Professional Documents
Culture Documents
Power-Plant-Management Model Rachaburi Power ภาษาไทย
Power-Plant-Management Model Rachaburi Power ภาษาไทย
Power-Plant-Management Model Rachaburi Power ภาษาไทย
ความจําเปนในวิชาชีพที่รองรับการพัฒนาประเทศอยางเปนระบบและตอเนื่อง วิชาชีพสาขาวิศวกรรม
ไฟฟากําลังเปนวิชาชีพหนึ่งที่สําคัญตองกาวใหทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงโดยมิใชมองแตดานวิศวกรรมเพียง
อยางเดียวที่จะกาวสูความสําเร็จในการประกอบวิชาชีพ โดยจะชี้มุมมองเพิ่มของ Resources อื่น ๆ ที่สําคัญ
ของการดํารงอาชีพของวิศวกรที่ตองพรอมทั้งความรูและการปฏิบัติการ
คณะกรรมการสภาวิศวกร (นายคําผุย จีราระรื่นศักดิ์) ไดเล็งเห็นวาเปนนโยบายสําคัญของสภาวิศวกร
จึงมอบหมายใหกลุมวิศวกรการไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทยที่ปฏิบัติหนาที่ประจําอยูที่โรงไฟฟาราชบุรี ซึ่งมี
เทคโนโลยีคอนขางใหมในยุคป ค.ศ.2000 ทั้งโรงไฟฟาพลังความรอน และโรงไฟฟาพลังความรอนรวม นํา
ความรูและประสบการณที่รวบรวมมาเผยแพร เพื่อเปนแนวทางใหวิศวกร สาขาวิศวกรรมไฟฟากําลัง ไดนําบท
ความนี้ไปประยุกตใชตอไปใหกาวทันการเปลี่ยนแปลงงานของวิศวกรนานาชาติในภาพรวม
ในนามคณะวิศวกรฯ ผูเรียบเรียงบทความนี้ ขออุทิศความดีทั้งปวงที่เกิดขึ้นใหแก บุพการี , ครูอาจารย ,
ผูบังคับบัญชาและเพื่อนรวมงานที่ทําใหบทความนี้เรียบเรียงขึ้นมาจนสําเร็จ
ถาเกิดขอผิดพลาดประการใด โปรดเสนอแนะขอปรับปรุงแกไขมาที่ นายอนุ ระวีวรรณ ฝายประจํารอง
ผูวาการปฏิบัติการและบํารุงรักษา ทําหนาที่ ผูอํานวยการโครงการธุรกิจเดินเครื่องและบํารุงรักษาประจําโรงไฟ
ฟาราชบุรี ขอนอมรับดวยความเคารพอยางยิ่ง โรงไฟฟาราชบุรี อ.เมือง จ.ราชบุรี 70000 โทร. (02)
4368815 E-Mail anoor@it.egat.or.th จะเปนพระคุณอยางสูง
1.1
Content
1.1 Forward 1.1
Content
2.1 Plant Overview 2.1-1 to 2.1-9
2.2 Major Component
2.2.1 Thermal Power Plant Major Equipment 2.2.1-1 to 2.2.1-54
2.2.2 Combined Cycle Power Plant Major Equipment 2.2.2-1 to 2.2.2-35
2.2.3 The Basic of Gas Turbine & Combined Cycle Operation 2.2.3-1 to 2.2.3-33
2.3 Plant Control System 2.3-1 to 2.3-11
2.3.1 Automatic Boiler Control for Power Plant 2.3.1-1 to 2.3.1-25
2.3.2 Turbine Control 2.3.2-1 to 2.3.2-31
2.3.3 Generator and Exciter 2.3.3-1 to 2.3.3-13
2.3.4 Generator Protection 2.3.4-1 to 2.3.4-30
2.3.5 Transformer Protection 2.3.5-1 to 2.3.5-17
2.4 Station Commissioning 2.4-1 to 2.4-27
2.5 Plant Operation 2.5-1 to 2.5-8
2.5.1 Gas Turbine Protection 2.5.1-1 to 2.5.1-19
2.5.1.1 Steam Turbine Protection 2.5.1.1-1 to 2.5.1.1-12
2.5.1.2 Heat Recovery Steam Generation (HRSG) 2.5.1.2-1 to 2.5.1.2-7
2.6 Plant Maintenance 2.6-1 to 2.6-40
2.7 Plant Performance 2.7-1 to 2.7-34
2.7.1 Combined Cycle Power Plant Performance 2.7.1-1 to 2.7.1-20
2.8 Plant Management
2.8.1 Project Management 2.8.1-1 to 2.8.1-5
2.8.2 Safety/Loss 2.8.2-1 to 2.8.2-9
2.8.3 Finance 2.8.3-1 to 2.8.3-24
2.8.4 Human Resource 2.8.4-1 to 2.8.4-29
Index
2.1 Plant Overview
2.1 - 1
1) บทนํา
2.1 - 2
ในภาพเกา ๆ ขอใหโรงไฟฟาเดินไดเปนพอ แตปจจุบันดานการบริหารจัดการมีนัยสําคัญมากยิ่งขึ้นถือวามีศักดิ์
ศรีเทากับทั้ง 3 กลุม จากประสบการณความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับ Operation ประมาณ 50% ความเสี่ยงดาน
บํารุงรักษาประมาณ 30% กลุมบริหารจัดการประมาณ 20% หมายถึง ทุกกลุมรวมทีมเปนมืออาชีพรวมกันไม
เกงคนเดียว
2.1 - 3
ตัวอยางโครงสรางการจัดการ
ผูอํานวยการโรงไฟฟา
ผูชวยผูอํานวยการโรงไฟฟา สวนกลางผูอํานวยการ
หนวยเดินเครื่อง
หนวยวางแผนการ หนวยบริหารและ หนวยพัฒนาเทคนิคและ
โรงไฟฟา
ผลิตและบํารุงรักษา การเงิน ทรัพยากรบุคคล
โรงไฟฟา
หมวดเดินเครื่อง หมวดวางแผนการผลิต หมวดบริหาร หมวดพัฒนาเทคนิค
กะ 1 และประสิทธิภาพ สัญญา เดินเครื่องและบุคลากร
หมวดบํารุงรักษา
หมวดระบบงาน
และสารสนเทศ
2.1 - 4
โรงไฟฟาทั่วไปใหบริการอะไรกับประชาชนและรัฐ พอจําแนกได ดังนี้
1) ใหบริการดานความพรอมการจายกระแสไฟฟาใหไดอยางตอเนื่อง มีคุณภาพที่ยอม
รับได (Availability)
2) ใหบริการดานประสิทธิภาพของโรงไฟฟาใหมีตนทุนการใชเชื้อเพลิงและการจัดการสงผล
ใหมีคากระแสไฟฟาที่แขงขันไดในการลงทุนทั้งดานอุตสาหกรรมและการบริการ
จากการใหบริการทั้ง 2 ประเด็นนี้ ทําอยางไร ? จึงจะผสมประสานทั้ง 3 กลุม คือ การปฏิบัติการ การ
บํารุงรักษา และการบริหารจัดการที่มีทั้งจุดออนและจุดแข็งในตัว เชน
การปฏิบัติการ ตองมีจุดแข็งดานความพรอมในการปฏิบัติการของคนอยางทันทวงที
ดานบํารุงรักษา ตองมีจุดแข็งดานการดูแลเครื่องจักรตลอดอายุของเครื่องจักรจากการ
วางแผนประจําการวางแผนการหยุดเครื่อง
ดานการบริหารการจัดการ ตองมีจุดแข็งดานการดูแลฐานะการเงิน การบริหารสัญญา
ซื้อขายไฟฟาและอีกสิ่งหนึ่งที่สําคัญซึ่งจะชวยใหประสบความ
สําเร็จไดอยางดียิ่งคือ การบริการอะไหล (Spare Parts) ของ
โรงไฟฟา
• ขอยกตัวอยางการบริหารจัดการมาใหเปนกรณีศึกษา คือ Rocket Management Model ในภาพรวม
การจัดการที่เปนมืออาชีพทั้งทีม
จากการที่มีกิจการไฟฟาของประเทศไทยรวมแลว 120 ป และมีองคกรที่เขามาจัดการครบวงจรของการ
ไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทยมาแลว 35 ป ในป 2547 ซึ่งบริการผลิตกระแสไฟฟาไดอยางตอเนื่องเพียงพอ
มีประสิทธิภาพและราคาเปนธรรม
ทรัพยากรสําคัญ คือ บุคลากร ในอดีตตองมีการเตรียมคนไวมากใหพรอมปฏิบัติการ มีทั้งคนเกง คนดี
มีความรับผิดชอบ มีวินัย แตมีความจําเปนจะตองสรางแรงขับเคลื่อนใหบรรลุภารกิจอยางสัมฤทธิ์ผล
ถาเราจะปรับรูปแบบการทํางานใหมใหเกิดการขับดันไปทั้งทีมงานควรที่จะรวบรวมคนที่เปน
ทรัพยากรสําคัญขององคกร มาจัดเขาสูระบบการสรางทีมเปนองคกรมืออาชีพ มีแรงขับภายในจากทรัพยากร
ของเราเองสรางขึ้นมาเปนทีมประสานกัน ตัวอยางเชน งานธุรกิจ O&m ของ กฟผ. ตอไป กฟผ. จะแยกเปน
Asset Manager (OWNER) และ OPERATOR (O&M)
กอนอื่นตองเขาใจในสวนภารกิจของ O&M คือ ธุรกิจการขายและการใหบริการดานความพรอมของ
โรงไฟฟาใหพรอมเดินเครื่องจายกระแสไฟฟา Product ของโรงไฟฟาเปน NON STOP NO STOCK WITH
QUALITY อยางตอเนื่องและดูแลทั้งดานความพรอมและประสิทธิภาพของโรงไฟฟา (Availability &
Efficiency)
จากอาชีพนี้เราจําเปนตองสราง “องคกร” ที่เปนมืออาชีพ ตัวขับสําคัญที่เสมือนเปนเชื้อเพลิง คือ ระดับ
กอง หรือหนวยจะตองสรางทีมงานใหมีการประสานพลังและการประสานการสรางทีมงานรวมระหวางกัน
2.1 - 5
การใชทรัพยากรรวมใหเกิดการบูรณาการ Cross Functional Integration ภารกิจระดับกอง/หนวยมีความจําเปน
อยางยิ่งยวดที่พรอมจะขับดันรวมกันใหเกิด Better/Best Practice Team & Cross Function Team
♥ ระดับหนวย/กองในสายเดียวกันตองเสมือน รางกายเดียวกันผลัดกันเปนสมองและกายโดยมี
ประสาทเชื่อมโยงถึงกันตลอดทั้งรางกาย
♥ สวนในระดับลางลงมา คือ หมวดหรือแผนกตองเปนผูเชี่ยวชาญในภารกิจที่ไดรับมอบหมายมิใช
แบงงานแบบรั้วกั้นหรือกระจกกั้น จะไปมิไปแหล (ไปไมรอด) ยังเขาไปดูแลชวยกันไมได การมีจิตสํานึกของ
ทุก ๆ คนในแผนกหรือหมวดจะตองมีจิตสํานึกของแตละคนตลอดเวลาวาเราทํางานรวมกันเปนทีมจึงจะสําเร็จ
สมบูรณลงได
เสมือน กับสมอง รางกาย มีนิ้ว มือ แขน ขา ตา จมูก หู ประสาทสัมผัส ตองรวมกันเปนหนึ่ง มีการเชื่อม
โยงดวยระบบประสาท คือ สงไปใหสมองประมวลผลและตัดสินใจ
จะเห็นวาถารางกายสมอง และอวัยวะทุกสวนประสานกันไดทั้งรางกายและจิตใจเราก็จะมีดุลยภาพมี
สติที่มั่นคงเพิ่มขึ้น ตัดสินใจบนฐานขอมูลของการสัมผัสสวนตาง ๆ เชน ตาหู จมูก เปนตน ไดถูกตองและรวด
เร็ว ถาคิดวาสวนตาง ๆ ของรางกายเหมือนเราที่ตางแยกภารกิจกันไป จะเกงคนเดียวไมไดเหมือนมือดีแตตา
บอดก็หาประโยชนไดไมสมบูรณตองทําใหทั้งรางกายเสมือนองคกรตองเปนมืออาชีพ ทุก ๆ สวนจะตองมีชอง
วางนอยและมีแรงขับดันเกิดขึ้นทั่วทั้งองคกรหรือสมบูรณทั้งรางกายและสมอง
ทําอยางไร ? จึงไปสูองคกรมืออาชีพไดอีกทางหนึ่งก็คงจะตองมีการปรับปรุงแตงใหเกิดแรงขับเคลื่อน
อยางตอเนื่องมิใหขาดขั้นตอนและสามารถควบคุมทิศทางได “กลยุทธที่สําคัญ” คือการสรางองคกรมืออาชีพ
โดยวิธีการกําหนดตัวชี้วัดระดับตั้งแต Management Steering Team ซึ่งทําหนาที่คลายสมองลงไปมิใชตรายาง
หรือยันต ซึ่งจําเปนตองมีระบบนําเสนอประมวลขอมูลที่รวดเร็วทันการให Steering Team ตัดสินใจอยางมีคุณ
ภาพโดยเนนขอมูลที่รากหญา (Ground Root) ปจจุบันอาจจะใช Air Root มากไปหนอย ?
ระดับหนวยหรือกองตัววัด คือ ความสําเร็จดานการประสานความรวมมือใหเกิดคุณคาอยาง ตอเนื่อง
ของระหวางหนวยและการใชทรัพยากรรวมกัน (เดิม กฟผ.แยกกันทํา เกงอยูแลว)
จากนั้นระดับหมวด/แผนก การปฏิบัติภารกิจตองเปนทั้งผูเชี่ยวชาญ ผูรับผิดชอบ (ทั้งความรูและ
ประสบการณสรางได) ในภารกิจ (JOB DESCRIPTION) ของตนเองและเอาใจใสใหความรวมมือหมวด/
แผนกขางเคียง โดยมีตัววัดความสําเร็จที่เปนองครวมนัยสําคัญของหมวดนั้น ๆ กวาจะบรรลุจุดนั้น ทุก ๆ คนจะ
ตองมีจิตสํานึกรวมกัน รวมกันเกงไมเกงคนเดียว ตองพึ่งพากันและกันแบงปนและพาตนเองไปสูความสําเร็จ
(หลุมฝงตัวเอง ....เกงคนเดียวฉันไมยุงเกี่ยวกับใคร) การเรียนรูตาง ๆ และประสบการณตาง ๆ มีตัวชี้วัดมาตร
ฐานและการแลกเปลี่ยนความรูซึ่งกันและกันอยางสอดคลองกับภารกิจ
ถาทุก ๆ คน ทุกหมวด ทุกหนวย เสมือนรางกายสมองไปในทิศทางเดียวกัน แรงขับดันจะเกิดอยาง
มหาศาลไมมีวันหมด ฉันทใดก็ฉันทนั้นดุจแมเหล็กถาเรียงขั้วกันไดแลวจะไปใชที่ใดก็เกิดพลัง
2.1 - 6
ขาพเจาคิดเสมอวาเกงทั้งทีม (ไมเกงคนเดียว) อยางมีคุณภาพ จึงจะนําพาองคกรสู “ความสําเร็จการเปน
มืออาชีพที่สอนลูกคาไดทุกเมื่อตลอดไป” ที่กลาวมาทั้งหมดนี้ สิ่งที่พึงระมัดระวัง คือ “ฐาน” (จรวด) อันมั่นคง
จึงไปรอด คือ ความมุงมั่น ความมั่นคง ความตั้งใจ ทาทายสูความสําเร็จทั้งองคกร
สวนการจัดการในรายละเอียดทั้ง Operation & Maintenance นัยสําคัญ คือ การวางแผน การผลิต
ใหมีประสิทธิภาพ แลวให Operation ปฏิบัติการผลิตกระแสไฟฟาโดยทั้งทีมของ Operation & Maintenance ได
รับการพัฒนาฝกอบรมอยางตอเนื่องและใหขอมูลยอนกลับในการวางแผน
ความสําเร็จของโรงไฟฟาที่มักจะถูกมอง คือ งานวิศวกรรมการผลิตและบํารุงรักษา (Maintenance
&Process Engineer ) ซึ่งจะเปนตัวพัฒนาการปฏิบัติภารกิจประจําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงคุณภาพเพิ่มขึ้น และ
การหารากของปญหาปอนเขามาที่การผลิตและการวางแผน เมื่อมีการปรับปรุงพัฒนาแลวจะมีการตรวจสอบ/
ทบทวน เพื่อกําหนดมาตรฐานแลวนํากลับไปพัฒนาบุคลากรอยางตอเนื่องจนเปนการบริหารองคความรู (KM-
Knowledge Management) ก็จะทําใหอาชีพบริหารโรงไฟฟาอยูกับคนไดและพรอมแขงขันกับนา ๆ ประเทศ
2.1 - 7
2.1 - 8
Rocket Management Model
สิ่งที่จะทําใหจรวดเคลื่อนที่ไปไดยังมีอีกสวนหนึ่งที่จะขาดไมไดเลยซึ่งในที่นี้หมายถึงLaunching (gaps)
Analysis (การวิเคราะหการปฏิบัติการ) จะประกอบไปดวย
Strategy ตองมีกลยุทธภายในหนวยงาน
แผนปฏิบัติการและตัวชี้วัด ซึ่งตัวชี้วัดจะมี 1 – 2 ตัวชี้วัด แตละหนวย
การประเมินผลการปฏิบัติงาน
การแกไขและการควบคุม
และถาจะบรรลุเปาหมายตองทําการ Launching ( gaps ) Analysis อีกครั้ง เพื่อพัฒนาแรงขับ จัดขั้วใหเกิดการ
ประสานพลังทั้งในงาน รวมทั้งดานทัศนคติ คานิยม ที่จะอยูรวมกันเปนทีมมองดูความจําเปนที่ตองเสริมสราง
ของทีมในการประกอบกิจกรรมนั้นๆ
2.1 - 9
2.2 Major Component
2.2.1 Thermal Power Plant Major Equipment
7 10
M
1 1 1
A B C
2.2.1 - 1
1. Once Through Boiler
Once Through Boiler หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวา Supercritical Pressure Boiler ความหมายของ
Critical Pressure คือจุดที่มีความดัน 3208.2 psia จุดนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดขึ้นระหวางไอน้ํา
(Steam) กับน้ํา จากรูปที่ 1 - 1 ที่ความดัน 3208.2 psia ความรอนแฝง (Latent Heat) จะมีคาเปนศูนยคือไม
ตองการพลังงานความรอนเพื่อที่จะเปลี่ยนสถานะน้ําใหกลายเปนไอ แตที่ความดันต่ําลงมาตองการความรอน
แฝงใชในการเปลี่ยนน้ําใหกลายเปนไอและระหวางการเปลี่ยนแปลงสถานะอุณหภูมิจะไมเปลี่ยนแปลงคือจะคง
ที่ที่อุณหภูมิอิ่มตัว (Saturation Temperature) แตที่ Critical Pressure หรือสูงกวาเมื่อใหความรอนกับน้ําที่
อุณหภูมิอิ่มตัวจะมีการเปลี่ยนสถานะจากน้ําไปเปนไอทันทีและอุณหภูมิของไอน้ําก็จะคอย ๆ เพิ่มขึ้นไป
2.2.1 - 2
เมื่อแรงดันเพิ่มขึ้นอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นดังรูปที่ 1 – 3 อยางไรก็ตามเสนกราฟจะคอย ๆ ราบขนานกับเสนแรงดัน
มากขึ้นจนกระทั่งขนานกันพอดีที่จุด Critical Pressure ซึ่งมีแรงดัน 3208.2 psia และที่จุดนี้มีอุณหภูมิสูงถึง
705.47 °F เราเรียกจุดนี้วา Critical Temperature ที่อุณหภูมิสูงกวานี้จะไมมีสภาพน้ําหลงเหลืออยูเลย
จากปรากฎการณอันนี้ไดนํามาสราง Once Through Boiler หรือ Supercritical Boiler ซึ่งปกติ Boiler ชนิดนี้
จะทํางานเหนือ Critical Pressure และไมจําเปนจะตองมี Drum อยูในระบบเลยดังรูปที่ 1 – 4
2.2.1 - 3
จากรูปที่ 1 – 4 Boiler Feed Pump จะอัดน้ําในรูปของ high Pressure Water จากปลายดานหนึ่งและออกมา
เปนไอน้ําที่ปลายอีกดานหนึ่งระหวางที่น้ําผานทอ (Tube) จะมีการเปลี่ยนสภาพจากน้ํากลายเปนไอน้ําที่
Transition Zone จากนั้นไอน้ําจะผานเขาไปยัง Superheater และอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้น ดังที่กลาวมาแลววา Once
Through Boiler ไมมี Drum จึงไมสามารถ Blow Down Solid ตาง ๆ ออกไปจาก Boiler ได Solid ตาง ๆ
ที่มีอยูในน้ําก็จะจับอยูที่บริเวณ Transition Zone หรือไมก็ปะปนไปกับไอน้ํา (Carry Over) เขาสู Turbine ได
ดังนั้น Feed Water ที่ใชจะตองมีความบริสุทธิ์ของน้ําสูงมาก จึงตองมีระบบ Polishing Demineralizer ติดตั้ง
เขากับ condensate System และดวยเหตุผลเดียวกันเพื่อไมใหมี Solid ใน Boiler เลยจึงหามไมใหเติมสารเคมี
บางอยางเชนพวก Phosphate แตสารเคมีที่สลายตัวไดเชน Hydrazine หรือ Ammonia สามารถที่จะเติมเขาไป
ได ความแตกตางระหวาง Once Through Boiler กับ boiler แบบทั่ว ๆ ไป จะตางกันเฉพาะในระบบของน้ํา
และไอน้ําเทานั้นในระบบอื่น ๆ เชน การเผาไหม การควบคุมอากาศ และอุปกรณที่ใชในระบบจะเหมือนกับ
Boilr ทั่วไป สําหรับ Once Through Boiler ขนาดใหญมักจะเปนแบบ Water Wall Boiler แสดงดังรูปที่ 1 – 5
Boiler ชนิดนี้ประกอบดวยทอ Platen Superheater, Pendant Superheater, Horizontal Superheater, Reheater
และ Economizer เหมือนกับที่มีใน Drum Type Boiler ตางกันที่ขนาด Water Tube จะมีขนาดเสนผาศูนย
กลางเล็กวาซึ่งมีขนาดเสนผาศูนยกลางทอเพียง 1 นิ้ว เมื่อเทียบกับ Drum type ที่มีกําลังผลิตเทากันจะมีเสนผา
ศูนยกลางทอ 2 - 3 นิ้ว จากที่ทอเล็กกวาทําใหความเร็วในการไหลสูงแนใจไดวามี Flow ผานทุก ๆ ทอที่
ความเร็วสูงเพียงพอที่จะสามารถถายเทความรอนไดเร็วและไมทําใหเกิดการเสียหายตอทอ เพราะเหตุที่
ความเร็วในการไหลสูงนี่เองทําให Pressure Drop สูงถึง 800 psia ใน Once Through Boiler เมื่อเทียบกับ
แบบ Drum Type Boiler มี Pressure Drop เพียง 150 psia
2.2.1 - 4
รูปที่ 1 – 5 Large Once Though Boiler
2.2.1 - 5
1.1 หลักการทํางานของ Supercritical Pressure Boiler สําหรับโรงไฟฟาพลังความรอนราชบุรีสิ่งสําคัญที่
จะตองควบคุมคือระบบปรับคุณภาพน้ําและระบบควบคุมการทํางานของเครื่อง ซึ่งมีการทํางานในขบวนการ
หลัก ๆ ดังนี้
1.1.1 ระบบปรับคุณภาพน้ํา ดังที่กลาวมาแลววา Supercritical Pressure Boiler ไมมีระบบ Drum ดังนั้นการ
ควบคุมในการปรับคุณภาพน้ําจึงมีสวนสําคัญยิ่งซึ่งจะมีระบบปรับคุณภาพน้ํา 2 ระบบ คือ
1. All Volatile Treatment (AVT) ระบบนี้จะถูกใชในชวงที่มีการ Startup Boiler หลังจากที่ทํา
Chemical Cleaning แลวเพื่อตองการใหคุณภาพน้ําของ Feed Water มีคา Conductivity นอยกวา 0.2 µs/cm ดัง
นั้นในระบบนี้จะเติมสารเคมีจําพวก Hydrazine และ Ammonia เขาไป สาร Ammonia จะชวยรักษาคา PH
ของน้ําไวที่ 9.5 สวน Hydrazine จะทําหนาที่ชวยขจัด Dissolved Oxygen เพื่อใหเกิด Magnetite (Fe3 O4)
เปนฟลมเคลือบผิวทอปองกันการเกิดสนิม ในระบบ AVT จะตองใชทุกครั้งที่มีแผนการหยุดเครื่องเปนระยะ
เวลานานและในชวง Startup เครื่องหลังทํา chemical Cleaning ดังนั้นกอนการ Shutdown เครื่องประมาณ 2 ถึง
3 ชั่วโมง จะตองเปลี่ยนระบบการปรับคุณภาพน้ํามาใชในระบบ AVT
2. Combine Water Treatment (CWT) หลังจากการใชระบบปรับคุณภาพน้ําในระบบ AVT กอน
หนานี้ในชวง Startup boiler จนกระทั่ง Feed Water มีคุณภาพน้ําไดตามมาตรฐานขอกําหนด การปรับคุณภาพ
น้ําจะถูกเปลี่ยนมาใชในระบบ CWT แทนเพื่อปองกันการกรอนภายในอุปกรณและสนิมภายในทอระหวางที่
เดินเครื่องตามปกติ ในระบบนี้จะเติมสารเคมี Ammonia เพื่อรักษาคา PH ของน้ําไวที่ 8.5 และฉีด Oxegen
เพื่อรักษา Dissolved Oxegen ที่ 50 ถึง 200 PPb ในสภาพการณนี้ Magnetite ที่ไดเคลือบผิวของทอกอนหนานี้
แลวจากการใชระบบ AVT และเมื่อเปลี่ยนมาใชในระบบ CWT การฉีด Oxegen ทําใหเกิด Dissolved Oxegen
มากกวา จึงเปลี่ยนรูปแบบการเคลือบผิวทอจาก Magnetite มาเปน Hematite (Fe2 O3) เพื่อปองกันการกันกรอน
และสนิมภายในทอซึ่งทําใหการเคลือบผิวทอในระบบนี้เรียบขึ้นและอัตราการเพิ่มความหนาของผิวทอนอยกวา
การเคลือบผิวทอในระบบ AVT ถึง 10 เทา ดังนั้นแรงดันที่สูญเสียในทอมีอัตราเพิ่มขึ้นชาลงและผลที่ตามมา
จะชวยยืดระยะเวลาที่จะทํา Chemical cleaning ใหออกไปจากเดิมนานขึ้น
1.1.2 ระบบควบคุมการทํางานของเครื่อง การควบคุมเครื่องที่สําคัญหลัก ๆ ที่ผานขบวนการ Clean Up, Light
Off, Steam Admission to Turbine, Initial Synchronize มาแลว ขบวนการควบคุมหลักขณะเพิ่มหรือลดโหลด
(Load) มีระบบการควบคุม 2 โหมด (Mode) ดังนี้
1. Wet Mode คือระบบการควบคุมกรณีปรับเพิ่มหรือลดโหลดไมเกิน 25 % Economic Continuous
Rating ( ECR) ซึ่งการควบคุมในโหมดนี้มีวิธีคลายกับ Drum Type Boiler กลาวคือเมื่อโหลดต่ํากวา 25 % ECR
2.2.1 - 6
ระบบน้ําจาก Feed Water จะถูกปอน (Feed) เขา Water Wall Tue 25% ECR ตลอดเวลา จากนั้นไอน้ําที่ไมอิ่ม
ตัวใน Water Wall Tube แสดงดังรูปที่ 1 – 6 จะไหลไปยัง Water Seperator Drain Tank ( WSDT ) เปรียบ
เสมือน Drum Firing Rate ที่เพิ่มหรือลดเพื่อรักษาแรงดันไอน้ําใหได 108 bar ในขณะที่โหลดเขาใกล 25%
ECR วาลวควบคุม Turbine Bypass Valve เริ่มปดจนสุดจากนั้น Main Steam Pressure Control Valve จะถูก
ควบคุมดวย Water / Fuel Flow Ratio (EFR) ซึ่งจะปรับเชื้อเพลิงใหเหมาะสมกับ Feed Water เพื่อควบคุม Main
Steam Pressure รักษาใหคงไวที่ 108 bar
2.2.1 - 7
2. Dry Mode คือระบบการควบคุมกรณีปรับเพิ่มหรือลดโหลดที่เกินกวา 25% ECR นั่นหมายถึง
ระบบการควบคุมจะถูกเปลี่ยนจาก Wet Mode เขาสู Dry Mode เมื่อโหลดเกินกวา 25% ECR ซึ่งเปนการ
ควบคุมการทํางานเปนแบบ Once Through Boiler หรือที่เราเรียกวา Supercritical Pressure Boiler แสดงดังรูป
ที่ 1 – 7 เมื่อเขาสู Dry Mode ระดับน้ําใน WSDT ลดลงจนแหงหมด Boiler Recirculating Valve จะถูกปด
จนสุดและ Boiler Circulating Pump จะหยุดทํางาน ระบบไอน้ําจะกลายเปนไอแหงหมดเปนการทํางานแบบ
Once Through Boiler ซึ่งจะเปลี่ยนการควบคุมจาก Pressure control (108 bar) เปน Water Wall Outlet
Temperature Control และในที่สุดเมื่อเพิ่มโหลดใหสูงขึ้น Steam Pressure และ Temperature ถูกควบคุม
ดวย Coordinated Control Mode ดวย Megawatt Demand
2.2.1 - 8
1.2 ขอมูลทางเทคนิค ( Technical Data )
Type of Boiler Mitsubishi Supercritical
Sliding Pressure Operation
Once – Through Boiler (Mo-SSRR)
Quantity 1 Boiler
OIL/GAS
Steam Pressure
Design 279 barg
Superheater Outlet 261.0 barg
Design 67 barg
Reheater Inlet 52.7/52.8 barg
Reheater Outlet 50.7/50.8 barg
Steam Temperature
Design 548 °C
Superheater Outlet 540 °C
Design 582 °C
Reheater Outlet 568 °C
Feed Water Temperature
Economizer Inlet 294.2 °C
Air Temperature
Ambient Air Temperature 27.5 °C
Steam Flow
Superheater outlet 2,530,000 kg/H
Reheater Inlet 1,998,600/2,004,390 kg/H
2.2.1 - 9
Firing System Natural Gas and Heavy Oil
Firing and Natural
Gas / Heavy Oil Mixed Firing
Drafting System Balanced
Steam Temperature Control Method
Superheater 2 Stage Desuperheater
Reheater Gas Recirculation
Desuperheater
Steam Temperature Control Range
Superheater 25% ECR ~ B-MCR
Reheater 35% ECR ~ B-MCR
2.2.1 - 10
1.3.1 Boiler เปนแบบชนิด Once Through Boiler สามารถผลิต Dry Steam ผานเขาสู Steam Turbine ได
โดยตรงซึ่งไมจําเปนตองมี High Pressure Drum เตาเผา (Furnace) ถูกออกแบบใหรักษาแรงดันในเตาต่ํากวา
บรรยากาศเล็กนอยมีคา – 10 mm Aq ใชกาซธรรมชาติเปนเชื้อเพลิงหลักและน้ํามันเตาเปนเชื้อเพลิงสํารอง
1.3.2 Force Draft Fan ( FDF) เปนพัดลมดูดอากาศเขาไปยังเตาโดยผานเครื่องอุนอากาศ (Air Heater) เพื่อ
ใชในขบวนการเผาไหมและทําหนาที่ cooling ใหกับอุปกรณ Burner
1.3.3 Induce Draft Fan ( IDF ) เปนพัดลมระบายแกสที่เผาไหม (Flue Gas) แลวออกสูบรรยากาศทาง
ปลองควัน (Exhaust Stack) กรณีที่ใชน้ําเตาเปนเชื้อเพลิง Flue Gas จะถูกสงขจัดกาซซัลเฟอรไดออกไซด
(SO2) ดวยอุปกรณระบบ Flue Gas Desulfurize : FGD กอนที่จะปลอยออกสูบรรยากาศที่ปลองควัน
1.3.4 Gas Recirculation Fan (GRF) เปนพัดลมที่ดูด Flue Gas จากเตาเผาสวนหนึ่งไปผสมกับอากาศจาก
FDF เพื่อคุมควบ Reheat Temperature
1.3.5 Air Heater คืออุปกรณแลกเปลี่ยนความรอน (Heat Exchanger) ทําหนาที่อุนอากาศจาก FDF ใหมี
อุณหภูมิสูงขึ้นกอนที่จะนําเอาอากาศนั้นเขาใชงานในระบบการเผาไหม และระบายความรอนใหกับอุปกรณใน
Boiler ซึ่งการอุนอากาศดังกลาวทําไดโดยใช Exhaust Gas จาก Boiler ถายเทความรอนใหกับอากาศ
1.3.6 Burner คือ อุปกรณระบบ Combustion ทําใหเกิดการเผาไหมในเตาซึ่งถูกออกแบบใหใชกับเชื้อเพลิง 2
ชนิด Gas และ Oil มีทั้งหมด 7 ชั้น ชั้นที่ 1 เฉพาะเชื้อเพลิง Gas ชั้นที่ 7 เฉพาะเชื้อเพลิง Oil ชั้นที่ 2 ถึง 6 ใช
ไดทั้ง Gas และ Oil
1.3.7 Water Wall Tube คืออุปกรณชุดแผงทอความรอนที่ติดตั้งอยูในเตาเผา (Furnance) ของ Boiler ทํา
หนาที่นําความรอนจากเตาเผาและถายเทความรอนใหกับน้ําใน Wall Tube ดวยระบบ Supercritical Pressure
Boiler ทําใหน้ํากลายเปนไอทั้งหมดไหลผานไปยังแผงทอ Superheater ทําใหเปนไอแหงตอไป
1.3.8 Soot Blower เปนอุปกรณที่ทําหนาที่ขจัดขี้เถาที่สะสมใหหลุดออกจากพื้นผิวที่รับความรอนของ Boiler
Tube ซึ่งเปนการทําความสะอาดใหกับอุปกรณ Boiler เพื่อใหเกิดการนําความรอนไดดีตลอดเวลา
1.3.9 แผงทอรับความรอน (Economizer) ติดตั้งบริเวณที่ Flue Gas จะไหลออกสู Exhaust Stact ทําหนาที่
เพิ่มความรอนใหกับ Feed Water กอนที่จะสงไปยัง Wall Tube ในเตา
1.3.10 อุปกรณแยกน้ําออกจากไอน้ํา (Water Seperator) ทําหนาที่แยกน้ําออกจากไอน้ํา โดยที่ไอน้ําจะไหล
เขาสูแผงทอไอดง (Superheat) น้ํารอนที่ยังไมกลายเปนไอจะเขาไปรวมที่ Water Seperator Drain Tank ซึ่งมี
Boiler Circulating Pump ดูดน้ํากลับเขาไปยังทอ Economizer 1.3.11 แผงทอไอดง (Superheater) ชุดแผง
ทอถูกติดตั้งใหปะทะกาซรอนมากที่สุดรับ Dry Steam ทําใหเปน Dry Steam มากยิ่งขึ้นซึ่งเรียกวา Super
Cirtical Pressure สงจายไปขับ High Pressure Turbine ทําใหกังหันไอน้ําหมุน
1.3.12 แผงทอทวีความรอน (Reheater) เปนชุดแผงทอที่รับ Exhaust Steam จาก HP – Turbine เพิ่มความรอน
ใหกับ Dry Steam ใหสูงขึ้นจากนั้นสงจายไปขับ Intermediate Pressure Turbine ทําใหชวยเสริมใหกังหันไอ
น้ําหมุน และ Exhaust Steam จาก IP – Turbine จะไหลเขาสู Low Pressure Turbine เปนการเสริมใหกังหัน
2.2.1 - 11
ไอน้ําหมุน จากนั้น Exhaust Steam จาก LP – Turbine ไหลลงสู condenser ถูกควบแนนใหกลายเปนน้ํา
บริสุทธิ์
รูปที่ 2 – 1 เครื่องกังหันไอน้ําและหลักการทํางาน
จากรูป 2 – 1 มีชุดกังหันไอน้ํา 3 ชุด หรือ 3 Stage คือ HP – Turbine , IP – Turbine และ LP –Turbine
เมื่อไอน้ําที่มีอุณหภูมิและแรงดันสูงไหลผานวาลวควบคุม (Governor Valve) เขาสูเครื่องกังหันไอน้ํา ความดัน
ของไอน้ําจะลดลงและไอน้ําเกิดการขยายตัวทําใหปริมาตรเพิ่มขึ้นดวยเหตุนี้จึงทําใหความเร็วในการไหลของไอ
น้ําสูงขึ้นจะไหลไปปะทะกับใบพัดเคลื่อนที่เกิดแรงผลักดันทําใหเพลาของเครื่องกังหันไอน้ําหมุน เนื่องจากชุด
ของใบพัดเครื่องกังหันมีหลายชุดบนเพลาเดียวกันดังนั้นไอน้ําจะไหลตอไปยังใบพัดที่อยูกับที่ที่ติดตั้งในตัวถัง
2.2.1 - 12
และไหลกลับไปปะทะชุดใบพัดเคลื่อนที่ในชุดถัดไปซึ่งทําเชนนี้จนถึงชุดสุดทาย จนกระทั่งอุณหภูมิและความ
ดันไอน้ําลดลงไอน้ําจะไหลออกจากเครื่องกังหันไอน้ําเขาสูเครื่องควบแนนตอไป
BLADING
H.P. Turbine …………………………... 1 – Reteau stage
11-Pairs of Row of Reaction Blading
I.P.Turbine ………………………….…. 9-Pairs of Row of Reaction Blading
L.P.Turbine ……………………………. 7-Pairs of Rows in Each End of Each Turbine
2.2.1 - 13
2.3 สวนประกอบหลักของเครื่องกังหันไอน้ํา (Steam Turbine Major Component) เครื่องกังหันไอน้ํามี 2
แบบ คือ แบบ Impulse Turbine ใชแรงผลักของไอน้ํากระทบกับ Turbine blade ทําใหเครื่องกังหันไอน้ําหมุน
ไปตามทิศทางแนวแรงของไอน้ํา สวนอีกแบบคือ Reaction Turbine ใชหลักการกฎขอสามของนิวตัน “ เมื่อมี
แรงกริยา (Action) กระทบตอสิ่งใด ๆ จะมีแรงปฏิกริยา (Reaction) ขนาดเทากันเกิดขึ้นในทิศตรงขามกังหันไอ
น้ําทั้ง 2 แบบ โรงไฟฟาราชบุรีไดนํามาใชงานในรูปแบบที่เรียกวา Turbine แบบผสมแสดงดังรูป 2 – 2 ซึ่งนิยม
ใช Stage ที่ 1 เปนแบบ Impulse และ ใน Stage หลัง ๆ ใชเปนแบบ Reaction สวนประกอบหลักของเครื่อง
กังหันไอน้ําที่สําคัญ ๆ มีดังนี้
2.2.1 - 14
2.3.1 Rotor เปนชิ้นสวนที่เคลื่อนที่โดยจะหมุนรอบตัวเองอยูภายใน Casing และมีใบ Blade ติดยึดที่ Rotor
เคลื่อนที่ไปพรอมกัน Rotor แบงออกเปน 3 สวน คือ HP – Rotor, IP – Rotor และ LP – Rotor ซึ่งมีจํานวน 2
ตัว HP และ IP – Rotor ผลิตจากกรรมวิธี Forging จากวัสดุ Solid Alloy Steel A 470 Class 8 สามารถทน
Creep Rupture สวน LP – Rotor ผลิตกรรมวิธีเดียวกันใชวัสดุ Solid Alloy Steel A 470 Class 7
2.3.2 Blade ดังที่กลาวมาแลว เทอรไบนเปนแบบผสมคือ Impulse – Reaction Turbine ซึ่งใน Blade จะยึดติด
กับ Rotor ทําหนาที่เปนตัวรับการวิ่งชนของไอน้ําที่มีแรงดันและความเร็วสูงทําใหเกิดแรงผลักดันที่ Blade และ
Rotor หมุนเคลื่อนที่นั่นก็คือ Blade จะเปลี่ยนพลังงานจลนจากไอน้ําไปเปนรูปพลังงานกลหมุน Rotor นั่นเอง
ลักษณะ Blade และอุปกรณสวนประกอบของ Blade มีดังนี้
1. ลักษณะของ Blade ดานที่ไอน้ําวิ่งเขาชนเรียกวา Leading Edge สวนดานที่ไอน้ําวิ่งออกเรียกวา
Tailing Edge แสดงดังรูปที่ 2 - 3
2.2.1 - 15
รูปที่ 2 – 4 แสดงลักษณะ Root
2.2.1 - 16
2.3.3 Nozzle เปนชิ้นสวนที่ทําหนาที่เปลี่ยนพลังงานของไอน้ํา ในรูปขอความดัน (Pressure Energy) เปน
ความเร็วหรือที่เรียกวาพลังงานจลน Nozzle ที่ใชกับเครื่องกังหันไอน้ําเปนการจัดรูป Blade เขาดวยกันโดยให
มีชองวางระหวาง Blade มีลักษณะคลายหัวฉีด (Nozzle Profile) ในเครื่องกังหันไอน้ําแบงหัวฉีดออกเปน 2
ประเภท ดังนี้
1. First Stage Nozzle หรือเรียกวา Nozzle Block เปนหัวฉีดแถวแรกที่ไอน้ําเขาและวิ่งชน Rotating
Blade แถวแรกของกังหันประกอบขึ้นดวยกลุมของ Blade เรียกวา Nozzle Group และจะรวม Nozzle Group
เขาดวยกันอีกที่หนึ่งเรียกวา Nozzle Block ซึ่งจะแบงออกเปน 2 สวนคือ สวนบนจะติดอยูกับ Upper Casing
และสวนลางจะติดอยูกับ Lower Casing แสดงดังรูป 2 - 6
2.2.1 - 17
รูปที่ 2 – 7 Diaphragm and Blade Ring
2.3.5 Labyrinth Seal เนื่องจากเกิดการสูญเสีย (Loss) ของไอน้ําระหวางชุด Rotating Part กับ Stationary
Part เพราะไอน้ําบางสวนเกิดการรั่วไหลไมผาน Nozzle และ Blade ทําใหประสิทธิภาพของเครื่องกังหันลด
ลง จึงออกแบบใหไอน้ําสูญเสียนอยที่สุดโดยลดชองวางนั้นดวย Seal Strip ซึ่งจะวางกั้นเปนชวงทําใหความ
ดันลดลงเปนผลทําใหเกิดการสูญเสียของไอน้ําลดลงชุด Seal Strip ดังกลาวเรียกวา Labyrinth Seal แสดงดัง
รูปที่ 2 – 8
2.2.1 - 18
2.3.6 Gland Seal คืออุปกรณที่ทําหนาที่ Seal ที่คอเพลาของ Turbine Rotor ตรงจุดที่ยื่นตัวออกจาก Casing
เพื่อกันไมใหไอน้ําภายใน Turbine รั่วออกมาภายนอกและขณะเดียวกันจะกันอากาศจากภายนอกรั่วเขาภายใน
Turbine แสดงดังรูปที่ 2 - 9
2.3.7 Casing หรือ Shell คือเปลือกนอกสุดของกังหันไอน้ําซึ่งมี Rotor และ Blade Ring อยูภายในแบงออก
เปน 2 แบบ คือ Single Casing มีเพียงชั้นเดียวใชกับเครื่องกังหันขนาดเล็ก สวนอีกแบบคือ Double Casing
จะมี 2 ชั้นคือ ชั้นใน (Inner Casing ) และชั้นนอก (Outer Casing) การออกแบบ Casing เปน 2 ชั้นชวยลด
ความเคน (Stress) ภายใน Casing และเหมาะใชกับเครื่องกังหันไอน้ําที่มีกําลังผลิตสูงดังแสดงในรูปที่ 2 – 10
2.2.1 - 19
2.3.8 Steam chest คือ สวนที่ทําหนาที่รวมของไอน้ําจาก Superheater เขาสู Turbine ซึ่งแบงออกเปน 2
ประเภทคือแบบ Integral Type จะหลอติดกับ Casing แบบนี้จะมีขอเสียในชวง Startup การขยายตัวเนื่องจาก
ความรอนไมเทากันระหวาง Turbine Casing กับ Steam Chest และอาจทําใหเกิดการ Crack สวนอีกแบบคือ
Separate Type โดยจะแยกออกจาก Casing มีทอลักษณะตัวยูซึ่งถูกออกแบบใหเกิดการขยายตัวไดอยางอิสระ
โดยที่ไมเกิดความเคน ดังรูปที่ 2 - 11
2.2.1 - 20
รูปที่ 2 – 12 Turbine Turning Gear
2.2.1 - 21
รูปที่ 2 – 13 Journal Bearing
2.2.1 - 22
2.3.13 Steam Valve คืออุปกรณที่ทําหนาที่ปดเปดหรือควบคุมปริมาณไอน้ําที่ไหลเขา Turbine เพื่อควบคุม
ความเร็วรอบ (Speed) ของ Turbine ในชวง Steam Admission to Turbine และควบคุมในการเพิ่มหรือลดโหลด
เพื่อรักษาความเร็วรอบของ Turbine และ Generator ใหมีความเร็วรอบคงที่ที่ 3,000 รอบตอนาที ซึ่งประกอบ
ดวย Valve ตาง ๆ ดังนี้
1. Throttle Valve หรือ Stop Valve คือวาลวที่ติดตั้งอยูที่ Main Steam Line ทําหนาที่เปดสุดเพื่อให
ไอน้ําไหลเขาสู HP – Turbine หรือปดสุดไมยอมใหไอน้ําผานเขาไป เมื่อหยุดเครื่อง และในกรณีที่เกิดเหตุฉุก
เฉิน Stop Valve จะปดอยางรวดเร็ว เปนการปองกันไมใหไอน้ําไหลเขาไปใน Turbine และ Turbine Trip ทัน
ที
2. Control Valve หรือ Governor Valve ติดตั้งอยูที่ Main Steam ถัดจาก Stop Valve ทําหนาที่
ควบคุมปริมาณไอน้ําที่ไหลเขา HP – Turbine เพื่อควบคุมความเร็วรอบของ Turbine ใหมีความเร็วรอบคงที่ที่
3,000 รอบตอนาที หรือควบคุมกําลังผลิตตามที่ตองการ
3. Reheat Stop Valve คือ วาลวติดตั้งอยูที่ Hot Reheat Line ทําหนาที่เชนเดียวกับ Main Steam
Stop Valve เพื่อเปดใหไอน้ําไหลเขา IP – Turbine หรือปดไมใหไอน้ําไหลผานเขาไปเมื่อหยุดเครื่อง
4. Intercepter Valve คือวาลวที่ทําหนาที่เปน Control Valve ควบคุมปริมาณไอน้ําที่ไหลเขาสู IP –
Turbine ติดตั้งอยูที่ Hot Reheat Line ถัดจาก Reheat Stop Valve ทําหนาที่เชนเดียวกับ Main Steam Control
Valve
2.3.14 Breakable Diaphragm เปนอุปกรณที่ติดตั้งอยูที่ LP – Turbine Exhaust Cylinder Cover ทําหนาที่
เพื่อปลดปลอยความดันภายโดยทันที เมื่อความดันภายในเพิ่มขึ้นมากกวาที่ออกแบบไว ความดันที่เพิ่มขึ้นจะทํา
ใหเกิด Back Pressure ซึ่งจะสงผลตอการหมุนของ LP – Blade Stage ทาย ๆ และอาจทําใหเกิดการเสียหายกับ
LP – Outer Casing ได Breakable Diaphragm ทํามาจากดีบุกซึ่งคํานวณความหนาที่เหมาะสมกับความดันที่
ตองการคือประมาณที่ 0.36 kg/cm2 ซึ่งโดยปกติแลว Turbine จะมีระบบปองปญหานี้อยูแลว คือ Low Vacuum
Trip และคานี้จะถูกตั้งไวประมาณ – 0.7 kg/cm2
2.3.15 Turbine Lube Oil System ดังทีไดกลาวแลว Turbine และ Generator ประกอบดวยชิ้นสวนที่เคลื่อน
ที่และชิ้นสวนที่อยูกับที่และชิ้นสวนที่เคลื่อนที่จะหมุนดวยความเร็วสูงและเกิดการเสียดสีมีความรอนเกิดขึ้น
เพื่อปองกันปญหาดังกลาวจึงจําเปนตองมีระบบน้ํามันหลอลื่น เพื่อปองกันการเสียดสีและระบายความรอนจาก
อุปกรณ Bearing ของ Turbine และ Generator ดังรูปที่ 2 – 15 ซึ่งประกอบไปดวยอุปกรณตาง ๆ ในระบบน้ํา
มันหลอลื่นดังนี้
2.2.1 - 23
รูปที่ 2 – 15 Turbine Lube Oil System
2.2.1 - 24
1. Lube Oil Reservoir คือถังเก็บน้ํามันหลอลื่นขนาดใหญสําหรับจะจายน้ํามันหลอลื่นเขาสูระบบ
อุปกรณ Turbine และไหลหมุนเวียนลงกลับ Reservoir
2. Auxiliary Oil Pump คืออุปกรณที่จายน้ํามันหลอลื่นใหกับระบบ Turbine ในชวงเริ่ม Startup
ซึ่งจะจายน้ํามันไปยังสวนตาง ๆ คือ ระบบน้ํามันหลอลื่นที่ Bearing ระบบน้ํามันควบคุม (Control Oil) ระบบ
Turning Device และระบบ Seal Oil System เปนตน เมื่อเครื่อง Turbine ทํางานที่ Rated Speed (3,000 rpm)
Ac Auxiliary Oil Pump จะหยุดทํางานและจะทํางานอีกครั้งเมื่อ Shutdown เครื่อง
3. Main Oil Pump คืออุปกรณที่จายน้ํามันหลอลื่นใหกับระบบ Turbine เชนเดียวกันแตจะทํางานใน
ชวงที่เครื่องเดินถึง Rated Speed และหยุดทํางานเมื่อเครื่อง Shutdown
4. Turning Oil Pump จะจายน้ํามันหลอลื่นใหกับ Turbine และ Generator Bearing เฉพาะในชวง
Turning Speed ( 3 rpm) เทานั้นเพื่อเปนการประหยัดพลังงาน
5. Emergency Oil Pump เปนอุปกรณที่จายน้ํามันหลอลื่นใหกับ Turbine และ Generator Bearing
ในชวงที่เกิด Low Lube Oil Trip เพื่อปองกันไมให Bearing เกิดการเสียหายเนื่องจากเสียดสี
6. Jacking Oil Pump ทําหนาที่จายน้ํามันหลอลื่นแรงดันสูงแก Turbine และ Generator เพื่อยก
Rotor ใหลอยตัวในชวง Startup Turbine เทานั้น
7. Vapor Extractor คืออุปกรณที่ทําหนาที่ปองกันไมใหน้ํามันรั่วที่ Shaft Seal ที่ bearing Housing
เพราะ Vapor Extractor ชวยปรับสภาพภายใน Oil Reservoir ใหเปนสูญญากาศ นอกจากนี้ยังเปนตัวแยก
กาซที่อาจกอใหเกิดการลุกไหมตลอดทั้งไอน้ํามัน และอากาศออกจากระบบน้ํามันหลอลื่นเพื่อระบายออกสู
บรรยากาศภายนอก
3. เครื่องกําเนิดไฟฟา (Generator)
สิ่งสําคัญคือการออกแบบระบบระบายความรอน (Cooling System) สําหรับเครื่องกําเนิดไฟฟาซึ่งแบง
ออกไดหลายแบบคือเครื่องกําเนิดไฟฟาสมัยอดีตใชอากาศเปน Cooling Medium ใหกําลังผลิตต่ํานอยกวา 100
MW ตอมาเพื่อที่จะลดเสียง, Windage Lost และฝุนละอองที่เขาสูภายในเครื่องกําเนิดจึงใช H2 เปน Cooling
Medium วิวัฒนาการตอมาไดพัฒนาการ Cooling โดยการเจาะรูที่แกนเหล็กของ Rotor และ Stator โดยใช H2
– High Speed ผานเพื่อนําความรอนออกมาโดยเร็ว เรียกวา Hydrogen Inner Cooled Turbine Generator
สามารถใหกําลังผลิตไดถึง 100 – 600 MW และวิวัฒนาการปจจุบันไดมีการพัฒนาโดยการใชน้ํา Cooling ใน
Stator Coil เพื่อเพิ่มขนาดกําลังผลิตของเครื่องกําเนิดไฟฟาไดสูงถึง 1,000 MW ดังตารางคุณสมบัติเปรียบ
เทียบคาตาง ๆ ของ Air, H2 และ Water
2.2.1 - 25
Properties Air Hydrogen Water
Density 1.00 0.07 860
Thermal Conductivity 1.00 7.00 23
Heat transfer coefficient from
Surface to gas 1.00 1.35 514
Specific heat 1.00 0.98 3575
Support of Combustion Yes No No
Oxidizing agen Yes No No
H2 & He เปน Gas ที่เบากวาอากาศมาก ใน Ideal Case ของ Gas ที่จะใชเปน Meduim ของการ
Internal Ventilation กาซ He เปน Gas เฉื่อยและไมติดไฟ แตยากที่จะหา Gas He ที่มีปริมาณมาก ๆ โดย
เฉพาะอยางยิ่งราคาแพงมากเมื่อเปรียบเทียบกับ H2 ในปจจุบัน H2 เปน Cooling Medium ที่ดีที่สุดที่ทําได ใน
ขณะนี้สําหรับ Rotating Machine
ความปลอดภัยที่ควรระวังในการใช H2 Cool ปริมาณไฮโดรเจน 5 – 70% By Volume ถารวมตัวกับ
อากาศสามารถระเบิดได ดังนั้น ถาเราปองกันไมใหเกิดการระเบิดขึ้น ใน Normal Operation แลวยังจําเปนตอง
ปองกัน Unforeseen Condition ถาเกิดระเบิดขึ้นมา Frame ของ Stator ตอง Designed For Explosion Proof
Explosion Proof คืออะไร เมื่อเกิดการระเบิดขึ้นภายใน construction Material จะไมทําใหสิ่งรอบขาง
เสียหาย
ความรุนแรงของการระเบิดขึ้นอยูกับสวนผสมระหวาง Air กับ H2 เปรียบเทียบอยางคราว ๆ คลายกับ
Sine Curve สวนผสมระหวาง Air + H2 โดยปริมาตร โดยเริ่มตนที่ 5% (ปริมาตร) 70% และรุนแรงที่สุดที่
ประมาณ 30 – 35% และลดลงต่ําสุดที่ 70% ดังนั้นขอควรระวังคือ ตองปองกันไมใหมีการผสมกันระหวาง H2
กับ Air ถาตองการเปลี่ยนจาก H2 เปน Air หรือจาก Air เปน H2 ตองมี Co2 เปนตัวกลาง และเมื่อจะเปลี่ยน
H2 ตอง control Exhaust Pressure ไมใหเกิน 0.1 – 0.2 kg/cm2
3.1 หลักการทํางานของเครื่องกําเนิดไฟฟา ( Principle of Generator ) ปจจุบันแหลงพลังงานไฟฟาขนาด
ใหญจะผลิตโดยเครื่องกําเนิดไฟฟา (Generator) ตามหลักการของไมเคิล ฟาราเดย (Michael Faraday) กลาว
คือ เมื่อขดลวดตัวนําเคลื่อนที่ผานสนามแมเหล็กหรือสนามแมเหล็กเคลื่อนที่ผานขดลวดตัวนําจะทําใหเกิดแรง
ดันเหนี่ยวนํา (Induced Voltage) ขึ้นบนขดลวดตัวนํานั้น และเมื่อมีโหลด (Load) มาตอครอมกับขดลวดตัวนํา
จะทําใหเครื่องกําเนิดจายพลังงานไฟฟา ดังนั้นเครื่องกําเนิดไฟฟาจึงมีสวนประกอบหลัก 2 สวน คือ สวนที่
เคลื่อนที่เรียกวา Rotor Winding ซึ่งไดรับกระแสกระตุน (Excite) จาก Exciter ทําใหเกิดสนามแมเหล็กและ
สวนที่อยูกับที่เรียกวา Stator Winding เปนขดลวดตัวนํา แสดงดังรูปที่ 3 – 1
2.2.1 - 26
รูปที่ 3 – 1 ลักษณะโครงสราง Generator
จะเห็นไดวาเครื่องกําเนิดไฟฟาเปนเครื่องจักรกลชนิดหมุน (Rotating Machine) ดังนั้น ในการผลิตพลัง
งานไฟฟาจึงมีความจําเปนตองมีพลังงานกล (Mechanical Energy) มาขับเพลา (Shalf) ของโรเตอรใหหมุนจึง
กลาวไดวาเครื่องกําเนิดไฟฟาเปนอุปกรณทําหนาที่เปลี่ยนพลังงานกลใหเปนพลังงานไฟฟา โดยเพลาของโร
เตอรไดรับกําลังทางกล (Mechanical Power) มาจากเครื่องกังหัน (Turbine) และเครื่องกังหันนั้นตองใชพลัง
งานมาเปนตัวขับเคลื่อน เชน พลังงานจากน้ํา พลังงานไอน้ํา เปนตน จากที่กลาวมาแลวขางตนจะเห็นไดวาการ
ไดพลังงานไฟฟา มาใชงานนี้จะไดจากการเปลี่ยนพลังงานรูปอื่นมาเปนพลังงานไฟฟา
3.2 ขอมูลทางเทคนิค (Technical Data)
SERIAL NUMBER 97 AD 3301/97/AD3401
TYPE OF GENERATOR HORIZONTALLY MOUNTED CYLINDRICAL ROTOR
ROTATING FIELD TYPE
ROTATING SPEED (rpm) 3,000
No. OF PHASE 3
No. OF POLE 2
FREQUENCY (Hz) 50
VOLTAGE (V) 24,000
HYDROGEN GAS PRESSURE (bar (g)) 5
HYDROGEN GAS PURITY( (%) 97
2.2.1 - 27
HYDROGEN GAS CONSUMPTION 9
(Nm3/24hour guaranteed)
kVA OUTPUT (kVA) 990,000
kW OUTPUT (kW) 841,500
CURRENT (A) 23,816
POWR FACTOR (%) 83 (LAGGING)
COOLING METHOD STATOR COIL WATER COOLED
ROTER COIL HYDOROGEN COOLED
INSURATION CLASS F
TEMP RISE LIMIT STATOR COIL (°C) 50 (BASE TEMP 50 °C)
AT RATED LOAD STATOR COIL 50 (BASE TEMP 50 °C)
COOLING WATER
OUTLET (°C)
2.2.1 - 28
รูปที่ 3 – 2 Stator coil Cooling
3.3.2 Cooling ( Stator Core ) กาซ H2 จะถูก Boosted Up Pressure ดาน High Pressure Blower ที่ติดอยู
กับ Shaft ของ Rotor ทางดาน Turbine Slide แลกเปลี่ยนความรอนดวย Gas Cooler มายัง Slip ring Side
โดยผาน Stator Core และ Stator Flame ผานรูเจาะใน stator ในแนว Axial มายัง Turbine Side ดังรูปที่ 3 - 3
2.2.1 - 29
3.3.3 Cooling (Rotor Straight Part) การหมุนเวียน H2 Gas เพื่อ Cooler Coil แบงเปน 2 System
1. H2 Gas จะหมุนเวียนเขาทาง Turbine Side และดาน Exciter ถูก Discharged ผาน Air Gap ใน
แนวขนานกับแนว Axial
2. หลังจากที่ H2 ได cool rotor Coil แลวจะออกทาง Center ของ Rotor ซึ่งขนานกับผิวของ Rotor
พรอมกันทั้ง 4 วงจร ดังรูปที่ 3 - 4
3.3.4 Cooling (Rotor End Part) กาซ H2 จะเขา Rotor End Part ทาง Retaining Ring และไหลไปตาม
รูที่อยูภายใน Rotor Coil มาออกทางดานลาง เขาสูแนวแกน และกลับไปที่ Blower
ดังรูปที่ 3 - 5
2.2.1 - 30
รูปที่ 3 – 5 Rotor End Part Cooling
3.3.5 Stator Frame ไดถูก Design ใหทน Pressure ได 1.05 Mpa ซึ่งเปน 2 เทาของคา Maximum Gas
Pressure 0.52 Mpa โลหะที่ใช คือ No. 1 SM 400 AP of JIS G 3106 Rolled Steel for Welded Construction
หรือเทียบเทา ซึ่งไดใช Supersonic Test เพื่อที่จะรับประกันการ Cracks ที่เกิดจาก Lamination และอื่น ๆ
Stator Frame ทําดวยโลหะขนาดใหญ เพื่อที่จะใหมีรอยเชื่อมนอยที่สุด เพื่อเปนการรับประกันการรั่ว และ
ระเบิดของ Gas ได ดังรูปที่ 3 - 6
2.2.1 - 31
รูปที่ 3 – 6 โครงสราง Stator Frame
3.3.6 Stator Lamination แกนเหล็ก Stator Core ทําจาก High Quality Silicon Steel Plates ซึ่งให Core
Loss นอย เจารูเคลือบ Varnish และประกอบกันเปน Stator Frame ดังรูปที่ 3 - 7
2.2.1 - 32
3.3.7 Stator Core End ในกรณี Inner Cooled Generator ซึ่งมีปริมาณ Electrical Loading จํานวนมาก มี
ความจําเปนตองลด Load เหลานี้มากที่สุดเทาที่จะมากได เราจึงนํา Non – Magnetic Finger Plate มาใชทํา
Stator Core and Part ดังรูปที่ 3 - 8
3.3.8 Flexble Support เนื่องจากเครื่องกําเนิดไฟฟา 2 Pole Turbine Generator Stator Core ทําใหเกิด
Double Frequency Vibration เราจึงทําการลด Vibration ดังกลาว โดยใส Flexble Support ระหวาง Stator
Core และ Stator Frame ดังรูปที่ 3 - 9
2.2.1 - 33
รูปที่ 3 – 9 Flexible Support
3.3.9 Stator Coil ขดลวด Stator Coil ประกอบดวย Hollow Wire และ 4 Solid Wire ประกอบกันตามที่
แสดงในรูปโครงสรางจะมีผลอยางมากตอ Cooling Effect ซึ่งเหมาะสําหรับ Generator ขนาดใหญ เพื่อที่จะ
ลด Vortex Loss Cooling Water จะหมุนเวียนใน Hollow Element เพื่อที่จะลด Rising Temperature ที่เกิด
จากการ Generate ใน Stator Coil ดังรูปที่ 3 - 10
2.2.1 - 34
รูปที่ 3 – 10 โครงสราง Stator Coil
2.2.1 - 35
รูปที่ 3 – 11 Dialastic Insulation
3.3.11 Stator Coil Header Part ประกอบดวย Header Of branching Cooling Water กับ Hollow Wire
Header Cap Hose Joint และ Element Wire จะเชื่อมตอกัน เพื่อปองกันการ Leak ของ Water อุปกรณ
Hose Joint ที่ติดกับ Manifold ทําดวย Non – Magnetic Steel ดังรูปที่ 3 - 12
2.2.1 - 36
3.3.12 Support of Stator Coil End Part โครงสราง Coil End Part ( ซึ่งมี Electromagnetic Force จํานวน
มากกระทําอยูขณะ Short – Circuit ) เปน Integral Structure ประกอบดวย Large – Size Resin Cone Segment
Plate และอัดแนนดวย Insulation Bolts ซึ่งมี Axial – Direction Slide Mechanism ที่ประกอบไวเพื่อ
Absorbing Heat of Expansion ระหวาง Stator Coil และ Stator Core ดังรูปที่ 3 - 13
3.3.13 Stator Coil End Construction เพื่อที่จะปองกัน Static End Coil จากการ Deformation เนื่องจาก
Heavy Stresses ของการเกิด Short Circuit และ Electromagnetic Vibration ระหวางการ Normal Operation
ขดลวด End Coil จะถูกยึดดวย Rigid Single Conical Glass Cords ที่ขึ้นรูปเปนวงแหวนดวย Epoxy –
Impregnated Glass Fiber การกําจัด Corona จะใส Semi – Conducting ระหวาง Stator Slot เพื่อปองกัน
Slot Discharge และที่ปลายทั้งสองของ Slot จะทาดวยสีชนิด High Resistance ดังรูปที่ 3 - 14
2.2.1 - 37
รูปที่ 3 – 14 โครงสราง Stator Coil End
3.3.14 Bushing ที่ Lower Part ดาน Exciter จะมี Lead Box อยู 6 Box 3 Box แรก จะเปน Line Side
และอีก 3 Box หลัง จะเปน Neutral Side ที่ Lead Bushing จะมีชองให H2 เขามา Cooling และกลับออกไป
ยัง Stator และ Insulation ของ Bushing เปน Dry Type ซึ่งปองกันการ Leak ของ Oil การกําจัด Stray
Load Loss และ Overheating ทําไดโดยใช Nonmagnetic Steel ทํา Lead Box ดังรูปที่ 3 - 15
2.2.1 - 38
รูปที่ 3 – 15 Bushing
3.3.15 Rotor Shaft อุปกรณ Shaft Material ทําดวย Solid Forging of Ni – Cr – Mo – V Steel ซึ่งออก
แบบ Slots ที่ Hold Rotor Coil จัดขนานกันเปนซี่ อยูกับแกนเปนรูป Trapezoids มีดานบนกวางกวา และที่
ผิวของ Pole จะทําเปนรูป Uniform Rigidly และ Crescent – Shapely ซึ่งผาน Supersonic Test หลังจากใส
Rotor Coil แลว ดังรูปที่ 3 - 16
2.2.1 - 39
รูปที่ 3 – 16 Rotor Shaft
3.3.16 Rotor Coil ขดลวดของโรเตอร ทําดวย Coil Worked Sliver Bearing Capper เปนรูปตัว U 2 ตัว
ประกบกันเพื่อใหมีชองสําหรับให H2 วิ่งผาน ดังรูปที่ 3 - 17
2.2.1 - 40
รูปที่ 3 – 17 Rotor Coil
3.3.17 Coil Retaining Ring จะสวมอยูที่ End Coil ของ Rotor เพื่อปองกันการ Deformation อุปกรณ
Coil Retaining Ring จะถูกใสให Fix ทั้งในแนว Tangent และแนว Axial ซึ่งทําดวย Non – Magnetic
Austenite Steel ดังรูปที่ 3 - 18
2.2.1 - 41
รูปที่ 3 – 18 Coil Retaining Ring
3.3.18 Blower อุปกรณ Blower เปน Multistage High Pressure เพื่อที่จะ Feed H2 เขาสู Duct ที่แคบและ
Blade ทําดวย Ni – Cr – Mo. Steel และ 13Cr Precision Casing
ดังรูปที่ 3 - 19
รูปที่ 3 – 19 Blower
2.2.1 - 42
3.3.19 Bearing แบริ่ง Tilting Pad Type ถูกใชเพื่อรักษา High Stability ของ Rotor และอุณหภูมิของ
โลหะใหต่ําขณะ Operation ดานลางของ Bearing เปนรูปของทรงกระบอกกลวงจํานวน 2 Bearin เพื่อที่รักษา
Shaft จากการ Under Stress เนื่องจาก Deflection of Shaft หรือการ Misalignment แบริ่ง ดานลางประกอบ
ดวย Babbitt line Copper “ Shoes ” ประกบกับ Steel Pads สวนเครื่องดานบนเปน Conventional Sleeve
Bearing ประกอบกันอยางประณีต เพื่อปองกันการ Leakage ของน้ํามัน Shaft Journal จะ Fit พอดีมากกับ
Bearing เพื่อรักษาปริมาณน้ํามันใหเพียงพอตอการเพิ่ม Pressure ในการหลอลื่น ดังรูปที่ 3 - 20
รูปที่ 3 – 20 Bearing
3.3.20 Bearing Bracket อุปกรณ Bearing Bracket เปน Weided Construction Fixed อยูกับ Stator
Frame ทั้งดาน Turbine และ Excite เปนแผน 2 ชิ้น ทําเปน Mechanical Strength ดวย Rib หลาย Rib ตัว
Bearing Bracket เองจะประกอบดวย Bearing Gland Sealing และ Oil Seal ดังรูปที่ 3 – 21
2.2.1 - 43
รูปที่ 3 – 21 Bearing Bracket
3.3.21 Protection For Shaft Current การปองกัน Shaft Current Bearing และ Bracket จะถูก Insulated
ที่ดานบน สวนดานลางจะมี Insulation Sheet สอดอยูทุก ๆ สวนที่คาดวาจะมี Shaft Current ไหลผานจะถูก
แยกดวย Insulation เชน ดาน Excited Coupling ระหวาง Gland Seal Bracket และ Bearing Bracket
ระหวาง Gland Seal และ Oil Piping ระหวาง Oil Seal และ Bracket ดังรูปที่ 3 – 22
2.2.1 - 44
3.3.22 Gland Seal ในรูปที่ 3 – 23 ไดแสดงการแบง Line Oil เปน 2 Lines ดานในเรียก H2 side และดาน
นอกเรียก Air Side
3.3.23 Slip Ring อุปกรณ Slip Ring ทําดวย Tool Steel และทําเปนรองตีเกลียวโดยรอบ เพื่อให Brush
เกาะติดกับ Slip Ring ไดเปนอยางดี แมจะมี High Pressure Air ไหลผาน
ดังรูปที่ 3 - 24
2.2.1 - 45
รูปที่ 3 – 24 Slip ring
3.3.24 Brush And Holder แปรงถาน ( Brush ) จะใสอยูใน Magazine Type Brush Holder ซึ่งมี
Normally Pressure Set ที่ 120 g/cm2 ดังรูปที่ 3 - 25
2.2.1 - 46
3.3.25 Gas Cooler อุปกรณ Gas Cooler จะมี 2 ตัว ตั้งอยูในแนว Vertical ดานซายและดานชวาของ
Turbine Side Cooling Tubes จะประกอบดวย Spiral Copper Fins ตาม Designed จะ Maintain อุณหภูมิ
H2 อยูที่ต่ํากวา 45 °C เมื่อน้ํา Cooling Temperature เทากับ 38 °C
ดังรูปที่ 3 - 26
2.2.1 - 47
แบบทดสอบ
( Thermal Power Plant Major Equipment )
จงตอบคําถามตอไปนี้
1. Once Through Boiler หรือ Supercritical Boiler ปกติหมอไอน้ําชนิดนี้จะทํางานเหนือ Critical
Pressure จุด Critical Pressure มีคาความดันเทาใดและในการเปลี่ยนสถานะจากน้ําใหกลายเปนไอน้ํา
คาความรอนแฝงมีคาเทาใด
คาความดัน = …………………………… psia
คาความรอนแฝง = ………………………. BTU / lb
2. เพราะเหตุใด Once Through Boiler จึงไมมี High Pressure Drum……………………………...
……………………………………………………………………………………….......................
…………………………………………………………………………………..............................
3. ทําไมจึงหามเติมสารเคมี Phosphate เขาไปในระบบ Feed Water ของ Once Through Boiler
……………………………………………………………………………………….......................
……………………………………………………………………………………….......................
……………………………………………………………………………………….......................
4. การปรับคุณภาพน้ําที่ใชในหมอไอน้ําแบบ Once Through การปรับคุณภาพน้ํากี่วิธีอะไรบาง
.............................................................................................................................................
…………………………………………………………………………………………………........
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
5. การควบคุม Once Through Boiler ในการปรับเพิ่มหรือลด Load มีกี่โหมด (Mode) อะไรบาง
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
2.2.1 - 48
6. จงอธิบายหนาที่การทํางานของอุปกรณสวนประกอบหมอไอน้ําตอไปนี้
ก. Force Draft Fan ……………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
ข. Induce Draft Fan …………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
ค. Soot Blower …………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
ง. Superheater …………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
จ. Reheater ………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
7. อธิบายหลักการทํางานของเครื่องกังหันไอน้ําพอสังเขป ............................................................
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
8. กังหันไอน้ํา (Steam Turbine) มีกี่ชนิดอะไรบาง .....................................................................
……………………………………………………………………………………….......................
……………………………………………………………………………………….......................
……………………………………………………………………………………….......................
……………………………………………………………………………………….......................
……………………………………………………………………………………….......................
……………………………………………………………………………………….......................
2.2.1 - 49
9. จงอธิบายหนาที่การทํางานของอุปกรณสวนประกอบกังหันไอน้ําตอไปนี้
ก. Rotor …………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
ข. Blade ……………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
ค. Nozzle …………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
ง. Labyrinth Seal …………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
จ. Gland Seal …………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
ฉ. Casing ………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
ช. Steam Chest …………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
10. Steam Valve ที่ใชควบคุมปริมาณไอน้ํามีกี่ประเภทอะไรบาง ..................................................
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
2.2.1 - 50
11. จงอธิบายหนาที่การทํางานของอุปกรณในระบบ Lube Oil ตอไปนี้
ก. Auxiliary Oil Pump ………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
ข. Main Oil Pump ………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
ค. Emergency Oil Pump ……………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………….......
………………………………………………………………………………………………….......
2.2.1 - 51
14. เครื่องกําเนิดไฟฟา Generate Voltage ขึ้นไดอยางไรและอุปกรณใดทําหนาที่กระตุน (Excite) ทําให
เกิดแรงดันไฟฟาขึ้นที่ Generator …………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
15. เครื่องกําเนิดไฟฟาขนาดกําลังผลิตสูงที่ใชสวนใหญในประเทศไทยที่ระบบไฟฟาความถี่ 50 เฮิรท ถา
เครื่องกําเนิดไฟฟามีจํานวนขั้ว (Pole) เทากับ 2 Pole จงคํานวณหาความเร็วรอบของเครื่องกําเนิดไฟฟา
........................................................................................................................
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
16. จงอธิบายหนาที่การทํางานของอุปกรณสวนประกอบเครื่องกําเนิดไฟฟาตอไปนี้
ก. Stator Winding …………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
ข. Rotor Winding …………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
ค. Coil Retaining Ring …………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
ง. Slip – Ring ……………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
2.2.1 - 52
จ. Rotor Ground Shaft ………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………........
…………………………………………………………………………………………………........
2.2.1 - 53
เอกสารอางอิง
2.2.1 - 54
2.2.2 COMBINED CYCLE POWER PLANT
MAJOR EQUIPMENT
2.2.2 - 1
COMBINED CYCLE POWER PLANT มีสวนประกอบหลักดังนี้
1. GAS TURBINE
2. HEAT RECOVERY STEAM GENERATOR (HRSG)
3. STEAM TURBINE
4. GENERATOR
บทที่ 1
GAS TURBINE
GAS TURBINE ทําหนาที่เปลี่ยนพลังงานความรอน ไปเปนพลังงานจลน เปนผลทําใหเกิดการหมุน
ของ GAS TURBINE ซึ่งมีเพลาตออยูกับ GENERATOR ROTOR ผลิตกระแสไฟฟาอยางตอเนื่อง หลักการ
ทํางานของ GAS TURBINE อากาศที่ถูกอัดจาก COMPRESSOR จะไหลเขาสูหองเผาไหม (COMBUSTION
CHAMBER) โดยมีหองเผาไหมทั้งหมด 18 CHAMBERS เชื้อเพลิงจะถูกฉีดจาก FUEL NOZZLE เขาไป
ผสมกับอากาศในหองเผาไหม และจุดระเบิดดวยหัวเทียน (SPARK PLUGS) ในCOMBUSTION ZONE
ซึ่งการจุดระเบิดจะเกิดในเวลาที่รวดเร็วมาก การเผาไหมจะเกิดขึ้นอยางตอเนื่อง HOT GASES ที่เกิดจากการ
เผาไหมใน COMBUSTION CHAMBER จะพุงเขาสู TRANSITION PIECES ซึ่งติดอยูทางดาน AFT. END
ของCOMBUSTION CHAMBER LINERS จากนั้น HOT GASES จะขยายตัวเขาสู TURBINE SECTION ทํา
ใหเกิดการหมุนของ TURBINE และเพลาของ TURBINE จะตออยูกับ GENERATOR ROTOR เพื่อผลิต
กระแสไฟฟาตอไป
สวนประกอบหลักของ GAS TURBINE มีดังนี้
1. COMPRESSOR SECTION
2. COMBUSTION SYSTEM
3. GAS TURBINE SECTION
1. COMPRESSOR SECTION
SPECIFICATION
TYPE AXIAL FLOW
NUMBER OF STAGE 18 ( STAGE 0 – STAGE 17 )
MATERIAL
INLET CASING DUCTILE IRON
COMPRESSOR CASING DUCTILE IRON
COMPRESSOR DISCHARGE CASING 2.1/4 Cr-Mo
2.2.2 - 2
INLET GUIDE VANE C – 450
COMPRESSOR BLADE STAGE 1 – 8 C – 450
COMPRESSOR BLADE STAGE 9 – 18 C – 430 CB
COATING MATERIAL NONE
COMPRESSOR WHEEL NiCrMoV/Cr MoV
COMPRESSOR มีหนาที่อัดอากาศใหเปนไปอยางตอเนื่อง เขาสู COMBUSTION CHAMBER
หลักการทํางานของ COMPRESSOR เพลาของ COMPRESSOR จะตออยูกับเพลาของ GAS TURBINEเมื่อ
GAS TURBINE หมุน COMPRESSOR จะหมุนตามไปดวย อากาศจะถูกอัดตัวกันอยางตอเนื่องอยูภายใน
ชองวางระหวาง ROTOR และ STATOR แตละ STAGE ซึ่ง ROTOR BLADES จะหมุนสงแรงเพื่อทําการ
อัดอากาศแตละ STAGE โดยมี STATOR BLADES เปน GUIDE สงอากาศเขา ROTOR BLADES
โดยมีมุมที่เหมาะสม อากาศที่ถูกอัดแลวจะถูกสงออกทาง COMPRESSOR DISCHARGE CASING เขาสู
COMBUSTION CHAMBER
สวนประกอบของ COMPRESSOR SECTION มีดังนี้
1.1 COMPRESSOR ROTOR ประกอบดวย
1.1.1 WHEELS
1.1.2 SPEED RING
1.1.3 COMPRESSOR ROTOR BLADE
1.1.4 FORWARD STUB SHAFT
1.1.5 AFTER STUD SHAFT
โดยมีรายละเอียดตามรูปที่ 1-1 , 1-2
2.2.2 - 3
2.2.2 - 4
1.2 COMPRESSOR STATOR ประกอบดวย
1.2.1 INLET CASING ทําหนาที่นําอากาศเขาสู COMPRESSOR โดยตรง ขณะเดียวกัน
จะเปนจุดรองรับ COMPRESSOR ROTOR ในสวนของ LOWER HALF
HOUSING ซึ่งเปน BEARING#1 สวน INLET CASING ถูกหลอเปนชิ้นเดียวกัน
กับ INNER BELLMOUTH ระหวาง INNER กับ OUTER BELLMOUTH จะมี
STRUTS หลอเชื่อมและค้ํายันกันในแนว RADIAL โดย STRUTS จะถูกออกแบบ
เปน AIRFOIL-SHAPED เพื่อผลทางAERODYNAMICS และยังมี VARIABLE
INLET GUIDE VANE (IGV.) ติดตั้งอยูดาน AFTER ENDของ INLET
CASING โดยจะประกอบดวย CONTROL RING & PINION GEAR เชื่อมกับ
LINKAGE ARM และชุด HYDRAULIC ACTUATOR DRIVE ซึ่งการเปด–ปด
IGV. จะมีผลตอปริมาณของ COMPRESSOR INLET AIR FLOW ดังรูปที่ 1-3
2.2.2 - 5
และสวนที่สองเปน AFTER COMPRESSOR CASING เปนโครงสรางของ
COMPRESSOR ที่ติดกับ COMPRESSOR STATOR BLADE STAGE ที่ 5–
STAGE ที่ 12 ดังรูปที่ 1-4
2.2.2 - 6
1.2.3 COMPRESSOR DISCHARGE CASING เปนสวนประกอบระหวาง FLANGE
TO FLANGE ทายสุดของ COMPRESSOR STATOR BLADE STAGE ที่ 13–17
และ EXIT GUIDE VANE (EGV) STAGE ที่ 1 และ 2
2. COMBUSTION SYSTEM
SPECIFICATION
TYPE 18 CHAMBER, REVERSE FLOW
NUMBER AND TYPE OF IGNITORS 2 ELECTRONIC
NUMBER AND TYPE OF FLAME DETECTORS 4 ULTRA VIOLET
DESCRIPTION OF NOZZLE DLN – 2+ DUAL WITH WATER INJECTION
TRANSITION PIECE (MAT.) NIMONIC 263
LINER HASTELLOY-X/HS-188
COMBUSTION SYSTEM เปนแบบ CAN-ANNULAR, REVERSE-FLOW จากรูปที่ 1-5 จะเห็นวา
COMPERSSOR DISCHARGE AIR จะพุงเขารอบ ๆ TRANSITION PIECE ( ทิศทางเขาของ INLET AIR
จะพุงสวนทางกัน 180° กับ HOT GASES ) ซึ่งจะทําหนาที่ในการ COOLING แลวอากาศจะไหลเขาสู
COMBUSTION LINER โดยผานทางรูรอบ ๆ COMBUSTION LINER สวนเชื้อเพลิงจะฉีดเขาไปผสมกับ
อากาศ บริเวณที่เรียกวา REACTION ZONE
ส
2.2.2 - 7
สวนประกอบของ COMBUSTION SYSTEM มีดังนี้
2.1 FUEL NOZZLES มีจํานวน 18 NOZZLES
2.2 SPARK PLUG มีจํานวน 2 ตัว
2.3 FLAME DETECTOR มีจํานวน 4 ตัว
2.4 CROSS FIRE TUBES มีจํานวน 18 ตัว
2.5 OUTER COMBUSTION CHAMBER AND FLOW SLREVE
2.6 FUEL NOZZLE END COVER
2.7 CAP AND COMBUSTION LINER
2.8 TRANSITION PLECE
โดยมีรายละเอียดตามรูปที่ 1-6
2.2.2 - 8
2.2.2 - 9
3. GAS TURBINE SECTION
. SPECIFICATION
GAS TURBINE
MODEL NO. MS – 9001FA +
SHAFT SPEED 3000 RPM.
CRITICAL SPEED 2059 / 2897 RPM.
OVER SPEED TRIP 3300 RPM.
TURBINE
NUMBER OF STAGE 3
MATERIAL
ROTOR AND CASING S1-S3GTD-111 DOVETAIL FIT
COATING MATERIALS S1-S3GT33 INT S3 Cr COATING
TURBINE WHEEL IN-706 (NICKEL-BASE ALLOY)
FIRST STAGE BUCKET GTU-111DS
SECOND STAGE BUCKET GTU-111DS
THIRD STAGE BUCKET GTU-111DS
FIRST STAGE NOZZLE FSX-414
SECOND STAGE NOZZLE GTD-222
THIRD STAGE NOZZLE GTD-222
2.2.2 - 10
2.2.2 - 11
3.1.2 WHEEL ASSEMBLIES เปนตัวที่ TURBINE BUCKET ยึดติดอยู มี WHEEL ทั้งหมด
3 ตัว ตามจํานวนของ TURBINE BUCKET
2.2.2 - 12
3.1.3 SPACER จะมีอยู 2 ตัว อยูระหวาง FIRST STAGE กับ SECOND และ SECOND กับ
THIRD-STAGE TURBINE WHEEL
3.1.4 TURBINE BUCKET มีทั้งหมด 3 STAGE
1. TURBINE BUCKET STAGE 1 เปน BUCKET แรกที่รับพลังงานความรอนจาก FIRST
STAGE NOZZL E ซึ่งมีอุณหภูมิสูงที่สุด เพื่อลดความเสียหายจากความรอน BUCKET STAGE 1 จะมีลม
มา COOL ตลอดความยาวของ BUCKET และผานออกมาดาน TRAILING EDGE และ BUCKET TIP
2. TURBINE BUCKET STAGE 2 มีอากาศจาก AIR PASSAGE เขามา COOL ดวยตามความ
ยาวของ BUCKET STAGE ลมจะออกทาง BUCKET TIP
3. TURBINE BUCKET STAGE 3 จะไมมีอากาศเขาไป COOL ใน BUCKET เนื่องจาก
STAGE นี้ อุณหภูมิจะต่ําสุด ทําใหการเกิดความเสียหายจากความรอนมีนอย
2.2.2 - 13
3. THIRD–STAGE NOZZLE จะรับ HOT GASES จาก SECOND-STAGE BUCKET และเกิด
PRESSURE DROP ในระหวาง NOZZLE และ BUCKETS ทําให HOT GASES มีความเร็วเพิ่มขึ้น เขา
ปะทะกับ THIRD-STAGE BUCKET อีกครั้ง NOZZLE ใน STAGE นี้ ใน 1 SEGMENT จะมี 3 VANE
2.2.2 - 14
3.2.3 DIAPHARGM จะเปนสวนที่อยูดานในของ NOZZLE SEGMENT ใน STAGE ที่ 2 และ 3
โดย เรียกวา NOZZLE DIAPHRAGM ทําหนาที่ปองกัน AIR LEAKAGE ผาน INNER SIDEWALL ของ
NOZZLE และ TURBINE ROTOR
LABYRINTH SEAL TEETH ดานในของ DIAPHRAGM จะทําการ MACHINE ใหมีความยาว
สูง และต่ําสลับกันไป ใหเหมาะสมกับรองของ TURBINE ROTOR SPACER เพื่อใหเกิดเปน SEALING
LAND บน TURBINE ROTOR ทําใหเพิ่มประสิทธิภาพการถายเทความรอน
การออกแบบและติดตั้งจะพยายามใหเกิด CLEARANCE ระหวาง STATIONARY PART กับ
MOVING PART นอยที่สุด ทําใหเกิดการ LEAK ของ HOT GASES นอยที่สุด สงผลให TURBINE มี
EFFICIENCY เพิ่มมากขึ้น
3.2.4 SHROUDS จะออกแบบใหมีลักษณะเปน ANNULAR CURVED SEGMENT หนาที่หลัก
ของ SHROUD จะเปนสวนที่ปองกันการ LEAK ของ HOT GASES ที่ปลายใบ และยังทําหนาที่ปองกัน
TURBINE CASING ไมใหมีอุณหภูมิสูงเกินกําหนด ซึ่งจะทําให TURBINE CASING ไมเสียรูป สงผลใหคา
CLEARANCE ระหวาง TURBINE BUCKET TIPS กับ SHROUD ไมเปลี่ยนแปลงไปมาก ดังรูปที่ 1-10
3.2.5 BEARING IN GAS TURBINE จะประกอบดวย TILTING PAD BEARING 2 แบบ คือ
JOURNAL BEARING และ THRUST BEARING
1. JOURNAL BEARING เปน BEARING ที่ใชรองรับน้ําหนักของเพลาทั้งหมด และแรงทั้ง
หมดที่เกิดขึ้นในแนวรัศมี จะติดตั้งอยูดานหนาของ IGV. เปน BEARING NO.1 และดานทายสุดของ
TURBINE BUCKET เปน BEARING NO.2
2. THRUST BEARING จะเปน BEARING ที่รับแรงรุน ที่เกิดในแนวแกนของเพลา ติดตั้ง
อยูดานหนาของ JOURNAL BEARING NO.1 ทั้ง THRUST BEARING และ JOURNAL BEARING ทั้ง
สองแบบนี้จะมีสาย THERMOCOUPLE เพื่อวัด METAL TEMPERHTURE ดวย
2.2.2 - 15
2.2.2 - 16
บทที่ 2
HEAT RECOVERY STEAM GENERATOR (HRSG)
HRSG. ทําหนาที่ดึงและถายเทพลังงานความรอน (HEAT ENERGY) ที่ยังเหลืออยูในไอเสีย
(EXHAUST GAS) ของ GAS TURBINE ใหนํากลับมาใชใหม โดยการถายเทความรอนใหกับน้ําเพื่อผลิตไอ
น้ํา นํามาขับกังหันไอน้ํา (STEAM TURBINE) และไปขับ GENERATOR ในการผลิตพลังงานไฟฟาตอไป
การถายเทพลังงานความรอนของ HRSG. เปนแบบการนําความรอน (CONVECTION) ในลักษณะ GAS
TO WATER โดยอาศัย HEAT EXCHANGER เปนตัวแลกเปลี่ยนความรอน ในโรงไฟฟาราชบุรี มี HEAT
EXCHANGER 3 SECTIION ดังนี้
1. ECONOMIZER SECTION ทําหนาที่ดึงและถายเทความรอนในรูปของ SENSIBLE HEAT
ใหกับน้ําอุนใหกลายเปนน้ํารอนที่มีอุณหภูมิต่ํากวาน้ําอิ่มตัว (SATURATED WATER)
2. EVAPORATOR SECTION ทําหนาที่ดึงและถายเทความรอนในรูปของ SENSIBLE HEAT
ในชวงแรกใหกับน้ํารอนกลายเปนน้ําอิ่มตัวและในรูปแบบของ LATENT HEAT ใหน้ําอิ่มตัวกลายเปนไอเปยก
(WET STEAM)
3. SUPERHEATER SECTION ทําหนาที่ดึงและถายเทความรอนในรูปแบบของ SENSIBLE
HEAT ใหกับไอเปยกหลายเปนไอคง (SUPERHEAT STEAM)
SPECIFICATION
1. OPERATION POINT
GAS TURINE OPERATING NUMBER 2
GAS TURBINE LOAD BASE LOAD
AMBIENT TEMPERATURE 27.8 °C
RELATING HUMIDITY 75%
GAS TURBINE FUEL NATURAL GAS
2. GAS TURBINE EXHAUST GAS AT HRSG INLET
FLUE GAS INLET FLOW 2,722.88 T/hr.
FLUE GAS INLET TEMPERATURE 617 °C
FLUE GAS INLET PRESSURE 0.0789 BARG.
FLUE GAS INLET ENTHALPY 692.4 KJ/Kg.
FLUE GAS INLET VELOCITY 11.5 M/S.
3. MAXIMUM TEMPERATURE DESIGN
- HP. SECTION 600 °C.
- REHEAT SECTION 590 °C.
2.2.2 - 17
- IP SECTION 370 °C.
- LP. SECTION 300 °C.
4. FLUE GAS TEMPERATURE CONDITION
- HP/IP/LP ECONOMIZER INLET 335/237/NA. °C.
- HP/IP/LP EVAPORATOR INLET 463/271/144 °C.
- HP/IP/LP SUPERHEATER INLET 617/340/273 °C.
- REHEAT 595 °C.
- CONDENSATE PREHEAT 143 °C.
- HP/IP/LP ECONOMIZER OUTLET 143/237/171 °C.
- HP/IP/LP EVAPORATOR OUTLET 340/237/171 °C.
- REHEAT 532 °C.
- CONDENSATE PREHEAT 100 °C.
5. CONDENSATE CONDITION
- CONDENSATE FLOW INLET 387,050 Kg/hr.
- CONDENSATE TEMPERATURE INLET 44.6 °.C
- CONDENSATE PRESSURE INLET 10 BARG.
- CONDENSATE TEMPERATURE OUTLET 109.1 °C.
- CONDENSATE PRESSURE OUTLET 6.9 BARG.
6. HRSG. PERFORMANCE
HP STEAM AT SUPERHEATER OUTLET
- FLOW 270.22 T/hr.
- PRESSURE 129.3 BARG.
- TEMPERATURE 567.9 °C.
REHEAT AT SUPERHEATER OUTLET
- FLOW 308.52 T/hr.
- PRESSURE 24.95 BARG.
- TEMPERATURE 505.3 °C.
REHEAT AT SUPERHEATER INLET
- FLOW 308.52 T/hr.
- PRESSURE 25.78 BARG.
- TEMPERATURE 325.4 °C.
2.2.2 - 18
IP STEAM AT SUPERHEATER OULET
- FLOW 44.98 T/hr.
- PRESSURE 26.62 BARG.
- TEMPERATURE 327.8 °C.
LP STEAM AT SUPERHEATER OUTLET
- FLOW 26.71 T/hr.
- PRESSURE 6.58 BARG.
- TEMPERATURE 264 °C.
EFFICIENCY AT AMBIENT TEMP. (27.9 °C.) 87.1 %
HP/IP/LP EVAPORATOR RATIO 5/15/40
HP/IP/LP PINCH POINT 7/9/7 °C.
HP/IP/LP APPROACH 5/5/3 °C.
7. STEAM AND WATER TEMPERATURE CONDITION
- TOTAL HEAT INPUT 1539X106 kJ/hr.
- HP/IP/LP EVAPORATOR INLET 333.3/228.2/164.2 °C.
- HP/IP/LP ECONOMIZER INLET 117.2/119.4/NA. °C.
- HP/IP/LP SUPERHEATER INLET 333.3/228.2/ 164.2 °C.
- HP/IP/LP ECONOMIZER OUTLET 328.3/223.2/NA °C.
- HP/IP/LP EVPORATOR OUTLET 333.3/228.2/164.2 °C.
- HP/IP/LP SUPERHEATER OUTLET 567.4/327.8/264 °C.
2.2.2 - 19
2.4 HRSG CASING ทําหนาที่หอหุม HEAT TRANSFER TUBE ทั้งหมดของ HRSG เพื่อให
EXHAUST GAS ถายเทความรอนใหกับน้ําและไอน้ําไดอยางมีประสิทธิภาพ
2.5 NON-MATALIC EXPANSION JOINT ทําหนาที่ตอ HRSG. CASING ระหวาง HIGH &
LOW TEMP. GAS ZONE เพื่อแกปญหาการขยายตัวที่ไมเทากันของ HRSG CASING
2.6 PANEL BLOCK SUPPORT ทําหนาที่เปนตัวรองรับ TUBE BUNDLE จํานวน TUBE
BUNDLE ในแตละ PANEL BLOCK จะขึ้นอยูกับการออกแบบใหเหมาะกับตําแหนงการรับความรอน
การติดตั้ง PANEL BLOCK จะอยูในแนว VERTICAL
2.7 HP. STEAM DRUM SUPPORT มีหนาที่รองรับ HP. STEAM DRUM การติดตั้ง HP.
STEAM DRUM จะตั้งและยึดไวบนกึ่งกลางของ CEILING BEAM และปลอยใหขยายตัวที่ปลายทั้งสองขาง
ของ DRUM
2.8 IP & LP STEAM DRUM SUPPORT มีหนาที่รองรับ IP & LP STEAM DRUM การติดตั้ง
STEAM DRUM ทั้งสองจะอาศัย THREE DOWNCOMER เปนตัวรองรับน้ําหนักบริเวณทายสุดทั้งสองขาง
และตรงกลาง การขยายตัวจะขยายตัวขึ้นไปขางบนและดานขางทั้งสองดานของ DRUM
2.9 BAFFER PLATE ทําหนาที่ควบคุมให EXHAUST GAS ไมใหไหลผานชองวางระหวาง
BLOCK และระหวาง BLOCK กับ HRSG CASING เพื่อให EXHAUST GAS ไหลผาน FIN TUBE
2.10 PREHEATER ทําหนาที่ PREHEAT น้ํา CONDENSATE WATER กอนเขา DEAERATOR
ติดตั้งอยูเปน PANEL BLOCK 8 PREHEATER มีทั้งหมด 3 BLOCK วางเรียงหนากระดานกันอยูดานหลัง
HP. PRI. & IP PRI./ LP ECO. แตละ BLOCK จะมี PREHEATER อยู 6 แถว
2.11 IP. PRI & LP. ECONOMIZER ทําหนาที่ผลิต HOT WATER โดยถายเทความรอนที่รับมา
จาก EXHAUST GAS ใหกับ IP & LP. FEEDWATER ที่มาจาก DEAERATOR เขาสู IP SEC. ECO. &
LP. DRUM เพื่อลดปริมาณ HEAT TRANSFER ที่ตองใชใน IP & LP EVAP . ติดตั้งอยูเปน PANEL
BLOCK 8 มี ทั้งหมด 1 BLOCK
2.12 LP. EVAPORATOR ทําหนาที่ผลิต LP. SAT. STEAM โดยการถายเทพลังงานความรอนที่รับ
มาจาก EXHAUST GAS ใหกับน้ําจาก LP. DRUM ที่ไหลลงมาตามทอ LP. DWCR. แบบ NATURAL
CIRCULATION และสง LP. SAT. STEAM เขาสู LP. DRUM เพื่อแยกน้ําออกจาก LP. SAT. STEAM
และ LP. EVAP. ติดตั้งอยูเปน PANEL BLOCK 7 มีทั้งหมด 3 BLOCK
2.13 LP. SUPERHEATER ทําหนาที่ผลิต LP. SH. STEAM โดยการถายเทพลังงานความรอนที่รับมา
จาก EXHAUST GAS ใหกับ LP. STA. STEAM ที่ไหลมาจาก LP. DRUM ติดตั้งอยูเปน PANEL
BLOCK 5 มีทั้งหมด 3 BLOCK อยูดานหลัง HP. TER. ECO.
2.14 IP. SECONDARY ECONOMIZER ทําหนาที่เพิ่มอุณหภูมิของ HOT WATER โดยการถาย
เทพลังงานความรอนที่รับมาจาก EXHAUST GAS ใหกับ HOT WATER ที่ออกมาจาก IP. PRI. ECO. กอน
2.2.2 - 20
เขา IP. DRUM เพื่อลดปริมาณของ HEAT TRANSFER ที่ใชใน IP. EVAP ติดตั้งอยูเปน PANEL
BLOCK 6 มีทั้งหมด 3 BLOCK อยูดานหนา HP. SEC. ECO.
2.15 IP. EVAPORATOR ทําหนาที่ผลิต IP. SAT. STEAM โดยถายเทพลังงานความรอนที่รับมาจาก
EXHAUST GAS ใหกับ WATER ของ IP. DRUM ที่ไหลลงมาตามทอ IP. DWCR. แบบ
NATURAL CIRCULATION และสง IP. SAT. STEAM กลับเขาสู IP. DRUM เพื่อแยก WATER ออกจาก
IP. SAT. STEAM ติดตั้งอยูเปน PANEL BLOCK 5 มีทั้งหมด 3 BLOCK อยูดานหนา LP.SH. ในแตละ
BLOCK มี IP. EVAP.9 แถว
2.16 IP. SUPERHEATER ทําหนาที่ผลิต IP. SH. STEAM โดยถายเทพลังงานความรอนที่รับมาจาก
EXHAUST GAS ใหกับ IP. STA. STEAM ที่ไหลมาจาก IP. DRUM ติดตั้งอยูเปน PANEL BLOCK 4 มี
ทั้งหมด 3 BLOCK อยูดานหนา HP. TER. ECO.
2.17 HP.PRI.ECONOMIZER ทําหนาที่ผลิต HOT WATER โดยถายเทพลังงานความรอนที่รับมาจาก
EXHAUST GAS ใหกับ HP. FEED WATER ที่มาจาก DERERATOR กอนเขา HP. SEC. ECO. ติดตั้งอยูเปน
PANEL BLOCK 8 มีทั้งหมด 2 BLOCK อยูดานหนา PREHEATER
2.18 HP. SECONDARY ECONOMIZER ทําหนาที่ผลิต HOT WATER โดยถายเทพลังงาน
ความรอน ที่รับมาจาก EXHAUST GAS ใหกับ HOT WATER ที่มาจาก HP. PRI. ECO กอนเขาสู HP.
TER. ECO. ติดตั้งอยูเปน PANEL BLOCK 6 มีทั้งหดม 3 BLOCK อยูดานหนา LP. EVAP. ในแตละ
BLOCK มี HP. SEC. ECO. 12 แถว
2.19 HP. TER. ECONOMIZER ทําหนาที่เพิ่มอุณหภูมิ HOT WATER โดยถายเทพลังงานความรอน
ที่รับมาจาก EXHAUST GAS ใหกับ HOT WATER ที่ออกมาจาก HP. SEC. ECO. กอนเขา HP. DRUM
ติดตั้งอยูที่ PANEL BLOCK 4 หนึ่งสวนและ PANEL BLOCK 5 หนึ่งสวนมีทั้งหมด 6 BLOCK โดยอยู
PANEL BLOCK 4 จํานวน 3 BLOCK
2.20 HP. EVAPORATOR ทําหนาที่ผลิต HP. SAT. STEAM โดยถายเทพลังงานความรอนที่รับมา
จาก EXHAUST GAS ใหกับ WATER จาก HP. DRUM ติดตั้งอยูเปน PANEL BLOCK 3 มีทั้งหมด 3
BLOCK
2.21 HP. PRIMARY SUPERHEATER ทําหนาที่ผลิต HP. SH. STEAM โดยถายเทพลังงาน
ความรอนที่รับมาจาก EXHAUST GAS ใหกับ HP. STA. STEAM ที่ไหลมาจาก HP. DRUM ติดตั้งอยู
แปน PANEL BLOCK 2 มีทั้งหมด 3 BLOCK อยูดานหลัง PRI. RH. ในแตละ BLOCK มี HP. PRI. SH. 6
แถว
2.22 HP. SECONDARY SUPERHEATER ทําหนาที่เพิ่ม TEMP. & ENTHAPLY ใหกับ HP.
SH. STEAM โดยถายเทพลังงานความรอนที่รับมาจาก EXHAUST GAS ใหกับ HP. SH. STEAM ที่ไหลมา
จาก HP. PRI. SH. ติดตั้งอยูเปน PANEL BLOCK 1 มีทั้งหมด 3 BLOCK อยูกอนหนา SEC. RH. ในแต
ละ BLOCK มี HP. SEC. SH. 3 แถว
2.2.2 - 21
2.23 PRIMARY REHEAT ทําหนาที่เพิ่ม TEMP & ENTRAPLY ใหกับ IP. SH. STEAM โดย
ถายเทพลังงานความรอนที่รับมาจาก EXHAUST GAS ใหกับ IP. SH. STEAM & COLD REHEAT STEAM ที่
ไหลมาจาก IP. SH. และ COLD REHEAT STEAM SYSTEM ติดตั้งอยูเปน PANEL BOLCK 2 มีทั้งหมด 3
BLOCK วางอยูดานหนา HP. PRI. SH. ในแตละ BLOCK มี PRI. RH. 3 แถว
2.24 SECONDARY REHEAT ทําหนาที่เพิ่ม TEMP. & ENTRAPLY ใหกับ IP. SH. STEAM
โดยถายเทพลังงานความรอนที่รับมาจาก EXHAUST GAS ใหกับ IP. SH. STEAM ที่ไหลมาจาก PSH. ติด
ตั้งอยูเปน PANEL BLOCK 1 มีทั้งหมด 3 BLOCK วางอยูดานหลัง HP. SEC. SH. แตละ BLOCK มี SEC.
RH. 3 แถว
2.25 HP., IP.& LP. DRUM ทําหนาที่รวบรวมและแยก SATURATED STEAM ออกจากสวน
ผสมของ STEAM / WATER ที่ผานมาจาก EVAPORATOR กอนสงเฉพาะ SATURATED STEAM ตอไปยัง
SUPERHEATER เพื่อเพิ่ม TEMP. ใหสูงขึ้นกลายเปน SUPERHEATED STEAM นอกจากนี้ DRUM ยังมี
หนาที่รองอีกดังนี้
- กระจาย WATER สู HRSG. ที่ ECONOMIZER
- กระจาย SATURATED STEAM สู HRSG. ที่ SUPERHEATER
- แยกและกําจัดสิ่งสกปรกออกจากน้ํา
- เพิ่มสารเคมีสูน้ํา
- ควบคุมและแสดงระดับน้ําใน HRSG.
2.2.2 - 22
2.2.2 - 23
บทที่ 3
STEAM TURBINE
STEAM TURBINE มีหนาที่เปลี่ยนพลังงานจลน (KINETIC ENERGY) ของไอน้ําเปนพลังงานกล
(ROTATING MECHANICAL ENERGY) โดยรับ STEAM จาก HRSG. ขณะที่ไอน้ําผาน TURBINE
ความดันจะลดลงโดยที่ปริมาตรเพิ่มขึ้น และความเร็วก็จะเพิ่มขึ้นดวย ไอน้ําที่มีความเร็วสูงก็จะใหพลังงาน
จลนมาก BLADE ของ TURBINE จะถูกออกแบบใหสามารถรับพลังงานจลน และเปลี่ยนเปนการเคลื่อนที่ ทํา
ให TURBINE นั้นหมุนไปได ลักษณะการออกแบบของ BLADE แบงออกเปน 2 แบบ คือแบบ IMPULSE
BLADE และ แบบ REACTION BLADE
SPECIFICATION
STEAM TURBINE
MANUFACTURE / COUNTRY GENERAL ELECTRIC COMPANY , U.S.A
TYPE AND CYLINDER ARRANGEMENT TC2F, OPPOSED FLOW HP/IP SECTION, 2 FLOW
DOWNWARD EXHAUSTING LP SECTION
EQUIPMENT DESIGN DATA
LENGTH OF LAST STAGE BLANDING 851 MM.
DIAMETER OF LAST STAGE WHEEL 1076 MM.
EXHAUST ANNULUS AREA / PER EACH 6736 MM.
LAST STAGE WHEEL 6736 MM.
STEAM LOADING ON LAST ROW OF BLADES 103,024 kg/m2
UNDER CONDITION
DITCH DIAMETER OF GOVERNOR 880 MM.
THROTTLE FLOW RATIO AT EACH ADMISSION 1.0
VELOCITY AT TIP OF LONGEST ROW OF BLADES 530.6 M/S
SHAFT SPEED 3000 RPM.
CONTROL SYSTEM MARK V
STAGE 24
LSB LANGTH 33 ’’
METAL STEAM TEMP. 1050 °F
MAIN STEAM PRESSURE 1802 PSIG.
EXHAUST PRESSURE 2.6 MMHGA
2.2.2 - 24
NUMBER AND TYPE OF HP TURBINE STAGES 12 IMPULSE
NUMBER AND TYPE OF IP TURBINE STAGES 7 IMPULSE
NUMBER AND TYPE OF LP TURBINE STAGES 2 X 5 IMPULSE
NUMBER OF GOVERNOR CONTROLLED INLET VALVE 2 TAPERED LAND
NUMBER OF MAIN BEARING AND TYPE 4 TURBINE ( 2 TILT PAD 2
ELLIPTICAL)
2 GENERATOR ( BOTH
ELLIPTICAL)
MAXIMUM ALLOWABLE VIBRATION FOR EACH BEARING, MICROMETER 177.8 (TRIP)
2.2.2 - 25
3.1.7 NOZZLE DIAPHRAGM เปนชิ้นสวนที่อยูกับที่ ของแตละ STAG ใน TURBINE ทําหนาที่
เปนตัวเรง STEAM เพื่อที่จะเปลี่ยนพลังงานกลที่ BUCKETS และเพื่อใหทิศทางของ STEAM ออกจาก
DIAPHRAGM เขาสู BUCKETS ในมุมที่เหมาะสม ดังรูปที่ 3-2
2.2.2 - 26
รูปที่ 3-2 NOZZLE DIAPHRAGM
2.2.2 - 27
3.2 STEAM TURBINE ROTATING PARTS ประกอบดวย
3.2.1 HP/IP TURBINE ROTOR จะมี HP. THRUST BEARING, HP. JOURNAL BEARING
NO.1 และ IP JOURNAL BEARING NO.2 รองรับ ROTOR หัวและทาย ดังรูปที่ 3-3
3.2.2 LP. TURBINE ROTOR จะมี LP. JOURNAL BEARING NO.3 และ NO.4 รองรับ ROTOR หัว
และทาย ดังรูปที่ 3-4
2.2.2 - 28
3.2.3 TURBINE BUCKET ในสวนของ HP. และ IP. TURBINE จะเปนวัสดุที่ทนความเคนที่
อุณหภูมิสูง การขยายตัวต่ําและทนความเคนเนื่องจากความรอนไดดี การออกแบบ BUCKET จะเปนแบบผสม
กันระหวาง IMPULSE TURBINE และ REACTION TURBINE ในสวนของ TURBINE BUCKET จะมี
อยู 3 BUCKET ดังรูปที่ 3-5
1. HP BUCKET มีจํานวน BUCKET ทั้งหมด 12 BUCKET
2. IP BUCKET มีจํานวน BUCKET ทั้งหมด 7 BUCKET
3. LP BUCKET มีจํานวน BUCKET ทั้งหมด 2*5 BUCKET
2.2.2 - 29
บทที่ 4
GENERATOR
GENERATOR ทําหนาที่เปลี่ยนจากพลังงานกล (ROTATING MECHANICAL ENERGY) เปน
พลังงานไฟฟา (ELECTRICAL ENERGY) หลักการทํางานของ GENERATOR เมื่อปอนไฟ DC เขาที่ขด
ลวด GENERATOR ROTOR กระแสไฟ DC ทําใหเกิดสนามแมเหล็ก (MAGNETIC FIELD) ที่ ROTOR
และเมื่อ ROTORหมุน สนามแมเหล็กจาก ROTOR จะไปตัดกับขดลวด STATIONARY COIL ทําใหเกิดการ
INDUCED AC. VOLTAGE และ CURRENT ขึ้นที่ STATIONARY COIL เปนการผลิตพลังงานไฟฟา
อยางตอเนื่อง
SPECIFICATION
GENERATOR
LEADING SPECIFICATION OF GENERATOR
Type Totally enclosed, self-ventilated, forced
Lubricated, hydrogen cooled, cylindrical rotor
Type, synchronous alternator.
Capacity 325,000kVA
Terminal voltage 18.0 kV 5%
Power factor 0.85 lagging
Hydrogen pressure 4.14 barg
Short circuit ratio Approx. 0.50
Cycles 50 Hz
No. of poles 2
No. of phases 3
Speed 3,000 rpm
Cooling method ; Stator winding : Indirectly Hydrogen Cooled
Rotor winding : Directly Hydrogen Cooled
Insulation Class Stator winding : F
Rotor winding : F
Unbalance load capability
Continuous (I2) 8%
Short time (I2 2t) 10 (tmax 120 Sec.)
2.2.2 - 30
Total temperature limit (according to ANSI C50.13 B rise class)
Stator winding ≤ 100 °C. (by RTD)
Rotor winding ≤ 110 °C. (by resistance)
Stator core ≤ 130 °C. (by thermocouple)
Collector ring ≤ 130 °C (by thermometer)
Hydrogen gas purity ≥ 98 %
Hydrogen gas consumption ≤ 15 m3 / day
2.2.2 - 31
รูปที่ 4 – 1 STATOR END PART
2.2.2 - 32
วิธีนี้จะชวยลด EDDY CURRENT LOSSES โดยใช การหุมดวย MICA TAPE หลายชั้นและชุบดวย
EPOXY RESIN อีกชั้นหนึ่ง จากนั้นก็หุมดวยการใช PRESSURE และ HEAT TREATMENT
4.4 GENERATOR TERMINAL PLATES ทําจากวัสดุที่เปน NON–MAGNETIC เพื่อชวยลดการ
สูญเสียอันเนื่องจาก EDDY CURRENTที่เกิดมาจากการไหลของกระแสใน ARMATURE ซึ่งประกอบไปดวย
RTD. TERMINAL BOX มีทั้งหมด 27 TERMINAL ( 1–27 ) โดย TERMINAL 1–12 ใชงาน สวน
TERMINAL 13, 14, 15, 26, 27 SPARE
RTD. THERMOCOUPLE TERMINAL BOX มีทั้งหมด 17 TERMINAL (28–45) 4.5 HIGH–
VOLTAGE BUSHING กระแส ARMATURE จะไหลผาน SEAL HIGH VOLTAGE BUSHING โดย
BUSHING จะประกอบดวยฉนวนที่ทําดวยกระเบื้องเคลือบหุมรอบตัวนําทองแดง (PORCELIAN
INSULATION) โดยที่ปลายตัวนําทองแดงทั้งสองขางจะมี PLATED TERMINAL ซึ่งทําดวยโลหะเงิน
4.6 GENERATOR COOLER ติดตั้งอยูที่มุมทั้ง 4 ดานของ FRAME ทอน้ําจะตออยูภายนอกที่ฐาน
ของ COOLER แตละดาน และจะตอง SEAL ระหวาง GENERATOR FRAME กับ COOLER TUBE
SHEET ทั้งดานบนลางของ COOLER เพื่อปองกันกาซไฮโดรเจนรั่ว
4.7 STATOR VENTILATION การระบายความรอนของ ARMATURE CORE นั้นจะใช ROTOR
FAN เปนตัวบังคับทิศทางการไหลของกาซไฮโดรเจนใหผาน จากขางในไปขางนอกและจากขางนอกเขามา
ขางใน ARMATURE CORE โดยชองวางระหวางแกนเหล็กและ OUTER WRAPPER PLATE จะถูกแบง
เปนหอง ๆ โดยจุดประสงคเพื่อปองกันการเกิด THERMAL STRESS และ OVERHEAT ในแกนเหล็กและ
ขดลวด
4.8 ROTOR จะถูกทําดวยแทงโลหะแทงเดียว โดยมี DOVETAIL SLOT เปนรองอยูรอบ ๆ ROTOR
และ ใน ROTOR จะมี FIELD WINDING ซึ่งวางอยูใน DOVETAIL SLOT มี WEDGE วางทับไวปองกัน
การเคลื่อนตัวของ FIELD WINDING อันเนื่องมาจากแรงเหวี่ยงหนีศูนยในขณะที่ ROTOR หมุนตัว ซึ่ง
WEDGE นั้นทํามาจากวัสดุที่เปน MAGNETIC และ NON–MAGNETIC เพื่อชวยทําใหเกิดการกระจายของ
เสนแรงแมเหล็ก
4.9 COLLECTOR RING AND CONNECTING PART WITH THE FIELD WINDING
COLLECTOR RING และ FIELD WINDING จะตอกันดวยแทงทองแดงที่หุมดวยฉนวนโดยผานทะลุเขาไป
ตรงกลางรูของแกนโรเตอร
2.2.2 - 33
รูปที่ 1-2 COMPRESSOR ROTOR ASSEMBLY
2.2.2 - 34
คําถาม COMBINED CYCLE POWER PLANT MAJOR EQUIPMENT
1. จงอธิบายหลักการทํางานของ AIR COMPRESSOR มาโดยสังเขป
2. สวนประกอบของ COMPRESSOR STATOR มีอะไรบาง ?
3. COMBUSTION ZONE หมายถึงอะไร และอยูสวนไหนของ GAS TURBINE
4. สวนไหนของ GAS TURBINE ที่รับความรอนสูงที่สุด และมีอุณหภูมิเทาไร ?
5. อายุการใชงานของ GAS TURBINE ขึ้นอยูกับอะไรบาง ?
6. สวนประกอบหลักของ GAS TURBINE มีอะไรบาง ?
7. HRSG ของโรงไฟฟาราชบุรีพลังความรอนรวม มีกี่ SECTION อะไรบาง ?
8. HRSG ของโรงไฟฟาราชบุรีพลังความรอนรวม ทําหนาที่อะไร ?
9. สวนประกอบหลักของ HRSG. มีอะไรบาง ?
10. HRSG ของโรงไฟฟาราชบุรีพลังความรอนรวม รับความรอนมาจากไหน และ อุณหภูมิสูงสุดที่
เทาไร ?
11. HRSG ของโรงไฟฟาราชบุรีพลังความรอนรวม เปนแบบไหน
12. STEAM TURBINE ในสวนของ HIGH PRESSURE ทํางานที่ความดัน และ อุณหภูมิ เทาไร ?
13. การบํารุงรักษา STEAM TURBINE ที่ดีควรทําอยางไร ?
14. STEAM TURBINE ของโรงไฟฟาราชบุรีพลังความรอนรวม มีการทํางานที่ความดันกี่ระดับ อะไร
บาง ?
15. สวนประกอบ STEAM TURBINE ROTATING PARTS มีอะไรบาง ?
16. การระบายความรอนใน GENERATOR ของโรงไฟฟาราชบุรีพลังความรอนรวมเปนแบบอะไร ?
17. การบํารุงรักษา GENERATOR ที่ดีควรทําอยางไรบาง ?
18. GENERATOR ของโรงไฟฟาราชบุรีพลังความรอนรวม เปนชนิดอะไร ?
19. จงอธิบายหลักการทํางานของ GENERATOR มาโดยสังเขป
20. การลด EDDY CURRENT ใน STATOR CORE มีวิธีการลดอยางไร ?
เอกสารอางอิง
1. GAS TURBINE MAINTENANCE AND SYSTEM DESCRIPTION GE. POWER SYSTEM
FOR RATCHABURI COMBINED CYCLE POWER PLANT
2. STEAM TURBINE MAINTENANCE AND SYSTEM DESCRIPTION GE. POWER SYSTEM
FOR RATCHABURI COMBINED CYCLE POWER PLANT
2.2.2 - 35
2.2.3 THE BASIC OF
OPERATION
2.2.3 - 1
การทํางานของโรงไฟฟา
(Plant Operation)
หนาที่ของโรงไฟฟา (The Function of the Power Plant)
โรงไฟฟาที่ทันสมัยในปจจุบันมีสวนประกอบยุงยากซับซอนอยางยิ่ง และการดําเนินงานในเรื่องนี้เปน
สิ่งที่ทุกคนตองการ โลกของเราถาปราศจากโรงไฟฟาก็จะขาดความคลองตัวอยางยิ่ง ไมวาจะเปนเรื่องของ
เศรษฐกิจความสะดวกสบายและอื่นๆ การผลิตและจําหนายพลังงานไฟฟาก็เปนขบวนการ ที่ยุงยากอันหนึ่งซึ่ง
จะตองใชเครื่องมือที่สลับซับซอน อยางไรก็ดีอุปกรณที่ใชเหลานี้ จะทําหนาที่ไดอยางถูกตองก็จําเปนตองใชผู
ปฏิบัติงานที่ไดรับการอบรมและฝกฝนมาเพื่อที่จะใชอุปกรณเหลานี้ไดอยางมีประสิทธิภาพ จุดประสงคเรื่อง
แรกคือ ใหผูอานมีความรูอยางกวางๆ วาจะผลิตและสงพลังงานไฟฟาไดอยางไร ซึ่งจะทําใหเราทราบวา ระบบ
ไฟฟาคืออะไร เราเปลี่ยนพลังงานกลเปนพลังงานไฟฟาไดอยางไร สวนตางๆและขบวนการคืออะไร และมีขั้น
ตอนที่จะตองปฏิบัติในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินอยางไร
ความมุงหมายของโรงไฟฟา คือการผลิตพลังงานไฟฟา โดยการใชแหลงพลังงานที่สามารถนํามาใชได
แหลงใดแหลงหนึ่งเชน
• Fossil Fuel Plants ใชถานหิน (Coal) น้ํามัน (Fuel Oil) หรือกาซธรรมชาติ (Natural Gas)
• Nuclear Plant ใชยูเรเนียม (Uranium)
• โรงไฟฟาพลังน้ํา (Hydroelectric Plant) ใชน้ําที่เก็บกักอยูเหนือเขื่อน
โรงไฟฟาใชพลังงานจากแหลงดังกลาวเพื่อเดินเครื่อง Electric Generator ซึ่งเปนเครื่องจักรที่เปลี่ยนพลัง
งานกลเปนพลังงานไฟฟา โดยทั่วไป Generator แตละตัวในโรงไฟฟาจะถูกเรียกเปน 1 Unit โรงไฟฟาโดยทั่ว
ไปอาจจะมี 1 Unit หรือมากกวานั้น เพื่อผลิตพลังงานไฟฟา
โรงไฟฟาไมมีหนาที่เพียงแตผลิตพลังงานไฟฟาเทานั้น แตเมื่อผลิตไดเราก็ตองสงพลังงานไฟฟาจํานวน
นั้นออกไป ซึ่งโดยทั่วไปจะกระทําดังนี้ Generator แตละตัวในโรงไฟฟาจะถูกตอเขากับ Transformer เพื่อเพิ่ม
Voltage ของพลังงานไฟฟา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสง หลังจาก Out put จาก Generator ทั้งหมดผาน
Transformer แลว พลังงานเหลานั้นจะถูกสงไปยัง Switchyard ใน Switchyard Generator ทุกตัวจะถูกตอเขา
ดวยกัน และผลผลิตที่รวมกัน จะถูกสงไปยังสายสงแรงสูง (High Voltage Transmission Line) เพื่อแจกจายไปยัง
พื้นที่ตางๆ ที่โรงไฟฟาจายไปให สายสงตอกับโรงไฟฟาดวย Substation และ Substation นี้ จะรวมพลังงานจาก
แหลงผลิตหลายๆ แหงเขาดวยกัน ใน Substation จะมี Transformer เปนตัวลด High Voltage ลงมา เพื่อให
สามารถใชงานไดในทองถิ่น (Locally) จาก Transformers พลังงานไฟฟาจะถูกแยกไปยังที่ตางๆ ผานสาย
จําหนายที่ซึ่งอาจแยกออกไปตามเสา หรืออาจฝงใตดิน เมื่อพลังงานถึงจุดหมายปลายทาง Transformer จะลด
Voltage ลงอีกครั้ง เพื่อใหสามารถใชไดกับเครื่องใชไฟฟาในโรงงานหรือบานเรือน ซึ่งจะมีมาตรวัดพลังงานไฟ
ฟาที่ใชแตละสถานที่ มาตรวัดนี้จะตอเขากับ Circuit หรือ Fuse Box จากนั้นก็จะแยกออกไปตามที่ตางๆ ทั่ว
อาคาร
2.2.3 - 2
ทั้งหมดนี้เปนคําอธิบายอยางงายที่สุด วากระแสไฟฟานั้นสงไดอยางไร โดยทั่วไปเราจะมีโรงไฟฟา
หลายๆ โรงในที่ตางๆ กัน ซึ่งจะตอรวมไวดวยกันเรียกวา Power System ขอดีอยางยิ่งในการรวมโรงไฟฟา
หลายๆ โรงเขาดวยกัน คือการมีแหลงผลิตที่ใหญ ซึ่งจะเปนแหลงผลิตพลังงานไฟฟาที่เชื่อถือได
ในหลายๆ โรงไฟฟาที่ผลิตพลังงานไฟฟาแลวจะตอเชื่อมโยงเขาดวยกัน โดยใช Tie – Lines การตอเขา
ดวยกันแบบนี้แตละโรงไฟฟาจะสามารถรับพลังงานจากระบบมาใชไดในกรณีที่จําเปน สิ่งนี้เปนสิ่งสําคัญใน
การผลิตพลังงานไฟฟา เพราะวาไฟฟากระแสสลับ (Alternating Current) ที่เราใชกันอยูตามบานเรือนหรือใน
ธุรกิจตางๆ ไมสามารถที่สะสมไวใน Batteries เพื่อใชในอนาคตได และพลังงานไฟฟานั้นจะตองมีใหใชทันที
เมื่อมีความตองการ โรงงานผูผลิตกระแสไฟฟาตองมีความสามารถในการที่จะสงพลังงานไฟฟาไปยังผูใช เมื่อมี
ความตองการทุกครั้ง ซึ่งความตองการของระบบไฟฟาโดยแทจริง จะถูกกําหนดดวยความตองการของลูกคา
การสนองความตองการยุงยากมากเพราะวาหลอดไฟฟา, เครื่องใชไฟฟาและเครื่องจักรตางๆ จะถูกเปดและปด
อยูตลอดเวลา ดังนั้นความตองการใชไฟฟา จะอยูคงที่เพียงแคในชวงเวลาสั้นๆ ในเวลา 24 ชั่วโมง พลังงานไฟ
ฟาจะเปลี่ยนแปลงปริมาณอยางมาก โดยทั่วไปพลังงานไฟฟาจะต่ําสุดในเวลากลางคืน เมื่อธุรกิจตางๆ หยุด
ดําเนินการและคนสวนมากนอนหลับ ความตองการจะเริ่มขึ้นอีกในตอนเชา เมื่อผูคนตื่นขึ้นและธุรกิจตางๆ เปด
ดําเนินการ ความตองการสูงสุดในแตละวัน (Peak Demand) ตามปกติจะเกิดขึ้นในชวงเวลาตอนเย็น เมื่อผูคน
กลับบานและเปดไฟแสงสวางและเครื่องใชตางๆ
การสงพลังงานไฟฟาที่มีประสิทธิภาพก็คือการรักษาปริมาณของพลังงานไฟฟาที่สงออกไปใหเทากับ
ปริมาณความตองการ (Maintaining Supply Equal to Demand) การรักษา Demand และ Supply ใหเทากัน เปน
งานของศูนยควบคุมไฟฟา (Load Dispatcher) ศูนยควบคุมไฟฟานี้จะทํานายความตองการพลังงานไฟฟา, สอด
สองดูแลสภาพของระบบไฟฟา (Power System) และประสานผลผลิตของ Power Plant ตางๆ เพื่อให Supply
เทากับ Demand อยูเสมอ งานของ Dispatcher เปนงานที่ยุงยากงานหนึ่ง เพราะวา Dispatcher ตองมั่นใจวา พลัง
งานที่กําลังผลิตออกไปนั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุดเทาที่เปนไปได ซึ่งหมายความวาการเดินเครื่องโรงจักรจะ
ตองมีประสิทธิภาพมากที่สุดหรือสามารถรักษา Load ใหเหมาะสม โดยที่ตองพยายามรักษาโรงจักรที่มีประสิทธิ
ภาพต่ําเอาไว เพื่อเพิ่ม Load เมื่อความตองการมีมากขึ้น และ Dispatcher จะตองประสานงานเกี่ยวกับการลด
Load เมื่อความตองการนอยลง
ความเชื่อถือในระบบไฟฟามีความสําคัญพอๆ กับประสิทธิภาพในการจายพลังงานไฟฟา เพื่อที่จะให
การผลิตเทากับการจาย (Supply Equal to Demand) Dispatcher และผูผลิตจะตองทํางานอยางถูกตอง
แหลงผลิตพลังงานไฟฟาก็เหมือนกับเครื่องจักรทั่วๆ ไปคือ บางครั้งอาจจะเสียหายหรือตองการการ
ซอมแซม ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณเหลานี้ Dispatcher ตองตัดสินใจวาจะทําอยางไรใหดีที่สุด เพื่อใหผูใชไฟฟาใช
ตามที่ตองการ โดยปกติแลว Dispatcher มีทางเลือก 3 ทางคือ
1. เพิ่ม Out put ของ Unit อื่นในระบบ
2. ซื้อพลังงานไฟฟาจากบริษัทหรือประเทศใกลเคียง
3. ตัดพลังงานไฟฟาที่จะสงไปยังผูใชไฟฟาบางสวนออก เพื่อปองกันการ Overload
2.2.3 - 3
Emergency Condition
ในตอนนี้เราจะไดเรียนรูการปฏิบัติโดยทั่วไป 3 อยางที่จะตองกระทําเมื่อมีเหตุการณฉุกเฉินเกิดขึ้นใน
โรงจักร ซึ่งเราจะทราบวาตองปฏิบัติอยางไรเมื่อมีเหตุการณ เชน กรณีของ Loss of Flame ใน Combustion
หนาที่หลักของการเดินเครื่อง คือการปรับแตง System ตางๆ ใหสอดคลองกัน การตรวจสอบตามระยะ
เวลา (Periodic) ซึ่งทําไดดวยเครื่องมือและ System ในโรงจักร การอานคาตางๆ ก็จะไดจาก Indicator และ
Recorders อยางไรก็ดีบางครั้งอาจเกิดเหตุการณที่คาดไมถึง ซึ่งถาเราปลอยใหเหตุการณเหลานี้เกิดขึ้นก็อาจเปน
อันตรายกับโรงจักรหรือบุคคลที่ปฏิบัติงาน ดังนั้นการปฏิบัติอยางทันทวงที ก็จะเปนการปองกันไมใหมีเหตุดัง
กลาวเกิดขึ้น
โรงจักรหลายๆ โรงไดมีการพัฒนาและเขียนขอที่จะตองปฏิบัติตางๆ โดยเปนไปตามขั้นตอนแตละขั้น
เปนความจําเปนอยางยิ่งที่จะตองทราบและเขาใจขั้นตอนตางๆ เหลานี้ เพื่อวาจะไดปฏิบัติไดถูกตอง ถามีเหตุฉุก
เฉินเกิดขึ้น เนื่องจากโรงจักรประกอบไปดวยระบบที่ซับซอนหลายอยาง ดังนั้นจึงตองกําหนดขั้นตอนที่จะตอง
ปฏิบัติโดยเฉพาะสําหรับทุกๆ สถานการณ เพื่อจะใหรูถึงการปฏิบัติตอโรงจักร สิ่งจําเปนตองรูคือ System และ
Equipment ในโรงจักรหากมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นจะไดปฏิบัติตอเหตุการณเหลานั้นไดทันที
General Emergency Action
การปฏิบัติโดยทั่วไป 3 ขอ ที่จะตองกระทําระหวางเกิดเหตุการณใดๆ คือ
1. ตองทราบวาอะไรจะเกิดขึ้น
2. ตองทําใหโรงจักรอยูในสภาพที่ปลอดภัย
3. ตองติดตามผลและปฏิบัติการที่จําเปนตางๆ เพื่อใหโรงจักรกลับสูสภาพปกติ
สภาพสําคัญตางๆ หลายอยางจะถูกตรวจตราดวยระบบ Instrument ฉะนั้นในขั้นแรกเราตองทราบสิ่ง
ผิดปกติที่เกิดขึ้นบอยๆ จาก Enunciator, Alarm ระบบ Alarm จะเปรียบเทียบคาที่แทจริงใน Plant System
(Level, Pressure, Temperature ฯลฯ) กับคาที่คาดหวัง (Set point) ถาเกิดการแตกตางของคาจริงกับคาที่คาดหวัง
ไว Alarm Ring ก็จะดังขึ้น และที่ Enunciator Windows หลอดไฟจะติดขึ้นใน Control Room แต Alarm ที่ดังขึ้น
ทุกครั้ง ไมไดบงถึงเหตุการณฉุกเฉินในโรงจักรแตสวนมากมักเปนเชนนั้น ในฐานะที่เปน Operator เราตอง
สามารถแยกแยะความแตกตางของมันได
เราทราบเพียงวามีสิ่งผิดปกติกําลังเกิดขึ้นในโรงจักรนั้น ยังไมเปนการเพียงพอ เมื่อ Alarm ดังขึ้น เรา
ตองรูวาจะตองตรวจสอบ Indicator ตางๆ เพื่อใหทราบถึงระบบที่เกี่ยวของ ไมวาจะเปน Support System ใดๆ
จนกระทั่งเมื่อเราทราบวา กําลังเกิดอะไรขึ้น ขั้นตอไปคือเราตองทําใหโรงจักรอยูในสภาพที่ปลอดภัย การ
ปฏิบัติใดๆ ตองเปนไปดวยความรวดเร็วทันตอเหตุการณ เพื่อปองกันการสูญเสียอุปกรณและผูปฏิบัติงาน
การปฏิบัติขั้นตอไปคือการนํา (เดินเครื่อง) โรงจักรคืนสูสภาพปกติ โดยการปฏิบัติที่จําเปนดวยการ
พิจารณาหาสาเหตุที่เกิดขึ้นอยางรอบคอบและมีการติดตามผล เพื่อใหแนใจวาสภาพของโรงจักรนั้นกลับสู
สภาวะปกติ และดูวาสาเหตุที่ผิดปกตินั้น สามารถแกไขไดเรียบรอยแลว
2.2.3 - 4
ตัวอยาง:- Emergency Action – Loss of Flame in Boiler
ขึ้นตอน 3 ขั้นตอนในการปฏิบัติที่เปนตัวอยางตอไปนี้ เปนการแสดงใหเห็นถึงการปฏิบัติโดยทั่วไป ตอ
เหตุการณฉุกเฉินที่เกิดขึ้นที่ Boiler สวนมากจะติดตั้งอุปกรณ Electronic ที่เรียกวา Flame Scanners ซึ่งจะคอย
ตรวจจับเปลวไฟใน Boiler และจะมีเสียงดัง Alarm ขึ้น เมื่อเปลวไฟหาย ถาเปลวไฟของ Boiler ดับไป ความดัน
ของไอน้ําจะลดลง เนื่องจากความรอนที่ใหกับ Boiler ลดลง เมื่อเปลวไฟใน Boiler หายไป Flame Scanner
Alarm จะดังขึ้น และ Pressure ของ Steam จะลดลงเรื่อยๆ ซึ่งจะชวยให Operator สามารถวิเคราะหไดวาอะไร
กําลังเกิดขึ้น ขึ้นตอไปในการปฏิบัติคือ การทําโรงจักรใหอยูในสภาพที่ปลอดภัย
อันตรายที่แทจริงเนื่องจาก Loss of Flame ใน Boiler คือ เชื้อเพลิงที่ยังไมถูกเผาไหม (Unburned Fuel)
จะเริ่มสะสมทั่วไปใน Boiler และปลอง (Stack) เนื่องจากเชื้อเพลิงและ Combustion Air จะยังคงถูกปอนเขาไป
ใน Furnace ถาปฏิบัติผิดวิธีโดยการจุด Burner ใหมอีกครั้ง เมื่อนั้น Boiler ก็จะระเบิด(Explode) ฉะนั้นการนํา
โรงจักรใหอยูในสภาพที่ปลอดภัย กอนอื่นเราตองหยุด Flow ของเชื้อเพลิงที่จะเขาไปใน Boiler และกําจัด
Unburned Fuel ใหหมดไป ขบวนการนี้เรียกวา Purging the Boiler การ Purge Boilerนี้ทําไดโดยใช Combustion
Air Flow ผาน Furnace เพื่อไล Fuel ออกไปทางปลอง
หลังจาก Boiler ได Purge ไปเรียบรอยแลว โรงจักรก็จะอยูในสภาพปกติ พรอมที่จะจุด Burners และ
เพิ่ม Pressure ของ Steam ใน Boiler ใหมไดอีก ถามีเหตุผลบางอยาง ซึ่ง Burners ไมสามารถจะจุดใหมได โรง
จักรก็จะตอง Shutdown
2.2.3 - 5
การเปลี่ยนรูปพลังงาน (Energy Conversion)
การเปลี่ยนรูปของพลังงานในโรงไฟฟาทั่วไป
พลังงานเคมี
พลังงานความ พลังงาน พลังงานไฟฟา
-Gas/Oil/Coal/Uranium
รอน กล
หลักการของเครื่องกังหันกาซ
เครื่องจักรพลังความรอน (Heat Engine) หมายถึงเครื่องจักรที่นําเอาพลังงานความรอนมาแปรรูปเปนพลัง
งานกล หรือพลังงานไฟฟาเพื่อใชงาน แบงตามชนิดของพลังงานไดดังนี้
Combustion Engine โดยใชเชื้อเพลิงที่เกิดจากธรรมชาติ (Fossil, Fuel)
Nuclear Reactor โดยใชความรอนที่เกิดจากปฏิกิริยาปรมาณู
Solar Energy โดยใชความรอนจากแสงอาทิตย
Geothermal Energy โดยใชความรอนใตพื้นพิภพ
ในสวนของ Combustion Engine ยังแบงออกเปน 2 ประเภทดังนี้
1. External Combustion Engine พลังงานความรอนที่เกิดจากการเผาไหมของเชื้อเพลิงจะถายเทใหกับ
ตัวกลางและนําเอาตัวกลางนี้ไปใชงาน ซึ่งเรียกสารตัวกลางนี้วา Working Fluid เชนใหความรอนกับ
น้ําใน Boiler จนกลายเปนไอน้ําใชขับ Steam Turbine
2. Internal Combustion Engine พลังความรอนที่เกิดจากการเผาไหมระหวางอากาศกับเชื้อเพลิง จะถูก
นําไปใชงานโดยตรงไมตองผานตัวกลาง กาซที่เกิดจากการเผาไหมทําหนาที่เปน Working Fluid โดย
ตรง เชน เครื่องยนต 2 หรือ 4 จังหวะ สําหรับแก็สเทอรไบน การทํางานจะตางจากเครื่องยนตที่กลาว
มา คือการถายเทพลังงานจะเปนไปอยางตอเนื่องไมมีจังหวะดูด, อัด,ระเบิด,คาย ทั้งนี้เนื่องจากสวน
ประกอบของเครื่องแตกตางกัน ชิ้นสวนหลักของ Gas Turbine ประกอบดวย
-Compressor ทําหนาที่ดูดและอัดอากาศเพื่อการเผาไหม
-Combustion Chamber (หองเผาไหม) ทําหนาที่เปนสวนที่เกิดการเผาไหมระหวางอากาศที่ถูก
อัดและเชื้อเพลิง ทําใหกาซรอนที่เกิดจากการเผาไหมเพิ่มพลังงานในการขยายตัว
2.2.3 - 6
-Turbine ทําหนาที่เปลี่ยนพลังงานที่ไดจากการเผาไหมเปนพลังงานกล โดยอาศัยหลักการ
ขยายตัวของกาซรอนผาน Turbine Blade ดวยการทํางานแบบ Impulse Turbine
วงจรการทํางานของ Gas Turbine มีชื่อเรียกวา Brayton Cycle หรือบางทีเรียกวา Constant Pressure
Cycle คือการเผาไหมและกาซรอนที่ถายเทพลังงานใหแก Turbine ออกสูบรรยากาศ เกิดขึ้นในสภาพความดัน
คงที่ ขบวนการถายทอดพลังงานภายในวงจรจะตอเนื่องกันทุกจุดของอุปกรณ ไมมีการสะสมพลังงานภายในวง
จร (Steady Flow Cycle)
2.2.3 - 7
การใชงานของเครื่องกังหันแกส (Application of Gas Turbine)
ประเภทเครื่องกังหันแกส
เครื่องแกสเทอรไบนไดมีการพัฒนาในวงการบิน (Aircraft Engine) มาตั้งแตป 1940 และไดถูกนํามาใช
งานในอุตสาหกรรมผลิตกระแสไฟฟาและอื่นๆ ในป 1960 ซึ่งมีขนาดตั้งแต 1 MW จนถึงเกินกวา 200 MW การ
แบงประเภทของเครื่อง แกสเทอรไบน ตามลักษณะการใชงานมีดังนี้
Mechanical Drive
Regenerative
Cycle
2.2.3 - 8
แบบ Single Shaft นิยมใชในการผลิตกระแสไฟฟาในลักษณะ
Peak Load Operation เดินเครื่องเฉพาะชวงความตองการไฟฟาสูงสุด (Peak Load Demand) หลังจาก
ผานชวงนี้ไปแลวตัวแกสเทอรไบนจะหยุดเครื่อง เพราะฉะนั้นจํานวนครั้งการ Start Up และ Shutdown จะมีคา
สูง ซึ่งมีผลกระทบกับอายุการใชงานของเครื่อง Gas Turbine
Standby (Emergency) Operation เดินเครื่องเพื่อจายไฟสํารองในกรณีฉุกเฉินใหกับโรงไฟฟาพลัง
ความรอนขนาดใหญเพื่อใชพลังงานไฟฟาในการ Start up อุปกรณยอย เมื่อเกิดไฟฟาในระบบการผลิตดับทั้ง
หมด (Black Out) การเดินเครื่อง Gas Turbine ในสภาวะนี้เรียกวา Black Start Operation เชน โรงไฟฟาขนาด
600-1000 MW จะใช Gas Turbine ขนาด 20 MW เปนตัว Standby Gas Turbine ที่ใชงานในลักษณะนี้จะตองมี
ความสามารถในการ Start ตัวเองไดโดยเลือกเครื่องดีเซลเปนตัวขับ (Starting Mean) Gas Turbine ตอนเริ่มเดิน
เครื่อง สวนเครื่องดีเซลสามารถใชแบตเตอรี่ เปนตัว Start เครื่องครั้งแรกในกรณีที่เลือกElectric Motor เปนตัว
ขับ Gas Turbineในตอนเริ่มเดินเครื่องจะไมสามารถเดินเครื่องในลักษณะนี้ได เพราะจําเปนตองใชกระแสไฟฟา
จากระบบการผลิต แตถาออกแบบมาใชงานในลักษณะ Standby จําเปนตองมีเครื่อง Emergency Diesel
Generator มาใชจายไฟใหกับ Electric Motor เพื่อ Start up Gas Turbine เปนเบื้องตนกอนที่จะจายไฟฟาใหกับ
การ Start up โรงไฟฟาพลังความรอนขนาดใหญ
Single Shaft Gas Turbine (Simple Cycle)
Compressor จะอยูบนแกนเดียวกับ Turbine ซึ่งตัว Turbine จะขับตัว Compressor พรอมๆ กับขับ AC
Generator เพื่อผลิตกระแสไฟฟา เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการผลิตกระแสไฟฟา (Load) ตัว Compressor ซึ่งหมุน
ดวยความเร็วรอบคงที่พรอมๆ กับ AC Generator เพื่อรักษาความถี่ทางไฟฟา (Frequency) ใหคงที่นั้น ยังคง
ตองการพลังงานเทาเดิมประมาณ 60% ที่ตัว Turbine ผลิตได เพราะ ฉะนั้นเมื่อการผลิตกระแสไฟฟาลดลงจะทํา
ใหประสิทธิภาพลดลงตามไปดวย ทั้งนี้เปนผลให Exhaust Gas Temp ลดลงตามไปดวย.
Out put ที่ผลิตไดจากเครื่อง Gas Turbine แบบนี้ สามารถควบคุมโดยการปรับปริมาณเชื้อเพลิงที่เขา
Combustor ในขณะที่ปริมาณอากาศจาก Compressor ยังคงที่อยู การควบคุมวิธีนี้อุณหภูมิของ Exhaust Gas จะ
แปรตาม Output ดวย เพื่อชวยใหประสิทธิภาพของเครื่องไมเปลี่ยนแปลงมากนัก อาศัยการปรับปริมาณอากาศ
โดยใช Inlet Guide Vane ติดตั้งในตัว Compressor กอนหนาของ Stage แรก ปริมาณอากาศจะแปรตามมุมการ
ปรับ Inlet Guide Vane ทั้งนี้อัตราสวนของเชื้อเพลิงและอากาศจะไมจางเกินไปทําใหคา Exhaust Gas Temp ไม
ลดลงมากนักเมื่อเทียบกับ Output วิธีการนี้ชวยใหประสิทธิภาพที่ Load ต่ําดีขึ้น (Partial Load Efficiency) และ
2.2.3 - 9
ยังเหมาะสมกับการนํา Exhaust Gas ไปใชงานใน Waste Heat Boiler ซึ่งทําให Steam Temp ไมลดลงมากนัก
เมื่อ Gas Turbine Output ลดลง
2.2.3 - 10
สวนตัว HP Turbine จะมีการควบคุมรอบเพื่อใหตัว Compressor อัดอากาศใหมีปริมาณเหมาะสมกับความ
ตองการของ Power Turbine ซึ่งความเร็วรอบของ HP Turbine จะเปลี่ยนแปลงอยูระหวาง 5000-6000 RPM
Compressor และ HP Turbine อยูบน Shaft เดียวกัน เมื่อรวมกับ Combustor มีชื่อเรียกตามหนาที่วา Gas
Generator ทําหนาที่จาย Hot Gas ไปขับตัว LP Turbine ในการผลิต Gas Turbine แบบนี้บางบริษัท เชน GE จะ
รวมตัว Gas Generator และ Power Turbine ใหอยูในแนวเดียวกัน โดยตอ Casing เขาดวยกัน ลักษณะการออก
แบบอุปกรณใกลเคียงกับแบบ Single Shaft แตบางบริษัท ไดนําเอา Air Craft Engine มาทําเปนตัว Gas
Generator เพื่อใชขับ Power Turbine บางครั้งอาจใช Gas Generator มากกวา 1 ตัว เชน 4 ตัว ใชงานรวมกันเพื่อ
ขับ Power Turbine ชุดเดียวกัน เชน Gas Turbine รุน AVON, OLYMPUS ของบริษัท ROLLS-ROYCE
LIMITED สวนเครื่องของบริษัท General Electric จะมีรุน MS 5002, MS 7002 เปนตน
เมื่อนําเอา Two Shaft Gas Turbine มาใชขับ AC Generator Speeds ของ Power Turbine ตองควบคุมให
คงที่เพื่อรักษาความถี่ของระบบไฟฟา สวนตัว Gas Generator สามารถลดรอบลงไดเมื่อ Output ของ Power
Turbine ลดลง ทําให Power ที่ใชขับ Compressor นอยลงเมื่อเทียบกับแบบ Single Shaft ผลที่ไดคือ ประสิทธิ
ภาพที่ Load ต่ําสูงกวาแบบ Single Shaft ในกรณีนําไปใชงานขับ Centrifugal Compressor, Pump ก็สามารถ
ปรับ Speeds ของ Power Turbine ใหเหมาะสมกับ Flow Rate ที่ไดจาก Centrifugal Compressor, Pump ไดงาย
โดยการปรับ Inlet Vane (nozzle) ที่อยูระหวาง HP Turbine และ Power Turbine แตตัว Gas Generator ยัง
สามารถหมุนที่รอบสูงอยูไดเพื่อรักษา Mass Flow ใหพอเหมาะกับ HP Turbine Output ที่รอบตางๆ กันตาม
ความตองการของอุปกรณที่ถูกขับ แตถาเปนแบบ Single Shaft นํามาใชงานนี้ ถาพยายามรักษา Turbine Inlet
Temp ใหคงที่และลดรอบเครื่องลง 10%, Output จะลดลง 25%หรือรอบลดลง 25% Output จะลดลงถึง 60%
2.2.3 - 11
Regenerative Cycle
Regenerative Cycle เปนวิธีการหนึ่งที่ชวยเพิ่มประสิทธิภาพเชิงความรอนใหกับตัว Gas Turbine นอก
เหนือไปจากการเพิ่ม Turbine Inlet Temperature ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับอายุการใชงานของ Hot Gas Part
(ไดแก Combustor ,Turbine Blade) วิธีการทํา Regenerative Cycle สามารถใชงานกับ Single Shaft และ Two
Shaft Gas Turbine หลักการ โดยเพิ่ม Heat Exchanger เขาไปใน Cycle เพื่อดึงความรอนบางสวนประมาณ
75% จาก Exhaust Gas มาเพิ่มอุณหภูมิของอากาศที่ออกจาก Compressor กอนที่จะไปใชงานใน Combustor ตัว
อยางเชน สามารถลดอุณหภูมิของ Exhaust Gas จาก 450 oC คงเหลือ 260 oC และทําใหอุณหภูมิของอากาศที่
ออกจาก Compressor เพิ่มจาก 230 oC ไปเปน 400 oC คาประสิทธิภาพเชิงความรอนจะเพิ่มจาก 20% ไปเปน
25% จากตัวเลขดังกลาว วิธีการ Regenerative Cycle นาจะนิยมใชมากในอุตสาหกรรมผลิตกระแสไฟฟา แต
ความจริงแลวเปาหมายการใช Gas Turbine ตองการเดินเครื่องเพื่อ Peak Load, Standby ในชวงระยะเวลาสั้นๆ
ดวยลักษณะเครื่องแบบงายๆ และการลงทุนต่ํา จึงไมมีระบบ Regenerative เขาใชงาน ตัว Heat Exchanger (เรียก
วา Regenerator) จะมีราคาสูงและขนาดใหญเพื่อลด Pressure Loser ทางดานอากาศและ Exhaust Gas ใหมีคา
ต่ําที่สุด
Inter Cooling and Reheating Cycle
นอกจากการเพิ่มประสิทธิภาพของ Gas Turbine ดวย Regenerator แลว ยังมีอีกวิธีการหนึ่งที่เพิ่มประ
สิทธิภาพของเครื่อง โดยลดอุณหภูมิอากาศระหวางการอัดดวย Compressor จาก LP Compressor ไปยัง HP
Compressor เพื่อลด Power ที่ใชขับ HP Compressor ในการเพิ่มความดันใหสูงขึ้น วิธีนี้เรียกวา Inter Cooling
จากนั้นอากาศที่ผาน HP Compressor จะถูกเพิ่มอุณหภูมิดวย Regenerator กอนเขา Combustion Chamber Hot
Gas สวนนี้ผาน HP Turbine เพื่อตองการ Output มาขับ HP Compressor เทานั้น Exhaust Gas ที่ผาน HP
Compressor จะถูกเพิ่มพลังงานอีกครั้งหนึ่งในตัว Combustion Chamber ดวยการพนเชื้อเพลิงเพิ่มเติมซึ่งเรียกวา
Reheating Hot Gas ที่ผานการ Reheating จะผาน LP Turbine เพื่อได Output ไปขับ AC Generator นอกจากนี้
Exhaust Gas ที่ออกจาก LP Turbine ยังไปผานตัว Regenerator อีกครั้งหนึ่งกอนที่จะออกสูบรรยากาศ ดวยวิธี
การดังกลาวตัว Gas Turbine จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เชน Gas Turbine ของ GE. ขนาด 26 MW จะไดคาประ
สิทธิภาพ 29.1% ดวยระบบ Regenerative, Inter Cooler และ Reheat Cycle
2.2.3 - 12
2.2.3 - 13
สรุปหลักการเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่อง Gas Turbine
เพิ่มคา Turbine Inlet Temperature
ใช Regenerative Cycle
ใช Inter Cooling และ Reheating Cycle รวมกับ Regenerative Cycle
2.2.3 - 14
Boiler ที่ใชงานในโรงไฟฟาพลังความรอนรวมจะมี 2 ลักษณะคือ
ประเภทแรกใชความรอนจาก Exhaust Gas ของเครื่อง Gas Turbine ทั้งหมดในการผลิตไอน้ํา ซึ่งเรียก
Boiler ลักษณะนี้วา Unfired Waste Heat Boiler
ประเภทที่สองจะมี Auxiliary Burners หรือเรียกวา Duct Burners ติดตั้งอยูใน Exhaust Duct ที่เชื่อมตอ
อยูระหวาง Gas Turbine กับ Boiler เพื่อเพิ่มปริมาณความรอนใหแก Boiler มีความสามารถผลิตไอน้ําไดมากขึ้น
ตัว Duct Burner สามารถจุดเชื้อเพลิงติดโดยอาศัยปริมาณ Oxygen สวนที่เหลือใชใน Exhaust Gas ของ Gas
Turbine ซึ่งมีคา Oxygen อยูประมาณ 15-17% Boiler ลักษณะนี้รียกวา Supplementary Fire Waste Heat Boiler
(Oxygen ในบรรยากาศมีอยู 21%โดยปริมาตร)
2.2.3 - 15
Gas Turbine ที่ใชงานในโรงไฟฟาพลังความรอนรวมยังสามารถแยกเดินเครื่องอิสระจากวงจรพลัง
ความรอนรวม โดยปลอย Exhaust Gas ออกสูบรรยากาศผานทาง Bypass Stack ไมใหเขา Waste Heat Boiler ได
ในกรณีที่มีการตรวจซอม Waste Heat Boiler หรือ Steam Turbine โดยที่ยังสามารถเดินเครื่อง Gas Turbine
เพียงอยางเดียวเพื่อจายกระแสไฟฟา จึงเปนขอดีอีกขอหนึ่งของโรงไฟฟาพลังความรอนรวม รวมทั้งมีขอดีที่ใช
เวลาเดินเครื่องจายกระแสไฟฟาเต็มที่สั้นกวาโรงไฟฟาพลังความรอน (Conventional Thermal Plant) ทั่วไป การ
เดินเครื่อง Gas Turbine แบบอิสระแบบนี้เรียกวา Open Cycle Operation การเดินเครื่อง Gas Turbine แบบ
Open Cycle ใหได Full Load ของเครื่องขนาด 60 MW ประมาณ 12 นาที แตถาเดินเครื่องแบบ Combined
Cycle ได Load รวมกัน 360 MW ขณะ Cold Start up จะใชเวลาประมาณ 4.5 ชั่วโมง Load 360 MW ประกอบ
ดวย = (4 Gas Turbine 4 x 60 = 240 MW) + (1 Steam Turbine 120 MW)
Cogeneration Operation
คือการนําเอา Gas Turbine ไปขับ Generator เพื่อผลิตกระแสไฟฟา สวน Exhaust Gas ที่ออกจาก Gas
Turbine จะผานเขาไปยัง Waste Heat Boiler ซึ่งอาจจะเปนแบบ Unfired หรือ Supplementary Fired ตามปริมาณ
ไอน้ําที่ตองการใชงาน ไอน้ําที่ผลิตไดจะนําไปใชงานในลักษณะใหความรอนในขบวนการผลิต เชน โรงงาน
กระดาษ, อุตสาหกรรมปโตเคมี หรือทําน้ํารอนใชภายในเมืองขนาดใหญ การจัดรูปแบบในลักษณะ Co-
Generation จะใหประสิทธิภาพในการนําความรอนไปใชงานในการผลิต (Process) และกระแสไฟฟาตอปริมาณ
เชื้อเพลิงที่ปอนเขาตัว Gas Turbine และ Auxiliary Burner มีคาอยูระหวาง 70-80%
2.2.3 - 16
ในอุตสาหกรรมปโตเคมี (Petrochemical) นิยมใช Gas Turbine เพราะสามารถใชสิ่งที่ไดจากขบวนการ
ผลิต (By Product) มาใชเปนเชื้อเพลิงของ Gas Turbine รวมทั้งสามารถนํา Exhaust Gas มาใชงานไดอยางมีประ
สิทธิภาพ
2.2.3 - 17
หลักการเดินเครื่องเบื้องตน
โดยทั่วไปพนักงานเดินเครื่องมีบทบาทตรวจสอบการทํางานของเครื่อง Combustion Turbine เริ่มตั้งแต
ขั้นเตรียมการ (Preparation) , สั่งเครื่อง Start up, เพิ่ม/ลด Load และ Shutdown ซึ่งทุกขั้นตอนพนักงานเดิน
เครื่องตองมีความพรอม/ความเขาใจอยางถูกตอง สามารถสั่งงานและวิเคราะหสิ่งผิดปรกติไดอยางรวดเร็ว, ถูก
ตอง รวมทั้งนําเสนอขอมูลแกผูเกี่ยวของทันตอเวลา พึงระลึกอยูเสมอวา การควบคุมเครื่องที่ถูกตองตามคําแนะ
นําของผูผลิต และการซอมบํารุงรักษาที่ถูกวิธี สามารถทําใหใชเครื่องไดอยางมีประสิทธิภาพ,ตอเนื่อง และมี
ปญหาขัดของนอยที่สุด บทความตอไปนี้เปนความรูพื้นฐานที่มีวัตถุประสงค เพื่อกําหนดแนวทางปฏิบัติการเดิน
เครื่องใหอยูในแนวทางเดียวกัน สวนคา Limits หรือวิธีปฏิบัติในรายละเอียดสามารถเพิ่มเติมไดจากขอมูล Work
Instruction, Technical Paper หรือ Manual ของเครื่อง
เครื่อง Gas Turbine สามารถเดินเครื่อง (Start up) ไดทั้ง Manual และ Automatic Mode ซึ่งสามารถจัด
ระบบการสั่งเดิน/หยุดเครื่องในลักษณะ Remote Control ไดงาย การ Start up จะตองมีการขับตัว Compressor
ใหหมุนกอนดวย Starting Means ซึ่งไดแก Diesel Engine, Electric Motor หรือ Frequency Converter (FC.) เพื่อ
ใหตัว Compressor ดูดอากาศจํานวนหนึ่งที่เพียงพอกับการเผาไหมชวงแรก (Firing) ใน Combustor ซึ่งรอบของ
Compressor จะประมาณ 20-25% ของรอบการใชงานหลังจากนี้ระบบเชื้อเพลิงจะสั่งจุด Igniters เพื่อจุด Burner
ในแตละ Combustion Chamber พลังงานความรอนที่เกิดขึ้นจะผานตัว Turbine ทําใหมี Torque พา Compressor
ซึ่งอยูบนแกนเดียวกันหมุนเร็วขึ้นดวยจํานวน Torque ที่มาจาก Starting Mean และ Turbine ที่ความเร็วรอบ
ประมาณ 60% ของรอบใชงานจะเกิด Torque เนื่องจากการเผาไหมเพียงพอที่ Gas turbine จะเลี้ยงตัวเองได
(เรียกวา Sustaining Speeds)
ระบบปอนเชื้อเพลิงของ Gas turbine จะเพิ่มปริมาณเชื้อเพลิงตั้งแตเริ่ม Firing ขึ้นไปเรื่อยๆ ทําใหตัว
Gas Turbine สามารถเรงรอบ (Acceleration) ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงรอบใชงาน (Rated Speeds) ตัว Starting Mean
จะเลิกทํางานชวยหมุน Gas Turbine เมื่อรอบเครื่องสูงกวา 60% (บางเครื่องตั้งไว 70% Rated Speeds) ซึ่งเปนจุด
ที่แนใจไดวาพลังงานความรอนที่เกิดจากการเผาไหมสามารถเรงเครื่องจนถึง Rated Speeds เมื่อ Gas Turbine
หมุนได Rated Speeds แลว ระบบควบคุมทางไฟฟาก็จะสั่งให Close Generator Circuit Breakerเพื่อขนานเครื่อง
(Synchronizing) เขาระบบการผลิตจายกระแสไฟฟาตอไป
การควบคุมปริมาณเชื้อเพลิงระหวาง Stat up ใหสัมพันธกับรอบของ Gas Turbine (ปริมาณอากาศที่ถูก
ดูดโดย Compressor) จะถูกควบคุมดวยวงจร Start up Controller นอกจากนี้ยังมีวงจร Speeds Control, Load
Control และ Temperature Control ทํางานรวมกัน (เรียกรวมกันวาระบบ Governor Control) ควบคุมตัว Gas
Turbine ใหทํางานอยางมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
2.2.3 - 18
หนาที่ของพนักงานเดินเครื่อง (Operator Responsibility)
สิ่งที่พนักงานเดินเครื่องตองปฏิบัติทุกครั้ง เมื่อตองการ Start up เครื่องมีขอบเขตดังนี้
- ตองมีการตรวจสภาพอุปกรณทุกจุดตาม “Check Sheet” ที่กําหนดโดยผูผลิตหรือผูรับผิดชอบดาน
เดินเครื่อง
- ตองแนใจวาระบบควบคุม/ปองกันทํางานไดถูกตอง ผานการทํา Function Test ที่แนนอนถูกตองมา
แลว และงานตรวจซอมของหนวยบํารุงรักษาแลวเสร็จ (พนักงานเดินเครื่องตรวจรับงานแลว)
- ตองแมนยําและใสใจในขอควรระวังสําหรับการเดินเครื่อง ตั้งแตเริ่ม Start up, Loading จนถึง
Shutdown เครื่อง
นอกเหนือจากขอบเขตดังกลาว พนักงานเดินเครื่องควรมีความสามารถในวิธีปฏิบัติที่แนนอนเกี่ยวของ
ในเนื้อหาดังตอไปนี้
1. มีการตอบสนองกับสัญญาณเตือน (Annunciater Indicator) ที่เกิดขึ้น และสามารถวิเคราะห แกไข เหตุ
การณผิดปกติ (Abnormal Condition) กลับสูสภาพปลอดภัยได โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับระบบปองกัน
(Protection System) เชน Low Lube Oil Pressure, Over Exhaust Temperature, Vibration และ Over
Speeds เปนตน (ควรมีการทบทวนวิธีปฏิบัติอยางสม่ําเสมอ)
2. การทดสอบระบบควบคุมหลังจากมีการตรวจซอมจากหนวยบํารุงรักษา ควรกําหนดวิธีการทํา
Function Test ระบบทั้งที่มีการซอมแกไขหรือถอดเปลี่ยนอุปกรณ และตองทํากอนที่จะมีการ Start up
เครื่อง (อยามองขามสิ่งนี้ แมจะเปนการเอา Spare Module ทั้งชุดมาถอดเปลี่ยน)
3. การตรวจสอบคา Turbine Exhaust Temperature อยางใกลชิดในขณะ Start up ทุกครั้งที่มีการ Start up
โดยเฉพาะถามีการตรวจซอมอุปกรณในระบบเชื้อเพลิง, งาน Combustor Inspectionตองเฝาดูอยาง
เครงครัด และเปรียบเทียบกับ Start up Curve ครั้งที่ยอมรับไดเพื่อหาสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น ในกรณีที่
คาเพิ่มขึ้นสูงผิดปกติก็ใหพิจารณาสั่ง Manual Trip Turbine ไดทันทีเพราะ Exhaust Temp ที่สูงเกิน
สามารถทําใหอุปกรณใน Hot Gas Path เสียหายได สําหรับอัตราการเพิ่มของ Exhaust Temp เมื่อเทียบ
กับ Speeds ของ Turbine ก็เปนสวนชวยในการพิจารณาอัตราสวนของอากาศ และเชื้อเพลิงที่เหมาะสม
ใหเครื่องมีอัตราเรงรอบจนถึง Rated Speeds (Full Speeds No-Load) เหมาะสมหรือไม
(หมายเหตุ: ตองทําความเขาใจกับ Start up Curve ใหถูกตอง วิเคราะหความสัมพันธซึ่งกันและกันได
อยางเดนชัด มีการบันทึก Start up Curve ตามชวงเวลาที่กําหนดไว เพื่อการเปรียบเทียบวิเคราะหหาสิ่ง
ที่เปลี่ยนแปลง)
2.2.3 - 19
ขอควรระวังทั่วไปสําหรับการเดินเครื่อง (General Operation Precaution) มีรายละเอียดตามหัวขอตอไปนี้
Exhaust Temperature Limits
นอกเหนือไปจากความสัมพันธระหวาง Exhaust Temperature Trip, Alarm, Control กับ Compressor
Discharge Pressure (CPD) รายละเอียดอยูในหัวขอเรื่อง Over Temperature Protection ซึ่งใชเปน Curve กําหนด
การควบคุมและปองกันแลว จําเปนตองติดตามคา Exhaust Temp ที่อานไดจากแตละ Thermocouples เพื่อดูการ
เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับเวลาเปนวัน หรือสัปดาหอยางตอเนื่อง เพื่อพิจารณาเปรียบเทียบหาสิ่งผิดปกติที่อาจ
เกิดขึ้นกับอุปกรณภายใน Hot Gas Path
คาความเปลี่ยนแปลงที่นํามาพิจารณา คือคา Temp แตกตางระหวางหัว Thermocouple (เรียกวา Temp
Spread) ที่เปลี่ยนแปลงโดยเปรียบเทียบกับเวลา มีอัตราการเปลี่ยนแปลงคงที่หรือเพิ่มขึ้น ถาคานี้เปลี่ยนแปลง
อยางรวดเร็ว ก็สมควรมีการตรวจสอบตัว Combustor และเครื่องมือวัดตอไป
การเก็บขอมูลดังกลาวควรปฏิบัติในโอกาสตอไปนี้
- Initial Start up Unit (การเดินเครื่องครั้งแรกในชวง Commissioningและการปรับแตงอุปกรณควบ
คุมแลว)
- Before & After Planed Shutdown (กอนหยุดเครื่อง และเดินเครื่องครั้งตอไป)
- Before & After Planed Maintenance (กอน/หลังการตรวจซอมอุปกรณภายใน Hot Gas Path)
Wheel Space Temperature Limits
การวัดคา Wheel Space Temperature จะประกอบดวย Thermocouple ติดตั้งในชองวางของ Turbine
Wheel แตละ Stage ซึ่งคาที่อานไดจะแปรตาม Load เมื่อคาที่อานไดในแตละ Stage สูงเกิน Limits จะมี Alarm
เตือน
เมื่อคา Wheel Space Temp. ถึงจุด Alarm ก็ควรสั่งลด Load ลง เพราะมีสวนทําใหชิ้นสวนใน Hot Gas
Path เสียหาย โดยเฉพาะ Turbine Wheels สาเหตุที่ทําให Wheel Space Temp. สูงเกิน Limit อาจเนื่องมาจาก
- เกิดการอุดตันในทอหรือชอง Cooling Air ที่ใชงาน (ดู Schematic PP. Diagram CLG & SLG. Air
– 0417 ประกอบ) รวมทั้งทอภายนอกและชองภายใน Turbine Rotor
- Diaphragm Seal หรือ Wheel Space Seal มีการสึกหรอเกินขนาดทําใหการ Cooling ไมเพียงพอ
- เกิดการบิดเบี้ยวของตัว Turbine Stator Blades เปนผลให Diaphragm Clearance เปลี่ยนแปลงและ
ทําให Hot Gas ไหลผานบริเวณนั้นเพิ่มขึ้น
- การเผาไหมในแตละ Combustor ไมสม่ําเสมอ ทําให Hot Gas Temp. แตกตางกันมาก
- Thermocouple อานคาไมถูกตองหรือตําแหนงติดตั้งผิดไปจากเดิม เพราะฉะนั้นการอานคาควร
เปรียบเทียบคาดานขวา / ซาย ที่ Stage เดียวกันดวย
การบันทึกคา Wheel Space Temp. ควรมีคาที่ไดจาก Start เครื่องในชวง Commissioning ที่ Load ตางๆ
กัน ไวสําหรับเปรียบเทียบกับคาที่ใชงานปกติหรือหลังจากทํา Major Overhaul เครื่อง เพื่อวิเคราะหสิ่งผิดปกติที่
2.2.3 - 20
อาจจะเกิดขึ้น (หมายเหตุ : คา Wheel Space Temp. แตละจุดอานไดจาก CRT. บน Turbine Control Panel-Data
Display )
Pressure Limits
ในการเดินเครื่องคา Pressure ที่อานไดจาก Pressure Gages หรือคา Pressure SW. Setting ในระบบ
ตางๆ ตองมีการตรวจสอบ/เปรียบเทียบอยูสม่ําเสมอ โดยคา Alarm, Trip ตองมีความถูกตองเหมาะสมกับการใช
งานของแตละเครื่อง คา Pressure ที่อานไดตองนํามาวิเคราะหหาสิ่งผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นกับอุปกรณ เชน
Lube Oil Pressure ที่ต่ําลง อาจจะเนื่องมาจากการอุดตันของ Filter หรือมีรอยรั่วในทอจาย Lube Oil คาที่ระบุไว
ใน Device Summary หรือ Control Specification ตองนํามาศึกษาใหเขาใจและพรอมนํามาใชอางอิงในวิเคราะห
ปญหาอยางรวดเร็ว
Vibration Limits
ในการเดินเครื่อง Combustion Turbine คา Vibration Velocity (in/sec) จะเปนตัวชวยวิเคราะหความผิด
ปกติที่เกิดขึ้นกับชิ้นสวนเคลื่อนไหว (Moving Parts) และการเผาไหมใน Combustors เพราะฉะนั้นคา Vibration
จะตองมีการเก็บขอมูล/ติดตาม ตลอดเวลาที่เดินเครื่องตั้งแต Start up (Vibration เทียบกับ Speed) , Loading
(Vibration เทียบกับ MW) รวมทั้งกอน/หลัง Major Overhaul
ขอมูลที่ไดจากคา Vibration ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยางผิดปกติ จะตองสงใหผูเกี่ยวของพิจารณาแกไขซึ่ง
อาจจะเนื่องมาจาก Vibration Sensors หรือ Turbine / Compressor Blades ก็ได การ Restart เครื่องโดยไม
วิเคราะหปญหาเรื่อง Vibration เสียกอน อาจจะทําใหเครื่องเสียหายมากขึ้นได
Load Limit
ขณะเดินเครื่องจาย Load สามารถเลือก Mode ได 2 ลักษณะคือ Base และ Peak ไดจากแผงควบคุม
Turbine ซึ่งคาดังกลาวนี้จะทําให Turbine Inlet Temperature อยูภายใตพิกัดที่ยอมรับได โดยไมมีปญหากับ
อุปกรณ (Trouble – Free Operation) ในเรื่องของ Turbine Bucket Thermal and Dynamic Stresses,
Compressor/Turbine Wheel Stresses และ Generator Cooling System เพราะฉะนั้นการตรวจสอบคาปรับแตง
ในวงจร Temperature Control & Protection จะตองปฏิบัติใหเปนไปตาม Control Specification อยางสม่ําเสมอ
สําหรับการเดินเครื่อง Overload เกินคาที่ระบุใน Nameplate จะมีผลกระทบตอชิ้นสวนของ Turbine ซึ่งอาจจะ
เกิดการเสียหายชํารุดไดในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งทําให Reliability ต่ําลงและคาใชจายบํารุงรักษาสูงขึ้น จึงเปน
เรื่องที่ตองหลีกเลี่ยงใหมากที่สุด
สําหรับทางดาน CT. Generator ก็ไมสมควรจาย Load เกินกวาที่ระบุไวที่ Nameplate Rating แมวาขณะ
นั้น Winding Temperature จะต่ํากวา Guaranteed Maximum Temp. เพราะวาคาที่อานจากตัว Temperature
Detector นั้น จะต่ํากวาอุณหภูมิจริงของ Copper Winding โดยมี Insulation เปนตัวคั่นกลางอยู ดังนั้นเพื่อใหคา
Conductor Expansion, Insulation Stress อยูในพิกัดปลอดภัยควรเดินเครื่องจาย Load ดาน Generator ตาม
Reactive Capability Curve และ “ VEE ” Curve สําหรับการ Excitation รวมทั้ง Winding Temp., Cold Gas
Temp. ไมเกิน Guaranteed Maximum Temperature. (ตัวเลขแสดง Load Limit อยูใน Equipment Data)
2.2.3 - 21
Fire Protection System
ในระบบ Fire Protection และ Ventilation จะตองมีการตรวจสอบ Pressure ของสารเคมี ดับเพลิง, Fire
Detector แตละจุดภายในแตละ Compartment ใหอยูในสภาพพรอมกอนการ Start up เครื่องและเมื่อมี Alarm
เกิดขึ้น เชน Fire Detector Trouble, Fire เกิดขึ้นจะตองมีการแกไขอยางเรงดวน
เมื่อระบบ Fire Protection ทํางานจะมี Alarm เตือนบนจอ CRT. และสั่ง Trip เครื่องทันทีพรอมกับสั่ง
ให Fire Dampers ปด (ดู DWG. ML.0436) สิ่งที่ตองปฏิบัติ หลังจากที่ระบบสั่งฉีดสารเคมีหมดแลวจะตอง
Manual Reset Pressure SW. (45CP-14A, 45CP-24A) และ Manual เปด Fire Dampers Ventilation Dampers)
เพื่อระบายอากาศใหหมดกอนที่สั่ง Restart เครื่องในครั้งตอไป ทั้งนี้ตองวิเคราะหหาสาเหตุ/สรุปความเสียหาย/
แกไขใหเรียบรอยเสียกอน
(ขอควรระวัง : สารเคมีที่ตกคางอยูใน Compartment อาจจะเปนอันตรายกับบุคคลและมีผลกระทบตออายุการ
ใชงานของอุปกรณที่มีสารเคมีตกคางอยู)
Combustion System
โอกาสที่อุปกรณของตัว Combustion จะเสียหายระหวางเดินเครื่องนั้นอาจจะมีขึ้นได และสงผลใหการ
เผาไหมภายในแตละ Combustor ไมเทากัน เชน เกิดควันดํามาก (ขณะใช Light Oil), Cover/Casing ทะลุหรือทอ
เชื้อเพลิงทะลุ/หลุดหลวม ซึ่งเหตุการณเหลานี้จะสรางความเสียหายใหกับอุปกรณที่เกี่ยวของดวย เพราะฉะนั้น
เพื่อลดโอกาสการเกิด Combustor Failure พนักงานเดินเครื่องตองปฏิบัติในเรื่องตอไปนี้
1. ขณะเดินเครื่องตองติดตามคา EXH. Temperature Spread เกิน Limit ที่ยอมใหหรือไม ซึ่งจะมี Alarm “
Combustor Trouble ” และ “ High EXH. Temp. Spread Trip ” เกิดขึ้นเมื่อคาเกิน Limit
2. เมื่อเครื่อง Trip ลงดวยสาเหตุนี้มีการตรวจสอบแลว ถามีการ Start up ใหมจะตองมีการเปรียบเทียบคา
EXH. Temp. Spread กับคาเกาที่ปกติวามีสิ่งผิดปกติหรือไม
3. ในกรณีที่มีการ Trip ดวยสาเหตุนี้ นอกเหนือจากการตรวจสอบตัว EXH. Thermocouple แลวควรจะมี
การตรวจสภาพ Combustion Lines, Transition Pieces และ Fuel Nozzles ประกอบดวยเพื่อสรุปหา
สาเหตุที่แนชัด
4. ขอควรระวังในกรณีที่เดินเครื่องขณะที่มี Thermocouple ผิดปกติเกินกวา 1 ตัว นั้นมีโอกาสที่จะเกิด
Alarm “ Combustion Trouble ” หรือสั่ง Trip เครื่องได จึงจําเปนตองหาโอกาสหยุดเครื่องเปลี่ยนตาม
ความเหมาะสม แนวปฏิบัติโดยทั่วไปยอมให Thermocouple เสียไดสูงสุด 2 ตัว แตไมควรเดินเครื่องถา
Thermocouple ที่อยูติดกันเสียถึง 3 ตัว (Three Adjacent Thermocouples)
2.2.3 - 22
ในงานบํารุงรักษาควรจัดงาน Preventive Maintenance ในระบบ Control & Protection พรอมๆ กับ
Combustion Inspection เพื่อลดโอกาสเครื่อง Trip โดยไมจําเปน เมื่อคา Temp. Spread เริ่มสูงขึ้นควรพิจารณาดัง
นี้
- Shut down เครื่องลงทันที (เมื่อแนวโนมวาเครื่องอาจจะ Trip ได)
- การเขาตรวจสอบภายใน Compartment จะตองรอใหเครื่อง Shut down เรียบรอยและตองระวัง
Hot Gas/Air ที่พนออกมาขณะเปดประตู
Cool Down / Shut down
ในการ Shut down เครื่องโดยทั่วไปจะตองมีการ Cool down ตัว Turbine Rotor ใหมีอุณหภูมิต่ํากวาที่
กําหนดใหจึงจะสามารถหยุด Rotor นิ่งไดโดยไมเกิดการโกงงอของตัว Rotor โดยทั่วไป Turbine Rotor จะตอง
Cool down เปนระยะเวลาประมาณ 48 ชั่วโมง ตอเนื่อง หรือเมื่อ Wheel Space Temp. มีคาลดลงเหลือ 150°F
(65 °C ) ก็สามารถหยุด Turbine Rotor ได (การเลือก Cool down On/Off สั่งไดที่ OPM.- MAN.CTL.)
นอกเหนือการ Cool down แบบ Shut down ปกติแลว ในกรณีที่เกิด Emergency Shut down หรือ Unit
Tripped และตองการปองกันมิใหเครื่องเสียหายเพิ่มขึ้นก็มีแนวทางปฏิบัติดังนี้
1. เมื่อมีการสั่ง Emergency Shut down / Tripped โดยคาดวามีสาเหตุมาจากชิ้นสวนภายในชํารุด กรณีนี้จะ
ตองไมมีสิ่งให Rotor หมุนเพื่อการ Cool down เพียงแตใหมี Lube Oil เลี้ยง Bearings ไวตลอดเวลา
(ตองแนใจวา Aux. Lube Oil Pump หรือ DC Emergency Oil Pump ทํางานอยู) เพื่อปองกันมิใหOil /
Metal Temp. สูงเกิน Limit อาจจะทําใหผิว Bearing เสียหายได หลังจากที่ไดตรวจพบวาชิ้นสวนภายใน
ไมมีการเสียหายหรือเกิดจากสาเหตุที่แนชัดก็ใหเริ่ม Cool down Cycle ตามปกติตอไป
2. ในกรณีเกิดขอขัดของไมสามารถหมุน Turbine Rotor ไดหลังจาก Shut down เครื่องไปแลวก็มีแนว
ทางพิจารณาดังนี้
- ถา Rotor หยุดนิ่งไมเกิน 15 นาที สามารถ Restart เครื่องไดโดยไมตอง Cool down หมุน Turbine
Rotor
- ถา Rotor หยุดนิ่งเกินกวา 15 นาที แตไมเกิน 48 ชั่วโมง จะตองสั่งหมุน Rotor อยางนอย 2 ชั่วโมง
หรือมากกวากอน Restart ครั้งตอไป แตถาหยุดนิ่งเกินกวา 48 ชั่วโมง ไปแลวการ Restart เครื่อง
สามารถทําไดทันทีโดยไมมีปญหาเรื่อง Turbine Rotor โกงงอ (ชวงเวลานี้คา Wheel Space Temp.
นอยกวา 150 °F หรือเทากับ AMB. Temp. อยูแลว)
3. เมื่อมีการ Restart เครื่องโดยที่ไมมีการ Cool down ตามปกติ (สิ่งที่ตองปฏิบัติขณะ Start up คอยเฝาดูวา
คา Vibration ที่รอบเครื่องตางๆ กัน ถาเครื่องมี Vibration เกินกวา 1.0 in/sec. จะตองเลิก Start up และ
หมุน Turbine Rotor อยางตอเนื่องอยางนอย 1 ชั่วโมง กอนจะ Restart ครั้งตอไป ในชวงนี้ถาพบวามี
การเสียดสีเกิดขึ้น (Rub Check) จนรอบของ Turbine ต่ํากวาปกติ ควรหมุด Turbine Rotor ตอไปอีก
อยางนอย 30 ชั่วโมง หรือหยุดนิ่งรอในชวงเวลานี้ เมื่อ Turbine Rotor หมุนไดปกติก็สามารถ Restart
ครั้งตอไปได ระยะเวลาหยุดรอเปลี่ยนแปลงไดตามสภาพปญหาและประสบการณของการเดินเครื่อง
2.2.3 - 23
การสั่งให Turbine Rotor หมุนสามารถปฏิบัติได 2 ลักษณะ คือ
1. Cool down Operation หรือเรียกวา Slow Roll Operator คือ Turbine Rotor หมุนโดยอาศัย
Lube Oil Pressure (OL-6) สงเขาตัว Torque Converter (ในสวนของ Turbine Wheel) โดยผาน
Sol. Valve 20 TU-2 จุดประสงคเพื่อ Cool down Turbine Rotor หลังจาก Shut down เครื่อง
หรือ หมุน Rotor เพื่อทํา Rub Check (ฟงเสียงเสียดสีภายใน) กอน Start up / หลังจากงาน
ตรวจซอม
2. Cranking Operation คือ Turbine Rotor หมุนโดยอาศัย Cranking Motor และรักษารอบ
Turbine ไวที่ประมาณ 100 % (Cranking Speed) ดวย Torque Adjuster Motor (88TM) อยูใน
ตําแหนง Min. Torque จุดประสงคเพื่อการ Cool down อยางรวดเร็วหลังจาก Shut down เครื่อง
สําหรับงานซอมบํารุงที่จําเปนตองหยุด Turbine Rotor เวลาการ Cool down ในลักษณะนี้จะใช
เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงที่ทําให Wheel Space Temp. ลดลงเหลือ Λ 65 °C (หมายเหตุ : ตัวเลข
คานี้เปนคาโดยประมาณจากโรงงานเมื่อมีการทดลองจริงๆ ที่ Site อาจจะมีคามากกวานี้)
บทสรุป
เนื้อหาทั้งหมดที่กลาวมานี้เปนเพียงขอมูลเบื้องตนสําหรับผูสนใจเทานั้น ในสวนของรายละเอียด
สามารถศึกษาเพิ่มเติมไดจากเอกสารตางๆ ทั้งจากหองสมุด กฟผ., เอกสารจากการฝกอบรม และเอกสารจาก
Manual ของผูผลิต ซึ่งมีเนื้อหาและรายละเอียดปลีกยอยอีกมาก
2.2.3 - 24
2.2.3 - 25
2.2.3 - 26
2.2.3 - 27
2.2.3 - 28
2.2.3 - 29
แบบทดสอบความรู เรื่อง Plant Operation
จงตอบคําถามตอไปนี้
1. Substation มีหนาที่อะไร
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
2. Load Dispatcher มีหนาที่อะไร
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................
3. ปริมาณพลังงานไฟฟาที่.....................................จะตองเทากับปริมาณไฟฟาที่...................................เสมอ
4. จงอธิบายการทํางานของ External Combustion Engine มาพอสังเขป
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
5. จงบอกชิ้นสวนหลักของเครื่อง Gas Turbineพรอมหนาที่ มาพอสังเขป
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................
2.2.3 - 30
6. จงอธิบายการทํางานโดยยอของ Combined Cycle Operation
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………….
7. จงเติมคําใหสมบูรณ
Two Shaft Gas Turbine จะแยก Shaft ของ Compressor และ Shaft ที่ตอกับ AC Generator ออกจากกัน
Turbine ชุดแรกที่ใชขับ Compressor เรียกวา................................................สวน Turbine ชุดที่สองที่ใชขับ AC.
Generator เรียกวา...........................................................
8. จงบอกหลักการเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่อง Gas Turbine มา 3 ขอ
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................
9. จงบอกขอควรระวังทั่วไป (Limits) สําหรับการเดินเครื่องมาสัก 4 ขอ
4.1.......................................................................................................................................................
4.2.......................................................................................................................................................
4.3.......................................................................................................................................................
4.4.......................................................................................................................................................
10.จงใสเครื่องหมาย หรือ X หนาขอความตอไปนี้
.............การ Start up Gas Turbine ไมจําเปนตองมีตัวขับ Compressor ใหหมุนกอนดวย Starting Mean
.............Gas Turbine ใชพลังงานจาก Starting Mean เพียงอยางเดียวขับ Compressor จนถึง Rated Speed
.............Working Fluid ของเครื่อง Gas Turbine หมายถึงกาซที่เกิดจากการเผาไหมใน Combustor
2.2.3 - 31
2.3 Plant Control System
2.3 - 1
Control Modes
Control Modes
ในการควบคุมแบบปอนกลับ (Feedback Control Loop) สัญญาณควบคุมจาก Controller เกิดจากคา
Deviation เพื่อทําการปรับแตงตําแหนงของ Final Control Element ดังนั้น การเกิดลักษณะของสัญญาณควบคุม
เนื่องจากการมี Deviation เพื่อปรับตําแหนงของ Final Control Element ก็จะมีหลายลักษณะดวยกัน
ลักษณะของ Control Action มี 4 แบบ คือ
o Two – Position Control
o Proportional Control
o Reset Control
o Rate Control
Two – Position Control
เปนการควบคุมที่สัญญาณควบคุมทําใหตําแหนงของ Final Control Element เปนไปไดเพียง 2
ตําแหนง คือ เปดและปด จึงนิยมเรียกอีกชื่อคือ on-off Control ลักษณะของการควบคุมแบบ Two-Position
Control นิยมใชกับ โปรเซสที่มี Capacity มาก และไมตองการผลการควบคุมที่แนนอน เพียงแตอยูในยานที่
ตองการก็พอแลว เชน การควบคุมอุณหภูมิในหอง การควบคุมอุณหภูมิของเตารีด , การควบคุมระดับน้ําในถังที่
ใชตามบาน เปนตน
Controller
ใน Process Loop ตัววัดคาจะทําการวัดคา Measured Variable และคานี้จะถูกสงเขามายัง Controller ทํา
การเปรียบเทียบคา Measured Variable กับคา Set – Point ถามี Deviation เกิดขึ้น Controller ก็จะสรางสัญญาณ
ควบคุมสงออกเพื่อไปปรับตําแหนงของ Final Control Element จน Deviation หมดไปหรืออยูในยานที่กําหนด
Two-Position Control In a Process Loop
จากรูปเปนการควบคุมอุณหภูมิของน้ําดวยการใชไอน้ําเปนตัวใหความรอนดวยการใชการควบคุมแบบ
Two-Position Control
Two Position
Controller
Steam
Sensor
Steam Trap
รูป 1. Two-Position Control In a Process Loop
2.3 - 2
เนื่องจากการใช Two-Position Control ดังนั้น วาลวสามารถจะเปนไปไดเพียง 2 ตําแหนง คือ เปดสุด
หรือปดสุด เมื่ออุณหภูมิของน้ําต่ํากวาคาที่กําหนดวาลวจะถูกสั่งทําใหวาลวเปดสุดและเมื่ออุณหภูมิของน้ําสูง
กวาคากําหนด วาลวก็จะอยูในตําแหนงปดสุด
ในการควบคุมแบบ Two-Position Control คาของแปรที่เราควบคุม (Controlled Variable) ซึ่งที่นี้ก็คือ
อุณหภูมิของน้ําจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (Fluctuate) คืออุณหภูมิจะเกิดสูงกวาหรือต่ํากวาคาที่กําหนด
อยูตลอดเวลา จะไมสามารถใหคงที่อยูที่จุด ๆ ใดได เพียงแตสามารถทําใหอยูในยานหนึ่ง ๆ เทานั้น
M ax
M in
O pen
Valve
Tim e
Close
รูป 2. การควบคุมวาวลแบบ Two-Position Control
การควบคุมแบบ Two-Position Control มักจําเปนที่จะตองใหมี Dead Band หรือ Dead Zone ซึ่งก็คือ
เปนยานของ Set point เมื่อใหมี Dead Band ในการควบคุมชนิดนี้ จะ ทําใหลดการสึกหรอหรือความเสียหายแก
อุปกรณที่ใชงานได ในการที่มี Dead Band เมื่ออุณหภูมิต่ํากวาคา Set Point การสั่งงานของ Controller จะยังไม
สั่งทันทีทันใด แตจะรอจนอุณหภูมิต่ําลงไปจนถึงคา Limit ต่ํา วาลวจึงจะถูกสั่งใหเปดขึ้น ไอน้ําก็จะไหลเขาทํา
ใหอุณหภูมิของน้ําในโปรเซสคอย ๆ เพิ่มขึ้น จนไปถึงคากําหนดดานสูงวาลวก็จะปด การทํางานแบบนี้วาลวจะ
ไมทํางานบอยนักอายุการใชงานก็จะยาวขึ้น แตถาไมมี Dead Band วาลวจะถูกสั่งใหเปดปดตลอดเวลา เมื่อ
อุณหภูมิสูงกวา Set Point วาลวก็จะปดและเมื่ออุณหภูมิต่ํากวา Set Point วาลวก็จะเปดเปนอยางนี้ตลอดเวลา ดัง
นั้น ตองมียานของ Set Point หรือมี Dead Band เพื่อลดการทําการของวาลวลง แตก็มีผลเสีย คือทําใหอุณหภูมิมี
Deviation มาก
2.3 - 3
Max
Dead
Zone Time
Min
Open
Valve
Time
Close
รูป 3. การควบคุมวาวลแบบ Two-Position Control
Proportional Control
Continuous Control
เนื่องจากการควบคุมแบบ Two-Position Control ผลก็คือไมสามารถที่จะควบคุมใหโปรเซสอยูที่จุดที่
เราตองการจะเกิดมีการออสซิเลสอยูตลอดเวลา ดังนั้นในลักษณะของงานบางอยาสงที่ตองการผลการของควบ
คุมคงที่แนนอนการใช Two-Position Control จึงไมเหมาะสม จึงตองมีการพัฒนาลักษณะของการควบคุม
“Control Action” คือ พยายามปรับตําแหนงของ Final Control Element ใหอยูตําแหนงที่ตัวแปรที่เราควบคุมอยู
ที่คาเปาหมาย “Set Point”
2.3 - 4
Proportional Control
เปนการควบคุมอยางตอเนื่องตลอดเวลา โดยสัญญาณที่สงออกจาก Controller เพื่อไปปรับตําแหนงของ
Final Control Element จะเปนสัดสวนกับคา Deviation และเมื่อการควบคุมอยูในสภาวะสมดุลย คือตัวแปรที่เรา
ควบคุมอยูที่เปาหมาย “Set Point” ดังนั้น ตําแหนงของ Final Control Element จะอยูคงที่ที่ตําแหนงสมดุลโดยมี
สัญญาณควบคุมซึ่งเรียกกวา Output Bias รักษาอยู แมวาไมมี Deviation เหมืออยูก็ตาม
Steam
Temp Valve
Max 100% Open
Min 0% Open
Steam
Temp Valve
Max 100% Open
Min 0% Open
รูป 4. แสดงความสัมพันธระหวาง Input กับ Output
จากรูป 4.เปนการแสดงความสัมพันธระหวางคา Input และ Output ดวย ลักษณะของคานเพื่อชวยให
เห็นความสัมพันธระหวางอุณหภูมิที่ควบคุมกับตําแหนงของวาลว สมมุติเปนการควบคุมอุณหภูมิใหไดคา Set
Point โดยอุณหภูมิสามารถที่จะเกิด Deviation ไดในชวง Max และ Min เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของโหลดเมื่อ
อุณหภูมิที่เราสามารถควบคุมเกิดผิดไปจากคา Set Point โดยอุณหภูมิสูงขึ้นจนถึงคา Max จะทําใหวาลวถูกสั่ง
ใหปดมาจนสุด และถา อุณหภูมิที่ควบคุมเกิดต่ํากวาคา Set Point จนถึงคาต่ําสุด วาลวจะถูกสั่งใหเปดเพื่อใหไอ
น้ําไหลเขา Heat Exchanger เพื่อทําใหอุณหภูมิกลับเขาหาคา Set Point เมื่ออุณหภูมิที่ควบคุมเขาสูคา Set Point
ตามรูปคือที่จุดกึ่งกลางวาลวก็จะอยูที่ 50 เปอรเซ็นต ตําแหนงของวาลวจะขยับจะเปนสัดสวนขึ้นอยูกับวา
อุณหภูมิที่ควบคุมจะแตกตางจากคา Set Point มากนอยเพียงไร
2.3 - 5
Proportional Band
Proportional Band
Proportional Control สามารถที่จะอธิบายหรือพูดไดในลักษณะของ Controller Gain หรือ Proportional
Band
Proportional Band หมายถึง เปนอัตราสวนในการเปลี่ยนแปลงของ Input (Deviation) ตอการเปลี่ยน
แปลงของ Output แตคิดในแงของเปอรเซ็นต
P.B = Input x 100 %
Output
500% 167% 100%
100
60%
80
20%
Measured 60
(Span)
% 40
20
0 20 40 60 80 100
Output Signal (%)
รูป 5. แสดงอัตราสวนการเปลี่ยนแปลงระหวาง Input กับ Output
จากรูป เชนใหมีการเปลี่ยนแปลงของ Deviation หรือ Measuring Span 40-60 เปอรเซ็นต จะทําให
Output [ Valve ] ขยับได 100 เปอรเซ็นต
P.B = 20 x 100 = 20 %
100
CONTROLLER GAIN = 100
P.B
สัญญาณ Control Action ของ Proportional คือ
Cs = 100 e + b
P.B
2.3 - 6
เมื่อ P.B = Proportional Band (%)
e = Error หรือ Deviation
b = Output Bias (Cs = b เมื่อ e = 0)
Cs = Controller Output
Steam
Temp Valve
Max 100% Open
Min 0% Open
รูป 6. แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงคา Proportion Band
2.3 - 7
Temp Valve
200% Open
Temp Valve
50% Open
Proportional Band
2.3 - 8
Temp
Valve
Max
Setpoint
Min
Setpoint
Min
2.3 - 9
Temp
Max
offset
Setpoint
Min
Reset Control
Reset Control
เปนลักษณะของการควบคุมที่นํามาใชเมื่อเกิดมี Offset เกิดขึ้นเมื่อใช proportional Control ควบคุมเพียง
อยางเดียว Reset Control จะถูกนํามาใชเพื่อขจัด Offset และดึงคาที่เราควบคุมใหกลับเขาสู Set Point
ในการควบคุมชนิดนี้จะถูกนํามาใชรวมกับ Proportional เรียกวา PI-Control การควบคุมแบบ Reset
Control มักนิยมเรียกอีกอยางวา Integral Control
Max
Setpoint
Min
รูป 11. การควบคุมแบบ Integral Control
2.3 - 10
เมื่อ Cs = Integral Action
e = Offset หรือ Error
Ti = Integral Time
Integral Time เปนเวลาที่ใชในการสรางสัญญาณ Output จนมีขนาดเทากับขนาดของสัญญาณที่เกิด
จาก Proportional Control และมีหนวยในการเรียกชื่อของ Integral Time ในรูปของ Minute Per Repeat
Rate Control
Rate Control or Derivative Control
เปนการควบคุมที่ Control Action จะขึ้นอยูกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของ Controlled Variable ตอ
หนวยเวลา เปนการควบคุมเพื่อที่จะสรางสัญญาณควบคุมใหมากเพื่อใหการเปลี่ยนแปลงของ Manipulated
Varia ble เกิดขึ้นมาก ๆ ในชวงเริ่มตนหรือชวงที่มี Set Point มาก ๆ และเมื่อคาตัวแปรที่เราควบคุมกลับเขาใกล
Set point สัญญาณควบคุมของ Derivative Control จะลดลงอยางรวดเร็ว และ Control Action จะหมดไปเมื่อ
Error เทากับ 0 หรือเมื่อ Controlled Variable หยุดการเปลี่ยนแปลง
Cs = Td de
dt
เมื่อ Td = Derivative Time
Derivative Action จะถูกใชรวมกับ proportional Control ซึ่งเรียกวา PD Control เหมาะกับการใชใน
โปรเซสซึ่ง Controlled Variable เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรือใช Batch Process คือ โปรเซสที่ทํางานไมตอเนื่องมี
การหยุดเปนระยะ ๆ
Proportional Plus Reset Plus Derivative
การควบคมโดยการมีทั้ง D. Action จะทําใหผลการควบคุมกลับเขามาอยูในสภาวะสมดุลยที่ Set Point
เร็วที่สุด
2.3 - 11
2.3.1 Automatic Boiler Control for Power Plant
2.3.1 - 1
AUTOMATIC BOILER CONTROL FOR POWER PLANT
COMBUSTION CONTROL
เปนสวนหนึ่งของระบบควบคุม Boiler ซึ่งมีหนาที่หลักที่สําคัญ 2 ประการคือ
1) ควบคุมสมดุลยพลังงาน (energy balance) 2) ควบคุมการทํางานของเตาเผา (Furnace Control) การควบคุม
เตาเผาเปนระบบยอยที่จะทํางานสอดคลองกับระบบสมดุลยของพลังงาน เราจะแยกกลาวถึงหนาที่ใน
Combustion Control
2.3.1 - 2
To Stack
AT LT
Feedwater
FT
Steamto users
Fuel
Air
รูปที่ 1 Superheat Steam Boiler
การควบคุมแบบ Single Element Pressure Control เพื่อรักษา Energy Balance นั้นจะใชไดผลดีก็
ตอเมื่อระบบนั้นมีกรณีดังนี้
a) มีการเปลี่ยนแปลงของ load ไมบอยหรือการเปลี่ยนแปลงเปนไปอยางชา ๆ ( 1-2 เปอรเซ็นตตอนาที )
b) กรณีที่ load เปลี่ยนแปลงบอยก็ไดหรือ load เปลี่ยนแปลงอยางมากที่สุดแลว Steam Pressure แตกตาง
ไปจากคา Set point ไมเกิน = 5 ถึง 10 เปอรเซ็นต ก็ใหใช Single element ควบคุมไดดังรูปที่ 2
c) ในการควบคุมแบบอื่นอาจใหผลในการควบคุมดีกวาแตถามองในแงความคุมคาหรือราคา ของอุปกรณที่
ใชแลวก็สามารถใชแบบนี้ดีกวา
สําหรับในกรณีนอกเหนือจากนี้คือ load มีการเปลี่ยนแปลงบอย ๆ และรวดเร็วมากกวา =5
เปอรเซ็นตตอนาทีขึ้นไป หรือทําให Steam Pressure เกิดเปลี่ยน แปลงจากคา Set point เกินคาที่จะยอมได
ก็ตองใชระบบการควบคุมที่ยุงยากซับซอนเพิ่มขึ้น
การเพิ่มความสามารถของระบบควบคุมเพื่อควบคุม Steam Pressure ใหดีที่สุดก็ตองรูความตองการ
พลังงานเพื่อจะไดปอนพลังงานเขา (Fuel) ใหเหมาะสมกับความตองการอันนี้เปน feed forward และ trim
เพื่อชวยในระบบ Steam Pressure Feedback loop ใหทําการควบคุมบรรลุผลดียิ่งขึ้น ซึ่ง feed forward loop นี้
เปนตัวรับรูเหตุการณที่กําลังเปลี่ยนไปขณะนั้นและชดเชยเขาชวยเพิ่มความสามารถของ feedback control loop
ใหควบคุมไดรวดเร็วขึ้น ดังรูปที่ 3
2.3.1 - 3
Steam Pressure
PT
Steam A
Pressure K d/dt
Control
Steam A
Pressure K
Control
2.3.1 - 4
Steam Pressure Steam Flow
PT PT
Load Demand
Boiler Stored
Energy Error
K
X
Corrected Steady State
Firing Rate Demand
Steam A A r (t)
Pressure K Transient Firing Rate
Control Demand
X
2.3.1 - 5
2. Furnace Control
ผลจากสัญญาณ firing race demand จากระบบ Energy Balance System ที่สงมาก็จะสั่งควบคุม
ปริมาณเชื้อเพลิงและอากาศ ระบบ furnace Control มีหนาที่ดังตอไปนี้
a) ควบคุมระดับพลังงานที่ปอนเขา (Fuel & Air) ใหไดตามสัญญาณ Firing Rate demand
b) ควบคุม Fuel / Air Ratio
อัตราสวนระหวาง Fuel / Air ตองรักษาอยูที่คาที่เหมาะสม เพื่อให Boiler ทํางานอยางมีประสิทธิภาพ
และลดมลภาวะที่เกิดจากการเผาไหมใหนอยที่สุด โดยทั่วไปแลว Fuel / Air Ratio จะไมคงที่ระบบควบคุมจะ
ตองทําหนาที่ปรับ Fuel / Air Ratio ใหเหมาะสมกับ load ขนาดตาง ๆ
c) ควบคุมสภาพของเตาใหปลอดภัย
ควบคุมไมใหเกิดการสะสมของเชื้อเพลิงที่หลงเหลือจากการเผาไหมทั้งในชวงการเพิ่มและลด load
หรือระหวางชวงการ Start up และ Shut down ซึ่งอาจทําใหเกิดเปนอันตรายตอเตาเผาได ระบบ Interlock,
Burner Management และ furnace Control ตองออกแบบใหทํางานสัมพันธกันอยางเหมาะสม ทั้งนี้เพื่อความ
ปลอดภัย
d) ควบคุมรักษาความดันภายในเตา “Furnace Pressure” ใหเหมาะสม
3. Fuel/Air Flow Control
การควบคุม Fuel/Air Flow แบงเปน 2 แบบ คือ “Positioning “ และแบบ Metering ใน Boiler
ขนาดเล็ก ๆ ที่ไมสามารถวัดปริมาณเชื้อเพลิงไดมักใชการควบคุม Fuel/Air ในแบบ “Positioning Type
System” ซึ่ง Fuel และ Air ไมสามารถวัดไดหรือทําไดยาก อัตราสวนของเชื้อเพลิงและอากาศถูกควบคุมดวย
การปรับตําแหนงของ Final Control Element
รูปที่ 5 สัญญาณที่ใชควบคุม Fuel Valve เปนสัญญาณ Firing Rate Demand ซึ่งเปนการปรับ
ปริมาณน้ํามันโดยตรงและในขณะเดียวกันสัญญาณนี้ก็ถูกสงไปปรับ Air Damper โดยผาน Fuel / Air Ratio
เพื่อปรับอากาศใหเปนสัดสวนที่เหมาะสมกับปริมาณ Fuel
ขอดีขอเสียของ Positioning System ขอดีก็คือเปนระบบงาย ๆ พอวางใจไดและไมแพงรวมทั้งมี
Response ตอสัญญาณ Firing Rate เร็ว
2.3.1 - 6
From Firing Rate
Demand
X A Fuel / Air
ratio adjust
f(x) f(x)
Fuel Control Valve Air damper
รูปที่ 5 Basic Parallel Position Furnace Control
อยางไรก็ตาม การควบคุมอัตราสวนระหวางเชื้อเพลิงกับอากาศจะไมไดอัตราสวนที่เที่ยงตรงนัก
เพราะไมมีการวัดปริมาณการไหล และยังมีตัวแปรอื่น ๆ ที่มีผลที่ทําใหสภาพของเชื้อเพลิงและอากาศเปลี่ยน
แปลงไปเชนอุณหภูมิของเชื้อเพลิง, ความดัน, สภาพของบรรยากาศ เปนตน ถาสภาวะเหลานี้ไมคงที่ก็จะมีผล
กระทบตออัตราสวนของ Fuel / Air ซึ่งระบบนี้ไมเหมาะสมที่จะนํามาใชกับระบบที่มี Burner หลาย ๆ หัว
จากขอเสียของ Positioning System จึงทําใหมีการพัฒนามาเปนแบบ “Metering Systems” ซึ่งจะมี
การวัด Fuel และ Air นํามาควบคุมตัวแปรเหลานี้ดวย
ระบบการควบคุมในแบบ “Metering Systems” ที่เปนระบบ Parallel Metering ดังรูปที่ 6 ที่มีทั้ง
Fuel Flow Interlock และ Air Flow Interlock ระบบนี้เรียกวา “Cross Limiting” หรือ “ Flow
Interlock” หรือ “Lead-Lag Parallel-Series Metering System”
พิจารณาการทํางานของระบบในภาวะ Steady State ทั้ง Fuel และ Air Flow Controller จะมีคา
Measurement เทากับคา Set Point ดังนั้นสัญญาณ Firing Rate Demand, Air Flow Set Point, Air Flow
Measurement, Fuel Flow Ser Point และ Fuel Flow measurement จะมีคาเทากันหมด ระบบจะรักษา
สภาพนี้ไวเปนปกติถาไมมีการเปลี่ยนแปลงของ Load
ขณะที่ Load เพิ่มขึ้นซึ่งก็คือสัญญาณ Firing Rate Demand เพิ่มขึ้น , Low Selector จะทําการ
เลือกสัญญาณที่มีคานอยซึ่งในชั่วขณะนี้ก็คือสัญญาณ Air Flow มาเปน Ser Point ใหกับ Fuel Flow
Controller ขณะเดียวกัน High Selector ทําการเลือกสัญญาณ Firing Rate Demand ซึ่งในขณะนั้นมีคามาก
กวา Fuel flow measurement เขาไปเปน Set point ใหกับ Air flow controller ซึ่งจะทําให Set Point ของ
Air Flow Controller สูงขึ้นตาม Firing Rate Demand ขณะนั้นที่เพิ่มขึ้น Output จาก Air Flow
Controller ก็ทําการสั่งเพิ่ม Air Flow ขณะ Air Flow คอย ๆ เพิ่มนั้นสัญญาณ Air Flow Measurement
ที่คอย ๆ เพิ่มขึ้นตามนั้นก็จะมาเปน Set Point ใหกับ Fuel Flow Controller ดังนั้นตอนเพิ่ม Load ก็จะทํา
การเพิ่ม Air กอนแลว Fuel คอยเพิ่มตาม
ตอไปพิจารณาขณะ Load ลดลง ซึ่งก็คือสัญญาณความตองการ Firing Rate Demand ลดลง
ภาวะนี้ Low Selector จะเลือกเอาสัญญาณ Firing Rate Demand มาเปน Set Point ใหกับ Fuel Flow
2.3.1 - 7
Controller ทําให Fuel Flow Controller ทําการปรับแตงลดปริมาณเชื้อเพลิงลงมาขณะเดียวกัน High Selector
ก็จะเลือกสัญญาณ Fuel Flow Measurement ซึ่งกําลังลดลงนี้ซึ่งมีคามากกวา Firing Rate Demand มาเปน
Set Point ใหกับ Air จึงลดลงตาม
FT PT FT
f (x)
A Fuel Air Ratio
Boiler master A
K pressure
controller X
A T
f(x) f(x)
Fuel Final operator Air Final Operator
รูปที่ 6 Fuel Flow and Air Flow Controller
ระบบ Parallel Metering แบบ Cross Limiting นี้มีลักษณะดังนี้
a) ในภาวะ Load เพิ่มขึ้น Air Flow จะเพิ่มกอนแลว Fuel Flow คอยเพิ่มตาม
b) ในภาวะ Load ลดลง Fuel Flow จะลดลงกอนแลว Air Flow จึงคอยลดตาม
C) การที่สัญญาณ Air Flow Measurement ลดลงดวยสาเหตุใดก็ตาม จะทําใหลด Fuel ลงมาดวยจํานวน
ที่เทากัน
D) การที่สัญญาณ Fuel Flow Measurement เพิ่มขึ้นดวยสาเหตุใดก็ตาม ก็จะทําให Air Flow เพิ่มขึ้น
ดวยจํานวนที่เหมาะสมกัน
ดังนั้น ระบบนี้จึงเปน Basic ของวงจร ควบคุมปริมาณเชื้อเพลิงและอากาศที่ใชงานในโรงไฟฟาสมัยนี้
ซึ่งเปนระบบที่ใหความปลอดภัยแก Boiler ไมวาจะเพิ่มหรือลด Load
2.3.1 - 8
Fuel Control
ระบบ Fuel Control มีหนาที่หลักในการควบคุมปริมาณเชื้อเพลิง ที่ใชในการเผาไหมใหเหมาะสม
โดยมองถึงดานประสิทธิภาพในการเผาไหม และความปลอดภัย
Set point หรือ Desired value ในระบบ Fuel oil control เปน output signal มาจากระบบ
Boiler Master Control สัญญาณของ Boiler Master Demand ดังกลาวจะถูกนํามาเปรียบเทียบกับ Air
Flow Cross Limit ซึ่งเปนสัญญาณ Actual Air Flow (Air Demand Corrected) ที่สงมาจากระบบ Air
flow control อีกทีหนึ่ง low select circuit จะเลือกสัญญาณที่ต่ํากวาเพื่อนําไปใชเปน Set point ของ Fuel
oil controller ตอไป ทําไมจึงตองมีการใส Air flow cross limit มาใชแทนที่จะใชสัญญาณของ Boiler
Master output มาเปน Set point โดยตรงเลยนั้นมีสาเหตุสวนหนึ่งมาจากดานความปลอดภัย เนื่องจากใน
ระบบ Fuel flow-Air flow control มีลักษณะที่จัดให Controlled Variable ทั้ง 2 ตัว คือ Air และ Fuel
เพิ่มขึ้นหรือลดลงไปดวยกันจึงอาจเกิดสภาพของ Fuel / Air ratio สูงเกินปกติได (Fuel rich) ถา Boiler Master
Demand เพิ่มขึ้นแลวระบบ Fuel flow เพิ่มขึ้นเพียงอยางเดียวโดย Air flow ไมเพิ่มขึ้นจะดวยความผิดปกติ
อยางใดก็ตาม limit ดังกลาวจึงใสมาสําหรับใชตรวจสอบเพื่อความแนใจวาการเพิ่ม Combustion Air นั้นทํา
ไดเรียบรอยดีหรือไมกอนที่จะเพิ่ม Fuel ตาม โดยการใชสัญญาณจาก Actual Air flow มาเปน feedback
signal (Cross limit ดังกลาว สําหรับทางระบบ Air flow ก็มีใสไวเชนกันโดยเรียกชื่อวา Fuel flow cross
limit)
Measured Variable สําหรับนํามาเปรียบเทียบกับ Desired Value นั้นเปนสัญญาณรวมของ Fuel
flow สําหรับ Fuel oil flow consumption ซึ่งไดจากการหัก Fuel oil return flow ออกจาก Fuel oil
flow จะนําไปรวมกัน Ignitor oil flow เพื่อใหสัญญาณรวมเปน Total Fuel Controller ซึ่งจะนําไปเปรียบ
เทียบกับ Set point จาก Boiler Master Output เพื่อเปนขอมูลให Controller ดําเนินการตัดสินใจปรับแตง
Fuel oil control valve อีกทีหนึ่ง
2.3.1 - 9
B o ile r m a ste r A ir d e m a nd c o rre c t
F u e l o il flo w
d e m an d from air flo w Ig n ito r O il Flo w
re tu rn
H J FT FT
K
F u e l o il su p p ly to
fu e l o il h e a te r
< te m p c o n tro l
R CRT
R CRT T o ta l F u e l to
I
a ir flow c on trol
T ra c k w h e n M /A
in m a n u a l
L H K
A la rm M RE PLW
fu e l oil flo w
A T A I
f (x) f (x)
%
I/P I/P
f(x) f(x)
F u ll c a p a c ity fue l o il H a lf ca p ac ity fu e l o il
flow c on trol va lve flow c on trol va lve
รูปที่ 7 Fuel Flow Control
Air Flow Control
ระบบ Air flow control มีหนาที่หลักในการควบคุมปริมาณอากาศที่เหมาะสมและถูกตองเพื่อยังผล
ให การเผาไหมของเชื้อเพลิงใน Boiler เปนไปอยางมีประสิทธิภาพ
สัญญาณ Boiler master demand จะแยกไปเขาวงจร lead-lag ซึ่งมีหนาที่หลักในการบังคับให
Air/Fuel ratio มีคามากอยูเสมอในขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงของ load ทั้งนี้เพื่อเหตุผลในดานความปลอดภัย
High Selector Circuit จะเลือกสัญญาณที่มีคาสูงสุดระหวาง Boiler Master Demand หรือ Total fuel corrected
หรือ Minimum Air Flow Controller ตอไป
สัญญาณ Steam flow (Boiler load) จะนํามาเปนสัญญาณปอนใหกับ Function generator ซึ่งจะให
output ออกเปนคา Oxygen (O2) Set point สัญญาณดังกลาวจะถูกสงตอไปเขา Oxygen Controller การจัด
ปริมาณของ O2 และ Co ใน flue gas ใช O2 และ Co probe, oxygen set point จะนํามาเปรียบเทียบกับคา O2
ที่วัดได Deviation ที่เกิดขึ้นจะปอนเขาสู O2 Controller ซึ่งจะสง output ออกไปยัง Excess Air Ration A/M
Station โดยที่ Controller action เปนแบบ Proportional plus reset output ดังกลาวจะถูก Modified กอนจะสงเขา
2.3.1 - 10
ไปยัง Multiplier ตอไป สําหรับ Co. controller ซึ่งจะสง output ออกไปเปน Set point ของ O2
controller
Air flow ที่วัดไดจาก Flow transmitter นําออกไปเปนสัญญาณสําหรับสวนตาง ๆ ดังนี้
1.ใชเปน Input ของ Signal monitor เพื่อตรวจสอบวา Air flow 30%และสงสัญญาณ purge permit ใหกับ
Burner Management system นอกจากนั้นยังมี low limit check วา Air flow < 30% เพื่อสงเปนสัญญาณ
alarm
2. นําไปเปรียบเทียบกับสัญญาณ Total Fuel Corrected
3. นําไปเปรียบเทียบกับสัญญาณ Air flow demand เพื่อเปนเงื่อนไขในการเพิ่ม/ลด ใหกับ Excess Air
Ratio A/M station
Actual Air Flow จะถูกนํามาเปรียบเทียบกับ Air Flow Demand, Deviation ที่เกิดขึ้นจะปอนเขาสู Air
flow controller ซึ่งจะสง output ออกไปยัง FD. Fan inlet damper M/A station สําหรับ Gain change and
balance circuit เปนวงจรที่ใสไวเพื่อประสานการทํางานของ FD. Fan ทั้งสองตัวเพื่อใหไดปริมาณ Air flow
ตามที่ตองการโดยมีลักษณะที่สําคัญดังนี้
1. ไมวาจะมี FD. Fan ทํางานอยูหนึ่งหรือสองตัวก็ตาม ระบบควบคุมปรับการทํางานเพื่อใหเหมาะสมกับ
สภาพในขณะนั้นมากที่สุด
2. ในกรณีที่ใชงาน FD. Fan ทั้ง 2 ตัว และ M/A station ของตัวที่อยูในสภาพ manual ในขณะที่อีกตัว
อยูในสภาพ Automatic ถา output ของตัวที่เปน manual มีการเปลี่ยนแปลงก็จะทําใหตัวที่เปน
Automatic แกไขหรือปรับ output ของตัวเองทันที เพื่อทําใหระบบคลังเขาสูสภาพสมดุลยโดยพยายามให
เกิด error ขึ้นนอยที่สุด
2.3.1 - 11
AH B air outlet AH A air outlet
Oxygen Analyzer CO. Analyzer
temp Air Flow AH. B temp Air Flow AH. A
H/L Alarm H/ Alarm
TE FT TE FT AT AT
Boiler Master Total Fuel R CRT CRT
Demand Correc.
TT TT H J
MRE
K
A 25% MCR A T A I
AP/T AP/T
2.3.1 - 12
แยกไอน้ํา ทํางานไมไหวที่ระดับสูง ๆ การที่มี solid หลุดปนไปกับไอน้ําที่เรียกวา carryover และเขาไปเกาะ
อยูตาม Turbine blade ก็ดี หรือการที่น้ําสูงจนเขาไปใน Super heat ไดที่ เรียกวา priming ก็ได แลวจะเกิดผล
เสียกับ Turbine และ Super heater ดังนั้นการรักษาระดับน้ําใน drum มีความสําคัญมาก จะตองใชระบบควบ
คุมที่ออกจะสลับซับซอนพอสมควร พรอมทั้งระบบปองกันสําหรับทํางานเมื่อเกิดเหตุผิดปกติ อาจจะมีผู
สงสัยวาทําไม ถึงตองใชระบบที่ยุงยากแทนที่จะใชระบบธรรมดา เชนการควบคุมใน Condensate storage tank
เพราะวาลักษณะจําเพาะของระดับน้ําใน drum ไมไดแปรเปลี่ยนเชนเดียวกับระดับน้ําในถัง กลาวคือ ถามี
ปริมาณการไหลเขามากกวาออกไปก็จะทําใหระดับน้ําเพิ่มขึ้น และลดลงในกรณีกลับกัน ถาเปนดังเชนที่วามานี้
เมื่อ Boiler load เพิ่มขึ้นระดับน้ําลดลงเพราะ Feed water ยังเพิ่มขึ้นไมทัน และในทํานองเดียวกัน เมื่อ Boiler
load ลดลง ระดับน้ํานาจะเพิ่มขึ้นเพราะ Feed water ยังไมลด แตในการปฏิบัติกลับปรากฏวา ผลออกมาตรง
กันขามในชวงเวลาขณะหนึ่งเนื่องจากปรากฏที่ระดับน้ําเพิ่มขึ้นหรือลดลงทั้ง ๆ ที่ปริมาตรของน้ํายังคงเดิม ซึ่งมี
ชื่อเรียกวา Swell and shrink อันเปนลักษณะพิเศษของ drum level โดยเฉพาะ Swell เกิดอาการขยายตัวของ
steam bubble ที่เกิดขึ้นและแทรกตัวอยูในน้ํา เมื่อ Drum pressure ลดลงอันเปนผลมาจากการเพิ่ม steam flow
(เพิ่ม load) ในดานของ Thermodynamic หมายถึงการที่ Drum pressure ลดลงจนต่ํากวา Saturation pressure
ทําใหน้ําซึ่งมี enthalpy เกินกวาจะดํารงลักษณะอยูที่จุดดังกลาวจําตองเปลี่ยนสภาพกลายเปนไอน้ําซึ่งมี
Enthalpy สูงกวาสภาพดังกลาว น้ําเดือดภายใตความดันสูง ในทํานองกลับกัน ถามีการลด steam flow (ลด
load) ก็จะเกิดการเพิ่มของ drum pressure ขึ้นทันทีในชวงแรก และทําใหน้ําที่กําลังเดือดอยูหยุดเดือดเปนผล
ให steam bubble ที่จมและปะปนอยูในน้ําตดลงไป ทําใหระดับน้ําในdrum ลดลง ทั้งที่ปริมาณยังคงเดิม
อาการดังกลาวเรียกวา Shrink จากเหตุผลที่กลาวมาคงพอจะมองเห็นไดวา Steam bubble ที่จมอยูใตน้ํานั้นเอง
เปนตัวทําใหระดับน้ําเพิ่มสูงขึ้น ถาดูจาก steam tables จะเห็นวาที่ความดัน 2600 psia นั้นไอน้ําจะมีปริมาตร
มากกวาน้ําประมาณ 4 เทา ดังนั้นถาเกิดการเดือดของน้ํา จะทําใหระดับน้ําเพิ่มขึ้นทั้ง ๆ ที่น้ําเทาเกาและจะเพิ่ม
มากยิ่งขึ้นถา ถาน้ําเดือดมากหรือไอน้ําปนอยูมาก ระดับน้ําที่วัดไดลวนแลวแตเปนระดับของน้ํารวมกับ steam
bubble ที่ปะปนอยู ทําใหเกิดปญหาเกี่ยวกับทิศทางของการควบคุมระดับน้ําในกรณีของทั้ง Swell และ Shrink
โดยสําหรับในกรณีแรกนั้นระดับน้ําที่ปรากฏ ซึ่งขณะนั้นสูงขึ้น (ซึ่งควรจะเพิ่ม Feed water) จากปญหาดัง
กลารวมกับการที่ Capacity ของ drum คอนขางเล็ก เมื่อเทียบกับ Boiler Capacity ทําใหเกิดความจําเปนในการ
ใชระบบควบคุมที่ทํางานไดถูกตองและรวดเร็วเพื่อใหการควบคุมระดับน้ําสําหรับ Boiler ที่ใชความดันสูงทํา
ไดอยางมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของ load ขึ้น
การควบคุมระดับน้ําในdrum ใชระบบ Single Element Control ในขณะที่ load ต่ํา ซึ่งมี Variable เพียง
ตัวเดียว คือ Drum level และใชระบบ Three Element Control เมื่อ load สูงขึ้น ซึ่งมี Variable ที่เกี่ยวของถึง
สามตัวคือ Drum level, steam flow และ Feed water flow.
2.3.1 - 13
Single Element Feed water Control.
การใชระบบ Sing element ที่ load ต่ํามาจากเหตุผลที่วาความแมนยําของการวัดคา Feed water
flow และ Steam flow นั้นไมดีเทาที่ควร และประการที่สองดวยลักษณะจําเพาะของการควบคุมแบบ
Single Element ที่มีความเหมาะสมกับ Boiler ที่มีความจุของ Drum สูง สามารถรับการเปลี่ยนแปลงของ
ระดับน้ําไดมาก หรือถึงแมจะมีขนาดของ Drum ไมใหญแตการเปลี่ยนแปลงของ load ไมมากก็ยังคงใชไดดี
ทําใหไมมีปญหาในการนําระบบนี้มาใชในขณะ load ต่ํา
ระบบ Single Element จะมี Measured Variable เพียงตัวเดียว คือ Drum level ที่ถูก
Compensate ดวย Drum pressure ซึ่งนํามาเปรียบเทียบกับ set point, Deviation ที่เกิดขึ้นจะปอนเขาสู Single
Element Drum Level Controller สัญญาณ Controller output จะสงมายัง Half capacity Feed water Flow
Control Valve เพื่อปรับระดับน้ําใน Drum ตอไป
2.3.1 - 14
steam flow ที่ตางออกไปจาก Feed water flow ทําให Feed water flow Controller เปนผลใหปริมาณน้ําที่
รักษาอยูใน Drum ไมเปลี่ยนมากเกินไป ซึ่งสุดทายแลวจะทําใหการควบคุมระดับน้ําทําไดงายขึ้น
Drum Drum Main steam flow
Feed water flow ATT. Spray flow Level Pressure
C
FT FT LT PT
Feed water temp
TE R CRT
Three element
drum level
TT X
H/L Alarm
controller
R CRT
AP/T AP/T
K
CRT R
CRT R
Total feed
water flow to J
deaerator
Three element
Single element
feedwater flow
drum level cont.
control
K K
0.0 V> T 0.0
MRE T MRE
100%
Drum level
I A T A A I set point T A I
Track when M/A in
manual
I/P I/P
f(x) f(x)
Full capacity feedwater flow Half capacity feedwater flow
control valve control valve
2.3.1 - 15
Superheat Temperature Control
ระบบ Superheat temperature control มีหนาที่หลักในการควบคุมอุณหภูมิของ Superheated steam ที่
load ตางๆ กัน การควบคุมอุณหภูมินอกจากจะมีความสําคัญตอประสิทธิภาพของ Turbine แลวยังมีความจํา
เปนในดานที่เปนการปองกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับวัสดุหรือเนื้อเหล็กของ Turbine อีกดวย โดยทั่ว
ไปแลวความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ Turbine metal เมื่ออุณหภูมิของไอน้ําเปลี่ยนแปลงมากจนเกินขีด กําหนด
นั้นมาจากเหตุผลดังนี้
1. โลหะที่ใชผลิต Turbine, steam chest ซึ่งใชงานอยูในยานของอุณหภูมิประมาณ 565 ‘c
2. Turbine ไดถูกสรางขึ้นโดยมี clearances ระหวางสวนที่อยูกับที่ (stationary part) และสวนที่หมุน
(moving blades) แคบมากทําใหเพิ่มขีดจํากัดเกี่ยวกับการขยายตัวที่อาจไมเทากันทั้ง 2 สวน อันเปนผลมาจาก
การเปลี่ยนแปลงของ Steam temperature
2.3.1 - 16
Superheater Desuperheater เปนอุปกรณที่ใชควบคุมอุณหภูมิชนิด spray – type ซึ่งติดตั้งอยู
ระหวาง primary และ secondary superheater coil อุปกรณดังกลาวมีดวยกัน 2 ชุด โดยแตละชุดจะใช
Spray control valve 1 ตัว ระบบควบคุมมีลักษณะเปนแบบ cascade control โดยสามารถแยกแยะสวน
ประกอบของ control loop ออกตาม Basic concept of cascade control ไดดังนี้
1. outlet temperature controller (101 และ 102) ทําหนาที่เปน Secondary Controller ที่ให output
signal ออกไปควบคุม spray control valve
2. Desuperheating process เปน secondary process ของ Inner loop โดยมี Superheater
Attemperator outlet temp. (SH. ATT. outlet temp) เปน Secondary variable
3. การถายเทความรอนใน Secondary superheater coil เปน primary process โดยมี Superheat
outlet temp. เปน primary variable
4. Final superheat outlet temp. Controller ทําหนาที่เปน primary controller โดยที่ controller
output signal จะถูกนําไปใชเปน set point ของ Secondary controller
5. Final control element ไดแก spray control valve จึงทําหนาที่ควบคุม Manipulated variable
คือ spray flow
Set point ของ Final superheat outlet temp. controller เปนคาที่ไดจาก Function generator ซึ่งมี Steam
flow signal เปนคา input อุณหภูมิเฉลี่ยของ superheat outlet temp. จะถูกเปรียบเทียบกับ Set point ดังกลาว
เพื่อหาคา Deviation ซึ่งมี controller action เปนแบบ PI+ Feed forward โดยใช Boiler Master Demand เปน
Feed forward, Controller output signal จะสงไปเปน Set point ใหกับ outlet temp. controller ตอไป
ทางดาน outlet temperature controller (P+I) จะเปรียบเทียบ set point และ SH. ATT. Outlet temp
โดยที่ถาพบวามี error เกิดขึ้นก็จะสง correction signal ไปยัง Spray control valve โดยผาน A/M transfer
station ของ valve แตละชุด เนื่องจาก outlet temp controller 2 ชุด ใช set point รวมกันจึงสามารถลด
สัญญาณการควบคุมของตัวหนึ่งโดยไปเพิ่ม ใหอีกตัวหนึ่งไดทาง Bias ขณะที่ A/M station อยูในสภาพ
Manual จะมีการ track ผาน controller เพื่อให A/M station output เทากับ Input
2.3.1 - 17
จากการที่วงจร steam temp. control ไดจัดโครงสรางในแบบ Cascade control โดยที่ทั้ง primary และ
secondary controller ตางก็มี controller action เปนแบบ P+I ดวยกัน ทําใหอาจเปนไปไดวาในบางครั้งจะ
มีการ Drive ของภาค Integrator ลงไปจนถึงจุด saturate ตัวอยางของเหตุการณเชนในขณะที่เริ่ม startup นั้น
SH. Outlet temp ยังต่ํากวา set point ที่เปนสัดสวนกับ Boiler load อยู อันจะยังผลให Integrator – Amplifier
ของ Final SH. Outlet Temp. Controller ทําการ Drive output signal เพิ่มขึ้นจน Saturate เนื่องจาก error ที่
ปรากฏอยูในทางบวก
ถาปราศจาก Anti. Reset windup Circuit แลว outlet temp. controller จะรับ output ของ Final
SH. Outlet temp. Controller มาเขาขาลบ ทําใหดูเหมือนวา Set point temp ต่ํามาก ๆ Integrator – Amplifier
ของ outlet temp. controller จะ Drive สัญญาณ output เพื่อปด spray control valve และจะ Drive ตอไป
เรื่อยจนถึงสภาพ Saturate เนื่องจาก error ยังคางอยู เมื่อ load คอย ๆ สูงขึ้นจน SH. Outlet temp เริ่มสูงกวา
set point เล็กนอย ซึ่งควรเปนจังหวะที่ spray control valve เริ่มเปดเพื่อลดอุณหภูมิลง แต spray control valve
จะยังเปดไมไดจนกวา Final SH. Outlet temp. controller จะ drive output ( ที่ saturate อยู ) ใหคอย ๆลงมา ซึ่ง
จะเปนผลให set point ของ outlet temp. controller ต่ํากวา SH.ATT. outlet temp ที่วัดมาไดจึงจะเริ่มใช spray
control valve เขาคุมอุณหภูมิ เวลาที่ controller ใชในการ drive ขึ้นลงโดยไมจําเปน
Anti reset windup ใสเขามาใสวงจรเพื่อทําหนาที่ปองกันไมให output ของ Final SH. Outlet temp.
controller ที่จะเขาไปเปน set point ของ outlet temp controller สูงขึ้นจนกระทั่งทําให outlet temp.
controller ทําการ drive output จน saturate ได การทํางานของวงจรดังกลาวจะใชสัญญาณตัวใดตัวหนึ่งที่มี
คาสูงกวา (High select) ระหวาง Spray control valve position demand ทั้ง 2 ตัว ไปเปรียบเทียบกับตําแหนงที่
spray control valve ปดพอดี (0%) ถา outlet temp controller พยายามที่จะ drive output ใหออกมาเปนคาลบ
เนื่องจาก SH.ATT. outlet tempยังคงต่ํากวา set point อยูก็จะเปนผลให Integrator – Amplifier ทําการ drive
output หรือ high limit ที่จะนําไปเปน set point ของ outlet temp. controller ใหลดลงจนกวา Set point นั้น
เทากับ SH.ATT. outlet temp พอดีจึงจะหมด ผลที่ไดก็คือ Set point ของ outlet temp controller จะเกือบเทา
ๆ กับ SH.ATT. outlet temp ในขณะที่ Spray control valve อยูตําแหนงปด ที่ Final SH. Outlet temp
controller เมื่อ SH. Outlet temp เริ่มสูงกวา set point, Integrator จะเริ่ม drive output ใหลดลงเรื่อย ๆ จน
กระทั่งทําให Set point ของ outlet temp controller เริ่มต่ําลง SH.ATT. outlet temp ในขณะนั้นก็จะทําให
Spray control valve เริ่มทํางานทันทีเนื่องจาก outlet temp. controller ไดหยุด output ไวตรงที่ตําแหนง
spray control valve ปดโดยไมได drive จนเลยลงไปจน saturate
กลาวโดยสรุปก็คือ Anti Reset Windup circuit จะทําหนาที่หยุดการ drive ของ Integrator –
Amplifier ของ outlet temp controller ไวใหพรอมที่จะทํางานโดยการเปด spray valve โดยทันที ถา set point
ต่ํากวา controlled variable เมื่อ Spray control valve เริ่มเปดขึ้นบาง ( คา output ของ outlet temp controller
เปนบวกหรือมากกวาศูนย) จะเปนผลใหวงจร Integrator – Amplifier จะ drive output ขึ้นไปทางบวกทําให
high limit ของ Final SH. Outlet temp controller output เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆจนไปติดคา saturate
2.3.1 - 18
Approach to Saturation limit circuit
เปนวงจรที่ทําหนาที่ปองกันไมให Steam temp controller ควบคุมการ Spray น้ําจนเกินความตองการ
จนอาจเปนผลให Steam temp ลดลงจนต่ําถึง saturation temp ได
การควบคุม Temp ของไอน้ําโดยแบบพนละอองน้ําเขาไปผสมกับไอน้ําเพื่อลดอุณหภูมิของไอน้ําลง
โดยอุปกรณที่เรียกวา Spray type desuperheater นั้น มีจุดมุงหมายเพื่อลด temp ของไอน้ําที่เรียกวา Degree
superheat ลงมาโดยไมใหสูงจนเปนอันตรายกับเนื้อโลหะที่ใชทํา Superheater, Inlet Blanc ซึ่งสวนมากจะเปน
Ferritic steel ที่ทนอุณหภูมิไดประมาณ 565’c การ spray จึงมีหลักการอยูวาจะใชเพื่อลดอุณหภูมิลงมาใหพน
จากขีดจํากัดก็พอเพียงเพราะไอน้ําที่มีอุณหภูมิสูง หมายถึงประสิทธิภาพของ Turbine ที่สูงขึ้น และลด heat loss
ตลอดจนโอกาสที่ใบพัดแถวทายจะเสียหาย เนื่องจากไอน้ําที่มีสภาพ เปน wet steam ลง การ spray จึงมิไดมีขึ้น
เพื่อลดอุณหภูมิลงไปจนถึง Saturate temp อันเปนการผิดทั้งหลักการและวัตถุประสงค ของการควบคุมอุณหภูมิ
หลักการทํางานของวงจร Approach to saturation limit circuit นั้นทําโดยการจํากัดคากําหนดดานลาง
(low limit) ของ controller ไวดวย saturated temp signal เพื่อไมให controller สั่ง spray น้ําไปต่ํากวาจุดดัง
กลาว วงจร Approach to saturation limit circuit จะนําคา Drum pressure มายอนเปน input ของ function
generator ซึ่งจะคํานวณคา output ที่เรียกวา saturated temp signal สัญญาณ outlet temp controller set point
จะนํามาเปรียบเทียบกับ saturation temp signal โดยที่ถามี error ในทางบวก (set point ต่ํากวา sat. temp) จะ
เปนผลให Integrator – Amplifier ทําการปรับคา low limit ใหสูงขึ้นหรือทําให Set point สูงขึ้นจนพน
Sat.temp
สําหรับ Spray control valve M/A station นั้น ถาอยูใน Manual mode ก็จะปรับ Input signal ให track
ตาม output ดวย tracking Amplifier ของ outlet temp controller สวนในกรณีที่ spray control valve M/A ทั้ง
101,102 เปน manual ทั้งคูนั้น Final SH. Outlet temp controller จะ track ตามคาเฉลี่ยของ ATT. SH. Outlet
temp.
2.3.1 - 19
Att SH. Outlet Boiler Master Main Steam SH Outlet Temp SH Outlet Temp ATT SH Outlet
Drum Pressure
temp A Demand Flow A B Temp B
TE C C TE TE PT TE
Bias press
Alarm Alarm A Alarm
H/L TT f(x) TT TT Alarm TT
f(x) H/L H/L H/L
CRT CRT R R CRT CRT
< A T T
Max. 530C
setpoint
LAG N
0% A
Set stage A Set stage B
outlet temp -K outlet temp
control control
K > K
MRE PLW MRE PLW
I A T A I I A T A I
I/P I/P
f(x) f(x)
2.3.1 - 20
Measured Variable ไดจากการวัดอุณหภูมิของ steam บริเวณ Reheat outlet, Disturbances ของระบบ
คือ load change, Boiler trip
Reheater เปนเพียง Heat exchanger ชนิด Non-Contact ที่ใช Flue gas เปน Hot Fluid ทําหนาที่ถาย
เทความรอนใหกับ steam ซึ่งเปน Cold fluid เนื่องจาก Reheater ติดตั้งอยูในบริเวณที่เรียกวา Convection zone
ทําใหการถายเทความรอนเปนแบบ Convection Heat Transfer
2.3.1 - 21
ทางดาน Secondary controller (P+I) จะเปรียบเทียบ Set point และ ATT. RH. Outlet temp โดยที่ถา
พบวามี error เกิดขึ้นก็จะสง correct signal ไปยัง spray control valve โดยผาน A/M station ของ valve
ขณะที่ A/M station อยูในสภาพ Manual จะมีการ track ผาน controller เพื่อให A/M station output เทากับ
Input
ATT RHOutlet
Temp
GRFan Diff RHOutlet Temp RHOutlet Temp
Furnaces
Pressure A B TE
Pressure
D DP TE TE
TT
Alarm Alarm
TT TT Alarm
/L H/L H/L CRT
-
CRT R R CRT
f(x) A Bias +5C
+ T T
N K
K
K
25% A A 50%
MRE MRE K
I A T A I Gas recirc diff T A I MRE PLW
pressure low-low
is close damper T I A T A I
25% A < to 0% setpoint
2.3.1 - 22
คําถามทายบท
1. Process มีลักษณะเฉพาะตัวอยางไรจึงจะใชระบบควบคุมแบบ On-Off ได
2. Dead Band มีความสําคัญอยางไรสําหรับ On-Off Control
3. Proportional Band คืออะไร? PB กวางและแคบมีผลอยางไรตอระบบควบคุม
4. Off Set คืออะไร และมีวิธีแกไขทําไดอยางไร
5. Derivative Control มีบทบาทตอ Transient ที่เกิดขึ้นอยางไร
6. P, I และ D มีบทบาทแตกตางกันอยางไร
7. อธิบายรูปแบบของ Combustion Control แบบ Series Metering ขอดี-ขอเสียเมื่ออุปกรณมีปญหา
8. อธิบายรูปแบบของ Combustion Control แบบ Lead-Lay ขอดี-ขอเสียเมื่ออุปกรณมีปญหา
9. จงเปรียบเทียบ Feedwater Control โดยใช Single Element, Two Element และ Three Element
10. วิธีการควบคุมอุณหภูมิของ Main Steam มีกี่วิธี, อะไรบาง
2.3.1 - 23
2.3.1 - 24
2.3.1 - 25
2.3.2 Turbine Control
2.3.3 Generator and Exciter
2.3.3 - 1
โครงสรางและหลักการทํางาน
(Construction and Principle of Operation)
1.1 GENERATOR
จากรูป 1A แสดงหลักการงาย ๆ ของ Generator เมื่อ Magnetic Field หมุนผาน Stationary Coil
จะ Induced Current และ Voltage ขึ้นที่ Stationary Coil Magnetic Field เกิดขึ้นไดจากการปอนไฟ
DC เขาที่ขดลวดของ Rotor กระแสไฟ DC จะทําใหเกิด Magnetic Field ขึ้นที่ Rotor และ เมื่อ Rotor
หมุนจะ Induced AC Voltage และ Current ขึ้นที่ Stationary Coil
Stator Coil
2.3.3 - 2
Stator Coil
N
S S
N
2.3.3 - 3
Rotor Winding จะวางลงในชอง Slots และตอเขาดวยกันที่ปลายของแตละชุด เพื่อวางรูป
ใหเปน Coil และกําหนดขั้ว N และ S ซึ่งเปนตัวกําหนดการหมุนของ Electromagnet Fan ติดตั้งไว
เปนตัวระบายความรอน Collector Ring เปนที่สําหรับ DC Input ที่จะปอนเขาไปที่ Rotor ซึ่งกลาว
โดยละเอียดในตอนตอไป
Frequency คือตัววัด Speed ถาเพิ่ม Power ที่ไดจาก Generator โดยไมเพิ่ม Power ที่ใหกับ
Turbine จะทําให Speed ตกลง ซึ่งเราสามารถรูไดโดย Frequency จะตกลง
ควรจําไววา Generator ไมไดเปนตัวสราง Electrical Energy แต Generator เปนเครื่องมือที่
เปลี่ยน Mechanical Energy เปน Electrical Energy
2.3.3 - 4
Outer Frame fสรางใหมีลักษณะเปนทอเพื่อใชเปนที่เก็บ H2 สําหรับ Cool และทําใหเปน
ชอง สําหรับเปนทางให H2 ไหลผาน Generator
Inner Frame เปนติดตั้ง Stator Core ซึ่ง Stator Core จะทําใหมีลักษณะเปนชองเพื่อสําหรับ
ใส Copper Conductor
2.3.3 - 5
และการที่แกนเหล็กทําดวยแผนเหล็กบาง ๆ นี้ อาจทําใหเกิดเสียง Hum เนื่องจากการสั่น
ของเหล็กแผน ซึ่งอาจไดยินในขณะที่ Generator ทํางาน
กอนที่ Copper Bar จะนําลงไปใสในชอง Slot จะตองมี Insulation กั้นระหวาง Conductor
และ Iron Core รวมทั้ง Synthetic Varnish, mica และ Glass Tape Station Conductor จะยึดอยูใน
Slot ดวย Strong Wedges ซึ่งเปนวัสดุที่เปนฉนวน
ใน Machine ขนาดใหญ, Conductor ในแตละ Slot จะอยูรอบ ๆ ทอ ซึ่งทําเปนทางให H2
ไหลผาน , ซึ่งแสดงในรูป 1 H Stator Coil เราสามารถระบายความรอนไดโดยใชน้ําไหลผานเขาไป
ใน Conductor , ซึ่งจะทําเปนชองใหน้ําผาน
2.3.3 - 6
รูป 1J,1K Rotor Forging& Rotor Conductors – Hydrogen Cooled
2.3.3 - 7
รูป 1L Insulated Bearing
1.4 EXCITATION
จากรูป 1M แสดง Excitation Schematic
Exciter คือ DC Generator ซึ่งสามารถขับโดย Electric Motor หรือ ตนกําลังอื่น ๆ ไฟ DC
จายเขาที่ Slip Ring ของ Rotor และ Control โดยปรับใหพอเพียงกับความตองการของ Generator
Rotor
(+) (-)
2.3.3 - 8
จากรูป 1N Exciter ขับโดยตรงจาก Main Rotor Shaft
DC Generator ตามปกติ Magnetic Field จะเปน Stationary ในขณะที่ Power ออกมาจาก
Rotating Winding ที่เรียกวา Armature
Collector
Ring (-) Commutator
Exciter
Brush (+)
รูป 1N Directly Driven Exciter
รูป 1O DC Generator
ใน DC Generator , กระแสไฟที่เกิดขึ้นที่ Armature Conductor เปนไฟ AC และเปลี่ยนเปน
ไฟ DC โดย Commutator แปรงถานจะนําไฟ DC จาก Commutator และสงตอไปให Main Rotor
กระแสไฟฟาสําหรับสราง Electro-Magnetic Field เอามาจากตนกําเนิด DC ภายนอกหรือ
มาจาก Commutator , Self-Excited DC Generator (ใชไฟ DC จาก Commutator) ดังแสดงในรูป 1P
ถาเปลี่ยนแปลงความเขมขนของ Magnetic Field , Out Put Voltage ของ Armature จะเปลี่ยนแปลง
Magnetic Field หรือโดยแยก Generator อีกตัวตางหาก
2.3.3 - 9
Field Switch
(+)
Rotor
2.3.3 - 10
การเปลี่ยนแปลงของ Rotating Magnetic Field จะไมเปลี่ยน Horse Power Input ที่
Generator แตจะมีผลที่ Voltage Output
Voltage
Power Amp
Control
Auto Man.
2.3.3 - 11
1. Pilot Exciter และ Main Exciter ซึ่งจะทําหนาที่จายไฟ DC จาก Commutator ใหกับ
main Rotor โดยอาศัย Slip Ring
2. Brushless Exciter ซึ่งไมตองใช Commutator , Slip Ring , Brush แตจะใช Rotating
Rectifier
3. Static Excitation ไฟ DC จากการ Rectifier , ไฟ AC ไดจาก Generator Line ไฟ DC
จะจายเขาที่ Rotor โดย Slip Ring
ทุก ๆ แบบที่กลาวมา , Voltage สามารถ Control ไดทั้ง Manual และ Automatic โดยการ
ปรับกระแสที่จายเขาที่ Rotor
Stator
brush
Rotor
DC (-) DC (+)
Controller
Static Exciter
AC.
รูป 1S Static Excitation
2.3.3 - 12
คําถามทายบทเรื่อง Generator&Exciter
1. Generator หมุนที่ความเร็ว 3000 rpm. มีจํานวน 2 Pole จะมีความถี่เทาใด
2. Hydrogen ที่หมุนเวียนภายใน Stator Coil ของ Generator ทําหนาที่อะไร
3. แกนเหล็กของ Stator จะไมทําเปนเหล็กแทงแตจะประกอบดวยเหล็กแผนบางๆ
เพื่อตองการลดอะไร
4. การปองกันความเสียหารที่ Bearing อันเนื่องมาจากการไหลของ Eddy Current
สามารถทําไดอยางไร
5. Static Excitation แตกตางกับ Brushless Excitation อยางไร
6. ในปจจุบันระบบ Excitation ที่นิยมใชกันมีกี่แบบอยางไรบาง
เอกสารอางอิง
1. เอกสารการอบรมหลักสูตร Electrical Power Plant
เรียบเรียงโดย. : ฝายฝกอบรม
การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย
2.3.3 - 13
2.3.4 Generator Protection
2.3.4 - 1
การปองกันเครื่องกําเนิดไฟฟากระแสสลับ
Generator Protection
1.1 บทนํา
โดยทั่วไปอาจกลาวไดวา เครื่องกําเนิดไฟฟาเปนหัวใจของระบบพลังงานไฟฟา เครื่องกําเนิดไฟฟาเปน
อุปกรณที่เปลี่ยนพลังงานกลของ เครื่องจักรตนกําลัง (Prime Mover) ใหเปนพลังงานไฟฟา เครื่องจักรตนกําลังที่
นิยมใชกันในปจจุบันสําหับผลิตพลังงานไฟฟา มีหลายชนิด เชน แบบใชไอน้ํา (Stem Turbine) แบบใชแกส
(Gas Turbine) แบบใชพลังน้ํา (Water Turbine) แบบเครื่องยนตดีเซล (Diesel Engine) เปนตน การที่เครื่องจักร
ตนมีลักษณะตางกัน ทําใหเครื่องกําเนิดไฟฟาที่ใชกัน เครื่องจักรตนกําลัง นั้น ๆ มีลักษณะแตกตางกันไปบาง แต
ลักษณะทั่ว ๆ ไป แลวจะคลายกัน และสวนใหญจะเปนเครื่องกําเนิดไฟฟา แบบ ซิงโครนัส (Synchronous
Generator)
เครื่องกําเนิดไฟฟาขนาดเล็ก และขนาดกลาง อาจตอโดยตรงกับ ระบบจายไฟฟาได แตเครื่องกําเนิดไฟ
ฟาขนาดใหญ มักจะตองผานหมอแปลงกําลังไฟฟาเขากับระบบสายสง บางครั้งเครื่องกําเนิดไฟฟาขนาดใหญ
และหมอแปลงทํางานเปนชุด หรือเปนหนวยเดียวกัน เรียกวา “ชุด เครื่องกําเนิดไฟฟา – หมอแปลง” (Unit
Generator – Transformer)
โรงไฟฟาอาจเปนแบบที่มีไมคนควบคุมดูแลประจํา ซึ่งสวนใหญเปนขนาดเล็ก และทํางานโดย
อัตโนมัติ อีกแบบหนึ่งเปนโรงไฟฟาที่มีคนควบคุมดูแลประจํา ซึ่งมักมีขนาดใหญ และมีความสําคัญตอระบบ
มาก การปองกันเครื่องกําเนิดไฟฟาในโรงไฟฟาทั้งสองแบบนี้ยอมตองมีความตางกันบาง แลวแตขนาดและ
ความสําคัญของเครื่องที่ติดตั้งอยู ในบทนี้จะไดกลาวถึงหลักการที่นิยมใชในการปองกันเครื่องกําเนิดไฟฟาโดย
ทั่วไป และจะกลาวถึงการปองกันโดยเฉพาะที่ใชกับเครื่องที่มีขนาดใหญ และขนาดเล็กในหัวขอ 1.12
1.2 การทํางานผิดปกติของเครื่องกําเนิดไฟฟา
หนวยผลิตกําลังไฟฟาที่ใชในปจจุบันเปนระบบที่ซับซอน ประกอบดวยชิ้นสวนหลายสวน เชน ขดลวด
ตัวนําชองสเตเตอร ชุดหมอแปลงที่ตอถึงกัน โรเตอรพรอมดวยขดลวดตัวนําของสนาม และเอกไซเตอร
(Exciter) กังหัน (Turbine) เครื่องควบแนน (Condenser) หนวยผลิตไอน้ํา (Boiler) ปม และพัดลมตาง ๆ การ
ทํางานผิดปกติ (Faults) ที่อาจเกิดขึ้นไดในระบบนี้ ที่จะตองพิจารณาในการออกแบบระบบปองกัน มีมากกวา
สวนอื่นใดในระบบพลังงานไฟฟา การทํางานผิดปกติของระบบนี้อาจแยกเปนชนิดตาง ๆ ดังนี้
1. ความผิดปกติที่ฉนวนของขดลวดตัวนําสเตเตอร (Stator Faults)
2. การรับภาระเกินขนาดของเครื่องกําเนิดไฟฟา (Overload)
3. แรงดันเกินขนาด (Over voltage)
4. การรับภาระไมสมดุลย (Unbalanced Loading)
5. ความผิดปกติ ที่โรเตอร (Rotor Faults)
2.3.4 - 2
6. การสูญเสียวงจรสนาม (Loss of Excitation)
7. การสูญเสียการเขาจังหวะ หรือ ซิงโครนัส (Loss of Synchronism)
8. ความรอนในเครื่องสูงเกินไป (Overheating)
9. ความขัดของของเครื่องจักรตนกําลัง (Failure of Prime Mover)
10. ระบบสูญญากาศต่ํา (Low vacuum)
11. ความขัดของในระบบน้ํามันหลอลื่น (Lubrication Oil Failure)
12. ความขัดของในระบบผลิตไอน้ํา (Loss of Boiler Firing)
13. ความเร็วสูงเกินไป (Over speeding)
14. โรเตอรบิดเบี้ยว (Rotor Distortion)
15. ความแตกตางในการยืดตัวของสวนที่หมุนและสวนที่ไมหมุน (Difference in Expansion Between
Rotating and Stationary Parts)
16. การสั่นสะเทือนมากผิดปกติ (Excessive Vibration)
การปองกันเครื่องกําเนิดไฟฟา และหนวยผลิตพลังงานไฟฟาใหครบถวนสมบูรณทุกอยาง เปนสิ่งที่ทํา
ไดยากตองพิจารณาหลายแงมุม แลวแตความสําคัญของเครื่องที่มีตอระบบไฟฟา และปญหาความคุมคาทาง
เศรษฐศาสตรในบางครั้งที่มีระบบปองกันซับซอน และมากเกินไป ระบบอัตโนมัตินี้ อาจจะปลดเครื่องกําเนิด
ไฟฟาออกจากระบบเร็วเกินความจําเปน ทําใหเกิดความเสียหายตอระบบได โดยที่การทํางานผิดปกติบางอยาง
ผูควบคุมดูแล อาจจะจัดการแกไขไดโดยไมตองปลดปลอยเครื่องออกจากระบบ แตในบางครั้งที่มีการปองกัน
นอยเกินไปโดยหวังพึ่งผูควบคุมมากเกินไป เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ผูควบคุมจัดการไมทันหรือจัดการผิด ทําใหการ
ทํางานผิดปกติ คงอยูเปนเวลานานเกินไปและอาจจะลุกลามมากขึ้น การที่ไมปลดหรือปลดเครื่องออกชาเกินไป
ก็จะทําใหเกิดความเสียหายอยางใหญหลวงตอเครื่อง และตอระบบในกรณีที่เครื่องที่สําคัญตองหยุดทํางานเปน
เวลาทํางาน ดังนั้นจะเห็นไดวาการปองกันเครื่องกําเนิดไฟฟาสําคัญเปนเรื่องยุงยาก และตองพิจารณาอยางรอบ
คอบ ในหัวขอตอไปนี้ จะกลาวถึงหลักการที่สําคัญในการปองกันเครื่องกําเนิดไฟฟาที่ใชกันในปจจุบัน
1.3 การลัดวงจรในสเตเตอร
ฉนวนของสเตเตอรอาจเกิดชํารุดเสียหายไดเนื่องจาก เกิดมีแรงดันไฟฟาเกินขนาดในขดลวดตัวนํา หรือ
เนื่องจากคุณสมบัติของการฉนวน (Insulation) ลดลง หรือเนื่องจากสาเหตุทั้งสองประการรวมกัน สําหรับแรง
ดันไฟฟาสูงเกินขนาดนั้น อาจเกิดขึ้นได เนื่องจาก เกิดฟาผา หรือ การเปดปดวงจร (Switching) ซึ่งมักจะ
พยายามปองกันไมใหเขาเครื่องกําเนิดไฟฟา และหมอแปลงโดยใช อุปกรณปองกันคลื่นฟาผา (Lightning
Arrester) หรือ อุปกรณเบี่ยงเบนเซิจ (Surge Diverter) สวนคุณสมบัติการฉนวนลดลงนั้นมักเกิดขึ้น เนื่องจาก
2.3.4 - 3
การใชงานมากเกินขนาด และอายุของฉนวน สาเหตุทั้งสองประการนี้จะทําใหฉนวนแหง และกรอบจนหมด
ความยืดยุน (Elasticity) มีลักษณะคลายถาน (Carbonized) การใชงานมากเกินขนาดมักเกิดขึ้นเนื่องจาก การใช
กระแสไฟฟาสูงเกิดขนาด การไมคอยดูแลระบบระบายความรอน หรือการปลอยปละละเลยเครื่องจักรจนทําให
มีฝุนละอองเขาจับอยูมาก
เมื่อเกิดการลัดวงจรขึ้นในสเตเตอร จะตองมีการรื้อเครื่องเพื่อซอมแซม หรือเปลี่ยนขดลวดตัวนําราคา
คาซอมแซมขดลวดตัวนํา อาจไมตางกันมากนัด เมื่อมีการลัดวงจรเกิดขึ้นในตําแหนงเดียว หรือหลายตําแหนง
แตถามีการลัดวงจรเกิดขึ้นถึงแมจะเกิดในตําแหนงเดียว จะปลอยทิ้งไวรอใหเกิดขึ้นในตําแหนงอื่นกอนจึงคอย
ซอมแซมไมได จะตองพยายามจํากัดเวลาที่มีการลัดวงจรใหสั้นที่สุดเทาที่จะทําได เนื่องจากเหตุผลสองประการ
คือ เพื่อปองกันมิใหแกนเหล็กไหม (Core Burning) และเพื่อปองกันเพลิงไหม เมื่อฉนวนติดไฟ ซึ่งถึงแมวา
อารค (Arc) จะดับแลว เพลิงอาจจะยังคงลุกลามตอไปไดในกรณีที่แกนเหล็กไหมคือ แผนเหล็กของแกนเชื่อม
ติดกัน จะตองรื้อขดลวดและสรางแกนสวนที่ชํารุดใหม คาซอมแซมอาจจะแพงมาก และจะใชเครื่องกําเนิดไฟ
ฟาไมไดเปนเวลานาน
2.3.4 - 4
1.4 การปองกันขดลวดตัวนําของสเตเตอร
การปองกันขดลวดตัวนําสเตเตอร ที่ใหผลดี และนิยมทํากันมาก คือ การปองกันแบบกระแสผลตาง
(Circuiting Current Differential Protection) ซึ่งแบงออกเปน 2 แบบ คือ แบบวัดกระแสผลตางตามยาว
(Longitudinal Differential) และ แบบวัดกระแสผลตางตามขวาง (Transversal Differential)
1.4.1 การปองกันแบบกระแสผลตางตามยาว (Longitudinal Differential)
1.4.1.1 การปองกันแบบกระแสตางโดยใชรีเลยอิมพิแดนซสูง
การปองกันแบบนี้จะทําไดก็ตอเมื่อ ปลายของขดลวดตัวนําทั้งสองขางของเฟสแตละเฟสโผลออกมาให
ตอหมอแปลงกระแสได การปองกันแบบกระแสผลตางจะปองกันการลัดวงจรระหวางเฟส และการลัดวงจรลง
ดินไดดี รูปแบบงาย ๆ ของการปองกันแบบนี้ แสดงไวในรูป 1.1
GENERATOR
BREAKER
I2
CT1 I1 CT2
A
B
52
C
Stator Winding
ZE
Differential Relay
87 87 87
High Impedance Type
รูป
1.1 การปองกันแบบกระแสผลตาง
GENERATOR
BREAKER
I1 i2
CT1 CT2
A
N
i2= i 52 i2= i1= i
i i
87
i i
2.3.4 - 5
GENERATOR
BREAKER
I1 i2
CT1 CT2
A
N
52 i2= i1= i
i1
i1
i2
i1d= i1- i2
i1 87 i2
2.3.4 - 6
จํานวนรอบเทากับ N จํานวน แอมแปร-รอบ (Ampare – Turns) ในขดลวดถวงจะมีคาเทากับ I1 N/2 – I2 N/2
หรือเทากับ N(I1+I2)/2 ซึ่งเหมือนกับวามีกระแสซึ่งเปนปฏิภาคโดยตรงกับ (I1+I2)/2 ไหลผานขดลวดถวง N รอบ
ตลอดทั้งขด ลักษณะสมบัติของการทํางานของรีเลยแสดงไวในรูป 2.4 ดังนั้น อัตราสวนระหวางกระแสผลตางที่
ทําใหรีเลยทํางานกับกระแสดานเฉลี่ยจึงเปนคาเปอรเซนตที่คงที่ยกเวนในกรณีที่กระแสต่ําจริง ๆ ผล ของสปริง
ที่ยึดอยูจะทําใหคาเบี่ยงเบนจากเสนตรงดังแสดงในรูป 1.4
บางครั้งอาจจะเขียนกราฟโดยใช I2 ซึ่งเรียกวากระแสผาน (Through Current) แทน (I1+I2)/2 ได ซึ่ง I2 ก็
คือสวนหนึ่งของกระแสทั้งหมดที่ไหลผานขอลวดตัวนําจากปลายขางหนึ่งไปยังอีกขางหนึ่ง
GENERATOR
BREAKER
I2
I1 CT2
A
N i1 i2
B
52
C
Stator Winding
ZE
i1 R i2
R Restraining Coils
R
87 87 87 Relay
ผลเนื่อง
I1-I2 Non - Operation Area
จากสปริง
( I1+ I2) / 2
รูป 1.4 ลักษณะสมบัติการทํางานของรีเลยแบบเปอรเซนตผลตาง
ขอดีของการใชรีเลยแบบนี้ คือ ระบบนี้จะมีโอกาสทํางานผิดพลาดไดนอยกวาระบบที่กลาวใน 1.4.1.1
ในกรณีที่มีการลัดวงจรเกิดขึ้น ภายนอกเขตปองกัน ถึงแมวาหมอแปลงกระแสที่ติดตั้งอยูที่ปลายทั้งสองขางจะ
ใหกระแสทั้งสองขางที่แตกตางกันบาง รีเลยก็จะไมทํางานเนื่องจากแรงตานจากขดลวดถวงจะมีคามากกวาแรง
2.3.4 - 7
ที่ไดจากกระแสผลตางในขดลวดทํางานมาก แตถาลัดวงจรจะเกิดขึ้นภายในเขตปองกัน รีเลยจะทํางานทันที
เพราะแรงตานจะมีนอยมากเมื่อเทียบกับแรงที่จะทําใหรีเลยทํางาน หมายถึงจะอยูในเขตทํางานของรีเลยดัง
แสดงในรูป 1.3 และ 1.4
รีเลยที่ใชในการปองกันแบบนี้มักเปนแบบเหนี่ยวนํา (Induction) ซึ่งมีขั้วแมเหล็กสองขั้วใหแรงกระทํา
บนจานหมุนอันเดียวกัน แตในทิศทางตรงกันขาม ขั้วหนึ่งจะเปนขดลวดทํางาน (Operating Coil) ซึ่งกระแสเปน
ปฏิภาคโดยตรงกับ I1-I2 ไหลผาน สวนอีกขั้วหนึ่งเปนตัวขดลวดถวง (Restraining Coil) ซึ่งมีกระแสเปนปฏิภาค
โดยตรงกับ (I1-I2 )/2 ไหลผาน
เปอรเซนตผลตางที่ใชมีหลายคา เชน 20% , 25% หรืออาจเปนแบบที่มีเปอรเซนตเปลี่ยนแปลงได
(Variable Percent Slop)
GENERATOR
BREAKER
CT
A
CT1 N
B
52 C
2.3.4 - 8
Stator Winding BREAKER
CT
A
B
52
C
87 87 87
2.3.4 - 9
Y Y
A
N 52 B
C
Generator Transformer
ZE
87 87 87
R
R
R
2.3.4 - 10
A
N 52 B
C
Transformer
Generator
ZE
87 87 87
Relay for
Generator 87 87 87
Relay for
Transformer
N
B
ZE
R
R
R
87 87 87
2.3.4 - 11
ในการทํางานปกติ กระแสสมดุลยในขดลวดที่ตอขนานกันทั้งสองจะทําใหมีแระแสไหลในขดลวดทุติยภูมิของ
หมอแปลงกระแสทั้งสอง และรีเลยจะไมทํางาน แตถามีการลัดวงจรเกิดขึ้นภายในเขตปอง ไมวาจะเปนการลัด
วงจรระหวางเฟส การลัดวงจรลงดิน หรือการลัดวงจรระหวางวงขดลวด จะทําใหกระแสไหลระหวางขดลวด
ทําใหมีกระแสผลตางไหลในรีเลยและรีเลยจะทํางาน ระบบปองกันแบบนี้จะปองกัน การลัดวงจรไดทั้งสาม
แบบ
1.4.3 การปองกันการลัดวงจรระวางวงขดลวดโดยการวัดแรงดันซีเควนซศูนย (Interuirn Protection by
Zero – Sequence Voltage Measurement)
ในกรณีที่ตองการปองกันการลัดวงจรระหวางวงขดลวดของเครื่องกําเนดไฟฟาที่มีขดลวดหนึ่งขดตอ
หนึ่งเฟส อาจ ทําไดโดยวัด แรงดันซีเควนซศูนย (Zero-Sequence Voltage) ที่ขั้วของเครื่อง เมื่อเครื่องทํางานตาม
ปกติที่ขั้วของเครื่องกําเนิดไฟฟา จะไมมีแรงดัน แตถาเกิดการลัดวงจรขี้นในวงขดลวดหนึ่งวง หรือหลายวงของ
เฟสใดเฟสหนึ่ง จะทําใหเกิดแรงขับเคลื่อนไฟฟา (Emf) ซึ่งมีซีเควนซศูนยปนอยูดวย
การลัดวงจรภายนอกเขตปองกันก็อาจทําใหเกิดแรงดันซีเควนซศูนย ไดเหมือนกัน ในกรณีที่เครื่อง
กําเนิดไฟฟาตอโดยตรงกับ บัส
แรงดันสวนใหญจะตกครอมความตานทานที่ตอลงดิน และแรงดันตกในเครื่องจะมีคาต่ํามาก ประมาณ
1-2 % สําหรับ ซีเควนซศูนย ดังนั้น จึงมักนิยมวัดแรงดันตกระหวางขดลวด แทนที่จะวัดระหวางขั้วกับดิน โดย
ตอหมอแปลงแรงดันที่ขั้วของสาย และตอจุดกลางของหมอแปลงนี้เขากับจุดกลางของเครื่องกําเนิดไฟฟา ดัง
แสดงในรูป 1.10
A
N B
C
Transform er
ZE O pen Delta
Relay
R O
2.3.4 - 13
กันที่ไวและรวดเร็วได สวนในกรณีของรีเลยเฟส ซึ่งปองกันการลัดวงจรระหวางเฟส ควรใชรีเลยกระแสเกิน
แบบรูทิศทาง
Generator
A
52 B
ในกรณีที่เครื่องกําเนิดไฟฟาทํางานเพียงตัวเดียว เพื่อจายไฟฟาใหกับระบบซึ่งไมมีเครื่องกําเนิดฟาตัว
อื่น ถาตองการใชรีเลยกระแสเกินจะตองตอหมอแปลงกระแสทางดานจุดกลางของเครื่องกําเนิดไฟฟา จึง
สามารถทําใหรีเลยกระแสเกินทํางาน เมื่อมีการลัดวงจรในขดลวดตัวนํา สเตเตอรได การปรับตั้งรีเลยจะตอง
คํานึงถึงลักษณะของกระแสลัดวงจรในขณะที่มีการเปลี่ยนแปลง (transient) ซึ่งจะมีคาสูงแลวจะลดลง และตอง
คํานึงถึงถึงสมรรถนะของเครื่องปรับแรงดัน (Voltage Regulator) ดวย ถาการปรับตั้งไมดี อาจเกิดปญหาได เชน
เมื่อเกิดการลัดวงจร 3 เฟส ขึ้นที่ขั้ว ในระยะแรก กระแสลัดวงจรจะสูงมาก แตกระแสจะลดลง และอาจจะลดลง
เหลือต่ํากวาคาที่ปรับตั้งรีเลยไว กอนที่รีเลยจะปดคอนแทคอยางสมบูรณ ซึ่งจะมีผลทําใหรีเลยคืนกลับสูสภาพ
เดิม และไมสั่งตัดวงจร ทําใหการลัดวงจรยังคงอยู และทําใหเกิดความเสียหายไดมาก
ในกรณีที่เครื่องกําเนิดไฟฟาตอกับระบบซึ่งเครื่องมือกําเนิดไฟฟาตัวอื่นตออยูดวย เมื่อเกิดการลัดวงจร
ขึ้นภายในเครื่องอาจมีกระแสไหลยอนกลับเขามาในเครื่องได การปองกันโดยใช รีเลยกระแสเกิน มักทําโดย
ตอหมอแปลงกระแสทางดานสายจายออก เหมือน ในรูป 1.11 มักจะปรับตั้งใหรีเลยทํางานเฉพาะเมื่อเกิดการลัด
วงจรขึ้นภายในเครื่องเทานั้น ในกรณีนี้จะมีกระแสไหลยอมจากระบบเขาเครื่อง และถามีเครื่องกําเนิดไฟฟาตอ
อยูกับระบบหลายตัว คาของกระแสลัด วงจรในชวงเปลี่ยนแปลงจะไมลดลงมากเหมือนกรณีที่แลว แตถามีการ
ลัดวงจรขึ้นภายนอกเครื่องรีเลยไมควรตองทํางาน
1.6.1 การปองกันโดยใชรีเลยกระแสเกินซึ่งควบคุมโดยใชแรงดัน (Voltage Controlled Over current
Protection
เครื่องกําเนิดไฟฟาที่มีการตอบสนองที่เปลี่ยนแปลงไดมาก เนื่องจากการหลอเลี้ยงสนาม (Excitation)
หรือ การปรับควบคุมแรงดัน ซึ่งรวมทั้งเทคนิคการเสริมสนาม (Field Forcing Technique) เพื่อพยายามรักษา
ระดับแรงดันไวในสภาวะที่มีการลัดวงจร ลักษณะเชนนี้อาจทําใหการปรับตั้งรีเลยทําไดยากขึ้น วิธีหนึ่งที่ใชได
เมื่อปญหาเชนนี้ คือ ใชรีเลยกระแสเกินที่ควบคุมการทํางานโดยใชแรงดัน ลักษณะการทํางานของรีเลยในเชิง
2.3.4 - 14
เวลา – กระแส จะมี 2 เสน ขึ้นอยูกับแรงดันของระบบรีเลยวัดได ซึ่งจะทําใหการการทํางานเปนไปตามลักษณะ
ใดลักษณะหนึ่งแลวแตกรณี ถาเปนสภาวะการรับภาระเกินขนาดของเครื่อง (Overload) คาแรงดันที่รีเลยวัดได
จะมีคาใกลเคียงกับแรงดันในการทํางานตามปกติ รีเลยจะทํางานโดยมีการถวงเวลานาน (Long Inverse Time)
เพื่อรอใหรีเลยปองกันอื่นมีเวลาทํางาน แตถาการลัดวงจรเกิดขึ้นภายในเครื่องรีเลยจะวัดไดต่ํากวา แรงดันทํางาน
ปกติ และจะทํางานดวยเวลาที่เร็วกวามาก ดังแสดงในรูป 1.12
เวลา
(วินาที)
100
Overload Charge
(normal voltage)
10
Fault Charge
(Low Voltage)
กระแสในรีเลย
10 100 (A)
รูป 1.12 ลักษณะการทํางานของรีเลยกระแสเกินที่ควบคุมโดยใชแรงดัน
2.3.4 - 15
นอกจากรีเลยกระแสเกินแลว การปองกันขดลวดสเตเตอรยังเสริมไดดวยการปองกัน การลัดวงจรลงดิน
สําหรับเครื่องกําเนิดไฟฟาที่ตอโดยตรงกับระบบ มักจะใชรีเลยสําหรับปองกันการลัดวงจรลงดิน ตอหมอแปลง
กระแสที่สายกลางซึ่งตอลงดิน ดังแสดงในรูป 1.13
Generator
A
N
B
CT 64 Earth Fault
Relay
ZE
2.3.4 - 16
ในกรณีที่ตอจุดกลางของเครื่องกําเนิดไฟฟาลงดินโดยใชหมอแปลงตอลงดินมักใชรีเลยวัดแรงดัน
(Voltage Relay) เพื่อปองกันการลัดวงจรลงดิน ขดลวดทุติภูมิของหมอแปลงนี้ มักออกแบบใหมีแรงดันปาน
กลาง ซึ่งอาจตอรีเลยโดยตรงไดโดยใชรีเลยวัดแรงดันหนึ่งตัว ระบบปองกันแสดงโดยสังเขป ดังในรูป 1.14
หมอแปลงนี้จะใหแรงดันทางดานทุติยภูมิตอเมื่อมีกระแสเขาทางดานปฐมภูมิ ซึ่งจะมีตอเมื่อมีการลัดวงจรลงดิน
ในเขตปองกันเทานั้น
Generator
A
N
B
2.3.4 - 17
1.9 การปองกันการรับภาระไมสมดุลในเฟสตาง ๆ (Unbalance Loading Protection)
การจายโหลตามปกติของเครื่องกําเนิดไฟฟาจะอยูในสภาวะที่สมดุลทั้ง 3 เฟส ทําใหสนามปฏิกิริยา คา
ประมาณคงที่ และหมุนดวยความเร็วเทากันสนามของโรเอตรและไปในทิศทางเดียวกัน แตถาเครื่องกําเนิดจาย
โหลด ซึ่งไมสมดุลกันในเฟสทั้งสาม จะทําใหเกิดสภาวะไมสมดุลในสนามปฏิกิริยา ซึ่งมีซีเควนซทั้ง 3 แบบ คือ
ซีเควนซบวก ซีเควนซลบ และ ซีเควนซศูนยขึ้น ซีเควนซบวกจะยังคงมีลักษณะเหมือนในกรณีของโหลด
สมดุล และสนามปฏิกิรกยา ยังคงหมุนดวยความเร็วเทากับสนามของเครื่องและมีทิศทางเดียวกัน ซีเควนซศูนยก็
ไมทําใหเกิดปฏิกิริยาในอามาเจอรที่รุนแรงแตประการใด แตซีเควนซลบจะทําใหเกิดปญหามาก เนื่องจากสนาม
ปฏิกิริยาจะหมุนกลับทางโรเตอรดวยความเร็วเทากัน ยังผลใหเกิดฟลักซไปตัดกับโรงเตอรดวยความเร็วสองเทา
ของความเร็วของมอเตอรเองลักษณะเชนนี้จะทําใหเกิดการเหนี่ยวนํากระแสขึ้นในขดลวดสนามของโรเตอร
และในแกนเหล็กของโรเตอร โดยมีความถี่ 2 เทาของความถี่ปกติ กระแสเวียน (Eddy Current) ที่เกิดขึ้นจะมีคา
สูง และอาจทําใหโรเตอรรอนจัดจนทําความเสียหายใหเครื่องไดมาก นอกจากนั้นยังเกิดการสั่นสะเทือนยางรุน
แรงในเครื่องดวย โดยปกติมักมีการกําหนดความสามารถของเครื่องที่จะรับซีเควนซลบได เชน เครื่องกําเนิดไฟ
ฟาที่ตอกับกังหันไอน้ํา อาจมีคานี้ประมาณ 10% – 15 % ของ MR (Continuous Mean Rating) ซึ่งเปนคาปกติที่
เครื่องทํางานสวนเครื่องแบบมีขั้วยื่นออกจากแกนโรเตอร (Salient Poles) อาจมีคาไดถึง 40 %
ในกรณีที่เกิดการทํางานผิดปกติของเครื่อง คือ การจายโหลดในสภาวะไมสมดุล สิ่งที่เปนปญหาคือ การ
รอนขึ้นของเครื่องในชวงเวลาอันสั้น ความรอนที่เกิดขึ้นในชวงนี้จําไมมีเวลาระบายออกจากเครื่อง และยังคงอยู
ในเครื่อง เครื่องจะทนความรอนนี้ไดไมเหมือนกัน ขึ้นอยูกับชนิดของเครื่องและระบบระบายความรอน เวลาที่
เครื่องทนกระแสซีเควนซลบไดจะขึ้นยูกับความจุความรอนของเครื่อง ( Thermal Capacity)ตามสัมพันธดังนี้
∫Ti22dt = K
หรือ I22T = K
i2 = กระแสซีเควนซลบ
I2 = กระแสซีเควนซลบเปนตอหนวยของ CMR
T = เวลาเปนวินาที
K = คาคงที่ซึ่งเปนปฏิภาคโดยตรงกับความจุความรอนของ
เครื่อง
1.9.1 การปองกันกระแสซีเควนซลบในเครื่องกําเนิดไฟฟา
2.3.4 - 18
ในการปองกันการจายโหลดไมสมดุลยของเครื่องกําเนิดไฟฟาจะทําโดย การวัดกระแสซีเควนซลบโดย
ใชวงจรกรอง (Filter) ที่สามารถวัดเฉพาะกระแสซีเควนซลบเพียงอยางเดียว วงจรประเภทนี้มีมากมาย ในรูป
1.15 แสดงวงจรกรองแบบหนึ่ง
A
ZA
Y
ZC
Relay
Ia1 Ia2
V XY
VZA
positive negative VZA
VZC
sequence sequence
2.3.4 - 20
เมื่อมีการลัดวงจรลงดินเกิดขึ้นในวงจรสนาม จะทําใหมีแรงดันครอมรีเลย แรงดันที่ตอลงดิน คาแรงดัน
จะสูงสุดเมื่อเกิดการลัดวงจรขึ้นที่ปลายขางใดขางหนึ่งของขดลวดสนาม แตจะมีจุดบอดอยูกึ่งกลางของขดลวด
สนาม เมื่อเกิดการลัดวงจรบริเวณนี้ รีเลยจะมองไมเห็น เพราะแรงดันจะเทากัน บางครั้งแกโดย มีขั้วอีกขั้วหนึ่ง
และมีสวิทซเลือก เพื่อตรวจสอบการลัดวงจรลงดินตรงกลางของขดลวด ดังแสดงในรูป 1.17
Winding Excitor
Resistor
Voltage
Relay
Winding Excitor
AC.
Current
Relay
2.3.4 - 21
ตัวจายไฟกระแสสลับพิเศษ (Auxiliary a.c. Supply) จะปลอยไฟกระแสสลับเขาในวงจรสนาม โดยผาน
ตัวเก็บประจุ C ซึ่งมีหนาที่ชวยกําจัดคาของกระแส และจะกันไมใหกระแสตรงจากวงจรสนามไหลออกมาเขารี
เลยและปองกันกระแสตรงคาสูง ๆ ไหลผานหมอแปลง วงจรสนามจะถูกกระตุนดวยคาแรงดันกระแสสลับ ใน
ระดับเกือบเทากัน ตลอกทั้งขดลวดตลอดเวลา แตจะไมมีกระแสไหลผานรีเลย เมื่อเกิดการลัดวงจรลงดินที่จุดใด
จุดหนึ่งในวงจรสนาม จะมีทางใหกระแสไหลครบวงจรไดโดยผานรีเลยซึ่งวัดคากระแส
การปองกันแบบนี้ทํางานไดดีกวาวิธีแรกเพราะไมมีจุดบอดในการปองกัน แตมีขอเสียคือ จะมีกระแส
สลับไหลผาน คาปาซิแทนซของขดลวดสนามลงดินตลอดเวลา อาจไหลลงดินผาน แบริ่ง ทําใหผิวสึกกรอนได
งาย ตามปกติมักแกไขโดยเอาฉนวนหุมแบริ่ง และติดขั้วถาน (Earthing Brush) ที่แกนหมุนใหกระแสไหลผาน
ลงดิน
1.10.3 วิธีฉัดกระแสตรงเขาในวงจรสนาม (d.c. Injection Method)
ขอเสียของการใชวิธีฉีดกระแสเขาในวงจรสนามจะหมดไป ถาเปลี่ยนมาใชกระแสตรงโดยใชวงจร
แปลงไฟ (Rectifier Bridge) แทน ดังแสดงในรูป 1.19
-
W in d in g E xc ito r
AC.
C u rre n t
R e la y
1.11 การปองกันการสูญเสียวงจรสนามและการทํางานแบบอซิงโครนัส
เมื่อวงจรแมเหล็กของสนามขาดหายไป (Failure of Field) เครื่องกําเนิดไฟฟาจะหมุนเร็วกวาความเร็วซิง
โครนัส และจะทํางานเปนเครื่องกําเนิดไฟฟาแบบเหนี่ยวนํา (Induction Generator) ฟลักซที่นํามาใชจะไดจาก
กระแสแบบ วัตตเลสในสเตเตอร (Wattless Stator Current) ซึ่งจะดึงมาจากระบบเครื่องอาจจะยังจายกําลังไฟฟา
ตอไปได ขึ้นอยูกับการปรับตั้งเครื่องควบคุมกังหัน (Turbine Governor) แตการทํางานเชนนี้จะทําใหเกิดมี
กระแสซึ่งมีความถี่ของสลิบ (Slip Frequency) ไหลในโรเตอร ในวงจรแดมเพอร (Damper Circuit) ในรองใสตัว
นํา และที่ผิวของตัวเครื่อง
2.3.4 - 22
ในกรณีของการทํางานแบบนี้ การหลอเลี้ยงสนาม (Excitation) ใชกําลังไฟแบบรีแอคทีฟคอนขางสูง อาจ
สูงกวากําลังที่กําหนดไวสําหรับเครื่องเอง แตถาระบบสามารถจายใหไดก็จะไมเกิดการสูญเสียเสถียรภาพ แต
โดยทั่ว ๆ ไปไมไดออกแบบใหเครื่องทํางานในลักษณะนี้ขดลวดแดมเพอร อาจจะทนกระแสสลิบของโรเตอร
ไมได จะทําใหโรเตอรรอนจัดขึ้นและมีการรับภาระเกินขนาดในขดลวดสเตเตอร
Winding Excitor
Shunt
Relay
+ -
T1
T2
T1 : ทํางานทันที Contact
T2 : ถวงเวลาทํางานไว 2-10 วินาที
รูป 1.20 การปองกันโดยใชรีเลยกระแสต่ํากวาขนาด
2.3.4 - 23
+X
โลกัสของการสูญเสีย
-R +R
ลักษณะการทํางานของรีเลย
-X
2.3.4 - 24
(6) การปองกันการทํางานเปนมอเตอร (Motoring Protection) เนืองจากการสูญเสียเครื่องจักรตน
กําลัง มักไมจําเปนตองทําสําหรับเครื่องที่มีคนควบคุม แตสําหรับเครื่องดีเซล หรือเครื่องอื่นที่มีโอกาสเกิดขึ้นได
มาก อาจตองพิจารณา
(7) การปองกันความเสียหายทางกล (Mechanical Faults) เชน ในหนวยผลิตไอน้ํา ในเครื่อง
ควบแนน และอื่น ๆ มักจะทําอยูครบแลวในโรงไฟฟา
1.12.2 การปองกันเครื่องกําเนิดไฟฟาขนาดเล็ก
สําหรับเครื่องกําเนิดไฟฟาขนาดเล็ก มักไมจําเปนตองปองกันมาก และสมบูรณเทากับเครจากขอมูลคา
และความสําคัญของเครื่องมีนอยกวามาก หลักการใหญ ที่นิยมใชกันคือ
(1) เครื่องขนาด 5 MVA หรือต่ํากวา อาจปองกันโดยใชกระแสผลตางแบบเฉพาะการลัดวงจรลงดิน
เทานั้นความจริงราคาอาจไมตางกับการปองกันแบบกระแสที่สมบูรณมากเทาไร แตอาจจําเปนเพราะสายทาง
ดานจุดกลางมักมีคั่วโผลออกมาแคเสนเดียว
(2) การปองกันการแสซีเควนซลบ มักไมจําเปนตองทํา ยกเวนกรณีที่มีโอกาสเกิดขึ้นบอย
(3) การปองกันการลัดวงจรลงดินในโรเตอร และการสูญเสียสนาม มักไมจําเปนตองทํา ยกเวนกรณี
พิเศษจริง ๆ
2.3.4 - 25
Example
Generator Protection
โรงไฟฟาพลังความรอนจัดเปนโรงไฟฟาประเภท Once Through Boiler มีขนาดกําลังผลิตสูง โดย
Generator มีคุณสมบัติทางเทคนิคดังนี้
Technical Specification
• Serial Number : 97AD3301/97AD3401
• Type of Generator : Horizontally Mounted Cylindrical Rotor,
Rotating Field Type
• Rotating Speed (rpm) 3,000
• No. Of Phase 3
• No. Of Pole 2
• Frequency (Hz) 50
• Voltage (V) 24,000
• Hydrogen Gas Pressure (bar(g)) 5
• Hydrogen Gas Purity (%) 97
• Hydrogen Gas Consumption 9
3
(Nm /24 hour Guaranteed)
• KVA Output (kVA) 990,000
• KW Output (kW) 841,500
• Current (A) 23,816
• Power Factor (%) 85 (Lagging)
• Cooling Method Stator Coil Water Cooled
Rotor Coil Hydrogen Cooled
• Insuration Class F
• Temp Rise Limit Stator Coil (°C) 50 (Base Temp 50°C)
At Rated Load
Stator Coil 50 (Base Temp 50°C)
Cooling Water
Outlet (°C)
Rotor Coil (°C) 72.2 (Base Temp 37.8°C)
Stator Core(°C) 92.2 (Base Temp 37.8°C)
2.3.4 - 26
• Gas Volume (m3) 130
• Exciter Type Static
• Excitation Voltage (V) 650
• Excitation Current (A) 6405
To Discon. To CT
Switch Substation
Aux CT.
GRP - A
51
G1N
3xCT
To Excite Control 30000/5A
3xCT GRP - A
30000/5A 60-1
3xCT
30000/5A
60-2
GRP - B
Generator 87-1 32-1 32-3 46-1 78-1 40-1 21-1 27-1 27-2
GRP - A 62-1
3xCT
30000/5A
3xCT
30000/5A
Gen Neutral
Ground Unit
50-1
Bucholz
Winding
TripCommand fromGenerator Transformer
Oil
Pressure
SEM
Generator Differential Relay 87-1
SEM Close 500kV Gen Breaker Close
Gen. Stator Ground Relay 64-1 Trip 90412 OPen
SEM
Gen. Stator Thermal Relay 49S
SEM
Gen. Voltage Balance 60-1 Close 500kV Gen Breaker Close
TD SEM Trip 90422 OPen
Gen. Loss of FieldRelay 40-1
TD SEM S
Gen. Reverse Power Relay 32-1 R Lock Power Plant Lockout Lock
S Reset Aux. Relay Reset
SEM
Gen. Out of Step Relay 78-1 R
SEM
Gen. OverfluxingRelay 59/81
Generator
SEM
Gen. Impedance Relay 59/81 S Close Exciter Field Breaker Close
SEM R Trip 41E OPen
Gen. Negative Sequence Relay 46-1
SEM S
Gen. Reverse Power Relay 32-3 SEM
R
Gen. Undervoltage Relay 27-1
Gen. Undervoltage Relay 27-2 S Close 11.5kV SWGR-A Close
R Trip Main Breaker OPen
S
Gen Rotor Ground Fault 64R DAS R
Gen Exciter SystemTripSignal S Close 11.5kV SWGR-B Close
11.5kV Main Breaker Failure R Trip Main Breaker OPen
S
Bucholz R 11.5kVBus Transfer Close
Winding 11.5kVSWGR-ABustie
TripCommand fromMain Aux. Transformer Oil
11.5kVBus Transfer Close
OLTC. 11.5kVSWGR-BBustie
Pressure
Turbine Trip Command
Bucholz
Winding
TripCommand fromExciter Transformer
Oil
Pressure
Main Aux. Transformer
A O O
System
B O O
86GA
86GB
86EA
86EB
2.3.4 - 29
คําถามทายบทเรื่อง Generator Protection
1. การเกิดแรงดันสูงเกินขนาด (Over Voltage) ในเครื่องกําเนิดไฟฟามีสาเหตุมาจากอะไรบาง
2. กรณีเครือ่ งกําเนิดไฟฟาจายโหลดไมสมดุล (Unbalance Loading) จะเกิดปญหาอะไร
3. กรณีเครือ่ งกําเนิดไฟฟาไมสมดุลและมีซีเควนเปนลบ (Negative Sequence) จะเกิดปฏิกิริยากับ Rotor
อยางไร
4. ความเสียหายทางกลเปนอยางไรเมื่อเกิดกระแสลัดวงจรขึ้นภายในเครื่องกําเนิดไฟฟา
5. การปองกันกระแสต่ํา (Undercurrent) ที่เกิดขึ้นกับเครื่องกําเนิดไฟฟาขนาดใหญควรใช Relay ชนิดใด
ในการปองกัน
เอกสารอางอิง
1. เอกสารการอบรมเรื่อง Relay Protection for Power Plant
เรียบเรียงโดย. : คุณสุรเดช หนุนนาค
วิศวกรระดับ 10, ฝายบํารุงรักษาไฟฟา การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย
2.3.4 - 30
2.3.5 Transformer Protection
2.3.5 - 1
การปองกันหมอแปลงไฟฟา
(Transformer Protection)
1. หลักการปองกันหมอแปลง
หลักการในการปองกันหมอแปลง อาจจะแยกเปนหัวขอใหญ ๆ ดังนี้
(1) ความรอนสูงเกินไป (Overhcating)
(2) ฟลักซสูงเกินไป (Overfouxing)
(3) การวัดกระแสลัดวงจรจากถังลงดิน (Tank-Earth Detection)
(4) การวัดปริมาณแกส (Gas Detection)
(5) กระแสเกินขนาด (Over current)
(6) การลัดวงจรลงดิน (Earth Fault)
(7) การปองกันแบบกระแสผลตาง (Differential)
ใน 3 ขอแรก อาจถือวา หมอแปลงเกิดทํางานผิดปกติขึ้นไมมากนัก แตถาปลอยใหทํางานตอไปอาจนํา
ความเสียหายมาใหไดมาก
ใน 4 ขอหลัง จะใชปองกันการทํางานผิดปกติอยางรุนแรงของหมอแปลงในแบบใดแบบหนึ่งซึ่ง สวน
ใหญแลวจะตองตัดหมอแปลงออกจากระบบ แลวทําการตรวจสอบหมอแปลงอยางละเอียดถี่ถาวนกอนจะนําเขา
ทํางานตอไปได
1.1 การปองกันความรอนสูงเกินขนาด (Overheating Protection)
พิกัดของหมอแปลงจะขึ้นอยูกับคาอุณหภูมิที่สูงขึ้น (Temperature Rise) จากอุณหภูมิโดยรอบสูงสุดที่
กําหนดจะทําไมได ถาอุณหภูมิโดยรอบต่ํากวาคาที่กําหนดดังกลาว อาจใหหมอแปลงจายโหลดเกินขนาดไดบาง
การจายโหลดเกินขนาดอาจจําทําไดบางในชวงเวลาสั้น ๆ ขึ้นอยูกับการใชงานของหมอแปลงกอนหนานั้น กฎ
ตายตัวที่จะกําหนดวาหมอแปลงจะจายโหลดเกินขนาดเปนระยะเวลานานเทาไรนั้นทําไดยาก จะตองพิจารณา
ใหรอบคอบ แตสิ่งที่กลาวไดอยางแนนอน คือ อุณหภูมิสูงสุดในเวลาใชงานประมาณ 95°C ถาปลอยใหอุณหภูมิ
สูงขึ้นกวานั้นไป 8-10°C เปนเวลานานอายุของหมอแปลงจะสั้นลงประมาณครั้งหนึ่ง
การปองกันการจายโหลดเกินขนาดจึงจะใชการวัดอุณหภูมิของขดลวดตัวนําเปนเกณฑซึ่งโดยมากจะ
ใชวิธีซึ่งเรียกวา เทคนิคการจําลองแบบเชิงความรอน (Thermal Image Technique หรือ Thermal Replica)
โดยมากมักจะทําเปนเหมือนกับเปา (Pocket) เล็ก ๆ อยูตรงสวนบนของถังหมอแปลง (อยูต่ํากวาฝาบน
ประมาณ 10 นิ้ว ซึ่งตําแหนงที่น้ํามันอุณหภูมิสูงสุด) ในการเปานี้จะมีขดลวดใหความรอน ซึ่งบงกระแสจาก
กระแสทางดานแรงดันต่ําของหมอแปลง และจะทําใหเกินอุณหภูมิสูงขึ้นที่สวนนี้ ในลักษณะที่คลายกับที่มีใน
ขดลวดตัวจริง เมื่อเทียบกับอุณหภูมิของน้ํามัน จะมีหนวยวัดอุณหภูมิติดตั้งอยูในสวนนี้ ซึ่งจะสามารถวัด
2.3.5 - 2
อุณหภูมิของหมอแปลงไดอยางใกลเคียงมากโดยคํานึงถึงอุณหภูมิของปริมาณที่อยูรอบ ๆ และลักษณะการใช
หมอแปลงที่ผานมาแลวดวย
หนวยวัดอุณหภูมิอาจมีหลายแบบ ในสมัยนิยมใชเทอรโมมิเตอรแบบมีหนาปด (Dial Thermometer) แต
ในสมัยใหมนี้จะใชแบบโซลิคสเตท เชน ซิลิสเตอร (Silistor หรือ Heat Sensitive Silicon Resistor) ซึ่งจะฝงรวมอยู
กับขดใหความรอนอยุในมวลความรอน มีลักษณะเปนแทงรูปทรงกระบอกเล็ก ๆ เปบแบบจําลองของหมอ
แปลงและจะจุมอยูในกระเปาดังกลาวขางตน ซิลิสเตอรจะตออยูกับวงจรแบบสเตติก ซึ่งจะไปควบคุมปม
สําหรับระบบหมอแปลงระบายความรอน,พัดลม,สัญญาณเตือน, เครื่องชี้บอกอุณหภูมิ ทั้งแบบอยูใกล และแบบ
ที่ติดตั้งอยูไกล ๆ เครื่องรวมเวลาที่ความรอนสูงขึ้นและถาจําเปนก็จะตัดหมอแปลงออกจากระบบ
การควบคุมและใชหมอแปลงอาจทําใหดีขึ้นโดยการอินทิเกรท หรือรวมระยะเวลาที่หมอแปลงมีความ
รอนสูงเกินขนาด เพื่อเก็บประวัติของหมอแปลงในแงของความรอนสูงเกินขนาด และผลที่ตามมา คือ การเสื่อม
ของฉนวนของหมอแปลงเนื่องจากความรอนสูงเกินไป บางบริษัทจะแนะนําใหใชอิเล็คโทรลิติด ดูลอมปมิเตอร
(Electrolytic Coulometer) 4 ตัว แบงชวงของอุณหภูมิที่จะอินทิเกรท ไว 4 ชวง เชน
∅ = K (E/f)
ดังนั้น ในการปองกันฟลักซมากเกินไปจึงตองวัดอัตราสวน E/f (แตละคาเปนคา p.u. ของแตละจํานวน)
มีคาเกิน 1 หรือไม
มักจะทําโดยวัดแรงดันของระบบโดยวัดผานหมอแปลงแรงดัน แลวนํามาตอครอมกับความตานทานจะ
ทําใหมีกระแส ซึ่งมีคาขึ้นอยูกับแรงดันนั้น เมื่อใหกระแสนี้ผานตัวเก็บประจุ จะทําใหเกิดแรงดันไฟฟาตก ซึ่งมี
คาขึ้นอยูกับอัตราสวน E/f ซึ่งก็หมายถึงมีคาขึ้นอยูกับฟลักซในหมอแปลง
2.3.5 - 3
มักจะใชหนวยที่มีการตอบสนองทางออก ซึ่งถวงเวลาไว 2 หนวย และมีหลายคอนแทค ตัวควบคุมเวลา
ตัวแรกอาจตั้งเวลาไวระหวาง 2-5 วินาที เพื่อปดคอนแทคควบคุมใหไปแกไขสภาพผิดปกติดังกลาว เชน ลดแรง
ดันถาแรงดันสูงเกินไป สวนตัวควบคุมเวลาตัวที่ 2 จะเปนทริพหมอแปลงโดยตั้งเวลาถวงเวลาไวระหวาง 5-30
วินาที ถาสภาพดังกลาวยังคงมีอยูจะสั่งตัดหมอแปลงออกจากระบบ
การปองกันฟลักซสูงเกินไปจะใชคอนคางมากกับชุดหมอแปลงที่ติดกับเครื่องกําเนิดไฟฟา เพราะ
โอกาสเกิดการทํางานผิดปกติเชนนี้จะมีมากกวาหมอแปลงอื่น
การปองกันแบบนี้เรียกวา การปองกันแบบโฮวาด Howard Protection) ถาถังของหมอแปลงมีการฉนวน
จากดินโดยปกติคาความตานทานของฉนวน ประมาณ 100 ก็จะเพียงพอ จะสามารถปองกันการลัดวงจรลงดิน
ได โดยตอรีเลย (ซึ่งอาจเปนแบบทํางานทันทีแบบงาย ๆ เขาทางขดลวดทุติยภูมิของหมอแปลงกระแสดังในรูป
1.1
64
2.3.5 - 4
รุนแรงมากจนแกสและไอน้ําจะไมมีเวลาพอที่จะลอยขึ้นไป แตจะสรางแรงดันขึ้นมาสูงพอสมควร และดันน้ํา
มันผานทอไปยังถังเก็บน้ํามันเปนจํานวนมาก
1.3.1 รีเลยแบบบุคโฮลซ (Buchholz Relays)
รีเลยแบบบุคโอลซ เปนรีเลยที่สําคัญในการปองกันหมอแปลงที่มีถังเก็บน้ํามันอยูดวย (ถาไมมีถังน้ํามัน
จะใชไมได) รีเลยแบบนี้จะอาศัยหลักการที่ไดกลาวแลวขางตน ประกอบดวยลูกลอย 2 ชุด ซึ่งถวงน้ําหนักไวให
ยกอยูในระดับสูงสุด เมื่อรีเลยมีน้ํามันอยูเต็มที่ ลูกลอยจะตัดสวิทซปรอท (Mercury Switch)
ในกรณีที่หมอแปลงทํางานปกติ ลูกลอยจะอยูในตําแหนงสูงสุดเพราะมีน้ํามันอยูเต็มตัวรีเลย และส
วิทซปรอทจะเปดอยู ถาฟองแกสไหลผานขึ้นมาตามทอ แกสจะเขาไปแทนน้ํามันในสวนบนของรีเลย ทําใหลูก
ลอยตัวบนลดระดับต่ําลงและจะทําใหสวิทซปรอทปดวงจรที่จะใหสัญญาณเตือน ถาถังหมอแปลงรั่ว และระดับ
น้ํามันลดลง รีเลยก็จะใหสัญญาณเหมือนกัน ถาลูกลอยตัวบนลดระดับลงมา ดังนั้น ลูกลอยตัวบนนี้จะให
สัญญาณเตือนในกรณีที่มีความผิดปกติเกิดขึ้นในแบบที่ไมรุนแรง และไมจําเปนตองตัดวงจรทันทีทันใด เชน
ในกรณี
(ก) เกิดจุดรอนพิเศษขึ้นในแกนเหล็ก เนื่องจากการลัดวงจรระหวางแผนเหล็กที่ใชทําแกน
(ข) ฉนวนของน็อตยึดแกน (Core Bolts) เสื่อสภาพ หรือชํารุด
(ค) จุดเชื่อมตอไมดี หรือชํารุด
(ง) การลัดวงจรระหวางรอบขดลวด หรือลัดวงจรในเขตขดลวดแบบอื่นที่ไมรุนแรง และมีคากําลัง
ไฟฟาหลอเลี้ยง
(จ) ระดับน้ํามันต่ําลงเนื่องจากถังรั่ว
ในกรณีที่เกิดความผิดปกติอยางรุนแรง และมีแรงดันสูงเนื่องจากเกิดแกสและไอน้ํามาก แรงดันนี้จะทํา
ใหน้ํามันไหลผานทอ ซึ่งตอเขารีเลยยางรวดเร็ว น้ํามันจะดันลูกลอยตัวลาง และสวิทซปรอทจะปดคอนแทค ซึ่ง
จะไปทริพไกตัดวงจรแยกหมอแปลงออกจากระบบทันที ลูกลอยตัวลางนี้จะทริพ เมื่อ
(ข) เกิดการลัดวงจรอยางรุนแรงขึ้นในขดลวดตัวนํา ไมวาจะเปนการลัดวงจรลงดิน หรือลัดวงจร
ระหวางเฟส
(ค) ถาน้ํามันรั่วจนลดระดับลงมาต่ํามากจนอาจเกิดอันตรายได ลูกลอยตัวลางนี้ก็จะทํางานเหมือนกัน
จะเห็นไดวารีเลยแบบบุคโฮลซนี้ จะปองกันหมอแปลงไดเกือบจะสมบูรณ ไมวาความผิดปกติที่เกิดขึ้น
จะเปนแบบใด ซึ่งความผิดปกติบางแบบก็ยากที่จะเห็นไดดวยวิธีปองกันแบบอื่น รีเลยแบบนี้จึงเปนที่นิยมใชกัน
อยางกวางขวางในยุโรป และแคนาดา เปนทั้งการปองกันชั้นตน และแบบชวยเสริมการปองกันแบบอื่นดวย โดย
เฉพาะถาหมอแปลงมีขนาด 1 MVA ขึ้นไปเกือบจะเรียกไดวาเปนการปองกันแบบมาตราฐาน (สําหรับหมอแปลง
ขนาดเล็ก ต่ํากวา 1 MVA มักจะไมมีถังเก็บน้ํามัน จึงจะใชรีเลยบุคโฮลซไมได) เวลาในการทํางานของรีเลยนี้จะ
อยูในชวง 0.05-0.1 วินาทีการปองกันทางไฟฟาวิธีอื่นก็จะชวยได เพื่อลดเวลาทริพลงมาอีก หรือเพื่อปองกันไม
ใหรีเลยบุคโฮลซทริพขณะที่ตองบํารุงรักษาหมอแปลง เชน ทําความสะอาดน้ํามันโดยใชเครื่องเวี่ยง หรือเครื่อง
2.3.5 - 5
กรองซึ่งตองใชน้ํามันหมุนเวียน จําเปนจะตองปลดวงจรทริพของรีเลยแบบบุคโอลซออกเลือกไวแตสัญญาณ
อยางเดียว
การติดตั้งรีเลยแบบบุคโฮลซ จะอยูในลักษณะดังรูป 1.2
2.3.5 - 6
สําหรับหมอแปลงขนาดใหญ ซึ่งมีครีบระบายความรอน (Radiator) และการระบายความรอนแบบมี
เครื่องชวยในการไหลอาจจะมีเซิจของแรงดันของน้ํามัน เมื่อสตารทปม ทําใหมีน้ํามันไหลในทอรีเลยจะไม
ทํางานในกาณีเชนนี้
ความเร็วของน้ํามันที่แสดงไวในตารางจะหมายถึงสภาพอุณหภูมิปกติ ความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
จะมีผลตอความหนืด (Viscosity) ของน้ํามัน คือ เมื่อความรอนสูง ความหนืดจะลดลง ทําใหความไว (Ensitivity)
ของรีเลยลดลงดวย สาเหตุ เชน แกสสีขาว หรือสีเหลือง หมายถึง ฉนวนไหม สีเทา หรือดํา หมายถึง น้ํามันแยก
ตัวแก แกสเหลานี้จะไวไฟนอกจากมองดวยตาแลว ยังอาจเอาตัวอยางของแกสออกมาวิเคราะหอยางละเอียดเพื่อ
คนหาสาเหตุของความผิดปกติไดอีกดวย
1. 3.2 รีเลยแบบวัดความดันเปลี่ยนแปลงกระทันหัน (Sudden Pressure Relays)
สําหรับหมอแปลงที่ไมมีถังน้ํามันอยูตอนบน อาจจะใชรีเลยแบบนี้แทน ดูรูป 1.3
2.3.5 - 7
หลักการทํางานของรีเลยแบบนี้ เมื่อหมอแปลงทํางานตามปกติ ความดันทั้ง 2 ดานจะเทากันเพราะมี
ชองปรับความดันอยูดวย เมื่อเกิดความผิดปกติความดันทางดานหมอแปลงจะสูงกวา จะดันไดอะแฟรมไปปด
คอนแทคเพื่อทริพไกตัดวงจร
ในรีเลยรุนใหม จะไมใสไดอาแฟรมไวในน้ํามันของหมอแปลง แตจะใสไวน้ํามันซิลิโคน (Silicone Oil)
ซึ่งมีความหนืดเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมินอยมาก นอกจากนั้น ยังอาจทําใหรีเลยมีลักษณะสมบัติ ซึ่งมีเวลางาน
เปนสัดสวนผันลับตามคาความดันที่มี เพื่อหลีกเลี่ยงการทํางานผิดพลาด เนื่องจากเกิดแรงกระแทกบนตัวหมอ
แปลง หรือเกิดการลัดวงจรอยางรุนแรงของหมอแปลงที่ทําใหเกิดความดันสูง เนื่องจากกระแสคาสูงที่ไหลผาน
หมอแปลง
รีเลยแบบนี้มักนิยมใชกันสหรัฐอมริกาเทานั้น ในประเทศอื่นมักจะถือวารีเลยแบบบุคโฮลซทํางานไดดี
กวา
1.4 การปองกันกระแสเกินขนาด (Over current Protection)
การลัดวงจรที่เกิดขึ้นสวนใหญจะใหกระแส ดังนั้น การปองกันจึงอาจใชคาของกระแสเกินขนาดนี้เปน
เกณฑได การปองกันกระแสเกินนี้อาจจะใชฟวส (fuses) หรือ รีเลยกระแสเกินได
1.4.1 ฟวส
หมอแปลงจายกําลังไฟฟาขนาดเล็กมักจะปองกันโดยใชฟวสอยางเดียว ในบางกรณีจะไมมีไกตัดวงจร
(Circuit Breaker) ฟวสจึงเปนอุปกรณตัวเดียวที่จะแยกหมอแปลงออกจากระบบโดยอัตโนมัติ ฟวสเปนอุปกรณ
ตัดกระแสเกิน เชน ตอนสตารทมอเตอรไดโดยฟวสไมขาด และตองทนตอกระแสหลอเลี้ยงสนามแมเหล็กได
ดวย ฟวสแบบ h.r.c. จะทํางานไดอยางรวดเร็วเมื่อกระแสมีคาสูง แตจะทํางานชามากถากระแสมีคาต่ํากวา 3 เทา
ของกระแสที่กําหนด ดังนั้น ฟวส เองจึงจะปองกันหมอแปลงไดนอยมาก มีหนาที่เพียงแยกหมอแปลงที่เกิดการ
ลัดวงจรออกจากระบบเปนการปองการระบบเอง เมื่อการลัดวงจรไดลุกลามไปมากจนกระแสมีคาสูงมากแลว
เทานั้น ในตารางที่ 1.2 จะแสดงคาที่กําหนดของฟวส สําหรับหมอแปลงขนาด 11.kV
ขนาดของหมอแปลง
KVA กระแสโหลด กระแสที่กําหนด เวลาทํางานที่ 3 เทา
ของ พิกัด (วินาที)
25 1.31 4 0.17
50 2.62 6 0.4
100 5.25 10 1.1
200 10.5 15 10.0
500 262 30 100.0
ตาราง 1.2 ขนาดของกระแส
1.4.2 รีเลยกระแสเกิน (Over current Relays)
2.3.5 - 8
สําหรับหมอแปลงขนาดใหญขึ้น เชน 100 kVA หรือใหญกวาอาจควบคุมการตัดวงจรโดยใชไกตัดวงจร
(CB) การปองกันแบบนี้จะทําไดดีขึ้นกวาฟวสดวยเหตุผล 2 ประการ คือ จะทํางานไดเร็วหวาในชวงที่กระแสลัด
วงจรจะมีคาต่ําและยังสามารถใชปองกันการลัดวงจรลงดิน (Earth Fault Protection) ไดดวย รีเลยแบบกระแสเกิน
นี้เปนการปองกันที่มีความเชื่อถือไดพอสมควร และราคมไมสูงนัก ทั้งยังสามารถทําหนาที่ปองกันการจาย
กระแสเกินขนาดไดดวย
รีเลยกระแสเกินจะทํางานเมื่อมีกระแสผานถึงคาที่ตั้งไว คือ การทํางานจะขึ้นอยูกับคาของกระแสเพียง
อยางเดียวเขตของการปองกันจะเริ่มตั้งแตจุดที่ติดตั้งหมอแปลงกระแส (CT) สําหรับรีเลย เรื่อยไปจนถึงจุดที่ทํา
ใหกระแสลัดวงจรมีคาสูงถึงคาที่ตั้งไว ซึ่งก็ไมแนวาจะเปนจุดในวงจร เพราะจะขึ้นอยูกับความตานทาน หรืออิม
พิแดนซของแหลงจาย (Source in Dance) ลักษณะของการลัดวงจรเอง และอิมพิแดนซของการลัดวงจรดวย
ความสามารถในการแยกแยะจึงจะไมสูงนัก ดังนั้น จึงมักใชรีเลยชนิดที่มีการถวงเวลา และจะตองเลือกลักษณะ
การทํางานที่มีการถวงเวลาใหเหมาะสมกับการปองกันวงจรทางดานวงจรทุติยภูมิดวย
ตัวอยางการตอรีเลยกระแสเกินจะแสดงไวในรูป 1.4
Transformer
Current Winding
Transformer
3phase
Overcurrent
Relay
รีเลยกระแสเกินแบบถวงเวลาผันกลับ จะชวยใหทําการปรับเทียบการทํางานรวมกับรีเลยที่ปองกันอยู
ถัดไปๆด แตในบางโอกาสจะใหการทํางานที่ชาเกินไป ถึงแมวาคาของกระแสสูงมากแลวก็ตาม จึงนิยมใชรีเลย
กระแสเกินแบบทํางานทันที (Instantaneous O/C Relay) รวมอยูดวย เพื่อใหทริพไดทันทีสําหรับคากระแสลัดวง
จรสูง ๆ ซึ่งไมตองการการถวงเวลาในการทํางาน
การปองกันการจายกระแสเกินขนาด อาจทําไดโดยใชรีเลยกระแสเกินเชนกัน หรืออาจจะใชรีเลยวัด
ความรอน (Thermal Relay) ก็ได
1.5 การปองกันการลัดวงจรลงดินแบบจํากัดบริเวณ (Restricted Earth Fault Protection)
การลัดวงจรลงดินในหมอแปลงมีโอกาสเกิดขึ้นไดมาก ถาหมอแปลงตั้งอยูกับพื้นโดยตรง ซึ่งปกติจะ
ตอตัวถังลงดินดวย ในหอแปลงที่เปน U หรือ Y ที่ไมตองตอลงดินจะใชรีเลยกระแสเกินแบบวัดกระแสซี
เควนซศูนยปองกันการเกิดการลัดวงจรลงดินในขดลวดไดดีมาก เพราะปกติจะไมมีกระแสตกคาง (Residual)
2.3.5 - 9
ไหลเขารีเลยเลย รวมทั้งไมมีกระแสวงจรไหลไปผานภายนอกดวย จึงจะตั้งกระแสใหรีเลยทํางานไดต่ําและเร็ว
มากดวย โดยใชรีเลยที่มีอิมพิแดนซ ดังแสดงในรูป 1.5
Transformer
Current Winding
Transformer
Residual
Overcurrent Relay
ZE
2.3.5 - 10
ระบบนี้จะทํางานเฉพาะในกรณีที่การลัดวงจรเกิดขึ้นภายในจุดที่ตอหมอแปลงกระแส คือ การลัดวงจร
ที่เกิดในขดลวดที่ตอเปน Y ไวเทานั้น และจะไมทํางานเมื่อการลัดวงจรเกิดขึ้นภายนอกเขตนี้ ไมวาการลัดวงจร
นั้นจะเปนชนิดใด
ขอดีของการปองกันแบบนี้จะเนื่องจากสามารถใชรีเลยแบบทํางานทันที (Instantaneous) ซึ่งตั้งคาไวต่ํา
ไดนอกจากนั้นแลว ยังมีการวัดคากระแสลัดวงจรจริง ๆ ซึ่งทําการปองกันขดลวดทําไดเกือบตลอด ถึงแมวา
กระแสลัดวงจรจะลดลง เทื่อการลัดวงจรเกิดขึ้นใกลจุดกลาง ระบบนี้ก็จะยังมีประสิทธิภาพอยู
ระบบนี้จะใชไดกับหมอแปลงที่ตอแบบE (ลงดินโดยตรง) เนื่องจาก กระแสลัดวงจรจะสูงถึงแมการ
ลัดวงจรจะเกิดขึ้นที่รอบของขดลวดทาย ๆ (รูป 1.6) จึงจะปองกันขดลวดสําหรับการลัดวงจรลงดินไดตลอด ซึ่ง
เปนผลดีเมื่อเปรียบเทียบกับระบบ ซึ่งไมมีการวัดกระแสในสายกลาง
1.6 การปองกันแบบกระแสตาง ๆ(Differential Protection)
เนื่องจากหมอแปลงมีประสิทธิภาพภายในสูง มีคาสูญเสียในแกนเหล็ก และในทองแดงต่ํา จํานวน
แอมแปรรอบ (Ampere-Turns) ของทางดานปฐมภูมิ และ ทุติยภูมิ มีคาประมาณเทากัน จึงสามารถจะจัดระบบ
ปองกันแบบกระแสตาง (Differential Protection) สําหรับหมอแปลงทั้งตัวได ดังแสดงในรูป 1.7
3xCT
30000/5A
Generator
87 Transformer
Step Up Transformer
990 MVA GT Differential Relay
FOA Type
525 / 24kV
YNd1 : Vector
3xCT
30000/5A
2.3.5 - 11
Transformer
Winding
87 87 87
Transformer 87
GT
2.3.5 - 12
Transformer
ดานแหลงจาย
ดานแหลงจาย
B
B
B
O : ขดลวดทํางาน
B : ขดลวดถวง
87 O
(ข) การตอหมอแปลง
ถาหมอแปลงตอเปน Y/U กระแสผานหมอแปลงแบบ 3 เฟส สมดุล (Balanced 3 - φ) จะมีมุมเปลี่ยน
ไป 30° ดังนั้นจึงตองตอเปน U และจะตอ CT เปน Y ทางดาน Uของหมอแปลง
เมื่อ CT เปนU จะตองลดพิกัดทางดานทุติยภูมิลงมา 1/√3 ของพิกัด ที่ตอแบบ Y เพื่อใหกระแสออก
จาก U สมดุลยกับกระแสที่ออกจาก CT ที่ตอแบบ Y ได
(ค) หมอแปลงที่มีการแปลงแทป (Tap-Changing)
จะตองคํานึงถึงดวย เพราะถึงแมวาจะเลือก CT ใหสมดุลยแลว เมื่ออัตราการแปลงเฉลี่ยของหมอแปลง
เมื่อมีการเปลี่ยนแทป จะทําใหเกิดกระแสไมสมดุลยทันที เพราะอัตราสวนการแปลงจะเปลี่ยนไป ดังนั้น รีเลย
แบบกระแสผลตางจะตองมีการถวงดวย รีเลยจะไมทํางานถึงแมวาจะทีการเปลี่ยนอัตราสวนการแปรสูงสุดแลว
ที่ใชนิยมใหเปนรีเลยแบบเปอรเซ็นตผลตาง ดังที่แสดงในรูป 1.8 – 1.10
(ง) กระแสหลอเลี้ยงสนามแมเหล็กในระยะเริ่มเขา
กระแสหลอเลี้ยงสนามแมเหล็กเริ่มเขาจะทําใหเกิดกระแสไหลเขาทางขดลวดปฐมภูมิของหมอแปลง
ซึ่งจะไมมีกระแสแปลงออกทางดานทุติยภูมิเลย กระแสเริ่มเขาทั้งหมดจึงเขาในระบบปองกันทางเดียว ทําให
2.3.5 - 13
กระแสผลตาง และถามองผาน ๆ จะคลายกับเปนการลัดวงจรภายในหมอแปลงเอง การถวงแบบธรรมดาจะไม
ชวยเลยและถาเพิ่มคาปรับตั้งสูงขึ้นไปมากก็จะทําใหการปองกันไมดี
เนื่องจากปรากฏการณนี้เปนแบบชั่วคราว อาจแกปญหาโดยใชวิธีถวงเวลาการทํางาน ซึ่งก็ทําไดหลาย
วิธี อาจจะตอฟวสเชื่อม (Fuse Link หรือ Kick Fuse) ขนานเปนชั้น (Shunt) กับรีเลยแบบทํางานทั้งที เพื่อเบน
กระแสสวนใหญออกไปโดยฟวสไมขาด แตถาเกิดการลัดวงจรภายในหมอแปลง ฟวสจะขาดและรีเลยก็จะ
ทํางานได
อีกวิธีหนึ่ง คือ ใชรีเลยแบบเหนี่ยวนํา ที่จะใหการถวงเวลาทํางานที่เหมาะสมได วิธีใชถวงเวลานี้จะไม
เพียงพอที่จะทําใหระบบปองกันการทํางานที่ดี ถากระแสเริ่มเขามีคาสูง
Transformer
Through bias
Harmonic bias
Restraint coil
XL
XC
2.3.5 - 14
การตานดวยฮารโมนิค (Harmonic Restraint) จะไดมาจากวงจรทูน (Tuned Circuit) XCXL ซึ่งจะยอมให
เฉพาะกระแสที่มีความถี่ฟนดาเมนทัล (Fundamental Frequency) เทานั้นไหลผานเขาไปในขดลวดทํางานรีเลย
สวนประกอบกระแสตรง และฮารโมนิคในกระแสจะถูกเบี่ยงเบนไปเขาวงจรตาน (Harmonic Restraining Coil)
มักจะปรับรีเลยไมใหทํางานเมื่อฮารโมนิคลําดับที่ 2 มีคาเกิน 15 % ของกระแสฟนดาเมนทัล คาพิคอัพต่ําสุดมีคา
15 % ของพิกัดของหมอแปลงกระแส และเวลาทํางานต่ําสุดประมาณ 2 รอบ (Cycle) เนื่องจากในกระแสลัดวงจร
อาจมีสวนประกอบคลื่นซึ่งเปนกระแสตรง และฮารโมนิคดวย โดยเฉพาะเมื่อหมอแปลงกระแสอิ่มตัว จึงมักใชรี
เลยกระแสเกินแบบทํางานทันทีติดไวในวงจรกระแสตางดวย แตจะตั้งคาทํางานไวใหสูงกวาคากระแสเริ่มเขา
หมอแปลงสูงสุด รีเลยจะชวยปองกันการลัดวงจรที่รุนแรงมากภายในหมอแปลงโดยใชเวลาทํางานนอยกวา 1
รอบ
2.3.5 - 15
RA Name Symbol
MAT 101 Diff “ Trip “ 87AT1 0076
OR Gate
RA
MAT 101 Primary O/C “ Trip “ 51AT1 0078 AND
RA Gate
MAT 101 Ground O/C “ Trip “ 51GAT1X 0079
Timer TD
RA
Gen XFMR 101 Diff “ Trip” 87GT1 0074
RA
Gen 101 Ground Fault “ Trip” 59G1 0086
RA
Gen 101 Diff “ Trip” 87G1 0075
2.3.5 - 16
คําถามทายบทเรื่อง Transformer Protection
1. อุปกรณใดทําหนาที่ปองกันหมอแปลงกรณีมีแกสเกิดขึ้นในตัวหมอแปลง
2. Sudden Pressure Relay มีหลักการทํางานอยางไร
3. รีเลยวัดความรอน (Thermal Relay) สามารถใชปองกันหมอแปลงเหมือนกับรีเลยประเภทใด
4. การใชวิธีปองกันโดยการไกตัดวงจร (Circuit Breaker) มีขอดีกวาการใชฟวสอยางไร
เอกสารอางอิง
1. เอกสารการอบรมเรื่อง Relay Protection for Power Plant
เรียบเรียงโดย. : คุณสุรเดช หนุนนาค
วิศวกรระดับ 10, ฝายบํารุงรักษาไฟฟา การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย
2.3.5 - 17
2.4 Station Commissioning
2.4 - 1
COMMISSIONING CONCEPT
1. บททั่วไป
งาน Commissioning โรงไฟฟา หมายถึง กระบวนการตรวจรับโรงไฟฟา ภายหลังงานกอ
สรางและติดตั้งที่มีความพรอมเพียงพอที่จะใหทําการทดสอบและตรวจรับได โดยที่โรงไฟฟาจะ
ประกอบดวยอุปกรณตางๆ มากมายและใชเวลาติดตั้งนานเปนป หรือหลายปขึ้นอยูกับประเภทของ
โรงไฟฟา งาน Commissioning จึงจําเปนตองใชบุคลากรที่มีความรู และความชํานาญเฉพาะดาน
ตางๆ กัน และการดําเนินงาน Commissioning จะมีการติดตอประสานงานกับหนวยงาน, บุคคล
ตางๆ รวมถึงชาวตางประเทศดวย การเรียนรูถึงการทํางานของระบบตางๆ, อุปกรณตางๆ ทั้งทาง
ดานเครื่องจักรกล, ไฟฟา อุปกรณเครื่องวัด, ระบบควบคุมและขั้นตอนในการนําอุปกรณเขาใชงาน
หรือออกจากการใชงาน ซึ่งจะทําใหสามารถใชงานโรงไฟฟาไดอยางถูกตองเหมาะสมและมีอายุ
ยาวนานครบหรือเกินกําหนดที่ออกแบบไว
จากภาระกิจดังกลาวขางตน การเตรียมการกอนเริ่มงาน Commissioning ใหพรอมทั้งดาน
บุคลากร ดานการ Training (เดินเครื่องและบํารุงรักษา), การจัดเตรียมอุปกรณอํานวยความสะดวก
ตางๆ จึงมีความสําคัญตอทีมงาน Commissioning ที่จะปฏิบัติงานตามภาระกิจใหไดผลดี ทั้งนี้การ
ทํางานในชวง Commissioning จะดําเนินการอยางตอเนื่องเปนเวลานานหลายเดือน และไมจํากัดเวลา
ในการปฏิบัติงานผูปฏิบัติงานจะตองเสียสละเวลาที่มีอยูโดยไมจํากัดวากลางวันหรือกลางคืน ทั้งนี้
เพื่อใหโรงไฟฟาสามารถทําการผลิตกระแสไฟฟาไดโดยเร็วภายในกรอบของแผนงาน
2. Commissioning Concept
ภาระกิจงาน Commissioning จะประกอบดวยการตรวจรับอุปกรณตางๆ โดยการทดสอบ
อุปกรณแตละอุปกรณ ทดสอบการทํางานของแตละระบบและทดสอบขีดความสามารถของโรง
ไฟฟาเพื่อใหเปนไปตามที่ออกแบบไวและตามขอกําหนดของสัญญา สิ่งที่ตองระมัดระวังอยางยิ่ง
ในการตรวจรับและทดสอบคือดานความปลอดภัย (Safety) ทั้งดานคนและเครื่องจักรอุปกรณ รวม
ทั้งผลกระทบตอสิ่งแวดลอม และชุมชนรอบขาง ดังนั้นจะตองเตรียมพรอม และตรวจตาใหรอบ
ครอบ ในการทดสอบขีดความสามารถการทํางานจะตองระลึกเสมอวาหากทดสอบและใชงาน
อุปกรณตางๆ เกินขีดความสามารถที่กําหนดไว จะทําใหอายุการใชงานของอุปกรณหรือโรงไฟ
ฟาสั้นลงกวาที่กําหนด ซึ่งคิดเปนมูลคาการเสียโอกาสในการผลิตแลวมีมูลคามหาศาล ทั้งนี้เพราะ
คูสัญญา (Contractor) ยอมจะตองพยายามในทุก ๆ วิธี เพื่อใหเครื่องจักรหรืออุปกรณสามารถ
ทํางานไดตามที่ไดรับประกัน (Guarantee) ไว
2.4 - 2
การตรวจรับและทดสอบอุปกรณเพื่อนําเขาใชงานนั้น จะมีขอกําหนดและรายละเอียด
ตางๆ ตามที่ บริษัทผูผลิตกําหนดมาทีมงานตรวจรับจะตองตรวจสอบทําความเขาใจในขอกําหนด
และรายละเอียดตางๆ วาถูกตองเหมาะสมหรือไม เปนไปตามหนังสือคูมือกําหนดไว (Instruction
Manual), เปนไปตามขอกําหนดระบบควบคุม (Control Logic) หรือไม และตรวจสอบกับมาตร
ฐานอางอิงดวย ในกรณีมีขอขัดแยงเกิดขึ้น และสัญญามิไดระบุไว จะตองหาขอยุติโดยการตกลง
รวมกันในที่ประชุมทั้ง 2 ฝาย สวนที่สําคัญคือการตรวจสอบใหเปนไปตามขอกําหนดของสัญญา
การตรวจรับอุปกรณหนึ่ง ๆ จะตองประกอบดวยสิ่งตางๆ เชน
o อุปกรณนั้นๆ มีสวนประกอบครบถวน การติดตั้งถูกตองมีความปลอดภัยและสะดวกตอ
การเดินเครื่อง (Operate), สะดวกตอการบํารุงรักษา (Maintenance)
o แบบของอุปกรณนั้นๆ (Drawings) มีครบถวนถูกตองหากมีการแกไขจากเดิมจะตองแกไข
ในแบบใหถูกตองดวย
o หนังสือคูมือ (Instruction Manual) มีครบถวน มีเนื้อหาเพียงพอสําหรับการใชงาน
o เกณฑหรือขอกําหนดดานความสามารถและประสิทธิภาพ (Performance) รวมถึงขั้นตอน
การทดสอบและอุปกรณที่ใชงานทดสอบ
o รายการเครื่องมือพิเศษ, เครื่องมือที่ใชในการซอมบํารุง ที่จะตองจัดหามาใหตามสัญญา
o รายการอาหลั่ย (Spare Parts) ที่จะตองจัดหามาใหตามสัญญา
o ฯลฯ
ในการตรวจรับ จะตองมีการจัดทําแผนงาน (Schedule) ในการทดสอบและประชุมรวมกันกับ
ผูเกี่ยวของกอนดําเนินการในแตละหัวขอและขั้นตอนใหชัดเจน พรอมทั้งระบุวันที่, เวลาที่จะ
ดําเนินการ เพื่อใหผูเกี่ยวของในแตละดานไดเขาใจ สามารถดําเนินการตามเปาหมายที่กําหนดได
อยางปลอดภัย
3. Commissioning Organization
จากภาระกิจที่กลาวมาขางตนจะเห็นไดวางาน Commissioning มีลักษณะธรรมชาติที่ Dynamic
และมีกิจกรรมหลากหลายตลอดเวลา การจัด Organization ใหเหมาะสมจะตองมีความคลองตัวและ
ปฏิบัติการไดตอเนื่อง โดยเฉพาะในการจัดทีมงานปฏิบัติการเฉพาะกิจแตละดานใหสอดคลองกับภาระ
กิจสําหรับโรงไฟฟาที่จะดําเนินการตอไปในอนาคตไดจะเปนขอดีในการปฏิบัติหนาที่ตอไป ภาระกิจ
แตละทีมงานที่ตองรับผิดชอบควรมีความชัดเจน และสามารถดําเนินงานไดโดยสอดคลองกัน ตัวอยาง
Commissioning Organization ของโรงไฟฟาพลังความรอนรวมราชบุรี ไดจัดไวดังนี้
2.4 - 3
GE/REOL SITE COMMISSIONING STAFF
RATCHABURI COMBINED CYCLE POWER PLANT
EGAT GE/REOL EGAT
COMMISSIONING COMMISSIONING CONSTRUCTION
CO-ORDINATOR MANAGER CO-ORDINATOR
GELEAD
COMMISSIONING
T/A
LEAD LEAD
ELECTRICAL/ MECHANICAL/
CONTROL & INST LEAD DCIS OPERATIONS
SUPERVISOR
2.4 - 4
COMMISSIONING ORGANIZATION
RATCHABURI COMBINED CYCLE POWER PLANT
EGAT GE/REOL
COMMISSIONING COMMISSIONING
CO-ORDINATOR MANAGER
= LINES OF SUPERVISON
= LINES OF COMMUNICATION
2.4 - 5
สําหรับหนาที่รับผิดชอบในแตละกลุมตาม ORGANIZATION มีดังนี้คือ
ตารางจําแนกหนาที่ความรับผิดชอบ (Job Description) ของคณะทํางาน Commissioning
2.4 - 6
2. คณะทํางานเฉพาะกิจงาน 1. รวมทดสอบและเก็บขอมูลของ 1. ศึกษาสัญญาขอ
Acceptance Test Equipments, Testing sub Loop & กําหนด Performance
Loop Test Criteria
2. ดําเนินการทํา Plant 2. ศึกษา
Performance Test Performance procedure
3. รายงานสรุปผลการทดสอบ
เสนอคณะประสานงานเปนระยะ
4. ออก Site Note, Deficiency list เสนอ
คณะประสานงานเปนระยะ
3. คณะทํางาน Commissioning 1. ตรวจรับอุปกรณดานเครื่องกลให 1. ศึกษาสัญญาใน
อุปกรณดานเครื่องกล ครบถวน มีสมรรถนะตรงตาม สวนอุปกรณเครื่องกล
Specification & Contract
รายชื่อคณะทํางาน หนาที่ความรับผิดชอบ หมายเหตุ
3. คณะทํางาน Commissioning 2. จัดทํา Check Sheet เพื่อใชในการตรวจ 2.ศึกษา Instruction
อุปกรณดานเครื่องกล รับอุปกรณ Manual
3. รวม Walk down Inspection ชวง Pre 3. ศึกษา Test Produce
Test ตางๆ
4. ตรวจรับงานดาน Spare part, Tool, 4. ศึกษา Specification
Instruction Manual, Drawing อุปกรณ
5. ออก Site Note, Deficiency list เสนอ 5. ศึกษา Acceptance
คณะ ทํางานผูประสานงานผูประสาน Criteria
งานเปนระยะ
6. รายงานความคืบหนาของปญหา, ผล
การทดสอบเสนอคณะทํางานเปนระยะ
7. อื่นๆ
4. คณะทํางาน Commissioning 1. เหมือนขอ 1-4 ของคณะทํางาน 1. เหมือนคณะทํางานที่ 3
อุปกรณไฟฟาและระบบควบ ดานเครื่องกลแตเปนอุปกรณดานไฟฟา
คุม และอุปกรณเครื่องมือวัด
2. ตรวจรับระบบปองกันอุปกรณไฟ
ฟาและระบบ Plant Protection System
3. ตรวจรับระบบ Plant control
4. ออก Site Note, Deficiency list
2.4 - 7
เสนอคณะทํางานผูประสานงานผู
ประสานงานเปนระยะ
5. รายงานความคืบหนาของปญหา,
ผลการทดสอบเสนอคณะทํางานเปน
ระยะ
5. คณะทํางาน Commissioning 1. ปฏิบัติการดาน Operation เริ่มตั้ง 1. ศึกษาสัญญาใน
Functional operation แต Walk down/ Pre-operation-check/ สวนของ Equipment,
Startup/ Operation Demonstration Test/ System plant ดาน
Shutdown Operation Function
2. ตรวจรับดาน Functional Testing 2. ศึกษา Instruction
ของ Equipment/System/Plant ใหตรง Manual
ตาม Specification & Contract 3. ศึกษา Test
3. ปฏิบัติการและตรวจรับงาน Procedure ตางๆ
Chemical Clean Hydro. Test, Safety 4. ศึกษาดาน
Valve Test, Steam Blow out, First Acceptance Criteria
Synch. and Load up to Max. Capacity ดาน Operation
Test 5. ศึกษาระบบ Work
4. ตรวจรับงานดาน Consumable Spare Permit and Safety
part ใน Tagging
สวนของเดินเครื่อง เชน Condenser tube 6. ตรวจสอบความ
cleaning Ball, H2 & CO2 Gas เปนตน ครบถวนถูกตองของ
5. ตรวจรับงานดาน Instruction manual, Start up Package
Drawing ตางๆ
2.4 - 8
Chemical Cleaning และ Chemical cleaning สวนของงานที่รับผิดชอบ
Water Treatment 2. ตรวจรับงานในสวนของ Water 2. ศึกษา Instruction
Treatment, Water Analysis, Sanitary, Manual
Waste Treatment และอุปกรณ 3. ศึกษา Specification
Laboratory 4. ศึกษา Acceptance
3. ตรวจรับงานในสวนของ Process & Criteria
Performance ของ Water Treatment plant
4. ออก Site Note, Deficiency list
เสนอคณะประสานงาน
5. รายงานความคืบหนา, ปญหางาน,
ผลการทดสอบเสนอคณะทํางาน
ประสานเปนระยะๆ
6. อื่นๆ
7. คณะทํางาน Training 1. ดําเนินการดาน Training จัดเตรียม 1. ศึกษาสัญญาในสวน
Working Party อุปกรณเอกสารในการดําเนินงาน จัด ที่รับผิดชอบ
หลักสูตร และวิทยากร 2. ศึกษา Instruction
2. ตรวจรับงานดาน Simulator รวมกับ Manual
คณะทํางานที่ (3) (4) (5) 3. ศึกษา Specification
3. รายงานความคืบหนา, ปญหางาน, 4. ศึกษา Acceptance
ผลทดสอบ Criteria
8. คณะทํางาน Safety 1. ตรวจสอบสภาพความพรอมดานความ 1. ศึกษาสัญญาในสวน
Working Party ปลอดภัยในการดําเนินการ ที่รับผิดชอบ
Commissioning เพื่อแจงตอ Contractor 2. ศึกษา Acceptance
ใหดําเนินการแกไข หากมีขอบกพรอง Criteria
2. ตรวจรับและทดสอบอุปกรณดานความ 3. ศึกษา Specification
ปลอดภัย ประจําโรงไฟฟา ของ อุปกรณ
3. ออก Site Note, Deficiency List กรณี 4. เตรียมความพรอมดาน
สภาพแวดลอมการทํางานเกินกวาสัญญา อุปกรณความปลอดภัย
และ ขอกฎหมายกําหนด และแผนฉุกเฉิน
4. รวม Walk down Inspection ชวง Pre Test
5. รายงานความปลอดภัย ปญหาของงาน
เปนระยะ
2.4 - 9
BASIC POWER PLANT COMMISSIONING STEP
สําหรับขั้นตอนในการปฏิบัติงาน Commissioning นั้นประกอบดวยขั้นตอนในการเขาตรวจสอบชวง
งานติดตั้ง (Erection work) และขั้นตอนพื้นฐาน ซึ่งการเขาตรวจสอบในชวงงานติดตั้งนี้จะมีผลดีในการแกไข
ปญหาที่เกิดขึ้น เมื่อตองการเพิ่มเติมหรือแกไขการติดตั้งอุปกรณใหเหมาะสมตอการใชงานเพราะทีมงานที่รับ
ผิดชอบงานติดตั้งอุปกรณเครื่องมือตางๆ ยังอยูครบถวนสามารถดําเนินการไดโดยงายกวาที่จะแกไขเพิ่มเติม
เมี่อ ติดตั้งเสร็จแลว แตทั้งนี้จะตองไมทําใหงานกอสรางลาชาออกไป งานแกไขหรือเพิ่มเติมที่เกี่ยวของกับ
ความปลอดภัย (Safety) ตอผูปฏิบัติงานหรืออุปกรณจะตองแกไขกอนการทดสอบ
4.1 ขั้นตอนการตรวจสอบระหวางการติดตั้ง
ในการเขาตรวจสอบระหวางการติดตั้ง จะชวยใหงานติดตั้งมีความถูกตองเหมาะสมมากขึ้น
และหากจําเปนตองมีการแกไขก็สามารถดําเนินการไดทันที เพราะกําลังคนและเครื่องมือยังอยูพรอม
ความจําเปนที่ตองเขาตรวจสอบในชวงนี้เพราะในแงมุมของการใชงานโดย Operator หรือดานบํารุง
รักษาอาจมีความเห็นเพิ่มเติม ซึ่งหากปลอยไวดําเนินการภายหลังจะมีความไมพรอม บางครั้งอาจมีการ
ปรับปรุงเพิ่มเติมใหเหมาะสมและปลอดภัย (Safety) ตอการใชงาน
ขอสําคัญของการเขาตรวจสอบระหวางติดตั้งนั้น จะตองมีการประสานงานระหวางหนวยงาน
ที่เกี่ยวของใหชัดเจนและเปนขอตกลงรวมกันดวยความเขาใจอันดี ทั้งนี้เพราะแตละหนวยงานตางมี
ภาระกิจความรับผิดชอบที่แตกตางกัน สําหรับการตรวจสอบระหวางติดตั้งนั้นเปนภาระกิจของหนวย
งานดานกอสรางโดยตรงการที่ทีมงาน Commissioning ไดเขารวมตรวจสอบจะเปนการเรียนรูเครื่อง
จักรอุปกรณดวย ทําใหเกิดความคุนเคยตออุปกรณเกิดความคลองตัวในการ Operate และ Maintenance
ในอนาคต
4.2 ขั้นตอนพื้นฐานในงาน Commissioning
4.2.1 ERECTION COMPLETENESS CERTIFICATE (ECC)
เมื่องานประกอบติดตั้งอุปกรณแลวเสร็จเพียงพอที่จะทํา PRELIMINARY TEST (WITHOUT
MAIN VOLTAGE AND FLUID) จะตองมีการ Walk down Inspection เพื่อตรวจสอบความเรียบรอย
และปลอดภัย รวมถึงตรวจสอบวิธีการที่จะทดสอบวาเหมาะสมกับสภาพความเปนจริงหรือไมถามีขอ
บกพรองใหแจงตอผูรับผิดชอบงานประกอบติดตั้ง เพื่อทาง Contractor จะไดดําเนินการแกไขรายการ
ที่เปน Major Exception Item จากนั้น จะออก ECC พรอมรายการที่จะแกไขภายหลังที่เปน Minor เพื่อ
เปนการยืนยันวา มีความพรอมที่จะทดสอบได
4.2.2 SAFETY CLEARANCE CERTIFICATE (SCC)
หลังจากอุปกรณหรือ System ผานการทํา Preliminary Test แลวทาง Contractor จะตองกําหนด
ระยะเวลาในการแกไข Exception Items และมีการ Walk down Inspection อีกครั้งหนึ่ง ถามีการแกไข
จนอุปกรณ หรือ System นั้นๆ พรอมที่จะทํา Function Test ไดทาง Contractor ก็จะออก SCC พรอม
รายการ Exception Item ที่จะแกไขตอไป (ถามี)
2.4 - 10
4.2.3 PROVISIONAL OPERATION CERTIFICATION (POC)
System ที่ผานการทํา Function Test แลว และมีความสมบูรณเพียงพอตอการนําเขาใชงานได
ทาง Contractor จะออก POC เพื่อแสดงวา อุปกรณหรือ System นั้นพรอมที่จะ Operate ได
ในการดําเนินงานตามขอ 4.2.1 ถึง 4.2.3 นั้น ควรจัดทําเปน Work Package เพื่อเปนหัวขอใน
การตรวจสอบถึงความพรอมดานตางๆ นอกเหนือจากตัวอุปกรณ เชน Dwg. ตางๆ; Instruction Manual
ทาง Contractor ควรสงมอบใหผูรับผิดชอบ พรอม POC. เพื่อจะไดขอมูลที่ตรงกับความเปนจริงเพียง
พอตอการใชงาน กรณีที่ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งทาง Contractor จะตองระบุ กําหนดเวลาที่จะสงมอบใหได
ดวย โดยเฉพาะอยางยิ่ง As built DWG จะตองสงมอบใหภายในระยะเวลาที่สัญญากําหนด เชน 30 วัน
หลังจากการทํา Function Test เปนตน
4.2.4 CAPABILITY TEST
หลังจากการทํา Functional Test ของอุปกรณและระบบแลวเสร็จ ตัวโรงไฟฟาสามารถเดิน
เครื่องจายกระแสไฟฟาได ทาง Contractor จะแจงแผนการทํา Capability Test เพื่อเปนการทดสอบขีด
ความสามารถของโรงไฟฟาโดยเฉพาะ Operating Capability ตามที่กําหนดไวในสัญญา อาทิเชน
Starting Reliability ทั้ง Hot และ Cold Condition, Start up sequence time for normal and fast start,
load and pick up rate ; 100% load rejection over speed trip, stable operation at minimum load, Fuel
Transfer Test, 5 days Trial Run ที่ load ตางๆ กันอยางตอเนื่องเปนตน ทั้งนี้เพื่อจะไดทราบถึงสภาพ
อุปกรณและระบบควบคุมวาสามารถใชงานไดตาม Design และมี Reliability ตอการใชงาน
4.2.5 PERFORMANCE TEST & EMISSION TEST
ทาง Contractor จะสงรายละเอียดขั้นตอนวิธีการทํา Performance Test/Emission Test มาให
ตรวจสอบกอนที่จะทําการ Test ซึ่งรายละเอียดตางๆ ของอุปกรณที่ใช, ขั้นตอนการทดสอบ, การเก็บขอ
มูล, วิธีการคํานวณ, มาตรฐานที่ใชอางอิง ฯลฯ สิ่งตางๆ เหลานี้จะตกลงกันใหชัดเจน โดยมีสัญญาเปน
กรอบเพื่อภายหลังการ Test แลวจะไดไมเปนปญหาขอโตแยงตอกัน เพราะการทํา Performance Test
จะวัดประสิทธิภาพของโรงไฟฟาโดยที่มี Guarantee ในดานตางๆ เชน Output, Heat Rate ฯลฯ ตามแต
สัญญาจะระบุไว (Schedule of Guarantees)
อนึ่ง สําหรับ Gas Turbine นั้น จะมี Guarantee ดาน Emission ดวย เชน เสียง, NOx, SOx,
Unburn Carbon ฯลฯ ซึ่งการทดสอบดาน Emission นี้ควรทําพรอมกันกับการทํา Performance Test
เพราะวา Guarantee จะเทียบที่ Heat Rate เดียวกัน หากไมสะดวกตอการ Test ในคราวเดียวกันก็ควร
ระบุคา Heat Rate และคา Water Injection ใหชัดเจนแนนอนโดย Contractor จะตองสง Correction
Curve ของ Heat Rate กับ Water Injection Rate มาใหกอนการทํา Emission Test ดวย เพราะการควบ
คุม Emission ตามพิกัดที่ระบุไวในสัญญา อาจตองใช Water Injection Rate มากกวาชวงทํา
Performance Test ซึ่งการใช Spray Water มากกวานี้จะมีผลตอ Heat Rate ดวย
2.4 - 11
ในการทํา Performance Test ของโรงไฟฟาพลังความรอนรวม จะแบงออกเปน 2 สวน คือ
Simple Cycle (เฉพาะ Gas Turbine) Performance Test และ Combined Cycle Performance Test ถา
หากการทํา Performance Test ชวง Simple Cycle ไมผานเกณฑกําหนดในสัญญาและมีการแกไขปรับ
ปรุงเพิ่มเติมจะตองพิจารณาผลกระทบตอตัว Gas Turbine และอุปกรณอื่นๆ รวมทั้งจะตองพิจารณาถึง
ผลกระทบตอ Combined Cycle ดวยโดยเฉพาะดาน Steam Temperature ทั้งตัว Heat Recovery Steam
Generator, Steam Turbine และอุปกรณอื่นๆ
4.3 ความปลอดภัยระหวางงาน COMMISSIONING (SAFETY)
หนาที่ของ Commissioning Staff คือ การนํา Plant เขาใชงานเปนครั้งแรกไมใชการเดินเครื่อง
ในเชิงพาณิชยตามปกติ ซึ่งนอกเหนือจากการตรวจรับใหถูกตองตามขอกําหนดในสัญญาแลวตอง
คํานึงถึงความปลอดภัยทั้งผูปฏิบัติงาน และอุปกรณเปนสําคัญเพราะมีความเสี่ยงสูงกวาปกติ ดังนั้น
ในชวงการทดสอบ, เดินเครื่องหรือการเขาแกไขปญหาของอุปกรณ จึงตองนําเอา ระบบ Tag, Pad
Lock และ Work Permit มาใชงานอยางเครงครัด รวมถึงการตรวจสอบสภาวะแวดลอมกอนเขาทํางาน
และระหวางทํางานดวย
4.4 เอกสารจาก Contractor สําหรับงาน Commissioning
ตามสัญญาเอกสารรายละเอียดตางๆ สําหรับงาน Commissioning เปนหนาที่ของ Contractor
ที่จะตองสงมาใหครบถวน อาทิเชน
o Contractor Commissioning Organization
o Plant Commissioning Schedule
o Commissioning Package for Individual System ซึ่งใน Package ควรจะมีเนื้อหาสําคัญๆ
มีรายละเอียดครบถวนเพียงพอที่จะใชงาน Commissioning อาทิเชน
- Description of Plant or System เกี่ยวกับขอมูลดาน Design, Function of Equipment
and/or System, Control Function สําหรับตัวอุปกรณ หรือระบบนั้นๆ รวมถึงความ
เกี่ยวของกับระบบอื่นๆ ดวยโดยระบุ Control Design In- Out Signal ใหชัดเจน
- Piping and Instrument Diagram ที่กําหนด Boundary ของ Package ไว
- Objective of Commissioning Activities เปนการกําหนดเปาหมาย การตรวจรับ/
ทดสอบทั้งดาน Operation, Control และ Performance Guarantee เพื่อจะไดทราบวา
เปนไปตาม Specification หรือไม
- Commissioning Net Work แสดงถึงกิจกรรม Commissioning เรียงตามลําดับและ
ประมาณการสําหรับเวลาที่ตองใชดวย
- Commissioning Detail step-by-step procedure เปนรายละเอียดของแตละกิจกรรม
(Activity) ที่กําหนดไวใน Commissioning Net Work
2.4 - 12
- Safety กําหนดขอจํากัด หรือการเตรียมการปองกันดาน Safety ทั้งอุปกรณและวิธีการ
จุดหรือตําแหนงที่จะตองตรวจสอบ, รวมถึง Work Permit, Tagging System ดวย
- Test Report/ Reference Standard อุปกรณ หรือ System ในสวนที่ไดมีการ Test,
Calibrate มาแลวกอนนี้ จะตองแนบรายละเอียดผลดังกลาวมาใน Package ดวย
- Valve line up List and Check Sheet
สําหรับเอกสารดังกลาวทาง Contractor จะตองสงลวงหนาตามที่ระบุไวในสัญญา กรณีที่
ไมไดระบุไวควรสงลวงหนาไมต่ํากวา 1 เดือน เพื่อจะไดศึกษาและตรวจสอบ กอนดําเนินการและจัด
เตรียมอุปกรณตางๆ ที่ตองใชใหพรอม เชน วิทยุสื่อสาร, อุปกรณเครื่องวัดตางๆ รวมถึงการแจงหนวย
งานอื่นๆ ภายในบริเวณโรงไฟฟาใหทราบลวงหนาดวย โดยเฉพาะกิจกรรม ที่กอใหเกิดเสียงดัง จะตอง
กําหนดเวลาที่ทดสอบใหเหมาะสมดวย เพื่อจะไดทําการประชาสัมพันธใหชุมชนที่อยูใกลเคียงบริเวณ
โรงไฟฟาทราบลวงหนากอนดําเนินการ
4.5 การจัดทํารายงานสรุปผลการตรวจรับและทดสอบ
จาก Commissioning Objective ในแตละอุปกรณ และ/หรือ ระบบจะตองสรุปผลในเนื้อหา
สวนที่รับผิดชอบ เพื่อทําการสรุปรายงานรวมดานการตรวจรับอุปกรณเครื่องกล, ไฟฟา, Instrument
และระบบควบคุม, Functional Operation, Performance เพื่อจะไดสรุปรายงานตอ Commissioning
Panel และเก็บไวใชงานเปน Reference ตอไป
2.4 - 13
Commissioning Work Step
WALK
Preliminary Test ECC. - Flushing Electrical, Instrument
DOWN
No Load Test Issue Calibration Test
INSP.
- Hydro Test
2.4 - 14
จากตัวอยาง Work Step ที่แสดงมา สามารถสรุปเปนหัวของายๆ สําหรับอุปกรณในแตละระบบไดดังนี้
1) งานโยธาชวงการตอกเสาเข็ม, การทํา Foundation, (รวมถึง Anchor Bolt) & โครงสรางอาคาร
โรงไฟฟา
2) งานประกอบ, ติดตั้งอุปกรณ
3) งานตรวจสอบ, ทดสอบอุปกรณเครื่องมือวัด, อุปกรณเครื่องกลไฟฟาและระบบควบคุม
4) งาน Flushing ระบบ Piping และ Hydrostatic Test
5) งานทดสอบการเดินเครื่องอุปกรณขั้นตน (Preliminary Test)
6) งานทดสอบการเดินเครื่องเปน System รวมถึง Functional Test
7) งาน Chemical Cleaning, Blow Out
8) งาน Initial Operation และ Function Test, Heat Run Test
9) งาน Capability Test , Function Test
10) งาน Performance Test
การเขาตรวจสอบชวงระหวางติดตั้งนั้น ทางทีมงาน Commissioning เฉพาะกิจจะตองเตรียมการลวงหนา
โดยศึกษาจากขอกําหนดในสัญญา, Instruction Manual, Drawing ตางๆ ที่เกี่ยวของพรอมทั้งมาตรฐาน
(Standard) ที่ใชซึ่งการดําเนินงานดังกลาวหากใหไดผลดีควรเตรียมการลวงหนาและจัดทําเปนเอกสาร
แบบฟอรมตางๆ หรือเปน Commissioning Package เชน
o จัดทํา Check sheet กําหนดหัวขอที่จะตรวจสอบโดยหัวขอตางๆ จะตองระบุถึง Instruction
Manual, Drawing, รายการอุปกรณตางๆ ครบถวนหรือไม, รายการ Spare Part, Tool ตามที่กําหนดไวในสัญญา
และจําเปนตองมีไวสําหรับใชงานตอไป
o จัดทํา Instruction Sheet สําหรับงานตรวจสอบ, ความพรอมที่จะทดสอบหรือสําหรับงานบํารุง
รักษา
o จัดทําแบบฟอรมสําหรับเก็บขอมูลดาน Technical Data ของอุปกรณ และสวนประกอบ
o จัดทํา Program การบํารุงรักษาของอุปกรณนั้นๆ
กรณีมีรายการ Exceptional Items ซึ่งเปนความไมเรียบรอยของระบบหรืออุปกรณนั้น ๆ ควรจัดทําเปน
Site note เพื่อแจงตอผูรับผิดชอบทําการแกไขตอไปซึ่งในกรณีสัญญาเปน Turnkey ก็ควรแจงทางโครงการกอ
สราง เพื่อแจงทาง Contractor ดําเนินการแกไขตอไป
2.4 - 15
2.4 - 16
SEOUENCE OF BEGINNING AND ENDING OF WARRANTY PERIODS
(WARRANTY PERIOD CHART)
PAC.
Erection Commercial
Complete Operation
Synchronization
Extended Warranty
For component Defect.
if required
Finish
Commercial Operation
2.4 - 17
ตัวอยาง
COMMISSIONING
Program
and
Commissioning Network
2.4 - 19
2.4 - 20
2.4 - 21
2.4 - 22
ตัวอยาง
Commissioning Schedules
2.4 - 23
2.4 - 24
2.4 - 25
2.4 - 26
คําถาม
1. การตรวจรับอุปกรณโรงไฟฟาที่สมบรูณ ควรจะประกอบไปดวยอะไรบาง?
2. จงใหความหมายของคําวา WALKDOWN INSPECTION?
3. จงใหความหมายของคําวา CAPABILITY TEST และ PERFORMANCE TEST?
4. จงอธิบายถึงระบบที่นํามาใชเพื่อสรางความปลอดภัย (SAFETY) ในงาน Commissioning ?
5. ผลกระทบตอสิ่งแวดลอมที่เกิดจากงาน Commissioning โรงไฟฟาฯ มีอะไรบาง และมีวิธี
การควบคุมปองกันอยางไร?
2.4 - 27
2.5 Plant Operation
2.5 - 1
งานเดินเครื่องโรงไฟฟา
2.5 - 2
รูปที่ 2 Maintaining an energy balance by the control of mass flows
พนักงานเดินเครื่องสามารถรับรูการเปลี่ยนแปลงของสมดุลดังกลาวผานระบบควบคุมและหนา
จอแสดงผล
อุปกรณควบคุมอัตราการไหล
การที่จะรักษาความสมดุลในกระบวนการผลิตในโรงไฟฟาในรูปที่ 2 สามารถทําไดหลายทาง
คือ
1. Drive Motor ควบคุมโดย On-Off Switch
2. Pump, Fan หรืออุปกรณปอนเชื้อเพลิงอื่น เชน โมถานหิน, สายพานลําเลียงชีวมวลเขาหมอไอน้ํา
3. การออกแบบจะออกแบบระบบการควบคุมที่สามารถควบคุมอุปกรณใหทํางานแบบ Automatic
หรือ Manual หรือ Remote Control ของ Loop ตางๆ
4. เครื่องมือแสดงผลในกระบวนการ เชน Flow Meter, Pressure, Temperature ทั้ง Transmitter หรือ
gauge
5. จุดแสดงผล เชน หนาจอ CRT แผงควบคุมในหองควบคุม (Control Room) และระบบเก็บขอมูล
ตางๆ
2.5 - 3
ลักษณะของการควบคุมกระบวนการผลิตของโรงไฟฟาแบงไดหลายสภาวะ ซึ่งขั้นตอนปฏิบัติ
การในแตละลักษณะก็แตกตางกันไป ตามปจจัยความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ลักษณะดังกลาวประกอบดวย
2.5 - 4
Pressure Part : Drum Internal, Safety Valve
Vent & Drain Valve ตองอยูในตําแหนงที่ถูกตอง
Superheat De-Superheater System ทั้งใน Loop ของ Super Heater
และ Reheater
High Pressure / Low Pressure Bypass Valve
เครื่องมือควบคุม
ระบบเก็บตัวอยางคุณภาพน้ํา
ระบบตรวจจับกาซที่ปลอยออกจากโรงไฟฟา
ระบบอื่นๆ
2.5 - 5
Start Up Turbine จะตองควบคุมใหเปนไปตามที่บริษัทผูผลิตกําหนด เชน
อุณหภูมิเพิ่มดวยอัตราไมเกิน 220°C / ชั่วโมง, ความดันคงที่ เปนตน หาก
อุณหภูมิของ Turbine Rotor ยังไมไดตามที่กําหนด จะตองทําการ Heat Soak
ตอ กอนที่จะทํา Step ตอไป
ในชวงการเปลี่ยนแปลง Load หรือ Speed ของ Turbine จะตองทําการ
Confirm คา Parameter ตางๆ ใหอยูในคากําหนด เชน
2.5 - 6
4.4 งานเพิ่มพูนความรูพนักงาน Shift Charge Engineer จะมีหนาที่ในการพัฒนาบุคลากร, หัว
หนามีหนาที่ถายทอดความรูใหแกผูปฏิบัติงาน หาจุดออนของแตละบุคคล พัฒนา / อบรมให
เพียงพอ มีการสรุปหาขอสรุปของขั้นตอนการทํางานใหถูกตองเปนมาตรฐาน
2.5 - 7
บรรณานุกรม
2.5 - 8
2.5.1 Gas Turbine Protection
2.5.1 - 1
Gas Turbine Protection
GE Gas Turbine รุน MS-9001 FA มีระบบปองกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจะถูกแบงเปน 2 สวน
หลักๆดังนี้
1. Automatic Shutdown ( L94AX )
2. Master Protective /Turbine Trip
สัญญาณ Automatic Shutdown ( L94AX ) ที่ทําการสั่งลด Load Gas Turbine จนกระทั่ง Fire
Shutdown
- Turb inlet air pressure - excessive press drop ( L63TFH) สัญญาณนี้จะใชในการตรวจการ Flow
ของ Inlet Air Flow ที่ Gas Turbine จะใชในการเผาไหมซึ่งอาจเปนสาเหตุของการทําใหเกิด Fuel Richและยัง
เปนตัวปองกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจาก Filter ตันถา Compressor Gas Turbine ยังคงดูดอยูอาจมีความเสีย
หาย Duct ไดโดยติดตั้งเปน Pressure Switch 3 ตัว หลัง Air Inlet Filter โดยจะใช 2 ใน 3 เปนตัวสั่ง Shutdown
- Gas Purge Fault Shutdown (L94DLN) สัญญาณนี้จะใชในการตรวจสอบชวงการเปลี่ยน Mode
เชื้อเพลิง จะตองทํางานถูกตอง เพื่อปองกันการเกิดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับ หัว Nozzle ที่ใน
ขณะที่ไมใชงานจะตองมี ลมPurge ตลอดเวลา
- Dry Low Nox System Fired Shutdown( L94DLN ) สัญญาณนี้จะประกอบไปดวย 3 สัญญาณ
เพื่อปองกันการเสียหายที่เกิดขึ้นจาก Back Flow ของ Hot Gas มีดังนี้
- WTR INJ PURGE BACK FLOW-FIRED SHUT DOWN ( L94WP )
- Atomizing Air Temperature > High ( L26AAH_ALM )
- Atom. Air Press. Very Low Fire Shutdown ( L94AAPRVL )
- Low Gas Press/Low Liquid Flow (L94FGL) สัญญาณนี้จะใชในการตรวจในกรณีที่ Fuel Gas
Press. Low จะมี Command สั่ง Change Fuel เปน Liquid และจะเริ่มการตรวจสอบถามีเงื่อนไขใด
มาดังนี้จะทําการ Auto Shutdown
- ขณะที่ Fuel Gas Pressure Low ไมมี Command สั่ง Selected Liquid
- Aux Stop Valve Position Problem ( L94FGL1 ) สัญญาณนี้จะใชในการตรวจความผิด
ปกติที่เกิดขึ้นกับ Stop Valve จะตอง Open สุดถา Valve เปดไมสุด หรือ ปดลงมา จะมี
Alarm “Aux Stop Valve Position Trouble”
- หลังจากมี Command Fuel Tranfer เปน Liquid ภายในเวลาเวลาที่กําหนด Liquid Fuel Flow
นอยกวาที่กําหนดจะมี Command Auto Shutdown
- Load Tunnel Temp High Shutdown ( L94LTH ) สัญญาณนี้จะใชในการตรวจการรุกไหมใน
บริเวณ Bearing 2 ( Exhaust Diffuser )โดยใช Temperature Swicth เปนตัวตรวจสอบจะตองนอย
กวาคาที่กําหนด
2.5.1 - 2
- Fire Detected in Any Zone ( L94FPX ) สัญญาณนี้จะตรวจจับอุณหภูมิใน Compartment จาก
ระบบตางๆดังนี้
- Fire prot release aux relay zone #1 จะตรวจจับบริเวณ Fuel gas Compartment , Turbine
Compartment
- Fire prot release aux relay zone #2 จะตรวจจับบริเวณ No.2 Bearing Tunnel
- Fire prot release aux relay zone #3 จะตรวจจับบริเวณ Lube Oil /Hydralic Compartment
- Fire prot release aux relay zone #4 จะตรวจจับบริเวณ Liquid Fuel /Atom Air Module
- Fire prot release aux relay zone #5 จะตรวจจับบริเวณ BAC Module
- Fuel Gas Temp > High High ( L26HHFTG ) สัญญาณนี้จะใชในการตรวจ Temperature ของ
Fuel Gasตองนอยกวาคาที่กําหนดถามากกวาจะมีคําสั่ง Shutdown และจะมี Alarm เตือนกอน
2.5.1 - 3
2.5.1 - 4
2.5.1 - 5
2.5.1 - 6
สัญญาณ Master Protective /Turbine Trip ( L4T )
มีหนาที่สั่งหยุดเครื่องเมื่อเกิดเหตุการณฉุกเฉินหรือความผิดปกติซึ่งอาจทําให Gas Turbine เสียหายได
จะประกอบไปดวยสัญญาณดังนี้
Protective Status Trip ( L4PST ) สัญญาณนี้จะ Interlock โดยในชวง Start-up ซึ่งจะตองไม Trip คาง
อยูโดยมีสัญญาณหลักดังนี้
- Low Lube oil Pressure Trip ( L63QT ) Lube Oil Pressure Disch. จะตองมากวาคาที่
กําหนด
- L45FTX ( Fire Indication Trip ) จะตองไมมีสัญญาณ Fire Trip คางหรือระบบ Fire Protection
พรอมใชงาน
- Generator Differantial Trip Lockout (L86TGT)
- Transfermer Difference Trip Lockout (L86T1A,2A)
- Exhaust Pressure High Trip (L63ETH) Exhaust Pressure จะติดตั้งที่บริเวณดานทางออก แตจะอยู
กอน Silencer เพื่อปองกัน Back Pressure ที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากมีอุปกรณเสียหายขีดขวางทางออก
หรือ Silencer เสียหาย
- High Vibration Level –Trip (L39Vtrip) ระบบ Protection Gas Turbine จะมีการวัดการสั่นสะเทือน
ของ Gas Turbine จะตองไมมากกวาที่กําหนด โดยจะมีจุดวัดตาม Bearing ตางๆ
- Startup Fuel Flow Excessive Trip ( L2SFT ) ระบบจะตรวจสอบในชวงแรกของการ Start up การ
เพิ่มของเชื้อเพลิงจะตองไมมากกวาที่กําหนดโดยถาเปนเชื้อเพลิง Gas จะตองไมเกิน 15% FSR และ
ถาเปนเชื้อเพลิง Liquid จะตองไมเกิน 11 % FSR เพื่อปองกันการเผาไหมที่ไมสมบูรณซึ่งอาจ
สาเหตุของการสะสมของเชื้อเพลิงที่มาไดเผาไหม
- Customer Trip( L4CT ) โดยมากจะมีที่ Control Room เพื่อให Operator เปนผูตัดสินใจในการ Trip
Unit ในกรณีฉุกเฉินเชนเกิดไฟไหมบริเวณขางเคียง หรือมีเหตุการณที่อาจเปนอันตรายได
- Control Speed Sgnal Loss ( L12HF) ซึ่งเปน สัญญาณ วัด Speed ของ Gas Turbine จะใชในการ
Control และ Portection Overspeed Trip ถาวัดไมไดหรือผิดเพี้ยนอาจทําใหเกิดความเสียในการ
ควบคุมเชื้อเพลิง
- ตรวจสอบสัญญาณ Control Valve เชื้อเพลิงหลัก Command และ Feedback จะตองไมตางกันเกิน
กวาคาที่กําหนด นานเกิน 10 วินาที
2.5.1 - 7
Pre-Ignition Trip ( L4PRET ) สัญญาณนี้จะใชในสวนตรวจสอบชวงกอนจุดเปลวไฟ อยูโดยมี
สัญญาณหลักดังนี้
- Auxiliary Check (L3ACS) จะทําการตรวจสอบ ความผิดปกติของ Control Valve กอนนําเขาใช
งานเชน
- ในกรณีที่เลือกเชื้อเพลิง Gas Logic จะทําการตรวจสอบ Feedback , Current Control Valve ที่
เกี่ยวของดังนี้ L3GRVFLT ( Gas Ratio Valve Position Servo Trouble ), L3GCVFLT (Gas Control
Valve Servo Trouble ), L3GCVSFLT (PM1 Gas Control Valve Servo Trouble), L3GCVQFLT (PM4
Gas Control Valve Servo Trouble), L3GPVFLT (GAS PREMIX/TRIM Valve Servo Trouble)
-ในกรณีที่เลือกเชื้อเพลิง Liquid Logic จะทําการตรวจสอบ Feedback , Current ที่เกี่ยวของดัง
นี้ FAL (Liq fuel bypass valve servo current) ,FQL1 (Flow divider mag pickup-speed)
- Emergency Lube Oil Pump Under Voltage ( L27QEL) โดยการ Self Test กอนการ Start
และตรวจสอบ Under Voltage
Starting Device Trip (L3SMT) สัญญาณนี้จะใชในชวงการ Start-up เพิ่ม Speed ตั้งแต Min. Speed
จนกระทั่ง 95 % Speed โดยมีสัญญาณที่นาสนใจดังนี้
- Static Starter bogged Down alarm (L60SSBOGTRIP) โดยในขณะที่ LCI ทํางานและ Static start
make torque command Speed จะตองไมลดลงนานเกิน 45 Sec.
- Starting Device Bogged Down (L60BOG) Speed จะตองไมลดต่ําลงมาเกินคาที่กําหนด
- Static Stater Shutdown (L94SSX ) ในขณะทําการ Start-up อยูในชวงใชงาน LCI มี Command
LCI Shutdown
- ในชวง Start EX2000 ผิดปกติ Generator File Volt นอยกวาคาที่กําหนด
Post Ignition Trip ( L4POST ) สัญญาณนี้จะใชในสวนตรวจสอบหลังจุดเปลวไฟ อยูโดยมีสัญญาณ
หลักดังนี้
- Loss Of Flame Trip (L28FDT ) จะมี Flame Detector เปนตัวจับเปลวไฟอยู 4 หัวและจะตองจับ
เปลวไฟใหไดมากกวาหรือเทากับ 2ใน 4 หัว
- High Exhaust Temp Spread Trip (L30SPT ) สัญญาณนี้นําเอา Exhaust Temp มาเปนตัวบงชี้ความ
ผิดปกติในการเผาไหมแตละ Combustor โดยมีเงื่อนไขการ Trip ไดหลายเงื่อนไขพอสรุปไดดังนี้
ทําการคํานวณหา TTXSPL (Combustion Monitor Allowable Spread )
2.5.1 - 8
จากสูตร TTXSPL = ( 0.145 TTXM – 0.08 x CTDA + 30 ) Deg F
TTXM = Exhaust Temp Median Corrected by Average
CTDA = Comp Discharge Temp
เมื่อไดคาขอ TTXSPL แลวขั้นตอนตอไปจะนําเอา Exhaust Tempแตละหัวมาจัดเรียงหาคาสูง
สุด อันดับ 1 และ ต่ําสุดอันดับ 1,2,3 โดยคาสูงสุดและต่ําสุดจะตองไมแตกตางกวาที่กําหนดยัง
มองถึงจะตองไมเปนหัวขางเคียงกัน
- Load Tunnel Temp High Trip (L30LTT ) สัญญาณนี้จะมีไวเพื่อปองกันความเสียหายในสวนของ
Bearing No.2 โดยจะนําเอาสัญญาณ Load Tunnel Inner Barrel Temp (TTIB ) จะตองมีอุณหภูมิ
นอยกวาที่กําหนด
- Exhaust Overtemp Trip (L86TXT) สัญญาณนี้จะมีไวเพื่อปองกันความเสียหายในสวนของ Hot
Gas Path โดยจะนําเอาสัญญาณ Exhaust Temp Average ( TTXM ) มาเปรียบเทียบจะตองมี
อุณหภูมินอยกวาที่กําหนด
- Exhaust TC Open Trip (L86TFB) สัญญาณนี้จะมีไวเพื่อปองกันความเสียหายเนื่องมาจาก ตัววัด
สัญญาณอุณหภูมิ Exhaust Temp ซึ่งจะใชในการ ควบคุมและ Protection ไมอยูในสภาวะพรอมใช
งาน โดยจะนําเอาสัญญาณ Exhaust Temp Average (TTXM) มาเปรียบเทียบจะตองมีอุณหภูมิมาก
กวาที่กําหนด
- Compressor Bleed Valve Position Ttouble Trip (L86CBT) จะสัญญาณชวงที Speed ต่ํากวา 95
% Rated Speed จะคําสั่งให Open Bleed Valve ทั้ง 4 ตัว เพื่อปองกันการอั้นของลมในสวนของ
Compressor ซึ่งจะเปนสาเหตุของ การเกิด Pulsation และ Vibration ตามมา
Post Ignition Trip Auxiliary (L4POSTX) จะประกอบไปดวยหลักๆอยู 4 สัญญาณดังนี้
- Electrical Overspeed Trip (L12H) คา Setpoint จะอยูที่ระบบ Control 112.5% Rated Speed (
100%Rated Speed=3000 RPM. )
- Lube Oil Header High Temp Trip (L26QT ) ถาอุณหภูมิของ Lube Oil มากกวาที่กําหนด
- หลังจากผานเวลาการจุดเปลวไฟระบบจะตรวจสอบ Lube Oil Supply ที่ใชในการควบคุม Trip
Valve ดังนี้คือ
1. Liq. Fuel Hydralic Trip Pressure Low
2. Gas Fuel Hydralic Trip Pressure Low
- L4DLNT ( Dry Low Nox System Trip )จะประกอบไปดวยหลักๆอยู 4 สัญญาณดังนี้
1.L3TFLT ( Loss Of Compressor Discharge Press. Bias ) คือ CPD อานคาไดนอย
กวาคาที่กําหนด
2.ในขณะ Turbine Speed นอยกวา 95 %Speed ระบบตรวจพบ Water Inject Purge
Back Flow-Fired Shutdow (L94WP)
2.5.1 - 9
3.ในขณะ Turbine Speed นอยกวา 95 %Speed ระบบตรวจพบ Atomizing Air
Temperature High มากกวา 2ใน3 ของตัววัด
L4IGVT ( Inlet Guide Vane Control Trouble Trip ) สัญญาณนี้จะแบงออกเปน 2 สัญญาณคือ
- IGV. Not Folloeing CSRGV Trip ( L86GVT ) ตรวจสอบสัญญาณ Control IGV. ในชวง Speed
ต่ํากวา 95 % Rated Speed Command และ Feedback จะตองไมตางกันเกินกวาคาทีกําหนด
- Turbine Compressor Sol Vlv Control Signal Aux (L4IGVTX)ในชวง Turbine Speed มากกวา 95
% Rate Speed IGV.จะตองเปดมากกวาคาที่กําหนด
External Trip ( L5E_TECA) จะสัญญาณที่สั่ง Trip จาก Balance Of Plant หรือ อุปกรณตอรวมเชน
HRSG. ( Heat Recovery Steam Generating ) โดยอาจนําเอาสัญญาณ Trip HRSG.สั่งปด Diverter Damper แต
Damper ไมปดสุด จะสั่ง Trip Gas Turbine เพื่อปองกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับ HRSG.
2.5.1 - 10
2.5.1 - 11
2.5.1 - 12
2.5.1 - 13
2.5.1 - 14
2.5.1 - 15
2.5.1 - 16
2.5.1 - 17
2.5.1 - 18
2.5.1 - 19
2.5.1.1 Steam Turbine Protection
2.5.1.1 - 1
Steam Turbine Protection
ระบบ Steam Turbine Protection ของโรงไฟฟาพลังความรอนรวม จะมีลักษณะคลายๆ กับโรงไฟ
ฟาพลังความรอนทั่วๆไป จุดประสงคหลักเพื่อทําหนาที่ Trip Steam Turbine โดยการปด Turbine Main Steam
Stop Valve ตัดการไหลของ Steam ที่เขาสู Turbine
โรงไฟฟาพลังความรอนรวม หรือ Combined Cycle Power Plant มีอุปกรณหลักที่สําคัญดังนี้
1. Gas Turbine Generator (เครื่องกําเนิดไฟฟากังหันกาซเทอรบายน )
2. Boiler and Balance Of Plant หรือ เรียกอีกอยางวา HRSG (Heat Recovery Steam Generation
(หมอไอน้ํา)
3. Steam Turbine (กังหันไอน้ํา)
ในการออกแบบโครงสรางและติดตั้งอุปกรณของโรงไฟฟาพลังความรอนรวม สามารถแบงไดเปน 2 แบบ คือ
1. ระบบ Single Shaft Combined Cycle Power Plant
2. ระบบ Multi Shaft Combined Cycle Power Plant
Single Shaft Combined Cycle Power Plant
การออกแบบการติดตั้งของอุปกรณ จะเปน Shaft เดี่ยว หมายถึง Gas Turbine Generator และ
Steam Turbine Generator จะอยูใน Shaft เดียวกัน Generator จะใชรวมกัน (ดังรูป)
Steam
SHAFT
Combustion
Generator Boiler
2.5.1.1 - 2
Ratio 1 : 1 หมายถึงโรงไฟฟา Combined Cycle ประกอบดวย 1 Gas Turbine , 1 HRSG หรือ Boiler และ
1 Stream Turbine
Ratio 2 : 1 หมายถึงโรงไฟฟา Combined Cycle ประกอบดวย 2 Gas Turbine , 2 HRSG หรือ Boiler และ
1 Stream Turbine
Ratio 4 : 1 หมายถึงโรงไฟฟา Combined Cycle ประกอบดวย 1 Gas Turbine , 1 HRSG หรือ Boiler และ
1 Stream Turbine
Steam
Gen Gen
Steam
Gen
Generator
GAS Turbine - 1
Boiler / HRSG-1
Steam Turbine-1
Gen
Gas Turbine-2
Boiler / HRSG-2
2.5.1.1 - 3
GAS Turbine - 1
Boiler / HRSG-1
Gas Turbine-2
Generator
Boiler / HRSG-2
Steam Turbine-1
Gas Turbine-3
Boiler / HRSG - 3
Gas Turbine-4
Boiler / HRSG -4
2.5.1.1 - 4
เมื่อมองในภาพรวมแลวจะเห็นไดวา ระบบปองกันหรือ Protection ของ Steam Turbine จะมีสวนที่
ของกันอยู 3 สวน ไดแก 1.Gas Turbine , 2 Boiler หรือ HRSG และ 3. Steam Turbine
Steam Turbine
Protection Trip Trip Steam Turbine
Device
Generator &
Electrical Trip
Device
Block Diagram Function Steam Turbine Protection Combined Cycle Power Plant
2.5.1.1 - 5
สามารถจาย Load อยูได 50 % จาก Gas Turbine ตัวทีเ่ หลืออยู เชนโรงไฟฟา Combined Cycle ออกแบบเปน
ระบบ Multi Shaft Ratio 2 : 1 ประกอบดวย Gas Turbine 2 ตัว
คือ Gas Turbine -1A และ Gas Turbine -1B , Boiler 2 ตัว คือ Boiler -1A และ Boiler – 1B และ Steam Turbine
1 ตัว เมื่อมีคําสั่ง Trip Gas Turbine – 1A คําสั่งนี้จะไปสั่ง Trip Boiler – 1A ออกจากระบบ แต Steam Turbine
ยังสามารถจาย Load ได จาก Gas Turbine – 1B และ Boiler – 1B เปนตน
1. Function Command สั่ง Trip Gas Turbine หรือหยุดเครื่องโดยทัว่ ๆไปจะมี Command หลักๆ
ดังตอไปนี้
1.1. Emergency Push Button Trip เปนปุมกดสั่ง Trip หรือหยุดเครื่องฉุกเฉินกรณีมีเหตุการณเกิด
ขึ้นซึ่งจะใหเกิดการเสียหายตอ Gas Turbineหรืออุปกรณอื่นๆ
1.2. Over Speed Trip เปนสัญญาณสั่ง Trip Gas Turbine เมื่อความเร็วรอบของ Gas Turbine สูง
กวากําหนดซึ่งจะมี 2 สัญญาณ คือ Primary Over Speed Trip และ Back-Up Over Speed Trip ซึ่งตั้งคาไวอยูที่
110 % และ 115 % Speed ตามลําดับ
1.3. Lube Oil Pressure Low Trip Lube oil ทําหนาที่ 2 อยางคือ 1. ทําหนาที่หลอลื่นหนาสัมผัส
ระหวาง Shaft และ Bearing เพื่อลดการเสียดสี ทําให Shaft ลอยตัวจากหนาสัมผัสของ Bearing 2. ทําหนาที่เปน
ตัว Cooling หรือหลอเย็นใหกบั Bearing และ Shaft ถาเกิด Lube oil มี Pressure หรือความดันไมเพียงพอจะทํา
ใหเกิดความเสียหายตอ Bearing และ Turbine Shaft ได
1.4. Hydraulic Oil Pressure Low Trip Hydraulic Oil จะมีความดันสูงทําหนาที่ ปด-เปด IGV
(Inlet Guide Van) ของ Turbine Compressor เพื่อควบคุมอากาศเขาหองเผาไหมของ Gas Turbine และยังทําหนา
ที่ ปด – เปด Valve เชื้อเพลิงเพื่อเขาหองเผาไหม
1.5. Fire Protection Trip ทําหนาที่ตรวจจับสัญญาณการเกิดเพลิงไหมในสวนใดสวนหนึ่งของ
Gas Turbine โดยใช Smoke Sensor และ Heat Detector เปนตัวตรวจจับ
1.6. High Vibration Trip ทําหนาปองกัน Gas Turbine ไมใหเกิดการเสียหายจากการสัน่ สะเทือน
เพราะอาจทําให Moving Part กับ Stationary Part เสียดสีกัน
1.7. Exhaust Pressure High Trip ปองกันความดันยอนกลับที่ออกจาก Gas Turbine Exhaust ซึ่ง
จะทําให Gas Turbine เสียหายได
1.8. Fuel Flow Excessive Trip เพื่อปองกันไมใหเชื้อเพลิงมากกวาที่กําหนด ซึ่งจะทําใหเกิดการ
เผาไหมที่สมบูรณ และอาจจะทําใหเกิดการ Explosion ภายใน Gas Turbine Combustion ได
1.9. Control Speed Signal Loss เปนสัญญาณที่วดั Speed ของเครื่อง Gas Turbine ซึ่งสวนมาก
แลว Gas Turbine จะใช Speed เปนตัวควบคุมการเผาไหมและงานทํางานของอุปกรณหลายอยาง ถา Speed
Signal ทํางานไมเที่ยงตรง จะสงผลให Gas Turbine ทํางานผิดปกติและเสียหาย
1.10. Loss Of Flame Trip ทําหนาที่ตรวจจับภายในหองเผาไหมของ Gas Turbine
2.5.1.1 - 6
1.11.High Exhaust Temp Spread Trip ทําหนาที่ตรวจจับสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในหองเผาไหม
ซึ่งจะทําใหสวนของในหองเผาไหมเสียหาย
1.12.Exhaust Over Temp High Trip ปองกันการเสียหายในสวนของ Combustion Part
1.13.Generator Differential Lock out Relay Trip
1.14.Transformer Differential Lock out Relay Trip
1.15.External Trip เปนสัญญาณที่มาสั่ง Gas Turbine ที่รวมใชงาน เชน Boiler ซึ่งจะเปนการ
ปองกันไมให Boiler หรือ HRSG (Heat Recovery Steam Generation )เสียหาย
2. Function Command สั่ง Trip Boiler หรือ HRSG (Heat Recovery Steam Generation ) หรือ
หยุดเครื่อง โดยทั่วๆไปจะมี Command หลักๆ ดังตอไปนี้
2.1. Emergency Push Button Trip เปนปุมกดสั่ง Trip หรือหยุดเครื่องฉุกเฉินกรณีมีเหตุการณเกิด
ขึ้นซึ่งจะใหเกิดการเสียหายตอ Boiler หรือ Steam Turbineหรืออุปกรณอื่นๆ
2.2. Gas Turbine Trip เมื่อ Gas Turbine Trip จากสัญญาณ Protection ที่กลาวมา จะสั่งให Boiler
Trip ดวย
2.3. High Pressure. (HP.) Drum Level Low Trip เพื่อปองกันการเกิด Overheat ภายใน Tube
ของ Boiler ในสวนของ High Pressure Part
2.4. Intermediate Pressure.(IP.) Drum Level Low Trip เพื่อปองกันการเกิด Overheat ภายใน
Tube ของ Boiler ในสวนของ Intermediate Pressure Part
2.5. Low Pressure.(LP.) Drum Level Low Trip เพื่อปองกันการเกิด Overheat ภายใน Tube ของ
Boiler ในสวนของ Low Pressure Part
2.6. High Pressure. (HP.) Drum Level High Trip เพื่อปองการ Steam Carry Over ทําใหนา้ํ
ปะปนไปกับ Steam ไปกระทบ Steam Turbine Blade ทําให Turbine เสียหาย
2.7. Intermediate Pressure. (IP.) Drum Level High Tripเพื่อปองการ Steam Carry Over
2.8. Low Pressure. (LP.) Drum Level High Tripเพื่อปองการ Steam Carry Over
2.9. Condenser Hot Well Level High Trip เพื่อปองกันการ Condense ของ Steam และปองกัน
การเปน Vacuum ใน Condenser Hot Well
2.10. Condenser Hot Well Level Low Trip เพื่อปองกันการเกิด Overheat ภายใน Boiler
2.11. Main Steam & Hot Reheat Temp High Trip ปองกัน Steam Turbine Blade ไมใหเสียจาก
การที่ Steam สูงเกินคาที่กําหนดไว
2.12. HRSG / Boiler Stack Temp High Trip ปองกัน Boiler Tube เกิดการ Over Heat เนื่องจาก
การถายเทความรอนภายใน Boiler ไมดีพอ
2.5.1.1 - 7
2.13. All Boiler Feed Pump Trip เพื่อปองกันการเกิด Overheat ภายใน Boiler
2.14. All Condensate Pump Trip เพื่อปองกันการเกิด Overheat ภายใน Boiler
2.15. All Circulating Water Pump Trip เพื่อปองกันการเกิด Overheat ภายใน Condenserและ
การเปน Vacuum ของ Condenser ซึ่งจะทําให Steam Turbine เสียหาย
2.16. All Boiler Circulating Pump Trip กรณีถา Boiler เปนแบบ Force Circulation เพื่อปองกัน
Boiler Tube เสียหาย เมื่อไมมีน้ําไหลเวียนระหวาง Boiler Drum กับ Down comer Header
2.5.1.1 - 8
เมื่อเกิดการรุนตัวของ Turbine Rotor Shaft มีโอกาสที่จะทําให Turbine Blade สัมผัสกับ Turbine Stationary
Part ในแนวแกนได
3.8. Steam Turbine Differential Expansion High Trip เมื่อ Steam Turbine ไดรับความรอน จะ
ทําใหมีการขยายตัวทั้ง Turbine Casing และ Turbine Rotor แตเนือ่ งวา Turbine Rotor มีมวลนอยกวา Turbine
Casing ทําให Rotor มีการขยายตัวไดกวา จึงทําให Clearance ระหวาง Rotor กับ Casing มีนอย จึงทําใหมี
โอกาสที่ Turbine Rotor จะเสียดสีกับ Turbine Casing ไดซึ่งจะทําใหเกิดการเสียหายมากกับ Steam Turbine
3.9. Steam Turbine Shell Expansion Trip เปนการวัดการขยายตัวของ Turbine Casing ซึ่งถา
Turbine ขยายใหญ จะมี Casing 2 ชั้น คือ Inner Casing กับ Outer Casing เมื่อ Casing ไดความรอน Inner
Casing จะมีการขยายตัวไดเร็วกวา Outer Casing จึงทําให Casing มีการบิดตัว หรือ Deform ซึ่งสามารถที่จะทํา
Turbine Casing มีโอกาส Crack ได
3.10. Steam Turbine Rotor Expansion การขยายตัวและหดตัวของ Turbine Rotor เมื่อ Turbine
ไดความรอนขณะชวง Cold Start-up ขณะที่ Turbine Rotor เย็นตัวอยู จะทําให Turbine Rotor เริ่มขยายตัวตาม
แนวแกน ซึ่งการขยายตัวดังกลาวทําใหระยะหางระหวาง Moving Part กับ Stationary Part นอยมาก จะทํามี
โอกาสที่ Turbine Rotor จะเสียดสีกับ Stationary Part ได เรียกวา Rotor Long มีคาเปน + สวน Rotor Short มี
คาเปน - จะเกิดขึ้นกรณี Hot Start-Up เมื่อ Turbine Rotor มีอุณหภูมิสูงอยู สวนอุณหภูมขิ อง Steam นัน้ เย็น
กวา Rotor ทําให Turbine Rotor มีการหดตัวลง เสมือนเปน Cool Turbine Rotor จึงทําใหเกิดโอกาสที่จะให
Rotor เสียดสีกับ Stationary Part
3.11. Condenser Vacuum Low Trip การที่ Condenser Vacuum ลดลง จะทําใหเกิด Back
Pressure มากขึ้น ซึ่งดาน Turbine Exhaust จะมีผลอยางมาก เพราะจะทําให Steam หรือ ไอน้ํามีความหนาแนน
เพิ่มขึ้น ทําใหเกิดการเสียดสี หรือ เกิด Friction ระหวาง Turbine Blade กับ Steam จะมากขึ้นดวย ทําให Turbine
Blade และ Exhaust Hood รอนจน Overheat ได
3.12. Lube Oil Level Low Trip เปนการปองกันไมใหเกิด Steam Turbine ขาน้ํามันหลอลื่น
ไปเลี้ยงที่ Turbine Bearing เมื่อไหรที่ไมมีน้ํามันหลอลื่นจะทําให Steam Turbine เสียหายมาก
3.13. Generator Lock out Relay Trip ( 86 G1) เปนการสั่ง Trip Steam Turbine ทางดานวงจร
ไฟฟา (Electrical Protection) ซึ่งจะเปนสวนของดาน Generator , Transformer , ระบบสายสง และ
External Fault ของระบบ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีสัญญาณหลักๆ ดังตอไปนี้
- 3.13.1 Main Aux.Transformer Lock out Relay Trip (87 AT)
- 3.13.2 Main Aux.Transformer Over Current Trip (51AT)
- 3.13.3 Main Aux.Transformer Ground Over Current Trip (51GAT)
- 3.13.4 Gen Transformer Differential Lock out Relay Trip (87 GT)
- 3.13.5 Gen Differential Lock out Relay Trip (87 G)
2.5.1.1 - 9
- 3.13.6 Gen Ground Fault Trip ( 59G)
- 3.13.7 Gen Volt / Hertz Trip
- 3.13.8 Gen Over Excitation Trip
- 3.13.9 Gen Loss Of Excitation
- 3.13.10 Gen Reverse Power
- 3.13.11 Main Aux.Transformer Trip
- Buchhole Relay Trip
- Sudden Pressure Trip
- Winding Temp High Trip
- 3.13.12 Gen Transformer Trip
- Buchhole Relay Trip
- Sudden Pressure Trip
- Winding Temp High Trip
2.5.1.1 - 10
2.5.1.1 - 11
Gas turbine
Steam Turbine
2.5.1.1 - 12
2.5.1.2 HEAT RECOVERY STEAM GENERATION (HRSG)
2.5.1.2 - 1
HEAT RECOVERY STEAM GENERATOR (HRSG)
เปนอุปกรณแลกเปลี่ยนความรอนระหวางไอเสียจากเครื่องกังหันกาซ กับน้ํา ภายใน Boiler ประกอบ
ดวยอุปกรณตาง ๆ เหลานี้
Steam drum separation (a) gravity , (b) mechanical primary (Baffler) and secondary (screen) , (c) centrifugal
รูปที่ 3 Drum
Boiler Protection
ระบบการปองกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับ Boiler อันเนื่องมาจากการเกิด Overpressure หรือ เกิด
Overheat ในระบบ ซึ่งมีระบบหรืออุปกรณที่ใชในการปองกันหลัก ๆ ที่สําคัญดังนี้
2.5.1.2 - 3
Safety Valve สวนมากใชกับกาซ หรือไอน้ํา การออกแบบคลายกับ Relief Valve โดย Valve Body
ควบคุมทิศทางของ gas หรือ steam ภายใตความดัน disc และ Seat ทําหนาที่ Seal ภายใตความดันปกติ ซึ่ง disc
ของ Valve นี้ มี lip ซึ่งไมสัมผัสกับแรงดันในระบบ ,Center portion ของ safety valve ‘s disc เทานั้นที่สัมผัส
กับความดันของระบบซึ่งเปนพื้นที่รับแรงดันโดยตรง เมื่อความดันในระบบสูงขึ้นถึงคาที่ตั้งไว disc จะเริ่มยกตัว
ขึ้น ลักษณะนี้ lip ของ disc ก็จะรับแรงดันจากความดันในระบบเดียวกันตามไปดวย
การเพิ่มแรงยกที่ disc เปนเหตุให valve เปดไปที่ตําแหนง 60% ทันที ปริมาตร gas จํานวนมากก็
สามารถผานออกไปไดอยางรวดเร็ว ถาความดันในระบบเพิ่มความเร็วของ gas ที่ผานออกไปเปนเหตุให disc ยก
สูงขึ้นไปอีก ทันทีที่ความดันสวนเกินระบายออกไป ความดันในระบบเริ่มลดลง ความตึงใน Spring เริ่มดัน disc
ปดกลับลงมา เมื่อความดันลดลงมาถึงจุดที่กําหนด Valve ก็ยังไมปดเพราะความดัน และความเร็วของ gas ที่พน
ออกยก lip ของ disc ไวไมใหปดลงมา Valve จะไมปดลงมาจนกระทั่งความดันของระบบต่ํากวาความดันที่ตั้ง
ไวให valve เปด หมายความวา disc จะไมกระแทกขึ้นลงหรือ รั่วอยูบน seat ความดันที่ใชเปด Safety Valve
เราเรียกวา Popping Pressure ความดันที่ Valve ตบปด เรียกวา Blowdown หรือ Blowback
*** Safety valve อาจสามารถนําไปใชแทน Relief valve ไดในระบบของเหลว แต Relief valve ไมสามารถ
นํามาใชแทน Safety valve ได เนื่องจาก Relief valve เปดชา และไมสามารถระบายไอน้ํา หรือ gas ที่มีความดัน
ออกคราวละมาก ๆ ได (ขอสังเกต : โดยทั่วไปไมใช Safety valve ในระบบของเหลวเพราะของเหลวปริมาณ
มาก ๆ ที่ระบายออกมาอาจทําความเสียหายกับทอได)
2.5.1.2 - 4
Bypass Control Valve
เปน Control Valve ทํางานโดยใชระบบ Hydraulic ทําหนาที่ ควบคุมความดันของระบบ ใหอยูที่คาใช
งาน (Operating Pressure) และทําหนาที่ปองกันการเกิด Overpressure ในระบบ โดยเมื่อเกิด ความดันในระบบ
เกินกวาคาที่กําหนด Bypass Control Valve จะเปดเพื่อลดความดันสวนเกินลงสู Condenser
2.5.1.2 - 5
2.5.1.2 - 6
2.5.1.2 - 7
2.6 Plant Maintenance
2.6 - 1
คํานํา
2.6 - 2
ความสําคัญของการจัดการบํารุงรักษา
1.1. การพัฒนาเกี่ยวกับการบํารุงรักษาในโรงงานอุตสาหกรรม
เปนที่แนชดั แลววาความตองการและความสําคัญของการบํารุงรักษาเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเครื่องจักรและอุปกรณ
ไดรับการพัฒนาใหสามารถทํางานไดละเอียดมากขึ้นและมีความสามารถมากขึ้น
ทุกครั้งที่เครื่องจักรหยุดทํางานโดยไมเปนไปตามแผน แสดงใหเห็นวากลยุทธการบํารุงรักษาไมตรงตาม
วัตถุประสงคของมัน หนาที่ของการบํารุงรักษาทีด่ ีก็เพื่อรักษาเครื่องจักรใหสามารถทํางานไดเปนอยางดี ไมใชรอ
จนเครื่องจักรเสียหายแลวจึงซอมแซมในภายหลัง
มีเหตุผลมากมายที่แสดงวาทําไมการบํารุงรักษาจึงมีความสําคัญมากขึ้น ในประเทศที่กําลังพัฒนาอาจมี
เครื่องจักรเกาจํานวนมากถูกใชงานในโรงงานตางๆ ปญหาเรื่องอะไหลก็เกิดขึ้นเชนกัน บางครั้งไมสามารถหา
อะไหลได หรืออาจหาไดแตก็มีราคาแพงมาก
2.6 - 3
การสงมอบอะไหลอาจใชเวลายาวนาน ซึ่งเนื่องมาจากระยะทางไกลและกระบวนการจัดซื้อ ดวยเหตุนี้จึง
ทําใหจําเปนตองมีอะไหลในสโตรมากเกินความจําเปน สิ่งที่จําเปนอยางหนึ่งสําหรับการจัดการบํารุงรักษาใน
ประเทศที่กําลังพัฒนา คือการลดความตองการอะไหลและรักษาปริมาณอะไหลในสโตรใหมีนอยที่สุด เพื่อประหยัด
เงินตราตางประเทศ แตยังคงรักษาความสามารถในการผลิตไวสูง ดังนัน้ จึงตองใชกลยุทธการบํารุงรักษาที่พัฒนามา
แลวเปนอยางดี มิฉะนั้นปญหาตางจะทวีมากขึ้นอยางรวดเร็ว
สถิติในประเทศอุตสาหกรรมแสดงใหเห็นวาคนที่ทํางานเกี่ยวของกับการบํารุงรักษามักมีจํานวนเพิม่ ขึ้น
และคนที่ทํางานเกี่ยกับการรผลิตมักมีจํานวนลดลงเมื่อเครื่องจักรหรือปุปกรณตางๆ มีความซับซอนมากขึ้น
1.2 แนวทางที่ถูกตองเพื่อมุงสูการบํารุงรักษาที่ดี
2.6 - 4
อยางไรก็ตาม แผนกบํารุงรักษาโดยทัว่ ไปมักจะทําหนาที่เสมือนเปนหนวยดับเพลิง งานหลักมักจะซอม
แซมเครื่องจักรที่เสียหาย แต :
การจัดการบํารุงรักษาสมัยใหมไมไดมุงเนนที่การซอมแซมเครื่องจักรอยางรวดเร็ว การจัดการบํารุงรักษา
สมัยใหมคือการรักษาใหเครือ่ งจักรสามารถทํางานไดอยางตอเนือ่ งดวยกําลังผลิตสูง (High Capacity) และใหผล
ผลิตคุณภาพสูงโดยเสียคาใชจายต่ําที่สุดเทาที่จะทําได
ขอคิดดังกลาวสามารถขยายความไดดังนี้ การรอจนกระทั่งเครื่องจักรเสียหายแลวจึงทําการซอมแซมอยาง
รวดเร็วที่สุด สิ่งนี้ไมใชการบํารุงรักษาทีด่ ี การรอจนกระทั่งเครื่องจักรเสียหายแลวจึงลงมือซอมแซมอยางรวดเร็ว
เปนการปฏิบตั งิ านที่ผิด การปฏิบตั ิงานทีถ่ ูกตองคือการปองกันไมใหเครื่องจักรเสียหายและการบํารุงรักษาตองเปน
ไปตามแผนที่เราเปนผูควบคุม
1.3 หนาที่ของการบํารุงรักษา
2.6 - 5
เปยกชุมเปนชางที่ไมไดทําหนาที่ของเขา แนวความคิดเชนนีจ้ ะทําใหเสียคาใชจายสูงขึ้นมากและสรางปญหามาก
มายใหแกแผนกบํารุงรักษาและแผนกผลิต
ในการจัดทําบํารุงรักษาสมัยใหม จะเปลี่ยนมุมมองใหมโดยไมเนนมากเกินไปที่งานซอมแซมเครื่องจักร
ทุกครั้งที่เครื่องจักรเสียหายจะแสดงใหเห็นกลยุทธการบํารุงรักษาใหประสบความสําเร็จ การจัดการบํารุงรักษาสมัย
ใหมมุงเนนที่วธิ ีการทําใหโรงงานสามารถดําเนินการผลิตไดอยางตอเนื่อง ตามแผนการผลิตของแผนกผลิต โรงงาน
ตองมีความพรอมเสมอสําหรับการผลิตและสินคาที่ผลิตตองมีคุณภาพสูงตามกําหนดตลอดเวลา
การบํารุงรักษาที่มีราคาถูกที่สุดคือเมื่อเครื่องจักรทั้งหมดกําลังทํางานไดตามปกติ
ที่จริงแลว วัตถุประสงคของการบํารุงรักษาซึ่งมีความสําคัญอันดับแรกคือสรางสมรรถนะความพรอมใชั
งานของเครื่องจักรใหัเหมาะกับความตองการในการผลิตของบริษัท ไมมีบริษัทใดทีป่ ระสบความสําเร็จในการผลิต
โดยเครื่องจักรหยุดทํางาน ฝายผลิตจายเงินซื้อสมรรถนะความพรอมใชงานความมีประสิทธิภาพ และอายุการใชงาน
ที่ยาวนานของเครื่องจักรจากฝายบํารุงรักษา
ผูจัดการฝายบํารุงรักษาและฝายผลิตตองรวมมือกัน และตกลงรวมกันเกี่ยวกับสมรรถนะความพรอมใชงาน
ของเครื่องจักรที่เหมาะสมในชวงเวลาทีก่ ําหนด เจาหนาที่ฝายผลิตมักจะทราบเปาหมายการผลิต มันจําเปนมากทีจ่ ะ
ตองมีสมรรถนะความพรอมใชงานของเครื่องจักรในระดับที่กําหนดเพื่อใหไดผลผลิตตามเปาหมาย ถาไมเชนนัน้ แล
วจะไมสามารถผลิตไดตามเปาหมายภายในชวงเวลาที่กําหนด
คาใชจายบํารุงรักษาตองนํามาพิจารณาดวยในวัตถุประสงคของการบํารุงรักษา สมรรถนะความพรอมใช
งานก็เปนคาใชจายเชนกัน แตถาสมรรถนะความพรอมใชงานต่ําจะทําใหเสียคาใชจายจํานวนมากในการผลิตและ
ไดผลผลิตคุณภาพต่ํา ในสภาวะการบํารุงรักษาที่ดีนนั้ หมายถึงเสียคาใชจายต่ําที่สดุ แตยงั คงสมรรถนะความพรอม
ใชงานไดตามที่ตองการ
วัตถุประสงคของการบํารุงรักษาจึงพอสรุปไดดังนี้
1. รักษาสมรรถนะความพรอมใชงาน (Availability Performance) ประสิทธิผลของ
เครื่องจักร (Equipment Effectiveness) และอายุการใชงานเทคนิค (Technical
Lifetime) ใหเปนไปตามแผน
2.6 - 6
2. คาใชจายต่ําที่สุดเทาที่จะทําได โดยตองคํานึงถึงความปลอดภัยเปนสําคัญดวย
กลยุทธการบํารุงรักษาทีด่ ีจะตองพิจารณาเกี่ยวกับสมรรถนะความพรอมใชงานของเครื่องจักรเปนสําคัญ
และจะชวยประหยัดคาใชจายไดมากในระยะยาว
1.4.1 การบํารุงรักษาโดยพิจารณาผลลัพธเปนสําคัญ
การควบคุมคาใชจายบํารุงรักษาตองกระทําอยางมีความรอบรูเกีย่ วกับการบํารุงรักษา บางครั้งอาจมี
ผลเสียเกิดขึ้นเมื่อบริษัทพยายามปรับหรือลดคาใชจายบํารุงรักษา ความประหยัดที่เกิดขึ้นจากการลดคาใชจายบํารุง
รักษาอาจทําใหคาใชจายในการผลิตเพิ่มขึ้น
บริษัทจํานวนมากดําเนินการโดยนําคาใชจายมาเปนตัวควบคุมการบํารุงรักษา สิ่งนี้หมายถึงเจา
หนาที่ดูแลการบํารุงรักษาโดยเฝามองเฉพาะคาใชจายเทานั้น และไมเขาใจถึงความสัมพันธระหวางการบํารุงรักษา
กับการผลิต การบํารุงรักษาที่ควบคุมดวยคาใชจายมักจะทําใหคาใชจายบํารุงรักษาในระยะยาวเพิ่มสูงขึ้น
2.6 - 7
เจาหนาที่ฝายบํารุงรักษาบางครั้งอาจบนวาเจาหนาที่ฝายการเงินไมเขาใจวาการบํารุงรักษาสามารถ
สรางกําไรได เจาหนาทีฝ่ ายบํารุงรักษาตองมีความสามารถในการคํานวณผลกําไรที่เกิดจากการบํารุงรักษาใหเห็น
ไดชัดเจนเมื่อมีกิจกรรมหรือแผนการลงทุนในโรงงาน
ความสําคัญสูงสุดของวัตถุประสงคของการบํารุงรักษาคือ “รักษาสมรรถนะความพรอมใชงาน
ตามแผนใหดําเนินตอไปดวยคาใชจายต่ําทีส่ ุดเทาที่จะทําได” สิ่งนี้หมายถึงผลลัพธระยะยาวมีความสําคัญมากคาใช
จายบํารุงรักษาตองนํามเกีย่ วพันธกับผลลัพธทั้งหมดที่ไดรับจากการบํารุงรักษาในกิจกรรมการผลิตผูจัดการฝาย
บํารุงรักษาและฝายการเงินตองมีความสามารถในการมองเห็นผลลัพธรวมของกลยุทธการบํารุงรักษา
การตัดคาใชจา ยบํารุงรักษาบางสวนออกไป อาจมีผลเสียหายตอผลลัพธมากกวาคาใชจายที่ตดั
ออกไปก็ได ดังนั้นตองนําคาใชจาย (Cost) มาพิจารณาพรอมกับผลลัพธ (Result) และพิจารณาดูจดุ ที่เหมาะสม คือ
คาใชจายต่ําแตผลลัพธดีตามตองการ
การบํารุงรักษาและผลลัพธของมันสามารถเปรียบเทียบไดกับภูเขาน้ําแข็งซึ่งเราจะมองเห็นเฉพาะ
สวนยอดภูเขาที่อยูเหนือระดับน้ําแตสวนทีอ่ ยูใตน้ําซึ่งมีขนาดใหญมากเรามองไมเห็น สวนของภูเขาน้ําแข็งที่เรา
มองเห็นสามารถเปรียบเทียบไดกับคาใชจา ยบํารุงรักษาทางตรงและสวนที่มองไมเห็นเปรียบเสมือนคาใชจายตางๆ
ที่มีอิทธิพลมากจากการบํารุงรักษา ขอมูลเกีย่ วกับคาใชจายบํารุงรักษาทางตรงหาไดงายจากฝายการเงินของบริษัท
แตผลกระทบดานการเงินเนื่องจากการบํารุงรักษาอาจจะหาขอมูลไดยาก
2.6 - 8
ความเปนไปไดที่ซอนอยูเบื้องหลัง
Maintenance
Energy Capital
Losses Costs
Quality
Losses Work
Capacity Environment
Losses
Production
Losses Increased
Investments
Lost Market
ปจจัยที่เห็นไดชัดเจนวามีผลกระทบเนื่องจากการบํารุงรักษาคือ
2.6 - 9
สํารองไวในสโตร แตเมื่อมีการบํารุงรักษาที่ดี คาใชจายตนทุนสําหรับการสํารองอะไหลจะลดลงและมูลภัณฑกัน
ชน (Buffer Stock) ในสายการผลิตก็ลดลงดวยเชนกัน บริษทั จํานวนมากในปจจุบันไดใชระบบการผลิตแบบทัน
เวลาพอดี (Just in Time ยอวา JIT) บริษัทเหลานี้ตองมีสมรรถนะความพรอมใชงานคอนขางสูง ถาเครื่องจักรใดใน
สายการผลิตมีสมรรถนะความพรอมใชงานต่ํา จะทําใหตองมีมูลภัณฑกันชนเพิ่มขึ้น ซึ่งนําไปสูการเพิ่มคาใชจาย
ตนทุนใหอยูในระดับที่เหมาะสม
2.6 - 10
1.4.2 คาใชจายบํารุงรักษาทางตรงและทางออม (Direct and Indirect Maintenance Costs)
คาใชจายบํารุงรักษาสามารถแยกออกเปนสองประเภท คือ
คาใชจายบํารุงรักษาทางตรง
เงินเดือนและคาจาง
คาวัสดุ
คาดําเนินงานธุรการ
คาใชจายสําหรับการฝกอบรม
คาอะไหล
คาแรงงานผูรับเหมา
คาดัดแปลง
คาใชจายบํารุงรักษาทางออม
การสูญเสียรายไดหรือการสูญเสียอื่นๆ ที่มีผลจากการหยุดการผลิตเนื่องจากการ
บํารุงรักษา
สําหรับการจัดการบํารุงรักษาที่ควบคุมดวยผลลัพธ จะตองวิเคราะหคาใชจายบํารุงรักษาทางตรงและ
เปรียบเทียบกับคาใชจายบํารุงรักษาทางออม เจาหนาที่ฝายบํารุงรักษาจะตองเรียนรูด านเศรษฐศาสตรและสามารถ
คํานวณผลกระทบดานเศรษฐศาสตรเนื่องจากการบํารุงรักษา
คาใชจายบํารุงรักษาทางตรงละทางออมมีความสัมพันธกนั ถาเปรียบเทียบคาใชจายบํารุงรักษาของรถยนต
คาใชจายบํารุงรักษาทางออมมีคานอยมากเมื่อรถยนตยังคงใชงานไดอยูโ ดยไมมีปญ
หา คาใชจายบํารุงรักษาทางตรง
ก็มีคานอยเชนกัน รถยนตตองไดรับการบริการตามที่ผูผลิตกําหนด
2.6 - 11
1.5 การบํารุงรักษาแบบปองกันและแบบแกไข (Preventive and Corrective Maintenance)
เพื่อใหกลยุทธการบํารุงรักษาดําเนินไปไดดวยดี ทุกคนในบริษัทจําเปนตองเขาใจความหมายของการบํารุง
รักษาและพูดภาษาเดียวกันในการบํารุงรักษา
1.5.1 ความหมายของการบํารุงรักษา
การบํารุงรักษาแบบแกไขบางครั้งในสมัยกอนอาจกลาวไดวาเปนการบํารุงรักษาแบบฉุกเฉิน
(Emergency Maintenance) หรือการบํารุงรักษาเมื่อเสีย (Break Down Maintenance) อยางไรก็ตาม คําจํากัดความนี้
ไมถูกตองทีเดียวนัก เพราะการบํารุงรักษาแบบแกไข (Corrective Maintenance) สามารถทําเปนแผนการบํารุง
รักษาไดเชนกัน
1.5.3 การบํารุงรักษาแบบปองกัน (Preventive Maintenance)
การใหคําจํากัดความของการบํารุงรักษาแบบปองกันอาจมีความยุงยากขึ้นเล็กนอย บอยครั้งทีเดียว
ที่เราพบวา การบํารุงรักษาแบบปองกันเกี่ยวของกับการถอดชิ้นสวนของเครื่องจักรและเปลี่ยนชิน้ สวนใหม เมื่อ
ประกอบเครื่องจักรเขาที่เดิมและเริ่มทํางานใหมอีกครั้งหนึ่ง มักพบวามีปญหาเกิดขึ้นกับเครื่องจักร เพราะชางซอม
บํารุงไดใสปญหาใหมเขาไปในเครื่องจักร
ในการจัดการบํารุงรักษาสมัยใหม การบํารุงรักษาแบบปองกันไมไดเปนเพียงเฉพาะการถอดชิ้น
สวนของเครื่องจักรและเปลีย่ นชิ้นสวนใหมเทานั้น โรงงานอุตสาหกรรมในปจจุบนั จึงมี นโยบายดานการบํารุง
รักษาวา “อยาไปแตะตองเครื่องจักรที่กําลังทํางานดีอยูแลว” หมายถึงเครื่องจักรใดที่กําลังทํางานดีอยูแ ลว อยาไป
แตะตองเครื่องจักรนั้นเพราะเปนการเสี่ยงมากที่จะเกิดปญหาขัดของขึ้นในภายหลัง ในการจัดการบํารุงรักษาสมัย
2.6 - 12
ใหม จําเปนตองประยุกตวธิ กี ารตางๆ ที่มปี ระสิทธิภาพสูงรวมกับการบํารุงรักษาแบบปองกัน จึงจะใหผลลัพธสุด
ทายดีที่สุด
เราใชคําวาการบํารุงรักษาแบบปรับปรุงเมือ่ มีการดัดแปลงหรือปรับปรุงเครื่องจักรใหมีสภาพดีขึ้น
กวาเดิม วัตถุประสงคของการบํารุงรักษาแบบปรับปรุงคือการขจัดปญหาของเครื่องจักรใหหมดไป กลาวคือทําให
ปญหานั้นไมเกิดขึ้นอีกเลย (Design Out) หรือยืดอายุของชิ้นสวนใหยาวนานที่สุด (Life Time Extension)
การบํารุงรักษา
การบํารุงรักษาแบบปองกันสามารถแยกออกไดเปนสองสวน คือการบํารุงรักษาแบบปองกันทางตรง
(Direct Preventive Maintenance) และการบํารุงรักษาแบบปองกันทางออม (Indirect Preventive Maintenance)
2.6 - 13
การบํารุงรักษาแบบปองกันทางตรงเปนการบํารุงรักษาเพื่อปองกันไมใหเครื่องจักรเกิดความเสียหายหรือ
ปญหาขัดของ เหตุผลทีใ่ ชคําวา “ทางตรง” ก็เพราะวามีผลกระทบทางตรงตอสภาพของเครื่องจักร ตัวอยางของการ
บํารุงรักษาแบบปองกันทางตรงไดแก การเปลี่ยนชิ้นสวนเครื่องจักรตามโปรแกรมทีก่ ําหนดไว การซอมใหญ การ
หลอลื่น การเปลี่ยนน้ํามันหลอลื่น และการทําความสะอาด ทั้งหมดนี้เปนไปตามแผนที่กําหนดไวลวงหนา
กิจกรรมที่กระทําตามการบํารุงรักษาแบบปองกันทางตรงมักถูกควบคุมโดยเวลาซึ่งอาจเปนเวลาตามปฏิทิน
จํานวนชั่วโมงของการทํางาน จํานวนระยะทางเปนกิโลเมตรของการขับขี่ และจํานวนชิ้นงานของผลผลิต เปนตน
การบํารุงรักษาแบบปองกันทางออมเปนการบํารุงรักษาเพื่อคนหาจุดขัดของที่เพิ่มจะเริ่มเกิดขึ้นในเครื่อง
จักรกอนทีจ่ ะลุกลามไปจนเปนความเสีหายหรือกระทบตอการผลิต การบํารุงรักษาแบบปองกันทางออมสามารถทํา
ไดโดยการวัดหรือตรวจสอบสภาพของเครื่องจักร เพื่อใหทราบสภาพการทํางานของเครื่องจักรอยูเสมอ
การบํารุงรักษาแบบปองกันทางออมจะไมมีผลกระทบโดยตรงตอสภาพของเครื่องจักร และมักถูกเรียกวา
การตรวจวัดสภาพ (Condition Monitoring) หรือเรียกวาการบํารุงรักษาตามสภาพ (Condition Based Maintenance
ซึ่งยอวา CBM) การเปลี่ยนชิ้นสวนตาง ๆ ของเครื่องจักรจะขึน้ อยูก ับสภาพจริงของชิ้นสวนนัน้ ๆ อยางไรก็ตามการ
ตรวจวัดสภาพก็จะทําตามกําหนดเวลาเพื่อใหทราบสภาพของเครื่องจักรในขณะนั้นเปนระยะ ๆ
การตรวจวัดสภาพของเครื่องจักรสามารถทําไดสองวิธี คือ
• การตรวจวัดสภาพแบบใชความรูสึก (Subjective Condition Monitoring)
• การตรวจวัดสภาพแบบใชอุปกรณ (Objective Condition Monitoring)
2.6 - 14
การตรวจวัดสภาพแบบใชความรูสกึ ตองอาศัยชางทีม่ ีประสบการณสูง เพราะผลที่ไดมีความแตกตางกัน
มากจากความรูสึกของแตละคน ชางที่มีประสบการณสูงสามารถบอกสภาพไดแมนยํากวา
2.6 - 15
การบํารุงรักษาแบบแกไขชนิดไมมแี ผน คือการบํารุงรักษาที่ไมสามารถวางแผนได เชน กรณีฉุกเฉินหรือมี
ความเสียหายเกิดขึ้นอยางไมคาดคิดมากอน ถาเวลาที่ทราบลวงหนานอยกวา 8 ชั่วโมง จะถือไดวาการบํารุงรักษา
แบบแกไขนั้นเปนชนิดไมมแี ผน เพราะเวลานอยเกินไปที่จะวางแผนไดอยางเหมาะสม คือไมสามารถวางแผนเกีย่ ว
กับกําลังแรงงาน เอกสารเทคนิค และอะไหลตางๆ ไดกอนที่จะเริ่มงานบํารุงรักษา
การบํารุงรักษาแบบแกไขชนิดไมมแี ผน จะทําใหเสียคาใชจายในการบํารุงรักษาสูงมาก และตองหยุด
เครื่องจักรอยางไมคาดคิด ซึ่งกระทบตอการผลิต เมือ่ เครื่องจักรเกิดความเสียหายขึ้นโดยไมคาดคิดจะเกิดการสูญ
เสียในการผลิตและคุณภาพของผลผลิต ซึ่งเปนคาใชจา ยบํารุงรักษาทางออม ในเวลาเดียวกันคาใชจายบํารุงรักษา
ทางตรงก็สูงมากเชนกัน ซึง่ เนื่องมาจากความเสียหายของเครื่องจักร ภาระงานของฝายบํารุงรักษาจะเพิ่มสูงขึน้ เมือ่
เครื่องจักรเกิดความเสียหายซึ่งจะนําไปสูคาใชจายที่สูงขึ้น ถาภายในโรงงานมีการบํารุงรักษาแบบแกไขไม
มีแผนเปนสวนใหญ แสดงวางานบํารุงรักษาทั้งหมดถูกควบคุม ดวยความเสียหายของเครื่องจักรแทนที่จะควบคุม
ดวยฝายผลิตและฝายบํารุงรักษา เครื่องจักรเปนผูกําหนดการบํารุงรักษาแทนเรา ซึ่งผิดหลักการบํารุงรักษาที่ดี
1.9 การบริหารประสิทธิผลโดยรวม
1.9.1 สมรรถนะความพรอมใชงานคืออะไร?
สมรรถนะความพรอมใชงานเปนการวัดประสิทธิภาพเวลาและสามารถนิยามไดวาเปนการวัด
สมรรถนะของเครื่องจักรในเทอมของความสามารถทีจ่ ะทํางานโดยไมมีปญหาในสภาพการณทกี่ ําหนด ขึ้นกับสวน
หนึ่งของคุณลักษณะของระบบเทคโนโลยี และสวนหนึ่งของประสิทธิภาพของการดําเนินการและการบํารุงรักษา
2.6 - 16
สมรรถนะความพรอมใชงานสามารถแบงออกไดเปนสามอยางคือ
- สมรรถนะความเชื่อถือได
- สมรรถนะสนับสนุนการบํารุงรักษา
- สมรรถนะการบํารุงรักษาได
1.9.2 สมรรถนะความเชื่อถือได
2.6 - 17
1.9.5 เวลาสูญเปลาเฉลี่ย (Mean Down Time)
เวลาสูญเปลาเฉลี่ย (Mean Down Time) ยอวา MDT เปนคารวมของ MWT และ MTTR ในทาง
ปฏิบัติแลวอาจเปนการยากที่จะแยกใหเห็นชัดเจนวาอะไรคือเวลารอคอย (MWT) และอะไรคือเวลาซอมแซม
(MTTR) ในกรณีนจี้ ึงใช MDT เปนตัวแทนของเวลาทั้งหมดตั้งแตเครื่องจักรเริ่มหยุดทํางานจนระทั่งเริ่มทํางานได
ใหมอีกครั้งหนึ่ง
สมรรถนะความพรอมใชงาน
สมรรถนะสนับสนุนการ สมรรถนะการบํารุงรักษา
บํารุงรักษา MWT ได MTTR
2.6 - 18
1.9.6 สมรรถนะผลผลิตและความพรอมใชงาน
ถามีแผนการลงทุนในการบํารุงรักษา จะตอคํานวณหาการเพิ่มขึ้นของสมรรถนะความพรอมใช
งานดวยเมื่อสิน้ สุดโครงการ และอยางทีส่ องตองคํานวรสมรรถนะความพรอมใชงานมีผลมากนอยเพียงใดตออัตรา
การเพิ่มผลลผิตและปริมาณผลผลิต
ทุก ๆ เปอรเซนตที่เพิ่มขึ้นของสมรรถนะความพรอมใชงานนั้นสามารถที่จะทําไดโดยทําการบํารุง
รักษา ทําใหผลผลิตเพิ่มขึ้นและมีกําไรมากขึ้น
การปรับปรุงสมรรถนะความพรอมใชงานเปนเรื่องสําคัญมากและการบริหารการบํารุงรักษาในโรงงานตอง
มุงไปที่สมรรถนะความพรอมใชงานวาจะเพิ่มคานี้ไดอยางไร
สมรรถนะความพรอมใชงานขึ้นกับองคประกอบหลายอยางดังแสดงในตารางขางลาง
2.6 - 19
ตารางที่ 1.9.1 องคประกอบตางๆ สําหรับสมรรถนะความพรอมใชงาน
ผลของสมรรถนะความพรอมใชงานจะเปลี่ยนไปตามธุรกิจ แตการเพิ่มจะปรับปรุงโรงงานใหดี
ขึ้นทั้งผลผลิต ความปลอดภัย และสภาพแวดลอม
คําถามนี้ไมสามารถตอบไดงา ยเนื่องจากสมรรถนะความพรอมใชงานของแตละธุรกิจจะแตกตาง
กัน สมรรถนะความพรอมใชงาน ไดแสดงไวในตารางขางลางเปนชัว่ โมงโดยใช วันละ 24 ชั่วโมง ถาเวลาผลิตไม
ไดเปน 24 ชั่วโมงในแตละวัน ใหคูณดวยแฟคเตอรการใชงาน (Utilization Factor) เชน กรณีทใี่ ชเวลาทํางานวันละ
เพียง 16 ชั่วโมง แฟคเตอรการใชงานมีคา 16/24 = 0.66
กรณีที่ใชเวลาทํางานวันละเพียง 8 ชั่วโมง แฟคเตอรการใชงานมีคา 8/24 = 0.33
นําคาแฟคเตอรการใชงานที่ไดคูณคาในตารางที่ 3.2
2.6 - 20
ตารางที่ 1.9.2 ความสัมพันธความพรอมใชงานและความไมพรอมใชงานระหวาง % และเวลา
ความพรอมใช ความไมพรอม ความไมพรอมใชงานตอ (ชั่วโมง)
งาน % ใชงาน % ป เดือน วัน
0 100 8760 730 24
50 50 4380 365 12
80 20 1752 146 4.8
90 10 876 73 2.4
99 1 87.6 7.3 14.4 นาที
99.9 0.1 8.76 43 นาที 1.4 นาที
99.99 0.01 53 นาที 4.3 นาที 8.6 วินาที
99.999 0.001 5.3 นาที 26 วินาที 0.86 วินาที
99.9999 0.0001 32 วินาที 2.6 วินาที 0.086 วินาที
1.9.8 ความสําคัญทางดานเศรษฐศาสตรของการบํารุงรักษา
2.6 - 21
สูตร
A = สมรรถนะความพรอมใชงาน
MTTF = เวลาเฉลี่ยจนเสีย – Mean Time To Failure
MWT = เวลารอเฉลี่ย – Mean Waiting Time
MTTR = เวลาซอมเฉลี่ย – Meat Time To Repair
MTTF
A = X 100 %
MTTF + MWT + MTTR
Or MTTF
A = X 100 %
MTTF + MDT
Prod. Stop
Tup Tdm
2.6 - 22
Tup1 + Tup2 + Tup3 + Tup4 + Tup5
MTTF =
5
(Mean Time To Failure)
Tdm1 + Tdm2 + Tdm3 + Tdm4
MDT =
4
(Mean Down Time)
Tup = (T - Tdm ) , Tdm = (T - Tup )
การคํานวณ
สิ่งที่ตองทราบคือ
1. เวลาที่ใชงานเครื่องจักรสําหรับการผลิต (Tup)
2. เวลาที่เครื่องจักรหยุดทํางานเนื่องจากการบํารุงรักษา (Tdm)
3. จํานวนครั้งของการหยุดเครื่องจักร (a)
940
เชน Tup = 940 ชั่วโมง MTTF = 70 + 1 = 13.2
160
Tdm = 160 ชั่วโมง MDT =
70
= 2.3
a = 70 ชั่วโมง MTTR = 0.7
MWT = 1.6
Tup 940
A = Tup + Tdm 940 + 160 = 0.85
หรือ
MTTF MTTF 13.2
A = = = = 0.85
MTTF + MDT MTTF + MTTR + MWT 13.2 + 0.7 + 1.6
∴ A = 85%
2.6 - 23
การปรับปรุงเพื่อเพิ่มสมรรถนะความพรอมใชงาน
ปจจุบัน กิจกรรม ผลลัพธที่คาดไว
a = จํานวนครั้งที่ - ตรวจสอบสภาพ ดีมากที่สุด ดีนอยที่สุด
เครื่องจักรหยุด - ทํา FTM (Optimistic) (Less Optimistic)
= 70 ครั้ง -หลอลื่น a = 30 ครั้ง a = 50 ครั้ง
MTTR = 0.7 ช.ม. MTTR = 0.7 ช.ม. MTTR = 0.7 ช.ม.
MWT = 1.6 ช.ม. -PM ตามแผน MWT = 0.8 ช.ม. MWT = 1.2 ช.ม.
MDT = 2.3 ช.ม. - ใชระบบการวางแผนและการเตรียมงาน MDT = 1.5 ช.ม. MDT = 1.9 ช.ม.
(MTTR+MWT) - ปรับปรุงเอกสารเทคนิค
-ปรับปรุงระบบอะไหล
ผลลัพธที่ดีมากที่สุด (Optimistic)
Tdm = a xMDT = 30 x 1.5 = 45 ช.ม.
Tup = T-Tdm = 1100 – 45 = 1055 ช.ม.
1055
A= 1055+45
= 0.96 = 96%
1005
A= 1055+95
= 0.91 = 91%
2.6 - 24
ถึงแมวาสมรรถนะความพรอมใชงานของเครื่องจักรมีความสําคัญมากก็ตาม มันเปนเพียงสิ่งทีแ่ สดงใหเห็น
ถึงสัดสวนของเวลาที่เครื่องจักรทํางานเมือ่ เทียบกับเวลาทั้งหมด สมรรถนะความพรอมใชงานเพียงอยางเดียวอาจไม
เพียงพอที่จะบงชี้ถึงอัตราผลผลิตทั้งหมดของเครื่องจักร
การวัดประสิทธิผลเครื่องจักรโดยรวม จะตองพิจารณาปจจัยอื่นๆ ดวย ไดแก อัตราเร็วของเครื่องจักรและ
คุณภาพของผลผลิต
เราลองมาพิจารณาเครื่องจักร ในอุดมคติซึ่งสามารถผลิตสินคาออกมาได 100% ในชวงเวลาที่กําหนด
แตในทางปฏิบัติแลวคงเปนไปไมไดที่เครื่องจักรจะทํางาน โดยไดผลผลิตออกมาครบสมบูรณ 100%
ปจจัยที่ขัดขวางไมใหไดผลผลิตตามเปาหมายไดแก
1. การหยุดของเครื่องจักร คงเปนการยากมากที่จะใหเครื่องจักรทํางานตลอดเวลาโดย ไมมีการหยุดเลย
2. การสูญเสียอัตราเร็วของเครือ่ งจักร เนือ่ งจากขอจํากัดบางอยาง จึงไมสามารถเดินเครื่องจักรมีกําลังผลิต
ตามพิกัดได
3. การสูญเสียคุณภาพของผลผลิต ผลผลิตบางชิ้นอาจตองถูกคัดออกเนื่องจากมีคุณภาพต่ํากวากําหนด
ตามปจจัยดังกลาวขางตน ประสิทธิผลเครื่องจักรโดยรวมสามารถคํานวณไดดังนี้
Overall Equipment Effectiveness, OEE = AxPxQ
เมื่อ A = สมรรถนะความพรอมใชงาน (Availability Performance) ของเครื่องจักร
P = สมรรถนะอัตราเร็วการผลิต (Production Speed Performance) ของเครื่องจักร
Q = สมรรถนะคุณภาพ (Quality Performance) ของผลผลิต
2.6 - 25
Total Available Time (100% Time)
A. Available Operative Time Stoppages
P. Net Operative Time Speed Losses
Q. Valuable Time Quality Losses
Valuable time
P = Quality Performance = Net operative time x 100%
OEE = A x P XQ
2.6 - 26
1.10. การวางแผนการบํารุงรักษา
วัตถุประสงคอยางหนึ่งของงานบํารุงรักษาคือจัดการใหการบํารุงรักษาดําเนินไปอยางมีแผนงานสิง่ นี้จะชวย
ใหสมรรถนะความพรอมใชงานของเครื่องจักรสูงขึ้น และลดคาใชจายบํารุงรักษาทางตรง ตลอดจนมีขอดีตางๆ อีก
หลายประการ ภาระงานของแผนกบํารุงรักษาจะลดลง และคุณภาพของงานจะสูงขึ้น
1.10.1 การใชการตรวจวัดสภาพ
ไมเคยมีใครประสบความสําเร็จในการวางแผนทํางานโดยที่ไมทราบเกีย่ วกับงานนัน้ มากอน สิ่งนี้
จึงมีความสําคัญมากเปนอันดับแรก คือ ตองทราบสภาพของเครื่องจักร โดยการตรวจวัดความผิดปกติที่กําลังกอตัว
ขึ้นซึ่งยังไมรุนแรงตอการทํางานของเครื่องจักร ทําใหสามารถวางแผนการทํางานไวลวงหนากอนที่จะเกิดความเสีย
หายขึ้น ดวยวิธีการตรวจวัดสภาพดังกลาว จึงทําใหงานบํารุงรักษาที่ไมมีแผนกลายเปนงานบํารุงรักษาที่มีแผน
การบํารุงรักษาที่มีแผนสามารถลดคาใชจายไดมากและลดการสูญเสียการผลิตไดมากเชนกัน
การบํารุงรักษาที่ถูกตองจะใหประโยชนหลายประการ ไดแก
ผลผลิตเพิ่มสูงขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ
คาใชจายบํารุงรักษาลดลง
เจาหนาที่ฝายบํารุงรักษามีความกระตือรือรนมากขึ้น
สภาพแวดลอมในการปฏิบัติงานดีขึ้น
สามารถนํา JIT (Just in Time) มาใชไดกับการผลิต
ผูควบคุมการทํางานของเครื่องจักรมีความพึงพอใจสูงขึ้น
การวางแผนการบํารุงรักษาที่ถูกตองจะตองกระทํา
• ในเวลาที่เหมาะสม
• ดวยวิธีที่เหมาะสม
• โดยพนักงานที่เหมาะสม
• ดวยอะไหลที่เหมาะสม
การวางแผนใชชองวางการบํารุงรักษาจะเปนไปไดก็ตอเมื่อมีการตรวจพบปญหาขัดของที่เพิ่งจะเริ่มเกิดขึ้น
กับเครื่องจักรกอนที่จะลุกลามไปเปนความเสียหายมากจนตองหยุดเครื่องจักร เชน ตรวจพบวาแบริ่งของเครื่องจักร
2.6 - 27
เริ่มมีอณ
ุ หภูมทิ ํางานสูงกวาปกติหรือเริ่มมีอาการสั่นสะเทือนผิดปกติ ผูตรวจพบจะตองมีรายงานและเตรียมวางแผน
การบํารุงรักษาทันที ซึ่งอาจจะมีชองวางการบํารุงรักษาใหสามารถเปลี่ยนแบริ่งไดโดยไมกระทบตอการผลิต
ตลาดหรือลูกคาของบริษัทมีสวนสําคัญในการกําหนดผลผลิตของโรงงาน ฝายผลิตตองวางแผนการผลิต
ใหเปนไปตามความตองการของตลาดและสามารถสงมอบผลผลิตใหแกลูกคาไดทันเวลา ฝายผลิตมักมีการวางแผน
การผลิต และมักมีชวงเวลาที่ตองหยุดเครื่องจักรดวยเหตุผลทางเทคนิคของฝายผลิตเองชวงเวลาที่มีการหยุดนี้เรา
เรียกวาชองวางการบํารุงรักษา (Maintenance Windows)
ชองวางการบํารุงรักษาจะมากหรือนอยขึน้ อยูกับชนิดของอุตสาหกรรมและกิจกรรมของฝายผลิต เชน ชอง
วางที่เกิดจากการเปลี่ยนชนิดของเครื่องมือตางๆ ในการผลิต การเปลี่ยนกะของพนักงาน การเปลี่ยนวัตถุดิบ ฯลฯ
Production Planning
Production
Maintenance Planning
รูปขางบนแสดงใหเห็นถึงผลกระทบของการบํารุงรักษาแบบไมมีแผนที่มีตอการผลิต ฝายผลิตมีชวงเวลา
หยุดการผลิตตามเหตุผลทางเทคนิคของฝายผลิต แตฝายบํารุงรักษาไมมีโอกาสใชหรือไมมีการวางแผนใชชว งเวลา
เหลานั้นใหเกิดประโยชน เพราะการบํารุงรักษาเมื่อเครือ่ งจักรเสียหายแลวยอมไมมโี อกาสวางแผน รูปขางแสดงถึง
การใชชองวางการบํารุงรักษาอยางสมบูรณแบบซึ่งจะกระทบตอการผลิตนอยที่สุด และแสดงใหเห็นวาฝายผลิตและ
ฝายบํารุงรักษาทํางานรวมกันไดเปนอยางดี
2.6 - 28
อยางไรก็ตาม ถาเราวางแผนใหชวงเวลาการบํารุงรักษาไปตรงกับชองวางเวลาของการผลิตพอดีเราจะไมมี
การสูญเสียการผลิต เนื่องจากการบํารุงรักษาเลย ชองวางเวลาของการผลิตเปนชวงเวลาที่ไม
มีการผลิตของฝายผลิต เชน เวลาการเปลีย่ นเครื่องมือ การเปลี่ยนชนิดของผลผลิต และการเปลี่ยนกะ ทําใหฝายบํารุง
รักษาใชชองวางเหลานั้นใหเกิดประโยชน ทําใหการบํารุงรักษาเครื่องจักรไมกระทบตอการผลิต
สมมติวาการสูญเสียการผลิต (Production Loss) ของโรงงานเนื่องมาจากการหยุดของเครื่องจักร เทากับ
100,000 บาทตอชั่วโมง ดังนั้นการบํารุงรักษาแบบไมมแี ผนซึ่งใชเวลา 3 ชั่วโมงในการซอมแซม จะทําใหสูญเสีย
การผลิตทั้งหมด 300,000 บาท นอกจากนีถ้ าเราสามารถวางแผนใชชองวางเวลาของฝายผลิตซึ่งจําเปนตองหยุด
เครื่องจักรในกิจกรรมของฝายผลิตเองอยูแลว มาใชใหเกิดประโยชนตอการบํารุงรักษา ก็จะไมมีการสูญเสียการ
ผลิตซึ่งเนื่องมาจากการบํารุงรักษาเลย
PRODUCTION PLANNING
MARKET
2.6 - 29
การบํารุงรักษา
การบํารุงรักษา การบํารุงรักษา
แบบแกไข แบบปองกัน
การตรวจวัดสภาพ • การทําความ
แบบไมไดวางแผน แบบมีการวางแผน
ทางออม สะอาด
• การหลอลื่น
• การเปลี่ยนและ
ซอมตามแผน
• คาบํารุงรักษาแพง • ลดคาใชจายการบํารุงรักษา
• สมรรถนะความ • เพิ่มสมรรถนะความพรอม
พรอมใชงานต่ํา ใชงาน • ลดการแกไขนอย
ลง
• เพิ่มสมรรถนะ
ความพรอมใชงาน
การบํารุงรักษาแบบปองกันชวยลดจํานวนเครื่องจักรเสียหาย และการซอมแซมแบบฉุกเฉิน
1.10.2 การบํารุงรักษาแบบปองกันมีผลกระทบตอคาใชจายอยางไร
ในรูปตอไปนีแ้ สดงคาใชจายตางๆ ที่เกีย่ วของกับการบํารุงรักษาแบบปองกันซึ่งเปนการบํารุงรักษา
ตามกําหนดเวลา (FTM) เสนกราฟ (a1) เปนคาใชจายในการทํา PM ถาทํา PM มาก คาใชจายในการทํา PM จะเพิ่ม
ขึ้น เสนกราฟ (b1) เปนคาใชจายในการซอมแซมเครื่องจักร ถาทํา PM มาก คา
2.6 - 30
ใชจายในการซอมแซมเครื่องจักรจะลดลง เสนกราฟ (C1) เปนการสูญเสียการผลิตเนื่องจากตองหยุดเครื่องจักร ถา
ทํา PM มากเกินไปหรือนอยเกินไป เครื่องจักรจะตองหยุดทํางานบอยขึ้นซึ่งทําใหสูญเสียการผลิตมากขึ้น
เสนกราฟ (d1) เปนผลรวมทั้งหมดของเสนกราฟ (a1), (b1) และ (c1) บริเวณจุดต่ําสุดของเสน
กราฟ (d1) เปนตําแหนงที่เหมาะสมที่สุดตอการทํา PM ที่เสียคาใชจายนอยที่สุด
ในบางกรณีอาจมีขอยกเวน เชนการทํา PM กับเครื่องบิน จะมุงเนนความประหยัดอยางเดียวไมได
จะตองเนนที่ความปลอดภัยเปนสําคัญ
คาใชจาย
.d1 ผลรวม
.a1 คาใชจาย PM
.c1 ความสูญเสียเนื่อง
จากการหยุดเครื่อง
.b1 คาซอม
2.6 - 31
ถาเปรียบเทียบการบํารุงรักษาตามกําหนดเวลา (FTM) กับการบํารุงรักษาตามสภาพ (CBM) ซึ่งทั้ง
สองอยางเปนการบํารุงรักษาแบบปองกัน จะพบวาคาใชจายรวมทั้งหมดของ CBM จะนอยกวา FTM ซึ่งแสดงดวย
เสนเต็มและเสนประตามลําดับดังแสดงในรูปตอไปนี้
คาใชจาย
.d1 ผลรวม
.a1 คาใชจาย PM
.c1 ความสูญเสียเนื่อง
จากการหยุดเครื่อง
.b1 คาซอม
คน-ชม. ของการทําการ
ชวงดีที่สุด ชวงดีที่สุด บํารุงรักษาแบบปองกัน
PM with FTM PM with CBM
กราฟกรณีทํา PM แบบ FTM
กราฟกรณีทํา PM แบบ CBM
2.6 - 32
1.10.3 ชองวางการบํารุงรักษาและการใชประโยชน (Maintenance windows and their utilization)
การเปลีย่ นการบํารุงรักษาแบบแกไขชนิดไมมีแผนมาเปนชนิดมีแผน สามารถทําไดดว ยความรวมมือกัน
ระหวางฝายบํารุงรักษากับฝายผลิต
DOWN TIME
DOWN TIME
CBM TIME UP
WITH REPAIR
TIME
PREPARE
AND PLAN
FIND FAILURE
2.6 - 33
เมื่อเครื่องจักรตองหยุดทํางานเนื่องจากการบํารุงรักษา จะมีการสูญเสียการผลิต (Production loss) ถาการ
บํารุงรักษาเปนชนิดมีแผน จะสูญเสียการผลิตนอยกวาชนิดไมมแี ผน (เชนเมื่อมีแผนจะเสียเวลา 1 ชั่วโมง และไมมี
แผนเสียเวลา 3 ชั่วโมง)
1.11 กลยุทธการเลือกรูปแบบการบํารุงรักษาที่เหมาะสม
เมื่อเริ่มใชกลยุทธการบํารุงรักษา ขั้นตอนการบํารุงรักษามีหลายระดับใหเลือกจากระดับสูงถึงระดับต่ํา ใน
ทางปฏิบัติแลวอาจมีการผสมกันระหวางระดับตางๆ ซึ่งขึ้นอยูกับความหลากหลายของเครื่องจักรในโรงงานและ
ความสําคัญของเครื่องจักรที่จะกอใหเกิดความสูญเสียเมื่อเครื่องจักรตองหยุดทํางานโดยไมคาดคิดมากอน
1.11.1 ใชงานจนกระทั้งเสียหาย (Operate to break down ซึ่งยอวา OTBD)
ถาการบํารุงรักษาเปนแบบใชงานจนกระทั้งเสียหาย (OTBD) การบํารุงรักษาลักษณะนี้จะเปนแบบ
แกไขชนิดไมมีแผนและจะมีสมรรถนะความพรอมใชงานต่ําและคาใชจายบํารุงรักษาสูงและคาสูญเสียการผลิตจะ
สูงมากดวยการบํารุงรักษาจะเปนแบบไมมีแผนและมีประสิทธิภาพต่ํา งานบํารุงรักษาอยูภายใตการกดดันและเปน
อันตรายเนื่องจากผูปฏิบัติงานมักละเลยกฎความปลอดภัย
บางครั้งอาจมีความตั้งใจใช OTBD เนื่องจากเหตุผลบางประการทางเทคนิคหรือเพื่อความประหยัด
แตถาการบํารุงรักษาทั้งหมดใชวิธี OTBD เพียงอยางเดียว แสดงวากลยุทธการบํารุงรักษานั้นไมถูกตอง
1.11.2 การบํารุงรักษาตามกําหนดเวลา (Fixed-time maintenanceซึ่งยอวา FTM )
การบํารุงรักษาตามกําหนดเวลา (FTM ) จะเสียคาใชจายและคาสูญเสียการผลิตนอยกวา OTBD
การบํารุงรักษาตามกําหนดเวลาหมายถึงการบํารุงรักษาเครื่องจักรกระทําตามกําหนดเวลา ชิ้นสวนตางๆจะถูกเปลีย่ น
หรือปรับสภาพใหมตามอายุที่กําหนดไว
การบํารุงรักษาแบบปองกันที่ใช FTM เปนหลักมักจะไมใหผลตามที่คาดหวังไว เนื่องจากชิ้นสวน
แตละชิ้นมีอายุการใชงานของตัวเอง บางชิ้นอาจถูกเปลี่ยนบอยเกินไปซึ่งทําใหเสียคาใชจายโดยไมจําเปนบางชิ้นอาจ
เสียหายกอนกําหนดโดยไมคาดคิดซึ่งทําใหสูญเสียคาใชจายสูงมาก
2.6 - 34
กับการผลิตเพื่อใชชองวางการบํารุงรักษาใหเกิดประโยชน การบํารุงรักษาตามสภาพใหการสูญเสียต่ํามากและให
สมรรถความพรอมใชงานของเครื่องจักรคอนคางสูง
1.12. กลยุทธสําหรับการเพิ่มความเชื่อถือได
กลยุทธการบํารุงรักษาที่ควรหลีกเลี่ยงคือการบํารุงรักษาเมื่อเสียหาย ทุกๆคนในองคกรควรเขาใจนโยบาย
ของบริษัท เจาหนาที่ฝายผลิตและฝายบํารุงรักษาตองสามารถวิเคราะหปญหาที่เกิดขึ้นได เมื่อมีปญหาที่เกิดขึ้น มักมี
คําถามวา “ เราสามารถทําอะไรไดบางเพื่อหลีกเลี่ยงไมใหเกิดปญหาขึ้นอีก” ซึ่งอาจเปนการปรับปรุงบางอยาง การ
ออกแบบใหม หรือการใชวิธีการบํารุงรักษาที่ดีกวาเดิม
2.6 - 35
1.12.1 สามารถขจัดปญหาใหหมดไปโดยสิ้นเชิงไดหรือไม ?
ถาไมสามารถขจัดปญหาใหหมดสิ้นไปโดยสิ้นเชิงได ขั้นตอไปก็พิจารณาเกี่ยวกับการยืดอายุชิ้น
สวนใหยาวนานที่สุด
1.12.2 สามารถยืดอายุชิ้นสวนใหยาวนานที่สุดไดหรือไม ?
ถาไมสามารถยืดอายุชิ้นสวนใหยาวนานที่สุดได ขั้นตอไปก็พยายามใชการตรวจสอบสถาพใน
ระหวางที่เครื่องจักรกําลังทํางานเพื่อตรวจจับปญหาขัดของที่จะกอตัวขึ้น และสามารถวางแผนการซอมไดตาม
กําหนด
1.12.3 สามารถตรวจสอบสภาพในระหวางที่เครื่องจักรกําลังทํางานไดหรือไม ?
บางครั้งการตรวจสอบสภาพไมสามารถทําไดในระหวางที่เครื่องจักรกําลังทํางาน แตสามารถตรวจ
สอบไดเมื่อเครื่องจักรหยุดทํางาน
1.12.4 สามารถตรวจสอบสภาพในขณะที่เครื่องจักรหยุดทํางานไดหรือไม ?
ถามันเปนไปไมไดเลยที่จะใชการตรวจสอบสภาพเพราะวาความเสียหายเกิดขึ้นในเวลาอันสั้นมาก
เมื่อเริ่มพบปญหา ในกรณีนี้จําเปนตองใชการบํารุงรักษาตามกําหนดเวลา ( FTM )
1.12.5 สามารถใชการบํารุงรักษาตามกําหนดเวลาไดหรือไม ?
ถาชวงเวลาการเกิดความเสียหายนั้นไมสามารถทราบได คือความเสียหายเกิดขึ้นไมแนนอน บาง
ครั้งเร็ว บางครั้งชา ทานอาจตองพิจารณาใชการบํารุงรักษาเมื่อเสียหายและถาประหยัดเพียงพอก็อาจใชการสํารอง
1.12.6 สามารถใชการสํารองไดหรือไม ?
ถาไมสามารถใชการบํารุงรักษาทุกชนิดที่กลาวมาแลวทั้งหมดได ควรพิจารณาการสํารองเปนทาง
เลือกกอนการใชการบํารุงรักษาเมื่อเสียหาย แตตองพิจารณาเรื่องการคุมคาหรือไมที่จะลงทุนเครื่องจักรสํารอง
1.12.7 ใชงานจนกระทั้งเสียหาย (OTBD )
การบํารุงรักษาแบบนี้เปนแบบสุดทายที่จะเลือกใชเมื่อไมสามารถใชวิธีอื่น ๆ ไดเลย เชนความเสีย
หายเกิดขึ้นไมแนนอน และเกิดขึ้นอยางรวดเร็วโดยไมมีเวลาเตือนใหทราบลวงหนา แตตองคํานึงถึงคาใชจายดวย
เปนสําคัญ เชนชิ้นสวนอะไหลมีราคาถูกและไมกระทบตอการสูญเสียผลผลิตเมื่อชิ้นสวนเสียหาย
2.6 - 36
1.13.1. อายุการใชงานเฉพาะตัว
ชิ้นสวนตาง ๆ ไมวาเล็กหรือใหญมีอายุการใชงานเฉพาะตัวเอง อายุการใชงานเฉพาะตัวแตกตาง
กันไปตามแตละสวนซึ่งขึ้นอยูกับคุณภาพของชิ้นสวนนั้นและขึ้นกับปจจัยแวดลอมอื่น ๆ ดวย
ชิ้นสวนบางชิ้นเกิดปญหาขึ้นตามเวลาที่คาดไวและสามารถคาดคะเนได บางชิ้นสวนเกิดปญหาขึ้น
โดยไมคาดคิดมากอน ตัวอยางเชนแบริ่งแบบลูกกลิ้ง ความเสียหายของแบริ่งนี้ไมสามารถคาดคะเนไดวาจะเกิดขึ้น
เมือใด ซึ่งแตกตางจากการคาดคะเนอายุการใชงานของยางรถยนตซึ่งสามารถระบุไดคอนขางแนนอนกวา
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นสามารถแยกออกเปนสองแบบคือ ความเสียหายแบบไมแนนอน
(Random failures - ไมสามารถคาดคะเนได ) และ ความเสียหายแบบปกติ (Regular failures- สามารถคาดคะเนได )
2.6 - 37
สภาพเครื่องจักร
จุดเสียหาย
สภาพการทํางานปกติ
ยังคงทํางานไดแตมี
อาการผิดปกติเตือน
ใหทราบ
เวลา
เวลาเตือนการเกิดความเสียหาย
สภาพเครื่องจักร
จุดเสียหาย
สภาพการทํางานปกติ
เวลา
2.6 - 38
1.13.3 ความเสียหายและการเกิดความเสียหาย
1.13.3.1 ความเสียหายแบบไมแนนอน-มีเวลาเตือนการเกิดความเสียหาย
ความเสียหายที่เริ่มเกิดขึ้นจนกระทั้งเสียหายมากในที่สุดจะมีเวลาชวงหนึ่งที่สามารถเตือนใหเรา
ทราบไดลวงหนา โดยการตรวจวัดสภาพ ถาเวลาเตือนการเกิดความเสียหายสั้นก็ควรใชการตรวจวัดตอเนื่อง ( on-
line )
1.13.3.2 ความเสียหายแบบไมแนนอน-ไมมีเวลาเตือนเกิดความเสียหาย
ความเสียหายลักษณะนี้ไมมีชวงเวลาเตือนใหทราบลวงหนาและไมสามารถปองกันได ดังนั้นตองมี
ทีมงานบํารุงรักษาที่มีความชํานาญประจําอยูเพื่อลดเวลาสูญเสีย อะไหลตองพรอมเสมอ อาจจําเปนตองมีการสํารอง
เครื่องจักรถาประหยัดเพียงพอ
1.13.3.3 ความเสียหายแบบปกติ-มีเวลาเตือนการเกิดความเสียหาย
ความเสียหายนี้เกิดขึ้นภายในชวงเวลาที่คาดคะเนได เนื่องจากมีการเตือนการเกิดความเสียหายเรา
มักใชวิธีตรวจวัดสภาพชวยเพื่อใหทราบเวลาที่แนนอน หรือใชการบํารุงรักษาตามกําหนดเวลาก็ไดแตจะไมสามารถ
ทราบอายุการใชงานจริงได
1.13.3.4 ความเสียหายแบบปกติ-ไมมีเวลาเตือนการเกิดความเสียหาย
ความเสียหายลักษณะนี้สามารถปองกันไดดวยการบํารุงรักษาตามกําหนดเวลา (FTM ) เนื่องจาก
ไมมีเวลาเตือนการเกิดความเสียหาย จึงไมสามารถใชการตรวจวัดสภาพได นอกจากการใชการบํารุงรักษาตาม
กําหนดเวลาแลว อาจใชการบํารุงรักษาเมื่อเสียหายก็ไดแตไมคอยเหมาะสมนัก
2.6 - 39
เอกสารอางอิง
2.6 - 40
2.7 Plant Performance
2.7 - 1
สมรรถนะของการผลิตไฟฟา (Plant Performance)
Output
39 %
MECHANIC
output
Boiler efficiency (η B) = * 100
input
1.1 Input -Output Method
เครื่องมือที่ใชในการทดสอบ
เครื่องมือวัดสําคัญจะตองใช Test Instrument ที่กําหนดตามมาตรฐาน
Loss
Boiler efficiency (η B) = 100 - * 100
input
เครื่องมือวัดแรงดัน ของ Steam &Water จะตองใช Pressure gauge ที่มีคา accuracy ไม
มากกวา 0.25%หรือ Pressure transmitter ตองมีคา acc.ไมมากกวา 0.1% จุดติดตั้งเครื่องมือ
ทดสอบและวิธีการติดตั้งตองเปนไปตามมาตรฐาน เครื่องมือดังกลาวตองผานการ
Calibrate กอนการทดสอบ
2.7 - 3
เครื่องมือวัดอุณหภูมิใช Thermocouple ที่เปน Test class ที่ได Calibrate กอนการทดสอบ
เครื่องมือวิเคราะห Flue gas ใช Standard Orsat วิเคราะหโดยผูชํานาญการ
Sampling probe จํานวนเหมาะสมตามมาตรฐาน ซึ่งอาจวัดอุณหภูมิและ samplimg point
จุดเดียวกัน
การเก็บตัวอยางเชื้อเพลิง ระหวาง ทดสอบสงวิเคราะหหาคา Composition ดวย Lab ที่ได
รับการรับรอง
การทดสอบและการเก็บขอมูล
ระยะเวลาในการทดสอบ 4 ชม.
Steady state กอนการทดสอบ 1 ชม.
Test condition
• System isolation , soot blower, boiler blow down, Fan angle, Draft balancing ,
burner tilt , burner damper
• Equipment condition Running, cleaning
การเก็บขอมูล
• Pressure and temperature ทุก 15 นาที
2.7 - 5
Turbine Cycle Performance
การทดสอบ Steam Turbine Generator Heat Rate Test ขณะ Normal Operation สามารถทําไดโดย
อางอิงมาตรฐาน B5752 โดยสูตรในการคํานวณ
Heat Consumption =
2.7 - 6
รูปที่ 4
2.7 - 7
Performance Assessment
เปนการประเมินประสิทธิภาพของโรงไฟฟาเบื้องตน เพื่อใหใหทราบสภาพโรงทั่วไป Performance
Survey หรือหาปญหาเฉพาะจุด ซึ่งหากจําเปนก็จะมีการตรวจสอบตอในรายละเอียด และหาทางแกไขปรับปรุง
ตอไป
2.7 - 8
ในการประเมินสมรรถนะโรงไฟฟาจําเปนตองใชขอมูลตางๆ จํานวนมาก ซึ่งการ
สํารวจขอมูลตองกระทําอยางเปนระบบ ซึ่งมีขอมูลที่ตองสํารวจไดแก
- P&I Diagram
- Design Data
- Performance Data
จากขอมูลที่สํารวจไดจะถูกนํามาใชเปน Reference Heat Rate สําหรับเปรียบเทียงกับ
Actual Heat Rate ที่เปนอยูเพื่อวิเคราะหตอไป
3.2 ตรวจสอบความถูกตองของเครื่องมือวัด
Instrument ที่ตองตรวจสอบเพื่อใชใน Performance Assessment เพื่อใหแนใจวา
คา Performance ที่วัดไดถูกตองนาเชื่อถือ ซึ่ง Instrument ที่ตองตรวจสอบ มีดังนี้
2.7 - 9
Auxiliary Steam ± ± ±
Make Up Water ± ±
Fuel ± ±
GT. Exhaust ±
HRSG. Inlet / Outlet Gas ±
Include :
Exit Gas O2, CO2, CO Instrument
Electrical Generation Instrument
Auxiliary Electrical Power Consumption Instrument
Instruments in “Plant Audit” Section
3.3 ตรวจสอบสภาพโรงไฟฟา หรืออุปกรณอุปกรณที่เปนอยูปจจุบัน
เปนการประเมิน Performance โรงไฟฟาที่เปนอยูในปจจุบันวามี Performance เปนอยางไร
ซึ่งการประเมิน Performance โรงไฟฟาที่เปนอยูในปจจุบันสามารถกระทําได 3 วิธี คือ
- ประเมินคาที่อานไดจากการเดินเครื่องจริง
- ประเมินจาก Performance Test Report ครั้งลาสุด
- ประเมินโดยการทดสอบโดยตรง
การประเมิน Plant Heat Rate ที่เปนอยูในปจจุบัน จําเปนอยางยิ่งที่ Uncontrollable Parameter
ทั้งหมด เชน Ambient Condition, Fuel Properties ฯลฯ ตองถูก Correct ไปที่ Standard Condition
ซึ่งมักจะใช Design Condition เสียกอน
3.4 เปรียบเทียบ Performance ของโรงไฟฟาหรืออุปกรณ
เปนการเปรียบเทียบ Performance โรงไฟฟา หรืออุปกรณที่เปนอยูในปจจุบันกับ Reference
Data ที่ประเมินวา Plant Performance ที่เปนอยูในปจจุบันวาอยูในเกณฑนาพอใจหรือไม โดยมี
แนวทางปฏิบัติ ดังนี้
- เปรียบเทียบ Performance ของโรงไฟฟาที่ประเมินได (Actual Performance) กับ
Performance อางอิงของโรงไฟฟานั้นๆ (Reference Performance) โดยที่ Uncontrollable
Parameter ทั้งหมด เชน Ambisnt Condition, Fuel Properties ฯลฯ ตองถูก Correct ไปที่
Standard Condition เดียวกัน
- คํานวณหา Loss ตางๆ ที่เกิดขึ้นทั้งจากดานการเดินเครื่องและความเสี่ยมของอุปกรณที่
หาไดกอนหนาแลว
- ถาผลตางของ Performance โรงไฟฟาที่ประเมินได (Actual Performance) กับ
Performance อางอิงของโรงไฟฟานั้นๆ (Reference Performance) มีคาใกลเคียงกับ Loss
2.7 - 10
ที่คํานวณไดขางตน ก็จะสามารถสรุปไดวา Performance ของโรงไฟฟาที่ลดลงไปเกิด
ขึ้นจาก Loss เนื่องจากการเดินเครื่องและความเสื่อมของอุปกรณที่หาไดกอนหนาแลว
เทานั้น
ถาผลตางของ Performance โรงไฟฟาที่ประเมินได (Actual Performance) กับ
Performance อาอิงของโรงไฟฟานั้นๆ (Reference Performance) มีคาแตกตางจาก
Loss ที่คํานวณไดขางตนมาก ก็จะตองวิเคราะหรายละเอียดตอไป
3.5 การวิเคราะหสาเหตุและวิธีแกไข
การวิเคราะหสาเหตุที่ทําให Plant Performance แยลง เปนความยุงยากและตองใชความชํานาญ
ในการวิเคราะหเปนอยางมาก ซึ่งแนวทางการวิเคราะหจะใช Performance Tool ตางๆ ชวย ซึ่งได
แก
- Performance Test
- Equipment Performance Test
- Heater Balance Code Program
- Performance Tutorial
- Performance Parameter Diagnostic
- Heat Rate Logic Tree
3.6 สรุปผลและเสนอแนะวิธีการแกไข
การสรุปผล Performance Assessment และขอเสนอแนะวิธีแกไขนั้นจะตองประกอบดวย
- ขอสรุปผล Performance ของโรงไฟฟาที่เปนอยูปจจุบัน โดยเทียบกับ Performance ของ
โรงไฟฟาที่ควรจะเปน เชน ดีขึ้น หรือแยลง กี่เปอรเซนต
- ขอสรุปผล Performance ของอุปกรณหลักของโรงไฟฟา เชน Boiler, Turbine, Cooling
Tower etc. ที่เปนอยูปจจุบัน โดยเทียบกับ Performance อุปกรณนั้นที่ควรจะเปน เชน ดี
ขึ้น หรือ แยลง กี่เปอรเซนต
- สาเหตุที่ทําให Performance ของโรงไฟฟา หรืออุปกรณหลักเปลี่ยนแปลงไป
- ขอเสนอแนะวิธีการแกไขให Performance ของโรงไฟฟา หรืออุปกรณหลักกลับเปน
ปกติ
4. การรายงาน Performance Assessment
Performance Assessment Report สําหรับโรงไฟฟา จะประกอบดวยหัวขอตางๆ ดังนี้
1. ปกรายงาน มีรายละเอียด ดังนี้
ชื่อรายงาน, โรงไฟฟา
รายงานโดยหนวยงานใด
เสนอรายงานตอหนวยงานใด
2.7 - 11
ผูจัดทํา และผูมีสวนรวม
วันที่รายงาน
2. สารบัญ
3. บทนํา
กลาวถึงความเปนมาที่ตองดําเนินงานโดยหนวยงานใด เพื่อหนวยงานใด ระยะเวลาดําเนินการ
โรงไฟฟาใด ขนาดและคุณสมบัติของโรงไฟฟา
4. วัตถุประสงค
5. ขอมูลจําเพาะของโรงไฟฟา
Design Data หรือขอมูลการทดสอบตางๆ ที่จําเปนของโรงไฟฟา รวมถึงคาเปาหมายตางๆ
(Target) และ Thermal Kit ที่จําเปนของโรงไฟฟา
6. รายละเอียดการดําเนินการและผลการวิเคราะห
รายละเอียดในการดําเนินการ และผลการวิเคราะหควรแยกเปนสวนๆ ตามวิธีการประเมินที่ได
เขาดําเนินการตอโรงไฟฟา
7. สรุปผลและขอเสนอแนะ
2.7 - 12
ขอเขียนฉบับนี้นํามาจากเอกสารแปล Advance Operator Training หัวขอ Fundamental of Plant Efficiency ซึ่งมี
ประโยชนตอการทําความเขาใจในเรื่อง สมรรถนะโรงไฟฟาจึงไดนํารวมไวในเอกสารฉบับนี้ดวย
2.7 - 13
Fundamental of Plant Efficiency
Segment A
พลังงานที่ใหแกโรงไฟฟาเปนรูปเชื้อเพลิง (Heat Energy) และออกมาในรูปของพลังงงานไฟฟา
(Electrical Energy) โดยที่พลังงานสวนใหญสูญเสียไปโดยเปลาประโยชน (Waste Heat)
ตัวอยางเชน ถาเราใหพลังงานแกโรงไฟฟาเทากับ 100 หนวย พลังงานประมาณ 15 หนวยจะสูญเสียไป
ที่ Boiler โดยสูญเสียไปในรูปของความรอนที่อกไปกับ Flue Gas ผาน Stack ออกสูบรรยากาศ (อุณหภูมิของ
Gas ประมาณ 300 F)
พลังงานอีกสวนหนึ่งจะสูญเสียไปหลังจากผาน Turbine Cycle โดย Steam ที่ออกจาก Turbine จะผาน
Condenser เพื่อถายเทความรอนแลวกลั่นตัวเปน Condensate Water ความรอนแฝงของ Steam (Latent Heat)
สวนนี้จะถูก Circulating Water ดึงออกไปอีกประมาณ 50 หนวย ดังนั้นจะเห็นวาความรอนทื่สูญเสียไปจะเทา
กับ 65 หนวย ซึ่งหมายความวา พลังงานที่ใชในการผลิตกระแสไฟฟาเปน 35 หนวย หรือประสิทธิภาพของโรง
ไฟฟาเทากับ 35% นั่นเอง แตตองตระหนักวา คานี้เปนคาประมาณโดยทั่วไป ซึ่งโรงไฟฟาที่มีประสิทธิภาพถึง
35% ถือวาอยูในเกณฑดี สําหรับโรงไฟฟาปจจุบัน
สําหรับโรงงานอุตสาหกรรมบางแหง Heat Loss ของ Steam สวนนี้สามารถนําไปใชใน Process อื่นได
ดังเชนโรงงานผลิตกระดาษจะใชความรอนจาก Steam จํานวนมากในกระบวนการผลิต ซึ่งโรงไฟฟาที่ใชความ
รอนของ Steam รวมอยูกับโรงงานอุตสาหกรรมในลักษณะนี้เรียกวา Cogeneration Unit
ตัวอยางนี้เปฯตัวอยางการนําความรอนจาก Steam ไปใชงานใน Process อยางหนึ่งเทานั้น สําหรับโรง
ไฟฟาสวนใหญ จะเลือกใชแบบ Condensing Turbine เนื่องจากการนํา Steam ไปใชงานใน Process อื่นของโรง
งานอุตสากรรมในบริเวณใกลเคียงมีไมมากพอ และการลงทุนสรางสวน Heat Recovery มีคาใชจายสูง
จากภาพ FIG.1A.1 แสดง Turbine Cycle อยางงาน ถาใช Steam Table หาคาความรอนของ Working
Fluid (Water หรือ Steam) ก็สามารถหาไดทุกจุดใน Cycle ภาพนี้ไมไดแสดงถึงอุปกรณ Feedwater Heater
Dearator และอุปกรณอื่นๆ ซึ่งอุปกรณเหลานี้จะเพิ่มนหัวขอตอไป แตในขณะนี้จะกลาวเฉพาะผลของ Steam
Temperature และ Pressure ตอประสิทธิภาพใน Cycle อยางงายนี้
Steam Enthalpy เปนอยางไร ถา Main Steam Pressure = 500 PSIA ที่อุณหภูมิ 850 F. จาก Steam Table
จะพบวา ไอน้ําขณะนั้นเปน Superheated เนื่องจากไอน้ําที่ความดัน 500 PSIA จะมีคา Saturation Temperature =
467.01 F. และ Steam Enthalpy ขณะนั้นจะมีคา 1439.7 BTU/LB.
ภาพ FIG.1A.2 แสดงการเปลี่ยนแปลงสภาวะของน้ํากลายเปนไอ เพราะปริมาณความรอนที่ตองการ
จากภาพน้ํามีสภาวะความดัน 500 PSIA ตองใชความรอน 450 BTU/LB ในการทําใหน้ําที่
2.7 - 14
อุณหภูมิ 32 F. เดือดที่อุณหภูมิ 467 F. (Saturation Temperature) และปริมาณความรอนที่ทําใหน้ําเดือดกลาย
เปนไอน้ําทั้งหมดพอดี มีคาเทากับ 755 BTU/LB โดยที่อุณหภูมิคงที่ (ชวงเปลี่ยนสภาวะ) ถาใหความรอนตอ
ไปอีก อุณหภูมิของไอน้ําก็จะสูงขึ้นตอไป ซึ่งในชวงนี้เรียกวา Superheated Steam
ไอน้ําในสวนที่ผาน Turbine จะเปลี่ยนพลังงานจากความรอนของไอน้ํา เปนพลังงานกลในการขับ
Turbine ใหหมุน ในการคํานวณปริมาณความรอนที่ใชขับ Turbine ตองทราบคาปริมาณความรอนของไอน้ําตอ
ปอนด ที่ออกจาก Turbine ซึ่งรายละเอียดจะกลาวไปหัวขอตอไป
2.7 - 15
Segment B
จากตัวอยางที่ผานมา ไอน้ําที่ออกจาก Turbine มีความดัน 1” HG abs (Back Pressure มีคา
ประมาณ 0.5 PSIA) ซึ่งวัดที่ Condenser จะเห็นวาคาที่วัดไดเปน Vacuum โดยใช Manometer วัดความดัน
(Back Pressure) ที่ Condenser เทียบกับ Barometer ซึ่งวัดคาความดันบรรยากาศขณะนั้น คาที่อานไดจะเปฯคาค
ยวามดันใน Condenser เชนคาความดันที่อานจาก Manometer เปน 29” HG (ปรอท) และอานจาก Barometer
เปน 30”HG หมายความวา Condenser Back Pressure จะมีคา 1”HG. หรือ 0.5 PSIA
ไอน้ําที่ออกจาก Turbine โดยทั่วไปจะอยูในสภาวะ Water / Steam Mixture ปริมาณ Steam ที่อยูใน
สวนผสมนี้เรียกวา Steam Quality และปริมาณน้ําที่มีอยูในสวนผสมนี้เรียกวา Moisture Content เชนถา Exhaust
Steam มี Quality 90% หมายถึง จะมีสวนผสมเปนน้ํา 10% ถากําหนดให X แทนดวย Steam Quality คา
Enthalpy ของ Exhaust Steam จะสามารถหาไดจากสูตร
Hsteam = hr + (X)hfg
2.7 - 16
ระบายโดย Circulating Water แลว Discharge สูแมน้ํา หรืออางเก็บน้ํา ความรอนจํานวนนี้เปน Loss ที่สูญเสีย
ไปจาก Cycle
น้ํา Condensate ที่กลั่นตัวถูกปมไปยัง Boiler โดย Feed Pump เพื่อเพิ่มความดัน (โดยอุณหภูมิ
เปลี่ยนแปลงนอยมาก) ซึ่งความดันที่ Pump Discharge ถึง 800 PSIA จากจุดนี้ไปจะเรียกวา Feedwater, จาก
Compressed Water Table, คา Enthalpy ของ Feedwater ที่เขา Boiler เทากับ 50.2 BTU/LB
เมื่อ Feedwater เขาสู Boiler จะรับความรอนเพิ่มขึ้นเทากับ 1389.5 BTU/LB (∆h) ซึ่งเปนผลตาง
ระหวาง enthalpy ของ Feedwater ที่เขา Boiler กับ Enthalpy ของ Steam ที่ออกจาก Boiler คาความรอนทั้ง
หมดที่ ใหกับ Feedwater จะเทากับ h × Feedwater Mass Flow
Turbine Cycle Efficiency สามารถหาไดจาก Useful Turbine Work หารดวย Heat Added to the Water
and steam ใน Boiler
2.7 - 17
Segment C (Part I)
จากตัวอยางที่ 2 (FIG.1C.1) ถาเพิ่มอุณหภูมิ Main Steam เปลี่ยนจาก850 °F เปน 1000 °F พลังงาน
ความรอนของไอน้ําที่เขา Turbine มีคาเพิ่มขึ้นเปน 1519.6 BTU/LB ซึ่งสูงกวาที่อุณหภูมิ 850 °F
(1439.7BTU/LB)
ถาอุณหภูมิของไอน้ําทีออกจาก Turbine = 80°F คา Enthalpy = 991.76 BTU/LB เพราะฉะนั้นพลังงาน
ที่ Turbine ไดรับจะมีคาเทากับ
1519.6 – 991.73 = 527.84 BTU/LB
ถาสภาวะของ Feedwater เหมือนในหัวขอที่แลว ปริมาณความรอนทีเพิ่มกับ Fluid ใน Boiler จะเทากับ
527.84
ดังนั้นประสิทธิภาพของ Turbine Cycle = = 35.9%
1469.4
2.7 - 18
จากภาพ FIG.1C.3 ถาคา Turbine Back Pressure มีสูงขึ้นถึง 4” HG abs. (2PSIA) และอุณหภูมิ
Saturation 126°F คา Exhaust Steam มี Quality 84% ดังนั้นคา Enthalpy ของ Exhaust Steam จะมีคาเทากับ
521.6
เพราะฉะนั้น ประสิทธิภาพของ Turbine Cycle = = 37.9%
1,375
2.7 - 19
Segment C (Part II)
ในหัวขอนี้ จะกลาวถึงประสิทธิภาพของ Boiler ซึ่งโดยทั่วไปประสิทธิภาพของ Boiler จะมีคาประมาณ
87%
ถา Boiler มีประสิทธิภาพ 85% หมายความวา ความรอนจากเชื้อเพลิงทุก 100 BTU ที่ใหแกน้ําและไอ
น้ํา 1 ปอนด ที่ผาน Boiler จะสามารถรับไดเพียง 85 BTU
จากตัวอยางในหัวขอที่กลาวมาแลว น้ําและไอน้ํา 1 ปอนด ที่ไดรับความรอนจากการเผาไหม เทากับ
1,389.5 BTU
1,389.5
ดังนั้น พลังงานความรอนที่ไดจากเชื้อเพลิงจะ = = 1,635 BTU/LB
0.85
2.7 - 20
448
เพราะฉะนั้น Plant Efficiency = = 0.274 (27.4%)
1,635
ประสิทธิภาพของโรงไฟฟาเทากับผลคูณของประสิทธิภาพ Turbine Cycle กับประสิทธิภาพของ Boiler
หรือเทากับ 32.5% × 85% = 27.4%
การวัด Output ของโรงไฟฟา จะวัดหนวยเปน KW-HR เชน Generator รับ Load ทั้งหมด 10 MW
ใน 1 ชั่วโมงจะมีพลังงานออกมา 10 4 KW-HR ดังนั้น Turbine จะตองจายพลังงานแก Generator = 3,412
× 10 4 BTU (1 KW-HR = 3412 BTU) ทั้งนี้ ไมคิด Loss ที่ Turbine และ Generator
ถาถานหินจํานวน 12,000 ปอนด (Heating Value = 10 4 BTU/LB) ถูกเผาไหม พลังงานความรอนที่ให
แก Boiler = 126 × 10 6 BTU/HR
34.12 × 10 6
เพราะฉะนั้น ประสิทธิภาพของโรงไฟฟา = = 0.27 (27%)
126 × 10 6
2.7 - 21
Segment D
จากหัวขอที่ผานมา ประสิทธิภาพของ Boiler = 85% บทนี้จะกลาวถึงวา Loss 15% ที่หายไปเกิดจาก
อะไร
Loss ที่เกิดใน Boiler มากที่สุดจะออกไปกับ Gas ที่ออก Stack สูบรรยากาศ สวน Loss อื่นๆ จะมีจาก
สาเหตุ
A. การสันดาปไมสมบูรณ
B. ความรอนที่ไปกับขี้เถา (ASH)
C. Boiler Blow Down
D. Soot Blowing
E. Heat Radiation
จากภาพ 1D.1 แสดง Turbine Generator ขนาด 70 MW Boiler ผลิตไอน้ําไดในอัตรา 550,000 LB/HR
ที่ 1,200 PSIA, 950°F อุณหภูมิของ Feedwater = 370°F
ในการผลิตกระแสไฟฟา 70 MW ตองใชเชื้อเพลิงในอัตรา 40,000 LB/HR โดย Fuel Oil มี Heating
Value 180,000 BTU/LB หรือมีการเผาไหมใหความรอนใน Boiler = 720 × 10 6 BTU/HR
ในการคํานวณหา Stack Loss จะตองรูปริมาณ Gas ที่ออกไปจาก Stack
ในการหาประสิทธิภาพของ Boiler จะทําไดโดยนําผลของการวิเคราะห Fuel Gas และ Fuel Oil มา
คํานวณ
จากตัวอยางที่ผานมา ถา Gas Flow = 600,000 LB/HR ที่ Full Load อุณหภูมิของ Gas ที่ออกจาก Stack
= 360°F อุณหภูมิบรรยากาศ = 60°F จะสามารถหาสูตรการคํานวณ Heat Loss ดังนี้
43.2 × 10 6
% Heat Loss (Stack Loss) = = 0.06 = 6%
720 × 10 6
ถา Boiler Tube สกปรก การถายเทความรอนก็จะไมดี มีผลให Gas ที่ออกจาก Stack (Exit Gas)
อุณหภูมิสูงขึ้นอาจถึง 500°F ถาเปนเชนนี้ Heat Loss จะเทากับ 600,000 × 0.24 × 440 =
63.36 × 10 BTU/HR หรือ 8.8%
6
2.7 - 22
เกิดปญหา Corrosion ที่ Boiler Cold End เนื่องจากเกิดการ Form กรดซัลฟูริค (H2SO4) เพราะต่ําถึงจุด Dew
Point ดู FIG.1D.2
ปญหาอีกอยางหนึ่งของ Stack Loss คือความชื้นที่ผสมในถานหิน เชน ถาถานหินมีความชื้น 5% และ
ถูกเผาไหมในอัตรา 72,000 LB/HR จะมีน้ําผสมอยู = 3,600 LB/HR คาความรอนแฝงของการกลายเปนไอน้ํา =
1,000 BTU/LB ดังนั้น Loss ที่เกิดจากการกลายเปนไอและสูญเสียไปกับ Fuel Gas จะมีคาถึง
3.6 × 10 6 BTU/HR
ปญหาตอไปเกิดจากการเผาไหมของน้ํามันเชื้อเพลิง หรือกาซธรรมชาติ ซึ่งมีไฮโดรเจน (H) เปนองค
ประกอบในปริมาณที่มากกวาในถานหิน เมื่อเกิดการเผาไหมไฮโดรเจนจะสันดาปกับออกซิเจนกลายเปนหยด
น้ํา (Moisture) เมื่อถูกเผาไหมจะเปน Loss ซึ่งในกรณีของถานหินจะมีคานอยกวา ดังจะกลาวในตัวอยางถัด
ไป
ถาเกิดการเผาไหมของ Fuel Oil ที่มีสวนประกอบของไฮโดรเจน 10% โดยอัตราการปอนเชื้อเพลิง
(Fuel Oil) = 40,000 LB/HR เพราะฉะนั้นจะมีไฮโดรเจนอยู = 40,000 LB และผลจากการสันดาปจะเปนดังนี้
ในทุก 1 ปอนดของ H2 จะไดน้ํา (H2O) 9 ปอนด ดังนั้นจะเกิด Water Vapor 36,000 LB/HR (4,000 × 9) ออกไป
กับ Flue Gas ผาน Stack ซึ่ง Heat Loss จากสาเหตุนี้จะมีคา 36,000,000 BTU/HR (คาความรอนแฝง = 1,000
BTU/LB) หรือเทากับ Boiler Efficiency Loss = 5%
สรุปไดวา เชื้อเพลิงที่มีไฮโดรเจนเปนสวนผลมมาก จะมีผลใหเกิด Vapor Loss สูงขึ้น แตกรณีการใช
กาซธรรมชาติเปนเชื้อเพลิง (มีสวนผสมไฮโดรเจนสูงประมาณ 20-25%) กลับตองใช Exess Air จํานวนนอยกวา
ในการสันดาป และอุณหภูมิของ Flue Gas ที่ออกมาก็ยอมใหมีคาต่ําถึง 250°F (เพราะมีสวนประกอบของ
Sulfer ต่ํา) จากเหตุผลนี้จะเห็นวา การใชเชื้อเพลิงกาซธรรมชาติในการ เผาไหมจะทําใหประสิทธิภาพของ
Boiler โดยรวมดีขึ้น
ในการวัดคาความรอนของเชื้อเพลิง (Carorific Value) สามารถวัดได 2 ลักษณะ คือ Higher Heating
Value และ Low Heating Value
คา Lower Heating Value จะแสดงคา Vapor Loss เนื่องจากสวนประกอบของไฮโดรเจนและความชื้นที่
มีในเชื้อเพลิง (วิเคราะหโดยไมอบแหง)
ถาคิดคาประสิทธิภาพของ Boiler จะตองรูใหแนนอนวาคา Heating Value ที่ใชคือคาไหน และถาใช
Lower Heating Value ในการคํานวณคาประสิทธิภาพของ Boiler จะใหคาสูงกวา
2.7 - 23
Segment E
ปริมาณ Excess Air ที่เขาไปสันดาปใน Boiler จะมีผลโดยตรงกับประสิทธิภาพของ Boiler เนื่องจาก
Loss จากหัวขอที่ผานมา แสดงสูตรการคํานวณหา Stack Loss ซึ่งปริมาณของ Exhaust Gas ที่ออกสู Stack จะมี
ผลโดยตรงกับ Stack Loss
ถาใช Excess Air ในการเผาไหมมากไป ปริมาณของ Exhaust Gas ก็จะเพิ่มตาม ซึ่งทําให Stack Loss
สูงขึ้นดวย ในทางตรงขามถาอากาศที่ใชในการเผาไหมไมเพียงพอ การสันดาปของเชื้อเพลิงก็จะไมสมบูรณ
ความรอนที่ไดจากเชื้อเพลิงก็ไมเต็มที่ และสูญเสียไปโดยเปลาประโยชน
ในการสันดาปเชื้อเพลิงจึงจําเปนตองใชเชื้อเพลิงสันดาปกับออกซิเจน ในอัตราสวนที่เหมาะสม เพื่อให
ไดการเผาไหมที่สมบูรณ
องคประกอบที่สําคัญของเชื้อเพลิง ที่เผาไหมได ไดแก
1. Carbon
2. Hydrogen
3. Sulfer
สวนองคประกอบอื่นมี ไนโตรเจน, ความชื้น, และขี้เถา ซึ่งไมเกิดการเผาไหม (ไมใหความรอน) และยัง
ดูดกลืนความรอนไดอีกดวย
เมื่อคารบอนสันดาปกับออกซิเจน จะเกิดคารบอนไดออกไซดและใหพลังงานความรอนออกมาดังนี้
ถาสามารถวิเคราะหองคประกอบของเชื้อเพลิงที่ใชในการเผาไหมได ก็จะสามารถหาคา
1. Heating Value ตอปอนดของเชื้อเพลิงนั้น
2. ปริมาณออกซิเจนที่ใชในการเผาไหมกับเชื้อเพลิงอยางสมบูรณ (ทาง Ideal)
2.7 - 24
ถาคารบอนสันดาปกับออกซิเจนในปริมาณที่ไมเพียงพอจะไดคารบอนมอนนอกไซด (CO) และพลัง
งานความรอน ดังสมการ
2.7 - 25
2.7 - 26
2.7 - 27
2.7 - 28
2.7 - 29
2.7 - 30
2.7 - 31
คําถามหัวขอ
งานเดินเครื่องโรงไฟฟา
สมรรถนะการผลิต
Segment A
จงตอบคําถามตอไปนี้
1. คาพลังงานที่สูญเสีย (Energy Loss) สูงสุด ในวัฏจักรโรงไฟฟาเกิดขึ้นที่ใด
2. คาพลังงานความรอนทั้งหมดที่อยูในสสาร เรียกวา
3. (ถูกหรือผิด) จาก Steam Table สภาวะของไอน้ําที่อุณหภูมิ 315°C มีความดัน 105 bar(a) เปนสภาวะ
Superheated Steam
Segment B
จงตอบคําถามตอไปนี้
ปริมาณความรอนที่ใชในการเปลี่ยนสภาวะของน้ํากลายเปนไอน้ํา เรียกวา
Percentage ของไอน้ําในสวนผสม Steam / Water เรียกวา
ไอน้ําที่เขาสู Turbine ที่อุณหภูมิ 482°C ความดัน 61.2 bar(a) และออกจาก Turbine ที่อุณหภูมิ 26.7°C ความดัน
1”HG abs. โดยมี 12% Moisture Content, คา Steam Flow Rate 90.7 ton/hr
จงหาคา Enthalpy ของ Steam ที่ออกจาก Turbine
[hsteam = hr + (x) hfg]
จงหาคา Useful Turbine Work
จงหาคาพลังงานไฟฟาที่ผลิตได
Segment C (Part I)
จงเติม (เพิ่มขึ้น, ลดลง) ในขอ 1-4
1. ถาความดันของ Main Steam เพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพของ Turbine Cycle จะ ............(เพิ่ม / ลด)
2. ถาอุณหภูมิของ Main Steam เพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพของ Turbine Cycle จะ............(เพิ่ม / ลด)
2.7 - 32
3. ถาเพิ่ม Turbine Back Pressure ประสิทธิภาพของ Turbine Cycle จะ ..............(เพิ่ม / ลด)
4. ถาความดันลดลง ปริมาตรจําเพาะ (Specific Volume) ของไอน้ําจะ ..............(เพิ่ม / ลด)
5. Quality หมายถึง Percentage ของ .........................…ในสวนผสม Steam / Water
6. ถา Exhaust Steam ที่ออกจาก Turbine มีอุณหภูมิ 38°C และ Quality = 95%
A. จงหา Enthalpy ของ Exhaust Steam
[hsteam = hr + (x) hfg]
B. จงหาปริมาณความรอนที่ถูกดึงออกเพื่อทําใหไอน้ํา Exhaust Steam 1 ปอนด กลั่นตัวเปนหยด
น้ําพอดี (Condensate)
Segment D
จงตอบคําถามตอไปนี้
1. ถา Flue Gas ออกจาก Boiler ในอัตรา 700,000 LB/HR อุณหภูมิของ Flue Gas วัดได 340°F และมีคา
Specific Heat 0.24 อุณหภูมิบรรยากาศขณะนั้น = 70°F คาความรอนที่ถานใหกับ Boiler เทากับ
750 × 10 6 BTU/HR จงหา
A. ปริมาณความรอนที่ออกจาก Plant Stack
2.7 - 33
B. Loss ที่ Boiler คิดเปนเปอรเซนต
2. สวนประกอบของเชื้อเพลิง ที่มีผลตออุณหภูมิที่ออกจาก Boiler วาจะมีคาต่ําสุดไดเทาใด คือ
ปริมาณ..................ในเชื้อเพลิง
3. ทุกๆ 1 ปอนดของไฮโดรเจนในเชื้อเพลิงที่ถูกเผาไหม จะทําใหเกิดน้ําจํานวน..............ปอนด
4. กาซธรรมชาติ มีองคประกอบไฮโดรเจน............................(สูงกวา, ต่ํากวา) ถานหิน
5. คา (Lower, Higher) Heating Value คือ คาความรอนของเชื้อเพลิง ซึ่งหัก Vapor Loss ที่เกิดจากปริมาณ
ความชื้น และไฮโดรเจนในเชื้อเพลิงแลว
Segment E
จงตอบคําถามตอไปนี้
1. จงบอกองคประกอบของเชื้อเพลิง (Fossil Fuel) ที่สามารถเผาไหมใหพลังงานออกมาได 3 อยาง
A. …………………………………….
B. …………………………………….
C. …………………………………….
2. จงบอกองคประกอบของเชื้อเพลิง อื่นๆที่เหลือจาก ชอ 1
A. …………………………………….
B. …………………………………….
C. …………………………………….
3. (ถูกหรือผิด) ไนโตรเจนที่เขาไปในขบวนการเผาไหมใน Boiler จะไมมีผลกระทบตอการเผาไหม
4. ถาคารบอนเกิดการสันดาปอยางสมบูรณ จะไดพลังงานความรอนและ..............
5. ถาเกิดการสันดาปอยงไมสมบูรณจะเกิดกาซ...............
6. (ถูกหรือผิด) ปริมาณซัลเฟอรในเชื้อเพลิง จะมีผลตอคา Heating Value ของเชื้อเพลิงดวย
7. จงบอกวิธีการตรวจสอบการเกิดสันดาป อยางไมสมบูรณที่เกิดขึ้น Boiler Furnace
2.7 - 34
2.7.1 COMBINED CYCLE POWER PLANT PERFORMANCE
2.7.1 - 1
สมรรถนะของโรงไฟฟาพลังความรอนรวม
(COMBINED CYCLE POWER PLANT PERFORMANCE)
บทนํา
กระบวนการผลิตในโรงไฟฟาสวนใหญเปนการเปลี่ยนรูปของพลังงาน แตละกระบวนการมีพลังงาน
สูญเสียเสมอ รูปที่ 1 แสดงตัวอยางพลังงานที่ไมสามารถนํามาใชงานได การลดหรือการนําพลังงานสูญเสียกลับ
ไปใชงานตอในสวนอื่น ทําใหประสิทธิภาพของระบบสูงขึ้น
รูปที่ 1 พลังงานสูญเสียจากกระบวนการผลิต
Heat Consumption
Heat Rate =
Energy Output
2.7.1 - 2
HEAT RATE มีหนวยเปน BTU/kWh การคิดคา HEAT RATE จะตองวัดพลังงานไฟฟาที่สามารถผลิต
ไดจาก GENERATOR ในชวงเวลาหนึ่งโดยเปรียบเทียบกับปริมาณความรอนที่ใชในชวงเวลาดังกลาว ปริมาณ
ความรอนที่ใชหาไดจากปริมาณเชื้อเพลิงคูณดวยคาความรอนของเชื้อเพลิงนั้นๆ สวนพลังงานไฟฟาไดจาก
มิเตอรไฟฟาที่ผลิตได ในกระบวนการผลิตตองใชพลังงานไฟฟาสวนหนึ่ง สําหรับการทํางานของอุปกรณใน
โรงไฟฟ าเช น ระบบแสงสว าง, BOILER FEED PUMP และ CIRCULATING WATER PUMP เป น ต น ค า
GROSS OUTPUT ที่หักลบพลังงานที่ใชในสวนดังกลาวเรียกวา NET OUTPUT
EFFICIENCY เปนอัตราสวนของพลังงานไฟฟาที่ผลิตไดตอปริมาณความรอนที่ใชไป มีหนวยเปน %
คํานวณไดจากสมการ
Energy Output
Efficiency =
Heat Consumption
1
efficiency = × 100%
Heat Rate
3413
= × 100%
BTU
Heat Rate : ( )
kWh
860
= × 100%
kCal.
Heat Rate : ( )
kWh
2.7.1 - 3
รูปที่ 2 ประสิทธิภาพของโรงไฟฟาแตละประเภท
โรงไฟฟาพลังความรอนรวมเปนการทํางานรวมกันระหวางเครื่องกังหันกาซและเครื่องกังหันไอน้ํา รูป
ที่ 3
แสดงขนาดกําลังการผลิตและเทคนิคการลดมลภาวะจากการเผาไหมที่ใชงาน เทคโนโลยี่ที่สูงขึ้นทําใหประสิทธิ
ภาพของโรงไฟฟาเพิ่มสูงขึ้นอยางตอเนื่อง ดังรูปที่ 4
First Generation Second Generation Third Generation
Gas Turbine Small Size 50 – 90 MW 70 – 250 MW
Application Repowering & Heat Recovery Feedwater Heat Recovery Feedwater
Cogeneration From 1949 Heating CC From 1968 – Heating CC In The 1990s
– 1968 1999
Steam Cycle Non-Reheat Single Or Non-Reheat, Single , Two Reheat , Three Pressure
Two Pressure & Three Pressure
Emission None GT Water And Steam DLN Combustion With
Control Injection Plus SCR Natural Gas And Wtr /
Installed In The HRSG Steam Inj With Oil Fuel
Gas Path For NOX Plus SCR Installed In
Control HRSG
Fuel Distillate Oil / Natural Natural Gas / Distillate Oil Natural Gas / Distillate Oil
Gas / Low BTU Gas / Oil / Low BTU Gas
รูปที่ 3 วิวัฒนาการของโรงไฟฟาพลังความรอนรวม
2.7.1 - 4
รูปที่ 4 COMBINED CYCLE SYSTEM EFFICIENCY TREND
2.7.1 - 5
รูปที่ 6 50 Hz STAG PRODUCT LINE PERFORMANCE
เครื่องกังหันกาซ
เครื่องกังหันกาซมีสวนประกอบหลักคือ COMPRESSOR, COMBUSTOR และ TURBINE ดังรูปที่ 7
แผนภาพ T-S และแผนภาพ P-V ของเครื่องกังหันกาซดังรูปที่ 8
รูปที่ 7 เครื่องกังหันกาซ
2.7.1 - 6
อุณหภูมิในหองเผาไหมของเครื่องกังหันกาซสูงถึง ประมาณ 2500 องศาเซลเซียส แตอุณหภูมิที่นําไป
ใชงานไดจริงคืออุณ หภูมิห ลังจากผาน FIRST STAGE TURBINE NOZZLE บริษัท GENERAL ELECTRIC
เรียกอุณหภูมิที่จุดดังกลาววา FIRING TEMPERATURE ดังรูปที่ 9
รูปที่ 10 การเพิ่มประสิทธิภาพของโรงไฟฟาพลังความรอนรวม
2.7.1 - 7
รูปที่ 11 COMPARISON OF AIR-COOLED vs STEAM-COOLED FIRST STAGE NOZZLE
2.7.1 - 8
TEMPERATURE มีผลตอ OUPUT มากขึ้น แตทําใหประสิทธิภาพลดลงเนื่องจากตองเพิ่มปริมาณ COOLING
AIR เพื่อชวยยืดอายุของอุปกรณ
กรณีการเดินเครื่องแบบ COMBINED CYCLE คา PRESSURE RATIO ที่เพิ่มขึ้นมีผลทําให
SPECIFIC OUTPUT ลดลง การเพิ่ม FIRING TEMPERATURE มีผลใหประสิทธิภาพสูงขึ้น
ตัวแปรที่มีผลตอสมรรถนะของเครื่องกังหันกาซ
อุณหภูมิบรรยากาศลดต่ําลงมีผลทําให HEAT RATE ต่ําลงและ OUTPUT สูงขึ้น ถาอุณหภูมิ
บรรยากาศสูงขึ้น มีผลทําให HEAT RATE สูงขึ้นและ OUTPUT ต่ําลง ดังรูปที่ 14
2.7.1 - 9
รูปที่ 15 HUMIDITY EFFECT CURVE
จากขอมูลเครื่องกังหันกาซรุน MS7001EA รูปที่ 16 ถาความดันตกครอมที่ทางเขาและที่ GT
EXHAUST สูงขึ้น ทําให HEAT RATE สูงขึ้น OUTPUT ลดลง และคา GT EXHAUST TEMPERATURE สูง
ขึ้น
2.7.1 - 10
รูปที่ 18 เปรียบเทียบวิธีการควบคุมออกไซดของไนโตรเจนระหวาง DLN (DRY LOW NOX) ,
WATER INJECTION และ STEAM INJECTION วามีผลตอสมรรถนะของโรงไฟฟาอยางไร จะเห็นวาปริมาณ
WATER หรือ STEAM INJECTION ที่สูงขึ้น มีผลให HEAT RATE และ OUTPUT สูงขึ้น และยิ่งใชปริมาณ
มากขึ้นจะยิ่งทําใหคา HEAT RATE และ OUTPUT สูงขึ้นตามไปดวย การใช WATER INJECTION มีผลทําให
HEAT RATE และ OUTPUT สูงกวาเมื่อเปรียบเทียบกับการใช STEAM INJECTION
2.7.1 - 11
เนื่องจากอุณหภูมิบรรยากาศมีผลกระทบตอสมรรถนะของเครื่องกังหันกาซคอนขางมาก จึงมีแนวคิด
ในการควบคุมอุณหภูมิอากาศกอนเขา COMPRESSOR โดยใชวิธี EVAPORATIVE COOLING ดังรูปที่ 20
ระบบนี้
จะใหผลดี กรณีที่ความชื้นในบรรยากาศต่ําจะลดอุณหภูมิไดมาก ถาความชื้นในบรรยากาศสูงขึ้นจะลดอุณหภูมิ
ไดนอยลง นอกจากนี้ยังมีการนําระบบ CHILLING มาประยุกตใชเพื่อลดขอจํากัดจากสภาพความชื้นในอากาศ
อยางไรก็ตามควรพิจารณาความเหมาะสมในการติดตั้งระบบดังกลาวเนื่องจากเงินลงทุนคอนขางสูง
2.7.1 - 12
HRSG (HEAT RECOVERY STEAM GENERATOR)
HRSG ทําหนาที่แลกเปลี่ยนพลังงานระหวางไอเสียที่ออกจากเครื่องกังหันกาซกับน้ําและ STEAM ใน
ร ะ บ บ ช ว ง เริ่ ม ต น HRSG เป น แ บ บ SINGLE PRESSURE NON REHEAT HEAT RECOVERY
FEEDWATER HEATING ดังแสดงในรูปที่ 22
2.7.1 - 13
รูปที่ 24 TYPICAL TEMPERATURE PROFILE FOR THREE PRESSURE SYSTEM
2.7.1 - 14
รูปที่ 26 STAG COMBINED CYCLE PERFORMANCE VARIATION WITH FUEL CHARACTERISTICS
ระบบกังหันไอน้ํา
เครื่องกังหันไอน้ํามีสวนประกอบหลักไดแก BOILER, STEAM TURBINE, CONDENSER และ
FEED PUMP วัฎจักรการทํางานของเครื่องกังหันไอน้ําดังแสดงในรูปที่ 27
ตัวแปรที่มีผลตอสมรรถนะของเครื่องกังหันไอน้ําไดแก
MAIN STEAM TEMPERATURE : อุณหภูมิของ STEAM บงบอกถึง ENTHALPY ที่อุณหภูมิต่ําจะ
เกิดการลดของประสิทธิภาพของ TURBINE CYCLE และ OUTPUT แตการเพิ่มอุณหภูมิของ STEAM มีขอ
จํากัดดานวัสดุของกังหัน
MAIN STEAM PRESSURE : ความดันของ STEAM ที่เขา TURBINE ชุดแรกเปนตัวบอกถึงพลังงาน
สะสมในไอน้ํา การเพิ่ม THROTTLE PRESSURE เปนการเพิ่มประสิทธิภาพของ TURBINE CYCLE และ
OUTPUT ดังรูปที่ 28 แมวาการเพิ่มแรงดันทําให ENTHALPY ลดลง แตชดเชยโดย USEABLE ENERGY ที่อยู
ในรูปของความดัน
REHEAT STEAM TEMPERATURE : ถาอุณหภูมิ REHEAT STEAM ที่เขา TURBINE มีคาต่ํา จะทํา
ใหประสิทธิภาพของ TURBINE CYCLE และ OUTPUT ลดลง เนื่องจากคาความรอนที่สะสมใน STEAM นอย
ลง พลังงานที่จะถายเทใหกับ TURBINE จึงนอยลงตาม กรณีที่ REHEAT STEAM มีอุณหภูมิต่ํา DEGREE
2.7.1 - 15
SUPERHEAT ลดลง ผลก็คือ STEAM จะกลั่นตัวไดงายขึ้นใน LP TURBINE ความชื้นสะสมใน LP TURBINE
STAGE ทายๆ จะสูงจนเกิดการกัดกรอนมากขึ้น
2.7.1 - 16
รูปที่ 29 CORRECTION FOR MAIN STEAM AND REHEAT STEAM DESUPERHEATING FLOW
CONDENSOR PRESSURE : PRESSURE ใน CONDENSOR แสดงถึงความสามารถในการถายเทพ
ลังงานใน STEAM ใหกับ LP TURBINE ยิ่ง PRESSURE ต่ําการถายเทยิ่งดีขึ้น นั้นหมายถึงสงเสริมประสิทธิ
ภาพใน TURBINE CYCLE เพราะงานที่เกิดขึ้นโดย LP TURBINE เปนสัดสวนกับ PRESSURE ที่ลดลง ถา
PRESSURE ยังคงสูงงานที่จะไปจาก STEAM ก็นอยตามไปดวยดังรูปที่ 30 CONDENSOR PRESSURE หรือ
เรียกอีกอยางหนึ่งวา TURBINE BACKPRESSURE นี้จะมากหรือนอยขึ้นอยูกับหลายปจจัย เชนอุณหภูมิและ
อัตราการไหลของ CIRCULATING WATER การรั่วของอากาศเขาสูภายใน CONDENSOR รวมถึงการทํางาน
ของ EXHAUSTER
2.7.1 - 17
CONDENSATE SUB-COOLING : การที่น้ํา CONDENSATE มีอุณหภูมิต่ํากวาจุด SATURATION
ใน CONDENSATE ที่เปนเชนนี้เพราะมีปญหากับ STEAM FLOW อาจเนื่องมาจากการรั่วของ CONDENSOR
หรือ BAFFLE ดาน STEAM ไมเหมาะสม ยิ่งอุณหภูมิน้ํา CONDENSATE ต่ํา การสูญเสียประสิทธิภาพและ
HEAT RATE ยิ่งมากขึ้น
FEEDWATER HEATING : การอุนน้ําเพื่อเพิ่มอุณหภูมิใหกับ FEEDWATER นอกจากเพิ่มประสิทธิ
ภาพให TURBINE CYCLE ยังเพิ่มประสิทธิภาพ BOILER ดวย ขบวนการเพิ่มอุณหภูมิของ FEEDWATER ใช
STEAM ที่แยกมาจาก TURBINE ถือเปนวิธีนําเอาความรอนแฝง (ที่ตองคายทิ้งให CIRCULATING WATER
ขณะกลั่นตัวเปนน้ําใน CONDENSOR มาประมาณ 970 BTU/ปอนด มาใชประโยชน ชวยใหสามารถลดการใช
เชื้อเพลิงลงไดระบบ FEEDWATER HEATING ของโรงไฟฟาพลังความรอนรวม สวนมากจะไมมี HEATER
เนื่องจากใช CONDENSATE PREHEATER ซึ่งเปนแผงทอแผงสุดทายซึ่งอยูใน HRSG สําหรับเพิ่มอุณหภูมิ
ของน้ําและกรณีที่อุณหภูมิไมเพียงพอจะมีการนํา STEAM จากระบบอื่นเพื่อชวยเพิ่มอุณหภูมิที่ DEAERATOR
ใหสูงขึ้น
FEEDPUMP EFFICIENCY โรงไฟฟาที่ใชความดันไอน้ําสูงๆ จะใชกําลังขับ BOILER FEED PUMP
ที่สูงตามไปดวย ถาประสิทธิภาพของ PUMP ลดลงทําให OVERALL UNIT EFFICIENCY ลดลงซึ่งมีหลาย
สาเหตุไดแก IMPELLER สึกหรอ, เกิดการเสียดสีที่ SHAFT, การปรับระยะตางๆ ไมเหมาะสม เปนตน
เอกสารอางอิง
1. เอกสารประกอบการบรรยายหลักสูตร ”MAINTENANCE AWARENESS TRAINING HEAT RATE
IMPROVEMENT” ฝายฝกอบรม, การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย.
2. C.JONES AND J.A. JACOBS III “ECONOMICS AND TECHNICAL CONSIDERATIONS FOR
COMBINED - CYCLE PERFORMANCE - ENHANCEMENT OPTIONS” GER-4200, 2000.
3. D.L. CHASE “COMBINED - CYCLE DEVELOPMENT EVOLUTION AND FUTURE” GER-4206,
2001.
4. D.L. CHASE AND P.T. KEHOE “GE COMBINED - CYCLE PRODUCT LINE AND
PERFORMANCE” GER-3574G, 2000.
5. F.J. BROOKS “GE GAS TURBINE PERFORMANCE CHARACTERISTICS” GER-3567H, 2000.
6. P. ALBERT “STEAM TURBINE THERMAL EVALUATION AND ASSESSMENT” GER-4190, 2000.
7. R.W. SMITH, P. POLUKORT, C.E. MASLAK, C.M. JONES, B.D. GARDINER “ADVANCED
TECHNOLOGY COMBINED CYCLES” GER-3936A, 2001.
2.7.1 - 18
คําถามทายบท สมรรถนะของโรงไฟฟาพลังความรอนรวม (COMBINED CYCLE POWER
PLANT PERFORMANCE)
2.7.1 - 19
2.8 Project Management
2.8.1 Project Management
2.8.1 - 1
การควบคุมความสูญเสียในโรงไฟฟา
การวางพื้นฐาน
ถาขาดพื้นฐานเสาเข็มของบานที่มั่นคง การรูหรือมีขอมูลจากการวิเคราะหวามีโอกาสจะเกิด
พื้นที่มั่นคงบนเสาเข็ม/คอคานดิน ความสูญเสียสามารถบงชี้ถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
ไดทั้งระบบ
การจัดการภายในบานทุก ๆ หอง การควบคุมขบวนการภายในของโรงไฟฟา ทั้งดาน
หองนอน หองรับแขก หองครัว หองน้ํา ใหบาน การปฏิบัติการ
อยูไดอยางมีความสุขและยั่งยืน - OPERATION ประสิทธิภาพและประสิทธิผล
- ดานฐานะดานการเงิน
- การปฏิบัติตามมาตรฐานตาง ๆ
การประเมินสถานภาพและการเขาพักอาศัยภายใน การประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นภายในการ
บานตลอดจนสุขอนามัย ประกอบธุรกิจ
การเฝาระวังดูแล
ทางเลือกในการดูแลบานพัก ทางเลือกการบริหารความสูญเสีย
- การทําประกันภัย 1) การจัดการเขาไปควบคุมดูแลกอนจะสูญเสีย
- การบํารุงรักษาประจํา/ตรวจสอบ (Treat)
- การซอมแซม 2) การยับยั้งมิใหเกิดความสูญเสีย (TERMINATE)
3) การยอมรับความเสี่ยงบางสวนที่จะเกิดขึ้นแต
ไมทําใหธุรกิจเสียหาย (TOLERATE)
4) การทําประกันภัยที่อาจจะเกิดขึ้น (TRANSFER)
2.8.1 - 2
การมีปฏิสัมพันธภายในบาน
- การพูดคุยพบปะกัน ดูแลกันและกันภายใน การมีขอมูลการใหขอมูลสื่อสารกันภายในใหเขาใจกัน
ครอบครัวอยางเอื้ออาทร เขาใจ หวงใยกัน ทั่วทั้งองคกรในเปาหมายและภาระกิจที่มีอยู โดยมีเปา
หมายเพื่อ INFORMATION & COMMUNICATION
สวนสําคัญ ที่ลืมไมได การพัฒนาระบบและการปรับการจัดการ การเฝาระวังดู
หลังคาบานและบานเลขที่ มีเลขที่ ที่อยูชัดเจน แลอยางตอเนื่องจากปจจัยสําคัญที่เปลี่ยนแปลงไปเชน
แมพื้นของบานจะดีอยางไรก็ตามถาบานนั้น คน เครื่องมือเครื่องจักร วัสดุ/เชื้อเพลิงที่ใชประกอบการ
หลังคารั่วก็อยูไมเปนสุข ผลิตและสิ่งแวดลอม รวมทั้งกฎหมายหรือนโยบายของ
รัฐที่เปลี่ยนไป การชี้ประเด็นสําคัญถึงวัตถุประสงคของ
การประกอบการโดยมีตัวเฝามองและติดตาม
(Improvement and alignment Objective/Monitor
Program)
การเปนมิตร
ในบานทั้งหลังจําเปนตองมีการมองดูบาน มองตัว การตรวจประเมินระบบตาง ๆ ที่วางไวและการพัฒนา
เราที่อยูในหมูบานทําประโยชนใหคนในบานและ ใหมใหสอดคลองเขากันได
สังคมอยูรวมเปนสุขกับบานอื่น ๆ
2.8.1 - 3
2.8.1 - 4
ทั้งโรงไฟฟา ปจจัยหลักที่เปลี่ยนแปลงไดมากแตเห็นยากบางครั้งเหมือนสวนใตกอนน้ําแข็ง
คือทรัพยากรบุคคล ทําอยางไร ? กับทรัพยากรที่มีคาเหลานี้จะรักษาและดูแลใหอยูอยางมีความสุข มี
ความรับผิดชอบ มีวินัย มีความคิดริเริ่ม ตองอาศัยกลยุทธนานัปการ กลยุทธหนึ่งที่จะนําเสนอ ความเปน Boss
ของผูนําในองคกร
Bright Organizing Strategic System
Boss ตองไมทําตัวเปน Loss
Low Organizing Strategic System
การใหความสําคัญของความเสี่ยง (RISK) และ Loss ที่จะเกิดขึ้นประมาณ 85% เกิดจากการจัดการของ
ระดับ Boss
แตถา Boss ขาดเปาหมาย GOAL ของตัวเอง คือ
การคนหาความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น (Identify Loss Exposure)
การประเมินสถานการณความเสี่ยงที่จะสูญเสีย Evaluate Risk
การพัฒนา/ควบคุมแผน เพื่อขจัด , รองรับ ความเสี่ยงการสูญเสียนั้น ๆ
การเขาไปปฏิบัติการตามแผนที่วางไวอยางรอบคอบและการทบทวนแผน
การควบคุมแผนที่ดีโดยมีตัวชี้วัดถึงความสําเร็จ คือ
ลด/ขจัด Loss ที่จะเกิดจาก Loss of People
Loss of Property
Loss of Process
Loss of Environment
มีเปาหมายแลวจะเขาไปควบคุมดูแลไดอยางไร ? จําเปนจะตองเจาะลึกไปที่รากหญา (Ground Root)
อยางจริงจัง
2.8.1 - 5
2.8.2 Safety / Loss
2.8.2-1
Loss Control Management in power Plant
โครงการธุรกิจเดินเครื่องและบํารุงรักษาประจําโรงไฟฟา จะนํามาตรฐานการดําเนินงานเพื่อควบ
คุมความสูญเสีย ซึ่งเนนที่ระบบการจัดการของ Loss Control Management มาพัฒนาปรับใช ซึ่งระบบนี้
จะทําใหสามารถวิเคราะหความเสี่ยงในการปฏิบัติงานอยางมีหลักเกณฑและสามารถชี้ชัดขอบเขตของศักยภาพ
แหงความสูญเสีย ตลอดจนผูบริหารสามารถที่จะปรับระบบการบริหารการดําเนินงานใหเหมาะสมกับสภาพพื้น
ที่ไดอยางตอเนื่องตลอดเวลา
ตามสัญญาปฏิบัติการเดินเครื่องและบํารุงรักษา (OMA) กับโรงไฟฟา ในฐานะ (Owner) เปนหนวย
งานที่ตองดําเนินงานในฐานะผูใหบริการ (Operator) สิ่งจําเปนที่จะตองทําคือ สรางวัฒนธรรมในการปรับ
ปรุงกิจกรรมในการปฏิบัติงานอยางตอเนื่อง โดยอาศัยการมีสวนรวมของผูปฏิบัติงานทุกระดับในการปรับ
ปรุงกระบวนการ
เพื่อสนองวิสัยทัศน “เปนผูใหบริการชั้นนําภายใตความพึงพอใจของลูกคา ดานเดินเครื่อง บํารุง
รักษา และบริหารโรงไฟฟาภายในประเทศ มุงเนนคุณภาพของงานในระดับสากล ทั้งดานความปลอดภัย
และการรักษาสิ่งแวดลอม เพื่อสรางความเชื่อถือและความมั่นใจแกผูรับบริการ
ดังนั้นผูบริหารระดับผูนําจึงใหความสนใจ เรื่องการปองกันและควบคุมความสูญเสีย ซึ่งจะยัง
ประโยชนใหกับธุรกิจสามารถดํารงคอยูชั้นแนวหนาในการใหบริการและสรางความพึงพอใจใหกับลูกคา
ประทับใจตลอดไป
การบริหารงานปองกันและควบคุมความสูญเสียอันจะสงผลใหเกิดการขจัดความสูณเสียดานบุคคลากร
ทรัพยสิน และขบวนการผลิตออกไป โดยหลักการกําหนดวิธีการปองกันคนหาที่มูลเหตุของความสูญเสียแลว
จัดขบวนการที่ปองกันเปนระบบ เพื่อลดความเสี่ยงของความสูญเสียที่เกิดขึ้น แตถามีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
ไดก็ประเมินสถานการณความพรอมที่จะขจัดใหพนออกไป โดยมีผลกระทบตอกิจการนอยที่สุด
ระบบปองกันและควบคุมความสูญเสีย จําเปนตอง “พัฒนาแผนรองรับ” ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดและคน
พบ แลวชี้ชัดถึงความเสี่ยงภัยที่จะเผชิญ ประเมินความเสี่ยงภัยที่จะมีโอกาสเกิดขึ้นได โดยอาศัยหลักการหลีก
เลี่ยงหรือขจัดออก การควบคุมใหอยูในกรอบมาตรฐาน ถาผลการประเมินความเสี่ยงจําเปนจะตองสิ้นเปลือง
คาใชจายมาก ไมคุมกับธุรกิจที่จะลงทุน ตอไปอาจจะโอนความเสี่ยงไปประกันภัย หรืออาจจะยอมรับความ
เสี่ยงนั้น ถาสามารถยอมรับได
ระบบการปองกันและควบคุมความสูญเสียมีองคประกอบที่เปนมาตรฐาน ที่สามารถนํามาปฏิบัติได
ประมาณ 20 องคประกอบ ซึ่งประกอบดวยระบบปองกันถึง 80% สวนที่เหลือจะเปนการแกไขในสิ่งที่เกิดขึ้น
2.8.2-2
ขั้นตอนการบริหารการปองกัน ควบคุมความสูญเสีย
1. การปองกันกอนที่จะเกิดความสูญเสีย
2. การดําเนินการแกไขและควบคุมขณะเกิดเหตุการณสูญเสีย
3. การแกไขภายหลังที่เกิดความสูญเสียขึ้นแลว
การปองกันควบคุมความสูญเสียที่เกิดขึ้น สามารถดําเนินการไดโดยอํานาจของการบริหารงานมากถึง
85% ดังนั้นความสําเร็จรุงเรืองของกิจการ หรือธุรกิจจึงตกอยูในมือของ ผูบริหารในการปองกันความสูญเสียมิ
ใหเกิดขึ้น
แหลงที่เปนตนตอทําใหเกิดความสูญเสียขึ้นกับ คน ทรัพยสิน ขบวนการผลิตนั้นก็คือ คน เครื่องจักร
อุปกรณ วัสดุที่ใชประกอบการ และสภาพแวดลอมนั้น ๆ จึงจําเปนอยางยิ่งที่ผูบริหารตอง “จับประเด็น” ใหได
วาอะไรคือสาเหตุหลักที่ทําใหเกิดความสูญเสียแลวตั้ง “มาตรฐาน” “ควบคุม” “ตรวจวัด” “ประเมินผล” ใหเปน
ไปตามมาตรฐานถาไมตรงมาตรฐาน ก็สั่ง “การแกไขปรับปรุง” ใหตรงประเด็น
หัวใจสําคัญของการบริหารอาจจะตองมีจุดเสริมเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะแขงขันกับธุรกิจอื่นได คือการแขง
ขันกันที่ตนทุน และการรูคุณภาพที่เหมาะสมกับความตองการของลูกคาในราคาที่พึงพอใจของลูกคา
ดังนั้นความเสี่ยงของธุรกิจ จึงตั้งอยูบนฐานของการคนหาประเด็นของความสูญเสียในธุรกิจนั้น แลว
พิจารณาวาจะตองลงทุนเพิ่มเพื่อขจัดความเสี่ยงนั้น ๆ ออกไป เชน การกําจัดความเสี่ยงนั้นออกไปใหหมดเลย
หรือโดยการยอมรับความเสี่ยงไวระดับหนึ่งหรือโดยการประกันภัย หรือใชหลักการปองกันควบคุมความเสี่ยง
นั้นๆ ก็ขึ้นอยูกับเงินที่เปนปจจัยที่จะใสเขาไป ซึ่งจะกระทบถึงตนทุนทั้งนั้น
การพิจารณาความจริงที่เกิดขึ้นในภารกิจควรจะมีหลักพื้นฐานทางความคิด ดังนี้
ความบกพรองในระบบการจัดการเปนสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุ และความสูญเสียมิใช
เกิด จากความสะเพราของผูปฏิบัติงาน
นอกเหนือจากอุบัติเหตุ และความสูญเสียแลว ยังมีผลตอสุขภาพ และการผลิตอีกดวย
พฤติกรรมที่ไมพึงประสงค / ความบกพรองของระบบการจัดการสามารถแกไข และทําใหถูก
ตองไดอยางเปนระบบ
การออกแบบและระบบการประเมินผลที่ดีจะคนหา หรือบงบอกอุบัติเหตุ / ความสูญเสียได
ยิ่งมีความเสี่ยงภัยมากเพียงใด องคกรยิ่งจะตองมีการจัดการเปนระบบมากขึ้น
(THE MORE ADVANCED TECHNOLOGY THE MORE SAFETY DEVELOPMENT)
การควบคุมอุบัติเหตุควรผสมผสานกับการจัดการดานอื่น ๆ ไมควรแบงแยกโดยลําพัง
การควบคุมอุบัติเหตุและความสูญเสียควรจะผสมผสานกับกิจกรรมดานการจัดการอื่น ๆ ไม
ควรที่จะแบงแยกโดยลําพัง
การประเมินผลเชิงปริมาณของการจัดการดีกวาใชสถิติอุบัติเหตุแตเพียงอยางเดียว
การควบคุมอุบัติเหตุเปนหนทางหลักในการลดคาใชจาย
2.8.2-3
1. ลักษณะตัวอยางธุรกิจผลิตไฟฟาที่ใชน้ํามันเตาและแกส ซึ่งมีความเสี่ยงสูง
โรงไฟฟา ประกอบดวย โรงไฟฟาพลังความรอน และ โรงไฟฟาพลังความรอนรวม
โดยมีกระบวนการทํางานจากการแปรรูปของพลังงานเชื้อเพลิง (ซึ่งมีแกสธรรมชาติเปนเชื้อ
เพลิงหลัก น้ํามันเตาและน้ํามันดีเซลเปนเชื้อเพลิงสํารอง) เปนพลังงานความรอน ในรูปของไอน้ําความดันสูง
เปลี่ยนเปนพลังงานกลโดยเครื่องกังหันไอน้ําเปนเครื่องตันกําลังหมุนเครื่องกําเนิดไฟฟาเปนพลังงานไฟฟาในที่
สุด
EXAMPLE RISK
2.8.2-4
จากตัวอยางประเด็นความเสี่ยง ถาควบคุม กําจัดไมไดก็จะประสบกับความสูญเสียได ตัวอยางเชน
การบาดเจ็บ การตายของบุคลากร การเสียหายเกิดอัคคีภัยของทรัพยสิน การเกิดการชะงักงันหยุดขบวนการ
ผลิต และกอใหเกิดการทําลายสิ่งแวดลอม
ประเด็นดังกลาวสามารถปองกันควบคุมใหเกิดนอยลงได ถาผูบริหารของกิจการนั้นเขาใจวา ความเสี่ยง
เปนปจจัยหลักที่จะตองจัดการเปนประเด็นแรก ๆ ที่ใหความสําคัญเปนพิเศษ รวมทั้งทีมงานทั้งหมดตองมีความ
รูความเขาใจและสนใจ ถาเริ่มไดดังนี้ก็จะเกิดความมั่นคงและแขงขันไดทั้งตนทุนและไดชื่อเสียง (BRAND)
ตลอดไป
2. ระบบการบริหารงานความสูญเสีย
เปนพัฒนาการ รูปแบบการบริหารงานควบคุมความสูญเสียอยางเปนระบบ ที่มี
การกําหนด
เปาหมายอยางชัดเจน มีมาตรฐาน และระบบประเมินวัดผลที่เชื่อถือไดยอมรับเปนสากล
คุณลักษณะ 4 ประการ
1. แนวคิดการบริหารงาน (Management Concept)
2. ระบบขอมูล (Management Information System)
3. มาตรฐานการปฏิบัติงาน (Performance Standard)
4. ระบบการประเมินวัดผล (Measurement and Evaluation System)
2.1 แนวคิดการบริหาร (Management Concept) นําแนวคิดและปรัชญาการบริหารงานความ
ปลอดภัยสมัยใหมมาใชโดย
เนนในเรื่องของระบบการบริหารงาน โดยเฉพาะบทบาทของผูบริหารระดับสูง ซึ่งเปนหัว
ใจสําคัญของระบบนี้
ใชระบบการบริหารงานในการควบคุมอุบัติเหตุและความสูญเสียเปนหลัก (อุบัติเหตุ และ
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นโดยสวนใหญ สามารถควบคุมไดโดยการจัดการ)
เนนกลยุทธการปองกัน (Input activities) โดยดําเนินกิจกรรมที่สงผลใหมีการปองกันและ
ควบคุมที่ดีอยางเพียงพอ มากกวาที่จะมุงเนนที่การแกไข (Output activities) โดยมองสถิติอุบัติเหตุแตเพียงอยาง
เดียว
คนหาและจัดลําดับความวิกฤตของปญหา ความรุนแรงวาจะตองดําเนินการในเรื่องใด
กอน
จัดความสัมพันธของการจัดการดานตาง ๆ เพื่อสงผลใหมีการปองกัน และควบคุมอุบัติ
เหตุ และความสูญเสียอยางมีประสิทธิภาพ
การควบคุมความสูญเสีย (Loss Control) เปนสวนหนึ่งของการจัดการรวม (Total
Management) แตก็เปนสวนที่สําคัญ
2.8.2-5
2.2 ระบบขอมูล (Management Information System) จําเปนอยางยิ่งตอการบริหารงานและผู
บริหารที่จะใชขอมูลในการวางแผนงาน กําหนดนโยบาย และการตัดสินใจ ขอมูลที่เก็บจะตองเปนขอมูลที่
สําคัญและจําเปนตอการบริหารงานและการปฏิบัติงานมีระบบการจัดเก็บที่ดี สามารถคนหาไดงาย ปองกันการ
สูญหาย และมีขอมูลที่เพียงพอตอการวิเคราะห และการตัดสินใจ ตลอดจนการดําเนินงานดานตาง ๆ ได
2.3 มาตรฐานการปฏิบัติงาน (Performance Standard) ระบบการบริหารความสูญเสียให
ความสําคัญตอมาตรฐานการปฏิบัติงาน กิจกรรมหรืองานที่ปฏิบัติ จะตองมีขั้นตอนการปฏิบัติ กําหนดมาตรฐาน
และควบคุมใหเปนไปตามมาตรฐานมีการพัฒนาระบบมาตรฐานใหสูงขึ้นจนเขาสูระดับสากล และควบคูไปกับ
การพัฒนามาตรฐานสากลที่เปลี่ยนไป
2.4 ระบบการประเมินวัดผล (Measurement and Evaluation System) ระบบนี้มุงเนน
มาตรฐานที่สามารถวัดได ใชเปนดัชนีชี้วัดได ตรวจสอบและประเมินผลไดวากิจกรรม หรือโปรแกรมที่ปฏิบัติ
ไดผลตามมาตรฐานหรือต่ํากวามาตรฐานและจะปฏิบัติใหไดมาตรฐานอยางไร โดยผูประเมินวัดผลที่เชี่ยวชาญ
ภายนอกองคกรและรับรองจากสถาบันที่เชื่อถือได การประเมินผลจะคิดเปนคะแนนเปอรเซ็นต และแปลผลเปน
สูงสุด 10 ระดับ
2. การบริหารเพื่อควบคุมความสูญเสีย ในธุรกิจเดินเครื่องและบํารุงรักษาโรงไฟฟา
ประเด็นแรกในการดําเนินการ คงมุงไปที่ทีมงานผูบริหาร ไดพัฒนาแผนงานดวยความรู ความ
สามารถและประสบการณในการวิเคราะหสภาพปญหาและประเมินความเสี่ยงอยางมืออาชีพแสดงบทบาทและ
ภาวะผูนํา สรางความเขาใจในแนวคิดการเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานกับผูปฏิบัติงาน
โดยเนนในเรื่องการรวมคิดรวมทํามากกวา เพราะความรูสึกที่ถูกบังคับใหทําจะไมยั่งยืน มันตองเกิดจาก
กระบวนการขั้นตน คืออยากจะคิด อยากจะทํากอน แตในทางปฏิบัติจริง ๆ กวาจะถึงขั้นอยากจะ
คิด อยากจะทํา ก็ตองเริ่มจากวิธีการกึ่งบังคับ โดยใชเปาหมายกึ่งบังคับใหทุกคนไดไปคิด หลังจากนั้นก็ใช
วิธีไปคุย ไปทําการตรวจเยี่ยมใหมากขึ้น เพราะทุกระบบเมื่อเริ่มดําเนินการคนจะเกร็งกันมาก เครียดกับเปา
หมายในการดําเนินกิจกรรม ถาทําไมไดคงแยแนอะไรทํานองนั้น ดังนั้นการที่ผูบริหารลงไปเยี่ยมก็พยายามทํา
ใหเปนเรื่องเบา ๆ คอยสงเสริมใหกําลังใจ ทําใหทุกคนเขาใจไดวาเปาหมายทุกเปาหมายเปนกุศโลบายให
พนักงานทุก ๆ คนไดไปคิด ยิ่งคิดมาก ๆ ยิ่งดี เราจะไดรูวาไดประโยชนอะไรบาง ยกตัวอยางเชน เมื่อกอนเขาตัก
อาหารใหหมูกิน ตอไปคิดรถเข็นเพื่อตักอาหาร ทําใหเวลาในการตักอาหารลดลง อาหารก็สดใหมมากขึ้น หมู
กินไดมากขึ้น ออกลูกมากขึ้น ผลประโยชนมันตอเนื่องกัน คิดอยางเปนระบบ และตองยอมรับวา เปาหมาย
เปนสวนหนึ่งของการสื่อความ ใหเราทุกคนมีจุดหมายตรงกัน
2.8.2-6
3. การปฏิบัติและการประยุกต
การบริหารงานเพื่อควบคุมความสูญเสีย หลักการคือ การกระจายอํานาจ ตามบทบาทหนาที่
ถือเปนสวนสําคัญในการบริหารจัดการโดยมุงเนน เพื่อใหบรรลุเปาหมายการทํางานในแตละระดับ ตั้งแต
กระบวนการรับวัตถุดิบไปจนถึงกระบวนการผลิตกระแสไฟฟา ไดควบคุมผานระบบประกันคุณภาพ ISO
9001:2000 และในแตละขั้นตอนการผลิตสามารถควบคุมความสูญเสีย โดยมีมาตรการทํางาน หากเกิดผลที่
เบี่ยงเบนก็มีแนวทางการแกไข ซึ่งการควบคุมในแตละขั้นตอนทําใหสามารถระบุปญหาที่เกิดขึ้นไดทันที
ภายใตระบบการบริหารจัดการเพื่อควบคุมความสูญเสีย มีกิจกรรมตาง ๆ มากมายในแตละ
ระดับ โดยอาศัยกิจกรรมยอยตางๆ เขามากํากับดูแล เชน มีระบบการตรวจสอบทั่วไป การตรวจสอบตาม
วาระ การตรวจสอบเชิงปองกัน เพื่อปองกันขอผิดพลาดและยังมีระบบควบคุมกระบวนการผลิต Distributed
Control System (DCS) ที่มีประสิทธิภาพและสามารถตอบสนองอยางรวดเร็ว เพื่อใหมั่นใจไดวาเราสามารถ
เดินเครื่องและบํารุงรักษาอยางมีคุณภาพ นอกจากนี้ ระบบควบคุม (DCS) ยังมีคุณสมบัติอื่น อาทิ มี
สัญญาณเตือนหลายระดับ ตามความสําคัญมีระบบแสดงผลยอนหลังในรูปกราฟ เสียงเตือนอัตโนมัติ คําแนะ
นําในการแกปญหาและระบบปองกันขอผิดพลาด (Interlock) ระบบตาง ๆ เหลานี้ทํางานรวมกันกับบุคลากร
เพื่อใหมั่นใจไดวากระบวนการผลิตทํางานบรรลุเปาหมาย ไดอยางมี ประสิทธิภาพ
สําหรับประสิทธิภาพในการทํางาน พนักงานเนนระบบการติดตามงาน โดยระดับแผนกแบง
ยอยเปนทีมยอย โดยเนนการกํากับ Critical Process จากกระบวนการ Task Analysis ทําใหมั่นใจวา
สามารถควบคุมความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นทั้งคน, ทรัพยสินและขบวนการผลิตได และหากเกิดปญหาก็สามารถ
แกไขไดอยางมีคุณภาพ ประสิทธิภาพสามารถดูไดจากความสามารถในความพรอมจายกระแสไฟฟา, ขอรอง
เรียนของลูกคา, แนวทางการปองกันปญหาที่เกิดซ้ํา
นอกจากนี้ ทีมงานปฏิบัติการควรนําเอาระบบ Balance Score Card เขามาใชเปนตัว
ประเมินผลการดําเนินกิจกรรม ผลการดําเนินกิจกรรมของกลุมกิจกรรมยอย จะทําการทบทวนในระดับแผนก และ
ทําการทบทวนทางเทคนิคในการประชุมองคกรการเรียนรู และทบทวนการบริหารจัดการในการประชุมระดับผู
บริหารประจําทุกเดือน
ผูบริหาร เนนการเพิ่มประสิทธิภาพของการบริหารเพื่อควบคุมความสูญเสียโดย
เพิ่มการมอบหมายและการกระจายอํานาจใหแกหัวหนางาน ใชหลักการประเมินความเสี่ยงทบ
ทวนปญหาในการปฏิบัติงานทุกครั้ง เพื่อควบคุมและปองกันกอนลงมือปฏิบัติงาน
ใหพนักงานทุกระดับมีสวนรวมในการทบทวนกิจกรรมกลุม โดยเนนการทํากิจกรรมยอยเพื่อแก
ไขปญหาหนางาน เชน กิจกรรม Suggestion, กิจกรรม QCC, กิจกรรม 5 ส. เปนตน
วิเคราะหงานโดยใชหลัก Task Analysis โดยใหผูปฏิบัติงานระดับปฏิบัติการมีสวนรวมในการ
กําหนดมาตรฐานการทํางานและนําเขาสูการใชงาน ทบทวนและปรับปรุงอยางตอเนื่อง
2.8.2-7
กําหนดใหมี Specific Audit เพื่อติดตามจุดที่เกิดปญหาใหไดรับการควบคุมดูแลอยางตอ
เนื่อง
การใชขอมูลจริงในการวิเคราะหหาสาเหตุที่แทจริงและแนวโนมของปญหาและกําหนดแนวทาง
แกไขและควบคุมความสูญเสียรวมกัน การบริหารงานเพื่อควบคุมความสูญเสียมีความจําเปนอยางยิ่งที่จะตอง
ใหพนักงานทุกคนเขาใจถึงการจัดทํามาตรฐาน การตระหนักถึงความสําคัญในการจัดทํามาตรฐานในทุกขั้น
ตอน ตั้งแตการจัดเตรียม, การลงมือปฏิบัติ, จนถึงการใหบริการ ตลอดจนการดําเนินการกับสภาวะฉุกเฉินและ
มาตรฐานปฏิบัติการตองไดรับการปฏิบัติตาม เพื่อใหคุณภาพการควบคุมความสูญเสียเปนที่ยอมรับ ให
ความรูกับพนักงานใหสามารถใชมาตรฐานอยางถูกตองแมนยํา สังเกตการทํางานเพื่อตรวจสอบสภาวะ
การใชมาตรฐาน เพื่อการพัฒนาอยางตอเนื่อง
5. แนวทางการปฏิบัติในการปองกันแกไขและควบคุมความสูญเสีย
พิจารณาใน 3 สวน คือกิจกรรมปองกันกอนเกิดเหตุ กิจกรรมขณะเกิดเหตุและกิจกรรมแกไข
หลังเกิดเหตุ
1. กิจกรรมปองกันกอนเกิดเหตุ ประกอบดวย การวิเคราะหงานเพื่อความปลอดภัย, การ
ประเมินความเสี่ยง, การตรวจสอบความปลอดภัยและ Specific Audit, การสังเกตการทํางาน, การประชุมกลุม
, กิจกรรม QCC, กิจกรรมขอเสนอแนะ, กิจกรรม 5 ส., การฝกอบรมผูบริหาร/ พนักงาน, การตรวจทางสุข
ศาสตรอุตสาหกรรม, การสงเสริมสุขภาพการทํางาน, การปฐมนิเทศงาน,
การออกกฎความปลอดภัย, การประเมินผลกิจกรรม, การควบคุมวิศวกรรม, การจัดซื้อจัดจาง, การประชุมกลุม/
หนวยงาน การสงเสริมกิจกรรมเพื่อสรางแรงจูงใจ, การปองกันอุบัติเหตุ เปนตน
2. กิจกรรมขณะเกิดเหตุ ประกอบดวย
อุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล, การปฐมพยาบาลผูบาดเจ็บ, การระงับและตอบ
สนองภาวะฉุกเฉิน เปนตน
3. กิจกรรมหลังเกิดเหตุ ประกอบดวย
การสอบสวนอุบัติเหตุ, การวิเคราะหอุบัติเหตุ เปนตน
ในทุกปไดจัดใหมีการประเมินผลการปฏิบัติงาน เพื่อควบคุมความสูญเสียโดยพิจารณาใน
เรื่องของการบริหารจัดการ ลงสูวิธีการทํางานในแตละกระบวนการ โดยประเมินทุกระดับของผูทํางาน เพื่อ
ใหมั่นใจไดวาจะไมเกิดความสูญเสียและมีความเสี่ยงนอยในการดําเนินงานของงาน รวมทั้งทรัพยสินและ
กระบวนการผลิตไดอยางตอเนื่องเปนไปตามเปาหมายที่คาดหวัง
2.8.2-8
ทําอยางไร ? จึงจะรูความจริงของ Risk/Loss ก็ตองลงไปดูที่หนางานเยี่ยมเยียนรับฟงมากกวาสั่งการ
กลับมา ทบทวนปญหาอุปสรรค/ความเสี่ยงแลวกําหนดมาตรฐานการปฏิบัติ ซึ่งพอสรุปได ดังนี้
1. การเขาไปวิเคราะหงานจากขอมูลที่เกิดความสูญเสียหรือมีความเสี่ยงทั้ง Operating/Financial และ
การปฏิบัติการตามขอกําหนดตาง ๆ (Identify Work)
2. การกําหนดมาตรฐาน มาตรการ ควบคุมเหตุ หรือการจัดการในงานหรือลักษณะงานที่จะเสี่ยง/สูญ
เสียขึ้นอีก (Standard Set)
3. การเขาไปตรวจสอบตรวจวัดการกระทําตามมาตรฐานที่เกิดขึ้น ซึ่งขอนี้จําเปนอยางยิ่ง มักจะพบ
ปญหาวามีกฎกติกา มาตรฐานแตไมปฏิบัติตาม พอเกิดเรื่องขึ้นแลวไมทบทวน เรื่องที่เกิดขึ้นก็จะเปนความเสี่ยง
ที่รายแรงและจะเกิดซ้ําไดอีก (Measurement)
4. กระบวนการหลังจากตรวจสอบ คือ การประเมินวัดผลของผลการควบคุมการจัดการ แลวมีผล
ลัพธเปนอยางไร แลวกลับมาทวนซ้ําเพื่อพัฒนามาตรฐานและการปฏิบัติตามมาตรฐาน (Evaluating)
5. ธรรมชาติของมนุษยการใหกําลังใจยกยองชมเชยตอกัน ถามีขอควรปรับปรุงก็ชี้แนะปรับปรุงใหดียิ่ง
ขึ้น (Commendation & Correction)
ทั้งหมดนี้เปนเครื่องมือของผูบริหารที่สําคัญอยางยิ่ง นอกเหนือจากหนาที่ประจําปกติ คือ การวางแผน
งานประจํา การจัดองคกรรองรับภารกิจ การสั่งการ การกํากับดูแล และการควบคุมในเนื้องาน
2.8.2-9
2.8.3 Finance
2.8.3 - 1
การบริหารการเงิน (Financial Management)
1. แหลงเงินทุน
1.1 กําหนดจํานวนเงินที่เหมาะสม
1.2 การจัดสรรเงินทุน
1.3 การจัดหาเงินทุน
2. งบประมาณ
2.1 ความสําคัญตอการบริหารจัดการ
2.2 วัตถุประสงคทางการงบประมาณ
2.3 ประโยชนของการงบประมาณ
2.4 โครงสรางและการจัดทํางบประมาณ
3. การบัญชี
3.1 วัตถุประสงคของการทําบัญชี
3.2 ประโยชนของการทําบัญชี
3.3 ขอสมมุติขั้นมูลฐานของการบัญชี
4. รายงานการบัญชี
4.1 งบการเงิน
4.2 การเสนอรายงาน
5. การวิเคราะหผลการดําเนินงาน
5.1 ประโยชนจากการวิเคราะหงบการเงิน
5.2 ขอพึงระวังในการอานงบการเงิน
5.3 ขอจํากัดในการวิเคราะหงบการเงิน
5.4 รูปแบบและขั้นตอนในการวิเคราะหงบการเงิน
2.8.3 - 2
การบริหารการเงิน (Financial management) :
การบริหารการเงินของโรงไฟฟาประกอบดวย
1. แหลงเงินทุน คือ การจัดหาเงินทุนมาใชในการดําเนินงาน
2. การวางแผนการใชเงิน คือ การตั้งงบประมาณประจําป
3. การเก็บรวบรวมขอมูลในการดําเนินงาน คือ การจัดทําบัญชี
4. การรายงานผลการดําเนินงาน คือ การรายงานเปนรูปงบการเงิน และรายงานเพื่อการบริหารเปนการ
ควบคุมติดตามการดําเนินงาน
5. การวิเคราะหผลการดําเนินงาน คือ การวิเคราะหงบการเงินเพื่อใหทราบสถานะของกิจการวา จุดใดเปน
จุดออน และจุดใดเปนจุดแข็ง เพื่อประโยชนในการวางแผนการบริหารใหมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
1. แหลงเงินทุน
การบริหารเงินทุน พิจารณาจากปจจัยตาง ๆ ดังนี้
1.1 กําหนดจํานวนเงินที่เหมาะสมสําหรับใชในธุรกิจ
- จากการวางแผนและควบคุมการใชเงินทุน การคาดคะเนการเคลื่อนไหวของเงินสด (Cash
Flow) เพื่อดูวามีสาเหตุอะไรบางที่จะเปนผลกระทบกระเทือนตอฐานะการเงินของกิจการ
มีสภาพคลอง (Liquidity) เพียงพอที่จะสามารถชําระหนี้เมื่อครบกําหนด
1.2 การจัดหาเงินทุน
แหลงที่มาของเงินทุนธุรกิจ เชน การกูยืม , การออกขายหุน หรือตราสารทางการเงินอื่น ๆ
โดยจะตองพิจารณาถึงความยากงายในการจัดหา ,ระยะเวลาครบกําหนด และภาระผูกพัน เพื่อใหไดสวนผสม
ทางการเงินที่ดีที่สุด
1.3 การจัดสรรเงินทุน
ธุรกิจเงินลงทุนจะไปลงทุนใหสอดคลองกับเปาหมายของการเงินธุรกิจ การใชเงินลงทุนแบง
ได 2 ประเภท ดังนี้
1. การลงทุนในสินทรัพยหมุนเวียน ซึ่งไดแก เงินสด หลักทรัพยลงทุนชั่วคราว ลูกหนี้จากการ
บริหาร สินทรัพย เหลานี้ ใหมีประสิทธิภาพ กอใหเกิดผลกําไรตอธุรกิจและสามารถรักษาสภาพคลอง
2. การลงทุนในสินทรัพยถาวร เปนการลงทุนในโครงการตางๆ ที่คาดวาจะใหผลตอบแทนใน
อนาคต และความเสี่ยง (Risk) ในทางธุรกิจ
2.8.3 - 3
2. งบประมาณ
การงบประมาณ หมายถึง ระบบการวางแผนที่เปนตัวเลขเกี่ยวกับการดําเนินธุรกิจขององคการธุรกิจใด
ธุรกิจหนึ่ง ที่จะเกิดขึ้นภายในระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่งในอนาคต การงบประมาณนี้จะครอบคลุมไปถึงการ
จัดทํางบประมาณและการควบคุมโดยงบประมาณดวย
2.1 ความสําคัญตอการบริหารจัดการ
งบประมาณนับเปนสวนหนึ่งของการวางแผนที่ดีขององคการธุรกิจ ในอันที่จะนํานโยบายใน
การดําเนินงานที่กําหนดไวในแผนพื้นฐาน แผนโครงการ และแผนระยะยาวไปสูการปฏิบัติ โดยจัดทําเปนแผน
ระยะสั้นหรืองบประมาณประจําปขึ้น
นอกจากนี้ งบประมาณยังเปนสวนหนึ่งของการควบคุมการดําเนินงานขององคการธุรกิจ กลาว
คือ การควบคุมโดยงบประมาณ จะชวยติดตามและประเมินผลการปฏิบัติการของทุกหนวยขององคการใหมี
ประสิทธิภาพเปนไปตามมาตรฐานที่กําหนดไวในงบประมาณ อันจะนําไปสูเปาหมายขององคการที่วางไว ดัง
นั้นการงบประมาณจึงมีความสําคัญยิ่งตอการบริหารจัดการธุรกิจ
2.2 วัตถุประสงคของการงบประมาณที่สําคัญดังนี้
1. ชวยในการวางแผน
2. ชวยในการประสานงานและกอใหเกิดความรวมมือ
3. ชวยในการแบงสรรทรัพยากร
4. ชวยในการควบคุมการดําเนินงาน
5. ชวยในการประเมินผลการปฏิบัติงานและกอใหเกิดแรงจูงใจในการทํางาน
2.3 ประโยชนของการงบประมาณ
1. ชวยทําใหองคการธุรกิจจะตองจัดใหมีโครงสรางองคการที่ดี
2. ชวยทําใหเปาหมายของบุคคล เปาหมายขององคการผสมผสานเปนอันหนึ่งอัน
เดียวกัน
3. ชวยทําใหฝายบริหารตองการวางแผนการใชทรัพยากรตาง ๆ รวมทั้งเงินทุน
อยางมีประสิทธิภาพ
2.4 โครงสรางและการจัดทํางบประมาณ
ระบบงบประมาณเปนสวนหนึ่งของระบบ การวางแผนรวมขององคกรธุรกิจ ซึ่งประกอบดวย
แผนงานตาง ๆ หลายชนิดที่มีความตอเนื่อง และสนับสนุนซึ่งกันและกัน แบงเปน 2 ประเภทใหญ ๆ คืองบ
ประมาณดําเนินการ และงบประมาณการเงิน
2.8.3 - 4
- งบประมาณดําเนินการ เปนงบประมาณที่เกี่ยวของกับการดําเนินงานขององคกรซึ่งไดแก งบ
ประมาณเกี่ยวกับรายไดและคาใชจาย ซึ่งแสดงผลการดําเนินงาน หรือกําไรขาดทุนขององคการในชวงระยะ
เวลาหนึ่ง ประกอบดวยงบประมาณยอยดังนี้ งบประมาณขาย, งบประมาณคาใชจายในการผลิต, งบประมาณคา
ใชจายดานบุคคลและสวัสดิการ, งบประมาณวัสดุสิ้นเปลือง ฯลฯ
- งบประมาณการเงิน แสดงถึงการวางแผนทางการเงินขององคกรในชวงระยะเวลาใด เวลาหนึ่ง
ประกอบดวย งบประมาณฐานะการเงิน ประกอบดวยงบประมาณยอย เชน งบประมาณกระแสเงินสด และ
กระแสทุนทําการ, การลงทุนประจําป ฯลฯ
- การจัดทํางบประมาณ ผูบริหารจําเปนตองสรางพื้นฐานและเตรียมความพรอมขององคการธุรกิจให
เพียงพอ รวมทั้งจัดขั้นตอนในการจัดทํางบประมาณอยางมีประสิทธิภาพ
- ขั้นตอนในการจัดทํางบประมาณ มีดังนี้
- การประเมินสภาวะแวดลอมขององคกรธุรกิจ
- การกําหนดวัตถุประสงคขององคกรธุรกิจ
- การกําหนดเปาหมายขององคกรธุรกิจ
- การกําหนดนโยบายในการดําเนินงาน
- การกําหนดสมมุติฐานในการวางแผนเพื่อจัดทําเปนแนวทางในการทํางบประมาณ
- การติดตามผลการปฏิบัติงาน เมื่อมีรายการเกิดขึ้นจริงในชวงระยะเวลาของงวด
งบประมาณนั้น ก็จะนําตัวเลขจริงกับตัวเลขโดยประมาณมาเปรียบเทียบกันเพื่อหาขอบกพรองในการดําเนินงาน
2.8.3 - 5
3. การบัญชี
การบัญชี คือ การจดบันทึกเรื่องราวตาง ๆ เกี่ยวกับการเงินหรือสิ่งของที่กําหนดมูลคาเปนเงินไวเปน
หลักฐาน โดยจัดแยกไวเปนประเภทตาง ๆ เพื่อใหเพียงพองายอันเปนประโยชนตอการดําเนินงานนั้น ๆ
3.1 วัตถุประสงคของการทําบัญชี
1. เพื่อบันทึกหลักฐานตาง ๆ ของธุรกิจนั้น ๆ ใหเปนระเบียบเพื่อจะไดดูหรือตรวจสอบไดงายขึ้น
2. เพื่อจะไดทราบผลของการดําเนินงานวามีกําไรหรือขาดทุนจากการดําเนินงานเปนจํานวนเทาใด
3. เพื่อทราบฐานะการเงินของกิจการวามีสินทรัพย หนี้สิน และเงินทุนเปนจํานวนเทาใด
4. เพื่อใหถูกตองตามพระราชบัญญัติการบัญชีตามที่กําหนดไวแตละกิจการ
3.2 ประโยชนของการทําบัญชี
1. เปนหลักฐานประกอบการดําเนินกิจการ เพื่อแสดงใหทราบวาผลของการดําเนินงานที่แลว ๆ มีขอบก
พรองและผิดพลาดอะไรบางหรือมีผลดีหรือผลเสียอยางไรบางซึ่งการทําบัญชีนี้ชวยเปนหลักฐานใน
การอางอิงไดอยางดี
2. เปนหลักฐานในการตรวจสอบตัวเงินสดกับยอดบัญชีวาถูกตองหรือพลาดอยางไร
3. เปนสถิติชวยในการบริหาร การควบคุม การจัดทํางบประมาณ
4. เปนหลักฐานในการบริหารงาน เพื่อปองกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นอีก
5. ชวยในการคํานวณผลของการดําเนินงานวามีกําไรหรือขาดทุนอยางไร
6. ชวยใหทราบฐานะการเงินของกิจการวามีสินทรัพย หนี้สิน และเงินทุนในขณะใดขณะหนึ่งเปนจํานวน
เทาใด
2.8.3 - 6
3.3 ขอสมมติขั้นมูลฐานของการบัญชี
ขอสมมติขั้นมูลฐานของการบัญชี เปนหลักเกณฑที่สําคัญในการจัดทํางบการเงิน ซึ่งผูใชงบ
การเงินจะตองทราบเกี่ยวกับขอสมมติฐานเหลานี้เพื่อจะไดทําใหเขาใจวาทําไมนักบัญชีจึงเสนอขอมูลใน
ลักษณะเชนนั้น ขอสมมติฐานของการบัญชีโดยทั่วไปไดแก
1. หลักการใชหนวยเงินตราในการบัญชี (Money measurement)
ขอมูลทางบัญชีจะใหความหมายไดชัดเจนถาแสดงเปนตัวเลขและเนื่องจากหนวยเงินตราไดใชเปน
สื่อในการแลกเปลี่ยนและเปนหนวยวัดราคานักบัญชีจึงใชหนวยเงินตราในการวัดผลการดําเนินงาน และแสดง
ฐานะการเงินของธุรกิจ
2. หลักความเปนหนวยของกิจการ (Business entity)
หนวยงานในที่นี้ไดแกหนวยธุรกิจ ซึ่งอาจเปน บริษัทจํากัด หางหุนสวน หรือบุคคลคนเดียวขอมูล
ทางการบัญชีเปนขอมูลเกี่ยวกับหนวยงานหนึ่ง ๆ ซึ่งแยกตางหากจากเจาของกิจการอื่น
เมื่อถือวาธุรกิจเปนหนวยงานแยกจากเจาของกิจการ การบันทึกรายการคาที่เกิดขึ้นจะบันทึกเฉพาะรายการที่
เกี่ยวกับธุรกิจเทานั้น ซึ่งทําใหธุรกิจสามารถแสดงผลการดําเนินงานและฐานะการเงินแยกตางหากจากเจาของ
กิจการ
3. หลักการใชหลักฐานอันเที่ยงธรรม (Verifiable Objective Evidences)
เนื่องจากงบการเงินทําขึ้นเพื่อประโยชนของบุคคลหลายฝายซึ่งอยูในสถานะตาง ๆ กัน ดังนั้นเพื่อ
ใหบุคคลที่เกี่ยวของเขาใจงบการเงินของกิจการไดถูกตองใกลเคียงกับความเปนจริงมากที่สุด การจดบันทึกราย
การทางบัญชี และการจัดทํางบการเงินของธุรกิจจึงตองจัดทําขึ้นโดยอาศัยหลักฐานและขอเท็จจริงอันเที่ยงธรร
รมที่บุคคลตาง ๆ ยอมรับ และเชื่อถือได
4. หลักรอบระยะเวลา (Periodicity)
การบัญชีการเงินใหขอมูลเกี่ยวกับการดําเนินงานของกิจการสําหรับระยะเวลาหรือรอบบัญชีที่ระบุ
ไวสวนผูใชงบการเงินทําการประเมินผล และตัดสินใจเกี่ยวกับกิจการตามวาระและเวลาตาง ๆ กัน ตลอดอายุ
ของกิจการ ดังนั้นจึงไดมีการแบงการทํางานของกิจการออกเปนรอบเวลาสั้น ๆ เพื่อจัดทําขอมูลไวเพื่อ
ประโยชนในการตัดสินใจ รอบระยะเวลาดังกลาวมักจะกําหนดไวเทากันเพื่อประโยชนในการตัดสินใจ
โดยปกติกําไรขาดทุนจะทําขึ้นสําหรับงวดระยะเวลาหนึ่งป ซึ่งหนึ่งปนี้อาจมิไดหมายถึงปปฏิทิน
(1 ม.ค. – 31 ธ.ค.) รอบปในที่นี้เปนรอบปการเงิน ซึ่งกิจการแตละแหงจะกําหนดขึ้นเองตามความเหมาะสม
ของกิจการ
5. หลักความดํารงอยูของกิจการ (Going concern)
กิจการที่จัดตั้งขึ้นมายอมมีวัตถุประสงคที่จะดํารงอยูโดยไมมีกําหนด กลาวคือ หากไมมีเหตุชี้เปน
อยางอื่นแลว กิจการที่ตั้งขึ้นมายอมจะดําเนินงานตอเนื่องกันไปอยางนอยก็นานพอที่จะดําเนินงานตามแผนและ
2.8.3 - 7
ขอผูกผันที่ไดทําไวจนสําเร็จ นักบัญชีจึงมีขอมูลฐานวากิจการไมตั้งใจที่จะเลิกดําเนินงาน ดังนั้นจึงไมมีความจํา
เปนที่จะตองตีราคาสินทรัพยตามราคาที่จะขายได จะบันทึกราคาสินทรัพยของกิจการตามราคาทุนที่ซื้อมา
6. หลักราคาทุน (Cost)
ตามหลักราคาทุนการบันทึกสินทรัพย และหนี้สินของธุรกิจถือตามราคาทุนเดิมเพราะวาราคาทุน
เปนราคาที่เหมาะสมกวาราคาอื่นๆ ซึ่งเปนราคาที่แนนอนและสามารถคํานวณไดอยางตรงไปตรงมาไมขึ้นอยูกับ
ความเห็นชอบของแตละคนซึ่งอาจแตกตางกันได
7. หลักการเกิดขึ้นของรายได (Realization)
หลักการเกิดขึ้นของรายไดเปนหลักเกี่ยวกับการบันทึกรายไดจากการขายสินคา หรือใหบริการแกลูก
คาวา ควรจะถือวารายไดเกิดขึ้นเมื่อใด และในจํานวนเงินเทาใด
โดยทั่วไปนักบัญชีจะลงบันทึกวารายไดไดเกิดขึ้นแลว เมื่อมีเงื่อนไข 2 อยาง ตอไปนี้ คือ
(1) กระบวนการกอใหเกิดรายไดไดสําเร็จแลวหรือถือไดวาสําเร็จแลว และ
(2) การแลกเปลี่ยนไดเกิดขึ้นแลว กลาวอีกนัยหนึ่งก็คือ รายไดเกิดขึ้นในงวด ซึ่งไดมีการสงมองสิน
คาหรือใหบริการแกลูกคาแลว สําหรับจํานวนเงินที่บันทึกเปนรายไดนั้นก็คือจํานวนที่ไดรับหรือคาดวาจะไดรับ
8. หลักการจับคูคาใชจายกับรายได (Matching)
หลักการจับคูคาใชจายกับรายไดเปนแนวทางเพื่อใชตัดสินวา รายการใดควรจะถือเปนคาใชจายใน
งวดบัญชีนั้นๆ วิธีการคือ จะมีการบันทึกรายไดตามหลักการเกิดขึ้นของรายไดกอน ตอจากนั้นจึงนําเอาคาใชจาย
ไปจับคูกับรายไดที่เกิดขึ้นนั้น
9. หลักเงินคาง (Accrual)
การคํานวณกําไรและขาดทุนของธุรกิจสําหรับงวดหนึ่งๆ นักบัญชีตองคํานึงถึงรายไดและคาใชจาย
ทั้งหมดที่เปนของงวดนั้น และแยกสวนที่ไมเปนของงวดนั้นออก ซึ่งตามหลักการบัญชีเงินคางถือวารายไดเกิด
ขึ้นเมื่อเขาเกณฑ 2 ประการ คือ หลักการเกิดขึ้นของรายได กับหลักการจับคูคาใชจายที่เกิดขึ้นสําหรับงวดแมจะ
ยังไมมีการรับเงินและจายเงินไปจริงก็ตาม
10. หลักความสม่ําเสมอ (Consistency)
การบันทึกบัญชีของกิจการ จําเปนตองยึดหลักความสม่ําเสมอ หมายความวาเมื่อกิจการไดเลือกใช
การปฏิบัติบัญชีวิธีใดแลวตองใชวิธีการนั้นโดยตลอด ทั้งนี้ก็เพราะวาการใชงบการเงินสําหรับชวยในการตัดสิน
ใจ ควรจะใชงบการเงินสําหรับระยะเวลาหลายๆ ชวงติดตอกัน เพราะจะมีความหมายและมีประโยชนมากกวา
อีกประการหนึ่งในการเปรียบเทียบงบการเงินสําหรับระยะเวลาที่แตกตางกัน ยอมจะเกิดผลและมีประโยชนตอ
เมื่องบการเงินนั้นไดจัดทําขึ้นโดยอาศัยมาตรฐานการบัญชีเดียวกัน
การเลือกใชการปฏิบัติบัญชีอาจมีการเปลี่ยนแปลงได แตควรตองระบุไวในรายงานหรือขอสังเกต
ประกอบงบการเงินดวย
11. หลักการเปดเผยขอมูลอยางเพียงพอ (Disclosure)
2.8.3 - 8
ในการเปดเผยขอมูลการเงิน นักบัญชีจะตัดสินโดยถือหลักวา ถาไมเปดเผยขอมูลนั้นแลวจะเปนเหต
ใหผูใชงบการเงินหลงผิดหรือไมซึ่งหลักเกณฑที่สําคัญที่นํามาใชในการพิจารณาก็คือ “เมื่อสงสัยใหเปดเผย”
การเปดเผยขอมูลอยางเพียงพอหมายความรวมถึง รูปแบบการจัดรายการและขอมูลในงบการเงิน
หมายเหตุประกอบงบการเงิน คําศัพทที่ใช การแยกประเภทรายการ เกณฑที่ใชในการคํานวณ ฯลฯ ทั้งหมดนี้
เนนถึงลักษณะและชนิดของการเปดเผยตางๆ ที่จําเปนที่ทําใหงบการเงินใหขอมูลอยางเพียงพอ
12. หลักความระมัดระวัง (Conservatism)
หลักความระมัดระวัง หมายถึงวาในกรณีที่อาจเลือกวิธีปฏิบัติทางการบัญชีไดมากกวาหนึ่งวิธี นัก
บัญชีควรเลือกวิธีที่จะแสดงสินทรัพย และกําไรในเชิงที่ต่ํากวาไวกอน หลักโดยยอคือ “ไมคาดการณวาจะได
กําไรแตจะรับรูการขาดทุนไวอยางเต็มที่ ในกรณีที่สงสัยใหตัดเปนคาใชจายทันที”
13. หลักการมีนัยสําคัญ (Materiality)
งบการเงินควรเปดเผยขอมูลที่มีนัยสําคัญพอที่จะกระทบตอการตัดสินใจทั้งนี้เพื่อใหผูใชงบการเงิน
เขาใจโดยถูกตองถึงผลการดําเนินงานฐานะการเงินและการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินของกิจการ
เหตุการณที่มีนัยสําคัญ หมายถึง เหตุการณซึ่งถาหากผูที่เกี่ยวของไมไดรับทราบแลวอาจทําใหตัดสิน
ใจผิดไปจากกรณีที่ไดรับทราบ
2.8.3 - 9
4. รายงานการบัญชี
4.1 งบการเงิน
งบการเงินสําหรับรอบระยะเวลาบัญชีหนึ่งๆ เปนรายงานที่จัดทําขึ้นโดยอาศัยขอมูลจากการบันทึก
รายการทางดานการบัญชี เพื่อแสดงฐานะการเงินและผลการดําเนินงานของกิจการ ซึ่งจะไดเสนอขอมูลตอ
บุคคลภายนอกไดนําไปใชในการตัดสินใจและสําหรับฝายบริหารใชในการกําหนดวัตถุประสงค การวางแผน
และควบคุมการดําเนินงาน
งบการเงินที่สําคัญมีดังนี้
1. งบดุล (Balance Sheet)
2. งบกําไรขาดทุน (Income Statement)
3. งบแสดงการเปลี่ยนแปลงในสวนของผูถือหุน (Statement of Changes in chair holder’s equity)
4. งบกระแสเงินสด (Statement of cark flow)
2.8.3 - 10
4.1.2 งบกําไรขาดทุน
เปนงบที่แสดงถึงผลการดําเนินงานของกิจการในรอบระยะเวลาบัญชีที่ผานมาวามีผลการดําเนินงาน
เปนอยางไร กําไรหรือขาดทุนมากนอยแคไหน
งบกําไรขาดทุนประกอบดวยรายการที่บงบอกถึงรายไดและคาใชจายตนทุนตาง ๆ หักกลบลบกัน
4.1.3 งบแสดงการเปลี่ยนแปลงในสวนของผูถือหุน
เปนงบที่แสดงใหเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของผูถือหุนในระหวางรอบระยะเวลาบัญชี
4.1.4 งบกระแสเงินสด
เปนงบที่แสดงใหเห็นถึงการไหลเวียนของเงินสดในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น ๆ วามีที่มาที่ไปเปนอยาง
ไร รายการอะไรที่ทําใหเงินสดเพิ่มขึ้น และรายการอะไรที่ทําใหเงินสดลดลง
4.2 การเสนอรายงาน
รายงานทางบัญชีเพื่อเสนอแกบุคคลตางๆ ดังนี้
1. รายงานเสนอตอฝายบริหาร
ในรูปของงบการเงิน ซึ่งจะจัดทําขึ้นทุกๆ สิ้นเดือนหรือทุกไตรมาส จะแสดงรายงานผลการดําเนิน
งานของแผนกตางๆ เพื่อใหฝายบริหารใชในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดําเนินงานของแตละแผนกโดยมีขอมูล
เปรียบเทียบสําหรับงวดนี้และงวดกอนดวย
2. รายงานที่เสนอตอบุคคลภายนอก
บุคคลภายนอกประกอบดวย ผูถือหุน เจาหนี้และผูที่จะลงทุนในภายหนาหรือบุคคลอื่นที่จะใช
ประโยชนจากงบการเงินของบริษัท งบการเงินที่จะเสนอตอบุคคลภายนอกจะตองจัดทําขึ้นตามมาตรฐานการ
บัญชีฉบับที่ 35 เรื่อง การนําเสนองบการเงิน ซึ่งกําหนดไววางบการเงินที่สมบูรณตองประกอบดวย
1. งบดุล
2. งบกําไรขาดทุน
3. งบแสดงการเปลี่ยนแปลงในสวนของเจาของ
4. งบกระแสเงินสด
5. นโยบายการบัญชีและหมายเหตุประกอบการเงิน
3. รายงานที่เสนอตอทางราชการ
แบบหรือรายงานที่จะตองยื่นตอสวนราชการเกี่ยวกับการบัญชีและภาษีอากรมีดังตอไปนี้
1. ภ.ง.ด. 1 คือ แบบยื่นรายการภาษีเงินได หัหก ณ ที่จาย ตามมาตรา 59 แหงประมวลรัษฎากรซึ่งจะ
ตองยื่นตอรมสรรพากรหรือที่วาการเขตทองที่ภายใน 7 วัน หลังจากวันสิ้นเดือนที่จายเงินไดประเภทที่ตองหัก
ภาษี ณ ที่จาย
ขอมูลที่ใชในการจัดทํารายงานประเภทนี้จะรวบรวมไดจากสมุดเงินเดือนและสมุดเงินคาจางรายวัน
ของแตละเดือนที่มีการจายเงินไดใหแกบุคคลธรรมดา หรือ คณะบุคคล
2.8.3 - 11
2. ภ.ง.ด. 1 ก คือ แบบยื่นรายการตามมาตรา 58 ซึ่งจะตองยื่นกรมสรรพากรภายใน 2 เดือนหลังจาก
สิ้นปปฏิทิน ภายในเดือนกุมภาพันธของทุกๆ ป แบบยื่นรายการดังกลาวจะแสดงขอมูลสรุปทั้งปเกี่ยวกับเงินได
และภาษีหัก ณ ที่จาย
ขอมูลที่ใชในการจัดทํารายงานประเภทนี้รวบรวมไดจากบัญชีเงินไดพนักงานทั้ง 2 ประเภท คือ
พนักงานคาจางรายวัน และพนักงานเงินเดือนประจํา ซึ่งไดบันทึกรายการเกี่ยวกับเงินได และภาษีหัก ณ ที่จาย
ไวทั้งป
3. ภ.พ. 30 หรือ ภ.พ. 31 คือแบบแสดงรายการภาษีมูลคาเพิ่ม หรือ ภ.ธ. 40 คือ แบบแสดงรายการ
ภาษีธุรกิจเฉพาะ (ทั้งนี้อยูกับประเภทของรายไดที่ตองเสียภาษี) ซึ่งจะตองยื่นตอกรมสรรพากรหรือที่วาการเขต
ทองที่ภายใน 15 วัน หลังจากวันสิ้นเดือนเปนประจําทุกๆ รอบเดือนภาษีโดยไมคํานึงวาจะมีรายรับที่ตองเสีย
ภาษีในเดือนนั้นหรือไม แบบแสดงรายการดังกลาวจะแสดงถึงรายไดแตละประเภทที่ตองเสียภาษีและภาษีที่
ตองจายในแตละเดือน
ขอมูลที่ตองใชในการจัดทํารายงานประเภทนี้จะรวบรวมจากรายงานภาษีซื้อและรายงานภาษีขาย
สําหรับภาษีมูลคาเพิ่ม ซึ่งจัดทําจากสมุดเงินสดรับ สมุดเงินสดจาย และสมุดรายวันขาย หรือสมุดรายวันราย
ได และรวบรวมจากสมุดรายงานประจําเดือนซึ่งแสดงรายรับที่ตองเสียภาษีธุรกิจเฉพาะและที่ไมตองเสียภาษี
ธุรกิจเฉพาะ
4. ภ.ง.ด. 50 คือ แบบยื่นรายการภาษีเงินไดบริษัทหรือหางหุนสวนนิติบุคคลตามมาตรา 68 และ 69 ซึ่ง
จะตองยื่นตอกรมสรรพากร หรือที่วาเขตทองที่ภายใน 150 วัน หลังจากสิ้นงวดบัญชีพรอมกับงบการเงินของ
บริษัท 1 ฉบับ ซึ่งผูสอบบัญชีไดตรวจสอบแลว
ขอมูลที่ใชในการจัดทํารายงานนี้จะรวบรวมไดจากงบการเงินประจําป ซึ่งแสดงกําไรสุทธิประจําปและ
ภาษีเงินได ทะเบียนสินทรัพยถาวร ซึ่งแสดงรายละเอียดคาเสื่อมราคา และทะเบียนผูถือหุน
5. ภ.ง.ด. 51 คือ แบบยื่นรายการภาษีเงินไดของบริษัทหรือหางหุนสวนนิติบุคคลตามมาตรา 67 ทวิ ซึ่ง
จะตองยื่นตอกรมสรรพากรหรือที่วาการเขตทองที่ภายใน 2 เดือน นับตั้งแตวันครบ 6 เดือนแรกของงวดบัญชี
เนื่องจากแบบยื่นรายการดังกลาวมีวัตถุประสงคเพื่อการเสียภาษีเงินไดนิติบุคคล สําหรับครึ่งรอบระยะเวลา
บัญชี ดังนั้นขอมูลที่จะใชในการกรอก ภ.ง.ด. 51 จึงไดมาจากการทําประมาณการรายไดคาใชจายและกําไรสุทธิ
สําหรับระยะเวลาครึ่งปหลัง และนํามารวมกับขอมูลที่เกิดขึ้นจริงในครึ่งปแรกแลวหารดวยสองเพื่อใหได
จํานวนกําไรสุทธิที่ตองเสียภาษี เวนแตเปนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพยและสถาบันการเงินตาม
กฎหมายวาดวยสถาบันการเงิน จะคํานวณภาษีเงินไดตามแบบ ภ.ง.ด. 51 จากกําไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริงในรอบ
ระยะเวลา 6 เดือนแรกของงวดบัญชีพรอมแนบงบการเงิน 6 เดือนทีมีผูสอบบัญชีรับรองดวย
แบบฟอรมตามขอ 1-5 เปนแบบฟอรมของทางราชการซึ่งจะขอไดจากสวนราชการตามที่กลาวขางตน
หรือ ณ สํานักงานสรรพากรทองที่ทั่วไป
2.8.3 - 12
6. งบการเงินที่ผานการตรวจสอบของผูสอบบัญชีรับอนุญาตและที่ประชุมใหญผูถือหุนอนุมัติแลวจะ
ตองยื่นตอกรมทะเบียนการคาภายใน 5 เดือน หลังจากวันสิ้นงวดบัญชี ตัวอยางงบการเงินดังกลาวใชแบบเดียว
กับรายงานที่ตองเสนอตอบุคคลภายนอกตามที่กลาวมาขางตน
2.8.3 - 13
ตัวอยางงบการเงิน
บริษัท POWER PLANT
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2546 และ 2545
งบดุล
สินทรัพย
2546 (บาท) 2545 (บาท)
สินทรัพยหมุนเวียน
เงินสดและรายการเทียบเทาเงินสด 639,956,833.73 32.44% 621,023,555.48 34.29%
เงินลงทุนชั่วคราว
เงินฝากประจํา 3,511,300.00 0.18% 3,511,300.00 0.19%
บัตรเงินฝาก 84,323,060.78 4.66%
รวมเงินลงทุนชั่วคราว 3,511,300.00 0.18% 87,834,360.78 4.85%
ลูกหนี้การคา-สุทธิ 192,895,935.78 9.78% 187,531,064.72 10.35%
สินคาคงเหลือ 167,807,317.48 8.51% 156,852,461.59 8.66%
สินทรัพยหมุนเวียนอื่น
เงินลวงหนาคาสินคา 22,573,558.33 1.14% 17,748,008.06 0.98%
อื่น ๆ - สุทธิ 24,117,533.20 1.22% 21,322,406.06 1.18%
รวมสินทรัพยหมุนเวียนอื่น 46,691,091.53 2.37% 39,070,414.12 2.16%
รวมสินทรัพยหมุนเวียน 1,050,862,478.52 53.27% 1,092,311,856.69 60.31%
สินทรัพยไมหมุนเวียน
เงินลงทุนระยะยาวอื่น
เงินฝากประจํา 160,000,000.00 8.11% -
เงินลงทุนทั่วไป 30,000,000.00 1.52% 30,000,000.00 1.66%
ที่ดินที่ยังไมไดใชดําเนินงาน - สุทธิ 71,200,000.00 3.61% 71,200,000.00 3.93%
รวมเงินลงทุนระยะยาวอื่น 261,200,000.00 13.24% 101,200,000.00 5.59%
ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ - สุทธิ 644,631,430.88 32.68% 597,802,119.58 33.01%
สินทรัพยไมมีตัวตน 15,878,041.99 0.80% 19,580,293.79 1.08%
สินทรัพยไมหมุนเวียนอื่น 130,327.27 0.01% 301,720.30 0.02%
รวมสินทรัพยไมหมุนเวียน 921,839,800.14 46.73% 718,884,133.67 39.69%
รวมสินทรัพย 1,972,702,278.66 100.00% 1,811,195,990.36 100.00%
2.8.3 - 14
ตัวอยางงบการเงิน
บริษัท POWER PLANT
สําหรับปสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2546 และ 2545
งบกําไรขาดทุน
2.8.3 - 15
ตัวอยางงบการเงิน
บริษัท POWER PLANT
สําหรับปสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2546 และ 2545
งบแสดงการเปลี่ยนแปลง ของผูถือหุน
ทุนเรือนหุน
ที่ออกชําระแลว สวนเกินมูลคาหุน กําไรสะสม รวม
2.8.3 - 16
ตัวอยางงบการเงิน
บริษัท POWER PLANT
สําหรับปสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2546 และ 2545
งบกระแสเงินสด
2546 (บาท) 2545 (บาท)
กระแสเงินสดจากกิจกรรมดําเนินงาน
กําไรสุทธิ 310,272,312.92 268,513,787.38
ปรับกระทบกําไรสุทธิเปนเงินสดรับ (จาย) จากกิจกรรมดําเนินงาน
คาเสื่อมราคาและรายการตัดบัญชี 83,714,020.22 68,058,968.49
หนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ 2,506,431.37 253,119.26
ขาดทุนจากการลดมูลคาสินคาคงเหลือ 2,063,398.84 1,887,315.66
กําไรจากการจําหนายสินทรัพย (534,146.69) (21,682.30)
ขาดทุนจากการเลิกใชสินทรัพย 3,224,604.78 9,078,760.49
กําไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไมเกิดขึ้นจริง (6,592.97) -
การเปลี่ยนแปลงในสินทรัพยและหนี้สินดําเนินงาน
ลูกหนี้การคาเพิ่มขึ้น (7,872,161.39) (22,045,201.90)
สินคาคงเหลือ (เพิ่มขึ้น)ลดลง (13,018,254.73) 1,062,063.28
สินทรัพยหมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้น (7,991,404.80) (10,107,757.99)
สินทรัพยไมหมุนเวียนอื่นลดลง (เพิ่มขึ้น) 171,393.03 (6,047,758.47)
เจาหนี้การคาเพิ่มขึ้น (ลดลง) 13,490,693.92 (9,910,231.84)
หนี้สินหมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้น 2,128,790.22 27,638,361.00
ขอมูลกระแสเงินสดเปดเผยเพิ่มเติม
เงินสดจายระหวางป
ดอกเบี้ยจาย 80,896.37 377,532.19
ภาษีเงินได 117,682,894.29 107,756,214.20
2.8.3 - 17
5. การวิเคราะหผลการดําเนินงาน
การวิเคราะหงบการเงินซึ่งจะสามารถประเมินผลออกมาไดถูกตองเพียงใด ขึ้นอยูกับการแปลความ
หมายหรือตีความผลลัพธที่ไดจากการวิเคราะห การที่จะแปลความหมายออกมาไดวาเปนอยางไร จึงจําเปนตอง
นําเอาผลลัพธดังกลาวไปเปรียบเทียบกับอัตราสวนมาตรฐาน หากผลลัพธของอัตราสวนของกิจการมีคาเทากับ
หรือสูงกวาอัตราสวนมาตรฐานก็แสดงวากิจการนั้นประสบผลสําเร็จในการดําเนินงาน ซึ่งควรที่จะตองหาจุด
แข็งหรือสาเหตุที่ดีดังกลาวเพื่อนําไปปรับปรุงใหดียิ่งขึ้น แตถาหากผลลัพธของอัตราสวนของกิจการที่ไดมีคาต่ํา
กวาอัตราสวนมาตรฐานแลว ก็แสดงวากิจการนั้นประสบความลมเหลวในการดําเนินงาน ซึ่งจะตองหาจุดออน
หรือขอบกพรองเพื่อนําไปปรับปรุงแกไขตอไป
อัตราสวนมาตรฐานของอุตสาหกรรมใดคือคาเฉลี่ยของอัตราสวนของอุตสาหกรรมนั้นๆ ซึ่งโดยมาก
มักจะถือเอามาจากกิจการที่มีขนาดใหญ หรือเปนกิจการชั้นนําในอุตสาหกรรมนั้นเปนเกณฑในการจัดทําหาคา
เฉลี่ย
ในการเปรียบเทียบกับอัตราสวนมาตรฐานนั้น จะตองพิจารณาดูวา อัตราสวนมาตรฐานที่นํามาเปรียบ
เทียบนั้นเปนอัตราสวนมาตรฐานที่ไดมาจากอุตสาหกรรมประเภทเดียวกัน ขนาดใกลเคียงกันหรือไม หากเปน
อัตราสวนมาตรฐานที่ไดมาจากอุตสาหกรรมตางประเภทกัน หรือตางขนาดกัน ผลที่ไดจากการเปรียบเทียบ
อัตราสวนก็จะใหขอเท็จจริงที่บิดเบือนไปและยังมีปญหาบางประการที่อาจเกิดขึ้นได ซึ่งผูทําการวิเคราะหควร
จะใชวิจารณญาณประกอบดวย
5.1 ประโยชนจากการวิเคราะหงบการเงิน
ผลจากการวิเคราะหจะชวยชี้บอกใหทราบวา ณ จุดไหนที่ธุรกิจมีปญหา จากนั้นนักวิเคราะหตอง
พิจารณาตอไปวาปญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้คืออะไร แลวจึงหาทางแกปญหานั้น และในการวิเคราะหนักวิเคราะห
ตองเลือกใชอัตราสวนตางๆ ใหตรงกับปญหาที่ตองการทราบดังนี้
1. เจาหนี้ระยะสั้น บุคคลกลุมนี้สนใจวาธุรกิจสามารถชําระหนี้ใหเขาไดทันเวลาหรือไมในระยะสั้น
จํานวนสินทรัพยหมุนเวียนเปนตัวแสดงใหเห็นถึงความสามารถในการจายชําระหนี้ระยะสั้น บุคคลเหลานี้สน
ใจในสภาพคลองของธุรกิจ ฉะนั้นเขาจะวิเคราะหเฉพาะดานอัตราสวนสภาพคลองเทานั้น
2. ผูใหกูระยะยาว บุคคลกลุมนี้สนใจวาธุกิจมีเงินจายดอกเบี้ยใหเขาทุกงวดและจายคืนเงินตนไดตาม
กําหนดหรือไม ในการจายดอกเบี้ยธุรกิจตองมีสภาพคลองเพียงพอและตองมีความสามารถทํากําไรไดในระยะ
ยาวสําหรับการจายคืนเงินตน ฉะนั้นอัตราสวนที่เขาเลือกวิเคราะห คือ อัตราสวนสภาพคลองและอัตราสวนดาน
ความสามารถทํากําไร
3. ผูถือหุน ในฐานะเจาของธุรกิจเปนผูกําหนดนโยบายธุรกิจ
4. ผูบริหาร ซึ่งเปนบุคคลภายในธุรกิจ เขาจะสามารถวางแนวทางการบริหารไดถูกตองจําเปนตอง
ทราบลักษณะทางการเงินของตนดวยวามีจุดเดนหรือจุดออนดานไหน เพื่อจะไดใชจุดเดนที่มีอยูใหเปน
2.8.3 - 18
ประโยชนและแกไขจุดออนที่มีอยู อันจะทําใหการวางแผนการบริหารของเขามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เขาสามารถ
เลือกใชอัตราสวนในการวิเคราะหดานตางๆ หรือทั้งหมดแลวแตเรื่องที่ทําการวิเคราะหหรือพิจารณา
5.2 ขอพึงระวังในการอานงบการเงิน
การอานงบการเงินใหเกิดประโยชน นอกเหนือจากการพิจารณาตัวเลขในงบการเงินและการวิเคราะห
อัตราสวนทางการเงินแลว ผูอานควรใหความสําคัญกับขอมูลอื่นๆ ดวย เชน รายงานผูสอบบัญชีและหมายเหตุ
ประกอบงบการเงิน เปนตน นอกจากนี้ นโยบายการบัญชีซึ่งครอบคลุมถึงวิธีการบัญชีและมาตรฐานการบัญชีที่
บริษัทแตละแหงเลือกใชก็เปนสิ่งที่ผูอานไมควรมองขาม เนื่องจากภายใตสถานการณและปจจัยแวดลอมเดียว
กัน บริษัทที่มีนโยบายการบัญชีตางกันอาจทําใหงบการเงินที่แสดงผลการดําเนินงานและฐานะการเงินของ
บริษัทมีความแตกตางกันได ซึ่งตามมาตรฐานการบัญชีไทยไดกําหนดใหทุกบริษัทจะตองเปดเผยนโยบายการ
บัญชีไวในหมายเหตุประกอบงบการเงินทุกครั้ง เพื่อความโปรงใส ชัดเจนและยุติธรรมแกผูอานงบการเงิน
5.3 ขอจํากัดในการวิเคราะหงบการเงิน
1. ขอจํากัดของงบการเงิน งบการเงินของแตละกิจการอาจมีวิธีการจัดทําขึ้นมาดวยวิธีการทางบัญชีที่
แตกตางกันไป
2. ไมมีมาตรฐานในการวัดแนนอนตายตัว เนื่องจากธุรกิจมีหลายประเภทและมีขนาดตางกัน ตลอดจน
มีวิธีและนโยบายการดําเนินงานที่แตกตางกันไป จึงไมสามารถกําหนดมาตรฐานในการวัดออกมาแนนอน
3. เครื่องมือที่นํามาใชวิเคราะหโดยพิจารณากิจการมีลักษณะหยุดนิ่งอยูกับที่ (Static-nature) คือ
วิเคราะห ณ จุดหนึ่งของเวลาซึ่งในความเปนจริงแลว ธุรกิจจะดําเนินไปอยางมีลักษณะเคลื่อนไหวอยูตลอด
เวลา (Dynamic nature) ดังนั้นผลการวิเคราะหอาจไมไดบงบอกถึงลักษณะที่เปนการเคลื่อนไหวหรือเรื่องราว
ความเปนไปตามความเปนจริง ตามกาลเวลาแตบงบอกถึงผล ณ เวลาหรือชวงของเวลาขณะใดขณะหนึ่งเทานั้น
4. การจัดหาขอมูล การวิเคราะหบางครั้งไมสามารถจัดหาขอมูลได ตองอาศัยขอมูลที่ผูอื่นจัดทําไว
เชนจากหนวยงานของรัฐหรือวารสารทางธุรกิจตางๆ ซึ่งการจัดทําขอมูลขึ้นมาอาจไมตรงตามจุดมุงหมายที่
ตองการหรือมีความไมเที่ยงตรงแอบแฝงอยู
5. ขอมูลที่มีความลําเอียงไมเที่ยงตรงทั้งนี้เพราะงบการเงิน มักจะมีการแตงใหตัวเลขสวยงามตอนปด
งบ เชน รายการเงินสดอาจมียอดคงเหลือสูงโดยการกูยืมเงินระยะสั้นจากธนาคารมา สินคาคงคลังที่มีปริมาณสูง
อาจมีการนําออกขายลดราคาตอนสิ้นป เพื่อระบายใหปริมาณสินคาคงคลังลดลง
6. คาของเงิน งบดุลและงบกําไรขาดทุนที่จัดทําขึ้นตางวาระกัน ถึงแมตัวเงินที่ปรากฏในรายการนั้นจะ
เทากันก็ตาม อํานาจซื้อหรือคาของเงินยอมจะตองตางกัน
7. ดุลพินิจของผูวิเคราะห ผูวิเคราะหอาจมีดุลพินิจตอผลการวิเคราะหแตกตางกันไปทั้งในเชิงปริมาณ
และเชิงคุณภาพ การแปลความหมายที่ไดจากการวิเคราะหจะถูกตองหรือมีความหมายเพียงใด ขึ้นอยูกับคุณภาพ
ทางดานดุลพินิจของผูวิเคราะหดวย
2.8.3 - 19
5.4 รูปแบบและขั้นตอนการวิเคราะหงบการเงิน
เนื่องจากงบการเงินเปนขั้นตอนสุดทายของขบวนการทางการบัญชีซึ่งฝายจัดการใชเปนสื่อสําคัญใน
การนําเสนอขอมูลทางการเงินแกบุคคลภายนอกผูสนใจ ซึ่งตัวเลขรายการตางๆ ในงบการเงินโดยตัวของมันเอง
แลวมีความหมายนอยมากเพราะผูใชงบการเงินไมอาจทราบไดวาแตละรายการที่ปรากฎนั้น แสดงแนวโนมดี
ขึ้นหรือเลวลงเพียงใด จนกวาจะไดมีการวิเคราะห ซึ่งการวิเคราะหนั้นอาจกระทําไดดังนี้
1. การวิเคราะหตามแนวนอน (Horizontal analysis)
2. การวิเคราะหตามแนวตั้ง (Vertical analysis)
3. การวิเคราะหดวยอัตราสวน (Ratio analysis)
ลักษณะของการวิเคราะหที่ดีนั้นหลังจากนักวิเคราะหทําการวิเคราะหทางการเงินตามวิธีตางๆ แลว ควร
ใหคําแนะนําแกฝายบริหารของธุรกิจเกี่ยวกับการวางแผนธุรกิจในอนาคต ปญหาที่พบในการวิเคราะหและทาง
แกที่เปนไปไดเพื่อใหผูบริหารของธุรกิจรับทราบและนําไปใชเปนแนวทางในการตัดสินใจ
กระบวนการวิเคราะหดวยอัตราสวน
ขั้นที่ 1 คํานวณอัตราสวนของกิจการ
จากงบการเงินของกิจการนํามาคํานวณอัตราสวนของกิจการในดานตางๆ ที่ตองการวิเคราะห
ขั้นที่ 2 กําหนดมาตรฐานในการวิเคราะห
เพื่อใหทราบฐานะของกิจการวาเปนอยางไร โดยการเปรียบเทียบกับตัวที่กําหนดเปนมาตรฐาน
ซึ่งอาจใช
1. อัตราถัวเฉลี่ยของอุตสาหกรรมนั้น (Industry average ratio) ในงวดเวลาเดียวกัน
2. อัตราสวนของกิจการอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ในงวดเวลาเดียวกัน
3. อัตราสวนของกิจการเอง ในงวดเวลาที่แตกตางกัน
ขั้นที่ 3 วิเคราะหฐานะของกิจการ
นําเอาผลการคํานวณอัตราสวนของกิจการที่คํานวณไดในขั้นที่ 1 เปรียบเทียบกับมาตรฐาน
ตามขอ 2 จะพบวากิจการที่กําลังวิเคราะหนั้นเมื่อเปรียบเทียบแลวมีฐานะดี (Good) พอใช (Satisfactory) หรือ
ตกต่ํา (Poor)
แนวทางในการวิเคราะหงบการเงินโดยใชอัตราสวนมี 2 แนวทางใหญๆ คือ
1. การวิเคราะหแนวโนม (Tread or series analysis) เปนการวิเคราะหการเปลี่ยนแปลงของอัตราสวนที่
เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ซึ่งแสดงใหเห็นถึงทิศทางและภาพพจนของฐานะการเงินและผลการดําเนินงานของกิจ
การในชวงเวลาที่ผานมา
2.8.3 - 20
2. การวิเคราะหเชิงเปรียบเทียบ (Comparative or cross sectional analysis) เปนการวิเคราะหของกิจ
การ ณ จุดหนึ่งของเวลาโดยเปรียบเทียบกับอัตราสวนของกิจการอื่นหรืออัตราสวนมาตรฐานที่กําหนดขึ้นในอุต
สาหกรรมประเภทเดียวกัน
อัตราสวนทางการเงินแบงออกเปน 4 กลุมใหญ ๆ คือ
1. อัตราสวนสภาพคลอง (Liquidity ratios)
2. อัตราสวนแสดงความสามารถในการหากําไร (Profitability ratios)
3. อัตราสวนแสดงประสิทธิภาพในการดําเนินงาน (Efficiency ratios)
4. อัตราสวนวิเคราะหนโยบายทางการเงิน (Financial policy ratios)
2.8.3 - 21
ตารางแสดงผลการวิเคราะหงบการเงิน
ผลการวิเคราะห
อัตราสวน อัตราสวนบริษัท อัตราสวนบริษัท อัตราสวนบริษัท
สูงกวามาตรฐาน เทากับมาตรฐาน ต่าํ กวามาตรฐาน
ดานสภาพคลอง
อัตราสวนเงินทุนหมุนเวียน = สินทรัพยหมุนเวียน ดี พอใช ตกต่ํา
หนี้สินหมุนเวียน
อัตราสวนเงินทุนหมุนเวียนเร็ว = สินทรัพยหมุนเวียนเร็ว ดี พอใช ตกต่ํา
หนี้สินหมุนเวียน
อัตราสวนสภาพคลองกระแสเงินสด = กระแสเงินสดจากการดําเนินงาน ดี พอใช ตกต่ํา
หนี้สินหมุนเวียนถัวเฉลี่ย
อัตราสวนหมุนเวียนลูกหนี้การคา = ยอดขายสุทธิ ดี พอใช ตกต่ํา
ลูกหนี้ถัวเฉลี่ย
ระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ย = 365xลูกหนี้เฉลี่ย (วัน) ตกต่ํา พอใช ดี
ยอดขาย
อัตราสวนหมุนเวียนสินคาคงเหลือ = ตนทุนสินคาขาย (ครั้ง) ดี พอใช ตกต่ํา
สินคาคงเหลือเฉลี่ย
ระยะเวลาขายสินคาเฉลี่ย = 365xสินคาคงเหลือเฉลี่ย (วัน) ตกต่ํา พอใช ดี
ตนทุนขาย
อัตราหมุนเวียนเจาหนี้ = ยอดขายสุทธิ (ครั้ง) ตกต่ํา พอใช ดี
เจาหนี้เฉลี่ย
ระยะเวลาชําระหนี้ = 365xเจาหนี้เฉลี่ย (วัน) ตกต่ํา พอใช ดี
ยอดขายสุทธิ
Cash Cycle = ระยะเก็บหนี้เฉลี่ย+ระยะเวลาขาย
สินคาเฉลี่ย – ระยะเวลาชําระหนี้ (วัน) ดี พอใช ตกต่ํา
ดานความสามารถในการหากําไร
อัตรากําไรขั้นตน = กําไรขั้นตนx100
ยอดขาย ดี พอใช ตกต่ํา
อัตรากําไรสุทธิ = กําไรสุทธิx100
สินทรัพยทั้งหมด ดี พอใช ตกต่ํา
อัตราผลตอบแทนผูถือหุน = กําไรสุทธิx100
สวนของผูถือหุนทั้งหมด ดี พอใช ตกต่ํา
ดานประสิทธิภาพในการดําเนินงาน
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย = กําไรสุทธิx100 (%) ดี พอใช ตกต่ํา
สินทรัพยทั้งหมด
2.8.3 - 22
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพยถาวร = กําไรสุทธิx100 (%) ดี พอใช ตกต่ํา
สินทรัพยถาวร
อัตราหมุนเวียนสินทรัพยทั้งหมด = ยอดขายสุทธิ (เทา) ดี พอใช ตกต่ํา
สินทรัพยทั้งหมด
อัตราการจายเงินปนผล = เงินปนผลตอหุน
กําไรตอหุน ดี พอใช ตกต่ํา
กําไรตอหุน = กําไรสุทธิ
จํานวนหุนสามัญที่ออกจําหนาย ดี พอใช ตกต่ํา
ดานนโยบายทางการเงิน
อัตราสวนหนี้สินตอสวนของผูถือหุน = หนี้สินทั้งหมด ตกต่ํา พอใช ตกต่ํา
สวนของผูถือหุน
อัตราสวนแหงนี้ = หนี้สินรวม ตกต่ํา พอใช ตกต่ํา
สินทรัพยรวม
อัตราสวนความสามารถชําระดอกเบี้ย = กําไรสวนดอกเบี้ยของกิจการ ดี พอใช ตกต่ํา
ดอกเบี้ยจาย
2.8.3 - 23
บรรณานุกรม:
คําถาม :
1. การบริหารการเงิน หมายถึงอะไร
2. งบประมาณแบงเปนกี่ประเภทอะไรบาง
3. งบประมาณมีความสําคัญตอการบริหารจัดการธุรกิจอยางไร
4. ประโยชนของงบประมาณมีอะไรบาง
5. วัตถุประสงคของการทําบัญชีมีอยางไร
6. การทําบัญชีมีประโยชนอยางไร
7. ขอสมมติฐานทางการบัญชีมีอะไรบาง
8. การรายงานทางการเงินมีอะไรบาง
9. งบกระแสเงินสดคืออะไร
10. อัตราสวนทางการบัญชีมีกี่ประเภท และกลุมบุคคลที่ใหความสนใจในอัตราสวนแตละประเภท
มีใครบาง
2.8.3 - 24
2.8.4 Human Resource
2.8.4 - 1
หลักเกณฑการจัดระดับพนักงานเดินเครื่อง (Operator Ranking)
เพื่อเปนการพัฒนาพนักงานเดินเครื่องใหรอบรูงานในทุกๆ ดานอยางตอเนื่อง และ เตรียมความ
พรอมสรางบุคลากรดานการเดินเครื่อง ใหมีศักยภาพและมีความรูความสามารถในการเดินเครื่องผลิตกระแส
ไฟฟาอยางเปนระบบและไดมาตรฐาน การจัดระดับจะตองพิจารณาในหลาย ๆ ดาน เชน ความรู ประสบการณ
การประเมินผลของคณะกรรมการกลาง ซึ่งพนักงานเดินเครื่องจะมีความกาวหนาในหนาที่การงานสัมพันธกัน
จาก Local ขึ้นทําหนาที่ Board และ Shift Charge ตามลําดับ โดยดูไดจากรูปแบบความสัมพันธของการจัด
การทรัพยากรดานเครื่อง ตามเอกสารแนบ 1 มีรายละเอียดการจัดระดับพนักงานเดินเครื่อง ดังนี้
ขอ 1. การจัดกลุมพนักงานเดินเครื่อง ใหจัดกลุมดังนี้
1.1 กลุมที่ 1 พนักงานประจําจุด (Auxiliary Plant Operator) แบงออกเปน 3 ประเภท คือ
1.1.1 พนักงานประจําจุดเดินเครื่องโรงไฟฟา (Local Plant Operator)
1.1.2 พนักงานประจําจุดเดินเครื่องกําจัดกาซซัลเฟอรไดออกไซด (Flue Gas
Desulfurization Plant Operator)
1.1.3 พนักงานประจําจุดเดินเครื่องโรงผลิตน้ํา (Water Treatment Plant Operator)
1.2 กลุมที่ 2 พนักงานควบคุม แบงออกเปน 3 ประเภท คือ
1.2.1 พนักงานควบคุมประจําหองควบคุมโรงไฟฟา (Board Operator)
1.2.2 พนักงานควบคุมประจําหองควบคุมเครื่องกําจัดกาซซัลเฟอรไดออกไซด
1.2.3 พนักงานควบคุมประจําหองควบคุมโรงผลิตน้ํา
1.3 กลุมที่ 3 หัวหนางาน ไดแก Shift Charge, Assistant Shift Charge , Shift Supervisor
ขอ 2 ใหจัดระดับพนักงานเดินเครื่อง แตละกลุม ดังนี้
(1) ระดับ 1
(2) ระดับ 2
(3) ระดับ 3
(4) ระดับ 4
หมายเหตุ ระดับ 1 หมายถึง ระดับสูงสุดของแตละกลุม
ขอ 3 ขอกําหนดทั่วไป
3.1 การจัดระดับตาง ๆ ในครั้งแรกจะจัดระดับดังนี้
3.1.1 หัวหนาหนวยตั้งคณะทํางานพิจารณารายชื่อที่ผานการพิจารณาจากหัวหนาหมวด และ
เสนอคณะกรรมการกลาง ใหความเห็นชอบ หรือ ผูปฏิบัติงานสมัครสอบเขาแตละระดับตามความ
ประสงคของตนเอง
2.8.4 - 2
3.2 พนักงานเดินเครื่อง ที่ผานการจัดระดับแลว ตองมีการทบทวนเพื่อธํารงรักษา และพัฒนาอยางตอ
เนื่อง ทุก 3 ปโดยพิจารณาจาก
3.2.1 ผลการปฏิบัติงาน
3.2.2 ผลการสัมภาษณจากคณะกรรมการกลาง
3.3 พนักงานเดินเครื่องระดับตาง ๆ จะไดรับใบรับรอง (Certificate) จากผูบังคับบัญชาสูงสุดของ
หนวยงาน
3.4 คะแนนการสอบขอเขียนและสัมภาษณ จากคณะกรรมการกลาง กําหนดระดับคะแนน ดังนี้
เกรด A = 100-86 คะแนน
เกรด B = 85-71 คะแนน
เกรด C = 70-56 คะแนน
เกรด D = 55-50 คะแนน
เกรด F นอยกวา 50 คะแนน
ขอ 4 หนาที่ของคณะกรรมการกลาง
4.1 กําหนดหัวขอที่จะตองสอบแตละหลักสูตรที่จําเปน
4.2 จัดทําขอทดสอบขอเขียนของพนักงานเดินเครื่องแตละระดับ โดยใหผูปฏิบัติงานระดับ 6 ขึ้นไป
ของแตละโรงไฟฟามีสวนรวมในการออกขอสอบดวย
4.3 จัดใหมีการสอบขอเขียนและสัมภาษณ ทุก 6 เดือน และสรุปผลการสอบ
4.4 พิจารณานําเสนอใบรับรอง (Certificate) ตอผูบังคับบัญชาระดับสูงสุดของหนวยงาน
ขอ 5 หลักเกณฑการจัดระดับสําหรับกลุมที่ 1 พนักงานประจําจุด
5.1 พนักงานประจําจุดเดินเครื่องโรงไฟฟา แยกตามระดับ ดังนี้
5.1.1 พนักงานประจําจุดเดินเครื่องโรงไฟฟา ระดับ 4
5.1.1.1 ผานการฝกอบรมหลักสูตร General Introduction , Power Plant Orientation
และPlant Safety
5.1.1.2 ผานการทดสอบขอเขียนและสัมภาษณ จากคณะกรรมการกลาง โดยมีผล
การทดสอบไดเกรด ไมต่ํากวา C
5.1.1.3 ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง สําหรับพนักงานประจําจุด
เมื่อพนักงานเดินเครื่อง ผานหลักเกณฑดังกลาวแลว จะไดรับใบรับรองความรูความสามารถพนักงาน
ประจําจุดเดินเครื่องโรงไฟฟา ระดับ 4
2.8.4 - 3
5.1.2 พนักงานประจําจุดเดินเครื่องโรงไฟฟา ระดับ 3
5.1.2.1 ไดรับใบรับรองพนักงานประจําจุดเดินเครื่องโรงไฟฟา ระดับ 4 มาแลว
5.1.2.2 ผานการฝกอบรมหลักสูตร Power Generation Transmission ตามเอกสาร
แนบ 2 และ Power Principle ตามเอกสารแนบ 3
5.1.2.3 ตองปฏิบัติงานในหนาที่ พนักงานประจําจุดเดินเครื่องโรงไฟฟา ระดับ 4
มาแลว ไมนอยกวา 6 เดือน
5.1.2.4 ผานการทดสอบขอเขียนและสัมภาษณ จากคณะกรรมการกลาง โดยมีผล
การทดสอบไดเกรดไมต่ํากวา C
5.1.2.5 ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง สําหรับพนักงานประจําจุด
เมื่อพนักงานเดินเครื่อง ผานหลักเกณฑดังกลาวแลว จะไดรับใบรับรองความรูความสามารถพนักงาน
ประจําจุดเดินเครื่องโรงไฟฟา ระดับ 3
2.8.4 - 4
ไฟฟาพลังความรอนรวม) ตามเอกสารแนบ 6.2 (ดานโรงไฟฟาพลังความ
รอน) และผลรวมการฝกอบรมตองไดเกรดเฉลี่ยไมต่ํากวา C
5.1.4.3 ตองปฏิบัติงานในหนาที่พนักงานประจําจุดเดินเครื่องโรงไฟฟา ระดับ 2 มา
แลว ไมนอยกวา 6 เดือน หรือ ตองปฏิบัติงานในหนาที่พนักงานควบคุม
ประจําหองควบคุมเครื่องกําจัดกาซซัลเฟอรไดออกไซด ระดับ 1 มาแลว
ไมนอยกวา 1 ป หรือตองปฏิบัติงานในหนาที่พนักงานควบคุมประจําหอง
ควบคุมโรงผลิตน้ํา ระดับ 1 มาแลวไมนอยกวา 1 ป
5.1.4.4 มีผลงานหรือมีสวนรวมในกิจกรรมเพื่อสวนรวม, กิจกรรมพัฒนาคุณภาพ
5.1.4.5 ผานการทดสอบขอเขียนและสัมภาษณ จากคณะกรรมการกลาง โดยมีผล
การทดสอบไดเกรด ไมต่ํากวา B
5.1.4.6 ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง สําหรับพนักงานประจําจุด
เมื่อพนักงานเดินเครื่อง ผานหลักเกณฑดังกลาวแลว จะไดรับใบรับรองความรูความสามารถ พนักงาน
ประจําจุดเดินเครื่องโรงไฟฟา ระดับ 1
2.8.4 - 5
5.2.2.4 ผานการทดสอบขอเขียนและสัมภาษณ จากคณะกรรมการกลาง โดยมีผล
การทดสอบไดเกรด ไมต่ํากวา C
5.2.2.5 ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง สําหรับพนักงานประจําจุด
เมื่อพนักงานเดินเครื่อง ผานหลักเกณฑดังกลาวแลว จะไดรับใบรับรองความรูความสามารถ พนักงาน
ประจําจุดเดินเครื่องกําจัดกาซซัลเฟอรไดออกไซด ระดับ 3
2.8.4 - 6
5.2.4.5 มีผลงานหรือมีสวนรวมในกิจกรรมเพื่อสวนรวม , กิจกรรมพัฒนาคุณภาพ
5.2.4.6 ผานการทดสอบขอเขียนและสัมภาษณ จากคณะกรรมการกลาง โดยมีผล
การทดสอบไดเกรด ไมต่ํากวา B
5.2.4.7 ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง สําหรับพนักงานประจําจุด
เมื่อพนักงานเดินเครื่องผานหลักเกณฑดังกลาวแลว จะไดรับใบรับรองความรูความสามารถพนักงาน
ประจําจุดเดินเครื่องกําจัดกาซซัลเฟอรไดออกไซด ระดับ 1
2.8.4 - 7
5.3.3.2 ผานการฝกอบรมหลักสูตร Power Principle ตามเอกสารแนบ 3 และ
Power Attendant
5.3.3.3 ไดรับการฝกอบรมใน Simulator ตองผานการอบรมในหลักสูตร RBTP.
Simulator Operation Interface System (OIS.) และ ผลรวมการฝกอบรม
ตองไดเกรดเฉลี่ยไมต่ํากวา C
5.3.3.4 ตองปฏิบัติงานในหนาที่ พนักงานประจําจุดเดินเครื่องโรงผลิตน้ํา ระดับ 2
มาแลว ไมนอยกวา 6 เดือน
5.3.3.5 ผานการทดสอบขอเขียนและสัมภาษณ จากคณะกรรมการกลาง โดยมีผล
การทดสอบไดเกรด ไมต่ํากวา B
5.3.3.6 ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง สําหรับพนักงานประจําจุด
เมื่อพนักงานเดินเครื่องผานหลักเกณฑดังกลาวแลว จะไดรับใบรับรองความรูความสามารถ พนักงาน
ประจําจุดเดินเครื่องโรงผลิตน้ํา ระดับ 2
2.8.4 - 8
ขอ 6 หลักเกณฑการจัดระดับสําหรับกลุมที่ 2 พนักงานควบคุม แยกตามระดับดังนี้
6.1 พนักงานควบคุมประจําหองควบคุมโรงไฟฟา
6.1.1 พนักงานควบคุมประจําหองควบคุมโรงไฟฟา ระดับ 4
6.1.1.1 ตองปฏิบัติงานในหนาที่พนักงานประจําจุดเดินเครื่องโรงไฟฟา ระดับ 1 มา
แลว ไมนอยกวา 1 ป
6.1.1.2 ผานการฝกอบรมหลักสูตร Power Plant Execution
6.1.1.3 ควรผานการฝกอบรมในหลักสูตรอื่น ๆ ที่นํามาสนับสนุนในหนาที่หลักเปน
อยางดี เชน
1. Modern Safety Management (MSM.)
2. ISO 14001
3. ISO 9001:2000
4. หลักสูตรพัฒนาคุณภาพ และหลักสูตรอื่น ๆ ที่จําเปน
6.1.1.4 ตองปฏิบัติงานในหนาที่พนักงานเดินเครื่องกําจัดกาซซัลเฟอรไดออกไซด และ
พนักงานเดินเครื่องโรงผลิตน้ํา หนาที่ละไมนอย กวา 6 เดือน (เฉพาะโรงไฟฟา
พลังความรอน)
6.1.1.5 ผูที่ทําหนาที่ควบคุมหมอไอน้ําตองไดรับการขึ้นทะเบียน เปนผูควบคุมหมอไอ
น้ํา
6.1.1.6 ผานการทดสอบขอเขียนและสัมภาษณ จากคณะกรรมการกลาง โดยมีผลการ
ทดสอบไดเกรด ไมต่ํากวา B
6.1.1.7 ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง สําหรับพนักงานควบคุม
เมื่อพนักงานเดินเครื่อง ผานหลักเกณฑดังกลาวแลว จะไดรับใบรับรองพนักงาน ควบคุมประจําหอง
ควบคุมโรงไฟฟา ระดับ 4
2.8.4 - 9
6.1.2.5 ผูที่ทําหนาที่ควบคุมหมอไอน้ําตองไดรับการขึ้นทะเบียน เปนผูควบคุมหมอ
ไอน้ํา
6.1.2.6 ผานการทดสอบขอเขียนและสัมภาษณ จากคณะกรรมการกลาง โดยมีผล
การทดสอบไดเกรดไมต่ํากวา B
6.1.2.7 ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง สําหรับพนักงานควบคุม
เมื่อพนักงานเดินเครื่อง ผานหลักเกณฑดังกลาวแลว จะไดรับใบรับรองพนักงานควบคุม ประจําหอง
ควบคุมโรงไฟฟา ระดับ 3
2.8.4 - 10
6.1.4.5 ผานการทดสอบขอเขียนและสัมภาษณ จากคณะกรรมการกลาง โดยมีผลการ
ทดสอบไดเกรด A
6.1.4.6 ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง สําหรับพนักงานควบคุม
เมื่อพนักงานเดินเครื่อง ผานหลักเกณฑดังกลาวแลว จะไดรับใบรับรองพนักงานควบคุม ประจําหอง
ควบคุมโรงไฟฟา ระดับ 1
6.2 พนักงานควบคุมประจําหองควบคุมเครื่องกําจัดกาซซัลเฟอรไดออกไซด
6.2.1 พนักงานควบคุมประจําหองควบคุมเครื่องกําจัดกาซซัลเฟอรไดออกไซด ระดับ 4
6.2.1.1 ตองปฏิบัติงานในหนาที่ พนักงานประจําจุดเดินเครื่องกําจัดกาซซัลเฟอรได
ออกไซด ระดับ 1 มาแลวไมนอยกวา 1 ป
6.2.1.2 ผานการฝกอบรมหลักสูตร Power Plant Execution
6.2.1.3 ควรผานการฝกอบรมในหลักสูตรอื่น ๆ ที่นํามาสนับสนุนในหนาที่หลักเปน
อยางดี เชน
1. Modern Safety Management (MSM.)
2. ISO 14001
3. ISO 9001:2000
4. หลักสูตรพัฒนาคุณภาพ และหลักสูตรอื่น ๆ ที่จําเปน
6.2.1.4 ผานการทดสอบขอเขียนและสัมภาษณ จากคณะกรรมการกลาง โดยมีผล
การทดสอบไดเกรด ไมต่ํากวา B
6.2.1.5 ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง สําหรับพนักงานควบคุม
เมื่อพนักงานเดินเครื่อง ผานหลักเกณฑดังกลาวแลว จะไดรับใบรับรองพนักงาน ควบคุมประจําหอง
ควบคุมเครื่องกําจัดกาซซัลเฟอรไดออกไซด ระดับ 4
2.8.4 - 11
6.2.2.5 ผานการทดสอบขอเขียนและสัมภาษณ จากคณะกรรมการกลาง โดยมีผล
การทดสอบไดเกรด ไมต่ํากวา B
6.2.2.6 ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง สําหรับพนักงานควบคุม
เมื่อพนักงานเดินเครื่อง ผานหลักเกณฑดังกลาวแลว จะไดรับใบรับรองพนักงานควบคุม ประจําหอง
ควบคุมเครื่องกําจัดกาซซัลเฟอรไดออกไซด ระดับ 3
2.8.4 - 12
6.3 พนักงานควบคุมประจําหองควบคุมโรงผลิตน้ํา
6.3.1 พนักงานควบคุมประจําหองควบคุมโรงผลิตน้ํา ระดับ 4
6.3.1.1 ตองปฏิบัติงานในหนาที่พนักงานประจําจุดเดินเครื่องโรงผลิตน้ําระดับ 1 มา
แลวไมนอยกวา 1 ป
6.3.1.2 ผานการฝกอบรมหลักสูตร Power Plant Execution
6.3.1.3 ควรผานการฝกอบรมในหลักสูตรอื่นๆ ที่นํามาสนับสนุนในหนาที่หลักเปน
อยางดี เชน
1. Modern Safety Management (MSM.)
2. ISO 14001
3. ISO 9001:2000
4. หลักสูตรพัฒนาคุณภาพ และหลักสูตรอื่น ๆ ที่จําเปน
6.3.1.4 ผานการทดสอบขอเขียนและสัมภาษณ จากคณะกรรมการกลาง โดยมีผลการ
ทดสอบไดเกรด ไมต่ํากวา B
6.3.1.5 ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง สําหรับพนักงานควบคุม
เมื่อพนักงานเดินเครื่อง ผานหลักเกณฑดังกลาวแลว จะไดรับใบรับรองพนักงานควบคุม ประจําหอง
ควบคุมโรงผลิตน้ํา ระดับ 4
2.8.4 - 13
6.3.3 พนักงานควบคุมประจําหองควบคุมโรงผลิตน้ํา ระดับ 2
6.3.3.1 ไดรับใบรับรองพนักงานควบคุมประจําหองควบคุมโรงผลิตน้ํา ระดับ 3 มา
แลว
6.3.3.2 ตองปฏิบัติงานในหนาที่ พนักงานควบคุมประจําหองควบคุมโรงผลิตน้ํา
ระดับ 3 มาแลว ไมนอย กวา 1 ป
6.3.3.3 ผานการทดสอบขอเขียนและสัมภาษณ จากคณะกรรมการกลาง โดยมีผลการ
ทดสอบไดเกรด A
6.3.3.4 ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง สําหรับพนักงานควบคุม
เมื่อพนักงานเดินเครื่อง ผานหลักเกณฑดังกลาวแลว จะไดรับใบรับรองพนักงานควบคุม ประจําหอง
ควบคุมโรงผลิตน้ํา ระดับ 2
2.8.4 - 14
7.1.4 ผานการฝกอบรมหลักสูตร Advanced Operator Training (AOT.) และ หลักสูตร
Power Plant Execution
7.1.5 ควรผานการฝกอบรมในหลักสูตรอื่น ๆ ที่นํามาสนับสนุนในหนาที่หลักเปนอยางดี
เชน
1 Modern Safety Management (MSM.)
2 ISO 14001
3 ISO 9001:2000
4 หลักสูตรพัฒนาคุณภาพ และหลักสูตรอื่น ๆ ที่จําเปน
7.1.6 ไดรับการฝกปฏิบัติใน Simulator และ ตองผานการฝกอบรมใน Simulatorในหลัก
สูตร Intermediate And Advanced Level และ ผลรวมการฝกอบรมตองไดเกรดเฉลี่ย
ไมต่ํากวา B
7.1.7 มีผลงานหรือมีสวนรวมในกิจกรรมเพื่อสวนรวม , กิจกรรมพัฒนาคุณภาพ
7.1.8 ผานการทดสอบขอเขียนและสัมภาษณ จากคณะกรรมการกลาง โดยมีผลการทดสอบ
ไดเกรดไมต่ํากวา B
7.1.9 ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง สําหรับหัวหนางาน
เมื่อพนักงานเดินเครื่อง ผานหลักเกณฑดังกลาวแลว จะไดรับใบรับรองหัวหนางานเดินเครื่อง ระดับ 4
2.8.4 - 15
7.3 หัวหนางาน ระดับ 2
7.3.1 ไดรับใบรับรองหัวหนางานเดินเครื่องระดับ 3 มาแลว
7.3.2 ตองปฏิบัติงานในหนาที่ หัวหนางานเดินเครื่องระดับ 3 มาแลว ไมนอยกวา 2 ป
7.3.3 ตองผานการเปนวิทยากรหรือผูสอนงาน ไมนอยกวา 30 ชั่วโมง โดยเปนหลักสูตร
วิชาการโรงไฟฟา ไมนอยกวา 20 ชั่วโมง
7.3.4 มีผลงานดาน Technical Paper ไมนอยกวา 2 เรื่อง
7.3.5 มีชั่วโมงการเดินเครื่องในแตละกะจะตองไม Trip เปนเวลาไมนอยกวา 2,190 ชั่ว
โมง หรือ 1 ป หรือถา Trip จะตองมีแนวทางการแกไข
7.3.6 มีผลงานหรือมีสวนรวมในกิจกรรมเพื่อสวนรวม , กิจกรรมพัฒนาคุณภาพ
7.3.7 ผานการทดสอบขอเขียนและสัมภาษณ จากคณะกรรมการกลาง โดยมีผลการทดสอบ
ไดเกรด A
7.3.8 ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง สําหรับหัวหนางาน
เมื่อพนักงานเดินเครื่อง ผานหลักเกณฑดังกลาวแลว จะไดรับใบรับรองหัวหนางานเดินเครื่อง ระดับ 2
2.8.4 - 16
สวนพนักงานบํารุงรักษามีแผนการพัฒนาบุคลากรอยางตอเนื่อง ใหเปนมืออาชีพอยูแลวสวนหนึ่ง โดยมี
แผนการฝก
อบรม On The Job Training และ Class Room มีหลักสูตรดังนี้
1. Boiler Protection
2. Electro-Hydraulic Governor
3. Protection Relay
4. Excitation Control System / EX. 2000
5. Gas Turbine Operation & Maintenance
6. Vibration & Balancing
7. Programmable Logic Controller
8. Process Control
9. Pressure Calibration
10. Electrical Calibration
2.8.4 - 17
รูปแบบความสัมพันธของการจัดทรัพยากรดานเดินเครื่อง
2 1
3 4
1 2
4 3
2.8.4 - 18
เอกสารแนบ 2
2.8.4 - 19
เอกสารแนบ 3
2.8.4 - 20
เอกสารแนบ 4.1
2.8.4 - 21
เอกสารแนบ 4.1
2.8.4 - 22
เอกสารแนบ 4.1
หลักสูตร COMBINED CYCLE SYSTEM DESCRIPTION
มีรายละเอียดของหลักสูตร ดังนี้
1 Combined Cycle Power Plant Technology
2 HRSG
3 HRSG Operation
4 Boiler Feed System
5 Generator Gas System
6 Lube Oil System
7 Stop Valve & Control Valve
8 Gland Seal Exhaust System
9 Cooling Water System
10 CCCW System & Tube Cleaning
11 Condensate System
12 Condenser System
13 Steam Bypass Valve
14 Steam Turbine Operation
15 Chemical Cleaning
16 Power Distribution System
17 Grounding & Lighting Protection
18 Steam Turbine Component
19 Generator Construction & Operation
20 Seal Oil System
21 Protective Relay
22 Fire Protection
23 Cathodic Protection
2.8.4 - 23
เอกสารแนบ 4.2
2.8.4 - 24
เอกสารแนบ 4.2
หลักสูตร THERMAL PLANT SYSTEM DESCRIPTION (ตอ)
มีรายละเอียดของหลักสูตร ดังนี้
29 Excitation System
30 Generator Transformer
31 Emergency Diesel Generator
32 Protective Relay
33 Plant Fire Protection
34 Cathodic Protection
35 Power Distribution System for WT
36 Raw Water & Water Treatment System
37 FGD System
38 CEM
39 Power Distribution System For FGD
40 DCIS & Sequential Control
41 Station Air System & Control Air System
42 Generator Seal Oil System
43 Battery
44 Main Turbine
45 Automatic Plant Control
2.8.4 - 25
เอกสารแนบ 5
2.8.4 - 26
เอกสารแนบ 6.1
2.8.4 - 27
เอกสารแนบ 6.2
2.8.4 - 28
คําถามประจําบท
1. องคกรหรือหนวยงานของทานใหความสําคัญในการพัฒนาบุคลากรอยางไร
2. ทานไดรับการเรียนรูและฝกปฏิบัติตรงกับภารกิจที่ทานดําเนินการหรือไมและมีความตองการ
ที่จะพัฒนาตนเองในเรื่องการเรียนรูดานใด
3. Ratio ของอัตรากําลังกับขนาดของโรงไฟฟาควรเปนเทาไร ?
4. กรณีอัตรากําลังนอย มีวิธีใดในการจัดการ
2.8.4 - 29
บรรณานุกรม
Power Station Engineering & Economy by Bemhardt G.A. Skrotzki and William a.Vopat
Applied Thermodynamics by P.L. Ballaney
A Course in Electrical Power by Soni, Gupta & Bhatnagar
A Text Book of Electrical Technology by B.L. Theraja
Steam its generation and use 40 th Edition by Babcock & Wilcox , aMcDermott Company, ABB Asea Brown
Boveri
Combustion Fossil Power by Joseph G. Singer, PE Forth Edition
Modern Power Station Practice Third Edition, Incorporating Modern Power System Practice British
Electricity International, London
Hand Book For Thermal & Nuclear Power Engineer, Thermal & Nuclear Power Engineering Society
Practical Coss Control Leadership/The property Damage Accident by Frank E. Bird, Jr. George L. Germain
Ratchaburi Thermal Power Plant Instruction Manual by Mistubishi Heavy Industries, LTD.
Ratchaburi Combined Cycle Power Plant Gasturbine Manual by General Electric Company