Professional Documents
Culture Documents
A 2000042549
A 2000042549
A 2000042549
สร้างสรรค์โดย
ทรูปลูกปัญญา มีเดีย
โครงการเพื่อสังคมของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จ�ำกัด (มหาชน)
เลขที่ 46/8 อาคารรุ่งโรจน์ธนกุล ตึก B ชั้น 9 ถนนรัชดาภิเษก
แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310
: www.trueplookpanya.com
: TruePlookpanya
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
สารบัญ
เรื่อง หน้า
คุยก่อนอ่าน 5
บทที่ 1 เซต : Set 6
บทที่ 2 จ�ำนวนจริง 25
บทที่ 3 การให้เหตุผล 40
บทที่ 4 เลยยกก�ำลัง 44
บทที่ 5 ฟังก์ชัน 47
บทที่ 6 อัตราส่วนตรีโกณมิติ 59
บทที่ 7 ล�ำดับและอนุกรม 69
บทที่ 8 ความน่าจะเป็น 81
บทที่ 9 สถิต 98
คุยกอนอาน
หนังสือเล่มนี้ จัดท�ำขึ้นส�ำหรับน้องๆ ที่ก�ำลังศึกษาอยูใ่ นระดับมัธยมปลาย (ม.4-ม.6) ที่ตอ้ งการจะเตรียม
ความพร้อมในการสอบ O-NET วิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่น้องๆ หลายคนคิดว่ายาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว
วิชาคณิตศาสตร์นนั้ เป็น 1 ในวิชาทีน่ อ้ งๆ สามารถเก็บคะแนนได้มากทีส่ ดุ โดยในปีการศึกษาหนึง่ ๆ นัน้ มีคนจ�ำนวน
มากที่สามารถท�ำข้อสอบวิชานี้ได้ 100 คะแนนเต็ม หมายความว่ามันไม่ใช่วิชาที่ยากเลย ส�ำหรับน้องๆ ที่มีความ
ตั้งใจและหมั่นท�ำแบบฝึกหัดทบทวนอยู่เสมอ
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
บทที่1
เซต : Set
ชนิดของเซต
1. เซตจ�ำกัด เช่น {1, 2, 3,… ,100}
2. เซตอนันต์ เช่น [0, 1] หรือ {1, 2, 3,...} เป็นเซตจ�ำกัด
3. เซตว่าง เป็นเซตที่ไม่มีสมาชิกอยู่เลย และ
4. เอกภพสัมพัทธ์ ( ) คือ เซตที่ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมดของสิ่งที่เราต้องการ
การเขียนเซต
การเขียนเซตจะแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1. เขียนแบบแจกแจงสมาชิก
2. เขียนแบบบอกเงื่อนไข
B เซตของวันในหนึ่งสัปดาห์ B = {วันอาทิตย์, วันจันทร์, วัน B = {x | x เป็นชื่อวันในหนึ่งสัปดาห์}
อังคาร, วันพุธ, วันพฤหัสบดี, วัน
ศุกร์, วันเสาร์}
C เป็นเซตของตัวอักษรในภาษา C = {a, b, c, ... ,z} C = {y | y เป็นตัวอักษรในภาษา
อังกฤษ อังกฤษ}
การกระท�ำของเซต
1. การยูเนียน ( ) คือการรวมกันของสมาชิก เช่น A B จะได้ว่า
A B
A B
A B
A B
จงเขียนเซตต่อไปนี้ ในรูปแบบแจกแจงสมาชิก
1. A U B =
………………………………………………………………………………………………………………………….
2. A B=
………………………………………………………………………………………………………………………….
3. A - B =
………………………………………………………………………………………………………………………….
4. C’ B =
………………………………………………………………………………………………………………………….
A B
จงแรเงาแผนภาพที่กำ�หนดให้
1. B’ 2. A’ U B 3. A’ B’
ตัวอย่าง 3
A B
จงเติมจำ�นวนสมาชิกของเซตต่างๆ ลงในตารางต่อไปนี้
จ�ำนวนสมาชิก
A = {1, 2, 3}
สับเซตของ A คือ {1}, {2}, {3}, {1, 2}, {1, 3}, {2, 3}, {1, 2, 3},
ดังนั้น จำ�นวนสับเซตของ A =
เป็นสับเซตที่เล็กที่สุดของทุกเซตและ
เซตทุกเซตเป็นสับเซตที่ใหญ่ที่สุดของตัวเอง
…………………… {4, 5} A
…………………… {5} A
…………………… {5} A
พาวเวอร์เซตหรือเซตกำ�ลัง
คือ เซตที่รวมสับเซตของเซตทั้งหมด
P(A) = {สับเซตทั้งหมดของ A}
เช่น A= {1, 2, 3} ดังนั้น P(A) = { {1}, {2}, {3}, {1, 2}, {1, 3}, {2, 3}, {1, 2, 3}, }
ข้อสังเกต
1. จำ�นวนสมาชิกของ P(A) = n(P(A)) =
2. เมื่อ A เป็นเซตจำ�กัดและ n(A) = K จะได้
2.1 n (P(A)) =
2.2 n (P(P(A))) =
2.3 n (P(P(P(A)))) =
…………………… {{ }} P(A)
คุณสมบัติของการ Operation
1. กฎการยุบ
A A = A AUA=A
2. กฎการสลับที่
A B = B A AUB=BUA
3. กฎการเปลี่ยนหมู่
(A B) C = A (B C) (A U B) U C = A U (B U C)
4. กฎการแจกแจง
A (B U C) = (A B) U (A C)
A U (B C) = (A U B) (A U C)
5. กฎเดอร์มอแกน
(A B)’ = A’ U B’ (A U B)’ = A’ B’
A – B = A – (A B) = A B’ = B’ – A’
สูตรลดทอน
(A’)’ = A =
= A – B = A B’
จะได้ เซตที่เล็กกว่า
A = A =A
A = A A =
U จะได้ เซตที่ใหญ่กว่า
A (A U B) = A A U (A B) = A
A (A’ U B) = A B A U (A’ B) = A U B
(A U B) (A U B’) = A (A B) U (A B’) = A
จำ�นวนสมาชิกของเซต
สูตรจำ�นวนสมาชิก
• n(A U B) = n(A) + n(B) – n(A B)
• n(A U B U C) = n(A) + n(B) + n(C) – n( A B ) - n(A C) – n(B C) + n(A B C)
• n(A’) = n( ) – n(A)
• n(A-B) = n(A) – n( A B )
วิธีทำ�
ให้ A = วิชาคณิตศาสตร์ B = วิชาสังคมศึกษา C = วิชาภาษาไทย
A B = คณิตศาสตร์และสังคมศึกษา B C = ภาษาไทยและสังคมศึกษา
A C = คณิตศาสตร์และภาษาไทย A B C = ทั้งสามวิชา
A U B U C = สอบผ่านอย่างน้อยหนึ่งวิชา
A B A B
A U B A B
A B
A – B A’
โจทย์เรื่องเซต
1. ถ้า A = { , 0, 1, {0}, {0,1}} และ P(A) เป็นพาวเวอร์เซตของ A แล้วเซต P(A) – A มีสมาชิกกี่ตัว (Ent’ 41)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
A B
6. กำ�หนดให้ เอกภพสัมพัทธ์คือเซตของจำ�นวนเต็ม
ถ้า A = {x | |x - 3| 2}
B = {x | (1 + x) (3 – x) 0}
แล้ว A B’ คือข้อใดต่อไปนี้
1. {2} 2. {2,3} 3. {3,4} 4. {4}
8. พิจารณาการอ้างเหตุผลต่อไปนี้
เหตุ 1. ไม่มีคนเก่งคนใดเป็นคนสอบตก
2. มีคนสอบตกที่เป็นคนขยัน
3. มีคนเก่งที่ ไม่เป็นคนขยัน
ผล ……………………………………………………………
ในข้อใดต่อไปนี้เป็นการสรุปผลจากเหตุ ข้างต้นที่เป็นไปอย่างสมเหตุสมผล
1. มีคนเก่งที่เป็นคนขยัน 2. มีคนขยันที่เป็นคนสอบตก
3. มีคนขยันที่เป็นคนเก่ง 4. มีคนสอบตกที่เป็นคนเก่ง
9. พิจารณาการอ้างเหตุผลต่อไปนี้
ก. เหตุ 1. ถ้าฝนไม่ตก แล้ว น้องเอ๋ไปโรงเรียน
2. ฝนตก
ผล น้องเอ๋ไม่ไปโรงเรียน
ตัวอย่างที่ 1
ตัวอย่างที่ 2
A B
จงแรเงาแผนภาพที่กำ�หนดให้
1. B’ 2. A’ U B 3. A’ B’
• หา n(A U B) = n(A)+n(B)-n(A B)
= 40 + 25 – 6
= 59
• หา n(A’) = n( ) – n(A)
= 100 – 40
= 60
• หา (A U B)’ = n( ) – n(A U B)
= 100 - 59
= 41
ตัวอย่างที่ 4
ให้ A = {2,{4,5},4} จงพิจารณาว่าข้อความใดถูกต้อง
ก. {4, 5} A
เทคนิค (ตัดปีกเติมขา)
ข. {4, 5} A
ค. {5} A ตัดปีกกาออก 1 คู่ จะสามารถเปลี่ยนจาก
ง. {5} A สับเซตให้เป็นสมาชิกของได้ →
สับเซตของเซต A ได้แก่ {2}, {{4,5}}, {4}, {2,{4,5}}, {2,4}, {{4,5}, 4}, {2,{4,5},4}, มีทั้งหมด 8 ตัว
• ข้อ ก. {4, 5} A ผิด ถ้าจะเขียน {4, 5} เป็นสับเซตของ A จะต้องเขียนว่า {{4, 5}} A จึงจะถูก หรือใช้เทคนิค คือ ตัด
ปีกกา 1 คู่แล้วเปลี่ยนจากสับเซตเป็นสมาชิกของ A จะได้ว่า {{4, 5}} A → {4, 5} A และ 4, 5 ก็ ไม่เป็นสมาชิก
ของเซต A ดังนั้นจึงผิด
• ข้อ ง. {5} A ผิด เพราะเซต A มีสับเซต {{4, 5}} ไม่มี {5} เป็นสับเซต
ตัวอย่างที่ 5
กำ�หนดให้ A ={ } จงพิจารณาว่าข้อใดถูกต้อง
ก. {{ }} P (A)
ข. {0} P (A) เทคนิค (ตัดปีกตัด P)
ค. {{0, 1}} P (A) ตัดปีกกาออก 1 คู่จะสามารถตัด P ออกได้ 1 ตัว
ง. {{0, 1}} P (A)
ตัวอย่างที่ 6
ในการลงพื้นที่ของชุมชนแห่งหนึ่งมีประชากร 200 คน พบว่า
ให้ n(A) = 120 คน ชอบอ่านหนังสือ
ให้ n(B) = 110 คน ชอบดูภาพยนตร์ A B
ให้ n(C) = 130 คน ชอบเล่นกีฬา
ให้ n(A B) = 60 คน ชอบอ่านหนังสือและชอบดูภาพยนตร์
ให้ n(A C) = 70 คน ชอบอ่านหนังสือและชอบเล่นกีฬา
ให้ n(B C) = 50 คน ชอบดูภาพยนตร์และชอบเล่นกีฬา C
และ ประชากรที่ชอบเล่นกีฬาอย่างเดียวมีกี่คน (O-net54)
จากสูตร
n(A U B U C) = n(A) + n(B) + n(C) - n(A B) - n(A C ) - n(B C) + n(A B C)
โดยให้ n(A B C) = X แทนค่าจะได้
200 = 120 + 110 + 130 - 60 - 70 – 50 + x (เรายังไม่รู้ส่วนตรงกลาง)
จะได้ X = n(A B C) = 20
พอเรารู้ตรงกลาง จะสามารถหักออก
จาก n(A C) = 70 – X = 50 n(B C) = 50 – X = 30
เราก็จะรู้สมาชิกที่แท้จริงของข้อนี้ คือ
เราจะสามารถหาประชากรอย่างเดียวได้
โดยให้ ประชากรที่ชอบเล่นกีฬาอย่างเดียว = Y
คือ n(C) = n(A B C) + n(A C) + n(B C) + Y
130 = 20 + 50 + 30 + Y
จะได้ Y = ประชากรที่ชอบเล่นกีฬาอย่างเดียวคือ 30 คน
A B จาก n (A B) = 2
จ�ำนวน n(A) = 5 – 2 = 3
แล้ว n(B) = 4 – 2 = 2
แล้วเซต C = (A - B) U (B - A) = 3 + 2 = 5
x -1 x 3
+ - +
-1 3
(x -1 หรือ x 3) และ x I
จะได้ B’ = {0,1, 2}
พบว่า A B’ = {2}
A B’ = {2} ตอบข้อ 1.
A B
จากโจทย์ต้องการหาจ�ำนวนสมาชิกของ B – A คือ
น�ำมาแทนค่าจากสมการ จะได้ว่า + + 2 = 10
= 4 ตอบข้อ 4.
8. เหตุ 1. ไม่มีคนเก่งคนใดเป็นคนสอบตก
2. มีคนสอบตกที่เป็นคนขยัน
3. มีคนเก่งที่ไม่เป็นคนขยัน
ผล ……………………………………………………………
ในข้อใดต่อไปนี้เป็นการสรุปผลจากเหตุ ข้างต้นที่เป็นไปอย่างสมเหตุสมผล
1. มีคนเก่งที่เป็นคนขยัน 2. มีคนขยันที่เป็นคนสอบตก
3. มีคนขยันที่เป็นคนเก่ง 4. มีคนสอบตกที่เป็นคนเก่ง
จากโจทย์ สามารถเขียนแผนภาพให้สอดคล้องกับเหตุได้ 2 วิธี คือ
1. คนเก่ง คนขยัน คนสอบตก
ตอบข้อ 2.
9. พิจารณาการอ้างเหตุผลต่อไปนี้
ก. เหตุ 1. ถ้าฝนไม่ตก แล้ว น้องเอ๋ไปโรงเรียน
2. ฝนตก
ผล น้องเอ๋ไม่ไปโรงเรียน
ข. เหตุ 1. แสนแสบขยันเรียน หรือ แสนแสบสอบชิงทุนเรียนต่อต่างประเทศได้
2. แสนแสบไม่ขยันเรียน
ผล แสนแสบสอบชิงทุนเรียนต่อต่างประเทศได้
ข้อใดต่อไปนี้ ถูกต้อง
พิจารณา ก. ตัดชื่อน้องเอ๋ออกไปจะได้ว่า ถ้าฝนไม่ตก แล้ว ไปโรงเรียน
จะได้แผนภาพ โดย วงในคือ ฝนไม่ตก วงนอกคือ ไปโรงเรียน คือ น้องเอ๋
ไปโรงเรียน
ไปโรงเรียน
ฝนตก ฝนตก
น้องๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
Tag : สอนศาสตร์, คณิตศาสตร์, เซต, สูตรเตรียมสอบ
ระบบจำ�นวนจริง
ในส่วนของจำ�นวนจริง เป็นเรื่องที่กำ�หนดขอบเขตทั้งหมดของข้อสอบที่น้องๆ จะเจอในการทำ�ข้อสอบ O-NET เนื่องจาก
ข้อสอบ O-NET นั้น จะไม่มีการนำ�เอาจำ�นวนจินตภาพมาใช้ ในการออกข้อสอบ จำ�นวนจริงจะมีความสัมพันธ์กับเรื่องเซต โดย
นิยามของจำ�นวนประเภทต่างๆ ที่นักคณิตศาสตร์ ได้ทำ�การจำ�แนกไว้ และไม่ว่าจะเป็นจำ�นวนตรรกยะ จำ�นวนอตรรกยะ จำ�นวนเต็ม
จำ�นวนนับ อีกทั้งเรื่องจำ�นวนจริง จะเป็นเรื่องที่มีความสำ�คัญอย่างยิ่งกับเรื่องความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ซึ่งน้องๆ จะได้เจอคำ�ว่า
เซตของจำ�นวนจริง หรือเซตของจำ�นวนเต็มบวก ซึ่งหมายถึงการกำ�หนดขอบเขตของคำ�ตอบให้กับน้องๆ นั่นเอง
ลักษณะจ�ำนวนจริง
1. จ�ำนวนตรรกยะ (Rational number) คือ จ�ำนวนทีส่ ามารถเขียนอยูใ่ นรูป โดยที ่ ได้แก่ จ�ำนวนเต็ม ทศนิยมซ�ำ
้
เศษส่วน และ square root (√) ที่หาค่าได้
2. จ�ำนวนอตรรกยะ (Irrational number) คือ จ�ำนวนที่ไม่สามารถเขียนอยู่ในรูป โดยที่ ซึ่งจ�ำนวนอตรรกยะ
สามารถเขียนอยู่ในรูปทศนิยมไม่ซ�้ำ (ทศนิยมไม่รู้จบ) และสามารถประมาณค่าได้ ค่า TT และ square root (√) ที่หาค่า
ไม่ได้ เช่น √2, √3 เป็นต้น
3. จ�ำนวนเต็ม (Integer number) ใช้ แทนเซตของจ�ำนวนเต็ม แบ่งออกได้ 3 ประเภท
3.1. จ�ำนวนเต็มลบ (I-) หรือ I- = {…, -3, -2, -1}
3.2. จ�ำนวนเต็มศูนย์ (I0) หรือ I0 = {0}
3.3. จ�ำนวนเต็มบวก (I+) หรือ I+ = {1, 2, 3, …}
4. จ�ำนวนนับ (Natural number) คือ 1, 2, 3, 4, 5, … ซึ่งมันก็เป็นพวกเดียวกับจ�ำนวนเต็มบวกนั่นเอง เพียงแต่จะใช้
สัญลักษณ์ที่แตกต่างกัน คือ จ�ำนวนนับ สัญลักษณ์ก็คือ N
แผนผังแสดงความสัมพันธ์ของระบบจ�ำนวนจริง
จ�ำนวนตรรยกะ จ�ำนวนอตรรยกะ
(Rational Numbers) (Irrational Numbers)
จ�ำนวนเต็ม เศษส่วนหรือทศนิยม
(Integer Numbers) (Fraction & Decimal Numbers)
2.999…
3+ 4
จงพิจารณาจ�ำนวนในแต่ละข้อถ้าเป็นจริงให้เขียนเครื่องหมาย ถ้าเป็นเท็จให้เขียนเครื่องหมาย
1. 1 + 3 เป็นจ�ำนวนตรรกยะ ……………………………………………………………………………………………
2. 5.9 เป็นจ�ำนวนคู่ ………………………………………………………………………………………………………
3. มีจ�ำนวนเต็มที่มากที่สุดที่น้อยกว่า 1 …………………………………………………………………………………
4. มีจ�ำนวนเต็มบวกที่น้อยที่สุด …………………………………………………………………………………………
5. มีจ�ำนวนตรรกยะมากที่สุดที่น้อยกว่า 3 ………………………………………………………………………………
6. มีจ�ำนวนอตรรกยะที่น้อยที่สุดที่มากกว่า 0 ……………………………………………………………………………
สมบัติของจ�ำนวนจริง
ก�ำหนด a, b, c เป็นจ�ำนวนจริงใดๆ (a, b, c ∈ ΙR)
สมบัติปิดส�ำหรับ
เซต
การบวก การคูณ
เซตของจ�ำนวนคู่
เซตของจ�ำนวนคี่บวก
เซตของจ�ำนวนตรรกยะ
เซตของจ�ำนวนอตรรกยะ
การเท่ากันในระบบจ�ำนวนจริง
สมบัติของการเท่ากันในระบบจ�ำนวนจริง มีดังนี้
1. สมบัติการสะท้อน
2. สมบัติสมมาตร
ถ้า แล้ว
3. สมบัติการถ่ายทอด
ถ้า และ แล้ว
4. สมบัติการบวกด้วยจ�ำนวนที่เท่ากัน
ถ้า แล้ว
5. สมบัติการคูณด้วยจ�ำนวนที่เท่ากัน
ถ้า และ แล้ว
แบบฝึกหัดที่ 3
1. จงหาค�ำตอบของสมการต่อไปนี้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ถ้าค�ำตอบของสมการ คือ และเมื่อ n เป็นจ�ำนวนจริง ค�ำตอบอีกค�ำตอบหนึ่งของสมการนี้
คือจ�ำนวนใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ถ้าสมการ มีค�ำตอบที่เป็นจ�ำนวนจริง 1 ค�ำตอบ ค่าของ d คือจ�ำนวนใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แบบฝึกหัดที่ 4
จงพิจารณาว่าข้อใดถูกต้องหรือข้อใดผิด
1. ถ้า a < b แล้วจะได้ a2 < b2 ……………………………………………………………………………………………
2. ถ้า a < b < 0 แล้วจะได้ว่า ab < b2 …………………………………………………………………………………
3. ถ้า x + y > 0 แล้ว x > 0 แล้ว y > 0 …………………………………………………………………………………
4. ถ้า 0 < a < b และ 0 < c < d แล้ว 0 < ac < bd ………………………………………………………………………
5. ถ้า x < y และ a < b แล้ว x - a < y - b ………………………………………………………………………………
6. ถ้า x < y และ a < b แล้ว x – b < y – a ……………………………………………………………………………
แบบฝึกหัดที่ 5
1. จงหาช่วงค�ำตอบค�ำตอบของอสมการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ก�ำหนดให้ S = และ P = ถ้า (c,d) แล้ว c + d เป็น
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ค่าสัมบูรณ์ของจ�ำนวนจริง
ค่าสัมบูรณ์ คือ ระยะทางบนเส้นจ�ำนวนจาก 0 ไปถึง a
เงื่อนไขของค่าสัมบูรณ์
แบบฝึกหัดที่ 6
จงพิจารณาว่าข้อความต่อไปนี้ ถูกหรือผิด
1. ถ้า x และ y เป็นจ�ำนวนจริงซึ่ง |x| < |y| แล้ว x3< y3 ………………………………………………………………..
2. ถ้า a 5 แล้ว ………………………………………………………………………………….…
3. ถ้า |a| < |b| แล้ว a < b ……………………………………………………………………………….…………………
การแก้สมการค่าสัมบูรณ์
เราสามารถแก้สมการได้ทั้งหมด 3 วิธี
1. การใช้คุณสมบัติของค่าสมบูรณ์
2. การยกก�ำลังสองทั้งสองข้าง
3. การพิจารณาตามนิยามค่าสมบูรณ์
การแก้อสมการค่าสมบูรณ์
คุณสมบัติของอสมการค่าสัมบูรณ์
ก�ำหนดให้
1. ถ้า แล้ว
2. ถ้า แล้ว
3. ถ้า แล้ว หรือ
4. ถ้า แล้ว หรือ
5. ถ้า แล้ว ข้อนี้เราใช้ผลต่างก�ำลังสอง
แบบฝึกหัดที่ 8
1. จงหาช่วงค�ำตอบของอสมการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สมบัติความบริบูรณ์
บทนิยาม ให้ S R กล่าวว่าจ�ำนวนจริง a จะเป็นค่าขอบเขตบนของ S ก็ต่อเมื่อ a ไม่น้อยกว่าสมาชิกใดๆ ของ S ในกรณี
นี้เรากล่าวว่า S มีขอบเขตบน (Upper Bound)
จากนิยามสรุปได้ว่า S จะมีค่าขอบเขตบน ก็ต่อเมื่อมีจ�ำนวนจริง a ซึ่ง a x ส�ำหรับ x S เรียก a ว่าขอบเขตบนของ S
และสมาชิกที่มีค่าน้อยที่สุดในเซตของขอบเขตบนเรียกว่าขอบเขตบนที่มีค่าน้อยที่สุด (Least upper bound) a จะเป็นค่าขอบเขตบน
น้อยสุด ก็ต่อเมื่อ a เป็นขอบเขตบนของ S และถ้า b เป็นขอบเขตบนของ S จะได้ว่า a b
บทนิยาม ให้ S R และ S จะมีขอบเขตล่างก็ต่อเมื่อมีจ�ำนวนจริง a ซึ่ง a x และ x R เรียก a ว่าเป็นขอบเขตล่าง
(bounded below) ของ S
ก�ำหนดให้ S R,S และ S มีขอบเขตล่าง แล้ว S จะมีขอบเขตล่างค่ามากสุด
แบบฝึกหัดที่ 9
จงพิจารณาเซตต่อไปนี้ว่ามีขอบเขตบนหรือไม่และขอบเขตบนน้อยสุดคือจ�ำนวนใด
1. 2. A = {1, 2, 3, …}
……………………………………… ………………………………………
……………………………………… ………………………………………
……………………………………… ………………………………………
……………………………………… ………………………………………
……………………………………… ………………………………………
5. (3, ) 6. E =
……………………………………… ………………………………………
……………………………………… ………………………………………
……………………………………… ………………………………………
เฉลยแบบฝึกหัด
แบบฝึกหัดที่ 1
จงพิจารณาว่าจ�ำนวนต่อไปนี้เป็นจ�ำนวนชนิดใด
จงพิจารณาจ�ำนวนในแต่ละข้อถ้าเป็นจริงให้เขียนเครื่องหมาย ü ถ้าเป็นเท็จให้เขียนเครื่องหมาย û
1. ผิด 2. ถูก 3. ถูก
4. ถูก 5. ผิด 6. ผิด
สมบัติปิดส�ำหรับ
เซต
การบวก การคูณ
เซตของจ�ำนวนคู่ ü ü
เซตของจ�ำนวนคี่บวก û ü
เซตของจ�ำนวนตรรกยะ ü ü
เซตของจ�ำนวนอตรรกยะ û û
ก�ำหนด ข้อความใดต่อไปนี้ถูกหรือผิด
1. ผิด 2. ถูก 3. ถูก 4. ถูก
5. ถูก 6. ถูก 7. ผิด
แบบฝึกหัดที่ 3
1.จงหาค�ำตอบของสมการต่อไปนี้
วิธีท�ำ พิจารณา
ดังนั้น
แบบฝึกหัดที่ 4
1. ผิด 2. ผิด 3. ผิด
4. ถูก 5. ผิด 6. ถูก
แบบฝึกหัดที่ 5
1. จงหาช่วงค�ำตอบค�ำตอบของอสมการ
วิธีท�ำ พิจารณา
จากตรงนี้เราจะน�ำ คูณตลอด แล้ว มีค่าติดลบเราจึงต้องเปลี่ยนเครื่องหมายด้วย
ดังนั้น
พิจารณา
น�ำ -1 คูณตลอดเครื่องหมายเปลี่ยน
แบบฝึกหัดที่ 6
1. ผิด 2. ผิด 3. ผิด
แบบฝึกหัดที่ 7
1. จงหาค�ำตอบของสมการ
วิธีท�ำ พิจารณา
เราจะได้ และ
จะได้
2. จงหาผลบวกของค�ำตอบทั้งหมดของสมการ
วิธีท�ำ พิจารณา
เราจะได้ และ
จะได้
จากที่เราได้ค�ำตอบแล้วเราจะต้องน�ำค�ำตอบไปแทนในสมการว่าได้จริงตามสมการหรือไม่ แล้วจึงน�ำค�ำตอบมาบวกกัน
พิจารณาค�ำตอบจะได้ว่าค�ำตอบของสมการคือ
จะได้ ผลบวกของค�ำตอบของสมการคือ
แบบฝึกหัดที่ 8
1. จงหาช่วงค�ำตอบของอสมการ และ
วีธีท�ำ เราจะน�ำ ไปพิจารณา ว่าในค่าสัมบูรณ์ติดลบหรือไม่ แล้วท�ำการถอดค่าสัมบูรณ์
พิจารณา เมื่อ แล้ว เป็นบวก และ เป็นบวกเช่นกันเราก็จะถอดค่าสัมบูรณ์ได้เลย
3x2 + 24x + 45
x2 + 8X +15
ก่อนทีเ่ ราจะตอบเราต้องพิจารณาทีจ่ ดุ ปลายของช่วงทัง้ สองข้างก่อนว่าเป็นจริงตามอสมการหรือไม่ ซึง่ อสมการนีท้ จี่ ดุ ปลาย
ของช่วงไม่เป็นจริงตามอสมการ
ดังนั้น ค�ำตอบของอสมการ คือ [ ]
แบบฝึกหัดที่ 9
จงพิจารณาเซตต่อไปนี้ว่ามีขอบเขตบนหรือไม่และขอบเขตบนน้อยสุดคือจ�ำนวนใด
1. มีขอบเขตบน แต่ไม่มีขอบเขตบนน้อยสุด
2. ไม่มีขอบเขตบน
3. มีขอบเขตบนและขอบเขตบนน้อยสุดคือ 0
4. มีขอบเขตบนและขอบเขตบนน้อยสุดคือ -1
5. ไม่มีขอบเขตบน
6. มีขอบเขตบนและขอบเขตบนน้อยสุดคือ 2
• สรุปสูตรคณิตศาสตร์สำ�หรับเตรียมสอบ -
เรื่อง จำ�นวนจริง
http://www.trueplookpanya.com/book/m6/
onet-math/ch2-4
• สรุปสูตรคณิตศาสตร์สำ�หรับเตรียมสอบ -
เรื่อง จำ�นวนเชิงซ้อน
http://www.trueplookpanya.com/book/m6/
onet-math/ch2-5
เรือ่ งการให้เหตุผลเป็นอีกเรือ่ งหนึง่ นอกจากเซต ทีเ่ ป็นพืน้ ฐานในการแปลภาษาเขียนต่างๆ เช่น และ หรือ ถ้า...แล้ว ก็ตอ่ เมือ่
และนิเสธ ให้อยูใ่ นรูปของสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ทสี่ ามารถเข้าใจได้ทวั่ กัน ข้อสอบเรือ่ งการให้เหตุผลนัน้ จัดเป็นหนึง่ ในหัวข้อทีง่ า่ ย
และมีการพลิกแพลงน้อยทีส่ ดุ ในวิชาคณิตศาสตร์ ขอเพียงน้องๆ ไม่ประมาทและฝึกฝนท�ำโจทย์ ก็จะเป็นอีกเรือ่ งหนึง่ ทีน่ อ้ งๆ สามารถ
เก็บคะแนนไปได้ไม่ยาก
1. การให้เหตุผลแบบอุปนัย
เป็นการให้เหตุผลจากการสังเกตในชีวติ ประจ�ำวัน ประสบการณ์ การทดลองซ�ำ้ ไปซ�ำ้ มา หลายๆ ครัง้ เช่น การเห็นพระอาทิตย์
ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก เราสังเกตได้อย่างนี้มาเป็นเวลานาน เราจึงสามารถสรุปได้เป็นข้อความใหม่ ซึ่งผลสรุป
เป็นเพียงการคาดคะเน ที่อาจเป็นไปได้เท่านั้น
ตัวอย่าง
ข.
ก. มีชุดตัวเลขดังนี้
3 7 11 15 19 ? ตัวเลขต่อไปจะเป็นเลขอะไร
คือ 23
มีชุดตัวเลขดังนี้
11 x 11 = 121
เราสามารถสังเกตได้จากชุดตัวเลข ซึ่งจะเห็นว่ามีการเพิ่มของทุกจ�ำนวน ด้วยการ +4 ดังนั้น เลขต่อไปจากชุดข้อมูลการ
ตัวอย่าง
ก. เหตุ 1. คนทุกคนมี 2 ขา
จากตัวอย่างจะเห็นว่า สมเหตุสมผล
2. สมชายเป็นคน
ผล สมชายมี 2 ขา
ข. เหตุ 1. ผลไม้ทุกชนิดเป็นอาหารได้
จากตัวอย่างจะเห็นว่า ไม่สมเหตุสมผล
2. ผักกาดเป็นอาหาร
ผล ผักกาดเป็นผลไม้
จากตัวอย่างข้างต้นเราสามารถพิจารณาได้ ว่าเหตุและผล มีความสอดคล้องกันหรือไม่อย่างไร ซึง่ เราก็มหี ลักการอ้างเหตุผล
ในทางคณิตศาสตร์ซึ่งมีด้วยกัน 6 แบบ คือ
1. สมาชิกทุกตัวของ A เป็นสมาชิกของ B
2. ไม่มีสมาชิกตัวใดของ A เป็นสมาชิกของ B
3. สมาชิกบางตัวของ A เป็นสมาชิกของ B
4. มีสมาชิกบางตัวของ A ไม่เป็นสมาชิกของ B
5. สมาชิกของ A 1 ตัว ที่เป็นสมาชิกของ B
6. สมาชิกของ A 1 ตัว ไม่เป็นสมาชิกของ B
ซึ่งสามารถยกตัวอย่างได้ดังนี้
1. สมาชิกทุกตัวของ A เป็นสมาชิกของ B
ตัวอย่าง ปลาทุกตัวสามารถว่ายน�้ำได้
A โดยที่ A = ปลา B = สัตว์ที่ว่ายน�้ำได้
3. สมาชิกบางตัวของ A เป็นสมาชิกของ B
A B ตัวอย่าง มีนักเรียนที่ชอบเรียนคณิตศาสตร์บางคน
ชอบเรียนภาษาอังกฤษ
โดยที่ A = นักเรียนที่ชอบเรียนคณิตศาสตร์
B = นักเรียนที่ชอบเรียนภาษาอังกฤษ
4. มีสมาชิกบางตัวของ A ไม่เป็นสมาชิกของ B
A B
ตัวอย่าง มีคนที่ชอบทานผัก บางคนไม่ชอบทานเนื้อสัตว์
โดยที่ A = คนที่ชอบทานผัก
B = คนชอบทานเนื้อสัตว์
A B
ตัวอย่าง กฤษดาเป็นเด็กชอบเล่นฟุตบอล
โดยที่ A = เด็ก
B = ชอบเล่นฟุตบอล
= กฤษดา
A B
ตัวอย่าง กฤษดาเป็นเด็กที่ไม่กลัวผี
แบบที่ 2 โดยที่ A = เด็ก
B = คนกลัวผี
A B
= กฤษดา
1. ความหมายของเลขยกก�ำลัง
an = a x a x a x a x a x … x a (n ตัว)
เรียก an ว่าเลขยกก�ำลัง (power) ที่มี a เป็นฐาน และมี n เป็นเลขชี้ก�ำลัง
2. สมบัติของเลขยกก�ำลัง
2.1. x = “เลขยกกำ�ลังฐานเหมือนกัน คูณกันเอาเลขชี้กำ�ลังมาบวกกัน”
2.3. = เมื่อ ≠
2.4. =
2.5. = เมื่อ b ≠ 0
2.6. = เมื่อ a ≠ 0
; 0 ≤ < 10
เช่น 299,800 = 2.998 x
0.0000034 = 3.4 x
4. ความหมายของรากที่ n
ให้ n เป็นจ�ำนวนเต็มที่มากกว่า 1 เมื่อ a และ b เป็นจ�ำนวนจริง b เป็นรากที่ n ของ a เมื่อ
5. สมบัติของรากที่ n
ก�ำหนดให้ a , b เป็นจ�ำนวนจริงที่มีรากที่ n และ n เป็นจ�ำนวนเต็มบวกที่มากกว่า 1
1. = เมื่อ เป็นจำ�นวนจริง
a เมื่อ a ≥ 0
2. = a เมื่อ a < 0 และ n เป็นจำ�นวนคี่บวก
เมื่อ a < 0 และ n เป็นจำ�นวนคู่บวก
3. = ข้อควรระวัง!!!!
รากล�ำดับคูข่ องจ�ำนวนจริงทีเ่ ป็นลบ
= เมื่อ b ≠ 0
4. หาค่าไม่ได้ เช่น จะหาค่าไม่ได้
5. =
เฉลยแบบฝึกหัด
Ex1. จงท�ำ ให้อยู่ในรูปอย่างง่าย
Ex2. จงท�ำ ให้อยู่ในรูปอย่างง่าย
ผลคูณคาร์ทีเชียน
ให้ A และ B แทนเซตใดๆ เขียนผลคูณคาร์ทีเชียนของ A และ B ว่า A X B อ่านว่า “A Cross B” จะได้ว่า ผลคูณคาร์ทีเชียน
ของ A และ B (A X B) คือเซตของคู่อันดับที่มีสมาชิกตัวหน้ามาจาก A และสมาชิกตัวหลังมาจาก B
สมบัติที่ควรทราบ
1. ถ้า A มีสมาชิก m ตัว และ B มีสมาชิก n ตัว แล้ว A X B มีสมาชิก mn ตัว n(AxB) = n(A) x n(B)
2. A X B ≠ B X A แต่จะเท่ากันก็ต่อเมื่อ
• A = B •A= ∅ •B= ∅
3. A X ∅ = ∅ = ∅ X A
A× (B ∪C) = (A× B) ∪ (A× C) ,
4. (A∪ B) × C = (A× C) ∪ (B × C)
A× (B − C) = (A× B) − (A× C) ,
6. (A − B) × C = (A× C) − (B × C)
7. r แทน ความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขที่ต้องการจากผลคูณคาร์ทีเชียน
6.
(A∩ B) × (C ∪ D) = ……………………………………………………………………………………………………………
7.
P(D) × (A∩ B) = ………………………………………………………………………………………………………………
8.
(C − A) × P(B) = ………………………………………………………………………………………………………………
9.
{(x, y) ∈ A × B x + y เป็นเลขคู่ } = ……………………………………………………………………………………………
10.
{(x, y) ∈ A × B x + y ≥ 7} = ……………………………………………………………………………………………………
ฟังก์ชัน
คือ ความสัมพันธ์ที่สมาชิกตัวหน้าจับคู่กับสมาชิกตัวหลังได้เพียงตัวเดียว หรือ จ�ำง่ายๆ ว่า “โดเมนไม่ซ�้ำ”
การตรวจสอบฟังก์ชัน
1. ความสัมพันธ์แบบแจกแจงสมาชิก
โดยดูว่าสมาชิกตัวหน้าจับคู่กับสมาชิกตัวหลังมากกว่า 1 คู่หรือไม่ ถ้าจับคู่มากกว่า 1 คู่จะไม่เป็นฟังก์ชัน
เช่น = { (1, 2), (2, 4), (6, 3), (7, 2), (9, 4) }
เป็นฟังก์ชันเพราะ ไม่มีสมาชิกตัวหน้าใดเลยที่จับคู่มากกว่า 1 คู่
= { (2, 2), (2, 4), (4, 1), (5, 8), (7, 1) }
ไม่เป็นฟังก์ชันเพราะ มีสมาชิกตัวหน้าที่จับคู่กันมากกว่า 1 คู่ คือ สมาชิกตัวหน้า 2 จับคู่กับ 2 และ 4
2. ความสัมพันธ์ที่เป็นสมการ
เมื่อแทนค่า x ในสมการ จะต้องให้ค่า y ออกมาเพียงค่าเดียว ถ้าได้ y มากกว่า 1 ค่าแสดงว่าไม่เป็นฟังก์ชัน
เช่น
เป็นฟังก์ชันเพราะเมื่อแทน x = 1 , 2 , 3 , … จะได้ y เพียง 1 ค่าเสมอ
ไม่เป็นฟังก์ชันเพราะเมื่อแทนค่า x = 1 จะได้ y มากกว่าหนึ่งค่า คือ 1 และ -1
กราฟ A กราฟ B
y y
x x
4. การหาค่าของฟังก์ชัน
หาได้จาก 3 วิธี ได้แก่
1) หาจากเซตที่แจกแจงสมาชิก
2) อ่านจากกราฟ และ
3) แทนค่าในสมการ โดยค่าที่หาได้จากฟังก์ชันจะเป็นค่า y
ตัวอย่างที่ 1 ก�ำหนดให้ f = { (1, 2), (2, 4), (6, 3), (9, 6) } จงหาค่า k เมื่อ f(k) = f(1) + f(2)
วิธีท�ำ จากฟังก์ชันที่ก�ำหนดจะได้ f(1) = 2 และ f(2) = 4 ดังนั้น f(1) + f(2) = 6
จะได้ว่า f(9) = 6 ฉะนั้น k = 9
5. ฟังก์ชันเชิงเส้น
คือ ฟังก์ชันที่อยู่ในรูป y = f(x) = ax + b เมื่อ a , b ∈ R และ a ≠ 0
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
6. ฟังก์ชันก�ำลังสอง
กราฟของฟังก์ชันก�ำลังสอง y = ax 2 + bx + c เมื่อ a ≠ 0 (ม.3) และ = 2a(x
y − yky−== ka(x
ax bx
−+h) +− ck2 =(ม.4)
−y2 h) a(xเป็ 2
− นh)กราฟพาราโบลา
แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1. a < 0 จะเป็นกราฟพาราโบลาคว�่ำ ให้ค่าสูงสุด
สมบัติของพาราโบลา
y
7. ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล
คือ ฟังก์ชันที่อยู่ในรูป
กรณีที่ 1 ถ้า 0 < a < 1 แล้ว f( x ) จะเป็นฟังก์ชันลด
กรณีที่ 2 ถ้า a > 1 แล้ว f ( x ) จะเป็นฟังก์ชันเพิ่ม
y y
y = ax ; 0 < a < 1 y = ax ; a > 1
ฟังก์ชั่นลด ฟังก์ชั่นเพิ่ม
(0, 1) (0, 1)
x x
0 0
การหาค่าของรากที่สองของ x 2 และ
จาก
ก็ต่อเมื่อ
x x
1. f (x) ≥ 0 เมื่อ −1 ≤ x ≤ 2
2. จุดวกกลับของกราฟของฟังก์ชัน f อยู่ในจตุภาคที่ 2
3. ฟังก์ชัน f มีค่าสูงสุดเท่ากับ 2
4. ฟังก์ชัน f มีค่าต�่ำสุดเท่ากับ 2
y2 = 1 + b x y1 = 1 + a x
เฉลยแบบฝึกหัด
แบบฝึกหัดที่ 1 ก�ำหนดให้ A = {1, 2, 3}, B = {2, 3}, C = {1, 3, 5, 7} และ D = {{2}, 7} จงหา
1. A X B = {(1, 2), (1,3), (2, 2), (2,3), (3, 2), (3,3)}
2. B X C = {(2,1), (2,3), (2,5), (2, 7), (3,1), (3,3), (3,5), (3, 7)}
3. C X B = {(1, 2), (1,3), (3, 2), (3,3), (5, 2), (5,3), (7, 2), (7,3)}
4. D X D = {({2},{2}), ({2}, 7), (7,{2}), (7, 7)}
5. C × (A∩ B) = {(1, 2), (1,3), (3, 2), (3,3), (5, 2), (5,3), (7, 2), (7,3)}
(A∩ B) คือเอาตัวที่ซ�้ำกันจากเซต A และ เซต B จะได้ {2, 3}
6. (A∩ B) × (C ∩ D) = { 2 , 3 } X { 7 } = {(2, 7), (3, 7)}
(A∩ B) คือเอาตัวที่ซ�้ำกันจากเซต A และ เซต B จะได้ { 2 , 3 }
(C ∩ D) คือเอาตัวที่ซ�้ำกันจากเซต C และ เซต D จะได้ { 7 }
7. P(D) × (A∪ B)
P ( D) คือเซตของสับเซต คือ { {{2},7 }, {{2}}, { 7 }, }
(A∪ B) คือเอาเซต A รวมกับ เซต B จะได้ {1, 2,3}
จะได้ { {{2},7 }, {{2}},{ 7 }, } X {1, 2,3} = {({{2}, 7}, 1), ({{2}, 7}, 2), ({{2}, 7}, 3), ({{2}}, 1), ({{2}}, 2), ({{2}}, 3), ({7}, 1),
({7}, 2), ({7}, 3), ( , 1), ( , 2), ( , 3)}
8. (C − A) × P(B)
(C − A) คืออยู่ในเซต C ห้ามอยู่ใน เซต A จะได้ {5,7}
P( B) คือเซตของสับเซต คือ { {2},{3},{2,3}, }
= จะได้ {5,7} X { {2},{3},{2,3}, }
= {(5,{2}),(5,{3}),(5,{2,3}),(5, ),(7,{2}),(7,{3}),(7,{2,3}),(7, )}
9. {(x, y) ∈ A× B x + y เป็นเลขคู่}
A คือ {1, 2, 3} และ B คือ {2, 3} จะได้ A x B = {(1, 2), (1,3), (2, 2), (2,3), (3, 2), (3,3)}
X +Y เป็นเลขคู่ จะได้ {(1,3), (2, 2), (3,3)}
a = 1,500
50,000
3
a=
100
a = 0.03
3
แทน a =
ในสมการที่ 1
100
3
จะได้ = 31, 000 300, 000( )+b
100
31,= 000 9, 000 + b
b = 22, 000
(1,-16)
หาจุดตัดแกน x ให้ y = 0 จะได้จุดตัดแกน x คือ (-3, 0) และ (5, 0) พิจารณาตัวเลือก
1. f (x) ≥ −17 ทุกจ�ำนวนจริง x → ค่าต�่ำสุดของฟังก์ชันคือ ค่าของ f ( x ) และค่าต�่ำสุดของกราฟนี้ คือ -16 ดังนั้นจะได้
ว่า f (x) ≥ −17 เป็นจริงส�ำหรับทุกจ�ำนวนจริง
ตอบ ถูก
y2 = 1 + b x y1 = 1 + a x
y
1. f (x) = 1− x
2. f (x) = 1+ x
x 3. f (x) = 1− x
4. f (x) = 1+ x
1. อัตราส่วนตรีโกณมิติ
อัตราส่วนตรีโกณมิติของรูปภายในเป็นรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างด้านและมุมภายในของรูป
สามเหลี่ยมมุมฉาก
พิจารณาสามเหลี่ยม ABC
c
a
C b A
ข้อสังเกต!!!!!!!!!
sin A และ cot A = cos A
1. tan A = cos A sin A
2. (sin A)(cosec A) = 1, (cos A)(sec A) = 1, (tan A)(cot A) = 1
3.
4.
5.
Ex1. จงเติมอัตราส่วนฟังก์ชันตรีโกณต่อไปนี้
Z p X
sec Y = ………………………
cot X = ………………………
r cos X tan Y = ………………………
q tan Y + cot X = ………………………
sin2Y + cos2Y = ………………………
sin2X + cos2Y = ………………………
Y
การยุบมุมที่ติดลบ
เพิ่มเติม
sin (- ) = -sin มุมก้ม เป็นมุมทีเ่ กิดจากแนวเส้นระดับสายตา
และแนวเส้นจากตาไปยังวัตถุ โดยวัตถุจะอยูใ่ ต้แนวเส้น
cos (- ) = cos ระดับสายตา
tan (- ) = -tan มุมเงย เป็นมุมทีเ่ กิดจากแนวเส้นระดับสายตา
และแนวเส้นจากตาไปยังวัตถุ โดยวัตถุจะอยู่สูงกว่า
แนวเส้นระดับสายตา
C A
b
“ด้านตรงข้ามมุมฉาก = ผลบวกก�ำลังสองของด้านประกอบมุมฉาก”
Co-Function
!+B ! = 90°
จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉากด้านบนจะได้ว่า A จะได้
1. sin A = cos B จะได้ว่า sin A = cos (90°- A)
กล่าวคือ sin เป็น co-function กับ cos (cosine)
2. tan A = cot B จะได้ว่า tan A = cot (90°- A)
กล่าวคือ tan เป็น co-function กับ cot (cotangent)
3. sec A = cosec B จะได้ว่า sec A = cosec (90°- A)
กล่าวคือ sec เป็น co-function กับ cosec (cosecant)
เช่น sin 43° = cos 47° เพราะ 43° + 47° = 90°
cot 63° = tan 27° เพราะ 63° + 27° = 90°
cosec 19° = sec 71° เพราะ 19° + 71° = 90°
อัตราส่วนตรีโกณมิติที่ควรทราบ
(0,1) 90°
(0,-1) 270°
60° 45°
หมายเหตุ
ข้อสอบ O-net มักจะน�ำตรีโกณไปออกในรูปสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมและวงกลม
1 1 3
sin 0 2 2 2 1
3 1 1
cos 1 2 2 2 0
1
tan 0 3
1 3 -
Ex3. สามเหลี่ยม ABC เป็นสามเหลี่ยมที่มีมุม C เป็นมุมฉาก มุม B ท�ำมุม 30° และมีพื้นที่ 24 3 ตารางนิ้ว
อยากทราบว่า BC ยาวเท่ากับข้อใด
1. 12 นิ้ว 2. 14 นิ้ว 3. 16 นิ้ว 4. 18 นิ้ว
1. 1.5 2. 3 3. 2 4. 2 2
Ex 6. ก�ำหนดให้ ABCD เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งมีพื้นที่เท่ากับ 12 ตารางนิ้ว และ tan AB! D = 1 ถ้ า AE ตั้ ง ฉากกั บ BD ที่ จุ ด
3
E แล้ว AE ยาวเท่ากับข้อใด
3. 17 3 ตารางหน่วย 4. 18 3 ตารางหน่วย
EX1. จงเติมอัตราส่วนฟังก์ชันตรีโกณต่อไปนี้
Z p sec Y =
X
cot X =
cos X tan Y =
r
q tan Y + cot X = 2p
r
sin2Y + cos2Y = 1
Y sin2X + cos2Y =
โจทย์ปัญหา
Ex2. สามเหลี่ยมหน้าจั่วมุมฉาก ABC มีพื้นที่เท่ากับ 27 ตารางนิ้ว ด้านที่ยาวที่สุดของสามเหลี่ยม ABC ยาวเท่ากับเท่าไร
1. 3 2. 6 3. 3 6 4. 6 3
x 2
= 54
X
จากทฤษฎีบทปีทาโกรัส ผลรวมก�ำลังสองของด้านที่สั้นที่สุดบวกกันจะได้ด้านที่ยาวที่สุดก�ำลังสอง
x 2
+ x2 =
c2
54 + 54 =
c 2
c = 6 3
ตอบ 4
Ex3. สามเหลี่ยม ABC เป็นสามเหลี่ยมที่มีมุม C เป็นมุมฉาก มุม B ท�ำมุม 30° และมีพื้นที่ 24 3 ตารางนิ้ว
อยากทราบว่า BC ยาวเท่ากับข้อใด
1. 12 นิ้ว 2. 14 นิ้ว 3. 16 นิ้ว 4. 18 นิ้ว
x 2
= 48 30ํ
x = 4 3
C B
AC AC x x
= =
จะได้ BCBCยาว
BC
= 3 x 3 3x x 3(4 3) 12
=
ตอบ 1
1. 1.5 2. 3 3. 2 4. 2 2
C
ให้ด้านกว้างของ สี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว x เมตร
จะเห็นว่า สามเหลี่ยมที่ได้ มีด้านสองด้านยาวเท่ากันแสดงว่าสามเหลี่ยมรูปนี้ มี Aˆ= Bˆ= 45
จากทฤษฎีบทปีทาโกรัส ผลรวมก�ำลังสองของด้านที่สั้นที่สุดบวกกันจะได้ด้านที่ยาวที่สุดก�ำลังสอง
(2 x) + (2 x) = C 2 2 2
C = 8x 2 2
CC==(2 88x2x) x
CCC==(=22222x2x) x
เนื่องจาก ด้านกว้างยาว x ดังนั้นจุด A และจุด B อยู่ห่างเป็นระยะ 2 2 เท่าของด้านกว้าง
ตอบ 4
Ex 6. ก�ำหนดให้ ABCD เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งมีพื้นที่เท่ากับ 12 ตารางนิ้ว และ tan AB! D = 1 ถ้ า AE ตั้ ง ฉากกั บ BD ที่ จุ ด
3
E แล้ว AE ยาวเท่ากับข้อใด
วิธีท�ำ
A 3x B
x
E
D C
จาก !D = 1
tan AB สมมติให้ AD และ AB ยาว X และ 3X ตามล�ำดับ
3
พื้นที่ = กว้าง x ยาว
12 = X (3X)
X = 2
จากทฤษฎีบทปีทาโกรัส จะท�ำให้ได้ด้าน BD = 6 + 2 = 2 10 2 2
1
6 = × 2 10 × AE
2
6
AE =
10 6 6
AE = AE =
( ) ( )
6 610
AE== AE = AE
10 10
AE
AE==
66
== 6101010
10
3 10
AE =
5
ตอบ 4
สมการที่ 1
สมการที่ 2
h
y น�ำสมการที่ 2 ÷ 1 จะได้ ;
90ํ -
ก ข
10
40
คือ
ตอบ 4
Ex 8. วงกลมหนึ่งมีรัศมี 6 หน่วย และ A,B,C เป็นจุดบนเส้นรอบวง ถ้า AC เป็นเส้นผ่านศูนย์กลางของวงกลม และ !C = 60!
AB
90ํ BC AB
จากรูป จะได้ว่า cos 60
=
12
และ sin 60 =
12
60ํ จะได้ พื้นที่สามเหลี่ยม ABC = 1
(12 cos 60 )(12sin 60 )
A 2
C
= 18 3 ตารางหน่วย
ตอบ 4
น้องๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
Tag : สอนศาสตร์, คณิตศาสตร์, อัตราส่วนตรีโกณมิติ
เรือ่ งของล�ำดับและอนุกรม ความยากอยูใ่ นระดับปานกลาง เรือ่ งนีจ้ ดั เป็นหนึง่ ในเรือ่ งทีใ่ ช้ทกั ษะในการค�ำนวณและสูตรต่างๆ
ในหัวข้อนี้ถือเป็นสิ่งส�ำคัญในการสร้างสมการจากโจทย์ต่างๆ อย่างไรก็ตามน้องๆ ต้องอ่านโจทย์และท�ำความเข้าใจว่าโจทย์ให้อะไร
มา และต้องการหาอะไร ที่ส�ำคัญที่สุด คือ ความรอบคอบในการแก้ระบบสมการ
ล�ำดับ (Sequence)
บทนิยาม : ฟังก์ชันที่มีโดเมนเป็นสับเซตของจ�ำนวนเต็มบวก และมีเรนจ์เป็นสับเซตของจ�ำนวนจริง
ถ้า f เป็นฟังก์ชันล�ำดับจ�ำกัดที่มีโดเมนเท่ากับ {1, 2, 3, …, n} แล้ว สมาชิกของ f จะได้ f(1), f(2), f(3), … , f(n) หรือ a1, a2,
a3, … , anเรียกว่า ล�ำดับจ�ำกัด
ถ้า f เป็นฟังก์ชันล�ำดับอนันต์ ที่มีโดเมนเท่ากับ {1, 2, 3, …, n, …} แล้ว สมาชิกของ f จะได้ f(1), f(2), f(3), … , f(n), … หรือ
a1, a2, a3, … , an, … เรียกว่า ล�ำดับอนันต์
แบบฝึกหัดที่ 1
1. ถ้าพจน์แรกมีค่าเท่ากับ 8 และพจน์ที่ 3 เท่ากับ 16 จงหาพจน์ที่ 15 ของล�ำดับเลขคณิต
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. จงหาพจน์ที่ 8 ของล�ำดับ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
การแก้โจทย์ล�ำดับบางครั้งต้องใช้สมมติล�ำดับเพื่อจะท�ำให้สามารถแก้โจทย์ปัญหาได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
1. ล�ำดับเลขคณิต
ถ้าจ�ำนวนพจน์ที่เรียงกันเป็นจ�ำนวนคี่ รูปล�ำดับเลขคณิตที่สมมาตรจะได้ดังนี้
เมื่อมี 3 พจน์ : a – d , a , a + d
เมื่อมี 5 พจน์ : a – 2d , a – d , a , a + d , a + 2d
เมื่อมี 7 พจน์ : a – 3d , a – 2d , a – d , a , a + d , a + 2d, a + 3d
ถ้าจ�ำนวนพจน์ที่เรียงกันเป็นจ�ำนวนคู่ รูปล�ำดับเลขคณิตที่สมมาตรจะได้ดังนี้
เมื่อมี 4 พจน์ : a – 3d , a – d , a + d , a + 3d
เมื่อมี 6 พจน์ : a – 5d , a – 3d , a – d , a + d , a + 3d , a + 5d
2. ล�ำดับเรขาคณิต
ถ้าจ�ำนวนพจน์ที่เรียงกันเป็นจ�ำนวนคี่ รูปล�ำดับเรขาคณิตที่สมมาตรจะได้ดังนี้
เมื่อมี 3 พจน์ : , a , ar
เมื่อมี 5 พจน์ : , , a , ar , ar2
ถ้าจ�ำนวนพจน์ที่เรียงกันเป็นจ�ำนวนคู่ รูปล�ำดับเรขาคณิตที่สมมาตรจะได้ดังนี้
เมื่อมี 4 พจน์ : , , ar , ar3
เมื่อมี 6 พจน์ : , , , ar , ar3 , ar5
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
อนุกรม (Series)
อนุกรม คือ ผลรวมของล�ำดับ โดยจ�ำนวนในอนุกรมเรียกว่า พจน์ (เหมือนกับของล�ำดับ)
บทนิยาม : เมื่อ a1, a2, a3 , … , anเป็นล�ำดับจ�ำกัด ที่มี n พจน์ จะสามารถเขียนแสดงผลบวกของพจน์ทุกพจน์ของล�ำดับในรูป
a1 + a2 + a3 + … + anเรียกว่า “อนุกรมจ�ำกัด”
เมื่อ a1 , a2 , a3 , … , an , … เป็นล�ำดับอนันต์ จะสามารถเขียนแสดงผลบวกในรูป a1 + a2 + a3 + … + an + … เรียก
ว่า “อนุกรมอนันต์”
สัญลักษณ์แทนการบวก
ซิกมา ( sigma : ) คือ สัญลักษณ์แทนการบวก โดยมีรูปแบบการบวกด้วยซิกมาจะเป็นดังนี้
สมบัติของซิกมา
1. เมื่อ c เป็นค่าคงตัว
2.
3.
4.
สูตรผลบวกที่ส�ำคัญ
1.
2.
3.
n
เช่น = 3( )(n +1) − 2n
2
5
= = 3( )(5+1) − 2(5)
2
=
= 35
ผลบวกของ n พจน์แรกของอนุกรม
n
เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ Sn = a1 + a2 + a3 + … + an = a
i=1 i
บทนิยาม : ถ้าอนุกรมนั้นเป็นล�ำดับเลขคณิต เรียกว่า “อนุกรมเลขคณิต” และผลต่างร่วมของล�ำดับเลขคณิต เป็นผลต่างร่วมของ
อนุกรมเลขคณิตด้วย
ถ้าอนุกรมนั้นเป็นล�ำดับเรขาคณิต เรียกว่า “อนุกรมเรขาคณิต” และอัตราส่วนร่วมของล�ำดับเรขาคณิตจะเป็นอัตราส่วนร่วม
ของอนุกรมเรขาคณิตด้วย
อนุกรมเลขคณิต
ผลบวกของ n พจน์แรกของอนุกรมเลขคณิต สามารถหาได้จากสมการ
หรือ
n
** หมายเหตุ ในกรณีที่เรารู้ Sn ต้องการจะหา an ได้จากสมการนี้ an = Sn – Sn-1 เมื่อ n ≠ 1 และ Sn = a
i=1 i
9. จงหาผลบวกของอนุกรมเลขคณิต 1 + 5 + 9 + … + 117
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
อนุกรมเรขาคณิต
ผลบวกของ n พจน์แรกของอนุกรมเรขาคณิต สามารถหาได้จากสมการ
หรือ เมื่อ r ≠ 1
14. อนุกรมเรขาคณิตอนุกรมหนึง่ มีพจน์แรกเท่ากับ 3 และพจน์ที่ n เท่ากับ 96 และผลบวก n พจน์แรก เท่ากับ 189 จงหา
ผลบวกของ 10 พจน์แรกของอนุกรมนี้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. จงหาพจน์ที่ 8 ของล�ำดับ
วิธีท�ำ เนื่องจาก a1 = , r = =
จาก an = a1 rn-1
a8 =
3,025k + 1155k + 55 = 4,235
4,180k = 4180
k = 1
14. อนุกรมเรขาคณิตอนุกรมหนึ่ง มีพจน์แรกเท่ากับ 3 และพจน์ที่ n เท่ากับ 96 และผลบวก n พจน์แรก เท่ากับ 189 จงหาผลบวก
ของ 10 พจน์แรกของอนุกรมนี้
วิธีท�ำ ใช้สมการ เพื่ออัตราส่วนร่วมก่อน
189r – 189 = 96r – 3
93r = 186
r = 2
จากสมการ
S10 = 3 (1024 – 1)
S10 = 3 (1023) = 3069
น้องๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
Tag : สอนศาสตร์, คณิตศาสตร์, ลำ�ดับ, อนุกรม, สูตรเตรียมสอบ
ส�ำหรับในเรือ่ งความน่าจะเป็น เรือ่ งนีจ้ ดั เป็นหนึง่ ในเรือ่ งทีใ่ ช้ทกั ษะในการค�ำนวณและจ�ำสูตรน้อยมากๆ เมือ่ เทียบกับเรือ่ งอืน่ ๆ
แต่การที่น้องๆ จะสามารถท�ำข้อสอบในเรื่องนี้ได้ น้องๆ จะต้องมีความเข้าใจในข้อแตกต่างระหว่างกฎการคูณและกฎการบวก ซึ่งจะ
เป็นตัวก�ำหนดว่าน้องๆ จะต้องแก้โจทย์ปญ ั หาภายใต้เงือ่ นไขทีแ่ ตกต่างกัน ตามล�ำดับขัน้ ตอนใดก่อนหรือหลัง และสิง่ ทีส่ ำ� คัญทีส่ ดุ คือ
การแยกแยะว่าสิ่งที่โจทย์ก�ำหนดให้ อยู่ภายใต้เหตุการณ์หลักหรือเหตุการณ์ย่อย และน�ำมาประยุกต์ใช้กับกฎการคูณและกฎการบวก
นั่นเอง
2. แฟคทอเรียล (Factorial)
นิยาม ให้ n เป็นสมาชิกของจ�ำนวนเต็มบวก
แฟคทอเรียล n หมายถึง ผลคูณของจ�ำนวนเต็มบวก ตั้งแต่ 1 ถึง n
เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ n! อ่านว่า “แฟคทอเรียล n” หรือ “n แฟคทอเรียล”
n! = n × (n-1) × (n-2) × … × 3 × 2 × 1
ค่า n!
0! = 1
1! = 1
2! = 2×1=2
3! = 3×2×1=6
4! = 4 × 3 × 2 × 1 = 24
5! = 5 × 4 × 3 × 2 × 1 = 120
6! = 6 × 5 × 4 × 3 × 2 × 1 = 720
7! = 7 × 6 × 5 × 4 × 3 × 2 × 1 = 5,040
8! = 8 × 7 × 6 × 5 × 4 × 3 × 2 × 1 = 40,320
9! = 9 × 8 × 7 × 6 × 5 × 4 × 3 × 2 × 1 = 362,880
*** n! + m! ≠ (n + m)! n! – m! ≠ (n - m)!
n! × m! ≠ (n × m)! n! ÷ m! ≠ (n ÷ m)! ***
เกร็ดความรู้
ท�ำไม 0 แฟคทอเรียล = 1
เนื่องจากนิยามของ n! คือผลคูณของจ�ำนวนเต็มบวก ตั้งแต่ 1 ถึง n แต่บางครั้ง จ�ำเป็นต้องใช้ 0! จึงก�ำหนดค่า 0! = 1 เพื่อ
ให้สอดคล้องกับนิยามที่บอกว่า เป็นผลคูณจ�ำนวนเต็มบวก (จ�ำนวนนับ)
n! = n (n-1)(n-2)....3.2.1
ดังนั้น ถ้า 2! = 2.(2-1) = 2.1 = 2
แต่ 1! = 1.(1-1)! = 1.0! = ซึ่งค�ำตอบต้องเป็น 1 เท่านั้นจึงจะสอดคล้องกับสมการ
เนื่องจาก 1! = 1 ดังนั้นมันจึงบังคับให้ 0! = 1 จ้า
1 2 3 4
จากนั้นให้ท�ำการสับเปลี่ยนเชิงเส้นระหว่างสัตว์ทั้ง 4 ตัว
จ�ำนวนวิธีในการยืนถ่ายรูป = 4!
จากนั้น ให้พิจารณาตามเงื่อนไข (เพนกวินน�้ำเงินไม่สามารถยืนติดเพนกวินด�ำได้)
X X
เหลือการสับเปลี่ยนเชิงเส้นเพียง 3 กลุ่ม = 3!
จากนั้น สังเกตว่า เพนกวินทั้งสองตัวสามารถสลับที่กันได้ (ยังคงอยู่ภายใต้เงื่อนไข “ม้าอยู่ระหว่างเพนกวินทั้ง 2 ตัว”)
สับเปลี่ยนเชิงเส้นระหว่างเพนกวิน 2 ตัว = 2!
ดังนั้น จ�ำนวนวิธีในการยืนถ่ายรูป = 3! × 2!
=3×2×1×2×1
= 12 วิธี
· การสับเปลี่ยนเชิงเส้นของสิ่งของที่มีบางสิ่งซ�้ำกัน
ในกรณีที่มีสิ่งของที่มีลักษณะเหมือนกัน
จ�ำนวนวิธีในการสับเปลี่ยน = วิธี
A D M O N I I S S
แบบฝึกหัด
1. ครอบครัวหนึ่งประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูกชาย 2 คน และลูกสาว 3 คน นั่งเรียงแถวถ่ายรูป โดยให้พ่อและแม่นั่งติดกัน ลูกชายนั่งติด
กัน ลูกสาวนั่งติดกัน แต่ลูกสาวคนแรกไม่นั่งติดกับลูกสาวคนที่สอง และให้พ่อแม่นั่งอยู่ระหว่างกลุ่มของลูกชายและลูกสาว จะมี
วิธีการนั่งทั้งหมดกี่วิธี
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ตัวอย่าง 4 ลูกบอล 6 ลูก ประกอบไปด้วยสีแดง สีด�ำ สีขาว สีน�้ำเงิน สีเขียว และสีเหลือง จงหาจ�ำนวนวิธีทั้งหมด เมื่อน�ำลูกบอล
มาวางเรียงเป็นวงกลม ตามเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้
จ�ำนวนลูกบอลที่แตกต่างกัน (n) = 6
1) ไม่มีเงื่อนไข
จ�ำนวนวิธีในการสับเปลี่ยน = (6-1)!
= 120 วิธี
2) สีแดงและสีเหลืองวางติดกัน
ขั้นแรก ให้มัดลูกบอลสีแดงและสีเหลืองไว้ด้วยกัน (เหมือนกับกรณีสับเปลี่ยนเชิงเส้น)
แดง ขาว
เหลือง น�้ำเงิน
ด�ำ เขียว
จากนั้น ให้ท�ำการสับเปลี่ยนแบบวงกลมเช่นเดิม
***(แต่อย่าลืมการสับเปลี่ยนเชิงเส้นระหว่างลูกบอลสีแดงและสีเหลือง)***
จ�ำนวนวิธีในการสับเปลี่ยน = (5-1)! × 2!
= 4! × 2!
= 48 วิธี
3) สีแดงติดสีเหลือง สีน�้ำเงินติดสีขาว และสีด�ำติดสีเขียว
แดง ขาว
เหลือง น�้ำเงิน
ด�ำ เขียว
แดง
น�้ำเงิน เหลือง
ด�ำ เขียว
แดง
น�้ำเงิน เหลือง
ด�ำ เขียว
แดง ขาว
เหลือง น�้ำเงิน
ด�ำ เขียว
จ�ำนวนวิธีในการสับเปลี่ยน ทั้งหมด = (6-1)!
= 5!
= 120 วิธี
กรณีที่ 2 จ�ำนวนวิธีในการสับเปลี่ยน ที่ลูกบอลสีขาวอยู่ติดกับลูกบอลสีด�ำ
แดง เขียว
เหลือง น�้ำเงิน
ด�ำ ขาว
จ�ำนวนวิธีในการสับเปลี่ยน = (5-1)! × 2!
= 4! × 2!
= 48 วิธี
ตัวอย่างเช่น
r=3 ตัว
⎛⎜8⎞⎟ = 8x7x6 = 8x7x6 = 56
⎝ 3⎠ 3! 3x2x1
r=3 เท่ากัน
r=5 ตัว
และ ⎛8 ⎞ 8x7x6x5x4 8x7x6x5x4
⎜ ⎟ = = = 56
⎝ 5⎠ 5! 5x4x3x2x1
r=5
ดังนั้น ถ้า r1+r2=n แล้ว Cr1= nCr2
n
แบบฝึกหัด
4. ในการทัศนศึกษาของนักเรียนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจ�ำนวน 14 คน ซึ่งรวม A และ B อยู่ด้วย ในการพักแรม มีห้องพักอยู่ 2 ห้อง โดยห้อง
101 จุคนได้ 8 คน และห้อง 102 จุคนได้ 6 คน จ�ำนวนวิธีที่จัดให้ A และ B อยู่ห้องเดียวกัน ต่างจากจ�ำนวนวิธีที่จัดให้ A และ B อยู่
คนละห้องกันกี่วิธี
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5. ต้องการแต่งตั้งคณะผู้บริหารบริษัท ประกอบไปด้วยประธานบริษัท รองประธาน เลขานุการ เหรัญญิก อย่างละ 1 คน จากกลุ่มผู้
ถือหุ้นที่มีผู้ชาย 6 คน และผู้หญิง 4 คน จงหา
1) จ�ำนวนรูปแบบของการแต่งตั้งแบบไม่มีเงื่อนไข และ
2) จ�ำนวนรูปแบบของการแต่งตั้ง โดยที่ประธานเป็นผู้ชาย และเลขานุการเป็นผู้หญิง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
โยนเหรียญครั้งที่ 1 โยนเหรียญครั้งที่ 2
H
H
T
H
T
T
n( E )
P(E) =
n( S )
5.5) สมบัติของความน่าจะเป็นของเหตุการณ์
1. 0 P(E) 1 โดย P(E) = 0 หมายถึงไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น
2. P(S) = 1 หมายถึง ความน่าจะเป็นของแซมเปิ้ลสเปซเท่ากับ 1 เสมอ
3. ถ้า P(E’) แทนความน่าจะเป็นที่เหตุการณ์ E จะไม่เกิดขึ้นแล้ว
P(E) = 1 – P(E’)
ตัวอย่าง 9 ในการจับสลากชิงโชค มีสลากทั้งหมด 10 ใบ ซึ่งแต่ละใบมีมูลค่าต่างกัน ดังนี้
สลากหมายเลข 1 มีมูลค่า 500 บาท
สลากหมายเลข 2 มีมูลค่า 300 บาท
สลากหมายเลข 3 มีมูลค่า 200 บาท
สลากหมายเลข 4 - 10 มีมูลค่า 0 บาท
จงหาความน่าจะเป็น ในการหยิบสลาก 2 ใบพร้อมกัน แล้วมีมูลค่ารวม 500 บาท
ก�ำหนดให้ S เป็นแซมเปิ้ลสเปซ และ E เป็นเหตุการณ์ที่สลากสองใบมีมูลค่ารวม 500 บาท
n(S) = จ�ำนวนแซมเปิ้ลสเปซ (จ�ำนวนเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมด)
= จ�ำนวนวิธีในการหยิบสลาก 2 ใบ จาก 10 ใบ
= 10C2 = 10x9
2x1
= 45 วิธี
n(E) = จ�ำนวนเหตุการณ์ที่สนใจ (สลากสองใบมีมูลค่ารวม 500 บาท)
= สลากหมายเลข 1 + หมายเลข 4-10 หรือ สลากหมายเลข 2 + หมายเลข 3
= (1,4) (1,5) (1,6) (1,7) (1,8) (1,9) (1,10) (2,3)
= 8 เหตุการณ์ / 8 วิธี
n(E)
จาก P(E) = n(S)
8
ดังนั้น P(E) =
45
= 0.1777...
= 17.7777…%
****เราสามารถเขียน P(E) ให้อยู่ในรูปของร้อยละได้ โดย
P(E) ×100 = P(E)%***
เฉลยแบบฝึกหัด
แดง
1 2
3 4
สับเปลี่ยนเชิงวงกลม 5 กลุ่ม = (5-1)! = 4!
ต�ำแหน่งที่ลูกแก้วสีขาวสามารถเข้าไปได้ = 3
ดังนั้น จ�ำนวนวิธีในการสับเปลี่ยนเชิงวงกลม = 4! × 3
=4×3×2×1×3
= 72 วิธี
ดังนั้น จ�ำนวนวิธีในการสับเปลี่ยนลูกแก้วของทั้ง 2 แบบแตกต่างกัน 240 – 72 = 168 วิธี
4. ในการทัศนศึกษาของนักเรียนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจ�ำนวน 14 คน ซึ่งรวม A และ B อยู่ด้วย ในการพักแรม มีห้องพักอยู่ 2 ห้อง โดยห้อง
101 จุคนได้ 8 คน และห้อง 102 จุคนได้ 6 คน จ�ำนวนวิธีที่จัดให้ A และ B อยู่ห้องเดียวกัน ต่างจากจ�ำนวนวิธีที่จัดให้ A และ B
อยู่คนละห้องกันกี่วิธี
วิธีท�ำ ห้อง 101 ห้อง 102
A B
8 7 6
3
6 5
C
จากแผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ n(A ∪ B ∪ C) = 44 และ n(B ∪ C) = 36
ดังนั้น เมื่อสุ่มเลือกสมาชิก 1 คน จากสมาชิกทั้งหมด ความน่าจะเป็นที่จะได้สมาชิกที่ชอบบทความเกี่ยวกับกีฬา
หรือบทความเกี่ยวกับรถยนต์เท่ากับ 36 หรือเท่ากับ 0.82
44
• สรุปสูตรคณิตศาสตร์สำ�หรับเตรียมสอบ -
เรื่อง ความน่าจะเป็น
http://www.trueplookpanya.com/book/m6/
onet-math/ch8-6
ประเภทของสถิติ
1. สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) คือ การใช้ข้อมูลที่ตีความออกมา ในการสรุปลักษณะเฉพาะของกลุ่ม
ตัวอย่างนั้นๆ ไม่น�ำไปใช้อ้างอิงถึงลักษณะเฉพาะของประชากร
2. สถิติเชิงอนุมาน (Inferences Statistical) คือ การใช้ข้อมูลที่ตีความออกมา ในการสรุปถึงลักษณะเฉพาะของประชากร
การจ�ำแนกข้อมูล
1. จ�ำแนกตามลักษณะของข้อมูล
1.1) ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data) หมายถึงข้อมูลทีใ่ ช้แทนขนาดหรือปริมาณวัดออกมาเป็นค่าตัวเลขทีส่ ามารถ
น�ำมาใช้เปรียบเทียบขนาดได้โดยตรง
1.2) ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) หมายถึงข้อมูลทีไ่ ม่สามารถวัดออกมาเป็นค่าตัวเลขโดยตรงได้ แต่วดั ออกมา
ในเชิงคุณภาพได้ เช่น การหาค่ากลางข้อมูล
2. จ�ำแนกตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
2.1) ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) หมายถึงข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมจากผู้ที่ให้ข้อมูล หรือแหล่งที่มาโดยตรง
2.2) ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) หมายถึงการน�ำข้อมูลที่ผู้อื่นได้เก็บรวบรวมไว้แล้ว มาใช้เป็นข้อมูล
ข้อมูลแจกแจงความถี่
หมายถึง จัดข้อมูลที่มีอยู่ให้เป็นกลุ่มๆ คือ ให้ข้อมูลที่มีค่าใกล้เคียงกันอยู่ด้วยกัน เพื่อความสะดวกในการวิเคราะห์
1-10 5 5 40 40
11-20 9 14 9 14
40 40
21-30 15 29 15 29
40 40
11 40
31-40 11 40 40 40
การวิเคราะห์ข้อมูล
1. การหาค่ากลางข้อมูล
1.1) ข้อมูลไม่แจกแจงความถี่
1.1.1) ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ( )
Σx
ข้อมูล 1 ชุด = fc
Nn
fc fc fc fc
n x n x fc k xk
n
n1 x1 + nข้2nxอ1 x2มู1+...
ล+knชุ+2 xดn2 k+... nNkfcxk = 1 1fc 2fc 2
N + N +... + N
xk = +Σx
n1 ++nn2 +... + nnΣxN nN1 + nN2 +... + nNk
n1 + n2 +... k
k
n
1.1.2) มัธยฐาน (Median)
แบบฝึกหัด
1. คะแนนสอบวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนห้องหนึ่งมีดังนี้ (มีนักเรียนขาดสอบ 1 คน)
2 9 3 11 17 20 19
18 6 13 13 14 16 12
1) คนที่ขาดสอบ ต้องสอบให้ได้กี่คะแนน จึงจะท�ำให้คะแนนเฉลี่ยของการสอบเท่ากับ 12 คะแนน
2) ถ้านักเรียนที่ขาดสอบ สอบได้ 13 คะแนน จงหาผลต่างของมัธยฐานและฐานนิยม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขั้นตอนการหามัธยฐาน fc
โดย L = ขอบล่างของชั้นที่มีมัธยฐานอยู่
I = ความกว้างของอันตรภาคชั้น
Σf = ความถี่สะสมจนถึงก่อนหน้าชั้นที่มีมัธยฐานอยู่
L
f = ความถี่ของชั้นที่มีมัธยฐานอยู่
Med
ชั้นที่ 1 = 41+2 50
= 45.5
ดังนัน้ จุดกึง่ กลางแต่ละชัน้ = 45.5, 55.5, 65.5, 75.5, 85.5 และ 95.5 ตามล�ำดับ (แต่ละชัน้ มีความกว้างอันตรภาคชัน้ เท่ากัน)
Σfx
= (45.5)(5) + (55.5)(11) + (65.5)(15)50+ (75.5)(12) + (85.5)(5) + (95.5)(2)
n
= 3345
50
= 66.9 กิโลกรัม
fc
n
N 50
2) มัธยฐาน 1.หาต�ำแหน่ง = = = 25
2 2
จากความถี่สะสม จะเห็นว่าต�ำแหน่
fc
งของมัธยฐานอยู่ในอันตรภาคชั้นที่ 3
n
⎛ N ⎞
⎜ − ΣfL ⎟
จาก Med = L + I ⎜ 2 ⎟
⎜ fMed ⎟
⎝ ⎠
⎛ 50 ⎞
⎜ −16 ⎟
Med = 60.5 +10 ⎜ 2 ⎟
⎜ 15 ⎟
⎝ ⎠
Mode = L + I ⎜ d d+ ;
⎛ ⎞
จาก 1
d
⎟ d1= 15-11 = 4 และ d2= 15-12 = 3
⎝ 1 2 ⎠
⎛ 4 ⎞
Mode = 60.5 +10 ⎜ ⎟
⎝ 4 + 3 ⎠
แบบฝึกหัด
2. จงหาค่ามัธยฐานและฐานนิยมจากตารางที่ก�ำหนดให้
คะแนน ความถี่สะสม
11-13 3
14-16 8
17-19 15
20-22 21
23-25 25
26-28 30
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4
3. ข้อมูลที่ต�ำแหน่งตรงกับสูตร คือค่าควอไทล์
2.1.2) เดไซล์ (Decile)
ขั้นตอนการหาเดไซล์
1. เรียงล�ำดับข้อมูลจากน้อยไปมาก fc
r(nN +1)
2. หาต�ำแหน่งของเดไซล์จากสูตร Dr = th
10
3. ข้อมูลที่ต�ำแหน่งตรงกับสูตร คือค่าเดไซล์
2.1.3) เปอร์เซ็นไทล์
ขั้นตอนการหาเปอร์เซ็นไทล์
1. เรียงล�ำดับข้อมูลจากน้อยไปมาก fc
r(nN +1)
2. หาต�ำแหน่งของเปอเซ็นไทล์จากสูตร Pr = th
100
3. ข้อมูลที่ต�ำแหน่งตรงกับสูตร คือค่าเปอร์เซ็นไทล์
ตัวอย่าง
6 10 18 8 13 15 4 7 13 3
3 4 6 7 8 10 13 13 15 18
2.2) ข้อมูลแจกแจงความถี่
2.1.1) ควอไทล์ (Quartile)
fc
rnN
ขั้นตอนการหาควอไทล์ 1. หาต�ำแหน่งของควอไทล์จากสูตร Qrth =
fc 4
⎛ rnN ⎞
⎜ − ΣfL ⎟
2. QDr = L + I ⎜ 10 ⎟
⎜ fD ⎟
⎝ ⎠
ดังนั้น Q1 = 57.32
fc
⎛ rnN ⎞
⎜ − ΣfL ⎟
D3 : จาก Dr = L + I ⎜ 10 ⎟
⎜ fD ⎟
⎝ ⎠
⎛ 15 − 5 ⎞
จะได้ D3 = 50.5 +10 ⎜
⎝ 11 ⎠
⎟
ดังนั้น D3 = 59.59
fc
⎛ rnN ⎞
⎜ − ΣfL ⎟
P70 : จาก Pr = L + I ⎜ 100 ⎟
⎜ fP ⎟
⎝ ⎠
⎛ 35 − 31⎛ 35
⎞ − 31 ⎞
จะได้ P70 = L70.5
P+70I=⎜+L 10
+ I ⎜ ⎟ ⎟
⎝ 12 ⎝ ⎠ 12 ⎠
ข้อควรจ�ำ
TIPS ถ้าหากต�ำแหน่งของมัธยฐาน ควอไทล์ เดไซล์ หรือเปอร์เซ็นไทล์ มีค่าตรงกับความถี่สะสมของชั้นใดมัธยฐาน ควอไทล์
เดไซล์ หรือเปอเซ็นไทล์จะมีค่าเท่ากับขอบบนของชั้นนั้นๆ
3. การวัดการกระจายข้อมูล
3.1) พิสัย = Max – Min
Q3 − Q1
3.2) ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์ =
2
Σ | xfc− x |
3.3) ส่วนเบี่ยงเบนเฉลี่ย (M.D) =
nN
fc x )
2
Σ(x − fc
3.4) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) =
n
N N
ดังนั้น พิสัย = 15
จาก x = Σx
n
x = 16 +14
16 +14
+11+ 20 +19
+11+ 20 +19
+ 8 ++58+14
+ 5 +14
+13 +13
10 10
ดังนั้น = 13.1
แบบฝึกหัด
3. พิจารณาข้อมูลต่อไปนี้
1) หากก�ำหนดให้ข้อมูลทั้งสองชุด ได้แก่ ก และ ข มีจ�ำนวนข้อมูล และผลรวมของก�ำลังสองข้อมูลแต่ละข้อมูลเท่ากัน หาก
ชุดข้อมูล ก มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตมากกว่าชุดข้อมูล ข ชุดข้อมูล ก จะมีค่าการกระจายของข้อมูลสูงกว่าชุดข้อมูล ข
2) หากก�ำหนดให้ข้อมูลทั้งสองชุด ได้แก่ ค และ ง มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเท่ากัน และผลรวมของก�ำลงสองข้อมูลแต่ละข้อมูล
เท่ากัน หากชุดข้อมูล ค มีจำ� นวนประชากรมากกว่าชุดข้อมูล ง ชุดข้อมูล ค จะมีคา่ การกระจายของข้อมูลต�ำ่ กว่าชุดข้อมูล ง
ข้อใดเป็นจริง เมื่อพิจารณาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูล
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. จงหาค่ามัธยฐานและฐานนิยมจากตารางที่ก�ำหนดให้
คะแนน ความถี่สะสม
11-13 3
14-16 8
17-19 15
20-22 21
23-25 25
26-28 30
1) ต�ำแหน่งของมัธยฐาน = 15
จาก ***TIPS ถ้าหากต�ำแหน่งของมัธยฐาน ควอไทล์ เดไซล์ หรือเปอเซ็นไทล์ มีค่าตรงกับความถี่สะสมของชั้นใดมัธยฐาน
ควอไทล์ เดไซล์ หรือเปอเซ็นไทล์จะมีค่าเท่ากับขอบบนของชั้นนั้นๆ
20 +19
ดังนั้น มัธยฐาน = 2
= 19.5
2) ฐานนิยม มาจากชั้นที่มีความถี่มากสุด = อันตรภาคชั้นที่ 3 (ความถี่ = 7)
⎛ d ⎞
จาก Mode = L + I ⎜ 1 ⎟
⎝ d1 + d2 ⎠
1 ⎞
Mode = 16.5 + 3⎛⎜ ⎟
⎝ 2 +1 ⎠
ดังนั้น ฐานนิยม = 17.5
3. พิจารณาข้อมูลต่อไปนี้
1) หากก�ำหนดให้ข้อมูลทั้งสองชุด ได้แก่ ก และ ข มีจ�ำนวนข้อมูล และผลรวมของก�ำลังสองข้อมูลแต่ละข้อมูลเท่ากัน หาก
ชุดข้อมูล ก มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตมากกว่าชุดข้อมูล ข ชุดข้อมูล ก จะมีค่าการกระจายของข้อมูลสูงกว่าชุดข้อมูล ข
2) หากก�ำหนดให้ข้อมูลทั้งสองชุด ได้แก่ ค และ ง มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเท่ากัน และผลรวมของก�ำลงสองข้อมูลแต่ละข้อมูล
เท่ากัน หากชุดข้อมูล ค มีจ�ำนวนประชากรมากกว่าชุดข้อมูล ง ชุดข้อมูล ค จะมีค่าการกระจายของข้อมูลต�่ำกว่าชุด
ข้อมูล ง
ข้อใดเป็นจริง เมื่อพิจารณาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูล
fc
วิธีท�ำ 1) จาก N fc
ก�ำหนดให้ N มีค่าเท่ากันแต่ ชุดข้อมูล ก มีค่าของ มากกว่า จึงท�ำให้ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของชุดข้อมูล
ก มีค่าน้อยกว่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของชุดข้อมูล ข ดังนั้น ชุดข้อมูล ก มีค่าการกระจายของข้อมูลน้อยกว่า ข้อความ
(1) จึงผิด
2) ก�ำหนดให้ มีค่าเท่ากัน แต่ชุดข้อมูล ค มีค่าของ มากกว่า จึงท�ำให้ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของชุดข้อมูล
ค มีค่าน้อยกว่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของชุดข้อมูล ง ดังนั้น ชุดข้อมูล ค มีค่าการกระจายของข้อมูลน้อยกว่า ข้อความ
(2). จึงถูกต้อง
• 20 : สถิติ 1
http://www.trueplookpanya.com/book/m6/
onet-math/ch9-1
• 21 : สถิติ 2
http://www.trueplookpanya.com/book/m6/
onet-math/ch9-2
• 22 : สถิติ 3
http://www.trueplookpanya.com/book/m6/
onet-math/ch9-3
• 23 : สถิติ 4
http://www.trueplookpanya.com/book/m6/
onet-math/ch9-4
• 24 : สถิติ 5
http://www.trueplookpanya.com/book/m6/
onet-math/ch9-5
• สรุปสูตรคณิตศาสตร์สำ�หรับเตรียมสอบ -
เรื่อง สถิติ
http://www.trueplookpanya.com/book/m6/
onet-math/ch9-6
สมัย เหล่าวานิชย์ และ พัวพรรณ เหล่าวานิชย์. (ม.ป.ป.). คณิตศาสตร์ 2 พื้นฐาน + เพิ่มเติม. กรุงเทพมหานคร :
ส�ำนักพิมพ์ไฮเอ็ดพับลิชชิ่ง.