Professional Documents
Culture Documents
02chapter2 PDF
02chapter2 PDF
กฎพื้นฐาน
2.1 บทนํา
เนื้อหาในบทนี้กล่าวถึงตัวต้านทาน และกฎพื้นฐานที่สําคัญสําหรับการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้า
มิติที่บ่งบอกขนาดของตัวต้านทานคือ ค่าความต้านทาน ซึ่งอ่านได้โดยตรงจากรหัสสีของตัวต้านทาน
หรือการวัดด้วยโอห์มมิเตอร์ การวิเคราะห์วงจรสําหรับบางกรณี อาจมีความสะดวกมากกว่าหาก
พิจารณาความต้านทานเป็นความนํา ซึ่งเป็นค่าผกผันของความต้านทาน เนื่องจากตัวต้านทานเป็น
องค์ประกอบพาสซีพไม่สามารถจ่ายกําลังไฟฟ้าได้ วงจรไฟฟ้าที่มีเฉพาะตัวต้านทาน จึงไม่สามารถ
แสดงลักษณะเฉพาะทางไฟฟ้าและไม่มีประโยชน์ ยกเว้นวงจรตัวต้านทานที่มีต่อกับแหล่งกําเนิด การ
วิเคราะห์วงจรเพื่อคํานวณหา กระแส แรงดัน กําลัง หรือพารามิเตอร์อื่น ๆ ต้องใช้กฎพื้นฐานที่สําคัญ
มากคือ กฎของโอห์มและกฎของเคอร์ชอฟฟ์ จากการใช้กฎทั้ง 2 ข้อนี้ ส่งผลให้เกิดวิธีการวิเคราะห์
วงจรที่มีประโยชน์หลายวิธี เช่น ความต้านทานสมมูล การแบ่งกระแส การแบ่งแรงดัน และการแปลง
ตัวต้านทาน วาย-เดลต้า เป็นต้น
2.2 ตัวต้านทาน
ความต้านทานเป็นคุณสมบัติทางไฟฟ้าที่ต่อต้านการไหลของกระแส เป็นต้นเหตุของการ
สูญเสียกําลังไฟฟ้าโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ผู้ใช้ต้องการมากที่สุดคือ อุปกรณ์ที่มี
ความต้ า นทานน้ อ ยที่ สุ ด สั ญ ลั ก ษณ์ ข องตั ว ต้ า นทานแสดงในรู ป ที่ 2.1 ตั ว อั ก ษร R คื อ ความ
ต้านทาน มีหน่วยเป็น โอห์ม Ohm, และเป็นจํานวนจริงบวกเท่านั้น
R R
(ก) (ข)
รูปที่ 2.1 สัญลักษณ์ตัวต้านทาน
(ก) ตัวต้านทานชนิดค่าคงที่
(ข) ตัวต้านทานชนิดปรับค่าได้
2 | บทที่ 2 กฎพื้นฐาน วงจรไฟฟ้า
2.2.1 รหัสสีตัวต้านทาน
ค่าความต้านทานของตัวต้านทาน สามารถอ่านโดยตรงจากรหัสสีที่แ สดงบนตั ว
ต้านทาน ซึ่งอาจมีสีจํานวน 4 5 หรือ 6 แถบ ขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์ค่าผิดพลาดของการแสดงค่าความ
ตัวต้านทานด้วยรหัสสี ข้อมูลที่อ่านได้จากแถบรหัสสีมีเพียงค่าความต้านทานเท่านั้น ข้อมูลอื่น ๆ เช่น
พิกัด กํ าลัง กระแส หรือ แรงดัน เป็น ต้น สามารถดูไ ด้จากเอกสารของผู้ ผลิ ตหรื อจากการทดลอง
ตัวอย่างตัวต้านทานที่แสดงรหัสสี แสดงในรูปที่ 2.2 ความหมายของแถบสีสําหรับตัวต้านทาน 4-6
แถบ แสดงในรูปที่ 2.3 ค่าตัวเลขของแถบสีแสดงในตารางที่ 2.1
(ก)
(ข)
(ค)
ตัวอย่างที่ 2.1
วิธีทํา
5
Rmin Rnom 1 xxsssxxss xxx 1, 000 1
%ค่าผิดพลาด 950 ตอบ
100
วงจรไฟฟ้า บทที่ 2 กฎพื้นฐาน | 5
5
Rmax Rnom 1 5% 1, 000 1 1.05 k ตอบ
100
ตัวอย่างที่ 2.2
วิธีทํา
0.1
Rmin 63.2 106 1 63,136,800 63.14 M ตอบ
100
0.1
Rmax 63.2 106 1 63,263,200 63.26 M ตอบ
100
ตัวอย่างที่ 2.3
วิธีทํา
0.25
Rmin 240 103 1 239,400 239.4 k ตอบ
100
0.25
Rmax 240 103 1 240,600 240.6 k ตอบ
100
2.2.2 การวัดความต้านทาน
การวัดความต้านทานของตัวต้านทานต้องใช้เครื่องมือวัดทางไฟฟ้าชื่อ โอห์มมิเตอร์
และ มัลติมิเตอร์ โอห์มมิเตอร์วัดได้เฉพาะความต้านทานเท่านั้น แต่มัลติมิเตอร์อาจวัดพารามิเตอร์อื่น
ได้ด้วย เช่น กระแส แรงดัน เป็นต้น ตัวอย่างมัลติมิเตอร์และวิธีการวัดแสดงดังรูปที่ 2.7 สายวัดเส้นสี
8 | บทที่ 2 กฎพื้นฐาน วงจรไฟฟ้า
2.3 ความนํา
คุณสมบัติที่สําคัญอีกประการหนึ่งของวัสดุคือ ความสามารถในการนําไฟฟ้าได้ ปริมาณที่ใช้
ระบุมิติของคุณสมบัติดังกล่าวนี้คือ ความนํา ซึ่งเป็นค่าผกผันกับความต้านทาน หน่วยวัดของความนํา
คือ ซีเมน (S) หากวัสดุมีความต้านทานสูงแสดงว่ามีความนําต่ํา สมการแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
ความต้านทานและความนําคือ
1
G
R
(1.3)
วงจรไฟฟ้า บทที่ 2 กฎพื้นฐาน | 9
ตัวอย่างที่ 2.4
วิธีทํา
1 1
Gmax 1.50 S
Rmin
743 10 1 100
3 10 ตอบ
จากสมการที่ (1.2) และสมการที่ (1.3) ค่าความนําต่ําสุดที่เป็นไปได้มีค่าเท่ากับ
1 1
Gmin 1.22 S
Rmax
743 103 1 100
10 ตอบ
10 | บทที่ 2 กฎพื้นฐาน วงจรไฟฟ้า
2.4 กฎของโอห์ม
Georg Simon Ohm (ค.ศ. 1787–1854) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ค้นพบความสัมพันธ์
ระหว่างกระแสและแรงดันของตัวต้านทาน ความสัมพันธ์นี้มีชื่อเรียกว่า กฎของโอห์ม มีรายละเอียด
ดังนี้ (Alexander & Sadiku, 2009)
กฎของโอห์ม กล่า วไว้ว่ า “แรงดั นที่ต กคร่อ มตัวต้ านทาน แปรผันตรงกับกระแสที่ ไหลผ่านตัว
ต้านทาน”
สมการที่แทนความสัมพันธ์กฎของโอห์มคือ
vi (1.4)
v Ri (1.5)
v
R
i
(1.6)
i R
v
0
R
i
0 (1.7)
v
R
0
(1.8)
i1 i2
R1 v1 v2 R2
v v
2
p vi v Gv 2 (1.9)
R R
12 | บทที่ 2 กฎพื้นฐาน วงจรไฟฟ้า
i2
p vi Ri i Ri 2 (1.10)
G
ตัวอย่างที่ 2.5
8 80
40 V 18 10 A R
8 8
40 V
8 8
c c
10 A R R
d d
8 80
18 R
ตัวอย่างที่ 2.6
i
10 V
+
v 5
วิธีทํา
v 10
i
R 5
2A ตอบ
แรงดันตกคร่อมตัวต้านทานมีค่าเท่ากับ
v Ri 5 2 10 V ตอบ
i 2
G
v 10
200 mS ตอบ
p vi 10 2 20 W
p Ri 2 5 22 20 W
ตอบ
i2 22
p 20 W
G 200 103
วงจรไฟฟ้า บทที่ 2 กฎพื้นฐาน | 15
ตัวอย่างที่ 2.7
i
2A v 50
วิธีทํา
v Ri 50 2 100 V ตอบ
i 2
G 20 mS ตอบ
v 100
2.5 กฎของเคอร์ชอฟฟ์
การวิเคราะห์วงจรทีมีความซับซ้อนด้วยกฎของโอห์ม อาจไม่สะดวกหรือไม่สามารถทําได้ นัก
ฟิสิกส์ชาวเยอรมันชื่อ Gustav Robert Kirchhoff (ค.ศ. 1824–1887) จึงเสนอ “กฎของเคอร์
ชอฟฟ์” เพื่อใช้วิเคราะห์วงจรที่มีองค์ประกอบหลายตัวและมีความซับซ้อน ในหัวข้อที่ 1.2 ได้กล่าวถึง
16 | บทที่ 2 กฎพื้นฐาน วงจรไฟฟ้า
บทนิ ย ามของ โนดและวงรอบ ซึ่ ง เป็ น ความเข้ า ใจที่ สํ า คั ญ สํ า หรั บ การใช้ ก ฏของเคอร์ ช อฟฟ์
นอกเหนือจากนั้น สิ่งที่ต้องทําความเข้าใจเพิ่มเติมคือคําว่า กิ่ง ซึ่งมีบทนิยามดังนี้ (Alexander &
Sadiku, 2009)
กิ่ง คือสิ่งที่ใช้แทนองค์ประกอบวงจรเพียงชนิดเดียว
a 8 b
40 V
+ 5 3 10 A
b n 1 (1.11)
is i1 i2 i3 ... iN (1.12)
vs v1 v2 v3 ... vM (1.13)
i1 i2
vs is i3
iN
(ก)
vs v1 v2 v3 vM
(ข)
ตัวอย่างที่ 2.8
4
1
1 2 7
20 V
วิธีทํา
b6 ตอบ
4
1
1 2 7
20 V
(ค) 20 V 1 7
จากกฎของการอนุรักษ์ประจุที่ระบุไว้ว่า ประจุเป็นอนุภาคที่ไม่สามารถทําลายหรือสร้างขึ้น
ใหม่ได้ เคอร์ชอฟฟ์จึงนําเสนอ”กฎกระแสของเคอร์ชอฟฟ์” ที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวิเคราะห์
วงจร ดังนี้ (Alexander & Sadiku, 2009)
i
n 1
n 0
(1.14)
i1 i2 i3 ... iN 0
i2
i1
i3
iN
i5 i4
i7
i6
i1 i8
i5
i3 i2
i4
i9
i
n 1
n 0
i4 i5 i6 i7 i8 i9 0 (1.15)
จากกฎของการอนุรักษ์พลังงานที่ระบุไว้ว่า ผลรวมเชิงพีชคณิตของพลังงานในวงจรมีค่า
เท่ากับศูนย์ เคอร์ชอฟฟ์จึงนําเสนอ”กฎแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์” ดังนี้ (Alexander & Sadiku, 2009)
v
m 1
m 0
(1.16)
v1 v2 v3 ... vM 0
v2 v3
v1 v4
vM
ตัวอย่างที่ 2.9
จากวงจรในรูปที่ 2.24 จงเขียนสมการผลบวกเชิงพีชคณิตของแรงดันตามกฎแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์
2 V 1V
+
10 V + 4V
7V
4V
v1 10 V (1.17)
22 | บทที่ 2 กฎพื้นฐาน วงจรไฟฟ้า
v2 2 V (1.18)
พิจารณาที่แรงดัน 1 V พบเครื่องหมาย + ก่อน - ดังนั้น ค่าของแรงดันที่ต้องแทนในสมการกฏแรงดัน
ของเคอร์ชอฟฟ์คือ
v3 1 V (1.19)
v4 4 V (1.20)
พิจารณาที่แหล่งกําเนิดแรงดันไม่อิสระ 7 V พบเครื่องหมาย + ก่อน - ดังนั้น ค่าของแรงดันที่ต้องแทน
ในสมการกฏแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์คือ
v5 7 V (1.21)
พิจารณาที่แรงดัน 4 V พบเครื่องหมาย + ก่อน - ดังนั้น ค่าของแรงดันที่ต้องแทนในสมการกฏแรงดัน
ของเคอร์ชอฟฟ์คือ
v6 4 V (1.22)
แทนค่าแรงดันจากสมการที่ (1.17) - (1.22) และ M 6 ในสมการที่ (1.16) จะได้สมการกฏแรงดัน
ของเคอร์ชอฟฟ์ดังนี้
v1 v2 v3 v4 v5 v6 0
10 2 1 4 7 4 0 ตอบ
วงจรไฟฟ้า บทที่ 2 กฎพื้นฐาน | 23
ตัวอย่างที่ 2.10
วิธีทํา
io
0.5io vo 8 10 A
i
n 1
n 0
0.5io io 10 0
0.5 1 io 10
10
io
0.5 1
20 A ตอบ
ตัวอย่างที่ 2.11
4
v1
10 V
+
v2 8
วิธีทํา
v1 R1i 4i (1.23)
วงจรไฟฟ้า บทที่ 2 กฎพื้นฐาน | 25
v2 R2i 8i (1.24)
i 4
v1
10 V
+
v2 8
v
m 1
m 0
10 v1 v2 0
4i 8i 10
4 8 i 10
10
i
48
833.33 mA (1.25)
ตัวอย่างที่ 2.12
วิธีทํา
v
m 1
m 0
30 v1 v2 0
8i1 3i2 30 (1.29)
วงจรไฟฟ้า บทที่ 2 กฎพื้นฐาน | 27
i1 i3
8
v1 i2
30 V v2 3 v3 6
v
m 1
m 0
v2 v3 0
3i2 6i3 0
3i2 6i3 0
3 3
i2 2i3 0 (1.30)
เมื่อพิจารณาสมการที่ (1.29) - (1.30) พบว่า เป็นสมการหลายชั้น 2 สมการ และมี 3 ตัวแปร ส่งผล
ให้ไม่สามารถคํานวณหาผลเฉลยได้ วิธีการแก้ไขปัญหานี้คือ กําจัดตัวแปรตัวใดตัวหนึ่งออกไปจาก
สมการ ในที่นี้ ตัวแปรที่ต้องการกําจัดคือ i3 ดังนั้น ต้องวิเคราะห์หา i3 ในพจน์ของ i1 และ i2 แล้ว
นําไปแทนค่าในสมการที่ (1.30) หลักการที่นํามาใช้เพื่อวิเคราะห์หา i3 คือ สมการผลบวกเชิงพีชคณิต
ของกระแส กฎกระแสของเคอร์ชอฟฟ์ที่โนด a ดังนี้
3
i
n 1
n 0
i1 i2 i3 0
i3 i1 i2 (1.31)
แทนค่า i3 ในสมการที่ (1.30) จะได้
i2 2i3 0
i2 2 i1 i2 0
2i1 1 2 i2 0
2i1 3i2 0 (1.32)
28 | บทที่ 2 กฎพื้นฐาน วงจรไฟฟ้า
i2
2 0
8 0 2 30 2 A
ตอบ
8 3 8 3 2 3
2 3
แทนค่า i1 และ i2 ในสมการที่ (1.31) จะได้ i3 มีค่าเท่ากับ
i3 i1 i2 3 2 1 A ตอบ
แทนค่า i1 i2 และ i3 ในกฏของโอห์ม จะได้ค่า v1 v2 และ v3 ดังนี้
2.6 ตัวต้านทานแบบอนุกรมและการแบ่งแรงดัน
ความซับซ้อนของวงจรเกิดจากการต่อกันขององค์ประกอบหลายตัว หากสามารถลดความ
ซับซ้อนดังกล่าวได้ การวิเคราะห์วงจรจะมีความง่ายเพิ่มขึ้น การยุบรวมความต้านทาน เป็นวิธีการ
หนึ่งที่ช่วยให้จํานวนของตัวต้านทานลดลง ทําให้สามารถใช้กฎพื้นฐาน เช่น กฎของโอห์ม กฎของ
เคอร์ชอฟฟ์ เป็นต้น วิเคราะห์วงจรได้ พื้นฐานของการยุบรวมความต้านทาน หรือการคํานวณหา
ความต้านทานสมมูล มาจากกฎของเคอร์ชอฟฟ์ สําหรับความต้านทานสมมูลของตัวต้านทานที่ต่อกัน
แบบอนุกรม วิเคราะห์จากกฎแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์ พิจารณาตัวต้านทานที่ต่อกันแบบอนุกรม N
ตัวในรูปที่ 2.31
i R1 R2 R3 RNs
v1 v2 v3 vNs
+
vs
สมการกฎแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์สําหรับวงจรนี้คือ
N
v
n 1
n 0
vs v1 v2 v3 ... vN 0 (1.35)
เนื่องจากกระแสขององค์ประกอบที่ต่อกันแบบอนุกรมจะมีค่าเท่ากัน กล่าวคือ
i1 i2 i3 ... iN i
30 | บทที่ 2 กฎพื้นฐาน วงจรไฟฟ้า
i R1
v1
vs +
v2 R2
v1 R1i (1.39)
v2 R2i (1.40)
สมการกฎแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์คือ
vs v1 v2 0 (1.41)
วงจรไฟฟ้า บทที่ 2 กฎพื้นฐาน | 31
R1
v1 vs (1.43)
R1 R2
R2
v2 vs (1.44)
R1 R2
2.7 ตัวต้านทานแบบขนานและการแบ่งกระแส
ความต้านทานสมมูลของตัวต้านทานที่ต่อกันแบบขนาน วิเคราะห์จากกฎกระแสของเคอร์
ชอฟฟ์ พิจารณาตัวต้านทานที่ต่อกันแบบขนาน Np ตัว ในรูปที่ 2.31
is
i1 i2 i3 iM
vs R1 R2 R3 RNp
รูปที่ 2.33 ตัวต้านทานต่อกันแบบขนาน
32 | บทที่ 2 กฎพื้นฐาน วงจรไฟฟ้า
สมการกฎกระแสของเคอร์ชอฟฟ์สําหรับวงจรนี้คือ
Np
i
m 1
m 0
จากกฎของโอห์ม กระแสไหลผ่านตัวต้านทานมีค่าท่ากับ v
แทนในสมการที่ (1.45) จะได้
R
v1 v2 v3 v
... Np is (1.46)
R1 R2 R3 RNp
vs vs vs v
... s is
R1 R2 R3 RNp
1 1 1 1
... vs i s
R1 R2 R3 RNp
is
vs
1 1 1 1
...
R1 R2 R3 RNp
vs Reqis (1.47)
1
Req
1 1 1
...
1 (1.48)
R1 R2 R3 RNp
is
i1 i2
vs R1 R2
สมการคํานวณความต้านทานสมมูลคือ
1 1 RR
Req 1 2
1 1 R1 R2 R1 R2 (1.49)
R1 R2 R1R2
vs
i1 (1.50)
R1
vs
i2 (1.51)
R2
จากกฎกระแสของเคอร์ชอฟฟ์ จะได้
is i1 i2 0 (1.52)
vs vs
is 0
R1 R2
vs vs
is
R1 R2 (1.53)
34 | บทที่ 2 กฎพื้นฐาน วงจรไฟฟ้า
จัดพจน์ใหม่ จะได้
1 1
vs is
R1 R2
is
vs
1 1
R1 R2
is
R1 R2
R1 R2
RR
1 2 is
R1 R2 (1.54)
R1R2
is
R2 R1 R1R2 R2 (1.55)
i1 is is
R1 R1 R2 R1 R1 R2
R1R2
is
R2 R1 R1R2 R1 (1.56)
i2 is is
R2 R2 R2 R1 R1 R2
1 1 1 1
Geq ... (1.57)
R1 R2 R3 RNp
1
Req (1.58)
Geq
ตัวอย่างที่ 2.13
Req
6 4 5
1 3
Req1 R1 R2 R3 4 5 3 12 (1.59)
R1 R2 4 12
Req 2 3 (1.60)
R1 R2 4 12
2 3
Req
6 4 12
1
2 3
Req
6 3
1
พิ จารณาตั วต้านทาน 3 ด้านขวาทั้ ง สองตั ว ซึ่ง ต่ อกั นแบบอนุ ก รม จากสมการที่ (1.38) ความ
ต้านทานสมมูลมีค่าเท่ากับ
Req3 R1 R2 3 3 6 (1.61)
R1R2 6 6
Req 4 3 (1.62)
R1 R2 6 6
2 2
Req Req
6 6 3
1 1
(ก) (ข)
Req 5 R1 R2 R2 2 3 1 6 (1.63)
Req
6
ตัวอย่างที่ 2.14
2
vs 5
6 3
8
Req1 R1 R2 1 5 6 (1.64)
4
2
vs 6
6 3
8
R1 R2 63
Req 2 2
R1 R2 6 3 (1.65)
4
2
vs 6
2
8
Req 3 R1 R2 2 2 4 (1.66)
วงจรไฟฟ้า บทที่ 2 กฎพื้นฐาน | 39
4
vs 4 6
8
Req 4
R1 R2
4 6 24 2.4
R1 R2 4 6 10
(1.67)
4
vs 2.4
8
vs 14.4
ตัวอย่างที่ 2.15
20 V 1
5
is
2
v1
20 V 1 v3
5
v3
ยุบรวมตัวต้านทานอนุกรมทั้ง 3 ตัวจะได้
Req 2 1 5 8 (1.69)
ทอพอโลยีวงจรผลลัพธ์แสดงในรูปที่ 2.48
is
20 V 8
จากกฎของโอห์ม กระแสที่จ่ายโดยแบตเตอรี่จึงมีค่าเท่ากับ
v 20
is 2.5 A ตอบ
Req 8
v1 R1i1 2 2.5 5 V
v2 R2i2 1 2.5 2.5 V ตอบ
v3 R3i3 5 2.5 12.5 V
กําลังทีส่ ูญเสียบนตัวต้านทานแต่ละตัวมีค่าเท่ากับ
ตัวอย่างที่ 2.16
12 V 12 k 6 k 3 k
วิธีทํา
ยุบรวมตัวต้านทานขนานทั้ง 3 ตัวจะได้
1 1
Req 1.71 k
1
1
1 1
1
1 (1.70)
R1 R2 R3 12 103 6 103 3 103
วงจรไฟฟ้า บทที่ 2 กฎพื้นฐาน | 43
ทอพอโลยีวงจรผลลัพธ์แสดงในรูปที่ 2.58
is
12 V 1.71 k
v 20
จากกฎของโอห์ม กระแสที่จ่ายโดยแบตเตอรี่จึงมีค่าเท่ากับ is 2.5 A ตอบ
Req 8
ตัวอย่างที่ 2.17
12 V
+
6 vo 3
วิธีทํา
R1 R2 63
Req1 2 (1.71)
R1 R2 6 3
44 | บทที่ 2 กฎพื้นฐาน วงจรไฟฟ้า
ทอพอโลยีวงจรผลลัพธ์แสดงในรูปที่ 2.58
i 4
12 V 2
12 V 6
v 12
i 2A (1.72)
Req 2 6
i2A
2 vo 3
6 4
i3
6 3
2 A A
3
(1.73)
4
จากกฎของโอห์ม แรงดัน vo จึงมีค่าเท่ากับ vo 3 4V ตอบ
3
ตัวอย่างที่ 2.18
v1
6
i2
15 V
+ 10 v2 40
วิธีทํา
12 6
Req1
12 6
4 (1.74)
10 40
Req 2
10 40
8 (1.75)
4
v4
4 8
15 V 5 V (1.76)
8
v8
4 8
15 V 10 V (1.77)
4
v1
15 V v2 8
v1 v4 5 V ตอบ
v2 v8 10 V ตอบ
วงจรไฟฟ้า บทที่ 2 กฎพื้นฐาน | 47
v1 5V
i1
12 12
416.7 mA ตอบ
v2 10 V
i2
40 40
250 mA ตอบ
2.8 การแปลงวงจรตัวต้านทานวาย-เดลต้า
การหาความต้านทานสมมูลของตัวต้านทานต่อแบบอนุกรมและขนาน เป็นวิธีการที่ช่วยให้
การใช้กฎของโอห์มหรือกฎของเคอร์ชอฟฟฟ์มีความสะดวกมากขึ้น ทอพอโลยีอื่นของการต่อตัว
ต้านทานในวงจรไฟฟ้าคือ การต่อแบบวาย (Y) หรือที (T) แสดงในรูปที่ 2.57 และเดลต้า หรือ
พาย ดั งแสดงในรูปที่ 2.58 การวิเคราะห์หาสมการแปลงตัวต้านทานแบบวาย-เดลต้า ใช้
หลักการอ้างอิงค่าความต้านทานระหว่างขั้วเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการต่อแบบวายหรือเดลต้า ค่าความ
ต้านทานระหว่างขั้วเดียวกันย่อมมีค่าเท่ากัน ดังสมการที่ (1.78)
R1 R2
R1 R2
R3 R3
(ก) (ข)
Rb Rb
Ra Rc Ra Rc
(ก) (ข)
R12 Y R12
R13 Y R13 (1.78)
R34 Y R34
2.8.1 การแปลงเดลต้า-วาย
จากรูปที่ 2.57(ก) ระหว่างขั้ว 1-2 มีตัวต้านทาน R1 และ R3 ต่อกันแบบอนุกรม ในขณะที่
ตัวต้านทาน R2 ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวงจรความต้านทานสมมูลระหว่างขั้ว 1-2 หรือ R12 Y จึงมี
ค่าเท่ากับ
R12 Y R1 R3 (1.79)
R13 Y R1 R2 (1.80)
R34 Y R2 R3 (1.81)
วงจรไฟฟ้า บทที่ 2 กฎพื้นฐาน | 49
Ra Rb Rc
R12 R1 R3 Ra Rb Rc (1.82)
Ra Rb Rc
Rb Ra Rc
R13 R1 R2 Rb Ra Rc (1.83)
Ra Rb Rc
Rc Ra Rb
R34 R2 R3 Rc Ra Rb (1.84)
Ra Rb Rc
Rb Ra Rc Rc Ra Rb
R1 R2 R2 R3
Ra Rb Rc Ra Rb Rc
Ra Rb Rb Rc Ra Rc Rb Rc
R1 R2 R2 R3
Ra Rb Rc
Ra Rb Ra Rc
R1 R3
Ra Rb Rc (1.85)
Ra Rb Ra Rc Ra Rb Rc
R1 R3 R1 R3
Ra Rb Rc Ra Rb Rc
Ra Rb Ra Rc Ra Rb Ra Rc
R1 R3 R1 R3
Ra Rb Rc
2 Ra Rb
2 R1
Ra Rb Rc
Ra Rb
R1 (1.86)
Ra Rb Rc
50 | บทที่ 2 กฎพื้นฐาน วงจรไฟฟ้า
Rb Ra Rc Ra Rb
R1 R2 R1
Ra Rb Rc Ra Rb Rc
Ra Rb Rb Rc Ra Rb
R1 R2 R1
Ra Rb Rc
Rb Rc
R2 (1.87)
Ra Rb Rc
Rc Ra Rb Rb Rc
R2 R3 R2
Ra Rb Rc Ra Rb Rc
Ra Rc Rb Rc Rb Rc
R2 R3 R2
Ra Rb Rc
Ra Rc
R3 (1.88)
Ra Rb Rc
ความต้านทานของโครงข่ายที่ต่อแบบวายมีค่าเท่ากับ ผลคูณความต้านทานแบบเดลต้าที่ประชิดตัว
ต้านทานแบบวายที่ต้องการทราบค่า หารด้วยผลรวมของความต้านทานแบบเดลต้าทั้งหมด
Rb
R1 R2
Ra Rc
R3
2.8.2 การแปลงวาย-เดลต้า
การวิเคราะห์หาสมการแปลงวาย-เดลต้า ต้องใช้การดําเนินการระหว่างสมการที่ (1.86) -
(1.88) เพื่อให้เหลือฟังก์ชันของ Ra Rb หรือ Rc ที่ประกอบไปด้วยพจน์ของ R1 R2 และ R3 การ
ดําเนินการดังกล่าวนี้ เริ่มต้นจากเอาสมการที่ (1.86) หารด้วยสมการที่ (1.87) จะได้
Ra Rb
R1 Ra Rb Rc Ra Rb R Rb Rc Ra
a
R2 Rb Rc Ra Rb Rc Rb Rc Rc
Ra Rb Rc
R2 Ra
Rc
R1 (1.89)
Rb Rc
R2 Ra Rb Rc Rb Rc R Rb Rc Rb
a
R3 Ra Rc Ra Rb Rc Ra Rc Ra
Ra Rb Rc
R2 Ra
Rb
R3 (1.90)
R R
Ra 2 a
R3 R1
(1.91)
R R R R
Ra 2 a 2 a
R3 R1
R R
Ra 2 a
R1 R1 R3 R2 R3 Ra2
R3 (1.92)
R R R R R1 R3 R1 R3 Ra R1 R2 Ra R2 R3 Ra
Ra 2 a 2 a
R3 R1
52 | บทที่ 2 กฎพื้นฐาน วงจรไฟฟ้า
1
คูณด้านขวาทั้งบนและล่างของสมการที่ (1.92) ด้วย ผลลัพธ์ที่ได้คือ
Ra
R2 R3 Ra
R3 (1.93)
R1 R3 R1 R2 R2 R3
1
คูณด้านขวาและซ้ายของสมการที่ (1.93) ด้วย ผลลัพธ์ที่ได้คือ
R3
R2 Ra
1 (1.94)
R1 R3 R1 R2 R2 R3
R1 R2 R1 R3 R2 R3
Ra (1.95)
R2
R R R1 R3 R2 R3
R2 1 2
Rb R2 R1 R2 R1 R3 R2 R3 (1.96)
R3 R3
R R R1 R3 R2 R3
R2 1 2
Rc R2 R1 R2 R1 R3 R2 R3 (1.97)
R1 R1
ความต้านทานของโครงข่ายที่ต่อแบบเดลต้ามีค่าเท่ากับ ผลรวมของผลคูณจับคู่ความต้านทานแบบ
วาย หารด้วยความต้านทานแบบวายที่อยู่ตรงกันข้ามตัวต้านทานแบบเดลต้าที่ต้องการทราบค่า
วงจรไฟฟ้า บทที่ 2 กฎพื้นฐาน | 53
ตัวอย่างที่ 2.19
จากวงจรในรูปที่ 2.60 จงแปลงให้เป็นการต่อแบบวาย (Alexander & Sadiku, 2009)
25
1 2
10 15
วิธีทํา
25
1 3
R1 R2
10 15
R3
R1
Ra Rb
10 25 5
Ra Rb Rc 10 25 13
ตอบ
54 | บทที่ 2 กฎพื้นฐาน วงจรไฟฟ้า
R2
Rb Rc
2515 7.5
Ra Rb Rc 10 25 13
ตอบ
R3
Ra Rc
10 15 3
Ra Rb Rc 10 25 13
ตอบ
โครงข่ายแบบวายมีทอพอโลยีดังรูปที่ 2.62
5 7.5
3
ตัวอย่างที่ 2.20
12.5 5 10
40 V 30
15 20
วิธีทํา
R1
12.5 10
5
40 V R2 30
15 20
R3
ในทํานองเดียวกันสําหรับ R2 และ R3
R2
5 10 5 20 10 20 70 (1.99)
5
70 30 21
Req1 (1.101)
70 30
56 | บทที่ 2 กฎพื้นฐาน วงจรไฟฟ้า
17.5
12.5
40 V 70 30
15
35
7.29
40 V 21
15
35
15 35 10.5
Req 3 (1.103)
15 35
7.29
40 V 21
10.5
40 V 17.79 21
40 V 9.63
v 40
i 4.15 A ตอบ
Rab 9.63
2.9 บทสรุป
(1) ความต้านทาน เป็นคุณสมบัติทางไฟฟ้าที่ต่อต้านการไหลของกระแส เป็นต้นเหตุของ
การสูญเสียกําลังไฟฟ้า สัญลักษณ์คือ R และหน่วยวัดคือโอห์ม
(2) การวัดความต้านทานใช้เครื่องมือวัดที่มีชื่อเรียกว่า โอห์มมิเตอร์
(3) ความนํา เป็นคุณสมบัติทางไฟฟ้าที่บ่งบอกความสามารถในการนําไฟฟ้าของวัสดุ มีค่า
เป็นส่วนกลับของความต้านทาน สัญลักษณ์คือ G และหน่วยวัดคือซีเมนส์ (S)
(4) กฎของโอห์ม กล่าวไว้ว่า แรงดันที่ตกคร่อมตัวต้านทานมีค่าแปรผันตรงกับกระแสที่
ไหลผ่านตัวต้านทาน เขียนเป็นสมการได้ดังนี้
v Ri
R2
v2 vs
R1 R2
(9) สมการคํานวณความต้านทานสมมูลสําหรับตัวต้านทานต่อแบบขนานคือ
1 1 1 1 1
...
Req R1 R2 R3 RNp
R1
i2 is
R1 R2
2.10 แบบฝึกหัดท้ายบท
3.7.1 การอ่านรหัสสีตัวต้านทาน
(1) จงระบุช่วงของค่าความต้านทาน 4 แถบสี ดังต่อไปนี้
3.7.2 กฎของโอห์ม
(3) กําหนดให้วงจรมีทอพอโลยีดังรูปที่ 2.71 จงคํานวณหา
(ก) ค่ า ความต้ า นทาน R และกํ า ลั ง ที่ สู ญ เสี ย ในตั ว ต้ า นทานทานนี้ เมื่ อ
กําหนดให้ vg 1 kV และ ig 5 mA
(ข) ค่าความต้านทาน R และกําลังที่สูญเสียในตัวต้านทานนี้ เมื่อกําหนดให้
ig 75 mA และกําลังที่แหล่งกําเนิดแรงดันจ่ายเท่ากับ 3 W
(ค) vg และ ig เมื่อกําหนดให้ R 300 และกําลังที่ตัวต้านทานดูดกลืนมี
ค่าเท่ากับ 480 mW
ig
vg R
ig vg G
3.7.3 กฎกระแสของเคอร์ชอฟฟ์
(5) จากวงจรในรูปที่ 2.73 จงคํานวณหา
(ก) กระแส iz
(ข) ความต้านทานของตัวต้านทานที่กระแส -5 A ไหลผ่าน เมื่อกําหนดให้ ตัว
ต้านทานที่กระแส 3 A ไหลผ่านคือ 1
2A 3A iz 5 A 3 A
4A 1A
ix
5V
5A 1A 1A iy
1 4
iz
5A 1 8
3.7.4 กฎแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์
(9) จากวงจรในรูปที่ 2.77 จงคํานวณหา v1 v2 และ v3
V
v2
10
8V+
v1
v
V
3
9
10 a 15 5V
12 V vab 6
b 8
11 8V
3.7.5 ตัวต้านทานขนานและอนุกรม
(11) จากวงจรในรู ป ที่ 2.79 จงคํ า นวณหาความต้ า นทานสมมู ล Req เมื่ อ
กําหนดให้ตัวต้านทานทุกตัวมีค่าความต้านทานเท่ากับ 1 k
Req
Req
is
15
10 25 25
35 V
25 10
is
2.2 k
3.3 k
p 79.2 mW
R
9V
3.7.6 วงจรแบ่งแรงดัน
(15) จากวงจรในรูปที่ 2.83 จงคํานวณหาแรงดันตกคร่อมตัวต้านทานทั้งหมด
วงจรไฟฟ้า บทที่ 2 กฎพื้นฐาน | 65
5 3
v1 v2
12 V
v4 v3
4 5
14
v1
40 V v2 15 v3 10
2
i
4
+
10 vs 2A
6 3
3.7.7 วงจรแบ่งกระแส
(18) จากวงจรในรูปที่ 2.86 จงคํานวณหา v และ i
66 | บทที่ 2 กฎพื้นฐาน วงจรไฟฟ้า
i 4S 6S
9A v 1S 2S 3S
i4 i2
10 20
40 i2 i1 30
20 A
i
10 24 50
25
15 V 20 30 vo
60 20
10 20
10
30
10 20
(ก)
30
25 10 20
5 15
(ข)
is
4 2
6 1
12
20 V 8 2
4
10 3
Req
5
6.25
25
15 30
6A
vx 60
(ก) (ข)
2.11 เอกสารอ้างอิง
Alexander, C. K., & Sadiku, M. N. O. (2004). Fundamentals of electric circuits
(2nd ed.). Boston: McGraw-Hill.
Alexander, C. K., & Sadiku, M. N. O. (2009). Fundamentals of electric circuits (4
ed.). New York: McGraw-Hill.
วงจรไฟฟ้า บทที่ 2 กฎพื้นฐาน | 69