Professional Documents
Culture Documents
Unit4
Unit4
a1x , a0
1
เรี
ย ก ว่
า พจน์ข องพหุ
เรียก a0 ว่า พจน์คงตัว
นาม
ดีกรีของพหุนามคือ กาลัง
่ ่
ทีมากทีสุดของตัวแปรใน
พหุนาม
เช่น f(x) = 2x + 7x –
5
1
เป็ นพหุนามดีกรี 5
ถ้าพหุนามมีสม ั ประสิทธิ ์
ของทุกๆพจน์เป็ นศู นย ์
่
เรียกว่า พหุนามศู นย ์ ซึงก็
คือ 0
เช่น f(x) = 0 เป็ นพหุ
นามศู นย ์
ฟั งก ์ช ัน
พหุนาม
ฟั งช ัน f จากเซตของจ านวน
จริง R ไปยัง R ซึงค่ ่ าของ
ฟั งก ์ช ัน กาหนดโดยพหุนาม
f(x) = anx + an-1x คือ+ … +
ของตั ว แปรอิ
n ส ระ x n-1
a2โดยที ่
x + aa1nx, a+n-1a,0 … , a2, a1,
2 1
a0
f(x) = an + an-1
x n x n-1 +…+
a2x + a1x + a0
2 1
กาลังของตัวแปรอิสระ
คือ
่
จานวนเต็มทีไม่เป็ น
จานวนเต็มลบ
และ an 0
เรียก f ว่าเป็ น
พิจารณาฟั งก ์ช ัน f
ต่
อ ไปนี ้
1. f(x) = 6, f เป็ น
่ x
ฟั งก ์ช ันพหุนาม x 0= 1 เมือ
x =x
1 0
ของ x ดีกรี 0
2. f(x) = 2x – 3,
f เป็ นฟั งก ์ช ันพหุนามของ
x ดีกรี 1
3. f(x) = – 4x 2 + 5x + 1
f เป็ นฟั งก ์ช ันพหุนาม
ของ x1 ดีกรี 24
4. f(x)2 = x + 0.14x – 3
1.3x 2
+2
(0, X
0 2
2)
ฟั งก ์ช ันพหุนามดีกรี
สอง
่ าหนด
ฟั งก ์ช ัน q ซึงก
ด้วยสมการ
y = q(x) = ax + bx
2
+c, a 0
เป็ นฟั งก ์ช ันพหุนามดีกรี
สองหรือเรียกว่า ฟั งก ์ช ัน
กราฟของฟั งก ์ช ัน q เป็ น
เส้นโค้งพาราโบลา มีจุด
ยอดที ่
ถ้า a 0 กราฟของ q เป็ น
พาราโบลาหงาย จุดยอด
่
เป็ นจุดตาสุด
ถ้า a 0 กราฟของ q เป็ น
พาราโบลาควา ่ จุดยอด
เช่น f(x) =
x -4
2 Y
f(x) = x2 –
4
- 0 2 X
2
-
4
ศู นย ์จริงของฟั งก ์ชนั
พหุนาม
สาหร ับ a ทีเป็่ นจานวน
จริง
เรียก x = a ว่า
เป็ นศู นย ์ของฟั งก ์ช ันพหุ
นาม f ของ x ถ้า f(a) = 0
จงหาศู นย ์ของฟั งก ์ช ัน
้
ทังหมดของพหุ นาม ซึง่
f(x) ่ = -2x 4 + 2x 2
เมือศู นย ์ของฟั งก ์ช ันคือ
f(x) = 0
แล้
่ ว แก้
ส มการหาค่
่
นันคือ หา x ทีทาให้ -2x า x 4
+ 2x = 0 2
่
เนื องจาก -2x + 2x = 4 2
-2x
ดังนัน
2
้ (x 2 – 1)
-2x (x –
2 2
1) = 0
หมายถึง -2x = 0 หรือ2
x – 1 = 0x2 = 0 หรือ
2
x – 1 = 0 x = 0 หรือ
2
x = 1
่
การหารพหุนาม
ให้ f(x) และ d(x) เป็ น
พหุนาม ซึง ่
d(x) 0 และดีกรีของ
d(x) น้อยกว่าหรือเท่ากับ
ดีกรีของ f(x) แล้วจะมี
พหุนาม q(x) และ r(x)
f(x) r(x)
q(x)
d(x) d(x)
หรือ f(x) =
d(x)q(x) + r(x)
ตัว ตัวห ผลห เศ
ตัง้ าร าร ษ
7/2 = 3
+ 1/2
7 = 23
f(x) = d(x)q(x)
+ r(x) ตัว ตัวห ผลห เศษ
ตง้ั าร าร
โดยที่ r(x) = 0 หรือ
ดีกรีของ r(x) น้อยกว่า
ดีกรีของ d(x)
และถ้า r(x) = 0
หมายความว่า
จงหาเศษจากหารพหุนาม
f(x) = 2x – 5x – 11x +
3 2
8 ด้
ว ย x – 2
สามารถหาเศษจาก
การหารด้วยทฤษฎีเศษ
เหลือ
ทฤษฎีเศษเหลือ
ถ้า f(x) คือพหุนามทีถู่ ก
หารด้วย
นั่นคื
x – kอ แล้
วเศษเหลื
f(x) = (x –อคือ
f(k)
k)q(x) + f(k)
จงหาเศษจากหารพหุนาม
f(x) = 2x – 5x – 11x +
3 2
8 ด้วย x – 2
่ ้ k คือ 2 เพราะ
ในทีนี
x–2
้ เศษเหลือคือ
ดังนัน
f(2)
่
นันคือ f(2) = 2(2) –
3
5(2) –11(2)
2
= 16+– 8
20 – 22
+8 = –18
แสดงว่า x – 2 หารพหุ
นาม
f(x) = 2x – 5x –
3 2
11x + 8
ทฤษฎีตวั ประกอบ
x – k เป็ นตัวประกอบ
หนึ่ งของ
พหุนาม f(x) ก็ตอ ่
่ เมือ
x + 2
f(k) = 0เป็ นตั
ว ประกอบ
ของพหุนาม f(x) = x – 3
5x – 11x + 8 หรือไม่
2
เนื่ องจาก (x + 2 ) = (x – (–2 ))
จะได้ k = –2
จะได้
f(– 2) = (– 2) – 5(– 2) –
3 2
11(– 2) + 8
= – 8 – 20 + 22 + 8
=2
้ x + 2 ไม่เป็ นตัว
ดังนัน
ประกอบของพหุนาม f(x)
= x – 5x – 11x + 8
3 2
เพราะ เศษจากการหารไม่
เท่ากับศู นย ์
จงแสดงว่า x - 7 เป็ นตัว
ประกอบของพหุนาม f(x)
= 2x ่ 3
้ – 14x 2
ในทีนี k = 7 จะได้ + 2x – 14
f(7) = 2(7) – 14(7) +
3 2
2(7) – 14
= 686 – 686 + 14 –
14
จะเห็นว่าเศษจากหาร
f(x) = 2x – 14x + 2x
3 2
– 14x - 7
ด้ ว ย
จะได้วา x – 7 มี
เ ศษเป็ น
่ x – 7 เป็ นตัว
ศู น ย ์
ประกอบของพหุนาม f(x)
= 2x 3 – 14x +
2 2x – 14
ฟั งก ์ช ันตรร
กยะ
ฟั งก ์ช ัน f เป็ น
ฟั งก ์ช ันตรรกยะ
ก็ตอ ่ ฟังก ์ช ันพหุ
่ เมือมี
นาม p p และฟั งก ์ช ันพหุ
นาม q q โดยที่
ค่า y ของฟั งก ์ช ันตรรกยะ
p x
กาหนดโดย
q x
y = f(x) = ่
เมือ
โดเมนของฟั งก ์ช ันตรรก
q(x) 0
ยะ f คือ
เซตของจานวนจริง x ที ่
่ าหนดโดย2
x2
ฟั งก ์ช ัน Fซึงก x 1
F(x) = เป็ น
เนื ่ องจากมี
ฟั งก ์ช ันตรรกยะหรื อไม่
ฟังก ์ช ันพหุ
นาม p(x) = x และ 2
p x
ฟั งก ์ช ันพหุ น
q x าม q(x) =
x – 1 โดยที่ F(x) =
2
ฟั งก ์ช ันเอกซ ์โปเนนเชียล
บทนิ ยาม ฟั งก ์ช ันเอกซ ์
โปเนนเชียล
f= {(x,y)RR
เช่น |y =
f(x) = y = 3ax ,
x a>0
และ a 1f(x)
} = y = (1/3)x
กราฟของฟั งก ์ช ันเอกซ ์
โปเนนเชี
Y
ย ล Y
y= y =
ax ax
(0, 1)
X (0, 1)
X
a1 0a
1
สมบัตขิ องฟั งก ์ช ันเอกซ ์
โปเนนเชียล
f = {(x,y)RR | y = a , x
a > 0 และ a้ 1 }
มีสมบัตด
ิ งั นี
1. f เป็ นฟั งก ์ช ันหนึ่งต่อ
่
หนึ งจาก R
่
หมายความว่ า
ไปทัวถึง R +
(1) Df = R
(2) Rf = R +
(3) a = a ก็
m n
ต่อเมือ่ m=n
2. ถ้า a > 1 แล้ว f เป็ น
่
ฟั งก ์ช ันเพิม
จะได้วา ่3a <
m an ก็
เช่ น ่ 2
ต่อเมือ m < n < 2 5
3<5
3. ถ้า 0 < a < 1 แล้ว
f เป็ นฟั งก ์ช ันลด
จะได้วา่ a < a ก็
m n
32
พิจารณา 2 =8
x+1
จงหา x
่
เนื องจาก 2 = a2 = a
x+1 3
m n ก็
จะได้ x+1 = 3 ต่อเมือ่
m=n
x=4
สมบัตท ิ ส่
ี าคัญของเลขยก
กาลัง
สาหร ับ a และ b เป็ น
จานวนจริง หรือ นิ พจน์
่
เชิงพีชคณิ ตทีแทน
จานวนจริงใดๆ m และ n
เป็ นจานวนเต็ม
a = aaa…a (จานวน
n
a a
m n = เช่น 22 =
5 3 2 5+3
a
am
m+n = 22
8
7
amn เช่น 3 273 24
an 2
n 1 3 1
a เช่น2
an 23
m
(a ) n = เช่น (23)5 =
a mn 35 15
m am
2 = 2
a b 0
,
b bm
5 5
2 2
เช่น 5
3 3
a 0 = 1, เช่น = 5 0
a 1 0 11
a a
n n เช่
น 4 4
3 3
m 1 m
2 1
2
n
a a m 7
5
เช่น
n n a 2
5 5
7 7
จงเขียนกราฟของแต่ละ
้
ฟั งก ์ช ันต่อไปนี บนระนาบ
พิกดั ฉากเดียวกัน
1. f(x) = 2 x
2. g(x) = 4 x
โดยการกาหนดจุดบางจุด
บนกราฟ
ดังตาราง
x –2 –1 0 1 2 3
f(x) 1
4
1
2 1 2 4 8
= 2x
g(x) 1 1
1 4 16 64
16 4
= 4x
Y
g(x) =
4x
f(x) =
0
1 2x X
ฟั งก ์ช ันลอการิทม
ึ
พิจารณา ฟั งก ์ช ันเอ็กซ ์
โปเนนชียล
ผกผั นของ
f = {(x, f คือ = a , a
y)RRy x
f 0,
-1 =a 1}
{(x, y)RRx = a , a
y
0, a 1}เป็ นฟั งก ์ช ัน
เรียกฟั งก ์ช ัน
f = {(x, y)RRx = a , a y
0, a 1}
ว่
ฟัางกฟั์ชงก ์ช ันลอการิ
ันลอการิ ึ ทม
ทม ึ
x = a , a 0, a 1
y
หรือ y = logax,log x
a
มีขอ ้ สังเกตว่า x 0 = y
เช่น 8=2 3
5 =x
4 4
x=5
ฟั งก ์ช ันลอการิทม
ึ
บทนิ ยาม ฐาน a
สาหร ับ x > 0 และ a 0
และ a 1
y = logax ก็ตอ ่
่ เมือ
x=a y
่ ยนอยู ่ในรู ป
ฟั งก ์ช ันทีเขี
ฟั งก ์ช ันลอการิทม
ึ ธรรมชา
บทนิ ยาม
่ าหนดโดย
ฟั งก ์ช ันทีก
f(x) = logex = ln x,
x>0
เรียกว่า
ฟั งก ์ช ันลอการิทม
ึ สามัญ
บทนิ ยาม
่ าหนดโดย
ฟั งก ์ช ันทีก
f(x) = log10x = log
x, x > 0
เรียกว่า ฟั งก ์ช ัน
ลอการิทม ึ สามัญ
สมบัตข
ิ องลอการิทม
ึ
ให้ a เป็ นจานวนจริงบวก
ซึง่ a 1
และ ให้ n เป็ นจานวน
จริงใดๆ ้
สมบัตต ิ อ
่ ไปนี เป็ นจริง
ถ้า u และ v คือจานวน
loga(uv) = logau
+ logavu
logva = logau –
logav
logau =
n
nlogaulog a = 1
a
จงหาค่าของ x ถ้า ln x
–พิจ
lnารณา
5 = 0 ln x – ln
5= 0
ln (x/5) =
0 x/5
= e 0
x/5 = 1