Professional Documents
Culture Documents
Approach in Arterial Occlusion PDF
Approach in Arterial Occlusion PDF
แนวทางการดูแลผูปวยทีม่ ีการขาดเลือดไปเลี้ยงขา
2.1 บทนํา
ภาวะที่มีการขาดเลือดไปเลี้ยงขามีทงั้ แบบฉับพลันหรือแบบเรื้อรัง เอกสารประกอบคํา
สอนฉบับนีม้ ีจดุ ประสงคเพื่อชวยใหนักศึกษาแพทยเขาใจในภาวะดังกลาว ทัง้ ดานการวินิจฉัยและ
ดูแลผูปวย หลังจากนักศึกษาไดเรียนเอกสารประกอบคําสอนนี้แลวควรที่จะสามารถ
1.ประเมินผูปว ยทีม่ าดวย acute หรือ chronic limb ischaemia จากประวัติและการตรวจรางกาย
ได
2.สามารถประเมินโรคอื่นทีม่ ักเกิดรวมกัน (comorbid condition)ในผูป วยกลุม นี้
3.สามารถอธิบายกลไกการเกิดของภาวะการขาดเลือดที่ขาได
4.สามารถสงตรวจพิเศษไดอยางถูกตอง
5.สามารถสงตอการรักษาไดอยางเหมาะสมและดูแลผูปวยในระยะแรกไดอยางถูกตอง
2.2 สาเหตุการขาดเลือดไปเลี้ยงที่ขา
2.2.1 การขาดเลือดไปเลีย้ งที่ขาเรื้อรัง (chronic limb ischaemia)
Atherosclerosis เปนภาวะที่มีการหนาตัวขึ้นของผนังหลอดเลือดจากการที่มกี ารสะสม
ของไขมันและเซลล เปนภาวะที่เปนสาเหตุสวนใหญในการขาดเลือดของขาอยางเรื้อรัง
atherosclerosis ทําใหหลอดเลือดเกิดการตีบตันสงผลใหเลือดไปเลี้ยงไมพอ ผูปว ยที่เปนโรคนี้มัก
มีปจจัยเสี่ยงเชน เพศชาย สูงอายุ สูบบุหรี่ เปนโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิต
สูง เปนตน โรคนี้พบบอยทีบ่ ริเวณของ aortoiliac artery, superficial femoral artery ผูปวยทีเ่ ปน
โรคนี้มักไมมีอาการจนกระทัง่ มีการตีบที่รุนแรงเชน มากกวา 80% หรือวาหลอดเลือดตัน เปนตน
Artherosclerotic plaque
Artherosclerotic plaque
2.3 สิ่งที่ควรทราบกอนทําการรักษาในผูปวยที่มาดวยอาการขาดเลือดไปเลี้ยงขา
แพทยผูดูแลผูป วยที่มาดวยอาการขาดเลือดไปเลี้ยงที่ขาควรตอบ 5 คําถามไหไดชัดเจน
กอนที่จะลงมือรักษาผูปวย คือ
1. การขาดเลือดที่ขาเปนภาวะที่ขาดเลือดฉับพลันหรือเรื้อรัง
2. ตําแหนงของการอุดตัน
3 สภาพของขา
4.สภาพของผูป วย
5.ควรสงตรวจพิเศษใดที่จาํ เปนในการรักษาผูปวย
2.3 1.การขาดเลือดที่ขาเปนภาวะที่ขาดเลือดฉับพลันหรือเรื้อรังและสาเหตุที่เปนไป
ไดมากทีส่ ุดควรเปนโรคอะไร
การขาดเลือดไปเลี้ยงที่ขาสามารถแบงไดเปนสองกลุมคือ acute หรือ chronic ischemia
ทั้งสองภาวะสามารถแยกไดโดย Acute ischaemia เปนภาวะที่ผูปวยสามารถสังเกตุ onset ของ
โรคเปนนาทีหรือชั่วโมง onset มักจะsudden และปวดทุกขทรมานมาก แตภาวะ chronic
ischaemia นีจ้ ะมีอาการนอยโดยที่อาการของโรคมีประวัติเปนเดือนหรือป
อาการของโรคจะมีมากหรือนอยขึ้นอยูกับจํานวนของ collateral vessel บริเวณทีห่ ลอด
เลือดตันมีมากนอยเทาใด ในผูปวยที่มี thrombosis ในหลอดเลือดที่มีการตีบเดิมจาก
atherosclerosis (acute occlusion on top chronic arterial occlusion) จะมีอาการนอยกวา
ผูปวยที่มี arterial embolism ที่ไมเคยมี atherosclerosis หรือปญหาการขาดเลือดเรื้อรังมากอน
ในอดีตเพราะผูปวยในกลุมแรกจะมี collateral vessel มากมากอนทีจ่ ะมีการอุดตันอยางฉับพลัน
ทําใหเมื่อมีการอุดตันฉับพลันเลือดจึงสามารถหาทางลัดไหลเวียนไปได แตในทางตรงกันขามคนที่
ไมเคยมีปญหาหลอดเลือดมากอน เมื่อมีการอุดตันจาก embolism เลือดจึงไมสามารถไหลผานไป
เนื้อเยื่อที่อยูใต (distal) จุดอุดตันไดเพราะไมมี collateral vessel ไวกอนและเชนเดียวกันการมี
เสนเลือดอุดตันที่แขนก็มีโอกาสจะเนานอยกวาขาเพราะแขนมี collateral vessel โดยธรรมชาติ
มากโดยเฉพาะบริเวณรอบหัวไหลและรอบขอศอก
Emboli มีหลายชนิดไดแก
- กอนเลือดหรือ Atheromatous emboli (สาเหตุหลัก)
-Amniotic fluid, bone marrow
-Foreign body เชน catheter tip หรือ bullet
2.3.3.สภาพของขา(Status of limb)
สภาพของขาที่เปนผลมาจากการขาดเลือดนั้นมีสว นสําคัญมากในการชวยวางแผนการ
รักษา ดวยเหตุผลหลายๆประการ ดังนี้
การบอกระดับความรุนแรงของการขาดเลือดที่ขาสามารถตัดสินไดจากอาการและอาการแสดง
ดังนี้
- pain ที่นองหรือเทารวมกับการมีการกดเจ็บ (tenderness) มากที่ anterior หรือ posterior
compartment มักจะเปนอาการของ advanced ischaemia และบอยครั้งที่เปน
irreversible ischaemia
- paresthesia อาการนี้เปนไดจากการที่มปี ระสาทรับความรูสึกทีเ่ ปลี่ยนไปจนถึงการ
เจ็บปวดแบบมีเข็มทิ่มแทง (pins and needles) นาสังเกตวาอาการชา (numbness) เปน
อาการของ severe acute critical ischaemia
- pallor อาการเชนนีม้ ักบงถึง severe ischaemia ซึ่งถาหากการขาดเลือดยังดําเนินอยู
ผิวหนังก็จะเปลี่ยนสีเปนมีจา้ํ ๆ (mottling) สีนา้ํ ตาล ดําที่ผิวหนัง แรกๆการกดผิวหนัง
ตําแหนงนี้สจี ะจางหายไป แตเมื่อเวลาผานไปจ้ํานี้กจ็ ะกดไมจางหาย (fixed mottling) ซึ่ง
สภาพของขาที่มีลักษณะเชนนี้มกั จะเก็บไวไมไดแลว (irreversible ischaemia)
- pulselessness จะมีความรุนแรงของการอุดตันของหลอดเลือดมากกวาการคลําชีพจรได
เบาลง
- paralysis การที่ขาจะเคลื่อนไหวไมไดเลยบงบอกถึงวาขาขาดเลือดรุนแรงมากกวาการ
เพียงแคออนแรงของขา
2.3.3.2 ในกรณีการขาดเลือดแบบเรื้อรัง
ในระยะแรกผูป วยจะมีอาการปวดเมื่อยทีน่ องเวลาเดิน (intermittent claudication)หรือ
อาจจะมีอาการตึงแนนขาก็ได แตถาผูปวยมีการอุดตันของหลอดเลือดสวนตนเชน aortoiliac
occlusion อาจจะปวดที่ buttock มากกวา อาการปวดเชนนี้จะเริ่มปวดเวลาเดินไดระยะหนึง่ และ
เมื่อพักสัก 1-2 นาทีอาการดังกลาวก็จะหายไปและจะเกิดอีกเมื่อเดินไปอีกสักพัก การที่อาการปวด
ที่นองหรือขาเวลาเดินเกิดจากบริเวณดังกลาวมีกลามเนือ้ ขนาดใหญอยู จะตองการ oxygen และ
พลังงานมากกวายืนหลายเทา ดังนั้นเลือดจึงเพียงพอสําหรับยืนอยูเฉยๆ แตจะไมพอเมื่อเวลาเดิน
สิ่งที่จะทําใหอาการปวดเปนไดเร็วขึ้นคือเมื่อมีอะไรก็ตามที่ทาํ ใหการเดินตองใชแรงมากขึ้นไดแก
ผูปวยน้ําหนักมาก เดินขึ้นเขา เดินตานลม ถือของหนักในระหวางการซื้อของ (shopping) ถาการ
ขาดเลือดเปนมากขึ้น อาการของ intermittent claudication ก็จะเปนมากขึ้นนัน่ คือเดินไดสั้นลงก
เจ็บปวดขาแลวจนกระทัง่ เดินไดแคสามถึงสี่กาวก็เกิดปวดไดแลวสุดทายก็ลงเอยดวยอาการเจ็บ
ชวงพัก(rest pain) ที่บริเวณเทาหรือนิ้วเทา อาการดังกลาวจะทําใหผปู วยสะดุงตื่นดวยความ
เจ็บปวดที่เทาเวลานอนเพราะเหตุที่เวลานอนความดันจะต่ําลง ดังนัน้ การขาดเลือดจึงกําเริบแลว
ผูปวยกลุม นี้มกั จะตองตื่นในชวงดึกแลวมาเดินเล็กนอยในบานแลวจะดีขึ้นซึ่งวิธีการดังกลาวทําให
เปนการเพิ่มเลือดไปที่เทา ถาผูปวยเปนมากขึ้นผูปวยจะไมสามารถนอนราบไดเพราะชวงนี้การ
ขาดเลือดเปนไปอยางมาก เมื่อนอนราบเลือดจะไปเลี้ยงขาลดลงเพราะไมมี gravity มาชวย ดังนัน้
ผูปวยในกลุมนี้มักจะมาดวยประวัตินอนแลวหอยขาขางที่มีอาการออกนอกเตียงเพือ่ เปนการให
gravity ชวยนําเลือดและบรรเทาอาการ แตในการทําเชนนีก้ ็เปนการทําใหขาที่หอยลงมามีอาการ
บวมได (dependent oedema) ซึ่งสิ่งนีเ้ ปนการทําให microcirculation ของขาแยลงดวย
ในระยะสุดทายคือระยะ gangrene เนื้อเยื่อจะตายซึง่ อาการอาจจะออกมาในรูปของแผล
เรื้อรัง(ulcer)เพราะเมื่อเนื้อเยื่อตายผิวหนังจะหลุดรวงจนเกิดแผลหรือผูปวยอาจมาดวยขาที่แข็ง
เย็นและผิวหนังดํา (gangrene) ซึ่งสามารถแบงไดเปนสองแบบ wet gangrene กับ dry
gangrene
โรคอื่นๆ
ขาบวม แผลทีข่ า และ flexion contracture
2.3.5.2. การตรวจอื่นๆ
- BUN. Creatinine และ Electrolyte การตรวจในกลุมนี้จะทําใหไดทราบวาผูปว ยมีภาวะ
โรคไตหรือไม ซึ่งภาวะดังกลาวมีผลโดยตรงกับผลลัพธของการผาตัด aorta ควรประเมิน
ในผูปวยที่ตองการผาตัดใหญ (major operation) โดยเฉพาะอยางยิง่ ที่ผูปวยตองการการ
รักษา renal artery disease
- Full Blood Count, plasma viscosity เปนการตรวจหา polycythaemia,
thrombocytosis, hyperviscosity syndrome
- Coagulation study ในผูปวยที่ได anticoagulant หรือโรคอื่นๆที่ทาํ ใหมี coagulation
ผิดปกติเชน liver disease ควรที่จะตรวจเพื่อเปน baseline
- EKG และ chest X-ray ก็บงบอกถึงสภาพของหัวใจและปอดเพื่อการเตรียมตัวในการ
ผาตัดใหไดผลดีที่สุด
2.3.5.3. Fixed wave Doppler examination
การตรวจนีเ้ ครื่อง Doppler จะทํางานโดยสงคลื่นออกจากหัว probe และคลื่นจะไป
สะทอนกับเม็ดเลือดแดงและสะทอนกลับมาทีห่ ัว probe ทําใหสามารถตรวจสอบการไหลเวียนของ
เลือดได การตรวจนี้สําคัญมากในผูปว ยหลอดเลือดทุกคน โดยเฉพาะอยางยิง่ เปนการตรวจวัด
ความดันของหลอดเลือดที่เทา
ภาพการทํา MRA
2.4 การรักษา
2.4.1 การรักษาโรคหลอดเลือดอุดตันเรื้อรัง
มีการรักษาไดหลาย ๆ วิธี ซึง่ จะขอกลาวในแตละหัวขอและขอบงชี้ ไปตามหัวขอ
2.4.1.1. การเปลี่ยนแปลงวิถีการดําเนินชีวิต (life style altenation)
ในผูปวยที่มีโรคหลอดเลือดอุดตัน การหยุดบุหรี่เปนสิง่ ทีส่ ําคัญ ไมแพกวาสิง่ อื่นใด รวมถึง
การพยายามหลีกเลี่ยงในสภาวะแวดลอมที่มีควัน หรือไอ (Secondary Smoking) และการ
พยายามแนะนําใหผูปวยออกกําลังกายดวยการเดินมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีอาการเจ็บใหเดิน
ตอไป สิ่งเหลานี้พบวาสามารถเพิ่ม Collateral Vessel ซึ่งจะทําใหอาการขาดเลือดทีข่ าดีขึ้น
นอกจากนี้ การพยายามลดน้ําหนักของคนไข ก็พบวาสามารถเพิ่มระยะการเดินของผูปวยไดมาก
ขึ้น การรักษาโดยการเปลี่ยนวิถีชีวิตดังกลาวขางตน กลาวคือ การหยุดสูบบุหรี่ การพยายามออก
กําลังกาย การลดน้ําหนัก ก็สามารถที่จะรักษาผูปว ยเหลานี้ได ใหหายจากอาการดังกลาวไดถึง
60%
2.4.1.2. Angioplasty
Angioplasty คือเปนการรักษาในทางรังสีวิทยา ทําไดโดยหลังรังสีแพทยสามารถเห็น
ตําแหนงทีม่ ีการตีบของหลอดเลือดแลวก็ใช balloon ไปถางขยายหลอดเลือดที่ตีบ เชน ถามีการ
อุดตันที่ superficial femoral artery รังสีแพทยก็จะใสสายเขาไปในหลอดเลือดนี้โดยเอาสวนที่มี
ลูกโปงไปอยูระหวางบริเวณหลอดเลือดทีม่ ีการตีบตัน ภายใตการเห็นดวยเครื่อง fluroscopy
หลังจากรังสีวทิ ยาแพทย ใสอากาศเขาไปใน balloon แลว balloon ก็จะทําหนาที่ถา งขยายยืด
หลอดเลือดทีอ่ ุดตันใหเปด ไมอุดตันการรักษาเชนนี้เปนการเปดหลอดเลือดวิธีหนึ่งซึง่ นิยมใชไดผล
กรณีที่หลอดเลือดมีการอุดตันเปนสวนสัน้ ๆ
Angioplasty มักจะไดผลในหลอดเลือดใหญเชน aorta หรือ iliac artery แตมักจะไม
ไดผลในกรณีเสนเลือดขนาดเล็กเชน anterior tibial artery หรือ posterior tibial artery และ
นอกจากนัน้ เทคนิคเหลานีจ้ ะทําไดเฉพาะในกรณีของหลอดเลือดตีบแตไมตัน ซึ่งสามารถสังเกตุ
เห็นวาเทคนิคดังกลาวจะตองสอดสายลูกโปงเขาไปครอมจุดที่ตีบ ดังนั้นถาหลอดเลือดตันสาย
เหลานี้ก็ไมสามารถผานไปครอมจุดตีบได
ภาพแสดงกอนและหลังการทํา Angioplasty
2.4.1.3. การทําผาตัด Bypass Surgery
คือเทคนิคทางการผาตัดที่แกปญหาการอุดตันของหลอดเลือดโดยการหาทางนําเลือดลัด
จากบริเวณเหนือตอจุดอุดตันไปตามทอ (conduit) ไปสูบริเวณใตตอจุดอุดตัน
ขอบงชี้ในการทํา Bypass surgery คือ
1. ผูปวยที่มกี ารขาดเลือดแบบ intermittent claudication ที่รุนแรงที่รบกวนการดํารง
ชีวิตประจําวัน
2. ผูปวยที่มี critical limb ischaemia คือผูปวยที่มีอาการของ rest pain, gangrene หรือ chronic
ulcer เปนตน
ทอ (conduit) ที่ดีที่สุดที่ใชใน Bypass Surgery ของหลอดเลือดเล็กหรือขนาดกลาง นัน่
คือหลอดเลือดดําของผูปวยซึ่งโดยทัว่ ไปหลอดเลือด long saphenous vein จะเปนหลอดเลือด
แรกที่พิจารณาใชในการทํา bypass surgery แตในหลาย ๆ กรณีเสนเลือด long saphenous vein
อาจจะถูกใชมากอนเชน การทํา Bypass ทีห่ ัวใจ หรือหลอดเลือดที่มีปญ หาเชน phebitis หรือ
varicose vein เราก็สามารถนําหลอดเลือดดําจากแขน (arm vein) มาใชได
ภาพ vein graft
ผลการรักษา
ผูปวยที่เปนโรคเลือดอุดตันเหลานี้ มีโอกาสเสี่ยงตอการเกิด Stroke และ MI สูง จากสถิติ
พบวา ผูปว ยทีเ่ ปน intermittent claudication มีโอกาสทีจ่ ะเปน critical limb ischaemia
(gangrene, ulcer) ได 2% ตอปและในผูปวยที่เปน critical limb ischaemia จะพบวามีชวี ิตรอด
เหลืออยูประมาณ 50%ในเวลา 5 ป สวนมากตายจากโรคหัวใจหรืออัมพาต
ผลของการทํา Bypass Surgery โดยทั่วไป มีหลักวา การยิ่งตอหลอดเลือดยิ่งตอลงไป
ปลายมาก (distal anastomosis) เทาใดโอกาสทีจ่ ะสําเร็จในระยะยาวก็ยงิ่ นอยลงเทานั้น
ยกตัวอยางเชน การตอหลอดเลือด femoropopliteal bypass ก็ยอมมีความสําเร็จหรือคงทน
(patency) ที่ดีกวาการทํา femoroperoneal bypass เปนตนและผลของการผาตัดก็ขึ้นอยูกับทอที่
ใช โดยเฉพาะอยางยิ่งการตอหลอดเลือดไปที่บริเวณใตเขา การใชหลอดเลือดดําของผูปวย ยอม
ไดผลดีกวาการใช synthetic materials ตัวอยางเชนการทํา bypass จาก femoral artery ไป
posterior tibial artery ถาใชหลอดเลือดดําเปนทอจะพบวาใน 5 ป โอกาสที่ bypass ยังคงทํางาน
อยูประมาณ 50% แตถาใช PTFE โอกาสที่ bypass ยังคงทํางานอยูประมาณ 25%
2.4.2 การรักษาโรคหลอดเลือดอุดตันฉับพลัน
2.4.2.1. การใหยา Heparin
ในผูปวยที่มกี ารอุดตันของเลือดอยางฉับพลัน การให heparin มีความสําคัญมาก เพราะ
heparin จะไปปองกันการขยายตัวของกอนเลือดที่จะเกิดขึ้น กลาวคือ เมื่อมีการอุดตัน ของหลอด
เลือดแลวกอนเลือดก็ขยายตัวมากขึ้นเพราะมีการคั่งของเลือด (stasis) ซึ่งการขยายตัวเชนนี้จะไป
อุดตัน Collateral Vessel ซึ่งถาสามารถที่จะรักษา Collateral Vessel เชนนี้ไดก็จะทําใหอาการ
ของผูปวยไมแยลงและก็สามารถทําใหมีเวลาเพื่อที่จะวินิจฉัยและรักษาผูปวยไดอยางปลอดภัย
การให heparin ในผูปวยดังกลาวก็จะใหในเริ่มแรกดวย ขนาดที่คอนขางจะมากประมาณ 5,000
หนวย (IU) ทางหลอดเลือดดําแลวตามดวยการใหทางหลอดเลือดดําอยางตอเนื่อง ประมาณ 500
– 1,000 หนวย / ชั่วโมง หลังจากนัน้ เราจะตรวจ Actvated Partical Thromboplastin Time
(APTT) ภายใน 2 – 3 ช.ม. หลังจากนั้น เพื่อปรับขนาดการให heparin ใหมีคาของ Actvated
Partial Thromboplastin Time ประมาณ 2 ถึง 3 เทาจาก Control
2.4.2.2. Thrombolysis
Thrombolysis คือการฉีดยาซึ่งจะไปละลายกอนเลือดทีอ่ ยูในหลอดเลือดแดง ในผูปว ยซึง่
เปนโรคหัวใจขาดเลือดยาประเภทนี้มที ี่ใชเปนเวลานาน โดยการใหยาที่ละลายกอนเลือดนั้นจะฉีด
ดวยจํานวนมาก ๆ ทางหลอดเลือดดํา เพือ่ ที่จะไปละลายกอนเลือดทีบ่ ริเวณของหลอดเลือด
Coronary สวนในผูปว ยเปนโรค acute arterial thrombosis ยาซึ่งละลายลิ่มเลือด สามารถฉีดได
โดยตรงไปที่กอ นเลือดอยูโดยอาศัยเทคนิค angiogram เขาชวย ดังนัน้ ขนาดของยาจึงมีปริมาณ
นอยกวาการให ในผูปวย ซึง่ เปนโรคหัวใจ
เทคนิคการละลายลิ่มเลือดจะไดผลมาก ถากอนเลือดซึ่งเกิดขึ้นในระยะเวลาไมนาน
โดยเฉพาะอยางยิง่ 1 – 2 สัปดาหกอน ตัวอยางของยาละลายลิ่มเลือดไดแก streptokinase,
urokinase, tissue thromboplastin เปนตน
ขอหามในการใชยาละลายลิม่ เลือดไดแก ผูปวยซึง่ มีเลือดออกในทางเดินอาหาร ผูปว ยทีม่ ี
การเลือดออกอยางผิดปกติหรือมีอัมพาต วิธีการทําการละลายลิ่มเลือด (Thrombolysis) สามารถ
ทําไดโดยรังสีแพทยหลังจากทีท่ ํา Angiogram แลวก็ใสสายไปอยูบริเวณหลอดเลือดที่มีกอนเลือด
อยูหรืออาจจะใสไปฝงบริเวณที่มีกอนเลือด หลังจากนัน้ จะฉีดยาละลายลิ่มเลือดเขาไปในบริเวณ
นั้น
การละลายลิ่มเลือดในผูปวยที่เปน thrombosis ของหลอดเลือด หลังจากที่ละลายลิม่
เลือดแลวมักจะปรากฏเห็นการตีบตันของหลอดเลือด ซึง่ การรักษาก็ดาํ เนินตอไปไดไมวาโดยการ
ทํา Angioplasty คือ ขยายของหลอดเลือดหรือการทํา bypass operation
2.4.2.3. Embolectomy
วิธีการนี้ก็คือการกําจัด Embolism ที่อยูในหลอดเลือด วิธีการดังกลาวสามารถ
ดําเนินโดยการใสสายที่ชื่อวา Forgarty balloon catherter โดย catherter จะมีลูกโปงทีห่ ุบอยูท ี่
ปลาย การกําจัดกอนเลือดหรือ Embolism ทําไดโดยเปดหลอดเลือด (arteriotomy) หลังจากนัน้
ใสสายเหลานีเ้ ขาไปจนสุดเกินบริเวณกอนเลือดหลังจากนัน้ ก็ใสลมเพื่อให balloon ที่ปลายของ
สายนัน้ ใหโปงออกมาหลังจากนัน้ ก็ดงึ สายเหลานี้ออกมาดวยความระมัดระวังแลว embolus (กอน
เลือด) ก็จะออกมาที่แผล arteriotomy วิธกี ารดังกลาวศัลยแพทยตองระวังไมขยายลูกโปงใหเกิน
ขนาด มิฉะนัน้ ก็สามารถทําใหหลอดเลือดแตกได วิธีการดังกลาวสามารถที่จะนํากอนเลือดออกมา
ได กอนเลือดที่ไดตองสงเพือ่ ไปศึกษาทางการตรวจเชื้อแบคทีเรียและพยาธิวทิ ยา เนื่องจากวา
แหลงของกอนเลือดเหลานี้หลาย ๆ ครัง้ เกิดจากที่ในหัวใจไมวาจะเปนกอนเลือดหลังจากการเกิด
MI หรือลิ้นหัวใจผิดปกติหรือในบางครัง้ สามารถเกิดไดจาก atrial myxoma
2.5 สรุป
โรคหลอดเลือดแดงอุดตันทีข่ าพบไดมากขึ้นเรื่อยๆในสังคมของคนไทย ทัง้ การตีบตันของ
หลอดเลือดอยางฉับพลันหรือเรื้อรัง สิ่งทีต่ องคํานึงอยูในใจของแพทยเสมอคือ โรคเหลานี้สามารถ
พบ โรคอื่น ๆในผูปวยเหลานี้เชน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ดังนั้นการรักษาผูปว ยในกลุมนี้ ตองเกิด
จากการรวมกลุมของผูชํานาญในหลาย ๆ ดาน ทัง้ ศัลยแพทย วิสัญญีแพทย แพทยผชู ํานาญดาน
หัวใจ และแพทยผูชาํ นาญดานการหายใจ
แพทยทุกคนกอนที่จะเริ่มรักษาในผูปว ยโรคหลอดเลือดแดงอุดตันที่ขาควรคิดถึง 5 สิ่ง
กอนที่จะเริ่มตนการรักษาโรคคือ ระยะเวลาการขาดเลือดที่ขา, ตําแหนงของการอุดตัน, สภาพของ
ขา, สภาพของผูปวย และการสงตรวจพิเศษ
บรรณานุกรม
1. Lamont PM, Shearman CP, Scott DJA. Lower limb arterial disease. In: Lamont PM,
Shearman CP, Scott DJA, editors. Vascular Surgery. Oxford: Oxford University
Press; 1998. p. 75-87.
2. Tennant WG. Limb ischaemia. In: Macintyre IM, Smith RC, editors. The RCSE
SELECT Program. Dundee: Dundee University Press; 2000. p. 1-25.
3. Walker AJ. Vascular Trauma. In: Davies AH, Beard JD, Wyatt MG, editors.
Essential Vascular Surgery. London: W.B.Saunders; 1999. p. 304-15.