Professional Documents
Culture Documents
Thermodynamics1 Text PDF
Thermodynamics1 Text PDF
รายวิชา 2103241
เธอรโมไดนามิกส 1
ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร
จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
ปการศึกษา 2554
i
คํานํา
ตําราเธอรโมไดนามิกส 1 เลมนี้เปนตําราที่ผูเขียนไดเขียนขึ้นเพื่อประกอบการเรียนการสอนของ
รายวิชาเธอรโมไดนามิกส 1 ในหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิตของภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล
จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ซึ่งเปดสอนมาตั้งแตป 2545 และผูเขียนก็ไดเขามามีสวนรวมในการสอนรายวิชานี้
ตั้งแตป 2546 ตามเนื้อหาในหลักสูตรแลว เธอรโมไดนามิกส 1 เปนวิชาพื้นฐานวิชาแรกสําหรับวิชาในสาย
เธอรโมฟลูอิดสซึ่งประกอบไปดวย เธอรโมไดนามิกส กลศาสตรของไหล การถายเทความรอน รวมไปถึง
การนําเอาวิชาพื้นฐานดังที่กลาวมาทั้งหมดไปประยุกตในการออกแบบอุปกรณเชิงความรอนชนิดตางๆ
ดังนั้นเธอรโมไดนามิกสจึงเปนวิชาพื้นฐานสําคัญที่ผูเรียนควรจะศึกษาและทําความเขาใจใหถองแทกอนทีจ่ ะ
นําไปประยุกตใชในวิชาลําดับถัดๆ ไป
อย า งไรก็ ต ามหลั ง จากที่ ผู เ ขี ย นได เ ข า มาสั ม ผั ส กั บ การสอนวิ ช าเธอร โ มไดนามิ ก ส ไ ปได ช ว ง
ระยะเวลาหนึ่ง ผูเขียนก็พบวาเธอรโมไดนามิกสเปนวิชาที่ทําความเขาใจไดยากและถือวาเปนยาขมสําหรับ
ผูเรียนบางคนเลยที่เดียว โดยความเห็นสวนตัวของผูเขียนนั้น สาเหตุดังกลาวมาจากสองประการดังตอไปนี้
ประการแรกเธอรโมไดนามิกสเปนวิชาที่เกี่ยวของกับสิ่งที่เปนนามธรรมเสียเปนสวนใหญและตองอาศัย
จินตนาการรวมดวย ตัวอยางที่เดนชัดเจนที่สุดในเรื่องนี้ไดแกเรื่องเกี่ยวกับเอนโทรปและกฏขอที่สองของ
เธอรโมไดนามิกส อยางไรก็ตามถึงแมวาตัวเธอรโมไดนามิกสสวนใหญจะเกี่ยวของกับนามธรรม แตใน
ความเปนจริงกลับกลายเปนวางานประยุกตของเธอรโมไดนามิกสกลับมีอยูมากมายรอบตัวเรา ดังนั้นผูเขียน
จึงพยายามที่จะเชื่อมโยงสิ่งที่เปนรูปธรรมเหลานั้นเขากับเนื้อหารายวิชานี้เพื่อผูเรียนจะไดอยางนอยเห็น
ตัวอยางของการใชงานใหไดมากที่สุด
ประการที่สองในการวิเคราะหปญหาทางเธอรโมไดนามิกสนั้นเปนไปไดวาจะมีทางเลือกในการ
แกปญหามากกวาหนึ่งวิธีและสงผลใหคําตอบที่ไดดวยวิธีที่ตางกันนั้นก็อาจจะคลาดเคลื่อนตางกันดวย
เชนกัน ประเด็นนี้เองที่ทําใหผูเรียนบางคนเกิดความไมคุนเคยรวมทั้งเกิดความของใจกับสิ่งดังกลาวเพราะ
วิชาที่เรียนมาสวนใหญมักจะมีวิธีการที่ตายตัวอยูเสมอวาถาปญหาเปนแบบนี้ก็ควรใชวิธีใดเพื่อจะใหได
คําตอบ ดังนั้นจึงไมแปลกที่ผูเรียนมักจะเขามาถามผูเขียนอยูเสมอวาวิธีไหนดีที่สุด แลวผูเขียนก็จะตอบ
กลับไปวาวิธีที่ดีที่สุดอยูที่ผูเรียนจะตัดสินใจเลือกเองเพราะภายใตเงื่อนไขที่ตางกันวิธีที่ดีที่สุดอาจจะไม
เหมือนกันก็ได ในมุมมองของผูเขียนนั้นลักษณะดังกลาวกลับเปนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงไมเพียงแตในวิชาเธอรโม
ไดนามิกสเทานั้น แตจะเกิดกับปญหาอื่นๆ ในอนาคตของผูเรียนเองดวย ดังนั้นการใหผูเรียนไดฝกตัดสินใจ
เลือกวิธีตางๆ ภายใตเงื่อนไขที่แตกตางกันจึงเปนสวนหนึ่งที่สําคัญของวิชานี้ดวยเชนกัน อาจเปรียบไดวา
วิชาเธอรโมไดนามิกสอาจจะดูเหมือนเปนยาขมไปบาง แตหากผูเรียนใชความพยายามและความอดทนดื่ม
ยาขมตํารับนี้ไปบอยๆ ผลที่ไดก็คงจะดีตอสุขภาพของผูเรียนเองไมมากก็นอย
ii
จากความเห็นที่ไดกลาวมาจึงเปนสวนหนึ่งที่ใหผูเขียนไดลองเขียนตําราเลมนี้ขึ้น ทั้งนี้แนวคิดก็คือ
พยายามอธิบายใหงายและกระชับที่สุด รวมทั้งใหตัวอยางที่ไมยากเกินไป แตจะมีหมายเหตุทายตัวอยางเพื่อ
แทรกแนวคิดอื่นๆ รวมทั้งเกร็ดตางๆ ที่นอกเหนือไปจากเนื้อหาโดยตรงที่เกี่ยวของกับตัวอยางนั้นๆ ดวย
นอกจากนี้ เ นื่ อ งจากตํ า ราเล ม นี้ เ ขี ย นเป น ภาษาไทยและวิ ช าเธอร โ มไดนามิ ก ส ก็ จ ะมี คํ า ศั พ ท เ ทคนิ ค
ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวของอยูเปนจํานวนมาก ดังนั้นคําศัพทภาษาไทยที่ใชในตําราฉบับนี้จึงไดอางอิงมาจาก
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานในสวนของศัพทเธอรโมไดนามิกสเปนหลักประกอบกับศัพทปรับ
อากาศและศัพทพลังงาน ทั้งนี้เพื่อใหเกิดความถูกตองและเปนมาตรฐานเดียวกัน
สําหรับเนื้อหาที่อยูในตําราเลมนี้สวนใหญนั้นจะเปนหลักการพื้นฐานของเธอรโมไดนามิกสเปน
สวนใหญไดแกแนวความคิดและนิยามตางๆ สมบัติของสารบริสุทธิ์ งานและความรอน กฎขอที่หนึ่งและขอ
ที่สองของเธอรโมไดนามิกสทั้งมวลควบคุมและปริมาตรควบคุม เนื้อหาเหลานี้จะถูกบรรจุอยูในบทที่ 1 ถึง
บทที่ 9 สําหรับบทที่ 10 นั้นจะเกี่ยวกับการนําเธอรโมไดนามิกสไปประยุกตใชงานซึ่งจะทําใหผูเรียนไดเห็น
ประโยชนอันหลากหลายของวิชาเธอรโมไดนามิกสนี้ อยางไรก็ตามก็ยังมีเนื้อหาของเธอรโมไดนามิกสอีก
หลายสวนที่ตําราเลมนี้ไมไดครอบคลุมไวแตจะถูกบรรจุอยูในรายวิชาเธอรโมไดนามิกส 2 ซึ่งเปนรายวิชา
ถัดไปจากวิชานี้
ทายที่สุดนี้ผูเขียนหวังวาตําราเธอรโมไดนามิกส 1 เลมนี้คงจะใหประโยชนแกผูเรียน ผูอานทั่วไป
และผูสนใจในวิชาเธอรโมไดนามิกสทุกทาน หากมีสิ่งใดขาดตกบกพรองหรือมีคําแนะนําติชมประการใด
ผูเขียนยินดีที่จะรับฟงคําแนะนําติชมของทุกทานโดยผานทางอีเมล fmectt@eng.chula.ac.th และขอขอบคุณ
ทุกทานมา ณ ที่นี้
สารบัญ
หนา
บทที่ 1 บทนํา ............................................................................................................................. 1
บทที่ 2 แนวความคิดและบทนิยาม ............................................................................................. 6
2.1 ระบบทางเธอรโมไดนามิกสและปริมาตรควบคุม .................................................. 6
2.2 ทัศนคติมหภาคและจุลภาค ..................................................................................... 7
2.3 สมบัติและภาวะของสาร ......................................................................................... 7
2.4 กระบวนการและวัฏจักร ......................................................................................... 8
2.5 หนวยสําหรับมวล เวลาและระยะทาง ..................................................................... 10
2.6 พลังงาน ................................................................................................................... 10
2.7 ปริมาตรจําเพาะและความหนาแนน ........................................................................ 11
2.8 ความดัน .................................................................................................................. 13
2.9 การเทากันของอุณหภูมแิ ละกฎขอที่ศูนยของเธอรโมไดนามิกส ............................. 15
2.10 สเกลอุณหภูมิ ........................................................................................................ 16
แบบฝกหัด .................................................................................................................... 17
บทที่ 3 สมบัติของสารบริสุทธิ์ .................................................................................................... 18
3.1 สารบริสุทธิ์ ............................................................................................................. 18
3.2 สมดุลสถานะของไอ ของเหลวและของแข็งในสารบริสุทธิ์ ................................... 18
3.3 สมบัติอิสระของสารบริสุทธิ์ ................................................................................... 25
3.4 ตารางสมบัติเธอรโมไดนามิกส ............................................................................... 26
3.5 พื้นผิวเธอรโมไดนามิกส ......................................................................................... 32
3.6 พฤติกรรมระหวางความดัน ปริมาตรและอุณหภูมิของแกสที่มีความหนาแนน
ปานกลางถึงต่ํา ....................................................................................................... 33
3.7 แฟกเตอรสภาพอัดได .............................................................................................. 35
3.8 สมการภาวะ ............................................................................................................ 38
3.9 โปรแกรมคอมพิวเตอรสําหรับใชคํานวณหาสมบัติเธอรโมไดนามิกส ................... 39
แบบฝกหัด .................................................................................................................... 40
iv
หนา
บทที่ 4 งานและความรอน .......................................................................................................... 41
4.1 นิยามของงาน .......................................................................................................... 41
4.2 หนวยของงาน ......................................................................................................... 42
4.3 งานที่กระทําจากขอบเขตเคลื่อนที่ของสารอัดตัวไดเชิงเดียว .................................. 42
4.4 ระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวของกับงาน ................................................................................. 50
4.5 นิยามของความรอน ................................................................................................ 50
4.6 วิธีการถายเทความรอน ........................................................................................... 51
4.7 การเปรียบเทียบระหวางงานและความรอน ............................................................. 52
แบบฝกหัด .................................................................................................................... 54
บทที่ 5 กฎขอที่หนึ่งของเธอรโมไดนามิกส ................................................................................. 55
5.1 กฎขอที่หนึ่งของเธอรโมไดนามิกสสาํ หรับมวลควบคุมภายใตวัฏจักร ................... 55
5.2 กฎขอที่หนึ่งของเธอรโมไดนามิกสสาํ หรับการเปลี่ยนภาวะของมวลควบคุม ......... 57
5.3 พลังงานภายใน – สมบัติเธอรโมไดนามิกส ............................................................ 60
5.4 การวิเคราะหปญหาและกลวิธีในการหาคําตอบ ...................................................... 61
5.5 เอนธัลป – สมบัติเธอรโมไดนามิกส ....................................................................... 64
5.6 ความรอนจําเพาะที่ปริมาตรคงที่และทีค่ วามดันคงที่ .............................................. 68
5.7 พลังงานภายใน เอนธัลป และความรอนจําเพาะของแกสอุดมคติ ........................... 72
5.8 กฎขอที่หนึ่งในรูปของสมการอัตรา ........................................................................ 81
5.9 การอนุรักษมวล ....................................................................................................... 81
แบบฝกหัด .................................................................................................................... 82
บทที่ 6 การวิเคราะหกฎขอหนึ่งสําหรับปริมาตรควบคุม ............................................................ 83
6.1 การอนุรักษมวลและปริมาตรควบคุม ...................................................................... 83
6.2 กฎขอที่หนึ่งของเธอรโมไดนามิกสสาํ หรับปริมาตรควบคุม ................................... 87
6.3 กระบวนการภาวะคงตัว .......................................................................................... 90
6.4 ตัวอยางของกระบวนการภาวะคงตัว ....................................................................... 91
6.5 กระบวนการชั่วขณะ ............................................................................................... 100
แบบฝกหัด .................................................................................................................... 106
v
หนา
บทที่ 7 กฎขอที่สองของเธอรโมไดนามิกส ................................................................................. 107
7.1 เครื่องยนตความรอนและตูเย็น ................................................................................ 107
7.2 กฎขอที่สองของเธอรโมไดนามิกส ......................................................................... 114
7.3 กระบวนการยอนกลับได ........................................................................................ 117
7.4 ปจจัยที่ทําใหกระบวนการยอนกลับไมได ............................................................... 119
7.5 วัฏจักรคารโนต ....................................................................................................... 120
7.6 ขอความสองขอที่เกี่ยวของกับวัฏจักรคารโนต ........................................................ 122
7.7 สเกลอุณหภูมิเธอรโมไดนามิกส ............................................................................. 123
7.8 เครื่องจักรอุดมคติและเครื่องจักรจริง ...................................................................... 124
แบบฝกหัด .................................................................................................................... 128
บทที่ 8 เอนโทรป ........................................................................................................................ 129
8.1 ความไมเทากันของเคลาเซียส ................................................................................. 129
8.2 เอนโทรป - สมบัติของระบบ .................................................................................. 131
8.3 เอนโทรปของสารบริสุทธิ์ ....................................................................................... 132
8.4 การเปลี่ยนแปลงเอนโทรปในกระบวนการยอนกลับได ......................................... 133
8.5 ความสัมพันธสมบัติเธอรโมไดนามิกส ................................................................... 136
8.6 การเปลี่ยนแปลงเอนโทรปของมวลควบคุมในระหวางกระบวนการ
ยอนกลับไมได ........................................................................................................ 137
8.7 การผลิตเอนโทรป ................................................................................................... 139
8.8 หลักการเพิ่มขึ้นของเอนโทรป ................................................................................ 146
8.9 การเปลี่ยนแปลงเอนโทรปของของแข็งและของเหลว ............................................ 154
8.10 การเปลี่ยนแปลงเอนโทรปของแกสอุดมคติ .......................................................... 155
8.11 กระบวนการโพลีโทรปกยอนกลับไดสําหรับแกสอุดมคติ .................................... 162
8.12 กฎขอที่สองในรูปของสมการอัตรา ....................................................................... 166
แบบฝกหัด .................................................................................................................... 167
บทที่ 9 การวิเคราะหกฎขอสองสําหรับปริมาตรควบคุม ............................................................ 168
9.1 กฎขอที่สองของเธอรโมไดนามิกสสาํ หรับปริมาตรควบคุม ................................... 168
9.2 กระบวนการภาวะคงตัว .......................................................................................... 169
9.3 กระบวนการชั่วขณะ ............................................................................................... 175
vi
หนา
9.4 กระบวนการภาวะคงตัวยอนกลับไดของอุปกรณการไหลเชิงเดีย่ ว ......................... 178
9.5 หลักการเพิ่มขึ้นของเอนโทรป ................................................................................ 183
9.6 ประสิทธิภาพ .......................................................................................................... 188
แบบฝกหัด .................................................................................................................... 194
บทที่ 10 ระบบกําลังและระบบทําความเย็น ................................................................................ 195
10.1 เกริ่นนําเกี่ยวกับระบบกําลัง .................................................................................. 195
10.2 วัฏจักรแรงคิน ....................................................................................................... 196
10.3 ผลกระทบของความดันและอุณหภูมติ อวัฏจักรแรงคิน ......................................... 199
10.4 วัฏจักรรีฮีต ............................................................................................................ 205
10.5 วัฏจักรรีเจเนอเรทิฟ ............................................................................................... 206
10.6 ความเบี่ยงเบนของวัฏจักรจริงจากวัฏจักรอุดมคติ.................................................. 215
10.7 การรวมผลิตกําลังและความรอน............................................................................ 216
10.8 วัฏจักรกําลังมาตรฐานอากาศ ................................................................................ 217
10.9 วัฏจักรเบรยตัน ...................................................................................................... 218
10.10 วัฏจักรกังหันแกสอยางงายที่มีรีเจเนอเรเตอร ...................................................... 225
10.11 การปรับปรุงรูปแบบวัฏจักรกําลังกังหันแกส ...................................................... 233
10.12 วัฏจักรกําลังเครื่องยนตลูกสูบ.............................................................................. 235
10.13 วัฏจักรออตโต ..................................................................................................... 239
10.14 วัฏจักรดีเซล ........................................................................................................ 245
10.15 วัฏจักรสเตอรลิง .................................................................................................. 252
10.16 เกริ่นนําเกี่ยวกับระบบทําความเย็น ...................................................................... 253
10.17 วัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไอ ............................................................................. 254
10.18 ของไหลทํางานสําหรับระบบทําความเย็นแบบอัดไอ ......................................... 260
10.19 ความเบีย่ งเบนของวัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไอจริงจากวัฏจักรอุดมคติ ........... 261
10.20 การปรับปรุงรูปแบบวัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไอ ............................................ 265
10.21 วัฏจักรทําความเย็นแบบดูดกลืน ......................................................................... 268
10.22 วัฏจักรทําความเย็นมาตรฐานอากาศ ................................................................... 270
10.23 ระบบกําลังและระบบทําความเย็นวัฏจักรรวม .................................................... 271
แบบฝกหัด .................................................................................................................... 273
vii
หนา
เอกสารอางอิง ............................................................................................................................. 275
คําตอบของแบบฝกหัดบางขอ .................................................................................................... 276
ภาคผนวก ................................................................................................................................... 277
ตารางที่ ผ.1 คาคงตัวและจุดรวมสาม ............................................................................ 277
ตารางที่ ผ.2 สมบัติของของแข็งที่ 25oC ....................................................................... 278
ตารางที่ ผ.3 สมบัติของของเหลวที่ 25oC ..................................................................... 279
ตารางที่ ผ.4 สมบัติของแกสอุดมคติที่ 25oC, 100 kPa .................................................. 280
ตารางที่ ผ.5 ความรอนจําเพาะที่ความดันคงที่ของแกสอุดมคติ .................................... 281
ตารางที่ ผ.6 สมบัติของแกสอุดมคติที่ความดัน 100 kPa ............................................... 282
ตารางที่ ผ.7 ตารางสําหรับน้ําภาวะอิ่มตัว−อุณหภูมิเปนเลขเต็ม− …………………... 285
ตารางที่ ผ.8 ตารางสําหรับน้ําภาวะอิ่มตัว−ความดันเปนเลขเต็ม− …………………... 287
ตารางที่ ผ.9 ตารางสําหรับน้ําภาวะไอรอนยวดยิ่ง ……………………………………. 289
ตารางที่ ผ.10 ตารางสําหรับ อาร-134เออิ่มตัว ……………………………………….. 295
ตารางที่ ผ.11 ตารางสําหรับ อาร-134เอภาวะไอรอนยวดยิ่ง ……………………………… 296
viii
สัญลักษณ
A พื้นที่
a ความเรง
B เสนผานศูนยกลางของลูกสูบ
C ความรอนจําเพาะ
CP ความรอนจําเพาะที่ความดันคงที่
CP0 ความรอนจําเพาะที่ความดันคงที่สําหรับแกสอุดมคติ
CV ความรอนจําเพาะที่ปริมาตรคงที่
CV0 ความรอนจําเพาะที่ปริมาตรคงที่สําหรับแกสอุดมคติ
D เสนผานศูนยกลาง
E พลังงานรวม
e พลังงานรวมจําเพาะ
g ความเรงเนื่องจากแรงโนมถวง
H ความสูง
H เอนธัลป
HV ความรอนจากการเผาไหม
h เอนธัลปจําเพาะ
i กระแสไฟฟา
F แรง
KE พลังงานศักย
k อัตราสวนความรอนจําเพาะ
L ความยาว
M มวลโมเลกุล
m มวล
m& อัตราไหลเชิงมวล
n ดัชนีชี้กําลังในกระบวนการโพลีโทรปก
n จํานวนโมล
N จํานวน
P ความดัน
P0 ความดันบรรยากาศ
ix
Pabs ความดันสัมบูรณ
Pguage ความดันเกจ
Pmeff ความดันยังผลเฉลี่ย
Q ความรอน
Q& อัตราการถายเทความรอน
q ความรอนจําเพาะ
R คาคงตัวของแกส
R คาคงตัวสากลของแกส
r รัศมี
rC อัตราสวนการตัดเชื้อเพลิง
rP อัตราสวนความดัน
rV อัตราสวนการอัด
S ระยะชัก
S เอนโทรป
Sgen การผลิตเอนโทรป
Sgen HT การผลิตเอนโทรปอันเนื่องมาจากการถายเทความรอน
S& gen อัตราการผลิตเอนโทรป
S 0T เอนโทรปมาตรฐาน
s เอนโทรปจําเพาะ
sgen อัตราการผลิตเอนโทรปจําเพาะ
T อุณหภูมิ
T0 อุณหภูมิสิ่งลอมรอบ
t เวลา
U พลังงานภายใน
u พลังงานภายในจําเพาะ
V ปริมาตร
V& อัตราไหลเชิงปริมาตร
V ความเร็ว
v ปริมาตรจําเพาะ (มวลเปนฐาน)
v ปริมาตรจําเพาะ (จํานวนโมลเปนฐาน)
W งาน
W& กําลัง
x
w งานจําเพาะ
x ระยะทาง
x คุณภาพสารสองสถานะ
Z ความสูงจากระยะอางอิง
Z แฟกเตอรสภาพอัดได
อักษรกรีก
β็H สัมประสิทธิ์สมรรถนะของปมความรอน
β็R สัมประสิทธิ์สมรรถนะของตูเย็น
ε ความตางศักยไฟฟา
ηth ประสิทธิภาพอุณหภาพ
ρ ความหนาแนน (มวลเปนฐาน)
ρ ความหนาแนน (จํานวนโมลเปนฐาน)
τ แรงบิด
ω ความเร็วเชิงมุม
ตัวหอย
all ทั้งหมด
avg คาเฉลี่ย
boiler หมอตม
c คาวิกฤต
comb. หองเผาไหม
comp. เครื่องอัด
cond. เครื่องควบแนน
CM มวลควบคุม
CV ปริมาตรควบคุม
e ทางออก
evap. เครื่องระเหย
f ภาวะของเหลวอิ่มตัว
fg ผลตางระหวางภาวะไออิ่มตัวและภาวะของเหลวอิ่มตัว
g ภาวะไออิ่มตัว
H แหลงจายพลังงานอุณหภูมิสูง
xi
i ทางเขา
irr ยอนกลับไมได
L แหลงรับพลังงานอุณหภูมิต่ํา
max สูงสุด
min ต่ําสุด
net สุทธิ
pump เครื่องสูบ
r รีดิวซ
real อุปกรณจริง
regen. รีเจเนอเรเตอร
rev ยอนกลับได
s ภาวะภายใตกระบวนการไอเซนโทรปก
sat ภาวะอิ่มตัว
surr สิ่งลอมรอบ
total ทั้งหมดหรือรวม
turbine กังหัน
1,2,3,... ภาวะที่ 1,2,3,...
1
บทที 1
บทนํา
วิชาเธอร์ โมไดนามิกส์ (Thermodynamics) นันถือว่าเป็ นแขนงหนึ งของวิทยาศาสตร์ กายภาพที
เกียวข้องกับพลังงานในรู ปแบบต่างๆ และรวมไปถึงผลของพลังงานดังกล่าวทีมีต่อการเปลียนแปลงของสาร
อาจกล่าวได้ว่าวิชาเธอร์ โมไดนามิกส์นนเป็
ั นศาสตร์ ทีมีประวัติทียาวนานย้อนไปถึงก่อนคริ สตกาล ซึ งในยุค
นันเธอร์ โมไดนามิกส์จะเกิดจากการสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆทีเกิดขึนโดยธรรมชาติเช่น การเปลียนแปลง
สถานะของสารเมื อได้รับความร้ อ น การพยายามที จะวัด ระดับ ความร้ อ นหรื อ ความเย็น ที สัมผัสได้( ซึ ง
ภายหลังก็คืออุณหภูมิ) เป็ นต้น แต่ในช่ วงเวลาดังกล่าวนัน ยังไม่ได้มีการรวบรวมศาสตร์ เหล่านันให้เป็ น
ทฤษฎีหรื อกฎพืนฐานต่างๆแต่อย่างใด จนกระทังถึงคริ สตศักราชที 18 ซึงถือว่าเป็ นการเริ มต้นของวิชาเธอร์
โมไดนามิกส์สมัยใหม่ โดยนักฟิ สิ กส์ชาวฝรังเศสชือว่า ซาดิ คาร์โนต์ (Sadi Carnot) ซึงเป็ นผูร้ ิ เริ มทีนิยามคํา
ว่า “งาน” เพือแสดงถึงความสามารถในการยกนําหนักวัตถุต่างๆให้สูงขึน หลังจากนันก็ได้มีการพัฒนาวิชา
เธอร์โมไดนามิกส์อย่างต่อเนือง ได้แก่ การทดลองของเจมส์ จูล (James Joule) ทีแสดงถึงการเปลียนพลังงาน
กลให้เป็ นความร้อน การนิยามคําว่า “เอนโทรปี ” เพืออธิบายการสู ญเสี ยความร้อนในระหว่างกระบวนการ
ต่างๆโดย รู ดอล์ฟ เคลาเซียส (Rudulf Clausius) นักฟิ สิ กส์และวิศวกรชาวเยอรมัน การเสนอข้อจํากัดในการ
เปลียนรู ปความร้อนให้เป็ นพลังงานกลโดย วิลเลียม ธอมสัน (William Thomson) นักฟิ สิ กส์ชาวไอร์แลนด์
ซึ งภายหลังได้รับฐานันดรศักดิให้เป็ น ลอร์ ด เคลวิน (Lord Kelvin) ผลงานทีกล่าวข้างต้นได้ถูกนํามา
รวบรวมเพือเป็ นรากฐานสําคัญของเธอร์โมไดนามิกส์ในเวลาต่อมา
วิชาเธอร์โมไดนามิกส์นนประกอบได้
ั ดว้ ยกฎทีสําคัญทังหมดสี ข้อด้วยกัน ในงานทีเกียวข้องกับทาง
วิศวกรรมนันเราจะเน้นไปทีการวิเคราะห์กฎข้อทีหนึ งและข้อทีสองของเธอร์ โมไดนามิกส์เป็ นหลัก โดยที
กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์กล่าวถึงหลักการอนุรักษ์พลังงานซึ งหมายความว่าพลังงานไม่สามารถถูก
สร้างหรื อถูกทําลายได้ แต่พลังงานจะเปลียนรู ปไปมาจากรู ปหนึงไปยังอีกรู ปหนึ งโดยทีผลรวมของพลังงาน
ทังหมดก่อนและหลังการเปลียนแปลงจะมีค่าเท่าเดิมเสมอ ในขณะทีกฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์จะ
เกียวกับทิศทางในการเปลียนรู ปของพลังงานกล่าวคือพลังงานจะเปลียนแปลงไปในทิศทางทีทําให้คุณภาพ
ของพลังงานจะตําลงเสมอ
นอกเหนือไปจากกฎพืนฐานของวิชาเธอร์โมไดนามิกส์ซึงถือว่าเป็ นหลักการทีสําคัญ เรายังสามารถ
นําเอาวิชาเธอร์ โมไดนามิ กส์ ไปประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายสาขาวิชา ในส่ วนของเธอร์ โมไดนามิกส์
สําหรับวิศวกรรมเครื องกลนันจะเน้นการประยุกต์ใช้ไปทีเครื องจักรหรื ออุปกรณ์ต่างๆซึงใช้ในการเปลียนรู ป
ของพลังงานโดยเน้นไปทีงานกลเป็ นหลัก ทังนี เราจะนําเสนอตัวอย่างของเครื องจักรหรื ออุปกรณ์ต่างๆ ที
เกียวข้องกับวิศวกรรมเครื องกลดังต่อไปนี
2
เครื องยนต์เผาไหม้ภายในมีหน้าทีเปลียนความร้อนจากการเผาไหม้ของเชือเพลิงภายในกระบอกสู บ
เพือขับเคลือนลูกสู บ จากนันการเคลือนทีของลูกสูบจะถูกส่ งต่อไปยังก้านสู บและข้อเหวียงเพือทําให้เกิดเป็ น
งานกลเชิงหมุน เครื องยนต์เผาไหม้ภายในมีอยูส่ องแบบกล่าวคือเครื องยนต์เผาไหม้ภายในทีจุดระเบิดด้วย
ประกายไฟหรื อทีเรากันว่าเครื องยนต์แกโซลีนและเครื องยนต์เผาไหม้ภายในทีจุดระเบิดด้วยการอัดหรื อทีเรา
เรี ยกกันว่าเครื องยนต์ดีเซล การใช้งานของเครื องยนต์เผาไหม้ภายในทังสองชนิ ดมีอยู่หลากหลายตังแต่
เครื องมือทางการเกษตร ยานยนต์ชนิดต่างๆ พาหนะทางนํา อากาศยานบางประเภท หรื อแม้กระทังเป็ นต้น
กําลังสําหรับเครื องกําเนิดไฟฟ้ า
จะเห็ นได้ว่าอุปกรณ์ เหล่ านี บางส่ วนก็เป็ นสิ งทีอยู่ใกล้ตวั ที สามารถพบเห็ นได้ในชี วิตประจําวัน
ดังนันอาจจะกล่ าวได้ว่าวิชาเธอร์ โมไดนามิ กส์ นันเป็ นศาสตร์ ทีอยู่ใกล้ตวั เราและการเข้าใจในหลักการ
พืนฐานทางเธอร์โมไดนามิกส์กส็ ามารถนําไปประยุกต์ใช้ได้กบั สิ งทีอยูร่ ายล้อมรอบตัวเราได้เช่นกัน
6
บทที 2
แนวความคิดและบทนิยาม
2.1 ระบบทางเธอร์โมไดนามิกส์และปริ มาตรควบคุม
ในการวิเคราะห์ทางเธอร์ โมไดนามิกส์นัน สิ งทีต้องคํานึ งถึงเป็ นอันดับแรกคือระบบทางเธอร์ โม
ไดนามิกส์ (thermodynamics system) อาจจะกล่าวได้ว่าระบบทางเธอร์ โมไดนามิกส์นนเป็ ั นระบบสมมติที
สนใจและเกิดจากการเลือกเพือจะทําการศึกษา ในทางกายภาพนันระบบดังกล่าวไม่ปรากฏอยูจ่ ริ ง ดังนันการ
เลือกระบบทางเธอร์โมไดนามิกส์จึงสามารถทําได้อย่างอิสระ ในการเลือกนันจะทําการสร้างปริ มาตรสมมติ
ขึนมาหนึงอันเพือล้อมรอบสิ งทีเราสนใจและจะเรี ยกปริ มาตรนันว่าปริ มาตรควบคุม (control volume) โดยที
พืนทีผิวโดยรอบปริ มาตรควบคุมจะถูกเรี ยกว่าผิวควบคุม (control surface) สิ งทีอยูน่ อกปริ มาตรควบคุมจะ
เรี ยกว่าสิ งล้อมรอบ (surroundings) ในการเขียนแผนภาพเพือแสดงปริ มาตรควบคุม เรานิ ยมใช้เส้นประเพือ
แสดงขอบเขตระบบ (system boundary) ในกรณี ทีไม่มีมวลไหลผ่านเข้าออกผิวควบคุมซึ งจะทําให้มวล
ภายในปริ มาตรควบคุมมีค่าคงทีอยูต่ ลอดเวลา เราจะเรี ยกระบบดังกล่าวว่ามวลควบคุม (control mass) และ
ในบางกรณี เราจะแทนคําว่ามวลควบคุมด้วยคําว่าระบบปิ ด (closed system) ในทางตรงกันข้ามหากระบบ
อนุ ญาตให้มวลไหลผ่านเข้าหรื อออกจากระบบได้ เราจะเรี ยกระบบดังกล่าวว่าระบบเปิ ด (open system)
อนึงจะเห็นไว้วา่ ทังระบบปิ ดและระบบเปิ ดต่างอนุญาตให้พลังงานในรู ปต่างๆไหลผ่านเข้าออกจากระบบได้
ตัวอย่างของระบบปิ ดได้แก่แก๊สในกระบอกสู บในขณะทีได้รับความร้อนและตัวอย่างของระบบเปิ ดได้แก่
ส่ วนหนึงของระบบผลิตไอนําดังทีแสดงในรู ปที 2.1
ไอนํา
ระบบปิ ด ระบบเปิ ด
2.2 ทัศนคติมหภาคและจุลภาค
วิชาเธอร์โมไดนามิกส์นนสามารถจํ
ั าแนกได้เป็ น 2 กลุ่มโดยแบ่งตามทัศนคติ กล่าวคือ
1) วิชาเธอร์โมไดนามิกส์ดงเดิ ั มหรื อมหภาค (classical or macroscopic thermodynamics) ซึ งอาศัยทัศนคติ
ในภาพรวมและมีลกั ษณะเป็ นค่าเฉลียในระดับมหภาค ตัวอย่างเช่น หากกล่าวถึงคําว่าความดันของแก๊ส
เราคงจะนึ กถึงค่าแรงของโมเลกุลของแก๊สทีกระทําต่อพืนทีผนังภาชนะโดยรอบ ซึงค่าดังกล่าวหากมอง
ตามข้อเท็จจริ งแล้วค่าดังกล่าวเป็ นค่าเฉลีย เพราะโมเลกุลแต่ละตัวก็คงมีพฤติกรรมทีแตกต่างกัน เพียงแต่
เราไม่ได้สนใจในรายละเอียดว่าโมเลกุลของแก๊สแต่ละตัวจะมีพฤติกรรมเป็ นอย่างไร แต่เราสนใจเพียง
ค่าเฉลียโดยรวมทีเกิดขึน หากเรานําเครื องมือมาวัดค่าความดันของแก๊สดังกล่าว ค่าความดันทีได้ยอ่ ม
เป็ นค่าเฉลียในทัศนคติมหภาคเช่นกัน
2) วิชาเธอร์โมไดนามิกส์สถิติหรื อจุลภาค (statistical or microscopic thermodynamics) ซึงอาศัยทัศนคติใน
ระดับจุลภาค หากนําตัวอย่างของแก๊สข้างต้นมาอธิบาย เธอร์โมไดนามิกส์จุลภาคจะสนใจในพฤติกรรม
ของโมเลกุลของแก๊สในแต่ละตัวว่ามีพฤติกรรมเป็ นเช่นไร หากแต่ว่าเนื องจากโมเลกุลของแก๊สมีเป็ น
จํานวนมาก (ในระดับ 1023) การจะหาพฤติกรรมของโมเลกุลแต่ละตัวคงจะเป็ นไปไม่ได้ในทางปฏิบตั ิ
ดังนันจึงมีความจําเป็ นต้องนําวิชาสถิติมาประยุกต์ใช้เพือหาว่าพฤติกรรมของโมเลกุลส่ วนใหญ่เป็ นไป
ในทิศทางนัน จากนันเธอร์ โมไดนามิกส์จุลภาคก็จะนําเอาผลดังกล่าวไปเชือมโยงกับผลลัพธ์ทีได้จาก
เธอร์โมไดนามิกส์มหภาคของเพือทีจะสามารถอธิบายพฤติกรรมในระดับมหภาคต่อไป
2.3 สมบัติและภาวะของสาร
ในทางเธอร์ โมไดนามิกส์ สถานะ (phase) เป็ นคําทีแสดงถึงปริ มาณของสารทีมีความต่อเนื องเป็ น
เนือเดียวกันโดยตลอด ในขณะทีสารกําลังอยูใ่ นสถานะใดสถานะหนึง เราจะพบว่าสารนันอาจจะอยูใ่ นภาวะ
(state) ทีต่างๆกัน คําว่าภาวะนันหมายถึงสภาพของสารทีปรากฏอยู่ ณ ขณะนัน ซึ งจะถูกกําหนดโดยสมบัติ
เธอร์โมไดนามิกส์ (thermodynamic properties) ของสารเหล่านัน ตัวอย่างเช่นหากมีการพบสาร ก. อยูส่ อง
แห่ ง สาร ก. ทีปรากฏอยู่ ณ สถานทีทังสองแห่ งนี จะมีสมบัติเหมือนกันทุกประการก็ต่อเมือสาร ก. อยู่ใน
ภาวะเดียวกัน สมบัติเธอร์ โมไดนามิกส์ทีเป็ นทีคุน้ เคยกันได้แก่ อุณหภูมิ ความดัน ความหนาแน่น เป็ นต้น
จํานวนสมบัติทีต้องการเพือทีจะกําหนดภาวะของสารได้นนจะกล่ ั าวในส่ วนถัดไป สมบัติเธอร์ โมไดนามิกส์
นันจะแบ่งได้ออกเป็ นสองประเภทคือสมบัติเอกซ์เทนซิ ฟ (extensive property) และสมบัติอินเทนซิ ฟ
(intensive property) ซึ งสมบัติทงสองมี
ั ความแตกต่างตรงทีสมบัติเอกซ์เทนซิ ฟคือสมบัติทีขึนโดยตรงกับ
มวลของสารนันๆ ตัวอย่างของสมบัติเอกซ์เทนซิ ฟได้แก่ มวล ปริ มาตร เป็ นต้น ในขณะทีสมบัติอินเทนซิ ฟ
คือสมบัติทีไม่ขึนอยูก่ บั มวลของสาร ตัวอย่างของสมบัติอินเทนซิฟได้แก่ อุณหภูมิ ความดัน ความหนาแน่ น
เป็ นต้น หากนําสมบัติเอกซ์เทนซิฟ (ยกเว้นตัวมวลเอง) มาหารด้วยมวลของสารก็จะได้สมบัติอินเทนซิฟ
8
การที ระบบอยู่ภ ายใต้ส มดุ ล (equilibrium) นันหมายถึ ง ระบบอยู่ใ นภาวะที หากได้รั บ การ
เปลียนแปลงเพียงเล็กน้อยจากภายนอก ระบบก็จะกลับสู่ ภาวะเดิมทีเคยเป็ นอยู่ ทังนี ยังสามารถแบ่งสมดุล
ออกได้เป็ น สมดุลอุณหภาพ (thermal equilibrium) ซึ งหมายถึงไม่มีการเปลียนแปลงอุณหภูมิภายในระบบ
สมดุลกล (mechanical equilibrium) ซึ งหมายถึงไม่มีการเปลียนแปลงความดันภายในระบบยกเว้นความดัน
สถิตทีเป็ นผลมาจากแรงโน้มถ่วง สมดุลสถานะ (phase equilibrium) ซึ งหมายถึงไม่มีการเปลียนแปลง
สถานะภายในระบบ และสมดุลเคมี (chemical equilibrium) ซึ งหมายถึงไม่มีการเปลียนแปลงองค์ประกอบ
ทางเคมีภายในระบบ โดยรวมแล้วหากระบบไม่มีการเปลียนแปลงในทุกๆด้านทีกล่าวมี อาจจะกล่าวได้ว่า
ระบบดังกล่าวอยูภ่ ายใต้สมดุลเธอร์โมไดนามิกส์ (thermodynamic equilibrium)
2.4 กระบวนการและวัฏจักร
เมือสารได้รับสิ งเร้าจากภายนอกซึ งได้แก่พลังงานในรู ปต่างๆ สิ งทีเกิดขึนก็คือสมบัติของสารก็จะ
เปลียนไป ย่อมหมายความว่าภาวะของสารเกิดการเปลียนแปลงเช่นกัน ในระหว่างการเปลียนแปลงนันจะ
พบว่าสารจะเดิ นทางผ่านภาวะต่างๆ ตังแต่ภาวะเริ มต้นจนกระทังภาวะสุ ดท้าย เส้นทางเดิ นของภาวะที
เกิดขึนของสารนันเรี ยกว่ากระบวนการ (process) โดยทีตัวเส้นทางเดินดังกล่าวจะเรี ยกว่าวิถี (path)
พิจารณากระบอกสู บทีบรรจุแก๊สอยู่ภายในดังทีแสดงในรู ปที 2.2 จะพบว่าหากค่อยๆใส่ กอ้ น
นําหนักลงไปบนลูกสู บทีละหนึ งก้อน ในขณะทีใส่ นาหนัํ กลงไปหนึ งก้อนนัน ก็จะทําให้เกิดการเสี ยสมดุล
กลขึนทําให้ลูกสูบเคลือนทีลง จนกระทังระบบเกิดสมดุลกลอีกครังจนกว่าจะมีการใส่ นาหนั ํ กเพิมลงไปอีก
คุณสมบัติที 2 คุณสมบัติที 2
ภาวะสุดท้าย ภาวะสุดท้าย
วิถีของกระบวนการ วิถีของกระบวนการ
กึงสมดุล อสมดุล
ภาวะตังต้น ภาวะตังต้น
คุณสมบัติที 1 คุณสมบัติที 1
(a) (b)
ในทางเธอร์ โมไดนามิกส์นนจะมี
ั คาํ ศัพท์เฉพาะทีใช้สาํ หรับกระบวนการชนิดต่างๆ กระบวนการที
เกิดขึนภายใต้เงือนไขทีสมบัติอย่างใดอย่างหนึ งของสารมีค่าคงที ตัวอย่างเช่น กระบวนการไอโซเธอร์ มลั
(isothermal process) หรื อก็คือกระบวนการทีมีอุณหภูมิคงที กระบวนการไอโซบาริ ก (isobaric process)
หรื อก็คือกระบวนการทีมีความดันคงที และกระบวนการไอโซคอริ ก (isochoric process) หรื อก็คือ
กระบวนการที มี ป ริ ม าตรคงที ในกรณี ข องระบบ ณ ภาวะเริ มต้น ค่า หนึ งได้ผ่านกระบวนการหลายๆ
กระบวนการจนกระทังภาวะสุ ดท้ายของสารกลับมาทีภาวะเริ มต้นเดิ มอีกครัง เราจะเรี ยกกระบวนการใน
ลักษณะนี ว่าวัฏจักร (cycle) เราจะเห็นว่าอุปกรณ์หรื อเครื องจักรหลายๆอย่างในชีวิตประจําวันทํางานเป็ น
แบบวัฏจักรเช่น เครื องยนต์ในรถยนต์ เครื องปรับอากาศภายในบ้าน เป็ นต้น
10
2.6 พลังงาน
คําว่าพลังงานนันเป็ นคําที ค่อนข้างจะเป็ นที คุ น้ เคยกับบุคคลทัวไปและใช้อยู่อย่างสมําเสมอใน
ชีวิตประจําวัน โดยทัวไปแล้วพลังงานเปรี ยบเสมือนศักยภาพในการทํางานในรู ปแบบต่างๆ อย่างไรก็ตาม
คําอธิบายดังกล่าวนันก็ไม่สามารถทีจะนิยามคําว่าพลังงานได้อย่างชัดเจนและแม่นยํา เราทราบดีว่าพลังงาน
มีความสามารถทีจะเก็บสะสมภายในระบบ สามารถทีจะส่ งผ่านจากระบบหนึ งไปยังอีกระบบหนึ ง และ
สามารถเปลียนรู ปแบบจากรู ปหนึงไปยังอีกรู ปหนึง นอกเหนื อจากคําอธิ บายดังกล่าวแล้วนัน เรายังสามารถ
ทีจะอธิบายคําว่าพลังงานได้จากทัศนคติในระดับจุลภาคได้เช่นกัน
พลังงานในส่ วนแรกทีกล่าวถึงเป็ นพลังงานทีเกียวข้องกับพลังงานจลน์ในหลายๆรู ปแบบได้แก่ การ
เคลือนทีของโมเลกุล การหมุนและการสันสะเทือนของโมเลกุลในกรณี ทีโมเลกุลประกอบด้วยอะตอม
มากกว่าหนึงอะตอม การเคลือนทีของอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียส และการหมุนของอิเล็กตรอนและนิวเคลียส
รอบตัวเอง ซึงพลังงานจลน์เหล่านันเป็ นส่ วนประกอบของพลังงานในระดับมหภาคทีมีชือว่าพลังงานสัมผัส
11
δV
δV′
ตัวอย่างที 2.1
ภาชนะชินหนึงทําจากอลูมิเนียมซึงมีมวล 3 kg ภาชนะดังกล่าวใช้บรรจุนาปริํ มาตร 10 L และบรรจุ
นํามันปริ มาตร 4 L โดยทีนํามันมีความหนาแน่น 910 kg/m3 จงหามวลรวมของภาชนะและสารทีบรรจุ
วิธีทาํ
ตัวแปรทีทราบค่า: mal, Vwater, Voil, ρoil
ตัวแปรทีต้องการ: mtotal
จากนิยามของความหนาแน่นจะได้วา่
⎛ 1 m3 ⎞
m water = ρ water Vwater = ⎜ 997 3 ⎟(10 L )⎜
⎛ kg ⎞
⎟ = 9.97 kg
⎝ m ⎠ ⎝ 1000 L ⎠
3
m oil = ρ oil Voil = ⎛⎜ 910 3 ⎞⎟(4 L )⎜
kg ⎛ 1 m ⎞
⎟ = 3.64 kg
⎝ m ⎠ ⎝ 1000 L ⎠
ดังนันมวลรวมของภาชนะและสารทีบรรจุจะหาได้จาก
m total = m aluminum + m water + m oil = (3 + 9.97 + 3.64) kg
m total = 16.61 kg คําตอบ
2.8 ความดัน
ความดัน (pressure หรื อ P) คือแรงในแนวตังฉากต่อพืนทีทีถูกแรงกระทํา คําว่าความดันนันจะนิยม
ใช้กบั สารทีเป็ นของไหล(ของเหลวและแก๊ส)เท่านัน ในกรณี ทีสารเป็ นของแข็งจะใช้คาํ ว่าความเค้นตังฉาก
แทน(normal stress) โดยทัวไปแล้วสมการระหว่างความดันและแรงทีกระทําสามารถเขียนได้เป็ น
Fn
P = (2.5)
A
โดยที Fn และ A คือความดัน แรงกระทําในแนวตังฉากและพืนทีตามลําดับ นอกจากนี ถ้านําทฤษฎีของลิมิต
มาประยุกต์ใช้โดยจะสามารถเขียนสมการระหว่างความดันและแรงทีกระทําได้เป็ น
δFn
P = lim (2.6)
δA→δA ′ δA
โดยทีสมการทีได้จะต้องอยูภ่ ายใต้สมมุติฐานความต่อเนื องเช่นเดียวกับกรณี ของปริ มาตรจําเพาะทีเคยกล่าว
ไปแล้ว หน่วยของความดันทีใช้ในหน่วยเอสไอนันจะใช้ พาสคาล (Pascal หรื อ Pa) ซึงมีค่าเท่ากับ 1 N/m2
ในทางปฏิบตั ิยงั มีหน่ วยความดันอืนๆ ทีนิ ยมใช้กนั ได้แก่ บาร์ (bar) หรื อเอทีเอ็ม (atm) เป็ นต้น หากเรา
ต้องการจะแปลงหน่วยดังกล่าวเราจะพบว่า 1 bar จะมีค่าเท่ากับ 105 Pa และ 1 atm จะมีค่าเท่ากับค่าความดัน
บรรยากาศทีระดับนําทะเล (atmospheric pressure หรื อ P0) ซึงมีค่าเท่ากับ 101,325 Pa
14
H
B
ตัวอย่างที 2.2 P0
มาโนมิเตอร์รูปตัวยูดงั ทีแสดงอยูใ่ นรู ปต่ออยูก่ บั ถังบรรจุ
แก๊สทีขาด้านหนึ ง และต่ออยู่กบั บรรยากาศภายนอกทีความดัน
ถัง
บรรยากาศ(P0) ทีขาอีกข้างหนึ ง ของเหลวทีอยู่ในมาโนมิเตอร์ H
คือปรอทโดยทีความสู งระหว่างจุด A และ B มีค่าเท่ากับ 30 cm
A B
จงหาว่าความดันของแก๊สในถังมีค่าเป็ นเท่าไร
วิธีทาํ
ตัวแปรทีทราบค่า: Hl, P0
ตัวแปรทีต้องการ: Ptank
ความดันทีจุด A และ B มีค่าเท่ากันเนื องจากเป็ นของไหลชนิ ดเดียวกันและอยู่ทีระดับเดียวกัน
ในขณะทีจุด A เป็ นความดันของแก๊สภายในถังหรื อ Ptank ในขณะทีจุด B มีของไหลความสู ง H อยูด่ า้ นบน
และจากนันก็ออกสู่ความดันบรรยากาศ
PA = PB
Ptank = P0 + ρ g H
2.9 การเท่ากันของอุณหภูมิและกฎข้อทีศูนย์ของเธอร์โมไดนามิกส์
อุณหภูมิ (temperature หรื อ T) เป็ นสมบัติทีเป็ นทีคุน้ เคยและพบเห็นบ่อยในชีวิตประจําวัน ในความ
เข้าใจของคนโดยทัวไปอุณหภู มิคือระดับที แสดงความรู ้ สึกร้ อนและความรู ้ สึกเย็น หากแต่ว่าคํานิ ยาม
ดังกล่าวจะขึ นอยู่กับความรู ้ สึก ของผูส้ ังเกตซึ งจะมี ค่าแตกต่างกันออกไปในแต่ ละบุคคล ดังนันในการ
กําหนดความหมายของคําว่าอุณหภูมินนจึ ั งนิยมใช้ว่าการเท่ากันของอุณหภูมิ (equality of temperature) แทน
ั นผลมาจากการนําวัตถุสองชินทีมีอุณหภูมิต่างกันมาสัมผัสและถ่ายเทความร้อน
การเท่ากันของอุณหภูมินนเป็
ซึงกันและกัน วัตถุทงสองชิ
ั นถูกวัดด้วยเธอร์ โมมิเตอร์ แบบปรอทซึ งสามารถเห็นระดับของปรอทดังกล่าว
หากวัตถุชินแรกทีมีอุณหภูมิสูงกว่าสัมผัสกับวัตถุชินทีสองทีมีอุณหภูมิตากว่ ํ า ดังนันเมือนําวัตถุสองชินมา
สัมผัส เราจะเห็นว่าระดับของปรอทของเธอร์โมมิเตอร์ ทีวัตถุชินแรกจะมีระดับทีลดลง ในขณะทีระดับของ
ปรอทของเธอร์ โมมิเตอร์ ทีวัตถุชินทีสองจะมีระดับทีเพิมขึน เมือระดับของปรอทของเธอร์ โมมิเตอร์ ทีวัตถุ
ทังสองชินมีระดับทีไม่เปลียนแปลงและมีค่าเท่ากันหลังจากทีวัตถุทงสองได้ ั สัมผัสและถ่ายเทความร้อนกัน
เป็ นระยะเวลานาน เราจะกล่าวได้วา่ วัตถุทงสองชิั นเกิดการเท่ากันของอุณหภูมิ
16
2.10 สเกลอุณหภูมิ
สเกลอุณหภูมิ (temperature scale) ทีใช้กนั อย่างแพร่ หลายในปั จจุบนั อันหนึ งคือสเกลเซลเซี ยส
(Celsius scale) ซึ งถือกําเนิ ดขึนในคริ สตศักราชที 18 จากวิศวกรชาวสวีเดนชือว่า แอนเดอซ์ เซลเซี ยส
(Anders Celsius) โดยการแบ่งอุณหภูมิออกเป็ นร้อยส่ วนจากจุดเริ มต้นที 0 ทีจุดเยือกแข็งของนําจนไปถึง 100
ทีจุ ดเดื อดของนําทีความดันบรรยากาศ สเกลดังกล่าวมีชือว่าสเกลเซลเซี ยส (Celsius scale) ซึ งจะใช้
สัญลักษณ์ oC เพือแทนสเกลเซลเซี ยส ต่อจากนันได้มีการพิจารณาถึงการใช้สเกลอุณหภูมิสัมบูรณ์ซึงเป็ น
ผลมาจากกฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์ซึงจะกล่าวถัดไปในบทที 7 สเกลอุณหภูมิสัมบูรณ์ดงั กล่าวจะ
มีชือว่าสเกลอุณหภูมิเธอร์โมไดนามิกส์ (thermodynamic temperature scale) ทังนี เงือนไขของสเกลอุณหภูมิ
สัมบูรณ์ก็คือจะต้องเป็ นสเกลทีเป็ นอิสระต่อชนิดของสาร เป็ นผลให้สเกลเซลเซี ยสซึ งถือกําเนิ ดจากการใช้
นําเป็ นสเกลไม่สามารถนํามาใช้เป็ นสเกลอุณหภูมิสัมบูรณ์ได้ สเกลอุณหภูมิสัมบูรณ์ทีนําสเกลเซลเซียสมา
ปรับปรุ งได้แก่สเกลเคลวิน (Kelvin scale) โดยตังชือตามลอร์ ดเคลวินนักพิสิกส์ชาวไอร์ แลนด์ เราจะใช้
สเกลเคลวินเป็ นหน่ วยของอุณหภูมิทีใช้ในหน่ วยเอสไอและจะใช้สัญลักษณ์ K เพือแทนสเกลเคลวิน
ความสัมพันธ์ระหว่างสเกลเซลเซียสและสเกลเคลวินคือ
แบบฝึ กหัด
1) จงอธิบายความแตกต่างระหว่างมวลควบคุมและปริ มาตรควบคุม
2) ระหว่าง ความดัน อุณหภูมิ ปริ มาตร และ ความหนาแน่ น สมบัติเธอร์ โมไดนามิกส์ใดเป็ นสมบัติ
อินเทนซิฟ (ตอบได้มากกว่าหนึงข้อ)
3) หากเรานําถังแก๊สหุงต้มทีใช้ตามบ้านเรื อนนําไปตากแดด กระบวนการทีเกิดขึนกับแก๊สหุ งต้มทีอยูใ่ น
ถังเป็ นกระบวนการแบบใด
4) ภาชนะใบหนึงบรรจุนามั ํ นเครื อง 8 L ต่อมามีคนนําลูกเหล็กทรงกลมซึงทําด้วยเหล็กกล้าทีมีเส้นผ่าน
ศูนย์กลาง 2 cm จํานวน 80 ลูกมาเทใส่ ในนํามันเครื องดังกล่าว จงหามวลรวมทังหมดโดยไม่รวม
ภาชนะทีใส่
5) อากาศถูกบรรจุอยู่ในกระบอกสู บทีมีลูกสู บซึ งเคลือนไหวได้อย่างอิสระ P0
วางอยูด่ า้ นบนในภาวะสมดุลกล หากลูกสู บทําจากเหล็กหล่อทีมีความสู ง
75 cm เ ส้นผ่านศูนย์กลาง 1.3 m ในขณะทีความดันบรรยากาศ (P0) มีค่า
เท่ากับ 101.3 kPa จงหาว่าความดันของอากาศในกระบอกสูบมีค่าเท่าไร อากาศ
P0
6) มาโนมิเตอร์รูปตัวยูดงั ทีแสดงอยูใ่ นรู ป ขาด้านหนึงของมาโนมิเตอร์ต่ออยู่
กับถังบรรจุแก๊ส ในขณะทีขาด้านหนึ งปล่อยสู่ บรรยากาศภายนอกทีความ ถัง
ดันบรรยากาศ (P0) = 101.3 kPa) ของเหลวทีอยูใ่ นมาโนมิเตอร์มีความ H
หนาแน่น 826 kg/m3 ถ้าแก๊สในถังทีมีความดันสัมบูรณ์เท่ากับ 112 kPa
จงหาระยะความสูง H ของของเหลวดังกล่าว
บทที 3
สมบัตขิ องสารบริสุทธิ
3.1 สารบริ สุทธิ
สารบริ สุทธิ (pure substance) ในทางเธอร์ โมไดนามิกส์นันหมายถึงสารทีมีลกั ษณะคือ 1) มี
องค์ประกอบทางเคมีทีไม่เปลียนแปลง 2) มีลกั ษณะเป็ นเนื อเดียวกัน (homogeneous) และ 3) สามารถ
ปรากฏได้ในหลายสถานะ ตัวอย่างเช่ น สารทําความเย็นอาร์ -22 (R-22) เป็ นสารบริ สุทธิ เพราะมี
องค์ประกอบทางเคมีคือ CHClF2 เพียงอย่างเดี ยว ของผสมระหว่างนํากับนําแข็งก็ถือว่าเป็ นสารบริ สุทธิ
เพราะถึงแม้ว่าของผสมดังกล่าวจะปรากฏอยู่สองสถานะนันคือของแข็งและของเหลว แต่ก็มีองค์ประกอบ
ทางเคมีคือ H2O เพียงอย่างเดียว สําหรับอากาศนันตามทฤษฎีไม่เป็ นสารบริ สุทธิเนืองจากว่าอากาศเป็ นแก๊ส
ผสมทีมีองค์ประกอบหลักทางเคมีทีหลากหลายได้แก่ N2 O2 และ Ar เป็ นต้น แต่เนืองจากอากาศเป็ นสารทีมี
อยูท่ วไปและมี
ั การนํามาใช้ประโยชน์อยูบ่ ่อยครัง เราจึงถือว่าได้ว่าพฤติกรรมของอากาศมีลกั ษณะคล้ายคลึง
กับสารบริ สุทธิได้กต็ ่อเมือไม่เกิดการเปลียนสถานะขึน
สําหรับในตําราเล่มนี เราจะพิจารณาเฉพาะสารทีเรี ยกว่าสารอัดตัวได้เชิงเดียว (simple compressible
substance) ซึ งถือว่าการเปลียนแปลงปริ มาตรทีเกิดจากกระบวนการต่างๆ มีนยั สําคัญ ในขณะทีผลกระทบ
ของ แรงตึงผิว สนามแม่เหล็ก และสนามไฟฟ้ า ต่อสารดังกล่าวมีนอ้ ยมาก ระบบทีประกอบไปด้วยสารอัด
ตัวได้เชิงเดียวนันเราจะเรี ยกว่าระบบอัดตัวได้เชิงเดียว (simple compressible system) หากพิจารณาตาม
ข้อเท็จจริ งในทางปฏิบตั ิแล้ว จะพบว่ากระบวนการทีเกิดขึนส่ วนมากจะเป็ นกระบวนการทีเกิดขึนกับระบบ
อัดตัวได้เชิงเดียวเกือบทังสิ น ตัวอย่างเช่น กระบวนการต้มนําให้เดือด กระบวนการอุ่นอากาศให้ร้อนขึน
กระบวนการทําความเย็นของสารทําความเย็น เป็ นต้น
H2O (g)
H2O (g) H2O (g)
100oC 200oC
H2Oo (l) H2Oo(l) 100oC
30 C 100 C H2O (l)
ในเบืองต้นให้นาที ํ เป็ นของเหลวในรู ปที 3.1 (a) มีอุณหภูมิเริ มต้นที 30oC จะสังเกตได้วา่ นําทีเป็ นของเหลว
ในลักษณะนี ยังคงสถานะเป็ นของเหลวถึงแม้ว่าจะได้รับความร้อนเพิมหรื อคายความร้อนออก เราจะเรี ยก
ภาวะของของเหลวในลักษณะนี ว่าของเหลวอัดตัวหรื อของเหลวเย็นยิง (compressed liquid หรื อ subcooled
liquid) เมือให้ความร้อนแก่นาที ํ อุณหภูมิ 30oC ไปเรื อยๆ เราจะพบว่าอุณหภูมิของนําค่อยๆเพิมขึนเป็ น 35oC
40oC 45oC 50oC ไปเรื อยๆ ซึงนําทีอุณหภูมิดงั กล่าวก็ยงั คงภาวะเป็ นของเหลวอัดตัวอยู่ จนกระทังเมือนํามี
อุณหภูมิที 100oC เราจะพบว่าถ้าเราให้ความร้อนแก่นาเพิ ํ มขึนไปมากกว่านีอีกเพียงเล็กน้อย นําบางส่ วนก็จะ
เริ มเปลียนกลายเป็ นไอนํา ดังนันเราจะเรี ยกภาวะของของเหลวทีเมือได้รับความร้อนอีกเพียงเล็กน้อยก็จะ
เปลียนสถานะกลายเป็ นไอนีว่าของเหลวอิมตัว (saturated liquid) ซึงแสดงในรู ป 3.1 (b) ต่อจากนันเมือนํา
ได้รับความร้อนเพิมขึนไปอีก เราจะพบว่านําส่ วนทีเป็ นของเหลวก็จะเปลียนสถานะกลายเป็ นไอนํามากขึน
เรื อยๆ ในขณะทีอุณหภูมิยงั คงทีที 100oC จนกระทังนําทีเป็ นของเหลวหยดสุ ดท้ายเปลียนสถานะกลายเป็ น
ไอนําจนหมด ไอนําที ได้ก็ยงั คงมีอุณหภูมิที 100oC แต่ถา้ เราให้ไอนําดังกล่าวคายความร้ อนออกเพียง
เล็กน้อยก็จะปรากฏของเหลวซึงเกิดจากการควบแน่นของไอนําขึนทันที เราจะเรี ยกภาวะของแก๊สหรื อไอที
เมือคายความร้อนออกเพียงเล็กน้อยก็จะเปลียนสถานะกลับไปเป็ นของเหลวนี ว่าไออิมตัว (saturated vapor)
ซึงแสดงในรู ป 3.1 (d) จากนันไอนําอิมตัวในรู ป 3.1 (d) ได้รับความร้อนเพิมขึนไปอีก เราจะพบว่าไอนําจะ
เริ มมีอุณหภูมิสูงขึนเกิน 100oC ไปเป็ น 120oC 140oC 160oC 180oC 200oC ไปเรื อยๆ ไอนําดังกล่าวเมือ
คายความร้อนออกหรื อได้รับความร้อนเพิมก็ยงั คงเป็ นสถานะเป็ นไอเหมือนเดิม เราจะเรี ยกภาวะของแก๊ส
หรื อไอในลักษณะนีว่าไอร้อนยวดยิง (superheat vapor) ดังทีแสดงในรู ป 3.1 (e)
หากย้อนกลับไปดูรูปที 3.1 (c) จะพบว่านําอยู่ระหว่างการเปลียนสถานะจากของเหลวอิมตัว
กลายเป็ นไออิมตัว ดังนันนําในรู ปที 3.1 (c) นีจึงอยูใ่ นสถานะทีเป็ นของผสมระหว่างของเหลวอิมตัวในรู ป
3.1 (b) กับไออิมตัวในรู ป 3.1 (d) เราจะเรี ยกภาวะของของผสมในลักษณะนี ว่าของผสมระหว่างของเหลว
20
V
รู ปที 3.2 แผนภาพอุณหภูมิ-ปริ มาตรแสดงการเปลียนสถานะของนําจากของเหลวไปเป็ นไอ
ทีความดันคงทีเท่ากับ 101.3 kPa (ไม่ได้ตามสัดส่ วน)
T
P = 10 MPa
P = 1 MPa
311oC
P = 101.3 kPa
180oC
100oC
P = 10 kPa
45.8oC
V
รู ปที 3.3 แผนภาพอุณหภูมิ-ปริ มาตรแสดงการเปลียนสถานะของนําจากของเหลวไปเป็ นไอ
ทีความดันคงทีค่าต่างๆ (ไม่ได้ตามสัดส่ วน)
T
รู ปที 3.4 แผนภาพความสัมพันธ์ระหว่างความดันอิมตัวและอุณหภูมิอิมตัว
22
P = 22.09 MPa
T
P = 10 MPa
จุดวิกฤติ
374.14oC P = 1 MPa
P = 101.3 kPa
P = 10 kPa
เส้นของเหลวอิมตัว
เส้นไออิมตัว
V
รู ปที 3.5 แผนภาพอุณหภูมิ-ปริ มาตรแสดงเส้นของเหลวอิมตัว เส้นไออิมตัว
และจุดวิกฤต (ไม่ได้ตามสัดส่ วน)
T
จุดวิกฤติ
ของเหลว ไอร้อนยวดยิง
อัดตัว ของผสมสองสถานะ
เส้นของเหลวอิมตัว เส้นไออิมตัว
V
รู ปที 3.6 แผนภาพอุณหภูมิ-ปริ มาตรแสดงเส้นโค้งระฆังควําทีแบ่งพืนทีออกเป็ นภาวะต่างๆ ของสาร
ดังนันปริ มาตรจําเพาะของของผสมสองสถานะจึงเขียนได้เป็ น
V m v m v
v total = tot = liq f + vap g
m tot m tot m tot
v = vf + x v fg (3.4)
สถานะไอ
T
รู ปที 3.7 แผนภาพสถานะทีแสดงถึงเส้นระเหยและบริ เวณทีเป็ นสถานะของเหลวและไอ
แผนภาพสถานะสามารถทีจะยืดขยายต่อไปยังค่าความดันและอุณหภูมิอืนๆ ทีกว้างขึนและครอบคลุมใน
ส่ วนทีสารจะปรากฏตัวอยูใ่ นสถานะของแข็ง ทังนีนอกเหนือจากเส้นระเหยแล้ว จะปรากฏเส้นทีแสดงการ
เปลียนสถานะจากของแข็งกลายไปเป็ นของเหลวหรื อมีอีกชื อหนึ งว่าเส้นละลาย (fusion line) และเส้นที
แสดงการเปลียนสถานะจากของแข็งกลายไปเป็ นไอหรื อมีอีกชือหนึงว่าเส้นระเหิ ด (sublimation line) ทังนี
เส้นละลาย เส้นระเหยและเส้นระเหิ ดจะมาบรรจบกันทีจุดเดียวเรี ยกว่าจุดร่ วมสาม (triple point) ดังทีแสดง
ในรู ปที 3.8 ดังนันทีอุณหภูมิและความดันเท่ากับจุดร่ วมสาม สารจะสามารถปรากฏได้ทงสถานะของแข็
ั ง
ของเหลวและไอพร้อมๆ กันในภาวะสมดุล อนึ งจะสังเกตได้ว่าความดันทีจุดร่ วมสามจะเป็ นตัวบ่งชีว่าสาร
25
จุดร่วมสาม สถานะไอ
เส้นระเหิด
T
3.4 ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์
จากทีได้กล่าวมาทังหมดเกียวกับภาวะต่างๆ ของสารบริ สุทธิทีภาวะสมดุล เพือให้การหาสมบัติและ
ภาวะต่างๆ ทําได้โดยสะดวก จึงมีการระบุสมบัติต่างๆ ของสารบริ สุทธิ ให้อยูใ่ นรู ปแบบของตารางทีมีชือว่า
ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ (table of thermodynamic properties) ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ส่วน
ใหญ่จะประกอบไปด้วยตารางสองประเภทคือ 1) ตารางสําหรับภาวะอิมตัว (saturated table) ซึงจะใช้สาํ หรับ
หาสมบัติของของเหลวอิมตัว ของผสมสองสถานะ และไออิมตัว และ 2) ตารางสําหรับภาวะไอร้อนยวดยิง
(superheat vapor table) ซึงจะใช้สาํ หรับหาสมบัติของไอร้อนยวดยิง ตัวอย่างทีจะนํามาแสดงต่อไปนี เป็ น
ตารางสมบัติเธอร์ โมไดนามิกส์ของนํา ซึ งประกอบด้วยตารางสําหรับนําภาวะอิมตัวและตารางสําหรับนํา
ภาวะไอร้อนยวดยิงดังทีแสดงในตารางที 3.1 และ 3.2 ตามลําดับ
ความดัน
100 kPa (99.62oC)
อุณหภูมิ ปริ มาตรจําเพาะ พลังงานภายใน เอนธัลปี เอนโทรปี
(oC) 3
(m /kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K)
Sat. 1.69400 2506.06 2675.46 7.3593
150 1.93636 2582.75 2776.38 7.6133
200 2.17226 2658.05 2875.27 7.8342
250 2.40604 2733.73 2974.33 8.0332
300 2.63876 2810.41 3074.28 8.2157
400 3.10263 2967.85 3278.11 8.5434
500 3.56547 3131.54 3488.09 8.8341
ตัวอย่างที 3.1
จากตารางด้านล่างโดยทีสารเป็ นนํา จงหาสมบัติทีหายไปพร้อมทังระบุภาวะทีปรากฏด้วย
P (kPa) T (oC) v (m3/kg) x ภาวะทีปรากฏ
(a) 110 0.4
(b) 100 200
(c) 80 2.4
วิธีทาํ
ตัวแปรทีทราบค่า: สมบัติจาํ นวนสองสมบัติต่อหนึงภาวะทีกําหนด
ตัวแปรทีต้องการ: สมบัติทีหายไปและภาวะทีปรากฏ
(a) T = 110oC, x = 0.4
จากข้อมูลทีทราบ เนืองจากเราทราบค่า x = 0.4 ดังนันจึงเป็ นทีทราบอย่างชัดเจนว่าภาวะทีปรากฏ
คือของผสมสองสถานะอย่างแน่นอน เราทราบว่าของผสมสองสถานะเป็ นภาวะทีเกิดการเปลียนสถานะที
T = Tsat = 110 o C ดังนัน P = Psat = f (Tsat ) จากตารางที 3.1 จะเห็นว่านําเปลียนสถานะทีความดัน
เท่ากับ 143.3 kPa ในส่ วนของปริ มาตรจําเพาะ จะต้องหาจากสมการที 3.2 เนืองจากนําอยูใ่ นภาวะของ
ผสมสองสถานะ
⎛ m3 ⎞ ⎛ m3 ⎞ m3
v = (1 − x ) v f + x v g = ( 0.6 )⎜ 0.001052 ⎟ + ( 0.4 )⎜ 1.21014 ⎟ = 0.4847
⎝ kg ⎠ ⎝ kg ⎠ kg
29
100oC
ค่าอุณหภูมิทีต้องการ (Tsat)
การประมาณในช่วง
95oC แบบเชิงเส้น
P = 100 kPa
200oC
99.62oC
v
จะเห็นว่าเมือ T > Tsat ทีความดันเดียวกัน จะทําให้นาอยู ํ ่ในภาวะไอร้อนยวดยิง ซึ งจะไม่มีการนิ ยามค่า
คุณภาพสารสองสถานะทีภาวะนี จากนันหาปริ มาตรจําเพาะโดยไปเปิ ดตารางสําหรับนําภาวะไอร้อนยวดยิง
ที P = 100 kPa ซึงก็คือตารางที 3.2 จากนันที T = 200oC จะได้ v = 2.17226 m3/kg
โดยสรุ ปแล้วจะได้วา่ v = 2.17226 m3/kg
x ไม่มีการนิยาม
ภาวะทีปรากฏคือไอร้อนยวดยิง คําตอบ
o 3
(c) T = 80 C, v = 2.4 m /kg
จากข้อมูลทีทราบ เราต้องหาก่อนว่าที T = 80oC ค่าของ Psat เป็ นเท่าไร โดยอาศัยตารางที 3.1 จะได้
ว่า Psat = 47.39 kPa เนืองจากเราทราบค่า v ดังนันจึงควรหาค่า vf และ vg จากในตารางที 3.1 แล้วนําไปวาด
ลงบนแผนภาพอุณหภูมิ-ปริ มาตรเพือนําไปเปรี ยบเทียบ จะได้วา่
T
P = 47.39 kPa
80oC
vf v vg v
0.001029 m3/kg 2.4 m3/kg 3.40715 m3/kg
พบว่าค่า v = 2.4 m3/kg ทีโจทย์กาํ หนดมาตกอยูร่ ะหว่าง vf และ vg ซึงเขียนเป็ นสมการได้วา่ vf < v < vg เป็ น
ผลให้ภาวะทีปรากฏเป็ นของผสมสองสถานะ ดังนันความดันจึงเท่ากับความดันอิมตัวหรื อ 47.39 kPa ใน
การหาค่า x นันจะใช้สมการที 3.2 โดยแทนค่าทีทราบลงไปแล้วแก้สมการหาค่า x กล่าวคือ
v = (1 − x ) v f + x v g
m3 ⎛ m3 ⎞ ⎛ m3 ⎞
2.4 = ( 1 − x )⎜ 0.001029 ⎟ + ( x )⎜ 3.40715 ⎟
kg ⎝ kg ⎠ ⎝ kg ⎠
จะได้ค่า x = 0.7043 อนึงอาจจะใช้สมการที 3.3 และ 3.4 เพือนําไปหาค่า x ก็ได้เช่นกัน
31
ตัวอย่างที 3.2
กระบอกสูบและลูกสูบบรรจุนาอยู ํ ภ่ ายในทีความดัน 200 kPa อุณหภูมิ 110oC ปริ มาตรเริ มต้นเท่ากับ
0.01 m3 ตัวลูกสู บสามารถเคลือนทีได้อย่างอิสระ ต่อมากระบอกสู บได้รับความร้อนจากภายนอกจนมี
ปริ มาตรสุ ดท้ายเป็ น 10 m3 จงหามวลของนําภายในกระบอกสูบและอุณหภูมิสุดท้ายของนํา
วิธีทาํ
มวลควบคุม: นําภายในกระบอกสูบ
กระบวนการ: ไอโซบาริ ก
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ของนํา
ตัวแปรทีทราบค่า: P1, V1, V2
ตัวแปรทีต้องการ: m, T2
เนืองจากลูกสูบสามารถเคลือนทีได้อย่างอิสระ เพือรักษาสมดุลกลของลูกสู บดังนันความดันของนํา
ภายในกระบอกสูบจะมีค่าคงทีตลอดเวลาหรื อกระบวนการทีเกิดขึนเป็ นกระบวนการไอโซบาริ ก จากข้อมูล
ทีโจทย์กาํ หนดให้จะได้วา่
ภาวะที 1 (ภาวะตังต้น): P1 = 200 kPa
T1 = 110oC ภาวะถูกกําหนดแล้ว
หากใช้ตารางสําหรับนําภาวะอิมตัวแบบทีใช้ความดันเป็ นหลัก เปิ ดไปทีค่า P1 = 200 kPa จะพบว่าค่า Tsat =
120.23oC จากข้อมูลทีกําหนดให้ T1 = 110oC ซึงมีค่าน้อยกว่า Tsat ทีความดันเดียวกัน ดังนันภาวะทีปรากฏ
สําหรับภาวะที 1 คือของเหลวอัดตัว ดังนันการหาสมบัติของของเหลวอัดตัวจะหาได้จากสมการที 3.5
v compressed liquid (110 o C, 200 kPa) ≈ v f (110 o C)
ดังนันจากตารางสําหรับนําภาวะอิมตัวทีใช้อุณหภูมิเป็ นหลักหรื อตารางที 3.1 จะได้วา่
o m3
v 1 ≈ v f (110 C) = 0.001052
kg
หามวลของนําในกระบอกสูบจากนิยามของปริ มาตรจําเพาะ กล่าวคือ
V V1 0.01 m 3
m = = =
v v1 0.001052 m 3 / kg
m = 9.506 kg คําตอบ
32
T2 = 188.3oC คําตอบ
หากวาดภาวะที 1 ภาวะที 2 และวิถีของกระบวนการทีเกิดขึนลงบนแผนภาพอุณหภูมิ-ปริ มาตรจะได้เป็ น
T
P1 = P2 = 200 kPa
v
v1 v2
หมายเหตุ
รายละเอียดต่างๆ ในการหาสมบัติเธอร์ โมไดนามิกส์ รวมทังวิธีการประมาณภายในแบบเชิ งเส้น
ของตัวอย่างทีจะนําเสนอหลังจากนีจะไม่มีการแสดงรายละเอียดเพือให้เกิดความกระชับ ดังนันผูอ้ ่านควรทํา
ความเข้าใจให้ถ่องแท้ในส่ วนนีก่อนทีจะอ่านในส่ วนถัดไป
3.5 พืนผิวเธอร์โมไดนามิกส์
เมือนําความดัน ปริ มาตร และอุณหภูมิมาวาดเป็ นแผนภาพในสามมิติโดยให้ปริ มาตรและอุณหภูมิ
เป็ นแกนนอน ส่ วนความดันเป็ นแกนตัง สิ งที ได้จะเป็ นความสัมพันธ์ระหว่างความดัน ปริ มาตร และ
อุณหภูมิซึงแสดงออกมาในรู ปของพืนผิวในสามมิติ แผนภาพดังกล่าวมีชือว่าพืนผิวความดัน-ปริ มาตร-
อุณหภูมิ (pressure-volume-temperature surface) ซึงแสดงในรู ปที 3.9
33
โดยที
R
R = (3.9)
M
ในทีนี R คือค่าคงตัวของแก๊ส (gas constant) ซึงจะขึนอยูก่ บั แก๊สแต่ละชนิดทีมีค่ามวลโมเลกุลทีแตกต่างกัน
ค่าของ M และ R ของแก๊สบางชนิดได้นาํ มาแสดงในตารางที 3.3
3.7 แฟกเตอร์สภาพอัดได้
สมการแก๊ ส อุ ด มคติ จ ะมี ค วามแม่ น ยํา ได้นันจะต้อ งอยู่ภ ายใต้เ งื อนไขที ว่ า แก๊ ส จะต้อ งมี ค วาม
หนาแน่นตําหรื อมีปริ มาตรจําเพาะทีสู ง เมือพิจารณาสมการที 3.8 จะเห็นได้ว่าเงือนไขดังกล่าวจะเกิดขึนได้
เมือแก๊สมีอุณหภูมิสูงหรื อความดันตํา อย่างไรก็ตามผลทีได้ดงั กล่าวเป็ นเพียงแค่แนวโน้มเชิงคุณภาพเท่านัน
แต่เรายังไม่ทราบในเชิงปริ มาณว่าแก๊สจะต้องมีอุณหภูมิสูงถึงเท่าไรหรื อความดันตําถึงเท่าไรจึงจะเพียงพอ
ต่อการนําสมการแก๊สอุดมคติไปใช้ได้อย่างถูกต้องแม่นยํา ดังนันแฟกเตอร์ สภาพอัดได้ (compressibility
factor หรื อ Z) จึงเป็ นตัวแปรทีใช้แสดงว่าแก๊สมีพฤติกรรมใกล้เคียงกับแก๊สอุดมคติมากเพียงใด สมการของ
แฟกเตอร์สภาพอัดได้สามารถทีจะเขียนได้เป็ น
Pv
z = (3.10)
RT
ตัวอย่างที 3.3
จงหาค่าปริ มาตรจําเพาะของนําทีอุณหภูมิ 200oC ความดัน 1 MPa ทีได้จากการคํานวณทังสามวิธี
ดังต่อไปนี (a) ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ (b) สมการแก๊สอุดมคติ และ (c) แผนภูมิแฟกเตอร์สภาพอัด
ได้ทวไปั จากนันให้คาํ นวณหาค่าความคลาดเคลือนจากกรณี (b) และ (c) โดยให้ค่าทีได้จากกรณี (a) เป็ น
ค่าทีมีความถูกต้องทีสุ ด
วิธีทาํ
ตัวแปรทีทราบค่า: T, P
ตัวแปรทีต้องการ: v จากการคํานวณสามวิธี, error
(a) ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์
T = 100oC
P = 1MPa ภาวะถูกกําหนดแล้วโดยเป็ นไอร้อนยวดยิง
ดังนัน v = 0.20596 m3/kg คําตอบ
และให้ค่า v ทีได้เป็ นค่าทีถูกต้องเพือใช้ในการคํานวณหาค่าความคลาดเคลือน
(b) สมการแก๊สอุดมคติ
สําหรับนํา R = 0.4615 kJ/kg-K
P = 1 MPa = 1,000 kPa, T = 200oC = 473.15 K
Pv = RT
(1,000 kPa )v ⎛
= ⎜ 0.4615
kJ ⎞
⎟ (473.15 K )
kg − K ⎠
⎝
v = 0.21836 m3/kg คําตอบ
(c) แผนภูมิแฟกเตอร์สภาพอัดได้ทวไป ั
สําหรับนํา Tc = 647.3 K, Pc = 22.12 MPa
T 473.15 K
Tr = = = 0.73
Tc 647.3 K
T 1 MPa
Pr = = = 0.045
Tc 22.12 MPa
จากรู ปที 3.10 จะประมาณได้วา่ Z = 0.96
Pv = ZRT
(1,000 kPa )v ⎛
= ( 0.96 ) ⎜ 0.4615
kJ ⎞
⎟ (473.15 K )
kg − K ⎠
⎝
v = 0.20962 m3/kg คําตอบ
หมายเหตุ
จะเห็นได้วา่ ค่าความคลาดเคลือนลดลงเมือใช้แผนภูมิแฟกเตอร์สภาพอัดได้ทวไปแทนการใช้
ั สมการ
แก๊สอุดมคติ โดยทีค่าความคลาดเคลือนลดลงจากประมาณร้อยละ 6 เหลือประมาณร้อยละ 2 เท่านัน
3.8 สมการภาวะ
สมการทีแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความดัน ปริ มาตรจําเพาะ และอุณหภูมิจะมีชือโดยทัวไปว่า
สมการภาวะ (equation of state) สมการแก๊สอุดมคติก็เป็ นตัวอย่างหนึงของสมการภาวะซึงอยูใ่ นรู ปแบบที
ง่ายทีสุ ดนันคือความสัมพันธ์ระหว่างความดัน ปริ มาตรจําเพาะ และอุณหภูมิจะมีค่าคงทีปรากฏอยูใ่ นสมการ
เพียงค่าเดียวนันคือค่าคงตัวของแก๊ส ถึงกระนันสมการแก๊สอุดมคติก็ยงั มีขอ้ จํากัดภายใต้เงือนไขต่างๆ ซึงได้
กล่าวไปแล้วในหัวข้อที 3.7 ดังนันจึงมีความพยายามทีจะพัฒนาสมการภาวะทีครอบคลุมในส่ วนอืนๆ ผลที
ได้คือสมการจะมีความซับซ้อนยิงขึน จํานวนค่าคงตัวทีปรากฏในสมการก็จะเพิมยิงขึน สมการภาวะที
ซับซ้อ นกว่าสมการแก๊ สอุ ดมคติ ขนหนึ
ั งก็คือสมการที ประกอบไปด้ว ยค่าคงตัว ทังหมดสองค่า สมการ
ดังกล่าวมีชือเรี ยกว่าสมการแวนเดอร์วาลส์ (Van der Waals equation) กล่าวคือ
RT a
Pv = −
v − b v2
39
แบบฝึ กหัดบทที 3
1) จงอธิบายความแตกต่างระหว่างของเหลวอัดตัวและของเหลวอิมตัว
2) จงหาสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ของนําทีหายไป พร้อมระบุภาวะทีปรากฏ
P (kPa) T (oC) v (m3/kg) x ภาวะทีปรากฏ
(a) 200 150
(b) 130 0.7
(c) 300 0.5
(d) 500 122
(e) 200 0.15
3) ดาวเคราะห์ดวงหนึงมีบรรยากาศทีบางมาก ทําให้ความดันบรรยากาศบนดาวเคราะห์ดวงนีมีค่าเท่ากับ
500 Pa ดังนันนําทีปรากฏบนดาวเคราะห์ดวงนีจะมีสถานะเป็ นอย่างไร อย่างไร อนึ งแนะนําให้ใช้
ตาราง ผ.1 เพือช่วยในการอธิบาย
4) ภาชนะปิ ดใบหนึงบรรจุสารทําความเย็นอาร์ -134 เอซึ งอยูใ่ นภาวะไออิมตัวทีอุณหภูมิ 5oC หากนํา
ภาชนะนี ไปวางไว้ทีบรรยากาศภายนอกเป็ นระยะเวลานานจนกระทังอาร์ -134 เอ มีอุณหภูมิเท่ากับ
อุณหภูมิหอ้ งซึงมีค่าคือ 30oC จงหาความดันสุ ดท้ายภายในภาชนะปิ ด
5) จงหาค่าปริ มาตรจําเพาะของนําทีอุณหภูมิ 300oC ความดัน 3 MPa ทีได้จากการคํานวณทังสามวิธี
ดังต่อไปนี (a) ตารางสมบัติเธอร์ โมไดนามิกส์ (b) สมการแก๊สอุดมคติ และ (c) แผนภูมิแฟกเตอร์
สภาพอัดได้ทวไป ั จากนันให้คาํ นวณหาค่าความคลาดเคลือนจากกรณี (b) และ (c) โดยให้ค่าทีได้จาก
กรณี (a) เป็ นค่าทีมีความถูกต้องทีสุ ด
บทที 4
งานและความร้ อน
4.1 นิยามของงาน
คํานิยามของงาน (work หรื อ W) คือแรง F ทีกระทําทีวัตถุให้เคลือนทีเป็ นระยะทาง x ในทิศทาง
เดียวกับแรง หรื อสามารถเขียนเป็ นสมการได้วา่
2
δW = F dx หรื อ W =
∫ F dx
1
(4.1)
ใบพัด
4.2 หน่วยของงาน
หน่วยของงานตามหน่วยเอสไอคือจูล (Joule หรื อ J) ตามนิ ยามของงานจะได้ว่า 1 J = 1 N-m
ในขณะทีงานจําเพาะ (specific work หรื อ w) คืองานต่อหนึงหน่วยมวล ซึงสามารถเขียนสมการได้เป็ น
W
w = (4.2)
m
โดยทีหน่วยของงานจําเพาะคือ J/kg ซึงเทียบเท่ากับ (m/s)2
ในการทํางานนันบางครังอาจจะต้องคํานึงระยะเวลาในระหว่างการทํางานด้วย ดังนันจึงมีการนิยาม
คําว่ากําลัง (Power หรื อ W& ) ซึงก็คืออัตราการทํางานต่อหน่วยเวลาและจะเขียนเป็ นสมการได้เป็ น
2
δW
W& =
δt
หรื อ W =
∫ W&
1
δt (4.3)
กําลังกลจะสามารถเขียนเป็ นสมการได้คือ
W& = F V การเคลือนทีแบบเลือนขนาน
(4.4)
W& = τ ω การเคลือนทีแบบหมุน
โดยที V, τ และ ω คือความเร็ วในทิศทางเดียวกับแรง แรงบิด และความเร็ วเชิ งมุมตามลําดับ ส่ วน
กําลังไฟฟ้ าจะสามารถเขียนเป็ นสมการได้คือ
W& = i ε (4.5)
โดยที i และ ε คือกระแสไฟฟ้ าและความต่างศักย์ตามลําดับ อนึงงานทีได้จากสมการที 4.4 และ 4.5 นัน
จะต้องใส่ เครื องหมายบวกและลบตามสัญนิยมเช่นกัน
หน่วยของกําลังตามหน่วยเอสไอคือวัตต์ (Watt หรื อ W) ซึงจากสมการที 4.2 จะได้ว่า 1 W = 1 J/s
นอกจากหน่วยวัตต์ดงั กล่าวแล้ว ยังมีหน่วยทีนิยมใช้ในทางปฏิบตั ิคือแรงม้า (horsepower หรื อ hp) ซึงจะเห็น
ใช้งานอยู่ทวไป
ั แต่ผูท้ ี จะใช้หน่ วยแรงม้าต้องระวังในเรื องความสับสนเนื องจากหน่ วยแรงม้ามี อยู่
หลากหลายแบบเช่น แรงม้าเมตริ ก (metric horsepower) แรงม้ากล (mechanical horsepower) แรงม้าหม้อไอ
นํา (boiler horsepower) เป็ นต้น ดังนันผูใ้ ช้งานควรจะหาข้อมูลให้แน่ใจว่าหน่วยแรงม้าทีใช้เป็ นแรงม้าชนิด
ใดเสี ยก่อน หน่วยแรงม้าทีนิยมใช้ในปัจจุบนั คือแรงม้าเมตริ กซึงมีค่าเท่ากับ 0.735499 kW
4.3 งานทีกระทําจากขอบเขตเคลือนทีของสารอัดตัวได้เชิงเดียว
ในกระบวนการทางเธอร์ โมไดนามิกส์นนงานที
ั เกิดขึนมักจะเกิดจากการเคลือนทีของลูกสู บภายใน
กระบอกสู บทีมีสารสถานะเป็ นแก๊สอยู่ภายใน ตัวอย่างเช่นลูกสู บภายในเครื องยนต์ ลูกสู บภายในเครื องอัด
เป็ นต้น ดังนันงานในลักษณะดังทีกล่าวมานันจะมีชือว่างานขอบเขตเคลือนที (moving boundary work) ซึง
43
dL
แก๊ส
P
2
P2
P1 1
V2 V1 V
W =
1 2 ∫ δW = ∫ P dV
1 1
= พืนทีใต้กราฟความดันและปริ มาตร (4.7)
P
2
P2
B
A
P1 1
V2 V1 V
V2 V1
รู ปที 4.5 อนุพนั ธ์ของปริ มาตรทีไม่ขึนอยูก่ บั วิถี
∫ dV
1
2 = V2 − V1 = ΔV (4.8)
นอกจากนี กระบวนโพลี โ ทรปิ กยัง มี ค วามสอดคล้อ งกับ พฤติ ก รรมการลู่ เ ข้า เชิ ง กํา กับ (asymptotical
approach) กล่าวคือหากต้องการให้ V → 0, P → ∞ และในขณะเดียวกัน P → 0, V → ∞ เมือนํา
สมการที 4.9 ไปแทนในสมการที 4.7 แล้วทําการหาค่าปริ พนั ธ์ จะได้วา่
2 2
C P V −P V
1 2W =
∫
1
P dV =
∫1
V n
dV = 2 2 1 1 โดยที n ≠ 1
1− n
(4.10)
ตัวอย่างที 4.1
นํามวล 0.5 kg ถูกบรรจุอยูใ่ นกระบอกสู บและลูกสู บทีมีนาหนั
ํ กเบา P0
ในทีนีด้านบนของลูกสูบติดกับสปริ งเชิงเส้นและสัมผัสกับบรรยากาศภายนอก CM
ทีมีความดัน P0 = 100 kPa ดังรู ป ในตอนเริ มต้นนํามีความดัน 100 kPa และ
คุณภาพสารสองสถานะร้อยละ 70 ส่ วนสปริ งก็อยูท่ ีตําแหน่งสมดุลนันคือยัง
H2O
ไม่ได้รับแรงกด ต่อมานําได้รับความร้อนจนกระทังมีปริ มาตรเป็ น 1.5 เท่า
และความดันเพิมขึนเป็ น 200 kPa จงหางานทีเกิดขึนจากกระบวนการดังกล่าว
วิธีทาํ
มวลควบคุม: นําภายในกระบอกสูบ
กระบวนการ: สปริ งเชิงเส้น
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ของนํา
ตัวแปรทีทราบค่า: m, P0, P1, x1, P2, V2=1.5V1
ตัวแปรทีต้องการ: 1W2
ถ้าให้ลูกสูบมีพืนทีหน้าตัด A ระยะทีสปริ งถูกกดเป็ นระยะ x จากตําแหน่งสมดุล ค่าคงตัวสปริ งมีค่า
เป็ น k ดังนันแรงทีสปริ งกระทําต่อลูกสู บหรื อ Fs = kx เมือเขียนกฎข้อทีหนึงของนิวตันหรื อสมดุลแรงที
ลูกสูบในทิศทางตามแกน y จะได้วา่
47
Fs
∑ Fy = 0 y
PA − P0 A − Fs = 0 P0
kx
P = P0 + P
A
แต่ทงนี
ั ระยะ x สามารถหาได้จากปริ มาตรทีเพิมขึนของกระบอกสูบกล่าวคือ
V − V0
x=
A
โดยที V คือปริ มาตรของนําทีตําแหน่งใดๆ และ V0 คือปริ มาตรของนําทีตําแหน่งสมดุลของสปริ ง เมือแทน
ค่า x ลงไปในสมการสมดุลแรงจะได้วา่
k k k
P = P0 + 2 (V − V0 ) = ⎛⎜ P0 − 2 V0 ⎞⎟ + 2 V
A ⎝ A ⎠ A
จากสมการด้านบนจะเห็นได้ว่าเมือ V = V0 จะทําให้ P = P0 ซึงนันคือความดันของนําจะเท่ากับความดัน
บรรยากาศภายนอกและปราศจากแรงกดของสปริ ง นอกจากนีหากเขียนสมการด้านบนเสี ยใหม่โดยยุบเอาค่า
คงตัวเข้าด้วยกัน จะได้วา่
P = C 0 + C1 V
ดังนันจากสมการข้างต้นจะเห็นได้ว่ากระบวนการขยายตัวของลูกสู บทีมีสปริ งกดอยู่ดา้ นบนนันจะทําให้
ความสัมพันธ์ระหว่างความดันและปริ มาตรเป็ นแบบเส้นตรง
จากข้อมูลทีโจทย์กาํ หนด
ภาวะที 1 (ภาวะตังต้น): P1 = 100 kPa
x1 = 0.7 ภาวะถูกกําหนดแล้วโดยเป็ นของผสมสองสถานะ
⎛ m3 ⎞ ⎛ m3 ⎞
ดังนัน v 1 = (1 − x 1 ) v f + x 1 v g = ( 0.3)⎜ 0.001043 ⎟ + ( 0.7 )⎜ 1.69400 ⎟
⎝ kg ⎠ ⎝ kg ⎠
m3
v 1 = 1.18611
kg
m3 ⎞
V1 = m v 1 = (0.5 kg )⎜ 1.18611 ⎟ = 0.59306 m 3
⎛
หาปริ มาตรทีภาวะที 1
⎝ kg ⎠
2
200 kPa
100 kPa 1
0.59306 m3 0.88959 m3 V
จากนันหางานขอบเขตเคลือนทีจากสมการที 4.7
2
1W2 =
∫ P dV
1
= พืนทีใต้กราฟความดันและปริ มาตร
= พืนที 1 +
พืนทีรวม พืนที 2
V V V
ตัวอย่างที 4.2
อากาศมวล 0.6 kg ความดัน 100 kPa อุณหภูมิ 300 K ถูกบรรจุอยูใ่ นกระบอกสู บและลูกสู บ
หลังจากนันอากาศได้ถูกอัดอย่างช้าๆ ด้วยกระบวนการไอโซเธอร์มลั จนกระทังความดันมีค่าเท่ากับ 250 kPa
จงคํานวณหางานทีเกิดขึนจากกระบวนการดังกล่าว
วิธีทาํ แรง
มวลควบคุม: อากาศภายในกระบอกสูบ
กระบวนการ: ไอโซเธอร์มลั CM
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: อากาศเป็ นแก๊สอุดมคติ
อากาศ
ตัวแปรทีทราบค่า: m, P1, T1, P2
ตัวแปรทีต้องการ: 1W2
จากข้อมูลทีโจทย์กาํ หนด
ภาวะที 1 (ภาวะตังต้น): m = 0.6 kg, P1 = 100 kPa, T1 =300 K
สําหรับอากาศ R = 0.287 kJ/kg-K
สมการแก๊สอุดมคติ P1 V1 = m R T1
(100 kPa ) V
1 = (0. 6 kg ) ⎛
⎜ 0 . 287
kJ ⎞
⎟ (300 K )
kg − K ⎠
⎝
V1 = 0.5166 m 3
เนืองจากกระบวนการทีเกิดขึนมีอุณหภูมิคงที ดังนัน
ภาวะที 2 (ภาวะสุ ดท้าย): m = 0.6 kg, P2 = 250 kPa, T2 = T1 = 300 K
สมการแก๊สอุดมคติ P2 V2 = m R T2
งานขอบเขตเคลือนทีซึงเกิดจากกระบวนการไอโซเธอร์มลั ของแก๊สอุดมคติจะเทียบเท่ากับกระบวนการโพลี
โทรปิ กทีมีค่า n = 1 ดังนันงานขอบเขตเคลือนทีจะสามารถหาได้จากสมการที 4.11 กล่าวคือ
2
⎛ V2 ⎞ ⎛ 0.20664 m 3 ⎞
P dV = P1 V1 ln ⎜⎜ ⎟⎟ = (100 kPa )(0.5166 m )ln ⎜
∫ ⎟
3
1W2 = ⎜ 3 ⎟
1 ⎝ V1 ⎠ ⎝ 0.5166 m ⎠
1W2 = − 47.34 kJ คําตอบ
50
หมายเหตุ
1) งานที ได้เป็ นลบซึ งเป็ นตามสัญนิ ยมเนื องจากเป็ นงานทีเกิ ดจากแรงภายนอกกระทําต่อระบบ ทําให้
ปริ มาตรของอากาศลดลง
2) จากกระบวนการโพลีโทรปิ กทีมีค่า n = 1 จะได้ว่า P1V1 = P2V2 ดังนันเมือนําสมการดังกล่าวไปแทนเพือ
⎛P ⎞
หาค่า 1W2 จะได้วา่ 1W2 = P1 V1 ln ⎜⎜ 1 ⎟⎟ ซึงก็จะทําให้ได้คาํ ตอบเดียวกัน
⎝ P2 ⎠
4.5 นิยามของความร้อน
ความร้อน (heat หรื อ Q) เป็ นรู ปแบบหนึ งของพลังงานทีส่ งผ่านขอบเขตระบบอันเป็ นผลมาจาก
ผลต่างของอุณหภูมิระหว่างระบบและสิ งล้อมรอบ โดยทีความร้อนจะถ่ายเทจากทีทีมีอุณหภูมิสูงกว่าไปยังที
ํ าเสมอ จากนิ ยามดังกล่าวจะเห็นได้ว่าระบบจะไม่ถือครองความร้อนภายในตัวระบบเอง
ทีมีอุณหภูมิตากว่
แต่จะถือครองพลังงานทีเรี ยกว่าพลังงานภายในแทน ส่ วนความร้อนนันจะเกิดขึนเมือเกิดการถ่ายเทข้ามผ่าน
ขอบเขตระบบเท่านัน ดังนันความร้อนเป็ นปรากฏการณ์ทีเกิดขึนชัวขณะ ตัวอย่างเช่นหากระบบคือก้อน
เหล็กทีมีอุณหภูมิสูงกว่าสิ งล้อมรอบ ความร้อนก็จะถ่ายเทออกจากก้อนเหล็กสู่ สิงล้อมรอบ หากทิงก้อน
เหล็กไว้เป็ นระยะเวลานานจนกระทังอุณหภูมิของเหล็กมีค่าลดลงจนกระทังมีอุณหภูมิเท่ากับสิ งล้อมรอบ
เมือถึงจุดนี การถ่ายเทความร้อนก็จะเป็ นศูนย์เพราะผลต่างของอุณหภูมิมีค่าเป็ นศูนย์เช่นกัน โดยสัญนิ ยม
แล้ว ความร้ อ นที เข้า สู่ ร ะบบจะมี เ ครื องหมายเป็ นบวก ในทางกลับ กัน ความร้ อ นที ออกจากระบบจะมี
เครื องหมายเป็ นลบ กระบวนการทีมีการถ่ายเทความร้อนเป็ นศูนย์จะมีชือเรี ยกว่ากระบวนการแอเดียแบติก
(adiabatic process)
หน่วยของความร้อนตามหน่วยเอสไอคือจูล (Joule หรื อ J) เช่นเดียวกับงาน นอกจากนียังมีหน่วย
ของความร้อนทียังคงมีการใช้อยูใ่ นบางประเทศหรื อในสาขาโภชนาการได้แก่ แคลอรี (calorie หรื อ cal) โดย
ที 1 cal = 4.18681 J ในขณะทีการถ่ายเทความร้อนจําเพาะ (specific heat transfer หรื อ q) คือการถ่ายเทความ
ร้อนต่อหนึงหน่วยมวล ซึงสามารถเขียนสมการได้คือ
51
Q
q = (4.12)
m
โดยทีหน่วยของการถ่ายเทความร้อนจําเพาะจะเป็ นหน่วยเดียวกับงานจําเพาะคือ J/kg
อัตราการถ่ายเทความร้อน (heat transfer rate หรื อ Q& ) ซึงก็คืออัตราการถ่ายเทความร้อนต่อหน่วย
เวลาและจะเขียนเป็ นสมการได้เป็ น
2
δQ
Q& =
δt
หรื อ Q =
∫ Q&
1
δt (4.13)
1 Q2 =
∫ δQ
1
(4.14)
4.6 วิธีการถ่ายเทความร้อน
ในวิชาเธอร์ โมไดนามิกส์นันเราจะสนใจการถ่ายเทความร้อนทีเกิ ดจากการเปลียนภาวะของสาร
เพือให้สอดคล้องกับกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์ ทังนีทังนันเราจะไม่ได้เข้าไปศึกษาว่ากลไกการเกิด
ความร้อนทีเกิ ดจากผลต่างของอุณหภูมินันเป็ นอย่างไร ซึ งการศึกษาในส่ วนดังกล่าวนันจะอยู่ในวิชาการ
ถ่ายเทความร้อน (heat transfer) ซึงรายละเอียดนันอยูน่ อกเหนือขอบเขตของตําราเล่มนี อย่างไรก็ตามในทีนี
เราจะแนะนําวิธีการถ่ายเทความร้อนในเบืองต้นซึงประกอบไปด้วยสามวิธีดงั ต่อไปนี
การนําความร้อน (conduction) เป็ นวิธีการถ่ายเทความร้อนทีเกิดจากการส่ งผ่านการสันสะเทือนของ
โมเลกุลของสารหรื อตัวกลาง (medium) ต่อไปยังโมเลกุลข้างๆ จากทีเราได้อธิ บายมาแล้วในเรื องของ
พลังงานในทัศนคติจุลภาคว่าพลังงานในระดับโมเลกุลนันส่ วนหนึ งประกอบจากการเคลือนไหวในรู ปแบบ
ต่างๆ เช่นการเคลือนที การหมุน การสันสะเทือนเป็ นต้น ดังนันโมเลกุลทีมีระดับพลังงานสู งกว่าหรื อทีมี
อุณหภูมิสูงกว่าก็จะส่ งต่อไปยังโมเลกุลทีมีระดับพลังงานตํากว่าหรื อทีมีอุณหภูมิตากว่
ํ าต่อไปเรื อยๆ โดยที
หากพิจารณาในระดับมหภาคแล้วตัวกลางจะไม่มีการเคลือนไหว ดังนันลักษณะของการส่ งผ่านพลังงานจึงมี
ลักษณะทีเรี ยกว่าเป็ นการแพร่ (diffusion) ของพลังงานผ่านตัวกลางทีไม่เคลือนไหวดังทีแสดงในรู ปที 4.6 (a)
การพาความร้อน (convection) เป็ นวิธีการถ่ายเทความร้อนทีเกิดขึนเมือตัวกลางเกิดการเคลือนไหว
ในระดับมหภาคขึน ดังนันตัวกลางของการพาความร้อนจึงเป็ นจําพวกของไหล เมือของไหลเคลือนไหวไป
ตามการเคลือนทีในระดับมหภาคของตัวกลาง ของไหลดังกล่าวก็จะทําให้เกิดการขนส่ งพลังงานหรื อการพา
ความร้อนเกิดขึน หากตัวกลางทีมีอุณหภูมิตากว่ ํ าเคลือนไหวหรื อไหลผ่านพืนผิวมีอุณหภูมิทีสู งกว่าก็จะเกิด
การพาความร้อนออกไปจากพืนผิวดังทีแสดงในรู ปที 4.6 (b)
52
ตัวกลางทีไม่เคลือนไหว ตัวกลางทีเคลือนไหว
T2 < T1
T1 T2 < T 1 Q&
T1 T2 < T1
T1 Q&
Q& คลืนรังสีความร้อน
มอเตอร์ มอเตอร์
ใบพัด ใบพัด
แบตเตอรี แบตเตอรี
ของไหล 1 ของไหล 1
T1 T1
T2 < T1 T2 < T1
ของไหล 2 ของไหล 2
(a) (b)
แก๊ส แก๊ส
แบตเตอรี แบตเตอรี
(a) (b)
รู ปที 4.9 ตัวอย่างของความแตกต่างระหว่างานและความร้อนจากการเลือกระบบทีพิจารณา
54
แบบฝึ กหัด
1) โดยสัญนิยมแล้วงานจะมีเครื องหมายเป็ นอย่างไรในกรณี ต่อไปนี ให้ระบุดว้ ยว่างานทีเกิดขึนเป็ นงาน
ชนิดใด
(a) ไอนําความดันสูงผ่านกังหันแล้วทําให้กงั หันหมุน ระบบคือตัวกังหันทีมีไอนําไหลผ่าน
(b) นําในกาต้มนําร้อนไฟฟ้ าได้รับกระแสไฟฟ้ าทีจ่ายเข้าไปในขดลวดต้านทาน ระบบคือกาต้มนํา
ร้อนและนํา
(c) อากาศในกระบอกสูบและลูกสูบขยายตัวเพือดันนําหนักให้ยกขึน ระบบคืออากาศ
(d) ไข่ในชามถูกตีดว้ ยเครื องตีไข่ ระบบคือไข่ในชาม
2) สารทําความเย็นอาร์-134เอทีมีมวล 1.5 kg ถูกบรรจุอยูใ่ นกระบอกสู บและลูกสู บซึงสามารถเคลือนที
ได้โดยอิสระ ในตอนเริ มต้นอาร์-134เอมีความดัน 100 kPa อุณหภูมิ 0oC ต่อมากระบอกสู บได้รับ
ความร้อนจนอาร์-134เอขยายตัวขึนจนมีอุณหภูมิ 80oC จงหางานทีเกิดขึนจากการขยายตัวดังกล่าว
3) ก๊าซไนโตรเจนมวล 0.3 kg ถูกบรรจุอยูใ่ นกระบอกสู บซึ งตัวลูกสู บมีสปริ งเชิงเส้นติดไว้อยูด่ า้ นบน
ในตอนเริ มต้นไนโตรเจนมีความดัน 100 kPa อุณหภูมิ 300 K ต่อจากนันไนโตรเจนได้รับความร้อน
และขยายตัวจนกระทังมีความดัน 160 kPa อุณหภูมิ 600 K จงหางานทีเกิดขึนจากการขยายตัว
ดังกล่าว (8.6814 kJ)
4) จงอธิบายโดยสังเขปว่าวิธีการถ่ายเทความร้อนมีกีวิธี อะไรบ้าง และแต่ละวิธีมีลกั ษณะเป็ นอย่างไร
5) คํากล่าวว่างานและความร้อนเป็ นฟังก์ชนั วิถีหมายความว่าอย่างไร อธิบาย
บทที 5
กฎข้ อทีหนึงของเธอร์ โมไดนามิกส์
5.1 กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุมภายใต้วฏั จักร
พิจารณามวลควบคุมภายใต้วฏั จักรทีมีงานและความร้อนถ่ายเทผ่านขอบเขตระบบดังทีแสดงในรู ปที
5.1
1Q2
4W1
1 1W2
4Q1
4 2
Q
3W4
3 2 3
Q W3
2
3 4
∫ δQ = ∫ δW (5.1)
∫ δQ + ∫ δQ + ∫ δQ + ∫ δQ
1 2 3 4
=
∫ δW + ∫ δW + ∫ δW + ∫ δW
1 2 3 4
∑Q
cycle
all = ∑W
cycle
all (5.2)
ทังนี การแทนค่า W และ Q ในสมการที 5.1 และ 5.2 นันจะต้องเป็ นไปตามสัญนิ ยมทีได้กาํ หนดไปแล้ว
สําหรับงานและความร้อน
ตัวอย่างที 5.1
ทิงสู่ภายนอก
เครื องปรั บอากาศเป็ นอุปกรณ์ ทีทํางานเป็ นวัฏจักรโดย
การดูดความร้อน 200 kJ จากอากาศเพือผลิตอากาศเย็น ในทีนี QH
W
เครื องปรับอากาศจะต้องบริ โภคพลังงานไฟฟ้ าไปเท่ากับ 60 kJ เครืองปรับอากาศ พลังงานไฟฟา
จากนันเครื องปรับอากาศก็ทิงความร้อนไปสู่ บรรยากาศภายนอก
ในปริ มาณหนึ ง ให้ ค ํา นวณหาความร้ อ นที ทิ งสู่ บ รรยากาศ QL
ภายนอกดังกล่าว อากาศเย็น
วิธีทาํ
มวลควบคุม: สารทําความเย็นในเครื องปรับอากาศ
กระบวนการ: วัฏจักร
ตัวแปรทีทราบค่า: QL, W
ตัวแปรทีต้องการ: QH
เนื องจากสารทําความเย็นในเครื องปรับอากาศทํางานเป็ นวัฏจักร ดังนันจากกฎข้อทีหนึ งของเธอร์
โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุมภายใต้วฏั จักร
∑Q
cycle
all = ∑W
cycle
all
QL + QH = W
(200 kJ ) + Q H = (− 60 kJ )
Q H = − 260 kJ คําตอบ
หมายเหตุ
พลัง งานไฟฟ้ าเป็ นงานที ใส่ เ ข้า สู่ ร ะบบดัง นันจึ ง มี เ ครื องหมายเป็ นลบ ส่ ว นความร้ อ นที ทิ งสู่
บรรยากาศภายนอก (QH) นันเป็ นตัวแปรทีไม่ทราบค่า ดังนันจึงให้เครื องหมายเป็ นบวกไปก่อน หลังจากที
แทนค่าจนได้คาํ ตอบแล้ว จะเห็นได้ว่าเครื องหมายของ QH จะมีค่าเป็ นลบ นันแสดงว่า QH เป็ นความร้อนที
ถ่ายเทออกจากระบบดังทีแสดงในรู ป
57
P
2
B
A
C
1
V
รู ปที 5.2 แผนภาพความดัน-ปริ มาตรแสดงวัฎจักรทีมีกระบวนการเดินหน้าสองกระบวนการ
และกระบวนการย้อนกลับเพียงกระบวนการเดียว
∫ δQ + ∫ δQ
1
A
2
B =
∫ δW + ∫ δW
1
A
2
B
∫ δQ + ∫ δQ
1
C
2
B =
∫ δW + ∫ δW
1
C
2
B
∫ δQ − ∫ δQ
1
A
1
C =
∫ δW − ∫ δW
1
A
1
C
2 2
∫ (δQ − δW )
1
A =
∫ (δQ − δW )
1
C
58
สําหรับพลังงานจลน์และพลังงานศักย์โน้มถ่วงนันจะนิยามตามหลักวิชากลศาสตร์คือ
1
KE = m V 2 และ PE = m g Z
2
โดยที V และ Z คือความเร็ วของสารในมวลควบคุมและระดับความสู งเมือเทียบกับระดับอ้างอิงตามลําดับ
เมือแทนค่า KE และ PE ลงในสมการที 5.6 และ 5.7 จะได้วา่
dU + m V dV + m g dZ = δQ − δW (5.8)
แก๊ส แก๊ส
ΔE = 10 kJ ΔE = 10 kJ
Q = 10 kJ W = 10 kJ
(a) (b)
รู ปที 5.3 การเปรี ยบเทียบงานและความร้อนในมุมมองของกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์
u = (1 − x ) u f + x u g (5.11)
u = u f + x u fg (5.12)
5.4 การวิเคราะห์ปัญหาและกลวิธีในการหาคําตอบ
จากเนือหาทีผ่านมา จะเห็นได้วา่ เราได้เรี ยนรู ้พืนฐานมากมายเกียวกับเธอร์โมไดนามิกส์ ตัวอย่างเช่น
ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสารในรู ปแบบต่างๆ พลังงานในรู ปของงานและความร้อน รวมทังการ
แนะนํา กฎข้อ ที หนึ งของเธอร์ โ มไดนามิ ก ส์ สํา หรั บ มวลควบคุ ม ในทางปฏิ บ ัติ นันปั ญ หาทางเธอร์ โ ม
ไดนามิกส์นนจะมี
ั อยูห่ ลากหลาย ดังนันในหัวข้อนีจะเป็ นการนําเสนอกลวิธีสาํ หรับในการวิเคราะห์เพือหา
คําตอบของปัญหาทางเธอร์โมไดนามิกส์ซึงจะสามารถเรี ยงลําดับได้เป็ นขันตอนดังต่อไปนี
1) เลือกระบบทีกําลังพิจารณา และพิจารณาว่าระบบดังกล่าวเป็ นมวลควบคุมหรื อปริ มาตรควบคุม
ขันตอนนี เป็ นขันตอนทีสําคัญมากเพราะชนิ ดของสารทีอยูใ่ นระบบทีพิจารณา พลังงานทีผ่าน
ขอบเขตระบบ รวมทังกฎทางเธอร์ โมไดนามิกส์ สิ งเหล่านี จะทราบหรื อเขียนขึนได้ก็ต่อเมือ
ระบบได้ถูกกําหนดขึนแล้วเท่านัน การวาดแผนภาพอย่างง่ายๆ เพือระบุระบบทีกําลังพิจารณา
จะทําให้สามารถการแก้ปัญหาในภายหลังทําได้ง่ายขึน
2) พิจารณาว่าทราบข้อมูลซึ งได้แก่สมบัติเธอร์ โมไดนามิกส์ต่างๆ ทีเกี ยวกับภาวะตังต้นหรื อไม่
อย่างไร
3) พิจารณาว่าทราบข้อมูลซึ งได้แก่สมบัติเธอร์ โมไดนามิกส์ต่างๆ ทีเกียวกับภาวะสุ ดท้ายหรื อไม่
อย่างไร
4) พิจารณาว่าทราบถึงกระบวนการทีเกิดขึนหรื อไม่ อย่างไร ทังนี กระบวนการทีเกิดขึนนันอยู่
ภายใต้เงือนไขใด ตัวอย่างเช่น ความดันคงที ปริ มาตรคงที การเคลือนทีถูกควบคุมด้วยสปริ ง
ความร้อนทีผ่านขอบเขตระบบเป็ นศูนย์ เป็ นต้น
62
300 kPa 2
Psat @110oC 1
0.25 m3 V
1W2 =
∫ P dV
1
= 0
จากกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุม
1 Q2 − 1W2 = ΔE = ΔU + ΔKE + ΔPE
เนื องจากระบบไม่มีการเคลือนที ดังนัน ΔKE = 0 และ ΔPE = 0 รวมทัง 1W2 = 0 จากข้างต้น กฎข้อทีหนึง
ของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุมจึงลดรู ปเป็ น
1 Q2 = ΔU = m (u 2 − u 1 )
64
แทนค่าลงไปจะได้วา่
⎛ kJ ⎞
Q
1 2 = 0. 20659 kg ⎜ 3,155. 85 − 2 , 518. 09 ⎟
⎝ kg ⎠
1 Q 2 = 131.75 kJ คําตอบ
แก๊ส แก๊ส
ภาวะที 1 ภาวะที 2
งานทีกระทําโดยระบบคืองานจากการเคลือนทีของลูกสูบอันเนืองมาจากงานขอบเขตเคลือนที ดังนัน
2
1W2 =
∫ P dV
1
ตัวอย่างที 5.3
ไอนําอิมตัวมวล 0.32 kg ถูกบรรจุอยูใ่ นกระบอกสู บและลูกสู บทีความดัน 500 kPa ตัวลูกสู บและ
ก้อนนําหนักจะรักษาความดันของนําให้คงทีที 500 kPa ต่อมาความร้อนถ่ายเทเข้าสู่ ระบบจนกระทังไอนํา
ภายในขยายตัวจนกระทังมีอุณหภูมิ 300oC จงหาความร้อนทีถ่ายเทเข้าสู่ ไอนําจากกระบวนการดังกล่าว
วิธีทาํ CM
มวลควบคุม: นําภายในกระบอกสูบ
กระบวนการ: ไอโซบาริ ก
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ของนํา H2O
ตัวแปรทีทราบค่า: m, P1, x1, T2
ตัวแปรทีต้องการ: Q
1Q2
จากข้อมูลทีโจทย์กาํ หนด
ภาวะที 1 (ภาวะตังต้น): P1 = 500 kPa
x1 = 1 ภาวะถูกกําหนดแล้วโดยเป็ นไออิมตัว
ดังนัน v1 = vg = 0.37489 m3/kg
u1 = ug = 2,561.23 kJ/kg
h1 = hg = 2,748.67 kJ/kg
1 2
500 kPa
V
67
เนืองจากความดันมีค่าคงที ดังนันจะสามารถหางานขอบเขตเคลือนทีได้จาก
2
1W2 =
∫ P dV
1
= P (V2 − V1 ) = P m (v 2 − v 1 )
m3 ⎞
= (500 kPa )(0.32 kg )⎜ 0.52256 − 0.37489 ⎟
⎛
⎝ kg ⎠
1W2 = 23.627 kJ
จากกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุม
1 Q2 − 1W2 = ΔE = ΔU + ΔKE + ΔPE
เนื องจากระบบไม่มีการเคลือนทีไปในทิศทางใดๆ และไม่มีการเปลียนระดับความสู ง ดังนัน ΔKE = 0 และ
ΔPE = 0 กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุมจึงเขียนได้เป็ น
1 Q2 − 1W2 = ΔU = m (u 2 − u 1 )
แทนค่าลงไปจะได้วา่
⎛ kJ ⎞
Q
1 2 − 23.627 kJ = 0. 32 kg ⎜ 2 ,802. 91 − 2 , 561. 23 ⎟
⎝ kg ⎠
1 Q 2 − 23.627 kJ = 77.338 kJ
1 Q 2 = 101.0 kJ คําตอบ
δQ δQ
(a) (b)
1) กรณี ทีปริ มาตรคงทีดังทีแสดงในรู ปที 5.5 (a) จะเห็นได้วา่ เนืองจาก dV = 0 เป็ นผลให้งานขอบเขต
เคลือนทีหรื อ 1W2 = 0 ด้วย ดังนันสมการกฎข้อทีหนึ งของเธอร์โมไดนามิกส์ทีอยูใ่ นรู ปอนุ พนั ธ์หรื อ
สมการที 5.6 จะสามารถเขียนได้เป็ น
δQ − δW = dU + d( KE ) + d( PE )
δQ = dU
เนื องจากกระบวนการเป็ นแบบปริ มาตรคงที ดังนันเราจะเรี ยกความร้อนจําเพาะในกรณี นีว่า ความร้อน
จําเพาะทีปริ มาตรคงที (specific heat at constant volume หรื อ CV) จากนิ ยามของความร้อนจําเพาะทีได้
กล่าวมา เราจะสามารถแปลงคํานิยามดังกล่าวให้เป็ นสมการทีอยูใ่ นรู ปของอนุพนั ธ์ได้คือ
1 ⎛ δQ ⎞
CV = ⎜ ⎟ (5.18)
m ⎝ δT ⎠ V
เมือแทนค่ากฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์ทีลดรู ปแล้วจากสมการด้านบนจะได้วา่
1 ⎛ ∂U ⎞ ⎛ ∂u ⎞
CV = ⎜ ⎟ = ⎜ ⎟ (5.19)
m ⎝ ∂T ⎠ V ⎝ ∂T ⎠ V
69
1W2 =
∫ P dV
1
= 0
71
จากกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุม
1 Q2 − 1W2 = ΔE = ΔU + ΔKE + ΔPE
เนืองจากระบบไม่มีการเคลือนทีและเปลียนระดับความสู ง ดังนัน ΔKE = 0 และ ΔPE = 0 นอกจากนี
้ ฉนวนและถือว่าความร้อนสู ญเสี ยจากทางด้านบนมีค่าน้อยมากและ 1W2 = 0 จาก
1Q2 = 0 เนื องจากภาชนะหุ ม
dV = 0 ทีแสดงไป ดังนันกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุมจึงลดรู ปเป็ น
0 = ΔU = U 2 − U1
ในทีนีมวลควบคุมประกอบไปด้วยสารสองชนิดได้แก่เหล็กหล่อและนํามันเครื อง ดังนันพลังงานภายในของ
มวลควบคุมจึงเขียนได้เป็ น
U1 = U iron ,1 + U oil ,1 = m iron u iron ,1 + m oil u oil ,1
U 2 = U iron , 2 + U oil , 2 = m iron u iron , 2 + m oil u oil , 2
แทนค่าพลังงานภายในลงไปในกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์ จะได้วา่
0 = U 2 − U 1 = (m iron u iron , 2 + m oil u oil , 2 )− (m iron u iron ,1 + m oil u oil ,1 )
0 = m iron (u iron , 2 − u iron ,1 ) + m oil (u oil , 2 − u oil ,1 )
เนื องจากความร้อนจําเพาะของสารทังสองเป็ นค่าคงตัว ดังนันผลต่างของพลังงานภายในจําเพาะของสารอัด
ไม่ได้จะสามารถเขียนได้อยูใ่ นรู ปของผลต่างของอุณหภูมิตามสมการที 5.26
0 = m iron C iron (Tiron , 2 − Tiron ,1 ) + m oil C oil (Toil , 2 − Toil ,1 )
ทังนีเนืองจากทีภาวะที 2 หรื อภาวะสุ ดท้าย ระบบอยูใ่ นสมดุลอุณหภาพ ดังนัน Tiron,2 = Toil,2 = T2 จากนัน
แทนค่าลงไปแล้วแก้สมการจะได้เป็ น
0 = m iron C iron (T2 − Tiron ,1 ) + m oil C oil (T2 − Toil ,1 )
u 2 − u1 =
∫C
1
V0 dT (5.33)
2
h 2 − h1 =
∫C
1
P0 dT (5.34)
h 2 − h1 =
∫C
T0
P0 ∫
dT − C P 0 dT = h T2 − h T1
T0
จากนันก็ทาํ การใส่ ค่า hT ซึ งเป็ นฟังก์ชนั ของอุณหภูมิค่าต่างๆ ลงไปในตาราง อนึ งค่า u ทีปรากฏอยูใ่ น
ตารางก็สามารถหาได้โดยตรงจากนิยามของเอนธัลปี นันคือ uT = hT − RT นันเอง ตัวอย่างของตารางที
ผ.6 ได้นาํ มาแสดงในตารางที 5.2
T u h
(K) (kJ/kg) (kJ/kg)
280 200.02 280.39
290 207.19 290.43
298.15 213.04 298.62
300 214.36 300.47
320 228.73 320.58
340 243.11 340.70
ตัวอย่างที 5.5
จงหาผลต่างของเอนธัลปี จําเพาะของอากาศทีได้รับความร้อนจนมีอุณหภูมิเพิมจาก 300 K ไปเป็ น
500 K โดยใช้วิธีทงสามวิ
ั ธีทีได้อธิบายในหัวข้อที 5.7
วิธีทาํ
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: อากาศเป็ นแก๊สอุดมคติ
ตัวแปรทีทราบค่า: T1, T2
ตัวแปรทีต้องการ: h2 − h1
77
หมายเหตุ
อนึ งหากลองทําการคํานวณใหม่อีกครังโดยตังสมมติฐานให้ CP0 เป็ นค่าคงตัวทีอุณหภูมิ 25oC
กล่าวคือจากตารางที ผ.4 จะได้ว่า CP0 = 1.004 kJ/kg-K จะทําให้คาํ นวณได้ค่า h2 − h1 = 200.8 kJ/kg-K ซึง
ทําให้ค่าผิดพลาดไปประมาณร้อยละ 1 เท่านัน ดังนันจะเห็นได้ว่ากระบวนการทีทําให้อากาศร้อนขึนหรื อ
เย็นลงทีพบในชีวิตประจําวันเช่นการปรับอากาศ (ในส่ วนทีเป็ นพลังงานสัมผัส) การระบายความร้อนทีหม้อ
นํารถยนต์หรื อทีเครื องควบแน่ น กระบวนการผลิตอากาศร้ อนในการอบอาหาร ต่างๆเหล่านี เป็ นต้น ซึ ง
กระบวนการเหล่านีมีช่วงการเปลียนแปลงของอุณหภูมิทีไม่มากนัก ทําให้การคํานวณหาผลต่างของเอนธัลปี
จําเพาะโดยการการตังสมมติฐานให้อากาศมี CP0 เป็ นค่าคงตัวแม้ว่าจะใช้ค่า CP0 ทีอุณหภูมิ 25oC แทนทีการ
ใช้ค่า CP0 ทีอุณหภูมิเฉลีย เป็ นทียอมรับได้ในทางวิศวกรรม
อย่างไรก็ตามผูเ้ ขียนอยากให้ตระหนักถึงข้อจํากัดของการตังสมมติฐานให้ค่า CP0 เป็ นค่าคงตัวที
25oC โดยการลองทําตัวอย่างนี ใหม่อีกครัง แต่เปลียนค่า T2 จาก 500 K ไปเป็ น 1,200 K แล้วจากนัน
คํานวณหาค่า h2 − h1 อีกครัง จะพบว่าค่าความผิดพลาดของการหาค่า h2 − h1 โดยการตังสมมติฐานให้ค่า
CP0 เป็ นค่าคงตัวที 25oC เมือเทียบกับวิธีที (3) จะมีค่าความคลาดเคลือนสูงถึงร้อยละ 7.5 เลยทีเดียว
ตัวอย่างที 5.6
กระบอกสู บและลูกสู บบรรจุแก๊สออกซิ เจนทีมีมวล 0.2 kg ความดัน 100 kPa อุณหภูมิ 33oC
หลังจากนันออกซิเจนได้ถูกอัดด้วยกระบวนการโพลีโทรปิ กทีมีค่า n = 1.2 จนกระทังออกซิ เจนมีความดัน
เท่ากับ 600 kPa จงคํานวณหางานและความร้อนทีเกิดขึนจากกระบวนการดังกล่าว
วิธีทาํ แรง
มวลควบคุม: ออกซิเจนภายในกระบอกสูบ
กระบวนการ: โพลีโทรปิ ก n = 1.2 CM
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ออกซิเจนเป็ นแก๊สอุดมคติ
O2
ตัวแปรทีทราบค่า: m, P1, T1, n, P2
ตัวแปรทีต้องการ: 1W2, 1Q2
79
จากข้อมูลทีโจทย์กาํ หนด
ภาวะที 1 (ภาวะตังต้น): m = 0.2 kg, P1 = 100 kPa, T1 =33oC
สําหรับออกซิเจน R = 0.2598 kJ/kg-K
สมการแก๊สอุดมคติ P1 V1 = m R T1
จากกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุม
1 Q 2 − 1W2 = ΔE = ΔU + ΔKE + ΔPE
เนืองจากระบบไม่มีการเคลือนทีและเปลียนระดับความสู ง ดังนัน ΔKE = 0 และ ΔPE = 0 ดังนันกฎข้อที
หนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุมจึงลดรู ปเป็ น
1 Q 2 − 1W2 = ΔU = m (u 2 − u 1 )
การหาผลต่างของพลังงานภายในจําเพาะของแก๊สอุดมคติในทีนี นัน จะต้องพิจารณาช่วงการเปลียนแปลง
ของอุณหภูมิก่อนจะเห็นว่าอุณหภูมิเปลียนจาก T1 = 306.15 K ไปเป็ น T2 = 412.69 K ซึ งมีช่วงการ
เปลียนแปลงของอุณหภูมิประมาณ 106 K นอกจากนีออกซิเจนยังเป็ นแก๊สอะตอมคู่ยอ่ มทําให้ค่า CV0 มี
ความผันแปรเทียบกับอุณหภูมิอยูบ่ า้ งบางส่ วน แต่เมือพิจารณาผลทีได้จากตัวอย่างที 5.5 จะเห็นได้ว่าช่วง
การเปลียนแปลงของอุณหภูมิในตัวอย่างที 5.5 ก็มีมากกว่าและอากาศก็เป็ นแก๊สอะตอมคู่เช่นเดียวกัน ดังนัน
จากตารางที ผ.4 หากตังสมมติฐานให้ออกซิเจนมีค่า CV0 เป็ นค่าคงตัวที 25oC ซึ งมีค่าเท่ากับ 0.662 kJ/kg-K
ก็น่าจะทําให้ได้คาํ ตอบทีมีความแม่นยําในระดับทียอมรับได้ในทางวิศวกรรม ดังนัน
u 2 − u1 = C V 0 ( 25 o C ) (T2 − T1 )
u 2 − u 1 = 0.662
kJ
kg − K
(412.69 − 306.15 K ) = 70.529
kJ
kg
แทนค่า u2 − u1 และ 1W2 ลงไปในกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุมทีลดรู ปแล้ว
Q
1 2 − (− 27. 68 kJ ) = 0. 2 kg
⎛
⎜ 70. 529
kJ ⎞
⎟
kg ⎠
⎝
1 Q 2 = − 13.57 kJ คําตอบ
หมายเหตุ
1) ค่า 1Q2 มีค่าติดลบแสดงว่าในระหว่างกระบวนการอัดอุณหภูมิของออกซิ เจนสู งขึนและเกิดการถ่ายเท
ความร้อนออกไปสู่สิงล้อมรอบ
5.9 การอนุรักษ์มวล
หลักการอนุรักษ์มวล (conservation of mass principle) นันเป็ นหลักการหนึงทีกล่าวไว้ว่ามวลจะไม่
สามารถถูกสร้างขึนหรื อถูกทําลายได้ซึงจะมีความสอดคล้องกับหลักการอนุ รักษ์พลังงานหรื อก็คือกฎข้อที
หนึงของเธอร์โมไดนามิกส์ดงั ทีได้กล่าวไปแล้ว สําหรับในกรณี ทีระบบเป็ นมวลควบคุมนัน เป็ นทีทราบกัน
ดีอยูแ่ ล้วว่ามวลของระบบจะมีค่าคงทีอยูต่ ลอดเวลา ดังนันหลักการอนุรักษ์มวลจึงมีความสอดคล้องไปโดย
ปริ ยายโดยไม่ตอ้ งมีการเขียนหรื อแสดงสมการแต่ประการใด
อย่างไรก็ตามอาจมีขอ้ สงสัยถึงความเป็ นไปได้ของการเปลียนจากมวลไปเป็ นพลังงานหรื อกลับกัน
ซึงเป็ นผลมาจากความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงานงานของไอน์สไตน์ E = mc2 โดย c คือความเร็ วของ
แสงในสุ ญญากาศซึงมีค่าเท่ากับ 2.9979 x 108 m/s จากการคํานวณอย่างง่ายๆ โดยนําความร้อนจากตัวอย่างที
5.3 ซึงมีค่าประมาณ 100 kJ มาเปลียนเป็ นมวล ผลทีได้คือมวลของนําในตัวอย่างข้อที 5.3 จะเปลียนแปลงไป
ประมาณ 1.11 x 10−12 kg ซึงแม้แต่อุปกรณ์วดั มวลทีละเอียดทีสุ ดก็คงจะไม่สามารถตรวจจับความแตกต่าง
ของมวลทีเกิดขึนในครังนี ได้ ดังนันในงานทีเกียวข้องกับทางวิศวกรรมโดยทัวไป เราจึงไม่คาํ นึ งถึงผลอัน
เกิดมาจากความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงานดังกล่าว
82
แบบฝึ กหัด
1) กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุมภายใต้วฏั จักรกล่าวไว้วา่ อย่างไร อธิบาย
2) รถยนต์คนั หนึงมีมวล 1,200 kg ถูกเร่ งให้มีความเร็ วเพิมขึนจาก 40 km/hr ไปเป็ น 80 km/hr จงหางาน
ทีกระทําต่อรถยนต์เพือให้มีความเร็ วเพิมขึนดังกล่าว
3) ถังใบหนึงมีปริ มาตร 1 m3 บรรจุนามวลํ 0.8 kg ซึงมีความดัน 200 kPa จงหาพลังงานภายในจําเพาะ
และเอนธัลปี จําเพาะของนําภายในถัง
4) ไอนําซึงมีความดัน 500 kPa อุณหภูมิ 300oC ถูกบรรจุในถังปิ ดซึงมีปริ มาตร 0.8 m3 ต่อมาถังถูกทิง
ไว้ในบรรยากาศภายนอกจนกระทังความดันภายในถังมีค่าเท่ากับ 200 kPa จงหาปริ มาณความร้อนที
ถ่ายเทในกระบวนการดังกล่าว
5) นํามวล 2 kg ถูกอัดด้วยกระบวนการโพลีโทรปิ กทีมีค่า n = 1.2 ในอุปกรณ์ทีประกอบไปด้วยกระบอก
สูบและลูกสูบ ในตอนเริ มต้นนํามีความดัน 100 kPa อุณหภูมิ 250oC กระบวนการอัดสิ นสุ ดเมือนํามี
ความดัน 300 kPa จงคํานวณหาการถ่ายเทความร้อนในกระบวนการดังกล่าว
6) จงคํานวณผลต่างของเอนธัลปี จําเพาะของคาร์บอนไดออกไซด์ทีมีอุณหภูมิเพิมขึนจาก 300 K ไปเป็ น
700 K โดยวิธีการดังต่อไปนี
(a) ตังสมมติฐานว่า CP0 ของคาร์บอนไดออกไซด์มีค่าคงทีทีอุณหภูมิหอ้ ง 25oC
(b) ตังสมมติฐานว่า CP0 ของคาร์บอนไดออกไซด์มีค่าคงทีทีอุณหภูมิเฉลีย
(c) ให้ CP0 ของคาร์บอนไดออกไซด์เป็ นฟังก์ชนั พหุนามลําดับทีสามของอุณหภูมิ
(d) ใช้ตาราง ผ.6
7) อากาศอยูใ่ นกระบอกสู บทีความดัน 200 kPa อุณหภูมิ 800 K และมีปริ มาตรตังต้นเท่ากับ 0.5 m3
อากาศขยายตัวด้วยกระบวนการความดันคงทีจนกระทังมีปริ มาตรเป็ นสองเท่า จงหางานและการ
ถ่ายเทความร้อนทีเกิดขึน
83
บทที 6
การวิเคราะห์ กฎข้ อหนึงสํ าหรับปริมาตรควบคุม
6.1 การอนุรักษ์มวลและปริ มาตรควบคุม
ปริ มาตรควบคุมเป็ นปริ มาตรสมมติทีถูกเลือกขึนเพือใช้สาํ หรับครอบคลุมบริ เวณทีเราสนใจจะศึกษา
ปริ มาตรควบคุมจะถูกล้อมรอบด้วยผิวควบคุมและอนุญาตให้ทงมวลและพลั
ั งงานไหลผ่านเข้าสู่ และออกจาก
ปริ มาตรควบคุมได้ เนื องจากมวลภายในของปริ มาตรควบคุมอาจจะเกิดการเปลียนแปลงอันเป็ นผลมาจาก
มวลในส่ วนทีไหลเข้าและไหลออก ดังนันสําหรับปริ มาตรควบคุมแล้วจึงต้องมีการพิจารณาหลักการอนุรักษ์
มวล โดยอาศัยหลักทางฟิ สิ กส์ง่ายๆ การเขียนหลักการอนุ รักษ์มวลให้อยู่ในรู ปของสมการสามารถทําได้
โดยการพิจารณาถังนําทีมีนาไหลเข้
ํ าและไหลออกดังรู ปที 6.1
นําไหลเข้า
นําสะสมภายใน นําไหลออก
แทนค่าด้วยสัญลักษณ์ได้เป็ น
dm CV
dt
= ∑ m& i − ∑m& e (6.1)
V& =
∫Vlocal dA
ตัวอย่างที 6.1
อากาศความดัน 250 kPa อุณหภูมิ 340oC กําลังไหลอยูใ่ นท่อทีมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8 m ด้วย
ความเร็ ว 8.6 m/s จงคํานวณหาอัตราไหลเชิงปริ มาตรและอัตราไหลเชิงมวลของอากาศนี
วิธีทาํ
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: อากาศเป็ นแก๊สอุดมคติ
ตัวแปรทีทราบค่า: P, T, D, V
ตัวแปรทีต้องการ: m&
จากข้อมูลทีทราบ การหาอัตราไหลเชิงมวลได้นนจะต้
ั องทราบปริ มาตรจําเพาะของอากาศก่อน
ภาวะของอากาศ: P = 250 kPa, T =340oC
สําหรับอากาศ R = 0.287 kJ/kg-K
สมการแก๊สอุดมคติ Pv = mRT
(250 kPa )v ⎛
= ⎜ 0.287
kJ ⎞
⎟ (613.15 K )
kg − K ⎠
⎝
m3
v = 0.70390
kg
เนืองจากท่อมีหน้าตัดเป็ นวงกลมดังนัน
π π
A = D 2 = 0.8 2 m 2 = 0.50265 m 2
4 4
86
อัตราการสะสมพลังงาน
= อัตราการถ่ายเทพลังงาน − อัตราการถ่ายเทพลังงาน
ภายในปริมาตรควบคุม เข้าสู่ปริมาตรควบคุม ออกจากปริมาตรควบคุม
m& i
W& boundary
m& e
W&
Q&
dE CV
= Q& − W& + E& mass flow ,i − E& mass flow ,o (6.5)
dt
จะเห็นได้ว่าพจน์ทีเพิมเติมเข้าไปนอกเหนือจากสมการที 6.4 ก็คือ E& mass flow ,i และ E& mass flow ,o หรื อก็คืออัตรา
การขนส่ งพลังงานผ่านผิวควบคุมโดยอัตราไหลเชิงมวลนันเอง
ในการขนส่ งพลังงานเข้าสู่ และออกจากปริ มาตรควบคุมนันสิ งทีจะต้องพิจารณาก็คือมีพลังงาน
รู ปแบบใดบ้างทีสารจะสามารถขนส่ งผ่านผิวควบคุมได้ พลังงานรู ปแบบแรกก็คือพลังงานทีเราได้แนะนํา
ไปแล้วในหัวข้อที 5.2 นันคือพลังงานรวมจําเพาะ (specific total energy หรื อ e) ซึงก็คือผลรวมของพลังงาน
ทุกรู ปแบบหรื อพลังงานรวมมาคิดต่อหนึงหน่วยมวลกล่าวคือ
E U + KE + PE V2
e = = = u+ + gZ
m m 2
นอกเหนือจากพลังงานรวมจําเพาะทีขนผ่านผิวควบคุมโดยอัตราไหลเชิงมวลแล้ว ยังมีพลังงานอีกรู ปหนึงที
ผ่านเข้าออกทางผิวควบคุมซึงมีชือว่าพลังงานไหล (flow energy หรื อ Wflow ) พลังงานไหลนันเกิดจากการที
ของไหลจะสามารถไหลเข้าสู่ ปริ มาตรควบคุมได้นนจะต้
ั องถูกดันจากก้อนของไหลทีอยูถ่ ดั ไปดังทีแสดงใน
รู ปที 6.4 (a) ลักษณะของการดันทีเกิดขึนนันเปรี ยบได้กบั การมีลูกสู บจําลองคอยดันของไหลให้ไหลเข้าสู่
ปริ มาตรควบคุมดังทีแสดงในรู ปที 6.4 (b)
area A
P F P
v v
CV CV
L
Wflow
V2 V2
e + w flow = e + Pv = u + + gZ + Pv = h + + gZ
2 2
จะเห็ นได้ว่าพลังงานไหลได้ถูกรวมเข้ากับพลังงานภายในจําเพาะกลายไปเป็ นเอนธัลปี จําเพาะ ดังนัน
พลังงานรวมทีเกิดจากการไหลต่อหนึ งหน่วยมวลก็คือผลรวมระหว่างเอนธัลปี จําเพาะ พลังงานจลน์ต่อหนึ ง
หน่ วยมวลและพลังงานศักย์ต่อหนึ งหน่วยมวล เราจะเรี ยกผลรวมดังกล่าวว่าเอนธัลปี รวม (total enthalpy
หรื อ htotal) ซึงจะสามารถเขียนได้เป็ น
V2
h total = h + + gZ (6.7)
2
ดังนัน E& mass flow ,i และ E& mass flow ,o จะสามารถเขียนได้เป็ น
E& mass flow ,i = m& i h total ,i และ E& mass flow ,e = m& e h total ,e (6.8)
จากนันแทนค่าในสมการที 6.8 ข้างต้นลงไปในสมการที 6.5 ผลทีได้คือ
dE CV
= Q& − W& + m& i h total ,i − m& e h total ,e
dt
ทังนีทังนันอาจจะเป็ นไปได้ว่าทางเข้าและทางออกของปริ มาตรควบคุมอาจจะมีหลายทาง ดังนันจึงต้องเพิม
เครื องหมายผลบวกลงไปข้างหน้าพจน์ทีมีการไหลปรากฏอยู่ จะได้วา่
dE CV
dt
= Q& − W& + ∑ m& h i total ,i − ∑ m& h e total ,e
(6.9)
V2 V2
= Q& − W& + ∑ m& ⎛⎜ h i i + i + gZ i ⎞⎟ − ∑ m& e ⎛⎜ h e + e + gZ e ⎞⎟
⎝ 2 ⎠ ⎝ 2 ⎠
สมการที 6.9 คือกฎข้อทีหนึ งของเธอร์ โมไดนามิกส์สาํ หรับปริ มาตรควบคุมและอยู่ในรู ปทัวไปก่อนทีจะ
นําไปลดรู ปเพือใช้งานในกรณี เฉพาะต่อๆ ไป ทังนีหากทบทวนสมการที 6.9 อีกครังพบว่าด้านซ้ายมือของ
สมการคืออัตราการเปลียนแปลงพลังงานทีเกิดขึนภายในปริ มาตรควบคุม ทังนีหากเราย้อนกลับไปดูสมการ
ที 6.5 ซึงเป็ นต้นแบบของสมการที 6.9 จะพบว่า
⎛ ⎛ V2 ⎞⎞
E CV = (m e )CV = ⎜⎜ m ⎜ u + + gZ ⎟ ⎟⎟ (6.10)
⎝ ⎝ 2 ⎠ ⎠ CV
ส่ วนทางด้านขวามือของสมการที 6.9 คืออัตราการถ่ายเทพลังงานในรู ปแบบต่างๆ ทีเข้าสู่ และออกจาก
ปริ มาตรควบคุมผ่านทางผิวควบคุมซึ งได้แก่อตั ราการถ่ายเทความร้อน กําลัง และอัตราการขนส่ งพลังงาน
โดยอัตราไหลเชิงมวล อนึ งอัตราการถ่ายเทความร้อนและกําลังจะต้องมีเครื องหมายตามสัญนิ ยมทีกําหนด
ด้วยเช่นกัน
90
6.3 กระบวนการภาวะคงตัว
ในกระบวนการต่างๆ ที เกี ยวข้องกับทางวิศวกรรมนันส่ วนมากจะเป็ นกระบวนการภาวะคงตัว
(steady-state process) ซึงจะอยูภ่ ายใต้สมมติฐานทีว่า
1) ปริ มาตรควบคุมไม่เคลือนทีเมือเทียบกับกรอบอ้างอิงทีกําหนด
2) ภาวะของมวลในแต่ละตําแหน่งของปริ มาตรควบคุมไม่แปรเปลียนตามเวลา
3) ค่าของอัตราไหลเชิงมวลและภาวะของสารทีไหลผ่านผิวควบคุมไม่แปรเปลียนตามเวลา
4) อัตราการถ่ายเทความร้อนและกําลังผ่านผิวควบคุมเป็ นค่าคงตัว
ตัวอย่างของอุปกรณ์ทีมีการทํางานภายใต้กระบวนการภาวะคงตัวได้แก่ กังหัน เครื องอัด เครื องสูบ อุปกรณ์
แลกเปลียนความร้อน ห้องผสม หัวฉี ด ดิฟฟิ วเซอร์ เป็ นต้น จะเห็นได้ว่าในช่วงของการเริ มเดินเครื องนัน
อุปกรณ์ต่างๆ เหล่านีจะอยูใ่ นสภาวะชัวขณะ (transient) ซึงภาวะทีจุดต่างๆ หรื อแม้กระทังอัตราไหลของสาร
ก็ยงั คงแปรเปลียนตามเวลาอยู่ เป็ นผลให้ขอ้ สมมติฐานของกระบวนการภาวะคงตัวนันจะไม่สมเหตุสมผล
เท่าใดนัก แต่เมือใดก็ตามทีอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านันได้เดินเครื องไปเป็ นระยะเวลานาน จะพบว่าอัตราไหล
และภาวะของสารจะเริ มคงทีและไม่แปรเปลียนตามเวลาแต่ภาวะของสารอาจจะแปรเปลียนตามตําแหน่ ง
ต่างๆ ซึ งนันก็หมายความว่าอุปกรณ์ต่างๆ ได้เข้าสู่ กระบวนการภาวะคงตัวแล้ว อนึ งในตําราบางเล่มอาจจะ
อ้างอิงถึงกระบวนการภาวะคงตัวว่ากระบวนการไหลคงตัว (steady flow process) ก็ได้
จากข้อสมมติฐานทังสี ข้อทีกล่าวมาข้างต้น จะส่ งผลต่อสมการการอนุรักษ์มวลและกฎข้อทีหนึงของ
เธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับปริ มาตรควบคุมคือ
1) เนื องจากปริ ม าตรควบคุ ม ไม่ มีก ารเคลื อนที ดัง นันงานขอบเขตเคลื อนที ที เกิ ด จากปริ ม าตร
ควบคุมจึงเป็ นศูนย์ ในขณะเดียวกันงานทีเกิดจากความเร่ งเนืองจากปริ มาตรควบคุมทีเคลือนทีก็
เป็ นศูนย์เช่นเดียวกัน
2) เนื องจากภาวะของสารทีตําแหน่ งใดๆ ภายในปริ มาตรควบคุมไม่แปรเปลียนตามเวลา ดังนัน
อัตราการสะสมมวลและพลังงานภายในปริ มาตรควบคุมจึงมีค่าเป็ นศูนย์ จากสมการที 6.1
และ 6.9 จะได้วา่
dM CV dE CV
= 0 และ = 0
dt dt
3) เนืองจากอัตราไหลเชิงมวล ภาวะของสารทีไหลผ่านผิวควบคุม อัตราการถ่ายเทความร้อนและ
กําลังทีผ่านผิวควบคุมไม่แปรเปลียนตามเวลา ดังนันปริ มาณทีแสดงอยูใ่ นสมการที 6.1 และ 6.9
ทังหมดก็จะไม่เป็ นฟังก์ชนั ของเวลา
จากผลทังสามข้อดังกล่าว สมการการอนุ รักษ์มวลและกฎข้อทีหนึ งของเธอร์ โมไดนามิกส์สาํ หรับปริ มาตร
ควบคุมจะสามารถเขียนได้เป็ น
91
0 = ∑ m& − ∑ m&
i e (6.11)
Vi 2 Ve 2
0 = Q& − W& + ∑ ⎛
m& i ⎜ h i +
⎝ 2
+ gZ i ⎞⎟ −
⎠ ∑ ⎛
m& e ⎜ h e +
⎝ 2
+ gZ e ⎞⎟ (6.12)
⎠
6.4 ตัวอย่างของกระบวนการภาวะคงตัว
1) อุปกรณ์แลกเปลียนความร้อน
อุปกรณ์แลกเปลียนความร้อน (heat exchanger) เป็ นชือโดยทัวไปทีใช้สาํ หรับเรี ยกอุปกรณ์ทีใช้
สํา หรั บ ในการแลกเปลี ยนความร้ อ นระหว่ า งของไหลจํา นวนสองชนิ ด แต่ ใ นทางปฏิ บ ัติ นันอุ ป กรณ์
แลกเปลียนความร้อนจะมีชือเรี ยกแตกต่างกันแล้วแต่การใช้งาน ตัวอย่างเช่นหม้อนํารถยนต์ (radiator) ใช้
สําหรับแลกเปลียนความร้ อนระหว่างนําระบายความร้ อนทีมาจากเครื องยนต์กบั อากาศภายนอก เครื อง
ระเหย (evaporator) ใช้สาํ หรับแลกเปลียนความร้อนระหว่างสารทําความเย็นกับสื อทีใช้สาํ หรับส่ งผ่านความ
เย็นซึงใช้สาํ หรับระบบปรับอากาศ รี คูเพอเรเตอร์ (recuperator) ใช้สาํ หรับแลกเปลียนความร้อนระหว่างไอ
เสี ยกับอากาศทีใช้ในการเผาไหม้ซึงใช้ในเตาเผาสําหรั บอุตสาหกรรมต่างๆ เป็ นต้น เงือนไขต่างๆ ของ
กระบวนการทีเกิดขึนจากอุปกรณ์แลกเปลียนความร้อนมีดงั ต่อไปนี
− กระบวนการทีเกิดขึนในของไหลแต่ละชนิดจะมีความดันค่อนข้างคงที ทังนีในความเป็ นจริ งจะ
เกิดความดันตก (pressure drop) อันเนืองมาจากแรงเสี ยดทานระหว่างของไหลกับท่อซึงจะทํา
ให้ค่าความดันลดลงเล็กน้อย
92
2) ห้องผสมและห้องแยก
ห้องผสม (mixing chamber) เป็ นอุปกรณ์ทีใช้สาํ หรับผสมของไหลทีไหลมารวมกันตังแต่สองสาย
ขึนไปเข้าด้วยกันเพือให้ได้ของไหลอยู่ในภาวะทีต้องการ ลักษณะของห้องผสมมีได้หลากหลายตังแต่ถงั
หรื อภาชนะรู ปต่างๆ หรื อแม้กระทังอยู่ในรู ปของข้อต่อตัวทีหรื อตัววายเพือให้ของไหลสองสายไหลมา
รวมกันก็ได้ ส่ วนห้องแยก (separate chamber) เป็ นอุปกรณ์ทีใช้สาํ หรับแยกของไหลออกไปเป็ นหลายสาย
ทังนี โดยมากจะใช้สาํ หรับแยกของผสมสองสถานะออกไปเป็ นไออิมตัวและของเหลวอิมตัว ลักษณะของ
ห้องแยกโดยมากมักจะอยูใ่ นรู ปของถังหรื อภาชนะ จากนันอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลกแยกสถานะของเหลว
ออกจากทางด้านล่างของภาชนะในขณะทีสถานะไอจะลอยขึนด้านบน เงือนไขต่างๆ ของกระบวนการที
เกิดขึนจากห้องผสมและห้องแยกมีดงั ต่อไปนี
− จากหลักการอนุรักษ์มวลทําให้ผลรวมของอัตราไหลขาเข้าเท่ากับผลรวมของอัตราไหลขาออก
− กระบวนการทีเกิดขึนภายในห้องผสมหรื อห้องแยกจะมีความดันค่อนข้างคงที ดังนันเส้นทาง
ของของไหลทุกๆ สายทีเข้าสู่หรื อออกจากห้องผสมหรื อห้องแยกจะมีความดันเท่ากัน
− การถ่ายเทความร้อนสู่ สิงล้อมรอบมีค่าใกล้เคียงศูนย์เพราะเนื องจากกระบวนการผสมหรื อแยก
จะเกิดขึนได้ในเวลาอันสัน รวมทังการหุม้ ฉนวนของภาชนะทีป้ องกันความร้อนสูญเสี ย
− งานทีเกิดขึนเป็ นศูนย์
− การเปลียนแปลงพลังงานจลน์และพลังงานศักย์มีค่าน้อยมากจนถือว่าเป็ นศูนย์ได้
93
3) หัวฉีดและดิฟฟิ วเซอร์
หัวฉี ด (nozzle) เป็ นอุปกรณ์ทีใช้สาํ หรับเร่ งของไหลให้มีความเร็ วเพิมขึน ในขณะทีดิฟฟิ วเซอร์
(diffuser) เป็ นอุปกรณ์ทีใช้สาํ หรับหน่ วงของไหลมีความเร็ วลดลง จะเห็นได้ว่าอุปกรณ์ทงสองอย่ ั างนี จะ
ทํางานตรงกันข้ามกัน สําหรั บหัวฉี ดนันความเร็ วทีเพิมขึนจะทําให้ความดันของของไหลมีค่าลดตําลง
ในทางตรงกันข้ามในส่ วนของดิฟฟิ วเซอร์ นันความเร็ วทีลดลงจะทําให้ความดันของของไหลมีค่าเพิมขึน
เงือนไขต่างๆ ของกระบวนการทีเกิดขึนจากหัวฉีดและดิฟฟิ วเซอร์มีดงั ต่อไปนี
− งานทีเกิดขึนเป็ นศูนย์
− การถ่ายเทความร้อนสู่ สิงล้อมรอบมีค่าใกล้เคียงศูนย์ ยกเว้นในกรณี พิเศษทีมีการระบุถึงการ
ระบายความร้อนออกจากตัวหัวฉีด
− การเปลียนแปลงพลังงานศักย์มีค่าน้อยมากจนถือว่าเป็ นศูนย์ได้
− การเปลียนแปลงพลังงานจลน์ไม่สามารถละทิงได้เนื องจากสิ งทีเราต้องการคือความเร็ วของ
ของไหลทีเพิมขึนหรื อลดลง
แผนภาพทีใช้แสดงถึงหัวฉีดและดิฟฟิ วเซอร์ทีใช้งานโดยในสภาพทัวๆ ไปทีไม่ใช่กรณี ทีใช้สาํ หรับความเร็ ว
สูงกว่าความเร็ วเสี ยงจะแสดงอยูใ่ นรู ปที 6.7 จะเห็นได้วา่ หัวฉีดจะมีลกั ษณะคล้ายท่อทีมีพืนทีหน้าตัดทีลดลง
ในขณะทีดิฟฟิ วเซอร์ จะมีลกั ษณะตรงกันข้ามนันคือมีพืนทีหน้าตัดเพิมขึน ทังนี หากพิจารณาจากสมการที
6.13 เราจะอธิบายได้ว่าเพือให้ m& มีค่าคงทีตลอดทุกหน้าตัดของหัวฉี ดหรื อดิฟฟิ วเซอร์ จาก m& = V A / v
จะเห็นได้ว่าสําหรับหัวฉี ด หนทางหนึ งทีจะทําให้ความเร็ วเพิมขึนได้นนก็ ั คือการลดพืนทีหน้าตัดลงเพือจะ
รักษาค่า m& ให้มีค่าคงทีตลอดทุกหน้าตัด ส่ วนในกรณี ของดิฟฟิ วเซอร์ ก็จะมีลกั ษณะทีตรงกันข้ามนันก็คือ
ความเร็ วจะลดลงได้เมือทําการเพิมพืนทีหน้าตัดเพือจะได้รักษาค่า m& ให้มีค่าคงทีตลอดทุกหน้าตัด
หัวฉีด ดิฟฟวเซอร์
กังหัน เครืองอัด
W& W& W&
เครืองเปาลม พัดลม
เครืองสูบ
W&
W& W& W&
รู ปที 6.8 แผนภาพทีใช้สาํ หรับแสดงถึงกังหัน เครื องอัด เครื องเป่ าลม พัดลม และเครื องสูบ
5) ธรอตทลิงวาล์ว
ธรอตทลิงวาล์ว (throttling valve) เป็ นอุปกรณ์ทีใช้สาํ หรับขัดขวางหรื อหน่วงเหนี ยวการไหลของ
ของไหลเพือให้ก่อให้เกิ ดความดันตกอย่างรวดเร็ ว ตัวอย่างของธรอตทลิงวาล์วได้แก่ วาล์วทีใช้สําหรั บ
ควบคุมอัตราไหลทีพบได้โดยทัวไป หลอดรู เล็ก (capillary tube) ทีมีลกั ษณะเป็ นท่อขนาดเล็กซึงใช้ในระบบ
ทําความเย็นเป็ นต้น การขัดขวางหรื อหน่วงเหนียวการไหลนันส่ วนมากจะทําได้โดยการทําให้พืนทีหน้าตัด
ในระหว่างการไหลมีขนาดลดลง เงือนไขต่างๆ ของกระบวนการทีเกิดขึนจากธรอตทลิงวาล์วมีดงั ต่อไปนี
95
− งานทีเกิดขึนเป็ นศูนย์
− การถ่ายเทความร้อนสู่สิงล้อมรอบมีค่าใกล้เคียงศูนย์
− การเปลียนแปลงพลังงานศักย์และพลังงานจลน์มีค่าน้อยมากจนถือว่าเป็ นศูนย์ได้
แผนภาพทีใช้แสดงถึงธรอตทลิงวาล์วจะแสดงอยูใ่ นรู ปที 6.9
ตัวอย่างที 6.2
อุปกรณ์แลกเปลียนความร้อนซึ งมีฉนวนความร้อนหุ ้มภายนอกอันหนึ งทําหน้าทีแลกเปลียนความ
ร้อนระหว่างไอนําและอากาศ ไอนําอิมตัวทีอัตราไหลเชิงมวล 2.0 kg/s ทีความดัน 600 kPa คายความร้อน
ให้แก่อากาศจนกระทังกลายเป็ นของผสมสองสถานะ ในขณะเดียวกันอากาศทีอัตราไหลเชิงมวล 24 kg/s ที
อุณหภูมิ 25oC ความดัน 100 kPa ได้รับความร้อนจนกระทังมีอุณหภูมิสูงขึนเป็ น 130oC จงหาคุณภาพสาร
สองสถานะของนําเมือออกจากอุปกรณ์แลกเปลียนความร้อน
วิธีทาํ
CV อากาศ
ปริ มาตรควบคุม: อุปกรณ์แลกเปลียนความร้อนทังหมด A
กระบวนการ: ไอโซบาริ ก (แยกไอนํากับอากาศ)
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ตารางสมบัติเธอร์ โมไดนามิกส์ของนํา 1 2
อากาศเป็ นแก๊สอุดมคติ ไอนํา
ตัวแปรทีทราบค่า: m& s , P1, x1, m& a , TA, PA, TB B
ตัวแปรทีต้องการ: x2
จากข้อมูลทีโจทย์กาํ หนด เริ มต้นทีการหาสมบัติของนําก่อน
ภาวะที 1: P1 = 600 kPa
x1 = 1 ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นไออิมตัว
h1 = 2,756.80 kJ/kg
จากนันหาสมบัติของอากาศ ทังนีการหาเอนธัลปี ของอากาศจะใช้วิธีการเปิ ดตาราง ผ.6
ภาวะที A: PA = 100 kPa, TA = 25oC
จากตาราง ผ.6 TA = 298.15 K จะได้ hA = 298.15 kJ/kg
ภาวะที B: PB = PA = 100 kPa, TB = 130oC
จากตาราง ผ.6 TB = 403.15 K จะได้ hB = 404.50 kJ/kg
96
กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์
Vi 2 Ve 2
0 = Q& − W& + ∑ ⎛
m& i ⎜ h i +
⎝ 2
+ gZ i ⎞⎟ −
⎠ ∑ ⎛
m& e ⎜ h e +
⎝ 2
+ gZ e ⎞⎟
⎠
0 = ∑ m& h − ∑
i i m& e h e
0 = (m& 1 h 1 + m& A h A ) − (m& 2 h 2 + m& B h B )
แทนค่า m& s และ m& a จากสมการการอนุรักษ์มวล จะได้เป็ น
0 = m& s (h 1 − h 2 ) + m& a (h A − h B )
kg ⎛ kJ ⎞ kg ⎛ kJ ⎞
0 = 2.0 ⎜ 2,756.80 − h 2 ⎟ + 24 ⎜ 298.62 − 404.50 ⎟
s⎝ kg ⎠ s⎝ kg ⎠
kJ
h 2 = 1,486.29
kg
ภาวะที 2: P2 = P1 = 600 kPa
h2 = 1,486.29 kJ/kg ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นของผสมสองสถานะ
สําหรับเอนธัลปี ของของผสมสองสถานะสามารถเขียนได้เป็ น
h 2 = (1 − x 2 ) h f + x 2 h g
kJ ⎛ kJ ⎞ ⎛ kJ ⎞
1,486.29 = (1 − x 2 )⎜ 670.54 ⎟ + (x 2 )⎜ 2,756.80 ⎟
kg ⎝ kg ⎠ ⎝ kg ⎠
x2 = 0.3910 คําตอบ
97
หมายเหตุ
ข้อ สัง เกตหนึ งที ได้ก็คื อการเลื อ กปริ ม าตรควบคุ มให้ค รอบคลุ มอุ ปกรณ์ แ ลกเปลี ยนความร้ อ น
ทังหมดดังทีแสดงในรู ปตอนต้นของตัวอย่างนัน จะทําให้เราไม่สามารถคํานวณหาความร้อนทีถ่ายเทระหว่าง
ของไหลทังสองชนิด(ซึ งในทีนีก็คือนําและอากาศ)ได้เนื องจากความร้อนดังกล่าวอยูภ่ ายในปริ มาตรควบคุม
ซึงตามนิยามในบทที 4 เราจะไม่สามารถเรี ยกพลังงานรู ปนีได้ว่าเป็ นความร้อนอีกต่อไป แต่พลังงานรู ปนีจะ
รวมอยู่ในเอนธัลปี ของของไหลทีผ่านเข้าออกปริ มาตรควบคุมแทน ดังนันหากต้องการจะคํานวณหาความ
ร้อนทีถ่ายเทระหว่างของไหล จะต้องเปลียนปริ มาตรควบคุมเสี ยใหม่ให้ครอบคลุมเฉพาะของไหลชนิ ดใด
ชนิดหนึงดังรู ปด้านล่าง ซึงเป็ นการเลือกปริ มาตรควบคุมเฉพาะนําเพียงอย่างเดียว
CV อากาศ
A
1 Q& 2
ไอนํา
B
จะได้ว่า W& = 0, ΔKE และ ΔPE มีค่าน้อยมากเช่นเดิม แต่ Q& ไม่เป็ นศูนย์เนืองจากมีการถ่ายเทความร้อน
ระหว่างนํากับสิ งทีอยูภ่ ายนอกปริ มาตรควบคุม ดังนันกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์จะเขียนได้เป็ น
0 = Q& + m& i h i − m& e h e
kg ⎛ kJ ⎞
Q& = m& s (h 2 − h 1 ) = 2.0 ⎜ 1,486.29 − 2,756.80 ⎟
s⎝ kg ⎠
Q& = − 2,541 kW
จะเห็นว่า Q& มีเครื องหมายเป็ นลบนันคือไอนําถ่ายเทความร้อนออกไปสู่ อากาศจนทําให้ควบแน่ นไปเป็ น
ของเหลวบางส่ ว น ในขณะเดี ย วกัน อากาศก็รับ ความร้ อนก็ทาํ ให้อุณ หภู มิมี ค่าสู ง ขึ น หากลองเปลี ยน
ปริ มาตรควบคุมให้ครอบคลุมเฉพาะอากาศเพียงอย่างเดียว ก็จะสามารถคํานวณค่า Q& ได้เท่ากับ 2,541 kW
เช่นเดียวกับด้านบนแต่เครื องหมายจะเป็ นตรงกันข้าม เพราะความร้อนถ่ายเทเข้าสู่อากาศ
ตัวอย่างที 6.3
ไอนําทีความดัน 2 MPa อุณหภูมิ 350oC ความเร็ ว 100 m/s ไหลเข้าสู่ กงั หันไอนําเพือใช้ในการผลิต
กระแสไฟฟ้ า จากนันไอนําไหลออกจากกังหันทีอุณหภูมิ 45oC คุณภาพสารสองสถานะ 0.92 ความเร็ ว 5 m/s
ตําแหน่งทีไอนําไหลเข้าสู่ กงั หันอยูส่ ู งกว่าตําแหน่งทีนําไหลออกอยู่ 4 m ถ้าไอนําไหลเข้ากังหันด้วยอัตรา
ไหลเชิงปริ มาตร 0.25 m3/s และความร้อนสู ญเสี ยออกจากกังหันมีค่าน้อยมาก จงหาว่ากําลังของเพลาทีออก
จากกังหันมีค่าเท่าไร
98
วิธีทาํ ไอนํา
ปริ มาตรควบคุม: กังหันไอนํา CV
1
กระบวนการ: แอเดียแบติก W&
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ของนํา z1−z2
ตัวแปรทีทราบค่า: P1, T1, V1, T2, x2, V2, Z1−Z2 , V&1
2
ตัวแปรทีต้องการ: W&
จากข้อมูลทีโจทย์กาํ หนด เริ มต้นทีการหาสมบัติของนําก่อน
ภาวะที 1: P1 = 2 MPa
T1 = 350oC ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นไอร้อนยวดยิง
v1 = 0.13857 m3/kg
h1 = 3,136.96 kJ/kg
ภาวะที 2: T2 = 45oC
x2 = 0.92 ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นของผสมสองสถานะ
⎛ kJ ⎞ ⎛ kJ ⎞
h 2 = (1 − x 2 ) h f + x 2 h g = ( 0.08 )⎜ 188.42 ⎟ + ( 0.92 )⎜ 2,583.19 ⎟
⎝ kg ⎠ ⎝ kg ⎠
h2 = 2,391.61 kJ/kg
V2 V2
W& = m& 1 ⎛⎜ h 1 + 1 + gZ1 ⎞⎟ − m& 2 ⎛⎜ h 2 + 2 + gZ 2 ⎞⎟
⎝ 2 ⎠ ⎝ 2 ⎠
V − V2 ⎞
2 2
W& = m& (h 1 − h 2 ) + m& ⎛⎜ 1 ⎟ + m& g (Z1 − Z 2 )
⎝ 2 ⎠
⎡ ⎛ V1 2 − V2 2 ⎞ ⎤
W& = m& ⎢(h 1 − h 2 ) + ⎜ ⎟ + g (Z1 − Z 2 )⎥
⎣ ⎝ 2 ⎠ ⎦
kg ⎡⎛ kJ ⎞ ⎛ 100 2 − 52 kJ ⎞ ⎛ 9.81 ( 4 ) kJ ⎞⎤
W& = 1.8041 ⎢⎜ 3,136.96 − 2,391.61 ⎟ + ⎜ ⎟ +⎜ ⎟
s ⎣⎝ kg ⎠ ⎝ 2 ×1,000 kg ⎠ ⎝ 1,000 kg ⎠⎥⎦
kg ⎡⎛ kJ ⎞ ⎛ kJ ⎞ ⎛ kJ ⎞⎤
W& = 1.8041 ⎢⎜ 745.352 ⎟ + ⎜ 4.9875 ⎟ + ⎜ 0.03924 ⎟⎥
s ⎣⎝ kg ⎠ ⎝ kg ⎠ ⎝ kg ⎠⎦
kg ⎡ kJ ⎤
W& = 1.8041 ⎢750.378 ⎥
s ⎣ kg ⎦
W& = 1,354 kW คําตอบ
หมายเหตุ
จากตัวอย่างข้างต้นนันจะเห็ นได้ว่าหากเปรี ยบเทียบพจน์จาํ นวนสามพจน์ทีอยู่ในวงเล็บสี เหลียม
กล่าวคือ h1−h2 = Δh, 0.5(V12−V22) = Δke และ g(Z1−Z2) = Δpe จะพบว่าค่าของ Δh จะมีค่ามากทีสุ ด
คือจะมีค่าประมาณร้อยละ 99.3 ของค่าทังหมดในวงเล็บสี เหลียม ในขณะที Δke จะคิดเป็ นประมาณร้อยละ
0.7 ส่ วน Δpe จะมีค่าน้อยมากจนแทบไม่มีผลกระทบใดๆ ดังนันจะเห็นเป็ นทีค่อนข้างชัดเจนว่าข้อ
สมมติฐานทีว่า Δpe ≈ 0 นันค่อนข้างทีจะถูกต้อง ส่ วนข้อสมมติฐานทีว่า Δke ≈ 0 นันจะเห็นได้ว่าก็ยงั ถือ
ว่าเป็ นข้อสมมติฐานทียอมรับได้ยกเว้นในกรณี ทีผลต่างของความเร็ วระหว่างทางเข้าและทางออกมีค่าสู ง
มากๆ เท่านัน ดังนันในทางปฏิบตั ิส่วนใหญ่ เราจะสนใจแต่ค่า Δh เพียงค่าเดียวเพือนําไปคํานวณหากําลัง
ของกังหัน คําตอบทีได้กจ็ ะมีความแม่นยําเพียงพอกับงานทางวิศวกรรม
ตัวอย่างที 6.4
จงพิสูจน์ว่ากระบวนการทีมีของไหลไหลผ่านธรอตทลิงวาล์วเป็ นกระบวนการทีทําให้เอนธัลปี ของ
ของไหลมีค่าคงที
วิธีทาํ CV
ปริ มาตรควบคุม: ธรอตทลิงวาล์ว 1 2
กระบวนการ: -
เนื องจากธรอตทลิงวาล์วมีทางเข้าและทางออกอย่างละหนึ งทาง จึงทําให้เขียนสมการการอนุ รักษ์
มวลได้เป็ น
100
สมการการอนุรักษ์มวล
m& 1 = m& 2 = m&
สําหรับกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับปริ มาตรควบคุมนัน เนืองจากเวลาทีเกิดขึนในขณะทีของ
ไหลไหลผ่านธรอตทลิงวาล์วนันเป็ นเพียงช่วงเวลาทีสันมาก รวมทังมีพืนทีสําหรับการถ่ายเทความร้อนมี
ค่อนข้างน้อย ดังนันจึงสามารถตังสมมติฐานได้ว่า Q& = 0 สําหรับ W& นันมีค่าเป็ นศูนย์อย่างแน่นอนเพราะ
ไม่มีงานรู ปใดปรากฏ นอกจากนี ΔKE และ ΔPE ก็สามารถทีจะละทิงได้ ดังนันจะได้วา่
กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์
Vi 2 Ve 2
0 = Q& − W& + ∑ ⎛
m& i ⎜ h i +
⎝ 2
+ gZ i ⎞⎟ −
⎠ ∑ ⎛
m& e ⎜ h e +
⎝ 2
+ gZ e ⎞⎟
⎠
0 = ∑m& i (h i ) −∑ m& e (h e )
0 = m& (h 1 )− m& (h 2 )
6.5 กระบวนการชัวขณะ
กระบวนการชัวขณะ (transient process) เป็ นกระบวนการทีเกิดขึนเมือระบบไม่อยูใ่ นภาวะคงตัว ซึง
เราจะพบว่ามีการใช้งานหลายประเภทเป็ นกระบวนการชัวขณะตัวอย่างเช่น กระบวนการอัดแก๊สลงไปในถัง
กระบวนการปล่อยนําทิงจากอ่าง เป็ นต้น ดังนันเพือให้การพิจารณาปั ญหามีความซับซ้อนน้อยลง เราจึง
ตังสมมติฐานเกียวกับกระบวนการชัวขณะดังต่อไปนี
1) ปริ มาตรควบคุมสามารถทีจะเปลียนขนาดได้ซึงเป็ นผลมาจากงานขอบเขตเคลือนที
2) ภาวะของมวลในปริ มาตรควบคุมแปรเปลียนตามเวลาได้ แต่จะไม่แปรเปลียนตามตําแหน่ง
3) ภาวะของมวลทีไหลผ่านเข้าสู่ หรื อออกจากปริ มาตรควบคุมจะไม่แปรเปลียนตามเวลา ในขณะ
ทีอัตราไหลเชิงมวลสามารถแปรเปลียนตามเวลาได้
101
(m 2 −m 1 )CV = ∑m − ∑m i e (6.16)
ผลของสมการที 6.16 ทีได้ก็คือสมการการอนุรักษ์มวลทีใช้สาํ หรับกระบวนการชัวขณะในระหว่างช่วงเวลา
t ใดๆ นันเอง
ในส่ วนของกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับปริ มาตรควบคุมนัน จากสมการที 6.9
dE CV
dt
= Q& − W& + ∑
m& i h total ,i − m& e h total ,e ∑
หากทําการหาปริ พนั ธ์จาํ กัดเขตของกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์บนช่วงเวลา t ใดๆ โดยพิจารณาไป
ทีละพจน์จะได้วา่
d (m e )CV
t t
dE CV
∫
0
dt
dt =
∫
dt
0
dt = (m 2 e 2 −m 1 e 1 )CV
t t
∫ Q& dt
0
= Q และ
∫ W& dt
0
= W
t t
∫ ∑m& h
0
i total , i dt = ∑m h i total , i และ
∫ ∑m& h
0
e total ,e dt = ∑m h
e total ,e
ตัวอย่างที 6.5
ถังหุ ้มฉนวนขนาด 200 L บรรจุนาอยู ํ ภ่ ายในทีความดัน 200 kPa คุณภาพสารสองสถานะ 0.7
นอกจากนี ถังได้เชือมต่อกับท่อส่ งไอนําทีภาวะไออิมตัวทีความดัน 400 kPa เมือเปิ ดวาล์วออกไอนําจาก
ท่อส่ งก็ไหลเข้าสู่ ภายในถังจนกระทังความดันภายในถังมีค่าเป็ น 300 kPa จากนันวาล์วจึงปิ ด จงหามวล
ของนําภายในถังหลังจากทีวาล์วปิ ด
วิธีทาํ
ปริ มาตรควบคุม: ถังและวาล์ว
กระบวนการ: แอเดียแบติก
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ของนํา
ตัวแปรทีทราบค่า: V, P1, x1, Pi, xi, P2
ตัวแปรทีต้องการ: m2
ไอนําอิมตัว 400 kPa ไอนําอิมตัว 400 kPa
i i
วาล์วเริมเปด CV วาล์วเริมปด CV
ภาวะที 1 ภาวะที 2
P1=200 kPa, x1=0.7 P2=300 kPa
⎛ kJ ⎞ ⎛ kJ ⎞
u 1 = (1 − x 1 ) u f + x 1 u g = ( 0.3)⎜ 504.47 ⎟ + ( 0.7 )⎜ 2,529.49 ⎟
⎝ kg ⎠ ⎝ kg ⎠
u 1 = 1,921.98 kJ / kg
ดังนันเราจึงสามารถหา m1 ได้จาก
V 0.2 m 3
m1 = =
v1 0.62033 m 3 / kg
m 1 = 0.32241 kg
ภาวะที i: Pi = 400 kPa
xi = 1 ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นไออิมตัว
hi = hg = 2,738.53 kJ/kg
เมือพิจารณามวลทีเกียวข้องกับระบบจะเห็นว่ามวลทีเข้าสู่ ถงั มีทางเดียว ในขณะทีมวลทีออกจากถังมีค่าเป็ น
ศูนย์หรื อ me = 0 ดังนันจะเขียนสมการการอนุรักษ์มวลได้เป็ น
สมการการอนุรักษ์มวล
(m 2 −m 1 )CV = ∑m − ∑mi e
m 2 −m 1 = m i
นําผลของสมการการอนุรักษ์มวลมาแทนในสมการข้างต้นจะได้วา่
m 2 u 2 − m 1 u 1 = (m 2 − m 1 ) h i
m 1 (h i − u 1 ) = m 2 (h i − u 2 )
104
⎛ kJ ⎞ ⎛ kJ ⎞
u 2 = (1 − x 2 ) u f + x 2 u g = (1 − x 2 ) ⎜ 561.13 ⎟ + (x 2 ) ⎜ 2,543.55 ⎟
⎝ kg ⎠ ⎝ kg ⎠
u 2 = 561.13 + (1,982.42 x 2 )
kJ
kg
เมือแทนค่า v2 และ u2 ทีอยูใ่ นรู ปของ x2 ลงในสมการทีแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง v2 และ u2 ผลทีได้คือ
m3
1,316.31 3 (0.001073 + (0.604747 x 2 )) = (2,738.53 − 561.13 − (1,982.42 x 2 ))
kJ kJ
m kg kg
105
แก้สมการเชิงเส้นทีได้เพือหาค่า x2 จะได้วา่
x2 = 0.78316
จะเห็นได้วา่ ได้ค่า 0 ≤ x2 ≤ 1 แสดงว่าการทีเราสมมติให้ภาวะที 2 เป็ นภาวะอิมตัวนันถูกต้อง จากนันแทน
ค่า x2 เพือหาค่า v2 และ m2 ตามลําดับ
m3 m3
v 2 = 0.001073 + (0.604747 × 0.78316 ) = 0.47469
kg kg
V 0.2 m 3
m2 = =
v2 0.47469 m 3 / kg
m 2 = 0.4213 kg คําตอบ
หมายเหตุ
1) อนึงถ้าภาวะที 2 เป็ นของเหลวอัดตัวหรื อไอร้อนยวดยิง ผลทีได้คือเราจะได้ค่า x2 < 0 หรื อ x2 > 1 หรื อ
ก็คือค่า x2 จะไม่มีการนิ ยาม นันแสดงว่าเราจะต้องกลับไปใช้วิธีทาํ ซําดังทีกล่าวมาข้างต้นเพือให้ได้ค่า v2
และ u2 ทีถูกต้อง
วาล์วเริมเปด CV วาล์วเริมปด CV
i i
ภาวะที 1 ภาวะที 2
P=200 kPa, x=0.7 P=300 kPa
แบบฝึ กหัด
1) สารทําความเย็นอาร์-134เออยูใ่ นภาวะไออิมตัวที 5oC ไหลอยูใ่ นท่อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 mm
ถ้าอัตราไหลเชิงมวลของอาร์-134เอมีค่าเท่ากับ 0.08 kg/s จงหาว่าความเร็ วของอาร์-134เอในท่อมีค่า
เป็ นเท่าไร
2) ขณะที เรายืนรดนําต้นไม้อยู่ทีบ้าน หากเรารู ้ สึก ว่านํายังพุ่งไม่เ ร็ วพอ เราจะพบว่าเมื อเราใช้นิวอุ ด
ทางออกของสายยางประมาณครึ งหนึ งของพืนหน้าตัดของสายยาง นําก็จะพุ่งออกจากสายยางเร็ วขึน
ในทันที จงอธิบายว่าทําไมจึงเป็ นเช่นนัน
3) ถังผสมถังหนึ งทําหน้าทีผสมนําอุ่นจากนําเย็นและนําร้อนในการอุปโภค ตัวถังมีขนาด 2 m3 และมี
นําอุ่นบรรจุอยูเ่ ต็มถังในตอนเริ มต้น นําร้อนและนําเย็นทีเข้าสู่ ถงั มีอตั ราไหลเชิงมวลเท่ากับ 2.4 kg/s
และ 7.2 kg/s ตามลําดับ ในขณะทีอัตราการใช้นาอุ ํ ่นทีออกจากถังมีค่าเท่ากับ 12.8 kg/s ถ้าสมมติว่า
อัตราไหลทีระบุทงหมดเป็
ั นค่าคงตัว จงหาว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ นาอุ ํ ่นถึงจะหมดถัง
o
4) ไอนํามีความเร็ วตํามากและมีความดัน 1.6 MPa อุณหภูมิ 400 C ไหลผ่านหัวฉี ดจนกระทังมีความเร็ ว
เพิมขึนเป็ น 420 m/s และความดัน 1 MPa ถ้ากระบวนการทีเกิดขึนรวดเร็ วมากจนถือว่าไม่มีการ
ถ่ายเทความร้อนเกิดขึน จงหาอุณหภูมิของไอนําทีออกจากหัวฉีด
5) เครื องอัดอากาศเครื องหนึงหุ ม้ ฉนวนอย่างดีมีอตั ราไหลเชิงปริ มาตรทีด้านดูดเท่ากับ 90 L/s อากาศที
เข้าสู่ เครื องอัดมีความดัน 100 kPa อุณหภูมิ 300 K จะถูกอัดจนมีความดัน 500 kPa อุณหภูมิ 520 K จง
คํานวณหากําลังทีใช้ในการอัดอากาศ
6) อากาศทีมีความดันประมาณ 300 kPa ไหลผ่านธรอตทลิงวาล์วจนมีความดันเท่ากับความดันบรรยากาศ
ภายนอก (101.3 kPa) กระบวนการทีเกิดขึนทําให้อากาศมีอุณหภูมิเพิมขึน ลดลง หรื อเท่าเดิม จง
อธิบายโดยสังเขป
7) ถังหุ ม้ ฉนวนขนาด 200 L บรรจุอากาศอยูภ่ ายในทีความดัน 100 kPa อุณหภูมิ 300 K ถังได้เชือมต่อ
กับท่อส่ งอากาศทีความดัน 600 kPa อุณหภูมิ 700 K เมือเปิ ดวาล์วออกอากาศจากท่อส่ งก็ไหลเข้าสู่
ภายในถังจนกระทังความดันภายในถังมีค่าเป็ น 250 kPa จากนันวาล์วจึงปิ ด จงหามวลของอากาศ
ภายในถังหลังจากทีวาล์วปิ ด
107
บทที 7
กฎข้ อทีสองของเธอร์ โมไดนามิกส์
7.1 เครื องยนต์ความร้อนและตูเ้ ย็น
จากทีผ่านมาเราได้ศึกษากฎข้อทีหนึ งของเธอร์ โมไดนามิกส์ทงสํ
ั าหรับมวลควบคุมและปริ มาตร
ควบคุ ม ซึ งผลที ได้ทาํ ให้เราทราบว่าพลังงานสามารถเปลี ยนรู ปจากรู ปแบบหนึ งไปยังอี ก รู ปแบบหนึ ง
กล่าวคือพลังงานยังสามารถจะสะสมอยูภ่ ายในระบบทีพิจารณา สามารถทีจะขนส่ งผ่านขอบเขตระบบโดย
การไหลโดยมวล และสามารถถ่ ายเทผ่านขอบเขตระบบโดยตรง อย่างไรก็ตามลองพิจารณาวัฏจักรที
ประกอบไปด้วยสองกระบวนการโดยทีวัฏจักรสามารถเดินหน้าและย้อนกลับได้ดงั ทีแสดงอยูใ่ นรู ปที 7.1
W = 10 kJ
+ −
เปนไปได้ เปนไปได้
วัฏจักร
เดินหน้า ΔU = 10 kJ
กระบวนการ กระบวนการ
สาร Aforward สาร Bforward สาร
Q = 10 kJ
W = 10 kJ
+ −
เปนไปได้ เปนไปไม่ได้
วัฏจักร
ย้อนกลับ ΔU = 10 kJ
กระบวนการ กระบวนการ
สาร Breverse สาร Areverse สาร
Q = 10 kJ
แก๊ส
QH QL
แหล่งจ่ายพลังงาน แหล่งรับพลังงาน
อุณหภูมิสูง อุณหภูมิตํา
∑W
cycle
all = ∑Q
cycle
all
Wnet = Q H + (− Q L )
Wnet = Q H − Q L (7.1)
หม้อไอนํา
Win Wout
เครืองสูบ กังหัน
เครืองควบแน่น
QL
แหล่งรับพลังงาน
อุณหภูมิตํา
Wnet
เครืองยนต์
ความร้อน
QL
แหล่งรับพลังงาน
อุณหภูมิตําเท่ากับ TL
เครืองควบแน่น
วาล์วระเหย Wnet
สารทําความเย็น เครืองอัด
เครืองระเหย
QL
แหล่งทีมีอุณหภูมิตํา
∑W
cycle
all = ∑Q
cycle
all
(− Wnet ) = ( − Q H ) + QL
Wnet = Q H − Q L
อุณหภูมิสูงภายนอก เนือทีทีรักษาความเย็น
เท่ากับ TH ทีอุณหภูมิสูงเท่ากับ TH
QH QH
Wnet Wnet
ตู้เย็น ปมความร้อน
QL QL
เนือทีทีรักษาความเย็น อุณหภูมิตําภายนอก
ทีอุณหภูมิตําเท่ากับ TL เท่ากับ TL
7.2 กฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์
พืนฐานของกฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์นนได้ ั มาจากข้อความจํานวนสองข้อความ ข้อความ
แรกทีกล่าวถึงก็คือข้อความของเคลวิน-พลังค์ (Kelvin-Planck statement) ซึงกล่าวโดยสรุ ปไว้ว่า "การสร้าง
เครื องยนต์ความร้ อนทีสามารถเปลียนความร้ อนทีป้ อนจากแหล่งจ่ายพลังงานอุณหภูมิสูงไปเป็ นงานได้
ทังหมดนันเป็ นไปไม่ได้" ดังนันหากนําข้อความดังกล่าวมาแสดงเป็ นแผนภาพก็จะได้เป็ นรู ปที 7.7
แหล่งจ่ายพลังงาน
อุณหภูมิสูงเท่ากับ TH
QH
Wnet
เครืองยนต์
ความร้อน
เปนไปไม่ได้
รู ปที 7.7 เครื องยนต์ความร้อนตามข้อความของเคลวิน-พลังค์
QH
ตู้เย็นหรือ
เปนไปไม่ได้
ปมความร้อน
QL
แหล่งทีมีอุณหภูมิตํา
เท่ากับ TL
จากข้อ ความทังสองนันจะเห็ น ได้ว่ า กฎข้อ ที สองของเธอร์ โ มไดนามิ ก ส์ นันถื อ กํา เนิ ด มาจาก
ข้อเท็จจริ งทีปรากฏหรื อสังเกตได้จากการทดลองซึงไม่สามารถพิสูจน์มาจากกฎหรื อทฤษฎีอืนใด นอกจากนี
จากอดีตทีผ่านมาเราจะไม่พบว่ามีการทดลองหรื อกระบวนการใดทีฝ่ าฝื นกฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์
ซึ งก็ถือว่าเป็ นการยืนยันถึงการมีอยู่ของกฎข้อทีสองของเธอร์ โมไดนามิกส์ นอกจากนี เรายังจะสามารถ
พิสูจน์โดยทางตรรกศาสตร์ ว่าข้อความของเคลวิน-พลังค์และของเคลาเซี ยสเป็ นข้อความทีเทียบเท่ากัน นัน
หมายถึงว่าหากมีอุปกรณ์ใดทีขัดแย้งต่อข้อความของเคลวิน-พลังค์ เราก็จะพบว่าอุปกรณ์นนก็ ั จะขัดแย้งต่อ
ข้อความของเคลาเซียสด้วยเช่นกัน รายละเอียดของการพิสูจน์นนจะไม่ ั นาํ มาเสนอในทีนี
เครื องยนต์ เครื องจักรหรื ออุปกรณ์ใดๆ ทีขัดแย้งต่อกฎของเธอร์ โมไดนามิกส์เราจะเรี ยกอุปกรณ์
ประเภทนันว่าเครื องยนต์นิรันดร์ (perpetual motion machine) ถ้าอุปกรณ์ประเภทใดทีขัดแย้งต่อกฎข้อที
หนึ งของเธอร์ โ มไดนามิ ก ส์ ห รื อ ก็ คื อ สามารถสร้ า งพลัง งานได้เ อง เราจะเรี ย กอุ ป กรณ์ ป ระเภทนันว่ า
เครื องยนต์นิรันดร์ประเภททีหนึง (perpetual motion machine of the first kind หรื อ PMM1) ดังตัวอย่างที
แสดงในรู ปที 7.9 จะเห็ นได้ว่ามี เครื องยนต์ความร้ อนทีใช้สําหรั บขับปั มความร้ อนซึ งทังสองทํางานอยู่
ระหว่างแหล่งทีมีอุณหภูมิสูงเท่ากับ TH และแหล่งทีมีอุณหภูมิตาเท่ ํ ากับ TL แต่ถา้ หากเราพิจารณาระบบตาม
เส้นประ จะพบว่าอุปกรณ์ชินนีสามารถผลิตงานออกมาได้เองโดยไม่ตอ้ งใส่ พลังงานเข้าไปแต่อย่างใด
TH
QH
QH
W
เครืองยนต์ WHE HP ปมความร้อน
ความร้อน Wnet
QL QL
TL
TH TH
QH1=10 kJ QH2=8 kJ QH,net=2 kJ
W =5 kJ Wnet=2 kJ
เครืองยนต์ WHE=7 kJ HP ปมความร้อน
ความร้อน Wnet=2 kJ ระบบรวม
QL1=3 kJ QL2=3 kJ
TL
(a) (b)
รู ปที 7.10 ตัวอย่างของเครื องยนต์นิรันดร์ประเภททีสอง
ตัวอย่างที 7.1
โรงจักรไอนําใช้แกลบเป็ นเชือเพลิงซึงมีค่าความร้อนจากการเผาไหม้ประมาณ 14 MJ/kg หากโรง
จักรไอนําผลิตกระแสไฟฟ้ าได้ประมาณ 200 MW โดยทีประสิ ทธิ ภาพอุณหภาพของโรงจักรไอนํามี
ค่าประมาณร้อยละ 35 ในขณะทีความร้อนส่ วนทีเหลือจะทิงไปสู่ บรรยากาศ จงคํานวณหาอัตราการบริ โภค
แกลบของโรงจักรไอนําแห่งนีและอัตราการทิงความร้อนส่ วนทีเหลือ
วิธีทาํ
ตัวแปรทีทราบค่า: HV, W& , ηth
ตัวแปรทีต้องการ: m& , Q& L
โรงจักรไอนําเป็ นเครื องยนต์ความร้อนทีทํางานเป็ นวัฏจักร ซึ งเราจะสามารถเขียนแผนภาพของ
เครื องยนต์ความร้อนได้คือ
117
7.3 กระบวนการย้อนกลับได้
กระบวนการย้อนกลับได้ (reversible process) เป็ นกระบวนการทีเมือเกิดขึนจะสามารถย้อนกลับสู่
ภาวะเดิมได้โดยทีไม่ก่อให้เกิดผลกระทบหรื อการเปลียนแปลงใดๆ ต่อสิ งล้อมรอบหรื อระบบอืน ตัวอย่าง
ของกระบวนการย้อนกลับนันได้แสดงอยูใ่ นรู ปที 7.11
P1,T1 P1,T1
P2,T2
แก๊ส
P1,T1
P1,T1
P2,T2
แก๊ส
Q Q
สิงล้อมรอบ P1, T1
รู ปที 7.12 ตัวอย่างของกระบวนการย้อนกลับไม่ได้
7.4 ปัจจัยทีทําให้กระบวนการย้อนกลับไม่ได้
ปัจจัยต่างๆ ทีทําให้กระบวนการไม่สามารถย้อนกลับได้นนคื ั อ
1) แรงเสี ยดทานซึงจะเกิดขึนเมือวัตถุสองชินสัมผัสกันและเคลือนทีสัมพันธ์กนั แรงเสี ยดทานจะมีทิศทาง
ตรงกันข้ามกันทิศทางการเคลือนไหวเสมอ สําหรับอุปกรณ์ใดๆ ทีสร้างงาน แรงเสี ยดทานจะทําให้งาน
ทีได้จากอุปกรณ์ชนิ ดนันมีค่าน้อยลง ในทางตรงกันข้ามสําหรับกรณี ทีอุปกรณ์ตอ้ งการงานทีจะต้องใส่
เข้าไป แรงเสี ยดทานก็จะทําให้งานทีใส่ เข้าไปค่ามากขึน นอกจากนี แรงเสี ยดทางยังเกิดขึนในระหว่าง
การไหลของของไหลเมือสัมผัสกับส่ วนทีเป็ นของแข็งเช่นท่อ หรื อสิ งกีดขวางต่างๆ เป็ นต้น แรงเสี ยด
ทานจะเปลียนงานจากการเคลือนไหวบางส่ วนให้กลายเป็ นความร้อนซึ งจะถ่ายเทไปสู่ สิงล้อมรอบเป็ น
ผลให้กระบวนการย้อนกลับไม่ได้
2) การขยายตัวอย่างไม่มีขอ้ จํากัด (unrestrained expansion) ซึ งตัวอย่างได้แก่การขาดของแผ่นบางทีกัน
ระหว่างแก๊สซึ งมีความดันต่างกัน ผลทีได้ก็คือแก๊สจะขยายตัวอย่างไม่จาํ กัดเพือเข้าไปจับจองพืนทีใน
ส่ วนทีมีความดันตํากว่าอย่างรวดเร็ ว การจะทําให้แก๊สกลับสู่ ภาวะเดิมจะต้องมีการอัดแก๊สให้มีปริ มาตร
เล็กลงพร้อมกับมีการถ่ายเทความร้อนสู่ สิงล้อมรอบ เป็ นผลให้กระบวนการขยายตัวอย่างไม่มีขอ้ จํากัด
ไม่สามารถย้อนกลับได้
3) การถ่ายเทความร้อนอันเป็ นผลมาจากผลต่างของอุณหภูมิทีมีค่าจํากัด เนื องจากการถ่ายเทความร้อนจะ
เกิดขึนจากแหล่งทีมีอุณหภูมิสูงไปยังแหล่งทีมีอุณหภูมิตากว่ ํ าเท่านัน ดังนันการจะทําให้กระบวนการ
ดังกล่าวย้อนกลับได้ จะต้องใช้ตูเ้ ย็นหรื อปั มความร้อนดังทีกล่าวไปในหัวข้อที 7.1 ซึงต้องใส่ งานเข้าไป
ดัง นันจึ ง เห็ น ได้ว่ า การถ่ า ยเทความร้ อ นอัน เป็ นผลมาจากผลต่ า งของอุ ณ หภู มิ ที มี ค่ า จํา กัด จึ ง เป็ น
กระบวนการย้อนกลับไม่ได้ อนึ งกระบวนการถ่ายเทความร้ อนจะย้อนกลับได้ก็ต่อเมื อผลต่างของ
อุณหภูมิมีค่าลู่เข้าสู่ ศูนย์
4) การผสมกันของสาร ในทีนี จะยกตัวอย่างได้แก่การทํานําเกลือซึ งกระบวนการผลิตนําเกลือนันง่ายมาก
แค่เพียงนํานํามาผสมกับเกลือในสัดส่ วนทีต้องการ แต่ว่าถ้าต้องการจะให้นาเกลื ํ อแยกกลับไปเป็ นนํา
และเกลืออีกครัง เราจะต้องใส่ ความร้อนเข้าไปเพือให้นาเกลื ํ อเดือดกลายเป็ นไอเพือแยกไอนําให้ออก
จากเกลือ แล้วทําให้ไอนําเย็นตัวลงเพือให้กลันตัวกลับมาเป็ นนําในสถานะของเหลว ดังนันการผสมกัน
ของสารเป็ นกระบวนการย้อนกลับไม่ได้
5) ปัจจัยอืนๆ เช่น การไหลของกระแสไฟฟ้ าผ่านขดลวดต้านทาน การเผาไหม้จากปฏิกิริยาเคมี เป็ นต้น ซึง
ทังหมดต่างก็เป็ นกระบวนการย้อนกลับไม่ได้ทงสิ ั น
อนึ งกระบวนการย้อนกลับได้โดยสมบูรณ์นนจะประกอบไปด้ ั วยกระบวนการย้อนกลับได้ภายใน
(internal reversible process) และกระบวนการย้อนกลับได้ภายนอก (external reversible process) รวมกัน
ซึงจะแสดงตัวอย่างนันจะแสดงอยูใ่ นรู ปที 7.13
120
T T
Q Q
แหล่งจ่ายพลังงาน แหล่งจ่ายพลังงาน
T + dT T + ΔT
(a) (b)
รู ปที 7.13 ความแตกต่างระหว่างกระบวนการย้อนกลับได้ภายในและภายนอก
ระบบทีพิจารณาในรู ปที 7.13 เป็ นสารบริ สุทธิ ภายในกระบอกสู บและลูกสู บ กระบวนการทีเกิดขึนในรู ปที
7.13 เป็ นกระบวนการถ่ายเทความร้อนจากแหล่งจ่ายพลังงานให้แก่สารบริ สุทธิ ทีอยูใ่ นภาวะของผสมสอง
สถานะทีอุณหภูมิ T จะเห็นได้วา่ ไม่มีความแตกต่างเกิดขึนภายในระบบทีพิจารณาในรู ปที 7.13 (a) และ (b)
กล่าวคือสารบริ สุทธิ ในรู ปทังสองต่ างอยู่ในภาวะเดี ยวกัน ภายใต้กระบวนการกึ งสมดุ ลที ความดันคงที
เหมือนกัน ดังนันหากระบบไม่มีแรงเสี ยดทานภายใน ไม่มีการขยายตัวอย่างไม่มีขอ้ จํากัด รวมทังไม่มีการ
ผสมกันเกิดขึน เราจึงถือได้ว่ากระบวนการทีเกิดขึนในรู ปที 7.13 (a) และ (b) เป็ นกระบวนการย้อนกลับได้
ภายในเนืองจากปัจจัยทุกอย่างทีอยูภ่ ายในระบบทีพิจารณาย้อนกลับได้ แต่ขอ้ แตกต่างระหว่างรู ปที 7.13 (a)
และ (b) ก็คือการถ่ายเทความร้อนจากแหล่งจ่ายพลังงานภายนอกเข้าสู่ ระบบ ในรู ป 7.13 (a) เป็ นการถ่ายเท
ความร้อนผ่านผลต่างของอุณหภูมิทีมีค่าลู่เข้าสู่ ศูนย์ (dT → 0) ดังนันกระบวนการถ่ายเทความร้อนในรู ป
7.13 (a) จึงเป็ นกระบวนการย้อนกลับได้ภายนอก ดังนันสําหรับในรู ป 7.13 (a) การย้อนกลับได้เกิดขึนทัง
ภายในและภายนอกระบบ เป็ นผลให้กระบวนการทีได้เป็ นกระบวนการย้อนกลับได้ทงหมด ั (total reversible
process) หรื อเรี ยกสันๆ ว่ากระบวนการย้อนกลับได้โดยตัดคําว่า"ทังหมด"ทิงไป ในทางตรงกันข้ามในรู ป
7.13 (b) เป็ นการถ่ายเทความร้อนผ่านผลต่างของอุณหภูมิเป็ นค่าทีจํากัด ดังนันกระบวนการถ่ายเทความร้อน
ในรู ป 7.13 (b) จึงเป็ นกระบวนการย้อนกลับไม่ได้ภายนอกแต่ยงั คงกระบวนการย้อนกลับได้ภายในไว้
7.5 วัฏจักรคาร์โนต์
จากข้อความของเคลวิน-พลังค์ เราทราบแล้วว่าเครื องยนต์ความร้อนจะต้องมีประสิ ทธิภาพอุณหภาพ
หรื อ ηth ตํากว่า 1 เสมอ ถ้าหากลองจินตนาการว่าเราสามารถสร้างเครื องยนต์ความร้อนในทางอุดมคติ
ขึนมาเครื องหนึงทีมีการทํางานเป็ นวัฏจักรซึงประกอบไปด้วยกระบวนการย้อนกลับได้ทงหมด ั ผลทีได้ก็คือ
เครื องยนต์อุดมคติเครื องนันมีความเป็ นไปได้ทีจะมีค่าประสิ ทธิภาพอุณหภาพทีสูงสุ ดเช่นกัน ในช่วงต้นของ
121
T=TL
T=TL
T=TH
T=TH T=TH
QH Q=0 QL Q=0
แหล่งจ่ายพลังงาน แหล่งรับพลังงาน
อุณหภูมิสูง T=TH+dTH อุณหภูมิตํา T=TL−dTL
ภาวะที 1 ภาวะที 2 ภาวะที 3 ภาวะที 4 ภาวะที 1
รายละเอียดของวัฏจักรคาร์โนต์มีดงั ต่อไปนี
1) กระบวนการไอโซเธอร์ มลั ย้อนกลับได้ ของไหลทํางานจะมีอุณหภูมิคงทีเท่ากับ TH โดยการถ่ายเท
ความร้อนจากแหล่งจ่ายพลังงานอุณหภูมิสูงเท่ากับ TH+dTH
2) กระบวนการแอเดียแบติกย้อนกลับได้ ของไหลทํางานจะขยายตัวทําให้มีอุณหภูมิลดลงจาก TH ไปเป็ น
TL โดยทีไม่มีความร้อนถ่ายเทเข้าสู่ระบบ
3) กระบวนการไอโซเธอร์ มลั ย้อนกลับได้ ของไหลทํางานจะมีอุณหภูมิคงทีเท่ากับ TL โดยการถ่ายเท
ความร้อนไปยังแหล่งรับพลังงานอุณหภูมิตาเท่ ํ ากับ TL−dTL
4) กระบวนการแอเดียแบติกย้อนกลับได้ ของไหลทํางานจะหดตัวทําให้มีอุณหภูมิเพิมขึนจาก TL ไปเป็ น
TH โดยทีไม่มีความร้อนถ่ายเทเข้าสู่ระบบ
เนื องจากกระบวนการทังหมดทีเกิดขึนในวัฏจักรคาร์ โนต์เป็ นกระบวนการย้อนกลับได้ ดังนันถ้าหากเรา
ย้อนกลับกระบวนการทังหมด สิ งทีเกิดขึนก็คือแหล่งรับพลังงานอุณหภูมิตาก็ ํ จะกลายเป็ นแหล่งจ่ายพลังงาน
QL เข้าสู่ ระบบแทน ในทํานองเดียวกันแหล่งจ่ายพลังงานอุณหภูมิสูงก็จะกลายเป็ นแหล่งรับพลังงาน QH ที
จ่ายออกจากระบบ ส่ วนงานสุ ทธิ ทีได้จากระบบก็จะเปลียนเป็ นงานสุ ทธิ ทีให้กบั ระบบแทน โดยสรุ ปแล้ว
เครื องยนต์คาร์โนต์กจ็ ะเปลียนเป็ นตูเ้ ย็นหรื อปัมความร้อนคาร์โนต์ในทันที
122
T=TH ฉนวน
ฉนวน หม้อไอนํา
Win Wout
เครืองสูบ กังหัน
เครืองควบแน่น
T=TL
QL
แหล่งรับพลังงาน
อุณหภูมิตํา TL−dTL
7.6 ข้อความสองข้อทีเกียวข้องกับวัฏจักรคาร์โนต์
ข้อ ความสองข้อ ที เกี ยวข้อ งกับ วัฏ จัก รคาร์ โ นต์ นั นถื อ ว่ า เป็ นหลัก การสํ า คัญ ที เกี ยวข้อ งกับ
ประสิ ทธิภาพอุณหภาพของเครื องยนต์ความร้อนภายใต้วฏั จักรคาร์โนต์ซึงกล่าวได้ดงั นี
1) ประสิ ทธิ ภาพอุณหภาพของเครื องยนต์ความร้อนทีย้อนกลับไม่ได้จะมีค่าตํากว่าประสิ ทธิ ภาพอุณหภาพ
ของเครื องยนต์ความร้อนทีย้อนกลับได้ซึงทํางานอยูร่ ะหว่างแหล่งพลังงานทีมีอุณหภูมิสูงและอุณหภูมิ
เท่ากัน
2) ประสิ ทธิ ภาพอุณหภาพของเครื องยนต์ความร้อนทีย้อนกลับได้จะมีค่าเท่ากันทุกเครื องถ้าเครื องยนต์
ทํางานอยูร่ ะหว่างแหล่งพลังงานทีมีอุณหภูมิสูงและอุณหภูมิตาเท่ ํ ากัน
ในการพิสูจน์ขอ้ ความข้อแรกนันเริ มต้นจากการสมมติว่าเครื องยนต์ยอ้ นกลับไม่ได้มีประสิ ทธิภาพอุณหภาพ
สู งกว่าเครื องยนต์ยอ้ นกลับได้ซึงทํางานอยูร่ ะหว่างแหล่งพลังงานทีมีอุณหภูมิสูงและอุณหภูมิตาเท่ ํ ากันดังที
แสดงในรู ปที 7.16 (a) ถ้าให้ QH มีค่าเท่ากัน จะได้ว่า Wirr > Wrev เพราะประสิ ทธิ ภาพอุณหภาพของ
เครื องยนต์ยอ้ นกลับไม่ได้ทีสู งกว่าตามทีสมมติไว้ตอนต้น จากกฎข้อทีหนึ งของเธอร์ โมไดนามิกส์ หรื อ
สมการที 7.1 จะทําให้ QL,irr < QL,rev หลังจากนันทําการกลับทิศทางของเครื องยนต์ยอ้ นกลับได้ซึงจะทําให้
กลายเป็ นตูเ้ ย็นย้อนกลับได้ดงั รู ปที 7.16 (b) ทังนี ตูเ้ ย็นย้อนกลับได้นีจะถูกขับโดยงานทีได้จากเครื องยนต์ที
ย้อนกลับไม่ได้ จะเห็นได้ว่าเนืองจาก Wirr > Wrev ดังนันจึงมีงานสุ ทธิหรื อ Wnet ซึงเท่ากับ Wirr − Wrev ออก
123
TH TH
QH QH QH QH
(a) (b)
รู ปที 7.16 การพิสูจน์ขอ้ ความข้อแรกทีเกียวข้องกับวัฏจักรคาร์โนต์
ดังนันระบบทีแทนด้วยเส้นประนันจะขัดแย้งกับข้อความของเคลวิน-พลังค์กล่าวคือระบบสามารถเปลียน
QL,net ให้เป็ น Wnet ได้ทงหมด
ั เพราะฉะนันแล้วข้อสมมติทีให้ไว้แต่ขา้ งต้นว่า ηth,irr > ηth,rev ที TH และ TL
เดียวกันจึงไม่จริ ง ดังนันข้อสรุ ปทีได้ก็คือสําหรับเครื องยนต์ความร้อนทุกเครื องแล้ว ηth,irr < ηth,rev ที TH
และ TL เดียวกัน
สําหรับในการพิสูจน์ขอ้ ความข้อทีสองนันก็สามารถทําได้เช่นเดียวกับการพิสูจน์ขอ้ ความข้อแรก
เพียงแต่เปลียนเครื องยนต์ยอ้ นกลับไม่ได้ให้เป็ นเครื องยนต์ยอ้ นกลับได้อีกเครื องหนึ งแต่มีประสิ ทธิ ภาพที
ํ ค่าเท่ ากัน
ดี ก ว่าเครื องยนต์ย อ้ นกลับได้เครื องแรกโดยที แหล่ งพลัง งานที มี อุณ หภู มิ สูง และอุ ณ หภู มิ ต ามี
จากนันทําตามวิธีการพิสูจน์ดงั ทีกล่าวมา ผลทีได้ก็คือเกิดความขัดแย้งกับข้อความของเคลวิน-พลังค์ จึงทํา
ให้ได้ขอ้ สรุ ปว่า ηth,rev จะเท่ากันสําหรับทุกเครื องยนต์ยอ้ นกลับได้ที TH และ TL เดียวกัน
7.7 สเกลอุณหภูมิเธอร์โมไดนามิกส์
จากบทที 2 เราได้กล่าวถึงสเกลอุณหภูมิสมั บูรณ์ซึงเป็ นผลมาจากกฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์
และเป็ นอิสระต่อสารทีใช้ ทังนี จะมีชือเรี ยกสเกลอุณหภูมิสัมบูรณ์ นีว่าสเกลอุณหภูมิเธอร์ โมไดนามิกส์
(thermodynamic temperature scale) จะเห็นได้วา่ แท้จริ งแล้วสเกลอุณหภูมิเธอร์โมไดนามิกส์นนก็ั เป็ นผลมา
จากประสิ ทธิ ภาพของเครื องยนต์คาร์ โนต์นนเอง
ั จากข้อความข้อทีสองทีเกียวข้องกับวัฏจักรคาร์ โนต์ เรา
ทราบแล้วว่าประสิ ทธิภาพของเครื องยนต์คาร์โนต์จะเท่ากันทุกเครื องโดยมีขอ้ แม้ว่าเครื องยนต์จะต้องทํางาน
124
รู ปแบบของฟังก์ชนของสมการที
ั 7.9 นัน ลอร์ดเคลวินได้เสนอให้
QH TH
= (7.10)
QL TL
ตัวอย่างที 7.2
เครื องทํานําเย็นเป็ นตูเ้ ย็นประเภทหนึ งทีทําหน้าทีผลิตนําเย็นเพือนําไปใช้ในงานอุตสาหกรรมและ
งานปรับอากาศ ทังนีเครื องทํานําเย็นจะทํานําเย็นได้ทีอุณหภูมิประมาณ 7oC ในขณะทีความร้อนจะทิงไปสู่
บรรยากาศภายนอกทีอุณหภูมิ 35oC ถ้าเครื องทํานําเย็นจะต้องดึงความร้อนจากนําเย็นเท่ากับ 8,500 kJ งาน
น้อยทีสุ ดทีเป็ นไปได้ทีเครื องทํานําเย็นเครื องนีต้องการจะเป็ นเท่าไร จากนันถ้าเครื องทํานําเย็นจริ งโดยทัวไป
มีค่าสัมประสิ ทธิสมรรถนะประมาณ 3.9 จงหาสัดส่ วนของงานทีต้องใช้จริ งต่องานทีน้อยทีสุ ดว่าเป็ นเท่าไร
วิธีทาํ
ตัวแปรทีทราบค่า: TL, TH, QL
ตัวแปรทีต้องการ: Wnet,rev , Wnet,real/Wnet,rev
เครื องทํานําเย็นทีใช้งานน้อยทีสุ ดก็คือเครื องทํานําเย็นทีเป็ นตูเ้ ย็นย้อนกลับได้หรื อทํางานภายใต้
วัฏจักรคาร์โนต์ ซึงเราจะสามารถเขียนแผนภาพของตูเ้ ย็นได้คือ
จากสมการสัมประสิ ทธิสมรรถนะของตูเ้ ย็นคาร์โนต์ บรรยากาศภายนอกที
TL TH = 35oC = 308.15 K
β R,rev =
TH − TL QH
280.15 K
βR,rev = = 10.005 Wnet,rev
308.15 − 280.15 K ตู้เย็น
ตัวอย่างที 7.3
ความร้ อ นจากใต้พิ ภ พเป็ นแหล่ ง พลัง งานธรรมชาติ รูป แบบหนึ งที มี ศ กั ยภาพในการนํา มาผลิ ต
กระแสไฟฟ้ าได้ โดยความร้อนทีได้จะอยูใ่ นรู ปของนําพุร้อนใต้ดินทีอุณหภูมิ 180oC และสามารถผลิตความ
ร้อนได้ประมาณ 120 MW บริ ษทั แห่งหนึงได้เสนอว่าสามารถนําความร้อนดังกล่าวมาผลิตไฟฟ้ าได้ 50 MW
ถ้าอากาศภายนอกมีอุณหภูมิเฉลียประมาณ 30oC สิ งทีบริ ษทั ดังกล่าวเสนอมาเป็ นไปได้หรื อไม่
วิธีทาํ
ตัวแปรทีทราบค่า: TH, Q& H , W& net ,real , TL
ตัวแปรทีต้องการ: ตรวจสอบความเป็ นไปได้ของข้อเสนอ
เครื องยนต์ความร้อนทีจะสามารถผลิตกําลังออกมาได้มากทีสุ ดก็คือเครื องยนต์คาร์โนต์ซึงถ้าหาก
นํามาใช้งานทีระหว่างนําพุร้อนใต้ดินที TH และอากาศภายนอกที TL จะมีประสิ ทธิภาพอุณหภาพเท่ากับ
TL อุณหภูมิจากนําพุร้อนที
ηth ,rev = 1 − TH = 180oC = 453.15 K
TH
303.15 K Q& H = 120 MW
ηth ,rev = 1 − = 0.3310
453.15 K W& net , real = 50 MW
เครืองยนต์
ในอี ก ด้า นหนึ ง ประสิ ท ธิ ภ าพอุ ณ หภาพของเครื องยนต์ที ทาง ความร้อน
บริ ษทั เสนอมาจะสามารถคํานวณได้จาก Q& L
W& net ,real
ηth ,real = อากาศภายนอก
Q& H TL = 30oC = 303.15 K
127
50 MW
ηth ,real = = 0.4167
120 MW
เมือเปรี ยบเทียบกับประสิ ทธิภาพอุณหภาพของเครื องยนต์คาร์โนต์จะพบว่า
ηth ,real > ηth ,rev
จากข้อความข้อแรกทีเกี ยวข้องกับวัฏจักรคาร์ โนต์ จะพบว่าเป็ นไม่ได้ทีเครื องยนต์จริ งจะมีประสิ ทธิ ภาพ
อุณหภาพมากกว่าเครื องยนต์คาร์โนต์ ดังนันสิ งทีบริ ษทั เสนอมาจึงเป็ นไปไม่ได้ คําตอบ
หมายเหตุ
จากตัวอย่างทีได้จะเห็นได้ว่าถึงแม้จะเป็ นเครื องยนต์คาร์ โนต์ทีมีประสิ ทธิภาพอุณหภาพสู งสุ ดก็ให้
ค่า ηth ,rev เพียงแค่ประมาณร้อยละ 33 เท่านัน ทังนีหากพิจารณาสมการที 7.11 จะพบว่าค่า ηth ,rev จะขึนอยู่
กับ TH และ TL โดยทัวไป TL ก็มกั จะเป็ นอุณหภูมิของบรรยากาศซึงจะเปลียนแปลงตามสภาพอากาศและ
ไม่สามารถควบคุมได้ ดังนันตัวแปรทีจะสามารถทําให้ ηth ,rev เปลียนแปลงได้ก็คือ TH จากสมการที 7.11
ยิง TH มีค่ามากเท่าไหร่ เราจะพบว่า ηth ,rev ก็จะมีค่ามากขึนเท่านัน ในเครื องยนต์เผาไหม้ภายในหรื อ
รถยนต์ทีเราเห็นโดยทัวไปจะมีอุณหภูมิในห้องเผาไหม้หรื อ TH มีค่ามากกว่า 1,000 K ในขณะทีอากาศ
ภายนอกหรื อค่า TL มีค่าประมาณ 300 K ดังนันหากแทนค่าดังกล่าวลงในสมการที 7.11 จะได้ ηth ,rev = 0.7
เมือเทียบกับค่า TH จากตัวอย่างซึงมีค่าเพียง 453.15 K ดังนันค่าของ TH จึงเป็ นตัวแปรสําคัญในการบ่งบอก
ถึงศักยภาพของแหล่งพลังงานนันๆ นอกจากนี หาก TH ยิงมีค่าสู งขึนเท่าใด ก็ยิงแสดงว่าแหล่งพลังงานมี
ศักยภาพมากขึนเท่านัน พลังงานแสงอาทิตย์ก็เป็ นตัวอย่างหนึ งทีเห็ นได้ชดั ว่า หากนําแสงอาทิตย์มาให้
พลังงานโดยตรงกับนําก็จะได้อุณหภูมิของนําเพียงแค่ประมาณ 55-85oC เท่านัน ซึ งหากจะนํานําร้อน
ดังกล่าวมาเป็ นแหล่งจ่ายพลังงานอุณหภูมิสูงเพือผลิตกระแสไฟฟ้ าก็ยอ่ มจะมีศกั ยภาพทีตํามาก ดังนันหาก
จะนําแสงอาทิตย์มาผลิตกระแสไฟฟ้ าจะต้องนําแสงอาทิตย์มารวมกันเพียงจุดเดี ยวเพือให้เกิ ดเป็ นแหล่ง
พลังงานทีมีอุณหภูมิสูงขึน ส่ งผลให้ศกั ยภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้ าเพิมขึนตามไปด้วย
128
แบบฝึ กหัด
1) เครื องยนต์ความร้อนเครื องหนึงมีประสิ ทธิ ภาพอุณหภาพร้อยละ 30 และใช้นามั ํ นเตา (ค่าความร้อน
เชือเพลิงประมาณ 40 MJ/L) เป็ นเชือเพลิงในการป้ อนความร้อนเข้าสู่ เครื องยนต์ดงั กล่าว ถ้าต้องการ
ให้เครื องยนต์ความร้อนเครื องนีจ่ายกําลังออกมาเท่ากับ 240 kW จงหาอัตราการบริ โภคนํามันเตาเป็ น
ลิตรต่อชัวโมง
3) ปัจจัยใดทีทําให้เกิดการย้อนกลับไม่ได้ในกระบวนการต่อไปนี
(a) การชงกาแฟโดยการผสมกาแฟ นม นําตาลเข้าด้วยกัน
(b) การใช้หา้ มล้อเพือชะลอความเร็ วของรถยนต์
(c) การระเบิดของลูกโป่ งทีถูกอัดอากาศเข้าไป
(d) การทิงนําร้อนในแก้วให้เย็นลงโดยการวางบนโต๊ะเป็ นเวลานาน
4) จงอธิบายว่าเครื องยนต์คาร์โนต์ซึงทํางานเป็ นวัฏจักรประกอบไปด้วยกระบวนการใดบ้าง อธิบาย
5) แหล่งจ่ายพลังงานอุณหภูมิสูงที 300oC ทําหน้าทีจ่ายความร้อนให้แก่เครื องยนต์ความร้อน โดยจะทิง
ความร้อนไปยังแหล่งรับพลังงานอุณหภูมิตาที ํ 30oC ถ้าต้องการกําลังจากเครื องยนต์เท่ากับ 80 kW
อัตราการถ่ายเทความร้อนจากแหล่งจ่ายพลังงานอุณหภูมิสูงทีน้อยทีสุ ดจะมีค่าเป็ นเท่าไร
6) ปั มความร้อนถูกใช้งานเพือรักษาอุณหภูมิในห้องให้ได้ 25oC ในขณะทีอุณหภูมิของอากาศภายนอก
ห้องมีค่าเท่ากับ 0oC หากปัมความร้อนเครื องนีผลิตความร้อนได้ 480 kJ ในขณะทีต้องการงานในการ
ขับเท่ากับ 115 kJ สัมประสิ ทธิ สมรรถนะของปั มความร้อนเครื องนี มีค่าเป็ นร้อยละเท่าไหร่ ของ
สัมประสิ ทธิสมรรถนะของปัมความร้อนคาร์โนต์ทีทํางานระหว่างห้องและอากาศภายนอกเดียวกัน
129
บทที 8
เอนโทรปี
8.1 ความไม่เท่ากันของเคลาเซียส
ความไม่เท่ากันของเคลาเซียสเป็ นผลทีได้จากกฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์ซึงใช้ได้กบั ระบบที
ทํางานเป็ นวัฏจักรทีย้อนกลับได้และย้อนกลับไม่ได้ ความไม่เท่ากันของเคลาเซี ยสสามารถเขียนอยู่ในรู ป
ของอสมการได้วา่
δQ
∫ T
≤ 0 (8.1)
QH QH
QL,rev QL,irr
TL TL
(a) (b)
รู ปที 8.1 เครื องยนต์ความร้อนย้อนกลับได้และย้อนกลับไม่ได้เพือแสดงถึงความไม่เท่ากันของเคลาเซียส
หากประยุกต์ใช้สมการที 8.1 และ 8.2 กับเครื องยนต์ความร้อนย้อนกลับได้ในรู ปที 8.1 (a) จะได้วา่
δQ ⎛ Q ⎞ = Q H + ⎛⎜ − Q L ,rev ⎞⎟ = Q H − Q L ,rev
∫ T
= ∑cycle
⎜ ⎟
⎝ T ⎠all TH ⎜ T ⎟
⎝ L ⎠ TH TL
130
ซึงก็สอดคล้องกับความไม่เท่ากันของเคลาเซียส
ในทํานองเดียวกันสําหรับเครื องยนต์ความร้อนย้อนกลับไม่ได้ในรู ป 8.1 (b) เราจะสมมติให้ QH, TH
และ TL มีค่าเท่ากับเครื องยนต์ความร้อนย้อนกลับได้ ดังนันเนืองจาก ηth,rev > ηth,irr และผลจากกฎข้อทีหนึง
ของเธอร์โมไดนามิกส์ จึงทําให้
Wirr < Wrev และ Q L,irr > Q L,rev
ซึงสอดคล้องกับสามัญสํานึกนันก็คือถ้าความร้อนทีใส่ เข้าไปหรื อ QH มีค่าเท่ากัน เครื องยนต์ยอ้ นกลับไม่ได้
จะเปลียน QH ให้เป็ น W ได้นอ้ ยกว่าเครื องยนต์ยอ้ นกลับได้ ในขณะเดียวกันความร้อนเหลือทิงหรื อ QL ของ
เครื องยนต์ยอ้ นกลับไม่ได้จะมีค่ามากกว่าเครื องยนต์ยอ้ นกลับได้ ดังนันหากประยุกต์ใช้สมการที 8.1 และ
8.2 กับเครื องยนต์ความร้อนย้อนกลับไม่ได้ ผลทีได้คือ
δQ ⎛ Q ⎞ = Q H + ⎛⎜ − Q L ,irr ⎞⎟ = Q H − Q L ,irr
∫ T
= ∑cycle
⎜ ⎟
⎝ T ⎠ all TH ⎜ T ⎟
⎝ L ⎠ TH TL
เนืองจาก QL,irr > QL,rev ในขณะที QH, TH และ TL มีค่าเท่าเดิม จึงทําให้
QH Q
− L ,irr < 0
TH TL
เป็ นผลให้
δQ
∫ T
< 0 สําหรับเครื องยนต์ความร้อนย้อนกลับไม่ได้ (8.4)
P
2
B
A
C
1
V
รู ปที 8.2 วัฎจักรย้อนกลับได้ทีมีกระบวนการเดินหน้าสองกระบวนการ
และกระบวนการย้อนกลับเพียงกระบวนการเดียว
s = (1 − x ) s f + x s g (8.8)
s = s f + x s fg (8.9)
2
⎛ δQ ⎞ = 1 Q 2
S 2 − S1 =
∫
1
⎜ ⎟
⎝ T ⎠ rev T
(8.10)
TL 4 3 TL 4 3
QL
a b a b
S1 = S4 S2 = S3 S S1 = S4 S2 = S3 S
(a) (b)
รู ปที 8.4 วัฏจักรคาร์โนต์บนแผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี
ดังนัน QH ก็จะสามารถแทนได้ดว้ ยพืนที 1-2-b-a-1 หรื อก็คือพืนทีแรเงาทึบทีแสดงในรู ปที 8.4 (a) นันเอง
ในทํานองเดียวกันกระบวนการจากภาวะที 3 ไปภาวะที 4 เป็ นกระบวนการไอโซเธอร์มลั ย้อนกลับทีอุณหภูมิ
เท่ากับ TL ซึงจะเกิดการถ่ายเทความร้อนจากระบบออกไปยังแหล่งรับพลังงานอุณหภูมิตาํ ดังนันจากสมการ
ที 8.10 จะสามารถเขียนได้วา่
QL
S3 − S 4 = หรื อ Q L = TL (S 3 − S 4 )
TL
ดังนัน QL ก็จะสามารถแทนได้ดว้ ยพืนที 4-3-b-a-4 หรื อก็คือพืนทีแรเงาลายทแยงมุมทีแสดงในรู ปที 8.4 (b)
ดังนันหากอาศัยกฎข้อทีหนึ งของเธอร์ โมไดนามิกส์สําหรับมวลควบคุมภายใต้วฏั จักร Wnet ก็คือผลต่าง
ระหว่าง QH และ QL ซึงก็จะแทนด้วยพืนที 1-2-3-4-1 หรื อก็คือพืนทีทีถูกปิ ดล้อมด้วยวัฏจักรทีแสดงด้วยพืนที
แรเงาทึบในรู ปที 8.4 (b) อนึงสําหรับกระบวนการจากภาวะที 2 ไปภาวะที 3 และกระบวนการจากภาวะที
4 ไปภาวะที 1 นันเป็ นกระบวนการไอเซนโทรปิ ก ดังนันค่า S จึงไม่เปลียนแปลงในระหว่างกระบวนการ
ในส่ วนของประสิ ทธิภาพเชิงอุณหภาพก็จะสามารถหาได้จาก
Wnet พืนที 1 - 2 - 3 - 4 - 1
ηth = =
QH พืนที 1 - 2 - b - a - 1
นอกจากนีเครื องยนต์ความร้อนคาร์โนต์ยงั สามารถย้อนกลับได้ซึงผลทีได้คือตูเ้ ย็นหรื อปัมความร้อนคาร์โนต์
แทน ดังนันลูกศรทีแสดงวิถีของกระบวนการต่างๆ ในรู ป 8.4 ก็จะย้อนกลับหมด ถ้าเราหาค่า QH QL และ
Wnet ด้วยวิธีเดียวกับทีแสดงข้างต้น ก็จะพบว่า QH QL และ Wnet ก็จะแทนได้ดว้ ยพืนทีเช่นเดียวกับเครื องยนต์
ความร้อนคาร์โนต์นนเองั
หากพิจารณากระบวนการย้อนกลับได้ภายในใดๆ ทีเกิดการถ่ายเทความร้อนระหว่างระบบและสิ ง
ล้อมรอบ เราจะพบว่าหากนํากระบวนการดังกล่าวไปวาดลงบนแผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี ดังทีแสดงใน
รู ปที 8.5
1
Q
1 2
S
รู ปที 8.5 กระบวนการย้อนกลับได้ภายในบนแผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี
136
1 Q2 =
∫ δQ = ∫ T dS
1 1
(8.12)
8.5 ความสัมพันธ์สมบัติเธอร์โมไดนามิกส์
พิจารณากฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุมในรู ปของอนุพนั ธ์หรื อสมการที 5.6
โดยทีละทิงการเปลียนแปลงพลังงานจลน์และพลังงานศักย์ สมการที 5.6 จะลดรู ปเป็ น
δQ = dU + δW
ในภายหลังเราจะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์สมบัติเธอร์ โมไดนามิกส์ทีจะถูกนําไปใช้อยู่บ่อยครังโดยเฉพาะ
อย่างยิงการใช้เป็ นสมการพืนฐานในการพิสูจน์สมการอืนๆ ต่อไป
P
2
B
A
C
1
V
รู ปที 8.6 วัฎจักรทีมีกระบวนการเดินหน้าสองกระบวนการและกระบวนการย้อนกลับเพียงกระบวนการเดียว
โดยทีกระบวนการเดินหน้าหนึงกระบวนการเป็ นกระบวนการย้อนกลับไม่ได้
(S 2 − S1 )A = ∫ ⎛⎜ δQ ⎞⎟
⎝ T ⎠A
1
ั เนื องจากเอนโทรปี เป็ นสมบัติเธอร์ โมไดนามิกส์และเป็ นฟั งก์ชนั จุด ดังนัน S 2 − S1 จะมีค่าเท่ากัน
แต่ทงนี
หมดไม่วา่ กระบวนการนันจะเป็ นกระบวนการย้อนกลับได้หรื อย้อนกลับไม่ได้ ดังนัน
2
(S 2 − S1 )C = (S 2 − S1 )A = ∫ ⎛⎜ δQ ⎞⎟
⎝ T ⎠A
1
(S 2 − S1 )C > ∫ ⎛⎜ δQ ⎞⎟
⎝ T ⎠C
1
8.7 การผลิตเอนโทรปี
ข้อสรุ ปทีได้จากหัวข้อที 8.6 นันจะทําให้เราทราบว่า จากอสมการที 8.19 ถ้าหากว่ากระบวนการมี
δQ และ T เท่ากัน ผลต่างของเอนโทรปี ของระบบสําหรับกระบวนการย้อนกลับไม่ได้จะมีค่ามากกว่าผลต่าง
ของเอนโทรปี ของระบบสําหรับกระบวนการย้อนกลับได้ ดังนันเพือให้เกิดความสะดวกในการใช้งาน เรา
จึงเขียนอสมการที 8.19 ใหม่ในรู ปของสมการกล่าวคือ
δQ
dS = + δS gen (8.20)
T
โดยที
δS gen ≥ 0 (8.21)
ในทีนี δSgen มีชือว่าการผลิตเอนโทรปี (entropy generation) ซึงจะเกิดขึนเนืองจากการย้อนกลับไม่ได้ภายใน
ระบบทีพิจารณา ปั จจัยทีจะทําให้เกิดการผลิตเอนโทรปี ภายในระบบก็คือปั จจัยต่างๆ ทีกล่าวไปแล้วใน
ั ทังนันการถ่ายเทความร้อนอันเป็ นผลมาจากผลต่างของอุณหภูมิทีมีค่าจํากัดจะทําให้เกิด
หัวข้อที 7.4 แต่ทงนี
การย้อนกลับไม่ได้ภายนอกระบบได้เช่ นกัน จะสังเกตได้ว่า δSgen จะมีค่าเป็ นบวกเสมอในกรณี ของ
กระบวนการย้อนกลับไม่ได้ภายใน และ δSgen จะมีค่าตําทีสุ ดก็คือศูนย์ในกรณี ของกระบวนการย้อนกลับได้
เมือทําการหาปริ พนั ธ์ของสมการที 8.20 ผลทีได้คือ
2
δQ
S 2 − S1 =
∫1
T
+ 1 S 2 gen (8.22)
ตัวอย่างที 8.1
ภาชนะปิ ดใบหนึงมีปริ มาตร 160 L บรรจุไอนําทีความดัน 300 kPa อุณหภูมิ 200oC จากนันก็ทิง
ภาชนะให้เย็นตัวลงจนมีอุณหภูมิเท่ากับ 100oC จงหาการเปลียนแปลงเอนโทรปี ของนําในภาชนะ
วิธีทาํ
ภาชนะปด
มวลควบคุม: นําภายในภาชนะปิ ด
กระบวนการ: ไอโซคอริ ก CM
H2 O
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ของนํา
ตัวแปรทีทราบค่า: V, P1,T1, T2
ตัวแปรทีต้องการ: S2 − S1 Q
จากข้อมูลทีกําหนดให้ จะเห็นว่าเราทราบข้อมูลของภาวะตังต้นกล่าวคือ
ภาวะที 1 (ภาวะตังต้น): P1 = 300 kPa
T1 = 200oC ภาวะถูกกําหนดแล้วโดยเป็ นไอร้อนยวดยิง
ดังนัน v1 = 0.71629 m3/kg
s1 = 7.3155 kJ/kg-K
หามวลของนําทีอยูใ่ นภาชนะ
V 0.16 m 3
m= = = 0.22337 kg
v 1 0.71629 m 3 / kg
⎛ kJ ⎞ ⎛ kJ ⎞
s 2 = ( 0.57218 )⎜ 1.3068 ⎟ + ( 0.42782 )⎜ 7.3548 ⎟
⎝ kg − K ⎠ ⎝ kg − K ⎠
s 2 = 3.89423 kJ / kg - K
หากวาดแผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี ของกระบวนการทีเกิดขึน จะเห็ นได้ว่าวิถีของกระบวนการจะวิงไป
ตามแนวเส้นปริ มาตรจําเพาะคงทีซึงแสดงอยูใ่ นรู ปด้านล่าง
เส้นปริมาตรจําเพาะคงที
T
200 oC 1
100 oC
2
3.89423 7.3115 s
kJ/kg-K kJ/kg-K
ดังนันการเปลียนแปลงเอนโทรปี ของนําในภาชนะจะหาได้จาก
ตัวอย่างที 8.2
ไอนําทีอยูใ่ นภาวะไออิมตัวซึ งมีมวล 2.8 kg ถูกบรรจุอยูใ่ นกระบอกสู บและลูกสู บ ภายนอกของ
กระบอกสู บได้ถูกหุ ้มฉนวนไว้เป็ นอย่างดี ในตอนเริ มต้นมีแรงกดลูกสู บไว้และทําให้ไอนํามี ความดัน
เท่ากับ 600 kPa ต่อมาแรงทีกดอยูม่ ีค่าน้อยลงทําให้ไอนําได้ขยายตัวออกอย่างช้าๆ จนกระทังอุณหภูมิ
ของไอนําลดลงเหลือ 120oC จงหางานทีเกิดขึนจากกระบวนการดังกล่าว
144
วิธีทาํ
CM
มวลควบคุม: นําภายในกระบอกสูบ
กระบวนการ: ไอเซนโทรปิ ก
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ของนํา
H2O
ตัวแปรทีทราบค่า: m, P1, x1, T2
ตัวแปรทีต้องการ: 1W2 ฉนวน
เนืองจากกระบอกสู บถูกหุ ม้ ฉนวนไว้อย่างดี ดังนันความร้อนทีถ่ายเทผ่านเข้าออกจากระบบจึงเป็ น
ศูนย์ นอกจากนี เรายังตังสมมติฐานว่ากระบวนการทีเกิดขึนอย่างช้าๆ เป็ นกระบวนการย้อนกลับได้ภายใน
เป็ นผลให้กระบวนการขยายตัวของไอนําทีเกิดขึนเป็ นกระบวนการไอเซนโทรปิ ก
จากข้อมูลทีกําหนดให้
ภาวะที 1 (ภาวะตังต้น): P1 = 600 kPa
x1 = 1 ภาวะถูกกําหนดแล้วโดยเป็ นไออิมตัว
ดังนัน u1 = ug = 2,567.40 kJ/kg
s1 = sg = 6.7600 kJ/kg-K
จากกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุม
1 Q2 − 1W2 = ΔE = ΔU + ΔKE + ΔPE
เนื องจากระบบไม่มีการเคลือนทีไปในทิศทางใดๆ และไม่มีการเปลียนระดับความสู ง ดังนัน ΔKE = 0 และ
ΔPE = 0 รวมทัง 1Q2 = 0 กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุมจึงเขียนได้เป็ น
− 1W2 = ΔU = m (u 2 − u 1 )
จะสังเกตเห็นว่าเรายังไม่ทราบค่า u2 เนื องจากภาวะที 2 หรื อภาวะสุ ดท้ายยังไม่ได้ถูกกําหนด ดังนันจาก
กฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุม
2
δQ
S 2 − S1 =
∫
1
T
+ 1 S 2 gen
W
1 2 = m ( u 1 − u 2 ) = (2. 8 kg ) ⎛
⎜ 2 , 567. 40 − 2 , 395. 62
kJ ⎞
⎟
kg ⎠
⎝
kJ
W
1 2 = 481 .0 คําตอบ
kg
หากวาดแผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี ของกระบวนการทีเกิดขึน จะเห็นว่าวิถีของกระบวนการเป็ นเส้นตรงใน
แนวดิงเนืองจากเอนโทรปี ของระบบมีค่าคงทีตลอดทังกระบวนการ
T
120 oC 2
6.7600 s
kJ/kg-K
146
8.8 หลักการเพิมขึนของเอนโทรปี
จากทีกล่าวมาในหัวข้อที 8.7 หลักการเพิมขึนของเอนโทรปี นันจะใช้ได้กบั ระบบโดดเดียวซึงคือ
ระบบทีเป็ นระบบปิ ดซึ งมีมวลเป็ นค่าคงตัวและไม่อนุ ญาตให้พลังงานรู ปใดๆ หรื อก็คือความร้อนและงาน
ผ่านเข้าออกจากระบบดังทีแสดงในรู ปที 8.7
m = ค่าคงตัว
Q = 0, W=0
ดังนันค่าพลังงานงานรวมของระบบโดดเดียวจะไม่มีการเปลียนแปลงกล่าวคือไม่มีการสะสมพลังงานรวมให้
มากขึนหรื อสู ญเสี ยพลังงานรวมให้นอ้ ยลง หรื ออาจจะกล่าวได้ว่าเกิดการอนุ รักษ์พลังงานรวมของระบบ
โดดเดียว ในลําดับถัดไปลองพิจารณากฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับระบบโดดเดียว จะได้วา่
2
δQ
(S 2 − S1 )isolated system =
∫ T
+ 1 S 2 gen
1
(S − S )
2 1 isolated system = 1 S 2 gen (8.24)
เราจึงต้องขยายระบบทีพิจารณาให้มีขนาดใหญ่ขึนโดยเป็ นห้องทังห้องเพือทีจะครอบคลุมทังภาชนะและ
อากาศภายใน กระนันเราก็พบว่าห้องของเราก็ยงั ถ่ายเทความร้อนไปสู่ อากาศภายนอก หากเราทําแบบนีไป
เรื อยๆ ก็จะทําให้ระบบทีพิจารณาขยายตัวขึนเรื อยๆ เพือจะครอบคลุมสิ งต่างๆ ทีเกิดขึนให้อยู่ภายในระบบ
ของเรา ด้วยความคิดนี จะทําให้เราพบว่าขนาดของระบบของเราใหญ่ขึนเรื อยๆ จนกระทังไปถึงสิ งทีใหญ่
ทีสุ ดทีเราจะจินตนาการได้นนก็
ั คือเอกภพ ดังนันหากเอกภพเป็ นระบบโดดเดียวตามแนวความคิดทีกล่าวมา
เราจะพบว่าเอนโทรปี ของเอกภพจะมีแนวโน้มทีจะเพิมขึนเรื อยๆ จากทีกล่าวมาแล้วนันหากเอนโทรปี
เปรี ยบเสมื อนระดับความปั นป่ วนของระบบ นันย่อมแสดงว่าระดับความปั นป่ วนของเอกภพย่อมจะมี
แนวโน้มทีจะเพิมขึนเรื อยๆ ด้วยเช่นกัน หลักการเพิมขึนของเอนโทรปี นันเป็ นหลักการสําคัญทังในทาง
วิทยาศาสตร์ ปรัชญา เศรษฐศาสตร์ นิเวศวิทยา และศาสตร์อืนๆ ด้วยเช่นกัน
หลักการเพิมขึนของเอนโทรปี นันจะพบเห็นอยู่ทวไปแม้
ั กระทังในชี วิตประจําวันดังตัวอย่างทีจะ
นําเสนอต่อไปนี หากเราเคยเล่นตัวต่อจิกซอว์เราจะพบว่าการจะทําให้ตวั ต่อเป็ นรู ปเป็ นร่ างหรื อเป็ นระเบียบ
นันอาจจะใช้ความพยายามเป็ นเวลาร่ วมเดือนกว่าจะทําได้ แต่หากเมือใดเราต่อเสร็ จแล้วจะรื อทิงเพือต่อใหม่
เราจะพบว่าการรื อทิ งให้ตวั ต่อไร้ ระเบี ยบหรื อเต็มไปด้วยความปั นป่ วนนันใช้เวลาเพียงแค่ไม่กีวินาที ก็
สามารถทําได้ นันย่อมแสดงว่าตัวต่อจิกซอว์มีแนวโน้มทีจะอยูอ่ ย่างไร้ระเบียบมากกว่าทีจะอยูอ่ ย่างมีระเบียบ
นันเอง คอมพิวเตอร์ ทีเราพบเห็นอยู่ในชี วิตประจําวันประกอบไปด้วยอุปกรณ์หลายร้อยชิ นร้อยเรี ยงกัน
อย่างเป็ นระเบียบเพือให้ทาํ งานได้อย่างถูกต้องอย่างทีเราต้องการ ซึ งการจะได้คอมพิวเตอร์ มานันต้องผ่าน
กระบวนการผลิตทีต้องใช้พลังงานและใช้เวลาพอสมควรกว่าจะได้คอมพิวเตอร์มาหนึงเครื อง แต่ถา้ เราอยาก
ให้คอมพิวเตอร์อยูใ่ นสภาพทีไร้ระเบียบและเต็มไปด้วยความปั นป่ วน เราก็แค่โยนคอมพิวเตอร์เครื องนันลง
มาจากตึก ผลทีได้เป็ นเช่นไรเราทังหลายก็คงจะทราบดี หรื อแม้แต่ถา้ เราใช้คอมพิวเตอร์ เครื องหนึ งไปเป็ น
ระยะเวลานานๆ ความปั นป่ วนก็อาจจะเกิ ดขึนกับอุปกรณ์ ชินหนึ งในทังหลายร้ อยชิ น ซึ งก็ทาํ ให้เราไม่
สามารถใช้คอมพิวเตอร์ เครื องนันได้อีก ตัวอย่างดังกล่ าวที นําเสนอเป็ นการแสดงให้เ ห็ นว่าแม้แต่ใ น
ธรรมชาติรอบๆ ตัวเรา ระบบมีแนวโน้มทีจะเพิมความปันป่ วนหรื อเพิมเอนโทรปี ให้มีค่ามากขึนเสมอ
พิจารณามวลควบคุม 1 มวลควบคุม 2 และสิ งล้อมรอบดังทีแสดงในรู ปที 8.8
มวลควบคุม 2
มวลควบคุม 1
สิงล้อมรอบ
δQ δQ
แก๊ส T T0
S gen total = (S 2 − S1 ) − 1 2
Q
(8.27)
T0
สมการที 8.27 นันในตําราหรื อหนังสื อบางเล่มอาจจะมีการเขียนทีแตกต่างออกไป ทังนีถ้าเราพิจารณาระบบ
ในรู ปที 8.8 รวมกันทังหมดได้แก่มวลควบคุม 1 มวลควบคุม 2 และสิ งล้อมรอบ เราจะพบว่าระบบรวม
ทังหมดเป็ นระบบโดดเดียวระบบหนึง ดังนันจากสมการที 8.24 เราสามารถเขียนได้วา่
1 S 2 gen = (S 2 − S1 )isolated system
(S 2 − S1 )non CM1 = − 1
Q2
T0
ส่ วนทีเหลือทีไม่ใช่ CM1 นันโดยรวมๆ แล้ว เราก็สามารถเรี ยกได้วา่ สิ งล้อมรอบได้เหมือนกัน ดังนันเราจึง
อาจจะเห็นว่าในตําราหรื อหนังสื อบางเล่มเขียนสมการด้านบนให้อยูใ่ นรู ป
ตัวอย่างที 8.3
นําปริ มาณ 1.5 kg ถูกบรรจุอยูใ่ นกระบอกสู บและลูกสู บทีความดัน 800 kPa และอุณหภูมิ 150oC
ต่อมาไอนําได้รับความร้อนจากแหล่งจ่ายพลังงานอุณหภูมิสูงซึงมีอุณหภูมิเท่ากับ 200oC ทําให้ไอนําขยายตัว
จนกระทังอุณหภูมิของไอนําเท่ากับ 200oC ลูกสู บกับก้อนนําหนักจะรั กษาความดันของนําให้มีค่าคงที
เท่ากับ 800 kPa เสมอ จงหาการผลิตเอนโทรปี รวมจากกระบวนการดังกล่าว
วิธีทาํ CM
มวลควบคุม: นําภายในกระบอกสูบ
กระบวนการ: ไอโซบาริ ก
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ของนํา H2O
ตัวแปรทีทราบค่า: m, P1, T1, , T0, T2
ตัวแปรทีต้องการ: Sgen total Q
แหล่งจ่ายพลังงานอุณหภูมิสูง T0
สมมติให้กระบวนการทีเกิดขึนเป็ นกระบวนการย้อนกลับได้ภายในแบบไอโซคอริ ก จากข้อมูลที
กําหนดให้เราสามารถหาภาวะตังต้นของนําได้จาก
151
เนืองจากความดันมีค่าคงที ดังนันจะสามารถคํานวณงานขอบเขตเคลือนทีได้จาก
2
1W2 =
∫ P dV
1
= P (V2 − V1 ) = P m (v 2 − v 1 )
m3 ⎞
= (800 kPa )(1.5 kg )⎜ 0.26080 − 0.001090 ⎟
⎛
⎝ kg ⎠
1W2 = 311.652 kJ
จากกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุม
1 Q 2 − 1W2 = ΔE = ΔU + ΔKE + ΔPE
เนืองจากระบบไม่มีการเคลือนทีไปในทิศทางใดๆ และไม่มีการเปลียนระดับความสู ง ดังนัน ΔKE = 0 และ
ΔPE = 0 กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุมจึงเขียนได้เป็ น
1 Q 2 − 1W2 = ΔU = m (u 2 − u 1 )
แทนค่าลงไปจะได้วา่
⎛ kJ ⎞
1 Q 2 − 311.652 kJ = 1.5 kg ⎜ 2,630.61 − 631.66 ⎟
⎝ kg ⎠
1 Q 2 − 311.652 kJ = 2 ,998.425 kJ
1 Q 2 = 3,310.077 kJ
152
2
200 oC
Tsat @800 kPa
1
150 oC
1.8417 6.8158 s
kJ/kg-K kJ/kg-K
หมายเหตุ
หากพิจารณาปัญหาข้อนีโดยละเอียดโดยเริ มจากกฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์ของมวลควบคุม
ซึงในทีนีคือนําเพียงอย่างเดียว จากสมการที 8.22 จะได้วา่
2
δQ
S 2 − S1 =
∫
1
T
+ S gen CM
153
ตัวอย่างที 8.4
แท่งอลูมิเนี ยมรู ปทรงกระบอกเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 cm ยาว 30 cm ได้รับความร้อนทําให้มี
อุณหภูมิเพิมขึนจาก 30oC ไปเป็ น 150oC จงหาการเปลียนแปลงเอนโทรปี ของแท่งอลูมิเนียม
วิธีทาํ
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: อลูมิเนียมเป็ นสารอัดไม่ได้ทีมีความร้อนจําเพาะเป็ นค่าคงตัว
ตัวแปรทีทราบค่า: D, L, T1, T2
ตัวแปรทีต้องการ: S2 − S1
π
m = ρ V = ρ ⎛⎜ D 2 L ⎞⎟
⎝4 ⎠
kg π
m = ⎛⎜ 2,700 3 ⎞⎟ ⎛⎜ (0.1 m )2 (0.3 m )⎞⎟ = 6.3617 kg
⎝ m ⎠⎝ 4 ⎠
ดังนันจากสมการที 8.31 เราจะสามารถหาการเปลียนแปลงเอนโทรปี ของแท่งอลูมิเนียมได้จาก
⎛T ⎞
S 2 − S1 = m (s 2 − s1 ) = m C ln ⎜⎜ 2 ⎟⎟
⎝ T1 ⎠
kJ ⎞ ⎜⎛ 423.15 K ⎞⎟
( ) ⎛
S 2 − S1 = 6.3617 kg ⎜ 0.90 ⎟ ln
⎝ kg − K ⎠ ⎜⎝ 303.15 K ⎟⎠
kJ
S 2 − S1 = 1.9095 คําตอบ
K
ตัวอย่างที 8.5
จงหาผลต่างของเอนโทรปี จําเพาะของคาร์ บอนไดออกไซด์ทีได้รับความร้อนจนมีอุณหภูมิเพิมจาก
300 K ไปเป็ น 1000 K ในขณะทีความดันลดลงจาก 200 kPa ไปเป็ น 100 kPa โดยใช้วิธีทงสามวิ
ั ธีทีได้
อธิบายในหัวข้อที 8.10
วิธีทาํ
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: คาร์บอนไดออกไซด์เป็ นแก๊สอุดมคติ
ตัวแปรทีทราบค่า: T1, T2
ตัวแปรทีต้องการ: s 2 − s1
(1) วิธีตงสมมติ
ั ฐานว่าค่า CP0 เป็ นค่าคงตัว
ทําการหาค่า CP0 ทีอุณหภูมิเฉลียหรื อ Tavg ก่อนซึงจะมีค่าเท่ากับ 0.5(T1 + T2) = 650 K โดยอาศัย
ตารางที ผ.5 ค่า CP0 ของคาร์บอนไดออกไซด์จะแปรผันตามอุณหภูมิดงั สมการ
⎛ kJ ⎞ T (K)
CP0 ⎜ ⎟ = 0.45 + 1.67θ − 1.27θ2 + 0.39θ3 โดยที θ = และ 0.25 ≤ θ ≤ 1.2
⎝ kg - K ⎠ 1000
ดังนัน θavg = Tavg/1000 = 650/1000 = 0.65 ซึงยังอยูใ่ นช่วงทีสามารถใช้งานได้ เมือแทนค่า θavg ลงไปใน
พหุ นามด้านบนเพือหาค่า CP0,avg จะได้ว่า CP0,avg = 1.1060 kJ/kg-K จากนันนําค่า CP0,avg ไปแทนค่าในสมการ
ที 8.37 ส่ วนค่า R = 0.1889 kJ/kg-K จะได้วา่
T P
s 2 − s1 = C P 0 ln 2 − R ln 2
T1 P1
⎛ kJ ⎞ ⎜⎛ 1,000 K ⎟⎞ ⎛ kJ ⎞ ⎛⎜ 200 kPa ⎞⎟
s 2 − s1 = ⎜ 1.1060 ⎟ ln ⎜ − ⎜ 0.1889 ⎟ ln ⎜
⎝ kg − K ⎠ ⎝ 300 K ⎟ kg − K ⎠ ⎝ 100 kPa ⎟⎠
⎠ ⎝
kJ
s 2 − s1 = 1.2007 คําตอบ
kg − K
(2) วิธีหาปริ พนั ธ์โดยแทนค่า CP0 ทีเป็ นพหุนามลําดับทีสาม
จากสมการพหุนามลําดับทีสามของ CP0 ในตารางที ผ.5
⎛ kJ ⎞ T (K)
CP0 ⎜ ⎟ = 0.45 + 1.67θ − 1.27θ2 + 0.39θ3 โดยที θ = และ 0.25 ≤ θ ≤ 1.2
⎝ kg - K ⎠ 1000
แทนสมการพหุนามดังกล่าวลงไปในพจน์แรกทางด้านขวามือของสมการที 8.35 จะได้วา่
1 , 000 K
(0.45 + 1.67θ − 1.27θ2 + 0.39θ3 ) dθ
1 1
CP0 CP0
∫
300 K
T
dT =
∫
0. 3
θ
dθ =
∫
0.3
θ
1 , 000 K
1
CP0 1.27 0.39 3 ⎞ ⎛ kJ ⎞
dT = ⎛⎜ 0.45 ln θ + 1.67 θ − θ 2 +
∫
300 K
T ⎝ 2
θ ⎟ = ⎜ 1.165 − ( −0.09443)
3 ⎠ 0. 3 ⎝
⎟
kg - K ⎠
1 , 000 K
CP0 kJ
∫
300 K
T
dT = 1.25943
kg - K
160
ตัวอย่างที 8.6
กระบอกสู บและลูกสู บบรรจุแก๊สฮีเลียมความดัน 100 kPa อุณหภูมิ 30oC มีปริ มาตรตังต้น 1 m3
หลังจากนันฮีเลียมได้ถูกอัดด้วยกระบวนการไอเซนโทรปิ กจนกระทังมีความดันเท่ากับ 700 kPa จง
คํานวณหาอุณหภูมิสุดท้ายของฮีเลียมและงานทีใช้ในการอัด
161
วิธีทาํ แรง
มวลควบคุม: ฮีเลียมภายในกระบอกสูบ
กระบวนการ: ไอเซนโทรปิ ก CM
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ฮีเลียมเป็ นแก๊สอุดมคติ
He
ตัวแปรทีทราบค่า: P1, T1, V1, P2
ตัวแปรทีต้องการ: T2, 1W2
เนืองจากฮีเลียมเป็ นแก๊สอะตอมเดียว ดังนัน CV0 และ CP0 จึงเป็ นค่าคงตัวซึง ทําให้ k เป็ นค่าคงตัว
เช่นกัน จากตารางที ผ.4 จะได้วา่ สําหรับฮีเลียม R = 2.0771 kJ/kg-K, CV0 = 3.116 kJ/kg-K และ k = 1.667
ภาวะที 1 (ภาวะตังต้น): P1 = 100 kPa, T1 = 30oC = 303.15 K, V1 = 1 m3
สมการแก๊สอุดมคติ P1 V1 = m R T1
1.667−1
T2 = 660.386 K คําตอบ
1W2 = m C V 0 (T1 − T2 )
2
⎛V ⎞ ⎛P ⎞
1W2 = ∫1
P dV = P1 V1 ln ⎜⎜ 2 ⎟⎟ = P1 V1 ln ⎜⎜ 1 ⎟⎟
⎝ V1 ⎠ ⎝ P2 ⎠
โดยที n = 1
ตัวอย่างที 8.7
กระบอกสู บและลูกสู บบรรจุอากาศความดัน 600 kPa อุณหภูมิ 300 K มีปริ มาตรเริ มต้น 0.2 m3
ต่อจากนันอากาศขยายตัวด้วยกระบวนการโพลีโทรปิ กจนกระทังมีอุณหภูมิเท่ากับ 240 K งานทีได้จากการ
ขยายตัวมีค่าเท่ากับ 95 kJ ในทีนีสิ งล้อมรอบมีอุณหภูมิ 300 K จงคํานวณหาความดันสุ ดท้ายและการผลิต
เอนโทรปี รวม
วิธีทาํ CM
มวลควบคุม: อากาศภายในกระบอกสูบ
กระบวนการ: โพลีโทรปิ ก
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: อากาศเป็ นแก๊สอุดมคติ อากาศ
ตัวแปรทีทราบค่า: P1, T1, V1, T2, 1W2, T0
Q
ตัวแปรทีต้องการ: P2, Sgen total
สิงล้อมรอบ T0
164
95 kJ =
(1.39373 kg )(0.287 kJ/kg - K )(240 − 300 K )
1− n
n = 1.25263
จากนันใช้สมการที 8.46 เพือหาค่า P2 กล่าวคือ
n −1
T2 ⎛ P2 ⎞n
=⎜ ⎟
T1 ⎜⎝ P1 ⎟⎠
1.25263−1
240 K ⎛ P ⎞ 1.25263
=⎜ 2 ⎟
300 K ⎜⎝ 600 kPa ⎟⎠
จากกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุม
1 Q2 − 1W2 = ΔE = ΔU + ΔKE + ΔPE
เนืองจากระบบไม่มีการเคลือนทีและเปลียนระดับความสู ง ดังนัน ΔKE = 0 และ ΔPE = 0 ดังนันกฎข้อที
หนึงของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุมจึงลดรู ปเป็ น
1 Q2 − 1W2 = ΔU = m (u 2 − u 1 )
เนืองจากการเปลียนแปลงอุณหภูมิของกระบวนการทีเกิดขึนเปลียนจาก T1 = 300 K ไปเป็ น T2 = 240 K ซึงมี
ช่วงการเปลียนแปลงของอุณหภูมิแค่ 60 K ดังนันจึงตังสมมติฐานให้อากาศมีค่าความร้อนจําเพาะเป็ นค่าคง
ตัวโดยจะใช้ค่า CV0 และ CP0 ทีอุณหภูมิ 25oC ตามทีแสดงในตาราง ผ.4 ดังนัน CV0 = 0.717 kJ/kg-K และ CP0
= 1.004 kJ/kg-K ดังนันค่า u2 − u1 ทีปรากฏอยูใ่ นกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์จะหาได้จาก
u 2 − u 1 = C V 0 @ 25 o C (T2 − T1 )
u 2 − u 1 = 0.717
kJ
kg − K
(240 − 300 K ) = − 43.02
kJ
kg
แทนค่า u2 − u1 และ 1W2 ลงไปในกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์จะได้เป็ น
⎛ kJ ⎞
Q
1 2 − 95 kJ = 1. 39373 kg ⎜ − 43. 02 ⎟
⎝ kg ⎠
1 Q 2 = 35.0418 kJ
S gen total = (S 2 − S1 ) − 1 2
Q
T0
S gen total = m (s 2 − s1 ) − 1 2
Q
T0
เนื องจากอากาศเป็ นแก๊สอุดมคติและมีค่าความร้อนจําเพาะเป็ นค่าคงตัว ดังนันเราจึงสามารถนําสมการที
8.37 มาใช้เพือหาการเปลียนแปลงเอนโทรปี ของอากาศได้ กล่าวคือ
T P
s 2 − s1 = C P 0 ln 2 − R ln 2
T1 P1
⎛ kJ ⎞ ⎜⎛ 240 K ⎞⎟ ⎛ kJ ⎞ ⎛⎜ 198.45 kPa ⎞⎟
s 2 − s 1 = ⎜ 1.004 ⎟ ln ⎜ − ⎜ 0.287 ⎟ ln
⎝ kg − K ⎠ ⎝ 300 K ⎠⎟ ⎝ kg − K ⎠ ⎝⎜ 600 kPa ⎟⎠
166
⎛ kJ ⎞ ⎛ kJ ⎞
s 2 − s1 = ⎜ − 0.22404 ⎟ − ⎜ − 0.31754 ⎟
⎝ kg − K ⎠ ⎝ kg − K ⎠
kJ
s 2 − s1 = − 0.093506
kg − K
แทนค่าลงในกฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์เพือหาค่า Sgen total
S gen total = m (s 2 − s1 ) − 1 2
Q
T0
⎛ kJ ⎞ 35.0418 kJ
S gen total = 1.39373 kg ⎜ − 0.093506 ⎟ −
⎝ kg − K ⎠ 300 K
kJ kJ
S gen total = 0.13032 − 0.11681
K K
kJ
S gen total = 0.01352 คําตอบ
K
แบบฝึ กหัด
1) ข้อดีของการใช้แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี ในการนําเสนอกระบวนการและวัฏจักรต่างๆ คืออะไร จง
อธิบาย
2) นําซึ งบรรจุ อยู่ใ นกระบอกสู บ และลูก สู บถูก อัด ตัว อย่า งช้า ๆ ด้ว ยกระบวนการไอโซเธอร์ ม ัลจาก
ปริ มาตรเริ มต้นที 500 L ซึงมีความดัน 400 kPa อุณหภูมิ 200oC จนกระทังนํากลายไปเป็ นไอนําอิมตัว
จงหางานทีเกิดขึนและความร้อนทีถ่ายเทในกระบวนการดังกล่าว
3) ภาชนะตวงหุ ้มด้วยฉนวนทําด้วยโลหะไร้สนิ ม (stainless steel) ซึ งตัวภาชนะเองหนัก 0.6 kg มี
ปริ มาตรในการบรรจุเท่ากับ 4 L ภาชนะตวงได้ถูกทิงไว้ทีอุณหภูมิห้องที 30oC ต่อมาได้มีการเท
เอธานอลทีอุณหภูมิ −20oC ลงไปในภาชนะตัวดังกล่าวจนเต็มแล้วทิงไว้ซักพักจนไม่เกิดการ
เปลียนแปลงอุณหภูมิอีก จงหาการผลิตเอนโทรปี ของกระบวนดังกล่าว
4) จงอธิบายว่าหลักการเพิมขึนของเอนโทรปี กล่าวไว้วา่ อย่างไร
5) จงคํานวณหาการเปลียนแปลงเอนโทรปี จําเพาะของออกซิเจนทีมีอุณหภูมิเพิมขึนจาก 300 K ไปเป็ น
1,000 K โดยวิธีการดังต่อไปนี
(a) ตังสมมติฐานว่า CP0 ของออกซิเจนมีค่าคงทีทีอุณหภูมิหอ้ ง 25oC
(b) ตังสมมติฐานว่า CP0 ของออกซิเจนมีค่าคงทีทีอุณหภูมิเฉลีย
(c) ให้ CP0 ของออกซิเจนเป็ นฟังก์ชนั พหุนามลําดับทีสามของอุณหภูมิ
(d) ใช้ตาราง ผ.6
6) อากาศอยูใ่ นกระบอกสูบทีความดัน 6 MPa อุณหภูมิ 1,800 K ขยายตัวด้วยกระบวนการไอเซนโทรปิ ก
จนกระทังมีความดันเท่ากับ 300 kPa จงหาอุณหภูมิสุดท้ายของอากาศโดยวิธีการดังต่อไปนี
(a) ตังสมมติฐานว่า CP0 ของออกซิเจนมีค่าคงทีทีอุณหภูมิหอ้ ง 25oC
(b) ใช้ตาราง ผ.6
7) กระบอกสู บและลูกสู บทีเคลือนทีได้อย่างอิสระบรรจุอากาศทีความดัน 100 kPa อุณหภูมิ 160oC
ปริ มาตรเริ มต้นเท่ากับ 350 L ต่อมากระกระบอกสู บและลูกสู บถูกทิงไว้ในบรรยากาศภายนอกทีมี
อุณหภูมิ 30oC จนกระทังอากาศภายในเย็นตัวลงจนมีอุณหภูมิ 50oC จงหาการผลิตเอนโทรปี รวมที
เกิดขึน
168
บทที 9
การวิเคราะห์ กฎข้ อสองสํ าหรับปริมาตรควบคุม
9.1 กฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับปริ มาตรควบคุม
ในการเขียนกฎข้อทีสองของเธอร์ โมไดนามิกส์สาํ หรับปริ มาตรควบคุมนันทําได้เช่นเดียวกับกรณี
ของกฎข้อทีหนึ งของเธอร์ โมไดนามิกส์ทีแสดงในหัวข้อที 6.2 กล่าวคือเราจะเริ มต้นจากสมการที 8.48 ซึ ง
เป็ นกฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับมวลควบคุมในรู ปของอัตรา
dS CM Q&
dt
= ∑ T
+ S& gen (9.1)
m& i
W& boundary
si
m& e
W& se
Q&
9.2 กระบวนการภาวะคงตัว
พิ จ ารณากฎข้อ ที สองของเธอร์ โ มไดนามิ ก ส์ สํา หรั บ ปริ ม าตรควบคุ ม ซึ งประยุ ก ต์ใ ช้สํา หรั บ
กระบวนการภาวะคงตัว จะเห็ นได้ว่าสําหรั บภาวะคงตัว ภาวะของมวลในแต่ละตําแหน่ งของปริ มาตร
ควบคุมไม่แปรเปลียนตามเวลา ดังนัน
dS CV
= 0
dt
เป็ นผลให้สมการที 9.2 สามารถเขียนได้เป็ น
Q&
0 = ∑ m& s i i − ∑ m& s e e + ∑T + S& gen (9.4)
ตัวอย่างที 9.1
เครื องอัดอากาศเครื องหนึงอัดอากาศจากความดัน 100 kPa อุณหภูมิ 300 K ไปเป็ นความดันเท่ากับ
700 kPa อัตราไหลเชิงปริ มาตรทีด้านดูดมีค่าเท่ากับ 3.0 m3/min จงหาอุณหภูมิอากาศหลังจากการอัดและ
กําลังทีใช้ในการขับเครื องอัดเครื องนีว่ามีค่าเป็ นเท่าไรโดยสมมติให้กระบวนการอัดเป็ นแบบไอเซนโทรปิ ก
วิธีทาํ CV 2
ปริ มาตรควบคุม: เครื องอัดอากาศ
กระบวนการ: ไอเซนโทรปิ ก W&
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: อากาศเป็ นแก๊สอุดมคติ
ตัวแปรทีทราบค่า: P1, T1, P2, V&1 1
ตัวแปรทีต้องการ: W& อากาศ
จากข้อมูลทีโจทย์กาํ หนด
ภาวะที 1 : P1 = 100 kPa, T1 = 300 K
สําหรับอากาศ R = 0.287 kJ/kg-K
สมการแก๊สอุดมคติ P1 v 1 = R T1
(100 kPa ) v ⎛
= ⎜ 0.287
kJ ⎞
⎟ (300 K )
kg − K ⎠
⎝
171
v 1 = 0.861 m 3 /kg
จากกฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์
P2
s 2 − s 1 = 0 = (s 0T 2 − s 0T1 ) − R ln
P1
⎛ kJ ⎞ ⎛ kJ ⎞ ⎛⎜ 700 kPa ⎞⎟
0 = ⎜ s 0T 2 − 6.86926 ⎟ − ⎜ 0.287 ⎟ ln
⎝ kg − K ⎠ ⎝ kg − K ⎠ ⎝⎜ 100 kPa ⎟⎠
kJ
s 0T 2 = 7.42774
kg − K
เมือทราบค่า s 0T 2 แล้ว เราก็สามารถใช้ตารางที ผ.6 เพือย้อนกลับไปหา T2 และ h2 โดยการประมาณในช่วง
แบบเชิงเส้นได้กล่าวคือ
ภาวะที 2: s 0T 2 = 7.42774 kJ/kg-K จะได้ T2 = 520.19 K และ h2 = 524.18 kJ/kg
ดังนัน T2 = 520.19 K คําตอบ
และหลังจากนันก็นาํ ค่า h2 ทีได้ไปแทนค่าใน กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์ทีลดรู ปแล้ว กล่าวคือ
kg ⎛ kJ ⎞
W& = m& (h 1 − h 2 ) = 0.058072 ⎜ 300.47 − 524.18 ⎟
s ⎝ kg ⎠
W& = − 12.991 kW คําตอบ
หมายเหตุ
เนืองจากโจทย์ไม่ได้กาํ หนดค่า T2 หากเราลองเลือกวิธีการประมาณค่า CP0 ให้เป็ นค่าคงตัวที 25oC
จากตารางที ผ.4 จะได้ว่าสําหรับอากาศ CP0 = 1.004 kJ/kg-K และ k = 1.400 ดังนันเราสามารถนํา
สมการที 8.42 มาใช้ได้กล่าวคือ
k −1
T2 ⎛ P2 ⎞ k
=⎜ ⎟
T1 ⎜⎝ P1 ⎟⎠
เมือแทนค่า P1, T1, P2 และ k ลงไปในสมการ จะได้ T2 = 523.09 K และสําหรับกฎข้อทีหนึงของเธอร์โม
ไดนามิกส์ในกรณี ที CP0 เป็ นค่าคงตัวคือ
W& = m& (h 1 − h 2 ) = m& C P 0 (T1 − T2 )
เมือแทนค่าลงไปจะได้ W& = −13.007 kW ดังนันการประมาณค่า CP0 ให้เป็ นค่าคงตัวที 25oC จะทําให้เกิด
ความคลาดเคลือนตํากว่าร้อยละ 1 ซึ งถือว่าน้อยมาก ดังนันในทางปฏิบตั ิสาํ หรับกระบวนการอัดอากาศ
โดยทัวไปหากค่าความดันด้านอัด (หรื อ P2) มีค่าประมาณไม่เกิน 10 bar(g) ซึงเป็ นค่าทีไม่สูงมากเกินไปนัก
การคํานวณโดยอาศัยการประมาณค่า CP0 ให้เป็ นค่าคงตัวทีอุณหภูมิห้องนันก็ถือว่าเป็ นวิธีการทีสะดวก
รวดเร็ ว และมีความถูกต้องทียอมรับได้ในทางวิศวกรรม
173
ตัวอย่างที 9.2
ไอนําอิมตัวเข้าสู่หอ้ งผสมด้วยอัตราไหลเชิงมวล 1.5 kg/s โดยผสมเข้ากับนําทีมีอุณหภูมิ 45oC โดยที
ความดันภายในห้องผสมมีค่าเท่ากับ 400 kPa และห้องผสมมีการหุม้ ฉนวนอย่างดี นําทีออกจากห้องผสมอยู่
ในภาวะของเหลวอิมตัว จงคํานวณหาอัตราการผลิตเอนโทรปี ทีเกิดจากกระบวนการผสมดังกล่าว
วิธีทาํ
ปริ มาตรควบคุม: ห้องผสม 1 2
กระบวนการ: ไอโซบาริ กและแอเดียแบติก ห้องผสม
ไออิมตัว นํา 45oC
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ของนํา
ตัวแปรทีทราบค่า: x1, m& 1 , T2, Pmix, x3
ของเหลวอิมตัว 3 CV
ตัวแปรทีต้องการ: S& gen
จากข้อมูลทีโจทย์กาํ หนด เนืองจากความดันในห้องผสมจะเท่ากับความดันทุกๆ จุดของของไหลทุก
สายทีเข้าสู่หอ้ งผสม ดังนัน Pmix = P1 = P2 = P3 ซึงทําให้เราสามารถหาสมบัติของนําทีภาวะต่างๆ ได้
ภาวะที 1: P1 = 400 kPa
x1 = 1 ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นไออิมตัว
h1 = hg = 2,738.53 kJ/kg
s1 = sg = 6.8958 kJ/kg-K
ภาวะที 2: P2 = 400 kPa
T2 = 45oC ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นของเหลวอัดตัว
h2 ≈ hf(45oC) = 188.42 kJ/kg
s2 ≈ sf(45oC) = 0.6386 kJ/kg-K
ภาวะที 3: P3 = 400 kPa
x3 = 0 ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นของเหลวอิมตัว
h3 = hf = 604.73 kJ/kg
s3 = sf = 1.7766 kJ/kg-K
ห้องผสมมีทางเข้าสองทางและทางออกหนึงทาง ดังนันเราสามารถเขียนได้วา่
สมการการอนุรักษ์มวล
0 = ∑ m& − ∑ m&
i e
9.3 กระบวนการชัวขณะ
สําหรับกระบวนการชัวขณะ เราจะใช้วิธีการเดียวกันกับกรณี ของกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์
นันคือเริ มต้นจากกฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับปริ มาตรควบคุมทัวไปหรื อสมการที 9.2
dSCV Q&
dt
= ∑
m& i s i − m& e s e + ∑ ∑ T
+ S& gen
t t
∫ ∑ m& s dt
0
i i = ∑m s i i และ
∫ ∑ m& s dt = ∑ m s
0
e e e e
∫ S&
0
gen dt = 1 S 2 gen
ตัวอย่างที 9.3
ถังขนาด 400 L ภายในว่างเปล่าได้เชือมต่อกับท่อส่ งอากาศทีมีความดัน 400 kPa อุณหภูมิ 400 K
โดยผ่านวาล์วควบคุม ในขณะทีวาล์วเปิ ดออกเต็มที อากาศจากท่อส่ งไหลเข้าสู่ ภายในถังจนกระทังความดัน
ของอากาศภายในถังมีค่าเป็ น 200 kPa จากนันวาล์วจึงปิ ด กระบวนการทีเกิดขึนรวดเร็ วมากทําให้ไม่เกิด
การถ่ายเทความร้อนในระหว่างการจ่ายอากาศเข้าสู่ถงั จงหาการผลิตเอนโทรปี ของกระบวนการทีเกิดขึน
วิธีทาํ
ปริ มาตรควบคุม: ถัง
กระบวนการ: แอเดียแบติก
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: อากาศเป็ นแก๊สอุดมคติ
ตัวแปรทีทราบค่า: V, m1, Pi, Ti, P2
ตัวแปรทีต้องการ: 1S2 gen
ภาวะที 1 ภาวะที 2
m1 = 0 P2 = 200 kPa
m2 = mi
177
1 S 2 gen = m 2s2 − m i si
โดยอาศัยสมการการอนุรักษ์มวล m 2 = m i รวมทังการเปลียนแปลงเอนโทรปี ของแก๊สอุดมคติโดยใช้
สมการที 8.38 เราจะได้วา่
1 S 2 gen = m 2 (s 2 − s i )
⎛ P⎞
1 S 2 gen = m 2 ⎜⎜ (s 0T 2 − s 0Ti ) − R ln 2 ⎟⎟
⎝ Pi ⎠
⎛⎛ kJ ⎞ ⎛⎜ 200 kPa ⎞ ⎞
= (0.50186 kg )⎜ ⎜ 7.49558 − 7.15926
kJ ⎟⎟
1 S 2 gen ⎟ − 0.287 ln
⎜⎝ kg − K ⎠ ⎝⎜ kg − K 400 kPa ⎟⎠ ⎟⎠
⎝
= (0.50186 kg )⎜ 0.53525
⎛ kJ ⎞
1 S 2 gen ⎟
⎝ kg − K ⎠
kJ
1 S 2 gen = 0.26862 คําตอบ
K
หมายเหตุ
เราจะสังเกตได้ว่ากระบวนการอัดอากาศจากท่อส่ งเข้าสู่ ถงั ว่างเปล่านันเป็ นกระบวนการย้อนกลับ
ไม่ได้ เนืองจากอากาศจากท่อส่ งจะไหลเข้าสู่ถงั ทีเป็ นสุ ญญากาศทําให้เกิดการการขยายตัวอย่างไม่มีขอ้ จํากัด
อย่างรวดเร็ วซึ งจะเป็ นปั จจัยสําคัญทีทําให้เกิ ดการย้อนกลับไม่ได้ภายในปริ มาตรควบคุมในระหว่างการ
ดําเนินการ เป็ นผลให้ค่า 1S2 gen ยังคงปรากฏอยูใ่ นกฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์
9.4 กระบวนการภาวะคงตัวย้อนกลับได้ของอุปกรณ์การไหลเชิงเดียว
ในหัวข้อนีเราจะเน้นการพิจารณาไปทีอุปกรณ์ทีเกียวข้องกับงานภายใต้ภาวะคงตัวและมีทางเข้าและ
ทางออกอย่างละหนึงทางหรื ออุปกรณ์การไหลเชิงเดียว โดยเราจะเริ มต้นจากการเขียนกฎข้อทีสองของเธอร์
โมไดนามิกส์ สําหรับอุปกรณ์ดงั กล่าวจะสามารถเขียนได้ดงั ทีแสดงในสมการที 9.6 กล่าวคือ
q
0 = si − se + ∑ T
+ s gen
δq = T ds − T δs gen
179
δq = dh − v dP − T δs gen
จากนันทําการหาปริ พนั ธ์จาํ กัดเขตจากทางเข้าหรื อภาวะที i ไปยังทีทางออกหรื อภาวะที e จะได้วา่
e e e e
q =
∫ δq = ∫ dh − ∫ v dP − ∫ T δs
i i i i
gen
e e
q = he − hi −
∫ v dP − ∫ T δs
i i
gen
w=−
∫ v dP
i
(9.12)
ตัวอย่างที 9.4
เครื องสูบนําเครื องหนึงสูบนําจากสระซึงอยูร่ ะดับเดียวกันด้วยอัตราไหลเชิงมวลเท่ากับ 12.5 kg/s ที
ความดัน 100 kPa อุณหภูมิ 25oC โดยใช้กาํ ลังในการสู บเท่ากับ 7.5 kW จงหาความดันสู งสุ ดทีด้านจ่ายของ
เครื องสูบถ้า (a) ด้านจ่ายอยูร่ ะดับเดียวกับเครื องสูบและ (b) ด้านจ่ายอยูบ่ นยอดตึกสูง 12 m
วิธีทาํ
ปริ มาตรควบคุม: เครื องสูบและท่อตามแต่กรณี
กระบวนการ: ไอเซนโทรปิ ก
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: นําเป็ นสารอัดไม่ได้
ตัวแปรทีทราบค่า: m& 1 , P1, T1, W& , H
ตัวแปรทีต้องการ: P2
2
CV
CV
12 m
เครืองสูบ เครืองสูบ
2
1 1
W& W&
กรณี (a) กรณี (b)
การทีความดันด้านจ่ายจะมีค่าสู งสุ ดได้นนั กระบวนการทีเกิดขึนจะต้องเป็ นกระบวนการย้อนกลับ
ํ นสารอัดไม่ได้โดยมี v = vf(25oC) = 0.001003 m3/kg และเป็ นค่าคง
ได้ รวมทังในทีนีเราตังสมมติฐานให้นาเป็
ตัว จากผลทีได้ทาํ ให้เราสามารถนําสมการที 9.13 มาประยุกต์ใช้ได้ สําหรับเครื องสู บทีมีทางเข้าและ
ทางออกเพียงทางเดียวจะได้วา่
สมการการอนุรักษ์มวล
kg
m& 1 = m& 2 = m& = 12.5
s
ดังนันขนาดของงานจําเพาะของเครื องสูบจะหาได้จาก
W& 7.5 kW kJ
w = = = 0. 6
m& 12.5 kg / s kg
183
9.5 หลักการเพิมขึนของเอนโทรปี
เราได้กล่าวถึงหลักการเพิมขึนของเอนโทรปี ไปแล้วในหัวข้อที 8.8 ซึงเป็ นกรณี ของมวลควบคุม ใน
ทีนีเราจะพิจารณาหลักการเพิมขึนของเอนโทรปี สําหรับกรณี ของปริ มาตรควบคุมดังทีแสดงในรู ปที 9.2 จะ
เห็นได้ว่าปริ มาตรควบคุม A คือปริ มาตรควบคุมหลัก ในขณะทีปริ มาตรควบคุม B คือสิ งล้อมรอบ ดังนัน
หากนําปริ มาตรควบคุม A กับ B มารวมกันผลทีได้คือระบบรวมทังหมดซึงเป็ นระบบโดดเดียว
184
CVB
CVA W&
m& e
m& i
Q& TA
TB
ตัวอย่างที 9.5
อากาศทีมีอตั ราไหลเชิงปริ มาตรเท่ากับ 7.5 m3/min ความดัน 200 kPa อุณหภูมิ 30oC ถูกส่ งเข้าไปใน
อุปกรณ์แลกเปลียนความร้อนเพือผลิตอากาศร้ อนทีอุณหภูมิ 120oC ทังนี อากาศได้รับความร้อนจาก
แหล่งจ่ายพลังงานอุณหภูมิสูงเท่ากับ 130oC จงคํานวณหาอัตราการผลิตเอนโทรปี รวมทีเกิดขึน
วิธีทาํ CV
ปริ มาตรควบคุม: อุปกรณ์แลกเปลียนความร้อน 1 2
กระบวนการ: ไอโซบาริ ก
อากาศ
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: อากาศเป็ นแก๊สอุดมคติ
Q
ตัวแปรทีทราบค่า: V& , P1, T1, T2, T0
แหล่งจ่ายพลังงานอุณหภูมิสูง T0
ตัวแปรทีต้องการ: S& gen total
จากข้อมูลเกียวกับภาวะที 1 ทีโจทย์ให้มา
ภาวะที 1: P1 = 200 kPa, T1 = 30oC = 303.15 K
สําหรับอากาศ R = 0.287 kJ/kg-K
สมการแก๊สอุดมคติ P1 v 1 = R T1
⎟ (393.15 − 303.15 K )
kg ⎛ kJ ⎞
Q& = m& C P 0 (T2 − T1 ) = ⎛⎜ 0.28734 ⎞⎟ ⎜ 1.004
⎝ s ⎠⎝ kg − K ⎠
Q& = 25.964 kW
เนื องจากโจทย์ตอ้ งการหา S& gen total ดังนันกฎข้อทีสองของเธอร์ โมไดนามิกส์ทีใช้จึงเป็ นสมการที 9.23 ซึ ง
รวมอุปกรณ์แลกเปลียนความร้อนกับสิ งทีอยูโ่ ดยรอบจนไปถึงจุดทีมีอุณหภูมิ T0 ดังนันเราจะเขียนได้วา่
กฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์
Q& Q&
S& gen total = − ∑ m& i s i + ∑ m& e s e −
T0
= − m& 1s1 + m& 2 s 2 −
T0
Q&
S& gen total = m& (s 2 − s1 ) −
T0
จากการประมาณค่า CP0 ให้เป็ นค่าคงตัวทีอุณหภูมิ 25oC ทําให้ผลต่างของเอนโทรปี ของอากาศซึ งเป็ นแก๊ส
อุดมคติสามารถเขียนได้ตามสมการที 8.37 รวมทังกระบวนการไอโซบาริ กทีเกิดขึนทําให้ผลทีได้คือ
⎛ T P ⎞ Q& ⎛ T ⎞ Q&
S& gen total = m& ⎜⎜ C P 0 ln 2 − R ln 2 ⎟⎟ − = m& ⎜⎜ C P 0 ln 2 ⎟⎟ −
⎝ T1 P1 ⎠ T0 ⎝ T1 ⎠ T0
⎛ kg ⎞ ⎛⎜ kJ ⎛⎜ 393.15 K ⎞⎟ ⎟⎞ 25.964 kW
S& gen total = ⎜ 0.28734 ⎟ 1.004 ln −
⎝ s ⎠ ⎝⎜ kg − K ⎜⎝ 303.15 K ⎟⎠ ⎟⎠ 403.15 K
kW kW
S& gen total = 0.074997 − 0.064404
K K
kW
S& gen total = 0.01059 คําตอบ
K
หมายเหตุ
หากเราลองใช้วิธีการเปิ ดตาราง ผ.6 ร่ วมกับการประมาณในช่วงแบบเชิงเส้นเพือหาเอนธัลปี และ
เอนโทรปี ของอากาศ เราจะพบว่าคําตอบทีได้จะต่างกับวิธีการข้างต้นไม่เกินร้อยละ 0.5
188
Pe
Te
Tes e
es
s
รู ปที 9.3 กระบวนการไอเซนโทรปิ กและกระบวนการจริ งทีเกิดขึนสําหรับกังหัน
Ti
i
s
รู ปที 9.4 กระบวนการไอเซนโทรปิ กและกระบวนการจริ งทีเกิดขึนสําหรับเครื องอัด
efficiency หรื อ ηcomp.) หรื อประสิ ทธิ ภาพไอเซนโทรปิ กของเครื องสู บ (pump isentropic efficiency หรื อ
ηpump) จะนิยามโดย
W& w h −h
ηcomp . หรื อ ηpump = s = s = i es (9.31)
W& w hi − he
ค่าของ ηcomp. ของเครื องอัดทีใช้งานอยูท่ วไปจะมี
ั ค่าอยูท่ ีประมาณร้อยละ 70 ถึง 85
อุปกรณ์สุดท้ายทีจะกล่าวถึงก็คือหัวฉี ด ทังนี วัตถุประสงค์ของหัวฉี ดคือการเร่ งความเร็ วให้แก่ของ
ไหลให้สูงขึนตามต้องการภายใต้กระบวนการแอเดียแบติกภายใต้เงือนไขในการทํางานคือการกําหนดภาวะ
ด้านเข้าสู่ หัวฉี ดโดยการกําหนดอุณหภูมิและความดัน (Ti และ Pi) และการกําหนดความดันด้านออก (Pe)
เช่ นเดี ยวกับในกรณี ของกังหัน เครื องอัดและเครื องสู บ ดังนันกระบวนการอุดมคติ ของหัวฉี ดก็จะเป็ น
กระบวนการไอเซนโทรปิ กดังทีแสดงในรู ปที 9.5
T Pi
i
Ti
Pe
Te e
Tes es
s
รู ปที 9.5 กระบวนการไอเซนโทรปิ กและกระบวนการจริ งทีเกิดขึนสําหรับหัวฉีด
แต่ทงนี
ั ทังนันตัวแปรทีแสดงสมรรถนะของหัวฉี ดก็คือพลังงานจลน์ของสารทีไหลออกจากหัวฉี ดซึงจะแปร
ตามความเร็ วของสารยกกําลังสอง จากสมการที 6.14 ถ้าเราให้ความเร็ วด้านเข้าหัวฉี ดมีค่าน้อยมากจนละทิง
ได้ ผลต่างพลังงานศักย์มีค่าเป็ นศูนย์ รวมทังการถ่ายเทความร้อนและงานมีค่าเป็ นศูนย์ เราจะได้วา่
Ve 2 / 2 = h i − h e (9.32)
ซึงพลังงานจลน์ทีได้เป็ นพลังงานจลน์ทีทางออกของหัวฉีดจริ ง ในกรณี ของหัวฉีดอุดมคติจะได้วา่
Ves 2 / 2 = h i − h es (9.33)
ซึงพลังงานจลน์ทีได้เป็ นพลังงานจลน์ทีทางออกของหัวฉี ดอุดมคติและจะมีค่าสู งสุ ดภายใต้ค่า Pi, Ti และ Pe
ทีกําหนด ดังนันประสิ ทธิภาพไอเซนโทรปิ กของหัวฉีด (nozzle isentropic efficiency หรื อ ηnozzle) คือ
Ve 2 / 2 h −h
ηnozzle = 2 = i e (9.34)
Ves / 2 h i − h es
ค่าของ ηnozzle ของหัวฉีดทีใช้งานอยูท่ วไปจะมี
ั ค่าอยูท่ ีร้อยละ 90 ถึง 97
191
ตัวอย่างที 9.6
กังหันไอนําได้รับไอนําทีความดัน 2 MPa อุณหภูมิ 300oC ด้วยอัตราไหล 20 kg/s เพือใช้ในการผลิต
งานเพลา ไอนําขยายตัวจนกระทังมีความดัน 15 kPa ทีทางออกของกังหัน ถ้ากังหันนีมีประสิ ทธิภาพเท่ากับ
ร้อยละ 82 จงหาว่ากําลังจริ งทีออกจากกังหันและการผลิตเอนโทรปี ทีเกิดขึนมีค่าเป็ นเท่าไรโดยสมมติวา่ ไม่มี
ความร้อนสูญเสี ยออกจากกังหัน
วิธีทาํ ไอนํา
ปริ มาตรควบคุม: กังหันไอนํา CV
1
กระบวนการ: แอเดียแบติก W&
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ของนํา
ตัวแปรทีทราบค่า: P1, T1, m& 1 , P2, ηturbine
2
ตัวแปรทีต้องการ: W& , S& gen
จากข้อมูลทีโจทย์กาํ หนด เริ มต้นทีการหาสมบัติของนําทีทางเข้าของกังหันก่อน
ภาวะที 1: P1 = 2 MPa
T1 = 300oC ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นไอร้อนยวดยิง
h1 = 3,023.50 kJ/kg
s1 = 6.7663 kJ/kg-K
เนืองจากกังหันมีทางเข้าและทางออกเพียงอย่างละหนึงทาง ดังนัน
สมการการอนุรักษ์มวล
m& 1 = m& 2 = m& = 20 kg / s
ในความเป็ นจริ งกระบวนการทีเกิดขึนภายในกังหันจะเป็ นกระบวนการย้อนกลับไม่ได้ภายในทังนีเนืองจาก
ั เราจะสมมติให้กงั หันเป็ นกังหันอุดมคติทีมีกระบวนการที
กังหันมีประสิ ทธิภาพตํากว่าร้อยละ 100 แต่ทงนี
เกิดขึนภายในเป็ นแบบไอเซนโทรปิ ก ดังนันจากสมการที 9.8 เราจะได้วา่
กฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์
s 2 = s1
ดังนันเราสามารถหาสมบัติของนําทีทางออกของกังหันอุดมคติได้ แต่ทงนี ั ต้องระลึกเสมอว่าความดันที
ทางออกในกรณี ของกังหันอุดมคติจะมีค่าเท่ากับความดันจริ งทีเกิดขึนทีทางออก
ภาวะที 2s: P2s = P2 = 15 kPa
s2s = s1 = 6.7663 kJ/kg-K ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นของผสมสองสถานะ
เราสามารถหาคุณภาพสารสองสถานะของภาวะที 2s ได้จาก
s 2s = (1 − x 2 s ) s f + x 2 s s g
192
kJ ⎛ kJ ⎞ ⎛ kJ ⎞
6.7663 = (1 − x 2 s ) ⎜ 0.7548 ⎟ + (x 2 s ) ⎜ 8.0084 ⎟
kg − K ⎝ kg − K ⎠ ⎝ kg − K ⎠
x 2s = 0.82876
จากนันหาเอนธัลปี ทีภาวะที 2s
⎛ kJ ⎞ ⎛ kJ ⎞
h 2s = (1 − x 2 s ) h f + x 2 s h g = ( 0.17124 )⎜ 225.91 ⎟ + ( 0.82876 )⎜ 2,599.06 ⎟
⎝ kg ⎠ ⎝ kg ⎠
h 2s = 2,192.684 kJ/kg
เนืองจากกังหันไม่มีการสูญเสี ยความร้อนดังนัน Q& = 0 รวมทังสามารถละทิง ΔKE และ ΔPE ได้ ดังนัน
กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์
Vi 2 Ve 2
0 = Q& − W& + ∑ m& i ⎜ h i + + gZ i ⎞⎟ −
⎛
⎝ 2 ⎠ ∑ m& e ⎜ h e + + gZ e ⎞⎟
⎛
⎝ 2 ⎠
W& = m& 1 (h 1 ) − m& 2 (h 2 ) = m& (h 1 − h 2 )
สําหรับกังหันอุดมคติกาํ ลังทีได้จะเป็ นกําลังสูงสุ ด ดังนันเมือแทนค่าทีภาวะที 1 และภาวะที 2s ลงไปจะได้วา่
W& s = m& (h 1 − h 2 s )
kg ⎛ kJ ⎞
W& s = 20 ⎜ 3,023.50 − 2,192.684 ⎟ = 16,616.3 kW = 16.616 MW
s ⎝ kg ⎠
จากนิยามของประสิ ทธิภาพของกังหัน จะทําให้เราสามารถหากําลังจริ งจากกังหันได้
W&
ηturbine =
W& s
W& = ηturbine Ws = 0.82 (16.616 MW )
W& = 13.625 MW คําตอบ
เมือเราทราบกําลังจริ งของกังหัน เราสามารถนําค่าดังกล่าวเพือคิดย้อนกลับไปหาเอนธัลปี และเอนโทรปี ที
ภาวะที 2 ซึ งเป็ นภาวะทีทางออกของกังหันจริ งได้ ทังนี ถ้าเราเขียนกฎข้อทีหนึ งของเธอร์ โมไดนามิกส์
สําหรับกังหันจริ ง จะได้วา่
W& = m& (h 1 − h 2 )
kg ⎛ kJ ⎞
13,625.38 kW = 20 ⎜ 3,023.50 − h 2 ⎟
s ⎝ kg ⎠
h 2 = 2,342.231 kJ/kg
193
ภาวะที 2: P2 = 15 kPa
h2 = 2,342.231 kJ/kg ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นของผสมสองสถานะ
เราสามารถหาคุณภาพสารสองสถานะของภาวะที 2 ได้จาก
h 2 = (1 − x 2 ) h f + x 2 h g
kJ ⎛ kJ ⎞ ⎛ kJ ⎞
2,342.231 = (1 − x 2 )⎜ 225.91 ⎟ + (x 2 )⎜ 2,599.06 ⎟
kg ⎝ kg ⎠ ⎝ kg ⎠
x 2 = 0.89178
จากนันหาเอนโทรปี ทีภาวะที 2s
⎛ kJ ⎞ ⎛ kJ ⎞
s 2 = (1 − x 2 ) s f + x 2 s g = ( 0.10822 )⎜ 0.7548 ⎟ + ( 0.89178 )⎜ 8.0084 ⎟
⎝ kg − K ⎠ ⎝ kg − K ⎠
s 2 = 7.22339 kJ / kg - K
การผลิตเอนโทรปี นันจะเกิดขึนในกรณี ของกังหันจริ งเท่านัน ดังนันจากสมการที 9.4 เนืองจากกระบวนการ
ทีเกิดขึนเป็ นแบบแอเดียแบติก เราสามารถเขียนได้วา่
กฎข้อทีสองของเธอร์โมไดนามิกส์สาํ หรับกังหันจริ ง
Q&
0 = ∑ m& i s i − ∑ m& e s e + ∑ T
+ S& gen
S& gen = m& 2 (s 2 ) − m& 1 (s1 ) = m& (s 2 − s1 )
kg ⎛ kJ ⎞
S& gen = 20 ⎜ 7.22339 − 6.7663 ⎟
s ⎝ kg − K ⎠
kW
S& gen = 9.1419 คําตอบ
K
หมายเหตุ
หากวาดแผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี ของกระบวนการทีเกิดขึนจะได้เป็ น
T P1
1
T1
P2
T2s = T2 2s 2
s
จะเห็นว่าภาวะที 2s และภาวะที 2 ยังคงเป็ นของผสมสองสถานะอยู่ เนืองจาก P2s = P2 เป็ นผลให้ T2s = T2
194
แบบฝึ กหัด
1) อากาศไหลผ่านเครื องอัดจริ งทีมีการหุม้ ฉนวนเป็ นอย่างดี เอนโทรปี ของอากาศทีทางออกของเครื องอัด
จะมีค่ามากกว่า น้อยกว่า หรื อเท่ากับเอนโทรปี ของอากาศทีทางเข้าของเครื องอัด จงอธิบาย
2) สารทําความเย็นอาร์-134เอทีความดัน 1.4 MPa อุณหภูมิ 80oC ไหลผ่านหัวฉี ดด้วยความเร็ ว 10 m/s
หลังจากผ่านหัวฉี ดไปแล้วอาร์-134เอมีความดันลดลงเหลือ 300 kPa จงหาความเร็ วของอาร์-134เอที
ออกจากหัวฉีดโดยสมมติให้กระบวนการทีเกิดขึนเป็ นกระบวนการไอเซนโทรปิ ก
3) อากาศไหลเข้าสู่ กงั หันด้วยอัตราไหลเชิงปริ มาตร 400 L/s ความดัน 700 kPa อุณหภูมิ 800 K จากนัน
อากาศจะลดความดันลงเมือไหลผ่านกังหันจนมีค่าเท่ากับ 100 kPa ในกรณี ทีกังหันเป็ นกังหันอุดมคติ
จงคํานวณหากําลังทีได้
บทที 10
ระบบกําลังและระบบทําความเย็น
10.1 เกริ นนําเกียวกับระบบกําลัง
ในบทที 7 นันเราได้กล่าวถึงภาพรวมของเครื องยนต์ความร้อนซึ งทํางานเป็ นวัฏจักรและมีหน้าทีใน
การเปลี ยนความร้อนที ได้รับจากแหล่งจ่ายพลังงานอุณหภูมิสูงบางส่ วนให้เป็ นงาน ในขณะที ความร้ อน
บางส่ วนจะต้องทิงไปสู่ แหล่งรับพลังงานอุณหภูมิตาํ เราจะเรี ยกวัฏจักรของเครื องยนต์ความร้อนในลักษณะ
นีว่าวัฏจักรกําลัง (power cycle) อย่างไรก็ตามเรายังไม่ได้เข้าไปศึกษาในรายละเอียดว่าภายในวัฏจักรกําลัง
นันประกอบไปด้วยกีกระบวนการ มีอุปกรณ์ชนิ ดใดบ้าง และแต่ละชินทํางานอย่างไร ดังนันในบทนีเราจะ
ศึกษาในรายละเอียดดังกล่าวของวัฏจักรกําลังชนิดต่างๆ ทีสอดคล้องกับการใช้งานจริ งทีมีอยูใ่ นปั จจุบนั
วัฏจักรกําลังนันสามารถแบ่งได้ในหลายๆ รู ปแบบ ตัวอย่างเช่ นหากเราใช้สถานะของของไหล
ทํางานมาเป็ นเงือนไขในการแบ่งชนิ ดของวัฏจักรกําลัง เราพบว่าจะมีวฏั จักรกําลังทีของไหลทํางานอยู่ใน
สถานะแก๊สเพียงอย่างเดียวหรื อวัฏจักรแก๊ส (gaseous cycle) และวัฏจักรกําลังทีของไหลทํางานอยูใ่ นสถานะ
เปลียนไปมาระหว่างของเหลวและแก๊สหรื อวัฏจักรไอ (vapor cycle) หากเราใช้การแทนทีของของไหล
ทํางานมาเป็ นเงือนไขในการแบ่งชนิ ดของวัฏจักรกําลัง เราพบว่าจะมีวฏั จักรกําลังทีของไหลทํางานอยูใ่ นวง
ปิ ดไม่สามารถรัวไหลออกไปได้หรื อวัฏจักรปิ ด (closed cycle) และวัฏจักรกําลังทีของไหลทํางานทีถูกใช้งาน
ไปแล้วก็ถูกขับออก จากนันก็ถูกแทนทีด้วยสารใหม่อยูต่ ลอดเวลาหรื อวัฏจักรเปิ ด (open cycle) ในกรณี นีถ้า
หากพิจารณาตามหลักความเป็ นจริ ง ของไหลทํางานไม่ได้ทาํ งานครบรอบวัฏจักรทางเธอร์โมไดนามิกส์ แต่
ในทางทฤษฎีเรามีการทําให้ปัญหานันง่ายขึนโดยการใส่ สมมติฐานบางประการลงไปซึงจะกล่าวถัดไป
สําหรั บเครื องยนต์ความร้ อนนันเราจะใช้ประสิ ทธิ ภาพอุ ณหภาพเป็ นตัว บ่งชี ถึ งสมรรถนะของ
เครื องยนต์ความร้อนนันๆ ซึงประสิ ทธิภาพอุณหภาพจะสามารถเขียนได้จากสมการที 7.2 กล่าวคือ
W
ηth = net
QH
โดยทีสําหรับเครื องยนต์ทีมีประสิ ทธิ ภาพอุณหภาพสู งทีสุ ดก็คือเครื องยนต์คาร์ โนต์ซึงได้กล่าวในหัวข้อที
7.5 ทังนีวัฏจักรคาร์โนต์นนจะประกอบไปด้
ั วยกระบวนการทีย้อนกลับได้ทงภายในและภายนอก
ั ซึงในทาง
ปฏิบตั ินันไม่สามารถทําให้เกิดขึนได้เนื องจากข้อจํากัดในด้านต่างๆ ดังนันเราจึงพิจารณาวัฏจักรกําลังใน
รู ปแบบอืนๆ แทนวัฏจักรคาร์ โนต์ แต่ทงนี ั ทังนันวัฏจักรกําลังทีพิจารณานันจะต้องเป็ นวัฏจักรอุดมคติ
(ideal cycle) ซึ งหมายความว่ากระบวนการทีเกิดขึนภายในวัฏจักรเป็ นกระบวนการทีย้อนกลับได้ภายใน
เท่านัน แต่ไม่จาํ เป็ นทีกระบวนการจะต้องย้อนกลับได้ทงภายในและภายนอกดั
ั งเช่นวัฏจักรคาร์ โนต์ เป็ นผล
ให้วฏั จักรอุดมคติจะอนุญาตให้เกิดการถ่ายเทความร้อนอันเป็ นผลมาจากผลต่างของอุณหภูมิทีมีค่าจํากัดได้
196
10.2 วัฏจักรแรงคิน
วัฏจักรกําลังทีนําเสนอเป็ นอันดับแรกคือวัฏจักรแรงคิน (Rankine cycle) ซึ งเป็ นวัฏจักรอุดมคติทีใช้
เป็ นแบบจําลองสําหรับโรงจักรไอนํา (steam power plant) วัฏจักรแรงคินเป็ นวัฏจักรปิ ดและเป็ นวัฏจักรไอที
ํ นของไหลทํางาน รวมทังมีได้หลายรู ปแบบขึนอยูก่ บั อุปกรณ์ทีนํามาเสริ มเพือทําการปรับปรุ ง แต่ใน
ใช้นาเป็
เบืองต้นนันเราจะศึกษาวัฏจักรแรงคินซึ งเป็ นพืนฐานสําหรับใช้ในการปรับปรุ งทีมีชือเรี ยกว่าวัฏจักรแรงคิน
อย่างง่าย (simple Rankine cycle) ซึงจะประกอบไปด้วยกระบวนการสี กระบวนการดังนี
1) กระบวนการแอเดียแบติกย้อนกลับได้ภายในผ่านเครื องสูบ
2) กระบวนการไอโซบาริ กย้อนกลับได้ภายในผ่านหม้อต้ม (boiler)
3) กระบวนการแอเดียแบติกย้อนกลับได้ภายในผ่านกังหันไอนํา
4) กระบวนการไอโซบาริ กย้อนกลับได้ภายในผ่านเครื องควบแน่น (condenser)
ซึงเราจะเขียนแผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี และแผนภาพอุปกรณ์ได้ดงั รู ปที 10.1 (a) และ 10.1 (b) ตามลําดับ
3
T
P2 = P3 W& turbine
3 Q& H กังหัน
หม้อไอนํา
Tboil. 4
P1 = P4 2
2 Q& L
เครืองสูบ เครือง
W& pump ควบแน่น
Tcond.
1 4
1
a b s
(a) (b)
รู ปที 10.1 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี และแผนภาพอุปกรณ์ของวัฏจักรแรงคินอย่างง่าย
ได้ย ากในทางปฏิ บ ัติ แต่ ห ากว่า สารนันกํา ลัง อยู่ใ นภาวะอิ มตัว หรื อ กํา ลัง เปลี ยนสถานะ เราจะพบว่ า
กระบวนการไอโซเธอร์ ม ัล จะขึ นพร้ อ มๆ กับ กระบวนการไอโซบาริ กซึ งเป็ นไปได้ใ นทางปฏิ บ ัติ
ตัวอย่างเช่นการต้มนําให้เดือดทีบรรยากาศ เราจะพบว่าในความเป็ นจริ งกระบวนการทีเกิดขึนทีบรรยากาศ
คือกระบวนการไอโซบาริ กที 1 atm แต่เนืองจากนํากําลังอยูใ่ นภาวะอิมตัวจึงทําให้กระบวนการทีเกิดขึนเป็ น
กระบวนการไอโซเธอร์ มลั ที 100oC ไปโดยปริ ยาย หากเกิดความแตกต่างของอุณหภูมิแล้วเกิดการถ่ายเท
ความร้อนขึน ผลก็คือความร้อนดังกล่าวจะกลายไปเป็ นพลังงานแฝงของนําซึ งก่อให้เกิดการเปลียนสถานะ
ในขณะทียังคงรักษาอุณหภูมิไว้ที 100oC อยูต่ ราบใดทีความดันยังคงทีที 1 atm ดังนันจากทีกล่าวมาทังหมด
เราก็อาจจะลองสร้างวัฏจักรคาร์โนต์โดยให้สารอยูใ่ นภาวะอิมตัวเพือให้กระบวนการไอโซเธอร์มลั เกิดขึนได้
พร้อมกับกระบวนการไอโซบาริ กดังซึงก็คือภาวะที 1-2-3-4-1 ดังทีแสดงในรู ปที 10.3
T
3’
2 3
2’
1’ 1 4 4’
s
รู ปที 10.3 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี ของวัฏจักรกําลังคาร์โนต์ในกรณี ทีสารอยูใ่ นภาวะอิมตัว
จากวัฏจักรแรงคินในรู ปที 10.2 (a) หรื อภาวะที 1’-2’-3’-4’-1’ ในรู ปที 10.3 หากเราเลือนภาวะที 3 ให้เป็ นไอ
อิมตัวแทนทีจะเป็ นไอร้อนยวดยิงและเลือนภาวะที 2 ให้เป็ นของเหลวอิมตัวแทนทีจะเป็ นของเหลวอัดตัว
โดยทีต้องเลือนภาวะที 4 และ 1 ให้เอนโทรปี เท่ากับภาวะที 3 และ 2 ตามลําดับ ผลทีได้จะปรากฏเป็ นวัฏจักร
คาร์ โนต์หรื อภาวะที 1-2-3-4-1 อย่างไรก็ตามสาเหตุทีเราไม่สามารถสร้างวัฏจักรคาร์ โนต์ตามรู ปที 10.3 นัน
เนื องมากจากสองปั จจัย ปั จจัยแรกเกิดขึนทีภาวะที 4 ซึ งก็จะเป็ นภาวะของสารในขณะทีออกมาจากกังหัน
ในทางปฏิบตั ินนเราจะพยายามให้
ั ภาวะที 4 ซึ งเป็ นของผสมสองสถานะมีส่วนทีเป็ นสถานะของเหลวน้อย
ทีสุ ดหรื อถ้าเป็ นไอทังหมดเลยได้กย็ งดี
ิ เนืองจากสถานะของเหลวซึงมีความหนาแน่นมากกว่าสถานะไอจะมี
โมเมนตัมในขณะทีเกิดการเหวียงของใบพัดกังหันมากกว่า ดังนันส่ วนของของเหลวทีมีโมเมนตัมสู งกว่าจะ
เข้าปะทะกับตัวใบพัดและทําให้เกิดความเสี ยหายขึนได้ ทําให้เราจําเป็ นจะต้องขยับภาวะที 3 ให้กลายไป
เป็ นภาวะที 3’ ก็เพือให้ภาวะที 4’ นันมีปริ มาณสัดส่ วนสถานะของเหลวในของผสมสองสถานะน้อยกว่าที
ภาวะที 4 อนึ งเราอาจจะเรี ยกปริ มาณสัดส่ วนของเหลวในของผสมสองสถานะในขณะทีออกจากกังหันว่า
ปริ มาณความชืน (moisture content) ทีออกจากกังหัน ปั จจัยทีสองเกิดขึนในลักษณะคล้ายคลึงกันกับปั จจัย
แรกนันคือภาวะที 1 ซึ งเป็ นภาวะของสารก่อนจะทีเข้าสู่ เครื องสู บ โดยปรกติแล้วเครื องสู บนันออกแบบมา
199
10.3 ผลกระทบของความดันและอุณหภูมิต่อวัฏจักรแรงคิน
ในหัวข้อนี เราจะศึกษาผลกระทบในเชิ งคุณภาพของความดันและอุณหภูมิทีมีผลต่อประสิ ทธิ ภาพ
อุณหภาพของวัฏจักรแรงคิน ทังนี ทังนันการพิจาณาในเชิ งคุณภาพนันจะสามารถทําได้จากสองมุมมอง
มุมมองแรกคือการพิจารณาประสิ ทธิ ภาพอุณหภาพจากพืนทีภายในแผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี โดยการ
พิจารณาว่างานสุ ทธิ และความร้อนป้ อนเข้าสู่ วฏั จักรมีค่าเพิมขึนหรื อลดลงมากน้อยต่างกันเท่าไร มุมมองที
สองคือการพิจารณาประสิ ทธิ ภาพอุณหภาพของวัฏจักรแรงคินโดยการเทียบเคียงกับประสิ ทธิภาพอุณหภาพ
ของวัฏจักรคาร์โนต์ตามสมการที 7.11 กล่าวคือ
TL
ηth ,rev = 1 −
TH
ทังนี TH และ TL คืออุณหภูมิสูงสุ ดและตําสุ ดทีปรากฏอยูใ่ นวัฏจักรแรงคินตามลําดับ ดังนันจะเห็นได้ว่า
ประสิ ทธิภาพอุณหภาพของวัฏจักรแรงคินจะมีค่าเพิมขึนถ้า TH เพิมขึนหรื อถ้า TL ลดลง
ในลําดับแรกเราจะศึกษาผลของความดันเครื องควบแน่นในรู ปที 10.4
T
P4
2 P4’
2’ 1 4
1’
4’
a’ a s
รู ปที 10.4 ผลกระทบของความดันเครื องควบแน่นทีมีต่อวัฏจักรแรงคิน
3’
3
2
4 4’
1
a b b’ s
รู ปที 10.5 ผลกระทบของอุณหภูมิไอร้อนยวดยิงทีมีต่อวัฏจักรแรงคิน
T
P3’ P3
3’ 3
2’
2
4’ 4
1
a b’ b s
รู ปที 10.6 ผลกระทบของความดันหม้อต้มทีมีต่อวัฏจักรแรงคิน
ตัวอย่างที 10.1
โรงจักรไอนําแห่ งหนึ งมีการทํางานเป็ นวัฏจักรแรงคินอย่างง่ายโดยมีอตั ราไหลของไอนําที 50 kg/s
ไอนําทีป้ อนเข้าสู่กงั หันมีความดัน 3 MPa อุณหภูมิ 500oC ในขณะทีความดันเครื องควบแน่นเท่ากับ 10 kPa
จงหากําลังสุ ทธิของโรงจักรไอนําและประสิ ทธิภาพอุณหภาพ
วิธีทาํ
สมมติฐานเบืองต้น:
1) วัฏจักรแรงคินอย่างง่ายเป็ นวัฏจักรอุดมคติ
2) สามารถละทิง ΔKE และ ΔPE ในกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์
3) จากหลักการอนุรักษ์มวล m& = 50 kg/s เท่ากันตลอดทังวัฏจักร
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ของนํา
ตัวแปรทีทราบค่า: m& , P3, T3, P4
ตัวแปรทีต้องการ: W& net , ηth
T 3
P = 3 MPa
W& turbine
o
500 C 3 Q& H กังหัน
หม้อไอนํา
4
P = 10 kPa
2 2 Q& L
เครืองสูบ เครือง
W& pump ควบแน่น
1 4
1
s
ในการคํานวณเกี ยวกับวัฏจักรทีประกอบไปด้วยอุปกรณ์ภายใต้ภาวะคงตัวนัน จุดสําคัญคือการ
จะต้องหาภาวะที ตําแหน่ งต่ างๆ ให้ได้ก่ อน สมบัติเธอร์ โมไดนามิ กส์ ทีเราต้องการทราบก็คือเอนธัลปี
เนืองจากถ้าเราทราบเอนธัลปี ของทุกๆ ภาวะ เราก็จะสามารถประยุกต์ใช้กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์
ทีอุปกรณ์ชินใดก็ได้เพือหาค่าทีเราต้องการ ดังนันเราสามารถหาภาวะต่างๆ ได้ดงั นี
ภาวะที 1: P1 = P4 = 10 kPa
x1 = 0 ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นของเหลวอิมตัว
v1 = vf = 0.001010 m3/kg
h1 = hf = 191.81 kJ/kg
s1 = sf = 0.6492 kJ/kg-K
ภาวะที 2: P2 = P3 = 3 MPa
s2 = s1 = 0.6492 kJ/kg-K ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นของเหลวอัดตัว
203
0 =
∫ dh − ∫ v dP = (h − h ) − v (P − P )
1 1
2 1 1 2 1
h 2 = h 1 + v 1 (P2 − P1 )
แทนค่าต่างๆ ลงไปจะได้วา่
m3 ⎞
h 2 = 191.81 + ⎜ 0.001010 ⎟ (3,000 − 10 kPa )
kJ ⎛
kg ⎝ kg ⎠
h 2 = 194.83 kJ / kg
ภาวะที 3: P3 = 3 MPa
T3 = 500oC ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นไอร้อนยวดยิง
h3 = 3,456.48 kJ/kg
s3 = 7.2337 kJ/kg-K
ภาวะที 4: P4 = 10 kPa
s4 = s3 = 7.2337 kJ/kg-K ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นของผสมสองสถานะ
s 4 = (1 − x 4 ) s f + x 4 s g
kJ ⎛ kJ ⎞ ⎛ kJ ⎞
7.2337 = (1 − x 4 ) ⎜ 0.6492 ⎟ + (x 4 ) ⎜ 8.1501 ⎟
kg − K ⎝ kg − K ⎠ ⎝ kg − K ⎠
x 4 = 0.87783
จากนันหาเอนธัลปี ทีภาวะที 4
⎛ kJ ⎞ ⎛ kJ ⎞
h 4 = (1 − x 4 ) h f + x 4 h g = ( 0.12217 )⎜ 191.81 ⎟ + ( 0.87783)⎜ 2 ,584.63 ⎟
⎝ kg ⎠ ⎝ kg ⎠
h 4 = 2 ,292.294 kJ/kg
204
P1 = P4
2
1 4
s
รู ปที 10.8 กระบวนการป้ อนความร้อนเข้าสู่นาผ่
ํ านทางหม้อต้ม
ในช่วงนีจะสังเกตได้ว่านําจะมีอุณหภูมิทีตํามากเมือเทียบกับอุณหภูมิของแหล่งจ่ายพลังงานในหม้อต้ม เป็ น
ผลให้ประสิ ทธิ ภาพอุณหภาพมีค่าตําลงไปด้วย ดังนันวัฏจักรรี เจเนอเรทิฟจะเป็ นการปรับปรุ งเพือให้นาที ํ
ผ่านเครื องสู บก่ อนจะเข้าหม้อต้มมีอุณหภูมิทีสู งขึน โดยการใช้อุปกรณ์ ทีเรี ยกว่าเครื องอุ่นนําป้ อน (feed
water heater) ในการเพิมอุณหภูมิของนําทีจะเข้าสู่หม้อต้มหรื อทีเรี ยกสันๆ ว่านําป้ อน
เครื องอุ่นนําป้ อนนันจะมีอยู่ทงหมดสองชนิ
ั ด ชนิ ดแรกจะเป็ นเครื องอุ่นนําป้ อนแบบเปิ ด (open
feedwater heater หรื อ direct-contact feedwater heater) ซึงจะมีลกั ษณะเป็ นห้องผสม ดังนันการอุ่นนําป้ อน
จะทําได้โดยการผสมนําป้ อนด้วยไอนําทีอุณหภูมิทีสู งกว่าโดยตรงซึ งจะทําให้นาที ํ ออกมาจากเครื องอุ่นนํา
ป้ อนแบบเปิ ดจะมีอุณหภูมิทีสูงกว่านําป้ อนขาเข้า วัฏจักรรี เจเนอเรทิฟทีใช้เครื องอุ่นนําป้ อนแบบเปิ ดจะเป็ น
ดังทีแสดงในรู ปที 10.9
5
T หม้อไอนํา
W& turbine
Q& H กังหัน
5
เครืองอุ่นนําปอน
แบบเปด 6
7
4
3 6 4 2
Q& L
เครือง
2 ควบแน่น
W& pump2 W& pump1
1 7
เครืองสูบ 3 เครืองสูบ 1
s 2 1
(a) (b)
รู ปที 10.9 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี และแผนภาพอุปกรณ์ของวัฏจักรรี เจเนอเรทิฟ
ทีใช้เครื องอุ่นนําป้ อนแบบเปิ ด
จะเห็ นได้ว่าไอนําเข้าสู่ กงั หันทีภาวะที 5 หลังจากนันไอนําบางส่ วนจะถูกดึงออกจากกังหันทีความดัน
ระหว่างกลางทีภาวะที 6 ซึ งจะถูกส่ งไปยังเครื องอุ่นนําป้ อนแบบเปิ ด ในขณะทีไอนําส่ วนทีเหลือก็จะลด
ความดันลงต่อไปจนกระทังมีความดันเท่ากับความดันเครื องควบแน่นทีภาวะที 7 ไอนําส่ วนนีจะผ่านเครื อง
ควบแน่นจนกลายเป็ นของเหลวอิมตัวทีภาวะที 1 และผ่านเครื องสู บตัวแรกเพือเพิมความดันจากความดัน
เครื องควบแน่นให้เป็ นความดันระหว่างกลางหรื อก็คือภาวะที 2 จากนันนําทีภาวะที 2 นีจะถูกส่ งเข้าสู่เครื อง
อุ่นนําป้ อนแบบเปิ ดเพือผสมกับไอนําทีภาวะที 6 ทําให้กลายไปเป็ นนําอิมตัวซึงมีอุณหภูมิสูงขึนทีภาวะที 3
ดังนันตรงจุดนีจึงเป็ นการอุ่นนําป้ อนด้วยไอนําทีภาวะที 6 เพือให้มีอุณหภูมิสูงขึนก่อนทีจะเข้าสู่ หม้อต้ม นํา
อิมตัวในภาวะที 3 จะต้องเพิมความดันด้วยเครื องสู บตัวทีสองให้มีความดันเท่ากับความดันหม้อต้มจน
กลายเป็ นของเหลวอัดตัวในภาวะที 4 จากนันก็ป้อนนําส่ วนนี เข้าสู่ หม้อต้มต่อไป จะสังเกตได้ว่าเครื องอุ่น
นําป้ อนนีจะทํางานทีค่าความดันระหว่างกลางซึงมีชือเรี ยกอีกชือหนึงว่าความดันเครื องอุ่นนําป้ อน
208
เครื องอุ่นนําป้ อนชนิดทีสองคือเครื องอุ่นนําป้ อนแบบปิ ด (closed feedwater heater หรื อ indirect-
contact feedwater heater) ซึงจะมีลกั ษณะเป็ นอุปกรณ์แลกเปลียนความร้อน ดังนันการอุ่นนําป้ อนทีเกิดขึน
จะเป็ นการแลกเปลียนความร้อนกันระหว่างไอนําทีอุณหภูมิสูงกว่ากับนําป้ อนทีมีอุณหภูมิตากว่ ํ าโดยไม่มี
การสัมผัสกันโดยตรง เครื องอุ่นนําป้ อนแบบปิ ดนันจะแบ่งย่อยเป็ นอีกสองแบบตามอุปกรณ์เสริ มทีนํามาใช้
ได้แ ก่ เ ครื องอุ่ น นําป้ อนแบบปิ ดร่ ว มกับ เครื องสู บ และเครื องอุ่ น นําป้ อนแบบปิ ดร่ ว มกับ แทรป (trap)
สําหรับวัฏจักรรี เจเนอเรทิฟทีใช้เครื องอุ่นนําป้ อนแบบปิ ดร่ วมกับเครื องสู บ (Cengel and Boles, 2007: 584)
จะแสดงอยูใ่ นรู ปที 10.10
5
หม้อไอนํา
T W& turbine
Q& H กังหัน
5 เครืองอุ่นนําปอน
แบบปด 6
7
4 9 8 2
9 6 Q& L
8 3 ห้องผสม เครือง
2 W& pump1 ควบแน่น
4 เครืองสูบ
1 7 2 3 เครืองสูบ 1
W& pump2
1
s
(a) (b)
รู ปที 10.10 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี และแผนภาพอุปกรณ์ของวัฏจักรรี เจเนอเรทิฟ
ทีใช้เครื องอุ่นนําป้ อนแบบปิ ดร่ วมกับเครื องสูบ
จากรู ปเราจะเห็นได้วา่ ไอนําทีออกมาจากกังหันทีภาวะที 6 และ 7 จะมีความคล้ายคลึงกับวัฏจักรรี เจเนอเรทิฟ
ทีใช้เครื องอุ่นนําป้ อนแบบเปิ ด ส่ วนทีแตกต่างกันก็คือไอนําทีดึ งออกมาจากกังหันทีภาวะที 6 จะถูก
แลกเปลียนความร้อนผ่านอุปกรณ์แลกเปลียนความร้อนกับนําทีภาวะที 2 แทนทีจะเกิดการผสมกัน หลังจาก
นันนําภาวะที 2 จะถูกอุ่นขึนไปเป็ นภาวะที 8 ในขณะเดียวกันไอนําทีภาวะที 6 ก็จะควบแน่นกลายไปเป็ น
ของเหลวอิมตัวทีภาวะที 3 จะสังเกตได้ว่าทีเครื องอุ่นนําป้ อนแบบปิ ดนัน ความดันทีภาวะที 2 และ 8 จะ
เท่ากับความดันหม้อต้มในขณะทีความดันทีภาวะที 6 และ 3 จะเท่ากับความดันระหว่างกลาง เนื องจาก
ความดันของทังสองเส้นมีค่าไม่เท่ากัน ดังนันจึงจําเป็ นจะต้องมีเครื องสู บตัวทีสองเพือเพิมความดันระหว่าง
กลางของภาวะที 3 ให้กลายไปเป็ นความดันหม้อต้มทีภาวะที 4 หลังจากนันนําทีภาวะที 4 จะถูกส่ งไปยัง
ห้องผสมเพือรวมกับนําป้ อนซึงถูกอุ่นแล้วทีภาวะที 8 จนกลายเป็ นนําทีภาวะที 9 แล้วก็จะถูกส่ งไปยังหม้อต้ม
ต่อไป โดยรวมแล้ววัฏจักรรี เจเนอเรทิฟทีใช้เครื องอุ่นนําป้ อนแบบปิ ดแบบนี จะอุ่นนําป้ อนทีภาวะที 2 จน
กลายไปเป็ นนําทีภาวะที 8 โดยจะต้องใช้ร่วมกับเครื องสูบตัวทีสองเพือเพิมความดันให้แก่นาที ํ ภาวะที 3
209
ในส่ วนของวัฏจักรรี เจเนอเรทิฟทีใช้เครื องอุ่นนําป้ อนแบบปิ ดร่ วมกับแทรป (Moran and Shapiro,
2004: 373) จะแสดงอยูใ่ นรู ปที 10.11
5
หม้อไอนํา
T W& turbine
Q& H กังหัน
5 เครืองอุ่นนําปอน
แบบปด 6
7
8 2 Q& L
8 6 เครือง
2 3
W& pump1 ควบแน่น
1 4 7 4
เครืองสูบ 1
3 1 แทรป
s
(a) (b)
รู ปที 10.11 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี และแผนภาพอุปกรณ์ของวัฏจักรรี เจเนอเรทิฟ
ทีใช้เครื องอุ่นนําป้ อนแบบปิ ดร่ วมกับแทรป
จากรู ปจะเห็นได้ว่ารู ปแบบการแลกเปลียนความร้อนทีเครื องอุ่นนําป้ อนแบบปิ ดแบบนี จะเหมือนกับกรณี
ของเครื องอุ่น นําป้ อนแบบปิ ดที ใช้ร่วมกับเครื องสู บทุกประการ กล่าวคือเกิ ดการแลกเปลี ยนความร้ อน
ระหว่างไอนําทีดึงออกมาจากกังหันทีภาวะที 6 กับนําป้ อนทีภาวะที 2 โดยไอนําทีภาวะที 6 จะควบแน่นไป
เป็ นของเหลวอิมตัวทีภาวะที 3 ในขณะทีนําป้ อนทีภาวะที 2 จะก็ถูกอุ่นขึนไปเป็ นภาวะที 8 ทังนีความดัน
ของภาวะที 2 และ 8 คือความดันหม้อต้ม ส่ วนความดันทีภาวะที 6 และ 3 คือความดันระหว่างกลาง ส่ วนที
แตกต่างกันระหว่างการใช้เครื องสู บกับการใช้แทรปก็คือในกรณี ทีของแทรปเราจะส่ งนําทีภาวะที 8 เข้าสู่
หม้อต้มไปเลยโดยไม่มีการผสมกันทีห้องผสม ในส่ วนของนําทีภาวะที 3 นันแทนทีเราจะใช้เครื องสู บใน
การเพิมความดัน เรากลับลดความดันทีภาวะที 3 ลงโดยใช้แทรป ซึ งมีลกั ษณะเดียวกับธรอตทลิงวาล์ว นํา
ในภาวะของเหลวอิมตัวทีภาวะที 3 ก็จะลดความดันลงจนเท่ากับความดันเครื องควบแน่นทีภาวะที 4 ซึงจะ
ปรากฏเป็ นของผสมสองสถานะ จากนันของผสมสองสถานะทีภาวะที 4 ก็จะถูกส่ งกลับไปทีเครื องควบแน่น
จะสังเกตจากรู ปที 10.11 (a) ได้ว่าเราจะใช้เส้นประแทนกระบวนการธรอตทลิงผ่านแทรปเนื องจาก
กระบวนการดังกล่าวเป็ นกระบวนการย้อนกลับไม่ได้ นอกจากนี ข้อดีของการใช้เครื องอุ่นนําป้ อนแบบปิ ดที
ใช้ร่วมกับแทรปก็คือเราไม่จาํ เป็ นจะต้องใช้เครื องสูบเพิมอีกอีกเครื องในการทํางาน
หากเราเปรี ยบเทียบข้อดีและข้อเสี ยของเครื องอุ่นนําป้ อนแบบเปิ ดและแบบปิ ด เราจะพบว่าข้อดีของ
เครื องอุ่นนําป้ อนแบบเปิ ดก็คือระบบไม่ซบั ซ้อน ราคาถูก และมีการถ่ายเทความร้อนทีมีประสิ ทธิภาพดีกว่า
เพราะเป็ นการผสมกันโดยตรง แต่ขอ้ เสี ยของของเครื องอุ่นนําป้ อนแบบเปิ ดก็คือจะต้องมีเครื องสู บสําหรับ
ใช้กบั เครื องอุ่นนําป้ อนแต่ละเครื องเสมอ ส่ วนเครื องอุ่นนําป้ อนแบบปิ ดนันระบบจะซับซ้อนกว่า ราคาแพง
210
ตัวอย่างที 10.2
โรงจักรไอนําแห่ งหนึ งมีการทํางานเป็ นวัฏจักรรี ฮีตร่ วมกับเครื องอุ่นนําป้ อนแบบเปิ ดโดยมีอตั รา
ไหลของไอนํารวมที 50 kg/s ไอนําทีป้ อนเข้าสู่ กงั หันมีความดัน 3 MPa อุณหภูมิ 500oC ในขณะทีความดัน
เครื องควบแน่นเท่ากับ 10 kPa ไอนําทีออกจากกังหันความดันสู งจะมีความดันระหว่างกลางเท่ากับ 500 kPa
จากนันไอนําบางส่ วนจะแยกเข้าทําไปทําการรี ฮีตทีหม้อต้มจนมีอุณหภูมิ 500oC ในขณะทีไอนําส่ วนทีเหลือ
ถูกป้ อนเข้าสู่ เครื องอุ่นนําป้ อนแบบเปิ ด จงหากําลังสุ ทธิของโรงจักรไอนําและประสิ ทธิภาพอุณหภาพ
วิธีทาํ
สมมติฐานเบืองต้น:
1) วัฏจักรรี ฮีตร่ วมกับเครื องอุ่นนําป้ อนแบบเปิ ดเป็ นวัฏจักรอุดมคติ
2) สามารถละทิง ΔKE และ ΔPE ในกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ของนํา
ตัวแปรทีทราบค่า: m& , P5, T5, P8, P6, T7
ตัวแปรทีต้องการ: W& net , ηth
กังหัน กังหัน
T 5 ความดันสูง ความดันตํา
P=3 MPa หม้อไอนํา
W& turbine
P=500 kPa Q& H
o 5 7 6
500 C
4 8
3 6 7
P = 10 kPa 4 เครืองอุ่น 2
Q& L
2 นําปอน เครือง
W& pump2 แบบเปด W& pump1 ควบแน่น
1 8
เครืองสูบ 3 เครืองสูบ 1
s 2 1
ภาวะที 1: P1 = P8 = 10 kPa
x1 = 0 ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นของเหลวอิมตัว
v1 = vf = 0.001010 m3/kg
h1 = hf = 191.81 kJ/kg
ภาวะที 2: P2 = P6 =500 kPa
ใช้วิธีการหาเอนธัลปี ทีภาวะที 2 เช่นเดียวกับตัวอย่างที 10.1 กล่าวคือสําหรับกระบวนการไอเซนโทรปิ กผ่าน
เครื องสูบ โดยการตังสมมติฐานให้นาเป็ ํ นสารอัดไม่ได้จึงทําให้ v ≈ ค่าคงตัว = v1
h 2 = h 1 + v 1 (P2 − P1 )
m3 ⎞
h 2 = 191.81 + ⎜ 0.001010 ⎟ (500 − 10 kPa )
kJ ⎛
kg ⎝ kg ⎠
h 2 = 192.305 kJ / kg
ภาวะที 5: P5 = 3 MPa
T5 = 500oC ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นไอร้อนยวดยิง
h5 = 3,456.48 kJ/kg
s5 = 7.2337 kJ/kg-K
ภาวะที 6: P6 = 500 kPa
s6 = s5 = 7.2337 kJ/kg-K ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นไอร้อนยวดยิง
h6 = 2,942.216 kJ/kg (จากการประมาณในช่วงแบบเชิงเส้น)
212
kg ⎛ kJ ⎞ kg ⎛ kJ ⎞
Q& H = 50 ⎜ 3,456.48 − 642.943 ⎟ + ( 1 − 0.16288 ) 50 ⎜ 3,483.82 − 2,942.216 ⎟
s ⎝ kg ⎠ s ⎝ kg ⎠
Q& H = 163,346.26 kW
ดังนันประสิ ทธิภาพอุณหภาพจะหาได้จาก
W& net 64 ,032.23 kW
ηth = =
Q& H 163,346.26 kW
ηth = 0.3920 = 39.20 % คําตอบ
หมายเหตุ
1) เราสามารถหาค่า W& net ได้อีกวิธีโดยการหาความร้ อนทีทิ งออกจากวัฏจักรผ่านทางเครื องควบแน่ น
เช่นเดียวกับตัวอย่างที 10.1 กล่าวคือ
ปริ มาตรควบคุม: เครื องควบแน่น
กระบวนการ: ไอโซบาริ ก
กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์จะลดรู ปเป็ น
Q& cond . = Q& L = m& 8 (h 1 − h 8 ) = (1 − y ) m& (h 1 − h 8 )
kg ⎛ kJ ⎞
Q& L = ( 1 − 0.16288 ) 50 ⎜ 191.81 − 2 ,564.565 ⎟ = − 99,314.035 kW
s ⎝ kg ⎠
ดังนันจากกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์ของวัฏจักรหรื อสมการที 5.2 ซึงลดรู ปแล้ว จะได้วา่
W& net = Q& H + Q& L = 163,346.260 + ( − 99,314.035 ) kW = 64 ,032.225 kW
2
2s
1 4s 4
s
รู ปที 10.12 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี แสดงผลของการย้อนกลับไม่ได้ของกังหันและเครื องสูบ
ต่อวัฏจักรแรงคินอุดมคติ
7
8
4 2
ห้องผสม Q& L
เครือง
W& pump2 W& pump1 ควบแน่น
เครืองสูบ 3 เครืองสูบ 1
2 1
รู ปที 10.13 ตัวอย่างแผนภาพอุปกรณ์ของระบบร่ วมผลิตกําลังและความร้อน
10.8 วัฏจักรกําลังมาตรฐานอากาศ
จากทีผ่านมาเราได้กล่าวถึงวัฏจักรแรงคินซึ งทํางานในรู ปแบบของวัฏจักรไอ อย่างไรก็ตามยังมี
เครื องยนต์ความร้อนอีกประเภทหนึ งทีทํางานเป็ นวัฏจักรแก๊สซึ งหมายถึงของไหลทํางานอยูใ่ นสถานะแก๊ส
เพียงอย่างเดียว ตัวอย่างของเครื องยนต์ความร้อนประเภทนี ได้แก่เครื องยนต์เผาไหม้ภายในซึ งประกอบไป
ด้วยเครื องยนต์จุดระเบิดด้วยประกายไฟ (spark-ignition engine หรื อ SI engine) ซึ งก็คือเครื องยนต์ทีใช้
นํามันแกโซลีนเป็ นเชือเพลิง และเครื องยนต์จุดระเบิดด้วยการอัด (compression-ignition engine หรื อ CI
engine) ซึ งก็คือเครื องยนต์ทีใช้นามัํ นดี เซลเป็ นเชื อเพลิง นอกจากนี ยังมีเครื องยนต์ความร้อนทีอยู่ใน
ประเภทเครื องยนต์กงั หันแก๊ส (gas turbine engine) ทีใช้สําหรับในการผลิตกระแสไฟฟ้ าและใช้เป็ น
เครื องยนต์ไอพ่นสําหรั บอากาศยาน เครื องยนต์ความร้ อนซึ งเป็ นวัฏจักรแก๊สนันจะทํางานในลักษณะ
ของวัฏจักรเปิ ดกล่าวคือมีการทําปฏิกิริยาเคมีระหว่างเชือเพลิงและอากาศเพือทําให้เกิดการเผาไหม้แล้วคาย
ความร้อนออกมาเพือทําหน้าทีเป็ นแหล่งจ่ายพลังงานให้กบั เครื องยนต์ความร้อน จากนันไอเสี ยซึ งเป็ นผลที
ได้จากการเผาไหม้ก็จะถูกปล่อยออกสู่ บรรยากาศ หากพิจารณาหลักความเป็ นจริ งแล้วของไหลทํางานใน
วัฏจักรเปิ ดจะไม่ได้ทาํ งานครบรอบตามวัฏจักรทางเธอร์โมไดนามิกส์ ดังนันเพือทําให้สามารถวิเคราะห์การ
ทํางานของเครื องยนต์ในลักษณะดังกล่าวได้ง่ายขึนรวมทังหลีกเลียงความซับซ้อนทีเกิดจากการเผาไหม้ เรา
จึงมีการนิยามวัฏจักรมาตรฐานอากาศ (air-standard cycle) ซึงประกอบไปด้วยสมมติฐานดังต่อไปนี
1) อากาศเป็ นของไหลทํางานเพียงอย่างเดียวตลอดทังวัฏจักรโดยทีไม่มีเชือเพลิงและไอเสี ยมาเกียวข้อง
2) อากาศเป็ นแก๊สอุดมคติ
3) กระบวนการเผาไหม้ถูกแทนทีด้วยกระบวนการถ่ายเทความร้อนจากแหล่งจ่ายพลังงานอุณหภูมิสูง
ภายนอกเข้าสู่ อากาศ
4) กระบวนการปล่อยไอเสี ยทิงสู่ บรรยากาศถูกแทนทีด้วยกระบวนการถ่ายเทความร้อนจากอากาศสู่
แหล่งรับพลังงานอุณหภูมิตาภายนอก
ํ
5) กระบวนการทีเกิดขึนทังหมดในวัฏจักรเป็ นกระบวนการย้อนกลับได้ภายใน
สมมติฐานทังห้าข้อดังกล่าวจะมีชือเรี ยกว่าโดยรวมว่าสมมติฐานมาตรฐานอากาศ (air-standard assumption)
แต่ถา้ มีการเพิมสมมติฐานเข้าไปอีกหนึงข้อกล่าวคืออากาศมีค่าความร้อนจําเพาะเป็ นค่าคงตัวทีอุณหภูมิ 25oC
เราจะเรี ยกสมมติฐานทังหมดหกข้อนีว่าสมมติฐานมาตรฐานอากาศเย็น (cold-air-standard assumption) ทังนี
สมมติฐานมาตรฐานอากาศเย็นจะทําให้สามารถวิเคราะห์วฏั จักรแก๊สได้อย่างสะดวกและรวดเร็ ว แต่ความ
แม่นยําทีได้จะลดลงเนื องจากช่วงการเปลียนแปลงของอุณหภูมิมีค่าค่อนข้างมากซึ งจะทําให้ค่าความร้อน
จําเพาะของอากาศเปลียนแปลงตามอุณหภูมิ อย่างไรก็ตามเราสามารถใช้สมมติฐานมาตรฐานอากาศเย็น
กับวัฏจัก รแก๊ ส เพือเป็ นแบบจํา ลองเบื องต้น ในการศึ ก ษาวัฏจัก รแก๊ สในเชิ งคุ ณภาพโดยเฉพาะอย่างยิง
การศึกษาของผลกระทบของตัวแปรต่างๆ ทีมีต่อสมรรถนะของเครื องยนต์ความร้อน จากนันเราก็สามารถ
นําผลทีได้ไปใช้เป็ นแนวทางในการทํานายพฤติกรรมของเครื องยนต์จริ งต่อไป
218
10.9 วัฏจักรเบรย์ตนั
วัฏจักรกําลังอุ ดมคติ ที เป็ นวัฏจักรแก๊สและใช้เ ป็ นแบบจําลองสําหรั บเครื องยนต์กังหัน แก๊สคื อ
วัฏจักรเบรย์ตนั (Brayton cycle) ในทางปฏิบตั ิเครื องยนต์กงั หันแก๊สนันจะใช้การเผาไหม้ระหว่างเชือเพลิง
และอากาศเป็ นแหล่งจ่ายพลังงานให้กบั ไอเสี ยเพือให้ไอเสี ยมีความดันและอุณหภูมิสูงขึน จากนันก็นาํ ไปขับ
กังหันและก่อให้เกิดงานเพลาแล้วก็จะปล่อยไอเสี ยทิงสู่ บรรยากาศ โดยอาศัยสมมติฐานมาตรฐานอากาศเย็น
วัฏจักรเบรย์ตนั จะมีอากาศเป็ นของไหลทํางานซึงประกอบไปด้วยกระบวนการสี กระบวนการกล่าวคือ
1) กระบวนการแอเดียแบติกย้อนกลับได้ภายในผ่านเครื องอัด
2) กระบวนการไอโซบาริ กย้อนกลับได้ภายในผ่านห้องเผาไหม้ (combustion chamber)
3) กระบวนการแอเดียแบติกย้อนกลับได้ภายในผ่านกังหันแก๊ส
4) กระบวนการไอโซบาริ กย้อนกลับได้ภายในผ่านอุปกรณ์แลกเปลียนความร้อน ซึ งกระบวนการนี
อาจจะมีหรื อไม่มีกไ็ ด้ ในกรณี ทีมีวฏั จักรจะเป็ นแบบปิ ด แต่ถา้ ไม่มีวฏั จักรก็จะเป็ นแบบเปิ ด
เราจะสามารถเขียนแผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี และแผนภาพอุปกรณ์ของวัฏจักรเบรย์ตนั อย่างง่ายทีเป็ นแบบ
เปิ ดได้ดงั รู ปที 10.14 (a) และ 10.14 (b) ตามลําดับ
T 3 P2 = P3 Q& H
P1 = P4 ห้องเผาไหม้
4 2 3
2 W& net
เครืองอัด กังหัน
1 1 4
s
(a) (b)
รู ปที 10.14 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี และแผนภาพอุปกรณ์ของวัฏจักรเบรย์ตนั อย่างง่ายแบบเปิ ด
P2 P
rP = = 3 (10.1)
P1 P4
ั องยนต์กงั หันแก๊สส่ วนมากจะทํางานในลักษณะทีคล้ายคลึงกับวัฏจักรเบรย์ตนั แบบเปิ ด
ในทางปฏิบตั ินนเครื
ทีแสดงในรู ปที 10.14 ซึงจะนําไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้ าหรื อใช้เป็ นเครื องยนต์ไอพ่นสําหรับอากาศยาน
แต่ถา้ เรานําอุปกรณ์แลกเปลียนความร้อนมาชินหนึ งแล้วเชือมต่อระหว่างภาวะที 4 และภาวะที 1 ในรู ปที
10.14 (b) โดยทีอุปกรณ์แลกเปลียนความร้อนนี จะดึงความร้อนของอากาศทีออกจากกังหันให้เย็นลงจน
เท่ากับอุณหภูมิของอากาศภายนอก เป็ นผลให้วฏั จักรเบรย์ตนั กลายไปเป็ นแบบปิ ดซึ งจะสามารถเขียน
แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี และแผนภาพอุปกรณ์ได้ดงั รู ปที 10.15 (a) และ 10.15 (b) ตามลําดับ วัฏจักร
เบรย์ตนั แบบปิ ดนันส่ วนมากจะนําไปใช้ร่วมกับโรงไฟฟ้ าพลังงานนิวเคลียร์
Q& H
T 3 P2 = P3 ห้องเผาไหม้
2 3
P1 = P4
W& net
4
เครืองอัด กังหัน
2
1 4
อุปกรณ์แลก
เปลียนความร้อน
1
s Q& L
(a) (b)
รู ปที 10.15 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี และแผนภาพอุปกรณ์ของวัฏจักรเบรย์ตนั อย่างง่ายแบบปิ ด
1
s
รู ปที 10.16 ผลของการเพิมอัตราส่ วนความดันของวัฏจักรเบรย์ตนั อย่างง่าย
จากรู ปจะเห็นได้วา่ เมือเพิมค่าความดัน P2 ไปเป็ น P2’ ผลก็คือทังงานสุ ทธิและความร้อนป้ อนเข้าสู่ วฏั จักรมี
ค่าเพิมขึนในปริ มาณทีเท่ากันซึงเท่ากับพืนทีแรเงาหรื อพืนที 2-2’-3’-3-2 เป็ นผลให้ประสิ ทธิภาพอุณหภาพ
221
เมือเราเพิม rP ขึนเรื อยๆ จาก rP1 ซึงมีค่าน้อยทีสุ ดไปยัง rP4 ซึงมีค่ามากทีสุ ด เราจะพบว่าถึงแม้วา่ ค่า ηth จะ
เพิมขึนเรื อยๆ ตามสมการที 10.3 แต่ปริ มาณของงานสุ ทธิซึงแทนได้ดว้ ยพืนทีทีถูกปิ ดล้อมโดยวัฏจักรจะค่า
น้อยที rP1 จากนันก็จะเพิมขึนเรื อยๆ เมือ rP เพิมขึน และเมือถึงจุดหนึงเราจะเห็นว่าถ้าเราเพิม rP ไปจนถึง rP4
ผลทีได้ก็คืองานสุ ทธิกลับมีค่าลดลงอีกครัง ดังนันการเพิม rP ขึนไปเรื อยๆ ก็ไม่ทาํ ให้เกิดประโยชน์ในทาง
ปฏิบตั ิเพราะในท้ายทีสุ ดเราก็ได้งานสุ ทธิ ทีลดลง ทังนี โดยการพิสูจน์ทางคณิ ตศาสตร์ เราจะสามารถหาได้
ว่าสําหรับวัฏจักรเบรย์ตนั อย่างง่ายทีกําหนดให้ P1, T1 และ T3 เป็ นค่าคงตัว เราจะได้ว่างานสุ ทธิจะมีค่าสู งสุ ด
ที rP = (T3 / T1 )k /( 2 k −2 )
ความเบียงเบนของวัฏจักรเบรย์ตนั อุดมคติกบั เครื องยนต์กงั หันแก๊สจริ งนันส่ วนใหญ่จะมาจากการ
ย้อนกลับไม่ได้ในเครื องอัดและกังหันซึงสามารถแสดงได้ดว้ ยประสิ ทธิภาพไอเซนโทรปิ กของเครื องอัดและ
กังหันในสมการที 9.31 และ 9.30 ตามลําดับ ผลของประสิ ทธิภาพไอเซนโทรปิ กของเครื องอัดและกังหันจะ
แสดงได้ในรู ปที 10.18 นอกจากนี การย้อนกลับไม่ได้อนั เนื องมาจากความดันตกในช่องทางไหลของแก๊ส
และในห้องเผาไหม้กม็ ีส่วนสําคัญทีทําให้เกิดความเบียงเบนดังกล่าวด้วยเช่นกัน
222
T
3 P2 = P3
P1 = P4
4
4s
2
2s
1
s
รู ปที 10.18 ผลของการย้อนกลับไม่ได้ของเครื องอัดและกังหันต่อวัฏจักรเบรย์ตนั อุดมคติ
ตัวอย่างที 10.3
อากาศถูกดูดเข้าสู่ เครื องอัดของวัฏจักรเบรย์ตนั อย่างง่ายทีความดัน 100 kPa อุณหภูมิ 300 K โดยมี
อัตราส่ วนความดันเท่ากับ 13 อุณหภูมิสูงสุ ดในวัฏจักรมีค่าเท่ากับ 1,500 K จงหางานจําเพาะสุ ทธิและ
ประสิ ทธิภาพอุณหภาพของวัฏจักร
วิธีทาํ
สมมติฐานเบืองต้น:
1) วัฏจักรเบรย์ตนั อย่างง่ายเป็ นวัฏจักรอุดมคติ
2) สามารถละทิง ΔKE และ ΔPE ในกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์
3) ใช้สมมติฐานมาตรฐานอากาศเย็นกับวัฏจักร
ตัวแปรทีทราบค่า: P1, T1, rP, T3
ตัวแปรทีต้องการ: w net , ηth
T P2 = P3
3 Q& H
1,500 K
P1 = P4 = 100 kPa ห้องเผาไหม้
4 2 3
2 W& net
เครืองอัด กังหัน
300 K 1
1 4
s
ดังนันประสิ ทธิภาพอุณหภาพจะหาได้จาก
w net 456.712 kJ / kg
ηth = =
qH 879.206 kJ / kg
ηth = 0.5195 = 51.95 % คําตอบ
หมายเหตุ
1) เราจะเห็นได้วา่ งานจําเพาะสุ ทธิทีได้นนเกิ
ั ดจากงานจําเพาะทีได้จากกังหันหักออกด้วยงานของเครื องอัด
ดังนันหากเราลองพิจารณาอัตราส่ วนของงานจําเพาะทีได้จากเครื องสู บต่องานจําเพาะทีได้จากกังหันโดย
สนใจเฉพาะขนาดเพียงอย่างเดียว เราจะได้วา่
w comp . 325.594 kJ / kg
= = 0.416 ≈ 42 %
w turbine 782.305 kJ / kg
ซึงส่ วนทีเหลืออีกร้อยละ 58 ก็คืองานจําเพาะสุ ทธิทีได้ จะเห็นได้วา่ อัตราส่ วนของงานทีใช้ในการอัดไอนัน
มีค่าค่อนข้างมาก เมือเปรี ยบเทียบกับวัฏจักรแรงคินแล้วนันจะพบว่าสัดส่ วนของงานทีใช้ในการสู บนําจะมี
ค่าไม่เกินร้อยละ 1 เท่านัน ทําให้เราสามารถละทิงงานทีใช้ในเครื องสูบได้ ด้วยเหตุผลนีในเครื องยนต์กงั หัน
แก๊ สจริ ง งานที ได้จากกังหันจะมี ค่าน้อยลงในขณะที งานที ใช้ในเครื องอัดจะมี ค่าเพิมขึ น ดังนันถ้าหาก
ประสิ ทธิภาพไอเซนโทรปิ กของเครื องอัดและกังหันมีค่าลดลง ก็จะทําให้ประสิ ทธิภาพอุณหภาพของวัฏจักร
225
10.10 วัฏจักรกังหันแก๊สอย่างง่ายทีมีรีเจเนอเรเตอร์
การเพิมประสิ ทธิ ภาพวัฏจักรเบรย์ตนั อย่างง่ายนันทําได้โดยการเพิมอุปกรณ์ทีมีชือว่ารี เจเนอเรเตอร์
(regenerator) เข้าไปในวัฏจักร ถ้าเราพิจารณาตัวอย่างที 10.3 เราจะเห็นได้ว่าไอเสี ย (ซึงทดแทนด้วยอากาศ
เนื องจากสมมติฐานมาตรฐานอากาศ) หลังจากออกจากกังหันทีภาวะที 4 นันจะมีอุณหภูมิทีสู งกว่าอากาศ
ก่อนทีจะป้ อนเข้าสู่ หอ้ งเผาไหม้ทีภาวะที 2 ดังนันจึงมีแนวคิดทีจะนําไอเสี ยทีภาวะที 4 มาแลกเปลียนความ
ร้อนกับอากาศทีภาวะที 2 ก่อนทีจะปล่อยทิงสู่ บรรยากาศซึ งจะทําให้อากาศทีภาวะที 2 มีอุณหภูมิทีสู งขึน
ก่อนทีจะถูกป้ อนเข้าสู่ ห้องเผาไหม้ ดังนันถ้าผลต่างระหว่างอุณหภูมิของอากาศก่อนและหลังจากห้องเผา
ไหม้มีค่าลดลง จากกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์เราจะเห็นได้วา่ ความร้อนทีป้ อนเข้าสู่หอ้ งเผาไหม้ก็จะ
มีคา่ ลดลง ส่ งผลให้ประสิ ทธิภาพอุณหภาพของวัฏจักรมีค่าเพิมขึน อุปกรณ์แลกเปลียนความร้อนทีทําหน้าที
โดยการนําความร้ อนเหลื อทิ งจากไอเสี ยกลับมาใช้ใหม่เพือทําการอุ่นอากาศมี ชือเรี ยกว่ารี เจเนอเรเตอร์
(regenerator) วัฏจักรเบรย์ตนั ทีมีการนํารี เจเนอเรเตอร์มาประยุกต์ใช้จะมีชือว่าวัฏจักรเบรย์ตนั รี เจเนอเรทิฟ
(regenerative Brayton cycle) สําหรับวัฏจักรเบรย์ตนั รี เจเนอเรทิฟอุดมคตินนจะแสดงอยู
ั ใ่ นรู ปที 10.19
226
T 3 P2 = Px = P3 y รีเจเนอเรเตอร์
P1 = Py = P4 ห้องเผาไหม้ 4
x x
4 2
Q& H 3
2 W& net
y เครืองอัด กังหัน
1 1
s
(a) (b)
รู ปที 10.19 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี และแผนภาพอุปกรณ์ของวัฏจักรเบรย์ตนั รี เจเนอเรทิฟอุดมคติ
0.9 วัฏจักรเบรย์ตันรีเจเนอเรทิฟ
0.8 วัฏจักรเบรย์ตันอย่างง่าย
0.7
rP 0.6
0.5
T1/T3 = 1/5
0.4
T1/T3 = 1/4
0.3
0.2
T1/T3 = 1/3
0.1
0
0 5 10 15 20 25
ηth
2”
4 rP1 < rP2 < rP3
2’
4’ rP1 1-2-3-4-1
2 4” rP2 1-2’-3’-4’-1
rP3 1-2”-3”-4”-1
T1 1
s
รู ปที 10.21 ผลของอัตราส่ วนความดันต่อ T2 และ T4 ของวัฏจักรเบรย์ตนั อย่างง่าย
จากรู ปที 10.21 เมืออัตราส่ วนความดันมีค่าตําที rP1 ซึงปรากฏเป็ นภาวะที 1-2-3-4-1 เราจะเห็นได้ว่า T2 มีค่า
น้อยกว่า T4 ดังนันการนํารี เจเนอเรเตอร์มาประยุกต์ใช้กบั วัฏจักรเบรย์ตนั อย่างง่ายจะทําให้ค่า ηth ของวัฏจักร
เบรย์ตนั อย่างง่ายมีค่าเพิมขึน หากเราเพิมอัตราส่ วนความดันให้เป็ นที rP2 ซึงปรากฏเป็ นภาวะที 1-2’-3’-4’-1
228
ตัวอย่างที 10.4
วัฏจักรเบรย์ตนั รี เจเนอเรทิฟมีอากาศก่อนเข้าสู่ เครื องอัดทีความดัน 100 kPa อุณหภูมิ 300 K โดยมี
อัตราส่ วนความดันเท่ากับ 13 อุณหภูมิสูงสุ ดในวัฏจักรมีค่าเท่ากับ 1,500 K เครื องอัดและกังหันมีค่า
ประสิ ทธิภาพไอเซนโทรปิ กเท่ากับร้อยละ 85 และ 87 ตามลําดับ ในขณะทีรี เจเนอเรเตอร์มีค่าประสิ ทธิ ผล
เท่ากับร้อยละ 75 จงหางานจําเพาะสุ ทธิและประสิ ทธิภาพอุณหภาพของวัฏจักร
วิธีทาํ
สมมติฐานเบืองต้น:
1) วัฏจักรเบรย์ตนั รี เจเนอเรทิฟเป็ นวัฏจักรอุดมคติยกเว้นกังหัน เครื องสูบและรี เจเนอเรเตอร์
2) สามารถละทิง ΔKE และ ΔPE ในกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์
3) ใช้สมมติฐานมาตรฐานอากาศเย็นกับวัฏจักร
ตัวแปรทีทราบค่า: P1, T1, rP, T3, ηcomp., ηturbine, ηregen.
ตัวแปรทีต้องการ: w net , ηth
T P2 = P3
รีเจเนอเรเตอร์
3 y
1,500 K P1 = P4 = 100 kPa
x’
x 4 ห้องเผาไหม้ 4
x
4s 2
Q& H 3
2 y
2s W& net
เครืองอัด กังหัน
300 K
1 1
s
ภาวะที 2s : rp = P2/P1 = 13
P2 = P2s = 13 (100kPa) = 1,300 kPa
สําหรับกระบวนการไอเซนโทรปิ กผ่านเครื องอัดจากภาวะที 1 ไปยังภาวะที 2s จะได้วา่
k −1
T2 s ⎛ P2 s ⎞ k
= ⎜⎜ ⎟⎟ = (rP )( k −1 ) / k = ( 13) ( 1.4 −1 ) / 1.4 = 2.08099
T1 ⎝ P1 ⎠
T2 s = 2.08099 (300 K ) = 624.296 K
ภาวะที 2 : P2 = 1,300 kPa
เมือทราบภาวะที 2s แล้ว เราสามารถคํานวณหา T2 ได้จากนิยามประสิ ทธิภาพไอเซนโทรปิ กของเครื องอัด
h −h T −T
ηcomp . = 1 2 s = 1 2 s
h1 − h 2 T1 − T2
300 − 624.296 K
0.85 =
300 − T2 K
T2 = 681.525 K
ภาวะที 3 : P3 = P2 = 1,300 kPa, T3 = 1,500 K
ภาวะที 4s: P4s = P4 = P1 = 100 kPa
สําหรับกระบวนการไอเซนโทรปิ กผ่านกังหันจากภาวะที 3 ไปยังภาวะที 4s จะได้วา่
k −1 k −1 1.4 −1
T4 s ⎛ P4 s ⎞ ⎛1⎞ 1
= ⎜⎜ ⎟⎟ = ⎜⎜ ⎟⎟ = ⎛⎜ ⎞⎟
k k 1. 4
= 0.48054
T3 ⎝ P3 ⎠ ⎝ rP ⎠ ⎝ 13 ⎠
T4 s = 0.48054 (1,500 K ) = 720.812 K
ภาวะที 4 : P4 = 100 kPa
เมือทราบภาวะที 4s แล้ว เราสามารถคํานวณหา T4 ได้จากนิยามประสิ ทธิภาพไอเซนโทรปิ กของกังหัน
h −h T −T
ηturbine = 3 4 = 3 4
h 3 − h 4 s T3 − T4 s
1,500 − T4 K
0.87 =
1,500 − 720.812 K
T4 = 822.106 K
ภาวะที x’ : Px’ = P2 = 1,300 kPa
Tx’ คืออุณหภูมิอากาศหลังจากการอุ่นด้วยไอเสี ยในกรณี ของรี เจเนอเรเตอร์อุดมคติ ดังนันเราจะได้วา่
231
Tx ' = T4 = 822.106 K
สิ งทีต้องระมัดระวังคือ Tx’ มีค่าเท่ากับ T4 ไม่ใช่เท่ากับ T4s เนืองจากอากาศจะสามารถอุ่นให้มีอุณหภูมิสูงขึน
ได้ตามอุณหภูมิไอเสี ยทีเกิดขึนจริ ง ไม่ใช่อุณหภูมิไอเสี ยในกรณี ของกังหันอุดมคติซึงไม่ได้เกิดขึนจริ ง
ภาวะที x : Px = Px’ = P2 = 1,300 kPa
เราจะสามารถหา Tx ได้จากนิยามประสิ ทธิผลของรี เจเนอเรเตอร์
T −T T −T
ηregen . = x 2 = x 2
Tx ' − T2 T4 − T2
Tx − 681.525 K
0.75 =
822.106 − 681.525 K
Tx = 786.961 K
เช่นเดียวกัน T2 ทีแทนในสมการด้านบนจะต้องเป็ นอุณหภูมิทีออกจากเครื องอัดจริ ง ไม่ใช่ T2s ทีได้จากกรณี
ของเครื องอัดอุดมคติ
ดังนันประสิ ทธิภาพอุณหภาพจะหาได้จาก
w 297.554 kJ / kg
ηth = net =
qH 715.891 kJ / kg
ηth = 0.4156 = 41.56 % คําตอบ
หมายเหตุ
1) หากเราลองทําการคํานวณเปรี ยบเทียบผลทีได้จากสามกรณี โดยทีกรณี ที 1) คือผลทีได้ในตัวอย่างที 10.3
กล่าวคือเป็ นกรณี ของเครื องสู บและกังหันอุดมคติและไม่มีรีเจเนอเรเตอร์ กรณี ที 2) คือผลทีได้ในตัวอย่างนี
กล่าวคือเป็ นกรณี ของเครื องสู บและกังหันจริ งแต่ไม่มีรีเจเนอเรเตอร์ และกรณี ที 3) คือผลทีได้ในตัวอย่างนี
โดยตรงกล่าวคือเป็ นกรณี ของเครื องสูบ กังหันและรี เจเนอเรเตอร์จริ ง ผลทีได้เป็ นดังตารางด้านล่าง
wcomp. wturbine wnet qH ηth
kJ/kg kJ/kg kJ/kg kJ/kg %
กรณี ที 1) −325.594 782.305 456.712 879.206 51.95
กรณี ที 2) −383.051 680.606 297.554 821.749 36.21
กรณี ที 3) −383.051 680.606 297.554 715.891 41.56
เมือเปรี ยบเทียบกรณี ที 2) โดยอ้างอิงจากกรณี ที 1) จะเห็นว่า wnet ลดลงอย่างมากโดยที wcomp./wturbine เพิมขึน
จากร้อยละ 41.6 ไปเป็ นร้อยละ 56.3 ในขณะที qH ก็มีค่าลดลงเช่นกันซึงเป็ นผลมาจากเครื องสู บในกรณี ที 2)
เป็ นเครื องสู บจริ งทําให้ T2 มีค่ามากกว่า T2s แต่โดยรวมแล้วผลของ wnet ทีลดลงจะมีค่ามากกว่าผลของ qH ที
ลดลงเลยทําให้ ηth มีค่าตําลงอย่างทีปรากฏ เมือเปรี ยบเทียบกรณี ที 3) โดยอ้างอิงจากกรณี ที 2) จะพบว่า
การใส่ รีเจเนอเรเตอร์เพิมเข้าไปนันจะช่วยทําให้ qH ลดลงเนื องจากการอุ่นอากาศก่อนเข้าห้องเผาไหม้โดยที
ไม่ส่งผลกระทบต่อ wnet ของวัฏจักร จึงทําให้ ηth มีค่าเพิมขึน
W& net
เครืองอัด เครืองอัด กังหัน กังหัน
4 2
3 1 1
s 8
(a) (b)
รู ปที 10.23 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี และแผนภาพอุปกรณ์ของวัฏจักรเบรย์ตนั ทีใช้กระบวนการอัด
และขยายตัวสองขันตอนร่ วมกับการหล่อเย็นระหว่างขันตอนและการรี ฮีต
6 8
8’
4’
4 2
3 1
s
รู ปที 10.24 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี เปรี ยบเทียบระหว่างวัฏจักรเบรย์ตนั ทีใช้กระบวนการอัดและ
ขยายตัวสองขันตอนร่ วมกับการหล่อเย็นระหว่างขันตอนและการรี ฮีตกับวัฏจักรเบรย์ตนั อย่างง่าย
Tavg high
Tavg low
s
รู ปที 10.25 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี ในกรณี ของกระบวนการอัดและขยายตัวหลายขันตอน
235
ไอดี ไอเสีย
กระบอกสูบ
Vmin Vmin
B
S ลูกสูบ
ก้านสูบ
Vmax TDC Vmax
TDC
θ
r
ข้อเหวียง
BDC BDC
∫
Wnet = P dV = Pmeff (Vmax − Vmin ) (10.9)
โดยที Pmeff คือความดันยังผลเฉลีย (mean effective pressure) ซึงเปรี ยบได้กบั ความดันเสมือนทีเป็ นค่าเฉลียที
เกิดขึนบนลูกสู บในจังหวะสร้างกําลังและให้งานสุ ทธิ ออกมาเท่ากับงานสุ ทธิ จริ งทีเกิดขึนต่อการหมุนหนึ ง
รอบ ดังนันหากเครื องยนต์กาํ ลังหมุนด้วยจํานวนรอบต่อนาทีเท่ากับ RPM จะได้ว่ากําลังของเครื องยนต์
ทังหมดจะหาได้จาก
RPM
W& net = f Pmeff Vdisplace . (10.10)
60
ทังนี f คือตัวประกอบการคูณขึนอยูก่ บั ชนิดของเครื องยนต์ โดยที f จะมีค่าเท่ากับ 0.5 ในเครื องยนต์สี
จังหวะ (four-stroke engine) และ f จะมีค่าเท่ากับ 1 ในเครื องยนต์สองจังหวะ (two-stroke engine)
เครื องยนต์ทีใช้งานส่ วนใหญ่นนจะเป็
ั นเครื องยนต์สีจังหวะซึงหมายความว่าเครื องยนต์จะต้องหมุน
เป็ นจํานวนสองรอบถึงทํางานครบรอบวัฏจักรทางเธอร์โมไดนามิกส์ดงั ทีแสดงในรู ปที 10.27
237
P
สินสุดการเผาไหม้ ลินไอเสียเปด ลินไอดีเปด
จุดระเบิด
กําลัง
จุดระเบิด ลินไอเสียเปด
อัด
ลินไอดีเปด คาย(ไอเสีย)
Patm
ดูด(ไอดี) V จังหวะอัด จังหวะกําลัง จังหวะคาย จังหวะดูด
Vmin(TDC) Vmax(BDC)
(a) (b)
รู ปที 10.27 แผนภาพความดัน-ปริ มาตรของเครื องยนต์สีจังหวะจริ งและจังหวะการทํางานทังสี จังหวะ
ไอดี ไอเสีย
ไอเสีย
ไอดี
ช่องด้านข้าง
ช่องไอเสีย
ช่องไอดี ไอดี
10.13 วัฏจักรออตโต
วัฏจักรออตโตเป็ นวัฏจักรอุดมคติทีใช้เป็ นแบบจําลองสําหรับเครื องยนต์เผาไหม้ภายในทีจุดระเบิด
ด้วยประกายไฟหรื อเครื องยนต์แกโซลี น ระบบของวัฏจักรออตโตจะเป็ นมวลควบคุ มซึ งบรรจุ ในภาย
กระบอกสู บ ดังนันเมือประยุกต์ใช้สมมติฐานมาตรฐานอากาศเย็น จึงทําให้มวลควบคุมทีอยูใ่ นกระบอกสู บ
ก็คืออากาศนันเอง วัฏจักรออตโตประกอบไปด้วยกระบวนการทังหมดสี กระบวนการกล่าวคือ
1) กระบวนการอัดแบบไอเซนโทรปิ ก
2) กระบวนการไอโซคอริ กย้อนกลับได้ภายในซึงจะมีการถ่ายเทความร้อนเข้าสู่ ระบบ
3) กระบวนการขยายตัวแบบไอเซนโทรปิ ก
4) กระบวนการไอโซคอริ กย้อนกลับได้ภายในซึงจะมีการถ่ายเทความร้อนออกจากระบบ
เราจะสามารถเขียนแผนภาพความดัน-ปริ มาตรและกระบวนการทํางานของอากาศภายในกระบอกสู บของ
วัฏจักรออตโตได้ดงั รู ปที 10.29 (a) และ 10.29 (b) ตามลําดับ
P
3
Q=0 QH Q=0 QL
s คงที Vmin
2 อากาศ
4 Vmax
s คงที
1
ภาวะที 1 ภาวะที 2 ภาวะที 3 ภาวะที 4 ภาวะที 1
V
Vmin(TDC) Vmax(BDC)
(a) (b)
รู ปที 10.29 แผนภาพความดัน-ปริ มาตรและกระบวนการของอากาศภายในกระบอกสูบของวัฏจักรออตโต
ประสิ ทธิภาพอุณหภาพของวัฏจักรออตโตจะหาได้จาก
w net C V 0 (T3 − T4 + T1 − T2 ) T −T T (T / T − 1)
ηth = = = 1− 4 1 = 1− 1 4 1 (10.11)
qH C V 0 (T3 − T2 ) T3 − T2 T2 (T3 / T2 − 1)
และจากสมการที 10.8
Vmax V
rV = = 1
Vmin V2
0.7
0.6
0.5
0.4
rV
0.3
0.2
0.1
0
0 2 4 6 8 10 12 14 16
ηth
ตัวอย่างที 10.5
เครื องยนต์แกโซลีนเครื องหนึงดูดอากาศทีความดัน 100 kPa อุณหภูมิ 300 K กระบวนการเผาไหม้
ทีเกิดขึนทําให้ปริ มาณความร้อนจําเพาะเท่ากับ 970 kJ/kg ถ่ายเทเข้าสู่ อากาศ อุณหภูมิสูงสุ ดในวัฏจักรมีค่า
เท่ากับ 2,100 K จงหาอัตราส่ วนการอัด ความดันทีสูงสุ ดในวัฏจักรและประสิ ทธิภาพอุณหภาพของวัฏจักร
วิธีทาํ
สมมติฐานเบืองต้น:
1) เครื องยนต์แกโซลีนมีการทํางานเป็ นวัฏจักรออตโตอุดมคติ
2) สามารถละทิง ΔKE และ ΔPE ในกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์
3) ใช้สมมติฐานมาตรฐานอากาศเย็นกับวัฏจักรเป็ นผลให้อากาศเป็ นมวลควบคุมในวัฏจักร
ตัวแปรทีทราบค่า: P1, T1, qH, T3
ตัวแปรทีต้องการ: rV, P3, ηth
สําหรั บวัฏจักรออตโตนันจะใช้หลักการคํานวณของ P
3
ระบบปิ ดซึ งในที นี ก็ คื อ อากาศที บรรจุ อ ยู่ ใ นกระบอกสู บ
ดัง นันสมบัติ เ ธอร์ โ มไดนามิ ก ส์ ที เราต้อ งการก็ คื อ พลัง งาน s คงที
ภายในที ภาวะต่ างๆ ของอากาศเพือที เราจะสามารถแทนค่ า 2
พลังงานภายในลงไปในกฎข้อที หนึ งของเธอร์ โมไดนามิ กส์ 4
s คงที
สําหรับกระบวนการทีเราสนใจ แต่เนืองจากผลของสมมติฐาน
1
มาตรฐานอากาศเย็น ทําให้เราเน้นไปทีการหาอุณหภูมิทีภาวะ V
ต่างๆ แทนการหาพลังงานภายในเนื องจากพลังงานภายในของ Vmin(TDC) Vmax(BDC)
แก๊สอุดมคติเป็ นฟังก์ชนั ของอุณหภูมิเพียงอย่างเดียว
243
m3 ⎞
⎟ (2,100 K )
⎛ ⎛ kJ ⎞
P3 ⎜ 0.087963 ⎟ = ⎜ 0.287
⎝ kg ⎠ ⎝ kg − K ⎠
P3 = 6,851.74 kPa คําตอบ
เนืองจากเราทราบว่า v4 = v1 = 0.861 m3/kg เราสามารถใช้สมการสําหรับกระบวนการไอเซนโทรปิ กจาก
ภาวะที 3 ไปยังภาวะที 4 ได้คือ
k −1 k −1
T4 ⎛ v 3 ⎞ ⎛1⎞ ⎛ 1 ⎞1.4 −1
= ⎜ ⎟ = ⎜⎜ ⎟⎟ = ⎜ ⎟ = 0.40153
T3 ⎜⎝ v 4 ⎟⎠ r
⎝ V⎠ ⎝ 9 . 788 ⎠
T4 = 0.40153 (2,100 K ) = 843.214 K
ภาวะที 4 : T4 = 843.214 K, v4 = v1 = 0.861 m3/kg
สมการแก๊สอุดมคติ P4 v 4 = R T4
m3 ⎞
⎟ (843.214 K )
⎛ ⎛ kJ ⎞
P4 ⎜ 0.861 ⎟ = ⎜ 0.287
⎝ kg ⎠ ⎝ kg − K ⎠
P4 = 281.071 kPa
จากนันเริ มประยุกต์ใช้กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์กบั กระบวนการต่างๆ
กระบวนการ: ไอเซนโทรปิ กจากภาวะที 1 ไปยังภาวะที 2
กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์ต่อหนึงหน่วยมวลจะลดรู ปเป็ น
1 w 2 = u 1 − u 2 = C V 0 (T1 − T2 ) = 0.717
kJ
kg − K
(300 − 747.141 K )
1 w 2 = − 320.600 kJ / kg
3 w 4 = u 3 − u 4 = C V 0 (T3 − T4 ) = 0.717
kJ
kg − K
(2,100 − 843.214 K )
3 w 4 = 901.115 kJ / kg
ดังนัน w net = 1 w 2 + 3 w 4 = − 320.600 + 901.115 kJ / kg = 580.515 kJ / kg
ดังนันประสิ ทธิภาพอุณหภาพจะหาได้จาก
w 580.515 kJ / kg
ηth = net =
qH 970 kJ / kg
ηth = 0.5985 = 59.85 % คําตอบ
245
หมายเหตุ
1) เราสามารถหา wnet ได้จากการหา qL โดยกฎข้อทีหนึ งของเธอร์ โมไดนามิกส์ของกระบวนการไอโซ
คอริ กจากภาวะที 4 ไปยังภาวะที 1
q
4 1 = q L = u 1 − u 4 = C (T
V0 1 − T4 ) = 0. 717
kJ
kg − K
(300 − 843.214 K ) = − 389.485 kJ / kg
w net = q H + q L = 970 + ( − 389.485) kJ / kg = 580.515 kJ / kg
3) ในความเป็ นจริ งเราไม่จาํ เป็ นจะต้องหาค่า P2 และ P4 ก็ได้ เนืองจากเราไม่ได้ใช้ค่า P2 และ P4 ในการ
คํานวณเพือหาคําตอบทีโจทย์ตอ้ งการ อย่างไรก็ตามการหาค่าความดันทังสองนันจะทําให้เราทราบถึงภาวะ
ของอากาศทีตําแหน่งต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน นอกจากนีเมือเราได้ค่า P4 แล้ว เราสามารถตรวจสอบค่า P4 ที
คํานวณได้จากกระบวนการไอโซคอริ กจากภาวะที 4 ไปยังภาวะที 1 กล่าวคือ จากสมการแก๊สอุดมคติทีภาวะ
ที 1 และภาวะที 4 เราจะเขียนได้วา่
P1 v 1 = R T1 และ P4 v 4 = R T4
นําสมการทีสองไปหารสมการแรก เนืองจาก v 1 = v 4 จะได้สมการในรู ปของอัตราส่ วนกล่าวคือ
P4 / P1 = T4 / T1
เมือแทนค่า P4, P1, T4 และ T1 ลงไป ค่าทังสองข้างของสมการด้านบนจะต้องเท่ากัน
10.14 วัฏจักรดีเซล
วัฏจักรดีเซลเป็ นวัฏจักรอุดมคติทีใช้เป็ นแบบจําลองสําหรับเครื องยนต์เผาไหม้ภายในทีจุดระเบิด
ด้วยการอัดหรื อเครื องยนต์ดีเซล โดยทัวแล้ววัฏจักรดี เซลจะมีกระบวนการทีเกิดขึนในวัฏจักรคล้ายคลึง
กับวัฏจักรออตโตเกือบหมดทุกกระบวนการยกเว้นกระบวนการเผาไหม้ ในวัฏจักรดีเซลนันกระบวนการเผา
ไหม้จะเกิ ดจากการฉี ดนํามันเชื อเพลิ งให้เป็ นฝอยทีความดันสู งเข้าไปในกระบอกสู บผ่านตัวฉี ด เมืออยู่
ภายใต้ส มมติ ฐ านมาตรฐานอากาศเย็น กระบวนการดัง กล่ า วจะถูก แทนที ด้ว ยการถ่ า ยเทความร้ อ นจาก
แหล่งจ่ายพลังงานภายนอกทีทําให้อากาศขยายตัวด้วยกระบวนการความดันคงที โดยสรุ ปแล้ววัฏจักรดีเซล
จะประกอบไปด้วยกระบวนการดังนี
1) กระบวนการอัดแบบไอเซนโทรปิ ก
2) กระบวนการไอโซบาริ กย้อนกลับได้ภายในซึงจะมีการถ่ายเทความร้อนเข้าสู่ ระบบ
3) กระบวนการขยายตัวแบบไอเซนโทรปิ ก
4) กระบวนการไอโซคอริ กย้อนกลับได้ภายในซึงจะมีการถ่ายเทความร้อนออกจากระบบ
246
s คงที 1 Vmax
V
Vmin(TDC) Vmax(BDC) ภาวะที 1 ภาวะที 2 ภาวะที 3 ภาวะที 4 ภาวะที 1
(a) (b)
รู ปที 10.31 แผนภาพความดัน-ปริ มาตรและกระบวนการของอากาศภายในกระบอกสูบของวัฏจักรดีเซล
0.7
rC = 1 (Otto)
0.6
rC = 2
rC = 3
0.5
rC = 4
rV 0.4
0.3
0.2
0.1
0
0 5 10 15 20 25
ηth
ตัวอย่างที 10.6
เครื องยนต์ดีเซลเครื องหนึงมีอตั ราส่ วนการอัดเท่ากับ 21 และอัตราส่ วนการตัดเชือเพลิงเท่ากับ 1.8
อากาศทีถูกดูดเข้าไปก่อนกระบวนการอัดมีความดันและอุณหภูมิเท่ากับ 100 kPa และ 300 K ตามลําดับ จง
คํานวณหาอุณหภูมิสูงสุ ด ความดันหลังจากกระบวนการขยายตัว และประสิ ทธิภาพอุณหภาพของวัฏจักร
วิธีทาํ
สมมติฐานเบืองต้น:
1) เครื องยนต์ดีเซลมีการทํางานเป็ นวัฏจักรดีเซลอุดมคติ
2) สามารถละทิง ΔKE และ ΔPE ในกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์
3) ใช้สมมติฐานมาตรฐานอากาศเย็นกับวัฏจักรเป็ นผลให้อากาศเป็ นมวลควบคุมในวัฏจักร
ตัวแปรทีทราบค่า: P1, T1, rV, rC
ตัวแปรทีต้องการ: T3, P4, ηth
250
(100 kPa ) v1 =
⎛
⎜ 0. 287
kJ ⎞
⎟ (300 K )
kg − K ⎠
⎝
v 1 = 0.861 m 3 / kg
เนืองจาก rV = 21 เราจะได้วา่
3
v 1 0.861 m / kg
v2 = = = 0.041 m 3 / kg
rV 21
สําหรับกระบวนการไอเซนโทรปิ กจากภาวะที 1 ไปยังภาวะที 2 จะได้วา่
k −1
T2 ⎛ v 1 ⎞
= ⎜⎜ ⎟⎟ = (rV )k −1 = ( 21) 1.4 −1 = 3.3798
T1 ⎝ v 2 ⎠
T2 = 3.3798 (300 K ) = 1,013.93 K
ภาวะที 2 : T2 = 1,013.932 K, v2 = 0.041 m3/kg
สมการแก๊สอุดมคติ P2 v 2 = R T2
⎟ (1,013.93 K )
⎛ kJ ⎞
P2 ( 0.041) = ⎜ 0.287
⎝ kg − K ⎠
P2 = 7,097.53 kPa
เนืองจาก rC = 1.8 เราจะได้วา่
v 3 = rC v 2 = 1.8 (0.041 m 3 / kg ) = 0.0738 m 3 / kg
ภาวะที 3 : P3 = P2 = 7,097.53 kPa, v3 = 0.0738 m3/kg
สมการแก๊สอุดมคติ P3 v 3 = R T3
251
m3 ⎞
(0.0738 kPa )⎜ 0.0738 kg ⎟ = ⎛⎜ 0.287 kg kJ− K ⎞⎟ (T3 )
⎛
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
T3 = 1,825.08 K คําตอบ
เนืองจาก v4 = v1 = 0.861 m3/kg เราสามารถใช้สมการสําหรับกระบวนการไอเซนโทรปิ กจากภาวะที 3 ไป
ยังภาวะที 4 ได้คือ
k −1 k −1 k −1 k −1 1.4 −1
T4 ⎛ v 3 ⎞ ⎛v v ⎞ ⎛v v ⎞ ⎛ rC ⎞ 1.8
= ⎜⎜ ⎟⎟ = ⎜⎜ 3 2 ⎟⎟ = ⎜⎜ 3 2 ⎟⎟ = ⎜⎜ ⎟⎟ = ⎛⎜ ⎞⎟ = 0.37430
T3 ⎝ v 4 ⎠ ⎝ v2 v4 ⎠ ⎝ v 2 v1 ⎠ ⎝ rV ⎠ ⎝ 21 ⎠
T4 = 0.37430 (1,825.08 K ) = 683.129 K
ภาวะที 4 : T4 = 683.129 K, v4 = v1 = 0.861 m3/kg
สมการแก๊สอุดมคติ P4 v 4 = R T4
m3 ⎞
⎟ (683.129 K )
⎛ ⎛ kJ ⎞
P4 ⎜ 0.861 ⎟ = ⎜ 0.287
⎝ kg ⎠ ⎝ kg − K ⎠
P4 = 227.710 kPa คําตอบ
เริ มประยุกต์ใช้กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์กบั กระบวนการต่างๆ
กระบวนการ: ไอโซบาริ กจากภาวะที 2 ไปยังภาวะที 3
กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์ต่อหนึงหน่วยมวลจะลดรู ปเป็ น
2 q 3 = q H = h 3 − h 2 = C P 0 (T3 − T2 ) = 1.004
kJ
kg − K
(1,825.08 − 1,013.43 K )
q H = 814.390 kJ / kg
กระบวนการ: ไอโซคอริ กภาวะที 4 ไปยังภาวะที 1
กฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์ต่อหนึงหน่วยมวลจะลดรู ปเป็ น
q = q L = u 1 − u 4 = C V 0 (T1 − T4 ) = 0.717
4 1
kJ
kg − K
(300 − 683.129 K )
q L = − 274.704 kJ / kg
ดังนัน w net = q H + q L = 814.390 + ( − 274.704 ) kJ / kg = 539.687 kJ / kg
ดังนันประสิ ทธิภาพอุณหภาพจะหาได้จาก
w net 539.687 kJ / kg
ηth = =
qH 814.390 kJ / kg
ηth = 0.6627 = 66.27 % คําตอบ
252
หมายเหตุ
1) ในวัฏจักรดีเซลการหา wnet โดยตรงนันจะค่อนข้างใช้เวลามากกว่าการหา wnet โดยการนํา qH มารวมกับ
qL ดังทีแสดงในตัวอย่าง สําหรับการหา wnet โดยตรงนันทําได้ดงั นี
เขียนกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์ของกระบวนการไอเซนโทรปิ กจากภาวะที 1 ไปยังภาวะที 2
1 w 2 = u 1 − u 2 = C V 0 (T1 − T2 ) = 0.717
kJ
kg − K
(300 − 1,013.93 K )= − 511.889 kJ / kg
เขียนสมการสําหรับหางานของเขตเคลือนทีของกระบวนการไอโซบาริ กจากภาวะที 2 ไปยังภาวะที 3
3
⎛ m3 ⎞
2 w3 =
2
∫
P dV = P2 (v 3 − v 2 ) = 7,097.53 kPa ⎜ 0.0738 − 0.041 ⎟ = 232.799 kJ / kg
⎝ kg ⎠
เขียนกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์ของกระบวนการไอเซนโทรปิ กจากภาวะที 3 ไปยังภาวะที 4
3 w 4 = u 3 − u 4 = C V 0 (T3 − T4 ) = 0.717
kJ
kg − K
(1,825.08 − 683.129 K )= 818.778 kJ / kg
ดังนัน w net = 1 w 2 + 2 w 3 + 3 w 4 = − 511.889 + 232.799 + 818.778 kJ / kg = 539.687 kJ / kg
10.15 วัฏจักรสเตอร์ลิง
วัฏจักรสเตอร์ลิง (Stirling cycle) เป็ นวัฏจักรอุดมคติทีใช้เป็ นแบบจําลองสําหรับเครื องสเตอร์ลิงซึง
ประกอบไปด้วยกระบวนการทังหมดสี กระบวนการกล่าวคือ
1) กระบวนการอัดแบบไอโซเธอร์มลั ย้อนกลับได้ภายในซึงจะมีการถ่ายเทความร้อนออกจากระบบ
2) กระบวนการไอโซคอริ กย้อนกลับได้ภายในซึงจะมีการถ่ายเทความร้อนเข้าสู่ ระบบ
3) กระบวนการขยายตัวแบบไอโซเธอร์มลั ย้อนกลับได้ภายในซึงจะมีการถ่ายเทความร้อนเข้าสู่ระบบ
4) กระบวนการไอโซคอริ กย้อนกลับได้ภายในซึงจะมีการถ่ายเทความร้อนออกจากระบบ
เราจะสามารถเขียนแผนภาพความดัน-ปริ มาตรและและแผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี ของวัฏจักรสเตอร์ลิงได้
ดังรู ปที 10.34 (a) และ 10.34 (b)
253
P T
3
3 4
(a) (b)
รู ปที 10.34 แผนภาพความดัน-ปริ มาตรและแผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี ของเครื องยนต์สเตอร์ลิง
วัฏจักรสเตอร์ลิงมีความคล้ายคลึงกับวัฏจักรออตโตแต่ต่างกันตรงทีกระบวนการอัดและขยายตัวของแก๊สถูก
เปลียนจากกระบวนการไอเซนโทรปิ กไปเป็ นกระบวนการไอโซเธอร์มลั ย้อนกลับได้ภายใน ดังนันเมือแก๊ส
ถูกอัดจากภาวะที 1 ไปยังภาวะที 2 ก็จะมีความร้อนถ่ายเทออกจากระบบ ในขณะทีเมือแก๊สขยายตัวจากภาวะ
ที 3 ไปยังภาวะที 4 ก็จะมีความร้อนถ่ายเทเข้าสู่ ระบบ
เครื องยนต์สเตอร์ลิงนันถูกพัฒนามาจากเครื องยนต์เผาไหม้ภายนอก (external combustion engine)
กล่าวคือกระบวนการถ่ายเทความร้อนทังหมดจะเกิดจากการถ่ายเทความร้อนไปสู่ แหล่งภายนอกทังสิ นและ
ของไหลทํางานจะเป็ นระบบปิ ดซึงอยูภ่ ายในกระบอกสู บ นอกจากนีในการใช้งานเครื องยนต์สเตอร์ลิงจะมี
การเพิมรี เจเนอเรเตอร์เข้าไประบบโดยการนํา 2Q3 หรื อพืนที a-2-3-b-a ไปใช้สาํ หรับ 1Q4 หรื อพืนที c-1-4-d-c
ซึงในทางทฤษฎีแล้วพืนทีทังสองจะเท่ากันทําให้ 2Q3 และ 1Q4 หักล้างกันไป ดังนัน QH ของวัฏจักรก็คือ 3Q4
ในขณะที QL ของวัฏจักรก็คือ 1Q2 เป็ นผลให้ผลต่างระหว่าง 3Q4 และ 1Q2 ก็คืองานสุ ทธิทีได้นนเอง
ั
10.17 วัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไอ
เราทราบแล้ว ว่า วัฏ จัก รทํา ความเย็น ที มี ค่า สัม ประสิ ท ธิ สมรรถนะสู ง ที สุ ด ก็คื อ วัฏ จัก รคาร์ โ นต์
อย่างไรก็ตามปั ญหาของวัฏจักรคาร์ โนต์ในทางปฏิบตั ิทีเราได้กล่าวไปแล้วในหัวข้อที 10.2 ก็คือการทํา
กระบวนการไอโซเธอร์มลั ให้เกิดขึนซึงจะกระทําได้ถา้ สารกําลังเปลียนสถานะหรื ออยูใ่ นภาวะอิมตัว ดังนัน
ความเป็ นไปได้ในการสร้ างวัฏจักรทําความเย็นคาร์ โนต์ให้เกิ ดขึนได้ก็คือให้สารทําความเย็นได้ทาํ งาน
ในช่วงทีกําลังเปลียนสถานะดังรู ปที 10.35
T
2 3
1 4
s
รู ปที 10.35 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี ของวัฏจักรทําความเย็นคาร์โนต์ในกรณี ทีสารอยูใ่ นภาวะอิมตัว
อย่างไรก็ตามเมือนําแนวความคิดของการย้อนกลับทิศทางของวัฏจักรแรงคินดังกล่าวมาทดสอบใช้
ในทางปฏิบตั ิ เราจะพบปั ญหาในสองส่ วน ส่ วนแรกคือในกระบวนการอัดตัวแบบไอเซนโทรปิ กผ่านเครื อง
อัดจากภาวะที 4 กลับไปยังภาวะที 3 สถานะของสารทําความเย็นจะต้องเป็ นแก๊สเพียงอย่างเดียวเพราะถ้า
หากมีของเหลวปะปนอยู่ในสารทําความเย็นก่ อนทีจะเข้าสู่ เครื องอัด ผลทีได้จะทําให้เครื องอัดเกิ ดความ
เสี ยหายขึน ส่ วนทีสองคือในกระบวนการขยายตัวแบบไอเซนโทรปิ กผ่านกังหันจากภาวะที 2 กลับไปยัง
ภาวะที 1 จะเห็นได้ว่าสารทําความเย็นทีผ่านกังหันดังกล่าวอยูใ่ นสถานะของเหลวซึงมีค่าปริ มาตรจําเพาะตํา
ดังนันจากสมการที 9.12 งานทีได้จากกังหันจะมีค่าน้อยกว่างานทีใช้ในการอัดแก๊สผ่านเครื องอัดประมาณ
1,000 เท่าตามความแตกต่างระหว่างปริ มาตรจําเพาะของของเหลวและแก๊ส นอกจากนีเนืองจากกังหันเป็ น
อุปกรณ์ทีมีชินส่ วนทีเคลือนไหวทําให้ทาํ การประกอบได้ยากและยังได้งานกลับคืนมาในปริ มาณทีน้อยมาก
จนแทบไม่มีนัยสําคัญ ดังนันด้วยความเหมาะสมทางด้านการใช้งานและผลตอบแทนทีได้ เราจึงต้องหา
256
(a) (b)
รู ปที 10.37 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี และแผนภาพอุปกรณ์ของวัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไออุดมคติ
โดยสรุ ปแล้ววัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไอจะประกอบไปด้วยกระบวนการดังต่อไปนี
1) กระบวนการไอเซนโทรปิ กผ่านเครื องอัด
2) กระบวนการไอโซบาริ กย้อนกลับได้ภายในผ่านเครื องควบแน่น
3) กระบวนการไอเซนธัลปิ กย้อนกลับไม่ได้ผา่ นวาล์วระเหยสารทําความเย็น
4) กระบวนการไอโซบาริ กย้อนกลับได้ภายในผ่านเครื องระเหย
ในวัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไออุดมคตินนสารทํ
ั าความเย็นทีภาวะที 1 ซึงอยูใ่ นภาวะไออิมตัวจะถูกอัดด้วย
กระบวนการไอเซนโทรปิ กผ่านเครื องอัดจนกระทังอยู่ในภาวะไอร้อนยวดยิงในภาวะที 2 ต่อมาสารทํา
ความเย็นจะถ่ายเทความร้อนสู่ สิงล้อมรอบทําให้เย็นตัวลงแล้วก็ควบแน่ นโดยกระบวนการไอโซบาริ กผ่าน
เครื องควบแน่นจนกลายเป็ นของเหลวอิมตัวอิมตัวในภาวะที 3 จากนันสารทําความเย็นเหลวอิมตัวก็จะถูก
ส่ งผ่านวาล์วระเหยสารทําความเย็นเพือลดความดันลงให้เท่ากับความดันก่อนทีสารทําความเย็นจะถูกอัด
ภายหลังจากทีสารทําความเย็นผ่านกระบวนการไอเซนธัลปิ กทีวาล์วระเหยสารทําความเย็น สารทําความเย็น
ก็จะอยูใ่ นภาวะของผสมสองสถานะซึ งแสดงอยูใ่ นภาวะที 4 ต่อจากนันของผสมดังกล่าวก็จะถูกส่ งผ่าน
257
ตัวอย่างที 10.7
ตูเ้ ย็นเครื องหนึงซึงใช้อาร์-134เอ (R-134a) เป็ นสารทําความเย็นสามารถใช้วฏั จักรทําความเย็นแบบ
อัดไอเป็ นแบบจําลองโดยทีมีอุณหภูมิระเหยเท่ากับ −10oC ในขณะทีความดันเครื องควบแน่ นมีค่าเท่ากับ
1.2 MPa จงหาความร้อนจําเพาะทีสารทําความเย็นทิงสู่ สิงล้อมรอบและสัมประสิ ทธิสมรรถนะ
วิธีทาํ
สมมติฐานเบืองต้น:
1) วัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไอเป็ นวัฏจักรอุดมคติ
2) สามารถละทิง ΔKE และ ΔPE ในกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ของอาร์-134เอ
ตัวแปรทีทราบค่า: Tevap., Pcond.
ตัวแปรทีต้องการ: q H , βR
การวิเคราะห์วฏั จักรทําความเย็นแบบอัดไอนันจะคล้ายคลึงกับการวิเคราะห์วฏั จักรแรงคินกล่าวคือ
อุปกรณ์ต่างๆ อยูภ่ ายใต้ภาวะคงตัว ดังนันเราจะต้องหาเอนธัลปี ทีภาวะต่างๆ ก่อนทีจะประยุกต์ใช้กฎข้อที
258
−10oC 4 1 4 เครืองระเหย 1
s Q& L
หมายเหตุ
1) จุดทีน่าสังเกตสําหรับวัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไออุดมคติก็คือหากเราทราบค่าความดันเครื องระเหย
และความดันควบแน่นหรื ออุณหภูมิระเหยและอุณหภูมิควบแน่น เราก็จะสามารถหาภาวะทุกๆ ตําแหน่งได้
ในทันที
2) กระบวนการธรอตทลิงผ่านวาล์วระเหยสารทําความเย็น กระบวนการไอโซบาริ กผ่านเครื องควบแน่ น
และกระบวนการไอโซบาริ กผ่านเครื องระเหยจะไม่มีงานเกิดขึน ดังนันเป็ นผลให้งานสุ ทธิ ของวัฏจักรทํา
ความเย็นแบบอัดไอจะมีค่าเท่ากับงานทีป้ อนเข้าไปในเครื องอัด
3) เราสามารถหางานสุ ทธิได้จากกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์ของวัฏจักรกล่าวคือ
w net = q H + q L = ( − 163.471) + 126.224 kJ / kg = − 37.247 kJ / kg
4) ในวัฏจักรทําความเย็นทีมีวตั ถุประสงค์การใช้งานเป็ นตูเ้ ย็นนัน อัตราการถ่ายเทความร้อนทีดูดออกจาก
บริ เวณหรื อเนือทีทีรักษาความเย็น ( Q& L ) จะมีชือเรี ยกอีกชือหนึงว่าภาระการทําความเย็น (cooling load)
260
10.18 ของไหลทํางานสําหรับระบบทําความเย็นแบบอัดไอ
ของไหลทํางานหรื อสารทําความเย็นสําหรั บระบบทําความเย็นแบบอัดไอนันมีอยู่ดว้ ยกันหลาย
ประเภท สารทําความเย็นในอุดมคติกค็ ือเป็ นสารทีเสถียร ไม่เป็ นพิษต่อคนและสิ งแวดล้อม ไม่กดั กร่ อน ไม่
ติดไฟ และมีสมบัติเธอร์ โมไดนามิกส์ทีเหมาะสมตัวอย่างเช่นมีค่า hfg สู งและมี vg ตําทีอุณหภูมิระเหยที
ต้องการเป็ นต้น จะพบว่าในทางปฏิบตั ิเราไม่สามารถหาสารทําความเย็นทีมีคุณสมบัติครบทังหมดดังเช่นสาร
ทําความเย็นอุดมคติได้ ดังนันสารทําความเย็นแต่ละชนิ ดจะมีขอ้ ดีและข้อเสี ยทีแตกต่างกันออกไปแล้วแต่
การใช้งานแต่ละประเภท
ในระบบทําความเย็นขนาดใหญ่ทีใช้ในอุตสาหกรรมเช่น อุตสาหกรรมผลิตนําแข็ง อุตสาหกรรม
อาหารบางประเภท อุตสาหกรรมห้องเย็นทีใช้สาํ หรับในการจัดเก็บสิ นค้า เป็ นต้น สารทําความเย็นทีนิยมใช้
คือแอมโมเนี ยซึ งมีขอ้ ดีคือมีสมบัติเธอร์ โมไดนามิกส์ทีเหมาะสมทําให้ค่าสัมประสิ ทธิ สมรรถนะของระบบ
ทําความเย็นมีค่าสูงและมีราคาถูก แต่ขอ้ เสี ยคือมีความเป็ นพิษต่อร่ างกาย เป็ นผลให้ไม่สามารถใช้แอมโมเนีย
กับระบบทําความเย็นทีใช้ตามบ้านเรื อนทีมีผคู ้ นอยูอ่ าศัยได้ อย่างไรก็ตามเนืองจากแอมโมเนียมีกลินฉุน จึง
ทําให้เมือเกิ ดการรั วไหลขึน ผูค้ นทีอยู่โดยรอบจะสามารถตรวจจับได้ง่าย รวมทังต่อมาภายหลังเมือเกิ ด
ปัญหาวิกฤตด้านสารทํางานความเย็นทีมีต่อชันโอโซนในบรรยากาศ เราพบว่าแอมโมเนียไม่ก่อให้เกิดปั ญหา
ดังกล่าว จึงทําให้แอมโมเนียยังคงถูกใช้งานเป็ นสารทําความเย็นสําหรับงานทางอุตสาหกรรมอยูใ่ นปัจจุบนั
สําหรับสารทําความเย็นทีไม่เป็ นพิษและปลอดภัยต่อมนุษย์นนในประมาณปลายทศวรรษที
ั 1920 ได้
มีการนําสารในกลุ่มคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (chlorofluorocarbons) หรื อทีเรี ยกโดยย่อว่าสารซีเอฟซี (CFCs)
มาใช้เป็ นสารทําความเย็นสําหรับระบบทําความเย็นในบ้านเรื อนและทีอยูอ่ าศัย โมเลกุลของสารซี เอฟซี จะ
ประกอบไปด้วยอะตอมของคาร์ บอนเป็ นตัวกลางล้อมรอบด้วยอะตอมของคลอรี นและฟลูออรี น ตัวอย่าง
ของสารทําความเย็นดังกล่าวได้แก่อาร์-12 (R-12) ซึงใช้กบั ตูเ้ ย็นตามทีอยูอ่ าศัย และอาร์-11 (R-11) ซึงใช้กบั
ระบบปรับอากาศในอาคารขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามในทศวรรษที 1970 ได้มีการค้นพบว่าสารซี เอฟซี ได้
ก่ อ ให้ เ กิ ด ผลเสี ย โดยการทํา ลายชันโอโซนในบรรยากาศโลก ดัง นันต่ อ มาจึ ง ได้มี ก ารถู ก ห้ า มใช้ใ น
สนธิสัญญาระดับสากล ส่ งผลให้ในปั จจุบนั เราจึงแทบจะไม่พบเห็นการใช้สารซี เอฟซี ในระบบทําความเย็น
ต่างๆ อีกต่อไป สารอีกกลุ่มหนึ งทีมีความใกล้เคียงกับสารซี เอฟซี ก็คือสารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์ บอน
(hydrochlorofluorocarbons) หรื อทีเรี ยกโดยย่อว่าสารเอชซี เอฟซี (HCFCs) ซึ งจะแตกต่างจากสารซี เอฟซี
ตรงทีในโมเลกุลของสารเอชซีเอฟซีจะมีอะตอมของไฮโดรเจนแทรกอยูด่ ว้ ย สารเอชซีเอฟซีทีนิยมใช้กนั ใน
เครื องปรับอากาศตามทีอยู่อาศัยและอาคารต่างๆ ก็คืออาร์ -22 (R-22) ผลของการทําลายชันโอโซนใน
บรรยากาศของอาร์-22 จะมีค่าเพียงร้อยละ 5 ของผลดังกล่าวของอาร์-12 ดังนันการใช้งานของอาร์-22 จึง
ยังคงมีอยูใ่ นปัจจุบนั แต่อย่างไรก็ตามอาร์-22 กําลังอยูใ่ นสถานภาพทีจะถูกยกเลิกโดยการแทนทีด้วยสารทํา
ความเย็นชนิดใหม่ซึงเป็ นสารทําความเย็นผสม
สารทํา ความเย็น ที นํา มาใช้ ท ดแทนสารซี เ อฟซี ก็ คื อ สารในกลุ่ ม ไฮโดรฟลู อ อโรคาร์ บ อน
(hydrofluorocarbons) หรื อทีเรี ยกโดยย่อว่าสารเอชเอฟซี (HFCs) ซึงจะไม่ปรากฏอะตอมของคลอรี นอยูใ่ น
261
T 2’ P2 = P3
2s
2”
Tcond. 3
3’
P1 = P4
Tevap. 1’
4 1
s
รู ปที 10.38 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี ของวัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไอจริ ง
ตัวอย่างที 10.8
ตูเ้ ย็นเครื องหนึงทํางานโดยใช้ระบบทําความเย็นแบบอัดไอซึงใช้อาร์-134เอ (R-134a) เป็ นสารทํา
ความเย็นโดยมีอุณหภูมิระเหยที −5oC สารทําความเย็นก่อนเข้าเครื องอัดมีอุณหภูมิอยูท่ ี 10oC เมือออกจาก
เครื องอัดจะมีความดัน 1 MPa โดยทีเครื องอัดมีประสิ ทธิภาพไอเซนโทรปิ กเท่ากับร้อยละ 80 หลังจากผ่าน
เครื องควบแน่นสารทําความเย็นมีอุณหภูมิ 35oC จงหาอุณหภูมิสูงสุ ดในวัฏจักรและสัมประสิ ทธิสมรรถนะ
วิธีทาํ
สมมติฐานเบืองต้น:
1) วัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไอโดยมีเครื องควบแน่นและเครื องระเหยเป็ นอุปกรณ์อุดมคติ
2) สามารถละทิง ΔKE และ ΔPE ในกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์
ความสัมพันธ์ของสมบัติ: ตารางสมบัติเธอร์โมไดนามิกส์ของอาร์-134เอ
ตัวแปรทีทราบค่า: Tevap., T1, P2, ηcomp., T3
ตัวแปรทีต้องการ: T2, βR
จะเห็นได้ว่าการกําหนดอุณหภูมิระเหยที −5oC จะเทียบเท่ากับการระบุค่าความดันเครื องระเหย
กล่าวคือ P1 = P4 = Psat(−5oC) = 244.5 kPa นอกจากนีจะพบได้ว่าวัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไอทีโจทย์
กําหนดไม่ได้เป็ นวัฏจักรอุดมคติเนืองจาก 1) เครื องอัดมีประสิ ทธิภาพไอเซนโทรปิ ก 2) สารทําความเย็นที
เข้าสู่เครื องอัดเป็ นไอร้อนยวดยิงและ 3) สารทําความเย็นทีออกจากเครื องควบแน่นเป็ นของเหลวอัดตัว เมือ
วาดแผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี ของวัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไอทีโจทย์กาํ หนดจะเป็ นดังรู ปทีแสดงถัดไป
263
T P2 = P3 = 1 MPa
2 Q& H
2s 3 2
เครืองควบแน่น
W& comp.
o 3 วาล์วระเหย
35 C สารทําความเย็น
P1 = P4
เครืองอัด
o
10 C
−5 Co 1
4 4 เครืองระเหย 1
s Q& L
ภาวะที 2: P2 = 1 MPa
h2 = 448.749 kJ/kg ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นไอร้อนยวดยิง
โดยการประมาณในช่วงแบบเชิงเส้น จะได้วา่
T2 = 66.56oC คําตอบ
ภาวะที 3: P3 = P2 = 1 MPa
T3 = 35oC ภาวะถูกกําหนดแล้วเป็ นของเหลวอัดตัว
h3 ≈ hf(35oC) = 249.10 kJ/kg
264
หมายเหตุ
1) จากกฎข้อ ที หนึ งของเธอร์ โ มไดนามิ ก ส์ โ ดยมี ปริ ม าตรควบคุ ม คื อ เครื องควบแน่ น เราจะสามารถ
คํานวณหา qH หรื อความร้อนจําเพาะทีสารทําความเย็นทิงไปยังสิ งล้อมรอบผ่านเครื องควบแน่นได้คือ
q cond . = q H = h 3 − h 2 = 249.10 − 448.749 kJ / kg = − 199.649 kJ / kg
ดังนันเราจะสามารถหางานสุ ทธิได้จากกฎข้อทีหนึงของเธอร์โมไดนามิกส์ของวัฏจักรได้จากสมการ
w net = q H + q L = ( − 199.649 ) + 159.363 kJ / kg = − 40.286 kJ / kg
2) หากลองคํานวณหาสัมประสิ ทธิ สมรรถนะของวัฏจักรทําความเย็นใหม่ โดยการสมมติให้เครื องอัดเป็ น
เครื องอัดอุดมคติ ดังนันภาวะที 2 จะถูกแทนด้วยภาวะ 2s ซึงเราหามาได้เรี ยบร้อยแล้ว ดังนันจะได้วา่
265
Q& H
7 6
เครืองควบแน่น
T 6’ W& comp.2
6 วาล์วระเหย
สารทําความเย็น อุปกรณ์แลกเปลียน
Tcond.2 7 ความร้อน เครืองอัด
2 8 5
Tevap.2 8 5
Tcond.1 3
3 2
W& comp.1
Tevap.1
4 4’ 1 วาล์วระเหย
สารทําความเย็น
a s เครืองอัด
b
4 เครืองระเหย 1
Q& L
(a) (b)
รู ปที 10.39 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี และแผนภาพอุปกรณ์ของวัฏจักรทําความเย็น
แบบลดหลันสองขันตอน
Q& H
7 6
เครืองควบแน่น
T 6’ W& comp.2
6
วาล์วระเหย
สารทําความเย็น
Tcond 7 8 5
เครืองอัด
2 9
8 ห้องแฟลช ห้องผสม
Tint. 3 5
9
3 2
W& comp.1
4 4’ 1 วาล์วระเหย
Tevap สารทําความเย็น
a s เครืองอัด
b
4 เครืองระเหย 1
Q& L
(a) (b)
รู ปที 10.40 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี และแผนภาพอุปกรณ์ของวัฏจักรทําความเย็น
ทีใช้กระบวนการอัดสองขันตอนร่ วมกับห้องแฟลช
10.21 วัฏจักรทําความเย็นแบบดูดกลืน
วัฏจักรทําความเย็นอีกวัฏจักรหนึ งซึ งมีการใช้งานอยู่บา้ งสําหรับงานบางประเภทก็คือวัฏจักรทํา
ความเย็นแบบดูดกลืน (absorption refrigeration cycle) ความแตกต่างระหว่างวัฏจักรทําความเย็นแบบ
ดูดกลืนและวัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไอจะอยูท่ ีกระบวนการอัด เป็ นทีทราบกันดีกว่าการอัดสารทีอยูใ่ น
สถานะแก๊สจะใช้งานมากกว่าการอัดสารทีอยู่ในสถานะของเหลวซึ งเป็ นผลมาจากค่าปริ มาตรจําเพาะที
แตกต่างระหว่างแก๊สกับของเหลวถึงประมาณ 1,000 เท่า ดังนันแนวคิดของวัฏจักรทําความเย็นแบบดูดกลืน
คือการหาวิธีทีจะเพิมความดันให้กบั สารทําความเย็นในสถานะของเหลวแทนทีจะเป็ นการเพิมความดันของ
แก๊สโดยใช้เครื องอัดดังเช่นในวัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไอ แนวคิดดังกล่าวจะกระทําได้โดยทําให้สารทํา
ความเย็น ในสถานะแก๊ ส ละลายลงไปในสารอี ก ชนิ ด ซึ งอยู่ใ นสถานะของเหลวที มี ชื อว่ า ตัว ดู ด กลื น
(absorbent) ดังนันอาจจะเปรี ยบได้ว่าตัวกลางขนส่ งได้ทาํ การ “ดูดกลืน” สารทําความเย็นลงไป การทํางาน
ของคือวัฏจักรทําความเย็นแบบดูดกลืนนันจะแสดงอยูใ่ นแผนภาพอุปกรณ์ในรู ปที 10.41
.
QH
NH3 เครืองควบแน่น .
อุปกรณ์แยก NH3 + H2O Qgen.
สารทําความเย็น
ชุดดูดกลืน วาล์ว
NH3
เครืองระเหย NH3 + H2O
. .
QL
Wpump
.
Qabsorb. สารละลาย NH3
เข้มข้น
10.22 วัฏจักรทําความเย็นมาตรฐานอากาศ
เราได้กล่าวถึงแนวคิดในการสร้างวัฏจักรทําความเย็นโดยการย้อนกลับทิศทางของวัฏจักรแรงคิน
ร่ วมกับการปรั บเปลียนอุปกรณ์บางชิ นซึ งผลทีได้ก็คือวัฏจักรทําความเย็นแบบอัดไอ ด้วยแนวความคิด
เดียวกันหากเราจะสร้างวัฏจักรทําความเย็นโดยการย้อนกลับทิศทางของวัฏจักรเบรย์ตนั ซึงมีของไหลทํางาน
อยู่ ใ นสถานะแก๊ ส เพี ย งอย่ า งเดี ย ว ผลที ได้ก็ คื อ วัฏ จัก รทํา ความเย็น มาตรฐานอากาศ (air-standard
refrigeration cycle) ซึงสามารถใช้งานได้ทงระบบเปิ
ั ดและระบบปิ ดดังทีแสดงในรู ปที 10.42 และ 10.43
T P2 = P3
2 Q& H
อุปกรณ์แลก
เปลียนความร้อน 2
3 3
Tambient P1 = P4
W& net
Trefrig. space 1 กังหัน เครืองอัด
Tsupply 4 1
4
s อากาศไปยังห้อง อากาศกลับมาจากห้อง
(a) (b)
รู ปที 10.42 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี และแผนภาพอุปกรณ์ของวัฏจักรทําความเย็นมาตรฐานอากาศแบบเปิ ด
Q& H
T P2 = P3 อุปกรณ์แลก
2 เปลียนความร้อน 2
3
W& net
3 กังหัน เครืองอัด
Tambient P1 = P4
Trefrig. space 1 4 1
อุปกรณ์แลก
เปลียนความร้อน
4 Q& L
s
(a) (b)
รู ปที 10.43 แผนภาพอุณหภูมิ-เอนโทรปี และแผนภาพอุปกรณ์วฏั จักรทําความเย็นมาตรฐานอากาศแบบปิ ด
10.23 ระบบกําลังและระบบทําความเย็นวัฏจักรร่ วม
จากระบบกําลังและระบบทําความเย็นทีได้นาํ เสนอไปทังหมด เราจะพบว่าในทางปฏิบตั ิจริ งนันจะมี
การนําเอาระบบต่างๆ มาใช้ร่วมกันซึ งจะก่อให้เกิดวัฏจักรทีมีชือเรี ยกว่าวัฏจักรร่ วม (combined cycle)
จุดมุ่งหมายของวัฏจักรร่ วมนันก็เพือประยุกต์ใช้วฏั จักรชนิ ดต่างๆ ทีมีช่วงการใช้งานของอุณหภูมิแตกต่างที
หลากหลายนํามาใช้ร่วมกันเพือเพิมประสิ ทธิภาพรวมของวัฏจักร ตัวอย่างของวัฏจักรร่ วมทีนําเสนอในทีนี
เป็ นเพียงบางส่ วนของวัฏจักรร่ วมซึงมีอยูห่ ลายหลายรู ปแบบและมีการใช้งานอยูใ่ นปัจจุบนั
วัฏจักรร่ วมโดยการอาศัยความร้อนเหลือทิงจากไอเสี ยทีปล่อยออกจากวัฏจักรเบรย์ตนั นํามาใช้เป็ น
แหล่งจ่ายพลังงานอุณหภูมิสูงให้แก่วฏั จักรแรงคินจะแสดงอยู่ในรู ปที 10.44 ในวัฏจักรร่ วมเบรย์ตนั และ
แรงคินจะเห็ นได้ว่าไอเสี ยทีออกมาจากเครื องยนต์กงั หันแก๊สยังคงมีอุณหภูมิสูงมากพอทีจะใช้เป็ นแหล่ง
พลังงานให้กบั โรงจักรไอนํา ทังนี เรานําอุปกรณ์แลกเปลียนความร้อนมาแทนทีหม้อต้มในโรงจักรไอนํา
เพือทีจะแลกเปลียนความร้อนระหว่างไอเสี ยและนํา ผลทีได้ก็คือไอเสี ยทีจากเดิมทิงสู่ บรรยากาศโดยตรง
272
Q& H
C
ห้องเผาไหม้
4 อุปกรณ์แลกเปลียน W& steam
2 3 ความร้อน กังหัน
W& gas ไอนํา
กังหัน
เครืองอัด แก๊ส B D
5 W& pump Q& L
1 เครือง
ควบแน่น
เครืองสูบ A
แบบฝึ กหัด
1) โรงจักรไอนําแห่ งหนึ งทํางานโดยสามารถผลิตไอนําได้เท่ากับ 2.4 kg/s โดยทีความดันหม้อต้มมีค่า
เท่ากับ 2.5 MPa และความดันเครื องควบแน่นมีค่าเท่ากับ 7.5 kPa อุณหภูมิของไอนําก่อนเข้ากังหันมี
ค่าเท่ากับ 250oC หากนําวัฏจักรแรงคินอย่างง่ายมาใช้เป็ นแบบจําลองสําหรับโรงจักรไอนําแห่ งนี จง
คํานวณหาคุณภาพสารสองสถานะของนําขณะทีออกจากกังหัน กําลังสุ ทธิ ทีได้ และประสิ ทธิ ภาพ
อุณหภาพของวัฏจักร
2) โรงจักรไอนําในในข้อที 1) ได้มีการปรับปรุ งเพือลดปริ มาณความชืนทีออกจากกังหันโดยการเพิมส่วน
ของการรี ฮีตเพือให้กลายเป็ นวัฏจักรรี ฮีต ทังนี อัตราการผลิตไอนํา ความดันหม้อต้ม และความดัน
เครื องควบแน่นยังคงมีค่าเท่าเดิม อุณหภูมิก่อนเข้ากังหันความดันสูงมีค่าเท่ากับ 250oC เมือไอนําออก
จากกังหันความดันสู งจะถูกรี ฮีตทีความดัน 1 MPa จนมีอุณหภูมิ 250oC อีกครัง จงคํานวณหาคุณภาพ
สารสองสถานะของนําขณะทีออกจากกังหัน กําลังสุ ทธิ ทีได้ และประสิ ทธิ ภาพอุณหภาพของวัฏจักร
พร้อมทังเปรี ยบเทียบผลทีได้กบั ข้อที 1) ว่าแตกต่างกันอย่างไร
เอกสารอางอิง
ภาษาไทย
ฤชากร จิรกาลวสาน. อุณหพลศาสตร. กรุงเทพฯ: ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย,
2548.
ภาษาอังกฤษ
Borgnakke, C., and Sonntag, R.E. Fundamentals of Thermodynamics. 7th edition. Asia: John Wiley &
Sons, 2009.
Cengel, Y. A., and Boles, M. A. Thermodynamics: An Engineering Approach. 6th edition, Singapore:
McGraw-Hill, 2007.
Incropera, F. P., and DeWitt, D. P. Fundamentals of Heat and Mass Transfer. 5th edition, USA: John
Wiley & Sons, 2002.
Moran, M. J., and Shapiro, H. N. Fundamentals of Engineering Thermodynamics. 5th edition, USA:
John Wiley & Sons, 2004.
Turns, S. R. Thermodynamics: Concepts and Applications. 1st edition, Hong kong: Cambridge
University Press, 2006.
American Society of Heating and Refrigerating and Air-Conditioning Engineers. ASHRAE Handbooks:
Fundamentals: USA, 2001.
276
คําตอบของแบบฝกหัดบางขอ
แบบฝกหัดบทที่ 2 แบบฝกหัดบทที่ 7
2) ความดัน อุณหภูมิ และความหนาแนน 1) 72 L/hr
4) 9.701 kg 5) 169.8 kW
6) 1.320 m 6) รอยละ 35.0
แบบฝกหัดบทที่ 3 แบบฝกหัดบทที่ 8
2) (b) 270.1 kPa, 0.46827, ของผสมสองสถานะ 2) −278.8 kJ, −362.7 kJ
(d) 0.001062 m3/kg, ไมนิยาม, ของเหลวอัดตัว 3) 0.004580 kJ/K
4) 393.2 kPa 6) (a) 764.8 K
6) 5.654 kg (b) 868.3 K
7) 0.01976 kJ/K
แบบฝกหัดบทที่ 4
2) 10.224 kJ แบบฝกหัดบทที่ 9
3) 8.6814 kJ 2) 269.6 m/s
4) 0 kJ/K
แบบฝกหัดบทที่ 5
5) 7.061 m
3) 2,765.0 kJ/kg, 2,914.3 kJ/kg
7) รอยละ 84.43, 454.39 K
5) −158.840 kJ
7) 100 kJ, 407.27 kJ แบบฝกหัดบทที่ 10
1) 0.7599, 2,113.2 kW, 0.3251
แบบฝกหัดบทที่ 6
3) 1,125.83 kJ/kg, 0.4135
1) 9.506 m/s
5) 404.56 kJ/kg, 0.4760
3) 10.4 min
7) 1,578.0 K, 360.98 kJ/kg, 0.4765
5) −23.36 kW
9) 782.79 K, 1.961, 0.6518
7) 0.3384 kg
11) 0.8152, 2.309
277
ภาคผนวก
ตารางที่ ผ.1 คาคงตัววิกฤต (Borgnakke and Sonntag, 2009: 684) และจุดรวมสาม (Cengel and Boles, 2007: 122)
คาคงตัววิกฤต จุดรวมสาม
สาร สูตรเคมี มวลโมเลกุล Tc Pc vc TTP PTP
3
(kg/kmol) (K) (MPa) (m /kg) (K) (kPa)
แอมโมเนีย NH3 17.031 405.5 11.35 0.00426 195.40 6.076
อารกอน Ar 39.948 150.8 4.87 0.00188 83.81 68.9
คารบอนไดออกไซด CO2 44.01 304.1 7.38 0.00212 216.55 517
คารบอนมอนอกไซด CO 28.01 132.9 3.50 0.00333 68.10 15.37
ฮีเลียม He 4.003 5.19 0.227 0.00143 2.19 5.1
ไฮโดรเจน H2 2.016 33.2 1.30 0.00323 13.84 7.04
ไนโตรเจน N2 28.013 126.2 3.39 0.0032 63.18 12.6
ออกซิเจน O2 31.999 154.6 5.04 0.00229 54.36 0.152
ซัลเฟอรไดออกไซด SO2 64.063 430.8 7.88 0.00191 197.69 1.67
น้ํา H2O 18.015 647.3 22.12 0.00317 273.16 0.61
อาร-22 CHClF2 86.469 369.3 4.97 0.00191 115.76 -
มีเทน CH4 16.043 190.4 4.60 0.00615 90.68 11.7
อาร-134เอ CF3CH2F 102.03 374.2 4.06 0.00197 169.85 0.39
278
ตารางที่ ผ.4 สมบัติของแกสอุดมคติที่ 25oC, 100 kPa (Borgnakke and Sonntag, 2009: 686)
แกส สูตรเคมี มวลโมเลกุล R Cp0 Cv0 k
(kg/kmol) (kJ/kg-K) (kJ/kg-K) (kJ/kg-K)
อากาศ - 28.97 0.287 1.004 0.717 1.400
แอมโมเนีย NH3 17.031 0.4882 2.130 1.642 1.297
อารกอน Ar 39.948 0.2081 0.520 0.312 1.667
คารบอนไดออกไซด CO2 44.01 0.1889 0.842 0.653 1.289
คารบอนมอนอกไซด CO 28.01 0.2968 1.041 0.744 1.399
ฮีเลียม He 4.003 2.0771 5.193 3.116 1.667
ไฮโดรเจน H2 2.016 4.1243 14.209 10.085 1.409
มีเทน CH4 16.043 0.5183 2.254 1.736 1.299
ไนโตรเจน N2 28.013 0.2968 1.042 0.745 1.400
ออกซิเจน O2 31.999 0.2598 0.922 0.662 1.393
อาร-22 CHClF2 86.469 0.09616 0.658 0.562 1.171
อาร-134เอ CF3CH2F 102.03 0.08149 0.852 0.771 1.106
ซัลเฟอรไดออกไซด SO2 64.059 0.1298 0.624 0.494 1.263
น้ํา H2O 18.015 0.4615 1.872 1.410 1.327
281
ตารางที่ ผ.6 สมบัติของแกสอุดมคติที่ความดัน 100 kPa (Borgnakke and Sonntag, 2009: 688-691)
อากาศ อากาศ (ตอ)
R = 0.287 kJ/kg-K R = 0.287 kJ/kg-K
M = 28.9 kg/kmol M = 28.9 kg/kmol
อุณหภูมิ u h S0 อุณหภูมิ u h S0
(K) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K) (K) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K)
200 142.77 200.17 6.46260 720 528.44 735.10 7.77044
220 157.07 220.22 6.55812 740 544.33 756.73 7.80008
240 171.38 240.27 6.64535 760 560.32 778.46 7.82905
260 185.70 260.32 6.72562 780 576.40 800.28 7.85740
280 200.02 208.39 6.79998 800 592.58 822.20 7.88514
290 207.19 290.43 6.83521 850 633.42 877.40 7.95207
298.15 213.04 298.62 6.86305 900 674.82 933.15 8.01581
300 214.36 300.47 6.86926 950 716.76 989.44 8.07667
320 228.73 320.58 6.93413 1000 759.19 1046.22 8.13493
340 243.11 340.70 6.99515 1050 802.10 1103.48 8.19081
360 257.53 360.86 7.05276 1100 845.45 1161.18 8.24449
380 271.99 381.06 7.10735 1150 889.21 1219.30 8.29616
400 286.49 401.30 7.15926 1200 933.37 1277.81 8.34596
420 301.04 421.59 7.20875 1250 977.89 1336.68 8.39402
440 315.64 441.93 7.25607 1300 1022.75 1395.89 8.44046
460 330.31 462.34 7.30142 1350 1067.94 1455.43 8.48539
480 345.04 482.81 7.34499 1400 1113.43 1515.27 8.52891
500 359.84 503.36 7.38692 1450 1159.20 1575.40 8.57111
520 374.73 523.98 7.42736 1500 1205.25 1635.80 8.61208
540 389.69 544.69 7.46642 1600 1298.08 1757.33 8.69051
560 404.74 565.47 7.50422 1700 1391.80 1879.76 8.76472
580 419.87 586.35 7.54084 1800 1486.33 2002.99 8.83516
600 435.10 607.32 7.57638 1900 1581.59 2126.95 8.90219
620 450.42 628.38 7.61090 2000 1677.52 2251.58 8.96611
640 465.83 649.53 7.64448 2200 1871.16 2502.63 9.08573
660 481.34 670.78 7.67717 2400 2066.91 2755.78 9.19586
680 496.94 692.12 7.70903 2600 2264.48 3010.76 9.29790
700 512.64 713.56 7.74010 2800 2463.66 3267.35 9.39297
3000 2664.27 3525.36 9.48198
283
ความดัน ความดัน
100 kPa (99.62oC) 200 kPa (120.23oC)
อุณหภูมิ v u h s v u h s
(oC) (m3/kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K) (m3/kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K)
Sat. 1.69400 2506.06 2675.46 7.3593 0.88573 2529.49 2706.63 7.1271
150 1.93636 2582.75 2776.38 7.6133 0.95964 2576.87 2768.80 7.2795
200 2.17226 2658.05 2875.27 7.8342 1.08034 2654.39 2870.46 7.5066
250 2.40604 2733.73 2974.33 8.0332 1.19880 2731.22 2970.98 7.7085
300 2.63876 2810.41 3074.28 8.2157 1.31616 2808.55 3071.79 7.8926
400 3.10263 2967.85 3278.11 8.5434 1.54930 2966.69 3276.55 8.2217
500 3.56547 3131.54 3488.09 8.8341 1.78139 3130.75 3487.03 8.5132
600 4.02781 3301.94 3704.72 9.0975 2.01297 3301.36 3703.96 8.7769
700 4.48986 3479.24 3928.23 9.3398 2.24426 3478.81 3927.66 9.0194
800 4.95174 3663.53 4158.71 9.5652 2.47539 3663.19 4158.27 9.2450
900 5.41353 3854.77 4396.12 9.7767 2.70643 3854.49 4395.77 9.4565
1000 5.87526 4052.78 4640.31 9.9764 2.93740 4052.53 4640.01 9.6563
290
ความดัน ความดัน
500 kPa (151.86oC) 600 kPa (158.85oC)
อุณหภูมิ v u h s v u h s
(oC) 3
(m /kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K) 3
(m /kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K)
Sat. 0.37489 2561.23 2748.67 6.8212 0.31567 2567.40 2756.80 6.7600
200 0.42492 2642.91 2855.37 7.0592 0.35202 2638.91 2850.12 6.9665
250 0.47436 2723.50 2960.68 7.2708 0.39383 2720.86 2957.16 7.1816
300 0.52256 2802.91 3064.20 7.4598 0.43437 2801.00 3061.63 7.3723
350 0.57012 2882.59 3167.65 7.6328 0.47424 2881.12 3165.66 7.5463
400 0.61728 2963.19 3271.83 7.7937 0.51372 2962.02 3270.25 7.7078
500 0.71093 3128.35 3483.82 8.0872 0.59199 3127.55 3482.75 8.0020
600 0.80406 3299.64 3701.67 8.3521 0.66974 3299.07 3700.91 8.2673
700 0.89691 3477.52 3925.97 8.5952 0.74720 3477.08 3925.41 8.5107
800 0.98959 3662.17 4156.96 8.8211 0.82450 3661.83 4156.52 8.7367
900 1.08217 3853.63 4394.71 9.0329 0.90169 3853.34 4394.36 8.9485
1000 1.17469 4051.76 4639.11 9.2328 0.97883 4051.51 4638.81 9.1484
291
ความดัน ความดัน
1200 kPa (187.99oC) 1400 kPa (195.07 oC)
อุณหภูมิ v u h s v u h s
(oC) 3
(m /kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K) 3
(m /kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K)
Sat. 0.16333 2588.82 2784.82 6.5233 0.14084 2592.83 2790.00 6.4692
200 0.16930 2612.74 2815.90 6.5898 0.14302 2603.09 2803.32 6.4975
250 0.19235 2704.20 2935.01 6.8293 0.16350 2698.32 2927.22 6.7467
300 0.21382 2789.22 3045.80 7.0316 0.18228 2785.16 3040.35 6.9533
350 0.23452 2872.16 3153.59 7.2120 0.20026 2869.12 3149.49 7.1359
400 0.25480 2954.90 3260.66 7.3773 0.21780 2952.50 3257.42 7.3025
500 0.29463 3122.72 3476.28 7.6758 0.25215 3121.10 3474.11 7.6026
600 0.33393 3295.60 3696.32 7.9434 0.28596 3294.44 3694.78 7.8710
700 0.37294 3474.48 3922.01 8.1881 0.31947 3473.61 3920.87 8.1160
800 0.41177 3659.77 4153.90 8.4149 0.35281 3659.09 4153.03 8.3431
900 0.45051 3851.62 4392.23 8.6272 0.38606 3851.05 4391.53 8.5555
1000 0.48919 4049.98 4637.00 8.8274 0.41924 4049.47 4636.41 8.7558
292
ความดัน ความดัน
2000 kPa (212.42 oC) 2500 kPa (223.99 oC)
อุณหภูมิ v u h s v u h s
(oC) 3
(m /kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K) 3
(m /kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K)
Sat. 0.09963 2600.26 2799.51 6.3408 0.07998 2603.13 2803.07 6.2574
250 0.11144 2679.58 2902.46 6.5452 0.08700 2662.55 2880.06 6.4084
300 0.12547 2772.56 3023.50 6.7663 0.09890 2761.56 3008.81 6.6437
350 0.13857 2859.81 3136.96 6.9562 0.10976 2851.84 3126.24 6.8402
400 0.15120 2945.21 3247.60 7.1270 0.12010 2939.03 3239.28 7.0147
450 0.16353 3030.41 3357.48 7.2844 0.13014 3025.43 3350.77 7.1745
500 0.17568 3116.20 3467.55 7.4316 0.13998 3112.08 3462.04 7.3233
600 0.19960 3290.93 3690.14 7.7023 0.15930 3287.99 3686.25 7.5960
700 0.22323 3470.99 3917.45 7.9487 0.17832 3468.80 3914.59 7.8435
800 0.24668 3657.03 4150.40 8.1766 0.19716 3655.30 4148.20 8.0720
900 0.27004 3849.33 4389.40 8.3895 0.21590 3847.89 4387.64 8.2853
1000 0.29333 4047.94 4634.61 8.5900 0.23458 4046.67 4633.12 8.4860
293
ความดัน ความดัน
5000 kPa (263.99oC) 10000 kPa (311.06 oC)
อุณหภูมิ v u h s v u h s
(oC) 3
(m /kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K) 3
(m /kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K)
Sat. 0.03944 2597.12 2794.33 5.9733 0.01803 2544.41 2724.67 5.6140
300 0.04532 2697.94 2924.53 6.2083 - - - -
350 0.05194 2808.67 3068.39 6.4492 0.02242 2699.16 2923.39 5.9442
400 0.05781 2906.58 3195.64 6.6458 0.02641 2832.38 3096.46 6.2119
450 0.06330 2999.64 3316.15 6.8185 0.02975 2943.32 3240.83 6.4189
500 0.06857 3090.92 3433.76 6.9758 0.03279 3045.77 3373.63 6.5965
550 0.07368 3181.82 3550.23 7.1217 0.03564 3144.54 3500.92 6.7561
600 0.07869 3273.01 3666.47 7.2588 0.03837 3241.68 3625.34 6.9028
700 0.08849 3457.67 3900.13 7.5122 0.04358 3434.72 3870.52 7.1687
800 0.09811 3646.62 4137.17 7.7440 0.04859 3628.97 4114.91 7.4077
900 0.10762 3840.71 4378.82 7.9593 0.05349 3826.32 4361.24 7.6272
1000 0.11707 4040.35 4625.69 8.1612 0.05832 4027.81 4611.04 7.8315
294
ความดัน ความดัน
30000 kPa 40000 kPa
อุณหภูมิ v u h s v u h s
(oC) 3
(m /kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K) 3
(m /kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K)
375 0.001789 1737.75 1791.43 3.9303 0.001641 1677.09 1742.71 3.8289
400 0.002790 2067.34 2151.04 4.4728 0.001908 1854.52 1930.83 4.1134
425 0.005304 2455.06 2614.17 5.1503 0.002532 2096.83 2198.11 4.5028
450 0.006735 2619.30 2821.35 5.4423 0.003693 2365.07 2512.79 4.9459
500 0.008679 2820.67 3081.03 5.7904 0.005623 2678.36 2903.26 5.4699
550 0.010168 2970.31 3275.36 6.0342 0.006984 2869.69 3149.05 5.7784
600 0.011446 3100.53 3443.91 6.2330 0.008094 3022.61 3346.38 6.0113
650 0.012596 3221.04 3598.93 6.4057 0.009064 3158.04 3520.58 6.2054
700 0.013661 3335.84 3745.67 6.5606 0.009942 3283.63 3681.29 6.3750
800 0.015623 3555.60 4024.31 6.8332 0.011523 3517.89 3978.80 6.6662
900 0.017448 3768.48 4291.93 7.0717 0.012963 3739.42 4257.93 6.9150
1000 0.019196 3978.79 4554.68 7.2867 0.014324 3954.64 4527.59 7.1356
295
ความดัน ความดัน
300 kPa (0.56 oC) 400 kPa (8.84 oC)
อุณหภูมิ v u h s v u h s
(oC) (m3/kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K) (m3/kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K)
Sat 0.06787 378.33 398.69 1.7259 0.05136 383.02 403.56 1.7223
10 0.07111 385.84 407.17 1.7564 0.05168 383.98 404.65 1.7261
20 0.07441 393.80 416.12 1.7874 0.05436 392.22 413.97 1.7584
30 0.07762 401.81 425.10 1.8175 0.05693 400.45 423.22 1.7895
40 0.08075 409.90 434.12 1.8468 0.05940 408.70 432.46 1.8195
50 0.08382 418.09 443.23 1.8755 0.06181 417.03 441.75 1.8487
60 0.08684 426.39 452.44 1.9035 0.06417 425.44 451.10 1.8772
70 0.08982 434.82 461.76 1.9311 0.06648 433.95 460.55 1.9051
80 0.09277 443.37 471.21 1.9582 0.06877 442.58 470.09 1.9325
90 0.09570 452.07 480.78 1.9850 0.07102 451.34 479.75 1.9595
100 0.09861 460.90 490.48 2.0113 0.07325 460.22 489.52 1.9860
110 0.10150 469.87 500.32 2.0373 0.07547 469.24 499.43 2.0122
297
ความดัน ความดัน
800 kPa (31.30 oC) 1000 kPa (39.37 oC)
อุณหภูมิ v u h s v u h s
(oC) (m3/kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K) (m3/kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K)
Sat 0.02571 395.15 415.72 1.7150 0.02038 399.16 419.54 1.7125
40 0.02711 403.17 424.86 1.7446 0.02047 399.78 420.25 1.7148
50 0.02861 412.23 435.11 1.7768 0.02185 409.39 431.24 1.7494
60 0.03002 421.20 445.22 1.8076 0.02311 418.78 441.89 1.7818
70 0.03137 430.17 455.27 1.8373 0.02429 428.05 452.34 1.8127
80 0.03268 439.17 465.31 1.8662 0.02542 437.29 462.70 1.8425
90 0.03394 448.22 475.38 1.8943 0.02650 446.53 473.03 1.8713
100 0.03518 457.35 485.50 1.9218 0.02754 455.82 483.36 1.8994
110 0.03639 466.58 495.70 1.9487 0.02856 465.18 493.74 1.9268
120 0.03758 475.92 505.99 1.9753 0.02956 474.62 504.17 1.9537
130 0.03876 485.37 516.38 2.0014 0.03053 484.16 514.69 1.9801
140 0.03992 494.94 526.88 2.0271 0.03150 493.81 525.30 2.0061
298
ความดัน ความดัน
1600 kPa (57.90 oC) 2000 kPa (67.48 oC)
อุณหภูมิ v u h s v u h s
(oC) 3
(m /kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K) 3
(m /kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K)
Sat 0.01215 407.11 426.54 1.7051 0.00930 410.15 428.75 1.6991
60 0.01239 409.49 429.32 1.7135 - - - -
70 0.01345 420.37 441.89 1.7507 0.00958 413.37 432.53 1.7101
80 0.01438 430.72 453.72 1.7847 0.01055 425.20 446.30 1.7497
90 0.01522 440.79 465.15 1.8166 0.01137 436.20 458.95 1.7850
100 0.01601 450.71 476.33 1.8469 0.01211 446.78 471.00 1.8177
110 0.01676 460.57 487.39 1.8762 0.01279 457.12 482.69 1.8487
120 0.01748 470.42 498.39 1.9045 0.01342 467.34 494.19 1.8783
130 0.01817 480.30 509.37 1.9321 0.01403 477.51 505.57 1.9069
140 0.01884 490.23 520.38 1.9591 0.01461 487.68 516.90 1.9346
150 0.01949 500.24 531.43 1.9855 0.01517 497.89 528.22 1.9617
160 0.02013 510.33 542.54 2.0115 0.01571 508.15 539.57 1.9882
299
ความดัน ความดัน
6000 kPa 10000 kPa
อุณหภูมิ v u h s v u h s
(oC) 3
(m /kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K) 3
(m /kg) (kJ/kg) (kJ/kg) (kJ/kg-K)
90 0.001059 328.34 334.70 1.4081 0.000991 320.72 330.62 1.3856
100 0.001150 346.71 353.61 1.4595 0.001040 336.45 346.85 1.4297
110 0.001307 368.06 375.90 1.5184 0.001100 352.74 363.73 1.4744
120 0.001698 396.59 406.78 1.5979 0.001175 369.69 381.44 1.5200
130 0.002396 426.81 441.18 1.6843 0.001272 387.44 400.16 1.5670
140 0.002985 448.34 466.25 1.7458 0.001400 405.97 419.98 1.6155
150 0.003439 465.19 485.82 1.7926 0.001564 424.99 440.63 1.6649
160 0.003814 479.89 502.77 1.8322 0.001758 443.77 461.34 1.7133
170 0.004141 493.45 518.30 1.8676 0.001965 461.65 481.30 1.7589
180 0.004435 506.35 532.96 1.9004 0.002172 478.40 500.12 1.8009