Professional Documents
Culture Documents
แกะเทป Ag-Ab reaction
แกะเทป Ag-Ab reaction
ปฏิกิริยาของ Antigen และ Antibody เปนไปตาม law of mass action เมื่อ Ag ทําปฏิกิริยากับ Ab จะ
ได Antigen-Antibody Complex เมื่อมีสภาวะไมเหมาะสม จะสามารถแตกตัวเปน Ag และ Ab อิสระได เพราะ
มันจับกันแบบ Reversible Process คือจับแลวปลอยได ไมใชจับแลวจับเลย
ปจจัยที่มีผลตอการทําปฏิกิริยาระหวาง Ag และ Ab
1. Bond (แรงหรือพันธะ) คือ Non-covalent bond ทั้งหมด
- Electrostatic force
- Hydrogen bonding force
- Hydrophobic force
- Van der Waals force
โดยจะใชหลายๆแรงรวมกัน ไมไดใชแรงใดแรงหนึ่ง
2. Structure : lock and key (ตองเปน complementary ตอกัน เปรียบไดกับแมกุญแจกับลูกกุญแจ) มี
ความ specificity จําเพาะสูง
3. pH : 7.2 - 7-4 เปนชวง pH ที่เหมาะสมในการทําปฏิกิริยา (Ag และ Ab เปน สารประกอบประเภทไกล
โคโปรตีน ถาเปนกรดหรือดางมากเกินไป จะทําใหโปรตีนเสียสภาพได)
4. Temperature : 4-40 องศาเซลเซียส , Optimum 37 องศาเซลเซียส (อุณหภูมิของรางกาย)
5. Ionic strength : ความเขมขนของ ion หรือ เกลือ ที่เหมาะสมคือ 0.15 M NaCl (0.9 % หรือ 0.85%
NaCl) , isotonic sulotion ซึ่งเปน physiological salt หรือเรียกวา normal saline solution (NSS)
แบงตามปฏิกิริยาที่ใชในการทดสอบ
1. การลบลางฤทธิ์ (Neutralization)
2. การตกตะกอน(Precipitation)
3. การจับกลุม(Agglutination)
4. อาศัยคอมพลีเมนตรวมดวย (Complement dependent Reaction)
5. อาศัยแอนติเจนหรือแอนติบอดี้ติดฉลากดวยสารตางๆ (Labeled immunoassay)
2. Precipitation (การตกตะกอน)
Soluble Ag (Ag ที่อยูในสภาพละลายน้ําได) + Ab
Precipitation (ตกตะกอน)
Note - ถาเปน Agglutination ก็คือ Ag จะเปน cell หรือ particle เชน RBC
2.ขนาดโมเลกุล
ถาAb มีขนาดใหญกวา Ag เสนตะกอนจะโคงเขาหาใคร ?.......ตอบ เสนตะกอนจะโคงเขาหาแอนติบอดีเพราะ
ตัวที่มันใหญมันจะวิ่งชากวา ฉะนั้นแอนติเจนที่ตัวเล็กก็จะวิ่งไดไกลเพราะตัวมันเบา เราจึงไดเสนตะกอนโคง
แบบนี้(โคงเขาหาแอนติบอดี)
ถาน้ําหนักใกลๆกันมันก็จะวิ่งไปไดทางเทาๆกัน เสนตะกอนก็จะเปนเสนตรงอยูกลางๆ และถาแอนติเจนขนาด
ใหญกวาแอนติบอดี เสนตะกอนก็จะโคงเขาหาแอนติเจน
สรุปคือ เสนตะกอนจะโคงเขาหาตัวที่มีขนาดใหญ
เพราะฉะนั้นถาใหความเขมขนและขนาดโมเลกุลมาตองวาดเสนตะกอนใหไดนะจะ....
Single radial immunodiffusion, SRID
เปนวิธีที่เราใชหาปริมาณของ unknown Ag นั่นคือเปน immunodiffusion ที่เคลื่อนที่เปนวงๆและมีตัวเดียวที่
เคลื่อนที่คือแอนติเจน วิธีทําก็โดยการ
- เอาสไลดขนาดใดก็ไดมาใสวุนรวมกัน วุนที่ใสตองมีแอนติบอดีผสมอยู พอวุนแข็ง ในวุนก็จะมีแต
แอนติบอดีเทากันทั้งแผน
- จากนั้นเจาะรูเขาไป(จะเจาะกี่รูก็ได) พอเราจะหาปริมาณก็ทํากราฟมาตรฐาน โดยการใสstandard [Ag]
ที่เรารูคาลงไปในรู และมีรูหนึ่งใสunknown Ag
- เมื่อตั้งทิ้งไวแอนติเจนจะคอยๆซึมออกจนสมดุลก็จะเปนวงออกมา ถาแอนติเจนมีความเขมขนมากก็
จะมีวงใหญ (Ab ไมซึมเพราะ[ ]เทากันทั้งแผนแลว)
- จากนั้นวัดปริมาณโดยการวัดเสนผาศูนยกลางหรือรัศมีก็ได ในที่นี้วัดคาd2 ของstandard [Ag] แลว
นําไปทํา standard curve เมื่อไดกราฟแลวก็ไปวัดd2 ของ unknown Ag แลวใชคา d2 plot กราฟ ลาก
จุดไปตัดแกนY ที่เปน[Ag] ก็จะทราบคา[Ag]ของunknown
* การใชคาd2 เพราะมันเปนคา log เมื่อนําไปทํากราฟมาตรฐานมันจะไดเปนเสนตรง
Gel precipitation + electrophoresis
Immunoelectrophoresis (IEP) คือการแยกแอนติเจนโดยการใชกระแสไฟฟารวมดวย วิธีนี้ทําโดยเอา
กระจกสไลดมาใสวุนแตไมตองผสม Ab แลวเจาะรูจากนั้นใสแอนติเจนลงไป( สวนใหญแอนติเจนจะเปน
สวนผสมจากแอนติเจนหลายๆตัว) พอใสลงไปแลวเราก็ใชกระแสไฟฟาผลักมันใหมันเคลื่อนที่ ก็คือใสขั้วบวก
กับขั้วลบเขาไป ถาแอนติเจนเปนบวกก็จะวิ่งขั้วลบ ฉะนั้น ถาเปนบวกมากก็ไปลบมาก บวกนอยก็ไปลบนอย
และถาแอนติเจนมีขั้วลบก็จะวิ่งไปหาขั้วบวก เพราะฉะนั้นแอนติเจนก็จะแยกออกจากกัน
ตอมาพอเราแยกแอนติเจนเสร็จ เราก็เจาะรองยาวๆเพื่อใสแอนติบอดี เมื่อตั้งทิ้งไวก็จะเกิดการdiffuse แยก
แอนติเจนไวที่ตําแหนงตางๆ ซึ่งพวกนี้มันจะdiffuseใหเห็นเปนวงๆ สวนแอนติบอดีก็จะแพรไปเปนเหลี่ยมๆซาย
ขวาบนลางทุกทิศทุกทาง สวนตัวแอนติเจนมันจะแพรไปตามวงของมัน เสนตะกอนที่ไดก็จะเปนเสนโคง ซึ่งเรา
เรียกวา Precipitin Band or Precipitin arc
วิธีพวกนี้สามารถใชบอกความผิดปกติของพวกแอนติเจนหรือIg ได ยกตัวอยาง การทดสอบโดยการเจาะหลุม
บน-ลาง ใสซีรัมของคนไข (หลุมบน) และซีรัมปกติ (หลุมลาง) ลงไป จากนั้นใชกระแสไฟฟาแยกแอนติเจน พอ
เจาะชองกลางยาวใสแอนติบอดี มันก็จะเกิดการแพรเจอกันก็เกิดเสนตะกอน
ถาดูตามสไลดจะเห็นวาคนปกติมีเสนตะกอน 4 เสน แตผูปวยมี 3 เสน ถาเราทราบวาเสนที่หายไปคืออะไร
เราก็สามารถบอกไดวาคนไขขาดอะไร สมมุติวาเสนที่ขาดเปน IgG ก็แสดงวาคนไขไมมีIgG หรือสราง IgG นอย
(-) (+)
Ag Ab
3. Agglutination
แอนติเจนจะเปนเซลลหรือเปนอนุภาค หลักการตางๆก็เหมือน Precipitation in Gel เราเรียก การรวมเซลล
หรือการรวมกลุมนี้วา Agglutination ซึ่งก็มีวิธีเรียกตางกัน3 วิธีคือ
3.1 Direct หรือ Active agglutination วิธีนี้ใชตรวจหา Ag (อ.พูดอยางงี้จริงๆนะแตในชีสบอกวาหาAb) ที่เปน
องคประกอบหรือสวนหนึ่งของเซลลนั้นๆเอง เชน RBC Gr. A ก็มีAg Aที่ผิวของมันเอง พอเราใหAb ทําปฏิกิริยา
กับ Ag A มันก็จะเกิดการรวมกลุมกันขึ้นนั่นคือเปน Direct เพราะตัวของมันเองเจอกันโดยตรง
3.2 Indirect หรือ passive agglutination โดยออม คือAg ไมไดเปนสวนหนึ่งของเซลล แตมันถูกนํามาเคลือบหรือ
แปะไวในภายหลัง จากนั้นให Ab เขาทําปฏิกิริยา ก็จะเกิดการรวมกลุมขึ้น
3.3 Reverse passive agglutination คือตรงขามกับวิธีที่3.2 โดยการใชการเคลือบAb ที่ผิวเซลล แลวทําปฏิกิริยากับ
Ag มันก็จะเกิดการรวมกลุมขึ้น
**การทํา Agglutination มีการใชชื่อตางๆกัน เรียกชื่อตาม particle
ถา particle เปน - RBC ก็ใช hem- นําหนา
- latex ซึ่งใชเคลือบ Ag ก็เรียกวา latex agglutination
- cell อยางเดียวกันก็เรียก cell agglutination
4. Complement dependent reaction ===> จะถูกกระตุนดวยวิถี classical และวิถี alternative
วิถี Classical จะกระตุนดวย immune complex (Ag-Ab จับกัน) ซึ่งAb ตองมีอยางนอย 2 ตัว มันจึงจะ fix
complement ได ดูตามสไลดนะ......จะเห็นวา
C1จะเขาไปจับ C1qrs complex พวกนี้จะมีคุณสมบัติตัดพวก C4,C2 ไดเปน C4b2a
วิธีเรียกชื่อก็เรียกตามตัวที่นํามาติดเปนฉลาก
- ติดดวย fluorescent เรียก Immunofluorescence อาจใชกลอง fluorescent microscope
- ติดดวย enzyme เรียก Enzyme immunoassay ซึง่ ที่เราไดยินบอยๆ คือ ELISA ซึ่งการเติมenzyme นี้
ตองใส substrate ให enzyme ยอยเสมอเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของสี
- ติดดวยรังสี ตองมีเครื่องมือวัดปริมาณรังสี