Professional Documents
Culture Documents
Chapter1 Organic PDF
Chapter1 Organic PDF
CHEMISTRY
DEPARTMENT OF CHEMISTRY
MAHIDOL WITTAYANUSORN SCHOOL
เคมีอินทรีย์ 2/2554
1. เคมีอินทรีย์
1.1 บทนา
เคมีอนิ ทรียเ์ ป็ นวิชาทีศ่ กึ ษาสมบัตติ ่างๆ ของสารทีม่ อี ะตอมของคาร์บอนเป็ นองค์ประกอบ
หลัก โดยคาว่าอินทรีย์ มาจากคาว่า Organic หมายถึงร่างกาย หรือ สิง่ มีชวี ติ ดังนัน้ เรื่องราวของ
สารอินทรียเ์ ป็ นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิง่ มีชวี ติ สมัยก่อนนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารอินทรียไ์ ด้มา
จากสิง่ มีชวี ติ เท่านัน้ แต่ ฟริดริด วูหเ์ ลอร์ นักเคมีชาวเยอรมัน ได้สงั เคราะห์สารอินทรียโ์ ดยการเผา
แอมโมเนียมไซยาเนตซึง่ เป็นสารประกอบอนินทรีย์ ปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดขึน้ เป็นดังนี้
NH4+NCO- H2NCONH2
1.1.1 พันธะของคาร์บอน
คาร์บอนเป็ นธาตุทอ่ี ยู่ในหมู่ 4A หรือหมู่ 14 มีเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนทัง้ หมด 4 ตัวจึงสามารถ
เกิดพันธะโคเวเลนซ์ได้ทงั ้ หมด 4 พันธะ โดย C สามารถใช้อเิ ล็กตรอนร่วมกันได้ตงั ้ แต่ 1 คู่ 2 คู่
หรือ 3 คู่ เกิดเป็น พันธะเดีย่ ว (single bond) พันธะคู่ (double bond) หรือ พันธะสาม (triple bond)
C C
2) sp ไฮบริ ดออร์บิทลั
เกิดจากการรวมกันของออร์บทิ ลั s 1 ออร์บทิ ลั และ ออร์บทิ ลั p 1 ออร์บทิ ลั ซึง่ ได้
รูปร่างทีเ่ ป็นลักษณะเป็นเส้นตรงโดยจะเหลือ p ออร์บทิ ลั 2 ออร์บทิ ลั เพื่อสร้างพันธะไพ sp ทีเ่ กิดขึน้
มีมมุ ตามแนวแกนออร์บทิ ลั เท่ากับ 180 องศาดังรูป
H C C C C H
2-เมทิล
C5H12 H H H (CH3)2CHCH2CH3
บิวเทน
H C H
H
H
โพรพีน C 3H 6 H C C C H CH2=CHCH3
H H H
H H
เอ
C 2H 6 O H C C O H CH3CH2OH OH
ทานอล
H H
O H
เอทา
C 2H 4 O H C C H CH3CHO
นาล
H
สูตรโครงสร้าง
โครงสร้างแบบ โครงสร้างแบบ
สูตร
ชื่อสาร โครงสร้างลิ วอิ สแบบ dash ย่อ เส้นและมุม
โมเลกุล
formula (condensed (bond-line
formula) formula)
H O O
กรดเอ
C 2H 4 O 2 H C C O H C 2H 4O 2
ทาโนอิก
OH
H
H C C C C H
บิวเทน C4H10
H H H H
H C C C H
โพรพีน C 3H 6
H H H
H H
เอ H C C O H
C 2H 6 O
ทานอล H H
สูตรโครงสร้าง
สูตร
ชื่อสาร โครงสร้างลิ วอิ สแบบ dash
โมเลกุล โครงสร้าง 3 มิ ติ
formula
อีไทน์ C 2H 2
เบนซีน C 6H 6
โดยทัวไปโครงสร้
่ างสามมิตแิ สดงได้ยาก ดังนัน้ จึงมีการกาหนดการวาดโครงสร้างสามมิติ
เพื่อสะดวกในบอกการจัดเรียงตัวของอะตอมทีเ่ กิดขึน้ เช่น CH4
การเกิดไฮเปอร์คอนจุเกต
การเกิดคอนจุเกชันระหว่างคาร์โบแคทไอออนกับพันธะคู่
ดังนัน้ สามารถเรียงความเสถียรของคาร์โบแคทไอออนได้ดงั นี้
2) ปฏิกริ ยิ าการเติม (addition reaction) เป็ นปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดจากสารอินทรียท์ ป่ี ระกอบด้วย
พันธะคู่ พันธะสาม เกิดปฏิกริ ยิ ากับสารทีเ่ ข้าทาปฏิกริ ยิ าทาให้จานวนพันธะลดลงเนื่องจากใช้ไปใน
การสร้างพันธะกับสารทีเ่ ข้าทาปฏิกริ ยิ า ดังตัวอย่าง
r = k[OH-][CH3Cl]
ซึง่ OH- จะเกิดปฏิกริ ยิ าบริเวณคาร์บอนซึง่ มีสภาพขัว้ เป็ นบวก OH- จึงทาหน้าทีท่ เ่ี รียกว่านิวคลีโอ
ไฟล์ (Nucleophile) และคลอรีนหลุดออกจากโมเลกุ ลเราเรียกสารที่หลุดออกจากโมเลกุ ลนี้ว่า
Leaving group ปฏิกริ ยิ าดังกล่าวเรียกว่าปฏิกริ ยิ าแบบ SN2 ซึง่ มาจาก Substitution, Nucleophilic,
bimolecule เป็นปฏิกริ ยิ าแทนทีข่ องนิวคลีโอไฟล์ทข่ี น้ึ อยูก่ บั โมเลกุลสองโมเลกุล
เมื่อศึกษาปฏิกริ ยิ า 2-chloro-2-methylpropane พบว่าไม่เกิดปฏิกริ ยิ าแบบ SN2 เพราะ
ความเกะกะของโมเลกุลเมทิลที่บดบังคาร์บอนดังนัน้ ปฏิกริ ยิ าจึงยอมหลุดคลอรีนอะตอมออกก่อน
เกิด 3o-คาร์โบแคทไอออนจากนัน้ เบสจึงเข้าทาปฏิกริ ยิ าต่อเราเรียกปฏิกริ ยิ าแบบนี้ว่าเกิดแบบ SN1
(Substitution, Nucleophilic, Unimolecular)
Methyl 1o 2o Neopentyl 3o
(30) (1) (0.02) (0.00001) (~0)
ปฏิกิร ิยาเคมีท่เี กิด ปฏิกิร ิย าก าจัดส่ ว นมากเกิดที่อุ ณ หภูม ิสูง และใช้เ บสที่แก่ ดงั ตัว อย่า งซึ่งเป็ น
ปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดแบบ E2
character ของ sp2 ได้เท่ากับ 33.3 s character และ sp3 มีเปอร์เซ็นต์ s character เท่ากับ 25%
ดังนัน้ จึงสรุปได้ว่ายิง่ มีเปอร์เซ็นต์ s character มากจะมีความเป็นกรดทีแ่ รง
ตัวอย่างสารประกอบ
ประเภทของ
หมู่ฟังก์ชนั ชื่อหมู่ฟังก์ชนั ชื่อ สูตร
สารประกอบ
โครงสร้าง
อะมิโน อะมิโน
เอมีน
(amino) มีเทน
เอไมด์ เมทานา
(amide) เอไมด์
ไมด์
และมีขนั ้ ตอนในการเรียกดังนี้
1) เลือกโซ่คาร์บอนทีย่ าวทีส่ ุดเป็นโซ่หลัก (parent name) เช่น
CH 3 CH 2 CH 3
1 2 3 4 5 6 7
CH 3CHCH 2CH 2CHCH 2CH 3
CH 3 CH 2CH 3
CH 3 CH 3
2,3–dimethylpentane 3,3–dimethylhexane
ethyl
CH 2CH 3
n – propyl
CH 2CH 2CH 3
isopropyl CHCH 3
CH 3
ชื่อหมู่แอลคิ ล สูตรโครงสร้าง
n – butyl
CH2CH2CH2CH3
isobutyl CH 2CHCH 3
CH 3
sec – butyl CH 3CHCH 2CH 3
CH 3
CH 3
1.2.2.2 การเรียกชื่อสารประกอบไซโคลแอลเคน
การเรียกชื่อไซโคลแอลเคนจะเรียกทานองเดียวกับแอลเคน ยกเว้นแต่ช่อื หลักซึ่ง
บอกจานวนคาร์บอนในวงนัน้ จะต้องนาหน้าด้วยคาว่า ไซโคล– (cyclo- ) ซึง่ แสดงดังตาราง
Cyclopentane 49
หรือ
Cyclohexane 81
หรือ
การเขียนสูตรแสดงโมเลกุลของไซโคลแอลเคนนิยมเขียนเป็ นรูปเรขาคณิตเพราะเขียนง่าย
แต่การใช้สูตรแบบนี้จะต้องระลึกเสมอว่าแต่ละอะตอมของคาร์บอน (ซึง่ เขียนแสดงเพียงมุมของรูป
เหลีย่ มเท่านัน้ ) จะต้องสร้างพันธะกับไฮโดรเจน 2 อะตอม และจากตาราง 2.3 จะเห็นว่าไซโคลแอ
ลเคนมีจดุ เดือดสูงกว่า n–alkane ทีม่ จี านวนคาร์บอนเท่ากัน
ไซโคลแอลเคนที่มหี มู่แอลคิลแทนที่จะเรียกชื่อเป็ นอนุ พนั ธ์ของไซโคลแอลเคน โดยถ้ามี
การแทนทีเ่ พียง 1 หมู่ ก็ไม่จาเป็ นต้องระบุตาแหน่ งทีแ่ ทนที่ เพราะทุก ๆ ตาแหน่ งในวงจะสมมาตร
กันหมด เช่น
1,3–dimethylcyclopentane 1–ethyl–3–methylcyclohexane
3–cyclopentyl–2,5–dimethylhexane
1.2.2.3 การเรียกชื่อสารประกอบแอลคีน
การเรียกชื่อโดยระบบ IUPAC นัน้ ถ้ามีหมู่ฟงั ก์ชนั จะต้องพิจารณาถึงหมู่ฟงั ก์ชนั
ของสารประกอบเพื่อใช้เป็นชื่อหลัก ในกรณีของแอลคีนมีขนั ้ ตอนดังนี้
1) เลือกโซ่คาร์บอนทีย่ าวทีส่ ุดและมีพนั ธะคู่อยู่ในโซ่นนั ้ ด้วยเป็ นชื่อหลัก แต่ในกรณีทม่ี พี นั ธะคู่
มากกว่า 1 พันธะ ให้เลือกโซ่ท่มี พี นั ธะคู่มากทีส่ ุดเป็ นชื่อหลัก แม้ว่าจะไม่ใช่โซ่ทย่ี าวทีส่ ุดก็
ตาม
2) กาหนดตาแหน่งคาร์บอนอะตอมในโซ่หลัก โดยให้พนั ธะคู่อยูใ่ นตาแหน่งทีม่ เี ลขน้อยทีส่ ุด
3) ถ้ามีพนั ธะคู่เพียง 1 พันธะ ให้ลงท้ายชื่อว่า – อีน (-ene) ถ้ามี 2 พันธะใช้ – ไดอีน
(-diene)
4) ตาแหน่งของพันธะคู่ให้ระบุดว้ ยตัวเลขของคาร์บอนอะตอมแรกทีส่ ร้างพันธะคู่นนั ้
5) ถ้ามีโซ่กงิ่ ให้ระบุทานองเดียวกันกับสารประกอบแอลเคน
สูตรโครงสร้าง ชื่อที่เรียก
1
2–ethyl–1–butene
2 4
2 7 2,4,6,6–tetramethyl–2-heptene
4 6
1 3 5
1.2.2.4 การเรียกชื่อสารประกอบไซโคลแอลคีน
ถ้าในวงของสารประกอบมีพนั ธะคู่เพียง 1 พันธะ ให้นับคาร์บอนอะตอมที่สร้าง
พันธะคู่เป็ นตาแหน่ งที่ 1 และไม่จาเป็ นจะต้องระบุตาแหน่ งของพันธะคู่นนั ้ แต่ถ้ามีพนั ธะคู่ 2 พันธะ
จะต้องระบุตาแหน่งของพันธะทัง้ สองด้วย เช่น
2
3 3
1
2 4
6 4
1 5 5
3–methylcyclopentene 2–ethyl–1,3–cyclohexadiene
1.2.3.5 การเรียกชื่อสารประกอบแอลไคน์
การเรียกชื่อแอลไคน์จะเหมือนกับแอลคีนแต่ให้เปลี่ยนคาลงท้ายชื่อเป็ น –ไอน์ (-
yne) ในกรณีทใ่ี นโมเลกุลมีทงั ้ พันธะคู่และพันธะสาม โซ่หลักจะต้องมีทงั ้ พันธะคู่และพันธะสาม และ
คาลงท้ายชื่อจะเป็ น –อีน - ไอน์ (-en -yne) ส่วนในการนับตาแหน่ งจะต้องให้พนั ธะคู่มตี วั เลขน้อย
กว่า เช่น
CH 3
HC CCHCH 2 CH 3
1 2 3 4 5 หรือ
3–methyl–1–pentyne
1 2 3 4 5 6
H 2C CHCH 2 CH 2 C CH หรือ
1–hexene–5–yne
แม้ว่าชื่อ IUPAC ของสารประกอบตัวแรกของแอลไคน์จะเป็ นอีไทน์ (ethyne) แต่
มักนิยมเรียกว่า อะเซทิลนี (acetylene) และสารประกอบตัวแรกๆ ของแอลไคน์ก็นิยมเรียกเป็ น
อนุพนั ธ์ของอะเซทิลนี โดยพิจารณาว่าสารนัน้ ๆ เกิดจากการแทนทีไ่ ฮโดรเจนของอะเซทิลนี ด้วยหมู่
แอลคิล เช่น
HC CH H3CC CH H3CC CCH3
acetylene methylacetylene dimethylacetylene
1.2.3.6 การเรียกชื่อสารประกอบอะโรมาติ ก
อนุพนั ธ์ของเบนซีน เกิดจากไฮโดรเจนอะตอมในโมเลกุลของเบนซีนถูกแทนทีด่ ว้ ย
ธาตุใดธาตุหนึ่ง หรือหมู่ธาตุใดหมู่ธาตุหนึ่ง สารประกอบอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนทีเ่ ป็ นอนุ พนั ธ์
ของเบนซีนจึงมีอยูม่ ากมายและการเรียกชื่อ IUPAC ของอนุพนั ธ์เหล่านี้จะอ่านโดยใช้เบนซีนเป็ นชื่อ
หลัก ดังต่อไปนี้
ถ้าเบนซีนมีหมูแ่ ทนทีเ่ พียงหมูเ่ ดียวให้อ่านหมูแ่ ทนทีแ่ ล้วตามด้วยชื่อหลักเบนซีน สารประกอบ
เหล่านี้โดยมากมีช่อื สามัญ และบางครัง้ ชื่อสามัญมักนิยมเรียกมากกว่าชื่อ IUPAC เช่น
methylbenzene เรียกชื่อสามัญว่า toluene aminobenzene มีช่อื สามัญว่า aniline เป็นต้น
CH 3
H 3C
CH 2
methylbenzene
(toluene) ethylbenzene
CH 2
H 3C CH 3
HC CH
vinylbenzene isopropylbenzene
(styrene) (cumene)
OH NH 2
Cl
hydroxybenzene aminobenzene
(phenol) (aniline) chlorobenzene
meta
meta
para
แต่ถา้ มีหมูแ่ ทนทีม่ ากกว่า 2 หมูข่ น้ึ ไปจะระบุตาแหน่งทีแ่ ทนทีด่ ว้ ยตัวเลขอย่างปกติ เช่น
NO 2
Br
1,2,3-trimethylbenzene 3-bromo-2-nitrotoluene
I NH 2
2-amino-4-iodotoluene
ถ้ามีวงอะโรมาติกมาเชื่อมต่อกันโดยมีด้านใดด้านหนึ่งร่วมกันเรียกว่าพอลินิวเคลียร์อะโร
มาติกไฮโดรคาร์บอน (polynuclear aromatic hydrocarbon) เช่น
1.2.3.7 การเรียกชื่อแอลกอฮอล์
ชื่ อสามัญ นิย มใช้เ รีย กแอลกอฮอล์โมเลกุ ล เล็กมีมวลโมเลกุ ล น้ อ ย โดยให้เ รีย กชื่อ หมู่
แอลคิลก่อนแล้วลงท้ายด้วยคาว่าแอลกอฮอล์ เช่น
OH
H 3C OH HO
Methyl alcohol ethyl alcohol iso-propyl alcohol
1.2.3.8 การเรียกชื่ออีเทอร์
1) การเรียกชื่อสามัญโดยทัวไปเราพบว่
่ าการเรียกชื่อของอีเทอร์แบบสามัญจะพบมาก
เนื่องจากมีความซับซ้อนน้อยและไม่ยุ่งยากเหมือนการเรียกชื่อตามระบบ IUPAC
ในการเรียกชื่อสามัญจะเรียกเป็ นหมู่แอลคิลทีต่ ่อกับออกซิเจนโดยเรียงลาดับตาม
อักษรภาษาอังกฤษ แล้วลงท้ายด้วยอีเทอร์ เช่น
1.2.3.9 การเรียกชื่อแอลดีไฮด์และคีโตน
ในระบบ IUPAC จะเรียกชื่อแอลดีไฮด์จากชื่อของแอลเคน โดยเปลีย่ นอักษรทีล่ ง
ท้ายชื่อแอลเคนจาก –e เป็ น –al และให้นับตาแหน่ งคาร์บอนอะตอมในหมู่คาร์บอกซาลดีไฮด์
(-CHO) เป็นตาแหน่งที่ 1 เสมอ เช่น
β α
ดัง นั ้น กรดแอลฟาไฮดรอกซี จ ึง หมายถึ ง กรดคาร์ บ อกซิ ล ิก ที่ ม ีห มู่ ไ ฮดรอก
ซิลต่ออยูก่ บั อะตอมคาร์บอนทีต่ าแหน่งแอลฟา
1.2.3.11 การเรียกชื่อสารประกอบเอสเทอร์
1) อ่านจากด้านทีเ่ ป็นแอลกอฮอล์ก่อนโดยลงท้ายเสียงด้วย -yl หลังจากนัน้
2) อ่านด้านทีเ่ ป็นกรดคาร์บอกซิลกิ ลงท้ายด้วยเสียง -oate
O
ด้ าน carboxylic acid ด้ าน alcohol
H 3CC OCH 2CH 3
Ethyl acetate
1.2.3.12 การเรียกชื่อเอมีน
การเรียกชื่อ เอมีนจะเรียกโดยระบุห มู่ฟ งั ก์ช นั คือ เรียกชื่อ หมู่แอลคิล หรือ เอริล
แล้วตามด้วยคาว่า –เอมีน (-amine)
CH3CH2CH2NH2 (CH3CH2)2NH
propylamine cyclohexylamine diethylamine
ถ้ามีหมูแ่ อลคิลมากกว่า 1 ชนิดต่ออยู่กบั อะตอมของไนโตรเจน จะใช้ช่อื หมู่แอลคิล
ทีใ่ หญ่ทส่ี ุดเป็นชื่อหลัก ส่วนหมูแ่ อลคิลอื่นๆ จะเรียกชื่อเป็น N–alkyl– ไว้ขา้ งหน้า
N
H
N -methylpropan-2-amine
ในระบบ IUPAC ให้เรียกอนุ พนั ธ์ของไฮโดรคาร์บอน โดยเติมคาว่า amino ไว้หน้า
ชื่อไฮโดรคาร์บอน
NH2 NH2
NH2
aminopropane 2–aminobutane 5–methyl–3–aminohexane
1.2.3.13 การเรียกชื่อเอไมด์
ในระบบ IUPAC ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับแอลเคน โดยให้ตดั –e ท้ายชื่อแอลเคน
ออก แล้วเติม –amide แทนการกาหนดตาแหน่ งคาร์บอนอะตอมให้นับคาร์บอนในหมู่เอไมด์เป็ น
ตาแหน่งที่ 1 เสมอ
H H H H
H C C OH H C O C H
H H และ H H
H H H H
1 2 3 4
H C C C C H
1 2 3 4
H H H H หรือ
(I)
H
4
H C H
H H
4
1 2 3
H C C C H
1 2 3
H H H หรือ
(II)
สูตรโครงสร้างทัง้ สองต่างกันเพราะการจัดเรียงตัวของคาร์บอนต่างกัน ในโครงสร้างที่ (I)
คาร์บอน 4 อะตอมจัดเรียงตัวกันตามลาดับจากซ้ายไปขวาเป็นสายยาว เรียกโครงสร้างประเภทนี้ว่า
โซ่ตรง (straight chain) ส่วนโครงสร้างที่ (II) คาร์บอน 3 อะตอมจัดเรียงตัวเป็ นสายยาวและมี
คาร์บ อนอีก 1 อะตอม คือ C4 แยกสาขาออกไปจากสายยาว เรียกโครงสร้างแบบนี้ ว่ า โซ่ กิ่ง
(branch chain)
สารที่เป็ นไอโซเมอร์แบบโครงสร้างเป็ นสารต่างชนิดกันมีสมบัติ ทางกายภาพและทางเคมี
แตกต่างกัน เช่น โครงสร้างที่ (I) เรียกว่า n–butane มีจดุ หลอมเหลว –138OC และจุดเดือด –0.5OC
ส่วนโครงสร้างที่ (II) เรียกว่า isobutane มีจดุ หลอมเหลว –159OC และจุดเดือด –12OC
H3C CH3
H H
Cis-isomer
H3C H
H CH3
Trans-isomer
ทัง้ สองไอโซเมอร์มสี ูต รโมเลกุ ล เหมือ นกันคือ C4H8 ถ้าเขียนสูต รโครงสร้างทัวไปได้
่ ดงั นี้
CH3–CH=CH–CH3 ซึง่ เหมือนกันทัง้ สองชนิด แต่เมื่อแสดงรายละเอียดของตาแหน่ งอะตอมทีม่ าต่อ
ตรงตาแหน่งพันธะคู่จะพบว่าแตกต่างกันดังนี้
ดังนัน้ ในการเรียกชื่อสารประกอบจาพวกแอลคีนทีม่ ไี อโซเมอร์แบบ geometric isomer ให้
ระบุโครงสร้างแต่ละโครงสร้างว่าเป็ น cis- และ trans- เพื่อบอกโครงสร้างสามมิตขิ องโมเลกุล
ตัวอย่างเช่น cis-1,2-dichloroethene และ trans-1,2-dichloroethene
CH3 CH3
H H
Cis-isomer
CH3 H
H CH3
Trans-isomer
บางครัง้ พบว่าโครงสร้า งบางโครงสร้า งมีหมู่ท่เี กาะกับ C=C มีหมู่ท่ไี ม่เ หมือ นกันดัง
โครงสร้างสาร A ดังแสดง พบว่าไม่สามารถบอกได้ว่าโครงสร้างดังกล่าวเป็ นโครงสร้าง cis- หรือ
trans- เพราะไม่มหี มู่ท่เี หมือนกันอยู่ในโครงสร้างดังกล่าว ดังนัน้ Cahn-Ingold-Prelong จึงได้
ประยุกต์ระบบในการอธิบายโครงสร้างดังกล่าวใหม่คอื ระบบ E-Z system E มากจากภาษาเยอรมัน
ว่า Entgegen แปลว่า opposite และ Z มาจากคาว่า Zusammen ซึ่งหมายถึง together ซึง่ จะ
พิจารณาระดับความสาคัญของหมู่ทม่ี าเกาะโดยพิจารณาจากเลขอะตอมของอะตอมทีม่ าเกาะหากมี
เลขอะตอมมากความสาคัญจะมากตัวอย่างเช่นดังแสดง
หากอะตอมทีม่ าเกาะเป็นพันธะคู่หรือพันธะสามให้เราพิจารณาแยกพันธะดังนี้
ตัวอย่างเช่น
โมเลกุลบางโมเลกุลมี chiral atom สองตาแหน่ งและมี plane of symmetry ทีแ่ บ่งครึง่ โมเลกุลทาให้
โมเลกุลเกิดความสมมาตรเราเรียกสารประเภทนี้ว่า meso compound เช่น meso-2,3-dibromobutane
ดังภาพ
Meso compound
หากโมเลกุ ล ดัง กล่ า วมองผ่ า นคาร์บ อนกับ คาร์บ อนจะได้ สู ต รโครงสร้า งที่เ รีย กว่ า Newman
Projections และเมื่อหมุนพันธะเดีย่ วจะได้กราฟพลังงานทีเ่ รียกว่า potential energy surface เป็ น
ดังแผนภาพ
โดยทัวไปแล้
่ วหมูเ่ กาะทีม่ ขี นาดใหญ่จะอยูท่ ต่ี าแหน่ง equatorial มากกว่า axial เพราะจะทาให้
โมเลกุลมีความเสถียรมากกว่า
1.4.2 ประเภทของคาร์บอน
เราสามารถแบ่งประเภทของคาร์บอนในโมเลกุลอินทรียไ์ ด้โดยแบ่งประเภทตามหมู่แทนที่
ทีม่ าเกาะดังนี้ โดยคาร์บอนที่เกาะที่ปลายโดยมี alkyl group มาเกาะหนึ่งหมู่จะเรียกคาร์บอน
ประเภทนี้ว่า primary carbon คาร์บอนทีม่ ี alkyl group มาเกาะสองหมู่จะเรียกคาร์บอนชนิดนี้ว่า
secondary carbon และ คาร์บอนทีม่ ี alkyl group มาเกาะสามหมู่จะเรียกว่า tertiary carbon และ
ไฮโดรเจนทีเ่ กาะกับ primary carbon secondary carbon และ tertiary carbon เรียกว่า primary
hydrogen secondary hydrogen และ tertiary hydrogen ตามลาดับ
400
จุดหลอมเหลว
300
อุณหภูมิ (องศาเซลเซียส)
200
จุดเดือด
100
-100
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17
-200
จานวนอะตอมของคาร์บอน
-300
100
80
จุดเดื่อด (องศาเซลเซียส)
60
40
20
0
จานวนคาร์บอน
-20 4 5 6 7
Aliphatic
-40
Alicyclic
-60
1.5.2 การเตรียมสารประกอบแอลเคน
1.5.2.1 ปฏิกิรยิ าไฮโดรจีเนชันของแอลคีนและแอลไคน์ (hydrogenation of
alkenes and alkynes)
ไฮโดรเจนโมเลกุ ล สามารถเติม ลงไปที่พ ัน ธะคู่ ข องแอลคีน ได้เ มื่อ ใช้ต ัว เร่ ง ที่
เหมาะสมได้ผ ลิต ภัณ ฑ์เ ป็ น แอลเคน ปฏิกิร ิย าเกิด ขึ้น ได้โ ดยละลายแอลคีน ในตัว ท าละลายที่
เหมาะสม เช่น เอทานอล เมทานอล และมีตวั เร่งปฏิกริ ยิ าอาจจะเป็ นแพลตินัม (Pt) นิกเกิล (Ni)
หรือแพลเลเดียม (Pd) ที่เป็ นผงละเอียดจากนัน้ จึงผ่านก๊าซไฮโดรเจนเข้าไปในส่วนผสมของ
ปฏิกิรยิ าภายใต้ค วามดัน ไฮโดรเจนจะไม่ส ามารถเติม ลงไปที่พ ันธะคู่ไ ด้ถ้า ไม่ใ ช้ต ัว เร่ง แม้ว่ า
ปฏิกิรยิ านี้จะเป็ นปฏิกิรยิ าคายความร้อนอย่างมากก็ตาม ทัง้ นี้เนื่องจากพลังงานที่ใช้ในการสลาย
พันธะของไฮโดรเจนโมเลกุลมีค่าสูงมาก ตัวเร่งจะดูดซับโมเลกุลของไฮโดรเจนและของแอลคีนเป็ น
ชัน้ บางๆ เคลือ บไว้ ท่ีผ ิว ของตัว เร่ ง เป็ น การช่ ว ยให้ ไ ฮโดรเจนแตกตัว ออกเป็ น อะตอมและ
เกิด ปฏิกิร ิย ากับ แอลคีน ที่ผ ิว ของตัว เร่ง และการที่ไ ฮโดรเจนเกาะอยู่ท่ีผ ิว ของตัว เร่ง ท าให้
เกิดปฏิกริ ยิ าแบบ syn addition เกิดขึน้ และหากต้องการเตรียมแอลเคนจากแอลไคล์กไ็ ด้เช่นกัน
โดยใช้ H2 2 โมลทาปฏิกริ ยิ ากับพันธะสาม 1 ตาแหน่ง
รูป 5.3 กลไกการเกิดปฏิกริ ยิ าของ alkene กับ hydrogen gas โดยใช้ Pt เป็นตัวเร่ง
(ทีม่ า: Graham Solomon and Craig Fryhle, Organic Chemistry, 7ed)
บางครัง้ เราใช้ตวั ย่อ Et- แทน C2H5- และใช้ Me- แทน CH3-
ในการเกิดปฏิกริ ยิ านัน้ ผลิตภัณฑ์ท่เี กิดขึน้ มากหรือน้ อยขึ้นอยู่กบั ผลิตภัณฑ์ท่เี กิดขึ้นว่ามี
แอลคีนทีเ่ กิดขึน้ เสถียรหรือไม่ ซึง่ ความเสถียรของแอลคีนทีเ่ กิดขึน้ เปรียบเทียบได้จากรูปภาพที่ 5.4
1.5.4 อุตสาหกรรมแอลเคน
แอลเคนหลายชนิดนามาใช้ประโยชน์ดา้ นต่างๆ เช่นมีเทนใช้เป็ นเชือ้ เพลิงในโรงงานไฟฟ้า
โรงงานต่างๆ และใช้เป็ นวัตถุดบิ ในการผลิตเคมีภณ ั ฑ์ต่างๆ เช่น เมทานอล อีเทน และโพรเพน
แก๊สผสมระหว่างโพรเพนกับบิวเทนใช้เป็ นแก๊สหุงต้มตามบ้าน แอลเคนน้ าหนักโมเลกุ ลสูง เช่น
พาราฟิน ใช้เคลือบผลไม้เพื่อรักษาความชุ่มชืน้ เป็นต้น
1.6.1 สมบัติทางกายภาพ
โดยทัวไปสมบั
่ ตทิ างกายภาพของแอลคีนคล้ายคลึงกับของแอลเคนที่มขี นาดใกล้เคียงกัน
แอลคีนทีม่ คี าร์บอน 2-4 อะตอมมีสถานะเป็นก๊าซ คาร์บอน 5-18 อะตอมมีสถานะเป็ นของเหลวและ
คาร์บอนมากกว่า 18 อะตอมมีสถานะเป็ นของแข็ง แอลคีนเป็ นโมเลกุลไม่มขี วั ้ จึงไม่ละลายในน้ าแต่
จะละลายได้ดีใ นตัว ทาละลายไม่มขี วั ้ เช่น เบนซีน คาร์บอนเตตระคลอไรด์ เป็ นต้น สมบัติบาง
ประการของแอลคีนดังแสดงในตาราง 6.1
1.6.2 การเตรียมแอลคีน
การเตรียมแอลคีนสามารถเตรียมได้จากปฏิกริ ยิ าการกาจัด (elimination) โดยเตรียมได้จาก
สารดังต่อไปนี้
1.6.2.1 Dehydrohalogenation ของ alkyl halide ซึง่ เกิดปฏิกริ ยิ าผ่าน E2 ซึ่ง
ปฏิกริ ยิ าดังกล่าวเกิดขึน้ โดยใช้เบส
ตัวอย่างปฏิกริ ยิ าเคมี
การเกิด E2 ดังกล่าวชอบทีจ่ ะเกิดผ่าน anti coplanar transition state ซึง่ เป็นทรานซิชนั ทีเ่ สถียร
กลไกการเกิดปฏิกริ ยิ าของ secondary alcohol และ tertiary alcohol ซึง่ เกิดผ่าน E1 กรดทีใ่ ช้เป็ น
กรดทัวไปใช้
่ กรด ซัลฟิวริกหรือกรดฟอสฟอริก
ตัวอย่างการเตรียมเอทานอลดังสมการ
กลไกการเกิดปฏิกริ ยิ าคือ
C C Br2/CCl4 C C
Br
สีน้าตาลแดง ไม่มสี ี
1.7.1 สมบัติทางกายภาพ
แอลไคน์ มสี มบัติทางกายภาพคล้ายคลึงกับ แอลเคนและแอลคีน แอลไคน์ ไม่ล ะลายน้ า
เนื่องจากเป็ นสารโคเวเลนซ์ไม่มขี วั ้ แต่ละลายได้ในตัวทาละลายอินทรีย์ เช่น เบนซีน คาร์บอนเต
ตระคลอไรด์ มีความหนาแน่นน้อยกว่าน้า จุดเดือดเพิม่ ขึน้ ตามมวลโมเลกุล และมีค่าใกล้เคียงกับจุด
เดือดของแอลเคนและแอลคีนที่มโี ครงสร้างเหมือนกัน แอลไคน์ท่มี คี าร์บอน 2-4 อะตอมมีสถานะ
เป็ นก๊าซ 5-18 อะตอมมีสถานะเป็ นของเหลว และคาร์บอนมากกว่า 18 อะตอมเป็ นของแข็ง สมบัติ
บางประการของแอลไคน์ดงั แสดงในตาราง 7.1
1.7.2 การเตรียมแอลไคน์
1.7.2.1 ปฏิกิร ิย าการเตรีย มอีไ ทน์ เตรีย มได้ จ ากปฏิกิร ิย าระหว่ า ง
แคลเซียมคาร์ไบด์กบั น้าหรือเตรียมจากแก๊สมีเทนทีค่ วามร้อนสูงๆ ระยะเวลาสัน้ ๆ
H H
R R
H 2/Pt H 2/Pt
R C C R C C R C C R
H H
H H
1.7.3.2 ปฏิกริ ยิ าการเติมฮาโลเจน (Halogenation)
Cl Cl
R Cl
Cl2 Cl2
R C C R C C R C C R
Cl R
Cl Cl
1.7.3.3 ปฏิกริ ยิ าการเติมไฮโดรเจนเฮไลด์ จะเห็นได้ว่าการเกิดปฏิกริ ยิ าการเติม
HCl นัน้ H จะเข้าทาปฏิกริ ยิ าทีต่ าแหน่ ง 1 และ Cl จะเข้าทีต่ าแหน่ งที่ 2 ของเฮไลด์ เนื่องจากการ
เกิดปฏิกริ ยิ านัน้ เมือ่ H เข้าทาปฏิกริ ยิ าทาให้เกิด 2O คาร์โบแคทไอออนหลังจากนัน้ ทา Cl จึงเข้าทา
ปฏิกริ ยิ าตามมา
Cl H
2 1 HCl
R H
HCl
R C C H C C R C C H
Cl H
Cl H
1.7.3.4 ปฏิกริ ยิ าการต่อสายโซ่คาร์บอนผ่าน terminal proton alkyne ซึ่งเรา
สามารถจะต่อสายไฮโดรคาร์บอนที่ปลายโซ่ได้เมื่อแอลไคน์มพี นั ธะสามที่ปลายเนื่องจากโปรตอน
ดังกล่าวมี s-character สูงจึงทาให้มคี วามเป็ นกรดสูง เมื่อเจอเบสแก่จะสามารถเกิดปฏิกริ ยิ าได้ดงั
สมการ
1.7.4 ประโยชน์ของแอลไคน์
เราพบว่าเมื่อเราเผาแก๊สผสมของอะเซทิลนี กับแก๊สออกซิเจนในอัตราส่วนทีเ่ หมาะสมจะได้
เปลวไฟออกซีอะเซทิลนี ซึง่ ให้ความร้อนสูงถึง 3000oC จึงใช้ในการเชื่อมและตัดโลหะได้
H C H
C C
C C
H C H
1.8.2 การเตรียม
การเผาถ่านหินในทีป่ ราศจากอากาศจะให้ Coal tar ซึง่ ถ้านาไปดาเนินการต่อไปจะให้ เบน
ซีน โทลู อีน ไซลีน ฟี น อล แนฟทาลีน แอนทราซีน และสารอะโรมาติก ไฮโดรคาร์บ อนอื่น ๆ
นอกจากนัน้ ยังเตรียมเบนซีนและอนุพนั ธ์ของมันได้จากปฏิกริ ยิ า catalytic reforming ดังตัวอย่าง
CH3
Al2O 3 -CrO 3
+ 4 H2
CH 3 (CH 2)5CH 3
o
500 C
CH3
Al2O 3 -Pt
+ 3 H2
o
500-600 C
-complex
ปฏิกริ ยิ าในการเตรียมอิเล็กโทรไฟล์
+
H O NO2 + H 2SO 4 H O NO2 + HSO 4 -
H 2O + NO 2+
nitronium ion
ปฏิกริ ยิ าการเตรียมอิเล็กโทรไฟล์
2 H 2SO 4 SO 3 + H 3O + + HSO 4-
ตัวอย่าง
FeBr3 Br
Br2 HBr
ตัวอย่าง
ปฏิกริ ยิ าการเตรียมอิเล็กโทรไฟล์
ปฏิกริ ยิ าการเตรียมอิเล็กโทรไฟล์
O O
_
+
R C Cl + AlCl3 R C Cl AlCl3
+ +
AlCl4- + R C O R C O
Acylium ion
ในบางครัง้ จะใช้ carboxylic acid anhydrides (acetic anhydrides) ในปฏิกริ ยิ า
ปฏิกริ ยิ าการเตรียมอิเล็กโทรไฟล์
5) ปฏิ กิริยา arenediazonium salt โดยใช้ aromatic amine เป็ นสารตัง้ ต้น
N H O H N C CH3
Br2 /FeBr3 Br
Br
NO 2
3) ลดความว่องไวต่อปฏิกริ ยิ าการแทนทีอ่ เิ ล็กโทรฟิลกิ และทาให้หมู่ทส่ี องเข้าเกาะกับเบน
ซีน ทีต่ าแหน่ง ortho กับ para อะตอมหมูน่ ้ไี ด้แก่พวกแฮโลเจน (F, Cl, Br, I)
ดังนัน้ การทาปฏิกริ ยิ ากับเบนซีนต้องพิจารณาหมู่แทนทีท่ ่ีจะมาเกาะหน้านัน้ ก่อน และสารที่
ทาหน้าทีเ่ ป็น donating group และ withdrawing group แสดงดังตาราง 1.12
OH
OH
HNO 3
NO2
HSO 4
NO2
NO2
การพิจารณาตาแหน่งการเกิดปฏิกริ ยิ า
ในโครงสร้างมีหมู่ –OH อยู่จะกาหนดให้หมู่ใหม่เข้าทีต่ าแหน่ ง ortho กับ para กับตัวมัน
แต่ตาแหน่ง para มีหมู่ –NO2 อยูแ่ ล้ว เหลือเพียงตาแหน่ง ortho ซึง่ คือตาแหน่ง 2 หรือ 6
ดังนัน้ เมื่อพิจารณาทัง้ หมู่ -OH และ –NO2 แล้ว การเติมหมู่ท่ี 3 เข้าไปทีว่ งเบนซีนจะเกิดที่
ตาแหน่ง 2 หรือ 6 เช่นเดียวกัน
ตัวอย่างที่ 2
การพิจารณาตาแหน่งการเกิดปฏิกริ ยิ า
หมู่ -CF3 กาหนดให้หมู่ใหม่เข้าทีต่ าแหน่ ง meta กับตัวมันเอง ซึง่ คือตาแหน่ ง 5 และหมู่ -
NO2 กาหนดให้หมูใ่ หม่เข้าทีต่ าแหน่ง meta กับตัวมันเอง ซึง่ คือตาแหน่ง 5 เช่นเดียวกัน
การพิจารณาตาแหน่งการเกิดปฏิกริ ยิ า
เมื่อพิจารณา หมู่ –OH และ -CH3 พบว่าหมู่ทงั ้ 2 จะให้หมู่ท่ี 3 เกิดปฏิกริ ยิ าที่ตาแหน่ ง
ortho กับ para กับวงเบนซีน ดังรูป
และ
ดังนัน้ ความไวของปฏิกริ ยิ าจะมีผลในการพิจารณา พบว่า หมู่ -OH มีความไวของปฏิกริ ยิ า
เร็วกว่า หมู่ -CH3 เพราะฉะนัน้ ผลิตภัณฑ์ของปฏิกริ ยิ านี้คอื 4-methyl-2-nitrophenol เป็ นผลผลิต
ชนิดเดียว
สามารถทาได้ 2 แบบคือ
แบบที่ 1 ทาปฏิกริ ยิ าไนเตรชัน ก่อนแล้วตามด้วยปฏิกริ ยิ าคลอริเนชัน
เช่น
1.9.1.2 แอลกอฮอล์ทุตยิ ภูม ิ (secondary alcohol) หมายถึงแอลกอฮอล์ทม่ี หี มู่ไฮ
ดรอกซิลสร้างพันธะกับคาร์บอนอะตอมทุตยิ ภูม ิ
เช่น
เช่น
1.9.2 สมบัติทางกายภาพของแอลกอฮอล์
เนื่องจากแอลกอฮอล์ประกอบด้วย C – O – H จึงทาให้แอลกอฮอล์เป็นโมเลกุลมีขวั ้ ดังนี้
H
H C O H
H
แอลกอฮอล์ ส ามารถสร้างพันธะไฮโดรเจนระหว่า งโมเลกุ ล ได้ และสามารถสร้างพันธะ
ไฮโดรเจนกับโมเลกุลของน้าได้เมือ่ นาแอลกอฮอล์ไปละลายน้ า ดังรูป
R H
O H O O H O
R H R H
รูป 9.1 พันธะไฮโดรเจนระหว่าง รูป 9.2 พันธะไฮโดรเจนระหว่าง
โมเลกุลของแอลกอฮอล์ โมเลกุลของแอลกอฮอล์กบั น้า
1.9.3 วิ ธีการเตรียม
1.9.3.1 ไฮเดรชันของแอลคีน (Hydration of Alkenes) แอลคีนถูกเปลี่ยนเป็ น
แอลกอฮอล์ได้ โดยการทาปฏิกริ ยิ ากับกรดซัลฟิวริก ตามด้วยน้า
H H H H H H
H 2O
H C C CH3 + H 2 SO 4 H C C CH3 H C C CH3
H OSO3H H OH
H 2O 2 / -OH
C C + (BH 3)2
C C C C
B H OH
B(OH)3
เช่น
CH3 1. (BH 3 )2 CH3
2. H 2O 2 / -OH
OH
1.9.3.3 วิ ธี กรี ญ าร์ (Grignard synthesis)vเตรียมกรีญ าร์รเี อเจนต์ ได้จาก
ปฏิกริ ยิ าระหว่างแอลคิลเฮไลด์กบั แมกนีเซียม ถ้านากรีญาร์รเี อเจนต์ไปทาปฏิกริ ยิ ากับฟอร์แมลดี
ไฮด์ (Formaldehyde) แอลดีไฮด์ และคีโตน จะได้ผลิตภัณฑ์เป็ น 1o แอลกอฮอล์ 2o แอลกอฮอล์
และ 3o แอลกอฮอล์ ตามลาดับ
เช่น
เช่น
NaOH (aq)
CH3CH2CH2Cl CH3CH2CH2OH
กลไกการเกิดปฏิกริ ยิ า
เช่น
รวมตัวกับโปรตอนได้เป็ น -OH 2 และหมู่ –OH จะเป็ นหมู่ทห่ี ลุดออก (leaving group) ทีไ่ ม่ดี แต่หมู่
-OH 2 จะเป็นหมูท่ ห่ี ลุดออกทีด่ ี เพราะจากไปเป็นโมเลกุลของน้าซึง่ เป็ นเบสทีอ่ ่อนมาก
H+
+ Nu
R O H R O H R Nu + H 2O
ไทโอนิลคลอไรด์ (SOCl2)
ขัน้ แรกของปฏิกริ ยิ าระหว่างแอลกอฮอล์กบั ไทโอนิลคลอไรด์เหมือนกับฟอสฟอรัสไตรคลอ
ไรด์ คือเกิดเป็ นเอสเทอร์อนินทรีย์ และทานองเดียวกัน พันธะ C – O ก็ยงั ไม่แตกออกในขัน้ แรก
ของปฏิกริ ยิ า ดังนัน้ ถ้าแอลกอฮอล์ทเ่ี ป็ นสารตัง้ ต้นเป็ นอิแนนซิโอเมอร์บริสุทธิ ์ คลอโรซัลไฟด์ทไ่ี ด้
จึงยังคงมีคอนฟิกุเรชันเหมือนแอลกอฮอล์
ขัน้ ตอนที่ 1
CH3 O CH3
SN 2
H C O S Cl Cl C H + SO 2 + Cl-
Cl amine
CH2CH3 CH2CH3
(S ) - chlorosulfite
(R ) -2-chloro butane
การพิจารณาเสถียรภาพของแอลคีนทีเ่ กิดสารผลิตภัณฑ์
ตัวรีดวิ ซ์ [R] ทีน่ ิยมใช้คอื ลิเทียมอะลูมเิ นียมไฮไดรด์ (LiAlH4) เป็ นตัวรีดวิ ซ์ทแ่ี รง
มาก ส่วนโซเดียมโบโรไฮไดรด์ (NaBH4) ทีอ่ ่อนกว่า
1.9.5 อุตสาหกรรมแอลกอฮอล์
1.9.5.1 เมทานอล (CH3OH) แต่เดิมสังเคราะห์ได้จากการกลันไม้ ่ ชนิดหนึ่งเรียกว่า
ไม้แอลกอฮอล์ (Wood alcohol) เมื่อไม่มอี ากาศอยู่ดว้ ย ปจั จุบนั สังเคราะห์ขน้ึ จากปฏิกริ ยิ าระหว่าง
ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์กบั ก๊าซไฮโดรเจนที่อุณหภูมสิ ูง ภายใต้ความดันและมีตวั เร่งปฏิกริ ยิ าอยู่
ด้วย แต่เมทานอลประมาณ 50% ทีไ่ ด้ถูกออกซิไดซ์เป็นฟอร์มาลดีไฮด์
ZnO, Cr2O3
CO + 2 H2 CH3OH
300-400C, 200 atm
Enzyme
C6 H 12 O 6 2CH 3CH 2OH 2CO 2
น้าตาล เอทานอล
เอทานอลทีไ่ ด้จากการหมักสารตัง้ ต้นต่างกันมีช่อื เรียกต่างกัน เช่น
น้าองุน่ (กลูโคส) ไวน์
มันฝรัง่ (แป้ง) วอดก้า
ข้างบาร์เล่ย์ หรือข้าวฮอพ เบียร์
เอทานอลได้จากกระบวนการหมักมีประมาณ 12% เท่านัน้ ดังนัน้ ในการทาวิสกี รัม
วอดก้า และอื่น ๆ ซึ่งมีปริมาณแอลกอฮอล์ 40-60% ต้องนาผลผลิตที่ได้จากการหมักทัง้ หมดมา
กลันเพื
่ ่อเพิม่ ปริมาณเอทานอล เอทานอลทีใ่ ช้เป็ นตัวทาละลายมักจะเป็ น 95% ของเอทานอล และ
5% ของน้า
1.10.1 สมบัติทางกายภาพ
มีสมบัติ เช่นเดียวกับแอลกอฮอล์ หมู่ OH ทาให้โมเลกุล เป็ นโมเลกุลมีขวั ้ และเกิดพันธะ
ไฮโดรเจนได้ ฟีนอลจึงมีจุดเดือดค่อนข้างสูง ฟีนอลละลายน้ าได้เล็กน้อย คือละลายได้ได้ 9 กรัมใน
น้า 100 กรัม อนุพนั ธ์ฟีนอลตัวอื่น ๆ ทีม่ จี านวนคาร์บอนเพิม่ ขึน้ จะไม่ละลายน้า
1.10.2 วิ ธีการสังเคราะห์ฟีนอล
1.10.2.1 วิ ธีของดาว (Dow process) โดยให้คลอโรเบนซีนทาปฏิกริ ยิ ากับโซเดียม
ไฮดรอกไซด์ ทีอ่ ุณหภูม ิ 360 oC
NaOH/ 360oC HCl
Cl - + OH
O Na
4500 psi
1.11.1 สมบัติทางกายภาพ
จุดเดือด
จุดเดือ ดของอีเทอร์มคี ่าใกล้เ คียงกับแอลเคนที่มนี ้ าหนักโมเลกุล ใกล้เ คียงกัน แต่ ต่ ากว่า
แอลกอฮอล์ทเ่ี ป็ นไอโซเมอร์กบั มันมาก เช่น จุดเดือด n-heptane มี 98oC methyl n-pentyl ether
มี 100oC และ n-hexyl alcohol มี 157oC
การละลายน้า อีเทอร์ละลายน้าน้าได้เล็กน้อย เอทิลอีเทอร์ละลายได้ประมาณ 8 กรัมต่อน้ า
100 กรัม เนื่องจากเกิดพันธะระหว่างไฮโดรเจนของน้ ากับอิเล็กตรอนคู่อสิ ระบนอีเทอร์
H
H O
Hydrogen bond
O
R
R
1.11.2 วิ ธีการสังเคราะห์แบบวิ ลเลียมสัน (Williamson synthesis) วิธนี ้ีมปี ระโยชน์ใช้
ในการสังเคราะห์อีเทอร์ได้ทงั ้ แบบสมมาตรและไม่สมมาตร โดยใช้แอลคิลเฮไลด์ทาปฏิกิรยิ ากับ
โซเดียมแอล คอกไซด์ หรือโซเดียมฟีนอกไซด์
R-X + R-O- Na+ R-O-R + NaX
แอลคิลเฮไลด์ โซเดียมแอลคอกไซด์ อีเทอร์
R-X + Ar-O- Na+ R-O-R + NaX
แอลคิลเฮไลด์ โซเดียมฟีนอกไซด์ อีเทอร์
เตรียมโซเดียมแอลคอกไซด์โดยใช้โซเดียมทาปฏิกริ ยิ ากับแอลกอฮอล์ทป่ี ราศจากน้ า ส่วน
โซเดียมฟีนอกไซด์เตรียมจากปฏิกริ ยิ าระหว่างฟีนอลและโซเดียมไฮดรอกไซด์
R O H + Na R O- Na+ + 1/2 H2
sodium alkoxide
sodium phenoxide
การเลือกแอลคิลเฮไลด์ท่ใี ช้ในการทาปฏิกริ ยิ ามีความสาคัญ เพราะอาจเกิดปฏิกริ ยิ าการ
กาจัดแทนที่จะเป็ นการแทนที่ตามที่ต้องการ แนวโน้ มของแอลคิลเฮไลด์ท่จี ะเกิดขึน้ ปฏิกิรยิ าการ
กาจัด คือ 3o > 2o > 1o ดังนัน้ แอลคิลเฮไลด์ทใ่ี ช้ควรเป็ นชนิดปฐมภูม ิ เพื่อป้องกันปฏิกริ ยิ าการ
กาจัด กลไกของปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดขึน้ เป็นแบบ SN2]
ตัวอย่างปฏิกริ ยิ า
1.11.4 ประโยชน์ของอีเทอร์
ในอดีตเราใช้เอทอกซีอเี ทน (CH3CH2OCH2CH3) เป็ นอีเทอร์ทใ่ี ช้ทาเป็ นยาสลบซึง่ ออกฤทธิ ์
กดประสาทส่วนกลางจนทาให้หมดสติ และใช้อเี ทอร์เป็ นตัวทาละลายสารในห้องปฏิบตั กิ ารและใน
อุตสาหกรรม
O O
C C
R R หรือ RCOR R H หรือ RCOH
คีโตน แอลดีไฮด์
1.12.1 สมบัติทางกายภาพของแอลดีไฮด์และคีโตน
เนื่อ งจากแอลดีไ ฮด์แ ละคีโตนมีหมู่ค าร์บอนิล ซึ่งเป็ นหมู่ท่มี ขี วั ้ จึงทาให้มแี รงยึดเหนี่ยว
ระหว่างโมเลกุลเกิดขึน้ ได้ แอลดีไฮด์และคีโตนจึงมีจุดเดือดสูงกว่าโมเลกุลทีไ่ ม่มขี วั ้ ทีม่ มี วลโมเลกุล
ใกล้เคียงกัน นอกจากนี้สารประกอบคาร์บอนิลยังเกิดพันธะไฮโดรเจนกับโมเลกุลของน้ าได้ จึงทาให้
แอลดีไฮด์และคีโตนทีม่ มี วลโมเลกุลน้อยสามารถละลายได้ในน้ าเช่นเดียวกับแอลกอฮอล์ อย่างไรก็
ตามสารประกอบคาร์บอนิลไม่สามารถสร้างพันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุลของสารประกอบคาร์บอ
นิลด้วยกันได้ เนื่องจากอะตอมไฮโดรเจนในสารประกอบคาร์บอนิลไม่มคี วามเป็ นกรดมากพอ ดังนัน้
จุดเดือดของสารประกอบคาร์บอนิลจึงต่ากว่าของแอลกอฮอล์ทม่ี มี วลโมเลกุลใกล้เคียงกัน
1.12.2 การสังเคราะห์แอลดีไฮด์และคีโตน
1.12.2.1 การสังเคราะห์แอลดีไฮด์
แอลดีไฮด์สามารถเตรียมได้จากปฏิกริ ยิ าออกซิเดชันของแอลกอฮอล์ชนิดปฐมภูม ิ
โดยตัวออกซิไดซ์ทเ่ี ลือกใช้คอื K2Cr2O7 / H2SO4
1.12.2.2 การสังเคราะห์คีโตน
1.12.2.2.1 ปฏิ กิริยาออกซิ เดชันของแอลกอฮอล์
คีโ ตนสามารถเตรีย มได้จ ากปฏิกิรยิ าออกซิเ ดชัน ของแอลกอฮอล์ช นิ ด
แอลกอฮอล์ชนิดทุตยิ ภูม ิ โดยตัวออกซิไดซ์ [O] ทีเ่ ลือกใช้ คือ K2Cr2O7 / H2SO4 หรือ KMnO4 / H+
H H
HgSO 4
C C H OH C C C C
H 2SO 4 OH O
H
Vinylic alcohol ketone
(unstable)
HA
C C C C
O H O
H
Enol form Ketone form
propyne acetone
ตัวอย่าง
CdCl2
R' MgX R'2 Cd O O
O O R C R' Ar C R'
or
R C Cl or Ar C Cl
1
O
1) กรดและอิเล็กโทรฟิลกิ รีเอเจนต์เข้าทีอ่ อกซิเจน
2) เบสและนิ ว คลีโ อฟิ ล ิกรีเ อเจนต์เ ข้า ที่ค าร์บอนี ล
C คาร์บอน
C 2 H
3
3) ไฮโดรเจนของแอลดีไ ฮด์ ท าให้ เ กิ ด ปฏิกิ ร ิย า
H ออกซิเดชัน
4
4) -ไฮโดรเจนมีความเป็นกรด หลุดออกง่าย
ขัน้ ที่ 1
ขัน้ ที่ 2
R C OH R C OR R C OH R C OR
OR OR OR OR
O OR
HCl
R C H + 2 ROH R C H + H 2O
OR
Aldehyde
Acetal
O OR
HCl
R C R + 2 ROH R C H + H2O
OR
Ketone
Ketal
เช่น
O OC2H5
HCl
H3C C H + 2 C 2H 5 OH H3C C H + H 2O
OC2H5
O OH
1) R'MgBr, Et2O
C R C R''
R R'' 2) H 3O +
R'
1.12.3.4 รีดกั ชันของสารประกอบคาร์บอนี ล (Reduction of carbonyl
compounds) แอลดีไฮด์จะถูกรีดวิ ซ์ เป็น 1o แอลกอฮอล์ และคีโตนเป็น 2o แอลกอฮอล์ รีเอเจนต์ท่ี
ใช้อาจเป็ นไฮโดรเจนและคะตะลิสต์ หรือลิเทียมอะลูมนิ ัมไฮไดรด์ (LiAlH4) หรือโซเดียมบอโรไฮ
ไดรด์ (NaBH4)
ตัวอย่าง
ตัวอย่าง การเตรียม
R C H + 2 Cu 2+ + 5OH - R C O- + Cu 2O + 3H 2 O
สารละลายเฟห์ลงิ ตะกอนสีน้าตาลแดง
สารละลายเฟห์ลงิ ตะกอนสีน้าตาลแดง
พวกอะโรเมติกแอลดีไฮด์และพวกคีโตนจะไม่ให้ตะกอนสีน้ าตาลแดงของทองแดง (I)
ออกไซด์ ดังนัน้ สารละลาย Fehling’s reagent จึงมีประโยชน์ใช้ทดสอบสารทีเ่ ป็ นอะลิฟาติก แอลดี
ไฮด์หรือ-hydroxy ketone ได้
O O
R C H + 2 Cu 2+ + 5OH - R C O- + Cu 2O + 3H 2 O
สารละลายเบเนดิกส์ ตะกอนสี
น้าตาลแดง
OH O O O
H
สารละลายเบเนดิกส์ ตะกอนสี
น้าตาลแดง
OH
O R C CH3
R C CH3 และ H
1.12.5 ประโยชน์ของแอลดีไฮด์และคีโตน
ทัง้ แอลดีไฮด์และคีโตนใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ส่วนใหญ่ ใช้เป็ นตัวทาละลายและเป็ นสาร
ตัง้ ต้นในการสังเคราะห์ผลิตภัณฑ์ชนิดอื่น แอลดีไฮด์ทใ่ี ช้มากคือ ฟอร์มาลดีไฮด์ มีสถานะเป็ นก๊าซที่
อุณหภูมหิ ้อง มีกลิน่ ฉุ น เมื่ออยู่ในรูปสารละลายในน้ าเรียกว่า ฟอร์มาลิน เป็ นสารทีใ่ ช้ในการฉีดศพ
เพื่อรักษาสภาพไม่ให้เน่ าเปื่ อย และใช้ดองสัตว์หรือพืชเพื่อศึกษาทางชีววิทยาและทางการแพทย์
ฟอร์มาลินมีพษิ มาก ถ้าสูดดมเข้าไปจะทาให้ระบบหายใจและหลอดลมอักเสบ ถ้าเข้าตาจะทาให้
เยือ่ ตาอักเสบและยังเป็นอันตรายต่อผิวหนัง
คีโตนทีใ่ ช้กนั มากคือ แอซีโตน (โพรพาโนน) เป็ นของเหลวระเหยง่าย ละลายน้ าได้ดี แอซี
โตนสามารถละลายสารอื่น ๆ ได้ดี จึงใช้เป็ นตัวทาละลายพลาสติกและแลกเกอร์ แอซีโตนเป็ นสารที่
ไวไฟมากจึงต้องใช้ดว้ ยความระมัดระวัง ถ้าสูดดมไอระเหยของสารนี้เข้าไปจะทาให้เกิดอาการมึนงง
ซึมและหมดสติ
1.13.1 สมบัติทางกายภาพ
1.13.1.1 สภาพขัว้ และจุดเดือด
กรดคาร์บอกซิลกิ ประกอบด้วยพันธะโคเวเลนต์มขี วั ้ 3 พันธะคือ C = O, C – O และ O –
H โดยออกซิเจนของหมู่คาร์บอนิลและหมู่ไฮดรอกซิลมีประจุเป็ นลบเล็กน้อย ส่วนคาร์บอนของหมู่
ส่วนที่มีขวั ้
ส่วนที่มีไม่ขวั ้
รูป รูป
สภาพขัว้ ของกรดแอซิตกิ พันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุลของกรดแอซิตกิ
เนื่องจากพันธะไฮโดรเจนของกรดคาร์บอกซิลกิ แข็งแรงกว่าแอลกอฮอล์ จึงทาให้กรดคาร์บอกซิลกิ มี
จุดเดือดสูงกว่าแอลกอฮอล์ทม่ี มี วลโมเลกุลใกล้เคียงกันหรือเท่ากัน ดังตาราง 13.1
β α
เช่น
เช่น
เช่น
เช่น
เช่น
กลไกการเกิดปฏิกริ ยิ า
เช่น
CH3COOCH2CH3 77.1
CH3CH2COOCH3 79.8
เช่น
กลไกการเกิดปฏิกริ ยิ า
เช่น
R NH 2 R NH R N R'''
ประเภทของเอมีน
เอมีนแบ่งตามจานวนหมู่แอลคิล หรือเอริล (Ar) ที่ต่ออยู่กบั อะตอมของไนโตรเจนได้ 3
ประเภทคือ
1.15.1 สมบัติทางกายภาพของเอมีน
1.15.1.1 สภาพขัว้ และจุดเดือด
เอมีนสร้างพันธะไฮโดรเจนได้ แต่พนั ธะไฮโดรเจนระหว่าง N…H นัน้ จะอ่อนกว่า
O…H เพราะ N มีค่า EN น้อยกว่า O จึงทาให้เอมีนมีจุดเดือดสูงกว่าพวกไม่มพี นั ธะไฮโดรเจน เช่น
อีเทอร์ แอลเคน แต่จะมีจดุ เดือดต่ากว่าพวกทีม่ พี นั ธะไฮโดรเจน เช่น แอลกอฮอล์
เอมีนตติยภูมไิ ม่มพี นั ธะไฮโดรเจนในโมเลกุลเนื่องจากไม่มพี นั ธะระหว่าง N – H
จุดเดือดของเอมีนตติยภูมจิ งึ ต่ากว่าเอมีนปฐมภูมแิ ละเอมีนทุตยิ ภูม ิ
เอมีน ที่มมี วลโมเลกุ ล ต่ าจะละลายน้ าได้เ พราะสามารถเกิดพัน ธะไฮโดรเจนกับ
โมเลกุ ล ของน้ าได้แ ละเอมีนตติย ภูม ิก็ส ามารถเกิดพันธะไฮโดรเจนกับ น้ า ได้เ ช่น กัน เพราะยัง มี
อิเล็กตรอนคู่โดดเดีย่ ว
1.15.1.2 สภาพการละลายน้า
เอมีนโมเลกุลเล็กละลายน้าได้ดกี ว่าโมเลกุลใหญ่ สารละลายของเอมีนในน้ ามีสมบัติ
เป็ นเบสเนื่องจากเป็ นฝา่ ยรับโปรตอนจากน้ า
ดังนัน้
1.15.2 การเตรียมสารประกอบเอมีน
1) ปฏิกริ ยิ ารีดกั ชันของสารประกอบแอลดีไฮด์หรือคีโตน
กลไกการเกิดปฏิกริ ยิ า
เช่น
5) Curtius Rearrangement
6) รีดกั ชันของไนโตร
เช่น
1.16.1 สมบัติทางกายภาพของเอไมด์
จุดเดือ ดของเอไมด์มแี นวโน้ มเช่นเดียวกับเอมีน คือ จุดเดือ ดสูงขึ้นเมื่อคาร์บอนอะตอม
เพิม่ ขึน้ และเนื่องจากออกซิเจนเป็ นธาตุทม่ี คี ่า EN สูงจึงมีสภาพขัว้ เป็ นลบ ส่วนไฮโดรเจนในหมู่อะ
มิโนมีค่า EN ต่ ากว่าจึงมีสภาพขัว้ เป็ นบวก เอไมด์จงึ เป็ นโมเลกุลมีขวั ้ ละลายน้ าได้ โดยที่เอไมด์
โมเลกุลเล็กละลายน้ าได้ดกี ว่าโมเลกุลใหญ่ แต่การละลายน้ าของเอไมด์ไม่ได้แสดงสมบัตเิ ป็ นเบส
เนื่องจากออกซิเจนในหมู่คาร์บอนิลดึงดูดอิเล็กตรอนจากไนโตรเจนในหมู่อะมิโน ทาให้ไนโตรเจนมี
สภาพขัว้ เป็นบวกไม่สามารถรับโปรตอนจากน้าได้
1.16.2 การเตรียมสารประกอบไมด์
1.16.2.1 เตรียมจากแอซิดคลอไรด์
O O
HNR'R
C C
R Cl R NRR'
กลไกการเกิดปฏิกริ ยิ า
เช่น
1.16.2.2 เตรียมจากเอสเทอร์
O O
HNR'R
C C
R OR'' R NRR'
กลไกการเกิดปฏิกริ ยิ า
เช่น
R C + H +/H 2 O/heat R C + NH 4 +
NH 2 OH
บรรณานุกรม
1) หนังสือเรียนสาระการเรียนรูพ้ น้ื ฐานและเพิม่ เติม เคมี เล่ม 5. พิมพ์ครัง้ ที่ 2; กรุงเทพฯ : โรง
พิมพ์คุรสุ ภาลาดพร้าว, 2549.
2) Solomons, G. and Fryhle, C. Organic Chemistry, 8th ed.; USA. John Wiley & Sons,
Inc., 2004.
3) Wade, JR. Organic Chemistry, 4th ed.; New Jersey. Prentice-Hall, Inc., 1987.
4) Maitland, Jr. Organic Chemistry, 3rd ed.; New York. Norton & Company, Inc., 2005.
5) Pine, S.H. Organic Chemistry, 5th ed.; McGraw-Hill, Inc., 1987.
6) ชนิตา พงษ์ลมิ านนท์. เคมีอนิ ทรียเ์ บือ้ งต้น, พิมพ์ครัง้ ที่ 5; ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
7) เกสร พะลัง. เคมีอนิ ทรีย,์ พิมพ์ครัง้ ที่ 1; สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2541
8) สุนนั ทา วิบรู ณ์จนั ทร์. เคมีอนิ ทรีย์, พิมพ์ครัง้ ที่ 3; ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล