Professional Documents
Culture Documents
ความหมายของเศรษฐศาสตร์
ความหมายของเศรษฐศาสตร์
ความหมายของเศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตรเปนวิชาการแขนงหนึ่งของสังคมศาสตร ไดกอตัวและมีพัฒนาการตอเนื่อง
จนมีสถานภาพเปน “ศาสตร” นับตั้งแตมีการตีพิมพตําราทางเศรษฐศาสตรเลมแรกของโลก ซึ่งมี
ชือ่ คอนขางยาววา An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of the Nation เมื่อ
ค.ศ.1776 ผูเขียนเปนชาวอังกฤษ ชื่อ อดัม สมิธ (Adam Smith) ซึง่ ไดรับยกยองวาเปนบิดาแหง
วิชาเศรษฐศาสตรระดับสากล และนับจากนั้นเปนตนมา การศึกษาทางเศรษฐศาสตร ก็ไดขยายตัว
และครอบคลุมเนื้อหาอยางกวางขวางมากขึ้นเรื่อย ๆ
คํานิยามอยางสั้นที่สุดที่จะแนะนําใหรูจักกับ เศรษฐศาสตร มีดังนี้
เศรษฐศาสตร คือ ศาสตรที่ศึกษาเกี่ยวกับการเลือกหนทางในการใชทรัพยากรการผลิต
อันมีอยูจ ากั
ํ ด สําหรับการผลิตสินคาและบริการเพื่อใหเกิดประโยชนสูงสุด
จากคําอธิบายขางตน มีคําสําคัญที่ควรอธิบายขยายความอยู 4 คํา คือ
(1) การเลือก
(2) ทรัพยากรการผลิต
(3) การมีอยูจํากัด
(4) สินคาและบริการ
เหตุที่ตองมี “การเลือก” (choice) เพราะทรัพยากรตาง ๆ สามารถนําไปใชประโยชนได
หลายทาง ขณะเดียวกัน ความไมสมดุลระหวางความตองการที่ไมมีขีดจํ ากัดของมนุษยกับ
ทรัพยากรการผลิตที่มีอยูจํากัด ทําใหความตองการบางสวนไมสามารถจะบรรลุผลได เราจึงตอง
เลือกหนทางในการใชทรัพยากรอันมีจํากัดไปในทางที่จะกอใหเกิดประโยชนสูงสุด หรือใหความพอ
ใจมากที่สุด การเลือกดังกลาวนี้เปนพฤติกรรมเชิงเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานที่ตองเผชิญอยูทุกเมื่อ
เชือ่ วัน นับตั้งแตระดับบุคคล กลุมบุคคล ไปจนถึงระดับประเทศชาติ ในระดับบุคคลหรือกลุม
บุคคล รายไดที่มีจํากัดทําใหไมสามารถใชจายไดตามใจชอบ เมื่อมีสินคาที่อยากไดพรอมกันหลาย
อยาง บุคคลจึงตองตัดสินใจเลือกซื้อเฉพาะสินคาที่จะใหประโยชนสูงสุด ในระดับประเทศชาติ จํา
เปนตองตัดสินใจเลือกใชทรัพยากรที่มีจํ ากัดไปในทางที่จะทํ าใหประชาชนโดยสวนรวมไดรับ
ประโยชนสูงสุดเชนกัน
ดังนัน้ “การเลือก” จึงเปน “เงา” ของเศรษฐศาสตร สิ่งใดที่มีประเด็นเกี่ยวกับการเลือกใช
ซึ่งทรัพยากรการผลิต สิ่งนั้นยอมเกี่ยวของกับเศรษฐศาสตร โดยนัยตรงขาม หากมีประกาสิต
กําหนดการใชทรัพยากรไวตายตัว เศรษฐศาสตรก็จะไมมีบทบาทในเรื่องนั้น
คําวา “ทรัพยากรการผลิต” (productive resources) หมายถึง ทรัพยากรที่นํามาผลิต
สินคาและบริการ เรียกอีกชื่อหนึ่งวา ปจจัยการผลิต (factors of production) แบงเปน 4 ประเภท
คือ ที่ดิน (land) แรงงาน (labor) ทุน (capital) และผูประกอบการ (entrepreneur)
ก. ที่ดิน ไดแกทดี่ นิ รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติตาง ๆ เชน ปาไม แรธาตุ สัตวนํ้า ความ
อุดมสมบูรณของที่ดิน ปริมาณนํ้าฝนและสิ่งแวดลอมตามธรรมชาติตาง ๆ เปนตน สิ่งเหลานี้มีอยู
ตามธรรมชาติ มนุษยสรางขึ้นไมได แตสามารถปรับปรุงคุณภาพของทรัพยากรธรรมชาติไดบาง
เชน ปรับปรุงที่ดินใหอุดมสมบูรณขึ้น เปนตน ผลตอบแทนจากการใชที่ดินเรียกวา คาเชา (rent)
ข. แรงงาน เปนทรัพยากรมนุษย (human resource) ไดแก สติปญญา ความรู ความ
คิด แรงกายและแรงใจที่มนุษยทุมเทใหแกการผลิตสินคาและบริการ โดยทั่วไปมีการแบงแรงงาน
เปน 3 ประเภท คือ แรงงานฝมือ เชน นักวิทยาศาสตร นักวิชาการ วิศวกร และแพทย เปนตน แรง
งานกึง่ ฝมอื เชน ชางไม ชางเทคนิค พนักงานเสมียน คนคุมเครื่องจักรในโรงงาน เปนตน และแรง
งานไรฝม อื เชน กรรมกรแบกหาม นักการภารโรง คนยาม เปนตน ผลตอบแทนของแรงงานเรียก
วา คาจางและเงินเดือน (wage and salary) อนึง่ แรงงานสัตวไมถือเปนปจจัยผลิตประเภทแรง
งาน แตอนุโลมถือเปนทุน
ค. ทุน คือเครือ่ งจักรเครื่องมือที่มนุษยสรางขึ้นเพื่อใชรวมกับปจจัยการผลิตอื่น ๆ ในการ
ผลิตสินคาและบริการ ทุนหรือสินคาทุน หรือสินทรัพยประเภททุน (capital goods) แบงเปน 2
ประเภท คือ สิ่งกอสราง (construction) และเครื่องจักรอุปกรณการผลิต (equipment)
การลงทุน (investment) หมายถึงการใชจายในการจัดหาเพิ่มพูนสินคาทุน โดยมีวัตถุ
ประสงคเพือ่ เพิ่มขีดความสามารถในการผลิตสินคาและบริการทั้งในปจจุบันและอนาคต
สวนเงินทุน (money capital) นัน้ นักเศรษฐศาสตรถือวาเปนเพียงสื่อกลางที่นํามาซึ่งสิน
ทรัพยประเภททุน สินทรัพยประเภททุนยอมสะทอนความเปนจริงทางเศรษฐกิจยิ่งกวาจํานวนเงิน
ทุน เงินทุนจํานวนเดียวกันใชจัดหาสินคาทุนไดมากหรือนอยขึ้นอยูกับหลายปจจัย ดังนั้น สินคา
ทุนจึงมีความสําคัญในเชิงเศรษฐกิจมากกวาเงินทุน อนึ่ง เนื่องจากการวัดผลตอบแทนจากปจจัย
ทุนโดยตรงมีความยุงยาก เราจึงอนุโลมใหใชผลตอบแทนของเงินทุน อันไดแกอัตราดอกเบี้ย
(interest) เปนผลตอบแทนของปจจัยทุนดวย
ง. ผูประกอบการ (entrepreneur) คือ ผูท าหน ํ าที่รวบรวมปจจัยการผลิต 3 ประเภทที่
กลาวมาขางตน เพื่อทําการผลิตสินคาและบริการ คาตอบแทนของผูประกอบการเรียกวากําไร
(profit) ในบรรดาปจจัยการผลิตทั้ง 4 ประเภท ผูประกอบการนับเปนปจจัยการผลิตที่มีความ
สําคัญมากที่สุด แมวาจะมีปจจัยการผลิต 3 ประเภทแรกมากมายก็ตาม การผลิตจะไมอาจเกิด
ขึน้ หากขาดผูประกอบการ
ในทางเศรษฐศาสตรตนทุนการผลิต คือ ผลรวมคาตอบแทนปจจัยการผลิตทั้งหมด
คําวา “การมีอยูจํากัด” (scarcity) ใหคาจํ
ํ ากัดความได 2 แบบ (1) คําจํากัดความเชิง
สัมบูรณ (absolute definition) คือพิจารณาจากทรัพยากรการผลิตทั้งหมดที่มีอยู ซึ่งอาจมองได
หลายระดับ หากมองในระดับโลก ทรัพยากรการผลิตทุกอยางในโลกลวนมีอยูอยางจํากัด ไมวา
จะเปนกําลังแรงงาน ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และเครื่องจักรตาง ๆ ทรัพยากรเหลานี้ทั่วทั้งโลกมี
อยูเ ทาไรก็เทานัน้ เพิ่มอีกไมได หากประเทศใดมีเพิ่มขึ้น โดยมากก็เปนเพียงการเคลื่อนยายมา
จากประเทศอืน่ ตัวอยางเชน การเคลื่อนยายแรงงานขามประเทศ หรือการเคลื่อนยายปจจัยการ
ผลิตอืน่ ๆ ไปทําการผลิตรวมกับที่ดินของประเทศอื่น โดยการเชาหรือซื้อที่ดินในตางประเทศทํา
การผลิต หากมองในระดับประเทศ การมีอยูจํากัดปรากฏขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งครอบครอง
ทรัพยากรการผลิตมากขึ้น ก็จะมีทรัพยากรการผลิตเหลือนอยลงสําหรับคนอื่น ๆ ในสังคม (2) คํา
จํากัดความเชิงสัมพัทธ (relative definition) เปนการพิจารณาอุปทานของทรัพยากรการผลิตเมื่อ
เทียบกับอุปสงคหรือความตองการทางวัตถุอันไมจํากัด ฉะนัน้ ไมวาจะมีทรัพยากรการผลิต
มากเทาใดก็ตาม เมื่อนําทรัพยากรเหลานี้ไปใชในการผลิตสินคาและบริการ ก็ยังไมสามารถสนอง
ความตองการอันไมจํากัดของมนุษยได
ความจํากัดนี้เปนปรากฏการณที่เกิดขึ้นในทุกระดับสังคมและเกิดขึ้นอยูตลอดเวลา และ
ในอนาคตการมีอยูจํากัดคงจะปรากฎชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อทรัพยากรสวนหนึ่งถูกใชหมดไป สวนที่
เหลือมีนอ ยลง อยางไรก็ตาม ปรากฏการณนี้จะไมเกิดขึ้น หากมีการคนพบวิทยาการใหม ๆ ใน
ผลิตทีส่ ามารถประหยัดทรัพยากรหรือสรางทรัพยากรใหมทดแทนทรัพยากรเดิมที่หมดไป
ไดกลาวพาดพิงในขอความขางตนวา “ความตองการทางวัตถุอันไมจํากัด” (unlimited
wants in materials) ในทางศาสนาพุทธมีคาเรี ํ ยกมนุษยวา “ปุถุชน” ซึ่งหมายถึงคนที่มีความโลภ
โกรธ หลง คําวา “โลภ” นี้อาจอนุโลมใหมีความหมายใกลเคียงกับคําวา “มีความตองการไมจํากัด”
กลาวคือ เมือ่ ไดมาอยางหนึ่งก็อยากไดอยางอื่น เปนเชนนี้ตอไปเรื่อย ๆ ไมมีที่สิ้นสุด หากไปถาม
คนยากจนวาในชีวิตปรารถนาอะไร คําตอบมักจะเปนวาขอใหมีอาหารรับประทานครบ 3 มื้อ หรือ
มีปจ จัย 4 ครบถวน หากถามคําถามเดียวกันกับผูมีรายไดปานกลาง คําตอบมักเปนวานอกจากมี
ปจจัย 4 ครบถวนแลวยังตองมีคุณภาพที่ดี เชน อาหารตองอรอยถูกปาก เสื้อผาตองตามสมัย
นิยม ในบานขอมีเครือ่ งปรับอากาศ มีตูเย็น โทรทัศนสี เปนตน และหากถามมหาเศรษฐีวา
ปรารถนาอะไรในชีวิต คําตอบก็คงจะเปนวาอยากอยูในตําแหนงคนรวยที่สุด หรืออยากมีชื่อเสียง
เกียรติยศโดงดังนอกเหนือจากวัตถุสมบัติที่มีมากมายอยูแลว กลาวโดยสรุป สําหรับมนุษยปุถุชน
มักจะไมมีคําตอบวาพอแลว หยุดแลว ไมปรารถนาอะไรทั้งสิ้นแลว
คําวา “สินคาและบริการ” (goods and services) คือสิง่ ทีไ่ ดจากการทํางานรวมกันของ
ปจจัยการผลิตตาง ๆ เปนสิ่งที่มีอรรถประโยชน (utility) มากกวาศูนย แบงเปน 2 ประเภท (1) สิน
คาและบริการขั้นกลาง (intermediate goods and services) เปนสินคาที่มีการซื้อขายเพื่อนําไป
ใชเปนปจจัยการผลิต เชน อาหารสัตว วัสดุกอสราง รถบรรทุกสิบลอ เปนตน และ (2) สินคา
และบริการขั้นสุดทาย (final goods and services) เปนสินคาที่มีการซื้อขายเพื่อนําไปใชอุปโภค
และบริโภค ตัวอยางเชน ผลิตภัณฑเหล็ก โรงงานถลุงเหล็กนําสินแรเหล็กมาถลุงและทําเปนแทง
เหล็ก จากนัน้ รีดเปนแผนเหล็ก ใชแผนเหล็กขึ้นรูปเปนตัวถังรถ โรงงานประกอบรถยนตใสชิ้น
สวนตาง ๆ เขากับตัวถังรถ สําเร็จออกมาเปนรถยนต จะเห็นวาแทงเหล็ก แผนเหล็ก โครงตัวถังรถ
เปนสินคาขัน้ กลาง สวนรถยนตอาจถือเปนสินคาขั้นกลางถาหนวยผลิตซื้อไปใชงาน และถือเปน
สินคาขัน้ สุดทายถาครัวเรือนซื้อไปใช จะเห็นไดวาสินคาหรือบริการอยางเดียวกันอาจเปนไดทั้งสิน
คาขั้นกลางและสินคาขั้นสุดทาย ทั้งนี้พิจารณาจากวัตถุประสงคในการนําไปใชประโยชนเปน
สําคัญ
ในการศึกษาเศรษฐศาสตร ไดแบงสินคาออกเปน 2 ประเภท ไดแก เศรษฐทรัพย
(economic goods) และสินคาไรราคา (free goods) เศรษฐศาสตรศึกษาเฉพาะสินคาที่เปน
เศรษฐทรัพยเทานั้น
ก. เศรษฐทรัพย คือสินคาที่มีตนทุน ดังนั้นจึงมีราคามากกวาศูนย โดยปกติ
ผูบริโภคจะเปนผูจายคาสินคาโดยตรง แตในบางกรณี ผูบริโภคกับผูจายคาสินคาอาจจะเปน
คนละคน ซึง่ ไดแก เศรษฐทรัพยที่ไดจาการบริจาค หรือจากการใหโดยเสนหา หรือจากบริการสวัส
ดิการของรัฐ ซึ่งเปนเศรษฐทรัพยทไี่ ดเปลา จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งวา “สินคาใหเปลา” (ซึ่งไมใชสินคาไร
ราคา)
ข. สินคาไรราคา หมายถึงสินคาและบริการที่ไมมีตนทุน จึงไมมีราคาที่ตองจาย ตัวอยาง
ของสินคาไรราคา ไดแก สายลม แสงแดด นํ้าฝน อากาศในบรรยากาศ นํ้าทะเล และนํ้าในแมนํ้า
ลําคลอง
------------
พิมพครั้งแรกใน เศรษฐสาร ปที่ 4 ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน 2531