Professional Documents
Culture Documents
01 วิชาที่1THERMODYNAMICS- มิย50 D (HIGH-LIGHT)
01 วิชาที่1THERMODYNAMICS- มิย50 D (HIGH-LIGHT)
วิชาที่ 1 อุณหพลศาสตร(Thermodynamics)
1 บทนํา
วิชานี้คือสาขาหนึ่งของวิชาฟสิกส ที่เนนในดานพลังงาน และสารซึ่งเปนตัวเก็บพลังงาน และถายทอด
หรือสงผาน หรือทําใหเปลี่ยนรูปพลังงาน ตลอดจนประสิทธิภาพตางๆในดานการใชพลังงานและพลังงาน
ในรูปตางๆที่ไดมา เชนในการผลิตกระแสไฟฟา ใชสารคือน้ํามันเตา เปรียบเหมือนตัวเก็บพลังงานอยูในตัว
มันเอง ทําใหมันเปลี่ยนแปลงทางเคมี ไดพลังงานความรอนออกมา ใชน้ําเปนตัวกลางในการถายทอด
พลังงาน ไปใหกังหัน(Turbine)หรือเครื่องยนต(Engine) ไดพลังงานกลหรือกําลังออกมา นําไปปนเครื่อง
กําเนิดไฟฟา(Electric Generator) ไดกําลังไฟฟาตามที่ตองการ และจะตองทําอยางไรที่จะไดกําลังไฟฟามาก
ที่สุดในการใชน้ํามันเตาจํานวนเดียวกัน หรือทําอยางไรจึงจะมีประสิทธิภาพดีที่สุด ดังนั้นวิชาอุณหพล
ศาสตรจึงเปนวิชาพื้นฐานของพลังงานที่สําคัญมาก เพราะทุกคนตองใชพลังงาน การใชพลังงานอยางมี
ประสิทธิภาพไดก็จะตองเขาใจพลังงานอยางแทจริง เนื่องจากตองการจะยอใหเหลือไมเกิน 50-60 หนา
ผูอานสามารถอานเพิ่มเติมไดจากบรรณานุกรมทายบท
2 คําจํากัดความและพื้นฐานทางฟสิกส
ระบบหรือระบบปด (SYSTEM/CLOSE SYSTEM/CONTROL MASS)
ระบบหรือระบบปด คือขอบเขตที่กําหนดขึ้น ซึ่งมวลสารภายในระบบ จํานวนเดิม และ คงที่ แต
พลังงานตาง ๆ เขาออกได ขอบเขตของระบบมักจะกําหนดที่ผิวดานในของเครื่องหรืออุปกรณ
ระบบเปดหรือปริมาตรควบคุม (OPEN SYSTEM /CONTROL VOLUME)
ระบบเปดหรือปริมาตรควบคุมคือขอบเขตที่กําหนดขึ้น โดยมวลสารมีการไหลเขา-ออก มวลภายใน
ระบบ มีการเปลี่ยนแปลง หรือมวลสารภายในระบบอาจจะไมเปลี่ยนแปลงแตไมใชมวลสารจํานวนเดิม
ขอบเขตของระบบมักจะกําหนดที่ผิวดานในของเครื่องหรืออุปกรณเชนเดียวกับระบบปด และพลังงาน
ตาง ๆ เขาออกไดเชนกัน
สิ่งแวดลอม(SURROUNDINGS)
สิ่งแวดลอม คือสิ่งใดๆ ที่อยูนอกขอบเขตหรือนอกปริมาตรควบคุม ก็จะหมายถึงสิ่งแวดลอม
คุณสมบัติของสาร (PROPERTY OF SUBSTANCE)
คุณสมบัติของสารถาแบงใหญๆได 2 แบบคือ
คุณสมบัติคงตัว (INTENSIVE PROPERTY) คือคุณสมบัติที่ไมขึ้นกับจํานวน เชน ความดัน (P) อุณหภูมิ
(T) ความหนาแนน (ρ) ปริมาตรจําเพาะ(v) พลังงานทั้งหมดตอหนวยมวล(e) เปนตน
คุณสมบัติแปรเปลี่ยน (EXTENSIVE PROPERTY) คือคุณสมบัติที่ขึ้นกับจํานวน เชน มวล (m) ปริมาตร
(V) พลังงานทั้งหมด(E) เปนตน
ภาวะ (STATE)
ภาวะซึ่งใชคุณสมบัติเปนสิ่งกําหนดภาวะ เชน น้ําภาวะที่ 1 อุณหภูมิ 30°C ความดัน 100 kPaเปนตน
สถานะ (PHASE)
สารบริสุทธิ์ทุกชนิดจะตองสามารถมีได 3 สถานะเสมอคือ ของแข็ง (SOLID) ของเหลว (LIQUID)
และไอหรือกาซ (VAPOUR OR GAS) เพียงแตวาในบางภาวะอาจจะมีบางสถานะไมไดเทานั้น
กระบวนการหรือขบวนการ (PROCESS)
กระบวนการ คือการเปลี่ยนภาวะของสาร เชนน้ําจากภาวะที่ 1 T1, P1 เปลี่ยนเปนภาวะที่ 2 T2, P2 เรียกการ
เปลี่ยนนี้วา “กระบวนการ” หรือ “ขบวนการ” (PROCESS)
วัฏจักร (CYCLE)
วัฏจักรคือการดําเนินการของกระบวนการตางๆของระบบ โดยกระบวนการสุดทายตองทําใหระบบหรือ
สารกลับสูภาวะเดิมทุกประการ เชน น้ํา P1 , T1 → P2, T2 → P3 , T3→……………..P1 , T1 โดยรวมทั้ง
พลังงานดวยตองเทาเดิม เชนการเปลี่ยนแปลงของสารในวงจรทําความเย็นของตูเย็นและเครื่องปรับอากาศ
เปนตน
หนวยตางๆ (UNITS )
ในปจจุบันใชหนวยสากล(SI UNIT) ซึ่งทําใหสะดวก โดยถามีคามากหรือนอยจะใชเติมขางหนามันดังนี้
โดยใช 10 ยกกําลังตอไปนี้ –18=a (atto), –15=f (femto), –12=p (pico), –9=n (nano), –6=μ (micro), –3=m
(milli) –2= c (centi), –1=d (deci), +1=da (deka), +2=h (hecto), +3=k (kilo), +6=M (mega), +9=G (giga),
+12=T (Tera), +15=P (peta), +18=E (exa)
มวล (MASS) มักเขียนยอ m มีหนวยเปน kg (กก.) ซึ่งเปนหนวยพื้นฐาน (1 ปอนด= 0.4536 kg)
มวล 1 kg จะอยูที่ใดๆก็ตาม เชนบนโลกหรือบนดวงจันทรก็ยังคงมีมวล 1 kg เสมอ
เวลา (TIME) มักเขียนยอ t มีหนวยเปน s (วินาที) ซึ่งเปนหนวยพื้นฐานเชนกัน
ความยาว (LENGTH ) มักเขียนยอ l หรือ L หรือ Z มีหนวยเปน m (ม.) ซึ่งก็เปนหนวยพื้นฐานเชนกัน
(1 ฟุต= 0.3048 m)
แรง (FORCE) มักเขียนยอ F มีหนวยเปน N, (นิวตัน) มาจากกฎของนิวตัน
F = ma
เนื่องจากมวลมีหนวยเปน kg ความเรง เปน m/s2ฉะนั้น แรงก็จะมีหนวยเปน kg.m/s2 แทนดวย N(นิวตัน)
นั่นก็คือ 1 N = 1 kg.m/s2 ดังนั้นน้ําหนักก็คือแรงที่เกิดจากความเรงของแรงโนมถวง
ในหนวยอังกฤษ 1 ปอนดแรงหรือน้ําหนัก (lbf) = 4.448 N
ในหนวยเมตริก 1 กก. แรง หรือน้ําหนัก (kgf) = 9.81 N
ปริมาตรจําเพาะและความหนาแนน (SPECIFIC VOLUME, v & DENSITY , ρ)
ปริมาตรจําเพาะ มักเขียนยอ v มีหนวยเปน m3/kg (บางครั้ง litre/kg , 1 litre = 0.001 m3)
ปริมาตรจําเพาะมีหนวยเปน m3/kmol ใชสัญลักษณ v สารใดๆ 1 kmol = M kg ซึ่ง M=มวลโมเลกุลของสาร
ความหนาแนนคือมวลตอหนึ่งหนวยปริมาตรหรือสวนกลับของปริมาตรจําเพาะ สัญลักษณ ρ มีหนวยkg/m3
อุณหภูมิ
อุณหภูมิเปนคุณสมบัติที่แสดงถึงระดับความรอนคลายกับระดับน้ํา ความรอนจะตองไหลจากที่มีอุณหภูมิ
สูงไปยังที่มีอุณหภูมิต่ําเสมอ
อุณหภูมิมักเขียนยอแทนดวย T มีหนวยสากลเปน องศาเซลเซียส OC หรืออุณหภูมิสัมบูรณเปน เคลวิน K
แมวาตนกําเนิดของหนวยองศาเซลเซียส จะมาจากอุณหภูมิน้ําแข็งและน้ําเดือดที่ความดัน 1 บรรยากาศก็
ตาม ปจจุบันตามขอตกลงนานาชาติ กําหนดใหอุณหภูมิของน้ําที่จุดสามเชิง(Triple Point)เปน 0.01OC ซึ่ง
ยังคงไดวาอุณหภูมิน้ําเดือดที่ความดัน 1 บรรยากาศ เปน 100OC เชนเดิม อุณหภูมิสัมบูรณ เคลวิน K หาได
จาก
K = OC + 273.15
อุณหภูมิสัมบูรณมีคาติดลบไมได คาอุณหภูมิแตกตางนิยมใชเปนองศาเคลวิน K
(Δ1OK = Δ1.8OF และF = Cx1.8 +32โดยF คาอุณหภูมิที่วัดเปนองศาฟาเร็นไฮต และ C เปนองศาเซลเซียส)
ความดัน (PRESSURE)
ความดันคือแรงที่กระทําตอหนวยพื้นที่ นิยมยอ P
P = F/A
ตามที่กลาวแลว แรง F มีหนวยเปน N พื้นที่เปน m2 ฉะนั้น P จะตองมีหนวย N/ m2 ใชแทนดวย Pa
นั่นก็คือ 1 Pa = 1 N/m2 นอกจากนี้ บางครั้งใชหนวย bar ซึ่ง 1 bar = 105 Pa
(หนวยอังกฤษ 1 lbf/in2 = 1 psi = 6.895 kPa)
ความดัน 1 บรรยากาศมาตรฐาน (atm) = 101,325 Pa = 101.325 kPa = 14.7 psi
จากคําจํากัดความ ความดันที่แทจริงหรือความดันสัมบูรณ จะไมมีการติดลบ เพราะถาไมมีแรงกระทําก็คือ
ศูนย ต่ําสุดแลว แตเนื่องจากตั้งแตโบราณมาแลว สรางเกจสําหรับวัดความดัน ซึ่งเปนชนิดโบดองทิวบ โดย
ใชบรรยากาศ ณ.ที่วัดเปนมาตรฐาน นั่นคือเกจวัดความดันเปนการบอกวา ความดันสูงหรือต่ํากวาบรรยากาศ
เทาไรนั่นเอง ถาต่ํากวาบรรยากาศก็ติดลบ ดังนั้นจึงมีคําจํากัดความของความดันเพิ่มขึ้นอีกอันคือความดัน
เกจ เพื่อไมใหสับสน ทุกครั้งที่พูดถึงความดัน ตองบอกใหทราบวาหมายถึงความดันสัมบูรณ หรือความดัน
เกจ ตอไปสําหรับตําราเลมนี้ ถาเขียนความดันลอยๆ มิไดระบุอะไร ใหหมายถึงความดันสัมบูรณเสมอ
ความสัมพันธของความดันทั้งสองคือ
ความดัน เกจ = ความดันสัมบูรณ - ความดันบรรยากาศ
ความดันสัมบูรณ = ความดัน เกจ + ความดัน บรรยากาศ
โดยทั่วไป ความดันบรรยากาศ จะหมายถึงความดันอากาศ ณ จุดที่วัด ดังนั้นกอนใชเกจวัดตองปรับใหเข็ม
ชี้ที่ 0 (ศูนย) กอนเสมอ ในทางปฏิบัติความดันที่อานไดจากเกจหรือมิเตอรจะตองเปนความดันเกจเสมอ
ความดันที่กลาวมาทั้งหมดถาจะเนนใหชัดเจนก็คือความดันสถิต(Static Pressure)นั่นเอง
การวัดความดันเปนความสูงของของเหลว
วิธีวัดความดันที่งายที่สุดวิธีหนึ่งที่ใชมาแตโบราณถึงปจจุบัน ก็คือการเทียบเปนความสูงของของไหล
PVAP ความดันของไหลระดับเดียวกันตองเทากัน
L1
ความดันไอในถัง PVAP = ρX L1. g + PATM
ρY ρX
รูปที่ 1.2
3 สารบริสุทธิ์( PURE SUBSTANCES)
สารบริสุทธิ์ คือสารที่มีคุณสมบัติเคมีไมเปลี่ยนแปลงเมื่อเปลี่ยนสถานะ เชน น้ํา แอมโมเนีย สารความเย็น
ตางๆ หรืออาจจะกลาวไดวาธาตุและสารประกอบก็คือสารบริสุทธิ์ทั้งสิ้น แมแตอากาศในชวงที่ใชงานถา
มันไมเปลี่ยนสถานะ ก็มักจะอนุโลมใหเปนสารบริสุทธิ์
สารบริสุทธิ์ จะตองมีได 3 สถานะเสมอ คือของแข็ง ของเหลว และไอ และในบางภาวะจะมีได 2 สถานะ
เทานั้นคือของแข็งและไอ
3 ของเหลวที่มีปริมาตรจําเพาะนอยกวาปริมาตรจําเพาะของของเหลวอิ่มตัว(vf) ที่ตรงกับอุณหภูมิหรือ
ความดันของของเหลวนั้น
ตัวอยางที่ 1.2 H2O 30oC, 101.3 kPa เปนอะไร ?
วิธีทํา ตรวจดวยวิธี 1 ที่ 101 kPa TS = 100OC T<TS ∴เปนของเหลวเย็นยิ่งหรือของเหลวอัด
ตรวจดวยวิธี 2 ที่ 30OC PS = 4.246 kPa P>PS ∴ เปนของเหลวเย็นยิ่งหรือของเหลวอัด
O 3
ตัวอยางที่ 1.3 H2O 30 C, v = 0.0009 m /kg เปนอะไร ?
วิธีทํา ตรวจดวยวิธี 3 ที่ 30OC vf = 0.001004 m3/kg v < vf ∴ เปนของเหลวเย็นยิ่งหรือของเหลวอัด
สิ่งที่ตองจดจําเปนสํานึกทางวิศวกรรมคือ สารบริสุทธิ์ที่เปนของเหลวคือ ของเหลวอิ่มตัว และ ของเหลวเย็น
ยิ่งหรือของเหลวอัด ที่อุณหภูมิเดียวกันแมวาความดันจะตางกัน จะมีคาคุณสมบัติอื่นๆใกลเคียงกันมาก นั่น
คือคุณสมบัติอื่นๆเกือบจะไมขึ้นกับความดันนั่นเอง จึงสามารถประมาณคาไดจากการอานจากคาของเหลว
อิ่มตัวแทนได โดยสนใจแตอุณหภูมิอยางเดียว
ตัวอยางที่ 1.4 H2O 40OC , 50,000 kPa ปริมาตรจําเพาะเปนเทาไร?
วิธีทํา อานจากตารางน้ําอิ่มตัว ที่ 40OC คาของเหลวอิ่มตัว vf = 0.001008 m3/kg แตถาตองการคา
ถูกตองใหใชตารางน้ําที่เปนของเหลวเย็นยิ่ง(Compressed Liquid Water Table) จะได v = 0.000987 m3/kg
การประมาณมีคาคลาดเคลื่อน = (0.001008-0.000987)/0.000987x100% = 2% เทานั้น
ตัวอยางที่ 1.5 H2O 30OC , ปริมาตรจําเพาะเปน 0.001000 m3/kg เปนอะไร?
วิธีทํา อานจากตารางน้ําอิ่มตัว ที่ 30OC คา คาของเหลวอิ่มตัว vf= 0.001004 m3/kg แตปริมาตรจําเพาะที่
กําหนด0.001000 m3/kg นอยกวา vf ดังนั้นตองเปนของเหลวเย็นยิ่งหรือของเหลวอัด
ไอรอนยวดยิ่ง/ไอดง (SUPERHEATED VAPOUR)
ไอรอนยวดยิ่งคือ
1 ไอที่มีอุณหภูมิสูงกวาอุณหภูมิอิ่มตัว (TS) ที่ตรงกับความดันของไอนั้น หรือ
2 ไอที่มีความดันต่ํากวาความดันอิ่มตัว (PS) ที่ตรงกับอุณหภูมิของไอนั้น หรือ
3 ไอที่มีปริมาตรจําเพาะมากกวาปริมาตรจําเพาะของไออิ่มตัวที่ตรงกับอุณหภูมิหรือความดันไอนั้น
ตัวอยางที่ 1.6 น้ํา (H2O) 200OC, 101 kPa เปนอะไร ?
วิธีทํา ตรวจดวยวิธี 1 ที่ 101 kPa TS = 100OC ∴T > TS ตองเปน ไอรอนยวดยิ่ง (Superheated
vapour)
ตรวจดวยวิธี 2 ที่ 200OC PS = 1553.8 kPa P<PS ตองเปน ไอรอนยวดยิ่ง
ตัวอยางที่ 1.7 น้ํา (H2O) 200OC, v = 2.2 m3/kg เปนอะไร ?
วิธีทํา ตรวจดวยวิธี 3 ที่ 200OC vg = 0.12736 m3/kg ∴v > vgตองเปนไอรอนยวดยิ่ง(Superheated vapour)
จุดวิกฤต (CRITICAL POINT) จุดอิ่มตัวสุดทาย(Final Saturated Point)
P=10 MPa
P=1 MPa
P=0.1 MPa
ชวงเปลี่ยนสถานะ
ความดัน(หรืออุณหภูมิ)ยิ่งต่ําเทาไร ปริมาตรจําเพาะหรือ
ความหนาแนนระหวาง ไอและของเหลวจะตางกันมากเทานั้น v
รูปที่ 1.4
จะพบวาที่ความดันต่ําชวงเปลี่ยนแปลงสถานะจะกวาง จะแคบลงๆเมื่อความดันสูงขึ้นเรื่อยๆ จนจุดสุดทาย
จะไมมีความกวางคือเปนจุด เรียกจุดวิกฤต ถาความดันสูงกวานี้จะไมมีการเปลี่ยนสถานะ ใหสังเกตโคง
ภูเขาซึ่งเปนเสนปะโคงซีกซายของจุดวิกฤตคือสถานะของเหลวอิ่มตัว(Saturated liquid) สวนซีกขวาจะเปน
ไออิ่มตัว(Saturated vapour) ในการเขียนกราฟคุณสมบัติอื่นๆก็จะเกิดโคงรูปภูเขา ซึ่งแสดงดวยเสนปะนี้
เชนกันเพียงแตวาโคงภูเขานี้ อาจะเบี้ยวซายหรือขวาเทานั้น
ตาราง ตัวอยาง จุดวิกฤตของสารบางชนิด
ชนิดสาร อุณหภูมิ, oC ความดัน,MPa ปริมาตรจําเพาะ ความหนาแนน
m3/kg kg/ m3
น้ํา 374.14 22.09 0.003155 317
CO2 31.05 7.39 0.002143 467
O2 –118.35 5.08 0.002438 410
N2 –146.95 3.39 0.003215 311
H2 –239.85 1.3 0.032192 31
CH4 –82.75 4.6 0.00615 163
ไอ ไอ
จุดสามเชิง จุดสามเชิง
เสนของแข็ง-ไอ เสนของแข็ง-ไอ
T T
(ก) สารพวกขยายตัวเมื่อ (ข) สารพวกหดตัวเมื่อ
รูปที่1.5
ตารางจุดสามเชิงของสารบางอยาง ( Some Solid-Liquid-Vapor Triple Point Data )
ชนิดสาร อุณหภูมิ, °C ความดัน,kPa
CO2 -56.6 517
จุดวิกฤต T4
P ของเหลว ไอ
T1 T2 T3
ของเหลว+ไอ
เสนอุณหภูมิคงที่ T=C
v
รูปที่ 1.6 แผนภูมิ P-v
จุดวิกฤต P4
T P3
P2
P1
เสนความดันคงที่ P=C
v
รูปที่ 1.7 แผนภูมิ T-v
ตารางคุณสมบัติทางอุณหพลวัต
จากตารางคุณสมบัติทางอุณหพลวัต จะเห็นวา มีคุณสมบัติที่ยังไมไดกลาวถึง คือ พลังงานภายในจําเพาะ
(Specific Internal Energy) เอนทัลปจําเพาะ(Specific Enthalpy) และเอนโทรปจําเพาะ(Specific Entropy)
พลังงานภายในจําเพาะ ในบางครั้งอาจจะเขียนสั้นๆวาพลังงานภายใน u (Internal Energy) มีหนวย kJ/kg ซึ่ง
uf หมายถึงพลังงานภายในจําเพาะของของเหลวอิ่มตัว สวน ug หมายถึงคาพลังงานภายในจําเพาะของไอ
อิ่มตัว และ ufg = ug-uf พลังงานภายในจําเพาะไดมาจากการคํานวณจากคาที่ไดจากทดลองทางตรงหรือ
ทางออม โดยกําหนดคา 0 (ศูนย) ที่ภาวะตามสะดวกเชน น้ําจากตารางน้ําหรือตารางไอน้ํา กําหนดพลังงาน
ภายในจําเพาะเปน 0 สําหรับของเหลวอิ่มตัว ณ อุณหภูมิ 0.01°C(อุณหภูมิจุดสามเชิง) สวนคาที่ภาวะอื่นๆก็
ไดจากการทดลอง ทางตรงหรือทางออม อยางไรก็ตามจะเห็นกันตอไปวา ในการใชงานใชคาแตกตางของ
พลังงานภายใน ไมไดใชคา สัมบูรณ(Absolute )ของมัน จึงไมเปนปญหา เอนทัลปจําเพาะ ในบางครั้ง
อาจจะเขียนสั้นๆวาเอนทัลป h (Enthalpy) มีหนวย kJ/kg คือคาที่เกิดจากผลบวกของพลังงานภายในกับคา
ผลคูณของปริมาตรจําเพาะกับความดันหรือ h = u + P.v ดังนั้นตารางน้ํา คาเอนทัลปก็มาจาก u + P.v
100kN/m 2 × 6 × 10 × 4m 3
วิธีทํา m=
PV
RT
=
0.287kJ/(k g.K) × (273.15 + 25)K
= 280.5 kg
ตัวอยางที่ 1.13 จงหา v ของไอน้ํา P = 1000 kN/m2 (1MPa) T=300° C(573K)
RT 8.3143 × 573
วิธีทํา v = =
3
= 0.265m / kg
PM 1000 × 18
คาถูกตองใช ตารางน้ําไอรอนยวดยิ่ง P = 1 MPa , T = 300 C v = 0.25794 m3/kg
การคํานวณขางตนไอน้ําความดันประมาณ 10 เทาบรรยากาศ คลาดเคลื่อนประมาณ 3% เทานั้น
4 งาน และความรอน
งานและความรอนเปนพลังงานในกลุมเดียวกัน คือเปนพลังงานที่เคลื่อนเขาออกจากมวล หรือระบบ
ไมไดอยูกับมวล
งาน คือการออกแรงใหมวลเคลื่อนที่ไปตามทิศทางของแรง
2
δW = Fdx หรือ W = ∫ Fdx หรือ W = F * x ………………(1.5)
1
2
δw = (F/m)dx หรือ w = ∫ (F/m)dx หรือ w = (F/m) * x ………………(1.5a)
1
งานที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงปริมาตรของของไหล
งานนี้มักจะเกิดขึ้นในลูกสูบกระบอกสูบ เชนในเครื่องยนต และเครื่องอัดอากาศเปนตน แมวาในทาง
ปฏิบัตินั้นจะเปนระบบเปด ก็อาจจะพิจารณาในชวงที่วาลวทุกอันปดอยูหรือเปนระบบปดไดดังรูปที่1.8
dL dL
P รศ. Pฤชากร จิรกาลวสาน
งานดานไฟฟา
การไหลของกระแสไฟฟาผานขอบเขตถือวาเปนการทํางานหรือกําลังงาน
ถาความตางศักย E โวลต พลังงานไฟฟาไหล dC คูลอมบ ในเวลา dt วินาที จะไดพลังงานไฟฟา
δW = EdC δW/dt = EdC/dt
o
W = E.I
o
หรือถาเปนกระแสไฟสลับ W = E.I.cos θ
o
W - วัตต , E - โวลต , I - แอมแปร, cos θ =Power Factor (ความตานทาน cos θ = 1)
ความรอน
เปนพลังงานที่ถายเท หรือที่ตองเคลื่อนผานขอบเขตของระบบจากที่อุณหภูมิสูงไปสูที่มีอุณหภูมิต่ํา
Q = ความรอนทั้งหมด
q = ความรอนตอหนวยมวลของระบบ =Q/m
ความรอนคลายงานคือนอกจากจะขึ้นกับภาวะแลวยังขึ้นกับกระบวนการดวย จึงนิยมเขียน δQ แทน dQ
2 2 2
จะไมเขียน ∫ δQ = Q2 − Q1 แตจะเขียน ∫ δQ = 1Q 2 หรือเขียน ∫ δQ = Q
1 1 1
• δQ
Q = อัตราการถายเทความรอน
dt
หนวยของความรอน ก็เปนหนวยของพลังงานคือ J , W
เครื่องหมาย
ความรอนเขาสูระบบ ใชเครื่องหมาย + (บวก)
ความรอนออกจากระบบ ใชเครื่องหมาย – (ลบ)
สรุปความรอนและงาน ตางก็เปนพลังงาน แตเปนพลังงานกลุมที่ตองถายเทหรือเคลื่อนยายตําแหนง
5 พลังงานทั้งหมด (Total Energy, E )
พลังงานกลุมที่สองที่จะกลาวถึงเปน พลังงานกลุมที่อยูกับมวลหรือระบบ จะเรียกวาพลังงานทั้งหมด หรือ
พลังงานรวมของมวล คือพลังงานจลน พลังงานศักย และพลังงานภายใน
พลังงานจลน เปนพลังงานที่อยูกับระบบหรือมวลจํานวน m kg อันเนื่องมาจากการเคลื่อนที่ดวยความเร็ว
V m/s มีสูตรดังนี้
KE =mV2/2 ………….(1.8)
ke = V2/2 ………….(1.8a)
โดย KE เปนพลังงานจลนทั้งหมด หนวย kJ สวน ke พลังงานจลนตอหนวยมวล หนวย kJ/kg
พลังงานศักย เปนพลังงานที่อยูกับระบบหรือมวลจํานวน m kg อันเนื่องมาจากแรงดึงดูดหรือแรงโนมถวง
g m/s2 มีสูตรดังนี้
PE = mgZ …………….(1.9)
pe = gZ …………….(1.9a)
โดย KE เปนพลังงานศักยทั้งหมด หนวย kJ สวน pe พลังงานศักยตอหนวยมวล หนวย kJ/kg
พลังงานภายใน เปนพลังงานที่อยูกับระบบหรือมวล เปนคาที่กําหนดขึ้นมาเพื่อใชงาน เฉพาะงานนั้นๆ เชน
งานดานพลังงานทั่วไปที่ไมมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีหรือไมมีการเกิดปฎิกริยาลูกโซของสารกัมมันตภาพ
รังสี ก็มักจะกําหนดคาศูนยหรือคาอะไรก็ไดที่สะดวก ใหแกสาร เชนน้ํา ที่เปนของเหลวอิ่มตัวให uf = 0
kJ/kg ที่อุณหภูมิ 0.01 oC ซึ่งเปนอุณหภูมิจุดสามเชิง สําหรับสารทําความเย็นมักนิยมใชเอนทัลปเปนหลัก แต
เดิมจะใชมาตรฐานที่อุณหภูมิ -40 oC โดยให hf= 0 kJ/kg ปจจุบันจะใหมาตรฐานที่ 0 oC แตให hf= 200 kJ/kg
สวนที่ภาวะอื่นๆก็หาไดจากกการทดลองทางตรงหรือทางออม และใชกฎขอที่หนึ่งชวย แลวใสเปนตารางไว
หรือ ∫ δQ = ∫ δW ………(1.10a)
ตัวอยางที่1.18 ตูเย็นใชไฟฟา 200 W เปดประตูตูเย็นคางทิ้งไว จะมีความรอนเขาหรือออกจากหองเทาไร?
วิธีทํา เนื่องจากตูเย็นน้ํายาหรือสารทําความเย็นขางในทํางานเปนวัฏจักร ตามที่กลาวมาแลวในบทแรก
• • •
∴∑Q = ∑W ∴ QL – QH = –200 หรือ QNET = –200 W
O • O •
•
Q L + 97.2 = +30
•
Q L = 30 – 97.2 = –67.2 kW
มีความรอนถายเทออกมาจากวัฏจักร 67.2 kW
กฎขอที่1 เมื่อดําเนินเปนกระบวนการ (PROCESS)
จากการที่ระบบปดเปนวัฏจักร ∫ δQ = ∫ δW หรือ ∑ Q = ∑ W ซึ่งในความหมายของวัฏจักรก็คือไมมีการ
o o
เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติใดๆรวมทั้งพลังงานรวมของมวลของระบบปดดวย(เพราะกลับสูภาวะเดิม) ซึ่งถา
เปนกระบวนการ(Process)ก็ตองมีการเปลี่ยนแปลงของพลังงานรวมของมวล(พลังงานทั้งหมด ΔE)แนนอน
นั่นก็คือพลังงานที่เคลื่อนที่เขาลบดวยพลังงานที่เคลื่อนที่ออก ตองเทากับการเปลี่ยนแปลงของพลังงานรวม
ของมวล หรือเขียนไดดังนี้
∫ δQ = ∫ δW + ΔE หรือ ∑ Q = ∑ W + ΔE ……………(1.11)
พลังงานทั้งหมด E = U+KE+PE
กฎขอที่ 1 สําหรับกระบวนการ สามารถเขียนโดยละเอียดไดดังนี้
δQ = dU + d(mV2/2)+d(mgZ) +δW …………(1.12)
หรือ δq = du + d(V2/2) + d(Zg) + δw ………….(1.12a)
∴ 1Q 2 = (U2-U1) + (mV22/2 - mV21/2) + (mgZ2-mgZ1)+ 1W2………(1.12b)
Q = ΔU+ΔKE+ΔPE+W ………(1.12c)
2 2
1q 2= (u2-u1) + (V 2-V 1)/2+(Z2-Z1)g + 1w2 ………(1.12d)
ตัวอยางที่1.20 ถาใสงานเขาไป และมีความรอนถายออกดังรูปที่1.13 จงหาการเปลี่ยนแปลงพลังงาน
ภายใน?
W =5000 kJ วิธีทํา จากกฎขอ1จากสมการ(1.12c) Q = ΔU+ΔKE+ΔPE+W
ทั่วไป ΔKE & ΔPE จะนอยมากเมื่อเทียบกับคาอื่นๆ
∴ Q = ΔU + W
ΔU =?
Q = -1500 kJ , W = -5000 kJ
-1500 = ΔU -5000
ΔU = 5000 - 1500 = +3500 kJ ถาไมมีความรอน Q ถายออก ΔU= 5000 kJ
การประยุกตกฎขอที่ 1 กับงานหรือกําลังดานไฟฟา
มอเตอรไฟฟา มอเตอรไฟฟาคือเครื่องแปลงพลังงานไฟฟาหรือกําลังไฟฟา(WE)เปนพลังงานกลหรือ
กําลังกล(Wmech) โดยพลังงานกลที่ไดจะนําไปใชทําอะไรก็ไดตามที่ตองการ เชนหมุนพัดลม ขับเคลื่อนลิฟต
ปมน้ํา คอมเพรสเซอร เปนตน ดังรูปที่1.14 ถาเอามอเตอรเปนระบบปด อาศัยกฎขอที่1จะได
Q Q = ΔU + ΔKE + ΔPE + W
U1 Wmech U2 ΔKE =0, ΔPE = 0 และให⏐⏐หมายถึงตัวเลขบวก
จะตองขึ้นกับอุณหภูมิอยางเดียวเชนกัน ฉะนั้นจะเขียนไดงายๆเปน CP = dT
dh
หรือ dh = CPdT หรือ
2
Δh = h 2 − h1 =
∫ C dT หรือถาใชคาเฉลี่ย CP,av จะได Δh = h2-h1= CP,av(T2-T1)………(1.20)
1
P
ถามีการเปลี่ยนสถานะใชไมได
หรือในหนวยโมล ก็เขียนดังนี้
2
Δh = h 2 − h1 =
∫ C dT kJ/kmol
1
P Δh = h 2 − h1 = CP (T2 − T1 ) kJ/kmol …………..(1.21)
ถาตองการหาคาการเปลี่ยนแปลงของเอนทัลปทั้งหมดเปน kJ สูตรในหนวยตอ kg ก็ตองคูณดวย มวล m
เปน kg แตถาเปนสูตรในหนวยกิโลโมลก็ตองคูณดวยมวล n เปน kmol
Cpo ของกาซสมบูรณซึ่งขึ้นกับอุณหภูมิ ไดมีการทําเปนสูตรดังแสดงอยูในตารางที่ ผ-3 และสําหรับคาที่
อุณหภูมิ 298K(25oC),100kPa ดังแสดงในตารางที่ ผ-2
ขอควรทราบ กาซ อะตอมเดี่ยว(Mono atom) เชน อารกอน นีออน ฮีเลี่ยมเปนตน จะมีคา CP คงที่ คือ
เทากับ 20.8 kJ/(kmol.K) ทุกกาซ คืออุณหภูมิเทาใดคาก็เทาเดิม
บอยครั้งที่เขียน สัญลักษณ CP0 หรือ CV0 (มีศูนยกํากับ) เพื่อใหทราบวาเปนกาซสมบูรณ
Cpo และ Cvoของกาซสมบูรณมีความสัมพันธคือ
Cpo - Cvo = R หรือ CPO − CVO = R = 8.314 …………(1.22)
เปดตารางคุณสมบัติทางอุณหพลศาสตร และเทียบกับวิธีใชกฎกาซสมบูรณ
วิธีทํา1 จากตาราง h1 = 2879.52 kJ/kg , h2 = 3278.89 kJ/kg
∴Δh = 3278.89 - 2879.52 = 399.37 kJ/kg (ถูกตองที่สุด)
วิธีทํา 2 ถาตองการคาประมาณ อาจจะใชคาที่ 25oC ตารางที่ ผ-2 Cpoไอน้ํา = 1.872 kJ/kg.K
∴Δh = CpΔT = 1.872 x (400-200) = 374 kJ/kg.
[ คลาดเคลื่อน (399.4-374)/399.4 = 6.4% ]
7 กฎขอที่1 ของอุณหพลศาสตรสําหรับระบบเปด/ปริมาตรควบคุม
ในการใชงานจริง มักจะเปนระบบเปด หรือนิยมเรียกวาปริมาตรควบคุม คือมีการไหลของมวลสารเขาออก
จากระบบ โดยทั่วไปปริมาตรควบคุมมักจะหมายถึงปริมาตรภายในของเครื่องหรืออุปกรณที่ใชงาน เชน
ปริมาตรภายในกระบอกสูบเครื่องยนตเปนตน
กฎการอนุรักษมวลสาร
กฎการอนุรักษมวลนี้ อาจจะเรียกไดวาเปนสามัญสํานึกก็วาได เพราะจะเคยชินมาตั้งแตเด็กเชน มีเงินใน
กระเปา(เปรียบเหมือนปริมาตรควบคุม)ในตอนแรก 100 บาท ไดเงินมา 50 บาท(เปรียบเหมือนมวลไหลเขา)
ใชไป(เปรียบเหมือนมวลไหลออก) 25 บาท ขณะนี้เหลือเงินในกระเปา(ปริมาตรควบคุม) 125 บาท ซึ่งทุก
คนก็ทราบกันดีวา เงินที่มีอยูตอนแรกรวมกับเงินที่ไดมา ยอมเทากับเงินที่มีอยูตอนหลังรวมกับเงินที่ใชไป
จากรูปที่1.18 มวลที่ไหลเขา mi1, mi2และ mi3 มวลที่ไหลออก me1 และ me2 มวลที่อยูภายในปริมาตรควบคุม
ตอนแรก(1) mcv1 และมวลที่อยูภายในปริมาตรควบคุมตอนหลัง(2) mcv2 ก็ตองมีความสัมพันธกันดังนี้
Δt
= ∑ mi − ∑ m
e
………(1.23a)
กฎการอนุรักษพลังงาน
โดยสมมุติพลังงานตางๆดังรูปที่ 1.18 ภาวะที่1 คือมวลที่อยูภายในปริมาตรควบคุมภาวะที่1 ซึ่งมีพลังงาน
รวมของมวลทั้งหมด E1 สวนภาวะที่2 คือมวลที่อยูภายในปริมาตรควบคุมภาวะที่ 2 ซึ่งมีพลังงานรวมของ
มวลทั้งหมด E2 สําหรับมวลที่ไหลเขาทั้งหมด mi1, mi2และ mi3 ตางก็มีเอนทัลป hi1, hi2และ hi3 ตามลําดับ
มวลที่ไหลออกทั้งหมด me1 และ me2 ตางก็มีเอนทัลป he1, และ he2 ตามลําดับ ความรอนเขา Q และไดงาน
ออกมา W จากปริมาตรควบคุม(ระบเปด) สามารถอาศัยกฎขอที่1ของอุณหพลศาสตรหาความสัมพันธของ
พลังงานไดตามบรรณานุกรม สรุปไดดังนี้
W[ในชวงเวลา(1)ไป(2)]
ปริมาตรควบคุม ปริมาตรควบคุม
(ระบบเปด) (ระบบเปด)
mi1,hi1 Q[ในชวงเวลา(1)ไป(2)]
mCV1,ECV1 mCV2,ECV2
me1,he1
mi2,hi2
mi3,hi3 me2,he2
(1) รูปที่ 1.18 (2)
Q = ECV2– ECV1+me1 (h+ke+pe)e1+ me2 (h+ke+pe)e2–[ mi1(h+ke+pe )i1+ mi2 (h+ke+pe)i2+mi3(h+ke+pe)i3]+W
Q = ECV2– ECV1 +Σ me (h + ke+pe )e– Σ mi (h + ke + pe )i + W ………….(1.24)
หรือ Q = ECV2– ECV1 +Σ me (h + V2/2+Zg )e – Σ mi (h + V2/2+Zg )i + W …………...(1.24a)
หรืออัตราการเปลี่ยนแปลงพลังงานก็สามารถเขียนไดดังนี้
o o 2 o 2 o
Q = CV +Σ m e (h + V /2+Zg )e –Σ m i (h + V /2+Zg )i + W ………….(1.24b)
dE
dt
ECV1=mCV1(u+V2/2+Zg)CV1…(1.25) ECV2=mCV2(u+V2/2+Zg)CV2…(1.25a) dECV ECV2 − ECV1
dt
=
Δt
…(1.25b)
ระบบเปดแบบมวลไหลเขาเทากับมวลไหลออก(Steady Flow Process)
ในการใชงานทางดานวิศวกรรมมักจะเปนระบบเปดที่มวลไหลเขาทั้งหมดเทากับมวลไหลออกทั้งหมด
หรือมวลไหลเขาสูระบบเปดเทาไรก็ถูกทําใหไหลออกไปหมด หรือสมการของกฎการอนุรักษมวลก็จะเปน
Σmi = Σme ……………..(1.26)
• •
Σ m i = Σ m e …………….(1.26a)
นั่นก็หมายถึงวาพลังงานทั้งหมดที่อยูภายในระบบเปดก็จะไมมีการเปลี่ยนแปลงหรือ ECV1= ECV2 สมการ
ของพลังงานก็จะเปน
Q = Σ me (h + V2/2+Zg )e – Σ mi (h + V2/2+Zg )i + W หนวย kJ……………….(1.27)
หรือเขียนในรูปตอหนวยเวลาดังนี้
• • •
= Σ m e (h + V2/2+Zg )e – Σ m i (h + V2/2+Zg )i + W หนวย kW …………….(1.27a)
•
Q
กรณีพลังงานจลนและพลังงานศักยเปลี่ยนนอยมาก
Q = Σ me he – Σ mi h i +W หนวย kJ ……..…….(1.27b)
• • •
= Σ m e he – Σ m i h i + W
•
Q หนวย kW ……….(1.27c)
สมการอนุรักมวลขางบน ตองจดจําเปนสํานึกทางดานวิศวกรรม ตัวอยางเชน ของไหลที่ไหลในทอเล็กตอ
กับทอใหญดังรูปที่1.19 ถาอัตรามวลไหลในทอเล็ก 5 kg/s ตองตอบไดทันทีโดยไมตองคิดวาอัตรามวลไหล
ในทอใหญก็ตองเปน 5 kg/s เชนกัน
2
1
ถาตองการหาความเร็วเฉลี่ยในทอแตละทอก็
m1=5 kg/s m2=?
ตองตอบไดทันทีวา V1= v1.m / A1, V2= v2.m / A2
รูปที่ 1.19 (V =ความเร็วเฉลี่ยในทอ)
งานทางดานวิศวกรรมสวนใหญสําหรับระบบเปดมักจะมีมวลไหลเขา1 ชองไหลออก1ชอง สมการ(1.26a)
• • •
ก็จะกลายเปน m i = m e = m และสมการ (1.27) และ(1.27a) ก็จะเขียนไดดังนี้
Q = m [(he-hi) + (V2e/2 -V2i/2) + g (Ze-Zi)] +W หนวย kJ ………..(1.27d)
หรือ Q = m [Δh + Δke + Δpe] +W ………..……………(1.27e)
• •
= m [(he-hi) + (V2e/2 -V2i/2) + g (Ze-Zi)] + W
•
Q หนวย kW ………..(1.27f)
• •
= m [Δh + Δke + Δpe] + W
•
หรือ Q ………..……………(1.27g)
•
หารสมการ(1.27f)และ(1.27g) ดวย m จะไดสมการที่เสมือนกําหนดการไหลตอ 1 กก.ดังนี้
q = (he-hi) + (V2e/2 -V2i/2) + g (Ze-Zi)+w หนวย kJ/kg………….. (1.27h)
q = Δh + Δke + Δpe +w ………………….. (1.27i)
ตามที่เคยกลาวมาแลววาการเปลี่ยนแปลงพลังงานจลน และพลังงานศักย มักจะละเวนได ก็จะไดวา
• •
= m Δh + W
•
Q หนวย kW …………(1.27j)
Q = Δh + W หนวย kJ ………(1.27k)
q = Δh +w หนวย kJ/kg ………(1.27l)
อุปกรณในชีวิตประจําวันที่ทํางานเปน ระบบเปดแบบมวลไหลเขา-ออกเทากัน (Steady Flow)
นั่นคือปมน้ําที่ทํางานสมบูรณที่สุดคือไมมีความเสียดทานและไมมีความรอนถายเทจะใชกําลัง 20.2 kW
ตัวอยางที่ 1.24 อากาศภาวะ 100 kPa และ 280 K อัดดวยคอมเพรสเซอรใหมีภาวะ 600 kPa และ 400 K
อัตราการอัด 0.02 kg/s ขณะอัดมีความรอนถายออก 16 kJ/kg จงหากําลังที่ตองใชอัด
• •
= m Δh+ W
•
วิธีทํา จากสมการ (1.27j) ซึ่งละเวนพลังงานจลนและพลังงานศักย Q
• •
= m CP(Te–Ti)+ W
•
และสมมุติอากาศเปนกาซสมบูรณ Q
•
= m .q = 0.02x16 =0.32 kW
•
Q
•
i Pe<<PI W = +
• •
W ทางทฤษฎีถือวาไมมีการถายเทความรอน Q ∼0
• •
e รูปที่ 1.20 ดังนั้น W = – m Δh หรือ w = –Δh
ตัวอยางที่1.25 กังหันกาซ(Gas Turbine)ที่ไมมีการถายเทความรอน ไดกําลังออกมาที่เพลา 5 MW สมมุติ
ภาวะอากาศทางเขา P1=2 MPa, T1 = 1200 K, V1 = 50 m/s, Z1= 10 m ภาวะอากาศทางออก P2=100 kPa, T2
= 600 K, V2 = 180 m/s, Z2= 6 m (ก) ใหเปรียบเทียบ Δh , Δke และ Δpe (ข) จงหางานตอหนวยมวลของ
อากาศ (ค) จงหาอัตราไหลของมวลอากาศ
วิธีทํา (ก) Δh = CP(T2–T1)
คา CP ของอากาศ ถาใชคาประมาณที่ 25oC(298 K) คือ 1.004 kJ/(kg .K)
Δh = 1.004(600–1200) = –602.4 kJ/kg
ถาตองการคาละเอียดใชตารางที่ ผ-4.1 คุณสมบัติกาซสมบูรณของอากาศจะได
Δh = h2–h1= 607.316 – 1277.805 = –670.49 kJ/kg
Δke = V22/2 – V12/2 = 1802/2 – 602/2 = 14,950 J/kg= 14.95 kJ/kg
Δpe = g(Z2–Z1) = 9.81(6–10) = –39 J/kg = –0.039 kJ/kg
ขอสังเกต การเปลี่ยนแปลงพลังงาน จลน และพลังงานศักย เมื่อเทียบกับคา การเปลี่ยน เอนทัลป จะนอย
ดังนั้นในงานจริงๆทางวิศวกรรมมักจะถูกละเวน
(ข) การหางานตอหนวยมวลจากสมการ(1.27i) q = Δh + Δke + Δpe + w
q = 0 , สวนคาอื่นไดจากขอ (ก)
0 = –670.49+14.95 – 0.039 = –655.58+ w
งานตอหนวยมวล w = 655.58 kJ/kg
• •
(ค) การหาอัตราไหลของมวลอากาศ m = W /w = (5000kJ/s) / (657.69 kJ/kg ) = 7.63 kg/s
ตัวอยางที่1.26 กังหันไอน้ํา(Steam Turbine)ใชไอน้ําในอัตรา 1.5 kg/s และมีความรอนถายออก 8.5 kW
สมมุติภาวะไอน้ําทางเขา Pi=2 MPa, Ti = 350oC, Vi = 50 m/s, Zi= 6 m ภาวะไอน้ําทางออก Pe=0.1 MPa, xe
= 100%, Ve = 100 m/s, Ze= 3 m จงหากําลังที่ได
• •
= m [(he–hi) + (V2e/2 –V2i/2) + g (Ze–Zi)]+ W
•
วิธีทํา จากกฎขอที่1สมการ (1.27f) Q
•
m =1.5 kg/s , Q = –8.5 kW , จากตารางคุณสมบัติฯ hi = 3136.96 kJ/kg , he= 2675.46 kJ/kg, Vi= 50 m/s,
•
•
W = 10,000 x 100 x 9.81 W = 9,810,000 W = 9.81 MW.
ในทางปฏิบัติถากังหันมีประสิทธิภาพ 70% , เครื่องกําเนิดไฟฟามีประสิทธิภาพ 85% จะผลิตไฟฟาได =
9.81 x 0.7 x 0.85 = 5.84 MW
อุปกรณลดความดันและหลอดรูเล็กหรือแคพทิวบ(Expansion Valve&Capillary Tube)
อุปกรณลดความดัน โดยทั่วไปจะอาศัยความเสียดทานทําใหความดันลดลง
Pe<<Pi , w = 0 ของเหลวอิ่มตัวลดความดันใน Flash steam tank
i e รูปที่ 1.22
ทางทฤษฎีถือวาไมมีการถายเทความรอน q ∼ 0 he = hi
ดังนั้น Δh = 0 หรือ ของเหลวอิ่มตัว ไออิ่มตัว
ของเหลวอิ่มตัว
he = hi ……….(1.30)
กระบวนการลดความดันแบบอาศัยความเสียดทาน(Throttling Process)เอนทัลปจะคงที่เสมอ
ตัวอยางที่1.28 สารทําความเย็น 134a ไหลเขาหลอดรูเล็กในภาวะของเหลวอัด ดวยความดัน 1200 kPa
อุณหภูมิ 40oC และไหลออกดวยความดัน 101.3 kPa จงหาอุณหภูมิที่ลดลง และมีมวลที่กลายเปนไอเทาไร?
วิธีทํา จากหลักการของแคพทิวบ สมการ(1.30) ตือ he = hi ซึ่งสามารถแสดงบนแผนภูมิ (diagram ) P-h ดัง
รูป ถาใชตารางที่ใชมาตรฐาน hf= 200 kJ/kg ที่ 0oC สามารถหาคาตางๆไดดังนี้ P i ,1200 kPa
ภาวะ i เปนของเหลวอัด เปดตารางของเหลวอิ่มตัวแทน ที่อุณหภูมิ 40oC
หา h ได 256.54 kJ/kg, hi= he=256.54 kJ/kg ภาวะ e ความดันเปน 101.3 kPa e ,101.3 kPa
ซึ่งจะเปนจุดอิ่มตัวที่มีไอผสมของเหลว อานอุณหภูมิจากตาราง ได –26.3 C o h
รูปที่ 1.23
2 2
2 2
8 ประสิทธิภาพตางๆและวัฏจักรสองกลุมในชีวิตประจําวัน
ประสิทธิภาพตางๆที่ใชกันในชีวิตประจําวัน ซึ่งอาจจะกลาวไดวามีอยู 2 แบบใหญคือ
ประสิทธิภาพวัฏจักรและประสิทธิภาพของเครื่องหรืออุปกรณ
ประสิทธิภาพวัฏจักร
ประสิทธิภาพวัฏจักรจะใชก็ตอเมื่อเครื่องที่ทํางานเปนวัฏจักร ซึ่งอาจจะเปนวัฏจักรปดเชน โรงจักรไอน้ํา
(Steam Power Plant) เครื่องปรับอากาศหรือตูเย็น หรือวัฏจักรเปดเชนโรงจักรกังหันกาซ(Gas Turbine
Plant) รถยนตหรือเครื่องยนตสันดาปภายใน(Internal Combustion Engine)เปนตน
ประสิทธิภา พวัฏจักร = พลังงานที่ตองการได
…….(1.33)
พลังงานที่ตองเสียเง ินหรือเปรี ยบเหมือนต องเสียเงิน
ตัวอยางที่ 1.29 รถยนตคันหนึ่งใชน้ํามันเบนซินซึ่งคาความรอนเชื้อเพลิง 35,000 kJ/litre ขณะวิ่งดวย
ความเร็ว 60 กม./ชม.ใชน้ํามัน 10 กม./ลิตร พบวากําลังที่ใชขับเคลื่อน 15 kW จงหาประสิทธิภาพเครื่อง
วิธีทํา พลังงานที่ตองเสียเงิน = (60 km/h)/(10 km/litre) x (35,000 kJ/litre) = 210000 kJ/h = 58.3 kW
ประสิทธิภาพวัฏจักร = พลังงานที่ตองการใหได / พลังงานที่ตองเสียเงินหรือเปรียบเหมือนตองเสียเงิน
ประสิทธิภาพวัฏจักร = 15 / 58.3 = 0.26 =26%
ตัวอยางที่ 1.30 เครื่องปรับอากาศยี่หอหนึ่ง ทําความเย็นได 25 kW ใชไฟฟา 10 kW ประสิทธิภาพเทาไร?
เปนไปไดหรือไม?
วิธีทํา ประสิทธิภาพวัฏจักร = พลังงานที่ตองการใหได / พลังงานที่ตองเสียเงินหรือเปรียบเหมือนตองเสีย
เงิน
ประสิทธิภาพวัฏจักร = 25 / 10 = 2.5 = 250% เปนไปไดและเปนเรื่องธรรมดา
ตัวอยางนี้เชื่อวาคนสวนใหญมักจะสงสัยวาเปนไปไดหรือ? ซึ่งตองติดตามกันตอไป
ประสิทธิภาพของเครื่องหรืออุปกรณ
ประสิทธิภาพของเครื่องหรืออุปกรณ หมายถึงประสิทธิภาพของตัวเครื่อง เชน ปม คอมเพรสเซอร
มอเตอร หมอน้ํา อุปกรณแลกเปลี่ยนความรอน เปนตน ซึ่งอาจจะแบงไดเปน 3 แบบคือ
ก) ประสิทธิภาพของเครื่องหรืออุปกรณที่ไดพลังงานออกมา เชนลูกสูบรถยนต พิจารณาขณะที่วาล
ทั้งหมดปดสนิทไอเสียในกระบอกสูบขยายตัวไดัพลังงานหรือกําลังออกมา
ประสิทธิภาพของเครื่องหรืออุปกรณที่ไดพลังงานออกมา = พลังงานทีได
่ ออกมาจริง ……(1.34)
พลังงานทีได
่ ในอุดมคติ
จะเห็นไดวาประสิทธิภาพจะเกิน 1 (100%) ไมได
ข) ประสิทธิภาพของเครื่องหรืออุปกรณที่ใสพลังงานเขา เชน ปม และคอมเพรสเซอร
ประสิทธิภาพของเครื่องหรืออุปกรณที่ใสพลังงานเขา = พลังงานทีต่ องใชในอุดมคติ ….(1.35)
พลังงานทีต่ องใชจริง
จะเห็นไดวาประสิทธิภาพจะเกิน 1 (100%) ไมได
ค) ประสิทธิภาพของเครื่องหรืออุปกรณที่แปลงพลังงาน หรือถายเทพลังงาน เชน มอเตอร และหมอน้ํา
ประสิทธิภา พของเครื่อ งหรืออุปกร ณที่แปลงพ ลังงานหรือ ถายเทพลัง งาน = พลังงานที่ ไดออกมา ...(1.36)
พลังงานที่ ใสเขา
จะเห็นไดวาประสิทธิภาพจะเกิน 1 (100%) ไมได
สําหรับเครื่องยนตความรอน แหลงอุณหภูมิสูง(TH)คือแหลงพลังงานหรือแหลงความรอน
ประสิทธิภาพวัฏจักร นิยมเรียกประสิทธิภาพทางความรอน (Thermal Efficiency) หรืออาจจะเรียกสั้นๆวา
ประสิทธิภาพ ใชสัญลักษณ η th จากรูปจะไดวา
ประสิทธิภาพ η th = QW …………(1.37)
H
แหลงอุณหภูมิสูง TH
QH
คอนเดนเซอร(Condenser)
W TH
วาลวระเหยสารทําความเย็น QH
(Expansion Valve)
คอมเพรสเซอร W ใสเขา
เครื่องระเหย(Evaporator) QL
QL TL รูปที่ 1.27
รูปที่ 1.26
แหลงอุณหภูมิต่ํา TL
ประสิทธิภาพวัฏจักร นิยมเรียกสัมประสิทธิ์สมรรถนะ (Coefficient of Performance) หรืออาจจะเรียกสั้นๆ
วาประสิทธิภาพ ใชสัญลักษณ COP
วัฏจักรนี้ถาใชเปนเครื่องทําความเย็น ก็หมายถึงตองการรักษาแหลงอุณหภูมิต่ําไวใหอุณหภูมิต่ําคงที่
ตลอดเวลา เชนหองปรับอากาศหรือหองเย็น จากรูปจะไดวา
ประสิทธิภาพเครื่องทําความเย็น COPR = QWL ……..(1.39)
จากกฎขอที่1 ได W = QH–QL
COPR =
QL
=
1
Q H − QL QH /Q L − 1
………….(1.40)
จากสมการจะเห็นไดวาประสิทธิภาพสําหรับเครื่องทําความเย็น(Refrigerator) จะต่ํากวาหรือสูงกวาหรือ
เทากับ 1 (100%) ก็เปนไปได เปนการพิสูจนตัวอยางที่ผานมา ที่มีคนจํานวนมากมักจะสงสัยวาประสิทธิภาพ
เกิน 100% ไดอยางไร วัฏจักรนี้ถาใชเปนฮีตปม ก็หมายถึงตองการรักษาแหลงอุณหภูมิสูงไวใหอุณหภูมิสูง
คงที่ตลอดเวลา เชนในบานเรือนในประเทศหนาว จากรูปเดิมถาเปนประเทศหนาวตองการความรอน QH
ประสิทธิภาพก็จะตองเปนดังนี้
ประสิทธิภาพฮีตปม COPHP = QWH …………………(1.41)
จากกฏขอที่1 ได W = QH– QL
COPHP =
QH
=
1
Q H − QL 1 − QL /Q H
………….(1.42)
จากสมการจะเห็นไดวาประสิทธิภาพสําหรับฮีตปม(Heat Pump) จะตองสูงกวา 1 (100%) เสมอ หรือ
ประสิทธิภาพต่ํากวา 100% จะเปนไปไมได หรือเลวรายที่สุดคือเทากับ 100% คือเปนฮีตเตอรไฟฟา( Eletric
Resistance Heater) นั่นเอง หรือกลาวงายๆถามีกําลังไฟฟา 100 kW ตองการความรอน อาจจะทําได 2 วิธี
วิธีที่1 ใชฮีตเตอรไฟฟา ความรอนที่ไดคือ100 kW เกินไมได วิธีที่2 ใชฮีตปมจะตองเกิน 100 kW เสมอเชน
ได 200 kWก็เปนเรื่องธรรมดา
ถาเอาสมการ(1.41) ลบดวยสมการ(1.40) จะได
COPHP- COPR = 1 …………………(1.43)
จากสมการนั่นคือในเครื่องเดียวกันนี้ถาการใชทําความรอน ยอมมีประสิทธิภาพมากกวาใชทําความเย็น
เทากับ 1 (100%)
เครื่องปรับอากาศ ก็คือเครื่องทําความเย็น ในตลาดประเทศไทยยังนิยมใชหนวยอังกฤษอยูโดยที่ขนาดทํา
ความเย็น( QL )ใชหนวย บีทียู/ชม.(Btu/h) ขณะที่กําลังไฟฟา(W)ใชเปน วัตต(W) ซึ่ง ก็จะมีหนวยเปน (บีทียู/
ชม.) / วัตต หรือ Btu/h/W ซึ่งมักจะไมบอกหนวยโดยใชเรียกชื่อใหมวา อีอีอาร(EER=Energy Efficiency
Ratio or Rating) นั่นคือ คา COP = EER/3.412 ตัวอยางเชนเครื่องปรับอากาศเบอร5 ซึ่งมี อีอีอาร 10.6 ซีโอ
พีก็คือ 10.6/3.412 = 3.11 นั่นเอง นอกจากนี้ในวงการปรับอากาศยังนิยมกลาวเปนสวนกลับของ
ประสิทธิภาพคือ กิโลวัตตตอตัน (kW/TR) ซึ่งเปนการบอกวาการที่เครื่องทําความเย็นได 1 ตันหรือ 12,000
บีทียู/ชมหรือ 3.517 กิโลวัตตความเย็น ตองใชไฟฟาเทาไร? นั่นก็คือ
COP = 3.517/(kW/TR) ตัวอยางเชนเครื่องปรับอากาศที่ใชไฟฟา 1.13 kW/TR ก็คือเครื่องปรับอากาศมี
ประสิทธิภาพ COP = 3.517/1.13 = 3.11
ตัวอยางที่ 1.32 ตูเย็นทั่วไปมักจะมีประสิทธิภาพ(COP) ประมาณ 1.1 หรือ 110% ความรอนจากหองเขา
ตูเย็น 0.20 kW ถานําเนื้อสัตวจํานวนหนึ่งที่อุณหภูมิหองเขาแชใชเวลา 5 ชม จะมีอุณหภูมิเทากับ-20oC ซึ่ง
เทากับอุณหภูมิชองแชแข็งพอดี สมมุติความรอนที่ออกจากเนื้อสัตวทั้งหมด 1750 kJ จงหากําลังเฉลี่ยที่
เครื่องทําความเย็นใช และจงหาความรอนที่เขาหองสุทธิในชวงเวลา 5 ชม. หลังจาก 5 ชม.แลวถา
ประสิทธิภาพเครื่องทําความเย็นคงเดิม กําลังที่ตองใชและอัตราความรอนเขาหองจะเปนเทาไร?
T 1 , P1 T 2 , P2 T 1 , P1 T 2 , P2
Q = 5 J รูปที่1.31 Q = -5 J Q = 5 J รูปที่1.32 Q = -7 J
เปนกระบวนการยอนกลับไดเพราะ ตอนเปลี่ยน เปนกระบวนการยอนกลับไมไดเพราะตอนเปลี่ยน
กลับปริมาณงานที่ใสเขาเทากับงาน ที่ไดออกมา กลับปริมาณงานไมเทาเดิม และปริมาณความรอน
และปริมาณความรอนที่ออกมาก็เทากับความรอน ก็เชนกัน ซึ่งแมวาเปนไปตามกฎขอที่1คือ
ที่ใสเขาตอนแรก + 5 – 7 = + 8 – 10 ก็ตาม
สาเหตุ 4 อยาง ที่ทําใหกระบวนการตางๆ ยอนกลับไมได
1. แรงเสียดทาน
2. การขยายตัวของของไหลที่ไมไดงานหรือกําลังออกมา
3. การถายเทความรอนทั่วไป ยกเวนถาอุณหภูมิแตกตางกันนอยมาก (dT→0)
4. การผสมสาร 2 ชนิด
ปม กังหัน
(กังหัน) (คอมเพรสเซอร) Wnet
คอนเดนเซอร
(เครื่องระเหย)
4 TL±dTL 3
QL QL
TL (แหลงอุณหภูมิต่ํา) รูปที่ 1.33
วัฏจักรคารโนต คือวัฏจักรยอนกลับไดทั้งภายนอกและภายใน(Totally Reversible Cycle) นั่นคือวัฏจักรนี้จะ
สามารถเปลี่ยนสลับจากเครื่องยนตความรอนเปนเครื่องทําความเย็นได โดยที่ปริมาณความรอนตางๆและงานจะ
เทาเดิมเพียงแตเปลี่ยนทิศทางเทานั้น
วัฏจักรคารโนตประกอบดวยกระบวนการตางๆ 4 กระบวนการดังนี้
1→2 หมอน้ํา (หรือเปลี่ยนหนาที่เปน- คอนเดนเซอร) กระบวนการถายเทความรอนยอนกลับได(dTH→0)
โดยอุณหภูมิคงที่ (Reversible isothermal process)
2→3 กังหัน (หรือเปลี่ยนหนาที่เปน-คอมเพรสเซอร) กระบวนการลดความดันแบบยอนกลับไดไมมีการ
ถายเทความรอน ไดงานออกมา(Reversible adiabatic process
3→4 คอนเดนเซอร (หรือเปลี่ยนหนาที่เปน-เครื่องระเหย) คลาย 1→2 คือกระบวนการถายเทความรอน
ยอนกลับได (dTL→0)โดยอุณหภูมิคงที่
4→1 ปม (หรือเปลี่ยนหนาที่เปน-กังหัน) คลายกระบวนการ 2→3 คือกระบวนการเพิ่มความดันแบบ
ยอนกลับไดไมมีการถายเทความรอน มีการใสงานเขาไป
ถาสามารถสรางวัฏจักรยอนกลับได(วัฏจักรคารโนต)ดังกลาว ก็จะเปนวัฏจักรที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ซึ่ง
สามารถพิสูจนไดโดยอาศัยกฎขอที่2ของอุณหพลศาสตร ดังปรากฎในบรรณานุกรม ผลสรุปไดวาวัฏจักรคาร
โนต ความรอนเขาและออกจะมีความสัมพันธกับแหลงอุณหภูมิสูงและต่ําดังตอไปนี้
QL T
วัฏจักรคารโนต Q
= L
T
………….(1.44)
H H
หรือ QL
TL
Q
= H
TH
………….(1.44a)
หรือ QH QL
TH
−
TL
=0 ………….(1.44b)
ซึ่งสมการ(1.44b)มีความหมายดังนี้ ∫ δTQ = 0 …..(1.44c)
เครื่องยนตความรอนแบบคารโนต (CARNOT HEAT ENGINE)
เครื่องยนตความรอนใดๆ ηth = QW = QHQ− QL
H H
แตสําหรับวัฏจักรคารโนต QL / QH = TL / TH จะได
∴ηth,CARNOT = THT− TL หรือ ηth,CARNOT = 1 − TTL ……………(1.45)
H H
จากสมการจะเห็นไดวาคาอุณหภูมิจะติดลบไมได เพราะถาติดลบก็หมายถึงวัฏจักรคารโนตเองจะมี
ประสิทธิภาพเกิน 100% อุณหภูมิที่ต่ําที่สุดคือ 0 หรืออุณหภูมิสัมบูรณ ซึ่งจะเปน องศาเคลวิน(K) หรือองศา
แรงคิน(R)ซึ่งใชในหนวยอังกฤษก็ได ทั้งหมดไดมาโดยอาศัยกฎขอที่2ของอุณหพลศาสตร จะเห็นวาได
ประโยชนมากทีเดียว เพราะทําใหแคบเขา เพราะจากที่ไดกวางๆวาประสิทธิภาพของเครื่องยนตความรอนตอง
ต่ํากวา 100% ตอนนี้ไดวา ถามนุษยเกงสุดๆขึ้นมาอีกสักกี่รอยกี่ลานปก็ตาม ประสิทธิภาพของเครื่องยนตความ
รอน ก็ไมเกิน 1- TL/ TH
ตัวอยางที่ 1.33 ถาโรงจักรไอน้ําที่การไฟฟาฝายผลิต ใชน้ําในแมน้ําระบายความรอนซึ่งมีอุณหภูมิ 30°C ถากาซ
รอนจากเชื้อเพลิงตมหมอน้ํา 600°C ถาวิศวกรผูหนึ่งบอกทานวาโรงจักรนี้มีประสิทธิภาพทางอุณหพลวัต 70%
ทานคิดวาเปนไปไดหรือไม
TH=600+273 วิธีทํา ηth,Carnot = THT− TL = (600 + 273 ) − ( 30 + 273 )
600 + 273
= 65.29%
H
จะเห็นไดวา แมวาจะไมมีความเสียดทานหรือ
หมอน้ํา
WP กังหัน Wnet การสูญเสียใดๆ ประสิทธิภาพก็ยังแค 65.29% ดังนั้น
ปม ประสิทธิภาพ 70% จึงเปนไป ไมได เพราะเกินวัฏจักร
คารโนต
คอนเดนเซอร
รถยนตที่ใชอยูทุกวันนี้ประสิทธิภาพ
TH=30+273 ไมเกิน 35% คิดวาเปนอยางไร?
ในทํานองเดียวกันฮีตปมใดๆ COPHP = QH
QH − QL
ฮีตปมแบบคารโนต COPHP,CARNOT = TH
TH − TL
…………(1.47)
วิธีทํา COP
R =Q L Q L 53
W
=
o
=
16
= 3.3
W
273 + 25
COPCARNOT = TL
=
TH − TL (273 + 35) − (273 + 25)
= 29.8 = 2980 %
ตัวอยางที่ 1.35 ในฤดูหนาวที่ดอยสุเทพ ถาอากาศภายนอกอุณหภูมิ 0°C ตองการปรับอุณหภูมิภายในอาคารที่
20°C ถาทราบวาความรอนถายออกภายนอกอาคาร 50 kW จงหากําลังอยางนอยที่สุดที่ตองใชกับฮีตปม?
วิธีทํา เนื่องจากยังไมไดเรียนวัฏจักรเครื่องทําความเย็น/สูบความรอนที่ใกลทางปฏิบัติมากกวาวัฏจักรคารโนต
ดังนั้นจะใชวัฏจักรคารโนตเปนหลัก
COPHP,CARNOT = TH / (TH – TL) = (20+273)/(20-0) = 14.65 (1465%)
• •
W = Q H /COPHP, CARNOT = 50 / 14.65 = 3.41 kW
δQ O
∫ T
=0 หรือ ∑ QT = 0 คือวัฏจักรคารโนต นั่นเอง
สวนวัฏจักรที่ยอนกลับไมได หรือวัฏจักรทั่วไป
δQ
∫ T < 0 ………………….(1.48)
O
หรือ ∑
Q
T
<0 ………………......(1.48a)
O
ตองไมลืมทางคณิตศาสตร ∫ δQ
T
และ ∑ QT ก็คือการรวมตามเครื่องหมายอยางละเอียดครบทั้งวัฏจักร
13 เอนโทรป ( ENTROPY )
เอนโทรป คุณสมบัติของสารอันหนึ่ง จากวัฏจักรคารโนต ไดวา ∫ δTQ = 0 จึงเกิดแนวความคิดขึ้นวา จากที่
ทราบกันดีวา อะไรก็ตามถาเขียนได ∫ dx = 0 คา x จะตองเปนคุณสมบัติ(Properties)ของสารไดเสมอ
เชน ∫ dv = 0 หรือ ∫ du = 0 หรือ ∫ dh = 0 เปนตน จึงกําหนดชื่อใหวาเอนโทรป(Entropy) S นั่น
คือ ∫ dS = ∫ δQT หรือ dS = δQT ตองสังเกตดวยวา จะใชสูตรนี้ไดก็ตองเปนวัฏจักรหรือกระบวนการที่ยอนกลับ
ไดเทานั้น
2 2 δQ
∫ dS = ∫
T
..….. กระบวนการยอนกลับได
1 1
dS =
δQ
T
…… กระบวนการยอนกลับได ………(1.49)
2
ΔS = ∫ δQT ……. กระบวนการยอนกลับได ………(1.49a)
1
Q
ถา s =
S
m
ซึ่ง q=
m
ds =
δq
T
…….กระบวนการยอนกลับได ……….(1.49b)
2
s2 - s1 = Δs = ∫ δqT ...…..กระบวนการยอนกลับได ….……(1.49c)
1
δq
จะเห็นวาการเปลี่ยนแปลงเอนโทรปจะเทากับหาปริพันธของ T
ก็ตองเปนกระบวนการยอนกลับไดเทานั้น แต
อยางไรก็ตามถาสามารถมีตารางคาคุณสมบัตินี้ ก็จะสามารถหาคาเอนโทรปไดจากคุณสมบัติอื่นได เชนเดียวกับ
คุณสมบัติอื่นๆ โดยที่ไมตองสนใจวาเปนกระบวนการยอนกลับไดหรือไม
หนวยเอนโทรปทั้งหมดคือหนวยความรอนหารดวยอุณหภูมิคือ kJ/K สวนเอ็นโทปตอหนวยมวล
บางครั้งอาจจะเรียกเอนโทรปจําเพาะ(Specific entropy) คือ s = S/m หนวยก็ควรเปน kJ/kg.K
เมื่อเอนโทรปเปนคุณสมบัติของสาร มักสนใจหรือใชงานในลักษณะของการเปลี่ยนแปลง เอนโทรป
มากกวาคาจริง(Absolute value)ของมัน ดังนั้นจึงมักจะสมมุติคา 0 ที่ภาวะอันหนึ่ง เชนสําหรับน้ํามักจะกําหนด
งายๆ วา sf = 0 kJ/kg.K ที่ 0.01°C หรือ สําหรับสารทําความเย็นหรือ น้ํายาแอรทั่วไป เชนน้ํายาแอรเบอร
134a(Refrigerant-134a) sf = 0 kJ/kg.K ที่ –40°C(ติดลบ40องศาเซลเซียส) สําหรับตารางใหมนํามาจาก
หนังสือAmerican Society of Heating, Refrigerating, Air Conditioning Engineers Inc.(ASHRAE) ซึ่งไดจาก
การประชุมนานาชาติ(International Convention)ในวงการเครื่องทําความเย็น กําหนดใหพวกสารความเย็น sf = 1
kJ/kg.K ที่ 0°C แทนเปนตน สวนเอนโทรปที่ภาวะอื่นๆก็หาจากการสมมุติวาถามันเปนกระบวนการยอนกลับ
ไดภายใน(Internally Reversible)โดยอาศัยคาคุณสมบัติอื่นๆ เชนน้ําถาตองการหาเอนโทรปของไออิ่มตัว sg ก็
สมมุติวาถาใหมันอยูในกระบอกสูบซึ่งควบคุมความดันคงที่ที่ 0.01°C ใหความรอนเขา ไดกลาวมาแลววา
δq=dh หรือ q = hg-hf = hfg = 2501.3 kJ/kg ซึ่งถามันเปนกระบวนการยอนกลับไดภายใน
g
ds = δq/T =dh/T หรือ sg-sf = ∫ dh/T เนื่องจากขณะเปลี่ยนแปลงสถานะถาความดันคงที่อุณหภูมิตองคงที่จะได
f
sg-sf = sfg= (hg-hf )/T = hfg/T =2501.3/(0.01+273.15) = 9.1569 kJ/kg.K นั่นคือ sg=sf + sfg= 0 + 9.1569 = 9.1569
kJ/kg.K ก็เอาใสไวใชในตารางน้ําอิ่มตัว(Saturated water table) ทํานองเดียวกันสําหรับ R134a ก็จะได sg-sf =
sfg= hfg/T ซึ่งที่ 0°C hfg= 198.36 kJ/kg sg-sf = sfg= 198.36/(0+273.15) = 0.7262 kJ/kg.K sg= sf + sfg=1 +
0.7262 = 1.7262 kJ/kg.K ก็เอาใสไวใชในตาราง (สําหรับตารางเกาซึ่งกําหนดที่ -40°C sf = 0 kJ/kg.K ซึ่งที่ 0°C
คา sf = 0.197 kJ/kg.K ดังนั้นคา sg=0.197 + 0.7262 = 0.9232 kJ/kg.K ) คาเอนโทรปที่อุณหภูมิและความดัน
อื่นๆ ก็อาศัยหลักการคลายๆกันนี้ โดยหาความสัมพันธของมันกับคุณสมบัติ(Property)อื่นๆดังจะแสดงในหัวขอ
ตอๆไป คํานวณแลวนํามาใสเปนตารางไวใชงาน เมื่อเปนเชนนี้อาจจะกลาวไดวาเมื่อเอนโทรปเปนคุณสมบัติ
ของสารนั่นก็คือ ถามีตารางและตองการหาคาการเปลี่ยนแปลงเอนโทรป ถึงแมสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเปนกระบวนการ
ยอนกลับไมได ก็สามารถหาได ถาทราบคุณสมบัติอื่นๆพอเพียง แตจะหาไมไดจากสูตร ds = δq/T ถา
TH (แหลงอุณหภูมิสุง)
QH QH
1 2
หมอน้ํา
(คอนเดนเซอร)
TH±dTH
ปม กังหัน
(กังหัน) (คอมเพรสเซอร) Wnet
คอนเดนเซอร
(เครื่องระเหย)
4 TL±dTL 3
QL QL
T TL (แหลงอุณหภูมิต่ํา) รูปที่ 1.33
1 TH 2
สําหรับวัฏจักรคารโนตที่ทํางานเปนเครื่องยนตความรอน(Heat Engine)
TL กระบวนการแรก1-2 คือ ความรอนถายเขาแบบอุณหภูมิคงที่
4 3
s รศ. ฤชากร จิรกาลวสาน
a รูปที่ 1.34 b
40 วิชาที่ 1 อุณหพลศาสตร (Thermodynamics)
2
S2-S1 = ∫ ⎛⎜⎜ δQT ⎞⎟⎟ เมื่อ T = THซึ่งคงที่
1
⎝ ⎠REV
T สําหรับวัฏจักรคารโนตที่ทํางานเปนเครื่องทําความเย็น
1 TH 2 (Refrigerator/Heat pump)
กระบวนการแรก2-1 คือความรอนถายออกแบบอุณหภูมิ
TL คงที่ QH= TH(S1-S2 ) พื้นที่ใตเสน 2-1
4 3 กระบวนการที่สอง 1-4 คือ กระบวนการอะเดียบาติก
a รูปที่ 1.35 b s
S1= S4 มักเรียกวาไอเซนโทรปก( Isentropic )
กระบวนการที่สาม 4-3 คือความรอนถายเขาแบบอุณหภูมิคงที่
QL= TL(S3-S4 ) พื้นที่ใตเสน 4-3
กระบวนการที่สี่ 3-2 คือ กระบวนการอะเดียบาติก S2= S3 เรียกวา Isentropic
จากกฎขอ 1 ∫ δW = ∫ δQ
⏐Wnet⏐ = ⏐QH⏐-⏐QL⏐
⏐Wnet⏐ = พื้นที่ใสเสน 2-1 ลบดวย พท.ใตเสน 4-3
⏐Wnet⏐ = พื้นที่ของรูป 1-2-3-4-1
QL TL (S 3 − S 4 )
COP= QH − QL
=
TH(S 2 − S1 ) − TL(S 3 − S 4 )
=
TL
TH − TL
การใชเอนโทรปหาประสิทธิภาพของเครื่องทําความเย็นหรือฮีตปมแบบดูดกลืนคารโนต
⎛ TH ⎞⎛ TG − TL ⎞
ฮีตปม QH / QG = COPHP,CARNOT = ⎜ ⎟⎜
⎜ T − T ⎟⎜ T
⎟
⎟ ……………(1.51)
⎝ H L ⎠⎝ G ⎠
กฎการเพิ่มของเอนโทรป
จากความจริงที่วาคุณสมบัติของสาร เอนโทรปนี้ คิดขึ้นมาก็เพื่อไวดูความสมบูรณของวัฏจักรหรือ
กระบวนการ มันไมเหมือนคุณสมบัติอื่นๆเชนพลังงานภายใน หรือเอนทัลป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของเอน
δq
โทรปนี้ จะเทากับ T
ก็เฉพาะกระบวนการยอนกลับได สําหรับกระบวนการยอนกลับไมไดนั้นคงจะใช
ไมได ซึ่งพิสูจนไดดังนี้
จากความไมเทากันของคลอเซียสไดวา ∫
δQ
T
<0
และเมื่อพบวาเอนโทรปคือคุณสมบัติของสาร ∫ dS = 0
หรือแทน 0 ดวย ∫ dS ลงไปในสมการ ก็จะไดวา ∫
δQ
T
< ∫ dS
หรือ ∫ dS > ∫
δQ
T
………..(1.52)
หรือ ∫ dS = ∫
δQ
T
+ S gen ……….(1.52a)
หรือสําหรับกระบวนการ dS >
δQ
T
…………..(1.53)
2
หรือ S2 − S1 > ∫ δQT ………..(1.53a)
1
2
หรือ S2 − S1 = ∫ δQT + Sgen …………..(1.53b)
1
หนวยเวลาก็ไดดังนี้
∗
∗
dS
dt
= ∑
Q
T
+ Sgen ……………(1.54)
สูตรที่สําคัญเกี่ยวกับความสัมพันธของคุณสมบัติทางอุณหพลวัต
จากบรรณานุกรมทุกเลม พบวาคุณสมบัติของสารมีความสัมพันธกันดังนี้
TdS = dU + PdV kJ………………(1.55)
หรือ Tds = du + Pdv kJ/kg….………….(1.55a)
หรือ Td s = d u + Pd v kJ/kmol .……...….(1.55b)
TdS = dH –VdP kJ……..………..(1.56)
หรือ Tds = dh – vdP kJ/kg ……………(1.56a)
หรือ Td s = d h – v dP kJ/kmol …….……...(1.56b)
ds =
du Pdv
T
+
T
……….(1.57)
ds =
dh vdP
T
−
T
……….(1.58)
ความสัมพันธของคุณสมบัติทางอุณหพลวัต ใชไดทั้งระบบปดและระบบเปด(Close system/Control mass or
Control volume)
การเปลี่ยนแปลงเอนโทรปของของเหลวและของแข็ง
จากสมการเอนโทรป ds = duT + Pdv
T
โดยทั่วไป เปนที่ทราบกันดีวาของแข็งและของเหลว ปริมาตรจําเพาะ
เปลี่ยนนอยมากเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนคุณสมบัติอื่นๆเชนอุณหภูมิ หรือ dv = 0
2
จะได ds =
du
T
=
CdT
T
หรือ Δs = ∫
CdT
T
kJ/kg.K ซึ่งโดยทั่วไปของแข็งและของเหลวคา ความรอน
1
T2 R v T v v
ln =− ln 2 ⇒ ln 2 = ln[ 2 ] − R/C V = ln[ 1 ] R/C V
T1 CV v1 T1 v1 v2
si3,mi3 T se2,me2
Q [ในชวงเวลาภาวะ(1)ไป(2)]
TH
B
อัตราการเปลี่ยนแปลงเอนโทรปสามารถเขียนไดดังนี้
∗
∗ ∗ ∗
dS CV
dt
+ ∑ me s e − ∑ mis i = ∑
Q
T
+ Sgen ……………………….(1.69)
dS CV
dt
= อัตราการเปลี่ยนแปลงเอนโทรปภายในระบบเปดหรือปริมาตรในควบคุม
∗
∑ อัตราการถายเทของเอนโทรปเนื่องจากความรอน
Q
=
T
∗ ∗
∑ m s − ∑ m s = อัตราการถายเทเอนโทรปเนื่องจากมวลไหล
e e
i
i
∗
อัตราการเกิดขึ้นของเอนโทรป คาบวกเสมอ และจะเทากับศูนยสําหรับกระบวนการยอนกลับได
S gen, CV =
ตัวอยางที่ 1.40 ไอน้ําไหลเขากังหันไอน้ํา ภาวะ 1 MPa, 300oC ความเร็ว 50 m/s ไหลออกที่ความดัน 150 kPa
ดวยความเร็ว 200 m/s จงหางานที่ไดตอหนวยมวล ถาทอดานไอน้ําไหลเขามีเสนผาศูนยกลาง 200 mm จงหา
กําลังที่ไดเปน kW
วิธีทํา ทางปฏิบัติเราจะหาไดจากกฎขอที่1เทานั้นคือ
q = Δh+Δke+Δpe+w หรือละเวนพลังงานศักยก็จะได
q = Δh+Δke+w
เนื่องจากไมไดวัดมาพอเพียง ทางปฏิบัติเราจึงหาไมได เพราะขาด ความรอน(q ) และ ภาวะไอน้ําที่ออกมามี
คุณสมบัติไมครบคือมีความดันอยางเดียว ดังนั้นเราจะหาไดเฉพาะที่สมบูรณตามทฤษฎีคือไอเซนโทรปก นั่นก็
คือ q = 0, se = si เราก็จะหา w ได
w = hi-he+νi2/2-νe2/2
Pi=1 MPa, Ti=300oC, νi=50m/s T i
กังหัน w
e
Pe=150 kPa, νe=200m/s ( ก) s (ข)
รูปที่ 1.39
จากตารางน้ํา ภาวะที่1 hi= 3051.15 kJ/kg, si= 7.1228 kJ/kg/K, vi=0.25794 m3/kg
ภาวะที่2 Pe= 0.15 MPa,(Te=111.37oC) , se=si= 7.1228 kJ/kg/K ตรวจสอบจากตารางพบวาเปนจุดอิ่มตัวคือมี
ของเหลวไอผสมกัน เราจึงตองหาคุณภาพไอ(quality=xe) ,มากอนจาก
xe= (se-sf)/sfg จากตารางน้ํา sf= 1.4336 kJ/kg.K, sfg= 5.7897 kJ/kg.K
xe= (7.1228-1.4336)/5.7897=0.9827
he= hf+ xehfg จากตารางน้ํา hf= 467.1 kJ/kg, hfg= 2226.5 kJ/kg
he= 467.1+0.98x2226.5 =2655.0 kJ/kg
แทนทั้งหมดลงในสมการจะได
w = 3051.15-2665.0+502/(2x1000)-2002/(2x1000)=377.5 kJ/kg
ทอมีเสนผาศูนยกลาง 200mm= 0.2 m พื้นที่หนาตัด A =πD2/4=π(0.2)2/4=0.0314 m2
∗
อัตราไหลเขาของไอน้ํา V = Aν =0.0314x50 m3/s=1.57 m3/s
∗ ∗
อัตรามวลไหลเขาของไอน้ํา m = V /v= 1.57/0.2579 = 6.09 kg/s
∗ ∗
กําลังที่ได W = m w = 6.09 kg/s x377.5 kJ/kg = 2298 kW
ตัวอยางที่ 1.41 วาลวลดความดันในระบบทําความเย็น คือการทําใหเกิดความเสียดทานมากๆ เพื่อใหความดัน
ลดลง ซึ่งเปนกระบวนการยอนกลับไมได ในระบบทําความเย็นน้ํายา R134a ความดันตอนเขาวาลวลดความดัน
โดยทั่วไปพลังงานจลนและพลังงานศักยมักจะนอยมาก ตามที่เคยกลาวมาบอยๆเราจะได
e
w = - ∫ vdP ………………..(1.75b)
i
หรือในกรณีตองการหากําลัง(พลังงานตอหนวยเวลา)
o o e
W = − m ∫ vdP ….. ……………..(1.75c)
i
∗ ∗ o
เนื่องจากน้ําความหนาแนนหรือปริมาตรจําเพาะคอนขางคงที่ WS = − m v(Pe − Pi ) = − V(Pe − Pi )
o
W S = - 0.2(600-100) = -100 kW
o
กําลังมอเตอรที่ตองใช W = 100 / 0.75 = 133.3 kW
อุณหภูมิน้ําที่เพิ่มขึ้น ΔT = [q – vΔP – w ] / c
q ความรอนถายเทนอยมาก, v = 0.001 m3/kg, ΔP = 600-100 =500 kPa, c = 4.187 kJ/kg.K
o o
w = W / m = 133.3/(0.2/0.001) = 0.67 kJ/kg
ΔT = [q – vΔP – w ] / c =[ 0 – 0.001x500 – (-0.67)] / 4.187 = 0.17OC
ขอสังเกต จะเห็นวาพลังงาน(กําลัง)ที่ใสเขาสวนใหญจะเปลี่ยนเปนความดัน บางสวน(สวนที่ยอนกลับ
ไมได)เทานั้นที่เปลี่ยนเปนอุณหภูมิ(พลังงานภายใน) แตถาวาลวหนาปมถูกปดไมใหน้ําไหล ก็จะกลายเปน
ระบบปดไป ซึ่งก็จะเปน q = Δu + w หรือ ΔT = [q – w ] / c นั่นก็หมายถึงกําลังที่ใสทั้งหมดก็จะทําใหน้ํา
ที่อยูภายในตัวปมมีอุณหภูมิสูงขึ้น
การใชสูตร งานยอนกลับไดระบบเปด สําหรับกระบวนการตางๆเมื่อใชกาซสมบูรณ
กระบวนการไอเซนโทรปก
สําหรับกระบวนการไอเซนโทรปกของกาซสมบูรณ Pvk = C (คงที่) หรือ
e
P1/kv = C1/k=c หรือ v = c
แทนลงไปในสูตร w = - ∫ vdP จะได
P 1/k i
e
w =- ∫ (
c
1/k
) dP
i
P
c 1 1
w=− (P e (1 − k ) − Pi(1 − k ) )
1
1−
k
−ck
w=
k −1
(P e
(k −1)/k
− Pi
(k −1)/k
) …………..………….(1.77)
−ck (k −1)/k
w= Pi [(P e /P i ) (k −1)/k − 1]
k −1
1/k
แต c = P v แทนลงจะได
i i
−k 1/k (k −1)/k
w= Pi v iPi [(P e /P i ) (k −1)/k − 1]
k −1
−k −k
w=
k −1
v iPi [(P e /P i ) (k −1)/k − 1] =
k −1
RTi [(P e /P i ) (k −1)/k − 1] …………(1.78)
1/k 1/k
จากสมการ(1.77) ถาแทน c = P v และ c = P v ก็จะไดสมการอีกรูปหนึ่งคือ
i i e e
−k −k
w=
k −1
1/k
(Pe v e Pe
(k −1)/k
…..… (1.79)
− Pi1/k v iPi(k −1)/k ) =
k −1
(Pe v e − Pi v i )
กระบวนการอุณหภูมิคงที่ยอนกลับได
งานระบบเปดยอนกลับได
e
สําหรับกาซสมบูรณ อุณหภูมิคงที่ Pv = RT = C (คงที่) หรือ v = C/P แทนคาลงในสูตร w = - ∫ vdP แลว
i
อินทีเกรทจะได
w = - Cln(Pe/Pi) = - RTi ln(Pe/Pi) ………………………….(1.81)
กระบวนการโพลีโทรปกยอนกลับได Pvn = C (คงที่)
ทฤษฎีนี้ถือวามีความรอนถายเทจํานวนหนึ่ง ซึ่งทําใหอยูระหวางไอเซนโทรปกกับอุณหภูมิคงที่ มักจะเขียนวา
Pvn= C (คงที่) ซึ่ง n อยูระหวาง 1 ถึง k ( Pv1 → Pvn →Pvk )
e
1/n
โดยการแทนคา v = c / P ลงในสูตร w = - ∫ vdP แลวอินทีเกรทเหมือนใน ไอเซนโทรปกจะได
i
−n −n
w=
n −1
v iPi [(P e /P i ) (n −1)/n − 1] =
n −1
RTi [(P e /P i ) (n −1)/n − 1] ….……….(1.82)
−n
w=
n −1
(P e v e − Pi v i ) ………………………………(1.83)
n = ln(P1/P2) / ln(v2/v1) ………………………………(1.84)
ตัวอยางที่ 1.44 จงเปรียบเทียบงานในการอัดมวล 1 กก. จาก ความดัน 100 kPa กลายเปน 1 MPa ก)น้ําเปน
ของเหลวอิ่มตัว ข) น้ําเปนไออิ่มตัว
วิธีทํา ทางปฏิบัติเราตองสรางเครื่องมาจริงแลววัด ทางทฤษฎีอุดมคติ เราสามารถใชสูตรงานที่ยอนกลับได คือ w
e
= - ∫ vdP ชวย
i
−k
วิธีทํา ประมาณโดยใชสูตร w=
k −1
RTi [(P e /P i ) (k −1)/k − 1]
v s
(ก) รูปที่ 1.40 (ข)
e
บนแผนภูมิP-v รูปที่ 1.40 (ก) งานยอนกลับได - ∫ vdP ก็คือพื้นที่ ที่เสน(i)-(e) ฉายลงบนแกน P ดังรูป จะเห็น
i