Professional Documents
Culture Documents
Bank of Thailand Report
Bank of Thailand Report
บทคัดย่อ
1.บทนา
ในปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรแรงงานราว 38.4 ล้านคน คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เจริญเติบโต
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประชากรวัยแรงงานเหล่านี้ก็จะมีอายุมากขึ้น โดย ชูเชิดและคณะ (2557) ได้ประมาณ
ประชากรไทยในระยะ 5 ปีข้างหน้า พบว่า ในปี พ.ศ. 2578 ประเทศไทยจะมีประชากรที่มีอายุ 60ปี ขึ้นไป
จานวนสูงถึง 20.2 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30.2 ของประชากรไทยทั้งหมด แต่จะมีวัยแรงงาน (อายุ
15 – 59 ปี) เพียง 37.7 ล้านคน และวัยเด็ก (อายุต่ากว่า 15ปี) มีจานวน 8.9 ล้านคน ดังแสดงในภาพที่ 1 ซึ่งอาจ
กล่าวได้ว่า สังคมไทยกาลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัวในอีกไม่นาน และกาลังจะเผชิญกับการขาดแคลนวัย
แรงงานในอนาคต ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรดังกล่าว จะส่งผลต่อความมั่นคงทางด้าน
เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวอีก
ด้วย
ที่มา : http://populationpyramid.net/thailand
ซึ่งประเด็นปัญหาเรื่องสังคมผู้สูงอายุนั้น ทางภาครัฐตลอดจนแวดวงเศรษฐกิจและวิชาการก็ไม่ได้นิ่ง
นอนใจแต่อย่างใด โดยได้มีการศึกษาถึงผลกระทบตลอดจนแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งผลกระทบ
ที่สาคัญประการหนึ่งก็คือ การที่ภาครัฐมีภาระที่ต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูผู้สูงอายุอีกเป็นจานวนมากในอนาคต อาจ
ส่งผลให้หนี้สินสาธารณะสูงขึ้นไป จนเข้าใกล้ระดับ เพดานหนี้สินสาธารณะ (Fiscal debt ceiling) ที่ถูก
กาหนดไว้ที่ร้อยละ 60 ต่อ GDP ได้ โดยจากการประมาณการของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย สานัก
ส่งเสริมและพิทักษ์ผู้สูงอายุและสานักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ
3
ภาพที่ 2 : รายจ่ายสวัสดิการผู้สูงอายุและเปอร์เซ็นรายจ่ายเมื่อเทียบกับรายได้ของรัฐ
2. ทบทวนวรรณกรรมและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
ในส่วนแรกของการทบทวนวรรณกรรมและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง จะกล่าวถึงที่มาและแนวคิดทฤษฎีทาง
เศรษฐศาสตร์ที่เป็นรากฐานในการพัฒนาไปสู่ทักษะทางการเงิน ตลอดจนความสาคัญของการออม ต่อมาใน
ส่วนที่สอง จะกล่าวถึงวรรณกรรมที่มีวัตถุประสงค์มุ่งเน้นในการวัดระดับทักษะทางการเงิน ในส่วนที่สาม จะ
กล่าวถึงวรรณกรรมที่มีการพัฒนาทฤษฎีที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจะอธิบายในเรื่องของความสาคัญของทักษะทาง
การเงินต่อการตัดสินใจออม และในส่วนสุดท้ายจะเป็นวรรณกรรมที่มุ่งเน้นศึกษาถึง ทักษะทางการเงินและ
ความสัมพันธ์ในการออมการลงทุน
5
2.1 ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางการเงินและการออม
ในปัจจุบัน แม้ว่างานวิจัยในด้านทักษะทางการเงินจะได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นในวงการวิชาการ
ซึ่งแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางการเงินนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจาก ทฤษฎีการบริโภคข้ามเวลา
(Ricardian Equivalence Theorem) (Ricardo et el. (1890)) อันเป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงการบริโภคและการ
ออม โดยกาหนดให้เป็น 2 ช่วงเวลา1
โดยการตัดสินใจภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวนั้น จะต้องคานึงถึงอนาคต และต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของ
งบประมาณที่มีจากัด เพื่อสร้างให้เกิดอรรถประโยชน์สูงสุด ซึ่งเรียกว่า การตัดสินใจข้ามเวลา (Intertemporal
Decision) โดยการตัดสินใจจะออมหรือจะบริโภคเท่าใด ณ ปัจจุบัน (t0) จะส่งผลกระทบต่อปริมาณการ
บริโภคในช่วงเวลาถัดไป (t1) จากแนวคิดการบริโภคข้ามเวลานั้น สะท้อนให้เห็นถึงความสาคัญของการออม
และการบริโภคใดๆ ณ เวลาปัจจุบัน ย่อมส่งผลกระทบต่อการบริโภคในอนาคต ซึ่งการตัดสินใจออมของ
ครัวเรือนหรือหน่วยเศรษฐกิจนอกจากจะกระทบต่อการบริโภคในอนาคตของตนแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการ
เจริญเติบโตเศรษฐกิจโดยรวมผ่านทางการลงทุน (Investment) ด้วย
การออมมีความสัมพันธ์กับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ โดยในทฤษฎี Endogenous Growth อัน
เป็นทฤษฎีที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจาก Solow Growth model (Solow et el. (1956))ได้กล่าวถึงความสาคัญของ
การออม (Saving) และการลงทุน (Investment) ซึ่งเป็นตัวแปรสาคัญที่จะทาให้เศรษฐกิจเกิดการเจริญเติบโต
ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว แต่สิ่งที่สาคัญไม่แพ้กันก็คือ การวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพของ
ทุนมนุษย์ ที่เป็นตัวแปรในการทาให้เศรษฐกิจมีความเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืนเช่นกัน
2.2 วรรณกรรมและแนวคิดที่เกี่ยวข้องในการวัดระดับทักษะทางการเงิน
การศึกษาเกี่ยวกับทักษะทางการเงินนั้นเป็นที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยทักษะทางการเงิน
นั้นเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่นเดียวกับ IQ หรือ EQ ดังนั้น จึงมีงานวิจัยเป็นจานวนมากที่ทาการศึกษาใน
ลักษณะการมุ่งเน้นวัดผลระดับทักษะทางการเงินของกลุ่มตัวอย่างโดยเฉพาะเจาะจง เช่น เฉพาะพื้นที่ หรือ
เฉพาะกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งได้มีการสารวจทักษะทางการเงินครั้งแรกเกิดขึ้นในปีค.ศ. 2004 โดยใช้กรอบแนวคิด
ของ Financial Services Authority : FSA (FSA ,2005) ตามภาพที่ 4
1
โดยหน่วยเศรษฐกิจต้องตัดสินใจว่าจะทาการบริโภคหรือออมภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้
1. ผู้ทาการตัดสินใจมีอายุแค่ 2 ช่วงเวลาเท่านั้น คือปีปัจจุบัน และปีถัดไป
2. ระดับราคาสินค้าและบริการไม่มีการเปลี่ยนแปลง
3. มีความแน่นอนทั้งในอายุและรายได้ในอนาคต (Certainty)
4. ไม่มีการหลงเหลือมรดกทิ้งไว้
6
ภาพที่ 4 : กรอบเนื้อหาในการวัดระดับทักษะทางการเงิน
ที่มา : Measuring financial capability : an exploratory study, Financial Services Authority (2005)
2.3 วรรณกรรมและแนวคิดที่เกี่ยวข้องในการอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างทักษะทางการเงินและการออม
คาถามที่สาคัญก็คือ “ทักษะทางการเงินมีผลต่อการออมอย่างไร” ตามแนวคิดด้านการออมในทาง
เศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับอย่าง John Maynard Keynes ได้กล่าวถึงการออมในมุมมองเชิงมหภาค
(Macro Economy) พบว่าการออม (Saving) นั้นขึ้นอยู่กับรายได้ (Income) และการบริโภค
(Consumption) แต่ในงานวิจัยเชิงประจักษ์นั้นกลับพบว่า การออมถูกกาหนดจากปัจจัยอื่นๆที่
นอกเหนือไปจากรายได้และการบริโภค ดังเช่นในงานวิจัยของสานักงานสถิติ: SES (2552) พบว่า ค่าความ
7
3. ระเบียบวิธีวิจัย
3.1 กรอบแนวคิดในการศึกษา
ในการศึกษาครั้งนี้ ทางผู้วิจัยได้ทาการแบ่งหัวข้อการศึกษาออกเป็น 3 หมวดใหญ่ๆ โดยจะศึกษาถึง
ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อทักษะทางการเงิน และผลกระทบของทักษะทางการเงินที่มีผลกระทบต่อความน่าจะ
เป็นของการมีการออมเพื่อการเกษียณ โดยกาหนดกรอบแนวคิดไว้ ดังนี้
9
ภาพที่ 5 : กรอบแนวคิดในการศึกษา
ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) ตัวแปรตาม (Dependent Variable)
ทัศนคติทางการเงิน
(Financial Attitude:
FNA)
พฤติกรรมทางการเงิน
ทักษะทางการเงินขั้นสูง (Financial Behavior :
FNB)
(Advanced Financial การออมเพื่อการเกษียณ
Literacy Score) ความรู้ทางการเงิน
(Financial Knowledge :
FNK)
ความรู้ทางการลงทุน
(Financial Knowledge
with Risk and Return :
FNR)
ปัจจัยส่วนบุคคล
ที่มา : จากการศึกษา
3.2 สมมติฐานในการศึกษา
จากกรอบแนวคิดในการศึกษา ผู้วิจัยได้กาหนดสมมติฐานในการศึกษาได้ดังนี้
สมมติฐานที่ 1 : ลักษณะภูมิหลังด้านประชากรอัน ได้แก่ เพศ ช่วงอายุ ระดับรายได้ ระดับการศึกษา อาชีพ
สถานภาพสมรส ภาระอุปการะเลี้ยงดู ความกลัวความเสี่ยง ระดับความมั่นใจในความรู้ของตนเอง มีผลต่อระดับ
ทักษะทางการเงินขั้นสูง (AFLS)
สมมติฐานที่ 2 : ทักษะทางการเงินขั้นสูง (AFLS) มีผลต่อความน่าจะเป็นต่อการออมเพื่อการเกษียณ
สมมติฐานที่ 3 : องค์ประกอบของทักษะทางการเงิน อันประกอบไปด้วย ทัศนคติทางการเงิน (FNA) พฤติกรรม
ทางการเงิน (FNB) ความรู้ทางการเงิน (FNK) และความรู้ด้านการลงทุน (FNR) ด้านใดด้านหนึ่งมีผลต่อการ
ออมเพื่อการเกษียณ
10
4.ระเบียบวิธีวิจัย
ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาเป็นข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลปฐมภูมิเป็น
การเก็บข้อมูลภาคสนามโดยการเก็บสารวจ (Survey) ที่ใช้แบบสอบถามซึ่งผู้วิจัยได้ทาการทดสอบความเชื่อถือ
แล้วกลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มผู้ลงทุนทั่วไป รวมเป็นจานวน 400 ราย โดยแบบสอบถาม (Questionnaire) ที่
เกี่ยวกับความรู้ทางการเงินที่ใช้ในการเก็บสารวจกลุ่มลูกค้าจะอ้างอิงต้นแบบจาก Organisation for
Economic Co-operation and Development : OECD (2011) และได้รับการแปลเป็นภาษาไทยโดย
ธนาคารแห่งประเทศไทย (2556) นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มเติมหมวดคาถามด้านการลงทุน (Financial
Knowledge with risk and return : FNR) โดยการอ้างอิงจากเวปไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
สาหรับในการเก็บสารวจครั้งนี้
หลังจากนั้นจะนาข้อมูลที่ได้จากการเก็บสารวจเข้าสู่กระบวนการแปลงค่า (Coding) (โดยรายละเอียด
ประกอบเพิ่มเติมตามเอกสารแนบที่ 1 และ 2 ตามลาดับ) เนื่องจากการออกสารวจครั้งนี้เป็นการสารวจเพื่อวัด
ระดับทักษะทางการเงินจึงจาเป็นจะต้องมีการคิดคะแนนทักษะทางการเงิน โดยหลักการในการประเมินคะแนน
จะใช้มาตรฐานเดียวกับ OECD และการออกสารวจของธนาคารแห่งประเทศไทย (2556) โดยสามารถสรุปได้
ดังตารางที่ 2
ภาพที่ 6 : สรุปตัวแปรและแบบจาลองในการศึกษา
วิเคราะห์ด้วย Ordinary least square : OLS (สีม่วง) วิเคราะห์ด้วย Binary&Multinomial Logistic (สีฟ้า)
ทัศนคติทางการเงิน
(Financial Attitude)
พฤติกรรมทางการเงิน
ทักษะทางการเงินขั้นสูง (Financial Behavior)
ความรู้ทางการลงทุน
(Financial Knowledge
with Risk and Return)
ปัจจัยส่วนบุคคล
ที่มา : จากการศึกษา
12
5. ผลการศึกษา
ในเบื้องต้นจากการเก็บสารวจจานวน 400 ตัวอย่าง ลักษณะข้อมูลของประชากรโดยทั่วไป สามารถ
จาแนกได้เป็น 6 ด้าน โดยลาดับจากมากไปน้อยได้ดังนี้ และข้อมูลโดยละเอียดจะสามารถสรุปได้ ดังตารางที่ 3
ในภาคผนวก
1. ในด้านของเพศ แบ่งเป็น เพศหญิง 57% และ เพศชาย 43%
2. ในด้านของอายุ แบ่งเป็น อายุ 26 -35 ปี 51% อายุ 18-25 ปี 22% อายุ 36-45 ปี ที่ 13% และ 46 ปี ขึ้นไป
14%
3. ในด้านของอาชีพ แบ่งเป็น พนักงานบริษัทเอกชน 55%ข้าราชการหรือพนักงานของรัฐ/รัฐวิสาหกิจ 15%
ประกอบวิชาชีพอิสระ 12% และอื่นๆ 19%
4. ในด้านของจังหวัด เนื่องจากการสารวจครั้งนี้ มีการสารวจบนอินเตอร์เน็ท 45% และเป็นแบบสอบถามอีก
55% จึงมีการกระจายตัวในด้านของจังหวัดดังนี้ กรุงเทพฯ 66% ปริมณฑล 19% และต่างจังหวัด 15%
5. ระดับการศึกษาสูงสุด แบ่งเป็น ระดับปริญญาตรี 55% ระดับสูงกว่าปริญญาตรี 34% และระดับต่ากว่าปริญญา
ตรี %
6. ระดับรายได้แบ่งเป็น 3 ระดับ ในเบื้องต้นพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีการกระจุกตัวอยู่ในรายได้ระดับกลางในช่วง
15,001 ถึง 100,000 บาท โดยสรุปได้ดังตารางที่ 4
7. ในด้านการใช้บริการทางการเงิน 2 กลุ่ม ลูกค้าธนาคารพาณิชย์ จานวน 306 ราย กับ ลูกค้าบริษัทหลักทรัพย์
จานวน 94 ราย
ตารางที่ 4 : การแบ่งระดับของรายได้
ระดับรายได้ ช่วงของรายได้ %
ต่า 15,000 บาท หรือ ต่ากว่า 16%
กลาง 15,001 บาท ถึง 100,000 บาท 73%
สูง 100,001 บาทขึ้นไป 11%
ที่มา : จากการศึกษา
จากการคานวณระดับคะแนนทักษะทางการเงินเฉลี่ย (ภาพที่ 7 สีฟ้า) ของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า ระดับ
ทัศนคติทางการเงิน (FNA) ของกลุ่มตัวอย่างอยู่ที่ 3.5133 จาก 5 คะแนนเต็ม และ ระดับพฤติกรรมทางการเงิน
(FNB) อยู่ที่ 7.3775 จาก 9 คะแนนเต็ม ความรู้ทางการเงินเบื้องต้น (FNK) อยู่ที่ 8.26 จาก 10 คะแนนเต็ม ความรู้
ด้านการลงทุน (FNR) อยู่ที่ 6.73 จาก 10 คะแนนเต็ม ในขณะที่ ทักษะทางการเงินทั่วไป (FLS) อยู่ที่ 19.15 จาก
24 คะแนนเต็ม และทักษะทางการเงินขั้นสูง ( ALFS) อยู่ที่ 25.88 จาก 34 คะแนนเต็ม โดยเมื่อวิเคราะห์
13
สิ่งใดกาหนดให้ทักษะทางการเงินมีระดับที่แตกต่างกัน?
จากผลการเปรียบเทียบทั้งค่าเฉลี่ยและค่ามัธยฐานข้างต้น สิ่งที่เป็นตัวกาหนดทักษะทางการเงินตาม
กรอบการศึกษาของ Financial Services Authority ในภาพที่ 1 ก็คือปัจจัยส่วนบุคคล ( Demographic) ซึ่ง
หลังจากการนาตัวระดับคะแนนทักษะทางการเงินขั้นสูง (AFLS) และ ปัจจัยส่วนบุคคล (Demographic) ไป
วิเคราะห์ผ่านแบบจาลอง OLS และตัดตัวแปรตัววิธี Stepwise นั้นพบว่า ทักษะทางการเงินขั้นสูง (AFLS) ซึ่ง
เป็นทักษะทางการเงินที่ได้เพิ่มคาถามในส่วนของความรู้ด้านลงทุนเพิ่มเข้าไป เมื่อทาการวิเคราะห์พบว่าตัวแปร
อิสระนั้น สามารถอธิบายได้อยู่ที่ 36.1% โดยปัจจัยที่มีผลต่อระดับทักษะทางการเงินขั้นสูงในทางบวกนั้น
ประกอบไปด้วย ปัจจัยด้านเพศชาย,อาชีพนักเรียน-นักศึกษาและอาชีพอื่นๆ (ในที่นี้คือกลุ่มนักลงทุนอิสระระดับ
การศึกษาตั้งแต่ปริญญาตรีขึ้นไป, ระดับรายได้กลาง-สูง ,ความกลัวความเสี่ยง (Risk Aversion) การใช้คาแนะนา
จากผู้ติดต่อกับผู้ลงทุน ตลอดจนจานวนใบอนุญาตทางการเงิน นั้นให้ผลในทางบวก ซึ่งพบว่ากลุ่มตัวอย่างลูกค้า
ที่มีอาชีพอื่นๆนั้น เป็นนักลงทุนอิสระ ซึ่งกลุ่มอาชีพดังกล่าวนั้น มีลักษณะเฉพาะคือมีระดับทักษะทางการเงินใน
หมวดความรู้ด้านการลงทุน (FNR) ที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ระดับทักษะทางการเงินขั้นสูง (AFLS) สูงตาม
ไปด้วย ในขณะที่ปัจจัยที่ส่งผลกระทบในทางลบจะประกอบไปด้วย เพศหญิง ช่วงอายุ 26-35 ปี สถานภาพการ
หย่าร้าง/หม้าย/แยกกันอยู่ ระดับการศึกษาต่ากว่าปริญญาตรี ระดับรายได้ต่ากว่า 15,000 บาท และความมั่นใจ
ของกลุ่มตัวอย่างลูกค้า ดังตารางที่ 7
จากผลการศึกษาข้างต้นพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลมีความสัมพันธ์กับระดับทักษะทางการเงินขั้นสูง
(AFLS) ซึ่งผลการศึกษานั้นสอดคล้องกับกรอบการศึกษาของ Financial Services Authority ซึ่งกล่าวถึงการ
ที่ทักษะทางการเงินของแต่ละบุคคลนั้นถูกกาหนดมาจากปัจจัยส่วนบุคคล อันจะเห็นได้จากผลการศึกษาใน
ตารางที่ 7 ข้างต้น ต่อไปจะเป็นการวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ของทักษะทางการเงินขั้นสูงที่มีต่อความน่าจะเป็น
ต่อการออมเพื่อการเกษียณอย่างไร
R2adj =36.1%
MRA AFLS
Constant = 12.499***
ต่ากว่าปริญญาตรี สูงกว่าปริญญาตรี
ระดับการศึกษา ปริญญาตรี (+0.289)***
(-0.189)*** (+0.438)***
ระดับต่า (ต่ากว่า 15,000 ระดับกลาง (15,001- ระดับสูง (100,001 บาท/
ระดับรายได้
บาท/เดือน) (-0.209)*** 100,000บาท/เดือน) (+)*** เดือน ขึน้ ไป) (+0.276)***
การใช้คาปรึกษาทาง
คาแนะนาจากผู้ติดต่อผู้ลงทุน (+0.111)***
การเงิน
จานวนใบอนุญาตทาง
+0.124***
การเงิน
Over Confidence -0.233***
รสนิยมด้านความเสี่ยง กลัวความเสี่ยง (+0.155)***
หมายเหตุ : ***, **, * แสดงนัยสาคัญที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 99 ,95 ,90 ตามลาดับ โดยเครื่องหมายใน ( )
แสดงถึงทิศทางความสัมพันธ์
สามารถกระทาได้จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ซึ่งในผลวิจัยในส่วนถัดไปนั้นจะมุ่งเน้นตอบคาถามว่า
“ทักษะทางการเงินในด้านใดที่เป็นตัวแปรสาคัญในการกาหนดการออมเพื่อการเกษียณ”
ทักษะทางการเงินในด้านใดที่กาหนดความน่าจะเป็นในการออมเพื่อการเกษียณ
สาหรับในการศึกษาหัวข้อนี้ จะทาการศึกษาโดยใช้ Multinomial Logistic Regression (MLR) ใน
กลุ่มลูกค้า โดยจะทาการกาหนด Baseline category group หรือกลุ่มที่จะทาการอ้างอิง (Reference group)
เป็น 2 กรณีดังนี้
1.กลุ่มที่ไม่มีการออมใดๆเลย
2. กลุ่มที่มีการออมแต่ไม่มีการออมเพื่อการเกษียณ
โดยจากกลุ่มตัวอย่างลูกค้าทั้งหมด 400 ราย และใช้การตัดตัวแปรด้วยวิธี Backward Stepwise โดยมี
ผลการศึกษา ดังเช่น ตารางที่ 9 และ 10 ตามลาดับ
จากผลในตารางที่ 10 แสดงถึงการมีเปรียบเทียบความน่าจะเป็นการมีการออมเพื่อการเกษียณต่อทักษะ
ทางการเงินที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งการมีการออมเพื่อการเกษียณนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับ Reference group
หรือก็คือกลุ่มตัวอย่างที่มีการออมแต่ไม่มีการออมเพื่อการเกษียณ เป็นจานวน 109 ราย นั้นพบว่า ผลการศึกษา
ค่อนข้างสอดคล้องกับกรณีกลุ่มอ้างอิงที่ไม่มีการออม โดยทักษะทางการเงินด้านที่มีผลต่อการเพิ่มความน่าจะ
20
ภาพที่ 9 : สรุปทักษะทางการเงินด้านต่างๆที่ช่วยเพิ่มความน่าจะเป็นในการออมเพื่อการเกษียณ
ทัศนคติทางการเงิน
(Financial Attitude)
ความรู้ทางการเงิน เพิ่มความน่าจะเป็นในการ
(Financial Knowledge)
ออมเพื่อการเกษียณ
ผู้มีการออม ทัศนคติทางการเงิน
แต่ไม่มีการ ทักษะทางการเงินขั้นสูง (Financial Attitude)
ที่มา : จากการศึกษา
ภาพที่ 10 : แสดงเปอร์เซ็นการตอบถูกระหว่างกลุ่มที่มีการออมเพื่อการเกษียณและกลุ่มที่ไม่มีการออมเพื่อการ
เกษียณ
100%
80%
60% ไม่มีการออมเพื่อการเกษียณ
40%
20% มีการออมเพื่อการเกษียณ
0%
FNA FNB FNK FNR FLS AFLS
ที่มา : จากการศึกษา
ดังนั้น เมื่อทาการแยกกลุ่มลูกค้าออกเป็น ทั้งหมด 3 กลุ่ม ตามการวิเคราะห์ด้วยแบบจาลอง
Multinomial Logit และตรวจสอบคาถามที่กลุ่มลูกค้านั้นตอบผิดแล้วพบว่า ทักษะทางการเงินขั้นสูงที่จาเป็น
ต่อการออมเพื่อการเกษียณทั้ง 3 ด้าน พบว่า กลุ่มที่ไม่มีการออมใดๆ เลยนั้น มีอัตราการตอบผิดสูงสุดเป็นอันดับ
แรก โดยเมื่อวิเคราะห์แบ่งตามหมวดทักษะทางการเงินพบว่า ในด้านของทัศนคติทางการเงิน (FNA) นั้น เป็น
แบบสอบถามที่ไม่มีข้อถูกหรือผิด แต่จะแบ่งตัวเลือกเป็นแบบระดับความเห็นด้วย (Scale) โดยภาพที่ 11 จะ
แสดงถึงผู้ที่ตอบว่า “ค่อนข้างเห็นด้วย หรือ เห็นด้วยกับข้อความดังกล่าว” ซึ่งผู้ที่ไม่มีการออมใดๆเลยนั้น จะมี
เปอร์เซ็นการตอบว่าเห็นด้วย/ค่อนข้างเห็นด้วยสูงถึงร้อยละ 50 ในเกือบทุกด้าน ซึ่งสามารถสรุปได้ว่ากลุ่มผู้ที่ไม่
มีการออมใดๆ เลยนั้น มีทัศนคติด้านการเงินที่ค่อนข้างแย่เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ในขณะที่กลุ่มที่มีการ
ออมแต่ไม่มีการเพื่อการเกษียณนั้นพบว่า ตอบเห็นด้วย/ค่อนข้างเห็นด้วยในหัวข้อ “ท่านคิดว่าเงินมีไว้เพื่อใช้จ่าย
แต่เพียงอย่างเดียว” ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การออมของกลุ่มที่ออมแต่ไม่มีการเพื่อการเกษียณ กล่าวคือ
การออมของกลุ่มตัวอย่างนี้นั้น มุ่งเน้นแต่เป็นการออมระยะสั้นเพื่อการบริโภค เช่น การเก็บออมเพื่อซื้อของที่
อยากได้หรือเก็บออมเพื่อการท่องเที่ยว โดยกลุ่มสุดท้ายที่ตอบ “ไม่เห็นด้วย หรือ ค่อนข้างไม่เห็นด้วย หรือ
เฉยๆ” จะตกอยู่ในกลุ่มผู้มีการออมเพื่อการเกษียณเสียเป็นส่วนมาก
22
ภาพที่ 11 : แสดงเปอร์เซ็นของการตอบผิดในด้านทัศนคติทางการเงินเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มผู้มีการออมและ
ไม่มีการออม
60.00%
50.00%
40.00%
30.00%
20.00% ไม่มีการออมใดๆ
10.00%
0.00% มีการออมแต่ไม่มีการออมเพื่อการเกษียณ
เงินมีไว้ใช้จ่าย
ชอบจ่ายมากกว่า
วันนี้มากกว่าพรุ่งนี้
คิดถึงแต่ค่าใช้จ่าย มีการออมเพื่อการเกษียณ
เท่านั้น
ที่มา : จากการศึกษา ออม
ภาพที่ 12 : แสดงอัตราการตอบผิดในด้านพฤติกรรมทางการเงินเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มผู้มีการออมและไม่มี
การออม
120.00%
100.00%
80.00%
60.00%
40.00% ไม่มีการออมใดๆ
20.00%
0.00% มีการออมแต่ไม่มีการออมเพื่อการเกษียณ
การมีส่วนร่วมในการ
ติดตามการเงินของตน
การไม่กู้ยืมเมื่อเกิดขัด
วางเป้าหมายทาง
คิดก่อนซื้อ
จ่ายเงินตรงเวลา
มีการออมในช่วงปีที่
การบริหารเงิน
การเปรียบเทียบ
มีการออมเพื่อการเกษียณ
วางแผนการเงิน
ผลิตภัณฑ์
การเงิน
ผ่านมา
สน
ในส่วนสุดท้าย ภาพที่ 13 จะเป็นการวิเคราะห์อัตราการตอบผิดในด้านความรู้ทางการลงทุน (FNR) ซึ่ง
พบว่ากลุ่มที่ยังคงมีอัตราการตอบผิดสูงสุด ยังคงเป็นกลุ่มผู้ไม่มีการออมใดๆ เลย ซึ่งพบว่าตอบผิดในเกือบทุกๆ
ข้อ สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มที่ไม่มีการออมใดๆ เลยนั้น ยังมีจุดอ่อนในด้านการขาดความรู้ทางการลงทุน (FNR)
ซึ่งหากมีการส่งเสริมความรู้ด้านดังกล่าวจะทาให้มีการเพิ่มความน่าจะเป็นในการมีการออมเพื่อการเกษียณเพิ่ม
สูงขึ้น โดยในกลุ่มของผู้ที่มีการออมแต่ไม่มีการออมเพื่อการเกษียณนั้นพบว่าตอบผิดในด้านนโยบายการลงทุน
LTF ข้อแตกต่างของสินทรัพย์แต่ละประเภท เช่น ตราสารชนิดใดจ่ายปันผล หรือ ตราสารชนิดใดเสี่ยงมากกว่า
กัน เป็นต้น โดยพบว่าการตอบผิดนั้นจะอยู่ในช่วงร้อยละ 50-70 (ไม่รวมความรู้ด้านตราสารอนุพันธ์) ซึ่งในกลุ่ม
ที่มีการออมเพื่อการเกษียณนั้น พบว่ามี เปอร์เซ็นการตอบผิดน้อยที่สุด แต่โดยภาพรวมความรู้ในด้านข้อแตกต่าง
ระหว่างตราสารทางการเงินชนิดต่างๆ นั้น ก็ยังมีสัดส่วนที่ตอบผิดสูงถึงร้อยละ 50 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความ
ขาดแคลนความรู้ทางด้านการลงทุน (FNR) ซึ่งถือได้ว่าเป็นทักษะทางการเงินขั้นสูงด้านที่สาคัญสาหรับการ
ออมเพื่อการเกษียณ
24
ภาพที่ 13 : แสดงอัตราการตอบผิดในด้านความรู้ทางการลงทุนเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มผู้มีการออมและไม่มีการ
ออม
100.00%
90.00%
80.00%
70.00%
60.00%
50.00%
40.00%
30.00% ไม่มีการออมใดๆ
20.00%
10.00%
0.00% มีการออมแต่ไม่มีการออมเพื่อการเกษียณ
HPY
Dividend
Rating
Future
Risk on life cycle
Foreign invest
Call option
LTF Policy
Expected return on
มีการออมเพื่อการเกษียณ
asset in LT
price
ภาพที่ 14 : แสดงสัดส่วนสินทรัพย์เพื่อการลงทุนและสินทรัพย์ทางการเงินที่กลุ่มตัวอย่างถือครอง
120%
100%
80%
60% 88% 88%
98%
40%
20% %fin asset
0% 2% 12% 12%
%inv asset
กลุ่มที่มีการออม
กลุ่มที่มีการออม
กลุ่มที่ไม่มีการ
แต่ไม่มีการออม
เพื่อการเกษียณ
เพื่อการเกษียณ
ออมเพื่อการ
เกษียณ
6. สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ
การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทักษะทางการเงินว่ามีบทบาทต่อการออมเพื่อการเกษียณอย่างไร
และทักษะทางการเงินในด้านใด ที่เป็นตัวกาหนดการออมเพื่อการเกษียณ ตลอดจนแสวงหาคาตอบว่าหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้องควรให้ความรู้ทางการเงินในด้านใดบ้างเพื่อส่งเสริมให้มีการออมเพื่อการเกษียณที่มากขึ้น โดยผล
การการศึกษาครั้งนี้ พบว่า สาเหตุเป็นตัวกาหนดให้ทักษะทางการเงินของลูกค้ามีความแตกต่างกันเนื่องมาจาก
ปัจจัยส่วนบุคคล ที่มีความแตกต่างกัน โดยความสาคัญของทักษะทางการเงินขั้นสูงนั้น จะมีความสัมพันธ์ในเชิง
บวกกับความน่าจะเป็นของการออมเพื่อการเกษียณ กล่าวคือ ระดับทักษะทางการเงินที่สูงขึ้นจะช่วยเพิ่มโอกาส
ในการออมเพื่อวัยเกษียณของกลุ่มตัวอย่างให้เพิ่มขึ้นนั่นเอง เมื่อทาการวิเคราะห์ลงไปในรายละเอียดด้วย
แบบจาลอง Multinomial Logit ผลการศึกษาพบว่า ในกลุ่มแรก คือ กลุ่มที่ไม่มีการออมใดๆ เลย หากมีการ
เพิ่มทักษะทางการเงินในด้าน ทัศนคติทางการเงิน พฤติกรรมทางการเงิน และความรู้ทางการลงทุน จะช่วยเพิ่ม
ความน่าจะเป็นในการออมเพื่อการเกษียณในกลุ่มดังกล่าวนั้น ถึงกว่า 5 เท่า โดยกลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้ ขาดความรู้
ทางการลงทุน ซึ่งหากมีการส่งเสริมความรู้ด้านดังกล่าวจะทาให้มีการเพิ่มความน่าจะเป็นในการมีการออมเพื่อ
การเกษียณให้เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่มีการออมเป็นประจาแต่ไม่มีการออมเพื่อการเกษียณ
ต้องการทักษะทางการเงิน ในด้านทัศนคติทางการเงินและความรู้ทางการลงทุน โดยกลุ่มตัวอย่าง มีปัญหาใน
ด้านวินัยการออมและวินัยการใช้เงิน ขาดความเข้าใจด้านนโยบายการลงทุน และไม่เข้าใจความแตกต่างของ
สินทรัพย์แต่ละประเภท ซึ่งปัญหาดังกล่าวนั้น ควรจะต้องให้ความสาคัญในการแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่สุด
อย่างไรก็ตาม การจะกระตุ้นให้เกิดการออมเพื่อการเกษียณนั้น การใช้นโยบายเพื่อบังคับหรือสร้าง
ความสมัครใจในการออมอาจจะไม่เพียงพอต่อการปลูกฝังให้เกิดการออมอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน จากผล
การศึกษาพบว่า การพัฒนาความรู้และทักษะทางการเงินจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการออม
เพื่อการเกษียณ ถึงแม้ว่า ในปัจจุบันจะมีหลายหน่วยงาน คอยให้ความรู้และเผยแพร่ทักษะทางการเงิน แต่จากผล
การศึกษานั้นพบว่า ในความเป็นจริงนั้น ประชาชนมีทั้งผู้ที่ไม่ออม ผู้ที่ออมแต่ไม่ได้ออมเพื่อการเกษียณ และมีผู้
ออมเพื่อการเกษียณอยู่เป็นประจาอยู่แล้ว ซึ่งกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มนั้น มีความต้องการในด้านทักษะทางการเงิน
และความรู้ที่แตกต่างกันออกไป การให้ความรู้แบบกว้างๆ หรือเพียงด้านเดียว อาจจะทาให้ไม่เกิดประสิทธิผล
ตามที่คาดหวัง การให้ความรู้ควรจะให้ด้านที่ขาดและจาเป็นสาหรับกลุ่มตัวอย่างในแต่ละกลุ่ม โดยสรุป ด้านที่
พบว่าสาคัญและกลุ่มตัวอย่างนั้นมีความขาดแคลนเกี่ยวกับความรู้ทางกาเงินก็คือ ด้านทัศนคติทางการเงิน
(FNA) ด้านพฤติกรรมทางการเงิน (FNB) และด้านความรู้ทางการลงทุน (FNR) ซึ่งถือเป็นทักษะทางการเงิน
ด้านที่จาเป็นต่อการออมเพื่อการเกษียณ ดังนั้น หากจะมีการให้ความรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะทางการเงินเพื่อช่วย
กระตุ้นให้เกิดการออมเพื่อการเกษียณ ทักษะทางการเงิน 3 ด้านดังกล่าว จึงควรหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวใจหลักใน
การให้ความรู้แก่ประชาชนต่อไป
26
เอกสารอ้างอิง
ภาคผนวก
ตารางที่ 3 : ลักษณะข้อมูลของประชากรโดยทั่วไป
ข้อมูลส่วนบุคคล ร้อยละ ข้อมูลส่วนบุคคล ร้อยละ ข้อมูลส่วนบุคคล ร้อยละ
เพศ ชาย 43 ภาระ มี 35 ระดับ เทียบเท่ามัธยมต้นหรือต่ากว่า 4
อุปการะ การศึกษา
เลี้ยงดู สูงสุด
หญิง 58 ไม่มี 65 มัธยมปลาย /ปวช. 6
อายุ 18-25 ปี 22 จานวน 1 14 ปวส. 1
26-35 ปี 51 บุคคลที่ 2 13 อนุปริญญา 1
36-45 ปี 13 ต้อง 3 6 ปริญญาตรี 55
46-55 ปี 11 อุปการะ 4 1 ปริญญาโท 33
55 ปีขึ้นไป 3 เลี้ยงดู 5 0 ปริญญาเอก 1
อาชีพ พนักงานเอกชน 55 6 0 ระดับ ต่า (15000 บาท หรือ ต่ากว่า) 16
ข้าราชการ/พนักงาน 15 7 0 รายได้ กลาง (15001 บาท ถึง 100,000 73
ของรัฐ/รัฐวิสาหกิจ บาท)
อืน่ ๆ 3 สมรสแต่ 9
ไม่จด
ทะเบียน
จังหวัด กรุงเทพมหานคร 66 แยกกันอยู่ 1
ปริมณฑล 19 หม้าย 0
จังหวัดอืน่ ๆ 15 หย่าร้าง 2
ที่มา : จากการศึกษา