Download as doc, pdf, or txt
Download as doc, pdf, or txt
You are on page 1of 3

Language Skill

Listening ( การฟัง)
ในหน่วยนี้จะเป็นการกล่าวถึงการฟังในระดับมัธยมศึกษาที่สอนเป็นภาษาที่สองหรือ
ภาษาต่างประเทศ โดยการสอนจะต้องดูทั้งทฤษฎีว่าด้วยการใช้มรรควิธีและการพัฒนาเทคนิคและ
สื่อการสอนสำาหรับสอนในห้องเรียน
Morley ได้กล่าวไว้ว่าสิ่งสำาคัญสำาหรับทักษะการฟัง คือ การพัฒนากิจกรรมและสื่อการ
สอน รวมถึง การพัฒนาตนเอง ( self-access) การพัฒนาการเรียนรู้การฟังด้วยตนเอง( self-study
listening program) แต่ในส่วนของ Peterson กล่าวไว้วา่ ทักษะการฟังขึ้นอยู่กับแบบฝึกหัดและ
กิจกรรมว่าจะแสดงออกอย่างไร เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ โดยอาจจะพัฒนาแบบ
bottom-up หรือ พัฒนาแบบ top-down ก็ได้
ต่อมาในช่วงประมาณ 30 ปีที่ผา่ นมา การเรียนรู้และการสอนทางด้านภาษาได้
เปลี่ยนแปลงไปในหลายทิศทาง โดยจะมีส่วนสำาคัญ 4 ส่วน คือ
1. การเรียนรู้ด้วยตนเอง
2. การฟังและการอ่านที่ไม่มีผู้มาตอบสนอง
3. การฟังอย่างเข้าใจแล้วจดจำา
4. ภาษาจริงๆที่ใช้ในการสื่อสารจริง
ด้วยสิ่งต่างๆเหล่านี้ ต่อมาในช่วงประมาณปี 1970 ก็เริ่มให้ความสำาคัญกับทักษะการฟังและทักษะ
อื่นๆมากขึ้นเพื่อว่าจะได้มีความเข้าใจในการเรียนภาษาที่สองได้มากขึ้นนั่นเอง
( Aural comprehension in S/FL acquisition became an important area of study ) และ
นอกจากนี้มันก็จะไปสัมพันธ์ต่อการเรียนรูค้ ำาศัพท์ โครงสร้าง และการสื่อสารอื่นๆด้วย
ในช่วงก่อนหน้านี้ การฟังมักจะเป็นการฟังแบบฟังฝ่ายเดียว เช่นการฟังการออกเสียง
ฟังคำาศัพท์ ซึ่งเราเรียกการฟังแบบนี้ว่าการฟังแบบ ( Passive) โดยจะเน้นการฟังช้าๆ และสมำ่าเสมอ
ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบัน เพราะปัจจุบันจะเน้นการฟังอย่างเข้าใจ โดยสามารถแยกออกได้เป็น 4 แบบ
ดังนี้
1. การฟังแล้วพูดตาม ( Listening and Repeating )
2. การฟังแล้วตอบคำาถาม( Listening and Answering Comprehension Questions)
3. การฟังเรื่องหรือข้อมูล ( Task Listening )
4. การฟังแล้วคิดวิเคราะห์ตามและโต้ตอบกลับได้ ( Interactive Listening)
ต่อมา Anderson และ Lynch ได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการฟังให้เกิดประสิทธิภาพไว้ว่า ถ้า
จะให้ประสบผลสำาเร็จในการฟังจะต้องเป็นการฟังที่ต้องให้ผู้ฟัง ฟังแล้วสามารถตอบโต้ออกไป
ได้ดว้ ย ซึ่งเราเรียกว่า active receptive skill ซึ่งจะเกิดประสิทธิภาพในการสื่อสารมากกว่าการฟัง
ฝ่ายเดียวโดยไม่สามารถตอบโต้หรือมีปฏิกิริยาใดๆออกไปได้ ( การฟังแบบ Passive act)
ลักษณะการฟังสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ
1. Bidirectional Listening คือ การฟังเพื่อการสื่อสารสองทางโดยจะมีผู้พูดและผู้ฟังสื่อสารกัน
โดยตรง เช่น เผชิญหน้ากันหรือพูดคุยโทรศัพท์กัน
2. Unidirectional Listening คือ การฟังเพื่อการสื่อสารทางเดียว คือมีเฉพาะนำาข้อมูลป้อนให้ผู้
ฟังอย่างเดียว เช่น การฟังเพลง ฟังข่าว ดูทวี ี ดูหนัง หรือการฝากข้อความกับโทรศัพท์ระบบ
อัตโนมัติ ( ผูฟ้ ังไม่สามารถตอบโต้กลับได้)
3. Autodirectional Listening คือ การสื่อสารที่มีทั้งผู้พูดผู้ฟังและปฏิกิริยาตอบโต้ของกันและ
กันครบถ้วน
ผูท้ ี่เรียนภาษาที่สองหรือภาษาต่างประเทศจะต้องเรียนรู้การฟังทั้งหมดเพื่อการพัฒนาที่มี
ประสิทธิภาพ
หน้าที่ของการฟัง มี 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
1. Transactional Listening คือ การใช้การฟังเพื่อการสื่อสารที่ถูกต้อง ทั้งโครงสร้าง ไวยากรณ์
และอื่นๆ โดยเน้นเพื่อการให้ข้อมูลต่างๆ เช่น การอธิบาย การบรรยาย การบอกเส้นทาง การ
ขอร้อง การสั่ง เป็นต้น ซึ่งเราเรียกว่า business type/message oriented
2. Interactional Listening คือ การใช้การฟังเพื่อการสื่อสารที่เน้นตัวบุคคลมากกว่าการให้
ข้อมูล โดยมักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกและปฏิกิริยาต่างๆเข้าไปด้วย ซึ่งเรา
เรียกว่า social type/person oriented
กระบวนการที่ครูจะสอนการฟังสามารถดูได้จากชาร์ดนี้

Interactional
Bottom-up Top-down
2
1
4
3

Transactional
สรุปการพัฒนาทักษะการฟัง สามารถแยกออกได้ดงั นี้
1. แบ่งตามข้อมูล
- การสื่อสารข้อมูลสองทาง( bidirectional)
- การสื่อสารทางเดียว ( unidirectional)
- การสื่อสารหลายทาง ( autodirectional)
2. แบ่งตามหลักภาษาศาสตร์
- การใช้การฟังที่เน้นเพื่อการให้ข้อมูล ( Transactional)
- การใช้การฟังที่เน้นตัวบุคคล( Interactional)
3. แบ่งตามกระบวนการ
- Top-down
- Bottom-up
สิ่งที่สำาคัญในการฟัง ได้แก่
1. Relevance คือ สิ่งที่บทเรียนการฟังนั้นต้องการสื่อ นัน ่ ก็คือ ข้อมูล ซึ่งสื่อสารแล้วจะต้อง
ได้ผลลัพธ์ ( outcome) ที่สามารถนำาไปใช้ได้
2. Transferability/applicability คือ การนำาเอาข้อมูลหรือผลลัพธ์ที่ได้จากการฟังมาใช้ซึ่ง
ต้องใช้ได้ทั้งใน และนอกชั้นเรียนซึ่งเราเรียกว่า การนำามาประยุกต์ใช้นั่นเอง
3. Task Orientation คือ การนำาเอาข้อมูลไปใช้ในการทำากิจกรรม เช่นการฟังแล้วตอบ
คำาถามจากข้อมูลนั้น หรือกิจกรรมอื่นๆเช่น เล่นเกม บทกลอน เรื่องขำาขันหรือเรื่องต่างๆที่
นักเรียนสนใจ
บทสรุป
ตั้งแต่ปี 1960 การให้ความสำาคัญกับความเข้าใจในการฟังของการเรียนและการสอนภาษา
จะค่อนข้างมีน้อยมาก แต่ต่อมาภายหลังเริ่มให้ความสำาคัญต่อการฟังมากขึน้ โดยเริ่มมีการใช้
สื่อการสอนและวิธีการมากขึ้น จนกระทั่งในปัจจุบันจะให้ความสำาคัญต่อการฟังอย่างมากโดย
ได้มีการเขียนหลักสูตรการสอนออกมาโดยมีทั้ง สื่อการสอนที่ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นหนังสือแบบ
เรียน เทป และอื่นๆ โดยผู้เขียนได้กล่าวไว้ว่าการฟังนั้นจะประสบผลสำาเร็จได้ไม่ใช่ว่าจะฝึกได้
ภายในครึ่งชั่วโมงหรือ 3 ครั้งต่อสัปดาห์แล้วจะเข้าใจ แต่ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
ทุกๆวันเพราะปัจจุบัน การฟังนัน้ ต้องมีเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการเรียนในโรงเรียน การ
สื่อสาร และการใช้ภาษาที่ถูกต้อง โดยจะต้องฟังทั้งแบบทางเดียว สองทาง หรือหลายทาง หรือ
ฟังแล้วจัดกิจกรรมและการฝึกรูปแบบต่างๆได้ โดยต้องคำานึงถึงว่าต้องคลอบคลุมผลลัพธ์
หน้าที่ทางภาษา กระบวนการและการถ่ายทอดความคิดจากการฟังนั้นด้วย

You might also like