Professional Documents
Culture Documents
305 58
305 58
บัญชา ธนบุญสมบัติ
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ
www.facebook.com/buncha2509
ที่มาของภาพ : http://clipart-library.com/clipart/8cAbqdnki.htm
นักวิทย์ยิ่งใหญ่แค่ไหน...
ก็ “พลาด” ได้
เวลาอ่านบทความ หรือรับชมสารคดีเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก เนื้อหาส่วนใหญ่มักจะ
มุง่ เน้นไปทีผ่ ลงานอันเยีย่ มยอด หรือไม่กค็ วามเก่งกาจของอัจฉริยะบุคคลเหล่านี้ แต่นกั วิทย์กเ็ ป็นเฉกเช่น
คนทั่วไปครับ ย่อมคิดหรือท�ำอะไรที่ผิดพลาดได้ แถมบางครั้งนักวิทย์ระดับพระกาฬนี่แหละที่ผิดพลาด
อย่างหนัก กลายเป็นกรณีคลาสสิคในวงการวิทยาศาสตร์ไปเลย
เรื่องแนวนี้คนทั่วไปไม่ค่อยรับรู้ อาจเป็นเพราะหนังสือเรียนไม่กล่าวถึง ไม่ค่อยมี ใครเล่าให้ฟัง
แถมแง่มุมทางวิชาการที่เกี่ยวข้องมักจะยากซะอีก แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากมองแบบระยะยาวแล้ว
ความผิดพลาดและความพยายามในการแก้ไขความผิดพลาดนี่แหละที่เป็นส่วนส�ำคัญในความก้าวหน้า
ของวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าสาขาใดก็ตาม
ผมขอยกตัวอย่างเด่นๆ สัก 5 คน ได้แก่ วิลเลียม ทอมสัน, ออปเพนไฮเมอร์, เฟร็ด ฮอยล์,
ไลนัส พอลิง และ…แน่นอน…ไอน์สไตน์
59
เฟร็ด ฮอยล์
คราวนี้มาดูกรณีนักดาราศาสตร์เรืองนามบ้าง
คุณผู้อ่านอาจจะเคยได้ยินค�ำว่า Big Bang (บิ๊กแบง)
ฮอยล์บอกว่าการถือก�ำเนิดอย่างฉับพลันของเอกภพตามทฤษฎีบิ๊กแบง
มาบ้ า ง ค� ำ ๆ นี้ ถู ก น� ำ ไปใช้ ในหลายบริ บ ท ชื่ อ วง เปรียบเสมือนมีหญิงสาวในงานปาร์ตี้
บอยแบนด์ของเกาหลีก็มี หรืองาน Digital Thailand ที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาจากเค้กวันเกิด ซึ่งเขาคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล
Big Bang 2017 ก็มี แต่ความหมายในทางดาราศาสตร์
ค�ำว่า Big Bang เป็นค�ำใช้เรียกเหตุการณ์การก�ำเนิด ตัวฮอยล์เองนั้นเป็นนักดาราศาสตร์ที่โดดเด่น
เอกภพซึ่งในทฤษฎีเสนอว่า เอกภพเริ่มต้นจากสภาพ เขามี ส ่ ว นส� ำ คั ญ ในการพั ฒ นาทฤษฎี ซึ่ ง อธิ บ ายว่ า
ทีม่ คี วามหนาแน่นและอุณหภูมสิ งู ปรีด๊ จากนัน้ ก็ขยาย นิวเคลียสของธาตุหนักถือก�ำเนิดขึ้นมาในดาวฤกษ์ได้
ตัวออกไป ท�ำให้อุณหภูมิเฉลี่ยลดลง เกิดการก่อตัว อย่างไร เรียกว่า การสังเคราะห์นิวเคลียสในดาวฤกษ์
ของอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม อะตอมง่ายๆ อย่าง (stellar nucleosynthesis) แต่ในแง่ของเอกภพ เขา
ไฮโดรเจนและฮีเลียม และโครงสร้างที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เชือ่ มัน่ ในทฤษฎีสถานะคงตัว (Steady State Theory)
61
วัตสันบอกว่าพออ่านได้ไปไม่ถึงนาที ก็ ได้เห็น
ภาพทีแ่ สดงต�ำแหน่งต�ำแหน่งของอะตอมทีส่ ำ� คัญๆ ใน
แบบจ�ำลองโครงสร้างดีเอ็นเอที่พอลิงเสนอ และ คลิปเรื่อง Linus Pauling's triple DNA helix model,
บันทึกว่า 3D animation with basic narration
“ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีว่า มีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูก
วั ต สั น บั น ทึ ก ไว้ ว ่ า ฟรานซิ ส คริ ก ก็ แ สดง
ต้องทีเดียวนัก แต่ก็ ไม่สามารถจะเจาะจงลงไปได้ว่า
ความประหลาดใจพอๆ กับเขาในการที่พอลิงใช้หลัก
มันผิดตรงไหน จนกระทั่งได้มองภาพแสดงเป็นเวลา
เคมีทผี่ ดิ ปกติ เขาจึงเริม่ รูส้ กึ เบาใจขึน้ และรูว้ า่ ตนเอง
หลายๆ นาที และแล้วข้าพเจ้าก็เห็นว่า หมู่ฟอสเฟต
และฟรานซิส คริก ยังอยู่ในฐานะทีเ่ ป็นคูแ่ ข่งกับพอลิง
ในแบบจ�ำลองของไลนัสนี่ไม่แตกตัวออกไปเลย แต่ละ
(เพราะพอลิงยังไม่ได้เสนอโครงสร้างของดีเอ็นเอที่
หมู่ต่างก็มีอะตอมไฮโดรเจนเกาะอยู่ด้วย ดังนั้นมันจึง
ถูกต้อง) แต่ทงั้ คูก่ ็ไม่รวู้ า่ พอลิงคิดผิดพลาดไปถึงขนาด
ไม่มปี ระจุอยูเ่ ลย ฉะนัน้ กรดนิวคลีอกิ ของพอลิงจึงหา
นั้นได้อย่างไร วัตสันยังเขียนด้วยว่า
ใช่กรดไม่ ที่ส�ำคัญกว่านั้นก็คือ หมู่ฟอสเฟตที่ไร้ประจุ
นี้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ อะตอมไฮโดรเจน “ถ้าหากว่านักเรียนคนใดคนหนึ่งท�ำพลาดแบบ
เป็นส่วนส�ำคัญของไฮโดรเจนบอนด์ซงึ่ ยึดเกลียวทัง้ 3 นี้ คงถูกตราหน้าว่าไม่ควรมาเรียนในภาควิชาเคมีของ
สายให้ เ กาะอยู ่ ด ้ ว ยกั น ได้ ถ้ า ปราศจากอะตอม แคลเทคเป็นแน่” (ในช่วงเวลานั้น พอลิงเป็นอาจารย์
ไฮโดรเจนพวกนี้ สายทัง้ สามก็จะหลุดออกจากกัน และ สอนอยู่ที่แคลเทค หรือ California Institute of
โครงร่างดีเอ็นเอของพอลิงก็จะหายวับไปกับตา” Technology)
63
“ข้อผิดพลาดที่แสนจะตลกอันนี้เป็นสิ่งที่ ไม่
น่าเชื่อมากเสียจนท�ำให้เราเก็บไว้เป็นความลับได้ไม่กี่
นาที ข้าพเจ้ารีบวิ่งไปหารอย มาร์คัมในห้องวิจัยของ
เขา และบอกข่าวให้เขารู้ แล้วรอยก็ยังได้ยืนยันให้อีก
ว่า เคมีของไลนัสผิดแน่ๆ อย่างทีเ่ ราคาดไว้ เขาแสดง
ความพอใจอย่างมากที่รู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่ทางเคมีนี้ ได้ลืม
เคมีในระดับมหาวิทยาลัยที่ง่ายๆ เสียแล้ว….”
ภายหลัง พอลิงได้ ให้เหตุผลหลายอย่างเพื่อ
อธิบายว่าเขาคิดผิดเกีย่ วกับโครงสร้างของดีเอ็นเอได้
อย่างไร หลักๆ คือเขาไม่มีข้อมูลรูปแบบการเลี้ยวเบน
รังสีเอกซ์ที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ดี ค�ำอธิบายนี้ก็ ไม่ได้
ท�ำให้เข้าใจว่าเขาพลาดเรือ่ งความเป็นกรดของดีเอ็นเอ
ได้อย่างไร เหตุผลที่แท้จริงจึงยังคงเป็นปริศนาที่มี
หลายคนถกเถียงกันอยู่ถึงปัจจุบัน Daniel Shechtman ก�ำลังอธิบายควอไซคริสตัล
ให้เพื่อนร่วมงานฟังในปี ค.ศ.1985
อีกเรื่องหนึ่งที่ ไลนัส พอลิง ผิดพลาดมาก แต่
ไม่คอ่ ยมีคนกล่าวถึงเท่ากับเรือ่ งโครงสร้างของดีเอ็นเอ ด้วยกระเบือ้ งรูปสีเ่ หลีย่ มจัตรุ สั รูปสามเหลีย่ มด้านเท่า
นั่นคือ ควอไซคริสตัล (Quasicrystal) หรือรูปหกเหลี่ยมด้านเท่า เราก็จะปูได้เต็มโดยไม่มีที่
ว่างเหลือ แต่ถ้าเราปูพื้นด้วยกระเบื้องรูปห้าเหลี่ยม
ก่อนปี ค.ศ. 1992 สหภาพสากลแห่งผลึกวิทยา ด้านเท่า ก็จะเกิดที่ว่างขึ้นระหว่างชิ้นกระเบื้อง ในแง่
(The International Union of Crystallography) ให้ นี้ รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส (รวมทั้งรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า
นิ ย ามไว้ ว ่ า “ผลึ ก คื อ สารซึ่ ง องค์ ป ระกอบ ได้ แ ก่ และหกเหลี่ยมด้านเท่า) เป็นกระเบื้องที่ใช้ได้ ส่วน
อะตอม โมเลกุล หรือไอออน จัดเรียงตัวกันซ�้ำๆ เป็น กระเบื้องรูปห้าเหลี่ยมด้านเท่านั้น “ต้องห้าม” คือใช้
รูปแบบสามมิตทิ มี่ รี ะเบียบ” แต่ในปีดงั กล่าว นิยามได้ ไม่ได้ (ถ้าใช้แค่แบบเดียวปูพื้นให้เต็ม)
ถูกปรับเปลี่ยนใหม่เป็น “ผลึกคือของแข็งที่ต�ำแหน่ง
ของอะตอมในของแข็งนัน้ แสดงรูปแบบการเลีย้ วเบน แน่นอนครับว่า เมื่อมี ใครสักคนบอกว่าเขา
ที่ไม่ต่อเนื่องและแยกต�ำแหน่งเห็นเด่นชัด” ค้นพบเรื่องที่ต�ำรามาตรฐานทุกเล่ม “ห้าม” เอาไว้
รวมทั้งนักวิทย์ไม่ว่าคนไหนก็เชื่อเช่นนั้น ก็ต้องมีคนที่
แค่นยิ ามทีต่ า่ งกันนี้ อาจท�ำให้ไม่เห็นความลุม่ ลึก เคลือบแคลง สงสัย ยิม้ เยาะ ถากถาง ฯลฯ เรือ่ งนีเ้ ลย
ที่ซ่อนอยู่ เพราะจริงๆ แล้วการเปลี่ยนนิยามของผลึก เถิดไปถึงขนาดทีว่ า่ หัวหน้าห้องปฏิบตั กิ ารทีเ่ ชชต์แมน
คือ การเปลี่ยนวิธีคิดที่นักวิทยาศาสตร์มีต่อผลึกอย่าง ท�ำงานอยู่ ได้น�ำต�ำราพื้นฐานมาให้เขาและแนะน�ำว่า
แทบถอนรากถอนโคนเลยทีเดียว เขาควรอ่านมันซะบ้าง แต่เมื่อเชชต์แมนยังยืนยัน
เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ.1982 ขณะนั้น สิ่งที่เขาพบ หัวหน้าท่านนั้นก็ถึงกับเชิญให้เขาออกไป
แดเนียล เชชต์แมน (Daniel Shechtman) นัก จากกลุ่มวิจัย เพราะการค้นพบอะไรที่ขัดแย้งกับต�ำรา
วิทยาศาสตร์ชาวอิสราเอล ซึ่งขณะนั้นท�ำงานวิจัยอยู่ พืน้ ฐานเช่นนี้ได้สร้างความเสียหายให้แก่กลุม่ วิจยั และ
ที่ National Bureau of Standards (ต่อมาเปลี่ยนชื่อ องค์กรอย่างยิ่ง!
เป็ น National Institute of Standards and แต่ความจริงของธรรมชาติยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่
Technology หรือ NIST) ได้คน้ พบ “สมมาตรต้องห้าม” ได้เปลี่ยนแปรไปตามความเชื่อหรือทัศนคติของคน มี
ในวัสดุซงึ่ เป็นโลหะผสมระหว่างอะลูมนิ มั กับแมงกานีส นักวิทย์จ�ำนวนหนึ่งตรวจสอบงานชองเชชต์แมนและ
ที่เกิดจากการเย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว พบว่าเชื่อถือได้ จึงสนับสนุนเขาและต่อยอดงานออก
ไป ในขณะเดียวกัน ก็มนี กั คณิตศาสตร์จำ� นวนหนึง่ ซึง่
“สมมาตรต้องห้าม” นีเ่ ป็นเรือ่ งพืน้ ฐานในต�ำรา มุง่ มัน่ แก้ปญ
ั หา “การปูกระเบือ้ ง” มาระยะหนึง่ ท�ำให้
ผลึกวิทยาทัง้ มวล เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คอื ถ้าเราปูพนื้ ได้ผลสรุปที่น่าสนใจ
64
จักรวาลเท่ากับ 0 แต่ต่อมาในทศวรรษนี้เองได้มี
การค้นพบว่า เอกภพไม่ใช่เพียงแค่ขยายตัว แต่ยัง
ขยายตัวด้วยอัตราเร็วเพิ่มขึ้นด้วย นักฟิสิกส์จึงเสนอ
แนวคิดเรื่อง พลังงานมืด (dark energy) ขึ้นมาเพื่อ
บอกว่าพลังงานนี้แหละที่เป็นตัวการผลักให้เอกภพ
ขยายตัวออกไปด้วยอัตราเร่ง
ทีน่ า่ สนใจอย่างยิง่ ก็คอื รูปแบบทีเ่ รียบง่ายทีส่ ดุ
ในสมการสนามที่ใช้แทนพลังงานมืดนี้ก็คือ….ลองเดา
สิครับ…. ค่าคงทีข่ องจักรวาล…ที่ไอน์สไตน์เคยเสนอไว้
และละทิ้งไปนั่นเอง! กล่องของไอน์สไตน์ (เพิ่มเติมรายละเอียดโดยโบร์)
ถึงตรงนีอ้ าจมองว่าไอน์สไตน์พลาดไปถึง 2 จุด คราวนี้ เปิดช่องด้านข้างแป๊บหนึ่ง โดยยอมให้
จุดแรกคือ หากเขายึดมัน่ ในสมการสนามดัง้ เดิม โฟตอน (อนุภาคของแสง) หลุดออกไปเพียงตัวเดียว
(ที่ ไม่มีค่าคงที่ของจักรวาล) เขาก็อาจเป็นคนแรกที่ หากเราสามารถวั ด มวลของกล่ อ งที่ ล ดลงไป
ท� ำ นายการขยายตั ว ของเอกภพได้ ด ้ ว ยทฤษฎี (สัญลักษณ์ m) ก็ย่อมค�ำนวณพลังงานของโฟตอนที่
สัมพัทธภาพทั่วไปของเขาเอง หลุดออกไป (สัญลักษณ์ E) ได้ด้วยสมการ E = mc2
ตามทฤษฎี สั ม พั ท ธภาพพิ เ ศษ สั ญ ลั ก ษณ์ c คื อ
ส่วนจุดที่สองก็คือ สมการสนามที่ถูกดัดแปลง อัตราเร็วของแสงในสุญญากาศ
(มีค่าคงที่ของจักรวาล) สามารถใช้ ในการสร้างแบบ
จ�ำลองของเอกภพทีข่ ยายตัวด้วยอัตราเร่งได้ ตรงนีจ้ งึ หากสามารถวัดค่า E ได้อย่างแม่นย�ำ ก็แสดง
มีคนบอกว่าความผิดพลาดทีแ่ ท้จริงของไอน์สไตน์ คือ ว่าค่าความไม่แน่นอนในการวัดพลังงาน ∆E อาจ
การที่เขาละทิ้งค่าคงที่ของจักรวาลไป มี ค ่ า เล็ ก เท่ า ไรก็ ไ ด้ และเนื่ อ งจากนาฬิ ก าที่ ใ ช้ มี
ความเที่ยงตรงสูง ย่อมท�ำให้ค่าความไม่แน่นอนใน
อีกกรณีหนึ่งที่ไอน์สไตน์พลาด คือ “กล่องของ การระบุช่วงเวลา ∆t มีค่าเล็กเท่าไรก็ ได้ด้วยเช่นกัน
ไอน์สไตน์” ใครที่สนใจฟิสิกส์คงจะรู้ดีว่า ไอน์สไตน์ไม่
เชือ่ ว่ากลศาสตร์ควอนตัมเป็นทฤษฎีทสี่ มบูรณ์แบบ จึง ดังนั้น หากค่า ∆E และ ∆t มีค่าเล็กมากๆ
หาทางจับผิดแง่มุมต่างๆ ของศาสตร์นี้อยู่เสมอ และ (เข้าใกล้ศูนย์) พร้อมกัน ก็เป็นไปได้ว่า ∆E ∆t < h
แง่มุมหนึ่งที่ไอน์สไตน์จ้องเล่นงานเป็นพิเศษคือ หลัก โดย h คือค่าคงที่ของพลังค์ ซึ่งขัดแย้งกับหลัก
ความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก (Heisenberg’s ความไม่แน่นอนคู่พลังงาน-เวลา ไม่ว่าจะเขียนในรูป
Uncertainty Principle) ซึ่งเป็นแก่นความคิดส�ำคัญ แบบใด (เช่น ∆E ∆t ≥ h หรือ ∆E ∆t ≅ h ) ส่ง
อย่างหนึ่งของกลศาสตร์ควอนตัม ผลให้หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์กถึงแก่กาล
อวสาน!
ในการประชุมโซลเวย์ครั้งที่ 6 (The Sixth
Solvay Conference) ซึ่ ง จั ด ขึ้ น ที่ ก รุ ง บรั ส เซลส์ การท้าทายของไอน์ไตน์ครั้งนี้ ได้สร้างความตื่น
ประเทศเบลเยียม ในปี ค.ศ. 1930 ไอน์สไตน์ได้น�ำ ตระหนกแก่โบร์อย่างแท้จริง “เขาเดินไปหาคนโน้นที
เสนอการทดลองในความคิด ซึ่งเขาเชื่อว่าสามารถ คนนีท้ ี พยายามโน้มน้าวให้ทกุ คนเห็นว่าเรือ่ งนี้ไม่มที าง
หักล้างหลักความไม่แน่นอนทีเ่ ขียนในรูปของพลังงาน เป็นจริง และฟิสิกส์จะถึงแก่กาลอวสานถ้าไอน์สไตน์
กับเวลาได้ เป็นฝ่ายถูก” เลออง โรเซนเฟลด์ (Leon Rosenfeld)
ซึ่งเข้าร่วมประชุมด้วยได้บันทึกไว้ “แต่โบร์ยังหาวิธี
ลองคิดถึงอุปกรณ์ซึ่งประกอบด้วยกล่องปิด หักล้างไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่มวี นั ลืมภาพคูป่ รับคูน่ ขี้ ณะเดิน
สนิท แต่มีช่องเล็กๆ ด้านข้างที่เปิด-ปิดได้ โดยกลไกที่ ออกจากสโมสรของมหาวิทยาลัย ไอน์สไตน์ผู้มีบุคลิก
เชื่อมต่อกับนาฬิกาความเที่ยงตรงสูง ผนังด้านใน สง่างามน่าเกรงขาม เดินด้วยท่าทีสงบ ยิ้มหยันน้อยๆ
สามารถสะท้อนและเก็บกักรังสีต่างๆ ให้อยู่ภายใน ส่วนโบร์จำ�้ เท้าตามไปด้านข้างด้วยสีหน้าหงุดหงิดเต็ม
กล่องได้อย่างสมบูรณ์ กล่องนีต้ อ่ มาเรียกว่า กล่องของ ที่” (ดูภาพที่น�ำมาให้ชมสิครับ)
ไอน์สไตน์ (Einstein’s box)
66
“เงื่อนไขส�ำคัญ
ที่โบร์ ใช้ในการสยบไอน์สไตน์
นั้นมาจากมันสมอง
ของไอน์สไตน์เอง”
ค่าโมเมนตัมของกล่องในแนวดิ่ง (สัญลักษณ์ ∆p Z )
ซึง่ ค่านี้ไปสัมพันธ์กบั ความไม่แน่นอนในการวัดต�ำแหน่ง
ของกล่องในแนวดิ่ง (สัญลักษณ์ ∆z ) อีกต่อหนึ่ง
แต่เงือ่ นไขส�ำคัญทีโ่ บร์ ใช้ ในการสยบไอน์สไตน์
นั้นมาจากมันสมองของไอน์สไตน์เอง โบร์บอกว่าใน
ขณะที่กล่องเคลือ่ นที่ในแนวดิง่ เวลาในแต่ละขณะจะ
อัลเบิรต์ ไอน์สไตน์ กับ นีลส์ โบร์ ทีก่ ารประชุมโซลเวย์ ในปี ค.ศ. 1930 ผ่ า นไปด้ ว ยอั ต ราเร็ ว ไม่ เ ท่ า กั น เพราะจากทฤษฎี
สัมพัทธภาพทัว่ ไป (ของไอน์สไตน์) เวลาจะผ่านไปช้า
คืนนั้น โบร์เฝ้าครุ่นคิดปัญหานี้จนแทบไม่ได้ กว่าในบริเวณที่มีสนามความโน้มถ่วงสูงกว่า นั่นคือ
หลับได้นอน แต่ในทีส่ ดุ เขาก็จบั ผิดตรรกะของไอน์สไตน์ นาฬิกาทีอ่ ยู่ในกล่องซึง่ ก�ำลังถูกถ่วงและเลือ่ นลงมาอยู่
ได้ส�ำเร็จ! นั้นจะมีความไม่แน่นอนในการระบุเวลา (สัญลักษณ์
∆t ) ตามมา
โบร์ บ อกว่ า ขณะที่ โ ฟตอนหลุ ด ออกไปนั้ น
พลังงาน (หรือ มวล) โดยรวมของระบบย่อมลดลง โบร์เล่นกับค่าตัวแปรต่างๆ ในความสัมพันธ์ทาง
ท�ำให้กล่องเบาลง และเลือ่ นขึน้ ในแนวดิง่ ทัง้ นีก้ ารวัด คณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องอีกเพียงเล็กน้อย ก็พบว่า
ค่ามวลที่ลดลงไป เราอาจใช้ตุ้มน�้ำหนักถ่วงที่ด้านล่าง ∆E ∆t ≥ h ซึ่ ง ยื น ยั น หลั ก ความไม่ แ น่ น อนของคู ่
ของกล่องเพื่อดึงกล่องกลับมาที่ระดับเดิม (โปรด พลังงาน-เวลาอีกครั้ง
สังเกตตุ้มน�้ำหนักเล็กๆ ใต้กล่องในรูป) พูดง่ายๆ ก็คือ โบร์ได้ ใช้ผลงานชิ้นส�ำคัญที่สุด
อย่างไรก็ตาม มวลของตุ้มน�้ำหนักนี้ย่อมมีค่า ในชีวิตของไอน์สไตน์เอง (นั่นคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพ
ความไม่แน่นอนค่าหนึ่ง (สัญลักษณ์ ∆m ) ซึง่ ในขณะ ทั่วไป) ในการหักล้างตรรกะที่ผิดพลาดของไอน์สไตน์
ทีแ่ ขวนเข้าไป ย่อมท�ำให้เกิดความไม่แน่นอนในการวัด ตอกย�้ำความถูกต้องของหลักความไม่แน่นอนนั่นเอง!
เอกสารอ้างอิง
1. My Life with the Physics Dream Team ที่ http://nautil.us/issue/43/heroes/my-life-with-the-physics-
dream-team
2. The Case for Blunders ที่ http://www.nybooks.com/articles/2014/03/06/darwin-einstein-case-for-
blunders/
3. Discussion with Albert Einstein on Epistemological Problems in Atomic Physics เขียนโดย Niels Bohr
ที่ http://www.spaceandmotion.com/Physics-Bohr-Einstein.htm