Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 5

นับแต่นี้ไป ไม่เหมือนเดิม

ป้าทองไม่ได้สวมเสื้อแดง แกเป็นแค่ชาวบ้านสันคะยอม เรียนหนังสือจบชั้นประถมฯ หรือ


เปล่า ไม่แน่ใจ อาชีพของแกคือเป็น “แม่บ้าน” แม่บ้านที่ไม่ได้แปลว่า “เมีย” เพราะผัวแก
ตายไปนานแล้ว แม่บ้านในที่นี้ ภาษาละครหลังข่าวเขาเรียกกันว่า “คนใช้” ป้าทองจะ
เป็นอะไรก็ช่าง ฉันรู้แต่ว่า แกเป็นคนบ้านเดียวกับฉัน วันหนึ่ง แกมาซื้อเนื้อหมูที่บ้าน ฉันก็
หยั่งเสียงเกี่ยวกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง และเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นระหว่าง
สงกรานต์ในขณะที่พวกเรากําลังยุ่งอยู่กับการแกงฮังเลไปวัด
“คนเขาไปเดินขบวนไล่รัฐบาลกัน ป้าทองว่ายังไง”
“อู๊ยย บ้านเมืองวุ่นวาย ร้อนร้าย ถ้าป้าทองเป็นรัฐบาลจะลาออก รู้ทั้งรู้ว่าประชาชนไม่ได้
เลือกตัวเองมาเป็นรัฐบาล ยังจะหน้าด้านอยู่ได้ เออ ถ้ายุบสภา เลือกตั้งใหม่ พรรค
ประชาธิปัตย์ชนะ ป้าไม่ว่าซ้ากคํา จะยอมรับเสียงที่คนเขาเลือกแต่โดยดี แต่นี่อะไรไม่รู้ๆ
อยู่ๆก็ขึ้นมาเป็นรัฐบาล สมควรแล้วที่จะต้องโดนประชาชนไล่ จริงไหม?” ป้าตอบยืดยาว
สมฉายา ป้าทองโว – โว แปลว่า คุยโวโอ้อวดนั่นเอง

ฉันยอมรับว่า อึ้งกับคําตอบของป้าทอง ป้าไม่ได้เรียนหนังสือมาก ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์


ป้าดูข่าวและติดละครของแพนเค้กเหมือนชาวบ้านอีกทั้งประเทศไทย ป้าไม่ได้เอ่ยคําว่า
ประชาธิปไตย แต่ป้าช่างอธิบายมันออกมาชัดเจนแจ่มกระจ่าง

ความจําของป้าไม่สั้นอย่างใครอีกหลายคน ป้ายังจําได้ว่า การเลือกตั้งครั้งล่าสุด หลัง


จากรัฐบาลของ คมช. พรรคที่ได้เสียงข้างมากคือพรรค เพื่อไทย และหัวหน้าพรรค คือ
สมัคร สุนทรเวช ที่เป็นหัวหน้าพรรค ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เหตุการณ์หลังจากนั้นป้า
เข้าใจไม่ได้ ทําไม นายกฯ ที่มาจากพรรค ที่ครองเสียงข้างมากถึงถูกถีบออกไปจากเวที
การเมืองไทยในเวลาอันสั้น? ทําไมพันธมิตรถึงสามารถชุมนุมยืดเยื้อได้นานหลายเดือน
โดยไม่มีใครกล้าทําอะไร? ทําไมคนพวกนั้นถึงเข้าไปร้องรําทําเพลงในทําเนียบได้ น๊าน
นานแถมยังมีใครไม่รู้อุตริไปจัดงานแต่งงานเป็นที่ครื้นเครง? ทําไมแก็สน้ําตาทําให้มีคน
แขน ขาขาดต่อให้มีหมออกมาบอกว่ามันเป็นแก็สน้ําตาจากเมืองจีน ป้าทองสงสัยตาม
ประสาชาวบ้านว่าถ้ารู้ว่าของจีนมันไม่ดีจะซื้อมาใช้ตั้งแรกทําไมเล่า?

งงยิ่งกว่านั้น กลุ่มพันธมิตรไปยึดสนามบินตั้งหลายวัน ผู้คนเดือดร้อนมหาศาล เศรษฐกิจ


ของชาติยับเยิน แต่คนที่เสียง “ดัง” ในสังคมนี้กลับยกย่องคนยึดสนามบินว่าเป็นพวกกู้
ชาติ กู้ประชาธิปไตย คนใหญ่คนโตพากันไปงานศพของหนึ่งในผู้ชุมนุมของพันธมิตร
แกนนํากลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีใครโดนจับดําเนินคดี น่าเจ็บใจกว่านั้น คนบางคนที่ชื่นชมม็อบ
พันธมิตรออกนอกหน้า ยังได้เป็น รัฐมนตรี ไม่ใช่กระทรวงขี้หมูขี้หมา เป็นกระทรวงต่าง
ประเทศเสียด้วย

ป้าทองไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์หรอก และไม่รู้ด้วยว่า ฉายาของรัฐบาลนี้คือ


“เทพประทาน” ป้าทองแค่ไม่เข้าใจว่า ทําไมเสียงโหวตของประชาชนจึงไม่ได้รับการ
เคารพ? ป้าทองไม่เข้าใจหรอกว่า “มือที่มองไม่เห็น” แปลว่าอะไร และเป็นใคร ป้าทอง
แค่เข้าใจตามประสาป้าทองว่า เรามีการเลือกตั้งและเราควรจะยอมรับผลการเลือกตั้งนั้น
แม้มันจะไม่ถูกใจเรา จบ
ฉันอึ้งกับคําตอบของป้าทอง เพราะมันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สังคมไทยไม่เหมือน
เดิม และไม่มีวันจะเหมือนอีกต่อไปแล้ว ไม่มีครั้งไหนในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่
ชาวบ้านธรรมดาๆ อย่างป้าทองจะตระหนักในความหมายของ เสียง 1 เสียงที่ตัวเองกาก
บาดลงไปในบัตรลงคะแนน ไม่ว่าสื่อมวลชน คนชั้นกลาง คนมีการศึกษา ที่คิดว่าตัวเอง
เป็นสัตว์ประเสริฐเหนือชาวบ้านร้านช่อง จะเฝ้าเรียกคนที่ออกมาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อ
แดงว่า เป็นผู้หลงผิด เป็นสาวกทักษิณ เป็นพวกขายสิทธิ ขายเสียง และยังไม่รู้เท่าทันเล่ห์
กลของนักการเมือง

หนังสือพิมพ์บางเล่มยิ่งอาการหนัก เพราะเรียกผู้ชุมนุมสีแดงว่า “หางแดง” หรือ “แดง


ประจําเดือน” สะท้อนและส่อให้เห็นถึงวุฒิภาวะ และรสนิยมของหนังสือพิมพ์เล่มนั้นได้ดี
นักวิชาการกลุ่มที่ไปสังวาสเสพสุขกับสื่อชนิดนี้ คงหมดแล้วซึ่งสามัญสํานึกแห่งผิด ชอบ
ชั่ว ดี โดยสิ้นเชิง

มีคนพูดกันมากเรื่อง 2 มาตรฐาน ความแตกต่างระหว่างม็อบมีเส้นกับม็อบไม่มีเส้น มีคน


หลายคนบอกว่า ม็อบเสื้อแดงกําลังรุกเร้าให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง ทั้งการเผา
รถเมล์ การเอารถแก็สมาขู่ การปะทะกันตรงนั้นตรงนี้ระหว่างคนหลายกลุ่มหลายฝ่าย
และความตึงเครียดที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 เมษายนที่ผ่านมา แต่ฉันอยากจะทบทวน
อีกสักนิดว่าก่อนที่จะเกิดการจราจลและกีฬาสงครามสี แดง –เหลือง – น้ําเงิน นั้นมันเกิด
อะไรขึ้น

จะปฏิเสธได้ไหมว่า หากไม่มีการรัฐประหารปี 49 จะไม่มีสงครามสีในวันนี?้ และใคร


ก็ตามที่อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติควรสําเหนียกว่า ประเทศไทย ณ พ.ศ. นี้ไม่เหมือน
ประเทศไทยสมัยปี 2500 อีกต่อไปแล้ว คนไทย ชาวนา ชาวไร่ กรรมกรไทย ไม่ใช่ราษฎร
โง่ๆ เซื่องๆ แบบตัวละครในเรื่องสั้น “เขียดขาคํา” ของ ลาว คําหอม อีกต่อไป ชาวบ้าน
ไม่ได้เห็นนายอําเภอแล้วรีบก้มลงไปกราบอีกแล้ว เราไม่ได้อยู่ในยุคที่ขึ้นไปบนที่ว่าการ
อําเภอแล้วขาสั่นผั่บๆ เพราะกลัวเจ้ากลัวนาย เราไม่ได้อยู่ในยุคที่เรียกข้าราชการว่า
“เจ้าคนนายคน” เราอยู่ในยุคที่ นายกเทศบาลตําบลนั้นเป็นลูกของลุงศรีทน ที่มีที่นาอยู่
ติดกับนาของเราแถมยังฟ้อนผีมดร่วมกันทุกปี นายก อบต. ก็เป็นลูก เป็นหลาน ของคน
บ้านนี้ เราอยู่ในยุคที่ไม่ได้ตื่นเต้นกับการไปดําหัวผู้ว่าฯ ที่ขอโทษ เดี๋ยวนี้แทบไม่รู้ว่าชื่อ
อะไร เพราะมันช่างเป็นตําแหน่งที่ไร้ความหมาย หลังการการะจายอํานาจลงสู่ท้องถิ่น
เป็นไปอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

คําว่า “สถานที่ราชการ” ที่เคยทรงอํานาจขู่ให้ประชาชนต้องเดินตัวลีบๆ บางทีถึงขั้นถอด


รองเท้านั้นเกือบจะมีความหมายเท่ากับศาลพระภูมิ ในสมัยที่ชาวบ้านไทยเปลี่ยนแปลง
ไปมากในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีของการสื่อสาร วิทยุชุมชน การทํางานภาค
ประชาชนของ NGOs ที่ดําเนินมายาวนานนั้น เราต้องยอมรับว่ามีส่วนสําคัญในการ
เปลี่ยนแปลงจิตสํานึกของประชาชนคนเดินดินที่ไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นประชาชน มีสิทธิ
มีเสียง มีอํานาจในการกําหนดชะตากรรมของตนเองผ่านสิ่งที่เรียกว่านโยบายของ
รัฐบาล ชาวบ้านได้เรียนรู้ว่าหากเราไม่พอใจการตัดสินใจของรัฐบาล เราสามารถ เรียก
ร้อง ต่อรอง ทําการณรงค์กับประชาชนกลุ่มอื่นๆ เพื่อหาแนวร่วม หรือเพื่อประชาสัมพันธ์
ให้ข้อมูล ข่าวสารที่แตกต่างออกไปจากข้อมูลโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาล

สังคมไทยมีคนอย่าง ยายไฮ เกิดขึ้น มีสมัชชาคนจน มีสหภาพแรงงานที่กําลังตื่นตัว มี


กลุ่มพิทักษ์ผลประโยชน์ของผู้บริโภคที่แข็งขัน เรามีคนไข้ที่ลุกขึ้นฟ้องร้องหมอ ( 50 ปีที่
แล้วเรายังเห็นหมอเป็นเทวดาและพูดแต่ภาษเทพที่คนธรรมดาไม่เคยฟังรู้เรื่องอยู่เลย))
เรามี “กลุ่ม” องค์การนอกรัฐที่เกิดขึ้นมาเพื่อยืนยัน สิทธิ ศักดิ์ศรีของประชาชนคนไทย ที่
รัฐ หรือ หน่วยราชการไม่เคย “อ่าน” เขาว่าเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีและสิทธิแห่งความเป็น
มนุษย์เท่ากับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ เครือข่ายของหญิงบริการ เครือ
ข่ายของเกย์และเลสเบี้ยน เครือข่ายสลัม เครือข่ายคนไร้บ้าน เครือข่ายผู้ชายบริการ
ฯลฯ

ลองคิดดูก็แล้วกันว่า สังคมไทยเราได้เดินมาไกล ไกลจนถึงจุดที่ทั้งกะหรี่ทั้งกะเทยออก


มาเป็นแอคทิวิสต์ เดินสายประชุมกับเฟมินิสต์ นักวิชาการ และเพื่อนนักกิจกกรมจากทั่ว
โลกเพื่อยืนยันศักดิ์ศรีแห่งอาชีพของตน แล้วใครหน้าไหน ยังจะคิดว่า จะลุกขึ้นมาทํา
รัฐประหารได้ง่ายดายเหมือนอย่างในยุคของสฤษดิ์ แล้วใครอย่ามาคิดว่าจะลุกขึ้นมา
exercise อํานาจอย่างเดียวกับที่สฤษดิ์เคยทํากับคนไทยสมัยนั้น ร้ายไปกว่านั้น ในยุค
แห่งการรื้อสร้างและเสียดสี การรณรงค์ และโฆษณาชวนเชื่อในกฤษฏาภินิหารต่างๆนาๆ
เพื่อให้ประชาชนสมยอมต่อํานาจนั้นทําได้ยากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากจะไม่ “ชวน
เชื่อ” แล้วยังน่าหัวเราะเยาะและรังแต่จะถูกนํามาล้อเลียนให้เสียผู้เสียคนกันไปข้าง

เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีอยู่แค่การ คลิก คลิก คลิก โทรศัพท์มือถือของนาย ก. นางข.


ที่ไหนก็ถ่ายรูปได้ สื่อของรัฐแสดงรูปรูปหนึ่ง ประชาชนก็สามารถนํารูปอีกรูปหนึ่งมา
แสดงทาบกัน คัดง้างควาหมาย ความเชื่อกันได้อย่างทันท่วงที เพราะฉะนั้นการผูกขาด
ข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นแค่ฝันเปียกของรัฐบาล ICT ทําได้แค่วิ่งไปปิดเวบนั้น เวบนี้ไปวันๆ
ทว่ายิ่งปิดกัน ยิ่งกักกัน ประชาชนก็ยิ่งหลีกเร้น แหวกทางหาช่องทางใหม่ ภาษาใหม่
ถ้อยคํา สัญลักษณ์ใหม่ๆที่รัฐไม่มีวันจะตามไปปิดหูปิดตาได้มิดชิดอีกต่อปี ยิ่งปิด เรายิ่ง
สามารถคิดค้นทางทางหนีได้แยบยลขึ้น ภาษาที่เราใช้ยิ่งจะถูกพัฒนาให้ซับซ้อนซ่อนกล
เสียจนรัฐได้แต่ทําตาปริบๆ คําสามัญอย่าง “ซาบซึ้ง” กลับซ่อนนัยชวนหัวมีพลังถึงขั้น
พลิกขั้วของโลกให้กลับตาลปัตรได้

เพราะฉะนั้นที่วิ่งไล่ปิดวิทยุชุมชนจนหัวสั่นหัวคลอนนั้นอย่าหวังว่าจะสามารถผูกขาด
ข่าวสารข้อมูลได้ง่ายดายและจะเอาประชาชนมาใส่ขื่อใสคาได้ตามใจชอบ เพราะยิ่งปิดก็
จะยิ่งมีช่องทางใหม่ๆที่นึกไม่ถึงมาทดแทน

นี่จึงเป็นที่มาของกระบวนการต่อต้านรัฐประหาร หลังจากนั้น ที่ดําเนินมาอย่างเป็น


อารยะ นั่นคือ ไม่มีการออกมาชุมนุม หรือใช้ความรุนแรงใดๆนอกจากพยายามรณรงค์
ด้วยข้อมูล เท่าที่จะทําได้ ส่วนชาวบ้านอย่างป้าทอง เชื่อว่า เมื่อมากรคืนอํานาจให้กับ
ประชาชนด้วยการเลือกตั้ง ทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ที่ไหนได้ กลับกลายเป็นมี
การใช้สถาบันตุลาการอย่างตั้งใจที่ตัดตอนพรรคไทยรักไทย สุดท้ายเมื่อผลการเลือกตั้ง
ออกมา กลับมีความพยายามที่จะใช้วิธีนอกกฏหมายในการกําจัดพรรคเพื่อไทย และ
รัฐบาลที่ประชาชนเลือกเข้ามาอย่างกดดันและต่อเนื่องผ่านพันธมิตรใส่เสื้อสีเหลือง

มาถึงวันนี้ฉันคงไม่ต้องอ้อมค้อม เด็กมัธยมฯยังรู้เลยว่า นี่ไม่ใช่ การเมืองภาคประชาชน


แต่เป็นการ exploit การเมืองภาคประชาชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด corrupt ที่สุด หน้าด้านและ
ดัดจริตที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย วาทกรรมว่าด้วยประชาธิปไตยแบบไทยๆ
บวกกับ มายาคติว่าด้วยนักการเมืองชั่วช้าสามานย์ เข้ามาเพื่อกอบโกย มือสกปรก
โกงกิน ถูกนําเสนออย่างต่อเนื่อง พร้อมกับกระแสการเรียร้องหาผู้ปกครองในอุดมคติ
ปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อน การเมืองโปร่งแสง โปร่งใส good governance ศีลธรรม
คุณธรรม คุณสมบัติแห่งความเป็นผู้ดี ไปจนถึงเกมการช่วงชิงความจงรักภักดีก็ถูกนํามา
ใช้อย่างเข้มข้น

ถึงตอนนี้คําว่า “ประชาธิปไตย” ไม่สําคัญเท่ากับต้อง “ฆ่า” ทักษิณจากการจักรวาล


การเมืองไทย ไม่มีประชาธิปไตยไม่เป็นไร ขอเอาทักษิณออกไปให้ได้ก่อน ความผิด และ
ความไม่ชอบธรรมของทักษิณและพวก ไม่ได้ถูกนํามาพิจารณา ไต่สวนกันด้วยเหตุผล แต่
ข้อเท็จจริงเหล่านั้นถูกนํามาใช้เพื่อปลุกเร้าความเกลียดชัง และ simplified ปัญหาของ
ประเทศทั้งประเทศไปไว้ที่ผู้ชายที่ชื่อทักษิณ ราวกับว่า หากไม่มีทักษิณเสียคน
ประเทศไทยจะเรืองรองผ่องอําไฟ ผุดผ่อง งดงาม ขึ้นมาในบัดดล

เมื่อดึงดันถีบส่งและฆ่าทิ้งรัฐบาลที่ประชาชนเลือกเข้ามาอย่างหน้าด้าน และอีกพรรค
หนึ่งก็หน้าด้านพอที่จะขึ้นมาเป็นรัฐบาล คุณอภิสิทธิ์ก็หน้าด้านขึ้นมาเป็นนายกฯ
ท่ามกลาง question mark(s) จากทั่วโลก (ฉันอายแทนมั่กๆ) และในที่สุด ประชาชนก็ไม่
อาจจะนิ่งเฉยอยู่ได้ กลุ่มคนเสื้อแดงลุกขึ้นมาชุมนุมเพื่อทวงถามความชอบธรรม ความ
ยุติธรรม และความหมายของประชาธิปไตย ในขณะที่ก่อนหน้านี้กลุ่มพันธมิตรทําในสิ่ง
ตรงกันข้ามนั่นคือ ไล่รัฐบาลที่มาจากกระบวนการประชาธิปไตย!

นี่คือสัญญาณที่บอกชนชั้นนําไทยว่า การเมืองไทยจะไม่เหมือนเดิม “คนไทย” ได้เปลี่ยน


ไปแล้ว สํานึกทางการเมืองของพวกเราเปลี่ยนไปมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ชนชั้นนําไม่
อาจ manipulate ชี้นํา และสนตะพายเราด้วยคําพูดเพราะๆ หน้าหล่อๆ ยิ้มหวานๆ
พิธีกรรมสารพัดพิธี อย่างที่เคยทําได้อีกต่อไปแล้ว

ประชาชนไทยเปลี่ยนไปแล้ว มีแต่ชนชั้นนําไทยที่ไม่รู้ตัว และเฝ้าหลอกตัวเองว่า ทุกอย่าง


ยังเหมือนเดิม และจะต้องเหมือนเดิมตลอดไป

You might also like