Professional Documents
Culture Documents
สื่อการสอนประเภทอุปกรณ์
สื่อการสอนประเภทอุปกรณ์
สื่อการสอนประเภทอุปกรณ์
เรื่อง สื่อการสอนประเภทอุปกรณ์
เสนอ
อาจารย์สุจิตตรา จันทร์ลอย
จัดทาโดย
นายพชระ มณีผล รหัสนักศึกษา 537190055
นางสาวจีระนันท์ ผันผาย รหัสนักศึกษา 537190065
นางสาวณัฐธิดา ทองเภา รหัสนักศึกษา 537190067
นางสาวนงลักษณ์ ศรีวิสุทธินันท์ รหัสนักศึกษา 537190072
นางสาวปนัดดา วงศ์ทองดี รหัสนักศึกษา 537190074
นางปัทมา ศิริฤกษ์ รหัสนักศึกษา 537190075
นางศิวิไล โมเล็ก รหัสนักศึกษา 537190082
รุ่นที่ 13 หมู่ 2
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา วิชานวัตกรรมและเทคโนโลยี
ทางการศึกษา รหัสวิชา GD 6108 ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู
มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553
คานา
รายงานฉบับนี้ได้นาเสนอเกี่ยวกับสื่อการสอนประเภทอุปกรณ์ หรือ โสตทัศนูปกรณ์ ประเภทของสื่อ
อุปกรณ์มี 3 ประเภท ได้แก่ เครื่องฉาย เครื่องอุปกรณ์แปลงสัญญาณ และเครื่องเสียง เครื่องฉาย เช่น เครื่อง
ฉายข้ามศีรษะ เครื่องฉายสไลด์ เครื่องฉายแอลซีดี เครื่องฉายดีวีดี เป็นต้น เครื่องอุปกรณ์แปลงสัญญาณ เช่น
เครื่องวิชวลไลเซอร์ เครื่องเล่นวีดิทัศน์ เครื่องเล่นวีซีดี และเครื่องเล่นดีวีดี เป็นต้น เครื่องเสียง ส่วนประกอบ
ของการขยายเสียงที่สาคัญประกอบด้วย ภาคสัญญาณเข้า ได้แก่ ไมโครโฟน ภาคขยายเสียง ได้แก่ เครื่องขยาย
เสียง และภาคสัญญาณออก ได้แก่ ลาโพง เป็นต้น โดยหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ครูผู้สอน ในการการจัด
การศึกษาดังกล่าวไปใช้กับผู้เรียนต่อไป
คณะผู้จัดทา
สารบัญ
หน้า
สื่อการสอนประเภทอุปกรณ์ 1
ประเภทของสื่ออุปกรณ์ 1
เครื่องฉาย 1
ส่วนประกอบของเครื่องฉาย 1
หลอดฉาย 1
แผ่นสะท้อนแสง 2
เลนส์ 2
จอ 2
หลักการของเครื่องฉาย 4
ตัวอย่างเครื่องฉาย 7
เครื่องฉายสไลด์ 7
เครื่องฉายข้ามศีรษะ 10
เครื่องอุปกรณ์แปลงสัญญาณ 13
เครื่องวิชวลไลเซอร์ 13
เครื่องเล่นวีซีดี 14
เครื่องเล่นดีวีดี 15
เครื่องวิดีโอโพรเจ๊กเตอร์ 16
เครื่องเสียง 19
ระบบขยายเสียง 19
องค์ประกอบของระบบขยายเสียง 19
ภาคสัญญาณเข้า 20
ไมโครโฟน 20
ภาคขยายสัญญาณ 26
เครือ่ งขยายเสียง 27
ภาคสัญญาณออก 29
ลาโพง 30
บทสรุป 31
สื่อการสอนประเภทอุปกรณ์
สื่อการสอนประเภทอุปกรณ์หรือที่เรียกว่าโสตทัศนูปกรณ์ (audio – visual equipments ) มีหน้าที่หลัก คือ
การฉายเนื้อหาทั้งที่เป็นภาพและตัวอักษรให้มีขนาดใหญ่ ขยายเสียงให้ดัง เพื่อให้ผู้เรียนรับรูและเรียนรู้ได้ชัดเจน
ยิ่งขึ้น ปัจจุบันอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้พัฒนาไปมากมีรูปลักษณะเล็กน้าหนักเบา แต่สามารถใช้งานได้หลายมิติ เช่น ต่อ
พ่วงกับอุปกรณ์อื่นได้หลายทาง ผสมผสานกับความก้าวหน้าของสื่อวัสดุที่มีศักยภาพในการบรรจุเนื้อหาข้อมูลได้
อย่างวิจิตรพิสดาร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบสนองความต้องการและอานวยความสะดวกในการรับรู้ของมนุษย์
ดังนั้นการนาอุปกรณ์เหล่านี้มาใช้ในกระบวนการเรียนการสอนจะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น โดย
ครูผู้สอนสามารถศึกษาหลักการและวิธีการใช้ได้ไม่ยากนัก
1. เครื่องฉาย ( Projectors )
2. เครือ่ งอุปกรณ์แปลงสัญญาณ ( Connected Equipment )
3. เครือ่ งเสียง ( Amplifiers )
เครื่องฉาย ( Projectors )
ส่วนประกอบของเครื่องฉาย
ข้อควรจาในเรื่องทฤษฎีเครื่องฉาย
1. การใส่ภาพในเครื่องฉายทุกประเภท ต้องใส่ภาพหัวกลับ
เครื่องฉายสไลด์
2. หลอดฉายในเครื่องฉายทั่ว ๆ ไป มีกาลังส่องสว่างตั้งแต่ 300 – 1,000 แรงเทียน หรือมีความร้อน
เท่ากับหลอดไฟฟ้าขนาด 100 แรงเทียน 3 – 10 ดวง รวมกัน ดังนั้นเพื่อป้องกันการชารุดของหลอดฉายจะต้อง
เปิดพัดลมระบายความร้อนในขณะใช้งานตลอดเวล า และต้องระบายอากาศจนมั่นใจว่าหลอดฉายเย็นจึงจะปิด
เครื่องฉาย
ตัวอย่างเครื่องฉาย
1. เครื่องฉายสไลด์
การใช้เครื่องฉายสไลด์
ในการใช้เครื่องฉายสไลด์เพื่อให้ได้ผลสมตามความมุ่งหมาย ควรดาเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. บรรจุสไลด์ลงในถาดกลมหรือกล่องสี่เหลี่ยมหรือกลักใส่ฟิล์ม โดยให้ด้านมันหันเข้าหาหลอดฉายและให้
ภาพอยู่ในลักษณะหัวกลับ ด้านที่มันน้อยกว่าหรือด้านหลังสไลด์จะหันเข้าหาจอภาพ
2. นาถาดหรือกล่องหรือกลักที่บรรจุสไลด์เรียบร้อยแล้วใส่หรือวางบนเครื่องฉาย ถ้าเป็นชนิดถาดกลม
แนวนอนให้หมายเลข 0 ที่ถาดใส่สไลด์ตรงกับเครื่องหมายในเครื่องฉาย แต่ถ้าเป็นถาดกลมแนวตั้งให้หมายเลข 1
ที่ถาดใส่สไลด์ตรงกับเครื่องหมายในเครื่องฉาย
3. เสียบปลั๊กไฟจากตัวเครื่องกับแหล่งจ่ายไฟ (บางเครื่องพัดลมจะทางานทันที)
4. ปิดหรือหรี่ไฟในห้องฉาย
5. เปิดสวิตช์พัดลมและสวิตช์หลอดฉาย
6. ปรับความชัดและขนาดของภาพที่ปรากฏบนจอตามต้องการ
7. ปรับระดับสูงต่าของภาพ พึงระวังภาพอาจผิดเพี้ยนเนื่องจากลาแสงจากเครื่องฉายไม่ตั้งฉากกับจอภาพ
8. เปลี่ยนสไลด์ภาพต่อไปตามลาดับ ถ้าเป็นเครื่องฉายชนิดธรรมดา เปลี่ยนภาพโดยดึงกลัก
ใส่สไลด์ออกทางด้านขวาของเครื่อง บรรจุสไลด์ภาพใหม่ลงไปแล้วผลักกลักนี้ไปในเครื่อง ก็จะได้
ภาพใหม่ปรากฏบนจอ ถ้าเป็นเครื่องชนิดอัตโนมัติเปลี่ยนภาพโดยกดปุ่มเปลี่ยนภาพที่เครื่องฉาย
หรืออาจใช้เครื่องบังคับสไลด์ (Remote Control) หรืออาจใช้การตั้งเวลาเพื่อเปลี่ยนสไลด์ภาพใหม่
9. เมื่อใช้สไลด์เสร็จแล้วควรปิดสวิตช์หลอดฉายทันที ปล่อยให้พัดลมทางานต่อไปจนกว่า
หลอดฉายจะเย็นจึงเปิดสวิตช์พัดลม
2.เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ
ภาพเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ
1. ลักษณะและคุณสมบัติเฉพาะ
1. ใช้สอนได้ทุกวิชา เพราะใช้แทนกระดานชอล์กได้
2. ห้องฉายไม่จาเป็นต้องควบคุมแสงสว่างมากนัก ห้องเรียนธรรมดาก็ฉายได้
ผู้เรียน สามารถเห็นภาพบนจอได้ชัดเจน
3. เครื่องฉายมีน้าหนักเบา ใช้และบารุงรักษาง่าย
4. สามารถตั้งไว้หน้าชั้นหรือที่โต๊ะบรรยาย เวลาสอนหรือบรรยาย ในขณะที่ใช้เป็นการ สะดวกในการ
สังเกตความสนใจของผู้เรียนเพื่อจะได้ปรับปรุงการสอนได้อย่างเหมาะสม
5. ประหยัดเวลาในการวาดรูปหรือเขียนคาอธิบาย เพราะผู้สอนสามารถวาด (หรือให้ผู้อื่นวาด)
หรือถ่าย (เหมือนถ่ายเอกสาร) หรือเขียนบนแผ่นโปร่งใสมาก่อนล่วงหน้า เวลาใช้นามาวางบนเครื่องฉายได้ทันที
6. สามารถแสดงการใช้แผ่นโปร่งใสให้เห็นเหมือนกับภาพเคลื่อนไหวได้ โดยใช้แผ่นโปร่งใส
ชนิดเคลื่อนไหวได้ (Motion or Polarized Transparency) วางบนเครื่องฉาย แล้วใช้กระจกตัดแสงอยู่ในกรอบกลม ๆ
เรียกว่า Polarizing Filter หรือ Polaroid Spinner โดยเปิดสวิทซ์ให้กระจกตัดแสงหมุนใต้เลนส์ฉาย ภาพที่ปรากฏบน
จอจะมีลักษณะเหมือนการเคลื่อนไหวได้ เช่น ภาพภูเขาไฟระเบิดการสูบฉีดโลหิตการทางานของเครื่องจักร
เครื่องยนต์
7. สามารถดัดแปลงการใช้แผ่นโปร่งใสจากการฉายครั้งละแผ่น เป็นการฉายครั้งละหลาย ๆ แผ่นซ้อนกัน
ซึ่งเรียกว่า Overlays 8) สามารถฉายวัสดุหรือเครื่องมือที่ทาด้วยวัสดุโปร่งใสได้ หรือวัสดุทึบแสงได้ ซึ่งจะให้ภาพ
เป็นภาพดาบนจอ ไม่แสดงรายละเอียดเหมือนวัสดุโปร่งใส จะเห็นเป็นเพียงรูปแบบของวัสดุ หรือเครื่องมือเท่านั้น
8. สามารถใช้แสดงการทดลองหรือสาธิต โดยนาวัสดุมาวางบนเครื่องฉายแผ่นโปร่งใส วางแผ่นโปร่งใส
บนแท่งแม่เหล็ก โรยผงตะไบเหล็กบนแผ่นโปร่งใส แล้วเคาะแผ่นโปร่งใส ภาพของสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นบนแผ่น
โปร่งใสจะปรากฏที่จอ
ภาพแสดงส่วนประกอบของเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ
2. ส่วนประกอบของเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ
เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะโดยทั่ว ๆ ไป จะมีส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ผู้ใช้เครื่องควรจะ ทราบไว้ เพื่อสามารถ
ใช้เครื่องฉายได้ถูกต้อง ดังนี้
1. หลอดฉาย (Projection Lamp) อยู่ภายในเครื่อง ทาหน้าที่ให้แสงสว่างมีกาลังส่องสว่างประมาณ 250-600
วัตต์ มีแผ่นสะท้อนแสงอยู่ภายในหลอด บางเครื่องอยู่ใต้หลอด ทาหน้าที่สะท้อนแสงจากหลอดฉายขึ้นไป ช่วยให้
แสงมีความเข้มมากขึ้น
2. เลนส์เฟรสนัล (Fresnel Lens) เป็นเลนส์ชนิดพิเศษเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมมีร่องคล้ายแผ่นเสียง ทาหน้าที่เกลี่ย
แสงจากหลอดฉายให้เสมอกันผ่านวัสดุฉายไปยังเลนส์ฉายพอดี
3. แท่นวางโปร่งใส (Platen) เป็นกระจกสาหรับวางแผ่นโปร่งใส ช่วยกรองความร้อนไม่ให้ผ่านมายังแผ่น
โปร่งใสมากเกินไป ซึ่งอาจทาให้แผ่นโปร่งใสเสียหายได้ อาจจะติดแผ่นกรองแสง (Glare Free) ใต้แท่นนี้ด้วยก็ได้
เพื่อให้ผู้ใช้มองแผ่นโปร่งใสได้สบายตาขึ้น
4. เลนส์ฉาย (Projection Lens) เป็นชุดของเลนส์นูน ทาหน้าที่รับแสงจากหลอดฉายซึ่งผ่านเลนส์เฟรสนัล
ผ่านวัสดุฉาย และขยายภาพออกสู่จอ ที่ด้านบนของเลนส์ฉายจะมีกระจกเงาราบ ทาหน้าที่สะท้อนแสงจากแนวดิ่ง
ให้กลับไปในแนวระดับสู่จอ สามารถยกให้สูงหรื อต่าได้เพื่อให้ภาพบนจอสูงขึ้นหรือต่าลง
5. ปุ่มปรับความชัด (Focusing Knob) ใช้สาหรับหมุนเพื่อให้เลนส์ฉายเลื่อนขึ้นเลื่อนลง ทาให้ภาพบนจอมี
ความคมชัด
6. พัดลม (Fan) ทาหน้าที่ระบายความร้อนภายในเครื่อง เหมือนเครื่องฉายอื่น ๆ การทางานของพัดลมใน
เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะบางชนิดใช้การควบคุมแบบเทอร์โมสตัท (Thermostat) คือ พัดลมจะทางานเองเมื่อเครื่อง
เริ่มร้อน และจะหยุดทางานเองเมื่อเครื่องเย็นลง
7. สวิทซ์สาหรับเปิดปิดหลอดฉาย บางเครื่องมีปุ่มสาหรับหรี่และเพิ่มความสว่างของหลอดฉายได้ด้วย
8. ปุ่มสาหรับเปิดฝาเวลาเปลี่ยนหลอด
เครื่องถ่ายทอดสัญญาณ
เครื่องถ่ายทอดสัญญาณ เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่รับสัญญาณภาพจากเครื่องแปลงสัญญาณเพื่อ
ถ่ายทอดขยายเป็นภาพขนาดใหญ่ขึ้นบนจอภาพ ตัวอย่างเช่น เครื่องวิดีโอ โพรเจ็กเตอร์จะรับสัญญาณจากเครื่อง
คอมพิวเตอร์เพื่อเสนอภาพขนาดใหญ่บนจอภาพ (แทนการเสนอบนจอมอนิเตอร์ของคอมพิวเตอร์) เพื่อให้ผู้เรียน
เห็นเนื้อหาได้อย่างทั่วถึง ดังนี้ เป็นต้น เครื่องถ่ายทอดสัญญาณจะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ควบคู่กับเครื่องแปลงสัญญาณ
เสมอโดยไม่สามารถนามาใช้เพียงลาพังได้
ประเภทของเครื่องแปลงและเครื่องถ่ายทอดสัญญาณ
เครื่องแปลงและเครื่องถ่ายทอดสัญญาณที่นามาใช้ในการเรียนการสอนมีดังนี้
1. เครื่องวิชวลไลเซอร์ (Visualizer)
เครื่องวิชวลไลเซอร์ เป็นเครื่องแปลงสัญญาณที่เสนอได้ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว โดยต้องต่อเครื่อง
วิชวลไลเซอร์กับจอมอนิเตอร์เพื่อเสนอภาพ หรืออาจต่อร่วมกับเครื่องแอลซีดี เพื่อถ่ายทอดสัญญาณเป็นภาพ
ขนาดใหญ่บนจอภาพ
หลักการทางานของเครื่องวิชวลไลเซอร์
จะเป็นการใช้กล้องถ่ายภาพของวัตถุเพื่อแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าก่อนที่จะแปลงกลับเป็นสัญญาณภาพอีก
ครั้งหนึ่ง การเสนอภาพนิ่งจะเป็นการวางวัสดุฉายลงบนแท่นฉายเพื่อให้กล้องที่อยู่เหนือแท่นฉายจับภาพวัสดุ โดย
สามารถใช้ฉายได้ทั้งวัสดุทึบแสง เช่น ภาพและข้อความบนสิ่งพิมพ์ วัสดุ 3 มิติ วัสดุกึ่งโปร่งแสงและ
โปร่งใส เช่น ฟิล์มสไลด์และแผ่นโปร่งใส และใช้เป็นกล้องโทรทัศน์วงจรปิด เพื่อเสนอภาพความเคลื่อนไหว
ภายในสถานที่นั้น
ประโยชน์ของเครื่องวิชวลไลเซอร์
การใช้เครื่องวิชวลไลเซอร์ในการเรียนการสอนมีประโยชน์ดังนี้
1. สามารถใช้ในการเสนอวัสดุได้ทุกประเภททั้งวัสดุทึบแสง วัสดุ 3 มิติ รวมถึงวัสดุกึ่งโปร่งแสง และวัสดุ
โปร่งใส
2. ใช้เป็นกล้องโทรทัศน์วงจรปิดเพื่อเสนอภาพวัตถุและการสาธิตภายในห้องเรียนได้
3. ให้ภาพที่ชัดเจน สามารถขยายภาพและข้อความจากสิ่งพิมพ์ให้อ่านได้อย่างทั่วถึง
4. สามารถใช้กล้องตัวรองเป็นกล้องวีดิทัศน์เคลื่อนที่ได้
ประโยชน์ของเครื่องเล่นวีซีดี
1. คุณภาพของภาพบนแผ่นวีซีดีให้ความคมชัด โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับแถบวีดิทัศน์
2. ไม่มีการยืดเหมือนแถบวีดิทัศน์
3. เครื่องเล่นวีซีดีสามารถเล่นได้ทั้งแผ่นซีดีและวีซีดี
4. ทาความสะอาดได้ง่ายหากเกิดความสกปรกบนแผ่น
ประโยชน์ของเครื่องเล่นดีวีดี
1. คุณภาพของภาพบนแผ่นดีวีดีให้ความคมชัดมาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับแถบวีดิทัศน์
2. ให้เสียงดอลบีเซอร์ราวด์ช่วยให้การชมภาพยนตร์มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
3. สามารถเลือกชมตอนใดของภาพยนตร์ก็ได้โดยไม่ต้องเรียงตามเนื้อเรื่อง
4. ไม่มีการยืดของแผ่นบันทึกเหมือนแถบเทป
5. หากเกิดความสกปรกบนแผ่นสามารถทาความสะอาดได้โดยง่าย
6. เครื่องเล่นสามารถเล่นได้ทั้งแผ่นซีดี แผ่นวีซีดี และแผ่นดีวีดี
5. เครื่องวิดีโอโพรเจ็กเตอร์ (Video Projector)
เครื่องวีดิโอโพรเจ็กเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดสัญญาณจากอุปกรณ์หลายประเภท เช่น
เครื่องวิชวลไลเซอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ และเครื่องเล่น ดีวีดีให้ปรากฏเป็นภาพขนาดใหญ่บนจอภาพ เครื่องวิดีโอ
โพรเจ็กเตอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันจะเป็นเครื่องแอลซีดีและเครื่องดีแอลพี
1) เครื่องแอลซีดี (LCD : Liquid Crystal Display) แอลซีดีเป็นเทคโนโลยีการแสดงผลที่ใช้พลังงานน้อยโดย
การใช้คริสทัลโมเลกุลอัดอยู่กลางระหว่างแผ่นกระจก โมเลกุลเหล่านี้จะมีการจัดเรียงตัวใหม่ ในลักษณะทึบแสง
เมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่านทาให้มองเห็นเป็นภาพหรือตัวหนังสือได้
เครื่องแอลซีดีเป็นเครื่องถ่ายทอดสัญญาณที่ใช้ต่อพ่วงต่อกับจอมอนิเตอร์ของคอมพิวเตอร์ เครื่องวิชวล
ไลเซอร์ เครื่องเล่นวีดิทัศน์ หรือเครื่องเล่นวีซีดี เพื่อเสนอภาพจากอุปกรณ์เหล่านั้นขยายขนาดใหญ่ขึ้นบน
จอภาพ เครื่องแอลซีดีมีลักษณะเครื่องอยู่ 3 ลักษณะ คือ
ก. แผงวางบนเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะเพื่ออาศัยแสงจากเครื่องฉายส่องผ่านขึ้นมาให้ปรากฏข้อมูลบนจอภาพ
ข. เครื่องแบบตั้งโต๊ะที่รวมลักษณะของแผง แหล่งจ่ายไฟ และ หลอดฉายอยู่ในเครื่องเดียวกัน
ค. เครื่องที่มีแหล่งแสงสีแดง เขียว และน้าเงินแยกจากกันในลักษณะ “ปืนอิเล็กทรอน” เพื่อยิงกระแสไฟไป
ยังคริสทัลโมเลกุล
เครื่องลักษณะนี้จะมีทั้งแบบตั้งโต๊ะและแบบแขวนติดเพดานตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ และเลนส์
ฉายอาจมีทั้งแบบเลนส์เดียวและแยกเป็น 3 เลนส์ ๆ ละสี ถ้าเป็นเครื่องที่มีเลนส์แยกสี 3 เลนส์ อาจเรียกอีกชื่อ
หนึ่งว่าเครื่องซีอาร์ที (CRT : Cathode Ray Tube) เครื่องแอลซีดีมีความคมชัดของภาพที่เสนอแตกต่างกันขึ้นอยู่
กับคุณภาพของเครื่องแต่ละรุ่นซึ่งมีตั้งแต่ 640 X 480, 800 X 600 และ 1,024 X 768 จุด
ระบบขยายเสียง
องค์ประกอบของระบบขยายเสียง
ไมโครโฟน
เป็นอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ ทาหน้าที่เปลี่ยนคลื่นเสียง (Sound wave) หรืออากาศจากแหล่งกาเนิดเสียง
เช่น เสียงพูด เสียงเพลง เสียงเครื่องดนตรี เป็นต้น ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าความถี่เสียง ไหลไปตามสายไมโครโฟนสู่
เครื่องขยายเสียง ชนิดของไมโครโฟน ที่แบ่งตามวัสดุที่ใช้ในไมโครโฟน มี 6 ชนิด คือ
1. ไมโครโฟนชนิดคาร์บอน (Carbon Microphone) ไมโครโฟนชนิดนี้ให้เสียงที่มีคุณภาพไม่ค่อยดี ปัจจุบัน
ใช้ในเครื่องโทรศัพท์เท่านั้น
เพื่อให้ไมโครโฟนสามารถทางานร่วมกับอุปกรณ์ในระบบขยายเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงควร
ต้องทราบข้อมูลของไมโครโฟนที่จะนามาใช้ดังนี้ คือ
1. อิมพีแดนซ์ (Impedance) หมายถึงตัวเลขที่บอกค่าความต้านทานของไมโครโฟนที่เกิดขี้นขณะที่มี
สัญญาณไฟฟ้าความถี่เสียง หรือกระแสสลับไหลผ่านมีหน่วยเป็นโอห์ม แบ่งเป็น 2 พวก คือ
1.1 อิมพีแดนซ์สูง หรือมีค่าความต้านทานสูง (High Impedance) จะมีค่าอยู่ในช่วง 5,10,50 หรือ
อาจถึง 100 กิโลโอห์ม (KQ) จะให้กาลังใจของสัญญาณออกมาต่า (Low Power Output) มีเสียงรบกวนได้ง่าย เช่น
เสียงฮัม ยิ่งถ้าต่อสายยาว ๆ หรือเกินกว่า 25 ฟุต ก็ยิ่งทาให้สูญเสียกาลังของสัญญาณมากขึ้น คุณภาพของเสียงจะ
ลดลงด้วย ใช้ต่อร่วมกับเครื่องขยายเสียงโดยต่อช่องที่ช่อง High
1.2 อิมพีแดนซ์ต่าหรือมีค่าความต้านทานต่า(Low Impedance) มีค่าอิมพีแดนซ์อยู่ในช่วง 200 ถึง
600 โอห์มซึ่งมีคุณภาพดีให้กาลังของสัญญาณออกสูง (High Power Output) ไม่มีเสียงรบกวนสามารถใช้กับสาย
ยาว ๆ ได้แต่จะมีความไวในการรับเสียงต่าใช้ต่อร่วมกับเครื่องขยายเสียงที่ช่อง Low Impedance
2. ผลในการตอบสนองความถีของเสียง (Frequency Response) คือความสามารถของไมโครโฟนในการรบ
ความถี่ของคลื่นเสียงได้กว้างและมีความเรียบมากน้อย ซึ่งไมโครโฟนแต่ละชนิดก็จะออกแบบมาเพื่อใช้ในลักษณะ
งานต่าง ๆ กัน ฉะนั้น จึงมีความสามารถในการตอบสนองความถี่ต่าง ๆกัน มีหน่วยเป็น เฮิรตซ์ (Hertz: Hz) เช่น
ไมโครโฟน สาหรับพูดในที่ชุมนุมชน ประกาศ สั่งงาน การเรียนการสอนในห้องเรียน จะใช้ช่วงการตอบสนอง
ความถี่ต่า ๆ และแคบ ๆ ก็พอ เช่น 300-5,000 เฮิรตซ์ แต่ถ้าต้องการคุณภาพของเสียงเรียบและแยกความถี่ได้กว้าง
ขึ้น ควรอยู่ในช่วง 70-10,000 เฮิรตซ์ ถ้าต้องการคุณภาพของเสียงที่ดีเยี่ยมนอกจากเสียงพูดแล้ว ยังมีเสียงดนตรีด้วย
ควรต้องใช้ไมโครโฟนที่ให้ผลตอบสนองความถี่ที่กว้างและเก็บความถี่ได้ละเอียดยิ่งขึ้น ควรอยู่ในช่วง 50-15,000
เฮิรตซ์ แต่ราคาก็จะค่อนข้างแพงตามคุณภาพไปด้วย
3. ความไวในการรับเสียงของไมโครโฟน(Sensitivity) คือความสามารถในการรับความแรงของคลื่นเสียง
ที่มาจากแหล่งกาเนิดเสียงจากระยะทางใกล้ไกลต่าง ๆ กัน นั่นเองไมโครโฟนที่มีความไวสูงจะสามารถรับเสียงเบา
ๆ และอยู่ไกลออกไปได้ไมโครโฟนความไวต่า ต้องป้อนคลื่นเสียงดัง ๆ และใกล้ ๆ มีหน่วยเป็น เดซิเบล (Decibel:
dB) โดยวัดจากสัญญาณที่ได้ออกจากไมโครโฟนผ่านไปเข้าเครื่องขยายเสียง เช่น -90 dB -60dB -45dB เป็นต้น
ค่าติดลบมาก จะมีความไวกว่า ค่าติดลบน้อย เช่น -90dB มีความไวต่ากว่า -60dB เป็นต้น
วิธีใช้และรักษาไมโครโฟน
เลือกไมโครโฟนชนิดที่เหมาะสมกับสถานการณ์โดยพิจารณาทั้งในเรื่องทิศทางการรับเสียง ช่วงการ
ตอบสนองความถี่เสียงความไวในการรับเสียงและลักษณะการใช้งาน
ระยะห่างจากไมโครโฟนถึงผู้พูด ถ้าเป็นไมโครโฟนที่มีความไวต่อการรับเสียงมากควรอยู่ห่างประมาณ 4
นิ้ว ถึง 1 ฟุต หากใกล้มากจะทาให้เสียงเพี้ยนหรือฟังไม่รู้เรื่อง
อย่าเคาะหรือเป่าไมโครโฟนเป็นอันขาด อาจทาให้ไมโครโฟนขาดชารุด และระวังอย่าให้ล้มหรือตกหล่น
จากที่สูง และระวังอย่าให้ถูกน้า
อย่าวางสายไมโครโฟนควบคู่หรือใกล้ชิดหรือตัดผ่านกับสายไฟฟ้ากระแสสลับ ( AC. Cord) เพราะจะทา
ให้มีสัญญาณความถี่ของกระแสไฟฟ้าไปรบกวนสัญญาณเสียง
ขณะใช้ไมโครโฟน หากมีเสียงหวีดหรือเสียงหอน อาจเป็นเพราะใช้ไมโครโฟนใกล้กับลาโพงมากเกินไป
หรืออาจจะหันด้านหน้าของไมโครโฟนไปตรงกับทิศทางด้านหน้าของลาโพง ทาให้เสียงเกิดการย้อนกลับ
(Feedback) ต้องเปลี่ยนตาแหน่งการตั้งไมโครโฟนใหม่ให้ถูกต้อง
การใช้ไมโครโฟนนอกสถานที่หรือกลางแจ้งมักจะมีเสียงรบกวนจากลมพัดและเสียงรอบข้างมาก
โดยเฉพาะไมโครโฟนที่มีความไวในการรับเสียงสูง ควรใช้อุปกรณ์กันเสียงรบกวน (Wind Screen) สวม
ป้องกัน จะทาให้เสียงมีความชัดเจนแจ่มใสมีคุณภาพดีขึ้น
ภาคขยายสัญญาณ (Amplifier)
ส่วนประกอบด้านหลังของเครื่องขยายเสียง ได้แก่
ส่วนประกอบด้านหน้าของเครื่องขยายเสียง ได้แก่
ชนิดของลาโพง
บทสรุป
บรรณานุกรม