Professional Documents
Culture Documents
สรุปหนังสือกล้าที่จะถูกเกลียด
สรุปหนังสือกล้าที่จะถูกเกลียด
——————
——————
——————
่ ้นจาก เลิกทีจะเชื
4. เริมต ่ ่ า “อดีตเป็ นตัวกาหนดทุกสิง”
อว่ ่ ความบอบชาทางจิ
้ ตใจ แผลใจ
่ิ จะก
ก็ไม่ใช่สงที ่ าหนดสิงที ่ จะเกิ
่ ้
ดขึนในปั จจุบน ่ ท
ั สิงที ่ าให ้อดีตมีผลต่อพฤติกรรม
่ ่ี “การให้ความหมายต่อประสบการณ์ในอดีต ไม่ใช่ตวั ประสบการณ์ในอดีตเอง ดังนั้นไม่สาคัญว่ามีส ่ิ
อยูท
งใดเกิดขึนแล้ ้วบ ้าง แต่สาคัญว่า เราให ้ความหมายต่อสิงนั ่ ้นอย่างไร เช่น เด็กทีมาจากครอบคร
่ ัวหย่าร ้าง
ครอบครัวเดียวกัน ไม่จาเป็ นต ้องมีชะตาชีวต ิ แบบเดียวกัน
เพราะเด็กแต่ละคนให ้ความหมายต่อประสบการณ์ชวี ต ิ ในอดีตต่างกัน ถ ้าเราเชือว่่ าปัจจุบน
ั ถูกกาหนดด ้ว
่
ยอดีต เราจะไม่เชือว่าชีวต ่
ิ เราเปลียนแปลงได ้
——————
5.
เราสามารถเลือกทีจะท่ าในสิงที
่ เราต
่ ่
้องการได ้ด ้วยตัวเราเอง และเปลียนแปลงตนเองได ้เสมอหากต ้องการ
ทา หลักการนี เรี้ ยกว่า “การยึดเป้ าหมายเป็ นสาคัญ”
นั่นคือในทุกๆการกระทาของเรามีเป้ าหมายทีเราต ่ ้องการซ่อนอยู่
เราเพียงหาเหตุผลมาประกอบเพือท ่ าสิงนั
่ ้น ไม่ใช่เพราะ มีเหตุผลต่างๆนานาๆ
่ ้น เช่น เด็กทีกั
บีบบังคับให ้เราทาสิงนั ่ กขังตนเองในห ้อง ได ้เลือกจะกักขังตนเอง
่ ้องการซ่อนอยู่ เป้ าหมายนั้นคือ การต ้องการให ้พ่อแม่หน
เพราะมีเป้ าหมายทีต ั มาสนใจดูแล ห่วงใย
ความหวาดกลัวคนข ้างนอกเป็ นเพียงเหตุผลทีสร ่ ้างขึน้
่ กขังตนเองเท่านั้น ตามแนวทางนี แอดเลอร
จากความต ้องการทีจะกั ้ ่ า
์เชือว่
้ าหมายว่าจะทาสิงใด
ถ ้าเราตังเป้ ่ ่ าได ้เสมอ อดีตไม่มผ
เราย่อมเลือกทีจะท ี ลต่อปัจจุบน
ั
——————
——————
——————
8.
ความรู ้สึกต่าต ้อยทีทรมานเราอยู
่ ่ เราใช้
ไ่ ม่ใช่ “ข้อเท็จจริง” แต่เป็ น “สิงที ่ ความรูสึกส่ ้
้ วนตัวปรุงแต่งขึนมาเ
อง” พูดง่ายๆ ก็คอื เราคิดเองเออเอง โดยเอาไปเปรียบเทียบกับคนอืน ่ อย่างไรก็ตาม ทุกๆ
คนเคยรู ้สึกต่าต ้อยด ้วยกันทังนั ้ ้น เพราะมนุ ษย ์เป็ นสิงมี
่ ชวี ต ่ ้พลังอานาจ
ิ ทีไร
และต ้องการ “การแสวงหาความเหนือกว่า” ความรู ้สึกต่าต ้อยจึงไม่ใช่เรืองเลวร ่ ้าย
เพราะมันอาจเป็ นจุดเริมต ่ ้นของความพยายามและการพัฒนาได ้ เช่น
่
เมือเรารู ้สึกว่าต่าต ้อยเรืองฐานะทางสั
่ งคม เราต ้องขยันทามาหากิน เก็บหอมรอมริบให ้มากขึน้
้
หากทาได ้แบบนี ความรู ้สึกต่าต ้อยก็จะกลายเป็ นสิงที
่ มี่ ประโยชน์ขนมาทั
ึ้ นที
——————
9.
หากเราไม่สามารถพัฒนาความต่าต ้อยไปในเชิงบวกได ้ความต่าต ้อยจะแปรเปลียนเป็ ่ น“ปมด้อย” นั่นก็ค ื
อการเก็บความรู ้สึกต่าต ้อยมาเป็ นข ้ออ ้างว่า “เพราะเป็ นแบบนีจึงท
้ าแบบนันไม่ได้”
้
——————
10. หากเราไม่มค ี วามกล ้าพอทีร่ ับมือกับปมด ้อยอย่างสร ้างสรรค ์ เราจะพัฒนาปมด ้อยนั้น
ให ้เป็ น“ปมเด่น” นั่นคือ การชดเชยข ้อบกพร่องของตนเอง ด ้วยวิธท ่
ี าตัวเองให ้เหนื อกว่าคนอืน
และลุม ่ หลงอยูก
่ บั ความรู ้สึกเหนื อกว่าแบบจอมปลอม เช่น การวางอานาจ
การทาตัวเหมือนเป็ นคนพิเศษด ้วยการบอกว่าตัวเองสนิ ทสนมกับผู ้มีอานาจ
่
การยึดติดเครืองประดั ้ าแบรนด ์เนม เป็ นต ้น
บเสือผ้
่ ปมด ้อยมากเท่าไรพวกเขาจะยิงแสดงให
ยิงมี ่ ่ นว่าตัวเองเหนื อกว่ามากเท่านั้น
้คนอืนเห็
เพราะกลัวว่าถ ้าไม่ทาแบบนี ้ คนรอบข ้างจะไม่ยอมร ับตัวตนทีเป็ ่ นอยู่
——————
——————
่
12. เมือเราเปลี ่
ยนมุ มมอง
ว่าโลกไม่ใช่สนามแข่งขัน “เราทุกคนจึงเป็ นมิตรกันได้” โดยไม่ต ้องแข่งขันกันอย่างศัตรู โลกของเราจะก
่
ลายเป็ นสถานทีปลอดภั ่
ยและน่ ารืนรมย ์ ไม่ต ้องคอยระแวงเคลือบแคลงสงสัยกัน
่ ดจากความสัมพันธ ์กับคนอืนก็
ความทุกข ์ทีเกิ ่ จะลดลงอย่างแน่ นอน
——————
——————
่ แย่
14. สิงที ่ งชิงอิสรภาพไปจากเรา คือ ความต ้องการเป็ นทียอมร ่ ่ ดังนั้น
ับของผู ้อืน
จงปฏิเสธความปรารถนาทีจะได ่ ้ร ับการยอมร ับจากคนอืน ่
เพราะเราไม่ได ้มีชวี ต ่ าตามความคาดหวังของใคร เมือเราอยากได
ิ อยูเ่ พือท ่ ้ร ับการยอมร ับจากคนอืน ่
หรือเอาแต่สนใจว่าคนอืนจะตั ่ ดสินคุณค่าเราอย่างไร จะทาให ้เราใช ้ชีวต ิ ในแบบทีคนอื ่ ่
นอยากให ้เป็ น
่
และต ้องจาไว ้ว่า “ในเมือเราไม่ ต ้องใช้ชีวิตตามความคาดหวังของคนอืน” ่ คนอืนก็ ่ “ไม่ต ้องใช้ชีวิตตามควา
มคาดหวังของเราเช่นกัน” ดังนั้นหากคนอืนไม่ ่ ่
ทาตามทีเราคิ ดเราก็ไม่ควรไปโกรธเขา
่
เพราะถือว่าเป็ นเรืองธรรมดา
——————
่ ดจากความสัมพันธ ์กับคนอืนมั
15. ปัญหาทีเกิ ่ กมีสาเหตุมาจาก การทีเราเข
่ ่
้าไปก ้าวก่ายธุระของคนอืน
่
หรือไม่ก็คนอืนมาก ้
้าวก่ายธุระของเรา การแก ้ปัญหานี ตามหลั
กจิตวิทยาแบบแอดเลอร ์
ต ้องทาความเข ้าใจเรือง ่ “การแยกแยะธุระของแต่ละคนออกจากกัน” วิธแี ยกแยะว่าเรืองนี ่ เป็ ้ นธุระของใครนั้
นง่าย ๆ แค่คด ิ ว่า “สุดท้ายแล้วใครเป็ นคนได้รบผลกระทบจากการตัดสินใจนั
ั ้ เช่น
น”
เด็กไม่อยากไปเรียนหนังสือคนทีได ่ ้ร ับผลกระทบก็คอื ตัวเด็ก เพราะเด็กจะเรียนไม่ทน ่ หรือสอบตก
ั เพือน
ผลกระทบไม่ได ้ตกไปอยูท ่ี อแม่ พ่อแม่จงึ ไม่ควรไปก ้าวก่ายธุระของลูก คนทีเป็
่ พ่ ่ นพ่อแม่ควรเฝ้ าดูลก ู
้
และคอยชีแนะให ้ลูกเข ้าใจว่าการเรียนเป็ นธุระของลูกทีลู ่ กต ้องร ับผิดชอบ
แต่ไม่ใช่เขา้ ไปก ้าวก่ายกับธุระของลูก หรือควบคุมจนลูกรู ้สึกอึดอัดจนนาไปสูก ่ ารต่อต ้าน
——————
——————
——————
——————
่ กฝ่ ายทาถูก และไม่ควรลงโทษด ้วยการทาร ้ายหรือดุดา่ เวลาทีเราชมเชย
19. เราไม่ควรให ้รางวัลเมืออี ่
ให ้รางวัล หรือลงโทษคนอืน ่ เป้ าหมายของเรา
่
คือ “การควบคุมบงการอีกฝ่ายทีมีความสามารถด้อยกว่ ่
าเรา” เมือเราคาดหวั
งว่าจะได ้ร ับคาชมเชยจากค
่ ้นสะท ้อนให ้เห็นถึงความสัมพันธ ์แบบแบ่งชนชัน้ เราอยากได ้รับคาชมเชยเพราะเรามองว่าตัวเองด ้
นอืนนั
อยกว่า แอดเลอร ์ ไม่เห็นด ้วยกับความสัมพันธ ์แบบแบ่งชนชัน้
และเห็นว่าความสัมพันธ ์ควรเป็ นแบบเท่าเทียม เพราะถ ้าเราสร ้างสัมพันธ ์แบบเท่าเทียมกันได ้
ทุกคนก็จะไม่เกิดปมด ้อยหรือปมเด่นขึน้
——————
่ ควรท
20. สิงที ่ ามากกว่าชมเชย หรือดุดา่
้
คือการให ้ความช่วยเหลือบนพืนฐานของความสั มพันธ ์แบบเท่าเทียม
่
หรือ “การปลุกความกล้า” การทีคนคนหนึ ่ งไม่สามารถแก ้ปัญหาได ้ ไม่ใช่เพราะไร ้ความสามารถ
่
เขาแค่ “ขาดความกล้า ทีจะเผชิญหน้ ากับปัญหา” ดังนั้น สิงที
่ เราต
่ ้องทาเป็ นอันดับแรก คือ
้
ช่วยให ้เขากลับมามีความกล ้าอีกครงั คนเราจะมีความกล ้าได ้ก็ตอ ่ ดว่าตัวเองมีคณ
่ เมือคิ ุ ค่า
คนเราจะคิดว่าตัวเองมีคณ
ุ ค่าก็ตอ ่ ้สึกว่า “ตัวเองมีประโยชน์ต่อสังคม”
่ เมือรู
——————
——————
22. การยอมรบตัวเอง
ั คือ การยอมรับในข ้อจากัด
หรือตัวตนของเรา แตกต่างจากความมั่นใจในตนเองตรงที่ ความมั่นใจนั้น
เป็ นการยึดในสิงที่ เราสามารถท
่ าได ้ และมีโอกาสบ่ายเบียงไม่ ่ ่ ท
ยอมร ับในสิงที ่ าไม่ได ้ ในขณะที่
การยอมรับในตนเอง หมายถึง การยอมรับว่า “ตัวเองทาไม่ได้” ในเรืองที ่ ท่ าไม่ได ้จริง ๆ
แต่ขณะเดียวกันก็พยายามพัฒนาตัวเองให ้สามารถทาสิงนั ่ ้นได ้ในทีสุ
่ ด เพราะไม่มม ี นุ ษย ์คนใดสมบูรณ์แ
บบ 100 % ดังนั้น เราทุกคนมี “ตัวตน” ทีเปลี ่ ยนแปลงไม่ได้
่
แต่เราสามารถจะเรียนรูที ่
้ จะใช ้ประโยชน์จากตัวตน
แบบนั้นได ้ เพียงแต่ยอมรับ “ตัวตนทีเป็ นอยู”่ ของเรา และ
่
“กล้าทีจะเปลี ่
ยนแปลง” ่ เรามี
โดยการรู ้จักใช ้สิงที ่ ให ้เป็ นประโยชน์
——————
่
23. “เชือใจคนอื ่ ความเชือใจ
น” ่ แตกต่างจากความ เชือถื ่ อ
่
ตรงทีความเชื ่ อนั้นมักมีเหตุผลหรือหลักประกันมารองร ับให ้น่ าเชือถื
อถื ่ อ แต่ความเชือใจ ่
่
เป็ นเรืองของความรู ่
้สึกไว ้วางใจโดยไร ้เงือนไข แม้จะไม่มห ่ อก็ตาม
ี ลักฐานหรือข ้อเท็จจริงเพียงพอให ้เชือถื
่
แม้การเชือใจจะเป็ ่
นเรืองยาก ่ า
แต่แอดเลอร ์เชือว่
มันเป็ นหนทางเดียวในการสร ้างความสัมพันธ ์ทีแน่ ่ นแฟ้ น
่ วยให ้ความสัมพันธ ์ราบรืนขึ
เพราะมันเป็ น “วิธี” ทีจะช่ ่ น้
และยังช่วยนาไปสูค
่ วามสัมพันธ ์แบบเท่าเทียมได ้ด ้วย
——————
——————
่
25. การยอมร ับตนเองเชือใจคนอื ่ และช่วยเหลือผูอ้ น
น ่ื
จะทาให ้เป้ าหมายในการมีชวี ต ิ ของเรานั้นสมบูรณ์ เพราะความต ้องการพึงพาตนเองได
่ ้
่ ้
มีความรู ้สึกว่าเป็ นคนทีมีความสามารถ เกิดขึนจากการยอมร ับตนเอง
และการใช ้ชีวต ่
ิ ร่วมกับคนอืนในสั ่
งคมได ้ดี รู ้สึกว่าคนรอบข ้างเป็ นมิตร ก็เกิดจากการทีเรา
่
เชือใจในคนอื ่ และได ้ช่วยเหลือผูอ้ น
น ่ื
——————
26. ชีวติ เรานั้น มีคณุ ค่าเมือท่ าภารกิจชีวต ิ ทัง้ 3 ด ้านได ้สมบูรณ์ ทังด
้ ้านการงาน ด ้านสังคม
และด ้านความร ัก ดังนั้น อย่ามองชีวต ิ เพียงด ้านเดียว
่
คนบ ้างานทีชอบแก ้ตัวว่า “เพราะงานยุง่ เลยไม่มีเวลานึกถึงครอบครว” ั เป็ นการโกหกตัวเอง
และเป็ นการเอางานมาอ ้างเพือหลีกเลียงความร ับผิดชอบอืน ๆ เท่านั้น
่ ่ ่
แอดเลอร ์มองว่าคนเราต ้องไม่ละทิงเรื ้ องอื
่ น ่ ๆ ทีควรใส่
่ ใจในชีวต ้ ลก
ิ ไม่วา่ จะเป็ นงานบ ้าน การเลียงดู ู
การเข ้าสังคม หรือการทางานอดิเรกก็ตาม “การทางาน” จึงไม่ได ้หมายถึงงานนอกบ ้านเท่านั้น
แต่ยงั รวมถึงงานในบ ้าน และงานเพือสั ่ งคมส่วนร่วมด ้วย
งานทีสร่ ้างรายได ้เป็ นเพียงส่วนหนึ่ งของชีวต ิ เท่านั้น
การทุ่มเทให ้เพียงแค่งานทีสร ่ ้างรายได ้จึงถือเป็ นการมองชีวต ิ เพียงด ้านเดียว
——————
่ นคนธรรมดา และกล้ามีความสุข คนเรามักอยากเป็ นคนพิเศษ คือ ดีเป็ นพิเศษ
27. กล้าทีจะเป็
เพราะยอมร ับในความธรรมดาไม่ได ้ เมือเป็ ่ นคนทีดี ่ เป็ นพิเศษไม่ได ้ ก็กระโจนสูก ่ าร “แย่เป็ นพิเศษ”
แทน นั่นเพราะ เราไม่รู ้ว่าการเป็ นคนธรรมดา ไม่ได ้หมายถึงการไร ้ความสามารถ
แต่เป็ นการใช ้ความสามารถทีมี ่ โดยไม่ต ้องอวดอ ้างหรือได ้ร ับการยอมร ับจากใคร เราสามารถมีความสุข
จากการรู ้สึกว่าได ้ช่วยเหลือคนอืน ่
่
ถ ้าเราช่วยเหลือคนอืนจากใจจริ งแล ้วจะได ้ร ับการยอมร ับหรือไม่ก็ไม่ใช่สงจิ่ าเป็ นอีกต่อไป
เพราะเราจะรู ้สึกได ้เองว่า “เรามีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อใครสักคน”
สสสสสสสสสสส สสสสสสสสสสสสสสสสสส