 3 : strength ลดลงแต ductility เพิ่มขึ้น
ร
คําตอบ 4 : strength เพิ่มขึ้นแต ductility ลดลง
วก
ศ
ิ
ขอที่ : 419
ว
เฟสใดตอไปนี้มีความตานแรงดึงต่ําสุด
า
สภ
คําตอบ 1 : ferrite
คําตอบ 2 : bainite
คําตอบ 3 : cementite
คําตอบ 4 : martensite
ขอที่ : 420
คาความตานแรงดึงของเฟอรไรตอยูที่ประมาณ
193 of 195
คําตอบ 1 : 10000 ปอนดตอตารางนิ้ว
คําตอบ 2 : 20000 ปอนดตอตารางนิ้ว
คําตอบ 3 : 40000 ปอนดตอตารางนิ้ว
คําตอบ 4 : 80000 ปอนดตอตารางนิ้ว
่ าย
น
ขอที่ : 421
ํจาห
กรรมวิธีใดตอไปนี้เปนการทํา themo-mechanical treatment ตอโลหะ
คําตอบ 1 : austempering
คําตอบ 2 : martempering
ม
คําตอบ 3 :
้ า
tempering
คําตอบ 4 :
ิธ์ ห
ausforming
ขอที่ : 422
ิท
กรณีใดตอไปนี้ทําใหไดเกรน(grain)ของโลหะละเอียดที่สุด
ส
คําตอบ 1 :
น
annealing
ว
คําตอบ 2 : normalising
ง
คําตอบ 3 : quenching
ส
คําตอบ 4 : full annealing
ขอที่ :
ร ขอ
423
ก
ขอความใดตอไปนี้ไมถูกตองสําหรับอธิบายเกี่ยวกับเฟส bainite
ว
คําตอบ 1 : bainite ประกอบดวย ferrite และเหล็กคารไบด
ศ
ิ
คําตอบ 2 : bainite มีความแข็งอยูระหวาง pearlite และ martensite
าว
คําตอบ 3 : bainite มีความแข็งมากกวา pearlite
สภ
คําตอบ 4 : bainite มีความแข็งมากกวา martensite
ขอที่ : 424
เหล็กกลาในขอใดตอไปนี้นาจะรับแรงกระแทกไดนอยที่สุด
คําตอบ 1 : AISI 1010
คําตอบ 2 : AISI 1020
คําตอบ 3 : AISI 1045 194 of 195
คําตอบ 4 : AISI 10110
ขอที่ : 425
ย
เหล็กกลาในขอใดตอไปนี้นาจะมีความแข็งสูงที่สุด
่ า
คําตอบ 1 : AISI 1010
น
คําตอบ 2 : AISI 1020
ํจาห
คําตอบ 3 : AISI 1045
คําตอบ 4 : AISI 10110
้ าม
ิธ์ ห
สิท
ง วน
อ ส
ก ร ข
ศ
ิ ว
าว
สภ
195 of 195