Professional Documents
Culture Documents
อภิธรรมธัมมสังคณี
อภิธรรมธัมมสังคณี
อภิธรรมธัมมสังคณี
อภิธมฺมปิฏก
ธมฺมสงฺคณิปาฬิ
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพทุ ธฺ สฺส.
ขอนอบน้อมแด่พระผูม้ พี ระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นน้ั
ติกมาติกา ๒๒ ติกะ
๑. กุสลติก
ปฐมบท. กุสลา ธมฺมา.
ธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ใช่สตั ว์ ไม่ใช่ชวี ติ เป็นแต่สภาวะ (นิสสฺ ตฺต นิชชฺ วี สภาวา)
ซึง่ มีลกั ษณะไม่มโี ทษ ให้ผลเป็นความสุขมีอยู่ (สํวชิ ชฺ นฺต)ิ
ทุตยิ บท. อกุสลา ธมฺมา.
ธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ใช่สตั ว์ ไม่ใช่ชวี ติ เป็นแต่สภาวะ (นิสสฺ ตฺต นิชชฺ วี สภาวา)
ซึง่ มีลกั ษณะเป็นไปพร้อมด้วยโทษ และให้ผลเป็นความทุกข์มอี ยู่ (สํวชิ ชฺ นฺต)ิ
ตติยบท. อพฺยากตา ธมฺมา.
ธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ใช่สตั ว์ ไม่ใช่ชวี ติ เป็นแต่สภาวะ (นิสสฺ ตฺต นิชชฺ วี สภาวา)
ซึง่ พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงแสดงโดยความเป็นกุศล อกุศล แต่ทรงแสดงโดยความ-
เป็นอย่างอืน่ มีอยู่ (สํวชิ ชฺ นฺต)ิ
๒. เวทนาติก
ปฐมบท. สุขาย เวทนาย สมฺปยุตตฺ า ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีป่ ระกอบด้วยสุขเวทนา โดยลักษณทัง้ ๔ มี เอกุปปฺ าทตา
เป็นต้นมีอยู.่
ทุตยิ บท. ทุกขฺ าย เวทนาย สมฺปยุตตฺ า ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีป่ ระกอบด้วยทุกขเวทนา โดยลักษณทัง้ ๔ มี เอกุปปฺ าทตา
เป็นต้นมีอยู.่
ตติยบท. อทุกขฺ มสุขาย เวทนาย สมฺปยุตตฺ า ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีป่ ระกอบด้วยอุเบกขาเวทนาซึง่ ไม่ใช่ทกุ ข์ไม่ใช่สขุ
โดยลักษณทัง้ ๔ มี เอกุปปฺ าทตาเป็นต้นมีอยู.่
2
๓. วิปากติก.
ปฐมบท. วิปากา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีเ่ ป็นผลของกุศลและอกุศลซึง่ พิเศษกว่ากันและกันมีอยู.่
ทุตยิ บท. วิปากธมฺมธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีม่ สี ภาพให้ผลเกิดขึน้ มีอยู.่
ตติยบท. เนววิปากนวิปากธมฺมธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่เป็นผลของกุศลและอกุศลซึพ่ เิ ศษกว่ากันและกัน และไม่-
มีสภาพให้ผลเกิดขึน้ มีอยู.่
๔. อุปาทินนฺ ติก.
ปฐมบท. อุปาทินนฺ ปุ าทานิยา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีก่ รรม (อันตัณหาและทิฏฐิเข้าไปติดโดยการกระทำให้เป็นอา-
รมณ์นน้ั ) ยึดไว้โดยความเป็นผล และเป็นอารมณ์ของอุปาทานได้มอี ยู.่
ทุตยิ บท. อนุปาทินนฺ ปุ าทานิยา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีก่ รรม (อันตัณหาและทิฏฐิเข้าไปติดโดยการกระทำให้เป็นอา-
รมณ์นน้ั ) ไม่ได้ยดึ ไว้โดยความเป็นผล แต่เป็นอารมณ์ของอุปาทานได้มอี ยู.่
ตติยบท. อนุปาทินนฺ อนุปาทานิยา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีก่ รรม (อันตัณหาและทิฏฐิเข้าไปติดโดยการกระทำให้เป็นอา-
รมณ์นน้ั ) ไม่ได้ยดึ ไว้โดยความเป็นผล และไม่เป็นประโยชน์ คือไม่เป็นอารมณ์-
ของอุปาทานมีอยู.่
๕. สงฺกลิ ฏิ Ęฺ ติก.
ปฐมบท. สงฺกลิ ฏิ Ęฺ สํกเิ ลสิกา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีถ่ กู กิเลสทำให้เศร้าหมองเร่าร้อน และเป็นทีอ่ าศัยเกิดของ-
กิเลส หรือเป็นอารมณ์ของกิเลสได้มอี ยู.่
ทุตยิ บท. อสงฺกลิ ฏิ Ęฺ สํกเิ ลสิกา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีถ่ กู กิเลสทำให้เศร้าหมองเร่าร้อน แต่เป็นทีอ่ าศัยเกิดของกิเลส
หรือเป็นอารมณ์ของกิเลสได้มอี ยู.่
3
๙. ทสฺนเหตุตกิ .
ปฐมบท. ทสฺสเนน ปหาตพฺพเหตุกา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีม่ เี หตุอนั พึงปหานโดยโสดาปัตติมรรคมีอยู.่
ทุตยิ บท. ภาวนาย ปหาตพฺพเหตุกา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีม่ เี หตุอนั พึงปหานโดยอริยมรรคเบือ้ งบน ๓ มีอยู.่
ตติยบท. เนว ทสฺสเนน น ภาวนาย ปหาตพฺพเหตุกา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่มเี หตุอนั พึงปหานโดยโสดาปัตติมรรค และอริยมรรค-
เบือ้ งบน ๓ มีอยู.่
๑๐. อาจยคามิตกิ .
ปฐมบท. อาจยคามิโน ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีเ่ ป็นเหตุให้ถงึ จุตแิ ละปฏิสนธิมอี ยู.่
ทุตยิ บท. อปจยคามิโน ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีเ่ ป็นเหตุให้ถงึ พระนิพพานมีอยู.่
ตติยบท. เนวาจยคามิโนนาปจยคามิโน ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่เป็นเหตุให้ถงึ จุติ ปฏิสนธิ พระนิพพาน มีอยู.่
๑๑. เสกฺขติก.
ปฐมบท. เสกฺขา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีเ่ ป็นเสกขบุคคล ๗ หรือทีช่ อ่ื ว่าเสกขธรรมมีอยู.่
ทุตยิ บท. อเสกฺขา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีเ่ ป็นอเสกขบุคคล หรือทีช่ อ่ื ว่าอเสกขธรรมมีอยู.่
ตติยบท. เนวเสกฺขา นาเสกฺขา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ใช่เป็นเสกขบุคคล ๗ และอเสกขบุคคล หรือทีไ่ ม่ชอ่ื ว่า-
เสกขธรรมและอเสกขธรรมมีอยู.่
๑๒. ปริตตฺ ติก.
ปฐมบท. ปริตตฺ า ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีม่ อี านุภาพน้อยมีอยู.่
5
๒. สงฺขตทุก.
ปฐมบท. สงฺขตา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีถ่ กู ปรุงแต่งโดยปัจจัย ๔ (คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร)มีอยู.่
ทติยบท. อสงฺขตา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ถกู ปรุงแต่งโดยปัจจัย ๔ (คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร)มีอยู.่
๓. สนิทสฺสนทุก.
ปฐมบท. สนิทสฺสนา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีม่ สี ภาพเป็นไปพร้อมด้วยการเห็นได้มอี ยู.่
ทุตยิ บท. อนิทสฺสนา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่มสี ภาพเป็นไปพร้อมด้วยการเห็นได้มอี ยู.่
๔. สปฺปฏิฆทุก.
ปฐมบท. สปฺปฏิฆา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีม่ สี ภาพเป็นไปพร้อมด้วยการกระทบได้มอี ยู.่
ทุตยิ บท. อปฺปฏิฆา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่มสี ภาพเป็นไปพร้อมด้วยการกระทบได้มอี ยู.่
๕. รูปที กุ .
ปฐมบท. รูปโิ น ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีม่ รี ปุ ปนลักขณะ คือ ความสลายไปมีอยู.่
ทุตยิ บท. อรูปโิ น ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่มรี ปุ ปนลักขณะ คือ ความสลายไปมีอยู.่
๖. โลกิยทุก.
ปฐมบท. โลกิยา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีส่ งเคราะห์เข้าในสังขารโลกอันเป็นวัฏฏทุกข์ซง่ึ มีสภาพเกิด-
ดับมีอยู.่
ทุตยิ บท. โลกุตตฺ รา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีพ่ น้ จากสังขารโลกอันเป็นวัฏฏทุกข์ซง่ึ มีสภาพเกิดดับมีอยู.่
11
๗. เกนจิวċ ิ เฺ ċยฺยทุก.
ปฐมบท. เกนจิ วิċเฺ ċยฺยา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีพ่ งึ รูไ้ ด้โดยจิตบางอย่างมีจกั ขุวญ
ิ ญาณจิตเป็นต้นมีอยู.่
ทุตยิ บท. เกนจิ น วċฺเċยฺยา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่พงึ รูไ้ ด้โดยจิตบางอย่างมีจกั ขุวญ
ิ ญาณจิตเป็นต้นมีอยู.่
จูฬนฺตรทุก.ํ
๓. อาสวโคจฺฉก.
๑. อาสวทุก.
ปฐมบท. อาสวา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีช่ อ่ื ว่าอาสวะหรือทีม่ สี ภาพไหลไป ว่าโดดยภูมถิ งึ ภวัคคภูม-ิ
ว่าโดยธรรมถึงโคตรภู หรือมีสภาพเหมือนสุราทีห่ มักไว้นานมีอยู.่
ทุตยิ บท. โนอาสวา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ชอ่ื ว่าอาสวะหรือทีไ่ ม่มสี ภาพไหลไป หรือทีไ่ ม่มสี ภาพ-
เหมือนสุราทีห่ มักไว้นานมีอยู.่
๒. สาสวทุก
ปฐมบท. สาสวา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีเ่ ป็นอารมณ์ของอาสวะมีอยู.่
ทุตยิ บท. อนาสวาพ ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่เป็นอารมณ์ของอาสวะมีอยู.่
๓. อาสวสมฺปยุตตฺ ทุก.
ปฐมบท. อาสวสมฺปยุตตฺ า ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีป่ ระกอบด้วยอาสวะมีอยู.่
ทุตยิ บท. อาสววิปปฺ ยุตตฺ า ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ประกอบด้วยอาสวะมีอยู.่
๔. ออสวสาสวทุก.
ปฐมบท. อาสวา เจว ธมฺมา สาสวา จ.
12
๓. สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ ทุก.
ปฐมบท. สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ า ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีป่ ระกอบด้วยสัญโญชน์มอี ยู.่
ทุตยิ บท. สċฺโċชนวิปปฺ ยุตตฺ า ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ประกอบด้วยสัญโญชน์มอี ยู.่
๔. สċฺโċชนสċฺโċชนิยทุก.
ปฐมบท. สċฺโċชนา เจว ธมฺมา สċฺโċชนิยา จ.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีช่ อ่ื ว่าสัญโญชน์และเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์มอี ยู.่
ทุตยิ บท. สċฺโċชนิยา เจว ธมฺมา โนจสċฺโċชนา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีเ่ ป็นอารมณ์ของสัญโญชน์แต่ไม่ชอ่ื ว่าสัญโญชน์มอี ยู.่
๕. สċฺโċชนสċฺโċชนสมฺปยุตตฺ ทุก.
ปฐมบท. สċฺโċชนา เจว ธมฺมา สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ า จ.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีช่ อ่ื ว่าสัญโญชน์และประกอบด้วยสัญโญชน์มอี ยู.่
ทติยบท. สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ า เจว ธมฺมา โน จ สċฺโċชนา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีป่ ระกอบด้วยสัญโญชน์แต่ไม่ชอ่ื ว่าสัญโญชน์มอี ยู.่
๖. สċฺโċชนวิปปฺ ยุตตฺ สċฺโċชนิยทุก.
ปฐมบท. สċฺโċชนวิปปฺ ยุตตฺ า โข ปน ธมฺมา สċฺโċชนิยาปิ.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ประกอบด้วยสัญโญชน์แต่อารมณ์ของสัญโญชน์มอี ยู.่
ทุตยิ บท. สċฺโċชนวิปปฺ ยุตตฺ า โข ปน ธมฺมา อสċฺโċชนิยาปิ.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ประกอบด้วยสัญโญชน์และไม่อารมณ์ของสัญโญชน์มอี ยู.่
สċฺโċชนโคจฺฉกํ.
๕. คนฺถโคจฉก.
๑. คนฺถทุก.
ปฐมบท. คนฺถา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีช่ อ่ื ว่าคันถะมีอยู.่
ทุตยิ บท. โน คนฺถา ธมฺมา.
14
คนฺถโคจฺฉกํ
๖. โอฆโคจฉก.
๑. โอฆทุก.
ปฐมบท. โอฆา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีช่ อ่ื โอฆะมีอยู.่
ทุตยิ บท. โนโอฆา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ชอ่ื โอฆะมีอยู.่
๒. โอฆนิยทุก.
ปฐมบท. โอฆนิยา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีเ่ ป็นอารมณ์ของโอฆะมีอยู.่
ทุตยิ บท. อโนฆนิยา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่เป็นอารมณ์ของโอฆะมีอยู.่
๓. โอฆสมฺปยุตตฺ ทุก.
ปฐมบท. โอฆสมฺปยุตตฺ า ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีป่ ระกอบโอฆะมีอยู.่
ทุตยิ บท. โอฆวิปปฺ ยุตตฺ า ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ประกอบโอฆะมีอยู.่
๔. โอฆโอฆนิยทุก.
ปฐมบท. โอฆา เจว ธมฺมา โอฆนิยา จ.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีช่ อ่ื ว่าโอฆะเป็นอารมณ์ของโอฆมีอยู.่
ทุตยิ บท. โอฆนิยา เจว ธมฺมา โน จ โอฆา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีเ่ ป็นอามรมณ์โอฆะแต่ไม่ชอ่ื ว่าโอฆะมีอยู.่
๕. โอฆโอฆสมฺปยุตตฺ ทุก.
ปฐมบท. โอฆา เจว ธมฺมา โอฆสมฺปยุตตฺ า จ.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีช่ อ่ื ว่าโอฆะและประกอบด้วยโอฆะแต่ไม่มอี ยู.่
ทุตยิ บท. โอฆสมฺปยุตตฺ า เจว ธมฺมา โน จ โอฆา.
16
ความเป็นจริงมีอยู.่
๒. ปารามฏฺĘทุก.
ปฐมบท. ปรามฏฺĘา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีเ่ ป็นอารมณ์ของปรามาสะมีอยู.่
ทุตยิ บท. อปรามฏฺĘา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่เป็นอารมณ์ของปรามาสะมีอยู.่
๓. ปรามาสสมฺปยุตตฺ ทุก.
ปฐมบท. ปรามาสสมฺปยุตตฺ า ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีป่ ระกอบด้วยปรามาสะมีอยู.่
ทุตยิ บท. ปรามาสวิปปฺ ยุตตฺ า ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ประกอบด้วยปรามาสะมีอยู.่
๔. ปรามาสปรามฏฺĘทุก.
ปฐมบท. ปรามาสา เจว ธมฺมา ปรามฏฺĘา จ.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีช่ อ่ื ว่าปรามาสะและเป็นอารมณ์ของปรามาสะมีอยู.่
ทุตยิ บท. ปรามฏฺĘา เจว ธมฺมา โน จ ปรามาสา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีเ่ ป็นอารมณ์ของปรามาสะแต่ไม่ชอ่ื ว่าปรามาสะมีอยู.่
๕. ปรามาสวิปปฺ ยุตตฺ ปรามฏฺĘทุก.
ปฐมบท. ปรามาสวิปปฺ ยุตตฺ า โข ปน ธมฺมา ปรามฏฺĘาปิ.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ประกอบด้วยปรามาสะแต่เป็นปรามาสะมีอยู.่
ทุตยิ บท. ปรามาสวิปปฺ ยุตตฺ า โข ปน ธมฺมา อปรามฏฺĘาปิ.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ประกอบด้วยปรามาสะและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสะ-
มีอยู.่
ปรามาสโคจฺฉกํ
๑๐. มหนฺตรทุก.
๑. สารมฺมณทุก.
ปฐมบท. สารมฺมณา ธมฺมา.
20
๑๒. รูปาวจรทุก.
ปฐมบท. รูปาวจรา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีช่ อ่ื ว่ารูปาวจรมีอยู.่
ทุตยิ บท. น รูปาวจรา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ชอ่ื ว่ารูปาวจรมีอยู.่
๑๓. อรูปาวจรทุก.
ปฐมบท. อรูปาวจรา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีช่ อ่ื ว่าอรูปาวจรมีอยู.่
ทุตยิ บท. น อรูปาวจรา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่ชอ่ื ว่าอรูปาวจรมีอยู.่
๑๔. ปริยาปนฺนทุก.
ปฐมบท. ปริยาปนฺนา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีน่ บั เนือ่ งเข้าในสังสารวัฏฏ์มอี ยู.่
ทุตยิ บท. อปริยาปนฺนา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่นบั เนือ่ งเข้าในสังสารวัฏฏ์มอี ยู.่
๑๕. นิยยฺ านิกทุก.
ปฐมบท. นิยยฺ านิกา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีเ่ ป็นเหตุให้ออกจากสังสารวัฏฏ์มอี ยู.่
ทุตยิ บท. อนิยยฺ านิกา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่เป็นเหตุให้ออกจากสังสารวัฏฏ์มอี ยู.่
๑๖. นิยตทุก.
ปฐมบท. นิยตา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีใ่ ห้ผลแน่นอนในลำดับแห่งจุตจิ ติ หรือในลำดับแห่งตนมีอยู.่
ทุตยิ บท. อนิยตา ธมฺมา.
สภาวธรรมทัง้ หลายทีไ่ ม่แน่นอนโดยอาการทัง้ สองดังกล่าวมาแล้วนัน้ มีอยู.่
๑๗. สอุตตฺ รทุก.
29
มีอยู.่
ทุตยิ บท. อนนฺตวาทิฏĘฺ ิ จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีม่ คี วามเห็นผิดว่าความเป็นอยูข่ องตนเองก็ดี สัตว์โลกก็ดไี ม่มที ส่ี น้ิ สุด
มีอยู.่
๑๔. ปุพพฺ นฺตานุทฏิ Ęฺ ทิ กุ .
ปฐมบท. ปุพพฺ นฺตานุทฏิ Ęฺ ิ จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีม่ คี วามเห็นผิดซึง่ เกิดขึน้ เป็นไปตามอดีตขันธ์ ๕ หรือสภาวธรรมทีม่ -ี
เห็นผิดซึง่ เกิดขึน้ โดยกระทำมีอดีตขันธ์ ๕ ให้เป็นอารมณ์มอี ยู.่
ทุตยิ บท. อปรนฺตานุทฏิ Ęฺ ิ จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีม่ คี วามเห็นผิดซึง่ เกิดขึน้ เป็นไปตามอนาคตขันธ์ ๕ หรือสภาวธรรม-
ทีม่ เี ห็นผิดซึง่ เกิดขึน้ โดยกระทำมีอนาคตขันธ์ ๕ ให้เป็นอารมณ์มอี ยู.่
๑๕. อหิรกิ ทุก.
ปฐมบท. อหิรกิ ċฺ จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีไ่ ม่มคี วามละอายต่อทุจริตมีอยู.่
ทุตยิ บท. อโนตฺตปฺปċฺจ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีไ่ ม่มคี วามสะดุง้ กลัวต่อทุจริตมีอยู.่
๑๖. หิรทิ กุ .
ปฐมบท. หิริ จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีม่ คี วามละอายต่อทุจริตมีอยู.่
ทุตยิ บท. โอตฺตปฺปċฺจ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีม่ คี วามสะดุง้ กลัวต่อทุจริตมีอยู.่
๑๗. โทวจสฺสตาทุก.
ปฐมบท. โทวจสฺสตา จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูว้ า่ ยากมีอยู.่
ทุตยิ บท. ปาปมิตตฺ ตา จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูม้ มี ติ รชัว่ มีอยู.่
34
๑๘. โสวจสฺสตาทุก.
ปฐมบท. โสวจสฺสตา จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูว้ า่ ง่ายมีอยู.่
ทุตยิ บท. กลฺยาณมิตตฺ ตา จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูม้ มี ติ รดีมอี ยู.่
๑๙. อาปตฺตกิ สุ ลตาทุก.
ปฐมบท. อาปตฺตกิ สุ ลตา จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูม้ คี วามฉลาดในการรูอ้ าบัตมิ อี ยู.่
ทุตยิ บท. อาปตฺตวิ ฏุ ฺ านกุสลตา จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูม้ คี วามฉลาดในการออกจากอาบัตมิ อี ยู.่
๒๐. สมาปตฺตกิ สุ ลตาทุก.
ปฐมบท. สมาปตฺตกิ สุ ลตา จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูม้ คี วามฉลาดในการรูส้ มาบัติ ๘ หรือสมาบัติ ๙-
คือ รูปฌาน อรูปฌาน มีอยู.่
ทุตยิ บท. สมาปตฺตวิ ฏุ Ęฺ านกุสลตา จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูม้ คี วามฉลาดในการออกจากสมาบัตมิ อี ยู.่
๒๑. ธาตุกสุ ลตาทุก.
ปฐมบท. ธาตุกสุ ลตา จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูม้ คี วามฉลาดในการรูธ้ าตุ ๑๘ มีอยู.่
ทุตยิ บท. มนสิการกุสลตา จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูม้ คี วามฉลาดในการพิจารณาซึง่ ธาตุ ๑๘ มีอยู.่
๒๒. อายตนกุสลตาทุก.
ปฐมบท. อายตนกุสลตา จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูม้ คี วามฉลาดในการรูอ้ ายตน ๑๒ มีอยู.่
ทุตยิ บท. ปฏิจจฺ สมุปปฺ าทกุสลตา จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูม้ คี วามฉลาดในการรูป้ ฏิจสมุปบาททีม่ อี งค์ ๑๒-
35
มีอยู.่
๒๓. Ęานกุสลตาทุก.
ปฐมบท. Ęานกุสลตา จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูม้ คี วามฉลาดในการรูเ้ หตุอนั สมควรมีอยู.่
ทุตยิ บท. อฏฺĘานกุสลตา จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูม้ คี วามฉลาดในการรูเ้ หตุอนั ไม่สมควรมีอยู.่
๒๔. อชฺชวทุก.
ปฐมบท. อชฺชโว จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูซ้ อ่ื ตรงมีอยู.่
ทุตยิ บท. มทฺทโว จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูอ้ อ่ นโยนมีอยู.่
๒๕. ขนฺตทิ กุ .
ปฐมบท. ขนฺติ จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูม้ คี วามอดทนมีอยู.่
ทุตยิ บท. โสรจฺจċฺ จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูม้ คี วามยินดีรา่ เริงในกุศลสุจริตมีอยู.่
๒๖. สาขลฺยทุก.
ปฐมบท. สาขลฺยċฺ จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูม้ วี าจาสุภาพอ่อนหวานมีอยู.่
ทุตยิ บท. ปฏิสนฺถาโร จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูม้ กี ารต้อนรับโดยอามิสปฏิสนั ถาร และธรรม-
ปฏิสนั ถารมีอยู.่
๒๗. อินทฺ รฺ เิ ยสุอคุตตฺ ทฺวารตาทุก.
ปฐมบท. อินทฺ รฺ เิ ยสุอคุตตฺ ทฺวารตา จ อตฺถ.ิ
สภาวธรรมทีก่ ระทำบุคคลให้เป็นผูไ้ ม่สำรวมอินทรียใ์ นทวาร ๖ มีอยู.่
ทุตยิ บท. โภชเน อมตฺตċฺċตุ า จ อตฺถ.ิ
36
ธมฺมานํ สมาปตฺตยิ า;
กิรยิ าทีเ่ กรงกลัวต่อการประพฤติทจุ ริตอันเป็นสิง่ ทีน่ า่ เกรงกลัว กิรยิ าทีเ่ กรง-
กลัวต่อการประกอบอกุศลธรรมทัง้ หลายในสมัยนัน้ อันใด;
อิทํ ตสฺมึ สมเย โอตฺตปฺปํ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าโอตตัปปะมีในสมัยนัน้ .
[๔๐] กตมา ตสฺมึ สมเย กายปฺปสฺสทฺธิ โหติ?
[๔๐] กายปัสสัทธิมใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา ตสฺมึ สมเย เวทนากฺขนฺธสฺส สċฺċากฺขนฺธสฺส สงฺขารกฺขนฺธสฺส ปสฺสทฺธิ
ปฏิปปฺ สฺสทฺธิ ปสฺสมฺภนา ปฏิปปฺ สฺสมฺภนา ปฏิปปฺ สฺสมฺภติ ตฺต;ํ
การสงบ การสงบระงับ กิรยิ าทีส่ งบระงับ ความสงบระงับแห่งเวทนาขันธ์
สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย กายปฺปสฺสทฺธิ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่ากายปัสสัทธิมใี นสมัยนัน้ .
[๔๑] กตมา ตสฺมึ สมเย จิตตฺ ปฺปสฺสทฺธิ โหติ?
[๔๑] จิตตปัสสัทธิมใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา ตสฺมึ สมเย วิċċ ฺ าณกฺขนฺธสฺส ปสฺสทฺธิ ปฏิปปฺ สฺสทฺธิ ปสฺสมฺภนา
ปฏิปปฺ สฺสมฺภนา ปฏิปปฺ สฺสมฺภติ ตฺต;ํ
การสงบ การสงบระงับ กิรยิ าทีส่ งบ กิรยิ าทีส่ งบระงับ ความสงบระงับแห่ง
วิญญาณขันธ์ในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย จิตตฺ ปฺปสฺสทฺธิ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าจิตตปัสสัทธิมใี นสมัยนัน้ .
[๔๒] กตมา ตสฺมึ สมเย กายลหุตา โหติ?
[๔๒] กายลหุตามีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา ตสฺมึ สมเย เวทนากฺขนฺธสฺส สċฺċากฺขนฺธสฺส สงฺขารกฺขนฺธสฺส ลหุตา
ลหุปริณามตา อทนฺธนตา อวิตถฺ นตา;
ความเบา ความรวดเร็ว ความไม่เชือ่ งช้า ความไม่กระด้าง แห่งเวทนาขันธ์
57
อุสสฺ าโห อุสโฺ สฬฺห,ี ถาโม ธิต,ิ อสิถลิ ปรกฺกมตา อนิกขฺ ติ ตฺ จฺฉนฺทตา อนิกขฺ ติ ตฺ -
ธุรตา ธุรสมฺปคฺคาโห, วิรยิ ํ วิรยิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ วิรยิ พลํ สมฺมาวายาโม;
การปรารภความเพียรทางใจ ความขะมักเขม้น ความบากบัน่ ความตัง้ หน้า
ความพยายาม ความอุตสาหะ ความทนทาน ความเข้มแข็ง ความหมัน่
ความก้าวไปอย่างไม่ทอ้ ถอย ความไม่ทอดทิง้ ฉันทะ ความไม่ทอดทิง้ ธุระ
ความประคับประคองธุระ วิรยิ ะ วิรยิ นิ ทรีย์ วิรยิ พละ สัมมาวายามะ
ในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย ปคฺคาโห โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าปัคคาหะมีในสมัยนัน้ .
[๕๗] กตโม ตสฺมึ สมเย อวิกเฺ ขโป โหติ?
[๕๗] อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา ตสฺมึ สมเย จิตตฺ สฺส Ęิติ สณฺĘติ ิ อวฏฺĘติ ิ อวิสาหาโร อวิกเฺ ขโป อวิสาหฏ-
มานสตา, สมโถ สมาธินทฺ รฺ ยิ ํ สมาธิพลํ สมฺมาสมาธิ;
ความตัง้ อยูแ่ ห่งจิต ความดำรงอยูแ่ ห่งจิต ความมัน่ อยูแ่ ห่งจิต ความไม่สา่ ย-
ไปแห่งจิต ความไม่ฟงุ้ ซ่านแห่งจิต ภาวะทีจ่ ติ ไม่สา่ ยไป ความสงบ
สมาธินทรีย์ สมาธิพละ สัมมาสมาธิในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย อวิกเฺ ขโป โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าอวิกเขปะมีในสมัยนัน้ .
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา.
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยกันเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ .
อิเม ธมฺมา กุสลา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล
ปทภาชนียํ นิฏĘฺ ติ .ํ
บทภาชนียจ์ บ.
ปĘมภาณวารํ.
ปฐมภาณวารจบ.
63
โกฏฐาสวาร.
[๕๘] ตสฺมึ โข ปน สมเย จตฺตาโร ขนฺธา โหนฺต,ิ ทฺวายตนานิ โหนฺต,ิ เทฺว
ธาตุโย โหนฺต,ิ ตโย อาหารา โหนฺต,ิ , อฏฺĘนิ ทฺ รฺ ยิ านิ โหนฺต,ิ ปċฺจงฺคกิ ํ ฌานํ
โหติ, ปċฺจงฺคโิ ก มคฺโค โหติ, สตฺต พลานิ โหนฺต,ิ
[๕๘] ก็ขนั ธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๘ ฌานมีองค์ ๕ มรรคมีองค์-
๕ พละ ๗,
ตโย เหตู โหนฺต,ิ เอโก ผสฺโส โหติ, เอกา เวทนา โหติ, เอกา สċฺċา โหติ,
เอกา เจตนา โหติ, เอกํ จิตตฺ ํ โหติ, เอโก เวทนากฺขนฺโธ โหติ, เอโก สċฺċากฺ-
ขนฺโธ โหติ, เอโก สงฺขารกฺขนฺโธ โหติ, เอโก วิċċ ฺ าณกฺขนฺโธ โหติ, เอกํ
มนายตนํ โหติ, เอกํ มนินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ,
เหตุ ๓ ผัสสะ ๑ เวทนา ๑ สัญญา ๑ เจตนา ๑ จิต ๑ เวทนาขันธ์ ๑ สัญญาขันธ์-
๑ สังขารขันธ์ ๑ วิญญาณขันธ์ ๑ มานายตนะ ๑ มนินทรีย์ ๑,
เอกา มโนวิċċ ฺ าณธาตุ โหติ, เอกํ ธมฺมายตนํ โหติ, เอกา ธมฺมธาตุ โหติ;
มโนวิญญาณธาตุ ๑ ธัมมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยกันเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา กุสลา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล
[๕๙] กตเม ตสฺมึ สมเย จตฺตาโร ขนฺธา โหนฺต?ิ
[๕๙] ขันธ์ ๔ มีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
เวทนากฺขนฺโธ สċฺċากฺขนฺโธ สงฺขารกฺขนฺโธ วิċċ ฺ าณกฺขนฺโธ.
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์.
[๖๐] กตโม ตสฺมึ สมเย เวทนากฺขนฺโธ โหติ?
[๖๐] เวทนาขันธ์มใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยํ ตสฺมึ สมเย เจตสิกํ สาตํ, เจตสิกํ สุข,ํ เจโตสมฺผสฺสชํ สาตํ สุขํ เวทยิต,ํ
เจโตสมฺผสฺสชา สาตา สุขา เวทนา;
64
หิรี โอตฺตปฺป,ํ
หิริ โอตตัปปะ,
กายปฺปสฺสทฺธิ จิตตฺ ปฺปสฺสทฺธ,ิ กายลหุตา จิตตฺ ลหุตา, กายมุทตุ า จิตตฺ มุทตุ า,
กายกมฺมċฺċตา, จิตตฺ กมฺมċฺċตา, กายปาคุċċ ฺ ตา จิตตฺ ปาคุċċ ฺ ตา, กายุชกุ ตา
จิตตฺ ชุ กุ ตา,
กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ กายลหุตา จิตตลหุตา กายมุทตุ า จิตตมุทตุ า
กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา กายปาคุญญตา จิตตปาคุญญตา กายุชกุ ตา
จิตตุชกุ ตา,
สติ สมฺปชċฺċ,ํ สมโถ วิปสฺสนา, ปคฺคาโห อวิกเฺ ขโป;
สติ สัมปชัญญะ สมถะ วิปสั สนา ปัคคาหะ อวิกเขปะ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ นธมฺมา
Ęเปตฺวา เวทนากฺขนฺธํ Ęเปตฺวา สċฺċากฺขนฺธํ Ęเปตฺวา วิċċ ฺ าณกฺขนฺธ;ํ
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ เว้นเวทนาขันธ์
สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์;
อยํ ตสฺมึ สมเย สงฺขารกฺขนฺโธ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าสังขารขันธ์มใี นสมัยนัน้ .
[๖๓] กตโม ตสฺมึ สมเย วิċċ ฺ าณกฺขนฺโธ โหติ?
[๖๓] วิญญาณขันธ์มใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยํ ตสฺมึ สมเย จิตตฺ ํ มโน มานสํ, หทยํ ปณฺฑรํ, มโน มนายตนํ มนินทฺ รฺ ยิ ,ํ
วิċċ ฺ าณํ วิċċ ฺ าณกฺขนฺโธ ตชฺชามโนวิċċ ฺ าณธาตุ;
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑร มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ
วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุทส่ี มกันในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย วิċċ ฺ าณกฺขนฺโธ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าวิญญาณขันธ์มใี นสมัยนัน้ .
อิเม ตสฺมึ สมเย จตฺตาโร ขนฺธา โหนฺต.ิ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าขันธ์ ๔ มีในสมัยนัน้ .
66
อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย ปีติ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าปีตมิ ใี นสมัยนัน้ .
[๘๗] กตมํ ตสฺมึ สมเย สุขํ โหติ?
[๘๗] สุขมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยํ ตสฺมึ สมเย เจตสิกํ สาตํ, เจตสิกํ สุข,ํ เจโตสมฺผสฺสชํ สาตํ สุขํ เวทยิต,ํ
เจโตสมฺผสฺสชา สาตา สุขา เวทนา;
ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ทส่ี บายเป็นสุขอันเกิด
แต่เจโตสัมผัส กิรยิ าเสวยอารมณ์ทส่ี บายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัสใน-
สมัยนัน้ อันใด;
อิทํ ตสฺมึ สมเย สุขํ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าสุขมีในสมัยนัน้ .
[๘๘] กตมา ตสฺมึ สมเย จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ?
๘๘] เอกัคคตามีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา ตสฺมึ สมเย จิตตฺ สฺส Ęิติ สณฺĘติ ิ อวฏฺĘติ ิ อวิสาหาโร อวิกเฺ ขโป อวิสาหฏ-
มานสตา, สมโถ สมาธินทฺ รฺ ยิ ํ สมาธิพลํ สมฺมาสมาธิ;
ความตัง้ อยูแ่ ห่งจิต ความดำรงอยูแ่ ห่งจิต ความมัน่ อยูแ่ ห่งจิต ความไม่สา่ ย-
ไปแห่งจิต ความไม่ฟงุ้ ซ่านแห่งจิต ภาวะทีจ่ ติ ไม่สา่ ยไป ความสงบ
สมาธินทรีย์ สมาธิพละ สัมมาสมาธิในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าเอกัคคตามีในสมัยนัน้ .
อิทํ ตสฺมึ สมเย ปċฺจงฺคกิ ํ ฌานํ โหติ.
สภาวธรรมนีช้ อ่ื ว่าฌานมีองค์ ๕ มีในสมัยนัน้ .
[๘๙] กตโม ตสฺมึ สมเย ปċฺจงฺคโิ ก มคฺโค โหติ?
[๘๙] มรรคมีองค์ ๕ มีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
สมฺมาทิฏĘฺ ิ สมฺมาสงฺกปฺโป, สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธิ.
74
[๑๒๑] ก็ธรรม ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อาหาร อินทรีย์ ฌาน มรรค พละ เหตุ
ผัสสะ,
เวทนา โหติ, สċฺċา โหติ, เจตนา โหติ, จิตตฺ ํ โหติ, เวทนากฺขนฺโธ โหติ,
สċฺċากฺขนฺโธ โหติ, สงฺขารกฺขนฺโธ โหติ, วิċċ ฺ าณกฺขนฺโธ โหติ,
เวทนา สัญญา เจตนา จิต เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์
วิญญาณขันธ์,
มนายตนํ โหติ, มนินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, มโนวิċċฺ าณธาตุ โหติ, ธมฺมายตนํ โหติ,
ธมฺมธาตุ โหติ; เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา
อรูปโิ น ธมฺมา;
มนายตนะ มนินทรีย์ มโนวิญญาณธาตุ ธัมมายตนะ ธรรมธาตุมใี นสมัย-
นัน้ หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยกันเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา กุสลา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๑๒๒] กตเม ตสฺมึ สมเย ธมฺมา โหนฺต?ิ
[๑๒๒] ธรรมมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
เวทนากฺขนฺโธ สċฺċากฺขนฺโธ สงฺขารกฺขนฺโธ วิċċ ฺ าณกฺขนฺโธ; อิเม ตสฺมึ
สมเย ธมฺมา โหนฺต.ิ
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์เหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมมีใน-
สมัยนัน้ .
[๑๒๓] กตเม ตสฺมึ สมเย ขนฺธา โหนฺต?ิ
[๑๒๓] ขันธ์มใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
เวทนากฺขนฺโธ สċฺċากฺขนฺโธ สงฺขารกฺขนฺโธ วิċċ ฺ าณกฺขนฺโธ; อิเม ตสฺมึ
สมเย ขนฺธา โหนฺต.ิ
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์เหล่านีช้ อ่ื ว่าขันธ์มใี น-
สมัยนัน้ .
[๑๒๔] กตมานิ ตสฺมึ สมเย อายตนานิ โหนฺต?ิ
87
[๑๓๘] กตโม ตสฺมึ สมเย สċฺċากฺขนฺโธ โหติ? ฯเปฯ อยํ ตสฺมึ สมเย
สċฺċากฺขนฺโธ โหติ.
[๑๓๘] สัญญาขันธ์มใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน ฯลฯ นีช้ อ่ื ว่าสัญญาขันธ์มใี นสมัยนัน้ .
[๑๓๙] กตโม ตสฺมึ สมเย สงฺขารกฺขนฺโธ โหติ? ฯเปฯ อยํ ตสฺมึ สมเย
สงฺขารกฺขนฺโธ โหติ.
[๑๓๙] สังขารขันธ์มใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน ฯลฯ นีช้ อ่ื ว่าสังขารขันธ์มใี นสมัยนัน้ .
[๑๔๐] กตโม ตสฺมึ สมเย วิċċ ฺ าณกฺขนฺโธ โหติ? ฯเปฯ อยํ ตสฺมึ สมเย
วิċċฺ าณกฺขนฺโธ โหติ.
[๑๔๐] วิญญาณขันธ์มใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน ฯลฯ นีช้ อ่ื ว่าวิญญาณขันธ์มใี นสมัยนัน้ .
[๑๔๑] กตมํ ตสฺมึ สมเย มนายตนํ โหติ? ฯเปฯ อิทํ ตสฺมึ สมเย มนายตนํ
โหติ.
[๑๔๑] มนายตนะมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน ฯลฯ นีช้ อ่ื ว่ามนายตนะมีในสมัยนัน้ .
[๑๔๒] กตมํ ตสฺมึ สมเย มนินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ? ฯเปฯ อิทํ ตสฺมึ สมเย มนินทฺ รฺ ยิ ํ
โหติ.
[๑๔๒] มนินทรียม์ ใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน ฯลฯ นีช้ อ่ื ว่ามนินทรียม์ ใี นสมัยนัน้ .
[๑๔๓] กตมา ตสฺมึ สมเย มโนวิċċ ฺ าณธาตุ โหติ? ฯเปฯ อยํ ตสฺมึ สมเย
มโนวิċċ ฺ าณธาตุ โหติ.
[๑๔๓] มโนวิญญาณธาตุมใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน ฯลฯ นีช้ อ่ื ว่ามโนวิญญาณธาตุ
มีในสมัยนัน้ .
[๑๔๔] กตมํ ตสฺมึ สมเย ธมฺมายตนํ โหติ?
[๑๔๔] ธัมมายตนะมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
เวทนากฺขนฺโธ สċฺċากฺขนฺโธ สงฺขารกฺขนฺโธ; อิทํ ตสฺมึ สมเย ธมฺมายตนํ
โหติ.
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์นช้ี อ่ื ว่าธัมมายตนะมีในสมัยนัน้ .
[๑๔๕] กตมา ตสฺมึ สมเย ธมฺมธาตุ โหติ?
[๑๔๕] ธรรมธาตุมใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
90
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, เวทนา โหติ, สċฺċา โหติ, เจตนา โหติ, จิตตฺ ํ
โหติ, วิตกฺโก โหติ, วิจาโร โหติ, ปีติ โหติ, สุขํ โหติ, จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ,
ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา,
สทฺธนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, วิรยิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, สตินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, สมาธินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ,
มนินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, โสมนสฺสนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ,
สัทธินทรีย์ วิรยิ นิ ทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์
ชีวติ นิ ทรีย,์
สมฺมาสงฺกปฺโป โหติ, สมฺมาวายาโม โหติ, สมฺมาสติ โหติ, สมฺมาสมาธิ โหติ,
สัมมาสังกัปปะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ,
สทฺธาพลํ โหติ, วิรยิ พลํ โหติ, สติพลํ โหติ, สมาธิพลํ โหติ, หิรพี ลํ โหติ,
โอตฺตปฺปพลํ โหติ,
สัทธาพละ วิรยิ พละ สติพละ สมาธิพละ หิรพิ ละ โอตตัปปพละ,
อโลโภ โหติ, อโทโส โหติ, อนภิชฌ ฺ า โหติ, อพฺยาปาโท โหติ, หิรี โหติ,
โอตฺตปฺปํ โหติ,
อโลภะ อโทสะ อนภิชฌา อัพยาปาทะ หิริ โอตตัปปะ,
กายปฺปสฺสทฺธิ โหติ, จิตตฺ ปฺปสฺสทฺธิ โหติ, กายลหุตา โหติ, จิตตฺ ลหุตา โหติ,
กายมุทตุ า โหติ, จิตตฺ มุทตุ า โหติ, กายกมฺมċฺċตา โหติ, จิตตฺ กมฺมċฺċตา
โหติ, กายปาคุċċ ฺ ตา โหติ, จิตตฺ ปาคุċċ ฺ ตา โหติ, กายุชกุ ตา โหติ, จิตตฺ ชุ กุ ตา
โหติ,
กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ กายลหุตา จิตตลหุตา กายมุทตุ า จิตตมุทตุ า
กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา กายปาคุญญตา จิตตปาคุญญตา กายุชกุ ตา
จิตตุชกุ ตา,
สติ โหติ, สมโถ โหติ, ปคฺคาโห โหติ, อวิกเฺ ขโป โหติ;
สติ สมถะ ปัคคาหะ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยกันเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
92
อโลภะ อโทสะ;
อนภิชฌ ฺ า โหติ, อพฺยาปาโท โหติ;
อนภิชฌา อัพยาปาทะ;
หิรี โหติ, โอตฺตปฺปํ โหติ;
หิริ โอตตัปปะ;
กายปฺปสฺสทฺธิ โหติ, จิตตฺ ปฺปสฺสทฺธิ โหติ; กายลหุตา โหติ, จิตตฺ ลหุตา โหติ;
กายมุทตุ า โหติ, จิตตฺ มุทตุ า โหติ; กายกมฺมċฺċตา โหติ, จิตตฺ กมฺมċฺċตา
โหติ; กายปาคุċċ ฺ ตา โหติ, จิตตฺ ปาคุċċ ฺ ตา โหติ; กายุชกุ ตา โหติ, จิตตฺ ชุ กุ ตา
โหติ;
กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ กายลหุตา จิตตลหุตา กายมุทตุ า จิตตมุทตุ า
กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา กายปาคุญญตา จิตตปาคุญญตา กายุชกุ ตา
จิตตุชกุ ตา;
สติ โหติ, สมโถ โหติ, ปคฺคาโห โหติ, อวิกเฺ ขโป โหติ;
สติ สมถะ ปัคคาหะ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยกันเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา กุสลา. ฯเปฯ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล. ฯลฯ
ตสฺมึ โข ปน สมเย จตฺตาโร ขนฺธา โหนฺต,ิ ทฺวายตนานิ โหนฺต,ิ เทฺว ธาตุโย
โหนฺต,ิ ตโย อาหารา โหนฺต,ิ สตฺตนิ ทฺ รฺ ยิ านิ โหนฺต,ิ จตุรงฺคกิ ํ ฌานํ โหติ,
ก็ขนั ธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๗ ฌานมีองค์ ๔,
จตุรงฺคโิ ก มคฺโค โหติ, ฉ พลานิ โหนฺต,ิ เทฺว เหตู โหนฺต,ิ เอโก ผสฺโส โหติ,
มรรคมีองค์ ๔ พละ ๖ เหตุ ๒ ผัสสะ ๑,
ฯเปฯ เอกํ ธมฺมายตนํ โหติ, เอกา ธมฺมธาตุ โหติ;
ฯลฯ ธัมมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
101
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ วิวจิ จฺ อกุสเลหิ
ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีตสิ ขุ ํ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
ปĘวีกสิณ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมสิ งัดจากกามสงัดจาก-
อกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานทีม่ ปี ฐวีกสิณเป็นอารมณ์;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ,
ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปตี แิ ละสุขอันเกิดแต่วเิ วกอยูใ่ นสมัยใดผัสสะ ฯลฯ
อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ฯลฯ
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๑๖๑] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๑๖๑] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ
สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีตสิ ขุ ํ ทุตยิ ํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหรติ ปĘวีกสิณ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมบิ รรลุทตุ ยิ ฌานทีม่ ปี ฐวี-
กสิณเป็นอารมณ์ภายในผ่องใสเพราะวิตกวิจารสงบจิตถึงความเป็นธรรม-
ชาติผดุ ขึน้ ดวงเดียว ไม่มวี ติ กวิจารมีแต่ปตี แิ ละสุขอันเกิดจากสมาธิอยูใ่ น-
สมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, เวทนา โหติ, สċฺċา โหติ; เจตนา โหติ, จิตตฺ ํ
โหติ; ปีติ โหติ, สุขํ โหติ, จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ;
ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต ปีติ สุข เอกัคคตา;
สทฺธนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, วิรยิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, สตินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, สมาธินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ,
ปċฺċนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, มนินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, โสมนสฺสนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ;
สัทธินทรีย์ วิรยิ นิ ทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์
โสมนัสสินทรีย์ ชีวติ นิ ทรีย;์
104
สมฺมาทิฏĘฺ ิ โหติ, สมฺมาวายาโม โหติ, ฯเปฯ ปคฺคาโห โหติ, อวิกเฺ ขโป โหติ;
สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ ฯลฯ ปัคคาหะ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา กุสลา. ฯเปฯ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล ฯลฯ
ตสฺมึ โข ปน สมเย จตฺตาโร ขนฺธา โหนฺต,ิ ทฺวายตนานิ โหนฺต,ิ เทฺว ธาตุโย
โหนฺต,ิ ตโย อาหารา โหนฺต,ิ อฏฺĘนิ ทฺ รฺ ยิ านิ โหนฺต,ิ ติวงฺคกิ ํ ฌานํ โหติ,
จตุรงฺคโิ ก มคฺโค โหติ, สตฺต พลานิ โหนฺต,ิ ตโย เหตู โหนฺต,ิ เอโก ผสฺโส
โหติ,
ก็ขนั ธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๘ ฌานมีองค์ ๓
มรรคมีองค์ ๔ พละ ๓ เหตุ ๓ ผัสสะ ๑,
ฯเปฯ เอกํ ธมฺมายตนํ โหติ, เอกา ธมฺมธาตุ โหติ;
ฯลฯ ธัมมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา กุสลา. ฯเปฯ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล ฯลฯ
[๑๖๒] กตโม ตสฺมึ สมเย สงฺขารกฺขนฺโธ โหติ?
[๑๖๒] สังขารขันธ์มอี ยูใ่ นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ผสฺโส เจตนา, ปีติ จิตตฺ สฺเสกคฺคตา,
ผัสสะ เจตนา ปีติ เอกัคคตา,
สทฺธนิ ทฺ รฺ ยิ ํ วิรยิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ สตินทฺ รฺ ยิ ํ สมาธินทฺ รฺ ยิ ํ ปċฺċนิ ทฺ รฺ ยิ ,ํ ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ,ํ
สัทธินทรีย์ วิรยิ นิ ทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ชีวติ นิ ทรีย,์
สมฺมาทิฏĘิ สมฺมาวายาโม ฯเปฯ ปคฺคาโห อวิกเฺ ขโป;
สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ ฯลฯ ปัคคาหะ อวิกเขปะ;
105
สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์;
อยํ ตสฺมึ สมเย สงฺขารกฺขนฺโธ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าสังขารขันธ์มใี นสมัยนัน้ .
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๑๖๕] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๑๖๕] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, สุขสฺส จ ปหานา ทุกขฺ สฺส จ ปหานา
ปุพเฺ พว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกขฺ มสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสทุ ธฺ ึ
จตุตถฺ ํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ปĘวีกสิณ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมบิ รรลุจตุตถฌานทีม่ ปี ฐวี-
กสิณเป็นอารมณ์ไม่มที กุ ข์ไม่มสี ขุ เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัส-
และโทมนัสดับสนิทในก่อน มีสติบริสทุ ธิเ์ พราะอุเบกขาอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, เวทนา โหติ, สċฺċา โหติ; เจตนา โหติ, จิตตฺ ํ
โหติ; อุเปกฺขา โหติ, จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ;
ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต อุเบกขา เอกัคคตา;
สทฺธนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, วิรยิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, สตินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, สมาธินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ,
ปċฺċนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, มนินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, อุเปกฺขนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ;
สัทธินทรีย์ วิรยิ นิ ทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์
อุเบกขินทรีย์ ชีวติ นิ ทรีย;์
สมฺมาทิฏĘฺ ิ โหติ, สมฺมาวายาโม โหติ, ฯเปฯ ปคฺคาโห โหติ, อวิกเฺ ขโป โหติ;
สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ ฯลฯ ปัคคาหะ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา กุสลา. ฯเปฯ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล ฯลฯ
108
จตุกกนัยจบ.
ปัญจกนัย.
[๑๖๗] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๑๖๗] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหรติ ปĘวีกสิณ;ํ ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมิ สงัดจากกาม สงัดจาก-
อกุศลธรรมทัง้ หลายแล้วบรรลุปฐมฌานทีม่ ปี ฐวีกสิณเป็นอารมณ์ ฯลฯ
อยูใ่ นสมัยใดผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๑๖๘] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๑๖๘] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อวิตกฺกํ วิจารมตฺตํ สมาธิชํ ปีตสิ ขุ ํ
ทุตยิ ํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ปĘวีกสิณ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมบิ รรลุทตุ ยิ ฌานทีม่ ปี ฐวีก-
สิณเป็นอารมณ์ไม่มวี ติ กมีแต่วจิ ารมีปตี แิ ละสุขอันเกิดจากสมาธิ
อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, เวทนา โหติ, สċฺċา โหติ; เจตนา โหติ, จิตตฺ ํ
โหติ, วิจาโร โหติ, ปีติ โหติ, สุขํ โหติ, จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ;
ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา;
สทฺธนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, วิรยิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, สตินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, สมาธินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ,
ปċฺċนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, มนินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, โสมนสฺสนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ;
สัทธินทรีย์ วิรยิ นิ ทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์
โสมนัสสินทรีย์ ชีวติ นิ ทรีย;์
สมฺมาทิฏĘฺ ิ โหติ, สมฺมาวายาโม โหติ, ฯเปฯ ปคฺคาโห โหติ, อวิกเฺ ขโป โหติ;
110
โหนฺต,ิ ตโย อาหารา โหนฺต,ิ อฏฺĘนิ ทฺ รฺ ยิ านิ โหนฺต,ิ ติวงฺคกิ ํ ฌานํ โหติ,
จตุรงฺคโิ ก มคฺโค โหติ, สตฺต พลานิ โหนฺต,ิ ตโย เหตู โหนฺต,ิ เอโก ผสฺโส
โหติ,
ก็ขนั ธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๘ ฌานมีองค์ ๓ มรรคมี-
องค์ ๔ พละ ๗ เหตุ ๓ ผัสสะ ๑,
ฯเปฯ เอกํ ธมฺมายตนํ โหติ, เอกา ธมฺมธาตุ โหติ;
ฯลฯ ธัมมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา กุสลา. ฯเปฯ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล. ฯลฯ
[๑๗๑] กตโม ตสฺมึ สมเย สงฺขารกฺขนฺโธ โหติ?
[๑๗๑] สังขารขันธ์มใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ผสฺโส เจตนา, ปีติ จิตตฺ สฺเสกคฺคตา, สทฺธนิ ทฺ รฺ ยิ ํ วิรยิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ สตินทฺ รฺ ยิ ํ สมาธินทฺ รฺ ยิ ํ
ปċฺċนิ ทฺ รฺ ยิ ํ ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ,ํ สมฺมาทิฏĘฺ ิ สมฺมาวายาโม ฯเปฯ ปคฺคาโห อวิกเฺ ขโป;
ผัสสะ เจตนา ปีติ เอกัคคตา สัทธินทรีย์ วิรยิ นิ ทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์
ปัญญินทรีย์ ชีวติ นิ ทรีย์ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ ฯลฯ ปัคคาหะ
อวิกเขปะ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา
Ęเปตฺวา เวทนากฺขนฺธํ Ęเปตฺวา สċฺċากฺขนฺธํ Ęเปตฺวา วิċċ ฺ าณกฺขนฺธ;ํ
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ เว้นเวทนาขันธ์
สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์;
อยํ ตสฺมึ สมเย สงฺขารกฺขนฺโธ โหติ,
นีช้ อ่ื ว่าสังขารขันธ์มใี นสมัยนัน้ ,
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ ชือ่ ว่าธรรมเป็นกุศล
113
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, เวทนา โหติ, สċฺċา โหติ; เจตนา โหติ, จิตตฺ ํ
โหติ; อุเปกฺขา โหติ, จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ;
ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต อุเบกขา เอกัคคตา;
สทฺธนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, วิรยิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, สตินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, สมาธินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ,
ปċฺċนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, มนินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, อุเปกฺขนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ;
สัทธินทรีย์ วิรยิ นิ ทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ มนินทรีย์
อุเปกขินทรีย์ ชีวติ นิ ทรีย;์
สมฺมาทิฏĘฺ ิ โหติ, สมฺมาวายาโม โหติ, ฯเปฯ ปคฺคาโห โหติ, อวิกเฺ ขโป โหติ;
สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ ฯลฯ ปัคคาหะ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา กุสลา. ฯเปฯ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล ฯลฯ
ตสฺมึ โข ปน สมเย จตฺตาโร ขนฺธา โหนฺต,ิ ทฺวายตนานิ โหนฺต,ิ เทฺว ธาตุโย
โหนฺต,ิ ตโย อาหารา โหนฺต,ิ อฏฺĘนิ ทฺ รฺ ยิ านิ โหนฺต,ิ ทุวงฺคกิ ํ ฌานํ โหติ,
จตุรงฺคโิ ก มคฺโค โหติ, สตฺต พลานิ โหนฺต,ิ ตโย เหตู โหนฺต,ิ เอโก ผสฺโส
โหติ,
ก็ขนั ธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๘ ฌานมีองค์ ๒ มรรคมี-
องค์ ๔ พละ ๗ เหตุ ๓ ผัสสะ ๑,
ฯเปฯ เอกํ ธมฺมายตนํ โหติ, เอกา ธมฺมธาตุ โหติ;
ฯลฯ ธัมมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา กุสลา. ฯเปฯ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล ฯลฯ
[๑๗๕] กตโม ตสฺมึ สมเย สงฺขารกฺขนฺโธ โหติ?
116
อารมณ์ ๔.
[๑๘๑] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๑๘๑] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหรติ ปริตตฺ ํ ปริตตฺ ารมฺมณํ ปĘวีกสิณ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมสิ งัดจากกาม สงัดจาก-
อกุศลธรรมทัง้ หลายแล้วบรรลุปฐมฌานทีม่ ปี ฐวีกสิณเป็นอารมณ์มกี ำลัง-
น้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๑๘๒] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๑๘๒] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหรติ ปริตตฺ ํ อปฺปมาณารมฺมณํ ปĘวีกสิณ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมสิ งัดจากกาม สงัดจาก-
อกุศลธรรมทัง้ หลายแล้วบรรลุปฐมฌานทีม่ ปี ฐวีกสิณเป็นอารมณ์มกี ำลัง-
น้อย มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ,
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๑๘๓] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๑๘๓] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ
120
[๑๙๖] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหรติ สุขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ อปฺปมาณํ ปริตตฺ ารมฺมณํ
ปĘวีกสิณ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมสิ งัดจากกาม สงัดจาก-
อกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานทีม่ ปี ฐวีกสิณเป็นอารมณ์เป็นสุขา-
ปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ; ฯลฯ
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๑๙๗] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๑๙๗] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหรติ สุขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ อปฺปมาณํ อปฺปมาณารมฺมณํ
ปĘวีกสิณ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมสิ งัดจากกาม สงัดจาก-
อกุศลธรรมทัง้ หลายแล้วบรรลุปฐมฌานทีม่ ปี ฐวีกสิณเป็นอารมณ์ เป็นสุขา-
ปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๑๙๘] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๑๙๘] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ
127
มีกำลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย
ฯเปฯ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ ปริตตฺ ํ อปฺปมาณารมฺมณํ ปĘวีกสิณ;ํ
ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์;
ฯเปฯ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ú อปฺปมาณํ ปริตตฺ ารมฺมณํ ปĘวีกสิณ;ํ
ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย;
ฯเปฯ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ อปฺปมาณํ อปฺปมาณารมฺมณํ ปĘวีกสิณ;ํ
ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์;
ฯเปฯ ทุกขฺ ปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ ปริตตฺ ํ ปริตตฺ ารมฺมณํ ปĘวีกสิณ;ํ
ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญามีกำลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย;
ฯเปฯ ทุกขฺ ปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ú ปริตตฺ ํ อปฺปมาณารมฺมณํ ปĘวีกสิณ;ํ
ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญามีกำลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์;
ฯเปฯ ทุกขฺ ปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ อปฺปมาณํ ปริตตฺ ารมฺมณํ ปĘวีกสิณ;ํ
ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญามีกำลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย;
ฯเปฯ ทุกขฺ ปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ú อปฺปมาณํ อปฺปมาณารมฺมณํ ปĘวีกสิณ;ํ
ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญามีกำลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์;
ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ú ปริตตฺ ํ ปริตตฺ ารมฺมณํ ปĘวีกสิณ;ํ
ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย;
ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ ปริตตฺ ํ อปฺปมาณารมฺมณํ ปĘวีกสิณ;ํ
ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์;
ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ อปฺปมาณํ ปริตตฺ ารมฺมณํ ปĘวีกสิณ;ํ
ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย;
ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ อปฺปมาณํ อปฺปมาณารมฺมณํ ปĘวีกสิณ;ํ
ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์;
ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ ปริตตฺ ํ ปริตตฺ ารมฺมณํ ปĘวีกสิณ;ํ
ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญามีกำลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย;
ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ ปริตตฺ ํ อปฺปมาณารมฺมณํ ปĘวีกสิณ;ํ
130
จตสฺโส ปฏิปทา.
ปฏิปทา ๔ จบ.
เทฺว อารมฺมณานิ.
อารมณ์ ๒.
[๒๑๑] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๑๑] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ ปริตตฺ านิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ ชานามิ ปสฺสามีติ วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ
ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ปริตตฺ ํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกทีเ่ ล็กน้อยตัง้ ใจว่าจะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้วบรรลุปฐมฌานมีกำลังน้อย
มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๑๒] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๑๒] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ ปริตตฺ านิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ ชานามิ ปสฺสามีติ วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ
ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ อปฺปมาณํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกทีเ่ ล็กน้อยตัง้ ใจว่าจะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้วบรรลุปฐมฌานมีกำลังมาก
มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
136
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ ปริตตฺ านิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ ชานามิ ปสฺสามีติ วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ
ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ ปริตตฺ ํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกทีเ่ ล็กน้อยตัง้ ใจว่าจะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้
สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานเป็นทุกขา-
ปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๑๕] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๑๕] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ ปริตตฺ านิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ ชานามิ ปสฺสามีติ วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ
ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ อปฺปมาณํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกทีเ่ ล็กน้อยตัง้ ใจว่าจะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้
สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานเป็นทุกขา-
ปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๑๖] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๑๖] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
138
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ ปริตตฺ านิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ ชานามิ ปสฺสามีติ วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ
ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ ปริตตฺ ํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกทีเ่ ล็กน้อยตัง้ ใจว่าจะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้
สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานเป็นทุกขา-
ปฏิปทาขิปปาภิญญามีกำลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล
[๒๑๗] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๑๘] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ ปริตตฺ านิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ ชานามิ ปสฺสามีติ วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ
ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ อปฺปมาณํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกทีเ่ ล็กน้อยตัง้ ใจว่าจะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้
สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานเป็นทุกขา-
ปฏิปทาขิปปาภิญญามีกำลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล
[๒๑๘] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๑๘] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
139
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ ปริตตฺ านิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ ชานามิ ปสฺสามีติ วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ
ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ สุขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ ปริตตฺ ํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกทีเ่ ล็กน้อยตัง้ ใจว่าจะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้
สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานเป็นสุขา-
ปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านัน้ ชือ่ ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๑๙] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๑๙] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ ปริตตฺ านิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ ชานามิ ปสฺสามีติ วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ
ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ สุขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ อปฺปมาณํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกทีเ่ ล็กน้อยตัง้ ใจว่าจะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้
สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานเป็นสุขา-
ปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๒๐] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๒๐] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
140
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ ปริตตฺ านิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ ชานามิ ปสฺสามีติ วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ
ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ ปริตตฺ ํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกทีเ่ ล็กน้อยตัง้ ใจว่าจะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้
สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานเป็นสุขา-
ปฏิปทาขิปปาภิญญามีกำลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๒๑] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๒๑] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ ปริตตฺ านิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ ชานามิ ปสฺสามีติ วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ
ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ อปฺปมาณํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกทีเ่ ล็กน้อยตัง้ ใจว่าจะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้
สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานเป็นสุขาป-
ฏิปทาขิปปาภิญญามีกำลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๒๒] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๒๒] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
141
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ ปริตตฺ านิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ ชานามิ ปสฺสามีติ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา
ฯเปฯ ทุตยิ ํ ฌานํ ฯเปฯ ตติยํ ฌานํ ฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ ฯเปฯ
ปċฺจมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ ปริตตฺ ํ
ปริตตฺ ารมฺมณํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายใน เห็นรูปภายนอกทีเ่ ล็กน้อยตัง้ ใจว่าจะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้
บรรลุทตุ ยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯบรรลุปฐม-
ฌาน ฯลฯ บรรลุปญ ั จมฌานเป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังน้อย
มีอารมณ์เล็กน้อย;
ฯเปฯ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ อปฺปมาณํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังมากมีอารมณ์เล็กน้อย;
ฯเปฯ ทุกขฺ ปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ ปริตตฺ ํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังน้อยมีอารมณ์เล็กน้อย;
ฯเปฯ ทุกขฺ ปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ อปฺปมาณํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญามีกำลังมากมีอารมณ์เล็กน้อย;
ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ ปริตตฺ ํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังน้อยมีอารมณ์เล็กน้อย;
ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ อปฺปมาณํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาทันธาภิญญามีกำลังมากมีอารมณ์เล็กน้อย;
ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ ปริตตฺ ํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญามีกำลังน้อยมีอารมณ์เล็กน้อย;
ฯเปฯ สุขาปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ อปฺปมาณํ ปริตตฺ ารมฺมณํ;
ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญามีกำลังมากมีอารมณ์เล็กน้อยอยูใ่ น-
สมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
142
[๒๓๓] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ อปฺปมาณานิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ ชานามิ ปสฺสามีติ วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ
ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ อปฺปมาณํ อปฺปมาณารมฺมณํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกทีไ่ พบูลย์ ตัง้ ใจว่าจะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้
สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานมีกำลังมาก
มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ฯลฯ
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๓๔] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๓๔] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ อปฺปมาณานิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ ชานามิ ปสฺสามีติ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา
ฯเปฯ ทุตยิ ํ ฌานํ ฯเปฯ ตติยํ ฌานํ ฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ ฯเปฯ
ปċฺจมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ปริตตฺ ํ อปฺปมาณารมฺมณํ; ฯเปฯ อปฺปมาณํ
อปฺปมาณารมฺมณํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกทีไ่ พบูลย์ ตัง้ ใจว่าจะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้
บรรลุทตุ ยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐม
ฌาน ฯลฯ บรรลุปญ ั จมฌานมีกำลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ มีกำลังมาก
มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
149
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ อปฺปมาณานิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ ชานามิ ปสฺสามีติ วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ
ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ สุขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ อปฺปมาณํ
อปฺปมาณารมฺมณํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกทีไ่ พบูลย์ ตัง้ ใจว่าจะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้
สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานเป็นสุขาปฏิ-
ปทาทันธาภิญญามีกำลังมากมีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๔๑] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๔๑] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ อปฺปมาณานิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ ชานามิ ปสฺสามีติ วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ
ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ ปริตตฺ ํ
อปฺปมาณารมฺมณํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกทีไ่ พบูลย์ ตัง้ ใจว่าจะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้
สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานเป็นสุขาปฏิ-
ปทาขิปปาภิญญามีกำลังน้อยมีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
153
จำแนกอภิภายตนเป็นอย่างละ ๑๖.
[๒๔๖] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๔๖] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ? อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ นีลานิ นีลวณฺณานิ นีลนิทสฺสนานิ นีลนิภาสานิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ
ชานามิ ปสฺสามีติ วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกทีเ่ ขียวมีวรรณเขียวเขียวแท้มรี ศั มีเขียว ตัง้ ใจว่า
จะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้ สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว
บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๔๗] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๔๗] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ ปีตานิ ปีตวณฺณานิ ปีตนิทสฺสนานิ ปีตนิภาสานิ, ฯเปฯ โลหิตกานิ
โลหิตกวณฺณานิ โลหิตกนิทสฺสนานิ โลหิตกนิภาสานิ, ฯเปฯ โอทาตานิ
โอทาตวณฺณานิ โอทาตนิทสฺสนานิ โอทาตนิภาสานิ, ตานิ อภิภยุ ยฺ ชานามิ
ปสฺสามีติ วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกทีเ่ หลืองมีวรรณเหลืองเหลืองแท้มรี ศั มีเหลืองฯลฯ
เห็นรูปภายนอกทีแ่ ดงมีวรรณแดงแดงแท้มรี ศั มีแดง ฯลฯ เห็นรูปภายนอก-
ทีข่ าวมีวรรณขาวขาวแท้มรี ศั มีขาว ตัง้ ใจว่าจะรูจ้ ะเห็นครอบงำรูปนัน้
สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ อยูใ่ น-
157
สมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา ฯเปฯ
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
อิมานิปิ อภิภายตนานิ โสฬสกฺขตฺตกุ านิ.
อภิภายตนะแม้เหล่านีก้ แ็ จกอย่างละ ๑๖.
ตีนิ วิโมกขานิ โสฬสกฺขตฺตกุ านิ.
จำแนกวิโมกข์ ๓ เป็นอย่างละ ๑๖.
[๒๔๘] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๔๘] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, รูปี รูปานิ ปสฺสติ, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ
ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมเิ ป็นผูไ้ ด้ฌานมีรปู ภายใน
เป็นอารมณ์เห็นรูปทัง้ หลายสงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว
บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ,ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๔๙] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๔๙] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อชฺฌตฺตํ อรูปสċฺċี พหิทธฺ า รูปานิ
ปสฺสติ, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมไิ ม่มบี ริกรรมสัญญาใน-
รูปภายในเห็นรูปภายนอกสงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว
158
อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๕๒] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๕๒] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา ฯเปฯ ทุตยิ ํ
ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ เมตฺตาสหคตํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมบิ รรลุทตุ ยิ ฌานทีส่ หร-
คตด้วยเมตตา ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๕๓] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๕๓] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, ปีตยิ า จ วิราคา ฯเปฯ ตติยํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหรติ เมตฺตาสหคตํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมเิ พราะคลายปีตไิ ด้อกี ด้วย
ฯลฯ บรรลุตติยฌานนัน้ ทีส่ หรคตด้วยเมตตาอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๕๔] กตเม ธมฺมา กุสลา?
160
[๒๕๔] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปมํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหรติ เมตฺตาสหคตํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมสิ งัดจากกามสงัดจาก-
อกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานทีส่ หรคตด้วยเมตตา ฯลฯ
อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๕๕] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๕๕] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, อวิตกฺกํ วิจารมตฺตํ สมาธิชํ ปีตสิ ขุ ํ
ทุตยิ ํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ เมตฺตาสหคตํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมบิ รรลุทตุ ยิ ฌานทีส่ หรคต
ด้วยเมตตา ไม่มวี ติ กมีแต่วจิ ารมีปตี แิ ละสุขอันเกิดจากสมาธิอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๕๖] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๕๖] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา ฯเปฯ ตติยํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหรติ เมตฺตาสหคตํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมบิ รรลุตติยฌานทีส่ หรคต
ด้วยเมตตา ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
161
[๒๕๙] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา ฯเปฯ ทุตยิ ํ ฌานํ
ฯเปฯ ตติยํ ฌานํ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ ฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
กรุณาสหคตํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมบิ รรลุทตุ ยิ ฌาน ฯลฯ
บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌานนัน้ ทีส่ หรคต
ด้วยกรุณาอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๖๐] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๖๐] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหรติ มุทติ าสหคตํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมสิ งัดจากกามสงัดจาก-
กุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมญานทีส่ หรคตด้วยมุทติ า ฯลฯ
อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๖๑] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๖๑] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา ฯเปฯ ทุตยิ ํ ฌานํ
ฯเปฯ ตติยํ ฌานํ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ ฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
163
มุทติ าสหคตํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมบิ รรลุทตุ ยิ ฌาน ฯลฯ
บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมญาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌานนัน้ ทีส่ หรคต-
ด้วยมุทติ าอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๖๒] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๖๒] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, สุขสฺส จ ปหานา ฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหรติ อุเปกฺขาสหคตํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมบิ รรลุจตุตถฌานทีส่ หร-
คตด้วยอุเบกขา ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
จตฺตาริ พฺรหฺมวิหารฌานานิ โสฬสกฺขตฺตกุ านิ.
จำแนกพรหมวิหารฌาน ๔ เป็นอย่างละ ๑๖ จบ.
อสุภฌานํ โสฬสกฺขตฺตกุ .ํ
จำแนกอสุภฌานเป็นอย่างละ ๑๖.
[๒๖๓] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๖๓] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหรติ อุทธฺ มุ าตกสċฺċาสหคตํ;
164
จำแนกอสุภฌานเป็นอย่างละ ๑๖ จบ.
รูปาวจรกุสลํ.
รูปาวจรกุศลจิตจบ.
อรูปาวจรกุสลจิต.
จตฺตาริ อรูปฌานานิ โสฬสกฺขตฺตกุ านิ.
จำแนกอรูปฌาน ๔ เป็นอย่างละ ๑๖.
[๒๖๕] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๖๕] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย อรูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, สพฺพโส รูปสċฺċานํ สมติกกฺ มา
ปฏิฆสċฺċานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสċฺċานํ อมนสิการา อากาสานċฺจายตน-
สċฺċาสหคตํ สุขสฺส จ ปหานา ฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
อุเปกฺขาสหคตํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงอรูปภูมเิ พราะก้าวล่วงรูปสัญ-
ญาโดยประการทัง้ ปวงเพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะไม่มนสิ-
การซึง่ นานัตตสัญญา จึงบรรลุจตุตถฌานอันสหรคตต้องอากาสานัญจาย-
ตนสัญญาสหรคตด้วยอุเบกขา ไม่มที กุ ข์ไม่มสี ขุ เพราะละสุขและทุกข์ได้
เพราะโสมนัสและโทมนัสดับสนิทในก่อน มีสติบริสทุ ธิเ์ พราะอุเบกขา
อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๖๖] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๖๖] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย อรูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, สพฺพโส อากาสานċฺจายตนํ สมติก-ฺ
กมฺม วิċċ ฺ าณċฺจายตนสċฺċาสหคตํ สุขสฺส จ ปหานา ฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํ
166
รูปาวจรกุสลจิต.
[๒๗๑] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๗๑] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย รูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหรติ ปĘวีกสิณํ หีนํ ฯเปฯ มชฺฌมิ ํ ฯเปฯ ปณีตํ ฯเปฯ ฉนฺทาธิปเตยฺยํ
ฯเปฯ วิรยิ าธิปเตยฺยํ ฯเปฯ จิตตฺ าธิปเตยฺยํ ฯเปฯ วีมสํ าธิปเตยฺยํ ฯเปฯ ฉนฺทาธิปเตยฺย;ํ
หีนํ ฯเปฯ มชฺฌมิ ํ ฯเปฯ ปณีตํ ฯเปฯ วิรยิ าธิปเตยฺยํ หีนํ ฯเปฯ มชฺฌมิ ํ ฯเปฯ ปณีตํ
ฯเปฯ จิตตฺ าธิปเตยฺยํ หีนํ ฯเปฯ มชฺฌมิ ํ ฯเปฯ ปณีตํ ฯเปฯ วีมสํ าธิปเตยฺยํ หีนํ ฯเปฯ
มชฺฌมิ ํ ฯเปฯ ปณีต;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงรูปภูมสิ งัดจากกาม สงัดจาก-
อกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานทีม่ ปี ฐวีกสิณเป็นอารมณ์ ฯลฯ
เป็นอย่างต่ำ ฯลฯ เป็นอย่างกลาง ฯลฯ เป็นอย่างประณีต ฯลฯ เป็นฉันทาธิบดี
ฯลฯ เป็นวิรยิ าธิบดี ฯลฯ เป็นจิตตาธิบดี ฯลฯ เป็นวิมงั สาธิบดี ฯลฯ เป็นฉัน-
ทาธิบดีอย่างต่ำ ฯลฯ เป็นฉันทาธิบดีอย่างกลาง ฯลฯ เป็นฉันทาธิบดีอย่าง-
ประณีต ฯลฯ เป็นวิรยิ าธิบดีอย่างต่ำ ฯลฯ เป็นวิรยิ าธิบดีอย่างกลาง ฯลฯ เป็น-
วิรยิ าธิบดีอย่างประณีต ฯลฯ เป็นจิตตาธิบดีอย่างต่ำ ฯลฯ เป็นจิตตาธิบดีอย่าง
กลาง ฯลฯ เป็นจิตตาธิบดีอย่างประณีต ฯลฯ เป็นวิมงั สาธิบดีอย่างต่ำ ฯลฯ
เป็นวิมงั สาธิบดีอย่างกลาง ฯลฯ เป็นวิมงั สาธิบดีอย่างประณีตอยูใ่ นสมัยใด;
170
[๒๗๕] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย อรูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, สพฺพโส วิċċ ฺ าณċฺจายตนํ สมติก-ฺ
กมฺม อากิċจฺ ċฺċายตนสċฺċาสหคตํ สุขสฺส จ ปหานา ฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหรติ หีนํ ฯเปฯ มชฺฌมิ ํ ฯเปฯ ปณีตํ ฯเปฯ ฉนฺทาธิปเตยฺยํ ฯเปฯ
วิรยิ าธิปเตยฺยํ ฯเปฯ จิตตฺ าธิปเตยฺยํ ฯเปฯ วีมสํ าธิปเตยฺยํ ฯเปฯ ฉนฺทาธิปเตยฺย;ํ หีนํ
ฯเปฯ มชฺฌมิ ํ ฯเปฯ ปณีตํ ฯเปฯ วิรยิ าธิปเตยฺยํ หีนํ ฯเปฯ มชฺฌมิ ํ ฯเปฯ ปณีตํ ฯเปฯ
จิตตฺ าธิปเตยฺยํ หีนํ ฯเปฯ มชฺฌมิ ํ ฯเปฯ ปณีตํ ฯเปฯ วีมสํ าธิปเตยฺยํ หีนํ ฯเปฯ
มชฺฌมิ ํ ฯเปฯ ปณีต;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงอรูปภูมเิ พราะก้าวล่วงวิญญา-
ณัญจายตนะโดยประการทัง้ ปวงจึงบรรลุจตุตถฌานอันสหรคตด้วยอากิญ-
จัญญายตนสัญญา ไม่มที กุ ข์ไม่มสี ขุ ฯลฯ เป็นอย่างต่ำ ฯลฯ เป็นอย่างกลาง
ฯลฯ เป็นอย่างประณีต ฯลฯ เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ เป็นวิรยิ าธิบดี ฯลฯ เป็น-
จิตตาธิบดี ฯลฯ เป็นวิมงั สาธิบดี ฯลฯ เป็นฉันทาธิบดีอย่างต่ำ ฯลฯ เป็นฉัน-
ทาธิบดีอย่างกลาง ฯลฯ เป็นฉันทาธิบดีอย่างประณีต ฯลฯ เป็นวิรยิ าธิบดี-
อย่างต่ำ ฯลฯ เป็นวิรยิ าธิบดีอย่างกลาง ฯลฯ เป็นวิรยิ าธิบดีอย่างประณีต ฯลฯ
เป็นจิตตาธิบดีอย่างต่ำ ฯลฯ เป็นจิตตาธิบดีอย่างกลาง ฯลฯ เป็นจิตตาธิบดี-
อย่างประณีต ฯลฯ เป็นวิมงั สาธิบดีอย่างต่ำ ฯลฯ เป็นวิมงั สาธิบดีอย่างกลาง
ฯลฯ เป็นวิมงั สาธิบดีอย่างประณีตอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๒๗๖] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๗๖] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย อรูปปู ปตฺตยิ า, มคฺคํ ภาเวติ, สพฺพโส อากิċจฺ ċฺċายตนํ
สมติกกฺ มฺม เนวสċฺċานาสċฺċายตนสċฺċาสหคตํ สุขสฺส จ ปหานา ฯเปฯ
174
จตุตถฺ ํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ หีนํ ฯเปฯ มชฺฌมิ ํ ฯเปฯ ปณีตํ ฯเปฯ ฉนฺทาธิป-
เตยฺยํ ฯเปฯ วิรยิ าธิปเตยฺยํ ฯเปฯ จิตตฺ าธิปเตยฺยํ ฯเปฯ วีมสํ าธิปเตยฺยํ ฯเปฯ ฉนฺทาธิป-
เตยฺย;ํ หีนํ ฯเปฯ มชฺฌมิ ํ ฯเปฯ ปณีตํ ฯเปฯ วิรยิ าธิปเตยฺยํ หีนํ ฯเปฯ มชฺฌมิ ํ ฯเปฯ
ปณีตํ ฯเปฯ จิตตฺ าธิปเตยฺยํ หีนํ ฯเปฯ มชฺฌมิ ํ ฯเปฯ ปณีตํ ฯเปฯ วีมสํ าธิปเตยฺยํ หีนํ
ฯเปฯ มชฺฌมิ ํ ฯเปฯ ปณีต;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เข้าถึงอรูปภูมเิ พราะก้าวล่วงอากิญ-
จัญญายตนะโดยประการทัง้ ปวงจึงบรรลุจตุตถฌานอันสหรคตด้วยเนวสัญ-
ญานาสัญญายตนสัญญา ไม่มที กุ ข์ไม่มสี ขุ ฯลฯ เป็นอย่างต่ำ ฯลฯ เป็นอย่าง-
กลาง ฯลฯ เป็นอย่างประณีต ฯลฯ เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ เป็นวิรยิ าธิบดี ฯลฯ
เป็นจิตตาธิบดี ฯลฯ เป็นวิมงั สาธิบดี ฯลฯ เป็นฉันทาธิบดีอย่างต่ำ ฯลฯ เป็น-
ฉันทาธิบดีอย่างกลาง ฯลฯ เป็นฉันทาธิบดีอย่างประณีต ฯลฯ เป็นวิรยิ าธิบดี-
อย่างต่ำ ฯลฯ เป็นวิรยิ าธิบดีอย่างกลาง ฯลฯ เป็นวิรยิ าธิบดีอย่างประณีต ฯลฯ
เป็นจิตตาธิบดีอย่างต่ำ ฯลฯ เป็นจิตตาธิบดีอย่างกลาง ฯลฯ เป็นจิตตาธิบดี-
อย่างประณีต ฯลฯ เป็นวิมงั สาธิบดีอย่างต่ำ ฯลฯ เป็นวิมงั สาธิบดีอย่างกลาง
ฯลฯ เป็นวิมงั สาธิบดีอย่างประณีตอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯอวิกเขปะ มีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
อรูปาวจรกุสลจิตจบ.
โลกุตตฺ รกุสลจิต.
สุทธิกปฏิปทา.
มรรคจิตดวงที่ ๑.
[๒๗๗] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๗๗] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
175
กายปฺปสฺสทฺธิ โหติ, จิตตฺ ปฺปสฺสทฺธิ โหติ; กายลหุตา โหติ, จิตตฺ ลหุตา โหติ;
กายมุทตุ า โหติ, จิตตฺ มุทตุ า โหติ; กายกมฺมċฺċตา โหติ, จิตตฺ กมฺมċฺċตา
โหติ; กายปาคุċċ ฺ ตา โหติ, จิตตฺ ปาคุċċ ฺ ตา โหติ; กายุชกุ ตา โหติ, จิตตฺ ชุ กุ ตา
โหติ;
กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ กายลหุตา จิตตลหุตา กายมุทตุ า จิตตมุทตุ า
กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา กายปาคุญญตา จิตตปาคุญญตา กายุชกุ ตา
จิตตุชกุ ตา;
สติ โหติ, สมฺปชċฺċํ โหติ; สมโถ โหติ, วิปสฺสนา โหติ; ปคฺคาโห โหติ,
อวิกเฺ ขโป โหติ;
สติสมั ปชัญญะ สมถะ วิปสั สนา ปัคคาหะ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา กุสลา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่า ธรรมเป็นกุศล
[๒๗๘] กตโม ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ?
[๒๗๘] ผัสสะมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
โย ตสฺมึ สมเย ผสฺโส ผุสนา สมฺผสุ นา สมฺผสุ ติ ตฺต;ํ
การกระทบ กิรยิ าทีก่ ระทบ กิรยิ าทีถ่ กู ต้อง ความถูกต้องมีในสมัยนัน้ ;
อยํ ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ.
อันใดนีช้ อ่ื ว่าผัสสะมีในสมัยนัน้ .
[๒๗๙] กตมา ตสฺมึ สมเย เวทนา โหติ?
[๒๗๙] เวทนามีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยํ ตสฺมึ สมเย ตชฺชามโนวิċċ ฺ าณธาตุสมฺผสฺสชํ เจตสิกํ สาตํ เจตสิกํ สุข,ํ
เจโตสมฺผสฺสชํ สาตํ สุขํ เวทยิต,ํ เจโตสมฺผสฺสชา สาตา สุขา เวทนา;
ความสบายทางใจ ความสุขทางใจอันเกิดแต่สมั ผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุท-่ี
สมกัน ความเสวยอารมณ์ทส่ี บายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิรยิ าเสวย-
177
ในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย จิตตฺ ปาคุċċ ฺ ตา โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าจิตตปาคุญญตามีในสมัยนัน้ .
[๓๓๐] กตมา ตสฺมึ สมเย กายุชกุ ตา โหติ?
[๓๓๐] กายุชกุ ตามีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา ตสฺมึ สมเย เวทนากฺขนฺธสฺส สċฺċากฺขนฺธสฺส สงฺขารกฺขนฺธสฺส อุชตุ า
อุชกุ ตา อชิมหฺ ตา อวงฺกตา อกุฏลิ ตา;
ความตรง กิรยิ าทีต่ รง ความไม่คด ความไม่โค้ง ความไม่งอ แห่งเวทนาขันธ์
สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย กายุชกุ ตา โหติ.
นีช้ อ่ื ว่ากายุชกุ ตามีในสมัยนัน้ .
[๓๓๑] กตมา ตสฺมึ สมเย จิตตฺ ชุ กุ ตา โหติ?
[๓๓๑] จิตตุชกุ ตามีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา ตสฺมึ สมเย วิċċ ฺ าณกฺขนฺธสฺส อุชตุ า อุชกุ ตา อชิมหฺ ตา อวงฺกตา
อกุฏลิ ตา;
ความตรง กิรยิ าทีต่ รง ความไม่คด ความไม่โค้ง ความไม่งอแห่งวิญญาณ-
ขันธ์ในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย จิตตฺ ชุ กุ ตา โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าจิตตุชกุ ตามีในสมัยนัน้ .
[๓๓๒] กตมา ตสฺมึ สมเย สติ โหติ?
[๓๓๒] สติมใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา ตสฺมึ สมเย สติ อนุสสฺ ติ ปฏิสสฺ ติ, สติ สรณตา, ธารณตา อปิลาปนตา
อสมฺมสุ นตา, สติ สตินทฺ รฺ ยิ ํ สติพลํ, สมฺมาสติ สติสมฺโพชฺฌงฺโค, มคฺคงฺคํ
มคฺคปริยาปนฺน;ํ
สติความตามระลึก ความหวนระลึก สติ กิรยิ าทีร่ ะลึก ความทรงจำ ความไม่
เลือ่ นลอย ความไม่หลงลืม สติ สตินทรีย์ สติพละ ความระลึกชอบ สติสมั -
198
มคฺคงฺคํ มคฺคปริยาปนฺน;ํ
ความตัง้ อยูแ่ ห่งจิต ความดำรงอยูแ่ ห่งจิต ความมัน่ คงแห่งจิต ความไม่สา่ ย-
ไปแห่งจิต ความไม่ฟงุ้ ซ่านแห่งจิต ภาวะทีจ่ ติ ไม่สา่ ยไป ความสงบ สมา-
ธินทรีย์ สมาธิพละ ความตัง้ ใจชอบ สมาธิสมั โพชฌงค์อนั เป็นองค์แห่ง-
มรรค นับเนือ่ งในมรรคในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย สมโถ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าสมถะมีในสมัยนัน้ .
[๓๓๕] กตมา ตสฺมึ สมเย วิปสฺสนา โหติ?
[๓๓๕] วิปสั สนามีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา ตสฺมึ สมเย ปċฺċา ปชานนา, วิจโย ปวิจโย ธมฺมวิจโย, สลฺลกฺขณา
อุปลกฺขณา ปจฺจปุ ลกฺขณา, ปณฺฑจิ จฺ ํ โกสลฺลํ เนปุċċ ฺ ,ํ เวภพฺยา จินตฺ า
อุปปริกขฺ า, ภูรี เมธา ปริณายิกา,
ปัญญากิรยิ าทีร่ ชู้ ดั ความวิจยั ความเลือกสรร ความวิจยั ธรรม ความกำหนด
หมาย ความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ภาวะทีร่ ู้ ภาวะทีฉ่ ลาด
ภาวะทีร่ ลู้ ะเอียด ความรูแ้ จ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวญ ปัญญา-
เหมือนแผ่นดิน ปัญญาเครือ่ งทำลายกิเลส ปัญญาเครือ่ งนำทาง,
วิปสฺสนา สมฺปชċฺċํ ปโตโท, ปċฺċา ปċฺċนิ ทฺ รฺ ยิ ํ ปċฺċาพลํ, ปċฺċาสตฺถํ
ปċฺċาปาสาโท ปċฺċาอาโลโก ปċฺċาโอภาโส ปċฺċาปชฺโชโต ปċฺċารตนํ,
อโมโห ธมฺมวิจโย, สมฺมาทิฏĘฺ ิ ธมฺมวิจยสมฺโพชฺฌงฺโค, มคฺคงฺคํ
มคฺคปริยาปนฺน;ํ
ความเห็นแจ้ง ความรูช้ ดั ปัญญาเหมือนปฏัก ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ
ปัญญาเหมือนศาตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ความสว่างคือปัญญา แสงสว่าง
คือปัญญา ปัญญาเหมือนประทีป ปัญญาเหมือนดวงแก้ว ความไม่หลง
ความวิจยั ธรรม สัมมาทิฏฐิ ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์อนั เป็นองค์แห่งมรรค
นับเนือ่ งในมรรคในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย วิปสฺสนา โหติ.
200
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
ทุกขฺ ปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พานเพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล-
ธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานเป็นทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา
อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๓๔๐] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๓๔๐] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
สุขขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล-
ธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานเป็นสุขปฏิปทาทันธาภิญญา
อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๓๔๑] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๓๔๑] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
204
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
สุขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล-
ธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานเป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา
อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๓๔๒] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๓๔๒] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา ฯเปฯ ทุตยิ ํ ฌานํ ฯเปฯ ตติยํ
ฌานํ ฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ ฯเปฯ ปċฺจมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช
วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ;ํ ฯเปฯ ทุกขฺ ปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ;ํ ฯเปฯ
สุขาปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ;ํ ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น บรรลุทตุ ยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุ-
ตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปญ ั จมฌาน
เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯลฯ
เป็นสุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯลฯ อยูใ่ น
สมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
205
ภิญญาอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๓๔๗] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๓๔๗] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
สุขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ สุċċฺ ตํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล-
ธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานชนิดสุญญตะเป็นสุขาปฏิปทาทันธา-
ภิญญาอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๓๔๘] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๓๔๘] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ สุċċฺ ตํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล-
ธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานชนิดสุญญตะเป็นสุขาปฏิปทาขิปปา-
208
ภิญญาอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๓๔๙] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๓๔๙] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา ฯเปฯ ทุตยิ ํ ฌานํ ฯเปฯ ตติยํ
ฌานํ ฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ ฯเปฯ ปċŇจมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช
วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ Ň ú สุċċ Ň ตํ; ฯเปฯ ทุกขฺ ปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ Ň ú
สุċċŇ ตํ; ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ Ň ú สุċċ Ň ตํ; ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ Ň ú
สุċċ Ň ตํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น บรรลุทตุ ยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุ-
ตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปญ ั จม-
ฌานชนิดสุญญตะเป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ ชนิดสุญญตะ ฯลฯ
เป็นทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯลฯ ชนิดสุญญตะเป็นสุขาปฏิปทาทันธา-
ภิญญา ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
สุญญตมูลกปฏิปทาจบ.
อัปปณิหติ ะ.
[๓๕๐] กตเม ธมฺมา กุสลา?
209
[๓๕๐] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
อปฺปณิหติ ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล-
ธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานชนิดอัปปณิหติ ะอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๓๕๑] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๓๕๑] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา ฯเปฯ ทุตยิ ํ ฌานํ ฯเปฯ ตติยํ
ฌานํ ฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ ฯเปฯ ปċŇจมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช
วิหรติ อปฺปณิหติ ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พานเพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น บรรลุทตุ ยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุต-
ติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปญ ั จมฌาน
ชนิดอัปปณิหติ ะอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
อปฺปณิหติ .ํ
210
อปฺปณิหติ มูลกปฏิปทา.
[๓๕๒] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๓๕๒] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ Ň อปฺปณิหติ ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล-
ธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานชนิดอัปปณิหติ ะ เป็นทุกขาปฏิปทาทัน-
ธาภิญญาอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๓๕๓] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๓๕๓] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
ทุกขฺ ปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ Ň ú อปฺปณิหติ ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล-
ธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานชนิดอัปปณิหติ ะ เป็นทุกขาปฏิปทาขิป-
ปาภิญญาอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
211
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ สติปฏฺĘานํ ภาเวติ ฯเปฯ
เจริญสติปฏั ฐานเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ สมฺมปฺปธานํ ภาเวติ ฯเปฯ
เจริญสัมมัปปธานเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ อิทธฺ ปิ าทํ ภาเวติ ฯเปฯ
เจริญอิทธิบาทเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ อินทฺ รฺ ยิ ํ ภาเวติ ฯเปฯ
เจริญอินทรียเ์ ป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ พลํ ภาเวติ ฯเปฯ
เจริญพละเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ โพชฺฌงฺคํ ภาเวติ ฯเปฯ
เจริญโพชฌงค์เป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ สจฺจํ ภาเวติ ฯเปฯ
เจริญสัจจะเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ สมถํ ภาเวติ ฯเปฯ
เจริญสมถะเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ ธมฺมํ ภาเวติ ฯเปฯ
เจริญธรรมเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ ขนฺธํ ภาเวติ ฯเปฯ
เจริญขันธ์เป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ อายตนํ ภาเวติ ฯเปฯ
เจริญอายตนะเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ ธาตุํ ภาเวติ ฯเปฯ
เจริญธาตุเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ อาหารํ ภาเวติ ฯเปฯ
214
เจริญอาหารเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ ผสฺสํ ภาเวติ ฯเปฯ
เจริญผัสสะเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ เวทนํ ภาเวติ ฯเปฯ
เจริญเวทนาเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ สċŇċņ ภาเวติ ฯเปฯ
เจริญสัญญาเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ เจตนํ ภาเวติ ฯเปฯ
เจริญเจตนาเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
โลกุตตฺ รํ จิตตฺ ํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย ปĘมาย
ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ Ň ú;
เจริญจิตเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไปสูน่ พิ พาน เพือ่ ละ
ทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว
บรรลุปฐมฌานเป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
วีสติ มหานยา.
มหานัย ๒๐ จบ.
อธิปติ.
[๓๕๘] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๒๗๐] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
215
ในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย วิตกฺโก โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าวิตกมีในสมัยนัน้ .
[๓๗๒] กตโม ตสฺมึ สมเย วิจาโร โหติ?
[๓๗๒] วิจารมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
โย ตสฺมึ สมเย จาโร วิจาโร อนุวจิ าโร อุปวิจาโร, จิตตฺ สฺส อนุสนฺธนตา
อนุเปกฺขนตา;
ความตรอง ความพิจารณา ความตามพิจารณา ความเข้าไปพิจารณา
ความทีจ่ ติ สืบต่ออารมณ์ ความทีจ่ ติ เพ่งดูอารมณ์ในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย วิจาโร โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าวิจารมีในสมัยนัน้ .
[๓๗๓] กตมา ตสฺมึ สมเย ปีติ โหติ?
[๓๗๓] ปีตมิ ใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา ตสฺมึ สมเย ปีติ ปาโมชฺช,ํ อาโมทนา ปโมทนา, หาโส ปหาโส, วิตตฺ ิ
โอทคฺยํ อตฺตมนตา จิตตฺ สฺส;
ความอิม่ ใจ ความปราโมทย์ ความยินดียง่ิ ความบันเทิง ความร่าเริง
ความรืน่ เริง ความปลืม้ ใจ ความตืน่ เต้น ความทีจ่ ติ ชืน่ ชมยินดีในสมัยนัน้
อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย ปีติ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าปีตมิ ใี นสมัยนัน้ .
[๓๗๔] กตมํ ตสฺมึ สมเย สุขํ โหติ?
[๓๗๔] สุขมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยํ ตสฺมึ สมเย เจตสิกํ สาตํ เจตสิกํ สุข,ํ เจโตสมฺผสฺสชํ สาตํ สุขํ เวทยิต,ํ
เจโตสมฺผสฺสชา สาตา สุขา เวทนา;
ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ทส่ี บายเป็นสุขอันเกิด
แต่เจโตสัมผัส กิรยิ าทีเ่ สวยอารมณ์ทส่ี บายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส
224
ในสมัยนัน้ อันใด;
อิทํ ตสฺมึ สมเย สุขํ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าสุขมีในสมัยนัน้ .
[๓๗๕] กตมา ตสฺมึ สมเย จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ?
[๓๗๕] เอกัคคตามีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา ตสฺมึ สมเย จิตตฺ สฺส Ęิติ สณฺĘติ ิ อวฏฺĘติ ิ อวิสาหาโร อวิกเฺ ขโป
อวิสาหฏมานสตา, สมโถ สมาธินทฺ รฺ ยิ ํ สมาธิพลํ มิจฉฺ าสมาธิ;
การตัง้ อยูแ่ ห่งจิต ความดำรงอยูแ่ ห่งจิต ความมัน่ อยูแ่ ห่งจิต ความไม่สา่ ย-
ไปแห่งจิต ความไม่ฟงุ้ ซ่านแห่งจิต ภาวะทีจ่ ติ ไม่สา่ ยไป ความสงบ สมา-
ธินทรีย์ สมาธิพละ มิจฉาสมาธิในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าเอกัคคตามีในสมัยนัน้ .
[๓๗๖] กตมํ ตสฺมึ สมเย วิรยิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ?
[๓๗๖] วิรยิ นิ ทรียม์ ใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
โย ตสฺมึ สมเย เจตสิโก วิรยิ ารมฺโภ นิกกฺ โม ปรกฺกโม, อุยยฺ าโม วายาโม, อุสสฺ าโห
อุสโฺ สฬฺห,ี ถาโม ธิต,ิ อสิถลิ ปรกฺกมตา อนิกขฺ ติ ตฺ จฺฉนฺทตา อนิกขฺ ติ ตฺ ธุรตา
ธุรสมฺปคฺคาโห, วิรยิ ํ วิรยิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ วิรยิ พลํ มิจฉฺ าวายาโม;
การปรารภความเพียรทางใจ ความขะมักเขม้น ความบากบัน่ ความตัง้ หน้า
ความพยายาม ความอุตสาหะ ความทนทาน ความเข้มแข็ง ความหมัน่
ความก้าวไปอย่างไม่ทอ้ ถอย ความไม่ทอดทิง้ ฉันทะ ความไม่ทอดทิง้ ธุระ
ความประคับประคองธุระ วิรยิ ะ อินทรียค์ อื วิรยิ ะ วิรยิ พละ มิจฉาวายามะ
ในสมัยนัน้ อันใด;
อิทํ ตสฺมึ สมเย วิรยิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าวิรยิ นิ ทรียม์ ใี นสมัยนัน้ .
[๓๗๗] กตมํ ตสฺมึ สมเย สมาธินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ?
[๓๗๗] สมาธินทรียม์ ใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
225
ยา ตสฺมึ สมเย จิตตฺ สฺส Ęิติ สณฺĘติ ิ อวฏฺĘติ ;ิ อวิสาหาโร อวิกเฺ ขโป อวิสาหฏ-
มานสตา, สมโถ สมาธินทฺ รฺ ยิ ํ สมาธิพลํ มิจฉฺ าสมาธิ;
ความตัง้ อยูแ่ ห่งจิต ความดำรงอยูแ่ ห่งจิต ความมัน่ อยูแ่ ห่งจิต ความไม่สา่ ย-
ไปแห่งจิต ความไม่ฟงุ้ ซ่านแห่งจิต ภาวะทีจ่ ติ ไม่สา่ ยไป ความสงบ อินทรีย์
คือสมาธิ สมาธิพละ มิจฉาสมาธิในสมัยนัน้ อันใด;
อิทํ ตสฺมึ สมเย สมาธินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าสมาธินทรียม์ ใี นสมัยนัน้ .
[๓๗๘] กตมํ ตสฺมึ สมเย มนินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ?
[๓๗๘] มนินทรียม์ ใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยํ ตสฺมึ สมเย จิตตฺ ํ มโน มานสํ, หทยํ ปณฺฑรํ, มโน มนายตนํ มนินทฺ รฺ ยิ ,ํ
วิċċฺ าณํ วิċċ ฺ าณกฺขนฺโธ ตชฺชามโนวิċċ ฺ าณธาตุ;
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ อินทรียค์ อื มโนวิญญาณ
วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุทส่ี มกัน ในสมัยนัน้ อันใด;
อิทํ ตสฺมึ สมเย มนินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่ามนินทรียม์ ใี นสมัยนัน้ .
[๓๗๙] กตมํ ตสฺมึ สมเย โสมนสฺสนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ?
[๓๗๙] โสมนัสสินทรียม์ ใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยํ ตสฺมึ สมเย เจตสิกํ สาตํ เจตสิกํ สุข,ํ เจโตสมฺผสฺสชํ สาตํ สุขํ เวทยิต,ํ
เจโตสมฺผสฺสชา สาตา สุขา เวทนา;
ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ทส่ี บายเป็นสุข
อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิรยิ าทีเ่ สวยอารมณ์ทส่ี บายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัม-
ผัสในสมัยนัน้ อันใด;
อิทํ ตสฺมึ สมเย โสมนสฺสนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าโสมนัสสินทรียม์ ใี นสมัยนัน้ .
[๓๘๐] กตมํ ตสฺมึ สมเย ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ?
[๓๘๐] ชีวติ นิ ทรียม์ ใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
226
โย เตสํ อรูปนี ํ ธมฺมานํ อายุ Ęิติ ยปนา ยาปนา อิรยิ นา วตฺตนา ปาลนา,
ชีวติ ํ ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ;ํ
อายุความดำรงอยู่ ความเป็นไปอยู่ กิรยิ าทีเ่ ป็นไปอยู่ อาการสืบเนือ่ งกันอยู่
ความประพฤติเป็นไปอยู่ ความหล่อเลีย้ งอยู่ ชีวติ อินทรียค์ อื ชีวติ ของนาม-
ธรรมนัน้ ๆ ในสมัยนัน้ อันใด;
อิทํ ตสฺมึ สมเย ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าชีวติ นิ ทรียม์ ใี นสมัยนัน้ .
[๓๘๑] กตมา ตสฺมึ สมเย มิจฉฺ าทิฏĘฺ ิ โหติ?
[๓๘๑] มิจฉาทิฏฐิมใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา ตสฺมึ สมเย ทิฏĘฺ ิ ทิฏĘฺ คิ ตํ ทิฏĘฺ คิ หนํ ทิฏĘฺ กิ นฺตาโร ทิฏĘฺ วิ สิ กู ายิกํ
ทิฏĘฺ วิ ปิ ผฺ นฺทติ ํ ทิฏĘฺ สิ ċฺโċชนํ, คาโห ปฏิคคฺ าโห, อภินเิ วโส ปรามาโส,
กุมมฺ คฺโค มิจฉฺ าปโถ, มิจฉฺ ตฺตํ ติตถฺ ายตนํ วิปริเยสคฺคาโห;
ทิฏฐิความเห็นไปข้างทิฏฐิ ป่าชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ ความเห็นเป็นข้า-
ศึกต่อสัมมาทิฏฐิ ความผันแปรแห่งทิฏฐิ สัญโญชน์คอื ทิฏฐิ ความยึดถือ
ความยึดมัน่ ความตัง้ มัน่ ความถือผิด ทางชัว่ ทางผิด ภาวะทีผ่ ดิ ลัทธิเป็น-
บ่อเกิดแห่งความพินาศ การถือโดยวิปลาสในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย มิจฉฺ าทิฏĘฺ ิ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่ามิจฉาทิฏฐิมใี นสมัยนัน้ .
[๓๘๒] กตโม ตสฺมึ สมเย มิจฉฺ าสงฺกปฺโป โหติ?
[๓๘๒] มิจฉาสังกัปปะมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
โย ตสฺมึ สมเย ตกฺโก วิตกฺโก สงฺกปฺโป, อปฺปนา พฺยปฺปนา เจตโส
อภินโิ รปนา มิจฉฺ าสงฺกปฺโป;
ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ความดำริ ความทีจ่ ติ แนบอยูใ่ นอารมณ์
ความทีจ่ ติ แนบสนิทอยูใ่ นอารมณ์ ความยกจิตขึน้ สูอ่ ารมณ์ ความดำริผดิ
ในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย มิจฉฺ าสงฺกปฺโป โหติ.
227
โหนฺต,ิ ตโย อาหารา โหนฺต,ิ ปċฺจนิ ทฺ รฺ ยิ านิ โหนฺต,ิ ปċฺจงฺคกิ ํ ฌานํ โหติ,
จตุรงฺคโิ ก มคฺโค โหติ, จตฺตาริ พลานิ โหนฺต;ิ เทฺว เหตู โหนฺต,ิ เอโก ผสฺโส
โหติ, ฯเปฯ เอกํ ธมฺมายตนํ โหติ, เอกา ธมฺมธาตุ โหติ;
ก็ขนั ธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๕ ฌานมีองค์ ๕ มรรค
มีองค์ ๔ พละ ๔ เหตุ ๒ ผัสสะ ๑ ฯลฯ ธัมมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑
มีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา อกุสลา. ฯเปฯ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอกุศล.
[๓๙๘] กตโม ตสฺมึ สมเย สงฺขารกฺขนฺโธ โหติ?
[๓๙๘] สังขารขันธ์มใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ผสฺโส เจตนา, วิตกฺโก วิจาโร ปีติ จิตตฺ สฺเสกคฺคตา, วิรยิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ สมาธินทฺ รฺ ยิ ,ํ
ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ มิจฉฺ าทิฏĘฺ ิ มิจฉฺ าสงฺกปฺโป มิจฉฺ าวายาโม มิจฉฺ าสมาธิ, วิรยิ พลํ
สมาธิพลํ อหิรกิ พลํ อโนตฺตปฺปพลํ, โลโภ โมโห, อภิชฌ ฺ า มิจฉฺ าทิฏĘฺ ,ิ อหิรกิ ํ
อโนตฺตปฺป,ํ สมโถ ปคฺคาโห อวิกเฺ ขโป,
ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร ปีติ เอกัคคตา วิรยิ นิ ทรีย์ สมาธินทรีย์ ชีวติ นิ ทรีย์
มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วิรยิ พละ สมาธิพละ
อหิรกิ พละ อโนตตัปปพละ โลภะ โมหะ อภิชฌา มิจฉาทิฏฐิ อหิรกิ ะ
อโนตตัปปะ สมถะ ปัคคาหะ อวิกเขปะ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา
Ęเปตฺวา เวทนากฺขนฺธํ Ęเปตฺวา สċฺċากฺขนฺธํ Ęเปตฺวา วิċċ ฺ าณกฺขนฺธ;ํ
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดเว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์
วิญญาณขันธ์มอี ยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อยํ ตสฺมึ สมเย สงฺขารกฺขนฺโธ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าสังขารขันธ์มใี นสมัยนัน้ .
234
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, เวทนา โหติ, สċฺċา โหติ; เจตนา โหติ, จิตตฺ ํ
โหติ; วิตกฺโก โหติ, วิจาโร โหติ, ปีติ โหติ, สุขํ โหติ, จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ,
วิรยิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, สมาธินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, มนินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, โสมนสฺสนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ,
ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, มิจฉฺ าสงฺกปฺโป โหติ, มิจฉฺ าวายาโม โหติ, มิจฉฺ าสมาธิ โหติ,
วิรยิ พลํ โหติ, สมาธิพลํ โหติ, อหิรกิ พลํ โหติ, อโนตฺตปฺปพลํ โหติ;
ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา วิรยิ นิ ทรีย์
สมาธินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ ชีวติ นิ ทรีย์ มิจฉาสังกัปปะ
มิจฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วิรยิ พละ สมาธิพละ อหิรกิ พละ โอตตัปปพละ;
โลโภ โหติ, โมโห โหติ, อภิชฌ ฺ า โหติ; อหิรกิ ํ โหติ, อโนตฺตปฺปํ โหติ; สมโถ
โหติ, ปคฺคาโห โหติ, อวิกเฺ ขโป โหติ;
โลภะ โมหะ อภิชฌา อหิรกิ ะ อโนตตัปปะ สมถะ ปัคคาหะ อวิกเขปะ
มีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา อกุสลา. ฯเปฯ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ
ตสฺมึ โข ปน สมเย จตฺตาโร ขนฺธา โหนฺต,ิ ทฺวายตนานิ โหนฺต,ิ เทฺว ธาตุโย
โหนฺต,ิ ตโย อาหารา โหนฺต,ิ ปċฺจนิ ทฺ รฺ ยิ านิ โหนฺต,ิ ปċฺจงฺคกิ ํ ฌานํ โหติ,
ติวงฺคโิ ก มคฺโค โหติ, จตฺตาริ พลานิ โหนฺต,ิ เทฺว เหตู โหนฺต,ิ เอโก ผสฺโส
โหติ, ฯเปฯ เอกํ ธมฺมายตนํ โหติ, เอกา ธมฺมธาตุ โหติ,
ก็ขนั ธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๕ ฌานมีองค์ ๕ มรรค
มีองค์ ๓ พละ ๔ เหตุ ๒ ผัสสะ ๑ ฯลฯ ธัมมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัย
นั้น;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยกันเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา อกุสลา. ฯเปฯ
236
ยํ ยํ วา ปนารพฺภ;
หรือปรารภอารมณ์ใดเกิดขึน้ โดยมีการชักจูงในสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อกุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอกุศล.
อกุศลจิตดวงที่ ๕
[๔๐๓] กตเม ธมฺมา อกุสลา?
[๔๐๓] ธรรมเป็นอกุศลเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย อกุสลํ จิตตฺ ํ อุปปฺ นฺนํ โหติ, อุเปกฺขาสหคตํ ทิฏĘฺ คิ ตสมฺปยุตตฺ ํ
รูปารมฺมณํ วา สทฺทารมฺมณํ วา คนฺธารมฺมณํ วา รสารมฺมณํ วา
โผฏฺĘพฺพารมฺมณํ วา ธมฺมารมฺมณํ วา,
อกุศลจิตสหรคตด้วยอุเบกขาสัมปยุตด้วยทิฏฐิ มีรปู เป็นอารมณ์ หรือมีเสียง-
เป็นอารมณ์ มีกลิน่ เป็นอารมณ์ มีรสเป็นอารมณ์ มีโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์
มีธรรมเป็นอารมณ์,
ยํ ยํ วา ปนารพฺภ;
หรือปรารภอารมณ์ใดๆ เกิดขึน้ ในสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, เวทนา โหติ, สċฺċา โหติ; เจตนา โหติ, จิตตฺ ํ
โหติ; วิตกฺโก โหติ, วิจาโร โหติ, อุเปกฺขา โหติ, จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ;
วิรยิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, สมาธินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, อุเปกฺขนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ;
ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา วิรยิ นิ ทรีย์
สมาธินทรีย์ มนินทรีย์ อุเปกขินทรีย์ ชีวติ นิ ทรีย,์
มิจฉฺ าทิฏĘฺ ิ โหติ, มิจฉฺ าสงฺกปฺโป โหติ, มิจฉฺ าวายาโม โหติ, มิจฉฺ าสมาธิ โหติ;
วิรยิ พลํ โหติ, สมาธิพลํ โหติ, อหิรกิ พลํ โหติ, อโนตฺตปฺปพลํ โหติ;
มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วิรยิ พละ สมาธิพละ อหิรกิ พละ
อโนตตัปปพละ,
238
โลโภ โหติ, โมโห โหติ; อภิชฌ ฺ า โหติ, มิจฉฺ าทิฏĘฺ ิ โหติ; อหิรกิ ํ โหติ,
อโนตฺตปฺปํ โหติ; สมโถ โหติ, ปคฺคาโห โหติ, อวิกเฺ ขโป โหติ;
โลภะ โมหะ อภิชฌา มิจฉาทิฏฐิ อหิรกิ ะ อโนตตัปปะ สมถะ ปัคคาหะ
อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา อกุสลา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอกุศล.
[๔๐๔] กตโม ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ?
[๔๐๔] ผัสสะมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
โย ตสฺมึ สมเย ผสฺโส ผุสนา สมฺผสุ นา สมฺผสุ ติ ตฺต,ํ
การกระทบ กิรยิ าทีก่ ระทบ กิรยิ าทีถ่ กู ต้อง ความถูกต้องในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าผัสสะมีในสมัยนัน้ .
[๔๐๕] กตมา ตสฺมึ สมเย เวทนา โหติ?
[๔๐๕] เวทนามีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยํ ตสฺมึ สมเย ตชฺชามโนวิċċ ฺ าณธาตุสมฺผสฺสชํ เจตสิกํ เนวสาตํ นาสาตํ,
เจโตสมฺผสฺสชํ อทุกขฺ มสุขํ เวทยิต,ํ เจโตสมฺผสฺสชา อทุกขฺ มสุขา เวทนา;
ความสบายทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สบายทางใจก็ไม่ใช่อนั เกิดแต่สมั ผัสแห่ง
มโนวิญญาณธาตุทส่ี มกัน ความเสวยอารมณ์ทไ่ี ม่ทกุ ข์ไม่สขุ อันเกิดแต่เจโต-
สัมผัส กิรยิ าเสวยอารมณ์ทไ่ี ม่ทกุ ข์ไม่สขุ อันเกิดแต่เจโตสัมผัสในสมัย
นัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย เวทนา โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าเวทนามีในสมัยนัน้ .
[๔๐๖] กตมา ตสฺมึ สมเย อุเปกฺขา โหติ?
[๔๐๖] อุเบกขามีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
239
โหติ; วิตกฺโก โหติ, วิจาโร โหติ, อุเปกฺขา โหติ, จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ;
วิรยิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, สมาธินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, มนินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, อุเปกฺขนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ,
ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ; มิจฉฺ าสงฺกปฺโป โหติ, มิจฉฺ าวายาโม โหติ, มิจฉฺ าสมาธิ โหติ;
วิรยิ พลํ โหติ, สมาธิพลํ โหติ, อหิรกิ พลํ โหติ, อโนตฺตปฺปพลํ โหติ;
ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา วิรยิ นิ ทรีย์
สมาธินทรีย์ มนินทรีย์ อุเปกขินทรีย์ ชีวติ นิ ทรีย์ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวา-
ยามะ มิจฉาสมาธิ วิรยิ พละ สมาธิพละ อหิรกิ พละ อโนตตัปปพละ;
โลโภ โหติ, โมโห โหติ; อภิชฌ ฺ า โหติ; อหิรกิ ํ โหติ, อโนตฺตปฺปํ โหติ; สมโถ
โหติ, ปคฺคาโห โหติ, อวิกเฺ ขโป โหติ;
โลภะ โมหะ อภิชฌา อหิรกิ ะ อโนตตัปปะ สมถะ ปัคคาหะ อวิกเขปะ
มีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา อกุสลา. ฯเปฯ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ
ตสฺมึ โข ปน สมเย จตฺตาโร ขนฺธา โหนฺต,ิ ทฺวายตนานิ โหนฺต,ิ เทฺว ธาตุโย
โหนฺต,ิ ตโย อาหารา โหนฺต,ิ ปċฺจนิ ทฺ รฺ ยิ านิ โหนฺต,ิ จตุรงฺคกิ ํ ฌานํ โหติ,
ติวงฺคโิ ก มคฺโค โหติ, จตฺตาริ พลานิ โหนฺต,ิ เทฺว เหตู โหนฺต,ิ เอโก ผสฺโส
โหติ, ฯเปฯ เอกํ ธมฺมายตนํ โหติ, เอกา ธมฺมธาตุ โหติ;
ก็ขนั ธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๕ ฌานมีองค์ ๔ มรรค
มีองค์ ๓ พละ ๔ เหตุ ๒ ผัสสะ ๑ ฯลฯ ธัมมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑
มีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยกันเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา อกุสลา. ฯเปฯ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ
243
นั้น;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา อกุสลา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอกุศล.
[๔๒๘] กตโม ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ?
[๔๒๘] ผัสสะมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
โย ตสฺมึ สมเย ผสฺโส ผุสนา สมฺผสุ นา สมฺผสุ ติ ตฺต;ํ
การกระทบ กิรยิ าทีก่ ระทบ กิรยิ าทีถ่ กู ต้อง ความถูกต้องในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ. ฯเปฯ
นีช้ อ่ื ว่าผัสสะมีในสมัยนัน้ ฯลฯ
[๔๒๙] กตมํ ตสฺมึ สมเย อุทธฺ จฺจํ โหติ?
[๔๒๙] อุทธัจจะมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยํ ตสฺมึ สมเย จิตตฺ สฺส อุทธฺ จฺจํ อวูปสโม เจตโส วิกเฺ ขโป ภนฺตตฺตํ จิตตฺ สฺส,
ความฟุง้ ซ่านแห่งจิต ความไม่สงบแห่งจิต ความวุน่ วายใจ ความพล่านแห่ง
จิตในสมัยนัน้ อันใด;
อิทํ ตสฺมึ สมเย อุทธฺ จฺจํ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าอุทธัจจะมีในสมัยนัน้ .
ฯเปฯ เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น
ธมฺมา;
ฯลฯ หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา อกุสลา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ
ตสฺมึ โข ปน สมเย จตฺตาโร ขนฺธา โหนฺต,ิ ทฺวายตนานิ โหนฺต,ิ เทฺว ธาตุโย
โหนฺต,ิ ตโย อาหารา โหนฺต,ิ ปċฺจนิ ทฺ รฺ ยิ านิ โหนฺต,ิ จตุรงฺคกิ ํ ฌานํ โหติ,
ติวงฺคโิ ก มคฺโค โหติ, จตฺตาริ พลานิ โหนฺต,ิ เอโก เหตุ โหติ, เอโก ผสฺโส
254
มโนธาตุทเ่ี ป็นกุศลวิบาก.
[๔๕๕] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๔๕๕] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย กามาวจรสฺส กุสลสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา อุปจิตตฺตา วิปากา
มโนธาตุ อุปปฺ นฺนา โหติ, อุเปกฺขาสหคตา รูปารมฺมณา วา ฯเปฯ
โผฏฺĘพฺพารมฺมณา วา,
มโนธาตุอนั เป็นวิบากสหรคตด้วยอุเบกขามีรปู เป็นอารมณ์ ฯลฯ มีโผฏฐัพ-
พะเป็นอารมณ์,
ยํ ยํ วา ปนารพฺภ;
หรือปรารภอารมณ์ใดๆ เกิดขึน้ เพราะกามาวจรกุศลกรรมอันได้ทำไว้แล้ว
ได้สง่ั สมไว้แล้วในสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, เวทนา โหติ, สċฺċา โหติ; เจตนา โหติ, จิตตฺ ํ
โหติ; วิตกฺโก โหติ, วิจาโร โหติ, อุเปกฺขา โหติ, จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ;
มนินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, อุเปกฺขนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ;
ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา มนินทรีย์
อุเปกขินทรีย์ ชีวติ นิ ทรียม์ ใี นสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อċฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
[๔๕๖] กตโม ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ?
[๔๕๖] ผัสสะมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
โย ตสฺมึ สมเย ผสฺโส ผุสนา สมฺผสุ นา สมฺผสุ ติ ตฺต;ํ
การกระทบ กิรยิ าทีก่ ระทบ กิรยิ าทีถ่ กู ต้อง ความถูกต้องในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าผัสสะมีในสมัยนัน้ .
266
สċฺชานิตตฺต;ํ
การจำ กิรยิ าจำ ความจำอันเกิดแต่สมั ผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุทส่ี มกัน
ในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย สċฺċา โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าสัญญามีในสมัยนัน้ .
[๔๗๓] กตมา ตสฺมึ สมเย เจตนา โหติ?
[๔๗๓] เจตนามีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา ตสฺมึ สมเย ตชฺชามโนวิċċ ฺ าณธาตุสมฺผสฺสชา เจตนา สċฺเจตนา
สċฺเจตยิตตฺต;ํ
การคิด กิรยิ าทีค่ ดิ ความคิดอันเกิดแต่สมั ผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุทส่ี มกัน
ในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย เจตนา โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าเจตนามีในสมัยนัน้ .
[๔๗๔] กตมํ ตสฺมึ สมเย จิตตฺ ํ โหติ?
[๔๗๔] จิตมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยํ ตสฺมึ สมเย จิตตฺ ํ มโน มานสํ, หทยํ ปณฺฑรํ, มโน มนายตนํ มนินทฺ รฺ ยิ ,ํ
วิċċฺ าณํ วิċċ ฺ าณกฺขนฺโธ ตชฺชามโนวิċċ ฺ าณธาตุ;
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ
วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุทส่ี มกัน ในสมัยนัน้ อันใด;
อิทํ ตสฺมึ สมเย จิตตฺ ํ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าจิตมีในสมัยนัน้ .
[๔๗๕] กตโม ตสฺมึ สมเย วิตกฺโก โหติ?
[๔๗๕] วิตกมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
โย ตสฺมึ สมเย ตกฺโก วิตกฺโก สงฺกปฺโป, อปฺปนา พฺยปฺปนา เจตโส อภินโิ รปนา;
ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ความดำริ ความทีจ่ ติ แนบอยูใ่ นอารมณ์
ความทีจ่ ติ แนบสนิทอยูใ่ นอารมณ์ ความยกจิตขึน้ สูอ่ ารมณ์ ในสมัยนัน้
273
อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย วิตกฺโก โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าวิตกมีในสมัยนัน้ .
[๔๗๖] กตโม ตสฺมึ สมเย วิจาโร โหติ?
[๔๗๖] วิจารมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
โย ตสฺมึ สมเย จาโร วิจาโร อนุวจิ าโร อุปวิจาโร, จิตตฺ สฺส อนุสนฺธนตา
อนุเปกฺขนตา;
ความตรอง ความพิจารณา ความตามพิจารณา ความเข้าไปพิจารณา
ความทีจ่ ติ สืบต่ออารมณ์ ความทีจ่ ติ เพ่งอารมณ์ในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย วิจาโร โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าวิจารมีในสมัยนัน้ .
[๔๗๗] กตมา ตสฺมึ สมเย ปีติ โหติ?
[๔๗๗] ปีตมิ ใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา ตสฺมึ สมเย ปีติ ปาโมชฺช,ํ อาโมทนา ปโมทนา, หาโส ปหาโส, วิตตฺ ิ
โอทคฺยํ อตฺตมนตา จิตตฺ สฺส;
ความอิม่ ใจ ความปราโมทย์ ความยินดียง่ิ ความบันเทิง ความร่าเริง
ความรืน่ เริง ความปลืม้ ใจ ความตืน่ เต้น ความทีจ่ ติ ชืน่ ชมยินดีในสมัย-
นัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย ปีติ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าปีตมิ ใี นสมัยนัน้ .
[๔๗๘] กตมํ ตสฺมึ สมเย สุขํ โหติ?
[๔๗๘] สุขมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยํ ตสฺมึ สมเย เจตสิกํ สาตํ เจตสิกํ สุข,ํ เจโตสมฺผสฺสชํ สาตํ สุขํ เวทยิต,ํ
เจโตสมฺผสฺสชา สาตา สุขา เวทนา;
ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ทส่ี บายเป็นสุขอันเกิด
แต่เจโตสัมผัส กิรยิ าเสวยอารมณ์ทส่ี บายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส
274
ในสมัยนัน้ อันใด;
อิทํ ตสฺมึ สมเย สุขํ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าสุขมีในสมัยนัน้ .
[๔๗๙] กตมา ตสฺมึ สมเย จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ?
[๔๗๙] เอกัคคตามีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา ตสฺมึ สมเย จิตตฺ สฺส Ęิต;ิ
ความตัง้ อยูแ่ ห่งจิตในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าเอกัคคตามีในสมัยนัน้ .
[๔๘๐] กตมํ ตสฺมึ สมเย มนินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ?
[๔๘๐] มนินทรียม์ ใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยํ ตสฺมึ สมเย จิตตฺ ํ มโน มานสํ, หทยํ ปณฺฑรํ, มโน มนายตนํ มนินทฺ รฺ ยิ ,ํ
วิċċฺ าณํ วิċċ ฺ าณกฺขนฺโธ ตชฺชามโนวิċċ ฺ าณธาตุ;
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ อินทรียค์ อื มโน วิญญาณ
วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุทส่ี มกันในสมัยนัน้ อันใด;
อิทํ ตสฺมึ สมเย มนินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่ามนินทรียม์ ใี นสมัยนัน้ .
[๔๘๑] กตมํ ตสฺมึ สมเย โสมนสฺสนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ?
[๔๘๑] โสมนัสสินทรียม์ ใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยํ ตสฺมึ สมเย เจตสิกํ สาตํ เจตสิกํ สุข,ํ เจโตสมฺผสฺสชํ สาตํ สุขํ เวทยิต,ํ
เจโตสมฺผสฺสชา สาตา สุขา เวทนา;
ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ทส่ี บายเป็นสุขอันเกิด
แต่เจโตสัมผัส กิรยิ าเสวยอารมณ์ทส่ี บายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส
ในสมัยนัน้ อันใด;
อิทํ ตสฺมึ สมเย โสมนสฺสนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าโสมนัสสินทรียม์ ใี นสมัยนัน้ .
275
สċฺชานิตตฺต;ํ
การจำ กิรยิ าทีจ่ ำ ความจำอันเกิดแต่สมั ผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุทส่ี มกัน
ในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย สċฺċา โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าสัญญามีในสมัยนัน้ .
[๔๘๘] กตมา ตสฺมึ สมเย เจตนา โหติ?
[๔๘๘] เจตนามีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา ตสฺมึ สมเย ตชฺชามโนวิċċ ฺ าณธาตุสมฺผสฺสชา เจตนา สċฺเจตนา
สċฺเจตยิตตฺต;ํ
การคิด กิรยิ าทีค่ ดิ ความคิดอันเกิดแต่สมั ผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุทส่ี มกัน
ในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย เจตนา โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าเจตนามีในสมัยนัน้ .
[๔๘๙] กตมํ ตสฺมึ สมเย จิตตฺ ํ โหติ?
[๔๘๙] จิตมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยํ ตสฺมึ สมเย จิตตฺ ํ มโน มานสํ, หทยํ ปณฺฑรํ, มโน มนายตนํ มนินทฺ รฺ ยิ ,ํ
วิċċฺ าณํ วิċċ ฺ าณกฺขนฺโธ ตชฺชามโนวิċċ ฺ าณธาตุ;
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ
วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุทส่ี มกันในสมัยนัน้ อันใด;
อิทํ ตสฺมึ สมเย จิตตฺ ํ โหติ.
นีช้ อ่ื ว่าจิตมีในสมัยนัน้ .
[๔๙๐] กตโม ตสฺมึ สมเย วิตกฺโก โหติ?
[๔๙๐] วิตกมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
โย ตสฺมึ สมเย ตกฺโก วิตกฺโก สงฺกปฺโป, อปฺปนา พฺยปฺปนา เจตโส
อภินโิ รปนา;
ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ความดำริ ความทีจ่ ติ แนบอยูใ่ นอารมณ์
279
โลกุตตฺ รวิปากจิต.
สุทธฺ กิ ปฏิปทา.
[๕๐๕] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๐๕] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า,
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พานเพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น,
วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ,ํ
สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้วบรรลุปฐมฌานเป็นทุกขาป-
ฏิปทาทันธาภิญญาอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
ตสฺเสว โลกุตตฺ รสฺส กุสลสฺส ฌานสฺส กตตฺตา ภาวิตตฺตา วิปากํ วิวจิ เฺ จว
กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ สุċċ
ฺ ตํ;
โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้วบรรลุปฐม-
ฌานชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบาก
เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วในสมัยใด,
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อċฺċนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อัญญินทรีย์ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
[๕๐๖] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๐๖] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
290
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า,
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พานเพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น,
วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ;ํ
สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานเป็นทุกขาป-
ฏิปทาทันธาภิญญาอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
ตสฺเสว โลกุตตฺ รสฺส กุสลสฺส ฌานสฺส กตตฺตา ภาวิตตฺตา วิปากํ วิวจิ เฺ จว
กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํอปุ สมฺปชฺช วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ อนิมติ ตฺ ;ํ
โยคาวจรบุคคลสงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้วบรรลุปฐม-
ฌานชนิดอนิมติ ตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบากเพราะ-
กุศลฌานเป็นโลกุตตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วในสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อċฺċนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อัญญินทรีย์ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
[๕๐๗] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๐๗] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า,
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น,
291
วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ;ํ
สงัดจากกามสงัดจากกุศลธรรมทัง้ หลายแล้วบรรลุปฐมฌานเป็นทุกขาป-
ฏิปทาทันธาภิญญาอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
ตสฺเสว โลกุตตฺ รสฺส กุสลสฺส ฌานสฺส กตตฺตา ภาวิตตฺตา วิปากํ วิวจิ เฺ จว
กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ
อปฺปณิหติ ;ํ
โยคาวจรบุคคลสงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้วบรรลุปฐม-
ฌานชนิดอัปปณิหติ ะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบาก
เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วในสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ ปċฺċนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
[๕๐๘] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๐๘] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา,
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น เพราะวิตกวิจารสงบระงับ-
ไปแล้ว,
ฯเปฯ ทุตยิ ํ ฌานํฯเปฯ ตติยํ ฌานํฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํฯเปฯ ปĘมํ ฌานํฯเปฯ
292
ปċฺจมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ นฺติ กุสลํ ฯเปฯ
ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ สุċċฺ ตนฺติ วิปาโก ฯเปฯ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ Ň นฺติ
กุสลํ ฯเปฯ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ อนิมติ ตฺ นฺติ วิปาโก ฯเปฯ ทุกขฺ ปฏิปทํ
ทนฺธาภิċċ ฺ นฺติ กุสลํ ฯเปฯ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ อปฺปณิหติ นฺติ วิปาโก;
ฯลฯ บรรลุทตุ ยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุ
ปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปญ ั จมฌานเป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ
อยูใ่ นสมัยใด ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะเป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา
ดังนี้ วิบาก ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาดังนี้ กุศล ฯลฯ
ชนิดอนิมติ ตะเป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาดังนี้ วิบาก ฯลฯ เป็นทุกขาป-
ฏิปทาทันธาภิญญาดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณิหติ ะเป็นทุกขาปฏิปทาทัน-
ธาภิญญาดังนีว้ บิ าก
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
[๕๐๙] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๐๙] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า,
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น,
วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ
ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ ฯเปฯ ทุตยิ ํ ฌานํ
ฯเปฯ ตติยํ ฌานํฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํฯเปฯ ปĘมํ ฌานํฯเปฯ ปċฺจมํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหรติ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ นฺติ กุสลํ ฯเปฯ สุขปฏิปทํ
ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ สุċċ
ฺ ตนฺติ วิปาโก ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ นฺติ กุสลํ ฯเปฯ
293
สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ อนิมติ ตฺ นฺติ วิปาโก ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ
ฺ นฺติ
กุสลํ ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ อปฺปณิหติ นฺติ วิปาโก;
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้วบรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาป-
ฏิปทาขิปปาภิญญา ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทา-
ขิปปาภิญญา ฯลฯ บรรลุทตุ ยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถ-
ฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปญ ั จมฌานเป็นสุขาปฏิปทาขิป-
ปาภิญญา ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะเป็นสุขาปฏิปทา-
ขิปปาภิญญา ดังนี้ วิบาก ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ
ชนิดอนิมติ ตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังนี้ วิบาก ฯลฯ เป็นสุขาปฏิป-
ทาขิปปาภิญญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณิหติ ะเป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญ-
ญา ดังนี้ วิบาก;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
สุทธิกปฏิปทาจบ.
สุทธฺ กิ สุċฺċต.
[๕๑๐] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๑๐] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
สุċċฺ ตํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล-
ธรรมทัง้ หลายแล้วบรรลุปฐมฌานชนิดสุญญตะอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
294
ภิญญาอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
ตสฺเสว โลกุตตฺ รสฺส กุสลสฺส ฌานสฺส กตตฺตา ภาวิตตฺตา วิปากํ วิวจิ เฺ จว
กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ อนิมติ ตฺ ;ํ
โยคาวจรบุคคลสงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐม-
ฌานชนิอนิมติ ตะเป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบากเพราะ-
กุศลฌานเป็นโลกุตตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วในสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
[๕๑๖] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๑๖] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ สุċċ
ฺ ตํ;
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล-
ธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานชนิดสุญญตะเป็นทุกขาปฏิปทาทันธา-
ภิญญาอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
299
[๕๒๑] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
อปฺปณิหติ ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำไป
สูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล-
ธรรมทัง้ หลายแล้วบรรลุปฐมฌานชนิดอัปปณิหติ ะอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
ตสฺเสว โลกุตตฺ รสฺส กุสลสฺส ฌานสฺส กตตฺตา ภาวิตตฺตา วิปากํ วิวจิ เฺ จว
กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ สุċċ ฺ ตํ;
โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐม-
ฌานชนิดสุญญตะ ฯลฯ อันเป็นวิบากเพราะกุศลฌานเป็นโลกุตตระอันได้-
ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วในสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
[๕๒๒] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๒๒] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา ฯเปฯ ทุตยิ ํ ฌานํฯเปฯ ตติยํ
ฌานํฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํฯเปฯ ปĘมํ ฌานํฯเปฯ ปċฺจมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
อปฺปณิหติ นฺติ กุสลํ ฯเปฯ อปฺปณิหติ นฺติ วิปาโก ฯเปฯ อปฺปณิหติ นฺติ กุสลํ ฯเปฯ
304
อนิมติ ตฺ นฺติ วิปาโก ฯเปฯ อปฺปณิหติ นฺติ กุสลํ ฯเปฯ สุċċ ฺ ตนฺติ วิปาโก;
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำ-
ไปสูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น บรรลุทตุ ยิ ฌาน ฯลฯ
บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปญ ั จม-
ฌานชนิดอัปปณิหติ ะ ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณิหติ ะ
ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดอัปปณิหติ ะ ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมติ ตะ ดังนี้ วิบาก
ฯลฯ ชนิดอัปปณิหติ ะ ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะ ดังนี้ วิบาก;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
สุทธิกอัปปณิหติ ะจบ.
อัปปณิหติ ปฏิปทา.
[๕๒๓] กตเม ธมฺมา อพฺยากตํ?
[๕๒๓] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ อปฺปณิหติ ;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำ-
ไปสูน่ พิ พานเพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น สงัดจากกามสงัดจากอกุศล-
ธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานชนิดอัปปณิหติ ะเป็นทุกขาปฏิปทาทัน-
ธาภิญญาอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
305
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
ทุกขฺ ปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ Ň ํ อปฺปณิหติ ;ํ ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ อปฺปณิหติ ;ํ
ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ อปฺปณิหติ ;ํ ฯเปฯ ทุตยิ ํ ฌานํฯเปฯ ตติยํ
ฌานํฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํฯเปฯ ปĘมํ ฌานํฯเปฯ ปċฺจมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ อปฺปณิหติ นฺติ กุสลํ ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ
อปฺปณิหติ นฺติ วิปาโก; ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ อปฺปณิหติ นฺติ กุสลํ ฯเปฯ
สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ อนิมติ ตฺ นฺติ วิปาโก ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ Ň ํ
อปฺปณิหติ นฺติ กุสลํ ฯเปฯ สุขปฏิปทํ ขิปปฺ าภิċċ ฺ ํ สุċċฺ ตนฺติ วิปาโก;
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำ-
ไปสูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิเพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล
ธรรมทัง้ หลายแล้วบรรลุปฐมฌานชนิดอัปปณิหติ ะเป็นทุกขาปฏิปทาทันธา-
ภิญญา ฯลฯ ชนิดอัปปณิหติ ะเป็นสุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ ชนิดอัปปณิ-
หิตะเป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯลฯ บรรลุทตุ ยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน
ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปญ ั จมฌานชนิด
อัปปณิหติ ะเป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯลฯ อยูใ่ นสมัยใด ดังนี้ กุศล ฯลฯ
ชนิดอัปปณิหติ ะเป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯลฯ ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิด-
อัปปณิหติ ะเป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมติ ตะเป็น-
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดอัปปณิหติ ะเป็นสุขาปฏิปทา-
ขิปปาภิญญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะเป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังนี้
วิบาก;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
อปฺปณิหติ ปฏิปทา.
309
ปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นฉันทาธิบดีอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯอวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
ตสฺเสว โลกุตตฺ รสฺส กุสลสฺส ฌานสฺส กตตฺตา ภาวิตตฺตา วิปากํ วิวจิ เฺ จว
กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ สุċċ
ฺ ตํ
ฉนฺทาธิปเตยฺย;ํ
โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐม-
ฌานชนิดสุญญตะเป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ
อันเป็นวิบาก เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตตระอันได้ทำไว้แล้วได้เจริญไว้แล้ว-
ในสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ; ฯลฯ
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
[๕๓๐] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๓๐] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า, วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ
ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ ฉนฺทาธิปเตยฺย;ํ
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำ-
ไปสูน่ พิ พานเพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล
ธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานเป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉัน-
ทาธิบดีอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
312
ฉนฺทาธิปเตยฺยนฺติ วิปาโก;
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานเป็นทุกขา-
ปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็น
ฉันทาธิบดี ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ บรรลุท-ุ
ติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน
ฯลฯ บรรลุปญ ั จมฌานเป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ
อยูใ่ นสมัยใด ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะเป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา
เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นฉันทาธิบ-
ดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมติ ตะเป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นฉันทาธิบ-
ดีดงั นี้ วิบาก ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล
ฯลฯ ชนิดอัปปณิหติ ะเป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นฉันทาธิบดี ดังนี้
วิบาก;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
ฉันทาธิปไตยสุทธิกปฏิปาจบ.
ฺ ตะ.
ฉันทาธิปไตยสุทธิกสุċċ
[๕๓๔] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๓๔] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า,
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำ-
ไปสูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น,
วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ สุċċ ฺ ตํ ฉนฺทาธิปเตยฺย;ํ
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานชนิดสุญญ-
316
ตะเป็นฉันทาธิบดีอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
ตสฺเสว โลกุตตฺ รสฺส กุสลสฺส ฌานสฺส กตตฺตา ภาวิตตฺตา วิปากํ วิวจิ เฺ จว
กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ สุċċ ฺ ตํ ฉนฺทาธิปเตยฺย;ํ
โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐม-
ฌานชนิดสุญญตะเป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อันเป็นวิบากเพราะกุศลฌานเป็น-
โลกุตตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วในสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
[๕๓๕] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๓๕] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า,
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำ-
ไปสูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น,
วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ สุċċ ฺ ตํ ฉนฺทาธิปเตยฺย;ํ
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานชนิดสุญญ-
ตะเป็นฉันทาธิบดีอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
317
[๕๔๕] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า,
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำ-
ไปสูน่ พิ พาน เพือ่ ละทิฏฐิ เพือ่ บรรลุภมู เิ บือ้ งต้น,
วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ อปฺปณิหติ ํ ฉนฺทาธิปเตยฺย;ํ
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานชนิดอัปป-
ณิหติ ะเป็นฉันทาธิบดีอยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
ตสฺเสว โลกุตตฺ รสฺส กุสลสฺส ฌานสฺส กตตฺตา ภาวิตตฺตา วิปากํ วิวจิ เฺ จว
กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ สċฺċตํ ฉนฺทาธิปเตยฺย;ํ
โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐม-
ฌานชนิดสุญญตะ เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อันเป็นวิบากเพราะกุศลฌานเป็น-
โลกุตตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วในสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
[๕๔๖] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๔๖] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ ฌานํ ภาเวติ นิยยฺ านิกํ อปจยคามึ ทิฏĘฺ คิ ตานํ ปหานาย
ปĘมาย ภูมยิ า ปตฺตยิ า,
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตตระอันเป็นเครือ่ งออกไปจากโลกนำ-
327
ฉนฺทาธิปเตยฺยนฺติ วิปาโก;
สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐมฌานชนิดอัปปณิ-
หิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ ชนิดอัปปณิหติ ะ
เป็นสุขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ ชนิดอัปปณิหติ ะ เป็นสุขา
ปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ บรรลุทตุ ยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุตติย-
ฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปญ ั จมฌาน
ชนิดอัปปณิหติ ะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล
ฯลฯ ชนิดอัปปณิหติ ะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้
วิบาก ฯลฯ ชนิดอัปปณิหติ ะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี
ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมติ ตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี
ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดอัปปณิหติ ะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทา-
ธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะเป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทา-
ธิบดี ดังนี้ วิบาก;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
[๕๕๒] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๕๒] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย โลกุตตฺ รํ มคฺคํ ภาเวติ ฯเปฯ โลกุตตฺ รํ สติปฏฺċานํ ภาเวติ ฯเปฯ
โลกุตตฺ รํ สมฺมปฺปธานํ ภาเวติ ฯเปฯ โลกุตตฺ รํ อิทธฺ ปิ าทํ ภาเวติ ฯเปฯ โลกุตตฺ รํ
อินทฺ รฺ ยิ ํ ภาเวติ ฯเปฯ โลกุตตฺ รํ พลํ ภาเวติ ฯเปฯ โลกุตตฺ รํ โพชฺฌงฺคํ ภาเวติ ฯเปฯ
โลกุตตฺ รํ สจฺจํ ภาเวติ
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคเป็นโลกุตตระ ฯลฯ เจริญสติปฏั ฐานเป็นโลกุต-
ตระ ฯลฯ เจริญสัมมัปปธานเป็นโลกุตตระ ฯลฯ เจริญอิทธิบาทเป็นโลกุต-
ตระ ฯลฯ เจริญอินทรียเ์ ป็นโลกุตตระ ฯลฯ เจริญพละเป็นโลกุตตระ ฯลฯ
333
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อċฺċนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อัญญินทรีย์ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา กุสลา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
ตสฺเสว โลกุตตฺ รสฺส กุสลสฺส ฌานสฺส กตตฺตา ภาวิตตฺตา วิปากํ วิวจิ เฺ จว
กาเมหิ ฯเปฯ ปĘมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ ทุกขฺ ปฏิปทํ ทนฺธาภิċċ ฺ ํ สุċċ
ฺ ตํ;
โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทัง้ หลายแล้ว บรรลุปฐม-
ฌานชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบากเพราะ-
กุศลฌานเป็นโลกุตตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วในสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อċฺċาตาวินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อัญญาตาวินทรีย์ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อญฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
ฯลฯ หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยกันเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
[๕๕๔] กตโม ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ?
[๕๕๔] ผัสสะมีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
โย ตสฺมึ สมเย ผสฺโส ผุสนา สมฺผสุ นา สมฺผสุ ติ ตฺต;ํ
การกระทบ กิรยิ าทีก่ ระทบ กิรยิ าทีถ่ กู ต้อง ความถูกต้องในสมัยนัน้ อันใด;
อยํ ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ
นีช้ อ่ื ว่าผัสสะมีในสมัยนัน้ ฯลฯ
[๕๕๕] กตมํ ตสฺมึ สมเย อċฺċาตาวินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ?
[๕๕๕] อัญญาตาวินทรียม์ ใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ยา เตสํ อċฺċาตาวีนํ ธมฺมานํ อċฺċา ปċฺċา ปชานนา, วิจโย ปวิจโย
ธมฺมวิจโย, สลฺลกฺขณา อุปลกฺขณา ปจฺจปุ ลกฺขณา, ปณฺฑจิ จฺ ํ โกสลฺลํ เนปุċċ ฺ ,ํ
เวภพฺยา จินตฺ า อุปปริกขฺ า, ภูรี เมธา ปริณายิกา,
336
ความรูท้ ว่ั ความรูช้ ดั กิรยิ าทีร่ ชู้ ดั ซึง่ ธรรมทัง้ หลายทีร่ ทู้ ว่ั ถึงแล้วนัน้ ๆ
ความวิจยั ความเลือกสรร ความวิจยั ธรรม ความกำหนดหมาย ความเข้า-
ไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ภาวะทีร่ ู้ ภาวะทีฉ่ ลาด ภาวะทีร่ ลู้ ะ-
เอียด ความรูแ้ จ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวญ ปัญญาเหมือนแผ่นดิน
ปัญญาเครือ่ งทำลายกิเลส ปัญญาเครือ่ งนำทาง,
วิปสฺสนา สมฺปชċฺ ปโตโท, ปċฺċา ปċฺċนิ ทฺ รฺ ยิ ํ ปċฺċาพลํ, ปċฺċาสตฺถํ
ปċฺċาปาสาโท ปċฺċาอาโลโก ปċฺċาโอภาโส ปċฺċาปชฺโชโต ปċฺċารตนํ,
อโมโห ธมฺมวิจโย, สมฺมาทิฏĘฺ ิ ธมฺมวิจยสมฺโพชฺฌงฺโค, มคฺคงฺคํ มคฺคปริยาปนฺน;ํ
ความเห็นแจ้ง ความรูช้ ดั ปัญญาเหมือนปฏัก ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญา-
พละ ปัญญาเหมือนศาตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ความสว่างคือปัญญา
แสงสว่างคือปัญญา ปัญญาเหมือนประทีป ปัญญาเหมือนดวงแก้ว ความไม่
หลง ความวิจยั ธรรม สัมมาทิฏฐิ ธรรมวิจยั สัมโพชฌงค์อนั เป็นองค์
แห่งมรรค นับเนือ่ งในมรรคในสมัยนัน้ อันใด;
อิทํ ตสฺมึ สมเย อċฺċาตาวินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ. ฯเปฯ
นีช้ อ่ื ว่าอัญญาตาวินทรียม์ ใี นสมัยนัน้ ฯลฯ
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อญฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือ นามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
วิบากแห่งมรรคจิตดวงที่ ๑ เป็นต้นจบ.
โลกุตตรวิบากจบ.
อัพยากตทีเ่ ป็นอกุสลวิบาก.
ปัญจวิญญาณทีเ่ ป็นอกุสลวิปาก.
[๕๕๖] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๔๗๒] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย อกุสลสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา อุปจิตตฺตา วิปากํ จกฺขวุ ญ
ิ ċ
ฺ าณํ
337
มโนธาตุทเ่ี ป็นอกุศลวิบาก.
[๕๖๒] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๖๒] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย อกุสลสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา อุปจิตตฺตา วิปากา มโนธาตุ อุปปฺ นฺนา
โหติ อุเปกฺขาสหคตา รูปารมฺมณา วา ฯเปฯ โผฏฺĘพฺพารมฺมณา วา,
มโนธาตุเป็นวิบากสหรคตด้วยอุเบกขามีรปู เป็นอารมณ์ ฯลฯ มีโผฏฐัพพะ-
เป็นอารมณ์,
ยํ ยํ วา ปนารพฺภ;
หรือปรารภอารมณ์ใดๆ เกิดขึน้ เพราะอกุศลกรรม อันได้ทำไว้แล้ว ได้สง่ั -
สมไว้แล้วในสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, เวทนา โหติ, สċฺċา โหติ, เจตนา โหติ, จิตตฺ ํ โหติ;
วิตกฺโก โหติ, วิจาโร โหติ, อุเปกฺขา โหติ, จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ; มนินทฺ รฺ ยิ ํ
โหติ, อุเปกฺขนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ;
ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา มนินทรีย์
อุเปกขินทรีย์ ชีวติ นิ ทรียม์ ใี นสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อญฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา อพฺยากตา. ฯเปฯ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
ตสฺมึ โข ปน สมเย จตฺตาโร ขนฺธา โหนฺต,ิ ทฺวายตนานิ โหนฺต,ิ เทฺว ธาตุโย
โหนฺต,ิ ตโย อาหารา โหนฺต,ิ ตีณนิ ทฺ รฺ ยิ านิ โหนฺต,ิ เอโก ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ
เอกา มโนธาตุ โหติ, เอกํ ธมฺมายตนํ โหติ, เอกา ธมฺมธาตุ โหติ;
ก็ขนั ธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๓ ผัสสะ ๑ ฯลฯ มโนธาตุ ๑
ธัมมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อญฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
341
วิตกฺโก โหติ, วิจาโร โหติ, อุเปกฺขา โหติ, จิตตฺ สฺเสกคฺคตา โหติ; มนินทฺ รฺ ยิ ํ โหติ,
อุเปกฺขนิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ, ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ โหติ;
ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา มนินทรีย์
อุเปกขินทรีย์ ชีวติ นิ ทรียม์ ใี นสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อญฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา อพฺยากตา ฯเปฯ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ
ตสฺมึ โข ปน สมเย จตฺตาโร ขนฺธา โหนฺต,ิ ทฺวายตนานิ โหนฺต,ิ เทฺว ธาตุโย
โหนฺต,ิ ตโย อาหารา โหนฺต;ิ ตีณนิ ทฺ รฺ ยิ านิ โหนฺต,ิ เอโก ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ
เอกา มโนวิญċ ฺ าณธาตุ โหติ, เอกํ ธมฺมายตนํ โหติ, เอกา ธมฺมธาตุ โหติ;
ก็ขนั ธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๓ ผัสสะ ๑ ฯลฯ มโนวิญ-
ญาณธาตุ ๑ ธัมมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อญฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา อพฺยากตา. ฯเปฯ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
[๕๖๕] กตโม ตสฺมึ สมเย สงฺขารกฺขนฺโธ โหติ?
[๕๖๕] สังขารขันธ์มใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
[๕๖๕] สังขารขันธ์มใี นสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ผสฺโส เจตนา วิตกฺโก วิจาโร จิตตฺ สฺเสกคฺคตา ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ;ํ
ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร เอกัคคตา ชีวติ นิ ทรีย;์
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อญฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา
Ęเปตฺวา เวทนากฺขนฺธํ Ęเปตฺวา สċฺċากฺขนฺธํ Ęเปตฺวา วิญċ ฺ าณกฺขนฺธ;ํ
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดเว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์
วิญญาณขันธ์มอี ยูใ่ นสมัยนัน้ ;
343
โหนฺต,ิ ตโย อาหารา โหนฺต,ิ ตีณนิ ทฺ รฺ ยิ านิ โหนฺต,ิ เอโก ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ
เอกา มโนธาตุ โหติ, เอกํ ธมฺมายตนํ โหติ, เอกา ธมฺมธาตุ โหติ;
ก็ขนั ธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๓ ผัสสะ ๑ ฯลฯ มโนธาตุ ๑
ธัมมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนัน้ ;
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อญฺเċปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา;
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดมีอยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อิเม ธมฺมา อพฺยากตา. ฯเปฯ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ
[๕๖๗] กตโม ตสฺมึ สมเย สงฺขารกฺขนฺโธ โหติ?
[๕๖๗] สังขารขันธ์ มีในสมัยนัน้ เป็นไฉน?
ผสฺโส เจตนา วิตกฺโก วิจาโร จิตตฺ สฺเสกคฺคตา ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ;ํ
ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร เอกัคคตา ชีวติ นิ ทรีย;์
เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อญฺเĘปิ อตฺถิ ปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺนา อรูปโิ น ธมฺมา
Ęเปตฺวา เวทนากฺขนฺธํ Ęเปตฺวา สċฺċากฺขนฺธํ Ęเปตฺวา วิญċ ฺ าณกฺขนฺธ;ํ
หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศัยเกิดขึน้ แม้อน่ื ใดเว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์
วิญญาณขันธ์มอี ยูใ่ นสมัยนัน้ ;
อยํ ตสฺมึ สมเย สงฺขารกฺขนฺโธ โหติ. ċ
นีช้ อ่ื ว่าสังขารขันธ์มใี นสมัยนัน้ .
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
มโนธาตุทเ่ี ป็นกิรยิ าจบ.
กิรยิ ามโนวิญญาณธาตุทเ่ี ป็นกิรยิ าสหรคตด้วยโสมนัส.
[๕๖๘] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๖๘] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย มโนวิญċ
ฺ าณธาตุ อุปปฺ นฺนา โหติ กิรยิ า เนว กุสลา นากุสลา น
จ กมฺมวิปากา โสมนสฺสสหคตา รูปารมฺมณา วา ฯเปฯ ธมฺมารมฺมณา วา,
345
อรูปาวจรกิรยิ าจิต.
[๕๗๙] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๗๙] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย อรูปาวจรํ ฌานํ ภาเวติ กิรยิ ํ เนว กุสลํ นากุสลํ น จ กมฺมวิปากํ
ทิฏĘฺ ธมฺมสุขวิหารํ สพฺพโส รูปสċฺċานํ สมติกกฺ มา ปฏิฆสċฺċานํ อตฺถงฺคมา
นานตฺตสċฺċานํ อมนสิการา อากาสานċฺจายตนสċฺċาสหคตํ สุขสฺส จ
ปหานา ฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ;
พระขีณาสพเจริญอรูปาวจรฌานเป็นกิรยิ า ไม่ใช่กศุ ล ไม่ใช่อกุศล และไม่-
ใช่กรรมวิบากแต่เป็นทิฏฐิธรรมสุขวิหาร เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประ-
การทัง้ ปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะไม่มนสิการซึง่ นานัต-
ตสัญญาจึงบรรลุจตุตถฌานอันสหรคตด้วยอากาสามัญจายตนสัญญา
ไม่มที กุ ข์ ไม่มสี ขุ เพราะละสุขละทุกข์ได้อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากต.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
[๕๘๐] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
353
[๕๘๐] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย อรูปาวจรํ ฌานํ ภาเวติ กิรยิ ํ เนว กุสลํ นากุสลํ น จ กมฺมวิปากํ
ทิฏĘฺ ธมฺมสุขวิหารํ สพฺพโส อากาสานċฺจายตนํ สมติกกฺ มฺม วิญċ ฺ าณċฺจายต
นสċฺċาสหคตํ สุขสฺส จ ปหานา ฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ;
พระขีณาสพเจริญอรูปาวจรฌานเป็นกิรยิ า ไม่ใช่กศุ ล ไม่ใช่อกุศล และไม่-
ใช่กรรมวิบากแต่เป็นทิฏฐิธรรมสุขวิหาร เพราะก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะ
ได้โดยประการทัง้ ปวงจึงบรรลุจตุตถฌานอันสหรคตด้วยวิญญาณัญจายตน-
สัญญา ไม่มที กุ ข์ ไม่มสี ขุ เพราะละสุขละทุกข์ได้อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
[๕๘๑] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๘๑] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย อรูปาวจรํ ฌานํ ภาเวติ กิรยิ ํ เนว กุสลํ นากุสลํ น จ กมฺมวิปากํ
ทิฏĘฺ ธมฺมสุขวิหารํ สพฺพโส วิญċ ฺ าณċฺจายตนํ สมติกกฺ มฺม อากิċจฺ ċฺċายตน-
สċฺċาสหคตํ สุขสฺส จ ปหานา ฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ;
พระขีณาสพเจริญอรูปาวจรฌานเป็นกิรยิ า ไม่ใช่กศุ ล ไม่ใช่อกุศล และไม่-
ใช่กรรมวิบากแต่เป็นทิฏฐิธรรมสุขวิหาร เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะ-
ได้โดยประการทัง้ ปวง จึงบรรลุจตุตถฌานอันสหรคตด้วยอากิญจัญญายตน
สัญญา ไม่มที กุ ข์ ไม่มสี ขุ เพราะละสุขละทุกข์ได้อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
[๕๘๒] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
354
[๕๘๒] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
ยสฺมึ สมเย อรูปาวจรํ ฌานํ ภาเวติ กิรยิ ํ เนว กุสลํ นากุสลํ น จ กมฺมวิปากํ
ทิฏĘฺ ธมฺมสุขวิหารํ สพฺพโส อากิċจฺ ċฺċายตนํ สมติกกฺ มฺม เนวสċฺċานาสċฺ-
ċายตนสċฺċาสหคตํ สุขสฺส จ ปหานา ฯเปฯ จตุตถฺ ํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช
วิหรติ;
พระขีณาสพเจริญอรูปาวจรฌานเป็นกิรยิ า ไม่ใช่กศุ ล ไม่ใช่อกุศล และไม่-
ใช่กรรมวิบากแต่เป็นทิฏฐิธรรมสุขวิหาร เพราะก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะ-
ได้โดยประการทัง้ ปวงจึงบรรลุจตุตถฌานอันสหรคตด้วยเนวสัญญานาสัญ-
ญายตนสัญญา ไม่มที กุ ข์ ไม่มสี ขุ เพราะละสุข ละทุกข์ได้ อยูใ่ นสมัยใด;
ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ, ฯเปฯ อวิกเฺ ขโป โหติ;
ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนัน้ ;
ฯเปฯ อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
อโลโภ อพฺยากตมูลํ ฯเปฯ อโทโส อพฺยากตมูลํ ฯเปฯ อโมโห อพฺยากตมูลํ ฯเปฯ
อัพยากตมูล คือ อโลภะ ฯลฯ อัพยากตมูล คือ อโทสะ ฯลฯ อัพยากตมูล
คือ อโมหะ ฯลฯ
อิเม ธมฺมา อพฺยากตา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอัพยากฤต.
อรูปาวจรกิรยิ าจิตจบ.
อัพยากตบทจบ.
จิตตุปปาทกัณฑ์จบ.
๒. รูปกัณฑ์.
อุทเทส.
[๕๘๓] กตเม ธมฺมา อพฺยากตา?
[๕๘๓] ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน?
กุสลากุสลานํ ธมฺมานํ วิปากา กามาวจรา รูปาวจรา อรูปาวจรา อปริยาปนฺนา;
355
สุขมุ รูปทุกะ.
อตฺถิ รูปํ กายวิญċ ฺ ตฺต,ิ อตฺถิ รูปํ น กายวิญċ ฺ ตฺต.ิ
รูปเป็นกายวิญญัตกิ ม็ ี รูปไม่เป็นกายวิญญัตกิ ม็ .ี
อตฺถิ รูปํ วจีวญ
ิ ċฺ ตฺต,ิ อตฺถิ รูปํ น วจีวญ ิ ċ
ฺ ตฺต.ิ
รูปเป็นวจีวญิ ญัตกิ ม็ ี รูปไม่เป็นวจีวญ
ิ ญัตกิ ม็ .ี
อตฺถิ รูปํ อากาสธาตุ, อตฺถิ รูปํ น อากาสธาตุ.
รูปเป็นอากาสธาตุกม็ ี รูปไม่เป็นอากาสธาตุกม็ .ี
อตฺถิ รูปํ อาโปธาตุ, อตฺถิ รูปํ น อาโปธาตุ.
รูปเป็นอาโปธาตุกม็ ี รูปเป็นไม่เป็นอาโปธาตุกม็ .ี
อตฺถิ รูปํ รูปสฺส ลหุตา, อตฺถิ รูปํ รูปสฺส น ลหุตา.
รูปเป็นรูปลหุตาก็มี รูปไม่เป็นรูปลหุตาก็ม.ี
อตฺถิ รูปํ รูปสฺส มุทตุ า, อตฺถิ รูปํ รูปสฺส น มุทตุ า.
รูปเป็นรูปมุทตุ าก็มี รูปไม่เป็นรูปมุทตุ าก็ม.ี
อตฺถิ รูปํ รูปสฺส กมฺมċฺċตา, อตฺถิ รูปํ รูปสฺส น กมฺมċฺċตา.
รูปเป็นรูปกัมมัญญตาก็มี รูปไม่เป็นรูปกัมมัญญตาก็ม.ี
อตฺถิ รูปํ รูปสฺส อุปจโย, อตฺถิ รูปํ รูปสฺส น อุปจโย.
รูปเป็นรูปอุปจยะก็มี รูปไม่เป็นรูปอุปจยะก็ม.ี
อตฺถิ รูปํ รูปสฺส สนฺตติ, อตฺถิ รูปํ รูปสฺส น สนฺตติ.
รูปเป็นรูปสันตติกม็ ี รูปไม่เป็นรูปสันตติกม็ .ี
อตฺถิ รูปํ รูปสฺส ชรตา, อตฺถิ รูปํ รูปสฺส น ชรตา.
รูปเป็นรูปชรตาก็มี รูปไม่เป็นรูปชรตาก็ม.ี
อตฺถิ รูปํ รูปสฺส อนิจจฺ ตา, อตฺถิ รูปํ รูปสฺส น อนิจจฺ ตา.
รูปเป็นรูปอนิจจตาก็มี รูปไม่เป็นรูปอนิจจตาก็ม.ี
อตฺถิ รูปํ กพฬึกาโร อาหาโร, อตฺถิ รูปํ น กพฬึกาโร อาหาโร.
รูปเป็นรูปกพฬิงการาหารก็มี รูปไม่เป็นกพฬิงการาหารก็ม.ี
สุขมุ รูปทุกะจบ.
362
อัชฌัตติกสัปปฏิฆติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ สปฺปฏิฆ;ํ ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ สปฺปฏิฆ;ํ อตฺถิ
อปฺปฏิฆ.ํ
รูปภายในเป็นสัปปฏิฆะ รูปภายนอกทีเ่ ป็นสัปปฏิฆะก็มี ทีเ่ ป็นอัปปฏิฆะก็ม.ี
อัชฌัตติกอินทริยติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ อินทฺ รฺ ยิ ;ํ ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ อินทฺ รฺ ยิ ;ํ อตฺถิ
น อินทฺ รฺ ยิ .ํ
รูปภายในเป็นอินทรีย์ รูปภายนอกทีเ่ ป็นอินทรียก์ ม็ ี ทีไ่ ม่เป็นอินทรียก์ ม็ .ี
อัชฌัตติกมหาภูตติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น มหาภูต;ํ ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ มหาภูต;ํ อตฺถิ
น มหาภูต.ํ
รูปภายในไม่เป็นมหาภูต รูปภายนอกทีเ่ ป็นมหาภูตก็มี ทีไ่ ม่เป็นมหาภูตก็ม.ี
อัชฌัตติกนวิญญัตติตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น วิċċ
ฺ ตฺต;ิ ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ วิญċ ฺ ตฺต;ิ
อตฺถิ น วิċċ ฺ ตฺต.ิ
รูปภายในไม่เป็นวิญญัติ รูปภายนอกทีเ่ ป็นวิญญัตกิ ม็ ี ทีไ่ ม่เป็นวิญญัตกิ ม็ .ี
อัชฌัตติกนจิตตสมุฏฐานติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น จิตตฺ สมุฏĘฺ านํ: ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ
จิตตฺ สมุฏĘฺ านํ; อตฺถิ น จิตตฺ สมุฏĘฺ านํ.
รูปภายในไม่เป็นจิตตสมุฏฐานก็มี รูปภายนอกทีเ่ ป็นจิตตสมุฏฐานก็มี ทีไ่ ม่-
เป็นจิตตสมุฏฐานก็ม.ี
อัชฌัตติกนจิตตสหภูตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น จิตตฺ สหภุ; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ จิตตฺ สหภุ;
อตฺถิ น จิตตฺ สหภุ.
รูปภายในไม่เป็นจิตตสหภูกม็ ี รูปภายนอกทีเ่ ป็นจิตตสหภูกม็ ี ทีไ่ ม่เป็นจิต-
ตสหภูกม็ .ี
364
อัชฌัตติกนจิตตานุปริวตั ติตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น จิตตฺ านุปริวตฺต;ิ ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ จิตตฺ านุ-
ปริวตฺต;ิ อตฺถิ น จิตตฺ านุปริวตฺต.ิ
รูปภายในไม่เป็นจิตตานุปริวตั กิ ม็ ี รูปภายนอกทีเ่ ป็นจิตตานุปริวตั กิ ม็ ี ทีไ่ ม่-
เป็นจิตตานุปริวตั กิ ม็ .ี
อัชฌัตติกโอฬาริกติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ โอฬาริก;ํ ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ โอฬาริก;ํ อตฺถิ
สุขมุ .ํ
รูปภายในหยาบก็มี รูปภายนอกทีห่ ยาบก็มี ทีล่ ะเอียดก็ม.ี
อัชฌัตติกสันติเกติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ สนฺตเิ ก; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ ทูเร; อตฺถิ สนฺตเิ ก.
รูปภายในอยูใ่ กล้กม็ ี รูปภายนอกทีอ่ ยูไ่ กลก็มี ทีอ่ ยูใ่ กล้กม็ .ี
ปกิณณกติกะจบ.
วัตถุตกิ ะ.
พาหิรจักขุสมั ผัสสนวัตถุตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ จกฺขสุ มฺผสฺสสฺส น วตฺถ;ุ ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ อตฺถิ
จกฺขสุ มฺผสฺสสฺส วตฺถ;ุ อตฺถิ จกฺขสุ มฺผสฺสสฺส น วตฺถ.ุ
รูปภายนอกไม่เป็นทีอ่ าศัยเกิดของจักขุสมั ผัสก็มี รูปภายในเป็นทีอ่ าศัยเกิด-
ของจักขุสมั ผัสก็มี ไม่เป็นทีอ่ าศัยเกิดของจักขุสมั ผัสก็ม.ี
พาหิรจักขุสมั ผัสสชาเวทนายนวัตถุตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํอตฺถิ จกฺขสุ มฺผสฺสชาย เวทนาย ฯเปฯ สċฺċาย ฯเปฯ
เจตนาย ฯเปฯ จกฺขวุ ญิ ċฺ าณสฺส น วตฺถ;ุ ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ อตฺถิ
จกฺขวุ ญ
ิ ċ
ฺ าณสฺส วตฺถ;ุ อตฺถิ จกฺขวุ ญ ิ ċฺ าณสฺส น วตฺถ.ุ
รูปภายนอกไม่เป็นทีอ่ าศัยเกิดของเวทนาอันเกิดแต่จกั ขุสมั ผัส ฯลฯ ของสัญ-
ญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของจักขุวญ ิ ญาณ รูปภายในเป็นทีอ่ าศัยเกิดของ-
จักขุวญ
ิ ญาณก็มี ไม่เป็นทีอ่ าศัยเกิดของจักขุวญ
ิ ญาณก็ม.ี
365
พาหิรโสตสัมผัสสนวัตถุตกิ าทิตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ โสตสมฺผสฺสสฺส ฯเปฯ ฆานสมฺผสฺสสฺส ฯเปฯ ชิวหฺ าสมฺผสฺ-
สสฺส ฯเปฯ กายสมฺผสฺสสฺส น วตฺถ.ุ
รูปภายนอกไม่เป็นทีอ่ าศัยเกิดของโสตสัมผัส ฯลฯ ของฆานสัมผัส ฯลฯ
ของชิวหาสัมผัส ฯลฯ ของกายสัมผัสก็ม.ี
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ อตฺถิ กายสมฺผสฺสสฺส วตฺถ;ุ
รูปภายในเป็นทีอ่ าศัยเกิดของกายสัมผัสก็ม;ี
อตฺถิ กายสมฺผสฺสสฺส น วตฺถ.ุ
ไม่เป็นทีอ่ าศัยเกิดของกายสัมผัสก็ม;ี
ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ กายสมฺผสฺสชาย เวทนาย ฯเปฯ สċฺċาย ฯเปฯ เจตนาย
ฯเปฯ กายวิญċ ฺ าณสฺส น วตฺถ;ุ
รูปภายนอกไม่เป็นทีอ่ าศัยเกิดของเวทนาอันเกิดแต่กายสัมผัส ฯลฯ ของสัญ-
ญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของกายวิญญาณก็ม;ี
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ อตฺถิ กายวิญċ
ฺ าณสฺส วตฺถ;ุ อตฺถกิ ายวิญċ ฺ าณสฺส น
วตฺถ.ุ
รูปภายในเป็นทีอ่ าศัยเกิดของกายวิญญาณก็มี ไม่เป็นทีอ่ าศัยเกิดของกายวิญ-
ญาณก็ม.ี
วัตถุตกิ ะจบ.
อารัมมณติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ จกฺขสุ มฺผสฺสสฺส น อารมฺมณํ;
รูปภายในไม่เป็นอารมณ์ของจักขุสมั ผัสก็ม;ี
ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ จกฺขสุ มฺผสฺสสฺส อารมฺมณํ;
รูปภายนอกทีเ่ ป็นอารมณ์ของจักขุสมั ผัสก็ม;ี
อตฺถิ จกฺขสุ มฺผสฺสสฺส น อารมฺมณํ.
ทีไ่ ม่เป็นอารมณ์ของจักขุสมั ผัสก็ม.ี
อัชฌัตติกจักขุสมั ผัสสชาเวทนายนารัมมณติกาทิตกิ ะ.
366
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ จกฺขสุ มฺผสฺสชาย เวทนาย ฯเปฯ สċฺċาย ฯเปฯ เจตนาย
ฯเปฯ จกฺขวุ ญ ิ ċฺ าณสฺส น อารมฺมณํ; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ จกฺขวุ ญ
ิ ċ
ฺ า-
ณสฺส อารมฺมณํ;
รูปภายในไม่เป็นอารมณ์ของเวทนาอันเกิดแต่จกั ขุสมั ผัส ฯลฯ ของสัญญา
ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของจักขุวญ ิ ญาณ รูปภายนอกทีเ่ ป็นอารมณ์ของจักขุ-
วิญญาณก็ม;ี
อตฺถิ จกฺขวุ ญิ ċฺ าณสฺส น อารมฺมณํ.
ทีไ่ ม่เป็นอารมณ์ของจักขุวญ ิ ญาณก็ม.ี
อัชฌัตติกโสตสัมผัสสัสสนารัมมณติกาทิตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ โสตสมฺผสฺสสฺส ฯเปฯ ฆานสมฺผสฺสสฺส ฯเปฯ ชิวหฺ าสมฺ-
ผสฺสสฺส ฯเปฯ กายสมฺผสฺสสฺส น อารมฺมณํ;
รูปภายในไม่เป็นอารมณ์ของโสตสัมผัส ฯลฯ ของฆานสัมผัส ฯลฯ ของชิว-
หาสัมผัส ฯลฯ ของกายสัมผัสก็ม;ี
อัชฌัตติกกายสัมผัสสชาเวทนายนารัมมณติกาทิตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ กายสมฺผสฺสสฺส อารมฺมณํ;
รูปภายนอกทีเ่ ป็นอารมณ์ของกายสัมผัสก็ม;ี
อตฺถิ กายสมฺผสฺสสฺส น อารมฺมณํ.
ทีไ่ ม่เป็นอารมณ์ของกายสัมผัสก็ม.ี
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ กายสมฺผสฺสชาย เวทนาย ฯเปฯ สċฺċาย ฯเปฯ เจตนาย
ฯเปฯ กายวิญċ ฺ าณสฺส น อารมฺมณํ;
รูปภายในไม่เป็นอารมณ์ของเวทนาอันเกิดแต่กายสัมผัส ฯลฯ ของสัญญา
ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของกายวิญญาณก็ม;ี
ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ กายวิญċ ฺ าณสฺส อารมฺมณํ;
รูปภายนอกทีเ่ ป็นอารมณ์ของกายวิญญาณก็ม;ี
อตฺถิ กายวิญċ ฺ าณสฺส น อารมฺมณํ.
ทีไ่ ม่เป็นอารมณ์ของกายวิญญาณก็ม.ี
367
อารัมมณติกจบ.
อายตนติกะ.
พาหิรนจักขายตนติกะ.
ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ น จกฺขายตนํ;
รูปภายนอกไม่เป็นจักขายตนะก็ม;ี
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ อตฺถิ จกฺขายตนํ; อตฺถิ น จกฺขายตนํ.
รูปภายในทีเ่ ป็นจักขายตนะก็มี ทีไ่ ม่เป็นจักขายตนะก็ม.ี
พาหิรนโสตายตนาทิตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ น โสตายตนํ ฯเปฯ น ฆานายตนํ ฯเปฯ น ชิวหฺ ายตนํ
ฯเปฯ น กายายตนํ; ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ อตฺถิ กายายตนํ; อตฺถิ น
กายายตนํ.
รูปภายนอกไม่เป็นโสตายตนะ ฯลฯ ไม่เป็นฆานายตนะ ฯลฯไม่เป็นชิวหาย-
ตนะ ฯลฯ ไม่เป็นกายายตนะก็มี รูปภายในทีเ่ ป็นกายายตนะก็มี ทีไ่ ม่เป็น-
กายายตนะก็ม.ี
อัชฌัตติกนรูปายตนติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น รูปายตนํ; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ รูปายตนํ;
อตฺถิ น รูปายตนํ.
รูปภายในไม่เป็นรูปายตนะก็มี รูปภายนอกทีเ่ ป็นรูปายตนะก็มี ทีไ่ ม่เป็น-
รูปายตนะก็ม.ี
อัชฌัตติกนสัททายตนติกาทิตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น สทฺทายตนํ ฯเปฯ น คนฺธายตนํ ฯเปฯ น รสายตนํ
ฯเปฯ น โผฏฺĘพฺพายตนํ; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ โผฏฺĘพฺพายตนํ; อตฺถิ น
โผฏฺĘพฺพายตนํ.
รูปภายในไม่เป็นสัททายตนะ ฯลฯ ไม่เป็นคันธายตนะ ฯลฯ ไม่เป็นรสาย-
ตนะ ฯลฯ ไม่เป็นโผฏฐัพพายตนะ รูปภายนอกทีเ่ ป็นโผฏฐัพพายตนะก็มี
368
ทีไ่ ม่เป็นโผฏฐัพพายตนะก็ม.ี
อายตนติกจบ.
ธาตุตกิ ะ.
พาหิรนจักขุธาตุตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ น จกฺขธุ าตุ; ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ อตฺถิ จกฺขธุ าตุ;
อตฺถิ น จกฺขธุ าตุ.
รูปภายนอกไม่เป็นจักขุธาตุกม็ ี รูปภายในทีเ่ ป็นจักขุธาตุกม็ ี ทีไ่ ม่เป็นจักขุ-
ธาตุกม็ .ี
พาหิรนโสตธาตุตกิ าทิตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ น โสตธาตุ ฯเปฯ น ฆานธาตุ ฯเปฯ น ชิวหฺ าธาตุ ฯเปฯ น
กายธาตุ; ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ อตฺถิ กายธาตุ; อตฺถิ น กายธาตุ.
รูปภายนอกไม่เป็นโสตธาตุ ฯลฯ ไม่เป็นฆานธาตุ ฯลฯ ไม่เป็นชิวหาธาตุ
ฯลฯ ไม่เป็นกายธาตุ รูปภายในทีเ่ ป็นกายธาตุกม็ ี ทีไ่ ม่เป็นกายธาตุกม็ .ี
อัชฌัตติกนรูปธาตุตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น รูปธาตุ; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ รูปธาตุ; อตฺถิ
น รูปธาตุ.
รูปภายในไม่เป็นรูปธาตุกม็ ี รูปภายนอกทีเ่ ป็นรูปธาตุกม็ ี ทีไ่ ม่เป็นรูปธาตุ-
ก็ม.ี
อัชฌัตติกนสัททธาตุตกิ าทิตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น สทฺทธาตุ ฯเปฯ น คนฺธธาตุ ฯเปฯ น รสธาตุ ฯเปฯ น
โผฏฺĘพฺพธาตุ; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ โผฏฺĘพฺพธาตุ; อตฺถิ น โผฏฺĘพฺพธาตุ.
รูปภายในไม่เป็นสัททธาตุ ฯลฯ ไม่เป็นคันธธาตุ ฯลฯ ไม่เป็นรสธาตุ ฯลฯ
ไม่เป็นโผฏฐัพพธาตุ รูปภายนอกทีเ่ ป็นโผฏฐัพพธาตุกม็ ี ทีไ่ ม่เป็นโผฏฐัพ-
พธาตุกม็ .ี
ธาตุตกิ จบ.
อินทริยติกะ.
369
พาหิรนจักขุนทริยติกะ.
ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ น จกฺขนุ ทฺ รฺ ยิ ;ํ ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ อตฺถิ จกฺขนุ ทฺ รฺ ยิ ;ํ
อตฺถิ น จกฺขนุ ทฺ รฺ ยิ .ํ
รูปภายนอกไม่เป็นจักขุนทรีย์ รูปภายในทีเ่ ป็นจักขุนทรียก์ ม็ ี ทีไ่ ม่เป็นจักขุน
ทรียก์ ม็ .ี
พาหิรโสตินทริยติกาทิตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ น โสตินทฺ รฺ ยิ ํ ฯเปฯ น ฆานินทฺ รฺ ยิ ํ ฯเปฯ น ชิวหฺ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ ฯเปฯ
น กายินทฺ รฺ ยิ ;ํ ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ อตฺถิ กายินทฺ รฺ ยิ ;ํ อตฺถิ น กายินทฺ รฺ ยิ .ํ
รูปภายนอกไม่เป็นโสตินทรีย์ ฯลฯ ไม่เป็นฆานินทรีย์ ฯลฯ ไม่เป็นชิวหิน-
ทรีย์ ฯลฯ ไม่เป็นกายินทรีย์ รูปภายในทีเ่ ป็นกายินทรียก์ ม็ ี ทีไ่ ม่เป็นกายิน-
ทรียก์ ม็ ี
อัชฌัตติกนอิตถินทริยติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ ;ํ ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ ;ํ
อตฺถิ น อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ .ํ
รูปภายในไม่เป็นอิตถินทรีย์ รูปภายนอกทีเ่ ป็นอิตถินทรียก์ ม็ ี ทีไ่ ม่เป็นอิต-
ถินทรียก์ ม็ .ี
อัชฌัตติกนปุรสิ นิ ทริยติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น ปุรสิ นิ ทฺ รฺ ยิ ;ํ ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ ปุรสิ นิ ทฺ รฺ ยิ ;ํ
อตฺถิ น ปุรสิ นิ ทฺ รฺ ยิ .ํ
รูปภายในไม่เป็นปุรสิ นิ ทรีย์ รูปภายนอกทีเ่ ป็นปุรสิ นิ ทรียก์ ม็ ี ทีไ่ ม่เป็นปุร-ิ
สินทรียก์ ม็ .ี
อัชฌัตติกนชีวติ นิ ทริยติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ;ํ ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ;ํ
อตฺถิ น ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ .ํ
รูปภายในไม่เป็นชีวติ นิ ทรีย์ รูปภายนอกทีเ่ ป็นชีวติ นิ ทรียก์ ม็ ี ทีไ่ ม่เป็น-
ชีวติ นิ ทรียก์ ม็ .ี
370
อินทริยติกจบ.
สุขมุ รูปติกะ.
อัชฌัตติกนกายวิญญัตติตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น กายวิญċฺ ตฺต;ิ ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ
กายวิญċฺ ตฺต;ิ อตฺถิ น กายวิญċ ฺ ตฺต.ิ
รูปภายในไม่เป็นกายวิญญัติ รูปภายนอกทีเ่ ป็นกายวิญญัตกิ ม็ ี ทีไ่ ม่เป็นกาย-
วิญญัตกิ ม็ .ี
อัชฌัตติกนวจีวญ
ิ ญัตติตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น วจีวญิ ċ ฺ ตฺต;ิ ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ
วจีวญ ฺ ตฺต;ิ อตฺถิ น วจีวญ
ิ ċ ิ ċฺ ตฺต.ิ
รูปภายในไม่เป็นวจีวญ ิ ญัติ รูปภายนอกทีเ่ ป็นวจีวญิ ญัตกิ ม็ ี ทีไ่ ม่เป็นวจีวญ
ิ -
ญัตกิ ม็ .ี
อัชฌัตติกนอากาสธาตุตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น อากาสธาตุ; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ อากาสธาตุ;
อตฺถิ น อากาสธาตุ.
รูปภายในไม่เป็นอากาสธาตุ รูปภายนอกทีเ่ ป็นอากาสธาตุกม็ ี ทีไ่ ม่เป็นอา-
กาสธาตุกม็ .ี
อัชฌัตติกนอาโปธาตุตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น อาโปธาตุ; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ อาโปธาตุ;
อตฺถิ น อาโปธาตุ.
รูปภายในไม่เป็นอาโปธาตุ รูปภายนอกทีเ่ ป็นอาโปธาตุกม็ ี ทีไ่ ม่เป็นอาโป-
ธาตุกม็ .ี
อัชฌัตติกนรูปสั สลหุตาติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ รูปสฺส น ลหุตา; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ รูปสฺส
ลหุตา; อตฺถิ รูปสฺส น ลหุตา.
รูปภายในไม่เป็นรูปลหุตา รูปภายนอกทีเ่ ป็นรูปลหุตาก็มี ทีไ่ ม่เป็นรูป
371
ลหุตาก็ม.ี
อัชฌัตติกนรูปสั สมุทตุ าติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ รูปสฺส น มุทตุ า; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ รูปสฺส
มุทตุ า; อตฺถิ รูปสฺส น มุทตุ า.
รูปภายในไม่เป็นรูปมุทตุ า รูปภายนอกทีเ่ ป็นรูปมุทตุ าก็มี ทีไ่ ม่เป็นรูปมุท-ุ
ตาก็ม.ี
อัชฌัตติกนรูปสั สกัมมัญญตาติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ รูปสฺส น กมฺมċฺċตา; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ
รูปสฺส กมฺมċฺċตา; อตฺถิ รูปสฺส น กมฺมċฺċตา.
รูปภายในไม่เป็นรูปกัมมัญญตา รูปภายนอกทีเ่ ป็นรูปกัมมัญญตาก็มี ทีไ่ ม่-
เป็นรูปกัมมัญญตาก็ม.ี
อัชฌัตติกนรูปสั สอุปจยติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ รูปสฺส น อุปจโย; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ รูปสฺส
อุปจโย; อตฺถิ รูปสฺส น อุปจโย.
รูปภายในไม่เป็นรูปอุปจยะ รูปภายนอกทีเ่ ป็นรูปอุปจยะก็มี ทีไ่ ม่เป็นรูป-
อุปจยะก็ม.ี
อัชฌัตติกนรูปสั สสันตติตกิ ะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ รูปสฺส น สนฺตติ; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ รูปสฺส
สนฺตติ; อตฺถิ รูปสฺส น สนฺตติ.
รูปภายในไม่เป็นรูปสันตติ รูปภายนอกทีเ่ ป็นรูปสันตติกม็ ี ทีไ่ ม่เป็นรูป-
สันตติกม็ .ี
อัชฌัตติกนรูปสั สชรตาติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ รูปสฺส น ชรตา; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ รูปสฺส
ชรตา; อตฺถิ รูปสฺส น ชรตา.
รูปภายในไม่เป็นรูปชรตา รูปภายนอกทีเ่ ป็นรูปชรตาก็มี ทีไ่ ม่เป็นรูปชรตา-
ก็ม.ี
372
อัชฌัตติกนรูปสั สอนิจจตาติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ รูปสฺส น อนิจจฺ ตา; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ รูปสฺส
อนิจจฺ ตา; อตฺถิ รูปสฺส น อนิจจฺ ตา.
รูปภายในไม่เป็นรูปอนิจจตา รูปภายนอกทีเ่ ป็นรูปอนิจจตาก็มี ทีไ่ ม่เป็น-
รูปอนิจจตาก็ม.ี
อัชฌัตติกนกวฬิงการาหารติกะ.
ยนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ,ํ ตํ น กพฬึกาโร อาหาโร; ยนฺตํ รูปํ พาหิร,ํ ตํ อตฺถิ
กพฬึกาโร อาหาโร; อตฺถิ น กพฬึกาโร อาหาโร.
รูปภายในไม่เป็นกพฬิงการาหาร รูปภายนอกทีเ่ ป็นกพฬิงการาหารก็มี
ทีไ่ ม่เป็นกพฬิงการาหารก็ม.ี
สุขมุ รูปติกจบ.
เอวํ ติวเิ ธน รูปสงฺคโห.
สงเคราะห์รปู เป็นหมวดละ ๓ อย่างนี.้
ติกมาติกาจบ.
จตุกกมาติกา.
จตุพพฺ เิ ธน รูปสงฺคโห:
สงเคราะห์รปู เป็นหมวด ๆ ละ ๔ คือ.
อุปาทาอุปาทินนจตุกกะ.
[๕๘๖] ยนฺตํ รูปํ อุปาทา, ตํ อตฺถิ อุปาทินนฺ ;ํ อตฺถิ อนุปาทินนฺ .ํ ยนฺตํ รูปํ
โน ปาทา, ตํ อตฺถิ อุปาทินนฺ ;ํ อตฺถิ อนุปาทินนฺ .ํ
[๕๘๖] รูปเป็นอุปาทาทีเ่ ป็นอุปาทินนะก็มี ทีเ่ ป็นอนุปาทินนะก็มี รูปเป็นอนุปาทา-
ทีเ่ ป็นอุปาทินนะก็มี ทีเ่ ป็นอนุปาทินนะก็ม.ี
อุปาทาอุปาทินนุปาทานิยจตุกกะ.
ยนฺตํ รูปํ อุปาทา, ตํ อตฺถิ อุปาทินนฺ ปุ าทานิย;ํ อตฺถิ อนุปาทินนฺ ปุ าทานิย.ํ
ยนฺตํ รูปํ โน ปาทา, ตํ อตฺถิ อุปาทินนฺ ปุ าทานิย;ํ อตฺถิ อนุปาทินนฺ ปุ าทานิย.ํ
รูปเป็นอุปาทาทีเ่ ป็นอุปาทินนุปาทานิยะก็มี ทีเ่ ป็นอนุปาทินนุปาทานิยะก็มี
373
อุปาทินนุปาทานิยมหาภูตจตุกกะ.
ยนฺตํ รูปํ อุปาทินนฺ ปุ าทานิย,ํ ตํ อตฺถิ มหาภูต;ํ อตฺถิ น มหาภูต.ํ ยนฺตํ รูปํ
อนุปาทินนฺ ปุ าทานิย,ํ ตํ อตฺถิ มหาภูต;ํ อตฺถิ น มหาภูต.ํ
รูปเป็นอุปาทินนุปาทานิยะทีเ่ ป็นมหาภูตก็มี ทีไ่ ม่เป็นมหาภูตก็มี รูปเป็น-
อนุปาทินนุปาทานิยะทีเ่ ป็นมหาภูตก็มี ทีไ่ ม่เป็นมหาภูตก็ม.ี
อุปาทินนุปาทานิยโอฬาริกจตุกกะ.
ยนฺตํ รูปํ อุปาทินนฺ ปุ าทานิย,ํ ตํ อตฺถิ โอฬาริก;ํ อตฺถิ สุขมุ .ํ ยนฺตํ รูปํ
อนุปาทินนฺ ปุ าทานิย,ํ ตํ อตฺถิ โอฬาริก;ํ อตฺถิ สุขมุ .ํ
รูปเป็นอุปาทินนุปาทานิยะทีห่ ยาบก็มี ทีล่ ะเอียดก็มี รูปเป็นอนุปาทินนุปา-
ทานิยะทีห่ ยาบก็มี ทีล่ ะเอียดก็ม.ี
อุปาทินนุปาทานิยทูเรจตุกกะ.
ยนฺตํ รูปํ อุปาทินนฺ ปุ าทานิย,ํ ตํ อตฺถิ ทูเร; อตฺถิ สนฺตเิ ก. ยนฺตํ รูปํ
อนุปาทินนฺ ปุ าทานิย,ํ ตํ อตฺถิ ทูเร; อตฺถิ สนฺตเิ ก.
รูปเป็นอุปาทินนุปาทานิยะทีอ่ ยูไ่ กลก็มี ทีอ่ ยูใ่ กล้กม็ ี รูปเป็นอนุปาทินนุปา-
ทานิยะทีอ่ ยูไ่ กลก็มี ทีอ่ ยูใ่ กล้กม็ .ี
สัปปฏิฆอินทริยจตุกกะ.
ยนฺตํ รูปํ สปฺปฏิฆ,ํ ตํ อตฺถิ อินทฺ รฺ ยิ ;ํ อตฺถิ น อินทฺ รฺ ยิ .ํ ยนฺตํ รูปํ อปฺปฏิฆ,ํ
ตํ อตฺถิ อินทฺ รฺ ยิ ;ํ อตฺถิ น อินทฺ รฺ ยิ .ํ
รูปกระทบได้ทเ่ี ป็นอินทรียก์ ม็ ี ทีไ่ ม่เป็นอินทรียก์ ม็ ี รูปกระทบไม่ได้ ทีเ่ ป็น-
อินทรียก์ ม็ ี ทีไ่ ม่เป็นอินทรียก์ ม็ .ี
สัปปฏิฆมหาภูตอินทริยจตุกกะ.
ยนฺตํ รูปํ สปฺปฏิฆ,ํ ตํ อตฺถิ มหาภูต;ํ อตฺถิ น มหาภูต.ํ ยนฺตํ รูปํ อปฺปฏิฆ,ํ
ตํ อตฺถิ มหาภูต;ํ อตฺถิ น มหาภูต.ํ
รูปกระทบได้ทเ่ี ป็นมหาภูตก็มี ทีไ่ ม่เป็นมหาภูตก็มี รูปกระทบไม่ได้ ทีเ่ ป็น-
มหาภูตก็มี ทีไ่ ม่เป็นมหาภูตก็ม.ี
อินทริยโอฬาริกจตุกกะ.
376
ยนฺตํ รูปํ อินทฺ รฺ ยิ ,ํ ตํ อตฺถิ โอฬาริก;ํ อตฺถิ สุขมุ .ํ ยนฺตํ รูปํ น อินทฺ รฺ ยิ ,ํ ตํ
อตฺถิ โอฬาริก;ํ อตฺถิ สุขมุ .ํ
รูปเป็นอินทรียท์ ห่ี ยาบก็มี ทีล่ ะเอียดก็มี รูปไม่เป็นอินทรียท์ ห่ี ยาบก็มี ทีล่ ะ-
เอียดก็ม.ี
อินทริยทูเรจตุกกะ.
ยนฺตํ รูปํ อินทฺ รฺ ยิ ,ํ ตํ อตฺถิ ทูเร; อตฺถิ สนฺตเิ ก. ยนฺตํ รูปํ น อินทฺ รฺ ยิ ,ํ ตํ
อตฺถิ ทูเร; อตฺถิ สนฺตเิ ก.
รูปเป็นอินทรียท์ อ่ี ยูไ่ กลก็มี ทีอ่ ยูใ่ กล้กม็ ี รูปไม่เป็นอินทรียท์ อ่ี ยูไ่ กลก็มี
ทีอ่ ยูใ่ กล้กม็ .ี
มหาภูตโอฬาริกจตุกกะ.
ยนฺตํ รูปํ มหาภูต,ํ ตํ อตฺถิ โอฬาริก;ํ อตฺถิ สุขมุ .ํ ยนฺตํ รูปํ น มหาภูต,ํ ตํ
อตฺถิ โอฬาริก;ํ อตฺถิ สุขมุ .ํ
รูปเป็นมหาภูตทีห่ ยาบก็มี ทีล่ ะเอียดก็มี รูปไม่เป็นมหาภูตทีห่ ยาบก็มี ทีล่ ะ-
เอียดก็ม.ี
มหาภูตทูเรจตุกกะ.
ยนฺตํ รูปํ มหาภูต,ํ ตํ อตฺถิ ทูเร; อตฺถิ สนฺตเิ ก. ยนฺตํ รูปํ น มหาภูต,ํ ตํ
อตฺถิ ทูเร; อตฺถิ สนฺตเิ ก.
รูปเป็นมหาภูตทีอ่ ยูไ่ กลก็มี ทีอ่ ยูใ่ กล้กม็ ี รูปไม่เป็นมหาภูตทีอ่ ยูไ่ กลก็มี
ทีอ่ ยูใ่ กล้กม็ .ี
ทิฏฐาทิจตุกกะ.
ทิฏĘฺ ํ สุตํ มุตํ วิญċ ฺ าตํ รูป.ํ
รูปทีเ่ ห็นได้ รูปทีฟ่ งั ได้ รูปทีร่ ไู้ ด้ รูปทีร่ แู้ จ้งได้.
เอวํ จตุพพฺ เิ ธน รูปสงฺคโห.
สงเคราะห์รปู เป็นหมวด ๆ ละ ๔ อย่างนี.้
จตุกกมาติกาจบ.
ปัญญจกมาติกา.
377
ปċฺจวิเธน รูปสงฺคโห:
สงเคราะห์รปู เป็นหมวด ๆ ละ ๕ คือ.
[๕๘๗] ปĘวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ; ยċฺจ รูปํ อุปาทา.
[๕๘๗] ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ และรูปทีเ่ ป็นอุปาทา.
เอวํ ปญฺจวิเธน รูปสงฺคโห.
สงเคราะห์รปู เป็นหมวดละ ๕ อย่างนี.้
ปัญญจกมาติกาจบ.
ฉักกมาติกา.
ฉพฺพเิ ธน รูปสงฺคโห:
สงเคราะห์รปู เป็นหมวด ๆ ละ ๖ คือ.
[๕๘๘] จกฺขวุ ċิ ċฺ ยฺยํ รูป,ํ โสตวิċเฺ ċยฺยํ รูป,ํ ฆานวิċเฺ ċยฺยํ รูป,ํ ชิวหฺ าวิċ-ฺ
เċยฺยํ รูป,ํ กายวิċเฺ ċยฺยํ รูป,ํ มโนวิċเฺ ċยฺยํ รูป.ํ
[๕๘๘] รูปอันจักขุวญ ิ ญาณพึงรู้ รูปอันโสตวิญญาณพึงรู้ รูปอันฆานวิญญาณพึงรู้
รูปอันชิวหาวิญญาณพึงรู้ รูปอันกายวิญญาณพึงรู้ รูปอันมโนวิญญาณพึงรู.้
เอวํ ฉพฺพเิ ธน รูปสงฺคโห.
สงเคราะห์รปู เป็นหมวดละ ๖ อย่างนี.้
ฉักกมาติกาจบ.
สัตตกมาติกา.
สตฺตวิเธน รูปสงฺคโห:
สงเคราะห์รปู เป็นหมวด ๆ ละ ๗ คือ.
[๕๘๙] จกฺขวุ ญิ เฺ ċยฺยํ รูป;ํ โสตวิญเฺ ċยฺยํ รูป;ํ ฆานวิญเฺ ċยฺยํ รูป;ํ ชิวหฺ าวิญ-ฺ
เċยฺยํ รูป,ํ กายวิญเฺ ċยฺยํ รูป,ํ มโนธาตุวญ ิ เฺ ċยฺยํ รูป,ํ มโนวิญċ
ฺ าณธาตุวญ ิ เฺ ċยฺยํ
รูป.ํ
[๕๘๙] รูปอันจักขุวญ ิ ญาณพึงรู้ รูปอันโสตวิญญาณพึงรู้ รูปอันฆานวิญญาณพึงรู้
รูปอันชิวหาวิญญาณพึงรู้ รูปอันกายวิญญาณพึงรู้ รูปอันมโนธาตุพงึ รู้
รูปอันมโนวิญญาณธาตุพงึ รู.้
378
ทสวิเธน รูปสงฺคโห:
สงเคราะห์รปู เป็นหมวด ๆ ละ ๑๐ คือ.
[๕๙๒] จกฺขนุ ทฺ รฺ ยิ ํ โสตินทฺ รฺ ยิ ํ ฆานินทฺ รฺ ยิ ํ ชิวหฺ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ กายินทฺ รฺ ยิ ํ อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ
ปุรสิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ,ํ น อินทฺ รฺ ยิ ํ รูปํ อตฺถิ สปฺปฏิฆ,ํ อตฺถิ อปฺปฏิฆ.ํ
[๕๑๒] จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์ อิตถินทรีย์
ปุรสิ นิ ทรีย์ ชีวติ นิ ทรีย์ รูปไม่เป็นอินทรียท์ ก่ี ระทบได้กม็ ี ทีก่ ระทบไม่ได้-
ก็ม.ี
เอวํ ทสวิเธน รูปสงฺคโห.
สงเคราะห์รปู เป็นหมวดละ ๑๐ อย่างนี.้
ทสกมาติกาจบ.
เอกาทสกมาติกา.
เอกาทสวิเธน รูปสงฺคโห:
สงเคราะห์รปู เป็นหมวด ๆ ละ ๑๑ คือ.
[๕๙๓] จกฺขายตนํ โสตายตนํ ฆานายตนํ ชิวหฺ ายตนํ กายายตนํ รูปายตนํ
สทฺทายตนํ คนฺธายตนํ รสายตนํ โผฏฺĘพฺพายตนํ, ยญฺจ รูปํ อนิทสฺสนํ
อปฺปฏิฆํ ธมฺมายตนปริยาปนฺน.ํ
[๕๙๓] จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ รูปายตนะ
สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ และรูปทีเ่ ป็นอนิทสั -
สนะ เป็นอัปปฏิฆะแต่นบั เนือ่ งในธัมมายตนะ.
เอวํ เอกาทสวิเธน รูปสงฺคโห.
สงเคราะห์รปู เป็นหมวดละ ๑๑ อย่างนี.้
เอกาทสกมาติกาจบ.
มาติกาจบ.
รูปวิภตั ติ.
เอกกนิสเทส.
380
ทุกนิสเทส.
ปกิณณกทุกะ.
อุปาทาภาชนีย.
[๕๙๕] กตมนฺตํ รูปํ อุปาทา?
[๕๙๕] รูปเป็นอุปาทานัน้ เป็นไฉน?
จกฺขายตนํ โสตายตนํ ฆานายตนํ, ชิวหฺ ายตนํ กายายตนํ รูปายตนํ สทฺทายตนํ
คนฺธายตนํ รสายตนํ,
จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ รูปายตนะ
สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ,
อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ ปุรสิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ,ํ กายวิญċ
ฺ ตฺติ วจีวญ
ิ ċ
ฺ ตฺต,ิ อากาสธาตุ,
อิตถินทรีย์ ปุรสิ นิ ทรีย์ ชีวติ นิ ทรีย์ กายวิญญัติ วจีวญ ิ ญัติ อากาสธาตุ,
รูปสฺส ลหุตา รูปสฺส มุทตุ า รูปสฺส กมฺมċฺċตา, รูปสฺส อุปจโย รูปสฺส
สนฺตติ, รูปสฺส ชรตา รูปสฺส อนิจจฺ ตา; กพฬึกาโร อาหาโร.
รูปลหุตา รูปมุทตุ า รูปกัมมัญญตา รูปอุปจยะ รูปสันตติ รูปชรตา รูปอนิจจตา
กพฬิงการาหาร.
382
จักขายตนะ.
[๕๙๖] กตมนฺตํ รูปํ จกฺขายตนํ?
[๕๙๖] รูปทีเ่ รียกว่าจักขายตนะนัน้ เป็นไฉน?
ยํ จกฺขุ จตุนนฺ ํ มหาภูตานํ อุปาทาย ปสาโท อตฺตภาวปริยาปนฺโน อนิทสฺสโน
สปฺปฏิโฆ,
จักขุใดเป็นปสาทรูปอาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนือ่ งในอัตภาพเป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่-
ได้ แต่กระทบได้,
เยน จกฺขนุ า อนิทสฺสเนน สปฺปฏิเฆน รูปํ สนิทสฺสนํ สปฺปฏิฆํ ปสฺสิ วา,
ปสฺสติ วา, ปสฺสสิ สฺ ติ วา, ปสฺเส วา,
สัตว์นเ้ี ห็นแล้ว หรือเห็นอยู่ หรือจักเห็น หรือพึงเห็น ซึง่ รูปอันเป็นสิง่ ที-่
เห็นได้ และกระทบได้ดว้ ยจักขุใดอันเป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่ได้แต่กระทบได้,
จกฺขเĖú ปตํ จกฺขายตนํเปตํ จกฺขธุ าตุเปสา จกฺขนุ ทฺ รฺ ยิ เํ ปตํ โลโกเปโส ทฺวาราเปสา
สมุทโฺ ทเปโส ปณฺฑรํเปตํ เขตฺตเํ ปตํ วตฺถเํุ ปตํ เนตฺตเํ ปตํ นยนํเปตํ โอริมนฺตรี เํ ปตํ
สุċโฺ ċ คาโมเปโส;
นีเ้ รียกว่าจักขุบา้ ง จักขายตนะบ้าง จักขุธาตุบา้ ง จักขุนทรียบ์ า้ ง โลกบ้าง
ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบา้ ง เนตรบ้าง นัยนะบ้าง
ฝัง่ นีบ้ า้ ง บ้านว่างบ้าง;
อิทนฺตํ รูปํ จกฺขายตนํ.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่าจักขายตนะ
[๕๙๗] กตมนฺตํ รูปํ จกฺขายตนํ?
[๕๙๗] รูปทีเ่ รียกว่าจักขายตนะนัน้ เป็นไฉน?
ยํ จกฺขํุ จตุนนฺ ํ มหาภูตานํ อุปาทาย ปสาโท อตฺตภาวปริยาปนฺโน อนิทสฺสโน
สปฺปฏิโฆ,
จักขุใดเป็นปสาทรูปอาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนือ่ งในอัตภาพ เป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่-
ได้แต่กระทบได้,
ยมฺหิ จกฺขมุ หฺ ิ อนิทสฺสนมฺหิ สปฺปฏิฆมฺหิ รูปํ สนิทสฺสนํ สปฺปฏิฆํ ปฏิหċฺċิ
383
โสตายตนะ.
[๖๐๐] กตมนฺตํ รูปํ โสตายตนํ?
[๖๐๐] รูปทีเ่ รียกว่าโสตายตนะนัน้ เป็นไฉน?
ยํ โสตํ จตุนนฺ ํ มหาภูตานํ อุปาทาย ปสาโท อตฺตภาวปริยาปนฺโน อนิทสฺสโน
สปฺปฏิโฆ,
โสตใดเป็นปสาทรูปอาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนือ่ งในอัตภาพเป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่-
ได้แต่กระทบได้,
เยน โสเตน อนิทสฺสเนน สปฺปฏิเฆน สทฺทํ อนิทสฺสนํ สปฺปฏิฆํ สุณิ วา,
สุณาติ วา, สุณสิ สฺ ติ วา, สุเณ วา;
สัตว์นฟ้ี งั แล้ว หรือฟังอยู่ หรือจักฟัง หรือพึงฟัง ซึง่ เสียงอันเป็นสิง่ ทีเ่ ห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้ดว้ ยโสตใดอันเป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่ได้แต่กระทบได้;
โสตํเปตํ โสตายตนํเปตํ โสตธาตุเปสา โสตินทฺ รฺ ยิ เํ ปตํ โลโกเปโส ทฺวาราเปสา
สมุทโฺ ทเปโส ปณฺฑรํเปตํ เขตฺตเํ ปตํ วตฺถเํุ ปตํ โอริมนฺตรี เํ ปตํ สุċโฺ ċ คาโมเปโส;
นีเ้ รียกว่าโสตบ้าง โสตายตนะบ้าง โสตธาตุบา้ ง โสตินทรียบ์ า้ ง โลกบ้าง
386
ฆานายตนะ.
[๖๐๔] กตมนฺตํ รูปํ ฆานายตนํ?
[๖๐๔] รูปทีเ่ รียกว่าฆานายตนะนัน้ เป็นไฉน?
ยํ ฆานํ จตุนนฺ ํ มหาภูตานํ อุปาทาย ปสาโท อตฺตภาวปริยาปนฺโน อนิทสฺสโน
สปฺปฏิโฆ,
ฆานะใดเป็นปสาทรูปอาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนือ่ งในอัตภาพเป็นสิง่ ทีเ่ ห็น-
ไม่ได้แต่กระทบได้,
เยน ฆาเนน อนิทสฺสเนน สปฺปฏิเฆน คนฺธํ อนิทสฺสนํ สปฺปฏิฆํ ฆายิ วา,
ฆายติ วา, ฆายิสสฺ ติ วา, ฆาเย วา;
สัตว์นด้ี มแล้ว หรือดมอยู่ หรือจักดม หรือพึงดมซึง่ กลิน่ อันเป็นสิง่ ทีเ่ ห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้ดว้ ยฆานะใดอันเป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่ได้ แต่กระทบได้;
ฆานํเปตํ ฆานายตนํเปตํ ฆานธาตุเปสา ฆานินทฺ รฺ ยิ เํ ปตํ โลโกเปโส ทฺวาราเปสา
สมุทโฺ ทเปโส ปณฺฑรํเปตํ เขตฺตเํ ปตํ วตฺถเํุ ปตํ โอริมนฺตรี เํ ปตํ สุċโฺ ċ คาโมเปโส;
นีเ้ รียกว่าฆานะบ้าง ฆานายตนะบ้าง ฆานธาตุบา้ ง ฆานินทรียบ์ า้ ง โลกบ้าง
389
ฆานสมฺผสฺสชา เวทนา, ฯเปฯ สċฺċา ฯเปฯ เจตนา ฯเปฯ ฆานวิċċ ฺ าณํ อุปปฺ ชฺชิ
วา, อุปปฺ ชฺชติ วา, อุปปฺ ชฺชสิ สฺ ติ วา, อุปปฺ ชฺเช วา;
ฯลฯ เพราะอาศัยฆานะใดฆานสัมผัสมีกลิน่ เป็นอารมณ์เกิดขึน้ แล้ว หรือเกิด
ขึน้ อยู่ หรือจักเกิดขึน้ หรือพึงเกิดขึน้ ฯลฯ เพราะอาศัยฆานะใดเวทนาอัน-
เกิดแต่ฆานสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ ฆานวิญญาณมีกลิน่ เป็น-
อารมณ์เกิดขึน้ แล้ว หรือเกิดขึน้ อยู่ หรือจักเกิดขึน้ หรือพึงเกิดขึน้ ;
ฆานํเปตํ ฆานายตนํเปตํ ฆานธาตุเปสา ฆานินทฺ รฺ ยิ เํ ปตํ โลโกเปโส ทฺวาราเปสา
สมุทโฺ ทเปโส ปณฺฑรํเปตํ เขตฺตเํ ปตํ วตฺถเํุ ปตํ โอริมนฺตรี เํ ปตํ สุċโฺ ċ คาโมเปโส;
นีเ้ รียกว่า ฆานะบ้าง ฆานายตนะบ้าง ฆานธาตุบา้ ง ฆานินทรียบ์ า้ ง โลกบ้าง
ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบา้ ง ฝัง่ นีบ้ า้ ง บ้านว่างบ้าง;
อิทนฺตํ รูปํ ฆานายตนํ.
รูปทัง้ นีเ้ รียกฆานายตนะ.
ชิวหายตนะ.
[๖๐๘] กตมนฺตํ รูปํ ชิวหฺ ายตนํ?
[๖๐๘] รูปทีเ่ รียกว่าชิวหายตนะนัน้ เป็นไฉน?
ยา ชิวหฺ า จตุนนฺ ํ มหาภูตานํ อุปาทาย ปสาโท อตฺตภาวปริยาปนฺโน อนิทสฺส-
โน สปฺปฏิโฆ,
ชิวหาใดเป็นปสาทรูปอาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนือ่ งในอัตภาพเป็นสิง่ ทีเ่ ห็น-
ไม่ได้แต่กระทบได้,
ยาย ชิวหฺ าย อนิทสฺสนาย สปฺปฏิฆาย รสํ อนิทสฺสนํ สปฺปฏิฆํ สายิ วา,
สายติ วา, สายิสสฺ ติ วา, สาเย วา;
สัตว์น้ี ลิม้ แล้ว หรือลิม้ อยู่ หรือจักลิม้ หรือพึงลิม้ ซึง่ รสอันเป็นสิง่ ทีเ่ ห็น-
ไม่ได้แต่กระทบได้ดว้ ยชิวหาใดอันเป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่ได้แต่กระทบได้;
ชิวหฺ าเปสา ชิวหฺ ายตนํเปตํ ชิวหฺ าธาตุเปสา ชิวหฺ นิ ทฺ รฺ ยิ เํ ปตํ โลโกเปโส
ทฺวาราเปสา สมุทโฺ ทเปโส ปณฺฑรํเปตํ เขตฺตเํ ปตํ วตฺถเํุ ปตํ โอริมนฺตรี เํ ปตํ สุċโฺ ċ
392
คาโมเปโส;
นีเ้ รียกว่าชิวหาบ้าง ชิวหายตนะบ้าง ชิวหาธาตุบา้ ง ชิวหินทรียบ์ า้ ง โลกบ้าง
ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบา้ ง ฝัง่ นีบ้ า้ ง บ้านว่างบ้าง;
อิทนฺตํ รูปํ ชิวหฺ ายตนํ.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่าชิวหายตนะ.
[๖๐๙] กตมนฺตํ รูปํ ชิวหฺ ายตนํ?
[๖๐๙] รูปทีเ่ รียกว่าชิวหายตนะนัน้ เป็นไฉน?
ยา ชิวหฺ า จตุนนฺ ํ มหาภูตานํ อุปาทาย ปสาโท อตฺตภาวปริยาปนฺโน
อนิทสฺสโน สปฺปฏิโฆ,
ชิวหาใดเป็นปสาทรูปอาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนือ่ งในอัตภาพเป็นสิง่ ทีเ่ ห็น-
ไม่ได้แต่กระทบได้,
ยาย ชิวหฺ าย อนิทสฺสนาย สปฺปฏิฆาย รโส อนิทสฺสโน สปฺปฏิโฆ ปฏิหċฺċิ
วา, ปฏิหċฺċติ วา, ปฏิหċฺċสิ สฺ ติ วา, ปฏิหċฺเċ วา;
รสอันเป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่ได้แต่กระทบได้ กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือ-
จักกระทบ หรือพึงกระทบทีช่ วิ หาใดอันเป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่ได้แต่กระทบได้;
ชิวหฺ าเปสา ชิวหฺ ายตนํเปตํ ชิวหฺ าธาตุเปสา ชิวหฺ นิ ทฺ รฺ ยิ เํ ปตํ โลโกเปโส ทฺวาราเป-
สา สมุทโฺ ทเปโส ปณฺฑรํเปตํ เขตฺตเํ ปตํ วตฺถเํุ ปตํ โอริมนฺตรี เํ ปตํ สุċโฺ ċ
คาโมเปโส;
นีเ้ รียกว่าชิวหาบ้าง ชิวหายตนะบ้าง ชิวหาธาตุบา้ ง ชิวหินทรียบ์ า้ ง โลกบ้าง
ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบา้ ง ฝัง่ นีบ้ า้ ง
บ้านว่างบ้าง;
อิทนฺตํ รูปํ ชิวหฺ ายตนํ.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่า ชิวหายตนะ
[๖๑๐] กตมนฺตํ รูปํ ชิวหฺ ายตนํ?
[๖๑๐] รูปทีเ่ รียกว่าชิวหายตนะนัน้ เป็นไฉน?
393
สีมว่ ง,
ทีฆํ รสฺสํ อณุํ ถูลํ วฏฺฏํ ปริมณฺฑลํ จตุรสํ ํ ฉฬํลํ อฏฺĘสํ ํ โสฬสํส,ํ
ยาว สัน้ ละเอียด หยาบ กลม รี สีเ่ หลีย่ ม หกเหลีย่ ม แปดเหลีย่ ม สิบหก-
เหลีย่ ม,
นินนฺ ํ ถลํ ฉายา อาตโป อาโลโก อนฺธกาโร อพฺภา มหิกา ธูโม รโช,
ลุม่ ดอน เงา แดด แสงสว่าง มืด เมฆ หมอก ควัน ละออง,
จนฺทมณฺฑลสฺส วณฺณนิภา สุรยิ มณฺฑลสฺส วณฺณนิภา ตารกรูปานํ วณฺณนิภา
อาทาสมณฺฑลสฺส วณฺณนิภา มณิสงฺขมุตตฺ าเวฬุรยิ สฺส วณฺณนิภา
ชาตรูปรชตสฺส วณฺณนิภา;
แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แสงดาว แสงกระจก แสงแก้วมณี แสงสังข์
แสงมุกดา แสงแก้วไพฑูรย์ แสงทอง แสงเงิน;
ยํ วา ปนċฺċมฺปิ อตฺถิ รูปํ จตุนนฺ ํ มหาภูตานํ อุปาทาย วณฺณนิภา
สนิทสฺสนํ สปฺปฏิฆ;ํ
หรือรูปแม้อน่ื ใดเป็นสีอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิง่ ทีเ่ ห็นได้และกระทบได้
มีอยู;่
ยํ รูปํ สนิทสฺสนํ สปฺปฏิฆํ จกฺขนุ า อนิทสฺสเนน สปฺปฏิเฆน ปสฺสิ วา,
ปสฺสติ วา, ปสฺสสิ สฺ ติ วา, ปสฺเส วา,
สัตว์นเ้ี ห็นแล้ว หรือเห็นอยู่ หรือจักเห็น หรือพึงเห็นซึง่ รูปใดอันเป็นสิง่ ที-่
เห็นได้และกระทบได้ดว้ ยจักขุอนั เป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่ได้แต่กระทบได้;
รูปเํ ปตํ รูปายตนํเปตํ รูปธาตุเปสา;
นีเ้ รียกว่ารูปบ้าง รูปายตนะบ้าง รูปธาตุบา้ ง;
อิทนฺตํ รูปํ รูปายตนํ.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปายตนะ.
[๖๑๗] กตมนฺตํ รูปํ รูปายตนํ?
[๖๑๗] รูปทีเ่ รียกรูปายตนะนัน้ เป็นไฉน?
ยํ รูปํ จตุนนฺ ํ มหาภูตานํ อุปาทาย วณฺณนิภา สนิทสฺสนํ สปฺปฏิฆ,ํ
399
จกฺขสุ มฺผสฺสชา เวทนา ฯเปฯ สċฺċา ฯเปฯ เจตนา ฯเปฯ จกฺขวุ ċ ิ ċฺ าณํ
อุปปฺ ชฺชิ วา, อุปปฺ ชฺชติ วา, อุปปฺ ชฺชสิ สฺ ติ วา, อุปปฺ ชฺเช วา;
เพราะปรารภรูปใดจักขุสมั ผัสอาศัยจักขุเกิดขึน้ แล้ว หรือเกิดขึน้ อยู่ หรือจัก-
เกิดขึน้ หรือพึงเกิดขึน้ ฯลฯ เพราะปรารภรูปใดเวทนาอันเกิดแต่จกั ขุสมั ผัส
ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ จักขุวญ ิ ญาณอาศัยจักขุเกิดขึน้ แล้ว หรือเกิดขึน้
อยู่ หรือจักเกิดขึน้ หรือพึงเกิดขึน้ ;
ฯเปฯ ยํ รูปารมฺมโณ จกฺขํุ นิสสฺ าย จกฺขสุ มฺผสฺโส อุปปฺ ชฺชิ วา, อุปปฺ ชฺชติ วา,
อุปปฺ ชฺชสิ สฺ ติ วา, อุปปฺ ชฺเช วา; ฯเปฯ ยํรปู ารมฺมณา จกฺขํุ นิสสฺ าย จกฺขสุ มฺผสฺ-
สชา เวทนา, ฯเปฯ สċฺċา ฯเปฯ เจตนา ฯเปฯ จกฺขวุ ċ ิ ċฺ าณํ อุปปฺ ชฺชิ วา,
อุปปฺ ชฺชติ วา, อุปปฺ ชฺชสิ สฺ ติ วา, อุปปฺ ชฺเช วา;
ฯลฯ จักขุสมั ผัสมีรปู ใดเป็นอารมณ์อาศัยจักขุ เกิดขึน้ แล้ว หรือเกิดขึน้ อยู่
หรือจักเกิดขึน้ หรือพึงเกิดขึน้ ฯลฯ เวทนาอันเกิดแต่จกั ขุสมั ผัส ฯลฯ สัญญา
ฯลฯ เจตนา ฯลฯ จักขุวญ ิ ญาณมีรปู ใดเป็นอารมณ์อาศัยจักขุเกิดขึน้ แล้ว หรือ
เกิดขึน้ อยู่ หรือจักเกิดขึน้ หรือพึงเกิดขึน้ ;
รูปเํ ปตํ รูปายตนํเปตํ รูปธาตุเปสา;
นีเ้ รียกว่ารูปบ้าง รูปายตนะบ้าง รูปธาตุบา้ ง;
อิทนฺตํ รูปํ รูปายตนํ.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปายตนะ.
สัททายตนะ.
[๖๒๐] กตมนฺตํ รูปํ สทฺทายตนํ?
[๖๒๐] รูปทีเ่ รียกว่าสัททายตนะนัน้ เป็นไฉน?
โย สทฺโท จตุนนฺ ํ มหาภูตานํ อุปาทาย อนิทสฺสโน สปฺปฏิโฆ,
เสียงใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่ได้แต่กระทบได้,
เภริสทฺโท มุทงิ คฺ สทฺโท สงฺขสทฺโท ปณวสทฺโท คีตสทฺโท วาทิตสทฺโท
สมฺมสทฺโท ปาณิสทฺโท,
ได้แก่เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงสังข์ เสียงบัณเฑาะว์ เสียงขับร้อง เสียง
403
มีอยู,่
โย สทฺโท อนิทสฺสโน สปฺปฏิโฆ โสตมฺหิ อนิทสฺสนมฺหิ สปฺปฏิฆมฺหิ
ปฏิหċฺċิ วา, ปฏิหċฺċติ วา, ปฏิหċฺċสิ สฺ ติ วา, ปฏิหċฺเċ วา;
เสียงใดอันเป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่ได้แต่กระทบได้ กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่
หรือจักกระทบ หรือพึงกระทบทีโ่ สตอันเป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่ได้แต่กระทบได้;
สทฺโทเปโส สทฺทายตนํเปตํ สทฺทธาตุเปสา;
นีเ้ รียกว่าสัททะบ้าง สัททายตนะบ้าง สัททธาตุบา้ ง;
อิทนฺตํ รูปํ สทฺทายตนํ.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่าสัททายตนะ.
[๖๒๓] กตมนฺตํ รูปํ สทฺทายตนํ?
[๖๒๓] รูปทีเ่ รียกว่าสัททายตนะนัน้ เป็นไฉน?
โย สทฺโท จตุนนฺ ํ มหาภูตานํ อุปาทาย อนิทสฺสโน สปฺปฏิโฆ,
เสียงใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่ได้แต่กระทบได้,
เภริสทฺโท มุทงิ คฺ สทฺโท สงฺขสทฺโท ปณวสทฺโท คีตสทฺโท วาทิตสทฺโท สมฺมสทฺโท
ปาณิสทฺโท สตฺตานํ นิคโฺ ฆสสทฺโท ธาตูนํ สนฺนฆิ าตสทฺโท วาตสทฺโท อุทกสทฺโท
มนุสสฺ สทฺโท อมนุสสฺ สทฺโท;
ได้แก่เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงสังข์ เสียงบัณเฑาะว์ เสียงขับร้อง เสียง
ประโคม เสียงกรับ เสียงปรบมือ เสียงร้องของสัตว์ เสียงกระทบกันของ-
ธาตุ เสียงลม เสียงน้ำ เสียงมนุษย์ เสียงอมนุษย์;
โย วา ปนċฺโċปิ อตฺถิ สทฺโท จตุนนฺ ํ มหาภูตานํ อุปาทาย อนิทสฺสโน
สปฺปฏิโฆ,
หรือเสียงแม้อน่ื ใดซึง่ อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่ได้แต่กระทบ-
ได้มอี ยู,่
ยํ สทฺทํ อารพฺภ โสตํ นิสสฺ าย โสตสมฺผสฺโส อุปปฺ ชฺชิ วา, อุปปฺ ชฺชติ วา,
อุปปฺ ชฺชสิ สฺ ติ วา, อุปปฺ ชฺเช วา, ฯเปฯ ยํ สทฺทํ อารพฺภ โสตํ นิสสฺ าย
โสตสมฺผสฺสชา เวทนา ฯเปฯ สċฺċา ฯเปฯ เจตนา ฯเปฯ โสตวิċċ ฺ าณํ อุปปฺ ชฺชิ
406
วา, อุปปฺ ชฺชติ วา, อุปปฺ ชฺชสิ สฺ ติ วา, อุปปฺ ชฺเช วา,
เพราะปรารภเสียงใดโสตสัมผัสอาศัยโสตเกิดขึน้ แล้วหรือเกิดขึน้ อยู่ หรือจัก
เกิดขึน้ หรือพึงเกิดขึน้ ฯลฯ เพราะปรารภเสียงใดเวทนาอันเกิดแต่โสตสัม-
ผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ โสตวิญญาณอาศัยโสตเกิดขึน้ แล้ว หรือ-
เกิดขึน้ อยู่ หรือจักเกิดขึน้ หรือพึงเกิดขึน้ ,
ฯเปฯ ยํ สทฺทารมฺมโณ โสตํ นิสสฺ าย, โสตสมฺผสฺโส อุปปฺ ชฺชิ วา, อุปปฺ ชฺชติ วา,
อุปปฺ ชฺชสิ สฺ ติ วา, อุปปฺ ชฺเช วา; ฯเปฯ ยํ สทฺทารมฺมณา โสตํ นิสสฺ าย โสตสมฺ-
ผสฺสชา เวทนา ฯเปฯ สċฺċา ฯเปฯ เจตนา ฯเปฯ โสตวิċċ ฺ าณํ อุปปฺ ชฺชิ วา
อุปปฺ ชฺชติ วา, อุปปฺ ชฺชสิ สฺ ติ วา, อุปปฺ ชฺเช วา;
ฯลฯ โสตสัมผัสมีเสียงใดเป็นอารมณ์อาศัยโสตเกิดขึน้ แล้ว หรือเกิดขึน้ อยู่
หรือจักเกิดขึน้ หรือพึงเกิดขึน้ ฯลฯ เวทนาอันเกิดแต่โสตสัมผัส ฯลฯ สัญญา
ฯลฯ เจตนา ฯลฯ โสตวิญญาณ มีเสียงใดเป็นอารมณ์อาศัยโสตเกิดขึน้ แล้ว
หรือเกิดขึน้ อยู่ หรือจักเกิดขึน้ หรือพึงเกิดขึน้ ;
สทฺโทเปโส สทฺทายตนํเปตํ สทฺทธาตุเปสา;
นีเ้ รียกว่าสัททะบ้าง สัททายตนะบ้าง สัททธาตุบา้ ง;
อิทนฺตํ รูปํ สทฺทายตนํ.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่าสัททายตนะ.
คันธายตนะ.
[๖๒๔] กตมนฺตํ รูปํ คนฺธายตนํ?
[๖๒๔] รูปทีเ่ รียกว่าคันธายตนะนัน้ เป็นไฉน?
โย คนฺโธ จตุนนฺ ํ มหาภูตานํ อุปาทาย อนิทสฺสโน สปฺปฏิโฆ,
กลิน่ ใดอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่ได้แต่กระทบได้;
มูลคนฺโธ สารคนฺโธ ตจคนฺโธ ปตฺตคนฺโธ ปุปผฺ คนฺโธ ผลคนฺโธ อามคนฺโธ
วิสคนฺโธ สุคนฺโธ ทุคคฺ นฺโธ;
ได้แก่กลิน่ รากไม้ กลิน่ แก่นไม้ กลิน่ เปลือกไม้ กลิน่ ใบไม้ กลิน่ ดอกไม้
กลิน่ ผลไม้ กลิน่ บูด กลิน่ เน่า กลิน่ หอม กลิน่ เหม็น;
407
อันใด;
อิทนฺตํ รูปํ รูปสฺส กมฺมċฺċตา.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปกัมมัญญตา.
อุปจยรูป.
[๖๔๑] กตมนฺตํ รูปํ รูปสฺส อุปจโย?
[๖๔๑] รูปทีเ่ รียกว่ารูปอุปจยะนัน้ เป็นไฉน?
โย อายตนานํ อาจโย, โส รูปสฺส อุปจโย;
ความสัง่ สมแห่งอายตนะทัง้ หลายอันใดอันนัน้ เป็นความเกิดแห่งรูป;
อิทนฺตํ รูปํ รูปสฺส อุปจโย.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปอุปจยะ.
สันตติรปู .
[๖๔๒] กตมนฺตํ รูปํ รูปสฺส สนฺตติ?
[๖๔๒] รูปทีเ่ รียกว่ารูปสันตตินน้ั เป็นไฉน?
โย รูปสฺส อุปจโย, สา รูปสฺส สนฺตติ;
ความเกิดแห่งรูปอันใดอันนัน้ เป็นความสืบต่อแห่งรูป;
อิทนฺตํ รูปํ รูปสฺส สนฺตติ.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปสันตติ.
ชรตารูป.
[๖๔๓] กตมนฺตํ รูปํ รูปสฺส ชรตา?
[๖๔๓] รูปทีเ่ รียกว่ารูปชรตานัน้ เป็นไฉน?
ยา รูปสฺส ชรา ชีรณตา ขณฺฑจิ จฺ ํ ปาลิจจฺ ํ วลิตตฺ จตา, อายุโน สํหานิ อินทฺ รฺ ยิ านํ
ปริปาโก;
ความชรา ความคร่ำคร่า ความมีฟนั หลุด ความมีผมหงอก ความมีหนัง-
เหีย่ ว ความเสือ่ มอายุ ความหง่อมแห่งอินทรียแ์ ห่งรูปอันใด;
อิทนฺตํ รูปํ รูปสฺส ชรตา.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปชรตา.
418
อนิจจตารูป.
[๖๔๔] กตมนฺตํ รูปํ รูปสฺส อนิจจฺ ตา?
[๖๔๔] รูปทีเ่ รียกว่ารูปอนิจจตานัน้ เป็นไฉน?
โย รูปสฺส ขโย วโย เภโท ปริเภโท อนิจจฺ ตา อนฺตรธานํ;
ความสิน้ ไป ความเสือ่ มไป ความแตก ความทำลาย ความไม่เทีย่ ง ความ-
อันตรธานแห่งรูปอันใด;
อิทนฺตํ รูปํ รูปสฺส อนิจจฺ ตา.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปอนิจจตา.
กวฬิงการาหารรูป.
[๖๔๕] กตมนฺตํ รูปํ กพฬึกาโร อาหาโร?
[๖๔๕] รูปทีเ่ รียกว่ากพฬิงการาหารนัน้ เป็นไฉน?
โอทโน กุมมฺ าโส สตฺตุ มจฺโฉ มํสํ ขีรํ ทธิ, สปฺปิ นวนีตํ เตลํ มธุ ผาณิต;ํ
ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนือ้ นมสด นมส้ม เนยใส เนยข้น
น้ำมัน น้ำผึง้ น้ำอ้อย
ยํ วา ปนċฺċมฺปิ อตฺถิ รูป,ํ ยมฺหิ ยมฺหิ ชนปเท เตสํ เตสํ สตฺตานํ มุขาสิยํ
ทนฺตวิขาทนํ คลชฺโฌหรณียํ กุจฉฺ วิ ติ ถฺ มฺภนํ, ยาย โอชาย สตฺตา ยาเปนฺต;ิ
หรือรูปแม้อน่ื ใดมีอยูอ่ นั เป็นของใส่ปากขบเคีย้ ว กลืนกิน อิม่ ท้อง
ของสัตว์นน้ั ๆ ในชนบทใดๆ สัตว์ทง้ั หลายเลีย้ งชีวติ ด้วยโอชาอันใด;
อิทนฺตํ รูปํ กพฬึกาโร อาหาโร.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ากพฬิงการาหาร.
อิทนฺตํ รูปํ อุปาทา.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปเป็นอุปาทา.
อุปาทาภาชนีย.ํ
อุปาทาภาชนียจ์ บ.
รูปกณฺเฑ ปĘมภาณวารํ.
ปฐมภาณวารในรูปกัณฑ์จบ.
419
อนุปาทารูป.
[๖๔๖] กตมนฺตํ รูปํ โนอุปาทา?
[๖๔๖] รูปเป็นอนุปาทานัน้ เป็นไฉน?
โผฏฺĘพฺพายตนํ อาโปธาตุ.
โผฏฐัพพายตนะอาโปธาตุ.
[๖๔๗] กตมนฺตํ รูปํ โผฏฺĘพฺพายตนํ?
[๖๔๗] รูปทีเ่ รียกว่าโผฏฐัพพายตนะนัน้ เป็นไฉน?
ปĘวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ กกฺขฬํ มุทกุ ํ สณฺหํ ผรุสํ สุขสมฺผสฺสํ ทุกขฺ สมฺ-
ผสฺสํ ครุกํ ลหุก;ํ
ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุทแ่ี ข็งอ่อน ละเอียด หยาบ มีสมั ผัสสบาย
มีสมั ผัสไม่สบาย หนัก เบา;
ยํ โผฏฺĘพฺพํ อนิทสฺสนํ สปฺปฏิฆํ กาเยน อนิทสฺสเนน สปฺปฏิเฆน ผุสิ วา,
ผุสติ วา, ผุสสิ สฺ ติ วา, ผุเส วา;
สัตว์นถ้ี กู ต้องแล้ว หรือถูกต้องอยู่ หรือจักถูกต้อง หรือพึงถูกต้องซึง่ โผฏ-
ฐัพพะใดอันเป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่ได้แต่กระทบได้ดว้ ยกายอันเป็นสิง่ ทีเ่ ห็นไม่ได้
แต่กระทบได้;
โผฏฺĘพฺโพเปโส โผฏฺĘพฺพายตนํเปตํ โผฏฺĘพฺพธาตุเปสา;
นีเ้ รียกว่าโผฏฐัพพะบ้าง โผฏฐัพพายตนะบ้าง โผฏฐัพพธาตุบา้ ง;
อิทนฺตํ รูปํ โผฏฺĘพฺพายตนํ.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่าโผฏฐัพพายตนะ.
[๖๔๘] กตมนฺตํ รูปํ โผฏฺĘพฺพายตนํ?
[๖๔๘] รูปทีเ่ รียกว่าโผฏฐัพพายตนะนัน้ เป็นไฉน?
ปĘวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ กกฺขฬํ มุทกุ ํ สณฺหํ ผรุสํ สุขสมฺผสฺสํ ทุกขฺ สมฺ-
ผสฺสํ ครุกํ ลหุก;ํ
ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ทีแ่ ข็ง อ่อน ละเอียด หยาบ มีสมั ผัสสบาย
มีสมั ผัสไม่สบาย หนัก เบา;
420
นจิตตสมุฏฐานรูป.
[๖๖๗] กตมนฺตํ รูปํ น จิตตฺ สมุฏĘฺ านํ?
[๖๖๗] รูปไม่เป็นจิตตสมุฏฐานนัน้ เป็นไฉน?
จกฺขายตนํ ฯเปฯ กายายตนํ, อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ ปุรสิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ,ํ รูปสฺส ชรตา
รูปสฺส อนิจจฺ ตา;
จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ อิตถินทรีย์ ปุรสิ นิ ทรีย์ ชีวติ นิ ทรีย์ รูปชรตา
รูปอนิจจตา;
ยํ วา ปนċฺċมฺปิ อตฺถิ รูปํ น จิตตฺ ชํ น จิตตฺ เหตุกํ น จิตตฺ สมุฏĘฺ านํ,
รูปายตนํ สทฺทายตนํ คนฺธายตนํ รสายตนํ โผฏฺĘพฺพายตนํ,
หรือรูปแม้อน่ื ใดมีอยูท่ ไ่ี ม่เกิดแต่จติ ไม่มจี ติ เป็นเหตุไม่มจี ติ เป็นสมุฏฐาน
ได้แก่รปู ายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ,
อากาสธาตุ อาโปธาตุ, รูปสฺส ลหุตา รูปสฺส มุทตุ า รูปสฺส กมฺมċฺċตา,
รูปสฺส อุปจโย รูปสฺส สนฺตติ, กพฬึกาโร อาหาโร;
อากาสธาตุ อาโปธาตุ รูปลหุตา รูปมุทตุ า รูปกัมมัญญตา รูปอุปจยะ
รูปสันตติ กพฬิงการาหาร;
อิทนฺตํ รูปํ น จิตตฺ สมุฏĘฺ านํ.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปไม่เป็นจิตสมุฏฐาน.
จิตตสหภูรปู .
[๖๖๘] กตมนฺตํ รูปํ จิตตฺ สหภุ,
[๖๖๘] รูปเป็นจิตตสหภูนน้ั เป็นไฉน?
กายวิญċ ฺ ตฺติ วจีวญ ิ ċ
ฺ ตฺต;ิ
กายวิญญัติ วจีวญ ิ ญัต;ิ
อิทนฺตํ รูปํ จิตตฺ สหภุ.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปเป็นจิตตสหภู.
นจิตตสหภูรปู .
[๖๖๙] กตมนฺตํ รูปํ น จิตตฺ สหภุ?
429
พาหิรรูป.
[๖๗๓] กตมนฺตํ รูปํ พาหิร?ํ
[๖๗๓] รูปเป็นภายนอกนัน้ เป็นไฉน?
รูปายตนํ ฯเปฯ กพฬึกาโร อาหาโร;
รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร;
อิทนฺตํ รูปํ พาหิร.ํ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปเป็นภายนอก.
โอฬาริกรูป.
[๖๗๔] กตมนฺตํ รูปํ โอฬาริก?ํ
[๖๗๔] รูปหยาบนัน้ เป็นไฉน?
จกฺขายตนํ ฯเปฯ โผฏฺĘพฺพายตนํ;
จักขายตนะ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ;
อิทนฺตํ รูปํ โอฬาริก.ํ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปหยาบ.
สุขมุ รูป.
[๖๗๕] กตมนฺตํ รูปํ สุขมุ ?ํ
[๖๗๕] รูปละเอียดนัน้ เป็นไฉน?
อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ ฯเปฯ กพฬึกาโร อาหาโร;
อิตถินทรีย์ ฯลฯ กพฬิงการาหาร;
อิทนฺตํ รูปํ สุขมุ .ํ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปละเอียด.
ทูเรรูป.
[๖๗๖] กตมนฺตํ รูปํ ทูเร?
[๖๗๖] รูปไกลนัน้ เป็นไฉน?
อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ ฯเปฯ กพฬึกาโร อาหาโร;
อิตถินทรีย์ ฯลฯ กพฬิงการาหาร;
431
ออกอยูอ่ นั ใด;
อิทนฺตํ รูปํ กายวิญċ ฺ ตฺต.ิ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปเป็นกายวิญญัต.ิ
[๗๒๑] กตมนฺตํ รูปํ น กายวิญċ ฺ ตฺต?ิ
[๗๒๑] รูปไม่เป็นกายวิญญัตนิ น้ั เป็นไฉน?
จกฺขายตนํ ฯเปฯ กพฬึกาโร อาหาโร;
จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร;
อิทนฺตํ รูปํ น กายวิญċ ฺ ตฺต.ิ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปไม่เป็นกายวิญญัต.ิ
[๗๒๒] กตมนฺตํ รูปํ วจีวญ ิ ċ ฺ ตฺต?ิ
[๗๒๒] รูปเป็นวจีวญ ิ ญัตนิ น้ั เป็นไฉน?
ยา กุสลจิตตฺ สฺส วา อกุสลจิตตฺ สฺส วา อพฺยากตจิตตฺ สฺส วา วาจา คิรา
พฺยปฺปโถ อุทรี ณํ โฆโส โฆสกมฺมํ วาจา วจีเภโท อยํ วุจจฺ ติ วาจา;
การพูด การเปล่งวาจา การเจรจา การกล่าว การป่าวร้อง การโฆษณา วาจา
วจีเภทแห่งบุคคลผูม้ จี ติ เป็นกุศล หรือมีจติ เป็นอกุศล หรือมีจติ เป็นอัพยากฤต
อันใดนีเ้ รียกว่าวาจา;
ยา ตาย วาจาย วิญċ ฺ ตฺติ วิญċ ฺ าปนา วิċċฺ าปิตตฺต;ํ
การแสดงให้รคู้ วามหมาย กิรยิ าทีแ่ สดงให้รคู้ วามหมาย ความแสดงให้ร-ู้
ความหมายด้วยวาจานัน้ อันใด;
อิทนฺตํ รูปํ วจีวญ ิ ċ
ฺ ตฺต.ิ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปเป็นวจีวญ ิ ญัติ
[๗๒๓] กตมนฺตํ รูปํ น วจีวญ ิ ċ ฺ ตฺต?ิ
[๗๒๓] รูปไม่เป็นวจีวญ ิ ญัตนิ น้ั เป็นไฉน?
จกฺขายตนํ ฯเปฯ กพฬึกาโร อาหาโร;
จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร;
อิทนฺตํ รูปํ น วจีวญ ิ ċฺ ตฺต.ิ
443
อัชฌัตติกอุปาทินนติก.
[๗๔๗] กตมนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ํ อุปาทินนฺ ?ํ
[๗๔๗] รูปภายในเป็นอุปาทินนะนัน้ เป็นไฉน?
จกฺขายตนํ ฯเปฯ กายายตนํ;
จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ;
อิทนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ํ อุปาทินนฺ .
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปภายในเป็นอุปาทินนะ.
[๗๔๘] กตมนฺตํ รูปํ พาหิรํ อุปาทินนฺ ?ํ
[๗๔๘] รูปภายนอกทีเ่ ป็นอุปาทินนะนัน้ เป็นไฉน?
อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ ปุรสิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ;ํ
อิตถินทรีย์ ปุรสิ นิ ทรีย์ ชีวติ นิ ทรีย;์
ยํ วา ปนċฺċมฺปิ อตฺถิ รูปํ กมฺมสฺส กตตฺตา รูปายตนํ คนฺธายตนํ รสายตนํ
โผฏฺĘพฺพายตนํ,
หรือรูปแม้อน่ื ใดมีอยูไ่ ด้แก่รปู ายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพาย-
ตนะ,
อากาสธาตุ อาโปธาตุ, รูปสฺส อุปจโย รูปสฺส สนฺตติ, กพฬึกาโร อาหาโร;
อากาสธาตุ อาโปธาตุ รูปอุปจยะ รูปสันตติ กพฬิงการาหารทีก่ รรมแต่ง-
ขึน้ ;
อิทนฺตํ รูปํ พาหิรํ อุปาทินนฺ .ํ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปภายนอกทีเ่ ป็นอุปาทินนะ.
[๗๔๙] กตมนฺตํ รูปํ พาหิรํ อนุปาทินนฺ ?ํ
[๗๔๙] รูปภายนอกทีเ่ ป็นอนุปาทินนะนัน้ เป็นไฉน?
สทฺทายตนํ, กายวิญċ ฺ ตฺติ วจีวญ ิ ċ ฺ ตฺต,ิ รูปสฺส ลหุตา รูปสฺส มุทตุ า รูปสฺส
กมฺมċฺċตา รูปสฺส ชรตา รูปสฺส อนิจจฺ ตา;
สัททายตนะ กายวิญญัติ วจีวญ ิ ญัติ รูปลหุตา รูปมุทตุ า รูปกัมมัญญตา
รูปชรตา รูปอนิจจตา;
450
พาหิรจักขุสมั ผัสสชาเวทนายนวัตถุตกิ ะ.
[๗๘๖] กตมนฺตํ รูปํ พาหิรํ จกฺขสุ มฺผสฺสชาย เวทนาย ฯเปฯ สċฺċาย ฯเปฯ
เจตนาย ฯเปฯ จกฺขวุ ญ ิ ċฺ าณสฺส น วตฺถ?ุ
[๗๘๖] รูปภายนอกไม่เป็นทีอ่ าศัยเกิดของเวทนาอันเกิดแต่จกั ขุสมั ผัส ฯลฯ ของ-
สัญญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของจักขุวญ ิ ญาณนัน้ เป็นไฉน?
รูปายตนํ ฯเปฯ กพฬึกาโร อาหาโร;
รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร;
อิทนฺตํ รูปพํ าหิรํ จกฺขวุ ญ ิ ċ
ฺ าณสฺส น วตฺถ.ุ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปภายนอกทีไ่ ม่เป็นทีอ่ าศัยเกิดของจักขุวญ ิ ญาณ.
[๗๘๗] กตมนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ํ จกฺขวุ ญ ิ ċ ฺ าณสฺส วตฺถ?ุ
[๗๘๗] รูปภายในทีเ่ ป็นทีอ่ าศัยเกิดของจักขุวญ ิ ญาณนัน้ เป็นไฉน?
จกฺขายตนํ; อิทนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ํ จกฺขวุ ญ ิ ċฺ าณสฺส วตฺถ.ุ
จักขายตนะ รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปภายในทีเ่ ป็นทีอ่ าศัยเกิดของจักขุวญ ิ ญาณ.
[๗๘๘] กตมนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ํ จกฺขวุ ญ ิ ċ ฺ าณสฺส น วตฺถ?ุ
[๗๘๘] รูปภายในทีไ่ ม่เป็นทีอ่ าศัยเกิดของจักขุวญ ิ ญาณนัน้ เป็นไฉน?
โสตายตนํ ฯเปฯ กายายตนํ;
โสตายตนะ ฯลฯ กายายตนะ;
อิทนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ํ จกฺขวุ ญ ิ ċ
ฺ าณสฺส น วตฺถ.ุ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปภายในทีไ่ ม่เป็นทีอ่ าศัยเกิดของจักขุวญ ิ ญาณ.
พาหิรโสตสัมผัสสัสสนวัตถุตกิ าทิตกิ ะ.
461
อัชฌัตติกนอิตถินทริยติกะ.
[๘๓๗] กตมนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ํ น อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ ?ํ
[๘๓๗] รูปภายในไม่เป็นอิตถินทรียน์ น้ั เป็นไฉน?
จกฺขายตนํ ฯเปฯ กายายตนํ;
จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ;
อิทนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ํ น อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ .ํ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปภายในไม่เป็นชีวติ ถินทรีย.์
[๘๓๘] กตมนฺตํ รูปํ พาหิรํ อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ ?ํ
[๘๓๘] รูปภายนอกทีเ่ ป็นอิตถินทรียน์ น้ั เป็นไฉน?
ยํ อิตถฺ ยิ า อิตถฺ ลี งิ คฺ ํ อิตถฺ นี มิ ติ ตฺ ํ อิตถฺ กี ตุ ตฺ ํ อิตถฺ ากปฺโป อิตถฺ ติ ตฺ ํ อิตถฺ ภี าโว;
ทรวดทรงหญิง เครือ่ งหมายให้รวู้ า่ หญิง กิรยิ าหญิง อาการหญิง สภาพหญิง
ภาวะหญิง ของหญิงปรากฏได้ดว้ ยเหตุใด;
อิทนฺตํ รูปํ พาหิรํ อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ .ํ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปภายนอกทีเ่ ป็นอิตถินทรีย.์
[๘๓๙] กตมนฺตํ รูปํ พาหิรํ น อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ ?ํ
[๘๓๙] รูปภายนอกทีไ่ ม่เป็นอิตถินทรียน์ น้ั เป็นไฉน?
รูปายตนํ ฯเปฯ กพฬึกาโร อาหาโร;
รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร;
อิทนฺตํ รูปํ พาหิรํ น อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ .ํ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปภายนอกทีไ่ ม่เป็นอิตถินทรีย.์
อัชฌัตติกนปุรสิ นิ ทริยติกะ.
[๘๔๐] กตมนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ํ น ปุรสิ นิ ทฺ รฺ ยิ ?ํ
[๘๔๐] รูปภายในทีไ่ ม่เป็นปุรสิ นิ ทรียน์ น้ั เป็นไฉน?
จกฺขายตนํ ฯเปฯ กายายตนํ;
จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ;
อิทนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ํ น ปุรสิ นิ ทฺ รฺ ยิ .ํ
474
อยํ วุจจฺ ติ วาจา ยา ตาย วาจาย วิญċ ฺ ตฺติ วิญċฺ าปนา วิċċ
ฺ าปิตตฺต;ํ
นีเ้ รียกว่าวาจาการแสดงให้รคู้ วามหมาย กิรยิ าทีแ่ สดงให้รคู้ วามหมาย
ความแสดงให้รคู้ วามหมายด้วยวาจานัน้ อันใด;
อิทนฺตํ รูปํ พาหิรํ วจีวญ ิ ċ
ฺ ตฺต.ิ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปภายนอกทีเ่ ป็นวจีวญ ิ ญัต.ิ
[๘๕๑] กตมนฺตํ รูปํ พาหิรํ น วจีวญ ิ ċ ฺ ตฺต?ิ
[๘๕๑] รูปภายนอกทีไ่ ม่เป็นวจีวญ ิ ญัตนิ น้ั เป็นไฉน?
รูปายตนํ ฯเปฯ กพฬึกาโร อาหาโร;
รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร;
อิทนฺตํ รูปํ พาหิรํ น วจีวญ ิ ċ
ฺ ตฺต.ิ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปภายนอกทีไ่ ม่เป็นวจีวญ ิ ญัต.ิ
อัชฌัตติกนอากาสธาตุตกิ ะ.
[๘๕๒] กตมนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ํ น อากาสธาตุ?
[๘๕๒] รูปภายในไม่เป็นอากาสธาตุนน้ั เป็นไฉน?
จกฺขายตนํ ฯเปฯ กายายตนํ;
จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ;
อิทนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ํ น อากาสธาตุ.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปภายในทีไ่ ม่เป็นอากาสธาตุ.
[๘๕๓] กตมนฺตํ รูปํ พาหิรํ อากาสธาตุ?
[๘๕๓] รูปภายนอกทีเ่ ป็นอากาสธาตุนน้ั เป็นไฉน?
โย อากาโส อากาสคตํ อฆํ อฆคตํ, วิวโร วิวรคตํ อสมฺผฏุ ฺ ํ จตูหิ มหาภูเตหิ;
อากาศธรรมชาติอนั นับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติอนั นับว่าความ-
ว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติอนั นับว่าช่องว่าง อันมหาภูตรูป ๔ ไม่ถกู ต้อง-
แล้วอันใด;
อิทนฺตํ รูปํ พาหิรํ อากาสธาตุ.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปภายนอกทีเ่ ป็นอากาสธาตุ.
478
อัชฌัตติกนรูปสั สลหุตาติกะ.
[๘๕๘] กตมนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ํ รูปสฺส น ลหุตา?
[๘๕๘] รูปภายในไม่เป็นรูปลหุตานัน้ เป็นไฉน?
จกฺขายตนํ ฯเปฯ กายายตนํ;
จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ;
อิทนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ํ รูปสฺส น ลหุตา.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปภายในไม่เป็นรูปลหุตา.
[๘๕๙] กตมนฺตํ รูปํ พาหิรํ รูปสฺส ลหุตา?
[๘๕๙] รูปภายนอกทีเ่ ป็นรูปลหุตานัน้ เป็นไฉน?
ยา รูปสฺส ลหุตา ลหุปริณามตา อทนฺธนตา อวิตถฺ นตา;
ความเบา ความรวดเร็ว ความไม่เชือ่ งช้า ความไม่หนักแห่งรูปอันใด;
อิทนฺตํ รูปํ พาหิรํ รูปสฺส ลหุตา.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปภายนอกทีเ่ ป็นรูปลหุตา.
[๘๖๐] กตมนฺตํ รูปํ พาหิรํ รูปสฺส น ลหุตา?
[๘๖๐] รูปภายนอกทีไ่ ม่เป็นรูปลหุตานัน้ เป็นไฉน?
รูปายตนํ ฯเปฯ กพฬึกาโร อาหาโร;
รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร;
อิทนฺตํ รูปํ พาหิรรํ ปู สฺส น ลหุตา.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปภายนอกทีไ่ ม่เป็นรูปลหุตา.
อัชฌัตติกนรูปสั สมุทตุ ติ กิ ะ.
[๘๖๑] กตมนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ํ รูปสฺส น มุทตุ า?
[๘๖๑] รูปภายในไม่เป็นรูปมุทตุ านัน้ เป็นไฉน?
จกฺขายตนํ ฯเปฯ กายายตนํ;
จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ;
อิทนฺตํ รูปํ อชฺฌตฺตกิ ํ รูปสฺส น มุทตุ า.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปภายในไม่เป็นรูปมุทตุ า.
480
รูปชรตา รูปอนิจจตา;
ยํ วา ปนċฺċมฺปิ อตฺถิ รูปํ น กมฺมสฺส กตตฺตา รูปายตนํ คนฺธายตนํ
รสายตนํ, อากาสธาตุ รูปสฺส อุปจโย รูปสฺส สนฺตติ, กพฬึกาโร อาหาโร;
หรือรูปแม้อน่ื ใดมีอยูไ่ ด้แก่รปู ายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ อากาสธาตุ
รูปอุปจยะ รูปสันตติ กพฬิงการาหารทีก่ รรมมิได้แต่งขึน้ ;
อิทนฺตํ รูปํ อุปาทา อนุปาทินนฺ .ํ
รูปนีเ้ รียกว่ารูปเป็นอุปาทาทีเ่ ป็นอนุปาทินนะ.
[๘๘๔] กตมนฺตํ รูปํ โน อุปาทา อุปาทินนฺ ?ํ
[๘๘๔] รูปเป็นอนุปาทาทีเ่ ป็นอุปาทินนะนัน้ เป็นไฉน?
กมฺมสฺส กตตฺตา โผฏฺĘพฺพายตนํ อาโปธาตุ;
โผฏฐัพพายตนะ อาโปธาตุทก่ี รรมแต่งขึน้ ;
อิทนฺตํ รูปํ โนอุปาทา อุปาทินนฺ .ํ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปเป็นอนุปาทาทีเ่ ป็นอุปาทินนะ.
[๘๘๕] กตมนฺตํ รูปํ โน อุปาทา อนุปาทินนฺ ?ํ
[๘๘๕] รูปเป็นอนุปาทาทีเ่ ป็นอนุปาทินนะนัน้ เป็นไฉน?
น กมฺมสฺส กตตฺตา โผฏฺĘพฺพายตนํ อาโปธาตุ;
โผฏฐัพพายตนะ อาโปธาตุทก่ี รรมมิได้แต่งขึน้ ;
อิทนฺตํ รูปํ โน อุปาทา อนุปาทินนฺ .ํ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปเป็นอนุปาทาทีเ่ ป็นอนุปาทินนะ.
อุปาทาอุปาทินนุปาทานิยจตุกกะ.
[๘๘๖] กตมนฺตํ รูปํ อุปาทา อุปาทินนฺ ปุ าทานิย?ํ
[๘๘๖] รูปเป็นอุปาทาทีเ่ ป็นอุปาทินนุปาทานิยะนัน้ เป็นไฉน?
จกฺขายตนํ ฯเปฯ กายายตนํ อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ ปุรสิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ;ํ
จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ อิตถินทรีย์ ปุรสิ นิ ทรีย์ ชีวติ นิ ทรีย;์
ยํ วา ปนċฺċมฺปิ อตฺถิ รูปํ กมฺมสฺส กตตฺตา รูปายตนํ คนฺธายตนํ รสายตนํ,
อากาสธาตุ, รูปสฺส อุปจโย รูปสฺส สนฺตติ กพฬึกาโร อาหาโร;
487
ฉักกนิทเทส.
[๙๗๒] รูปายตนํ จกฺขวุ ċ ิ เฺ ċยฺยํ รูป,ํ
[๙๗๒] รูปอันจักขุวญ ิ ญาณพึงรู้ คือ รูปายตนะ,
สทฺทายตนํ โสตวิċเฺ ċยฺยํ รูป,ํ
รูปอันโสตวิญญาณพึงรู้ คือ สัททายตนะ,
คนฺธายตนํ ฆานวิċเฺ ċยฺยํ รูป,ํ
รูปอันฆานวิญญาณพึงรู้ คือ คันธายตนะ,
รสายตนํ ชิวหฺ าวิċเฺ ċยฺยํ รูป,ํ
รูปอันชิวหาวิญญาณพึงรู้ คือ รสายตนะ,
โผฏฺพฺพายตนํ กายวิċเฺ ċยฺยํ รูป,ํ
รูปอันกายวิญญาณพึงรู้ คือ โผฏฐัพพายตนะ,
สพฺพํ รูป,ํ มโนวิċเฺ ċยฺยํ รูป.ํ
รูปอันมโนวิญญาณพึงรู้ คือ รูปทัง้ หมด,
เอวํ ฉพฺพเิ ธน รูปสงฺคโห.
สงเคราะห์รปู เป็นหมวด ๆ ละ ๖ อย่างนี.้
ฉักกนิทเทศจบ.
สัตตกนิทเทส.
[๙๗๓] รูปายตนํ จกฺขวุ ċ ิ เฺ ċยฺยํ รูป,ํ
[๙๗๓] รูปอันจักขุวญ ิ ญาณพึงรู้ คือ รูปายตนะ,
สทฺทายตนํ โสตวิċเฺ ċยฺยํ รูป,ํ
รูปอันโสตวิญญาณพึงรู้ คือ สัททายตนะ,
คนฺธายตนํ ฆานวิċเฺ ċยฺยํ รูป,ํ
รูปอันฆานวิญญาณพึงรู้ คือ คันธายตนะ,
รสายตนํ ชิวหฺ าวิċเฺ ċยฺยํ รูป,ํ
รูปอันชิวหาวิญญาณพึงรู้ คือ รสายตนะ,
514
รูป,ํ
รูปอันมโนธาตุพงึ รู้ คือ รูปายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ
โผฏฐัพพายตนะ,
สพฺพํ รูป,ํ มโนวิญċฺ าณธาตุวญ ิ เฺ ċยฺยํ รูป.ํ
รูปอันมโนวิญญาณธาตุพงึ รู้ คือ รูปทัง้ หมด.
เอวํ อฏฺĘวิเธน รูปสงฺคโห.
สงเคราะห์รปู เป็นหมวด ๆ ละ ๘ อย่างนี.้
อัฏĘกนิทเทสจบ.
นวกนิทเทส.
[๙๗๕] กตมนฺตํ รูป,ํ จกฺขนุ ทฺ รฺ ยิ ?ํ
[๙๗๕] รูปทีเ่ รียกว่าจักขุนทรียน์ น้ั เป็นไฉน?
ยํ จกฺขํุ จตุนนฺ ํ มหาภูตานํ อุปาทาย ปสาโท ฯเปฯ สุċโฺ ċ คาโมเปโส;
จักขุใดเป็นปสาทรูปอาศัยมหาภูตรูป ๔ นีเ้ รียกว่า จักขุบา้ ง ฯลฯ บ้านว่างบ้าง;
อิทนฺตํ รูปํ จกฺขนุ ทฺ รฺ ยิ .ํ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่าจักขุนทรีย.์
[๙๗๖] กตมนฺตํ รูปํ โสตินทฺ รฺ ยิ ํ ฯเปฯ ฆานินทฺ รฺ ยิ ํ ฯเปฯ ชิวหฺ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ ฯเปฯ
กายินทฺ รฺ ยิ ํ ฯเปฯ อิตถฺ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ ฯเปฯ ปุรสิ นิ ทฺ รฺ ยิ ํ ฯเปฯ ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ?ํ
[๙๘๖] รูปทีเ่ รียกว่าโสตินทรีย์ ฯลฯ ทีเ่ รียกว่าฆานินทรีย์ ฯลฯ ทีเ่ รียกว่าชิวหินทรีย์
ฯลฯ ทีเ่ รียกว่ากายินทรีย์ ฯลฯ ทีเ่ รียกว่าอิตถินทรีย์ ฯลฯ ทีเ่ รียกว่าปุรสิ นิ ทรีย์
ฯลฯ ทีเ่ รียกว่าชีวติ นิ ทรียน์ น้ั เป็นไฉน?
โย เตสํ รูปนี ํ ธมฺมานํ อายุ Ęิติ ยปนา ยาปนา อิรยิ นา วตฺตนา ปาลนา, ชีวติ ํ
ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ ;ํ
อายุความดำรงอยู่ ความเป็นไปอยู่ กิรยิ าทีเ่ ป็นไปอยู่ อาการทีส่ บื เนือ่ งกันอยู่
ความประพฤติเป็นไปอยู่ ความหล่อเลีย้ งอยู่ ชีวติ อินทรียค์ อื ชีวติ แห่งรูป-
ธรรมนัน้ ๆ อันใด;
อิทนฺตํ รูปํ ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ .ํ
516
แห่งรูปธรรมนัน้ ๆ อันใด;
อิทนฺตํ รูปํ ชีวติ นิ ทฺ รฺ ยิ .ํ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่าชีวติ นิ ทรีย.์
[๙๘๐] กตมนฺตํ รูปํ น อินทฺ รฺ ยิ ?ํ
[๙๘๐] รูปทีไ่ ม่เป็นอินทรียท์ เ่ี ป็นสัปปฏิฆะนัน้ เป็นไฉน?
สปฺปฏิฆํ รูปายตนํ ฯเปฯ โผฏฺĘพฺพายตนํ;
รูปายตนะ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ;
อิทนฺตํ รูปํ น อินทฺ รฺ ยิ ํ สปฺปฏิฆ.ํ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปทีไ่ ม่เป็นอินทรียท์ เ่ี ป็นสัปปฏิฆะ.
[๙๘๑] กตมนฺตํ รูปํ น อินทฺ รฺ ยิ ํ อปฺปฏิฆ?ํ
[๙๘๑] รูปทีไ่ ม่เป็นอินทรียท์ เ่ี ป็นอัปปฏิฆะนัน้ เป็นไฉน?
กายวิญċ ฺ ตฺติ ฯเปฯ กพฬึกาโร อาหาโร;
กายวิญญัติ ฯลฯ กพฬิงการาหาร;
อิทนฺตํ รูปํ น อินทฺ รฺ ยิ ํ อปฺปฏิฆ.ํ
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่ารูปทีไ่ ม่เป็นอินทรีย์ ทีเ่ ป็นอัปปฏิฆะ.
เอวํ ทสวิเธน รูปสงฺคโห.
สงเคราะห์รปู เป็นหมวด ๆ ละ ๑๐ อย่างนี.้
ทสกนิทเทสจบ.
เอกาทสกนิทเทส.
[๙๘๒] กตมนฺตํ รูปํ จกฺขายตนํ?
[๙๘๒] รูปทีเ่ รียกว่า จักขายตนะนัน้ เป็นไฉน?
ยํ จกฺขํุ จตุนนฺ ํ มหาภูตานํ อุปาทาย ปสาโท ฯเปฯ สุċโฺ ċ คาโมเปโส;
จักขุใดเป็นปสาทรูปอาศัยมหาภูตรูป ๔ นีเ้ รียกว่าจักขุบา้ ง ฯลฯ บ้านว่างบ้าง;
อิทนฺตํ รูปํ จกฺขายตนํ.
รูปทัง้ นีเ้ รียกว่าจักขายตนะ.
[๙๘๓] กตมนฺตํ รูปํ โสตายตนํ ฯเปฯ ฆานายตนํ ฯเปฯ ชิวหฺ ายตนํ ฯเปฯ กายายตนํ
518
๓. นิกเฺ ขปกณฺฑ.
ติกนิกเฺ ขป.
๑. กุสลติกะ.
[๙๘๕] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๙๘๕] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
ตีณิ กุสลมูลานิ อโลโภ อโทโส อโมโห;
กุศลมูล ๓ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ,
ตํสมฺปยุตโฺ ต เวทนากฺขนฺโธ สċฺċากฺขนฺโธ สงฺขารกฺขนฺโธ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ;
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สงขารขันธ์ วิญญาณขันธ์อนั สัมปยุตด้วยกุศล-
มูลนัน้ ;
ตํสมุฏĘฺ านํ กายกมฺมํ วจีกมฺมํ มโนกมฺม;ํ
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอันมีกศุ ลมูลนัน้ เป็นสมุฏฐาน;
อิเม ธมฺมา กุสลา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๙๘๖] กตเม ธมฺมา อกุสลา?
[๙๘๖] ธรรมเป็นอกุศลเป็นไฉน?
ตีณิ อกุสลมูลานิ; โลโภ โทโส โมโห;
อกุศลมูล ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ;
ตเทกฏฺċา จ กิเลสา ตํสมฺปยุตโฺ ต เวทนากฺขนฺโธ สċฺċากฺขนฺโธ สงฺขารกฺขนฺโธ
วิญċฺ าณกฺขนฺโธ;
และกิเลสทีต่ ง้ั อยูฐ่ านเดียวกันกับอกุศลมูลนัน้ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์
สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์อนั สัมปยุตด้วยอกุศลมูลนัน้ ;
ตํสมุฏĘฺ านํ กายกมฺมํ วจีกมฺมํ มโนกมฺม;ํ
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอันมีอกุศลมูลนัน้ เป็นสมุฏฐาน;
อิเม ธมฺมา อกุสลา.
520
อกุศลมูล ๓ คือ โลภะ โทภะ โมหะ และกิเลสทีต่ ง้ั อยูฐ่ านเดียวกัน กับอกุศล-
มูลนัน้ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์อนั สัมปยุตด้วยอกุศลมูลนัน้
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอันมีอกุศลมูลนัน้ เป็นสมุฏฐาน;
อิเม ธมฺมา สํกลิ ฏิ Ęฺ สํกเิ ลสิกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของสังกิเลส.
[๙๙๘] กตเม ธมฺมา อสํกลิ ฏิ Ęฺ สํกเิ ลสิกา?
[๙๙๘] ธรรมไม่เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของสังกิเลสเป็นไฉน?
สาสวา กุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา อรูปาวจรา; รูปกฺขนฺโธ
เวทนากฺขนฺโธ สċฺċากฺขนฺโธ สงฺขารกฺขนฺโธ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ;
กุศลธรรมและอัพยากตธรรมประเภททีย่ งั มีอาสวะ ซึง่ เป็นกามาวจร รูปา-
วจร อรูปาวจร คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณ-
ขันธ์;
อิเม ธมฺมา อสํกลิ ฏิ Ęฺ สํกเิ ลสิกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส.
[๙๙๙] กตเม ธมฺมา อสํกลิ ฏิ Ęฺ าสํกเิ ลสิกา?
[๙๙๙] ธรรมไม่เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส เป็นไฉน?
อปริยาปนฺนา มคฺคา จ มคฺคผลานิ จ อสงฺขตา จ ธาตุ;
มรรคและผลของมรรคทีเ่ ป็นโลกุตตระ และอสังขตธาตุ;
อิเม ธมฺมา อสํกลิ ฏิ Ęฺ าสํกเิ ลสิกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส.
๖. วิตกั กติกะ.
[๑๐๐๐] กตเม ธมฺมา สวิตกฺกสวิจารา?
[๑๐๐๐] ธรรมมีวติ กมีวจิ ารเป็นไฉน?
สวิตกฺกสวิจารภูมยิ ํ กามาวจเร รูปาวจเร อปริยาปนฺเน วิตกฺกวิจาเร Ęเปตฺวา
ตํสมฺปยุตโฺ ต เวทนากฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ
ฺ าณกฺขนฺโธ;
เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขัณธ์อนั สัมปยุตด้วยวิตกและวิจารนัน้ เว้นวิตก-
525
๙. ทัสสนเหตุตกิ ะ.
[๑๐๑๓] กตเม ธมฺมา ทสฺสเนน ปหาตพฺพเหตุกา?
[๑๐๑๓] ธรรมมีสมั ปยุตตเหตุอนั โสดาปัตติมรรคประหาณเป็นไฉน?
ตีณิ สċฺโċชนานิ; สกฺกายทิฏĘิ วิจกิ จิ ฉฺ า สีลพฺพตปรามาโส.
สัญโญชน์ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจกิ จิ ฉา สีลพั พตปรามาส.
[๑๐๑๔] ตตฺถ กตมา สกฺกายทิฏĘฺ ?ิ ฯเปฯ อยํ วุจจฺ ติ สกฺกายทิฏĘฺ Ņ.
[๑๐๑๔] บรรดาสัญโญชน์ ๓ นัน้ สักกายทิฏฐิเป็นไฉน ฯลฯ นีเ้ รียกว่าสักกายทิฏฐิ.
[๑๐๑๕] ตตฺถ กตมา วิจกิ จิ ฉฺ า? ฯเปฯ อยํ วุจจฺ ติ วิจกิ จิ ฉฺ า.
[๑๐๑๕] วิจกิ จิ ฉาเป็นไฉน ฯลฯ นีเ้ รียกว่าวิจกิ จิ ฉา.
[๑๐๑๖] ตตฺถ กตโม สีลพฺพตปรามาโส? ฯเปฯ อยํ วุจจฺ ติ สีลพฺพตปรามาโส.
[๑๐๑๖] สีลพั พตปรามาสเป็นไฉน ฯลฯ นีเ้ รียกว่าสีลพั พตปรามาส.
[๑๐๑๗] อิมานิ ตีณิ สċฺโċชนานิ ตเทกฏฺĘา จ กิเลสา ตํสมฺปยุตโฺ ต
เวทนากฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ;
[๑๐๑๗] สัญโญชน์ ๓ นี้ และกิเลสทีต่ ง้ั อยูฐ่ านเดียวกันกับสัญโญชน์ ๓ นัน้ เวทนา-
ขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์อนั สัมปยุตด้วยสัญโญชน์ ๓ นัน้ ;
ตํสมุฏĘฺ านํ กายกมฺมํ วจีกมฺมํ มโนกมฺม;ํ
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอันมีสญ ั โญชน์ ๓ นัน้ เป็นสมุฏฐาน;
อิเม ธมฺมา ทสฺสเนน ปหาตพฺพเหตุกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมมีสมั ปยุตตเหตุอนั โสดาปัตติมรรคประหาณ.
ตีณิ สċฺโċชนานิ; สกฺกายทิฏĘฺ ิ วิจกิ จิ ฉฺ า สีลพฺพตปรามาโส;
สัญโญชน์ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจกิ จิ ฉา สีลพั พตปรามาส;
อิเม ธมฺมา ทสฺสเนน ปหาตพฺพา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณ.
ตเทกฏฺโĘ โลโภ โทโส โมโห;
โลภะ โทสะ โมหะ ทีต่ ง้ั อยูฐ่ านเดียวกันกับสัญโญชน์ ๓ นัน้ ;
อิเม ธมฺมา ทสฺสเนน ปหาตพฺพเหตู.
532
นัน้ เป็นสมุฏฐาน;
อิเม ธมฺมา หีนา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมทราม.
[๑๐๓๓] กตเม ธมฺมา มชฺฌมิ า?
[๑๐๓๓] ธรรมปานกลางเป็นไฉน?
สาสวา กุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา อรูปาวจรา; รูปกฺขนฺโธ
ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ;
กุศลธรรมและอัพยากตธรรมประเภททีย่ งั มีอาสวะทีเ่ ป็นกามาวจร รูปาวจร
อรูปาวจร คือ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์;
อิเม ธมฺมา มชฺฌมิ า.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมปานกลาง.
[๑๐๓๔] กตเม ธมฺมา ปณีตา?
[๑๐๓๔] ธรรมประณีตเป็นไฉน?
อปริยาปนฺนา มคฺคา จ มคฺคผลานิ จ อสงฺขตา จ ธาตุ;
มรรคและผลของมรรคทีเ่ ป็นโลกุตตระ และอสังขตธาตุ;
อิเม ธมฺมา ปณีตา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมประณีต.
๑๕. มิจฉัตตติกะ.
[๑๐๓๕] กตเม ธมฺมา มิจฉฺ ตฺตนิยตา?
[๑๐๓๕] ธรรมเป็นมิจฉาสภาวะและให้ผลแน่นอนเป็นไฉน?
ปċฺจ กมฺมานิ อานนฺตริกานิ, ยา จ มิจฉฺ าทิฏĘฺ ิ นิยตา;
อนันตริยกรรม ๕ และนิยตมิจฉาทิฏฐิ;
อิเม ธมฺมา มิจฉฺ ตฺตนิยตา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นมิจฉาสภาวะ และให้ผลแน่นอน.
[๑๐๓๖] กตเม ธมฺมา สมฺมตฺตนิยตา?
[๑๐๓๖] ธรรมเป็นสัมมาสภาวะและให้ผลแน่นอนเป็นไฉน?
538
คิดเบียดเบียนกุศลมูลคืออโทสะ;
อยํ วุจจฺ ติ อโทโส.
นีเ้ รียกว่าอโทสะ.
[๑๐๖๓] ตตฺถ กตโม อโมโห?
[๑๐๖๓] อโมหะเป็นไฉน?
ทุกเฺ ข ċาณํ, ทุกขฺ สมุทเย ċาณํ ทุกขฺ นิโรเธ ċาณํ, ทุกขฺ นิโรธคามินยิ า
ปฏิปทาย ċาณํ, ปุพพฺ นฺเต ċาณํ, อปรนฺเต ċาณํ, ปุพพฺ นฺตาปรนฺเต ċาณํ,
อิทปฺปจฺจยตาปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺเนสุ ธมฺเมสุ ċาณํ;
ความรูใ้ นทุกข์ ความรูใ้ นทุกขสมุทยั ความรูใ้ นทุกขนิโรธ ความรูใ้ นทุกข-
นิโรธคามินปี ฏิปทา ความรูใ้ นส่วนอดีต ความรูใ้ นส่วนอนาคต ความรูท้ ง้ั -
ในส่วนอดีตและส่วนอนาคต ความรูใ้ นปฏิจจสมุปปาทธรรมว่าเพราะ-
ธรรมนีเ้ ป็นปัจจัยธรรมนีจ้ งึ เกิดขึน้ ;
ยา เอวรูปา ปċฺċา ปชานนา, วิจโย ปวิจโย ธมฺมวิจโย, สลฺลกฺขณา
อุปลกฺขณา ปจฺจปุ ลกฺขณา, ปณฺฑจิ จฺ ํ โกสลฺลํ เนปุċċ ฺ ํ เวภพฺยา จินตฺ า
อุปปริกขฺ า,
ปัญญา กิรยิ าทีร่ ชู้ ดั ความวิจยั ความเลือกสรร ความวิจยั ธรรม ความกำ-
หนดหมาย ความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ภาวะทีร่ ู้ ภาวะ-
ทีฉ่ ลาด ภาวะทีร่ ลู้ ะเอียด ความรูแ้ จ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวญ,
ภูรี เมธา ปริณายิกา, วิปสฺสนา สมฺปชċฺċํ ปโตโท, ปċฺċา ปċฺċนิ ทฺ รฺ ยิ ํ
ปċฺċาพลํ,
ปัญญาเหมือนแผ่นดิน ปัญญาเครือ่ งทำลายกิเลส ปัญญาเครือ่ งนำทาง ความ
เห็นแจ้ง ความรูช้ ดั ปัญญาเหมือนปฏัก ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ,
ปċฺċาสตฺถํ ปċฺċาปาสาโท ปċฺċาอาโลโก ปċฺċาโอภาโส ปċฺċาปชฺโชโต
ปċฺċารตนํ; อโมโห ธมฺมวิจโย สมฺมาทิฏĘิ;
ปัญญาเหมือนศาสตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ความสว่างคือปัญญา แสง-
สว่างคือปัญญา ปัญญาเหมือนประทีป ปัญญาเหมือนดวงแก้ว ความไม่หลง
548
อุปปริกขฺ า,
ปัญญา กิรยิ าทีร่ ชู้ ดั ความวิจยั ความเลือกสรร ความวิจยั ธรรม ความกำ-
หนดหมาย ความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะภาวะทีร่ ู้ ภาวะ-
ทีฉ่ ลาด ภาวะทีร่ ลู้ ะเอียด ความรูแ้ จ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวญ,
ภูรี เมธา ปริณายิกา, วิปสฺสนา สมฺปชċฺċํ ปโตโท, ปċฺċา ปċฺċนิ ทฺ รฺ ยิ ํ
ปċฺċาพลํ,
ปัญญาเหมือนแผ่นดิน ปัญญาเครือ่ งทำลายกิเลส ปัญญาเครือ่ งนำทาง
ความเห็นแจ้ง ความรูช้ ดั ปัญญาเหมือนปฏัก ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญา-
พละ,
ปċฺċาสตฺถํ ปċฺċาปาสาโท ปċฺċาอาโลโก ปċฺċาโอภาโส ปċฺċาปชฺโชโต
ปċฺċารตนํ อโมโห ธมฺมวิจโย สมฺมาทิฏĘิ ธมฺมวิจยสมฺโพชฺฌงฺโค, มคฺคงฺคํ
มคฺคปริยาปนฺน;ํ
ปัญญาเหมือนศัสตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ความสว่างคือปัญญา แสง-
สว่างคือปัญญา ปัญญาเหมือนประทีป ปัญญาเหมือนดวงแก้ว ความไม่หลง
ความวิจยั ธรรม สัมมาทิฏฐิ ธรรมวิจยั สัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค-
นับเนือ่ งในมรรค;
อยํ วุจจฺ ติ อโมโห.
นีช้ อ่ื ว่าอโมหะ.
อิเม ตโย กุสลเหต.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่ากุศลเหตุ ๓.
[๑๐๗๗] ตตฺถ กตเม ตโย อพฺยากตเหตู?
[๑๐๗๗] อัพยากตเหตุ ๓ เป็นไฉน?
กุสลานํ ธมฺมานํ วิปากโต อโลโภ อโทโส อโมโห;
อโลภะ อโทสะ อโมหะฝ่ายวิบากแห่งกุศลธรรม;
อิเม ตโย อพฺยากตเหตู.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าอัพยากตเหตุ ๓.
556
อิเม ฉ อปริยาปนฺนเหตู.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าโลกุตตรเหตุ ๖.
อิเม ธมฺมา เหตู.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นเหตุ.
[๑๐๗๘] กตเม ธมฺมา น เหตู?
[๑๐๗๘] ธรรมไม่เป็นเหตุเป็นไฉน?
เต ธมฺเม Ęเปตฺวา อวเสสา กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา
อรูปาวจรา อปริยาปนฺนา; เวทนากฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ, สพฺพċฺจ รูป,ํ
อสงฺขตา จ ธาตุ;
เว้นธรรมเป็นเหตุเหล่านัน้ เสีย กุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากตธรรม-
ทีเ่ หลือซึง่ เป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร โลกุตตระ คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ รูปทัง้ หมด และอสังขตธาตุ;
อิเม ธมฺมา น เหตู.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่า ธรรมไม่เป็นเหตุ.
๒. สเหตุกทุกะ.
[๑๐๗๙] กตเม ธมฺมา สเหตุกา?
[๑๐๗๙] ธรรมมีเหตุเป็นไฉน?
เตหิ ธมฺเมหิ เย ธมฺมา สเหตุกา เวทนากฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ;
ธรรมเหล่าใดมีเหตุโดยธรรมทีเ่ ป็นเหตุเหล่านัน้ คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ
วิญญาณขันธ์;
อิเม ธมฺมา สเหตุกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมมีเหตุ.
[๑๐๘๐] กตเม ธมฺมา อเหตุกา?
[๑๐๘๐] ธรรมไม่มเี หตุเป็นไฉน?
เตหิ ธมฺเมหิ เย ธมฺมา อเหตุกา เวทนากฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ,
สพฺพċฺจ รูปํ อสงฺขตา จ ธาตุ;
557
โมหะเป็นเหตุและมีเหตุโดยโลภะ,
โทโส โมเหน เหตุ เจว สเหตุโก จ,
โทสะเป็นเหตุและมีเหตุโดยโมหะ,
โมโห โทเสน เหตุ เจว สเหตุโก จ,
โมหะเป็นเหตุและมีเหตุโดยโทสะ,
อโลโภ อโทโส อโมโห เต อċฺมċฺċํ เหตู เจว สเหตุกา จ;
อโลภะ อโทสะ อโมหะ ทัง้ ๓ นัน้ เป็นเหตุและมีเหตุโดยกันและกัน;
อิเม ธมฺมา เหตู เจว สเหตุกา จ.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นเหตุและมีเหตุ.
[๑๐๘๔] กตเม ธมฺมา สเหตุกา เจว น จ เหตู?
[๑๐๘๔] ธรรมมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุเป็นไฉน?
เตหิ ธมฺเมหิ เย ธมฺมา สเหตุกา, เต ธมฺเม Ęเปตฺวา เวทนากฺขนฺโธ ฯเปฯ
วิญċฺ าณกฺขนฺโธ;
ธรรมเหล่าใดมีเหตุโดยธรรมทีเ่ ป็นเหตุเหล่านัน้ เว้นธรรมทีเ่ ป็นเหตุเหล่า-
นัน้ เสีย คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์;
อิเม ธมฺมา สเหตุกา เจว น จเหตู.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมมีเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ.
๕. เหตุเหตุสมั ปยุตตทุกะ.
[๑๐๘๕] กตเม ธมฺมา เหตู เจว เหตุสมฺปยุตตฺ า จ?
[๑๐๘๕] ธรรมเป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุเป็นไฉน?
โลโภ โมเหน เหตุ เจว เหตุสมฺปยุตโฺ ต จ,
โลภะเป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุโดยโมหะ,
โมโห โลเภน เหตุเจว เหตุ สมฺปยุตโฺ ต จ,
โมหะเป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุโดยโลภะ,
โทโส โมเหน เหตุ เจว เหตุสมฺปยุตโฺ ต จ,
559
โทสะเป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุโดยโมหะ,
โมโห โทเสน เหตุ เจว เหตุ สมฺปยุตโฺ ต จ,
โมหะเป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุโดยโทสะ,
อโลโภ อโทโส อโมโห, เต อċฺมċฺċํ เหตู เจว เหตุสมฺปยุตตฺ า จ;
อโลภะ อโทสะ อโมหะทัง้ ๓ นัน้ เป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ
โดยกันและกัน;
อิเม ธมฺมา เหตู เจว เหตุสมฺปยุตตฺ า จ.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ.
[๑๐๘๖] กตเม ธมฺมา เหตุสมฺปยุตตฺ า เจว น จเหตู?
[๑๐๘๖] ธรรมสัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุเป็นไฉน?
เตหิ ธมฺเมหิ เย ธมฺมา สมฺปยุตตฺ า, เต ธมฺเม Ęเปตฺวา เวทนากฺขนฺโธ ฯเปฯ
วิญċฺ าณกฺขนฺโธ;
ธรรมเหล่าใดสัมปยุตด้วยธรรมทีเ่ ป็นเหตุเหล่านัน้ เว้นธรรมทีเ่ ป็นเหตุเหล่า-
นัน้ เสีย คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์;
อิเม ธมฺมา เหตุสมฺปยุตตฺ า เจว น จเหตู.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมสัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุ.
๖. นเหตุสเหตุกทุกะ.
[๑๐๘๗] กตเม ธมฺมา นเหตู สเหตุกา?
[๑๐๘๗] ธรรมไม่เป็นเหตุแต่มเี หตุเป็นไฉน?
เตหิ ธมฺเมหิ เย ธมฺมา นเหตู สเหตุกา: เวทนากฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ;
ธรรมเหล่าใดไม่เป็นเหตุแต่มเี หตุโดยธรรมทีเ่ ป็นเหตุเหล่านัน้ คือ
เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์;
อิเม ธมฺมา นเหตู สเหตุกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เป็นเหตุแต่มเี หตุ.
[๑๐๘๘] กตเม ธมฺมา น เหตู อเหตุกา?
[๑๐๘๘] ธรรมไม่เป็นเหตุและไม่มเี หตุเป็นไฉน?
560
๖. โลกิยทุกะ.
[๑๐๙๙] กตเม ธมฺมา โลกิยา?
[๑๐๙๙] ธรรมเป็นโลกิยะเป็นไฉน?
สาสวา กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา อรูปาวจรา:
รูปกฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ
ฺ าณกฺขนฺโธ;
กุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากตธรรมประเภททีย่ งั มีอาสวะ ทีเ่ ป็นกา-
มาวจร รูปาวจร อรูปาวจร คือ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์;
อิเม ธมฺมา โลกิยา.
563
ยา เอวรูปา ทิฏĘฺ ทิ ฏิ Ęิคตํ ทิฏĘฺ คิ หนํ ทิฏĘฺ กิ นฺตาโร, ทิฏĘฺ วิ สิ กู ายิกํ ทิฏĘฺ วิ ปิ ผฺ นฺ-
ทิตํ ทิฏĘฺ สิ ċฺโċชนํ, คาโห ปฏิคคฺ าโห, อภินเิ วโส ปรามาโส, กุมมฺ คฺโค
มิจฉฺ าปโถ, มิจฉฺ ตฺตํ ติตถฺ ายตนํ วิปริเยสคฺคาโห;
ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ป่าชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ ความเห็นเป็น-
ข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ ความผันแปรแห่งทิฏฐิ สัญโญชน์คอื ทิฏฐิ ความยึดถือ
ความยึดมัน่ ความตัง้ มัน่ ความถือผิด ทางชัว่ ทางผิด ภาวะทีผ่ ดิ ลัทธิเป็น-
บ่อเกิดแห่งความพินาศ การถือโดยวิปลาส มีลกั ษณะเช่นว่านีอ้ นั ใด;
อยํ วุจจฺ ติ ทิฏĘฺ าสโว.
นีเ้ รียกว่าทิฏฐาสวะ.
สพฺพาปิ มิจฉฺ าทิฏĘิ ทิฏĘฺ าสโว.
มิจฉาทิฏฐิแม้ทง้ั หมดจัดเป็นทิฏฐาสวะ.
[๑๑๐๖] ตตฺถ กตโม อวิชชฺ าสโว?
[๑๑๐๖] อวิชชาสวะเป็นไฉน?
ทุกเฺ ข อċฺċาณํ, ทุกขฺ สมุทเย อċฺċาณํ, ทุกขฺ นิโรเธ อċฺċาณํ, ทุกขฺ นิโรธคา-
มินยิ า ปฏิปทาย อċฺċาณํ, ปุพพฺ นฺเต อċฺċาณํ, อปรนฺเต อċฺċาณํ; ปุพพฺ นฺ-
ตาปรนฺเต อċฺċาณํ, อิทปฺปจฺจยตาปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺเนสุ ธมฺเมสุ อċฺċาณํ;
ความไม่รใู้ นทุกข์ ความไม่รใู้ นทุกขสมุทยั ความไม่รใู้ นทุกขนิโรธ ความ-
ไม่รใู้ นทุกขนิโรธคามินปี ฏิปทา ความไม่รใู้ นส่วนอดีต ความไม่รใู้ นส่วน-
อนาคต ความไม่รทู้ ง้ั ในส่วนอดีต และส่วนอนาคต ความไม่รใู้ นปฏิจจ-
สมุปปาทธรรมว่าเพราะธรรมนีเ้ ป็นปัจจัยธรรมนีจ้ งึ เกิดขึน้ ;
ยํ เอวรูปํ อċฺċาณํ อทสฺสนํ, อนภิสมโย อนนุโพโธ อสมฺโพโธ อปฺปฏิเวโธ,
อสงฺคาหนา อปริโยคาหนา อสมเปกฺขนา อปฺปจฺจเวกฺขณา,
ความไม่รู้ ความไม่เห็น ความไม่ตรัสรู้ ความไม่รโู้ ดยสมควร ความไม่ร-ู้
ตามเป็นจริง ความไม่แทงตลอด ความไม่ถอื เอาให้ถกู ต้อง ความไม่หยัง่ -
ลงโดยรอบคอบ ความไม่พนิ จิ ความไม่พจิ ารณาการไม่กระทำให้ประจักษ์
อปฺปจฺจกฺขกมฺมํ ทุมเฺ มชฺฌํ พาลฺยํ อสมฺปชċฺċํ โมโห ปโมโห สมฺโมโห,
569
อวิชชฺ า อวิชโฺ ชโฆ อวิชชฺ าโยโค อวิชชฺ านุสโย อวิชชฺ าปริยฏุ Ęฺ านํ อวิชชฺ าลงฺค,ี
โมโห อกุสลมูล,ํ
ความทรามปัญญา ความโง่เขลา ความไม่รชู้ ดั ความหลง ความลุม่ หลง
ความหลงใหล อวิชชา โอฆะคืออวิชชา โยคะคืออวิชชา อนุสยั คืออวิชชา
ปริยฏุ ฐานคืออวิชชา ลิม่ คืออวิชชา อกุศลมูลคือโมหะมีลกั ษณะเช่นว่านี-้
อันใด;
อยํวจุ จฺ ติ อวิชชฺ าสโว.
นีเ้ รียกว่าอวิชชาสวะ.
อิเม ธมฺมา อาสวา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอาสวะ.
[๑๑๐๗] กตเม ธมฺมา โนอาสวา?
[๑๑๐๗] ธรรมไม่เป็นอาสวะเป็นไฉน?
เต ธมฺเม Ęเปตฺวา อวเสสา กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา
อรูปาวจรา อปริยาปนฺนา: เวทนากฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ สพฺพċฺจ รูป,ํ
อสงฺขตา จ ธาตุ;
เว้นอาสวธรรมเหล่านัน้ เสียกุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมทีเ่ ป็น-
กามาวจร รูปวาจร อรูปาวจร โลกุตตระทีเ่ หลือ คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ รูปทัง้ หมดและอสังขตธาตุ;
อิเม ธมฺมา โนอาสวา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เป็นอาสวะ.
๒. สาสวทุกะ.
[๑๑๐๘] กตเม ธมฺมา สาสวา?
[๑๑๐๘] ธรรมเป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นไฉน?
สาสวา กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา อรูปาวจรา:
รูปกฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ;
กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมทีเ่ ป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร
คือ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์;
570
[๑๑๑๒] ธรรมเป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นไฉน?
เตเยว อาสวา อาสวา เจว สาสวาจ.
อาสวะเหล่านัน้ นัน่ ชือ่ ว่าธรรมเป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะ.
[๑๑๑๓] กตเม ธมฺมา สาสวา เจว โน จ อาสวา?
[๑๑๑๓] ธรรมเป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเป็นไฉน?
เ ตหิ ธมฺเมหิ เย ธมฺมา สาสวา, เต ธมฺเม Ęเปตฺวา อวเสสา สาสวา
กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา อรูปาวจรา: รูปกฺขนฺโธ ฯเปฯ
วิญċฺ าณกฺขนฺโธ;
ธรรมเหล่าใดเป็นอารมณ์ของอาสวะโดยอาสวธรรมเหล่านัน้ เว้นอาสว-
ธรรมเหล่านัน้ เสีย คือ กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมประเภททีย่ งั -
มีอาสวะทีเ่ หลือ ซึง่ เป็นกามาวจร อรูปาวจรได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ
วิญญาณขันธ์;
อิเม ธมฺมา สาสวา เจว โน จ อาสวา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ.
๕. อาสวอาสวสัมปยุตตทุก.
[๑๑๑๔] กตเม ธมฺมา อาสวา เจว อาสว สมฺปยุตตฺ า จ?
[๑๑๑๔] ธรรมเป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะเป็นไฉน?
กามาสโว อวิชชฺ าสเวน อาสโว เจว อาสว สมฺปยุตโฺ ต จ,
กามาสวะเป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ โดยอวิชชาสวะ,
อวิชชฺ าสโว กามาสเวน อาสโว เจว อาสวสมฺปยุตโฺ ต จ,
อวิชชาสวะเป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะโดยกามาสวะ,
ภวาสโว อวิชชฺ าสเวน อาสโว เจว อาสว สมฺปยุตโฺ ต จ,
ภวาสวะเป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะโดยอวิชชาสวะ,
อวิชชฺ าสโว ภวาสเวน อาสโว เจว อาสว สมฺปยุตโฺ ต จ,
อวิชชาสวะเป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะโดยภวาสวะ,
ทิฏĘฺ าสโว อวิชชฺ าสเวน อาสโว เจว อาสว สมฺปยุตโฺ ต จ,
572
ทิฏฐาสวะเป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะโดยอวิชชาสวะ,
อวิชชฺ าสโว ทิฏĘฺ าสเวน อาสโว เจว อาสว สมฺปยุตโฺ ต จ;
อวิชชาสวะเป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะโดยทิฏฐาสวะ;
อิเม ธมฺมา อาสวา เจว อาสวสมฺปยุตตฺ า จ.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ.
[๑๑๑๕] กตเม ธมฺมา อาสวสมฺปยุตตฺ า เจว โน จ อาสวา?
[๑๑๑๕] ธรรมสัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเป็นไฉน?
เตหิ ธมฺเมหิ เย ธมฺมา สมฺปยุตตฺ า, เต ธมฺเม Ęเปตฺวา เวทนากฺขนฺโธ ฯเปฯ
วิญċฺ าณกฺขนฺโธ;
ธรรมเหล่าใดสัมปยุตด้วยอาสวธรรมเหล่านัน้ เว้นอาสวธรรมเหล่านัน้ เสีย
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์;
อิเม ธมฺมา อาสวสมฺปยุตตฺ า เจว โน จ อาสวา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมสัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ.
๖. อาสววิปปยุตตสาสวทุกะ.
[๑๑๑๖] กตเม ธมฺมา อาสววิปปฺ ยุตตฺ า สาสวา?
[๑๑๑๖] ธรรมวิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นไฉน?
เตหิ ธมฺเมหิ เย ธมฺมา วิปปฺ ยุตตฺ า สาสวา กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา
กามาวจรา รูปาวจรา อรูปาวจรา: รูปกฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ;
ธรรมเหล่าใดวิปปยุตจากอาสวธรรมเหล่านัน้ คือ กุศลธรรม อกุศลธรรม
อัพยากตธรรมประเภททีย่ งั มีอาสวะ ซึง่ เป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร
ได้แก่ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์;
อิเม ธมฺมา อาสววิปปฺ ยุตตฺ า สาสวา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมวิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ.
[๑๑๑๗] กตเม ธมฺมา อาสววิปปฺ ยุตตฺ า อนาสวา?
[๑๑๑๗] ธรรมวิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นไฉน?
อปริยาปนฺนา มคฺคา จ มคฺคผลานิ จ อสงฺขตา จ ธาตุ;
573
นีเ้ รียกว่ากามราคสัญโญชน์.
[๑๑๒๐] ตตฺถ กตมํ ปฏิฆสċฺโċชนํ?
[๑๑๒๐] ปฏิฆสัญโญชน์เป็นไฉน?
“อนตฺถํ เม อจรี”ติ อาฆาโต ชายติ,
อาฆาตย่อมเกิดขึน้ ได้ดว้ ยคิดว่าผูน้ ไ้ี ด้กระทำความเสือ่ มเสียแก่เรา,
“อนตฺถํ เม จรตี”ติ อาฆาโต ชายติ,
อาฆาตย่อมเกิดขึน้ ได้ดว้ ยคิดว่าผูน้ ก้ี ำลังทำความเสือ่ มเสียแก่เรา,
“อนตฺถํ เม จริสสฺ ตี”ติ อาฆาโต ชายติ;
อาฆาตย่อมเกิดขึน้ ได้ดว้ ยคิดว่าผูน้ จ้ี กั ทำความเสือ่ มเสียแก่เรา,
ปิยสฺส เม มนาปสฺส อนตฺถํ อจริ.
อาฆาตย่อมเกิดขึน้ ได้ดว้ ยคิดว่าผูน้ ไ้ี ด้ทำความเสือ่ มเสีย.
ฯเปฯ อนตฺถํ จรติ ฯเปฯ อนตฺถํ จริสสฺ ตีติ อาฆาโต ชายติ;
ฯลฯ กำลังทำความเสือ่ มเสีย ฯลฯ จักทำความเสือ่ มเสียแก่คนผูเ้ ป็นทีร่ กั ชอบ-
พอของเรา;
อปฺปยิ สฺส เม อมนาปสฺส อตฺถํ อจริ, ฯเปฯ อตฺถํ จรติ ฯเปฯ “อตฺถํ จริสสฺ ตี”ติ
อาฆาโต ชายติ,
อาฆาตย่อมเกิดขึน้ ได้ดว้ ยคิดว่าผูน้ ไ้ี ด้ทำความเจริญ ฯลฯ กำลังทำความเจริญ
ฯลฯ จักทำความเจริญแก่คนผูไ้ ม่เป็นทีร่ กั ไม่เป็นทีช่ อบพอของเรา,
อฏฺĘาเน วา ปน อาฆาโต ชายติ; โย เอวรูโป จิตตฺ สฺส อาฆาโต ปฏิฆาโต
ปฏิฆํ ปฏิวโิ รโธ, โกโป ปโกโป สมฺปโกโป,
หรือ อาฆาตย่อมเกิดขึน้ ในฐานะอันใช่เหตุจติ อาฆาตความขัดเคือง ความ-
กระทบกระทัง่ ความแค้น ความเคือง ความขุน่ เคือง ความพลุง่ พล่าน,
โทโส ปโทโส สมฺปโทโส, จิตตฺ สฺส พฺยาปตฺติ มโนปโทโส, โกโธ กุชฌ ฺ นา
กุชฌ
ฺ ติ ตฺต,ํ
โทสะ ความคิดประทุษร้าย ความมุง่ คิดประทุษร้าย ความขุน่ จิต ธรรมชาติ
ทีป่ ระทุษร้ายใจ โกรธ กิรยิ าทีโ่ กรธ ความโกรธมีลกั ษณะเช่นว่านีอ้ นั ใด,
575
โทโส ทูสนา ทูสติ ตฺต,ํ พฺยาปตฺติ พฺยาปชฺชนา พฺยาปชฺชติ ตฺต,ํ วิโรโธ ปฏิวโิ รโธ,
จณฺฑกิ กฺ ํ อสุโรโป อนตฺตมนตา จิตตฺ สฺส;
การคิดประทุษร้าย กิรยิ าทีค่ ดิ ประทุษร้าย ความคิดประทุษร้าย การคิดปอง-
ร้าย กิรยิ าคิดปองร้าย ความคิดปองร้าย ความโกรธความแค้น ความดุรา้ ย
ความปากร้าย ความไม่แช่มชืน่ แห่งจิต;
อิทํ วุจจฺ ติ ปฏิฆสċฺโċชนํ.
นีเ้ รียกว่าปฏิฆสัญโญชน์.
[๑๑๒๑] ตตฺถ กตมํ มานสċฺโċชนํ?
[๑๑๒๑] มานสัญโญชน์เป็นไฉน?
“เสยฺโยหมสฺม”ี ติ มาโน “สทิโสหมสฺม”ี ติ มาโน หีโนหมสฺมตี ิ มาโน โย เอวรูโป
มาโน มċฺċนา มċฺċติ ตฺต,ํ อุณณ ฺ ติ อุณณ ฺ าโม, ธโช สมฺปคฺคาโห
เกตุกมฺยตา จิตตฺ สฺส;
การถือตัวว่าเราดีกว่าเขา ว่าเราเสมอกับเขา ว่าเราเลวกว่าเขา การถือตัว กิรยิ า
ทีถ่ อื ตัว ความถือตัวมีลกั ษณะเช่นว่านีอ้ นั ใด และการยกตน การเทอดตน
การเชิดชูตนดุจธง การยกจิตขึน้ ความทีจ่ ติ ต้องการเป็นดุจธง;
อิทํ วุจจฺ ติ มานสċฺโċชนํ.
นีเ้ รียกว่ามานสัญโญชน์.
[๑๑๒๒] ตตฺถ กตมํ ทิฏĘฺ สิ ċฺโċชนํ?
[๑๑๒๒] ทิฏฐิสญ ั โญชน์เป็นไฉน?
สสฺสโต โลโกติ วา, อสสฺสโต โลโกติ วา, อนฺตวา โลโกติ วา, อนนฺตวา โลโกติ
วา,
ความเห็นว่าโลกเทีย่ งก็ดี ว่าโลกไม่เทีย่ งก็ดี ว่าโลกมีทส่ี ดุ ก็ดี ว่าโลกไม่ม-ี
ทีส่ ดุ ก็ด,ี
ตํ ชีวํ ตํ สรีรนฺติ วา, อċฺċํ ชีวํ อċฺċํ สรีรนฺติ วา,
ว่าชีพอันนัน้ สรีระก็อนั นัน้ ก็ดี ว่าชีพเป็นอืน่ สรีระก็เป็นอืน่ ก็ด,ี
โหติ ตถาคโต ปรมฺมรณาติ วา, น โหติ ตถาคโต ปรมฺมรณาติ วา, โหติ จ
576
ธมฺมมจฺฉริย;ํ
ความตระหนี่ ๕ คือ ตระหนีอ่ าวาส ตระหนีต่ ระกูล ตระหนีล่ าภ ตระหนี-่
วรรณะ ตระหนีธ่ รรม;
ยํ เอวรูปํ มจฺเฉรํ มจฺฉรายนา มจฺฉรายิตตฺต,ํ เววิจฉฺ ํ กทริยํ กฏุกċฺจกุ ตา
อคฺคหิตตฺตจํ ติ ตฺ สฺส;
การตระหนี่ กิรยิ าทีต่ ระหนี่ ความตระหนี่ ความหวงแหน ความเหนียว-
แน่น ความไม่เอือ้ เฟือ้ ความไม่เผือ่ แผ่แห่งจิตมีลกั ษณะเช่นว่านีอ้ นั ใด;
อิทํ วุจจฺ ติ มจฺฉริยสċฺโċชนํ.
นีเ้ รียกว่ามัจฉริยสัญโญชน์.
[๑๑๒๘] ตตฺถ กตมํ อวิชชฺ าสċฺโċชนํ?
[๑๑๒๘] อวิชชาสัญโญชน์เป็นไฉน?
ทุกเฺ ข อċฺċาณํ, ทุกขฺ สมุทเย อċฺċาณํ ทุกขฺ นิโรเธ อċฺċาณํ, ทุกขฺ นิโรธคามิ-
นิยา ปฏิปทาย อċฺċาณํ,
ความไม่รใู้ นทุกข์ ความไม่รใู้ นทุกขสมุทยั ความไม่รใู้ นทุกขนิโรธ ความ-
ไม่รใู้ นทุกขนิโรธคามินปี ฏิปทา,
ปุพพฺ นฺเต อċฺċาณํ, อปรนฺเต อċฺċาณํ, ปุพพฺ นฺตาปรนฺเต อċฺċาณํ,
ความไม่รใู้ นส่วนอดีต ความไม่รใู้ นส่วนอนาคต ความไม่รทู้ ง้ั ในส่วนอดีต-
และส่วนอนาคต,
อิทปฺปจฺจยตาปฏิจจฺ สมุปปฺ นฺเนสุ ธมฺเมสุ อċฺċาณํ;
ความไม่รใู้ นปฏิจจสมุปปาทธรรมว่าเพราะธรรมนีเ้ ป็นปัจจัย ธรรมนีจ้ งึ เกิด
ขึน้ ;
ยํ เอวรูปํ อċฺċาณํ อทสฺสนํ, อนภิสมโย อนนุโพโธ อสมฺโพโธ อปฺปฏิเวโธ,
ความไม่รู้ ความไม่เห็น ความไม่ตรัสรู้ ความไม่รโู้ ดยสมควร ความไม่ร-ู้
ตามความจริง ความไม่แทงตลอด,
อสงฺคาหนา อปริโยคาหนา, อสมเปกฺขนา อปฺปจฺจเวกฺขณา อปฺปจฺจกฺขกมฺม,ํ
ความไม่ถอื เอาให้ถกู ต้อง ความไม่หยัง่ ลงโดยรอบคอบ ความไม่พนิ จิ
580
ความไม่พจิ ารณา,
ทุมเฺ มชฺฌํ พาลฺยํ อสมฺปชċฺċ,ํ โมโห ปโมโห สมฺโมโห,
ความไม่ทำให้ประจักษ์แจ้ง ความทรามปัญญา ความโง่เขลา ความไม่รชู้ ดั
ความหลง ความลุม่ หลง ความหลงใหล,
อวิชชฺ า อวิชโฺ ชโฆ อวิชชฺ าโยโค อวิชชฺ านุสโย อวิชชฺ าปริยฏุ Ęฺ านํ อวิชชฺ าลงฺค,ี
โมโห อกุสลมูล;ํ
อวิชชา โอฆะคืออวิชชา โยคะคืออวิชชา อนุสยั คืออวิชชา ปริยฏุ ฐานคือ-
อวิชชา ลิม่ คืออวิชชา อกุศลมูลคือโมหะ;
อิทํ วุจจฺ ติ อวิชชฺ าสċฺโċชนํ.
นีเ้ รียกว่าอวิชชาสัญโญชน์.
อิเม ธมฺมา สċฺโċชนา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นสัญโญชน์.
[๑๑๒๙] กตเม ธมฺมา โน สċฺโċชนา?
[๑๑๒๙] ธรรมไม่เป็นสัญโญชน์เป็นไฉน?
เต ธมฺเม Ęเปตฺวา อวเสสา กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา
อรูปาวจรา อปริยาปนฺนา: เวทนากฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ, สพฺพċฺจ รูป,ํ
อสงฺขตา จ ธาตุ;
เว้นสัญโญชน์ธรรมเหล่านัน้ เสีย กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม
ทีเ่ หลือ ซึง่ เป็นกามาวจร รูปาวจร โลกุตตระ คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ รูปทัง้ หมดและอสังขตธาตุ;
อิเม ธมฺมา โน สċฺโċชนา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เป็นสัญโญชน์.
๒. สัญโญชนิยทุกะ.
[๑๑๓๐] กตเม ธมฺมา สċฺโċชนิยา?
[๑๑๓๐] ธรรมเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์เป็นไฉน?
สาสวา กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา อรูปาวจรา:
581
อวิชชาสัญโญชน์เป็นสัญโญชน์ และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์โดยกามราค-
สัญโญชน์,
ปฏิฆสċฺโċชนํ อวิชชฺ าสċฺโċชเนน สċฺโċชนċฺเจว สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
ปฏิฆสัญโญชน์เป็นสัญโญชน์ และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์โดยอวิชชา-
สัญโญชน์,
อวิชชฺ าสċฺโċชนํ ปฏิฆสċฺโċชเนน สċฺโċชนċฺเจว สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อวิชชาสัญโญชน์เป็นสัญโญชน์ และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์โดยปฏิฆ-
สัญโญชน์,
มานสċฺโċชนํ อวิชชฺ าสċฺโċชเนน สċฺโċชนċฺเจว สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
มานสัญโญชน์เป็นสัญโญชน์ และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์โดยอวิชชา-
สัญโญชน์,
อวิชชฺ าสċฺโċชนํ มานสċฺโċชเนน สċฺโċชนċฺเจว สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อวิชชาสัญโญชน์เป็นสัญโญชน์ และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์โดยมาน-
สัญโญชน์,
ทิฏĘฺ สิ ċฺโċชนํ อวิชชฺ าสċฺโċชเนน สċฺโċชนċฺเจว สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
ทิฏฐิสญ ั โญชน์เป็นสัญโญชน์ และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์โดยอวิชชา-
สัญโญชน์,
อวิชชฺ าสċฺโċชนํ ทิฏĘฺ สิ ċฺโċชเนน สċฺโċชนċฺเจว สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อวิชชาสัญโญชน์เป็นสัญโญชน์ และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์โดยทิฏฐิ-
สัญโญชน์,
วิจกิ จิ ฉฺ าสċฺโċชนํ อวิชชฺ าสċฺโċชเนน สċฺโċชนċฺเจว สċฺโċชนสมฺปยุต-ฺ
ตċฺจ,
วิจกิ จิ ฉาสัญโญชน์เป็นสัญโญชน์ และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์โดยอวิชชา-
สัญโญชน์,
อวิชชฺ าสċฺโċชนํ วิจกิ จิ ฉฺ าสċฺโċชเนน สċฺโċชนċฺเจว สċฺโċชนสมฺปยุต-ฺ
584
ตċฺจ,
อวิชชาสัญโญชน์เป็นสัญโญชน์ และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์โดยวิจกิ จิ ฉา-
สัญโญชน์,
สีลพฺพตปรามาสสċฺโċชนํ อวิชชฺ าสċฺโċชเนน สċฺโċชนċฺเจว สċฺโċชน-
สมฺปยุตตฺ ċฺจ,
สีลพั พตปรามาสสัญโญชน์เป็นสัญโญชน์ และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์
โดยอวิชชาสัญโญชน์,
อวิชชฺ าสċฺโċชนํ สีลพฺพตปรามาสสċฺโċชเนน สċฺโċชนċฺเจว สċฺโċชน-
สมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อวิชชาสัญโญชน์เป็นสัญโญชน์ และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์โดยสีลพั พต-
ปรามาสสัญโญชน์,
ภวราคสċฺโċชนํ อวิชชฺ าสċฺโċชเนน สċฺโċชนċฺเจว สċฺโċชนสมฺปยุต-ฺ
ตċฺจ,
ภวราคาสัญโญชน์เป็นสัญโญชน์ และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์โดยอวิชชา-
สัญโญชน์,
อวิชชฺ าสċฺโċชนํ ภวราคสċฺโċชเนน สċฺโċชนċฺเจว สċฺโċชนสมฺปยุต-ฺ
ตċฺจ,
อวิชชาสัญโญชน์เป็นสัญโญชน์ และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์โดยภวราค-
สัญโญชน์,
อิสสฺ าสċฺโċชนํ อวิชชฺ าสċฺโċชเนน สċฺโċชนċฺเจว สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อิสสาสัญโญชน์เป็นสัญโญชน์ และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์โดยอวิชชา-
สัญโญชน์,
อวิชชฺ าสċฺโċชนํ อิสสฺ าสċฺโċชเนน สċฺโċชนċฺเจว สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อวิชชาสัญโญชน์เป็นสัญโญชน์ และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์
โดยอิสสาสัญโญชน์,
585
๘. นีวณโคจฺฉก.
๑. นีวรณทุกะ.
[๑๑๕๘] กตเม ธมฺมา นีวรณา?
[๑๑๕๘] ธรรมเป็นนิวรณ์เป็นไฉน?
ฉ นีวรณานิ: กามจฺฉนฺทนีวรณํ พฺยาปาทนีวรณํ ถีนมิทธฺ นีวรณํ อุทธฺ จฺจกุกกฺ จุ -ฺ
จนีวรณํ วิจกิ จิ ฉฺ านีวรณํ อวิชชฺ านีวรณํ.
นิวรณ์ ๖ คือ กามฉันทนิวรณ์ พยาปาทนิวรณ์ ถิน่ มิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุก-
กุจจนิวรณ์ วิจกิ จิ ฉานิวรณ์ อวิชชานิวรณ์.
[๑๑๕๙] ตตฺถ กตมํ กามจฺฉนฺทนีวรณํ?
[๑๑๕๙] บรรดานิวรณ์ ๖ นัน้ กามฉันทนิวรณ์เป็นไฉน?
โย กาเมสุ กามจฺฉนฺโท กามราโค กามนนฺที กามตณฺหา กามสิเนโห
กามปริฬาโห กามมุจฉฺ า กามชฺโฌสานํ;
ความพอใจคือความใคร่ ความกำหนัดคือความใคร่ ความเพลิดเพลินคือ-
ความใคร่ ตัณหาคือความใคร่ สิเนหาคือความใคร่ ความเร่าร้อนคือความ-
ใคร่ ความสยบคือความใคร่ ความหมกมุน่ คือความใคร่ในกามทัง้ หลาย
อันใด;
อิทํ วุจจฺ ติ กามจฺฉนฺทนีวรณํ.
นีเ้ รียกว่ากามฉันทนิวรณ์.
[๑๑๖๐] ตตฺถ กตมํ พฺยาปาทนีวรณํ?
[๑๑๖๐] พยาปาทนิวรณ์เป็นไฉน?
“อนตฺถํ เม อจรี”ติ อาฆาโต ชายติ,
อาฆาตย่อมเกิดขึน้ ได้ดว้ ยคิดว่าผูน้ ไ้ี ด้กระทำความเสือ่ มเสียแก่เรา,
“อนตฺถํ เม จรตี”ติ อาฆาโต ชายติ,
อาฆาตย่อมเกิดขึน้ ได้ดว้ ยคิดว่าผูน้ ก้ี ำลังทำความเสียแก่เรา,
“อนตฺถํ เม จริสสฺ ตี”ติ อาฆาโต ชายติ;
อาฆาตย่อมเกิดได้ดว้ ยคิดว่าผูน้ จ้ี กั ทำความเสือ่ มเสียแก่เรา;
597
ปิยสฺส เม มนาปสฺส อนตฺถํ อจริ ฯเปฯ อนตฺถํ จรติ ฯเปฯ “อนตฺถํ จริสสฺ ตี”ติ
อาฆาโต ชายติ;
อาฆาตย่อมเกิดขึน้ ได้ดว้ ยคิดว่าผูน้ ไ้ี ด้ทำความเสือ่ มเสีย ฯลฯ กำลังทำความ-
เสือ่ มเสีย;
อปฺปยิ สฺส เม อมนาปสฺส อตฺถํ อจริ ฯเปฯ อตฺถํ จรติ ฯเปฯ “อตฺถํ จริสสฺ ตี”ติ
อาฆาโต ชายติ,
จักทำความเสือ่ มเสียแก่คนทีร่ กั ทีช่ อบพอของเรา อาฆาตย่อมเกิดขึน้ ได้ดว้ ย-
คิดว่าผูน้ ไ้ี ด้ทำความเจริญ ฯลฯ กำลังทำความเจริญ ฯลฯ จักทำความเจริญ-
แก่คนผูไ้ ม่เป็นทีร่ กั ไม่เป็นทีช่ อบพอของเรา
อฏฺĘาเน วา ปน อาฆาโต ชายติ;
หรืออาฆาตย่อมเกิดขึน้ ได้ในฐานะอันใช่เหตุ;
โย เอวรูโป จิตตฺ สฺส อาฆาโต ปฏิฆาโต ปฏิฆํ ปฏิวโิ รโธ, โกโป ปโกโป
สมฺปโกโป,
จิตอาฆาต ความขัดเคือง ความกระทบกระทัง่ ความแค้น ความเคือง
ความขุน่ เคือง ความพลุง่ พล่าน,
โทโส ปโทโส สมฺปโทโส, จิตตฺ สฺส พฺยาปตฺติ มโนปโทโส, โกโธ กุชฌ ฺ นา
กุชฌ
ฺ ติ ตฺต,ํ
โทสะ ความประทุษร้าย ความมุง่ คิดประทุษร้าย ความขุน่ จิต ธรรมชาติท-่ี
ประทุษร้ายใจ โกรธ กิรยิ าทีโ่ กรธ ภาวะทีโ่ กรธมีลกั ษณะเช่นว่านีอ้ นั ใด,
โทโส ทูสนา ทูสติ ตฺต,ํ พฺยาปตฺติ พฺยาปชฺชนา พฺยาปชฺชติ ตฺต,ํ วิโรโธ ปฏิวโิ รโธ,
จณฺฑกิ กฺ ํ อสุโรโป อนตฺตมนตา จิตตฺ สฺส;
การคิดประทุษร้าย กิรยิ าทีค่ ดิ ประทุษร้าย ความคิดประทุษร้าย การคิดปอง-
ร้าย กิรยิ าทีค่ ดิ ปองร้าย ความคิดปองร้าย ความโกรธ ความแค้น
ความดุรา้ ย ความปากร้าย ความไม่แช่มชืน่ แห่งจิต;
อิทํ วุจจฺ ติ พฺยาปาทนีวรณํ.
นีเ้ รียกว่าพยาปาทนิวรณ์.
598
[๑๑๗๖] ธรรมเป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์เป็นไฉน?
กามจฺฉนฺทนีวรณํ อวิชชฺ านีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
กามฉันทนิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอวิชชานิวรณ์,
อวิชชฺ านีวรณํ กามจฺฉนฺทนีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อวิชชานิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยกามฉันทนิวรณ์,
พฺยาปาทนีวรณํ อวิชชฺ านีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
พยาปาทนิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอวิชชานิวรณ์,
อวิชชฺ านีวรณํ พฺยาปาทนีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อวิชชานิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยพยาปาทนิวรณ์,
ถีนมิทธฺ นีวรณํ อวิชชฺ านีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
ถีนมิทธนิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอวิชชานิวรณ์,
อวิชชฺ านีวรณํ ถีนมิทธฺ นีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อวิชชานิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยถีนมิทธนิวรณ์,
อุทธฺ จฺจนีวรณํ อวิชชฺ านีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อุทธัจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอวิชชานิวรณ์,
อวิชชฺ านีวรณํ อุทธฺ จฺจนีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อวิชชานิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอุทธัจจนิวรณ์,
กุกกฺ จุ จฺ นีวรณํ อวิชชฺ านีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
กุกกุจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอวิชชานิวรณ์,
อวิชชฺ านีวรณํ กุกกฺ จุ จฺ นีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อวิชชานิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยกุกกุจจนิวรณ์,
วิจกิ จิ ฉฺ านีวรณํ อวิชชฺ านีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
วิจกิ จิ ฉานิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอวิชชานิวรณ์,
อวิชชฺ านีวรณํ วิจกิ จิ ฉฺ านีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อวิชชานิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยวิจกิ จิ ฉานิวรณ์,
กามจฺฉนฺทนีวรณํ อุทธฺ จฺจนีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
605
กามฉันทนิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอุทธัจจนิวรณ์,
อุทธฺ จฺจนีวรณํ กามจฺฉนฺทนีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อุทธัจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยกามฉันทนิวรณ์,
พฺยาปาทนีวรณํ อุทธฺ จฺจนีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
พยาปาทนิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอุทธัจจนิวรณ์,
อุทธฺ จฺจนีวรณํ พฺยาปาทนีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อุทธัจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยพยาปาทนิวรณ์,
ถีนมิทธฺ นีวรณํ อุทธฺ จฺจนีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
ถีนมิทธนิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอุทธัจจนิวรณ์,
อุทธฺ จฺจนีวรณํ ถีนมิทธฺ นีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อุทจั จนิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยถีนมิทธนิวรณ์,
กุกกฺ จุ จฺ นีวรณํ อุทธฺ จฺจนีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
กุกกุจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอุทธัจจนิวรณ์,
อุทธฺ จฺจนีวรณํ กุกกฺ จุ จฺ นีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อุทธัจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยกุกกุจจนิวรณ์,
วิจกิ จิ ฉฺ านีวรณํ อุทธฺ จฺจนีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
วิจกิ จิ ฉานิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอุทธัจจนิวรณ์,
อุทธฺ จฺจนีวรณํ วิจกิ จิ ฉฺ านีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อุทธัจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยวิจกิ จิ ฉานิวรณ์,
อวิชชฺ านีวรณํ อุทธฺ จฺจนีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ,
อวิชชานิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอุทธัจจนิวรณ์,
อุทธฺ จฺจนีวรณํ อวิชชฺ านีวรเณน นีวรณํเจว นีวรณสมฺปยุตตฺ ċฺจ;
อุทธัจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอวิชชานิวรณ์,
อิเม ธมฺมา นีวรณา เจว นีวรณสมฺปยุตตฺ า จ.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์.
[๑๑๗๗] กตเม ธมฺมา นีวรณสมฺปยุตตฺ า เจว โน จ นีวรณา?
606
[๑๑๗๗] ธรรมสัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์เป็นไฉน?
เตหิ ธมฺเมหิ เย ธมฺมา สมฺปยุตตฺ า, เต ธมฺเม เปตฺวา เวทนากฺขนฺโธ ฯเปฯ
วิญċฺ าณกฺขนฺโธ;
ธรรมเหล่าใดสัมปยุตด้วยนิวรณธรรมเหล่านัน้ เว้นนิวรณธรรมเหล่านัน้ เสีย
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์;
อิเม ธมฺมา นีวรณสมฺปยุตตฺ า เจว โน จ นีวรณา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมสัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์.
๖. นีวรณวิปปยุตตนีวรณิยทุกะ.
[๑๑๗๘] กตเม ธมฺมา นีวรณวิปปฺ ยุตตฺ า นีวรณิยา?
[๑๑๗๘] ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์เป็นไฉน?
เตหิ ธมฺเมหิ เย ธมฺมา วิปปฺ ยุตตฺ า; สาสวา กุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา
รูปาวจรา อรูปาวจรา; รูปกฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ;
ธรรมเหล่าใดวิปปยุตจากนิวรณธรรมเหล่านัน้ คือ กุศลธรรม อัพยากต-
ธรรมประเภททีย่ งั มีอาสวะ ซึง่ เป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร ได้แก่
รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์;
อิเม ธมฺมา นีวรณวิปปฺ ยุตตฺ า นีวรณิยา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์.
[๑๑๗๙] กตเม ธมฺมา นีวรณวิปปฺ ยุตตฺ า อนีวรณิยา?
[๑๑๗๙] ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์เป็นไฉน?
อปริยาปนฺนา มคฺคา จ มคฺคผลานิ จ อสงฺขตา จ ธาตุ;
มรรคและผลของมรรคทีเ่ ป็นโลกุตตระ และอสังขตธาตุ;
อิเม ธมฺมา นีวรณวิปปฺ ยุตตฺ า อนีวรณิยา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์ และไม่เป็นอารมณ์ของ-
นิวรณ์.
นิวรณโคจฉกะจบ.
๙. ปรามาสโคจฺฉก.
607
อันใด;
อยํ วุจจฺ ติ ทิฏĘฺ ปิ รามาโส.
นีเ้ รียกว่าทิฏฐิปรามาส.
สพฺพาปิ มิจฉฺ าทิฏĘฺ ิ ทิฏĘฺ ปิ รามาโส.
มิจฉาทิฏฐิแม้ทกุ อย่างจัดเป็นทิฏฐิปรามาสะ.
อิเม ธมฺมา ปรามาสา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นปรามาสะ.
[๑๑๘๒] กตเม ธมฺมา โน ปรามาสา?
[๑๑๘๒] ธรรมไม่เป็นปรามาสะเป็นไฉน?
เต ธมฺเม Ęเปตฺวา อวเสสา กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา
อรูปาวจรา อปริยาปนฺนา: เวทนากฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ, สพฺพċฺจ รูปํ
อสงฺขตา จ ธาตุ;
เว้นปรามาสธรรมเหล่านัน้ เสีย กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมที-่
เหลือ ซึง่ เป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร โลกุตตระ คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ รูปทัง้ หมดและอสังขตธาตุ;
อิเม ธมฺมา โน ปรามาสา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เป็นปรามาสะ.
๒. ปรามัฏฐทุกะ.
[๑๑๘๓] กตเม ธมฺมา ปรามฏฺĘา สาสวา?
[๑๑๘๓] ธรรมเป็นอารมณ์ของปรามาสะเป็นไฉน?
กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา อรูปาวจรา รูปกฺขนฺโธ ฯเปฯ
วิญċฺ าณกฺขนฺโธ;
กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมประเภททีย่ งั มีอาสวะ ซึง่ เป็นกามา-
วจร รูปาวจร อรูปาวจร คือ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์;
อิเม ธมฺมา ปรามฏฺĘา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอารมณ์ของปรามาสะ.
609
ยํ วา ปนċฺċมฺปิ อตฺถิ รูปํ จิตตฺ ชํ จิตตฺ เหตุกํ จิตตฺ สมุฏĘฺ านํ: รูปายตนํ
สทฺทายตนํ คนฺธายตนํ รสายตนํ โผฏฺĘพฺพายตนํ,
หรือรูปแม้อน่ื ใดซึง่ เกิดแต่จติ มีจติ เป็นเหตุมจี ติ เป็นสมุฏฐานมีอยู่ คือ
รูปายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ,
อากาสธาตุ อาโปธาตุ, รูปสฺส ลหุตา รูปสฺส มุทตุ า รูปสฺส กมฺมċฺċตา,
รูปสฺส อุปจโย รูปสฺส สนฺตติ, กพฬึกาโร อาหาโร;
อากาสธาตุ อาโปธาตุ รูปลหุตา รูปมุทตุ า รูปกัมมัญญตา รูปอุปจยะ
รูปสันตติ กพฬิงการาหาร;
อิเม ธมฺมา จิตตฺ สมุฏĘฺ านา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมมีจติ เป็นสมุฏฐาน.
[๑๒๐๒] กตเม ธมฺมา โน จิตตฺ สมุฏĘฺ านา?
[๑๒๐๒] ธรรมไม่มจี ติ เป็นสมุฏฐานเป็นไฉน?
จิตตฺ จํ อวเสสċฺจ รูป,ํ อสงฺขตา จ; ธาตุ อิเม ธมฺมา โน จิตตฺ สมุฏĘฺ านา.
จิต รูปทีเ่ หลือ และอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่มจี ติ เป็น-
สมุฏฐาน.
๗. จิตตสหภูทกุ ะ.
[๑๒๐๓] กตเม ธมฺมา จิตตฺ สหภุโน?
[๑๒๐๓] ธรรมเกิดร่วมกับจิตเป็นไฉน?
เวทนากฺขนฺโธ สċฺċากฺขนฺโธ สงฺขารกฺขนฺโธ กายวิญċ ฺ ตฺติ วจีวญ
ิ ċฺ ตฺต;ิ
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ กายวิญญัติ วจีวญ ิ ญัต;ิ
อิเม ธมฺมา จิตตฺ สหภุโน.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเกิดร่วมกับจิต.
[๑๒๐๔] กตเม ธมฺมา โน จิตตฺ สหภุโน?
[๑๒๐๔] ธรรมไม่เกิดร่วมกับจิตเป็นไฉน?
จิตตฺ จํ อวเสสċฺจ รูป,ํ อสงฺขตา จ;
จิต รูปทีเ่ หลือ และอสังขตธาตุ;
615
ไฉน?
จิตตฺ ċฺจ สพฺพċฺจ รูปํ อสงฺขตา จ ธาตุ;
จิต รูปทัง้ หมด และอสังขตธาตุ;
อิเม ธมฺมา โนจิตตฺ สํสฏฺĘสมุฏĘฺ านานุปริวตฺตโิ น.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เจือกับจิตไม่มจี ติ เป็นสมุฏฐานและไม่เกิด-
คล้อยตามจิต.
๑๒. อัชฌัตติกทุกะ.
[๑๒๑๓] กตเม ธมฺมา อชฺฌตฺตกิ า?
[๑๒๑๓] ธรรมเป็นภายในเป็นไฉน?
จกฺขายตนํ ฯเปฯ มนายตนํ;
จักขายตนะ ฯลฯ มนายตนะ;
อิเม ธมฺมา อชฺฌตฺตกิ า.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นภายใน.
[๑๒๑๔] กตเม ธมฺมา พาหิรา?
[๑๒๑๔] ธรรมเป็นภายนอกเป็นไฉน?
รูปายตนํ ฯเปฯ ธมฺมายตนํ;
รูปายตนะ ฯลฯ ธัมมายตนะ;
อิเม ธมฺมา พาหิรา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นภายนอก.
๑๓. อุปาทาทุกะ.
[๑๒๑๕] กตเม ธมฺมา อุปาทา?
[๑๒๑๕] ธรรมอาศัยมหาภูตรูปเกิดเป็นไฉน?
จกฺขายตนํ ฯเปฯ กพฬึกาโร อาหาโร;
จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร;
อิเม ธมฺมา อุปาทา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมอาศัยมหาภูตรูปเกิด.
[๑๒๑๖] กตเม ธมฺมา โน อุปาทา?
618
[๑๒๑๖] ธรรมไม่อาศัยมหาภูตรูปเกิดเป็นไฉน?
เวทนากฺขนฺโธ สċฺċากฺขนฺโธ สงฺขารกฺขนฺโธ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ, จตฺตาโร จ
มหาภูตา อสงฺขตา จ ธาตุ;
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ มหาภูตรูป ๔
และอสังขตธาตุ;
อิเม ธมฺมา โน อุปาทา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่อาศัยมหาภูตรูปเกิด.
๑๔. อุปาทินนทุกะ.
[๑๒๑๗] กตเม ธมฺมา อุปาทินนฺ า?
[๑๒๑๗] ธรรมอันเจตนากรรมทีส่ มั ปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิเข้ายึดครองเป็นไฉน?
สาสวา กุสลากุสลานํธมฺมานํ วิปากา กามาวจรา รูปาวจรา อรูปาวจรา:
เวทนากฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ, ยċฺจ รูปํ กมฺมสฺส กตตฺตา;
วิบากแห่งกุศลธรรมและอกุศลธรรมประเภททีย่ งั มีอาสวะ ซึง่ เป็นกามาวจร
รูปาวจร อรูปาวจร คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ และรูปทีก่ รรม-
แต่งขึน้ ;
อิเม ธมฺมา อุปาทินนฺ า.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมอันเจตนากรรมทีส่ มั ปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิเข้า-
ยึดครอง.
[๑๒๑๘] กตเม ธมฺมา อนุปาทินนฺ า?
[๑๒๑๘] ธรรมอันเจตนากรรมทีส่ มั ปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิไม่เข้ายึดครองเป็นไฉน?
สาสวา กุสลากุสลา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา อรูปาวจรา: เวทนากฺขนฺโธ
ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ,
กุศลธรรมและอกุศลธรรม ประเภททีย่ งั มีอาสวะ ซึง่ เป็นกามาวจร รูปาวจร
อรูปาวจร คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์,
เย จ ธมฺมา กิรยิ า เนว กุสลา นากุสลา น จ กมฺมวิปากา ยċฺจ รูปํ น
กมฺมสฺส กตตฺตา, อปริยาปนฺนา มคฺคา จ มคฺคผลานิ จ อสงฺขตา จ ธาตุ;
619
นีเ้ รียกว่าอัตตวาทุปาทาน.
อิเม ธมฺมา อุปาทานา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอุปาทาน.
[๑๒๒๔] กตเม ธมฺมา โนอุปาทานา?
[๑๒๒๔] ธรรมไม่เป็นอุปาทานเป็นไฉน?
เต ธมฺเม Ęเปตฺวา อวเสสา กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา
อรูปาวจรา อปริยาปนฺนา: เวทนากฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ, สพฺพċฺจ
รูปอํ สงฺขตา จ ธาตุ;
เว้นอุปาทานธรรมเหล่านัน้ เสีย กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมที-่
เหลือซึง่ เป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร โลกุตตระ คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ รูปทัง้ หมดและอสังขตธาตุ;
อิเม ธมฺมา โน อุปาทานา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เป็นอุปาทาน.
๒. อุปาทานิยทุกะ.
[๑๒๒๕] กตเม ธมฺมา อุปาทานิยา?
[๑๒๒๕] ธรรมเป็นอารมณ์ของอุปาทานเป็นไฉน?
สาสวา กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา อรูปาวจรา:
รูปกฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ
ฺ าณกฺขนฺโธ;
กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมประเภททีย่ งั มีอาสวะ ซึง่ เป็นกามา-
วจร รูปาวจร อรูปาวจร คือ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์;
อิเม ธมฺมา อุปาทานิยา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอารมณ์ของอุปาทาน.
[๑๒๒๖] กตเม ธมฺมา อนุปาทานิยา?
[๑๒๒๖] ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานเป็นไฉน?
อปริยาปนฺนา มคฺคา จ มคฺคผลานิ จ อสงฺขตา จ ธาตุ;
624
อุปาทาน.
อุปาทานโคจฉกะจบ.
นิกเฺ ขปกณฺเฑ ทุตภิ าณวาโร.
ทุตยิ ภาณวารในนิกเขปกัณฑ์จบ.
๑๒. กิเลสโคจฺฉกะ.
๑. กิเลสทุกะ.
[๑๒๓๕] กตเม ธมฺมา กิเลสา?
[๑๒๓๕] ธรรมเป็นกิเลสเป็นไฉน?
ทส กิเลสวตฺถนู :ิ โลโภ โทโส โมโห มาโน ทิฏĘฺ ิ วิจกิ จิ ฉฺ า ถีนอํ ทุ ธฺ จฺจํ อหิรกิ ํ
อโนตฺตปฺป.ํ
กิเลสวัตถุ ๑๐ คือ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจกิ จิ ฉา ถีนะ อุทธัจจะ
อหิรกิ ะ อโนตตัปปะ.
[๑๒๓๖] ตตฺถ กตโม โลโภ?
[๑๒๓๖] บรรดากิเลสวัตถุ ๑๐ นัน้ โลภะเป็นไฉน?
โย ราโค สาราโค, อนุนโย อนุโรโธ, นนฺที นนฺทรี าโค จิตตฺ สฺส สาราโค, อิจฉฺ า
มุจฉฺ า อชฺโฌสานํ, เคโธ ปลิเคโธ, สงฺโค ปงฺโก, เอชา มายา, ชนิกา สċฺชนนี,
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความคล้อยตามอารมณ์ ความยินดี ความ-
เพลิดเพลิน ความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน ความกำหนัดนัก-
แห่งจิต ความอยาก ความสยบ ความหมกมุน่ ความใคร่ ความรักใคร่
ความข้องอยู่ ความจมอยู่ ธรรมชาติผคู้ ร่าไป ธรรมชาติผหู้ ลอกลวง
ธรรมชาติผยู้ งั สัตว์ให้เกิด ธรรมชาติผยู้ งั สัตว์ให้เกิดพร้อม,
สิพพฺ นิ ี ชาลิน,ี สริตา วิสตฺตกิ า สุตตฺ ํ วิสฏา, อายูหนี ทุตยิ า ปณิธิ ภวเนตฺต,ิ
ธรรมชาติอนั ร้อยรัด ธรรมชาติอนั มีขา่ ย ธรรมชาติอนั กำซาบใจ ธรรม-
ชาติอนั ซ่านไป ธรรมชาติเหมือนเส้นด้าย ธรรมชาติอนั แผ่ไป ธรรมชาติ-
ผูป้ ระมวลมา ธรรมชาติเป็นเพือ่ นสอง ปณิธาน ธรรมชาติผนู้ ำไปสูภ่ พ,
628
วนํ วนโถ, สนฺถโว สิเนโห, อเปกฺขา ปฏิพนฺธ,ุ อาสา อาสึสนา อาสึสติ ตฺต,ํ
ตัณหาเหมือนป่า ตัณหาเหมือนดง ความเกีย่ วข้อง ความเยือ่ ใย ความห่วง-
ใย ความผูกพัน การหวัง กิรยิ าทีห่ วัง ความหวัง,
รูปาสา สทฺทาสา คนฺธาสา รสาสา โผฏĘพฺพาสา ลาภาสา ธนาสา ปุตตฺ าสา
ชีวติ าสา,
ความหวังรูป ความหวังเสียง ความหวังกลิน่ ความหวังรส ความหวัง-
โผฏฐัพพะ ความหวังลาภ ความหวังทรัพย์ ความหวังบุตร ความหวังชีวติ ,
ชปฺปา ปชปฺปา อภิชปฺปา, ชปฺปา ชปฺปนา ชปฺปติ ตฺตํ โลลุปปฺ ํ โลลุปปฺ ายนา
โลลุปปฺ ายิตตฺต,ํ
ธรรมชาติผกู้ ระซิบ ธรรมชาติผกู้ ระซิบทัว่ ธรรมชาติผกู้ ระซิบยิง่ การกระ-
ซิบ กิรยิ าทีก่ ระซิบ ความกระซิบ การละโมบ กิรยิ าทีล่ ะโมบ
ความละโมบ,
ปุċจฺ กิ ตา สาธุกมฺยตา, อธมฺมราโค วิสมโลโภ, นิกนฺติ นิกามนา, ปตฺถนา
ปิหนา สมฺปตฺถนา,
ธรรมชาติเป็นเหตุซมซานไป ความใคร่ในอารมณ์ดๆี ความกำหนัดใน-
ฐานะอันไม่ควร ความโลภเกินพอดี ความติดใจ กิรยิ าทีต่ ดิ ใจ ความปรา-
รถนา ความกระหยิม่ ใจ ความปรารถนานัก,
กามตณฺหา ภวตณฺหา วิภวตณฺหา, รูปตณฺหา อรูปตณฺหา, นิโรธตณฺหา,
กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตัณหาในรูปภพ ตัณหาในอรูปภพ ตัณหา-
ในนิโรธ [คือราคะทีส่ หรคตด้วยอุจเฉททิฏฐิ]
รูปตณฺหา สทฺทตณฺหา คนฺธตณฺหา รสตณฺหา โผฏĘพฺพตณฺหา ธมฺมตณฺหา,
โอโฆ โยโค คนฺโถ อุปาทานํ, อาวรณํ นีวรณํ ฉาทนํ พนฺธนํ.
รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา
โอฆะ โยคะ คันถะ อุปาทาน อาวรณ์ นิวรณ์ เครือ่ งปิดบัง เครือ่ งผูก,
อุปกฺกเิ ลโส อนุสโย ปริยฏุ Ęฺ านํ, ลตา เววิจฉฺ ,ํ ทุกขฺ มูลํ ทุกขฺ นิทานํ ทุกขฺ ปฺปภโว,
อุปกิเลส อนุสยั ปริยฏุ ฐาน ตัณหาเหมือนเถาวัลย์ ความปรารถนาวัตถุม-ี
629
[๑๒๔๓] อุทธัจจะเป็นไฉน?
ยํ จิตตฺ สฺส อุทธฺ จฺจํ อวูปสโม เจตโส วิกเฺ ขโป ภนฺตตฺตจํ ติ ตฺ สฺส;
ความฟุง้ ซ่านแห่งจิต ความไม่สงบแห่งจิต ความวุน่ วายใจ ความพล่าน-
แห่งจิตอันใด;
อิทํ วุจจฺ ติ อุทธฺ จฺจ.ํ
นีเ้ รียกว่าอุทธัจจะ.
[๑๒๔๔] ตตฺถ กตมํ อหิรกิ ?ํ
[๑๒๔๔] อหิรกิ ะเป็นไฉน?
ยํ น หิรยิ ติ หิรยิ ติ พฺเพน, น หิรยิ ติ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ สมาปตฺตยิ า;
กิรยิ าทีไ่ ม่ละอายต่อการประพฤติทจุ ริตอันเป็นสิง่ ทีน่ า่ ละอาย กิรยิ าทีไ่ ม่ละ-
อายต่อการประกอบอกุศลบาปทัง้ หลายอันใด;
อิทํ วุจจฺ ติ อหิรกิ .ํ
นีเ้ รียกว่าอหิรกิ ะ.
[๑๒๔๕] ตตฺถ กตมํ อโนตฺตปฺป?ํ
[๑๒๔๕] อโนตตัปปะเป็นไฉน?
ยํ น โอตฺตปฺปติ โอตฺตปฺปติ พฺเพน น โอตฺตปฺปติ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ
สมาปตฺตยิ า;
กิรยิ าทีไ่ ม่เกรงกลัวต่อการประพฤติทจุ ริตอันเป็นสิง่ ทีน่ า่ เกรงกลัว กิรยิ าที-่
ไม่เกรงกลัวต่อการประกอบอกุศลบาปธรรมทัง้ หลายอันใด;
อิทํ วุจจฺ ติ อโนตฺตปฺป.ํ
นีเ้ รียกว่าอโนตตัปปะ.
อิเม ธมฺมา กิเลสา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกิเลส.
[๑๒๔๖] กตเม ธมฺมา โน กิเลสา?
[๑๒๔๖] ธรรมไม่เป็นกิเลสเป็นไฉน?
เต ธมฺเม Ęเปตฺวา อวเสสา กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา
635
[๑๒๕๖] ธรรมเศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลสเป็นไฉน?
กิเลสา เตหิ ธมฺเมหิ เย ธมฺมา สํกลิ ฏิ Ęฺ า เต ธมฺเม Ęเปตฺวา เวทนากฺขนฺโธ
ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ; อิเม ธมฺมา สํกลิ ฏิ Ęฺ า เจว โน จ กิเลสา.
ธรรมเหล่าใด เศร้าหมองโดยกิเลสธรรมเหล่านัน้
เว้นกิเลสธรรมเหล่านัน้ เสีย คือ
เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเศร้าหมองแต่ไม่เป็นกิเลส.
๗. กิเลสกิเลสสัมปยุตตทุกะ.
[๑๒๕๗] กตเม ธมฺมา กิเลสา เจว กิเลสสมฺปยุตตฺ า จ?
[๑๒๕๗] ธรรมเป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสเป็นไฉน?
โลโภ โมเหน กิเลโส เจว กิเลสสมฺปยุตโฺ ต จ,
โลภะเป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสโดยโมหะ,
โมโห โลเภน กิเลโส เจว กิเลสสมฺปยุตโฺ ต จ,
โมหะเป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสโดยโลภะ,
โทโส โมเหน กิเลโส เจว กิเลสสมฺปยุตโฺ ต จ,
โทสะเป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสโดยโมหะ,
โมโห โทเสน กิเลโส เจว กิเลสสมฺปยุตโฺ ต จ,
โมหะเป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสโดยโทสะ,
มาโน โมเหน กิเลโส เจว กิเลสสมฺปยุตโฺ ต จ,
มานะเป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสโดยโมหะ,
โมโห มาเนน กิเลโส เจว กิเลสสมฺปยุตโฺ ต จ,
โมหะเป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสโดยมานะ,
ทิฏĘฺ ิ โมเหน กิเลโส เจว กิเลสสมฺปยุตตฺ า จ,
ทิฏฐิเป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสโดยโมหะ,
โมโห ทิฏĘฺ ยิ า กิเลโส เจว กิเลสสมฺปยุตโฺ ต จ,
โมหะเป็นกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลสโดยทิฏฐิ,
639
๑๓. ปิฏĘฺ ทิ กุ .
๑. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ.
[๑๒๖๑] กตเม ธมฺมา ทสฺสเนน ปหาตพฺพา?
[๑๒๖๑] ธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณเป็นไฉน?
ตีณิ สċฺโċชนานิ สกฺกายทิฏĘฺ ิ วิจกิ จิ ฉฺ า สีลพฺพตปรามาโส.
สัญโญชน์ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจกิ จิ ฉา สีลพั พตปรามาส.
[๑๒๖๒] ตตฺถ กตมา สกฺกายทิฏĘฺ ?ิ
[๑๒๖๒] บรรดาสัญโญชน์ ๓ นัน้ สักกายทิฏฐิเป็นไฉน?
อิธ อสฺสตุ วา ปุถชุ ชฺ โน อริยานํ อทสฺสาวี, อริยธมฺมสฺส อโกวิโท, อริยธมฺเม
อวินโี ต,
ปุถชุ นในโลกนี้ ผูไ้ ร้การศึกษา ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทัง้ หลาย ไม่ฉลาดใน-
ธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้ฝกึ ฝนในธรรมของพระอริยเจ้า,
สปฺปรุ สิ านํ อทสฺสาวี, สปฺปรุ สิ ธมฺมสฺส อโกวิโท, สปฺปรุ สิ ธมฺเม อวินโี ต, รูปํ
อตฺตโต สมนุปสฺสติ,
ไม่ได้เห็นสัตบุรษุ ทัง้ หลาย ไม่ฉลาดในธรรม ของสัตบุรษุ ไม่ได้ฝกึ ฝนใน-
ธรรมของสัตบุรษุ ,
รูปวนฺตํ วา อตฺตานํ, อตฺตนิ วา รูป,ํ รูปสฺมึ วา อตฺตานํ,
ย่อมเห็นรูปเป็นตน หรือเห็นตนมีรปู เห็นรูปในตน เห็นตนในรูป,
เวทนํ ฯเปฯ สċฺċํ ฯเปฯ สงฺขาเร ฯเปฯ วิċċ ฺ าณํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ, วิญċ ฺ า-
ณวนฺตํ วา อตฺตานํ, อตฺตนิ วา วิญċ ฺ าณํ, วิญċฺ าณสฺมึ วา อตฺตานํ, ยา
เอวรูปา ทิฏĘฺ ิ ทิฏĘฺ คิ ตํ ฯเปฯ วิปริเยสคฺคาโห;
ย่อมเห็นเวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณเป็นตน หรือเห็นตน-
มีวญ ิ ญาณ เห็นวิญญาณในตน เห็นตนในวิญญาณ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้าง-
ทิฏฐิ ฯลฯ การถือโดยวิปลาสมีลกั ษณะเช่นว่านีอ้ นั ใด;
อยํ วุจจฺ ติ สกฺกายทิฏĘฺ .ิ
นีเ้ รียกว่าสักกายทิฏฐิ.
646
นีเ้ รียกว่าสักกายทิฏฐิ.
[๑๒๗๐] ตตฺถ กตมา วิจกิ จิ ฉฺ า?
[๑๒๗๐] วิจกิ จิ ฉาเป็นไฉน?
สตฺถริ กงฺขติ วิจกิ จิ ฉฺ ติ ฯเปฯ ถมฺภติ ตฺตํ จิตตฺ สฺส มโนวิเลโข;
ปุถชุ นเคลือบแคลงสงสัยในพระศาสดา ฯลฯ ความกระด้างแห่งจิต ความ-
ลังเลใจมีลกั ษณะเช่นว่านีอ้ นั ใด;
อยํ วุจจฺ ติ วิจกิ จิ ฉฺ า.
นีเ้ รียกว่าวิจกิ จิ ฉา.
[๑๒๗๑] ตตฺถ กตโม สีลพฺพตปรามาโส?
[๑๒๗๑] สีลพั พตปรามาส เป็นไฉน?
อิโต พหิทธฺ า สมณพฺราหฺมณานํ “สีเลน สุทธฺ ิ วเตน สุทธฺ ิ สีลพฺพเตน
สุทธฺ ”ี ติ. ยา เอวรูปา ทิฏĘฺ ิ ทิฏĘฺ คิ ตํ ฯเปฯ วิปริเยสคฺคาโห;
ความเห็นว่าความบริสทุ ธิย์ อ่ มมีได้ดว้ ยศีล ด้วยพรตของสมณพราหมณ์ใน-
ภายนอกแต่ศาสนานี้ ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ฯลฯ การถือโดย-
วิปลาส มีลกั ษณะเช่นว่านีอ้ นั ใด;
อยํ วุจจฺ ติ สีลพฺพตปรามาโส.
นีเ้ รียกว่าสีลพั พตปรามาส.
อิมานิ ตีณิ สċฺโċชนานิ, ตเทกฏฺĘา จ กิเลสา, ตํสมฺปยุตโฺ ต เวทนากฺขนฺโธ
ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ, ตํสมุฏĘฺ านํ กายกมฺมํ วจีกมฺมํ มโนกมฺม;ํ
สัญโญชน์ ๓ ดังกล่าวมานีแ้ ละกิเลสทีต่ ง้ั อยูฐ่ านเดียวกันกับสัญโญชน์ ๓ นัน้
เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วยสัญโญชน์ ๓ นัน้ , กายกรรม
วจีกรรม มโนกรรมอันมีสญ ั โญชน์ ๓ นัน้ เป็นสมุฏฐาน;
อิเม ธมฺมา ทสฺสเนน ปหาตพฺพเหตุกา. ตีณิ สċฺโċชนานิ: สกฺกายทิฏĘฺ ิ
วิจกิ จิ ฉฺ า สีลพฺพตปรามาโส;
สัญโญชน์ ๓ คือ คือสักกายทิฏฐิ วิจกิ จิ ฉา สีลพั พตปรามาส;
อิเม ธมฺมา ทสฺสเนนปหาตพฺพา.
650
[๑๒๙๓] ธรรมเป็นปริยาปันนะเป็นไฉน?
สาสวา กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา อรูปาวจรา รูปกฺขนฺโธ
ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ;
กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม ประเภททีย่ งั มีอาสวะ
ซึง่ เป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร คือ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์;
อิเม ธมฺมา ปริยาปนฺนา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นปริยาปันนะ.
[๑๒๙๔] กตเม ธมฺมา อปริยาปนฺนา?
[๑๒๙๔] ธรรมเป็นอปริยาปันนะเป็นไฉน?
มคฺคา จ มคฺคผลานิ จ อสงฺขตา จ ธาตุ;
มรรค ผลของมรรค และอสังขตธาตุ;
อิเม ธมฺมา อปริยาปนฺนา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอปริยาปันนะ.
๑๕. นิยยานิกทุกะ.
[๑๒๙๕] กตเม ธมฺมา นิยยฺ านิกา?
[๑๒๙๕] ธรรมเป็นนิยยานิกะเป็นไฉน?
จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา; อิเม ธมฺมา นิยยฺ านิกา.
มรรค ๔ ทีเ่ ป็นโลกุตตระ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นนิยยานิกะ.
[๑๒๙๖] กตเม ธมฺมา อนิยยฺ านิกา?
[๑๒๙๖] อนิยยานิกธรรมเป็นไฉน?
เต ธมฺเม Ęเปตฺวา อวเสสา กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา กามาวจรา รูปาวจรา
อรูปาวจรา อปริยาปนฺนา: เวทนากฺขนฺโธ ฯเปฯ วิญċ ฺ าณกฺขนฺโธ, สพฺพċŇจ รูป,ํ
อสงฺขตา จ ธาตุ;
เว้นนิยยานิกธรรมเหล่านัน้ เสีย กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม
ทีเ่ หลือซึง่ เป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร โลกุตตระ คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ
วิญญาณขันธ์ รูปทัง้ หมด และอสังขตธาตุ;
659
[๑๓๐๗] พาลธรรมเป็นไฉน?
อหิรกิ ċฺจ อโนตฺตปฺปċฺจ; อิเม ธมฺมา พาลา สพฺเพปิ อกุสลา ธมฺมา พาลา.
อหิรกิ ะ อโนตตัปปะ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าพาลธรรม.
[๑๓๐๘] กตเม ธมฺมา ปณฺฑติ า?
[๑๓๐๘] บัณฑิตธรรมเป็นไฉน?
หิรี จ โอตฺตปฺปċฺจ; อิเม ธมฺมา ปณฺฑติ า.
หิริ โอตตัปปะ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าบัณฑิตธรรม.
สพฺเพปิ กุสลา ธมฺมา ปณฺฑติ า.
กุศลธรรมแม้ทง้ั หมดจัดเป็นบัณฑิตธรรม.
๔. กัณหทุกะ.
[๑๓๐๙] กตเม ธมฺมา กณฺหา?
[๑๓๐๙] กัณหธรรมเป็นไฉน?
อหิรกิ ċฺจ อโนตฺตปฺปċฺจ; อิเม ธมฺมา กณฺหา.
อหิรกิ ะ อโนตตัปปะ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่ากัณหธรรม.
สพฺเพปิ อกุสลา ธมฺมา กณฺหา.
อกุศลธรรมแม้ทง้ั หมดจัดเป็นกัณหธรรม.
[๑๓๑๐] กตเม ธมฺมา สุกกฺ า?
[๑๓๑๐] สุกกธรรมเป็นไฉน?
หิรี จ โอตฺตปฺปċฺจ อิเม ธมฺมา สุกกฺ า.
หิริ โอตตัปปะ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าสุกกธรรม.
สพฺเพปิ กุสลา ธมฺมา สุกกฺ า.
กุศลธรรมแม้ทง้ั หมดจัดเป็นสุกกธรรม.
๕. ตปนียทุกะ.
[๑๓๑๑] กตเม ธมฺมา ตปนิยา?
[๑๓๑๑] ตปนิยธรรมเป็นไฉน?
กายทุจจฺ ริตํ วจีทจุ จฺ ริตํ มโนทุจจฺ ริต;ํ อิเม ธมฺมา ตปนิยา.
663
นีเ้ รียกว่าอันตวาทิฏฐิ.
[๑๓๒๕] ตตฺถ กตมา อนนฺตวาทิฏĘฺ ?ิ
[๑๓๒๕] อนันตวาทิฏฐิเป็นไฉน?
อนนฺตวา อตฺตา จ โลโก จาติ ยา เอวรูปา ทิฏĘฺ ิ ทิฏĘฺ คิ ตํ ฯเปฯ วิปริเยสคฺคา-
โห;
ความเห็นว่าตนและโลกไม่มที ส่ี ดุ ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ฯลฯ
การถือโดยวิปลาสมีลกั ษณะเช่นว่านีอ้ นั ใด;
อยํ วุจจฺ ติ อนนฺตวาทิฏĘฺ .ิ
นีเ้ รียกว่าอนันตวาทิฏฐิ.
๑๔. ปุพพันตาทิฏฐิทกุ .
[๑๓๒๖] ตตฺถ กตมา ปุพพฺ นฺตานุทฏิ Ęฺ ?ิ
[๑๓๒๖] ปุพพันตานุทฏิ ฐิเป็นไฉน?
ปุพพฺ นฺตํ อารพฺภ ยา อุปปฺ ชฺชติ ทิฏĘฺ ิ ทิฏĘฺ คิ ตํ ฯเปฯ วิปริเยสคฺคาโห;
ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ฯลฯ การถือโดยวิปลาสอันใด ปรารภส่วนอดีต
เกิดขึน้ ;
อยํ วุจจฺ ติ ปุพพฺ นฺตานุทฏิ Ęฺ .ิ
นีเ้ รียกว่าปุพพันตานุทฏิ ฐิ.
[๑๓๒๗] ตตฺถ กตมา อปรนฺตานุทฏิ Ęฺ ?ิ
[๑๓๒๗] อปรันตานุทฏิ ฐิเป็นไฉน?
อปรนฺตํ อารพฺภ ยา อุปปฺ ชฺชติ ทิฏĘฺ ิ ทิฏĘฺ คิ ตํ ฯเปฯ วิปริเยสคฺคาโห;
ทิฏฐิความเห็นไปข้างทิฏฐิ ฯลฯ การถือโดยวิปลาสอันใดปรารภส่วนอนาคต
เกิดขึน้ ;
อยํ วุจจฺ ติ อปรนฺตานุทฏิ Ęฺ .ิ
นีเ้ รียกว่าอปรันตานุทฏิ ฐิ.
๑๕. อหิรกิ ะทุกะ.
[๑๓๒๘] ตตฺถ กตมํ อหิรกิ ?ํ
668
๑๖. หิรทิ กุ ะ.
[๑๓๓๐] ตตฺถ กตมา หิร?ี
[๑๓๓๐] หิรเิ ป็นไฉน?
ยํ หิรยิ ติ หิรยิ ติ พฺเพน, หิรยิ ติ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ สมาปตฺตยิ า;
กิรยิ าทีล่ ะอายต่อการประพฤติทจุ ริตอันเป็นสิง่ ทีน่ า่ ละอาย กิรยิ าทีล่ ะอาย-
ต่อการประกอบอกุศลบาปธรรมทัง้ หลายอันใด;
อยํ วุจจฺ ติ หิร.ี
นีเ้ รียกว่าหิริ
[๑๓๓๑] ตตฺถ กตมํ โอตฺตปฺป?ํ
[๑๓๓๑] โอตตัปปะเป็นไฉน?
ยํ โอตฺตปฺปติ โอตฺตปฺปติ พฺเพน, โอตฺตปฺปติ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ
669
สมาปตฺตยิ า;
กิรยิ าทีเ่ กรงกลัวต่อการประพฤติทจุ ริตอันเป็นสิง่ ทีน่ า่ เกรงกลัว กิรยิ าทีเ่ กรง-
กลัวต่อการประกอบอกุศลบาปธรรมทัง้ หลายอันใด;
อิทํ วุจจฺ ติ โอตฺตปฺป.ํ
นีเ้ รียกว่าโอตตัปปะ.
๑๗. โทวจัสสตาทุก.
[๑๓๓๒] ตตฺถ กตมา โทวจสฺสตา?
[๑๓๓๒] โทวจัสสตาเป็นไฉน?
สหธมฺมเิ ก วุจจฺ มาเน โทวจสฺสายํ โทวจสฺสยิ ํ โทวจสฺสตา, วิปปฺ ฏิกลู คาหิตา
วิปจฺจนีกสาตตา, อนาทริยํ อนาทรตา, อคารวตา อปฺปฏิสสฺ วตา,
กิรยิ าของผูว้ า่ ยาก ภาวะแห่งผูว้ า่ ยาก ความเป็นผูว้ า่ ยาก ความยึดข้างขัดขืน
ความพอใจทางโต้แย้ง ความไม่เอือ้ เฟือ้ ภาวะแห่งผูไ้ ม่เอือ้ เฟือ้ ความไม่เคา-
รพ ความไม่รบั ฟังในเมือ่ ถูกว่ากล่าวโดยสหธรรม;
อยํ วุจจฺ ติ โทวจสฺสตา.
นีเ้ รียกว่าโทวจัสสตา.
[๑๓๓๓] ตตฺถ กตมา ปาปมิตตฺ ตา?
[๑๓๓๓] ปาปมิตตตาเป็นไฉน?
เย เต ปุคคฺ ลา อสฺสทฺธา ทุสสฺ ลี า อปฺปสฺสตุ า มจฺฉริโน ทุปปฺ ċฺċา; ยา เตสํ
เสวนา นิเสวนา สํเสวนา, ภชนา สมฺภชนา, ภตฺติ สมฺภตฺต,ิ ตํสมฺปวงฺกตา;
บุคคลเหล่าใดเป็นคนไม่มศี รัทธา ไม่มศี ลี ไร้การศึกษา มีความตระหนี่
มีปญ ั ญาทราม การเสพ การส้องเสพ การส้องเสพด้วยดี การคบ การคบหา
ความภักดี ความจงรักภักดีตอ่ บุคคลเหล่านัน้ ความเป็นผูม้ กี ายและใจโน้ม-
น้าวไปตามบุคคลเหล่านัน้ อันใด;
อยํ วุจจฺ ติ ปาปมิตตฺ ตา.
นีเ้ รียกว่าปาปมิตตตา.
๑๘. โสวจัสสตาทุกะ.
670
อาบัตทิ ง้ั ๕ หมวด ๗ หมวด เรียกว่าอาบัติ ปัญญา กิรยิ าทีร่ ชู้ ดั ฯลฯ ความ-
ไม่หลง ความวิจยั ธรรม สัมมาทิฏฐิ อันเป็นเหตุฉลาดในอาบัตแิ ห่งอาบัต-ิ
ทัง้ หลายนัน้ ๆ อันใด;
อยํ วุจจฺ ติ อาปตฺตกิ สุ ลตา.
นีเ้ รียกว่าอาปัตติกสุ ลตา.
[๑๓๓๗] ตตฺถ กตมา อาปตฺตวิ ฏุ Ęฺ านกุสลตา?
[๑๓๓๗] อาปัตติวฏุ ฐานกุสลตาเป็นไฉน?
ยา ตาหิ อาปตฺตหี ิ วุฏĘฺ านกุสลตา ปċฺċา ปชานนา, ฯเปฯ อโมโห ธมฺมวิจโย
สมฺมาทิฏĘฺ ;ิ
ปัญญา กิรยิ าทีร่ ชู้ ดั ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจยั ธรรม สัมมาทิฏฐิอนั เป็น-
เหตุฉลาดในการออกจากอาบัตเิ หล่านัน้ อันใด;
อยํ วุจจฺ ติ อาปตฺตวิ ฏุ ฺ านกุสลตา.
นีเ้ รียกว่าอาปัตติวฏุ ฐานกุสลตา.
๒๐. สมาปัตติกสุ ลตาทุกะ.
[๑๓๓๘] ตตฺถ กตมา สมาปตฺตกิ สุ ลตา?
[๑๓๓๘] สมาปัตติกสุ ลตาเป็นไฉน?
อตฺถิ สวิตกฺกสวิจารา สมาปตฺต,ิ อตฺถิ อวิตกฺกวิจารมตฺตา สมาปตฺต,ิ อตฺถิ
อวิตกฺกอวิจารา สมาปตฺต;ิ ยา ตาสํ มาปตฺตนี ํ สมาปตฺตกิ สุ ลตา ปċฺċา
ปชานนา ฯเปฯ อโมโห ธมฺมวิจโย สมฺมาทิฏĘฺ ;ิ
สมาบัตทิ ม่ี วี ติ กมีวจิ ารมีอยูส่ มาบัตทิ ไ่ี ม่มวี ติ กแต่มวี จิ ารมีอยู่ สมาบัตทิ ไ่ี ม่ม-ี
วิตกไม่มวี จิ ารมีอยู่ ปัญญา กิรยิ าทีร่ ชู้ ดั ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจยั ธรรม
สัมมาทิฏฐิอนั เป็นเหตุฉลาดในสมบัตแิ ห่งสมาบัตทิ ง้ั หลายนัน้ ๆ อันใด;
อยํ วุจจฺ ติ สมาปตฺตกิ สุ ลตา.
นีเ้ รียกว่าสมาปัตติกสุ ลตา.
[๑๓๓๙] ตตฺถ กตมา สมาปตฺตวิ ฏุ Ęฺ านกุสลตา?
[๑๓๓๙] สมาปัตติวฏุ ฐานกุสลตาเป็นไฉน?
672
นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ,
เพราะนามรูปเป็นปัจจัยสฬายตนะจึงเกิดขึน้ ,
สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส,
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยผัสสะจึงเกิดขึน้ ,
ผสฺสปจฺจยา เวทนา,
เพราะผัสสะเป็นปัจจัยเวทนาจึงเกิดขึน้ ,
เวทนาปจฺจยา ตณฺหา,
เพราะเวทนาเป็นปัจจัยตัณหาจึงเกิดขึน้ ,
ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ,
เพราะตัณหาเป็นปัจจัยอุปาทานจึงเกิดขึน้ ,
อุปาทานปจฺจยา ภโว,
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยภพจึงเกิดขึน้ ,
ภวปจฺจยา ชาติ,
เพราะภพเป็นปัจจัยชาติจงึ เกิดขึน้ ,
ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกขฺ โทมนสฺสปุ ายาสา สมฺภวนฺต,ิ
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
จึงเกิดขึน้ ,
เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกขฺ กฺขนฺธสฺส สมุทโย โหตีติ ยา ตตฺถ ปċฺċา
ปชานนา, ฯเปฯ อโมโห ธมฺมวิจโย สมฺมาทิฏĘฺ ;ิ
ความเกิดขึน้ แห่งกองทุกข์ทง้ั มวลนี้ ย่อมมีได้ดว้ ยประการฉะนี้ ปัญญา
กิรยิ าทีร่ ชู้ ดั ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจยั ธรรม สัมมาทิฏฐิในปฏิจจสมุป-
บาทนัน้ อันใด;
อยํ วุจจฺ ติ ปฏิจจฺ สมุปปฺ าทกุสลตา.
นีเ้ รียกว่าปฏิจจสมุปปาทกุสลตา.
๒๓. ฐานกุสลตาทุกะ.
[๑๓๔๔] ตตฺถ กตมา Ęานกุสลตา?
675
[๑๓๔๔] ฐานกุสลตาเป็นไฉน?
เย เย ธมฺมา เยสํ เยสํ ธมฺมานํ เหตู ปจฺจยา อุปปฺ าทาย, ตํ ตํ Ęานนฺติ ยา
ตตฺถ ปċฺċา ปชานนา, ฯเปฯ อโมโห ธมฺมวิจโย สมฺมาทิฏĘฺ ;ิ
ธรรมใดๆ เป็นเหตุเป็นปัจจัยเพือ่ ความบังเกิดขึน้ แห่งธรรมใดๆ ลักษณะนัน้
ๆ เรียกว่าฐานะ ปัญญา กิรยิ าทีร่ ชู้ ดั ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจยั ธรรม
สัมมาทิฏฐิในฐานะนัน้ อันใด;
อยํ วุจจฺ ติ Ęานกุสลตา.
นีเ้ รียกว่าฐานกุสลตา.
[๑๓๔๕] ตตฺถ กตมา อฏฺĘานกุสลตา?
[๑๓๔๕] อัฏฐานกุสลตาเป็นไฉน?
เย เย ธมฺมา เยสํ เยสํ ธมฺมานํ น เหตู น ปจฺจยา อุปปฺ าทาย, ตํ ตํ
อฏฺĘานนฺติ ยา ตตฺถ ปċฺċา ปชานนา, ฯเปฯ อโมโห ธมฺมวิจโย สมฺมาทิฏĘฺ ;ิ
ธรรมใดๆ ไม่เป็นเหตุไม่เป็นปัจจัยเพือ่ ความบังเกิดขึน้ แห่งธรรมใดๆ
ลักษณะนัน้ ๆ ชือ่ ว่าอฐานะ ปัญญา กิรยิ าทีร่ ชู้ ดั ฯลฯ ความไม่หลง ความ-
วิจยั ธรรม สัมมาทิฏฐิในอฐานะนัน้ อันใด;
อยํ วุจจฺ ติ อฏฺĘานกุสลตา.
นีเ้ รียกว่าอัฏฐานกุสลตา.
๒๔. อาชวชวทุกะ.
[๑๓๔๖] ตตฺถ กตโม อาชฺชโว?
[๑๓๔๖] อาชชวะเป็นไฉน?
ยา อาชฺชวตา อชิมหฺ ตา อวงฺกตา อกุฏลิ ตา;
ความซือ่ ตรง ความไม่คด ความไม่งอ ความไม่โกงอันใด;
อยํ วุจจฺ ติ อาชฺชโว.
นีเ้ รียกว่าอาชชวะ.
[๑๓๔๗] ตตฺถ กตโม มทฺทโว?
[๑๓๔๗] มัททวะเป็นไฉน?
676
วาจาใดเป็นปม เป็นกาก เผ็ดร้อนต่อผูอ้ น่ื เกีย่ วผูอ้ น่ื ไว้ยว่ั ให้โกรธ ไม่เป็น-
ไปเพือ่ สมาธิ,
ตถารูปึ วาจํ ปหาย ยา สา วาจา เนฬา กณฺณสุขา เปมนิยา หทยงฺคมา โปรี
พหุชนกนฺตา พหุชนมนาปา,
ละวาจาเช่นนัน้ เสีย วาจาใดไร้โทษสบายหู ไพเราะจับใจ เป็นวาจาของ-
ชาวเมือง เป็นทีย่ นิ ดีเจริญใจของชนหมูม่ ากกล่าววาจาเช่นนัน้ ,
ตถารูปึ วาจํ ภาสิตา โหติ; ยา ตตฺถ สณฺหวาจตา สขิลวาจตา อผรุสวาจตา;
ความเป็นผูม้ วี าจาอ่อนหวาน ความเป็นผูม้ วี าจาสละสลวย ความเป็นผูม้ -ี
วาจาไม่หยาบคายในลักษณะดังกล่าวนัน้ อันใด;
อิทํ วุจจฺ ติ สาขลฺย.ํ
นีเ้ รียกว่าสาขัลยะ.
[๑๓๕๑] ตตฺถ กตโม ปฏิสนฺถาโร?
[๑๓๕๑] ปฏิสนั ถารเป็นไฉน?
เทฺว ปฏิสนฺถารา: อามิสปฏิสนฺถาโร จ ธมฺมปฏิสนฺถาโร จ. อิเธกจฺโจ ปฏิสนฺ-
ถารโก โหติ อามิสปฏิสนฺถาเรน วา ธมฺมปฏิสนฺถาเรน วา;
ปฏิสนั ถาร ๒ คือ อามิสปฏิสนั ถาร ธรรมปฏิสนั ถาร บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผูป้ ฏิสนั ถารโดยอามิสปฏิสนั ถารก็ดี โดยธรรมปฏิสนั ถารก็ด;ี
อยํ วุจจฺ ติ ปฏิสนฺถาโร.
นีเ้ รียกว่าปฏิสนั ถาร.
๒๗. อินทริเยสุอคุตตทวารตาทุกะ.
[๑๓๕๒] ตตฺถ กตมา อินทฺ รฺ เิ ยสุ อคุตตฺ ทฺวารตา?
[๑๓๕๒] ความเป็นผูไ้ ม่สำรวมในอินทรีย์ ๖ เป็นไฉน?
อิเธกจฺโจ จกฺขนุ า รูปํ ทิสวฺ า นิมติ ตฺ คฺคาหี โหติ อนุพยฺ ċฺชนคฺคาหี,
บุคคลบางคนในโลกนีเ้ ห็นรูปด้วยจักขุแล้วเป็นผูถ้ อื นิมติ เป็นผูถ้ อื โดยอนุพ-
นัญชนะ,
ยตฺวาธิกรณเมนํ จกฺขนุ ทฺ รฺ ยิ ํ อสํวตุ ํ วิหรนฺตํ อภิชฌ
ฺ าโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา
678
ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุ,ํ
อภิชฌาโทมนัสอกุศลธรรมทัง้ หลายพึงครอบงำบุคคลผูไ้ ม่สำรวมจักขุน-
ทรียอ์ ยูน่ ้ี เพราะเหตุทไ่ี ม่สำรวมจักขุนทรียใ์ ด,
ตสฺส สํวราย น ปฏิปชฺชติ น รกฺขติ จกฺขนุ ทฺ รฺ ยิ ํ จกฺขนุ ทฺ รฺ เิ ย น สํวรํ
อาปชฺชติ;
ไม่ปฏิบตั เิ พือ่ สำรวมจักขุนทรียน์ น้ั ไม่รกั ษาจักขุนทรียน์ น้ั ไม่สำเร็จการ-
สำรวมในจักขุนทรียน์ น้ั
โสเตน สทฺทํ สุตวฺ า ฯเปฯ ฆาเนน คนฺธํ ฆายิตวฺ า ฯเปฯ ชิวหฺ าย รสํ สายิตวฺ า
ฯเปฯ กาเยน โผฏฺĘพฺพํ ผุสติ วฺ า ฯเปฯ มนสา ธมฺมํ วิċċ ฺ าย นิมติ ตฺ คฺคาหี โหติ
อนุพยฺ ċฺชนคฺคาหี,
ได้ยนิ เสียงด้วยโสตแล้ว ฯลฯ สูดกลิน่ ด้วยฆานะแล้ว ฯลฯ ลิม้ รสด้วยชิวหา-
แล้ว ฯลฯ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ฯลฯ รูแ้ จ้งธรรมารมณ์ดว้ ยใจแล้ว
เป็นผูถ้ อื นิมติ เป็นผูถ้ อื โดยอนุพยัญชนะ,
ยตฺวาธิกรณเมนํ มนินทฺ รฺ ยิ ํ อสํวตุ ํ วิหรนฺตํ อภิชฌ ฺ าโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา
ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺย,ุํ
อภิชฌาโทมนัสอกุศลธรรมทัง้ หลาย พึงครอบงำบุคคลผูไ้ ม่สำรวมมนิน-
ทรีย์ เพราะเหตุทไ่ี ม่สำรวมมนินทรียใ์ ด,
ตสฺส สํวราย น ปฏิปชฺชติ น รกฺขติ มนินทฺ รฺ ยิ ํ มนินทฺ รฺ เิ ย น สํวรํ
อาปชฺชติ;
ไม่ปฏิบตั เิ พือ่ สำรวมมนินทรียน์ น้ั ไม่รกั ษามนินทรียน์ น้ั ไม่สำเร็จการสำ-
รวมในมนินทรียน์ น้ั ;
ยา อิเมสํ ฉนฺนํ อินทฺ รฺ ยิ านํ อคุตตฺ ิ อโคปนา, อนารกฺโข อสํวโร;
การไม่คมุ้ ครอง กิรยิ าทีไ่ ม่คมุ้ ครอง การไม่รกั ษา การไม่สำรวมซึง่ อินทรีย์
๖ เหล่านีอ้ นั ใด;
อยํ วุจจฺ ติ อินทฺ รฺ เิ ยสุ อคุตตฺ ทฺวารตา.
นีเ้ รียกว่าความเป็นผูไ้ ม่สำรวมในอินทรีย์ ๖.
679
สมฺมาปฏิปนฺนา,
สัตว์ทจ่ี ตุ แิ ละอุปบัตไิ ม่มี สมณพราหมณ์ผปู้ ฏิบตั ดิ ปี ฏิบตั ชิ อบไม่มใี นโลก,
เย อิมċฺจ โลกํ ปรċฺจ โลกํ สยํ อภิċċ ฺ า สจฺฉกิ ตฺวา ปเวเทนฺตตี ิ ยา
เอวรูปา ทิฏĘฺ ิ ทิฏĘฺ คิ ตํ ฯเปฯ วิปริเยสคฺคาโห;
สมณพราหมณ์ทท่ี ำให้แจ้งซึง่ โลกนีแ้ ละโลกอืน่ ด้วยปัญญาอันยิง่ เองแล้ว-
ประกาศให้ผอู้ น่ื รูไ้ ด้ไม่มใี นโลก ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ฯลฯ
การถือโดยวิปลาส มีลกั ษณะเช่นว่านีอ้ นั ใด;
อยํ วุจจฺ ติ ทิฏĘฺ วิ ปิ ตฺต.ิ
นีเ้ รียกว่าทิฏฐิวบิ ตั .ิ
สพฺพาปิ มิจฉฺ าทิฏĘฺ ิ ทิฏĘฺ วิ ปิ ตฺต.ิ
มิจฉาทิฏฐิแม้ทง้ั หมดจัดเป็นทิฏฐิวบิ ตั .ิ
๓๖. สีลสัมปทาทุกะ.
[๑๓๗๐] ตตฺถ กตมา สีลสมฺปทา?
[๑๓๗๐] สีลสัมปทาเป็นไฉน?
กายิโก อวีตกิ กฺ โม, วาจสิโก อวีตกิ กฺ โม, กายิกวาจสิโก อวีตกิ กฺ โม;
ความไม่ลว่ งละเมิดทางกาย ความไม่ลว่ งละเมิดทางวาจา ความไม่ลว่ งละ-
เมิดทางกายและ ทางวาจา;
อยํ วุจจฺ ติ สีลสมฺปทา.
นีเ้ รียกว่าสีลสัมปทา.
สพฺโพปิ สีลสํวโร สีลสมฺปทา.
สีลสังวรแม้ทง้ั หมดจัดเป็นสีลสัมปทา.
[๑๓๗๑] ตตฺถ กตมา ทิฏĘฺ สิ มฺปทา?
[๑๓๗๑] ทิฏฐิสมั ปทาเป็นไฉน?
อตฺถิ ทินนฺ ,ํ อตฺถิ ยิฏĘฺ ,ํ อตฺถิ หุต,ํ อตฺถิ สุกฏทุกกฺ ฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก,
ความเห็นว่าทานทีบ่ คุ คลให้แล้วย่อมมีผล การบูชาย่อมมีผล การบวง-
สรวงย่อมมีผล ผลวิบากแห่งกรรมทีท่ ำดีทำชัว่ มีอยู,่
686
อตฺถิ อยํ โลโก, อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ มาตา, อตฺถิ ปิตา, อตฺถิ สตฺตา
โอปปาติกา,
โลกนีม้ อี ยู่ โลกอืน่ มีอยู่ มารดามีอยู่ บิดามีอยู่ สัตว์ทจ่ี ตุ แิ ละอุปบัตมิ อี ยู,่
อตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฏิปนฺนา,
สมณพราหมณ์ผปู้ ฏิบตั ดิ ปี ฏิบตั ชิ อบมีอยูใ่ นโลก สมณพราหมณ์ทท่ี ำให้แจ้ง
ซึง่ โลกนี,้
เย อิมċฺจ โลกํ ปรċฺจ โลกํ สยํ อภิċċ ฺ า สจฺฉกิ ตฺวา ปเวเทนฺตตี ิ ยา
เอวรูปา ปċฺċา ปชานนา, ฯเปฯ อโมโห ธมฺมวิจโย สมฺมาทิฏĘฺ ;ิ
และโลกอืน่ ด้วยปัญญาอันยิง่ เองแล้วประกาศให้ผอู้ น่ื รูไ้ ด้มอี ยูใ่ นโลก ดังนี้
ปัญญา กิรยิ าทีร่ ชู้ ดั ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจยั ธรรมสัมมาทิฏฐิมลี กั ษณะ
เช่นว่านีอ้ นั ใด;
อยํ วุจจฺ ติ ทิฏĘฺ สิ มฺปทา;
นีเ้ รียกว่าทิฏฐิสมั ปทา.
สพฺพาปิ สมฺมาทิฏĘฺ ิ ทิฏĘฺ สิ มฺปทา.
สัมมาทิฏฐิแม้ทง้ั หมดจัดเป็นทิฏฐิสมั ปทา.
๔. อัฏฐกถากัณฑ์.
ติกอตฺถทุ ธฺ าร.
๑. กุสลติกะ.
[๑๓๘๔] กตเม ธมฺมา กุสลา?
[๑๓๘๔] ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน?
จตูสุ ภูมสี ุ กุสลํ; อิเม ธมฺมา กุสลา.
กุศลในภูมิ ๔ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นกุศล.
[๑๓๘๕] กตเม ธมฺมา อกุสลา?
[๑๓๘๕] ธรรมเป็นอกุศลเป็นไฉน?
690
ปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็ไม่ได้.
๓. วิปากติกะ.
[๑๓๙๐] กตเม ธมฺมา วิปากา?
[๑๓๙๐] ธรรมเป็นวิบากเป็นไฉน?
จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก อิเม ธมฺมา วิปากา.
วิบากในภูมิ ๔ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นวิบาก.
[๑๓๙๑] กตเม ธมฺมา วิปากธมฺมธมฺมา?
[๑๓๙๑] ธรรมเป็นเหตุแห่งวิบากเป็นไฉน?
จตูสุ ภูมสี ุ กุสลํ อกุสลํ; อิเม ธมฺมา วิปากธมฺมธมฺมา.
กุศลในภูมิ ๔ อกุศล สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นเหตุแห่งวิบาก.
[๑๓๙๒] กตเม ธมฺมา เนว วิปาก น วิปากธมฺมธมฺมา?
[๑๓๙๒] ธรรมไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุแห่งวิบากเป็นไฉน?
ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ รูปċฺจ นิพพฺ านċฺจ;
กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา เนว วิปาก น วิปากธมฺมธมฺมา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุแห่งวิบาก.
๔. อุปาทินนติกะ.
[๑๓๙๓] กตเม ธมฺมา อุปาทินนฺ ปุ าทานิยา?
[๑๓๙๓] อุปาทินนุปาทานิยธรรมเป็นไฉน?
ตีสุ ภูมสี ุ วิปาโก ยċฺจ รูปํ กมฺมสฺส กตตฺตา;
วิบากในภูมิ ๓ และรูปทีก่ รรมแต่งขึน้ ;
อิเม ธมฺมา อุปาทินนฺ ปุ าทานิยา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าอุปาทินนุปาทานิยธรรม.
[๑๓๙๔] กตเม ธมฺมา อนุปาทินนฺ ปุ าทานิยา?
[๑๓๙๔] อนุปาทินนุปาทานิยธรรมเป็นไฉน?
693
ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ, อกุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ; ยċฺจ รูปํ น กมฺมสฺส
กตตฺตา;
กุศลในภูมิ ๓ อกุศล กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทีก่ รรมมิได้แต่งขึน้ ;
อิเม ธมฺมา อนุปาทินนฺ ปุ าทานิยา
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าอนุปาทินนุปาทานิยธรรม.
[๑๓๙๕] กตเม ธมฺมา อนุปาทินนฺ านุปาทานิยา?
[๑๓๙๕] อนุปาทินนานุปาทานิยธรรมเป็นไฉน?
จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา, จตฺตาริ จ สามċฺċผลานิ นิพพฺ านċฺจ;
มรรค ๔ ทีเ่ ป็นโลกุตตระ สามัญญผล ๔ และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา อนุปาทินนฺ านุปาทานิยา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าอนุปาทินนานุปาทานิยธรรม.
๕. สังกลิฏฐติกะ.
[๑๓๙๖] กตเม ธมฺมา สงฺกลิ ฏิ Ęฺ สงฺกเิ ลสิกา?
[๑๓๙๖] ธรรมเศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของสังกิเลสเป็นไฉน?
ทฺวาทส อกุสลจิตตฺ ปุ ปฺ าทา; อิเม ธมฺมา สงฺกลิ ฏิ Ęสงฺกเิ ลสิกา.
จิตตุปบาทฝ่ายอกุศล ๑๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเศร้าหมองและ-
เป็นอารมณ์ของสังกิเลส.
[๑๓๙๗] กตเม ธมฺมา อสงฺกลิ ฏิ Ęฺ สํกเิ ลสิกา?
[๑๓๙๗] ธรรมไม่เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของสังกิเลสเป็นไฉน?
ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ ตีสุ ภูมสี ุ วิปาโก ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ สพฺพċฺจ รูป;ํ
กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๓ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทัง้ หมด;
อิเม ธมฺมา อสํกลิ ฏิ Ęฺ สํกเิ ลสิกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส.
[๑๓๙๘] กตเม ธมฺมา อสํกลิ ฏิ Ęฺ าสํกเิ ลสิกา?
[๑๓๙๘] ธรรมไม่เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลสเป็นไฉน?
จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา, จตฺตาริ จ สามċฺċผลานิ นิพพฺ านċฺจ;
694
๗. ปีตติ กิ ะ.
[๑๔๐๒] กตเม ธมฺมา ปีตสิ หคตา?
[๑๔๐๒] ธรรมสหรคตด้วยปีตเิ ป็นไฉน?
กามาวจรกุสลโต จตฺตาโร โสมนสฺสสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา, อกุสลโต จตฺตาโร,
กามาวจรกุสลสฺส วิปากโต ปċฺจ, กิรยิ โต ปċฺจ, รูปาวจรทุกติกชฺฌานา
กุสลโต จ วิปากโต จ กิรยิ โต จ,
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโสมนัสเวทนาฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง ฝ่ายอกุศล
๔ ดวง ฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๕ ดวง ฝ่ายกิรยิ า ๕ ดวง ฌาน ๒ และ ๓
ทีเ่ ป็นรูปาวจรฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิรยิ า,
696
อกุสลสฺส วิปากโต ฉ,
ฝ่ายอกุศลวิบาก ๖ ดวง,
กิรยิ โต ฉ,
ฝ่ายกิรยิ า ๖ ดวง,
รูปาวจรํ จตุตถฺ ํ ฌานํ กุสลโต จ วิปากโต จ กิรยิ โต จ, จตฺตาโร อารุปปฺ า
กุสลโต จ วิปากโต จ กิรยิ โต จ,
รูปาวจรจตุตถฌานฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิรยิ า อรูป ๔ ฝ่ายกุศล ฝ่าย-
วิบาก และฝ่ายกิรยิ า,
โลกุตตฺ รํ จตุตถฺ ํ ฌานํ กุสลโต จ วิปากโต จ เอตฺถปุ ปฺ นฺนํ อุเปกฺขํ Ęเปตฺวา;
โลกุตตรจตุตฌานฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบากเว้นอุเบกขาเวทนาทีบ่ งั เกิดใน
จิตตุปบาทเหล่านีเ้ สีย;
อิเม ธมฺมา อุเปกฺขาสหคตา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมสหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา.
ปีติ นปีตสิ หคตา สุขสหคตา นอุเปกฺขาสหคตา,
ปีตไิ ม่สหรคตด้วยปีตแิ ต่สหรคตด้วยสุขเวทนา ไม่สหรคตด้วยอุเบกขา
เวทนา.
สุขํ นสุขสหคตํ สิยา ปีตสิ หคตํ น อุเปกฺขาสหคตํ, สิยา น วตฺตพฺพํ
ปีตสิ หคตนฺต.ิ
สุขเวทนาไม่สหรคตด้วยเวทนา แต่สหรคตด้วยปีติ ไม่สหรคตด้วยอุเบก-
ขาเวทนาก็มี ทีจ่ ะกล่าวไม่ได้วา่ สหรคตด้วยปีตกิ ม็ .ี
เทฺว โทมนสฺสสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา, ทุกขฺ สหคตํ กายวิċċ ฺ าณํ; ยา จ เวทนา
อุเปกฺขา, รูปċฺจ นิพพฺ านċฺจ;
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโทมนัสเวทนา ๒ ดวงกายวิญญาณทีส่ หรคตด้วย-
ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา รูป และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา น วตฺตพฺพา ปีตสิ หคตาติป,ิ สุขสหคตาติป,ิ อุเปกฺขาสหคตาติป.ิ
สภาวธรรมเหล่านีจ้ ะกล่าวว่าสหรคตด้วยปีตกิ ไ็ ม่ได้ ว่าสหรคตด้วยสุขเวท-
698
นาก็ไม่ได้ ว่าสหรคตด้วยอุเบกขาเวทนาก็ไม่ได้.
๘. ทัสสนติกะ.
[๑๔๐๕] กตเม ธมฺมา ทสฺสเนนปหาตพฺพา?
[๑๔๐๕] ธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณเป็นไฉน?
จตฺตาโร ทิฏĘฺ คิ ตสมฺปยุตตฺ า จิตตฺ ปุ ปฺ าทา, วิจกิ จิ ฉฺ าสหคโต จิตตฺ ปุ ปฺ าโท;
จิตตุปบาททีส่ มั ปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยวิจกิ จิ ฉา;
อิเม ธมฺมา ทสฺสเนน ปหาตพฺพา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณ.
[๑๔๐๖] กตเม ธมฺมา ภาวนาย ปหาตพฺพา?
[๑๔๐๖] ธรรมอันมรรคเบือ้ งสูง ๓ ประหาณ เป็นไฉน?
อุทธฺ จฺจสหคโต จิตตฺ ปุ ปฺ าโท; อิเม ธมฺมา ภาวนายปหาตพฺพา.
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยอุทธัจจะ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมอันมรรค
เบือ้ งสูง ๓ ประหาณ.
จตฺตาโร ทิฏĘฺ คิ ตวิปปฺ ยุตตฺ โลภสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา,
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง,
เทฺว โทมนสฺสสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา;
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโทมนัสเวทนา ๒ ดวง;
อิเม ธมฺมา สิยา ทสฺสเนน ปหาตพฺพา,
สภาวธรรมเหล่านีท้ เ่ี ป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณก็ม,ี
สิยา ภาวนายปหาตพฺพา.
ทีเ่ ป็นธรรมอันมรรคเบือ้ งสูง ๓ ประหาณก็ม.ี
[๑๔๐๗] กตเม ธมฺมา เนวทสฺสเนน น ภาวนาย ปหาตพฺพา?
[๑๔๐๗] ธรรมอันโสดาปัตติมรรคและมรรคเบือ้ งสูง ๓ ไม่ประหาณเป็นไฉน?
จตูสุ ภูมสี ุ กุสลํ จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ รูปċฺจ
นิพพฺ านċฺจ;
กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน;
699
ถึงนิพพาน.
๑๑. เสกขติกะ.
[๑๔๑๔] กตเม ธมฺมา เสกฺขา?
[๑๔๑๔] ธรรมเป็นของเสกขบุคคลเป็นไฉน?
จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา, เหฏฺĘมิ านิ จ ตีณิ สามċฺċผลานิ; อิเม ธมฺมา
เสกฺขา.
มรรค ๔ ทีเ่ ป็นโลกุตระ และสามัญญผล ๓ เบือ้ งต่ำ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่า
ธรรมเป็นของเสกขบุคคล.
[๑๔๑๕] กตเม ธมฺมา อเสกฺขา?
[๑๔๑๕] ธรรมเป็นของอเสกขบุคคลเป็นไฉน?
อุปริมํ อรหตฺตผลํ; อิเม ธมฺมา อเสกฺขา.
อรหัตผลเบือ้ งสูง สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นของอเสกขบุคคล.
[๑๔๑๖] กตเม ธมฺมา เนวเสกฺขานาเสกฺขา?
[๑๔๑๖] ธรรมไม่เป็นของเสกขบุคคลและไม่เป็นของอเสกขบุคคลเป็นไฉน?
ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ, อกุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ, รูปċฺจ
นิพพฺ านċฺจ;
กุศลในภูมิ ๓ อกุศล วิบากในภูมิ ๓ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูปและนิพ-
พาน;
อิเม ธมฺมา เนวเสกฺขานาเสกฺขา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เป็นของเสกขบุคคล และไม่เป็นของอเสก-
ขบุคคล.
๑๒. ปริตตติกะ.
[๑๔๑๗] กตเม ธมฺมา ปริตตฺ า?
[๑๔๑๗] ธรรมเป็นปริตตะเป็นไฉน?
กามาวจรกุสลํ อกุสลํ สพฺโพ กามาวจรสฺส วิปาโก กามาวจรกิรยิ าพฺยากตํ,
สพฺพċฺจ รูป;ํ
702
๑๓. ปริตตารัมมณติกะ.
[๑๔๒๐] กตเม ธมฺมา ปริตตฺ ารมฺมณา?
[๑๔๒๐] ธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะเป็นไฉน?
สพฺโพ กามาวจรสฺส วิปาโก, กิรยิ า มโนธาตุ, กิรยิ าเหตุกา มโนวิญċฺ าณธาตุ
โสมนสฺสสหคตา;
กามาวจรวิบากทัง้ หมด กิรยิ ามโนธาตุ อเหตุกกิรยิ า มโนวิญญาณธาตุท-่ี
สหรคตด้วยโสมนัสเวทนา;
อิเม ธมฺมา ปริตตฺ ารมฺมณา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ.
703
อุเปกฺขาสหคตา;
รูปาวจรจตุตถฌานฝ่ายกุศล และฝ่ายกิรยิ า อเหตุกกิรยิ ามโนวิญญาณธาตุท่ี
สหรคตด้วยอุเบกขา;
อิเม ธมฺมา สิยา ปริตตฺ ารมฺมณา,
สภาวธรรมเหล่านีท้ ม่ี อี ารมณ์เป็นปริตตะก็ม,ี
สิยา มหคฺคตารมฺมณา,
ทีม่ อี ารมณ์เป็นมหัคคตะก็ม,ี
สิยา อปฺปมาณารมฺมณา,
ทีม่ อี ารมณ์เป็นอัปปมาณะก็ม,ี
สิยา น วตฺตพฺพา ปริตตฺ ารมฺมณาติป,ิ มหคฺคตารมฺมณาติป,ิ อปฺปมาณารมฺม-
ณาติป.ิ
ทีจ่ ะกล่าวว่ามีอารมณ์เป็นปริตตะก็ไม่ได้ ว่ามีอารมณ์เป็นมหัคคตะก็ไม่ได้
ว่ามีอารมณ์เป็นอัปปมาณะก็ไม่ได้กม็ .ี
รูปาวจรติกจตุกกฺ ชฺฌานา กุสลโต จ วิปากโต จ กิรยิ โต จ, จตุตถฺ สฺส ฌานสฺส
วิปาโก,
ฌาน ๓ และ ๔ ทีเ่ ป็นรูปาวจรฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิรยิ า จตุตถฌาน-
วิบาก,
อากาสานċฺจายตนํ อากิċจฺ ċฺċายตนํ;
อากาสานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ;
อิเม ธมฺมา น วตฺตพฺพา ปริตตฺ ารมฺมณาติป,ิ
สภาวธรรมเหล่านี้ จะกล่าวว่า มีอารมณ์เป็นปริตตะก็ไม่ได้,
มหคฺคตารมฺมณาติป,ิ
ว่ามีอารมณ์เป็นมหัคคตะก็ไม่ได้,
อปฺปมาณารมฺมณาติป.ิ
ว่ามีอารมณ์เป็นอัปปมาณะก็ไม่ได้.
รูปċฺจ นิพพฺ านċฺจ อนารมฺมณา.
705
รูป และนิพพานจัดเป็นอนารัมมณะ.
๑๔. หีนติกะ.
[๑๔๒๓] กตเม ธมฺมา หีนา?
[๑๔๒๓] ธรรมทรามเป็นไฉน?
ทฺวาทส อกุสลจิตตฺ ปุ ปฺ าทา; อิเม ธมฺมา หีนา.
จิตตุปบาททีเ่ ป็นอกุศล ๑๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมทราม.
[๑๔๒๔] กตเม ธมฺมา มชฺฌมิ า?
[๑๔๒๔] ธรรมปานกลางเป็นไฉน?
ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ, สพฺพċฺจ รูป;ํ
กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๓ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทัง้ หมด;
อิเม ธมฺมา มชฺฌมิ า.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมปานกลาง.
[๑๔๒๕] กตเม ธมฺมา ปณีตา?
[๑๔๒๕] ธรรมประณีตเป็นไฉน?
จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา, จตฺตาริ จ สามċฺċผลานิ นิพพฺ านċฺจ;
มรรค ๔ ทีเ่ ป็นโลกุตตระ สามัญญผล ๔ และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา ปณีตา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมประณีต.
๑๕. มิจฉัตตติกะ.
[๑๔๒๖] กตเม ธมฺมา มิจฉฺ ตฺตนิยตา?
[๑๔๒๖] ธรรมเป็นมิจฉาสภาวะและให้ผลแน่นอนเป็นไฉน?
จตฺตาโร ทิฏĘฺ คิ ตสมฺปยุตตฺ า จิตตฺ ปุ ปฺ าทา เทฺว โทมนสฺสสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา;
จิตตุปบาททีส่ มั ปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโทมนัสเวทนา
๒ ดวง;
อิเม ธมฺมา สิยา มิจฉฺ ตฺตนิยตา, สิยา อนิยตา.
สภาวธรรมเหล่านี้ ทีเ่ ป็นมิจฉาสภาวะ และให้ผลแน่นอนก็มี ทีใ่ ห้ผลไม่แน่-
706
นอนก็ม.ี
[๑๔๒๗] กตเม ธมฺมา สมฺมตฺตนิยตา?
[๑๔๒๗] ธรรมเป็นสัมมาสภาวะและให้ผลแน่นอนเป็นไฉน?
จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา; อิเม ธมฺมา สมฺมตฺตนิยตา.
มรรค ๔ ทีเ่ ป็นโลกุตตระ สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นสัมมาสภาวะ
และให้ผลแน่นอน.
[๑๔๒๘] กตเม ธมฺมา อนิยตา?
[๑๔๒๘] ธรรมให้ผลไม่แน่นอนเป็นไฉน?
จตฺตาโร ทิฏĘฺ คิ ตวิปปฺ ยุตตฺ โลภสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา,
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง,
วิจกิ จิ ฉฺ าสหคโต จิตตฺ ปุ ปฺ าโท, อุทธฺ จฺจสหคโต จิตตฺ ปุ ปฺ าโท,
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยวิจกิ จิ ฉาจิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยอุทธัจจะ,
ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ, จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ, รูปċฺจ
นิพพฺ านċฺจ;
กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๔ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา อนิยตา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมให้ผลแน่นอน.
๑๖. มัคคารัมมณติกะ.
[๑๔๒๙] กตเม ธมฺมา มคฺคารมฺมณา?
[๑๔๒๙] ธรรมมีมรรคเป็นอารมณ์เป็นไฉน?
กามาวจรกุสลโต จตฺตาโร ċาณสมฺปยุตตฺ า จิตตฺ ปุ ปฺ าทา,
จิตตุปบาททีเ่ ป็นาํ ณสัมปยุตฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง,
กิรยิ โต จตฺตาโร ċาณสมฺปยุตตฺ า จิตตฺ ปุ ปฺ าทา;
จิตตุปบาททีเ่ ป็นญาณสัมปยุตฝ่ายกิรยิ า ๔ ดวง,
อิเม ธมฺมา สิยา มคฺคารมฺมณา, น มคฺคเหตุกา, สิยา มคฺคาธิปติโน, สิยา น
707
บันก็ม.ี
นิพพฺ านํ น วตฺตพฺพํ อตีตนฺตปิ ,ิ อนาคตนฺตปิ ,ิ ปจฺจปุ ปฺ นฺนนฺตปิ .ิ
นิพพานจะกล่าวว่าเป็นอดีตก็ไม่ได้ ว่าเป็นอนาคตก็ไม่ได้ ว่าเป็นปัจจุบนั -
ก็ไม่ได้.
๑๙. อตีตตารัมมณติกะ.
[๑๔๓๒] กตเม ธมฺมา อตีตารมฺมณา?
[๑๔๓๒] ธรรมมีอารมณ์เป็นอดีตเป็นไฉน?
วิญċฺ าณċฺจายตนํ เนวสċฺċานาสċฺċายตนํ;
วิญญาณัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ;
อิเม ธมฺมา อตีตารมฺมณา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมมีอารมณ์เป็นอดีต.
[๑๔๓๓] นิโยคา อนาคตารมฺมณา นตฺถ.ิ
[๑๔๓๓] ธรรมทีจ่ ดั ว่ามีอารมณ์เป็นอนาคตโดยเฉพาะไม่ม.ี
[๑๔๓๔] กตเม ธมฺมา ปจฺจปุ ปฺ นฺนารมฺมณา?
[๑๔๓๔] ธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบนั เป็นไฉน?
เทฺว ปċฺจวิญċฺ าณานิ ติสโฺ ส จ มโนธาตุโย;
ปัญจวิญญาณทัง้ ๒ ฝ่าย มโนธาตุ ๓;
อิเม ธมฺมา ปจฺจปุ ปฺ นฺนารมฺมณา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบนั .
กามาวจรกุสลสฺส วิปากโต ทส จิตตฺ ปุ ปฺ าทา,
จิตตุปบาทฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๑๐ ดวง,
อกุสลสฺส วิปากโต มโนวิญċ ฺ าณธาตุ อุเปกฺขาสหคตา, กิรยิ าเหตุกา
มโนวิญċฺ าณธาตุ โสมนสฺสสหคตา;
มโนวิญญาณธาตุทส่ี หรคตด้วยอุเบกขา ฝ่ายอกุศลวิบาก อเหตุกกิรยิ ามโน-
วิญญาณธาตุทส่ี หรคตด้วยโสมนัส;
อิเม ธมฺมา สิยา อตีตารมฺมณา, สิยา อนาคตารมฺมณา สิยา ปจฺจปุ ปฺ นฺนารมฺ-
710
มณา.
สภาวธรรมเหล่านีท้ ม่ี อี ารมณ์เป็นอดีตก็มี ทีม่ อี ารมณ์เป็นอนาคตก็มี
ทีม่ อี ารมณ์เป็นปัจจุบนั ก็ม.ี
กามาวจรกุสลํ, อกุสลํ, กิรยิ โต นว จิตตฺ ปุ ปฺ าทา, รูปาวจรํ จตุตถฺ ํ ฌานํ
กุสลโต จ กิรยิ โต จ;
กามาวจรกุศล อกุศล จิตตุปบาทฝ่ายกิรยิ า ๙ ดวง, รูปาวจรจตุตถฌาน
ฝ่ายกุศล และฝ่ายกิรยิ า;
อิเม ธมฺมา สิยา อตีตารมฺมณา, สิยา อนาคตารมฺมณา, สิยา ปจฺจปุ ปฺ นฺนารมฺ-
มณา, สิยา น วตฺตพฺพา อตีตารมฺมณาติป,ิ อนาคตารมฺมณาติป,ิ
ปจฺจปุ ปฺ นฺนารมฺมณาติป.ิ
สภาวธรรมเหล่านีท้ ม่ี อี ารมณ์เป็นอดีตก็มี ทีม่ อี ารมณ์เป็นอนาคตก็มี
ทีม่ อี ารมณ์เป็นปัจจุบนั ก็มี จะกล่าวว่ามีอารมณ์เป็นอดีตก็ไม่ได้วา่ มีอารมณ์-
เป็นอนาคตก็ไม่ได้ ว่ามีอารมณ์เป็นปัจจุบนั ก็ไม่ได้กม็ .ี
รูปาวจรติกจตุกกฺ ชฺฌานา กุสลโต จ วิปากโต จ กิรยิ โต จ, จตุตถฺ สฺส
ฌานสฺส วิปาโก, อากาสานċฺจายตนํ อากิċจฺ ċฺċายตนํ,
ฌาน ๓ และ ๔ ทีเ่ ป็นรูปาวจรฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก ฝ่ายกิรยิ า จตุตถฌานวิบาก
อากาสานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ,
จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา, จตฺตาริ จ สามċฺċผลานิ;
มรรค ๔ ทีเ่ ป็นโลกุตตระ และสามัญผล ๔;
อิเม ธมฺมา น วตฺตพฺพา อตีตารมฺมณาติป,ิ
สภาวธรรมเหล่านีจ้ ะกล่าวว่ามีอารมณ์เป็นอดีตก็ไม่ได้,
อนาคตารมฺมณาติปิ ปจฺจปุ ปฺ นฺนารมฺมณาติป.ิ
ว่ามีอารมณ์เป็นอนาคตก็ไม่ได้ ว่ามีอารมณ์เป็นปัจจุบนั ก็ไม่ได้.
รูปċฺจ นิพพฺ านċฺจ อนารมฺมณา.
รูป และนิพพานจัดเป็นอนารัมมณะ.
๒๐. อัชฌัตตติกะ.
711
[๑๔๔๓] ธรรมมีเหตุเป็นไฉน?
วิจกิ จิ ฉฺ าสหคตํ อุทธฺ จฺจสหคตํ โมหํ Ęเปตฺวา อวเสสํ อกุสลํ, จตูสุ ภูมสี ุ
กุสลํ, กามาวจรสฺส วิปากโต อเหตุเก จิตตฺ ปุ ปฺ าเท Ęเปตฺวา จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก,
กามาวจรกิรยิ โต อเหตุเก จิตตฺ ปุ ปฺ าเท Ęเปตฺวา ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ;
อกุศลทีเ่ หลือ เว้นโมหะทีส่ หรคตด้วยวิจกิ จิ ฉา และทีส่ หรคตด้วยอุทธัจจะ
กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ เว้นอเหตุกจิตตุปบาทฝ่ายกามาวจรวิบาก
กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ เว้นอเหตุกจิตตุปบาทฝ่ายกามาวจรกิรยิ า;
อิเม ธมฺมา สเหตุกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมมีเหตุ.
[๑๔๔๔] กตเม ธมฺมา อเหตุกา?
[๑๔๔๔] ธรรมไม่มเี หตุเป็นไฉน?
วิจกิ จิ ฉฺ าสหคโต โมโห อุทธฺ จฺจสหคโต โมโห เทฺว ปċฺจวิญċ ฺ าณานิ, ติสโฺ ส จ
มโนธาตุโย, ปċฺจ จ อเหตุกา มโนวิญċ ฺ าณธาตุโย, รูปċฺจ นิพพฺ านċฺจ;
โมหะทีส่ หรคตด้วยวิจกิ จิ ฉา โมหะทีส่ หรคตด้วยอุทธัจจะ ปัญจวิญญาณทัง้
๒ ฝ่าย มโนธาตุ ๓ อเหตุกมโนวิญญาณธาตุ ๕ รูปและนิพพาน;
อิเม ธมฺมา อเหตุกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่มเี หตุ.
๓. เหตุสมั ปยุตตทุกะ.
[๑๔๔๕] กตเม ธมฺมา เหตุสมฺปยุตตฺ า?
[๑๔๔๕] ธรรมสัมปยุตด้วยเหตุเป็นไฉน?
วิจกิ จิ ฉฺ าสหคตํ อุทธฺ จฺจสหคตํ โมหํ Ęเปตฺวา อวเสสํ อกุสลํ, จตูสุ ภูมสี ุ
กุสลํ,
อกุศลทีเ่ หลือเว้นโมหะทีส่ หรคตด้วยวิจกิ จิ ฉา และทีส่ หรคตด้วยอุทธัจจะ
กุศลในภูมิ ๔,
กามาวจรสฺส วิปากโต อเหตุเก จิตตฺ ปุ ปฺ าเท Ęเปตฺวา จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก,
716
ธรรมวิปปยุตจากเหตุจะกล่าวว่าธรรมเป็นเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุกไ็ ม่ได้,
เหตุสมฺปยุตตฺ า เจว น จ เหตูตปิ .ิ
ว่าธรรมสัมปยุตด้วยเหตุแต่ไม่เป็นเหตุกไ็ ม่ได้.
๖. นเหตุสเหตุทกุ ะ.
[๑๔๕๑] กตเม ธมฺมา นเหตู สเหตุกา?
[๑๔๕๑] ธรรมไม่เป็นเหตุแต่มเี หตุเป็นไฉน?
จตูสุ ภูมสี ุ กุสลํ, อกุสลํ, กามาวจรสฺส วิปากโต อเหตุเก จิตตฺ ปุ ปฺ าเท เปตฺวา
จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก, กามาวจรกิรยิ โต อเหตุเก จิตตฺ ปุ ปฺ าเท Ęเปตฺวา ตีสุ ภูมสี ุ
กิรยิ าพฺยากตํ เอตฺถปุ ปฺ นฺเน เหตู Ęเปตฺวา;
กุศลในภูมิ ๔ อกุศล วิบากในภูมิ ๔ เว้นอเหตุกจิตตุปบาทฝ่ายกามาวจรวิบาก
กิรยิ า อัพยากฤตในภูมิ ๓ เว้นอเหตุกจิตตุปบาทฝ่ายกามาวจรกิรยิ า เว้นเหตุ-
ทัง้ หลายทีบ่ งั เกิดในจิตตุปบาทเหล่านีเ้ สีย;
อิเม ธมฺมา นเหตู สเหตุกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เป็นเหตุแต่มเี หตุ.
[๑๔๕๒] กตเม ธมฺมา นเหตู อเหตุกา?
[๑๔๕๒] ธรรมไม่เป็นเหตุและไม่มเี หตุเป็นไฉน?
เทฺว ปċฺจวิญċ ฺ าณานิ ติสโฺ ส จ มโนธาตุโย ปċฺจ จ อเหตุกา มโนวิญċ ฺ าณ-
ธาตุโย รูปċฺจ นิพพฺ านċฺจ;
ปัญจวิญญาณทัง้ ๒ ฝ่าย มโนธาตุ ๓ อเหตุกมโนวิญญาณธาตุ ๕ รูป
และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา น เหตูอเหตุกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เป็นเหตุและไม่มเี หตุ.
เหตู ธมฺมา น วตฺตพฺพา น เหตู สเหตุกาติป,ิ
ธรรมเป็นเหตุจะกล่าวว่าธรรมไม่เป็นเหตุแต่มเี หตุกไ็ ม่ได้,
น เหตู อเหตุกาติป.ิ
ว่าธรรมไม่เป็นเหตุและไม่มเี หตุกไ็ ม่ได้.
719
เหตุโคจฉกจบ.
๒. จูฬนั ตรทุก.
๑. สัปปัจจยทุกะ.
[๑๔๕๓] กตเม ธมฺมา สปฺปจฺจยา?
[๑๔๕๓] สัปปัจจยธรรมเป็นไฉน?
จตูสุ ภูมสี ุ กุสลํ, อกุสลํ, จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ
สพฺพċฺจ รูป;ํ
กุศลในภูมิ ๔ อกุศล วิบากในภูมิ ๔ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓
และรูปทัง้ หมด;
อิเม ธมฺมา สปฺปจฺจยา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าสัปปัจจยธรรม.
[๑๔๕๔] กตเม ธมฺมา อปฺปจฺจยา;
[๑๔๕๔] อัปปัจจยธรรมเป็นไฉน?
นิพพฺ านํ อิเม ธมฺมา อปฺปจฺจยา.
นิพพาน สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าอัปปัจจยธรรม.
๒. สังขตทุกะ.
[๑๔๕๕] กตเม ธมฺมา สงฺขตา?
[๑๔๕๕] สังขตธรรมเป็นไฉน?
จตูสุ ภูมสี ุ กุสลํ อกุสลํ จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ
สพฺพċฺจ รูป;ํ
กุศลในภูมิ ๔ อกุศล วิบากในภูมิ ๔ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ และ
รูปทัง้ หมด;
อิเม ธมฺมา สงฺขตา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าสังขตธรรม.
[๑๔๕๖] กตเม ธมฺมา อสงฺขตา นิพพฺ านํ?
[๑๔๕๖] อสังขตธรรมเป็นไฉน?
720
๖. โลกิยทุกะ.
[๑๔๖๓] กตเม ธมฺมา โลกิยา?
[๑๔๖๓] โลกิยธรรมเป็นไฉน?
ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ, อกุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ,
สพฺพċฺจ;
กุศลในภูมิ ๓ อกุศล วิบากในภูมิ ๓ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓
และรูปทัง้ หมด;
722
เปตฺวา อาสเว อวเสสํ อกุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ
ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ, สพฺพċฺจ รูป,ํ
อกุศลทีเ่ หลือเว้นอาสวะเสีย กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๓ กิรยิ าอัพยากฤต-
ในภูมิ ๓ และรูปทัง้ หมด,
อิเม ธมฺมา สาสวา เจว โน จ อาสวา. อนาสวา ธมฺมา น วตฺตพฺพา
อาสวา เจว สาสวาจาติป,ิ สาสวา เจว โน จ อาสวาติป.ิ
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอารมณ์ของอาสวะ แต่ไม่เป็นอาสวะ
ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะจะกล่าวว่า เป็นอาสวะและเป็นอารมณ์ของ-
อาสวะก็ไม่ได้ ว่าเป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็ไม่ได้.
๕. อาสวอาสวสัมปยุตตทุกะ.
[๑๔๗๓] กตเม ธมฺมา อาสวา เจว อาสวสมฺปยุตตฺ า จ?
[๑๔๗๓] ธรรมเป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะเป็นไฉน?
ยตฺถ เทฺว ตโย อาสวา เอกโต อุปปฺ ชฺชนฺต;ิ
อาสวะ ๒-๓ อย่าง บังเกิดร่วมกันในจิตตุปบาทใด;
อิเม ธมฺมา อาสวา เจว อาสวสมฺปยุตตฺ า จ.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ.
[๑๔๗๔] กตเม ธมฺมา อาสวสมฺปยุตตฺ า เจว โน จ อาสวา?
[๑๔๗๔] ธรรมสัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะเป็นไฉน?
Ęเปตฺวา อาสเว อวเสสํ อกุสลํ;
อกุศลทีเ่ หลือ เว้นอาสวะทัง้ หลายเสีย;
อิเม ธมฺมา อาสวสมฺปยุตตฺ า เจว โน จ อาสวา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมสัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะ.
อาสววิปปฺ ยุตตฺ า ธมฺมา น วตฺตพฺพา อาสวา เจว อาสวสมฺปยุตตฺ า จาติป,ิ
อาสวสมฺปยุตตฺ า เจว โน จ อาสวาติป.ิ
ธรรมวิปปยุตจากอาสวะจะกล่าวว่าเป็นอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะก็ไม่-
ได้ ว่าสัมปยุตด้วยอาสวะแต่ไม่เป็นอาสวะก็ไม่ได้.
726
๖. อาสววิปปยุตตสาสวทุกะ.
[๑๔๗๕] กตเม ธมฺมา อาสววิปปฺ ยุตตฺ า สาสวา?
[๑๔๗๕] ธรรมวิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นไฉน?
ทฺวสี ุ โทมนสฺสสหคเตสุ จิตตฺ ปุ ปฺ าเทสุ อุปปฺ นฺโน โมโห,
โมหะทีบ่ งั เกิดในจิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโทมนัสสเวทนา ๒ ดวง,
วิจกิ จิ ฉฺ าสหคโต โมโห, อุทธฺ จฺจสหคโต โมโห, ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ
วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากต,ํ สพฺพċฺจ รูป,ํ
โมหะทีส่ หรคตด้วยวิจกิ จิ ฉา โมหะทีส่ หรคตด้วยอุทธัจจะ กุศลในภูมิ ๓
วิบากในภูมิ ๓ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทัง้ หมด;
อิเม ธมฺมา อาสววิปปฺ ยุตตฺ า สาสวา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมวิปปยุตจากอาสวะแต่ไม่เป็นอารมณ์ของ-
อาสวะ
[๑๔๗๖] กตเม ธมฺมา อาสววิปปฺ ยุตตฺ า อนาสวา?
[๑๔๗๖] ธรรมวิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะเป็นไฉน?
จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา, จตฺตาริ จ สามċฺċผลานิ นิพพฺ านċฺจ;
มรรค ๔ ทีเ่ ป็นโลกุตตระ สามัญผล ๔ และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา อาสววิปปฺ ยุตตฺ า อนาสวา,
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมวิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของ
อาสวะ,
อาสวสมฺปยุตตฺ า ธมฺมา น วตฺตพฺพา อาสววิปปฺ ยุตตฺ า สาสวาติป,ิ
ธรรมสัมปยุตด้วยอาสวะจะกล่าวว่าธรรมวิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์-
ของอาสวะก็ไม่ได้,
อาสววิปปฺ ยุตตฺ า อนาสวาติป.ิ
ว่าธรรมวิปปยุตจากอาสวะ และไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะก็ไม่ได้.
อาสวะโคจฉกะจบ.
๔. สัญโญชนโคจฉก.
727
๑. สัญโญชนทุกะ.
[๑๔๗๗] กตเม ธมฺมา สċฺโċชนา?
[๑๔๗๗] สัญโญชนธรรมเป็นไฉน?
ทส สċฺโċชนานิ; กามราคสċฺโċชนํ ปฏิฆสċฺโċชนํ มานสċฺโċชนํ
ทิฏĘฺ สิ ċฺโċชนํ วิจกิ จิ ฉฺ าสċฺโċชนํ สีลพฺพตปรามาสสċฺโċชนํ ภวราคสċฺโċช-
นํ อิสสฺ าสċฺโċชนํ มจฺฉริยสċฺโċชนํ อวิชชฺ าสċฺโċชนํ,
สัญโญชน์ ๑๐ คือ กามราคสัญโญชน์ ปฏิฆสัญโญชน์ มานสัญโญชน์
ทิฏฐิสญ ั โญชน์ วิจกิ จิ ฉาสัญโญชน์ สีลพั พตปรามาสสัญโญชน์ ภวราค-
สัญโญชน์ อิสสาสัญโญชน์ มัจฉริยสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์,
กามราคสċฺโċชนํ อฏฺĘสุ โลภสหคเตสุ จิตตฺ ปุ ปฺ าเทสุ อุปปฺ ชฺชติ,
กามราคสัญโญชน์บงั เกิดในจิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโลภะ ๘ ดวง,
ปฏิฆสċฺโċชนํ ทฺวสี ุ โทมนสฺสสหคเตสุ จิตตฺ ปุ ปฺ าเทสุ อุปปฺ ชฺชติ,
ปฏิฆสัญโญชน์บงั เกิดในจิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโสมนัสสเวทนา ๒ ดวง,
มานสċฺโċชนํ จตูสุ ทิฏĘฺ คิ ตวิปปฺ ยุตตฺ โลภสหคเตสุ จิตตฺ ปุ ปฺ าเทสุ อุปปฺ ชฺชติ,
มานสัญโญชน์บงั เกิดในจิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโลภะ วิปปยุตจากทิฏฐิ ๔
ดวง,
ทิฏĘฺ สิ ċฺโċชนํ จตูสุ ทิฏĘฺ คิ ตสมฺปยุตเฺ ตสุ จิตตฺ ปุ ปฺ าเทสุ อุปปฺ ชฺชติ,
ทิฏฐิสญ ั โญชน์บงั เกิดในจิตตุปบาททีส่ มั ปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง,
วิจกิ จิ ฉฺ าสċฺโċชนํ วิจกิ จิ ฉฺ าสหคเตสุ จิตตฺ ปุ ปฺ าเทสุ อุปปฺ ชฺชติ,
วิจกิ จิ ฉาสัญโญชน์บงั เกิดในจิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยวิจกิ จิ ฉา,
สีลพฺพตปรามาสสċฺโċชนํ จตูสุ ทิฏĘฺ คิ ตสมฺปยุตเฺ ตสุ จิตตฺ ปุ ปฺ าเทสุ อุปปฺ ชฺชติ,
สิลพั พตปรามาสสัญโญชน์บงั เกิดในจิตตุปบาททีส่ มั ปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง,
ภวราคสċฺโċชนํ จตูสุ ทิฏĘฺ คิ ตวิปปฺ ยุตตฺ โลภสหคเตสุ จิตตฺ ปุ ปฺ าเทสุ อุปปฺ ชฺชติ,
ภวราคสัญโญชน์บงั เกิดในจิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโลภะ วิปปยุตจากทิฏฐิ
๔ ดวง,
728
[๑๔๘๐] ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์เป็นไฉน?
จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา, จตฺตาริ จ สามċฺċผลานิ นิพพฺ านċฺจ;
มรรค ๔ ทีเ่ ป็นโลกุตตระ สามัญผล ๔ และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา อสċฺโċชนิยา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์.
๓. สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ.
[๑๔๘๑] กตเม ธมฺมา สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ า?
[๑๔๘๑] ธรรมสัมปยุตด้วยสัญโญชน์เป็นไฉน?
อุทธฺ จฺจสหคตํ โมหํ Ęเปตฺวา อวเสสํ อกุสลํ;
อกุศลทีเ่ หลือ เว้นโมหะทีส่ หรคตด้วยอุทธัจจะ;
อิเม ธมฺมา สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ า.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมธรรมสัมปยุตด้วยสัญโญชน์
[๑๔๘๒] กตเม ธมฺมา สċฺโċชนวิปปฺ ยุตตฺ า?
[๑๔๘๒] ธรรมวิปปยุตจากสัญโญชน์เป็นไฉน?
อุทธฺ จฺจสหคโต โมโห, จตูสุ ภูมสี ุ กุสลํ, จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ
กิรยิ าพฺยากตํ, รูปċฺจ, นิพพฺ านċฺจ;
โมหะทีส่ หรคตด้วยอุทธัจจะ กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิรยิ าอัพยากฤต-
ในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา สċฺโċชนวิปปฺ ยุตตฺ า.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมวิปปยุตจากสัญโญชน์.
๔. สัญโญชนสัญโยชนิยทุกะ.
[๑๔๘๓] กตเม ธมฺมา สċฺโċชนา เจว สċฺโċชนิยาจ?
[๑๔๘๓] ธรรมเป็นสัญโญชน์และเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์เป็นไฉน?
ตาเนว สċฺโċชนานิ สċฺโċชนา เจว สċฺโċชนิยาจ.
สัญโญชน์เหล่านัน้ ชือ่ ว่าธรรมเป็นสัญโญชน์และเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์.
[๑๔๘๔] กตเม ธมฺมา สċฺโċชนิยา เจว โน จ สċฺโċชนา?
730
[๑๔๘๔] ธรรมเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์แต่ไม่เป็นสัญโญชน์เป็นไฉน?
Ęเปตฺวา สċฺโċชเน อวเสสํ อกุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ
ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ, สพฺพċฺจ รูป,ํ
อกุศลทีเ่ หลือ เว้นสัญโญชน์ทง้ั หลายเสีย กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๓
กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทัง้ หมด,
อิเม ธมฺมา สċฺโċชนิยา เจว โน จ สċฺโċชนา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์แต่ไม่เป็น
สัญโญชน์.
อสċฺโċชนิยา ธมฺมา น วตฺตพฺพา สċฺโċชนา เจว สċฺโċชนิยา จาติป,ิ
ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์จะกล่าวว่าธรรมเป็นสัญโญชน์และเป็น-
อารมณ์ของสัญโญชน์กไ็ ม่ได้,
สċฺโċชนิยา เจว โน จ สċฺโċชนาติป.ิ
ว่าธรรมเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์แต่ไม่เป็นสัญโญชน์กไ็ ม่ได้.
๕. สัญโญชนสัญโญชนสัมปยุตตทุกะ.
[๑๔๘๕] กตเม ธมฺมา สċฺโċชนา เจว สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ า จ?
[๑๔๘๕] ธรรมเป็นสัญโญชน์และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์เป็นไฉน?
ยตฺถ เทฺว ตีณิ สċฺโċชนานิ เอกโต อุปปฺ ชฺชนฺต;ิ
สัญโญชน์ ๒-๓ อย่าง บังเกิดร่วมกันในจิตตุปบาทใด;
อิเม ธมฺมา สċฺโċชนา เจว สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ า จ.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นสัญโญชน์และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์.
[๑๔๘๖] กตเม ธมฺมา สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ า เจว โน จ สċฺโċชนา?
[๑๔๘๖] ธรรมสัมปยุตด้วยสัญโญชน์แต่ไม่เป็นสัญโญชน์เป็นไฉน?
Ęเปตฺวา สċฺโċชเน อวเสสํ อกุสลํ,
อกุศลทีเ่ หลือ เว้นสัญโญชน์ทง้ั หลายเสีย,
อิเม ธมฺมา สċฺโċชนสมฺปยุตตฺ า เจว โน จ สċฺโċชนา.
731
ธรรมสัมปยุตด้วยสัญโญชน์จะกล่าวว่าธรรมวิปปยุตจากสัญโญชน์
แต่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์กไ็ ม่ได้,
สċฺโċชนวิปปฺ ยุตตฺ า อสċฺโċชนิยาติป.ิ
ว่าธรรมวิปปยุตตจากสัญโญชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์กไ็ ม่ได้.
สัญโญชนโคจฉกะจบ.
๕. คันถโคจฉก.
๑. คันถทุกะ.
[๑๔๘๙] กตเม ธมฺมา คนฺถา?
[๑๔๘๙] คันถธรรมนัน้ เป็นไฉน?
จตฺตาโร คนฺถา; อภิชฌ ฺ า กายคนฺโถ พฺยาปาโท กายคนฺโถ สีลพฺพตปรามาโส
กายคนฺโถ อิทสํ จฺจาภินเิ วโส กายคนฺโถ.
คันธะ ๔ คือ อภิชฌากายคันถะ พยาบาทกายคันถะ สีลพั พตปรามาสกาย-
คันถะ อิทงั สัจจาภินเิ วสกายคันถะ.
อภิชฌ ฺ า กายคนฺโถ อฏฺĘสุ โลภสหคเตสุ จิตตฺ ปุ ปฺ าเทสุ อุปปฺ ชฺชติ,
อภิชฌากายคันถะบังเกิดในจิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโลภะ ๘ ดวง,
พฺยาปาโท กายคนฺโถ ทฺวสี ุ โทมนสฺสสหคเตสุ จิตตฺ ปุ ปฺ าเทสุ อุปปฺ ชฺชติ,
พยาปาทกายคันถะบังเกิดในจิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโทมนัสสเวทนา ๒
ดวง,
สีลพฺพตปรามาโส กายคนฺโถ จ อิทสํ จฺจาภินเิ วโส กายคนฺโถ จ จตูสุ
ทิฏĘฺ คิ ตสมฺปยุตเฺ ตสุ จิตตฺ ปุ ปฺ าเทสุ อุปปฺ ชฺชนฺต,ิ
สีลพั พตปรามาสกายคันถะ และอิทงั สัจจาภินเิ วสกายคันถะ บังเกิดในจิตตุป-
บาททีส่ มั ปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง;
อิเม ธมฺมา คนฺถา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าคันถธรรม.
[๑๔๙๐] กตเม ธมฺมา โนคนฺถา?
[๑๔๙๐] ธรรมไม่เป็นคันถะเป็นไฉน?
733
Ęเปตฺวา คนฺเถ อวเสสํ อกุสลํ, จตูสุ ภูมสี ุ กุสลํ, จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ
ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ, รูปċฺจ นิพพฺ านċฺจ;
อกุศลทีเ่ หลือ เว้นคันถะทัง้ หลายเสีย กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิรยิ า-
อัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา โนคนฺถา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เป็นคันถะ.
๒. คันถนิยทุกะ.
[๑๔๙๑] กตเม ธมฺมา คนฺถนิยา?
[๑๔๙๑] ธรรมเป็นอารมณ์ของคันถะเป็นไฉน?
ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ อกุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ, สพċฺจ
รูป;ํ
กุศลในภูมิ ๓ อกุศล วิบากในภูมิ ๓ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓
และรูปทัง้ หมด;
อิเม ธมฺมา คนฺถนิยา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมทีเ่ ป็นอารมณ์ของคันถะ.
[๑๔๙๒] กตเม ธมฺมา อคนฺถนิยา?
[๑๔๙๒] ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของคันถะเป็นไฉน?
จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา, จตฺตาริ จ สามċฺċผลานิ นิพพฺ านċฺจ;
มรรค ๔ ทีเ่ ป็นโลกุตตระ สามัญผล ๔ และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา อคนฺถนิยา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ
๓. คันถสัมปยุตตทุกะ.
[๑๔๙๓] กตเม ธมฺมา คนฺถสมฺปยุตตฺ า?
[๑๔๙๓] ธรรมสัมปยุตด้วยคันถะเป็นไฉน?
จตฺตาโร ทิฏĘฺ คิ ตสมฺปยุตตฺ า จิตตฺ ปุ ปฺ าทา,
จิตตุปบาททีส่ มั ปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง,
734
จตฺตาโร ทิฏĘฺ คิ ตวิปปฺ ยุตตฺ โลภสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา เอตฺถปุ ปฺ นฺนํ โลภํ Ęเปตฺวา;
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง เว้นโลภะทีบ่ งั เกิด-
ในจิตตุปบาทนีเ้ สีย;
เทฺว โทมนสฺสสหคตจิตตฺ ปุ ปฺ าทา เอตฺถปุ ปฺ นฺนํ ปฏิฆํ Ęเปตฺวา;
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโทมนัสสเวทนา ๒ ดวง เว้นปฏิฆะทีเ่ กิดในจิตตุป-
บาทนีเ้ สีย;
อิเม ธมฺมา คนฺถสมฺปยุตตฺ า.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมสัมปยุตด้วยคันถะ.
[๑๔๙๔] กตเม ธมฺมา คนฺถวิปปฺ ยุตตฺ า?
[๑๔๙๔] ธรรมวิปปยุตจากคันถะเป็นไฉน?
จตูสุ ทิฏĘฺ คิ ตวิปปฺ ยุตตฺ โลภสหคเตสุ จิตตฺ ปุ ปฺ าเทสุ อุปปฺ นฺโน โลโภ,
โลภะทีบ่ งั เกิดขึน้ ในจิตตุปบาท ทีส่ หรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง,
ทฺวสี ุ โทมนสฺสสหคเตสุ จิตตฺ ปุ ปฺ าเทสุ อุปปฺ นฺนํ ปฏิฆ,ํ
ปฏิฆะทีเ่ กิดในจิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโทมนัสเวทนา ๒ ดวง,
วิจกิ จิ ฉฺ าสหคโต จิตตฺ ปุ ปฺ าโท, อุทธฺ จฺจสหคโต จิตตฺ ปุ ปฺ าโท,
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยวิจกิ จิ ฉา จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยอุทธัจจะ,
จตูสุ ภูมสี ุ กุสลํ, จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ, รูปċฺจ,
นิพพฺ านċฺจ;
กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา คนฺถวิปปฺ ยุตตฺ า.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมวิปปยุตจากคันถะ.
๔. คันถคันถนิยทุกะ.
[๑๔๙๕] กตเม ธมฺมา คนฺถาเจวคนฺถนิยา จ?
[๑๔๙๕] ธรรมเป็นคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะเป็นไฉน?
เตว คนฺถา คนฺถา เจว คนฺถนิยา จ.
735
รูป,ํ
กุศลในภูมิ ๓ อกุศล วิบากในภูมิ ๓ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓
และรูปทัง้ หมด;
อิเม ธมฺมา นีวรณิยา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอารมณ์ของนิวรณ์.
[๑๕๐๖] กตเม ธมฺมา อนีวรณิยา?
[๑๕๐๖] ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์เป็นไฉน?
จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา, จตฺตาริ จ สามċฺċผลานิ นิพพฺ านċฺจ;
มรรค ๔ ทีเ่ ป็นโลกุตตระ สามัญญผล ๔ และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา อนีวรณิยา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์.
๓. นีวรณสัมปปยุตตทุกะ.
[๑๕๐๗] กตเม ธมฺมา นีวรณสมฺปยุตตฺ า?
[๑๕๐๗] ธรรมสัมปยุตด้วยนิวรณ์เป็นไฉน?
ทฺวาทส อกุสลจิตตฺ ปุ ปฺ าทา; อิเม ธมฺมา นีวรณสมฺปยุตตฺ า.
จิตตุปบาทฝ่ายอกุศล ๑๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมสัมปยุตด้วย-
นิวรณ์.
[๑๕๐๘] กตเม ธมฺมา นีวรณวิปปฺ ยุตตฺ า?
[๑๕๐๘] ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์เป็นไฉน?
จตูสุ ภูมสี ุ กุสลํ, จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ, รูปċฺจ
นิพพฺ านċฺจ;
กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา นีวรณวิปปฺ ยุตตฺ า.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์.
๔. นีรวณนีวรณิยทุกะ.
[๑๕๐๙] กตเม ธมฺมา นีวรณา เจว นีวรณิยา จ?
740
นีวรณา.
อกุศลทีเ่ หลือ เว้นนิวรณ์ทง้ั หลายเสีย สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมสัมปยุต-
ด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์.
นีวรณวิปปฺ ยุตตฺ า ธมฺมา น วตฺตพฺพา นีวรณา เจว นีวรณสมฺปยุตตฺ า จาติป,ิ
ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์จะกล่าวว่าธรรมเป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์-
ก็ไม่ได้,
นีวรณสมฺปยุตตฺ า เจว โน จ นีวรณาติป.ิ
ว่าธรรมสัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์กไ็ ม่ได้.
๖. นีวรณวิปปยุตตนีวรณิยทุกะ.
[๑๕๑๓] กตเม ธมฺมา นีวรณวิปปฺ ยุตตฺ า นีวรณิยา?
[๑๕๑๓] ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์ แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์เป็นไฉน?
ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ, สพฺพċฺจ รูป;ํ
กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๓ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทัง้ หมด;
อิเม ธมฺมา นีวรณวิปปฺ ยุตตฺ า นีวรณิยา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์ แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์.
[๑๕๑๔] กตเม ธมฺมา นีวรณวิปปฺ ยุตตฺ า อนีวรณิยา?
[๑๕๑๔] ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์ และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์เป็นไฉน?
จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา, จตฺตาริ จ สามċฺċผลานิ นิพพฺ านċฺจ;
มรรค ๔ ทีเ่ ป็นโลกุตตระ สามัญผล ๔ และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา นีวรณวิปปฺ ยุตตฺ า อนีวรณิยา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมวิปยุตตจากนิวรณ์ และไม่เป็นอารมณ์ของ-
นิวรณ์.
นีวรณสมฺปยุตตฺ า ธมฺมา น วตฺตพฺพา นีวรณวิปปฺ ยุตตฺ า นีวรณิยาติป,ิ
ธรรมสัมปยุตด้วยนิวรณ์จะกล่าวว่าธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์ แต่เป็นอารมณ์-
ของนิวรณ์กไ็ ม่ได้,
นีวรณวิปปฺ ยุตตฺ า อนีวรณิยาติป.ิ
742
[๑๕๒๓] ธรรมวิปปยุตจากปรามาสะแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสะเป็นไฉน?
จตฺตาโร ทิฏĘฺ คิ ตวิปปฺ ยุตตฺ โลภสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา,
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง,
เทฺว โทมนสฺสสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา,
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโทมนัสสเวทนา ๒ ดวง,
วิจกิ จิ ฉฺ าสหคโต จิตตฺ ปุ ปฺ าโท,
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยวิจกิ จิ ฉา จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยอุทธัจจะ,
อุทธฺ จฺจสหคโต จิตตฺ ปุ ปฺ าโท, ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ
กิรยิ าพฺยากตํ, สพฺพċฺจ รูป;ํ
กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๓ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทัง้ หมด;
อิเม ธมฺมา ปรามาสวิปปฺ ยุตตฺ า ปรามฏฺĘา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมวิปยุตจากปรามาสะแต่เป็นอารมณ์ของ-
ปรามาสะ.
[๑๕๒๔] กตเม ธมฺมา ปรามาสวิปปฺ ยุตตฺ า อปรามฏฺĘา?
[๑๕๒๔] ธรรมวิปปยุตจากปรามาสะและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสะเป็นไฉน?
จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา, จตฺตาริ จ สามċฺċผลานิ นิพพฺ านċฺจ;
มรรค ๔ ทีเ่ ป็นโลกุตตระ สามัญผล ๔ และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา ปรามาสวิปปฺ ยุตตฺ า อปรามฏฺĘา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมวิปปยุตจากปรามาสะ และไม่เป็นอารมณ์-
ของปรามาสะ.
ปรามาสา จ ปรามาสสมฺปยุตตฺ า จ ธมฺมา น วตฺตพฺพา ปรามาสวิปปฺ ยุตตฺ า
ปรามฏฺĘาติป,ิ
ธรรมเป็นปรามาสะและสัมปยุตด้วยปรามาสะจะกล่าวว่าธรรมวิปปยุต-
จากปรามาสะแต่เป็นอารมณ์ของปรามาสะก็ไม่ได้,
ปรามาสวิปปฺ ยุตตฺ า อปรามฏฺĘาติป.ิ
ว่าธรรมวิปปยุตจากปรามาสะ และไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสะก็ไม่ได้.
746
ปรามาสโคจฉกะจบ.
๑๐. มหันตรทุก.
๑. สารัมมณทุกะ.
[๑๕๒๕] กตเม ธมฺมา สารมฺมณา?
[๑๕๒๕] ธรรมมีอารมณ์เป็นไฉน?
จตูสุ ภูมสี ุ กุสลํ, อกุสลํ, จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ;
กุศลในภูมิ ๔ อกุศล วิบากในภูมิ ๔ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓;
อิเม ธมฺมา สารมฺมณา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมมีอารมณ์.
[๑๕๒๖] กตเม ธมฺมา อนารมฺมณา?
[๑๕๒๖] ธรรมไม่มอี ารมณ์เป็นไฉน?
รูปċฺจ นิพพฺ านċฺจ; อิเม ธมฺมา อนารมฺมณา.
รูป และนิพพาน; สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่มอี ารมณ์.
๒. จิตตทุกะ.
[๑๕๒๗] กตเม ธมฺมา จิตตฺ า?
[๑๕๒๗] ธรรมเป็นจิตเป็นไฉน?
จกฺขวุ ċฺċาณํ โสตวิċċ ฺ าณํ ฆานวิċċ ฺ าณํ ชิวหฺ าวิċċ
ฺ าณํ กายวิċċ
ฺ าณํ,
มโนธาตุ มโนวิญċ ฺ าณธาตุ;
จักขุวญ
ิ ญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
มโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ;
อิเม ธมฺมา จิตตฺ า.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นจิต.
[๑๕๒๘] กตเม ธมฺมา โนจิตตฺ า?
[๑๕๒๘] ธรรมไม่เป็นจิตเป็นไฉน?
เวทนากฺขนฺโธ สċฺċากฺขนฺโธ สํขารกฺขนฺโธ, รูปċฺจ นิพพฺ านċฺจ;
747
[๑๕๕๑] อุปาทินนธรรมเป็นไฉน?
ตีสุ ภูมสี ุ วิปาโก; ยċฺจ รูปํ กมฺมสฺส กตตฺตา;
วิบากในภูมิ ๓ และรูปทีก่ รรมแต่งขึน้ ;
อิเม ธมฺมา อุปาทินนฺ า.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าอุปาทินนธรรม.
[๑๕๕๒] กตเม ธมฺมา อนุปาทินนฺ า?
[๑๕๕๒] อนุปาทินนธรรมเป็นไฉน?
ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ, อกุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ, ยċฺจ รูปํ น กมฺมสฺส
กตตฺตา, จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา, จตฺตาริ จ สามċฺผลานิ นิพพฺ านċฺจ;
กุศลในภูมิ ๓ อกุศล กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทีก่ รรมมิได้แต่งขึน้
มรรค ๔ ทีเ่ ป็นโลกุตตระ สามัญผล ๔ และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา อนุปาทินนฺ า.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าอนุปาทินนธรรม.
มหันตรทุกะจบ.
๑๑. อุปาทานโคจฉก.
๑. อุปาทานทุกะ.
[๑๕๕๓] กตเม ธมฺมา อุปาทานา?
[๑๕๕๓] อุปาทานธรรมเป็นไฉน?
จตฺตาริ อุปาทานานิ กามุปาทานํ: ทิฏĘุปาทานํ สีลพฺพตุปาทานํ อตฺตวาทุปาทานํ
กามุปาทานํ.
อุปาทาน ๔ คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลพั พตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน.
อฏฺĘสุ โลภสหคเตสุ จิตตฺ ปุ ปฺ าเทสุ อุปปฺ ชฺชติ,
กามุปาทานบังเกิดในจิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโลภะ ๘ ดวง,
ทิฏĘฺ ปุ าทานċฺจ สีลพฺพตุปาทานċฺจ อตฺตวาทุปาทานċฺจ จตูสุ ทิฏĘฺ คิ ตสมฺป-
ยุตเฺ ตสุ จิตตฺ ปุ ปฺ าเทสุ อุปปฺ ชฺชนฺต;ิ
ทิฏฐุปาทาน สีลพั พตุปาทาน และอัตตวาทุปาทานบังเกิดในจิตตุปบาท
754
๓. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ.
[๑๕๕๗] กตเม ธมฺมา อุปาทานสมฺปยุตตฺ า?
[๑๕๕๗] ธรรมสัมปยุตด้วยอุปาทานเป็นไฉน?
จตฺตาโร ทิฏĘฺ คิ ตสมฺปยุตตฺ โลภ สหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา,
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโลภะสัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง,
จตฺตาโร ทิฏĘฺ คิ ตวิปปฺ ยุตตฺ โลภสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา,
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง,
เอตฺถปุ ปฺ นฺนํ โลภํ Ęเปตฺวา อิเม;
เว้นโลภะทีบ่ งั เกิดในจิตตุปบาทเหล่านีเ้ สีย;
ธมฺมา อุปาทานสมฺปยุตตฺ า.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมสัมปยุตด้วยอุปาทาน.
[๑๕๕๘] กตเม ธมฺมา อุปาทานวิปปฺ ยุตตฺ า?
[๑๕๕๘] ธรรมวิปปยุตจากอุปาทานเป็นไฉน?
จตูสุ ทิฏĘฺ คิ ตวิปปฺ ยุตตฺ โลภสหคเตสุ จิตตฺ ปุ ปฺ าเทสุ อุปปฺ นฺโน โลโภ,
โลภะซึง่ เกิดในจิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโลภะวิปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง, เทฺว
โทมนสฺสสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา,
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโทมนัสสเวทนา ๒ ดวง,
วิจกิ จิ ฉฺ าสหคโต จิตตฺ ปุ ปฺ าโท,
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยวิจกิ จิ ฉา,
อุทธฺ จฺจสหคโต จิตตฺ ปุ ปฺ าโท,
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยอุทธัจจะ,
จตูสุ ภูมสี ุ กุสลํ จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ รูปċฺจ
นิพพฺ านċฺจ;
กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา อุปาทานวิปปฺ ยุตตฺ า.
756
๔. กิเลสสัมปยุตตทุกะ.
[๑๕๗๑] กตเม ธมฺมา กิเลสสมฺปยุตตฺ า?
[๑๕๗๑] ธรรมสัมปยุตด้วยกิเลสเป็นไฉน?
ทฺวาทส อกุสลจิตตฺ ปุ ปฺ าทา; อิเม ธมฺมา กิเลสสมฺปยุตตฺ า.
อกุศลจิตตุปบาท ๑๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมสัมปยุตด้วยกิเลส.
[๑๕๗๒] กตเม ธมฺมา กิเลสวิปปฺ ยุตตฺ า?
[๑๕๗๒] ธรรมวิปปยุตจากกิเลสเป็นไฉน?
จตูสุ ภูมสี ุ กุสลํ, จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ รูปċฺจ
นิพพฺ านċฺจ;
กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา กิเลสวิปปฺ ยุตตฺ า.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมวิปปยุตจากกิเลส.
๕. กิเลสสังกิเลสิกทุกะ.
[๑๕๗๓] กตเม ธมฺมา กิเลสา เจว สํกเิ ลสิกา จ?
[๑๕๗๓] ธรรมเป็นกิเลส และเป็นอารมณ์ของสังกิเลสเป็นไฉน?
เตว กิเลสา กิเลสา เจว สํกเิ ลสิกา จ.
กิเลสธรรมเหล่านัน้ ชือ่ ว่าธรรมเป็นกิเลสและเป็นอารมณ์ของสังกิเลส.
[๑๕๗๔] กตเม ธมฺมา สํกเิ ลสิกา เจว โน จ กิเลสา?
[๑๕๗๔] ธรรมเป็นอารมณ์ของสังกิเลส แต่ไม่เป็นกิเลสเป็นไฉน?
Ęเปตฺวา กิเลเส อวเสสํ อกุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ
กิรยิ าพฺยากตํ, สพฺพċฺจ รูป;ํ
อกุศลทีเ่ หลือ เว้นกิเลสทัง้ หลายเสีย กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๓ กิรยิ า
อัพยากฤตในภูมิ ๓ รูปทัง้ หมด;
อิเม ธมฺมา สํกเิ ลสิกา เจว โน จ กิเลสา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมเป็นอารมณ์ของสังกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส.
อสํกเิ ลสิกา ธมฺมา น วตฺตพฺพา กิเลสา เจว สํกเิ ลสิกา จาติปิ สํกเิ ลสิกา เจว
โน จ กิเลสาติป.ิ
762
[๑๕๗๘] ธรรมสัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลสเป็นไฉน?
Ęเปตฺวา กิเลเส อวเสสํ อกุสลํ;
อกุศลทีเ่ หลือ เว้นกิเลสทัง้ หลายเสีย;
อิเม ธมฺมา กิเลสสมฺปยุตตฺ เจว โน จ กิเลสา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมสัมปยุตด้วยกิเลสแต่ไม่เป็นกิเลส.
กิเลสวิปปฺ ยุตตฺ า ธมฺมา น วตฺตพฺพา กิเลสา เจว กิเลสสมฺปยุตตฺ า จาติป,ิ
ธรรมวิปยุตจากกิเลสจะกล่าวว่าธรรมเป็นกิเลส และสัปปยุตด้วยก็ไม่ได้,
กิเลสสมฺปยุตตฺ า เจว โน จ กิเลสาติป.ิ
ว่าเป็นธรรมสัมปปยุตด้วยกิเลส แต่ไม่เป็นกิเลสก็ไม่ได้.
๘. กิเลสวิปปยุตตสังกิเลสิกทุกะ.
[๑๕๗๙] กตเม ธมฺมา กิเลสวิปปฺ ยุตตฺ า สํกเิ ลสิกา?
[๑๕๗๙] ธรรมวิปปยุตจากกิเลส แต่เป็นอารมณ์ของสังกิเลสเป็นไฉน?
ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ สพฺพċฺจ รูป;ํ
กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๓ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทัง้ หมด;
อิเม ธมฺมา กิเลสวิปปฺ ยุตตฺ า สํกเิ ลสิกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมวิปปยุตจากกิเลสแต่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส.
[๑๕๘๐] กตเม ธมฺมา กิเลสวิปปฺ ยุตตฺ า อสํกเิ ลสิกา?
[๑๕๘๐] ธรรมวิปปยุตจากกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลสเป็นไฉน?
จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา จตฺตาริ จ สามċฺċผลานิ นิพพฺ านċฺจ;
มรรค ๔ ทีเ่ ป็นโลกุตตระ สามัญญผล ๔ และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา กิเลสวิปปฺ ยุตตฺ า อสํกเิ ลสิกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมวิปปยุตจากกิเลส และไม่เป็นอารมณ์ของ-
สังกิเลส.
กิเลสสมฺปยุตตฺ า ธมฺมา น วตฺตพฺพา กิเลสวิปปฺ ยุตตฺ า สํกเิ ลสิกาติป,ิ
ธรรมสัมปยุตด้วยกิเลสจะกล่าวว่าธรรมวิปปยุตจากกิเลส แต่เป็นอารมณ์-
ของสังกิเลสก็ไม่ได้,
กิเลสวิปปฺ ยุตตฺ า อสํกเิ ลสิกาติป.ิ
764
ว่าธรรมวิปปยุตจากกิเลส และไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลสก็ไม่ได้.
กิเลสโคจฉกะจบ.
๑๓. ปิฏฐิทกุ ะ.
๑. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ.
[๑๕๘๑] กตเม ธมฺมา ทสฺสเนน ปหาตพฺพา?
[๑๕๘๑] ธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณเป็นไฉน?
จตฺตาโร ทิฏĘฺ คิ ตสมฺปยุตตฺ า จิตตฺ ปุ ปฺ าทา,
จิตตุปบาททีส่ มั ปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง,
วิจกิ จิ ฉฺ าสหคโต จิตตฺ ปุ ปฺ าโท;
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยวิจกิ จิ ฉา;
อิเม ธมฺมา ทสฺสเนน ปหาตพฺพา.
ธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณ.
จตฺตาโร ทิฏĘฺ คิ ตวิปปฺ ยุตตฺ โลภสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา,
สภาวจิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง,
เทฺว โทมนสฺสสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา;
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโทมนัสสเวทนา ๒ ดวง,
อิเม ธมฺมา สิยา ทสฺสเนน ปหาตพฺพา สิยา นทสฺสเนน ปหาตพฺพา
สภาวธรรมเหล่านีท้ เ่ี ป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณก็มี ทีเ่ ป็นธรรม-
อันโสดาปัตติมรรคไม่ประหาณก็ม.ี
[๑๕๘๒] กตเม ธมฺมา นทสฺสเนน ปหาตพฺพา?
[๑๕๘๒] ธรรมอันโสดาปัตติมรรคไม่ประหาณเป็นไฉน?
อุทธฺ จฺจสหคโต จิตตฺ ปุ ปฺ าโท จตูสุ ภูมสี ุ กุสลํ, จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ
กิรยิ าพฺยากตํ รูปċฺจ นิพพฺ านċฺจ;
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยอุทธัจจะ กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔
กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา นทสฺสเนน ปหาตพฺพา.
765
๓. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ.
[๑๕๘๕] กตเม ธมฺมา ทสฺสเนน ปหาตพฺพเหตุกา?
[๑๕๘๕] ธรรมมีสมั ปยุตเหตุอนั โสดาปัตติมรรคประหาณเป็นไฉน?
766
๔. ภาวนายปหาตัพพเหตุกทุกะ.
[๑๕๘๗] กตเม ธมฺมา ภาวนาย ปหาตพฺพเหตุกา?
[๑๕๘๗] ธรรมมีสมั ปยุตตเหตุอนั มรรคเบือ้ งสูง ๓ ประหาณเป็นไฉน?
อุทธฺ จฺจสหคโต จิตตฺ ปุ ปฺ าโท เอตฺถปุ ปฺ นฺนํ โมหํ Ęเปตฺวา;
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยอุทธัจจะเว้นโมหะทีบ่ งั เกิดขึน้ ในจิตตุปบาทนีเ้ สีย;
อิเม ธมฺมา ภาวนาย ปหาตพฺพเหตุกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมมีสมั ปยุตตเหตุอนั มรรคเบือ้ งสูง ๓ ประหาณ.
จตฺตาโร ทิฏĘฺ คิ ตวิปปฺ ยุตตฺ โลภสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา,
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง,
เทฺว โทมนสฺสสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา;
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโทมนัส๒ ดวง;
อิเม ธมฺมา สิยา ภาวนาย ปหาตพฺพเหตุกา สิยา นภาวนาย ปหาตพฺพเหตุกา.
สภาวธรรมเหล่านีท้ เ่ี ป็นธรรมมีสมั ปยุตตเหตุอนั มรรคเบือ้ งสูง ๓ ประหาณ-
ก็มี ทีเ่ ป็นธรรมไม่มสี มั ปยุตตเหตุอนั มรรคเบือ้ งสูง ๓ ประหาณก็ม.ี
[๑๕๘๘] กตเม ธมฺมา นภาวนาย ปหาตพฺพเหตุกา?
[๑๕๘๘] ธรรมไม่มสี มั ปยุตตเหตุอนั มรรคเบือ้ งสูง ๓ จะประหาณเป็นไฉน?
จตฺตาโร ทิฏĘฺ คิ ตสมฺปยุตตฺ า จิตตฺ ปุ ปฺ าทา,
จิตตุปบาททีส่ มั ปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง,
วิจกิ จิ ฉฺ าสหคโต จิตตฺ ปุ ปฺ าโท,
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยวิจกิ จิ ฉา,
อุทธฺ จฺจสหคโต โมโห,
โมหะทีส่ หรคตด้วยอุทธัจจะ,
จตูสุ ภูมสี ุ กุสลํ, จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ, รูปċฺจ
นิพพฺ านċฺจ;
กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา นภาวนาย ปหาตพฺพเหตุกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่มสี มั ปยุตตเหตุอนั มรรคเบือ้ งสูง ๓
768
จะประหาณ.
๕. สวิตกั กทุกะ.
[๑๕๘๙] กตเม ธมฺมา สวิตกฺกา?
[๑๕๘๙] ธรรมมีวติ กเป็นไฉน?
กามาวจรกุสลํ, อกุสลํ กามาวจรกุสลสฺส วิปากโต เอกาทส จิตตฺ ปุ ปฺ าทา,
อกุสลสฺส วิปากโต เทฺว กิรยิ โต เอกาทส,
กามาวจรกุศล อกุศล จิตตุปบาทฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๑๑ ดวง ฝ่ายอกุศล-
วิบาก ๒ ดวง ฝ่ายกิรยิ า ๑๑ ดวง,
รูปาวจรํ ปĘมํ ฌานํ กุสลโต จ วิปากโต จ กิรยิ โต จ, โลกุตตฺ รํ ปĘมํ ฌานํ
กุสลโต จ วิปากโต จ เอตฺถปุ ปฺ นฺนํ วิตกฺกํ Ęเปตฺวา;
รูปาวจรปฐมฌานฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบากและกิรยิ า โลกุตตรปฐมฌานฝ่ายกุศล
ฝ่ายวิบาก เว้นวิตกทีบ่ งั เกิดในจิตตุปบาทเหล่านีเ้ สีย;
อิเม ธมฺมา สวิตกฺกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมมีวติ ก.
[๑๕๙๐] กตเม ธมฺมา อวิตกฺกา?
[๑๕๙๐] ธรรมไม่มวี ติ กเป็นไฉน?
เทฺว ปċฺจวิญċ ฺ าณานิ, รูปาวจรติกจตุกกฺ ชฺฌานา กุสลโต จ วิปากโต จ
กิรยิ โต จ, จตฺตาโร อารุปปฺ า กุสลโต จ วิปากโต จ กิรยิ โต จ, โลกุตตฺ รติก-
จตุกกฺ ชฺฌานา กุสลโต จ วิปากโต จ วิตกฺโก จ รูปċฺจ;
ปัญจวิญญาณทัง้ ๒ ฝ่าย ฌาน ๓ และ ๔ ทีเ่ ป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก
และ ฝ่ายกิรยิ า อรูป ๔ ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิรยิ า ฌาน ๓ และ ๔
ทีเ่ ป็นโลกุตตระฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบาก วิตก รูป และนิพพาน;
นิพพฺ านċฺจ อิเม ธมฺมา อวิตกฺกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่มวี ติ ก.
๖. สวิจารทุกะ.
[๑๕๙๑] กตเม ธมฺมา สวิจารา?
769
๗. สัปปีตกิ ะ.
[๑๕๙๓] กตเม ธมฺมา สปฺปตี กิ า?
[๑๕๙๓] ธรรมมีปตี เิ ป็นไฉน?
กามาวจรกุสลโต จตฺตาโร โสมนสฺสสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา, อกุสลโต จตฺตาโร,
กามาวจรกุสลสฺส วิปากโต ปċฺจ, กิรยิ โต ปċฺจ,
770
สพฺพċฺจ รูป;ํ
กามาวจรกุศล อกุศล วิบากแห่งกามาวจรทัง้ หมด กามาวจรกิรยิ า อัพยากฤต
และรูปทัง้ หมด;
อิเม ธมฺมา กามาวจรา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่ากามาวจรธรรม.
[๑๖๐๒] กตเม ธมฺมา น กามาวจรา?
[๑๖๐๒] ธรรมไม่เป็นกามาวจรเป็นไฉน?
รูปาวจรา อรูปาวจรา, อปริยาปนฺนา;
รูปาวจร อรูปาวจร โลกุตตระ;
อิเม ธมฺมา น กามาวจรา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เป็นกามาวจร.
๑๒. รูปาวจรทุกะ.
[๑๖๐๓] กตเม ธมฺมา รูปาวจรา?
[๑๖๐๓] รูปาวจรธรรมเป็นไฉน?
รูปาวจรจตุกกฺ ปċฺจกชฺฌานา กุสลโต จ วิปากโต จ กิรยิ โต จ;
ฌาน ๔ และ ๕ ทีเ่ ป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิรยิ า;
อิเม ธมฺมา รูปาวจรา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่ารูปาวจรธรรม.
[๑๖๐๔] กตเม ธมฺมา น รูปาวจรา?
[๑๖๐๔] ธรรมไม่เป็นรูปาวจรเป็นไฉน?
กามาวจรา อรูปาวจรา อปริยาปนฺนา;
กามาวจร อรูปาวจร โลกุตตระ;
อิเม ธมฺมา น รูปาวจรา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เป็นรูปาวจร.
๑๓. อรูปาวจรทุกะ.
[๑๖๐๕] กตเม ธมฺมา อรูปาวจรา?
776
[๑๖๐๕] อรูปาวจรธรรมเป็นไฉน?
จตฺตาโร อารุปปฺ า กุสลโต จ วิปากโต จ กิรยิ โต จ;
อรูป ๔ ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และกิรยิ า;
อิเม ธมฺมา อรูปาวจรา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าอรูปาวจรธรรม.
[๑๖๐๖] กตเม ธมฺมา น อรูปาวจรา?
[๑๖๐๖] ธรรมไม่เป็นอรูปาวจรเป็นไฉน?
กามาวจรา รูปาวจรา อปริยาปนฺนา;
กามาวจร รูปาวจร โลกุตตระ;
อิเม ธมฺมา น อรูปาวจรา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าธรรมไม่เป็นอรูปาวจร.
๑๔. ปริยาปันนทุกะ.
[๑๖๐๗] กตเม ธมฺมา ปริยาปนฺนา?
[๑๖๐๗] ปริยาปันนธรรม เป็นไฉน?
ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ, อกุสลํ, ตีสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ สพฺพċฺจ
รูป;ํ
กุศลในภูมิ ๓ อกุศล วิบากในภูมิ ๓ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓
และรูปทัง้ หมด;
อิเม ธมฺมา ปริยาปนฺนา
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าปริยาปันนธรรม.
[๑๖๐๘] กตเม ธมฺมา อปริยาปนฺนา?
[๑๖๐๘] อปริยาปันนธรรมเป็นไฉน?
จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา, จตฺตาริ จ สามċฺċผลานิ นิพพฺ านċฺจ;
มรรค ๔ ทีเ่ ป็นโลกุตตระ สามัญญผล ๔ และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา อปริยาปนฺนา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าอปริยาปันนธรรม.
777
๑๕. นิยยานิกทุกะ.
[๑๖๐๙] กตเม ธมฺมา นิยยฺ านิกา?
[๑๖๐๙] นิยยานิกธรรมเป็นไฉน?
จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา;
มรรค ๔ ทีเ่ ป็นโลกุตตระ;
อิเม ธมฺมา นิยยฺ านิกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่านิยยานิกธรรม.
[๑๖๑๐] กตเม ธมฺมา อนิยยฺ านิกา?
[๑๖๑๐] อนิยยานิกธรรมเป็นไฉน?
ตีสุ ภูมสี ุ กุสลํ. อกุสลํ, จตูสุ ภูมสี ุ วิปาโก, ตีสุ ภูมสี ุ กิรยิ าพฺยากตํ รูปċฺจ
นิพพฺ านċฺจ;
กุศลในภูมิ ๓ อกุศล วิบากในภูมิ ๔ กิรยิ าอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป
และนิพพาน;
อิเม ธมฺมา อนิยยฺ านิกา.
สภาวธรรมเหล่านีช้ อ่ื ว่าอนิยยานิกธรรม.
๑๖. นิยตทุกะ.
[๑๖๑๑] กตเม ธมฺมา นิยตา?
[๑๖๑๑] นิยตธรรมเป็นไฉน?
จตฺตาโร ทิฏĘฺ คิ ตสมฺปยุตตฺ า จิตตฺ ปุ ปฺ าทา,
จิตตุปบาททีส่ มั ปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง,
เทฺว โทมนสฺสสหคตา จิตตฺ ปุ ปฺ าทา;
จิตตุปบาททีส่ หรคตด้วยโทมนัสสเวทนา ๒ ดวง,
อิเม ธมฺมา สิยา นิยตา, สิยา อนิยตา, จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา;
สภาวธรรมเหล่านีท้ เ่ี ป็นนิยตธรรมก็มี ทีเ่ ป็นอนิยตธรรมก็มี มรรค ๔
ทีเ่ ป็นโลกุตตระ;
อิเม ธมฺมา นิยตา.
778
สัพพปัตติทานคาถา
ปุċċ
Ň สฺสทิ านิ กตสฺส ยานċฺċานิ กตานิ เม
เตสċŇจ ภาคิโน โหนฺตุ สตฺตานนฺตาปฺปมาณกา,
สัตวฺทง้ั หลายไม่มที ส่ี ดุ ไม่มปี ระมาณ, จงมีสว่ นแห่งบุญทีข่ า้ พเจ้าได้ทำในบัดนี,้
780
ปตฺตทิ านคาถา
ยา เทวตา สนฺติ วิหารวาสิน;ี ถูเป ฆเร โพธิฆเร ตหึ ตหึ,
เทวดาเหล่าใดมีปรกติอยูใ่ นวิหาร, สิงสถิตทีเ่ รือนสถูป ทีเ่ รือนโพธิต์ ลอด ณ
ทีแ่ ห่งนัน้ ,
781
พึงเว้นจากเปือกตมกล่าวคือ กาม.
ทุททฺ ฏิ Ęฺ ยิ า น ยุชเฺ ชยฺยํ สงฺยชุ เฺ ชยฺยํ สุทฏิ Ęฺ ยิ า
ปาเป มิตเฺ ต น เสเวยฺยํ เสเวยฺยํ ปณฺฑเิ ต สทา.
ขอให้ขา้ พเจ้าไม่พงึ ประกอบด้วยทิฏฐิชว่ั ; พึงประกอบในทิฏฐิทด่ี งี าม; ไม่พงึ คบ-
มิตรชัว่ พึงคบแต่บณ ั ฑิตทุกเมือ่ .
สทฺธาสติหโิ รตฺตปฺปา ตาปกฺขนฺตคิ ณ ุ ากโร
อปฺปสยฺโห ว สตฺตหู ิ เหยฺยํ อมนฺทมุยหฺ โก.
ขอให้ขา้ พเจ้าเป็นบ่อเกิดแห่งคุณ คือ ศัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ ความเพียร
และขันติ; พึงเป็นผูท้ ศ่ี ตั รูครอบงำไม่ได้; ไม่เป็นคนเขลาคนหลงงมงาย.
สพฺพายาปายุปาเยสุ เฉโก ธมฺมตฺถโกวิโท
เċยฺเย วตฺตตฺวสชฺชํ เม ċาณํ อเฆว มาลุโต.
ขอให้ขา้ พเจ้าเป็นผูฉ้ ลาดในอุบายแห่งความเสือ่ มและความเจริญ; เป็นผูเ้ ฉียบแหลม-
ในอรรถและธรรม; ขอให้ญาณของข้าพเจ้าเป็นไปไม่ขอ้ งขัดในธรรมทีค่ วรรู้
ดุจลมพัดไปในอากาศ ฉะนัน้ .
ยา กาจิ กุสลา มฺยาสา สุเขน สิชฌ ฺ ตํ สทา
เอวํ วุตตฺ า คุณา สพฺเพ โหนฺตุ มยฺหํ ภเว ภเว.
ความปรารถนาใด ๆ ของข้าพเจ้าทีเ่ ป็นกุศล ขอให้สำเร็จโดยง่ายทุกเมือ่ ; คุณทีข่ า้ พ-
เจ้ากล่าวมาแล้วทัง้ ปวงนีจ้ งมีแก่ขา้ พเจ้าทุก ๆ ภพ.
ยทา อุปปฺ ชฺชติ โลเก สมฺพทุ โฺ ธ โมกฺขเทสโก
ตทา มุตโฺ ต กุกมฺเมหิ ลทฺโธกาโส ภเวยฺยหํ.
เมือ่ ใดพระสัมพุทธเจ้าผูแ้ สดงธรรมเครือ่ งพ้นจากทุกข์เกิดขึน้ แล้วในโลก; เมือ่ นัน้ -
ขอให้ขา้ พเจ้าพ้นจากกรรมอันชัว่ ช้าทัง้ หลาย; เป็นผูไ้ ด้โอกาสแห่งการบรรลุธรรม.
มนุสสฺ ตฺตċฺจ ลิงคฺ ċฺจ ปพฺพชฺชċฺจปุ สมฺปทํ
ลภิตวฺ า เปสโล สีลี ธาเรยฺยํ สตฺถสุ าสนํ.
ขอให้ขา้ พเจ้าพึงได้ความเป็นมนุษย์; ได้เพศบริสทุ ธิ;์ ได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว-
เป็นคนรักศีลมีศลี ; ทรงไว้ซง่ึ พระศาสนาของพระศาสดา.
สุขาปฏิปโท ขิปปฺ า ภิċโฺ ċ สจฺฉกิ เรยฺยหํ
784