Professional Documents
Culture Documents
Technic Hypothesis
Technic Hypothesis
เทคนิคการเขียนขอบเขตของการวิจัย
1.1 หลักการเขียนขอบเขตของการวิจัย
การวิจยั แตละเรื่องมีขอบเขตมากนอยเพียงใดขึ้นอยูก ับงบประมาณและระยะเวลาที่จะ
ทําการวิจยั การกําหนดขอบเขตของการวิจยั จะชวยใหผวู จิ ัยวางแผนการเก็บขอมูลไดครอบคลุมและ
ตรงกับความมุง หมายของการวิจัยที่ตั้งไว
ขอบเขตของการวิจัยที่สําคัญที่ผูวจิ ัยตองกําหนด มีดังนี้
1. ลักษณะประชากรและจํานวนประชากร (ถาหาได)
2. การเลือกกลุมตัวอยาง ขนาดของกลุมตัวอยาง และวิธีเลือกกลุมตัวอยาง
3. ตัวแปรที่ศึกษา โดยระบุทั้งตัวแปรตาม และตัวแปรอิสระ
การกําหนดขอบเขตของการวิจัยนั้นใหคํานึงถึงความมุง หมายของการวิจัยเปนสําคัญ
แนวคิด
จากขอบเขตของการวิจัยดังกลาว แสดงวา
1. เขียนครบถวนทั้ง 3 หัวขอตามหลักการกําหนดขอบเขตของการวิจัย
2. แตละหัวขอ มีรายละเอียดครบถวนและชัดเจน
2. เทคนิคการเขียนนิยามศัพทเฉพาะ
2.1 หลักการเขียนนิยามศัพทเฉพาะ
การใหนิยามศัพทเฉพาะเปนการใหความหมายของคําที่มีความสําคัญในการวิจัยเรื่อง
นั้น โดยเฉพาะอยางยิ่งคําที่เปนตัวแปรตามที่เปนนามธรรม เชน ตัวแปร แรงจูงใจใฝสัมฤทธิ์ เชาว
ปญญาทางอารมณ ความพึงพอใจในการบริการ เจตคติตอสินคา เปนตน ซึ่งจะตองนิยามโดยอาศัย
ทฤษฎี หลักการ แนวคิดจากผูรู ตลอดจนงานวิจัยที่เกี่ยวของ ซึ่งจะตองนิยามใหอยูในรูปของนิยาม
ปฏิบัติการ จึงจะสามารถสรางเครื่องมือวิจัยที่มีคุณภาพดานความเที่ยงตรง
นิยามปฏิบัติการ (Operational Definition) เรียกสั้นๆ วา O.D. คือการใหความหมาย
ตัวแปรที่สําคัญ โดยเฉพาะตัวแปรตาม (Dependent Variable) ที่ตองการศึกษา หรือตัวแปรอิสระที่มี
ลักษณะเปนนามธรรม ซึ่งจะตองนิยามใหเปนคุณลักษณะพฤติกรรม และหรือกิจกรรมที่จะศึกษา ให
อยูในรูปที่วัดได สังเกตได ซึ่งจะเปนประโยชนตอการสรางเครื่องมือวิจัยใหมีความเที่ยงตรง (Validity)
2.2 ประเภทของการเขียนนิยามศัพทเฉพาะ
นอกจากนี้การนิยามศัพทเฉพาะก็เพื่อใหผูอานงานวิจัยมีความเขาใจในตัวแปรที่ศึกษา
และมีความเขาใจตรงกันกับผูวิจัย และเปนการชวยใหการเขียนเคาโครงการวิจัยรัดกุมขึ้น
1. คํานิยามศัพทเฉพาะ ในการวิจัยทั่ว ๆ ไปมักจะตองใหความหมายของคําบางคําที่
ใชในรายงานการวิจัยใหเฉพาะเจาะจงในประเด็นที่เกี่ยวของกับการวิจัย เพื่อใหผูวิจัยและผูอานมีความ
เขาใจตรงกัน ดังนั้นนักวิจัยจะทําการวิจัยเรื่องใดจะตองนิยามศัพทเฉพาะแตละตัวใหชัดเจนกอน ซึ่งจะ
ชวยใหงานวิจัยอยูในกรอบมากยิ่งขึ้นอีกดวย
สําหรับคําที่ควรใหนิยามนั้นอาจะเปนคํายอ ๆ หรือคําสั้น ๆ ที่ใชแทนขอความยาว ๆ
เพราะถาเขียนขอความยาว ๆ ซ้ํากันบอย ๆ จะทําใหเสียเวลาในการเขียน ผูเขียนจึงกําหนดเปนคํายอหรือ
คําสั้น ๆ แทน ซึ่งคําเหลานี้จะตองใหนิยามศัพทเฉพาะดวย เพื่อใหผูอานเขาใจตรงกับผู วิจัยวาคํานั้น ๆ
หมายถึงอะไร เชน
การกาวราว หมายถึง การกระทําที่รุนแรงผิดไปจากปกติ เปนการกระทําที่ทําใหผูอื่น
เจ็บปวด เสียหาย หรือมุงทํารายผูอื้น ทั้งมีเจตคติและไมมีเจตคติโดยตรง
เกษตรกร หมายถึง ผูที่ประกอบอาชีพในการทํานา ทําไร ทําสวน หรือเลี้ยงสัตว ในป
พ.ศ.2544
สําหรั บคํ าที่มีค วามหมายเฉพาะเจาะจงในการวิจัย ซึ่งอาจมีความหมายไมใ ช
ความหมาย ทั่ว ๆ ไป ผูวิจัยจะตองใหคํานิยามคําเหลานี้ดวย เพื่อไมใหผูอานเขาใจไปเปนอยางอื่น เชน
โฮสต (Host) หมายถึง คนหรือสัตวที่มีปรสิตอาศัยอยู
ครูบริหาร หมายถึง ครูใหญ ผูชวยครูใหญ และครูหวั หนาหมวดวิชา
4
3. เทคนิคการกําหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย
3.1 หลักการกําหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย
เปนการนําเสนอแนวคิดและทฤษฎีที่ผูวิจัยใชเปนหลักของการอางอิงงานวิจัยของตน
โดยตองเขียนขออางอิงใหชัดเจนวาไดแนวคิดเหลานั้นจากใคร นํามาใชอยางไร โดยตองมีการบูรณาการ
ความคิดที่ไดมาอยางหลากหลาย และเชื่อมโยงระหวางแนวคิดทฤษฎีหลักกับประเด็นงานวิจัยของผูวิจัย
ใหผูอานไดเห็นความเชื่อมโยงอยางชัดเจน
กรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual framework) ในการวิจัยทางสังคมศาสตร
หมายถึง แนวความคิดของผูวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธระหวางตัวแปรตางๆ มักแสดงดวยแผนภูมิ โดย
เปนแผนภูมิที่แสดงความสัมพันธระหวางตัวแปร หรือความเกี่ยวของสัมพันธระหวางประเด็นสําคัญที่
นักวิจัยตองการศึกษา และเชื่อมโยงความสัมพันธดวยลูกศร แผนภูมิดังกลาวจะมีลักษณะแตกตางกันไป
ตามแบบแผนการวิจัยที่ผูวิจัยใชตอบคําถามวิจัย
กรอบแนวคิดในการวิจัย ไดมาจากผลงานวิจัยที่เกี่ยวของและทฤษฎีตางๆที่เกี่ยวของ
ประกอบกับแนวความคิดของผูวิจัยเองหลังจากทบทวนผลงานวิจัยและทฤษฎีตางๆที่เกี่ยวของแลว
3.2 ลักษณะการเขียนกรอบแนวคิดในการวิจัย มีได 2 ลักษณะ
ลักษณะที่ 1 เขียนบรรยายเชื่อมโยงระหวางแนวคิด ทฤษฎีหลัก และประเด็นงานวิจัย
ของผูวิจัยแลวสรุปเปนแผนภูมิ ดังตัวอยางแผนภูมิ 1
6
ลักษณะที่ 2 เปนแผนภูมิแสดงความสัมพันธระหวางตัวแปรอิสระหรือตัวแปรตน
(Independent variable) และตัวแปรตาม (dependent variable) ดังแผนภูมิในตัวอยางที่ 3.3.1
ตอไปนี้เปนตัวอยางการกําหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย ของการวิจัยศึกษาตัวแปร
สภาพแวดลอมในครอบครัว ลักษณะของครู และลักษณะของนักเรียนที่สงผลตอความสามารถในการ
คิดอยางมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 จังหวัดนครพนม (ครองสิน มิตะทัง. 2548 : 6-8)
กรอบแนวคิดในการวิจัย
สภาพแวดล อ มในครอบครั ว ที่ พ อ แม ส ร า งขึ้ น มี ส ว นในการส ง เสริ ม การเรี ย นของเด็ ก
ครอบครัวที่มีความอบอุน พอแมแสดงออกถึงความรักใครและมีความมั่นคงทางอารมณจะมีผลตอ
แรงจูงใจในการเรียนของเด็ก (Cronbach.1977: 205, พรรณี ชูชัย. 2522 : 229 ) ความเอาใจใสและความ
รักที่พอแมมีตอเด็กนั้นจะเกี่ยวของกับความรูสึกพึงพอใจและความสําเร็จดานการเรียน (Gage and
Berliner. 1979 : 121) สิ่งใดก็ตามที่ผูใหญแสดงปฏิกิริยาตอเด็กในครอบครัวจะเปนตัวกําหนดที่สําคัญ
ของลักษณะนิสัยตางๆ ของเด็กมากกวาสถานภาพดานอื่นๆ (Bloom. 1976 : 2) และการสงเสริมปญญา
ภายในครอบครัวมีความสัมพันธกันสูงกับสติปญญาและผลการเรียนของเด็ก (Lindgren. 1980 : 151)
ความสามารถทางการเรียนและผลสัมฤทธิ์ยังมีความสัมพันธกับลักษณะทางจิตวิทยาและการกระตุน
สงเสริมทางปญญาภายในบาน (Iverson and Walberg. 1982 : 144-151)
จากการศึกษาพบวาครูเปนผูชวยชี้ชองทางใหเด็กรูจักวางเปาหมาย โดยการกระตุนให
กําลังใจ (พรรณี ชูทัย. 2522 : 230) ซึ่งรูปแบบการสอนหรือวิธี การสอนมี ผลตอการคิดอยางมี
วิจารณญาณ การเสริมแรงและการมีสวนรวมมีความสัมพันธกับผลการเรียนรูของผูเรียน (West. 1994 :
55 – A , bloom. 1976 : 118,128, Mccrink. 1999 : 3420-A) นอกจากนี้การรับรูความสามารถยัง
กอใหเกิดแรงจูงใจ และความพยายามมุมานะสําหรับงานใหมตอไป (Bloom. 1976 : 27,95) และผูที่มี
ความเชื่ออํานาจภายในตัวยังเปนผูที่มีการตัดสินใจ มั่นคงและเด็ดเดี่ยวทํางานโดยเห็นคุณคาและความ
พยายามของตน (Strickland. 1997 : 233 - 243) และความเชื่ออํานาจภายในตนเองยังมีความสัมพันธ
ทางบวกกับความสามารถในการคิดอยางมีวิจารณญาณ (Mara. 1997 : 1215-A) สําหรับการเรียนรูที่มี
ประสิทธิภาพเพื่อพัฒนาการคิดอยางมีวิจารณญาณนั้นเกิดจากแรงจูงใจภายใน (อุษณีย อนุรุทธิ์วงศ.
(โพธิสุข). 2545 : (3) – (4 )) นอกจากแรงจูงใจภายในแลว นิสัยในการเรียนยังเปนคุณลักษณะสําคัญที่มี
อิทธิพลตอการคิดอยางมีวิจารณญาณ (เกรียงศักดิ์ เจริญวงศศักดิ์. 2545 : 139 , 154,163 - 164) และใน
การเรียนเพื่อประสบผลสําเร็จนั้นจะตองใชความสามารถในการคิดเชิงเหตุผล และการใชความคิดไตร
ตรองในงานที่ทําและการคิดอยางมีวิจารณญาณนั้นเปนการคิดโดยใชเหตุผล ซึ่งการมีเหตุผลที่ดีนั้นเปน
คุณคาแหงความเปนมนุษยที่สมบูรณ (พุทธทาส ภิกขุ. 2517 : 41-42)
ผลจากการศึกษาเอกสาร งานวิจัย และแนวคิดของนักศึกษา นักการศึกษาและผูที่เกี่ยวของ
กับการศึกษาหลายทาน พบวา ตัวแปรที่สําคัญที่สงผลตอความสามารถในการคิดอยางมีวิจารณญาณ (Y)
7
การสนับสนุนทางวิชาการ ความสามารถในการคิด
จากผูปกครอง (X2) แรงจูงใจภายใน (X5) อยางมีวิจารณญาณ (Y)
คุณภาพของการสอน
ความเชื่ออํานาจ
ของครู(X3)
ภายในใจตน (X4)
แผนภูมิ 1 รูปแบบสมมติฐานการวิเคราะหความสัมพันธเชิงสาเหตุ (Causal Model) ของตัวแปร
ที่สงผลตอความสามารถในการคิดอยางมีวจิ ารณญาณ
3.3 ความเกี่ยวกับของระหวางกรอบแนวคิดในการทําการวิจัยและการตั้งสมมติฐาน
กรอบแนวคิดในการวิจยั จะมีลกั ษณะแตกตางกันไปตามแบบแผนการวิจัยทีผ่ วู ิจัยใช
ตอบคําถามวิจยั และนําไปสูก ารตั้งสมมติฐานของการวิจยั ดังตัวอยางที่ 3.3.1 – 3.3.3
ตัวอยางที่ 1 แบบเปรียบเทียบ
ตัวแปรอิสระ
คานิยมสรางสรรค ประกอบดวย 5 ดานดังนี้
1. เพศ
1. กลายืนหยัดทําในสิ่งที่ถกู ตอง
2. วุฒิการศึกษา
2. ซื้อสัตยและมีความรับผิดชอบ
3. ระดับตําแหนง
3. โปรงใส ตรวจสอบได
4. ลักษณะงานทีป่ ฏิบัติ
4. ไมเลือกปฏิบตั ิ
5. มุงผลสัมฤทธิข์ องงาน
แผนภูมิที่ 2 กรอบแนวคิดในการวิจัยสําหรับงานวิจัยแบบเปรียบเทียบ
8
กรอบแนวคิดในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ
การอบรมเลี้ยงดูแบบประชาธิปไตย
พฤติกรรมแสดงตัว - เก็บตัว
ตัวแปรตาม
ลักษณะความเปนชาย ความคิดแนวขาง
ลักษณะความเปนหญิง
อารมณขัน
แผนภูมิ 3 กรอบแนวคิดในการวิจัยสําหรับงานวิจัยแบบความสัมพันธเชิงสาเหตุ
ที่ใชสถิติการวิเคราะหการถดถอยพหุคูณ
9
กรอบแนวคิดในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ
รายได +b 1
ตัวแปรตาม
+b 2
การศึกษา การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
-b 3
อาชีพเกษตร
แผนภูมิ 4 กรอบแนวคิดในการวิจัยแบบความสัมพันธเชิงสาเหตุที่แสดงทิศทางการสงผล
รูปแบบของกรอบแนวคิดในการวิจัย
แผนภูมิที่ 5 กรอบแนวคิดในการวิจัย
4. เทคนิคการเขียนสมมติฐานของการวิจัย
4.1 หลักการตั้งสมมติฐานของการวิจัย
สมมติฐานของการวิจัย คือ คําตอบที่ผูวิจัยคาดคะเนไวลวงหนาอยางมีเหตุผลเพื่อตอบ
ความมุงหมายของการวิจัยที่ไดตั้งไว โดยจะเปนขอความที่แสดงถึงความเกี่ยงของสัมพันธระหวางตัว
แปรอยางนอยสองตัว สมมติฐานของการวิจัยมี 2 ชนิด คือ
1. แบบมีทิศทาง มี 2 ลักษณะ
1.1 ถาเปนการวิจัยแบบเปรียบเทียบ จะมีคําวา “มากกวา”, “สูงกวา”หรือ “ต่ํา
กวา” ในสมมติฐานนั้นๆ
1.2 ถาเปนการวิจัยแบบหาความสัมพันธ จะมีคําวา “สัมพันธกันทางบวก”หรือ
“สัมพันธกันทางลบ” ในสมมติฐานนั้นๆ
12
2. แบบไมมีทิศทาง มี 2 ลักษณะ
2.1 ถาเปนการวิจัยแบบเปรียบเทียบ จะมีคําวา “แตกตางกัน” ในสมมติฐานนั้นๆ
2.2 ถาเปนการวิจัยแบบหาความสัมพันธ จะมีคําวา “สัมพันธกัน” ในสมมติฐานนั้นๆ
3.2 ลักษณะของงานวิจัยที่ตองตั้งสมมติฐาน
โดยทั่วไปมี 3 ลักษณะดังนี้
1. แบบเปรียบเทียบ
2. แบบหาความสัมพันธ
3. แบบทดลอง
3.3 ตัวอยางการตั้งสมมติฐานของการวิจัย
ตัวอยางที่ 1. แบบเปรียบเทียบ
ความมุงหมายของการวิจัย
เพื่อเปรียบเทียบความเขาใจเกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัยระหวางนิสิตที่มีประสบการณ
ทํางานแตกตางกัน
สมมติฐานของการวิจัย
นิสิตที่มีประสบการณทํางานแตกตางกัน มีความเขาใจเกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัย
แตกตางกัน
ตัวอยางที่ 2. แบบความสัมพันธ
ความมุงหมายของการวิจัย
เพื่อศึกษาความสัมพันธระหวางความถนัดทางตัวเลขกับผลการเรียนวิชาสถิติของ
นิสิตระดับบัณฑิตศึกษา
สมมติฐานของการวิจัย
ความถนั ด ทางตั ว เลขกั บ ผลการเรี ย นวิ ช าสถิ ติ ข องนิ สิ ต ระดั บ ของนิ สิ ต ระดั บ
บัณฑิตศึกษามีความสัมพันธกันทางบวก
ความรูเกี่ยวกับโรคเอดสของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 หลังการใชถานการณ
จําลองกอนและหลังการใชสถานการณจําลอง
(2) เปรียบเทียบกับกลุมอื่น
เพื่อเปรียบเทียบเจตคติตอวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ที่สอน
โดยใชบทเพลงพื้นบานภาคกลางประกอบการสอนโดยใชบทบาทสมมติ
สมมติฐานของการวิจัย
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ที่ไดรับการสอนโดยใชบทเพลงพื้นบานภาคกลาง
ประกอบการสอนกับที่ไดรับการสอนโดยใชบทบาทสมมติมีเจตคติตอวิชาภาษาไทย แตกตางกัน
3.4 ขอคิดเกี่ยวกับการตั้งสมมติฐานของการวิจัย
1. สมติฐานของการวิจัยแตละขอ ตองสอดคลองกับความมุงหมายของการวิจัยแต
ละขอ ความมุงหมายของการวิจัยที่อาจจะไมตองตั้งสมมติฐาน คือ ความมุงหมายของการวิจัยที่ศึกษา
เฉพาะตัวแปรตาม
ความมุงหมายของการวิจัยที่ตองตั้งสมมติฐานก็คือความมุงหมายของการวิจัย ที่
ตองการอธิบาย/แสดงความเกี่ยวของระหวางตัวแปรอยางนอย 8.3.1 หรือในลักษณะความสัมพันธ ดัง
ตัวอยาง 8.3.2
2. จํานวนขอของสมมติฐานของการวิจัยประเภทสํารวจ-เปรียบเทียบ จะเทากับ
จํานวนตัวแปรอิสระ
3. การตั้งสมมติฐานของการวิจัยจะเปนแบบมีทิศทางหรือไมมีทิศทางขึ้นอยูกับ
การศึ ก ษาเอกสารและงานวิ จั ย ที่ เ กี่ ย วข อ งว า มีน้ํ า หนั ก พอที่ จ ะสนั บ สนุ น ในทิ ศ ทางใดหรื อ ไม นั้ น
หมายความวา กอนตั้งสมมติฐานของการวิจัย ผูวิจัยจะตองทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของให
เขาใจละเอียด ลึกซึ้งกอนเสมอ ไมจําเปนตองตั้งวา แตกตางกัน ทุกครั้งเสมอไป
4. การตั้งสมมติฐานของการวิจัยโดยมีเหตุผลบนพื้นฐานของการศึกษาเอกสารและ
งานวิจัยที่เกี่ยวของ จะเปนประโยชนตอการอภิปรายผลของผูวิจัยอยางมาก