Professional Documents
Culture Documents
4.หนังสือติดดาว หมวด หนังสือแปล PDF
4.หนังสือติดดาว หมวด หนังสือแปล PDF
6. “กุหลาบคิดถึง”
หนังสือติดดาว
Fiction
การเดินทางเที่ยวสุดท้ายของเรือปีศาจ (The Last Voyage of the Ghost Ship)
Gabriel García Márquez เขียน
“...ถ้ามองจากหลักศีลธรรมจรรยาที่ฉันคุ้นเคยมาตลอดชีวิต ฉันก็เป็น
ตัวอย่างของหญิงคนชั่วคนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ไม่รู้เป็นอย่างไร ฉันไม่ยักคิดว่าฉันเป็น
คนชั่วอย่างที่ใครๆ คิด...”
ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ เขียนไว้ค�ำน�ำฉบับพิมพ์ครั้งแรกว่า “...อาจเป็นด้วยว่า
โลกนัน้ ชอบเล่นตลกกับชีวติ กระมัง แม้ชอื่ ของนวนิยายเล่มนีจ้ ะมีนยั หมายถึงการฟืน้
ตืน่ แต่ทงั้ หนังสือและชีวติ การเขียนหนังสือของโชแปงกลับถูกฆ่าหลังจากลืมตาดูโลก
ได้ไม่นาน ทั้งยังเป็นการถูกกลบฝังชนิดไม่ให้ผุดให้เกิด...”
หากพิจารณาจากบางส่วนของนวนิยายและสิ่งที่ชูศักดิ์เขียนไว้ในค�ำน�ำ ข้อที่
ควรพิจารณาต่อไป คือ ท�ำไมหนังสือเล่มนี้ถึงถูกกลบฝังชนิดไม่ให้ผุดให้เกิดถึงเพียง
นัน้ การฟืน้ ตืน่ ของเอ็ดน่า เล่าเรือ่ งราวของนางและนายปองติเยร์ ทีเ่ ดินทางไปพักผ่อน
และควรจะมีความสุขเฉกเช่นที่ครอบครัวมั่งมีทั้งเงินและลูกควรมี ทว่าลึกๆ ในหัวใจ
ของเอ็ดน่า ปองติเยร์ หล่อนตระหนักอยู่เสมอว่าตัวเองไม่ได้เกิดมาเพื่อท�ำหน้าที่คน
เป็นแม่ และภรรยาที่จงรักของสามี กระนั้นเมื่อหล่อนพบรักกับโรเบิร์ต ชายหนุ่มผู้
เปรียบเสมือนสายลมอิสระพัดพาหัวใจของเอ็ดน่าไปได้ไกลเท่าทีใ่ จปรารถนา กระนัน้
เคท โชแปง กลับพาเรื่องราวของความรักกับหญิงสาวไปได้ไกลกว่าแค่เรื่องราวของผู้
หญิงที่ต้องการแหวกกรงขังแห่งจารีต แต่ยังหมายถึงกรงขังแห่งความเป็นหญิงในตัว
เองอีกด้วย
เช่นนี้แล้ว การเกิดขึ้นของ การฟื้นตื่นของเอ็ดน่า จึงไม่เพียงเป็นการฟื้นตื่น
ของสังคมวรรณกรรมอเมริกันปลายศตวรรษ 19 เท่านั้น แต่ยังเป็นการฟื้นตื่นของ
ความเป็นหญิงที่ต้องใช้เวลาอีกร้อยปีนับจากที่วรรณกรรมถูกกลบฝังอีกด้วย
การมาเยือนของนายแพทย์
Anton Chekhov เขียน
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงพระปรีชาสามารถยิง่
ด้านอักษรศาสตร์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์งานเขียนหลากหลายประเภททีเ่ ปีย่ มด้วยรส
ถ้อยทางภาษา เนื้อหาสาระ และความงามในเชิงวรรณศิลป์ พระราชนิพนธ์แปลด้าน
วรรณกรรมจีนทีท่ รงคุณค่าหลายเรือ่ งล้วนเป็นประจักษ์พยานแห่งอัจฉริยภาพด้านการ
ประพันธ์และการแปล
ค�ำน�ำผู้จัดพิมพ์
นวนิยายรักเรื่องนี้ เริ่มต้นด้วยการตั้งค�ำถามกับค่านิยมเก่าที่บูชาเทิดทูนความ
รัก ทั้งความรักของพ่อแม่ ความรักของหนุ่มสาว ความรักของเพื่อน และจบลงอย่าง
ชาญฉลาด ด้วยการตระหนักรู้ของตัวละครเอกว่า ไม่มีความรักใดจะไม่ปวดร้าว แต่
ผู้จะเปลี่ยนความปวดร้าวนี้เป็นปีติสุขได้นั้นก็คือ ผู้มีความรักนั่นเอง
สิรินทร
(พระราชนิพนธ์ค�ำน�ำ)
ความรักใดจะไม่ปวดร้าว จากผลงานเขียนของ ชวนหนี นักเขียนหญิงจีนร่วม
สมัย เป็นสมาชิกพรรคปลดแอดประชาชน บอกเล่าเรือ่ งราวของ ‘หมิน่ มิน’ จากความ
รักที่เคยหวานชื่นกับ ‘หยู่ตง’ ผู้เป็นสามี แปรผันไปสู่ความจืดจางจนกลายเป็นความ
ชิงชังในที่สุด ซึ่งในส่วนของพระราชนิพนธ์ค�ำน�ำได้ทรงตั้งค�ำถามกับนิยามความรักที่
สะท้อนให้เป็นปัญหาของสังคมสมัยใหม่จากการที่ตัวละครหมิ่นมินต้องยินยอมสละ
ตนเองในด้านต่างๆ เพื่อด�ำรงไว้ซึ่งความรักต่อผู้เป็นสามี จนที่สุดกลับกลายเป็นหอก
ทีห่ นั กลับมาทิม่ แทงตัวเธอเองให้ตอ้ งปวดร้าว สมดัง่ ชือ่ ในภาคภาษาไทยทีไ่ ด้ทรงพระ
ราชนิพนธ์แปลไว้ ความรักใดจะไม่ปวดร้าว
ความรื่นรมย์ครั้งสุดท้าย รวมเรื่องสั้นรัสเซียก่อนปฏิวัติถึงรัฐสังคมนิยมล่มสลาย
สุชาติ สวัสดิ์ศรี แปล
หากคุณต้องตื่นมาบนเกาะที่มีแต่ผู้คนพิลึกพิลั่นแสนประหลาด ทั้งจิตรกรผู้
กล่าวค�ำโกหกตลอดเวลา นักฆ่ารูปงามผู้หลงใหลในบทกวี เด็กหญิงผู้แนบหูกับพื้น
เพื่อฟังเสียงหัวใจของตนเอง และหุ่นไล่กาที่นอกจากจะพูดได้แล้ว ยังท�ำนายอนาคต
ได้อีกด้วย คุณจะท�ำเช่นไร?
เรื่องราวใน ค�ำอธิษฐานของโอดูบอน บอกเล่าชีวิตของอิโต เนิร์ดหนุ่มไอที
วัย 28 ปี ผู้ใช้ชีวิตตามค�ำท�ำนายของยายผู้ล่วงลับว่าเขาจะต้องหนีไว้ก่อนเมื่อเผชิญ
กับสถานการณ์ยากล�ำบาก ทว่า ชีวติ มนุษย์บอ่ ยครัง้ ทีเ่ ราคิดว่าเราควบคุมได้ เราคาด
เดาสถานการณ์ได้ กระนั้น แม้แต่ค�ำท�ำนายของหมอดูก็ยังไม่มีอะไรรับประกันว่าจะ
เกิดขึ้นเช่นนั้นเสมอไป ส่วนมากประโยคที่เคยคุ้น มักได้ยินกัน คือ หมอดูไม่ได้บอก
อนาคต แค่ให้คุณรับฟังไว้เสมือนเป็นค�ำเตือนสติ
จึงไม่แปลกที่ท�ำไมอิไตถึงจดจ�ำอะไรไม่ได้เมื่อตนเองตื่นขึ้นมาบนเกาะที่ถูก
ปิดตายไปร้อยปี แล้วเจอะเจอผู้คนแสนประหลาดทั้งหลายแหล่ จนเมื่อเกิดเหตุ
ฆาตกรรมขึ้นที่เป็นเหมือนการท�ำให้แกนสมดุลของความเป็นเกาะที่ถูกปิดตาย และ
บางค�ำถามที่ได้แต่ลอยฟ่องในอากาศถูกกลับไปรื้อถางเพื่อหาค�ำตอบที่สมควรมีให้
ได้อีกครั้ง
หากจะบอกว่าเรื่องราวของผู้คนบนเกาะไม่ต่างจากชีวิตของมนุษย์เราๆ ทุกคน
ก็คงไม่ผิดนัก
เราเลือกเกิดได้ไหม?
เราเลือกให้บางสิ่งในชีวิตหายไปได้หรือเปล่า?
เราหนีจากชีวิต หรือเกาะที่มีผู้คนอันแปลกประหลาดได้ไกลสักแค่ไหน?
เหล่านี้ คือ ค�ำถามที่เรายังต้องค้นหา เหมือนเรื่องราวในนวนิยายเล่มนี้
คีตาญชลี
รพินทรนาถ ฐากูร รจนา
ด้วยจ�ำนวนผลงานที่ขายได้มากกว่าสองพันล้านเล่ม เป็นรองแต่เพียงงาน
เขียนของวิลเลียม เชกสเปียร์ และคัมภีร์ไบเบิล นั่นอาจจะพอบอกได้ถึงความยอด
เยีย่ มในชัน้ เชิงความสามารถในการผูกโยงเรือ่ งราวทีไ่ ม่วา่ จะผ่านเวลาไปนานนับร้อย
ปี งานเขียนของ อกาธา คริสตี้ ก็ยังคงถูกอ่านซ�้ำ และอ่านซ�้ำในภาษาต่างๆ มากกว่า
ร้อยภาษา (รวมถึงภาษาไทย) อาจด�ำรงอยูย่ าวนานไปจนกว่าหนังสือจะไม่ได้รบั ความ
สนใจอีกต่อไป หรือมนุษย์เราไม่ต้องการเสพความรื่นรมย์จากเรื่องแต่งอีกแล้ว
หนึ่งในผลงานที่สร้างชื่อให้กับ อกาธา คริสตี้ คือ เรื่องราวของนักสืบนาม
แอร์กลู ปัวโรต์ ทีไ่ ขคดีสบื สวนต่างๆ จากเก้าอีน้ วมของเขาจนแทบไม่ตอ้ งลุกจากเก้าอี้
ไปยังสถานทีเ่ กิดเหตุแต่อย่างใด ด้วยสติปญ ั ญาอันเฉียบแหลมในการมองขาดเรือ่ งราว
ต่างๆ ยกเว้นแต่ในคดีหนึง่ ซึง่ เกิดขึน้ บนรถด่วนทอรัส ซึง่ ปัวโรต์จะต้องท�ำการสืบสวน
ในสถานที่เกิดเหตุ หาใช่จากเก้าอีน้ วมตัวโปรดของตนอย่างทีเ่ คยเป็นมาอีกต่อไป ซึง่
เหตุสืบสวนในครั้งนี้ ถูกถ่ายทอดลงมาอยู่ในเรื่อง ฆาตกรรมบนรถด่วนโอเรียนท์เอก
ซ์เพรส ทีไ่ ม่เพียงแต่แสดงชัน้ เชิงการสืบสวนอันยอดเยีย่ มของปัวโรต์เท่านัน้ แต่ความ
สนุกสนานและความตื่นเต้นลุ้นระลึกไปกับเงื่อนเวลาที่งวดเข้าเพราะเมื่อรถไฟหยุด
หากคดียังไม่ถูกไข นั่นหมายความถึงโอกาสลอยนวลของคนร้ายไปในที่สุด
กระนั้น การค่อยๆ อ่านเรื่องนี้ไปทีละหน้าก็เปรียบได้กับการฝึกสมองอย่าง
หนึง่ เช่นเดียวกับค�ำพูดของปัวโรต์เองทีก่ ล่าวไว้ในตอนหนึง่ ว่า “เราอย่าไปเร็วนัก และ
อย่าทึกทักเกินกว่าอะไรที่เรารู้จริงๆ”
ชีวิตอยู่หนอื่น (La vie est ailleurs)
Milan Kundera เขียน
จิรวลี แปล
พิมพ์ครั้งที่ 1 มิถุนายน 2558
จัดพิมพ์โดย A Novel ในเครือนานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์
ISBN 978-616-04-2579-2
เราจะตระหนักในความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติได้มากน้อยแค่ไหน? และเรา
จะตระหนักในความส�ำคัญของสิง่ มีชวี ติ ทีอ่ าศัยอยูใ่ นธรรมชาติเหล่านัน้ มากน้อยเพียง
ไร?
เป็นค�ำถามที่ปรากฏระหว่างบรรทัดของนวนิยายส�ำหรับเยาวชนที่บอกเล่า
เรื่องราวของเต่าที่ชื่อ โกดี ซึ่งเป็นเต่าที่มีชีวิตอยู่ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น�้ำ ก่อนจะออก
มาท่องโลกกว้างในมหาสมุทร พบพานกับการผจญภัยต่างๆ เพื่อเรียนรู้สิ่งส�ำคัญสิ่ง
หนึ่งที่ทาจิมะ ชินจิ ผู้แต่งเรื่อง มหาสมุทรของโกดี ได้กล่าวไว้ในค�ำน�ำ นั่นคือ “ทุก
คนมีต้นไม้แห่งชีวิต เราทุกคนรักษาความหวังไว้ในหัวใจ”
แรงบันดาลใจในการแต่งเรื่องราวของเต่าทะเลของทาจิมะเกิดขึ้นจากความ
ที่ตัวเขาเติบโตขึ้นในเมืองที่อยู่ห่างจากตัวเมืองฮิโรชิมาที่ถูกระเบิดปรมาณูสมัย
สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งนับว่าห่างไกลจากประสบการณ์รับรู้ของเขา จนกระทั่งเกิด
เหตุการณ์ในตอนที่ก�ำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมฯ ปีที่ 4 เมื่อได้ชมภาพยนตร์เกี่ยวกับ
เหตุการณ์ ไดโกะ ฟุคุริว มารู ซึ่งเล่าเรื่องราวของลูกเรือประมง 23 ชีวิตที่ได้รับ
ผลกระทบจากการทดลองระเบิดไฮโดรเจน ส่งผลให้เกิดการท�ำลายสิ่งแวดล้อมและ
สัตว์น้อยใหญ่ กลายเป็นความเศร้าที่ทาจิมะรู้สึกต่อความโหดร้ายที่มนุษย์กระท�ำต่อ
โลก จนในตอนแรกเขานึกอยากเขียนเรื่องราวในเต่าโกดีก�ำลังจะตาย และนึกเสียใจ
ทีอ่ อกมาจากพิพธิ ภัณฑ์สตั ว์นำ�้ แต่ความตัง้ ใจนัน้ เปลีย่ นไป เพราะทาจิมะรูส้ กึ ว่าโลก
ยังต้องการความหวัง และชีวิตยังต้องการต้นไม้แห่งการด�ำรงอยู่เพื่อยืนต้นอยู่ต่อไป
และทั้งหมดนี้ปรากฏอยู่ใน มหาสมุทรของโกดี
มองกลับ (Looking Backward)
Edward Bellany เขียน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้จะเต็มไปด้วยปัจจัยที่หนุนเสริมให้ประเทศเยอรมนีหนุน
เสริมฮิตเลอร์ก้าวขึ้นสู่อ�ำนาจ แล้วน�ำโลกเข้าสู่หายนะของสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่
สัดส่วนที่ส�ำคัญ คือ การที่ประชาชนชาวเยอรมัน ‘ยินยอม’ ยกประเทศให้จอม
เผด็จการครองอ�ำนาจโดยเชื่อในสัญญาที่ว่าฮิตเลอร์จะน�ำความมั่งคั่งกลับคืนสู่ชาว
เยอรมัน
โธมัส มันน์ เป็นนักเขียนคนส�ำคัญของเยอรมนีที่อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้ง
ที่ 2 ได้เห็นและมองดูการขึ้นสู่อ�ำนาจของฮิตเลอร์ด้วยสายตาของนักเขียนที่สะท้อน
ผ่านออกมาใน มาริโอกับนักมายากล เพื่อจะบ่งบอกประเด็นส�ำคัญในการ ‘ควบคุม’
และการ ‘ล่อหลอก’ ผ่านค�ำสัญญาและความเชือ่ ทีฮ่ ติ เลอร์มใี ห้กบั ประชาชนเยอรมัน
ไม่ต่างจากชิปอลล่ากับ ‘การแสดง’ ที่เขามีต่อผู้ชมในโรงละคร ไม่นับประเด็นเสียดสี
ทีน่ กั มายากลมีตอ่ คนด้อยการศึกษา และความต่างทางชาติพนั ธุ์ ซึง่ ไม่ตา่ งจากระบบ
ของฮิตเลอร์ที่กีดกันคนเชื้อชาติอื่น กระทั่งน�ำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อคงความ
บริสุทธิ์ของสายเลือดอารยันไว้
พูดอีกแบบ การจะอ่าน มาริโอกับนักมายากล คุณไม่อาจมองข้ามบริบทของ
สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ครอบง�ำเยอรมนีในห้วงเวลานั้นได้โดยเด็ดขาด ทั้งนี้ ไม่ใช่
เพื่อเข้าใจสารที่โธมัส มันน์ สื่อให้ถึงแก่น แต่ยังมองข้ามให้เห็น ‘ความจริง’ ไปยัง
‘การแสดง’ ของ ‘นักมายากล’
เมตามอร์โฟซิส (Die Verwandliung)
Franz Kafka เขียน
อย่างที่เราคุ้นเคยกันดี เรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลระบุว่าพระเจ้าทรงสร้าง
โลกในเวลา 6 วัน วันที่ 7 พระองค์ทรงพักผ่อน และธรรมเนียมนี้ได้ถูกยึดถือปฏิบัติ
ให้วนั พระอาทิตย์กลายเป็นวันแห่งการพักผ่อน และการเข้าโบสถ์เพือ่ ระลึกถึงพระเจ้า
กระนั้น เวลา 7 วันก็ยังเป็นกรอบที่เราคุ้นเคย และคุ้นชินเมื่อวันอาทิตย์มาถึง และ
วันจันทร์ที่หมายถึงการเริ่มต้นใหม่ได้เวียนมาอีกครั้ง
เรื่องราวเกี่ยวกับเลข 7 ยังถูกกล่าวถึงไว้ในบทกวีของดันเตที่ว่าด้วยบาป 7
ประการของมนุษย์ ซึ่งไม่ว่าเรื่องราวใน เมืองทดสอบบาป ของ เปาโล คูเอลญู จะ
ยึดโยงอยูก่ บั ความเชือ่ ทัง้ สองประการนีห้ รือไม่ แต่สงิ่ ทีป่ รากฏอยูใ่ นนวนิยายเรือ่ งนีม้ ี
แก่นกลางอยูท่ ี่ “เมือ่ ความดีและความชัว่ มายืนตรงหน้าให้ตดั สินใจเลือก โดยมีของมี
ค่าตอบแทนส�ำหรับการท�ำชัว่ คนเราจะเลือกอะไร” ผ่านการด�ำเนินเรือ่ งภายใน 7 วัน
ในเมืองทีช่ อื่ วิสคุส ซึง่ ไม่เพียงเป็นการตัง้ ค�ำถามต่อความเชือ่ ศรัทธาในแง่ศาสนา แต่
ยังเป็นตั้งค�ำถามต่อความเป็นมนุษย์เรา ว่า สุดแท้แล้วหากมีโอกาสเราจะเลือกท�ำสิ่ง
ใด ระหว่างความดีกับความชั่วกันแน่?
เหมือนที่เปาโลได้เขียนไว้ว่า “...นับแต่ถือก�ำเนิดมา มนุษยชาติถูกลงโทษให้
เคลื่อนไหวอยู่ภายใต้การแบ่งฝ่ายตลอดกาล ระหว่างขั้วสองขั้วที่ตรงกันข้าม พวก
เราจึงอยู่ที่นี่ มีข้อสงสัยเดียวกันกับบรรพบุรุษของเรา หนังสือเล่มนี้มีจุดประสงค์ที่
จะกล่าวถึงเรื่องนี้...”
ซึ่งคงไม่เกินเลย หากจะกล่าวว่าข้อสงสัยนี้อาจไม่มีวันจบสิ้น ตราบที่มนุษย์ยัง
ต้องถูกทดสอบจากความชั่วและความดีในจิตใจตัวเอง
แม่
แมกซิม กอร์กี้ เขียน
“...ถ้าเป็นนกชีวิตไม่สิ้นก็ต้องบินกันไป ถ้าเป็นปลาย่อมแหวกว่ายธาราจน
ตาย...”
ระบ�ำชีวิตเป็นเรื่องราวของนักเต้นสาวสวยคนหนึ่งที่ชีวิตถูกลิขิตให้ร่วงหล่น
จากฟากฟ้ามาสูด่ นิ เพราะวิกฤตการเมือง ทว่าชีวติ ในความเป็นนักเต้นของเธอก็ยงั ต้อง
เต้นต่อไป เพราะเธอเกิดมาเพื่อเต้นระบ�ำ ทั้งระบ�ำปลายเท้า ระบ�ำชีวิต และระบ�ำที่
ต้องเต้นเพื่อชีวิตรอด บนปลายเท้าของ โศญา ผู้มีชีวิตอยู่ในแวดวงชนชั้นสูง ซึ่งข้อง
เกี่ยวกับราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซีย ก่อนการปฏิวัติที่น�ำโดยเลนิน
โศญาผูร้ ตู้ วั ว่ามีพรสวรรค์ทางด้านการเต้นมาตัง้ แต่อายุหา้ ขวบ แต่กต็ ระหนัก
เช่นกันว่าในสังคมชนชัน้ สูงของตัวเองนัน้ ไม่ใคร่มคี วามชอบพอทีจ่ ะเห็นคนจากชนชัน้
ตัวเองไปเป็นนักเต้นระบ�ำในคณะบัลเลต์ เท่าไหร่นัก แม้ที่สุดจะได้เป็นนักเต้นสมใจ
ทว่าลมพัดทางการเมืองก็พัดพาให้โศญาประสบกับโศกนาฏกรรมของชีวิตที่สักครั้ง
เราต่างต้องเคยผ่านประสบการณ์เช่นว่านี้ เร็วหรือช้าเท่านั้น และส่วนมากแล้ว ชีวิต
มักไม่เคยมีสญ ั ญาณบอกกล่าวต่อความเปลีย่ นแปลงใดๆ กระนัน้ โศญาก็ยงั เลือกทีจ่ ะ
เต้นแม้ในวันที่เธอได้รับเชิญจากเจ้าชายวลาดิเมียร์ ค�ำตอบของโศญาจึงไม่เพียงแต่
เป็นการตอบปฏิเสธอย่างรักษาน�ำ้ ใจ แต่ยงั เป็นการยืนกรานในความมุง่ มัน่ ของตัวเอง
ที่ว่า “ฉันไม่มีเวลาให้เรื่องพวกนี้ดอกค่ะ เจ้าชายวลาดิเมียร์ ถ้าคณะบัลเลต์ยังจ้างอยู่
ฉันก็ต้องฝึกซ้อมทั้งกลางวันกลางคืนให้ทันคนอื่นเขา”
ราโชมอนและเรื่องสั้นอื่นๆ (Rashomon and Other Stories)
Ryunosuke Akutagawa เขียน
ในยุคสมัยที่ประเทศจีนยังไม่ได้เป็นมหาอ�ำนาจทางเศรษฐกิจอย่างที่เป็นใน
ปัจจุบัน ความเป็นจีนยังถูกมองว่าลึกลับ และเป็นโลกที่อยู่สุดฟากตะวันออกจาก
การรับรู้ของโลกตะวันตก ซึ่งประเทศไทยที่มีฐานะเป็นมิตรกับมหาอ�ำนาจตะวันตก
มาอย่างยาวนาน ปฏิเสธไม่ได้ว่าการรับรู้เกี่ยวกับจีนในช่วงทศวรรษ 1950 เป็นต้น
มากลายเป็นการรับรูท้ ผี่ า่ นการกลัน่ กรองจากตะวันตกอีกทอด หนึง่ ในการกลัน่ กรอง
จากตะวันตก ซึง่ ถือได้วา่ เป็นการส่งออกทางวัฒนธรรมจากจีนก็คอื ศิลปวัฒนธรรม ที่
มีนวนิยายเป็นหนึ่งในนั้น
หงส์ป่า นับเป็นนวนิยายที่บอกเล่าเรื่องราวของหญิงชาวจีนสามชั่วอายุคนที่
ท�ำให้ตะวันตกกระหายใคร่รเู้ รือ่ งราวในประเทศจีนยุคสมัยทีย่ งั ถูกมองว่าโลกทีป่ ดิ ตัว
เองจากภายนอกอยู่ จึงส่งผลให้นวนิยายเรื่องนี้ได้รับความสนใจอย่างมหาศาล และ
ถูกแปลเป็นภาษาต่างๆ ไปมากกว่า 30 ภาษา ซึ่งล�ำพังการเปิดเผยเรื่องราวในสังคม
ปิดอย่างประเทศจีนก็น่าสนใจแล้ว แต่สิ่งที่ท�ำให้งานเขียนเล่มนี้ของ Jung Chang
คงไม่ใช่แต่เพียงเรื่องราวในประเทศที่เคยถูกมองว่าปิดตัวเองอย่างจีนในยุคสมัยหนึ่ง
เท่านั้น แต่เรื่องราวในหงส์ป่า หากกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วหาได้แตกต่างอันใดจาก
วรรณกรรมระดับโลกอย่าง สงครามและสันติภาพ เป็นประวัติศาสตร์ของครอบครัว
ชาวจีน ที่ไม่ได้แตกต่างอันใดกับประวัติศาสตร์ความขัดแย้งในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
ดังนี้เอง จึงไม่เป็นการเกินเลย หากนวนิยายเล่มนี้ยังถูกอ่านซ�้ำครั้งแล้ว
ครั้งเล่า แม้ในวันที่จีนกลายเป็นประเทศเปิดแล้วอย่างในปัจจุบัน และแทบทุกเรื่องที่
อยากรูเ้ กีย่ วกับจีนไม่เป็นความลับดัง่ ทีเ่ คยเป็นในอดีตอีกต่อไป นัน่ ก็เพราะความเป็น
วรรณกรรมอันยอดเยี่ยมที่เริงระบ�ำอยู่ได้ด้วยลีลาของหงส์ป่าผู้ทระนงข้ามผ่านกาล
เวลามาอย่างยาวนานนั่นเอง
หญิงสาวผู้ฝันถึงกวี และเรื่องสั้นอื่นๆ (An Imaginative Woman and Other
stories)
Thomas Hardy เขียน
เรื่องราวของการตามหาบางสิ่งที่ค้นลึกเข้าไปในป่าลึกของแอฟริกาที่ยิ่งเดิน
ทางเข้าไปมากเท่าใด การตามหาที่แท้จริงของคณะเดินทางกลับกลายเป็นการค้นลึก
กลับเข้ามาในหัวจิตหัวใจของความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในหัวใจทีค่ วามแตก
ต่างด้านชาติพันธุ์ สีผิว ใดๆ ไม่อาจมากีดกางขวางกั้น หากจะท�ำให้หัวใจนั้นด�ำมืด
ลง เหตุผลนั้นหาใช่จากสีผิวของคนชนเผ่า แต่เป็น ‘อันธการ’ ในหัวใจที่ลืมสิ้นแล้ว
ซึ่งเหตุผลในด�ำรงอยู่ของความเป็นมนุษย์เรา
นวนิยายชิ้นเอกของ โจเซฟ คอนราด ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแรงบันดาล
ใจให้กับภาพยนตร์ Apocalypse Now ในปี 1979 ของ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโป
ล่า ผู้ซ่ึงตัดทอนรายละเอียดต่างๆ ในนวนิยายลงไปเหลือเพียงต้นเค้าของแก่นแกน
ที่ว่าด้วย “...การเดินทางภายใต้ภาวการณ์ที่น�ำไปสู่ความมืดมิดในจิตวิญญาณของ
มนุษย์ ที่ส�ำแดงออกมาเป็นความโหดเหี้ยมที่ยากจะคิดได้ว่า คนคนหนึ่งจะสามารถ
ท�ำสิ่งเลวร้ายออกมาได้...” ตามค�ำน�ำของผู้แปล ไม่เพียงแต่กลายเป็นแรงบันดาลใจ
ให้กับภาพยนตร์เท่านั้น หากแต่ก่อนหน้า งานเขียนของคอนราดได้เป็นแสงส่องทาง
ดุจประภาคารส่องน�ำชาวเรือให้กับนักเขียนในชั้นหลัง ไม่ว่าจะเป็น ที.เอส.เอลเลียต,
เออร์เนสต์ เฮมิ่งเวย์, วิลเลียม โกลดิง, กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ อัลแบร์ กามูส์
หรือแม้แต่ จอร์จ ออร์เวลล์
และหากจะมีนิยามสั้นๆ ใดที่เหมาะ (แม้ไม่อาจกล่าวได้อย่างครอบคลุม)
ต่อนวนิยายชิ้นนี้ คงไม่พ้นสิ่งที่คอนราดได้เขียนเอาไว้ใน หฤทัยแห่งอันธการ เล่มนี้
ที่ว่า “...โลกดูเหมือนวิปลาสไปทั้งหมด เราคุ้นเคยกับการมองโลกเหมือนดั่งอสุรกาย
ทีถ่ กู ก�ำราบโซ่ตรวนเอาไว้—แต่ทนี่ —
ี่ ทีค่ ณ
ุ ก�ำลังมองอยูน่ ี้ คือสิง่ ทีเ่ หมือนอสุรกายทีย่ งั
คงเป็นอิสระ มันวิปลาส และมนุษย์ก็เป็นเช่นนั้น...”
หวนคืนสู่บาบิลอน และเรื่องสั้นอื่นๆ (Babylon Revisited and Other Stories)
F.Scott Fitzgerald เขียน
นวนิยายเคาบอยที่ดีที่สุดของนักเขียนอเมริกัน ค�ำโปรยที่ประทับอยู่สันปก
หนังสืออาจเชื้อเชิญท่านผู้อ่านให้เอียงคอพลางเลิกคิ้วฉงนสงสัยว่านวนิยายที่มีเรื่อง
ราวของเด็กสาววัยสิบสี่เป็นตัวเอกในการเล่าเรื่อง มีเคาบอยแก่ๆ อ้วน ลงพุง ที่ยิง
ปืนไม่ค่อยจะแม่น แต่บ้าบิ่น และเอะอะมะเทิ่งเอาเรื่อง กับอีกหนึ่งหนุ่มเคาบอยเจ้า
ส�ำอางค์ควบม้าตะลุยไปตามล่าหาอีกเคาบอยที่ลงมือฆ่าพ่อของเด็กสาววัยสิบสี่ เป็น
นวนิยายเคาบอยที่ดีที่สุดได้อย่างไร?
ก็ด้วยเหตุผลดังที่ว่ามาทั้งหมดนั่นแล, เรื่องราวใน อารยชนคนเถื่อน จะว่า
ไปแล้วก็ไม่ด�ำเนินตามรูปตามรอยของขนบเรื่องเล่าแบบเคาบอยที่คุ้นเคยกันเสียเท่า
ไหร่นัก ที่ต้องมีบุคลิกเงียบขรึม ยิงปืนแม่น และเคล้านารีเป็นว่าเล่น แต่ อารยชน
คนเถื่อน เล่าถึงคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุคเมื่อร้อยกว่าปีก่อน สมัยที่หากพูดจาดีไม่ยอม
เจรจาด้วยแล้วไซร้ ก็ต้องว่ากันด้วยปืนเท่านั้น
ยิง่ เมือ่ ได้สำ� นวนแปลของแดนอรัญ แสงทอง ซึง่ พูดก็พดู เถอะ ในอีกแง่ กบฏ
แห่งแวดวงวรรณกรรมไทย ผูน้ กี้ น็ บั เป็นคนเถือ่ นในลักษณาการของภาษาทีไ่ ม่อนิ งั ขัง
ขอบกับความคุน้ เคยตามจารีตของวรรณกรรม-วรรณคดีไทยอันสูงส่งเช่นเดียวกัน ถึง
จุดนี้ ตามภาษานักเลงแล้วชักจะพล่ามมากเกิน แต่หากนิยมชมชอบในเรื่องราวของ
เคาบอย อารยชนคนเถือ่ น คือ หนึง่ ในหนังสือทีไ่ ม่ใช่ไม่ควรพลาด แต่พลาดไม่ได้เลย
ในความหมายอันเคร่งครัด!
เอเรนดีรา ผู้บริสุทธิ์ (Innocent Eréndira)
Gabriel García Márquez เขียน
เป็นธรรมดาที่มนุษย์เราจะหวาดกลัวความเปลี่ยนแปลง และมักยากต่อการ
ต้านรับเมื่อการเปลี่ยนแปลงมาถึง แต่ไม่ว่าอย่างไร ชีวิตของคนเราล้วนต้องเผชิญกับ
ความเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อย ใครเอาเนยแข็งของฉันไป หรือ Who Moved My
Cheese? คือ หนังสือที่บอกเล่าถึงการพยายามรับมือความเปลี่ยนแปลงนั้น ผ่าน
อุปมาในเรื่องเนยแข็ง ซึ่งเป็นอาหารโปรดของใครหลายคน เมื่อเนยแข็งหายไป เรา
จึงต้องตัง้ ค�ำ ใครทีเ่ อาไป เอาไปท�ำอะไร ตอนไหน ทัง้ หมดนีอ้ าจดูเป็นค�ำถามไร้สาระ
แต่ทจี่ ริงแล้ว เมือ่ หวนกลับมาดูความเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึน้ ในชีวติ ค�ำถามส�ำคัญทีเ่ รา
ต้องเผชิญ คือ เราได้สูญเสียสิ่งต่างๆ นั้นไปในตอนไหน?
จนกระทั่งน�ำไปสู่ค�ำถามต่อ ท�ำไมถึงเกิดขึ้นกับฉัน? หรือ ท�ำไมถึงท�ำกับฉัน
แบบนี้?
ทว่า สิ่งที่ผู้เขียน Spencer Johnson, M.D.ก�ำลังบอกคือ ค�ำถามเหล่านั้นไม่
ได้สำ� คัญ เท่ากับความคิดทีเ่ กาะอยูบ่ นไหล่ของเราว่า ยิง่ เห็นเนยแข็งส�ำคัญเท่าไหร่ ก็
ยิ่งคิดยึดติดมากเท่านั้น และไม่ว่าช้าหรือเร็ว วันที่ไม่มีเนยแข็งแล้วจะต้องมาถึง แล้ว
เราจะใช้ชีวิตที่ไม่มีมันอย่างไร?
หนังสือเล่มนีไ้ ม่ได้มอบค�ำตอบ แต่ให้คำ� ถามทีค่ ณ
ุ ผูอ้ า่ นจะต้องค้นหาด้วยตัว
เอง
ชิงบัลลังก์พระนารายณ์
นายพลเดส์ฟาร์จ เขียน
“...ยามรุ่งอรุณรุ่งแห่งสหัสวรรษใหม่ผู้คนทั่วโลกต่างกระหายใคร่รู้จักอยาก
เข้าใจว่าคนจีนคือใคร สังคมจีนอยู่กันอย่างไร ผลที่ตามมาก็คือสังคมตะวันตกสนใจ
ปรัชญาตะวันออกมากขึ้น ประชากรโลกหนึ่งในสี่ใช้ชีวิตบนแผ่นดินจีน ใช้ตะเกียบ
กินอาหาร และพูดภาษาจีน ปรัชญาความเชื่อและภูมิปัญญาจีนอันเป็นผลผลิตของ
อารยธรรมเก่าแก่ทสี่ ดุ ซึง่ ยังด�ำรงอยูค่ รบถ้วนทัง้ ภาษาและวัฒนธรรมนัน้ มีสงิ่ น่าเรียน
รู้มากมาย หนังสือเล่มนี้บอกเล่าปัญญาความคิดจีนและเหตุผลที่ท�ำให้เราคนจีนคิด
และเชื่ออย่างนั้น ฉันสอดแทรกหลายๆ เรื่องราวในชีวิตตัวเองเป็นภาพประกอบให้
เข้าใจแนวคิดจีนที่กล่าวถึงและเล่าถึงสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากแนวคิดดังกล่าว...”
เฝ้าต้นไม้ รอกระต่าย คือหนังสือที่บอกเล่าถึงภูมิปัญญาจีนโบราณ จาก
สายตาของลูกหลานจีน คนรุ่นใหม่ที่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ แล้วใช้มุมมองจาก
การศึกษาเล่าเรียนโลกตะวันตกกลับมามองภูมิปัญญาบ้านเกิดในโลกตะวันออก
ผสมผสานไปกับเรือ่ งราวประสบการณ์ของชีวติ ในวัยเยาว์กบั ครอบครัวทีเ่ กาะฮ่องกง
สะท้อนแง่คิดจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจ�ำวันของคนจีนออกมาเป็นปรัชญา
ในการด�ำรงชีวิตได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจิบชาของป้าที่คอยพร�่ำสอน
ให้ตั้งใจเรียนก่อนจะมารู้ภายหลังในขณะก�ำลังศึกษาว่าใบชานั้นมีประโยชน์ในทาง
วิทยาศาสตร์อย่างไรบ้าง กระทั่งการใช้ค�ำที่ออกเสียงคล้ายกัน แต่คนจะความหมาย
โดยสิ้นเชิง หากทว่าพอจับมารวมกลับให้ความหมายอันสมบูรณ์ได้
โลกของภูมปิ ญ ั ญาสองโลกที่ อเดลีน เหยียน หม่าบอกว่าความจริงแบบตะวัน
ตกวางอยู่บนแก่นสารและหลักเหตุผล ส่วนความจริงแบบจีนมีจุดส�ำคัญที่ความตรง
ข้ามซึ่งสัมพันธ์กันและคิดอย่างเชื่อมโยง ซึ่งไม่ต่างจากการเฝ้าต้นไม้ รอกระตาย
‘สภาพอีสาน’ The Far Province
Francis Cripps เขียน
“ตุลจันทร” แปล
พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2514 ส�ำนักพิมพ์ศึกษิตสยาม
พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551 ส�ำนักพิมพ์แม่ค�ำผาง
ISBN 978-974-05-4348-0