Professional Documents
Culture Documents
095 Bffa 9 B 2060473 F 651
095 Bffa 9 B 2060473 F 651
095 Bffa 9 B 2060473 F 651
โดย
นางสาวสุวภัทร พรมฮวด ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 เลขที่ 14
นายภูมิรพี สูญจันทร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 เลขที่ 18
นางสาวธภัทรา ธนูพราน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 เลขที่ 21
นางสาวศริญทิพย์ วังตาล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 เลขที่ 22
เสนอ
อ.พนมศักดิ์ มนูญปรัชญาภรณ์
รายงานนี้เป็นส่วนหนึง่ ของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน
(Project Based Learning)
รายงานวิชาภาษาไทยและวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
1
คานา
รายงานเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทยและวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 โดยมีจุดประสงค์
ไว้เพื่อให้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องการอ่านและพิจารณาเนื้อหา การใช้ภาษา และคุณค่าในวรรณกรรมเรื่อง มหา
เวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี
ทั้งนี้ทางคณะผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานเล่มนี้จะให้ความรู้และเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้อ่าน นักเรียน
และนักศึกษา หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยใน ณ ที่นี้ด้วย
คณะผู้จัดทา
31/05/2019
2
สารบัญ หน้า
1. การอ่านและพิจารณาเนือ้ หาและกลวิธีในวรรณคดีและวรรณกรรม 1
1.1 เนื้อเรื่อง 1
1.2 โครงเรื่อง 1
1.3 ตัวละคร 1
1.4 ฉากท้องเรื่อง 2
1.5 บทเจรจาหรือราพึงราพัน 3
1.6 แก่นเรื่อง 3
2. การอ่านและพิจารณาการใช้ภาษาในวรรณคดีและวรรณกรรม 4
2.1 การสรรคา 4
2.2 การเรียบเรียงคา 5
2.3 การใช้โวหาร 6
3. การอ่านและพิจารณาประโยชน์หรือคุณค่าในวรรณคดีและวรรณกรรม 6
3.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์ 7
3.2 คุณค่าด้านสังคม 8
3.3 คุณค่าด้านศีลธรรม 9
3.4 คุณค่าด้านความเชื่อ 9
4. บรรณานุกรม 10
3
1. การอ่านและพิจารณาเนือ้ หาและกลวิธีในวรรณคดีและวรรณกรรม
1.1 เนื้อเรื่อง
ตั้งแต่ที่พระนางมัทรีเสด็จออกจากอาศรมเพื่อเข้าไปหาของป่า จิตใจก็พะวงเกี่ยวกับ พระโอรสและ
พระธิดาทั้งสองอยู่ตลอด หรือก็คือพระชาลีและพระกัณหา เนื่องจากระหว่างที่พระนางกาลังเสด็จ ก็ทรงเห็นสิ่ ง
แปลกๆเกิดขึ้น เช่น ดอกไม้กลายเป็นผลไม้ ท้องฟ้ากลับกลายเป็นมืดมัว และท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีแดง สิ่ง
แปลกๆเกิดขึ้นโดยตลอด ทาให้พระนางหวั่นพระทัย พระนางจึงทรงรีบเก็บผลไม้และเดินทางกลับ แต่ระหว่างทาง
พระนางมัทรีได้พบกับ พญาไกรสรราชสีห์ พญาเสือโคร่ง และพญาเสือเหลือง ที่ขวางเส้นทางกลับอยู่ทาให้พระนาง
ไม่สามารถเสด็จต่อไปได้ และไม่ว่าพระนางจะอ้อนวอนอย่างไรสัตว์ทั้งสาทตนฏ้ไม่ยอมหลีกทาง จนกระทั่งฟ้ามืด
เทวดาทั้งสามที่แปลงกายมาจึงยอมปล่อยไป
พระนางมัทรีจึงรีบวิ่งกลับไปที่พระอาศรม แต่เมื่อไม่เห็นลูกทั้งสองพระนางจึงไปถามพระเวสสันดร โดย
ตอนแรก พระเวสสันดรทรงไม่ตอบคาถามของพระนาง แต่เพื่อตัดความทุกข์ของพระนาง พระองค์ทรงตรัสว่า
กล่าวพระนางเรื่องที่กลับบ้านดึกเพราะคิดนอกใจพระองค์ พระนางมัทรีเสียพระทัยมากจนสลบไป และหลังจาก
ตื่นขึ้นมา พระเวสสันดรได้บอกความจริงว่าได้พระราชทานลูกทั้งสองให้ชูชกไปแล้ว หากยังมีวาสนาต่อกันคงได้พบ
กันอีกและขอให้พระนางมัทรีทรงอนุโมธนาในการบาเพ็ญทานของพระองค์ พระนางจึงอนุโมทนาด้วย
1.2 โครงเรื่อง
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในป่าพร้อมกับลูกทั้งสอง โดยวันหนึ่งสามีผู้นั้นได้ยกลูกทั้งสองให้กับคนอื่นใน
ขณะที่ภรรยาไม่อยู่ เมื่อภรรยากลับมาไม่เห็นลูก นางเสียใจมาก จนสุดท้ายที่สามีได้บอกเหตุผลว่าอยากทาทาน
นางจึงอนุโมทนาบุญด้วย
1.3 ตัวละคร
1.3.1 พระเวสสันดร
ทรงเป็นผู้ที่มีจิตเป็นกุศล ทรงให้ทานแก่ผู้ที่ต้องการ ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะสาคัญกับพระองค์เช่นกัน
… อันสองกุมารนี้พี่ให้เป็นทานแก่พราหมณ์แต่วันวานนี้แล้ว
พระน้องแก้วเจ้าอย่าโศกศัลย์
จงตั้งจิตของเจ้านั้นให้โสมนัสศรัทธา
ในทางอันก่อกฤษดาภินิหารทานบารมี…
1.3.2 พระนางมัทรี
เป็นแม่ที่ดีของลูก ทรงรักและห่วงลูกของตนมาก
…พระทัยนางให้หวั่นหวาดพะวงหลังตั้งพระทัยเป็นทุกข์ถึงพระเจ้าลูกมิลืมเลย
เดินพลางทางเสวยพระโศกพลาง
พระนัยเนตรทัง้ สองข้างไม่ขาดสดายพระอัสสุชล…
1
เกล้ากระหม่อมฉานได้อุตสาหะถนอมย่อมพยาบาลบารุงมา
ขออนุโมทนาด้วยปิยบตรทานบารมี
ขอให้น้าพระหฤทัยพระองค์จงผ่องแผ้วอย่ามีมัจฉริยธรรมอกุศล
อย่ามาปะปนในน้าพระทัยของพระองค์เลย…
1.4 ฉากท้องเรื่อง
ฉากท้องเรื่องในมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรีนั้นมีฉากท้องท้องเรื่องอยู่ในป่าและเขาวงกต ซึ่งเป็นฉาก
ที่พระนางมัทรีตามหาลูกทั้งสองคนในป่า ฉากแรกคือฉากในป่าที่เทวบุตรสามองค์เนรมิตกายเป็นสัตว์ร้ายทั้งสาม
เพื่อขวางทางพระนางมัทรีและฉากที่พระนางมัทรีเข้าไปตามหาลูกในป่าจนหมดสติไปหลังจากที่กลับอาศรมแล้วไม่
เจอลูก นอกจากนี้ฉากในเรื่องยังข้องเกี่ยวกับความโศรกเศร้าของพระนางมัทรีอีกด้วย
บทนี้เป็นฉากที่ในป่าที่ธรรมชาติในป่าผิดปกติไปเป็นส่วนในพระนางมัทรีวิตกกังวล
1.5 บทเจรจาราพึงราพัน
2
ประหนึ่งว่าจะหลงลืมลูกสละผัวต่อมืดมัวจึ่งกลับมา ทาเป็นบีบน้าตาตีอกว่าลูกหาย ใครจะไม่รู้แยบคายความคิด
หญิง ถ้าแม้นเจ้าอาลัยอยู่ด้วยลูกจริง ๆ เหมือนวาจา ก็จะรีบกลับเข้ามาแต่วี่วันไม่ทันรอน เออนี่เจ้าเที่ยวพเนจร
นอนตามสนุกใจ ชมนกชมไม้ในไพรวันสารพันที่จะมี ทั้งฤๅษีสิทธ์วิทยาธรคนธรรพ์ เทพารักษ์ผู้มีพักตร์อันเจริญ
เห็นแล้วก็น่าเพลิดเพลินไม่เมินได้ หรือเจ้าปะผลไมประหลาด รสสดสุกทรามเสวยไม่เคยกิน เจ้าฉวยชิมชอบลิ้นก็
หลงฉันอยู่จึ่งช้า…”
ฉากนี้เป็นฉากที่พระเวสสันดรตัดพ้อที่พระนางมัทรีกลับอาศรมมาผิดเวลา
ฉากนี้เป็นฉากที่พระเวสสันดรบอกกลับพระนางมัทรีว่ายกลูกให้กับชูชกไปแล้ว
1.6 แก่นเรื่อง
ในกัณฑ์มัทรีนั้นหลักๆแล้วจะพูดถึงความรักที่แม่มีต่อลูก จากความเศร้าโศรกของพระนางมัทรีและฉากที่
พระนางมัทรีเข้าไปป่าไปเพื่อตามหาลูกจนหมดสติไป
3
การพิจารณาการใช้ภาษาในวรรณคดีและวรรณกรรม
1. การสรรคา
เลือกใช้คาให้เหมาะสมกับเรื่องและฐานะของบุคคลในเรื่อง
เลือกใช้คาให้ถูกต้องตรงตามความหมายที่ต้องการ
4
จากตัวอย่างข้างต้น กวีได้เลือกใช้คาที่มีความหมายถูกต้องตามที่ต้องการ เช่น กวีได้เลือกใช้คาว่าอนาถ
เพื่อให้พระนางมัทรีฟงั ดูน่าสงสารและดูน่าสลดใจมากกว่าคาว่าน่าเศร้าหรือน่าสังสาร ทั้งยังฟังดูเสนาะหูมากกว่า
อีกด้วย
เลือกใช้คาโดยคานึงถึงเสียง
กวีมีการเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะและสระทาให้เกิดความไพเราะและเสนาะหูขณะอ่านได้ ทาให้บท
ประพันธ์มีความน่าหลงไหลและน่าฟัง
จากมหาเวสสันดรชาดกกัณฑ์มัทรีข้างต้น กวีได้มีการใช้สัมผัสระหว่างและในวรรคเพื่อให้มี
ความไพเราะมากชึ้นเช่น วิ่งวนแวะ และ คาว่าพร้อยและน้อย
2. การเรียบเรียงคา
5
จากมหาเวสสันดรชาดกกัณฑ์มัทรีข้างต้นกวีได้ เรียบเรียงประโยคให้เนื้อหาเข้มข้นโดยการเรียงเรียงคา วลี
หรือประโยคที่มีความสาคัญและเข้มข้นเท่าๆ กัน เคียงขนานกันไป
3. การใช้โวหารภาพพจน์
อุปมา
บทประพันธ์ข้างต้นมีการใช้อุปมาซึ่งเป็นการเปรียบเทียบเป็นการกล่าวเปรียบเปรยโดยนัยโดยใช้คาว่า ดุจ,
ดั่ง, ราว, เสมือน กวีใช้คาว่าดั่งเปรียบเทียบพระทรวงของนางมัทรีที่สั่นเหมือนปลาที่สั่นเมื่อโดนตี
อุปลักษณ์
บุคคลวัต
6
จากมหาเวสสันดรชาดกกัณฑ์มัทรี กวีได้มีการนาบุคคลวัตซึ่งเป็นการสมมุติสิ่งไม่มีชีวิตให้มีกิริยาอาการ,
ความรู้สึก,ความคิดและการแสดงออก กวีได้มีการเปรียบเทียบอาศรมมีความความโศกเศร้าและแสดงเป็นลางบอก
เหตุว่าพระนางจะเสียลูก
สัทพจน์
“แต่ย่างเหยียบเกรียบกรอบก็เหลียวหลัง”
“สมเด็จอรไทเธอเที่ยวตะโกนกู่กู๋ก้อง”
“เสียงนกนี่ร่าร้องสาราญรังเรียกคู่คูขยับขันทั้งจักจั่นพรรณลองไนเรไรร้องอยู่หริ่งๆ ระเรื่อยโรย”
จากมหาเวสสันดรชาดกกัณฑ์มัทรี กวีได้มีใช้สัทพจน์ซึ่งเป็นการเลียนเสียงธรรมชาติในการทาให้บท
ประพันธ์ลื่นไหลและเสนาะหูมากขึ้น
3. การอ่านและพิจารณาประโยชน์หรือคุณค่าในวรรณคดีและวรรณกรรม
3.1 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
การเล่นคา
ในเรื่องมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี นั้นมีลักษณะเด่นด้านวรรณศิลป์ในการเล่นเสียง สัมผัส
ของ พยัญชนะ สระ และคาซ้า อยู่มาก
ตัวอย่าง สัมผัสพยัญชนะ
“ก็กลายกลับเป็นดอกดวงเดียรดาษอนาถเนตร”
สัมผัสพยัญชนะนั้นจะเกิดขึ้นต่อเมื่อใช้พยัญชนะที่มีเสียงเดียวกันมาต่อติดกันหลายๆคา ซึ่งในตัวอย่าง
ข้างบนนี้เราสามารถเห็นได้ว่าคาว่า “ก็” ”กลาย” และ ”กลับ” นั้นสัมผัสกัน เช่นเดียวกับ “ดอก” “ดวง” “เดียร”
และ “ดาษ”
อีกตัวอย่างของสัมผัสพยัญชนะ
“พระพายราเพยพัดมาฉิวเฉื่อย เรไรระรี่เรื่อยร้องอยู่หริ่งๆ”
“พระ” และ “พาย” กับ “เพย” และ “พัด” สัมผัสกัน ซึ่งเช่นเดียวกับ “เร” “ไร” “ระ” “รี”่
“เรื่อย” “ร้อง” และ “หริ่งๆ”
7
ตัวอย่างสัมผัส สระ
“นางก็ถึงวิสัญญีสลบลงตรงหน้าฉาน ปานประหนึ่งว่าพุ่มฉัตรทองอันต้องสายอัสนีฟาดระเนนเอนก็ล้มลงตรงหน้า
พระที่นั่งเจ้า นั้นแล”
3.2 คุณค่าด้านสังคม
ในกัณฑ์มัทรีมีการสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของคนไทยในสมัยก่อน เช่น
ตัวอย่าง
3.3 คุณค่าด้านศีลธรรม
ในวรรคนี้ได้แสดงถึงคสวามรักและความเป็นห่วงที่นางมัทรืผู้เป็นแม่มีต่อลูก พอนางมัทรีกลับมาบ้านแล้ว
หาลูกไม่เจอพอถามพระเวสสันดรก็ไม่ตอบก็เลยรู้สึกเสียใจที่ลูกหายไป
3.4 คุณค่าด้านความเชื่อ
8
สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของคนไทยที่ว่าเมื่อมีอะไรผิดเพี้ยนไปจากสิ่งปกตินั้นแสดง ให้เห็นถึงรางร้ายทีุ่
จะเกิดขึ้น ซึ่งในวรรคเหล่านี้พระนางมัทรีขณะอยู่ในป่าได้พบหลายสิ่งที่ผิดเพี้ยนไปจากปกติ เช่น ที่ที่อยู่ของผลไม้
ปกติได้กลายเป็นดอกไม้น่าเกลียด? เลยทาให้นางมัทรีรู้สึกไม่สบายใจ
9
บรรณานุกรม
10