Professional Documents
Culture Documents
อุปมาอุปไมยจากพระไตรปิฎก
อุปมาอุปไมยจากพระไตรปิฎก
org
2
คำ�นำ�
www.kalyanamitra.org | www.webkal.org
3
คำ�ชี้แจงการใช้อุปมาอุปไมย
๑. บทนำ�
อุปมาอุปไมยนี้ คัดลอกมาจากพระไตรปิฎกฉบับต่างๆ และหนังสือมิลินทปัญหาฉบับพร้อม
อรรถกถา ฎีกา ชำ�ระโดยพระธรรมมหาวีรานุวัตร (ปุ้ย ฉายแสง)
คณะผู้จัดทำ�ได้คัดลอกข้อความจากพระไตรปิฎก มีการตัดย่อข้อความที่ซ้ำ�บ้าง แต่ส่วน
ใหญ่ยังรักษาสำ�นวนภาษาจากพระไตรปิฎก เพื่อรักษาสาระสำ�คัญของอุปมาอุปไมยเอาไว้
หนังสือเล่มนี้ นำ�อุปมาอุปไมยมาจัดหมวดหมู่ตามหลักมงคลสูตร ๓๘ ประการ เพื่อให้
เหมาะสมกับการค้นคว้านำ�ไปใช้ได้โดยสะดวกรวดเร็ว เช่น ถ้าต้องอุปมาอุปไมยเรื่องคนพาล ก็
สามารถเปิดไปที่มงคลที่ ๑ ไม่คบคนพาล ซึ่งได้รวบรวมอุปมาอุปไมยเกี่ยวกับคนพาลในมิติต่างๆ
ไว้ในที่เดียว
สำ�หรับท่านที่มีความประสงค์จะนำ�อุปมาอุปไมยไปใช้อ้างอิงในการเขียนบทความ ควร
ศึกษาถึงที่มาจากพระไตรปิฎก โดยคณะผู้จัดทำ�ได้อ้างอิงที่มาไว้ด้านท้ายของอุปมาอุปไมยในแต่ละ
ข้อ ซึ่งสามารถศึกษาได้จากอักษรย่อชื่อคัมภีร์ และตารางเทียบเคียงพระไตรปิฎกฉบับต่างๆ หน้า
๓๔๕ เช่น ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๙/๒๑๑ หมายถึง คัมภีร์ขุทกนิกาย ชาดก คำ�กล่าวของพระโพธิสัตว์
จากหนังสือพระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๕๙ หน้า ๒๑๑
๒. อักษรย่อ
(พุทธ) หมายถึง พระดำ�รัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
(ปัจเจก) หมายถึง พระดำ�รัสของปัจเจกพุทธเจ้า
(เถระ), (เถรี) หมายถึง คำ�กล่าวของพระเถระ, พระเถรี
(อรรถ) หมายถึง คำ�กล่าวของพระโบราณจารย์
(โพธิ) หมายถึง คำ�กล่าวของพระโพธิสัตว์
(ทั่วไป) หมายถึง คำ�กล่าวที่มิใช่ของบุคคลข้างต้น เช่น เทวดา, พระราชา,
พราหมณ์ เป็นต้น
4
สารบัญทั่วไป
คำ�นำ� ๒
คำ�ชี้แจงการใช้อุปมาอุปไมย ๓
บทนำ� ๓
อักษรย่อ ๓
สารบัญทั่วไป ๕
สารบัญมงคลสูตร ๖
บรรณานุกรม ๓๔๕
วิธีฝึกสมาธิเบื้องต้น ๓๔๖
รายนามเจ้าภาพผู้ร่วมจัดพิมพ์ ๓๕๐
ประวัติผู้เรียบเรียง ๓๖๔
คณะผู้จัดทำ� ๓๖๘
6
สารบัญมงคลสูตร
มงคลที่ ๑ ไม่คบคนพาล ๒๘
๑. ไม่คบคนพาล อุปมาด้วย ๒๙
งูมีพิษ ทางที่ควรละเว้น แก้วมณี เนื้อในป่า ราหู และบ่อไม่มีน้ำ�
๒. ลักษณะของคนพาล อุปมาด้วย ๓๐
ภาชนะดินที่แตก กองแกลบ ฟ้ากับดิน ลูกศร คนตาบอด สุกร โค
หม้อมีน้ำ�ครึ่งหนึ่ง และน้ำ�ผึ้ง
๓. โทษของความเป็นคนพาล อุปมาด้วย ๓๑
ทางไปของไฟป่า ทัพพี ขุยแห่งไม้ไผ่ รองเท้า มหาโจร ลอบที่ปากอ่าว
เต่าตาบอด พระจันทร์ถูกเมฆดำ�ปิดไว้ และธุลี
๔. โทษของการคบคนพาล อุปมาด้วย ๓๒
ลูกศรแช่ยาพิษ ปลาเน่า ช้าง พระจันทร์ข้างแรม น้ำ�ตกในที่ดอน และป่าช้า
มงคลที่ ๒ คบบัณฑิต ๓๔
๑. คบบัณฑิต อุปมาด้วย ๓๕
คนกระหายน้ำ� วานร คนตาบอด มหาสมุทร แก้วมณี และป่า
๒. อานิสงส์ของการเป็นบัณฑิต อุปมาด้วย ๓๖
แสงเงินแสงทอง ภูเขาหิมพานต์ เมฆฝน และกลิ่นดอกไม้
๓. อานิสงส์ของการคบบัณฑิต อุปมาด้วย ๓๖
ลิ้นรู้รสแกง ใบไม้ห่อของหอม น้ำ�ในสระ ภูเขาหิน และผู้บอกขุมทรัพย์
มงคลที่ ๓ บูชาบุคคลที่ควรบูชา ๓๘
๑. คุณของพระรัตนตรัย อุปมาด้วย ๓๙
น้ำ� ขุมทรัพย์ จันทร์เพ็ญ ดวงอาทิตย์ เมฆฝนใหญ่ สารถี ศัลยแพทย์ จักษุแพทย์
แพทย์ผู้ฉลาด ผู้ชี้ทาง นายเรือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์ มิตรดี บ่อเกิดแห่งทรัพย์ บิดาผู้
มอบมรดก ดอกบัวบาน และช่างทำ�เครื่องประดับ
7
๒. คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๒
๒.๑ คุณความดี อุปมาด้วย ๔๒
ดอกบัวถูกแสงอาทิตย์ แก้วมณี เมล็ดผักกาด ทรัพย์ พระจันทร์ และ
ยาบำ�บัดโรค
๒.๒ คุณประโยชน์ อุปมาด้วย ๔๓
พระจันทร์ พระอาทิตย์ เกาะกลางสมุทร พระอาทิตย์อัสดงคต
ต้นไม้ใหญ่ นกละป่า พระเจ้าจักรพรรดิ ไฟกองใหญ่ และพืชที่ยังอ่อน
๒.๓ ความยิ่งใหญ่ อุปมาด้วย ๔๔
พระจันทร์ พระอาทิตย์ พระเจ้าจักรพรรดิ ทองห่อหุ้มด้วยผ้ากัมพลแดง
เกสรแวดล้ อ มด้ ว ยกลี บ ท้ า วสหั ส นั ย น์ เทวราช ฝนเม็ ด ใหญ่ เรื อ
แผ่นดินใหญ่ พระยาครุฑ ราชสีห์ มหาสมุทร ตัวเลข ภูเขาสตบรรพต
พระราชา คลื่น แผ่นดิน หญ้าคา หมู่หนอนสีขาว นก ๔ เหล่า ภูเขาคูถ
ลูกใหญ่ สะดือทะเล และเปลวไฟที่ดับแล้ว
๒.๔ คุณวิเศษ อุปมาด้วย ๔๙
พระจันทร์ ลูกศรเหล็ก บุรุษยืนบนยอดเขา บุรุษผู้มีกำ�ลังเหยียดแขนที่คู้
ออกไป คนจะไปต่างประเทศกอดญาติ มะขามป้อมที่วางไว้บนฝ่ามือ
ปลา เต่า และชาวประมง
๒.๕ การกำ�จัดกิเลส อุปมาด้วย ๕๐
ตาลยอดด้วน พระอาทิตย์ งูลอกคราบ ราชสีห์กำ�จัดธุลี นักรบ ไฟสถิต
ในน้ำ�ไม่ได้ แผ่นดิน และดอกบัวไม่ติดน้ำ�
๒.๖ พุทธลักษณะ อุปมาด้วย ๕๑
พื้นรองเท้าทองคำ� สังข์คว่ำ� คุยหะแห่งโค และช้าง กายพรหม กาย
ท่ อ นหน้ า ของราชสี ห์ แผ่ น กระดานทอง ต้ น นิ โ ครธ กลองทอง
พระจันทร์วันขึ้น ๑๒ ค่ำ� แก้ววิเชียรที่ตั้งไว้บนแผ่นกระดานทอง ดาว
ประกายพรึก เสียงนกการเวก ดวงเนตร พระโคแดงอ่อน ดอกบัวบาน
สะพรั่ง ช้าง แก้วมณีวางบนผ้ากาสิกพัสตร์ สีปีกแมลงทับทิมทอง ต้น
ปาริฉัตร ยอดภูเขาทอง พระยาช้าง และดอกบัว
8
มงคลที่ ๔ อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม ๖๖
๑. สถานที่เป็นที่สบาย อุปมาด้วย ๖๗
นกเค้า พืชทีห่ ว่านในทีบ่ ริสทุ ธิ์ ดวงจันทร์ วานร พายุ เนือ้ ในป่า ค้างคาว และลา
๒. อาหารเป็นที่สบาย อุปมาด้วย ๖๘
ไก่ บุรุษทายารักษาแผล งูเหลือม สุกรใหญ่ จระเข้ เสือเหลือง ราชสีห์ ช่างย้อม
ผ้า คนเลียคมมีดโกน และราชเสวก (ข้าราชการ)
๓. บุคคลเป็นที่สบาย อุปมาด้วย ๗๐
พ่อค้า และนก
9
มงคลที่ ๕ มีบุญวาสนามาก่อน ๗๒
๑. ผลของบุญ อุปมาด้วย ๗๓
ญาติ มิ ต ร หยาดน้ำ � ช่ า งทอง แม่ น้ำ � เงาติ ด ตามตั ว พระจั น ทร์ วั น เพ็ ญ
ดวงประทีป เรือ มหาเมฆ เนยใส และก้อนหินใหญ่ลงเรือบรรทุก
๒. รูปสมบัติ อุปมาด้วย ๗๕
ดอกบัว ปุยนุ่น แม่น้ำ�ใกล้ภูผา ทองคำ�ในปากเบ้า ดวงตาแห่งรูปมฤคหนึ่งขวบ
กำ�หางนกยูง ผลตำ�ลึงสุก ระเบียงแห่งเพชร พวงอุบลเขียว และดอกกรรณิกา
๓. การอุทิศส่วนบุญ อุปมาด้วย ๗๖
น้ำ�ฝนตกลงบนที่ดอน และห้วงน้ำ�
มงคลที่ ๖ ตั้งตนชอบ ๗๘
๑. ศรัทธา อุปมาด้วย ๗๙
บ่อทีไ่ ม่มนี �
ำ้ ต้นไทรใหญ่ พระจันทร์ขา้ งขึน้ แก้วมณี กาลักน้�
ำ หม้อเนยใส และพืช
๒. ประโยชน์ชาตินี้ อุปมาด้วย ๘๑
บุคคลก่อไฟอันน้อยให้ลุกโพรง แมลงผึ้งสร้างรัง และคนชั่งตาชั่ง
๓. ประโยชน์ชาติหน้า อุปมาด้วย ๘๑
พวงดอกไม้ พระอาทิตย์ขึ้น หัวเนยใส บุคคลมืดและสว่าง บุคคลสองตา การกู้
หนี้ และผ้าเศร้าหมอง
๔. ประโยชน์อย่างยิ่ง อุปมาด้วย ๘๓
เดือยข้าวสาลี เรือ ลูกคลื่น และฝั่งแม่น้ำ�
๕. การเสื่อมจากประโยชน์อย่างยิ่ง อุปมาด้วย ๘๔
ผลมะเดื่อ หางแหลมของเมล็ดข้าวสาลี นกกะเรียนแก่ ลูกศรที่ตกจากแล่ง เรือ
ดุ้นฝืนเผาผี กวาง บุรุษผู้ตกหลุมคูถ คนถูกศัตรูรุมล้อม และคนเจ็บป่วย
มงคลที่ ๗ พหูสูต ๘๖
๑. ปัญญา อุปมาด้วย ๘๗
รสเกลือ คนเกี่ยวข้าว การจุดประทีป ส่องประทีปลม และงู
๒. ผู้มีปัญญา อุปมาด้วย ๘๘
บุคคลล้างมือด้วยมือ เกาะ อาวุธ พระจันทร์ รอยจารึกที่ศิลา ภิกษุบิณฑบาต
การเกี่ยวข้าว และความสว่าง
10
๓. การศึกษา อุปมาด้วย ๘๙
งูพิษที่จับไม่ดี และนายโคบาล
๔. ผู้มีปัญญา อุปมาด้วย ๘๙
มหาสมุทร โคถึก ดุ้นฟืนเผาศพ และฝูงโค
มงคลที่ ๘ มีศิลปะ ๙๒
๑. มีศิลปะ อุปมาด้วย ๙๓
ดวงอาทิตย์ มนต์ บุตร ศัสตราวุธ และศีล
มงคลที่ ๙ มีวินัย ๙๔
๑. ความสำ�คัญของศีล อุปมาด้วย ๙๕
แสงเงินแสงทอง พืช พวกนาค และนา
๒. การรักษาศีล อุปมาด้วย ๙๖
จามรีรักษาขน นกต้อยตีวิดรักษาไข่ บุรุษศีรษะไม่ขาด กุมาร มหาสมุทร ดอกบัว
อากาศ แผ่นดิน ดวงจันทร์ บุคคลถูกตัดศีรษะ บุคคลห้อยสาก บุคคลห้อยขี้เถ้า
และบุคคลนุ่งผ้าดำ�สยายผม
๓. อานิสงส์ของการรักษาศีล อุปมาด้วย ๙๘
พระราชาผู้ได้มรุธาภิเษก ไฟส่องแสงบนยอดเขา กลิ่นดอกไม้ และบุคคลล้างมือ
ด้วยมือ
๔. โทษของการทุศีล อุปมาด้วย ๙๙
ถู ก ทิ่ ม ด้ ว ยปฏั ก ใบไม้ เหลื อ ง ใบไม้ ป กปิ ด ลู ก ดุ้ น ฟื น เผาศพ คนศี ร ษะขาด
มหาสมุทร ผ้าขาดที่ชายโดยรอบ ผ้าที่เป็นช่องทะลุตรงกลาง แม่โคสีดำ�ด่าง แม่
โคที่พราวเป็นดวง ต้นไม้ที่มีกิ่งและใบวิบัติ บุรุษถูกตัดศีรษะ ใบไม้เหลืองหลุดจาก
ขั้ว ศิลาหนาแตกสองเสี่ยง ต้นตาลมียอดด้วน แม่โคมีสีจาง และแม่โคมีจุดลาย
๕. พระวินัย อุปมาด้วย ๑๐๑
พระเจ้ า จั ก รพรรดิ แพทย์ มหาสมุ ท ร ดอกไม้ ที่ คุ ม ไว้ ด้ ว ยด้ า ยเหนี ย ว หมอ
และเชือกร้อยพวงมาลัย
๒. อภิญญา ๓๓๕
๒.๑ อิทธิวิธี (แสดงฤทธิ์) อุปมาด้วย ๓๓๕
หงส์ ดวงจันทร์วันเพ็ญ บุรุษที่มีกำ�ลังเหยียดแขนที่มีกำ�ลังออกไป นุ่นที่ถูกลม
พัดไป ช่างหม้อ ช่างเงา ช่างทอง และปุยนุ่น
๒.๒ ทิพยโสต (หูทิพย์) อุปมาด้วย ๓๓๖
บุรุษเดินทางไกล
๒.๓ เจโตปริยญาณ (กำ�หนดใจคนอื่นได้) อุปมาด้วย ๓๓๗
หญิงสาวชายหนุ่มที่ชอบแต่งตัว
๒.๔ ปุพเพนิวาสานุสสติ (ระลึกชาติได้) อุปมาด้วย ๓๓๗
บุรุษออกจากบ้านของตนไปสู่บ้านคนอื่น และผลมะขามป้อมที่วางไว้บน
ฝ่ามือ
๒.๕ ทิพยจักษุ (ตาทิพย์) อุปมาด้วย ๓๓๗
บุรุษยืนอยู่บนปราสาท และบุรุษยืนอยู่ท่ามกลางเรือน
๒.๖ อาสวักขยญาณ (ทำ�ให้อาสวะสิ้นไป) อุปมาด้วย ๓๓๘
บุรุษยืนอยู่บนขอบสระ หีบผ้าของพระราชา และงูลอกคราบ
๓. ผู้ไม่สะดุ้งกลัว อุปมาด้วย ๓๓๙
ราชสีห์ในถ้ำ�ภูเขา ลมไม่ติดตาข่าย น้ำ�ไม่ติดดอกบัว ภูเขาศิลา บุคคลไม่กลัวโรค
และคนดื่มยาพิษ
๔. จิตเกษม อุปมาด้วย ๓๔๐
ก้อนจุณ ห้วงน้ำ�ลึก ดอกบัว บุรุษนั่งคลุมตัวตลอดศีรษะด้วยผ้าขาว ความดับ
แห่งดวงประทีป บุรุษเข็ญใจพบขุมทรัพย์ใหญ่ นกต้อยตีวิดรักษาไข่ แม่เนื้อจามรี
รักษาขนหาง รองเท้าของฝูงนกในอากาศ หมองูกำ�จัดพิษงู และบุคคลดื่มยาพิษ
แล้วบ้วนทิ้ง
๑
ม ง ค ล ที่
ไม่คบคนพาล
การเสพคนพาล
ย่อมเป็นเหมือนบุคคลเอาใบไม้ห่อปลาเน่า
แม้ใบไม้ก็มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป ฉะนั้น
29
๑. ไม่คบคนพาล
๑.๑ บัณฑิตผู้หวังความเจริญ พึงเว้นอกัลยาณปุถุชนให้ห่างไกล เหมือนคนเว้นห่างงูมีพิษ
ร้าย ฉะนั้น.
ที.สี. (อรรถ) มก. ๑๑/๓๘๙
๑.๒ บุรุษผู้ไม่ประเสริฐเป็นเหมือนงูอยู่ในพกพึงกัดเอา ผู้มีปัญญาไม่พึงทำ�ไมตรีกับบุรุษ
เช่นนั้น เพราะการคบบุรุษชั่วเป็นทุกข์โดยแท้.
อัง.ปัญจก. (โพธิ) มก. ๓๖/๓๑๒
๑.๓ คนพาลทั้งหลายไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าใกล้เหมือนทางที่ควรละเว้น.
ขุ.ขุ. (พุทธ) มก. ๓๙/๑๗๒
๑.๔ ธรรมดาแก้วมณีย่อมไม่มีสิ่งใดเจือปนอยู่ข้างใน ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็
ไม่ควรปะปนอยู่กับเพื่อนที่เป็นคนเลว ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๕๘
๑.๕ ธรรมดาเนื้อในป่า เมื่อเห็นมนุษย์แล้วย่อมวิ่งหนีด้วยคิดว่า อย่าให้มนุษย์ได้เห็นเราเลย
ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรเมื่อเห็นพวกทุศีล พวกเกียจคร้าน พวกยินดีในหมู่คณะก็ควร หนีไป
ด้วยคิดว่า อย่าให้พวกนี้ได้เห็นเรา และอย่าให้เราได้เห็นพวกนี้.
มิลิน. ๔๔๖
30
๒. ลักษณะของคนพาล
๒.๑ ถ้าแม้สัตบุรุษทั้งหลายวิวาทกัน ก็กลับเชื่อมกันได้สนิทโดยเร็ว ส่วนคนพาลทั้งหลาย
ย่อมแตกกันเหมือนภาชนะดิน เขาย่อมไม่ถึงความสงบเวรกันได้เลย.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๘/๔๕๔
๒.๒ เราได้เห็นดาบสโกงนั้น เหมือนกองแกลบอันไม่มีข้าวสาร เหมือนไม้เป็นโพรงข้างใน
เหมือนต้นกล้วยอันหาแก่นมิได้.
ขุ.จริยา. (พุทธ) มก. ๗๔/๓๘๑
๒.๓ ฟ้ากับดินไกลกัน ฝั่งสมุทรก็ว่าไกลกัน ที่ๆ ดวงอาทิตย์ขึ้นกับที่ๆ ดวงอาทิตย์ตกก็
ไกลกัน ธรรมของสัตบุรุษกับธรรมของอสัตบุรุษปราชญ์กล่าวว่า ไกลกันยิ่งกว่านั้น.
อัง.จตุกก. (พุทธ) มก. ๓๕/๑๖๘
๒.๔ สัตบุรุษย่อมปรากฏในที่ไกลดุจภูเขาหิมพานต์ อสัตบุรุษย่อมไม่ปรากฏในที่นี้ เหมือน
ลูกศรที่ซัดไปในเวลากลางคืน ฉะนั้น.
ขุ.อิติ. (พุทธ) มก. ๔๕/๒๘๐
๒.๕ นระผู้บอดแต่กำ�เนิดเป็นผู้นำ�ไม่ได้ บางคราวไปถูกทาง บางคราวก็ไปผิดทาง แม้ฉันใด
คนพาลท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ๑ เป็นผู้นำ�ไม่ได้ บางคราวทำ�บุญ บางคราวก็ทำ�บาป.
ขุ.ม. (อรรถ) มก. ๖๕/๕๓๙
๒.๖ อสัตบุรุษเป็นเหมือนคนบอด สัตบุรุษเป็นเหมือนคนมีตาดี คนบอดย่อมมองไม่เห็น
ทั้งคนไม่บอด ทั้งคนบอด ฉันใด อสัตบุรุษย่อมไม่รู้ทั้งสัตบุรุษทั้งอสัตบุรุษ ฉันนั้น.
อัง.จตุกก. (อรรถ) มก. ๓๕/๔๖๐
๒.๗ เขาไม่ยินดีกับคนอื่นที่เป็นคนดี เข้าไปหามิตรเลวเหล่านั้นอย่างเดียว เหมือนสุกรที่
เขาประดับด้วยของหอม และดอกไม้แล้วให้นอนบนที่นอนอย่างดี ก็ยังเข้าไปสู่หลุมคูถ ฉะนั้น.
ที.ปา. (อรรถ) มก. ๑๖/๑๐๔
๑
สังสารวัฏ การเวียนว่ายตายเกิด
31
๓. โทษของความเป็นคนพาล
๓.๑ ทางที่คนพาลไปแล้ว ย่อมเป็นเหมือนทางไปของไฟป่า ซึ่งลามไปเผาไหม้ต้นไม้ กอไม้
คามนิคม ฉะนั้น.
อัง.ติก. (อรรถ) มก. ๓๔/๖
๓.๒ ถ้าคนพาลเข้าไปนัง่ ใกล้บณ
ั ฑิตแม้จนตลอดชีวติ เขาย่อมไม่รธู้ รรม เหมือนทัพพีไม่รรู้ ส
แกง ฉะนัน้ .
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๑/๑๕๐
๓.๓ บุคคลใดมีปัญญาโฉด อาศัยทิฏฐิอันชั่วช้า คัดค้านคำ�สั่งสอนของพระอริยบุคคล ผู้มี
ปกติเป็นอยู่โดยธรรม บุคคลนั้น ย่อมเกิดมาเพื่อฆ่าตน เหมือนขุยแห่งไม้ไผ่.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๒/๑๘๗
๓.๔ รองเท้าที่คนซื้อมาเพื่อประโยชน์จะให้สบายเท้า กลับนำ�ความทุกข์มาให้รองเท้า นั้น
ถูกแดดเผาบ้าง ถูกพื้นเท้าครูดสีบ้าง ก็กลับกัดเท้าของผู้นั้น ฉันใด ผู้ใดเกิดในตระกูลต่ำ�ไม่ใช่
อารยชน เรียนวิชา และศิลปะมาจากอาจารย์แล้ว ผู้นั้นย่อมฆ่าตนเองด้วยศิลปะที่เรียนมาใน
อาจารย์นั้น ฉันนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๗/๔๓๔
๓.๕ มหาโจรเมื่อเกิดในราชสมบัติของพระราชา ย่อมเกิดขึ้นเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์ เพื่อ
ความทุกข์แก่มหาชน ฉันใด บัณฑิตพึงทราบว่า โจรในคำ�สั่งสอนของพระชินเจ้า เกิดขึ้นแล้วเพื่อ
สิ่งมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์แก่มหาชน ฉันนั้น.
ม.มู. (พุทธ) มก. ๑๙/๑๙๓
32
คบบัณฑิต
บัณฑิตเสมือนของหอม
มีกฤษณาและดอกไม้ เป็นต้น
คนผู้คบบัณฑิตก็เสมือนใบไม้ที่ห่อของหอม
35
๑. คบบัณฑิต
๑.๑ ข้าพระองค์ค้นหาพระชินเจ้า เปรียบเหมือนคนกระหายน้�ำ ค้นหาน้ำ� คนหิวข้าวค้นหา
ข้าว ปานดังแม่โครักลูกค้นหาลูก ฉะนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๓/๑๑๕
๑.๒ บุคคลควรคบคนที่เลื่อมใสเท่านั้น ควรเว้นคนที่ไม่เลื่อมใส ควรเข้าไปนั่งใกล้คนที่เลื่อม
ใส เหมือนคนผู้ต้องการน้ำ�เข้าไปหาห้วงน้ำ� ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๒/๗๘
๑.๓ ธรรมดาวานร เมือ่ จะหาทีอ่ ยูก่ ไ็ ปหาทีอ่ ยูท่ ปี่ อ้ งกันภัยได้ คือ ต้นไม้ใหญ่ทมี่ กี งิ่ ดกหนา
และเงียบสงัด ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควรเป็นฉันนั้น คือ ควรหาที่อยู่ใกล้กัลยาณมิตร ผู้
มีศีลธรรมดีงาม ผู้มีความรู้มาก ผู้รู้จักสั่งสอน.
มิลิน. ๔๒๘
๑.๔ เราปรารถนาจะเฝ้า และเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เหมือนคนตาบอดปรารถนา
จักษุประสาท เหมือนคนหูหนวกปรารถนาโสตประสาท เหมือนคนใบ้ปรารถนาการกล่าวให้รู้เรื่อง
เหมือนคนมีมือเท้าพิการปรารถนามือเท้า เหมือนคนขัดสนปรารถนาทรัพย์สมบัติ เหมือนคนเดิน
ทางกั นดารปรารถนาสถานที่ อั น ปลอดภั ย เหมื อ นคนถู ก โรคครอบงำ � ปรารถนาความไม่ มี โรค
เหมือนคนถูกเรืออัปปางในมหาสมุทรปรารถนาแพใหญ่ ฉะนั้น.
ขุ.อุ. (อรรถ) มก. ๔๔/๑๔๑
36
๒. อานิสงส์ของการเป็นบัณฑิต
๒.๑ เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่ขึ้นก่อนสิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน คือ แสงเงินแสงทอง สิ่งที่เป็น
เบื้องต้นเป็นนิมิตมาก่อน เพื่อความบังเกิดแห่งอริยมรรค๑ อันประกอบด้วยองค์ ๘ ของภิกษุ คือ
ความเป็นผู้มีมิตรดี ฉันนั้นเหมือนกัน.
สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๐/๗๔
๒.๒ สัตบุรุษทั้งหลายย่อมปรากฏในที่ไกลเหมือนภูเขาหิมพานต์ ส่วนอสัตบุรุษย่อมไม่
ปรากฏในที่นี้ เหมือนลูกศรอันเขายิงไปในราตรี ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๓/๑๔๔
๒.๓ ทางที่บัณฑิตไปเหมือนทางที่เมฆฝนซึ่งตั้งเค้าขึ้นทั้งสี่ทิศ แล้วตกลงมาเต็มหลุม และ
บ่อ นำ�ความงอกงามของรวงข้าวกล้าชนิดต่างๆ มาให้ ฉะนั้น.
อัง.ติก. (อรรถ) มก. ๓๔/๖
๒.๔ กลิ่นดอกไม้ไม่หอมทวนลม กลิ่นจันทน์กฤษณา หรือดอกมะลิก็ไม่หอมทวนลม แต่กลิ่น
ของสัตบุรุษหอมทวนลมฟุ้งขจรไปทั่วทุกทิศ.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๙/๑๔๕
๓. อานิสงส์ของการคบบัณฑิต
๓.๑ ถ้าวิญญูชนเข้าไปนั่งใกล้บัณฑิตแม้ครู่เดียว เขาย่อมรู้แจ้งธรรมได้ฉับพลันเหมือนลิ้นรู้
รสแกง ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (ทั่วไป) มก. ๔๑/๑๕๑
๑
อริยมรรค ทางดำ�เนินของพระอริยะ
37
บูชาบุคคลที่ควรบูชา
ธรรมดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
ย่่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คนทั้งหลาย
เหมือนพระจันทร์ พระอาทิตย์
ส่องแสงสว่างแก่คนทั้งปวง
39
๑. คุณของพระรัตนตรัย
๑.๑ เมื่อฝนเม็ดใหญ่ตกลงบนภูเขา น้ำ�นั้นไหลไปตามที่ลุ่ม ย่อมยังซอกเขา ลำ�ธาร ลำ�ห้วย
ให้เต็ม ย่อมยังหนอง บึง แม่นํ้าน้อย แม่นํ้าใหญ่ให้เต็ม ย่อมยังมหาสมุทรสาครให้เต็ม ฉันใด ความ
เลือ่ มใสอันไม่หวัน่ ไหวในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ และศีลอันเป็นทีร่ กั ของ พระอริยเจ้า
ธรรมเหล่านี้ เมื่อไหลไปถึงฝั่ง ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ ฉันนั้นเหมือนกัน.
สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๑/๓๖๖
๑.๒ พระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเสมือนขุมทรัพย์ อันเต็มไปด้วยรัตนะ มี
แก้วมณี และทองคำ� เป็นต้น เพราะเพียบพร้อมไปด้วยอริยทรัพย์.
ขุ.เถร. (อรรถ) มก. ๕๓/๔๑๓
๑.๓ บริษัท ๔ นี้จักบูชาเราด้วยการบูชานี้เพียงใด ศาสนาของเราก็จะรุ่งเรือง ดุจจันทร์เพ็ญ
ลอยเด่นกลางท้องฟ้า ฉะนั้น.
ที.ม. (พุทธ) มก. ๑๓/๔๒๒
๑.๔ พระพุทธองค์ทั้งพระสาวกทรงแสดงพระรัศมี ทำ�พระศาสนาให้ไร้มลทิน แล้วดับขันธ
ปรินิพพาน เหมือนดวงจันทร์เคลื่อนจากท้องนภากาศ.
ขุ.พุทธ. (พุทธ) มก. ๗๓/๕๔๔
40
๒. คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒.๑ คุณความดี
๒.๑.๑ พระมหาบุรุษทรงพ้นแล้วจากเครื่องผูกมัดทั้งปวง มีพระสันดานเบิกบาน ดุจดอกบัว
ต้องแสงอาทิตย์ ฉะนั้น.
ที.ม. (อรรถ) มก. ๑๓/๑๔๐
๒.๑.๒ ใครๆ ไม่อาจทำ�ความมัวหมองให้เกิดขึ้นแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่นเดียวกับไม่อาจ
ทำ�ความเศร้าหมองให้เกิดแก่แก้วมณี.
ขุ.ชา. (พุทธ) มก. ๕๘/๒๘๙
๒.๑.๓ เมล็ดผักกาดเมื่อนำ�ไปเทียบกับเขาสิเนรุ รอยเท้าโคเมื่อนำ�ไปเทียบกับมหาสมุทร
หยดน้ำ�ค้างเมื่อนำ�ไปเทียบกับน้ำ�ในสระใหญ่ ๗ สระ ก็เป็นของกะจิ๊ดริ๊ด คือ เล็กน้อย ฉันใด คุณ
ของพวกเรา เมื่อนำ�ไปเทียบกับพระคุณมีพระชาติสมบัติ เป็นต้น ของพระสมณโคดมเป็นของเล็ก
น้อย ฉันนั้น.
ที.สี. (อรรถ) มก. ๑๒/๒๕
๒.๑.๔ ทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างใดอย่างหนึ่งในโลกนี้ หรือในโลกอื่น หรือรัตนะใดอัน
ประณีตในสวรรค์ ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ และรัตนะนั้นที่เสมอด้วยพระตถาคตไม่มีเลย.
ขุ.ขุ. (พุทธ) มก. ๓๙/๒๑๕
๒.๑.๕ พระพุทธองค์ทรงพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ มีนักษัตรฤกษ์ดีเหมือน
พระจันทร์ ทรงสมบูรณ์ด้วยอนุพยัญชนะ บานเหมือนต้นพระยารัง อันข่าย คือ พระรัศมีแวดวง มี
พระรัศมีรุ่งเรืองเหมือนภูเขาทอง มีพระรัศมีล้อมรอบด้านละวา มีรัศมีนับด้วยร้อยเหมือนอาทิตย์
มีพระพักตร์เหมือนทองคำ� เป็นพระพิชิตมาร เป็นเหมือนภูเขาอันให้เกิดความยินดี มีพระหฤทัยเต็ม
ด้วยพระกรุณา มีพระคุณปานดังสาคร มีพระเกียรติปรากฏแก่โลก เหมือนเขาสิเนรุซึ่งเป็นภูเขา
สูงสุด มีพระยศเป็นที่ปลื้มใจ เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญา เป็นนักปราชญ์.
ขุ.อป. (เถระ) มก. ๗๒/๔๐๗
๒.๑.๖ พระองค์เป็นเสมือนยาบำ�บัดโรค ทำ�ให้ยาพิษ คือ กิเลสพินาศ ประดับด้วยกลิ่น คือ
คุณเหมือนภูเขาคันธมาทน์.
ขุ.อป. (เถระ) ๗๒/๔๐๘
๒.๑.๗ พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยังสัตว์ให้ยินดีเหมือนพระจันทร์ แผดแสงเหมือน
พระอาทิตย์ ทำ�ให้เยือกเย็นเหมือนเมฆ เป็นบ่อเกิดแห่งคุณเหมือนสาคร มีศีลเหมือนแผ่นดิน มี
สมาธิเหมือนขุนเขาหิมวันต์ มีปัญญาเหมือนอากาศ ไม่ข้องเหมือนกับลม ฉะนั้น.
ขุ.อป. (เถร) มก. ๗๒/๔๐๗
43
๒.๒ คุณประโยชน์
๒.๒.๑ ธรรมดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คนทั้ง
หลาย เหมือนพระจันทร์พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างแก่คนทั้งปวง.
สัง.สฬา. (อรรถ) มก. ๒๘/๓๕
๒.๒.๒ พระองค์ก็ทรงเป็นเหมือนเกาะของสัตว์ทั้งหลาย ผู้จมลงในสาคร คือ สังสารวัฏอัน
เป็นที่พึ่งไม่ได้ เหมือนเกาะกลางสมุทรเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายที่เรืออัปปางในมหาสมุทร ฉะนั้น.
ขุ.พุทธ. (อรรถ) มก. ๗๓/๑๑๗
๒.๒.๓ พระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว โลกก็ถึงความมืด ฉันใด เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่
เสด็จอุบัติ สัตวโลกก็ถึงความมืด ฉันนั้น
เมื่อพระอาทิตย์อุทัยย่อมขจัดความมืดได้ทุกเมื่อ ฉันใด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
ก็ขจัดความมืดได้ทุกเมื่อ ฉันนั้น.
ขุ.อป. (เถระ) มก. ๗๑/๑๖๙
๒.๒๓ ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าอันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายพึงเข้าไปเฝ้าด้วยเหตุไร?
ตอบว่า ด้วยประสงค์จะบรรลุคุณวิเศษนานาประการ อุปมาเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ผลิผลอยู่
เนืองนิตย์ อันฝูงนกเข้าไปจับก็ด้วยประสงค์จะจิกกินผลที่มีรสอร่อย ฉะนั้น
ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๗/๒๗๕
๒.๒.๕ นกละป่าเล็กแล้ว พึงอาศัยป่าใหญ่ทม่ี ผี ลไม้ ฉันใด ข้าพระองค์กฉ็ นั นัน้ ละแล้วซึง่ พวก
พราหมณ์ที่มีปัญญาน้อย อาศัยแล้วซึ่งพระองค์ เป็นดังว่าหงส์อาศัยสระใหญ่ที่มีน้ำ�มาก ฉันนั้น.
ขุ.จู. (เถระ) มก. ๖๗/๔๕๕
๒.๒.๖ นายหมู่ย่อมพาพวกให้ข้ามกันดาร คือ โจร ทุพภิกขภัย ที่ไม่มีน้ำ� ให้ถึงภูมิสถาน
ปลอดภัย ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมนำ�สัตว์ทั้งหลายให้ข้ามกันดาร คือ ชาติ ชรา พยาธิ
มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส และกันดาร คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ๑ ทิฏฐิ
กิเลส และทุจริต และที่รกชัฏ คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส ทุจริต ให้ถึงอมตนิพพาน
อันเป็นภูมิสถานปลอดภัย ฉันนั้นเหมือนกัน.
ขุ.จู. (อรรถ) มก. ๖๗/๔๘๗
๒.๒.๗ เมือ่ พระเจ้าจักรพรรดิบงั เกิดขึน้ แก้วมณีกบ็ งั เกิดขึน้ แก้วมณีนน้ั มีอยูแ่ ล้ว แต่บงั เกิด
ขึ้นเมื่อพระเจ้าจักรพรรดิบังเกิดขึ้น ฉันใด ทางอันเกษมเมื่อผู้ส่งั สอนไม่มี ทางนั้นก็ลบเลือนหายไป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นทางนัน้ ก็ทรงบอกให้แก่มนุษย์และเทวดาทัง้ หลาย ฉันนัน้ .
มิลิน. ๒๙๖
๑
มานะ ความถือตัว
44
๑
เดียรถีย์ นักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา
๒
วิชชา ๓ ระลึกชาติได้ เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ ทำ�อาสวะให้สิ้น
45
๑
กัปปิยการก ลูกศิษย์พระ
46
๑
อภิญญา ความรู้ยิ่ง
48
๒.๖ พุทธลักษณะ
๒.๖.๑ พระกุมารไม่เป็นเหมือนคนอื่น เมื่อคนอื่นวางเท้าลงบนแผ่นดิน ปลายฝ่าเท้า ส้นเท้า
๑
พระสัพพัญญุตญาณ พระปรีชาญาณหยั่งรู้สิ่งทั้งปวงทั้งที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
52
๔. คุณของพระสงฆ์
๔.๑ หมู่ภิกษุเปรียบเหมือนต้นหว้าใหญ่สูงร้อยโยชน์ พระอัครสาวกทั้งสองเปรียบเหมือน
ลำ�ต้นที่ใหญ่ทั้งสอง ประมาณห้าสิบโยชน์ที่แผ่ไปทั้งเบื้องขวา และเบื้องซ้ายแห่งต้นไม้นั้น.
สัง.ม. (อรรถ) มก. ๓๐/๔๔๕
๔.๒ สารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ยังทารกให้เกิด โมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนม
ผู้เลี้ยงทารกซึ่งเกิดแล้ว.
ที.ปา. (พุทธ) มก. ๑๖/๔๕๘
๔.๓ พระอานนท์นี้เล่าเรียนพระพุทธวจนะ ก็ยึดยืนหยัดอยู่ในปริยัติ ดุจผู้รักษาเรือนคลังใน
ศาสนาของพระทศพล.
อัง.เอกก. (อรรถ) มก. ๓๒/๔๔๓
๔.๔ สรีระของพระมหากัสสปะประดับด้วยมหาปุริสลักขณะ ๗ ประการ ท่านติดตาม
พระบรมศาสดา เหมือนมหานาวาทองที่ติดตามข้างหลัง.
ขุ.เถร. (อรรถ) มก. ๕๓/๓๖๒
๔.๕ ท้องฟ้างามวิจิตรด้วยดวงดาวทั้งหลาย ฉันใด พระศาสนาของพระองค์ก็งดงามด้วย
พระอรหันต์ทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน.
ขุ.พุทธ. (พุทธ) มก. ๗๓/๔๔๔
๔.๖ ภิกษุใดเจริญอานาปานสติให้บริบูรณ์ดีแล้ว อบรมแล้วตามลำ�ดับ ตามที่พระพุทธเจ้า
ทรงแสดงแล้ว ภิกษุนั้นย่อมทำ�โลกนี้ให้สว่างไสว เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ฉะนั้น.
ขุ.ป. (อรรถ) มก. ๖๙/๑๕๘
๔.๗ พระเถระทั้งหลายผู้มีตนอันอบรมแล้วบันลืออยู่ ดุจการบันลือแห่งสีหะทั้งหลาย ซึ่ง
เป็นสัตว์ประเสริฐ กว่าเหล่าสัตว์ที่มีเขี้ยวทั้งหลายที่ใกล้ถ้ำ�ภูเขา ฉะนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก.๕๐/๘
๔.๘ ภิกษุใดยังเป็นหนุ่มย่อมขวนขวายในพระพุทธศาสนา ภิกษุนั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง ดุจ
พระจันทร์ซึ่งพ้นแล้วจากเมฆ ฉะนั้น.
ม.มู. (เถระ) มก. ๒๑/๑๕๑
62
๕. คุณของพระโพธิสัตว์
๕.๑ พระโพธิสัตว์นั้นเหมือนพระธรรมกถึกลงจากธรรมาสน์ และเหมือนบุรุษลงจากบันได
ทรงเหยียดพระหัตถ์และพระบาททั้งสอง ประทับยืนไม่เปรอะเปื้อนด้วยของไม่สะอาดอย่างใดอย่าง
หนึ่งอันมีอยู่ในพระครรภ์ของพระมารดาเสด็จออก.
ที.ม. (อรรถ) มก. ๑๓/๑๐๘
๕.๒ โคจ่าฝูงเกิดได้ครู่เดียวก็สัมผัสพื้นแผ่นดินด้วยเท้าที่เสมอกัน ฉันใด พระโคดมพระองค์
นั้นก็ย่างพระบาท ๗ ย่างก้าว และทวยเทพก็กั้นเศวตฉัตร ฉันนั้น
พระโคดมพระองค์นั้น ครั้นเสด็จ ๗ ย่างก้าวแล้ว ทรงเหลียวดูทิศเสมอกันโดยรอบ ทรง
เปล่งอาสภิวาจาประกอบด้วยองค์ ๘ เหมือนพระยาสีหะยืนหยัดเหนือยอดขุนเขา ฉะนั้น.
ขุ.พุทธ. (อรรถ) มก. ๗๓/๔๕
65
๔
ม ง ค ล ที่
อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม
พืชอันตั้งอยู่ในที่บริสุทธิ์ดี ย่อมมีผลไพบูลย์
ทำ�ให้ผู้ปลูกหว่านดีใจ ฉันใด
จิตของภิกษุผู้ปรารภความเพียรที่บริสุทธิ์
อยู่ในที่สงัดก็งอกงามขึ้นเร็วในที่ดินอันดี คือ สติปัฏฐาน ฉันนั้น
67
๑. สถานที่เป็นที่สบาย
๑.๑ ธรรมดานกเค้าย่อมซ่อนตัวอย่างดี ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควรซ่อนตัวไว้ด้วย
การยินดีในที่สงัด ฉันนั้น.
มิลิน.๔๕๒
๑.๒ ธรรมดาพืชเมื่อถูกหว่านลงในที่บริสุทธิ์ ย่อมเจริญอย่างรวดเร็ว ฉันใด จิตของภิกษุ
ผู้ปรารภความเพียร ผู้อยู่ในที่สงัด ผู้เจริญสติปัฏฐานก็ย่อมงอกงามได้รวดเร็ว ฉันนั้น
ข้อนี้สมกับคำ�ของพระอนุรุทธเถระเจ้าว่า พืชอันตั้งอยู่ในที่บริสุทธิ์ดี ย่อมมีผลไพบูลย์ ทำ�ให้
ผู้ปลูกหว่านดีใจ ฉันใด จิตของภิกษุผู้ปรารภความเพียรที่บริสุทธิ์อยู่ในที่สงัดก็งอกงามขึ้นเร็วใน
ที่ดินอันดี คือ สติปัฏฐาน ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๓๐
๑.๓ ธรรมดาดวงจันทร์ย่อมเที่ยวไปในเวลากลางคืน ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควร
เที่ยวไปด้วยวิเวก ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๔๐
๑.๔ ธรรมดาวานรย่อมเที่ยวไปตามต้นไม้ ยืนบนต้นไม้ นั่ง นอนบนต้นไม้ ฉันใด ภิกษุผู้
ปรารภความเพียรก็ควรนอน ยืน เดินอยู่ในป่า ควรฝึกฝนสติปัฏฐานอยู่ในป่า ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๒๘
68
๒. อาหารเป็นที่สบาย
๒.๑ ธรรมดาไก่ย่อมคุ้ยเขี่ยหาแต่ที่กินได้ ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควรพิจารณาก่อน
แล้วจึงบริโภคอาหาร ไม่บริโภคเพื่อให้เกิดความคะนอง ความมัวเมา ความสวยงามแห่งร่างกาย
แต่บริโภคเพื่อให้ร่างกายนี้ดำ�รงอยู่ในพรหมจรรย์ คือ การครองชีวิตอันประเสริฐ และบรรเทา
เวทนาเก่า กำ�จัดเวทนาใหม่เท่านั้น
ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า บุคคลกินเนื้อแห่งบุตรในทางกันดารได้ด้วยความลำ �บากใจ กินเพื่อ
ประทังชีวิต ฉันใด หรือบุคคลเติมน้ำ�มันรถพอให้รถแล่นไปได้ ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็
บริโภคอาหารพอควรต่อการยังชีพ ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๒๓
69
๓. บุคคลเป็นที่สบาย
๓.๑ สิ่งที่เป็นอนาคตควรเล็งดูก่อน คือ พ่อค้าต้องเล็งดูสินค้าก่อน พ่อค้าเกวียนต้อง
พิจารณาท่าข้ามก่อน นายท้ายสำ�เภาต้องพิจารณาดูฝั่งเสียก่อน ผู้ข้ามสะพานต้องดูความมั่นคง
ของสะพานก่ อ น พระภิ ก ษุ ต้ อ งพิ จ ารณาอาหารก่ อ นจึ ง ฉั น พระโพธิ สั ต ว์ เจ้ า ชาติ สุ ด ท้ า ยต้ อ ง
พิจารณาตระกูลเสียก่อนจึงจุติ.
มิลิน. ๒๗๖
๓.๒ นกรู้ว่าต้นไม้มีผลหมดแล้ว ย่อมบินไปสู่ต้นอื่นที่เต็มไปด้วยผล ฉันใด คนก็ฉันนั้น รู้ว่า
เขาหมดความอาลัยแล้ว ก็ควรจะเลือกหาคนอื่นที่เขาสมัครรักใคร่ เพราะว่าโลกกว้างใหญ่พอ.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๘/๕๙
71
๕
ม ง ค ล ที่
มีบุญวาสนามาก่อน
บุญและบาปนั้น เป็นสมบัติของเขา
ย่อมเป็นของติดตามเขาไป
ประดุจเงาติดตามตนไป ฉะนั้น
73
๑. ผลของบุญ
๑.๑ ญาติมิตรและคนมีใจดีทั้งหลาย เห็นบุรุษผู้จากไปอยู่ต่างถิ่นมานานกลับมาแล้วจากที่
ไกลโดยสวัสดี ย่อมยินดียิ่งว่ามาแล้ว ฉันใด บุญทั้งหลายก็ย่อมต้อนรับบุคคลผู้กระทำ�บุญไว้ ซึ่ง
จากโลกนี้ไปสู่โลกหน้า ดุจพวกญาติเห็นญาติที่รักมาแล้วต้อนรับอยู่ ฉันนั้น.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๒/๓๙๐
๑.๒ บุคคลไม่ควรดูหมิน่ บุญว่า บุญมีประมาณน้อยจักไม่มาถึง แม้หม้อน้�ำ ยังเต็มด้วยหยาดน้�ำ
ทีต่ กลงมาทีละหยดๆ ได้ ฉันใด ชนผูม้ ปี ญ ั ญาสัง่ สมบุญแม้ทลี ะน้อยๆ ย่อมเต็มด้วยบุญได้ ฉันนัน้ .
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๒/๒๓๐
๑.๓ ผู้มีปัญญาทำ�กุศลอยู่คราวละน้อยๆ ทุกๆ ขณะโดยลำ�ดับ พึงกำ�จัดมลทินของตนได้
เหมือนช่างทองปัดเป่าสนิมทอง ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๓/๒
๑.๔ แม่นํ้าเป็นอันมากที่หมู่ชนอาศัยแล้วไหลไปยังสาครทะเลหลวง ซึ่งจะประมาณมิได้ เป็น
ที่ขังน้ำ�อย่างใหญ่ มีสิ่งที่น่ากลัวมาก เป็นที่อยู่ของหมู่รัตนะ ฉันใด สายธารแห่งบุญย่อมไหลไปสู่นร
ชนผู้เป็นบัณฑิต ผู้ให้ข้าว นํ้า ผ้า ที่นอน ที่นั่ง และเครื่องปูลาด เหมือนแม่นํ้าไหลไปสู่สาคร ฉันนั้น
เหมือนกัน.
สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๑/๓๗๓
74
๑.๑๒ พระเจ้ า มิ ลิ นท์ ต รั ส ถามพระนาคเสนว่ า เมื่ อ ใกล้ ต ายมี ส ติ ร ะลึ ก ถึ ง พระพุ ท ธเจ้ า
ครั้งเดียว ก็ไปสวรรค์ ทำ�ปาณาติบาตครั้งเดียวก็ไปนรกได้
พระนาคเสนทูลตอบว่า ก้อนหินเล็กๆ ก็จมน้ำ�ได้ ก้อนหินใหญ่ขนลงเรือบรรทุก เรือก็ลอย
บนน้ำ�ได้.
มิลิน ๑๒๗
๒. รูปสมบัติ
๒.๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ ซึ่งไม่มีใน มารดาบิดา เหมือน
ดอกบัวแตกต่างจากโคลนและตมที่เป็นแหล่งกำ�เนิด.
มิลิน. ๑๑๗
๒.๒ สัมผัสทางกายของนางแก้วนั้น เป็นเหมือนปุยนุ่น หรือปุยฝ้าย.
ที.ม. (พุทธ) มก. ๑๓/๔๗๘
๒.๓ แม่นํ้าใกล้ภูผา หรือหมู่ไม้ดาดาษไปด้วยไม้ไผ่เล็กๆ ย่อมงดงาม ฉันใด เส้นพระโลม
ชาติก็อ่อนงดงาม ฉันนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๓/๓๒๔
๒.๔ หน้าของท่านผ่องใสดังทองคำ�ในปากเบ้า และดังดอกกรรณิกาที่บานดี.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๑/๔๗๕
๒.๕ พระนางเจ้านั้นมีดวงพระเนตรเขื่อง ราวกะดวงตาแห่งลูกมฤคหนึ่งขวบเกิดดีแล้ว
หรือดุจเปลวเพลิงในเหมันตฤดู.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๓/๓๒๔
๒.๖ ผมของหญิงผู้มีบุญมากเป็นเช่นกับกำ�หางนกยูง แก้ปล่อยระชายผ้านุ่งแล้วก็กลับมี
ปลายงอนขึ้นตั้งอยู่ นี้ชื่อว่า ผมงาม
ริมฝีปากเช่นกับผลตำ�ลึงสุก ถึงพร้อมด้วยสีเรียบชิดสนิทดี นี้ชื่อว่า เนื้องาม
ฟันขาวเรียบไม่ห่างกัน งดงามดุจระเบียบแห่งเพชรที่เขายกขึ้นตั้งไว้ และดุจระเบียบแห่ง
สังข์ที่เขาขัดสีแล้ว นี้ชื่อว่า กระดูกงาม
ผิวพรรณของหญิงดำ� ไม่ลูบไล้ด้วยเครื่องประเทืองผิวเลย ก็ดำ�สนิทประหนึ่งพวงอุบลเขียว
ของหญิงขาวประหนึ่งพวงดอกกรรณิกา นี้ชื่อว่า ผิวงาม.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๑/๗๗
76
๓. การอุทิศส่วนบุญ
๓.๑ น้ำ�ตกลงบนที่ดอน ย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด ทานที่ทายกให้ไปจากมนุษย์โลกนี้ ย่อม
สำ�เร็จผลแก่ฝูงเปรต ฉันนั้นเหมือนกัน.
ขุ.ขุ. (พุทธ) มก. ๓๙/๒๗๗
๓.๒ ห้วงน้ำ�เต็มแล้ว ย่อมยังสาครให้เต็ม ฉันใด ทานที่ทายกให้ไปจากมนุษย์โลกนี้ ย่อม
สำ�เร็จผลแก่ฝูงเปรต ฉันนั้นเหมือนกัน.
ขุ.ขุ. (พุทธ) มก. ๓๙/๒๗๗
๓.๓ น้ำ�ที่หมู่เมฆให้ตกลงบนที่ดอนบนบก บนภูมิภาคที่สูง ย่อมไหลลงที่ลุ่ม คือ ไหลไปถึง
ภูมิภาคที่ลุ่มต่ำ� ฉันใด ทานที่หมู่ญาติมิตรสหายให้จากมนุษยโลกนี้ ย่อมสำ�เร็จผลแก่หมู่เปรต ฉัน
นั้นเหมือนกัน.
ขุ.ขุ. (อรรถ) มก. ๓๙/๒๙๖
๓.๔ ฝนห่าใหญ่ตกลงมาย่อมทำ�ให้แม่นํ้า คลอง บึง สระ ที่ดอนทั้งสิ้นเต็มไปด้วยน้ำ� แล้วยัง
ไหลไปได้รอบตัว ฉันใด กุศลก็มีผลมากจึงอาจแบ่งไปถึงมนุษย์ และเทพยดาอื่นๆ ได้ ฉันนั้น.
มิลิน. ๓๖๕
77
๖
ม ง ค ล ที่
ตั้งตนชอบ
บุคคลสองตา คือ มีดวงตาที่เป็นเหตุ
จะทำ�ให้ได้โภคทรัพย์
ทั้งมีดวงตาที่เป็นเหตุจะทำ�ให้รู้ธรรมทั้งหลาย
79
๑. ศรัทธา
๑.๑ บุคคลไม่ควรคบหาคนที่ปราศจากศรัทธา เหมือนบ่อที่ไม่มีน้ำ�... ถ้าแม้บุคคลจะพึงขุด
บ่อน้ำ�นั้น บ่อนั้นก็จะมีน้ำ�ที่มีกลิ่นโคลนตม
บุคคลควรคบคนที่เลื่อมใสเท่านั้น ควรเว้นคนที่ไม่เลื่อมใส ควรเข้าไปนั่งใกล้คนที่เลื่อมใส
เหมือนคนผู้ต้องการน้ำ�เข้าไปหาห้วงน้ำ� ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (พุทธ) มก. ๖๒/๗๘
๑.๒ ต้นไทรใหญ่ที่ทางสี่แยกมีพื้นราบเรียบ ย่อมเป็นที่พึ่งของพวกนกโดยรอบ ฉันใด กุล
บุตรผู้มีศรัทธาก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเป็นที่พึ่งของชนเป็นอันมาก.
อัง.ปัญจก. (พุทธ) มก. ๓๖/๘๗
๑.๓ ผู้ใดผู้หนึ่งมีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริ มีโอตตัปปะ มีวิริยะ มีปัญญาในกุศลทั้ง
หลาย กลางคืนหรือกลางวันของผู้นั้น ย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้นพึงหวังได้ความเจริญในกุศลธรรมทั้ง
หลาย ไม่หวังได้ความเสื่อม
ดูก่อนสารีบุตร เปรียบเหมือนกลางคืน หรือกลางวันของพระจันทร์ในปักษ์ข้างขึ้น ย่อม
ผ่านพ้นไป พระจันทร์นั้นย่อมเจริญด้วยวรรณะ ย่อมเจริญด้วยมณฑล ย่อมเจริญด้วยแสงสว่าง
ย่อมเจริญด้วยด้านยาว และกว้าง.
อัง. ทสก. (พุทธ) มก. ๓๘/๒๑๒
80
๒. ประโยชน์ชาตินี้
๒.๑ บุคคลผู้มีปัญญาเห็นประจักษ์ ย่อมตั้งตนได้ด้วยทรัพย์อันเป็นต้นทุนแม้เล็กน้อย ดุจ
บุคคลก่อไฟอันน้อยให้โพลงขึ้นได้ ฉะนั้น.
อัง.เอก. (พุทธ) มก. ๓๒/๓๕๑
๒.๒ บัณฑิตผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมรุ่งเรืองส่องสว่างเพียงดังไฟ เมื่อบุคคลสะสมโภคสมบัติ
อยู่เหมือนแมลงผึ้งสร้างรัง โภคสมบัติย่อมถึงความเพิ่มพูน ดุจจอมปลวกอันตัวปลวกก่อขึ้น ฉะนั้น.
ที.ปา. (พุทธ) มก. ๑๖/๘๗
๒.๓ หากว่านรชนจะเป็นผู้มีชาติกำ�เนิดเลวทราม แต่เป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียร มีปัญญา
ประกอบด้วยอาจาระ และศีล ย่อมรุ่งเรืองสุกใส เหมือนกองไฟในยามราตรี ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๑/๑๑๓
๒.๔ รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้
เปรียบเหมือนคนชั่งตาชั่งหรือลูกมือคนชั่งตาชั่ง ยกตาชั่งขึ้นแล้ว ย่อมลดออกเท่านี้ หรือต้องเพิ่ม
เข้าเท่านี้ ฉันใด กุลบุตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน รู้ทางเจริญ และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์แล้วเลี้ยงชีพ
พอเหมาะ ไม่ให้ฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก.
อัง.สัตตก. (พุทธ) มก. ๓๗/๕๖๑
๓. ประโยชน์ชาติหน้า
๓.๑ นายมาลาการพึงทำ�พวงดอกไม้ให้มากจากกองดอกไม้ แม้ฉันใด สัตว์ผู้มีอันจะพึงตาย
เป็นสภาพ ควรทำ�กุศลไว้ให้มาก ฉันนั้น.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๑/๓
๓.๒ ในฤดูสารทเดือนท้ายฤดูฝน เมื่อฝนซาลง เมฆก็จากไปแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้า
กำ�จัดความมืดในอากาศ ย่อมส่องแสงแจ่มจ้า แม้ฉันใด การถือมั่นสิ่งที่มีสุขทั้งในปัจจุบัน และต่อ
ไปก็ยังมีผลเป็นสุขอีก ขจัดคำ�ติเตียนของสมณพราหมณ์เป็นอันมากเหล่าอื่นได้ แล้วย่อมสว่าง
แจ่มแจ้ง และรุ่งเรือง ฉันนั้นนั่นแล.
ม.มู. (พุทธ) มก. ๑๙/๓๗๙
๓.๓ นมสดเกิดจากแม่โค นมส้มเกิดจากนมสด เนยข้นเกิดจากนมส้ม เนยใสเกิดจากเนย
ข้น หัวเนยใสเกิดจากเนยใส หัวเนยใสโลกกล่าวว่า เลิศกว่านมสดเป็นต้นเหล่านั้น ฉันใด
กามโภคีบุคคลผู้แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรม โดยไม่ทารุณ ครั้นแสวงหาได้แล้วย่อม
เลี้ยงตนให้เป็นสุข ให้อิ่มหนำ� แจกจ่าย กระทำ�บุญ และเป็นผู้ไม่กำ�หนัด ไม่หมกมุ่น ไม่จดจ่อ เห็น
82
๔. ประโยชน์อย่างยิ่ง
๔.๑ เดือยข้าวสาลีหรือเดือยข้าวยวะตั้งไว้เหมาะ มือหรือเท้าย่ำ�เหยียบแล้ว จักทำ�ลายมือ
หรือเท้า หรือว่าจักให้ห้อเลือด ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเดือยตั้งไว้เหมาะ
แม้ฉันใด
ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักทำ�ลายอวิชชา จักยังวิชชาให้เกิด จักกระทำ�ให้แจ้งซึ่งนิพพาน
เพราะทิฏฐิที่ตั้งไว้ชอบ เพราะมรรคภาวนาตั้งไว้ชอบ ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะทิฏฐิที่ตั้งไว้ชอบ.
สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๐/๑๕๐
๔.๒ ธรรมดาเรือย่อมพาคนเป็นอันมากข้ามฟากไปได้ โดยความเป็นระเบียบของไม้จ�ำ นวน
มากที่นำ�มาขนานกันได้ ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควรข้ามทั้งโลกนี้ และเทวโลกที่ขนานกัน
อยู่ไปได้พร้อมๆ กันด้วยธรรมทั้งหลายอันได้แก่ อาจารคุณ ศีลคุณ ข้อวัตรปฏิบัติ ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๓๐
๔.๓ ในอดีตชาติของพระเจ้ามิลินท์ เมื่อครั้งที่เกิดเป็นสามเณรเคยอธิษฐานไว้ว่า ด้วยบุญ
กรรมที่ข้าพเจ้าหอบหยากเยื่อมาทิ้งนี้ เมื่อข้าพเจ้ายังไม่ถึงนิพพาน ข้าพเจ้าไปเกิดที่ใดก็ตาม ขอให้
ข้าพเจ้ามีเดชเหมือนดวงอาทิตย์เที่ยงวัน ขอให้ข้าพเจ้ามีปัญญาไว ทันเหตุผล มีปัญญาไม่รู้จัก
สิ้นสุด เหมือนกับลูกคลื่นในแม่น้ำ�คงคา
84
๕. การเสื่อมจากประโยชน์อย่างยิ่ง
๕.๑ บุคคลประสงค์จะกินผลมะเดื่อ เขย่าต้นมะเดื่อที่มีผลสุก ผลเป็นอันมากหล่นลงมาด้วย
การเขย่าคราวเดียวเท่านั้น เขากินผลที่ควรจะกิน ทิ้งผลเป็นอันมากนอกนี้ไปเสีย ฉันใด
บุคคลใดสุรุ่ยสุร่าย กระทำ�รายจ่ายให้มากกว่ารายได้ บริโภคโภคะ บุคคลนั้นเขาเรียกว่า
กินทิ้งกินขว้าง เหมือนกุลบุตรผู้กินผลมะเดื่อคนนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
อัง.สัตตก. (อรรถ) มก. ๓๗/๕๖๖
๕.๒ หางแหลมของเมล็ดข้าวสาลี หรือหางแหลมของเมล็ดข้าวเหนียวที่บุคคลตั้งไว้ไม่ตรง
มือหรือเท้าย่ำ�เหยียบแล้ว จักทำ�ลายมือหรือเท้า หรือว่าจักให้ห้อเลือด ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะหางแหลมของเมล็ดข้าวอันบุคคลตั้งไว้ไม่ตรง ฉันใด
ภิกษุนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกันจักทำ�ลายอวิชชา จักยังวิชชาให้เกิด จักทำ�นิพพานให้แจ้ง ด้วย
จิตที่ตั้งไว้ผิด ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะจิตตั้งไว้ผิด.
อัง.เอก. (พุทธ) มก. ๓๒/๙๓
๕.๓ พวกคนเขลาไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ได้ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมซบเซา
ดังนกกะเรียนแก่ ซบเซาอยู่ในเปือกตมที่หมดปลา ฉะนั้น
พวกคนเขลาไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ได้ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมนอนทอดถอน
ถึงทรัพย์เก่าเหมือนลูกศรที่ตกจากแล่ง ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๒/๑๔๒
๕.๔ บุคคลผู้มากด้วยการไม่ใส่ใจโดยแยบคายอย่างนี้ ย่อมเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพอยู่
ร่ำ�ไป เปรียบเหมือนเรือซึ่งถูกแรงลมพัดทำ�ให้โคลง และเปรียบเหมือนฝูงโคซึ่งตกลงไปในแม่น้ำ�ไหล
วน.
มู.มู. (อรรถ) มก. ๑๗/๑๕๘
85
เป็นพหูสูต
ปัญญามีการทำ�ให้สว่างเป็นลักษณะ
เหมือนบุรุษส่องประทีปเข้าไปในเรือนที่มืด
แสงสว่างย่อมกำ�จัดความมืดทำ�ให้เห็นรูปทั้งหลาย
87
๑. ปัญญา
๑.๑ ปัญญาเป็นเสมือนรสเกลือที่ใส่เข้าไว้ในกับข้าวทุกชนิด.
สัง.นิ. (อรรถ) มก. ๒๖/๗๖๑
๑.๒ ปัญญามีลักษณะตัด อุปมาเหมือนคนเกี่ยวข้าวจับกอข้าวด้วยมือซ้าย ใช้เคียวตัดด้วย
มือขวา.
มิลิน. ๔๖
๑.๓ ในเรือนมีฝา ๔ ด้าน เวลากลางคืนเมื่อจุดประทีป ความมืดย่อมหายไป ความสว่าง
ย่อมปรากฏ ฉันใด ปัญญามีความสว่างเป็นลักษณะ ก็ฉันนั้น.
ขุ.ม. (อรรถ) มก. ๖๕/๓๔๗
๑.๔ ปัญญามีการทำ�ให้สว่างเป็นลักษณะ เหมือนบุรษุ ส่องประทีปเข้าไปในเรือนทีม่ ดื แสงสว่าง
ย่อมกำ�จัดความมืด ทำ�ให้เห็นรูปทั้งหลาย.
มิลิน. ๕๖
๑.๕ ปัญญามีอยู่แต่แสดงไม่ได้เหมือนลม.
มิลิน. ๑๒๒
88
๓. การศึกษาเล่าเรียน
๓.๑ การเล่าเรียนมี ๓ อย่าง คือ
๑. การเล่าเรียนเหมือนจับงูข้างหาง
๒. การเล่าเรียนมีวัตถุประสงค์เพื่อออกไป
๓. การเล่าเรียนของพระอรหันต์เปรียบด้วยขุนคลัง.
ที.สี. (อรรถ) มก. ๑๑/๑๐๒
๓.๒ ปริยัติที่เรียนมาไม่ดี ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน เหมือน
งูพิษที่จับไม่ดี ฉะนั้น ส่วนปริยัติที่เรียนมาดี ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขตลอด
กาลนาน เหมือนงูพิษที่จับไว้ดี ฉะนั้น.
มู.มู. (พุทธ) มก. ๑๘/๓๐๗
๓.๓ นายโคบาลได้แต่เลี้ยงโคไม่ได้ดื่มนมโค ฉันใด ปุถุชนที่ทรงพระไตรปิฎก ก็ไม่มีส่วนแห่ง
สามัญญผล เหมือนนายโคบาล ฉันนั้น.
มิลิน. ๒๔
๔. ผู้มีปัญญาน้อย
๔.๑ ผู้มีปัญญาน้อยทั้งหลาย หยั่งรู้ได้ยาก และเป็นที่พึ่งไม่ได้ เหมือนมหาสมุทร สัตว์เล็กทั้ง
หลายมีกระต่ายเป็นต้น พึ่งไม่ได้ ฉะนั้น.
ที.สี. (อรรถ) มก. ๑๑/๑๐๑
90
มีศิลปะ
ถ้าบุคคลมีความคิด แม้มีเสนาน้อย
ย่อมชนะบุคคลผู้ไม่มีความคิดที่มีเสนามากได้
พระราชาพระองค์เดียว ย่อมชนะพระราชาทั้งหลายได้
ดุจดวงอาทิตย์อุทัยกำ�จัดความมืด ฉะนั้น
93
๑. มีศิลปะ
๑.๑ ถ้าบุคคลมีความคิด แม้มีเสนาน้อย ย่อมชนะบุคคลผู้ไม่มีความคิดที่มีเสนามากได้
พระราชาพระองค์เดียว ย่อมชนะพระราชาทั้งหลายได้ ดุจดวงอาทิตย์อุทัยกำ�จัดความมืด ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๓/๓๑๗
๑.๒ พราหมณ์ทั้งหลายได้มนต์แล้ว ชื่อว่า ได้ที่พึ่ง
คฤหบดีทั้งหลายได้ศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ชื่อว่า ได้ที่พึ่ง
หญิงทั้งหลายได้บุตรซึ่งเป็นเจ้าของมรดกในตระกูล ชื่อว่า ได้ที่พึ่ง
โจรทั้งหลายได้ศัสตราวุธชนิดใดชนิดหนึ่งแล้ว ชื่อว่า ได้ที่พึ่ง
สมณะทั้งหลายมีศีลบริบูรณ์ ชื่อว่า ได้ที่พึ่ง.
อัง.ฉักก. (อรรถ) มก. ๓๖/๖๘๙
๙
ม ง ค ล ที่
มีวินัย
เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่ขึ้นก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน
คือ แสงเงินแสงทอง สิง่ ทีเ่ ป็นเบือ้ งต้นเป็นนิมติ มาก่อน เพือ่ ความบังเกิด
แห่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ของภิกษุ คือ
ความถึงพร้อมแห่งศีล ฉันนั้นเหมือนกัน
95
๑. ความสำ�คัญของศีล
๑.๑ เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่ขึ้นก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน คือ แสงเงินแสงทอง สิ่งที่
เป็นเบื้องต้นเป็นนิมิตมาก่อน เพื่อความบังเกิดแห่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ของภิกษุ คือ
ความถึงพร้อมแห่งศีล ฉันนั้นเหมือนกัน.
สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๐/๗๕
๑.๒ พีชคาม และภูตคามชนิดใดชนิดหนึ่ง ย่อมถึงความเจริญงอกงามใหญ่โต พีชคาม และ
ภูตคามทั้งหมดนั้นอาศัยแผ่นดิน ตั้งอยู่ในแผ่นดิน จึงถึงความเจริญงอกงามใหญ่โต
แม้ฉันใด ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว เจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำ�ให้
มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมทั้งหลาย ฉัน
นั้นเหมือนกัน.
สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๐/๑๔๔
๑.๓ พวกนาคอาศัยขุนเขาชื่อหิมวันต์ มีกายเติบโต มีกำ�ลัง ครั้นมีกายเติบโตมีกำ�ลังที่ขุน
เขานั้นแล้ว ย่อมลงสู่บึงน้อย ครั้นลงสู่บึงน้อยแล้วย่อมลงสู่บึงใหญ่ ครั้นลงสู่บึงใหญ่แล้วย่อมลงสู่
แม่นํ้าน้อย ครั้นลงสู่แม่นํ้าน้อยแล้วย่อมลงสู่แม่นํ้าใหญ่ ครั้นลงสู่แม่นํ้าใหญ่แล้วย่อมลงสู่มหาสมุทร
สาคร นาคพวกนั้นย่อมถึงความโตใหญ่ทางกายในมหาสมุทรสาครนั้น แม้ฉันใด ภิกษุอาศัยศีล
96
๒. การรักษาศีล
๒.๑ จามรีหางคล้องติดในที่ไหนก็ตาม ปลดขนหางออกไม่ได้ ก็ยอมตายในที่น้ัน แม้ฉันใด
ท่านจงบำ�เพ็ญศีลให้บริบรู ณ์ในภูมทิ ง้ั ๔ จงรักษาศีลไว้ทกุ เมือ่ เหมือนจามรีรกั ษาขนหาง ฉันนัน้ เถิด.
ขุ.อป. (โพธิ) มก. ๗๐/๕๐
๒.๒ นกต้อยตีวิดรักษาฟองไข่ ฉันใด จามรีรักษาขนหาง ฉันใด คนมีบุตรคนเดียวรักษา
บุตรผู้เป็นที่รัก ฉันใด คนมีนัยน์ตาข้างเดียว รักษานัยน์ตาที่ยังเหลืออีกข้าง ฉันใด ท่านทั้งหลายจง
ตามรักษาศีล เหมือนฉันนั้น.
ที.สี. (พุทธ) มก. ๑๑/๑๖๖
97
๓. อานิสงส์ของการรักษาศีล
๓.๑ ภิกษุถึงพร้อมด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะเป็นผู้สำ�รวมด้วยศีล
เหมือนพระราชามหากษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษกกำ�จัดศัตรูได้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัยแม้แต่ไหนๆ เพราะ
ศัตรูนั้น.
ที.สี. (พุทธ) มก. ๑๒/๒๐๗
๓.๒ บัณฑิตผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมรุ่งเรืองส่องสว่างเพียงดังไฟส่องแสงบนยอดเขาใน
กลางคืน.
ที.ปา. (อรรถ) มก. ๑๖/๑๑๐
99
๔. โทษของการทุศีล
๔.๑ ภิกษุใดมีศีลขาด กรรมฐานของภิกษุนั้นย่อมไม่สืบต่อ จิตย่อมปั่นป่วน คือ ถูกไฟ คือ
ความเดือดร้อนแผดเผาอยู่ ดุจถูกทิ่มแทงด้วยปฏัก ฉะนั้น ภิกษุนั้น ย่อมลุกขึ้นในขณะนั้นทีเดียว
เหมือนนั่งอยู่บนก้อนหินที่ร้อน ฉะนั้น.
วิ.มหา. (อรรถ) มก. ๑/๗๖๓
๔.๒ ใบไม้เหลืองเป็นของมีอันไม่งอกงาม โดยความเป็นของเขียวสดอีก ฉันใด แม้บุคคลผู้
พ่ายทั้งหลาย ก็ฉันนั้น ย่อมเป็นผู้ไม่งอกงามโดยความเป็นผู้มีศีลตามปกติอีก.
วิ.ป. (อรรถ) มก. ๑๐/๖๑๗
100
๕. พระวินัย
๕.๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว สงฆ์จำ�นงจะถอนสิกขาบทเล็ก
น้อยก็จงถอนเถิด
102
แม่น้ำ�ที่ไหลรวมลงสู่มหาสมุทร และสายฝนตกลงจากฟากฟ้าก็ไม่ทำ�ให้มหาสมุทรพร่องหรือเต็มได้
๕. ภิกษุเมื่อมาบวชย่อมละชื่อโคตรหมด เทียบกับแม่น้ำ�ที่ไหลลงมหาสมุทรแล้วรวมเรียกว่า
มหาสมุทร
๖. ธรรมวินัยมีรสเดียว คือ วิมุตติรส เทียบกับมหาสมุทรมีรสเดียว
๗. ธรรมวินัยมีรัตนะมาก คือ สติปัฏิฐาน ๔ เป็นต้น เทียบกับมหาสมุทรมีรัตนะมาก
๘. เป็นที่อาศัยของผู้ใหญ่ คือ พระอริยเจ้า เทียบกับมหาสมุทรเป็นที่อยู่ของสัตว์ขนาดใหญ่.
วิ.ปุ. (พุทธ) มก. ๙/๓๙๘
๕.๘ พระบรมศาสดาเปรียบสิกขาบทเหมือนเชือกร้อยมาลัยไว้ ลมไม่อาจจะพัดดอกไม้ต่าง
พรรณนั้นให้กระจายไปได้ สิกขาบทจะพึงรักษาพระพุทธศาสนาให้ดำ�รงอยู่ได้นาน แต่พระบรม
ศาสดาจะยังไม่บัญญัติสิกขาบทจนกว่าพระสงฆ์มีจำ�นวนมาก ลาภสักการะเกิดขึ้นมาก และธรรม
เป็นที่ตั้งแห่งอาสวะปรากฏในสงฆ์.
วิ.มหา. (พุทธ) มก. ๑/๑๕
๑๐ม ง ค ล ที่
มีวาจาสุภาษิต
ดอกไม้งามมีสีแต่ไม่มีกลิ่น ฉันใด
วาจาสุภาษิตย่อมไม่มีผลแก่บุคคลผู้ไม่ทำ�อยู่ ฉันนั้น
ดอกไม้งามมีสีมีกลิ่น ฉันใด
วาจาสุภาษิตย่อมมีผลแก่บุคคลผู้ทำ�อยู่ ฉันนั้น
105
๑. วาจาสุภาษิต
๑.๑ ดอกไม้งามมีสีแต่ไม่มีกลิ่น ฉันใด วาจาสุภาษิตย่อมไม่มีผลแก่บุคคลผู้ไม่ทำ�อยู่ ฉันนั้น
ดอกไม้งามมีสีมีกลิ่น ฉันใด วาจาสุภาษิตย่อมมีผลแก่บุคคลผู้ทำ�อยู่ ฉันนั้น.
ขุ.เถร. (อรรถ) มก. ๕๒/๗๘
๑.๒ หมู่มฤคย่อมอดทนการบันลือของสีหะไม่ได้ การบันลือของสีหะนั่นแหละจะข่มขู่คุกคาม
หมู่มฤคเหล่านั้น ฉันใด วาทะของอัญญเดียรถีย์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จะทนวาทะของ
พระเถระทั้งหลายไม่ได้ ที่แท้วาทะของพระเถระนั่นแหละ จะครอบงำ�วาทะของเดียรถีย์เหล่านั้น.
ขุ.เถร. (อรรถ) มก. ๕๐/๒๕
๑.๓ ถ้อยคำ�ของบิดาอันประกอบด้วยกรุณา ย่อมเป็นประโยชน์แก่บุตรทั้งหลาย น้ำ�มูตรโคที่
ดองยาถึงจะมีกลิ่นเหม็น แต่เมื่อบุคคลดื่มแล้วก็แก้โรคทั้งปวงได้ ปุยนุ่นถึงจะใหญ่เวลาตกถูก
ร่างกายของผู้อื่นก็ไม่ทำ�ให้เจ็บปวด ฉันใด พระวาจาของพระตถาคตถึงจะเป็นผรุสวาจา ก็ไม่ทำ�ให้
เกิดทุกข์แก่ใคร ย่อมทำ�ลายกิเลสของสัตว์ทั้งปวงได้ ฉันนั้น.
มิลิน. ๒๓๙
106
๒. พูดจริง
๒.๑ คนมีถ้อยคำ�เป็นหลักฐาน เหมือนรอยจารึกบนแผ่นหิน และเหมือนเสาเขื่อน.
ที.สี. (อรรถ) มก. ๑๑/๑๙๓
๒.๒ แม้ถึงลมจะพึงพัดภูเขามาได้ ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์จะพึงตกในแผ่นดินได้ แม่น้ำ�
ทั้งหมดจะพึงไหลทวนกระแสได้ ถึงอย่างนั้นข้าพเจ้าจะพึงพูดเท็จไม่ได้.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๒/๖๗๓
๒.๓ ฟ้าจะพึงแตกได้ ทะเลจะพึงแห้งได้ แผ่นดินอันทรงไว้ซึ่งภูตจะพึงพลิกได้ ภูเขาสิเนรุจะ
พึงเพิกถอนได้ตลอดราก ถึงอย่างนั้นข้าพเจ้าก็พูดเท็จไม่ได้.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๒/๖๗๔
๒.๔ บุรุษรู้อยู่จะพึงกินยาพิษ หรือจับอสรพิษที่มีฤทธิ์รุ่งโรจน์มีเดชกล้าได้ หรือบุคคลใดพึง
กินคนที่กล่าวคำ�สัตย์เช่นกับพระองค์ ศีรษะของบุคคลนั้นจะต้องแตกออกเป็น ๗ เสี่ยงแน่.
ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๖๒/๖๙๓
๓. พูดไพเราะ ไม่หยาบคาย
๓.๑ จิตละเอียดอ่อนย่อมไม่เป็นผรุสวาจา ฉันใด คำ�พูดละเอียดอ่อนไม่เป็นผรุสวาจา ฉันนัน้ .
ขุ.ม. (อรรถ) มก. ๖๖/๖๔๙
๓.๒ ท่านอย่ากล่าวคำ�หยาบกะใครๆ ผูท้ ท่ี า่ นกล่าวแล้วก็จะโต้ตอบท่านด้วยถ้อยคำ�ทีแ่ ข่งดีกนั
นำ�ทุกข์มาให้ ผูท้ �ำ ตอบก็พงึ ประสบทุกข์ ท่านไม่ยงั ตนให้หวัน่ ไหว ดุจกังสดาลถูกเลาะขอบออกแล้ว.
อัง.เอกก. (พุทธ) มก. ๓๒/๔๑๐
๓.๓ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งพระวาจาได้เร็ว ไพเราะ คือ ทรงเปล่งไม่ช้า เปล่งพระ
วาจาได้ไพเราะจับใจ เหมือนหงส์ทองเมื่อหาเหยื่อ ได้เห็นป่าใกล้สระ จึงชูคอกระพือปีก ร่าเริงดีใจ
ค่อยๆ ไม่รีบด่วน ส่งเสียงไพเราะ.
ขุ.เถร. (อรรถ) มก. ๕๓/๕๔๙
๔. พูดถูกกาล
๔.๑ ลูกนกดุเหว่านี้เจริญเติบโตได้เพราะนางกา ปีกยังไม่ทันแข็งก็ร้องเป็นเสียงดุเหว่า ใน
เวลาไม่ควรร้อง นางการู้ว่าลูกนกดุเหว่านี้ไม่ใช่ลูก จึงตีด้วยจงอยปากให้ตกลงมา จะเป็นมนุษย์หรือ
สัตว์เดียรัจฉานก็ตาม พูดมากในกาลไม่ควรพูด ย่อมได้ทุกข์เห็นปานนี้... เมื่อยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด
ผู้ใดพูดเกินเวลาไป ผู้นั้นย่อมถูกทำ�ร้ายดุจลูกนกดุเหว่า ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๘/๕๙๐
107
๕. วาจาทุภาษิต
๕.๑ คนผู้มีถ้อยคำ�ไม่เป็นหลักฐานเหมือนย้อมผ้าด้วยขมิ้น เหมือนหลักไม้ที่ปักไว้ในกอง
แกลบ และเหมือนฟักเขียวที่วางไว้บนหลังม้า.
อัง.สัตตก. (อรรถ) มก. ๓๔/๔๐๑
๕.๒ คำ�พูดเหลาะแหละมาก มีคำ�พูดจริงน้อยเหมือนเช่นการต้มแกงถั่ว ถั่วเขียวส่วนมากสุก
ส่วนน้อยไม่สุก ฉะนั้น.
ขุ.ม. (อรรถ) มก. ๖๖/๔๑๐
๕.๓ ผู้ใดปากบอนจัดเป็นพวกอสัตบุรุษ ชอบกล่าวถ้อยคำ�ในที่ประชุมชน นักปราชญ์ทั้ง
หลายเรียกผู้นั้นว่า เป็นผู้มีปากชั่วร้ายคล้ายอสรพิษ ควรระมัดระวังคนเช่นนั้นเสียให้ห่างไกล.
ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๖๑/๔๖๒
๕.๔ ฉันเองเป็นคนโง่เขลา กล่าวคำ�ชั่วช้า เหมือนกบในป่า ร้องเรียกงูมาให้กินตน ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๖๐/๓๐๓
๖. พูดโกหก
๖.๑ ชีวิตอันช้างต้นยอมสละแล้ว ไม่มีอะไรที่ช้างต้นจะพึงทำ�ไม่ได้ ฉันใด ดูก่อนราหุล เรา
กล่าวว่าบุคคล ผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งที่รู้อยู่ ที่จะไม่ทำ�บาปกรรมแม้น้อยหนึ่งไม่มี
ฉันนั้นเหมือนกัน.
ม.ม. (พุทธ) มก. ๒๐/๒๖๕
๖.๒ ผู้ใดแลพูดว่าจักให้ แล้วมากลับใจว่าไม่ให้ ผู้นั้นเหมือนกับสวมบ่วงที่ตกลงยังพื้นดิน
ไว้ที่คอ
ผู้ใดแลพูดว่าจักให้ แล้วมากลับใจว่าไม่ให้ ผู้นั้นเป็นคนลามกยิ่งกว่าผู้ที่ลามก ทั้งจะต้องเข้า
ถึงสถานที่ลงอาญาของพญายม.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๑/๕๗
๖.๓ การพูดเท็จเปรียบเหมือนเถ้า เพราะไม่รุ่งเรือง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า
เหมือนไฟถูกเถ้าปกปิดย่อมไม่รุ่งเรือง ฉันใด ญาณของท่านถูกปกปิดด้วยการพูดเท็จ ก็ฉันนั้น.
ขุ.จู. (พุทธ) มก. ๖๗/๙๘
๖.๔ การกล่าวเท็จเป็นอาบัติหนักเบาตามวัตถุ เป็นปาราชิกก็ได้ เป็นปาจิตตีย์ก็ได้ เหมือน
บุรุษตีบุรุษ อาจได้รับโทษด้วยการปรับ แต่ถ้าบุรุษตีพระราชาต้องถูกตัดมือ หรือประหารชีวิต
โทษจึงหนักตามวัตถุ.
มิลิน. ๒๗๑
108
๗. พูดหยาบคาย
๗.๑ การกล่าวติพระรัตนตรัย ซึ่งควรสรรเสริญเท่านั้น จักถึงความพินาศย่อยยับเหมือนคน
กลืนไฟ เหมือนคนเอามือลูบคมดาบ เหมือนคนเอากำ�ปั้นทำ�ลายภูเขาสิเนรุ เหมือนคนเล่นอยู่แถวซี่
ฟันเลื่อย และเหมือนคนเอามือจับช้างซับมันที่ดุร้าย.
ที.สี. (อรรถ) มก. ๑๑/๑๓๓
๗.๒ ผู้ใดบริภาษฤาษี ผู้นั้นชื่อว่า ขุดภูเขาด้วยเล็บ ชื่อว่า เคี้ยวกินก้อนเหล็กด้วยฟัน ชื่อว่า
พยายามกลืนกินไฟ.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๑/๑๙
๗.๓ คำ�ว่า “หยาบ” คือ เสีย เป็นวาจาที่หยาบคาย เหมือนต้นไม้ที่เสียเป็นต้นไม้ที่ขรุขระ
มีขุยไหลออกฉะนั้น วาจานั้น ย่อมเหมือนกับไม้ที่ขรุขระครูดหูเข้าไป ฉะนั้น.
ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๙/๒๖๓
๗.๔ บุคคลแม้กล่าวถ้อยคำ�ที่อิงประโยชน์ ก็ไม่ควรกล่าวกระทบเสียดแทงผู้อื่น ท่านกล่าว
คำ�หยาบคายมากเหมือนโกนผมด้วยมีดโกนไม่คม.
ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๕๙/๓๒๘
๗.๕ คำ�ว่า “ทิ่มแทงผู้อื่น” คือ วาจาที่แทงไปในของรัก เหมือนกิ่งไม้คดมีหนามกระทบ
กระแทกคนเหล่าอื่น.
ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๙/๒๖๓
๘. การรักษาความลับ
๘.๑ บัณฑิตย่อมอดทนคำ�ด่า คำ�บริภาษ และการประหารของคนผู้รู้ความลับ ซึ่งคนอื่นไม่รู้
เพราะกลัวจะขยายความลับที่คิดไว้ เหมือนคนที่เป็นทาส อดทนต่อคำ�ด่าว่าของนาย ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๑/๒๓๗
๘.๒ ไม่ควรเปิดเผยความลับ ควรรักษาความลับไว้เหมือนรักษาขุมทรัพย์ ฉะนั้น ความลับ
อันบุคคลผู้รู้แจ่มแจ้ง ไม่เปิดเผยนั่นแหละเป็นความดี.
ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๖๑/๒๓๗
109
๑๑ม ง ค ล ที่
บำ�รุงบิดามารดา
มารดาบิดาทั้งหลายเป็นผู้เอ็นดู ชื่อว่า
เป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์
และเป็นอาหุไนยของบุตรทั้งหลาย
111
๑. พระคุณบิดามารดา
๑.๑ โยมมารดาของเราดีแท้ เพราะได้แนะนำ�ให้เรารู้สึกตัว เหมือนบุคคลแทงพาหนะด้วย
ปฏัก ฉะนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๙๒
๑.๒ มารดาบิดาทั้งหลายเป็นผู้เอ็นดู ชื่อว่า เป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์ และเป็นอาหุไนย
ของบุตรทั้งหลาย.
อัง.จตุกก. (พุทธ) มก. ๓๔/๑๕๐
๒. ความกตัญญูกตเวที
๒.๑ พญานกแขกเต้ากล่าวว่า ข้าพเจ้านำ�ข้าวสาลีของท่านไปถึงยอดงิ้วแล้ว ก็เปลื้องหนี้
เก่า...
พราหมณ์ถามว่า การเปลื้องหนี้ของท่านเป็นอย่างไร
พญานก : มารดา และบิดาของข้าพเจ้าแก่เฒ่าล่วงกาลผ่านวัยไปแล้ว ข้าพเจ้าคาบเอาข้าว
สาลีไปด้วยจะงอยปาก เพื่อท่านเหล่านั้น ชื่อว่า เปลื้องหนี้ที่ท่านทำ�ไว้ก่อน.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๐/๓๕๗
112
๓. ลูกอกตัญญู
๓.๑ เราชื่นชม และปรารถนาความเจริญแก่บุตรเหล่าใด บุตรเหล่านั้นคบคิดกันกับภรรยา
รุมว่าเรา ดังสุนัขรุมเห่าสุกร เขาว่าพวกมันเป็นอสัตบุรุษ ร้องเรียกเราว่า พ่อๆ พวกมันประดุจยักษ์
แปลงเป็นบุตร ละทิ้งเราผู้ล่วงเข้าปัจฉิมวัย กำ�จัดคนแก่ไม่มีสมบัติออกจากที่อยู่อาศัย ดังม้าแก่ที่
เจ้าของปล่อยทิ้ง ฉะนั้น.
สัง.ส. (พุทธ) มก. ๒๕/๒๗๕
๓.๒ ข้าพเจ้าเพลิดเพลินด้วยบุตรที่เกิดแล้ว และปรารถนาความเจริญแก่บุตรเหล่าใด บุตร
เหล่านั้นถูกภรรยายุยง ย่อมรุกรานข้าพเจ้าเหมือนสุนัขรุกรานสุกร ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (ทั่วไป) มก. ๔๓/๒๓๕
๓.๓ บุตรเหล่านั้นเป็นอสัตบุรุษ เลวทราม เรียกข้าพเจ้าว่า พ่อๆ พวกเขาคือ รากษสแปลง
มาในรูปบุตร ย่อมทอดทิ้งข้าพเจ้าผู้ถึงความเสื่อมชรา ต้องเที่ยวขอทานที่เรือนของชนเหล่าอื่น
เหมือนม้าแก่ใช้การงานไม่ได้ ถูกเขาพรากไปจากอาหาร ฉะนั้น.
ขุ.ธ.( ทั่วไป) มก. ๔๓/๒๓๕
๓.๔ ไม้เท้าของข้าพเจ้ายังประเสริฐกว่า บุตรทั้งหลายไม่เชื่อฟังจะประเสริฐอะไร เพราะไม้
เท้ากันโคดุก็ได้ กันสุนัขก็ได้ มีไว้ยันข้างหน้าเวลามืดก็ได้ ใช้หยั่งลงไปในที่ลึกก็ได้ เพราะอานุภาพ
แห่งไม้เท้า คนแก่เช่นข้าพเจ้าพลาดแล้วก็กลับยืนขึ้นอีกได้.
ขุ.ธ. (ทั่วไป) มก. ๔๓/๒๓๖
๓.๕ พระราชาใดชนะคนที่ไม่ควรชนะ พระราชานั้นไม่ชื่อว่า เป็นพระราชา ผู้ใดเอาชนะ
เพื่อน ผู้นั้นไม่ชื่อว่า เป็นเพื่อน ภรรยาใดไม่กลัวเกรงสามี ภรรยานั้นไม่ชื่อว่า เป็นภรรยา บุตรเหล่า
ใดไม่เลี้ยงดูมารดาบิดาผู้แก่แล้ว บุตรเหล่านั้นไม่ชื่อว่า เป็นบุตร.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๒/๖๓๘
๓.๖ คนผู้สามารถแต่ไม่เลี้ยงมารดา หรือบิดาผู้แก่เฒ่าผ่านวัยหนุ่มสาวไปแล้ว พึงรู้ว่าเป็น
ถ่อย.
ขู.สุ. (พุทธ) มก. ๔๖/๓๒๘
113
๑๒
ม ง ค ล ที่
เลี้ยงดูบุตร
พญานก กล่าวว่า ข้าพเจ้านำ�ข้าวสาลีของท่าน
ไปถึงยอดงิ้วแล้ว... ให้เขากู้หนี้ใหม่...
พราหมณ์ถามว่า การให้กู้หนี้ของท่านเป็นอย่างไร
พญานก : ข้าแต่ท่านโกสิยะ บุตรน้อยทั้งหลายของข้าพเจ้ายังอ่อน
ขนปีกยังไม่ขึ้น บุตรเหล่านั้นข้าพเจ้าเลี้ยงมาแล้ว เขาจักเลี้ยงข้าพเจ้าบ้าง
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงชื่อว่า ให้บุตรเหล่านั้นกู้หนี้
115
๑. การอยู่ในครรภ์
๑.๑ เหมือนอย่างว่ามารดานั่งหรือนอนกับบุตร ยกมือหรือเท้าของบุตรนั้นห้อยลง คิดว่าเรา
จักให้บุตรแข็งแรง มองดูบุตรเพื่ออยู่อย่างสบาย ฉันใด แม้พระมารดาของพระโพธิสัตว์ ก็ฉันนั้น
คิดว่า ทุกข์ใดเกิดแก่ครรภ์ในขณะที่มารดายืน เดิน เคลื่อนไปมา นั่ง กลืนอาหารร้อน เย็น เค็ม
ขม เผ็ด เป็นต้น มารดาเฝ้าคิดว่า ทุกข์นั้นจะมีแก่บุตรของเรา หรือไม่หนอ แล้วมองดูพระโพธิสัตว์
เพื่ออยู่อย่างสบาย.
ที.ม. (อรรถ) มก. ๑๓/๑๐๕
๒. ความรักในบุตร
๒.๑ ถ้าพระองค์ทรงทราบ หรือทรงได้สดับข่าวลูกทั้งสองของพระราชบุตรีนั้น ขอได้ทรง
พระกรุณาตรัสบอกแก่ข้าพระบาทโดยเร็วพลัน ดังหมอรีบพยาบาลคนที่ถูกงูกัด ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๔/๕๘๙
๒.๒ พญานกแขกเต้ากล่าวว่า ข้าพเจ้านำ�ข้าวสาลีของท่านไปถึงยอดงิ้วแล้ว... ให้เขากู้หนี้
ใหม่...
พราหมณ์ถามว่า การให้กู้หนี้ของท่านเป็นอย่างไร
116
สงเคราะห์ภรรยา (สามี)
ภริยาของบุรุษ ๗ จำ�พวก คือ เสมอด้วยเพชฌฆาต เสมอด้วยโจร
เสมอด้วยนาย เสมอด้วยแม่ เสมอด้วยพี่สาว น้องสาว
เสมอด้วยเพื่อน เสมอด้วยทาสี
119
๑. ประเภทของภรรยา (สามี)
๑.๑ ภริยาของบุรุษ ๗ จำ�พวก คือ เสมอด้วยเพชฌฆาต เสมอด้วยโจร เสมอด้วยนาย
เสมอด้วยแม่ เสมอด้วยพี่สาว น้องสาว เสมอด้วยเพื่อน เสมอด้วยทาสี.
อัง.สัตต. (พุทธ) มก. ๓๗/๑๙๗
๑.๒ การอยู่ร่วมกัน ๔ ประเภท คือ ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผี ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา
ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผี ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา.
อัง.จตุกก. (พุทธ) มก. ๓๕/๑๘๗
๒. การสงเคราะห์ภรรยา (สามี)
๒.๑ น้องผู้มีรัศมีอันเปล่งปลั่ง เป็นที่รักของพี่ ดุจลมเป็นที่ใคร่ของผู้มีเหงื่อ ดุจน้ำ�เป็นที่ปร
ารถนาของคนผู้กระหาย ดุจธรรมเป็นที่รักของพระอรหันต์ทั้งหลาย ดุจยาเป็นที่รักของคนไข้หนัก
ดุจโภชนะเป็นที่รักของคนหิว ฉะนั้น.
ที.ม. (อรรถ) มก. ๑๔/๑๒๒
๒.๒ หม่อมฉันผู้เป็นภรรยาบำ�รุงสามี และลูกทั้งสองตลอดวันคืน ดุจมาณพบำ�รุงอาจารย์.
ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๖๔/๗๕๐
120
๓. การตัดใจจากสามี-ภรรยา
๓.๑ บุคคลควรละทิ้งผู้ที่ละทิ้งตน ไม่ควรทำ�ความอาลัยรักใคร่ในบุคคลเช่นนั้น ไม่ควร
สมาคมกับคนที่เขาไม่ใฝ่ใจกับตน เหมือนนกรู้ว่าต้นไม้หมดผลแล้ว ก็ละทิ้งไปหาต้นไม้อื่น เพราะโลก
เป็นของกว้างใหญ่.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๗/๓๙๙
๓.๒ ลูกเอ๋ย คนที่มีจิตเหมือนน้ำ�ย้อมขมิ้น มีจิตกลับกลอก รักง่ายหน่ายเร็ว เจ้าอย่าคบหา
คนเช่นนั้นเลย ถึงหากว่าพื้นชมพูทวีปทั้งสิ้นจะไม่มีมนุษย์ก็ตาม.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๘/๖๙๕
121
๑๔
ม ง ค ล ที่
ทำ�งานไม่คั่งค้าง
นรชนจะเป็นผู้มีชาติกำ�เนิดเลวทราม แต่เป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียร
มีปัญญาประกอบด้วยอาจาระ และศีล
ย่อมรุ่งเรืองแจ่มใส เหมือนกองไฟในยามราตรี ฉันนั้น
123
๑. อิทธิบาท ๔
๑.๑ ธรรมดาราชสีห์ย่อมเที่ยวไปด้วยเท้าทั้งสี่อย่างองอาจ ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียร
ก็ควรเที่ยวไปด้วยอิทธิบาท ๔ ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๔๙
๑.๒ นรชนจะเป็ น ผู้ มี ช าติ กำ� เนิ ด เลวทราม แต่ เป็ น ผู้ มี ค วามขยั น หมั่ น เพี ย ร มี ปั ญ ญา
ประกอบด้วยอาจาระ และศีล ย่อมรุ่งเรืองแจ่มใส เหมือนกองไฟในยามราตรี ฉันนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๑/๒๔
๑.๓ มื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่ขึ้นก่อน คือ แสงเงินแสงทองเป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตมาก่อน
เพื่อความบังเกิดแห่งอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ของภิกษุ คือ ความถึงพร้อมแห่งฉันทะ ฉันนั้น
เหมือนกัน.
สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๐/๗๕
๑.๔ กรรมที่บุคคลใดพิจารณาถี่ถ้วนก่อนแล้วทำ �ลงไป ผลอันเจริญย่อมมีแก่บุคคลนั้น
เหมือนความถึงพร้อมแห่งยาแก้โรค ฉันนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๑/๑๖๕
124
๒. โทษของความเกียจคร้าน
๒.๑ ท่านจงยกตนของท่านขึ้นจากความเกียจคร้าน เหมือนช่างศรยกลูกศรขึ้นดัด ฉะนั้น
ท่านจงทำ�จิตให้ตรงแล้วทำ�ลายอวิชชาเสีย.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๐/๑๘๖
๒.๒ พวกคนเขลาไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ได้ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมซบเซา
ดังนกกะเรียนแก่ ซบเซาอยู่ในเปือกตมที่หมดปลา ฉันนั้น
พวกคนเขลาไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ได้ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมนอนทอดถอน
ถึงทรัพย์เก่า เหมือนลูกศรที่ตกจากแล่ง ฉันนั้น.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๒/๑๘๔
๒.๓ กำ�ลังคลื่นแห่งมหาสมุทร ย่อมครอบงำ�บุรุษผู้ไม่อาจข้ามมหาสมุทรนั้นได้ ฉันใด ชาติ
และชราย่อมครอบงำ�ท่านผู้ถูกความเกียจคร้านครอบงำ�แล้ว ฉันนั้น.
ขุ.เถร. (อรรถ) มก. ๕๒/๑๘๙
๓. การทำ�งานโดยไม่พิจารณา
๓.๑ ผู้ใดรีบด่วนในเวลาที่ควรช้า และช้าในเวลาที่ควรรีบด่วน ผู้นั้นเป็นพาลย่อมประสพ
ทุกข์ เพราะไม่จัดแจงโดยอุบายอันชอบ ประโยชน์ของผู้นั้นย่อมเสื่อมไป เหมือนพระจันทร์ข้างแรม
เขาย่อมถึงความเสื่อมยศ และแตกจากมิตรทั้งหลาย.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๓๖
๓.๒ การงานย่อมเผาบุคคลผู้มิได้พิจารณาแล้ว รีบร้อนจะทำ�ให้สำ�เร็จ เหมือนกับของร้อนที่
บุคคลไม่พิจารณาก่อนแล้วใส่เข้าไปในปาก ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๗/๑๔
๓.๓ กรรมที่บุคคลไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วนเสียก่อน แล้วทำ�ลงไป ผลชั่วร้ายย่อมมีแก่บุคคลนั้น
เหมือนความวิบัติแห่งยาแก้โรค ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๑/๑๖๕
125
๔. โทษของการคบคนเกียจคร้าน
๔.๑ แม้บุคคลผู้มีความเป็นอยู่ดี แต่อาศัยบุคคลผู้เกียจคร้าน ย่อมจมลงในมหาสมุทร คือ
วัฏสงสาร เปรียบเหมือนบุคคลขึ้นสู่แพไม้น้อยๆ พึงจบลงในมหาสมุทร.
ขุ.อิติ. (อรรถ) มก. ๔๕/๔๗๘
๔.๒ เต่าตาบอดเกาะบนขอนไม้เล็กๆ จมลงไปในห้วงน้ำ�ใหญ่ ฉันใด กุลบุตรอาศัยคน
เกียจคร้านดำ�รงชีพ ย่อมจมลงในวัฏสงสาร ฉันนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๑/๖๓
๔.๓ คนเกาะไม้เล็กๆ ต้องจมอยู่ในห้วงน้ำ�ใหญ่ ฉันใด คนแม้ดำ�รงอย่างดี แต่อยู่ร่วมกับคน
เกียจคร้าน ก็ต้องจมอยู่ในวัฏสงสาร ฉันนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๑/๓๒๑
๑๕
ม ง ค ล ที่
บำ�เพ็ญทาน
หม้อน้ำ�ที่เต็ม ใครผู้ใดผู้หนึ่งคว่ำ�ลง ก็จะคายน้ำ�ออกจนไม่เหลือ
ไม่ยอมรักษาไว้ แม้ฉันใด
ท่านเห็นยาจกไม่ว่าจะต่ำ�ทราม สูงส่ง และปานกลาง
จงให้ทานอย่าให้เหลือ เหมือนหม้อน้ำ�ที่คว่ำ�ลง ฉันนั้นเถิด
127
๑. ผู้รับบริสุทธิ์
๑.๑ ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเดินทางมา บุญเขตนี้มาถึงแก่เราผู้เป็นสัตว์ที่ต้องการบุญ
เปรียบเหมือนบุรุษชาวนาเห็นนาอันเป็นอู่ข้าว อู่น้ำ�.
ขุ.จริยา (พุทธ) มจ. ๓๓/๗๒๙
๑.๒ ทานที่ถวายพระสงฆ์ย่อมมีผลมาก ด้วยว่าพระสงฆ์เป็นเขตกว้างใหญ่ คำ�นวนนับมิได้
เหมือนสาครมหาสมุทรนับจำ�นวนมิได้.
ขุ.วิ. (อรรถ) มก. ๔๘/๓๕๙
๑.๓ ธรรมดาอาหารย่อมเป็นที่ต้องการแก่สัตว์ทั้งปวง ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควร
เป็นผู้ที่โลกทั้งปวงต้องการ ฉันนั้น
ข้อนี้สมกับคำ�ของพระโมฆราชเถรเจ้าว่า ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแน่ใจในความเป็นสมณะ
ของตนด้วยศีล และข้อปฏิบัติ ควรให้เป็นที่ปรารถนาของโลกทั้งปวง.
มิลิน. ๔๖๓
๑.๔ นาทั้งหลายที่มีหญ้าเป็นที่ประทุษร้าย หมู่สัตว์ที่มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นเครื่องประทุษ
ร้าย เพราะเหตุนั้นแล ทานที่บุคคลให้แล้วในท่านที่ปราศจากจึงมีผลมาก.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๒/๓๑๓
128
๒. ผู้รับไม่บริสุทธิ์
๒.๑ ทายกเป็นคนมีศีล ถวายไทยธรรมที่เกิดขึ้นโดยธรรม แต่ปฏิคคาหก (ผู้รับ) เป็นคน
ทุศีล ทักษิณานี้เป็นเหมือนทักษิณาของพระเวสสันดรมหาราช.
ที.ปา. (อรรถ) มก. ๑๖/๓๕๖
๒.๒ ข้าพระองค์จะต้องการอะไรด้วยทานอันว่างเปล่าจากทักขิไณยบุคคล ยักษ์ชื่ออินทกะ
นี้ถวายทานแล้วนิดหน่อย ยังรุ่งเรืองยิ่งกว่าข้าพระองค์ ดุจพระจันทร์ในหมู่ดาว.
ขุ.ธ. (ทั่วไป) มก. ๔๒/๓๑๒
๒.๓ ชาวนาผู้ฉลาดได้นาแม้ไม่ดี ไถในสมัยกำ�จัดฝุ่น ปลูกพืชที่มีสาระ ดูแลตลอดคืนวัน
เมื่อไม่ถึงความประมาท ย่อมได้ข้าวดีกว่านาที่ไม่ดูแลของคนอื่น ฉันใด ผู้มีศีลแม้ให้ทานแก่ผู้ทุศีล
ย่อมได้ผลมาก ฉันนั้น.
ม.อุ. (อรรถ) มก. ๒๓/๔๑๐
๓. ผู้ให้
๓.๑ หม้อน้ำ�ที่เต็ม ใครผู้ใดผู้หนึ่งคว่ำ�ลง ก็จะคายน้ำ�ออกจนไม่เหลือ ไม่ยอมรักษาไว้ แม้
ฉันใด ท่านเห็นยาจกไม่ว่าจะต่ำ�ทราม สูงส่ง และปานกลาง จงให้ทานอย่าให้เหลือ เหมือนหม้อน้ำ�ที่
คว่ำ�ลง ฉันนั้นเถิด.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๕/๓๔
๓.๒ ใครจะพึงบอกข่าวพระเวสสันดร พระองค์เป็นที่อาศัยของเหล่ายาจก เช่น ธรณีดล
เป็นที่อาศัยแห่งเหล่าสัตว์ ผู้เปรียบเหมือนแม่ธรณีแก่เราได้
พระองค์เปรียบเหมือนสระน้ำ�มีท่าอันงาม ลงดื่มได้ง่าย มีน้ำ�เย็น น่ารื่นรมย์ ดารดาษไป
ด้วยดอกบัวขาบ ประกอบด้วยละอองเกสร
พระองค์เปรียบเหมือนนิโครธใกล้ทาง มีร่มเงาน่ารื่นรมย์ใจ เป็นที่พักอาศัยของคนเดินทาง
ผู้เมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยมาในเวลาร้อน
130
พระองค์เป็นที่ไปเฝ้าของเหล่ายาจก ดังสาครเป็นที่ไหลไปแห่งแม่น้ำ�น้อยใหญ่.
ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๖๔/๖๘๑
๓.๓ บุคคลได้พบสมณะ พราหมณ์ คนกำ�พร้า คนเดินทาง วณิพกแล้ว ย่อมไม่แบ่งข้าว น้� ำ
และเครือ่ งบริโภคให้ บัณฑิตทัง้ หลายกล่าวบุคคลผูเ้ ป็นบุรษุ ต่�ำ ทรามนัน้ แลว่า เป็นผูเ้ สมอด้วยฝนไม่ตก
บุคคลใดย่อมไม่ให้ไทยธรรมแก่บุคคลบางพวก ย่อมให้แก่บุคคลบางพวก ชนผู้มีปัญญาทั้ง
หลายกล่าวบุคคลนั้นว่า ดุจฝนตกในที่บางส่วน บุรุษผู้ที่เขาออกปากขอได้ง่าย ผู้อนุเคราะห์สัตว์ทั่ว
หน้า มีใจยินดีประดุจโปรยไทยธรรม พูดแต่คำ�ว่า จงให้ๆ
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้รวบรวมทรัพย์ที่ตนได้แล้วด้วยความหมั่น โดยชอบธรรม ยัง
วณิพกทั้งหลายผู้มาถึงแล้วให้อิ่มหนำ�ด้วยข้าว และน้ำ�โดยชอบ เปรียบเหมือนเมฆฝนส่งเสียงร้อง
คำ�ราม ย่อมยังฝนให้ตก ยังน้ำ�ให้ไหลนองเต็มที่ดอนและที่ลุ่ม ฉะนั้น.
ขุ.อิติ. (พุทธ) มก. ๔๕/๔๖๒
๓.๔ นางรู้แจ้งซึ่งแขก คือ ภิกษุผู้มีกาลอันถึงแล้ว นิมนต์ให้นั่งในเรือนของพราหมณ์ ยินดี
ต่อภิกษุนั้นเป็นนิตย์ ดังมารดายินดีต่อบุตรผู้จากไปนานกลับมาถึง ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๖๓/๒๘๐
๓.๕ เราตกแต่งทรัพย์ไว้สำ�หรับยาจกในที่หลายร้อยแห่ง วณิพกจะมาในเวลากลางวันก็ตาม
หรือในเวลากลางคืนก็ตาม ก็ได้โภคะตามความปรารถนาพอเต็มมือกลับไป เราได้ให้มหาทานเห็น
ปานนี้ จนตราบเท่าสิ้นชีวิต เราได้ให้ทรัพย์ที่น่าเกลียดก็หามิได้ เปรียบเหมือนคนไข้กระสับกระส่าย
เพื่อจะพ้นจากโรค ต้องการให้หมอพอใจด้วยทรัพย์ จึงหายจากโรคได้.
ขุ. จริยา. (พุทธ) มก. ๗๔/๘๐
๔. การให้อวัยวะเป็นทาน
๔.๑ พระโพธิสัตว์ (กระต่าย) นั้นลุกขึ้นจากที่นอนหญ้าแพรกของตน แล้วไปที่กองถ่านเพลิง
นั้น คิดว่าถ้าสัตว์เล็กๆ ในระหว่างขนของเรามีอยู่ สัตว์นั้นอย่าตายด้วยเลย แล้วสะบัดตัว ๓ ครั้ง
บริจาคร่างกายทั้งสิ้น กระโดดโลดเต้นมีใจเบิกบาน กระโดดลงในกองถ่านเพลิง เหมือนพระยาหงส์
กระโดดลงในกอปทุม ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (อรรถ) มก. ๕๘/๔๘๘
๔.๒ เราจะนำ�เนื้อหทัยนั้นออกด้วยหอก แล้วนำ�เนื้อหทัยซึ่งมีหยาดเลือดไหล ดุจยกดอกบัว
พร้อมด้วยก้านขึ้นจากน้ำ�ใสแล้วจักให้.
ขุ.จริยา. (อรรถ) มก. ๗๔/๑๕๑
131
๕. ความเคารพในทาน
๕.๑ พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างอยู่ในนภากาศ อันปราศจากเมฆฝน ฉันใด ข้าพเจ้าและ
ภรรยา เมื่อยังอยู่ในมนุษย์โลกได้ถวายที่อยู่แก่พระอรหันต์ มีจิตเลื่อมใส เมื่อบริจาคข้าว และน้ำ�อัน
ไพบูลย์เป็นทานโดยเคารพ.
ขุ.วิ. (ทั่วไป) มก. ๔๘/๕๕๙
๕.๒ การไม่ทำ�ความยำ�เกรงทั้งในไทยธรรม ทั้งในบุคคล ให้ทานโดยนัยดังกล่าวข้างต้น
ความว่าเป็นผู้ต้องการทิ้งให้เหมือนยัดเหี้ยเข้าจอมปลวก.
ม.อุ. (อรรถ) มก. ๒๒/๑๙๒
๖. ผู้ให้ด้วยศรัทธา
๖.๑ คนทั้งหลายผู้หวังผล ย่อมหว่านพืชลงในเนื้อที่นาดอน นาลุ่ม และนาไม่ลุ่ม ไม่ดอน
ฉันใด ท่านจงให้ทานด้วยศรัทธานั้น ฉันนั้น.
ม.ม. (โพธิ) มก. ๒๐/๑๖๔
๖.๒ ห้วงน้ำ�ที่เต็มเปี่ยมตลอดเวลา ไม่มีเวลาเหือดแห้ง ฉันใด พระองค์มีพระหฤทัยเต็ม
เปี่ยมด้วยศรัทธา ฉันนั้น.
ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๖๔/๗๖๓
๖.๓ เรา และภรรยา เมื่อยังอยู่ในมนุษย์โลกเป็นผู้มีศรัทธา เป็นทานบดี ในครั้งนั้นเรือนของ
เราเป็นดังบ่อน้ำ�ของสมณพราหมณ์ทั้งหลาย เราได้บำ�รุงสมณะ และพราหมณ์ให้อิ่มหนำ�สำ�ราญ.
ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๖๔/๔๖๐
๖.๔ ท่านผู้รู้กล่าวทานกับการรบว่า มีสภาพเสมอกัน นักรบแม้จะมีน้อยก็ชนะคนมากได้
เจตนาเครื่องบริจาคก็เหมือนกัน แม้จะน้อยย่อมชนะหมู่กิเลสแม้มากได้ ถ้าบุคคลเชื่อกรรม และผล
แห่งกรรม ย่อมให้ทานแม้น้อย เขาก็เป็นสุขในโลกหน้า เพราะการบริจาคมีประมาณน้อยนั้น.
ขุ.ชา. (ปัจเจก) มก. ๕๙/๕๗๘
132
๗. ผู้ให้ไม่บริสุทธิ์
๗.๑ ปฏิคาหกเป็นคนมีศีล แต่ทายกเป็นคนเสียศีล ถวายไทยธรรมที่เกิดขึ้นโดยไม่เป็นธรรม
ทักษิณานี้เป็นเหมือนทักษิณาของคนฆ่าโจร.
ฑี.ปา. (อรรถ) มก. ๑๖/๓๕๖
๘. อานิสงส์ของการให้ทาน
๘.๑ ต่อตนเอง
๘.๑.๑ ดวงจันทร์ปราศจากมลทิน โคจรไปในอากาศ ย่อมสว่างกว่าหมู่ดาวทั้งปวงในโลก
ด้วยรัศมี ฉันใด บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล มีศรัทธา ก็ฉันนั้น ย่อมไพโรจน์กว่าผู้ตระหนี่ทั้งปวงในโลก
ด้วยจาคะ.
อัง.ปัญจก. (พุทธ) มก. ๓๖/๖๒
๘.๑.๒ เมฆที่ลอยไปตามอากาศ มีสายฟ้าปลาบแปลบ มีช่อตั้งร้อย ตกรดแผ่นดินเต็มที่
ดอน และที่ลุ่ม ฉันใด สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้สมบูรณ์ด้วยทัศนะ เป็นบัณฑิตก็ฉันนั้น
ย่อมข่มผู้ตระหนี่ได้ด้วยฐานะ ๕ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุข ยศ และเปี่ยมด้วยโภคะ ย่อม
บันเทิงใจในสวรรค์ ในปรโลก.
อัง.ปัญจก. (พุทธ) มก. ๓๖/๖๒
๘.๑.๓ แม่น้ำ�มากหลายอันเป็นที่ฝูงปลาอาศัยอยู่ ย่อมไหลไปสู่ทะเลอันเป็นที่รับน้ำ�ใหญ่
เป็นที่ขังน้ำ�ใหญ่สุดที่จะประมาณ เป็นที่ประกอบด้วยสิ่งที่น่ากลัวมาก เป็นที่กำ�เนิดแห่งรัตนะต่างๆ
ฉันใด ท่อธารบุญย่อมหลั่งไหลไปสู่บัณฑิต ผู้ให้ข้าว น้ำ� และให้ผ้า ให้เครื่องนอนที่นั่ง และเครื่องปู
ลาดเป็นทาน ดุจแม่น้ำ�ทั้งหลายไหลไปสู่ทะเล ฉะนั้น.
อัง.จตุกก. (พุทธ) มก. ๓๕/๑๗๙
๘.๑.๔ แม่น้ำ�เป็นอันมาก ที่หมู่ คือ คณะนรชนอาศัยแล้ว ไหลไปสู่สาครทะเลหลวงซึ่ง
ประมาณมิได้ เป็นที่ขังน้ำ�อย่างใหญ่ มีสิ่งน่ากลัวมาก เป็นที่อยู่ของหมู่รัตนะ ฉันใด สายธารแห่ง
บุญย่อมไหลไปสู่นรชนเป็นบัณฑิต ผู้ให้ข้าวน้ำ� ผ้า ที่นอน ที่นั่ง และเครื่องปูลาด เหมือนแม่น้ำ�ไหล
ไปสู่สาคร ฉันนั้นเหมือนกัน.
สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๑/๓๗๓
133
๙. ผู้ขอ
๙.๑ ท่านขอแก้วมณีอันเกิดจากหินดวงนี้ ย่อมทำ�ให้ข้าพเจ้าหวาดเสียว เหมือนกับชายหนุ่ม
มีมือถือดาบอันลับแล้วที่แผ่นหินมาทำ�ให้ข้าพเจ้าหวาดเสียว ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๕๘/๒๒
๙.๒ คนเมื่อขอผู้อื่นว่า ท่านจงให้ของชื่อนี้ ชื่อว่า ย่อมร้องไห้ ฝ่ายคนอื่นผู้กล่าวว่าไม่มี
ชื่อว่า ย่อมร้องไห้ตอบ ก็มหาชนอย่าได้เห็นเราผู้ร้องไห้ อย่าได้เห็นพระราชาร้องไห้ตอบเลย.
ขุ.ชา. (อรรถ) มก. ๕๘/๕๔๐
๙.๓ ดูก่อนน้องหญิง เปรียบเหมือนบุรุษให้ช้างแล้ว ก็ควรสละสัปคับสำ�หรับช้างด้วย
ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ถวายเนื้อแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็จงสละผ้าอันตรวาสกถวาย
แด่อาตมา.
วิ.มหา. (ทั่วไป) มก. ๓/๗๘๕
๑๐. ความตระหนี่
๑๐.๑ น้ำ�มีอยู่ในถิ่นของอมนุษย์ ที่ไม่ได้ใช้สอยย่อมเหือดแห้งไป ฉันใด คนชั่วได้ทรัพย์แล้ว
ตนเองไม่ได้ใช้ และไม่ให้คนอื่นใช้ ก็เสียไปเปล่า ฉันนั้น ส่วนวิญญูชนผู้มีปัญญาได้โภคะแล้ว เขา
ย่อมบริโภค และทำ�กิจ เขาเป็นคนอาจหาญ เลี้ยงดูหมู่ญาติ ไม่ถูกติเตียน ย่อมเข้าถึงสวรรค์.
สัง.สุ. (พุทธ) มก. ๒๔/๔๙๑
135
๑๖
ม ง ค ล ที่
ประพฤติธรรม
ผู้ใดไม่ประพฤติล่วงธรรม
เพราะความชอบ ความชัง ความกลัว ความหลง
ยศของผู้นั้นย่อมเต็มเปี่ยม เหมือนดวงจันทร์ในวันข้างขึ้น ฉะนั้น
137
๑. สุจริต ทุจริต
๑.๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล่าเรื่องช่างทำ�รถ ที่ทำ�ล้อรถข้างหนึ่งกินเวลา ๖ เดือน
หย่อน ๖ วัน แต่ทำ�ล้อรถอีกข้างเสร็จภายใน ๖ วัน
พระราชาตรัสถามก็ทดลองให้ดู ล้อรถข้างที่ทำ�นานหมุนไปได้ พอหยุดหมุนก็ตั้งอยู่ได้ แต่
ข้างที่ทำ�เสร็จไวเมื่อหยุดหมุนก็ล้ม เพราะไม้มีความคด พระพุทธองค์จึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า
ความคด โทษทางกาย ทางวาจา ทางใจของผู้ใดผู้หนึ่ง ภิกษุก็ตาม ภิกษุณีก็ตาม ละได้แล้ว ย่อม
ตั้งมั่นอยู่ในพระธรรมวินัยนี้ได้ เหมือนล้อรถที่ทำ�แล้ว ๖ เดือนหย่อน ๖ วัน ฉะนั้น.
อัง.ติก. (พุทธ) มก. ๓๔/๔๓
๒. สัจจะ
๒.๑ รสเหล่าใดมีอยู่ในแผ่นดิน สัจจะเป็นรสที่ยังประโยชน์ให้สำ�เร็จกว่ารสเหล่านั้น เพราะ
ว่าสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในสัจจะ ย่อมข้ามพ้นฝั่งแห่งชาติ และมรณะได้.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๒/๖๒๗
138
๓. อคติ
๓.๑ ผู้ใดประพฤติล่วงธรรมเพราะความรัก ความชัง ความกลัว ความหลง ยศของผู้นั้น
ย่อมเสื่อมเหมือนดวงจันทร์ในข้างแรม ฉะนั้น.
ที.ปา. (อรรถ) มก. ๑๖/๗๙
๓.๒ ผู้ใดไม่ประพฤติล่วงธรรมเพราะความชอบ ความชัง ความกลัว ความหลง ยศของ
ผู้นั้นย่อมเต็มเปี่ยมเหมือนดวงจันทร์ในวันข้างขึ้น ฉะนั้น.
ที.ปา. (อรรถ) มก. ๑๐/๗๑๓
๓.๓ ราชเสวกอั น พระราชามิ ได้ ต รั ส ใช้ ไม่ พึ ง หวั่ น ไหวด้ ว ยอำ � นาจฉั นทาคติ ๑ เป็ นต้ น
ดังตราชูที่บุคคลประคองให้มีคันเสมอเที่ยงตรง ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (อรรถ) มก. ๖๔/๔๑๘
๓.๔ ธรรมดาต้นไม้ย่อมให้เงามืดเหมือนกัน และแผ่เงานั้นไปอย่างเสมอกัน ฉันใด ภิกษุผู้
ปรารภความเพียร ก็ไม่ควรทำ�ตัวให้ต่างกันในสัตว์ทั้งปวง ฉันนั้น คือ ควรแผ่เมตตาให้เสมอกัน
ไม่ว่าจะเป็นโจรผู้จะฆ่าคน ผู้เป็นข้าศึกของตนเอง
ข้อนี้สมกับคำ�ของพระสารีบุตรเถรเจ้าว่า พระมุนี คือ พระพุทธเจ้าย่อมเป็นผู้มีพระหฤทัย
เสมอกันแก่สัตว์ทั้งปวง เช่น พระเทวทัต โจรองคุลีมาล และพระราหุล เป็นต้น.
มิลิน. ๔๕๗
๔. พรหมวิหาร ๔
๔.๑ เปรียบเหมือนสระบัวมีน้ำ�ใสและจืด เย็น ขาว สะอาด มีท่าเรียบราบ ควรรื่นรมย์
ถ้าว่าบุรุษจะพึงมาแต่ทิศตะวันออก ตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้อันความร้อนกระวนกระวายเผาระงม
ครอบงำ� เหน็ดเหนื่อยลำ�บาก กระหายหิว บุรุษนั้นมาถึงสระนั้นแล้วจะพึงทำ�ความกระหาย น้ำ�
และความร้อนกระวนกระวายให้เสื่อมสูญได้ ฉันใด
๑
ฉันทาคติ ลำ�เอียงเพราะรักใคร่
139
๕. ความสามัคคี
๕.๑ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ยังพร้อมเพรียงกัน ชื่นบานต่อกัน ไม่วิวาทกัน
เป็นเหมือนน้ำ�นมกับน้ำ� แลดูกันและกันด้วยจักษุอันเป็นที่รักอยู่.
ม.มู. (เถระ) มก. ๑๙/๓
๖. สัมมาทิฏฐิ
๖.๑ อ้อย ข้าวสาลี หรือองุ่น อันบุคคลเพาะลงแล้วในแผ่นดินที่ชุ่มชื้น ย่อมเข้าไปจับรสดิน
และรสน้ำ�อันใด รสน้ำ�ทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นรสที่น่ายินดี เป็นรสหวาน เป็นรสอันน่า
ชื่นใจ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะพืชเป็นของดี แม้ฉันใด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความเห็นชอบ มีความดำ�ริชอบ มีวาจาชอบ มีการงานชอบ
มีการเลี้ยงชีพชอบ มีความพยายามชอบ มีความระลึกชอบ มีความตั้งใจชอบ มีความรู้ชอบ มี
ความหลุดพ้นชอบ สมาทานกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้บริบูรณ์ตามความเห็นอย่างไรแล้ว
เจตนา ความปรารถนา ความตั้งใจ และสังขารเหล่าใด ธรรมเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเป็นไปเพื่อผล
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เกื้อกูล เป็นสุข ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะทิฏฐิเป็นของเจริญ
ฉันนั้นเหมือนกันแล.
อัง.ทสก. (พุทธ) มก. ๓๘/๓๔๒
๖.๒ เมื่ออาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่จะขึ้นก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน คือ แสงเงินแสงทอง ฉันใด
สิ่งที่เป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตมาก่อนแห่งการตรัสรู้อริยสัจ ๔ ตามความจริง คือ สัมมาทิฏฐิ ฉะนั้น
เหมือนกัน.
สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๑/๔๕๖
๗. นรก/สวรรค์/โลกหน้า/โอปปาติกะ
๗.๑ ในมนุษย์โลกมีผู้ลงโทษด้วยกรรมกรณ์ ฉันใด นายนิรยบาลก็มีอยู่ในนรก ฉันนั้น.
ม.อุ. (อรรถ) มก. ๒๓/๒๐๒
141
พระเถระจึงทูลว่าคนเหล่านั้นเห็นชีวะของพระองค์เข้าออกหรือไม่ ตรัสตอบว่าไม่เห็น
พระเถระจึงทูลว่า คนเหล่านั้น ยังไม่เห็นชีวะของพระองค์ผู้ทรงพระชนม์ชีพอยู่เข้าออก เหตุไฉน
พระองค์จะทรงเห็นชีวะของคนตายเข้าออกเล่า.
ที.ม. (เถระ) มก. ๑๔/๓๘๑
๗.๑๐ พระเจ้าปายาสิ ตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสสั่งให้ลงโทษโจรที่จับได้ให้ชั่งน้ำ�หนักดู
แล้วให้เอาเชือกรัดคอให้ตายแล้วชั่งดูอีก ในขณะมีชีวิตมีน้ำ�หนักเบากว่า อ่อนกว่า ใช้การงานได้ดี
กว่าเมื่อตายแล้ว เหตุนี้จึงไม่ทรงเชื่อเรื่องโลกอื่น
พระเถระทูลถามว่า พึงชั่งก้อนเหล็กที่เผาไฟตลอดวันร้อนลุกโพลงกับก้อนเหล็กที่เย็นเทียบ
กันดูอย่างไหนจะเบากว่า อ่อนกว่า ใช้การงานได้ดีกว่า
พระเถระทูลต่อไปว่า ร่างกายก็เหมือนกัน ประกอบด้วยธาตุไฟ ธาตุลม ร้อนลุกโพลง เบา
กว่า อ่อนกว่า ใช้การงานได้ดีกว่า
พระเจ้าปายาสิตรัสตอบว่า ก้อนเหล็กที่ประกอบกับธาตุไฟ ธาตุลม ร้อนลุกโพลง เบากว่า
อ่อนกว่า
พระเถระทูลต่อไปว่า ร่างกายก็เหมือนกัน ประกอบด้วยอายุ (เครื่องสืบต่อหล่อเลี้ยง)
ประกอบด้วยไออุ่น ประกอบด้วยวิญญาณ ก็เบากว่า อ่อนกว่า ใช้การงานได้ดีกว่า.
ที.ม. (เถระ) มก. ๑๔/๓๘๒
๗.๑๑ พระเจ้าปายาสิตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสสั่งให้ลงโทษโจรที่จับได้ ให้ฆ่าโดยไม่กระทบ
กระทั่งผิว หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก เพื่อจะดูชีวะออกไปจากร่าง เมื่อเขาทำ�อย่างนั้น
และเมื่อโจรนั้นจะตายแน่ก็สั่งจับให้นอนหงาย เพื่อจะดูชีวะออกไป ก็ไม่เห็นชีวะออกไป สั่งให้จับ
นอนตะแคงทีละข้าง ให้ยกขึ้น ให้เอาศีรษะลง ให้ใช้ฝ่ามือ ก้อนดิน ท่อนไม้ ศัสตรา เคาะดู ให้ดึง
เข้า ให้ผลักออก ให้พลิกไปมา เพื่อจะดูชีวะออกไป ก็ไม่เห็นชีวะออกไป โจรนั้นมีตา หู จมูก ลิ้น มี
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ก็ไม่รู้สึกอายตนะนั้นๆ (ไม่รู้สึก เห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส
ถูกโผฏฐัพพะ)
พระกุ ม ารกั ส สปทู ล เปรี ย บเที ย บถวายว่ า เปรี ย บเหมื อ นคนเป่ า สั ง ข์ เดิ นทางไปชนบท
ชายแดนแห่งหนึ่งเป่าสังข์ขึ้น ๓ ครั้ง แล้ววางสังข์ไว้บนดิน ชาวบ้านได้ยินเสียงสังข์ชอบใจก็พากัน
มารุมถามว่าเสียงอะไร เขาตอบว่าเสียงสังข์นั้น ชาวบ้านก็จับสังข์หงาย พร้อมทั้งพูดว่า “สังข์เอ๋ย
จงเปล่งเสียง” แต่สังข์ก็ไม่เปล่งเสียง จึงจับคว่ำ� จับตะแคง ยกขึ้น เอาหัวลง เอาฝ่ามือ ก้อนดิน
ท่อนไม้ ศัสตราเคาะ ดึงเข้ามาผลักออกไป จับพลิกไปมา เพื่อจะให้สังข์นั้นเปล่งเสียง สังข์นั้นก็ไม่
เปล่งเสียง
145
๘. กฎแห่งกรรม
๘.๑ บุ รุ ษ ทำ � กรรมใดไว้ เขาย่ อ มเห็ นกรรมเหล่ า นั้ น ในตน ผู้ ทำ � กรรมดี ย่ อ มได้ รั บ ผลดี
ผู้ทำ�กรรมชั่วได้รับผลชั่ว บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น.
ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๕๗/๓๘๙
๘.๒ เปรียบเหมือนพืชทั้งหลายอันไม่ขาด ไม่เน่า ไม่เฉา ให้แก่นได้ มีรากฝังอยู่ดี บุคคล
ปลูกไว้ในแผ่นดินที่ทำ�ไว้ดีแล้ว ในไร่นาที่ดี ฝนก็หลั่งดี เมื่อเป็นเช่นนี้ พืชเหล่านั้นก็ถึงความเจริญ
งอกงามไพบูลย์ ฉันใด กรรมที่บุคคลทำ�เพราะโลภะ โทสะ โมหะ ฯลฯ เป็นกรรมที่ให้ผลในอัตภาพ
ต่อไป ฉันนั้นก็เหมือนกัน.
อัง.ติก. (พุทธ) มก. ๓๔/๑๑๘
๘.๓ เปรียบเหมือนพืชทั้งหลายอันไม่ขาด ไม่เน่า ไม่เฉา ให้แก่นได้ มีรากฝังอยู่ดี บุรุษเอาไฟ
เผาพืชเหล่านั้นจนเป็นผุยผงแล้ว พึงโปรยเสียในลมแรง หรือพึงสาดเสียในกระแสอันเชี่ยวในแม่น้ำ�
เมื่อเป็นอย่างนี้ พืชเหล่านั้นก็เป็นรากขาดแล้ว ถูกทำ�ให้เหมือนตาลยอดด้วนแล้ว ถูกทำ�ให้ไม่มีใน
ภายหลังแล้ว มีอันไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ฉันใด กรรมมีบุคคลทำ�เพราะอโลภะ อโทสะ
อโมหะ ฯลฯ มีอันไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ฉันนั้นเหมือนกัน.
อัง.ติก. (พุทธ) มก. ๓๔/๑๑๙
๘.๔ การกลับได้วาระแห่งวิบากของทิฎฐธรรมเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในชาติปัจจุบัน)
เหมือนกับลูกศรของนายพรานที่ยิงถูกเนื้อโดยไม่พลาด.
อัง.ติก. อรรถ) มก. ๓๔/๑๒๒
๘.๕ ปริยายเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในชาติต่อๆ ไป) ได้โอกาสเมื่อใดในอนาคต เมื่อนั้นจะ
ให้ผล เปรียบเหมือนสุนัขที่นายพรานเนื้อปล่อยไปเพราะเห็นเนื้อ จึงวิ่งตามเข้าไปในที่ใดก็จะกัดเอา
ที่นั้นแหละ ฉันใด กรรมนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
อัง.ติก. (อรรถ) มก. ๓๔/๑๒๓
๘.๖ ครุกรรม (กรรมหนัก) แม้ทั้งอย่างนั้นแหละจะให้ปฏิสนธิ อุปมาเหมือนหนึ่งว่า ก้อน
กรวด หรือก้อนเหล็ก แม้ประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดที่โยนลงในห้วงน้ำ� ย่อมไม่สามารถลอยน้ำ�
ได้ จะจมลงใต้น�้ำ อย่างเดียว ฉันใด อกุศลกรรมก็ฉันนั้นเหมือนกัน กรรมฝ่ายใดหนักเขาจะถือเอา
กรรมนั้นแหละไป.
อัง.ติก. (อรรถ) มก. ๓๔/๑๒๔
148
สงเคราะห์ญาติ
หมู่ญาติยิ่งมีมากได้ยิ่งดี
แม้ถึงไม้เกิดในป่า เป็นหมวดหมู่ได้เป็นดี
เพราะต้นไม้ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว
แม้จะใหญ่โตเป็นเจ้าป่า ย่อมถูกลมแรงโค่นลงได้
151
๑. ประเภทของญาติ
๑.๑ ดุ้นฟืนเผาศพไฟไหม้ปลาย ๒ ข้าง ตรงกลางก็เปื้อนคูถ ย่อมไม่สำ�เร็จประโยชน์ที่จะใช้
ในบ้านในป่า ฉันใด เรากล่าวบุคคลผู้ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น
มีอุปมาฉันนั้น.
อัง.จตุกก. (พุทธ) มก. ๓๕/๒๗๐
๑.๒ ผู้ปฏิบัติทั้งเพื่อประโยชน์ตนทั้งเพื่อประโยชน์ผู้อื่นเป็นผู้เลิศ เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็น
ประธาน เป็นผู้อุดม เป็นผู้สูงสุด เปรียบเหมือนน้ำ�นมโค นมส้มดีกว่าน้ำ�นม เนยข้นดีกว่านมส้ม
เนยใสดีกว่าเนยข้น ยอดเนยใสดีกว่าเนยใสทั้งหมด ยอดเนยใสนับว่า เป็นเลิศ.
อัง.จตุกก. (พุทธ) มก. ๓๕/๒๗๐
๒. ลักษณะของญาติ
๒.๑ ถ้าผู้ใดเป็นมิตรแม้จะมีกำ�ลังน้อย แต่ตั้งอยู่ในมิตรธรรม ผู้นั้นชื่อว่า เป็นญาติ เป็น
เผ่าพันธุ์ เป็นมิตร และเป็นสหายของเรา.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๗/๔๔
152
๓. ประโยชน์ของการสงเคราะห์ญาติ
๓.๑ บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายมิตร เหล่าอมิตรย่อมย่ำ�ยีบุคคลผู้นั้นไม่ได้ ดุจต้นไทรมีราก
และย่านงอกงาม พายุไม่อาจพัดพานให้ล้มได้ ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๓/๔๓
๓.๒ บุคคลผู้ใดมิได้ประทุษร้ายมิตร บุคคลผู้นั้นย่อมรุ่งเรืองดุจกองเพลิง ย่อมไพโรจน์ดุจ
เทวดามีสิริประจำ�ตัว.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๓/๔๓
๓.๓ กรรมที่บุคคลทำ�ในคนกตัญญู มีศีล มีความประพฤติประเสริฐ ย่อมไม่ฉิบหายไป
เหมือนพืชที่บุคคลหว่านลงในนาดี ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๙/๘๖๒
๓.๔ หมู่ญาติยิ่งมีมากได้ยิ่งดี แม้ถึงไม้เกิดในป่า เป็นหมวดหมู่ได้เป็นดี เพราะต้นไม้ที่ตั้งอยู่
โดดเดี่ยว แม้จะใหญ่โตเป็นเจ้าป่า ย่อมถูกลมแรงโค่นลงได้.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๖/๑๙๙
๔. สงเคราะห์ญาติ
๔.๑ การให้ ๑ เจรจาไพเราะ ๑ การประพฤติให้เป็นประโยชน์ ๑ ความเป็นผู้มีตนเสมอใน
ธรรมทั้งหลายในคนนั้นๆ ตามควร ๑ ธรรมเครื่องยึดเหยี่ยวน้ำ�ใจในโลกเหล่านี้แล เป็นเหมือนเพลา
รถอันแล่นไปอยู่.
ที.ปา. (พุทธ) มก. ๑๖/๙๒
๔.๒ ธรรมดาพระเจ้าจักรพรรดิยอ่ มทรงสงเคราะห์ประชาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ฉันใด ภิกษุผู้
ปรารภความเพียรก็ควรสงเคราะห์ ควรประคอง ควรอนุเคราะห์ ควรทำ�ให้รา่ เริงแก่บริษทั ๔ ฉันนัน้ .
มิลิน. ๔๔๓
153
๕. ญาติที่ไม่ควรสงเคราะห์
๕.๑ กรรมที่บุคคลทำ�ในอสัตบุรุษ ย่อมฉิบหายไม่งอกงาม เหมือนพืชที่บุคคลหว่านลงในไฟ
ย่อมถูกไฟไหม้ไม่งอกงาม ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๙/๘๖๒
๕.๒ ไม่ควรตั้งบุตรธิดา พี่น้อง หรือวงศ์ญาติ ผู้ไม่ตั้งอยู่ในศีลให้เป็นใหญ่ เพราะคนเหล่านั้น
เป็นคนพาล ไม่จัดว่าเป็นพี่น้อง คนเหล่านั้น เป็นเหมือนคนที่ตายไปแล้ว แต่เมื่อเขาเหล่านั้นมาหา
ถึงสำ�นัก ก็ควรให้ผ้านุ่งห่ม และอาหาร.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๔/๓๒๓
155
๑๘
ม ง ค ล ที่
ทำ�งานไม่มีโทษ
ดอกบัวหลวงมีเง่าขาว ผุดขึ้นจากน้ำ�ที่สะอาด เกิดจากสระโบกขรณี
บานเพราะพระอาทิตย์มีแสงเหมือนไฟ โคลนตมก็ไม่เปื้อน
ผงธุลีก็ไม่เลอะ น้ำ�ก็ไม่เปียก ฉันใด
พระราชาก็ฉันนั้น กรรมกิเลสไม่เปรอะเปื้อนพระองค์ผู้มีวินิจฉัยสะอาด
ไม่ทรงผลุนผลัน มีพระราชกิจบริสุทธิ์ ทรงปราศจากกรรมที่เป็นบาป
เหมือนดอกบัวที่เกิดขึ้นในสระโบกขรณีทั้งหลาย ฉะนั้น
157
๑. ทำ�งานไม่มีโทษ
๑.๑ ผู้มีมีด เมื่อไม่ปอกผลมะงั่วที่มีเปลือกแข็งออก จะทำ�ให้มีรสขม ข้าแต่พระราชา
บุคคลเมื่อปอกเปลือกเป็น จะทำ�ให้มีรสอร่อย เมื่อปอกแต่เปลือกบางๆ ออกก็คงทำ�ให้ไม่อร่อย
ฉันใด ฝ่ายพระราชาผู้ทรงพระปรีชา ก็ฉันนั้น ไม่ทรงเร่งรัดเก็บทรัพย์ขูดรีดภาษี ควรปฏิบัติ
คล้อยตามธรรมะ ทำ�ความสุขสำ�ราญแก่ราษฎร ไม่ทรงเบียดเบียนผู้อื่น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๙/๒๑๑
๑.๒ ธรรมดาพระราชาผู้ทรงไม่บีบคั้นแว่นแคว้นราษฎรเหมือนหีบอ้อยเลย ทรงละการ
ลุอำ�นาจอคติ ผูกใจเขาด้วยสังคหวัตถุ ๔.
ขุ.ชา. (อรรถ) มก. ๕๙/๓๔๑
๑.๓ ผู้ใดปรับผู้ไม่ได้ทำ�ความผิด ๑๐๐ บ้าง ๑,๐๐๐ บ้าง ผู้นั้นชื่อว่า ใช้อำ�นาจด้วยอาชญา
คือ ทรัพย์ ผู้ใดออกคำ�สั่งประหารและทิ่มแทง ผู้นั้นชื่อว่า ใช้อำ�นาจด้วยอาชญา คือ ศัสตรา แต่
พระราชาองค์นี้ทรงละแม้ทั้งสองนั้น ทรงปกครองไม่ต้องใช้อาชญา.
ที.ม. (อรรถ) มก. ๑๓/๑๑๕
๑.๔ โคที่ ฝึ ก ดี แ ล้ ว ย่ อ มเกิ ด เป็ น หั ว หน้ า หมู่ ใด หั ว หน้ า หมู่ ตั ว นั้ น เป็ น โคที่ นำ � ธุ ร ะไปได้
สมบูรณ์ด้วยกำ�ลัง เดินไปเรียบร้อยและเร็ว คนทั้งหลายย่อมเทียมโคตัวนั้นในการขนภาระ ไม่คำ�นึง
ถึ ง สี ข องมั น ฉั น ใด ในหมู่ ม นุ ษ ย์ ก็ ฉั นนั้ น เหมื อ นกั น ในชาติ อ ย่ า งใดอย่ า งหนึ่ ง คื อ กษั ต ริ ย์
158
๒. ทำ�งานมีโทษ
๒.๑ กษัตริย์พระองค์ใด ยังไม่ทันพิจารณาแล้วทรงลงพระราชอาญา กษัตริย์พระองค์นั้น
ชื่อว่า ย่อมกลืนกินพระกระยาหารพร้อมด้วยหนาม เหมือนคนตาบอดกลืนกินอาหารพร้อมด้วย
แมลงวัน ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๖๐/๑๘๖
159
งดเว้นจากบาป
ถ้าแผลไม่มีในฝ่ามือ บุคคลพึงนำ�ยาพิษไปด้วยฝ่ามือได้
เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมเข้าไปสู่ฝ่ามือไม่มีแผล ฉันใด
บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ�บาป ฉันนั้น
163
๑. คนทำ�บาป
๑.๑ บุคคลผู้ไม่มีความละอาย กล้าเพียงดังกา มีปกติกำ�จัดคุณผู้อื่น มักเอาหน้า.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๓/๓
๑.๒ ผู้ใดพึงนำ�ภาชนะดินไปได้ แม้ภาชนะสำ�ริด ผู้นั้นก็พึงนำ�ไปได้ หล่อนทำ�ชั่วจนช่ำ� ก็จัก
ทำ�ชั่วอย่างนั้นอีก.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๓/๓๑๔
๑.๓ ขึ้นชื่อว่าที่ลับ ย่อมไม่มีในโลกนี้แก่คนผู้กระทำ�บาปกรรม อุปมาดังต้นไม้ที่เกิดในป่าก็
ยังมีคนเห็น คนพาลย่อมสำ�คัญบาปกรรมนั้นว่าเป็นที่ลับ.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๘/๔๐๖
๑.๔ อกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้น ย่อมเกิดขึ้นในอัตภาพนั้น ย่อมเป็นธรรมอยู่อาศัยใน
อัตภาพ เปรียบเหมือนเหล่าสัตว์ที่อาศัยรูย่อมอยู่ในรู ที่อาศัยน้ำ�ย่อมอยู่ในน้ำ� ที่อาศัยป่าย่อมอยู่ใน
ป่า ที่อาศัยต้นไม้ย่อมอยู่ที่ต้นไม้ ฉันใด อกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้น ย่อมเกิดขึ้นในอัตภาพนั้น
ย่อมเป็นธรรมอยู่อาศัยในอัตภาพ ฉันนั้นเหมือนกัน.
ขุ.ม. (อรรถ) มก. ๖๖/๓๐๘
164
๒. งดเว้นจากบาป
๒.๑ เราจะคลายความเห็นอันชั่วช้า เหมือนโปรยแกลบลอยไปในลมอันแรง เหมือนทิ้งหญ้า
และใบไม้ลอยไปในแม่น้ำ�มีกระแสอันเชี่ยว.
ขุ.เปต. (อรรถ) มก. ๔๙/๕๑๖
๒.๒ ผู้ห้ามนรชนเสียจากบาป เปรียบเหมือนทำ�นบเป็นที่กั้นกระแสน้ำ�เชี่ยวไว้ได้ ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๖๒/๔๖๐
๒.๓ บุคคลพึงเว้นกรรมชั่วทั้งหลายเสีย เหมือนพ่อค้ามีทรัพย์มาก มีพวกน้อย เว้นทางอัน
พึงกลัว เหมือนผู้ต้องการจะเป็นอยู่เว้นยาพิษ ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๒/๒
๒.๔ แม้พวกเธอก็จงละอกุศลธรรมเสีย จงทำ�ความพากเพียรแต่ในกุศลธรรมทั้งหลาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้พวกเธอก็จักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระธรรมวินัยนี้
ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้สาละป่าใหญ่ ใกล้บ้านหรือนิคม และป่านั้นปกคลุมไป
ด้วยเหล่าต้นละหุ่ง บุรุษผู้หวังดีหวังประโยชน์ และหวังความปลอดภัยของต้นสาละนั้น เขาจึงตัด
ต้นรังเล็กๆ ที่คดที่ต้นละหุ่ง คอยแย่งโอชาออกนำ�ไปทิ้งเสียภายนอก แผ้วถางภายในป่าให้สะอาด
เรียบร้อยแล้ว คอยบำ�รุงรักษาต้นรังเล็กๆ ที่ต้นตรงขึ้นดีไว้ได้โดยชอบ
ภิกษุทั้งหลาย ด้วยการกระทำ�ดังที่กล่าวมานี้ สมัยต่อมา ป่าไม้รังนั้นก็เจริญงอกงามไพบูลย์
ขึ้นโดยลำ�ดับ แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย แม้พวกเธอก็จงละอกุศลธรรมเสีย จงทำ�ความพากเพียรอยู่
แต่ในกุศลธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นเถิด.
ม.มู. (พุทธ) มก. ๑๘/๒๕๗
๒.๕ บุคคลผู้มีผ้าอันไฟไหม้ หรือมีศีรษะอันไฟไหม้ พึงทำ�ความพอใจ ความพยายาม
165
ความอุ ต สาหะ ความขะมั ก เขม้ น ความไม่ ท้ อ ถอย สติ และสั ม ปชั ญ ญะ ให้ มี ป ระมาณยิ่ ง
เพื่อละธรรมทั้งหลายที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน.
อัง.ทสก. (พุทธ) มก. ๓๘/๑๗๐
๒.๖ ภิกษุผู้ปรารภความเพียรนั้น ยังมิจฉาวิตกทั้งหลายให้สงบระงับ เปรียบเหมือนฝนยัง
ธุลีที่ลมพัดฟุ้งขึ้นแล้วให้สงบ ฉะนั้น.
ขุ.อิติ. (อรรถ) มก. ๔๕/๕๓๕
๒.๗ ธรรมดาในแว่นแคว้นพระเจ้าจักรพรรดิย่อมไม่มีโจรผู้ร้าย ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภ
ความเพียรก็ไม่ควรให้มีโจรผู้ร้าย คือ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ฉันนั้น
ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า ผู้ใดยินดีในการระงับวิตก อบรมอสุภะ๑ มีสติทุกเมื่อ ผู้นั้นจะทำ�
ที่สุดแห่งทุกข์ได้ จะตัดเครื่องผูกแห่งมารได้.
มิลิน. ๔๔๓
๒.๘ ธรรมดาต้นหนย่อมตั้งเข็มทิศด้วยตนเอง ไม่ให้ผู้อื่นแตะต้อง ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภ
ความเพียรก็ควรตั้งเข็มทิศไว้ในใจ ห้ามใจไม่ให้นึกถึงสิ่งที่เป็นบาปอกุศลทั้งหลาย ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๓๓
๒.๙ ธรรมดางู เมื่อเที่ยวไปย่อมหลีกเว้นยาพิษของตน ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็
ควรหลีกเว้นทุจริต ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๕๔
๒.๑๐ ความชั่วช้าแม้เพียงเท่าปลายขนทราย ย่อมปรากฏเหมือนเท่าก้อนเมฆที่ลอยอยู่
บนฟ้า แก่ภิกษุผู้ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน แสวงหาความสะดวกเป็นนิตย์.
ขุ.เถร. (อรรถ) มก. ๕๓/๒๓๒
๒.๑๑ เปรียบเหมือนพ่อค้าเกวียนหมู่ใหญ่ เดินทางจากภาคตะวันออกไปภาคตะวันตก
แล้วได้แบ่งกองเกวียนออกเป็น ๒ กอง กองละประมาณ ๕๐๐ เล่ม ให้ขบวนหนึ่งล่วงหน้าไปก่อน
อีกขบวนหนึ่งจะตามไปภายหลัง ขบวนที่ล่วงหน้าไปก่อนถูกคนเดินสวนทางหลอกให้ทิ้งหญ้าทิ้งน้ำ�
เล่าว่าข้างหน้าฝนตกหนักในทางกันดาร พุ่มไม้ หญ้า ไม้ และน้ำ�บริบูรณ์ หัวหน้ากองเกวียน
หลงเชื่อ จึงพาพวกไปตายหมดสิ้น เพราะทิ้งหญ้าทิ้งน้ำ�แล้ว ก็หาน้ำ� และหญ้าข้างหน้าไม่ได้ พวก
ไปทีหลังไม่ยอมเชื่อคนหลอก ไม่ยอมทิ้งหญ้าทิ้งน้ำ� จึงเดินทางข้ามทางกันดารโดยสวัสดี แล้ว
เปรียบว่า พระองค์แสวงหาโลกอื่นโดยไม่แยบคาย จะพลอยให้คนที่เชื่อถือพากันถึงความพินาศไป
ด้วยเหมือนนายกองเกวียนคณะแรก.
ที.ปา. (เถระ) มก. ๑๔/๓๘๘
๑
อสุภะ สภาพที่ไม่งาม, พิจารณาร่างกายของตนและผู้อื่นให้เห็นสภาพที่ไม่งาม
166
เท็จทั้งที่รู้ ก็เหลือความเป็นสมณะเพียงหน่อยหนึ่งเหมือนน้ำ�ในขัน
ทรงเทน้ำ�ทิ้งแล้วทรงคว่ำ�ขัน และหงายขันขึ้น แล้วทรงเปรียบเทียบให้ฟังว่า ถ้ายังกล่าว
เท็จอยู่ก็เหมือนน้ำ�ที่เขาทิ้งแล้ว เหมือนขันที่คว่ำ� และว่างเปล่าเหมือนขันที่หงาย
ทรงยกอุปมาด้วยช้างขึ้นมาเปรียบเทียบว่า ช้างต้นที่อวัยวะทุกส่วนทำ�งานให้พระราชาได้
ไม่มีอะไรที่ช้างต้นนั้นจะทำ�ไม่ได้ คนที่ไม่มีความละอายกล่าวเท็จทั้งที่รู้ก็เหมือนกัน ที่จะไม่ทำ�บาป
อะไรเลยไม่มี
จากนั้นทรงสอนให้พิจารณาดูกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมของตน เหมือนคนใช้
คันฉ่องดูเงาหน้าตัวเอง ฉะนั้น.
ม.มู (พุทธ) มก. ๒๐/๒๖๓
๒.๑๘ ถ้าแผลไม่มีในฝ่ามือ บุคคลพึงนำ�ยาพิษไปด้วยฝ่ามือได้ เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมเข้าไป
สู่ฝ่ามือไม่มีแผล ฉันใด บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ�บาป ฉันนั้น.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๒/๓๖
๓. ผลของบาป
๓.๑ คนพาลย่อมสำ�คัญบาปประดุจน้ำ�ผึ้ง ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล ก็เมื่อใดบาปให้ผล
เมื่อนั้นคนพาลย่อมประสพทุกข์.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๑/๒๑๕
๓.๒ คนนี้จะเป็นผู้เปื้อนไปด้วยบาป เหมือนกับผ้านุ่งของพี่เลี้ยงที่เปื้อนน้�ำ ลายน้ำ�มูก มูตร
และคูถ.
ขุ.ชา. (อรรถ) มก. ๕๙/๑๘๔
๓.๓ บุคคลจะอยู่ในอากาศ อยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร จะเข้าไปสู่ซอกเขาก็ตามที ก็ไม่พึง
พ้นจากกรรมชั่วไปได้ เพราะประเทศ คือ แผ่นดิน ที่เขาอยู่นั้น บาปกรรมจะตามไม่ทัน ไม่มี.
ขุ.อุ. (พุทธ) มก. ๔๔/๔๖๒
๓.๔ ท่ า นผู้ เจริ ญ ทั้ ง หลาย ชาวนครสี พี พ ากั นขั บ ไล่ พ ระเวสสั นดรผู้ ไม่ มี ค วามผิ ด จาก
แว่นแคว้น ก็เปรียบเหมือนช่วยกันตัดต้นไม้อันนำ�รสที่ต้องการทุกอย่างมาให้ ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (พุทธ) มก. ๖๔/๕๐๓
๓.๕ ท่านจงหลีกไปเสียเถิด โลกยังกว้างใหญ่ ท่านไม่ไปที่อื่น ยังประพฤติอธรรมอยู่ในที่นี้
อธรรมอันท่านประพฤติแล้ว อย่าได้ทำ�ลายท่านเลย เหมือนก้อนหินต่อยหม้อแตก ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (อรรถ) มก. ๕๘/๔๓๔
168
พระนาคเสนทูลตอบว่า บุคคลผู้ไม่รู้บาปแล้วทำ�บาปย่อมได้รับบาปมากกว่าผู้รู้บาปกรรม
แล้วจึงทำ�บาป ประดุจชายผู้ไม่รู้ ไปจับเอาก้อนเหล็กแดงอันร้อนแรง ย่อมร้อนทุรนทุรายมากกว่า
บุคคลผู้ที่รู้อยู่ว่าก้อนเหล็กแดงร้อนแรง จึงหาวิธีการ อุบายต่างๆ เพื่อที่จะลดความร้อนแรงของ
ก้อนเหล็กแดงก่อนแล้วจึงจับ.
มิลิน. ๑๓๗
๔. อานิสงส์ของการงดเว้นบาป
๔.๑ ผู้ใดเคยประมาทในตอนต้น ภายหลังเขาไม่ประมาท ผู้นั้นย่อมทำ�ให้โลกนี้สว่างไสว
เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ฉะนั้น
บาปกรรมที่ทำ�ไว้แล้ว อันผู้ใดย่อมปิดกั้นไว้ด้วยกุศล ผู้นั้นย่อมทำ�โลกนี้ให้สว่างไสว เหมือน
พระจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ฉะนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๓/๑๓๓
๔.๒ ถ้าแผลไม่พึงมีในฝ่ามือไซร้ บุคคลพึงนำ�ยาพิษไปด้วยฝ่ามือได้ เพราะยาพิษย่อมไม่ซึม
เข้าไปสู่ฝ่ามือที่ไม่มีแผล ฉันใด บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ�บาป ฉันนั้น.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๒/๔๐
๔.๓ ผู้ใดในโลกนี้ พิจารณาแล้วละของรักได้ เสพอริยธรรมทั้งหลายแม้ด้วยความยาก
เหมือนคนเป็นไข้ดื่มยา ฉะนั้น ผู้นั้นย่อมได้รับความสุขในโลกหน้าเพราะกัลยาณกรรมนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๒/๖๓๒
๒๐
ม ง ค ล ที่
สำ�รวมจากการดื่มน้ำ�เมา
ผู้ใดดื่มสุรา ไม่มีทรัพย์ หาการงานทำ�เลี้ยงชีพไม่ได้
เป็นคนขี้เมา ปราศจากสิ่งเป็นประโยชน์
เขาจะจมลงสู่หนี้ เหมือนก้อนหินจมน้ำ� ฉะนั้น
171
๑. โทษของน้ำ�เมา
๑.๑ ผู้ใดดื่มสุรา ไม่มีทรัพย์ หาการงานทำ�เลี้ยงชีพไม่ได้ เป็นคนขี้เมาปราศจากสิ่งเป็น
ประโยชน์ เขาจะจมลงสู่หนี้เหมือนก้อนหินจมน้ำ� ฉะนั้น.
ที.ปา. ( พุทธ ) มก. ๑๖/๘๓
๑.๒ นรชนใดย่อมประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มสุรา และเมรัย นระนี้ชื่อว่า ย่อมขุดรากเหง้า
(ความดี) ของตน คือ เป็นคนหาที่พึ่งมิได้ในโลกนี้ที่เดียว.
ขุ.ธ. ( พุทธ ) มก. ๔๓/๓๖
๑.๓ สุรานั้นทำ�ใจให้ฮึกเหิม มีกลิ่นหอม ทำ�ให้พูดมาก มีรสหวานแหลมปานน้ำ�ผึ้ง พระอริยะ
ทั้งหลายกล่าวสุรานั้นว่า เป็นพิษของพรหมจรรย์.
ขุ.ชา. ( ทั่วไป ) มก. ๖๐/๒๔๖
๑.๔ สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ดื่มสุราเมรัย ไม่งดเว้นการดื่มสุราเมรัย นี้เป็นเครื่องเศร้า
หมองของสมณพราหมณ์.
วิ.จุ. ( เถระ ) มก. ๙/๕๓๓
๑.๕ ถ้าหากน้ำ�ในมหาสมุทรจะเป็นสุรา และนักเลงสุราจะเกิดเป็นปลา เมื่อเขาแหวกว่าย
อยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดีในน้ำ�นั้น ขึ้นชื่อว่า ความอิ่มก็ไม่พึงมี.
อัง.ติก. (พุทธ) มก. ๓๔/๕
๒๑
ม ง ค ล ที่
ไม่ประมาทในธรรม
รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลาย ผู้สัญจรไปบนแผ่นดินชนิดใดชนิดหนึ่ง
ทั้งหมดนั้น ย่อมถึงความประชุมกันลงในรอยเท้าช้าง
รอยเท้าช้าง บัณฑิตกล่าวว่า เลิศกว่ารอยเท้าสัตว์เหล่านั้นเพราะเป็นรอยใหญ่
แม้ฉันใด กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่งทั้งหมดนั้น
มีความไม่ประมาทเป็นมูล รวมลงในความไม่ประมาท
ความไม่ประมาทบัณฑิตกล่าวว่า เลิศกว่ากุศลธรรมเหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน
173
๑. ความสำ�คัญของความไม่ประมาทในธรรม
๑.๑ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บัณฑิตกล่าวว่า เป็นยอดของสัตว์เหล่านั้น
ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล กุศลธรรมเหล่านั้น
ทั้งหมด มีความไม่ประมาทเป็นมูล ประชุมลงในความไม่ประมาท ความไม่ประมาท บัณฑิตกล่าวว่า
เป็นยอดกุศลธรรมเหล่านั้น.
อัง.ทสก. (พุทธ) มก. ๓๘/๓๕
๑.๒ รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลาย ผู้สัญจรไปบนแผ่นดินชนิดใดชนิดหนึ่งทั้งหมดนั้น ย่อมถึง
ความประชุมกันลงในรอยเท้าช้าง รอยเท้าช้าง บัณฑิตกล่าวว่า เลิศกว่ารอยเท้าสัตว์เหล่านั้น
เพราะเป็นรอยใหญ่ แม้ฉันใด กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่งทั้งหมดนั้น มีความไม่ประมาทเป็น
มูลรวมลงในความไม่ประมาท ความไม่ประมาทบัณฑิตกล่าวว่า เลิศกว่ากุศลธรรมเหล่านั้น ฉันนั้น
เหมือนกัน.
สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๐/๑๓๒
๑.๓ พระราชาผู้น้อย (ชั้นต่ำ�) เหล่าใดเหล่าหนึ่งทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นผู้ตามเสด็จพระเจ้า
จักรพรรดิ พระเจ้าจักรพรรดิ บัณฑิตกล่าวว่า เลิศกว่าราชาผู้น้อยเหล่านั้น แม้ฉันใด กุศลธรรม
เหล่าใดเหล่าหนึ่งทั้งหมดนั้น มีความไม่ประมาทเป็นมูล... ฉันนั้นเหมือนกัน.
สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๐/๑๓๕
174
๒. โทษของความประมาท
๒.๑ สัตว์โลกนี้เป็นเหมือนคนตาบอด ในโลกนี้น้อยคนนักจะเห็นแจ้ง น้อยคนนักจะไปใน
สวรรค์เหมือนนกหลุดแล้วจากข่ายมีน้อย ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๒/๒๘
๒.๒ บุคคลผู้เกียจคร้าน และกินจุเหมือนต้นไม้ที่ถูกทรายคลุมทับในที่ที่ล้มลงนั่นแล้วเป็นไม้
ผุ ฉะนั้น.
สัง.สฬา. (อรรถ) มก. ๒๘/๔๑๗
175
๓. ผู้ไม่ประมาท
๓.๑ ธรรมดากรรมกรย่ อ มคิ ด ว่ า เราเป็ น ลู ก จ้ า ง เราจั ก ต้ อ งตั้ ง ใจทำ � งานด้ ว ยความ
ไม่ประมาทเพื่อเราจักได้ค่าจ้างมาก ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควรคิดว่า เมื่อเราพิจารณา
กายอันประกอบด้วยธาตุ ๔ นี้ดีแล้ว เราก็จะเป็นผู้ไม่ประมาทเนืองๆ มีสติสัมปชัญญะดี ใจแน่วแน่
เมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็จะพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย โสกะ ปริเทวะ๑ ทุกข์โทมนัส อุปายาส
เพราะฉะนั้น เราไม่ควรจะประมาทเลย.
มิลิน. ๔๓๓
๓.๒ ธรรมดานายพรานย่อมรู้จักเวลาไหนควรทำ�อะไร ภิกษุผู้ปรารถความเพียรก็ควรรู้จัก
เวลา คือ ควรรู้ว่าเวลาอยู่ในที่สงัด เวลานี้เป็นเวลาออกจากที่สงัด.
มิลิน. ๔๕๙
๓.๓ นายท้ายเรือผู้เอาใจใส่เรือตลอดเวลาทั้งกลางวัน กลางคืน ไม่ประมาทเผลอเรอ
ฉันใด ภิกษุผู้ความเพียรก็ไม่ประมาท ควรกำ�หนดจิตไว้ด้วยโยนิโสมนสิการอยู่เป็นนิตย์ทั้งกลางวัน
กลางคืน ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๓๒
๓.๔ ธรรมดาหนูย่อมเที่ยวแสวงหาอาหารไปตามที่นั้นที่นี้ ฉันใด ภิกษุผู้ปรารถความเพียร
เมื่อเที่ยวไปข้างโน้นข้างนี้ก็แสวงโยนิโสมนสิการ ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๔๔
๑
ปริเทวะ ความร่ำ�ไรรำ�พัน, ความคร่ำ�ครวญ, ความรำ�พันด้วยความเสียใจ, ความบ่นเพ้อ
176
๔. อานิสงส์ของความไม่ประมาท
๔.๑ ผู้ใดประมาทในก่ อน ภายหลั ง ไม่ ป ระมาท ผู้ นั้ น ย่ อ มยั ง โลกนี้ ให้ ส ว่ า งได้ เหมื อน
ดวงจันทร์พ้นจากหมอก ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๒/๒๒๗
177
๖. ความแก่
๖.๑ ดอกบัวบานในเวลาเช้า ถูกแสงอาทิตย์แผดเผาย่อมเหี่ยวแห้ง สัตว์ทั้งหลายผู้ถึงความ
เป็นมนุษย์ก็เหมือนอย่างนั้น ย่อมเหี่ยวแห้งไปด้วยอำ�นาจของชรา.
ขุ.สุ. (อรรถ) มก. ๔๗/๔๑๘
๖.๒ ใบไม้เหลืองได้ร่วงลงมาข้างหน้าของเขา เขาเริ่มตั้งความสิ้น และความเสื่อมไปใน
ใบไม้เหลืองนั้นนั่นเอง พิจารณาไตรลักษณ์ในแผ่นดินกึกก้องไป พร้อมกับให้พระปัจเจกโพธิญาณ
เกิดขึ้น.
ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๕๙/๒๙
178
๗. ความตาย
๗.๑ ผลไม้สุกแล้ว ย่อมมีภัย เพราะจะต้องร่วงหล่นลงไปเป็นนิตย์ ฉันใด สัตว์ทั้งหลาย
ผู้เกิดแล้ว ชื่อว่า ย่อมมีภัย เพราะจะต้องตายเป็นนิตย์ ฉันนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๓/๑๖
๑
พีชคาม พืชพันธุ์อันถูกพรากจากที่แล้ว แต่ยังเป็นได้อีก
๒
ภูตคาม ของเขียวหรือพืชพรรณอันเป็นอยู่กับที่
๓
ติณชาติ หญ้า
179
๘. การตายก่อนเวลาอันควร
๘.๑ การตายก่อนเวลาอันควร อุปมาเหมือนผลไม้ตกจากต้นก่อนสุก เหมือนลูกธนูที่ยิงออก
จากแล่งแล้วไม่ถึงที่สุด เพราะติดสิ่งกีดขวางก่อน.
มิลิน. ๓๗๓
๘.๒ อาตมภาพเห็นเด็กชายของท่านทั้งหลาย ยังไม่ทันแก่ก็ตายเสียแล้ว เห็นเด็กหญิงของ
ท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นเด็กหญิงที่สวยงามน่าชมสิ้นชีวิต เหมือนหน่อไม้ไผ่ที่ยังอ่อนอยู่ถูกถอน ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๓/๑๔
๘.๓ สัตว์เหล่านี้ ตายเสียแต่ในปฐมวัยก็มี เหมือนน้�ำ ทีเ่ ราเทลงครัง้ แรก ตายเสียในมัชฌิมวัย
ก็มี เหมือนน้ำ�ที่เราเทลงครั้งที่ ๒ ไหลไปไกลกว่านั้น ตายเสียในปัจฉิมวัยก็มี เหมือนน้ำ�ที่เราเทลง
ครั้งที่ ๓ ไหลไปไกลแม้กว่านั้น.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๑/๔๙๗
๙. อายุ
๙.๑ อายุของมนุษย์ทั้งหลายน้อย คนดีควรดูหมิ่นอายุนั้น ควรประพฤติดุจคนที่ถูกไฟไหม้
ศีรษะ ฉะนั้น การที่มัจจุราชจะไม่มาไม่มีเลย.
สัง.ส. (พุทธ) มก. ๒๕/๒๖
๙.๒ อายุของคนเราเป็นของน้อยนัก เพราะวันคืนล่วงไปๆ เหมือนอายุของฝูงปลาในน้�ำ น้อย.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๓/๑๔
๙.๓ วันคืนผ่านพ้นไป ชีวติ ย่อมสัน้ เข้า อายุของสัตว์ทง้ ั หลายย่อมสิน้ ไป ดุจน้�ำ ในแม่น�ำ ้ น้อย ฉะนัน้ .
สัง.ส. (พุทธ) มก. ๒๕/๒๘
๙.๔ แม่น้ำ�ที่เต็มฝั่ง ย่อมไม่ไหลไปสู่ที่สูง ฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไม่กลับไปสู่
ความเป็นเด็กอีก ฉันนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๓/๑๕
๙.๕ วันคืนย่อมผ่านพ้นไป ชีวิตย่อมสั้นเข้า อายุของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมดำ�เนินไป ดุจกงจักร
ตามธูปรถไป ฉะนั้น.
สัง.ส. (พุทธ) มก. ๒๕/๒๘
185
๑๐. ร่างกาย
๑๐.๑ พยับแดดนี้ตั้งขึ้นแล้วในฤดูร้อน ย่อมปรากฏแก่บุคคลผู้ยืนอยู่ ณ ที่ไกลดุจมีรูปร่าง
แต่ไม่ปรากฏเลยแก่บุคคลผู้มาสู่ที่ใกล้ ฉันใด แม้อัตภาพนี้ก็มีรูปเหมือนอย่างนั้น เพราะเกิดขึ้น
และเสื่อมไป เดินมาแล้วเมื่อยล้าในหนทาง อาบน้ำ�ในแม่น้ำ�อจิรวดี นั่งในที่ร่มไม้ริมฝั่งแม่น้ำ�มี
กระแสอันเชี่ยวแห่งหนึ่ง เห็นฟองน้ำ�ใหญ่ ตั้งขึ้นด้วยกำ�ลังแห่งน้ำ�กระทบกันแล้วแตกไป ได้ถือเอา
เป็นอารมณ์ว่า แม้อัตภาพนี้ ก็มีรูปร่างอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะเกิดขึ้นแล้วก็แตกไป.
ขุ.ธ. (เถระ) มก. ๔๑/๘
๑๐.๒ คนทั้งหลายแลเห็นน้ำ�ในพยับแดด แม้ที่ไม่มีน้ำ� ฉันใด ภิกษุพิจารณาเห็นกายอันนี้ว่า
เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่สวยงามว่า เป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตน และ
สวยงาม ฉันนั้น.
ที.ม. (อรรถ) มก. ๑๔/๒๘๓
๑๐.๓ การพิจารณาน้ำ�ในพยับแดดแม้ไม่มีน� ้ำ ฉันใด การพิจารณาว่าเป็นของเที่ยง เป็นสุข
เป็นอัตตา และงาม ในกายนี้ซึ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และไม่งามนั่นแล ฉันนั้นหามิได้ ที่แท้
การพิจารณากายก็คือ การพิจารณาหมู่แห่งอาการที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และไม่งามนั่นเอง.
ขุ.ม. (อรรถ) มก. ๖๕/๑๐๙
๑๐.๔ คนฆ่าโคบางคน หรือลูกมือของเขา ที่เขาเลี้ยงดูด้วยอาหาร และค่าจ้าง ฆ่าโคแล้ว
ชำ�แหละแบ่งออกเป็นส่วนๆ แล้วนั่ง ณ ที่ทางใหญ่ ๔ แพร่ง คือ ที่ชุมทางย่านกลางทางใหญ่ ซึ่งไป
ได้ทั้ง ๔ ทิศ ฉันใด ภิกษุผู้บำ�เพ็ญธาตุกัมมัฏฐาน ก็ฉันนั้นแล ย่อมพิจารณาร่างกายอย่างนี้ว่า ใน
กายนี้มีปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ.
ที.ม. (อรรถ) มก. ๑๔/๓๐๔
๑๐.๕ เมื่อเขาชำ�แหละแบ่งออกแล้ว ความสำ�คัญว่าโคก็ขายไป กลับสำ�คัญเนื้อโคไป
เขามิได้คิดว่า เราขายโค ที่แท้เขาคิดว่า เราขายเนื้อโค เปรียบฉันใด แม้ภิกษุนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เมื่อครั้งเป็นปุถุชนผู้เขลา เป็นคฤหัสถ์ก็ดี บรรพชิตก็ดี สำ�คัญว่าสัตว์หรือบุคคลยังไม่หายไปก่อน
ตราบเท่าที่ยังไม่พิจารณาเห็นกายนี้ตามที่ตั้งอยู่ ตามที่ดำ�รงอยู่ แยกออกจากก้อน ต่อเมื่อเธอ
พิจารณาโดยเห็นความเป็นธาตุ ความสำ�คัญว่าสัตว์จึงหายไป.
ที.ม. (อรรถ) มก. ๑๔/๓๐๔
186
๑๑. สติ
๑๑.๑ ประโยชน์ของการมีสติ
๑๑.๑.๑. เกลือสะตุย่อมอยู่แม้ในกับข้าวทั้งปวง ฉันใด และอำ�มาตย์ผู้ประกอบการงานทั้ง
ปวงย่อมทำ�หน้าที่รบ ทำ�หน้าที่ปรึกษาบ้าง ทำ�หน้าที่สนับสนุนบ้าง รวมความว่า ย่อมทำ�กิจทุก
อย่างให้สำ�เร็จได้ ฉันใด การข่มจิตที่ฟุ้งซ่าน การยกจิตที่หดหู่ ก็ฉันนั้น กิจแม้ทั้งหมดจะสำ�เร็จได้
ด้วยสติ.
สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๐/๓๐๙
๑๑.๑.๒. สติมีการตักเตือนเป็นลักษณะ เหมือนขุนคลังของพระราชา คือ เมื่อเกิดขึ้นก็
ตักเตือนให้รู้จักสิ่งที่เป็นกุศล และอกุศล.
มิลิน. ๕๒
188
เปรี ย บเหมื อ นต้ น ไม้ ที่ มี กิ่ ง และใบสมบู ร ณ์ แม้ ก ะเทาะของต้ น ไม้ นั้ น ก็ ย่ อ มบริ บู ร ณ์
แม้เปลือก แม้กระพี้ แม้แก่นของต้นไม้นั้นก็ย่อมบริบูรณ์ ฉันนั้น.
อัง.อัฏฐก. (พุทธ) มก. ๓๗/๖๖๙
๑๑.๑.๘ พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามพระนาคเสนว่า สติมีลักษณะอย่างไร
พระนาคเสนทูลตอบว่า สติมีการเตือนเป็นลักษณะ คือ เมื่อเกิดขึ้นก็เตือนให้รู้จักสิ่งที่เป็น
กุศล อกุศลมีโทษ ไม่มีโทษ เหมือนขุนคลังของพระราชา คอยทูลรายงานพระราชาในยามเช้า เย็น
สติมีการเข้าไปในลักษณะ คือ เมื่อเกิดขึ้น ก็ถือเอาแต่ธรรมที่มีประโยชน์ มีอุปการะเหมือน
นายประตูของพระราชาที่กำ�จัดพวกไม่มีประโยชน์ ให้เข้าไปแต่พวกมีประโยชน์.
มิลิน. ๕๓
๑๑.๒ การเจริญสติ
๑๑.๒.๑ นรชนในพระศาสนานี้ พึงผูกจิตของตนให้มั่นในอารมณ์ ให้มั่นด้วยสติ เหมือนคน
เลี้ยงโค เมื่อจะฝึกลูกโค พึงผูกมันไว้ที่หลัก ฉะนั้น.
ที.ม. (อรรถ) มก. ๑๔/๒๙๓
๑๑.๒.๒ บานประตู คือ สติที่รู้กันว่าการสำ�รวมทางจักขุนทรีย์ในจักษุทวาร เหมือนคนปิด
บานประตูที่ประตูเรือน ฉะนั้น.
ม.มุ. (อรรถ) มก. ๑๗/๑๘๐
๑๑.๒.๓ มีสติ และสัมปชัญญะในการกระทำ�ทุกอย่าง แล้วไม่มีความติดข้องในธรรมทั้งปวง
เหมือนหยาดน้ำ�ไม่ติดบนใบบัว ฉะนั้น.
ขุ.อุ. (พุทธ) มก. ๔๔/๔๐๕
๑๑.๒.๔ มุนีพึงตั้งสติเที่ยวไปในบ้าน เหมือนบุรุษผู้ไม่ได้สวมรองเท้า ตั้งสติเที่ยวไปในถิ่นที่มี
หนาม ฉะนั้น.
ขุ.เถร. (อรรถ) มก. ๕๓/๑๘๘
๑๑.๒.๕ บุคคลพึงประคองภาชนะอันเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำ�มัน ฉันใด บัณฑิตผู้ปรารถนาจะไป
สู่ทิศที่ยังไม่เคยไป ก็พึงตามรักษาจิตของตนไว้ด้วยสติ ฉันนั้น.
ขุ.ชา. (พุทธ) มก. ๕๖/๓๕๓
๑๑.๒.๖ ธรรมดาช้างย่อมมีสติอยู่ทุกเวลายกเท้าขึ้น วางเท้าลง เวลาย่างก้าว ฉันใด ภิกษุ
ผู้ปรารภความเพียรก็ควรมีสติสัมปชัญญะทุกเวลายกเท้าขึ้น วางเท้าลง เดินไปเดินมา ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๔๘
190
มีความเคารพ
ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย
ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจากสัทธรรม
เหมือนปลาในน้ำ�มาก ฉะนั้น
193
๑. ความเคารพในพระพุทธเจ้า
๑.๑ พระองค์ไม่มีกิจคือสรรเสริญด้วยคุณอย่างอื่น เปรียบเหมือนดอกจัมปา ดอกอุบล
ดอกปทุม หรือจันทน์แดง ย่อมสดใส และมีกลิ่นหอมโดยสิริแห่งสี และกลิ่นของมัน มันไม่มีกิจที่จะ
ชมเชยโดยสี และกลิ่นที่จรมา เปรียบเหมือนแก้วมณีหรือดวงจันทร์ ย่อมโอภาสโดยแสงสว่างของ
ตนเท่านั้น มันหามีกิจด้วยแสงสว่างด้วยอย่างอื่นไม่ ฉันใด พระสมณโคดมก็ฉันนั้น เป็นผู้อันบัณฑิต
สรรเสริญ ชมเชยโดยคุณของตน.
ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๘/๔๘๖
๑.๒ มหาคงคาเต็มด้วยห้วงน้ำ� บุคคลพึงเทใส่ในรูเข็ม น้ำ�ที่เข้าไปในรูเข็มมีน้อย น้ำ�ที่เหลือมี
มาก ฉันใด พระพุทธคุณที่อาตมากล่าวแล้วน้อย ที่เหลือมาก ฉันนั้น.
ม.มู. (เถระ) มก. ๑๙/๑๔๖
๑.๓ พระเถระ : มหาบพิตร ธรรมดาว่านกเล่นลมเที่ยวบินเล่นในอากาศในโลกนี้ สกุณชาติ
ตัวเล็กๆ สถานที่ปรบปีกของนกนั้น ในอากาศมีมาก หรืออากาศที่เหลือมีมาก
พระราชา : ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านกล่าวอะไร โอกาสเป็นที่ปรบปีกของนกนั้นน้อย ที่เหลือ
มีมาก
พระเถระ : มหาบพิตรอย่างนั้นแหละ พระพุทธคุณที่อาตมากล่าวแล้วน้อย ที่เหลือมาก
ไม่มีที่สุด ประมาณไม่ได้.
ม.มู. (เถระ) มก. ๑๙/๑๔๖
194
๒. ความเคารพในพระธรรม
๒.๑ เสาเขือ่ นหรือเสาเหล็กมีรากอันลึก ปักไว้ดแี ล้ว ไม่หวัน่ ไหว ไม่สน่ั สะเทือน ฉันใด ธรรม
ทั้งหลายอันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้ทรงเห็น ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว
ทรงบัญญัตแิ ล้วแก่สาวกทัง้ หลาย เป็นธรรมอันสาวกไม่กา้ วล่วงตลอดชีวติ ฉันนัน้ เหมือนกันแล.
ที.ปา. (เถระ) มก. ๑๕/๒๗๙
๒.๒ ธรรมดาไม้ไผ่ย่อมเอนเอียงไปตามลมโดยไม่ขัดขืน ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็
กระทำ�ตามคำ�สั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทำ�แต่สิ่งที่ดีงาม ไม่ฝ่าฝืนพระธรรมวินัย
สมกับคำ�ของพระราหุลว่า ควรกระทำ�ตามซึ่งคำ�ของพระพุทธเจ้า อันประกอบด้วยองค์ ๙
ทุกเมื่อ ควรทำ�แต่สิ่งที่สมควร สิ่งที่ไม่มีโทษควรพยายามให้ยิ่งๆ ขึ้นไป.
มิลิน. ๔๒๗
195
๓. ความเคารพในพระสงฆ์
๓.๑ ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ห่างไกลจากสัทธรรม
เหมือนฟ้ากับดิน ฉะนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๑๑
๓.๒ ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมเสื่อมจากสัทธรรม เหมือน
ปลาในน้ำ�น้อย ฉะนั้น
ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมไม่งอกงามในสัทธรรม เหมือน
พืชที่เน่าในไร่นา ฉะนั้น
ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นเป็นผู้ไกลจากพระนิพพานในศาสนา
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชา
ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจากสัทธรรม เหมือนปลา
ในน้ำ�มาก ฉะนั้น
ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมงอกงามในสัทธรรม เหมือนพืชที่ดี
ในไร่นา ฉะนั้น
ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมอยู่ใกล้พระนิพพานในศาสนาของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชา.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๑๖๔
๓.๓ ธรรมดาแล่งธนูคือรางหน้าไม้ที่ช่างทำ�ไว้ดีแล้ว ย่อมตรงตลอดตั้งแต่ต้นจรดปลาย
ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควรประพฤติตนตรงต่อเพื่อนพรหมจรรย์ ฉันนั้น
ข้อนี้สมกับคำ�ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวิธุรปุณณกชาดกว่า ธีรชนควรเป็นเหมือนแล่ง
ธนู ควรอ่อนตามลมเหมือนไม้ไผ่ ไม่ควรทำ�ตนเป็นข้าศึก จึงจักอยู่ในพระราชสำ�นักได้.
มิลิน. ๔๒๗
๓.๔ บุคคลพึงรู้แจ้งธรรมอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว จากอาจารย์ใด พึง
นอบน้อมอาจารย์นั้นโดยเคารพ เหมือนพราหมณ์นอบน้อมการบูชาเพลิงอยู่ ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๓/๔๔๕
196
๔. ความเคารพในการปฏิสันถาร
๔.๑ ธรรมดาต้นไม้ย่อมให้ร่มเงาแก่ผู้เข้าไปพักอาศัย ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควร
ต้อนรับผู้ที่เข้ามาหาตนด้วยอามิส หรือธรรม ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๕๗
๕. การจับผิด
๕.๑ โทษของบุคคลเหล่าอื่นเห็นได้ง่าย ฝ่ายโทษของตนเห็นได้ยาก เพราะว่าบุคคลนั้น ย่อม
โปรยโทษของบุคคลอื่นเหมือนบุคคลโปรยแกลบ แต่ว่าย่อมปกปิดโทษของตน เหมือนพรานนก
ปกปิดอัตภาพด้วยเครื่องปกปิด ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๓/๔
197
๒๓
ม ง ค ล ที่
มีความถ่อมตน
บุคคลประกอบด้วยความเป็นผู้ถ่อมตน
กำ�จัดมานะได้ กำ�จัดความกระด้างได้ เป็นเสมือนผ้าเช็ดเท้า
เสมอด้วยโคอุสุภะเขาขาด และเสมอด้วยงูที่ถูกถอนเขี้ยวแล้ว
ย่อมเป็นผู้ละเอียดอ่อนละมุนละไม ผ่องแผ้วด้วยความสุข
199
๑. การพิจารณาตน
๑.๑ ภิกษุย่อมเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตนอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนสตรี
หรือบุรุษที่เป็นหนุ่มสาว มีปกติชอบแต่งตัวส่องดูเงาหน้าของตนในคันฉ่องอันบริสุทธิ์หมดจด
หรือในภาชนะน้ำ�อันใส ถ้าเห็นธุลีหรือจุดดำ�ที่หน้านั้น ก็พยายามเพื่อขจัดธุลีหรือจุดดำ �นั้นเสีย
หากว่าเขาไม่เห็นธุลีหรือจุดดำ�ที่หน้านั้น ก็ย่อมดีใจ มีความดำ�ริอันบริบูรณ์ด้วยเหตุนั้นแลว่า
เป็นลาภของเราหนอ หน้าของเราบริสุทธิ์แล้วหนอ แม้ฉันใด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การพิจารณาของภิกษุว่า เราเป็นผู้มีอภิชฌาอยู่โดยมากหรือหนอ หรือ
ว่าเราไม่เป็นผู้มีอภิชฌาอยู่โดยมาก เราเป็นผู้มีจิตพยาบาทอยู่โดยมากหรือหนอ... เราเป็นผู้อันถีน
มิทธะกลุ้มรุมอยู่โดยมากหรือหนอ... เราเป็นผู้ฟุ้งซ่านอยู่โดยมากหรือหนอ... เราเป็นผู้มีความสงสัย
อยู่โดยมากหรือหนอ... เราเป็นผู้โกรธอยู่โดยมากหรือหนอ... เราเป็นผู้มีจิตเศร้าหมองอยู่โดยมาก
หรือหนอ... เราเป็นผู้มีกายอันปรารภแรงกล้าอยู่โดยมากหรือหนอ... เราเป็นผู้เกียจคร้านอยู่โดย
มากหรือหนอ... เราเป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นอยู่โดยมากหรือหนอ... ดังนี้ ย่อมเป็นอุปการะมากในกุศล
ธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล.
อัง.ทสก. (พุทธ) มก. ๓๘/๑๖๘
200
๒. ความถ่อมตน
๒.๑ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีชาติต่ำ�ต้อย ไม่สมควรมีอาสนะเสมอด้วยพระองค์ผู้สูงศักดิ์
เหมือนสุนขั จิง้ จอกผูม้ ชี าติต�ำ่ ต้อย จะพึงมีอาสนะเสมอด้วยพระยาไกรสรราชสีหอ์ ย่างไรได้พระเจ้าข้า.
ขุ.ชา. (อรรถ) มก. ๖๔/๔๑๕
๒.๒ กุลบุตรบางพวกเป็นผู้ปรากฏชื่อเสียงมียศ โดยประการใดๆ โน้มลงด้วยดีดุจข้าวสาลี
ที่เต็มด้วยผลพวง โดยประการนั้นๆ เมื่อพระราชา และมหาอำ�มาตย์ของพระราชา เป็นต้น เข้าไป
หาอยู่ เธอย่อมพิจารณาเห็นความไม่มีกิเลสชาติเครื่องกังวล เข้าไปตั้งความสำ�คัญในความเป็น
สมณะไว้ เป็นผู้สงบเสงี่ยม ไม่เบ่ง มีจิตต่ำ� ดุจโคอุสภะมีเขาขาด และดุจเด็กจัณฑาล ปฏิบัติแล้ว
เพื่อประโยชน์ และความสุขแก่ภิกษุสงฆ์ และแก่ชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลก.
ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๙/๔๐๑
๒.๓ จิตเสมอด้วยผ้าเช็ดเท้า คือ เมื่อเท้าเปื้อนหรือไม่เปื้อนอันบุคคลเช็ดอยู่ ความยินดี
ความยินร้ายย่อมไม่มีแก่ผ้าเช็ดเท้า ฉันใด พึงเป็นผู้มีจิตไม่ยินดีไม่ยินร้ายในอิฏฐารมณ์ และอนิ
ฏฐารมณ์ ฉันนั้น.
วิ.ป. (อรรถ) มก. ๑๐/๖๙๒
๒.๔ พระสารีบุตรเปรียบตนเองกับพระโมคคัลลานะว่า ท่านเป็นเหมือนก้อนหินเล็กๆ ที่นำ�
ไปวางเทียบกับเขาหิมพานต์ เพราะพระโมคคัลลานะมีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก เมื่อต้องการอยู่
ตลอดกัปก็สามารถอยู่ได้
พระโมคคัลลานะฟังแล้ว จึงเปรียบตนเองกับพระสารีบุตรว่า ท่านนั้นเปรียบเหมือนก้อนเก
ลือเล็กๆ ที่บุคคลหยิบไปวางเทียบกับหม้อเกลือใหญ่ เพราะพระสารีบุตรเป็นผู้ที่พระบรมศาสดา
ทรงสรรเสริญว่า เปี่ยมด้วยปัญญา มีศีล และอุปสมะ.
สัง.นิ. (เถระ) มก. ๒๖/๗๕๗
๒.๕ บุคคลประกอบด้วยความเป็นผู้ถ่อมตน กำ�จัดมานะได้ กำ�จัดความกระด้างได้ เป็น
เสมื อ นผ้ า เช็ ด เท้ า เสมอด้ ว ยโคอุ สุ ภ ะเขาขาด และเสมอด้ ว ยงู ที่ ถู ก ถอนเขี้ ย วแล้ ว ย่ อ มเป็ น
ผู้ละเอียดอ่อนละมุนละไม ผ่องแผ้วด้วยความสุข.
ขุ.เถร. (อรรถ) มก. ๓๙/๑๙๘
201
๓. การไม่โอ้อวด
๓.๑ พระขีณาสพทั้งหลาย ย่อมไม่ประสงค์จะบอกคุณวิเศษแก่กันและกัน เหมือนบุรุษผู้ได้
ขุมทรัพย์แล้ว ไม่บอกขุมทรัพย์อันตนรู้เฉพาะแล้ว ฉะนั้น.
สัง.ส. (อรรถ) มก. ๒๔/๒๑๑
๓.๒ ธรรมดาหม้อน้ำ�เมื่อมีน้ำ�เต็มย่อมไม่เกิดเสียงดัง ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรเมื่อได้
รับรู้ความดีเต็มเปี่ยมแล้ว ก็ไม่มีเสียง ไม่มีมานะ ไม่ดูถูกผู้อื่น ไม่ปากกล้า ไม่โอ้อวด ฉันนั้น
ข้อนี้สมดังพระพุทธพจน์ว่า หม้อที่มีน้ำ�พร่องย่อมมีเสียงดัง หม้อที่มีน้ำ�เต็มย่อมเงียบ คนโง่
เปรียบเหมือนน้ำ�ครึ่งหม้อ บัณฑิตเปรียบเหมือนน้ำ�เต็มหม้อ.
มิลิน. ๔๖๑
๔. การไม่ดูหมิ่น
๔.๑ โคอาชาไนยที่ดีอันเขาเทียมแล้วที่แอกเกวียน ย่อมอาจนำ�แอกเกวียนไปได้ ไม่ย่อท้อ
ต่อภาระอันหนัก ไม่ทอดทิ้งเกวียนอันเขาเทียมแล้ว แม้ฉันใด บุคคลเหล่าใดบริบูรณ์ด้วยปัญญา
เหมือนมหาสมุทรอันเต็มด้วยน้ำ� บุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ดูหมิ่นผู้อื่น ฉันนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๔๗๖
๒๔
ม ง ค ล ที่
มีความสันโดษ
ภิกษุไ่ม่ติดแล้วในธรรมเหล่านี้
คือบิณฑบาต ที่นอน ที่นั่ง น้ำ� ผ้าสังฆาฏิ
เหมือนหยาดน้ำ�ไม่ติดบนใบบัว ฉะนั้น
203
๑. ความสำ�คัญของความสันโดษ
๑.๑ ท้าวสักกะย่อมเพียบพร้อมด้วยความสุขอย่างเดียว ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็
ควรยินดีแต่ความสุขที่เกิดจากการทำ�ความสงบภายในอย่างยิ่งประการเดียว ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๔๒
๑.๒ โคอาชาไนยตัวสามารถเทียมไถแล้ว ย่อมลากไถไปโดยไม่ลำ�บาก ฉันใด เมื่อเราได้
ความสุขอันไม่เจือด้วยอามิส คืนและวันทั้งหลายย่อมผ่านพ้นเราไปโดยยาก ฉันนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๐/๑๓๙
๑.๓ สิ่งอันใดได้มาเพราะผู้อื่นให้ สิ่งนั้นมีอุปมาเหมือนอย่างยาน หรือทรัพย์ที่ยืมเขามา.
ม.ม. (อรรถ) มก. ๒๑/๘๘
๑.๔ ธรรมดานกจากพรากย่อมกินหอย และสาหร่ายจอกแหนเป็นอาหารเพื่อยังกำ�ลัง และ
สีกายด้วยความยินดี ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควรยินดีตามมีตามได้ ฉันนั้น เพราะผู้ยินดี
ตามมีตามได้ ย่อมไม่เสื่อมจากศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ และกุศลธรรมทั้งปวง.
มิลิน. ๔๕๐
204
๒.๑๒ กาลใดแล เธอจั ก ตรึ ก มหาปุ ริ ส วิ ต ก ๘ ประการนี้ และจั ก เป็ น ผู้ ได้ ต ามความ
ปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำ�บาก ซึ่งฌาน ๔ นี้ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
ในกาลนั้น ยาดองด้วยน้ำ�มูตรเน่า จักปรากฏแก่เธอผู้สันโดษ... ด้วยการก้าวลงสู่นิพพานเปรียบ
เหมือนเภสัชต่างๆ คือ เนยใส เนยข้น น้ำ�มัน น้ำ�ผึ้ง น้ำ�อ้อย ของคฤหบดีหรือบุตรของคฤหบดี
ฉะนั้น.
อัง.สัตตก. (พุทธ) มก. ๓๗/๔๖๐
๒.๑๓ ท่านเองมีจิตเสมอด้วยแผ่นดิน น้ำ� ไฟ ลม ผ้าเช็ดธุลี มีความรู้สึกเจียมตัวเหมือนเด็ก
จัณฑาล มีความคิดไม่ทำ�ลายใครๆ เหมือนโคผู้เขาหัก มีความรู้สึกอึดอัด ระอา รังเกียจกายอัน
เปื่อยเน่า เหมือนหนุ่มสาวแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย รังเกียจซากสัตว์ต่างๆ ต้องบริหารร่างกายที่มี
ทวาร ๙ ช่อง ซึ่งมีการขับถ่ายของเสียออกมา เหมือนคนประคองถาดมันข้นที่มีช่องไหลเข้าออกได้.
อัง.นวก. (เถระ) มก. ๓๗/๗๓๘
๓. ความไม่สันโดษ
๓.๑ ผูม้ คี วามปรารถนาเกิน เหมือนขนมสุกทีใ่ ส่ในภาชนะตน ย่อมเห็นว่าสุกไม่ดี และเหมือน
มีน้อย ถ้าใส่ในภาชนะผู้อื่น เหมือนขนมสุกดีและมีมาก.
อัง.เอกก. (อรรถ) มก. ๓๒/๑๓๒
๓.๒ ผู้ไม่อิ่มในลาภของตน มุ่งลาภของผู้อื่น ชื่อว่า ความเป็นผู้ปรารถนาไม่มีขอบเขต
ย่อมมองเห็นขนมที่สุกแล้ว ในภาชนะเดียวกันที่ตกลงในบาตรของตนว่า เป็นเหมือนยังไม่สุกและ
เป็นของเล็กน้อย ของอย่างเดียวกันที่เขาใส่ลงในบาตรของผู้อื่น ย่อมมองเห็นว่า เป็นเหมือนของ
สุกดี และเป็นของมาก.
ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๘/๓๖๒
207
๒๕
ม ง ค ล ที่
มีความกตัญญู
กรรมที่บุคคลทำ�ในคนกตัญญู มีศีล มีความประพฤติประเสริฐ
ย่อมไม่ฉิบหายไป เหมือนพืชที่บุคคลหว่านลงในนาดี ฉะนั้น
209
๑. ความกตัญญู
๑.๑ บุคคลนั่ง หรือนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่พึงหักก้านกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะบุคคล
ผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนชั่วช้า.
ขุ.ชา. (อรรถ) มก. ๕๙/๙๔๐
๑.๒ กรรมที่บุคคลทำ�ในคนกตัญญูมีศีล มีความประพฤติประเสริฐ ย่อมไม่ฉิบหายไป
เหมือนพืชที่บุคคลหว่านลงในนาดี ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๙/๘๖๒
๒. ความอกตัญญู
๒.๑ กรรมที่บุคคลทำ�ในอสัตบุรุษ ย่อมฉิบหายไม่งอกงาม เหมือนพืชที่บุคคลหว่านลงในไฟ
ย่อมถูกไฟไหม้ไม่งอกงาม ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๙/๘๖๒
๒๖
ม ง ค ล ที่
ฟังธรรมตามกาล
บุคคลมีปัญญามาก (เหมือนหม้อหงาย)
คือ ขณะฟังธรรม หรือเลิกฟังก็ยังใส่ใจอยู่
เหมือนเทน้ำ�ลงไปในหม้อ น้ำ�ย่อมขังอยู่
211
๑. ประเภทผู้ฟังธรรม
๑.๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ถึงคนไข้และผู้เปรียบด้วยคนไข้ ๓ จำ�พวก
๑. คนไข้ที่ไม่ว่าจะได้อาหาร ยา และคนพยาบาลที่เหมาะสมหรือไม่ก็ตาม ก็คงไม่หายจาก
อาพาธ
๒. คนไข้ที่ไม่ว่าจะได้อาหาร ยา และคนพยาบาลที่เหมาะสมหรือไม่ก็ตาม ก็คงหายจาก
อาพาธ
๓. คนไข้ที่ถ้าได้อาหาร ยา และคนพยาบาลที่เหมาะสม จึงหายจากอาพาธได้ แต่ถ้าไม่ได้
อาหาร ยา และคนพยาบาลที่เหมาะสม ก็ไม่หายจากอาพาธ ดังนั้น เพราะรักษาคนไข้ประเภทนี้
จึงจำ�ต้องรักษาคนไข้ประเภทอื่นด้วย
คนไข้ ๓ จำ�พวกนี้ก็เปรียบได้กับบุคคลที่มีอยู่ในโลกนี้ ๓ จำ�พวก คือ
๑. บุคคลที่ไม่ว่าจะได้พบตถาคต ได้ฟังธรรมวินัยหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่ได้ปัญญารู้ธรรมตามจริง
๒. บุคคลที่ไม่ว่าจะได้พบตถาคต ได้ฟังธรรมวินัยหรือไม่ก็ตาม ก็ได้ปัญญารู้ธรรมตามจริง
๓. บุคคลที่ได้พบตถาคตได้ฟังธรรมวินัย จึงจะได้ปัญญารู้ธรรมตามจริง แต่ถ้าไม่ได้พบ
ตถาคต ไม่ได้ฟังธรรมวินัย ก็ไม่ได้ปัญญารู้ธรรมตามจริง ดังนั้น เพราะบุคคลประเภทนี้ จึงจำ�ต้อง
แสดงธรรมแก่บุคคลประเภทอื่นด้วย.
อัง.ติก. (พุทธ) มก. ๓๔/๗๐
212
๒. ความสำ�คัญของการฟังธรรม
๒.๑ ข้าพระองค์ปรารถนาความเจริญของตนทางการศึกษา พวกสัตบุรุษผู้สงบจึงคบ
ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่อิ่มด้วยสุภาษิต ดุจมหาสมุทรไม่อิ่มด้วยแม่น้ำ� ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๒/๖๘๑
๒.๒ ไฟที่ไหม้หญ้า และไม้ย่อมไม่อิ่ม และสาครไม่อิ่มด้วยแม่น้ำ�ทั้งหลาย ฉันใด ข้าแต่
พระองค์ผู้ประเสริฐสุด แม้บัณฑิตทั้งหลายได้สดับถ้อยคำ�ของข้าพระองค์ ย่อมไม่อิ่มด้วยสุภาษิต
เหมือนกัน ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๒/๖๘๑
๓. ประโยชน์ของการฟังธรรม
๓.๑ ชนเหล่าอื่นผู้มีปัญญา ย่อมดื่มคำ�สั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ซึ่งเป็นธรรมไม่นำ�กลับ
หลัง เป็นธรรมทำ�ผู้ฟังให้ชุ่มชื่น มีโอชะ เหมือนคนเดินทางไกลดื่มน้ำ�ฝน ฉะนั้น.
ขุ.เถรี. (เถระ) มก. ๕๔/๙๗
๓.๒ พระเถระยืนถือก้านตาลถวายงานพัดพระศาสดาอยู่ ได้สำ�เร็จสาวกบารมีญาณ โดย
ไม่ต้องชี้แจง เหมือนคนบริโภคโภชนะที่เขาคดไว้เพื่อผู้อื่น บรรเทาความหิว และเหมือนคนเอา
เครื่องประดับที่เขาจัดไว้เพื่อผู้อื่น มาสวมศีรษะตน.
อัง.ทุก. (อรรถ) มก. ๓๓/๓๘๓
๓.๓ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยปริยายอย่างนี้ ผู้ใดรู้ตามด้วยดี สำ�คัญตามด้วยดี ยินดีตาม
ด้วยดี ซึ่งคำ�ที่กล่าวดี พูดดีของกันและกัน ในธรรมที่เราแสดงโดยปริยายอย่างนี้แล้ว ผู้นั้นจะได้ผล
อันนี้ คือ จักพร้อมเพรียง บันเทิง ไม่วิวาทกัน เป็นเหมือนน้�ำ นมระคนกับน้� ำ แลดูกันด้วยสายตา
เป็นที่รักอยู่.
ม.ม. (พุทธ) มก. ๒๐/๒๑๗
๓.๔ บัณฑิตทั้งหลายฟังธรรมแล้ว ใจย่อมผ่องใส เหมือนดังห้วงน้ำ�ลึกใสแจ๋วไม่ขุ่นมัว
ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๑/๓๔๗
๓.๕ สัตว์ทั้งหลายผู้สร้างสมบุญไว้แล้ว ถึงความแก่กล้าในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ด้วยบุญ
กิริยาวัตถุ ๑๐ หวังพระธรรมเทศนาอย่างเดียว เหมือนประทุมชาติหวังแสงอาทิตย์ เป็นผู้ควรหยั่ง
ลงสู่อริยภูมิ.
ที.ม. (อรรถ) มก. ๑๓/๑๔๖
215
มีความอดทน
ธรรมดาแผ่นดินย่อมอดกลั้นสิ่งทั้งปวง ที่เขาทิ้งลง
สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ไม่กระทำ�การขัดเคือง
เพราะการกระทำ�นั้น ฉันใด
แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้อดทนต่อการนับถือ
และการดูหมิ่นของคนทั้งปวง ถึงความเป็นขันติบารมีแล้ว
จักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้
217
๑. ความอดทนต่อทุกขเวทนา
๑.๑ นรชนผู้ซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็นดังเถาหญ้านาง เป็นผู้รู้จักประมาณในข้าว
และน้ำ� มีใจไม่ย่อท้อ ถูกเหลือบยุงทั้งหลายกัดอยู่ในป่าใหญ่ ย่อมเป็นผู้มีสติอดกลั้นได้อยู่ในป่านั้น
เหมือนช้างที่อดทนต่อศาสตราวุธในยุทธสงคราม ฉะนั้น.
ขุ.เถร. เถระ) มก. ๕๒/๔๙๐
๑.๒ แม้หากว่าพวกโจรที่มีใจต่ำ�ช้า เอาเลื่อยมีคมสองข้างตัดอวัยวะน้อยใหญ่ ผู้ใดพึงยังใจ
ประทุษร้ายโจรนั้น ไม่ชื่อว่า ทำ�ตามคำ�สอนของพระบรมศาสดา.
ขุ.สุ. (พุทธ) มก. ๔๖/๒๔
๒. ความอดทนต่อความเจ็บใจ
๒.๑ บุคคลแม้เมื่อล้างที่ซึ่งเปื้อนแล้วด้วยของไม่สะอาดมีน้ำ�ลาย และน้ำ�มูก เป็นต้น ด้วย
ของไม่สะอาดเหล่านั้นแล ย่อมไม่อาจทำ�ให้เป็นที่หมดจดหายกลิ่นเหม็นได้ โดยที่แท้ ที่นั้นกลับเป็นที่
ไม่หมดจด และมีกลิ่นเหม็นยิ่งกว่าเก่าอีก ฉันใด
บุคคลเมื่อด่าตอบชนผู้ด่าอยู่ ประหารตอบชนผู้ประหารอยู่ ย่อมไม่อาจยังเวรให้ระงับด้วย
เวรได้ โดยที่แท้ เขาชื่อว่า ทำ�เวรนั่นเองให้ยิ่งขึ้น ฉันนั้นนั่นเทียว.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๐/๗๔
218
๓. ความอดทนต่ออำ�นาจกิเลส
๓.๑ ถ้าความโกรธเกิดขึ้น จงระลึกถึงพระโอวาทอันอุปมาด้วยเลื่อย ถ้าตัณหาในรสเกิดขึ้น
จงระลึกถึงพระโอวาทอันอุปมาด้วยเนื้อบุตร ถ้าจิตของท่านแล่นไปในกาม และภพทั้งหลาย จงรีบ
ข่มเสียด้วยสติ เหมือนบุคคลห้ามสัตว์เลี้ยงโกงที่ชอบกินข้าวกล้า ฉะนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๒๑๗
๔. ประโยชน์ของความอดทน
๔.๑ ศิลปะธนู กำ�ลังเข้มแข็ง และความกล้าหาญมีอยู่ในชายหนุ่มผู้ใด พระราชาผู้ทรงการ
ยุทธ์พึงทรงชุบเลี้ยงชายหนุ่มผู้นั้น ไม่พึงทรงชุบเลี้ยงชายหนุ่มผู้ไม่กล้าหาญ เพราะเหตุแห่งชาติ
ฉันใด
219
เป็นคนว่าง่าย
อันคนไขน้ำ�ทั้งหลายย่อมไขน้ำ�
ช่างศรทั้งหลายย่อมดัดลูกศร ช่างถากทั้งหลายย่อมถากไม้
ผู้สอนง่ายทั้งหลายย่อมฝึกตน
221
๑. ความว่าง่าย
๑.๑ อันคนไขน้ำ�ทั้งหลายย่อมไขน้ำ� ช่างศรทั้งหลายย่อมดัดลูกศร ช่างถากทั้งหลาย
ย่อมถากไม้ ผู้สอนง่ายทั้งหลายย่อมฝึกตน.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๒/๑๔๐
๑.๒ ธรรมดาโคย่อมเต็มใจดื่มน้ำ� ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควรเต็มใจฟังคำ�สอน
ของพระอุปัชฌาย์ ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๔๗
๑.๓ ธรรมดาโคนั้น เมื่อผู้ใดจูงไปก็ย่อมทำ�ตามที่ผู้นั้นสั่ง ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็
ยินดีรับฟังคำ�สั่งสอนของภิกษุด้วยกัน หรือแม้ผู้เป็นอุบาสกชาวบ้าน ฉันนั้น
ข้อนี้สมกับคำ�ของพระสารีบุตรเถรเจ้าว่า ถึงผู้บวชนั้นมีอายุเพียง ๗ ขวบ สอนเราก็ตาม
เราก็ยินดีรับคำ�สอน เราได้เห็นผู้นั้น ก็เกิดความรักความศรัทธาอย่างแรงกล้ายินดีน้อมรับว่า
เป็นอาจารย์แล้วแสดงความเคารพอยู่เนืองๆ.
มิลิน. ๔๔๗
222
๒. ผู้ชี้ขุมทรัพย์
๒.๑ ควรเห็นบุคคลผู้ให้โอวาท เปรียบประดุจบุคคลผู้ชี้บอกขุมทรัพย์ให้ ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๑/๒๘๙
๒.๒ เราจักไม่ประคับประคองพวกเธอ เหมือนช่างหม้อประคับประคองภาชนะดินที่ยังดิบ
อยู่ เราจักข่มแล้วจึงบอก จักยกย่องแล้วจึงบอก ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสารผู้นั้นจักอยู่ได้.
ม.อุ. (พุทธ) มก. ๒๓/๒๕
๒.๓ เราไม่ต้องพร่ำ�สอนภิกษุเหล่านั้น มีกิจแต่จะทำ�สติให้เกิดในภิกษุเหล่านั้น ภิกษุทั้ง
หลาย เปรียบเหมือนรถที่เทียมด้วยม้าอาชาไนย ม้าที่ได้รับการฝึกมาดีแล้วก็เดินไปตามพื้นที่เรียบ
หรือเดินไปตามหนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ไม่ต้องใช้แส้ เพียงแต่นายสารถีผู้ฝึกหัดที่ฉลาดขึ้นรถ แล้ว
จับสายบังเหียนด้วยมือซ้าย จับแส้ด้วยมือขวา แล้วก็เตือนให้ม้าวิ่งตรงไปบ้าง ทั้งเลี้ยวกลับไปตาม
ปรารถนาบ้าง ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เราไม่ต้องพร่ำ�สอนภิกษุทั้งหลายเนืองๆ ฉันนั้นเหมือนกัน.
ม.มู. (พุทธ) มก. ๑๘/๒๕๖
๓. โทษของการว่ายาก
๓.๑ เมื่อธรรมอันเราแสดงแล้วโดยปริยายอย่างนี้ ชนเหล่าใดจักไม่สำ�คัญตาม ไม่รู้ตาม
ไม่บันเทิงตาม ซึ่งคำ�ที่เรากล่าวดีแล้ว เจรจาดีแล้วแก่กัน และกัน เหตุนี้จักเป็นอันชนเหล่านั้นพึง
หวังได้ คือ ชนเหล่านั้นจักเกิดความบาดหมางกัน เกิดความทะเลาะกัน วิวาทกัน จักทิ่มแทงกัน
และกันด้วยหอก คือ ปาก.
สัง.สฬา (พุทธ) มก. ๒๙/๓๙
223
๒๙
ม ง ค ล ที่
เห็นสมณะ
ลาย่อมติดตามโคไป แม้ร้องว่า ตัวเราก็เป็นโค แต่สี เสียง รอยเท้า
ไม่เหมือนโค ฉันใด ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เดินตามหมู่ภิกษุ
ประกาศตนว่า แม้เราก็เป็นภิกษุ แต่เธอไม่มีความพอใจ
ในการสมาทานอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา
แต่เดินตามภิกษุไปเท่านั้นเหมือนกัน
225
๑. คุณสมบัติของภิกษุที่ดี
๑.๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงคุณสมบัติของม้าอาชาไนย ซึ่งเป็นม้าต้นของพระราชา
เปรียบเทียบกับคุณสมบัติของภิกษุ ๔ ประการ ได้แก่ ความซื่อตรง ความว่องไว ความอดทน
และความสงบเสงี่ยม.
อัง.จตุกก. (พุทธ) มก. ๓๕/๓๐๒
๑.๒ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงลักษณะของม้าอาชาไนย เปรียบเทียบกับลักษณะของ
บุรุษอาชาไนย ๔ ประการ ได้แก่
ม้าอาชาไนยพอเห็นรูปเงาปฏักก็หวาดหวั่น สำ�นึกว่า เขาจะให้ท�ำ งานอะไร เปรียบเหมือน
บุรุษอาชาไนย ที่พอได้ยินข่าวว่า มีคนประสบทุกข์หรือตายก็สลดใจ สำ�นึกตัว มุ่งบำ�เพ็ญธรรมให้
สูงยิ่งขึ้น
ม้าอาชาไนยที่ไม่กลัวเงาปฏัก แต่พอถูกปฏักแทงที่ขุมขน ก็หวาดหวั่นสำ�นึกว่า เขาจะให้
ทำ�งานอะไร เปรียบเหมือนบุรุษอาชาไนยที่เห็นคนประสบทุกข์หรือตาย ก็สลดใจ สำ�นึกตัว
มุ่งบำ�เพ็ญธรรมให้สูงยิ่งขึ้น
ม้าอาชาไนยที่ไม่กลัวเงาปฏัก และถูกแทงด้วยปฏักที่ขุมขน แต่พอถูกแทงด้วยปฏักถึง
ผิวหนังก็หวาดหวั่น สำ�นึกว่า เขาจะให้ทำ�งานอะไร เปรียบเหมือนบุรุษอาชาไนยที่มีญาติประสบ
ทุกข์หรือตายก็สลดใจ สำ�นึกตัว มุ่งบำ�เพ็ญธรรมให้สูงยิ่งขึ้น
226
๑
มุนี นักปราชญ์, ผู้สละเรือนและทรัพย์สมบัติแล้ว
228
๒. ภิกษุกับการศึกษาธรรม
๒.๑ ภิกษุย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ... เวทัลละ ธรรมเหล่านั้นเป็นธรรมอันภิกษุนั้นฟัง
เนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดี ด้วยทิฏฐิ เธอจงมีสติหลงลืมเมื่อกระทำ�กาละ ย่อมเข้า
ถึงเทพนิยายหมู่ใดหมู่หนึ่ง บทแห่งธรรมทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏแก่เธอ ผู้มีความสุขอยู่ในภพ
นั้นเลย
แต่ภิกษุผู้มีฤทธิ์ ถึงความชำ�นาญแห่งจิต แสดงธรรมแก่เทพบริษัท เธอมีความปริวิตกอย่าง
นี้ว่า ในกาลก่อนเราได้ประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยใด นี้คือธรรมวินัยนั้น สติบังเกิดขึ้นช้า
แต่ว่าสัตว์นั้นย่อมบรรลุคุณวิเศษเร็วพลัน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้ฉลาดต่อเสียงกลอง เขาเดินทางไกลพึงได้ยินเสียงกลอง เขาไม่
พึงมีความสงสัย หรือเคลือบแคลงว่า เสียงกลองหรือไม่ใช่หนอ ที่แท้เขาพึงถึงความตกลงว่าเสียง
กลองทีเดียว ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเล่าเรียนธรรม ฯลฯ ย่อมเป็นผู้บรรลุคุณวิเศษโดย
เร็วพลัน.
อัง.จตุกก. (พุทธ) มก. ๓๕/๔๗๐
230
๓. ภิกษุกับปัจจัย ๔
๓.๑ ภิกษุเห็นแก่ปัจจัย ย่อมสิ้นเดชอับแสงระหว่างบริษัท ๔ คล้ายกับกหาปณะเก๊ และ
เถ้าถ่านไฟที่ดับแล้ว ฉะนั้น ส่วนภิกษุผู้มีจิตหวนกลับจากปัจจัยนั้น เป็นผู้หนักในธรรม ประพฤติ
ครอบงำ�อามิสอยู่เป็นนิตย์ ย่อมมีเดช (สง่าราศี) คล้ายราชสีห์ ฉะนั้น.
ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๗/๒๑๙
๓.๒ ภิกษุนั้นใช้สอยเสนาสนะ ไพรสณฑ์ โคนไม้ ป่า เงื้อมภูเขาที่ตนปรารถนาแล้ว ดุจ
ลูกศรพ้นจากสายธนู ดุจช้างซับมันหลีกจากโขลง ฉะนั้น.
อัง.จตุกก. (อรรถ) มก. ๓๕/๕๓๑
๓.๓ สมณพราหมณ์เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาอาชีพ เพราะเดรัจฉานวิชา คือ วิชาดูพื้นที่ เรียกว่า
ก้มหน้าฉัน
231
๔. ภิกษุกับสกุล
๔.๑ มุนีพึงเที่ยวไปในบ้าน เหมือนแมลงภู่ไม่ยังดอก สี และกลิ่นให้ชอกช้ำ� ถือเอาแต่รส
แล้วบินไป ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๑/๒
๔.๒ พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่า ไม่เลี้ยงผู้อื่นเพราะไม่เลี้ยงกิเลสเหล่านั้น เที่ยวไปตามลำ�ดับ
ตรอก คือ ไม่เที่ยวแวะเวียน เข้าไปบิณฑบาตตามลำ�ดับ ทั้งตระกูลมั่งคั่ง และตระกูลยากจน มีจิต
ไม่เกี่ยวข้องด้วยอำ�นาจกิเลสในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง เปรียบเหมือนพระจันทร์ใหม่อยู่เป็นนิตย์.
ขุ.จู. (อรรถ) มก. ๖๗/๗๒๓
๔.๓ ธรรมดานกทั้งหลายรู้ว่าถิ่นโน้นมีต้นไม้สุก มีผลสุก จึงพากันมาจากทิศต่างๆ เอาเล็บ
ปีก และจะงอยปาก แทง จิก กิน ผลไม้ของต้นไม้นั้น นกเหล่านั้นมิได้คิดว่า ผลไม้นี้สำ�หรับวันนี้
ผลนี้สำ�หรับพรุ่งนี้ ก็เมื่อผลไม้หมด นกทั้งหลายมิได้วางการป้องกันรักษาต้นไม้ มิได้วางปีก
ขน เล็บ หรือจะงอยปากไว้ที่ต้นไม้นั้น ไม่ห่วงใยต้นไม้ต้นนั้น ปรารถนาจะไปทิศใด ก็มิได้ห่วงใย
ต้นไม้ต้นนั้น ปรารถนาจะไปทิศใด ก็มีภาระ คือ ปีกเท่านั้น บินไปทางทิศนั้น ภิกษุนี้ก็เหมือนกัน
หมดความข้อง หมดความห่วงใย หลีกไป คือ ถือเอาเพียงบริขาร ๘ แล้วหลีกไป.
อัง.จตุกก. (อรรถ) มก. ๓๕/๕๓๒
๔.๔ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงโบกพระหัตถ์ในอากาศ แล้วตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ฝ่ามือ
นี้ไม่ข้อง ไม่ติด ไม่พัวพันในอากาศ ฉันใด จิตของภิกษุผู้เข้าไปในสกุล ไม่ข้องไม่พัวพัน ฉันนั้น
เหมือนกัน โดยตั้งใจว่า ผู้ปรารถนาลาภจงได้ลาภ ผู้ปรารถนาบุญจงได้บุญ เป็นผู้พอใจในลาภของ
ตน เป็นผู้พลอยยินดีในลาภของชนเหล่าอื่น ภิกษุเห็นปานนี้ จึงควรเข้าสกุล.
สัง.นิ. (พุทธ) มก. ๒๖/๕๕๐
๔.๕ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงการเข้าสู่สกุลของภิกษุว่า ควรระวังสำ�รวมให้ดี ต้อง
ประเมินคุณธรรมของตัวเอง ไม่ใช่ว่า เห็นพระเถระท่านเข้าสู่สกุลแล้ว ก็คิดว่า พระเถระเข้าไปได้
ทำ�ไมเราจะเข้าไปไม่ได้ เหมือนกับลูกช้างเห็นช้างทั้งหลายลงไปกินเหง้าบัวในสระอย่างเอร็ดอร่อย
ก็ลงไปกินบ้าง โดยการกระโดดลงไปทำ�ให้น้ำ�ขุ่น แล้วก็คว้าเอาส่วนที่กินไม่ได้มากิน ต้องได้รับ
ทุกขเวทนา.
สัง.นิ. (พุทธ) มก. ๒๖/๗๔๔
232
๕. ลักษณะของภิกษุไม่ดี
๕.๑ ความตรึกทั้งหลายกับความคะนองอย่างเลวทรามเหล่านี้ ได้ครอบงำ�เราผู้ออกบวช
เป็นบรรพชิต เหมือนกับบุตรของคนสูงศักดิ์ซึ่งมีธนูมาก ทั้งได้ศึกษาวิชาธนูมาอย่างเชี่ยวชาญ
ยิงธนูมารอบๆ ตัวศัตรูผู้หลบหลีกไม่ทันตั้งพันลูก ฉะนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๓/๔๘๔
๕.๒ สมณพราหมณ์พวกหนึ่งย่อมแล่นเลยไป ไม่ถึงธรรมอันเป็นสาระ ย่อมพอกพูนเครื่อง
ผูกใหม่ๆ ตั้งมั่นอยู่ในสิ่งที่ตนเห็นแล้วฟังแล้วอย่างนี้ เหมือนฝูงแมลงตกลงสู่ประทีปน้ำ�มัน ฉะนั้น.
ขุ.อุ. (พุทธ) มก. ๔๔/๖๔๙
๕.๓ อุปกิเลส (เครื่องมัวหมอง) แห่งดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ๔ อย่างนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้ดวง
จันทร์ ดวงอาทิตย์ ไม่สว่างไสวไพโรจน์ คือ เมฆ หมอก ควัน และผงคลี อสุรินทราหู
ภิกษุทั้งหลาย ฉันเดียวกันนั้นแล อุปกิเลสแห่งสมณพราหมณ์ทั้งหลายก็มี ๔ ประการ คือ
สมณพราหมณ์บางเหล่าดื่มสุราเมรัย เสพเมถุนธรรม ยินดีทองและเงิน เลี้ยงชีวิตโดย
มิจฉาชีวะ
ภิกษุทั้งหลาย นี้แล อุปกิเลสแห่งสมณพราหมณ์ ๔ ประการ ซึ่งเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์
ไม่งามสง่าสุกใสรุ่งเรือง.
อัง.จตุกก. (พุทธ) มก. ๓๕/๑๗๔
๕.๔ ธาตุดินยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ธาตุน้ำ� ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ยังพระสัทธรรม
ให้เลือนหายไปไม่ได้ ที่แท้โมฆบุรุษในโลกนี้ต่างหาก เกิดขึ้นมาก็ทำ�ให้พระสัทธรรมเลือนหายไป
เปรียบเหมือนเรือจะอับปางก็เพราะต้นหนเท่านั้น.
สัง.นิ. (พุทธ) มก. ๒๖/๖๓๑
๕.๕ ภิกษุผู้หนักในความโกรธ และความลบหลู่ท่าน หนักในลาภ และสักการะ ย่อมไม่
งอกงามในพระสัทธรรม ดุจพืชที่หว่านในนาเลว ฉะนั้น.
อัง.จตุกก. (พุทธ) มก. ๓๕/๑๖๓
๕.๖ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบภิกษุกับผ้าเปลือกไม้ดังนี้ ผ้าเปลือกไม้ไม่ว่าจะใหม่
หรือเก่าก็มีสีทราม เปรียบได้กับภิกษุทุศีล สัมผัสหยาบเปรียบได้กับผลจากการคบหากับภิกษุนั้นว่า
ก่อให้เกิดทุกข์ ราคาถูก คือ บุคคลถวายทานแก่ภิกษุนั้น จะได้บุญน้อย ผ้าเปลือกไม้เมื่อเก่าแล้ว
เขาเอาไปทิ้งขยะ คือ เมื่อกล่าวธรรมใดก็ไม่มีใครฟัง เมื่อถูกว่ากล่าว ภิกษุนั้นก็โกรธเป็นเหตุให้ถูก
ลงโทษ คือ ห้ามติดต่อเกี่ยวข้องกับภิกษุทั้งหลาย.
อัง.ติก. (พุทธ) มก. ๓๔/๔๘๙
233
๖. สมณะผู้หลอกลวง
๖.๑ เปรียบเหมือนหญ้าชนิดหนึ่งที่ทำ�ลายต้นข้าว มีเมล็ดเหมือนข้าวลีบ มีเมล็ดเหมือนข้าว
ตายรวง พึงเกิดขึ้นในนาที่สมบูรณ์ ราก ก้าน ใบของมัน เหมือนกับข้าวที่ดีเหล่าอื่น ตราบเท่าที่มัน
ยังไม่ออกรวง แต่เมื่อใด มันออกรวง เมื่อนั้นจึงทราบกันว่า หญ้านี้ทำ�ลายต้นข้าว มีเมล็ดเหมือน
ข้าวลีบ มีเมล็ดเหมือนข้าวตายรวง ครั้นทราบอย่างนี้แล้ว เขาจึงถอนมันพร้อมทั้งราก เอาไปทิ้งให้
พ้นที่นา ข้อนั้นเพราะคิดว่า หญ้าชนิดนี้อย่าทำ�ลายข้าวที่ดีอื่นๆ เลย ฉันใด เปรียบเหมือนกองข้าว
เปลือกกองใหญ่ที่เขากำ�ลังสาดอยู่ในข้าวเปลือกกองนั้น ข้าวเปลือกที่ตัวแกร่ง เป็นกองอยู่ส่วนหนึ่ง
ส่วนที่หักลีบ ลมย่อมพัดไปไว้ส่วนหนึ่ง เจ้าของย่อมเอาไม้กวาดวีพัดข้าวที่หัก และลีบออกไป
ข้อนั้นเพราะเหตุใด เพราะคิดว่า มันอย่าปนข้าวเปลือกที่ดีอื่นๆ เลย ฉันใดฉันนั้นเหมือนกัน
บุคคลบางคนในธรรมวินัยนี้ มีการก้าวไป การถอยกลับ เหมือนภิกษุผู้เจริญเหล่าอื่น
ตราบเท่าที่ภิกษุทั้งหลายยังไม่เห็นอาบัติของเขา แต่เมื่อใด ภิกษุทั้งหลายเห็นอาบัติของเขา
เมื่อนั้นภิกษุทั้งหลายย่อมรู้จักเขาอย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นผู้ประทุษร้ายสมณะ ครั้นรู้อย่างนี้ย่อมนาสนะ
(การลงโทษบุคคลผู้ไม่สมควรถือเพศ) ออกไปให้พ้น.
อัง.อัฏฐก. (พุทธ) มก. ๓๗/๓๒๖
๖.๒ ในปางก่อน นกยางตัวหนึ่งมีรูปเหมือนแกะ พวกแกะไม่รังเกียจ เข้าไปยังฝูงแกะ ฆ่า
แกะทั้งตัวเมียตัวผู้ ครั้นฆ่าแล้ว ก็บินหนีไป สมณพราหมณ์บางพวกก็มีอาการเหมือนอย่างนั้น
กระทำ�การปิดบังตัว เที่ยวหลอกลวงพวกมนุษย์ บางพวกประพฤติไม่กินอาหาร บางพวกนอนบน
แผ่นดิน บางพวกทำ�กิริยาขัดถูธุลีในตัว บางพวกตั้งความเพียรเดินกระโหย่งเท้า บางพวกงดกิน
234
๑
นาสนะ การลงโทษบุคคลผู้ไม่สมควรถือเพศ
235
๓๐
สนทนาธรรมตามกาล
ม ง ค ล ที่
๑. ผู้แสดงธรรม
๑.๑ เราจักกล่าวให้แจ่มชัด ประหนึ่งยกพระจันทร์พันดวง พระอาทิตย์พันดวงขึ้น ประหนึ่ง
ตามประทีปน้ำ�มันพันดวงที่สี่มุมเรือน.
ที.ม. (อรรถ) มก. ๑๓/๓๔๘
๑.๒ ธรรมดาตะขาบ ย่อมร้องบอกความปลอดภัย และความมีภัยแก่ผู้อื่น ฉันใด ภิกษุ
ผู้ปรารภความเพียร ก็ควรแสดงธรรม บอกนรก สวรรค์ นิพพานแก่ผู้อื่น ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๕๒
๑.๓ ธรรมดาเมฆ คือ ก้อนน้ำ� เมื่อตกลงมา ก็ทำ�ให้แม่น้ำ� หนอง สระ ซอก ห้วยระแหง
บึง บ่อ เป็นต้น มีน้ำ�เต็ม ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียร เมื่อเมฆ คืออธิคม (การบรรลุ) ตกลงมา
ด้วยอาคมปริยัติ (การเล่าเรียนพระไตรปิฎก) แล้วควรทำ�ใจของบุคคลทั้งหลายผู้มุ่งต่ออธิคมให้
บริบูรณ์ ฉันนั้น
ข้อนี้สมกับคำ�ของพระสารีบุตรเถรเจ้าว่า พระมหามุนีทรงเล็งเห็นผู้ที่ควรจะให้รู้ อยู่ในที่ไกล
ตั้งแสนโยชน์ก็ตาม ก็เสด็จไปโปรดให้รู้ทันที.
มิลิน. ๔๕๘
238
๒. การตอบคำ�ถาม
๒.๑ พระธัมมทินนาเถรีได้วิสัชนาปัญหาที่ถามแล้ว เหมือนตัดก้านบัวด้วยศัสตราอันคมกริบ
เหมือนปลาอยู่ในลอบในไซ เหมือนบุรุษที่ตกเข้าไปในป่าสัตว์ร้าย เหมือนยักษ์ทำ�ผิดต่อท้าวเวสสุวัณ
ฉะนั้น.
ขุ.เถรี. (อรรถ) มก. ๕๔/๓๒
๒.๒ เมื่อดำ�รงอยู่ในวิสัยแห่งปัญญาเครื่องแตกฉานแก้ปัญหาอยู่ เหมือนรับของที่เขาฝาก
เหมือนแก้เงื่อนบ่วงข้างหนึ่ง เหมือนถางทางข้างในที่รก เหมือนแงะกะติ๊บด้วยปลายดาบ.
ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๙/๓๓๘
๒.๓ เมื่อวิสาขะได้ฟังการแก้สัจจะสี่นี้แล้ว ก็ทราบว่าพระเถรียินดี เพราะว่าผู้ที่กระสัน
ไม่ยินดีในพระพุทธศาสนานั้น ไม่สามารถจะแก้ปัญหาที่ถามแล้วถามเล่าได้ เหมือนเอาแหนบมา
ถอนผมหงอกทีละเส้นๆ เหมือนขนทรายออกจากเชิงเขาสิเนรุ.
ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๙/๓๓๙
๒.๔ บุคคลบางคนบันลือสีหนาทแล้ว ไม่อาจที่จะตอบคำ�ซักถามได้ ในการบันลือของตน
ทั้งทนการเสียดสีไม่ได้ ย่อมเป็นเหมือนลิงที่ติดตัง ฉะนั้น
ถ่านเพลิงที่เผาไหม้สำ�หรับช่างทองใช้เผาโลหะที่ไม่บริสุทธิ์ ฉันใด บุคคลนั้นก็เป็นเหมือน
ถ่านเพลิงที่เผาไหม้ ฉันนั้น
บุคคลบางคนย่อมถูกซักถามในการบันลือสีหนาท ย่อมสามารถที่จะตอบได้ ทั้งทนต่อการ
เสียดสีได้ ย่อมงามยิ่ง เหมือนทองคำ�บริสุทธิ์ของช่างทอง ฉะนั้น.
ที.ปา. (พุทธ) มก. ๑๕/๒๑๗
๒.๕ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำ�ปัญหาที่โยมถาม ให้มีรสไม่รู้จักตาย ให้เป็น
ของควรฟังด้วยอุปมาเหตุการณ์หลายอย่าง เหมือนพ่อครัว หรือลูกมือของพ่อครัวผู้ฉลาด ได้เนื้อ
มาเพียงก้อนเดียว ก็ตกแต่งอาหารได้หลายอย่างถวายแก่พระราชา ฉันนั้น.
มิลิน. ๓๒๗
๓๑ม ง ค ล ที่
บำ�เพ็ญตบะ
ผู้ตามเห็นอารมณ์ว่าไม่งาม สำ�รวมดีในอินทรีย์ทั้งหลาย
รู้ประมาณในโภชนะ มีศรัทธา และปรารภความเพียรอยู่
ผู้นั้นแล มารย่อมรังควานไม่ได้
เปรียบเหมือนภูเขาหิน ลมรังควานไม่ได้ ฉะนั้น
241
๑. ธรรมชาติของจิต
๑.๑ เมื่อจิตพลัดออกนอกทาง คือ จิตหมุนไปในอารมณ์ต่างๆ เพราะเว้นจากสมาธิ... ท่าน
เหล่านั้นขาดสมาธิ เป็นเหตุที่อุทธัจจะได้โอกาส เปรียบเหมือนลิงในป่ากระโดดมาตามกิ่งไม้ในป่า
ฉะนั้น.
ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๗/๒๙๓
๑.๒ การได้อารมณ์เหมือนการจับกิ่งไม้ ลิงนั้นเที่ยวไปในป่า ปล่อยกิ่งไม้นั้นๆ แล้วไปจับ
กิ่งไม้อื่นๆ ฉันใด แม้จิตนี้ก็ฉันนั้น.
สัง.นิ. (อรรถ) มก. ๒๖/๒๙๘
๑.๓ กระท่อม คือ ร่างกระดูกนี้ เป็นที่อยู่อาศัยของลิงคือจิต เพราะฉะนั้น ลิงคือจิต จึง
กระเสือกกระสนจะออกจากกระท่อมที่มีประตู ๕ พยายามวิ่งวนไปมาทางประตูบ่อยๆ.
ขุ.เถร. (อรรถ) มก. ๕๐/๕๑
๑.๔ จิตนี้ อันภิกษุผู้ปรารภความเพียรยกขึ้นจากอาลัย คือ กามคุณ ๕ แล้วซัดไปใน
วิปัสสนากัมมัฏฐานเพื่อละบ่วงมาร ย่อมดิ้นรนดุจปลาอันพรานเบ็ดยกขึ้นจากน้ำ� แล้วโยนไปบนบก
ดิ้นรนอยู่ ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๐/๓๘๗
๑.๕ จิตนี้กวัดแกว่งเช่นวานร ห้ามได้แสนยาก เพราะยังไม่ปราศจากความกำ�หนัด.
ขุ.เถร. (พุทธ) มก. ๕๓/๓๙๙
242
๒. การฝึกจิต
๒.๑ ไม้จันทน์ บัณฑิตกล่าวว่า เลิศกว่ารุกขชาติทุกชนิด เพราะเป็นของอ่อน และควรแก่
การงาน ฉันใด
เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่งที่อบรมแล้ว กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นธรรมชาติ
อ่อน และควรแก่การงานเหมือนจิต
จิตที่อบรมแล้ว กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นธรรมชาติอ่อน และควรแก่การงาน ฉันนั้น
เหมือนกัน.
อัง.เอกก. (พุทธ) มก. ๓๒/๙๕
๒.๒ เราจักระวังจิตนั้นไว้ เหมือนนายหัตถาจารย์กักช้างไว้ที่ประตูนคร ฉะนั้น เราจักไม่
ประกอบจิตไว้ในธรรมอันลามก จักไม่ยอมให้จิตตกลงไปสู่ข่ายแห่งกามอันเกิดในร่างกาย เจ้าถูกเรา
กักไว้แล้วจักไปตามชอบใจไม่ได้.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๑๑๘
๒.๓ ดูก่อนจิตผู้ชั่วช้า บัดนี้เจ้าจักขืนยินดีในธรรมอันลามกเที่ยวไปเนืองๆ ดังก่อนมิได้
นายควาญช้างมีกำ�ลังแข็งแรง ย่อมบังคับช้างที่จับได้ใหม่ ยังไม่ได้ฝึก ให้อยู่ในอำ�นาจด้วยขอ ฉันใด
เราจักบังคับเจ้าให้อยู่ในอำ�นาจ ฉันนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๑๑๘
๒.๔ นายสารถีผู้ฉลาดในการฝึกม้าให้ดีเป็นผู้ประเสริฐ ย่อมฝึกม้าให้รอบรู้ได้ ฉันใด เราฝึก
เจ้าให้ตั้งอยู่ในพละ ๕ (ศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ, ปัญญา) ฉะนั้น จักผูกเจ้าด้วยสติ จักฝึกจับ
บังคับเจ้าให้ทำ�ธุระด้วยความเพียร เจ้าจักไม่ได้ไปไกลจากอารมณ์ภายในนี้.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๒/๑๑๘
๒.๕ เมื่อก่อน จิตนี้ได้เที่ยวจาริกไปตามอาการที่ปรารถนา ตามอารมณ์ที่ใคร่ และตาม
ความสบาย วันนี้ เราจักข่มมันด้วยโยนิโสมนสิการ ประหนึ่งนายควาญช้าง ข่มช้างที่ซับมัน ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๓/๒๒๔
๒.๖ ชนผู้มีปัญญา ย่อมทำ�จิตที่ดิ้นรน กลับกลอก อันบุคคลรักษาได้ยาก ห้ามได้ยาก ให้
ตรงดุจช่างศรดัดลูกศรให้ตรง ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๐/๓๘๗
๒.๗ เปรียบเหมือนบุรุษมีกำ�ลัง พึงจับบุรุษอันถอยกำ�ลังกว่าที่ศีรษะ หรือที่คอ แล้วจับบีบ
ไว้แน่นให้ร้อนจัด ฉันใด อัคคิเวสสนะ เมื่อเราแล กำ�ลังขบฟันไว้ด้วยฟัน กดเพดานไว้ด้วยลิ้น ข่มจิต
ไว้กับจิต บีบไว้แน่น ให้ร้อนจัดอยู่ เหงื่อก็ไหลจากรักแร้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
ม.มู. (พุทธ) มก. ๑๙/๑๒๐
243
๓. ความสำ�รวมอินทรีย์
๓.๑ ผูต้ ามเห็นอารมณ์วา่ ไม่งาม สำ�รวมดีในอินทรียท์ ง้ั หลาย รูป้ ระมาณในโภชนะ มีศรัทธา
และปรารภความเพียรอยู่ ผูน้ น้ั แล มารย่อมรังควานไม่ได้ เปรียบเหมือนภูเขาหิน ลมรังควานไม่ได้
ฉะนัน้ .
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๐/๒
๓.๒ อินทรีย์ทั้งหลายของภิกษุใดถึงความสงบแล้ว เหมือนม้าอันนายสารถีฝึกดีแล้วฉะนั้น
แม้เหล่าเทพเจ้าย่อมกระหยิ่มต่อภิกษุนั้น ผู้มีมานะอันละแล้ว ผู้หาอาสวะมิได้ ผู้คงที่.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๑/๓๘๒
๓.๓ บุรุษพึงเข้าไปสู่ป่าที่มีหนามมาก ข้างหน้าบุรุษนั้นก็มีหนาม ข้างหลังก็มีหนาม ข้างซ้าย
ก็มีหนาม ข้างขวาก็มีหนาม ข้างล่างก็มีหนาม ข้างบนก็มีหนาม บุรุษนั้นมีสติก้าวเข้าไปข้างหน้า
ถอยกลับข้างหลัง ด้วยคิดว่า หนามอย่าแทงเรา แม้ฉันใด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมคือปิยรูป และสาตรูปในโลกนี้ เรากล่าวว่าเป็นหนามในวินัยของ
พระอริยเจ้า ฉันนั้นเหมือนกันแล.
สัง.สฬา. (พุทธ) มก. ๒๘/๔๕๕
๓.๔ ธรรมดาช้ า งย่ อ มมองตรงไปข้ า งหน้ า ไม่ หั นซ้ า ยแลขวา ฉั น ใด ภิ ก ษุ ผู้ ป รารภ
ความเพียรก็ไม่ควรเหลียวดูทิศโน้นทิศนี้ ไม่แหงนหรือก้ม ควรดูเพียงชั่วระยะแอก ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๔๘
244
๔. โทษของการไม่สำ�รวมอินทรีย์
๔.๑ การสมาทานวัตรทั้งหมด ย่อมเป็นโมฆะสำ�หรับผู้ไม่สำ�รวมทวาร... เหมือนทรัพย์เครื่อง
ปลื้มใจที่บุรุษได้ในความฝัน... ย่อมว่างเปล่า ครั้นตื่นขึ้นมาแล้ว ก็ไม่เห็นอะไร เป็นโมฆะเปล่าๆ.
สัง.สฬา. (อรรถ) มก. ๒๘/๒๕๑
๔.๒ ผู้ ต ามเป็ น อารมณ์ ว่ า งาม ไม่ สำ � รวมอิ น ทรี ย์ ทั้ ง หลาย ไม่ รู้ ป ระมาณในโภชนะ
เกียจคร้าน มีความเพียรเลวทรามอยู่ มารย่อมรังควานได้ เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีกำ�ลังไม่แข็งแรง
ลมรังควานได้ ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๐/๒
๔.๓ เรือนไม้อ้อก็ดี เรือนหญ้าก็ดี ที่แห้งเกราะ เขาทำ�ไว้ภายนอกกาลฝน ถ้าบุรุษมีคบหญ้า
ลุกโชน พึงเข้าไปใกล้เรือนไม้อ้อ หรือเรือนหญ้านั้นทางทิศบูรพา ไฟพึงได้ช่องได้เหตุ ถ้าบุรุษมีคบ
หญ้าลุกโชนพึงเข้าไปใกล้เรือนไม้อ้อ หรือเรือนหญ้านั้นทางทิศปัจจิม ในทิศอุดร ในทิศทักษิณ ทิศ
เบื้องต่ำ� ทิศเบื้องบน ไฟพึงได้ช่องได้เหตุ ถ้าแม้ว่าบุรุษนั้นมีคบหญ้าลุกโชน พึงเข้าไปใกล้เรือนไม้อ้อ
หรือเรือนหญ้านั้นแต่ทิศใดทิศหนึ่ง ไฟพึงได้ช่อง แม้ฉันใด
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ถ้าแม้ว่ามารเข้าไปหาภิกษุนั้น ผู้มีปกติอยู่อย่างนั้นทางจักษุ ทางหู
ทางจมูก ทางกาย ทางใจ มารพึงได้ช่องได้เหตุ ฉันนั้น.
สัง.สฬา. (เถระ) มก. ๒๘/๔๓๕
๔.๔ พรานเบ็ดหย่อนเบ็ดที่มีเหยื่อลงในห้วงน้ำ�ลึก ปลาที่เห็นแก่เหยื่อตัวหนึ่ง กลืนกินเบ็ด
นั้น ปลานั้นชื่อว่า กลืนกินเบ็ดของนายพรานเบ็ดถึงความวิบัติ ถึงความพินาศ พรานเบ็ดพึงกระทำ�
ได้ตามใจชอบ ฉันใด ในโลกนี้มีเบ็ดอยู่ ๖ ชนิดเหล่านี้ สำ�หรับนำ�สัตว์ทั้งหลายไป สำ�หรับฆ่าสัตว์ทั้ง
หลายเสีย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
สัง.สฬา. (พุทธ) มก. ๒๘/๓๔๒
๔.๕ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นกร่าง หรือต้นมะเดื่อ เป็นต้นไม้มียาง ขนาด
เขื่อง ขนาดรุ่น ขนาดเล็ก บุรุษเอาขวานอันคมสับต้นไม้นั้น ตรงที่ไรๆ ยางพึงไหลออกหรือ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า
พ. ข้อนั้นเพราะอะไร
ภิ. เพราะยางมีอยู่ พระเจ้าข้า
พ. ข้อนั้นฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ราคะ โทสะ โมหะของภิกษุ
หรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง มีอยู่ในรูปอันจักขุวิญญาณพึงรู้แจ้ง ภิกษุหรือภิกษุณีนั้นไม่ละราคะ โทสะ
247
๕. ธุดงค์คุณ
๕.๑ คฤหัสถ์ที่บรรลุนิพพานเพราะเคยบำ�เพ็ญธุดงค์คุณมาในอดีต เปรียบเหมือนพวกนาย
ขมังธนูที่ฝึกวิชาธนูไว้จนชำ�นาญ ครั้นเข้าพระราชฐานก็ยิงถวายพระราชาอย่างแม่นยำ� เหมือน
แพทย์ที่เรียนมาจนชำ�นาญสามารถรักษาโรคได้ดี ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๑๒
๕.๒ การสำ�เร็จธรรมย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ไม่เคยบำ�เพ็ญธุดงค์คุณ เหมือนการไม่งอกแห่งพืชที่ไม่
รดน้ำ� เหมือนการไปสู่สุคติย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ได้ทำ�กุศลไว้.
มิลิน. ๔๑๒
248
ประพฤติพรหมจรรย์
บุรุษอยู่ในเรือนจำ�มานาน ระทมทุกข์
ย่อมไม่เกิดความรักในเรือนจำ�นั้น แสวงหาทางพ้นอย่างเดียว ฉันใด
ท่านจงเห็นภพทั้งปวงเหมือนเรือนจำ� มุ่งหน้าต่อเนกขัมมะ
เพื่อหลุดพ้นจากภพ ฉันนั้นเหมือนกัน
251
๑. เหตุเกิดราคะ
๑.๑ อกุศลวิตกเป็นอันมาก เกิดแต่ความเยื่อใย คือ ตัณหา เกิดขึ้นในตนแล้วแผ่ซ่านไปใน
วัตถุกามทั้งหลาย เหมือนย่านทรายเกิดแต่ลำ�ต้นปกคลุมป่าไป ฉะนั้น.
สัง.ส. (พุทธ) มก. ๒๕/๓๙๐
๒. โทษของกาม
๒.๑ กามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้น
มาก โทษในกามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก
กามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เปรียบเหมือนร่างกระดูก มีทุกข์มาก มีความคับแค้น
มาก โทษในกามทั้ ง หลายนี้ ม ากยิ่ ง นั ก ... เปรี ย บเหมื อ นชิ้ น เนื้ อ ... เปรี ย บเหมื อ นคบหญ้ า ...
เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง... เปรียบเหมือนของยืม... เปรียบเหมือนผลไม้... เปรียบเหมือนเขียง
สับเนื้อ... เปรียบเหมือนหอกและหลาว... เปรียบเหมือนศีรษะงู มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
โทษในกามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก.
วิ.จุ. (พุทธ) มก. ๘/๑๖๔
252
๓. โทษของการครองเรือน
๓.๑ หน่อไม้มียอดอันงอกงาม เจริญด้วยกิ่งก้านโดยรอบ ย่อมเป็นของบุคคลขุดขึ้นได้
โดยยาก ฉันใด เมื่อโยมมารดานำ�ภรรยามาให้ฉันแล้ว ถ้าฉันมีบุตรหรือธิดาขึ้น ก็ยากที่จะถอนตน
ออกบวชได้ ฉันนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๐/๓๕๙
๓.๒ บุคคลข้องอยู่แล้วด้วยความเยื่อใยในบุตร และภริยา เหมือนไม้ไผ่กอใหญ่เกี่ยวก่ายกัน
ฉะนั้น บุคคลไม่ข้องอยู่เหมือนหน่อไม้ พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้น.
ขุ.สุ. (อรรถ) มก. ๖๗/๖๖๔
๓.๓ เพราะโลกสันนิวาสทั้งหมดมีภัยเฉพาะหน้าดุจถูกไฟไหม้ ผูกมัดดุจเรือนจำ� ปรากฏเป็น
ของน่าเกลียดดุจที่เทขยะ.
ขุ.จ. (โพธิ) มก. ๗๔/๔๑๓
๓.๔ เครื่องจองจำ�ใดเกิดแต่เหล็ก เกิดแต่ไม้ และเกิดแต่หญ้าปล้อง ผู้มีปัญญาทั้งหลาย
หากล่าวเครื่องจองจำ�นั้นว่า เป็นของมั่นคงไม่ ความกำ�หนัดใดของชนทั้งหลายผู้กำ�หนัดยินดียิ่งนัก
ในแก้วมณี และตุ้มหูทั้งหลาย และเยื่อใยในบุตรและในภรรยาทั้งหลาย นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าว
ความกำ�หนัด และความเยื่อใยนั้นว่ามั่นคง.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๓/๒๖๘
๓.๕ เมื่อไรหนอ เราจึงจักตัดความผูกพันในเรือน ดุจช้างใหญ่ตัดเครื่องผูกทำ�ด้วยเหล็กได้
ฉะนั้น แล้วเข้าป่าด้วยการออกจากเรือน.
ขุ.จริยา. (โพธิ) มก. ๗๔/๔๓๑
257
๔. โทษของหญิง
๔.๑ ในร่างกายของเธอเช่นกับถุงอันเต็มไปด้วยคูถ มีหนังหุ้มห่อปกปิดไว้ เหมือนนางปีศาจ
มีฝีที่อก มีช่องเก้าช่องเป็นที่ไหลออกเนืองนิตย์.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๓/๔๓๓
๔.๒ ภิกษุควรละเว้นสรีระของเธออันมีช่องเก้าช่อง เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น ดังชายหนุ่ม
ผู้ชอบสะอาดหลีกเลี่ยงมูตรคูถไปจนห่างไกล ฉะนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๓/๔๓๓
๔.๓ ภัยคือปลาฉลาม นี้เป็นชื่อของมาตุคาม.
อัง.จตุกก. (อรรถ) มก. ๓๕/๓๒๔
๔.๔ บุคคลพึงพูดกับบุคคลผู้มีดาบในมือ กับปีศาจ นั่งชิดกับอสรพิษ ผู้ที่ถูกคนมีดาบ
ปีศาจ อสรพิษกัดแล้วย่อมไม่มีชีวิต ภิกษุพูดกับมาตุคามสองต่อสอง ก็ไม่มีชีวิตเหมือนกัน.
ที.ม. (อรรถ) มก. ๑๓/๔๒๘
๔.๕ หญิงย่อมผูกพันชายเพราะต้องการทรัพย์ เหมือนเถาวัลย์พันไม้ หญิงทั้งหลายย่อม
ติดตามชายที่มีทรัพย์ ถึงจะเป็นคนเลี้ยงช้าง เลี้ยงม้า เลี้ยงโค คนจัณฑาล สัปเหร่อ คนเทหยาก
เยื่อก็ช่าง หญิงทั้งหลาย ย่อมละทิ้งชายผู้มีตระกูลแต่ไม่มีอะไร เหมือนซากศพ แต่ติดตามชาย
เช่นนั้นได้เพราะเหตุแห่งทรัพย์.
ขุ.ชา. (ทั่วไป) มก. ๖๒/๕๓๐
๔.๖ หญิงทั้งหลายย่อมคบบุรุษได้ทั้งที่รัก ทั้งที่ไม่รัก เหมือนเรือจอดได้ทั้งฝั่งนี้ และฝั่งโน้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๒/๕๒๙
๔.๗ ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลายในโลก มีอุปมาเหมือนแม่น้ำ� หนทาง โรงน้ำ�ดื่ม ที่ประชุม และ
บ่อน้ำ� บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่ถือโกรธหญิงเหล่านั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๖/๑๔๒
๔.๘ หญิงทั้งหลาย บุรุษไม่สามารถจะรักษาไว้ได้ด้วยถ้อยคำ�อันอ่อนหวาน ยากที่จะให้เต็ม
ได้ เปรียบเสมอด้วยแม่น้ำ�... บัณฑิตรู้ชัดอย่างนี้แล้ว พึงเว้นเสียให้ห่างไกล หญิงเหล่านี้ ย่อม
เข้าไปคบหาบุรุษใด เพราะความรักใคร่ก็ตาม เพราะทรัพย์ก็ตาม ย่อมเผาบุรุษนั้นเสียฉับพลัน
เปรียบเหมือนไฟไหม้ที่ของตนเอง ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๘/๑๐๔
๔.๙ ขึน้ ชือ่ ว่าหญิงในโลกนีเ้ ลวทราม เพราะหญิงเหล่านัน้ ไม่มเี ขตแดน มีแต่ความกำ�หนัดยินดี
คึกคะนองไม่มเี ลือก เหมือนไฟทีไ่ หม้ไม่เลือกฉะนัน้ เราจักละทิง้ หญิงเหล่านัน้ ไปบวชเพิม่ พูนวิเวก.
ขุ.ชา. (อรรถ) มก. ๕๖/๑๑๐
259
๕. การละกามราคะ
๕.๑ บุรุษถูกแทงด้วยหอก หรือถูกไฟไหม้ที่กระหม่อมแล้วรีบรักษา ฉันใด ภิกษุพึงเป็นผู้มี
สติเว้นรอบ เพื่อละความกำ�หนัดยินดีในกาม ฉันนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๐/๒๒๘
๕.๒ ภิกษุผู้มีสติ ควรรีบละเว้นความพอใจรักใคร่ในกามารมณ์เสีย เหมือนบุคคลรีบถอน
หอกออกจากตน และเหมือนบุคคลรีบดับไฟซึ่งไหม้อยู่บนศีรษะตน ฉะนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๓/๔๓๕
๕.๓ เมื่อเอาผักดองเจือน้ำ�ขึ้นตั้งเคี่ยวบนเตา เมื่อน้ำ�ยังมีอยู่ น้ำ�นั้นย่อมเดือดพล่าน แต่
เมื่อหมดน้ำ� ย่อมสงบนิ่ง ฉันใด กามราคะในสันดานของท่านสงบแล้ว ท่านจงทำ�กิเลสแม้ที่เหลือ
อยู่ให้สงบแล้ว พักผ่อนให้สบายเถิด ฉันนั้น.
ขุ.เถรี. (อรรถ) มก. ๕๔/๑๐
๕.๔ ช่างทำ�รองเท้าหนังเลีย้ งชีพ เมือ่ ประกอบรองเท้า ส่วนใดควรเว้นก็เว้น เลือกเอาแต่สว่ น
261
๖. พิจารณาร่างกาย
๖.๑ อนึ่งกายนี้ ไม่ใช่เกิดที่กลีบบัวหลวงเลย ไม่ใช่เกิดที่กลีบบัวเขียว และดอกบัวขาบ
เป็นต้น แต่เกิดที่ระหว่างท่ออาหารใหม่ และท่ออาหารเก่า คือ ในโอกาสที่มืดมนเหลือหลาย ที่เป็น
ที่ท่องเที่ยวไปในป่าที่มีกลิ่นเหม็นน่าเกลียดอย่างยิ่ง เหมือนหนอนที่เกิดในปลาเน่า.
สัง.สฬา. (อรรถ) มก. ๒๘/๔๙๕
๖.๒ กายอันเน่าเหมือนหนอน ไม่สะอาด กลิ่นเหม็นคลุ้งไป น่าสะพรึงกลัว ดุจถุงหนังบรรจุ
ซากศพ เต็มด้วยของไม่สะอาดไหลออกอยู่เป็นนิตย์ อันคนเขลายึดถืออยู่.
ขุ.เถรี. (เถรี) มก. ๕๔/๔๘๕
๖.๓ บุรุษปลดเปลื้องซากศพที่น่าเกลียด ซึ่งผูกไว้ที่คอแล้วไป อยู่อย่างสุขเสรี อยู่ลำ�พัง
ตนได้ ฉันใด คนก็ควรละทิ้งร่างกายเน่าที่มากมูลด้วยซากศพนานาชนิดไปอย่างไม่มีอาลัย ไม่มี
ความต้องการอะไร ฉันนั้น.
ขุ.ชา. (อรรถ) มก. ๕๕/๙
๖.๔ ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมจับงูอันเปื้อนคูถมีพิษมาก เป็นผู้เพลิดเพลินงูในโลก ชื่อว่า
จับเอาภาวะที่ไม่ปรารถนาทั้ง ๕ คือ ของเหม็น ของไม่สะอาด พยาธิ ชรา มรณะเป็นที่ ๕ ภาวะที่
ไม่น่าปรารถนา ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่ในงูที่เปื้อนคูถ ปุถุชนผู้บอด และเขลาไม่ฉลาด ก็อย่างนั้น
เหมือนกัน เป็นผู้เพลิดเพลินความเกิดในภพ ชื่อว่าจับอนัตถะภาวะที่ไม่น่าปรารถนา คือ ของเหม็น
ของไม่สะอาด พยาธิ ชรา มรณะเป็นที่ ๕ ภาวะที่ไม่น่าปรารถนา ๕ เหล่านี้ มีอยู่ในกายอันเป็นดังงู
ที่เปื้อนคูถ ฉะนั้น.
สัง.สฬา. (อรรถ) มก. ๒๘/๓๘๑
๖.๕ เจ้าของละทิ้งเรือที่เก่าคร่ำ�คร่าผุพัง น้ำ�รั่วเข้าไปได้ ไม่มีความอาลัย ไม่มีความต้องการ
อะไร ฉันใด เราจักละทิ้งกายนี้ที่มีช่องเก้าช่อง หลั่งไหลออกเป็นนิตย์ เหมือนเจ้าของทิ้งเรือเก่าไป
ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๕/๑๐
264
๗. อานิสงส์ของการเจริญกายคตาสติ
๗.๑ ธรรมดาแมวเวลาไปที่ถ้ำ� ที่ซอก ที่รู ที่โพรง หรือที่ระหว่างถ้ำ�ก็ดี ก็แสวงหาแต่หนู
ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรผู้ไปอยู่ที่บ้านที่ป่า ที่โคนต้นไม้ ที่แจ้ง ที่ว่าง บ้านเรือนก็ไม่ควร
ประมาท ควรแสวงหาโภชนะ คือ กายคตาสติ ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๔๔
๗.๒ ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว มารย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้
อารมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษโยนกลุ่มด้ายเบาๆ ลงบนแผ่นกระดานเรียบอันสำ�เร็จด้วยไม้แก่นล้วน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำ�คัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะพึงได้ช่องบนแผ่น
กระดานเรียบอันสำ�เร็จด้วยไม้แก่นล้วนจากกลุ่มด้ายเบาๆ นั้น บ้างไหม.
ม.อุ. (พุทธ) มก. ๒๒/๓๙๕
๗.๓ ผู้เจริญกายคตาสติเหมือนสารถีขับรถ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนรถม้าอาชา
ไนยเขาเทียมม้าแล้ว มีแส้เสียบไว้ในที่ระหว่างม้าทั้งสอง จอดอยู่บนพื้นที่เรียบตรงทางใหญ่ ๔
แยก นายสารถีผู้ฝึกม้าเป็นอาจารย์ขับขี่ผู้ฉลาด ขึ้นรถนั้นแล้ว มือซ้ายจับสายบังเหียน มือขวาจับ
แส้ ขับรถไปยังที่ปรารถนาได้ ฉันใด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติแล้วทำ�ให้มาก
แล้ว เธอย่อมน้อมจิตไปในธรรมใดๆ ที่ควรทำ�ให้แจ้งด้วยอภิญญา จะถึงความเป็นผู้สามารถใน
ธรรมนั้นๆ นั่นแหละ เพราะการกระทำ�ให้แจ้งด้วยอภิญญาได้ ในเมื่อมีสติเป็นเหตุ.
ม.อุ. (พุทธ) มก. ๒๒/๓๙๗
๗.๔ เปรียบเหมือนมหาชนมาประชุมกันมากมาย เพราะทราบข่าวว่า มีนางงามในชนบท
ขับร้องฟ้อนรำ�ได้ดยี ง่ิ จะมาแสดงให้ดู แล้วบัณฑิตผูห้ นึง่ ได้บอกมหาชนเหล่านัน้ ว่า ให้ทา่ นนำ�ภาชนะ
น้�ำ มันอันเต็มเปีย่ ม ไปวางไว้ในทีเ่ ขาประชุมกัน โดยจะมีบรุ ษุ กำ�ลังเงือ้ ดาบ ตามท่านไปข้างหลังและ
สัง่ ว่าห้ามทำ�น้�ำ มันนัน้ หก ถ้าทำ�หกแม้หน่อยหนึง่ จะตัดศีรษะของท่านให้ขาดกระเด็นในทันที
268
๙. การออกบวช
๙.๑ ท่านละเครื่องหมายแห่งคฤหัสถ์ เหมือนต้นทองหลาง มีใบขาดแล้ว นุ่งห่มผ้ากาสายะ
ออกบวชแล้ว พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเหมือนนอแรด ฉะนั้น.
ขุ.อป. (ปัจเจก) มก. ๗๐/๒๔๒
๙.๒ หญ้ามุงกระต่ายที่เราถอนติดมือมา ไม่อาจสืบต่อในกอเดิมได้อีก ฉันใด ความอยู่ร่วม
กันกับเธอของอาตมา ก็ไม่อาจสืบต่อกันได้อีก ฉันนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๓/๑๕๓
๙.๓ ท่านเสพเสนาสนะอันสงัด เหมือนราชสีห์มีเขี้ยวเป็นกำ�ลัง เป็นราชาของหมู่เนื้อ มี
ปกติประพฤติข่มขี่ครอบงำ� พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเช่นกับนอแรด ฉะนั้น.
ขุ.อป. (ปัจเจก) มก. ๗๐/๒๔๔
269
๑๑. การลาสิกขา
๑๑.๑ บุคคลใดเป็นผู้เดียวเที่ยวไปในเบื้องต้น ย่อมซ่องเสพเมถุนธรรม บัณฑิตทั้งหลาย
กล่าวบุคคลนั้นว่า เป็นปุถุชนคนเลวในโลก เหมือนยวดยานหมุนไป ฉะนั้น.
ขุ.ม. (พุทธ) มก. ๖๕/๖๗๐
๑๑.๒ ภิกษุเป็นที่เลื่องลือว่าเป็ นบั ณฑิ ต อธิ ษฐานความประพฤติ ผู้เดี ยว แม้ ภายหลัง
ประกอบเมถุนธรรมจักเศร้าหมองเหมือนคนโง่ ฉะนั้น.
ขุ.ม. (พุทธ) มก. ๖๕/๖๘๕
๑๑.๓ ภิกษุใด ลาสิกขาเวียนมาเพื่อความเป็นคนเลว นั่นเป็นมรณะของเธอ.
ขุ.เถร. (พุทธ) มก. ๕๒/๑๘๕
๑๑.๔ พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามพระนาคเสนว่า ศาสนาของพระตถาคตเป็นของใหญ่ เป็นของ
ประเสริฐ ไม่มีอะไรเปรียบ เป็นของไม่มีโทษ เมื่อคฤหัสถ์บรรพชาแล้วสำ�เร็จมรรคผลอย่างใด
อย่างหนึง่ จึงไม่ควรให้ลาสิกขา ควรให้บรรพชาต่อไป ปุถชุ นบรรพชาในพระพุทธศาสนาอันบริสทุ ธิ์
แล้วสึกออกมา คงจะมีผู้คิดว่า ศาสนาของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสนาว่างเปล่า
เพราะพวกที่บวชแล้วสึกได้ จึงไม่สมควรให้ปุถุชนบรรพชา
พระนาคเสนทูลตอบเปรียบว่า มีสระใหญ่เปี่ยมด้วยน้ำ�ใสสะอาด บุรุษผู้หนึ่งเปื้อนด้วย
เหงื่อไคล ลงไปอาบน้ำ�แล้วไม่ขัดสีเหงื่อไคล ขึ้นมาจากสระก็ยังเปรอะเปื้อน ควรจะติเตียนบุรุษนั้น
หรือว่าติเตียนสระนั้น
อีกประการหนึ่ง มีบุรุษคนหนึ่งลงทุนขุดสระน้ำ�ไว้ แล้วประกาศห้ามพวกที่มีร่างกายเปรอะ
เปื้อนลงไปอาบ ให้ลงได้แต่ผู้มีร่างกายสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้น สระน้ำ�นั้นจะมีประโยชน์อะไรการ
บรรพชาก็เช่นกัน เป็นไปเพื่อละกิเลส อบรมให้เกิดความบริสุทธิ์สำ�หรับผู้ที่ยังมีอาสวะกิเลส.
มิลิน. ๓๑๖
272
เห็นอริยสัจ
บุคคลบางคนในโลกนี้ กระทำ�ให้แจ้ง เข้าถึงพร้อมซึ่งเจโตวิมุตติ
ปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ เพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย
ด้วยความรู้ยิ่งด้วยตนเองอยู่ปัจจุบันนี้
เหมือนอย่างแก้ว หรือหินที่ไม่ถูกเพชรเจาะเสียเลยย่อมไม่มี ฉันใด
บุคคลบางคนในโลกนี้กระทำ�ให้แจ้ง ฯลฯ ในปัจจุบันนี้ ฉันนั้น
นี้เรียกว่า บุคคลมีจิตเหมือนเพชร
275
๑. ภพ ๓
๑.๑ ภพทั้งหมดไม่เป็นที่พึ่งได้ มีโทษ ย่อมปรากฏดุจเรือนถูกไฟไหม้ ดุจข้าศึกเงื้อดาบฉะนั้น.
ขุ.จู. (อรรถ) มก. ๖๗/๖๕๑
๑.๒ ภพทั้ง ๓ ปรากฏดุจหลุมถ่านเพลิงที่เต็มด้วยถ่านเพลิงไม่มีเปลว.
ขุ.ป. (อรรถ) มก. ๖๘/๕๘
๑.๓ เราเห็นภพทั้งหมดมีกามภพเป็นต้น มีภัยเฉพาะหน้าโดยความเป็นของน่ากลัว ดุจเห็น
ช้างดุแล่นมา ดุจเห็นเพชฌฆาตเงื้อดาบมาเพื่อประหาร ดุจเห็นสีหะ ยักษ์ รากษส สัตว์มีพิษร้าย
อสรพิษ และถ่านเพลิงที่ร้อน จึงยินดีในบรรพชา.
ขุ.จริยา (อรรถ) มก. ๗๔/๔๑๔
๑.๔ ภพแม้ทั้งสามได้ปรากฏแก่พระมหาสัตว์ดุจเรือนถูกไฟไหม้ และดุจอยู่ในหลุมถ่านเพลิง.
ขุ.จริยา (อรรถ) มก. ๗๔/๔๓๐
๒. วัฏสงสาร
๒.๑ หมู่สัตว์ถือจุติและปฏิสนธิบ่อยๆ อย่างนี้ คือ จากจุติถึงปฏิสนธิ จากปฏิสนธิถึงจุติ
ย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนไปในภพทั้งหลาย ๓ ในกำ�เนิดทั้งหลาย ๔ ในคติทั้งหลาย ๕ ในวิญญาณฐิติ
276
๓.๑๕ พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบจำ�นวนน้ำ�ในมหาสมุทรกับจำ�นวนน้ำ�ที่บุคคลวิดขึ้นมา
เพียงสองสามหยดว่า จำ�นวนน้ำ�ในมหาสมุทร เปรียบเสมือนความทุกข์ที่พระอริยสาวกสามารถ
กำ�จัดได้แล้ว ส่วนน้ำ�สองสามหยด เปรียบเสมือนความทุกข์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ทุกข์ที่พระอริยสาวก
กำ�จัดได้นั้น เพราะผลจากการตรัสสู้ธรรม และได้ธรรมจักษุ.
สัง.นิ. (พุทธ) มก. ๒๖/๔๐๑
๓.๑๖ พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบก้อนหิน ๗ ก้อน ขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดกับภูเขา
หิมวันต์ทั้งลูกว่า ความทุกข์ที่พระอริยสาวกกำ�จัดได้แล้วนั้น เปรียบเสมือนภูเขาหิมวันต์ ส่วนความ
ทุกข์ที่ยังหลงเหลืออยู่ เปรียบเสมือนก้อนหิน ๗ ก้อน ความทุกข์ที่ก�ำ จัดได้นั้น เพราะผลจากการ
ตรัสรู้ธรรม และได้ธรรมจักษุ.
สัง.นิ. (พุทธ) มก. ๒๖/๔๐๒
๓.๑๗ ครั้งหนึ่งพระบรมศาสดาทรงต้องการจะแสดงถึงความทุกข์ที่มีอยู่ของเหล่าพระอริย
สาวก ให้ภิกษุทั้งหลายทราบ พระจึงทรงใช้ปลายเล็บช้อนเอาฝุ่นขึ้นมาเล็กน้อย เปรียบให้เห็นว่า
ความทุกข์ของเหล่าพระอริยสาวกที่มีอยู่ มีเพียงเล็กน้อย ดุจดังฝุ่นที่ติดอยู่ปลายเล็บมีเพียงเล็ก
น้อย เมื่อเทียบกับปริมาณฝุ่นทั้งแผ่นดิน เพราะเหตุที่การตรัสรู้ธรรม การได้ธรรมจักษุมีคุณ
ประโยชน์ยิ่งใหญ่.
สัง.นิ. (พุทธ) มก. ๒๖/๓๙๓
๔. เหตุแห่งทุกข์
๔.๑ เมื่อยังถอนตัณหานุสัยไม่ได้ ทุกข์นี้ย่อมเกิดขึ้นบ่อยๆ เหมือนเมื่อรากไม้ยังแข็งแรง
ไม่มีอันตราย ต้นไม้แม้ตัดแล้วก็ยังงอกได้อีก.
ขุ.ป. (อรรถ) มก. ๖๘/๔๕๒
๔.๒ ตัณหาดุจเถาย่านทราย ย่อมเจริญแก่คนผู้มีปกติประมาท เขาย่อมเร่ร่อนไปสู่ภพน้อย
ภพใหญ่ ดังวานรปรารถนาผลไม้เร่ร่อนไปในป่า ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๓/๒๖๖
๔.๓ ตัณหานี้เป็นธรรมชาติลามก มักแผ่ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ในโลก ย่อมครอบงำ�บุคคล
ใด ความโศกทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น ดุจหญ้าคมบางอันฝนตกรดแล้วงอกงามอยู่ ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๓/๒๖๖
๔.๔ ตัณหาเปรียบเหมือนด้ายที่ร้อยรัดไม้อยู่ เมื่อตัณหาดับ ที่สุดทั้งสองก็เป็นอันดับด้วย
เปรียบเหมือนเมื่อด้ายขาดไม้ทั้ง ๒ อัน ก็หล่นมาทั้งสองข้าง.
อัง.ฉักก. (อรรถ) มก. ๓๖/๗๕๔
283
๕. อริยสัจ ๔
๕.๑ บุคคลบางคนในโลกนี้ รู้ชัดตามจริง นี่ทุกข์... นี่เหตุเกิดทุกข์... นี่ความดับทุกข์... นี้ข้อ
ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เหมือนอย่างคนตาดี พึงเห็นรูปทั้งหลายได้ในระหว่างฟ้าแลบในกลางคืน
มืดตื้อ ฉันใด
บุคคลบางคนในโลกนี้ รู้ชัดตามจริงว่า นี่ทุกข์ ฯลฯ นี่ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ฉันนั้น
นี่เราเรียกว่า บุคคลมีจิตเหมือนสายฟ้า.
อัง.ติก. (พุทธ) มก. ๓๔/๘๑
๕.๒ บุคคลบางคนในโลกนี้ กระทำ�ให้แจ้ง เข้าถึงพร้อมซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันหา
อาสวะมิได้ เพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย ด้วยความรู้ยิ่งด้วยตนเองอยู่ปัจจุบันนี้ เหมือนอย่างแก้ว
หรื อ หิ นที่ ไม่ ถู ก เพชรเจาะเสี ย เลยย่ อ มไม่ มี ฉั น ใด บุ ค คลบางคนในโลกนี้ ก ระทำ � ให้ แจ้ ง ฯลฯ
ในปัจจุบันนี้ ฉันนั้น นี้เรียกว่า บุคคลมีจิตเหมือนเพชร.
อัง.ติก. (พุทธ) มก. ๓๔/๘๑
๕.๓ คนพาลย่อมไม่รู้สึกว่า ร่างกายนี้เป็นของเผ็ดร้อน มีรสหวานชื่นใจ ผูกพันด้วยความรัก
เป็นทุกข์ ฉาบไล้ไว้ด้วยสิ่งที่น่าชื่นใจ เหมือนมีดโกนอันทาด้วยน้ำ�ผึ้ง ฉะนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๓/๒๒
๖. การละตัณหา
๖.๑ ผู้ใดย่ำ�ยีตัณหานั้น... ซึ่งเป็นธรรมชาติลามก ยากที่ใครในโลกจะล่วงไปได้ ความโศกทั้ง
หลายย่อมตกไปจากผู้นั้น เหมือนหยาดน้ำ�ตกไปจากใบบัว ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๓/๒๖๖
๖.๒ ท่านทั้งหลาย จงขุดรากตัณหาเสียเถิด ประหนึ่งผู้ต้องการแฝกขุดหญ้าคมบางเสีย
ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๓/๒๖๖
285
๗. อริยมรรคมีองค์ ๘
๗.๑ หม้อที่คว่ำ�ย่อมให้น้ำ�ไหลออกอย่างเดียว ไม่ทำ�ให้กลับไหลเข้า แม้ฉันใด ภิกษุเจริญอริย
มรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำ�ให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมระบายอกุศล
ธรรมอันลามกออกอย่างเดียว ไม่ให้กลับคืนมาได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๐/๑๔๙
๗.๒ เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่ขึ้นก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน คือแสงเงินแสงทอง สิ่งที่
เป็นเบื้องต้นเป็นนิมิตมาก่อน เพื่อความบังเกิดแห่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ของภิกษุ คือ
ความถึงพร้อมแห่งทิฏฐิ ฉันนั้น.
สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๐/๗๔
286
ทำ�พระนิพพานให้แจ้ง
ภิกษุใดยังหนุ่มพากเพียรอยู่ในพระพุทธศาสนา
ภิกษุนั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง
ดุจพระจันทร์ที่พ้นแล้วจากหมอกเมฆสว่างอยู่ ฉะนั้น
291
๑. ความเพียรเพื่อบรรลุธรรมของพระโพธิสัตว์
๑.๑ เมื่อเรากลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ (ลมหายใจเข้า-ออก) ไว้ทางปาก ทางจมูก และช่องหู
แล้ว ลมอันแรงกล้าก็เสียดแทงศีรษะ เปรียบเหมือนบุรุษมีกำ�ลังเอาเหล็กแหลมคมทิ่มศีรษะ.
ม.มู. (พุทธ) มก. ๑๙/๑๒๑
๑.๒ เมื่อเรากลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะทางปาก ทางจมูก และหู ก็ให้ปวดศีรษะเหลือทน
เปรียบเหมือนบุรุษมีกำ�ลังรัดศีรษะด้วยเส้นเชือกแน่น.
ม.มู (พุทธ) มก. ๑๙/๑๒๒
๑.๓ เมื่อเรากลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะทางจมูก และหู ลมอันแรงกล้าก็บาดในช่องท้อง
เปรียบเหมือนนายโค หรือลูกมือนายโคที่เป็นคนฉลาด ใช้มีดคมกรีดที่ท้อง.
ม.มู. (พุทธ) มก. ๑๙/๑๒๒
๑.๔ องคาพยพ (อวัยวะน้อยใหญ่) ของเราย่อมเป็นประหนึ่งเถาวัลย์ที่มีข้อมาก ๘๐ ข้อ
เพราะโทษที่อาหารน้อยนั้นอย่างเดียว ก้นกบแห่งเราแฟบเข้า มีสัณฐานเหมือนกีบเท้าอูฐ ฉะนั้น
ก็เพราะโทษที่อาหารน้อยอย่างเดียว กระดูกสันหลังแห่งเราผุดขึ้นราวกะเถาวัลย์ ฉะนั้น
ก็เพราะโทษที่อาหารน้อยอย่างเดียว เปรียบซี่โครงแห่งเรานูนเป็นร่องๆ ดังกลอนในศาลา
เก่าชำ�รุดทรุดโทรม ฉะนั้น.
292
ก็เพราะโทษที่อาหารน้อยอย่างเดียว เปรียบเหมือนดวงตาแห่งเราปรากฏกลมลึกเข้าไปใน
กระบอกตา ดูประหนึ่งดวงดาวปรากฏในบ่อน้ำ�อันลึก ฉะนั้น
ก็เพราะโทษที่อาหารน้อยอย่างเดียว หนังบนศีรษะแห่งเราสัมผัสอยู่ก็เหี่ยวแห้งไป ประหนึ่ง
ผลน้ำ�เต้าขม ที่บุคคลตัดมาแต่ยังสด ถูกลม และแดดก็เหี่ยวแห้งไป ฉะนั้น.
ที.สี. (พุทธ) มจ. ๑๒/๔๑๕
๒. ความเพียร
๒.๑ นกที่เปื้อนฝุ่นย่อมสลัดธุลีที่แปดเปื้อนให้ตกไป ฉันใด ภิกษุผู้มีความเพียร มีสติ ย่อม
สลัดธุลี คือ กิเลสที่แปดเปื้อนให้ตกไป ฉันนั้น.
สัง.ส. (ทั่วไป) มก. ๒๕/๓๕๓
๒.๒ สายพิณของเธอไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ตั้งอยู่ในขนาดกลาง สมัยนั้นพิณของเธอ
ย่อมมีเสียงไพเราะ ฉันนั้นเหมือนกันแล ความเพียรที่ปรารภมากเกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความฟุ้ง
ซ่าน ความเพียรที่หย่อนเกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน
ดู ก่ อ นโสณะ เพราะเหตุ นั้ น แหละ เธอจงตั้ ง ความเพี ย รให้ ส ม่ำ� เสมอ จงตั้ ง อิ นทรี ย์ ให้
สม่ำ�เสมอ.
อัง.ฉักก. (พุทธ) มก. ๓๖/๗๐๗
๒.๓ บุคคลใดกำ�จัดความหลับ ตื่นอยู่ เหมือนม้าดีหลบแส้ไม่ให้ถูกตน บุคคลนั้นหาได้ยาก
ท่านทั้งหลายจงมีความเพียร มีความสลดใจ เหมือนม้าดีถูกเขาตีด้วยแส้แล้วมีความบากบั่น ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (ทั่วไป) มก. ๔๒/๖๘
๒.๔ ภิกษุใดยังหนุ่มพากเพียรอยู่ในพระพุทธศาสนา ภิกษุนั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง ดุจ
พระจันทร์ที่พ้นแล้วจากหมอกเมฆสว่างอยู่ ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (ทั่วไป) มก. ๔๓/๓๔๐
๒.๕ ท่านทั้งหลาย จงยินดีในความไม่ประมาท จงตามรักษาจิตของตน จงถอนตนขึ้นจาก
หล่ม ประหนึ่งช้างที่จมลงในเปือกตม ถอนตนขึ้นได้ ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (ทั่วไป) มก. ๔๓/๒๒๔
๒.๖ อำ�นาจการปรารภความเพียรอย่างนี้ ของภิกษุผู้ไม่ให้กิเลสที่เกิดขึ้นในตอนเดินไม่ให้ถึง
ตอนยืน ที่เกิดในตอนยืนไม่ให้ถึงตอนนั่ง ที่เกิดขึ้นในตอนนั่งไม่ให้ถึงตอนนอน ข่มไว้ด้วยพลังความ
เพียรไม่ให้เงยศีรษะขึ้นได้ในอิริยาบถนั้นๆ เหมือนคนเอาไม้มีลักษณะดังเท้าแพะกดงูเห่าไว้ และ
เหมือนเอาดาบที่คมกริบฟันคอศัตรู ฉะนั้น.
ขุ.อุ. (อรรถ) มก. ๔๔/๔๐๕
293
๓. สมาธิ
๓.๑ ธรรมดากระแตเมื่อพบศัตรูย่อมพองหางขึ้นให้ใหญ่เพื่อต่อสู้กับศัตรู ฉันใด ภิกษุ
ผู้ปรารภความเพียรก็ฉันนั้น เมื่อเกิดศัตรู คือ กิเลสขึ้นก็พองหาง คือ สติปัฏฐานให้ใหญ่ขึ้นกั้นกลาง
กิเลสทั้งปวงด้วยหาง คือ สติปัฏฐาน
ข้อนีส้ มกับคำ�ของพระจุฬปันถกเถรเจ้าว่า เมือ่ กิเลสจะทำ�ลายคุณเกิดขึน้ ในเวลาใด เวลานัน้
ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็พองหาง คือ สติปัฏฐานขึ้นบ่อยๆ ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๒๔
๓.๒ ธรรมดาแมลงมุมชักใยดักไว้แล้วก็จ้องดูอยู่ ถ้าหนอนหรือแมลงมาติดในใยของตนก็จับ
กินเสีย ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควรชักใย คือ สติปัฏฐานซึ่งไว้ที่ทวารทั้ง ๖ ถ้าแมลง คือ
กิเลสตามติดก็ควรฆ่าเสีย ฉันนั้น
ข้อนี้สมกับคำ�ของพระอนุรุทธเถรเจ้าว่า เพดานที่กั้นทวารทั้ง ๖ อยู่ คือ สติปัฏฐาน
อันประเสริฐ เวลากิเลสมาติดที่เพดาน คือ สติปัฏฐานนั้น พระภิกษุก็ควรฆ่าเสีย.
มิลิน. ๔๕๕
๓.๓ ธรรมดาช้างย่อมลงเล่นน้ำ�อย่างสุขใจ ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรเวลาลงสู่สระ
โบกขรณี คือ มหาสติปัฏฐานอันเต็มเปี่ยมด้วยน้ำ�อันประเสริฐ คือ พระธรรมอันเย็นใสอันดาษไป
ด้วยดอกไม้ คือ วิมุตติ ก็ควรเล่นอยู่ด้วยการพิจารณาสังขาร ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๔๘
๓.๔ ธรรมดานายขมังธนูย่อมรักษาไม้ง่ามไว้ เพื่อดัดลูกธนูที่คดงอให้ตรง ฉันใด ภิกษุ
ผู้ปรารภความเพียรก็ควรรักษาไม้ง่าม คือ สติปัฏฐานไว้ในกายนี้ เพื่อทำ�จิตที่คดงอให้ตรง ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๖๔
๓.๕ แก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเอง บริสุทธิ์ ๘ เหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใสแวววาว
สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียว เหลือง แดง ขาว หรือนวล ร้อยอยู่ในนั้น ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล
เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่น
ไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญานทัสนะ.
ที.ส. (พุทธ) มก. ๑๑/๓๒๖
๓.๖ การละธรรมมีนิวรณ์ด้วยอุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธินั่น เหมือนการกั้นสาหร่าย
บนผิวน้ำ�ด้วยไม้.
สัง.ข. (อรรถ) มก. ๒๗/๑๕
298
๔. ทำ�พระนิพพานให้แจ้ง
๔.๑ ภิกษุผู้เป็นพุทธบุตรบำ�เพ็ญวิปัสสนา ประกอบความเพียรนี้เข้าไปสู่ป่า แล้วบรรลุอรหัต
ผล เหมือนเสือเหลืองซุ่มจับเนื้อกิน ฉะนั้น.
ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๗/๖๗๙
๔.๒ ภิกษุนั้นทำ�ลายเปลือกไข่ คือ อวิชชาแล้ว บรรลุพระอรหันต์ในเวลาจบพระคาถา
จำ�เดิมแต่นั้นลูกไก่เหล่านั้น ยังคามเขตให้งามเที่ยวไปในคามเขตนั้น ฉันใด ภิกษุแม้นี้เป็นพระมหา
ขีณาสพบรรลุผลสมบัติ อันมีนิพพานเป็นอารมณ์แล้ว ยังสังฆารามให้งามอยู่เที่ยวไป ฉันนั้น.
ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๘/๑๘๕
301
จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
ธรรมดาดอกบัวย่อมเกิดในน้ำ� โตในน้ำ� แต่น้ำ�ไม่ติดค้างบนดอกบัว ฉันใด
ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ไม่ควรติดอยู่ในครอบครัว
หมู่คณะ ลาภ ยศ สรรเสริญ และปัจจัย ๔
รวมทั้งกิเลสทั้งปวง ฉันนั้น
307
๑. ความไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
๑.๑ ภูเขาศิลาล้วนเป็นแท่งเดียว คือ ไม่มีโพรง ย่อมไม่สะเทือน คือ ไม่เอนเอียง ไม่หวั่นไหว
ด้วยลม ฉันใด เมื่อโลกธรรม ๘ ครอบงำ�อยู่ บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่เอนเอียง คือ ไม่หวั่นไหว
ไม่สะเทือนด้วยอำ�นาจความยินดีร้ายหรือยินดี ฉันนั้น.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๑/๓๔๒
๑.๒ ถ้ารูปที่พึงเห็นแจ้งด้วยจักษุมาสู่คลองจักษุของภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว รูปนั้นไม่
ครอบงำ � จิ ต ของท่ า นได้ จิ ต ของท่ า นย่ อ มไม่ เจื อ ด้ ว ยกิ เ ลส เป็ นจิ ต ตั้ ง มั่ นถึ ง ความไม่ ห วั่ น ไหว
ท่านย่อมพิจารณาเห็นความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปแห่งจิตนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยหู... ฯลฯ กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยจมูก... ฯลฯ รสที่
พึงรู้แจ้งด้วยลิ้น... ฯลฯ โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย... ฯลฯ ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจ... ฯลฯ
มาสู่คลองจักษุแห่งภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว ธรรมารมณ์นั้นย่อมไม่ครอบงำ�จิตของท่านได้ จิตของ
ท่านย่อมไม่เจือด้วยกิเลสเป็นจิตตั้งมั่น ถึงความไม่หวั่นไหว และท่านพิจารณาเห็นความเกิดขึ้น
ความเสื่อมไปแห่งจิตนั้น
เปรียบเหมือนภูเขาศิลาที่ไม่มีช่อง ไม่มีโพรงเป็นแท่งทึบ ถ้าแม้ลมฝนอันแรงกล้าพึงพัดมา
จากทิ ศ บู ร พาไซร้ ก็ ไม่ พึ ง ยั ง ภู เขาศิ ล านั้ น ให้ ห วั่ น ไหวให้ ส ะเทื อ นสะท้ า นได้ พึ ง พั ด มาจากทิ ศ
308
๒. ไตรลักษณ์
๒.๑ เสียงรถย่อมมีได้เพราะการประชุมองค์ประกอบของรถ ฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมี
อยู่ การสมมุติกันว่าสัตว์ก็ย่อมมี ฉันนั้น.
ขุ.จู. (อรรถ) มก. ๖๗/๖๔๒
309
๓. โทษของลาภสักการะ
๓.๑ ผลกล้วยฆ่าต้นกล้วย ขุยไผ่ฆ่าไม้ไผ่ ดอกอ้อฆ่าไม้อ้อ ลูกม้าฆ่าแม่ม้าอัสดร ฉันใด
สักการะก็ฆ่าคนชั่ว ฉันนั้น.
สัง.นิ. (พุทธ) มก. ๒๖/๖๗๗
๓.๒ ไม้ไผ่ย่อมตกขุยเพื่อฆ่าตน ย่อมตกขุยเพื่อความวอดวาย แม้ฉันใด ลาภสักการะและ
ความสรรเสริญก็เกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อฆ่าตน เพื่อความวอดวาย ฉันนั้นเหมือนกัน.
วิ.จุ. (พุทธ) มก. ๙/๒๘๑
๓.๓ แม่ม้าอัสดรย่อมตั้งครรภ์เพื่อฆ่าตน ย่อมตั้งครรภ์เพื่อความวอดวาย แม้ฉันใด ลาภ
สักการะ แลความสรรเสริญก็เกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อฆ่าตน เพื่อความวอดวาย ฉันนั้นเหมือนกัน.
วิ.จุ. (พุทธ) มก. ๙/๒๘๑
๓.๔ ต้นกล้วยผลิตผลเพื่อฆ่าตน ย่อมผลิตผลเพื่อความวอดวาย ฉันใด ลาภสักการะและ
ความสรรเสริญก็เกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อฆ่าตน เพื่อความวอดวาย ฉันนั้นเหมือนกัน.
วิ.จุ. (พุทธ) มก. ๙/๒๘๑
๓.๕ เปรียบเหมือนสุนัขที่เขาขยี้ดีหมี ดีปลาใส่ในจมูก เมื่อเป็นเช่นนี้ มันก็ยิ่งดุร้ายกว่าเดิม
หลายเท่าโดยแท้ ฉันใด พระเจ้าอชาตศัตรูราชกุมารจักเสด็จไปบำ�รุงพระเทวทัตทั้งเวลาเย็น เวลา
เช้า ด้วยรถประมาณ ๕๐๐ ถาด เพียงใด เทวทัตก็พึงหวังความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่พึง
หวังความเจริญเพียงนั้น ฉันนั้นเหมือนกัน.
สัง.นิ. (พุทธ) มก. ๒๖/๖๗๙
310
๔. ไม่ติดลาภสักการะ
๔.๑ พระมหาสัตว์ผู้เจริญโดยสัญชาติในโลกเป็นผู้อบรมดี ไม่ติดในโลกธรรมทั้งหลาย
เหมือนดอกบัวไม่ติดด้วยน้ำ� ฉันนั้น.
ขุ.จริยา. (อรรถ) มก. ๗๔/๕๔
๔.๒ ธรรมดาดอกบัวย่อมเกิดในน้ำ� โตในน้ำ� แต่น้ำ�ไม่ติดค้างบนดอกบัว ฉันใด ภิกษุ
ผู้ปรารภความเพียรก็ไม่ควรติดอยู่ในครอบครัว หมู่คณะ ลาภ ยศ สรรเสริญ และปัจจัย ๔ รวมทั้ง
กิเลสทั้งปวง ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๒๙
๔.๓ ธรรมดาเต่าย่อมขุดดินลงไปอยู่ในที่เงียบ ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียร ก็ฉันนั้น
ควรทิ้งลาภสักการะ สรรเสริญ แล้วเข้าป่าหาความสงัดอยู่.
มิลิน. ๔๒๗
๔.๔ ธรรมดาของเครื่องเรือที่ขัดข้อง ย่อมกักเรือไว้ในน้ำ�อันลึกตั้ง ๑๐๐ ศอก ฉันใด ภิกษุ
ผู้ปรารภความเพียรก็ไม่ควรข้องอยู่ในเครื่องยึดเหนี่ยว คือ ลาภ ยศ สักการะ การกราบไหว้บูชา
ควรพิจารณาแต่ปัจจัยที่พอช่วยประทังร่างกายให้คงอยู่เท่านั้น
ข้อนี้สมกับคำ�ของพระสารีบุตรว่า เครื่องขัดข้องในเรือมหาสมุทรย่อมไม่ลอยอยู่ มีแต่จม
อยู่ข้างล่าง ฉันใด ท่านทั้งหลายอย่าข้องอยู่ในลาภสักการะ อย่าจมอยู่ในลาภสักการะ ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๓๑
๔.๕ ธรรมดาเรือย่อมสู้ลูกคลื่น สู้ลมแรงได้ ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควรสู้คลื่น
คือ กิเลสต่างๆ เป็นอันมาก เช่น ลาภ สักการะ ยศ สรรเสริญ การบูชากราบไหว้ การนินทา
สรรเสริญ ความสุข ความทุกข์ การนับถือ การดูหมิ่นอย่างยิ่ง ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๓๑
๓๖
ม ง ค ล ที่
จิตไม่โศก
บุคคลผู้บรรลุธรรมอันสูงสุดแล้ว
ไม่มีความต้องการอะไรในโลกทั้งปวง ย่อมไม่เศร้าโศกในเวลาตาย
ดุจบุคคลออกจากเรือนที่ถูกไฟใหม้ ฉะนั้น
313
๒. เหตุแห่งความโศก
๒.๑ พระราชาเสด็จเข้าไปยังพระราชอุทยานที่สมบูรณ์ด้วยต้นไม้อันเต็มไปด้วยดอก และ
ผล เป็นต้น ที่ตกแต่งไว้เป็นอย่างดี ทรงยินดีด้วยสมบัตินั้นๆ ย่อมทรงบันเทิงรื่นเริงเบิกบานไม่เบื่อ
แม้เย็นแล้วก็ไม่ปรารถนาจะออกไป ฉันใด สัตว์ทั้งหลายย่อมยินดีด้วยกาม และอาลัย คือ ตัณหา
เหล่านี้ก็ฉันนั้น ย่อมเบิกบานไม่เบื่ออยู่ในสังสารวัฏ.
ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๘/๔๔๕
๒.๒ คนพาลทั้งหลายย่อมเหี่ยวแห้งเพราะเหตุ ๒ อย่าง คือ เพราะปรารถนาอารมณ์ที่ยัง
ไม่มาถึง และความเศร้าโศกถึงอารมณ์ที่ล่วงไปแล้ว ดุจไม้อ้อที่ยังเขียวสด ถูกถอนทิ้งไว้ที่แดด
ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๓/๑๓
๓. โทษของความโศก
๓.๑ ความโศกย่อมแทงหทัยของสัตว์ทั้งหลาย ดุจลูกศรอาบยาพิษ ย่อมเผาสัตว์เหมือนกรง
เหล็กที่ไฟติดแดงเผาแกลบ ฉะนั้น ความโศกย่อมนำ�มาซึ่งความทำ�ลาย กล่าวคือ พยาธิ ชรา และ
มรณะ นำ�มาซึ่งทุกข์มีประการต่างๆ ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ทุกข์.
ขุ.ม. (อรรถ) มก. ๖๕/๑๕๖
๓.๒ ความโศกย่อมทิ่มแทงหัวใจของสัตว์ทั้งหลาย ดุจถูกลูกศรอาบยาพิษ และย่อมแผด
เผาอย่างแรงกล้าดุจหลาวเหล็กถูกไฟเผาสังหารอยู่.
ขุ.ป. (อรรถ) มก. ๖๘/๔๒๔
๓.๓ หม้อน้ำ�ที่แตกแล้วจะประสานให้ติดอีกไม่ได้ ฉันใด ผู้ใดเศร้าโศกถึงผู้ล่วงลับไปแล้ว
ผู้นั้นก็เปรียบเหมือนฉันนั้น.
ขุ.เปต. (ทั่วไป) มก. ๔๙/๑๓๐
๓.๔ น้ำ�ตาของคนที่ร้องไห้ด้วยราคะ โทสะ โมหะ เป็นน้ำ�ตาร้อน ส่วนน้ำ�ตาของผู้ฟังธรรม
แล้วร้องไห้ด้วยปีติโสมนัสเป็นน้ำ�ตาเย็น.
มิลิน. ๑๒๑
๓.๕ พระองค์ทรงหวั่นไหวด้วยความเศร้าโศก ดุจช้างพลายตกมันถูกไกรสรราชสีห์จับ และ
ดุจดวงจันทร์เข้าไปในปากแห่งราหู.
ขุ.ชา. (อรรถ )มก. ๖๔/๗๒๙
315
๔. การบรรเทา กำ�จัดความโศก
๔.๑ พึงกำ�จัดความรำ�พันเสีย บุคคลพึงดับไฟที่ไหม้ลุกลามไปด้วยน้ำ� ฉันใด นรชนผู้เป็น
นักปราชญ์มีปัญญาเฉลียวฉลาด พึงกำ�จัดความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นเสียโดยฉับพลัน เหมือนลมพัดนุ่น
ปลิวไป ฉันนั้น.
ขุ.สุ. (อรรถ) มก. ๔๗/๕๕๙
๔.๒ คนฉลาดพึงดับไฟที่ไหม้เรือนด้วยน้ำ� ฉันใด คนผู้เป็นนักปราชญ์ได้รับการศึกษามาดี
มีปัญญาเฉลียวฉลาด พึงรีบกำ�จัดความโศกที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน เหมือนลมพัดปุยนุ่น ฉันนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๐/๗๓
๔.๓ การที่พวกบัณฑิตเป็นผู้บรรเทาความเศร้าโศกผู้อื่นได้ นี่แหละเป็นที่พึ่งอย่างยอดเยี่ยม
ของนรชน เหมือนอย่างเกาะเป็นที่พำ�นักของคนที่ต้องเรือแตกในมหาสมุทร ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๒/๖๗๐
๔.๔ เจ้าดับความกระวนกระวายทั้งปวงของเรา ผู้เร่าร้อนอยู่ให้หาย เหมือนบุคคลเอาน้ำ�
ดับไฟอันลาดด้วยน้ำ�มัน ฉันนั้น ได้ถอนขึ้นแล้วซึ่งลูกศร คือ ความโศกอันเสียบแล้วที่หทัย.
ขุ.เปต. (ทั่วไป) มก. ๔๙/๗๖
๔.๕ ความข้องในปัจจัยก็ดี ตระกูลก็ดี วิหารก็ดี บริเวณก็ดี ย่อมไม่มีแก่บุตรของเรา บุตร
ของเราไม่ข้องในอะไรๆ เลย เหมือนพระยาหงส์ร่อนลงในเปลือกตม เที่ยวไปในเปลือกตมนั้นแล้วก็
บินไป ฉะนั้น.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๑/๓๗๒
๔.๖ แม้การไปมาของพระจันทร์ พระอาทิตย์กย็ งั เห็นกันอยู่ รัศมีของพระจันทร์ พระอาทิตย์
ก็ยังเห็นกันอยู่ในวิถีทั้งสอง คนที่ตายล่วงลับไปแล้ว ใครก็ไม่เห็น เราสองคนที่ร้องไห้คร่ำ�ครวญอยู่
ในที่นี้ ใครโง่กว่ากัน.
ขุ.วิ. (ทั่วไป) มก. ๔๘/๖๒๘
๔.๗ จงถอนความเสน่หาของตนขึ้นเสียเถิด เหมือนกับถอนดอกโกมุทที่บานในฤดูสารท
กาลด้วยมือของตน ฉะนั้น.
สัง.ข. (พุทธ) มก. ๔๓/๑๓๐
๔.๘ บุคคลใดในโลกนี้ รู้สึกตัว ละของรักได้ เสพอริยธรรมแม้ด้วยความฝืนใจ เหมือนคน
เป็นไข้ดื่มโอสถ ฉะนั้น.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๖๒/๗๐๒
316
๕. ผู้ไม่เศร้าโศก
๕.๑ โภคสมบัตทิ ง้ั หลายย่อมละทิง้ สัตว์ไปก่อนบ้าง สัตว์ยอ่ มละทิง้ โภคสมบัตเิ หล่านัน้ ไปก่อน
บ้าง ดูกอ่ นโจรผูใ้ คร่ในกาม พวกชนเป็นผูม้ โี ภคสมบัตอิ นั ไม่เทีย่ ง เพราะฉะนัน้ เราจึงไม่เศร้าโศก
ดวงจันทร์เต็มดวงย่อมเสื่อมสิ้นไป ดวงอาทิตย์อัสดงคตแล้วย่อมจากไป ดูก่อน โลกธรรม
ทั้งหลาย เรารู้แล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงไม่เศร้าโศก.
ขุ.ม. (อรรถ) มก. ๖๕/๖๑๑
๕.๒ บุคคลผู้บรรลุธรรมอันสูงสุดแล้ว ไม่มีความต้องการอะไรในโลกทั้งปวง ย่อมไม่เศร้า
โศกในเวลาตาย ดุจบุคคลออกจากเรือนที่ถูกไฟไหม้ ฉะนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๓/๒
๕.๓ ความคร่ำ�ครวญ และความหวงแหนมิได้ติดในมุนีนั้น เหมือนน้ำ�ไม่ติดในใบบัว ฉะนั้น.
ขุ.ม. (อรรถ) มก. ๖๕/๖๒๗
317
จิตปราศจากธุลี
เมื่อน้ำ�ไม่ขุ่นมัว ใสบริสุทธิ์
บุคคลย่อมแลเห็นหอยกาบ หอยโข่ง กรวด ทราย และฝูงปลา ฉันใด
เมื่อจิตไม่ขุ่นมัว บุคคลก็ย่อมเห็นประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น ฉันนั้น
321
๑. จิตปราศจากธุลี
๑.๑ เมื่อน้ำ�ขุ่นมัวไม่ใส บุคคลย่อมไม่แลเห็นหอยกาบ หอยโข่ง กรวด ทราย และฝูงปลา
ฉันใด เมื่อจิตขุ่นมัว บุคคลก็ย่อมไม่เห็นประโยชน์ผู้อื่น ฉันนั้น
เมื่อน้ำ�ไม่ขุ่นมัวใสบริสุทธิ์ บุคคลย่อมแลเห็นหอยกาบ หอยโข่ง กรวด ทราย และฝูงปลา
ฉันใด เมื่อจิตไม่ขุ่นมัว บุคคลก็ย่อมเห็นประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น ฉันนั้น.
ขุ.ชา. (พุทธ) มก. ๕๗/๑๙๖
๑.๒ ธรรมดาราชสีห์ย่อมมีกายขาวบริสุทธิ์ ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ควรให้จิตขาว
บริสุทธิ์ ปราศจากความรำ�คาญ ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๔๙
๑.๓ ธรรมดาพระขีณาสพทั้งหลายย่อมไม่โกรธ ไม่ประทุษร้าย ไม่สะเทือน ไม่หวั่นไหว
เป็นเช่นศิลาแท่งทึบที่ไม่สะเทือนด้วยแรงลม.
ขุ.ธ. (พุทธ) มก. ๔๑/๓๔๑
๒. โทษของกิเลส
๒.๑ สังโยชน์เหล่านั้นผู้ใดยังละไม่ได้ แม้ผู้นั้นจะบังเกิดขึ้นในภวัคคพรหมก็จริง ถึงกระนั้น
322
๓. การกำ�จัดกิเลส
๓.๑ ธรรมดาดวงอาทิตย์ย่อมทำ�ให้พืชทั้งปวงเหี่ยวแห้ง ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็
ควรทำ�กิเลสทั้งปวงให้แห้งลง ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๔๑
๓.๒ ธรรมดาดวงอาทิตย์ย่อมกำ�จัดความมืด ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็พึงกำ�จัด
ความมืดทั้งปวง คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส ทุจริต ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๔๑
๓.๓ ชนเหล่าใดปราศจากความกำ�หนัด มีอินทรีย์ตั้งมั่นดีแล้ว พ้นจากการจับแห่งกิเลส
เปล่งปลั่งอยู่ เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากราหูจับ สว่างไสวอยู่ ฉะนั้น.
ขุ.สุ. (พุทธ) มก. ๔๗/๔๕๗
๓.๔ ธรรมดาไฟย่อมไม่มีความปราณีต่อสิ่งใด ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ไม่ควร
ปราณีต่อกิเลสทั้งปวง ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๓๗
๓.๕ ธรรมดาภูเขาศิลาย่อมไม่มีพืชพันธุ์งอกขึ้นได้ ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียรก็ไม่
ปล่อยให้กิเลสงอกขึ้นในใจของตนได้ ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๓๙
๓.๖ ธรรมดาภูเขาย่อมเป็นของแข็ง ไม่เจือปนกับสิ่งใด ฉันใด ภิกษุผู้ปรารภความเพียร
ควรมีใจเข้มแข็งในสิ่งทั้งปวง ไม่คลุกคลีกับกิเลสใดๆ ฉันนั้น.
มิลิน. ๔๓๘
324
๔. นิวรณ์ ๕
๔.๑ ภิกษุพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ ประการเหล่านี้ ที่ยังละไม่ได้ในตนเหมือนหนี้ เหมือนโรค
เหมือนเรือนจำ� เหมือนความเป็นทาส เหมือนทางไกลกันดาร และเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕
ประการที่ละได้แล้วในตน เหมือนความไม่เป็นหนี้ เหมือนความไม่มีโรค เหมือนการพ้นจากเรือนจำ�
เหมือนความเป็นไทแก่ตน เหมือนสถานที่ปลอดภัย ฉันนั้น.
ที.สี. (เถระ) มก. ๑๒/๒๑๑
๔.๒ นิวรณ์ ๕ ย่อมครอบงำ�ยึดเอาผู้ที่เกียจคร้าน กินจุ เหมือนสุนัขดุข่มเหงโคแก่ตัวเขา
ขาด ฉะนั้น.
สัง.สฬา. (อรรถ) มก. ๒๘/๔๑๙
327
๕. ความโลภ
๕.๑ ข้าแต่พระราชา พวกเราก็ดี ชนเหล่าอื่นที่โลภจัดก็ดี จะต้องละทิ้งของมากเพราะ
ของน้อย เหมือนลิงเสื่อมจากถั่วทั้งหมด เพราะถั่วเมล็ดเดียวแท้ๆ.
ขุ.ชา. (โพธิ) มก. ๕๗/๑๔๙
328
๖. ความโกรธ
๖.๑ ประเภทของคนโกรธ
๖.๑.๑ บุคคลเปรียบด้วยอสรพิษ (สัตว์มีพิษที่เขี้ยว) ๔ จำ�พวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔
จำ�พวกเป็นไฉน คือ บุคคลดุจอสรพิษ มีพิษแล่น พิษไม่ร้าย คือ คนที่โกรธเนืองๆ แต่ความโกรธอยู่
ไม่นาน ๑ มีพิษร้าย พิษไม่แล่น คือ คนที่ไม่โกรธเนืองๆ แต่ความโกรธอยู่นาน ๑ มีพิษแล่น พิษร้าย
คือ คนที่โกรธเนืองๆ และความโกรธอยู่นาน ๑ มีพิษไม่แล่น พิษไม่ร้าย คือ คนที่ไม่โกรธเนืองๆ
และความโกรธอยู่ไม่นาน ๑.
อัง.จตุกก. (พุทธ) มก. ๓๕/๒๙๖
๖.๑.๒ คนโกรธ ๓ จำ�พวก เหมือนรอยขีดในหิน รอยขีดในดิน รอยขีดในน้ำ�.
อัง.ติก. (พุทธ) มก. ๓๔/๕๖๘
๖.๒ โทษของความโกรธ ความพยาบาท
๖.๒.๑ ความโกรธเป็นเครื่องปรากฏของคน ดุจธงเป็นเครื่องปรากฏของรถ ดุจควันเป็น
เครื่องปรากฏของไฟ.
ขุ.สุ. (อรรถ) มก. ๔๖/๓๑๙
๖.๒.๒ ภาชนะใส่น้ำ�ซึ่งร้อนเพราะไฟเดือดพล่าน มีไอพลุ่งขึ้น บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อมองดูเงา
หน้าของตนในน้ำ�นั้น ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตามความเป็นจริง ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน สมัยใด บุคคลมี
ใจฟุ้งซ่านด้วยพยาบาท อันพยาบาทเหนี่ยวรั้งไป และย่อมไม่รู้ ไม่เห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออก
ซึ่งพยาบาทที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง.
สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๐/๓๒๒
๖.๒.๓ คนโกรธย่อมไม่รู้อรรถไม่เห็นธรรม ความโกรธย่อมครอบงำ�นรชนในขณะใด ความ
มืดตื้อย่อมมีในขณะนั้น คนผู้โกรธย่อมก่อกรรมที่ทำ�ได้ยากเหมือนทำ�ได้ง่าย.
อัง.สัตตก. (พุทธ) มก. ๓๗/๒๐๖
๖.๒.๔ ความโกรธย่อมเจริญแก่ผู้ใด เหมือนไฟที่ไหม้หญ้าและไม้ ยศของผู้นั้นย่อมเสื่อม
เหมือนดวงจันทร์ในวันข้างแรม ฉะนั้น.
ขุ.จริยา. (โพธิ) มก. ๗๔/๒๘๗
๖.๒.๕ การโกรธผู้อื่น เป็นเช่นเดียวกับผู้ปรารถนาจะจับถ่านไฟที่คุโชน หรือซี่เหล็กอันร้อน
จัด หรืออุจจาระประหารผู้อื่น ฉะนั้น ความโกรธนั้นจักตกลงบนกระหม่อมของเขานั่นเอง เหมือน
ประหารผู้ไม่ประหารตอบ เหมือนนำ�ธุลีซัดไปในที่ทวนลม.
ที.ม. (พุทธ) มก. ๑๔/๓๒๐
329
๘. ความหดหู่ ซึมเซา
๘.๑ เพราะความหดหู่ ซึมเซา ง่วง ทำ�ให้ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง พึงเห็นถีนมิทธะเหมือนเรือนจำ�.
ที.สี. (พุทธ) มก. ๑๑/๔๕๘
๘.๒ ภาชนะใส่น้ำ�อันสาหร่าย และจอกแหนปกคลุมไว้ บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อมองดูเงาหน้าของ
ตนในน้ำ�ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตามความเป็นจริงฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน
สมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยถีนมิทธะ… ย่อมไม่รู้ ไม่เห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งถีน
มิทธะ ที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง.
สัง.ม. (พุทธ) มก. ๓๐/๓๒๒
๙. ความลังเล สงสัย
๙.๑ การละความลังเลสงสัยได้เหมือนภูมิอันเป็นแดนเกษม.
ที.สี. (พุทธ) มก. ๑๑/๔๖๒
332
จิตเกษม
ในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว
ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาวบางเหล่า
ซึ่งเกิดในน้ำ� เจริญในน้ำ� ยังไม่พ้นน้ำ� จมอยู่ในน้ำ�
น้ำ�หล่อเลี้ยงไว้ ดอกบัวเหล่านั้น ชุ่มชื่น เอิบอาบซาบซึมด้วยน้ำ�เย็น
ตลอดยอดตลอดเง่า ไม่มีส่วนใดๆ แห่งดอกบัวขาบ หรือดอกบัวหลวง
หรือดอกบัวขาวทั่วทุกส่วนที่น้ำ�เย็นจะไม่พึงถูกต้อง ฉันใด
ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมทำ�กายนี้ และให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยสุข
ไม่มีส่วนใดๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัวที่สุข
อันปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง
335
๑. ภัยและความกลัว
๑.๑ ภัยเข้ามาถึงตัวแล้ว หมู่สัตว์ดิ้นรนอยู่ เหมือนปลาทั้งหลายดิ้นรนอยู่ในที่มีน้ำ�น้อย.
ขุ.ม. (พุทธ) มก. ๖๖/๔๔๙
๒. อภิญญา
๒.๑ อิทธิวิธี (แสดงฤทธิ์)
๒.๑.๑ หงส์ทั้งหลาย ย่อมไปในทางแห่งดวงอาทิตย์ ท่านมีผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายย่อมไปใน
อากาศด้วยฤทธิ์ ธีรชนชนะมารพร้อมทั้งพาหนะแล้ว ย่อมออกไปจากโลกได้.
ขุ.ธ. (อรรถ) มก. ๔๒/๒๒๘
๒.๑.๒ ท่านผูม้ ปี ญ
ั ญาดังแผ่นดิน เหาะไปในในเวหาส ไปได้ตลอด เหมือนดวงจันทร์วนั เพ็ญ.
ม.ม. ( อรรถ ) มก. ๒๐/๑๖๗
๒.๑.๓ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้หายไปในประสาทของมิคารมารดา ในวิหารบุพพาราม
ปรากฏในหมู่เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประการหนึ่ง บุรุษที่มีกำ�ลังเหยียดแขนที่งอออกไป หรืองอแขนที่
เหยียดเข้ามา ฉะนั้น.
ม.มู. (อรรถ) มก. ๑๙/๑๔๘
336
ผู้ ค นทั้ ง หลายกำ � ลั ง เข้ า ไปสู่ เ รื อ นบ้ า ง ออกไปอยู่ บ้ า งกำ � ลั ง เดิ น ไปมาอยู่ ต ามถนนบ้ า ง นั่ ง อยู่
ท่ามกลางทางสี่แพร่งบ้าง เขาก็รู้ว่า คนเหล่านั้นเข้าไปสู่เรือน คนเหล่านี้ออกจากเรือน คนเหล่านี้
เดินไปตามถนน คนเหล่านี้นั่งท่ามกลางทางสี่แพร่ง ฉันใด
ดูก่อนมาณพ ภิกษุก็ฉันนั้นแล ฯลฯ เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว ฯลฯ เธอย่อมน้อมโน้มจิตไป เพื่อ
หยั่งรู้การจุติ และการเกิดของสัตว์ทั้งหลาย เห็นสัตว์ทั้งหลายที่กำ�ลังจุติ กำ�ลังอุบัติ เลว ประณีต
ผิวพรรณดี ผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ เกินจักษุของมนุษย์ย่อมรู้ชัด
ถึงหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม.
ที.สี. (เถระ) มก. ๑๒/๒๒๐
๒.๕.๒ เรือนสองหลังมีประตูร่วมกันบุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่ท่ามกลางเรือน พึงเห็นหมู่มนุษย์
กำ�ลังเข้าสู่เรือนบ้าง กำ�ลังออกจากเรือนบ้าง กำ�ลังเดินไปบ้าง กำ�ลังเที่ยวไปบ้าง ฉันใด ภิกษุย่อม
เห็นหมู่สัตว์ที่กำ�ลังจุติ กำ�ลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วย
ทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดถึงหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ฉันนั้น
เหมือนกันแล.
ม.มู. (พุทธ) มก. ๑๙/๒๑๕
๒.๕.๒ บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่ท่ตี รงกลางเรือนนั้น จะพึงเห็นหมู่ชนที่กำ�ลังเข้าไปบ้าง กำ�ลังเดิน
วนเวียนอยู่ท่เี รือนบ้าง ฉันใด สาวกของเราทั้งหลายก็ฉันนั้นแล ปฏิบัติตามปฏิปทาที่เราบอกแล้ว
ย่อมเห็นหมู่สัตว์กำ�ลังจุติ กำ�ลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผ้เู ป็นไปตามกรรม ด้วยประการ
ฉะนี.้
ม.มู. (พุทธ) มก. ๒๐/๕๗๖
๒.๖ อาสวักขยญาณ (ทำ�ให้อาสวะสิ้นไป)
๒.๖.๑ เปรียบเหมือนสระน้ำ�บนยอดเขา ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนขอบสระ
นั้น จะพึงเห็นหอยโข่ง และหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวด และก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง กำ�ลัง
ว่ายอยู่บ้าง หยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำ�นั้น เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า สระน้ำ�นี้ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว
หอยโข่ง และหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง เหล่านี้ กำ�ลังว่ายอยู่บ้าง หยุดอยู่บ้าง
ในสระดังนี้ ฉันใด
สาวกของเราทั้งหลายก็ฉันนั้นแล ปฏิบัติตามปฏิปทาที่เราบอกแล้ว ย่อทำ�ให้แจ้งซึ่งเจโต
วิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะไม่ได้เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งของตนเองในปัจจุบัน
เข้าถึงอยู่.
ที.สี. (พุทธ) มก. ๑๑/๓๓๔
339
๓. ผู้ไม่สะดุ้งกลัว
๓.๑ ธีรชนผู้มีปัญญา ชนะมารพร้อมทั้งพาหนะแล้วชื่อว่า ผู้ชนะสงครามย่อมบันลือสีหนาท
ดังราชสีห์ในถ้ำ�ภูเขา ฉะนั้น.
ขุ.เถร. (เถระ) มก. ๕๑/๑๔๐
๓.๒ พระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่สะดุ้งในเพราะเสียงเหมือนสีหะ ไม่ข้องเหมือนลมไม่ติดที่
ตาข่ายไม่ติดอยู่เหมือนดอกบัวอันน้ำ�ไม่ติด พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น.
ขุ.จุ. (ปัจเจก) มก. ๖๗/๖๒๑
๓.๓. พระองค์ทรงก้าวล่วงอุปธิทำ�ลายอาสวะได้แล้ว พระองค์เป็นดังสีหะ ไม่มีอุปทาน
ทรงละความกลัว และความขลาดได้แล้ว ไม่ทรงติดอยู่ในบุญ และบาปทั้งสองอย่าง เปรียบเหมือน
ดอกบัวขาบที่งามไม่ติดอยู่ในน้ำ� ฉะนั้น.
ขุ.สุ. (ทั่วไป) มก. ๔๘๓-๔
340
๔. จิตเกษม
๔.๑ เหมือนเจ้าหน้าที่สรงสนาน หรือลูกน้องของเจ้าหน้าที่สรงสนานผู้ฉลาด จะพึงโรยผงที่
ใช้ในการสรงสนานใส่ลงไปในภาชนะสำ�ริด แล้วเอาน้ำ�พรมหมักไว้ ตกเวลาเย็นก้อนจุรณที่ใช้ในการ
สรงสนานมีตัวยางจะซึมไปจับติดกันทั่วทั้งหมด ย่อมไม่ไหลออกไป ฉันใด ดูก่อนมาณพ ภิกษุก็ฉัน
นั้นแล ทำ�กายนี้แหละให้สดชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติ และสุขอันเกิดแต่วิเวก ไม่มีส่วนไหนๆ แห่ง
ร่างกายของเธอทั่งทั้งตัวที่ปีติ และสุขอันเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง.
ที.สี. (เถระ) มก. ๑๒/๒๑๒
๔.๒ ภิกษุเข้าทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตก
และวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติ และสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอทำ�กายนี้แลให้ชุ่มชื่น
อิ่มเอิบ วาบว่าน ด้วยปีติ และสุขอันเกิดแต่สมาธิ ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่งทั้งตัวที่
ปีติ และสุขอันเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง
เปรียบเหมือนห้วงน้ำ�ลึก มีน้ำ�ขังอยู่ ไม่มีทางที่น้ำ�จะไหลมาได้ ทั้งในด้านตะวันออก ด้าน
ตะวันตก ด้านเหนือ ด้านใต้ ทั้งฝนก็ไม่ตกเพิ่มตามฤดูกาล แต่สายน้ำ�เย็นพุขึ้นจากห้วงน้ำ�นั้นแล้ว
จะพึงทำ�ให้ห้วงน้ำ�นั้นแลให้ชุ่มชื่น เอิบอาบ ซาบซึมด้วยน้ำ�เย็น ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งห้วงน้ำ�นั้น
ทั้งหมดที่น้ำ�เย็นจะไม่ถูกต้อง ฉะนั้น.
ม.มู. (พุทธ) มก. ๑๙/๒๑๓
๔.๓ ในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือ
ดอกบัวขาวบางเหล่าซึ่งเกิดในน้ำ� เจริญในน้ำ� ยังไม่พ้นน้ำ� จมอยู่ในน้ำ� น้ำ�หล่อเลี้ยงไว้ ดอกบัว
341
บรรณานุกรม
มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๒๕ พระวินัยและอรรถกถาแปล. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุ
ฏราชวิทยาลัย
วิธีฝึกสมาธิเบื้องต้น
347
348
349
350
รายนามเจ้าภาพ
พระมงคลเทพมุนี (หลวงปู่สด จนฺทสโร)
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง
บู ช า ธ ร ร ม โ ด ย
เจ้าภาพกิตติมศักดิ์
พระครูธรรมธรไพบูลย์ ธมฺมวิปุโล
PRAKOB-HUSSADI-DOROTHY-ELIZABETH
กัลฯอนันต์ อัศวโภคิน และครอบครัว
กัลฯบุญชัย เบญจรงคกุล และครอบครัว
กัลฯดร.ประกอบ-กัลฯวรรณา จิรกิติ
กัลฯคุณพ่อสกล-กัลฯสอง วัชรศรีโรจน์ และมูลนิธิวัชรศรีโรจน์
กัลฯ ดร.ศุภชัย ศรีศุภอักษร และครอบครัว
ครอบครัวธนะสมานโชค และเจียมพิทยานุวัฒน์
กัลฯนพ.ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต
กัลฯธวัชชัย-คุณจินดามณี-คุณกัญจนพร-ด.ช.จิตติภัทท์ ทองประเสริฐ
กัลฯนิตยา จรุงจิตต์
กัลฯบรรณพจน์-บุษบา-ด.ช.พลภูมิ ดามาพงศ์
กัลฯพรจันทร์ ลูกอินทร์
กัลฯด.ต.พิเศก ศรีโมรา และครอบครัว
กัลฯแม่กิมเอง จีระปัญญา และครอบครัว
กัลฯนพ.วิเชษฐ์-พ.ญ.นุชภา-ด.ญ.วิชญา-ด.ญ.วิชชา รัตนจรัสโรจน์
กัลฯวิเชียร-วรรณา-ศิริศักดิ์-ภัควริศ เกื้อกูล, เสริม-แสนสุข- รัชนก-สาริน-เกอร์หล่าน ยังอยู่
กัลฯพล.ต.ต.วุฒิ-ฉัฐสรวง-ศิวเสกข์-แสงเดือน-รุ้งเดือน
พิพัฒนบวรกุล, อุเทน-บังอร โอสายไทย และครอบครัว
กัลฯสุภศิษฏ์-มโนทิพย์-ณัฐธารพัชร จักรวาลธรรม
กัลฯสุริยะ-สุริสา-ด.ช.ศาตนันท์ จึงรุ่งเรืองกิจ
กัลฯสมบัติ อัลเบอร์ติและครอบครัว
351
เจ้าภาพอุปถัมภ์
• วัดกิ่วลม จ.เชียงใหม่ • พระมหาณัฐชัย วรงฺกุโล,ดร.อาทร-ครูเหมือนฝัน-
• วัดทวีพูลรังสรรค์ จ.นครนายก ด.ญ.อัยย์ณัชชา นันทิยกุล
• วัดทุ่งเจริญธรรม จ.เชียงใหม่ • พระมหาณัฐชัย วรงฺกุโล,พ.ณัฐวุฒิ อธิวุฑฺโฒ
• วัดบางปรัง จ.นครนายก • พระณัฐภูมิ ปญฺญาวุฑฺโฒ, พัฒนา วนะชิวนาวิน
• วัดบ้านขุน จ.เชียงใหม่ • พระถวัลย์ จตฺตมโล
• วัดพระธาตุกองลอย จ.เชียงใหม่ • พระทรงวุฒิ ชยวุฑฺโฒ
• วัดแม่ลาย จ.เชียงใหม่ • พระทวี พฺรหฺมเทโว
• วัดแม่ลายเตียนอาง จ.เชียงใหม่ • พระมหาทศพร ปุญฺญงฺกุโร
• วัดแม่สะนาม จ.เชียงใหม่ • พระทานกะ สุทฺธาโส
• วัดวังกอง จ.เชียงใหม่ • พระทัสธนนท์-คุณวโจ-คุณปภวัลย์ โอฬารวัชระสิริ
• มหาปูชนียาจารย์ บูชาธรรมโดย พระพรเทพ ธมฺมเสฎโ • พระธนพล กิตฺติวีโร,ครอบครัววิสุทธาพงศ์ชัย
• มหาปูชนียาจารย์ บูชาธรรมโดย แก้วภูธรภาคเหนือ • พระธนิตศักดิ์ สกฺกธมฺโม และครอบครัวประโลมรัมย์
• มหาปูชนียาจารย์ บูชาธรรมโดย พระสมคิด จิตฺตวํโส • พระมหาธเนศร์ ฐานรโต และครอบครัวทรัพย์สมบูรณ์
ลูกพระธัมฯ ทุกท่าน, หมู่ญาติ • พระธรรมศักดิ์ จารุธมฺโม
• พระราชภาวนาวิสทุ ธิ์ บูชาธรรมโดย พระเฉลิมฉัตร คุณจนฺโท • พระธวัฒชัย ธชุตฺตโม และครอบครัวเที่ยงปัต-สีหบุตร
และครอบครัว • พระธีรพัฒน์ กุลธีโร และคณะญาติมิตร
• พระราชภาวนาวิสทุ ธิ์ บูชาธรรมโดย พระณัฐวุฒิ วุฑฒ ฺ นิ นฺโท • พระธีรวัฒน์ ชยธีโร และครอบครัว
• พระราชภาวนาวิสุทธิ์ บูชาธรรมโดย พระธีระ ชาติกระพันธุ์ • พระธีรวัฒน์ ญาณคุโณ
และครอบครัวชาติกระพันธุ์ • พระมหาธีระชัย ธีชชโย
• พระขจรศักดิ์ ทิพฺพกุโล • พระธีระยุทธ ธมฺมารกฺโข
• พระกรกิตต์ กิตฺติกโร และครอบครัว • พระนิพนธ์ สิริภทฺโท
• พระกฤตยะ สิทฺธมโน และญาติมิตร • พระบัณฑิต ธีรวโร
• พระกาล ลทธฺคุโณ, นางไฉ่ แซ่ลี้ • พระบัณฑิต วรปญฺโญ
• พระการุณ การุญฺญโก และคณะญาติมิตร • พระปกป้อง คุตฺตวํโส, คุณธวัช-อวยพร ขันติวรพงศ์
• พระกิตติพงศ์ เหมวํโส และครอบครัวบุญเลี่ยม และครอบครัว
• พระจิรวัฒน์ สันติวัฑฒโน-คุณชื่นสุข-โสรัจจะ ภู่เพียงใจ • พระประคอง ภทฺทวีโร
• พระอาจารย์เจ้าหน้าที่ ผู้นำ�บุญภาคนครหลวง ๘ • พระประดิษฐ์ อริญฺชโย
• พระชัชวาล ทิตฺตมงฺคโล และครอบครัวอุดมโชคมงคล • พระประธาน คุณวีโร, ธานี-สมปอง-ปทุมวดี-
• พระชัยวัฒน์ ชยวฑฺฒโน รักบุญ โชติอรรคณิต
• พระชัยสิทธิ์ สุรชาโต,สมคิด-ไพลิน ภักดีไทย • พระประพันธ์ศักดิ์ สิริพนฺโธ และครอบครัวศรีพันธ์
• พระครูสมุห์เชิดศักดิ์ สตฺติโชโต • พระประสิทธิ์ เวปุลฺโล และคณะ
• พระซันเดอร์ เขมธมฺโม • พระประเสริฐ สิทฺธิเสฏฺโฐ
• พระครูปลัดญาณพิพัฒน์ มหาสุทฺโธ • พระมหาประเสริฐกิจ สุเมโธ และกลุม่ บุญอัศจรรย์อนันตกาล
• พระณรงค์ ทนฺตจิตฺโตและครอบครัวจิตสินธุ • พระผดุงวิทย์ คุตฺตวิชฺโช พร้อมครอบครัวอนุกูล
• พระมหาณัฐชัย วรงฺกุโล, ครูสุรพล-ครูขวัญเนตร สุธีธร, • พระพรเทพ ธมฺมเสฏฺโฐ รุ่น ๒๔ และผู้มีพระคุณ
กรพล เขมะกนก • พระพรมสรร อภิวฑฺฒโน พร้อมคณะญาติมิตร
และผู้มีพระคุณ
352
• JITRAROCH PRAPHASUK
• KATHEEN KEOMAHAVONG
• MADELINE EUGENIO
• MOTT SURASMITH
• NAPALAI CHOTO
• ORAPIN C MUNIZICH
• PANINTORN CHUENIM
• PANJAMAPORN AMPANT
• PEONY DANRONKG
• PHAGNA PHATHANANOURAK PHUI-
NANGPHAGNAPHENGDY-KINDALASIT
BILAVARN & FAMILY
• PHAYPHONE WONGPRASERT
• PRANEE K. HERZBERGER
• SIRICHAN RUANGLEK
• SOMDY-SYMONE KEOMAHAVONG
• SRIVICHAI THAIFOOD
• SUDA-SRIUBON SAWASDITHEP
• SUSAN YEE WEE HAR+FAMILY
• Thanatip Saehaan
• VMDC
363
ขอขอบคุณ และอนุโมทนาบุญ
กับผู้มีส่วนช่วยให้
“หนังสือ อุปมา-อุปไมย จากพระไตรปิฎก” เล่มนี้สำ�เร็จบริบูรณ์
พระธวัฒชัย ธชุตฺตโม
พระพรเทพ ธมฺมเสฏฺโฐ
กัลฯสาริน ตันติรัตน์
กัลฯกมลชนก วัฒนศิลป์
กัลฯอาจารย์เสาวลพ ทวีศิลป
กัลฯพัชรา วนะชิวนาวิน
กัลฯศรีสุวรรณ ตั้งคุปตานนท์
กัลฯเสาวรส ปัทมะลางคุล
ศูนย์ปฏิบัติธรรม AZUSA (CALIFORNIA)
กัลฯจิณห์นิภา ธนะกมลประดิษฐ์
กัลฯนฤมล ว่องวิทย์
พร้อมทั้งผู้ทำ�หน้าที่กัลยาณมิตร เชิญชวนผู้ร่วมบุญสนับสนุนการจัดทำ�หนังสือ
และท่านผู้มีคุณูปการทุกท่านที่มิได้กล่าวนาม ณ ที่นี้
364
ประวัติผู้เรียบเรียง
ฉายา ธมฺมวิปุโล ภิกขุ หรือพระครูธรรมธรไพบูลย์ ธมฺมวิปุโล
นามเดิม นายไพบูลย์ ธรรมค้ำ�จุน
การศึกษา อุตสาหกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาเทคโนโลยีการผลิต รุ่นที่ ๕
คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตพระนครเหนือ,
นักธรรมเอก
ประวัติ เกิดวันอังคารที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๒
เป็นบุตรคนที่ ๓ ในจำ�นวนบุตร ๔ คน ของ นายกิมฮะ แซ่เอ็ง
และนางบุหงา ธรรมค้ำ�จุน เกิดที่บ้านเลขที่ ๑๑๘ ถมมมหาจักรพรรดิ์
ตำ�บลหน้าเมือง อำ�เภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา
ป.๑ - ป.๗ โรงเรียนปัญจพิทยาคาร จังหวัดฉะเชิงเทรา
ม.ศ.๑ - ม.ศ.๓ โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา
ปวช. - ปวส. วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตพระนครเหนือ
ปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า
วิทยาเขตพระนครเหนือ
อบรมธรรมทายาท ภาคฤดูร้อน รุ่นที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๕๒๕
ภาคเข้าพรรษา รุ่นที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๒๘
กิจกรรม พ.ศ. ๒๕๒๑ หัวหน้านักศึกษา แผนกช่างเครื่องจักรกลงานไม้
พ.ศ. ๒๕๒๔ นักกีฬารักบี้ฟุตบอลของสถาบันฯ
การงาน พ.ศ. ๒๕๒๖ วิศวกรฝ่ายโรงงาน บริษัทบูติกนิวซิติ้ จำ�กัด กรุงเทพฯ
พ.ศ. ๒๕๒๗ รองผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัท ซีเอ เลเทอร์ จำ�กัด
จังหวัดปทุมธานี
อุปสมบท วันเสาร์ที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ ณ อุโบสถ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
พระอุปัชฌาย์ คือ พระพุทธิวงศมุนี
พระกรรมวาจาจารย์ คือ พระโสภณพุทธิธาดา
พระอุนสาวนาจารย์ คือ พระกิตติวงศ์เวที
365
ผลงานที่ผ่านมา
ดรรชนีธรรม ๑ ฉบับมงคลสูตร
รวบรวมเนื้อหาธรรมะในพระไตรปิฎก เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับ
มงคลชี วิ ต ๓๘ ประการ ในแต่ ล ะเรื่ อ งเป็ นการสรุ ป ย่ อ พอให้ จั บ
ประเด็นสำ�คัญที่สอดคล้องกับมงคลชีวิตได้ โดยบอกหลักฐานอ้างอิง
เพื่อให้สามารถสืบค้นรายละเอียดต่อไป
ดรรชนีธรรม ๒ ฉบับธรรมะในวันสำ�คัญประจำ�ปี
รวบรวมความเป็นมาของวันสำ�คัญประจำ�ปีในสังคมไทย เช่น
วันขึน้ ปีใหม่ วันเด็กแห่งชาติ วันครู วันกองทัพไทย วันตรุษจีน วันมาฆบูชา
เป็นต้น และอ้างอิงถึงธรรมะในพระไตรปิฎกเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับ
วันสำ�คัญประจำ�ปี รวมทั้งหมด ๒๒ วัน
ดรรชนีธรรม ๓ ฉบับผลของบุญและบาป
รวบรวมเนื้อหาธรรมะในพระไตรปิฎก เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับ
ผลของบุญ (บุญกิริยาวัตถุ ๑๐) และผลของบาป (อกุศลกรรมบถ ๑๐)
ในแต่ละเรื่องเป็นการสรุปย่อ พอให้จับประเด็นสำ�คัญที่สอดคล้องกับ
ผลของบุญและบาปได้
ร่าเริงบันเทิงใจ ด้วยสัมโมทนียกถา
รวบรวมบทสัมโมทนียกถาที่พระภิกษุใช้กล่าวก่อนสวดมนต์ให้
พร หลังจากได้รับถวายไทยธรรมหรือปัจจัย ๔ อันควรแก่สมณบริโภค
รู้ทันวิบากกรรม
รวบรวมจากกรณีศึกษากฎแห่งกรรม (Case Study) รายการ
โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ออกอากาศทางช่อง DMC เกี่ยวกับ
กรรมที่กระทำ�ไว้ในอดีต ส่งผลให้ประสบสุข-ทุกข์อย่างไรในปัจจุบัน
คณะผู้จัดทำ�
หนังสืออุปมาอุปไมยจากพระไตรปิฎก
ISBN : 978-974-401-811-3
www.kalyanamitra.org | www.webkal.org