Professional Documents
Culture Documents
ศิลปแห่งการสนทนา
ศิลปแห่งการสนทนา
ศิลปแห่งการสนทนา
วิศิษฐ์ วังวิญญู
สถาบันขวัญเมือง เชียงราย
การสนทนาที่ไม่ก่อให้เกิดการเรียนรู้
ที่นำาการสนทนามาเทียบเคียงกับการเรียนรู้ ก็เพราะมองว่าการเรียนรู้เป็นคุณลักษณะหลักที่สำาคัญยิ่งเพื่อชีวิต
คือองค์กรที่จัดองค์กรตัวเองอย่างเป็นเครือข่ายเพื่อการเรียนรู้
ถ้าเราเป็นคนละเอียดอ่อน และเมื่อมีโอกาสอยู่ในวงสนทนา ลองถอยตัวเองออกจากฐานะของผู้เข้า
ร่วม มาเป็นผู้สังเกตการณ์ เมื่อสังเกตดูการสนทนาที่เกิดขึ้นทั่วๆ ไป ของคนทั่วไปในสังคมปัจจุบันนี้ และลอง
ประมวลข้อสรุปออกมาสิว่า มันจะบอกอะไรกับเราบ้าง?
หนึ่ง ในวงสนทนานั้นจริงๆ แล้วไม่ค่อยมีใครฟังใคร ยิง่ ถ้ากินเหล้าคุยกันด้วยแล้ว จะเกิดอาการต่างคน
ต่างพูดเลยด้วยซำ้า และในกรณีที่ยังฟังกันบ้าง การฟังก็เพื่อจะเก็บวลีหรือถ้อยคำาที่เข้าทาง หรือที่สอดคล้องกับ
ความคิดและมุมมองของตน และก็จะสอดแทรกเข้ามาพล่ามเรื่องที่ตนเองอยากจะพูดเลยทีเดียว อันนี้ก็เป็น
เหตุผลนะครับว่า ทำาไมงานสังคมจึงเป็นงานที่น่าเบื่อหน่าย ไม่มีใครเรียนรู้อะไรจากใคร ไม่มีความอิ่มเอมใจอัน
เกิดจากการสนทนาที่แท้จริง อย่างดีที่สุดก็ทำาได้แค่อวดมั่งมีและอวดเก่งเท่านั้น และไม่มีอะไรมากกว่านี้
โบห์มเองก็พูดเรื่อง dialogue ระดับโลกที่องค์กรระดับโลก เช่นสหประชาชาติชอบใช้ โบห์มตั้งข้อ
สังเกตว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ dialogue ในความหมายของโบห์ม หากเป็นการเจรจาต่อรองผลประโยชน์เล็กๆ
น้อยๆ ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โดยที่หลักการ มุมมอง โลกทัศน์ของทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนเรียนรู้
เลย ปัญหาจึงมิอาจแก้ไขได้ เพราะตัวปัญหาหลักคือมุมมองและโลกทัศน์ที่แข็งตัวยังดำารงอยู่อย่างถาวรโดยไม่
แปรเปลี่ยน
เพราะฉะนั้น การสนทนาเพื่อขายความคิดเพื่อให้คนอื่นมาคล้อยตามความคิดของตน จึงไม่ใช่การ
สนทนาแบบโบห์ม การสนทนาแบบโบห์มผู้เข้าร่วมต้องเปิดใจ พร้อมเปลี่ยนมุมมองและสมมติฐานอย่างกล้า
หาญและหฤหรรษ์
การฟังอย่างมีคุณภาพ
การปล่อยให้เสียงและความเป็นตัวตนทั้งหมดของผู้อื่นเข้ามาในตนนั้นก็คือช่วงหลับและตื่นขึ้นเพื่อจะรวบรวม
ประมวล สร้างความหมายให้กับสิ่งที่ฟังเป็นช่วงตื่น ในการฟังจะมีช่วงหลับ-ตื่น นี้สลับกันไปอย่างมีศิลปะ
แต่ในการฟังบ่อยครั้งเราจะหลุดลอยไปในโลกของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งอารมณ์หรือความคิด
ก็ตาม บางทีเครื่องแต่งกายของคู่สนทนาสักชิ้นอาจจะทำาให้เราระลึกถึงความทรงจำาบางอย่าง และเราก็ลอยละ
ล่องไปในความทรงจำานั้น บางทีถ้อยคำาบางคน ทำาให้เราเพลิดไปกับความคิดของเราเองอย่างเป็นคุ้งเป็นแคว
เราจะหลุดออกมาจากโลกของเราเองได้อย่างไร เพื่อยินยอมและซึมซับโลกของผู้อื่นเข้ามา ทั้งเนื้อหา
และรูปลักษณ์ ความคิด อารมณ์ความรู้สึก และความสั่นไหวภายในทั้งมวลของผู้พูด
ด้วยเหตุนี้ การฟังจึงเป็นทั้งศิลปะที่เป็นพื้นฐานและเป็นศิลปะชั้นสูง ที่เราอาจจะต้องฝึกฝนไปตลอด
ชีวิต เมื่อเทียบเคียงกับการปฏิบัติในพุทธศาสนาแล้ว เราจะต้องฝึกสมาธิเพื่อผ่อนคลายความว้าวุ่นของอารมณ์
ต่างๆ ในใจเราให้สงบลง และถ้าฝึกได้ดีจะถึงจุดที่ “ว่าง” จากอารมณ์รบกวนทั้งหลาย และอีกด้านหนึ่งต้องฝึก
ปัญญาคือวิปัสสนาที่เราจะว่างจากความคิดของเราเอง เพื่อรับความคิดของผู้อื่นเข้ามา
ความคิดนั้นไม่ใช่ข้อมูลที่ขาดเป็นห้วงๆ อย่างที่เป็นอิฐก่อสร้างหรือเป็นตัวต่อที่ใช้สำาหรับสร้างอะไร
ต่างๆ ของเด็ก ที่จะเอาไปต่อตรงไหนก็ได้ แต่ความคิดเป็นโครงข่ายที่มีแม่บทหรือกระบวนทัศน์กำากับอยู่ ใน
กระบวนทัศน์หนึ่งๆ ก็จะมีสมมติฐานเป็นตัวรองรับอยู่ ก็ในเมื่อเรายังไม่ได้รู้แจ้งแทงตลอดในสัจธรรมนั้น (ถ้าการ
รู้แจ้งนี้มีจริง) ความคิด ความรู้ ความเข้าใจของเราทั้งหมด ก็ยังตั้งอยู่บนสมมติฐานต่างๆ หรือชุดของสมมติฐาน
แต่โดยอัตโนมัติเรามักจะไปยึดถือเอาว่าสมมติฐานของเราเป็นสัจจะความจริง ถือเอาว่า ชุดของสมมติฐานของ
เราเป็นสามัญสำานึก ที่ทุกคนจะต้องรู้และมันเป็นทั้งฐานของสัจธรรมทั้งมวล นี่แหละคืออุปสรรคตัวสำาคัญของ
การฟัง มันทำาให้เรามืดบอดต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือชุดแห่งสมมติฐานของเรา
ฟังอย่างเป็นกระจกเงา
แก้ปัญหาเมื่อสัมพันธ์กับคนที่มีอารมณ์ลบ
การบริโภคนิยมกับการสนทนา
การสนทนาเชิงวิวัฒน์ในกระบวนทัศน์ใหม่
การสื่อสาร
การสนทนาแบบเดวิด โบห์ม
การสนทนากับสมมติฐาน
คำาว่า Dialogue ซึ่งเป็นคำาที่โบห์มนำามาใช้นั้นมาจากภาษากรีกว่า dialogos ที่ logos แปลว่า “ถ้อยคำา” และ dia
แปลว่าผ่าน ไม่ใช่แปลว่า “สอง” หมายถึงถ้อยคำาหรือความหมายที่ไหลผ่านกลุ่มคนเป็นสายธารแห่งความหมาย
ที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ไม่ใช่ discussion ที่แปลว่าแยกสิ่งต่างๆ ออกมา discussion ก็มักจะ
เป็นการโต้แย้ง เอาชนะคะคานกันมากกว่า หมอประสาน ต่างใจ เคยตีความคำาว่า dia เท่ากับ “ผ่า” หรือ “ฝ่า”
ถ้อยคำา ไปให้พ้นข้อจำากัดของถ้อยคำา อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการจะลงลึกกันขนาดไหน
หนังสือเรื่องวิญญาณวาทที่อาจารย์สุลักษณ์แปลมาจากหนังสือของท่านนัท ฮัน ซึ่งเวลานี้เป็นพระ
อาจารย์เซ็นที่สามารถใช้ภาษาอย่างกวี สื่อสารกับคนทั่วโลกได้มากที่สุด วิญญาณวาทพูดถึงการรับรู้สามแบบ
แบบที่หนึ่งคือการับรู้แบบตัวแทน ดังเช่นตั้งชื่ออะไรขึ้นมา เช่นต้นไม้ ก้อนเมฆ สัตว์ พืช เป็นต้น แบบที่สองคือ
ภาพลักษณ์ ก็คืออะไรที่อธิบายคุณลักษณะของตัวแทนนั้นๆ การรับรู้ทั้งสองแบบแรกเป็นความรู้ แต่ก็เป็นความรู้
อย่างมีข้อจำากัด ประการแรกก็ติดข่ายอยู่ในทัศนะแห่งอัตตา คือมีเรากำาหนดว่าโต๊ะเป็นโต๊ะนั้น เราได้กำาหนดไป
อย่างอัตโนมัติด้วยว่า สิ่งอื่นๆ นอกจากนี้ไม่ใช่โต๊ะ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง สิง่ ที่เป็นโต๊ะกับสิ่งที่ไม่ใช่ก็โยงใยกัน
และสอดแทรกในกันและกัน ซึ่งทัศนะอย่างหลังจึงเป็นการรับรู้แบบที่สาม คือการรับรู้อย่างเป็นเช่นนั้นเอง ที่เรียก
ว่าตถตา ประการที่สอง ภาพลักษณ์ก็เป็นส่วนขยายของอัตตา อธิบายคุณลักษณะของอัตตาในด้านต่างๆ ที่เป็น
ความเป็นจริงอย่างเสี้ยวส่วนที่หยิบฉวยขึ้นมาทึกทักขึ้นมาว่าเป็นคุณลักษณะของสิ่งนั้นๆ เมื่อความเปลี่ยนแปลง
เคลื่อนตัวเข้ามาตามกาลเวลา คุณลักษณะนั้นๆ ก็แปรเปลี่ยนไปด้วย มิอาจจะตั้งมั่นอยู่ได้
การจะเข้าถึงตถตาในสรรพสิ่งได้นั้น เราต้องเอาสติเข้ามากำากับการรับรู้ต่างๆ ในชีวิตประจำาวัน โดย
ตัวอย่างของการเอาสติเข้ากำากับการมอง การฟัง เป็นต้น โดยมองให้ลึกซึ้ง ฟังอย่างลึกซึ้ง แทนที่จะไปยึดติดที่
ความจริงระดับตัวแทนและภาพลักษณ์
โบห์มให้เราตระหนักว่า ความคิดของเราที่เรามักจะคิดว่าเป็นสัจจะนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นแค่สมมติฐาน
เท่านั้น นอกจากนี้เราจึงไปยึดความคิดขึ้นมาเป็นของเรา เป็นตัวเรา คือเป็นตัวกูของกู ที่ท่านพุทธทาสพูดถึงนั้น
เอง เราจึงเห็นว่าคนอื่นเห็นผิดมองผิด การเปิดใจเรียนรู้จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้
โบห์มบอกว่าภาษาและวัฒนธรรมนั้นเข้ามามีส่วนกำาหนดความคิดอ่านของเรามากกว่า ๙๐% เราไม่
ได้มีความคิดอ่านเป็นของตนเองสักเท่าใด แต่กำาหนดโดยสังคมทีก่ ำาเกิดภาษาและวัฒนธรรมมาใช้ร่วมกัน เรามัก
จะคิดว่า สิ่งที่มากับภาษาและวัฒนธรรมนั้นเป็นสัจธรรม อันมั่นคงถาวรไม่มีอะไรจะมาหักล้างได้ ถ้าหากคิดเช่น
นี้ การสนทนาแบบของโบห์มก็เกิดขึ้นไม่ได้
โบห์มบอกว่าในขณะที่เราสนทนานั้น เราควรรู้ว่า ทุกความคิดเป็นเพียงสมมติฐาน ไม่มีอะไรเป็นสัจจะ
อันสมบูรณ์แบบ เมื่อเป็นเช่นนี้ใจจึงเปิดออก ให้สายธารแห่งความหมายไหลเวียนไปได้ อันอาจเกิดการเรียนรู้
ร่วมกันในระหว่างการสนทนา ถ้าโยงวิญญาณวาทของมหายานมาผสมผสานกับ dialogue ของเดวิด โบห์ม เรา
จะเป็นว่าการรับรู้ในระดับตัวแทนและภาพลักษณ์นั้นก็คือการไปยึดติดกับสมมติฐาน มาเหมาเอาว่าเป็นสัจธรรม
ถ้ามองให้ทะลุลงไปถึงตถตาคือความเป็นเช่นนั้นเอง เราก็จะรู้เท่าทันว่าสมมติฐานก็คือสมมติฐาน หากความเป็น
จริงจะอยู่ลึกลงไปกว่าสมมติฐานที่ปรากฏ การสนทนาแบบโบห์มจึงเปิดโอกาสให้เรามองเห็นความเป็นจริงมาก
ขึ้น โดยเปิดโอกาสให้เราสัมผัสกับตถาตามากยิ่งขึ้น
องค์ประกอบสำาคัญของการสนทนาแบบโบห์ม
ธรรมชาติของความคิดที่เป็นสมบัติร่วม
คุ ณ ภ า พ ชี วิ ต กั บ ก า ร ส น ท น า
คนที่เอาจริงเอาจังกับชีวิตมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม ก็ย่อมจะทราบว่า การกระทำาหนึ่งๆ ที่จะให้ออกมาดีนั้น
ต้องเตรียมการมากน้อยเพียงใด เราจะจินตนาการถึงภาพนำ้าแข็งลอยนำ้า ที่ส่วนโผล่ปรากฎเป็นเพียงเศษหนึ่ง
ส่วนสิบหรือเศษหนึ่งส่วนสิบเอ็ดของส่วนที่จมอยู่ใต้นำ้าเท่านั้น สิ่งที่พูดไปในเรื่องของการสนทนาในภาคที่หนึ่ง
และสอง ก็จะทำาให้เกิดขึ้นได้ เราต้องตระเตรียมคุณภาพชีวิตอันเป็นบาทฐานที่สำาคัญพร้อมกันไป และสัดส่วนก็
คงเป็นสิบส่วนต่อผลได้ที่จะเอื้อให้ศิลปะแห่งการสนทนาเพียงส่วนเดียวแต่นั่นอาจจะหมายถึงว่า คนที่ก้าวมา
หยิบจับหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน บาที อาจจะได้พัฒนาคุณภาพชีวิต อันมีสว่ นช่วยสนับสนุนศิลปะแห่งการ
สนทนานี้ไปได้ไกลลิบแล้วก็เป็นได้
ในที่นี้คงไม่ได้ลงลึกไปในการพัฒนาคุณภาพชีวิตไปเสียเลยทีเดียว แต่ก็จะแตะเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้อง
กัน โดยจะลงลึกพอสมควรที่จะให้แผนที่โดยสังเขปว่าอะไรจะเข้ามาเป็นตัวเอื้อบ้าง? อย่างไร?
และในทางกลับกัน เราจะเห็นได้ด้วยว่าการสนทนาก็จะย้อนกลับมาเป็นเครื่องมือสำาคัญในขบวนการ
เรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง!