Professional Documents
Culture Documents
คลื่นและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
1. แหล่ งกาเนิดคลื่น
1. คลื่นดล (Pulse wave) คือ คลื่นที่เกิดจากแหล่ งกาเนิดคลื่นสั่ นเพียง 1-2 ครั้ง ทาให้
เกิดคลื่ น 1-2 ลูก เช่ น การโยนก้อนหิ นก้อนเดี ยวลงไปในน้ า จะพบว่าเกิ ดคลื่นดล
เพีย งกลุ่มหนึ่ งกระจายออกไปรอบ ๆ ไม่ น านผิว น้ าจะนิ่ ง คลื่ นดลอาจมี ลกั ษณะ
กระจายออกจากแหล่งกาเนิ ดเป็ นแนวตรง หรื อเป็ นวงกลมก็ได้ แล้วแต่แหล่งกาเนิ ด
ที่ทาให้เกิดคลื่น
v = f
= ความยาวคลื่นของคลื่น (เมตร, m)
ปรากฎการณ์ ที่แสดงสมบัติเป็ นคลื่ น ได้แก่ การสะท้อน การหักเห การแทรกสอด และ การ
เลี้ยวเบน ปรากฎการณ์ท้ งั สี่ อาจจะทาให้อตั ราเร็ วและความยาวคลื่นของคลื่นเปลี่ยนแปลงไป แต่
ไม่ทาให้ความถี่ของคลื่นเปลี่ยน
1.การสะท้ อนของคลื่น เป็ นปรากฎการณ์ที่คลื่นเคลื่อนที่ไปที่ปลายสุ ดของตัวกลาง หรื อ เป็ นเขต
ระหว่าง 2 ตัวกลาง ที่ ไม่ยอมให้คลื่นเคลื่อนที่ ผ่านหรื อผ่านบางส่ วน คลื่นจะต้องมีการสะท้อน
กลับสู่ ตวั กลางเดิม
คุณสมบัติของการสะท้อนของคลื่นมีดงั นี้
1.รังสี ตกกระทบ รังสี สะท้อน และ เส้นแนวฉาก (หรื อเส้นปกติ) จะอยูใ่ นระนาบเดียวกัน
คลื่นเคลื่อนที่จากเชือกที่มีความหนาแน่นน้อยกระทบกับรอยต่อระหว่างเชือกทั้งสอง (อีกเส้นมี
ความหนาแน่ นมาก) คลื่นจะสะท้อนกลับในเส้นเชื อกที่ มีความหนาแน่ นน้อยในทิ ศที่ มุมตรง
ข้ามกับคลื่นตกกระทบ
รู ปซ้ ายมือ ปลายเชื อกเป็ นอิสระคลื่นตกกระทบและคลื่นสะท้อนมี ลกั ษณะเหมื อนกัน (มีเฟส
เหมือนเดิม)
ริ้วของการแทรกสอด
(Interference pattern)
การแทรกสอดแบบเสริมกัน
(Constructive Interference)
การแทรกสอดแบบหักล้างกัน
(Destructive Interference)
แหล่ งกาเนิดอาพันธ์ (Coherent source)
แสดงแนวเส้ นปฏิบัพ
(Antinode lines)
2.ใช้ในการอาบผลผลิตเพื่อที่จะเก็บรักษาไว้ได้นาน ๆ
3.ใช้ในการเปลี่ยนแปลงพันธุ์พืช
4.ใช้ในการตรวจสอบรอยรั่วและรอยร้าวของเครื่ องใช้ที่ทาจากโลหะ
7.ใช้ในการฆ่าไข่พยาธิ ไส้เดือนกลมในหมู
8. การฉายรั ง สี แ กมมาให้กับ หอมหัว ใหญ่ มัน ฝรั่ ง และ กระเที ย ม ด้ว ยปริ ม าณที่ พ อเหมาะ
สามารถควบคุมการงอก และ ลดการสู ญเสี ยน้ าหนักในระหว่างการเก็บรักษาในห้องเย็นได้นาน
6 เดือน
โทษของรังสี แกมมา
1.ทาให้เป็ นโรคมะเร็ ง
3.ท าให้เกิ ดการกลายพันธุ์ เนื่ องจากรั งสี แ กมมาก่ อ ให้เกิ ดไอออนได้ จึ งท าให้อะตอมหรื อ
โมเลกุลของเซลล์และระบบการทางานของเซลล์เปลี่ยนไป
2. รังสี เอกซ์ (X – ray)
รังสี เอกซ์ (X – ray) เป็ นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่อยูใ่ นช่วง 1016 – 1021 เฮิรตซ์
มี พ ลั ง งานและความถี่ สู งกว่ า รั ง สี อั ล ตราไวโอเลต รั ง สี เอกซ์ ค ้ น พบโดย
นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ วิลเฮลม์ เริ นต์เกน ในปี พ.ศ. 2438
หลอดผลิตรังสี เอกซ์จะใช้หลักการให้อิเล็กตรอนพลังงานสู งวิ่งเข้าชนเป้าโลหะและ
จะได้รังสี เอกซ์ออกมา
หลอดผลิตรังสี เอกซ์จะเป็ นหลอดสุ ญญากาศที่ต่อเข้ากับเครื่ องกาเนิ ดไฟฟ้ าที่มีความต่างศักย์สูง
เมื่อมี กระแสไฟฟ้ าผ่านไส้หลอดด้านขั้วลบ (แคโทด) ไส้หลอดจะร้อนมากอิเล็กตรอนจะหลุด
ออกจากไส้หลอด และ วิง่ ไปยังขั้วบวก (แอโนด) ที่ทาด้วยโลหะทังสเตน อิเล็กตรอนที่วิ่งออกมา
นี้ มีพลังงานสู ง เมื่ อมาชนทังสเตนซึ่ งดู ดกลื นพลังงานของอิ เล็กตรอนไว้แล้วจึ งคายรั งสี เอกซ์
ออกมา
รั งสี เอกซ์ มีอานาจทะลุทะลวงได้มาก และการทะลุผ่านสิ่ งกี ดขวางของรั งสี เอกซ์ จะขึ้ นอยู่กบั
ความหนาแน่ นของวัตถุ เช่น ตะกัว่ ทองคา เงิ น ส่ วนน้ ารั งสี เอกซ์ทะลุผ่านได้ดี ดังนั้นในการ
วินิจฉัยโรคด้วยรังสี เอกซ์ แพทย์จึงต้องให้คนไข้เอาเครื่ องประดับที่เป็ นโลหะออก เพื่อป้ องกัน
ไม่ให้ภาพของชิ้นส่ วนเหล่านั้นปรากฎบนฟิ ล์มเอกซ์เรย์
5. รั งสี เ อกซ์ทาให้เ กิ ด การเปลี่ ย นแปลงทางเคมี ไ ด้ เช่ น เมื่ อ รั งสี เ อกซ์ ไ ปถู ก ฟิ ลม์
ถ่ายรู ปจะทาให้ฟิลม์ดา จึงนาผลอันนี้มาใช้ในการถ่ายภาพบนฟิ ลม์เอกซ์เรย์
ประโยชน์ ของรังสี เอกซ์
1.ทางด้ านการแพทย์
ก.ช่วยในการวินิจฉัยโรคบางชนิ ด เช่น โรคมะเร็ ง กระดูกหัก กระเพาะอาหารเป็ น
แผล และ ความผิดปกติของรากฟัน เป็ นต้น แต่ในการฉายรังสี เอกซ์แต่ละครั้งทาให้
เซลล์เกิดการเสื่ อมสภาพ ตาย หรื อ ผิดปกติ ดังนั้นจึงไม่ควรเข้าใกล้แหล่งกาเนิดรังสี
เอกซ์บ่อยครั้ง ทั้งนี้ข้ ึนอยูก่ บั ความเข้มของรังสี และ ระยะเวลาที่ถูกรังสี ดว้ ย
ข.ใช้รัก ษามะเร็ ง ด้านรั งสี รั ก ษา เรี ย กการใช้รั งสี พ ลังงานสู งเพื่ อรั ก ษาโรค เช่ น
โรคมะเร็ งเต้านม หรื อ เนื้องอกในสมอง
2.ทางอุตสาหกรรม
ก.ใช้ตรวจสอบรอยร้าว รอยรั่วของโครงสร้างต่าง ๆ
ข.ใช้ต รวจสอบอาวุธ หรื อ วัต ถุ ร ะเบิ ด ที่ ซุ ก ซ่ อนในกระเป๋ าเดิ น ทาง หรื อ หี บ ห่ อ
สัมภาระต่าง ๆ ในสนามบิน
3.ทางด้ านงานวิจัย
ก.ใช้ศึกษาโครงสร้างของผลึกชนิดต่าง ๆ
Xenon lamp
Mercury lamp
หลอดฟลูออเรสเซนต์เป็ นหลอดที่ผลิตรังสี อลั ตราไวโอเลตได้ โดยภายในหลอดมีไอของปรอท
และแก๊ ส ซี นอนปริ ม าณเล็ก น้อ ย ด้า นในของหลอดจะฉาบสารวาวแสงไว้ เมื่ อ ให้ค วามต่ า ง
ศักย์ไฟฟ้ ากับขั้วทั้งสอง อิ เล็กตรอนจากขั้วทั้งสองของหลอดเคลื่ อนมาชนกับอะตอมของไอ
ปรอท จะทาให้เกิดรังสี อลั ตราไวโอเลตแผ่กระจายออกมา ซึ่ งจะถูกสารวาวแสงดูดกลืนไว้ และ
รังสี อลั ตราไวโอเลตที่ถูกดูดกลืนไว้จะไปกระตุน้ ให้สารวาวแสงเกิดการวาวแสงในช่วงความถี่ที่
ตามองเห็น แสงที่ให้ออกมาจะเป็ นแสงสี ใดขึ้นอยูก่ บั สารวาวแสงที่ใช้เคลือบ เช่น ฟลูออไรต์ จะ
ให้สีม่วงปนน้ าเงิน ยิปซัมจะให้แสงสี เหลือง – เขียว
รังสี อลั ตราไวโอเลต หรื อ รังสี เหนือม่ วง หรื อ รังสี ยูวี (ultraviolet) เป็ นช่วงหนึ่งของ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงสี ม่วง รังสี อลั ตราไวโอเลตแบ่งเป็ น
สามชนิดย่อย ได้แก่
1. รังสี UV –A : ( ความยาวคลื่น 320 – 400 mm ) สามารถลอดผ่านกระจก และเมฆ
เข้าถึงภายในชั้นผิว โดยจะกระตุน้ ให้เกิดการสร้างเมลานิน ทาให้ผวิ คล้ าแดด แต่ไม่
มีอาการแสบและเป็ นสาเหตุให้เกิดรอยเหี่ ยวย่น หรื อผิวหย่อนยาน จา A = Aging
การที่ รั ง สี อ ัล ตราไวโอเลตท าให้ร่ า งกายผลิ ต วิ ต ามิ น ดี ได้เ นื่ อ งจาก สารเออร์ โ กสเตอรอล
(Ergosterol) ที่ละลายในไขมันเมื่อได้รับรังสี อลั ตราไวโอเลตจะถูกกระตุน้ ให้เปลี่ยนเป็ นวิตามิน
ดี
5.ใช้ในการแสดงและตกแต่งเวที โดยใช้สารเรื องแสงต่าง ๆ กันทาตามเสื้ อผ้าตัวละคร และ
บริ เวณที่ ตกแต่ง เมื่อดับไฟพร้ อมฉายรังสี อลั ตราไวโอเลตทาให้สารที่ ทาเอาไว้เรื องแสงเป็ นสี
ต่าง ๆ กัน แต่ตอ้ งใช้ในช่วงเวลาสั้น ๆ จะได้ไม่อนั ตราย
3.การเชื่ อมโลหะด้วยไฟฟ้ า จะทาให้เกิ ดรั งสี อลั ตราไวโอเลตความเข้มสู งในปริ มาณที่ เป็ น
อันตรายต่อนัยน์ตาได้ จึงจาเป็ นต้องสวมแว่นสาหรับป้องกันโดยเฉพาะ
4.ผิวคล้า มีเมลานิ น ผิวสี น้ าตาลไม่เกิ ดการไหม้ ไม่เกิ ดสี แทน ใช้ครี มกันแดดที่มี
SPF ต่า (SPF 15)
ปั จจุบนั จะมี UPF (Ultraviolet Protection Factor) ซึ่ งถือว่าเป็นมาตรฐานใหม่ ทั้ง UPF
และ SPF แตกต่างกันตรงที่ UPF เป็ นค่ ำที่บอกถึงควำมสำมำรถในกำรป้ องกันรั งสี UVA
และ UVB ในขณะที่ SPF บ่งบอกถึงความสามารถในการป้องกันรั งสี UVB เพียงอย่ างเดียว
เท่ านั้น
ค่ า UPF = 50 (หรื อ 50+) หมายถึ ง มี ค วามสามารถในการป้ อ งกัน รั ง สี
อัลตราไวโอเลตได้สูงสุ ด
ค่ า UPF = 40-49 หมายถึง มีความสามารถในการป้องกันรังสี อลั ตราไวโอเลตได้
ยอดเยีย่ ม (ปริ มาณรังสี ที่ป้องกันได้อยูใ่ นช่วง 97.5 %)
ค่ า UPF = 25-39 หมายถึง มีความสามารถในการป้องกันรังสี อลั ตราไวโอเลตได้ดี
มาก (ปริ มาณรังสี ที่ป้องกันได้อยูใ่ นช่วง 96.0-97.4%)
ค่ า UPF = 15-24 หมายถึง มีความสามารถในการป้องกันรังสี อลั ตราไวโอเลตได้ดี
(ปริ มาณรังสี ที่ป้องกันได้อยูใ่ นช่วง 93.3-95.9 %)
ค่า PA ( Protection grade of UV-A ) เป็ นค่าที่แสดงถึงประสิ ทธิภาพในป้องกัน
รังสี UV-A
PA + : มีประสิ ทธิภาพ PA++: มีประสิ ทธิภาพค่อนข้างมาก
ดังนั้นสาหรับใครที่จะต้องเจอกับแสงแดด
เป็ นเวลาหลายชัว่ โมง ให้เลือก PA++ หรื อ
สู งกว่านี้
4. แสงในช่ วงทีต่ าเปล่ามองเห็น (Visible light)
การมองเห็นแสงสี ต่าง ๆ เกิดจากเซลล์ รูปกรวยถูกกระตุ้นจากแสงสี ต่าง ๆ ในช่ วงคลื่นที่มองเห็น
ได้ แล้ วส่ งความรู้ สึกไปสู่ สมอง เซลล์รูปกรวยแบ่งออกเป็ น 3 ชนิ ด แต่ละชนิ ดจะรับแสงสี แดง สี
เขียว และ แสงสี น้ าเงิ น ไว้ชนิ ดละสี เมื่ อแสงสี ใดมากระทบ เซลล์รูปกรวยที่ รับสี น้ นั ๆ จะถูก
กระตุน้ มากกว่าเซลล์รูปกรวยสี อื่น ๆ ทาให้เกิดความรู ้สึกของการมองเห็นสี น้ นั ๆ ได้
5.รังสี อนิ ฟราเรด (Infrared: IR)
รังสี อนิ ฟราเรด เป็ นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่อยูใ่ นช่วงประมาณ 1011 – 1014 เฮิรตซ์
หรื อ ความยาวคลื่ นตั้งแต่ประมาณ 10 - 3 ถึ ง 10 – 6 เมตร มี ความถี่ ในช่ วงเดี ยวกับ
ไมโครเวฟ มีความยาวคลื่นอยูร่ ะหว่างแสงสี แดงกับคลื่นวิทยุสสารทุกชนิดที่มีอุณหภูมิอยู่
ระหว่า ง -200 องศาเซลเซี ย สถึ ง 4,000 องศาเซลเซี ย ส จะปล่ อ ยรั ง สี อิ น ฟาเรดออกมา
คุ ณ สมบัติ เ ฉพาะตัว ของรั ง สี อิ น ฟราเรด เช่ น ไม่ เ บี่ ย งเบนในสนามแม่ เ หล็ก ไฟฟ้ า ที่
แตกต่างกันคือ คุณสมบัติที่ข้ ึนอยูก่ บั ความถี่ คือยิง่ ความถี่สูงมากขึ้น พลังงานก็สูงขึ้นด้วย
ชนิดของอินฟราเรด ตัวย่อ ความยาวคลื่น
Near-Infrared NIR 0.78–3 µm
Mid-Infrared MIR 3–50 µm
Far-Infrared FIR 50–1000 µm
แหล่ งก าเนิ ด รั ง สี อิ น ฟราเรดไม่ ได้ม าจากดวงอาทิ ตย์อ ย่า งเดี ย ว กองไฟหรื อ เตารี ด ก็แ ผ่รั ง สี
อินฟราเรดได้เนื่ องจากทาให้เรารู ้สึกร้อน การสั่นของโมเลกุลของวัตถุก็จะแผ่รังสี อินฟราเรดได้
เช่นกัน ร่ างกายของคนเราสามารถแผ่รังสี อินฟราเรดได้ โดยเฉพาะคนไข้ หากเราเอามือแนบใกล้
ๆ จะรู ้สึกอุ่น
Sir William Herschel นักวิทยาศาสตร์ ชาวอังกฤษ ได้คน้ พบ อินฟราเรดสเปกตรัม ในปี 1800
โดยเขาได้ทาการทดลองวัดอุ ณหภูมิของแถบสี ต่างๆที่ เปล่งออกมาเป็ นสี รุ้งจากปริ ซึม พบว่า
อุณหภูมิความร้อนจะเพิ่มขึ้นตามลาดับจากสี ม่วงและสู งสุ ดที่แถบสี สีแดง ซึ่ งขอบเขตนี้ เรี ยกว่า
“อินฟราเรด” (ของเขตที่ต่ากว่าแถบสี แดง)
3.Mid-wavelength infrared (MWIR, IR-C ) บางครั้งเรี ยกว่า Intermediate infrared (IIR): มีความ
ยาวคลื่นในช่วง 3 ถึง 8 ไมโครเมตร ใช้ในการเล็งเป้าหมายของจรวดมิสไซด์ (Missile)
2.ใช้อบอาหารและประกอบอาหาร
3.ใช้ รั ก ษาโรคผิ ว หนั ง หากฉายไปยั ง
กล้ามเนื้ อที่ แ พลงหรื อเจ็บ จะให้ผลทานอง
เดี ย วกั น กั บ วิ ธี ป ระคบ ซึ่ งใช้ ไ ด้ ผ ลดี กั บ
กล้ามเนื้อที่อยูไ่ ม่ลึกมาก
เดินทางเป็ นเส้นตรง
สามารถหักเหได้ (Refract)
สามารถสะท้อนได้ (Reflect)
สามารถถูกลดทอนเนื่องจากฝน (Attenuate)
สามารถถูกลดทอนเนื่องจากชั้นบรรยากาศ
มีลกั ษณะเด่น 3 ประการของคลื่นไมโครเวฟ
1.การสะท้ อนกลับ (Reflection) คลื่นไมโครเวฟเมื่ อไปกระทบกับภาชนะที่ เป็ นโลหะหรื อมี
ส่ วนผสมของโลหะ คลื่ นไมโครเวฟไม่สามารถทะลุผ่านภาชนะดังกล่าวได้ จะสะท้อนกลับ
หมด ดังนั้นอาหารที่ ใส่ ในภาชนะที่ เป็ นโลหะก็จะไม่สุก คลื่นไมโครเวฟจะสะท้อนกลับใน
วัสดุเหล่านี้คือ โลหะ กระดาษฟอยล์ จึงทาให้อาหารที่อยูภ่ ายใต้วสั ดุดงั กล่าวนี้ไม่ร้อน
หลักการให้ ความร้ อน
เตาไมโครเวฟทาให้อาหารสุ ก โดยคลื่ นไมโครเวฟ ที่ มีความถี่ สูงทาให้โมเลกุล
ของน้ า ในอาหารเกิ ด การสั่น สะเทื อ นและชนโมเลกุ ล อื่ น ๆ ต่ อ ไป จนเกิ ด เป็ น
พลังงานจลน์และพลังงานจลน์น้ ีเองจะกลายสภาพเป็ นพลังงานความร้อน จึงทา ให้
อาหารสุ กอย่างรวดเร็ วและเร็ วกว่าการประกอบอาหารด้วยระบบอื่น ๆโดยไม่เสี ย
พลังงานความร้อน
ห้ ามต้ มนา้ หรื อกาแฟในเตาไมโครเวฟ
การต้มน้ าในไมโครเวฟอาจกลายเป็ นเรื่ องถึง ห้องฉุ กเฉิ นได้ โดยเฉพาะการต้ม
น้ าในแก้ว เซรามิ ก หรื อ แก้ว ใส ๆ ธรรมดา น้ าที่ ตม้ ในไมโครเวฟบางครั้ งอาจ
ระเบิดได้ เพราะ น้ าจะถูกต้มให้มีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือดของน้ าปกติ (superheated
water) ปกติเวลาน้ าเดือดเราจะเห็นฟองอากาศลอยผุดขึ้นผิวน้ า ฟองอากาศนี้ช่วยลด
อุณหภูมิของน้ าให้อยูท่ ี่จุดเดือดปกติ ถ้าไม่มีฟองอากาศอุณหภูมิของน้ าอาจสู งกว่า
จุดเดือดมากจนทาให้เกิดน้ าระเบิด ได้
ประโยชน์ ของคลื่นไมโครเวฟ
1.การสื่ อสาร ในช่วงความยาวคลื่นประมาณ 0.5 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร ใช้เป็ นเร
ดาห์(Radar) สาหรับตรวจจับวัตถุที่เคลื่อนที่ เช่น เครื่ องบิน หรื อ วัตถุอื่น ๆ ใน
บรรยากาศ
ถ้าพิจารณาจากสเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จะเห็นว่าคลื่นวิทยุมีความถี่อยู่ในช่วง
106 - 109 เฮิรตซ์ คลื่นช่วงนี้ใช้ในการส่ งข่าวสารและสาระบันเทิงไปยังผูร้ ับ สาหรับ
คลื่นวิทยุความถี่ต้ งั แต่ 530 - 1600 กิโลเฮิรตซ์ ที่สถานีวิทยุส่งออกอากาศใน ระบบเอ
เอ็ม เป็ นการสื่ อสารโดยการผสม (modulate) คลื่นเสี ยงเข้ากับคลื่นวิทยุ ซึ่ งเรี ยกว่า
คลื่นพาหะ และสัญญาณเสี ยงจะบังคับให้แอมพลิจูดของคลื่นพาหะเปลี่ยนแปลงไป
ในการส่ งสัญญาณคลื่นวิทยุโดยผสมสัญญาณคลื่นเสี ยงเข้ากับสัญญาณคลื่นวิทยุ ซึ่ งเรี ยกว่า คลื่น
พาหะ นี้ ที่ นิ ย มใช้กัน อยู่มี 2 วิ ธี คื อ แอมพลิ จู ด โมดู เ ลชั่น เขี ย นย่อ ว่า AM (Amplitude
Modulation) และ ความถี่โมดูเลชัน่ เขียนย่อว่า FM (Frequency Modulation)
คลื่น FM เป็ นคลื่นที่นิยมส่ งในระบบ VHF (Very High Frequency)ในย่ านความถี่ 30 - 300
MHzคลื่นในย่านนี้ จะไม่มีการสะท้อนกลับลงมาลงมาอีกครั้งเมื่อไปกระทบกับชั้นบรรยากาศไอ
โอโนสเฟี ยร์ ( Ionosphere )ฉะนั้น คลื่นย่านนี้ จะ รับส่ งกันได้ในแนวเส้นตรงเท่านั้นไม่วา่ จะส่ ง
ด้วยกาลังแรงสักเพียงใดโดยจะถูกบดบังด้วยความโค้งของผิวโลกโดยเฉลี่ยจะอยูใ่ นระดับ 50-
100 กม.ขึ้นอยูก่ บั ความสู งของ เสาส่ งและรับสัญญาณ(ยิง่ สู งยิง่ ไกล)
ความแตกต่ างของเสี ยงที่ฟังจากวิทยุระบบเอเอ็ม และ ระบบเอฟเอ็ม
ระบบเอฟเอ็ม ระบบเอเอ็ม
1.มีความถี่สูง (88 – 108 MHz) 1.มีความถี่ต่า (525 – 1605 kHz)
2.มีความถี่ไม่คงที่ แต่แอมปลิจูดคงที่ 2.มีความถี่คงที่ แต่แอมปลิจูดไม่คงที่
3.ทะลุบรรยากาศออกไป จึงมีแต่คลื่นพื้นดิน 3.สะท้อนในบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟี ยร์ ได้
ทาให้ส่งคลื่นไปไม่ได้ไกล ดี ทาให้ส่งไปได้ไกล จัดเป็ นคลื่นฟ้า
4.ไม่มีเสี ยงรบกวน ฟังชัด 4.มีเสี ยงรบกวน
ย่ านที่ ชื่ อย่ านความถี่ ความถี่ ตัวอย่ างการใช้ งาน
1 ELF(Extremely low frequency) 3-30 Hz การสื่ อสารกับเรื อดาน้ า
2 SLF (Super low frequency) 30-300 Hz การสื่ อสารกับเรื อดาน้ า
3 ULF (Ultra low frequency) 300-3000 Hz การสื่ อสารในเหมือง
4 VLF (Very low frequency) 3-30 kHz การสื่ อสารใต้น้ า, ระบบติดตามอัตราการเต้นของหัวใจแบบไร้สาย
11 EHF (Extremely high 30-300 GHz ดาราศาสตร์วิทยุ, high-speed microwave radio relay
frequency)
ตำรำงแสดงชื่อและควำมถีก่ บั กำรใช้ งำนของคลืน่ วิทยุ
(VHF)
(UHF)
ผลทีเ่ กิดขึน้ กับร่ างกายเมื่อได้ รับความถี่วทิ ยุย่านต่ าง ๆ
NFC หรื อ Near Field Communication
เนียร์ ฟิลด์ คอมมูนิเคชั น (Near Field Communication ; NFC) เป็ นเทคโนโลยีสื่อสารไร้สาย
ระยะสั้นระยะประมาณ 4 ซม. ที่ ใช้ได้ดีกบั โครงสร้ างพื้นฐานแบบไร้ สัมผัส ช่ วยสนับสนุ น
รองรับการสื่ อสารระหว่างเครื่ องมืออิเล็กทรอนิ กส์ในระยะใกล้ ๆ NFC ถูกพัฒนาขึ้นโดย Sony
และ NXP โดยใช้คลื่นความถี่ 13.56 MHz. บนพื้นฐานมาตรฐาน ISO 14443 (Philips MIFARE
and Sony’s FeliCa) ปั จจุบนั บริ ษทั ทั้งสองได้ร่วมมือกับบริ ษทั ผูล้ ิตและพัฒนาโทรศัพท์เคลื่อนที่
จัดตั้งเป็ น NFC Forum เพื่อให้เกิดการใช้งานในรู ปแบบต่างๆมากขึ้น ในระยะเริ่ มแรกมีบริ ษทั
โทรศัพท์มือถือชั้นนาของโลกประกาศนาเทคโนโลยีน้ ีมา ใช้กบั โทรศัพท์มือถือแล้ว เช่น Nokia,
Samsung, Motorola เป็ นต้น
อวัย วะที่ มี ค วามไวต่ อ คลื่ นวิท ยุ ได้แ ก่ นัย น์ ตา ปอด ถุ งน้ าดี กระเพาะปั ส สาวะ อัณฑะ และ
บางส่ วนของระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะนัยน์ตา และอัณฑะ เป็ นอวัยวะที่อ่อนแอที่สุดเมื่อ
ได้รับคลื่ นวิทยุช่วงไมโครเวฟ ผลการทาลายจะมากหรื อน้ อย ขึ้นอยู่กับความเข้ ม ช่ วงเวลาที่
ร่ างกายได้ รับคลื่นและชนิดของเนื้อเยื่อ คลื่นวิทยุช่วงความถี่ต่าง ๆ อาจมีผลต่อร่ างกายดังนี้