Download as doc, pdf, or txt
Download as doc, pdf, or txt
You are on page 1of 9

พ.ต.ท.

ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

กับรายการวิทยุออนไลน์ "เล่าสู่กันฟัง” (Talk around the World)

ออกอากาศผ่านเว็บไซท์ www.thaksinlive.com

ทุกวันอังคาร เวลา 20.30 น. – 21.30 น.

เรียบเรียงจากการออกอากาศ วันอังคารที่ 8 กันยายน 2552


กรณีให้สัมภาษณ์จอม เพชรประดับ
พบกันเป็นครั้งที่สอง ในครั้งแรกเว็บถูกโจมตี คลื่นรบกวน ระบบเสียงไม่ดี ครั้ง
นี้น่าจะดีขึ้น ผมพยายามจะพูดเรื่องที่สร้างสรรค์ที่สุด ไม่อยากให้เกิดความไม่เข้าใจกัน
เมื่อสองวันก่อน ผมให้สัมภาษณ์ในรายการคุณจอม เพชรประดับ ผมกับคุณ
จอมรู้จักแต่ไม่สนิท เขาเป็นสื่อมวลชนที่มีอุดมการณ์ อยากเอาความจริงมาเผยแพร่
ทีแรกผมไม่ค่อยพอใจด้วยซำ้า รู้สึกว่าคำาถามแรงมาก ไม่อยากให้สัมภาษณ์ แต่เกรง
เขาจะเสียคน เพราะตกลงกันไว้แล้ว
คุณจอมรวบรวมคำาถามแรงมาจากกลุ่มผู้ไม่ชอบผมและไม่เห็นด้วยกับผม ผม
ต้องตอบในฐานะอดีตนายกฯ หลายเรื่องเป็นความสับสนซึ่งทำาให้ประเทศเดินหน้าไม่
ได้ พูดออกไปทราบว่าเกิดความวุ่นวาย รัฐบาลเต้นกันไปหมดทุกเรื่อง แต่ขอเสนอว่า
ควรเอาเวลาไปทำาเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศจะดีกว่า

ประเทศต้องการความจริง วอนสื่อนำาความจริงสู่ประชาชน
วันนี้ประเทศต้องการความจริง เปรียบเหมือนเรามีปัญหา ต้องไปหาจิตแพทย์
เราต้องบอกความจริงกับจิตแพทย์ เขาจึงจะแก้ปัญหาให้ตรงจุดได้ ปัญหาประเทศเช่น
กัน ต้องพูดความจริงกัน ปัญหาประเทศหมักหมมมานาน แก้ยากเพราะไม่พูดความ
จริงหรือจริงแค่ครึ่งเดียว
อยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน พูดความจริง ความเห็นไม่ตรงกันไม่

1
เป็นไร แต่ถ้าความจริงตรงกัน การแก้ปัญหามีสูตร ทฤษฎี หลักการ ข้อกฎหมายอยู่
เพื่อที่จะคิดต่อไปได้ ทุกอย่างจะจบ
ตอนนี้เรากลับยืมองค์กรบางองค์กรมา เพื่อมาตัดสินเรื่องต่างๆ แต่ข้อเท็จจริง
แล้วหลายองค์กรเขียนกฎหมายเอง ทำางานเกินหน้าที่ไปมาก หากเราเถียงกันด้วยข้อ
กฎหมายทั้งวัน โดยไม่เอาความจริงมาคุยกัน จะทำาให้แก้ปัญหายาก
โดยเฉพาะถ้าสื่อมวลชนไม่สามารถนำาความจริงไปสู่ประชาชนได้ สื่อจะต้องช่วย
นำาความจริงให้ปรากฏ จะช่วยได้เยอะ ไม่เกิดความแตกแยก สมัยผมเป็นนายกฯ เคย
ถูกกล่าวหาว่าคุกคามแทรกแซงสื่อ แต่หากสื่อว่ามา เห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็จะเถียง
โต้ตอบกันไปตามวิถีประชาธิปไตย ไม่เคยไปคุกคามกดดันสื่อ เพียงแต่ไม่ชอบกันก็คือ
ไม่ชอบ
แต่ขณะนี้สื่อถูกกดดัน จึงขอให้รัฐบาลอย่าไปเต้นกับการพูดความจริงมากเกิน
ไป คุณจอมมีเจตนาจะทำาความจริงให้ปรากฏ ก่อนหน้านี้สมัย คมช. คุณจอมเคยมา
สัมภาษณ์ผมที่ฮ่องกง แต่ไม่ได้ออกอากาศ ทิ้งไปนานจนในที่สุดก็ได้ออกอากาศ คุณ
จอมยังคงนิสัยเดิม ต้องการเสนอความจริงสองด้าน ผมเสียใจด้วยที่คุณจอมต้องอำาลา
รายการไป

หลักคิดผู้นำา – ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือ คำาตอบสำาคัญ


จากการติดตามดูทวิตเตอร์ที่คุณสุทธิชัย หยุ่นสัมภาษณ์คุณอภิสิทธิ์ ตอนหนึ่ง
คุณอภิสิทธิ์บอกว่าไม่ทราบที่ผมต้องการคุยกับเขา ต้องเรียนว่าท่านเป็นนายกฯ ไม่มี
ใครที่ไม่อยากคุยกับท่าน แต่การที่จะคุยกับท่าน ต้องอยู่บนพื้นฐานความยุติธรรม แต่
เข้าใจได้ว่าคุณอภิสิทธิ์งานเยอะ เรื่องรอบตัวมาก คงไม่มีเวลาจะคุย ผมรอได้ ไม่รู้
เบอร์โทรผม ให้ถามรถแท๊กซี่ หรือถามแม่ค้า คนเสื้อแดง มีเบอร์ผมทั้งนั้น ผมไม่เคย
เล่นตัว
ผมคิดถึงเมืองไทย ห่วงเมืองไทย พร้อมคุยด้วยความจริง อย่าเอากรอบข้อ
กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมมาพูดอย่างเดียว
คุณอภิสิทธิ์พูดเสมอว่าเขาเป็นผู้นำา เป็นผู้รักษากฎหมาย พูดอีกก็ถูกอีก แต่
การเป็นผู้นำาต้องใช้ทั้งหลักนิติศาสตร์และหลักรัฐศาสตร์ควบคู่กัน สิ่งใดเกิดประโยชน์

2
สูงสุดเพื่อคนส่วนใหญ่ เป็นสิ่งที่ต้องทำา อย่างกฎหมายของอัยการสูงสุด อนุญาตให้
ถอนฟ้องคดีใดก็ได้อันจะนำามาซึ่งสันติสุขของบ้านเมือง พูดเช่นนี้ไม่ได้ให้ถอนฟ้องคดี
ของผม เพียงแต่เล่าให้ฟัง ...ทั่วโลกเขาผสมผสานการบังคับใช้กฎหมายกับการเมือง
ทั้งสองอย่างไม่ทำาให้ด้านใดเสียหาย บรรทัดสุดท้ายของทั้งหมดเพื่อความผาสุกของ
ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ การเขียนกฎหมายในอดีต สิ่งแวดล้อมไม่เหมือน
ปัจจุบัน จึงต้องมีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง
ผู้นำาต้องเข้าใจภาพรวมในเรื่องนี้ การดำาเนินการใดๆ สำาคัญที่สุด คือ เพื่อความ
สงบสุข ความผาสุกของประชาชนส่วนใหญ่ บรรพบุรุษของเราสร้างทางออกไว้ในทุก
เรื่อง คนที่มีหลักเกณฑ์ในปัจจุบัน เขาจึงอึดอัดในสิ่งที่เกิดขึ้น

แนะหนังสือลักษณะผู้นำา
ได้อ่านหนังสือน่าสนใจมากเรื่อง Leading at a Higher Level ของ Kenneth
Hartley Blanchard กล่าวถึงลักษณะผู้นำาที่จะยกระดับองค์กรของตนเองตลอดเวลา
ผู้นำายุคใหม่มี 2 ลักษณะ คือ หนึ่ง. ผู้นำาที่ทำาเพื่อรับใช้ประโยชน์ขององค์กร
สอง. ผู้นำาที่เอาองค์กรมารับใช้ความฝันหรือประโยชน์ของตนเอง ผู้นำาที่รับใช้ประชาชน
ทำางานอย่างทุ่มเท ทุกคำาพูดที่สัมภาษณ์ทางทีวีหรือพูดกับประชาชน ประชาชนจะรับรู้
ได้ว่าผู้นำาคิดอะไร ห่วงใยเขาหรือไม่
ผู้เขียนยังบอกอีกว่า ผู้นำายุคใหม่ต้องสามารถวางเป้าหมายและกำาหนดวิสัย
ทัศน์ที่ถูกต้องให้กับองค์กร ในองค์กรธุรกิจต้องดูแลลูกค้าและพนักงานให้ดี พัฒนา
ภาวะผู้นำาให้สอดคล้องกับยุคสมัย
หากประยุกต์กับการเมือง ดูแลลูกค้าคือประชาชน ดูแลพนักงานคือข้าราชการ
เพื่อจะไปดูแลประชาชนให้ดี ถ้าผู้นำาสามารถสื่อสารและสร้างความเข้าใจกับ
ข้าราชการ ให้รู้ทิศทางว่าผู้นำาจะนำาพาประเทศไปทางไหน ความเข้าใจจะทำาให้เกิด
เป็นพลังสมอง ทำาให้การทำางานของข้าราชการได้ผลดีต่อประเทศชาติ แต่ถ้าไม่เข้าใจก็
จะทำาไปวันๆ ยกเว้นจะมีการข่มขู่กันให้ทำาก็เป็นอีกเรื่อง น่าจะไม่เป็นผลดี
หนังสือเก่าอีกเล่มที่อยากเล่าให้ฟัง อ่านเมื่อประมาณปี 2518 ชื่อ Peter
Principle ผู้เขียนคือ Laurence Johnston Peter เป็นหลักในการบริหารองค์กร เขา

3
บอกว่าคนเราถ้าไปอยู่ในตำาแหน่งที่เกินความสามารถของตนเอง จะเป็นทุกข์เพราะทำา
ไม่ไหว คนที่เราเคยชอบเมื่อเขาอยู่ในจุดที่เขาทำางานได้ดี แต่เมื่อเขาไปอยู่ในจุดที่เกิน
ความสามารถเขา เราจะเริ่มไม่ชอบคนนั้นเพราะเขาทำางานไม่ได้เรื่อง เป็นการเลื่อนชั้น
ไปอยู่ในระดับเกินความสามารถของตนเอง (beyond competency level)
การที่มีลูกน้อง หรือการจะเลื่อนตำาแหน่งให้ลูกน้อง หากเลื่อนไปอยู่ในระดับที่
เกินขีดความสามารถของเขา จากลูกน้องที่เรารัก เราอาจจะเริ่มไม่รักเขาก็ได้เพราะ
การทำางานเขาจะเปลี่ยนไป...นำามาเล่าเพื่อให้ประกอบในการใช้ชีวิตประจำาวัน

ไทยเข้มแข็งกับภาวะน่าห่วง
งบประมาณที่วางไว้ 3 ปี รวม 1.4 ล้านล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาล
บอกตั้งใจฟื้นเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เน้นว่า 1.06 ล้านล้านบาทจะเอา
มาใช้ในปีงบประมาณ 2553 เริ่มใช้ในเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป ส่วนอีก 3.6 แสนล้าน
บาทจะไปใช้ทีหลัง ตุลาคมปีนี้จะเริ่มใช้ประมาณ 2.5 แสนล้าน แต่รัฐบาลไปพบว่ามี
เงินขาดดุลงบประมาณสูงกว่าปกติไปแล้วแสนล้าน จึงเหลือเงินเพื่อใช้อีกเพียง 1.5
แสนล้านเพื่อรักษาวินัยการเงินการคลัง
โดยรวมรัฐบาลจะมีเงินกู้ใช้ในไทยเข้มแข็ง ปีงบประมาณ 2553 ประมาณ 3.5
แสนล้าน สรุปปีงบประมาณนี้ รัฐบาลจะขาดดุลอยู่ถึงประมาณ 6.5 - 7 แสนล้านบาท
หรือเทียบเท่าขาดดุลถึง 7 - 7.5 % ของจีดีพี เป็นการขาดดุลงบประมาณที่เยอะมาก
อันตรายมาก
รัฐบาลจะมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการใช้เงินกู้เหล่านี้ ตั้งแต่ 2553 – 2555
ซึ่งในปีงบ 2555 จะใช้เท่ากับปี 2553 รวมแล้วรัฐบาลนี้จะสร้างการขาดดุลงบประมาณ
ใน 3 ปีต่อจากนี้ถึง 20% ของจีดีพี หรือ 2 ล้านล้านบาท เป็นการขาดดุลงบประมาณ
อย่างเดียว น่ากลัวมาก
การขาดดุลงบประมาณจะทำาให้เรามีหนี้ (ยังไม่นับรวมหนี้สาธารณะอื่นๆ) รวม
60% ของจีดีพี ซึ่งเราไม่ควรมีหนี้สาธารณะเกิน 50% ของจีดีพี
สมัยเมื่อผมเข้ามาเป็นนายกฯ หนี้สาธารณะของประเทศอยู่ที่ 60% เราทำาลงมา
เหลือแค่ 40 ต้นๆ อยู่ในกรอบที่ปลอดภัย แต่วันนี้กำาลังจะกลับขึ้นไปใหม่ที่ 60% เพราะ

4
ฐานภาษีเราเล็กเพียงแค่ 15% ของจีดีพี แล้วปล่อยหนี้สาธารณะขึ้นไปขนาดนั้น
สถานะความน่าเชื่อถือของประเทศจะลดลง นั่นหมายถึงภาคเอกชนและภาครัฐต้องกู้
เงินแพงขึ้น คนปล่อยกู้จะน้อยลง
ขณะที่สหภาพยุโรปกำาหนดหนี้สาธารณะไม่เกิน 60% ของจีดีพี เพราะฐานภาษี
เขาอยู่ที่ 30% ของจีดีพี ของเราฐานภาษีเล็กกว่าเขา จึงไม่ควรเกิน 50% ...รัฐบาลจะ
กระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องคำานึงถึงหนี้สาธารณะไม่ให้เกิน 50% ไม่เช่นนั้นประเทศเปราะ
บางมาก
ที่สำาคัญไทยเข้มแข็งต้องมีเป้าหมายในการใช้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เท่าที่ดู
น่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้นเท่านั้น เพราะโครงการไม่ยั่งยืน ไม่ว่าจะสร้างถนน
ลาดยาง สร้างอาคาร จัดซื้อคอมพิวเตอร์ ฝึกอบรมเพื่อการจ้างงานใหม่ สิ่งเหล่านี้ไม่
เกิดผลทางเศรษฐกิจระยะยาว แต่เรากลับสร้างหนี้ระยะยาว อันตรายเหลือเกิน

ประเมินภาวะที่ต้องเผชิญ
ถ้าไปหวังนำ้าบ่อหน้า ปี 2555 จีดีพีจะโต 5.5% ถ้าเป็นอย่างนั้น หนี้สาธารณะ
อาจลดลง แต่ถ้าไม่โตอย่างนั้น จะเหนื่อย มองย้อนไปเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว เศรษฐกิจโลก
โตเฉลี่ยประมาณ 5% แต่อีก 4-5 ปีข้างหน้าประเมินว่าน่าจะโตเพียง 3–3.5% เท่านั้น
ซึ่งจะมีผลกับการส่งออกของเราแน่นอน รัฐบาลต้องคำานึงว่าจะไม่ทิ้งภาระหนักหนาเอา
ไว้ ...5% ลดเหลือ 3% อย่าไปคิดว่าลดแค่ 2% แต่ลดถึง 40% ขนาดของเศรษฐกิจโลก
ที่ลดลงใหญ่มาก เราต้องถามตัวเองว่าเราจะส่งออกอย่างเดิมไหวหรือไม่
ขอเล่าเกร็ดความรู้เรื่องหนึ่ง ใน 7 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารในจีนปล่อยสินเชื่อ
รายใหม่เพียงประเทศเดียว มากกว่าอเมริกา ญี่ปุ่นและยุโรปปล่อยสินเชื่อรวมกัน น่า
กลัวมาก แสดงให้เห็นจีนกำาลังขยายการผลิตของตัวเองอย่างรุนแรง จีนต้องการเป็น
ผู้นำาในการส่งออกอย่างต่อเนื่อง บริษัทวิจัยและพัฒนาใหญ่ๆ ทั่วโลกตอนนี้ไปตั้ง
สำานักงานในจีนแล้ว เพราะรู้ว่าถ้าไม่ไปตั้ง จีนก๊อปปี้แน่นอน จีนเป็นคู่แข่งในตลาดส่ง
ออกกับไทยอย่างมาก
ยกตัวอย่างเรื่องดีทรอยต์แห่งเอเชียที่เราเคยฝันว่าจะเป็นศูนย์กลางผลิตรถยนต์
เพื่อการส่งออกของโลก กำาลังการผลิตของเรา 2 ล้านคันต่อปี แต่จีนแรงมาก 11 ล้าน

5
คันต่อปี อุตสาหกรรมรถยนต์ต้องมีปริมาณเพราะผลกำาไรตำ่า ต้องเอาปริมาณมาคูณ
การแข่งขันเรื่องนี้จะยากขึ้น
ไทยต้องปรับตัวเองว่าจะไปทางไหน ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างไร เราจะ
ขยายจีดีพีเศรษฐกิจในประเทศเพื่อทดแทนการส่งออกได้หรือไม่ จะส่งออกอย่างไร รับ
บาลต้องคิด
คิดถึงคำาพูดของบิลล์ เกตส์ที่ว่า เราเกิดมาจนได้ แต่เราตายแบบจนไม่ได้ วันนี้
เราตั้งใจอย่างยิ่งที่จะไม่ตายอย่างคนจน แต่ยังตายจนอีก ถือเป็นความผิดของรัฐบาล
รัฐบาลต้องมีนโยบายให้ประชาชนหายจน รัฐบาลต้องมองให้กว้างและเจาะลึก
ปรับปรุงในแต่ละอุตสาหกรรม

ต้องให้เอกชนมีส่วนร่วม
ข้อน่าสังเกตในโครงการไทยเข้มแข็ง พบว่าให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมน้อยมาก
ถ้าจำาได้ครั้งที่แล้วพูดเรื่องไอเอ็มเอฟ การฟื้นตัวจะเกิดขึ้นได้มีเงื่อนไขอยู่ 3 ข้อ หนึ่งใน
นั้นคือ เอกชนจะต้องเข้ามาลงทุน หรือใช้จ่ายแทนภาครัฐ เพราะภาครัฐจะช่วยได้ระดับ
หนึ่งเท่านั้น ไปต่อไม่ได้เนื่องจากหนี้สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณที่สูง เอกชน
ต้องเข้ามาแทน แต่โครงการต่างๆ และเงินที่ลงไปไม่ได้ก่อเกิดการมีส่วนร่วมของภาค
เอกชน ไม่ได้นำาไปสู่การขยายการลงทุนต่อเนื่องในภาคเอกชน

ฝากทบทวนโครงการไทยเข้มแข็ง
สิ่งที่เป็นห่วงคือ รัฐบาลฝันมากไปว่าลงทุนโครงการไทยเข้มแข็งจะช่วยลดค่าใช้
จ่ายระบบขนส่ง หรือโลจิสติกส์จาก 19% ของจีดีพี เหลือ 16% ของจีดีพีต่อปี เท่ากับ
ลดค่าใช้จ่ายประเทศได้ถึง 3 แสนล้านอันเนื่องมาจากการสร้างถนนลาดยางมะตอย
อันนี้น่าจะไม่ใช่ ...ฝากรัฐบาลช่วยดูด้วย ทั้งหมดอย่าไปคิดว่าทักษิณพูด ถือว่าคนไทย
คนหนึ่งพูด รัฐบาลจะได้นำาไปปรับปรุง
รัฐบาลฝันไปว่า การลงทุนเครื่องคอมพิวเตอร์จะสามารถลดอัตราส่วนนักเรียน
ต่อคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง จากนักเรียน 38 คนต่อเครื่อง จะเหลือ 20 คนต่อเครื่อง ซื้อ
แสนเครื่อง 2 ปีเครื่องก็ล้าสมัย จำานวน 38 ลดเหลือ 20 คนต่อเครื่อง เท่ากับเกือบ
50% นั้นน่าจะไม่ใช่ น่าจะต้องทำาต่อเนื่องเพราะเป็นการแทนเครื่องเก่าที่ล้าสมัย

6
โครงการชลประทานจะใช้เงิน 4.8 หมื่นล้านบาทจากงบทั้งหมด 2 แสนล้าน
เพื่อมาช่วยเกษตรกรโดยเฉพาะชลประทาน และเรื่อง Water Grip งบ 4.8 หมื่นล้านไม่
พอแน่นอน บ้านเรามีพื้นที่ทำาเกษตรอยู่ 130 ล้านไร่ ในนี้ 64 ล้านไร่เป็นการปลูกข้าว
หากเพิ่มพื้นที่ชลประทานอีก 1 ล้านไร่ก็ดี แต่ยังไม่พอ
รัฐบาลจะเพิ่มจีดีพีจากโครงการเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (Creative Economy)
เพิ่มมูลค่าด้วยการสร้างสรรค์ ให้เศรษฐกิจเพิ่มถึง 8% เป็นเงินถึง 8 แสนล้าน อันนี้ไม่
แน่ใจ
ฝากให้ดูเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มาบตาพุด ซึ่งคนท้องถิ่นและเอ็นจีโอเห็นว่า
รัฐบาลฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ต้องเร่งแก้ไข เพราะเงินลงทุนของภาคเอกชนถึง 4 แสน
ล้านรอที่จะลงอยู่ ต้องพูดคุยกันให้จบว่าจะดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างไร
โครงการต้นกล้าอาชีพที่กระทรวงแรงงานทำาไป 6 พันล้านบาทเมื่อเดือน
เมษายน แต่ไม่ได้ผล ตอนนี้เอางบ 7.5 พันล้านมาลงที่รัฐมนตรีสำานักนายกฯ เพื่อฟื้น
โครงการใหม่ สำานักนายกฯ ไม่มีบุคลากร แล้วจะทำาโครงการระดับ 7 พันล้านเพื่อฝึก
อบรมแรงงานได้อย่างไร น่าจะเป็นเรื่องผิดซำ้าสองแน่นอน ฝากให้รัฐบาลดูด้วย
เศรษฐกิจภาคใต้ รัฐบาลจะเพิ่มรายได้ให้คนใต้จาก 6.4 หมื่นบาทต่อปี เป็น 1.2
แสนบาทต่อปี เท่ากับเพิ่มเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องถามว่ารัฐบาลพูดจริงหรือไม่ ทำาไม่
ได้ง่าย ขอให้ท่านไปทำาสิ่งที่ประกาศนโยบายไว้ 99 วันปัญหาภาคใต้จะสงบดีกว่า ถ้า
วงบ เขาเชื่อมั่น เศรษฐกิจจะไปดีเอง
ฝากให้รัฐบาลดูโครงการเหล่านี้ให้กว้างขวาง รอบคอบ รัดกุม ไม่เช่นนั้นเอาไม่
อยู่ ระดมสมองกันให้เต็มที่ ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องผม ผมจะพยายามเสนอแนวทาง
สร้างสรรค์

ธุรกิจเฮลิคอปเตอร์ หวังโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่
สัปดาห์ที่ผ่านมา คีย์ข้อความในทวิตเตอร์ว่า มีพรรคพวกมาชักชวนทำาธุรกิจ
เฮลิคอปเตอร์เทคโนโลยีใหม่ เมื่อมีเหตุขัดข้อง ที่นั่งในห้องโดยสารจะดีดตัวออกได้และ
มีร่มชูชีพกางออก ปรากฏว่าบรรดาผู้ที่ไม่ชอบผมในทวิตเตอร์เข้ามาเขียนว่าเอาสติ

7
ปัญญาที่ไหนคิด ดีดตัวออกก็เจอใบพัดเครื่องข้างบน เข้าใจว่าท่านอาจยังไม่รู้ เวลาดีด
จะพุ่งไปข้างหน้า มีรูปอยู่ใน www.thaksinlive.com
สาเหตุที่สนใจเพราะเทคโนโลยีใหม่ ความปลอดภัยสูง ห้องโดยสารดีดออกข้าง
หน้าอย่างที่ว่าแล้ว ยังมีร่มค่อยๆ กางออกมา ตรงหางเครื่องยังมีร่มหิ้วเพื่อให้เครื่องลง
ช้า ความเสียหายจึงน้อย ต้นทุนการผลิตตำ่ามากเมื่อเทียบกับราคาขายในท้องตลาด
สามารถแข่งขันได้ เรื่องค้าขายทำากำาไรไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ทำาให้นึกถึงคนเก่งๆ ใน
ประเทศไทย นักบิน ช่างเครื่องของไทยเก่งเยอะ เราเคยแต่ดัดแปลง ไม่เคยคิดสร้างและ
พัฒนาเอง การที่สนใจลงทุนก็ไม่ใช่เพื่อไปแข่งขันมากมาย แต่อยากได้เทคโนโลยีอย่าง
นี้ เรื่องนี้อาจช่วยให้การโอนถ่ายเรียนรู้เทคโนโลยีกันได้
วิธีคิดของผม คือ เมื่อจะทำาอะไร จะเอาความอยากเก็บไว้ก่อน และคิดในแนว
ที่ถูกต้อง คิดเสมอว่าคนไทยมีของดีอะไรบ้าง เราต้องอวดชาวโลกให้ได้ เพื่อขยายต่อ
ให้แข่งขันในโลกได้ คิดอย่างนี้ ไม่ใช่อวดรำ่ารวย
การที่มาอยู่ที่ดูไบซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจ ทำาให้มีโอกาสเรียนรู้หลายเรื่อง กรณี
เหมืองเพชร ไม่เคยคิดว่าจะทำา แต่รอจนลงตัวทั้งตัวเลขที่น่าจะทำากำาไรได้และเป็นช่อง
ทางโอกาสให้คนไทยด้วย จึงตัดสินใจทำา

เล่าสู่กันฟัง...ที่มาของทุกนโยบายที่ประสบความสำาเร็จ
ต่อจากนี้ ทุกสัปดาห์จะนำาที่มาของนโยบายแต่ละด้านมาเล่าให้ฟัง เพื่อที่จะรู้
จริงก่อนคิดจะลอกเลียนแบบ
ตัวอย่างที่ผมมักเล่าให้ฟังคือ เราไปกินคะน้าหมูกรอบที่อร่อยมาก แต่เราอวดดี
ไม่ถามวิธีทำา คิดว่าง่าย ซื้อของมาทำาเอง ตั้งไฟใส่ผักลงไปก่อนเลย จนผักจะเละรีบ
ใส่หมูลงไป กลัวผักเละเอาขึ้นมากลายเป็นผัดผักคะน้าเละกับหมูดิบไป แต่ถ้าเราไม่
กลัวเสียเหลี่ยม ถามเขาสักนิดจะได้รู้ว่าใส่หมูก่อนแล้วค่อยใส่ผัก ผมจึงขอเล่าที่มา
ของแต่ละเรื่อง...
นโยบายเรื่องแรกคือ OTOP แนวคิดมาจากเมืองโออิตะในญี่ปุ่นเขาสร้างหนึ่ง
หมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ เรามาเป็นหนึ่งตำาบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP ผู้ว่าโออิตะ
ชมเชยว่าประเทศไทยทำาด้ดีกว่าของเขา ที่เป็นเช่นนี้เพราะ หนึ่ง. คนไทยมีสุนทรียภาพ
ในสายเลือด เช่นโรงงานเชลียงที่เชียงใหม่ คนงานจบปอสี่วาดลายเซรามิคใช้มือวาดที

8
ละใบ แต่ลายนิ่งมากเหมือนทำาโรงงาน สอง. พระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ
ทรงริเริ่มทำาโครงการศิลปาชีพ ทุกที่ที่เสด็จจะทรงนำาชาวบ้านมาฝึกงานฝีมือในทุก
สาขาช่าง ขยายผู้มีทักษะฝีมือแรงงานไปทั่วประเทศ
เหล่านี้ทำาให้ OTOP ของเราไปได้ดี เกษตรกรมีอาชีพเสริมสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
ง่ายที่สุดคือการทำาสินค้าขายเอง ไม่จำาเป็นต้องทำางานเต็มเวลา เสร็จจากนาสามารถ
ทำางานฝีมือได้
เชื่อหรือไม่ว่า สินค้ายี่ห้อดังอย่าง Louis Vitton เริ่มมาจากลักษณะสินค้า
OTOP เป็นงานหัตถกรรมทำาด้วยมือมาก่อน เย็บกระเป๋าเดินทาง หรือยี่ห้อ Hermes
เป็นสินค้าที่เริ่มจากการทำาอานม้า รองเท้าบู๊ธขี่ม้า ปัจจุบันทำากระเป๋าแพงสุดหนังจรเข้
ราคา 5 ล้านบาทขาย เหล่านี้เป็นงานทำามือทั้งนั้น
พื้นฐานการคิดเรื่องนี้ คือ หนึ่ง. สร้างรายได้เสริมให้ชาวบ้าน สอง. ส่งออกขาย
ต่างประเทศ สาม. สร้างแบรนด์ไทยระดับโลก ทำาได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่ล้มไปเสียก่อน
ชาวบ้านเรียกร้องมาก รัฐบาลนี้เลยนำากลับมาใหม่ ตอนนี้ผมเองเตรียมเปิดสถานี
โทรทัศน์ที่จะทำาเรื่อง OTOP โดยเฉพาะ กำาลังรวบรวมข้อมูล

ชี้แจงข่าวลือเป็นโรคร้าย
อีกเรื่องมีคนปล่อยข่าวลือว่า ผมเป็นมะเร็ง มีการแก้ข่าวไปแล้ว แต่ขอใช้เวลา
ตรงนี้อีกครั้งเพื่อชี้แจง เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศต่างโทรมาแสดงความเป็นห่วงว่าอยู่ใน
ขั้นผมร่วงเพราะทำาคีโมแล้ว ผมยังแข็งแรงดี ตรวจสุขภาพล่าสุดปกติดีทุกอย่าง
สุขภาพกายและใจปกติ พร้อมกับประเทศไทย

..................

You might also like