Professional Documents
Culture Documents
Electromagnetics PDF
Electromagnetics PDF
Electromagnetics PDF
(Electromagnetics)
1 การวิเคราะห์เวคเตอร์
(Vector Analysis) 9
1.1 พิกัด (Coordinates) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 9
1.1.1 พิกัดใน 2 มิติ . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 9
1.1.2 พิกัดใน 3 มิติ . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 9
1.2 พีชคณิตของเวคเตอร์ (Vector Algebra) . . . . . . . . . . . . . . . 11
1.2.1 ขนาดของเวคเตอร์ . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 11
1.2.2 ผลคูณสเกลาร์ (Scalar Product) . . . . . . . . . . . . . . . 11
1.2.3 ผลคูณไขว้ (Cross Product) . . . . . . . . . . . . . . . . . 12
1.2.4 ผลคูณเวคเตอร์ชุดสาม (Vector Triplet Product) . . . . . . 12
1.2.5 ผลคูณสเกลาร์ชุดสาม (Scalar Triplet Product) . . . . . . . 12
1.2.6 ฐานหลัก (Basis) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 13
1.3 การเปลี่ยนฐานหลัก (Change of Basis) . . . . . . . . . . . . . . . 14
1.3.1 การเปลี่ยนฐานหลักใน 2 มิติ . . . . . . . . . . . . . . . . . 14
1.3.2 การเปลี่ยนฐานหลักใน 3 มิติ . . . . . . . . . . . . . . . . . 15
2 กฎของคูลอมบ์และกฎของเกาส์
(Coulomb’s Law and Gauss’s Law) 19
2.1 ความหนาแน่นของประจุไฟฟ้า (Electrical Charge Density) และกฎของคูลอมบ์(Coulomb’s Law) 19
2.1.1 ความหนาแน่นของประจุไฟฟ้า (Electrical Charge Density) . 19
2.1.2 กฎของคูลอมบ์(Coulomb’s Law) . . . . . . . . . . . . . . 23
2.2 ความเข้มของสนามไฟฟ้า (Electric Field Intensity) . . . . . . . . . 26
2.3 กฎของเกาส์ (Gauss’s Law) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 29
3
4 สารบัญ
4 กระแสและตัวนำ
(Current and Conductors) 73
4.1 กระแสและความหนาแน่นของกระแส (Current and Conductors) . . 73
4.2 ตัวนำโลหะ (Metallic Conductor) . . . . . . . . . . . . . . . . . . 75
4.3 กระแสและกฎของโอห์ม(Ohm’s Law) . . . . . . . . . . . . . . . . 75
4.4 สารกึ่งตัวนำ (Semiconductor) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 76
สารบัญ 5
5 หลักการอนุรักษ์ของประจุ
(Conservation Principle of Charge) 77
5.1 หลักการอนุรักษ์ของประจุ (Conservation Principle of Charge) . . . 77
5.2 หลักการอนุรักษ์ของประจุและกฎกระแสของเคอร์ชอฟฟ์
(Conservation Principle of Charge and Kirchhoff’s Current Law) 82
6 ไดอิเลคตริคและความจุ
(Dielectrics and Capacitance) 85
6.1 ไดอิเลคตริค (Dielectrics) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 85
6.1.1 ไดโพลและโมเมนต์ไดโพล (Dipole and Dipole Moment) . . 85
6.1.2 ไดอิเลคตริคและโพลาไรเซชัน (Dielectrics and Polarization) 86
6.1.3 เงื่อนไขขอบเขต (Boundary Condition) . . . . . . . . . . . 87
6.1.4 เงื่อนไขขอบเขตสำหรับไดอิเลคตริคสมบูรณ์แบบ (Boundary Con-
dition for Perfect Dielectrics) . . . . . . . . . . . . . . . 89
6.2 ความจุ (Capacitance) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 90
7 สมการของปัวส์ซงและลาปลาซ
(Poisson’s Equation and Laplace’s Equation) 99
7.1 ทฤษฎีบทความเป็นหนึ่ง (Uniqueness Theorem) . . . . . . . . . . 101
7.2 การแก้สมการของปัวส์ซงและสมการของลาปลาซ (Poisson’s and Laplace’s
Equations) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 104
7.2.1 ผลเฉลยของสมการของปัวส์ซง (Poisson’s Equations) ในบริเวณ
ไม่มีขอบเขตที่เป็นประภูมิอิสระ . . . . . . . . . . . . . . . . 104
7.2.2 ผลเฉลยของสมการของปัวส์ซง (Poisson’s Equations) ใน 1 มิติ 104
7.2.3 ผลเฉลยของสมการของลาปลาซ (Laplace’s Equations) ในบริเวณ
ที่มีขอบเขต . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 106
8 สนามแม่เหล็กสำหรับสถานะคงตัว
(Steady State Magnetic Field) 115
8.1 กฎของบีโอต์-ซาวาร์ต (Biot-Savart Law) . . . . . . . . . . . . . . 115
8.2 กฎของแอมแปร์ . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 121
8.3 กฎของเกาส์สำหรับสนามแม่เหล็ก
(Gauss’s Law for Magnetic Fields) . . . . . . . . . . . . . . . . 124
8.4 ศักย์แม่เหล็ก (Magnetic Potential) . . . . . . . . . . . . . . . . . 125
6 สารบัญ
10 สนามที่ผันแปรไปตามเวลา
(Time-Varying Field) 153
10.1 สมการแรงของลอเรนซ์ . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 153
10.2 กฎของฟาราเดย์ (Faraday’s Law) . . . . . . . . . . . . . . . . . . 153
10.2.1 รูปแบบผลต่างของกฎของฟาราเดย์ (Differential Form of Fara-
day’s Law) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 158
10.3 กฎของแอมแปร์และกระแสการกระจัด (Ampere’s Law and Displace-
ment Current) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 159
10.4 กระแสการกระจัดและตัวเก็บประจุแผ่นคู่ขนาน . . . . . . . . . . . . 160
10.5 สมการของแมกซ์เวลล์ (Maxwell’s Equations) . . . . . . . . . . . 161
10.6 ศักย์ที่ถูกหน่วง (Retarded Potentials) . . . . . . . . . . . . . . . . 162
ก พื้นฐานทางคณิตศาสตร์
(Mathematical Foundations) 169
ก.1 การแก้ระบบเชิงเส้นด้วยวิธีวนซ้ำ
(Solving Linear Systems using Iterative Methods) . . . . . . . . 169
ก.1.1 การวนซ้ำแบบจาโคบิ . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 169
สารบัญ 7
การวิเคราะห์เวคเตอร์
(Vector Analysis)
9
10 บทที่ 1. การวิเคราะห์เวคเตอร์ (VECTOR ANALYSIS)
z เป็นระยะในแนวแกน z
√
3π
นั่นคือพิกัดทรงกระบอก (ρ, φ, z) = 2, , 1 และพิกัดทรงกลม (r, φ, θ) =
4
√ 3π √
3, , arctan 2
4
ในที่นี้เราจะกล่าวถึงสเกลาร์และเวคเตอร์เฉพาะในกรณีที่ใช้ในที่นี้เท่านั้น เราอาจนิยาม
สเกลาร์และเวคเตอร์ดังต่อไปนี้
1.2.1 ขนาดของเวคเตอร์
~ = Ax âx +Ay ây +Az âz โดยที่ {âx , ây , âz } เป็นฐานหลักเชิงตั้งฉากปกติ
ให้เวคเตอร์ A
ดังนั้น
q
~ = A2x + A2y + A2z
|A|
~·B
A ~ = Ax Bx + Ay By + Az Az
~·B
A ~ = |A||
~ B|~ cos θ
12 บทที่ 1. การวิเคราะห์เวคเตอร์ (VECTOR ANALYSIS)
~×B
A ~ = (Ay Bz − Az By )âx − (Ax Bz − Az Bx )ây + (Ax By − Ay Bx )âz
หรืออาจเขียนในรูปของดีเทอร์มิแนนต์ได้ดังนี้
âx ây âz
~×B
A ~ = Ax Ay Az
Bx By Bz
นอกจากนี้เราสามารถแสดงได้ว่า
~×B
A ~ ×C~ = −C
~× A~×B
~ = − C.
~ B
~ A ~ + C.
~ A
~ B ~
นอกจากนี้เราสามารถแสดงได้ว่า
Ax Ay Az
~ B
A. ~ ×C
~ = Bx By Bz
Cx Cy Cz
1
ฐานหลักเชิงตั้งฉากปกติ {âx , ây , âz } ต้องเป็นไปตามกฎมือขวา นั่นคือ âx × ây = âz
1.2. พีชคณิตของเวคเตอร์ (VECTOR ALGEBRA) 13
ฐานหลักเชิงตั้งฉากปกติที่มีใช้บ่อย ๆ คือ
1. 2 มิติ
• {âx , ây }
ฐานหลักนี้สอดคล้องกับพิกัดฉากโดยที่
âx เป็นเวคเตอร์หนึ่งหน่วยที่มีทิศทางชี้ไปทางแกน x บวก
ây เป็นเวคเตอร์หนึ่งหน่วยที่มีทิศทางชี้ไปทางแกน y บวก
• {âρ , âφ }
ฐานหลักนี้สอดคล้องกับพิกัดทรงกระบอกโดยที่
~
âρ เป็นเวคเตอร์หนึ่งหน่วยที่มีทิศทางชี้ไปทางเวคเตอร์ OP
âφ เป็นเวคเตอร์หนึ่งหน่วยที่มีทิศทางขนานกับระนาบ xy,
ตั้งฉากกับ âρ และชี้ไปทางที่ทำให้ φ เพิ่มขึ้น
2. 3 มิติ
âr เป็นเวคเตอร์หนึ่งหน่วยที่มีทิศทางชี้ไปทางภาพฉายของ
เวคเตอร์ OP~ บนระนาบ xy
âφ เป็นเวคเตอร์หนึ่งหน่วยที่มีทิศทางขนานกับระนาบ xy,
ตั้งฉากกับ âρ และชี้ไปทางที่ทำให้ φ เพิ่มขึ้น
âθ เป็นเวคเตอร์หนึ่งหน่วยที่มีทิศทางชี้ไปทางที่มุม θ เพิ่มขึ้นและ
เวคเตอร์หนึ่งหน่วย âθ ตั้งฉากกับเวคเตอร์หนึ่งหน่วย âr และ âφ
Av1 (v̂1 · v̂1 ) + Av2 (v̂1 · vˆ2 ) = Au1 (v̂1 · û1 ) + Au2 (v̂1 · û2 )
Av1 (v̂2 · v̂1 ) + Av2 (v̂2 · vˆ2 ) = Au1 (v̂2 · û1 ) + Au2 (v̂2 · û2 )
จะได้
เนื่องจาก
นอกจากนี้
ดังนั้น
Aρ = Ax cos φ + Ay sin φ
Aφ = −Ax sin φ + Ay cos φ
หรือ
" # " #" #
Aρ cos φ sin φ Ax
=
Aφ − sin φ cos φ Ay
Av1 (v̂1 , v̂1 ) + Av2 (v̂1 , vˆ2 ) + Av3 (v̂1 , v̂3 ) = Au1 (v̂1 , û1 ) + Au2 (v̂1 , û2 ) + Au3 (v̂1 , û3 )
Av1 (v̂2 , v̂1 ) + Av2 (v̂2 , vˆ2 ) + Av3 (v̂2 , v̂3 ) = Au1 (v̂2 , û1 ) + Au2 (v̂2 , û2 ) + Au3 (v̂2 , û3 )
Av1 (v̂3 , v̂1 ) + Av2 (v̂3 , vˆ2 ) + Av3 (v̂3 , v̂3 ) = Au1 (v̂3 , û1 ) + Au2 (v̂3 , û2 ) + Au3 (v̂3 , û3 )
ในที่นี้เราจะพิจารณาการเปลี่ยนฐานหลักจากฐานหลักในพิกัดทรงกระบอกไปพิกัดฉากและ
ฐานหลักในพิกัดทรงกลมไปพิกัดฉากเท่านั้นดังนี้
ให้
~ = Ax âx + Ay ây + Az âz = Aρ âρ + Aφ âφ + Az âz
A
16 บทที่ 1. การวิเคราะห์เวคเตอร์ (VECTOR ANALYSIS)
เราจะได้
Ax (âx · âx ) + Ay (âx · ây ) + Az (âx · âz ) = Aρ (âx · âρ ) + Aφ (âx · âφ ) + Az (âx · âz )
Ax (ây · âx ) + Ay (ây · ây ) + Az (ây · âz ) = Aρ (ây · âρ ) + Aφ (ây · âφ ) + Az (ây · âz )
Ax (âz · âx ) + Ay (âz · ây ) + Az (âz · âz ) = Aρ (âz · âρ ) + Aφ (âz · âφ ) + Az (âz · âz )
เนื่องจาก
âx ·âx = ây ·ây = âz ·âz = 1 และ âx ·ây = âx ·âz = ây ·âx = ây ·âz = âz ·âx = âz ·ây = 0
นอกจากนี้
ดังนั้น
Ax cos φ − sin φ 0 Aρ
Ay = sin φ cos φ 0 Aφ (1.3)
Az 0 0 1 Az
ให้
~ = Ax âx + Ay ây + Az âz = Ar âr + Aφ âφ + Aθ âθ
A
เราจะได้
Ax (âx · âx ) + Ay (âx · ây ) + Az (âx · âz ) = Ar (âx · âr ) + Aφ (âx · âφ ) + Aθ (âx · âθ )
Ax (ây · âx ) + Ay (ây · ây ) + Az (ây · âz ) = Ar (ây · âr ) + Aφ (ây · âφ ) + Aθ (ây · âθ )
Ax (âz · âx ) + Ay (âz · ây ) + Az (âz · âz ) = Ar (âz · âr ) + Aφ (âz · âφ ) + Aθ (âz · âθ )
เนื่องจาก
âx · âx = ây · ây = âz · âz = 1
และ
âx · ây = âx · âz = ây · âx = ây · âz = âz · âx = âz · ây = 0
1.3. การเปลี่ยนฐานหลัก (CHANGE OF BASIS) 17
นอกจากนี้
âx · âr = sin θ cos φ และ âx · âφ = − sin φ และ âx · âθ = cos θ cos φ
ây · âr = sin θ sin φ และ ây · âφ = cos φ และ âx · âθ = cos θ sin φ
âz · âr = cos θ และ âz · âφ = 0 และ âz · âθ = − sin θ
ดังนั้น
Ax sin θ cos φ −sin φ cos θ cos φ Ar
Ay = sin θ sin φ cos φ cos θ sin φ Aφ
Az cos θ 0 −sin θ Aθ
ตัวอย่าง 3. จงหา
วิธีทำ
1. เนื่องจาก
âρ = (âρ .âx )âx + (âρ .ây )ây
และ
âρ .âx = cos φ และ âρ .ây = sin φ
ดังนั้น
âρ = cos φâx + sin φây
Z 2π
2. เราสามารถหาค่า âρ dφ ได้ดังนี้
0
Z 2π Z 2π
âρ dφ = (cos φâx + sin φây ) dφ
0 0
Z 2π Z 2π
= cos φâx dφ + sin φây dφ
0 0
Z 2π Z 2π
= cos φ dφ âx + sin φ dφ ây
0 0
= ~0
18 บทที่ 1. การวิเคราะห์เวคเตอร์ (VECTOR ANALYSIS)
บทที่ 2
กฎของคูลอมบ์และกฎของเกาส์
(Coulomb’s Law and Gauss’s
Law)
1. ความหนาแน่นของประจุไฟฟ้าต่อความยาว
∆q
ρL = lim (2.1)
∆l→0 ∆l
2. ความหนาแน่นของประจุไฟฟ้าต่อพื้นที่
∆q
ρS = lim (2.2)
∆s→0 ∆s
3. ความหนาแน่นของประจุไฟฟ้าต่อปริมาตร
∆q
ρV = lim (2.3)
∆v→0 ∆v
19
20บทที่ 2. กฎของคูลอมบ์และกฎของเกาส์(COULOMB’S LAW AND GAUSS’S LAW)
dq = ρ0 πr2 dz
นั่นคือประจุ q เป็นไปตามสมการ
Z h
q= ρ0 πr2 dz = ρ0 πr2 h
0
2. เราสามารถแบ่งวัตถุทรงกระบอกออกเป็นชิ้น ๆ แต่ละชิ้นมีความหนา dz
และกว้างเท่ากับ ρdφ ยาวเท่ากับ dρ ดังนั้น ประจุภายในชิ้นส่วนย่อย ๆ dq
เป็นไปตามสมการ
dq = ρ0 ρdρdφdz
นั่นคือประจุ q เป็นไปตามสมการ
Z h Z 2π Z r
q= ρ0 ρdρdφdz = ρ0 πr2 h
0 0 0
นั่นคือประจุ q เป็นไปตามสมการ
r
2π 3 ρ=r
Z
2 2π 3
q= 2πkρ hdρ = kρ h = kr h
0 3 ρ=0 3
นั่นคือประจุ q เป็นไปตามสมการ
Z h Z 2π Z r
q= ρV (ρ, φ, z)ρdρdφdz
0 0 0
dq = 4ρ0 πr2 dr
นั่นคือประจุ q เป็นไปตามสมการ
Z R
4
q= 4ρ0 πr2 dr = ρ0 πR3
0 3
22บทที่ 2. กฎของคูลอมบ์และกฎของเกาส์(COULOMB’S LAW AND GAUSS’S LAW)
นั่นคือประจุ q เป็นไปตามสมการ
Z π Z 2π Z R
4
q= ρ0 r2 sin θdrdφdθ = ρ0 πR3
0 0 0 3
dq = 4ρV πr2 dr
นั่นคือประจุ q เป็นไปตามสมการ
Z R Z R
q= 4ρV πr2 dr = 4πkr3 dr = πkR4
0 0
วิธีทำ
เราสามารถแบ่งวัตถุทรงกลมออกเป็นชิ้น ๆ แต่ละชิ้นมีความหนา rdθ
และกว้างเท่ากับ r sin θdφ ยาวเท่ากับ dr ดังนั้น ประจุภายในชิ้นส่วนย่อย ๆ dq
เป็นไปตามสมการ
dq = ρV (ρ, φ, θ)r2 sin θdrdφdθ
นั่นคือประจุ q เป็นไปตามสมการ
Z π Z 2π Z R
q= ρV (ρ, φ, θ)r2 sin θdrdφdθ
0 0 0
นั่นคือประจุ q เป็นไปตามสมการ
Z h
q= πkr2 dz
0
เนื่องจาก
r R
=
h−z h
ดังนั้น
R
r= (h − z)
h
นั่นคือ
h 2 z=h
R2 πkR2 h
Z
R 3
q= πk (h − z) dz = − πk 2 (h − z) =
0 h 3h z=0 3
kq1 q2 1 q1 q2
F~ = âr = âr
|~r|2 4π0 |~r|2
โดยที่
k ≈ 8.99 × 109 N m2 C −2 ในประภูมิอิสระ(Permittivity of Free Space)
0 = 8.854 × 10−12 F/m เรียกว่าเพอร์มิตติวิตีในประภูมิอิสระ(Permittivity of Free
Space)
~r
âr = เวคเตอร์หนึ่งหน่วยอยู่ในทิศทางจากจุดกำเนิดไปยังเวคเตอร์แสดง
|~r|
ตำแหน่ง ~r
24บทที่ 2. กฎของคูลอมบ์และกฎของเกาส์(COULOMB’S LAW AND GAUSS’S LAW)
kq1 q2
F~ = âr
|~r|2
8.99 × 109
= (4âx + 3ây + 4âz ) N
(42 + 32 + 42 )3
เนื่องจาก q1 = q2 = 1 C และ ~r = ~r2 −~r1 = (5âx + 5ây + 5âz )−(1âx + 2ây + 1âz ) =
4âx + 3ây + 4âz m ดังนั้น
kq1 q2
F~ = âr
|~r|2
8.99 × 109
= (4âx + 3ây + 4âz ) N
(42 + 32 + 42 )3
จากกฎของคูลอมบ์เราอาจขยายความได้ดังนี้
ให้ประจุ q1 อยู่ที่ตำแหน่งซึ่งกำหนดโดยเวคเตอร์แสดงตำแหน่ง ~r1 และประจุ q2
อยู่ที่ตำแหน่งซึ่งกำหนดโดยเวคเตอร์แสดงตำแหน่ง ~r2 แรงทางไฟฟ้า F~ ซึ่งประจุ
q1 กระทำกับประจุ q2 เป็นไปตามสมการ
1 q1 q2
F~ = â12
4π0 |~r12 |2
~
r12
โดยที่ ~r12 คือเวคเตอร์การกระจัดจาก q1 ไปยัง q2 และâ12 = |~
r12 |
นอกจากนี้ ถ้าหากมีจุดประจุ q1 , q2 , . . . , qn อยู่ที่ตำแหน่งซึ่งกำหนดโดยเวคเตอร์
แสดงตำแหน่ง ~r1 , ~r2 , . . . , ~rn และจุดประจุ q อยู่ที่ตำแหน่งซึ่งกำหนดโดยเวคเตอร์
แสดงตำแหน่ง ~r ดังนั้น แรงทางไฟฟ้าที่กระทำกับ q อันเนื่องจาก q1 , q2 , . . . , qn เป็น
ไปตามสมการ
Xn
F~ = F~i
i=1
ดังนั้น
n
1 X qi q
F~ = âi
4π0 |~ri |2
i=1
~ri
โดยที่ ~ri คือเวคเตอร์การกระจัดจาก qi ไปยัง q และâi =
|~ri |
26บทที่ 2. กฎของคูลอมบ์และกฎของเกาส์(COULOMB’S LAW AND GAUSS’S LAW)
ถ้าหากมีจุดประจุ q1 , q2 , . . . , qn อยู่ที่ตำแหน่งซึ่งกำหนดโดยเวคเตอร์
แสดงตำแหน่ง ~r1 , ~r2 , . . . , ~rn และจุดประจุ q อยู่ที่ตำแหน่งซึ่งกำหนดโดยเวคเตอร์
แสดงตำแหน่ง ~r ดังนั้น ความเข้มของสนามไฟฟ้า ที่ตำแหน่งซึ่งกำหนดโดยเวคเตอร์
การกระจัด ~r อันเนื่องจาก q1 , q2 , . . . , qn เป็นไปตามสมการ
n n n
!
~
F X ~i
F X 1 X qi
~
E= = = ~
Ei = âi
q q 4π0 |~ri |2
i=1 i=1 i=1
~ = kdq
dE ~r
r3
kρL dz 0
= ~r
r3
kρL dz 0 0
=p 3 ρâ ρ − z âz
ρ2 + z 02
p
โดยทีr่ = ρ2 + z 02
เนื่องจากความสมมาตร เราจะได้
~ = p kρL 0 kρρL 0
dE 3 ρdz âρ =p 3 dz âρ
2
ρ +z 02 2
ρ +z 02
2.2. ความเข้มของสนามไฟฟ้า (ELECTRIC FIELD INTENSITY) 27
ให้
ρ
cos α = p และ z 0 = ρ tan α
ρ + z 02
2
ดังนั้น
dz 0 = ρ sec2 α dα
และ
Z ∞
~ = kρρ0 0
E p 3 dz âρ
−∞ ρ2 + z 02
π
cos3 α
Z
2
= kρ0 ρsec2 α dαâρ
− π2 ρ2
Z π
kρ0
2
= cos α dαâρ
− π2 ρ
kρ0 π
2
= sin α π âρ
ρ −2
kρ0
=2 âρ
ρ
1
เนื่องจาก k = 4π0 ดังนั้น
~ = ρ0
E âρ
2π0 ρ
~ = ρL
dE âρ
2π0 ρ
28บทที่ 2. กฎของคูลอมบ์และกฎของเกาส์(COULOMB’S LAW AND GAUSS’S LAW)
p xâx − y 0 ây
โดยที่ ρ = x2 + y 02 และ âρ = p
x2 + y 02
เราจะได้
~ = ρL 1 0
dE 2 xâx − y ây
2π0
p
x2 + y 02
เนื่องจากความสมมาตร ดังนั้น
~ = ρS dy 0 x
dE 2 âx
2π0 p 2
x +y 02
ρS x 0
= 2 dy âx
2π0 p 2
x + y 02
ให้
x
cos α = p และ y 0 = x tan α
x2 + y 02
ดังนั้น
dy 0 = x sec2 α dα
และ
Z π
~ =
2 ρS
E dαâx
− π2 2π0
ρS π
2
= α π âx
2π0 −2
ρS
= âx
20
2.3. กฎของเกาส์ (GAUSS’S LAW) 29
โดยที่
qenclosed เป็นประจุภายในพื้นผิวปิด S
~ เป็นความหนาแน่นฟลักซ์ทางไฟฟ้า (Electrical Flux Density)
D
dS~ = n̂dS เป็นเวคเตอร์ที่ตั้งฉากกับพื้นผิวปิด S และมีขนาดเท่ากับ dS
วิธีทำ เนื่องจาก
27
X 10
X 27
X
Ψ= Ψi = Ψ1 + Ψi + Ψi
i=1 i=2 i=11
และ
10
X 27
X
Ψi = 9 × 2 = 18C และ Ψi = 17 × (−2) = −34C
i=2 i=11
ดังนั้น
27
X 10
X 27
X
Ψ1 = Ψ − Ψi = Ψ − Ψi − Ψi = 1 − 18 − (−34) = 17C
i=1 i=2 i=11
วิธีทำ
~ =0
นั่นคือ O.D
~ คือความหนาแน่นของฟลักซ์ไฟฟ้าต่อพื้นที่ตั้งฉาก ดังนั้น
นอกจากนี้เนื่องจาก D
เราอาจจะหา Ψ ได้จาก
Ψ = D0 S⊥ = πD0 r02
~
โดยที่ S⊥ เป็นพื้นที่ตั้งฉากกับ D
พิ
จารณาพื้นผิวปิดที่เป็นรูปลูกบาศก์
ที่มีจุดยอดอยู่ที่
∆x ∆y ∆z ∆x ∆y ∆z
x− ,y − ,z − , x+ ,y − ,z − ,
2 2 2 2 2 2
∆x ∆y ∆z ∆x ∆y ∆z
x− ,y + ,z − , x− ,y − ,z + ,
2 2 2 2 2 2
∆x ∆y ∆z ∆x ∆y ∆z
x+ ,y + ,z − , x− ,y + ,z +
2 2 2 2 2 2
เราสามารถประมาณฟลักซ์ ∆Ψ ที่ไหลผ่านพื้นผิวปิด ∆S ของปริมาตรย่อย ๆ ∆V ในสมการ
I
∆Ψ = ~ dS
D. ~ = qenclosed
∆S
ได้ดังนี้
I
~ ≈ (Dx + ∂Dx ∆x )(∆y∆z) − (Dx − ∂Dx ∆x )(∆y∆z)
~ dS
D.
∆S ∂x 2 ∂x 2
∂Dy ∆y ∂Dy ∆y
+ (Dy + )(∆x∆z) − (Dy − )(∆x∆z)
∂y 2 ∂y 2
∂Dz ∆z ∂Dz ∆z
+ (Dz + )(∆x∆y) − (Dz − )(∆x∆y)
∂z 2 ∂z 2
32บทที่ 2. กฎของคูลอมบ์และกฎของเกาส์(COULOMB’S LAW AND GAUSS’S LAW)
หรือ
I
~ ≈ ∂Dx ∆x∆y∆z + ∂Dy ∆x∆y∆z + ∂Dz ∆x∆y∆z
~ dS
D.
∂x ∂y ∂z
ได้ดังนี้
qenclosed ≈ ρV ∆x∆y∆z
นั่นคือ
∂Dx ∂Dy ∂Dz
∆x∆y∆z + ∆x∆y∆z + ∆x∆y∆z ≈ ρV ∆x∆y∆z
∂x ∂y ∂z
ดังนั้น
นั่นคือ
~ = ρV
O.D
สมการ 2.4 ใช้สำหรับพิกัดฉาก (Rectangular Coordinates) สำหรับพิกัดทรงกระบอก
(Cylindrical Coordinates) เป็นไปตามสมการ
~ = 1 ∂ 1 ∂Dφ ∂Dz
O.D (ρDρ ) + + (2.5)
ρ ∂ρ ρ ∂φ ∂z
~ = 1 ∂ 2 1 ∂ 1 ∂Dφ
O.D 2
(r Dr ) + (Dθ sin θ) + (2.6)
r ∂r r sin θ ∂θ r sin θ ∂φ
2.3. กฎของเกาส์ (GAUSS’S LAW) 33
โดยที่ V เป็นปริมาตรที่ถูกล้อมรอบด้วยพื้นผิว S
วิธีทำ
~ ได้จาก
1. เราสามารถหา O.D
~ = ∂Dx ∂Dy ∂Dz
O.D + +
∂x ∂y ∂z
∂x ∂y ∂z
= + +
∂x ∂y ∂z
=1+1+1
= 3 C/m3
2. ฟลักซ์ไฟฟ้าที่พุ่งผ่านพื้นผิว S คือ
I
Ψ = D.d ~ S ~
Z y=1 Z z=1 Z y=1 Z z=1
= −1 dydzâx .(−âx ) + 1 dydzâx .(âx )
y=−1 z=−1 y=−1 z=−1
Z x=1 Z z=1 Z x=1 Z z=1
+ −1 dydzây .(−ây ) + 1 dydzây .(ây )
x=−1 z=−1 x=−1 z=−1
Z x=1 Z y=1 Z x=1 Z y=1
+ −1 dxdyâz .(−âz ) + 1 dxdyâz .(âz )
x=−1 y=−1 x=−1 y=−1
=4+4+4+4+4+4
= 24 C
34บทที่ 2. กฎของคูลอมบ์และกฎของเกาส์(COULOMB’S LAW AND GAUSS’S LAW)
3. ฟลักซ์ไฟฟ้าที่พุ่งผ่านพื้นผิว S คือ
Z
Ψ= ~ dV
O.D
V
Z 1Z 1Z 1
= 3 dxdydz
−1 −1 −1
= 3(2)(2)(2)
= 24 C
นั่นคือ
Dr 4πr2 = Q
หรือ
Q
Dr =
4πr2
จากความสมมาตรเราจะได้ว่า
~ = Dr âr = Q
D âr
4πr2
~ = 0 E
นอกจากนี้เนื่องจาก D ~ ดังนั้น
~
~ = D = Q âr
E
0 4π0 r2
และดังนั้น
Q
E=
4π0 r2
~ = x2 âx จงหา
ตัวอย่าง 20 (ข้อสอบเก่ากลางภาคต้น ปีการศึกษา 2556). ให้ D
1. ฟลักซ์ของสนามไฟฟ้าที่ออกจากปริIมาตรที่ถูกกำหนดโดย x = 0 และ 1, y =
0 และ 2 และ z = 0 และ 3 จาก ~ S
D.d ~
S
2.3. กฎของเกาส์ (GAUSS’S LAW) 35
2. ฟลักซ์ของสนามไฟฟ้าที่ออกจากปริZมาตรที่ถูกกำหนดโดย x = 0 และ 1, y =
0 และ 2 และ z = 0 และ 3 จาก div D~ dv
V
4. ความหนาแน่นของประจุที่จุดใดๆในปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย x = 0 และ 1, y =
0 และ 2 และ z = 0 และ 3
วิธีทำ
~ = x2 âx ดังนั้น
1. เนื่องจาก D
Z 3Z 2 Z 3Z 2
2
x2 x=1 dydz = 6
Ψ= x x=0 dydz +
0 0 0 0
2. เนื่องจาก Z
Ψ= ~
div Ddv
V
และ
~ = ∂Dx + ∂Dy + ∂Dz
div D
∂x ∂y ∂z
∂x2 ∂x2 ∂x2
= + +
∂x ∂y ∂z
= 2x
ดังนั้น
Z 3Z 2Z 1
Ψ= 2xdxdydz
0 0 0
Z 3 Z 2 Z 1
= dydz 2xdx
0 0 0
2 1
=6 x 0
=6
3. ประจุทั้งหมด q เป็นไปตามกฎของเกาส์ดังสมการ
Ψ=q
นั่นคือประจุทั้งหมด q เท่ากับ 6
36บทที่ 2. กฎของคูลอมบ์และกฎของเกาส์(COULOMB’S LAW AND GAUSS’S LAW)
4. ความหนาแน่นของประจุที่จุดใดๆในปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย x = 0 และ 1, y =
0 และ 2 และ z = 0 และ 3 เป็นไปตามสมการ
~
ρV = div D
∂Dx ∂Dy ∂Dz
= + +
∂x ∂y ∂z
∂x2 ∂x2 ∂x2
= + +
∂x ∂y ∂z
= 2x
วิธีทำ เนื่องจากเราสามารถหาความหนาแน่นของฟลักซ์ไฟฟ้าได้จาก
~ = ρ0 âρ
D
2πρ
ดังนั้นเราสามารถหาฟลักซ์ไฟฟ้าย่อย ๆได้จากสมการ
~ S
dΨ = D.d ~
~
โดยที่ S คือระนาบ x = 5 และ S⊥ เป็นพื้นที่ตั้งฉากกับ D
q
แทน D = และ dS⊥ = r2 sin θdθdφ จะได้
4πr2
Z π Z π
2 q 2 q
Ψ= 2
r sin θdθdφ =
− π 0 4πr
2
2
~ = k âr จงหา
ตัวอย่าง 23. ให้ D
r2
I
1. ฟลักซ์ของสนามไฟฟ้าที่ออกจากปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย r ≤ R จาก ~ S
D.d ~
S
Z
2. ฟลักซ์ของสนามไฟฟ้าที่ออกจากปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย r ≤ R จาก ~
div Ddv
V
3. ประจุทั้งหมดในปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย r ≤ R
4. ความหนาแน่นของประจุที่จุดใดๆในปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย r ≤ R
วิธีทำ
1. เราสามารถหาฟลั
I กซ์ของสนามไฟฟ้าที่ออกจากปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย r ≤ R จาก
~ S
D.d ~ ได้ดังนี้
S
I
Ψ= ~ S
D.d ~
S
I
k
= â .dsâr
2 r
r
IS
k
= 2
(âr .âr ) ds
S r
สรุปได้ว่า
I
k
Ψ= 2 ds
R S
k
= 2 4πR2
R
= 4πk
2. เราสามารถหาฟลั
Z กซ์ของสนามไฟฟ้าที่ออกจากปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย r ≤ R จาก
~
div Ddv ได้ดังนี้
V Z
Ψ= ~
div Ddv
V
เนื่องจาก
I
~ S
D.d ~
1 k 2
~ = ∆v→0 ∆v = ∆v→0
lim lim 4πr , r=0
div D ∆v r2
1 ∂ r 2 Dr
1 ∂ 1 ∂Dφ
+ (sin θDθ ) + , r 6= 0
2
r ∂r r sin θ ∂θ r sin θ ∂φ
ดังนั้น
1
4πk lim
, r=0
~ = ∆v→0 ∆v
div D 2
2 k
1 ∂ r D r 1 ∂ r r 2
= 2 = 0, r 6= 0
r2 ∂r r ∂r
นั่นคือ
~ = 4πkδ(~r)
div D
3. เราสามารถหาประจุทั้งหมดในปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย r ≤ R ได้จากสมการ
q = Ψ = 4πk
4. เราสามารถหาความหนาแน่นของประจุที่จุดใดๆในปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย r ≤ R
ได้จากสมการ
~ = 4πkδ(~r)
ρV = div D
2.4. ความสัมพันธ์ระหว่างกฎของคูลอมบ์ (COULOMB’S LAW)และกฎของเกาส์ (GAUSS’S LAW)39
เนื่องจากความสมมาตรความหนาแน่นฟลักซ์ทางไฟฟ้าในแนวรัศมีมีการกระจาย
สม่ำเสมอดังนั้น
D 4πr2 = Q
~ = Dâr = Q
นั่นคือD âr
4πr2
นอกจากนี้เนื่องจาก
~ = E
D ~
ดังนั้น
~ = Q
E âr
4πr2
ถ้าหากมีประจุ q ที่ตำแหน่งที่แสดงโดยเวคเตอร์แสดงตำแหน่ง ~r ดังนั้นแรงจากประจุ Q
ที่กระทำกับ q เป็นไปตามสมการ
~ = Qq âr
F~ = q E
4πr2
เป็นไปตามกฎของคูลอมบ์
พิจารณาพื้นผิวปิด S ที่มีประจุไฟฟ้าภายในทั้งหมด qenclosed ถ้าหากเราแบ่งประจุ
qenclosed ออกเป็นชิ้นส่วนย่อย ๆ ∆i q ดังนั้นจากกฎของคูลอมบ์ ความเข้มของสนามไฟฟ้า
∆E ~ i อันเนื่องมาจากประจุไฟฟ้า ∆i qenclosed เป็นไปตามสมการ
~i = ∆i qenclosed âRi
∆E
4πRi2
ดังนั้น
X X I X I
Ψ= ∆i Ψ = ~ S
∆i D.d ~ = ~ S
∆i D.d ~
i i S i S
เนื่องจาก
~ i = ∆i qenclosed âRi
~ = ∆E
∆i D
4πRi2
ดังนั้น
X X I ∆i qenclosed âRi ~
X
Ψ= ∆i Ψ = .dS = ∆i qenclosed = qenclosed
i i S 4πRi2 i
~ = 2kρL âρ
E
ρ
หรือ
~ = Ex âx + Ey ây = 2kρL x âx + 2kρL y ây
E
x2 + y 2 x2 + y 2
เส้นกระแสสอดคล้องกับสมการ
dy Ey y
= =
dx Ex x
หรือ
dy dx
=
y x
ดังนั้น
ln y = ln x + ln c หรือ y = cx
บทที่ 3
ศักย์ทางไฟฟ้า (Electrical
Potential) และพลังงาน (Energy)
ตัวอย่าง 24. ให้ F~app = xâx +zây +yâz จงหางานที่ใช้ในการเคลื่อนวัตถุเป็นเส้นตรงจาก (0, 0, 0) ถึง
(1, 1, 1)
x=t
y=t
z=t
C = {(x, y, z) ∈ R3 | x = t, y = t, z = t}
41
42บทที่ 3. ศักย์ทางไฟฟ้า (ELECTRICAL POTENTIAL) และพลังงาน (ENERGY)
เราสามารถหางานได้จากสมการ
Z (1,1,1) Z (1,1,1)
W = F~app . d~l = (xâx + zây + yâz ) .d~l
C,(0,0,0) C,(0,0,0)
นั่นคือ
(1,1,1) 1 1
1
3t2
Z Z Z
3
W = x dx+z dy+y dz = (t dt+t dt+t dt) = 3t dt = =
C,(0,0,0) 0 0 2 0 2
x=t
y = t2
z=0
C = {(x, y, z) ∈ R3 | x = t, y = t2 , z = 0}
เราสามารถหางานได้จากสมการ
Z (1,1,0) Z (1,1,0)
W = F~app . d~l = (yâx + xây ) .d~l
C,(0,0,0) C,(0,0,0)
และดังนั้น
Z (1,1,0)
W = y dx + x dy
C,(0,0,0)
Z t=1
= 2
(t dt + t dt2 )
t=0
Z t=1
= (t2 dt + 2t2 dt)
t=0
Z 1
= 3t2 dt
0
3 1
= t 0
นั่นคือ W = 1
3.2 ศักย์ทางไฟฟ้า
เราสามารถนิยามศักย์ทางไฟฟ้าที่ตำแหน่ง A ได้จากงานในการนำประจุทดสอบ qt 1 คูลอมบ์จาก
อนันต์มายังตำแหน่งนั้น ๆ นั่นคือ
Z A
V = F~app . d~l
∞
3.2.1 ศักย์ทางไฟฟ้าอันเนื่องมาจากจุดประจุ
~ = 1 q
E âr
4π0 r2
1 qqt
F~ = âr
4π0 r2
44บทที่ 3. ศักย์ทางไฟฟ้า (ELECTRICAL POTENTIAL) และพลังงาน (ENERGY)
ตัวอย่าง 26. วางจุดประจุบนแกน x ที่ตำแหน่ง 3a, 9a, 27a, 81a, . . . มีประจุ 2q, 6q,
12q, 20q, . . . วางอยู่ตามลำดับ (จนถึงอนันต์) จงหาศักย์ไฟฟ้าที่จุดกำเนิดในเทอมของ
k, q, a โดยที่ a > 0
วิธีทำ ศักย์ไฟฟ้าที่จุดกำเนิดเป็นไปตามสมการ
∞
X kqi
V =
|ri |
i=1
2q 6q 12q 20q
=k +k +k +k + ...
3a 9a 27a 81a
เราจะได้ว่า
1 2q 6q 12q
V =k +k +k + ...
3 9a 27a 81a
เราจะได้ว่า
1 2V 2q 4q 6q 8q
V − V = =k +k +k +k + ...
3 3 3a 9a 27a 81a
และ
1 2V 2V 2q 4q 6q 8q
= =k +k +k +k + ...
3 3 9 9a 27a 81a 243a
นอกจากนี้
2V 2V 4V 2q 2q 2q 2q
− = =k +k +k +k + ...
3 9 9 3a 9a 27a 81a
เนื่องจากอนุกรมนี้เป็นอนุกรมเรขาคณิตซึ่งลู่เข้า ดังนั้น
2q
4V k 3a kq
= 1 =
9 1− 3 a
9kq
นั่นคือศักย์ไฟฟ้าที่จุดกำเนิด V =
4a
3.2.2 ศักย์ทางไฟฟ้าอันเนื่องมาจากประจุในปริมาตร
พิจารณาประจุในปริมาตร V ซึ่งมีความหนาแน่นของประจุ ρV เราสามารถหาศักย์
ทางไฟฟ้า V ที่เวคเตอร์แสดงตำแหน่ง ~r ได้โดยการแบ่งปริมาตรออกเป็น n ปริมาตร
ย่อย ๆ ∆vi ที่เวคเตอร์แสดงตำแหน่ง r~i เราจะได้ว่า
k∆qi
∆Vi =
Ri
46บทที่ 3. ศักย์ทางไฟฟ้า (ELECTRICAL POTENTIAL) และพลังงาน (ENERGY)
โดยที่
∆Vi คือ ศักย์ทางไฟฟ้าอันเนื่องมาจากประจุ ∆qi ในปริมาตร ∆vi
Ri = |~r − r~i | คือ ระยะห่างระหว่างปริมาตร ∆vi และตำแหน่งที่แสดงโดยเวคเตอร์
แสดงตำแหน่ง ~r
เราจะได้ศักย์ทางไฟฟ้ารวมดังสมการ
n
X
V = ∆Vi
i=1
n
X k∆qi
=
Ri
i=1
n
X kρV i ∆vi
V =
|~r − r~i |
i=1
kρV dv 0
Z
V =
V |~r − r~0 |
3.2.3 ศักย์ทางไฟฟ้าอันเนื่องมาจากประจุในพื้นผิว
k∆qi
∆Vi =
Ri
โดยที่
∆Vi คือ ศักย์ทางไฟฟ้าอันเนื่องมาจากประจุ ∆qi ในพื้นผิว ∆si
Ri = |~r − r~i | คือ ระยะห่างระหว่างพื้นผิว ∆si และตำแหน่งที่แสดงโดยเวคเตอร์
แสดงตำแหน่ง ~r
3.2. ศักย์ทางไฟฟ้า 47
เราจะได้ศักย์ทางไฟฟ้ารวมดังสมการ
n
X
V = ∆Vi
i=1
n
X k∆qi
=
Ri
i=1
1. ศักย์ V ที่จุดกำเนิด
~ ที่จุดกำเนิด
2. ความเข้มของสนามไฟฟ้า E
1. ศักย์ V ที่จุดกำเนิด
kQ
dV =
r
kρS ds
=
ρ
kρS ρdρdφ
=
ρ
Z bZ 2π
kρS ρ
V = dφdρ
a 0 ρ
= 2πkρS (b − a)
48บทที่ 3. ศักย์ทางไฟฟ้า (ELECTRICAL POTENTIAL) และพลังงาน (ENERGY)
~ ที่จุดกำเนิด
2. ความเข้มของสนามไฟฟ้า E
~ = dQ
dE â
r2
kρS ds
= â
ρ2
kρS ρdρdφ
= â
ρ2
~ = kρS ρdρdφ
dE âρ
ρ2
Z 2π Z b
~ =− kρS ρ
E âρ dρdφ
0 a ρ2
= ~0
3.2.4 ศักย์ทางไฟฟ้าอันเนื่องมาจากประจุบนเส้นโค้ง
พิจารณาประจุในเส้นโค้ง L ซึ่งมีความหนาแน่นของประจุ ρL เราสามารถหาศักย์
ทางไฟฟ้า V ที่เวคเตอร์แสดงตำแหน่ง ~r ได้โดยการแบ่งเส้นโค้งออกเป็น n เส้นโค้ง
ย่อย ๆ ∆li ที่เวคเตอร์แสดงตำแหน่ง r~i เราจะได้ว่า
k∆qi
∆Vi =
Ri
โดยที่
∆Vi คือ ศักย์ทางไฟฟ้าอันเนื่องมาจากประจุ ∆qi ในเส้นโค้ง ∆li
Ri = |~r − r~i | คือ ระยะห่างระหว่างเส้นโค้ง ∆li และตำแหน่งที่แสดงโดยเวคเตอร์
แสดงตำแหน่ง ~r
เราจะได้ศักย์ทางไฟฟ้ารวมดังสมการ
n
X
V = ∆Vi
i=1
n
X k∆qi
=
Ri
i=1
3.2. ศักย์ทางไฟฟ้า 49
kρL dl0
Z
V =
L |~r − r~0 |
kρL dx0
dV =
L − x0
ดังนั้น
l
kρL dx0
Z
L L
V = 0
= − kρL ln (L − x0 )0 = kρL ln
0 L−x L−l
π
ตัวอย่าง 29. พิจารณาวัตถุที่มีประจุบนเส้นรูปครึ่งวงกลม ρ = ρ0 และ ≤ φ ≤
2
3π
ที่มีความหนาแน่นของประจุไฟฟ้าต่อความยาว ρL = k0 sin φ โดยที่ k0 คงตัวบน
2
เส้นโค้งโดยที่ ρ = ρ0 , 0 ≤ φ ≤ π และ z = 0 จงหา
kdq
dV =
|~r − ~r0 |
kdq
~ =
dE (~r − ~r0 )
|~r − ~r0 |3
วิธีทำ
50บทที่ 3. ศักย์ทางไฟฟ้า (ELECTRICAL POTENTIAL) และพลังงาน (ENERGY)
kdq
dV =
|~r − ~r0 |
p
โดยที่ dq = ρρL dφ0 และ |~r − ~r0 | = ρ2 + z 2
π 3π
โดยการอินทิเกรตจาก φ0 = ถึง φ0 = จะได้
2 2
Z 3π
2 kρρL
V = p dφ0
π 2
ρ +z 2
2
3π
kρ0 k0 sin φ0 0
Z
2
= p dφ
π
2
ρ2 + z 2
Z 3π
kρ0 k0 2
=p sin φ0 dφ0
2
ρ +z 2 2 π
=0
kdq
~ =
dE (~r − ~r0 )
|~r − ~r0 |
p
โดยที่ dq = ρρL dφ0 , ~r − ~r0 = zâz − ρâρ และ |~r − ~r0 | = ρ2 + z 2
π 3π
โดยการอินทิเกรตจาก φ0 = ถึง φ0 = จะได้
2 2
3π
kρρL dφ0
Z
2
~ =
E 3 (zâz − ρâρ ) dφ0
π
2 (ρ2 + z2) 2
3π
kρk0 sin φ0 dφ0
Z
2
= 3 (zâz − ρâρ )
π
2(ρ2 + z 2 ) 2
Z 3π Z 3π
kρk0 z 2 2 kρ2 k0 sin φ0 âρ dφ0
0 0
= 3 sin φ dφ âz − 3
(ρ2 + z 2 ) 2 π2 π
2 (ρ2 + z 2 ) 2
3.3. ศักย์ทางไฟฟ้า (ELECTRICAL POTENTIAL)และความเข้มของสนามไฟฟ้า (ELECTRICAL FIELD INTENSITY)5
โดยที่
F~appl คือแรงท่ใช้ในการเคลื่อนประจุ qt
เนื่องจาก F~appl = −F~E~ ดังนั้น
dW = −F~E~ .d~r
W
และเนื่องจาก V = และ F~E~ = qt E
~ ดังนั้น
qt
~ r
dV = −E.d~ (3.3)
เนื่องจาก
dx
d~r = dy
dz
ดังนั้นเราจะได้
dV = OV.d~r (3.4)
∂V
∂x
∂V ∂V ∂V
โดยที่ OV = ∂V หรือ âx + ây + âz
∂y ∂x ∂y ∂z
∂V
∂z
~ r = −OV.d~r ไม่ว่า d~r จะวางตัวในทิศทางใดดังนั้นเมื่อเทียบสมการ 3.4
เนื่องจาก E.d~
กับสมการ 3.3 จะได้ว่า
E~ = −OV
โดยที1่
∂V ∂V ∂V
OV = âx + ây + âz (พิกัดฉาก)
∂x ∂y ∂z
∂V 1 ∂V ∂V
OV = âρ + âφ + âz (พิกัดทรงกระบอก)
∂ρ ρ ∂φ ∂z
∂V 1 ∂V 1 ∂V
OV = âr + âθ + âφ (พิกัดทรงกลม)
∂r r ∂θ r sin θ ∂φ
วิธีทำ เราอาจทำตัวอย่างโจทย์ข้อนี้ได้สองแนวทางดังนี้
1. เนื่องจากเราสามารถหาความเข้มของสนามไฟฟ้าได้ดังสมการ
~ = ρ0 âρ
E
2πρ
~ ~l ดังนั้น
และศักย์ V = −E.d
Z x
ρ0
V =− âρ .d~l
∞ 2πρ
1
OV สำหรับพิกัดทรงกระบอกและพิกัดทรงกลมไม่พิสูจน์ในที่นี้
3.3. ศักย์ทางไฟฟ้า (ELECTRICAL POTENTIAL)และความเข้มของสนามไฟฟ้า (ELECTRICAL FIELD INTENSITY)5
2. เนื่องจาก
kdq
dV =
R
1 √
โดยที่ dq = ρL dl0 = ρL dz 0 , k = และ R = x2 + z 02
4π
ดังนั้น
ρ dz 0
dV = √L
4π x2 + z 02
หรือ ∞
ρ dz 0
Z
V = √L
−∞ 4π x2 + z 02
นอกจากนี้
ρL x sec2 α cos α dα
dV =
4πx
ρL sec α dα
=
4π
หรือ
Z π
2 ρL sec α dα
V =
− π2 4π
Z π
2 π
โดยใช้ความจริงที่ว่า sec αdα = ln (sec α + tan α) |−2 π = ∞ จะได้ว่า
− π2 2
π ∞, ρ0 > 0
Z
ρ0 2
V = sec α dα =
4π − π2 −∞, ρ0 < 0
ดังนั้น
Z 2π Z 2π
kρ αdφ kρ0 α kρ0 α
V = √ 0 =√ dφ = 2π √
2
α +z 2 α2 + z 2 α2 + z 2
0 0
เนื่องจากความสมมาตรรอบแกน z ดังนั้น
~
ตัวอย่าง 32. ให้ศักย์ไฟฟ้า V = x2 −y 2 ในหน่วย (Volt) จงหาความเข้มของสนามไฟฟ้า E
วิธีทำ
~ = −O.V
E
∂V ∂V ∂V
=− âx + ây + âz
∂x ∂y ∂z
= −2xâx − 2yây (ในหน่วย(Volt/m))
3.4. ความต่างศักย์ และ กฎแรงดันไฟฟ้าของเคอร์ชอฟฟ์ (VOLTAGE DIFFERENCE AND KIRCHHOFF’S VOLTAGE
นั่นคือ I
~ ~l = 0
E.d
I
ความจริงแล้วสมการ ~ ~l = 0 คือกฎแรงดันไฟฟ้าของเคอร์ชอฟฟ์ P V = 0 โดยที่ V
E.d
เป็นความต่างศักย์ในแต่ละสาขาบนวงปิดใด ๆในวงจรไฟฟ้านั่นเอง
วิธีทำ ไม่ได้เพราะสมการ
kρ0 α
V = 2π √
α2 + z 2
แสดงค่าศักย์ไฟฟ้าเฉพาะบนแกน z เท่านั้นไม่ได้แสดงให้เห็นว่าศักย์ไฟฟ้าเปลี่ยนไปตาม
ตำแหน่งบนระนาบ xy อย่างไร
56บทที่ 3. ศักย์ทางไฟฟ้า (ELECTRICAL POTENTIAL) และพลังงาน (ENERGY)
~ r=0
E.d~
เราเรียกเส้นโค้งนี้ว่าเส้นสมศักย์(Equipotential Line)
~ r = −OV.d~r ไม่ว่า d~r จะวางตัวในทิศทางใดดังนั้นเมื่อเทียบสมการ 3.4
เนื่องจาก E.d~
กับสมการ 3.3 จะได้ว่า
~ r=0
dV = E.d~
~ ⊥ d~r และเนื่องจาก d~r มีทิศทางอยู่ในแนวเดียวกับเส้นสมศักย์ L นั่นคือ E
ดังนั้น E ~
ตั้งฉากกับเส้นสมศักย์ L เสมอ
kqd cos θ
V =
r2
kqd cos θ ~ ได้จากสมการ
จากสมการ V = เราสามารถหาความเข้มของสนามไฟฟ้า E
r2
~ = −OV
E
∂V 1 ∂V 1 ∂V
=− âr + âθ + âφ
∂r r ∂θ r sin θ ∂φ
kQd
= 3 (2 cos θâr + sin θâθ )
r
3.7. พลังงานและความหนาแน่นของพลังงาน (ENERGY AND ENERGY DENSITY)57
k~
p.âr
V =
r2
∆W1 = 0 (3.5)
นั่นคือ
n
X
WE = ∆Wi (3.10)
i=1
n i−1
!
X X
= (∆qi Vi,k ) (3.11)
i=1 k=1
เนื่องจาก
จะได้ว่า
n n
1X X
WE = (∆qi Vi,k ) (3.13)
2
i=1 k=1,k6=i
n
X
ถ้าให้ Vi = Vi,k ดังนั้น
k=1,k6=i
n
1X
WE = (∆qi Vi ) (3.14)
2
i=1
เมื่อให้ n → ∞ จะได้
Z
1
WE = (ρV ) dv (3.16)
2 vol
~ = ρ ดังนั้น
เนื่องจาก O.D
Z
1
~ V dv
WE = O.D (3.17)
2 vol
จากสมการ ก.11
~ = V O.D
O. V D ~ + D.
~ (OV ) (3.18)
3.7. พลังงานและความหนาแน่นของพลังงาน (ENERGY AND ENERGY DENSITY)59
จะได้ว่า
Z
1
~ − D.
~ (OV ) dv
WE = O. V D (3.19)
2 vol
โดยใช้ทฤษฎีบทไดเวอร์เจนซ์
I Z
1 ~
~ 1
~ (OV ) dv
WE = V D . dS − D. (3.20)
2 S 2 vol
นั่นคือ
Z
1
~ (OV ) dv
WE = − D. (3.22)
2 vol
~ = −OV จะได้ว่า
นอกจากนี้ แทน E
Z
1
~ E
~ dv
WE = D. (3.23)
2 vol
นอกจากนี้ความหนาแน่นของพลังงานของสนามไฟฟ้าสถิตย์เป็นไปตามสมการ
1~ ~ 1
wE = D.E = E 2 (3.24)
2 2
4. ความหนาแน่นของพลังงานในรูปของไฟฟ้าสถิตย์ wE
วิธีทำ
60บทที่ 3. ศักย์ทางไฟฟ้า (ELECTRICAL POTENTIAL) และพลังงาน (ENERGY)
และความสมมาตรรอบแกนของสายร่วมแกนเราจะได้ว่า
2. จากสมการ Z
1 ~ E~ dv
WE = D.
2 V
เราจะได้
1 L 2π b ρS a ρS a
Z Z Z
WE = âρ . âρ ρdρdφdz
2 0 0 a ρ ρ
1 L 2π b ρ2S a2
Z Z Z
= dρdφdz
2 0 0 a ρ
1 L 2π b ρ2S a2
Z Z Z
= dρdφdz
2 0 0 a ρ
1 ρ2S a2 b 1
Z Z 2π Z L
= dρ dφ dz
2 a ρ 0 0
ρ2S a2 πL
b
= ln
a
3.7. พลังงานและความหนาแน่นของพลังงาน (ENERGY AND ENERGY DENSITY)61
3. เนื่องจาก Z
1
WE = ρV V dv และ ρV dv = ρS ds
2 V
ดังนั้น
Z
1
WE = ρS V ds
2 S
1
= (Qa Va + Qb Vb )
2
นอกจากนี้เนื่องจากประจุ Qa ที่ตัวนำด้านในเหนี่ยวนำให้เกิดประจุตรงข้ามที่มีขนาด
เท่ากัน Qb นั่นคือ
และดังนั้น
WE = πaLρS (Va − Vb )
นอกจากนี้เนื่องจาก
Z a
Va − Vb = − ~ L
E.d ~
b
Z a
ρS a
=− âρ .d~l
b ρ
Z a
ρS a
=− dρ
b ρ
ρS a b
= ln
a
ดังนั้น
ρ2 a2
b
WE = πL S ln
a
62บทที่ 3. ศักย์ทางไฟฟ้า (ELECTRICAL POTENTIAL) และพลังงาน (ENERGY)
4. เนื่องจาก
1~ ~
wE = D.E
2
ดังนั้น
0, ρ<a
1 ρ2S a2
1~ ~ ρS a ρS a
wE = D.E = 12 âρ . âρ = , a<ρ<b
2
ρ ρ 2 ρ2
0, ρ>b
3. ศักย์ไฟฟ้า V บนพื้นผิวของทรงกลมโลหะ
Z
1 ~ E~ dv
4. พลังงานในรูปของไฟฟ้าสถิตย์ WE โดยใช้สมการ WE = D.
2 V
Z
1
5. พลังงานในรูปของไฟฟ้าสถิตย์ WE โดยใช้สมการ WE = ρV V dv
2 V
วิธีทำ
~ ได้จากกฎของเกาส์ดังต่อไปนี้
1. เราสามารถหาความหนาแน่นของฟลักซ์ไฟฟ้า D
0 ,r < a
Dr 4πr2 =
ρ 4πa2 , r > a
S
ดังนั้น
0 ,r < a
Dr = a 2
ρS ,r > a
r
นั่นคือ
~0 ,r < a
~ = Dr âr =
D a 2
ρS âr ,r > a
r
3.7. พลังงานและความหนาแน่นของพลังงาน (ENERGY AND ENERGY DENSITY)63
~
~ = D ดังนั้น
2. เนื่องจากความเข้มของสนามไฟฟ้า E
0 ,r < a
Er = ρS a 2
,r > a
r
นั่นคือ
~0 ,r < a
~ = Er âr =
E
ρS a âr
2
,r > a
r
3. ศักย์ไฟฟ้า V บนพื้นผิวของทรงกลมโลหะเป็นไปตามสมการ
Z a Z a Z a Z a a
~ ~ ρS a 2 ρS a2 ρS a
V =− E.dl = − Er dr = − Er dr = − dr = =
∞ ∞ ∞ ∞ r r ∞
4. พลังงานในรูปของไฟฟ้าสถิตย์ WE โดยใช้สมการ
Z
1 ~ E~ dv
WE = D.
2 V
เนื่องจาก
~0 ,r < a
~ = Dr âr =
D a 2
ρS âr ,r > a
r
และ
dv = 4πr2 dr
ดังนั้น
ρ2S a 4
Z
1
WE = 4πr2 dr
2 V r
Z ∞ 2 4
ρS a
= 2π dr
a r2
∞
ρ2S a4
= −2π
r a
a3 ρ2S
= 2π
64บทที่ 3. ศักย์ทางไฟฟ้า (ELECTRICAL POTENTIAL) และพลังงาน (ENERGY)
5. พลังงานในรูปของไฟฟ้าสถิตย์ WE โดยใช้สมการ
Z
1
WE = ρV V dv
2 V
ρS a
แทนค่า V = และ ρV dv = ρS ds จะได้
Z Z
1 ρS a 1 ρS a
WE = ρS ds = ρS ds
2 S 2 S
Z
เนื่องจาก ds = 4πa2 ดังนั้น
S
a3 ρ2S
WE = 2π
3.8 เงื่อนไขขอบเขตสำหรับรอยต่อระหว่างตัวนำสมบูรณ์แบบ
กับประภูมิอิสระ (Boundary Condition for Interface be-
tween Perfect Conductor and Free Space)
พิจารณารอยต่อระหว่างตัวนำสมบูรณ์แบบกับประภูมิอิสระเราสามารถหาเงื่อนไขขอบเขต
ได้ดังนี้
เมื่อ ∆l → 0 เราจะได้
DN1 ∆S + (DN2 ) ∆S = ρS ∆S
~ ภายในตัวนำสอดคล้องกับสมการ
เนื่องจาก E
J~ = σ E
~
และความนำภายในตัวนำเป็นอนันต์ นอกจากนี้ความหนาแน่นของกระแส J~
~ = ~0 นั่นคือ
มีค่าจำกัดดังนั้น E
DN2 = EN2 = 0
DN1 ∆S + (−DN2 ) ∆S = ρS
เราจะได้
DN1 = ρS
เมื่อ ∆h → 0 เราจะได้
Et2 ∆l + (−Et1 ) ∆l = 0
66บทที่ 3. ศักย์ทางไฟฟ้า (ELECTRICAL POTENTIAL) และพลังงาน (ENERGY)
~ ภายในตัวนำสอดคล้องกับสมการ
เนื่องจาก E
J~ = σ E
~
และความนำภายในตัวนำเป็นอนันต์ นอกจากนี้ความหนาแน่นของกระแส J~
~ = ~0 นั่นคือ
มีค่าจำกัดดังนั้น E
Et2 = 0
Et2 ∆l + (−Et1 ) ∆l = 0
เราจะได้
Et1 = 0
d d
ตัวอย่าง 36. ให้ประจุ q อยู่สูง อยู่ที่ ( 0, 0, ในพิกัดฉาก) เหนือระนาบตัวนำ
2 2
ไฟฟ้าอนันต์จงหา
π
1. V ที่ P (r, φ, θ) ในพิกัดทรงกลม เมื่อ r >> 0, 0 < θ <
2
~ ที่ P (r, φ, θ) ในพิกัดทรงกลม เมื่อ r >> 0, 0 < θ < π
2. E
2
วิธีทำ
1. จากทฤษฎีภาพฉายเราสามารถหา V ได้จาก
kq k(−q)
V = +
r1 r2
kq(r2 − r1 )
=
r1 r2
3.9. ทฤษฎีภาพฉาย (IMAGE THEORY) 67
~ โดยใช้ทฤษฎีภาพฉายและ
วิธีทำ เราสามารถหาความเข้มของสนามไฟฟ้า E
~ ตามสมการ
กฎของคูลอมบ์ เราจะได้ความเข้มของสนามไฟฟ้า E
~ = q (−q)
E (−âz ) + âz
4π0 r2 4π0 r2
68บทที่ 3. ศักย์ทางไฟฟ้า (ELECTRICAL POTENTIAL) และพลังงาน (ENERGY)
หรือ
~ =− 2q
E âz
4π0 r2
d
แทนค่า r = จะได้ว่า
2
~ = − 2q âz
E
π0 d2
จากเงื่อนไขขอบเขต เราจะได้ว่า
2q 2q
ρs = DN = 0 − =−
π0 d2 πd2
โดยที่ความหนาแน่นของฟลักซ์ไฟฟ้าอันเนื่องมาจากตัวนำโลหะบนหาได้จากการใช้กฎ
ของคูลอมบ์ตามสมการ
Dh (2πh)∆l = ρS (2πa)∆l
จะได้ว่า
ρS a
Dh =
h
นอกจากนี้
~ h = − ρS a âz
D
h
70บทที่ 3. ศักย์ทางไฟฟ้า (ELECTRICAL POTENTIAL) และพลังงาน (ENERGY)
ในทำนองเดียวกัน
~ −h = − ρS a âz
D
h
นั่นคือ
เราสามารถหาความหนาแน่นของประจุไฟฟ้าต่อพื้นที่หาได้จากเงื่อนไขขอบเขตดังนี้
1 ρS R2
DN = Dr |r=R = 0 Er |r=R = 0 = ρS
0 r2 r=R
นั่นคือความหนาแน่นของประจุไฟฟ้าต่อพื้นที่เท่ากับ ρS
1. (x, y, z) = (0, 0, 0)
2. (x, y, 0) ใดๆ
วิธีทำ
3.9. ทฤษฎีภาพฉาย (IMAGE THEORY) 71
~ เหนือระนาบตัวนำไฟฟ้าอนันต์
1. เราสามารถหาความเข้มของสนามไฟฟ้า E
ได้โดยใช้ทฤษฎีภาพฉาย
~ = 1 q (−âz ) + 1 −q (âz )
E
4π h2 4π h2
2 q
=− âz
4π h2
เราจะได้ว่า
~ = E
D ~
2 q
= − âz
4π h2
1 q
=− âz
2π h2
(3.25)
นั่นคือ
1 q
ρS = DN = −
2π h2
~ เหนือระนาบตัวนำไฟฟ้าอนันต์
2. เราสามารถหาความเข้มของสนามไฟฟ้า E
ได้โดยใช้ทฤษฎีภาพฉาย
~ = 1 qh 1 −qh
E 3 (−âz ) + (âz )
4π (x2 + y 2 + h2 ) 2 4π (x2 + y 2 + h2 ) 23
2 qh
=− âz
4π (x2 + y 2 + h2 ) 23
เราจะได้ว่า
~ = E
D ~
2 qh
= − âz
4π h2
1 qh
=− âz
2π (x2 + y 2 + h2 ) 32
นั่นคือ
1 qh
ρS = DN = −
2π (x2 + y 2 + h2 ) 32
72บทที่ 3. ศักย์ทางไฟฟ้า (ELECTRICAL POTENTIAL) และพลังงาน (ENERGY)
บทที่ 4
กระแสและตัวนำ
(Current and Conductors)
กระแสถูกนิยามว่าเป็นอัตราของการเคลื่อนที่ของประจุผ่านระนาบอ้างอิงที่กำหนดนั่นคือ
dQ
I=
dt
∆I = JN ∆S (4.1)
~ S
∆I = J.∆ ~ (4.2)
1
ความหนาแน่นของกระแส J~ เป็นปริมาณเวคเตอร์ (Vector Quantity)
73
74 บทที่ 4. กระแสและตัวนำ (CURRENT AND CONDUCTORS)
~ เป็นเวคเตอร์ที่ตั้งฉากกับพื้นผิว ∆S และมีขนาดเท่ากับ ∆S
โดยที่ ∆S
นอกจากนี้เราอาจเขียนสมการ ∆I = J.∆ ~ S ~ ในรูปแบบอินทิกรัลตามสมการ
Z
I= ~ S
J.d ~
S
ถ้าหากเราพิจารณาประจุที่มีการเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วในแนวแกน x (vx )
และความหนาแน่นของประจุ ρν เคลื่อนผ่านพื้นที่ตั้งฉาก ∆S ดังนั้นประจุที่
เคลื่อนผ่าน ∆S ในแนวตั้งฉากในช่วงเวลา ∆t คือ
∆Q = ρν ∆S∆x
Jy = ρν vy
Jz = ρν vz
เนื่องจาก
ดังนั้น
J~ = ρν vx âx + ρν vy ây + ρν vz âz = ρν ~v
นั่นคือ
J~ = ρν ~v
กระแสอันเนื่องมาจากการเคลื่อนที่ของประจุในลักษณะนี้เรียกว่ากระแสการพา (Convec-
tion Current)
4.2. ตัวนำโลหะ (METALLIC CONDUCTOR) 75
ในตัวนำอิเล็คตรอนอิสระเคลื่อนที่ภายใต้อิทธิพลของแรงอันเนื่องจากความเข้มของ
สนามไฟฟ้า E ~ ตามสมการ
F~ = −eE ~
ในกรณีที่อิเล็คตรอนอิสระอยู่ภายในประภูมิอิสระอิเล็คตรอนอิสระจะเคลื่อนที่ด้วย
ความเร่ง หากแต่ในกรณีนี้อิเล็คตรอนอิสระจะถูกกีดขวางด้วยการจัดเรียงตัวเป็นผลึก
อิเล็คตรอนอิสระที่ถูกกระตุ้นทางอุณหภูมิอย่างต่อเนื่องจนได้ความเร็วคงตัวเรียกว่า
ความเร็วลอยเลื่อน (Drift Velocity) ตามสมการ
~
~vd = −µe E (4.3)
J~ = −ρe µe E
~
J~ = σ E
~ (4.4)
่ ~ = σE
โดยทีJ ~
นอกจากนี้ Z A
VAB = VA − VB = − ~ L
E.d ~ = EL
B
76 บทที่ 4. กระแสและตัวนำ (CURRENT AND CONDUCTORS)
นั่นคือ
VAB = IR (4.5)
โดยที่
L
R= คือ ความต้านทาน (Resistance)
σS
ความจริงแล้วสมการ 4.5 คือ กฎของโอห์มนั่นเอง
σ = −ρe µe + ρh µh
บทที่ 5
หลักการอนุรักษ์ของประจุ
(Conservation Principle of Charge)
และเนื่องจากประจุอาจเขียนอยู่ในรูปความหนาแน่นของประจุไฟฟ้าได้ว่า
Z
q= ρ dV (5.3)
V
ดังนั้น
Z
Z d ρ dV
O.J~ dV = − V
(5.4)
V dt
77
78บทที่ 5. หลักการอนุรักษ์ของประจุ(CONSERVATION PRINCIPLE OF CHARGE)
หรือ
Z Z
∂ρ
O.J~ dV = − dV (5.5)
V V ∂t
นั่นคือ
∂ρ
O.J~ = − (5.6)
∂t
ตัวอย่าง 41. พิจารณาปริมาตรรูปทรงกลมรัศมี R ถ้าความหนาแน่นของประจุ
ρ0 −(αr+βt)
ρV (t) = e , 0 ≤ r ≤ R, 0 ≤ t
r2
จงหา
1. ความหนาแน่นของประจุในปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย 0 ≤ r ≤ R ที่เวลา
t=0
2. ประจุทั้งหมดในปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย 0 ≤ r ≤ R ที่เวลา t = 0
3. กระแสที่ไหลออกจากปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย 0 ≤ r ≤ R
4. ความหนาแน่นของกระแสต่อพื้นที่ที่ไหลออกจาก r = R
วิธีทำ
1. ความหนาแน่นของประจุในปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย 0 ≤ r ≤ R ที่เวลา
t = 0 เป็นไปตามสมการ
ρ0 −(αr+β(0)) ρ0 −αr
ρV (0) = e = 2e
r2 r
2. ประจุในปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย 0 ≤ r ≤ R ที่เวลา t = 0
เป็นไปตามสมการ
Z Z R
ρ0 −αr ρ0
4πr2 dr = 4π 1 − e−αR
q(0) = ρV (0) dv = 2
e
V 0 r α
3. กระแสที่ไหลออกจากปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย 0 ≤ r ≤ R
เป็นไปตามสมการ
dq
I=−
dt
5.1. หลักการอนุรักษ์ของประจุ (CONSERVATION PRINCIPLE OF CHARGE)79
เนื่องจาก Z
q(t) = ρV (t) dv
V
ดังนั้น
Z
d ρV (t) dv
dq(t) V
=
dt dt
Z R
ρ0 −(αr+βt) 2
d 2
e 4πr dr
0 r
=
dt
Z R
−(αr+βt)
d 4πρ0 e dr
0
=
dt
!
ρ0 −(αr+βt) R
d 4π e
−α
0
=
ρ dt ρ0
0 −(βt)
= −4πβ e − e−(αR+βt)
α α
4πβρ0 −(βt)
=− e − e−(αR+βt)
α
นั่นคือกระแส I เป็นไปตามสมการ
dq 4πβρ0 −(βt)
I=− = e − e−(αR+βt)
dt α
4. ความหนาแน่นของกระแสต่อพื้นที่ J~ เป็นไปตามสมการ
I
J~ = Jr âr = âr
S
โดยที่ S = 4πR2
นั่นคือ
βρ0 −(βt)
J~ = 2 e − e−(αR+βt) âr
R α
ตัวอย่าง 42 (ข้อสอบเก่ากลางภาค ปีการศึกษา 2556). พิจารณาปริมาตรรูป
ทรงกระบอกที่มีหน้าตัดเป็นวงกลมรัศมี R ถ้าความหนาแน่นของประจุ
ρ0 −(αρ+βt)
ρV (t) = e , 0 ≤ ρ ≤ R, 0 ≤ z ≤ h, t ≥ 0
ρ
80บทที่ 5. หลักการอนุรักษ์ของประจุ(CONSERVATION PRINCIPLE OF CHARGE)
เมื่อ ρ0 เป็นค่าคงตัว
จงหา
1. ความหนาแน่นของประจุในปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย 0 ≤ ρ ≤ R และ 0 ≤ z ≤
h ที่เวลา t = 0
3. กระแสที่ไหลออกจากปริมาตรที่ถูกกำหนดโดย 0 ≤ ρ ≤ R และ 0 ≤ z ≤
h ที่เวลา t = 0
วิธีทำ
1. แทน t = 0 ลงในสมการ
ρ0 −(αρ+βt)
ρV (t) = e , 0 ≤ ρ ≤ R, 0 ≤ z ≤ h, t ≥ 0
ρ
จะได้
ρ0 −(αρ)
ρV (0) = e , 0 ≤ ρ ≤ R, 0 ≤ z ≤ h
ρ
ρ0 −(αρ)
แทน ρV (0) = e ลงไปในสมการ
ρ
Z R
q= 2πρhρV (0) dρ
0
5.1. หลักการอนุรักษ์ของประจุ (CONSERVATION PRINCIPLE OF CHARGE)81
จะได้ว่า
Z R
ρ0 −(αρ)
q= 2πρh e dρ
0 ρ
Z R
= 2πhρ0 e−(αρ) dρ
0
ρ0 0
= 2πh e−(αρ)
α R
ρ0 −(αR)
= 2πh 1−e
α
3. เนื่องจากประจุทั้งหมดในปริมาตรเป็นไปตามสมการ
Z
q= ρV (t) dv
V
Z R
= 2πρhρV (t) dρ
0
ρ0 −(αρ+βt)
ดังนั้นเมื่อแทน ρV (t) = e ลงไปในสมการ
ρ
Z R
q= 2πρhρV (t) dρ
0
จะได้ว่า
Z R
ρ0 −(αρ+βt)
q= 2πρh e dρ
0 ρ
Z R
= 2πhρ0 e−(αρ+βt) dρ
0
ρ0 −(αρ+βt) 0
= 2πh e
α
R
ρ0 −βt −(αR+βt)
= 2πh e −e
α
เราสามารถหากระแสที่เวลา t ได้จาก
dq
I(t) = −
dt
ρ0 −βt
= 2πhβ e − e−(αR+βt)
α
สรุปได้ว่า
ρ0
I(0) = 2πhβ 1 − e−(αR)
α
82บทที่ 5. หลักการอนุรักษ์ของประจุ(CONSERVATION PRINCIPLE OF CHARGE)
4. เราสามารถหาความหนาแน่นของกระแสต่อพื้นที่ที่ไหลออกจาก ρ = R, 0 ≤ z ≤
h ที่เวลา t = 0 ได้จาก
~ I(0)
J(0) = âρ
2πRh
ρ0
= 2πhβ 1 − e−(αR) âρ
2πRhα
hρ0
=β 1 − e−(αR) âρ
Rhα
ρ0
=β 1 − e−(αR) âρ
Rα
5.2 หลักการอนุรักษ์ของประจุและกฎกระแสของเคอร์ชอฟฟ์
(Conservation Principle of Charge and Kirchhoff’s Cur-
rent Law)
พิจารณาปริมาตร V ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยพื้นผิวปิด S ดังนั้นจากหลักการอนุรักษ์ของประจุ
∂ρ
O.J~ = −
∂t
เราจะได้ Z
Z Z ∂ ρ dV
∂ρ
O.J~ dV = − dV = − V
V V ∂t ∂t
Z
เนื่องจาก q = ρ dV ดังนั้น
V
Z
dq
O.J~ dV = −
V dt
นอกจากนี้จากทฤษฎีบทไดเวอร์เจนซ์
I Z
~ ~
J.dS = O.J~ dv
S V
จะได้ว่า I
~ S
J.d ~ = − dq
S dt
5.2. หลักการอนุรักษ์ของประจุและกฎกระแสของเคอร์ชอฟฟ์(CONSERVATION PRINCIPLE OF CHARGE AND KIR
ในกรณีที่ไม่มีการสะสมหรือลดลงของประจุภายในปริมาตร V นั่นคือ
dq
=0
dt
เราจะได้ว่า I
~ S
J.d ~=0
S
นั่นคือ
n
X
Ii = 0
i=1
84บทที่ 5. หลักการอนุรักษ์ของประจุ(CONSERVATION PRINCIPLE OF CHARGE)
บทที่ 6
ไดอิเลคตริคและความจุ
(Dielectrics and Capacitance)
เราสามารถจำลองแบบโมเลกุลของไดอิเลคตริคด้วยไดโพลดังแสดงในรูป
จากบทก่อนเรานิยามโมเมนต์ไดโพล p~ ตามสมการ
p~ = q d~
n∆v
X
p~total = p~i
i=1
โดยที่ n คือความหนาแน่นของโมเลกุลหรือไดโพลโมเมนต์ต่อปริมาตร
85
86 บทที่ 6. ไดอิเลคตริคและความจุ (DIELECTRICS AND CAPACITANCE)
โดยที่ q เป็นประจุที่อยู่ในพื้นผิวปิด S
โมเลกุลของไดอิเลคตริคด้วยไดโพลดังแสดงในรูป มีการจัดเรียงแบบสุ่ม
เมื่อมีความเข้มของสนามไฟฟ้า E ~ จากภายนอกผ่านไดอิเลคตริค โมเลกุลของ
ไดอิเลคตริคจะมีการจัดเรียงใหม่ดังรูป
ประจุภายในพื้นผิวปิด S จะมีการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการจัดเรียงตัว
ใหม่ของโมเลกุล qb ดังนั้นเมื่อมีความเข้มของสนามไฟฟ้า E ~ จากภายนอกผ่าน
ไดอิเลคตริค ความหนาแน่นของฟลักซ์ไฟฟ้าเป็นไปตามสมการ
I
~ S
D. ~ = qt
S
dqb = −n~ ~
p.dS
นั่นคือ I
qb = − n~ ~
p.dS
S
ดังนั้น
P~ = n~
p
และดังนั้น I I
~ S
D.d ~ =q− P~ .dS
~
S S
6.1. ไดอิเลคตริค (DIELECTRICS) 87
นั่นคือ I
~ + P~ .dS
0 E ~=q
S
ถ้าหากให้
P~ = χE
~
ดังนั้น I
~ S
0 (1 + χ) E.d ~=q
S
~ = E
นอกจากนี้เราให้ r = 1 + χ และ D ~ ดังนั้น
I
~ S
E.d ~=q
S
~ = E
โดยที่ = r 0 และ D ~
พิจารณารอยต่อระหว่างตัวนำสมบูรณ์แบบกับไดอิเลคตริคเราสามารถหาเงื่อนไขขอบเขตได้
ดังนี้
เมื่อ ∆l → 0 เราจะได้
DN1 ∆S + (DN2 ) ∆S = ρS ∆S
~ ภายในตัวนำสอดคล้องกับสมการ
เนื่องจาก E
J~ = σ E
~
และความนำภายในตัวนำเป็นอนันต์ นอกจากนี้ความหนาแน่นของกระแส J~
~ = ~0 นั่นคือ
มีค่าจำกัดดังนั้น E
DN2 = EN2 = 0
88 บทที่ 6. ไดอิเลคตริคและความจุ (DIELECTRICS AND CAPACITANCE)
DN1 ∆S + (−DN2 ) ∆S = ρS
เราจะได้
DN1 = ρS
เมื่อ ∆h → 0 เราจะได้
Et2 ∆l + (−Et1 ) ∆l = 0
~ ภายในตัวนำสอดคล้องกับสมการ
เนื่องจาก E
J~ = σ E
~
และความนำภายในตัวนำเป็นอนันต์ นอกจากนี้ความหนาแน่นของกระแส J~
~ = ~0 นั่นคือ
มีค่าจำกัดดังนั้น E
Et2 = 0
Et2 ∆l + (−Et1 ) ∆l = 0
เราจะได้
Et1 = 0
6.1. ไดอิเลคตริค (DIELECTRICS) 89
เมื่อ ∆l → 0 เราจะได้
DN1 ∆S − (DN2 ) ∆S = ρS ∆S
DN1 = DN1
DN1 = DN1
90 บทที่ 6. ไดอิเลคตริคและความจุ (DIELECTRICS AND CAPACITANCE)
เราจะได้
1 EN1 = 2 EN2
เมื่อ ∆h → 0 เราจะได้
Et2 ∆l + (−Et1 ) ∆l = 0
นั่นคือ
Et1 = Et2
และ Z z=d Z d
~ ~l = ρS d
V =− E.d E dz = Ed =
z=0 0
เราสามารถหาความจุได้จาก
q ρS S S
C= = ρ d =
V S d
โดยที่ q เป็นประจุบนแผ่นโลหะแผ่นบนและ V = E1 d + E2 d
เนื่องจากประจุ q หาได้จาก
q = ρS S
และ
D1 D2
E1 = และ E2 =
1 2
6.2. ความจุ (CAPACITANCE) 93
ดังนั้น
q ρS S ρS S
C= = = D1
V E1 d + E2 d 1 d + D22 d
นอกจากนี้จากเงื่อนไขขอบเขต
ρS = DN 1 = DN 2
และ
D1 = DN 1 และ DN 2 = D2
เราจะได้ว่า
ρS S 1
C = ρS ρS = 1
d+ d 1
1 2 +
1 S 2 S
d d
โดยที่ q = q1 + q2 และ V = E1 d = E2 d
เนื่องจากประจุ q1 และ q2 หาได้จาก
ดังนั้น
ρS1 S1 ρS2 S2
C= +
E1 d E2 d
D1 D2
เนื่องจาก E1 = = Et1 , E2 = = Et2
1 2
และจากเงื่อนไขขอบเขต
Et1 = Et2
ดังนั้น
1 ρS1 S1 2 ρS2 S2
C= +
D1 d D2 d
6.2. ความจุ (CAPACITANCE) 95
นอกจากนี้เนื่องจาก
ρS1 = DN 1 และ ρS2 = DN 2
และ
D1 = DN 1 และ D2 = DN 2
ดังนั้น
1 S1 2 S2
C= +
d d
ตัวอย่าง 46. พิจารณาตัวเก็บประจุซึ่งเป็นสายร่วมแกนความยาว L อยู่ในแนวแกน z
ตัวนำภายในมีรัศมี a โดยมีความหนาแน่นของประจุเท่ากับ ρS คงตัว และตัวนำภายนอก
มีรัศมีด้านใน b และมีรัศมีด้านนอก c และจงหาความจุของตัวเก็บประจุนี้
~ ตามสมการ
วิธีทำ โดยใช้กฎของเกาส์เราสามารถหาความเข้มของสนามไฟฟ้า E
~ = aρS âρ
E
ρ
96 บทที่ 6. ไดอิเลคตริคและความจุ (DIELECTRICS AND CAPACITANCE)
เราสามารถหาความจุ C ได้จาก
q ρS (2πaL)
C= =
V aρS b
ln
a
(2πL)
= (6.1)
b
ln
a
1. ประจุบนผิวโลหะทรงกลมลูกใน
~ ระหว่างทรงกลมสองลูก
2. ขนาดของความเข้มของสนามไฟฟ้า E
3. ความต่างศักย์ระหว่างทรงกลมสองลูก
4. ความจุของตัวเก็บประจุทรงกลมสองลูกนี้
5. ฟลักซ์ทางไฟฟ้าที่ผ่านพื้นผิวของเกาส์ r = 2b
วิธีทำ
~ ระหว่างทรงกลมสองลูก
2. ขนาดของความเข้มของสนามไฟฟ้า E
จาก
ρS 4πa2 = E(4πr2 )
เราจะได้ว่า a 2
E = ρS
r
6.2. ความจุ (CAPACITANCE) 97
3. ความต่างศักย์ระหว่างทรงกลมสองลูก
Z b
V = E. ~
~ dl
a
Z b a 2
= ρS dr
a r
b
a2
= − ρS
r
a
2 1 1
= ρS a −
a b
4. ความจุของตัวเก็บประจุทรงกลมสองลูกนี้
Q
C=
V
4πρS a2
=
2
1 1
ρS a −
a b
4π
=
1 1
−
a b
5. ฟลักซ์ทางไฟฟ้าที่ผ่านพื้นผิวของเกาส์ r = 2b
Ψ|r=2b = Qencl = Q − Q = 0
98 บทที่ 6. ไดอิเลคตริคและความจุ (DIELECTRICS AND CAPACITANCE)
บทที่ 7
สมการของปัวส์ซงและลาปลาซ
(Poisson’s Equation and Laplace’s
Equation)
เนื่องจาก
~ = ρV
O.D และ ~ = E
D ~ (7.1)
เราจะได้สมการ
~ = ρV
O.E
นอกจากนี้เนื่องจาก
~ = −OV
E
ρV
O.OV = − (7.2)
99
100บทที่ 7. สมการของปัวส์ซงและลาปลาซ(POISSON’S EQUATION AND LAPLACE’S EQUATION)
O2 V = 0 (7.4)
วิธีทำ จากสมการของลาปลาซ
O2 V = 0
ในพิกัดฉาก(Rectangular Coordinates)
∂2V ∂2V ∂2V
O2 V = 2
+ 2
+
∂x ∂y ∂z 2
ในพิกัดทรงกระบอก(Cylindrical Coordinates)
1 ∂2V ∂2V
1 ∂ ∂V
O2 V = ρ + 2 2
+
ρ ∂ρ ∂ρ ρ ∂φ ∂z 2
ในพิกัดทรงกลม(Spherical Coordinates)
∂2V
1 ∂ ∂V 1 ∂ ∂V 1
O2 V = 2 r2 + 2 sin θ + 2 2
r ∂r ∂r r sin θ ∂φ ∂θ r sin θ ∂φ2
2
เราประมาณแผ่นโลหะว่าเป็นระนาบตัวนำไฟฟ้าอนันต์
7.1. ทฤษฎีบทความเป็นหนึ่ง (UNIQUENESS THEOREM) 101
V (z) = c1 z + c2
V0 z
V (z) =
d
~ เมื่อ 0 ≤ z ≤ d เป็นไปตามสมการ
นอกจากนี้ความเข้มของสนามไฟฟ้า E
V0 z
d
~ = −OV = − dV âz = −
E
d V0
âz = − âz
dz dz d
โดยที่เงื่อนไขขอบเขตเป็นไปตามสมการ
V = Vb
ρV
ถ้าหากว่า V1 และ V2 ต่างก็เป็นผลเฉลยของสมการของปัวส์ซง O2 V = − และ
สอดคล้องกับเงื่อนไขขอบเขต V = Vb ดังนั้น
ρV ρV
O2 V1 = − และ O2 V2 = −
นอกจากนี้
V1b = V2b = Vb
นั่นคือ
ρV ρ
V
O2 (V1 − V2 ) = O2 V1 − O2 V2 = − − − =0
และ
V1b − V2b = Vb − Vb = 0
จากเอกลักษณ์ทางคณิตศาสตร์
O. V D ~ = V O.D
~ + D.
~ (OV )
ถ้าเราให้
V = V1 − V2 และ ~ = O (V1 − V2 )
D
จะได้ว่า
และ
Z Z
O. [(V1 − V2 ) O (V1 − V2 )] dv = (V1 − V2 ) [O.O (V1 − V2 )] dv
V ZV
+ O (V1 − V2 ) . [O (V1 − V2 )] dv
ZV
(V1 − V2 ) O2 (V1 − V2 ) dv
=
ZV
+ O (V1 − V2 ) . [O (V1 − V2 )] dv
V
7.1. ทฤษฎีบทความเป็นหนึ่ง (UNIQUENESS THEOREM) 103
นอกจากนี้โดยใช้ทฤษฎีบทไดเวอร์เจนซ์เราจะได้ว่า
Z Z
O. [(V1 − V2 ) O (V1 − V2 )] dv = ~
[(V1 − V2 ) O (V1 − V2 )] .S
V S
เนื่องจากบน S ดังนั้น
V1 = V1b และ V2 = V2b
และ
V1 − V2 = V1b − V2b = 0
นั่นคือ
Z Z
O. [(V1 − V2 ) O (V1 − V2 )] dv = ~
[(V1 − V2 ) O (V1 − V2 )] .S
V ZS
= ~
[(V1b − V2b ) O (V1 − V2 )] .S
S
=0
จากเหตุผลที่ได้กล่าวมาข้างต้น เราจะได้ว่า
Z Z
O (V1 − V2 ) . [O (V1 − V2 )] dv = |O (V1 − V2 ) |2 dv = 0
V V
นอกจากนี้
V1b − V2b = 0
นั่นคือ
V1 − V2 = 0
สรุปได้ว่า V มีได้ผลเฉลยเดียวเนื่องจาก V1 = V2
104บทที่ 7. สมการของปัวส์ซงและลาปลาซ(POISSON’S EQUATION AND LAPLACE’S EQUATION)
พิจารณาสมการของปัวส์ซง
ρ
− V , ในปริมาตร V
2
O V = 0
0 , นอกปริมาตร V
โดยที่
∆Vi เป็นศักย์ทางไฟฟ้าอันเนื่องมาจาก ∆qi = ρV ∆vi ซึ่งอยู่ที่เวคเตอร์แสดงตำแหน่ง ~ri0
นั่นคือ
1 ρV ∆vi
∆Vi = (7.5)
4π0 |~r − ~ri0 |
และ
n n
X 1 X ρV ∆vi
V = ∆Vi = (7.6)
4π0 |~r − ~ri0 |
i=1 i=1
ถ้าหากพิจารณาสมการของปัวส์ซง
ρV
O2 V = −
7.2. การแก้สมการของปัวส์ซงและสมการของลาปลาซ (POISSON’S AND LAPLACE’S EQUATIONS)105
แล้วสมการของปัวส์ซงใน 1 มิติกลายเป็น
d2 V ρV
2
=−
dx
ในที่นี้เราจะพิจารณาเฉพาะตัวอย่างง่ายๆต่อไปนี้
วิธีทำ โดยการอินทิเกรต
Z
dV 2ρ0 x x
= − sech tanh dx
dx a a
2ρ0 a x
= sech + c1
a
จาก
dV 2ρ0 a x
Ex = − =− sech − c1 → 0 เมื่อx → ±∞
dx a
เราจะได้ว่า c1 = 0 นั่นคือ
dV 2ρ0 a x
= sech
dx a
เมื่อเราอินทิเกรตอีกครั้งเราจะได้
Z
2ρ0 a x
V = sech dx
a
4ρ0 a2 x
= arctan e a + c2
และดังนั้น
4ρ0 a2 x π
V = arctan e a −
4
106บทที่ 7. สมการของปัวส์ซงและลาปลาซ(POISSON’S EQUATION AND LAPLACE’S EQUATION)
บริเวณที่มีขอบเขตใน 1 มิติ
d2 V
O2 V = 0 หรือ =0
dx2
ผลเฉลยคือ
V = αx + β
โดยที่
Va − Vb
α= และ
a −b
Va − Vb
β = Va − a
a−b
นั่นคือ
Va − Vb Va − Vb
V = x + Va − a
a−b a−b
บริเวณที่มีขอบเขตใน 2 มิติ
∂2V ∂2V
O2 V = 2
+ =0
∂x ∂y 2
นอกจากนี้เงื่อนไขขอบเขตคือ
0, x = 0 และ 0 ≤ y < b
V = 0, x = a และ 0 ≤ y < b
0, 0 ≤ x ≤ a และ y = 0
และ
V = V0 , 0 ≤ x ≤ a และ y = b
X
วิธีทำ ให้ V = Vn = Xn (x)Yn (y) จะได้ว่า
n
∂ 2 Vn ∂ 2 Vn
+ =0
∂x2 ∂y 2
ดังนั้น
∂ 2 Xn (x) ∂ 2 Yn (y)
Yn (y) + Xn (x) =0
∂x2 ∂y 2
นั่นคือ
1 ∂ 2 Xn (x) 1 ∂ 2 Yn (y)
+ =0
Xn (x) ∂x2 Yn (x) ∂y 2
1 ∂ 2 Xn (x) 1 ∂ 2 Yn (y)
เนื่องจาก ขึ น
้ กั บ x เท่ า นั น
้ และ ขึ้นกับ y เท่านั้น ดังนั้น
Xn (x) ∂x2 Yn (x) ∂y 2
1 ∂ 2 Xn (x) 1 ∂ 2 Yn (y)
และ ต้องเป็นค่าคงตัว
Xn (x) ∂x2 Yn (x) ∂y 2
เราอาจแบ่งการพิจารณาออกเป็น 2 กรณีคือ
1 ∂ 2 Xn (x) 1 ∂ 2 Yn (y)
1. = − = −αn2 , αn ≥ 0
Xn (x) ∂x2 Yn (x) ∂yn2
ในกรณีนี้เราจะได้ว่า
และ
Yn (y) = d1,n cosh (αn y) + d2,n sinh (αn y)
X X
นั่นคือ V = Vn = Xn (x)Yn (y) เป็นไปตามสมการ
n n
X
V = (c1,n cos (αn x) + c2,n sin (αn x)) (d1,n cosh (αn y) + d2,n sinh (αn y))
n
108บทที่ 7. สมการของปัวส์ซงและลาปลาซ(POISSON’S EQUATION AND LAPLACE’S EQUATION)
เมื่อพิจารณาเงื่อนไขขอบเขต
0, x = 0 และ 0 ≤ y < b
V = 0, x = a และ 0 ≤ y < b
0, 0 ≤ x ≤ a และ y = 0
เมื่อพิจารณาเงื่อนไขขอบเขต
V = V0 , 0 ≤ x ≤ a และ y = b
cn ต้องสอดคล้องกับสมการ
Z a mπ X Z a nπ mπ
nπb
V0 sin x dx = cn sin x sin x sinh dx
0 a n 0 a a a
นั่นคือ Z a
mπ
sin
x dx
0 a
cn = V0 Z a nπ 2
nπb
sin x sinh dx
0 a a
1 ∂ 2 Xn (x) 1 ∂ 2 Yn (y)
2. = − = αn2 , αn ≥ 0
Xn (x) ∂x2 Yn (x) ∂y 2
และ
Yn (y) = d1,n cos (αn y) + d2,n sin (αn y)
7.2. การแก้สมการของปัวส์ซงและสมการของลาปลาซ (POISSON’S AND LAPLACE’S EQUATIONS)109
X X
นั่นคือ V = Vn = Xn (x)Yn (y) เป็นไปตามสมการ
n
X
V = (c1,n cosh (αn x) + c2,n sinh (αn x)) (d1,n cos (αn y) + d2,n sin (αn y))
n
เมื่อพิจารณาเงื่อนไขขอบเขต
0, x = 0 และ 0 ≤ y < b
V = 0, x = a และ 0 ≤ y < b
0, 0 ≤ x ≤ a และ y = 0
และ
V = V0 , 0 ≤ x ≤ a และ y = b
จะได้ว่าเป็นไปไม่ได้
1. 1 มิติพิจารณา
d2 V
O2 V =
dx2
V (i + 1) − V (i) V (i) − V (i − 1)
−
= ∆x ∆x
∆x
เมื่อ ∆x = h
d2 V
O2 V =
dx2
V (i + 1) − V (i) V (i) − V (i − 1)
−
= h h
h
V (i + 1) − 2V (i) + V (i − 1)
=
h2
110บทที่ 7. สมการของปัวส์ซงและลาปลาซ(POISSON’S EQUATION AND LAPLACE’S EQUATION)
2. 2 มิติพิจารณา
∂2V ∂2V
O2 V = +
∂x2 ∂y 2
V (i + 1, j) − V (i, j) V (i, j) − V (i − 1, j)
−
≈ ∆x ∆x
∆x
V (i, j + 1) − V (i, j) V (i, j) − V (i, j − 1)
−
∆y ∆y
+
∆y
เมื่อ ∆x = ∆y = h
∂2V ∂2V
O2 V = +
∂x2 ∂y 2
V (i + 1, j) − V (i, j) V (i, j) − V (i − 1, j)
−
≈ h h
h
V (i, j + 1) − V (i, j) V (i, j) − V (i, j − 1)
−
+ h h
h
V (i + 1, j) + V (i − 1, j) − 4V (i, j) + V (i, j + 1) + V (i, j − 1)
≈
h2
ตัวอย่าง 51. พิจารณาสมการของลาปลาซ
d2 V
= 0, 0 < x < L
dx2
7.2. การแก้สมการของปัวส์ซงและสมการของลาปลาซ (POISSON’S AND LAPLACE’S EQUATIONS)111
1. จาโคบิ
2. เกาส์-ไซเดล
วิธีทำ
1. วิธีวนซ้ำแบบจาโคบิ
V(0,0) = 0; %initialize
V(I,0) = V0;%initialize
x(0) = 0;
x(I) = L;
for i = 1:I-1
V(i,0) = 0; %Initial Guess
end
for Iteration = 1:ITERATION
112บทที่ 7. สมการของปัวส์ซงและลาปลาซ(POISSON’S EQUATION AND LAPLACE’S EQUATION)
V(0,Iteration) = 0; %initialize
V(I,Iteration) = V0; %initialize
for i = 1:I-1
V(i,iteration) = 0; %Initial Guess
end
for i = 1:I-1
V(i,iteration) = (V(i-1,Iteration-1) + V(i+1,Iteration-1))/2;
x(i) = i*L/I;
end
2. วิธีวนซ้ำแบบเกาส์-ไซเดล
V(0) = 0; %initialize
V(I) = V0;%initialize
x(0) = 0;
x(L) = L;
for i = 1:I-1
V(i) = 0; %Initial Guess
end
for Iteration = 1:ITERATION
for i = 1:I-1
V(i) = (V(i-1) + V(i+1)/2;
x(i) = i*L/I;
end
วิธีทำ
for j = 0:J
7.2. การแก้สมการของปัวส์ซงและสมการของลาปลาซ (POISSON’S AND LAPLACE’S EQUATIONS)113
y(0) = 0;
y(J) = L2;
V(0,j) = 0; %initialize
V(I,j) = 0; %initialize
for i = 0: I
V(i,0) = 0; %initialize
V(i,J) = V0; %initialize
x(0) = 0;
x(L) = L1;
end
end
for j = 1:J-1
for i = 1:I-1
V(i,j) = 0; %Initial Guess
end
end
for Iteration = 1:ITERATION
for i = 1:I-1
x(i) = i*L1/I;
for j = 1:J-1
V(i,j) = (V(i-1,j) + V(i+1,j) + V(i,j-1) + V(i, j+ 1))/4;
y(j) = j*L2/J;
end
end
end
114บทที่ 7. สมการของปัวส์ซงและลาปลาซ(POISSON’S EQUATION AND LAPLACE’S EQUATION)
บทที่ 8
สนามแม่เหล็กสำหรับสถานะคงตัว
(Steady State Magnetic Field)
~ × âr
IdL
~ =
dH 12
(8.1)
2
4πr12
วิธีทำ จากกฎของบีโอต์-ซาวาร์ต
~ × âr
IL
~ =
dH 12
2
4πr12
115
116บทที่ 8. สนามแม่เหล็กสำหรับสถานะคงตัว(STEADY STATE MAGNETIC FIELD)
ρ z0 ~ = dz 0 âz
โดยที่ âr12 = p âρ − p âz และ dL
ρ2 + z 02 ρ2 + z 02
เราจะได้ว่า
!
ρ z0
Idz 0 âz × p âρ − p âz
ρ2 + z 02 ρ2 + z 02
~ =
dH
4π (ρ2 + z 02 )
นั่นคือ
Iρ
~ =
dH 3 dz 0 âφ (8.2)
4π (ρ2 + z 02 ) 2
เนื่องจาก
ρ
z 0 = ρ tan α และ cos α = p
ρ2 + z 02
ดังนั้น
!3
0 2 3 ρ
dz = ρ sec α dα และ cos α = p
ρ2 + z 02
8.1. กฎของบีโอต์-ซาวาร์ต (BIOT-SAVART LAW) 117
และดังนั้น
~ = Iρ cos3 α sec2 α
dH dαâφ
4πρ2
I cos α
= dαâφ
4πρ
(8.3)
และดังนั้น
Z z=∞
~ = I cos α
H dαâφ
z=−∞ 4πρ
นั่นคือ
~ = I sin α| 2 π âφ
π
H −2
4πρ
I
= âφ
2πρ
วิธีทำ จากกฎของบีโอต์-ซาวาร์ต
~ × âr
IL
~ =
dH 12
2
4πr12
โดยที่
ρ z0
âr12 = p âρ − p âz
ρ2 + z 02 ρ2 + z 02
dL~ = dz 0 âz
เราจะได้ว่า !
ρ z0
Idz 0 âz × p âρ − p âz
ρ2 + z 02 ρ2 + z 02
~ =
dH
4π (ρ2 + z 02 )
118บทที่ 8. สนามแม่เหล็กสำหรับสถานะคงตัว(STEADY STATE MAGNETIC FIELD)
นั่นคือ
Iρ
~ =
dH 3 dz 0 âφ (8.4)
4π (ρ2 + z 02 ) 2
เนื่องจาก
ρ
z 0 = ρ tan α และ cos α = p
ρ2 + z 02
ดังนั้น !3
0 2 3 ρ
dz = ρ sec α dα และ cos α = p
ρ2 + z 02
และดังนั้น
~ = Iρ cos3 α sec2 α
dH dαâφ
4πρ2
I cos α
= dαâφ
4πρ
(8.5)
8.1. กฎของบีโอต์-ซาวาร์ต (BIOT-SAVART LAW) 119
และดังนั้น
Z α2
~ = I cos α
H dαâφ
α1 4πρ
นั่นคือ
~ I α2
H= sin α âφ
4πρ α1
I
= (sin α2 − sin α1 ) âφ
4πρ
วิธีทำ จากจากกฎของบีโอต์-ซาวาร์ต
~ × âr
IL
~ =
dH 12
2
4πr12
120บทที่ 8. สนามแม่เหล็กสำหรับสถานะคงตัว(STEADY STATE MAGNETIC FIELD)
โดยที่
âr12 = −âρ
dL~ = −dLâφ
r12 = R เราจะได้ว่า
นั่นคือ
I
~ = IdL (−âφ )
H
|r|=R 4πR2
I (2πR)
=− âz
4πR2
I
= − âz
2R
8.2 กฎของแอมแปร์
พิจารณาวงปิด C ในทิศทวนเข็มนาฬิกาซึ่งล้อมรอบพื้นผิว S และมีกระแสคงตัวไหลผ่านดังนั้น
I
~ ~l = Iencl
H.d
จากทฤษฎีบทของสโตกส์ในภาคผนวก
Z I
~ S
O × H.d ~ ~l
~ = H.d
S
~ S ~ เราจะได้ว่า
R
นอกจากนี้ Iencl = S J.d
Z Z
~ S
O × H.d ~= ~ S
J.d ~
S S
นั่นคือ
~ = J~
O×H
122บทที่ 8. สนามแม่เหล็กสำหรับสถานะคงตัว(STEADY STATE MAGNETIC FIELD)
วิธีทำ จากความสมมาตรและกฎของแอมแปร์
I
~ I~ = Iencl
H.d
และ
H(2πr) = I
นั่นคือ
~ = Hâφ = I âφ
H
2πr
~ = q
ตัวอย่าง 58 (ข้อสอบเก่าภาคต้นปีการศึกษา 2554). ให้ D âr จงหา
4π0 r2
Z
1. จงหา ~ S
O × D.d ~ โดยที่ S เป็นครึ่งทรงกลมรัศมี R
S
I
2. ~ L
D.d ~
C
8.2. กฎของแอมแปร์ 123
วิธีทำ
Z
~ = 0 ดังนั้นเราสามารถหา
1. เนื่องจาก O × D ~ S
O × D.d ~ ได้ดังนี้
S
Z Z
~ S
O × D.d ~= ~=0
0.dS
S S
I
2. เราอาจหาค่า ~ L
D.d ~ ได้หลายแนวทางดังนี้
C
I
~ ⊥ dL
(a) เนื่องจาก D ~ ดังนั้นเราสามารถหา ~ L
D.d ~ ได้ดังนี้
C
I
~ L
D.d ~ =0
C
และ
~ = d~r = ~r 0 dθ = (−R sin θâx + R cos θây ) dθ
dL
124บทที่ 8. สนามแม่เหล็กสำหรับสถานะคงตัว(STEADY STATE MAGNETIC FIELD)
นั่นคือ
I I
~ ~
D.dL = ~ L
D.d ~
C IC
q
= 3
(R cos θâx + R sin θây ) .d~r
C 4π0 R
Z 2π
q
= 2
(cos θâx + sin θây ) . (−R sin θâx + R cos θây ) dθ
0 4π 0R
=0
8.3 กฎของเกาส์สำหรับสนามแม่เหล็ก
(Gauss’s Law for Magnetic Fields)
กฎของเกาส์กล่าวว่าฟลักซ์แม่เหล็ก Φ ที่พุ่งผ่านพื้นผิวปิด S ใด ๆมีค่าเท่ากับศูนย์
นั่นคือ
Φ=0 (8.6)
ดังนั้น กฎของเกาส์สำหรับสนามแม่เหล็กอาจเขียนแทนได้ดังสมการ
I
~ S
B.d ~=0 (8.9)
S
ดังนั้น กฎของเกาส์สำหรับสนามแม่เหล็กสามารถเขียนใหม่ได้ดังนี้
Z Z
~
O.B dV = 0 dV (8.11)
V V
นั่นคือ
~ =0
O.B (8.12)
เปรียบเทียบกับสมการ Z a
Vab = − E. ~
~ dl
b
จะได้ว่า Z a
Vm,ab = − H. ~
~ dl
b
แต่เนื่องจากเอกลักษณ์ทางคณิตศาสตร์
O × OV = 0
~ = −OVm ลงในสมการ O × H
ดังนั้น เมื่อแทน H ~ = J~ จะได้
~ = −O × OVm = 0
O×H
วิธีทำ พิจารณากฎของแอมแปร์
I
H. ~ = Iencl
~ dl ในทิศทวนเข็มนาฬิกา
โดยที่
Iencl เป็นกระแสที่ถูกล้อมรอบด้วยวงปิดและเป็นไปตามกฎมือขวา
เราจะได้ว่า
Z b Z a
H. ~ +
~ dl ~ = Iencl
~ dl
H.
a,2 b,1
และ Z a Z a
H. ~ =
~ dl ~ + Iencl
~ dl
H.
b,1 b,2
Z a
นั่นคือ H. ~ ขึ้นกับเส้นทาง
~ dl
b
8.4. ศักย์แม่เหล็ก (MAGNETIC POTENTIAL) 127
วิธีทำ
1. โดยใช้กฎของแอมแปร์ I
~ L
H.d ~ =I
เราจะได้ว่า
I
Hφ =
2πρ
และ
~ = Hφ âφ = I âφ
H
2πρ
~ ∂Vm 1 ∂Vm ∂Vm
จากสมการ H = −OVm = − âρ + âφ + âz
∂ρ ρ ∂φ ∂z
Z (ρ,φ,z)
Vm (ρ, φ, z) − Vm (ρ = a, φ = 0, z = 0) = ~
OVm .dL
(ρ=a,φ=0,z=0)
Z φ
1 ∂Vm
= ρdφ
0 ρ ∂φ
เนื่องจาก
1 ∂Vm I
Hφ = − =
ρ ∂φ 2πρ
ดังนั้นเราจะได้ว่า
Z φ
I
Vm (ρ, φ, z) − 0 = − ρdφ0
2πρ
I
=− φ
2π
หรือ
I
Vm (ρ, φ, z) = − φ
2π
128บทที่ 8. สนามแม่เหล็กสำหรับสถานะคงตัว(STEADY STATE MAGNETIC FIELD)
2. จากสมการ
~ =0
O.B
~ = µH
แทน B ~ และ H
~ = −µOVm เราจะได้สมการของลาปลาซ
O2 V m = 0
8.5 เวคเตอร์ศักย์แม่เหล็ก
~ จากสมการ
เรานิยามเวคเตอร์ศักย์แม่เหล็ก (Vector Magnetic Potential) A
~ =O×A
B ~ (8.13)
~ =0
O.(O × A)
~ = O.(O × A)
O.B ~ =0
~ ~
~ = B = O × A ลงในกฎของแอมแปร์
เมื่อเราแทน H
µ0 µ0
~ = J~
O×H
จะได้
~ = µ0 J~
O × (O × A)
จากเอกลักษณ์ทางคณิตศาสตร์
~ = O(O.A)
O×O×A ~ − O2 A
~
เราจะได้ว่า
~ − O2 A
O(O.A) ~ = µ0 J~ (8.14)
~ = −µ0 J~
O2 A (8.15)
8.5. เวคเตอร์ศักย์แม่เหล็ก 129
~ = −µ0 J~ ใหม่ในรูป
โดยการเขียนสมการ O2 A
นั่นคือ
O2 Ax = −µ0 Jx (8.16)
O2 Ay = −µ0 Jy (8.17)
O2 Az = −µ0 Jz (8.18)
จากการเปรียบเทียบกับสมการ
ρV
O2 V = −
0
ซึ่งมีผลเฉลยเป็น Z
ρV
V = dv 0
V 4π0 |~r − r~0 |
เราจะได้ว่าผลเฉลยของสมการ 8.16 - 8.18 ตามลำดับ มีผลเฉลยเป็นสมการ 8.19 -
8.21 ตามลำดับดังต่อไปนี้
Z
µ0 Jx
Ax = dv 0 (8.19)
V 4π|~r−r| ~0
Z
µ0 Jy
Ay = dv 0 (8.20)
V 4π|~r − r~0 |
130บทที่ 8. สนามแม่เหล็กสำหรับสถานะคงตัว(STEADY STATE MAGNETIC FIELD)
Z
µ0 J z
Az = dv 0 (8.21)
V 4π|~r − r~0 |
นั่นคือ เราสามารถแสดงได้ว่า
µ0 J~
Z
~=
A dv 0 (8.22)
V 4π|~r − r~0 |
เนื่องจาก
~ 0 = Kds
Jdv ~ 0 = Id~l0
ดังนั้น เราสามารถแสดงได้ว่า
µ0 J~
Z
dv 0
~
r−r|
V 4π|~ 0
Z
µ ~
0K
~=
A ds0
S 4π|~
r − ~
r 0|
Z
µ0 I
d~l0
r − r~0 |
L 4π|~
วิธีทำ จากนิยาม I
~= µI ~
A dL
L 4π|~r − r~0 |
µI µI
เนื่องจาก = เป็นค่าคงตัว ดังนั้น
4π|~r − r~0 | 4πR
I I
~= µI ~ µI ~
A dL = dL
L 4πR 4πR L
I
แทน1 ~ = 0 จะได้
dL
L
I
~ = µI
A ~ =0
dL
4πR L
วิธีทำ จากนิยาม I
~= µI ~
A dL
L 4π|~r − r~0 |
µI µI
เนื่องจาก = √ เป็นค่าคงตัว ดังนั้น
4π|~r − r~0 | 4π R2 + z 2
I I
~= µI ~ = √ µI ~
A √ dL dL
2
4π R + z 2 4π R2 + z 2
L L
I
แทน2 ~ = 0 จะได้
dL
L
I
~= µI ~ =0
A √ dL
4π R2 + z 2 L
นอกจากนี้ความหนาแน่นของพลังงานของสนามแม่เหล็กสถิตย์เป็นไปตามสมการ
1~ ~ 1
wH = B. H = µH 2 (8.24)
2 2
I
2
เนื่องจากจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการอินทิเกรตเป็นจุดเดียวกัน ดังนั้น ~ =0
dL
L
บทที่ 9
แรงแม่เหล็ก, วัสดุและความเหนี่ยวนำ
dF~ = dq~v × B
~ = ρV ~v × Bdv
~
และความหนาแน่นของกระแส J~ เป็นไปตามสมการ
J~ = ρV ~v
ดังนั้น
dF~ = J~ × Bdv
~
dF~ = Id~l × B
~
133
134 บทที่ 9. แรงแม่เหล็ก, วัสดุและความเหนี่ยวนำ
นอกจากนี้ถ้าหากว่าชิ้นส่วนของพื้นผิว dS ที่มีกระแสไหลผ่านด้วยความหนาแน่นของกระแส
ต่อความยาว K~ และความหนาแน่นของฟลักซ์แม่เหล็ก B ~ ไหลผ่าน เราสามารถหาแรงแม่เหล็ก
dF~ ที่กระทำบนชิ้นส่วน dS หาได้จากการแทน Jdv ~ ~
= Kds ลงในสมการ dF~ =
J~ × Bdv
~ จะได้
dF~ = K
~ ×B ~ dS
~ สม่ำเสมอ
ถ้าหากกระแสคงตัวไหลบนเส้นโค้ง C โดยที่ความหนาแน่นของฟลักซ์แม่เหล็ก B
เราสามารถหาแรงแม่เหล็กที่กระทำบนเส้นโค้ง ได้ตามสมการ
Z Z
~
F = ~ ~
Idl × B = I d~l × B
~
C C
วิธีทำ จากสมการ
dF~ = Id~l × B
~
~ = Bâφ ได้จากกฎของแอมแปร์
โดยที่เราสามารถหา B
I
~ ~l = I และ B
H.d ~ = µH
~
นั่นคือ
2πdB
H(2πd) = =I
µ
หรือ
µI
B=
2πd
เราสามารถหาขนาดของแรงได้ตามสมการ
~ × B|
F = |I L ~ = ILB
9.1. แรงและโมเมนต์ของแรงแม่เหล็ก (FORCE AND MOMENT OF MAGNETIC FORCE)135
µI
แทน B = ลงในสมการ F = ILB จะได้
2πd
µI µI 2 L
F = IL =
2πd 2πd
นอกจากนี้ F~ เป็นแรงดูด
~ อันเนื่องมาจากลวดที่มีกระแส I1
วิธีทำ เราสามารถหาความเข้มของสนามแม่เหล็ก H
ได้จากกฎของแอมแปร์ I
~ ~l = I
H.d
หรือ
H(2πx) = I1
9.1. แรงและโมเมนต์ของแรงแม่เหล็ก (FORCE AND MOMENT OF MAGNETIC FORCE)137
นั่นคือ
~ = I1 âφ
H ~ = µ0 I1 âφ
และ B
2πx 2πx
แรง dF~ ที่กระทำกับชิ้นส่วน dx ที่ตำแหน่ง x เป็นไปตามสมการ
dF~ = I2 d~l × B
~
และดังนั้น Z b
µ0 I 1 I 2 µ0 I 1 I 2 b
F~ = dx âz = ln âz
a 2πx 2π a
เรานิยามโมเมนต์ของแรง T~ ได้จากสมการ
T~ = ~r × F~
เราอาจสังเกตได้ว่าโมเมนต์ของแรงขึ้นกับแกนอ้างอิง
หากแต่โมเมนต์ของแรงคู่ควบ (แรงสองแรงที่มีขนาดเท่ากันแต่ทิศทางตรงข้าม) ดังสมการ
ไม่ขึ้นกับแกนอ้างอิง
พิจารณาวงปิดสี่เหลี่ยมบนระนาบ xy กว้าง dx จาก x ไปยัง x+dx และยาว dy จาก y ไปยัง
y+dy กระแส I ไหลในทิศทวนเข็มนาฬิกา มีความหนาแน่นของฟลักซ์แม่เหล็กคงตัว B ~ ผ่าน
ดังนั้นจากนิยามของโมเมนต์
T~ = R
~ × F~
และสมการ
dF~ = IdL
~ ×B
~
จะได้ว่า
dT~ = R
~ × IdL
~ ×B
~
138 บทที่ 9. แรงแม่เหล็ก, วัสดุและความเหนี่ยวนำ
นั่นคือ
dT~ = IdS
~ ×B
~
~ = dxdyâz
โดยที่ dS
~
ในกรณีที่วงปิดเป็นวงปิดอย่างง่ายบนระนาบ xy และความหนาแน่นของฟลักซ์แม่เหล็ก B
สม่ำเสมอจะได้ว่า Z I
T~ = dT~ = IdS~ ×B~ = IS~ ×B
~
S
พิจารณารอยต่อระหว่างวัสดุเราสามารถหาเงื่อนไขขอบเขตได้ดังนี้
เมื่อ ∆l → 0 เราจะได้
BN1 ∆S − (BN2 ) ∆S = 0
นั่นคือ
BN1 = BN1
แทน BN1 = µ1 HN1 และ HN2 = µ2 HN2 ลงในสมการ
BN1 = BN1
เราจะได้
µ1 HN1 = µ2 HN2
เมื่อ ∆h → 0 เราจะได้
นั่นคือ
Ht1 − Ht2 = K
~ = Kâ เป็นความหนาแน่นของกระแสต่อความยาวซึ่งมีทิศออกจากกระดาษ
โดยที่ K
140 บทที่ 9. แรงแม่เหล็ก, วัสดุและความเหนี่ยวนำ
m ~
~ = Ib dS
~
ถ้าหากมี n ไดโพลต่อปริมาตรดังนั้นเราสามารถนิยามโมเมนต์ไดโพลแม่เหล็ก M
ได้ดังสมการ
n∆v
X
mi
~ i=1
M = lim
∆v→0 ∆v
I
IB = M ~ .d~l
จากกฎของแอมแปร์
I ~
B ~
.dl = IT
µ0
โดยที่
IT = I + IB
เราจะได้ว่า
I ~ !
B ~
I I ~
B
I = IT − IB = .dl − M~ .d~l = ~
−M .d~l
µ0 µ0
นั่นคือ I
~ ~l = I
H.d
!
~
B
~ =
โดยที่ H ~
−M ~ = µ0 H
หรือ B ~ +M
~
µ0
นอกจากนี้ถ้ากำหนดให้
~ = χm H
M ~
และ
µ = µr µ0
9.4. ความเหนี่ยวนำ (INDUCTANCE) 141
เราจะได้ว่า
~ = µH
B ~ (9.1)
หรือ
~ = µr µ0 H
B ~ (9.2)
โดยที่ µr = (1 + χm )
กระแสทำให้เกิดความเข้มของสนามแม่เหล็ก นอกจากนี้จากสมการ
~ = µH
B ~
และฟลักซ์แม่เหล็กที่พุ่งผ่านพื้นผิว S เป็นไปตามสมการ
Z
φ= ~ S
B.d ~
S
นั่นคือกระแสทำให้เกิดฟลักซ์แม่เหล็ก
เรานิยามความเหนี่ยวนำ (Inductance) L ได้จากสมการ
λ
L=
I
โดยที่ λ คือฟลักซ์แม่เหล็กทั้งหมดที่เชื่อมโยงกระแส
ในตัวอย่าง 65 - 67 ฟลักซ์แม่เหล็กทั้งหมดที่เชื่อมโยงกระแส λ เป็นไปตามสมการ
λ=φ
λ = Nφ
วิธีทำ จากกฎของแอมแปร์
I
~ ~l = I
H.d
จากความสมมาตรเราจะได้ว่า
~ = Hφ âφ
H
ดังนั้น Z 2π
Hφ ρdφ = I
0
หรือ
2πρHφ = I
และดังนั้น
I
Hφ =
2πρ
Z
~ = µ0 H
นอกจากนี้เนื่องจาก B ~ และ φ = ~ S
B.d ~ ดังนั้น
S
Z ρ2
µ0 I 0 µ0 I 0 ρ2
φ= L dρ = L ln
ρ1 2πρ 2π ρ1
วิธีทำ เราอาจทำได้โดยสองแนวทางดังนี้
1
สมมติว่าความหนาแน่นของกระแสคงตัวตลอดทั้งหน้าตัด
9.4. ความเหนี่ยวนำ (INDUCTANCE) 143
1. จากกฎของแอมแปร์ I
~ ~l = Iencl
H.d
~ = Hφ âφ ดังนั้น
เนื่องจาก H
ρ
Hφ = I , ρ<a
2πa2
และ
~ = µ0 Hφ âφ = µ0 I ρ âφ , ρ < a
~ = µ0 H
B
2πa2
เราสามารถหาฟลักซ์แม่เหล็กที่ไหลในช่วง ρ ≤ ρ0 ≤ ρ + dρ เมื่อ 0 ≤ ρ0 ≤
a ตามสมการ
~ S
dφ = B.d ~
= Bφ dS
ρ
= µ0 I L0 dρ
2πa2
นั่นคือ
µ0
Lint =
8π
2. จากกฎของแอมแปร์
I
~ ~l = Iencl
H.d
~ = Hφ âφ ดังนั้น
เนื่องจาก H
ρ
Hφ = I , ρ<a
2πa2
และ
~ = µ0 Hφ âφ = µ0 I ρ âφ , ρ < a
~ = µ0 H
B
2πa2
เราสามารถหาฟลักซ์แม่เหล็กที่ไหลในช่วง ρ ≤ ρ0 ≤ ρ + dρ เมื่อ 0 ≤ ρ0 ≤
a ตามสมการ
~ S
dφ = B.d ~
= Bφ dS
ρ
= µ0 I L0 dρ
2πa2
นอกจากนี้เนื่องจากฟลักซ์แม่เหล็กที่ไหลในช่วง ρ ≤ ρ0 ≤ a เมื่อ 0 ≤ ρ0 ≤
a ตามสมการ
Z a
ρ
φ= L0 dρ
µ0 I
2
ρ 2πa
ρ=a
ρ2 0
= µ0 I L
4πa2 ρ=ρ
1 0 ρ2 0
= µ0 I L − µ0 I 2
L
4π 4πa
ρ2
1
= µ0 I L0 1 − 2
4π a
9.4. ความเหนี่ยวนำ (INDUCTANCE) 145
ดังนั้นฟลักซ์ที่เชื่อมโยงกระแสที่ไหลในช่วง ρ ≤ ρ0 ≤ ρ + dρ เป็นไปตามสมการ
2πρ
dλ = dρ φ
πa2
ρ2
2πρ 1 0
= dρ µ0 I L 1 − 2
πa2 4π a
2
ρ ρ
= µ0 IL0 1 − 2 dρ
a 2πa2
และดังนั้นฟลักซ์ที่เชื่อมโยงกระแสที่ไหลในช่วง 0 ≤ ρ ≤ a เป็นไปตามสมการ
Z a
ρ2
0 ρ
λ= µ0 IL 1 − 2 dρ
0 a 2πa2
Z a
ρ3
ρ
= µ0 IL0 − dρ
0 2πa2 2πa4
2 ρ=a
0 ρ ρ4
= µ0 IL −
4πa2 8πa4 ρ=0
2
a4
a
= µ0 IL0 −
4πa2 8πa4
0 1 1
= µ0 IL −
4π 8π
1
= µ0 IL0
8π
นั่นคือ
λ
Lint =
IL0
1
= µ0 IL0
8πIL0
µ0
=
8π
~ ตามสมการ
วิธีทำ โดยใช้กฎของแอมแปร์เราสามารถหาความเข้มของสนามแม่เหล็ก H
I
~ ~l = Iencl
H.d
~ = Hφ âφ ดังนั้น
เนื่องจาก H
I
Hφ = , a≤ρ≤b
2πρ
และ
~ = µHφ âφ = µ I âφ , a ≤ ρ ≤ b
~ = µH
B
2πρ
เราสามารถหาฟลักซ์แม่เหล็กที่ไหลในช่วง ρ ถึง ρ + dρ เมื่อ a ≤ ρ ≤ b ตามสมการ
~ S
dφ = B.d ~
= Bφ dS
I 0
=µ L dρ
2πρ
9.4. ความเหนี่ยวนำ (INDUCTANCE) 147
นั่นคือฟลักซ์แม่เหล็กภายในลวดเป็นไปตามสมการ
Z b
I 0
φ= µ L dρ
a 2πρ
b
0 I
= µL ln ρ
2π
a
I b
= µ0 L0 ln
2π a
เราสามารถหาความเหนี่ยวนำต่อความยาว L ได้จาก
φ
L=
L0 I
นั่นคือ
µ0 b
L= ln
2π a
วิธีทำ จากความสมมาตรและกฎของแอมแปร์
I
~ ~l = Iencl
H.d
และ
Hφ (2πρ) = N I
โดยที่ I เป็นกระแสที่ไหลผ่านขดลวด
เราจะได้ว่า
µN I
Bφ = µHφ =
2πρ
เนื่องจากรัศมีโดยเฉลี่ยของทอรอยด์เท่ากับ a และพื้นที่หน้าตัดเท่ากับ S ดังนั้น
ฟลักซ์แม่เหล็กที่ไหลในแกนกลางเป็นไปตามสมการ
µN IS
φ = Bφ S =
2πa
เนื่องจากมีขดลวดพันอยู่ N รอบดังนั้น
λ Nφ µN 2 S
L= = =
I I 2πa
148 บทที่ 9. แรงแม่เหล็ก, วัสดุและความเหนี่ยวนำ
H2 = H4 = 0
และดังนั้น
H1 = H3
นั่นคือ
H1 = H3 = 0
หรือ
Z Z
H1 ∆l + ~ 2 .d~l + H3 ∆l +
H ~ 4 .d~l = N I∆L
H (9.3)
2 4 L0
~2 = H
แทนค่า H ~ 4 = ~0, H3 = 0 และ Hinside = H1 ซึ่งเราได้แสดงให้เห็นก่อนหน้า
ลงในสมการ 9.3 จะได้
NI
Hinside = 0
L
ฟลักซ์แม่เหล็ก φ ภายใน เป็นไปตามสมการ
µπa2 N I
φ = Binside πa2 = µHinside πa2 =
L0
นั่นคือความเหนี่ยวนำ L เป็นไปตามสมการ
λ Nφ µπa2 N 2
L= = =
I I L0
150 บทที่ 9. แรงแม่เหล็ก, วัสดุและความเหนี่ยวนำ
9.5 ความเหนี่ยวนำร่วม
λ12 N φ12
M12 = =
I I
โดยที่
M12 คือ ความเหนี่ยวนำร่วมระหว่างวงจร 1 กับ 2 และ
λ12 คือ การเชื่อมโยงฟลักซ์แม่เหล็กระหว่างวงจร 1 กับ 2
φ12 คือ ฟลักซ์แม่เหล็กที่เชื่อมโยงระหว่างวงจร 1 กับ 2
1. จงหาฟลักซ์แม่เหล็กที่พุ่งผ่านวงปิด
2. จงหา ความเหนี่ยวนำร่วมระหว่างวงปิดกับเส้นลวด
วิธีทำ
1. จากกฎของแอมแปร์ I
~ L
H.d ~ =I
เราจะได้
I
B = µH = µ
2πρ
โดยที่ ρ คือระยะห่างจากแกน z
และฟลักซ์แม่เหล็กที่พุ่งผ่านวงปิดเป็นไปตามสมการ
Z
φ= BdS
S
Z x+a
I
= µ a dρ
x 2πρ
Z x+a
I
= µ a dρ
x 2πρ
aµI x+a
= ln
2π x
152 บทที่ 9. แรงแม่เหล็ก, วัสดุและความเหนี่ยวนำ
2. เราสามารถหาความเหนี่ยวนำร่วม M ได้จาก
φ
M=
I
aµ x+a
= ln
2π x
บทที่ 10
สนามที่ผันแปรไปตามเวลา
(Time-Varying Field)
10.1 สมการแรงของลอเรนซ์
~ และ
พิจารณาประจุไฟฟ้า (Electric Charge) q ที่ได้รับอิทธิพลมาจากความเข้มของสนามไฟฟ้า E
ความหนาแน่นของฟลักซ์แม่เหล็ก B ~ จะมีแรง F~ อันเนื่องมาจากความเข้มของสนามไฟฟ้า E~ และ
ความหนาแน่นของฟลักซ์แม่เหล็ก B ~ นั้นกระทำตามสมการ
F~ = q E
~ + q~v × B
~ (10.1)
dΦ
emf = − (10.2)
dt
โดยที่ I
emf = E.d~ ~l คือ แรงเคลื่อนไฟฟ้า (Electromotive Force)
Φ คือ ฟลักซ์แม่เหล็ก
นั่นคือ
I
~ ~l = − dΦ
E.d (10.3)
dt
153
154 บทที่ 10. สนามที่ผันแปรไปตามเวลา (TIME-VARYING FIELD)
นอกจากนี้เราอาจพิสูจน์ได้ว่า
I Z ~
∂B
I
E. ~ =−
~ dl ~ +
.dS ~
~ dl
~v × B. (10.4)
S ∂t C
1. จงหาฟลักซ์แม่เหล็กภายในวงปิด
2. จงหาขนาดของแรงเคลื่อนไฟฟ้าบนวงปิด
หมายเหตุ µ = µ0
วิธีทำ
10.2. กฎของฟาราเดย์ (FARADAY’S LAW) 155
1. เราสามารถหาฟลักซ์แม่เหล็กภายในวงปิดได้จากสมการ
Z Z x+L x+L
~ S ~= µ 0 I µ 0 IL µ0 IL x+L
Φ= B.d L du = ln (u)
= ln
S x 2πu 2π x 2π x
2. เราสามารถหาขนาดของแรงเคลื่อนไฟฟ้าบนวงปิดได้จากสมการ
dΦ dΦ dx µ0 IL 1 1
|emf | = = = − v
dt dx dt 2π x+L x
2. จงหาขนาดของแรงเคลื่อนไฟฟ้าบนวงปิด
หมายเหตุ µ = µ0
156 บทที่ 10. สนามที่ผันแปรไปตามเวลา (TIME-VARYING FIELD)
วิธีทำ
1. เราสามารถหาฟลักซ์แม่เหล็กภายในวงปิดได้จากสมการ
Z
Φ= ~ S
B.d ~ = |B|L
~ 2
S
2. เราสามารถหาขนาดของแรงเคลื่อนไฟฟ้าบนวงปิดได้จากสมการ
dΦ ~ 2
|emf | = = d|B|L = 0
dt dt
วิธีทำ เนื่องจาก
dΦ
emf = − และ Φ = B0 A
dt
ดังนั้น
dΦ d (B0 A) dA dB0 dB0
emf = − =− = −B0 − A = −B0 lv − ld
dt dt dt dt dt
10.2. กฎของฟาราเดย์ (FARADAY’S LAW) 157
หมายเหตุ
I Z ~
∂B
ที่จริงแล้ว −B0 lv คือ ~v × B. ~ ในสมการ 10.4 ส่วนเทอม −
~ dl ~ เป็นศูนย์
.dS
C S ∂t
~ ไม่เปลี่ยนไปตามเวลา
เนื่องจาก B
2. แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่เวลา t = 0 ด้วยสมการ
Z ~
∂B
I
emf = − ~
.dS + ~v × B. ~
~ dl
S ∂t C
วิธีทำ
1. แรงเคลื่อนไฟฟ้าเป็นไปตามสมการ
dΦ
emf = −
dt
d(B0 cos(ωt)A)
=−
dt
dA d(B0 cos(ωt))
= − B0 cos(ωt) +A
dt dt
2. พิจารณาสมการ
Z ~
∂B
I
emf = − ~ +
.dS ~v × B. ~
~ dl
S ∂t C
เราจะได้ว่า
~
∂B d(B0 cos(ωt))
= = −B0 ω sin (ωt)âz
∂t dt
และดังนั้น Z ~
∂B ~ = −B0 πr2 ω sin (ωt)
.dS
S ∂t
นอกจากนี้
I I
~ =
~ dl dr
~v × B. âρ × B0 cos(ωt)âz .rdφâφ
C C dt
Z 2π
dr
=− B0 cos(ωt)âφ .rdφâφ
0 dt
Z 2π
dr
=− B0 cos(ωt)âφ .rdφâφ
0 dt
dr
= −2πr B0 cos(ωt)
dt
นั่นคือ
dr
emf = B0 πr2 ω sin (ωt) − 2πr B0 cos(ωt)
dt
และที่เวลา t = 0
emf = −2πB0 r0 r00
เนื่องจาก Z
Φ= ~ S
B.d ~
S
และจากทฤษฎีบทของสโตกส์
I Z
~ ~l =
E.d ~ S
O × E.d ~
S
10.3. กฎของแอมแปร์และกระแสการกระจัด (AMPERE’S LAW AND DISPLACEMENT CURRENT) 159
ดังนั้น Z Z Z ~
~ S
O × E.d ~=−d ~ S
B.d ~ =−
dB ~
.dS
S dt S S dt
นั่นคือ
~
∂B
~ =−
O×E
∂t
~ S ~
R
โดยที่ I = S J.d
และจากทฤษฎีบทของสโตกส์เราจะได้ว่า
Z Z
~ S
O × H.d ~= ~ S
J.d ~ ~ = J~
หรือ O × H
S S
ดังนั้น
~ = O.J~
O.O × H
แต่เนื่องจาก
~ =0
O.O × H
ดังนั้น
O.J~ = 0
∂ρ
อย่างไรก็ตามสมการนี้ขัดแย้งกับความต่อเนื่องของกระแส O.J~ = − ดังนั้นเพื่อ
∂t
~ ลงในด้านขวาของสมการ
ให้สอดคล้องกัน เราจะเติม G
~ = J~
O×H
จะได้ว่า
~ = J~ + G
O×H ~
160 บทที่ 10. สนามที่ผันแปรไปตามเวลา (TIME-VARYING FIELD)
ดังนั้น
~ = O.J~ + O.G
O.O × H ~ = ~0
และดังนั้น
~ = − ∂ρV
O.J~ = −O.G
∂t
~ = ρV เราจะได้ว่า
จากกฎของเกาส์ O.D
∂ρ ~
∂(O.D) ~
∂D
− =− = O.
∂t ∂t ∂t
~
~ = ∂ D จะทำให้สมการ O×H
ถ้าหากว่าเราให้ G ~ = J~+G
~ สอดคล้องกับสมการ O.J~ =
∂t
∂ρV
− และจะได้ว่า
∂t
~
O×H ~ = J~ + ∂ D
∂t
10.4 กระแสการกระจัดและตัวเก็บประจุแผ่นคู่ขนาน
Q = CV
ให้พื้นผิวปิด S ล้อมรอบแผ่นขั้วบวกดังนั้น
I
~ S
J.d ~ = − dQ
S dt
I
แทน Q = CV และ ~ S
J.d ~ = −I ลงไปในสมการข้างต้นจะได้
S
dV
I=C
dt
10.5. สมการของแมกซ์เวลล์ (MAXWELL’S EQUATIONS) 161
~ =q
O.D กฎของเกาส์ (Gauss’ Law) (10.5)
~ = J~
O×H กฎของแอมแปร์ (Ampere’s Law) (10.6)
~
O×E~ = − ∂B กฎของฟาราเดย์ (Faraday’s Law) (10.7)
∂t
~
O.B = 0 กฎของเกาส์ (Gauss’ Law) (10.8)
~ = J~
O×H
จะได้ว่า
~ = O.J~ = 0
O. O × H
~ = J~ + G
O×H ~
จากสมการข้างต้นจะได้
~ = O.J~ + O.G
O. O × H ~ =0
แทนสมการ 5.6
∂ρ
O.J~ = −
∂t
จะได้
~ = ∂ρ
O.G
∂t
162 บทที่ 10. สนามที่ผันแปรไปตามเวลา (TIME-VARYING FIELD)
~ = ρ ลงในสมการข้างต้น จะได้
แทนสมการ O.D
∂ O.D ~ ~
~ = ∂D
O.G = O.
∂t ∂t
~
~ = ∂ D แล้วสมการ
ถ้าหากเราให้ G
∂t
~ = J~ + G
O×H ~
จะสอดคล้องกับสมการ 5.6
∂ρ
O.J~ = −
∂t
ต่อไปเราจะเรียกสมการต่อไปนี้ว่าสมการของแมกซ์เวลล์ (Maxwell’s Equations)
~ =q
O.D กฎของเกาส์ (Gauss’ Law) (10.9)
~
O×H~ = J~ + ∂ D กฎของแอมแปร์ (Ampere’s Law) (10.10)
∂t
~
O×E~ = − ∂B กฎของฟาราเดย์ (Faraday’s Law) (10.11)
∂t
~
O.B = 0 (10.12)
ในกรณีที่ไม่แปรผันไปตามเวลาเราสามารถแสดงได้ว่า
~ = −OV
E
แต่ในกรณีที่ผันแปรไปตามเวลาเราสามารถแสดงได้ว่าไม่สามารถหา V ที่ทำให้
~ = −OV
E
ได้เนื่องจาก
~ = −O × OV
O×E
และเอกลักษณ์ทางคณิตศาสตร์
O × OV = 0
10.6. ศักย์ที่ถูกหน่วง (RETARDED POTENTIALS) 163
ดังนั้น
~ = −O × OV
O×E
ซึ่งไม่สอดคล้องกับกฎของฟาราเดย์
~
~ = − ∂B
O×E
∂t
~ เข้าไปทางขวามือของสมการ E
เราจำเป็นต้องเติม N ~ = −OV ดังนี้
~ = −OV + N
E ~
เราจะได้ว่า
~
∂B
~ = −O × OV + O × N
O×E ~ =−
∂t
~ =O×A
แทน B ~ ลงไปในสมการข้างต้นจะได้
~
∂ O×A ~
~ = −O × OV + O × N
~ =− ∂A
O×E = −O ×
∂t ∂t
~
~ = − ∂ A เราจะได้ว่า
หากเรากำหนดให้ N
∂t
~
~ = −OV − ∂ A
E
∂t
~ ต้องสอดคล้องกับสมการ
นอกจากนี้ V และ A
~
~ = J~ + ∂ D
O×H
∂t
และ
~ = ρV
O.D
~
~ = 1O × A
แทน H ~ และ D ~ = −OV − ∂ A เราจะได้ว่า
~ = E
µ ∂t
!
~
∂A
∂ OV +
1 ∂t
O×O×A ~ = J~ −
µ ∂t
164 บทที่ 10. สนามที่ผันแปรไปตามเวลา (TIME-VARYING FIELD)
และ !
~
∂A ρV
O. −OV − =
∂t
หรือ
!
2~
O(O.A) ~ = µJ~ − µ O ∂V + ∂ A
~ − O2 A (10.13)
∂t ∂t2
และ
~
∂ O.A ρV
O2 V + =− (10.14)
∂t
ถ้าเรากำหนดเงื่อนไข
~ = −µ ∂V
O.A
∂t
ดังนั้นสมการ 10.13 และ 10.14 จะกลายเป็น
2~
~ = −µJ~ + µ ∂ A
O2 A (10.15)
∂t2
และ
ρV ∂2V
O2 V = − + µ 2 (10.16)
∂t
และ Z
[ρV ]
V = dv
V 4πR
โดยที่
R = |~r − ~r0 |
R R
[ρV ] เป็นความหนาแน่นของประจุρV ที่เวลา t0 = t − =t− 1
v √
( µ)
~ เป็นความหนาแน่นของกระแสJ~ ที่เวลา t0 = t − R = t −
[J]
R
v 1
√
( µ)
บทที่ 11
คลื่นระนาบสม่ำเสมอ (Uniform
Plane Wave)
จากสมการ
~
~ = −µ0 ∂ H
O×E
∂t
เราจะได้ว่า
!
∂ ~
H
O×O×E ~ = O × −µ0
∂t
∂
~
= −µ0 O×H
∂t
~ = O O.E
โดยใช้เอกลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ O × O × E ~ − O2 E
~ เราจะได้ว่า
~ = −µ0 ∂ O × H
~ − O2 E
O O.E ~
∂t
165
166 บทที่ 11. คลื่นระนาบสม่ำเสมอ (UNIFORM PLANE WAVE)
~
~ = J~ + ∂ D ลงในสมการข้างบน เราจะได้
แทน O × H
∂t
!
~
~ = −µ0 ∂ ∂D
~ − O2 E
O O.E J~ +
∂t ∂t
เนื่องจากในประภูมิอิสระไม่มีประจุและกระแสทางไฟฟ้า นั่นคือ
~ = O.E
ρV = O.D ~ = 0 หรือ O.E
~ =0
และ
J~ = ~0
~ = 0 E
นอกจากนี้ D ~ ดังนั้น
~
∂2E
~ = µ0 0
O2 E
∂t2
นอกจากนี้จากสมการ
~
~ = J~ + ∂ D
O×H
∂t
เราจะได้ว่า
~ = O × J~ + ∂ ~
O×O×H O×D
∂t
~ = 0 E
เนื่องจาก D ~ ดังนั้น
~ = O × J~ + 0 ∂ O × E
O×O×H ~
∂t
~ = O O.H
โดยใช้เอกลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ O × O × H ~ − O2 H
~ เราจะได้ว่า
~
2~ ~ ∂ ~
O O.H − O H = O × J + 0 O×E
∂t
~
~ = − ∂ B ลงในสมการข้างบน เราจะได้ว่า
แทน O × E
∂t
2~
~ = O × J~ − 0 ∂ B
~ − O2 H
O O.H
∂t2
167
~ = µ0 H
โดยใช้ความจริงที่ว่า B ~ เราจะได้ว่า
2~
~ = O × J~ − µ0 0 ∂ H
~ − O2 H
O O.H
∂t2
เนื่องจากในประภูมิอิสระ
~ = µ0 O.H
O.B ~ = 0 หรือ O.H
~ =0
และ
J~ = ~0
ดังนั้น
~
∂2H
~ = µ0 0
O2 H
∂t2
~ = Ex âx ไม่ขึ้นกับ x และ y ดังนั้น
เพื่อความง่าย ให้ E
∂ 2 Ex ∂ 2 Ex
= µ 0 0
∂z 2 ∂t2
นอกจากนี้เนื่องจาก
~
∂H
~ = −µ0
O×E
∂t
~ = Hy ây ไม่ขึ้นกับ x และ y นั่นคือ
ดังนั้น H
∂ 2 Hy ∂ 2 Hy
= µ 0 0
∂z 2 ∂t2
โดยการดัดแปลงสมการ เราจะได้
∂ 2 Ex 1 ∂ 2 Ex
=
∂t2 c2 ∂z 2
2
∂ Hy 1 ∂ 2 Hy
=
∂t2 c2 ∂z 2
1
โดยที่ c = √
µ0 0
สองสมการข้างบนสอดคล้องกับสมการคลื่นในเส้นเชือก
∂2x 1 ∂2x
2
= 2 2
∂t v ∂z
168 บทที่ 11. คลื่นระนาบสม่ำเสมอ (UNIFORM PLANE WAVE)
โดยที่คลื่นในเส้นเชือกมีอัตราเร็วของคลื่นในเส้นเชือก v
1
ดังนั้นจึงสรุปว่าแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีอัตราเร็ว c = √
µ0 0
นอกจากนี้ในช่วงเวลาที่แมกซ์เวลล์ได้สร้างทฤษฏีน1ี้ ขึ้นได้มีการทดลองวัด
อัตราเร็วของแสง ผลปรากฎว่าแสงมีอัตราเร็วเท่ากับ 3 × 108 m/s โดยประมาณ
แมกซ์เวลล์ได้นำเสนอข้อสรุปที่ว่าแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่อหน้าพระพักตร์
ของพระราชินีอลิซาเบธที่ 1
~ ตั้งฉากกับ H
เราเรียกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่ง E ~ และตั้งฉากกับทิศทางของการแผ่คลื่น
ดังแสดงในรูป 11.1นี้ว่าคลื่นระนาบสม่ำเสมอ (Uniform Plane Wave)
1
วิธีการที่ใช้ในหนังสือทั่วๆไปเป็นวิธีการที่ถูกเขียนขึ้นใหม่โดยนักคณิตศาสตร์ที่ชื่อเฮวิไซด์ (Heaviside)
ภาคผนวก ก
พื้นฐานทางคณิตศาสตร์
(Mathematical Foundations)
ก.1 การแก้ระบบเชิงเส้นด้วยวิธีวนซ้ำ
(Solving Linear Systems using Iterative Methods)
ก.1.1 การวนซ้ำแบบจาโคบิ
พิจารณาระบบสมการเชิงเส้น Ax = b เขียนแทนได้ด้วยสมการ
169
170ภาคผนวก ก. พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ (MATHEMATICAL FOUNDATIONS)
for i = 1 to n do
i−1
X n
X
bi − aij xj (k − 1) − aij xj (k − 1)
j=1 j=i+1
xi (k) =
aii
end for
end for
ก.1.2 การวนซ้ำแบบเกาส์-ไซเดล
พิจารณาระบบสมการเชิงเส้น Ax = b เขียนแทนได้ด้วยสมการ
n
X
bi − aij xj
j=1,j6=i
จากสมการ ก.2 เราสามารถแสดงได้ว่า xi = สำหรับทุก i = 1, . . . , n
aii
การวนซ้ำแบบเกาส์-ไซเดลสามารถแสดงได้ดังต่อไปนี้
initialize x1 (0), . . . xn (0)
for k = 1 to N do
for i = 1 to n do
i−1
X n
X
bi − aij xj (k) − aij xj (k − 1)
j=1 j=i+1
xi (k) =
aii
end for
end for
ก.1. การแก้ระบบเชิงเส้นด้วยวิธีวนซ้ำ(SOLVING LINEAR SYSTEMS USING ITERATIVE METHODS)171
2x1 + x2 = 1
x1 − 2x2 = 1
(ก.3)
1. โดยใช้การวนซ้ำแบบจาโคบิ
2. โดยใช้การวนซ้ำแบบเกาส์-ไซเดล
วิธีทำ จากสมการข้างต้นจะได้
1 − x2
x1 =
2
1 − x1
x2 =
−2
1. การวนซ้ำแบบจาโคบิ
1 − x2 (k − 1)
x1 (k) =
2
1 − x1 (k − 1)
x2 (k) =
−2
โปรแกรมการแก้สมการโดยใช้การวนซ้ำแบบจาโคบิแสดงดังต่อไปนี้
clear all
N = 100;
x1 = 1; x2 = 1;%initialize x1 and x2
for k = 1:N
Iteration(k) = k;
if k > 1
x1(k) = (1-x2(k-1))/2;
x2(k) = (1-x1(k-1))/(-2);
else
x1(k) = (1-x2)/2;
x2(k) = (1-x1)/(-2);
1
กำหนดให้ค่าเริ่มต้น x1 (0) = 1, x2 (0) = 1 และจำนวนการวนซ้ำสูงสุด N = 100
172ภาคผนวก ก. พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ (MATHEMATICAL FOUNDATIONS)
end
end
2. การวนซ้ำแบบเกาส์-ไซเดล
1 − x2 (k − 1)
x1 (k) =
2
1 − x1 (k)
x2 (k) =
−2
โปรแกรมการแก้สมการโดยใช้การวนซ้ำแบบเกาส์-ไซเดลแสดงดังต่อไปนี้
clear all
N = 100;
x1 = 1; x2 = 1;%initialize x1 and x2
for k = 1:N
Iteration(k) = k;
if k > 1
x1(k) = (1-x2(k-1))/2;
x2(k) = (1-x1(k))/(-2);
else
x1(k) = (1-x2)/2;
x2(k) = (1-x1)/(-2);
end
end
n
X
ถ้าหากเรากำหนดให้2 F (xn+1 ) − F (a) = F (xn ) − F (x1 ) = f (xi )∆x ดังนั้น
i=1
= f (xn )∆xi
และดังนั้น
F (xn + ∆x) − F (xn )
f (xn ) =
∆x
F (x + ∆x) − F (x)
f (x) = lim
∆x→0 ∆x
และดังนั้น3
F (x)
f (x) =
dx
นั่นคือถ้า
F (x)
f (x) = , x ∈ [a, b]
dx
แล้ว
Z b
f (x) dx = F (b) − F (a)
a
2. ปฏิยานุพันธ์ (Antiderivative)
วิธีทำ
n
X
2
เราเรียก lim f (xi )∆xi ว่าผลรวมของรีมานน์ (Riemann Sum)
n→∞
i=1
3
เราเรียก F ว่าปฏิยานุพันธ์ (Antiderivative)
174ภาคผนวก ก. พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ (MATHEMATICAL FOUNDATIONS)
(a) โดยใช้ผลรวมของรีมานน์พื้นที่ใต้กราฟหาได้จากสมการ
Z 1 N
X
x dx = lim xi ∆xi
0 N →∞
i=1
N
X i
= lim
N →∞ N2
i=1
N
!
1 X
= lim i
N →∞ N2
i=1
เนื่องจาก
N
X N
i= (N + 1)
2
i=1
ดังนั้น
Z 1
N N +1
x dx = lim
0 N →∞ 2 N 2
1
=
2
(b) โดยใช้ปฏิยานุพันธ์พื้นที่ใต้กราฟหาได้จากสมการ
Z 1
1
x dx =
0 2
และดังนั้น
R(h − zi )
ri =
h
นั่นคือหน้าตัดมีพื้นที่ A(zi ) เป็นไปตามสมการ
R(h − zi ) 2
2
A(zi ) = πri = π
h
ก.2. การอินทิเกรตจำกัดเขต (DEFINITE INTEGRATION) 175
R(h − zi ) 2
∆Vi = A(zi )∆zi = π ∆zi
h
และดังนั้น
N N
R(h − zi ) 2
X X
V = lim ∆Vi = π ∆z
N →∞ h
i=1 i=1
นั่นคือ
2 h
h
R2 (h − z)3
R(h − z)
Z
1
V = π dz = − π 2 = πR2 h
0 h h 3 3
0
R
โดยที่ r1 = 0, ∆ri = ∆r = และ ri = (i − 1)∆ri , i = 1, . . . , N + 1
N
เมื่อ N → ∞ จะได้ว่า
N
X N
X
A= ∆Ai = 2πri ∆ri
i=1 i=1
นั่นคือ Z R
A= 2πr dr = πR2
0
ก.2.1 การอินทิเกรตสองชั้น
นอกจากนี้พื้นที่ A เป็นไปตามสมการ
N
X N X
X N N X
X N
A= ∆Ai = ∆Aij = ri ∆Φj ∆ri
i=1 i=1 j=1 i=1 j=1
เมื่อ N → ∞ เราจะได้ว่า
N X
X N
A = lim ri ∆Φj ∆ri
N →∞
i=1 j=1
หรือ
Z R Z 2π Z R Z 2π Z R
A= r dφdr = r dφ dr = 2πr dr = πR2 (ก.5)
0 0 0 0 0
ก.2.3 การอินทิกรัลตามเส้น
ถ้าหากเรานิยาม
~ = O.D
~ = ∂Dx ∂Dy ∂Dz
div D + + และให้ dV = dxdydz
∂x ∂y ∂z
จะได้ว่า
I Z
~ dS
D. ~= ~ dV
div D
S V
หรือ
I Z
~ dS
D. ~= ~ dV
O.D
S V
178ภาคผนวก ก. พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ (MATHEMATICAL FOUNDATIONS)
เอกลักษณ์ 1.
เอกลักษณ์ 2.
O × OV = 0
นอกจากนี้เนื่องจาก
Z b
OV.d~l = Vb − Va
a
โดยที่
จุด a เป็นจุดเริ่มต้น (Initial Point)
จุด b เป็นจุดสิ้นสุด (Terminal Point)
ดังนั้น
I
OV.d~l = VP − VP = 0
C
โดยที่
จุด P เป็นจุดเริ่มต้น (Initial Point) และ จุดสิ้นสุด (Terminal Point)
เอกลักษณ์ 3.
~ = O(O.A)
O×O×A ~ − O2 A
~
ก.4. ทฤษฎีบทของกรีน (GREEN’S THEOREM) และทฤษฎีบทของสโตกส์ (STOKES’ THEOREM)179
∆x ∆y ∆x ∆y ∆x ∆y ∆x ∆y
(x − ,y − ), (x + ,y − ), (x + ,y + ), (x − ,y + )
2 2 2 2 2 2 2 2
I
และจุดศูนย์กลางอยู่ที่ (x, y) ดังนั้นเราสามารถประมาณ ~ d~l ได้ดังนี้
H.
∆L
I
~ d~l ≈ (Hy + ∂Hy ∆x )∆y − (Hx + ∂Hx ∆y )∆x
H.
∆L ∂x 2 ∂y 2
∂Hy ∆x ∂Hx ∆y
− (Hy − )∆y + (Hx − )∆x
∂x 2 ∂y 2
∂Hy ∂Hx
= − ∆x∆y
∂x ∂y
I
ถ้าหากว่าเรารวม ~ d~l ของแต่ละ∆L เข้าด้วยกันและให้ dS = dxdy จะได้
H.
∆L
I XI X ∂Hy ∂Hx
~ d~l ≈
H. ~ d~l =
H. − ∆x∆y
L ∆L ∂x ∂y
จากสมการ ก.6
I Z
~ d~l = ∂Hy ∂Hx
H. − dS
L S ∂x ∂y
180ภาคผนวก ก. พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ (MATHEMATICAL FOUNDATIONS)
หรือ
~ ~
H
∂Hy ∂Hx ∆L H. dl
− = lim
∂x ∂y ∆S→0 ∆S
เราจะได้ว่า
I XI X
~ d~l ≈
H. ~ d~l ≈
H. ~ .n̂∆S
O×H
L ∆L
เมื่อ ∆S → 0 จะได้ว่า
I Z
~ d~l =
H. ~ .n̂ dS
O×H
L
หรือ
I Z
~ d~l =
H. ~ . dS
O×H ~
L
~ โดยพิจารณาสมการ
เราสามารถหา O × H
I
~ d~l
H.
~ = lim
O×H ∆L
n̂
∆S→0 ∆S
หรือ5
I
~ d~l
H.
~
O×H = lim ∆L
(ก.9)
n̂ ∆S→0 ∆S
~
โดยที่ O × H ~ ในทิศทางของ n̂
คือส่วนประกอบของ O × H
n̂
จากสมการ ก.9 เราจะได้ว่า
I
~ d~l
H.
~
∆Lx ∂Hz ∂Hy
O×H = lim = −
x ∆Sx →0 ∆Sx ∂y ∂z
I
~ d~l
H.
~
∆Ly ∂Hx ∂Hz
O×H = lim = −
y ∆Sy →0 ∆Sy ∂z ∂x
I
~ d~l
H.
~
∆Lz ∂Hy ∂Hx
O×H = lim = −
z ∆Sz →0 ∆Sz ∂x ∂y
5 ~
จากสมการ ก.9 เราอาจสังเกตได้ว่า O × H ไม่ขึ้นกับทิศทาง
n̂
ของแกนอ้างอิง
182ภาคผนวก ก. พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ (MATHEMATICAL FOUNDATIONS)
นั่นคือ
~ = ∂Hz ∂Hy ∂Hx ∂Hz ∂Hy ∂Hx
O×H − âx + − ây + − âz
∂y ∂z ∂z ∂x ∂x ∂y
~ =0
O.(O × H) (ก.10)
จากทฤษฎีบทไดเวอร์เจนซ์
I Z
~ S
O × H.d ~= ~ dV
O.(O × H)
S V
จะได้ว่า Z
~ dV = 0
O.(O × H)
V
นั่นคือ
~ =0
O.(O × H)
[1] C. A. Balanis, Antenna Theory Analysis and Design, 3rd ed., John Wiley,
2005.
[4] G. H. Golub and C. F. Van Loan, Matrix Computations 3rd ed., John
Hopkins, 1996.
[6] Y. Huang and K. Boyle, Antenna from Theory to Practice, 1st ed., John
Wiley, 2008.
[9] S. Ramo, Fields and Waves in Communication Electronics, 3rd ed., John
Wiley, 1994.
183
184 บรรณานุกรม