Professional Documents
Culture Documents
เอกสารประกอบการสอน Mechanic of Material 1 2015
เอกสารประกอบการสอน Mechanic of Material 1 2015
รายวิชา
04-031-202
กลศาสตร์วัสดุ
(Mechanics of Materials)
โดย
ดร.พลเทพ เวงสูงเนิน
สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องจักรกลเกษตร
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
นครราชสีมา
คานา
( นายพลเทพ เวงสูงเนิน )
สารบัญ
หน้า
คานา ก
สารบัญ ข
ลักษณะรายวิชา ฉ
การแบ่งหน่วยเรียน ช
จุดประสงค์การสอน ฌ
กาหนดการสอน ฑ
การประเมินผลรายวิชา ณ
ตารางกาหนดนาหนักคะแนน ด
หน่วยที่ 1 แนวคิดเบื้องต้นและการทบทวนสถิตยศาสตร์ 1-2
1.1 กลศาสตร์ (mechanics) 1-2
1.2 แนวคิดพื้นฐาน 1-3
1.3 สเกลาร์ และเวคเตอร์ 1-3
1.4 กฎของนิวตัน 1-8
1.5 ทบวนสถิตศาสตร์ (static) 1-10
หน่วยที่ 2 ความเค้น (stress) และความเครียด (strain) เฉลี่ย 2-2
2.1 ความเค้น (stress) 2-2
2.2 ความเครียด (strain) 2-15
หน่วยที่ 3 คุณสมบัติทางกลของวัสดุ (mechanical properties of materials) 3-2
3.1 การทดสอบการยืดและการกดอัด (the tension and compression test) 3-2
3.2 แผนภาพความเค้น-ความเครียด (the stress-strain diagram) 3-2
3.3 กฎของฮุค (hooke’s law) 3-4
3.4 อัตราส่วนปัวซอง (poisson’s ratio) 3-9
3.5 การเสียหายของวัสดุเนื่องจากการคืบและความล้า (failure of materials due to creep
and fatigue) 3-11
ค
1) วิสัยทัศน์ (Vision)
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน เป็นมหาวิทยาลัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคุณภาพ
ชั้นนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มุ่งเน้นการผลิตนักปฏิบัติด้านวิชาชีพ เพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม
2) พันธกิจ (Mission)
1. จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาบนพื้นฐาน ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีคุณภาพตาม
มาตรฐานสอดคล้องกับความต้องการของผู้รับบริการ
2. สร้างงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรม บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่การ
ผลิตการบริการ และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ประเทศ
3. มุ่งบริการวิชาการและถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่สังคม
4. ทานุบารุงศาสนา อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม และรักษาสิ่งแวดล้อม
5. บริหารจัดการด้วยระบบธรรมาภิบาลเพื่อเพิ่มศักยภาพการทางานขององค์กร
3) เป้าประสงค์ (Goals)
1. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน เป็นแหล่งการศึกษาด้านวิชาชีพทางเทคโนโลยีเชิง
บูรณาการ ที่มีความเข้มแข็งด้านวิชาการ เป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกพื้นที่ ให้สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต
2. ผลิตบัณฑิตทางวิชาชีพ ที่มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี มีคุณธรรม และปฏิบัติงานได้
อย่างมืออาชีพ
3. ประชาชนมีศักยภาพในการสร้างงานด้านวิชาชีพ ด้านเทคโนโลยี ที่สามารถแข่งขันได้
4) ประเด็นยุทธศาสตร์ (Strategic Issues)
1. ศูนย์กลางการศึกษาและความรู้ (Hub) ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีความเข้มแข็ง
2. สร้างคนดี คนเก่ง ที่มีทักษะในการทางานทาให้เป็นทุนมนุษย์ (Human capital) ของ
ประเทศ
3. ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดจนการถ่ายทอดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิง
บูรณาการที่ได้ มาตรฐาน เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทย
จ
1) ปรัชญา
เพื่อผลิ ตบั ณฑิตให้ มีความเป็ นผู้ นาด้านการปฏิบัติ สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในงานวิศวกรรม
เครื่องจักรกลเกษตร ตลอดจนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีคุณธรรม จริยธรรม
2) วัตถุประสงค์
1) เพื่อผลิ ตวิศวกรปฏิบั ติการระดับปริญญาตรีที่มี คุณสมบัติเหมาะสม สามารถปฏิบัติ งาน
วิศวกรรมเครื่องจักรกลเกษตรในสภาพปัจจุบัน
2) เพื่อผลิตวิศวกรด้านเครื่องจักรกลเกษตร ที่มีความสามารถปฏิบัติงานเฉพาะด้าน สามารถใช้
หลักวิชาเพื่อแก้ปัญหาในด้านวิศวกรรมเครื่องจักรกลเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง มีความรู้ขั้นพื้นฐาน
ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ สังคมศาสตร์และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนามาประยุกต์ใช้ในงาน
วิ ศ วกรรมเครื่ อ งจั ก รกลเกษตรได้ เป็ น อย่ างดี สามารถปฏิ บั ติ ง านด้ า นวิ ศ วกรรมในลั ก ษณะที่ เ พิ่ ม พู น
ประสิทธิภาพ เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร การรักษาสภาวะแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้คุณภาพ
ชีวิตดีขึ้น
3) เพื่อฝึกฝนให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีกิจนิสัยในการค้นคว้า ปรับปรุงตนเองให้ก้าวหน้าอยู่
เสมอ สามารถวางแผนเพื่อกาหนดการปฏิบัติงานและควบคุมที่ถูกหลักวิชาการ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์
ตามเป้าหมายอย่างประหยัด รวดเร็ว ตรงต่อเวลาและมีคุณภาพ
4) เพื่อเสริ มสร้ างคุ ณธรรม จริยธรรม ความมีระเบี ยบวินั ย ตรงต่อเวลา ความซื่อสั ตย์ สุ จ ริ ต
ขยันหมั่นเพียรความสานึกในจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่และสังคม
ฉ
ลักษณะรายวิชา
1. รหัสและชื่อวิชา 04-031-202 กลศาสตร์วัสดุ (Mechanics of Materials)
2. สภาพรายวิชา วิชาชีพบังคับกลุ่มรายวิชาของแข็ง
3. ระดับรายวิชา ชั้นปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1
4. วิชาบังคับก่อน 04-030-101 สถิตยศาสตร์
5. เวลาเรียน ทฤษฎี 45 คาบ ปฏิบัติ – คาบต่อสัปดาห์และนักศึกษาจะต้องใช้เวลาศึกษา
ค้นคว้านอกเวลา 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
6. จานวนหน่วยกิต 3 (3-0-6) หน่วยกิต
7. จุดประสงค์รายวิชา 1. คานวณความเค้นและความเครียด ความสัมพันธ์ระหว่างความเค้นและ
ความเครียด ความเค้นที่เกิดจากอุณหภูมิ
2. เข้าใจภาชนะอัดความดันและการเชื่อมต่อ
3. คานวณการบิดตัวของเพลาตันและเพลากลวง
4. เขียนแผนภาพแรงเฉือนและโมเมนต์ดัด
5. คานวณหาค่าความเค้นดัดและความเค้นเฉือนในคาน พร้อมทั้งการหาค่า
ระยะโก่งที่เกิดขึ้นในคานโดยใช้วิธีอื่นๆ
6. ค านวณการโก่ งตั ว ของเสา วงกลมมอร์ ความเค้ นผสม และทราบถึ ง
เงือ่ นไขการเสียหายต่างๆ ได้
7. ตระหนักในความสาคัญของการศึกษากลศาสตร์วัสดุ
8. คาอธิบายรายวิชา ศึกษาเกี่ยวกับความเค้นและความเครียด ความสัมพันธ์ระหว่างความเค้น
และความเครียด ความเค้นที่เกิดจากอุณหภูมิ ภาชนะอัดความดันและการ
เชื่อมต่อ การบิดตัวของเพลาตันและเพลากลวง การเขียนแผนภาพแรงเฉือน
และโมเมนต์ดัด การคานวณหาค่าความเค้นดัดและความเค้นเฉือนในคาน
พร้อมทั้งการหาค่าระยะโก่งที่เกิดขึ้นในคานโดยใช้วิธีอื่นๆ การโก่งตัวของเสา
วงกลมมอร์ ความเค้นผสม เงื่อนไขการเสียหาย
ช
การแบ่งหน่วยเรียน
ชั่วโมงเรียน
หน่วยที่ รายการ
ทฤษฎี ปฏิบัติ
1 แนวคิดเบืองต้นและการทบทวนสถิตยศาสตร์ 3
1.1. กลศาสตร์ (mechanics)
1.2. แนวคิดพื้นฐาน
1.3. สเกลาร์ และเวคเตอร์
1.4. กฎของนิวตัน
1.5. ทบวนสถิตศาสตร์ (static)
2 ความเค้น (stress) และความเครียด (strain) เฉลี่ย 9
2.1. ความเค้น (stress)
2.2. ความเครียด (strain)
3 คุณสมบัติทางกลของวัสดุ (mechanical properties of materials) 3
3.1. การทดสอบการยื ดและ การ กดอั ด ( the tension and
compression test)
3.2. แผนภาพความเค้น-ความเครียด (the stress-strain diagram)
3.3. กฎของฮุค (hooke’s law)
3.4. อัตราส่วนปัวซอง (poisson’s ratio)
3.5. การเสียหายของวัสดุเนื่องจากการคืบและความล้า (failure of
materials due to creep and fatigre)
4 ภาระในแนวแกน (axial load) และการบิด (torsion) 9
4.1. ภาระในแนวแกน (axial load)
4.2. การบิด (torsion)
5 การดั ด (bending) แรงกระท าตามขวาง (transverse shear) และ 12
ภาชนะผนังบาง (pressure vessel)
5.1. การดัด (bending)
5.2. แรงกระทาตามขวาง (transverse shear)
5.3. ภาชนะผนังบาง (pressure vessel)
5.4. ความเค้ น ผสมเนื่ องจากภาระหลายรู ปแบบ (state of stress
caused by combined loading)
6 การเปลี่ยนรูปความเค้น (stress transformation) 6
ซ
ชั่วโมงเรียน
หน่วยที่ รายการ
ทฤษฎี ปฏิบัติ
6.1. การแปลงความเค้นระนาบ (plane stress transformation)
6.2. ความเค้นหลักและค่าความเค้นเฉือนสูงสุด (principal stresses
and maximum in-plane shear stress)
6.3. การวิเคราะห์ความเค้นระนาบด้วยวงกลมโมร์ (mohr’s circle-
plane stress)
6.4. ความเค้ น เฉื อ นสู ง สุ ด สั ม บู ร ณ์ (absolute maximum shear
stress)
7 การโก่งเดาะของเสา (bucking of columns) 3
7.1. สูตรของออยเลอร์สาหรับเสาในอุดมคติ
7.2. เสาในอุดมคติที่มีจุดรองรับแบบสลักที่ปลายทั้งสองข้าง (ideal
column with pin supports)
7.3. การวิเคราะห์เสาที่จุดยึดแบบต่างๆ (columns having various
types of supports)
รวมทฤษฎี 45 ชม.
ทดสอบ 6 ชม.
รวม 51 ชม.
ฌ
จุดประสงค์การสอน
เวลาเรียน
หน่วยที่ รายการ ทฤษฎี ปฏิบัติ
(นาที) (นาที)
1 แนวคิดเบื้องต้นและการทบทวนสถิตยศาสตร์ (180)
1.1. รู้ที่มาของกลศาสตร์ 30
1.1.1. บอกความหมายของกลศาสตร์ของวัตถุแกร่ง (rigid-
body mechanics) 30
1.1.2. บอกความหมายของกลศาสตร์ของวัตถุที่สามารถ
เปลี่ยนแปลงรูปร่าง (deformable-body mechanics)
1.1.3. บอกความหมายของกลศาสตร์ของกลศาสตร์ ของ 30
ไหล (fluid mechanic)
1.2. เข้าใจแนวคิดพื้นฐาน
1.2.1. ยกตัวอย่างปริมาณทางฟิสิกส์
1.2.2. ยกตัวอย่างปริมาณพื้นฐาน (basic quantities)
1.3. คานวณสเกลาร์ และเวคเตอร์ 30
-
1.3.1. เข้าใจปริมาณกายภาพ
1.3.2. คานวณหาเวกเตอร์ลัพธ์
1.3.3. คานวณกฎของไซน์ (sine law) และโคไซน์ (cosine
law)
1.4. เข้าใจกฎของนิวตัน 60
1.4.1. อธิบายที่มาของกฎของนิวตัน
1.4.2. อธิบายกฎข้อที่ 1 ของนิวตัน
1.4.3. อธิบายกฎข้อที่ 2 ของนิวตัน
1.4.4. อธิบายกฎข้อที่ 3 ของนิวตัน
1.5. คานวณสถิตศาสตร์ (static)
1.5.1. คานวณแรงลัพธ์
1.5.2. คานวณโมเมนต์ลัพธ์
2 ความเค้น (stress) และความเครียด (strain) เฉลี่ย (540)
2.1. คานวณความเค้น 360 -
2.1.1. คานวณความเค้น (stress)
ญ
เวลาเรียน
หน่วยที่ รายการ ทฤษฎี ปฏิบัติ
(นาที) (นาที)
2.1.2. คานวณความเค้นในแนวแกนเฉลี่ย
2.1.3. คานวณความเค้นเฉือนเฉลี่ย
2.1.4. คานวณค่าความปลอดภัย
2.2. คานวณความเครียด (strain) 180
2.2.1. คานวณการเสียรูป (deformation)
2.2.2. คานวณความเครียด (strain)
3 คุณสมบัติทางกลของวัสดุ (mechanical properties of materials) (180)
3.1. รู้ ก ารทดสอบการยื ด และการกดอั ด (the tension and 30
compression test)
3.1.1. บอกความหมายการทดสอบการยืด
3.1.2. บอกความหมายการทดสอบการอัด
3.2. เข้าใจแผนภาพความเค้น-ความเครียด (the stress-strain 30
diagram)
3.2.1. อธิบายแผนภาพความเค้น-ความเครียด
3.2.2. อธิบายพฤติกรรมยืดหยุ่น
3.2.3. อธิบายช่วงครากตัว
-
3.3. เข้าใจกฎของฮุค (hooke’s law) 30
3.3.1. อธิบายกฎของฮุค
3.3.2. อธิบายความหมายของค่ามอดูลัสของยัง
3.4. คานวณอัตราส่วนปัวซอง (poisson’s ratio) 30
3.4.1. อธิบายความหมายของอัตราส่วนปัวซอง
3.4.2. คานวณอัตราส่วนปัวซอง
3.5. คานวณการเสียหายของวัสดุเนื่องจากการคืบและความล้า 60
(failure of materials due to creep and fatigue)
3.5.1. คานวณการคืบ (creep)
3.5.2. คานวณความล้า (fatigue)
4 ภาระในแนวแกน (axial Load) และการบิด (torsion) (540)
4.1. คานวณภาระในแนวแกน (axial load) 360 -
ฎ
เวลาเรียน
หน่วยที่ รายการ ทฤษฎี ปฏิบัติ
(นาที) (นาที)
4.1.1. ค า น ว ณ ก า ร เ สี ย รู ป ใ น แ น ว แ ก น ( elastic
deformation of an axially loaded member)
4.1.2. คานวณปัญหาที่วิเคราะห์ด้วยสมดุลสถิตอย่างเดียว
ไม่ได้ (statically indeterminate axially loaded member)
4.1.3. ค านวณความเค้ น เนื่ อ งจากอุ ณ หภู มิ (thermal
stress) 180
4.2. คานวณการบิด (torsion)
4.2.1. เข้ า ใจการเสี ย รู ป เนื่ อ งจากการบิ ด (torsional
deformation of a circular shaft)
4.2.2. คานวณการบิด (the torsion formula)
4.2.3. ค า น ว ณ ก า ร ถ่ า ย ท อ ด ก า ลั ง ง า น ( power
transmission)
4.2.4. คานวณมุมบิดของเพลา (angle of twist)
4.2.5. คานวณปัญหาที่วิเคราะห์ด้วยสมดุลสถิตอย่างเดียว
ไม่ได้ (statically indeterminate torque-loaded)
5 การดั ด (bending) แรงกระท าตามขวาง (transverse shear) และ (720)
ภาชนะผนังบาง (pressure vessel)
5.1. คานวณการดัด (bending) ในคาน 360
5.1.1. อธิบายแผนผังแรงเฉือนและโมเมนต์ (shear and
moment diagrams)
5.1.2. ค านวณค่ า ความเค้ น ดั ด ในคาน (the flexure
formula)
-
5.2. คานวณแรงกระทาตามขวาง (transverse shear) 180
5.2.1. ค านวณค่ า แรงเฉื อ นในวั ส ดุ (shear in straight
member)
5.2.2. คานวณความเค้นเฉือน (the shear formula)
5.3. ค านวณเกี่ ย วกั บ ภาชนะผนั งบาง (thin-walled pressure 90
vessels)
ฏ
เวลาเรียน
หน่วยที่ รายการ ทฤษฎี ปฏิบัติ
(นาที) (นาที)
5.3.1. ค านวณเกี่ ย วกั บ ถั ง ผนั ง บางรู ป ทรงกระบอก
(cylindrical vessels)
5.3.2. ค านวณเกี่ ยวกั บ ผนั งบางรู ปทรงกลม (spherical
vessels) 90
5.4. คานวณความเค้นผสมเนื่องจากภาระหลายรูปแบบ (state
of stress caused by combined loading)
5.4.1. คานวณค่าความเค้นตั้งฉาก
5.4.2. คานวณค่าความเค้นเฉือน
5.4.3. คานวณค่าความเค้นที่เกิดจากภาระบิด
5.4.4. คานวณค่าความเค้นที่เกิดจากภาระดัด
6 การเปลี่ยนรูปความเค้น (stress transformation) (360)
6.1. ค านว ณ การแปลงคว ามเค้ นระนาบ ( plane stress 90
transformation)
6.1.1. อธิบายการแปลงความเค้นระนาบ (plane stress
transformation) 90
6.1.2. ค านวณสมการที่ ใช้ ในการหาแปลงค่ า ความเค้ น
(general equations of plane-stress transformation)
6.2. ค านวณความเค้ น หลั ก และค่ า ความเค้ น เฉื อ นสู ง สุ ด 60
(principal stresses and maximum in-plane shear stress)
6.2.1. คานวณความเค้นหลัก (principal stress) -
6.2.2. ค านวณความเค้ นเฉื อนสู งสุ ด (maximum shear
stress)
6.3. แก้ ปั ญหาการวิ เคราะห์ ความเค้ นระนาบด้ ว ยวงกลมโมร์ 60
(mohr’s circle-plane stress)
6.3.1. สร้างวงกลมโมร์
6.3.2. สาธิตการหาค่าความเค้นหลักและความเค้นเฉือน
จากวงกลมโมร์
6.4. เข้าใจความเค้นเฉือนสูงสุดสัมบูรณ์ (absolute maximum 60
shear stress)
ฐ
เวลาเรียน
หน่วยที่ รายการ ทฤษฎี ปฏิบัติ
(นาที) (นาที)
6.4.1. อฺธิบายกรณีที่ 1 และ 2 เป็นความเค้นดึง โดยที่
1 2 0
6.4.2. อธิบายกรณีที่ 1 และ 2 เป็นความเค้นดึง โดยที่
1 0 และ 2 0
7 การโก่งเดาะของเสา (bucking of columns) (180)
7.1. คานวณสูตรของออยเลอร์สาหรับเสาในอุดมคติ 30
7.1.1. คานวณแรงวิกฤต (critical load)
7.1.2. คานวณความเค้นโก่งเดาะวิกฤต (critical stress)
7.2. คานวณเสาในอุดมคติที่มีจุดรองรับแบบสลักที่ปลายทั้งสอง
ข้าง (ideal column with pin supports) 60
7.2.1. คานวณค่าแรงวิกฤต
7.2.2. คานวณค่าความเค้นวิกฤต
7.3. ค านวณการวิ เ คราะห์ เ สาที่ จุ ด ยึ ด แบบต่ า งๆ (columns
-
having various types of supports) 90
7.3.1. คานวณกรณีเสาถูกยึดด้วยสลักทั้งสองข้าง (pinned
ends)
7.3.2. คานวณกรณี เสาถู ก ยึดแบบตรึ งแน่ นและอี ก ด้ าน
หนึ่งยึดแบบอิสระ (fixed and free ends)
7.3.3. ค านวณกรณี เสาถู กยึ ดแบบตรึ งแน่ นทั้ งสองด้ า น
(fixed ends)
7.3.4. คานวณกรณี เสาถู กยึดแบบตรึ งแน่ นและอี ก ด้ าน
หนึ่งยึดแบบสลัก (pinned and fixed ends)
ฑ
กาหนดการสอน
สัปดาห์ ว/ด/ป ชม. ที่ รายการ หมายเหตุ
ที่
1. แนวคิดเบื้องต้นและการทบทวนสถิตยศาสตร์
1 1-3 1.1. แนวคิดเบื้องต้น
1.2. การทบกวนสถิตยศาสตร์
2. ความเค้น (stress) และความเครียด (strain) เฉลี่ย
2 1-3
2.1. ความเค้น
3 1-3 2.1. ความเค้น
4 1-3 2.2. ความเครียด (strain)
3. คุ ณ ส ม บั ติ ท า ง ก ล ข อ ง วั ส ดุ ( mechanical
properties of materials)
3.1. การทดสอบการยื ด และการกดอั ด (the
tension and compression test)
3.2. แผนภาพความเค้ น -ความเครี ย ด (the
5 1-3 stress-strain diagram)
3.3. กฎของฮุค (hooke’s law)
3.4. อัตราส่วนปัวซอง (poisson’s ratio)
3.5. การเสียหายของวัสดุเนื่องจากการคืบและ
คว ามล้ า ( failure of materials due to creep and
fatigue)
4. ภาระในแนวแกน (axial load) และการบิ ด
6 1-3 (torsion)
4.1. ภาระในแนวแกน (axial load)
7 1-3 4.1. ภาระในแนวแกน (axial load)
8 1-3 สอบกลางภาค
9 1-3 4.2. การบิด (torsion)
5. ก า ร ดั ด ( bending) แ ร ง ก ร ะ ท า ต า ม ข ว า ง
(transverse shear) และภาชนะผนั ง บาง (pressure
10 1-3
vessel)
5.1. การดัด (bending)
ฒ
การประเมินผลรายวิชา
1. เกณฑ์การพิจารณา
รายวิชานี้แบ่งเป็น 7 หน่วยเรียน การวัดและประเมินผลรายวิชาดาเนินการแยกเป็น 3 ส่วน โดย
แบ่งแยกคะแนนแต่ละส่วนจากคะแนนเต็ม ทั้งรายวิชา 100 คะแนน ดังนี้
1.1 ผลงานที่มอบหมาย 10 คะแนน หรือร้อยละ 10
1.2 พิจารณาจิตพิสัย (กิจนิสัย ความตั้งใจ และการร่วมกิจกรรม) 10 คะแนน หรือร้อยละ 10
1.3 การทดสอบแต่ละหน่วยเรียน 80 คะแนน หรือร้อยละ 80 โดยจัดแบ่งน้าหนักคะแนนในแต่ละ
หน่วยตามตารางกาหนดน้าหนักคะแนน
2. เกณฑ์ผ่านรายวิชา
ผู้ที่จะผ่านรายวิชานี้จะต้อง
2.1 มีเวลาเรียนไม่ต่ากว่า ร้อยละ 80
2.2 คะแนนรวมทั้งรายวิชาไม่ต่ากว่าร้อยละ 50 ของคะแนนรวม
3. เกณฑ์ค่าระดับคะแนน
การประเมินแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้
3.1 พิจารณาตามเกณฑ์ ผ่ านรายวิช าตามข้ อ 2 ผู้ ไม่ผ่ านเกณฑ์ข้ อ 2 จะได้รับค่ าระดั บคะแนน
จ หรือ F
3.2 ผู้ที่สอบผ่านเกณฑ์ข้อ 2 จะได้รับค่าระดับคะแนน ตามเกณฑ์ ดังนี้
คะแนนร้อยละ 80 ขึ้นไป ได้ ก หรือ A
คะแนนร้อยละ 75-79 ได้ ข+ หรือ B+
คะแนนร้อยละ 70-74 ได้ ข หรือ B
คะแนนร้อยละ 65-69 ได้ ค+ หรือ C+
คะแนนร้อยละ 60-64 ได้ ค หรือ C
คะแนนร้อยละ 55-59 ได้ ง+ หรือ D+
คะแนนร้อยละ 50-54 ได้ ง หรือ D
คะแนนร้อยละ 49 ลงไป ได้ หรือ F
ด
ตารางกาหนดนาหนักคะแนน
คะแนนรายหน่วย น้าหนักคะแนน
และน้าหนักคะแนน พุทธพิสัย
เลขที่หน่วย
คะแนนรายหน่วย
การนาไปใช้
ความเข้าใจ
ทักษะพิสัย
ความรู้
สูงกว่า
ชื่อหน่วย
1 แนว คิ ดเบื้ องต้ นแ ล ะ การ ท บ ท ว น 10 2 3 5
สถิตยศาสตร์
2 ความเค้ น (stress) และความเครี ย ด 20 0 0 20
(strain) เฉลี่ย
3 คุณสมบัติทางกลของวัสดุ( mechanical 10 2 5 3
properties of materials)
4 ภาระในแนวแกน (axial load) และการ 10 0 0 10
บิด (torsion)
5 การดัด (bending) แรงกระทาตามขวาง 10 0 1 9
(transverse shear) และภาชนะผนั ง บาง
(pressure vessel)
6 ก า ร เ ป ลี่ ย น รู ป ค ว า ม เ ค้ น ( stress 10 0 3 7
transformation)
7 การโ ก่ งเดาะของเสา ( bucking of 10 0 0 10
columns)
ก คะแนนภาควิชาการ 80 4 12 64
ข คะแนนภาคผลงาน 10
ค คะแนนภาคจิตพิสัย 10
รวมทั้งสิ้น 100
1-1
หน่วยที่ 1 แนวคิดเบื้องต้นและการทบทวนสถิตยศาสตร์
Mechanic
A B A
A+B
A+B B
A
B
1) วิธีทา
2) วิธีทา
3) วิธีทา
สรุป
1-6
1.3.3 กฎของไซน์ (sine law) และโคไซน์ (cosine law) เป็ น หนึ่ ง ในวิ ธี ที่ ส ามารถน ามาใช้ ใ นการ
วิเคราะห์เวกเตอร์ ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้
1.3.3.1 กฎของไซน์ (sine law) เป็นกฎที่ใช้สาหรับการหาขนาดของเวกเตอร์ที่ไม่ทราบค่า
สามารถแสดงได้ดังรูปที่ 1-3 และสมการที่ (1-1)
2
1
3
1
2
วิธีทา
1-7
1.3.3.2 โคไซน์ (cosine law) เป็ นกฎที่ ใช้ ส าหรับการหาขนาดของเวกเตอร์ ที่ ไม่ ทราบค่า
สามารถแสดงได้ดังรูปที่ 1-4 และสมการที่ (1-2) (1-3) และ (1-4)
1
2
3
2
3
R1
วิธีทา
1-8
1.4 กฎของนิวตัน
เซอร์ ไอแซค นิวตัน (Sir Isaac Newton) เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ถือกาเนิดใน ปี ค.ศ.1642 นิว
ตันสนใจดาราศาสตร์ และประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ชนิดสะท้อนแสง (reflecting telescope) ขึ้นโดยใช้
โลหะเงาเว้าในการรวมแสง แทนการใช้เลนส์ เช่นในกล้องโทรทรรศน์ชนิดหักเหแสง (refracting telescope)
นิวตันติดใจในปริศนาที่ว่า แรงอะไรทาให้ผลแอปเปิลตกสู่พื้นดินและตรึงดวงจันทร์ไว้กับโลก และสิ่งนี้เองที่
นาเขาไปสู่การค้นพบกฎที่สาคัญ 3 ข้อ
กฎข้อที่ 1 กฎของความเฉื่อย (inertia)
“วัตถุที่หยุดนิ่งจะพยายามหยุดนิ่งอยู่กับที่ ตราบที่ไม่มีแรงภายนอกมากระทา ส่วนวัตถุที่เคลื่อนที่จะ
เคลื่อนที่เป็นเส้นตรงด้วยความเร็วคงที่ ตราบที่ไม่มีแรงภายนอกมากระทาเช่นกัน”
สามารถอธิบายได้จากเหตุการณ์ที่ขณะที่รถติดสัญญาณไฟแดง ตัวเราหยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่เมื่อสัญญาณ
ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว เมื่อคนขับเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่ตัวของเราจะพยายามคง
สภาพหยุดนิ่งไว้ ผลคือ หลังของเราจะถูกผลักติดกับเบาะ ขณะที่รถเกิดความเร่งไปข้างหน้า
แต่เมื่อสัญญาณไฟเขียวเปลี่ยนเป็นไฟแดง คนขับรถเหยียบเบรคเพื่อจะหยุดรถ ตัวเราซึ่งเคยเคลื่อนที่
ด้วยความเร็วพร้อมกับรถ ทันใดเมื่อรถหยุด ตัวเราจะถูกผลักมาข้างหน้า
a = ความเร่ง (m/s2)
กฎข้อที่ 3 กฎของแรงปฏิกิริยา
“แรงที่วัตถุที่หนึ่งกระทาต่อวัตถุที่สอง ย่อมเท่ากับ แรงที่วัตถุที่สองกระทาต่อวัตถุที่หนึ่ง แต่ทิศทางตรง
ข้ามกัน” (action = reaction) หรืออาจกล่าวได้ว่าทุกแรงกิริยาย่อมมีแรงปฏิกิริยาขนาดเท่ากันกระทาในทิศ
ตรงกันข้ามเสมอ หรือแรงกระทาซึ่งกันและกันของวัตถุสองก้อนย่อมมีขนาดเท่ากันแต่มีทิศทางตรงกันข้าม
F -F
ตั ว อย่ างที่ 1-5 The screw eye in figure is subjected to two forces, F1 and F2. Determine the
magnitude and direction of the resultant force.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
1-12
ตั ว อย่ างที่ 1-6 If 30 and T= 6 kN, determine the magnitude of the resultant force
acting on the eyebolt and its direction measured clockwise from the positive x axis.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
1-13
ตัวอย่างที่ 1-7 Determine the magnitudes of the forces C and T, which, along with the other
three forces shown, act on the bridge-truss joint.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
1-14
ตั ว อย่ างที่ 1-8 Determine the internal normal force and shear force, and the bending
moment in the beam at points C and D. Assume the support at B is a roller. Point C is
located just to the right of the 8-kip load.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
1-15
1. บอกความสาคัญของหน่วยเรียน
วิธีสอนและ
2. ให้เนื้อหาโดยวิธี บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ
กิจกรรม
3. ถามคาถามในห้องเรียน
หนังสืออ้างอิง -
สื่อการสอน เอกสารประกอบ หน่วยที่ 1
วัสดุโสตทัศน์ Power point หน่วยที่ 1 และ LCD Projector
งานที่มอบหมาย ทาแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน
1. สังเกตความสนใจในห้องเรียน
การวัดผล 2. การตอบคาถามขณะเรียน
3. ตรวจผลงานจากแบบฝึกหัดที่มอบหมาย
สัปดาห์ที่ 2 ใบเตรียมการสอน รหัสวิชา 04-031-202
เวลา 9 ชม. หน่วยที่ 2 ความเค้น (stress) และความเครียด (strain) เฉลี่ย
ชื่อบทเรียน 2.1. ความเค้น (stress) เวลา 180 นาที
จุดประสงค์การสอน
2.1. คานวณความเค้น
2.1.1. คานวณความเค้น (stress)
2.1.2. คานวณความเค้นในแนวแกนเฉลี่ย
2-2
2.1.2 ความเค้นในแนวแกนเฉลี่ย
ความเค้นในแนวแกนสามารถคานวณได้เมื่อมีแรงภายนอกมากระทากับชิ้นส่วนเชิงกลดัง รูปที่
2-2 ซึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะของพื้นที่หน้าตัด (Beer, Johnston, Jr., Dewolf, & Mazurek, 2012) แต่เพื่อให้
สามารถคานวณได้ง่ายจึงใช้ค่าความเค้นในแนวแกนเฉลี่ยโดยคิดให้เมื่อมีแรงมากระทาชิ้นส่วนใดๆ ก็ตามจะมี
แรงภายในที่เท่ากันกับแรงภายนอกกระทาภายในชิ้นส่วน ดังนั้นสามารถคานวณได้ดังสมการ (2-1)
2-3
รูปที่ 2-2 แรงภายนอกและแรงภายใน (Beer, Johnston, Jr., Dewolf, & Mazurek, 2012)
dF A dA
P A
P
(2-1)
A
โดยที่
คือ ค่าความเค้น (N/m2)
P คือ ค่าแรง (N)
A คือ พื้นที่ (m2)
ตัวอย่างเช่น หากต้องการคานวณหาค่าความเค้นของวัสดุที่มีแรงที่มีค่าเท่ากับ 1,000 N มากระทาใน
แนวตั้งฉากต่อพื้นที่หน้าตัดของวัสดุที่มีพื้นที่เท่ากับ 35 cm2 สามารถคานวณได้ดังนี้
แรง (F) มีค่าเท่ากับ 1,000 N
พื้นที่ (A) มีค่าเท่ากับ 35 cm2 หรือเท่ากับ 35 x 10-6 m2
1,000
ดังนั้นค่าความเค้นมีค่าเท่ากับ 6
28.57 x106 28.57 MPa
35 x10
การวิเคราะห์ความเค้นทีเกิดขึ้นในวัสดุยังสามารถนาเอาไปประยุกต์ใช้กับชิ้นส่วนเชิงกลทั่วไป
เช่น โครงสร้างเครื่องกล ชิ้นส่วนเครื่องจักร โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ ซึ่งตัวอย่างการนาเอาไปใช้สามารถแสดงได้ดัง
ตัวอย่างที่ 2-2
ตัวอย่างที่ 2-2 Bar width = 35 mm, thickness = 10 mm. Determine maximum average normal
stress in bar when subjected to loading shown.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
2-5
ตัวอย่างที่ 2-3 The 80-kg lamp is supported by two rods AB and BC as shown in figure (a). If
AB has a diameter of 10 mm and BC has a diameter of 8 mm, determine the average
normal stress in each rod.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
2-6
1. บอกความสาคัญของหน่วยเรียน
วิธีสอนและ
2. ให้เนื้อหาโดยวิธี บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ
กิจกรรม
3. ถามคาถามในห้องเรียน
หนังสืออ้างอิง -
สื่อการสอน เอกสารประกอบ หน่วยที่ 2
วัสดุโสตทัศน์ Power point หน่วยที่ 2 และ LCD Projector
งานที่มอบหมาย ทาแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน
1. สังเกตความสนใจในห้องเรียน
การวัดผล 2. การตอบคาถามขณะเรียน
3. ตรวจผลงานจากแบบฝึกหัดที่มอบหมาย
2-7
2.1.3 ความเค้นเฉือนเฉลี่ย
ค่าความเค้นเฉือน (shear stress) หมายถึงหน่วยแรงที่กระทาขนานกับพื้นผิวที่พิจารณาดัง รูปที่ 2-3
ซึ่งสามารถคานวณได้จากสมการที่ (2-2)
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
No. F (N) V (N) A (m2) (Pa)
1 100.00 50.00 53.21 1.88
2 324.45 162.23 12.32 26.34
3 435.65 217.83 32.87 13.25
4 889.89 444.95 0.65 1,369.06
5 678.76 339.38 0.43 1,578.51
6 768.56 384.28 456.34 1.68
7 765.67 382.84 87.43 8.76
2-9
ตัวอย่างที่ 2-5 Depth and thickness = 40 mm. Determine average normal stress and average
shear stress acting along (a) section planes a-a, and (b) section plane b-b.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
2-10
2.1.4 ค่าความปลอดภัย
สิ่งที่สาคัญในการออกแบบชิ้นส่วนเชิงกลคือค่าความเค้นต้องอยู่ในระดับที่ปลอดภัย ในการที่จะแน่ใจว่า
ปลอดภัยจริงต้องมีการเลือกค่าความเค้นที่ยอมให้ (allowable stress) เพื่อควบคุมให้ค่าของแรงที่กระทากับ
ชิ้นส่วนไม่เกินค่าสูงสุดของวัสดุ หนึ่งในวิธีการที่จะได้มาซึ่งแรงที่ปลอดภัยคือการเลือกค่าคงที่ความปลอดภัย
(factor of safety: F.S) คืออัตราส่วนระหว่างแรงที่ทาให้ชิ้นส่วนเสียหาย (Ffail) ต่อแรงที่ยอมให้ได้ (Fallow)
ซึ่งคานวณได้จากสมการที่ (2-3)
Ffail
F .S . (2-3)
Fallow
โดยที่
F .S . คือ ค่าคงที่ความปลอดภัย
Ffail คือ แรงที่ทาให้วัสดุเสียหาย (N)
Fallow คือ แรงที่ยอมให้ได้ (m2)
ซึ่งจากสมการที่ (2-3) แล้วค่าความเค้นตั้งฉากเฉลี่ยและความเค้นเฉือนเฉลี่ยก็สามารถคานวณได้ตาม
หลักการเดียวกัน ดังแสดงในสมการที่ (2-4) และสมการที่ (2-5)
fail
F .S . (2-4)
allow
(2-5)
F .S . fail
allow
โดยที่
fail คือ ความเค้นที่ทาให้วัสดุเสียหาย (N)
allow คือ ความเค้นที่ยอมให้ได้ หรือความเค้นที่ใช้ในการออกแบบ (m2)
ตัวอย่ างที่ 2-8 The two members pinned together at B. If the pins have an allowable shear
stress of allow = 90 MPa, and allowable tensile stress of rod CB is t allow = 115 MPa.
Determine to nearest mm the smallest diameter of pins A and B and the diameter of rod
CB necessary to support the load.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
2-13
1. บอกความสาคัญของหน่วยเรียน
วิธีสอนและ
2. ให้เนื้อหาโดยวิธี บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ
กิจกรรม
3. ถามคาถามในห้องเรียน
หนังสืออ้างอิง -
สื่อการสอน เอกสารประกอบ หน่วยที่ 2
วัสดุโสตทัศน์ Power point หน่วยที่ 2 และ LCD Projector
งานที่มอบหมาย ทาแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน
1. สังเกตความสนใจในห้องเรียน
การวัดผล 2. การตอบคาถามขณะเรียน
3. ตรวจผลงานจากแบบฝึกหัดที่มอบหมาย
2-14
ก่อน หลัง
โดยที่
คือ ค่าความเครียด (m/m, %)
s คือ ความยาวสุดท้าย (m)
s คือ ค่าความยาวเริ่มต้น (m)
l คือ ความแตกต่างของความยาวเริ่มต้นและความยาวสุดท้าย (m)
L คือ ค่าความยาวเริ่มต้น (m)
คือ ค่าความเครียดเฉือน (rad)
2-16
ตั ว อย่ างที่ 2-10 If the load of P on the beam causes the end B to be displaced 10 mm,
determine the normal strain.
A B
P
50 mm
A B B’
P
10 mm
วิธีทา
2-17
ตั ว อย่ างที่ 2-11 If the load of P on the beam causes the end B to be B’, determine the
normal strain.
A B
P
L
A B B’
P
L
วิธีทา
No. L (m) L (m)
1 5 0.03 0.60%
2 4 0.02 0.50%
3 10 0.10 1.00%
4 21 0.50 2.38%
5 12 0.30 2.50%
6 3 0.01 0.33%
7 45 0.20 0.44%
8 32 0.10 0.31%
9 100 1.00 1.00%
10 23 0.70 3.04%
2-18
ตั ว อย่ า งที่ 2-12 If the load of P on the beam causes the end B That beam displacement is
700 mm, determine the normal strain.
A B
P
500 mm
A B B’
P
700 mm
วิธีทา
2-19
ตัวอย่ างที่ 2-13 If the load of P on the beam causes the end B That beam displacement at
B’, determine the normal strain.
A B
P
L1
A B B’
P
L2
วิธีทา
No L1 (m) L2 (m)
1 5 5.001 0.02%
2 4 4.003 0.08%
3 10 10.020 0.20%
4 21 21.010 0.05%
5 12 12.040 0.33%
6 3 3.001 0.03%
7 45 45.310 0.69%
8 32 32.075 0.23%
9 100 102.000 2.00%
10 23 23.831 3.61%
2-20
ตัวอย่างที่ 2-14 An air filled rubber ball has a diameter of 150 mm. If the air pressure within
it is increased until the ball’s diameter becomes 175 mm, determine the average normal
strain in the rubber.
วิธีทา
2-21
ตัวอย่างที่ 2-15 A thin strip of rubber has an upstretched length of 300 mm. If it is stretched
around a pipe having an outer diameter of 100 mm, determine the average normal strain
in the strip.
วิธีทา
2-22
ตัวอย่างที่ 2-16 Plate is deformed as shown in figure. In this deformed shape, horizontal lines
on the on plate remain horizontal and do not change their length.
3.5 mm
3.5000
B
B’ 3 mm
3.0000
10 mm
10.0000
Y
60°
63?
X
C
A 30 mm
30.0000
วิธีทา
2-23
ตัวอย่างที่ 2-17 Plate is deformed as shown in figure. In this deformed shape, horizontal lines
on the on plate remain horizontal and do not change their length.
B
10 mm
10.0000
Y
A C
X 30.0000
10.5 mm
10.5000
B’
34°
34?
30 mm
30.0000
A C
วิธีทา
2-24
1. บอกความสาคัญของหน่วยเรียน
วิธีสอนและ
2. ให้เนื้อหาโดยวิธี บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ
กิจกรรม
3. ถามคาถามในห้องเรียน
หนังสืออ้างอิง -
สื่อการสอน เอกสารประกอบ หน่วยที่ 2
วัสดุโสตทัศน์ Power point หน่วยที่ 2 และ LCD Projector
งานที่มอบหมาย ทาแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน
1. สังเกตความสนใจในห้องเรียน
การวัดผล 2. การตอบคาถามขณะเรียน
3. ตรวจผลงานจากแบบฝึกหัดที่มอบหมาย
สัปดาห์ที่ 5 ใบเตรียมการสอน รหัสวิชา 04-031-202
เวลา 3 ชม. หน่วยที่ 3 คุณสมบัติทางกลของวัสดุ (mechanical properties of materials)
ชื่อบทเรียน 3.1. การทดสอบการยืดและการกดอัด (the tension and เวลา 30 นาที
compression test)
3.2. แผนภาพความเค้น-ความเครียด (the stress-strain เวลา 30 นาที
diagram)
3.3. กฎของฮุค (hooke’s law) เวลา 30 นาที
3.4. อัตราส่วนปัวซอง (poisson’s ratio) เวลา 30 นาที
3.5. การเสียหายของวัสดุเนื่องจากการคืบและความล้า เวลา 60 นาที
(failure of materials due to creep and fatigue)
จุดประสงค์การสอน
3. คุณสมบัติทางกลของวัสดุ(mechanical properties of materials)
3.1. รู้การทดสอบการยืดและการกดอัด (the tension and compression test)
3.1.1. บอกความหมายการทดสอบการยืด
3.1.2. บอกความหมายการทดสอบการอัด
3.2. เข้าใจแผนภาพความเค้น-ความเครียด (the stress-strain diagram)
3.2.1. อธิบายแผนภาพความเค้น-ความเครียด
3.2.2. อธิบายพฤติกรรมยืดหยุ่น
3.2.3. อธิบายช่วงครากตัว
3.3. เข้าใจกฎของฮุค (hooke’s law)
3.3.1. อธิบายกฎของฮุค
3.3.2. อธิบายความหมายของค่ามอดูลัสของยัง
3.4. คานวณอัตราส่วนปัวซอง (poisson’s ratio)
3.4.1. อธิบายความหมายของอัตราส่วนปัวซอง
3.4.2. คานวณอัตราส่วนปัวซอง
3.5. ค านวณการเสี ย หายของวั ส ดุ เ นื่ อ งจากการคื บ และความล้ า (failure of
materials due to creep and fatigue)
3.5.1. คานวณการคืบ (creep)
3.5.2. คานวณความล้า (fatigue)
3-2
ตั ว อย่ า งที่ 3-2 A tension test for a steel alloy results in the stress-strain diagram shown in
figure. Calculate the modulus of elasticity and the yield strength based on a 0.2% offset.
Identify on the graph the ultimate stress and the fracture stress.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
3-7
ตัวอย่างที่ 3-3 the stress-strain diagram for an aluminum alloy that is used for making aircraft
parts is shown in figure. If a specimen of this material is stressed to 600 MPa, determine
the permanent strain that remains in the specimen when the load is released. Also, find
the modulus of resilience both before and after the load application.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
3-8
ตัวอย่างที่ 3-4 an aluminum rod, shown in figure, has a circular cross section and is subjected
to an axial load of 10 kN. If a portion of the stress-strain diagram is shown in figure,
determine the approximate elongation of the rod when the load is applied. Take Eal = 70
GPa.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
3-9
ตั ว อย่ างที่ 3-6 Bar is made of A-36 steel and behaves elastically. Determine change in its
length and change in dimensions of its cross section after load is applied.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
3-11
1. บอกความสาคัญของหน่วยเรียน
วิธีสอนและ
2. ให้เนื้อหาโดยวิธี บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ
กิจกรรม
3. ถามคาถามในห้องเรียน
หนังสืออ้างอิง -
สื่อการสอน เอกสารประกอบ หน่วยที่ 3
วัสดุโสตทัศน์ Power point หน่วยที่ 3 และ LCD Projector
งานที่มอบหมาย ทาแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน
1. สังเกตความสนใจในห้องเรียน
การวัดผล 2. การตอบคาถามขณะเรียน
3. ตรวจผลงานจากแบบฝึกหัดที่มอบหมาย
4-1
โดยที่
คือ ระยะการยืดหรือหดตัว (m)
P คือ แรงที่กระทาต่อวัสดุ (N)
L คือ ความยาวของวัสดุ (m)
A คือ พื้นที่หน้าตัดของวัสดุ (m2)
E คือ ค่ายังส์มอดูลัส (Pa)
ตัวอย่างที่ 4-2 The 5 m steel column is used to support the P loads. Determine the vertical
displacement of its top, if P = 500 kN, and the column has a cross-sectional area of 14,625
mm2. Take E = 200 GPa.
P= 500 kN
วิธีทา
4-4
ตัวอย่างที่ 4-3 The 50 m aluminum column is used to support the loads P. Determine the
vertical displacement of its top, if P = 10,000 kN, and the column has a cross-sectional
area of 20,000 mm2. Take E = 68.9 GPa.
P= 10,000 kN
วิธีทา
4-5
ตัวอย่างที่ 4-4 Composite A-36 steel bar shown made from two segments AB and BD. Area
AAB = 600 mm2 and ABD = 1200 mm2. Determine the vertical displacement of end A and
displacement of B relative to C.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
4-6
1. บอกความสาคัญของหน่วยเรียน
วิธีสอนและ
2. ให้เนื้อหาโดยวิธี บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ
กิจกรรม
3. ถามคาถามในห้องเรียน
หนังสืออ้างอิง -
สื่อการสอน เอกสารประกอบ หน่วยที่ 4
วัสดุโสตทัศน์ Power point หน่วยที่ 4 และ LCD Projector
งานที่มอบหมาย ทาแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน
1. สังเกตความสนใจในห้องเรียน
การวัดผล 2. การตอบคาถามขณะเรียน
3. ตรวจผลงานจากแบบฝึกหัดที่มอบหมาย
4-7
L
FB P AC (4-6)
L
ตั ว อย่ างที่ 4-5 Steel rod shown has diameter of 5 mm. Attached to fixed wall at A, and
before it is loaded, there is a gap between the wall at B’ and the rod of 1 mm. Determine
reactions at A and B’ if rod is subjected to axial force of P = 20 kN. Neglect size of collar at
C. Take Est = 200 GPa
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
4-10
จากผลของการเปลี่ยนแปลงความยาวนั้นเมื่อชิ้นส่วนไม่สามารถขยายตัวออกได้แล้วจะส่งผลให้
อาจจะเกิดค่าความเค้นที่เรียกว่า ความเค้นความร้อน (thermal stress) ซึ่งเป็นตัวแปรที่จาเป็นต้องนามาใช้
ในการวิเคราะห์การออกแบบด้วย ตัวอย่างของการเกิดความเค้นความร้อนสามารถแสดงได้ดังตัวอย่างที่ 4-7
4-11
ตั ว อย่ างที่ 4-7 A-36 steel bar shown is constrained to just fit between two fixed supports
when T1 = 30 C. If temperature is raised to T2 = 60 C, determine the average normal
thermal stress developed in the bar.
วิธีทา
4-12
1. บอกความสาคัญของหน่วยเรียน
วิธีสอนและ
2. ให้เนื้อหาโดยวิธี บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ
กิจกรรม
3. ถามคาถามในห้องเรียน
หนังสืออ้างอิง -
สื่อการสอน เอกสารประกอบ หน่วยที่ 4
วัสดุโสตทัศน์ Power point หน่วยที่ 4 และ LCD Projector
งานที่มอบหมาย ทาแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน
1. สังเกตความสนใจในห้องเรียน
การวัดผล 2. การตอบคาถามขณะเรียน
3. ตรวจผลงานจากแบบฝึกหัดที่มอบหมาย
4-13
max (4-8)
c
โดยที่
คือ ค่าความเค้นเฉือน
max คือ ค่าความเค้นเฉือนสูงสุดที่เกิดขึ้นบนเพลา
คือ ระยะจากจุดศูนย์กลางถึงตาแหน่งที่ต้องการพิจารณา
c คือ รัศมีของเพลา
เมื่อทาการอินทริกัลตลอดหน้าตัดของเพลาแล้วจะได้สมการที่นาเอาไปใช้ในการคานวณหาความ
เค้นเฉือนในแต่ละตาแหน่งได้จากสมการที่ (4-9)
T
(4-9)
J
โดยที่
T คือ ค่าทอร์คที่กระทาบนชิ้นส่วน (N.m)
J คือ ค่าโมเมนต์ความเฉื่อยเชิงขั้วของหน้าตัด
ซึ่งค่า J นั้นสามารถแบ่งเป็นเพลาตัน สามารถคานวณได้จากสมการที่ (4-10) และเพลากลวง
สามารถคานวณได้จากสมการที่ (4-11)
J c4 (4-10)
2
(4-11)
J c o4 c i4
2
วิธีทา
4
No J (m ) C (m)
-7
1 2.513x10 0.020
-8
2 1.571x10 0.010
-7
3 6.136x10 0.025
-6
4 4.021x10 0.040
-6
5 2.357x10 0.035
วิธีทา
4
No Ci (m) Co (m) J (m )
-7
1 0.017 0.020 1.20x10
-8
2 0.005 0.010 1.47x10
-7
3 0.020 0.025 3.62x10
-6
4 0.020 0.035 2.11x10
4-18
จากหลักการที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น สมการทั้งหมดสามารถนามาใช้ในการวิเคราะห์ค่าความเค้น
เฉือนที่เกิดขึ้นบนเพลาได้ เช่น เพลาที่มีการหมุนเพื่อส่งถ่ายกาลังจากมอเตอร์ไปสู่เครื่องจักรต่างๆ
ตัวอย่ างที่ 4-12 a 150 mm diameter shaft shown supported by two bearings and subjected
to three torques. Determine shear stress developed at points A and B, located at section
a-a of the shaft.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
4-20
วิธีทา
No T (N.m) (rpm) P (W)
1 204.63 175 3750
2 190.99 200 4000
3 63.66 300 2000
4 23.87 400 1000
5 28.65 500 1500
6 39.79 600 2500
7 57.30 700 4200
8 21.49 800 1800
9 47.75 440 2200
10 44.76 320 1500
4-21
ตั ว อย่ า งที่ 4-14 solid steel shaft shown used to transmit 3750 W from attached motor M.
Shaft rotates at = 175 rpm and the steel allow = 100 MPa. Determine required diameter
of shaft to nearest mm.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
4-22
ตัวอย่างที่ 4-16 the gears attached to the fixed-end steel shaft are subjected to the torques
shown in figure. If the shear modulus of elasticity is 80 GPa and the shaft has a diameter
of 14 mm, determine the displacement of the tooth.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
4-24
1. บอกความสาคัญของหน่วยเรียน
วิธีสอนและ
2. ให้เนื้อหาโดยวิธี บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ
กิจกรรม
3. ถามคาถามในห้องเรียน
หนังสืออ้างอิง -
สื่อการสอน เอกสารประกอบ หน่วยที่ 4
วัสดุโสตทัศน์ Power point หน่วยที่ 4 และ LCD Projector
งานที่มอบหมาย ทาแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน
1. สังเกตความสนใจในห้องเรียน
การวัดผล 2. การตอบคาถามขณะเรียน
3. ตรวจผลงานจากแบบฝึกหัดที่มอบหมาย
5-1
ตั ว อย่ า งที่ 5-1 draw the shear and moment diagrams for the beam shown in figure. If w =
300 N and L = 4 m.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
5-5
ตัวอย่างที่ 5-2 draw the shear and moment diagrams for beam shown below in figure. If W0
= 500 N/m and L = 3 m.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
5-6
ตัวอย่างที่ 5-3 draw the shear and moment diagrams for beam shown below.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
5-7
ตัวอย่างที่ 5-4 draw the shear and moment diagrams for beam shown below.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
5-8
1. บอกความสาคัญของหน่วยเรียน
วิธีสอนและ
2. ให้เนื้อหาโดยวิธี บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ
กิจกรรม
3. ถามคาถามในห้องเรียน
หนังสืออ้างอิง -
สื่อการสอน เอกสารประกอบ หน่วยที่ 5
วัสดุโสตทัศน์ Power point หน่วยที่ 5 และ LCD Projector
งานที่มอบหมาย ทาแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน
1. สังเกตความสนใจในห้องเรียน
การวัดผล 2. การตอบคาถามขณะเรียน
3. ตรวจผลงานจากแบบฝึกหัดที่มอบหมาย
5-9
y
max (5-1)
c
โดยที่
คือ ค่าความเค้นดัด (N/m2)
max คือ ค่าความเค้นดัดสูงสุดที่เกิดบนเพลา (N/m2)
y คือ ระยะจากแกนสะเทินถึงระยะที่สังเกต (m)
c คือ ระยะจากแกนสะเทินถึงผิวด้านนอกที่ยาวที่สุด (m)
My
max (5-2)
I
โดยที่
M คือ โมเมนต์ดัด ณ จุดที่สนใจ (N.m)
I คือ โมเมนต์ความเฉื่อย ณ หน้าตัดที่สนใจ (m4)
5-11
ตัวอย่างที่ 5-5 A member having the dimensions shown is used to resist an internal bending
moment of M = 100 kN.m. Determine the maximum stress in the member if the moment
is applied about the x axis and y axis.
x 30 mm
M
40 mm
วิธีทา
5-12
ตั ว อ ย่ า ง ที่ 5-6 a beam has a rectangular cross section and is subjected to the stress
distribution shown in figure. Determine the internal moment M at the section caused by
the stress distribution
(a) using the flexure formula
(b) by finding the the resultant of the stress distribution using basic principles.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
5-13
1. บอกความสาคัญของหน่วยเรียน
วิธีสอนและ
2. ให้เนื้อหาโดยวิธี บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ
กิจกรรม
3. ถามคาถามในห้องเรียน
หนังสืออ้างอิง -
สื่อการสอน เอกสารประกอบ หน่วยที่ 5
วัสดุโสตทัศน์ Power point หน่วยที่ 5 และ LCD Projector
งานที่มอบหมาย ทาแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน
1. สังเกตความสนใจในห้องเรียน
การวัดผล 2. การตอบคาถามขณะเรียน
3. ตรวจผลงานจากแบบฝึกหัดที่มอบหมาย
5-14
ตัวอย่างที่ 5-7 the solid shaft and tube are subjected to the shear force of 4 kN. Determine
the shear stress acting over the diameter of each cross section
4 kN 4 kN
50 mm 50 mm 20 mm
วิธีทา
5-17
ตั ว อย่ า งที่ 5-8 determine the distribution of the shear stress over the cross section of the
beam shown in figure.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
5-18
ตัวอย่างที่ 5-9 Beam shown is made from two boards. Determine the maximum shear stress
in the glue necessary to hold the boards together along the seams where they are joined.
Supports at B and C exert only vertical reactions on the beam.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
5-19
1. บอกความสาคัญของหน่วยเรียน
วิธีสอนและ
2. ให้เนื้อหาโดยวิธี บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ
กิจกรรม
3. ถามคาถามในห้องเรียน
หนังสืออ้างอิง -
สื่อการสอน เอกสารประกอบ หน่วยที่ 5
วัสดุโสตทัศน์ Power point หน่วยที่ 5 และ LCD Projector
งานที่มอบหมาย ทาแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน
1. สังเกตความสนใจในห้องเรียน
การวัดผล 2. การตอบคาถามขณะเรียน
3. ตรวจผลงานจากแบบฝึกหัดที่มอบหมาย
5-20
pr
1 (5-5)
t
pr (5-6)
2
2t
โดยที่
1 คือ ความเค้นตามแนวรัศมี (N/m2)
2 คือ ความเค้นตามแนวยาว (N/m2)
p คือ ความดัน (N/m2)
r คือ รัศมี (m)
t คือ ความหนาของผนัง (m)
5.3.2 ภาชนะผนังบางรูปทรงกลม (spherical vessels)
สาหรับค่าความเค้นที่เกิดบนผนังบางรูปทรงกลมรัศมี r และความหนา t ดังแสดงในรูปที่ 5-8
นั้นมีเพียงค่าความเค้นเพียงค่าเดียวเท่านั้น ซึ่งสามารถคานวณได้จากสมการที่ (5-7)
ตั ว อย่ างที่ 5-10 Cylindrical pressure vessel has an inner diameter of 1.2 m and thickness of
12 mm. Determine the maximum internal pressure it can sustain so that neither its
circumferential nor its longitudinal stress component exceeds 140 MPa. Under the same
conditions, what is the maximum internal pressure that a similar-size spherical vessel
วิธีทา
5-24
ตัวอย่างที่ 5-11 A spherical gas tank has an inner radius of r = 1.5 m. If it is subjected to an
internal pressure of P = 300 kPa, Determine its required thickness if the maximum normal
stress is not to exceed 12 MPa.
วิธีทา
ตัวอย่างที่ 5-12 the rectangular block of negligible weight in figure is subjected to a vertiacal
force of 40 kN, which is applied to its corner. Determine the normal-stress distribution acting
on a section through ABCD.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
5-26
ตั ว อย่ า งที่ 5-13 The screw of the clamp exerts a compressive force of 500 N on the wood
blocks. Determine the maximum normal stress developed along section a-a. The cross
section there is rectangular, 0.75 cm by 0.50 cm.
วิธีทา
5-27
1. บอกความสาคัญของหน่วยเรียน
วิธีสอนและ
2. ให้เนื้อหาโดยวิธี บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ
กิจกรรม
3. ถามคาถามในห้องเรียน
หนังสืออ้างอิง -
สื่อการสอน เอกสารประกอบ หน่วยที่ 5
วัสดุโสตทัศน์ Power point หน่วยที่ 5 และ LCD Projector
งานที่มอบหมาย ทาแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน
1. สังเกตความสนใจในห้องเรียน
การวัดผล 2. การตอบคาถามขณะเรียน
3. ตรวจผลงานจากแบบฝึกหัดที่มอบหมาย
6-1
วิธีทา
No x y xy x’ y’ x’y’
1 5 4 12 13 10.21 -1.21 10.57
2 4 3 -3 14 2.53 4.47 -2.88
3 1 8 -1 32 2.07 6.93 2.71
4 17 2 -12 50 -3.62 22.62 -5.30
5 -6 -1 3 27 -2.54 -4.46 3.79
6 3 -3 10 42 10.26 -10.26 -1.94
7 2 -1 4 12 3.50 -2.50 3.04
ตัวอย่างที่ 6-2 the state of stress at a point is represented by the element shown. Determine
the state of stress at the pt on another element orientated 30 clockwise from the position
shown.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
6-5
1,2 max,min xy
2
2 2
No x y xy p 1 2
1 5 4 12 43.81 16.51 -7.51
2 4 3 -3 -40.27 6.54 0.46
3 1 8 -1 7.97 8.14 0.86
4 17 2 -12 -29.00 23.65 -4.65
5 -6 -1 3 -25.10 0.41 -7.41
6 3 -3 10 36.65 10.44 -10.44
7 2 -1 4 34.72 4.77 -3.77
tan2 s
x y
(6-6)
2 xy
(6-7)
x y
2
max xy
2
2
y (6-8)
ave x
2
ตั ว อย่ า งที่ 6-5 When torsional loading T=100 N.m is applied to bar, it produces a state of
pure shear stress in the material. Determine
(a) the maximum in-plane shear stress and associated average normal stress, and
(b) the principal stress.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
6-9
ตัวอย่างที่ 6-6 the state of plane stress at a point on a body is represented on the element
shown. Represent this stress state in terms of the maximum in-plane shear stress and
associated average normal stress.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
6-10
ตัวอย่างที่ 6-7 the state of plane stress at a point on a body is represented on the element
shown. Determine the in-plane principal stress and the maximum in-plane shear stress
using Mohr’s circle.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
6-12
1. บอกความสาคัญของหน่วยเรียน
วิธีสอนและ
2. ให้เนื้อหาโดยวิธี บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ
กิจกรรม
3. ถามคาถามในห้องเรียน
หนังสืออ้างอิง -
สื่อการสอน เอกสารประกอบ หน่วยที่ 6
วัสดุโสตทัศน์ Power point หน่วยที่ 6 และ LCD Projector
งานที่มอบหมาย ทาแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน
1. สังเกตความสนใจในห้องเรียน
การวัดผล 2. การตอบคาถามขณะเรียน
3. ตรวจผลงานจากแบบฝึกหัดที่มอบหมาย
7-1
7.1 สูตรของออยเลอร์สาหรับเสาในอุดมคติ
7.1.1 แรงวิกฤต (critical load)
เมื่อเสาอยู่ ภายใต้แรงกระท า (P) ตามแนวแกน แรงที่ทาให้ เกิ ดการโก่ งตัว ของด้า นข้ าง
(buckling) ภายใต้สมดุลของเสาเรียกว่าแรงวิกฤต (critical load, Pcr) ซึ่งการโก่งตัวของเสานั้นนาไปสู่การ
เสียหายของโครงสร้าง ดังนั้นจึงจาเป็นต้องมีการออกแบบและกาหนดให้แรงที่ใช้งานไม่เกินแรงวิกฤต ภาพ
การโก่งตัวของเสาเนื่องจากแรงวิกฤตสามารถแสดงได้ดังรูปที่ 7-1
โดยที่
Pcr คือ แรงวิกฤต (N)
E คือ ยังมอดุลัส (Pa)
I คือ ค่าโมเมนต์ความเฉื่อยที่น้อยที่สุดของหน้าตัดที่พิจารณา
L คือ ความยาวของเสาที่ไม่ได้มีการจับยึด
ดังนั้นค่าความเค้นวิกฤตที่เกิดขึ้นบนเสาสามารถคานวณได้จากสมการที่ (7-2)
2E
cr (7-2)
L / r 2
โดยที่
cr คือ ความเค้นวิกฤต (Pa)
r คือ รัศมีไจเรชั่นที่น้อยที่สุด (N)
ตัวอย่างที่ 7-3 a 7.2 m long A-36 steel tube having the x-section shown is to be used a pin-
ended column. Determine the maximum allowable axial load the column can support so
that it does not buckle.
(Hibberler, 2011)
วิธีทา
7-5
1. บอกความสาคัญของหน่วยเรียน
วิธีสอนและ
2. ให้เนื้อหาโดยวิธี บรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ
กิจกรรม
3. ถามคาถามในห้องเรียน
หนังสืออ้างอิง -
สื่อการสอน เอกสารประกอบ หน่วยที่ 7
วัสดุโสตทัศน์ Power point หน่วยที่ 7 และ LCD Projector
งานที่มอบหมาย ทาแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน
1. สังเกตความสนใจในห้องเรียน
การวัดผล 2. การตอบคาถามขณะเรียน
3. ตรวจผลงานจากแบบฝึกหัดที่มอบหมาย
7-9
แบบฝึกหัดเสริม
แบบฝึกหัดเสริม 1 แนวคิดเบื้องต้นและการทบทวนสถิตยศาสตร์
แบบฝึกหัดเสริม 1.1 Determine force of x and y axis.
X
ข้อที่ R (N) (degree) R x (N) R y (N)
1 200 25 181.26 84.52
2 100 11 98.16 19.08
3 35 29 30.61 16.97
4 40 75 10.35 38.64
5 21 43 15.36 14.32
6 10 157 -9.21 3.91
7 300 97 -36.56 297.76
8 32 145 -26.21 18.35
9 45 238 -23.85 -38.16
10 60 320 45.96 -38.57
บฝ-2
แบบฝึกหัดเสริม 1.2 Determine the resultant internal normal force acting on the
cross section through point A in each column. In (a), segment BC weighs 180 lb/ft
and segment CD weighs 250 lb/ft. In (b), the column has a mass of 200 kg/m.
(Hibberler, 2011)
แบบฝึกหัดเสริม 2 ความเค้น (stress)
แบบฝึกหัดเสริม 2.1 The bars of the truss each have a cross-sectional area of 1.25
in2. Determine the average normal stress in each member due to the loading State
whether the stress is tensile or compressive.
บฝ-3
(Hibberler, 2011)
แบบฝึกหัดเสริม 3 ความเครียด (strain)
แบบฝึกหัดเสริม 3.1 The rigid beam is supported by a pin at A and wires BD and CE.
If the load P on the beam causes the end C to be displaced 10 mm downward,
determine the normal strain developed in wires CE and BD.
(Hibberler, 2011)
and 1 in = 0.2x10-3 in./in. From the diagram, determine approximately the modulus of
elasticity.
(Hibberler, 2011)
แบบฝึกหัดเสริม 5 ภาระในแนวแกน (axial load)
แบบฝึกหัดเสริม 5.1 A steel bar of cross section 5 0 0 mm2 is acted upon by the
forces shown in figure. Determine the total elongation of the bar. For steel, consider E
= 200 GPa.
(Hibberler, 2011)
(Hibberler, 2011)
(Hibberler, 2011)
(Hibberler, 2011)
บฝ-7
(Hibberler, 2011)
4m
Cross section
(Hibberler, 2011)
ฉฝ-1
เฉลยแบบฝึกหัดเสริม
เฉลยแบบฝึกหัดเสริม 1 แนวคิดเบื้องต้นและการทบทวนสถิตยศาสตร์
เฉลยแบบฝึกหัดเสริม 1.1
ข้อที่ R (N) (degree) R x (N) R y (N)
1 200 25 181.26 84.52
2 100 11 98.16 19.08
3 35 29 30.61 16.97
4 40 75 10.35 38.64
5 21 43 15.36 14.32
6 10 157 -9.21 3.91
7 300 97 -36.56 297.76
8 32 145 -26.21 18.35
9 45 238 -23.85 -38.16
10 60 320 45.96 -38.57
s = 31.7
avg = 25 MPa
บรรณานุกรม
ภาพผนวก
ตารางภาคผนวกที่ 1 ค่าคงที่ในการแปลงหน่วย
To Convert from English to
Quantity Symbol SI Units English Units
SI units Multiply by
Length L m ft 0.30480
Mass m kg lbm 0.45360
Time t s sec 1.00000
Area A m2 ft2 0.09290
Volume V m3 ft3 0.02832
Velocity V m/s ft/sec 0.30480
Acceleration a m/s2 ft/sec2 0.30480
Angular
velocity rad/s rad/sec 1.00000
rad/s rpm 9.55000
Force, Weight F, W N lbf 4.44800
Density kg/m3 lbm/ft3 16.02000
Specific weight N/m3 lbf/ft3 157.10000
Pressure, stress P kPa psi 6.89500
Work, Energy W, E, U J ft-lbf 1.35600
Power W W ft-lbf/sec 1.35600
W hp 746.00000
ภผ-2
ตารางภาคผนวกที่ 2 คาอุปสรรค
Multiplication Factor Prefix Symbol
1012 tera T
109 giga G
106 mega M
103 kilo k
10–2 centi* c
10–3 mili m
10–6 micro μ
10–9 nano n
10–12 pico p
*Discouraged except in cm, cm2, cm3, or cm4.
ภผ-3
ตารางภาคผนวกที่ 3 จุดเซนทรอยด์และโมเมนต์ความเฉื่อยของพื้นที่และเส้น