Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 20

SESSION 1-1 1/20

พฤติกรรมของโครงข้ อแข็งคอนกรีตภายใต้ แรงแผ่นดินไหวและแนวทางการ


ออกแบบอาคารต้ านทานแผ่ นดินไหว
Behavior of Reinforced Concrete Under Earthquake

ศ .ดร. อมร พิมานมาศ เลขาธิการสภาวิศวกร


ภาณุวฒั น์ จ้ อยกลัด
ปรีดา ไชยมหาวัน

Email: amorn@siit.tu.ac.th, joy.civil@gmail.com, preeda_sj@hotmail.com

1. การตอบสนองของโครงสร้ างต่ อแรงแผ่ นดินไหว


เมื่อโครงสร้างได้รับแผ่นดินไหวอันเนื่องมาจากการสั่นสะเทือนที่ผวิ ดิน (Ground motion)
โครงสร้างจะเกิดการโยกตัวไปมา และ มีความเร่ งเกิดขึ้นที่ส่วนต่างๆของโครงสร้าง ทําให้เกิดแรงกระทํา
ทางด้านข้างต่อโครงสร้าง แรงที่กระทําต่อโครงสร้างนี้แท้จริ งแล้วเป็ นแรงเฉื่ อยที่เกิดจากความเร่ งและ
มวลของโครงสร้างนัน่ เอง ค่าความเร่ งสู งสุ ดที่เกิดขึ้นกับโครงสร้าง ขึ้นอยูก่ บั 1. คาบธรรมชาติของ
โครงสร้าง และ 2. ความหน่วง (Damping) ความสัมพันธ์ระหว่างความเร่ งของโครงสร้างกับความเร่ งของ
การสั่นสะเทือนที่ผวิ ดินสามารถอธิ บายได้ดว้ ย Elastic Response Spectrum ดังแสดงใน ภาพที่ 1 ซึ่ งเป็ น
ผลการตอบสนองของโครงสร้างที่มี 1 ดีกรี ความอิสระ จากภาพจะเห็นได้วา่ ความเร่ งที่เกิดขึ้นกับ
โครงสร้างขึ้นอยูก่ บั คาบธรรมชาติและความหน่วงของโครงสร้าง และขนาดของความเร่ งอาจมีค่าสู งกว่า
ความเร่ งที่ผิวดินหลายเท่า ดังนั้นหากออกแบบโครงสร้างให้อยูใ่ นสภาวะอีลาสติก โดยไม่ยอมให้เหล็ก
เสริ มคราก หรื อ โครงสร้างเกิดความเสี ยหายใดๆ ภายใต้แรงกระทําของแผ่นดินไหว ก็ตอ้ งออกแบบให้
โครงสร้างมีกาํ ลังสู งพอที่จะต้านแรงเฉื่ อยนี้ได้ การออกแบบดังกล่าวนี้ถึงแม้จะมีความปลอดภัยแต่ก็ไม่
เป็ นการประหยัด โดยเฉพาะอย่างยิง่ หากแรงแผ่นดินไหวมีค่าสู งมากๆ เพราะจะทําให้ได้โครงสร้างที่มี
ขนาดใหญ่โตเกินความจําเป็ น
SESSION 1-1 2/20

ภาพที่ 1 ผลการตอบสนองของโครงสร้าง 1 ดีกรี ความอิสระ ต่อการเคลื่อนตัวที่ผวิ ดิน

หลักการออกแบบต้านทานแรงแผ่นดินไหวที่เป็ นที่ ยอมรับกันอย่างสากลก็คือ การออกแบบให้


โครงสร้างอยู่ในสภาวะอี ลาสติกภายใต้แผ่นดิ นไหวขนาดเล็กซึ่ งมีโอกาสที่ จะกระทําต่อโครงสร้ างได้
หลายๆครั้งในช่ วงอายุการใช้งานของโครงสร้ าง และ ออกแบบให้โครงสร้างอยู่ในสภาวะอินอีลาสติ ก
นั่น คื อ ยอมให้ เกิ ด ความเสี ย หายกับ โครงสร้ า งบ้า ง(เช่ น เกิ ด รอยร้ า ว หรื อ เหล็ ก เสริ ม คราก) โดยที่
โครงสร้างไม่พงั ทลายลงมา ภายใต้แรงแผ่นดิ นไหวขนาดใหญ่ซ่ ึ งมี โอกาสเพียงครั้งหรื อสองครั้งที่ จะ
กระทําต่อโครงสร้างตลอดช่วงอายุการใช้งาน

2. ความเหนียวและ Plastic hinge (ความเหนียวช่ วยให้ เราลดแรงทีก่ ระทําต่ อโครงสร้ างได้ )


หากเรายอมให้โครงสร้างเกิดความเสี ยหายได้บา้ ง เช่น ยอมให้เกิดรอยร้าวในคอนกรี ต หรื อยอมให้
เหล็กเสริ มครากในระหว่างที่มีแผ่นดินไหวมากระทํา ก็จะทําให้เราสามารถลดขนาดของแรงที่มากระทํา
ต่อโครงสร้างได้ ซึ่ งก็จะทําให้การออกแบบประหยัดขึ้น ทั้งนี้ท้ งั นั้นการที่ยอมให้โครงสร้างเกิดความ
เสี ยหายได้น้ นั ไม่ได้หมายความว่าโครงสร้างจะพังทลายลงมา ถ้าหากว่าเราออกแบบให้โครงสร้างมี
ความเหนียวมากพอ โครงสร้างก็จะไม่พงั ทลายลงมา ความเหนียวจึงเป็ นคุณสมบัติที่สาํ คัญมากของ
โครงสร้างต้านทานแผ่นดินไหว
SESSION 1-1 3/20

ความเหนียวหมายถึงความสามารถที่โครงสร้างจะเปลี่ยนรู ปได้มากโดยไม่สูญเสี ยกําลังรับนํ้าหนัก


ความเหนียวของโครงสร้างวัดได้จากอัตราส่ วนความเหนี ยว (Ductility ratio) ดังนี้ (ดูภาพที่ 2)

µ∆ = ∆ m / ∆ y (1)

โดยที่ ∆m คือระยะเคลื่อนตัวตอนที่เกิดการวิบตั ิ (ระยะเคลื่อนตัวสู งสุ ด) และ ∆ y คือระยะเคลื่อน


ตัวตอนที่เหล็กเสริ มคราก

Load, P

µ ∆ = ∆m / ∆ y

Plastic hinge

Deflection

y m

ภาพที่ 2 ความเหนียวขององค์อาคาร

ในกรณี คอนกรี ตเสริ มเหล็ก พฤติกรรมขององค์อาคารที่มีความเหนียวในลักษณะนี้ เป็ นพฤติกรรม


ที่เกิดจากการครากของเหล็กเสริ มในลักษณะการดัด (Flexural mode) เมื่อโมเมนต์ที่กระทําต่อหน้าตัด
ใดๆมีค่าเท่ากับกําลังต้านทานโมเมนต์ดดั ก็จะเกิด plastic hinge ที่หน้าตัดนั้น นับจากจุดนี้ไปโมเมนต์ท่ี
หน้าตัดนี้จะไม่เพิ่มขึ้นมากนัก แต่จะมีการหมุนตัวของหน้าตัดอย่างมาก ความสามารถของหน้าตัดที่จะ
หมุนตัวได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยูก่ บั ความเหนียวของหน้าตัดนั้น กลไกที่ความเหนียวช่วยไม่ให้
โครงสร้างพังทลายลงมานั้นสามารถอธิ บายได้จาก ภาพที่ 3 ดังนี้
SESSION 1-1 4/20

Elastic force, Fe
∆y Displacement at yield
Lateral inertial load ∆r Residual displacement

A ∆ Displacement at ultimate
u

Plastic hinge
Inelastic force, Fi
B
Plastic hinge

∆y ∆u
Lateral deflection

Required ductility

ภาพที่ 3 ความเหนียวขององค์อาคารช่วยลดขนาดแรงแผ่นดินไหวที่ใช้ในการออกแบบลงได้

เปรี ยบเทียบการออกแบบโครงสร้าง 2 แบบคือ


2.1 ออกแบบโครงสร้ างให้ อยู่ในสภาวะอีลาสติก ตามเส้ นทาง A
ในกรณี น้ ีแรงที่ใช้ในการออกแบบ = Fe จะมีค่าสู งมาก แต่เมื่อแผ่นดินไหวจบลงแล้ว องค์อาคารจะ
คืนสู่ สภาพเดิมโดยไม่มีความเสี ยหายหรื อระยะเคลื่อนตัวตกค้างใดๆ ในวิธีน้ ี พลังงานจลน์ (Kinetic
Energy) ที่เกิดจากการสั่นไหวของโครงสร้าง จะถูกดูดซับ (absorb) และสะสมภายในโครงสร้างในรู ป
ของพลังงานศักย์ (Potential energy) และคลืนกลับออกมาได้โดยสมบูรณ์เมื่อเสร็ จสิ้ นแผ่นดินไหวแล้ว
โดยที่ไม่มีการสู ญหายของพลังงาน ดังนั้น ในการออกแบบโดยวิธีน้ ีน้ นั พลังงานมีแต่การเปลี่ยนรู ป
เท่านั้น ไม่มีการสู ญเสี ยพลังงาน พื้นที่ใต้กราฟความสัมพันธ์ระหว่างแรงและการเคลื่อนตัวแสดงถึง
พลังงานศักย์ท่ีสะสมในโครงสร้าง ดังแสดงใน ภาพที่ 4

2.2 ออกแบบโครงสร้ างให้ เกิ ดการคราก ตามเส้ นทาง B


ในกรณี น้ ีแรงที่ใช้ในการออกแบบ = Fi จะมีขนาดน้อยกว่า Fe มาก แต่ตอ้ งออกแบบให้องค์อาคาร
มีความเหนียวพอ ในกรณี น้ ี เมื่อแผ่นดินไหวจบลงแล้ว องค์อาคารจะไม่กลับคืนสู่ สภาพเดิม จะมีความ
เสี ยหายและระยะเคลื่อนตัวตกค้างอยู่ โดยการออกแบบให้โครงสร้างมีความเหนียว เราสามารถลดค่าแรง
แผ่นดินไหวที่กระทําต่อโครงสร้างลงได้ ในแนวคิดนี้ พลังงานจลน์ซ่ ึงเกิดจากการเขย่าตัวของโครงสร้าง
จะถูกดูดซับ (absorb) เก็บสะสมเป็ นพลังงานศักย์ส่วนหนึ่ง และ ส่ วนที่เหลือจะสลาย (dissipate)ออกไป
โดยการสร้าง Plastic hinge (ดูภาพที่ 5) โดยพลังงานส่ วนที่สลายไปเนื่องจากการเกิด plastic hinge เป็ น
ส่ วนที่ไม่สามารถกลับคืนได้
SESSION 1-1 5/20

Elastic force, Fe Elastic force, Fe

Lateral inertial load

Lateral inertial load


Inelastic force, Fi

Potential energy
Dissipated energy
Potential energy
∆u ∆y ∆u
Lateral deflection Lateral deflection

ภาพที่ 4 การเปลี่ยนรู ปของพลังงานจลน์ในโครงสร้างเมื่อเกิดแผ่นดินไหว


(ภาพซ้าย : การออกแบบอีลาสติก, ภาพขวา : การออกแบบอินอีลาสติก)

ในภาพที่ 2 จะเห็นได้วา่ ความเหนียวขององค์อาคารได้มาจากการหมุนตัวของ plastic hinge ซึ่ง


เกิดขึ้นที่ปลายด้านล่างขององค์อาคาร เราอาจนิยามความเหนียวของหน้าตัด (Curvature ductility)ได้ดงั นี้
(ดูภาพที่ 5)

µϕ = ϕ m / ϕ y (2)

โดยที่ ϕm คือความโค้งของหน้าตัดตอนที่เกิดการวิบตั ิ (ความโค้งสู งสุ ด) และ ϕy เป็ นความโค้งของ


หน้าตัดตอนที่เหล็กเสริ มเริ่ มคราก ความสัมพันธ์ระหว่างความเหนียวขององค์อาคาร ดังสมการที่ (1) และ
ความเหนียวของหน้าตัด ดังสมการ (2) ขององค์อาคารที่แสดงใน ภาพที่ 2 สามารถเขียนเป็ นสมการได้วา่
(ผูเ้ ขียนขอข้ามขั้นตอนการ derivation)

µ∆ − 1 (3)
µφ = 1 +
3(l p / l )[1 − 0.5(l p / l )]

โดยที่ lp เป็ นความยาวของ plastic hinge และ l เป็ นความยาวขององค์อาคาร ความยาวของ plastic
hinge สามารถคํานวณได้จาก

l p = 0.08l + 0.15d b f y (fy หน่วย MPa, l และ db หน่วย เมตร ) (4)


SESSION 1-1 6/20

ตัวอย่ างโจทย์
เสายืน่ ค.ส.ล. (Cantiliver column) ต้นหนึ่งมีความยาว 4 ม. เสริ มด้วยเหล็ก DB28 เกรด SD30 (กําลัง
คราก = 300 MPa) ต้องออกแบบให้หน้าตัดมีความเหนียว µϕ เท่าไร จึงจะได้ความเหนียวขององค์อาคาร
µ∆ = 6

วิธีทาํ
1. คํานวณความยาว plastic hinge ดังนี้
lp = 0 . 08 × 4 + 0 . 022 × 0 . 028 × 300 = 0 . 5 m

2. ใช้ สมการที่ 3 คํานวณ µϕ ดังนี้


6 1
µφ = 1 + = 15
3( 0 . 5 / 4 )[ 1 0 . 5 ( 0 . 5 / 4 )]

ตัวอย่างนี้ช้ ีให้เห็นว่า การที่เราต้องการให้องค์อาคารมีความเหนียว = 6 ได้น้ นั เราต้องออกแบบให้หน้าตัด


มีความเหนียวสู งถึง 15 ดังนั้นจะเห็นได้วา่ ความเหนียวที่หน้าตัดต้องการ อาจจะมีค่าสู งกว่าความเหนียว
ขององค์อาคารที่ตอ้ งการหลายเท่า

Moment, M M M

Moment, M
µ = ϕ m /ϕ y

Dissipated energy

ϕy ϕ m Curvature, ϕ Curvature, ϕ

Energy dissipation in cyclic loop

ภาพที่ 5 ความเหนียวของหน้าตัด และ พลังงานที่สลายไปเนื่องจากการเกิด plastic hinge

นอกจากนี้ความเหนียวของหน้าตัด หรื อ ของ plastic hinge เป็ นสิ่ งที่เกิดขึ้นเมื่อเหล็กเสริ มคราก


(Ductile flexural yielding) โดยที่คอนกรี ตไม่ crushing และไม่เกิดการวิบตั ิแบบเฉื อน (shear failure) หรื อ
SESSION 1-1 7/20

แบบเหล็กเสริ มดึงรู ด (bond pull-out failure) หากองค์อาคารเกิดการวิบตั ิแบบ crushing หรื อ แบบเฉื อน
การสลายพลังงานจะเกิดไม่ได้ เพราะเป็ นการวิบตั ิแบบเปราะ ดังนั้นเพื่อให้ plastic hinge สลายพลังงาน
ได้ตามต้องการ ต้องออกแบบให้การวิบตั ิเป็ นแบบที่เหล็กเสริ มคราก เมื่อองค์อาคารรับแรงแผ่นดินไหว
องค์อาคารจะเกิดการโยกตัวไปกลับไปมาเป็ นวนรอบ (Cyclic loops) ดังแสดงใน ภาพที่ 5 พื้นที่ภายใน
ลูปแสดงพลังงานที่สลายไปต่อการเคลื่อนที่ 1 รอบ พฤติกรรมการสลายพลังงานดังแสดงในภาพที่ 5
เรี ยกว่าพฤติกรรมอีลาสโต-พลาสติก (Elasto-plastic) ซึ่ งมีคุณลักษณะเด่นคือมี ลูปที่กว้าง สลายพลังงาน
ได้มาก พฤติกรรมขององค์อาคารคอนกรี ตเสริ มหล็กจะมีลูปที่แคบกว่านี้ดงั จะได้อธิ บายต่อไป

3. การสลายพลังงาน และ แนวความคิด Sway mechanism ในโครงข้ อแข็งคอนกรีต


เมื่อมีแรงแนวดิ่งกระทําต่อโครงข้อแข็ง โครงข้อแข็งจะมีการเปลี่ยนรู ป แรงเฉื อน และ โมเมนต์ดดั
ดังแสดงใน ภาพที่ 6 จากภาพจะเห็นว่าโมเมนต์ที่เกิดขึ้นในคานที่บริ เวณเหนือเสาเป็ นโมเมนต์ลบ และ
โมเมนต์ที่เกิดขึ้นที่บริ เวณกลางช่วงคานเป็ นโมเมนต์บวก ส่ วนโมเมนต์ในเสามีค่าค่อนข้างน้อย โดยที่เสา
ต้นในมีโมเมนต์มากระทําน้อยกว่าเสาต้นนอก ส่ วน ภาพที่ 7 แสดงการโก่งตัว แรงเฉื อน และ โมเมนต์ดดั
ในโครงข้อแข็งเมื่อมีแรงแนวราบมากระทํา จะเห็นได้วา่ โมเมนต์มีค่าสู งสุ ดที่ปลายคาน และ ปลายเสา
โดยมีค่าน้อยที่กลางช่วงคาน และ เสา หรื อ อาจกล่าวได้วา่ จุดดัดกลับเกิดขึ้นที่บริ เวณกลางช่วงคาน และ
เสา ดังนั้นเมื่อมีแรงจากแผ่นดินไหวกระทําต่อโครงสร้าง บริ เวณที่จะเกิด plastic hinge จึงได้แก่บริ เวณ
ปลายคาน และ เสา
จากที่ได้อธิ บายมาในหัวข้อก่อนหน้านี้ ว่าการสร้าง plastic hinge ในองค์อาคารเป็ นวิธีการสลาย
พลังงานออกไป และ ช่วยให้เราลดแรงเฉื่ อยที่กระทําต่อโครงสร้างได้ โดยอาศัยภาพที่ 3 เป็ นเกณฑ์ การ
ทําให้โครงข้อแข็งมีการเคลื่อนตัวที่ปลายยอดเท่ากับ ∆u โดยให้เกิด plastic hinge ในองค์อาคารนั้น
อาจจะทําได้ 2 ลักษณะคือ( ดูภาพที่ 8) คือ 1. โครงสร้างสร้าง plastic hinge ที่ปลายคานซึ่ งเรี ยกว่า Beam
sidesway mechanism หรื อ Beam hinge mechanism และ 2. โครงสร้างสร้าง plastic hinge ที่ปลายเสาซึ่ ง
เรี ยกว่า Column sidesway mechanism หรื อ Column hinge mechanism
ในกรณี Beam sidesway mechanism คานเป็ นองค์อาคารที่สร้าง plastic hinge ที่ปลาย ส่วนในกรณี
Column sidesway mechanism เสาเป็ นองค์อาคารที่สร้าง plastic hinge ที่ปลายเสา เมื่อเปรี ยบเทียบความ
เหนียวของหน้าตัดที่ตอ้ งการในองค์อาคารที่จะสร้าง plastic hinge โดยกําหนดให้ระยะเคลื่อนตัวสู งสุ ดที่
ปลายยอดอาคารเท่ากัน การออกแบบในลักษณะ column sidesway mechanism จะต้องการความเหนียว
ของหน้าตัด (curvature ductility) เสาสู งกว่า ความเหนียวของหน้าตัดคานใน beam sway mechanism เป็ น
อย่างมาก ดังนั้นการออกแบบโดยการให้เกิด beam sway mechanism จึงเป็ นวิธีการออกแบบที่ได้รับความ
นิยมมากกว่า และ เป็ นวิธีที่ได้รับการแนะนําจากมาตรฐานการออกแบบหลายๆแห่ง ด้วยเหตุผลว่าการ
ออกแบบตาม beam sidesway mechanism นั้นต้องการความเหนียวของหน้าตัดคานน้อยกว่า
SESSION 1-1 8/20

พฤติ ก รรม Column sidesway mechanism เป็ นที่ รู้จกั กันดี ในอี กชื่ อหนึ่ งว่า soft-story mechanism
และเป็ นหนึ่ งในหลายๆสาเหตุ ที่สําคัญที่ ท าํ ให้โครงสร้ างพังทลายลงมาในการเกิ ดแผ่นดิ นไหวครั้งที่
ผ่ า นๆมา เนื่ อ งจากการออกแบบเสาไม่ มี ค วามเหนี ย วพอ การออกแบบเพื่ อ ให้ เกิ ด beam sidesway
mechanism ทําได้โดยการออกแบบให้เสามีกาํ ลังสู งกว่าคาน มากพอที่จะบังคับให้ plastic hinge เกิดใน
คาน การออกแบบในลักษณะนี้เรี ยกว่า capacity design approach ซึ่ งจะได้อธิ บายในหัวข้อถัดไป

4. การออกแบบโครงข้ อแข็งโดยวิธี Capacity design


ตามที่ได้อธิ บายมา การสร้ าง plastic hinge เป็ นวิธีที่ทาํ ให้โครงสร้ างสามารถสลายพลังงานที่เกิด
จากการเขย่าตัวของโครงสร้ าง โครงข้อแข็งประกอบด้วยคาน เสามาต่อกันที่จุดต่อ ในแง่การออกแบบ
วิ ศ วกรสามารถกํา หนดให้ เกิ ด plastic hinge ในองค์อ าคารใดๆก็ ไ ด้ต ามต้อ งการ กล่ า วคื อ สามารถ
กําหนดให้ องค์อาคารใดๆทําหน้าที่ ส ลายพลังงานออกไปจากโครงสร้ างก็ไ ด้ ในหัวข้อที่ แล้วผูเ้ ขี ย น
แนะนําว่าการออกแบบโครงข้อแข็งเพื่ อต้านทานแรงแผ่นดิ นไหวจําเป็ นต้องให้โครงข้อแข็งมี ความ
เหนี ยวมากพอ ดังนั้นจึงใช้วิธีการออกแบบ คานอ่อน-เสาแข็ง (Weak beam-strong column) เพื่อให้การ
สลายพลังงานเกิดขึ้นในคาน มากกว่าในเสา การออกแบบโครงข้อแข็งตามแนวความคิดนี้ทาํ ได้โดยใช้วิธี
ที่ เรี ยกว่ า Capacity design method ซึ่ งนํ า เสนอโดย Prof. Paulay, Pristley and Park ที่ ม หาวิ ท ยาลั ย
Canturbury ในประเทศนิวซี แลนด์ หลักการออกแบบโดยวิธีน้ ีสามารถสรุ ปเป็ นขั้นตอนได้ดงั นี้

4.1 ขัน้ ที่ 1 ออกแบบคานรั บโมเมนต์ ดัด


ออกแบบให้คานมีกาํ ลังโมเมนต์ดดั ออกแบบ (Design flexural capacity ซึ่ งเท่ากับ ผลคูณระหว่าง
strength reduction factor กับกําลังโมเมนต์ดดั ระบุ) มากกว่าโมเมนต์ดดั ที่ได้จากผลรวมของโมเมนต์ดดั
เนื่องจากแรงแนวดิ่ง และ แรงแนวราบ (ภาพที่ 6 และ ภาพที่ 7)

4.2 ขัน้ ที่ 2 ออกแบบคานรั บแรงเฉื อน


ออกแบบให้ ค านมี ก ําลังต้า นทานแรงเฉื อ น สู ง กว่าแรงเฉื อ นตอนที่ ค านเกิ ด plastic hinge เพื่ อ
ป้ องกันมิให้คานวิบตั ิดว้ ยแรงเฉื อน ก่อนที่จะเกิด plastic hinge ในคาน เพื่อให้เป็ นไปตามข้อกําหนดนี้
ACI ได้เสนอวิธีคาํ นวณแรงเฉื อนที่ใช้ออกแบบคานดังนี้ (ดูภาพที่ 9)

M n1 + M n 2 wu L (5)
Ve = +
L 2

โดยที่ Mn1 และ Mn2 คือ กําลังต้านทานโมเมนต์ระบุที่ปลายคานทั้งสองด้าน, Wu คือนํ้าหนักบรรทุก


แนวดิ่งเพิ่มค่า และ L คือความยาวช่วงคาน
SESSION 1-1 9/20

(a) (a)

(b) (b)

(c) (c)

ภาพที่ 6 การโก่งตัว แรงเฉื อน และ โมเมนต์ที่ ภาพที่ 7 การโก่งตัว แรงเฉื อน และ โมเมนต์ที่
เกิดขึ้นในโครงข้อแข็งเมื่อรับแรงแนวดิ่ง เกิดขึ้นในโครงข้อแข็งเมื่อรับแรงแนวราบ
SESSION 1-1 10/20

∆u ∆u

θ2
θ1

Beam sidesway mechanism Column sidesway mechanism

ภาพที่ 8 เปรี ยบเทียบระหว่าง Beam sidesway mechanism และ Column sidesway mechanism

Design factored gravity load, W

M o1 Ve Ve M o2

ภาพที่ 9 การคํานวณแรงเฉื อนที่ใช้ในการออกแบบคาน

4.3 ขัน้ ที่ 3 ออกแบบเสารั บโมเมนต์ ดัด


ออกแบบให้เสามีกาํ ลังต้านทานโมเมนต์สูงกว่ากําลังต้านทานโมเมนต์ของคานที่จุดต่อ เพื่อบังคับ
ให้เกิด plastic hinge ในคาน เพื่อให้การออกแบบเสาเป็ นไปตามนี้ ACI ได้มีขอ้ กําหนดสําหรับโครงที่
ต้องการความเหนียวเป็ นพิเศษ (Special moment resisting frame) ดังนี้

∑ Mc > (6/5) ∑ Mg (6.1)

โดยที่ ∑Mc เป็ นผลรวมของกําลังต้านทานโมเมนต์ระบุของเสาที่จุดต่อ และ ∑Mg เป็ นผลรวมของ


กําลังต้านทานโมเมนต์ระบุของคานที่จุดต่อ
SESSION 1-1 11/20

อย่างไรก็ตามสําหรับโครงข้อแข็งที่มีความเหนียจํากัดตามที่ระบุไว้ในกฏกระทรวงไม่ได้มีขอ้ กําหนด
ข้างต้น แต่เพื่อเป็ นการออกแบบที่ดี ผูเ้ ขียนแนะนําให้ใช้สมการข้างล่างนี้
∑ Mc > ∑ Mg (6.2)
นัน่ คืออย่างน้อยเสาจะต้องมีกาํ ลังต้านทานโมเมนต์มากกว่าหรื อเท่ากับของคาน

4.4 ขัน้ ที่ 4 ออกแบบเหล็กตามขวางให้ เสา


เหล็กตามขวางในเสาทําหน้าที่หลายประการเมื่อเกิดแผ่นดินไหว คือ ทําหน้าที่ตา้ นทานแรงเฉื อน
ทําหน้าที่เป็ นเหล็กโอบรัดหน้าตัด (Confinement) เพื่อเพิม่ ความสามารถในการรับแรงอัดของคอนกรี ต
และ ทําหน้าที่ป้องกันการเกิดการโก่งเดาะของเหล็กยืนในเสา (Buckling) และทําหน้าที่รัดหน้าตัดเสา
บริ เวณที่มีการทาบเหล็กยืน ในแง่การออกแบบเหล็กตามขวางเพื่อต้านแรงเฉื อนให้แก่เสา ACI แนะนําให้
ใช้แรงเฉื อนที่คาํ นวณจากกําลังต้านทานโมเมนต์ของคานที่ต่อกับเสาที่จุดต่อ โดยไม่จาํ เป็ นต้องใช้ กําลัง
ต้านทานโมเมนต์ของเสาเนื่ องจากเราได้สมมุติให้คานครากก่อนเสานัน่ เอง

4.5 ขัน้ ที่ 5 ออกแบบจุดต่ อ


ออกแบบจุดต่อให้มีกาํ ลังสู งกว่าแรงที่กระทําเมื่อตอนคานเกิด plastic hinge ที่ปลายคานเพื่อ
ป้องกันไม่ให้จุดต่อวิบตั ิก่อนที่จะเกิด plastic hinge ในคาน การวิบตั ิของจุดต่อคาน-เสาเป็ นเรื่ องสําคัญ
และจะได้อธิ บายในหัวข้อถัดไป

5. Flexural Over-strength
ในระหว่างเกิดแผ่นดินไหว โมเมนต์ที่ทาํ ให้คานเกิด plastic hinge อาจจะมีค่าสู งกว่ากําลังโมเมนต์
ดัดระบุ เพราะกําลังรับโมเมนต์ดดั ที่แท้จริ งมักมีค่าสู งกว่ากําลังโมเมนต์ดดั ระบุของหน้าตัด เราเรี ยกกําลัง
ต้านทานโมเมนต์สูงสุ ดนี้วา่ flexural over-strength ซึ่ งสามารถเขียนสมการแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
flexural over-strength (M0) และ nominal strength (Mn) ได้ดงั นี้

M 0 = λ0 M n (7)

โดยที่ λ0 เป็ น over-strength factor


สาเหตุท่ีทาํ ให้กาํ ลังต้านทานโมเมนต์ของ plastic hinge สู งกว่ากําลังต้านทานโมเมนต์ระบุอาจสรุ ป
ได้ดงั นี้
SESSION 1-1 12/20

5.1 กําลังที่แท้ จริ งของคอนกรี ตและเหล็กเสริ มสู งกว่ ากําลังระบุท่ีใช้ ในการออกแบบ


ตัวอย่างเช่น ผลการทดสอบเหล็ก SR24, SD30, และ SD40 แสดงในตารางที่1

ตารางที1่ เปรี ยบเทียบกําลังครากทดสอบและกําลังครากระบุของเหล็ก


กําลังครากทดสอบ (ksc) ของ AIT
Steel grade กําลังครากระบุ (ksc)
ค่าเฉลี่ย % สู งกว่า
SR24 2400 3600 50
SD30 3000 3870 29
SD40 4000 4800 20

5.2 เหล็กในแผ่ นพืน้ และพืน้ ที่หล่ อเป็ นเนื อ้ เดียวกับคาน เพิ่มกําลังต้านทานโมเมนต์ของคานได้ (T-beam
action)
5.3 เหล็กเสริ มมีพฤติกรรม strain hardening ซึ่ งไม่ได้คิดไว้ในตอนออกแบบ
5.4 การโอบรั ดหน้ าตัดด้ วยเหล็กปลอก (confinement) ช่วยเพิ่มกําลังรับแรงอัดของคอนกรี ตได้

6. พฤติกรรมขององค์ อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กภายใต้ แรงสลับทิศ


6.1 พฤติกรรมของคาน
พฤติกรรมการรับแรงสลับทิศของคาน ขึ้นอยูก่ บั อัตราส่ วนช่วงการเฉื อนต่อความลึกประสิ ทธิ ผล
(a/d) หากอัตราส่ วน a/d มีค่ามาก คานก็จะได้รับผลของโมเมนต์ดดั มาก (flexure-dominated beams) แต่
หากอัตราส่ วน a/d มีค่าน้อยคานก็จะได้รับผลของแรงเฉื อนมาก (Shear-dominated beams)

6.1.1 พฤติกรรมของคานที่ได้ รับผลจากโมเมนต์ ดัดมาก (Flexure-dominated beams)


ภาพที่ 10 แสดงพฤติกรรมการรับแรงสลับทิศ ของคาน ค.ส.ล. ซึ่ งมี a/d = 4.5 จากภาพจะเห็ นว่า
กําลังต้านทานโมเมนต์บวกมีค่าสู งกว่ากําลังต้านทานโมเมนต์ลบ เนื่องจากคานมีอตั ราส่ วนเหล็กเสริ มรับ
โมเมนต์บ วกมากกว่า นอกจากนี้ คานตัวที มี ก าํ ลังและความแข็ง เกร็ ง (stiffness) สู งกว่าคานหน้าตัด
สี่ เหลี่ ย มผื น ผ้า เนื่ อ งจากมี ค วามยาวแขนโมเมนต์ ม ากกว่า พฤติ ก รรมของคานที่ แ สดงในภาพเป็ น
พฤติ กรรมที่ มีความเหนี ยวสู ง โดยมี µδ เท่ากับ 5 จากภาพจะเห็ นว่าพื้นที่ ภายในลู ปมีค่ามาก จึงมี การ
สลายพลังงานได้ดี แต่การสลายพลังงานก็ยงั มีค่าน้อยกว่าแบบพฤติกรรมอีลาสโตพลาสติก ข้อแตกต่าง
จากพฤติกรรมอีลาสโตพลาสติกก็คือ stiffness ของเส้น reload มีค่าลดลง ซึ่ งมีสาเหตุมาจากการปิ ดตัวไม่
สนิ ท ของรอยร้ า วที่ เกิ ด ขึ้ นจากการให้ น้ ํ าหนั ก บรรทุ ก ในทิ ศ ตรงข้ า มก่ อ นหน้ า และจากผลของ
SESSION 1-1 13/20

Bauschinger effect ของเหล็กเสริ มดังแสดงใน ภาพที่ 11 และ 12 ตามลําดับ การวิบตั ิของคานเกิดขึ้นจาก


การกะเทาะของคอนกรี ตหลุดออกมา และ การเกิด buckling ของเหล็กเสริ ม

6.1.2 พฤติกรรมของคานที่ได้ รับผลจากแรงเฉื อนมาก (Shear-dominated beams)


ภาพที่ 13 และ 14 เปรี ยบเทียบพฤติกรรมการรับแรงสลับทิศ ของคาน ค.ส.ล. ที่มีอตั ราส่ วน a/d =
2.75 (คาน R-5) และ a/d = 4.41 (คาน R-6) เพื่อให้เข้าใจผลของแรงเฉื อนต่อคาน จะเห็นได้วา่ คาน R-5 มี
อัตราส่ วนช่วงการเฉื อนสั้นกว่า จึงเป็ นคานที่ได้รับผลของแรงเฉื อนมากกว่าคาน R-6 จากภาพจะเห็นว่า
คาน R-5 มีลูปแคบกว่าคาน R-6 เนื่ องจากมี stiffness ของเส้น reload น้อยกว่าของคาน R-6 ดังนั้นการ
สลายพลังงานในรอบการเคลื่อนตัวจึงมีค่าน้อยกว่า สาเหตุที่คาน R-5 มีลูปที่แคบกว่าเพราะรอยร้าวทแยง
ซึ่ งเกิดจากแรงเฉื อนจากนํ้าหนักบรรทุกในทิศตรงข้ามยังเปิ ดอยู่ ทําให้คอนกรี ตไม่สามารถถ่ายแรงเฉื อน
ได้ ดังนั้นเมื่อให้น้ าํ หนักบรรทุกในทิศตรงกันข้าม stiffness ของเส้น reload จึงมีค่าลดลงมาก เนื่องจาก
แรงเฉื อนที่เกิดขึ้นถูกต้านโดยเหล็กปลอกและเหล็กนอนเท่านั้น โดยที่คอนกรี ตมีส่วนต้านน้อยมาก
เนื่องจากรอยร้าวที่เปิ ดกว้างอยู่ ทําให้การถ่ายเทแรงเฉื อนตามแนวรอยร้าวทแยงลดลง ภาพที่ 15 แสดง
การปิ ด เปิ ดของรอยร้าวดัด (แนวดิ่งตั้งฉากกับแกนคาน) และ รอยร้าวทแยง ตามทิศทางการให้น้ าํ หนัก
บรรทุก การให้น้ าํ หนักบรรทุกในลักษณะสลับทิศไปกลับทําให้ผวิ รอยร้าวไถลไปมา ดังนั้นความขรุ ขระ
ของผิวรอยร้าวจะลดลงเรื่ อยๆ เมื่อคานโยกตัวไปกลับหลายๆรอบ เมื่อรอยร้าวมีผวิ เรี ยบก็จะสู ญเสี ย
ความสามารถในการถ่ายเทแรงเฉื อน ภาพที่ 15d แสดงรอยร้าวขนาดใหญ่เกิดขึ้นที่ที่รองรับของคาน รอย
ร้าวนี้ทาํ ให้คอนกรี ตขาดความต่อเนื่องกับที่รองรับ ดังนั้น แรงเฉื อนที่หน้าตัดนี้จึงถูกต้านทานโดยเหล็ก
บนและเหล็กล่างโดยลําพัง เหล็กปลอกไม่มีส่วนต้านทานแรงเฉื อนเลย การวิบตั ิในลักษณะนี้เรี ยกว่า
Sliding shear failure มักเกิดกับคานที่มีอตั ราส่ วน a/d ตํ่ามากๆ
SESSION 1-1 14/20

ภาพที่ 10 พฤติกรรมการรับแรงสลับทิศของคาน ค.ส.ล. ที่มีผลของโมเมนต์ดดั มาก

Crack occurs under the applied load. Crack remains after the load is removed.

Crack remains even if the load is reversed. Crack fully closes when the reversed load is large.

ภาพที่ 11 การปิ ด-เปิ ดของรอยร้าวตามทิศทางการให้น้ าํ หนักบรรทุก


SESSION 1-1 15/20

σs (tension)

εs

ภาพที่ 12 พฤติกรรม Bauschinger ในเหล็กเสริ มรับแรงดึง

ภาพที่ 13 พฤติกรรมการรับแรงสลับทิศของคาน R-5 (อัตราส่ วน l/d = 2.75)


SESSION 1-1 16/20

ภาพที่ 14 พฤติกรรมการรับแรงสลับทิศของคาน R-6 (อัตราส่ วน l/d = 4.46)

δ,V

V M

(a) (b)

δ,V

δ,V

(c) (d)

ภาพที่ 15 การปิ ดเปิ ดของรอยร้าวดัด รอยร้าวทแยง และ รอยร้าวที่รอยต่อตามรอบการเคลื่อนตัว


SESSION 1-1 17/20

6.2 พฤติกรรมของเสา
ความแตกต่างระหว่างเสากับคานก็คือ เสามีแรงตามแนวแกนมากระทํา ซึ่ งแรงตามแนวแกนเกิด
จาก นํ้าหนักบรรทุกแนวดิ่ง และ นํ้าหนักบรรทุกแนวราบ รวมทั้งความเร่ วของผิวดินในแนวดิ่งด้วย แรง
ตามแนวแกนที่เป็ นแรงอัดมีท้ งั ข้อดีและข้อเสี ยต่อพฤติกรรมการรับแรงสลับทิศของเสา ข้อดีก็คือช่วยให้
รอยร้าวไม่เปิ ดกว้างมาก ทําให้คอนกรี ตถ่ายแรงได้ดีข้ ึน ดังนั้นลูปจึงมีความกว้างมากขึ้น แต่มีขอ้ เสี ยคือ
ทําให้ความเหนียวลดลง เพราะแรงอัดทําให้คอนกรี ต crush หรื อกะเทาะหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น และยังมี
ผลของการขยายโมเมนต์เนื่องจากแรงตามแนวแกน หรื อ P- ∆ effect อีกด้วย กล่าวโดยสรุ ปก็คือหาก
ระดับของแรงอัดตามแนวแกนมีค่าไม่มากนัก ก็จะเป็ นผลดีต่อเสา แต่หากแรงอัดมีค่าสู งจะเป็ นผลเสี ย
มากกว่า

Column

0.85fc ba H
M1 M2
As1 fs As1 fy
Max. horizontal shear
Beam steel
Typical 0.85fc ba Vmax = As1 fy + As2 fy - H
Beam horizont
al plane
As2 fy As2 fs

ภาพที่ 16 แรงเฉื อนแนวราบกระทําที่จุดต่อ

6.3 พฤติกรรมของจุดต่ อ
ภายใต้น้ าํ หนักบรรทุกแนวดิ่ง จุดต่อไม่ค่อยจะรับแรงอะไรมากมายนัก เพราะ โมเมนต์ที่ปลายคาน
ทั้งสองด้านของจุดต่อมีทิศตรงกันข้ามกัน (เป็ นโมเมนต์ลบด้วยกันทั้งคู่) ดังแสดงในภาพที่ 6c ดังนั้นจึงมี
การถ่ายเท unbalanced moment เข้าไปในจุดต่อไม่มากนัก ในทางตรงกันข้าม เมื่อมีแรงด้านข้างกระทําต่อ
โครงข้อแข็ง จุดต่อระหว่างเสาและคานจะเป็ นบริ เวณที่มีการถ่ายแรงสู งมาก ที่เป็ นเช่นนี้เพราะ โมเมนต์ที่
ปลายคานทั้งสองด้านของจุดต่อมีทิศเดียวกัน ดังแสดงใน ภาพที่ 7c ดังนั้นจึงทําให้เกิด unbalanced
moment สู งถ่ายเข้าไปที่จุดต่อ ผลของ unbalanced moment นี้ทาํ ให้เกิดแรงเฉื อนแนวนอนขนาดมหาศาล
กระทําที่จุดต่อดังแสดงใน ภาพที่ 16 ซึ่ งสามารถคํานวณได้จาก
SESSION 1-1 18/20

V j = As1 f y + As 2 f y − H (7)

แรงเฉื อนขนาดมหาศาลที่เกิดขึ้นนี้ ทําให้จุดต่อเกิดการวิบตั ิแบบ joint shear failure ได้ ลักษณะที่


สําคัญของ joint shear failure คือการมีรอยร้าวทแยงตัดกันเป็ นมุม 90° ที่บริ เวณจุดต่อดังแสดงใน ภาพที่
18a นอกจากนี้หากพิจารณาสภาพสมดุลของเหล็กเสริ ม จะเห็นว่าปลายด้านหนึ่งของเหล็กต้องรับแรงดึง
ในขณะที่ปลายอีกด้านหนึ่งต้องรับแรงอัด ดังแสดงใน ภาพที่ 17 ดังนั้น แรงที่เกิดขึ้นในเหล็กจะมีค่าสู ง
มาก และ ต้องอาศัยแรงยึดเหนี่ยวกับคอนกรี ตเพื่อให้เกิดความสมดุล ดังนั้นเหล็กเสริ มจึงอาจเกิดการวิบตั ิ
เนื่องจาก แรงยึดเหนี่ยว (Bond failure) เมื่อเกิดการวิบตั ิเนื่องจากแรงยึดเหนี่ยวคอนกรี ตจะไม่สามารถ
ยับยั้งการโตของรอยร้าวได้ ทําให้เหล็กรู ดไถล (slip) จากคอนกรี ตได้ง่าย จึงสังเกตเห็นรอยร้าวขนาด
ใหญ่ที่รอยต่อระหว่างจุดต่อกับคานดังแสดงใน ภาพที่ 18b การวิบตั ิในลักษณะนี้เรี ยกว่า bond pull-out
failure การวิบตั ิท้ งั แบบ joint shear failure และแบบ bond pull-out failure เป็ นการวิบตั ิแบบเปราะ มีการ
สลายพลังงานได้นอ้ ย ภาพที่ 19 แสดงพฤติกรรมการรับนํ้าหนักสลับทิศของจุดต่อภายใน ซึ่งการวิบตั ิที่
เกิดขึ้นเป็ นแบบผสมระหว่าง joint shear failure และ bond pull-out failure จากภาพจะเห็นได้วา่
พฤติกรรมของโครงสร้างปราศจากความเหนียว และ ลูปมีการสลายพลังงานได้นอ้ ย ไม่เหมาะกับการ
ต้านทานแรงแผ่นดินไหว ดังนั้นการออกแบบตามวิธี capacity design จําเป็ นต้องป้ องกันการวิบตั ิที่เกิด
ขึ้นกับจุดต่อ เพื่อที่จะให้การสลายพลังงานเกิดขึ้นในคานตามหลักการ คานอ่อน-เสาแข็ง

A s1f s A s1 f y

Fb
Fb = A s1 f y + A s1f s

ภาพที่ 17 สภาพสมดุลของเหล็กเสริ มที่วง่ิ ผ่านจุดต่อ


SESSION 1-1 19/20

120

100

80

60

40

20
Force (KN)

-20

-40

-60

-80

-100

-120
-140 -120 -100 -80 -60 -40 -20 0 20 40 60 80 100 120
Displacement (mm)

ภาพที่ 19 ความสัมพันธ์ระหว่างระยะแรงและระยะเคลื่อนตัวของจุดต่อคาน-เสา

7. บทสรุ ป
บทความนี้แนะนําให้ผอู ้ ่านได้รู้จกั พฤติกรรมขององค์อาคารค.ส.ล. และ โครงข้อแข็ง ค.ส.ล.
ภายใต้แรงแผ่นดินไหว โดยผูเ้ ขียนได้แนะนําให้ผอู ้ ่านได้รู้จกั การผลการตอบสนองแบบอีลาสติกของ
โครงสร้างต่อแรงแผ่นดินไหว โดยชี้ให้เห็นว่าแรงที่กระทําต่อโครงสร้างเนื่องจากแผ่นดินไหว แท้จริ ง
แล้วเป็ นแรงเฉื่ อยที่เกิดจากความเร่ ง และ มวลของอาคาร และขนาดของความเร่ งที่เกิดขึ้นนี้อาจจะมีค่า
มากเป็ นหลายเท่าของความเร่ งที่ผวิ ดิน จากนั้นผูเ้ ขียนได้ช้ ีให้เห็นต่อไปว่าวิศวกรไม่จาํ เป็ นต้องออกแบบ
ให้โครงสร้างอยูใ่ นสภาพอีลาสติก ภายใต้แรงแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่มีโอกาสกระทําต่อโครงสร้างเพียง
1 หรื อ 2 ครั้งตลอดอายุของโครงสร้าง เพราะจะทําให้ได้โครงสร้างที่มีขนาดใหญ่เกินจําเป็ น และเป็ นการ
ออกแบบที่ไม่ประหยัด วิธีการออกแบบที่เป็ นที่ยอมรับอย่างสากลมากกว่าคือออกแบบให้องค์อาคารเกิด
การคราก หรื อสร้าง plastic hinge ในระหว่างเกิดแผ่นดินไหว ซึ่ งก็จะทําให้สามารถลดแรงที่มากระทําต่อ
โครงสร้างลงได้เป็ นอย่างมาก ทั้งนี้ท้งั นั้นต้องออกแบบให้โครงสร้างมีความเหนียวพอเพียง ผูเ้ ขียนได้
ชี้ให้เห็นว่าการสร้าง plastic hinge เป็ นการสลายพลังงานออกไปจากโครงสร้าง
ในลําดับต่อไป ผูเ้ ขียนได้อธิ บายว่ารู ปแบบการสร้าง plastic hinge ในโครงสร้างนั้นทําได้ 2
รู ปแบบคือ การสร้าง plastic hinge ที่ปลายคานซึ่ งเรี ยกว่า beam hinge mechanism และ การสร้าง plastic
hinge ที่ปลายเสาซึ่ งเรี ยกว่า column hinge mechanism โดยผูเ้ ขียนชี้ให้เห็นว่ากลไก beam hinge
mechanism หรื อรู ้จกั ในอีกชื่ อหนึ่งว่า weak beam-strong column เป็ นวิธีที่ได้รับการแนะนําจากมาตรฐาน
SESSION 1-1 20/20

การออกแบบหลายๆแห่ง เพราะการออกแบบด้วยวิธีดงั กล่าวต้องการความเหนียวของหน้าตัดคานน้อย


กว่า การออกแบบเพื่อให้เกิดกลไก beam hinge mechanism นั้นทําได้โดยทําตามขั้นตอนการออกแบบที่
เรี ยกว่า Capacity design method
ในหัวข้อสุ ดท้ายของบทความนี้ ผูเ้ ขียนได้อธิ บายพฤติกรรมการรับแรงสลับทิศของคาน เสา และ
จุดต่อ โดยชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมของคานขึ้นอยูก่ บั อัตราส่ วนช่วงการเฉื อนต่อความลึกประสิ ทธิ ผล ส่ วน
พฤติกรรมของเสาต้องยังคํานึ งถึงผลของแรงตามแนวแกนด้วย นอกจากนี้ยงั ได้เน้นว่าจุดต่อเป็ นบริ เวณที่
มีการถ่ายเทแรงระหว่างองค์อาคารสู งมากภายใต้แรงแผ่นดินไหว การวิบตั ิของจุดต่ออาจเกิดจากการวิบตั ิ
เนื่องจากแรงเฉื อน หรื อ การดึงรู ดไถลของเหล็กนอนในคาน

8. เอกสารอ้ างอิง
ACI318, 1999. Building Code Requirements for Structural Concrete (318M-99) and Commentary
(318RM-99). American Concrete Institute.
D.J. Dowrick, 1977. Earthquake Resistant Design. New York: John-Wiley & Sons.
G.P. Penelis and A.J. Kappos, 1997. Earthquake-Resistant Concrete Structures. New York: E & FN
SPON.
J.G. MacGregor, 1992.. Reinforced Concrete Mechanics and Design. USA: Prentice Hall International.
K. Maekawa, A. Pimanmas and H.Okamura, 2003. .Nonlinear Mechanics of Reinforced Concrete.
Spon Press.
Proc. of the 5th Workshop, 2005. Design of building against earthquakes. Engineering Institute of
Thailand.
R. Park and T. Paulay, 1975. Reinforced Concrete Structures. USA: John-Wiley & Sons.
T. Paulay and M.J.N. Priestley, 1992. Seismic Design of Reinforced Concrete and Masonry Buildings.
USA: John-Wiley & Sons.

You might also like