Professional Documents
Culture Documents
ทฤษฎีทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
ทฤษฎีทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
ตัวแปรหลัก ตัวแปรตาม
ผ่าน ความเข้าใจ
แง่มุมทางสังคม ทฤษฎี โลกทางสังคม
เฉพาะด้าน
ข้อพึงสังเกตเกี่ยวกับทฤษฎี
1. การค้ น พบความจริ ง ล้ ว น ๆ ไม่ส ามารถนำา มาใช้ ไ ด้ ความจริ ง ต้ อ งถู ก ตี ค วามวิ เ คราะห์
ทำานาย ฯลฯ จึงสามารถนำาเอาใช้ได้จริง เครื่องมือในการทำาเช่นนั้น มีเพียง “ทฤษฎี” เท่านั้น
2. ทุ ก ทฤษฎี มั ก สร้ า งภาษาของตนเอง (Jargon), ศั พ ท์ เ ฉพาะทาง (Technical) เพื่ อ สร้ า ง
ขอบเขตของการศึกษา และแยกประเภทคนที่รู้กับคนที่ไม่รู้ ให้ปรากฏชัด ทฤษฎีจึงมีความยากและซับ
ซ้อนในตัวเองเสมอ
3. การนำาทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติ เป็นสิ่งจำาเป็นและต้องกระทำาการเชื่อมต่อระหว่าง Concept กับ
ประสบการณ์ (experience) จึงเป็นงานหลักในทางวิชาการ
4. ทฤษฎีทางสังคมวิทยา ได้ปรับนึกศึกษาให้เรียนรู้ประสบการณ์ตรงอย่างสมบูรณ์ ทั้งด้าน
ทฤษฎี และปฏิบัติที่มีอยู่ในสังคม
5. ทฤษฎีทำา ให้สามารถมองสถานการณ์ที่ซ่อนอยู่ (Implicit) ให้ออกมาเป็นสถานการณ์ที่เห็น
ชัดเจน (Explicit) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทฤษฎีกับนักทฤษฎีทางสังคมวิทยา
ทฤษฎีทุกทฤษฎีล้วนมีนักคิดและพัฒนามาเป็นลำา ดับ ทฤษฎีทางสังคมที่ควรเรียนรู้มี 2 สำานัก
(Schools)
1. Classical Theory ทฤษฎีแนวคลาสิก หรือทฤษฎีมาตรฐาน เป็นทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานของ
ทฤษฎีสมัยใหม่ทุกทฤษฎี หรืออีกมุมหนึ่งคือเป็นทฤษฎีเก่าแก่ตั้งแต่ยุคเริ่มแรก และสืบทอดจนมาถึงสมัย
ปัจจุบัน มีคนคิดก่อนแล้ว มีคนคิดต่อ ๆ มาจนถึงยุคปัจจุบัน
2. Contemporary Theory ทฤษฎีร่วมสมัยหรือทฤษฎีสมัยใหม่ เป็นทฤษฎีในยุคปัจจุบัน อาจ
จะเป็นทฤษฎีใหม่ล้วน ๆ ก็ได้ หรือเป็นการผสมผสานแนวคิดที่มาจากทฤษฎีคลาสิกมาจนถึงปัจจุบันก็ได้
เราเรียกทฤษฎีอย่างนี้อีกอย่างว่า “Post-modern Theory” ก็ได้
นักทฤษฎี (Theorists) ถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่เช่นกันคือ
1. The Classical Theorists นักทฤษฎียุคคลาสิกเป็น ผู้ริเริ่มและก่อตั้งวิชาสังคมวิทยาและ
ทฤษฎีทางสังคม จนนักวิ ชาการทั้ งในสาย (in the field) และนอกสาย (out of the
field) ยอมรับและมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วโลก ทีจ่ ะมาแนะนำาในที่นี้ได้แก่
1) Auguste Comte 2) Emile Durkheim
3) Max Weber 4) Karl Marx
5) Herbert Spencer 6) George Simmel
7) Wilfredo Pareto etc.
2. The Contemporary Theorists นักทฤษฎีร่วมสมัย ยุคปัจจุบันในที่นี้ได้แก่
1) Robert Merton 2) Talcott Parson
3) Goffman 3) Coolney
5) Mead
ข้อสังเกต หนึ่งทฤษฎี อาจจะมีนักทฤษฎีหลายคนและหลายยุคคิดมาเป็นทอด ๆ ตามลำาดับก็ได้
หรือนักทฤษฎีร่วมสมัย ยุคปัจจุบันในที่นี้ก็ได้
Theorist
Theory Theorist
Theorist
Theory
Theorist Theory
Theory
กำาเนิดของแนวคิดทางสังคมวิทยา
สั ง คมวิ ท ยามี อ ายุ เ พี ย ง 20 ปี เ ท่ า นั้ น ออกั ส ต์ คองต์ (August Comte) สร้ า งคำา ว่ า
“สังคมวิทยา” (Sociology) เป็นคนแรก จึงได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งสังคมวิทยางานแรกของท่านมีชื่อว่า
(The Course of Positive Philosophy) (วิ ช าปรั ช ญาทางบวก) ตี พิ ม พ์ ใ นปี ค.ศ. 1830 – 1842,
หนังสือได้สะท้อนข้อผูกมัดอย่างมั่นคงกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) คือวิธีการที่นำา
ไปใช้การค้นคว้ากฎธรรมชาติ ซึ่งครอบคลุมถึงปรากฏการณ์ทางสังคมด้วย ความจริงทางสังคม (Social
Reality) ได้ถูกแยกออกมาจากความคิดในระดับคนธรรมดา
Scientific law
Social Reality Principle law Individual
มนุษย์คนเดียว การวิจัยเชิงประจักษ์
ปฏิกิริยาของสังคมวิทยาต่อความรอบรู้ทางปัญญา
แม้นักสังคมวิทยาจะยอมรับระบบของความรอบรู้ทางปัญญาก็ตามแต่ก็ไม่รับและปฏิเสธทั้งหมด
พอสรุปไว้ดังนี้
1. สังคมวิทยายอมรับหลักเหตุผลและวิธีการทางวิทยาศาสตร์
2. สังคมวิทยาปฏิเสธความรู้เชิงเหตุผลของคน ๆ เดียว สังคมถือเป็นหน่วยที่สำาคัญทีสุดในโลก
ของสังคม
3. สังคมยอมรับการอนุรักษ์ความเชื่อและประเพณีดั้งเดิม
4. สังคมยอมรับกระบวนการพัฒนาความคิดในสมัยใหม่ เช่น วิทยาศาสตร์ประยุกต์ เทคโนโลยี
และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ฯลฯ
5. ทุก ๆ คนในสังคม (ปัจเจกบุคคล) เป็นองค์ประกอบของสังคม เมื่อส่วนใดถูกกระทบก็จะ
กระทบไปหมด
6. สถาบันทางสังคมมีอิทธิพลต่อความคิด พฤติกรรมของทุกปัจเจกชนในสังคม
ทั้งหมดนี้เป็นปฏิกิริยาของนักคิดทางสังคมวิทยา ที่เกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส
นักทฤษฎีทางสังคมวิทยาในยุคก่อตั้ง
นักทฤษฎีสังคมวิทยา ผู้ที่ถือว่า ได้วางรากฐานของวิชาสังคมวิทยามี 3 ท่าน คือ
1. โคลด อองรี แซงติ-ซีมอง (Claude Henri Saint-Simon : 1790-1825)
Simon มีอายุแก่กว่า ออกุส คองต์ และเคยเป็นเจ้านายของคองต์ ๆ เป็นเลขานุการ Simon อยู่
หลายปี ทั้งสอง จึงมีความคิดคล้าย ๆ กัน ความคิดหลักของ Simon ได้แก่ ทฤษฎีสังคมวิทยาเชิงอนุรักษ์
กับทฤษฎีของมาร์ก (Conservative Sociology and Marxian Theory)
ด้านการอนุรักษ์ ซีมองต้องการอนุรักษ์สังคมตามที่มันเป็นและเป็นนักปฏิฐานนิยม (Positivist) =
การศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคมควรใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์
ส่อนอีกด้านหนึ่ง ซีมอง มองเห็นความต้องการให้สังคมปฏิรูปตามแนวคิดสังคมนิยม เช่น การใช้
ระบบเศรษฐกิจรวมศูนย์ (Centralized Economy) เป็นต้น แต่ไม่ถึงขนาดหนักเท่ากับ Karl Marx
ออกุสค์ คองต์ (August Comte : 1798 - 1857)
คองต์ เป็ น คนแรกที่ ใ ข้ คำา ว่ า “สั ง คมวิ ท ยา” และมี อิ ท ธิ พ ลต่ อ นั ก สั ง คมวิ ท ยายุ ค ต้ น เช่ น
Herbert Spencer and Emile Durkheim เขาเชื่อว่า การศึกษาแบบสังคมวิทยาต้องเป็นวิทยาศาสตร์
เท่านั้น ความคิดนี้มีมาถึงปัจจุบัน
งานของคองต์สะท้อนการต่อต้านการปฏิวัติในฝรั่งเศสและความรอบรู้ทางปัญญา ซึ่งเป็นมูลหตุ
สำาคัญในการเปลี่ยนแปลงทางสังคมคองต์ไม่พอใจต่อความวุ่นวายในสังคม และวิจารณ์ต่อผู้สนับสนุน
การปฏิวัติและความรอบรู้ทางปัญญา
คองต์ ยังคิดสร้างความคิดแนวปฏิฐานนิยม (Positivism) หรือ ปรัชญาแนวปฏิฐาน (Positive
Philosophy) และคิดเรื่อง “ฟิสิกส์ทางสังคม” (Social Physics) ที่เรียกว่า “Sociology” (สังคมวิทยา)
เพื่อตอบโต้ปฏิกิริยาเชิงลบและความวุ่นวานจากการปฏิวตั ิ คองต์เน้นสังคมใน 2 ลักษณะ คือ
1. สังคมสถิตย์ (Social Statics) = สังคมคงที่แนวอนุรักษ์ประกอบด้วยความเชื่อ ประเพณี
วัฒนธรรมดั้งเดิม มีการเปลี่ยนแปลงน้อย
2. สั ง คมพลวั ต ร (Social Dynamics) = สั ง คมที่ เ ปลี่ ย นแปลงไปตามเหตุ ก ารณ์ แ ละ
สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทั้งสังคม ถูกตั้งเป็นกฎของชีวติ สังคม (Laws of Social Life)
คองต์รู้สึกว่า สังคมพลวัตรสำาคัญกว่าสังคมสถิตย์จากข้อสังเกตนี้ ทำาให้เขาสนใจการปฏิรูปทาง
สังคม (Social Reform)
Statics
Social Reform
Dynamics
เขาไม่สนับสนุนการปฏิวัติ (Revolution) แต่จะสนับสนุนการค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง หรือวิวัฒนาการ
(Evolution) การปฏิรูป
ความคิดในเรื่องการวิวัฒนาการของ Comte นำาไปสู่ทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolutionary Theory)
อันประกอบด้วยการพัฒนาทางปัญญา 3 ขั้นตอน (The law of three stages)
1. ขั้น เทววิท ยา (Theological stage) ขั้นตอนนี้ เชื่อว่า อำา นาจเหนื อธรรมชาติ แ ละองค์
ศาสดา เป็นต้นแบบแห่งพฤติกรรมของมนุษย์ และเป็นรากฐานแห่งความเชื่อทุกชนิด เช่น
โลกเป็นผลผลิตของพระเจ้า เป็นต้น
2. ขั้ น อภิ ป รั ช ญา (Metaphysical Stage) เชื่ อ ในพลั ง นามธรรม (ปรั ช ญา) มากกว่ า
เทพเจ้า ซึ่งสามารถอธิบายได้ทุกเรื่อง
3. ขั้นปฏิฐานนิยม (Positive Stage) เชื่อในเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันคนเลิกคิด
เกี่ยวกับโลกและพระเจ้าแล้ว แต่กลับมาคิด สังเกตโลกและสังคม เพื่อหาวิธีจัดการกับมัน
อย่างเหมาะสม
ทฤษฎีของคองต์ เน้นที่ ปัจ จัย ทางด้านปัญ ญาเป็นหลัก เขาอธิบายว่า “ความไรระเบีย บทาง
ปัญญาเป็นสาเหตุแห่งการไร้ระเบียบทางสังคม” การไร้ระเบียบทางปัญญามาจากความคิดเทวนิยม และ
ปรัชญาเป็นหลัก เมื่อปฏิฐานนิยมแพร่หลายอย่างทั่วถึง สามารถจะยุติความวุ่นวายในสังคมได้อย่างสิ้น
เชิง นี้คือ กระบวนการวิวัฒนาการ เป็นกระบวนการ่อย ๆ พัฒนาความเป็นระเบียบในสังคมในที่สุด โดย
ไม่ต้องปฏิวัติทั้งสังคมและการเมืองเลย
คาร์ล มาร์ก (Karl Marx : 1818 – 1883) (7 /7/2548)
พัฒนาการทางสังคมวิทยาในประเทศเยอรมัน
พัฒนาการทางสังคมวิท ยาในฝรั่ง เศส ค่อนข้า งจะเป็นไปตามลำา ดับเริ่ มตั้ งแต่ซี มอง, คองต์,
จนถึง เดอร์คไฮม์ มาเป็นทอด ๆ ส่วนเยอรมัน กลับแยกออกเป็นส่วน ๆ คือ แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย
พวกหัวรุนแรง พวกประนีประนอม
Marx และผู้สนับสนุน Weber and Simmel
ในจริยธรรมโปรเทสแตนท์ เวเบอร์เปรียบเทียบศาสนากับเศรษฐกิจไว้ดังนี้
System for idea of Spirit of Capitalism Capitalist Economic system
Protestant Ethics หัวใจของทุนนิยม ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม
ระบบความคิดของโปรเทสแตนท์
เวเบอร์ยังมองเรื่องการแบ่งชนชั้นทางสังคม (Social Stratification) ไม่ได้แบ่งด้วยพื้นฐานทาง
เศรษฐกิจอย่างเดียว แต่แบ่งด้วยเกียรติ (สถานภาพ) และอำานาจ
งานของเวเบอร์ โ ดยพื้ น ฐานเป็ น ทฤษฎี ข องกระบวนการสร้ า งเหตุ ผ ล (The Process of
Rationalization) เวเบอร์ ส นใจว่ า สถาบั น ในโลกตะวั น ตกได้ เ จริ ญ รุ่ ง เรื อ งอย่ า งมี เ หตุ ผ ล (หลั ก การ)
มากกว่าประเทศที่เหลือในโลกด้วยวิธีการอย่างนี้
ในงานของเวเบอร์ มัก ใช้ ความมีเ หตุ ผ ล (Rationality) เป็น หลั ก แต่สิ่ ง ที่ เ น้ น มากของ Weber
ได้แก่การมีเหตุผลอย่างเป็นทางการ (Formal Rationality) มันเกี่ยวกับเรื่องที่ผทู้ ำาต้องเลือกซึ่งวิธีการและ
จุดหมายไว้ด้วยกัน การเลือกต้องใช้กฎสากล (General Applied Rules) ซึ่งมาจากโครงสร้างขนาด
ใหญ่จากองค์กร (bureaucracy) และระบบเศรษฐกิจ เขาศึกษาจากประวัติศาสตร์ของชาติต่าง ๆ เช่น
ตะวันตก, จีน, อินเดีย เป็นต้น เขาพบปัจจัยที่ช่วยให้เกิดและยับยั้งการพัฒนาการของการสร้างความ
เป็นเหตุผล
เวเบอร์มองที่องค์กรว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างความเป็นเหตุผล เขาขยายการอธิบายไปที่
สถาบันทางการเมือง เขาแบ่งอำานาจออกเป็น 3 อย่าง
1. (Traditional) = ระบบอำานาจประเพณี
2. (Charismatic) = ระบบบารมี
3. (Rational – Legal) = ตามเหตุผล-กฎหมาย
ในโลกสมัยใหม่มีแต่อำานาจที่มีแนวโน้มไปสู่ระบบเหตุผล-กฎหมายมากขึ้น แต่จะพบที่ในองค์กรที่
มีการพัฒนาด้านอย่างเต็มรูปแบบ ส่วนที่เหลือยังพัฒนาด้วยระบบอำานาจและบารมี
จอร์จ ซิมเมล (Goerge Simmel) เขาเป็นคนรุ่นเดียวกับเวเบอร์ ผู้ก่อตั้งสังคมวิทยาใน
เยอรมัน งานของซิมเมลมีส่วนช่วยพัฒนาทฤษฎีทางสังคมในอเมริกา โดยเฉพาะสำา นักชิคาโก – ทฤษฎี
หลักได้แก่ “การปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์” (Symbolic Interactionism)
ซิมเมล ต่างจากคนอื่นคือ มาร์กและเวเบอร์สนใจปัญหาสังคมในวงกว้าง การสร้าง = หลัก
เหตุผลและระบบเศรษฐกิจ แต่ซิมเมลกับสนใจปัญหาเล็ก ๆ โดยเฉพาะการกระทำา และการปฏิสัมพันธ์
ของปัจเจกชน ซิมเมลมองเห็นว่า ความเข้าใจระหว่างคนต่าง ๆ เป็นงานหลักของสังคมวิทยา เป็นไม่ได้
เลยที่จะศึก ษาการปฏิสั มพั นธ์ข องคนส่ว นใหญ่ โดยปราศจากไม่มีเ ครื่ องมือที่ไ ร้ก รอบความคิดไม่ไ ด้
ซิมเมลสามารถแยกการปฏิสัมพันธ์ของบุคคลในกลุ่มต่าง ๆ ได้ เขายังได้เขียนทฤษฎีชื่อว่า “ปรัชญาแห่ง
เงินตรา” (Philosophy of Money) ระบบเงินตราได้แยกการกระทำาส่วนบุคคล ระบบเงินตรามีอิทธิพล
ครอบงำาของส่วนรวมที่เหนือปัจเจกบุคคลในสมัยใหม่ ความสำาคัญของปัจเจกบุคคลยิ่งลดน้อยลงไปทุกที
นี้เป็นวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่ขยายตัวออกไป
กำาเนิดสังคมวิทยาในอังกฤษ (16/7/2548)
สังคมวิทยาอังกฤษตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1900) ประกอบไปด้วยแหล่งข้อมูลที่ค่อนข้างขัด
แย้ง 3 ประการ คือ
1. เศรษฐศาสตร์การเมือง (Political Economy) นักสังคมวิทยาชาวอังกฤษ ยอมรับทฤษฎีของ
อดั ม สมิ ท (Adam Smith) (บิ ด าแห่ ง เศรษฐศาสตร์ ) พวกเขาเชื่ อ ตลาดเป็ น ข้ อ เท็ จ จริ ง อิ ส ระ
(Independent Reality) ที่อยู่ เหนือ ปัจ เจกชนและเป็น ตั วควบคุ มพฤติ ก รรมของปัจ เจกชนเหล่า นั้ น ๆ
ตลาดเป็นพลังทางบวก แหล่งกฎระเบียบ ความปองดองและบูรณาการของสังคม
2. ลัทธิการแก้ไขสังคมหรือปัจเจกชนปฏิรูป (Ameliorism) ในขณะที่ Marx, Comte, Weber,
Durkheim มองโครงสร้าง ทางสังคมเป็นเพียงความจริงพื้นฐาน แต่นักคิดชาวอังกฤษกับมองที่ ปัจเจก
ชน เป็นผู้สร้างโครงสร้างขึ้นมา ในการศึกษาโครงสร้างสังคมขนาดใหญ่ ต้องค่อย ๆ เก็บข้อมูลของระดับ
ปัจเจกชนแล้วนำา มารวบรวมสร้างเป็นภาพรวมของสังคม (Collective Portrait) นักสถิติจึงมีบทบาท
อย่างมากในสังคมวิทยาแนวนี้นอกจากนี้นักคิดชาวอังกฤษยังสร้างรูปแบบความคิดที่เรียกว่า “ลัทธิแก้ไข
สังคม” (Ameliorism) คือความต้องการแก้ไขปัญหาสังคมโดยแก้ที่ปัจเจกชนแม้ยอมรับสังคมมีปัญหา
เช่น ความยากจน แต่พวกเขายังอยากรักษาสังคมไว้ ไม่อยากให้ปฏิวัติหรือเปลี่ยนแปลงสังคมในชั้น
รุนแรง จึงชื่อว่า “พวกอรุรักษ์นิยม” (Conservative) พวกนี้มองไม่เห็นปัญหาสังคมในเชิงโครงสร้าง แต่
มองปัญหาที่ปัจเจกชน เช่น อาชญากรรม ความยากจน ฯลฯ แล้วแก้ที่ตัวปัจเจกชนนั้น สภาพที่เรียกว่า
“สังคมป่วย” (Social Pathology) จะไม่เกิดขึ้น
3. วิวัฒนาการทางสังคม (Social Evolution) ต่อมานักคิดชาวอังกฤษเริ่มมาสนใจทฤษฎีของ
Comte ในแนวทางการศึกษาเปรียบเทียบกับทฤษฎีวิวัฒนาการ นักคิดชาวอังกฤษที่โดยเด่นในทฤษฎีเชิง
วิ วั ฒ นาการได้ แ ก่ เฮอร์ เ บริ ต์ สเปนเซอร์ (Herbert Spencer) ผู้ มีอิ ท ธิ พ ลครอบงำา วงการทฤษฎี
สังคมวิทยาของอังกฤษ โดยเฉพาะทฤษฎีวิวัฒนาการของ Herbert Spencer (เฮอร์เบริต์ สเปนเซอร์ :
1820-1930) สเปนเซอร์ เป็นทั้งนักอนุรักษนิยมและเสรีนิยมทั้ง 2 บุคลิกในตัวเอง แนวคิดด้านเสรีนิยม
เขายอมรั บหลั กการค้า เสรี (Laissez-Faire) ที่รัฐ ไม่ควรเข้าไปแทรกแซง ยัง เว้น ด้านความมั่น คงเขา
ต้องการให้สังคมวิวัฒนาการไปตามอิสระ โดยไร้การควบคุมจากภายนอก ส่วนด้านการวิวัฒนาการ เขา
ถูกจัดอยู่ในพวกแนวคิดดาร์วินทางสังคม (Social Darwinism) ซึ่งมีลักษณะดังนี้คือ
1. โลกมีการเจริญก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ และดีขึ้นเรื่อย ๆ
2. การแซรกแซง - ขวางกั้น ทัง้ ให้โลกเสื่อมลง
3. สถาบันทางสังคมเหมือนกับพืชและสัตว์ จะมีการปรับตัวในทางบวก เพื่อความอยู่รอด
4. มีการเลือกสรรตามธรรมชาติ (Natural Selection)
5. ผู้เหมาะสมเท่านั้นที่จะอยู่รอด (Survival of Fittest)
6. สเปนเซอร์ มองที่ปัจเจกชนมากกว่าหน่วยทางสังคม
สเปนเซอร์พบว่า การวิวัฒนาการของสังคมที่เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าไปสู่สภาวะสังคมอุดมคติ
ในสังคมดังกล่าวจะสัมพันธ์กันด้วยข้อตกลงหรือสัญญา และมีกฎศีลธรรมที่เหนี่ยวแน่น แม้การควบคุม
บรรทั ด ฐานภายนอกเป็ น สิ่ ง จำา เป็ น แต่ รั ฐ ก็ ไ ม่ค วรบั ง คั บ ให้ ป ระชาชนทำา โดยให้ เ กิ ด จากสำา นึ ก ของ
ประชาชนเอง จะทำาให้เกิดความร่วมมือกว่า
ในขั้นที่ 2 มีลักษณะที่ทฤษฎีมากขึ้น มีอุดมการณ์น้อยลง เขาเสนอว่า สังคมพัฒนาไปตรม
ทิศทางที่แตกต่างด้านโครงสร้าง ซึ่งช่วยทำาหน้าที่สนองความต้องการของสังคม สังคมสมัยใหม่พัฒนา
โครงสร้างเพื่อช่วยแก้ปัญหาความบกพร่องด้านหน้าที่ ที่มีอยู่ในทฤษฎีโครงสร้าง – หน้าที่
ในขั้นที่ 3 สเปนเซอร์ เปรียบเทียบการแบ่งงานของ Durkheim เท่ากับการวิวัฒนาการของสังคม
คือ เมื่อสังคมมีปัญหาประชากรเพิ่มขึ้นสังคมจะปรับตัวเอง การปรับตัวเอง ได้แก่ การแบ่งงานกันทำา
สังคม ประชากรเพิ่มขึ้น ปรับตัว การแบ่งงาน
และถูกบังคับให้มีความหลากหลายมากขึ้น
ท้ายสุดสเปนเซอร์ได้คำานึงถึงว่า ทำาไมสังคมบางสังคมจึงอยู่ได้ และอีกสังคมหนึ่งอยู่ไม่ได้ มา
ลงท้ายที่สังคมที่เหมาะสม (Fittest Society) จะอยู่รอดได้ สังคมที่ปรับเปลี่ยนตัวเองตลอดเวลา ทฤษฎี
ของ Spencer เป็นที่ยอมรั บอย่างมาก จนมาถึงการนำา มาปรับปรุงเปลี่ยนเป็น Neo – Evolutionary
Sociological Theory (ทฤษฎีวิวัฒนาการทางสังคมแนวใหม่)
สังคมวิทยาในอิตาลี : วิลเฟรโด พาเรโต้, Vilfrady Pareto (1848-1923) และแกตาโน
มอสคา (Gaetano Mosca : 1858-1941) สองนักสังคมวิทยาผู้มีอิทธิพลในยุคนั้น พาเรโต พัฒนาความ
คิดจากการปฏิเสธมาร์กซ์และปฏิเสธกระบวนการของวุฒิปัญญา
วุฒิปัญญา เน้น หลักเหตุผล
พาเรโต้ เน้น ปัจจัยที่ไร้เหตุผล สัญชาตญาณ
เพราะปัจจัยทางสัญชาตญาณ ไม่เป็นจริงที่สังคมจะเปลี่ยนไปโดยการปฏิวัติทางเศรษฐกิจ
พาเรโต้ พัฒนาหรือคิดทฤษฎีการเปลี่ยนทางสังคมที่มาจากชนชั้นสูง (Elite) สังคมหลีกเลี่ยงไม่
ได้ที่จะถูกครอบงำาโดย ชนชั้นสูงกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งเสมอ พวกนี้ปกครองคนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่ง
มักจะใช้อำานาจที่ไม่มีเหตุผลเสมอครอบงำา และด้วยอำานาจอันนี้ทั้งให้ชนกลุ่มใหญ่ไม่มีอำานาจที่รุกขึ้นมา
ต่อรองกับผู้มีอำานาจได้เลย
การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เกิดขึ้นเมื่อชนชั้นสูงเริ่มเสื่อมและถูกแทนที่โดยชนชั้นปกครองอีกกลุ่ม
หนึ่ง หรือจากกลุ่มชั้นสูงสุดของประชากรกลุ่มใหญ่
ชั้นสูงกลุ่มอื่น
สังคม ชนชั้นสูง เปลี่ยน
กลุ่มบนสุดของ Mass
2. ยอมรับวิวัฒนาการของความก้าวหน้ามี 2 ประการ
2.1 รัฐควรปฏิรูปสังคม
2.2 รัฐควรส่งเสริมเสรีนิยมในกิจการต่าง ๆ (Laissez Faire)
นักสังคมวิทยาในอเมริกา มองทุนนิยมนำา มาซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความร่วมมือ
ระหว่างชนชั้นทางสังคมแทนการแบ่งแยกทางชนชั้น โดยหาเหตุผลมาสนับสนุนระบบทุนนิยม แก้ตา่ งการ
เอาอัดเอาเปรียบทางชนชั้น เหมือนพวกอนุรักษ์นิยม
นักสังคมวิทยาอเมริกา เขียนสังคมวิทยาเพื่อเป็นการโต้ตอบระบบความเชื่อดั้งเดิม เช่น ศาสนา
ให้กลายมาเป็นหลักทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
การเกิดขึ้นของสังคมวิทยาในอเมริกา ได้รับอิทธิพลมาจากยุโรป พร้อมกับการพัฒนาด้านงาน
วิชาการบวกกับระบบมหาวิทยาลัยที่แข็งแกร่งขึ้น จึงทำาให้สังคมวิทยาในอเมริกาเจริญก้าวหน้าและเป็นที่
แพร่หลายโดยเร็ว
วิลเลี่ยม แกรแฮม ซัมเนอร์ (William Graham Sumner : 1840-1910) เป็นศิษย์ของเฮอร์เบิร์ต
สเปนเซอร์ ที่ นั บ ถื อ และนำา ทฤษฎี ข องสเปนเซอร์ มาใช้ เ ผยแพร่ เป็ น ผู้ ส อนวิ ช าสั ง คมวิ ท ยาใน
มหาวิทยาลัยของอเมริกาเป็นคนแรก
ซัมเนอร์ ยอมรับว่าการอยู่รอดของผู้เหมาะสมที่สด มีอยู่ในการศึกษาโลกทางสังคม (Social
World) เช่นเดียวกับสเปนเซอร์
เหมาะสม
ไม่เหมาะสม ผู้อยู่ไม่รอด
ซัมเนอร์ สนับสนุนการแข่งขัน ความก้าวร้าว กล้าเผชิญกับอุปสรรคของคน จะทำา ให้ประสบ
ความสำาเร็จ ส่วนคนที่มีลักษณะตรงข้างก็ต้องล้มเหลวไป
ซัมเนอร์ ต่อต้านรัฐบาลที่ไปสนับสนุนผู้ล้มเหลว ถือว่ารัฐแทรกแซง เพราะขัดกับการเลือกสรร
ตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้นลัทธิทุนนิยมจึงมีความเหมาะสม เพราะสร้างความชอบธรรม คือ ความแตก
ต่างทางด้านทรัพย์สินและอำานาจ เขาจงสนับสนุนอย่างยิ่งในการแข่งขันตามระบบทุนนิยม
สังคมวิทยาสำานักชิคาโก (The Chicago School)
คณะสังคมวิทยา (Sociology Department) มหาวิทยาลัยชิคาโก ตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1892 โดย
แอลเนียน สมอลส์ (Albion Small) คณะสังคมวิทยาได้กลายเป็นศูนย์กลางของวงการสังคมวิทยาของ
อเมริ ก า สมอลส์ ไ ด้ จั ด ทำา วารสาร American Journal of Sociological และก่ อ ตั้ ง American
Sociology Society ซึ่งเป็นสมาคมวิชาชีพของนักสังคมวิทยาจนถึงปัจจุบัน
จุดเด่นของสำานักชิคาโก
1. สังคมวิทยาต้องสนใจเรื่องส่วนรวม
2. สังคมวิทยามีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์
3. สังคมวิทยามีจุดหมายในการปรับปรุงแก้ไขและปฏิรูปสังคม
สมาชิกทีส่ ำาคัญของสำานักนี้
1. ดับบริว ไอ โทมัส (W.I. Thomas : 1863-1947) เขาเน้นเรื่องความจำาเป็นของการทำา
วิจัยทางสังคมโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์
อีกประการหนึ่ง Thomas สนใจสังคมวิทยาจุลภาพ (Micro Sociology) ได้แก่ จิตวิทยาสังคม
เขากล่าวว่า “ถ้ามนุษย์นิยามสถานการณ์ต่าง ๆ ว่าจะเป็นจริง ก็จะส่งผลให้สถานการณ์นั้นเป็นจริงขึ้น
มา” แนวศึ ก ษาแนวนี้ ก ลายเป็น แนวเพราะด้ า นของสำา นั ก ชิ ค าโก ทฤษฎี ป ฏิ สั ม พั น ธ์ เ ชิ ง สั ญ ลั ก ษณ์
(Symbolic Interactions)
2. โรเบิร์ต ปาร์ค (Robert Park : 1864-1944) ปาร์ค ได้พัฒนาสังคมวิทยาในหลาย ๆ
ด้าน ปาร์คสนใจเรื่องการกระทำาและการปฏิสัมพันธ์เป็นพื้นฐานของการพัฒนาและสนใจเรื่องเก็บข้อมูล
ส่วนตัว ทัศนะดังกล่าวก่อให้เกิดความสนใจด้านนิเวศวิทยาเมือง (Urban Ecology) เขาพิมพ์หนังสือชื่อ
ว่า “An Introduction to the Science of Sociology” เป็นหนังสือที่มีชื่อเสียงและทรงอิท ธิพลของ
สังคมวิทยาในอเมริกา
3. ชาร์ ล ฮอร์ ตั น คู ลี ย์ (Charles Horton Cooley : 1864-1929) คู ลี ย์ ส อนใน
มหาวิทยาลัยมิซิแกน แต่แนวคิดอยู่ในแนวเดียวกับปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ งานที่สำาคัญของเขาได้แก่
จิตวิทยาทางสังคม ความสำานึกในสังคม ไม่อาจแยกออกจากความสำานึก แนวคิดที่ดังมากของคูลีย์ได้แก่
ทฤษฎีสะท้อนเงาตัวเองในกระจก (The Looking Glass Self) เขาคิดว่า มนุษย์มีความสำา นึก ๆ เกิด
จากการถูกหล่อหลอมโดยความปฏิสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง
อีกประการหนึ่ง คูลีย์ ศึกษาเรื่องกลุ่มปฐมภูมิ (Primary Group) กลุ่มปฐมภูมิ เป็นกลุ่มที่มี
ความสนิทสนมผูกพันธ์อย่างใกล้ชิด เขาพบว่า กลุ่มนี้มีบทบาทอย่างยิ่งในการเชื่อมโยงผู้กระทำากับสังคม
ส่วนใหญ่
เชื่อมโยง
ปฐมภูมิ ผู้กระทำา สังคมใหญ่
มีอิทธิพล
ทฤษฎีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดชนชั้นทางสังคม
ตามความคิดของ Kingley David & Wilbert Moore คิงเลย์ เดวิด และวิลเบริต์ มัวร์ ทั้งสอง
คิดว่า การจัดชนชั้นทางสังคม (Social Stratification) เป็นสากลและจำาเป็นทุกสังคมต้องมีชนชั้น ชนชั้น
มาจากเจตจำานงในการทำาหน้าที่
1. ในด้านโครงสร้าง มองว่าการจัดชนชั้นได้จัดบุคคลเข้าสู่ตำา แหน่งต่าง ๆ ที่ได้รับความนับถือ
ตาม (ค่านิยม) โดยมีเหตุจูงใจ 2 ประการ
1.1 ปลูกฝังให้บุคคลอยากเข้าสู่ตำาแหน่งที่กำาหนด
1.2 ทำาตามบทบาทในตำาแหน่งที่สังคมคาดหวังไว้
ระบบหน้าที่
ความต้องการ
ชนชัน้ บทบาท
ตำาแหน่ง
สนองระบบ
ดั ง นั้ น การจั ด บุ ค คลที่ เ หมาะสมกั บ ตำา แหน่ ง ที่ เ หมาะสมจึ ง เป็ น ระบบทางสั ง คมในทฤษฎี
โครงสร้าง-หน้าที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สิ่งจำา เป็นพื้นฐานต่อหน้าที่หลักของสังคม (The Functional Prerequisite of Society ) ในการ
นิยามหน้าที่พื้นฐาน (Prerequisite) ก่อนเกิดหน้าที่ของระบบปฏิบัติการ (Action System) มี 4 อย่าง คือ
1. การปรับตัว (Adaptation)
2. การบรรลุเป้าหมาย (Goal Attainment)
3. บูรณาการ (Integration)
4. การธำารงไว้ซึ่งแบบแผน (Pattern Maintenance)
สังคมเกิ ดจาการต้ องการอยู่ รวมกั น แบบสมานฉั น ท์ ข องสมาชิ กในสั ง คม สิ่ ง ที่ทำา ให้ เ กิ ด การ
สมานฉันท์ที่สมบูรณ์แบบคือ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (Potential Communication) หมายถึง ระบบ
สัญลักษณ์ร่วม (Shared Symbolic systems )โดยผ่านการเรียนรู้ระเบียบทางสังคม (Socialization)
สังคมต้องมีเป้าหมายร่วมกัน ถ้าต่างกันจะเกิดความวุ่นวาย ด้วยเหตุนี้สังคมจำาเป็นต้องมีวิธีการ
ในการกำา หนดเป้าหมาย โดยใช้ระบบบรรทัดฐาน (Normative System) , ความสำา เร็จของบุคคล ถ้าไร้
บรรทัดฐานแล้ว สังคมจะไร้ระเบียบและเดือดร้อน
สังคมต้องมีระบบการเรียนรู้ สำาหรับคนในสังคมต้องเรียนสิ่งต่างๆ ทั้งสถานภาพในระบบชนชั้น
ค่านิยมร่วม จุดหมายที่ยอมรับร่วมกัน การรับรู้ร่วมกัน ตลอดจนการแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึก
จึงช่วยให้เกิดความร่วมมือและปฏิบัติที่สอดคล้องกับบรรทัดฐาน
สังคมต้องมีมาตรการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ ยอมรับในค่านิยม
ที่เหมาะสม เขาจะประพฤติอยู่ในกรอบของความถูกต้องดีงาม โดยความสมัครใจ
ทฤษฎีหน้าที่นิยมของทัลคอตต์ พาร์สันส์ (Talcott Parsons’s Structural Functionalism) 4 ประการ
ที่จำาเป็นต่อระบบต่าง ๆ คือ
1. Adaptation = การปรับตัว ระบบต้องจำาเป็นปรับให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ในภายนอก คือ
ปรับเข้ากับสิ่งแวดล้อมและความต้องการของสังคม
2. Goal Attainment = การบรรลุเป้าหมาย ระบบจะต้องกำาหนดและตอบสนองต่อเป้าหมายหลัก
3. Integration = บูรณาการ ระบบจะต้องกำาหนดความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ และจะ
ต้องจัดการความสัมพันธ์ระหว่างหน้าทีพ่ นื้ ฐานอืน่ ๆ
4. Latency (Pattern Maintenance) ระบบต้องธำารงและพื้นฟู แรงจูงใจของปัจเจกบุคคลและ
แบบบรรยายทางวัฒนธรรมทีน่ ร้างรักษาแรงจูงใจนั้นไว้
สิ่งจำาเป็นพื้นฐานด้านหน้าที่ 4 ประการนี้ จะต้องเกี่ยวข้องระบบการกระทำา (Action system) 4
อย่างคือ
1. อินทรีย์ทางชีววิทยา (Biological Organism) ทำาหน้าที่ในการปรับตัว
2. ระบบบุคลิกภาพ (Personality System) ทำาหน้าที่ในการบรรลุ
เป้าหมาย
3. ระบบสังคม (Social system) ดูแลเกี่ยวกับการบูรณาการ โดยควบคุม
ส่วนต่าง ๆ
4. ระบบวัฒนธรรม (Cultural system) ทำาหน้าที่ในการธำารงแบบแผน โดยกำาหนดบรรทัดฐานและ
ค่านิยมแก่ผู้ปฏิบัติ
โครงสร้างระบบการทำาหน้าที่หลัก
L I
ระบบวัฒนธรรม ระบบสังคม
อินทรีย์แห่งพฤติกรรม ระบบบุคลิกภาพ
A G
ระบบการระทำา (The Action System)
พาร์สันมีความคิดชัดเจนเกี่ยวกับ “ระดับ” ของความเป็นจริงในสังคม = การชนชั้น ตลอดจน
ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้น ที่ต้องสนองพลังและความต้องการของระบบ ดังนี้
ข่าวสารระดับสูง
ลำาดับขั้นของปัจจัยที่เป็นตัวสร้างเงื่อนไข
พลังงานระดับสูง
พาร์สันค้นพบระบบจากความเป็นระเบียบทางสังคม
1. ระบบต่างมีความเป็นระเบียบ เป็นคุณลักษณะและหลายส่วนต้องพึ่งพาอาศัยกัน
2. ระบบมีแนวโน้มไปสู่การมีระเบียบแก่ตัวเอง หรือเรียกว่า “ดุลยภาพ” (Equilibrium)
3. ระบบอาจมีลักษณ์สถิตย์ (Static) หรือเป็นพลวัตร (Change) ก็ได้
4. ส่วนหนึ่งของระบบต้องมีผลกระทบต่อมีสว่ นหนึ่งเสนอ
5. ระบบมีขอบเขตภายในสภาพแวดล้อมนั้น
6 6. การแบ่งสรรและบูรณาการ (จัดการ) เป็นกระบวนการพื้นฐานสำาหรับการสร้างดุลยภาพใน
ระบบ
7 7. ระบบต่างมีแนวโน้มที่รักษาไว้ขอบเขตและความสัมพันธ์ของส่วนร่วมที่มีต่อส่วนรวมและ
ควบคุมความแตกต่าง และการเปลี่ยนแปลงภายในระบบไว้
ระบบสังคม (Social System)
Pansons เริ่มความคิดเกี่ยวกับระบบสังคม ในระดับดุลภาค (Micro Level) ด้วยการปฏิสัมพันธ์
ระหว่างตัวเอง (ego) กับผู้อื่น (Alter ego) โดยนิยมว่าระบบหน้าที่
Pansons ระบบสังคมประกอบขึ้นด้วยผู้กระทำา มาปฏิสมั พันธ์กนั ในสถานการณ์ทมี่ ลี กั ษณะทาง
กายภาพและสิ่ง แวดล้อ มคล้ายคลึง กั น ผู้ ก ระทำา ถู ก จู ง ใจจากแนวโน้ ม ด้ า นความพึ ง พอใจขั้ น สู ง และ
พฤติกรรมของพวกเขาเกี่ยวพันกับสถานการณ์นั้น ๆ มันถูกนิยามและสื่อสารในรูปของระบบ โครงสร้าง
ทางวัฒนธรรมและสัญลักษณ์ร่วม
วัฒนธรรม
ความพึงพอใจ
ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ของทัลค๊อต พาร์สัน
การขัดเกลาทางสังคม
สังคม กลไก สังคมดุลยภาพ
การควบคุมทางสังคม
คาดหวัง
หน้าที่
ไม่ได้คาดหวัง
หน้าที่ คาดหวัง
หน้าที่ ไม่ได้คาดหวัง
Food
Meaning Response
Non-Food
*------------------/---------------*