Professional Documents
Culture Documents
Thai
Thai
Thai
เสนอ
อ.พนมศักดิ มนูญปรัชญาภรณ์
รายชือสมาชิก
รมิตา เฉลิมชุติเดช ชันมัธยมศึกษาปที ๕ เลขที ๒
เคยเปนตัวอย่างของความสามัคคี และนับถือ
อปรหานิยธรรม โดนเน้นสามัคคีธรรมเปนหลัก ขาด
วจารณญาณและไม่ยึดถือหลักเหตุผลมี
ความระแวงและทะนงตน
วัสสการพราหมณ์จากแคว้นมคธ
เปนผู้ทีมีความฉลาดและสติปญญาทีดี มีความ
สามารถทางวาทศิลปและเล่ห์เหลียมทางวาจา สามารถ
ยุยงคนให้ไว้ใจได้เพือพลิกแพลงสถานการณ์และทีสําคัญ
คือมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอชาตศัตรูและบ้านเมือง
ของตนเปนอย่างมาก
พระเจ้าอชาตศัตรูแห่งแคว้นมคธ
เปนพระราชาปกครองอยู่เมือง
ราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ มีวัสสการ
พราหมณ์เปนทีปรกษาให้ โดยมีความ
คิดทีจะขยายอาณาจักรไปยังแคว้น
วัชชี มีความรอบคอบและมีเมตตา
คอยทํานุบํารุงเมืองให้เจรญรุ่งเรอง
จนประชาชนมีความสงบสุข
ฉากท้องเรอง
เปนเรองทีได้นํามาจากประเทศอินเดียจึงมีการแต่งบทชมต่าง
เปนการพรรณาความงดงาม เช่น บทชมเมืองราชคฤห์แห่งแคว้นมคธของพระเจ้าอชาตศัตรู
อําพนพระมนทิรพระราช สุนิวาสน์โรหาร
อัพภันตรไพจิตรและพา หิรภาคก็พึงชม
เล่ห์เลือนชะลอดุสิตฐา นมหาพิมานรมย์
มารังสฤษฏิพิศนิยม ผิจะเทียมก็เทียบทัน
สามยอดตลอดระยะระยับ วะวะวับสลับพรรณ
ช่อฟาตระการกลจะหยัน จะเยาะยัวทิฆัมพร
บทเจรจาหรอรําพึงรําพัน
กล่าวถึงการแกล้งต่อว่าของพระเจ้าอชาตศัตรูทีมีใส่วัสสการพราหมณ์ในขณะทีท้วงติงเรองการ
ออกศึก ซึงมี การกระแทกกระทันแสดงถึงอารมณ์โกรธ
“เอออุเหม่นะมึงชิช่างกระไร
ทุทาสสถุลฉะนีไฉน ก็มาเปน
ศึก บ ถึงและมึงก็ยังมิเห็น
จะน้อยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด
อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ
ขยาดขยันมิทันอะไร ก็หมินกู”
แก่นเรอง
- การแตกความสามัคคีของหมู่คณะซึงนําไปสู่หายนะ
- การรู้จักใช้สติปญญาเพือเอาชนะศัตรู โดยไม่ต้องใช้กําลัง
ราชาลิจฉว ไปมีสักองค์
ทีทรงจํานง เพือจักเสด็จไป
ต่างองค์ดํารัส เรยกนัดทําไม
ใครเปนใหญ่ใคร กล้าหาญเห็นดี
เชิญเทอญท่านต้อง ขัดข้องข้อไหน
ปฤกษาปราไส ตามเรองตามที
แต่ส่วนเราใช่ เปนใหญ่แลมี
ใจอย่างผู้ภี รุกห่อนอาจหาญ
ใช้คําง่ายๆ ในการบรรยายและพรรณนาดัวละคร
นอกจากการใช้คําทีเรยงง่ายในการเล่าเรองราวต่างๆเเล้ว กวยังสามารถบรรยายสถานการณ์เเละอธิบาย
ตัวละครให้เห็นภาพได้กระชับเเละชัดเจน ดังเช่น
ข่าวเศิกเอิกอึง ทราบถึงบัดดล
ในหมู่ผู้คน ชาวเวสาลี
แทบทุกถินหมด ชนบทบูร
อกสันขวัญหนี หวาดกลัวทัวไป
ตืนตาหน้าเผือด หมดเลีอดสันกาย
หลบลีหนีตาย วุ่นหวันพรันใจ
ซุกครอกซอกครัว ซ่อนตัวแตกไภย
เข้าดงพงไพร ทิงย่านบ้านตน
เลือกใช้คําทีเหมาะสมแก่ลักษณะของคําประพันธ์
นายชิต บุรทัตเลือกใช้ฉันท์ในการเล่า
เรองราวของวัสสการพราหมณ์เเละตัวละครต่างๆใน
เรอง โดยเลือกคําได้อย่างถูกต้องตามฉันทลักษณ์
ประเภทต่างๆ มีการใช้คําครุเเละลหุซึงเปนลักษณะ
สําคัญของฉันท์เเละยังมีคําบาล ี สันสกฤตปรากฏให้เห็น
อยู่มากตามลักษณะทัวไปของฉันท์
เลือกใช้ประเภทของฉันท์ตามอารมณ์ตอนนันๆ
วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
กวเลือกใช้วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ ซึงมีลีลานุ่มนวลในการเเต่งบทชมต่างๆ เพือพรรณนาภาพอัน
งดงาม เช่น บทชมความงามของเมืองราชคฤห์ในเเคว้นมคธของพระเจ้าอชาตศัตรู ดังนี
อีทิสังฉันท์ ๒๐
กวใช้อีทิสังฉันท์ ๒๐ ซึงมีลีลากระแทกกระทันแสดงอารมณ์โกรธ เช่น ตอนทีพระเจ้าอชาตศัตรู
เเสร้งบรภาษวัสสการพรามหม์ เมือเขาทัดทานเรองการศึก
อุปฏฐิตาฉันท์ ๑๑
ใช้ตอนกษัตรย์ลิจฉวแตกสามัคคีวัสสการพราหมณ์ส่งข่าวทูลพระเจ้าอชาตศัตรู
เลือกใช้ประเภทของฉันท์ตามอารมณ์ตอนนันๆ
วชชุมมาลา ฉันท์ ๘
ฉันท์นีมีลีลากระชัน คึกคัก ปรากฏเมือพระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพมาตีแคว้นวัชชี
ภุชงคประยาดฉันท์ ๑๒
ฉันท์นีมีลีลางดงาม ปรากฏเมือวัสสการพราหมณ์เรมทําอุบายทําลายสามัคคี
วชชุมมาลาฉันท์ ๘
ฉันท์นีมีลีลากระชัน คึกคัก ปรากฏเมือพระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพมาตีแคว้นวัชชี
เลือกใช้คําโดยคํานึงถึงเสียง
1. เล่นเสียงสัมผัสสระ
2. เล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ
3. เล่นเสียงหนักเบา
สะพรบสะพรัง ณ หน้าและหลัง
ณ ซ้ายและขวา ละหมู่ละหมวด
ก็ตรวจก็ตรา ประมวญกะมา
ก็มากประมาณ
การดัดเเปลงฉันท์
จะเห็นได้ว่าตอนช่วงกลางๆของเรองเมือขณะทีวัสสการพราหมณ์ได้
กําลังยุยงให้พระโอรสของเหล่ากษัตรย์ผิดคอและแตกสามัคคีกัน ผู้แต่งได้เลือกสรร
คํามาและได้เรยบเรยงทําให้สามารถเข้าใจใจความสําคัญได้จาก การอ่านเเค่ประโยคสุดท้าย เช่น
ทวชแถลงว่า พระกุมารโน้นขาน
ยุบลกะตูกาล เฉพาะอยู่กะกันสอง
กุมารพระองค์นัน้ ธ มิทันจะไต่ตรอง
ก็เชือ ณ คําสอน พฤฒิครูและวู่วาม
สังเกตได้ว่าถึงอ่านเพียงประโยคสุดท้ายของบท ก็ทําให้สามารถเข้าใจเน้ือหาของกลอนได้
เรยบเรยงคํา วลี หรอประโยคทีมีความสําคัญเท่าๆ กัน เคียงขนานกันไป
ต่างก็ตระหนก มนอกเต้น
ตืน บ มิเว้น ตะละผู้คน
ท่ัวบุรคา มจลาจล
เสียงอลวน อลเวงไป
จากตัวอย่างสามารถเห็นได้ว่าทุกๆคําในประโยคในกลอนข้างต้นนีมีความสําคัญเท่าๆ
กัน ซึงแสดงให้เห็นถึงความวุ่นวายความต่ืนตระหนกของประชาชนเม่ือพระเจ้าอชาต
ศัตรูยกทัพมาตียังแคว้นวัชชี
เรยบเรยงประโยคให้เนือหาเข้มข้นขึนไปตามลําดับดุจขันบันไดจนถึงขันสุดท้ายทีสําคัญทีสุด
ต่างทรงสําแดง ความแขงอํานาจ
สามัคคีขาด แก่งแย่งโดยมาน
ภูมิศลิจฉว วัชชีรัฐบาล
บ่ ชุมนุมสมาน แม้แต่สักองค์ ฯ
จากตัวอย่างสามารถเห็นได้ว่าเน้ือเรองค่อยๆมีความลําดับความสําคัญขึนเรอยๆจนไป
สําคัญท่ีสุดในตอนจบซึงในกลอนข้างต้นนีเราสามารถเห็นได้ว่าเหล่ากษัตรย์ลิจฉวต่างคนต่างแสดงอํานาจข
องตนหลังจากทีความสามัคคีได้ หมดไปซึงสิงเหล่าน้ีทําให้สุดท้ายแล้วไม่มีแม้ความร่วมมือกันอีกต่อไป ซึง
ความร่วมมือกันระหว่างกษัตรย์เหล่าน้ีเปน ปจจัยสําคัญให้แคว้นวัชชีสามารถีแตกได้ยาก
การใช้โวหาร
๑. อุปมา
- การเปรยบเทียบสิงหนึงเหมือนกับอีกสิงหนึง
- ดุจ เหมือน คล้าย ปานประหนึง เปนคําเชือม
เช่น
“แม้มากกิงไม้ ผิวใครจะใคร่ลอง
มัดกํากระนันปอง พลหักก็เต็มทน”
“กลกะกากะหวาดขมังธนู
บห่อนจะเห็นธวัชรปู สิล่าถอย”
“เมตตาทยาลุศุภกรรม อุปถัมภการุณย์
สรรเสรญเจรญพระคุณสุน ทรพูนพิบูลงาม
เปรยบปานมหรรณพนที ทะนุทีประทังความ
ร้อนกายกระหายอุทกยาม นรหากประสบเห็น
เอิบอิมกระหยิมหทยคราว ระอุผ่าวก็ผ่อนเย็น
ยังอุณหมุญจนะและเปน สุขปติดีใจ”
“เมืองท้าวสิเทียบทิพเสมอ ภพเลอสุราลัย
เมืองท้าวแหละสมบุรณไพ บุลมวลประการมา”
๒. อุปลักษณ์
- การเปรยบเทียบโดยนัย
เช่น
“หิงห้อยสิแข่งสุรยะไหน จะมิน่าชิวาลาญ”
“ลูกข่างประดาทา รกกาลขว้างไป
หมุนเล่นสนุกไฉน ดุจกันฉะนันหนอ”
๓. บุคคลวัต
เปนการสมมุติสิงต่างๆ ให้เหมือนมนุษย์
เช่น
“วัชชีผู้มีผอง สดับกลองกระหึมขาน
ทุกไท้ไปเอาภาร ณ กิจเพือเสด็จไป”
๔. อติพจน์
- เปนการกล่าวผิดไปจากทีเปนจรง
เช่น
“ตืนตาหน้าเผือด หมดเลือดสันกาย
หลบลีหนีตาย วุ่นหวันพรันใจ
ซุกครอกซอกครัว ซ่อนตัวแตกภัย
เข้าดงพงไพร ทิงย่านบ้านตน”
๕. นามนัย
- เปนการใช้ชือส่วนประกอบทีเด่นของสิงหนึงแทนสิงนันๆทังหมด
เช่น
“แม้มากผิกิงไม้ ผิวใครจะใคร่ลอง
มัดกํากระนันปอง พลหักก็เต็มทน
กิจใดจะขวายขวน บ มิพร้อมมิเพรยงกัน”
การอ่านและพิจารณาประโยชน์หรอ
คุณค่าในวรรณคดีและวรรณกรรม
คุณค่าด้านอารมณ์
จากการอ่านวรรณคดีเภทคําฉันท์ผู้อ่านสามารถรู้สึกได้ถึงอารมณ์ต่างๆทีกวพยายามจะแสดงออกมาโดยการ
เขียน กวสามารถทําให้ผู้อ่านมีความรู้สึกคล้อยตามบทต่างๆของเรอง ตัวอย่างเช่น ทําให้ผู้อ่านรู้สึกฮึกเหิม
สงสาร และกล้าหาญ
น้อมคุณพระคเณศวเศษศิลปธร
ฃเวทางคบวร กว
เปนเจ้าแห่งวทยาวราภรณศร
สุนทรสุวาที วธาน