สรุปวิชากฎหมายอาญา

You might also like

Download as doc, pdf, or txt
Download as doc, pdf, or txt
You are on page 1of 86

สรุปกฎหมายอาญา 1

อาญาหน่ ึง มาตราหลัก 59 ต้องจำาทุกวรรค มาตรารอง 60 6162 8384 85 86 ซ่ ึง


เป็ นหัวใจของกฎหมายอาญา
มาตราท่ีออกประจำา
1 7 8 59 60 62 68 71 72 80 82 83 84 86 90 137 138 157 161 177 188 210 264 265 267 268 288
289 290 291 295 297 309 310 326 334 335 336 337 339 340 341 352 357 358 364 365 391
มาตราท่ีออกครัง้เว้นครัง้
4 5 10 33 56 61 67 81 92 140 145 147 148 149 181 189 240 276 284 313 319 338 349 371 392
393
มาตราท่ีออกบางครัง้
7 ทวิ 11 23 27 29 32 38 55 58 69 88 89 95 136 139 142 144 146 172 175 180 190 191 193 200
204 208 213 217 218 233 247 260 282 293 294 296 300 301- 304 306 313 316 317 328 329 330
331 342 362 372 389 390
กฎหมายอาญา และกฎหมายละเมิด มีความแตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร
(แนวคำาถามใหม่)
1. วัตถุประสงค์
อาญา เพ่ ือลงโทษผู้กระทำาผิดเพ่ ือแก้ไขปรับปรุงผู้กระทำาความผิด ให้เป็ นคน
ดี การลงโทษทางอาญาเพ่ ือข่มขู่คนอ่ ืนไม่ให้เอาเย่ียงอย่าง เพ่ ือแก้แค้น
ทดแทน เพ่ ือตัดออกจากสังคม
ละเมิด เพ่ ือทดแทนความเสียหายให้แก่ผู้ได้รับความเสียหายให้กลับคืนสู่
ฐานะเดิมก่อนมีการทำาละเมิด
2. การยกเว้นความรับผิด
อาญา ความยินยอมไม่สามารถยกเว้นความรับผิดได้ เว้นแต่ความยินยอม
นัน
้ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม เช่น การชกมวย หรือการ
ผ่าตัดของแพทย์
ละเมิด ความยินยอมของผู้เสียหายเป็ นข้อแก้ตัวท่ีทำาให้ผู้กระทำาไม่ต้องรับ
ผิดชดใช้ความเสียหาย เพราะถือว่า ยอมรับผลเสียหายท่ีจะเกิดขึ้นแก่ตนเอง
(ฎ.613/10)
3. อายุ
อาญา อายุผู้กระทำาผิดมีส่วนเก่ียวข้องในการลงโทษทางอาญา หากผู้กระทำา
ความผิดอายุน้อย จะไม่มีการลงโทษตาม ปอ. ม.73 , 74
ละเมิด หากผู้กระทำาอายุน้อยไม่ต้องรับโทษทางอาญา และไม่ต้องชดใช้คา่
เสียหาย แต่ บิดามารดา หรือผู้ปกครองต้องรับผิดแทน ตาม ปพพ. ม.429
4. การตาย
อาญา หากผูก
้ ระทำาผิดตาย โทษเป็ นอันระงับตาม ปอ. ม.38
ละเมิด แม้ผู้กระทำาละเมิดตาย กองมรดกของผู้ตายไม่หลุดพ้นจากความรับ
ผิด
5. ความรับผิดอาญากับละเมิดท่ีสัมพันธ์กัน
อาญา เม่ ือเป็ นความผิดทางอาญาแล้ว จะเป็ นละเมิดอยู่ในตัว แต่มีบางความ
ผิดแม้ผิดทางอาญาแต่ไม่เป็ นละเมิด เช่น ผิดฐานเป็ นกบฏ หรือขับรถด้วย
ความเร็วสูง
ละเมิด หากเกิดละเมิดอาจเป็ นความผิดทางอาญา แต่กไ็ ม่เสมอไป เช่น
ทำาให้เสียทรัพย์โดยประมาทไม่ผิดกฎหมายอาญา ปอ. ม.358 แต่เป็ นละเมิด
ทางแพ่ง ปพพ. ม.420

กฎหมายอาญา
กฎหมายอาญาคืออะไร
กฎหมายอาญาใช้บังคับอย่างไร
กฎหมายอาญามีเอกลักษณ์อย่างไร
กฎหมายอาญาคืออะไร ? กฎหมายอาญา คือ กฎหมายท่ีบัญญัติว่า การกระ
ทำาหรือไม่กระทำาการอย่างใดเป็ นความผิด และกำาหนดโทษไว้
การกระทำา เช่น ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อ่ืนไป เป็ นความผิดฐานลักทรัพย์
การไม่กระทำา เช่น การไม่ช่วยผู้อ่ืนซ่ ึงตกอยู่ในภยันตรายแก่ชีวิต ปอ. ม.374
และ
โทษ ต้องเป็ นโทษท่ก
ี ำาหนดไว้ใน ปอ. ม.18 เท่านัน

กฎหมายอาญาใช้บังคับอย่างไร ? การใช้กฎหมายอาญา เราเรียกว่า
กระบวนการใช้บังคับของกฎหมาย
1. กฎหมายอาญา ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ต้องคำานึงถึง ป.วิอาญา
2. กระบวนการต้องรวดเร็ว คือ ลงโทษเร็ว
3. กระบวนการทางอาญาจะต้องพยายามหลีกเล่ียงการเอาผู้บริสุทธิม
์ าลงโทษ
ให้มากท่ีสุด
4. บุคคลต้องเสมอภาคกันในทางกฎหมาย
รัฐธรรมนูญ บัญญัติไว้ว่า “ผู้ต้องหาหรือจำาเลยในคดีอาญา ย่อมมีสิทธิท่ีจะ
ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐด้วยการจัดการหาทนายความให้”
กฎหมายอาญามีเอกลักษณ์อย่างไร ? คือ
ปอ. ม.2 บุคคลจักต้องรับโทษทางอาญาต่อเม่ ือได้กระทำาการอันกฎหมายท่ีใช้
ในขณะกระทิดนัน ้ บัญญัติเป็ นความผิดและกำาหนดโทษไว้ และโทษท่ีจะลงผู้
กระทำาความผิดต้องเป็ นโทษท่ีบัญญัติไว้ในกฎหมาย
รธน. ม.32 บุคคลจะไม่ต้องรับโทษทางอาญา เว้นแต่จะได้กระทำาการอัน
กฎหมายซ่ ึงใช้อยู่ในเวลากระทำานัน
้ บัญญัติเป็ นความผิดและกำาหนดโทษไว้
และโทษท่ีจะลงแก่บุคคลนัน ้ จะหนักกว่าโทษท่ก ี ำาหนดไว้ในกฎหมายท่ี
บัญญัติไว้ในขณะกระทำาความผิดมิได้
จาก 2 มาตรากฎหมายนี แ ้ ยกหลักได้ดังนี้
1 ผูก
้ ระทำาไม่ต้องรับผิดในทางอาญา หากการกระทำานัน
้ ไม่มีกฎหมายบัญญัติ
ไว้ในขณะกระทำาว่าเป็ น
ความผิด และกำาหนดโทษไว้
2 กฎหมายอาญาจะย้อนหลังให้เป็ นผลร้ายมิได้
3 ถ้อยคำาในกฎหมายอาญาต้องบัญญัติให้ชัดเจน
4 กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด
1. ผูก
้ ระทำาไม่ต้องรับผิดในทางอาญา หากการกระทำานัน
้ ไม่มีกฎหมาย
บัญญัติไว้ในขณะกระทำาว่าเป็ น
ความผิด และกำาหนดโทษไว้
ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ หากไม่มก ี ฎหมาย
ถาม ด.ญ.ดำา อายุยังไม่ครบ 13 ปี ตกลงยินยอมจะร่วมอยู่กินด้วยกันฉันสามี
ภริยากับนายขาว อายุ 19 ปี ด.ญ.ดำา จึงได้นำาความตกลงกันนีไ้ปบอกบิดา
มารดาของตน บิดามารดาบอก ด.ญ.ดำา ว่า ตามใจ เม่ ือเห็นดีเห็นชอบ
ด.ญ.ดำา จึงไปอยู่กินหลับนอนกับนายขาว เช่นสามีภริยาจนตัง้ครรภ์ ดังนี้
นายขาว ด.ญ.ดำา บิดามารดาของ ด.ญ.ดำา จะมีความผิดอาญาฐานใดบ้างหรือ
ไม่
ตอบ นายขาว มีความผิดตาม ปอ. ม.277 ฐานกระทำาชำาเรา ด.ญ.อายุไม่เกิน 13
ปี แม้ ด.ญ.นัน
้ จะยินยอมก็เป็ นความผิด เพราะนายขาว กระทำาในขณะท่ี
กฎหมายบัญญัติเป็ นความผิด และกำาหนดโทษไว้
ด.ญ.ดำา ไม่มค
ี วามผิด เพราะไม่มก
ี ฎหมายบัญญัติว่าเป็ นความผิด
ส่วนบิดามารดาของ ด.ญ.ดำา ไม่มค
ี วามผิด เพราะการท่ีบด
ิ ามารดา บอกไม่ใช่
การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกผู้กระทำาความผิด ตาม ปอ. ม.86 การท่ีเกิด
การกระทำาขึ้นก็ด้วยจากการตกลงใจของ ด.ญ.ดำา เอง ท่ีไปหานายขาว ไม่ใช่
การกระทำา ของบิดามารดา ด.ญ.ดำา (ผู้ช่วย 2504)
2. กฎหมายอาญาจะย้อนหลังให้เป็ นผลร้ายมิได้
1. หากในขณะกระทำาไม่มก
ี ฎหมายบัญญัติให้เป็ นความผิด ต่อมามีการออก
กฎหมายภายหลัง
จะถือว่า การกระทำานัน
้ เป็ นความผิดไม่ได้
2. หากขณะกระทำามีกฎหมายบัญญัติเป็ นความผิดและกำาหนดโทษไว้ ต่อมา
จะออกกฎหมาย
เพ่ิมโทษให้หนักขึ้นไม่ได้
หมายเหตุ
1. กฎหมายอาญา ย้อนหลังเป็ นผลดีได้
2. คำาว่า “ย้อนหลัง” เฉพาะโทษตาม ปอ. ม.18 แต่ถ้าเป็ นวิธีการเพ่ ือความ
ปลอดภัย มิใช่โทษ
สามารถย้อนหลังได้ วิธีการเพ่ ือความปลอดภัยตาม ปอ. ม.39 คือ
- กักกัน- ห้ามเข้าเขต- เรียกประกันทัณฑ์บน- คุมตัวไว้ในภานพยาบาล- ห้าม
ประกอบอาชีพบางอย่าง
3. ถ้อยคำาในกฎหมายอาญาต้องบัญญัติให้ชัดเจน
ต้องบัญญัติโดยแน่นอนปราศจากคลุ่มเครือ จะต้องให้คนรู้ล่วงหน้า
4. กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด
มีความหมายดังนี้
1. จะนำา กฎหมายใกล้เคียง มาใช้ให้เป็ นผลร้ายไม่ได้
2. จะนำา จารีตประเพณี มาใช้เป็ นผลร้ายไม่ได้
3. จะนำา หลักกฎหมายทัว่ไป มาใช้เป็ นผลร้ายไม่ได้
กฎหมายใกล้เคียง เช่น ก. ฆ่าตัวตาย แต่ไม่ตาย จะถือว่า ก. พยายามฆ่าตัว
เองโดยนำา ปอ. ม.288 (ผู้ใดฆ่าผู้อ่ืน) ประกอบ ปอ. ม.80 เพ่ ือลงโทษ ก. ไม่ได้
หรือ
ก. หลอกว่าจะให้เงิน ข. หาก ข. ขุดบ่อน้ำาให้แก่ ก. ต่อมา ข. ขุดบ่อน้ำาเสร็จแต่
ก. ไม่ยอมให้เงิน จะถือว่าผิด ปอ. ม.341 (ฉ้อโกง) ไม่ได้ เพราะส่ิงท่ี ก. ได้มิใช่
ทรัพย์สิน แต่อย่างไรก็ตามหาก ก. หลอกลวงบุคคลตัง้แต่ 10 คนขึ้นไป โดย
ไม่ใช้ค่าแรง หรือค่าจ้าง เป็ นความผิดตาม ปอ. ม.344
ฎ.3643/26 , 3710/41
การกระทำาท่ีจะเป็ นความผิดตาม ปอ. ม.217 จะต้องเป็ นการวางเพลิงเผาทรัพย์
ของผู้อ่ืนเท่านัน
้ เม่ ือข้อเท็จจริงได้ความว่า บ้านท่ีเกิดเพลิงไหม้ เป็ นบ้านท่ี
จำาเลยเป็ นเจ้าของร่วมกับนายรุ่ง ผู้เสียหาย แม้จะฟั งข้อเท็จจริงว่าจำาเลยเป็ น
ผู้วางเพลิง จำาเลยก็ไม่มีความผิดตาม ปอ. ม.218 เพราะ ปอ. ม.2 บัญญัติว่า “
บุคคลจักต้องรับโทษทางอาญาต่อเม่ ือ ได้กระทำาการอันกฎหมายท่ีใช้ขณะ
กระทำาบัญญัติเป็ นความผิดและกำาหนดโทษไว้” ดังนัน้ เม่ ือ ปอ. ม.217
บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่า การวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อ่ืนเป็ นความผิด โดย
ไม่มีข้อความว่าหรือผูอ
้ ่ ืนเป็ นเจ้าของร่วมอยู่ด้วยก็เป็ นความผิดแล้ว จะ
ตีความว่าทรัพย์สินของผู้อ่ืนให้ร่วมถึงทรัพย์สินท่ีผุ้อ่ืนเป็ นเจ้าของร่วมอยู่
ด้วย ย่อมไม่ได้ เพราะการตีความกฎหมายท่ีมีโทษทางอาญาต้องตีความโดย
เคร่งครัด จะขยายความออกไปถึงกรณีท่ีไม่ได้ระบุไว้โดยชัดแจ้ง เพ่ ือให้เป็ น
ผลร้ายแก่จำาเลยไม่ได้ เพราะขัดต่อ ปอ. ม.2 (แต่จำาเลยยังคงมีความผิดตาม
ปอ. ม.220 (ทำาให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆ จนน่าจะเป็ นอันตราย) และ ปอ.
ม.358 (ทำาให้เสียทรัพย์)
ข้อสังเกต
1. กฎหมายห้ามเฉพาะนำาบทกฎหมายใกล้เคียงมาใช้เป็ นผลร้าย แต่ไม่หา้ ม
นำามาใช้เป็ นผลดี เช่น ยกเว้นโทษ หรือลดหย่อนโทษ
2. ไม่ห้ามการตีความโดยขยายความออกไป แม้จะเป็ นผลร้ายก็ทำาได้
ฎ.877/01 การลักกระแสไฟฟ้ า ศาลได้ตีความคำาว่าทรัพย์ตาม ปอ. ม.334 ให้รวม
ถึง ทรัพย์สินด้วย ทัง้นีเ้พราะกระแสไฟฟ้ านัน
้ เป็ นวัตถุไม่มีรป
ู ร่าง ซ่ ึงอาจมี
ราคาและอาจถือเอาได้
ฎ.1880/42 การลักเอาสัญญาณโทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์ไปใช้ เพ่ ือประโยชน์ของ
จำาเลยโดยทุจริต เป็ นความผิดฐานลักทรัพย์ โดยได้อ้าง ฎ.877/01
ฎ.1/12 การท่จี ำาเลยใช้ไม้กระดานตีขวางห้องพิพาท ท่ีโจทก์ครอบครองขณะท่ี
โจทก์ไม่อยู่และปิ ดห้องไว้ ทำาให้โจทก์เข้าห้องไม่ได้ เป็ นการล่วงล้ำาเข้าไปใน
อำานาจการครอบครองของโจทก์ ถือได้วา่ เข้าไปกระทำาการรบกวนการครอบ
ครองของโจทก์โดยปกติสุขตาม ปอ. ม.362 (บุกรุก) แล้ว ศาลฎีกาได้ขยาย
ความถือว่า การท่ีจำาเลยได้ใช้ไม้กระดานตีขวางประตูเป็ นการเข้าไป
จารีตประเพณี จำานำาจารีตประเพณีมาใช้เป็ นผลร้ายไม่ได้ แต่ถ้านำามาใช้เป็ น
คุณไม่ต้องห้าม
หลักกฎหมายทัว่ไป จะนำาหลักกฎหมายทัว่ไปมาใช้เป็ นผลร้ายไม่ได้ แต่ถ้า
นำามาใช้เพ่ ือเป็ นคุณไม่ต้องห้าม เช่น หลักในเร่ ืองความยินยอม ซ่ ึงถือว่าเป็ น
หลักกฎหมายทัว่ไป ฎ.1403/08 สามารถใช้นำามายกเว้นความรับผิดบางกรณี
การยกเว้นถือว่าเป็ นคุณ เพราะผู้ทำาไม่ต้องรับโทษ
ปอ. ม.332 ในคดีหม่ินประมาท ซ่ ึงศาลมีคำาพิพากษาว่าจำาเลยมีความผิดศาลจะ
สัง่
(1) ให้ยึดหรือทำาลายวัตถุหรือส่วนของวัตถุท่ีมีข้อความหม่ินประมาท
(2) ให้โฆษณาคำาพิพากษาทัง้หมดหรือบางส่วนในหนังสือพิมพ์หน่ ึงฉบับหรือ
หลายฉบับ ครัง้หน่ ึงหรือ
หลายครัง้โดยให้จำาเลยชำาระค่าโฆษณา
ฎ.3/42 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปอ. ม.332 มิได้ให้อำานาจศาลสัง่โฆษณาคำาขออภัย
ของจำาเลย การท่ีศาลชัน้ ต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำาเลยโฆษณาคำาขอ
อภัยจึงเป็ นการลงโทษจำาเลย นอกเหนือจากท่ีกฎหมายบัญญัติไว้ ต้องห้าม
ตาม ปอ. ม.2 วรรคหน่ ึง
วิเคราะห์
1. การโฆษณาคำาขออภัยไม่ใช่โทษตาม ปอ. ม.18 เพราะโทษตาม ปอ. ม.2 ก็คือ
โทษตาม ปอ. ม.18
2. ถึงแม้ว่าไม่ขัด ปอ. ม.2 เพราะไม่ใช่โทษ แต่คดีนีก
้ ็ไม่ใช่ส่ิงท่ีกฎหมายให้
อำานาจไว้ และเป็ นการ
บังคับจำาเลยกระทำาในส่ิงท่ีกฎหมายมิได้ให้อำานาจศาล ท่ีจะบังคับ เพราะมี
หลักตาม รัฐธรรมนูญว่า การใดเป็ นการกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของ
ประชาชน เว้นแต่จะมีกฎหมายให้กระทำา
ปอ. ม.3 กฎหมายท่ีบัญญัติในภายหลังแตกต่างกับกฎหมายท่ีใช้ขณะกระทำา
ผิด หลักให้ใช้กฎหมายในส่วนท่ีเป็ นคุณไม่ว่าในทางใด
อย่างไรเรียกว่ากฎหมายท่ีเป็ นคุณ
1. ท่ีมีโทษเบากว่า ถือโทษลำาดับหลังตาม ปอ. ม.18
- ประหารชีวิต- จำาคุก- กักขัง- ปรับ- ริบทรัพย์
2. กฎหมายมีเหตุยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษ หรือลดโทษมากกว่า
3. กฎหมายท่ีไม่มีอัตราโทษขัน
้ ต่ำา จะเป็ นกฎหมายท่ีเป็ นคุณกว่า เช่น
กฎหมายเก่า ขัน
้ สูงไม่เกิน 5 ปี ขัน
้ ต่ำา 3 ปี
กฎหมายใหม่ ขัน
้ สูงไม่เกิน 5 ปี ไม่มีขัน
้ ต่ำา
ถือว่ากฎหมายใหม่เป็ นคุณ
4. กฎหมายท่ีให้เลือกลงโทษอย่างใดอย่างหน่ ึงตาม ปอ. ม.18 ได้เช่น
กฎหมายเก่า ระวางโทษทัง้จำาคุก และปรับ
กฎหมายใหม่ จำาคุก หรือปรับ
ถือว่ากฎหมายใหม่เป็ นคุณ เพราะเลือกท่ีจะจำาคุกหรือปรับก็ได้
5. กฎหมายท่ีมีอัตราโทษขัน
้ สูงต่ำากว่า
6. กฎหมายท่ีกำาหนดเง่ ือนไขในการดำาเนินคดีเข้มงวดกว่ากัน
กฎหมายเก่า ถือว่าเป็ นอาญาแผ่นดิน
กฎหมายใหม่ ถือว่าเป็ นความผิดอันยอมความได้
กฎหมายใหม่เป็ นคุณ
7. กฎหมายท่ีกำาหนอายุความฟ้ องร้องสัน
้ กว่า
ถาม ในคดีหน่ ึงโจทก์ย่ืนฟ้ องเม่ ือวันท่ี 24/2/14 ว่าจำาเลยทำาความผิดอาญาฐาน
หน่ ึง เม่ ือวันท่ี 1/1/13 จำาเลยให้การรับสารภาพในวันฟ้ องนัน
้ เอง ปรากกว่า
ตามกฎหมายท่ีใช้ในขณะกระทำานัน
้ ความผิดดังกล่าวมีอัตราโทษจำาคุกไม่
เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000.-บาท หรือทัง้จำาทัง้ปรับ ต่อมาก่อนฟ้ องมี
กฎหมายออกมาแก้อัตราโทษปรับไม่เกิน 5,000.-บาท ศาลพิพากษาลงโทษ
จำาเลยตามกฎหมายใหม่ ให้ปรับ 2,000.- บาท รับสารภาพลดโทษให้ก่ึงหน่ ึง
ท่านเห็นว่าถูกต้องหรือไม่
ตอบ ไม่ถูกต้อง เพราะเม่ ือพิจารณาตามอายุความฟ้ องร้องต้องถือเกณฑ์
อัตราโทษตามกฎหมายใหม่ท่ีเป็ นคุณมากกว่า ตาม ปอ. ม.3 คดีโจทก์ขาดอายุ
ความแล้ว ตาม ปอ. ม.95 (5) (หน่ ึงปี )
ถาม นายจรัล ทำาผิดฐานทำาร้ายร่างกายเม่ ือวันท่ี 5/1/03 ซ่ ึงตาม ปอ. ม.395 มี
อัตราโทษจำาคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 4,000.-บาท หรือทัง้จำาทัง้ปรับ ต่อ
มาเม่ ือวันท่ี 5/1/07 มีกฎหมายออกมาแก้ไขอัตราโทษเป็ น มีโทษจำาคุกไม่เกิน
1 ปี หรือปรับ 2,000.- บาท หรือทัง้จำาทัง้ปรับ ครันวันท่ี 5/1/09 นายจรัลถูกฟ้ อง
ในความผิดดังกล่าว หากท่านเป็ นทนายความของนายจรัล ท่านจะต่อสู้ไม่ให้
นายจรัลต้องรับอย่างไร ได้หรือไม่
ตอบ ถ้าข้าพเจ้าเป็ นทนายของนายจรัล จะต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความ เพราะคดี
นีต
้ ้องถือตามอัตราโทษตามกฎหมายใหม่ ตาม ปอ. ม.3 ดังนัน ้ ความผิดของ
นายจรัล จึงมีอายุความฟ้ องร้อง 5 ปี ตาม ปอ. ม.95 (4)
ฎ.86/47 ประเด็น ปอ. ม.3
ภายหลังจากท่ีจำาเลยท่ี 2 ทำาผิดคดีนี ม ้ .ร.บ.
ี พบัตรประจำาตัวประชาชน ฉบับ
ท่ี 2 ม.8 ให้ยกเลิกความผิดใน ม.14 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว โดยเปล่ียนแปลงองค์
ประกอบความผิดจากเดิม โดยกำาหนดให้ผก ู้ ระทำาความผิดต้องเป็ นผู้ไม่มี
สัญชาติไทย แก้เป็ นผู้ใด ซ่ ึงอาจจะเป็ นผู้มีสัญชาติไทยหรือไม่ก็ได้ การ
พิจารณาว่าการกระทำาของจำาเลยท่ี 2 เป็ นความผิดหรือไม่ต้องพิจารณาจาก
องค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ฯ เดิม ซ่ ึงเป็ นกฎหมายในขณะกระทำา
ความผิด ตาม ปอ. ม.2 เม่ ือคำาฟ้ องของโจทก์ปรากฏว่าจำาเลยท่ี 2 เป็ นผู้มี
สัญชาติไทย ฟ้ องโจทก์จึงขาดองค์ประกอบความผิด ถือว่าเป็ นฟ้ องท่ีไม่ชอบ
ด้วย ป.วิอาญา ม.158 (5) แม้จำาเลยท่ี 2 รับสารภาพก็ลงโทษไม่ได้
ฎ.5172/846 , ฎ.3747/46 , ฎ.3371/46
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ได้มี พรบ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับใหม่
โดยบัญญัติในความผิดฐานมียาบ้า โดยไม่ได้รับอนุญาตตาม ม.15 วรรคหน่ ึง
ทัง้กฎหมายเดิมและกฎหมายท่ีแก้ไขใหม่ คงใช้ข้อความทำานองเดียวกัน จึง
ต้องใช้กฎหมายเดิมบังคับแก่จำาเลยในส่วนนี้
ส่วนกำาหนดในโทษนัน ้ ตาม กฎหมายเดิม ตาม ม.61 มีระวางโทษจำาคุก
ตัง้แต่ 1-10 ปี ปละปรับตัง้แต่ 10,000 – 100,000.-บาท สำาหรับกฎหมายใหม่ ตาม
ม.67 มีระวางโทษจำาคุก 1- 10 ปี หรือปรับตัง้แต่ 20,000-200,000.- บาท หรือทัง้จำา
ทัง้ปรับ จะเห็นได้วา่ ทัง้กฎหมายเดิมและกฎหมายใหม่ตาม ม.67 มีระวาง
โทษจำาคุกเท่ากัน และแม้กฎหมายท่ีแก้ไขใหม่จะมีระวางโทษปรับสูงกว่า
กฎหมายเดิม แต่ก็เป็ นการบัญญัติลงโทษจำาคุกหรือปรับ ซ่ ึงแตกต่างกับ
กฎหมายเดิมท่ีให้จำาคุกและปรับเท่านัน ้ จึงต้องถือว่ากฎหมายระหว่างกระทำา
ผิดเป็ นคุณมากกว่า ในส่วนท่ีเป็ นโทษท่ีมีหลายสถานจะลงได้ แต่โทษปรับ
ตามกฎหมายท่ีใช้ขณะกระทำาความผิดเป็ นคุณมากว่า จึงต้องใช้กฎหมายใน
ส่วนท่ีเป็ นคุณแก่จำาเลยไม่วา่ ในทางใด ตาม ปอ. ม.3 ปั ญหาดังกล่าวเป็ นข้อ
กฎหมายเก่ียวด้วยความสงบเรียบร้อย
ขอบเขตการใช้กฎหมาย
หลักดินแดน หลักสากล หลักบุคคล
ปอ. ม.4 1. กระทำาความผิดในราชอาณาจักร 2. กระทำาความผิดในเรือไทย หรือ
อากาศยานไทย ไม่ว่าอยู่ ณ ท่ีใดปอ. ม.51. กระทำาความผิดส่วนหน่ ึงส่วนใด
ในราชอาณาจักร (วรรคแรก ส่วนท่ีหน่ ึง)2. ผลแห่งการกระทำาเกิดในราช
อาณาจักร โดยประสงค์ หรือ โดยลักษณะ หรือ เล็งเห็นได้วา่ ผลจะเกิดใน
ราชอาณาจักร (วรรคแรก ส่วนท่ีสอง)3. การตระเตรียมหรือพยายามกระ
ทำาความผิด ท่ีกฎหมายบัญญัติ เป็ นความผิด แม้จะกระทำานอก ราช
อาณาจักร ถ้าหากการกระทำา นัน้ จะได้กระทำาตลอดไปจนถึง ขัน ้ ความผิด
สำาเร็จ ผลจะเกิดใน ราชอาณาจักร (วรรค 2)ปอ. ม.61. ความผิดท่ีได้กระทำาใน
ราชอาณา จักร หรือ ถือว่าได้กระทำาใน ราชอาณาจักร 2. แม้การกระทำาของผู้
เป็ น ตัวการ ด้วยกัน ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน จะได้ กระทำานอกราชอาณาจักร ให้
ถือ ว่า ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ได้ กระทำาในราชอาณาจักร ปอ. ม.7 กระทำา
ความผิดนอกราชอาณาจักรดังนีต
้ ้องรับโทษในราชอาณาจักร 1. ความผิด
เก่ียวกับความมัน
่ คง 2. ความผิดเก่ียวกับการก่อการร้าย 3. ความผิดเก่ียวกับ
การปลอมแปลง 4. ความผิดเก่ียวกับเพศ 5. ความผิดเก่ียวกับการชิงทรัพย์
หรือปล้นทรัพย์ ปอ. ม.8 กระทำาความผิดนอกราชอาณาจักรก. ผูก
้ ระทำาความ
ผิดเป็ นคนไทย รัฐบาลแห่งประเทศท่ีความผิดได้ เกิดขึ้น หรือผู้เสียหายได้
ร้องขอ ให้ลงโทษ ข. ผู้กระทำาความผิดเป็ นคนต่างด้าว รัฐบาลไทย หรือคน
ไทยเป็ นผู้ เสียหาย และผู้เสียหายได้ร้องขอ ให้ลงโทษถ้าเป็ นความผิดดังนี้
ต้องรับโทษในราชอาณาจักร 1. ก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน 2. ความผิด
เก่ียวกับเอกสาร 3. ความผิดเก่ียวกับเพศ 4. ความผิดต่อชีวิต 5. ความผิดต่อ
ร่างกาย 6. ความผิดฐานทอดทิง้เด็ก คนเจ็บ ป่ วย คนชรา 7. ความผิดต่อ
เสรีภาพ 8. ความผิดฐานลัก/วิงราวทรัพย์9. ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ รีดเอา
ทรัพย์ ชิง / ปล้นทรัพย์ 10. ความผิดฐานฉ้อโกง 11. ความผิดฐานยักยอก 12.
ความผิดฐานรับของโจร 13. ความผิดฐานทำาให้เสียทรัพย์ปอ. ม.9 จพง.ของ
รัฐบาลไทยกระทำาความผิดต่อตำาแหน่งหน้าท่ีราชการหรือหน้าท่ีในการ
ยุติธรรม นอกราชอาณาจักร ต้องรับโทษในราชอาณาจักร
หลักดินแดน
คือ การกระทำาความผิดท่ีเกิดในราชอาณาจักรไทย ต้องรับโทษตามกฎหมาย
ไทย หลักดินแดนมีบัญญัติใน 3 มาตราด้วยกัน
ปอ. ม.4 “ผู้ใดกระทำาความผิดในราชอาณาจักรต้องรับโทษตามกฎหมาย
การกระทำาความผิดในเรือไทย หรืออากาศยานไทย ไม่ว่าจะอยู่ ณ ท่ีแห่งใด
ให้ถือว่ากระทำาความผิดในราชอาณาจักร”
ปอ. ม.5 “ความผิดใดท่ีการกระทำาแม้แต่ส่วนหน่ ึงส่วนใดได้กระทำาในราช
อาณาจักรก็ดี ผลแห่งการกระทำาเกิดในราชอาณาจักร โดยผู้กระทำาประสงค์
ให้ผลนัน ้ เกิดในราชอาญาจักร หรือโดยลักษณะแห่งการกระทำา ผลท่ีจะเกิด
ขึ้นนัน
้ ควรเกิดในราชอาณาจักร หรือย่อมจะเล็งเห็นได้ว่าผลนัน
้ จะเกิดในราช
อาณาจุกรก็ดี ให้ถือว่าความผิดนัน้ ได้กระทำาในราชอาณาจักร”
ปอ. ม.6 “ความผิดท่ีได้กระทำาในราชอาณาจักร หรือท่ีประมวลกฎหมายนี้
ถือว่าได้กระทำาในราชอาณาจักร แม้การกระทำาของผู้เป็ นตัวการด้วยกัน ของ
ผู้สนับสนุน หรือของผู้ใช้ให้กระทำาความผิดนัน ้ ได้กระทำานอกราชอาณาจักร
ก็ให้ถือว่าตัวการ ผู้สนับสนุน หรือผู้ใช้ให้กระทำา ได้กระทำาในราช
อาณาจักร”
การกระทำาความผิดในราชอาณาจักร แบ่งได้เป็ น
1. การกระทำาความผิดในราชอาณาจักร โดยแท้ ตาม ปอ. ม.4 วรรคแรก
2. การกระทำาความผิดนอกราชอาณาจักร แต่กฎหมาย ถือว่าเป็ นการกระทำา
ความผิดในราชอาณาจักร
การกระทำาความผิดในราชอาณาจักรโดยแท้
1. ราชอาณาจักร หมายถึง พ้ืนดิน อากาศเหนือพ้ืนดิน เขตพ้ืนน้ำา อากาศ
เหนือพ้ืนน้ำา ซ่ ึงเป็ นเขตของประเทศไทย
2. การกระทำาความผิดในราชอาณาจักรตาม ปอ. ม.4 วรรคแรก คือการกระทำา
ทัง้หมดท่ีเป็ นความผิดมิใช่ส่วนหน่ ึงส่วนใด
ตัวอย่าง แดงต้องการยิงดำา การกระทำาความผิดของแดง เร่ิมต้นท่ีเล็งปื นไปท่ี
ดำาแล้วลัน
่ ไกกระสุนถูกดำา ถือว่าขัน
้ ตอนการกระทำาดังกล่าวเสร็จสิน
้ หาก
เกิดในราชอาณาจักรทัง้หมด เป็ นกรณีตาม ปอ. ม.4 วรรคแรก คือกระทำา
ความผิดในราชอาณาจักร
ตัวอย่าง แดงเล็งปื นจะยิงดำาซ่ ึงอยู่ในเขตประเทศลาว แต่ถูกตำารวจจับได้เสีย
ก่อนท่ีจะยิง ถือว่า การพยายามจะกระทำาความผิดของแดง ทำาในราช
อาณาจักรไทยแล้ว ตาม ปอ. ม.4 วรรคแรก
3. การกระทำาความผิดตาม ปอ. ม.4 วรรคแรก ไม่คำานึงสัญชาติของผู้เสียหาย
และผู้กระทำาความผิด และแม้จะเกิดในเรือหรืออากาศยานต่างประเทศหาก
จอดอยู่ในประเทศไทย คนกระทำาความผิดต้องรับโทษตามกฎหมายไทย
ตัวอย่าง คนอังกฤษลักทรัพย์คนอิตาลี ในอากาศยานอิตาลี ท่ีจอดพักเติม
น้ำามันท่ีกรุงเทพ ถือว่าผิดตาม ปอ. ม.334 ลักทรัพย์เกิดในราชอาณาจักรไทย
ผู้กระทำาความผิดต้องรับโทษตามกฎหมายไทย โดยอาศัยหลักตาม ปอ. ม.4
วรรคแรก
หมายเหตุ
การกระทำาผิดในสถานทูตไทยในต่างประเทศ ไม่ถือว่ากระทำาความผิดตาม
ปอ. ม.4 วรรคแรก

ถาม นายสมาน ข้าราชการในสถานทูตไทย ซ่ ึงตัง้อยู่ ณ เมืองดาการ์


ประเทศเซเนกัล เขียนจดหมายมาหาเพ่ ือในประเทศไทยว่า นางสมร
ข้าราชการอีกคนหน่ ึง เป็ นชู้กับคนขับรถในสถานทูต ดังนีน
้ ายสมาน จะถูก
ลงโทษฐานหม่ินประมาทในประเทศไทยได้เพียงใดหรือไม่
ตอบ การกระทำาความผิดในสถานทูตไทย ณ ต่างประเทศ มิใช่การกระ
ทำาความผิดในราชอาณาจักร เพราะสถานทูตไทยในต่างประเทศมิใช่ราช
อาณาจักร ตามความหมายแห่ง ปอ. ม.4 แต่ในผลแห่งการกระทำา หรือโดย
ลักษณะแห่งการกระทำาถือได้ว่า นายสมาน ได้กระทำาความผิดในราช
อาณาจักรตาม ปอ. ม.5 จึงลงโทษนายสมาน ฐานหม่ินประมาทในราช
อาณาจักรได้
การกระทำาความผิดนอกราชอาณาจักร แต่กฎหมายถือว่ากระทำาความผิดใน
ราชอาณาจักร
1. การกระทำาความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทยท่ีอยู่นอกราชอาณาจักร
ตาม ปอ. ม.4 วรรคสอง
2. การกระทำาความผิดบางส่วนกระทำานอกราชอาณาจักร และบางส่วนกระทำา
ในราชอาณาจักรตาม ปอ. ม.5 วรรคแรกส่วนแรก
3. การกระทำาความผิดนอกราชอาณาจักร แต่ผลแห่งการกระทำาเกิดในราช
อาณาจักรตาม ปอ. ม. 5 วรรคแรกส่วนสอง
4. การตระเตรียมการหรือการพยายามกระทำาการใด ซ่ ึงกฎหมายไทยบัญญัติ
เป็ นความผิดและได้กระทำานอกราชอาณาจักร หากจะได้กระทำาตลอดไปจน
สำาเร็จผลจะเกิดในราชอาณาจักรให้ถือว่าการกระทำานัน
้ กระทำาในราช
อาณาจักรตาม ปอ. ม.5 วรรคสอง
5. ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ซ่ ึงกระทำาอยู่นอกราชอาณาจักร ตามข้อ 1 , 2 , 3 , 4
ให้ถือว่ากระทำาในราชอาณาจักร
คำาว่าไม่ว่าจะอยู่ ณ ท่ีใด ตาม ปอ. ม.4 วรรคสอง หมายถึงท่ีใด ๆ ก็ได้ซ่ึงมิใช่
ประเทศไทย ตาม ปอ. ม.4 วรรคแรก เช่น คนญ่ีปุ่นลักทรัพย์คนอังกฤษ ใน
อากาศยานไทยในกรุงเทพ ผิดตาม ปอ. ม.334 ลงโทษโดยอาศัย ปอ. ม.4 วรรค
แรก มิใช่ ปอ. ม.4 วรรคสอง
การกระทำาความผิดตาม ปอ. ม.4 วรรคสอง หมายถึงการกระทำาผิดทัง้หมด
บนอากาศยานไทยและส่วนใดส่วนหน่ ึงเกิดในอากาสยานไทยด้วย
ข้อสังเกต
หากกรณีการกระทำาผิดทัง้หมดหรือส่วนหน่ ึงส่วนใดมิได้เกิดในอากาศยาน
ไทย หรือเรือไทย หากแต่ผลเท่านัน ้ เกิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทย จะ
อ้าง ปอ. ม.4 วรรคสองไม่ได้ เพราะมาตรานีไ้ม่ได้บัญญัติรวมถึงผลท่ีเกิดใน
เรือหรืออากาศยานไทยแต่ประการใด เช่น เอ คน อเมริกา ให้ขนมผสมยา
พิษแก่ บี คนญ่ีปุ่น โดยให้ท่ีห้องพักคนโดยสารของสนามบินญ่ีปุ่น และ
ทราบดีว่ายาพิษจะออกฤทธิบ ์ นเคร่ ืองบนของการบินไทย บี ตามบนเคร่ ือง
บินการบินไทย ขณะบินเหนือประเทศฮ่องกง การกระทำาของ เอ ไม่เข้าตาม
ปอ. ม.4 วรรคสอง ลงโทษ เอ ในประเทศไทยไม่ได้
การกระทำาผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทย ไม่จำากัดสัญชาติผู้ทำาเม่ ือทำา
แล้วถือว่าผู้กระทำาได้กระทำาผิดในราชอาณาจักรไทย

ปอ. ม.5 วรรคแรกส่วนแรก


การกระทำาผิดบางส่วนกระทำานอกราชอาณาจักร บางส่วนกระทำาในราช
อาณาจักร เป็ นการกระทำาท่ีมีลักษณะคาบเก่ียวกัน
ตัวอย่าง แดงและดำานัง่รถทัวร์มาจากประเทศมาเลเซีย มาเท่ียวในเมืองไทย
ขณะรถทัวร์ยังอยู่ในเขตมาเลเซีย แดงต้องการขโมยนาฬิกาของดำา แดงจึง
หลอกดำาให้กินขนมผสมยาสลบ ดำาหลงเช่ ือกินเข้าไปท่ีประเทศมาเลเซีย
ขณะรถทัวร์เข้ามาในเขตประเทศไทยยาออกฤทธิท ์ ำาให้ดำาหมดสติไป แดงจึง
ปลดนาฬิกาข้อมือของดำา และเอาเป็ นของตน ต่อมาแดงถูกจับใน
ประเทศไทยเช่นนี ถ ้ ื .อว่
ม.339
าแดงมี
ซ่ ึงมีความผิดฐานชิงท
องค์ประกอบฐานชิงทรัพย์ คือ 1. ลักทรัพย์ 2. ใช้กำาลังประทุษร้าย เพ่ ือ
ประโยชน์แก่การลักทรัพย์ ถือว่าการประทุษร้ายทำาในมาเลเซีย แต่การลัก
ทรัพย์กระทำาในประเทศไทย ถือว่าบางส่วนกระทำานอกราชอาณาจักร บาง
ส่วนกระทำาในราชอาณาจักร ตาม ปอ. ม.5 ลงโทษแดงในเมืองไทยได้
ถาม น.ส.เรียม อายุ 17 ปี เป็ นบุตรนายเรือง กับนางเร่ิม ซ่ ึงรักใคร่ชอบพอ
กันนายขวัญ นายขวัญชวน น.ส.เรียม ไปเท่ียวท่ีกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
น.ส.เรียม ตกลง นายขวัญ ขับรถเก๋งมารับ น.ส.เรียมท่ีบา้ นของ น.ส.เรียม
แล้วไปขึ้นเคร่ ืองบินท่ีดอนเมือง ขณะพักด้วยกันท่ีกรุงโซล นัน
้ นายขวัญได้
ร่วมประเวณีหลายครัง้โดยความสมัครใจของ น.ส.เรียม เท่ียวนานอยู่ 3 วัน
นายขวัญและ น.ส.เรียม จึงเดินทางกับประเทศไทย ปรากฏว่านายขวัญอายุ
25 และมีภริยาอยู่แล้ว ทัง้ไม่ได้มีเจตนาจะเลีย
้ งดู น.ส.เรียม ดังนีน
้ ายขวัญ จะ
มีความผิดฐานใดหรือไม่ และจะลงโทษนายขวัญในราชอาณาจักรได้หรือไม่
ตอบ ขณะเกิดเหตุนายขวัญ อายุ 25 ปี และมีภริยา ทัง้นายขวัญมิได้มีเจตนา
จะเลีย
้ งดู น.ส.เรียม เป็ นภริยา แม้ น.ส.เรียม จะสมัครใจให้นายขวัญ ร่วม
ประเวณี ซ่ ึงถือไม่ได้วา่ เป็ นการข่มขืนกระทำาชำาเราก็ตาม แต่การท่ีนายขวัญ
พา น.ส.เรียม ซ่ ึงมีอายุไม่เกิน 18 ปี ไม่เสียจากบิดามารดา ก็เป็ นการละเมิด
ต่ออำานาจการครอบครองของบิดามารดา การกระทำาของนายขวัญ จึงเป็ น
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพ่ ือการอนาจาร เร่ิมตัง้แต่นายขวัญ พา
น.ส.เร่ียม ขึ้นรถท่ีหน้าบ้านของ น.ส.เรียม ในประเทศไทย แม้นายขวัญ จะ
ไปร่วมประเวณีกับ น.ส.เรียม ท่ีเกาหลีใต้ แต่การกระทำาของนายขวัญ ส่วน
หน่ ึงได้เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว เม่ ือความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพ่ ือการ
อนาจารท่ีนายขวัญ กระทำานัน ้ ส่วนหน่ ึงได้กระทำาในราชอาณาจักร อีกส่วน
หน่ ึงได้กระทำานอกราชอาณาจักร ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพ่ ืออนาจารท่ี
นายขวัญ กระทำานัน ้ ถือว่าได้กระทำาในราชอาณาจักรตาม ปอ. ม.5 นายขวัญ
จึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตาม ปอ. ม.319 และถูกลงโทษตาม ปอ. ม.5 (
ฎ.1644/31) (เนฯสมัย 41)
ปอ. ม.5 วรรคแรกส่วนท่ีสอง
การกระทำานอกราชอาณาจักร แต่ผลแห่งการกระทำาเกิดขึ้นในราชอาณาจักร
1. ผูก
้ ระทำาประสงค์ให้ผลนัน
้ เกิดในราชอาณาจักร
2. โดยลักษณะแห่งการกระทำา ผลท่ีเกิดขึ้นนัน
้ ควรเกิดในราชอาณาจักร
3. โดยลักษณะแห่งการกระทำา ย่อมเล็งเห็นได้วา่ ผลนัน
้ จะเกิดในราช
อาณาจักร
ตัวอย่าง แดงอยู่ฝั่งลาวใช้ปืนยิงดำา ซ่ ึงเป็ นคนไทยอยูท
่ ่ีฝั่งลาวเช่นกัน โดย
แดงประสงค์ให้ดำามาตายท่ีฝั่งไทย โดยรู้ดีวา่ ดำาจะต้องมารักษาบาดแผลท่ีฝั่ง
ไทย และตายท่ีฝั่งไทย หากดำาถูกยิงแล้ว และเข้ารักษาตัวท่ีโรงพยาบาลในฝั่ ง
ไทย และตายในฝั่ งประเทศไทย เป็ นกรณีตาม ปอ. ม.5 วรรคแรก แต่ต้องรับ
โทษในราชอาณาจักร เพราะกฎหมายให้ถือว่าความผิดนัน
้ ได้กระทำาในราช
อาณาจักร
แต่หากดำาไม่ตายเพราะแพทย์ช่วยชีวิตดำาไว้ได้ แสดงว่าผลไม่เป็ นไปตามท่ี
แดงประสงค์ จะลงโทษแดงในราชอาณาจักร ต้องอ้าง ปอ. ม.5 วรรคสอง
เพราะเป็ นการพยายามฆ่า และหากสำาเร็จความตายจะเกิดในประเทศไทย
ถือว่าการพยายามกระทำาความผิดดังกล่าวได้กระทำาในราชอาณาจักร
หมายเหตุ
ถ้อยคำาใน ปอ. ม.5 วรรคแรกท่ีว่า ผู้กระทำาประสงค์ให้ผลนัน
้ เกิดในราช
อาณาจักร มีความหมายดังนี้
1. ผลท่ีเกิดขึ้นนัน
้ ต้องมาจากการกระทำาทัง้หมดนอกราชอาณาจักร
2. ผลแห่งการกระทำาเกิดในราชอาณาจักร จะไม่รวมผลท่ีเกิดในเรือไทยหรือ
อากาศยานไทย
ปอ. ม.5 วรรคสอง
การตระเตรียมการหรือพยายามกระทำาการใด ซ่ ึงกฎหมายไทยบัญญัติเป็ น
ความผิด แต่ได้กระทำานอกราชอาณาจัก หากจะได้กระทำาตลอดไปจนสำาเร็จ
ผลจะเกิดในราชอาณาจักร ให้ถือว่าการกระทำานัน ้ ทำาในราชอาณาจักร
หมายความว่า การกระทำานัน ้ ได้กระทำานอกราชอาณาจักร และอยู่ในขัน ้ ตระ
เตรียมหรือพยายาม และยังไม่เกิดผล
ตัวอย่าง แดงอยู่ฝั่งลาว เล็งปื นจะยิงดำาท่ีฝั่งไทย ซ่ ึงหากถูกดำา ความตายของ
ดำาจะเกิดในฝั่ งไทย แต่ถ้าหากแดงถูกตำารวจลาวจับได้เสียก่อนท่ีจะยิงดำา ก็
เข้าหลักเกณฑ์ตาม ปอ. ม.5 วรรคสอง หากแดงเดินทางเข้ามาในประเทศไทย
ศาลไทยลงโทษแดงฐานพยายามฆ่าดำา ตาม ปอ. ม.288 ประกอบ ปอ. ม.80 โดย
อาศัย ปอ. ม.5 วรรคสอง
สรุป
หลักการอ้างและนำามาตรา 5 มาใช้ให้พิจารณา
1. หากมีการกระทำาส่วนหน่ ึงส่วนใดในราชอาณาจักร ต้องอ้าง ปอ. ม.5 วรรค
แรกส่วนแรก โดยไม่ต้องคำานึงถึงผล
2. หากไม่มีการกระทำาส่วนหน่ ึงส่วนใดในราชอาณาจักร เพียงแต่มีผลเท่านัน

เกิดในราชอาณาจักร เม่ ือผลเกิดขึ้นและเป็ นผลท่ีผู้กระทำาประสงค์ให้เกิด
หรือควรเกิด หรือเล็งเห็นได้ว่าจะเกิด ต้องอ้าง ปอ. ม.5 วรรคแรกส่วนท่ีสอง
3. หากไม่มีการกระทำาส่วนหน่ ึงส่วนใดในราชอาณาจักร และผลก็ไม่ได้เกิด
ในราชอาณาจักร แต่จะเกิดในราชอาณาจักร หากได้ทำาผิดสำาเร็จ ต้องอ้าง
ปอ. ม.5 วรรคสอง
ปอ. ม.6 “ตัวการผู้ใช้ผู้สนับสนุนได้กระทำาความผิดนอกราชอาณาจัก แต่ความ
ผิดได้กระทำาในราชอาณาจักร หรือนอกราชอาณาจักร แต่ถือว่าเป็ นการ
กระทำาความผิดในราชอาณาจักร”
ตัวอย่าง แดงอยู่มาเลเซีย ใช้ให้ดำาซ่ ึงอยู่ท่ีมาเลเซีย ตระเตรียมวางเพลิงบ้าน
ของขาวท่ีอยู่ในประเทศไทย ขณะดำากำาลังตระเตรียมวางเพลิงซ่ ึงเป็ นความ
ผิดตาม ปอ. ม.219 ดำาถูกตำารวจมาเลเซียจันในความผิดอ่ ืน ต่อมาดำาหลบหนี
เข้ามาในประเทศไทย ศาลไทยลงโทษดำาตาม ปอ. ม.219 ได้ โดยอาศัย ปอ. ม.5
วรรคสอง โดยถือว่าดำาได้กระทำาในราชอาณาจักร ส่วนแดงผู้ใช้มีความผิด
ตาม ปอ. ม.219 และ ปอ. ม.84 วรรคสอง หากแดงเข้ามาในประเทศไทย แดง
จะถูกลงโทษในเมืองไทย โดยอาศัย ปอ. ม.6
หมายเหตุ
คำาว่าผู้ใช้ตาม ปอ. ม.6 คือการใช้โดยวิธีการทัว่ ๆ ไป และหมายความรวมถึง
การใช้โดยการโฆษณา หรือประกาศตาม ปอ. ม.85
ถาม นายป๋ ุยมีสาเหตนุกับนายเดือน คนสัญชาติลาวด้วยกัน จึงได้เป่ า
ประกาศในเมืองเวียงจันทร์ประเทศลาวว่า ใครฆ่านายเดือนได้จะให้รางวัล
1,000,000 กีบ นายคำามัน
่ คนสัญชาติลาวได้ทราบและอยากได้รางวัล เม่ ือทราบ
ว่านายเดือนจะโดยสารเคร่ ืองบินจากเวียงจันทร์มากรุงเทพ จึงโดยสารเคร่ ือง
บินลำานัน้ มาด้วย โดยเป็ นเคร่ ืองบินไทย และหาโอกาสนัง่ใกล้ ๆ กับนาย
เดือน ขณะเคร่ ืองบินขึ้นจากสนามบินแล้ว แต่ยังไม่เข้าเขตประเทศไทย นาย
คำามัน
่ ได้โอกาส จึงเอาเข็มอาบยาพิษแทงนายเดือน ทำาให้นายเดือนถึงแก่
ความตายทันท่ี ศาลไทยจะมีอำานาจลงโทษนายป๋ ุยได้หรือไม่
ตอบ ศาลไทยไม่มีอำานาจลงโทษนายป๋ ุย เพราะการกระทำาของนายป๋ ุย
เป็ นการโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทัว่ไปให้กระทำาความผิดตาม ปอ.ม.85
ไม่ใช่เป็ นการใช้ให้กระทำาตาม ปอ.ม.84 กรณีไม่เข้า ปอ.ม.6 (อัยการ)
หลักสากล
ปอ. ม.7 “ผู้ใดกระทำาความผิดดังต่อไปนีน
้ อกราชอาณาจักร จักต้องรับโทษใน
ราชอาณาจักร
1. ความผิดเก่ียวกับความมัน
่ คงแห่งราชอาณาจักร ตาม ปอ. ม.107-129
2. ความผิดเก่ียวกับการก่อการร้าย ตาม ปอ. ม.135/1-4
3. ความผิดเก่ียวกับการปลอมและแปลง (เงินตรา แสตมป์ ใบหุ้น ตัว๋เงิน)
4. ความผิดเก่ียวกับเพศ (เป็ นธุระจัดหา ยินยอม ปอ. ม.282 เป็ นธุระจัดหา ไม่
ยินยอม ปอ. ม.283
5. ความผิดฐานชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ซ่ ึงได้กระทำาในทะเลหลวง”
หลักสากล
กระทำาความผิดครัง้เดียวถูกลงโทษครัง้เดียว เว้น ความผิดเก่ียวกับความ
มัน
่ คง และการก่อการร้าย และความผิดเก่ียวกับเพศ (การค้ามนุษย์) ลงโทษ
แล้วลงโทษอีกได้
ส่วนความผิดฐานปลอมและแปลง และความผิดเก่ียวกับการชิงทรัพย์ปล้น
ทรัพย์ ท่ีได้กระทำาในทะเลหลวง ลงโทษได้เพียงครัง้เดียว
ปอ. ม.7 หลักอำานาจลงโทษสากล
ความมัน
่ คง การก่อการร้าย การปลอมและแปลง เก่ียวกับเพศ ชิงทรัพย์
ปล้นทรัพย์ในทะเลหลวง
ลงโทษแล้วลงโทษอีกได้ กระทำาผิดครัง้เดียวต้องถูกลงโทษครัง้เดียว
ความผิดเก่ียวกับการปลอมและแปลง ปอ. ม.7 (2)
ถาม นายกิฟ คนชาวฮังการี ได้รบ ั แต่งตัง้จากรัฐบาลไทยให้เป็ นกงสุล
กิตติมศักดิข์องประเทศไทย ประจำาประเทศฮังการี นายกิฟได้รวมกับนาย
ขาว เจ้าหน้าท่ีชาวไทย ซ่ ึงทำางานอยู่ในกงสุล ทำาการปลอมธนบัตรของ
ประเทศเยอรมัน โดยได้กระทำาการในประเทศฮังการี ต่อมานายกิฟ ถูกเจ้า
หน้าท่ีตำารวจของประเทศฮังการีจับได้ และส่งฟ้ องต่อศาล ศาลประเทศ
ฮังการีได้มีคำาพิพากษาถึงท่ีสุดให้ปล่อยตัวนายกิฟ นายกิฟจึงเดินทางเข้ามา
ในประเทศไทย เพ่ ือพบกับนายขาวซ่ ึงได้หลบหนีม ้ าก่อนแล้ว
ดังนีน
้ ายกิฟ และนายขาว จะต้องรับโทษในราชอาณาจักรไทยหรือไม่อย่างไร
ตอบ การท่ีนายกิฟ กับนายขาวร่วมกันปลอมธนบัตรของประเทศเยอรมัน
ในประเทศฮังการีนัน ้ เป็ นความผิดตาม ปอ. ม.240 ประกอบ ปอ. ม.247 และ
เป็ นการกระทำาความผิดนอกราชอาณาจักร ท่ีจะต้องรับโทษในราชอาณาจักร
ตาม ปอ. ม.7 (2) แต่เน่ ืองจากมีคำาพิพากษาของศาลในต่างประเทศถึงท่ีสุดให้
ปล่อยตัวนายกิฟ จึงไม่สามารถลงโทษนายกิฟ ในราชอาณาจักรนัน
้ ได้อีก
ตาม ปอ. ม.10 (1)
ส่วนนายขาวยังไม่ได้ถูกดำาเนินคดีในเร่ ืองนีม
้ าก่อนจึงสามารถลงโทษนาย
ขาวในราชอาณาจักรได้(เนฯ 46)
ถาม นายเม่ง คนสัญชาติจีน ทำาการปลอมธนบัตรรัฐบาลไทย ท่ีสาธารณะ
ประชาชนจีน ถูกตำารวจจีนยับได้ และศาลจีนพิพากษาถึงท่ีสุดให้ลงโทษจำา
คุก 3 ปี นายเม่ง รับโทษจำาคุกได้เพียง 1 ปี ก็หลบหนีเ้ข้ามาอยู่ใน
ประเทศไทย นายเม่ง เข้ามาอยูไ่ ด้ประมาณ 5 เดือน ได้ทำาการพิมพ์ธนบัตร
ดอลล่าร์ปลอมขึ้นอีกในประเทศไทย ตำารวจไทยจับนายเม่งได้ และอัยการได้
ย่ ืนฟ้ องนายเม่ง ขอให้ศาลลงโทษนายเม่ง ฐานปลอมธนบัตรไทยท่ีอ่ืน และ
ฐานปลอมธนบัตรดอลล่าร์ในประเทศไทย ดังนีศ ้ าลจะลงโทษนายเม่ง ใน
ความผิดนัน ้ ในประเทสได้เพียงใด
ตอบ การท่ีนายเม่งปลอมธนบัตรรัฐบาลไทยท่ีอ่ืน เป็ นการทำาปลอมขึ้นซ่ ึง
เงินตราตาม ปอ. ม.240 เป็ นการกระทำาความผิดนอกราชอาณาจักร ซ่ ึงจะต้อง
รับโทษในราชอาณาจักร แม้นายเม่ง จะได้รับโทษในการกระทำาผิดนัน ้ ตาม
ศาลอ่ ืนมาแล้วก็ตามแต่ยังไม่พ้นโทษ ศาลจะลงโทษน้อยกว่าท่ีกฎหมาย
กำาหนดไว้สำาหรับความผิดนัน ้ เพียงใดก็ได้ หรือจะไม่ลงโทษนายเม่ง เลยก็ได้
ทัง้นีโ้ดยคำาน่ ึงถึงโทษท่ีนายเม่ง ได้รับมาแล้ว ตาม ปอ. ม.10 วรรคสอง
การท่ีนายเม่ง ปลอมธนบัตรดอลล่าร์ในประเทศไทยเป็ นความผิดฐานปลอม
เงินตราซ่ ึงรัฐบาลต่างประเทศออกใช้ตาม ปอ.ม.240 ประกอบ ปอ. ม.247 ซ่ ึง
เป็ นการกระทำาในราชอาณาจักร นายเม่ง ต้องรับโทษในราชอาณาจักร ตาม
ปอ. ม.4 วรรคแรก โดยต้องระวางโทษก่ ึงหน่ ึงของโทษท่ีบัญญัติไว้ใน ปอ.
ม.240 (อัยการ 42 เนฯ 49)
ความผิดเก่ียวกับเพศ หรือการค้ามนุษย์ ปอ. ม.7 (2 ทวิ)
ถาม นางเดือนคนไทยเป็ นนายหน้าพาหญิงไปค้าประเวณี ได้ไปประเทศ
มาเลเซีย และชักชวนนางดาว คนมาเลเซียไปค้าประเวณีท่ีประเทศญ่ีปุ่น
โดยนางเดือนจะเป็ นธุระจัดการในเร่ ืองการเดินทาง นางดาว ตกลงเต็มใจไป
ด้วย (ปอ. ม.282) นางเดือนจึงพานาดาว เดินทางจากประเทศมาเลเซียไปส่งให้
สถานค้าประเวณีท่ีประเทศญ่ีปุ่น นางเดือนได้รบั ค่าใช้จ่ายในการเดินทางคืน
กับได้คา่ นายหน้าอีกจำานวนหน่ ึงเป็ นของตน นางดาว ค้าประเวณีท่ีประเทศ
ญ่ีปุ่นได้วันเดียวก็ถูกตำารวจจับ แต่นางเดือนหนีกลับประเทศไทยได้ ทางการ
ประเทศญ่ีปุ่นจึงแจ้งให้ตำารวจไทยทราบ การกระทำาของนางเดือน เป็ นธุระ
จัดหาหรือพาไปเพ่ ืออนาจารเพ่ ือชายหรือหญิง หรือเพ่ ือสนองความใคร่ของผู้
อ่ ืนตาม ปอ. ม.282 ต่อมานางเดือนถูกจับได้ในประเทศไทย อัยการฟ้ องนาง
เดือนต่อศาลอาญา ขอให้ศาลลงโทษในความผิดดังกล่าว ให้วินิจฉัยว่านาง
เดือนจะถูกลงโทษในราชอาณาจักรได้หรือไม่
ตอบ นางเดือน กระทำาความผิดนอกราชอาณาจักร และเป็ นความผิดเก่ียว
กับเพศตามท่ีบัญญัติไว้ใน ปอ. ม.282 จะต้องรับโทษในราชอาณาจักรตาม ปอ.
ม.7
อน่ ึงแม้ทางการประเทศญ่ีปุ่นจะได้แจ้งให้ตำารวจไทยทราบอันถือว่าเป็ นการ
ร้องขอให้ลงโทษตาม ปอ. ม.8 (ก) แต่ความผิดท่ีนางเดือนกระทำานัน้ มิใช่
ความผิดท่ีระบุไว้ใน วรรคสองของ ปอ. ม.8 ดังนัน
้ นางเดือนไม่ต้องรับโทษ
ตาม ปอ. ม.8 (เนฯ 53 ปี 43)
ความผิดเก่ียวกับการชิงทรัพย์ปล้นทรัพย์ ปอ. ม.7 (3)
ถาม เรือเดินทะเลของประเทศอังกฤษลำาหน่ ึง กำาลังเดินทางมาประเทศไทย
แต่ยังไม่ทันเข้าเขตน่านน้ำาไทย คนจีน 2 คน ทำาการชิงทรัพย์ของคนญ่ีปุ่นใน
เรือลำานัน
้ กัปตันเรือจับตัวไว้ได้ เม่ ือเรือมาถึงประเทศไทย ศาลไทยจะมี
อำานาจพิจารณาความผิดของคนจีน 2 คนนัน ้ ได้หรือไม่
ตอบ ปกติศาลไทยไม่มอ ี ำานาจพิจารณาความผิดท่ีเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร
เว้นไว้แต่จะมีบทบัญญัติของกฎหมายบัญญัติไว้เป็ นพิเศษ ความผิดฐานชิง
ทรัพย์นัน
้ หากเกิดในทะเลหลวงศาลไทยมีอำานาจท่ีจะพิจารณาความผิดนัน ้
ได้ อันเป็ นบทบัญญัติพิเศษตาม ปอ. ม.7 (3)
ตามปั ญหาไม่ปรากฏว่าเป็ นน่านน้ำาของประเทศอ่ ืนใดหรือไม่ ฉะนัน้
1. ถ้าเกิดเหตุในน่านน้ำาของประเทศอ่ ืนใด ศาลไทยไม่มอ
ี ำานาจพิจารณาความ
ผิดเร่ ืองนี้
2. ถ้าเกิดเหตุในทะเลหลวง ศาลไทยย่อมมีอำานาจพิจารณาความผิดเร่ ืองนีไ้ด้
ตาม ปอ. ม.7 (3)
ถาม นายเหงียน คนเวียนนาม เอาเรือไปจับปลาในเขตเศรษฐกิจเฉพาะของ
ประเทศไทย แต่ยับปลาไม่ชำานาญจึงได้ปลาเพียงเล็กน้อย ขณะแล่นเรือจับ
ปลาอยูไ่ ด้พบนามหมัดคนมาเลเซีย ซ่ ึงจับปลาอยู่ในบริเวณเดียวกัน แต่จับ
ปลาได้มากมาย นายเหงียนจึงได้ขึ้นไปบนเรือของนายหมัด ซ่ ึงเป็ นเรือของ
ประเทศมาเลเซีย จับนายหมัดมัดติดกับเรือไว้แล้วขนเอาปลานายหมัดไป ใส่
เรือของของตน พอดีเรือลาดตระเวนของไทยผ่านมาเห็นเหตุการณ์จึงเช้า
ช่วยเหลือนายหมัด และจับตัวนายเหงียนได้ นำาส่งพนักงานสอบสวน ดังนี้
นายเหงียนจะมีความผิดตาม ปอ. ม.339 และถูกลงโทษในราชอาณาจักรได้
หรือไม่เพียงใด
ตอบ การกระทำาของนายเหงียนเป็ นความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม ปอ. ม.339
ความผิดฐานนีไ้ด้กระทำาในเขตเศรษฐกิจเฉพาะ ซ่ ึงอยู่นอกราชอาณาจักร จึง
เป็ นการกระทำาความผิดในทะเลหลวง นางเหงียนต้องรับโทษในราช
อาณาจักร
หลักบุคคล
ปอ. ม.8 “ผู้ใดกระทำาความผิดนอกราชอาณาจักร และ
1. ผูก
้ ระทำาความผิดเป็ นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศท่ีความผิดได้เกิดขึ้น
หรือผู้เสียหายร้องขอให้ลงโทษ หรือ
2. ผูก
้ ระทำาความผิดนัน
้ เป็ นคนต่างด้าว และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็ นผู้เสีย
หาย และผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ
ถ้าเป็ นความผิดท่ีระบุไว้จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร”
ข้อสังเกต
1. หลักบุคคลตาม ปอ. ม.8 จะต้องมีการ้องขอให้ลงโทษเสมอ แม้เป็ นความผิด
อาญาแผ่นดิน และความผิดท่ีกระทำานอกราชอาณาจักรจะต้องเป็ นประเภทท่ี
ระบุไว้ หาไม่ได้ระบุไว้ไม่อาจร้องขอให้ลงโทษได้
2. ความผิดตาม ปอ. ม.8 ไม่ต้องคำานึงว่าประเทศท่ีความผิดเกิดจะระบุวา่ เป็ น
ความผิดหรือไม่
3. ความผิดตาม ปอ. ม.8 จะเป็ นความผิดสำาเร็จหรือขัน
้ พยายามก็ได้ เป็ น
ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนก็ได้
ฎ.6516/37 ความผิดฐานฆ่าผู้อ่ืนเกิดขึ้นในทะเลหลวง ศาลไทยจะลงโทษผู้
กระทำาผิดซ่ ึงเป็ นคนไทยได้ต่อเม่ ือ มีผู้ร้องขอตาม ปอ. ม.8 (ก) (4) เม่ ือไม่
ปรากฏว่าผู้ตายเป็ นใคร และไม่ปรากฏว่ามีผู้จด
ั การแทนผู้ตายตาม ป.วิอาญา
ม.5 (2) ท่ีจะร้องขอให้ศาลไทยลงโทษได้ จงลงโทษไม่ได้
ฎ.1289/21 ผู้จด
ั การธนาคารไทยสาขาไทเป ได้ดมอบเงินให้จำาเลยซ่ ึงเป็ นคน
ไทย และเป็ นผู้ช่วยผู้จัดการ นำาเงินไปฝากธนาคารอ่ ืน จำาเลยจึงเป็ นผู้ครอบ
ครองเงินนัน
้ จำาเลยถอนเงินไปโดยทุจริตผิด ปอ. ม.354 ธนาคารไทยเป็ นผู้
เสียหายร้องทุกข์ได้ และลงโทษในศาลไทยได้
ถาม นายบุญสัญชาติไทย โดยสารเคร่ ืองบินเยอรมันจากญ่ีปุ่นมา
ประเทศไทย ระหว่างท่ีเคร่ ืองบินอยู่เหนือประเทศเวียนนาม นายบุญนอน
หลับ นายกิมจุง สัญชาติเกาหลี แอบลักทรัพย์ของนายบุญ พนักงานประจำา
เร่ ืองบินเห็นจึงบอกให้นายบุญทราบพอเคร่ ืองบินจอดท่ีดอนเมือง นายบุญ
แจ้งตำารวจให้จบ ั นายกิมจุงไปดำาเนินคดี นายกิมจุงรับสารภาพ นายกิมจุงจะ
ต้องรับโทษในราชอาณาจักรหรือไม่
ตอบ นายกิมจุงต้องรับโทษตาม ปอ. ม.8 ในราชอาณาจักร (เนฯ 18)
ถาม ขณะท่ีนายใหญ่คนสัญชาติไทย ซ่ ึงข้ามแม่น้ำาเมยไปเท่ียวท่ีประเทศพม่า
กำาลงจะลงเรือออกจาฝั งพม่ากลับประเทศไทย ได้ถูกนายหมอง คนสัญชาติ
พม่ายิงถึงแก่ความตาย มีผน
ู้ ำาศพนายใหญ่มามอบให้นางเล็ก ซ่ ึงเป็ นน้อง
ของภริยาของนายใหญ่ นางเล็กจึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนท่ี
สภ.อ. แม่สอด จังหวัดตาก ขอให้ลงโทษนายหมอง ดังนีน ้ ายหมอง จะถูก
ลงโทษในราชอาณาจักรได้หรือไม่
ตอบ นายหมองเป็ นคนต่างด้าว กระทำาความผิดนอกราชอาณาจักร นาย
ใหญ่เป็ นคนไทยเป็ นผู้เสียหาย และความผิดนัน
้ ระบุไว้ใน ปอ. ม.8 (4) นาย
หมองจะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร ถ้าคนไทยซ่ ึงเป็ นผู้เสียหายหรือ
รัฐบาลไทยร้องขอให้ลงโทษ ตาม ปอ. ม.8 (ข) แต่นางเล็กร้องขอให้ลงโทษ
นางเล็กไม่ใช่ผู้เสียหาย เพราะมิใช่ภริยาของนายใหญ่ เม่ ือไม่ใช่ผู้เสียหายจึง
ไม่อาจลงโทษนายหมองในราชอาณาจักรได้ จนกว่าผู้เสียหายหรือรัฐบาล
ไทยจะร้องขอให้ลงโทษ (อัยการ 31)
ถาม นายลี กันนายเส็ง เป็ นคนจีนอยู่ประเทศสิงคโปร์ นายลี จ้างนายเส็งให้
มาฆ่านายหมัด คนมาเลเซียท่ีอยู่ในประเทศไทย นายเส็งตกลงรับจ้างและ
เดินทางมาประเทศไทย แต่เม่ ือนายเส็งได้มาพบกันนายหมัด นายหมัดกลับ
จ้างนายเส็งให้ไปฆ่านายลีโดยให้คา่ จ้างเป็ นสองเท่า นายเส็งก็ตกลงและกลัง
ไปประเทศสิงคโปร์ แล้วใช้ปืนยิงนายลีเพ่ ือจะฆ่าแต่นายลี ระวังตัวอยู่กระสุน
จึงไม่ถูก ดังนี น ้ า ยลีนายเส็งและนายหมัดจะมีความผิดและถูก
ราชอาณาจักรได้เพียงใดหรือไม่
ตอบ นายลีกระทำาผิดฐานใช้นายเส็งไปกระทำาความผิดฐานฆ่าผูอ ้ ่ ืน แต่ความ
ผิดมิได้กระทำาลง ผุ้ใช้ต้องระวางโทษหน่ ึงในสาม ของโทษท่ีกำาหนดไว้
สำาหรับความผิดฐานฆ่าผูอ ้ ่ ืนตาม ปอ. ม.289 ประกอบ ปอ. ม.84 แต่เน่ ืองจาก
เป็ นความผิดท่ีได้ใช้ให้กระทำาผิดนอกราชอาณาจักร และไม่มีความผิดท่ีได้
กระทำาในราชอาณาจักร กรณีไม่ต้องด้วย ปอ. ม.6 ท่ีจะลงโทษในราช
อาณาจักรได้ กรณีไม่ต้องด้วย ปอ. ม.5 เพราะไม่มก
ี ารกระทำาแม้ส่วนหน่ ึง
ส่วนใดในราชอาณาจักร และไม่มีผลการกระทำาเกิดขึ้นในราชอาณาจักร แล
ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของ ปอ. ม.8 เพราะไม่มีคนไทยเก่ียวข้องในการกระ
ทำาความผิด จึงไม่อาจลงโทษนายลีในราชอาณาจักรได้
นายเส็ง มีความผิดฐานพยายามฆ่าในประเทศสิงคโปร์ เน่ ืองจากได้ลงมือ
กระทำาความผิดแล้ว แต่การกระทำาไม่บรรลุผล นายเส็งต้องรับโทษสองใน
สามของความผิดนัน ้ นายเส็งกระทำาความผิดนอกราชอาณาจักร ทัง้นายสี
และนายเส็งไม่ใช่คนสัญชาติไทย กรณีไม่ต้องด้วย ปอ. ม.8 ไม่อาจลงโทษ
นายเส็งในราชอาณาจักรได้
นายหมัด ใช้นายเส็งในราชอาณาจักรให้ไปกระทำาความผิดนอกราช
อาณาจักร และนายเส็งได้กระทำาความผิดฐานพยายามฆ่าผูอ ้ ่ ืน นายหมัดต้อง
รับโทษเสมือนเป็ นตัวการ ในความผิดฐานพยายามฆ่าผูอ ้ ่ ืนโดยไต่ตรองตาม
ปอ. ม.289 (4) ประกอบ ปอ. ม.80 และ ปอ. ม.84 (อัยการ 29 เนฯ 44)
ถาม นายซิง คนสัญชาติอินเดีย โดยสารชัน ้ ประหยัดของเคร่ ืองบินสายการ
บินแอร์อินเดีย เพ่ ือเดินทางจากประเทศอินเดียมายังประเทศไทย ระหว่างท่ี
เคร่ ืองบินอยู่เหนือน่านฟ้ าในทะเลหลวง นายซิงได้แอบไปนัง่ในชัน
้ ธุรกิจ
น.ส.สวย แอร์โฮสเตส คนสัญชาติไทย เห็นจึงเชิญให้กลับมานัง่ท่ีเดิม นาย
ซิงไม่พอใจ จึงได้ใช้มด
ี ทำาร้ายร่างกาย น.ส.สวย ได้รับอันตรายสาหัส นายซัน
กัปตัน คนสัญชาติอินเดียเห็นเหตุการณ์จึงเข้าไปห้ามนายซิง นายซิง กำาลัง
โมโห จึงใช้มีดกรีดเส้ือนายซัน จนขาดเพ่ ือตักเตือนไม่ให้เข้ามายุ่ง แล้วเดิน
กับไปนัง่ท่ีเดิม เม่ ือเข้ามาในประเทศไทยแล้ว น.ส.สวย และนายซัน เข้าร้อง
ทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน หากพนักงานอัยการฟ้ องนายซิง ฐานทำาร้าย
ร่างกาย น.ส.สวย ถึงอันตรายสาหัสตาม ปอ. ม.297 และฟ้ องนายซิง ฐาน
ทำาให้เสียทรัพย์ของนายซัน ตาม ปอ. ม.358 ให้ท่านวินจิ ฉัยว่า นายซิง จะถูก
ลงโทษในราชอาณาจักรได้เพียงใดหรือไม่
ตอบ นายซิง เป็ นผู้มีสัญชาติอินเดีย ใช้มีดทำาร้ายร่างกาย น.ส.สวน ได้รับ
อันตรายสาหัส ในเคร่ ืองบินสายการบินแอร์อินเดีย ระหว่างบินเหนือน่าน
ฟ้ าในทะเลหลวง เป็ นการกระทำาผิดนอกราชอาณาจักร เม่ ือนายซิง ผู้กระทำา
ความผิดเป็ นคนสัญชาติอินเดีย ซ่ ึงเป็ นคนต่างด้าว และ น.ส.สวย เป็ นคน
สัญชาติไทย เป็ นผู้เสียหาย ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสอนผู้มีอำานาจแล้ว
ถือว่าเป็ นการร้องขอให้ลงโทษ และเป็ นความผิดท่ีทำาร้ายร่างกายสาหัส และ
เป็ นความผิดท่ีระบุไว้ใน ปอ. ม.8 (5) ดังนัน
้ การท่ีอัยการฟ้ องนายซิง นายซิง
ถูกลงโทษในราชอาณาจักรได้
นายซิง ใช้มีดกรีดเส้ือนายซัน ขาด เป็ นความผิดฐานทำาให้เสียทรัพย์ตาม
ปอ. ม.358 และเป้ นความผิดท่ีระบุไว้ใน ปอ. ม.8 (13) แต่นายซัน ผู้เสียหายเป็ น
คนสัญชาติอินเดีย และนายซิง ก็เป็ นผู้มีสัญชาติอินเดีย ทัง้ผู้กระทำาและผู้
เสียหายไม่ได้มีสัญชาติไทย จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตาม ปอ. ม.8 (ข) ฉะนัน ้
จะลงโทษนายซิง ในราชอาณาจักรไม่ได้
หลักบุคคล ปอ. ม.9
เจ้าพนักงานของรัฐบาลไทยกระทำาความผิดตามท่ีบัญญัติ
1. ผิดต่อตำาแหน่งหน้าท่ีราชการ ปอ.ม.147-166
2. ผิดต่อตำาแหน่งหน้าท่ีในการยุติธรรม ปอ.ม.200-205
นอกราชอาณาจักรจะต้องรับโทษในราชอาณาจักร
ประเด็นท่ีจะตัง้คำาถาม เจ้าพนักงาน ตามมาตรานี้
1. คำาว่าเจ้าพนักงานตามมาตรานี อ ้ าจไม่ใช่ผู้มีสัญชาติไทยเช่น
แต่ทำางานในสถานทูต
2. ความผิดตาม ปอ.ม.9 เป็ นความผิดต่อตำาแหน่งหน้าท่ีราชการ
3. หากผูก
้ ระทำามิใช่เจ้าพนักงาน แม้จะผิดฐานสนับสนุน ก็ไม่อาจลงโทษได้
ถาม นายสม เป็ นเจ้าพนักงานได้รบั แต่งตัง้ให้เดินทางไปหาซ้ือเคร่ ืองจักรใน
ประเทศญ่ีปุ่น ตามหน้าท่ีราชการ ครัน
้ เดินทางไปถึงประเทศญ่ีปุ่นแล้ว นาย
สมได้รวมมือกับนายสุวรรณ พ่อค้าไทยซ่ ึงกำาลังไปติดต่อการค้าอยู่ท่ีนัน้ ให้
นายสุวรรณไปเรียกเงินจากบริษัทขายเคร่ ืองจักร 5,000 เยน ว่าถ้าให้เงินจะซ้ือ
เคร่ ืองจักรจากบริษัทนัน
้ บริษัทนัน้ จึงให้เงินนายสมตามท่ีนายสุวรรณไป
เรียกร้อง นายสมก็ซ้ือเคร่ ืองจักรจากบริษัทนัน ้ และแบ่งเงินให้นายสุวรรณ
ไป 1,000 เยน ดังนีเ้ม่ ือนายสมและนายสุวรรณ เดินทางกลับเข้ามาใน
ประเทศไทย ศาลไทยจะพิพากษาลงโทษบุคคลทัง้สองได้เพียงใดหรือไม่
ตอบ การกระทำาของนายสมเป็ นความผิดตาม ปอ. ม.149 โดยนายสุวรรณเป็ น
ผู้สนับสนุน ศาลไทยย่อมสามารถลงโทษนายสมได้ตาม ปอ. ม.9 เพราะเป็ น
เจ้าพนักงาน แต่สำาหรับนายสุวรรณไม่ใช้เจ้าพนักงาน จะนำา ปอ. ม.9 มาใช้ไม่
ได้ และความผิดนีไ้ม่ต้องด้วย ปอ. ม.7 ม.8 จึงพิพากษาลงโทษนายสุวรรณไม่
ได้
เปรียบเทียบ หลักดินแดน หลักสากล หลักบุคคล
1. การกระทำาความผิดเกิดในราช อาณาจักร หรือเกิดนอกราช อาณาจักร
หรือคาบเก่ียวกันใน ราชอาณาจักร 1. การกระทำาความผิดเกิดนอกราช
อาณาจักรโดยแท้จริง และต้อง ไม่มก
ี ฎหมายให้ถือว่ากระทำาใน ราช
อาณาจักร 1. การกระทำาความผิดต้องเกิดนอก ราชอาณาจักรจริง ๆ
2. ผูก
้ ระทำาความผิดหรือผู้เสียหายจะ มีสัญชาติใดก็ 2. ผูก
้ ระทำาความผิดหรือผู้
เสียหายจะ มีสัญชาติใดก็ 2. ในตัวผู้กระทำาความผิดจะแบ่ง เป็ น 2 กรณี ปอ.
ม.8 ผูก
้ ระทำาผิดเป็ นผู้มี สัญชาติไทย หรือผู้เสียหายเป็ นผู้ มีสัญชาติไทย หรือ
รัฐบาลไทย เป็ นผู้เสียหาย ปอ. ม.9 ผู้กระทำาความผิดต้อง เป็ นเจ้าพนักงาน
3. ไม่จำากัดประเภทความผิด 3. จำากัดความผิดไว้เฉพาะ 1. เก่ียวกับความมัน
่ คง
2. เก่ียวกับการก่อการร้าย 3. เก่ียวกับการปลอมแปลง 4. เก่ียวกับเพศ (ค้า
มนุษย์)5. เก่ียวกับการชิง/ปล้นทรัพย์ ท่ีกระทำาในทะเลหลวง 3. ปอ.ม.8 จำากัด
ความผิด (1)-(13) ปอ.ม.9 จำากัดเฉพาะความผิดต่อ ตำาแหน่งหน้าท่ีราชการ
เท่านัน้
4. ไม่ต้องร้องขอให้ลงโทษ 4. ไม่ต้องร้องขอให้ลงโทษ 4. ปอ.ม.8 ต้องมีการ
ร้องขอให้ลง โทษเสมอ แม้เป็ นความผิดอาญา แผ่นดิน ปอ.ม.9 ไม่ต้องมีการ
ร้องขอให้ ลงโทษ
ปอ. ม.357 “ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำาหน่าย ช่วยพาไป ซ้ือ รับจำานำา หรือรับไว้
โดยประการใด ซ่ ึงทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำาความผิด ถ้าความผิดนัน ้ เข้า
ลักษณะ ลักทรัพย์ วิงราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์
ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ผู้นัน
้ กระทำาความผิดฐานรับ
ของโจร”
ความผิดฐานรับของโจร
แยกประเภทความผิดได้ดังนี้
1. ความผิดดัง่เดิม = ลักทรัพย์ วิงราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์
ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์
2. ความผิดใหม่ = ความผิดฐานรับของโจร
ความผิดฐานรับของโจรทำาในต่างประเทศ แต่ความผิดดัง่เดิมกระทำาใน
ประเทศไทย
ถาม แดงลักรถของดำาในประเทศไทยแล้ว แดงนำาไปขายให้ขาวในประเทศ
ลาว ต่อมาหากขาวเข้ามาในประเทศไทย จะลงโทษขาวฐานรับของโจรตาม
ปอ. ม.357 ในประเทศไทยได้หรือไม่
ตอบ จะลงโทษขาวฐานรับของโจรได้ต่อเม่ ือเป็ นกรณีตาม ปอ.ม.8 ถ้าขาวเป็ น
คนไทยก็ลงโทษได้โดยอาศัย ปอ.ม.8 (ก) (12) ถ้าขาวเป็ นคนต่างด้าวและดำาผู้
เสียหายเป็ นคนไทย จะลงโทษขาวโดยอาศัย ปอ.ม.8 (ข) (12)
ปั ญหาต่อมาในกรณี ถ้าขาวผู้รับของโจรในประเทศลาวมิใช่คนไทย และดำาผู้
เสียหายไม่ใช่คนไทย จะลงโทษขาวตาม ปอ.ม.357 ในประเทศไทยไม่ได้
เพราะไม่เข้าเง่ ือนไขของ ปอ.ม.8 แต่ลงโทษแดงฐานลักทรัพย์ได้ โดยอาศัย
ปอ.ม.4 วรรคแรก
ถาม แต่ถ้าเปล่ียนข้อเท็จจริงว่าแดงลักรถในประเทศมาเลเซีย และนำามาขาย
ให้ขาวในประเทศไทย จะลงโทษขาวในประเทศไทยได้หรือไม่
ตอบ ลงโทษได้โดยอาศัย ปอ.ม.4 วรรคแรก
ถาม ถ้าแดงลักรถท่ีประเทศญ่ีปุ่น และนำาเข้ามาขายให้ขาวคนญ่ีปุ่นใน
ประเทศไทย ศาลไทยจะลงโทษขาวได้หรือไม่ (หลักถ้าความผิดดัง่เดิมลงโทษ
ในไทยไม่ได้ ก็ลงโทษฐานรับของโจรไม่ได้)
ตอบ ลงโทษไม่ได้ เพราะความผิดดัง่เดิมลงโทษในเมืองไทยไม่ได้ ฐานรับ
ของโจรก็ลงไม่ได้
หลักการลงโทษ มีหลักว่า ทำาความผิดครัง้เดียวต้องถูกลงโทษครัง้เดียว (
พิจารณาครัง้เดียว)
การลงโทษของศาลไทยจะบัญญัติไว้ใน ปอ.ม.10 ม.11 แยกเป็ นได้ 3 กรณี
1. ศาลไทยลงโทษอีกไม่ได้
2. ศาลไทยใช้ดุลพินิจ ลงโทษหรือไม่ก็ได้
3. ศาลไทยต้องลงโทษเสมอ
กรณีศาลไทยลงโทษไม่ได้
1. กรณีของ ปอ.ม.10 ความผิดท่ีได้กระทำานอกราชอาณาจักร เป็ นความผิด
ตาม
ปอ.ม.7 (2) คือ การปลอมแปลงเงินตรา แสตมป์ ใบหุ้น ตัว๋เงิน
ปอ.ม.7 (3) คือ การชิงทรัพย์ปล้นทรัพย์ในทะเลหลวง
ศาลในต่างประเทศพิพากษาถึงท่ีสุดให้ลงโทษและพ้นโทษแล้ว ศาลไทยจะ
ลงโทษอีกไม่ได้
2. กรณีของ ปอ.ม.11 ความผิดท่ีได้กระทำาในราชอาณาจักร หรือถือว่าได้
กระทำาในราชอาณาจักร
ผู้กระทำาความผิดถูฟ้องในศาลต่างประเทศ โดยรัฐบาลไทยร้องขอ
ผลของการพิพากษาถึงท่ีสุดให้ปล่อย หรือให้ลงโทษและผู้นัน ้ พ้นโทษแล้ว
จะลงโทษอีกไม่ได้
กรณีศาลไทยใช้ดุลพินิจ
แต่หากลงโทษเพียงบางส่วน ศาลไทยใช้ดุลพินิจได้ คือจะลงหรือไม่ลงก็ได้
กรณีท่ีศาลไทยต้องลงโทษเสมอ
กรณีของ ปอ.ม.10 เป็ นความผิดตาม ปอ.ม.7 (1) ความผิดเก่ียวกับความมัน
่ คง
ปอ.ม.7 (1/1) ความผิดเก่ียวกับการก่อการร้าย
ปอ.ม.7 (2 ทวิ) ความผิดเก่ียวกับเพศ (ค้ามนุษย์)
เป็ นการยกเว้นหลัก กระทำาผิดครัง้เดียวต้องถูกลงโทษครัง้เดียว
ตัวอย่าง นายแดงคนญ่ีปุ่น พบ น.ส.ดำา คนฟิ ลิปิน ท่ีโตเกียว นายแดงหลอก
น.ส.ดำาจะพาไปทำางานร้านอาหาร แต่ความจริงเป็ นการพาไปเพ่ ือค้าประเวณี
นายแดงถูกตำารวจญ่ีปุ่นจับ และถูกฟ้ องต่อศาลญ่ป
ี ่ ุน ศาลญ่ีปุ่นลงโทษจำาคุก
นายแดง และต่อมานายแดงพ้นโทษแล้ว นายแดงเขจ้ามาเท่ียวในเมืองไทย
โดยผลของ ปอ.ม.7 (2 ทวิ) และ ปอ. ม.10 ศาลไทยลงโทษนายแดงตาม
ปอ.ม.283 ได้อก
ี แม้ผู้กระทำาความผิดและผู้เสียหายจะไม่ใช่คนไทย เพราะการ
นีใ้ช้หลักการลงโทษสากล
ถาม นายหลุย นายโจ และนายแจ็ค รวมกันปล้นทรัพย์และฆ่าพระภิกษุชาว
ไทย 6 รูป ท่ีวัดไทยในสหรัฐฯ และนายหลุย กับนายโจ ถูกจับ และฟ้ องต่อ
ศาลไทยในสหรัฐฯ ศาลพิพากษาถึงท่ีสุดให้จำาคุกนายหลุย 10 ปี ยกฟ้ องนาย
โจ ส่วนนายแจ็คหลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย นายหลุยถูกจำาคุกอยู่ 1 ปี ก็
หลบหนีได้ และได้ไปชวนนายโจ มาหานายแจ็คในประเทศไทย นายทองซ่ ึง
เป็ นบิดาของพระภิกษุรป ู หน่ ึงท่ีถูกฆ่าทราบเข้า จึงไปร้องทุกข์ต่อพนักงาน
สอบสวน เพ่ ือให้เอาตัวผู้กระทำาผิดทัง้สามมาลงโทษ ดังนีจ้ะลงโทษนายหลุย
นายโจ และนายแจ็คในประเทศไทยได้เพียงใดหรือไม่
ตอบ นายหลุย นายโจ และนายแจ็ค กระทำาความผิดนอกราชอาณาจักร และ
เป็ นคนต่างด้าว โดยผู้เสียหายเป็ นคนไทย และผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ
ความผิดนัน้ เป็ นการปล้นทรัพย์และฆ่าผู้อ่ืน ตามท่ีบัญญัติไว้ใน ปอ.ม.8 นาย
หลุย นายโจ และนายแจ็ค ต้องรับโทษในราชอาณาจักร
นายหลุย ได้รับโทษตามคำาพิพากษาของศาลต่างประเทศมาบ้างแล้ว แต่ยัง
ไม่พ้นโทษ ศาลจะลงโทษน้อยกว่าท่ีกฎหมายกำาหนดไว้สำาหรับความผิดนัน ้
เพียงใดก็ได้ หรือจะไม่ลงโทษเลยก็ได้ ทัง้นีโ้ดยคำานึงถึงโทษท่ีผู้นัน
้ ได้รบ
ั มา
แล้วตาม ปอ.ม.10 วรรคสอง
นายโจ ได้มคี ำาพิพากษาของศาลในต่างประเทศอันถึงท่ีสุดให้ปล่อยตัวแล้ว
ต้องห้ามมิให้ลงโทษผู้นัน
้ ในราชอาณาจักรเพราะการกระทำานัน้ อีกตาม
ปอ.ม.10 วรรคแรก
นายแจ็ค ยังไม่มค
ี ำาพิพากษาของศาลในต่างประเทศ กรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์
ตาม ปอ.ม.10 ศาลมีอำานาจลงโทษได้เต็มตามท่ีกฎหมายกำาหนดไว้ (เนฯ 45)
ถาม ในการนัดหยุดงานของประชาชนชาวฝรัง่เศส คราวนีน ้ ายแดงคนไทย
ซ่ ึงอยู่ในประเทศฝรัง่เศส ได้ร่วมมือกับสหพันธ์กรรมกรของของฝรัง่เศส
แนะนำาชักชวนกรรมกรผู้ขับรถยนต์ขนส่งโดยสารสาธารณะให้ถอดแม่ปั้ม
เบรครถยนต์โดยสารสาธารณะท่ีตนขับออกเสีย ทำาให้รถยนต์อยู่ในลักษณะ
ท่ีจะเกิดอันตรายแก่ผู้โดยสาร และประชาชน กรรมกรผู้ได้รับการชักชวน
เห็นชอบและกระทำาตาม เป็ นเหตุให้รถยนต์โดยสารดังกล่าวนัน ้ เกิดอุบัติเหตุ
ชนรถยนต์คันอ่ ืนและชนคนเดินถนน ผู้โดยสารประชาชนได้รบ ั บาดเจ็บเป็ น
จำานวนมาก ตำารวจฝรัง่เศสจับนายแดง ฟ้ องศาลในประเทศฝรัง่เศส ศาลจำา
คุกนายแดง 6 เดือน นายแดงได้รบ ั โทษจำาคุก 3 เดือน ได้หลบหนีกลับ
ประเทศไทย รัฐบาลฝรัง่เศสได้ร้องขอให้รัฐบาลไทยดำาเนินการฟ้ องร้องนาย
แดง ในความผิดท่ีกระทำาในฝรัง่เศสอีก ดังนีศ
้ าลไทยจะพิพากษาให้นายแดง
ต้องรับโทษในราชอาณาจักได้รหือไม่เพราะเหตุใด (ผู้ช่วย 11)
ตอบ ศาลในประเทศไทยพิพากษาให้นายแดงต้องรับโทษในราชอาณาจักได้
ตาม ปอ. ม.8 (ก) (1) เพราะความผิดท่ีนายแดงกระทำาในฝรัง่เศสเป็ นความผิดท่ี
กระทำาตาม ปอ.ม.232 และ ปอ.ม.10 วรรคท้าย นายแดงยังไม่พ้นโทษ ศาลไทย
จะลงโทษน้อยกว่าท่ีกฎหมายกำาหนดไว้สำาหรับความผิดนัน ้ เพียงใดก็ได้ หรือ
จะไม่ลงโทษเลยก็ได้ โดยคำานึงถึงโทษท่ีนายแดงได้รับมาแล้ว
ถาม นายจอมสัญชาติเขมร ไปเทียวท่ีนครเวียงจันทร์ประเทศลาว ได้ถูกนาย
จันทร์คนสัญชาติลาวลักนาฬิกาข้อมือ 1 เรือน ไปจากห้องพักในนครเวียง
จันทร์ และนายจันทร์ได้เข้ามาท่ีจังหวัดหนองคาย นายจอมจึงตามมาพบและ
แจ้งตำารวจจับนายจันทร์ พร้อมด้วยนาฬิกาท่ีลักมาได้ ท่ีตลาดจังหวัด
หนองคาย นายจันทร์ถึงฟ้ องต่อศาลจังหวัดหนองคายฐานลักทรัพย์ จำาเลย
ให้การรับสารภาพตามฟ้ อง ท่านเป็ นผู้พิพากษาศาลจังหวัดหนองคาย จะ
พิพากษาคดีนีอ ้ ย่างไร
ตอบ คดีนีเ้ป็ นการกระทำาความผิดลักทรัพย์ท่ีเกิดนอกราชอาณาจักร ผู้เสีย
หายกับผูก้ ระทำาผิดเป็ นคนต่างด้าว จึงไม่ต้องด้วย ปอ.ม.8 ท่ีจะต้องรับโทษใน
ราชอาณาจักร ศาลจังหวัดหนองคายต้องพิพากษายกฟ้ อง (เนฯ 25)
ความรับผิดทางอาญา
ปั ญหา แดงใช้ปืนยิงดำาตรงหน้าอกดำา ดำาถูกยิงถึงกับความตาย แดงต้องรับ
ผิดในทางอาญาหรือไม่อย่างไร
แดงจะต้องรับผิดในทางอาญาเม่ ือ
1. แดงมีการกระทำา การกระทำาของแดงครบองค์ประกอบท่ีกฎหมายบัญญัติ
ไว้เป็ นความผิด
2. การกระทำาของแดงต้องไม่มก
ี ฎหมายยกเว้นความผิด
3. การกระทำาของแดงต้องไม่มก
ี ฎหมายยกเว้นโทษ
การกระทำาของแดงครบองค์ประกอบท่ีกฎหมายบัญญัติไว้เป็ นความผิดหรือ
ไม่
1. มีการกระทำาหรือไม่
2. การกระทำานัน
้ ครบองค์ประกอบ (ภายนอก) ความผิดในเร่ ืองนัน
้ หรือไม่
3. การกระทำานัน
้ ครบองค์ประกอบ (ภายใน) ของความผิดหรือไม่
4. ผลของการกระทำาสัมพันธ์กับการกระทำาหรือไม่
การกระทำานัน ้ มีกฎหมายยกเว้นความผิดหรือไม่
การกระทำานัน ้ มีกฎหมายยกเว้นโทษหรือไม่
วิธีคิด
1. ดูว่าแดงมีการกระทำาหรือไม่ หากไม่มีการกระทำาแดงไม่ต้องรับผิด แต่หาก
มีการกระทำาเม่ ือไรให้ดูข้อต่อไป
2. การกระทำานัน
้ ครบองประกอบภายนอกหรือไม่ หากไม่ครบไม่ต้องรับผิด
หากครบองค์ประกอบภายนอกให้ดูข้อต่อไป
3. หากครบองค์ประกอบภายนอกแล้ว ครบองค์ประกอบภายในหรือไม่ หาก
ไม่ครบไม่ต้องรับผิด
4. ผลของการกระทำาของแดงสัมพันธ์กับการกระทำาของแดงหรือไม่
หากครบทัง้ 4 ข้อแล้วก็ไม่แน่ว่าแดงต้องรับโทษ
การกระทำาของแดงต้องไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด
หากไม่มก ี ฎหมายยกเว้นความผิด แดงต้องถูกลงโทษ
การกระทำาของแดงต้องไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ
หากไม่มก ี ฎหมายยกเว้นโทษ แดงต้องถูกลงโทษประหารชีวิต
แต่ ต้องดูว่ามีเหตุลดหย่อนโทษหรือไม่
การกระทำาคืออะไร
การกระทำา หมายความถึง การเคล่ ือนไหวร่างกาย หรือไม่เคล่ ือนไหวร่างกาย
โดยรูส
้ ำานึก
การรู้สำานึก คือ อยู่ภายใต้บังคับของจิตใจ
การอยู่ภายใต้บังคับของจิตใจ หมายความว่า มีความคิดท่ีจะกระทำา พอคิด
แล้วตกลงใจท่ีจะกระทำาตามท่ีคิด ลงมือกระทำา
การกระทำาแบ่งเป็ น 2 กรณี
1. กระทำาโดยการเคล่ ือนไหวร่างกาย
2. กระทำาโดยการไม่เคล่ ือนไหวร่างกาย
- การงดเว้น
- การละเว้น
การกระทำาโดยงดเว้น
คือการกระทำาโดยไม่เคล่ ือนไหวร่างกาย ปอ.ม.59 วรรคท้าย “การกระทำาให้
หมายรวมถึงการให้เกิดผลอันใดอันหน่ ึงขึ้นโดยงดเว้นการท่ีจะต้องกระทำา
เพ่ ือป้ องกันผลนัน
้ ด้วย”
การกระทำาโดยงดเว้นมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1. เป็ นการกระทำาโดยไม่กระทำา กล่าวคือไม่เคล่ ือนไหวร่างกาย
2. โดยรู้สำานึกว่าตนมีหน้าท่ีต้องกระทำา
3. หน้าท่ีต้องกระทำาเพ่ ือป้ องกันผลนัน
้ มิให้เกิด
หน้าท่ีต้องกระทำาเกิดจาก
1. หน้าท่ีตามท่ีกฎหมายบัญญัติ
2. หน้าท่ีอันเกิดจากการยอมรับโดยเฉพาะเจาะจง
3. หน้าท่ีเกิดจากการกระทำาครัง้ก่อนของตน
4. หน้าท่ีเกิดจากความสัมพันธ์เป็ นพิเศษเฉพาะเร่ ือง
หน้าท่ีตามท่ีกฎหมายบัญญัติ
มีกฎหมายให้ทำาแล้วไม่ทำา เช่น
ปพพ. ม.1564 “บิดามารดาจำาต้องอุปการะเลีย
้ งดูและให้การศึกษาตามสมควร
แก่บุตร ในระหว่างเป็ นผู้เยาว์”
ปพพ. ม.1461 “สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลีย
้ งดูกัน” และ
ปพพ. ม.1563 “บุตรจำาต้องอุปการะเลีย
้ งดูบิดามารดา”
หน้าท่ีอันเกิดจากการยอมรับโดยเฉพาะเจาะจง
หมายความว่า ผู้กระทำายอมรับโดยตรงท่ีจะกระทำาการอย่างใดอย่างหน่ ึง เม่ ือ
รับแล้วเกิดหน้าท่ีต้องกระทำาตามท่ีตนยอมรับ (ตามสัญญาหรือนิติกรรม)
เช่น ยอมรับเลีย ้ งเด็ก แล้วปล่อยให้เด็กตาย
ตัวอย่าง เป็ นพยาบาลรับดูแลคนไข้ แล้วปล่อยให้คนไข้ตาย
รับเป็ นผูด
้ ูแลคนมาวายน้ำาในสระ ไม่กระทำาโดยงดเว้น
มีหน้าท่ีกัน้ รถยนต์ให้รถไฟผ่าน ไม่กระทำาถือว่ากระทำา
*** หน้าท่ีพวกนีจ้ะมีค่าตอบแทนหรือไม่ ไม่สำาคัญ ***
หน้าท่ีอันเกิดจากการกระทำาครัง้ก่อนของตน
หมายความว่า หากการกระทำาของตนน่าจะก่อให้เกิดอันตรายอย่างใดขึ้น
กระทำาแล้วไม่กระทำาให้ตลอด เช่น จูงคนตาบอดข้ามถนน พอจูงได้คร่ ึงถนน
แล้ววิงไป ถ้าคนตาบอดถูกรถชนตาย คนจูงผิดฐานฆ่าคนตาย โดยวิธีการงด
เว้น ตาม ปอ.ม.59 วรรคท้าย
หน้าท่ีอันเกิดจากความสัมพันธ์เป็ นพิเศษเฉพาะเร่ ือง
หมายความว่า ไม่มก ี ฎหมายบัญญัติให้มหี น้าท่ีโดยเฉพาะ เช่น บิดดาไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เลีย ้ งดูบุตร แต่บิดาก็ช่วยเหลือมา
ตลอด หากต่อมาไม่ช่วยเหลือเลีย ้ งดูจนเด็กตาย บิดาท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จะมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยงดเว้น
ชายหญิงไม่จดทะเบียนสมรสกัน แต่อยู่ด้วยกันตลอดมา ถือว่าทัง้ชายและ
หญิงเกิดหน้าท่ีพิเศษเฉพาะเร่ ืองระหว่างชายและหญิงนัน ้
การกระทำาโดยงดเว้นมีข้อสังเกตดังนี้
ฎ.1909/16 จำาเลยขับรถยนต์บรรทุกเสาไฟฟ้ ามาตามถนนในเวลากลางคืน ล้อ
รถพ่วงท่ีจำาเลยขับหลุด ทำาให้เสาตกมาขวางถนน และจำาเลยไม่ได้จด ั ให้มี
โครมไฟ หรือเคร่ ืองสัญญาณอย่างอ่ ืน เพ่ ือให้ผู้ใช้ถนนเห็นเสาท่ีขวางถนน
นัน้ ต่อมามีรถแล่นมาชนเสา มีคนตายและบาดเจ็บ ถือว่าจำาเลยกระทำาโดย
ประมาท และผลเสียหายเกิดจากการท่ีจำาเลยงดเว้น การท่ีจะต้องกระทำาเพ่ ือ
ป้ องกันผล จำาเลยมีความผิดตาม ปอ.ม.300
สรุป การงดเว้น มีความทัง้เจตนาและประมาทก็ได้
หมายเหตุ
1. การงดเว้นท่ีไม่บรรลุผลเป็ นการพยายามทำาผิดได้
2. การร่วมกระทำาความผิดกับผู้อ่ืน ตาม ปอ. ม.83 โดยงดเว้นก็มไี ด้
ฎ.1113-1114/08 จำาเลย (ภริยา) เห็นผู้ตาย (สามี) กำาลังถูกชู้ของตนทำาร้ายจำาเลย
ไม่ขัดขวางแต่อย่างไร และไล่ลูก ๆ ให้ออกไปทัง้สัง่ห้ามมิให้บอกใคร ต่อมา
มีหญิงคนหน่ ึงมาท่ีเกิดเหตุ จำาเลยจึงไปรับหน้าห้ามมิให้เข้าไป โดยกล่าวเท็จ
ว่าผัวเมียตีกันไม่ใช่ธุระ เป็ นการแสดงให้เห็นว่า จำาเลยกระทำาไปโดยตัง้ใจ
เพ่ ือจะอำานวยความสะดวกให้ผู้ตายถูกฆ่าโดยไม่ต้องมีผู้ใดมาขัดขวาง จำาเลย
กระทำาผิดฐานเป็ นผู้สนับสนุน
3. การกระทำาโดยงดเว้นก็เช่นเดียวกับการกระทำาโดยทัว่ไป โดยผลท่ีเกิดขึ้น
ต้องมีความสัมพันธ์กันการงดเว้นนัน้
การกระทำาโดยละเว้น
เป็ นการกระทำาโดยไม่กระทำา ละเว้นนัน
้ ผู้กระทำามีหน้าท่ีทัว่ ๆ ไป
ตัวอย่าง แดงเป็ นนักวายน้ำาเหรียญทอง แดงเดินผ่านสระวายน้ำาเห็นเด็กชาย
ดำากำาลังจะจมน้ำาตาย แดงสามารถช่วยได้ แต่ไม่ช่วย ปล่อยให้ดำาจมน้ำาตาย
ต่อหน้าตน เป็ นความผิดลหุโทษตาม ปอ. ม.374
แต่ถ้าแดงเป็ นบิดาดำา หรือแดงมาสัญญาว่าจะดูแลสระ แดงจะมีหน้าท่ีเฉพาะ
ตามกฎหมายแพ่ง คือต้องอุปการะเลีย ้ งดูดำา หรือแดงมีหน้าท่ีตามสัญญา
ต้องช่วยดำา หากไม่ช่วยดำา แดงจะผิดฐานฆ่าบุตรของตนในกรณีท่ีแดงเป็ น
บิดา หรือในกรณีท่ีแดงเป็ นผู้สัญญากับเจ้าของสระ แดงก็จะผิดฐานฆ่าผู้อ่ืน
โดยงดเว้น
การละเว้นท่ีกฎหมายอาญาบัญญัติเป็ นความผิด
ปอ.ม.126 ได้รบ
ั มอบหมายให้ทำากิจการของรัฐบาลกับรัฐบาลต่างประเทศ แล้ว
ไม่ปฏิบัติตามท่ีได้รับมา
ปอ.ม.150 เป็ นเจ้าพนักงานกระทำาการหรือไม่กระทำาการในตำาแหน่งโดยเห็น
แก่ทรัพย์สินหรือประโยชน์ท่ีตนเรียกรับ หรือยอมจะรับ
ปอ.ม.156 เป็ นเจ้าพนักงานมีหน้าท่ีตรวจสอบบัญชี โดยทุจริต กระทำาการหรือ
ไม่กระทำาการ หรือแนะนำา ให้มีการละเว้นการลงรายการ ลงรายการเท็จ
แก้ไข ซ่อนเร้นในบัญชี หรือทำาหลักฐานอันเป็ นผลให้การเสียภาษีน้อยลง
หรือไม่ต้องเสีย
ปอ.ม.157 เป็ นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติโดยมิชอบ เพ่ ือให้เกิด
ความเสียหาย หรือละเว้นการปฏิบัติโดยทุจริต
ปอ.ม.200 เป็ นเจ้าพนักงานในตำาแหน่งยุติธรรม กระทำาการหรือไม่กระทำาการ
ในตำาแหน่งโดยมิชอบ เพ่ ือจะช่วยบุคคลหน่ ึงบุคคลใดไม่ให้รับโทษหรือรับ
โทษน้อยลง
ปอ.ม.202 เป็ นเจ้าพนักงานในตำาแหน่งยุติธรรม กระทำาการหรือไม่กระทำาการ
ในตำาแหน่งโดยเห็นแก่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อ่ืนใดซ่ ึงตนได้เรียกรับหรือ
ยอมจะรับ
ปอ.ม.216 เม่ ือเจ้าพนักงานสัง่ผู้มัว่สุม ตาม ปอ.ม.215 ให้เลิก ผู้ใดไม่เลิก ต้อง
ระวางโทษ
ปอ.ม.227 ผู้ใดมีวิชาชีพออกแบบ ...**คุมการก่อสร้าง ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
โดยประการท่ีน่าจะเป็ นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บค ุ คลอ่ ืน
ปอ.ม.367 ผู้ใดเม่ ือเจ้าพนักงานถามช่ ือหรือท่ีอยู่ เพ่ ือปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่
ยอมบอกหรือแกล้งบอกช่ ือหรือท่ีอยู่อันเป็ นเท็จ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
หน่ ึงร้อยบาท
ปอ.ม.374 ผู้ใดเห็นผู้อ่ืนตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิต ซ่ ึงตนอาจช่วยได้โดยไม่
กลัวอันตรายแก่ตนเองหรือผู้อ่ืนแต่ไม่ช่วยตามความจำาเป็ น
ปอ.ม.383 ผู้ใดเม่ ือเกิดเพลิงไหม้หรือสาธารณะภัยอ่ ืน และเจ้าพนักงานเรียก
ให้ช่วยระงับ ถ้าผู้นัน
้ ช่วยได้แต่ไม่ช่วย
ข้อสังเกต กรณีความผิดฐานรับของโจร
หากความผิดฐานรับของโจร กระทำาในราชอาณาจักรไทย แต่ความผิดดัง่เดิม
กระทำานอกราชอาณาจักร จะลงโทษฐานรับของโจรในราชอาณาจักรตาม
ปอ.ม.357 โดยอาศัย ปอ.ม.4 วรรคแรกได้ก็ต่อเม่ ือความผิดดัง่เดิมนัน
้ สามารถ
ลงโทษในราชอาณาจักรได้
ตัวอย่าง แดงคนไทยลักทรัพย์ขาวคนมาเลเซียในประเทศมาเลเซีย แล้วแดง
เอาทรัพย์นัน
้ มาขายให้เหลืองในประเทศไทย เหลืองรับซ้ือโดยรูว้ ่าเป็ นทรัพย์
ท่ีแดงขโมยมา การกระทำาของเหลืองเป็ นความผิดฐานรับของโจรตาม
ปอ.ม.357 และลงโทษเหลืองโดยอาศัย ปอ.ม.4 วรรคแรก ในประเทศไทยได้
เพราะความผิดดัง่เดิมคือลักทรัพย์นัน
้ แดงผู้กระทำาความผิดเป็ นคนไทย
สามารถลงโทษแดงได้ตาม ปอ.ม.334 ในประเทศไทยโดยอาศัย ปอ.ม.8 (ก)
แต่ถ้า แดงคนมาเลเซียชิงทรัพย์ขาวคนเกาหลีในทะเลหลวง ซ่ ึงอยู่นอก
อาณาเขตประเทศไทย การชิทรัพย์ในทะเลหลวง สามารถลงโทษแดงใน
ประเทศไทยได้ตาม ปอ.ม.7 (3) ด้วยเหตุนีห
้ ากแดงเอาทรัพย์ท่ีชิงได้มาขายให้
แก่เหลืองในประเทศไทย ซ่ ึงเหลืองรับซ้ือไว้ โดยรู้ข้อเท็จจริงก็ลงโทษเหลือง
ฐานรับของโจรได้ตาม ปอ.ม.357 ในประเทศไทยได้ โดยอาศัย ปอ.ม.4 วรรค
แรก
แต่ถ้า คนญ่ีปุ่นยักยอกทรัพย์คนญ่ีปุ่นในประเทศญ่ีปุ่น และต่อมานำาทรัพย์
นัน
้ มาขายในประเทศไทย โดยผูซ ้ ้ือรู้ข้อเท็จจริงทุกอย่าง แม้จะเป็ นความผิด
ฐานรับของโจรตาม ปอ.ม.357 ก็ลงโทษผู้ซ้ือในประเทศไทยไม่ได้ เพราะความ
ผิดดัง่เดิม คือยักยอกไม่อาจลงโทษในประเทศไทยได้เน่ ืองจากไม่เข้าหลัก
เกณฑ์ตาม ปอม.4 ม.5 ม 6 ม 7 ม.8 ม.9
การกระทำาครบองค์ประกอบภายนอกในเร่ ืองนัน
้ ๆ แต่ละมาตราองค์
ประกอบทุกฐานความผิดทุกมาตราจะแบ่งเป็ น 3 ส่วนเสมอ
1. จะต้องมีผู้กระทำาความผิด
2. มีการลงมือกระทำาในทุกฐานความผิด
3. มีวัตถุแห่งการกระทำา
มีผู้กระทำา
กฎหมายอาญาทุกมาตราจะใช้คำาว่า “ผู้ใด” หรือ “ผูก
้ ระทำาผิดอาญา”
ฉะนัน ้ ผู้กระทำาผิดจะต้องเป็ นคน
คนทำาแบ่งเป็ น 2 กรณี
1. ผูก
้ ระทำาผิดด้วยตนเอง
2. ผูก
้ ระทำาผิดโดยทางอ้อม
กระทำาผิดด้วยตนเอง รวมถึงการใช้สัตว์เป็ นเคร่ ืองมือหรือใช้คนอ่ ืน
กระทำาผิดโดยทางอ้อม
เป็ นกรณีผู้ทำาได้ใช้หรือหลอกคนอ่ ืนให้ทำาแทน ซ่ ึงผู้ถูกใช้หรือผู้ถูกหลอก
ไม่รสู้ ำานึกในการท่ีตนกระทำา
ฎ.1033/04 จำาเลยรู้ดีอยูก
่ ่อนแล้ว่าท่ีพิพาทเป็ นของผู้เสียหาย จำาเลยยังจ้างคน
ให้ไปขุดดินจนเป็ นบ่อ จำาเลยผิดฐานทำาให้เสียทรัพย์
ฎ.2030/37 จำาเลยใช้ให้เด็กหญิง ป. ไปลักเฮโรอินโดยเด็กหญิง ป. ไม่ทราบข้อ
เท็จจริง การท่ีเด็กหญิง ป.ครอบครอง ถือว่าจำาเลยครอบครอง
มีการลงมือกระทำา
หลัก การกระทำาจะต้องถึงขัน
้ ลงมือตาม ปอ.ม.80 จึงจะถือว่าเป็ นความผิด
แต่ก็มีข้อยกเว้น การกระทำาก่อนขัน
้ ลงมือ ก็เป็ นความผิด เช่น การตระ
เตรียมการวางเพลิงตาม ปอ.ม.219 อัง้ย่ีกับซ่องโจร ปอ.ม.209 ม.210 การใช้ซ่ึงผู้
ถูกใช้ยังมิได้กระทำาผิด ปอ.ม.84 ลงโทษ 1 / 3
หมายเหตุ
1. การลงมือแล้ว เกิดเป็ นความผิดมีเฉพาะการกระทำาโดยเจตนา
2. การกระทำาโดยประมาทจะเป็ นความผิดต้องเกิดผล หากลงมือแล้วไม่เกิด
ผล ไม่ผด
ิ ฐานพยายาม
ประมาท ปอ.ม.291 ม.300
มีวัตถุแห่งการกระทำา
วัตถุแห่งการกระทำา หมายถึง ส่ิงท่ีผู้กระทำามุ่งหมายกระทำาต่อ เช่น
ปอ.ม.288 “ผู้ใดฆ่าผูอ
้ ่ ืนต้องระวางโทษประหารชีวิต” วัตถุแห่งการกระทำาได้
แก่ผู้อ่ืน
ปอ.ม.334 ความผิดฐานลักทรัพย์ วัตถุแห่งการกระทำา คือ ทรัพย์ของผู้อ่ืน
ปอ.ม.358 ความผิดฐานทำาให้เสียทรัพย์ วัตถุแห่งการกระทำา คือ ทรัพย์ของผู้
อ่ ืนหรือท่ีผู้อ่ืนเป็ นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย
การกระทำาต้องครบองค์ประกอบภายในของความผิดในเร่ ืองนัน ้ ๆ
ปอ.ม.59 วรรคแรก “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเม่ ือได้กระทำาโดย
เจตนา เว้นแต่จะได้กระทำาดดยประมาทในตกรณีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับ
ผิดเม่ ือได้กระทำาโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีท่ีกฎหมายได้บัญญัติไว้แจ้ง
ชัด ให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำาโดยไม่มีเจตนา”
หลัก ตาม ปอ.ม.59 องค์ประกอบภายในในทุกฐานความผิดต้องมีเจตนา
ยกเว้น มีบางมาตรา องค์ประกอบภายในเป็ นประมาท เช่น ปอ.ม.291 กระทำา
โดยประมาทเป็ นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความตาย ยกเว้น ความผิดลหุโทษบาง
มาตรา แม้ไม่มีเจตนาและไม่ประมาทก็เป็ นความผิด เช่น ปอ.ม.380 ผู้ใดทำาให้
เกิดปฏิกูลแก่น้ำาในบ่อ สระ หรือท่ีขังน้ำาอันมีไว้สำาหรับประชาชนให้สอย
หมายเหตุ
1. ความผิดลหุโทษ ปอ.ม.391“ใช้กำาลังทำาร้ายผูอ้ ่ ืน โดยไม่ถึงกับเป็ นเหตุให้เกิด
อันตรายแก่กายหรือจิตใจ” ต้องมีเจตนาเท่านัน
้ จึงจะมีความผิด และ
ปอ.ม.390 “ผู้ใดกระทำาโดยประมาท และการกระทำานัน ้ เป็ นเหตุให้ผู้อ่ืนรับ
อันตรายก่ายหรือจิตใจ” ต้องประมาทเท่านัน
้ จึงจะมีความผิด
เจตนาคืออะไร แบ่งออกเป็ นก่ีประเภท
เจตนาแบ่งเป็ น 2 ประเภท
1. เจตนาตามความเป็ นจริง
2. เจตนาโดยผลของกฎหมาย
เจตนาตามความเป็ นจริง
ปอ.ม.59 วรรค 2 และวรรค 3
การกระทำาโดยเจตนาได้แก่ การกระทำาโดยรู้สำานึกในการท่ีกระทำาและใน
ขณะเดียวกัน ผู้กระทำาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำานัน ้
ถ้าผู้กระทำามิได้รู้ข้อเท็จจรงอันเป็ นองค์ประกอบของความผิดจะถือว่าผู้
กระทำาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำานัน ้ มิได้
สรุปได้วา่
การท่ีจะถือว่าผู้กระทำามีเจตนานัน ้ ต้องประกอบไปด้วย
1. ผูก
้ ระทำาต้องรู้ข้อเท็จจริง อันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิด (59
ว.3) และ
2. ผูก
้ ระทำาจะต้องประสงค์ต่อผลของการกระทำาของตนนัน
้ หรือมิฉะนัน
้ ก็จะ
ต้องเร่ิมเล็งเห็นผลของการกระทำาของตน (59 ว.2)
ปอ.ม.59 วรรค 3 เกิดหลัก หากผู้กระทำาไม่รู้ถือว่าไม่มีเจตนา
ตัวอย่าง แดงต้องการฆ่าดำา แต่ขาวไม่ต้องการให้ดำาตาย จึงไปหลอกแดงว่า
ดำาหัวใจวายตายไปแล้ว ทัง้นีเ้พ่ ือให้แดงเลิกล้มความตัง้ใจท่ีจะฆ่าดำา แต่แดง
ยังโกรธแค้นดำาอยู่ คิดว่าถึงยิงดำาไม่ได้ขอยิงศพก็ยังดี แดงจึงใช้ปืนยิงดำาซ่ ึง
นอนหลับคลุมโปงอยู่ โดยแดงคิดว่าเป็ นการยิงศพ ปรากฏว่าดำาถูกแดงยิง
ตาย เช่นนี แ ้ ดงไม่ ต้อเพราะแดงไม่
.ม.288 งรับผิดตามปอ
มีเจตนาฆ่าดำา ตาม
ปอ.ม.59 วรรคแรก เน่ ืองจากไม่รู้ว่าดำาเป็ นคนโดยเข้าใจว่าเป็ นศพ
ตัวอย่าง แดงเข้าไปล่าสัตว์ในป่ า แดงเห็นมีการเคล่ ือนไหวหลังพุ่มไม้ แดง
เข้าจ่าเป็ นกวางจึงใช้ปืนยิงปรากฏว่า ความจริงไม่ใช่กวาง แต่เป็ นดำาก้มเก็บ
ของอยู่ ดำาถูกกระสุนปื นของแดงตาย แดงไม่ต้องรับผิดตาม ปอ.ม.288 เพราะ
แดงไม่มีเจตนาท่ีจะห่าดำาเน่ ืองจากไม่รู้ว่าเป็ นการยิงดำา เพราะเข้าใจว่า
เป็ นการยิงสัตว์
แต่ ปอ.ม.62 วรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรค
สามแห่ง ปอ. ม.59 ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำาผิด ให้ผู้กระทำา
รับผิดฐานกระทำาโดยประมาทในกรณีท่ีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า
การกระทำานัน ้ ผูก้ ระทำาจะต้องรับโทษแม้กระทำาโดยประมาท” ดังนัน้ แม้แดง
ยิงดำา แต่คิดว่าเป็ นกวาง หรือแดงยิงดำา โดยคิดว่าเป็ นศพ หากความไม่รด
ู้ ัง
กล่าว เกิดขึ้นเพราะแดงประมาท คือไม่สังเกตให้ดี ๆ หากได้สังเกตจะทราบ
ว่าเป็ นคน ฉะนัน ้ แดงจะต้องรับผิดฐานกระทำาโดยประมาท
ปอ.ม.59 วรรคสาม + ปอ.ม.62 วรรคท้าย เกิดหลักกฎหมาย 3 ประการ คือ
1. ไม่รู้กไ็ ม่มีเจตนา
2. รู้เท่าใด ก็มีเจตนาเท่านัน

3. รู้เท่าใด ก็มีเจตนาเท่านัน
้ แต่ไม่เกินความจริง
หากผู้กระทำาไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิด ก็
ถือว่าผู้กระทำาไม่มีเจตนากระทำาความผิดนัน ้ กล่าวสัน ้ ๆ ได้ว่า “ไม่รกู้ ็ไม่มี
เจตนา”
หากผู้กระทำารู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิดใด ก็
ถือว่า ผู้กระทำามีเจตนากระทำาความผิดนัน ้ เท่านัน้ กล่าวสัน ้ ๆ ได้ว่า ”รู้
เท่าใด ก็มีเจตนาเท่านัน ้ ” เช่น แดงรู้หรือเข้าใจว่ากำาลังยิงดำา แม้แดงจะยิง
ขาว ซ่ ึงเป็ นบิดาของแดง ก็ถือว่าแดงมีเจตนาฆ่าคนธรรมดาเท่านัน ้ จะถือว่า
ฆ่าบุพการีไม่ได้
แดงต้องการฆ่าขาวซ่ ึงเป็ นบิดาแดงเห็นดำาเนินมาในท่ีมืดคิดว่าเป็ นขาว จึงใช้
ปื นยิงและดำาตาย เช่นนีแ ้ ม้แดงจะรู้และเข้าใจว่ากำาลังยิงบิดาของตน ก็ไม่
ถือว่าแดงมีเจตนาฆ่าบิดา เพราะความจริง ผู้ถูกยิงไม่ใช่บด ิ า แต่เป็ นดำาซ่ ึง
เป็ นบุคคลธรรมดา กรณีนีเ้น่ ืองจากไม่มีการกระทำาต่อขาวเลย เพราะขาวไม่
ได้อยู่ในท่ีเกิดเหตุ ผู้ถูกยิงคือดำา ต้องคือตามความเป็ นจริง คือ แดงมีเจตนา
ฆ่าดำา คนธรรมดาเท่านัน ้
ถาม บิดานายยอดถึงแก่กรรม นายยอดประสงค์จะเป็ นผู้จด ั การมรดกของ
บิดา จึงได้ปรึกษากับนายม่ิง ซ่ ึงเป็ นเสมียนทนายความของสำานักงาน
ทนายความแห่งหน่ ึง นายม่ิงให้คำาปรึกษาว่า ต้องย่ ืนคำาร้องต่อศาลของเป็ นผู้
จัดการมรดก และนายม่ิง ได้นำาใบแต่ทนายความมาให้นายยอดลงลายมือช่ ือ
นายยอดอ่านและเขียนหนังสือไม่ได้ จึงให้ภริยาลงลายมือนายยอดในใบแต่ง
ทนายความ โดยท่ีนายม่ิงห้ามไม่ทัน ต่อมานายม่ิง นำาใบแต่ทนายความดัง
กล่าวไปให้นายเย่ียม ทนายความเพ่ ือทำาคำาร้องย่ ืนต่อศาล นายเย่ียมไม่ทราบ
ถึงการลงลายมือดังกล่าว จึงได้ทำาคำาร้องขอเป็ นผู้จัดการมรดกย่ ืนต่อศาลโดย
เสนอใบแต่ทนายความฉบับนัน ้ เข้าไปพร้อมคำาร้องขอด้วย ให้ท่านวินิจย่า
นายม่ิง และนายเย่ียม จะมีความผิดตาม ปอ. ฐานใดหรือไม่
ตอบ ไม่มีกฎหมายให้อำานาจลงลายมือช่ ือแทนกันได้ แม้เจ้าของลายมือช่ ือจะ
อนุญาตหรือให้ความยินยอมก็ตาม การท่ีภริยานายยอดลงลายมือช่ ือนาย
ยอดแทนในใบแต่ทนายจึงเป็ นการลงลายมือช่ ือปลอม และการกระทำาดัง
กล่าวก็เพ่ ือนำาใบแต่งทนายความดังกล่าวไปย่ ืนต่อศาลผู้รับคำาร้องไว้ไต่สวน
ดำาเนินการพิจารณาต่อไป ซ่ ึงน่าจะเกิดความเสียหายแก่ศาล ใบแต่ทนายคาม
จึงเป็ นเอกสารปลอม
นายม่ิงไม่มีส่วยเก่ียวข้อง ในการท่ีภริยานายยอดลงลายมือช่ ือนายยอดแทน
นายม่ิงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารตาม ปอ.ม.246 แต่นายม่ิงทราบเร่ ืองท่ี
ภริยานายยอดลงลายมือช่ ือปลอม และยังนำาใบแต่ทนายไปมอบให้นายเย่ียม
ย่ ืนต่อศาลพร้อมคำาร้องก็ต้องถือว่านายม่ิงใช้เอกสารปลอม ในประการท่ีน่า
จะเกิดความเสียกายแก่ศาลแล้ว นายม่ิงจึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
ตาม ปอ.ม.268 ประกอบ ปอ.ม.264 (ฎ.1526/25 ฎ.658/13)
ส่วนนายเย่ียม ไม่ทราบถึงข้อเท็จจริงท่ีภริยานายยอดลงลายมือช่ ือนายยอด
แทน การท่ีนายเย่ียมเสนอใบแต่ทนายพร้อมคำาร้องย่ ืนต่อศาล จึงเป็ นการ
กระทำาท่ีมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบของความผิด การกระทำาของ
นายเย่ียมจึงขาดเจตนาตาม ปอ.ม.59 วรรคสาม นายเย่ียม ไม่ต้องรับผิดใน
ทางอาญา (ฎ.631/34) (ผู้ช่วย 41)
ถาม กระบือของนายชาญหาย นายชาญติดตามไปพบกระบือตัวหน่ ึงอยู่ใน
ทุ่งก็เข้าว่ากระบือนัน
้ เป็ นของตนท่ีหายไป จึงเข้าไปไล่เพ่ ือจะเอากลับบ้าน
นายแคล้วเจ้าของกระบือเข้าใจว่านายชาญจะลักกระบือของตน จึงเข้าฟั น
นายชาญ เพ่ ือมิให้เอากระบือไป นายชาญและนายแคล้ว จะมีความผิดฐานใด
หรือไม่
ตอบ นายชาญ สำาคัญผิดว่ากระบือเป็ นของตน การไล่กระบือจึงไม่เป็ นการ
ลักทรัพย์ เพราะไม่รู้ว่ากระบือเป็ นของผู้อ่ืนตาม ปอ.ม.59 วรรคสาม
นายแคล้ว ฟั นนายชาญเพราะสำาคัญผิดในข้อเท็จจริงว่า นายชาญมาลัก
กระบือ จึงกระทำาเพ่ ือป้ องกันไม่เกินสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิดตาม
ปอ.ม.62
จบวันท่ี 1 พฤษภาคม 2548
โครงสร้างความรับผิดในทางอาญา
บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาต่อเม่ ือ
1. ได้มีการกระทำา และการกระทำานัน
้ ครบองค์ประกอบท่ีกฎหมายบัญญัติไว้
เป็ นความผิด
2. การกระทำานัน
้ ไม่มก
ี ฎหมายยกเว้นความผิด
3. การกระทำานัน
้ ไม่มก
ี ฎหมายยกเว้นโทษ
4. การกระทำานัน
้ ไม่มีเหตุลดหย่อนหรือบรรเทาโทษ
ในทุกลักษณะความผิดของกฎหมายท่ีมีโทษทางอาญาจะกำาหนดองค์
ประกอบไว้เหมือนกัน
1. มีการกระทำา
2. การกระทำานัน
้ ครบองค์ประกอบ (ภายนอก) ของความผิดในเร่ ืองนัน
้ ๆ
3. การกระทำานัน
้ ครบองค์ประกอบ (ภายใน) ของความผิดนัน
้ ๆ
4. มีผลการกระทำาสัมพันธ์กบ
ั การกระทำานัน

การกระทำาคือการเคล่ ือนไหวร่างกายโดยรู้สำานึก หรือไม่เคล่ ือนไหวร่างกาย
การไม่เคล่ ือนไหวร่างกาย คือ การงดเว้น และการละเว้น
การงดเว้น เกิดขึ้นเม่ ือมีหน้าท่ี หน้าท่ีท่ีเกิดจาก กฎหมาย สัญญา ความ
สัมพันธ์พิเศษเฉพาะเร่ ือง การกระทำาครัง้ก่อน
การละเว้น เกิดขึ้นเม่ ือมีหน้าท่ีทัว่ ๆ ไป
ถาม นายแดง ได้จ้างนายขาวให้ไปฆ่านายดำา นายขาวตกลง ในระหว่างท่ีนาย
ขาวกำาลังหาโอกาสท่ีจะฆ่านายดำาอยู่นัน ้ วันหน่ ึงนายดำาได้มาวายน้ำาท่ีสระ
แห่งหน่ ึง และเกิดเป็ นตะคิวทำาให้วายน้ำาไม่ได้ และกำาลังจะจมน้ำา นายดำาได้
ร้องตระโกนบอกให้คนช่วย นายขาวซ่ ึงเป็ นลูกจ้างประจำาสระวายน้ำาแห่งนัน ้
และมีหน้าท่ีดูแลความปลอดภัยของผู้มาวายน้ำาอยู่ขณะนัน ้ ได้เห็นเหตุการณ์
โดยตลอด และสามารถช่วยนายดำาได้ แต่ตายขาวไม่ชวยเพราะประสงค์ให้
นายดำาตายอยู่แล้ว ในท่ีสุดนายดำาจึงจมน้ำาตาย ข้อเท็จจริงปรากฏว่าหากนาย
ขาวช่วยนายดำา นายด้ำาจะไม่จมน้ำาตาย ดังนีน ้ ายขาวและนายแดงมีความผิด
ฐานใดหรือไม่
ตอบ นายขาวเป็ นลูกจ้างประจำาสระวายน้ำาและมีหน้าท่ีโดยตรงในการดูแล
ความปอลอดภัยขอวงผู้มาวายน้ำา นายขาวจึงมีหน้าท่ีป้องกันมิให้ผู้มาวายน้ำา
จมน้ำาตาย การท่ีนายขาวไม่ช่วยนายดำา โดยปล่อยให้นายดำาจมน้ำาตาย จึง
เป็ นการฆ่านายดำา ซ่ ึงเป็ นการกระทำาโดยงดเว้น การท่ีจะต้องกระทำาเพ่ ือ
ป้ องกันผลนัน ้ ตาม ปอ. ม.59 วรรคท้าย เม่ ือนายขาวมีเจตนาให้นายดำาตายอยู่
ก่อนแล้ว นายขาวจึงมีความผิดฐานห่านายดำา โดยไต่ตรองไว้ก่อนตาม
ปอ.ม.289 (4) ทัง้นีเ้พราะเป็ นการรับจ้างมาฆ่า
นายแดงเป็ นผู้ใช้ให้ผู้อ่ืนกระทำาความผิด เม่ ือนายขจาวได้กระทำาความผิด
ตามท่ีใช้นายแดงจึงต้องรับโทษเสมือนเป็ นตัวการตาม ปอ.ม.84 วรรคสอง
นายแดงจึงมีความผิดตาม ปอ.ม.289 (4) ประกอบ ปอ.ม.84 (เนฯ 48)
ถาม นายเดชจ้างนายราวีให้ฆ่านายชิน ถ้าไม่มีโอกาสจะฆ่านายชิน ก็ให้ฆ่า
ด.ญ.ปราณี บุตรนายชินเสียเพ่ ือแก้แค้น เน่ ืองจากมีสาเหตุโกธรเคืองกัน
นายราวีได้เดินทางไปกระทำาการตามท่ีนายเดชจ้าง ระหว่างทางพบ
ด.ญ.ปราณี ตกน้ำาอยู่ในคลองลึกและกำาลังจะจมน้ำาอยู่แล้วเพราะวายน้ำาไม่
เป็ น นายราวีจะช่วยก็ช่วยได้ และรู้วา่ ถ้าไม่ช่วย ด.ญ.ปราณี ต้องจมน้ำาตาย
แต่คิดว่า ด.ญ.ปราณีจมน้ำาตายก็ดี จะได้ไม่ต้องลงมือกระทำา จึงเดินทางกลับ
บ้านโดยไม่ช่วยเหลือ และไม่ได้กระทำาอย่างอ่ ืนต่อไปอีก ด.ญ.ปราณี เลยจม
น้ำาตาย ดังนีน
้ ายเดช และนายราวี จะมีความผิดฐานใดหรือไม่
ตอบ นายราวี ไม่ได้กระทำาการฆ่า ด.ญ.ปราณี เพราะความตายของ
ด.ญ.ปราณี ไม่ได้เป็ นผลมาจากการงดเว้น การท่ีจะต้องกระทำาเพ่ ือป้ องกัน
ผลนัน
้ ตาม ปอ.ม.59 วรรคท้าย แต่เป็ นกรณี ด.ญ.ปราณี ตกน้ำาไปเอง นาย
ราวี อาจช่วยได้แต่ไม่ช่วยเท่านัน
้ จึงไม่มีความผิดฐานฆ่า ด.ญ.ปราณี แต่มี
ความผิดตาม ปอ.ม.374
นายเดช มีความผิดฐานเป็ นผู้ใช้ให้นายราวี กระทำาความผิดฐานฆ่าผู้อ่ืนตาม
ปอ.ม.84 ประกอบ ปอ.ม.289 นายเดชไม่มีความผิดตาม ปอ.ม.374 เพราะไม่ได้
เป็ นผู้ใช้ตาม ปอ.ม.374
กฎหมายยกเว้นความผิด
ปอ.ม.68 ม.70 ทำาตามคำาสัง่เจ้าพนักงาน ม.71 สามีภริยาลักทรัพย์กัน ม.73,74
อายุ 7-14 ม.305 ม.329 ม.331
จารีตประเพณี หรือกฎหมายทัว่ไป หรือรัฐธรรมนูญ ม.157
ปพพ. วิอาญา
การกระทำานัน ้ ครบองค์ประกอบความผิด
การกระทำา ครบองค์ประกอบภายนอก ครบองค์ประกอบภายใน
เคล่ ือนไหว ไม่เคล่ ือนไหว ผูก
้ ระทำา การกระทำา วัตถุแห่งการกระทำา เจตนา
ประมาท ไม่ประมาท
รู้สำานึก
ประสงค์ต่อผล
เล็งเห็นผล
หลัก : ไม่รู้ไม่เจตนา
รู้เท่าใดเจตนาเท่านัน
้ แต่ไม่เกินความจริง
ฎีกาเก่ียวกับ ปอ.ม.59 วรรคสาม
ถ้าผู้กระทำาไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำา
ประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลไม่ได้
ฎ.3383/41 ความผิดฐานแจ้งความเท็จ ผูก
้ ระทำาต้องรู้วา่ ข้อความท่ีแจ้งนัน
้ เป็ น
เท็จ จึงจะเป็ นความผิด
ฎ.6405/39 จำาเลยกระทำาชำาเราผู้เสียหายซ่ ึงมีอายุ 14 ปี 4 เดือน โดยผู้เสียหาย
ยินยอม แต่จำาเลยสำาคัญผิดว่าผู้เสียหายอายุ 17 ปี เพราะผู้เสียหายรูปร่าง
ใหญ่ ตัวสูงเท่าจำาเลย พูดจาเหมือนผู้ใหญ่ อีกทัง้ยังทำางานท่ีโรงงานผลไม้
กระป๋ อง ซ่ ึงจะรับคนอายุ 17 ปี เข้าทำางานเท่านัน
้ เท่ากับไม่รู้ข้อเท็จจริงท่ีผู้เสีย
หายอายุไม่เกิน 15 ปี ซ่ ึงเป็ นข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบตาม ปอ.ม.277
วรรคแรก ถือว่าจำาเลยไม่มีความผิดตาม ปอ.ม.277 วรรคแรก ประกอบ
ปอ.ม.59 วรรคสาม (ไม่รก
ู้ ็ไม่มีเจตนา)
ฎ.3774/35 จำาเลยเป็ นผู้เก็บวัตถุระเบิดได้ แต่ไม่ทราบว่าเป็ นวัตถุระเบิด พึง
ทราบเม่ ือตำารวจท่ีตรวจค้นบอก จำาเลยจึงไม่มีเจตนาท่ีจะกระทำาความผิดฐาน
มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง (ไม่รู้กไ็ ม่มีเจตนา)
ฎ.148/13 ตำารวจเข้าค้นจำาเลยในท่ีเปล่ียวโดยไม่แต่เคร่ ืองแบบหรือแสดงหลัก
ฐานว่าเป็ นตำารวจกระทำาการตามหน้าท่ี และต่างฝ่ ายต่างก็ไม่รู้จักกัน แม้
จำาเลยจะต่อสู้ขัดขวางไม่ให้ค้นก็ไม่มีความผิดตาม ปอ.ม.138 (ไม่รู้กไ็ ม่มีเจตนา)
ฎ.504/83 เด็กวิงสวนมาในเวลามืด จำาเลยเข้าใจว่าเป็ นสุนัข ได้ใช้มีแทนถูกหัว
เด็ก เด็กตาย จำาเลยถูกฟ้ องฐานฆ่าคนตายโดยประมาท
ถาม คืนวันหน่ ึงนายมืดได้แอบเข้าไปในบริเวณบ้านของนายขาวเพ่ ือลัก
นกเขา เม่ ือนายมืดปลดกรงนกเขาออกจากท่ีแขวน เม่ ือนายมืดปลดกรง
นกเขาออกและเดินไปได้เล็กน้อย ก็ได้ถูกนางแสบ คนใช้ของนายขาวเข้ามา
แย่งกรงนกเขาคืน ระหว่างท่ีแย่งกรงนกเขากันอยู่นัน้ นายมืดได้ใช้กรง
นกเขายันไปท่ีนางแสบจนเซ แต่นางแสบไม่ย่อมปล่อยกรงนก นายมืดจึง
เปล่ียนใจเปิ ดกรงนกเขา และล่วงเอานกเขาออกมา แต่นกเขายังไม่ทันพ้น
ปากประตูกรง นายขาวเห็นเหตุการณ์จะเข้าไปช่วยนางแสบ นายมืดจึงปล่อย
นกเขาคืนไว้ในกรงแล้ววิงหลบหนีไป แต่ด้วยความรีบร้อนได้แตะกระถาง
ลายครามของนายขาว ซ่ ึงอยู่ในบริเวณนัน้ แตก ให้วินิจฉัยว่านายมืดมีความ
ผิดฐานใดบ้าง
ตอบ นายมืดเอากรงนกเขาเคล่ ือนท่ีไปจากท่ีแขวนแล้ว แม้จะยังไม่ได้เอานก
ออกจากกรงก็เป็ นความผิดสำาเร็จ เพราะนายมืดต้องการจะลักทัง้กรงทัง้นก
แม้ต่อมานายมืดจะเปล่ียนใจเอาเพียงนกและเอานกออกมายังไม่พ้นกรง ก็
ไม่ทำาให้ความผิดท่ีสำาเร็จไปแล้วกลับไม่สำาเร็จ เม่ ือการลักทรัพย์ของนายมืดมี
การใช้กำาลังประทุษร้าย โดยใช้กรงนกเขายันไปท่ีนางแสบจนเซ การกระทำา
ของนายมืดจึงเป็ นความผิดฐานชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนตาม ปอ.ม.339 วรรค
สอง
การท่ีนายมืดเข้าไปในเคหสถานของนายขาวเพ่ ือลักทรัพย์ จึงเป็ นการเข้าไป
โดยไม่มีเหตุอันสมควรจึงเป็ นความผิดฐานบุกรุกตาม ปอ.ม.364 แต่ต้องรับ
โทษหนักขึ้นเพราะเป็ นการใช้กำาลังประทุษร้าย และเป็ นการบุกรุกในเวลา
กลางคืน
การเตะกระถางลายครามของนายขาว การกระทำาของนายมืดมิได้มีเจตนา
ทำาให้กระถางลายครามของนายขาวแตก นายมืดจึงไม่มีความผิดฐานทำาให้
เสียทรัพย์ และการท่ีนายมืดวิงหลบหนีไ้ปด้วยความรีบร้อนเตะกระถางลาย
ครามแตก เป็ นการกระทำาโดยประมาท แต่การกระทำาโดยประมาทจะมีความ
ผิดได้ก็ต่อเม่ ือเป็ นกรณีมีกฎหมายบัญญัติว่าเป็ นความผิดตามท่ีกฎหมาย
บัญญัติตาม ปอ.ม.59 วรรคแรก เม่ ือการกระทำาโดยประมาททำาให้ทรัพย์สินผู้
อ่ ืนเสียหายไม่มก
ี ฎหมายบัญญัติเป็ นความผิด นายมืดไม่ต้องรับผิดทาง
อาญาสำาหรับกรณีเตะกระถาง
องค์ประกอบภายใน
เจตนา ประมาท ไม่เจตนา/ไม่ประมาท
1. รู้ข้อเท็จจริง
2. ประสงค์ต่อผล
3. เส็งเห็นผล
ประสงค์ต่อผล หมายความว่า มุ่งหมายให้เกิดผลขึ้น หากผลเกิดขึ้นตามท่ีมุ่ง
หมายจะเป็ นความผิดสำาเร็จ หากผลไม่เกิดตามท่ีมุ่งหมายจะเป้ นพยายามตาม
ปอ.ม.80 หรือ ปอ.ม.81

ข้อสังเกต
1. ความประสงค์ต่อผล กับความคานหมายเป็ นคนละกรณีกัน ถ้าผู้กระทำา
ประสงค์ต่อผลแล้ว แม้คานหมายว่าจะไม่เกิดผลก็ถือว่าเป็ นการกระทำาท่ี
ประสงค์ต่อผลแล้ว
ตัวอย่าง แดงยิงดำาในระยะห่าง โดยประสงค์ให้ดำาตาย แดงคานหมายว่าไกล
ไปคงไม่ถูก เม่ ือยิงไปถูกดำาตาย ต้องถือว่าแดงกระทำาต่อดำาโดยประสงค์ต่อ
ผล
2. หากผูก
้ ระทำาประสงค์ให้ผลเกิด และผลก็เกิดตามความประสงค์ต้องถือว่า
เป็ นเจตนาประสงค์ต่อผล แม้จะเกิดจากวิธีการผิดแพลกไปจากการท่ีตัง้ใจ
ของผู้กระทำา
ตัวอย่าง แดงต้องการฆ่าดำาจึงเอาปื นจ้องจะยิงดำา แต่ก่อนลัน
่ ไก ดำาตกใจตาย
เสียก่อน เช่นนีต้ ้องถือว่าดำาตายเพราะการกระทำาโดยประสงค์ต่อผลของแดง
แดงผิดฐานห่าคนตายโดยเจตนาประสงค์ต่อผล
ตัวอย่าง และถึงแม้ว่าปื นกระบอกท่ีแดงใช้จะไม่มีลูก หากแดงไม่รู้แล้วใช้ปืน
จ้องจะยิงดำา ดำาตกใจตาย แดงผิดฐาน
ฆ่าดำาโดยเตนาประสงค์ต่อผล
ตัวอย่าง แดงต้องการฆ่าดำา แดงใช้ปีนยิงไปท่ีรูปปั ้ นของดำา โดยเข้าใจว่าดำา
ยืนอยู่ กระสุนถูกรูปปั ้ นและแฉลบไปถูกดำาท่ีนอนอยู่ตาย แดงผิดฐานฆ่าดำา
โดยเจตนาประสงค์ต่อผล
ตัวอย่าง แดงต้องการฆ่าดำา ใช้ปืนยิงไปท่ด ี ำา กระสุนไม่ถูกดำา แต่ดำาได้ยิน
เสียงปื นจึงตกใจตาย ถือว่าแดงเจตนาฆ่าดำาโดยประสงค์ต่อผล
3. การประสงค์ต่อผลนีอ ้ าจมุ่งหมายให้เกิดผลขึ้นได้ทัว่ๆ ไปโดยไม่เจาะจงตัว
บุคคลโดยเฉพาะก็ได้
ตัวอย่าง ก. ใช้ปืนยิงไปยังกลุ่มคนท่ก
ี ำาลังนัง่ฟั งการหาเสียงโดยมุ่งหมายให้มี
คนตาย เพ่ ือจะได้เกิดความชุลมุนวุ่นวาย ถือว่า ก. มีเจตนาฆ่าโดยประสงค์ต่อ
ผลแล้ว
ฎ.154/45 จำาเลยใช้อาวุธปื นซ่ ึงเป็ นอาวุธร้ายแรงยิงไปทางกลุ่มลูกค้าท่ีอยู่ใน
ร้านขายอาหารซ่ ึงมีคนอยู่ประมาณ 20 คน โดยไม่ใยดีวา่ กระสุนปื นจะถูกใคร
หรือไม่ แม้จะเป็ นการยิงเพียงนัดเดียวก็อาจถูกคนอ่ ืนถึงแก่ความตายได้ ทัง้
กระสุนปื นดังกล่าวได้ไปถูกต้นขาของเด็กคนหน่ ึง จึงเป็ นการกระทำาท่ีย่อม
เล็งเห็นผลของการกระทำานัน ้ จึงเป็ นการกระโดยเจตนาฆ่าตาม ปอ.ม.59
วรรคสอง
ฎ.1080/47 จำาเลยใช้อาวุธปื นลูกซองสัน
้ เล็งยิงผู้เสียหายท่ีบริเวณหน้าอก ใน
ระยะห่างเพียง 1.5 เมตร โดยปกติกระสุนจะกระจายออกเป็ นวงทำาให้ผู้เสีย
หายถึงแก่ความตายได้ กับปรากฏว่าผู้เสียหายมีบาดแผลถลอก และไม่พบ
บาดแผลท่ีบริเวณอ่ ืนของร่างกาย แพทย์ให้ความเห็นว่าใช้เวลาในการรักษา
5 – 7 วัน และผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่ากระสุนไม่ทะลุร่างกายและไม่ทะลุ
เส้ือ แสดงให้เห็นว่ากระสุนปื นไม่มีความรุนแรงพอท่ีจะทำาอันตรายทะลุเส้ือ
และผิวหนังเข้าสู่ร่างกายผู้เสียหาย กระสุนปื นท่ีจำาเลยใช้ยิงผู้เสียหายและ
อาวุปืนจึงไม่มีความร้ายแรงพอท่ีจะทำาให้ผู้เเสียหายถึงแก่ความตายได้อย่าง
แน่แท้ เพราะเหตุท่ีอาวุธปื นซ่ ึงเป็ นเหตุปัจจัยท่ีใช้ในการกระทำาผิด เป็ นการ
พยายามกระทำาความผิดตาม ปอ.ม.81 วรรคหน่ ึง
4. การสำาคัญผิดในตัวบุคคลก็ถือว่าเป็ นการกระทำาโดยประสงค์ต่อผลเช่น
เดียวกัน
ถาม นางแดงคลอด ด.ช.ดำา บุตรอันเกิดกับนายขาว ท่ี ร.พ.แห่งหน่ ึง แต่ขณะ
เม่ ือนายแดงออกจาก ร.พ. นางเขียว ซ่ ึงเป็ นนายพยาบาลกับนำา ด.ช.เหลือง
บุตรของผู้อ่ืนมอบให้นางแดงไป โดยไม่ตรวจสอบให้ดีทัง้ๆ ท่ีสามารถตรวจ
สอบได้ นางแดงคิดว่าเป็ นบุตรของตนจึงอุ้มกลับบ้าน เม่ ือถึงบ้านพบนาย
ขาว ซ่ ึงกลับมาจากต่างจังหวัดพอดี นายขาวด่าว่านางแดงว่ามีชู้ และ ด.ช.ดำา
เกิดจากชู้ไม่ใช่บุตรของตน และเตะต่อยนางแดงจนฟอกช้ำาไปทัง้ตัว นางแดง
โกรธแค้นนายขาวมาก ในทันใดนัน ้ จึงบีบคอ ด.ช.เหลือง จนถึงแก่ความตาย
เพ่ ือเป็ นการประชดนายขาว ต่อมานางแดงถูกฟ้ องต่อศาลตาม ปอ.ม.288 นาง
เขียวถูกฟ้ องในข้อหากระทำาโดยประมาทเป็ นเหตุให้ ด.ช.เหลือง ถึงแก่ความ
ตายตาม ปอ.ม.291 นางแดงให้การต่อสู้ว่าไม่มีเจตนาฆ่า ด.ช.เหลือง เพราะคิด
ว่าเป็ น ด.ช.ดำา บุตรของตนเอง และกระทำาไปเพราะบันดาลโทสะตาม
กฎหมาย ส่วนนางเขียวให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำาความผิด ดังนีข้้อต่อสู้
ของนางแดง และนางเขียว ฟั งขึ้นหรือไม่
ตอบ การท่ีนางแดงบีบคอ ด.ช.เหลือง จนถึงแก่ความตาย เป็ นการกระทำา
โดยรูส
้ ำานึกและประสงค์ต่อผล เป็ นการกระทำาโดยเจตนาตาม ปอ.ม.59 แม้
นางแดงจะคิดว่าเป็ น ด.ช.ดำา บุตรของตนและนายขาว ก็เป็ นความสำาคัญผิด
ของนางแดงเอง นางแดงจะยกเอาความสำาคัญในตัวบุคคลดังกล่าวขึ้นเป็ น
ข้อแก้ตัวหาได้ไม่ตาม ปอ.ม.61 และแม้การท่ีนายขาวดาว่าและทำาร้ายนางแดง
ตามปั ญหาจะเป็ นการข่มแหง นางแดงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็ นธรรม แต่
นางแดงก็ไม่ได้กระทำาความผิดต่อนายขาวผู้ข่มแหง แต่ไปกระทำาผิดต่อ
ด.ช.เหลือง การกระทำาของนางแดงจึงมิใช่การกระทำาโดยบันดาลโทสะซึค่ง
สาลจะลงโทษน้อยกว่าท่ีก่ำาหมายกำาหนดไว้เพียงได้กไ็ ด้ (ฎ.252/28) ดังนัน
้ ข้อ
ต่อสู้ของนางแดงจึงฟั งไม่ขึ้น
ส่วนนางเขียวแม้จะมอบ ด.ช.เหลือง แม้จะไม่ตรวจสอบให้ดีแม้จะกระทำาได้
แม้จะเป็ นการกระทำาซ่ ึงปราศจากความระมัดระวังตาม ปอ.ม.59 แต่การตาย
ของ ด.ช.เหลือง เกิดจากการกระทำาของนางแดง ซ่ ึงเป็ นเหตุแทรกซ้อนท่ีนาง
เขียวไม่อาจคานถึง มิใช่เป็ นผลซ่ ึงเกิดจากการกระทำาของนางเขียวโดยตรง
แม้นางเขียวจะกระทำาโดยประมาทก็ไม่มีความผิดตามท่ีถูกฟ้ อง ข้อต่อสู้ของ
นางเขียวฟั งขึ้น
ถาม นายเดช รู้สก ึ ลำาคานนายฤทธิ ท ์ ่ีนัง่ด่ ืมสุราอยูท
่ ่ีโต๊ะ
เพราะเมาสุราพอเอะอะโวยวาย จึงชักอาวุธปื นลูกซองเล็งยิงไปท่ีขวดสุราท่ี
นายฤทธิน ์ ัง่อยู่ ลูกกระสุนถูกขวดสุราของนายฤทธิแ์ตก และลูกกระสุนปื น
ยังกระจายไปถูกนายฤทธิไ์ด้รับบาดเจ็บสาหัส นอกจากนีล ้ ก
ู กระสุนปื นยัง
กระจายไปถูกนายฉงนนักมายากล ซ่ ึงอุ้มกระต่ายเดิมเข้ามาในร้านอาหาร
พอดีเป้ นเหตุให้นายฉงนถึงแก่ความตาย และถูกระต่ายท่ีนายฉงนอุ้มถึงแก่
ความตายด้วย ให้ทานวินิจฉัยว่า นายเดชมีความผิดฐานใด
ตอบ การท่ีนายเดชให้อาวุธปื นเล็งยิงไปท่ีขวดสุรา บนโต๊ะอาหารท่ีนายฤทธิ ์
นัง่อยู่นัน
้ ถือว่านายเดชเจตนาประสงค์ต่อผลท่ีจะทำาให้เสียทรัพย์ของนาย
ฤทธิแ์ล้ว และนอกจากนีย ้ ังเล็งเห็นได้วา่ กระสุนปื นจากอาวุธปื นลูกซองนัน ้
จะกระจายไปถูกนายฤทธิท ์ ่ีนัง่อยู่ในโต๊ะอาหารถึงแก่ความตายได้ด้วย ถือว่า
นายเดชรูส ้ ำานึกของการกระทำา และย่อมเล็งเห็นผลได้วา่ นายฤทธิอ์าจตายได้
จึงเป็ นเจตนาฆ่านายฤทธิป ์ ระเภทเจตนาเล็งเห็นผล (ฎ.2060/41) เม่ ือผลของ
การกระทำาปรากฏว่าลูกกระสุนปื นถูกขวดสุราแตกและนายฤทธิได้รบ ั
อันตรายสาหัส นายเดชมีความผิดฐานทำาให้เสียทรัพย์ต่อขวดสุราของนาย
ฤทธิบ
์ ทหน่ ึง และฐานเจตนาฆ่านายฤทธิ ต ์ ามปอ
.ม.288 ประกอบ ม.80
ประกอบ ม.59 วรรคสอง อีกบทหน่ ึง
ส่วนการท่ีลูกกระสุนปื นยังกระจายพลาดไปถูกนายฉงนนักแสดงมายากล ท่ี
เผอิญอุ้มกระต่ายเดินเข้ามาในร้านอาหาร เป็ นเหตุให้ลูกกระสุนปื นถูกนาย
ฉงน และทรัพย์ของนายฉงนโดยพลาดตาม ปอ.ม.60 ซ่ ึง ปอ.ม.60 บัญญัติให้
ถือว่า นายเดชกระทำาโดยเจตนาแก่ผู้ท่ีได้รับผลร้าย นายเดชจึงมีความผิด
ฐานฆ่านายฉงนตายโดยเจตนาโดยพลาดตาม ปอ.ม.288 ประกอบ ม.60 บท
หน่ ึง และฐานทำาให้เสียทรัพย์ต่อกระต่ายของนายฉงนโดยพลาดตาม
ปอ.ม.358 ประกอบ ม.60 อีกบทหน่ ึง

เจตนาเล็งเห็นผล
เล็งเห็นผล หมายความว่า
- เล็งเห็นได้ว่าผลนัน
้ จะเกิดขึ้นได้แน่นอนเท่าท่ีจิตใจของบุคคลในฐานะเช่น
นัน้ จะเล็งเห็นได้
- บุคคลในฐานะเช่นนัน
้ มิใช่บุคคลสามัญทัว่ไปหรือวิญญูชน แต่ให้ถือเอา
บุคคลในสภาพเช่นเดียวกับผู้กระทำา
ตัวอย่าง ฎ.2991/36 จำาเลยอยู่บนรถกระบะกำาลังขับไล่ติดตามรถจักรยายนต์ท่ี
ผู้เสียหายขับไปตามถนนซ่ ึงเป็ นทางลูกรังแคบและขรุขระ จำาเลยใช้ปืน เอ็ม
16 ยิงไปท่ีล้อรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายหลายนัด แม้มีเจตนายิงยางรถ
จักรยานยนต์เพ่ ือให้รถล้ม แต่จำาเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่ากระสุนปื นอาจถูกผู้
เสียหายได้ เป็ นการกระทำาผิดโดยเจตนาฆ่าประเภทเล็งเห็นผล
ฎ.1748/38 จำาเลยกับผู้ตายลงไปในแม่น้ำาตรงท่ีน้ำาลึกประมาณคร่ ึงตัวผู้ตายแล้ว
ใช้แผ่นซีเมนต์กว้าง 10 นิว้ ยาว 1 ฟุต หนา 1 นิว้ ทุ่มใสผู้ตายในระยะใกล้
ขณะผู้ตายปี นขึ้นมาบนฝั่ ง เป็ นเหตุให้ผู้ตายหมดสติถึงจมน้ำาตายบาดแผล
ภายนอกแม้จะเป็ นบาดแผลถลอกท่ีศรีษะและแพทย์ให้ความเห็นว่าผู้ตายจม
น้ำาตาย แต่การตายเกิดจากการทำาร้ายของจำาเลยโดยตรง จำาเลยย่อมเล็งเห็น
ผลได้ว่าการทุ่มแผ่นซีเมนต์ ผู้ตายอาจตายได้ เป็ นเจตนาฆ่า
ฎ.573/39 จำาเลยยิงปื นเข้าไปในห้องน้ำา โดยรูว้ ่าผู้เสียหายอยู่ในนัน
้ ย่อมเล็ง
เห็นได้ว่ากระสุนปื นอาจถูกผู้เสียหายตายได้ จึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า
ฎ.327/40 จับเด็กอายุ 3 ปี โดยใส่มารดาของเด็กหลายครัง้ ตนศรีษะเด็ก
กระแทกตระกล้า กระดูกต้นคอเคล่ ือน ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจเป็ นต้นเหตุ
ให้เด็กตายได้
ฎ.363/40 ใช้ไขควงท่ีผนจนแหลมเป็ นอาวุธแทงไปท่ีร่างกายผูอ
้ ่ ืนเพ่ ือให้
ผิวหนังทะลุ เป็ นการเล็งเห็นผลว่าถึงตายได้
ฎ.2870/40 ลอบเข้าไปแทงขณะเขาหลับ โดยเลือกแทงท่ีท้องอย่างแรง
บาดแผลลึก 4 นิว้ ทะลุลำาใสเล็ก เส้นโลหิตใหญ่ฉีกขาด แม้จะเจตนาเพียง
ทำาร้าย แต่ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจถึงตายได้ เป็ นพยายามฆ่า
ข้อสังเกต
1. เจตนาทำาให้เสียทรัพย์โดยเส็งเห็นผลเกิดขึ้นได้
ฎ.1155/20 โจทก์ปลูกข้าวในหนองน้ำาสาธารณะ โจทก์จะอ้างสิทธิครอบครอง
ในหนองไม่ได้ จำาเลยมีสิทธิในหนองน้ำาเท่าเทียมกับโจทก์ แต่การท่ีจำาเลยนำา
เรือเข้าไปตัดใบบัวซ่ ึงปนอยู่กับต้นข้าว ทำาให้ต้นข้าวเสียหาย เป็ นการกระทำา
โดยเล็งเห็นผลตาม ปอ.ม.59 จำาเลยผิดตาม ปอ.ม.359
2. เจตนาวางเพลิงเผาโรงเรือนโดยเล็งเห็นผลได้
ฎ.114/31 จำาเลยได้เข้าไปเท่ียวในโรงน้ำาชาของผู้เสียหาย แล้วจุดไฟเผาท่ีนอน
ในห้องเลขท่ี 20 ซ่ ึงอยู่ท่ีชัน
้ 2 สาเหตุเพราะไม่พอใจหญิงบริการของโรงน้ำาชา
แต่พนักงานของโรงน้ำาชาช่วยกันดับได้ทัน ดังนีจ้ำาเลยย่อมเล็งเห็นผลของ
การกระทำานัน
้ ได้วา่ เม่ ือท่ีนอนถูกเผาแล้ว ไฟอาจลุกลามไหม้เตียงนอนฝา
ผนัง เพดาน กระทัง้โรงน้ำาชานัน ้ ทัง้หมดได้ จำาเลยมีความผิดตาม ปอ.ม.218
(1)
3. การใช้ปืนยิงเข้าไปในกลุ่มคน ศาลฎีกามักจะถือว่าเป็ นเจตนาประเภทเล็ง
เห็นผล
ถาม นายสี จุดประทัดโยนเข้าไปในกลุ่มคนท่ีกำาลังดูลิเกอยู่ในงานวัดแห่ง
หน่ ึง แต่ไปถูกนายขาว นายขาวตกใจเลยปั ดต่อไปไปตกท่ีศรีษะนายสา นาย
สาตกใจเลยปั ดต่อไปอีกทอดหน่ ึงไปถูกนายแสง ก็พอดีประทัดดอกนัน ้
ระเบิดขึ้น ทำาให้นายแสงตาบอดไปข้างหน่ ึง ให้ท่านวินิจฉัยใครมีความผิด
ฐานใดบ้าง
ตอบ นายสีแต่ผู้เดียวมีความผิดฐานทำาร้ายร่างกายตาม ปอ.ม.297 สาหัส
เพราะนายสี กระทำาโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำาได้วา่ จะต้องมีผู้
ใดผูห
้ น่ ึงในกลุ่มคนนัน
้ ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำาของตนตาม ปอ.ม.59
ส่วนนายขาว และนายสา ไม่ต้องรับผิดเพราะกระทำาโดยไม่เจตนา (ผู้ช่วย 02)
ถาม นายเจริญไปยืมรถยนต์ของนายแคล้ว บอกนายแคล้วว่า จะเอารถไปใช้
เป็ นพาหนะทำาการลักทรัพย์ท่ีบ้านนายชอบ โดยนายเจริญจะไปกระทำาการ
แต่ผู้เดียว นายแคล้วก็ให้รถยนต์ไป เม่ ือได้รถยนต์แล้วนายเจริญขับไปบ้าน
นายทองขอยืมปื นจากนายทอง โดยบอกว่าจะไปลักทรัพย์ท่ีบ้านนายชอบ แต่
ไปคนเดียว ถ้าจำาเป็ นจะได้ใช้ปืนป้ องกันตัว นายทองจึงได้ให้ยืมไป ต่อมา
นายเจริญกับพวกรวม 5 คน ได้ไปปล้นทรัพย์ท่ีบ้านนายชอบ โดยใช้รถยนต์
ของนายแคล้ว และใช้ปืนของนายทองยิงนายชอบตายในขณะปล้นทรัพย์
เพ่ ือให้พ้นการจับกุมดังนีน
้ ายแคล้ว นายทอง จะมีความผิดฐานใดหรือไม่
ตอบ นายแคล้วเจ้าของรถยนต์ มีความผิดฐานเป็ นผู้สนับสนุนตาม ปอ.ม.334
+ ม.86 + ม.87 (กระทำาไปเกินขอบเขตท่ีสนับสนุน)
ส่วนนายทองเจ้าของปื น ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าปื นเป็ นอาวุธร้ายแรงจะนำาไป
ใช้ขู่เข็ญหรือยิงอันทำาให้ตายได้ คือรู้สำานึกในการกระทำาของตน และเล็งเห็น
ผลได้อยู่แล้ว ตามหลักเจตนาตาม ปอ.ม.59 วรรคสอง ฉะนัน ้ นายทองมีความ
ผิดเป็ นผู้สนับสนุนฐานชิงทรัพย์ทำาให้ผอ
ู้ ่ ืนตายตาม ปอ.ม.339 วรรคท้าย
ประกอบ ม.86 + ม.87 (กระทำาไปเกินขอบเขตท่ีสนับสนุน) (เนฯ 15)
ถาม นายโมหะ ใช้ปืนยิงนายโกทะ ซ่ ึงยืนอยู่ท่ีหน้าต่าง กระสุนปื นไม่ถูกนาย
โกทะ แต่พลาดไปถูกกระจกหน้าต่างแตก ดังนีน ้ ายโมหะ มีความผิดฐานใด
หรือไม่
ตอบ นายโมหะ มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืนตาม ปอ.ม.288 ประกอบ ม.80
และมีความผิดฐานทำาให้เสียทรัพย์ตาม ปอ.ม.358 เพราะถือได้ว่าย่อมเล็งเห็น
ผลอันเป็ นเจตนาตาม ปอ.ม.59 เป็ นกรรมเดียวต้องด้วยกฎหมายหลายบท
ต้องลงโทษโดยใช้กฎหมายท่ีมีโทษหนักท่ีสุดตาม ปอ.ม.90 คือลงโทษฐาน
พยายามฆ่าตาม ปอ.ม.288 ประกอบ ม.80 กรณีไม่ต้องด้วย ปอ.ม.60 เพราะ
การกระทำาท่ีพลาดจากตัวบุคคลไปถูกทรัพย์ของบุคคลอันเป็ นเจตนาคนละ
อย่างกัน การท่ีนายโมหะมีความผิดตาม ปอ.ม.358 เพราะนายโมหะเล็งเห็น
ผลนัน
้ อีกเป็ นส่วนหน่ ึง (เนฯ 24)
ถาม น.ส.มาลี นอนหลับอยู่ในห้องนอน ก่อนนอนเอากระเป๋ าถือกับปื นและ
ของมีค่า โดยไม่ใส่กลอน นางสี คนใช้เดินผ่านมาจึงย่องเข้าไปเอากระเป๋ า
นัน
้ พอนางสี เดินพ้นประตูห้องได้ 3 – 4 เก้า น.ส.มาลีตกใจต่ ืนจึงเรียกให้นาง
สีหยุด นางสี กับวิงหนี น.ส.มาลี วิงตามทันหางจากห้องนอนประมาณ 6
เมตร นางสี หกล้มกระเป๋ าถือหลุดจากมือนางสี ของและปื นหล่นลงกับพ้ืน
น.ส.มาลี จับแขน นางสี ไว้ นางสี สะบัดหลุด คว้าปื นท่ีตกอยูก
่ ับพ้ืนยิง
น.ส.มาลี 2 นัด นัดแรกถูกท่ีมือขวา นัดท่ี 2 ถูกท่ีซีโครงขวาหัก น.ส.มาลี
รักษาตัวอยู่ 45 วันจึงหาย ดังนีน
้ างสีมีความผิดฐานใดหรือไม่
ตอบ นางสีมีความผิดฐานชิงทรัพย์ และฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืน เพ่ ือหลีกเล่ียง
ให้พ้นอาญาตาม ปอ.ม.289(7) ม.339 เพราะแม้นางสีจะมีเจตนาชิงทรัพย์แต่การ
ท่ีนางสีใช้อาวุธปื นซ่ ึงเป็ นอาวุธร้ายแรงยิง น.ส.มาลี ถึง 2 นัดนัน
้ ย่อมเล็งเห็น
ถึงผลการกระทำาได้วา่ กระสุนปื นท่ียิงไปอาจทำาให้ น.ส.มาลี ถึงตายได้ตาม
ปอ.ม.59 ตามนัย ฎ.1427/42 (เนฯ 26)
ถาม นางสิน ย่อมให้นายมีร่วมประเวณี แต่นายมีทำาผิดข้อตกลง นางสิน
โกรธ จึงตบหน้านายมี แล้หยิบเอาปื นพกของนายมีพาไปได้ 5-6 วา ก็ทิง้ลง
ในท่อน้ำาริมถนนทัง้นีเ้พราะกลัวนายมีจะเอาปื นนัน
้ ยิงตน นางสินมีความผิด
ฐานใด
ตอบ นางสินมีความผิดฐานทำาร้ายร่างกาย โดยไม่ถึงกับเป็ นอันตรายแก่กาย
หรือจิตใจตาม ปอ.ม.391
การท่ีนางสินเอาปื นทิง้ลงในท่อน้ำา โดยไม่ได้เอาไปเป็ นประโยชน์ส่วนตัว
หรือผูอ
้ ่ ืนนัน
้ ไม่เป็ นการลักทรัพย์ตามนัย ฎ.216/09 (เพราะขาดเจตนาพิเศษ)
เม่ ือการกระทำาไม่เป็ นความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว ความผิดฐานชิงทรัพย์ก็ดี
ความผิดฐานวิงราวทรัพย์กด ็ ีไม่สามารถจะเป็ นไปได้ แต่นางสินมีความผิด
ฐานทำาให้เสียทรัพย์ตาม ปอ.ม.358 เพราะการท่ีนางสินทิง้ปื นลงท่อน้ำาริม
ถนน ย่อมเล็งเห็นได้ว่าจะทำาให้ปืนนัน
้ เสียหายตาม ปอ.ม.59 วรรคสอง (เน
ฯ 26)
ถาม นายไก่ ด่า นายไข่ ซ่ ึงอยู่ห่าง 3 วา ว่า...**ชาติหมา นายไข่จึงเอาปื นยิง
นายไก่หน่ ึงนัด กระสุนปื นเฉียดนายไก่ ไปถูกนายขวด บิดาของนายไข่ ซ่ ึง
ย่ ืนอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วกระสุนปื นดังกล่าวเลยไปถูกต้นไม้แฉลีบไปถูกนาย
ระฆัง บังเอิญกระสุนปื นนัดนีเ้ส่ ือมคุณภาพมีความรุ่นแรงน้อย ส่วนนัดอ่ ืน
ท่ีบรรจุไว้ล้วนมีคุณภาพดีทัง้นัน ้ ด้วยเหตุนีบ้ าดแผลท่ีนายขวดและนายระฆัง
ได้รับเป็ นเพียงรอยไหม้เป็ นจุด 3 – 4 แห่ง ดังนีน้ ายไข่ จะมีความผิดฐานใด
หรือไม่
ตอบ การท่ีนายไข่ใช้อาวุธปื นยิงซ่ ึงปกติสามารถทำาให้คนตายได้ ยิงไปท่ีนาย
ไก่นัน
้ นายไข่ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปื นจะทำาให้ผู้ถูกยิงถึงแก่ความตาย
ได้ ทัง้ไม่ปรากฏว่านายไข่รู้เร่ ืองกระสันเส่ ือมคุณภาพมาก่อนด้วย จึงถือได้ว่า
นายไข่กระทำาไปโดยมีเจตนาฆ่านายไก่ เม่ ือลงมือกระทำาไปตลอดแล้ว แต่ไม่
บรรลุผล จึงเป็ นความผิดฐานพยายามฆ่านายไก่ตาม ปอ.ม.288 + ม.59 + ม.80
การท่ีกระสุนพลาดไปถูกนายขวด และนายระฆัง ถือว่าเป็ นการกระทำาโดย
พลาดตาม ปอ.ม.60 (เจตนาโอน) ซ่ ึงต้องถือว่านายไข่กระทำาโดยเจตนาต่อผู้ได้
รับผลร้าย จึงเป็ นความผิดฐานพยายามฆ่าบุคคลทัง้ 2 คนอีก 2 ฐานด้วย
ความผิดฐานพยายามฆ่านีเ้ป็ นพยายามธรรมดาตาม ปอ.ม.80 มิใช่พยายามท่ี
ไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจัยท่ีใช้ในการกระทำาตาม
ปอ.ม.81 เน่ ืองจากเป็ นเหตุบังเอิญท่ีกระสุนท่ียิงไปนัน
้ นัดเดียวเส่ ือมคุณภาพ
แม้นายขวดจะเป็ นบิดาของนายไข่ นายไข่กไ็ ม่ผิดฐานพยายามฆ่าบุพการีตาม
ปอ.ม.289 (1) ทัง้นีเ้พราการกระทำาผิดโดยพลาดวางข้อจำากัดไว้ไม่ให้นำา
กฎหมายท่ีลงโทษผู้กระทำาหนักขึ้น เพราะอาศัยสถานะของบุคคลหรือเพราะ
ความสัมพันธ์ระหว่าง ผูก
้ ระทำากับผู้รับผลร้ายมาใช้บังคับ เพ่ ือลงโทษผู้
กระทำาให้หนักขึ้น
นายไข่ จึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าบุคคลทัง้ 3 เป็ น 3 ฐาน เป็ นความผิด
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทหนักเพียงบทเดียว เม่ ือ
ความผิดทัง้หมดหนักเท่ากัน ศาลย่อมเลือกลงโทษจำาเลยในฐานใดฐานหน่ ึง
ได้
ปอ. บางมาตรานอกจากผูก ้ ระทำาจะประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลแล้ว ผู้
กระทำาต้องมีเจตนาพิเศษด้วย จึงจะถือว่าครบองค์ประกอบของเจตนาใน
เร่ ืองนัน
้ ๆ
เจตนาพิเศษ คือ มูลเหตุจูงใจในการกระทำา
การดูวา่ มาตราใดของ ปอ. มีเจตนาพิเศษ ให้สังเกตการใช้ถ้อยคำามักจะมี
ถ้อยคำาต่อไปนี้
ม.264 เพ่ ือ ม.157 เพ่ ือ ม.350 เพ่ ือมิให้เจ้าหนี ม
้ .334 โดยทุจริต
ฎ.1240/04 ความผิดฐานทำาให้เกิดอุทกภัย ก่อให้เกิดภยันตรายต่อผู้อ่ืนนัน
้ ตาม
ม.228 นัน
้ จำาเลยต้องมีเจตนาให้เกิดอุกภัยโดยตรง จะยกเอาการเล็งเห็นผล
ตาม ปอ.ม.59 มาใช้ไม่ได้
ฎ.638/23 จำาเลยเป็ นตำารวจ ร่วมกับผู้อ่ืนนำารถยนต์มารับ ม. ซ่ ึงเป็ นคนลาว
อพยพหนีจ้ากศูนย์รับผู้อพยพ แม้จำาเลยในฐานเจ้าพนักงานมีอำานาจจับกุมผู้
ทำาผิดเห็น ม. กับพวกหลบหนีออกไปจากศูนย์อพยพซ่ ึงหน้า แต่ละเลยไม่
ทำาการจับกุมเช่นนีย
้ ังถือไม่ได้ว่า จำาเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ี
โดยมิชอบ จำาเลยไม่ผิด ปอ.ม.157 เพราะ ปอ.ม.157 ต้องมีเจตนาพิเศษเพ่ ือให้
เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หน่ ึงโดยทุจริต เพียงแต่เล็งเห็นผลว่าจะเกิดความ
เสียหายยังไม่เพียงพอ
ฎ.305/47 องค์ประกอบความผิด ปอ.ม.216 ผู้มัว่สุ่มต้องมีเจตนาพิเศษเพ่ ือ
กระทำาความผิดตาม ปอ.ม.215 โดยการมัว่สุ่มยังไม่ถึงขัน
้ ลงมือกระทำาการอัน
เป็ นความผิดตาม ปอ.ม.215 แต่หากต่อมาผู้นัน
้ กระทำาการดังท่ีบัญญัติไว้ใน
ปอ.ม.215 ต่อไป ก็จะเป็ นความผิดทัง้ ปอ.ม.215 และ ม.216 เป็ นกรรมเดียวผิด
ต่อกฎหมายหลายบท คดีนีจ้ำาเลยท่ี 1 , 3 , 4 กับพวกรวม 10 คน ชุมนุมปราสัย
ด้วยความสงบไม่มีพฤติการณ์ว่าจะใช้กำาลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้
กำาลังประทุษร้ายหรือกระทำาการอย่างหน่ ึงอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นใน
บ้านเมือง แสดงว่าจำาเลย 1 , 3 , 4 กับพวกมิได้มัว่สุ่มโดยมีเจตนาพิเศษ เพ่ ือ
กระทำาความผิดตาม ปอ.ม.215 การกระทของจำาเลยท่ี 1 , 3 , 4 จึงไม่ครบองค์
ประกอบความผิดตาม ปอ.ม.215 แม้ตำารวจจะสัง่ให้เลิกแล้วไม่เลิก จำาเลยท่ี 1 ,
3 , 4 ก็ไม่มีความผิดตาม ปอ.ม.216
เจตนาโดยผลของกฎหมาย
คือ ปอ.ม.60 เรียกว่าเจตนาโอน
1. เจตนาตามความเป็ นจริง
1.1 ประสงค์ต่อผล
1.2 เล็งเห็นผล
2. เจตนาโดยผลของกฎหมาย (เจตนาโอน)
หมายเหตุ มีความผิดบางฐานแม้ไม่ประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลก็เป็ น
ความผิดได้
ฎ.1001/47 ประเด็น ปอ.ม.59 วรรคสอง
ความผิดฐานทำาร้ายร่างกายผู้อ่ืนจนเป็ นเหตุให้รับอันตรายสาหัสตาม
ปอ.ม.297 เป็ นเหตุท่ีทำาให้ผู้กระทำาความผิดฐานทำาร้ายร่างกายตาม ปอ.ม.295
ต้องรับโทษหนักขึ้นเพราะผลท่ีเกิดจากการกระทำา โดยผู้กระทำาไม่จำาต้อง
ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลถึงอันตรายสาหัสนัน ้ ดังนัน ้ แม้จำาเลยจะ
ทำาร้ายร่างกายผู้เสียหายโดยไม่มีเจตนาทำาให้แท้งลูกก็ตาม เม่ ือผลจากการก
ระทำานัน
้ ทำาให้ผู้เสียหายแท้งลูกแล้ว จำาเลยต้องมีความผิดตาม ปอ.ม.297(5)
ถาม (ผู้ช่วย 2548) นายมรกต มีปากเสียงกับนางมณีภริยาของตนเอง จึงชก
ปากนางมณีหน่ ึงครัง้ จนฟั นหักสองซีก นางมณีพลัดตกจากแคร่ ระหว่าง
นัน
้ น.ส.พลอย น้องสาวของนายมรกตไม่ชอบนางมณีอยู่แล้ว ได้เอามูลสุกร
ซ่ ึงหมักเป็ นป๋ ุยคอกลาดลงบนแคร่ของนางมณี ดังท่ีเคยแกล้งอยู่เสมอ
เพราะคิดว่าคนภายนอกไม่เห็น นางจินดา มารดาของนายมรกตเข้าห้าม
ปราม นายมรกต ยังใช้เท้าถีบลำาตัวนางมณีท่ีล้มอยู่ท่ีพ้ืนอีกหน่ ึงที พลตำารวจ
เพชรผ่านมาเห็นเหตุการณ์จะเข้ามาภายในรัว่บ้านเพ่ ือจับกุม นายจินดาเข้าใจ
ผิดคิดว่าพลตำารวจเพชรจะมาจับกุมนายมรกตและ น.ส.พลอย ซ่ ึงร่วมกัน
กระทำาความผิดฐานชิงทรัพย์ และหลบหนีคดีดังกล่าวมา จึงรีบปิ ดประตูรัว้
ตระโกนบอกให้บุตรทัง้ 2 หนีไป คนทัง้ 2 ไม่หลบหนีแ
้ ต่ไปมอบตัวท่ีสถานี
ตำารวจ นายเพทาย บิดาของบุคคลทัง้ 2 เกรงว่าบุตรทัง้ 2 จะได้รับโทษจึงบอก
พลตำารวจเพชรว่า หากบุตรทัง้ 2 ถูกฟ้ องคดีอาญา ขอให้พลตำารวจเพชรเบิก
ความต่อศาลว่านางมณีเป็ นโรคลมชักตกจากแคร่ได้รบ ั บาดเจ็บเอง แล้วจะให้
เงินเป็ นค่าป่ วยการแก่พลตำารวจเพชร 5,000 บาท พลตำารวจเพชร เห็นว่า
เป็ นการให้สินบนจึงไม่ตกลงด้วย ปรากฏว่าขณะเกิดเหตุนางมณีตัง้ครรภ์ได้
2 เดือนโดยตนเองและผู้อ่ืนไม่ทราบ และผลจากการตกจากแคร่ทำาให้นางมณี
แท้งลูก ให้ท่านวินิจฉัยว่านายมรกต น.ส.พลอย นางจินดา และนายเพทาย
มีความผิดตาม ปอ. ฐานใดบ้างหรือไม่
ตอบ การท่ีนายมรกตชกปากนางมณีทำาให้ตกจากแคร่ และทำาให้แท้งลูกเป็ น
ควาผิดฐานทำาร้ายร่างกายผู้อ่ืนจนเป็ นเหตุให้รับอันตรายสาหัสตาม ปอ.ม.297
(5) เป็ นเหตุให้ผู้กระทำาความผิดฐานทำาร้ายร่างกายตาม ปอ.ม.295 ต้องรับโทษ
หนักขึ้นเพราะผลท่ีเกิดจากการกระทำาโดยท่ีผู้กระทำาไม่ต้องประสงค์ต่อผล
หรือย่อมเล็งเห็นผลถึงอันตรายสาหัสนัน้ ดังนัน ้ แม้นายมรกตทำาร้ายร่างกาย
นางมณี โดยไม่มีเจตนาทำาให้แท้งลูกก็ตาม เม่ ือผลจากการทำาร้ายนัน้ ทำาให้
นางมณีแท้งลูก นายมรกตจึงมีความผิดตาม ปอ.ม.297 (5) (ฎ.1001/47)
น.ส.พลอย กระทำาด้วยประการใดๆ ให้ของโสโครกเปรอะเป้ือนทรัพย์จึงมี
ความผิดตาม ปอ.ม.389 และ น.ส.พลอยกระทำาด้วยประการใด ๆ เป็ นการ
รังแกหรือข่มแหงผู้อ่ืน หรือกระทำาให้ผอ
ู้ ่ ืนเดือดร้อนลำาคานต่อหน้า
ธารกำานัลจึงผิดตาม ปอ.ม.397 อีกบทหน่ ึง การกระทำาต่อหน้าธารกำานัล มิได้
หมายความเฉพาะแต่กระทำาโดยประการให้บค ุ คลอ่ ืนได้เห็นโดยแท้จริง
เท่านัน
้ เพียงแต่กระทำาโดยลักษณะท่ีเปิ ดเผยให้บุคคลอ่ ืนสามารถเห็นได้ ก็
เป็ นต่อหน้าธารกำานัลแล้ว (ฎ.4836/47)
นางจินดาช่วยนายมรกตผู้กระทำาความผิดอันมิใช่ความผิดลหุโทษ ด้วย
ประการใดเพ่ ือมิให้ถูกยับกุม จึงมีความผิดตาม ปอ.ม.189 แต่นางจินดาเป็ น
มารดาของนายมรกต ศาลจะไม่ลงโทษก็ได้ตาม ปอ.ม.193
นายเพทาย เป็ นผู้ใช้ให้พลตำารวจเพชร เบิกความอันเป็ นเท็จในการพิจารณา
คดีอาญาต่อศาล ซ่ ึงความเท็จนัน้ เป็ นข้อสำาคัญในคดี จึงมีความผิดตาม
ปอ.ม.177 วรรคสอง ประกอบ ม.84 วรรคแรก และวรรคสอง แต่พลตำารวจ
เพชรมิได้กระทำา ผู้ใช้ต้องรับโทษเพียงหน่ ึงในสามของโทษสำาหรับความผิด
นัน

การท่ีพลตำารวจเพชร รู้เห็นการกระทำาความผิดต้องเบิกความเป็ นพยานใน
คดีนัน้ เป็ นหน้าท่ีอย่างเดียวกับประชาชนทัว่ไป หาใช่เป็ นหน้าท่ีโดยตรงอัน
สืบเน่ ืองมาจากการเป็ นเจ้าพนักงานผู้จะจับกุมผู้กระทำาความผิดไม่ หน้าท่ีท่ี
จะต้องเบิกความตามความจริงจึงไม่เป็ นหน้าท่ีของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ
การท่ีนายเพทาย จะเสนอจะให้เงินแก่พลตำารวจเพชร จึงไม่เป็ นความผิดฐาน
รับว่าจะให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานเพ่ ือจูงใจให้ มิให้กระทำาการอันมิชอบ
ด้วยหน้าท่ีตาม ปอ.ม.144 (ฎ.1262/47)
เจตนาโดยผลของกฎหมาย
หมายความว่า ผู้กระทำามิได้มีเจตนาตามความเป็ นจริงแก่บุคคลซ่ ึงได้รับผล
ร้ายจากการกระทำานัน ้
กล่าวคือ มิได้ประสงค์ให้ผลเกิดแก่บุคคลนัน ้ หรือมิได้เล็งเห็นผลว่าจะเกิด
แก่บุคคลนัน ้ แต่กฎหมายให้ถือว่า ผูก
้ ระทำาได้กระทำาโดยเจตนาแก่ผู้ได้รบ

ผลร้ายจากการกระทำานัน ้ เจตนาดังกล่าวทางนิติศาสตร์เรียกว่า เจตนาโดย
ผลของกฎหมาย หรือเจตนาโอน
ปอ.ม.60 “ผู้ใดเจตนาท่ีจะกระทำาต่อบุคคลหน่ ึง แต่ผลของการกระทำาเกิดแก่
บุคคลหน่ ึงโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นัน
้ กระทำาโดยเจตนาแก่บุคคลผู้ได้รับผล
ร้ายจากการกระทำานัน
้ ...”
เรียกว่าการกระทำาโดยพลาด มีหลักสำาคัญ 10 ประการ
1. ต้องมีผู้ถูกกระทำา 2 ฝ่ ายขึ้นไป
ฝ่ ายแรก คือผู้เสียหายคนแรก ท่ีผู้กระทำามุ่งหมายจะกระทำาต่อโดยมีเจตนา
ประสงค์ต่อผลหรือเจตนาเล็งเห็นผล
ฝ่ ายท่ี 2 คือผู้ได้รับผลร้ายจากการกระทำานัน
้ ด้วย
ถาม นายแดง ข่มแหง นายดำา อย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็ นธรรม (ปอ.ม.72
บันดาลโทสะ) นายดำาบันดาลโทสะชักมีดพกออกมา โดนแทงนายแดง นาย
แดงหลบ นายดำาแทงพลาดไปถูกนายเขียว ซ่ ึงย่ ืนอยู่ใกล้ นายแดง นายเขียว
ได้รับบาดเจ็บ ด้วยความโกรธท่ีถูกนายดำาแทง นายเขียว วิงกลับไปบ้านซ่ ึง
อยู่ห่างประมาณ 7 เส้น เอาปื นกลับมายิงนายดำา ได้จ้องยิงและกดไกปื นแล้ว
ปื นไม่ลัน
่ เพราะลืมบรรจุกระสุนปื นไว้ ดังนีใ้ห้ท่านวินิจฉัยว่านายดำา และ
นายเขียวผิดฐานใด อ้างเหตุบันดาลโทสะได้หรือไม่ (ผู้ช่วย 15)
ตอบ นายดำามีความผิดฐานทำาร้ายนายเขียว โดยพลาดไป จนเป็ นเหตุให้เกิด
อันตรายแก่กายตาม ปอ.ม.295 ประกอบ ม.60 และอ้างบันดาลโทสะได้ (
ฎ.1047/98 , ฎ.1682/09) และดำามีความผิดฐานพยายามทำาร้ายแดงตาม ปอ.ม.295
ประกอบ ม.80 และ ม.72 อันเป็ นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษบท
หนัก คือ ปอ.ม.295 ประกอบ ม.60 ประกอบ ม.72
นายเขียวผิดฐานพยายามฆ่านายดำาตาม ปอ.ม.288 ประกอบ ม.81 เพราะปื นซ่ ึง
เป็ นปั จจัยซ่ ึงใช้ในการกระทำาไม่อาจจะบรรลุผลได้แน่แท้ และนายเขียวอ้าง
บันดาลโทสะได้ เพราะทำาในขณะโทสะยังมีอยู่ ซ่ ึงศาลจะลงโทษน้องกว่าท่ี
กฎหมายกำาหนดไว้เพียงใดก็ได้ (ฎ.241/78) (ผู้ช่วย 15)
ถาม (อัยการ) นายม่ิง กระทำาความผิด ถูก ส.ต.ต.มัน
่ จับใส่กุญแจมือจะนำาตัว
ไปท่ีสถานีตำารวจ นายแม่น บุตรของนายม่ิง ต้องการช่วยบิดาให้พ้นจากการ
ถูกจับจึงใช้ปืนยิง ส.ต.ต.มัน
่ 1 นัด กระสันปื นถูก ส.ต.ต.มัน
่ ทะลุแขน และ
เลยไปถูกนายม่ิง ถึงแก่ความตายด้วย นายแม่นจะมีความผิดฐานใด
ตอบ นายแม่น มีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซ่ ึงกระทำาการตาม
หน้าท่ีตาม ปอ.ม.289 (2) ประกอบ ม.80 ลงโทษ 2 ใน 3 และมีความผิดฐานฆ่า
นายม่ิงตายโดยพลาดไปตาม ปอ.ม.288 ประกอบ ม.60 แต่ไม่มีความผิดฐานฆ่า
บุพการี เพราะว่าวรรค ท้ายของ ปอ.ม.60 มิให้นำากฎหมายท่ีบัญญัติให้ลงโทษ
หนักขึ้นเพราะฐานะหรือความสัมพันธ์ของผู้กระทำาและผู้ได้รับผลร้ายมา
บังคับ การกระทำาของนายแม่นเป็ นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษ
บทหนักตาม ปอ.ม.90
2. การกระทำาโดยพลาดตาม ปอ.ม.60 ผู้กระทำาจะต้องไม่ประสงค์ต่อผลต่อ
บุคคลซ่ ึงได้รับผลร้ายฝ่ ายท่ี 2 และต้องไม่เล็งเห็นผลด้วย เพราะหากประสงค์
ต่อผลหรือเล็งเห็นผลต่อผู้ได้รบ
ั ผลร้ายฝ่ ายท่ี 2 จะเป็ นเจตนาตาม ปอ.ม.59
มิใช่เจตนาโอนตาม ปอ.ม.60
3. หากกระทำาโดยเจตนาต่อทรัพย์ของบุคคลหน่ ึง แต่ผลไปเกิดแก่ทรัพย์ของ
อีกบุคคลหน่ ึง ก็ถือว่าเป็ นการกระทำาโดยพลาด
ถาม นายโมหะ ใช้ปืนยิงนายโกทะ ซ่ ึงยืนอยู่ท่ีหน้าต่าง กระสุนปื นไม่ถูกนาย
โกทะ แต่พลาดไปถูกกระจกหน้าต่างแตก ดังนีน ้ ายโมหะ มีความผิดฐานใด
หรือไม่
ตอบ นายโมหะ มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืนตาม ปอ.ม.288 ประกอบ ม.80
และมีความผิดฐานทำาให้เสียทรัพย์ตาม ปอ.ม.358 เพราะถือได้ว่าย่อมเล็งเห็น
ผลอันเป็ นเจตนาตาม ปอ.ม.59 เป็ นกรรมเดียวต้องด้วยกฎหมายหลายบท
ต้องลงโทษโดยใช้กฎหมายท่ีมีโทษหนักท่ีสุดตาม ปอ.ม.90 คือลงโทษฐาน
พยายามฆ่าตาม ปอ.ม.288 ประกอบ ม.80 กรณีไม่ต้องด้วย ปอ.ม.60 เพราะ
การกระทำาท่ีพลาดจากตัวบุคคลไปถูกทรัพย์ของบุคคลอันเป็ นเจตนาคนละ
อย่างกัน การท่ีนายดมหะมีความผิดตาม ปอ.ม.358 เพราะนายโมหะเล็งเห็น
ผลนัน
้ อีกเป็ นส่วนหน่ ึง (เนฯ 24)
สรุป ปอ.ม.60 ต้องคิดแบบนี้
1. เจตนาแรกต้องเป็ นเจตนาตาม ปอ.ม.59 เสมอ
2. เม่ ือประสงค์ต่อผล หรือเล็งเห็นผลแล้ว ถึงจะไปท่ี ปอ.ม.60
3. เม่ ือพลาดมาต้องดู
คน : คน
ทรัพย์ : ทรัพย์
4. ไม่ว่าเจตนาต่อคนหรือทรัพย์ จะต้องเจตนาประสงค์ต่อผล หรือเล็งเห็นผล
ก่อน
*** แต่ถ้ากระทำาต่อคน ผลไปเกิดแก่ทรัพย์ มิใช่เร่ ืองพลาดตาม ปอ.ม.60
ถาม คืนวันหน่ ึงนายน้ำานัง่ตกปลาอยู่ในเรือลำาเล็กอยู่ใกล้ฝั่ง จุดตะเกียงรัว้
วางไว้หัวเรือ นายดินซ่ ึงอยู่บ้านริมแม่น้ำา ใกล้กบ
ั ท่ีนายน้ำานัง่ตกปลาอยู่ รู้สึก
ไม่พอใจ เพราะทรัพย์สินในบ้านของนายดินเคยหายไปเสมอจึงไล่นายน้ำาให้
ไปตกปลาท่ีอ่ืนแล้วนายดินก็เอาก้องอิฐขว้างไปท่ีนายน้ำา นายน้ำาหลบ ก้อน
อิฐไม่ถูกนายน้ำาแต่ไปถูกตะเกียงแตก และไฟดับ ขณะท่ีนายน้ำาหลบก้อนอิฐ
ได้ก้มหน้าไปถูกแคบเรือมีแผลท่ีคิว้แตก เรือเอียงคว่ำาไป นายน้ำาจมน้ำาตาย
เพราะวายน้ำาไม่เป็ น ดังนีน
้ ายดินจะมีความผิดฐานใดหรือไม่ (ผู้ช่วย 19)
ตอบ นายดินมีความผิดฐานทำาให้คนตายตาม ปอ.ม.290 เพราะนายดินเจตนา
ทำาร้ายร่างกายนายน้ำาโดยเอาก้อนอิฐขว้าง นายน้ำาหลบก้อนอิฐทำาให้หน้าถูก
แคบเรือคิว้แตก เป็ นผลเน่ ืองจากการกระทำาของนายดิน (ฎ.895/08) การกระ
ทำาของนายดินไม่มีเจตนาฆ่าให้ตาย เพราะเพียงใช้อิฐขว้าง แต่ผลของการ
ขว้างก้อนอิฐทำาให้นายน้ำาหลบ เป็ นเหตุให้เรือล่มนายน้ำาจมน้ำาตาย (ฎ.150/89)
นายดินไม่มีความผิดทางอาญาในกรณีใช้ก้อนอิฐกว้างไปถูกตะเกียงแตก
และไม่มีกฎหมายบัญญัติไห้รับผิดกรณีทำาให้เสียทรัพย์โดยประมาท ทัง้มิใช่
การกระทำาโดยพลาดตาม ปอ.ม.60 (ผู้ช่วย 19)
4. แม้ผลจะเกิดขึ้นแก่ผู้เสียหายฝ่ ายหน่ ึงสมเจตนาของผู้กระทำา และมีผลไป
เกิดแก่ผู้เสียหายอีกฝ่ ายหน่ ึงก็ถือว่าเป็ นการกระทำาโดยพลาดตาม ปอ.ม.60
ฎ.1937/22 ยิง 4-5 นัดเจตนาฆ่า ก. กระสุนถูก ก. ตาย ถูก ส. อันตรายสาหัส
จำาเลยมีความผิดฐานฆ่า ก. ตาม ปอ.ม.288 และพยายามฆ่า ส. ตาม ปอ.ม.288
ประกอบ ม.80 และ ม.60 และ ม.90
5. การกระทำาโดยพลาดตาม ปอ.ม.60 จะต้องมีผลเกิดแก่ผู้เสียหายฝ่ ายท่ี 2
เสมอ
ตัวอย่าง แดงยิงดำา กระสุนไม่ถูกดำา แต่พลาดไปถูกขาวบาดเจ็บ ถือว่าแดงมี
เจตนาตาม ปอ.ม.60 ต่อขาว แต่หากกระสุนไม่ถูกขาว และขาวไม่ได้รับ
อันตรายแก่กายหรือจิตใจเลย จะถือว่าแดงมีเจตนาแก่ขาวไม่ได้ เพราะผลไม่
ได้เกิดแก่ขาว
แต่ถ้าหากกระสุนไม่ถูกขาว แต่ขาวตกใจมากหัวใจวายตาย เช่นนีถ
้ ือว่าแดง
เจตนาฆ่าขาวตาม ปอ.ม.60 เพราะมีผลเกิดแก่ขาวแล้ว
ถาม นายแดงใช้ให้นายขาวไปฆ่านายดำา นายขาวจึงไปซุ่มดักรอนายดำาอยู่
เพ่ ือจะยิง เม่ ือนายเขียวเดินมา นายขาวเข้าใยว่าเป็ นนายดำา จึงใช้ปืนยิงไปท่ี
นายเขียว กระสุนปื นถูกนายเขียวได้รบ ั อันตรายสาหัส และกระสันปื นไปถูก
นายม่วง บิดาของนายขาวด้วย นายขาวและนายแดงมีความผิดฐานใดหรือไม่
ตอบ นายขาวมีความผิดฐานพยายามฆ่านายเขียวโดยไต่ตรองไว้ก่อนตาม
ปอ.ม.289(4)ประกอบ ม.80 และ ปอ.ม.61 นายขาวจะยกเอาความสำาคัญผิดใน
ตัวบุคคลมาเป็ นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำาโดยเจตนาต่อนายเขียวไม่ได้
นายขาวมีความผิดฐานฆ่านายม่วง โดยเจตนาไต่ตรองไว้ก่อนโดยพลาดตาม
ปอ.ม.289 (4) ประกอบ ม.60 แต่ไม่มีความผิดฐานฆ่าบุพการีตาม ปอ.ม.298 (1)
ด้วย เพราะแม้ว่า ปอ.ม.60 ตอนต้นจะบัญญัติให้ถือว่านายขาวกระทำาโดย
เจตนากับนายม่วง บิดาของนายขาว ผูไ้ ด้รบ
ั ผลร้ายจากการกระทำาก็ตาม แต่
ความในตอนท้ายของ ปอ.ม.60 มิให้นำากฎหมายท่ีบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น
เพราะความสัมพันธ์ของผู้กระทำากับผูท้ ่ีได้รบ
ั ผลร้ายมาบังคับกับการกระทำา
โดยพลาด
นายแดง เป็ นผู้ใช้ นายขาวได้กระทำาความผิด นายแดงต้องรับโทษเสมือน
ตัวการ นายแดงจึงต้องรับผิดเช่นนายขาวทุกประการตาม ปอ.ม.84 วรรคสอง
และการท่ีผู้ถูกใช้กระทำาโดยสำาคัญผิดในตัวบุคคลตาม ปอ.ม.61 และกระทำา
โดยพลาดตาม ปอ.ม.60 ก็ต้องถือว่าเป็ นการกระทำาท่ีอยู่ในขอบเขตของการใช้
(เนฯ 49)
6. เจตนาตาม ปอ.ม.60 เป็ นเจตนาโอน หากเจตนาแรกเป็ นเจตนาฆ่า เจตนาท่ี
โอนมาก็เป็ นเจตนาฆ่าด้วย หากเจตนาแรกเป็ นเจตนาทำาร้าย เจตนาท่ีโอนก็
เป็ นเจตนาทำาร้ายเช่นเดียวกัน
ฎ.447/10 จำาเลยกับภริยาโต้เถียงกัน และจำาเลยใช้ไม้ไผ่ซ่ึงมีขนาดโตกว่าหัวแม่
มือนิดหน่อย ยาวประมาณ 1 วาตี แต่ตีหนักมือไป ทำาให้พลาดไปถูกนางบุญ
ลืม ซ่ ึงภริยาของจำาเลยยืนเกาะหลังอยู่ถึงแก่ความตาย จำาเลยผิดฐานฆ่าคน
โดยไม่เจตนาตาม ปอ.ม.290 ประกอบ ม.60 (ตามฎีกานีอ ้ าจตอบว่ามีเจตนาเล็ง
เห็นผลก็ได้)
7. หากเจตนาในตอนแรกเป็ นเจตนาไต่ตรองไว้ก่อน เจตนาท่ีได้โอนมายังผู้ท่ี
ได้รับผลร้าย ก็เป็ นเจตนาโดยไต่ตรองไว้ก่อนเช่นกัน
ฎ.6738/37 จำาเลยโทรศัพท์นัดให้ผู้ตายไปพบ เพ่ ือตกลงเร่ ืองชู้สาวโดยจำาเลย
ตระเตรียมไฟแช๊ก เพ่ ือประสงค์ให้ในการติดไฟติดตัวไปด้วยพร้อมของเหลว
ไว้ไฟ เม่ ือพบผู้ตายจำาเลยเดินเข้าไปข้างหลังผู้ตาย แล้วเทลาดของเหลวไวไฟ
ท่ีตัวผู้ตายจากศีรษะไปตามลำาตัว และไหลลงพ้ืน ของเหลวดังกล่าวกระเด็น
ไปถูก จ. ซ่ ึงอยู่หา่ งจากผู้ตาย 1 เมตร และจำาเลยได้ใช้ไฟแช๊กจุดท่ีต้นคอผู้ตาย
ไฟได้ลก
ุ ตามตัวผู้ตายจนผู้ตายตาย และไฟไหม้ห้องและไหม้ จ. บาดเจ็บ
จำาเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไต่ตรองไว้ก่อนตาม ปอ.ม.289 (4) และผิด
ฐานพยายามฆ่า จ. ไว้ก่อนตาม ปอ.ม.289 (4) ประกอบ ม.80 และ ม.60 และผิด
ฐานวางเพลิงตาม ปอ.ม.218 (1) ลงโทษบทหนักตาม ปอ.ม.90 คือ ปอ.ม.289 (4)
8. การกระทำาโดยพลาดต่อผู้เสียหายฝ่ ายแรกนัน
้ หากผลไม่เกิดแก่ผู้เสียหาย
ฝ่ ายแรกตามเจตนาของผู้กระทำา ผู้กระทำาต้องรับโทษฐานพยายามตามหลัก
ทัว่ไป
9. เจตนาเท่านัน
้ ท่ีสามารถโอนกันได้ตาม ปอ.ม.60 (พลาด) ส่วนประมาทโอน
กันไม่ได้ คือประมาทไม่มก ี รณีพลาด
ถาม นายเด่น มีสาเหตุโกรธเคืองกับนายดวง วันเกิดเหตุนายเด่นจะไปยิง
นายดวง นายดัง ได้ร่วมไปกับนายเด่น เพ่ ือเป็ นการให้กำาลังใจด้วย ครัน ้ พา
กันไปพบนายดวงแล้ว นายเด่นเกิดนึกสงสารนายดวง แทนท่ีจะใช้อาวุธปื น
ยิงนายดวง นายเด่นกลับใช้ด้ามปื นตีศีรษะนายดวงแตกเลือดไหล แต่
กระสุนปื นได้ลัน่ ไปถูกนางดี กับนางดำา ซ่ ึงวิงเข้ามาห้าม นางดีถึงแก่ความ
ตาย และนางดำาได้รับบาดเจ็บ จากเสียงปื นดังเป็ นเหตุทำาให้ชาวบ้านวิงมาใน
ท่ีเกิดเหตุ นายดังซ่ ึงย่ ืนอยู่ใกล้นายเด่นได้แสดงตัวเป็ นพวกของนายเด่น
ทันที โดยร้องห้ามไม่ให้คนอ่ ืนเข้ามาช่วยนายดวง จนชาวบ้านไม่กล้าเข้ามา
ในท่ีเกิดเหตุ แล้วนายเด่นกับนายดังก็พากันหลบหนีไปพร้อมกัน ให้ท่าน
วินิจฉัยว่าการกระทำาของนายเด่นกับนายดัง ผิดกฎหมายอาญาฐานใดหรือ
ไม่
ตอบ นายเด่น แม้จะมีเจตนาฆ่านายดวง เพราะมีเหตุโกรธเคืองกันมาก็ตาม
แต่เกิดกลับใจไม่ยิงนายดวงเพราะนึกสงสาร คงใช้เพียงด้ามปื นตีศีรษะนาย
ดวงแตกเท่านัน ้ อันกระทำาโดยมีเจตนาทำาร้าย ไม่มีเจตนาฆ่า การกระทำาของ
นายเด่นจึงไม่เป็ นความผิดฐานพยายามฆ่า นายเด่นจึงมีคามผิดฐานทำาร้าย
ร่างกายกระทงหน่ ึง และเม่ ือข้อเท็จจริงไม่ใช่เร่ ืองเจตนาฆ่าโดยยิง กรณีจึง
มิใช่กรณีท่ีได้กระทำาต่อนายดวง แต่ผลของการกระทำาเกิดแก่นางดี และ
นางดำาโดยพลาด นายเด่น จึงไม่มีความผิดตาม ปอ.ม.290 , ม.295 ประกอบ
ม.60 อย่างไรก็ตามการท่ีกระสุนปื นลัน
่ ขึ้นดังกล่าวนัน
้ เกิดจากนายเด่นไม่ใช่
ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ซ่ึงนายเด่นอาจใช้ควมระมัดระวังได้
เม่ ือปื นลัน
่ เกิดเพราะความประมาทของนายเด่น เป็ นผลให้นางดี ถึงแก่ความ
ตายตาม ปอ.ม.291 และเป็ นความผิดตาม ปอ.ม.390 (ฎ 917/30)
ส่วนนายดัง ได้ร่วมรู้เห็นมาก่อนว่านายเด่นจะไปทำาร้ายนายดวงและได้ร่วม
ด้วยเพ่ ือให้กำาลังใจ ขณะท่ีนายเด่นทำาร้ายนายดวง นายดังก็ยืนอยู่ใกล้ ๆ
นายเด่น เม่ ือนายเด่น ทำาร้ายนายดวง กระสุนปื นลัน่ ไปโดนนางดีและนางดำา
และแสดงตนเป็ นพวกนายเด่น ทำาให้ชาวบ้านรู้ว่านายเด่นไม่ได้มาคนเดียว
ย่อมทำาให้คนอ่ ืนเกิดความกลัวไม่กล้าเข้าช่วยนายดวง แล้วนายเด่นกับนาย
ดังก็หลบหนีไปด้วยกัน ถือได้ว่านายดังได้ร่วมกับนายเด่นทำาร้ายนายดวง
ด้วย นายดังย่อมมีความผิดตาม ปอ.ม.295 ประกอบ ม.83 (ฎ 980/29) แต่การ
เป็ นตัวการร่วมกันต้องเป็ นการทำาโดยเจตนา เม่ ือความผิดตาม ปอ.ม.290 และ
ม.391 เป็ นการกระทำาโดยประมาท นายดังจึงไม่อาจรับผิดฐานเป็ นตัวการใน
ความผิดดังกล่าวได้ นายดังจึงไม่มีความผิดตามมาตราดังกล่าว (ผู้ช่วย 35)
ถาม สุธี และสุธรรม โกรธกันมาช้านาน วันเกิดเหตุท่ีวัดมีงานเทศมหาชาติ
สุธี และ สุธรรม ได้ไปพบกันบนศาลา ซ่ ึงพระภิกษุกำาลังสวดมนต์ สุธีเห็นสุ
ธรรมพกมีดปลายแหลมอยู่ท่ีเอว สุธีระแวงว่าสุธรรมจะมาทำาร้ายตน สุธีจึง
ร้องด่าด้วยถ้อยคำาหยาบคายอันควรขายหน้า พร้อมกับส่งเสียงเอะอะอ้ือฉาว
พร้อมกับท้าทายคนบนศาลา แต่ก็ไม่มีผู้ใดมีปฏิกริยาวุ่นวาย แล้วสุธีชักอาวุธ
ปื นพกท่ีนำาติดตัวมาด้วยจะยิงสุวรรณ สุชาติปัดกระบอกปื นและผลักสุธี
กระสุนปื นลัน่ ไม่ถูกสุธรรม แต่ถูกนางสุดามารดาของสุธีตาย สุธีเซ แล้ววิง
ไปเก่ียวขา ด.ญ.สุพร ล้ม ทำาให้ผิวหนังข้อศอกของ ด.ญ.สุพร ถลอกเล็กน้อย
รักษา 5 วันจึงหาย ดังนีส
้ ุธี และสุธรรม จะมีความผิดอาญาฐานใดบ้างหรือไม่
ตอบ สุธรรมพกมีดปลายแหลมซ่ ึงเป็ นอาวุธติดตัวไปในหมูบ่ ้านหรือทาง
สาธารณะ จึงมีความผิดตาม ปอ.ม.371 สุธีเห็นสุธรรมพกมีดปลายแหลมมา
เช่นนัน
้ จึงร้องด่าด้วยถ้อยคำาหยาบคาย อันควรขายหน้าต่อผู้คนซ่ ึงมาชุมนุม
จำานวนมาก ถึงแม้จะกระทำาด้วยวาจามิได้กระทำาด้วยกาย ก็มีความผิดตาม
ปอ.ม.388 (ฎ.1069/06)
สุธีชักอาวุธปื นพกขึ้นมา แต่ยังไม่ปรากฏว่ายกขึ้นเล็งผู้ใด หรือจ้องจะยิงใคร
ยังไม่เป็ นการลงมือกระทำาความผิดฐานฆ่าผูอ ้ ่ ืนโดยเจตนา เป็ นการเพียงตระ
เตรียมเท่านัน้ จึงไม่เป็ นความผิดฐานพยายามฆ่าสุธรรม เม่ ือไม่เป็ นการ
กระทำาโดยเจตนาแล้ว จงไม่อาจเป็ นการกระทำาโดยพลาดตาม ปอ.ม.60 แต่
การท่ีสุธีชักปื นออกมาในท่ีชุมนุมชนเช่นนัน ้ เป็ นการกระทำาโดยปราศจาก
ความระมัดระวังอันเป็ นการกระทำาโดยประมาท เม่ ือกระสุนปื นลัน ่ ไปถูกนาง
สุดาตาย แม้การท่ีกระสุนปื นลัน ่ จะเป็ นเพราะสุชาติปัดกระบอกปื น ก็ถือว่า
การตายของสุดา เป็ นผลจากการประมาทของสุธีดว้ ย สุธีจึงผิดฐานทำาให้ผู้
อ่ ืนตายโดยประมาท
นอกจากนีส ้ ุธียังผิดฐานพาอาวุธไปในหมู่บา้ นตาม ปอ.ม.371 อีกด้วย ส่วน
การท่ีสุชาติผลักสุธี และสุธีเซไปเก่ียวขา ด.ญ.สุพรล้ม ทำาให้ผิวหนังถลอก
เล็กน้อยรักษา 5 วัน หายนัน
้ ไม่ถึงกับเป็ นอันตรายแก่กายหรือจิตใจ (
ฎ.703/06,ฎ.1180/01) จึงไม่เป็ นความผิดตาม ปอ.ม 395 และเน่ ืองจากสุชาติมิได้มี
เจตนาทำาร้ายผู้ใด จึงไม่มีความผิดตาม ปอ.ม.391 แม้ความผิดตาม ปอ.ม.391
จะเป้ นความผิดลหุโทษก็ตาม แต่ข้อความแห่งบทมาตราดังกล่าวต้องกระทำา
โดยเจตนาจึงจะเป็ นความผิด (ฎ.1119/17) และแม้ผิวหนังของ ด.ญ.สุพร ถลอก
จะเป็ นผลจากสุธีวิงไปเก่ียวขา ด.ญ.สุพรล้ม แต่สีกไ็ ม่ได้กระทำาโดยเจตนา จึง
ไม่มีความผิดตามบทมาตรานีเ้ช่นกัน
อน่ ึงการท่ีสุชาติปัดกระบอกปื นและผลักสุธี กระสันปื นลัน ่ ไปถูกสุดา มารดา
ของสุธี ไม่เป็ นการกระทำาโดยประมาท เพราะบุคคลในภาวะเช่นสุชาติใน
ขณะเกิดเหตุชุลมุนเช่นนัน ้ ย่อมไม่อยู่ใยวิสยั และพฤติการณ์ ย่อมไม่อาจใช่
ความระมัดระวังเช่นนัน ้ ได้ เน่ ืองจากเป็ นการกระทำาในภาวะฉุกเฉิน จึงไม่
เป็ นความผิด
10. หากเจตนาในตอนแรกเป็ นเจตนาพิเศษเพ่ ือป้ องกันสิทธิตาม ปอ.ม.68
หรือเจตนาพิเศษเร่ ืองจำาเป็ นตาม ปอ.ม.67 หรือเจตนาพิเศษเร่ ืองบันดาล
โทสะ ตาม ปอ.ม.72 แม้จะพลาดไปถูกผู้เสียหายอีกฝ่ ายหน่ ึง เจตาพิเศษใน
ตอนแรกดังกล่าวก็โอนไปด้วย (ฎ.892/15)
แดงเมาสุราเอาเท้าพลาดหัวดำาลูบเล่น แล้ววิงหนี (เป็ นการข่มแหง) (
ฎ.3315/22) ดำาบันดาลโทสะจึงใช้ไม้ไล่ตีแดง แดงหลบทัน ไม้พลาดไปถูกแขน
เหลืองหัก ดำาผิดฐานพยายามทำาร้ายแดง ตาม ปอ.ม.295 + 80 +72 นอกจากนี้
ยังผิดฐานทำาร้ายร่างกายเหลืองตาม ปอ.ม.295 + 60 + 72 (ฎ.1682/09)
ถาม นายหมึกกับนายมีนัง่ด่ ืมสุราและดูโทรทัศน์ด้วยกันท่ีบ้านของนายมี ใน
ห้องโถงนอกห้องนอน นายมีเมาสุรานอนหลับท่ีหน้าโทรทัศน์ นายหมึก
เข้าไปในห้องนอนของนายมี แล้วเข้าไปกอดจูบนางมา ภริยาของนายมี
ท่ีนอนหลับอยูบ ่ นเตียงนอน นางมาตกใจต่ ืนตะโกนเรียกสามีให้ช่วย นาย
หมึกวิงหลบหนีไ้ปตามถนนหน้าบ้าน นายมีได้ยินเสียงร้องจึงต่ ืนขึ้น พอ
ทราบเร่ ืองก็หยิบปื นวิงตามนายหมึก (ปอ.ม.371 พาอาวุธไปในทางสาธารณะ)
แล้วใช้อาวุธปื นยิงนายหมึก 2 นัด กระสุนปื นพลาดไปถูกนายมาก ซ่ ึงเดินอยู่
ในถนนใกล้นายหมึกได้รับบาดเจ็บสาหัส นายหมึกและนายมีจะมีความผิด
ตาม ปอ.หรือไม่
ตอบ นายหมึกได้รับอนุญาตให้นัง่ในห้องโถง จะถือว่าได้รบ
ั อนุญาตให้เข้าไป
ในห้องนอนด้วยไม่ได้ การเข้าไปในห้องนอก จึงเป็ นการเข้าไปในเคหสถาน
โดยไม่มีเหตุอันสมควร และการกอดจูบนามาเป็ นการกระทำาอนาจารนางมา
ขณะหลัก โดยนางมาอยู่ในภาวะท่ีไม่สามารถขัดขืนได้ นายหมึกจึงมีความ
ผิดฐานบุกรุกตาม ปอ.ม.364 (ฎ.2407/27) และมีความผิดฐานกระทำาอนาจารตาม
ปอ.ม.278 เป็ นการกระทำาต่อเน่ ืองและเห็นได้ว่าการกระทำาของนายหมึกเพ่ ือ
กระทำาอนาจารเท่านัน
้ จึงเป็ นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
ให้ลงโทษบทหนังตาม ปอ.ม.278 ซ่ ึงมีโทษหนักท่ีสุดตาม ปอ.ม.90 (ฎ.3257/27)
ส่วนนายมี พาเอาอาวุธปื นไล่ยิงนายหมึกเป็ นการพาอาวุธไปในทาง
สาธารณะโดยเปิ ดเผย เป็ นความผิดตาม ปอ.ม.371 กระทงหน่ ึง การใช้อาวุธ
นัน
้ ยิงนายหมึกในพฤติการณ์เช่นนัน ้ แสดงให้เห็นว่านายมีเจตนาจะห่านาย
หมึก เม่ ือยิงแล้วกระสุนพลาดไปถูกนายมากบาดเจ็บ นายมีจึงมีความผิด
ฐานพยายามฆ่าตาม ปอ.ม.288 +59+80+72 และพยายามฆ่านายมา ตาม
ปอ.ม.288+80+60+72 (ฎ.222/13) เป็ นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษบท
หนังท่ีสุด
ความผิดฐานพยายามฆ่าดังกล่าว นายมีได้กระทำาไปเพราะนายหมึกข่มแหง
อย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็ นธรรม เน่ ืองจากนายหมึกบุกรุกเข้าไปทำา
อนาจารภริยาของนายมีถึงในห้องนอน โดยนายมีได้กระทำาความผิดต่อผู้ข่ม
แหงไปในขณะเดียวกันนัน ้ จึงเป็ นการกระทำาผิดโดยบันดาลโทสะ ศาลจะ
ลงโทษน้อยกว่าท่ีกฎหมายกำาหนดไว้เพียงใดก็ได้
เม่ ือการกระทำาตามเจตนาเดิมเป็ นการกระทำาโดยบันดาลโทสะแล้ว การกระ
ทำาผิดโดยพลาดต่อนายมากก็ต้องถือว่าเป็ นการกระทำาโดยบันดาลโทสะด้วย
ตาม ปอ.ม.60 (ฎ.1682/09) (ผู้ช่วย 33)
เจตนาท่ีไม่เจตนา
ปอ.ม.62 “ ข้อเท็จจริงใดถ้ามีอยูจ่ ริง จะทำาให้การกระทำาไม่เป็ นความผิดหรือ
ทำาให้ผกู้ ระทำาไม่ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง แม้ข้อเท็จจริงนัน ้ จะไม่มีอยู่
จริง แต่ผู้กระทำาสำาคัญผิดว่ามีอยู่จริง ผูก
้ ระทำาย่อมไม่มีความผิดหรือได้รับ
ยกเว้นโทษ หรือ ได้รับโทษน้อยลง แล้วแต่กรณี
ถ้าความสำาคัญผิดเกิดขึ้นด้วยความประมาท ผู้กระทำารับผิดฐานกระทำาโดย
ประมาท ในกรณีกฎหมายบัญญัติให้รับผิดฯ…”
ถาม นายแดงพีชายจ่ายเช็คให้แก่นายดีน้องชาย และภริยาฉบับหน่ ึง เป็ น
เงิน 5,000. บาท ในการรับไหว้นายดีและภริยา ซ่ ึงพ่ ึงสมรสกัน โดยสำาคัญผิด
คิดว่าตนมีเงินอยู่ในธนาคารพอจ่ายได้ ครัน
้ นายดีนำาเช็คไปขึ้นเงินท่ีธนาคาร
ธนาคารคืนเช็คมา ปรากฏว่ามีเงินไม่พอจ่าย นายดีโกรธนายแดงพ่ีชายมาก
เพราะอายภริยา จึงฟ้ องนายแดงว่าทำาผิดตาม พรบ.เช็คฯ ข้อเท็จจริงรับกันดัง
กล่าวนี ท้ ่านเป็ นศาลจะวินิจฉัยคดีนีอ
้ ย่างไร
ตอบ ถ้าข้าฯ เป็ นศาลจะไม่ลงโทษนายแดง เพราะนายแดงสำาคัญผิดคิดว่าตน
มีเงินอยู่ในธนาคาร ซ่ ึงถ้านายแดงมีเงินอยู่จริง นายแดงก็ย่อมไม่มีความผิด
ฉะนัน ้ การท่ีนายแดงสำาคัญผิดไปว่าตนมีเงินในธนาคาร นายแดงจึงไม่มี
ความผิดตาม ปอ.ม.62 (เนฯ 9)
ถาม นายดำาได้รับแต่ตัง้เป็ นหัวหน้าแผนกในโรงานอุตสาหกรรมแห่งหน่ ึง
นายแดงผู้ช่วยหัวหน้าแผนกรู้สึกดีใจมากเพราะได้เพือนร่วมโรงเรียน
เดียวกันมาเป็ นผู้บังคับบัญชา ครัน
้ ถึงวันขึ้นปี ใหม่ นายแดง ครบคิดกับลูก
น้องและคนงานในแผนกไปอวยพรให้นายดำา โดยนัดให้ทุกคนไปพร้อมกัน
ท่ีหน้าบ้านนายดำาเวลา 23.00 น. เม่ ือได้เวลานัด นายแกงกับพวกก็ได้จุดใต้
และคบเพลิงขึ้นแล้วพากันวิงเข้าบ้านนายดำา โฮร้องว่าอ้ายเสืออาวา โดย
ประสงค์จะล้อ นายดำาให้ต่ืนเต้น แต่นายดำากับตกใจคว้าปื นออกมาประทับ
ยิงโดยคิดว่ามีคนร้ายเข้ามาปล้น นายแดงจึงร้องแข่งกับเสียงโฮร้องของลูก
น้องว่ากูเอง พอสิน ้ เสียงร้องปื นก็ลัน
่ ออกไปหน่ ึงนัด ไปถูกนายแดงขาดใจ
ตายทันที ดังนีน ้ ายดำาจะมีความผิดฐานใดหรือไม่
ตอบ นายดำาไม่มีความผิดฐานฆ่าผูอ ้ ่ ืนโดยเจตนา เพราะสำาคัญผิดในข้อเท็จริง
ซ่ ึงถ้าข้อเท็จจริงนัน
้ มีอยู่จริงจะทำาให้การกระทำานัน ้ ไม่เป็ นความผิด ในกรณี
ป้ องกันสิทธิพอสมควรแก่เหตุ และนายดำาก็มไิ ด้ประมาทตาม ปอ.ม 62 (เนฯ
14)
ถาม นายดำาฟ้ องนายขาวต่อศาล ฐานหม่ินประมาท ศาลไต่สวนมูลฟ้ องแล้ว
ให้ประทับฟ้ อง นายขาวไม่ไปศาลตามนัด ศาลออกหมายจับนายขาว ต่อมา
นายขาวเข้ามอบตัวต่อศาล และศาลอนุญาตให้มีการประกันตัวในวัน
เดียวกัน นายดำาทราบว่านายขาวได้ประกันตัวแล้ว แต่ต้องการให้นายขาวถูก
จับได้รบ
ั ความอับอาย ได้นำาสำาเนาหมายจับของศาลท่ีออกก่อนนายขาว
ประกันตัวไปแสดง ขอให้ ส.ต.ท.เหลือง จับนายขาว ส.ต.ท.เหลืองจับตัวนาย
ขาวส่ง สถานีตำารวจแล้วจึงทราบว่านายขาวได้ประกันตัวจากศาลแล้ว ดังนี้
นายดำา และ ส.ต.ท.เหลืองมีความผิดฐานใดหรือไม่
ตอบ นายขาวได้รับประกันตัวจากศาลแล้ว เหตุท่ีจะจับนายขาวตามหมายนัน

หมดไป ส.ต.ท.เหลือง ไม่มีเหตุจับนายขาวโดยชอบด้วยกฎหมาย การท่ีนาย
ดำาทราบดีอยู่แล้วว่า นายขาวได้รับประกันตัวแล้ว ยังจงใจใช้หมายจับท่ีศาล
ได้ออกก่อนนายขาวมีประกันตัวให้ ส.ต.ท.เหลืองจับอีก ส.ต.ท.เหลืองจึงต้อง
จับตาม หมายของศาลไม่ใช่เร่ ืองท่ีอยู่ในดุลพินิจของ ส.ต.ท.เหลือง ท่ี
พิจารณาว่าสมควรจับหรือไม่
นายดำาจึงมีความผิดตาม ปอ.ม.310 (เสมือนเป็ นตัวการเอง หรือกระทำาผิดโดย
อ้อมโดยใช้ ส.ต.ท.เหลืองเป็ นเคร่ ืองมือ)
ส่วน ส.ต.ท.เหลือง จับนายขาว โดยสำาคัญผิดในข้อเท็จจริงตาม ปอ.ม.62 ว่า
เป็ นหมายจับท่ียังบังคับได้อยู่ ส.ต.ท.เหลือง ไม่มีความผิดตาม ปอ.ม.310 (เนฯ
/ อัยการ)
ถาม คดีอาญาเร่ ืองหน่ ึง นาย ก. เจตนาลักทรัพย์ของนาย ข. แต่ทรัพย์ท่ีลัก
มากับเป็ นทรัพย์ของมารดานาย ก. (ปอ.ม.17)
อีกคดีหน่ ึง นาย ก. เจตนาลักทรัพย์ของมารดาตัวเอง แต่ทรัพย์ท่ีลักมากลับ
กลายเป็ นทรัพย์ของคนอ่ ืน ดังนี น ้ .ายก
จะมีความผิดในทางอาญาต่างกัน
อย่างไร (เนฯ 56)
ตอบ คดีอาญาเร่ ืองแรกท่ีนาย ก. เจตนาลักทรัพย์ของนาย ข. แต่ทรัพย์ท่ีลัก
มากลับเป็ นทรัพย์ของมารดานาย ก. เองนัน
้ เป็ นเร่ ืองนาย ก. ลักทรัพย์ โดย
สำาคัญผิดในตัวบุคคลผู้เป็ นเจ้าของทรัพย์ตาม ปอ.ม.61 ซ่ ึงนาย ก. จะยกเอา
ความสำาคัญผิดเป็ นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำาโดยเจตนาต่อมารดาตน ซ่ ึงเป็ นผู้
ได้รับผลร้ายไม่ได้ จึงต้องถือว่านาย ก. ลักทรัพย์มารดาตนเอง ซ่ ึงเป็ นความ
ผิดอันยอมความได้ หรือศาลจะลงโทษนาย ก. น้อยกว่าท่ีกฎหมายกำาหนดไว้
เพียงใดก็ได้ ตาม ปอ.ม.71 วรรคสอง (ฎ.94/88)
ส่วนคดีอาญาเร่ ืองหลังท่ีนาย ก. เจตนาลักทรัพย์ของมารดาตนเอง แต่ทรัพย์
ท่ีลักมากลับกลายเป็ นทรัพย์ของคนอ่ ืนนัน
้ เป็ นเร่ ืองนาย ก. สำาคัญผิดในข้อ
เท็จจริง ซ่ ึงถ้ามีอยู่จริงจะทำาให้นาย ก. รับโทษน้อยลงตาม ปอ.ม.71 วรรคแรก
เน่ ืองจากการลักทรัพย์มารดา ย่อมเป็ นความผิดอันย่อมความได้ หรือศาลจะ
ลงโทษน้อยกว่าท่ีกฎหมายกำาหนดไว้เพียงใดก็ได้ ตาม ปอ.ม.71 วรรคสอง ดัง
นัน
้ นาย ก. จึงได้รับผลตาม ปอ.ม.71 วรรคสอง โดยผลของ ปอ.ม.62 วรรค
แรก ดังกล่าวแล้ว (เนฯ 36)
ปอ.ม.61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทำาต่อบุคคลหน่ ึง แต่ได้กระทำาต่ออีกบุคคลหน่ ึง
โดยสำาคัญผิด ผู้นัน้ จะยกเอาความสำาคัญผิดเป็ นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำาโดย
เจตนาหาได้ไม่”
ถาม นายแดงใช้ให้นายขาวไปฆ่านายดำา นายขาวได้ไปดักซุ่มรอนายขาวเพ่ ือ
จะยิง เม่ ือนายเขียวเดินมา นายขาวเข้าจ่าเป็ นนายดำา จึงให้ปืนยิงไปท่ีนาย
เขียว กระสุนปื นถูกนายเขียว ได้รับอันตรายสาหัส และกระสุนปื นยังไปถูก
นายม่วง ซ่ ึงเป็ นบิดานายขาวตายด้วย ดังนีน้ ายขาวและนายแดงผิดฐานใด
ตอบ นายขาวมีความผิดฐานพยายามฆ่านายเขียวโดยไต่ตรองไว้ก่อนตาม
ปอ.ม.298 (4) + ม.61 เพรานายขาวจะยกเอกความสำาคัญผิดมาเป็ นข้อแก้ตัวว่า
มิได้กระทำาโดยเจตนาต่อนายเขียวไม่ได้
นายขาวมีความผิดฐานฆ่านายม่วง โดยไต่ตรองไว้ก่อนโดยพลาดตาม ปอ.
ม.289 (4) + ม.60 แต่ไม่ผด
ิ ฐานฆ่าบุพการีตาม ปอ.ม.289 (1) ด้วยเพราะความใน
ตอนท้ายของ ปอ.ม.60 ห้ามมิให้นำากฎหมายท่ีให้ลงโทษหนักขึ้นเพราะความ
สัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำากับผู้ซ่ึงได้รับผลร้ายมาบังคับแก่กรณีกระทำาโดย
พลาด
นายแดงเป็ นผู้ใช้ เม่ ือนายขาวผู้ถูกใช้กระทำาผิด นายแดงผู้ใช้ต้องรับโทษ
เสมือนตัวการ นายแดงจึงต้องรับผิดเช่นเดียวกับนายขาวทุกประการตาม
ปอ.ม.84 วรรคสอง การท่ีผู้ถูกใช้กระทำาโดยสำาคัญผิดตาม ปอ.ม.61 และกระทำา
โดยพลาดตาม ปอ.ม.60 ก็ถือว่ากระทำาอยู่ในขอบเขตของการใช้
ถาม นายสนิท ต้องการฆ่านางสมัยภริยาของตน จึงเอาน้ำาหวานผสมยาพิษ
ให้นางสมัยด่ ืม และเดินออกไป โดยไม่ทราบว่านางสมัยจะด่ ืม ด.ช.สมาน
บุตรขอตนได้เข้ามาขอน้ำาหวานจากนางสมัยมารดาไปด่ ืม และถึงแก่ความ
ตาย
ความรับผิดของนายสนิทจะเปล่ียนไปหรือไม่ หากนายสนิทย่ ืนน้ำาหวานผสม
ยาพิษแล้ว ต่อมา ด.ช.สมานเข้ามาขอด่ ืมน้ำาหวาน นางสมัยจึงได้ด่ืมโดยนาย
สนิทเห็นอยู่แล้ว ทัง้ ๆ ท่ีตนไม่ต้องการให้ ด.ช.สมาน ตาย แต่ไม่กล้าห้าม
ปรามเพราะกลัวความแตก
ให้ท่านวินจิ ฉัยความรับผิดของนายสนิท
ตอบ การท่ีนายสนิท เอาน้ำาหวานผสมยาพิษให้นางสมัยด่ ืม เป็ นการกระทำา
โดยเจตนาฆ่า และได้ลงมือกระทำาความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำาไม่
บรรลุผล เพราะนางสมัยไม่ถึงแก่ความตาย นายสนิทจึงบมีความผิดฐาน
พยายามฆ่าตาม ปอ.ม.289 (4) ประกอบ ม.80
ส่วนกรณีท่ี ด.ช.สมาน มาขอด่ ืมน้ำาหวานแล้วตายลงนัน
้ เป็ นผลท่ีเกิดจาก
การกระทำาของนายสนิท กล่าวคือ นายสนิทเจตนาจะกระทำาต่อนางสมัย แต่
ผลไปเกิดขึ้นแก่ ด.ช.สมาน ตาม ปอ.ม.60 ให้ถือว่านายสนิทมีเจตนาฆ่า
ด.ช.สมาน ดังนัน
้ นายสนิทมีความผิดฐานฆ่า ด.ช.สมาน ตาม ปอ.ม.289 (4)
ประกอบ ม.60
การกระทำาของนายสนิทเป็ นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษบท
หนัก ตาม ปอ. ม.90
กรณีหลัง เม่ ือนายสนิทเห็นบุตรของตนเข้ามาขอน้ำาหวานผสมยาพิษไปด่ ืม
นัน
้ นายสนิทเห็นอยู่แล้วว่าบุตรของตนตกอยู่ในอันตรายแก่ชีวิต นอกจาก
ในฐานะบิดาย่อมมีหน้าท่ีตามกฎหมายท่ีจะป้ องกันผลร้ายเกิดแก่บุตรแล้ว
เหตุดังกล่าวยังเกิดจากการกระทำาของตน แต่ไม่ทำาตามหน้าท่ี จึงเป็ นการงด
เว้นตาม ปอ.ม.59 วรรคท้าย ถือว่าเป็ นการกระทำาอย่างหน่ ึง และไม่ใช่เร่ ือง
พลาดตาม ปอ.ม.60 เพราะนายสนิทมีเจตนาเล็งเห็นผลอยู่แล้ว
สรุป กรณีแรก นายสนิทมีความผิดฐานพยายามฆ่านางสมัย และฆ่า
ด.ช.สมาน โดยพลาด
กรณีหลัง นายสนิทมีความผิดฐานพยายามฆ่านางสมัย และฆ่า ด.ช.สมาน
โดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล ซ่ ึงกรณีหลังเป็ นการฆ่าโดยกระทำาโดยการงดเว้น
ตาม ปอ.ม.59 วรรคท้าย
เจตนา
เจตนาทำาร้าย เจตนาฆ่า
หลัก
ปอ.ม.391 ปอ.ม.295
ผล
ปอ.ม.297 ปอ.ม.290
ปอ.ม.391 ลหุโทษแทรกเป็ นประเด็นทุกครัง้
“ผู้ใดใช้กำาลังทำาร้ายผูอ
้ ่ ืนโดยไม่ถึงกับเป็ นเหตุให้เกิดอันตรายก่ายหรือจิตใจ...”
ปอ.ม.1 (6) “ใช้กำาลังประทุษร้าย หมายความว่า ทำาการประทุษร้ายแก่กายหรือ
จิตใจของบุคคล ไม่ว่าจะใช้แรงกายภาพ หรือด้วยวิธีอ่ืนใด และให้หมายความ
ร่วมถึง...”
ปอ.ม.104 “การหระทำาลหุโทษตาม ปอ.นี แ
้ ม้กระทำาโดยไม่มีเจตนาก็เป็ น
ความผิด เว้น แต่ตามบทบัญญัติความผิดนัน
้ จะมีความบัญญัติให้เห็นเป็ น
อย่างอ่ ืน”
ปอ.ม.391 ต้องมีเจตนาถึงจะมีความผิด
คำาถาม นายบันเทิงซ้ือตัว๋ภาพยนต์ชัน
้ 15 บาท ท่ีโรงภาพยนต์แห่งหน่ ึง แล้ว
เดินจะเข้าไปนัง่ชัน
้ 30 บาท ด้วยความเข้าใจผิด นายบรรเทา เจ้าพนักงานของ
โรงภาพยนต์ได้บอกห้าม แต่นายบันเทิง ไม่ได้ยินคงเดินตรงเข้าไป นาย
บรรเทาจึงเอามือผลักอกกันนายบันเทิงไว้ เป็ นเหตุให้นายบันเทิงชะงักชน
กับคนข้างหลัก นายบันเทิงโกรธมากหาว่านายบรรเทาทำาร้ายร่างกาย ดังนี้
ท่านเห็นว่านายบรรเทา มีความผิดดังกล่าวหรือไม่
ตอบ นายบรรเทา ไม่มีความผิดฐานใช้กำาลังทำาร้ายผูอ
้ ่ ืนไม่ถึงกับเป็ นเหตุให้
เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตาม ปอ.ม.391 เพราะไม่ใช่เป็ นการใช้กำาลัง
ทำาร้ายโดยเจตนา ปอ.ม.391 เป็ นความผิดลหุโทษ ซ่ ึงข้อความในตัวทบแสดง
ให้เห็นว่าต้องกระทำาโดยเจตนา (ฎ.1119/17)
มาตรา 391 ต่างกันกับ มาตรา 295 ตรงคำาว่า “ไม่”
มีเจตนาทำาร้ายไม่ถึงกับเป็ นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
ฎีกา 1. ถ่ายปั สสาวะรดเป็ นการใช้กำาลังทำาร้าย ผิด ปอ.ม.391 ฎ.634/86 (เป็ นการ
เคล่ ือนไหวร่างกาย) ดู ปอ.ม.1 (6) ใช้กำาลังกายภาพ
2. ราดด้วยอุจาระถูกร่างกายตัง้แต่ศีรษะลงมาตามตัวเป่ ือนเน้ือตัวเส้ือผ้า
เป็ นการใช้กำาลังทำาร้าย ผิด ปอ.ม.391 ฎ.1447/79
3. จับแขนขาวผู้เสียหายกระชากไปข้างหลัง ทำาให้เส้นอักเสบเล็กน้อยไม่มี
บาดแผลหรือซ้ำาภายนอก ไม่เป็ นอันตรายแก่กายตาม ปอ.ม.295 แต่ผิด
ปอ.ม 391 ฎ.370/36
4. จำาเลยใช้กำาลังจับมือผู้ตายให้ลุกขึ้นโดยผู้ตายไม่สมัครใจ เม่ ือผู้ตายบอกว่า
จะไปสวมเส้ือก่อน จำาเลยจึงปล่อย จำาเลยผิด ปอ.ม.391 ฎ.2199/19
5. ใช้มือทำาร้ายผู้เสียหาย หัวคิว้ช้ำาบวม ไม่มีโลหิตออก ผิด ปอ.ม.391 ฎ.708/36
6. ทำาร้ายเขามีรอยบวมเล็กน้อยท่ีขมับขวา ผิด ปอ.ม.391 ฎ.330/35
7. ใช้เล็บข่วนจมูกเป็ นแผลยาว 1 เซนติเมตร โลหิตไหลยังไม่รุ่นแรงถึง
อันตรายแก่กาย ไม่ผด
ิ ปอ.ม.295 แต่ผิด ปอ.ม.391
8. บาดแผลถูกฟั นโดยมีดดาบ 2 แผล กว้าง 1 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร
ถูกหนังถลอกไม่ผิด ปอ.ม.295 แต่ผิด ปอ.ม.391 ฎ.149/20
ผลักอกโดยเจตนาผิด ปอ.ม.391
ความผิดเก่ียวกับร่างกายท่ีต้องการเจตนา
ปอ.ม.391 ผู้ใดใช้กำาลังทำาร้ายผู้อ่ืนโดยไม่ถึงกับเป็ นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย
หรือจิตใจ
ปอ.ม.295 ผู้ใดทำาร้ายผูอ
้ ่ ืนจนเป็ นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้
อ่ ืน
ปอ.ม.297 ผู้ใดกระทำาความผิดฐานทำาร้ายร่างกายจนเป็ นเหตุให้ผก
ู้ ูกกระ
ทำาร้ายรับอันตรายสาหัส
ปอ.ม.290 ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำาร้ายผู้อ่ืนจนเป็ นเหตุให้ผู้นัน
้ ถึงแก่ความ
ตาย
ปอ.ม.290 คำาว่า ”ทำาร้าย” เป็ นการทำาร้ายตาม ปอ.ม.391 หรือ ปอ.ม.295 ก็ได้
ปอ.ม.290 เร่ิมต้นต้องมีเจตนาทำาร้ายก่อน แล้วผู้กูกกระทำาตาย
ถาม นายเด่นเปิ ดร้ายขายก๋วยเต๋ียวอยู่ในซอยแห่งหน่ ึง ต่อมามีนายแหยม
นำารถยนต์ยายก๋วยเต๋ียวเข้ามาในซอยเป็ นเหตุให้รายได้ของนายเด่นตกลงไป
มาก นายเด่น จึงปรึกษากับนายดำา นายแดง นายด๋ี นายเด๋อ ในท่ีสุดตกลง
กันว่า ให้นายดำาตบหน้านายแหยมเพ่ ือเป็ นการสัง่สอนทีหน่ ึง โดยผู้ท่ีเหลือ
จะยืนคุมเชิงอยู่เท่านัน
้ วันรุ่งขึ้นนายดำา นายแดง นายด๋ี และนายเด๋อ ให้ไป
ดักนายแหยมอยู่ท่ีปากซอย ส่วนนายเด่น ไม่ได้ไปด้วยเพราะท้องเสียอย่าง
รุนแรง เม่ ือรถยนต์ของนายแหยมมาถึง บุคคลทัง้ 4 ได้ทำาตามท่ีตกลงกัน
โดยนายดำาเป็ นคนเข้าไปตบหน้านายแหยมหน่ ึงที บังเอิญถนนบริเวณนัน ้
ล้ืน นายแหยม หงายหลังศีรษะฟาดพ้ืนถนนและตายในเวลาต่อมา ขณะนัน ้
ตำารวจผ่านมานายดำา นายแดง นายด๋ี นายเด๋อ ต่างคนต่างวิงหนี นายดำาเห็น
รถจักรยานยนต์ของนายขาวจดติดเคร่ ืองอยู่ จึงขับรถหลบหนี แต่ด้วยความ
รีบร้อยและปราศจากความระมัดระวัง นายดำาขับรถเฉียวชนเสาไฟฟ้ าข้างทาง
เป็ นเหตุให้ไฟหน้าแตก ล้อบิด จึงได้ทิง้รถแล้ววิงหลบหนีไป ดังนี น
้ ายเด่น
นายดำา นายแดง นายด๋ี และนายเด๋อ จะมีความผิดตาม ปอ. ฐานใดหรือไม่
ตอบ แม้นายเด๋อ กับพวกรวมกัน 5 คน ตกลงร่วมกันท่ีจะกระทำาความผิด
ตาม ปอ. ก็ตาม แต่ไม่เป็ นความผิดฐานซ่องโจร เพราะเพียงตกลงท่ีจะกระทำา
ความผิดตาม ปอ.ม.391 ซ่ ึงเป็ นความผิดลหุโทษ ซ่ ึงมิใช่ความผิดในภาค 2
ตาม ปอ. ดังนัน
้ นายเด่น ไม่ต้องรับผิด ถ้าหากได้มก
ี ารกระทำาตามความมุ่ง
หมายในเวลาต่อมา ตาม ปอ.ม.391
ส่วนนายดำา นายแดง นายด๋ี และนายเด๋อ แม้จะมีเจตนาเพียงใช้กำาลังทำาร้าย
ตาม ปอ.ม.391 เท่านัน
้ แต่ความตายของนายแหยม เป็ นผมโดยตรงจากการก
ระทำาร้ายดังกล่าว บุคคลทัง้ 4 จึงมีความผิดฐานร่วมกันทำาร้ายผู้อ่ืนจนเป็ น
เหตุให้ถึงแก่ความตายตาม ปอ.ม.290 ประกอบ ปอ.ม.83 (ฎ.55/91)
หลักจากเกิดเหตุนายดำาได้ขับรถของนายขาวเพ่ ือหลบหนี แม้จะมีการเอา
ทรัพย์ของผู้อ่ืนไปแล้ว แต่ขาดเจตนาทุจริต จึงไม่เป็ นความผิดฐานลักทรัพย์ (
ฎ.1892/22) การท่ีนายดำาทำาให้รถของนายขาว เสียหายก็ไม่เป็ นความผิดเช่นกัน
เพราะไม่มก ี ฎหมายบัญญัติให้การกระทำาโดยประมาททำาให้ทรัพย์สินของผู้
อ่ ืนเสียหายเป็ นความผิด และกำาหนดโทษไว้
สรุป นายเด่น ไม่มีความผิด
นายดำา นายแดง นายด๋ี นายเด๋อ มีความผิดฐานร่วมกันทำาร้ายผู้อ่ืนเป็ นเหตุ
ให้ถึงแก่ความตายตาม ปอ. ม.290 ประกอบ ปอ.ม.83
ถาม ก. และ ข. ไปร่วมงานแสดงสินค้า พบ แดง และ ดำา คู่อริเดินสวนทาง
มา เกิดมีปากเสียงกัน และต่างเข้าชกต้อยทำาร้ายกัน แดงสู้ ก.ไม่ได้ จึงคว้าไม้
ซีกท่ีวางอยู่ตรงท่ีต่อสู้กันตีศีรษะ ก. หน่ ึงที เป็ นแผลแตกโลหิตไหลซึม แดง
ตี ก. แล้ววิงหนีกลับบ้าน ส่วน ก. วิงไปล้มสลบในร้ายแสดงสินค้า ขณะนัน

นายสมชาย และนางสมใจ ขับข่ีรถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายผ่านมา เห็น ข. ชก
กับ ดำา กีดขวางทางอยู่ นางสมใจบอกให้นายสมชาย ขว้างก้อนอิฐเข้าไปตรง
ท่ีชกกันอยู่ ทำาให้ทัง้ 2 คน บาดเจ็บรักษา 7 วันหาย สำาหรับ ก. แพทย์รักษา
ได้ 10 วันก็ตาย ดังนี ข้. แดง ดำา สมชาย สมใจ จะมีความผิดฐานใดบ้างหรือ
ไม่
ตอบ ก. และ ข. กับ แดง และ ดำา สมัครใจวิวามชกต้อยกัน เป็ นการเข้าร่วม
ในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตัง้แต่ 3 คนขึ้นไป และมีบุคคลถึงแก่ความ
ตายโดยการกระทำาในการชุลมุนต่อสู้นัน
้ เป้ นความผิดตาม ปอ.ม.294 ส่วน
แดง เป็ นผู้ใช้ไม้ตีศีรษะของ ก. ถึงแก่ความตาย แดงต้องรับผิดในผลแห่ง
การกระทำาของตน แต่ปรากฏว่าไม้ท่ีใช้เป็ นไม้ซก
ี ตีทีเดียวในขณะชุลมุน
ต่อสู้กัน เป็ นแผลแตกโลหิตไหลซึมถึงแก่ความตายในอีก 10 วัน ต่อมา ใน
กรณีไม่พอฟั งว่าแดงประสงค์หรือย่อมเล็งเห็นผชลของการกระทำาว่าจะทำาให
ก. ถึงแก่ความตาย แดงจึงต้องรับผิดฐานทำาร้ายร่างกายผูอ
้ ่ ืนจนเป็ นเหตุให้ผู้
นัน
้ ถึงแก่ความตายตาม ปอ.ม.290 อีกบทหน่ ึง เป็ นความผิดกรรมเดียวผิด
กฎหมายหลายบทลงโทษบทหนังตาม ปอ.ม.90 คือต้องลงโทษ แดง ตาม ปอ.
ม.290
สำารับสมชาย ท่ีขับรถผ่านมาและขว้างอิฐเข้าไปตรงท่ี ข. และดำาชกกันอยู่
สมชายจึงมีความผิดฐานทำาร้ายผู้อ่ืนจนเป็ นเหตุให้ ข.และดำา ได้รับอันตราย
แก่กาย หรือจิตใจ ตาม ปอ.ม.295
ส่วนสมใจ เป็ นผู้ใช้ให้สมชายเป็ นผู้กระทำาความผิด และสมชายได้กระทำา
ความผิดแล้ว ดังนัน้ สมใจจึงต้องรับผิดเสมือนตัวการตาม ปอ.ม.84 (ผู้ช่วย)
ตัวอย่าง บอกว่าช่วยไปสัง่สอนให้หน่อย
ถาม นายอำานาจเป็ นเจ้าพนักงานป่ าไม้ ได้ร่วมกับตำารวจ สัง่รถยนต์บรรทุก
ไม้แปรรูปผิดกฎหมายของนายสิงห์ให้หยุดเพ่ ือตรวจค้น หลังจากทำาบันทึก
การจับกุมให้นายสิงห์ลงช่ ือแล้ว นายอำานาจกับพวกจะยึดรถกับไม้ไว้ แต่นาย
สิงห์ไม่ย่อม และได้สัง่ให้คนขับรถบรรทุกขับไป โดยบอกว่าใครขวางให้ชน
เลย คนขับปฏิบัติตามคำาสัง่ของนายสิงห์ ขับรถออกไปโดยเร็ว ทำาให้ชนนาย
อำานาจท่ีย่ืนขวางทางอยู่ได้รับบาดเจ็บและมีบาดแผลถลอกช้ำาตามร่างกาย ต่อ
มานายสิงห์สืบทราบว่านางแก้ว เป็ นผู้นำาความเก่ียวกับการลักลอมขนไม้
แปรรูปของตนไปบอกเจ้าพนักงานป่ าไม้ จึงผูกใจเจ็บ และไปเล่าเร่ ืองให้นาย
แดงฟั ง และขอให้นายแดงไปช่วยสัง่สอนให้หน่อย และได้พานายแดงไปท่ี
ทำางานของนางแก้ว พร้อมกับชีใ้ห้ดูตัวนายแก้ว และนายสิงห์กห ็ ลบออกไป
นายแดงตรงเข้าตบตีนางแก้ว และใช้มีดแทงนายแก้วท่ีทรวงอก จนถึงแก่
ความตาย ดังนีน ้ ายสิงห์จะมีความผิดฐานใดบ้างหรือไม่
ตอบ การท่ีนายสิงห์ สัง่ให้ คนขับรถชนผู้ขวางทาง เป็ นการใช้หรือยุยงส่ง
เสริมให้ผู้อ่ืนกระทำาความผิด เม่ ือผู้ถูกใช้ได้กระทำาความผิดนัน
้ โดยขับรถ
บรรทุกไปโดยเร็วเป็ นเหตุให้รถเฉียวชนนายอำานาจ ซ่ ึงเป็ นเจ้าพนักงานซ่ ึง
กระทำาการตามหน้าท่ี นายสิงห์ผู้ใช้จึงต้องรับทืษเสมือนตัวการในความผิด
ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานตาม ปอ.ม.289 (2) + ปอ.ม.80
และนายสิงห์ยังมีความผิดฐานเป็ นตัวการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการ
ปฏิบัติราชการตามหน้าท่ี
การท่ีนายสิงห์ขอให้นายแดงสัง่สอนนางแก้วให้หน่อย และพานายแดงไปท่ี
ทำางานของนางแก้ว และชีต ้ ัวนางแก้ว เป็ นการพาไปทำาร้ายผู้ตายนัน
้ เอง
เพราะถ้านายสิงห์ไม่ไปชัว้ให้ดู นายแดงก็ไม่ทราบว่าใครคือบุคคลท่ีต้องการ
จะสัง่สอน จึงเป็ นการใช้ให้ผู้อ่ืนกระทำาความผิดตาม ปอ.ม.84 ส่วนคำาว่าช่วย
สัง่สอนให้หน่อย ย่อมหมายถึงการทำาร้ายให้เจ็บตัวเพียงเพ่ ือสัง่สอนเท่านัน

หาได้มีเจตนามุ่งหมายถึงกับจะฆ่าให้ตายไม่ การท่ีนายแดงกระทำารุนแรงถึง
ฆ่านางแก้ว เป็ นการเกินเลยไปจากขอบเขตท่ีใช้ของนายสิงห์ ซ่ ึงโดย
พฤติการณ์ไม่อาจเล็งเห็นได้ว่า อาจเกิดการการะทำาความผิดฐานฆ่าผูอ ้ ่ ืนได้
จากการใช้นัน
้ ตาม ปอ.ม.87 วรรคแรก นายสิงจึงต้องรับผิดทางอาญาเพียง
สำาหรับความผิดเท่าท่ีอยู่ในขอบเขนท่ีตนใช้เท่านัน
้ ตาม ปอ.ม.87 วรรคแรก
แต่เม่ ือการทำาร้ายนัน้ เกิดผลรุนแรงถึงตาย นายสิงห์จ่อมต้องรับผิดฐาน
ทำาร้ายผู้อ่ืนจนเป็ นเหตุให้ถึงแก่ความตายตาม ปอ.ม.290 เพราะความตายเป็ น
ผลธรรมดาอันเกิดขึ้นได้จากการทำาร้ายตามท่ีนายสิงห์ใช้ นายสิงห์จึงมีความ
ผิดตาม ปอ.ม.290 + ปอ.ม.84 + ปอ.ม.87 วรรคสอง
ถ้าร่วมกันไปทำาร้าย ต่อมาร้องว่า “พอกันที” ศาลฎีกาบอกว่าผู้ร้องไม่ต้อง
รับผิดตาม ปอ.ม.290 แต่ต้องรับผิดตาม ปอ.ม.295
ถาม นายดำา เป็ นลูกจ้างทำางานอยู่ท่ีบังกะโลแห่งหน่ ึง นายขาวไปเท่ียวท่ี
บังกะโลดังกล่าว แล้มีเร่ ืองทะเลาะวิวาทชกต้อยกับนายดำา นายดำาสู้ไม่ได้จึง
ไปเรียกนายแดงกับนายเหลือง เพ่ ือนของนายดำา ซ่ ึงมาพักอยูก ่ ันนายดำาท่ี
บังกะโลนัน
้ นายขาวสู้ไม่ได้ได้ร้องว่าย่อมแพ้แล้ว ๆ นายดำาจึงร้องขึ้นว่า
พอกันท่ี ๆ นายแดงกับนายเหลืองไม่ย่อมฟั งเสียงนายดำา จึงไล่นายขาวออก
ไปนอกบังกะโล แล้วชกต้องนายขาว ถูกบริเวณหน้านายขาว นายขาวล้ม
ศีรษะฟาดพ้ืนซีเมนต์ กะโหลกศีรษะแตกถึงแก่ความตาย ให้ท่านวินิจฉัยว่า
นายดำา นายแดง นายเหลือง จะมีความผิดฐานใดหรือไม่
ตอบ นายแดง นายเหลือง ได้รุมชกต้อยนายขาว จนนายขาวย่อมแพ้แล้ว แต่
นายแดง กับนายเหลือง ไม่ย่อมหยุด นายดำาจึงร้องขึ้นว่า พอกันท่ี ๆ
ลักษณะเป็ นการห้ามปราม ดังนีก ้ ารร่วมของนายดำา ย่อมยุติเพียงนัน้ นาย
ดำา คงมีความผิดฐานทำาร้ายร่างกายนายขาว ตาม ปอ.ม.295 การท่ีนายแดงกับ
นายเหลืองวิไล่นายขาวออกไปนอกบังกะโล แล้วชกต้อยนายขาว จนนายขาว
ล้มหงายหลังศีรษะฟาดพ้ืนถนน กะโหลกศีรษะแตกจนถึงแก่ความตายนัน ้
เป็ นการกระทำาของนายแดงและนายเหลืองโดยลำาพัง ถือไม่ได้ว่าเป็ นการ
กระทำาของนายดำาด้วย การตายของนายขาว เป็ นผลเน่ ืองมาจากการกระทำา
ของนายแดงกับนายเหลือง นายแดงกับนายเหลืองจึงมีความผิดฐานฆ่าคน
ตายโดยไม่เจตนาตาม ปอ.ม.290
เจตนาฆ่าตาม ปอ.มง 288 และ ปอ.ม.289
ฆ่าคนตายโดยเจตนาตาม ปอ.ม.288 และ ปอ.ม.289
ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตาม ปอ.ม.290 ต่างกันอย่างไร
วิธีคิด
ถาม ฆ่าคนตายโดยเจตนากับไม่เจตนาต่างกันอย่างไร
ตอบ ฆ่าคนโดยเจตนาได้แก่ การกระทำาโดยรู้สำานึกในการกระทำาและในขณะ
เดียวกันนัน ้ ผู้กระทำาประสงค์ท่ีจะทำาให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความตาย หรือย่อมเล็ง
เห็นผลของการการะทำานัน ้ ได้ว่า ผลของการกระทำานัน ้ ทำาให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความ
ตาย
ส่วนฆ่าคนโดยไม่เจตนา ได้แก่การกระทำาโดยรู้สำานึกในการท่ีกระทำา และใน
ขณะเดียวกันผูก ้ ระทำาประสงค์แต่ผลเพียงทำาร้ายผู้อ่ืนเท่านัน ้ ไม่ได้ประสงค์
ต่อผลท่ีจะทำาให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความตาย หรือผู้กระทำาย่อมเล็งเห็นผลของการก
ระทำานัน้ ว่าผลของการกระทำาเป็ นเพียงทำาร้ายผู้อ่ืนเท่านัน ้ ไม่ทำาให้ผอู้ ่ ืน
ถึงแก่ความตาย เพียงแต่การทำาร้ายนัน ้ ได้เป็ นเหตุให้ผู้ถูกทำาร้ายนัน
้ ถึงแก่
ความตาย (ถ้อยคำามาจาก ปอ.ม.59 ม.288 ม.289)
ฏ.1335/45 ประเด็น ปอ.ม.83 ม.290
1. ก. เรียกผู้ตายออกไปแล้วโต้เถียงกัน และชกต้อยกันโดยมี ข. กับ ค. รุมชก
ต้อยด้วย
2. A เห็นเหตุการณ์จะเข้าไปช่วยผู้ตาย แต่ ข. ถือไม้จะตี A และห้ามเข้าช่วยผู้
ตาย
3. ต่อมา ก.ใช้ปืนยิงผู้ตาย แล้ววิงหนีไปพร้อมกับ ข. และ ค.
4. ข. และ ค. ไม่ทราบว่า ก. มีปืนไปด้วย
5. ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ก. ผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ส่วน ข. และ ค. ผิดฐาน
ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
จำาเลยทัง้ 3 ร่วมกันทำาร้ายผู้ตาย และจำาเลยท่ี 1 ใช้อาวุธปื นยิงผู้ตาย แต่จำาเลย
ทัง้ 3 ร่วมกันทำาร้ายผู้ตาย และผู้ตายถึงแก่ความตาย โดยจำาเลยท่ี 2 และท่ี 3
ไม่รู้วา่ จำาเลยท่ี 1 มีอาวุธปื นไปด้วย ฉะนัน
้ จำาเลยท่ี 1 ซ่ ึงใช้อาวุธปื นยิงผู้ตาย
ด้งรับผิดฐานฆ่าผู้ตายเป็ นการเฉพาะตัว ส่วนจำาเลยท่ี 2 และท่ี 3 ร่วมกับ
จำาเลยท่ี 1 ทำาร้ายผู้ตายมาแต่ต้น จึงต้องมีความผิดตาม ปอ.ม.290 วรรคแรก
ไม่ใช่ ปอ.ม.295
เม่ ือใดมีเจตนาฆ่า
กรรมเป็ นเคร่ ืองชีเ้จตนา จากการศึกษาคำาพิพากษาศาลฎีกาจะพิจารณาอาวุธ
ท่ีใช้กระทำา อวัยวะท่ีถูกกระทำา ดูบาดแผล ดูพฤติการณ์
อาวุธ
1. การใช้ปืน 2. การใช้มีด ขวาน 3. การใช้ไม้4. การใช้มือใช้เท้า 5. ใช้ส่ิงอ่ ืน ๆ
การใช้ปืน
ฎ.7733/42 หากอาวุธท่ีใช้ในการกระทำา คือ ปื น ถือว่ามีเจตนาฆ่าเสมอ แม้จะ
ยิงเพียงนัดเดียวก็ตาม
ฎ.1439/10 การท่จี ำาเลยใช้อาวุธปื นยิงไปท่ีผู้ตายกับพวกหลายนัดนัน
้ ส่อเจตนา
ว่าจำาเลยตัง้ใจฆ่า
ฎ.605/00 แม้จะใช้ปืนในขณะวิวาท ก็ถือว่ามีเจตนาฆ่า
ฎ.242/13 ยิงขณะเมาสุราก็ถือว่ามีเจตนาฆ่า
ฎ.5664/34 ใช้อาวุธปื นยิงผู้เสียหายในระยะหาง 3 เมตร ถูกท่ีบริเวณเอวผู้เสีย
หาย ถือว่ามีเจตนาฆ่า หากยิงไปท่ีขา ถือว่าไม่มีเจตนาฆ่า เพียงเจตนาทำาร้าย
ฎ.996/84 หากผู้ยิงรู้ว่าปื นไม่มก
ี ำาลังพอท่ีจะฆ่า ถือว่าไม่มีเจตนาฆ่า เพียงเจตนา
ทำาร้าย
ฎ.5817/45
1. อาวุธปื นยาว ประจุปากปื นแก็บ มีกระสุน 1 นัด
2. จำาเลยใช้ยิงชาวบ้านท่ีมาขว้างปากบ้านบิดาของจำาเลย ตัง้แต่ตี 1 ถึงตี 3
3. ผู้เสียหายถูกยิง ผู้เสียหายจะร่วมขว้างปาหรือไม่ ไม่สำาคัญ ถือว่าจำาเลยมี
เพียงเจตนำาทำาร้าย เพ่ ือป้ องกันเกินกว่าเหตุตาม ปอ.ม.295 ม.67
การท่ีชาวบ้านไปขว้างปาบ้านของบิดาจำาเลย เป็ นภยันตรายซ่ ึงเกิดจากการ
ประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย จำาเลยย่าอมมีสิทธิกระทำาเพ่ ือป้ องกัน
ทรัพย์สินของบิดาจำาเลยได้ แต่ภยันตรายซ่ ึงเกิดจากการขว้างปาบ้าน ซ่ ึงไม่
ร้ายแรงถึงขณะต้องใช้ปืนยิงทำาร้ายร่างกายผู้ท่ีขว้างปา การกระทำาของจำาเลย
เป็ นการกระทำาโดยเจตนาป้ องกันทรัพย์สินท่ีเกินสมควรแก่เหตุตาม ปอ.ม.67
จำาเลยมีความผิดฐานทำาร้ายร่างกายโจทก์ร่วมจนเป็ นเหตุให้ได้รับอันตราย
สาหัส โดยป้ องกันเกินสมควรแก่เหตุมิใช่กระทำาผิดฐานประมาท
ฎ.6802/45 การท่จี ำาเลยใช้อาวุธปื นท่ีมีประสิทธิภาพในการทำาร้ายสูง และ
สามารถก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตโดยง่าย ยิงผู้เสียหายในระยะใกล้ และ
ยิงถูกร่างกายผู้เสียหาย กระสุนปื นเข้าท่ีปลอดด้ายซ้าย ช่องท้องถูกลำาใส
ใหญ่ ลำาใสเล็ก อันเป็ นอวัยวะส่วนสำาคัญ แม้จำาเลยจะอ้างว่ากระทำาไปโดย
อารมณ์ชัว่วูบ ด้วยความหึงหวง ก็ต้องถือว่ากระทำาโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
จำาเลยใช้อาวุธปื นยิงผู้เสียหาย เป็ นเพราะนายดาบตำารวจ อ. สามีของจำาเลยได้
แสดงความรักใคร่ในทำานองพลอดรักกับผู้เสียหาย ซ่ ึงมีความสัมพันธ์ชัน ้
ชู้สาวกับ ดาบตำารวจ อ. ซ่ ึงเป็ นสามีจำาเลย ย่อมทำาให้จำาเลยได้รับกระทบ
กระเทือนทางจิตใจอย่างรุ่นแรง และถือว่าจำาเลยถูกข่มเหงอย่างแรงด้วยเหตุ
อันไม่เป็ นธรรม การท่จี ำาเลยใช้อาวุธปื นยิงผู้เสียหายไปขณะนัน
้ โดยทันที จึง
เป็ นการกระทำาโดยบันดาลโทสะ แม้จะไม่ปรากฏว่าผู้เสียหาย กับ ดาบตำารวจ
อ. ทราบว่าจำาเลยอยู่ในบริเวณท่ีเกิดเหตุขณะท่ีบุคคลทัง้ 2 พลอดรักกันก็ตาม
แต่เม่ ือการกระทำาดังกล่าวมีการเป็ นผลในการข่มเหงแล้ว ก็มีผลท่ีจำาเลย
จะบันดาลโทสะได้ หาจำาต้องเป็ นกรณีท่ีผู้เสียหายมุ่งจะข่มเหงจำาเลยโดยตรง
ไม่
ฎ.4924/47 ประเด็น ปอ.ม.59
การท่ีจำาเลยใช้อาวุธปื นอันเป็ นอาวุธท่ีมีอานุภาพร้ายแรง ยิงเข้าไปในกลุ่ม
ของผู้ตาย จำาเลยย่อมเล็งเห็นได้วา่ กระสุนปื นอาจจะถูกผู้หน่ ึงผู้ใดในกลุ่มนัน

ถึงแก่ความตายได้ เม่ ือกระสุนปื นท่ียิงถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็ นผล
โดยตรงจากการกระทำาของจำาเลย จำาเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผูอ ้ ่ ืนโดยเจตนา
มีดขวาน
ศาลฎีกาวางหลักไว้ 4 ประการด้วยกัน (คือ ทำาตอนไหน)
1. กระทำาขณะวิวาท
2. กระทำาในขณะเกิดโทสะ
3. กระทำาในขณะมึนเมา
4. กรณีอ่ืนๆ
ใช้มีดขวานในขณะวิวาทกัน
โดยทัว่ไปศาลไทยถือว่าไม่มีเจตนาฆ่า ด้วยเหตุผลว่าเป็ นการกระทำาซ่ ึงเกิด
ขึ้นโดยปั จจุบันมิได้คิดมาก่อนว่าจะกระทำาให้ถูกส่วนนัน
้ ของร่างกาย
ฎ.1085/10 ผู้ตายมีขวานและมีดขอเป็ นอาวุธ จำาเลยมีมีดพกเป็ นอาวุธ ได้เข้า
ต่อสู้ทำาร้ายซ่ ึงกันและกัน โดยต่างไม่มีเวลาเลือกแทงเลือกฟั นในท่ีสำาคัญ ทัง้
2 มีบาดแผล 7 แห่งด้วยกัน ผู้ตายเสียโลหิตมากจึงถึงแก่ความตาย จำาเลยผิด
ฐานฆ่าคนโดยไม่เจตนา มิใช่ฐานฆ่าคนโดยเจตนา
ฎ 874/09 จำาเลยใช้มีปลายแหลมแทงถูกผู้ตายหน่ ึงทีท่ีหน้าอก ขณะท่ีทัง้ 2
ต่อสู้กอดปล้ำากัน ผู้ตายถึงแก่ความตาย ยังถือไม่ได้ว่า จำาเลยมีเจตนาฆ่า แต่
จำาเลยผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตาม ปอ.ม.290 ไม่ใช่ ม.288
ฎ.1323/03 แทง 2 ที ขณะกอดปล้ำาต่อสู้กัน ซ่ ึงขณะนัน
้ ค่ำามืดมองไม่เห็น โดย
แทงด้วยมีดพก แทงโดยไม่รู้วา่ แทงตรงไหน จึงเป็ นการแสดงให้เห็นว่า
จำาเลยไม่ได้ตัง้ใจแทงตรงท่ีสำาคัญ แม้ปรากฏว่าผู้ตายถูกแทงท่ีรักแร้ และซี
โครง และโลหิตตกในตาย จำาเลยมุ่งทำาร้ายไม่มีเจตนาฆ่า
ฎ.188/24 จำาเลยใช้มีดปลอกผลไม้ทัง้ด้ามและตัวมีดยาว 1 คืบ แทงผู้เส่ียหาย 1
ที ขณะท่ีชกต้อยกันแล้วมิได้แทงซ้ำาอีก แสดงว่าไม่มีเจตนาฆ่า ผิดฐานทำาร้าย
ร่างกายทำาให้คนตายตาม ปอ.ม.290
สรุป ใช้มด
ี แทงขณะวิวาท จะเป็ นเจตนาทำาร้าย
หมายเหตุ หากวิวาทกันจริง แต่ใช้อาวุธมีดดาบยาว 1 แขนฟั น ฎ.777/05
ฎ.2457/15 วินจิ ฉัยว่าเป็ นเจตนาฆ่า
ใช้มีดขวานขณะเกิดโทสะ
ศาลฎีกาวินจิ ฉัยว่าไม่มีเจตนาฆ่า มีเจตนาเพียงทำาร้าย
ฎ.19/2500 หญิงฟั นสามีทางข้างหลังด้วยมีดพร้าใหญ่ ถูกท่ีคอเป็ นแผลลึก 6
เซนติเมตร แต่ฟันสามีเพราะคอเคลียเมียน้อยต่อหน้า เกิดโทสะจึงคว้าพร้า
ไปฟั นทันท่ี เป็ นความผิดฐานทำาร้ายร่างกายมิใช่พยายามฆ่า
ฎ.1557/12 จำาเลยเกิดโทสะ ใช้มีดโต้ใบมีดกว้าง 3 นิว้ ยาว 1 ฟุต ฟั นผู้เสียหาย
ซ่ ึงเป็ นพ่อตา 2 ที ถูกใบหน้าโหนกแก้มจมูกเสียโฉม แผลยาว 14 เซนติเมตร
และกลางหลังแผลยาว 9 เซนติเมตร สาเหตุเน่ ืองจากพ่อตาดุด่า ถือว่าจำาเลย
ไม่มีเจตนาฆ่า ผิดเพียงทำาร้ายสาหัสเท่านัน

ใช้มีดขวาน ในขณะมึนเมาสุรา
ถือว่าไม่มีเจตนาฆ่า
ฎ.170/98 ใช้มีดแทงผู้ตายคนละทีในเวลาเมาสุรา ความเมาหาเป็ นเหตุให้มี
เจตนาฆ่าไม่
ฎ 1275/00 ใช้มีดปลายแหลมยาวทัง้มีดทัง้ตัวประมาณ 1 คืบ แทงทะลุช่องปอ
ลดโดยเมาสุรา พบกันก็แทง 1 ที แล้วหนีไปมิได้มีสาเหตุอ่ืน มีดไม่ใช่อาวุธ
ร้ายแรง บาดแผลเล็กน้อยแต่บังเอิญไปถูกอวัยวะสำาคัญจึงตาย ผิดฐานฆ่า
คนตายโดยไม่มีเจตนาตาม ปอ.ม.290
ใช้มีดขวาน ในกรณีอ่ืน
ให้พิจารณาว่า
1. ความร้ายแรง 2. ดูอวัยวะท่ีถูกแทง 3. ดูบาดแผล 4. โอกาสเลือกแทง
ฎ.7144/45 จำาเลยใช้หมอนขนาดใหญ่ปิดหน้าผู้ตายจนทำาให้ผู้ตายขาดอากาศ
หายใจ จนถึงแก่ความตาย แต่จำาเลยเข้าใจว่าผู้ตายสลบไป จำาเลยจึงข่มขืน
กระทำาชำาเราผู้ตาย จำาเลยไม่มีความผิดฐาน๘มขืนกระทำาชำาเราผู้ตาย เพราะผู้
ตายได้ถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว ไม่มีสภาพบุคคลตาม ปพพ. จำาเลยผิด
ฐานฆ่าผู้อ่ืนเพ่ ือกระทำาความผิดอ่ ืนตาม ปอ.ม.289 (6)
จะเป็ นเจตนาฆ่าหรือไม่ต้องดู
1. ความร้ายแรงของอาวุธ
2. อวัยวะท่ีถูกกระทำา
3. ลักษณะบาดแผล
4. โอกาสเลือกกระทำา
ฎ.654/39 การท่ีจำาเลยท่ี 4 ใช้ชวดน้ำาอัดลมขนาดใหญ่ ซ่ ึงทำาจากวัสดุแข็งและมี
น้ำาอัดลมบรรจุอยูบ
่ างส่วน อันทำาให้มีน้ำาหนักเพ่ิมขึ้นเป็ นอาวุธ (ปอ.ม.1 (5)) ตี
ทำาร้ายผู้ตายบริเวณศีรษะ ซ่ ึงเป็ นอวัยวะสำาคัญหลายครัง้ แม้ขณะผู้ตายล้ม
ลงหมดสติไปแล้วก็ยังตีซ้ำาอีก 3- 4 ครัง้ จนเป็ นเหตุให้ผู้ตายได้รับบาดเจ็บมี
แผลท่ีหน้ายาวและศีรษะเกิดภาวะสมองไม่ทำางาน ไม่รู้สึกตัว ไม่ตอบสนอง
หัวใจล้มเหลวและตายหลังเกิดเหตุเล็กน้อย พฤติการณ์จำาเลยถือว่าเจตนาฆ่า
ฎ.1204/20 ตีด้วยด้ามจอบโตกลม 3 เซนติเมตร โดยแรง 1 ที ถูกท่ีท้ายทอย
กะโหลกศีรษะแตกเป็ นชิน ้ เป็ นเจตนาฆ่า
ฎ.118/15 ใช้มีดปลายแหลมด้ามยาว 3 นิว้ ตัวมีดยาย 5 นิว้ กว้าง 1 นิว้ แทงผู้
ตายท่ีหน้าท้องบาดแผลยาว 5 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร ทะลุตับ เป็ น
เจตนาฆ่า
ถาม นายว่างฉุด น.ส.สวยสม น้องสาวนายยอดไปเพ่ ืออนาจาร นายยอด
ติดตามไปทันท่ีกลางทุ่งนา นายสว่างชัดมีดยาวคืบเศษ ออกขู่นายยอดให้
กลับไปเสียมิฉะนัน
้ จะแทงให้ตาย นายยอดไม่ยอมกลับ นายสว่างจึงแทง
นายยอด 1 ที แต่ไม่ถูก พอเง้ือมีดจะแทงซ้ำา นายยอกได้ใช้มด
ี ดาบยาว 1 แขน
ฟั นถูกนายสว่าง 1 ที นายสว่างปล่อย น.ส.สวยสม แต่ยังถือมีออยู่ นายยอด
ฟั นซ้ำาอีก 1 ที พอดีนายเย่ียมบิดานายยอดวิงเข้ามาห้าม มีดาบท่ีฟันซ้ำาจึงไม่
ถูกนายสว่าง แต่กลับไปถูกนายเย่ียมตรงท่ีสำาคัญถึงแก่ความตายทันที ส่วน
นายสว่าง เพียงแต่ได้รบั อันตรายสาหัส จากการท่ีถูกฟั นครัง้แรกเท่านัน้ ให้
ท่านวินิจฉัยว่านายยอดจะมีความผิดฐานใดหรือไม่
ตอบ นายยอกใช้มด ี าบยาว 1 แขนฟั นถูกนาสว่าง 1 ที และฟั นซ้ำาอีก 1 ที
เป็ นการกระทำาโดยมีเจตนาฆ่า แต่นายยอดจำาต้องกระทำาการดังกล่าว เพราะ
นายสว่างฉุด น.ส.สวยสม น้องสาวของนายยอดไปเพ่ ืออนาจาร เม่ ือนาย
ยอดติดตามไปทันท่ีกลางทุ่งนา นายสว่างกลับชักมีดออกมาขู่ฆ่า และแทง
นายยอด 1 ที เม่ ือไม่ถูกก็เง้ือมีดจะแทงซ้ำาถือว่ามีภยันตรายซ่ ึงเกิดจากการ
ประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็ นภยันตรายท่ีใกล้จะถึง ทัง้นาย
ยอดได้กระทำาไปพอสมควรแก่เหตุ จึงเป็ นการป้ องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ตาม ปอ.ม.68 นายยอดจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่านายสว่างตาม
ปอ.ม.288 ประกอบ ปอ.ม.80
การท่ีนายสว่างยังถือมีอยู่แสดงว่าภยันตรายยังไม่หมดสิน ้ ไป นายยอดจึงมี
สิทธิฟันนายสว่างซ้ำาเพ่ ือป้ องกันได้ แม้ฟันพลาดไปถูกนายเย่ียมตาย แต่ก็
เป็ นผลสืบเน่ ืองมาจากนายยอดฟั งนายสว่างเพ่ ือป้ องกันสิทธิพอสมควรแก่
เหตุ จึงเป็ นการป้ องกันโดยพลาดตาม ปอ.ม.288+80+86+60 (ฎ.206/16) นายยอก
ไม่มีความผิดฐานฆ่านายเย่ียม และแม้นายเย่ียมจะเป็ นบิดานายยอด ก็ไม่
สามารถปรับบทฐานฆ่าบุพการีตาม ปอ.ม.289(1) ได้ เพราะกระทำาโดยพลาด
ตาม ปอ.ม.60 ห้ามมิให้นำาบทท่ีมีโทษหนักขึ้นมาใช้ เพราะความสัมพันธ์ของผู้
กระทำาและผู้ได้รับผลร้าย มิให้นำามาใช้บังคับให้ผู้กระทำาต้องรับโทษหนักขึ้น
ฎ.698/47 จำาเลยและผู้ตายกอดปล้ำาต่อสู้กัน จำาเลยพลิกตัวขึ้นมานัง่คร่อมผู้
ตายอยู่ด้านบน จึงย่อมสามารถใช้มีดแทงผู้ตายได้ถนัด และสามารถเลือก
แทงได้ การท่ีจำาเลยใช้มีดของกลางซ่ ึงเป็ นมีดปลายแหลมขนาดใหญ่ แทงไป
1 ทีบริเวณชายโครงขวางของผู้ตายซ่ ึงเป็ นอวัยวะสำาคัญจนเกิดเป็ นบาดแผล
ฉกรรจ์ แสดงว่าจำาเลยแทงโดยแรงและถูกอวัยวะสำาคัญทำาให้ผู้ตายถึงแก่
ความตาย ถือว่าจำาเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย
ฎ.1354/47 จำาเลยเป็ นพวกเดียวกันกับคนร้ายอีก 2 คน ซ่ ึงเป็ นผู้วิงไล่ถืออาวุธ
คล้ายมีด เป็ นของมีคมยาวประมาณ 1 ศอก แทงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย
การท่ีจำาเลยชกต้อยผู้ตายก่อน เม่ ือผู้ตายวิงหนี จำาเลยก็ยังวิงไล่ตามไปพร้อม
ๆ กับคนร้ายทัง้ 2 คน ท่ีถืออาวุธไปด้วย สภาพอาวุธเห็นได้ชัดเจนว่า อาจ
ทำาให้ถึงแก่ความตายได้ หากจำาเลยไม่มีเจตนาร่วมกับคนร้ายทัง้ 2 เม่ ือจำาเลย
ชกต้อยผู้ตายครัง้แรกแล้ว จำาเลยอาจหยุดกระทำาโดยไม่วิงไล่ตามผู้ตายไป
ก็ได้ แต่จำาเลยหากระทำาไม่ การท่ีจำาเลยวิงไล่ตามไปทำาร้ายผู้ตายกับพวกของ
จำาเลย ซ่ ึงวิงถืออาวุธดังกล่าวไปด้วย จึงย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจมีการทำาร้าย
ผู้ตายให้ถึงแก่ความตายได้ ทัง้เป็ นการซ่ ึงอยู่ในภาวะท่ีช่วยเหลือซ่ ึงกันและ
กันได้ พฤติการณ์การกระทำาของจำาเลขจึงเป็ นตัวการร่วมกันกระทำาความผิด
กับคนร้ายทัง้ 2 การกระทำาผิดของจำาเลยจึงเป็ นการฆ่าผู้อ่ืนโดยเจตนาตาม
ปอ.ม.288 + 83
พฤติการณ์ท่ีไม่เป็ นเจตนาฆ่า
จะมีถ้อยคำาว่ามีโอกาสแต่ไม่ทำาซ้ำา
ฎ.2155/30 การท่จี ำาเลยชักมีดปลายแหลมยาวทัง้ตัวทัง้ด้ามประมาณ 1 ศอก
ออกมาแล้วพูดว่า...**ตายเสียเถอะ จะถือว่าเอาเป็ นจริงเป็ นจังตามคำาพูดนัน

ไม่ได้ ต้องดูพฤติการณ์อ่ืนท่ีเกิดขึ้นประกอบด้วย ฉะนัน
้ แม้จำาเลยจะใช้มีด
แทง ส. และ ท. ก็ตาม แต่จำาเลยก็หาได้พยายามท่ีจะทำาให้บุคคลทัง้ 2 ได้รับ
อันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตายทัง้ ๆ ท่ีจำาเลยมีโอกาสจะกระทำาได้ เพราะ
เม่ ือคนทัง้ 2 ล้มลงแล้ว จำาเลยมิได้กระทำาซ้ำาแต่อย่างใด และลักษณะ
บาดแผลก็มิได้มีลักษณะฉกรรจ์เพียงเท่านี ย้ งั ไม่พอฟั งว่าจำาเลยมีเจตน่าฆ่า
คงเพียงทำาร้ายร่างกาย ส. และ ท. และต่อมาจำาเลยไล่แทง ล. ด้วย ก็เป็ นการ
พยายามทำาร้าย ล. ด้วย
ฎ.1224/15 จำาเลยใช้มีดปลายแหลมทัง้ด้ามและใบมีดยาวประมาณ 1 คืบ เฉพาะ
ตัวมีดยาวประมาณคร่ ึงคืบ แทงผู้เสียหายท่ีหน้าอกซ้าย และมีแผลยาง
ประมาณ 1.5 เซนติเมตร แพทย์ลงความเห็นว่า แผลไม่รา้ ยแรงท่ีจะทำาให้ถึง
ตายได้ รักษาประมาณ 12 วันก็หาย ถ้าไม่มีโรคแทรก ดังนีแ
้ ม้จำาเลยจะแทงท่ี
หน้าอกอันเป็ นอวัยวะสำาคัญแต่ก็แทงเพียงทีเดียว ทัง้ ๆ ท่ีมีโอกาสจะแทงซ้ำา
อีก และขนาดบาดแผล แทงไม่แรง ไม่พอฟั งว่ามีเจตนาฆ่า จำาเลยผิดฐาน
ทำาร้าย
ฎ.1729/47 จำาเลยเข้าไปขอเงินและยืมรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายซ่ ึงเป็ นบิดาของ
จำาเลย แต่ผู้เสียหายปฏิเสธ จำาเลยจึงใช้อาวุธมีดแหนบปลายแหลมฟั งแทงผู้
เสียหายท่ีหวั ไหล่ ศีรษะด้านขวา อย่างละ 1 ครัง้ และแทงท่ีหลังอีก 1 ครัง้ ยัง
ไม่น่าจะเป็ นเหตุผลเพียงพอท่ีจะบงชีใ้ห้เห็นว่า จำาเลยมีเจนาถึงชาดท่ีจะมุง
ประสงค์ต่อชีวิตของผู้เสียหาย ทัง้ขณะเกิดเหตุจำาเลยมีอาการมึนเมาสุรา แม้
อาจจะไม่อาจยกขึ้นเป็ นขอแก้ตัวได้ก็ตาม (ปอ.ม.66) แต่ก็เป็ นพฤติการณ์
แวดล้อมให้เห็นว่า การท่ีจำาเลยใช้อาวุธมีดแหนบฟั งแทงผู้เสียหายแล้ว ส. ผู้
เป็ นตาของจำาเลย ก็สามารถเข้าไปแย่งมีดจากจำาเลยไว้ได้ จำาเลยจึงวิงหลบหนี
ไป ขณะเกิดเหตุ ส. มีอายุ 73 ปี จำาเลยมีอายุเพียง 24 ปี หากจำาเลยมีเจตนาฆ่า
ผู้เสียหายแล้ว จำาเลยน่าจะสามารถขัดขืนมิให้ ส. ซ่ ึงเป็ นผู้สูงอายุกว่าแย่งมี
แหนบปลายแหลมไปได้ ประกอบกับลักษณะบาดแผลท่ีศีรษะด้านขวาและ
กลางหลัง แม้จะเป็ นอวัยวะท่ีสำาคัญ แต่แพทย์ก็ให้ความเห็นว่าถ้าไม่มีภาวะ
แทรกซ้อนจะหายภายใน 2 สัปดาห์ อันแสดงว่าบาดแผลมิได้เกิดจากการกระ
ทำาท่ีมุ่งประสงค์ให้ถึงแก่ความตาย เม่ ือบาดแผลท่ีผู้เป็ นบิดาของจำาเลยได้รบ

เป็ นผลโดยตรงจากการกระทำาของจำาเลย จำาเลยจึงมีความผิดฐานทำาร้าย
ร่างกายบุพการีจนเป็ นเหตุให้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตาม ปอ.ม.296
นอกจากนีแ ้ ม้จำาเลยจะทำาร้ายผู้เสียหายซ่ ึงเป็ นบุพการี จนเป็ นให้ได้รับ
อันตรายแก่กายหรือจิตใจ แต่ในชัน ้ พิจารณาจำาเลยรับสารภาพ แสดงให้เห็น
ว่าจำาเลยรู้สำานึกในความผิดของตน และผู้เสียหายเบิกความว่าไม่ประสงค์จะ
ดำาเนินคดีแก่จำาเลย เน่ ืองจากเป็ นบุตรชายเพียงคนเดียว เม่ ือจำาเลยไม่เคย
ต้องรับโทษจำาคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรให้โอกาสจำาเลยได้กลับตัวเพ่ ือรักษา
สายสัมพันธ์ทางครอบครัว อันเป็ นโครงสร้างพ้ืนฐานของสังคม
การใช้ไม้ทำาร้าย
หากอาวุธท่ีใช้ คือ ไม้ หากเป็ นไม้ใหญ่ และมีโอกาสเลือกตีอวัยวะสำาคัญ
ถือว่ามีเจตนาฆ่า
ฎ.1504/30 ผู้เสียหายและจำาเลยโต้เถียงกัน ต่อมาผู้เสียหายกำาลังจะรุกขึ้นกลับ
บ้าน จำาเลยใช้ไม้ไผ่ท่ีถือติดตัวมาตีท่ีบริเวณก้านคอผู้เสียหายขณะกำาลังเพลอ
จนล้ม และจำาเลยให้ไม่ไผ่แทงท่ีบริเวณลำาคออีก 1 ครัง้เป็ นบาดแผลลึกถึง
กระดูกไขสันหลัง ผ่านกล้ามเน้ือบริเวณคอ โดยผู้เสียหายมิได้โต้ตอบ จำาเลย
ผิดฐานพยายามฆ่าตาม ปอ.ม.288 + 80
หากใช้ไม้แต่ไม่มีโอกาสเลือกตีเพราะเป็ นท่ีมืด ไม่ถือว่ามีเจตน่าฆ่า
ฎ.175/98 จำาเลยใช้ไม้ไผ่ตีท่ีศีรษะของเขา 3 ที ในท่ีมืด แผลลึกถึงกะโหลก
ศีรษะถึงตาย ถือว่ามีเจตนาทำาร่ายร่างกายเท่านัน ้ ยังไม่มีเจตนาฆ่า
การใช้มือและใช้เท้า
ฎ.1270/27 จำาเลยไปตามโจทก์ซ่ึงเป็ นภริยาให้กลับบ้าน โจทก์ไม่กลับ จำาเลย
โมโหเข้าแย่งบุตรอายุ 3 เดือนจากโจทก์ ขับรถจักรยานยนต์และติดเคร่ ือง
โจทก์ดับเคร่ ือง จำาเลยลงจากรถด้วยความโมโห แล้วจับบุตรทุ่มลงบนถนน
กะโหลกศีรษะแตกยุบถึงแก่ความตาย จำาเลยมีเจตนาฆ่า
ฎ.1329/19 บิดาเลีย
้ งกระทืบผู้ตายด้วยเท้า จนไต่ซ้ายแตก มีอุจาระไหลออกมา
เปรอะเป้อื นผู้ตาย แสดงว่าใช้เท้ากระทืบอย่างหนัก และรุนแรงจนเป็ นผลให้
ไต่แตกนัน ้ เม่ ือประกอบกับจำาเลยพูดว่าเอาให้ตาย ย่อมเป็ นการกระทำาโดย
เจตนาฆ่า
ใช้รถ
ฎ.6576/42 จำาเลยขับรถพุ่งเข้าชนตำารวจ ขณะตำารวจทำาการตรวจค้น โดยจำาเลย
ขับด้วยความเร็วสูง สลับการห้ามล้อหลายครัง้ ในขณะท่ีตำารวจนอบคว่ำาหน้า
อยู่บนฝากระโปงด้านหน้าของรถ จำาเลยขับเพ่ ือให้ตำารวจตกจากรถ จำาเลย
กระทำาล้วนแต่มุ่งประสงค์ให้ตำารวจเป็ นอันตรายถึงแก่ชีวิตทัง้สิน
้ จำาเลยมี
เจตนาฆ่าตาม ปอ.ม.289(2) + 80
องค์ประกอบภายในเร่ ืองประมาท
มีบัญญัติไว้ประมาณ 6 มาตรา
ประมาทคืออะไร
กฎหมายบัญญัติไว้อย่างไร
มีหลักเกณฑ์อย่างไร
มีข้อสังเกตอย่างไร
ประมาท คือ การกระทำาโดยรู้สำานึกในการกระทำา แต่ผู้กระทำามิได้ประสงค์
ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็น แต่เหตุท่ีเกิดเพราะ ผู้กระทำารูส
้ ำานึกในการกระทำา
แต่ผู้กระทำาปราศจากความระมัดระวังซ่ ึงบุคคลในภาวะเช่นนัน ้ จะต้องมีตาม
วิสัยและพฤติการณ์ แต่ผู้กระทำามิได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอ
กฎหมายบัญญัติว่า “บุคคลจักต้องรับผิดในทางอาญาต่อเม่ ือกระทำาโดย
เจตนา เว้นแต่จะได้กระทำาโดยประมาท ในกรณีท่ีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับ
ผิดเม่ ือได้กระทำาโดยประมาท ...” (ปอ.ม.59)
หลักเกณฑ์ประมาท
1. ไม่ใช่เป็ นการกระทำาโดยเจตนา
2. กระทำาโดยปราศจากความระมัดระวัง ซ่ ึงบุคคลในภาวะเช่นนัน
้ จะต้องมี
ตามวิสัยและพฤติการณ์
3. ผูก
้ ระทำาอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านัน
้ ได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
กรณี ปอ. บัญญัติให้ต้องรับผิดเม่ ือได้กระทำาโดยประมาท ท่ีสำาคัญมีดังต่อไป
นี้
1. หมวดชีวิตและร่างกาย
ปอ.ม.390 ม.300 ม.291
2. ประมาทในกรณีอ่ืน
ปอ.ม.311 ม.225 ม.205 ประกอบ ม.204 (ปอ.ม.205 ต้องประกอบ ม.204)
ปอ.ม.390 “ผู้ใดกระทำาโดยประมาท และ การกระทำานัน
้ เป็ นเหตุให้ผู้อ่ืนรับ
อันตรายแก่กายหรือจิตใจ...” อันตรายตาม ปอ.ม.390 ต้องเป็ นอันตรายระดับ
ปอ.ม.295 มิใช่ ปอ.ม.391
ปอ.ม.300 “ผู้ใดกระทำาโดยประมาท และ การกระทำานัน
้ เป็ นเหตุให้ผู้อ่ืนรับ
อันตรายสาหัส...”
ปอ.ม.290 “ผู้ใดกระทำาโดยประมาท และ การกระทำานัน
้ เป็ นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่
ความตาย
ปอ.ม.311 “ผู้ใดกระทำาโดยประมาท และ การกระทำานัน
้ เป็ นเหตุให้ผู้อ่ืน ถูก
หน่วงเหนียวกักขัง หรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกาย...”
ปอ.ม.225 “ผู้ใดกระทำาให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท และ เป็ นเหตุให้ทรัพย์
ของผู้อ่ืนเสียหาย หรือการกระทำาโดยประมาทนัน
้ น่าจะ เป็ นอันตรายแก่
ชีวิตของบุคคลอ่ ืน...”
ปอ.ม.205 , ม.204 “ผู้ใดกระทำาโดยประมาทให้ผู้อยู่ในระหว่างคุมขัง หลุดพ้น
จากท่ีคุมขัง...”
ปอ.ม.390
1. ประมาท
2. เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
ตัวอย่าง ถูกผู้เสียหายด่า จึงยิงปื นขู่ แต่กลับยิงไปถูกลูกกรงไม้ชานบ้าน ห่าง
จากจุดท่ีผู้เสียหายยืนอยู่ 2 วา เศษไม้กระเด็นไปถูกผู้เสียหายบาดเจ็บ มี
ความผิดตาม ปอ.ม.390 ฎ.558/30
ตัวอย่าง ขับรถด้วยความประมาท ทำาให้เกิดชนกันอย่างแรง แต่ลักษณะ
บาดแผลของผู้เสียหายบาดเจ็บบริเวณข้อศอกมีรอยช้ำารักษา 2 วันหาย ไม่ถึง
อันคายแก่กายไม่เป็ นความผิดตาม ปอ.ม.390 (ฎ.1770/16)
ตัวอย่าง รอยบาดเจ็บเพียงโหนกแก้มถลอกโตกลมประมาท 3 เซนติเมตร เข่า
บวมประมาณ 5 เซนติเมตร รักษา 4 วันหาย ยังไม่เป็ นอันตรายแก่กายหรือ
จิตใจ ตาม ปอ.ม.390
ถาม นายแดง ขับรถยนต์ไปตามถนนหลวงโดยความประมาท ตรงมาทาง
ด.ช.ขาว ซ่ ึงกำาลังนัง่เล่นอยู่ริมถนน พลตำารวจเขียว ประสบเหตุการณ์เช่น
นัน
้ เห็นความจำาเป็ นท่ีจะต้องช่วยเหลือ และป้ องกันมิให้ ด.ช.ขาว ถูก
รถยนต์ทับถึงแก่ความตาย โดยรู้อยู่วา่ การช่วยเหลือตนอาจได้รับบาดเจ็บ จึง
กระโดดเข้าไปกระชากแขน ด.ช.ขาว ให้พ้นทางรถ ด้วยกำาลังแรงของการกระ
ชาก ทำาให้ข้อมือของ ด.ช.ขาว เคล็ดบวม ต้องเข้าเฝื อก รักษาอยู่โรงพยาบาล
30 วัน จึงไปโรงเรียนได้ตามปกติ และปรากฏว่าเม่ ือพลตำารวจเขียว กระโดด
เข้าไปนัน
้ พลตำารวจเขียว ชักเท้าออกไม่ทัน รถยนต์ทับหลังเท้าบาดเจ็บ
ดังนี พ ้ ลตำารวจเขียวและนายแดงมีค
แก้ตัวอย่างไร
ตอบ พลตำารวจเขียวไม่มีความผิดฐานทำาให้ ด.ช.ขาวรับอันตรายสาหัส เพราะ
กระทำาด้วยความจำาเป็ นตาม ปอ.ม.67 (2) ไม่เกินกว่าเหตุ (ต้องตอบว่ามีความ
ผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ)
นายแดงมีความผิดฐานกระทำาโดยประมาท
เป็ นเหตุให้พลตำารวจเขียว ได้รับอันตรายแก่กาย ตาม ปอ.ม.3900 และผิดฐาน
กระทำาโดยประมาทเป็ นเหตุให้ ด.ช.ขาว ได้รับอันตรายสาหัส ตาม ปอ.ม.300
เป็ นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษบทหนัก ตาม ปอ.ม.90 บทหนัก
คือ ปอ.ม.300
ปอ.ม.300
1. ประมาท
2. ได้รบ
ั อันตรายสาหัส
ฎ.2589/46 จำาเลยมีเจตนาใช้อาวุธปื นแก็ปยาวยิงค้างคาว โดยไม่พิจารณาให้ดีว่า
บริเวณท่ีจะยิงไปนัน
้ จะมีผู้เสยหายอยูห่ รือไม่ เม่ ือกระสุนท่ียิงไปนัน
้ ไม่ถูก
ค้างคาว แต่กลับไปถูกผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ต้องป่ วยเจ็บด้วยอาการ
ทุกขเวทนาเกิน 20 วัน กรณีเช่นนีถ ้ ือว่าจำาเลยกระทำาโดยประมาทปราศจาก
ความระมัดระวัง จำาเลยย่อมมีความผิดตาม ปอ.ม.300
ฎ.1086/21 เจตนายิงยางรถยนต์ แต่พลาดกระสุนไปถูกระยนต์ทะลุไปถูก
คนในรถเป็ นอันตรายสาหัส เป็ นความผิดฐานทำาให้เกิดอันตรายสาหัส ตาม
ปอ.ม.300
ฎ.1814/22 จำาเลยจับเท้าผู้เสียหายยกขึ้น แล้วผลักลงกับพ้ืนแขนหัก เป็ น
อันตรายสาหัส น่าจะเป็ นเร่ ืองยอกล้อกัน ไม่มีเจตนาทำาร้าย แต่เป็ นประมาท
ตาม ปอ.ม.300
ตัวอย่าง โจทก์ร่วมลงจากรถโดยสารประจำาทาง ในขณะท่ีรถยังเคล่ ือนตัว
ทำาให้โจทก์ร่วมเสียหลักล้มลงได้รบ ั อันตรายแก่กายสาหัส การได้รับอันตราย
ของโจทก์ร่วมเป็ นเพราะ โจทก์ร่วมลงจากรถเอง มิใช้เพราะประตูรถคันเกิด
เหตุชำารุดปิ ดไม่ได้ จำาเลยไม่ได้กระทำาผิดฐานประมาทเป้ นเหตุให้ผู้อ่ืนเป็ น
อันตรายแก่กายถึงสาหัส ฎ.7133/41
ตัวอย่าง มีผู้อ่ืนเก็บอาวุธปื นสัน
้ แล้วมอบให้จำาเลย จำาเลยเช่ ือโดยสุจริตว่า
ไม่มีกระสุนปื นบรรจุอยู่ จึงเหน็บไว้ท่ีเอว แล้วนัง่คุยกับเพ่ ือน พอขยับตัวจะ
รุกขึ้น พร้อมกับขยับเข็มขัดให้สูงขึ้น ปื นลัน
่ กระสุนปื นถูกม้านัง่ แล้วเฉลียบ
ไปถูกผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ จะเอาผิดกับจำาเลยฐานกรทำาโดยประมาทไม่ได้
ฎ.594/07
ฎ.983/46 ขณะเกิดเหตุเป็ นเวลาพลบค่ำา รถท่ีวิงบนถนนทุกคันเปิ ดไฟแล้ว
แสดงว่าถนนมืด รถจักรยานยนต์ท่ี ส. ขับไม่มไี ฟหน้า ไฟเลีย
้ วก็ใช้การไม่ได้
ทัง้ก่อนขับรถมีการด่ ืมสุรามาบ้าง จุดท่ีรถจักรยานยนต์เลีย
้ วกลับเป็ นทางลง
เนินอยู่ในช่องเดินรถของจำาเลย เช่ ือได้วา่ เม่ ือจำาเลยขับรถเห็นรถ
จักรยานยนต์เลีย้ วขวา เลีย
้ วในช่องของตนในระยะกระชัน ้ ชิด ทำาให้ไม่
สามารถบังคับรถยนต์ให้หยุดได้ทันท่วงที การท่ีรถยนต์ของจำาเลยเฉียวชน
กับรถจักรยานยนต์เป็ นเหตุให้ ส. กับผูซ ้ ้อนได้รับอันตรายสาหัส จึงไม่ได้เกิด
จากความประมาทของจำาเลย
ถาม นายเฮง เป็ นคนขาขาดข้างหน่ ึง ต้องใช้ขาไม้เทียมข้างหน่ ึงจึงเดินได้
นายเฮงถูกนายอึด ขับรถโดยประมาทเป็ นเหตุให้ขาไม้เทียมหัก ใช้การไม่ได้
และมีบาดแผลท่ีแขนต้องเย็บ 3 เข็ม รักษา 7 วันจึงหาย แต่นายเฮงยังต้องอยู่
ท่ีบ้านอีก 1 เดือน จึงได้ขาไม้เทียมมาใช้เดินไปตามปกติได้ ดังนีน
้ ายอึดจะมี
ความผิดฐานใดบ้าง
ตอบ นายอึด มีความผิดลหุโทษฐาน กระทำาโดยประมาทเป็ นเหตุให้ผู้อ่ืนได้
รับอันตรายแก่กายตาม ปอ.ม.390 การกระทำาให้ขาไม้เทียมใช้การไม่ได้ ไม่ใช่
ผลอันเกิดจากการกระทำา ไม่ผด
ิ ปอ.ม.300
ถาม นายเก่งเมาสุรา ขับรถยนต์ส่ายไปมาจะชน ด.ช.น้อย ซึงกำาลังเล่นอยู่ริม
ถนน นายกล้าประสบเหตุการณ์เช่นนัน
้ เห็นความจำาเป็ นเกรงว่า ด.ช.น้อย
จะถูกรถยนต์ชน จึงกระโดดเข้าอุ้มไว้ แต่ด้วยความรีบร้อน ได้สะดุดขา
ตนเองล้มลง ล้อรถทับหลังเท้านายกล้าบาดเจ็บ ด.ชายน้อยหลุดมือกระแท
กกับริมบาทวิธีกระดูกข้อมือแตก ต้องตัดมือทิง้ ดังนีน
้ ายเก่ง และนายกล้า
จะมีความผิดฐานใดหรือไม่
ตอบ นายเก่งมีความผิดฐานกระทำาโดยประมาท เป็ นเหตุให้นายกล้าได้รบ ั
อันตรายแก่กายตาม ปอ.ม.390 กับผิดฐานกระทำาโดยประมาทเป็ นเหตุให้
ด.ช.น้อย ได้รบ
ั อันตรายสาหัสตาม ปอ.ม.300 เป็ นกรรมเดียวผิดกฎหมาย
หลายบท ลงโทษบทหนักตาม ปอ.ม.90 บทหนักคือ ปอ.ม.300
นายกล้าไม่มีความผิดเพราะต้องรีบกระทำาโดยฉุกเฉิน ไม่เป็ นประมาท (เน
32)
ถาม นายมาเป็ นเพ่ ือนบ้านกับนายมี วันหน่ ึงนายมีไปหานายมา พอดีมีเจ้า
พนักงานตำารวจมาจับกุมนายมี ดำาเนินคดี ก่อนเจ้าพนักงานตำารวจจะนำาตัว
นายมีไป นายมาได้รับฝากเงินจำานวน 10,000 บาท และสร้อยคอทองคำา 1 เส้น
ราคา 5,000. บาท ไว้จากนายมี ระหว่างท่ีนายมีถูก...**คุมตัวอยู่ นายมาไม่มีเงิน
ใช้จ่ายจึงนำาเงิน 10,000. บาท ท่ีรับฝากไว้ไปใช้จนหมด ต่อมาเม่ ือนายมีพ้นคดี
นายมีไปหานายมาเพ่ ือทวงเงินและร้อยคอทองคำาท่ีฝากไว้คืน นายมาไม่
คืนให้ เพราะต้องการสร้อยคอไว้เป็ นของตน จึงปฏิเสธว่าไม่ได้รับฝากทรัพย์
ไว้แต่อย่างใด และพยายามหลีกเล่ียงไม่ยอมเจรจาด้วย โดยขึ้นรถยนต์กำาลัง
จะขับหนี น ้ ายมีจึงใช้ปืนยิงรวงรถ
นายมียิงยางรถพลาด กระสุนปื นไปถูกนายมาได้รบ ั อันตรายสาหัส ดังนีน
้ าย
มา และนายมี จะมีความผิดฐานใดหรือไม่
ตอบ กรณีนายมาเป็ นเร่ ืองนายมีและนายมาฝากทรัพย์กัน ดังนีเ้งินท่ีนายมี
ฝากไว้ นายมาจึงมีสิทธินำาออกใช้ได้ เพียงแต่ต้องคืนให้ครบจำานวนเท่านัน ้
เม่ ือไม่ปรากฏว่านายมาทุจริต เพียงแต่เม่ ือนายมีทวงถาม นายมาไม่คืนให้
จึงเป็ นเร่ ืองความรับผิดในทางแพ่งเท่านัน ้ การท่ีนายมานำาเงินท่ีฝากออกใช้
หรือไม่คืนให้เม่ ือถูกทวงถาม จึงหาเป็ นความผิดฐานยักยอกไม่
ส่วนสร้อยคอทองคำานัน ้ เม่ ือได้ความว่านายมีทวงถามแล้ว นายมาไม่คืนให้
โดยจะเอาสร้อยคอเป็ นของตนเอง แสดงว่านายมามีเจตนาเพ่ ือแสวงหา
ประโยชน์เพ่ ือตนเองโดยมิควารได้ อันเป็ นเจตนาทุจริต นายมาครอบครอง
สร้อยคอนายมีแล้วเบียดบังโดยเจตนาทุจริตดังกล่าว จึงเป็ นความผิดฐาน
ยักยอกทรัพย์ตาม ปอ.ม.352
กรณีของนายมีปรากฏว่านายมี มีเจตรายิงยางรถยนต์ของนายมาเท่านัน ้
มิได้มีเจตนายิงนายมาแต่อย่างใด แต่การกระทำานัน ้ เป็ นการกระทำาโดย
ประมาทปราศจากความระมัดระวัง ซ่ ึงบุคคลในภาวะเช่นนายมีจะต้องมีตาม
วิสัยและพฤติการณ์ ทัง้นายมีอาจใช้ความระมัระวังในการยิงได้แต่นายมีหา
ได้ใช้ให้เพียงพอไม่ กระสุนปื นจึงได้ไปถูกนายมาได้รบ
ั อันตรายสาหัส นายมี
จึงมีความผิดฐานกระทำาโดยประมาท และเป็ นเหตุให้ผู้อ่ืนได้รับอันตราย
สาหัสตาม ปอ.ม.300 (ฎ.1086/21) และมีความผิดฐานพยายามทำาให้เสียทรัพย์
ตาม ปอ.ม.358 ประกอบ ปอ.ม.80 อีกบทหน่ ึง จึงเป็ นกรรมเดียวผิดกฎหมาย
หลายบท ลงโทษบทหนักตาม ปอ.ม.90
ถาม (อัยการ 29) นายมีเป็ นเจ้าของช้างเชือกหน่ ึง ช้างนัน
้ กำาลังตกมัน นายมี
จะไปธุระนอกบ้านจึงใช้เชือกผูกไว้กับเสาเรือน แล้วออกจากบ้านไป ทิง้ช้าง
ให้อยู่ตามลำาพัง ต่อมาช้างกระชากเลือกขาด แล้ววิงไปพังบ้านของนายมาเสีย
หาย และกระทืบนายมัน ่ ซีโครงหักไป 3 ซีก นายมาจึงใช้ปืนยิงช้างนัน
้ ตาย
ดังนีน
้ ายมีและนายมาจะมีความผิดฐานใดหรือไม่
ตอบ นายมีเป็ นเจ้าของมีหน้าท่ี...**คุมช้างท่ีกำาลังตกมัน และเป็ นสัตว์ดุตาม
ธรรมชาติเวลาตกมัน นายมีไม่...**คุมโดยใกล้ชิด ปล่อยให้ชา้ งอยู่ตามลำาลัง
เพียงแต่ใช้เชือกผูกไว้ ควรจะใช้โซ่เหล็กผูกไว้ให้มัน
่ คง เม่ ือไม่ดูแลอย่างใกล้
ชิดและใช้เพียงเชือกผูกไว้ จึงเป็ นการกระทำาโดยปราศจากความระมัดระวัง
ซ่ ึงเจ้าของช้างต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ ซ่ ึงนายมีสามารถทำาได้ แต่หาได้
ทำาให้เพียงพอไม่ จึงเป็ นการกระทำาโดยประมาท และเป็ นเหตุให้นายมัน ่ บาด
เจ็บสาหัส จึงเป็ นความผิดตาม ปอ.ม.300 และถือว่าเป็ นการปล่อยปละละเลย
ให้ช้างนัน
้ เทียวไปโดยลำาพังในประการท่ีนายจะเป็ นอันตรายแก่บุคคลหรือ
ทรัพย์ ผิดตาม ปอ.ม.377 (ฎ.3425/27) อันเป็ นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
ลงโทษบทหนักตาม ปอ.ม.90 และบทหนังคือ ปอ.ม.300
การท่ีช้างวิงไปพังบ้านนายมาเสียหายเกิดจากความประมาทของนายมี และ
การทำาให้เสียทรัพย์โดยประมาทไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็ นความผิด เพราะ
บุคคลจะรับโทษทางอาญาต่อเม่ ือได้กระทำาอันกฎหมายท่ีใช้ในขณะกระทำา
นัน
้ บัญญัติเป็ นความผิดและกำาหนดโทษไว้
นายมา ไม่มีความผิดฐานทำาให้เสียทรัพย์ตาม ปอ.ม.358 เพราะการท่ีช้างของ
นายมีออกมาทำาอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์เกิดจากการกระทำาโดยประมาท
ของนายมี จึงเป็ นภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมาย การกระทำาของนายมา
เป็ นการกระทำาท่ีป้องกันและพอสมควรแก่เหตุตาม

You might also like