ค ดี ค วามที่ สั ง คมโดยทั่ ว ไปทั้ ง ในประเทศ และ
ต่างประเทศก�ำลังจับตามองคงไม่มีคดีใดเกิน
คดีที่ทาง คตส. ซึ่งถูกแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร ได้
อายัดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มูลค่าประมาณ
76,000 ล้านบาทเศษ เมื่อปี พ.ศ. 2550 และส่งเรื่อง
ให้ส�ำนักงานอัยการสูงสุด ร้องขอต่อศาลฎีกาแผนก
คดีอาญาของผู้ด�ำรงต�ำแหน่งทางการเมือง เพื่อมีค�ำ
พิพากษาให้ยึดทรัพย์ดังกล่าวข้างต้น
ค�ำสั่งอายัดทรัพย์ของ คตส. ในครั้งนี้ เป็นการ
อายัดทรัพย์จ�ำนวน 76,621 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็น
ของบุ ค คลที่ มิ ใ ช่ เ จ้ า หน้ า ที่ รั ฐ และผู ้ ด�ำ รงต� ำ แหน่ ง
ทางการเมืองมาก่อนเข้าไปด้วย อาทิเช่น นายบรรณพจน์
ดามาพงศ์ ซึ่งข้อกล่าวหาที่มีการอายัดทรัพย์ เพียง
เพราะเขาเป็นบุคคลในครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ เท่านั้น หาก
พิจารณาโดยเหตุผลที่เป็นธรรม ไม่เข้าใจว่า คตส.
อาศัยอ�ำนาจตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. 2542 ข้อใด จึงใช้
อ�ำนาจไปอายัดทรัพย์ของบุคคลทีม่ ใิ ช่เจ้าหน้าทีร่ ฐั และ
ผู้ด�ำรงต�ำแหน่งทางการเมือง
ข้อมูลข่าวสารและข้อเท็จจริงของคดีดังกล่าวนี้
จึงเป็นสิ่งที่พวกเราต้องพิจารณาจากข้อมูลที่เป็นจริง ว่า
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์
ตลอดจนครอบครัวนั้นประกอบอาชีพและมีสินทรัพย์
อย่างไร ก่อนเข้ามาด�ำรงต�ำแหน่งทางการเมือง และภาย
หลังในขณะที่ด�ำรงต�ำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ส�ำแดง
ทรั พ ย์ สิ น ต่ อ สาธารณชนไว้ อ ย่ า งไร รวมถึ ง โอนหุ ้ น
ชินคอร์ปให้บุตรและญาติพี่น้องอย่างไรก่อนเป็นนายก
รัฐมนตรี
รวยก่อนท�ำงานการเมือง
ไม่ใช่ ท�ำงานการเมืองแล้วรวย
พ.ต.ท.ทั ก ษิ ณ ชิ น วั ต ร และคุ ณ หญิ ง พจมาน
ดามาพงศ์ ก่อตั้งบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ จ�ำกัด
มาตั้งแต่ปี 2526 และในช่วงเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร เข้าด�ำรงต�ำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง
ประเทศ เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2537 ขณะนั้นสังคมไทย
ยังไม่มีกฎหมายก�ำหนดให้นักการเมืองต้องแสดงบัญชี
ทรัพย์สินเพื่อความโปร่งใส แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ได้แสดงความบริสทุ ธิใ์ จ โดยเปิดเผยบัญชีทรัพย์สนิ ของ
ตนเอง และคุณหญิงพจมาน ก่อนเข้ามารับต�ำแหน่งทาง
การเมืองดังกล่าว ในนามพรรคพลังธรรม มูลค่ารวม
ของทรัพย์สิน ส่วนที่เป็นหุ้นในขณะนั้น คือ 51,481
ล้านบาท ซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวเกิดจากน�ำ้ พักน�้ำแรงใน
การท�ำงาน ที่เริ่มจาก หจก.ไอซีเอสไอ ต่อมาขยับขยาย
เป็น บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ จ�ำกัด  กระทั่งสามารถ
พั ฒ นาบริ ษั ท ในเครื อ จนครอบคลุ ม ธุ ร กิ จ สื่ อ สาร
โทรคมนาคมและสารสนเทศทุกด้าน และน�ำ บริ ษั ท
ชินวัตร คอมพิวเตอร์ จ�ำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาด
หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น
บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จ�ำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการ
ยอมรับว่าเป็นผู้น�ำในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมแบบ
ครบวงจร จนเป็นที่ยอมรับทั่วโลก
การแสดงบั ญ ชี ท รั พ ย์ สิ น ต่ อ สาธารณชนของ
พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร ตัง้ แต่ครัง้ แรกทีย่ งั ไม่มกี ฎหมาย
ก�ำหนด ได้แสดงถึงความพร้อมและความมุ่งมั่นที่จะ
ท�ำงานการเมืองอย่างเปิดเผย และแสดงให้เห็นว่าเมื่อ
ประสบความส�ำเร็จในธุรกิจของตน ก็ควรที่จะเสียสละ
และใช้ความรู้ ความสามารถ ตลอดจนประสบการณ์ที่มี
ค่ามาท�ำงานให้บ้านเมือง ดังที่ได้เคยกล่าวไว้ก่อนที่จะ
ลาออกจากต�ำแหน่งประธานกรรมการ และประธาน
คณะกรรมการบริหาร บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จ�ำกัด
(มหาชน) เพื่อเข้ามาท�ำงานการเมืองว่า
“ผมถือว่าการท�ำงานการเมืองเป็นภารกิจทีย่ งิ่ ใหญ่
ที่คนไทยทุกคนควรเสียสละเข้ามามีส่วนร่วมในการ
สร้างสรรค์ และผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สมควรจะเสีย
สละเข้ามาท�ำงานการเมือง เพราะมีความพร้อมทั้งด้าน
ความรู ้ ฐานะทางเศรษฐกิ จ และประสบการณ์ ท าง
การบริหารที่จะเข้ามาช่วยประเทศชาติได้„
ในปี 2540 ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็น
รองนายกรัฐมนตรีในสมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็มี
การยื่นบัญชีทรัพย์สิน และถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ชุดที่มีนายกล้าณรงค์ จันทิก เป็นเลขาธิการ ตรวจสอบ
การซุกหุ้นชินคอร์ป โดยมีมติก่อนการเลือกตั้ง ส.ส.
ทั่วไป ในต้นปี 2544 เพียงไม่กี่วันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ยื่นบัญชีหุ้นชินคอร์ป
รวมกันเพียง 48.75% ของหุ้นที่บริษัทมีทั้งหมด ยัง
ปกปิดอยู่ในชื่อบุคคลอื่นอีก 3% จนศาลรัฐธรรมนูญ
ต้องชี้ขาดตัดสินคดีในเดือนสิงหาคม 2544 ว่าไม่มี
เจตนาจงใจปกปิ ด และยุ ติ ล งโดยคณะกรรมการ
ป.ป.ช. รับทราบข้อมูลการถือหุ้นชินคอร์ปทั้งหมด
ภายหลังจากการก่อตั้งพรรคไทยรักไทยแล้วได้
รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ก่อนด� ำรงต�ำแหน่งนายก
รัฐมนตรีสมัยแรก ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 พ.ต.ท.
ทักษิณ ชินวัตร ได้แสดงบัญชีทรัพย์สินอีกครั้ง ตามที่
กฎหมายรัฐธรรมนูญก�ำหนด มีทรัพย์สินรวมจ�ำนวน
10,357 ล้านบาท โดยไม่มีหุ้นชินคอร์ปอยู่เลยแม้แต่หุ้น
เดียว เพราะโอนให้แก่บุคคลในครอบครัวไปแล้วตั้งแต่
ปี 2543 ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะด�ำรงต�ำแหน่ง
นายกรัฐมนตรี ซึ่งหุ้นทั้งหมดในขณะนั้นมีมูลค่ารวม
จ�ำนวน 31,242 ล้านบาท รวมแล้วอย่างน้อย พ.ต.ท.
ทักษิณ และบุคคลในครอบครัวมีทรัพย์สินก่อนวันรับ
ต�ำแหน่งนายกรัฐมนตรี จ�ำนวน 41,599 ล้านบาท
มูลค่าของหุ้นขึ้นลง
ตามเศรษฐกิจของประเทศ
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า มูลค่าการขึ้นลงของ
ราคาหุ้นที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นั้นแปรผัน
ตามสภาวะของเศรษฐกิจเป็นหลัก
ก่อนหน้าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเข้ามาด�ำรง
ต�ำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยต้องประสบกับภาวะ
วิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างหนัก ดัชนีหุ้นตกจาก 1,700
กว่าจุด ลงมาอยู่ที่ประมาณ 300 จุด ในปี 2542 แต่เมื่อ
พรรคไทยรักไทยได้รับการเลือกตั้งเป็นรัฐบาลเสียงข้าง
มาก และเข้ามาบริหารประเทศตามนโยบายทีไ่ ด้ประกาศ
ไว้ ท�ำให้ภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตขึ้น
เป็นล�ำดับ ดังจะเห็นได้จากตัวเลข ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
(set index) ในปี 2546 ปรับตัวสูงสุดถึงร้อยละ 117 นับ
เป็นตัวเลขการเติบโตที่สูงที่สุดในตลาดโลก โดยปิดที่
ระดับ 772.15 จุด เป็นสถิติสูงสุดในรอบ 7 ปี
โดยในปี 2546 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขาย
สูงสุด 10 อันดับ ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมปิโตรเคมีคลั ไทย
2) ปตท. 3) ธนาคารทหารไทย 4) ไอทีวี 5) ธนาคาร
กรุงเทพ 6) ธนาคารกสิกรไทย 7) ชิน คอร์ปอเรชั่น 8)
บริ ษั ท กฤษดานคร 9) บริ ษั ท หลั ก ทรั พ ย์ เคจี ไ อ
ประเทศไทย และ 10) ปูนซิเมนต์ไทย ซึ่งแสดงให้เห็น
ว่าการเติบโตของบริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ เป็น
การเติบโตอย่างทั่วถึงของหลากหลายกลุ่มธุรกิจ ไม่ใช่
เป็นการเติบโตเฉพาะกลุ่มธุรกิจของครอบครัวชินวัตร
เท่านั้น
และเมือ่ ครอบครัวชินวัตรขายหุน้ ชิน คอร์ปอเรชัน่
ให้กับกองทุนเทมาเส็ก มีบางคนบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ
ชิ น วั ต ร ขายหุ ้ น ให้ แ ก่ ต ่ า งชาติ ใ นราคาที่ สู ง ผิ ด ปกติ
อาจเป็ น เพราะใช้ อ� ำ นาจในขณะที่ เ ป็ น นายกฯ ออก
มาตรการเอื้ อ ประโยชน์ ใ ห้ กิ จ การของตนจนท� ำ ให้
ราคาหุ้นสูงขึ้นจนผิดปกติ แต่ความจริงคือ ราคาหุ้นละ
49.25 บาท ที่ขายแก่กลุ่มกองทุนเทมาเส็กในปี 2549
เป็นการเพิ่มราคาตามปกติตามการเติบโตของตลาด
โดยราคาเป็ น ไปในทิ ศ ทางเดี ย วกั น กั บ ดั ช นี ต ลาด
หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามข้อมูลความจริง ดังนี้
รัฐประหาร : ยึดอ�ำนาจรัฐบาลที่มาจาก
การเลือกตั้ง สร้างกลไกท�ำลายภาพพจน์
รัฐบาลประชาธิปไตย
การยึดอ�ำนาจด้วยการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19
กันยายน 2549 เป็นการกระท�ำที่ผิดต่อรัฐธรรมนูญ
และไม่ชอบธรรม เพราะเป็นการล้มล้างรัฐบาลที่มาจาก
การเลื อ กตั้ ง ในระบอบประชาธิ ป ไตย และท� ำ ลาย
การยอมรั บ ของนานาชาติ ที่ มี ต ่ อ ประเทศไทย คณะ
รัฐประหารยังท�ำลายความเชื่อมั่นของประเทศไทยให้
ถดถอยลงไปอีก ด้วยการตั้งองค์กรอิสระอย่าง คตส.
และกลไกต่างๆ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การ
รัฐประหารของตนด้วยการพยายามยัดเยียดข้อกล่าวหา
และท�ำลายภาพพจน์ของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ที่มาตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย และการ
สร้างกลไก คตส. ที่ประกอบด้วยบุคคลที่เป็นปรปักษ์
ทางการเมื อ งกั บ พ.ต.ท.ทั ก ษิ ณ ชิ น วั ต ร อาทิ นาย
กล้าณรงค์ จันทิก นายแก้วสรร อติโพธิ และนายบรรเจิด
สิงคะเนติ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ล้วนมีพฤติกรรมและการ

ณ 7 ก.ย. 2537 ณ 9 ก.พ. 2544 ณ 23 ม.ค. 2549

ก่อนเข้าสู่การเมือง เป็นนายกรัฐมนตรีวันแรก ครอบครัวขายหุ้น
จ�ำนวนหุ้นชินคอร์ป 148,774,012 หุ้น 148,774,012 หุ้น 1,487,740,120 หุ้น
(PAR 10 บาท) (PAR 10 บาท) (PAR 1 บาท)
ค่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ 1,532 จุด 324 จุด 750 จุด
ราคาหุ้น 79.60 บาท / หุ้น 21 บาท / หุ้น 49.25 บาท / หุ้น
(เปรียบเทียบราคา PAR 1 บาท (เปรียบเทียบราคา PAR 1 บาท
เท่าปี 2549) เท่าปี 2549)
มูลค่า 118,424 ล้านบาท 31,242 ล้านบาท 73,271 ล้านบาท

จากข้ อ มู ล ความจริ ง จะเห็ น ว่ า หุ ้ น บริ ษั ท ชิ น กระท�ำที่เป็นปฏิปักษ์และต้องห้ามตามกฎหมายในการ

คอร์ปฯ จ�ำนวนเดียวกันนี้เคยมีราคาซื้อขายในตลาด
หลักทรัพย์ฯ ในปี พ.ศ. 2537 ช่วงที่เศรษฐกิจของ
ประเทศอยู่ในภาวะขาขึ้น หุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯ มีราคา
ถึงหุ้นละ 796 บาท (พาร์ 10 บาท) หากเทียบราคาพาร์
1 บาท จะมีราคาหุ้นละ 79.60 บาท ดังนั้น หากน�ำหุ้น
ที่ ข ายทั้ ง หมดมาค�ำ นวณราคาในขณะนั้ น จะมี มู ล ค่ า
118,424 ล้านบาท มากกว่ามูลค่าที่ขายให้กลุ่มกองทุน
เทมาเส็กในปี 2549 เสียอีก
ปฏิบตั หิ น้าทีอ่ นุกรรมการไต่สวน กล่าวคือมีสาเหตุโกรธ
เคือง รูเ้ ห็นเหตุการณ์มาก่อน และมีสว่ นได้เสียในผลการ
ไต่สวน โดยมีพยานหลักฐานที่ปรากฏจากหนังสือพิมพ์
สื่อมวลชนต่างๆ และภาพถ่าย รวมทั้งหนังสือ ”หยุด
ระบอบทักษิณ„ ที่นายแก้วสรร อติโพธิ เขียนขึ้นก่อนได้
รับแต่งตั้งเป็น คตส. โดยเนื้อหาตรงกับข้อกล่าวหาของ
คณะกรรมการ คตส. ที่ยื่นต่อศาล จึงเห็นได้ชัดเจนว่า
กลุ่มบุคคล คตส. นี้มีธงก่อนได้รับแต่งตั้งอย่างแจ้งชัด
ซึ่งถือได้ว่าการด�ำเนินการดังกล่าวเป็นการกระท�ำที่ไม่
เป็นกลาง มิชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อหลักนิติธรรม
ที่สังคมชาวโลกยอมรับ
คตส. ทีค่ ณะรัฐประหารแต่งตัง้ ขึน้ ได้มคี �ำสัง่ อายัด
ทรัพย์ และต่อมาได้ขอให้ทรัพย์ทั้งหมดนั้นตกเป็น
ของแผ่นดิน โดยทรัพย์ที่ถูกสั่งอายัดมีทั้งสิ้น 76,621
ล้านบาท เป็นทรัพย์ที่ได้จากการขายหุ้น (ทรัพย์) ให้แก่
กองทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงค์โปร์ (มูลค่าทรัพย์จ�ำนวน
69,722 ล้ า นบาท รวมเงินปันผลของหุ้นอีกจ�ำนวน
6,898 ล้านบาท) จากการซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯ ของนายพานทองแท้
หุ้นดังกล่าวทั้งหมด เป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยชอบ
ด้วยกฎหมายและความชอบธรรมทุกประการ จากการ
ท�ำมาหากินโดยสุจริต ด้วยน�้ำพักน�้ำแรงของครอบครัว
ชิ น วั ต รเป็ น เวลาหลายสิ บ ปี ก่ อ นที่ พ.ต.ท.ทั ก ษิ ณ
ชินวัตร จะเข้าท�ำงานการเมือง เงินที่ได้จากการขายหุ้น
และเงินปันผลจ�ำนวน 76,621 ล้านบาทนั้น เป็นเงิน
ที่บุตรและญาติพี่น้อง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นที่แท้จริงได้มา
โดยสุจริต เปิดเผย และชอบด้วยกฎหมาย จากการขาย
หุ้นซึ่งเป็นทรัพย์สินของตนเองโดยแท้ ไม่ใช่เงินที่ได้มา
จากการทุจริต คดโกงประเทศชาติ หรือเบียดบังจาก
งบประมาณแผ่นดิน
นอกจากนั้นจะเห็นได้ว่า ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิง พจมาน ดามาพงศ์
ได้โอนหุ้นให้แก่บุตรและญาติพี่น้องไปหมดแล้ว ตาม
ข้ อ ก� ำ หนดของกฎหมายที่ ห ้ า มนั ก การเมื อ งถื อ หุ ้ น
สัมปทาน และเพื่อกันข้อครหาในอนาคตว่าจะเข้ามา
แสวงหาประโยชน์เพื่อธุรกิจของตน สื่อมวลชนและ
หนั ง สื อ พิ ม พ์ ทุ ก ฉบั บ ซึ่ ง ได้ เ ห็ น บั ญ ชี ท รั พ ย์ สิ น ของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ในปี 2544 ต่างก็รับทราบการโอนหุ้นชินคอร์ปทั้งหมด
ให้กับนายพานทองแท้ บุตรชาย และญาติพี่น้อง ซึ่งเป็น
เรื่องเปิดเผยต่อสาธารณะทั้งหมด แม้แต่นายกล้าณรงค์
จันทิก เป็นเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในขณะ
นั้นก็ทราบดี
จึงสรุปได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคู่สมรส
ขาดจากการเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯ ตั้งแต่ที่ได้
โอนขายหุ้นไปแล้ว (1 กันยายน 2543) อันเป็นเวลาก่อน
ที่ จ ะเข้ า ด� ำ รงต� ำ แหน่ ง นายกรั ฐ มนตรี เ มื่ อ วั น ที่ 9
กุมภาพันธ์ 2544 ผู้รับโอนหุ้นไปจึงเป็นเจ้าของหุ้นโดย
สมบูรณ์ ไม่ใช่ถือหุ้นแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือ
คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ แต่อย่างใด
คตส. กับการตั้งข้อกล่าวหา
สองมาตรฐาน
ประเด็ น ที่ น ่ า แปลกประหลาดในการบั ง คั บ ใช้
กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมอีกประการหนึ่งคือ การที่ คตส.
มีค�ำสั่งให้กรมสรรพากรประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้
และนางสาวพินทองทา จากบริษัท แอมเพิลริชฯ โดย
อ้างว่าเป็นการซื้อในฐานะกรรมการบริษัทฯ และมีการ
ประเมิ น เรี ย กเก็ บ ภาษี เ ป็ น จ� ำ นวนเงิ น ถึ ง 12,000
ล้านบาท ขณะเดียวกัน คตส. ยังกล่าวหาว่าหุ้นจ�ำนวน
เดี ย วกั น นั้ น ยั ง เป็ น กรรมสิ ท ธิ์ ข อง พ.ต.ท.ทั ก ษิ ณ
ชิ น วั ต ร อยู ่ ซึ่ ง แสดงถึ ง การเลื อ กใช้ ก ฎหมายแบบ
”สองมาตรฐาน„ กล่าวคือ เมื่อจะประเมินเรียกเก็บ
ภาษีเป็นจ�ำนวนเงินถึง 12,000 ล้านบาท ก็อ้างว่าหุ้น
นั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของลูก ต่อมาภายหลังต้องการจะ
ด� ำ เนิ น คดี นี้ แ ละร้ อ งขอให้ เ งิ น ที่ ไ ด้ จ ากการขายหุ ้ น
ตกเป็นของแผ่นดินก็วินิจฉัยเสียใหม่ ว่าหุ้นนั้นยังคง
เป็นกรรมสิทธิ์ของพ่อ ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างอย่างไร้
หลักเกณฑ์
พวกเราเห็นว่าการอายัดทรัพย์สินในคดีดังกล่าว
นั้ น ค่ อ นข้ า งจะมี ที่ ม าที่ ไ ปที่ สื บ เนื่ อ งมาจากการยึ ด
อ� ำ นาจและความขั ด แย้ ง กั น ทางการเมื อ งมากกว่ า
เพราะดูไปแล้วไม่น่าจะเป็นการสอดคล้องกับหลักการ
ที่ถูกต้องและเป็นจริงในสามัญส�ำนึกของวิญญูชนทั่วไป
อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้น ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ควร
ชีน้ ำ� หรือกดดันศาลยุตธิ รรม คนไทยทุกคนต่างหวังทีจ่ ะ
เห็ น ความยุ ติ ธ รรมเกิ ด ขึ้ น ในแผ่ น ดิ น นี้ ทุ ก คนทุ ก
ฝ่ายในสังคมต้องร่วมกันสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น
บนพื้นฐานของความเป็นจริง ที่เป็นหลักการมาตรฐาน
สากลซึ่งยอมรับโดยทั่วกัน ความยุติธรรมจะน�ำไปสู่
ความปรองดอง ความปรองดองจะน�ำไปสูค่ วามสงบและ
สันติ พวกเราอยากเห็นบ้านเมืองสงบ และเดินหน้าต่อ
ไปได้ เพื่อตัวเราเองและลูกหลานไทยในอนาคต
กลุ่มผู้รักความยุติธรรม