พระมนตรี อาภัสสโร ๐๙ เม.ย. ๒๕๕๗

You might also like

Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 2

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปกราบและเรียนธรรมะ กับ หลวงพ่อมนตรี อาภัสสโร ณ. สวนพุทธธรรมป่าละอู จ. ประจวบคีรีขันธ์ หลวงพ่อท่านเมตตา สั่งสอน ใจความว่า...

ให้พวกเรากระจายการปฏิบัติธรรมให้อยู่ในชีวิตประจําวัน พยายามละลายความรู้สึกตัวให้อยู่ในชีวิตประจําวัน เมื่อเกิดความขัดเคืองใจในทางโลก ใจจะไม่ทุกข์ คนในโลกนี้เมื่อเกิดเรื่องราวที่ทําให้เกิดความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ใจมันจะเร่าร้อนมาก ยิ่งจะทําให้ทุกข์ หนักขึ้นไป แต่ผู้ที่มีการฝึกฝนจิตใจดีแล้ว ความทุกข์นั้นก็จะเบาบางลง เข้าไปไม่ถึงใจ นึกไปก็น่าเสียดายสําหรับคนที่มุ่งไปหาสิ่งต่าง ๆ ข้างนอก เพื่อบํารุงความสุขทางใจ บางคนก็มีข้ออ้าง ต่างๆ ว่า ไม่มีเวลา ต้องทํางาน เมื่อเกิดเรื่องราวทุกข์ใจ ใจก็จะเกิดความเร่าร้อน พระพุทธเจ้าได้ ตรัสไว้ว่า “ขอเธอทั้งหลายจงเอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง” ผู้ที่มีธรรมะเป็นที่พึ่งนั้นจะมีความร่มเย็น ไม่เร่า ร้อน แม้เมื่อยามต้องสูญเสียของรัก ยามเกิดโรคภัย ก็จะมีธรรมะนี้เป็นที่พึ่ง เมื่อเราได้ปฏิบัติแล้ว จะรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องให้ใครรับรอง ถ้าเราปฏิบัติมาถูกเส้นทางแล้ว ไม่ต้อง รอให้ใครรับรอง แต่เราจะตระหนักรู้ตนเองได้เป็นอย่างดี อย่างทิ้งการปฏิบัตินะ อย่าเห็นว่าเส้นทางนี้เป็นของส่วนเกิน ให้เชื่อหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อ ผ่านมาหมดแล้ว ทั้งหน้าที่การงาน ทางโลก ไม่มีอะไรสําคัญและมีค่าเท่ากับธรรมะ น่าเสียดายนะ ระหว่างเส้นทางของชีวิตก็มักจะเอาดอกกุหลาบมาล่อไว้ และเหยื่อล่อสังสารวัฏนี้ก็ ยากที่จะผ่านมันไปได้ ต้องเข้มแข็งกันจริง ๆ และพระพุทธเจ้าก็เป็นพระองค์แรกที่ข้ามพ้นเหยื่อล่อ สังสารวัฏนี้ ให้เราเห็นกันเป็นแบบอย่าง ในการปฏิบัตินั้นให้เราดูอารมณ์ถูกใจ ไม่ถูกใจ ให้สังเกตดูว่า เมื่อหูได้ยิน ตาเห็นรูป ยังมีการต่อต้าน อยู่หรือไม่ นอกจากอารมณ์พอใจ ไม่พอใจแล้ว ตัวอารมณ์เฉย ๆ ตัวนี้ก็อันตรายนะ นิ่ง ๆ เฉย ๆ เหมือนว่าง เหมือนปล่อยวาง แต่ความจริง มันเป็นตัวโมหะ เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ถ้าใจตั้งมั่นจริง ๆ ยามอารมณ์ผ่านมาทางหู ตา จะตัดได้เร็วขึ้น สตินั้น เมื่อเราเจริญมากขึ้น ก็จะกลายเป็น ญาณ ปัญญา หยั่งลึกในจิตใจ ถ้าเจริญสติมาก ๆ แล้ว เมื่อมี อารมณ์ต่าง ๆ มากระทบ ใจจะตัดได้เร็วขึ้น จะกลับมาอยู่ที่ความรู้สึกตัวได้เร็ว สติ เป็นธรรมอุปการะ ที่ทําให้เกิด ปัญญาญาณ ทําให้ญาณ

”รู้” นั้น หยั่งลึกลงเรื่อย ๆ จนมีความตั้งมั่น ทุกครั้งที่เรามีการย้อนกลับมาดูจิตใจ จะเกิด ญาณ หรือ ปัญญา ซึ่งจะมีการหยั่งรากลึกลงไปทีละน้อย ๆ ในทุกขณะ ที่เกิด ‘สติ’ ธรรมชาติจิตใจ ของ คนเรานั้น ยังมีการต่อต้านทางอารมณ์ คือ มีการให้ค่า ให้คะแนนกับอารมณ์ ซึ่ง อารมณ์ นั้นมี อยู่ หลัก ๆ ๒ ประเภท นั่นคือ ‘ชอบ’ กับ ‘ไม่ชอบ’ เมื่อจิต มัน ชอบ มันจะดึงเข้ามา แต่ เมื่อเจอกับ ความ ’ไม่ชอบ’ จิต จะผลัก ออกไป ซึ่งนั่นเป็น เพราะ จิต เรายังขาดสภาวะ เป็น กลาง ต่อเมื่อ ญาณ หยั่งรากลึก ตั้งมั่น ก็จะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปกติ เป็นปัจจุบัน การเห็น การได้ยิน จะ เป็นปกติ ขึ้น สิ่งใดมากระทบ จิตก็จะฉลาดในการตั้งรับ อาการคอรัปชั่นทางอารมณ์ ก็จะลดลง

ประโยคทิ้งท้าย : “สติ ... เมื่อถูกประกอบให้สมบูรณ์มากขึ้น ๆ แล้ว. สติตัวนีเ้ องจะแผลงเป็น มรรคปัญญา หรือ ปัญญาญาณ
อันทรงพลัง เป็นญาณที่เพียบพร้อมไปด้วย วิชชา คือ ความรอบรู้ เมื่อวิชชาคือความสว่างไสวด้วยปัญญาเกิด อวิชชา คือ ความหลงโง่งม ความมืดบอด ก็จะถูกขับไล่ทันที ดังนั้น ความสมบูรณ์แห่งมรรคปัญญามากเพียงใด, ความเข้าใจกฎแห่งชีวิต และการเข้าใจ และการรูจ ้ ักตัวเองมากยิ่งขึน ้ เท่านั้น ความคิด...เป็นเสมือนต้นตอของชีวิต. ทุกชีวิตมิได้มีความเป็นเอกภาพแห่งตัวเอง. จะต้องตกอยู่ในอิทธิพลของ ความคิด เมื่อความคิดถูกมรรคปัญญาควบคุม. สังขารตัวปรุงก็จะถูกขจัดไป. จะเหลือเพียงเนื้อแท้แห่งความผุด ผ่องของความคิดฝ่ายสัมมาทิฐิล้วน ๆ . จงทําความรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะ ใช้สติเฝ้ามองดู ความคิด ทุกภาวะที่เกิดขึ้น. นี่เป็นวิถีทางที่จะรีดกระแส ชีวิตของเราให้เรียวบางลงจากการห่อหุ้มของ โมหะ โทสะ โลภะ อันเสมือนเปลือกและกระพี้ของชีวิต ก็จะเหลือ เพียงแก่นอันกลมกลึงเสลาบริสุทธิ์ล้วน ๆ ของชีวิต เอกภาพแห่งชีวิตจะมีขึ้นก็จะต้องเริ่มจาก ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม (สติ- สัมปชัญญะ) ก่อน. ทําอยู่เสมอ ๆ เป็นประจํา ๆ แล้วใช้สติคอยดูความคิดที่เกิดขึ้นเป็นประจําๆ สม่ําเสมอๆ เช่นกัน...วันแล้ววันเล่า...เดือนแล้วเดือนเล่า, อย่าเบื่อ...อย่าท้อแท้...อิดหนาระอาใจ. จงคิดว่า เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเสริมความสมบูรณ์ให้กับชีวิต”

“พระมนตรี อาภัสสโร”

อุบาสิกา…ณชเล

You might also like