Download as docx, pdf, or txt
Download as docx, pdf, or txt
You are on page 1of 6

สรุปหนังสือ : กล้าทีจะถู กเกลียด


่ กเกลียด เป็ นหนังสือทีเขี
1. กล ้าทีจะถู ่ ยนขึนจากค
้ าสอนของ อัลเฟรด
แอดเลอร ์ นักจิตวิทยาและนักปร ัชญาชาวออสเตรีย ผ่านมุมมองของนักปร ัชญาชาวญีปุ่่ น คิชมิ ิ
อิชโิ ร โดยมีโคะกะ ฟุมท ิ ะเกะนักเขียนหนุ่ มเป็ นผูเ้ รียบเรียง
จัดทาในรูปแบบการสนทนาถกเถียงกันในเชิงปร ัชญา เพืออธิ ่ บายแนวคิดของ อัลเฟรด
แอดเลอร ์ ผู ้ได ้รับการยกย่องว่าเป็ น
“บิดาแห่งการพัฒนาตนเอง” ให ้ชัดเจนและปรับประยุกต ์ใช ้กับชีวต ิ ได ้จริง

——————

2. ความโดดเด่นของแอดเลอร ์ ในฐานะนักจิตวิทยา คือ เขามีความเชือว่ ่ า


อดีตนั้นไม่ได ้กาหนดพฤติกรรมต่างๆ ในปัจจุบน ่ า
ั แต่แอดเลอร ์เชือว่
คนเรานั้นสามารถเลือกทีจะเปลี
่ ่
ยนแปลงและมี ความสุขได ้ เพียงแต่มค ี วาม “กล ้า”
ความทุกข ์นั้นเกิดจากความสัมพันธ ์ทีเรามี
่ ตอ ่ หากเราสามารถทาให ้ความสัมพันธ ์กับผู ้อืนราบรื
่ ผู ้อืน ่ น ่
โดยไม่ต ้องพยายามเติมเต็มความคาดหวังของคนอืน ่ เราก็จะสามารถมีความสุขได ้มากขึน้

——————

3. “โลกนีมีแต่ ้ ความเรียบง่าย ปราศจากความวุนวาย ่


ไร ้ความซบซ ั อน”
้ เรามักเข ้าใจมาตลอดเวลาว่าโลกนี มี ้ แต่ความทุกข ์ มีแต่ความสับสนวุน ่ วาย
อันเนื่ องมาจากสภาพปัญหาทีเราได ่ ้
้พบเจอทังเศรษฐกิ จ สภาพสังคม ภัยสงคราม ภัยพิบต ั ท
ิ างธรรมชาติ

โดยทีแท ้จริงแล ้ว ความวุน ่ วายทีเกิดขึน เกิดจากตัวเราเองแทบทังสินทีให ้ “คุณค่า” กับสิงนั้น ๆ
่ ้ ้ ้ ่ ่

เราสามารถเปลียนแปลงความทุ ่ ดขึนรอบตั
กข ์ทีเกิ ้ ่
วเราได ้เพียงแต่เรา “กล้า” ทีจะเปลี ่
ยนแปลงมุ ่
มมองทีเร
ามีตอ ่ างๆ
่ สิงต่

——————
่ ้นจาก เลิกทีจะเชื
4. เริมต ่ ่ า “อดีตเป็ นตัวกาหนดทุกสิง”
อว่ ่ ความบอบชาทางจิ
้ ตใจ แผลใจ
่ิ จะก
ก็ไม่ใช่สงที ่ าหนดสิงที ่ จะเกิ
่ ้
ดขึนในปั จจุบน ่ ท
ั สิงที ่ าให ้อดีตมีผลต่อพฤติกรรม
่ ่ี “การให้ความหมายต่อประสบการณ์ในอดีต ไม่ใช่ตวั ประสบการณ์ในอดีตเอง ดังนั้นไม่สาคัญว่ามีส ่ิ
อยูท
งใดเกิดขึนแล้ ้วบ ้าง แต่สาคัญว่า เราให ้ความหมายต่อสิงนั ่ ้นอย่างไร เช่น เด็กทีมาจากครอบคร
่ ัวหย่าร ้าง
ครอบครัวเดียวกัน ไม่จาเป็ นต ้องมีชะตาชีวต ิ แบบเดียวกัน
เพราะเด็กแต่ละคนให ้ความหมายต่อประสบการณ์ชวี ต ิ ในอดีตต่างกัน ถ ้าเราเชือว่่ าปัจจุบน
ั ถูกกาหนดด ้ว

ยอดีต เราจะไม่เชือว่าชีวต ่
ิ เราเปลียนแปลงได ้

——————

5.
เราสามารถเลือกทีจะท่ าในสิงที
่ เราต
่ ่
้องการได ้ด ้วยตัวเราเอง และเปลียนแปลงตนเองได ้เสมอหากต ้องการ
ทา หลักการนี เรี้ ยกว่า “การยึดเป้ าหมายเป็ นสาคัญ”
นั่นคือในทุกๆการกระทาของเรามีเป้ าหมายทีเราต ่ ้องการซ่อนอยู่
เราเพียงหาเหตุผลมาประกอบเพือท ่ าสิงนั
่ ้น ไม่ใช่เพราะ มีเหตุผลต่างๆนานาๆ
่ ้น เช่น เด็กทีกั
บีบบังคับให ้เราทาสิงนั ่ กขังตนเองในห ้อง ได ้เลือกจะกักขังตนเอง
่ ้องการซ่อนอยู่ เป้ าหมายนั้นคือ การต ้องการให ้พ่อแม่หน
เพราะมีเป้ าหมายทีต ั มาสนใจดูแล ห่วงใย
ความหวาดกลัวคนข ้างนอกเป็ นเพียงเหตุผลทีสร ่ ้างขึน้
่ กขังตนเองเท่านั้น ตามแนวทางนี แอดเลอร
จากความต ้องการทีจะกั ้ ่ า
์เชือว่
้ าหมายว่าจะทาสิงใด
ถ ้าเราตังเป้ ่ ่ าได ้เสมอ อดีตไม่มผ
เราย่อมเลือกทีจะท ี ลต่อปัจจุบน

——————

6. เรามักเชือว่ ่ านิ สยั และสันดานเปลียนแปลงไม่


่ ได ้ แต่แอดเลอร ์มองว่านิ สยั นั้น แท ้จริง คือ ไลฟ์ สไตล ์
หรือรูปแบบการใช ้ชีวต ่
ิ ทีเราสามารถเปลี ่
ยนแปลงตั วเองได ้ตลอดเวลา
แต่สาเหตุทเราไม่่ ี ่
สามารถเปลียนแปลงได ้ก็เพราะเราขาด “ความกล้า” หรือกลัวการเปลียนแปลง ่
เราไม่รู ้ว่าจะมีอะไรเกิดขึนภายใต้ ่
้การเปลียนแปลงนั ้น
ไม่รู ้ว่าจะร ับมือและจัดการการเปลียนแปลงที ่ ่ ดขึนอย่
เกิ ้ างไร แม้เราจะไม่อยากอยูก ่ บ
ั สภาพเดิมๆ

แต่ก็ยงั เลือกจะเป็ นอย่างทีเป็ นอยู่ เพราะรู ้สึกอุน ่ ใจและจัดการชีวต ิ ได ้ง่ายกว่า
ดังนั้นความทุกข ์จึงเป็ นสิงที ่ เราเลื
่ อกเองและหากอยากจะมีความสุข ต ้องใช ้ “ความกล ้าทีจะมี ่ ความสุข”

——————

7. ความทุกข ์ทีเกิ ่ ดจากตัวเราล ้วนๆ ไม่มอี ยูจ


่ ริง
่ ้ ่
“ความทุกขที์ เกิดขึนกับตัวเราล้วนเกียวพันกับคนอืนเสมอ” ่ โดยส่วนใหญ่มก ่
ั มาจากการทีเรากลั ่
วทีจะไม่ ไ
ด ้รับการยอมร ับ หรือกลัวทีจะถู่ กเกลียด ทาให ้เราเกิดความกดดันในจิตใจ ขาดอิสรภาพในการใช ้ชีวต ิ
ยกตัวอย่างเช่น เรามีความทุกข ์เมือเรารู่ ้สึกต่าต ้อยกว่าคนอืน ่ เช่น เรืองความสามารถในท
่ างาน
ฐานะทางสังคม หรือบุคลิกลักษณะ

สิงเหล่ ้ ดจากการทีเราเอาตั
านี เกิ ่ ่
วเราไปเปรียบเทียบกับคนทีเรารู ้สึกว่าเขาเหนื อกว่าเรา
นี คื้ อผลพวงทีเกิ ่ ดจากความสัมพันธ ์กับคนอืน ่

——————

8.
ความรู ้สึกต่าต ้อยทีทรมานเราอยู
่ ่ เราใช้
ไ่ ม่ใช่ “ข้อเท็จจริง” แต่เป็ น “สิงที ่ ความรูสึกส่ ้
้ วนตัวปรุงแต่งขึนมาเ
อง” พูดง่ายๆ ก็คอื เราคิดเองเออเอง โดยเอาไปเปรียบเทียบกับคนอืน ่ อย่างไรก็ตาม ทุกๆ
คนเคยรู ้สึกต่าต ้อยด ้วยกันทังนั ้ ้น เพราะมนุ ษย ์เป็ นสิงมี
่ ชวี ต ่ ้พลังอานาจ
ิ ทีไร
และต ้องการ “การแสวงหาความเหนือกว่า” ความรู ้สึกต่าต ้อยจึงไม่ใช่เรืองเลวร ่ ้าย
เพราะมันอาจเป็ นจุดเริมต ่ ้นของความพยายามและการพัฒนาได ้ เช่น

เมือเรารู ้สึกว่าต่าต ้อยเรืองฐานะทางสั
่ งคม เราต ้องขยันทามาหากิน เก็บหอมรอมริบให ้มากขึน้

หากทาได ้แบบนี ความรู ้สึกต่าต ้อยก็จะกลายเป็ นสิงที
่ มี่ ประโยชน์ขนมาทั
ึ้ นที

——————
9.
หากเราไม่สามารถพัฒนาความต่าต ้อยไปในเชิงบวกได ้ความต่าต ้อยจะแปรเปลียนเป็ ่ น“ปมด้อย” นั่นก็ค ื
อการเก็บความรู ้สึกต่าต ้อยมาเป็ นข ้ออ ้างว่า “เพราะเป็ นแบบนีจึงท
้ าแบบนันไม่ได้”

——————
10. หากเราไม่มค ี วามกล ้าพอทีร่ ับมือกับปมด ้อยอย่างสร ้างสรรค ์ เราจะพัฒนาปมด ้อยนั้น
ให ้เป็ น“ปมเด่น” นั่นคือ การชดเชยข ้อบกพร่องของตนเอง ด ้วยวิธท ่
ี าตัวเองให ้เหนื อกว่าคนอืน
และลุม ่ หลงอยูก
่ บั ความรู ้สึกเหนื อกว่าแบบจอมปลอม เช่น การวางอานาจ
การทาตัวเหมือนเป็ นคนพิเศษด ้วยการบอกว่าตัวเองสนิ ทสนมกับผู ้มีอานาจ

การยึดติดเครืองประดั ้ าแบรนด ์เนม เป็ นต ้น
บเสือผ้
่ ปมด ้อยมากเท่าไรพวกเขาจะยิงแสดงให
ยิงมี ่ ่ นว่าตัวเองเหนื อกว่ามากเท่านั้น
้คนอืนเห็
เพราะกลัวว่าถ ้าไม่ทาแบบนี ้ คนรอบข ้างจะไม่ยอมร ับตัวตนทีเป็ ่ นอยู่

——————

11. เปลียนมุ่ มมองชีวต ิ จากการ “แข่งขัน” เป็ น “การแสวงหาความเหนือกว่า” การแข่งขัน



จะมีเรืองของชนชั ้
นและระดั บความสูงต่า ทีท ่ าให ้เราอยากเอาชนะ หากในความสัมพันธ ์มีการแข่งขัน
ย่อมหลีกเลียงไม่ ่ ่
ได ้ทีจะเกิ ดการเปรียบเทียบและการเอาชนะ ในไม่ช ้าทุกคนก็จะกลายเป็ น ศัตรู

ในขณะที“การแสวงหาความเหนื ้
อกว่า” เปรียบเหมือนการเดินไปข ้างหน้าบนพืนราบเสมอกั น

ความตังใจที ่
จะเดินไปข ้างหน้าด ้วยตนเอง ไม่ใช่การแข่งขันเพือให ่ ้ได ้อยูส ่
่ งู กว่าคนอืน

แต่เพือให ้ก ้าวไปได ้ไกลกว่าจุดทีตั ่ วเองอยูใ่ นปัจจุบน ั

——————

12. เมือเราเปลี ่
ยนมุ มมอง
ว่าโลกไม่ใช่สนามแข่งขัน “เราทุกคนจึงเป็ นมิตรกันได้” โดยไม่ต ้องแข่งขันกันอย่างศัตรู โลกของเราจะก

ลายเป็ นสถานทีปลอดภั ่
ยและน่ ารืนรมย ์ ไม่ต ้องคอยระแวงเคลือบแคลงสงสัยกัน
่ ดจากความสัมพันธ ์กับคนอืนก็
ความทุกข ์ทีเกิ ่ จะลดลงอย่างแน่ นอน

——————

13. คนเรานั้นมีความต ้องการทีเป็่ นเป้ าหมายของชีวต ิ อยู่ 2 ประการ คือ



ต ้องการทีจะเป็ ่
นอิสระพึงพาตนเองได ้ และใช ้ชีวต ่
ิ ร่วมกับคนอืนในสั งคมได ้ดี
่ งเสริมให ้เกิดพฤติกรรม 2 ข ้อข ้างต ้น
โดยมีเป้ าหมายด ้านจิตใจทีส่
คือ ความรู ้สึกว่าตนเองมีความสามารถ และความรู ้สึกว่าคนรอบข ้างเป็ นมิตร

——————
่ แย่
14. สิงที ่ งชิงอิสรภาพไปจากเรา คือ ความต ้องการเป็ นทียอมร ่ ่ ดังนั้น
ับของผู ้อืน
จงปฏิเสธความปรารถนาทีจะได ่ ้ร ับการยอมร ับจากคนอืน ่
เพราะเราไม่ได ้มีชวี ต ่ าตามความคาดหวังของใคร เมือเราอยากได
ิ อยูเ่ พือท ่ ้ร ับการยอมร ับจากคนอืน ่
หรือเอาแต่สนใจว่าคนอืนจะตั ่ ดสินคุณค่าเราอย่างไร จะทาให ้เราใช ้ชีวต ิ ในแบบทีคนอื ่ ่
นอยากให ้เป็ น

และต ้องจาไว ้ว่า “ในเมือเราไม่ ต ้องใช้ชีวิตตามความคาดหวังของคนอืน” ่ คนอืนก็ ่ “ไม่ต ้องใช้ชีวิตตามควา
มคาดหวังของเราเช่นกัน” ดังนั้นหากคนอืนไม่ ่ ่
ทาตามทีเราคิ ดเราก็ไม่ควรไปโกรธเขา

เพราะถือว่าเป็ นเรืองธรรมดา

——————
่ ดจากความสัมพันธ ์กับคนอืนมั
15. ปัญหาทีเกิ ่ กมีสาเหตุมาจาก การทีเราเข
่ ่
้าไปก ้าวก่ายธุระของคนอืน

หรือไม่ก็คนอืนมาก ้
้าวก่ายธุระของเรา การแก ้ปัญหานี ตามหลั
กจิตวิทยาแบบแอดเลอร ์
ต ้องทาความเข ้าใจเรือง ่ “การแยกแยะธุระของแต่ละคนออกจากกัน” วิธแี ยกแยะว่าเรืองนี ่ เป็ ้ นธุระของใครนั้
นง่าย ๆ แค่คด ิ ว่า “สุดท้ายแล้วใครเป็ นคนได้รบผลกระทบจากการตัดสินใจนั
ั ้ เช่น
น”
เด็กไม่อยากไปเรียนหนังสือคนทีได ่ ้ร ับผลกระทบก็คอื ตัวเด็ก เพราะเด็กจะเรียนไม่ทน ่ หรือสอบตก
ั เพือน
ผลกระทบไม่ได ้ตกไปอยูท ่ี อแม่ พ่อแม่จงึ ไม่ควรไปก ้าวก่ายธุระของลูก คนทีเป็
่ พ่ ่ นพ่อแม่ควรเฝ้ าดูลก ู

และคอยชีแนะให ้ลูกเข ้าใจว่าการเรียนเป็ นธุระของลูกทีลู ่ กต ้องร ับผิดชอบ
แต่ไม่ใช่เขา้ ไปก ้าวก่ายกับธุระของลูก หรือควบคุมจนลูกรู ้สึกอึดอัดจนนาไปสูก ่ ารต่อต ้าน

——————

16. การเข ้าไปก ้าวก่ายธุระของคนอืน ่


หรือเข ้าไปแบกร ับความทุกข ์ของคนอืนเอาไว ่ ิ ของคุณทรมานและหนักอึง้
้จะทาให ้ชีวต
เวลาทีคุ ่ ณรู ้สึกว่าชีวต
ิ มีความทุกข ์ก็ขอให ้รู ้ไว ้เลยว่ามันมีต ้นเหตุมาจากความสัมพันธ ์ระหว่างคุณกับคนอื่
น ดังนั้น
่ ควรท
สิงที ่ ้
าเป็ นอันดับแรกก็คอื ต ้องรู ้จักขีดเส ้นแบ่งว่า “เกินจากนีไปไม่ใช่ธุระของฉัน” แล ้วเอาธุระของคน
่ งไปให
อืนทิ ้ ้หมดทาอย่างนั้นแล ้วภาระในชีวต ิ ของเราจะเบาลง นั้นเป็ นก ้าวแรกทีจะท
่ าให ้ชีวติ เรียบง่ายขึน้

——————

17. คุณอยากมี “อิสรภาพ” ใช่ไหม?? แต่ตราบใดทีคุ ่ ณยังไม่เลิกสนใจคาวิพากษ ์วิจารณ์


่ กเกลียด คุณยังต ้องการให ้คนอืนยอมร
คุณยังกลัวทีจะถู ่ ับในตัวคุณ
้ ณก็ไม่สามารถใช ้ชีวต
ถ ้าขืนยังเป็ นอยูแ่ บบนี คุ ิ ตามแบบทีตั ่ วเองปรารถนาได ้
่ ่ งทีอิ
สิงหนึ ่ สรภาพมีไม่แตกต่างจากทุก ๆ สิงบนโลกใบนี
่ ้ คือ อิสรภาพเป็ นสิงที
่ มี่ ราคา
ถ ้าคุณอยากได ้อิสรภาพ คุณต ้องยอมแลกด ้วยอะไรบ ้างอย่าง

เช่น “การถูกคนอืนเกลียด” ่
เมือใดที ่
เราถู
กใครสักคนเกลียด
่ ้นแสดงว่าเราได ้ใช ้ชีวต
เมือนั ิ อย่างอิสระตามเส ้นทางของตัวเองแล ้ว

——————

18. เราไม่ใช่ศน ู ย ์กลางของโลก คนทีคิ ่ ดว่าว่าตัวเองเป็ นศูนย ์กลางของโลก คือ


่ ใจแต่ตวั เองและมองว่าคนอืนเป็
คนทีใส่ ่ นแค่ “คนทีจะต้องท
่ ่
าอะไรสักอย่างเพือเรา” ้ อว่
คนแบบนี เชื ่ าทุกคน

ในโลกนี ควรค านึ งถึงความรู ้สึกของพวกเขาก่อนเป็ นอันดับแรก เวลาทีมี ่ ความสัมพันธ ์กับคนอืน ่

เขาจะคิดแค่วา่ “คนคนนีจะให้อะไรกับฉันได้บ้าง” ่
แล ้วเขาก็ไม่สมหวังเพราะ “คนอืนไม่ได้มีชีวิตอยู ่ า
เ่ พือท
ตามความคาดหวังของพวกเขา” เมือผิ ่ ดหวังอย่างรุนแรงและรู ้สึกว่าตัวเองโดนดูถก ู
เลยพานโกรธและคิดว่า“คนคนนีไม่ยอมท ้ าอะไรให้ฉันเลย” “เขาทรยศความคาดหวังของฉัน” หรือ “เขาไ
ม่ใช่มิตรอีกต่อไป
แต่เป็ นศ ัตรู” และในไม่ช ้าคนทีเชื่ อว่
่ าตัวเองเป็ นศูนย ์กลางของโลกก็จะสูญเสีย “มิตร” ไปจนหมด

——————
่ กฝ่ ายทาถูก และไม่ควรลงโทษด ้วยการทาร ้ายหรือดุดา่ เวลาทีเราชมเชย
19. เราไม่ควรให ้รางวัลเมืออี ่
ให ้รางวัล หรือลงโทษคนอืน ่ เป้ าหมายของเรา

คือ “การควบคุมบงการอีกฝ่ายทีมีความสามารถด้อยกว่ ่
าเรา” เมือเราคาดหวั
งว่าจะได ้ร ับคาชมเชยจากค
่ ้นสะท ้อนให ้เห็นถึงความสัมพันธ ์แบบแบ่งชนชัน้ เราอยากได ้รับคาชมเชยเพราะเรามองว่าตัวเองด ้
นอืนนั
อยกว่า แอดเลอร ์ ไม่เห็นด ้วยกับความสัมพันธ ์แบบแบ่งชนชัน้
และเห็นว่าความสัมพันธ ์ควรเป็ นแบบเท่าเทียม เพราะถ ้าเราสร ้างสัมพันธ ์แบบเท่าเทียมกันได ้
ทุกคนก็จะไม่เกิดปมด ้อยหรือปมเด่นขึน้

——————
่ ควรท
20. สิงที ่ ามากกว่าชมเชย หรือดุดา่

คือการให ้ความช่วยเหลือบนพืนฐานของความสั มพันธ ์แบบเท่าเทียม

หรือ “การปลุกความกล้า” การทีคนคนหนึ ่ งไม่สามารถแก ้ปัญหาได ้ ไม่ใช่เพราะไร ้ความสามารถ

เขาแค่ “ขาดความกล้า ทีจะเผชิญหน้ ากับปัญหา” ดังนั้น สิงที
่ เราต
่ ้องทาเป็ นอันดับแรก คือ

ช่วยให ้เขากลับมามีความกล ้าอีกครงั คนเราจะมีความกล ้าได ้ก็ตอ ่ ดว่าตัวเองมีคณ
่ เมือคิ ุ ค่า
คนเราจะคิดว่าตัวเองมีคณ
ุ ค่าก็ตอ ่ ้สึกว่า “ตัวเองมีประโยชน์ต่อสังคม”
่ เมือรู

——————

21. ดังนั้น หนทางในการสร ้างความสัมพันธ ์แบบเท่าเทียม คือ การ“ยอมรับตัวเอง” “เชือใจคนอื


่ น”่ และ
่ ทังสามสิ
“ช่วยเหลือคนอืน” ้ ่ เชื
งนี ้ อมโยงกั
่ ่
นอย่างแยกไม่ได ้ เมือเรายอมร ับในตัวเอง

เราจะมีความสามารถในการเชือใจคนอื ่ เมือเชื
น ่ อใจคนอื
่ ่
นเราจะมองเขาเป็ นมิตร
และให ้ความช่วยเหลือจากใจทีแท่ ้จริง

——————

22. การยอมรบตัวเอง
ั คือ การยอมรับในข ้อจากัด
หรือตัวตนของเรา แตกต่างจากความมั่นใจในตนเองตรงที่ ความมั่นใจนั้น
เป็ นการยึดในสิงที่ เราสามารถท
่ าได ้ และมีโอกาสบ่ายเบียงไม่ ่ ่ ท
ยอมร ับในสิงที ่ าไม่ได ้ ในขณะที่
การยอมรับในตนเอง หมายถึง การยอมรับว่า “ตัวเองทาไม่ได้” ในเรืองที ่ ท่ าไม่ได ้จริง ๆ
แต่ขณะเดียวกันก็พยายามพัฒนาตัวเองให ้สามารถทาสิงนั ่ ้นได ้ในทีสุ
่ ด เพราะไม่มม ี นุ ษย ์คนใดสมบูรณ์แ
บบ 100 % ดังนั้น เราทุกคนมี “ตัวตน” ทีเปลี ่ ยนแปลงไม่ได้

แต่เราสามารถจะเรียนรูที ่
้ จะใช ้ประโยชน์จากตัวตน
แบบนั้นได ้ เพียงแต่ยอมรับ “ตัวตนทีเป็ นอยู”่ ของเรา และ

“กล้าทีจะเปลี ่
ยนแปลง” ่ เรามี
โดยการรู ้จักใช ้สิงที ่ ให ้เป็ นประโยชน์

——————

23. “เชือใจคนอื ่ ความเชือใจ
น” ่ แตกต่างจากความ เชือถื ่ อ

ตรงทีความเชื ่ อนั้นมักมีเหตุผลหรือหลักประกันมารองร ับให ้น่ าเชือถื
อถื ่ อ แต่ความเชือใจ ่

เป็ นเรืองของความรู ่
้สึกไว ้วางใจโดยไร ้เงือนไข แม้จะไม่มห ่ อก็ตาม
ี ลักฐานหรือข ้อเท็จจริงเพียงพอให ้เชือถื

แม้การเชือใจจะเป็ ่
นเรืองยาก ่ า
แต่แอดเลอร ์เชือว่
มันเป็ นหนทางเดียวในการสร ้างความสัมพันธ ์ทีแน่ ่ นแฟ้ น
่ วยให ้ความสัมพันธ ์ราบรืนขึ
เพราะมันเป็ น “วิธี” ทีจะช่ ่ น้
และยังช่วยนาไปสูค
่ วามสัมพันธ ์แบบเท่าเทียมได ้ด ้วย

——————

24. “ช่วยเหลือคนอืน” ่ คือ การทาประโยชน์ให ้กับคนทีเราคิ


่ ดว่าเป็ นมิตร
เราจะรู ้สึกมีคณ ่
ุ ค่าเมือได ่ ้าใจง่ายทีสุ
้ทาประโยชน์ให ้ใครสักคน การทางานเป็ นตัวอย่างทีเข ่ ด
่ นเพียงเท่านั้น
การทางานไม่วา่ นอกบ ้านหรือในบ ้านไม่ได ้มีเป้ าหมายเพือหาเงิ
่ นการช่วยเหลือคนอืนและทุ
แต่เพือเป็ ่ ม
่ เทให ้กับสังคม
การทางานช่วยให ้รู ้สึกว่า “ตัวเองมีประโยชน์กับใครสักคน” และยังทาให ้เราสัมผัสถึงคุณค่าของการมีชวี ิ
ตอยูอ
่ กี ด ้วย

——————

25. การยอมร ับตนเองเชือใจคนอื ่ และช่วยเหลือผูอ้ น
น ่ื
จะทาให ้เป้ าหมายในการมีชวี ต ิ ของเรานั้นสมบูรณ์ เพราะความต ้องการพึงพาตนเองได
่ ้
่ ้
มีความรู ้สึกว่าเป็ นคนทีมีความสามารถ เกิดขึนจากการยอมร ับตนเอง
และการใช ้ชีวต ่
ิ ร่วมกับคนอืนในสั ่
งคมได ้ดี รู ้สึกว่าคนรอบข ้างเป็ นมิตร ก็เกิดจากการทีเรา

เชือใจในคนอื ่ และได ้ช่วยเหลือผูอ้ น
น ่ื

——————

26. ชีวติ เรานั้น มีคณุ ค่าเมือท่ าภารกิจชีวต ิ ทัง้ 3 ด ้านได ้สมบูรณ์ ทังด
้ ้านการงาน ด ้านสังคม
และด ้านความร ัก ดังนั้น อย่ามองชีวต ิ เพียงด ้านเดียว

คนบ ้างานทีชอบแก ้ตัวว่า “เพราะงานยุง่ เลยไม่มีเวลานึกถึงครอบครว” ั เป็ นการโกหกตัวเอง
และเป็ นการเอางานมาอ ้างเพือหลีกเลียงความร ับผิดชอบอืน ๆ เท่านั้น
่ ่ ่
แอดเลอร ์มองว่าคนเราต ้องไม่ละทิงเรื ้ องอื
่ น ่ ๆ ทีควรใส่
่ ใจในชีวต ้ ลก
ิ ไม่วา่ จะเป็ นงานบ ้าน การเลียงดู ู
การเข ้าสังคม หรือการทางานอดิเรกก็ตาม “การทางาน” จึงไม่ได ้หมายถึงงานนอกบ ้านเท่านั้น
แต่ยงั รวมถึงงานในบ ้าน และงานเพือสั ่ งคมส่วนร่วมด ้วย
งานทีสร่ ้างรายได ้เป็ นเพียงส่วนหนึ่ งของชีวต ิ เท่านั้น
การทุ่มเทให ้เพียงแค่งานทีสร ่ ้างรายได ้จึงถือเป็ นการมองชีวต ิ เพียงด ้านเดียว

——————
่ นคนธรรมดา และกล้ามีความสุข คนเรามักอยากเป็ นคนพิเศษ คือ ดีเป็ นพิเศษ
27. กล้าทีจะเป็
เพราะยอมร ับในความธรรมดาไม่ได ้ เมือเป็ ่ นคนทีดี ่ เป็ นพิเศษไม่ได ้ ก็กระโจนสูก ่ าร “แย่เป็ นพิเศษ”
แทน นั่นเพราะ เราไม่รู ้ว่าการเป็ นคนธรรมดา ไม่ได ้หมายถึงการไร ้ความสามารถ
แต่เป็ นการใช ้ความสามารถทีมี ่ โดยไม่ต ้องอวดอ ้างหรือได ้ร ับการยอมร ับจากใคร เราสามารถมีความสุข
จากการรู ้สึกว่าได ้ช่วยเหลือคนอืน ่

ถ ้าเราช่วยเหลือคนอืนจากใจจริ งแล ้วจะได ้ร ับการยอมร ับหรือไม่ก็ไม่ใช่สงจิ่ าเป็ นอีกต่อไป
เพราะเราจะรู ้สึกได ้เองว่า “เรามีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อใครสักคน”

สสสสสสสสสสส สสสสสสสสสสสสสสสสสส

You might also like