คำนวณใบกังหันลม PDF

You might also like

Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 5

การประชุมเชิงวิชาการเครือขายพลังงานแหงประเทศไทยครั้งที่ 3

23-25 พฤษภาคม 2550 โรงแรมใบหยกสกาย จังหวัดกรุงเทพฯ

การออกแบบใบกังหันลมใหดีที่สุดสําหรับประเทศไทยโดยใช ทฤษฎีสตริป
Optimal Blade Shape Design of Wind Turbine for Thailand Using Strip Theory
ชโลธร ธรรมแท และ ทวิช จิตรสมบูรณ
สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล สํานักวิชาวิศวกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
อ.เมือง จ.นครราชสีมา 30000 โทร 0-4422-4410 โทรสาร 0-4422-4411 E-mail: tabon@sut.ac.th

Chalothorn Thumthae and Tawit Chitsomboon


School of Mechanical Engineering, Institute of Engineering, Suranaree University of Technology
Muang District, Nakorn Ratchasima 30000 Thailand Tel: 0-4422-4410 Fax: 0-4422-4411 E-mail: tabon@sut.ac.th

บทคัดยอ 1. บทนํา
บทความนี้วิเคราะหอากาศพลศาสตรของใบกังหันลมดวย พลังงานลมเปนทางเลือกหนึง่ สําหรับพลังงานทดแทนใน
ทฤษฎี Strip ซึ่งสรางจากการวิเคราะหกฏอนุรักษมวล โมเมนตัม ประเทศไทย การสรางกังหันลมใชเองมีความเหมาะสมกวาการซื้อ
และ โมเมนตัมเชิงมุม ของ Strip ทําใหไดความสัมพันธไปสูการ เทคโนโลยีเขามา แตการจะทําเชนนั้นไดนั้นกอนอื่นตองสรางองค
ออกแบบมุมบิดของใบกังหันที่เหมาะสม ทําการเขียนโปรแกรมตาม ความรูเชิงวิศวกรรมที่เกี่ยวของ รูปรางของใบกังหันมีความสําคัญ
ทฤษฎี Strip และทดสอบเปรียบเทียบผลลัพธจากการคํานวณเชิง มากตอประสิทธิภาพกังหันลม เนื่องจากเกี่ยวของโดยตรงกับอากาศ
ทฤษฎีกับผลจากกังหันลมที่ไดมีการสรางไวแลวพบวาสอดคลองกัน พลศาตรของกังหันลม ดังนั้นการออกแบบและหารูปรางของกังหัน
ดี และเมื่อใชทฤษฎีนี้ไปหาคาที่เหมาะสมสําหรับมุมบิดที่ปลายใบ ลมที่ดีที่สุดสําหรับลมในประเทศไทย (ซึ่งมักมีความเร็วลมต่ํากวา
และขนาดความโตของใบ พบวาสามารถใหประสิทธิภาพสูงสุด ทางยุโรป) จึงเปนสิ่งจําเปน ทั้งนี้เพื่อใหไดประสิทธิภาพสูงสุด
ในทางทฤษฎีไดถึง 41.46 % ขณะที่กังหันลมตัวเดิมมีประสิทธิภาพ การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย (กฟผ.) ไดทําการทดสอบ
อยูที่ประมาณ 30.18% จึงนําไปออกแบบกังหันลมความเร็วต่ํา ติดตั้งกังหันลมจํานวณ 6 รุน อัตราการผลิตไฟฟา 0.85-150 kW
สําหรับใชในประเทศไทย ซึ่งใบกังหันที่ออกแบบนี้จะนําไปใชสราง ติดตั้งที่บริเวณทิศเหนือของแหลมพรหมเทพจังหวัดภูเก็ต [1] ดัง
เพื่อใชงานจริงตอไป แสดงในตารางที่ 1 ซึ่งจะมีศักยภาพในการผลิตไฟฟาไดรวม 192.35
kW ที่ความเร็วลม 7-13 m/s อยางไรก็ตาม จากขอมูลความเร็วลมใน
Abstract ประเทศไทยที่มีอัตราความเร็วลมเฉลีย่ เพียง 5 m/s จะทําให
This paper analyzes the aerodynamics of wind turbine ประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟาลดลงมาก เพราะกําลังงานที่ไดจะเปน
blade with Strip Theory. The theory is based on the analyses ฟงกชั่นของความเร็วลมยกกําลัง 3
of conservation of mass, momentum and angular momentum เนื่องจากการติดตั้งกังหันลมที่แหลมพรหมเทพเปนการนําเขา
in an annular strip. The relation for an appropriate blade twist กังหันลมจากตางประเทศทั้งหมด ซึ่งเปนกังหันที่ถูกออกแบบไวที่
can be carried out. A computer program based on the Strip ความเร็วลมสูงกวาในประเทศไทยมาก ดังนั้นการใชงานจะไมได
Theory is created. Its results when compared to experimental ประสิทธิภาพเต็มที่ การออกแบบกังหันลมใหเหมาะกับความเร็วลม
data are very good. For an optimal design, tip pitch angle and ในประเทศไทยจึงเปนสิ่งที่สําคัญอยางยิ่ง
chord length are studied. The theoretical optimum value of
power coefficient is 41.46% while the original wind turbine is
30.18%. The new design technique shall be employed to build
a HAWT in the future.

ENETT2550-137
1/5
ตารางที่ 1 รายละเอียดกังหันลมของ กฟผ. ติดตั้งที่บริเวณแหลมพรหมเทพจังหวัดภูเก็ต[1]
รุน AEROWATT WINDANE 12 SVIAB DUNLITE BWC EXCEL-R NORDTANK
ขนาดกําลังผลิต (kW) 1 18.5 0.85 2 10 150
จํานวนใบกังหัน 2 2 3 3 3 3
ขนาดเสนผาศูนยกลางใบกังหัน(m) 5 12 2.8 3.7 7 24
กําลังผลิต Rate ที่ความเร็วลม (m/s) 7 11.5 13 11 12.1 13
ความเร็วลมเริ่มจายไฟ (m/s) 2 4.5 3 4.5 3.1 4
ความเร็วรอบสูงสุด (rpm) 178 83 1,000 255 350 38
อัตราเฟองทดสงกําลัง 01:16.9 01:18.4 - 1:05 - 1:39
ความสูงของเสากังหันลม (m) 15 18 12 18 24 31
จํานวณ (ชุด) 1 1 1 1 2 1
ติดตั้งใชงานเมื่อ ป พ.ศ. 2526 2528 2528 2530 2536 2539

2.1 Momentum Theory (MT)


จากการวิเคราะหสมการอนุรักษโมเมนตัมของวงแหวนที่มีความ
หนา ∂r จะไดความสัมพันธของ แรงในแนวแกน (T) เปน

∂T = 4a(1 − a) ρU 02πr ∂r (1)

เมื่อ a คือ axial induction factor ซึ่งมีความหมายเปนอัตราสวน


ความเร็ว ณ กังหัน ที่ลดลงจากความเร็วทางเขา ตอ ความเร็วทางเขา
รูปที่ 1 ลักษณะของโดเมนสําหรับทฤษฎี Strip ( a = (U 0 − U d ) / U 0 ) ρ คือความหนาแนนของอากาศ U0 เปน
ความเร็วลมที่ทางเขา Ud เปนความเร็วลมที่ใบกังหัน
และจากการวิเคราะหสมการอนุรักษโมเมนตัมเชิงมุมของ Annular
Stream-tube จะไดความสัมพันธของ แรงบิด (Q) เปน

∂Q = 4a ′(1 − a) ρU 0 πr 3 Ω∂r (2)

Ω คือความเร็วเชิงมุมของใบกังหันที่หมุน a ′ นิยามเปน angular


induction factor a′ = w rΩ โดย w คือ ความเร็วเชิงมุมของ
wake ที่ใบกังหัน

2.2 Blade Element Theory (BET)


เปนการพิจารณาแรงที่กระทําบนใบกังหันในลักษณะสองมิติ โดย
แบงใบกังหันเปนสวนๆตามความยาว(Span-wise) แลวคํานวณคา
คุณลักษณะตางๆเชนแรงยก แรงฉุด ที่เปนผลของมุมปะทะ และ
ความเร็ว ณ แตละสวนของใบกังหันที่แบงไว สําหรับความเร็วในแนว
Span จะไมนํามาพิจารณาดวย นั่นคือจะไมนําผลในสามมิติมาพิจารณา
รูปที่ 2 ความเร็วและแรงที่เกิดขึ้นบนหนาตัดแพนอากาศของกังหันลม นั่นเอง
พิจารณาที่ใบกังหันในแตละสวน (Blade Element) ความเร็ว
2. Strip theory ที่เกิดขึ้นแบงไดเปนความเร็วในแนวแกน(Axial) และความเร็วในแนว
บางครั้งจะเรียกทฤษฎีนี้วา Glauert Annulus Momentum Vortex สัมผัสหรือแนวการหมุน(Tangential) ความเร็วในแนวแกนที่ปรากฏที่
Theory [2,3,4] เปนการแบงโดเมนของปญหาการไหลผานใบกังหัน สวนของใบกังหันจะมีคาเปน U d = U 0 (1 − a) และความเร็วแนวสัมผัส
ออกเปนวงแหวนในแนวรัศมี r ของใบ (Strips หรือ Annular คือ rΩ + w(r ) พจน rΩ คือความเร็วที่เกิดจากการหมุนของใบ
Streamtube) แลวทําการวิเคราะหการถายเทมวลและโมเมนตัมในวง กังหัน และ w(r ) คือความเร็วการหมุนควงของอากาศ(wake)
แหวนนี้ ภายใต Strip Theory นี้จะมีทฤษฎียอยๆประกอบอยูดวย ดังนี้
ENETT2550-137
2/5
พิจารณาลักษณะเวคเตอรความเร็วตามรูปที่ 2 จะทําใหได a Nc ⎛ C L cos φ + C D sin φ ⎞ (10)
= ⎜ ⎟⎟
ความสัมพันธเปน 1 − a 8πr ⎜⎝ sin 2 φ ⎠

U 0 (1 − a ) (1 − a ) (3) a′ Nc ⎛ C L sin φ − C D cos φ ⎞


tan φ = = = ⎜ (11)
rΩ(1 + a ′) λ r (1 + a ′) 1 + a ′ 8πr ⎜⎝ sin φ cos φ ⎟⎟

เมื่อ φ คือมุมความเร็วลมสัมพัทธ มีคาเทากับมุมปะทะรวมกับมุม pitch สําหรับคาสัมประสิทธิกําลัง สามารถคํานวณไดจาก


( φ = α + θ ) คา λr = Ωr /U 0 คือ local speed ratio สําหรับแรงยก
ในแตละสวนของใบกังหัน ∂r ตามทิศตั้งฉากกับความเร็วสัมพัทธ Urel R

∫ Ω∂Q (12)
คือ CP =
P
= H
Ptot 0.5 ρπR 2U 3

∂L =
1
C L ρU rel
2
c∂r (4)
2 เนื่องจากมีการสูญเสียที่ปลายใบ (tip loss) จึงตองมีการปรับแกคา Cp
ในสมการที่ 12 โดยคูณ Tip loss factor (F) เขาไปซึ่ง Prandtl ไดเสนอ
เมื่อ CL คือสัมประสิทธิแรงยก c คือความยาวหนาตัด (chord) (ซึ่งอาจ ไว และ Wilson [5] ไดสรุปสําหรับกังหันลมไวดังนี้
เปลี่ยนคาไปตามแนวยาวของใบ) และแรงฉุดในแตละสวนของใบกังหัน
∂r ตามทิศขนานกับความเร็วสัมพัทธ Urel คือ 2 ⎛ ⎡ N (R − r) ⎤ ⎞ (13)
F= cos −1 ⎜⎜ exp ⎢− ⎥ ⎟⎟
π ⎝ ⎣ 2 r sin φ ⎦ ⎠
∂D =
1
C D ρU rel
2
c∂r (5)
2 เมื่อกระจายสมการที่ 12 ออกมาใหมจะไดความสัมพันธของ Cp เปน
ทําใหไดสมการแรงในแนวแกน และแรงบิด สําหรับใบกังหัน N ใบ ดังนี้
2
R
σ ′λ2r (1 − a)C L ⎡ C D cos φ ⎤ (14)
CP = ∫
λR H
F
sin 2 φ
⎢sin φ −
⎣ CL ⎦
⎥ ∂r
1 (6)
∂T = N ρU rel
2
(C L cos φ + C D sin φ )c∂r
2
เมื่อ λ = ΩR / U 0 คือ tip speed ratio โดย R คือรัศมีใบ คา H คือ
1 ระยะรัศมีของ Hub คา σ ′ = Nc / 2πr เรียกวา local solidity
∂Q = N ρU rel
2
(C L sin φ − C D cos φ )cr∂r (7)
2 โดยใชทฤษฎี BEM นี้ทําใหสามารถคํานวณเชิงตัวเลขเพื่อหามุม
บิดที่เหมาะสมที่หนาตัดตางๆ ของใบกังหันได
2.3 Blade Element- Momentum (BEM) Theory
เปนการนําเอา Momentum Theory มาผสมเขากับ Blade 3. โปรแกรมคอมพิวเตอรและการทดสอบโปรแกรม
Element Theory สมมุติฐานพื้นฐานของทฤษฎี BEM คือแรงกระทําบน กระบวนการในการหาคําตอบของสมการ BEM สามารถทําไดโดย
ใบกังหันเปนผลจากการเปลี่ยนโมเมนตัมของอากาศที่วิ่งผานตลอดวง ใชวิธีการทําซ้ํา จากการกําหนดคา r/R, c, CL(α), CD(α), θ, และ U0
แหวนที่กําหนดขึ้น นั่นคือไมคิดผลของการไหลในแนวรัศมีไปตาม โดยใชกระบวนการดังนี้
span หรือไมมีการถายเทการไหลในแตละวงแหวน เงื่อนไขนี้จะเปนจริง
ก็ตอเมื่อ คา a ไมเปลี่ยนแปลงในแนวรัศมี นําเอา BET รวมกับ MT 1. เดาคา a และ a ′
∂T BET = ∂T MT และ ∂Q BET = ∂Q MT จะไดความสัมพันธเปน 2. คํานวณ มุมลมสัมพัทธ φ จากสมการ (3)
2
3. คํานวณ α = φ − θ และ CL(α), CD(α)
1 ⎡U (1 − a ) ⎤ 4. แกคา a และ a ′ จาก จากสมการ (10) และ (11)
N ρ⎢ 0 (C L cos φ + C D sin φ )c∂r
2 ⎣ sin φ ⎥⎦ (8)
= 4a (1 − a ) ρU 02πr ∂r จากนั้นกลับไปคํานวณจากขอ 2 และทําซ้ําจนกวาคาจะลูเขา ซึ่ง
กระบวนการลูเขาจะไมดีหาก a=0.5 เนื่องจากผลของการ Stall
2
1 ⎡ rΩ(1 + a′) ⎤ กระบวนการคํานวณจะทําตอเนื่องจากโคนใบถึงปลายใบ
N ρ (C L sin φ − C D cos φ )cr∂r (9)
2 ⎢⎣ cos φ ⎥⎦ กระบวนการในการคํานวณนี้สามารถนําไปเขียนเปนโปรแกรม
= 4a′(1 − a ) ρU 0πr 3Ω∂r คอมพิวเตอรได ทั้งนี้จะตองมีความสัมพันธของ CL และ CD ที่เปน
ฟงกชันของมุมปะทะ α โดยอาจเปนคาที่ไดจากการทดสอบในอุโมงค
สามารถจัดรูปสมการ (8), (9) ไดใหมดังนี้ ลม ในที่นี้ใชขอมูลดังแสดงในรูปที่ 3 ซึ่งไดจากการทดสอบแพนอากาศ
S809 (ของ NREL) ในอุโมงลมที่ Re=1,000,000 [6]

ENETT2550-137
3/5
1.5 4. การออกแบบกังหันใหดีที่สุด
จากนี้ไปจะทําการออกแบบใบกังหันที่ดีที่สุดดวย BEM โดยจะใช
CL
CD
1 คา CP เปนเกณฑของคาสูงสุด นั่นคือหากปรับตัวแปรที่เกี่ยวของจนได
คา CP สูงสุด ตัวแปรนั้นจะหมายถึงตัวแปรที่นําไปสูคาดีที่สุดของการ
0.5 ออกแบบ ในที่นี้พบวาตัวแปรที่นาสนใจมี 2 คาคือ มุมเผินปลายใบ (tip
CL,CD

pitch) และ ขนาดของ chord ซึ่งเปนตัวแปรที่สามารถปรับคาไดตามวิธี


0 BEM โดยตัวแปรอื่นๆเชน จํานวณใบ tip speed ratio รูปรางแพน
-30 -20 -10 0 10 20 30
อากาศ จะตองกําหนดขึ้นมา นอกจากนี้ สําหรับการศึกษานี้ขนาดของ
-0.5 ใบจะกําหนดใหคงที่ไมเปลี่ยนแปลงตามความยาวใบ
เมื่อลองปรับคาแลว พบวาจะใหสัมประสิทธิกําลังที่เปลี่ยนไปดัง
-1 แสดงในรูปที่ 5 ซึ่งใหคาที่ดีที่สุดที่ c/R = 0.1386 และจากคานี้ นําไป
angle of attack
คํานวณตอเพื่อหามุม pitch จะไดมุมที่ดีที่สุดเปน 5 องศา ดังแสดงใน
รูปที่ 3 คา CL,CD ที่มุมปะทะตางๆของ S809 ที่ Re=1,000,000 [6] รูปที่ 6 ซึ่งจะใหคา Cp สูงสุดเปน 38.76% จากนั้นทําการหาคาที่ดีที่สุด
โดยนําคามุมนี้กลับไปหาคา c/R อีกครั้ง และวนรอบทําซ้ําไปมาระหวาง
ทําการทดสอบความสามารถของโปรแกรมโดยคํานวณมุมบิดใบ c/R กับมุมเผินปลายใบ จนกวาจะไดคาที่ลูเขา พบวาไดประสิทธิภาพ
กังหัน ไปเทียบกับกังหันแบบบิดใบ (Twisted blade) ของ NREL สูงสุดเปน 41.46% ที่ c/R = 0.2178 และมุมเผินปลายใบเปน 7 องศา
Phase 3 [7, 8] ซึ่งมี ความยาวใบ 5.05 m ขนาดของ chord คงที่
0.457 m เปนกังหัน 3 ใบกังหัน ทํางานที่ความเร็วรอบ 72 RPM มีคา
ความเร็วลมออกแบบที่ 8 m/s (tip speed ratio, λ=4.735) มุมการบิด 39
ที่ปลายใบ (tip pitch) = 3 องศา ผลที่ไดจากการออกแบบมุมบิดจาก
โปรแกรมนี้ เทียบกับที่ไดออกแบบไวแลวแสดงอยูในรูปที่ 4 ซึ่งเปนมุม 37

บิดใบเมื่อเทียบกับแกนการหมุน และในการติดตั้งใชงานจริงจะตองปรับ 35

มุมเผินปลายใบ (tip pitch angle) ใหเขาสูคาที่เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง 33


Cp

31
60
29
50
27

40 NREL Phase3
BEM 25
twist(deg)

0.05 0.075 0.1 0.125 0.15 0.175 0.2


30
c/R

20
รูปที่ 5 สัมประสิทธิกําลังเทียบกับ c/R
10

0
0 0.2 0.4 0.6 0.8 1 39
r/R 38.5

รูปที่ 4 มุมการบิดใบที่ r/R ตางๆ เมื่อปรับ tip pitch เปน 3 องศา 38

37.5

จะเห็นไดวาผลลัพธสอดคลองกันเปนอยางดี และสําหรับการ 37
Cp

เปรียบเทียบคาสัมประสิทธิกําลังที่ได ผลจากการคํานวณดวย BEM 36.5

36
ใหผลที่สอดคลองกับการทดลองในอุโมงคลมอยางดี และใหผลอยางดี
35.5
มากเทียบกับการทดสอบในภาคสนาม ดังแสดงอยูในตารางที่ 2
35

34.5
ตารางที่ 2 เปรียบเทียบผลการคํานวณกับการทดลอง 34
Cp Measure BEM error 0 2 4 6 8
Tip pitch angle(degree)
Wind tunnel 34.78 30.18 -13.08%
Field test 31.02 30.18 -2.54% รูปที่ 6 สัมประสิทธิกําลังเทียบกับมุมบิดปลายใบ

ENETT2550-137
4/5
ความสัมพันธของมุมบิดใบ ณ จุดที่ดีที่สุดนี้ดังแสดงอยูในรูปที่ 7 5. สรุป
จะเห็นไดวา ความชันของการบิดใบของกันหันที่ออกแบบใหมนอยกวา ทฤษฎี Strip ซึ่งนําไปสูทฤษฎี BEM สามารถทําใหคํานวณหาคา
ของเดิม ที่ชวง ประมาณ 30-65% span และมีความเปนเชิงเสนของ มุมบิดใบกังหันที่เหมาะสมได ซึ่งใหผลการคํานวณสอดคลองเปนอยาง
การบิดใบที่สูงกวาของเดิม ซึ่งอาจชวยทําใหการผลิตทําไดงายขึ้น ดีกับกังหันลมที่ไดมีการผลิตและทดลองไวแลว จากนั้นนําไปสูการ
สําหรับการบิดใบที่ประมาณ 30% span มีอัตราการบิดที่ไมตอเนื่องนั้น ปรับปรุง มุมบิดที่ปลายใบ และขนาดของ chord ที่เหมาะสมสําหรับ
เปนผลมาจากความไมตอเนื่องของการ ประมาณคา CL และ CD ตาม ความเร็วลมที่ต่ํากวาจุดออกแบบ (เชนในประเทศไทย) ได ทําให
รูปที่3 ซึ่งการทําซ้ําของโปรแกรมนําไปสูคามุมปะทะที่ 20 องศา ซึ่งเปน ประสิทธิภาพในทางทฤษฎีเพิ่มขึ้น
จุดหักของเสนกราฟพอดี และจุดนี้คือจุดที่เกิดการ stall ของแพน จากการหาคาประสิทธิภาพสูงสุด ขนาดของใบจะตองโตขึ้นและมุม
อากาศรุน S809 เผินปลายใบจะตองมากขึ้นดวย ซึ่งทําใหลักษณะการบิดใบมีคา
เปลี่ยนไป สําหรับประเทศไทย หากตองการใหมีกําลังงานเทากับกังหัน
50 ที่ออกแบบมากับความเร็วลมสูง จะตองมีใบที่ยาวกวาเพื่อใหไดกําลังที่
45 เทาเดิม ดังนั้นจึงควรลดความเร็วรอบลงมาเพื่อใหได Tip speed ratio
40 เทาเดิม
35
NREL
6. กิตติกรรมประกาศ
twist (deg)

30
New Design (optimum)
25

20
งานวิจัยนี้ไดรับการสนับสนุนทุนจากโครงการปริญญาเอก
15
กาญจนาภิเษก (คปก.) ของสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.)
10

5 เอกสารอางอิง
0
0 0.2 0.4 0.6 0.8 1
1. http://www.egat.co.th/re/egat_wind/wind_phuket.htm
r/R 2. Eggleston, D.M., and Stoddard F. S., “Wind Turbine
รูปที่ 7 มุมการบิดใบที่ r/R ของกันหันใหมเปรียบเทียบกับของเดิม Engineering Design”, Van Nostrand Company, 1987
3. Burton T. et al., “Wind Energy Handbook”, John Wiley & Son,
เนื่องจากการออกแบบกังหันลมสําหรับประเทศไทยซึ่งมีความเร็ว 2001
ลมเฉลี่ยต่ํานั้น (ความเร็วลมออกแบบ 5 m/s) เพื่อใหไดกําลังที่เทากับ 4. Manwell, J. F., McGowan J.G. and Rogers A.L., “Wind
กังหันลม NREL (ความเร็วลมออกแบบ 8 m/s) ขนาดเสนผาน Energy Explained”, John Wiley & Son, 2002
ศูนยกลางใบจึงตองยาวกวาเดิม เพือ่ ให Tip speed ratio เทาเดิม 5. Wilson, R.E., Lissaman, P.B.S., and Walker, S.N.,
ความเร็วรอบการหมุนจึงตองลดลง โดยการคํานวณที่ความเร็วลม “Aerodynamic Performance of Wind Turbines”, Oregon State
ออกแบบ 5 m/s จะทําใหไดตัวแปรที่เหมาะสมดังแสดงในตารางที่ 3 University, 1976.
6. Jonkman, J. M., “Modeling of the UAE Wind Turbine for
ตารางที่ 3 ตัวแปรตางๆของกังหันลมเดิมเทียบกับออกแบบใหม Refinement of FAST_AD”, NREL/TP-500-34755, National
Parameter NREL Phase3 New design Renewable Energy Laboratory, Colorado, 2003
7. Scheper, J.G. et al., “Enhanced Field Rotor Aerodynamics
(Optimum)
Database” Final report of IEA Annex XVIII: ECN-C--02-016,
Design wind speed(m/s) 8 5
February, 2002
Maximum Theoretical 6.52 6.52
8. Simms, D. A. et. al., “Unsteady Aerodynamics Experiment
Rotor power(kW)
Phases II–IV Test Configurations and Available Data
Blade Radius(m) 5.05 8.72
Campaigns”, National Renewable Energy Laboratory,
c/R 0.0905 0.2178
Colorado, July 1999
Blade Chord(m) 0.457 1.90
Tip pitch angle (degree) 3 7
Tip Speed Ratio 4.735 4.735
Rotational Speed (RPM) 72 26.06
Cp(Theory) 30.18% 41.46%

ซึ่งหากไมหาจุดออกแบบที่ดีที่สุด (ใชประสิทธิภาพ 30.18 % เทาเดิม)


จะไดกังหันขนาดรัศมี 10.22 ดังนั้นจึงเทากับวาทําใหขนาดกังหันเล็กลง
ถึง 14.7%

ENETT2550-137
5/5

You might also like