Professional Documents
Culture Documents
TC1313 PDF
TC1313 PDF
แนวคิดทางการศึกษาของมุหัมมัดบินสะหฺนูนและบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย์
กับการประยุกต์ ใช้ ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม
Educational Thoughts of Muhammad Bin Sahnun and Burhanuddin al-Zarnuji
and Their Application in Islamic Private Schools
อาหะมะ คาเด
Ahama Kaday
......................................................................... ..................................................ประธานกรรมการ
(รองศาสตราจารย์ ดร.อิบรอฮีม ณรงค์รักษาเขต) (รองศาสตราจารย์ ดร.อับดุลเลาะ การี นา)
................................................................กรรมการ
(รองศาสตราจารย์ ดร.อิบรอฮีม ณรงค์รักษาเขต)
................................................................กรรมการ
(ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.อะห์มดั ยีส่ ุ่ นทรง)
................................................................กรรมการ
(ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.มูฮามัสสกรี มันยูนุ)
................................................................กรรมการ
(ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.อาหะมะกอซี กาซอ)
บัณฑิ ตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานคริ นทร์ อนุ มตั ิ ให้นับวิทยานิ พนธ์ ฉบับ นี้
สาหรับการศึกษาตามหลักสู ตรปริ ญญาปรัชญาดุษฎีบณั ฑิต สาขาวิชาอิสลามศึกษา
............................................................
(รองศาสตราจารย์ ดร.ธีระพล ศรี ชนะ)
คณบดีบณั ฑิตวิทยาลัย
3
ลงชื่อ..................................................................
(รองศาสตราจารย์ ดร.อิบรอฮีม ณรงค์รักษาเขต)
อาจารย์ที่ปรึ กษาวิทยานิพนธ์หลัก
ลงชื่อ.......................................................
(นายอาหะมะ คาเด)
นักศึกษา
4
ลงชื่อ ......................................................
(นายอาหะมะ คาเด)
นักศึกษา
5
บทคัดย่ อ
การวิจยั นี้ มีวตั ถุ ประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาชี วประวัติของอิบนุ สะหฺ นูนและบุรฮานุ ด
ดีนอัลซัรณูญีย ์ 2) ศึกษาแนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหฺ นูนและบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย ์
3) ศึกษาระดับความคาดหวังของครู สอนศาสนาอิสลามต่อการประยุกต์ใช้แนวคิดทางการศึกษาของ
มุหมั มัด บิน สะหฺ นูนและบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียใ์ นโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม 4) ศึกษา
แนวทางการประยุกต์ใช้แนวคิดทางการศึกษาของมัหมั มัด บินสะหฺ นูนและบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย ์
ในโรงเรี ย นเอกชนสอนศาสนาอิ ส ลาม โดยการเก็ บ ข้อ มู ล ทั้ง ในเชิ ง คุ ณ ภาพจากเอกสาร การ
สัมภาษณ์เชิ งลึ กและการสนทนากลุ่มผูท้ รงวุฒิจานวน 17 คน และเก็บข้อมูลเชิ งปริ มาณจากผูใ้ ห้
ข้อมูลหลักอีกจานวน 278 คน
ผลการวิจัยพบว่า
มุหมั มัด อิบนุ สะหฺ นุน คือ อบูอบั ดิลลาฮฺ มุหมั มัด บิน อบี สะอีด สะหฺ นูน บิน สะ
อีด บิน หะบี บ บิน หิ สาน บิน ฮิลาล บิน บักการ บิน เราะบี อะฮฺ อัตตะนู คียเ์ กิ ดในปี ฮ.ศ. 202 ใน
บ้านที่เต็มไปด้วยวิชาความรู ้ เกิดที่หมู่บา้ น เฆาะดัตในเมืองกอยเราะวานซึ่ งเป็ นหมู่บา้ นหนึ่ งที่มีการ
แพร่ ขยายของมัซฮับ มาลิกียแ์ ละได้เสี ยชี วิตแทบชายฝั่งประเทศตูนิเซี ยในปี ฮ.ศ.256 หลังจากบิดา
ของท่านได้เสี ยชีวติ 16 ปี และได้ฝั่งศพในเมืองก็อยเราะวาน
คาว่า ซัรนูญีย ์ มาจากคาว่า ซัรนูจ ซึ่ งเป็ นชื่อหนึ่งของเมืองในเปอร์ เซี ย เมืองหลวง
ของแคว้น อัซซะจีสฐานในสมัยก่อน อัลซัรนูญียไ์ ด้เติบโตท่ามกลางของความหลากหลายทางด้าน
ความรู้ประเพณี และวัฒนธรรม และได้ซึมซับด้วยภาษาอาหรับและได้เสี ยชีวติ ในปี ที่ ฮ.ศ.591
แนวคิ ด ทางการศึ ก ษาของมุ หั ม มัด บิ น สะหฺ นู น เป็ นแนวคิ ด ที่ เ น้น การสอน
อัลกุรอานและคุณลักษณะของผูส้ อนที่ตอ้ งปฏิบตั ิต่อผูเ้ รี ยน และเป็ นแนวคิดที่ให้ความสาคัญทั้งใน
ด้านวัตถุประสงค์การศึกษา หลักสู ตร กระบวนการเรี ยนการสอน ผูส้ อนและผูเ้ รี ยน
แนวคิ ด ทางการศึ ก ษาของบุ ร ฮานุ ด ดี น อัล ซัร นู ญี ย ์ เป็ นแนวคิ ด ที่ เ น้น ในเรื่ อ ง
กระบวนการเรี ยนรู ้ ของผูเ้ รี ยน และเช่ นกันเป็ นแนวคิ ดที่ ให้ความสาคัญทั้งในด้านวัตถุ ประสงค์
6
ABSTRACT
األفكار الرتبوية عند حممد بن سحنون وبرهان الدين الزرنوجي وتطبيقها املوضوع
على املدارس اإلسالمية األهلية
أمحد كادي الباحث
الدراسات اإلسالمية القسم
2015م العام الدراسي
مستخلص البحث
يهدف هذا البحث إىل )1دراسة سرية حياة حممد بن سحنون وبرهان الدين الزرنوجي
)2دراسة األفكار الرتبوية عند حممد بن سحنون وبرهان الدين الزرنوجي )3دراسة مدى توقعات معلمي
الرتبية اإلسالمية لتحقيقها وتطبيقها على املدارس اإلسالمية األهلية )4دراسة طرق تطبيقها على
املدارس اإلسالمية األهلية ملعلمي الرتبية اإلسالمية ويتم مجع املعلومات للمنهج النوعي من الكتب
والوثائق اليت ذات العالقة باملوضوع واملقابلة الشخصية املتعمقة وجمموعة الرتكيزعددهم 17شخصا وأما
بنسبة املنهج الكمي يتم مجع املعلومات عن طريق اإلستبانات جمموعهم 278شخصا
وتوصل البحث إىل النتائج كالتايل :
حممد بن سحنون هو أبو عبد اهلل حممد بن سحنون بن سعيد بن حبيب بن حسان
بن هالل بن بكار بن ربيعة التنوخي ولد يف بيت علم عام 202هـ وهي مدينة غدت مركز اشعاع املذهب
املالكي يف مغرب وتويف ابن سحنون بالساحل سنة 256هـ بعد موت أبيه بست عشرة سنة فدفن
بالقريوان.
ينسب برهان الدين الزرنوجي لبلدة زرنج وهي مدينة يف بالد فارس وهي العاصمة
املقدسة السابقة إلقليم سجستان تثقف بالثقافة اإلسالمية القائمة على القرآن الكرمي واحلديث الشريف
والفقه – وخاصة الفقه احلنفي واللغة والشعر واألدب جبانب الثقافة الفارسية مبا فيها من أدب وحكمة
وفلسفة ومنطق وفلك وجنم وتويف سنة 591ه ـ
إ ن الفكرالرتبوي عند ابن سحنون يركز على تعليم القرآن الكرمي وآداب املعلم جتاه
املتعلم وكذلك يركز على فلسفة الرتبية وأهدافها واملنهاج وطرق التدريس وأساليبه وآداب املعلم واملتعلم
وأما بنسبة الفكر الرتبوي عند برهان الدين الزرنوجي يركز على طرق وأساليب التعلم
عند املتعلمني وكذلك يركز على فلسفة الرتبية وأهدافها واملنهاج وطرق التدريس وأساليبه وآداب املعلم
واملتعلم
10
وأما النتائج للبجث الكمي يظهر أن توقعات معلمي الرتبية اإلسالمية يف تطبيق
األفكار الرتبوية عند حممد بن سحنون وبرهان الدين الزرنوجي يف الدرجة العالية
وأما نتائج الرتكيب القراحات بعض اخلرباء واملشاهري يف جمال التعليم حول طرق
تطبيقها على املدارس اإلسالمية األهلية كما يلي :
-1بناء الفهم والوعي حول األفكار الرتبوية عند حممد بن سحنون وبرهان الدين
الزرنوجي للمدبرين وقسم التعليم واملعلمني واملتعلمني
-2تكوين األنشطة اليت هتدف إىل خلق الوعي والفهم حول األفكار الرتبوية عند حممد
بن سحنون وبرهان الدين الزرنوجي
-3تقدمي احلوافز واملكافئات للمعلمني الذين ركزوا يف تدريسهم على األفكار الرتبوية
عند حممد بن سحنون وبرهان الدين الزنوجي
-4قيام الدورة الرتبوية حول األفكار الرتبوية عند حممد بن سحنون وبرهان الدين
الزرنوجي للمدبرين ومسئول قسم التعليم واملعلمني واملتعلمني
-5املسامهة من قبل اجملتمع والوكاالت اخلارجية يف اعداد املناهج الدراسية مع املدرسة
-6تقوم املدرسة بتعزيز تام على تطبيق األفكار الرتبوية عند حممد بن سحنون وبرهان
الدين الزرنوجي على املدرسة
-7املسامهة من قبل املدبرين واملعلمني يف اعداد املناهج اليت تركز على األفكار الرتبوية
عند حممد بن سحنون وبرهان الدين الزرنوجي
-8بناء وانشاء عملية تطوير املعلمني وفقا ملضمون األفكار الرتبوية عند حممد بن
سحنون وبرهان الدين الزرنوجي
-9تكوين الرحلة الدراسية إىل املدارس اليت طبقت يف تدريسها ومناهجها وفقا األفكار
الرتبوية عند حممد بن سحنون وبرهان الدين الزرنوجي
11
กิตติกรรมประกาศ
สารบัญ
หน้ า
บทคัดย่อ......................................................................................................................................... 5
ABSTRACT................................................................................................................................... 7
مستخلص البحث............................................................................................................................. 9
กิตติกรรมประกาศ........................................................................................................................ 11
สารบัญ.......................................................................................................................................... 12
รายการตาราง................................................................................................................................ 15
ตารางปริ วรรตอักษร..................................................................................................................... 19
บทที่
1 บทนา............................................................................................................................. 23
1.1 ความเป็ นมาของปั ญหาและปัญหา…........................................................... 23
1.2 อัลกุรอาน อัลหะดิษ เอกสาร และงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง................................... 30
1.3 คาถามการวิจยั .............................................................................................. 50
1.4 วัตถุประสงค์การวิจยั .................................................................................... 50
1.5 ประโยชน์ของการวิจยั ................................................................................... 51
1.6 ขอบเขตการวิจยั ............................................................................................. 51
1.7 กรอบแนวคิดในการวิจยั ................................................................................. 53
1.8 นิยามคาศัพท์เฉพาะ........................................................................................ 55
1.9 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิจยั .............................................................................. 56
1.10 ข้อตกลงเบื้องต้น.......................................................................................... 57
2 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง....................................................................................... 58
2.1 ความหมายของแนวคิด.................................................................................. 58
2.2 ความหมายของการศึกษา............................................................................... 60
2.3 ความสาคัญของการศึกษาในอิสลาม.............................................................. 63
2.4 แหล่งที่มาของอัลตัรเบียะห์ อัลอิสลามียะห์.................................................... 67
2.5 สถาบันการศึกษาในอิสลาม........................................................................... 73
2.6 คุณลักษณะของการศึกษาในอิสลาม............................................................... 79
13
สารบัญ (ต่ อ)
บทที่ หน้า
3 วิธีดาเนินการวิจัย......................................................................................................... 85
3.1 การวิจยั เอกสาร.................................................................................................. 85
3.1.1 การรวบรวมข้อมูล..................................................................................... 85
3.1.2 การวิเคราะห์ขอ้ มูล.................................................................................... 86
3.1.3 การสังเคราะห์ขอ้ มูล................................................................................... 86
3.1.4 การตรวจสอบความเชื่อถือได้ของข้อมูล..................................................... 86
3.2 การวิจยั เชิงปริ มาณ............................................................................................. 88
3.2.1 ประชากรกลุ่มตัวอย่างและวิธีการสุ่ มกลุ่มตัวอย่าง...................................... 88
3.2.2 เครื่ องมือที่ใช้ในการวิจยั ............................................................................. 92
3.2.3 การวิเคราะห์ขอ้ มูล...................................................................................... 93
3.3 การวิจยั เชิงคุณภาพ............................................................................................. 94
3.3.1 ประชากรกลุ่มตัวอย่าง............................................................................... 94
3.3.2 การสร้างเครื่ องมือ..................................................................................... 95
3.3.3 การวิเคราะห์ขอ้ มูล..................................................................................... 96
4 ชี วประวัติของมุหัมมัด บิน สะหฺนูนและบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญยี ์ ................................. 97
4.1 ภูมิหลังและชีวประวัติของท่านอิบนุสะหฺ นูน..................................................... 97
4.1.1 ภูมิหลังท่านมุหมั มัดบินสะหฺ นูน............................................................... 97
4.1.2 ชีวประวัติของท่านอิบนุสะหฺ นูน................................................................ 102
4.2 ภูมิหลังและชีวประวัติของท่านบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย.์ .................................... 112
4.2.1 ภูมิหลังท่านบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย.์ ......................................................... 112
4.2.2 ชีวประวัติของท่านบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย.์ ............................................... 115
5 แนวคิดทางการศึกษาของมุหัมมัดบินสะหฺนูนและบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย์................. 120
5.1 แนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัดบินสะหฺ นูน................................................. 120
5.2 แนวคิดทางการศึกษาของบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย.์ ............................................ 163
5.3 สรุ ปแนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัดบินสะหฺ นูนและ
บุรฮานุ ด ดีนอัลซัรนูญีย.์ ............................................................................................. 246
14
สารบัญ(ต่ อ)
บรรณานุกรม 329
ภาคผนวก 340
ภาคผนวก ก หนังสื อขอความอนุเคราะห์ .....................................................................341
ภาคผนวก ข เครื่ องมือการวิจยั ......................................................................................347
ภาคผนวก ค คุณภาพเครื่ องมือการวิจยั .........................................................................363
ภาคผนวก ง การตัครี จญ์หะดิษ.....................................................................................368
ภาคผนวก จ ตัวอย่างหนังสื อ........................................................................................377
ประวัติผ้ เู ขียน..............................................................................................................................388
15
รายการตาราง
ตารางที่ หน้ า
1 รายชื่อโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดปั ตตานี ตามจานวนแต่ละ
อาเภอ.................................................................................................................. 88
2 รายชื่ออาเภอและโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดปัตตานี ตามที่
ได้จบั ฉลาก.......................................................................................................... 90
3 จานวนอาเภอโรงเรี ยน ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง.................................................. 91
4 จานวนและร้อยละของของครู อิสลามศึกษาในโรงเรี ยนเอกชนขนาดใหญ่ใน
ระบบประเภทสอนศาสนาควบคู่วชิ าสามัญ สังกัดสานักงานการศึกษาเอกชน
จังหวัดปั ตตานี จาแนกตามเพศ............................................................................ 206
5 จานวนและร้อยละของของครู อิสลามศึกษาในโรงเรี ยนเอกชนขนาดใหญ่ใน
ระบบประเภทสอนศาสนาควบคู่วชิ าสามัญ สังกัดสานักงานการศึกษาเอกชน
จังหวัดปั ตตานี จาแนกตามอายุ............................................................................ 261
6 จานวนและร้อยละของของครู อิสลามศึกษาในโรงเรี ยนเอกชนขนาดใหญ่ใน
ระบบประเภทสอนศาสนาควบคู่วชิ าสามัญ สังกัดสานักงานการศึกษาเอกชน
จังหวัดปั ตตานี จาแนกตามระดับการศึกษาสู งสุ ด............................................... 261
7 จานวนและร้อยละของของครู อิสลามศึกษาในโรงเรี ยนเอกชนขนาดใหญ่ใน
ระบบประเภทสอนศาสนาควบคู่วชิ าสามัญ สังกัดสานักงานการศึกษาเอกชน
จังหวัดปั ตตานี จาแนกตามประสบการณ์ในการสอน......................................... 262
8 ผลการวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหนูนและบุร
ฮานุดดีนอัลซัรนูญียก์ บั การประยุกต์ใช้ในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม.. 263
9 ผลการวิเคราะห์ดา้ นปรัชญาและเป้าหมายของการศึกษา แยกเฉพาะด้าน
ปรัชญาและเป้าหมายของการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหนูน............................ 264
10 ผลการวิเคราะห์ดา้ นปรัชญาและเป้าหมายของการศึกษา แยกเฉพาะด้าน
ปรัชญาและเป้าหมายของการศึกษาของบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญีย.์ ....................... 264
11 ผลการวิเคราะห์ดา้ นหลักสู ตร แยกเฉพาะด้านหลักสู ตรการศึกษาของมุหัมมัด
บิน สะหนูน.............................................................................................. 26
12 ผลการวิเคราะห์ดา้ นหลักสู ตร แยกเฉพาะด้านหลักสู ตรการศึกษาของบุรฮานุด
ดีน อัลซัรนูญีย.์ ......................................................................................... 266
16
รายการภาพประกอบ
หน้ า
ภาพประกอบ
1 กรอบแนวคิดในการวิจยั ………………………………………………….. 53
19
ตารางการปริวรรตอักษรอาหรับ – ไทย
วิทยาลัยอิสลามศึกษา 2535
พยัญชนะอาหรับ คาอ่าน พยัญชนะไทย
ا อลีฟ อ
ب บาอ์ บ
ء ฮัมซะฮฺ อ. (อ์ในกรณี เป็ นตัวสะกดสุ ดท้าย)
ت ตาอ์ ต
ث ษาอ์ ษ
ج ญีม ญ (จญ์ ในกรณี เป็ นตัวสะกด)
ح หาอ์ ห (ยกเว้น มุฮมั มัด รอฮีม เตาฮีด)
خ คออ์ ค
د ดาล ด
ذ ษาล ษฺ
ر รออ์ ร
ز ซาล ซ
س สี น ส (ยกเว้น มูซา อีซา)
ش ชีน ช
ص ศอด ศ
ض ฎอด ฎ
ط ฎออ์ ฏ
ظ ซฺ ออ์ ซฺ
ع อัยนฺ อฺ
غ ฆอยนฺ ฆ
ف ฟาอ์ ฟ
ق กอฟ กฺ
ك กาฟ ก
20
ل ลาม ล
م มีม ม
ن นูน น
พยัญชนะอาหรับ คาอ่ าน พยัญชนะไทย
ه ฮาอฺ ฮ (ในกรณี เป็ นตัวสะกดใช้ ฮฺ)
و วาว ว
ي ยาอ์ ย
_ )(الفتحة -(ในกรณี มีตวั สะกด เช่น มัรวาน อาดัม ฯ) ะ,
เ-าะ (อ็ ในกรณี มีตวั สะกด) ละสระในบาง
กรณี เช่น อลี บนี ฯ)
الكسرة ิิ
)(الضمة ิุ
)(الفتحة املمدودة า (อ ในกรณี มีตวั สะกด เช่น อัลฟา รอบ ฯ)
الكسرة املمدودة ิี
)(الضمة املمدودة ิู
الشمسية- ال อั-ตามด้วยพยัญชนะตัวแรกของคาต่อไป
เช่น อัดดีน อัฏฏีนฯ
القم رية- ال อัล ตามด้วยคาต่อไปโดยไม่ตอ้ งเว้นวรรค
เช่น อัลกุรอาน อัลลอฮฺ อัลอิสลาม ฯ
21
ตารางการปริวรรตอักษรอาหรับ – อังกฤษ
หอสมุดรัฐสภา สหรัฐอเมริกา
ل ลาม L
م มีม M
ن นูน N
ه ฮาอฺ W
و วาว H
ي ยาอ์ Y
23
บทที่ 1
บทนำ
1. 1 ควำมเป็ นมำของปัญหำและปัญหำ
เนื่ อ งจากการจัด การศึ ก ษามี ค วามจ าเป็ นที่ จ ะต้อ งมี ป รั ช ญาหรื อ แนวคิ ด ทาง
การศึกษาเป็ นหลักยึดถื อ ดังนั้นแนวคิดทางการศึกษาหรื อปรัชญาการศึกษา จึงนับว่าเป็ นรากฐาน
ทางการศึกษาที่สาคัญต่อการจัดการศึกษาทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบตั ิ ปรัชญาและแนวคิด
ทางการศึกษาจะช่ วยวางรู ปแบบกาหนดนโยบาย ทิศทางในการจัดการศึกษา จึงกล่าวได้วา่ แนวคิด
และปรัชญาทางการศึ กษาที่ดีจะนาไปสู่ นโยบายการศึกษาที่ดีและนโยบายการศึกษาที่ดีจะนาไปสู่
การบริ หารการศึกษาที่ดี ผลดีของผูเ้ รี ยนจะได้ประโยชน์เต็มที่จากการได้รับการศึกษาที่ดี ที่เกิดจาก
ปรัชญาหรื อแนวคิดทางการศึก ษาที่ ถู กต้องเหมาะสมจึ ง สามารถสร้ างพลเมื องที่ ดีมีคุ ณค่า ให้แก่
สั ง คมและประเทศ ฉะนั้น ปรั ช ญาหรื อ แนวคิ ด ทางการศึ ก ษาจึ ง เป็ นสิ่ ง ที่ ข าดไม่ ไ ด้ใ นการจัด
การศึกษา (ศักดา ปรางค์ประทานพร: 2522: 16)
1
เมืองมัฆริ บในสมัยการพิชิตของอิสลามจะครอบคลุมถึงสามประเทศปั จจุบนั คือ มอร็ อคโค อัลเจเรี ย และตูนิเซี ย
ซึ่ งมุหัมมัดบินสะหฺ นูนได้ถือกาเนิ ดในเมืองก็อยเราะวาน ซึ่ งปั จจุบนั อยู่ในประเทศตูนิเซี ย ห่ างไกลจากตัวเมือง
ประมาณ 160 กิโลเมตร
2
อิหม่ามมาลิกมีนามเต็มว่าอบูอบั ดุลลอฮฺ มาลิก อิบนฺ อนัส อิบนฺ อบีอามิรอัลอัสบาฮียท์ ่านเกิดที่นครมาดี นะฮฺแต่
ประวัติศาสตร์ ไม่ได้ระบุวนั เดือนปี สถานที่เกิดของอิหม่ามอย่างชัดเจนแต่บางรายงานระบุวา่ ท่านเกิดระหว่างปี
ฮ.ศ .90/ ค.ศ 708 และ ฮ.ศ .97/ค.ศ .715 ประวัติได้บนั ทึกไว้หลายรายงายด้วยกันเช่นอุลามาอฺ บางท่านกล่าวว่าท่าน
เกิดที่นครมาดีนะฮฺ ฮ . ศ . 93/ค.ศ.711 บางท่านกล่าวว่าท่านเกิดที่ซูลมัรวะฮทางเหนื อของนครมาดีนะฮฺและยังมี
การบันทึกอีกว่าท่านเกิดเมื่อ ฮ . ศ .95/ค.ศ. 713 แต่บนั ทึกที่น่าเชื่อถือกว่าและอุลามาอฺ ส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกัน
ก็คือท่านเกิดเมื่อ ฮ . ศ .93/ค.ศ.711ณซูลมัรวะฮฺทางภาคเหนือของนครมาดีนะฮประเทศซาอุดีอ าระเบียปั จจุบนั ใน
สมัยการปกครองของเคาะลีฟะฮฺอลั วะลีด บิน อับดุลมะลิก บิน มัรวาน
26
3
คืออัล-หัจญาจญ์บินยูสุฟอัษ -ษะเกาะฟี ย์คืออะบู มุหัมมัด อัล-หัจญาจญ์บินยูสุฟ บิ นอัล-หะกัมบิ นอะบี อุกยั ลฺ
บินมัสอูดบินอามิรบินมุทอิบบินมาลิกบินกะอับบินอัมรู บินสะอฺ ดฺบินเอาฟฺบินษะกีฟอัษ-ษะกอฟี ย์เกิดที่เมืองเตาะ
อีฟในปี ฮ.ศ.ที่ 41 เป็ นแม่ทพั ในสมัยการปกครองอับดุลมาลิกบินมัรวาน เสี ยชีวิต ใน ฮ.ศ.ที่ 95ด้วยโรคมะเร็ งใน
กระเพาะอาหาร
29
4
อัสสัลญูกีย(์ seljuq)คือรัฐหนึ่ งที่มีความแข็งแกร่ งทางด้านการปกครองในสมัยก่อนซึ่ งได้ปกครอง หลายประเทศ
เช่น อิหร่ าน อิรัก ซีเรี ย และเอเชียไมเนอร์ ได้ปกครองในปี ค.ศ.1038-1157
5
ผูก้ ่อตั้งราชวงค์ อัลอัยยูบีย ์ คือ ศอลาฮุดดีน อัลอัยยูบีย ์ หรื อที่ชาวตะวันตกเรี ยกว่า ซาลาดิน มีชื่อภาษาอาหรับเต็ม
ว่า ศอลาฮุดดี น ยูซุฟ อิบนุอยั ยูบ บางครั้งก็ถูกเรี ยกว่า อัลมาลิก อัลนาศิร ศอลาฮุดดีน ยูซุฟ เกิดเมื่อ ค.ศ.1137 ใน
ตาบลติกรี ต (ปั จจุบนั อยูใ่ นอิรัก) และเสี ยชี วิตในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1193 ที่ เมืองดามัสคัส เป็ นหนึ่ งในบรรดา
ผูป้ กครองมุสลิมผูม้ ีชื่อเสี ยงที่สุด และเป็ นสุ ลต่านมุสลิมผูป้ กครองอียิปต์ซีเรี ยเยเมนและปาเลสไตน์ ในสงคราม
ต่อต้านการรุ กรานของนักรบครู เสด ศอลาฮุดดี นประสบความสาเร็ จในขั้นสุ ดท้ายด้วยการยึดเมื องเยรู ซาเลม
กลับคืนมาได้ในวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1187 ซึ่งทาให้การยึดครองของพวกแฟรงค์เป็ นเวลา 88 ปี ต้องสิ้นสุดลง
30
1. ปรัชญำและเป้ำหมำยของกำรศึกษำ
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
อัลลอฮฺตรัสว่า
2. หลักสู ตร
อัลลอฮฺ ได้ตรัสว่า
อัลลอฮฺตรัสอีกว่า
3. กระบวนกำรเรียนกำรสอน
อัลลอฮฺได้ตรัสในอัลกุรอานว่า
4. ผู้สอนและผู้เรียน
อัลกุรอานได้พดู ถึงผูส้ อนและผูเ้ รี ยนในหลายๆอายะฮฺ ดังนี้
33
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
อัลลอฮฺตรัสอีกว่า
อัลลอฮฺตรัสอีกว่า
ความว่า “อัล ลอฮฺ ท รงยื น ยัน ว่า ไม่ มี พ ระเจ้า อื่ น ใดแล้ว นอกจาก
พระองค์ บรรดามลาอิ กะฮ์ และบรรดาผูม้ ี ความรู ้ (ก็ต่างยืนยัน
ดัง กล่ า วเช่ น กัน )ว่า ไม่ มี ผูท้ ี่ ค วรได้รั บ การเคารพสั ก การะใด ๆ
นอกจากพระองค์ผทู ้ รงเดชานุภาพ ผูท้ รงปรี ชาญาณเท่านั้น”
(อาลิอิมรอน :18)
อัลลอฮฺตรัสอีกว่า
(อัซซุมรั :9)
1.ปรัชญำและเป้ำหมำยของกำรศึกษำ
จากการทบทวนอัล หะดี ษ ที่ เ กี ย วข้อ งกับ การศึ ก ษาซึ่ ง มี จ านวนมากหมายที่ ไ ด้
กล่าวถึงวัตถุประสงค์ และเป้ าหมายของการศึกษาดังนี้
35
)) عن ابن عمر عن النيب صلى اهلل عليه وسلم قال من طلب العلم
ليماري به السفهاء أو ليباهي به العلماء أو ليصرف وجوه الناس إليه
(( فهو يف النار
قال رسول اهلل صلى اهلل: ((عن عمر بن اخلطاب رضي اهلل عنه قال
" إمنا األعمال بالنيات وإمنا لكل امرئ ما نوى فمن: عليه وسلم
كانت هجرته إىل اهلل ورسوله فهجرته إىل اهلل ورسوله ومن كانت
))هجرته لدنيا يصيبها أو امرأة ينكحها فهجرته إىل ما هاجر إليه
2. หลักสู ตรกำรเรียนกำรสอน
หลักสู ตรเป็ นสิ่ งสาคัญของการจัดการศึกษา เพราะเป็ นสิ่ งที่กาหนดแนวทางการ
ปฏิบตั ิในการจัดการเรี ยนการสอนให้บรรลุ จุดมุ่งหมายที่กาหนดไว้ ท่านนบีได้กล่าวในหลายๆ
หะดีษที่มีความเกี่ยวข้องกับหลักสู ตรการเรี ยนการสอน ดังนี้
ท่านนบี ได้กล่าว่า
((عن معاذ أن رسول اهلل صلى اهلل عليه وسلم ملا بعثه إىل اليمن قال
, أقضي بكتاب اهلل: كيف تقضي إذا عرض لك قضاء ؟ قال: له
: قال, فبسنة رسول اهلل: فإن مل جتد يف كتاب اهلل ؟ قال: قال
أجتهد: وال يف كتاب اهلل ؟ قال, فإن مل جتد يف سنة رسول اهلل
, فضرب رسول اهلل صلى اهلل عليه وسلم صدره, وال آلو, رأيي
)) احلمدهلل الذي وفق رسول رسول اهلل ملا يرضي رسول اهلل: وقال
37
3. กระบวนกำรเรียนกำรสอน
จากการทบทวนหลัก ฐานอัล หะดี ษ ของท่ า นนบี ในหลายๆตัว บทได้พ บว่ า
อิ ส ลามได้ใ ห้ ค วามส าคัญ กับ กระบวนการเรี ย นการสอน ซึ่ งกระบวนการเรี ย นการสอนเป็ น
องค์ประกอบสาคัญที่จะช่วยให้ผเู ้ รี ยนนั้นได้มาซึ่ งความรู ้อย่างง่ายดายและรวดเร็ วขึ้น ท่านนบี ได้
ใช้กระบวนการเรี ยนการสอนในหลายๆสถานการณ์ ดังเช่นในหะดีษที่ท่านนบีได้กล่าวว่า
كان النيب صلى اهلل عليه و سلم بارزا يوما: ((عن أيب هريرة قال
للناس فأتاه جربيل فقال ما اإلميان ؟ قال ( أن تؤمن باهلل ومالئكته
قال ما اإلسالم ؟ قال ( اإلسالم أن. ) وبلقائه ورسله وتؤمن بالبعث
تعبد اهلل وال تشرك به وتقيم الصالة وتؤدي الزكاة املفروضة وتصوم
قال ما اإلحسان ؟ قال ( أن تعبد اهلل كأنك تراه فإن مل. ) رمضان
قال مىت الساعة ؟ قال ( ما املسؤول عنها. ) تكن تراه فإنه يراك
بأعلم من السائل وسأخربك عن أشراطها إذا ولدت األمة رهبا وإذا
مث. ) تطاول رعاة اإلبل البهم يف البنيان يف مخس ال يعلمهن إال اهلل
تال النيب صلى اهلل عليه و سلم { إن اهلل عنده علم الساعة } اآلية
38
مث أدبر فقال ( ردوه ) فلم يروا شيئا فقال ( هذا جربيل جاء يعلم
)) الناس دينهم
ความว่า : จากท่านอบูฮุรอยเราะห์รายงานว่า :ขณะที่ ท่านเราะสู
ลุลลอฮฺ ปรากฏตัวต่อสาธรณะในวันหนึ่ งได้มีชายผูห้ นึ่ งมาหา
ท่านโดยกล่าวว่าโอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ อัลอีหม่านคืออะไร
ท่านตอบว่าคือการที่ท่านต้องศรัทธาต่อพระองค์อลั ลลอฮฺ มะลาอิ
กะห์ของพระองค์,คัมภีร์ของพระองค์,และการพบกัพระองค์(วัน
แห่ งการสอบสวนและตัดสิ น)บรรดาศาสนทูตของพระองค์,และ
การที่ท่านต้องศรัทธาต่อการฟื้ นคืนชี พในวันอาคิเราะห์ เขากล่าว
ว่า โอ้ท่ านศาสนทูตของอัลลอฮฺ อัลอิ ส ลามคื ออะไรท่า นตอบว่า
อัลอิสลามก็คือ การที่ท่านสักการะต่อพระองค์อลั ลอฮฺ โดยไม่มีภาคี
ใดๆกับพระองค์,และการดารงละหมาดที่ถูกบัญญัติไว้,การจ่ายซะ
กาตที่ถูกกาหนดไว้,และการถือศีลอดเดือนรอมฏอน เขากล่าวว่า
โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ อัลอิหฺซาน คืออะไร ท่านตอบว่า คือ
การที่ ท่ า นสั ก การะต่ อ พระองค์อ ัล ลอฮฺ ป ระหนึ่ ง ว่า ท่ า นได้เ ห็ น
พระองค์หากแต่ท่ านมิ ได้เห็ นพระองค์แต่ พระองค์ท รงเห็ นท่า น
เขากล่าวว่า โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ กาลอวสานจะเกิ ดขึ้ น
เมื่อไหร่ ท่านตอบว่า หาใช่วา่ ผูถ้ ูกถามจะรู ้ดีไปกว่าผูถ้ ามอย่างไรก็
ตามฉันจะบอกถึ งสัญญาณต่างๆของมันให้ทราบคือเมื่อนางทาส
คลอดผูเ้ ป็ นนายของนางออกมา นี่แหละคือหนึ่งในสัญญาณของ
มัน และเมื่อผูไ้ ม่มีอาภรณ์สวมใส่ ผูม้ ีแต่เท้าเปล่า ได้เป็ นนายคน นี่
ก็เป็ นอีกสัญญาณหนึ่งของมัน และเมื่อชาวชนบทที่ตอ้ นฝูงแกะได้
แข่งขันกันสร้างอาคารสู ง นี่ ก็เป็ นอีกสัญญาณหนึ่ งของมันแต่ยงั มี
อีกห้าประการซึ่ งไม่มีผใู ้ ดรู ้ ได้นอกจากพระองค์อลั ลอฮฺ หลังจาก
นั้น ท่านรอซู ลุลลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้อ่าน (อัล
กุรอาน) “แท้จริ ง ณ พระองค์อลั ลออ์น้ นั มีความรู ้เรื่ องกาลอวสาน
พระองค์ทรงทาให้ฝนหลัง่ ลงมาจากฟากฟ้ าและพระองค์ทรงรู ้ดีถึง
สิ่ งที่มีอยูใ่ นมดลูกไม่มีผใู ้ ดรู ้ถึงสิ่ งที่เขาจะได้รับในวันรุ่ งขึ้น และ
ไม่มีผใู ้ ดรู ้วา่ เขาจะเสี ยชีวติ ณ.แผ่นดินใด แท้จริ งพระองค์อลั ลอฮฺผู้
39
1. เพื่อวัดผลการสอน
2. เพื่อทบทวนเนื้ อหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ ว
3. เพื่อให้ผเู ้ รี ยนเกิดความสนใจโดยมีส่วนร่ วมในการที่จะตอบคาถาม
4. เพื่อฝึ กให้ผเู้ รี ยนรู้จกั ฟังและคิดตามด้วยเหตุและผล
5. เพื่อฝึ กให้ผเู ้ รี ยนรู ้จกั เรี ยงลาดับขั้นความคิด
6. เพื่อให้ผเู้ รี ยนสามารถสรุ ปบทเรี ยนได้
จากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺได้เล่าว่า:ท่านเราะสู ลุลลอฮฺTได้ถามเศาะหาบะฮฺวา่
أن رسول اهلل صلى اهلل عليه و سلم قال: (( عن أبيه عن أيب هريرة
أتدرون ما الغيبة؟ قالوا اهلل ورسوله أعلم قال ذكرك أخاك مبا يكره قيل
أفرأيت إن كان يف أخي ما أقول؟ قال إن كان فيه ما تقول فقد اغتبته
))وإن مل يكن فيه فقد هبته
41
4. ผู้สอนและผู้เรียน
อิสลามได้ให้ความสาคัญกับผูเ้ รี ยน โดยกาชับให้มุสลิมทุกคนศึกษาหาความรู ้ ท่านน
บี ได้กล่าวในหะดีษบทหนึ่งว่า
((الدنيا ملعونة وملعون من فيها إال ذكر اهلل وماوااله أو عامل أو
2322: متعلم )) رواه الرتمذي
(Ibn Majah,2009:228)
43
ท่านนบีได้กล่าวอีกว่า
))((الدنيا ملعونة ملعون ما فيها إال ذكر اهلل وما وااله وعاملا أو متعلما
أجود.صلى اهلل عليه وسلم. ((عن ابن عباس قال كان رسول اهلل
الناس باخلري وكان أجود ما يكون ى شهر رمضان إن جربيل عليه
السالم كان يلقاه ى كل سنة ى رمضان حىت ينسلخ فيعرض عليه
القرآن فإذا لقيه جربيل كان رسول.صلى اهلل عليه وسلم. رسول اهلل
)) أجود باخلري من الريح املرسلة.صلى اهلل عليه وسلم. اهلل
(Muslim,1996:6149)
: قال رسول اهلل صلى اهلل عليه وسلم: عن أيب هريرة رضي اهلل عنه قال
)) من جاء مسجدي هذا مل يأته إال خلري يتعلمه أو يعلمه فهو يف منزلة
44
ومن جاءه لغري ذلك فهو مبنزلة الرجل ينظر إىل، اجملاهد يف سبيل اهلل
(227) متاع غريه (( [أخرجه ابن ماجه
ท่า นรอซู ลุ้ลอฮ ศ็อลลัล ลอฮุ อะลัยฮิ วะสัล ลัม กล่ า วว่า (ผูใ้ ด
มามัส ญิ ดของฉันแห่ ง นี้ เขาไม่ ไ ด้ม าที่ น้ ี เพื่ ออื่ นใด นอกจากเพื่ อ
ความดี ซึ่งเขาได้เรี ยนหรื อได้สอนมัน ดังนั้นเขาคือผูอ้ ยูใ่ นฐานะผู ้
ที่ดิ้นรนต่อสู ้ในวิถีทางของอัลลอฮฺ และผูใ้ ดมาเพื่ออื่นจากนั้น เขา
คือผูท้ ี่อยูใ่ นฐานะชายคนหนึ่งที่มองดูเครื่ องประดับของผูอ้ ื่น”
(Ibn Majah,2009:227)
((ال حسد إال يف اثنتني رجل آتاه اهلل ماال فسلط على هلكته يف
.(( ورجل آتاه اهلل احلكمة فهو يقضي هبا ويعلمها، احلق
6
บทลงโทษของอัลลอฮฺสาหรับผูฝ้ ่ าฝื นที่กาหนดขึ้นเพื่อปกป้ องชีวติ ทรัพย์สิน เกียรติยศศักดิ์ศรี และสติปัญญา
47
1.3 คำถำมวิจัย
1.6 ขอบเขตกำรวิจัย
การศึ ก ษาวิจยั ครั้ งนี้ เป็ นการวิจยั เชิ งคุ ณภาพและปริ มาณที่ มี ท้ งั การวิจยั เอกสาร
(Documentary Research) และการวิจยั ภาคสนาม การวิจยั เอกสารจะมุ่งเน้นการศึ กษาวิเคราะห์
แนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัดบินสะหฺ นูนและบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย ์ การวิจยั ภาคสนามจะเป็ น
การศึกษาถึงระดับความคาดหวังของครู อิสลามศึกษาต่อการประยุกต์ใช้แนวคิดทางการศึกษาของ
52
1) ขอบเขตด้านเอกสาร
3) ขอบเขตด้านสถานที่
ผูว้ ิจ ัย ได้ก าหนดสถานที่ ก ารศึ ก ษา คื อ โรงเรี ย นเอกชนสอนศาสนาอิ ส ลามใน
จังหวัดปัตตานี
1.7 กรอบแนวคิดในกำรทำวิจัย
การวิจ ยั เรื่ อง “แนวคิ ดทางการศึ ก ษาของมุ หัมมัดบิ น สะหฺ นูน และบุ ร ฮานุ ดดี น
อัล ซัรนู ญีย ์ เป็ นการวิจยั ประยุก ต์โดยใช้แนวคิ ดหลังจากได้ท าการวิเคราะห์ องค์ ป ระกอบของ
การศึกษาจากอัลกุรอานและอัลหะดี ษ มาเป็ นกรอบกาหนดองค์ประกอบของการศึ กษาออกเป็ น
5 ด้าน คือ 1) ปรัชญาและเป้ าหมายของการศึกษา 2) กระบวนการเรี ยนการสอน 3) หลักสู ตรการ
เรี ยนการสอน 4) คุณสมบัติของผูส้ อน และ 5) คุณสมบัติของผูเ้ รี ยน
54
วิจยั เอกสาร
แนวคิดทางการ แนวคิดทางการ
ศึกษาของมุหมั มัด ศึกษาของบุรฮา
บินสะหฺ นูน แนวคิดทางการศึกษา 5 ด้าน นุดดีน
1-เป้ าหมายและ อัลซัรนูญีย ์
วัตถุประสงค์ของการศึกษา
2-หลักสู ตร
3-กระบวนการเรี ยน
การสอน
4-ผูเ้ รี ยน
5-ผูส้ อน
ระดับความคาดหวังของครู อิสลามศึกษาต่อการประยุกต์ใช้แนวคิดทางการ
ศึกษาของมุหมั มัดบินสะหฺ นูนและบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญียใ์ นโรงเรี ยนเอกชน
สอนศาสนาอิสลาม
ข้อเสนอแนะในการประยุกต์ใช้แนวคิด
เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ
เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ
โดยการสนทนากลุ่ม
โดยการสัมภาษณ์
บทที่ 2
แนวคิดและทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้ อง
2.1 ความหมายของแนวความคิด
2.1.1 ความหมายของแนวคิดทัว่ ไป
เดโซ สวนานนท์ (2520 :47-48) กล่าวว่า (concept)คือความรู้ ซึ่ งเป็ นผลจากการ
ประทับใจ จากสัมผัสต่างๆ อาจเป็ นภาพนึ กในความหมายกว้างๆ หรื อความคิดกว้างๆ เกี่ยวกับเรื่ อง
ใดเรื่ องหนึ่ง หรื อสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ง และจากการที่อินทรี ยร์ ับสัมผัสด้วยความเข้าใจในความหมายหลายๆ
ครั้ง ในเรื่ องเดี ยวกันหรื อในสิ่ งเดี ยวกัน ก็จะก่อรู ปความหมายรวม ในสิ่ งนั้นขึ้น โดยกระบวนการ
รวมความละม้า ยเหมื อนของเรื่ อง หรื อสิ่ ง เดี ย วกันนั้น เข้า ด้วย กันผลของการรวมความละม้า ย
เหมื อนกัน นี้ เราเรี ย กว่า แนวความคิ ด และ แนวความคิ ด ของแต่ ล ะคนนั้น ไม่ เหมื อ นกัน ทั้ง นี้
ย่อมขึ้นอยูก่ บั ประสบการณ์ของแต่ละคน
59
2.2 ความหมายของการศึกษา
4. การชาระล้าง คือการชาระล้างจากบาปกรรมทั้งหลาย
5. การอบรมเลี้ยงดู
6. มิกดาด ยัลญัน (Miqdad Yaljan, 1988:20) ได้ให้นิยามเกี่ยวกับการศึกษาใน
อิ ส ลามว่า “การเตรี ย มตัวอย่า งสมบู รณ์ ใ นการเป็ นมุ ส ลิ ม ในทุ ก ๆด้า นและในทุ ก ๆขั้นของการ
เจริ ญเติบโตของชีวติ เพื่อความเป็ นอยูใ่ นโลกนี้และโลกหน้าภายใต้แนวทาง คุณค่า และวิธีการอบรม
เลี้ยงดูที่มาจากอิสลาม”
7. ซัฆลูล รอฆิบ อันนัจญาร (al-Najjar, 1995 : 85) ได้ให้คานิ ยามว่า “ระบบ
การศึกษาทีต้ งั บนพื้นฐานของศาสนาอิสลามที่ครอบคลุมในทุกๆด้าน”
8. อันนะกีบ (al-Naqib, 1996:17) ได้ให้ความหมายของการศึกษาในอิสลาม โดย
กล่าวว่า“คือ ระบบการศึกษาที่มีวตั ถุประสงค์เพื่อผลิตคนที่ มีศิลธรรม จริ ยธรรม ที่มาจากอัลกุรอาน
และซุ นนะฮฺไม่วา่ จะมีอาชีพใดก็ตาม”
9. อันนะหฺ ลาวีย ์ (al-Nahlawi, 1982 : 21) ได้ให้นิยามว่า “การศึกษาในอิสลาม คือ
การจัดระบบทางจิตใจและสังคมซึ่ งจะนาไปสู่ การยึดมัน่ ในอิสลามและปฏิบตั ิตามทุกอย่างในชี วิต
ของบุคคลและชุมชน”
10. มุศเตาะฟา บะเราะกาต อะหฺ หมัด (Ahmad, 1982:47.53) ได้เสนอความหมาย
ของการศึกษาในอิสลาม พอสรุ ปได้ดงั นี้
1. การศึ ก ษา คื อ ความพยายามที่ มนุ ษ ย์ไ ด้พ ยายามเพื่ อ มี ก ารเปลี่ ย นแปลงที่ พึ ง
ประสงค์ในสภาพแวดล้อมและสังคม
2. การศึกษา คือความพยายามที่มนุ ษย์ได้พยายามเพื่ อมีการเปลี่ ยนแปลงที่พึ ง
ประสงค์ในสัตว์และมนุษย์
3. การศึกษา คือความพยายามที่มนุษย์ได้พยายามอย่างตั้งใจเพื่อมีการเปลี่ยนแปลง
ที่พึงประสงค์ในมนุษย์
4. การศึกษา คือ ความพยายามที่ได้พยายามโดยมีเจตนาเพื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่พึง
ประสงค์ในผูเ้ รี ยน
11. คอลิด อับดุลการี มได้ให้นิยามของ การศึกษาในอิสลามว่า “ประมวลพฤติกรรม
ด้านการกระทาและคาพูด ที่ ได้เอามาจากอัลกุรอานและซุ นนะฮฺ หรื อการวินิจฉัยที่ อยู่บนพื้นฐาน
ของอัลกุรอานและซุนนะฮฺ” (al-Khayyat, 1991:24)
63
)5-1:(سورة العلق
ความรู ้ เป็ นสิ่ งจาเป็ นสาหรับมุ สลิ มทุกคน โดยเฉพาะความรู ้ เกี่ ยวกับศาสนา เช่ น
ความรู ้เกี่ยวกับการศรัทธา การปฏิบตั ิศาสนกิจ จริ ยธรรมมุสลิม เป็ นต้น ท่านรอซูล ได้กล่าวว่า
64
“พึงรู ้ เถิ ด (คื อต้องหาความรู ้ ) ว่า ไม่ มีพระเจ้าอื่ นใด (ที่ เที่ ยงแท้)
นอกจากอัลลอฮฺ และจงขออภัยโทษต่อความผิดเพื่อตัวเจ้าและเพื่อ
บรรดาผูศ้ รัทธาชายและบรรดาผูศ้ รัทธาหญิง”
(มุหมั มัด: 19)
ความจาเป็ นที่ตอ้ งหาความรู ้ไม่แตกต่างจากความจาเป็ นของการละหมาด การถือ
ศีลอด การจ่ายซากาต และบทบัญญัติอื่นๆที่จาเป็ นต้องปฏิบตั ิในอิสลาม ท่านนบีได้กล่าวไว้วา่
وإن، ((من سلك طريقا يبتغي فيه علما سهل اهلل له طريقا إىل اجلنة
وإن العامل، أجنحتها لطالب العلم رضاء مبا يصنع، املالئكة لتضع
، ومن يف األرض حىت احليتان يف املاء، ليستغفر له من يف السموات
وإن، وفضل العامل على العابد كفضل القمر على سائر الكواكب
، وال درمها وإمنا، العلماء ورثة األنبياء وإن األنبياء مل يورثوا دينارا
(( ورثوا العلم فمن أخذه أخذ حبظ وافر
)56: (الذاريات
อิ บ นุ ต ยั มิ ย ะฮฺ ไ ด้ใ ห้นิย ามค าว่า อิ บ าดะฮฺ ว่า ทุ ก ๆสิ่ ง ที่ อัล ลอฮฺ ทรงรั ก และพอ
พระทัย ไม่ ว่ า จะเป็ นค าพู ด ต่ า งๆ หรื อการกระท าที่ แ สดงออกมา และสิ่ ง ที่ อ ยู่ ภ ายในจิ ต ใจ
(al-Gunaiman, 1996:371)
2. การศึกษาในอิสลามทาให้มนุ ษย์น้ นั มีความสุ ขทั้งโลกดุ นยาและอาคิเราะฮฺ ซึ่ ง
มุสลิมรู ้ถึงคุณค่าของโลกดุนยาโดยถือว่าโลกดุนยานี้ เสมือนที่ดินสาหรับให้เพาะ ปลูกเมล็ดพันธุ์ที่
จะเก็บเกี่ยวในวันอคิเราะห์และการศึกษาในอิสลาม คือการศึกษาที่ให้ความสาคัญกับโลกดุนยาและ
อาคิเราะฮฺโดยไม่ได้แยกออกจากกัน อัลลอฮฺตรัสว่า
)) وشبك بني أصابعه، ً((املؤمن للمؤمن كالبنيان يشد بعضه بعضا
متفق عليه
แหล่ ง ที่ ม าของแนวคิ ด ทางการศึ ก ษาในอิ ส ลามคื อ แหล่ ง ที่ ม าอัน เดี ย วกัน กับ
แหล่งที่มาของบทบัญญัติอิสลาม เพราะการศึกษาในอิสลาม(อัตตัรเบียะห์ อิสลามิยะห์ ) คือการจัด
ระเบี ย บทางจิ ต ใจและสั ง คมที่ จ ะน าสู่ ก ารยึ ด มั่น กับ อิ ส ลามและการปฏิ บ ัติ อ ย่ า งครบถ้ว นใน
ชีวติ ประจาวันของบุคคลและสังคม (al-Amayiroh, 2007 : 42)
อัตตัรเบียะห์อิสลามิยะห์เป็ นสิ่ งที่จาเป็ นในการที่จะบรรลุวตั ถุ ประสงค์ตามความ
ประสงค์ของอัลลอฮฺ ฉะนั้นแหล่งที่มาของตัรเบียะห์อิสลามิยะห์คือแหล่งที่มาเดียวกันกับแหล่งที่มา
ของอิสลามและแหล่งที่มาที่สาคัญที่สุดนั้นก็คือ อัลกุรอานและซุ นนะฮฺ (al-Nahlawi, 1999 : 20)
แหล่งที่มาของแนวคิดทางการศึกษาในอิสลามสมารถแบ่งออกเป็ น สอง ประเภท
ใหญ่ๆ
2. ซุนนะฮฺ
จากการที่อิสลามได้ให้ความสาคัญ กับการตัรเบียะห์เราสามารถแบ่งวัตถุประสงค์
ของการตัรเบียะห์ออกเป็ นวัตถุประสงค์ทวั่ ไปและวัตถุประสงค์ยอ่ ย( al-Ajmi : 29 . 30)
หนึ่ง : วัตถุประสงค์ทวั่ ไปคือ การทาอิบาดะห์ต่ออัลลอฮฺ
อัตตัรเบียะห์ อิสลามิยะห์ มีเป้ าหมายที่จะเตรี ยมบุคคลที่เคารพภักดี และยาเกรง
ต่ออัลลอฮฺ เพื่อเป็ นบุคคลที่ มุสลิม ที่ อิบาดะหฺ ต่ออัลลอฮฺ มีความรู ้ และปฏิบตั ิตามคาสั่งของอัลลอฮฺ
และละทิ้งสิ่ งที่พระองค์ทรงห้าม อัลลอฮฺ ตรัสว่า
)56 : (الذاريات
)28: (فاطر
)4 : ( القلم
เป้าหมายการศึกษาอิสลามในทัศนะของนักคิดมุสลิม
นักคิดมุสลิมตั้งแต่ยคุ แรกๆของอิสลามจนถึงปั จจุบนั ได้เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับ
เป้ าการศึกษาในอิสลามที่หลากหลายดังนี้
1. มุหมั มัด บิน สะหฺ นูน (Muhammad bin Sahnun) มุหมั มัดบินสะหฺ นูนไม่ได้พูด
โดยตรงเกี่ ยวกับเป้ าหมายของการศึกษาในอิสลามแต่ท่านพูดถึง การศึกษาอัลกุรอานที่เด็กควรเริ่ ม
ในการศึ ก ษาโดยเฉพาะช่ ว งที เด็ ก มี อายุย งั น้อย ซึ่ ง สั ง เกตุ จ ากค าพูด ของท่ า นจะเห็ น ว่า เป้ าของ
การศึ ก ษาของท่ า นคื อ การอิ บ าดะฮฺ ต่อ อัล ลอฮฺ เพราะการศึ ก ษาอัล กุ ร อานั้น คื อการภัก ดี และ
อิบาดะหฺ ต่อเอกองค์อลั ลอฮฺ
2. อัลฟารอบี (al-farabi) มีทศั นะว่าการขัดเกลาสติปัญญาคือเป้ าหมายสู งสุ ดของ
การศึกษา
3. อิบนุ สี นา (Ibn Sina) อิบนุสีนาได้ยึดเป้ าหมายสู งสุ ดของการศึกษา การขัดเกลา
สติปัญญา และได้กล่าวว่าสติปัญญาของมนุ ษย์มีเอกลักษณ์และแตกต่างจากสิ่ งถูกสร้างอื่นๆอิบนุ สี
นาได้กล่าวถึ งเป้ าหมายของการศึกษาอีกเป้ าหมายหนึ่ ง คือการเตรี ยมเด็กสาหรับภารกิ จในชี วิตใน
อนาคตข้างหน้า
4. บุรฮานุดดีน อัลซัรนูญีย ์ มีทศั นะเกี่ยวกับเป้ าหมายของการศึกษาคือ การแสวงหา
ความรู้เพื่อความโปรดปรานของอัลลอฮฺและชีวติ ในอนาคตภายภาคหน้า ขจัดความอวิชาออกจากตัว
ผูเ้ รี ยน และจากผูท้ ี่ไม่มีความรู ้อื่นๆรักษาไว้ซ่ ึงศาสนาดารงไว้ซ่ ึงอิสลาม
5. อัล เฆาะซาลี (al-Gazali) อัล เฆาะซาลี ได้กาหนดเป้ าหมายของการศึกษา คือ
การศึกษาต้องเน้นถึงการสร้างบุคลิ กภาพและลักษณะนิ สัยที่สมบูรณ์ อันจะทาให้มนุ ษย์สามารถ
แยกแยะระหว่างความดีและความชัว่ (อิบรอเฮ็ม ณรงค์รักษาเขต, 2550:64)
6. อิบนุ คอลดูน(Ibn Khaldun) ในทัศนะของอิบนุคอลดูนนั้น การศึกษามีเป้ าหมาย
4 ประการดังนี้
1) เพื่อให้ผเู้ รี ยนสามารถวางแผนการกระทา(ปฏิบตั ิ) เพื่อตอบสนองความต้อง
การของสังคม
2) ความพยายามในการแสวงหาความรู ้ที่อยูเ่ หนือกว่าประสาทสัมผัส
73
2.5 สถาบันการศึกษาในอิสลาม
) 189 : )األعراف
74
)6: (التحرمي
)18: (التوبة
ความว่า “แท้จริ ง ที่ จะบูรณะบรรดามัศยิด ของอัล ลอฮฺ น้ ันคื อผูท้ ี่
ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลกและได้ดารงไว้ซ่ ึ งการละหมาด
และชาระซะกาต และเขามิได้ยาเกรงนอกจากอัลลอฮฺ เท่านั้นดังนั้น
จึงหวังได้วา่ ชนเหล่านี้แหละจะเป็ นผูอ้ ยูใ่ นหมู่ผรู ้ ับคาแนะนา”
(อัต-เตาบะฮฺ :18)
จากท่านอบีฮุร็อยเราะ จากท่านนบีได้กล่าวว่า
76
((من غدا إىل املسجد أو راح أعد اهلل له ىف اجلنة نزال كلما غدا أو
()راح
)1556 : (رواه مسلم
ความว่า ใครก็ตามที่ไปกลับมัสญิดทุกๆเช้าหรื อบ่ายเพื่อละหมาด
ญะมาอะฮฺ แล้ว อัลลอฮฺ จะเตรี ยมที่ อยู่หนึ่ งให้แก่เขาในสวรรค์ใน
ทุกๆเช้าหรื อบ่าย
(Muslim,1996 :1556)
และท่านนบีกล่าวอีกว่า
)(من تطهر يف بيته مث مشى اىل بيت من بيوت اهلل ليقضى فريضة من
()واألخرى ترفع درجة,كانت خطوتاه احدامهاحتط خطيئة,فراءض اهلل
5) โรงเรี ยน
โรงเรี ยนคือบ้านหลังที่สามหลังจากครอบครัวและมัสยิดทีมีบทบาทในการอบรม
ศึกษา และพัฒนาคนเพื่อสู่ ความสาเร็ จในโลกดุนยาและอาคิเราะห์ โรงเรี ยนมีความสาคัญและมี
บทบาทมากในการที่จะอบรมสั่งสอนนักเรี ยน เพราะนักเรี ยนได้ใช้ชีวติ อยูก่ บั โรงเรี ยนเป็ นเวลานาน
ความสาคัญของโรงเรี ยนจะอยูภ่ ายใต้กรอบสามด้านนี้
1. การสร้ างความสัมพันธ์ คือสร้ างความเสมอภาคระหว่างผูเ้ รี ยนโดยไม่มีความ
แตกต่างระหว่างผูเ้ รี ยนด้วยกัน
2. การสร้างจริ ยธรรม โรงเรี ยนมีหน้าที่ในการสร้างจริ ยธรรมให้กบั บรรดานักเรี ยน
โดยโรงเรี ยนทาการคัดเลือกผูส้ อนที่มีความยาเกรงต่ออัลลอฮฺ มีความซื่ อสัตย์และมีจริ ยธรรมที่ดีงาม
3. การเตรี ยมอาชี พ การเตรี ยมอาชี พไม่ใช่เฉพาะเตรี ยมอาชี พ การงานทัว่ ไปเพื่อ
ประโยชน์ของตนเองและส่ วนรวม แต่เตรี ยมอาชีพในที่น้ ีครอบคลุมทุกด้านคือการเตรี ยมสุ ภาพสตรี
ให้เป็ นภรรยาที่ดีรวมไปถึงเป็ นแม่ที่ดีของลูก
ในประวัติศาสตร์ อิสลามสถาบันการศึกษาที่เป็ นระบบโรงเรี ยนได้กาเนิ ดขึ้นครั้ง
แรกในสมัยการปกครองของราชวงค์ซลั ญูก ที่มีชื่อว่า นิ ซอม อัล.มุลก์ ที่เมืองแบกแดดในปี ฮิจเราะฮฺ
ที่ 458 และได้สร้างโรงเรี ยนในลักษณะดังกล่าวกระจ่ายตามเมืองอื่นๆ ที่ แบกแดด ที่บาลัค ที่นิซา
บูร ที่ฮรั รัน ที่อสั ฟาฮัน ที่บศั เราะฮฺ ที่มรั วฺ ที่อมัล ที่บริ สตัน และที่เมาซิ ล และทุกๆเมืองที่อิรักและ
เคาะรอซาน ในขณะเดียวกันอัสสุ บกียไ์ ดกล่าวว่า “ไม่ใช่เรื่ องจริ งที่นิซอม อัล.มุลก์เป็ นคนแรกที่ได้
สร้ างโรงเรี ยนในประวัติศาสตร์ อิสลาม อย่างที่นยั สาบูรซึ่ งได้มีโรงเรี ยนก่อนโรงเรี ยน นิ ซอม อัล
มุ ล ก์ โดยเฉพาะโรงเรี ย นอัส สะอฺ ดี ย ะฮฺ แ ละโรงเรี ย นอัล บัย ฮะกี ย ะฮฺ ที่ นัย ซาบู ร เช่ น เดี ย วกัน
(Mursi, 19931:213)
ส่ วนหลักสู ตรการเรี ยนการสอนในสมัยก่อน จะแบ่งออกเป็ นวิชาหลักหรื อพื้นฐาน
คือ วิชาศาสนา และวิทยาศาสตร์ ส่ วนวิชาเสริ มคือ คณิ ตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม และ
อื่นๆ
78
6) ดารุ ล หิกมะฮฺ(ห้องสมุด)
ดารุ ลหิ กมะฮฺ เกิ ดขึ้ นในสมัยการปกครองของ อัลอับบาสี ย ์ ได้ต้ งั ชื่ อว่า ดารุ ลหิ ก
มะฮฺ สื่ อให้เห็นถึงเกียรติและคุณค่าของความรู ้ เสมือนความรู ้คือกุญแจที่เป็ นหิ กมะฮฺ
สมัยก่อนดารุ ลฮิกมะฮฺเป็ นศูนย์แห่งการเรี ยนรู ้และการค้นคว้า ซึ่ งนักประวัติศาสตร์
บางคนมักจะเรี ยกเดารุ ลฮิกมะฮฺ วา่ อัลญามิอะฮฺ ซึ่ งแปลว่าว่ามหาวิทยาลัย เพราะเดารุ ลฮิกมะฮฺ ได้ทา
หน้าที่ของมหาวิทยาลัย คือเป็ นศูนย์แห่งการเรี ยนรู ้และค้นคว้า
สรุ ป ว่า ดารุ ล หิ ก มะฮฺ คื อ ศู น ย์เ พื่ อ การเรี ย นรู้ แ ละค้น คว้า วิจ ัย โดยเฉพาบรรดา
นักปราชญ์สมัยก่ อนมักจะไปที่ เดารุ ลหิ กมะฮฺ ในการที่ หาความรู ้ และที่ น้ นั มี การสอนวิชาความรู ้
ให้กบั เด็กนักเรี ยนด้วย ส่ วนเดารุ ลหิ กมะฮฺ ที่มีชื่อเสี ยงและเป็ นที่ รู้จกั สมัยนั้นคื อบัยตุ ลฮิกมะห์ ที่
แบกแดด และบัยตุลฮิกมะฮฺที่ เราะกอบะฮฺในภาคเหนือทวีปแอฟรี กา และเดารุ ลฮิกมะฮฺที่ไคโร
7) อัรริ บาตอต )(الرباطات
9) บ้านผูร้ ู้
บ้านผูร้ ู้หรื ออุลามาอฺ มีบทบาทสาคัญในการที่ถ่ายทอดความรู ้ สู่ผคู ้ น ซึ่ งสมัยก่อน
ผูค้ นมักจะไปที่บา้ นผูร้ ู ้เพื่อถามเกี่ยวกับปั ญหาทางศาสนา
ทางประวัติศาสตร์ อิสลามได้จารึ กว่า บ้านของท่านอิหม่ามอะหฺ มดั เป็ นแหล่งของ
การเรี ยนรู ้ ศาสนาในสมัยก่ อนที่ ค่อยต้อนรั บบรรดาอุลามาอฺ และนักศึกษาที่เดินทางเพื่อแสวงหา
ความรู้(Mursi, 1993 : 223)
)162 : (األنعام
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
อัลลอฮฺตรัสอีกว่า
)123: (طه
)13 : (احلجرات
ความว่า“โอ้มนุษยชาติท้ งั หลาย แท้จริ งเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศ
ชาย และเพศหญิ ง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็ นเผ่า และตระกูล
เพื่อจะได้รู้จกั กัน แท้จริ งผูท้ ี่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อลั ลอฮฺ .
นั้นคือผูท้ ี่มีความยาเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริ งอัลลอฮฺ .นั้นเป็ นผู ้
ทรงรอบรู ้อย่างละเอียดถี่ถว้ น”
(อัลหุญุรอต : 13)
อัชชุมูลิยะห์ จะครอบคลุมความรู ้ท้ งั หมดที่ให้ประโยชน์ในการสร้างความก้าวหน้า
ในสังคมไม่วา่ จะเป็ นความรู ้ที่เกี่ยวกับ วัตถุ พืช สัตว์ และจักรวาล หรื อความรู ้ที่มีความเกี่ยวข้องกับ
ขั้นตอนของการเจริ ญเติบโตของมนุ ษย์หรื อความรู ้ ที่เกี่ ยวกับประวัติสาสตร์ ของประชาชาติก่อนๆ
อัลลอฮฺทรงตรัสว่า
)28-27 : (فاطر
ความว่า“เจ้ามิได้พิจารณาดอกหรื อว่า แท้จริ งอัลลอฮฺ น้ นั ทรงให้น้ า
หลัง่ ลงมาจากฟากฟ้ าแล้วเราได้ให้พืชผลงอกเงยออกมาด้วยกัน
(จากน้ า) สี สรรของมันแตกต่างกันไป และในหมู่ภูเขาทั้งหลายมี
ชนิ ดต่าง ๆ ขาวและแดง หลากหลายสี และสี ดาสนิ ทและในหมู่
มนุษย์ และสัตว์ และปศุสัตว์ ก็มีหลากหลายสี เช่นเดียวกัน แท้จริ ง
บรรดาผู ้ที่ มี ค วามรู ้ จ ากปวงบ่ า วของพระองค์ เ ท่ า นั้ นที่ เ กรง
กลัวอัลลอฮฺ แท้จริ งอัลลอฮฺ นั้นเป็ นผูท้ รงอานาจ ผูท้ รงอภัยเสมอ”
(ฟาติร: 27.28)
82
)77: (القصص
3. เส้นทางสายกลาง))الوسطية
)143 : (البقرة
อัล วากิ อี ย ะห์ คื อ ความสอดคล้ อ งระหว่ า งสั ญ ชาติ ญ าณที่ เ ที่ ย งตรงกั บ ขี ด
ความสามารถของมนุษย์ที่ไม่ใช่จินตนาการและอุดมคติต่างๆและมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์
ของบทบัญญัติอิสลามที่ เน้นให้เลื อกทาในสิ่ งที่ ง่ายและยกความลาบากออกจากมนุ ษย์ที่เหนื อขีด
ความสามารถของมนุษย์ อัลลอฮฺ ทรงตรัสว่า
)286: (البقرة
84
)185:(البقرة
บทที่ 3
วิธีดำเนินกำรวิจัย
3.1 กำรวิจัยเอกสำร
เป็ นการวิจยั เอกสาร (Documentary Research) โดยเก็บข้อมูลจากเอกสารปฐมภูมิ
(Primary Sources) ซึ่ งประกอบด้วยตาราอาดาบุลมุอลั ลิมีน ของอิบนุ สะหฺ นูนและตาราตะอฺ ลีมุลมุ
ตะอัลลิมเตาะรี กอตตะอัลลุมของอัลซัรนูญียแ์ ละเอกสารทุติยภูมิ (Secondary Sources) ที่เกี่ยวข้อง
กับงานวิจยั ที่เน้นการวิเคราะห์เกี่ ยวกับแนวคิดทางการศึกษาของท่านมุหัมมัด บิน สะหฺ นุน และ
บุรฮานุดดีน อัลซัรนูญีย ์
กำรตรวจสอบข้ อมูลภำคสนำม
การตรวจสอบข้อมูล ภาคสนามผูว้ ิจยั ใช้หลัก การตรวจสอบข้อมูล แบบสามเส้ า
(triangulation) ) ได้แก่
1. การตรวจสอบสามเส้า
ด้านข้อมูล โดยพิจารณาแหล่ งเวลา แหล่งสถานที่ และแหล่ งบุ คคลที่แตกต่างกัน
กล่าวคือ ถ้าข้อมูลต่างเวลากันจะเหมือนกันหรื อไม่ ถ้าข้อมูลต่างสถานที่จะเหมือนกันหรื อไม่ และ
ถ้าบุคคลผูใ้ ห้ขอ้ มูลเปลี่ยนไปข้อมูลจะเหมือนเดิมหรื อไม่
2. การตรวจสอบสามเส้าด้านผูว้ จิ ยั โดยการเปลี่ยนตัวผูส้ ัมภาษณ์
3. การตรวจสอบสามเส้าด้านวิธีรวบรวมข้อมูล โดยใช้วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ
กัน เพื่อรวบรวมข้อมูลเรื่ องเดียวกัน เช่นใช้วธิ ี สังเกตควบคู่ไปกับการสัมภาษณ์
1
โปรแกรมมักตะบะฮฺ อัลชามิละฮฺ เป็ นโปรแกรมที่จดั ทาขึ้นโดย ดร.นาฟี อฺ โดยอาศัยโปรแกรม visual basic ซึ่งมี
เป้ าหมายเพื่อรวบรวมตาราในสาขาวิชาต่างๆ
88
6. หอสมุดมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติประเทศมาเลเซีย (UIA)
8. เว็บไซต์ต่างๆ
3.2 กำรวิจัยเชิงปริมำณ
เป็ นการเก็บข้อมูลเชิ งปริ มาณ จากภาคสนาม โดยใช้แบบสอบถามกับผูใ้ ห้ขอ้ มูล
หลัก ที่ เป็ นครู ส อนศาสนาอิ ส ลามในโรงเรี ย นเอกชนสอนศาสนาอิ ส ลามขนาดใหญ่ ใ นจังหวัด
ปั ตตานี เขต เพื่อมุ่งศึกษาระดับความคาดหวังต่อการประยุกต์ใช้แนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัด
บิน สะหฺ นูนและบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญียใ์ นโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม
3.2.1.2 กลุ่มตัวอย่ ำง
ทุ่งยางแดง
อิสลามประชาสงเคราะห์ 1454 28
ภักดีวทิ ยา 1042 19
รวมทั้งหมด รวมทั้งหมด รวม รวม
9 อาเภอ 21โรง 38347 906
N
n= 1 + Ne 2
n=278
ดังนั้นในการวิจยั ครั้งนี้ใช้กลุ่มตัวอย่าง 278 คน
ดรุ ณศาสน์วทิ ยา 72 34
สายบุรีอิสลามวิทยา 89 42
ทุ่งยางแดง อิสลามประชาสงเคราะห์ 28 13
ภักดีวทิ ยา 19 9
278
3.2.2 .1 แบบของเครื่องมือ
เครื่ องมือที่ใช้ในการวิจยั ในตอนที่สองนี้ เป็ นแบบสอบถาม (Questionnaire) ดัง
รายละเอียดต่อไปนี้
แบบสอบถามมีท้ งั หมด 2 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 แบบสอบถามที่เกี่ยวกับข้อมูลส่ วนตัวของผูต้ อบแบบสอบถาม ซึ่งเป็ น
แบบสอบถามแบบ Cheek.list
ตอนที่ 2 แบบสอบถามที่เกี่ยวกับระดับการประยุกต์ใช้แนวคิดทางการศึกษาของ
มุหมั มัด บิน สะหฺ นูนและบุฮานุดดีนอัลซัรนูญียใ์ น 5 องค์ประกอบ คือ
1. เป้ าหมายและวัตถุประสงค์ของการศึกษา
2. หลักสู ตร
3. กระบวนการเรี ยนการสอน
4. ผูส้ อน
5. ผูเ้ รี ยน
1. วิธีกำรวิเครำะห์ ข้อมูล
ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ผูว้ จิ ยั ได้ดาเนินการวิเคราะห์ขอ้ มูลดังต่อไปนี้
1) ตรวจสอบความสมบูรณ์ของการตอบแบบสอบถามทุกฉบับเพื่อคัดเอาเฉพาะ
แบบสอบถามที่มีความสมบูรณ์
2) นาข้อมูลมาวิเคราะห์หาค่าสถิติดว้ ยเครื่ องไมโครคอมพิวเตอร์ โดยใช้โปรแกรม
สาเร็ จรู ป
3) คานวณหาค่าเฉลี่ ยเลขคณิ ต ( X ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของ
แบบสอบถามตอนที่ 2 ในแต่ละข้อคาถามและแต่ละด้าน อีกทั้งหาค่าเฉลี่ยรวมทั้ง5 ด้าน
4) เกณฑ์ในการให้คะแนน
4.1 แบบสอบถามตอนที่ 1 วิเคราะห์ ขอ้ มูลเกี่ ยวกับสถานภาพของผูต้ อบ
แบบสอบถามโดยใช้ค่าร้อยละเพื่อนามาประกอบการอภิปรายผล
94
3.3 กำรวิจัยภำคสนำมเชิงคุณภำพ
เป็ นการวิจยั ภาคสนามเชิ งคุณภาพ (Field Work Research) โดยเก็บข้อมูลจาก
ผูบ้ ริ หารโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการสัมภาษณ์แบบ
เจาะลึก (Indept Interview)และสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion: FGD) กับผูท้ รงคุณวุฒิ แล้ว
นาข้อมูลมาวิเคราะห์และสังเคราะห์มาเป็ นแนวคิดทางการศึกษา
3.3.1 ประชำกรกลุ่มตัวอย่ำง
การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างผูใ้ ห้ขอ้ มูลหลัก (Key Informants)
1. การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก
ผูว้ จิ ยั ได้คดั เลือกผูใ้ ห้ขอ้ มูลแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) โดยเลือกจาก
ผูบ้ ริ หาร โรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จานวน 9 คน
95
เครื่องมือทีใ่ ช้ ในกำรวิจัย
1. แบบแนวคาถามเพื่อการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interviews)
2. แบบแนวคาถามเพื่อการจัดสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion)
บทที่ 4
4.1 ภูมิหลังและชีวประวัติของท่านมุหัมมัดบินสะหฺนูน
ทหาร อะรัมรัมในปี ฮ.ศ.ที่ 212 ในสมัย อบี มุหัมมัด บิน อิบรอฮีม ทีมีสมยานามว่า ซิ ยาดาติลลาฮฺ
และในสมัยอัลเฆาะรอนี กสามารถพิชิตเมืองชายฝัง มาลิเตาะฮฺ ในปี ฮ.ศ.ที่ 255 และประชาชาติ
มุสลิมในสมัยนั้นสามารถอาศัยและมีชีวิตที่มงั่ คงใน ฎิฟฟะฮฺ ชิมาลิยะฮฺ แถว ทะเลเมดิเตอร์ เรเนียน
)(البحرِاألبيضِاملتوسط
เมืองก็อยเราะวานได้มีความเจริ ญเติบโตในท่ามกลางสภาพทางการเมืองที่มนั่ คง
และมี การเพิ่มพูนในจานวนประชากร ตามที่ได้รายงานโดยอัลบักรี ยใ์ นหนังสื อ อัลมะสาลิ ก ได้
กล่ า วว่า จานวนประชากรผูท้ ี่ อยู่อาศัย ในเมื องก็ อยเราะวานในขณะนั้น ประมาณ หนึ่ ง แสนคน
และอัลยะอฺ กูบได้รายงานในหนังสื อ อัลบุลดานว่าจานวนประชากรในขณะนั้น มีจานวนมากมาย
พอสมควร จากอาหรั บ กุ เ รช อี ยิ ป ต์ เราะบี อ ะฮฺ กอฟตอน เคาะรอวาน บัร บัร รู ม และอื่ น ๆ
(al-Fituri, n.d : 222)
2) สภาพทางการศึกษา
สมัยนี้ ถือได้วา่ มีการเจริ ญรุ่ งเรื องทางด้านแนวคิดและศาสนาในเมืองก็อยเราะวาน
จนกระทัง่ อิ หม่ามมาลิ กถื อว่าก็อยเราะวานเป็ นหนึ่ งในสามของศูนย์ความรู้ ทางศาสนาตามที่ไ ด้
รายงานจาก อินุนญียใ์ นหนังสื อ อัลมะอาลิม แต่ไม่แปลกเพราะเมืองนี้ ได้ผลิตบุคคลแรกซึ่ งมีความรู ้
เกี่ยวกับอรรถาธิ บายอัลกุรอานนั้นคือ ยะหฺ ยา บิน สะลาม อัลบะศรี ย(์ 124-200 h) ที่มีความรู้ในเรื่ อง
ตัฟสี ร์ก่อนท่านอิหม่าม อัตตอบะรี ย ์ และเช่ นเดี ยวกัน อะสัด บิน อัลฟุรอต(142-213)ที่ได้รายงาน
จากมาลิก จากอะนัส และจาก บรรดาอุลามาอฺ ในสังกัดอิหม่ามอัลหะนาฟี ย์ มุหมั มัด บิน อัลหะสัน
และจากบางส่ วนของบรรดาอุลามาอฺ อวุโสในสมัยนั้น ได้แต่งตาราในเรื่ องฟิ กฮฺ ตามแนวทางมัซฮับ
ของซุ นนะฮฺ ที่โด่งดังที่ชื่อว่า อัลอะสาดียะฮฺ ถือว่าหนังสื ออ้างอิงเล่มแรกๆในเรื่ องฟิ กฮฺ ทวั่ ทวีปแอ
ฟรี กา จนกระทัง่ ชื่ อเสี ยงของ สะหฺ นูนได้โด่งดังทัว่ สารทิศของเมืองมัฆริ บ จนถึงแคว้นอันดะลุ เซี ย
และในสมัยนั้นนักปราชญ์ผทู ้ ี่มีความรู ้ประมาณ 60 คน ล้วนแต่เป็ นสานุ ศิษย์ของท่าน สะหฺ นูนที่ได้
พยายามและทุ่มเทเวลาในการแพร่ หลาย แนวคิดและการสอนของท่านสะหฺ นูน.นี้ คือสิ่ งที่เกี่ ยวกับ
ความรู ้ทางศาสนา ส่ วนความรู ้ วิชาอื่นๆ เช่น ภาษาอาหรับ วรรณกรรม ประวัติศาสตร์ คณิ ตศาสตร์
ดาราศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ และอื่น
เมืองก็อยเราะวานได้มีพฒั นาและความเจริ ญรุ่ งเรื องทางการศึกษาหลังจาก สมัยที่
หยุดนิ่ งหรื อล้าหลังในเรื่ องของการศึกษาซึ่ งตัวอย่างที่ได้มีการพัฒนาทางการศึกษาในสมัยนั้นเฉก
เช่น ในเรื่ องของวิชาการแพทย์ โดยได้มีตารับตาราที่ได้แต่งขึ้นในสาขาวิชานี้ เช่น ตาราของซิ ยาด
99
บิน คอลฟูน อิสหาก บิน อิมรอน อิสหาก บิน สุ ลยั มาน ที่ได้มีการแปลงานเขียนและตาราของพวก
เขาเป็ นภาษาอังกฤษและยังเป็ นหลักสู ตรสอนในมหาวิทยาลัย ของยุโรป เริ่ มจากศตวรรษที่ 11 ค.ศ.
ทั้งหมดนี้ ได้บ่งบอกถึงความเจริ ญเติบโตและความก้าวหน้าทางการศึกษาในเมือง
ก็อยเราะวาน โดยเฉพาะในสมัยของ สะหฺ นูน และมุหมั มัดบินสะหฺ นูน (aL-Fituri,n.d.:222)
3) สภาพทางสั งคมและเศรษฐกิจ
สภาพทางสั งคม
สภาพทางสังคมของเมืองก็อยเราะวานในสมัยนั้น มีความหลากหลาย ซึ่ งสามารถ
แบ่งออกเป็ นประเภทและกลุ่มต่างๆ ของผูค้ นในสมัยนั้น ได้แก่ กลุ่มผูป้ ระกอบการค้า นักวิชาการ
ทหาร อะหฺ ลุลซิมมะฮฺ ทาส และผูข้ ดั สนหรื อ อัลฟุกอรออฺ (al-Janhani, 2005 : 110)
1. กลุ่มผูป้ ระกอบการค้า
กลุ่มนี้ถือว่าเป็ นกลุ่มที่มีเกียรติและโดดเด่นในก็อยเราะวาน เช่นสังคมเมืองอิสลาม
ในยุคกลาง กลุ่มนี้ ถือว่าเป็ นกลุ่มที่2 รองลงมาหลังจากกลุ่มผูน้ าและกลุ่มผูม้ ีอานาจในบ้านเมือง ซึ่ ง
ผลประโยชน์ของกลุ่ มนี้ จะยึดติ ดกับกลุ่มผูท้ ี่มีอานาจ ถึ งแม้ว่าจะเกิ ดความตึงเครี ยดระหว่างผูท้ ี่มี
อานาจกับกลุ่มผูป้ ระกอบการค้าก็ตาม หลังจากที่กลุ่มผูม้ ีอานาจได้เรี ยกเก็บค่าปรับสาหรับแหล่งที
มาของเงินทุน
การค้าขายในเมืองก็อยเราะวานได้มีการพัฒนาและเจริ ญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ ว ทา
ให้กลุ่ มผูป้ ระกอบการค้ากลายเป็ นกลุ่ มที่ โดดเด่ นหลังจากที่ ได้มีการสถาปนาเมืองก็อยเราะวาน
ขึ้นมา แต่หลังจากที่กุสัยละฮฺอูรุบบีย2์ ได้ครอบครองเมืองก็อยเราะวานในปี ฮ.ศ.ที่ 64 ชาวบ้านพากัน
หนี เหลือเพียงผูท้ ี่มีลูกหลานจานวนมาก และชาวอะหลุลซิ มมะฮ์ หลังจากนั้นเมืองก็อยเราะวาน
กลายเป็ นเมืองที่ลอ้ มด้วยผูค้ า้ จากตะวันออก อันดะลุสเสี ย และเมื องต่างๆจากมัฆริ บ เพื่ออาศัยอยู่
และประกอบอาชีพการค้าขาย
2
มีชื่อว่า กุสยั ละฮฺ บิน ลัมซัม อัลอุรุบบียอ์ ลั บัรบะรี ย ์ หนึ่งในบรรดาผูน้ าของชาวบัรบัร ที่เข้ารับอิสลามในสมัย
อุกบะฮฺ บิน นาฟิ อฺ
100
2. กลุ่มทหาร
กลุ่มทหารเป็ นกลุ่ มที่มีความสัมพันธ์ ที่ดีกบั ผูม้ ีอานาจและมีอิทธิ พลในบ้านเมือง
ขณะนั้น ถือว่าเป็ นหน้าที่หลักของทหารที่ตอ้ งรักษาความสงบสุ ขของบ้านเมือง ในขณะเดียวกันบาง
ช่วงเวลาก็ใช้ชีวติ ปกติเหมือนกับคนทัว่ ไป และค่าจ้างของทหารในสมัยนั้นก็ได้รับจากบัยติลมาล
3. กลุ่มนักปราชญ์
นักปราชญ์ไม่เพียงแต่มีบทบาทในเรื่ องของศาสนาอย่างเดี่ยวเท่านั้น แต่นกั ปราชญ์
มีบทบาทในทุกมิติของการดาเนิ นชีวิตของมนุษย์ ซึ่ งจะครอบคลุม การเมือง สังคม โดยสังเกตจาก
การมี ส่วนร่ วมของนักปราชญ์ในการพิชิตเมื องต่ างๆ และปกป้ องพิทกั ษ์เมื องอิ ส ลาม ซึ่ งบรรดา
นักปราชญ์หลายท่านที่ได้เดินทางและร่ วมสงคราม เช่น ท่านมุหมั มัดบินสะหฺ นูนที่เคยเป็ นแม่ทบั ใน
การสงครามกับชาวรู ม
4. กลุ่มอะหลุลซิ มมะฮฺ3
กลุ่ ม อะหฺ ลุ ล ซิ ม มะฮฺ เ ป็ นกลุ่ ม หนึ่ ง ที่ ย งั คงอยู่ใ นเมื อ งก็ อ ยเราะวานซึ่ งกลุ่ ม นี้ มี
บทบาทในการทาค้าขายที่มีดอกเบี้ย และมีส่วนสาคัญในการกาหนดราคาสิ นค้าในเมืองก็อยเราะ
วาน และมีตลาดเป็ นของตัวเอง
5. กลุ่มทาส
กลุ่มทาสเป็ นกลุ่มสาคัญของบ้านเมืองเสมือนเป็ นเสาหลักของเมืองก็อยเราะวานที่
มีส่วนสาคัญในการสร้างเมืองให้เจริ ญรุ่ งโรจน์รุ่งเรื อง และถือว่าเป็ นพลังสังคมอันสาคัญ
4) สภาพทางเศรษฐกิจของเมืองก็อยเราะวาน
เมื อ งก็ อ ยเราะวานเป็ นเมื อ งที่ ไ ด้มี ก ารพัฒ นาในเรื่ อ งที่ พ ัก อาศัย อย่ า งรวดเร็ ว
หลังจากได้ก่อตั้งเมื องในปี ฮ.ศ. ที่ 50/670 ค.ศ.เป็ นเมื องที่เหมื อนกันทัว่ ไปกับเมืองอิสลามที่ เพิ่ง
เกิ ดขึ้ นใหม่ เป็ นเมื องที่ ภูมิศาสตร์ ที่สวยงาม คือตั้งอยู่ระหว่าง อัลอันดะลุ ส กับ มัฆรี บยั นิ คื อ อยู่
ระหว่างตะวันออกกลางในมุมหนึ่ งและประเทศมุสลิมอีกมุมหนึ่ ง ซึ่ งตั้งอยูแ่ ถวประเทศที่ทาการค้า
คือตั้งชายฝังของประเทศแอฟรี กา
3
ผูท้ ี่ยอมจานนอยูภ่ ายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม ที่ไม่ใช่มุสลิม
101
การค้าขาย
เงินตราในสมัยก็อยเราะวานจะมีความสัมพันธ์และผูกพันกับเงินตราที่ใช้ในมัฆริ บ
เป็ นอันดับแรกและเงิ นตราที่ใช้ในประเทศอิสลาม โดยเงิ นตราจะมี ความสัมพันธ์ กบั การซื้ อขาย
ทองคาในสมัยนั้น .
ส่ วนเงิ นตราที่ ใช้ในขณะนั้น คื อ เงิ นตราที่ ใช้ในสมัยก่ อนรั ฐอัลอะฆอลิ บะฮฺ คือ
เงินตราที่มีการแพร่ หลายในประเทศอิสลาม คือ ดีนาร อัลบีซนั ตี และ ดิรฮัม อัลซาซานี และเงินตรา
อิสลามที่ได้ทาในสมัย อับดุลมาลิก บิน มัรวาน(al-Janhani, 2005 :104)
102
อาชีพและงานฝี มือ
เชื้อสายและวงค์ ตระกูล
มุหมั มัดบินสะหฺ นุน คือ อบูอบั ดิลลาฮฺ มุหัมมัด บิน อบี สะอีด สะหฺ นูน บิน สะอีด
บิน หะบีบ บิน หิ สาน บิน ฮิลาล บิน บักการ บิน เราะบีอะฮฺ อัตตะนูคีย(์ al-maliki,1994:318) ปู่ ของ
เขาได้อพยพมาพร้อมๆกับทหารของเมืองหัมศ์()محص4ไปยังเมืองมัฆรี บในการเข้าพิชิตเมืองดังกล่าว
4
เมืองหัมศ์ต้ งั อยูใ่ นภาคกลางของประเทศซีเรี ยเป็ นเมืองที่สามทีสาคัญทีสุดของประเทศซี เรี ยซึ่ งสมัยปกครองโดย
ชาวโรมันก่อน2300ค.ศ. เมืองหัมศ์ถูกเรี ยกว่าเมืองอะมีสา
5
กอยเราะวานเป็ นชื่อของเมืองหนึ่ งในประเทศตูนีเซี ยปั จจุบนั ซึ่ งห่ างไกลจากตัวเมืองตูนีเซี ยประมาน 160 ก.ม.
เมืองนี้ได้มีการพิชิตในสมัยเศาะหาบะห์โดยท่านอุกบะห์ บินนาฟิ อฺ ในปี ฮ.ศ.ที่ 50
6
คือ บิดาของท่านมุหมั มัด บิน สะหฺ นูน
103
การถือกาเนิด
ท่านมุหัมมัดบินสะหฺ นุนเกิ ดในปี ฮ.ศ. 202 ในบ้านที่เต็มไปด้วยวิชาความรู ้ เกิ ดที่
หมู่บา้ น เฆาะดัตในเมืองก็อยเราะวานซึ่ งเป็ นหมู่บา้ นหนึ่งที่มีการแพร่ ขยายของมัซฮับ มาลิกีย ์ ท่าน
ได้รับการศึกษาอบรมแรกๆด้วยบิดาของท่านเองและได้เติบโตด้วยการดูแลของบิดาของท่านและ
บิดาของท่าน อิบนุ สะหฺ นูนได้ส่งท่านไปศึกษา ณ ยัง อัลกุตตาบ11ตามประเพณี ของชาวเมืองก็อย
เราะวานเพื่ อที่ จะศึ ก ษาอัลกุ รอานและพื้นฐานของการอ่า น บิ ดาของท่ านสะหฺ นูนได้ขอร้ องจาก
ผูส้ อนมิ ให้อบรมสั่ง สอนลู กของท่านนอกจากด้วยคาชื่ นชมและคาพูดที่ อ่อนโยนและต้องไม่ใ ช้
ความรุ นแรงซึ่ งเป็ นที่ชดั เจนบทบาทของท่านสะหฺ นูนในการอบรมสั่งสอนบุตรของท่านโดยมีการ
ให้ส่วนร่ วมระหว่างผูป้ กครองกับอัลกุตตาบหรื อโรงเรี ยนในการอบรมบุตร
7
มีชื่อว่า อบู อัลหะสัน อลี บิน ซิยาด เป็ นหนึ่งในบรรดาสานุศิษย์ของท่านอิหม่ามมาลิด และบุคคลแรกที่นาหนังมุ
วัตเตาะของท่านอิหม่ามมาลิกเข้าไปในมัฆริ บ
8
อะสัด บิน ฟุรอตมีนามว่า อบู อับดิลลาฮฺ อะสัด บิน อัลฟุรอต บิน สิ นาน หนึ่งในบรรดาสานุศิษย์ของท่านอิหม่าม
มาลิก เป็ นผูพ้ ิพากษาของเมืองก็อยเราะวาน เกิดในปี ฮ.ศ.142และเสี ยชีวติ ในปี ฮ.ศ.213
9
คือทัศนของนักวิชาการ العلماءและความเข้าใจของพวกเขาต่อบางปั ญหาและการวินิจฉัยของพวกเขา إجتهادهم
ในปั ญหานั้นๆ
10
คือสกุลเงินที่ใช้สมัยนั้น
11
สถานศึกษาหรื อสถานที่เรี ยนศาสนาสมัยนั้น
104
การศึกษา
อาจารย์ท่านแรกของมุหัมมัดบินสะหฺ นูน คือบิดาของท่านเอง ท่านได้ศึกษาอัลกุ
รอาน และได้มีการสนทนากับบิดาของท่าน ในเรื่ องราวต่างๆของศาสนา และท่านก็ได้อ่านหนังของ
บิดาของท่าน โดยผูค้ นจะรับฟั งท่านอ่านหนังสื อของบิดาของท่านก่ อนที่บิดาของท่านจะออกมา
สอน และหลังจากที่บิดาของท่านได้ออกมาสอนท่านก็จะร่ วมนัง่ กับผูค้ นในการศึกษาหาความรู ้
ในขณะที่ เ ดิ น ทางผ่ า น ประเทศอี ยิ ป ต์ เพื่ อ ไปบ าเพ็ ญ ฮัจ ญ์ ย ัง เมื อ งมัก กะฮฺ
นักปราชญ์ชาวอียปิ ต์ได้ให้การต้อนรับท่าน อีกทั้งผูค้ นมากมายที่พากันมาเพื่อที่จะรับฟั งคาสอนของ
ท่าน(ibnu iyad, 1968 : 93)ในขณะเดียวกันอัลมุซานี ย(์ al-Muzani)ซึ่ งเป็ นสาวกของท่านอิหม่าม
อัลชาฟิ อีย ์ หนึ่ งในบรรดาผูท้ ี่ มารับฟั งคาสอนของท่านมุหัมมัดบินสะหฺ นูน และเป็ นคนหนึ่ งที่ได้
ทุ่มเทเวลาในการศึกษากับท่านมุหัมมัดบินสะหฺ นูน เมื่อท่านได้จากมุหัมมัดบินสะหฺ นูนและมีผคู้ น
ถามเกี่ ยวกับมุหัมมัดบินสะหฺ นูน ท่านก็ตอบว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันไม่เคยเห็ น คนที่อาลิ ม
ที่สุดและคนที่มีความคิดที่เฉียบแหลมนอกจากมุหมั มัดบินสะหฺ นูน”
12
คือเมืองมะดีนะห์และมักกะห์ซ่ ึงปั จจุบนั ตั้งอยูใ่ นประเทศซาอุดิอารเบีย
105
หลั ง จากได้ เ สร็ จสิ้ นการท าฮั จ ญ์ มุ หั ม มั ด บิ น สะหฺ นู น ได้ เ ยื อ นมะดี น ะหฺ
อัลมุนาวะรอฮฺและได้เข้าไปยังมัสยิดนบีศ็อล ในช่วงนั้นได้เจอกับผูค้ นที่ลอ้ มรอบ อบูมุศอับ บิน
อบี บักร อัซซุฮฺรีย ์ (เสี ยชีวติ 242 ฮ.ศ.)ในขณะที่ท่านกาลังนัง่ ตะแคงอยูอ่ นั เนื่ องจากความชรา ผูเ้ รี ยน
มีการโต้เถียงในเรื่ องหนึ่ ง เกี่ ยวกับเรื่ องแม่ลูก มุหัมมัดบินสะหฺ นูนได้เตือนพวกเขาด้วยเรื่ องราวที่
แปลกมาก ท่านอบูมุศอับ นัง่ ตรงพร้อมทวนถาม แล้วถามมุหมั มัดบินสะหฺ นูนว่า เจ้าเป็ นคนมาจาก
ไหน? แล้วมุหมั มัดบินสะหฺ นูนตอบว่า มาจาก แอฟรี กา แล้วถามว่ามาจากเมืองอะไหร อิบนุ สะหฺ นูน
ตอบว่ า มาจากเมื อ งก็ อ ยเราะวาน แล้ ว ท่ า นอบู มุ ศ อั บ ก็ ถ ามอี ก ว่ า เจ้ า น่ า จะชื่ อ มุ หั ม มั ด
อิบนุ สะหฺ นูน หรื อไม่ก็ชื่อ อะหฺ มดั อิบนุ ลุบดะหฺ (หลานของมุหมั มัดบินสะหฺ นูน) เพราะชาวก็อย
เราะวานไม่มีผใู ้ ดมายังมาดีนะห์นอกจากครอบครัวของมุหมั มัดบินสะหฺ นูน อิบนุ สะหฺ นุนก็ตอบว่า
ฉัน คือ มุหมั มัดบินสะหฺ นูน หลังจากนั้น ท่านอัซซุ ฮรี ยก์ ็ได้ไปจับมือกับมุหมั มัดบินสะหฺ นูนและให้
ที่พกั อาศัย
ลักษณะและอุปนิสัย
มุหัมมัดบินสะหฺ นูนได้รับอิทธิ ผลในด้านจรรยามารยาทจากบิดาของท่าน บิดาถื อ
ว่าเป็ นครู ท่านแรกกับมุหัมมัดบินสะหฺ นูน นิ สิตนักศึกษาของท่านมุหมั มัดบินสะหฺ นูนได้รู้จกั ท่าน
ด้วยบุ คลิ กที่ ยาเกรงต่ออัลลอฮฺ ถ่อมตน และสมถะ และนอกจากนั้นยังมีความรู ้ เกี่ ยวกับฟิ กฮฺ และ
ศาสนา หนึ่งในบรรดาผูต้ ามอิหม่ามอะหฺ มดั บิน หันบัล13 ได้ถามเกี่ยวกับผูท้ ี่มาจากเมืองมัฆริ บที่อยู่
ในจาพวกที่ ใช้เวลาส่ วนหนึ่ ง ของเวลากลางคื นเพื่ ออ่ าน อิ บ าดะห์ และคอชู อฺต่อเอกองค์อลั ลอฮฺ
มีการทบทวนเกี่ ยวกับเรื่ องต่างๆของศาสนา และหลังจากนั้นได้ทาการละหมาด ด้วยความรู ้ สึกที่
ประหลาดใจ ได้ถาม พวกเขาเหลานั้นเป็ นสาวกของใครเล่า?และใครที่สอนพวกเขา?พวกเขาได้มี
13
อะหฺ มดั บินหันบัล ชื่อเต็มว่า อะหฺ มดั บิน มุฮมั มัด บิน หันบัล บิน ฮิลาลอัล-ชัยบานียฺเกิดในกรุ งแบกแดดในวันที่
20 เดือนเราะบิอุล เอาวัล ฮ.ศ. 164 (ธันวาคม ค.ศ. 780) เขาเป็ นชาวอาหรับเผ่าบนี ชัยบาน ซึ่ งเป็ นเผ่าที่มีบทบาท
สาคัญในการพิชิตอิรักและเมืองคอรอซาน
106
การยาเกรงต่ ออัลลอฮฺ
มุหมั มัดบินสะหฺ นูนเป็ นที่รู้จกั ในเหล่าบรรดาลูกศิษย์ของท่านว่าเป็ นคนสมถะ เป็ น
คนที่นอบน้อม และราลึกถึงวันปรโลก เป็ นผูท้ ี่ใกล้ชิดกับอัลลอฮฺในตอนกลางคืนและอ่านอัลกุรอาน
หนึ่งในบรรดาผูค้ นที่อาศัยอยูแ่ ถวก็อยเราะวานทางภาคใต้ของเมืองอัลกอศบะห์ได้ยินเสี ยงอ่านอัลกุ
รอาน จากบ้านที่อยูใ่ กล้กบั ที่อาบน้ าละหมาด กาลังอ่านอัลกุรอานในซู เราะฮฺ อัลอะอฺ รอฟ อายะฮฺ ที่
21.22 ดังนี้
)22.23:ِِِِِِِِِِِِِِِِِِِ(األعراف
การเสี ยชีวติ
มีการรายงานว่าทุกครั้งเมื่อท่านสะหฺ นูน(ผูเ้ ป็ นบิดา)ได้มองไปยังมุหมั มัดบินสะหฺ
นู นได้ก ล่ า วว่า ฉัน กลัว ว่า ลู ก ของฉัน จะมี อายุ ส้ ั นนั้นก็ คื อความรู ้ สึ ก ของท่ า นสะหฺ นู นที่ มี ต่อลู ก
สุ ดท้ายความรู ้สึกของท่านสะหฺ นูนก็เกิดขึ้นจริ ง มุหมั มัดบินสะหฺ นูนจากโลกนี้ ไปโดยมีอายุเพียง 54
ปี
มุหมั มัดบินสะหฺ นูนได้เสี ยชีวิตแทบชายฝั่งประเทศตูนิเซี ยในปี ฮ.ศ.256 หลังจาก
บิดาของท่านได้เสี ยชี วิต 6 ปี และได้ฝั่งศพในเมืองก็อยเราะวาน (Ibn Farhun, n.d : 237) โดยผูค้ น
ในเมืองก็อยเราะวานพากันรี บไปฝั งศพของมุหมั มัดบินสะหฺ นูนโดยวันนั้นร้ านค้าและสถานศึกษา
ต่างๆได้ปิดทาการเพื่อให้เกียรติกบั ท่านมุหมั มัดบินสะหฺ นูน และผูน้ าละหมาดญะนาซะฮฺ ในวันนั้น
คือ อามีร มุหมั มัดอัษษานีย ์ (Muhammad al-thani)
ผลงานทางด้ านวิชาการ
มุหมั มัดบินสะหฺ นูนเป็ นที่รู้จกั ของบรรดานักปราชญ์ในสมัยท่านว่า เป็ นผูท้ ี่ได้แต่ง
ตาราเป็ นจานวนมาก อิ บ นุ อัล หาริ ส ได้ก ล่ า วว่า “ มุ หัมมัดบิ นสะหฺ นูน เป็ นผูท้ ี่ แต่ ง หนัง สื อไว้
108
14
เป็ นฉบับเดิมและตัวเขียนสมัยก่อน
109
คาชื่นชมของบรรดานักปราชญ์ต่อมุหัมมัดบินสะหฺนูน
อี ซ า บิ น มิ ส กี น 15 ไ ด้ ก ล่ า ว ว่ า “ บุ ค ค ล ที่ ดี ที่ สุ ด ที่ ฉั น เ ค ย เ ห็ น ม า คื อ
มุหมั มัดบินสะหฺ นูน โดยมุหมั มัดบินสะหฺ นูนเป็ นผูท้ ี่ได้รวบรวมคุณลักษณะที่ดีต่างๆ เช่ น ถ่อมตน
มี ค วามรู ้ มี ค วามเสี ย สละ และเป็ นคนที่ เ อาใจใส่ เ พื่ อ นฝูง และกล่ า วว่า ฉัน ไม่ เ คยเห็ น คนที่ มี
คุณลักษณะเหมือนกับมุหมั มัดบินสะหฺ นูน”
อบูลอะรอบ อัตตะมี มีย ์ อัลกอยเราะวานี ยไ์ ด้กล่ า วว่า “มุหัมมัดบินสะหฺ นูน เป็ น
อิ หม่ า มในสาขาฟิ กฮฺ มี ค วามเชื่ อถื อ มี ค วามรู ้ ด้า นอะษัร โดยในสมัย ท่ า นไม่ มี บุ ค คลที่ มี ค วามรู ้
มากกว่าท่าน เท่าทีทราบมา”
มุหัมมัด บิน หาริ ษ อัลคุ ซานี ยไ์ ด้กล่าวว่า มุหัมมัดบินสะหฺ นูน ในทัศนะของท่าน
อิหม่ามมาลิกเป็ นนักท่องจาที่อยูแ่ นวหน้า และในทัศนะอื่นเป็ นผูท้ ี่มีความเชี่ยวชาญในการสนทนา
เป็ นผูท้ ี่มีใจกว้าง เป็ นผูท้ ี่ให้อภัย เป็ นผูท้ ี่มีความเอื้อเฟื้ อเผื่อแผ่ เป็ นผูท้ ี่ชอบให้ความช่วยเหลือกับผูท้ ี่
ไปหาท่านเป็ น สิ บๆดีนาร์
15
ผูท้ ี่มีชีวติ ทันกับมุหมั มัด บิน สะหฺ นูน
110
อะหฺ มดั อัลญะซาร์ ได้กล่ าวว่า มุหัมมัดบินสะหฺ นูน เป็ นอิ หม่านในสมัยของท่าน
ในมัซฮับของอะหฺ ลุลมะดีน ะห์ในเมืองมัฆริ บเป็ นคนที่มีความรู้ครอบคลุมทุกด้าน ที่หาได้ยากจาก
ผูอ้ ื่น
หัม ดิ ส อัลกอตตอนได้กล่ า วว่า “ฉันได้เห็ นอุ ลามาอฺ ชาวมักกะฮฺ มะดี นะหฺ และ
อียิปต์ ฉันไม่เห็ นพวกเขาเหมือนกับ สะหฺ นูน และเหมือนกับมุหัมมัดบินสะหฺ นูน”(al-Qadi Eyad
,1998:1280)
อบู อัล อะรอบได้ก ล่ าวว่า “มุ หัมมัดบินสะหฺ นูน เป็ นบุคคลทีมี ความเชื่ อถื อได้ มี
ความรู ้ ในเรื่ องของฟิ กฮฺ มี ความรู ้ ในเรื่ องของอะษัร ไม่มีใครในสมัยท่านมุหัมมัดบินสะหฺ นูน ที่มี
ความรู ้ที่ครอบคลุมในทุกแขนงวิชาเหมือนกับมุหมั มัดบินสะหฺ นูน”(Ibn Hajar, 1986:2425)
ยะห์ยา บิน อุมรั ได้กล่าวว่า “มุหมั มัดบินสะหฺ นูนเป็ นบุคคนที่มีความเป็ นฮุจญะฮฺ 16
มากที่สุด และมีความชานาญในเรื่ องของการเป็ นฮุจญ์ญะฮฺและเคยได้มีการสนทนาในเรื่ องศาสนา
กับบิดาของท่าน”(al-Dhahabi, 1987:85/5)
16
คือมีความเชื่อถือได้
111
1) สภาพทางการเมือง
หลังจากที่กษัตริ ยอ์ งค์สุดท้ายของคิลาฟะฮฺ อุมยั ยะฮฺ ที่มีชื่อว่า มัรวาน บิน มุหมั มัด
ถูกสังหารเสี ยชีวิต ในปี ฮิจเราะฮศักราชที่ 132 บะนุลอับบาสได้ยึดครองการเป็ นผูน้ าคิลาฟะฮฺ เป็ น
เวลา 5 ศตวรรษ ถือได้วา่ เป็ นยุคทองของคิลาฟะฮฺ อิสลามิยะฮฺ ในสมัยนี้ ในทุกมิติของการดาเนิ น
ชี วิต ในด้านความรู ้ ความเจริ ญรุ่ งเรื อง ด้านการผลิ ต นอกจากว่าสมัยนี้ มีการเปลี่ ยนแปลงทางด้าน
การเมื องการปกครองเป็ นการเปลี่ ยนแปลงที่ ร้ายแรงถึ ง ขั้นวิก ฤติ คือในสมัย การปกครองของคิ
ลาฟะฮฺ อบั บาสิ ยะฮฺ มีสองเหตุการใหญ่ๆที่เกิ ดขึ้น เหตุการณ์ แรก สงครามครู เสดที่เกิ ดขึ้นแถวชาม
และบัย ติลมักดิ ษ เป็ นเวลา สอง ศตวรรษ เหตุการณ์ ที่สอง สงครามมองโกเลี ย ที่ ทาลายระบบคิ
ลาฟะฮฺ อิสลามิยะฮฺที่แบกแดด และขจัดความรุ่ งโรจน์รุ่งเรื องของอิสลามในสมัยนั้น
นักประวัติศาสตร์ ได้จาแนกการปกครองสมัยอัลอับบาสี ย ์ ออกเป็ น สี่ สมัยด้วยกัน
คือ
สมัยแรก
เริ่ มจาก การได้รับอานาจการปกครองของอบี อสั สาฟาหฺ ในปี ฮ.ศ.ที่132 โดยเป็ น
ระยะเวลาการปกครองเป็ นหนึ่งศตวรรษ จนถึงสมัยการปกครองของ อัลมุตะวักกิล ในปี ที่ 232 ฮ.ศ.
ซึ่ ง ยุ ค นี้ ถื อได้ว่า เป็ นยุ ค ทองของคิ ล าฟะฮฺ อิ ส ลามิ ย ะฮฺ ที่ ส ามารถปกครองบริ หารบ้า นเมื อ งด้ว ย
คุณธรรมและความยุติธรรม
113
สมัยทีส่ อง
เริ่ มจากปี ฮ.ศ ที่ 232 –ฮ.ศ.ที่ 334 ด้วยการปกครองของ อัลบุวยั ฮี ย ์ ในสมัยนี้ มีการ
เปลี่ ยนแปลงทางการเมือง คือ ชาวอัลอัตรอกเป็ นผูท้ ี่ปกครองประเทศ และเป็ นที่อลั มุอฺตาสิ มพามา
อาศัยที่แบกแดด
สมัยทีส่ าม
สมัยนี้ ถูกเรี ยกว่าสมัย อัลบุ วยั ฮี ย ์ เริ่ มในปี ฮ.ศ. ที่ 334 ถึ ง ฮ.ศ.ที่ 447.เป็ นสมัยที่
อัลบุวยั ฮยูนเป็ นผูป้ กครองประเทศ
สมัยทีส่ ี่
สมัย นี้ ถู ก เรี ย กว่า สมัย สั ล ยูก เริ่ ม ด้ว ยการก าเนิ ดราชวงค์สั ล ยูก ตั้ง แต่ ปี ฮ.ศ.ที่
447.656 คือเป็ นสมัยที่ชาวมองโกเลียได้ครอบครองส่ วนใหญ่ของประเทศมุสลิม สมัยนี้ คือสมัยที่มี
ความสาคัญมากสาหรับผูว้ จิ ยั เพราะเป็ นสมัยที่กาเนิด ท่านบุรฮานุดีน อัลซัรนูญีย ์
สัล ยูก หรื อเซลจูค เป็ นกลุ่ ม หนึ่ ง ของชาวตุ ร กฺ ที่ มี อานาจในการบริ หารประเทศ
บ้านเมืองในแบกแดด ซึ่ งคอลี ฟะฮฺ ไม่มีอานาจใดๆนอกจากอานาจทางศาสนาในวันสาคัญเท่านั้น
เช่ น วันอี ด แต่ใ นเรื่ องความสัม พันธ์ ระหว่างคิ ล าฟะฮฺ ก ับอัสสั ลยูก ดี ก ว่า ความสั มพันธ์ ระหว่า ง
สถาบันคิลาฟะฮฺกบั อัลบุวยั ฮิยนี ในเรื่ องการให้เกียรติกบั สถาบันอัลคิลาฟะฮฺ โดยมูลเหตุที่ชาวอัลสัล
ยูกเป็ นกลุ่มที่ยดึ มัน่ ในศาสนา ดังนั้นจึงให้เกียรติกบั ศาสนาที่ได้นบั ถือโดยสถาบันคิลาฟะฮฺ อลั อับบา
สิ ยะฮฺ(Sakir, 1987 : 205)
ชื่ อเสี ยงของเมืองแบกแดดได้กลับมาอีกครั้ง ถื อว่าเป็ นเมืองหลวงที่บรรดาอัลคุลา
ฟาอฺ ได้ปฏิบตั ิภารกิจทางศาสนา และกลุ่มของอัลสะลาญิเกาะฮฺ ได้ยึดมัน่ ในทัศนะของอะหฺ ลุสสุ น
นะฮฺ ด้วยการยึดมัน่ มัซฮับอะหฺ ลุสสุ นนะฮฺ ของชาวอัลสะลาญิเกาะฮฺ ทาให้เป็ นปั จจัยสาคัญที่ทาให้
บ้านเมืองเกิดความเข็มแขง และเป็ นปึ กแผ่นอันหนึ่งอันเดียวกัน
2) สภาพทางสั งคม
สภาพทางสังคมในสมัยท่านบุรฮานุ ดดีน อัลซัรนูญียส์ ามารถจาแนกประเภทต่างๆ
ของการอาศัยอยูใ่ นสังคมดังนี้
ชนชั้นวรรณะของผูค้ นในสังคม
สามารถจาแนกระดับชนชั้นวรรณะของผูค้ นที่อาศัยอยูใ่ นสังคมดังนี้
1. ชนชั้นพิเศษ หรื อชนชั้นสู ง
114
5.ชนชั้นทาส
คือเฉลยศึกสงคราม เช่นชั้นทาสในประเทศมุสลิม มีหลากหลายเชื้ อชาติ เช่น อัศศอกละบีย ์
โรม ซันจีย ์ ตุรกี เป็ นต้น
3) สภาพทางเศรษฐกิจ
ตามที่ได้กล่ าวมาข้างต้นว่าชนชั้นวรรณะของผูค้ นในสมัยนั้นได้แบ่งออกเป็ น สี่
ชนชั้น คือชนชั้นพิเศษ มีความความมัง่ คัง่ ทางเศรษฐกิจ มีชีวิตอยูท่ ี่ดี ส่ วนชนชั้นกลาง ประสบกับ
ความยากจน ขัดสน และได้มีการแพร่ หลายสมัยนั้นในเรื่ องการแบ่งที่ดินสาหรับผูน้ าและผูบ้ ริ หาร
ประเทศแทนเงินเดือนของพวกเขา และบุคคลแรกที่ได้กระทาเช่นนั้นคือ นิ ศอมุลมะลิก ในที่สุดผล
พวงจากการแบ่ งทรั พ ยากรที่ ไ ม่ เป็ นธรรม ท าให้เกิ ดชลมุ น วุ่นวายในบ้านเมื อง(al-Asfahani :
1978:187)
115
4) สภาพทางการศึกษา
สมัยนี้ มีความรุ่ งโรจน์รุ่งเรื อนในการแสวงหาความรู ้ ซึ่ งในสมัยนี้ มีการแพร่ หลาย
ของห้องสมุ ด โดยบรรดาเคาะลี ฟะฮฺ ผูน้ า รั ฐมนตรี ผูว้ ่า และบรรดาอุ ลามาอฺ ต่างกันซื้ อหนังสื อ
คัดลอก ดัง นั้น ท าให้ มี ก ารแพร่ ก ระจายของห้องสมุ ด และส่ ง ผลต่ อ การก าเนิ ดของสถานผลิ ต
กระดาษขึ้นมา ซึ่ งดารุ ล หิ กมะฮฺ ถือว่าเป็ นห้องสมุดแรกๆ ที่เคาะลีฟะฮฺ อัลมะอฺ มูนได้สร้างขึ้นมาที่
แบกแดด และได้รวบรวมหนังสื อของชาวกรี ก จากจักวรรดิ อัลบีซันตียะฮฺ ซ่ ึ งได้แปลเป็ นภาษา
อาหรับ ซึ่ งห้องสมุดนั้นได้มีหนังสื อทุกแขนงวิชาจนถึงมายุคของอัตตะตารในปี ที่ 656 ฮิ.ศ.(Amin
:1935:65.66)
4.2.2 ชีวประวัติของบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย์
เชื้อสายและวงศ์ ตระกูล
คาว่า ซัรนู ญีย ์ มาจากคาว่า ซัรนูจ ซึ่ งเป็ นชื่ อหนึ่ งของเมืองในเปอร์ เซี ย เมืองหลวง
ของแคว้น อัซซะจีสฐานในสมัยก่อน(al-Bagdadi: 1979:138) ยากูต อัลหะมาวียไ์ ด้กล่าวในหนังสื อ
มุอฺญมั อัลบุลดาน ( (معجمِالبلدانว่าเมือง ซัรนูจ คือเมืองที่มีชื่อเสี ยงตั้งอยูหลังแม่น้ าหนึ่ งหลังจาก
เมืองคูญนั ด์คือตั้งอยูห่ ลังแม่น้ า ญีหูน(อามูดาร์ ยา)ในเคาะรอสาน และบุคคลแรกที่ได้ส่งกองทัพเพื่อ
พิชิตเมืองดังกล่าว คือ หัจญาจ บิน ยูยุฟอัสสะกอฟี ย์ดว้ ยคาสั่งของท่านเคาะลีฟะฮฺ อบั ดุ ลมาลิ ก บิน
มิรวาน(เสี ยชีวติ ฮ.ศ. 86)
การถือกาเนิด
หนังสื อประวัติศาสตร์ และหนังสื อ อัต เฏาะบากอตและหนังสื ออัตตะรอญุม ไม่ได้
ระบุ ถึงวันเดื อนปี เกิ ดของท่านอัลซัรนู ญีย ์ แต่ได้มีการถกเถี ยงกันในปี การเสี ยชี วิตของท่านโดย
บรรดานักประวัติศาสตร์ ในการกาหนดวันเดื อนปี ที่ เสี ยชี วิตของท่าน ส่ วนในหนังสื อที่ได้ทาการ
ตะหฺ กีกโดยท่าน อุษมาน ได้ระบุวา่ ท่านอัซซัรนูญียื ได้เสี ยชี วิตในปี ที่ ฮ.ศ.591(az.zarnuji:1397:25)
และได้มีการระบุในบางหนังสื อประวัติศาสตร์ วา่ ท่านได้เสี ยชีวติ ในปี ที่ ฮ.ศ. 620 เช่นหนังสื อ อัลญะ
วาฮิร อัลมุฎีอะห์ ( )اجلواهرِاملضيئةِِللقرشيและหนังสื อ )(دائرةِاملعارفِاإلسالميةได้กล่าวว่า อิหม่าม
อัลซัรนูญีย ์ ได้ร่วมสมัยและรุ่ นเดียวกับท่านอันนุอฺมาน บิน อิบรอฮีม อัลซัรนูญีย ์ ซึ่ งเสี ยชีวิตในปี ที่
ฮ.ศ.640 และในหนังสื อ ) (املوسوعةِامليسرةว่าบุ รฮานุ ดดี นได้เสี ยชี วิตในปี ที่ ฮ.ศ.ที่ 620และผูแ้ ต่ง
หนังสื อ (ِ )اهلدايةบุ รฮานุ ดดี น อัลมิรฆินานี ย ์ ที่ท่านอัลซัรนูญียไ์ ด้ขอความเมตตาจากอัลลอฮฺ เพื่อ
116
การเติบโต(ปฐมวัย)
บรรดานัก ปราชญ์ส่วนใหญ่ สมมติ ฐานว่า ท่านอัซซัรนญี ยไ์ ด้ใช้ชีวิตอยู่ในเมื อง
ซัรนูจ(zarnuj) ไม่ได้มีเรื่ องราวอะไรต่างๆที่บงชี้วา่ ท่านอัลซัรนูญียเ์ ป็ นนักเขียนที่โด่งดังหรื อนักกวีที่
มีชื่อเสี ยงแต่ไม่มีขอ้ สงสัยว่าท่านอัลซัรนู ญียเ์ ริ่ มแรกของการศึ กษาคือ ได้ศึกษาในสถานศึ กษาที่
เรี ยกว่า อัลกุตตาบ(alkuttab)โดยเหมือนกับคนทัว่ ไปในสมัยนั้นที่มกั จะส่ งลูกๆของพวกเขาไปเรี ยน
ที่ อลั กุ ตตาบที่ มี ก ารแพร่ หลายในสมัย นั้นซึ่ งมี ห ลัก สู ต รในการเรี ย นการสอนในอัล กุ ตตาบ คื อ
การศึ ก ษาอัล กุ ร อาน การเขี ย นอัก ษรภาษาอาหรั บ บทบัญ ญัติ ข องศาสนา ส่ ว นหนึ่ งของวิ ช า
คณิ ตศาสตร์ พื้นฐานภาษาอาหรับและไวยากรณ์ ภาษาอาหรับ ภาษาเปอร์ เซี ย บางส่ วนของวิชากวี
และอะดับ โดยปกติแล้วหลังจากได้ศึกษาอัลกุรอาน นักเรี ยนจะไปเรี ยนต่อที่มสั ยิดจากคณาจารย์
หลายๆท่านพร้ อมกับศึกษาความรู ้ ในทุกแขนงวิชา และที่ชดั เจนอัลซัรนู ญียแ์ ป็ นลูกศิษย์ของบุรฮา
นุ ดดีน อัลมิรฆินานี ย ์ ผูแ้ ต่งหนังสื อ อัฮิดายะห์(alhidayah)ที่ได้จดั ทาการเรี ยนการสอนในมัสยิดใน
เมืองสะมุกอนด์และในเมืองบุคอรอ
การศึกษาของท่ านบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญยี ์
อัลซัรนูญียไ์ ด้เติบโตท่ามกลางของความหลากหลายทางด้านความรู ้ ประเพณี และ
วัฒนธรรม และได้ซึมซับด้วยภาษาอาหรับเพราะในช่ วงที่ท่านอยู่ในวัยเด็กท่านได้ศึกษาเล่าเรี ยน
เกี่ ยวกับ การอ่าน การเขี ยน อัลกุรอาน ภาษาอาหรั บ กวี บทกลอนอาหรั บ วิชาฟิ กฮฺ วิชากุรอาน
วิ ช าตัฟ สี ร วิ ช ากิ ร ออาต วิ ช าอัล หะดี ษ วิ ช า อัล อัค บาร บรรดาวิ ช าเหลานี้ ท่ า นได้ศึ ก ษาใน
สถานศึกษาคือที่มสั ยิดของเมืองใหญ่ๆ เช่น สามุรกอนย์ และบุคอรอ
เช่นเดียวกันอัลซัรนูญียไ์ ด้สัมผัสกับวัฒนธรรมเปอร์ เซี ย และอินเดียโดยเฉพาะท่าน
สามารถที่จะใช้ภาษาเปอร์ เซี ยอย่างคล่อง เสมือนกับเป็ นเจ้าของภาษา ซึ่ งสามารถสังเกตจากบทกวีที
ท่านได้ประพันธ์เป็ นภาษาเปอร์ เซี ย และบางส่ วนของประโยคในหนังสื อ(ตะอฺ ลีม มุตะอัลลิม)ของ
ท่าน
117
จากแหล่ ง ข้อ มู ล ที่ ไ ด้ก ล่ า วข้า งต้นสามารถสรุ ป ได้ว่า ท่ า นอัล ซัรนู ญีย ์ไ ด้เรี ย นรู้
เกี่ ยวกับวัฒนธรรมและความรู ้ อิสลาม ที่ ยืนอยู่บนพื้นฐาน อัลกุรอาน อัลหะดีษ ฟิ กฮฺ โดยเฉพาะ
ฟิ กฮฺหะนาฟี ภาษาอาหรับ กวี เช่นเดียวกันได้เรี ยนรู ้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและความรู้ของชาวเปอร์ เซี ย
วิชาดาราศาสตร์ ปรัชญา ตรรกวิทยาและอื่นๆ
บุคลิกภาพและอุปนิสัยของท่านอัลซัรนูญยี ์
การขาดข้อมูลเกี่ ยวชี วประวัติของท่านอัลซัรนู ญียไ์ ม่ใช่ สิ่งที่ เป็ นอุปสรรค์ในการ
วิเคราะห์เกี่ยวกับบุคลิกภาพของท่านอัลซัรนูญีย ์ จากที่ได้อ่านหนังสื อ ตะอฺ ลีมุลมุตะอัลลิมของท่าน
อัลซัรนูญีย ์ จะเห็นว่าท่านเป็ นนักฟิ กฮฺ ที่โน้มเอียงไปทางมัซฮับหะนาฟี ย์โดยสังเกตุจากหนังสื อของ
ท่านที่ได้ยก คากล่าวของนักปราชญ์ที่สังกัดมัซฮับหะนาฟี ในขณะที่หนังสื อไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง
กับเรื่ องฟิ กฮฺแต่อย่างใด และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับมัซฮับอบีหะนีฟะฮฺ
4.มัศอูด บินหุ เซน บิน มุหมั มัด บิน อิบรอฮีม อัลกิชตานี มีฉายานามว่า รุ กนุ ดดี น
(เสี ยชีวติ ปี ฮ.ศ.573)(al-Kanudi:d.n.:213)
5.อัหะสัน บิน มันศูร บิน มะหฺ มูด บิน อับดุลซี ซ อัลอุซญันดีย ์ อัลฟัรฆอนีย ์ อัลหะ
นาฟี ย์ เป็ นที่รู้จกั ด้วยกยฎีย(์ ผูพ้ ิพากษา) คอน ฟัครุ ดดีน อะบีลมุฟาคิร อะบิล มุหาสิ น นักปราชญ์และ
นั ก วิ นิ จ ฉั ย ในเรื่ องต่ า งๆของฟิ กฮฺ ผลงานทางวิ ช าการของท่ า น คื อ หนั ง สื อ อั ล ฟาวา
(kahalah:1376:297)
6.รุ กนุดดีน อัฟัรฆอนีย ์ เป็ น นักปราชญ์และ นักกวี (เสี ย ชีวติ ฮ.ศ. 594)
7.อัลหะสัน บิ น อลี บิน อับดุ ลอะซี ซ บิ น อับดุ ลเราะซาก บิน อบี นัศร์ อัลมิรฆิ
นานีย ์ (al-Tamimi: 1982:95)
วรรณกรรม และผลงานทางวิชาการของอัลซัรนูญยี ์
วรรณกรรมของท่ า นอัล ซัร นู ญี ย ์ ที่ ม าถึ งเราและที่ รู้จ ัก มี เ พี ย งวรรณกรรมเดี ย ว
เท่ า นั้น คื อ หนัง สื อ ตะอฺ ลี มุ ล มุ ต ะอัล ลิ ม เตาะรี กุ ต ตะอัล ลุ ม (( )تعليمِاملتعلمِطريقِالتعلمGharbal:
1972:923) มุ หัมมัด บิ น อับดุ ลกอดี ร์ได้กล่ าวว่า สาเหตุ ที่วรรณกรรมของท่านอัลซัรนู ญีย ์ ไม่ได้
มาถึงเราคือเพราะ การสู ญหายของ มัคตูตอต(ต้นฉบับหนังสื อ)อาหรับ อันเนื่ องจากการเกิดสงคราม
มองโกเลี ยที่ชาวมองโกเลี ยได้ทิ้งหลายมัคตูตอตที่ได้เอามาจากห้องสมุดแบกแดดลงไปในทะเล
หรื อ สาเหตุมาจากความละเลยของมุสลิม(al-Zarnuji:1406 24: )
คุณค่ าและความสาคัญของหนังสื อ
วรรณกรรมเล่มนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ซึ่ งถือว่าเป็ นงานชิ้นเอกและเป็ น
ผลงานที่ยิ่งใหญ่ของท่าน และยังเป็ นแหล่งอ้างอิงของเหล่านักเขียนหนังสื อทางวิชาการหลายท่าน
โดยเฉพาะในสาขาศึกษาศาสตร์ หนังสื อเล่มนี้เป็ นที่นิยมกันอย่างแพร่ หลายมิได้จากัดแค่นกั วิชาการ
มุสลิมเท่านั้น แต่ยงั ได้รับการยอมรับจากผูเ้ ชี่ ยวชาญในโลกตะวันออกและบรรดานักเขียนตะวันตก
อีกด้วย นอกจากนี้ยงั มีการเขียนหนังสื อเลียนแบบหนังสื อเล่มนี้ดว้ ย เช่น จีอี วอน กรานาบาวม์(G.E.
Von Grunabaum) และ ทีอ็ม อาเบล (T.M.Abel)โดยใช้ชื่อหนังสื อว่า “การเรี ยนการสอนของผูเ้ รี ยน
และวิธีการเรี ยนรู้ ” ( )تعليمِاملتعلمِطريقِالتعلمยังมี คาร์ ล บรอกเกลแมน(Carl Brockelmann)ใช้ชื่อ
หนังสื อว่า “ประวัติความเป็ นมาของวรรณกรรมอาหรับ ” (Geschicte der ArabischenLittratur)และ
เมดฮี นากอสเทน (MedhiNakosten)กับงานเขียนของเขาที่ชื่อว่าประวัติของต้นกาเนิ ดอิสลาม ของ
119
บทที่ 5
แนวคิดทางการศึกษาของมุหัมมัดบินสะหฺนูนและบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญีย์
5.1.แนวคิดทางการศึกษาของมุหัมมัดบินสะหฺนูน
ผู ้วิ จ ัย ได้ ก าหนดแนวคิ ด ทางการศึ ก ษาของมุ หัม มัด บิ น สะหฺ นู น หลัง จากได้
ทาการศึกษาและวิเคราะห์หนังสื อตะอฺ ลีมุล มุตะอัลลิ มของท่าน พร้ อมนาหลักฐานจากอัลกุรอาน
และอัลหะดีษของท่านนบีT มาประกอบการอธิ บาย ดังนี้
5.1.1.1 ปรัชญาการศึกษา
ปรั ช ญาการศึ ก ษาหมายถึ งความเชื่ อหรื อความคิ ด ที่ เกี่ ย วกับ การศึ ก ษาซึ่ ง แสดง
ออกมาในรู ปของอุดมการณ์ ทฤษฎี ต่างๆเพื่อเป็ นแนวทางในการจัดการศึกษาโดยปกติแล้วปรัชญา
การศึกษาจะตอบคาถาม 2 ประการ คือ การศึ กษาจะพัฒนาคนให้มีคุณลักษณะอย่างไร อะไรคื อ
ความรู ้ ที่ มี คุณค่ า และมี ป ระโยชน์ ต่ อมนุ ษย์ ซึ่ ง ในอิ ส ลามค าที่ ม กั ใช้แทนค าว่า ปรั ช ญา หรื อ
philosophy คือ คาว่า หิ กมะฮฺ ซึ่ งหมายถึ งวิทยปั ญญา คาว่าหิ กมะฮฺ จะถูกกล่าวไว้ใน อัลกุรอาน
บ่อยครั้ง(ณรงค์รักษาเขต, 2551: 4 )
เช่นในโองการ ของซูเราะฮฺ อลั บะกอเราะฮฺ ดังที่อลั ลอฮฺตรัสไว้วา่
– ((إذا قوطع الْ ُمعلِّم على األجرة فلم يعدل بينهم – أي الصبيان
))ُكتب من الظلمة
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
แท้จ ริ ง อัล ลอฮ์ท รงสร้ า งหญิ ง ชายให้ มี ค วามโดดเด่ น ในความเป็ นธรรมชาติ ที่
แตกต่างกัน เพื่อให้แต่ละฝ่ ายมีหน้าที่ที่ไม่เหมือนกัน โดยอัลลอฮ์ได้ทรงสร้างผูห้ ญิงคนแรก (นางฮา
วาฮ์) มาจากซี่ โครงของศาสดาอาดัม เพื่อให้เป็ นคู่ครองของท่าน ดังที่อลั ลอฮ์ทรงตรัสว่า
อัลลอฮฺได้ตรัสอีกว่า
3. บทลงโทษมีไว้เพื่อสร้างความเสมอภาคและความยุติธรรม
มุหมั มัดบินสะหฺ นูนอนุญาตให้ลงโทษผูเ้ รี ยนภายใต้เงื่อนไข หลายประการดังคา
กล่าวของท่านที่ได้กล่าวว่า
،ص به يوم القيامة ِ
َ فما زاد عليه قُوص،((أدب الصيب ثَلث درر
فما زاد عنه إىل،وأدب املسلم ف غري احلد عشر إىل مخس عشرة
))ضرب يوم القيامة
َ ُالعشرين ي
“การตีเด็กนั้นแค่สามครั้ง ถ้าหากว่าเกินกว่านั้นเขาจะถูกลงโทษใน
วันกิยามะฮฺ” (Ibn Sahnun, 1972:92-93)
ท่านได้กล่าวอีกว่า ท่านนบีได้กล่าวว่า
وأغلظهم على، )) شرار أميت معلما صبياهنم أقلهم رمحة لليتيم
((املسكني
125
(al-Bukhari,1986 : 5027 )
126
َ لَ َّما بَ َع: اس َر ِض َي اهللُ َعْن ُهماَ قاَ َل ِ ((عن عب ِد
ٍ َّاهلل بْ َن َعب
ُّ ِث الن
َِّب َْ ْ َ
صلَّى اللَّهُ َعلَْي ِه َو َسلَّ َم ُم َعا َذ بْ َن َجبَ ٍل إىل حنو أهل اليمن قال له َ
( إنك تقدم على قوم من أهل الكتاب فليكن أول ما تدعوهم إىل أن
يوحدوا اهلل تعاىل فإذا عرفوا ذلك فأخربهم أن اهلل فرض عليهم مخس
))...صلوات ف يومهم وليلتهم
3. เพิม่ พูนในวิชาความรู ้
สังเกตได้จากการทัศนศึกษาเพื่อแสวงหาความรู้ของ มุหมั มัดบินสะหฺ นูน ซึ่ งท่าน
ได้เดินทางไปยังหลายประเทศ เช่น อัล-หิ ญาซ1 อียิปต์ แล้วได้พบกับนักปราชญ์หลายท่านในเมือง
ดังกล่าว
4. เพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรี
ความรู ้ ส ามารถเพิ่ ม เกี ย รติ ใ ห้ก ับ ผูแ้ สวงหาและมี เกี ย รติ ระหว่า งผูค้ น ในบทกวี
อาหรับได้กล่าวไว้วา่
العلم يرفع بيتا ال عمادله واجلهل يهدم بيت العز والشرف
มุ หัม หมัด บิ น สะหฺ นู น เป็ นผูท้ ี่ พ ยายามฝึ กอบรมเลี้ ย งดู บุ ตรของท่ า นเองให้ มี
ความสามารถเหมือนกับท่านในการเป็ นนักปราชญ์ที่มีความรู้ในด้านวิชาฟิ กฮฺ (ศาสนบัญญัติ)ตาม
ทัศนะอิหม่ามมาลิก ซึ่ งทุกที่ที่ท่านไปสอนหรื อฟั ตวา(วินิจฉัยชี้ ขาด)ในเรื่ องของศาสนา ท่านจะพา
บุตรของท่านไปด้วย
5. เพื่อแสวงหาปัจจัยยังชีพ
มุหัมมัดบินสะหฺ นูน มีทศั นะว่า ผูส้ อนสามารถที่จะรับค่าตอบแทนจากการสอน
และมีสิทธิ์ ที่จะรับของขวัญและรางวัลจากการสอนอัลกุรอาน
6.เพื่อมารยาทที่ดีงาม
ในสมัยก่อนผูเ้ ป็ นบิดามารดาไม่เพียงแต่จะส่ งบุตรหลานของพวกเขาเพื่อแสวงหา
ความรู ้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันเพื่อฝึ กฝนจรรยามารยาทที่ดีงาม ซึ่ งอัลกุรอานถือว่า
เป็ นดารัสของอัลลอฮฺที่เต็มไปด้วย จรรยา มารยาทที่ดีงาม ดังนั้นบิดามารดาในสมัยก่อนมักนิ ยมส่ ง
บุตรหลานของพวกเขาไปเรี ยนอัลกุรอาน
1
คือ เมืองมักกะฮฺและมาดีนะห์ ซึ่งตั้งอยูป่ ัจจุบนั ในประเทศซาอุดีอาระเบีย
128
ความว่า อัลลอฮฺทรงยกระดับหลายๆกลุ่มชนด้วยอัลกุรอาน
(Muslim,1996:1359)2
ท่านได้กล่าวอีกว่า
))((عليكم بالقرآن فإنه ينفي النفاق كما تنفي النار من خبث احلديد
2. การอมรมพัฒนาทางจิตวิญญาณ
หลังจากการศึกษาทางด้านองค์ความรู้ มุหัมมัดบินสะหฺ นูนยังให้ความสาคัญกับ
การอมรมพัฒนาทางจิตวิญญาณที่เชื่ อมความสัมพันธ์ระหว่างมนุ ษย์กบั พระเจ้าที่การศึกษาปั จจุบนั
ไม่ได้ให้ความสาคัญมากนักกับการอบรมทางด้านจิตวิญญาณ มุหมั มัดบินสะหฺ นูนได้วางกฎเกณฑ์
การศึกษาที่มีการเชื่ อมสัมพันธ์ ระหว่างมนุ ษย์กบั สังคมและระหว่างมนุ ษย์กบั พระองค์อลั ลอฮฺ
(al-Jamali:1979:109)
5.1.3 กระบวนการเรียนการสอน
1. วิธีสอนแบบบรรยาย
มุหมั มัดบินสะหฺ นูนได้กล่าวว่า
، والشَّكل، وذلك الزم له،((وينبغي أن يعلِّ َمهم إعراب القرآن
يلزمه، والرتتيل، والتوقيف، والقراءة احلسنة، واخلط احلسن،واهلِجاء
وال بأس أن يُعلِّمهم الشعر مما ال يكون فيه فحش من كالم،ذلك
)) وليس ذلك بواجب عليه،العرب وأخبارها
“และควรสอนผู้เ รี ยนการเอี ย ะอฺ ร อบุ ล กุ ร อานและนี้ คื อ สิ่ ง ที่
จาเป็ นต้องสอน สระ ตัวอัก ษร การคัดลายมื อ ที่ ส วย การอ่านที่
ไพเราะ การหยุด การอ่านแบบตัรตี ล มันเป็ นสิ่ งที่ จาเป็ นสาหรั บ
เขา แต่ก็ไ ม่ผิดที่ จะสอนบทกวี ที่ ป ราศจากคาลามกอนาจารจาก
คาพูดและเรื่ องราวของชนอาหรับ แต่มนั ไม่ใช่สิ่งที่จาเป็ นสาหรับ
เขาที่จะต้องสอน”
(Ibn Sahnun: 1972:102)
2. วิธีสอนแบบอภิปราย
وينبغي أن جيعل هلم وقتاً يعلمهم فيه الكتب وجيعلهم يتجاوزون؛ ألن
،ذلك مما يصلحهم وخيرجهم
มุหมั มัดบินสะหฺ นูนได้กล่าวว่า
“ผูส้ อนควรให้เวลากับผูเ้ รี ยนเพื่อได้ฝึกฝนการอภิปรายและได้รู้ถึง
ความรู ้พ้นื ฐานของการอภิปราย และมารยาทของการฟัง”
ฮาชิ ม อะลี อัลอะฮฺ ดลั (Hashim ‘Ali al-Ahdal, 1992 : 126) ได้กล่าวว่า
“การอภิปรายเป็ นวิธีสอนอิสลามศึกษาที่ดียงิ่ วิธีหนึ่ง เป็ นวิธีสอนที่มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
ทั้งสองฝ่ าย โดยการรวบรวมทัศนะและแนวความคิดต่าง ๆ และให้โอกาสทั้งสองฝ่ ายได้ร่วมแสดง
ความคิดเห็น โต้ตอบ และอภิปรายซักถาม ความจริ งแล้วการอภิปรายดังกล่าวจะเป็ นลักษณะที่
ดาเนินไปด้วยความเรี ยบร้อย เป็ นความพยายามที่จะนานิยามที่ผิด หรื อสิ่ งคลุมเครื อ หรื อประเด็น
ปั ญหาที่สาคัญไปสู่ ควากระจ่าง ซึ่ งทั้งสองฝ่ ายไม่สามารถหาคาตอบได้ นอกจากโดยการใช้วิธีการ
อภิปราย”
ซัยนฺ มุฮมั มัด ชะฮาตะฮฺ (ม.ป.ป. : 110) ได้กล่าวว่า “การสอนในรู ปแบบอภิปราย
เหมาะสาหรับนักเรี ยนในทุกระดับชั้น โดยเฉพาะอย่างยิง่ นักเรี ยนในระดับชั้นมัธยมศึกษาขึ้นไป ซึ่ ง
นับว่าเป็ นระดับที่เหมาะสาหรับจัดการเรี ยนการสอนในรู ปแบบของการอภิปรายหรื อโต้วาที โดย
การกาหนดหัวข้อและขอบเขตของเรื่ องที่จะทาการอภิปรายหรื อโต้วาทีให้ชดั เจนก่อนที่จะเริ่ มทา
การอภิปราย”
จากคาพูดข้างต้นชี้ ให้เห็นว่า วิธีสอนแบบอภิปรายเป็ นวิธีสอนหนึ่งในอิสลามที่มี
ความสาคัญ เพราะเป็ นวิธีสอนที่ส่งเสริ มและสนับสนุ นให้ผเู ้ รี ยนได้ใช้ความคิดตามความเข้าใจและ
ความสามารถของตนที่มีอยู่ ช่วยให้ผเู ้ รี ยนกล้าพูด กล้าแสดงออก และจากการพูดคุยสนทนาและ
อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็ นระหว่างกัน จะทาให้ผเู้ รี ยนสามารถเข้าใจในเรื่ องที่อภิปรายให้มี
ความกระจ่างและชัดเจนมากยิง่ ขึ้น
3.วิธีสอนแบบท่องจา
มุหมั มัดบินสะหฺ นูนได้กล่าวว่า
“กาหนดในช่วงท้ายของสัปดาห์เพื่อการนัง่ ฟั งจากการท่องจาของ
ผูเ้ รี ยน และเพื่อที่จะแน่ใจว่าผูเ้ รี ยนได้เข้าใจเกี่ยวกับบทเรี ยนอย่าง
ลึกซึ้ งหรื อไม่”
(Ibn Sahnun, 1972:104)
ท่านได้กล่าวอีกว่า
((وال جيوز أن ينقلهم من سورة إىل سورة حىت حيفظوها بإعراِبا
))وكتابتها
137
ِ ِ
صيًا ِم َن ا ِإلبِ ِل ِِف َ اه ُدوا الْ ُق ْرآ َن فَ َوالَّذى نَ ْف ِسى بِيَدهِ َهلَُو أ
ِّ َش ُّد تَ َف َ ((تَ َع
عُ ُقلِ َها )) متفق عليه
(al-Bukhari,1986 :5033,Muslim,1996:792)
ท่านนบีได้กล่าวว่า
ب مبلغ أوعى
َّ ((نضراهلل امرءا مسع مقاليت ووعاها فأداها كما مسعها فَ ُر
))من سامع
4.วิธีสอนแบบร่ วมมือ
มุหมั มัดบินสะหฺ นูนได้กล่าวว่า
(()) وجيعلهم يتحايزون ألن ذلك مما يصلحهم وخيرجهم
“ผูส้ อนควรให้เวลากับ ผูเ้ รี ย นเพื่ อได้ฝึ กฝนการอภิ ป รายและได้
แข่งขันกัน เพราะมันจะเป็ นประโยชน์ให้กบั พวกเขา
وال جيوز أن ينقلهم من سورة إىل سورة حىت حيفظوها بإعراِبا وكتابتها
جلارية ألعب "بل الساعة موعدهم والساعة أدهى وأمر" وما نزلت سورة
فأخرجت له املصحف فأملت: قال.(البقرة) و (النساء) إال وأنا عنده
)) عليه آي السور
(4993:(رواه البخاري
ความว่า “ขณะที่ฉนั อยูก่ บั ท่านหญิงอาอิชะฮฺ ผูเ้ ป็ นมารดาแห่ งผู ้
ศรัทธาทั้งหลาย ชาวอิรักคนหนึ่ งได้มาหาเธอกล่าว (กับเธอ) ว่า
“ผ้าห่อผูต้ ายแบบไหนดีที่สุด?” เธอตอบว่า“ขออัลลอฮฺ โปรดเมตตา
ท่าน ท่านมีความประสงค์อย่างไร?” (จึงถามเช่นนี้ ) เขาก็กล่าวอีก
ว่า “โอ้มารดาของผูศ้ รัทธาทั้งหลาย ขอฉันดูอลั กุรอานฉบับที่ท่าน
มี” เธอตอบว่า “ทาไมละ?” เขาตอบว่า“เพื่อฉันจะรวบรวมมันและ
ใช้เป็ นหลัก ในการเรี ย บเรี ย ง เพราะมี ก ารอ่ า นอัล กุ รอานโดย
เรี ยงลาดับสู เราะฮฺ ไม่ถูกต้อง” เธอกล่าวว่า “และท่านมีประสงค์
อย่างไร? ท่านอ่านสู เราะฮฺ ใดเป็ นลาดับแรก?” แท้จริ งแรกเริ่ มการ
ประทานอัลกุรอานนั้นเป็ นการประทานสู เราะฮฺ หนึ่ งสู เราะฮฺ ใดที่
นามาจากอัลมุฟัศศ็อล ในสู เราะฮฺ น้ ี กล่าวถึงเรื่ องสวรรค์และนรก
จนกระทัง่ เมื่อผูค้ นกลับคืนสู่ อิสลามกันมากขึ้น อายะฮฺ ที่เกี่ยวกับ
หะลาล (สิ่ งอนุ มตั ิ)และหะรอม (สิ่ งที่ไม่อนุ มตั ิ) จึงถูกประทานลง
มา หากว่าสิ่ งแรกเป็ นเรื่ องที่วา่ ไม่ให้พวกท่านดื่มเหล้า พวกท่านก็
จะกล่าวว่า พวกเราไม่สามารถละทิ้งเหล้าได้ แต่ถา้ หากลงมาว่า
พวกท่านอย่าได้ละเมิดประเวณี พวกท่านก็จะกล่าวว่า พวกเราไม่
อาจเลิกการประเวณี ได้ ขณะที่อายะฮฺหนึ่งถูกประทานลงมาที่มกั
กะฮฺ ให้กบั ท่านนบีมุฮมั มัดมุฮมั มัด นั้น ตัวฉันยังเป็ นเด็กหญิง
เล็ก ๆ วัยซุกซน ความว่า “แต่วา่ ยามอวสาน (วันกิยามะฮฺ ) นั้น เป็ น
กาหนดเวลา (การลงโทษ) ของพวกเขา และยามอวสานนั้นทุกข์
ทรมานยิ่ง และขมขื่นยิ่ง (อัลเกาะมัร : 46) ส่ วนสู เราะฮฺ อลั บะเกาะ
เราะฮฺและสู เราะฮฺ อนั นิ ซาอฺ น้ นั ประทานลงมา โดยที่ฉนั อยูก่ บั ท่าน
เราะสู ล ด้วย เขา (ยูสุฟ) เล่าว่า ท่านหญิงอาอิชะฮฺ (เราะฎิยลั ลอ
ฮุอนั ฮา) จึงได้นาเอาอัลกุรอานฉบับที่มีอยู่ที่เธอออกมา และได้
อธิบายให้เขาฟังถึงลาดับสู เราะฮฺต่าง ๆ ”
(al-Bukhari, 1986 : 4993)
143
8. การสอนแบบทัศนศึกษา
ท่านได้กล่าวว่า
ٍ َع ِن ا بْ ِن ِشه، َع ن ي ونُس بْ ِن ي ِزي َد، (( ع ن ح ْفص بْ ن عُ مر
، اب َ َ َ ُْ ََ ُ ُ َ
ِ ِ ِ ِ ِ ِ ٍ أَن سع َد بن أَِب وق
اب َ َاص " قَد َم بَر ُج ٍل م َن اْلعَراق يُ َعلِّ ُم أَبْ ن
َ َاء ُه ْم اْلكت َ َْ َْ
ِ ِ
)) َجَر ْ ك ْاألَ بِالْ َمدينَ ِة َويُ ْعطُونَهُ َعلَى ذَل
จากหัฟ ศฺ บิ น อุ ม รั จากยูนุส บิ น ยะซี ด จาก อิ บนุ ชิ ฮาบ แท้จริ ง
สะอดฺ บิน วัก กอฟ ได้พ าผูช้ ายคนหนึ่ งจากอิรักเพื่อสอนลู กของ
ท่านที่มาดีนะฮฺเกี่ยวกับอัลกุรอานและท่านได้ให้ค่าจ้างกับผูช้ ายคน
นั้น (Ibn Sahnun, 1972:83)
(อัตเตาบะฮฺ :122)
قال رسول ااهلل صلى ااهلل عليه:((عن أيب هريرة رضي ااهلل عنه قال
من سلك طريقاً يلتمس فيه علماً سهل اهلل له به طريقاً إىل:وسلم
.))اجلنة
“ผูใ้ ดก็ตามที่ออกเดินทางเพื่อแสวงหาความรู ้ อัลลอฮฺจะทรงทาให้
หนทางไปสู่ สวรรค์สะดวกง่ายดายแก่เขา”
(Muslim: 2699)
، ألنه أجري ال يدع عمله وال يتبع اجلنائز،له منه يلزمه النظر ف أمره
" .وال عيادة املرضى
“ผูส้ อนไม่ควรละเลยต่อผูเ้ รี ยนนอกจากเวลาที่ ไม่มีการเรี ยนการ
สอน ไม่ เ ป็ นไรที่ เ ขาจะพู ด คุ ย ในขณะที่ เ ขาก าลัง สอดส่ อ งดู แ ล
ผูเ้ รี ยน และควรสอบถามและให้เวลากับผูเ้ รี ยน และไม่ควรที่จะใช้
เวลาสอนในการไปละหมาดศพนอกจากมันเป็ นมีความจาเป็ นที่ไม่
อาจเลี่ ย งได้ โดยผูส้ อนสามารถใช้ดุ ล ยพิ นิ จของตนเอง เพราะ
ผู ้ส อนเป็ นผู ้ที่ ถู ก จ้า งมาเพื่ อ สอน ไม่ ค วรที่ จ ะทิ้ ง การสอนไป
ละหมาดศพ และ เยือนผูป้ ่ วย”
(Ibn Sahnun, 1972:98-100)
11.ฝึ กฝนปฏิบัติ
มุหมั มัดบินสะหฺ นูนได้กล่าวว่า
ويضرِبم، " ينبغي للمعلم أن يأمرهم للصَلة إذا كانوا بين سبع سنني
"عليها إذا كانوا بين عشر
“ผูส้ อนควรกาชับให้ผเู ้ รี ยนละหมาดตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ และควร
ลงโทษ (ด้วยการตีเมื่อได้ทิ้งการละหมาด) ตอนอายุครบสิ บขวบ”
(Ibn Sahnun, 1972:109)
สังเกตจากคากล่ าวของท่านมุ หัมมัดบิ นสะหฺ นูนข้า งต้น จะเห็ นได้ว่า ท่านได้ใ ห้
ความสาคัญกับการฝึ กฝนปฏิบตั ิในการเรี ยนรู ้โดยเฉพาะการละหมาดซึ่ งมีความจาเป็ นอย่างยิง่ ที่ตอ้ ง
ใช้เทคนิ คการฝึ กฝนปฏิ บตั ิในการเรี ยนรู้ เพื่อให้ผูเ้ รี ยนได้ฝึกฝนปฏิ บตั ิ การละหมาดอย่างถู กต้อง
เสมือนท่านนบีได้ละหมาด เพราะท่านนบี ได้กล่าวว่า
)))) صلوا كما رأيتموين أصلي
พวกท่านจงละหมาด ดังที่เห็นฉันละหมาด
(al-Bukhari,1986:598)
148
12. การสอนแบบตัรฆีบและตัรฮีบ3
ท่านมุหมั มัดบินสะหฺ นูนได้กล่าวว่า
""وال بأس أن يضرِبم على منافعهم
“และถือว่าไม่เป็ นไรสาหรับการตีเด็กเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา
”(Ibn sahnun, 1978:89)
สังเกตจากคากล่าวของท่านจะเห็ นได้ว่า ท่านใช้วิธีการตีในการลงโทษเด็ก และ
การลงโทษเด็กด้วยการตีน้ นั เป็ นวิธีหนึ่ งในการที่จะให้เด็กห่ างไกลจากสิ่ งที่ไม่ดี และให้เด็กเป็ นผูท้ ี่
มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ซึ่ งวิธีน้ ีถูกเรี ยกเป็ นภาษาอาหรับว่า ()أسلوب الرتغيب والرتهيب
วิธีตรั ฆีบและตัรฮีบเป็ นวิธีสอนที่ผสู ้ อนส่ งเสริ มและสนับสนุ นให้ผเู ้ รี ยนตระหนัก
ถึงการปฏิบตั ิในสิ่ งที่ดีงามและสิ่ งมีคุณค่า เพื่อแสวงหาความโปรดปรานจากพระองค์อลั ลอฮฺ
และให้ห่างไกลจากสิ่ งที่ชั่วร้ ายและบทลงโทษของพระองค์ เป็ นวิธีสอนที่เตือนให้พึงระวังและ
เตรี ยมพร้ อมกับเหตุการณ์ที่ยงั มาไม่ถึง โดยครอบคลุมทั้งเหตุการณ์ ที่ดีและชัว่ วิธีสอนแบบตัรฆีบ
และตัรฮีบเป็ นวิธีสอนอิสลามศึกษาดั้งเดิมโดยธรรมชาติที่พระองค์อลั ลอฮฺ ทรงประทานแก่
มนุษย์ โดยให้พวกเขามีความปรารถนากับความสุ ข ความโปรดปราน และชีวติ บั้นปลายที่มีความสุ ข
และห่างไกลกับความทุกข์ยาก ความขมขื่น ความทรมาน และชีวติ บั้นปลายที่มีแต่ความทุกข์
3
คือการสอนแบบการส่งเสริ มและเตือน
149
5.1.4 ผู้สอน
ِ
َ ُّ اقْ َرأْ َوَرب، َخلَ َق ا ِإلنْ َسا َن ِم ْن َعلَ ٍق،ك الذي َخلَ َق
ك ْ ِاقْ َرأْ ب
َ ِّاس ِم َرب
األَ ْكَرُم
5.1.4.1 คุณลักษณะทางด้านวิชาชีพของผูส้ อน
1) ดูแลและให้ความสาคัญผูเ้ รี ยนโดยเฉพาะในช่วงแยกย้ายจากสถานศึกษากลับไป
ที่บา้ น (Ibn Sahnun: 1972:97) และควรตรวจสอบว่าเด็กกลับถึงบ้านหรื อไม่ แล้วหรื อยัง
2) ในช่ วงที่ผเู ้ รี ยนขาดเรี ยนผูส้ อนควรติดต่อกับผูป้ กครองของเด็ก (Ibn Sahnun:
1972:97)
3) ผูส้ อนควรสละเวลากับการสอนอย่างเต็มที่เพราะจะทาให้ภาระหน้าที่การสอน
จะได้เดินไปด้วยดีและสมบูรณ์ (Ibn Sahnun, 1972:100)
4) ผูส้ อนห้ามดาเนินภารกิจหรื อกิจการใดๆที่ไปรบกวนกิจการการสอนนอกจาก
ในเวลาที่ไม่มีการเรี ยนการสอน (Ibn Sahnun, 1972:98)
5) ไม่ควรที่จะกาชับให้คนหนึ่ งคนใดไปช่วยสอน นอกจากว่ามันจะให้ประโยชน์
กับผูเ้ รี ยน (Ibn Sahnun, 1972:98)
6) ผูส้ อนไม่ควรที่จะสั่งใช้ผเู ้ รี ยนไปรับใช้ในความต้องการส่ วนตัวของผูส้ อน
(Ibn Sahnun, 1972:109)
7) ผูส้ อนไม่ควรที่จะสอนอัลกุรอานและตารับตาราให้กบั บุตรของชาวคริ สต์(Ibn
Sahnun, 1972:112)
8) ผูส้ อนผูช้ ายไม่ควรที่ จะสอนผูเ้ รี ยนผูห้ ญิ ง และไม่ควรเรี ยนปะปนรวมกัน
ระหว่างผูห้ ญิงกับผูช้ าย (Ibn Sahnun, 1972:117)
9) ผูส้ อนสามารถที่ จะเป็ นคนที่ ร่ า รวยได้แต่ ไ ม่ ใ ช่ อาศัย ความร่ า รวยจากผูเ้ รี ย น
(Ibn Sahnun, 1972:104)
10) ไม่ควรที่ จะให้ผูเ้ รี ยนศึ กษากับผูเ้ รี ยนด้วยกันนอกจากด้วยการอนุ ญาตจาก
ผูป้ กครอง หรื อ บ้านของผูเ้ รี ยนอยูใ่ กล้กนั (Ibn Sahnun, 1972:97)
11) ในขณะที่มีการเรี ยนการสอนไม่ควรที่จะทิ้งภาระหน้าที่ดว้ ยการไปละหมาด
ญินาซะฮฺ (ละหมาดศพ) (Ibn Sahnun, 1972 :100)
152
จากการศึกษาวิเคราะห์แนวคิดที่เกี่ยวกับจรรยามารยาทของผูส้ อนในตาราอาดาบุล
มุอลั ลิมีน ผูว้ จิ ยั ขอเสนอดังนี้
1. ผูส้ อนต้องมีความบริ สุทธิ์ ใจ (อิคลาศ) เนื่ องจากผูส้ อนได้ทาหน้าที่ของพ่อแม่ใน
การอบรมสั่งสอนผูเ้ รี ยน ฉะนั้นผูส้ อนควรมีจิตใจที่อิคลาศ (บริ สุทธิ์ ใจ) ต่อเอกองค์อลั ลอฮฺ ในหน้าที่
และการงานของเขา ควรคลุกคลีกบั เด็กเสมือนกับพ่อแม่ของเขาได้คลุกคลีกบั เขา ท่านมุหมั มัดบิน
สะหฺ นูนได้กล่าวว่า “ผูส้ อนสามารถที่จะรับค่าตอบแทนโดยปราศจากการขอและเงื่อนไขต่างๆแต้ถา้
หากว่าผูส้ อนไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆผูส้ อนไม่ควรที่จะเรี ยกร้องค่าตอบแทน”
2. ความย าเกรงต่ อ เอกองค์อลั ลอฮฺ ส าหรั บ ผูส้ อนต้องก าชับ ตัวเองเพื่ ออยู่ใ น
กรอบและบนแนวทางของอิ ส ลามโดยปฏิ บตั ิ สิ่ง ที่ อลั ลอฮฺ ท รงใช้ และห่ า งไกลจากสิ่ ง ที่ อลั ลอฮฺ
ทรงห้าม และทาให้เด็กได้ปฏิบตั ิตามในสิ่ งที่ดี และห่างไกลจากสิ่ งที่เบี่ยงเบน
3. มี ค วามรู ้ สึกรั บผิดชอบต่อหน้าที่ ผูเ้ รี ย นถื อว่าเป็ นอะมานะฮฺ อนั ยิ่งใหญ่ที่อยู่
ภายใต้การดูแลของผูส้ อน ที่จะถูกสอบสวนในวันกิ ยามะฮฺ ตามที่มุหัมมัดบินสะหฺ นูนได้กล่าวว่า
“ให้หมัน่ พยายามในการสอนเด็กโดยให้เวลากับการสอนอย่างเต็มที่และไม่ควรที่จะทิ้งหน้าที่การ
สอนโดยไปละหมาดญินาซะฮฺ เพราะการสอนนั้นเป็ นสิ่ งที่วาญิบและละหมาดศพนั้นถือว่าเป็ นฟั รฎุ
กิฟายะฮฺ (สิ่ งที่ใช้บงั คับให้มีการปฏิบตั ิโดยภาพรวม) ดังนั้นจงพยายามในการสอนและควรให้เวลา
เต็มไปด้วยกับการสอน”
154
ท่านได้กล่าวอีกว่า อัลหะซันได้กล่าวว่า
– (( إذا قوطع اْل ُمعلِّم على األجرة فلم يعدل بينهم – أي الصبيان
))ُكتب من الظلمة
155
“เมื่อผูส้ อนถูกกาหนดค่าตอบแทนแต่เขาไม่ได้ให้ความเสมอภาค
ระหว่ า งผู ้ เ รี ยน เขาจะถู ก บั น ทึ ก อยู่ ใ นจ าพวกที่ อ ธรรม”
(Ibn Sahnun, 1972 : 85)
3.วิธีการลงโทษ
อิบนุสะหฺ นุนได้ต้ งั เงื่อนไขในการลงโทษเด็กไว้ สองประการ ดังนี้
หนึ่ง มีเป้ าหมายเพื่อเด็กได้รับประโยชน์จากการลงโทษ
สอง ผูส้ อนไม่ควรตีเกินสามครั้ง นอกจากจะได้รับอนุญาตจากผูป้ กครอง โดยท่าน
มุหมั มัดบินสะหฺ นูนได้กล่าวว่า ไม่สามารถตีเด็กเกินขอบเขตนอกจากจะได้การอนุ ญาตจาก
ผูป้ กครอง
1. การลงโทษทางด้านจิตใจ
การลงโทษเด็ ก ทางร่ า งกายนั้นไม่ ส ามารที่ จ ะกระท าได้น อกจากต้อ งผ่า นการ
ลงโทษทางด้านจิตใจก่อน ที่มีรูปแบบและวิธีการลงโทษดังนี้
1) ให้คาตักเตือน
2) ให้ผปู ้ กครองได้รับรู ้ ถึงนิ สัยมารยาทของเด็กและให้ผูป้ กครองมี่ ส่วนร่ วมใน
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงมารยาทของเด็ก
3) มีการเชื่ อมสัมพันธ์ ระหว่างผูส้ อนกับผูป้ กครองของเด็ก และผูส้ อนมี หน้าที่
ต้องแจ้งให้ผปู้ กครองรับทราบเวลาเด็กขาดเรี ยน
4) ในเมื่อเด็กไม่ได้มีการเปลี่ ยนแปลงแก้ไขตัวเอง ก็ควรใช้วิธีอื่นในการลงโทษ
คือ วิธีการตาหนิตามลาพัง หลังจากนั้นตาหนิต่อหน้าเพื่อนฝูงจานวนมาก
5) กักตัวเด็กหลังจากได้แยกย้ายจากการเล่ าเรี ยนโดยมีเงื่ อนไข อย่าห้ามเด็กใน
การรั บ ประทานอาหารและดื่ ม อัน เนื่ อ งเด็ ก ต้อ งการอาหารเพื่ อ ความ
เจริ ญเติบโตและพัฒนาร่ างกายให้แข็งแรง เพราะเป้ าหมายของการลงโทษคือ
การแก้ไขและเปลี่ ยนแปลงมารยาทของเด็กเท่านั้น ซึ่ งไม่ได้มีเป้ าหมายห้ามมี
การเจริ ญเติบโตด้านร่ างกายของเด็ก
6) เงื่อนไขในการลงโทษทางจิตใจ คือห้ามด่าและไม่ควรใช้คาที่ไม่สุภาพ
ผูส้ อนสามารถเลือกการตีเป็ นวิธีสุดท้ายจากวิธีการลงโทษเด็กหลังจากได้ใช้
วิธีการลงโทษทางจิตใจไม่สาเร็ จ แต่ตอ้ งมีเงื่อนไขดังนี้
1. ผูส้ อนควรลงโทษเด็กด้วยตนเองและไม่ควรสัง่ ผูอ้ ื่นตีแทนเพราะในการ
ตีของเด็กด้วยกันนั้นเป็ นการแก้แค้น และผูส้ อนควรใช้ความเมตตาใน
การตี
2. ไม่ควรที่จะตีผเู ้ รี ยนในขณะที่มีความโกรธแค้นเพราะในความโกรธ
แค้นนั้นไม่ทาให้ผสู ้ อนสู่ เป้ าหมายจากการลงโทษ.
158
1.ไม้เ ท้า โดยมี เ งื่ อ นไขว่า ไม่ ค วรที่ จ ะหนาเกิ น ไปซึ่ งท าให้ก ระดู ก ของเด็ ก นั้น
แตกหัก หรื อบางเกินไปจนทาให้อนั ตรายต่อร่ างกายของเด็ก
2.ไม้หวาย (درة-ดุ รเราะหฺ ) มี เงื่ อนไขว่า ต้องเปี ยกและอ่อนที่ ไม่ ทาอันตรายต่ อ
ร่ างกายของเด็ก
3. จุดที่จะตีน้ นั ต้องเป็ นจุดที่ปลอดภัย คือ ต้นขา และไม่ควรตีเด็กที่ศีรษะ อวัยวะ
เพศและใบหน้า
4.ไม่ควรตี เด็กที่อายุยงั ไม่ถึง 10 ขวบ ยึดตามหะดี ษของท่านนบี مرو الصبيان
بالصَلة لسبع سننيโดยการลงโทษทางจิตใจสามารถกระทาได้กบั เด็กที่อายุยงั ไม่ถึง 10 ขวบ
5.ไม่ควรตีเด็กโดยปราศจากการอนุ ญาตจากผูป้ กครอง ผูส้ อนมีสิทธิ ที่จะตีเด็กถึ ง
สาม ครั้งถ้าผูป้ กครองไม่มา เพราะการเรี ยนการสอนนั้นจาเป็ นต้องมีส่วนร่ วมระหว่างผูป้ กครองกับ
ผูส้ อน
6. ควรตีเด็กต่อหน้าเพื่อนฝูง เพื่อเป็ นบทเรี ยนและข้อคิดสาหรับเด็ก
7. ผูส้ อนต้องคานึ งถึงร่ างกายของผูเ้ รี ยนเวลาจะลงโทษ และผูส้ อนต้องรับผิดชอบ
ต่อผูเ้ รี ยน ถ้าตีเกินขอบเขตของการตีเด็ก
2) ของรางวัล ()اهلدية
ผูส้ อนไม่ควรที่จะเรี ยกร้องขอของขวัญนอกจากค่าตอบแทนที่ได้รับจากผูเ้ รี ยนแล้ว
ซึ่ ง ถ้า ผูส้ อนรับ ของขวัญจากผูเ้ รี ย นโดยความร้ องขอถื อว่าเป็ นสิ่ ง ที่ หะรอม(ต้องห้าม)และถ้ารั บ
ของขวัญดังกล่าวโดยปราศจากการร้องขอถือว่าเป็ นสิ่ งที่อนุญาต
การรับของขวัญสาหรับผูส้ อนถื อว่าเป็ นสิ่ งที่ตอ้ งห้ามนอกจากจะรับของขวัญใน
โอกาสต่างๆเช่น วันอีด ที่มิใช่มาจากการร้องขอ
3) สละเวลาเพื่อการสอน
อินสะหฺ นูนได้เน้นย้าให้ผสู ้ อนได้เสี ยสละเวลาเพื่อการสอนอย่างเต็มที่ โดยได้กล่าว
ว่า
159
4) สร้างความยุติธรรมและความเสมอภาคระหว่างผูเ้ รี ยน
มุหมั มัดบินสะหฺ นูนได้เรี ยกร้องความเสมอภาคระหว่างผูเ้ รี ยนที่ฐานะยากจนกับ
ผูเ้ รี ยนที่ฐานะที่ร่ ารวย ซึ่ งท่านได้ยกหะดีษของท่านนบี ได้กล่าวว่า
((أميا مؤدب ويل ثالثة صبية من هذه األمة فلم يعلمهم بالسوية
))فقريهم مع غنيهم وغنيهم مع فقريهم حشر يوم القيامة مع اخلائنني
ท่านได้กล่าวอีกว่า อัลหะซันได้กล่าวว่า
6) ติดตามและประเมินความก้าวหน้าของผูเ้ รี ยน
มุหมั มัดบินสะหฺ นูนได้เน้นหนักในเรื่ องของการติดตามและประเมินผลผูเ้ รี ยนโดย
กาชับให้ผสู ้ อนได้ติดตามและประเมินผลผูเ้ รี ยนอย่างต่อเนื่ องโดยท่านได้กล่าวว่า ผูส้ อนควรติดตาม
ผูเ้ รี ยนเมื่อผูเ้ รี ยนได้แยกย้ายกลับบ้าน และในเมื่อผู้เรี ยนขาดเรี ยนผูส้ อนควรแจ้งให้ผูป้ กครองได้รับ
ทราบ
5.1.5 ผู้เรียน
ผูเ้ รี ย นในระบบการศึ ก ษาอิ ส ลามคื อมนุ ษ ย์ผูซ้ ่ ึ งจะเรี ย นรู้ ไ ปตลอดชี วิตของเขา
ดังนั้นผูเ้ รี ยนในอิสลามไม่เพียงแต่เป็ นเด็กที่กาลังอยูใ่ นความดูแลของบิดามารดา และไม่เพียงแต่
เป็ นเด็กในวัยกาลังเรี ยนอยูใ่ นโรงเรี ยนเท่านั้น
อิ ส ลามได้ใ ห้ค วามส าคัญการการศึ ก ษาหาความรู้ โดยได้ย กสถานะของผูเ้ รี ย น
เสมือนผูท้ ี่ได้ออกต่อสู ้ในหนทางของอัลลอฮฺ ตามที่ท่านนบีได้กล่าวว่า
ท่านนบีได้กล่าวอีกว่า
أو عامل أو،(( الدنيا ملعونة ملعون من فيها إال ذكر اهلل وما وااله
))متعلم
ความว่า “พึงทราบเถิดว่า แท้จริ งโลกนั้นถูกโกรธกริ้ วถูกโกรธกริ้ ว
สิ่ ง ที่ อ ยู่ ใ นมัน นอกจาก การร าลึ ก ถึ ง อัล ลอฮฺ สิ่ ง ที่ ท าให้ ร าลึ ก
ถึงอัลลอฮฺ ผูส้ อน และผูเ้ รี ยน(al-Tirmidhi :2492)
162
"وإمنا ُشرف العلم لكونه وسيلة إىل التقوى اليت يستحق ِبا
"املرء الكرامة عند اهلل تعاىل والسعادة األبدية
อัลกุรอานและอัลหะดีษได้พูดถึงมารยาทที่ดีงามพร้อมยังกาชับเให้มุสลิมได้ศึกษา
และปฏิบตั ิตามแหล่งที่มาของบทบัญญัติอิสลาม ดังหะดีษของท่านนบีซึ่ งท่านได้กล่าวว่า
3. เป็ นหนทางที่จะรู้ถึงความรู้ทางโลก
164
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
4. เพื่อแสวงหาโลกหน้า
อัล ซั ร นู ญี ย ์ไ ด้แ นะน าให้ ผู้เ รี ย นศึ ก ษาหาความรู้ เ พื่ อ แสวงหาความพอพระทัย
จากอัลลอฮฺ เพื่อปกป้ องรักษาตนเองยับยั้งในการทาความชัว่ และเพื่อโลกอาคิเราะฮฺ
อัลซัรนู ญียไ์ ด้กล่ าวว่า “ผูเ้ รี ยนได้ศึกษาหาความรู ้ ด้วยความหมัน่ เพียรพยายามไม่
สมควรที่จะหันไปมองความสาคัญของโลกดุนยาที่พินาศ” และท่านได้กล่าวอีกว่า “ ไม่ควรสาหรับ
ผูท้ ี่มีสติปัญญาที่จะให้ความสาคัญในเรื่ องของโลกดุนยาเพราะจะเป็ นอันตรายและไม่ได้ประโยชน์
อะไรเลย และการโศกเศร้ าเสี ยใจในเรื่ องโลกดุ นยามันจะก่อให้เกิ ดความมื ดมนในจิตใจ และการ
โศกเศร้าเสี ยใจเพื่อโลกอาคิเราะฮฺมนั จะก่อให้เกิดแสงสว่างในจิตใจ"(al-Zarnuji:1986:129)
165
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
6. ตอบแทนพระกรุ ณาธิคุณของอัลลอฮฺที่ประทานความรู้
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
7. หลีกเลี่ยงจากการหยิง่ ยโสโอ้อวดในวิชาความรู้
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
""وال ينوى به إقبال الناس عليه
166
8.ห่างไกลจากผลประโยชน์ต่างๆของโลกดุนยา
อัลซัรนูญได้กล่าว่า
""وال استجَلب حطام الدنيا
9. เพื่อปลูกฝังจรรยามารยาทที่ดีงาม
หลังจากที่อลั ซัรนูญียไ์ ด้พูดถึงเป้ าหมายของการศึกษาหาความรู้ ท่านได้กาชับให้
ผูเ้ รี ยนอบรมจรรยามารยาทของตนเองให้มีจรรยามารยาทที่ดีงาม โดยกล่าวว่า “ผูเ้ รี ยนควรตั้งเจตนา
ในการศึกษาหาความรู้เพื่ออบรมตัวเองให้มีจรรยามารยาทที่ดีงาม” (al-Zarnuji, 1986: 40)
10. เพื่อฝึ กฝนให้มีทกั ษะการคิดและสรุ ปความ
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
11. ศรัทธาด้วยการใช้สติปัญญา
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
167
فإن إميان املقلد وإن كان صحيحا عندنا،"ويعرف اهلل تعاىل بالدليل
"لكن يكون آمثا برتك اإلستدالل
“การรู้ จกั อัล ลอฮฺ ด้วยการใช้ห ลัก ฐาน แท้จ ริ ง การศรั ท ธาของผู้
ตามที่ปราศจากหลักฐานถือว่าบาปถึงแม้วา่ จะถูกต้อง” (al-Zarnuji,
1986 : 45)
12. การศึกษาอย่างต่อเนื่อง
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
“ท่ า นอบู หะนี ฟ ะฮฺ 4ได้ก ล่ า วแก่ อบู ยูซุ ฟ ซึ่ ง เป็ นศิ ษ ย์ข องท่ า นว่า
“เจ้าเคยเป็ นคนโง่เขลาและด้วยความมุ่งมัน่ ทาให้เจ้าออกจากการ
เป็ นคนโง่เขลา และพยายามห่ างไกลจากความขี้เกียจ แท้จริ งความ
ขี้เกียจนั้นเป็ นโชคร้ายที่สุด” (al-Zarnuji, 1986: 74)
13. คานึงถึงคุณค่าของความรู ้
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
4
อบูหะนี ฟะฮฺ มีนามเต็มว่า อันนุอฺมาน อิบนฺ ษาบิ ต อิบนฺ อัลมัรซะบาน ซึ่ งตระกูลของท่านมีเชื้อสายมาจากชาว
เปอร์ เ ซี ย ตามพจนานุ ก รมภาษาอาหรั บค าว่า อัล มัรซะบาน ไม่ใ ช่ ภ าษาอาหรั บ แต่เ ป็ นภาษาเปอร์ เซี ย ซึ่ ง มี
ความหมายว่า ผูน้ า อบูหะนี ฟะฮฺ เกิดที่นคร กูฟะฮ์ ประเทศ อิรัก เมื่อปี ฮิจเราะฮ์ศกั ราช ที่ 80ตรงกับคิริสศักราชที่
699นักประวัติศาสตร์บางท่านกล่าวว่าท่านเกิดที่เมืองอัมบาร แต่ส่วนใหญ่กล่าวว่าท่าน เกิดที่นคร กูฟะฮฺส่วนบิดา
ของท่านนั้นมีนามว่า ษาบิต อิบนุ ซุตอ
168
14.ให้ความสาคัญกับโลกหน้า (อาคิเราะฮฺ )
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
ﻭال,"ﻭال يهتم ﺍلعاقل ألمر ﺍلدنيا ألﻥ ﺍلهم ﻭﺍلحزﻥ ال يرﺩ ﺍلمصيبة
ﻭيهتم ألمر, ﻭيخل بأعماﻝ ﺍلخير,ينفع بل يضر بالقلب ﻭﺍلعقل
."ﺍﻵخرﺓ ألنه ينفع
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวอีกว่า
ومهوم،"ال ينبغى للعاقل أن يهتم ألمر الدنيا ألنه يضر وال ينفع
ومهوم اﻵخرة ال ختلو عن النور،الدنيا ال ختلو عن الظلمة ىف القلب
"،ىف القلب
169
ปรัชญาการศึกษา
1. แนะนาความรู้ที่เป็ นประโยชน์
3. การศึกษาอย่างต่อเนื่ อง
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
170
4. ความรู ้คู่คุณธรรม
การเชื่ อมสั ม พันธ์ ระหว่า งความรู ้ ก ับ คุ ณธรรมและศาสนานั้นไม่ ใ ช่ สิ่ ง ใหม่ ซึ่ ง
บรรดานักปราชญ์ยคุ ก่อนหลายท่านได้พดู ถึงเรื่ องนี้ เช่น อัลเฆาะซาลีย ์ ในหนังสื อ อิหยาอฺ อุลูมุดดีน
และปราชญ์ท่าน อื่นๆ
อัลลอฮฺได้ตรัสในอัลกุรอานว่า
“จงอ่านด้วยพระนามของพระเจ้าของเจ้าผูท้ รงบังเกิด”
(อัล-อะลัก: 1)
สังเกตในอายะฮฺ ขา้ งต้นซึ่ งได้บ่งบอกถึ งความสัมพันธ์ ระหว่างความรู ้ กบั ศาสนา
กล่าวคือด้วยความรู ้สามารถรู ้จกั อัลลอฮฺซ่ ึ งเป็ นผูส้ ร้างมนุษย์และสรรพสิ่ งทั้งหลายในโลกนี้ จึงทาให้
ความรู ้น้ นั ได้ประโยชน์กบั บุคคลทัว่ ไปหรื อปั จเจกบุคคล และทุกๆการงานขึ้นอยูก่ บั การตั้งเจตนา
ของบุคคลนั้นๆ
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า “จาเป็ นอย่ายิง่ สาหรับผูเ้ รี ยนที่ตอ้ งตั้งเจตนาในการแสวงหา
ความรู ้เพราะการตั้งเจตนาคือรากฐานของการงานทั้งหมด ท่านนบีได้กล่าวว่า
(())إمنااألعمال بالنيات وإمنا لكل امرأ ما نوى
“การงานทุกอย่างขึ้นอยูก่ บั การตั้งเจตนา และเขาจะได้ตามที่เขาได้
ตั้งเจตนาไว้”(al-Bukhari,1986:1,Muslim,1996: 1907)
อัซซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
""ومن وجد لذة التعلم والعلم والعمل به قلما يرغب فيما عند الناس
171
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
“ผูเ้ รี ยนควรตั้งเจตนาเพื่อขจัดอวิชชาออกจากตัวเขา”
(al-Zarnuji:1986:39)
6.การรักษาไว้ซ่ ึงอิสลาม
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
"إحياء الدين وإبقاء اإلسَلم.."وينبغي أن ينوي ف طلب العلم
7.การศึกษาเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้
อัลซัรนูญียไ์ ด้สั่งเสี ยผูเ้ รี ยนเพื่อไม่ให้หวังในผลประโยชน์ทางโลก และจงพยายาม
ห่างไกลจากสิ่ งที่ทาให้ความรู ้และผูเ้ รี ยนนั้นตกต่า โดยท่านได้กล่าวว่า
"وينبغى ألهل العلم أن اليذل نفسه بالطمع ىف غري املطمع وحيرتز
."عما فيه مذلة العلم وأهله
8.เสรี ภาพในการเลือกผูส้ อน
ผูเ้ รี ยนในทัศนะของอัลซัรนูญียถ์ ือว่าผูเ้ รี ยนมีสิทธิ เสรี ภาพในการเรี ยน โดยเฉพาะ
ในการเลือกอาจารย์ผสู ้ อน อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
""فينبغي أن خيتار األعلم واألروع واألسن
9.เสรี ภาพในการเลือกวิชาเรี ยน
ผูเ้ รี ย นในทัศ นะของอัล ซัร นู ญี ย ์มี สิ ท ธิ เ สรี ภ าพในการเลื อ กวิช าที่ จ ะเรี ย นโดย
กล่าวว่า
10.เสรี ภาพในการเลือกเพื่อนฝูง
ผูเ้ รี ยนนั้นมีสิทธ์เสรี ภาพในการเลือกเพื่อนฝูงที่จะคบด้วย ตามทีท่านได้กล่าวไว้วา่
11.การศึกษาแบบค่อยเป็ นค่อยไป
อัลซัรนูญียไ์ ด้กาชับผูเ้ รี ยนให้เริ่ มเรี ยนด้วยวิชาที่มีความสาคัญมากและที่จาเป็ นต้อง
ศึกษาหลังจากนั้นก็เรี ยนวิชาอื่นๆ
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
อัลซัรนูญียย์ งั ได้กล่าวอีกว่า
12.ใกล้ชิดกับผูส้ อน
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
""فينبغي أن يثبت ويصرب على أستاذ وعلى كتاب حىت ال يرتكه أبرت
13.ขอคาปรึ กษาแนะนาในการหาความรู้
อัล ซั ร นู ญี ย ์ ไ ด้ แ นะน าผู ้เ รี ยนให้ ข อค าปรึ กษาก่ อ นที่ จ ะเริ่ มเรี ยนเพราะการ
ปรึ กษาหารื อนั้นเป็ นสิ่ งที่สาคัญสาหรับมุสลิม ท่านได้กล่าวว่า
"وهكذا ينبغي أن يشاور ف كل أمر فإن اهلل تعاىل أمر رسوله عليه
"الصَلة والسَلم باملشاورة ف األمور
14.ให้เกียรติความรู ้และผูร้ ู ้
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
وال ينتفع به إال بتعظيم العلم و,"اعلم بأن طالب العلم ال ينال العلم
"أهله
15.เชื่อฟังผูส้ อน
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
175
""من تأذى من استاذه حيرم بركة العلم وال ينتفع به اال قليَل
16.ให้เกียรติตาราเรี ยน
ท่านได้กล่าวว่า
""فينبغى لطالب العلم أن ال يأخذ الكتاب إال بطهارة
และได้กล่าวอีกว่า
"ويضع كتب التفسري فوق سائر الكتب وال يضع على الكتاب شيئا
"آخر
17.มีมารยาทที่ดีและอ่อนโยนในขณะแสวงหาความรู ้
อัลซี รนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
وإن،"ينبغي لطالب العلم أن يستمع العلم واحلكمة بالتعظيم واحلرمة
"مسع مسئلةً واحدة و كلمة واحدة ألف مرة
18.ให้เกียรติเพื่อนฝูง
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
ت عظيم ا ل شرك اء ىف ط لب ا ل علم وا ل درس وم ن:" وم ن ت عظيم ا ل علم
"يتعلم منه
“จากการให้เกียรติความรู ้คือการให้เกียรติเพื่อนฝูงในการแสวงหา
ความรู ้ และผูค้ นร่ วมศึกษาจากอาจารย์เดียวกัน”
(al-Zarnuji, 1986 : 62)
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
21.การศึกษาอย่างต่อเนื่ อง
อัลซัรนูญียไ์ ม่สนับสนุนให้มีการพักหรื อหยุดเรี ยนในระหว่างการศึกษาโดย
กล่าวว่า
"وينبغى أن ال يكون لطالب العلم فرتة فإهنا آفة وكان أستاذنا برهان
"إمنا فقت شركائى بأين ال تقع ِل الفرتة ىف التحصيل:الدين يقول
177
22.ให้ความสาคัญและตระหนักถึงคุณค่าของเวลา
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
""وينبغي لطالب العلم أن يستغرق مجيع أوقاته
“ผูเ้ รี ยนควรใช้เวลาทั้งหมดให้กบั การศึกษา”
(al-Zarnuji, 1986 : 105)
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
"وينبغى أن يكون طالب العلم مستفيدا ىف كل وقت حىت حيصل له
."الفضل والكمال ىف العلم
“ผูเ้ รี ยนต้องให้ความสาคัญกับเวลาและได้ประโยชน์จากการใช้
เวลา” (al-Zarnuji, 1986 : 115)
23.ได้ประโยชน์จากประสบการณ์ของผูใ้ หญ่
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
،" وليس كل ما فات يدرك،"وينبغى أن يغتنم الشيوخ ويستفيد منهم
5.2.2หลักสู ตร
อัลซัรนู ญียถ์ ื อว่า อิ ลมุ หาล(ความรู้ ที่ตอ้ งการทุ กสถานการณ์ ) เป็ นฟั รฎูอี น คื อ
ความรู ้ ที่ทุกคนจาเป็ นต้องศึกษาและทาความเข้าใจ ซึ่ งแบ่งออกเป็ นสามชนิ ด ด้วยกัน หนึ่ ง ความรู ้
เกี่ ย วกับ หลัก ความเชื่ อ ถื อ สอง ความรู ้ เ กี่ ย วกับ การกระท า สาม ความรู ้ เ กี่ ย วกับ การละทิ้ ง
(Shaik, 1412 : 70)
อัลซัรนูญียไ์ ด้แบ่งอิลมุหาลออกเป็ น สี่ ชนิดด้วยกัน
หนึ่ง ความรู ้ที่เกี่ยวกับอิบาดะฮฺ
สอง ความรู้ที่เกี่ยวกับสังคม เช่น การซื้ อขาย การแต่งงาน การหย่าร้าง การกักตุน
สิ นค้า การกินดอกเบี้ย เป็ นต้น
สาม ความรู้ที่เกี่ ยวกับจิตใจ เช่ น การยาเกรง การหวังผลตอบแทน และการนอบ
น้อมถ่อมตนต่ออัลลอฮฺ
สี่ ความรู้ ที่ เกี่ ย วกับจรรยามารยาท เช่ นการอดทน การให้อภัย การมี สัจจะ การ
ช่วยเหลือผูอ้ ื่น การร่ วมมือร่ วมใจทาในสิ่ งที่ดีเป็ นต้น
อัลซัรนูญียถ์ ือว่า อิลมุลหาล เป็ นฟั รฎุอีน อิลมุลบะอฺ ฎุลอะหายีนเป็ นฟั รฎูกิฟายะฮฺ
ตามที่ท่านได้กล่าวไว้วา่
ชนิ ด แรก สิ่ ง ที่ จ าเป็ นส าหรั บ มุ ส ลิ ม เช่ น การท่ อ งจ าอัล กุ ร อาน ศึ ก ษาประวัติ
ผูร้ ายงานหะดีษ ศึกษาเกี่ ยวกับบทบัญญัติอิสลาม ไวยากรณ์ ภาษาอาหรับ เป็ นต้น ชนิ ดที่สอง สิ่ งที่
ไม่ใช่ ความรู ้ ทางชะรี อะฮฺ (ศาสนบัญญัติ) เช่ น การแพทย์ คณิ ตศาสตร์ ดังนั้น ฟั รฎูกิ ฟายะฮฺ คื อ
179
ความรู้ ที่ ค นทั่ ว ไปได้ รั บ ประโยชน์ และถ้ า ได้ เ รี ยนรู ้ บ างคนท าให้ ค นอื่ น พ้ น บาปไปด้ ว ย
(Shaik:1412:70)
ส่ วนรายละเอียดวิชาตามแนวคิดของท่านมีดงั นี้
2.วิชาฟิ กฮฺ
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
:"كان أستاذنا الشيخ اإلمام فخر الدين قاضي خان رمحه اهلل يقول
ويكرر دائما،ينبغي للمتفقه أن حيفظ نسخة واحدة من نسخ الفقه
"فيتيسر له بعد ذلك حفظ ما يسمع من الفقه
และได้กล่าวอีกว่า
180
وينبغي لطالب العلم أال يشتغل بشيء آخر غري العلم وال يعرض عن
.الفقه
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
هاتوا ديوان:"وكان ابن عباس رضى اهلل عنه إذا مل من الكَلم يقول
"الشعراء
4.วิชาอัลกุรอาน
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
5.วิชาการคัดลายมือ ()خط
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
6.วิชาแพทยศาสตร์
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
5.2.3 กระบวนการเรียนการรู้
กระบวนการเรี ยนรู้ (learning process) เกิดจากคาหลัก 2 คา ได้แก่ 1) กระบวนการ
และ 2) การเรี ยนรู้
1) กระบวนการ หมายถึง ลาดับการของการกระทา ซึ่ งดาเนิ นต่อเนื่ องกันจนสาเร็ จ
ลง (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525: 34)
2) การเรี ยนรู้ หมายถึ ง การเปลี่ ย นพฤติ ก รรมหรื อศัก ยภาพของพฤติ ก รรมที่
ค่อนข้าง ถาวร ซึ่ งการเปลี่ยนนี้มีสาเหตุมาจากการได้รับประสบการณ์
ดังนั้น เมื่อรวมคาว่ากระบวนการ และการเรี ยนรู ้เข้าด้วยกัน กระบวนการเรี ยนรู ้จะ หมายถึ ง
"ลาดับขั้นตอนที่ทาให้ผเู ้ รี ยนเกิดการเรี ยนรู ้"
ผูว้ ิจยั ได้จาแนกในเรื่ องกระบวนการเรี ยนรู ้ตามแนวของท่านอัลซัรนูญีย ์ ออกเป็ น
2 ประเภทด้วยกัน คือ 1.วิธีการเรี ยนรู้ 2.เทคนิคและเงื่อนไขของการเรี ยนรู้
“มันเป็ นสิ่ ง ที่ จาเป็ นส าหรั บ ผูเ้ รี ย นที่ ตอ้ งมี การทบทวนบทเรี ย น
อภิ ปราย การตั้งคาถาม แลกเปลี่ ยนเรี ยนรู ้ กนั และสมควรรั บฟั ง
อย่างสงบ มีสมาธิ และพยายามหลีกเลี่ยงจากการโต้แย้งและโกรธ
แท้ จ ริ งแล้ ว การทบทวนและการอภิ ป รายนั้ นถื อ ว่ า เป็ นการ
ปรึ กษาหารื อ นั้นคือหนทางในการหาคาตอบที่ถูกต้อง ซึ่ งจะบรรลุ
สิ่ งนั้นได้ดว้ ยการสังเกตและใคร่ ครวญ แต่จะไม่ได้รับคาตอบที่
ถูกต้องด้วยอารมณ์โกรธและโต้แย้ง” (al-Zarnuji, 1986: 87)
จากหนังสื อตะลี มุลมุตะอัลลิ ม เฏาะรี เกาะฮฺ ตะอัลลุ ม ผูว้ ิจยั ได้วิเคราะห์
เกี่ยวกับเกี่ยวกับวิธีการเรี ยนรู ้ในทัศนะของท่านอัลซัรนูญียม์ ีดงั นี้
1. การอภิปราย ()املناظرة
อัล กุ ร อานได้เ สนอรู ป แบบของการอภิ ป รายซึ่ งส่ ว นใหญ่ แล้ว มี ก ารเริ่ ม ต้น ใน
ลักษณะการใช้คาถาม หรื อประโยคคาถาม หรื อเกี่ ยวกับเรื่ องราวที่ กล่ าวถึ ง คาถามของผูถ้ ามใน
ประเด็นปั ญหาใดปั ญหาหนึ่ง เช่น พวกเขาถามเจ้าว่า ...( )يسألونكจงถามพวกเขาว่า ( )سلهمเป็ นต้น
(ดนรอหีม, มปท :92)
อัลซัรนูญียไ์ ด้กาหนดหลักการของการอภิปรายไว้หลาย อย่างด้วยกัน ดังคากล่าว
ของท่านซึ่ งได้กล่าวไว้วา่ ” แท้จริ งแล้วจะบรรลุสิ่งนั้น(ความรู้)ด้วยการสังเกตและระมัดระวังและ
การฟัง และจะไม่ได้รับด้วยความโกรธและโต้แย้ง” (al-Zarnuji, 1986 : 87)
อัลซัรนู ญียไ์ ด้ต้ งั เงื่อนไขของการอภิปรายในเรื่ อง จรรยามารยาทของผูอ้ ภิปรายไว้
ดังนี้
1) มีเจตนาที่จะค้นหาสัจธรรมหรื อให้ความจริ งปรากฏออกมา
2) ห่างไกลจากการโกรธแค้นและโต้แย้ง
3) ไม่บิดเบือนและสร้างความคลุมเครื อ(al-Zarnuji, 1986 : 87)
2. การตั้งคาถาม ()املطارحة
3. การย้อนคิดทบทวน ()املذاكرة
อัลมุซากาเราะฮฺมาจากคาว่า ( )تذكر الشيء إذا نسيهคือการทบทวนเมื่อได้ลืมมัน
คาว่า ( )التذكرةคือการสามารถเรี ยกข้อมูลเก่ามาเมื่อมีความต้องการ(Razi : n.d.:223)
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
4. การใช้คาถาม ()السؤال
อัลซัรนูญีย ์ ได้กล่าวว่า
بلسان سئول وقلب: مب أدركت العلم ؟ قال: "وقيل البن عباس
"عقول
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
)3:(الرعد
192
อัลลอฮฺ ได้ตรัสอีกว่า
)8:(الروم
“ผูเ้ รี ยนควรแบกภาระและความยากลาบากในการศึกษาหาความรู้
ดั ง เ ช่ น น บี มู ซ า ไ ด้ เ ดิ น ท า ง เ พื่ อ แ ส ว ง ห า ค ว า ม รู ้ ”
(al-Zarnuji:1986:110)
บรรพชนมุสลิมในยุคก่อนได้ถือว่าการทัศนศึกษาเป็ นวิธีหนึ่งในการที่จะเพิ่มพูนใน
วิชาความรู ้ และหวังผลบุญอันมากมายตามที่ท่านนบีได้กล่าวไว้วา่ ”
))((من سلك طريقا يلتمس فيه العلم سهل اهلل له به طريقا إىل اجلنة
"قر
وماكتب،"ما حفظ فر
ความว่า “ สิ่ งที่ได้ท่องจามันมีโอกาสหายไป และสิ่ งที่ได้เขียนมัน
จะคงอยูน่ าน”
(al-Zarnuji, 1986 : 115)
อัลซัรนูญียถ์ ือว่าการจดบันทึกเป็ นเงื่อนไขสาคัญที่จะได้มาซึ่งความรู้ ตามที่
ท่านได้กล่าวว่า
1) ให้เกียรติความรู ้และผูร้ ู ้
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
196
"اعلم بأن طالب العلم ال ينال العلم وال ينتفع به إال بتعظيم العلم
"أهله وتعظيم األستاذ وتوقريه
“อะไรที่ ท าให้ ผูเ้ รี ย นได้ม าซึ่ งความรู ้ จงรู ้ เ ถิ ด ว่า ผู ้เ รี ย นนั้น ไม่
สามารถที่จะได้รับวิชาความรู ้ นอกจากว่าต้องให้เกี ยรติต่อความรู ้
และผูร้ ู ้และเถิดทูลให้เกียรติกบั อาจารย์ผสู ้ อน”
(al-Zarnuji, 1986: 55)
ท่านได้อา้ งถึงคากล่าวของ ท่าน อิหม่ามซาดีดุดดีน อัลชีรอซี 5ได้กล่าวว่า
وال جيلس مكانه وال يبدئ، أال ميشي أمامه: "ومن توقري املعلم
وال يكثر الكَلم عنده وال يسأل عند، الكَلم عنده إال بإلذنه
وال يسأل شيئا ف طريقه، وال يتكلم عنده مع شريكه، مَللته
" بل يصرب حىت خيرج، وال يدق الباب عليه، ويراعي الوقت
وإن كان يبلغين احلديث عن الرجل فآيت بابه وهو قائل فأتوسد ردائي
يا ابن: على بابه يسفي الريح علي من الرتاب فيخرج فرياين » فيقول
عم رسول اهلل صلى اهلل عليه وسلم ما جاء بك ؟ هال أرسلت إيل
أنا أحق أن آتيك، « ال: فأقول، فآتيك ؟
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
" ينبغي لطالب العلم أن خيتار من كل علم أحسنه وما حيتاج إليه ف
"أمر دينه ف احلال
“ผูเ้ รี ยนควรเลื อกวิชาที่ดี วิชาที่เขามีความต้องการทางศาสนาใน
ทุกช่วงเวลา
(al-Zarnuji, 1986: 45)
สัง เกตจากคาพูดของท่ า นอัล ซัรนู ญีย ์จะเห็ นได้ว่า อัล ซัรนู ญีย ์ไ ม่ ได้ใ ห้เสรี ภาพ
ทั้งหมดกับผูเ้ รี ยนในการเลื อกวิชาเรี ยน แต่ มีเงื่ อนไขในการเลื อกวิชาเรี ยน คือวิชาที่ดี และที่เป็ น
ประโยชน์ ดังนั้น วิชาที่ควรเลือกในการเริ่ มเรี ยนตามแนวคิดของท่านอัลซัรนู ญีย ์ คือ วิชาความรู ้ ที่
เกี่ ยวกับการศรั ทธาและการรู ้ จกั อัลลอฮฺ ด้วยหลักฐาน ผูค้ นที่ ตามถึ งแม้ว่าจะเป็ นการศรั ทธาที่
ถูกต้องแต่ในมุมมองหนึ่ งเขาผูน้ ้ นั จะเป็ นผูท้ ี่บาปโดยที่ เขาไม่รู้หลักฐานและไม่ได้ศึกษาหลักฐาน
ฉะนั้นควรเลือกสิ่ งที่ชดั เจนมีหลักฐานและมาจากท่านนบีมุฮมั หมัด และจงระวังในสิ่ งที่กุข้ ึนมา
ใหม่”(al-Zarnuji,1986:45)
ดังนั้นอิสลามถือว่าเป็ นศาสนาที่ให้เสรี ภาพในการเลือกที่จะศึกษาเล่าเรี ยนต้องไม่
ขัดกับบทบัญญัติของอิสลามและเป็ นแนวทางที่จะนาไปสู่ การภักดีต่อเอกองค์อลั ลอฮฺ และยังช่วยใน
การเผยแพร่ อิสลาม.
2. การคัดเลือกอาจารย์ผสู้ อน
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
"فينبغي أن خيتار األعلم واألورع واألسن كما اختار أبوحنيفة محاد بن
"سليمان رضي اهلل عنه بعد التأمل والتفكر
199
“ควรเลือกอาจารย์ที่มีความรู ้มากที่สุดและยาเกรงต่ออัลลอฮฺ
และเป็ นผูส้ ารวมตน ที่ ท่านอาบูหะนี ฟะห์ เลื อกหะมัด บิ นสะลา
มะฮฺ เป็ นอาจารย์ เพราะฉันเห็ นว่า ท่านหะมัด บิ นสะลามะฮฺ เป็ น
สารวมตน อ่อนโยนและอดทนมากที่สุด” (al-Zarnuji: 1986:46)
1) มีความรู้มากที่สุด และมีความเชี่ยวชาญในวิชาที่ได้สอน
2) ยาเกรงต่ออัลลอฮฺ
3) เป็ นผูส้ ารวมตน
3. การคัดเลือกเพื่อนฝูง
อัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
ท่านนบี ได้กล่าวในหะดีษบทหนึ่งว่า
200
َونَافِ ِخ، ك ِ َكح ِام ِل املِس، وء ِ السُّ يس ِ ِالصالِ ِح َو َجل
َّ يس ِ ِ((إَِّمنَا َمثل اجلَل
ْ َ ُ
ِ ِ
َو َّإما، ُاع مْنه
َ َ َو َّإما أ ْن تَْبت، ك َ َ َّإما أ ْن ُْحيذي: فَ َحام ُل الْم ْسك، الْ ِك ِري
ِ ِ ِ
َو َّإما أ ْن، ك ِ ونَافِخ، أ ْن ََِت َد ِمْنه رحياً طَيِّب ًة
َ َ َّإما أ ْن ُْحي ِر َق ثِيَاب:الك ِري ُ َ َ ُ
))ًََِت َد ِمْنهُ ِرحياً ُمْنتِنَة
“อุปมามิตรที่ดีและที่ชวั่ นั้น เปรี ยบได้กบั คนขายน้ าหอมและช่างตี
เหล็ก เพื่อนดี คือคนขายน้ าหอมซึ่ งเขาอาจจะแจกน้ าหอมให้ท่าน
หรื อไม่เช่ นนั้นท่านก็ได้ซ้ื อน้ าหอมจากเขา เพื่อนชัว่ ก็คือช่ างตี
เหล็กซึ่ งเขาอาจจะทาให้ลูกไฟกระเด็นไปโดนเสื้ อผ้าของท่านให้
เกิ ด รอยไหม้ หรื อไม่ ก็ ท่ า นจะต้ อ งได้ รั บ กลิ่ นเหม็ น จาก
เขา” (บันทึกโดย al-Bukhari1986,: 1969, Muslim,1996: 4768)
ดังนั้น ใครที่ตอ้ งการมีมารยาทที่ดีงาม เขาก็จงเป็ นเพื่อนกับที่มีมารยาทงาม ซึ่ งจะ
ช่วยปรับปรุ งแก้ไขมารยาทของเขาให้ดีข้ ึน และจงห่างไกลจากเพื่อนที่มารยาททราม และชอบทาสิ่ ง
ที่น่ารังเกียจ
ท่านเราะสู ลุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า
ِّ َلى اْ ِلفطََرةِإِالَّأَنَّأَبَ َويْ ِه يُ َه ِودَّانِِه أويُن
((صَرانِِه أ َْوميَُ ِّج َسانِه ٍ
َ )) ُكلُّ َم ْولُْوديُ ْولَ ُد َع
ความว่า “เด็ ก ทุ ก คนได้ค ลอดมาอยู่บ นความบริ สุ ท ธิ์ เว้นแต่ ว่า
บิดามารดาของเขาจะทาให้เขาเป็ นยิวเป็ นคริ สต์ หรื อเป็ นมะญูซีย ์
(พวกบูชาไฟ)”(al-Bukhari,1986 : 1292)
"كفى بلذة العلم و الفقه و الفهم داعيا و باعثا للعاقل على حتصيل
"العلم
“มันเพียงพอแล้วสาหรับการได้มีความสุ ขกับการศึกษาหาความรู ้
และความเข้าใจทางศาสนาที่เป็ นสาเหตุให้ผมู ้ ีสติ ปัญญานั้นขยัน
ในการที่จะได้มาซึ่งความรู้”
(al-Zarnuji, 1986 : 79)
ดังนั้น ความพยายามอย่างต่อเนื่ อง เป็ นสิ่ งที่จาเป็ นในการที่จะได้มาซึ่ งความสาเร็ จ
ในการงานทุ ก อย่า งโดยเฉพาะในการศึ ก ษาหาความรู ้ และด้วยความพยายามอย่า งต่ อเนื่ องมัน
ก่ อ ให้ เ กิ ด แรงจู ง ใจในการแสวงหาความรู ้ กล่ า วคื อ ระหว่ า งความพยายามกับ แรงจู ง ใจมี
ความสั ม พันธ์ ร ะหว่า ง ซึ่ งแรงจู ง ใจจะท าให้ เ กิ ดความพยายาม และเช่ น เดี ย วความพยายามจะ
ก่อให้เกิดแรงจูงใจ
202
204
5) เลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการศึกษาหาความรู ้
ท่านยังได้กล่าวอีกว่า
هاتوا ديوان:"وكان ابن عباس رضى اهلل عنه إذا مل من الكَلم يقول
"الشعراء
ท่านนบีได้กล่าวว่า
((ُالصحةُ َوالْ َفَراغ ِ ان َم ْغبُو ٌن فِي ِه َما َكثِ ٌري ِم ْن الن
ِّ اس ِ َ))نِعمت
َْ
“ความโปรดปราน (นิอฺมะฮฺ ) สองประการที่มนุ ษย์ส่วนมากมักจะ
ปล่อยให้สูญเสี ยไปโดยเปล่าประโยชน์ นัน่ คือ การมีสุขภาพที่ดี
และการมีเวลาว่าง”
(al-Bukhari,1986:5960)
6) อาศัยเคล็ดลับช่วยจาและหลีกเลี่ยงจากสาเหตุของการหลงลืม
206
ท่านอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
، وصَلة الليل، وتقليل الغذاء، اجلد واملواظبة:"وأقوى أسباب احلفظ
"وقراءة القرآن من أسباب احلفظ
“ปั จจัยเบื้องต้นที่สาคัญของเคล็ดลับช่วยจาคือ ความจริ งจัง ความ
ขยันหมัน่ เพี ย ร กิ นแต่ น้อ ย ท าการละหมาดยามค่ า คื น และการ
อ่านอัลกุรอ่านก็ถือว่าเป็ นสิ่ งหนึ่งที่ช่วยในเรื่ องของความจาด้วย”
( al-Zarnuji, 1986 : 127)
และท่านยังกล่าวอีกว่า
"والسواك وشرب العسل وأكل الكندر مع السكر وأكل إحدى
وعشرين زبيبة محراء كل يوم على الريق يورث احلفظ ويشفى من كثري
وكل وكل ما يقلل البلغم والرطوبات يزيد ىف،من األمراض واألسقام
"،احلفظ
“การแปรงฟั น การดื่ ม น้ าผึ้ง การรั บประทานน้ าเต้า ผสมน้ าตาล
และประทานลูกเกดสี แดงเข้มจานวนยี่สิบเอ็ดเม็ดระหว่างมื้อเช้า
ทั้ง หมดนี้ ล้วนเป็ นประโยชน์ ต่อ ความจ าทั้ง สิ้ นและยัง เป็ นการ
รักษาโรคทุกชนิ ดอีกด้วยนอกจากนี้ การเลือกรับประทานอาหารที่
ช่ วยลดเสมหะและน้ า มู ก ก็ ถื อเป็ นการช่ วยในเรื่ องของความจา
เช่นกัน”
(al-Zarnuji, 1986 : 128)
สังเกตจากคาพูดของอัลซัรนูญียด์ งั กล่าวเราสามารถจาแนกเคล็ดลับช่วยจาออกเป็ น
สอง สาเหตุดว้ ยกัน คือ หนึ่งด้านจิตใจ และสองด้านร่ างกาย ส่ วนด้านจิตใจ คือ ความจริ งจัง ความ
ขยันหมัน่ เพียร ทาการละหมาดยามค่าคืนและการอ่านอัลกุรอ่าน ส่ วนด้านร่ างกาย คือ การแปรงฟัน
การดื่มน้ าผึ้ง การรับประทานน้ าเต้าผสมน้ าตาล และประทานลูกเกดสี แดงเข้มจานวนยีส่ ิ บเอ็ดเม็ด
ระหว่างมื้อเช้า ส่ วนสาเหตุของการหลงลืมท่านบุรฮานุ ดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
“ยัง มี ส าเหตุ ที่ ท าให้ ค วามจ าเลอะเลื อ นอี ก กล่ า วคื อ การ
รับประทานเม็ดและใบเครื่ อ งเทศสด การรับประทานแอปเปิ้ ลผล
ดิบ การดูไม้กางเขน การอ่านคาจารึ กบนหลุ มฝั งศพ การเดินผ่าน
ฝูงอูฐ การปล่อยเหาทิ้งไปในขณะที่มนั ยังไม่ตายและการล้วงคอ
ทั้งหมดนี้ลว้ นเป็ นเหตุทาให้ความจาเลอะเลือนทั้งสิ้ น”
(al-Zarnuji, 1986: 130)
การหลงลื ม คื อ การสู ญ หายสิ่ ง ที่ มี ม า จากประสบการณ์ ความจ า หรื อ ความ
เชี่ ยวชาญ และไม่สามารถที่จะเอามันกลับคืนมา หรื อ นึ กถึงมันได้(Rajah :1973:297) การหลงลืม
เป็ นคุณลักษณะหนึ่ งของมนุ ษย์ซ่ ึ งแตกต่างกับ มัคลูกอื่นๆ(Muhammad, 1410 : 320) อัลลอฮฺได้ตรัส
ในคัมภีร์อลั กุรอานว่า
(ฏอฮา : 115)
ตามที่ บุ ร ฮานุ ด ดี น อัล ซัร นู ญี ย ์ไ ด้แ บ่ ง สาเหตุ ข องการจดจ าออกเป็ น สอง ชนิ ด
เช่นเดียวกันได้แบ่งสาเหตุของการหลงลืมออกเป็ นสองชนิ ด ด้วยกัน
ชนิดที่ หนึ่ง สาเหตุทางจิตใจ คือ สาหรับสาเหตุการหลงลืมก็ได้แก่ การทามะอฺ ศิยตั
การทาบาปต่างๆ มีความคิดที่ฟุ้งซ่ าน โศกเศร้ าเสี ยใจเกี่ ยวกับเรื่ องทางโลก หมกมุ่นอยู่กบั เรื่ องไร้
สาระ การดูไม้กางเขน การอ่านคาจารึ กบนหลุ มฝั งศพ การเดิ นผ่านฝูงอูฐ การปล่อยเหาทิ้งไปใน
ขณะที่มนั ยังไม่ตายและการล้วงคอ
ชนิ ดที่สอง สาเหตุดา้ นร่ างกาย ได้แก่ การรับประทานอาหารอันเป็ นสาเหตุให้
เกิดเสมหะและน้ ามูกก็ทาให้ความจาลดเลือนได้เช่นเดียวกัน การรับประทานเม็ดและใบเครื่ องเทศ
สด การรับประทานแอปเปิ้ ลผลดิบ
209
"وينبغي لطالب العلم أال خيتار نوع العلم بنفسه بل يفوض أمره إىل
األستاذ فإن األستاذ قد حصلت له التجارب ف ذلك فكان أعرف
"مبا ينبغي لكل لواحد وما يليق بطبيعته
8) เลือกสถานที่ที่เหมาะสมในการศึกษาหาความรู้
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
9) ช่วงอายุที่เหมาะสมในการเริ่ มเรี ยน
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
11) การจับจ่ายใช้สอยและรับประทานอาหารอย่างพอเพียง
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
واألكل فوق الشبع ضرر حمض ويستحق به، إتَلف املال:وفيه أيضا
العقاب ف دار اﻵخرة
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
"كان أبو حنيفة رمحه اهلل حيكي عن الشيخ القاضي اإلمام عمر بن
ينبغي أن:أب بكر الزرجني رمحه اهلل انه قال قال مشاخينا رمحهم اهلل
يكون قدر السبق للمبتدى قدر ما ميكن ضبطه باإلعادة مرتني
" ويريد كل يوم كلمة، فقد قيل السبق حرف،بالرفق
13) สร้างกระบวนการคิดและใช้พลังสมองในการศึกษาหาความรู้
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
14-การประเมินตนเอง
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
فإنه ال، "ينبغي لطالب العلم أن يعد ويقدر لنفسه تقديراً ف التكرار
"يستقر قلبه حىت يبلغ ذلك املبلغ
ووصى الصدر الشهيد حسام الدين إبنه مشس الدين أن حيفظ كل
وعن قريب يكون كثري،يوم شيئا من العلم واحلكمة فإنه يسري
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวอีกว่า
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
19) การใช้ทุนทรัพย์ในการศึกษาและห่างไกลจากการตระหนี่ถี่เหนียว
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
" ويشرتى باملال الكتب ويستكتب فيكون عونا على التعلم والتفقه
وقد كان حملمد بن احلسن مال كثري حىت كان له ثَلمثائة من الوكَلء
"على ماله وأنفقه كله ىف العلم والفقه ومل يبقى له ثوب نفيس
ท่านได้กล่าวว่า
" وينبغى أن يتعوذ باهلل من البخل,"ومن كان له مال كثري فَل يبخل
"قال النيب أي داء أدوأ من البخل
“ผูท้ ี่มีทรัพย์สินเป็ นจานวนมากก็จงอย่าตระหนี่ ถี่เหนี ยว และควร
ขอจากอัลลอฮฺให้รอดพ้นจากความตระหนี่ถี่เหนียว”และได้กล่าว
อีกว่า “ไม่มีโรคอะไรที่เลวร้ายกว่าโรคตระหนี่ถี่เหนียว”
(al-Zarnuji, 1986 : 93)
20) เชิญชวนและตักเตือน
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
""ينبغى أن ال يرجو إال من اهلل تعاىل وال خياف إال منه
“ไม่ควรที่จะตั้งความหวังนอกจากอัลลอฮฺ และไม่ควรที่จะเกร่
งกลัวนอกจากอัลลอฮฺ (al-Zarnuji, 1986 : 95)
فمن صرب على ذلك التعب، "واألجر على صدر التعب والنصب
وجد لذة العلم تفوق لذة الدنيا ﻭهلذﺍ كاﻥ حممد بن ﺍحلسن ﺇﺫﺍ سهر
أين أبناء امللوك من هذه: واحنلت له املشكَلت يقول،ﺍللياِل
"اللذات
25) การศึกษาอย่างต่อเนื่ อง
อัลซี รนูญียไ์ ด้กล่าวว่า ท่านมุหมั มัด บิน อัลหะซันได้กล่าวว่า
صناعتنا هذه من املهد إىل اللحد:"قال حممد بن احلسن رمحه اهلل
"فمن أراد أن يرتك علمنا هذا ساعة فليرتكه الساعة
(อัตเตาบะฮฺ : 122)
ومل،"دخل احلسن بن زياد رمحه اهلل ف التفقه وهو ابن مثانني سنة
"يبت على فراشه أربعني سنة
27) เลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการศึกษาหาความรู ้
บุ รฮานุ ด ดี นอัล ซัร นู ญีย ์ไ ด้มี ค วามเห็ นว่า ช่ ว งเวลาที่ เหมาะสมในการศึ ก ษาหา
ความรู ้ คื อ ช่ ว งเช้ า ช่ ว งสุ หู ร (ก่ อ นละหมาดซุ บ ฮฺ )และช่ ว งระหว่ า งมั ฆ ริ บและอิ ช าอฺ (al-
Zarnuji,:1986:105)
อัลซัรนูญีย ได้กล่าวว่า
من مل يكن له:"وينبغي أن يستصحب دفرتا على كل اإلجابة وقيل
دفرت ف كمه؛ مل تثبت احلكمة ف قلبه وينبغى أن يكون ىف الدفرت
"بياض ويستصحب احملربة ليكتب ما يسمع
“ผูเ้ รี ยนควรเตรี ยมสมุดทุกครั้งเพื่อทบทวน”และมีการกล่าวว่า “ผู้
ที่ไม่ถือสมุดในกามือ ความรู ้ ของเขาก็จะไม่สถิตอยูใ่ นจิตใจ”และ
สมุดควรเป็ นสี ขาวพร้อมกับหมึกเพื่อเขียนตามที่เขาได้ยนิ
(al-Zarnuji, 1986 : 124)
221
30) การบันทึก
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย ์ได้มีแนวคิดว่า อายุไขของมนุ ษย์น้ นั จะสั้นถ้าเปรี ยบเทียบ
กับความรู ้และความรวดเร็ วของความรู ้ เพราะฉะนั้นส่ งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนได้มีการบันทึกสิ่ งที่ได้เรี ยนรู ้
โดยบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
،واشرتى عصام بن يوسف قلما بدينار ليكتب ما يسمعه ىف احلال
فالعمر قصري والعلم كثري
“อิ ศ อม บิ น ยู ซุ ฟ ได้ ซ้ื อ ปากกา หนึ่ ง ด้ า มด้ว ยเงิ น หนึ่ งดี น าร์
เพื่อที่จะบันทึกสิ่ งที่ได้ฟัง เพราะอายุของมนุ ษย์น้ นั สั้น แต่ความรู ้
นั้นมีจานวนมากมาย
(al-Zarnuji, 1986: 116)
31) ผูเ้ รี ยนไม่ควรนอนและกินมากเกินไป
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้มีความเห็นว่า “ผูเ้ รี ยนที่ความวัรอฺ (ระวังตน) มากเท่าใด
เขาจะได้รับประโยชน์จากความรู ้ มากเท่านั้น และอัลซัรนู ญียไ์ ด้กล่าวถึ งคุ ณลักษณะของวัรอฺ คื อ
ต้ อ งห่ างไกลจากความอิ่ ม เกิ นควร การนอนมาก และการพู ด ในสิ่ งที่ ไ ร้ ส าระมาก”
(al-Zarnuji, 1986 : 121)
32) หันไปทางทิศกิบละฮฺในเวลาเรี ยน
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
““ควรนัง่ หันไปทางทิศกิ บละฮฺ ปฏิบตั ิตามสุ นนะฮฺ (แบบฉบับ) ของท่านนบี”
(al-Zarnuji, 1986 : 121)
33) ใกล้ชิดกับบุคคลที่ศอลิหฺและห่างไกลกับบุคคลที่ชอบทาบาปและความชัว่
อัลซัรนูญียไื ด้กล่าวว่า
“จากคุ ณ ลั ก ษณะของวัร อฺ ห่ า งไกลจากคนชั่ ว คนที่ เ นรคุ ณ
ต่ออัลลอฮฺ คนที่ตะอฺฏีล (ปฏิเสธคุณลักษณะของอัลลอฮฺ ) และควร
ทาตัวให้ใกล้ชิดกับบรรดาผูม้ ีคุณธรรม”
(al-Zarnuji, 1986 : 124)
222
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
34) ใช้ความพยายามและต่อเนื่อง
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
“และสาเหตุ สาคัญที่ ทาให้ท่องจาได้ดี คื อ ความพยายามและท า
อย่างต่อเนื่อง”
5.2.4 คุณสมบัติของผู้สอน
5.2.4.1 คุณสมบัติเกี่ยวกับศักยภาพของผูส้ อน
1. มีบุคลิกภาพที่ดี
อัลลอฮฺได้ตรัสอีกว่า
2. มีความรู้และความวัรอฺ (การระวังตน)
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
225
อัลลอฮฺได้ตรัสในอัลกุรอานว่า
3. การนอบน้อมถ่อมตน
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าว่า
“ผูส้ อนไม่ควรทาตัวเองให้ตกต่าด้วยความละโมบโลภมากในสิ่ งที่
ไม่ควร และพยายามปลี กห่ างในสิ่ งที่ทาให้ความรู ้ น้ นั ต่ าต้อยและ
ตัวเองตกต่ า จงเป็ นคนที่ถ่อมตน การถ่อมตนอยู่ระหว่างความต่ า
ต้อยและเคร่ งครัดในศาสนา” (al-Zarnuji: 1986: 40)
)215:
“และจงลดปี ก ของเจ้าแก่บรรดาผูศ้ รัทธาที่ปฏิบตั ิตามเจ้า”
(อัช-ชุอะรออ์ : 215)
อิสลามได้กาชับให้มุสลิ มทุ กคนมี คุณลักษณะถ่ อมตน และแบบอย่างที่ ดีที่สุดใน
การถ่อมตน คือ ท่านนบี โดยท่านเป็ นคนที่มีบุคลิกภาพนอบน้อมถ่อมตน อ่อนโยน เปิ ดอกเปิ ด
ใจซึ่ งท่านนบีได้กล่าวว่า
4. ความอ่อนโยนและความอดทน
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
“อบูหะนีฟะฮฺได้เลือกหัมมาด บิน สุ ลยั มานเป็ ยอาจารย์ หลังจากที่
ได้สังเกตได้คิดใคร่ ครวญ และได้กล่าวว่า ฉันเห็นว่าเขาเป็ นคนที่
อ่อนโยนและอดทน” (al-Zarnuji, 1986 : 46)
อัลหิ ลมฺ หรื อ ความอ่อนโยน คือ อัตตอมะนี นะฮฺ อดทน คือ การระงับตนเองเมื่อถูก
รังแก (al-Jauhari, 1979 : 706)
227
อัลลอฮฺ ตรัสว่า
5. มีความเมตตา
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
“ผูส้ อนควรมีความเมตตา เป็ นผูค้ อยให้คาตักเตือนปราศจากการ
อิจฉาริ ษยา”
( al-Zarnuji, 1986 : 109)
228
7. ให้อภัยผูอ้ ื่น
อัลวัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า “จงระหว่างในการเป็ นศัตรู เพราะการเป็ นศัตรู น้ นั จะเปิ ดเผย
ความลับของเจ้าและยังทาให้เจ้านั้นเสี ยเวลา(al-Zarnuji, 1986 : 110)
8. ผูส้ อนไม่ควรที่จะโต้เถียงผูอ้ ื่น
5.2.4.2 คุณสมบัติเกี่ยวกับหน้าที่ของผูส้ อน
1. ให้คาปรึ กษากับผูเ้ รี ยนพร้อมแนะนาเกี่ยวกับสาขาวิชาที่ถนัด
ท่านบุรฮานุ ดดีนอัลซัรนูญีย ไ์ ด้กล่าวว่า “ท่านเชคอิหม่านบุรฮานุ ลหัก ได้กล่าวว่า
ผูเ้ รี ย นในสมัย ก่ อนมัก จะขอค าปรึ ก ษาจากอาจารย์ใ นเรื่ องของการเรี ย น จนกว่าพวกเขาได้รู้ถึ ง
จุดมุ่งหมายของการเรี ยน แต่ปัจจุบนั มักเลื อกวิชาด้วยตัวของเขาเองจึงไม่สามารถรู ้ ถึงจุดมุ่งหมาย
ของความรู ้และบทบัญญัติอิสลาม ซึ่ งท่านได้เล่าเกี่ยวกับประวัติการศึกษาของท่านอิหม่ามอัลบุคอรี ย ์
กั มุหมั มัด บิน อัลหะสัน โดยท่านมุหมั มัด ได้ให้คาแนะนากับท่านอิหม่ามอัลบุคอรี ยไ์ ด้กล่าวว่า เจ้า
จงไปศึกษาอัลหะดีษ หลังจากนั้นอิหม่ามอัลบุคอรี ยเ์ ป็ นผูร้ ู ้ที่มีความเชี่ ยชาญในเรื่ องหะดีษมากกว่า
ท่านอื่นๆ”
229
3. มีความเมตตาและตักเตือนผูเ้ รี ยน
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
“ผูส้ อนควรเมตตาและตักเตือนผูเ้ รี ยนที่ปราศจากการอิจฉาริ ษยา
แท้จริ งแล้การอิจฉาริ ษยานั้นมันมีแต่โทษ และไม่ได้ประโยชน์อนั
ใดเลย ครู ของฉันชัยคุ ลอิสลาม บุ รฮานุ ดดี นได้ กล่ าวว่า ลู กของ
ผูส้ อนได้เป็ นผูร้ ู้ เพราะผูส้ อนอยากให้ศิษย์ของเป็ นผูร้ ู้โดยเฉพาะ
ในวิชาอัลกุรอาน ฉะนั้นด้วยความบารอกะฮฺจากเจตนาที่ดีและจาก
ความเมตตาของผูส้ อนทาให้ลูกของเขาเป็ นผูร้ ู้”
(al-Zarnuji, 1986: 109)
และฉันกับพวกเจ้าเสมือนพ่อกับลูก
(al-Nasae,1986 : 40)
5.2.5คุณสมบัติของผูเ้ รี ยน
5.2.5.1มารยาทของผูเ้ รี ยนกับพระเจ้า
1. สร้างเจตนาที่ดี
อัลซัรนญียไ์ ด้กล่าวว่า
“ในการแสวงหาความรู ้ สาหรั บผูเ้ รี ย นควรตั้ง เจตนาเพื่ออัลลอฮฺ
และโลกอาคีเราะห์ และขจัดความโง่เขลาจากตัวเองและออกจาก
มนุษย์ทุกคนที่โง่เขลาและรื อฟื้ นหศาสนาและให้อิสลามนั้นคงอยู่
ตลอดไป เราสามารถจะปกป้ องอิสลามด้วยวิชาความรู้ และความ
ยาเกรง ความสมถะไม่ได้อยูก่ บั ความโง่เขลา”
233
(al-Zarnuji :1986:38)
ท่านได้กล่าวอีกว่า
ท่านนบี ได้กล่าวว่า
(( اتقوا الدنيا فو الذي نفس حممد بيده إهنا ألسحر من هاروت
))وماروت
“จงยาเกรงโลกดุนยาเพราะโลกดุนยาอันตรายยิง่ กว่าสิ่ งอื่นและยิง่ กว่ามาลาอีกะฮฺ ฮา
รู ตและมะรู ตอีก”
และนัก วิ ช าการแก่ ผูเ้ รี ย นไม่ ค วรที่ จ ะมองข้า มตัว เอง ด้ว ยการแสวงหาสิ่ ง ไร้
ประโยชน์ที่มีอยู่บนดุ นยา ไม่ควรที่จะแสวงหามัน เพราะการแสวงหาสิ่ งไร้ประโยชน์น้ นั เป็ นสิ่ งที่
มองข้ามความรู ้ ที่มีอยู่ในตัวเอง ฉะนั้นเขาผูน้ ้ นั จะต้องทอนตน และการทอนตนนั้น คื อการไม่โอ้
อวดและไม่มองข้ามตัวเอง(al-Zarnuji:1986:39-40)
234
หนึ่ง เจตนาที่ดี
สอง เจตนาที่ไม่ดี
ส่ วนเจตนาที่ดี ที่ผเู ้ รี ยนควรตั้งเจตนาไว้ คือ
1) หวังความพอพระทัยจากอัลลอฮฺ
2) ผลตอบแทนในอาคิเราะฮฺ
3) ขจัดความโง่เขลาออกจากตัวแอง
4) ขจัดความโง่เขงาจากผูค้ นที่ไม่รู้
5) เพื่อฟื้ นฟูซ่ ึ งศาสนาและคงไว้ซ่ ึ งอิสลาม
6) ตอบแทนบุญคุญของพระองค์อลั ลอฮฺ
ส่ วนเจตนาที่ไม่ดี ที่ผเู ้ รี ยนไม่ควรตั้งเจตนาไว้ มีดงั นี้
1) เพื่อผูค้ นเข้าหา หรื อ ชื่อเสี ยง
2) เพื่อผลประโยชน์ของโลกดุนยา
3) เพื่อใกล้ชิดกับผูน้ าหรื อผูม้ ีอานาจในบ้านเมือง
ورزقه من، )) من تفقه ف دين اهلل عز وجل كفاه اهلل تعاىل ما أمهه
((حيث ال حيتسب
( al-Zarnuji:1986:99)
235
อั ต ต ะ วั ก กุ ล คื อ ก า ร จ า น น ต น แ ล ะ ก า ร ข อ ค ว า ม ช่ ว ย เ ห ลื อ (AL-
FAIRUZABADI:N.D: 313)
ดังนั้น อัตตะวักกุล หรื อการมอบหมาย คือ การศรัทธาเชื่ อมัน่ ต่ออัลลอฮฺ โดยไม่
มุ่งหวังความช่วยเหลือจากมนุษย์(al-Jurjani:1987:100)
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
(อัฏเฏาะลาก:3)
ท่านนบี ได้กล่าวว่า
((من مل يتورع يف تعلمه ابتاله اهلل تعاىل بأحد ثالثة أشياء إما أن مييته
))يف شبابه أو يوقعه يف الرساتيق أو يبتليه خبدمة السلطان
ส่ วนลักษณะของการระวังตน ท่านก็ได้ยกตังอย่างดังนี้
ห่างไกลจากการกินอิ่ม นอนมาก และพูดในสิ่ งที่ไร้สาระ และควรห่ างไกลจากการ
รับประทานอาหารที่ร้าน เพราะอาหารที่ขายตามร้ านนั้นมันใกล้กบั สกปรก และห่ างไกลจากการ
ราลึกถึงอัลลอฮฺ(al-Zarnuji, 1986 : 121)
4. ขยันละหมาดและอิบาดัตสุ นตั ต่างๆ
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กาชับให้ผเู ้ รี ยนละหมาดสุ นตั เป็ นจานวนมาก และด้วยส
ถาพคูชูอฺต่อเอกองค์อลั ลอฮฺ โดยได้กล่าวว่า
“ผูเ้ รี ยนควรละหมาดสุ นตั เป็ นจานวนมาก โดยเฉพาะละหมาดใน
สภาพคนที่คูชูอฺต่อเอกองค์อลั ลอฮฺ เพราะมันเป็ นสิ่ ที่ช่วยให้ได้มา
ซึ่งความรู้”
(al-Zarnuji, 1986 : 123 )
ละหมาดถื อ ว่ า เป็ นอิ บ าดัต ชนิ ด ที่ มี เ งื่ อ นไขต้อ งมี น้ า ละหมาดท าให้ ผู้เ รี ยนมี
ความสั ม พันธ์ ระหว่า งเขากับ อัล ลอฮฺ และในละหมาดเช่ นเดี ย วกันมี หลายชนิ ดของการอิ บ าดัต
ต่ออัลลอฮฺ เช่น การอ่านกุรอาน การราลึกถึงอัลลอฮฺ การดุอาอฺ การขออภัยโทษ และการเศาะลาวาต
ให้กบั ท่านนบี และการละหมาดสามารถฝึ กฝนผูเ้ รี ยนรู ้ถึงคุณค่าของเวลา ฝึ กฝนการทางานเป็ น
ระบบและด้วยการละหมาดญะมาอะฮฺ ฝึ กฝนผูเ้ รี ยนในการช่ วยเหลือซึ่ งกันและกัน และในการเป็ น
ประชาชาติเดี ยวกัน ส่ วนเรื่ องของการอาบน้ าละหมาด สามารถฝึ กฝนผูเ้ รี ยนให้อยุ่สภาพที่สะอาด
ส่ งเสริ มในการใช้น้ าหอม และการถูฟัน ( Khalil, n.d : 168)
5. ชูกรู และการราลึกถึงอัลลอฮฺ
อัลลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
“มันเป็ นสาเหตุในการเพิ่มพูนวิชาความรู ้ เพราะเขาจะได้ชูกูรต่อ
นิอฺมตั ที่ได้มาซึ่ งสติปัญญาและวิชาความรู้ ” ท่านอบูหะนี ฟะฮฺ ได้
กล่าวว่า แท้จริ งการได้มาซึ่ งความรู ้ดว้ ยการสรรเสริ ญและชู กูรต่อ
เอกองคือลั ลอฮฺ (al-Zarnuji, 1986 : 91-92 )
238
ท่านได้กล่าวอีกว่า
“ผูเ้ รี ยนควรใช่เวลาทั้งหมดเพื่อการราลึกถึงอัลลอฮฺ การดุอาอฺ การ
วิงวอน และการอ่านอัลกุรอานการชุ โกร คือการตอบแทนพระคุณ
ของอัลลอฮฺ ด้วย ลิ้ น มื อและ จิตใจ และบางคน ให้นิยามของ ชุ
โกรว่า การชื่นชมต่อผูม้ ีพระคุณด้วยการราลึกและกล่าวถึงพระคุณ
(al-Jurjani, 1986:167)
อัลลอฮฺได้กล่าวในคัมภีร์อลั กุรอานว่า
6. การขอดุอาอฺ
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
“ผูเ้ รี ยนควรขอดุอาอฺ อ์จากอัลลอฮฺ และร้องให้ต่อพระองค์อลั ลอฮฺ
แท้จ ริ ง แล้ว พระองค์จ ะตอบรั บ ดุ อ าอฺ อ์ เ สมอ และจะไม่ ท าให้
ผิดหวัง” (al-Zarnuji, 1986: 86)
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
5.2.5.2-มารยาทของผูเ้ รี ยนต่อตนเอง
1. เอาเวลาเพื่อทาในสิ่ งที่ดีและการภักดีต่ออัลลอฮฺ
ท่านบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
“ทุกๆคนควรใช้เวลาของตนเองเพื่อทาในสิ่ งที่ดี”
อิสลามได้กาชับให้ผเู ้ รี ยนใช้เวลาของตนเองเพื่อปฏิบตั ิในสิ่ งที่ดี บางส่ วงของการ
กระทาในสิ่ งที่ดี นั้น คือ การยาเกรงต่อพระองค์อลั ลอฮฺ อัลลอฮได้ตรัสในอัลกุรอาน ว่า
เช่ นเดี ยวกันการปฏิ บตั ิ ในสิ่ งที่ ดีทาให้จิตใจของผูเ้ รี ยนสงบ ที่ พร้ อมในการที่ จะ
ขับเคลื่อนในการศึกษาหาความรู ้ดวยความกระตื้อรื้ อร้นและแรงจูงใจที่ดี อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
“และควรท าการละหมาดให้ เ ยอะๆ เป็ นการละหมาดที่ ข อชู อฺ
เพราะจะช่วยให้ผลู ้ ะหมาดนั้นมีการเพิ่มพูนในวิชาความรู ้
2. พยายามหลีกเลี่ยงจากจารยามารยาทที่ไม่ดี
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
“ผูเ้ รี ยนควรห่างไกลและระมัดระหว่างจากมารยาทที่ไม่ดี”
، َوإِ َذا َو َع َد أخلف، ب َ ((من عالمات املنافق ثالثة إِ َذا َحد
َ َّث َك َذ
))َوإِ َذا ْاؤُُتِ َن َخا َن
และท่านยังได้กล่าวอีกว่า
“ความรู ้ น้ นั เป็ นศัตรู สาหรั บผูท้ ี่ ทาตัวสู งสง เช่ นกับน้ าฝนที่ ตก
หนักมันศัตรู กบั พื้นที่ราบสู ง”
และท่านยังได้กล่าวอีกว่า
“ผูเ้ รี ยนไม่ควรที่ จะหละหลวมในเรื่ องของจรรยามารยาทและ
สุ นนะฮฺ และใครที่หละหลวมในเรื่ องของมารยาทเขาจะไม่ได้มา
242
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
“ผูเ้ รี ยนควรลดความสาพันธ์กบั โลกดุนยา”
ท่านได้อีกกล่าวว่า
“ผูเ้ รี นควรนัง่ ร่ วมมัจลิสกับผูค้ นที่ดี (ซอลิหฺ) และอยู่ใกล้กบั พวก
เขา เพราะการอยูใ่ กล้จะทาให้เขาติดนิสัยของพวกเขา”
แท้จริ งความสัมพันธ์ระหว่างผูเ้ รี ยนกับโลกดุนยามากเกินโป หรื อ ความสัมพันธ์ที่
เกิ นขอบเขตจะทาให้ผเู ้ รี ยนนั้นไม่สามารถที่จะบรรลุวตั ถุ ประสงค์ของการเรี ยนรู ้ ซึ่ งวัตถุ ประสงค์
ของการเรี ยนคือ แสวงหาความพอพระทัยจากอัลลอฮฺ ดว้ ยจิตใจที่บริ สุทธิ์ เพื่อพระองค์ ทั้งหมดทั้ง
มวลนี้ไม่สามารถที่จะบรรลุได้ถา้ หากว่า ผูเ้ รี ยนให้เวลากับเรื่ องของโลกมากกว่ากับการเรี ยน เพราะ
การศึกษานั้นต้องใช้สติปัญญาที่บริ สุทธิ์ สะอาด ต้องใช้เวลา และต้องทุ่มเทความพยายาม แต่ผเู ้ รี ยน
ก็ยงั สามารที่จะแสวงหาปั จจัยยังชีพที่เพียงกับการใช้ในชี วิตประจาวัน แต่ไม่ได้หมายความเพื่อที่จะ
รวบรวมทรัพย์สิน เงินทอง อัลลอฮฺได้ตรัสในอัลกุรอานว่า
(อัล-อันอาม: 32)
243
ท่านนบี ได้กล่าวว่า
ُّ ى بِِه
الس َف َهاءَ أ َْو ِ ِ ِِ ِ
َ ب الْع ْل َم ليجاري به الْعُلَ َماءَ أ َْو ليُ َمار َ َ(( َم ْن طَل
أخرجه الرتمذي وابن.)) اس إِلَْي ِه أ َْد َخلَهُ اللهُ الن َار
ِ وه الن ِ َ يص ِر
َ ف بِه ُو ُج َْ
ماجه
4. ทุ่มเทความพยายามอย่างพอดิบพอดีไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกิ นไปเพื่อมิให้
เบื่อหน่ายและละทิ้งการเรี ยน
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียก์ ล่าวว่า
(al-Zarnuji: 1986:71)
يَتَ َخ َّولُنَا بِالْ َم ْو ِعظَِة ِِف األَيَّ ِام- صلى اهلل عليه وسلم- ِب ُّ ِ(( َكا َن الن
متفق عليه. ))آم ِة َعلَْي نَا
َ الس
َّ َكَر َاه َة،
สังเกตจากแนวคิดของท่านบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย ์ ที่เสนอว่าเวลาที่ดีเหมาะสมแก่
การทบทวนบทเรี ย นและการท่องจา และหลัง จากเหนื่ อยล้าจากวิช าหนึ่ ง ก็ค วรเปลี่ ยนอ่ านและ
ทบทวนอีกวิชาหนึ่ง จะเห็นได้วา่ เพื่อมิให้เบื่อต่อการศึกษาหาความรู ้
5. มีความกระตือรื อร้น
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
“ผู ้เ รี ยนต้อ งอดทนต่ อ ความยากล าบากและความต่ า ต้ อ ยใน
การศึกษาหาความรู้” (al-Zarnuji, 1986: 117)
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
245
5.2.5.3-มารยาทของผูเ้ รี ยนต่อผูส้ อน
1. สร้างความใกล้ชิดกับผูส้ อนและเพื่อนฝูง
อัลซัรนูญียไื ด้กล่าวว่า
“การประจบสอพลอนั้นเป็ นสิ่ งที่อบั อายนอกจากในการแสวงหา
ความรู ้ เพราะในการแสวงหาความรู ้น้ นั จาเป็ นอย่างยิ่งต้องประจบ
อาจารย์ผูส้ อนและเพื่อนฝูงเพื่อได้รับประโยชน์ทางความรู้ จาก
พวกเขา”
(al-Zarnuji, 1986 : 117)
2. การถ่อมตนและให้เกียรติผสู ้ อน
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
“ความรู ้น้ นั มีเกียรติและไม่ต่าต้อย และจะไม่ได้มาซึ่ งความรู ้นอก
จาตัวให้ต่าต้อยไม่สุงส่ ง”โดยได้ยกบทกวี
“ฉัน เห็ น เจ้า ได้ค รอบครองจิ ต ใจที่ มี เ กี ย รติ และจะไม่ ไ ด้ม าซึ่ ง
เกียรติยศนอกจากทาให้มนั ต่าต้อยเสี ยก่อน”
(al-Zarnuji, 1986: 117)
ท่านได้กล่าวอีกว่า
“จงแสวงหาความพอใจจากอาจารย์ผสู้ อนและจงปฏิบตั ิตามผูส้ อน
ในสิ่ งที่ ไม่ได้เป็ นมะซี ยตั ต่ออัลลอฮฺ และไม่ควรที่จะตออัด
ต่อมัคลุคในสิ่ งที่เป็ นมะซี ยตั ”
ประเภทของการให้เกียรติอาจารย์ผสู ้ อน
1. ไม่ควรที่จะเดินต่อหน้าอาจารย์ผสู ้ อน
2. ไม่ควรที่จะนัง่ กับที่ของอาจารย์ผสู ้ อน
3. ไม่ควรที่จะพูดในขณะที่อาจารย์ผสู ้ อนอยูน่ อกจากจะได้รับอนุญาติก่อน
4. ไม่ควรพูดมากในขณะที่อาจารย์ผสู ้ อนอยู่
5. ไม่ควรที่จะถามในขณะที่อาจารย์ผสู ้ อนเหนื่อยหน่าย
6. ไม่ควรที่จะพูดในขณะที่อาจารย์ผสู ้ อนอยูก่ บั เพื่อนของเขา
7. ไม่ควรที่จะถามในขณะที่อาจารย์กาลังเดินทาง
8.ไม่ควรเคาะประตูบา้ นอาจารย์ผสู ้ อนและจงเราจงท่านจะออกมา
(al-Zarnuji, 1986: 56-57)
3.ให้เกียรติลูกหลานของผูส้ อน
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กล่าวว่า
แนวคิดทางการศึกษามุหัมมัดบินสะหฺนูน แนวคิดทางการศึกษาบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย์
1.เป้าหมายของการศึกษา
1. เพื่อยึดมัน่ ในศาสนา 1.เพื่อการยาเกรงต่ออัลลอฮฺ
2. เพื่อเผยแพร่ ความรู ้ทางศาสนา 2.เพื่อฝึ กฝนและปลูกฝังจรรยามารยาทที่ดี
3. เพิ่มพูนในวิชาความรู ้ งามและละทิ้งในสิ่ งที่ไม่ดี
4. มีเกียรติยศและศักดิ์ศรี 3.เป็ นหนทางที่จะรู้ถึงความรู้ทางโลก
5. เพื่อแสวงหาปั จจัยยังชีพ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
6. เพื่อมารยาทที่ดีงาม 4.เพื่อแสวงหาโลกหน้า
5.เพื่อรักษาไว้ซ่ ึงศาสนาและคงมีไว้ซ่ ึง
อิสลาม
6.เพื่อตอบแทนพระคุณของอัลลอฮฺที่
ประทานความรู้
7.หลีกเลี่ยงจากการยิง่ ยโสโอ้อวดในวิชา
ความรู้
8.ห่างไกลจากโลกดุนยา
9.เพื่อฝึ กฝนในการคิดและสรุ ป
10.เพื่อสร้างพลังสมองและใช้สติปัญญา
248
ศรัทธา
11.เพื่อการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
12.เพื่อคานึงถึงคุณค่าของความรู ้
13.เพื่อให้ความสาคัญกับโลกหน้า (อคิ
เราะฮฺ )
2.หลักสู ตรการเรี ยนการสอน
ได้จาแนกหลักสู ตรแบ่งออกเป็ น สอง ประเภท บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้กาหนดและจาแนก
คือ หลั ก สู ตรการเรี ยนการสอนออกเป็ น 2
หนึ่ง ประเภทวิชาบังคับ ประเภท
สอง ประเภทวิชาเลือก หนึ่ง อิลมุล หาล(( )علم احلالความรู้
ประเภทวิชาบังคับได้แก่ วิชาอัลกุรอาน ที่มีตอ้ งต้องการทุกสถานการณ์)
ประเภทวิชาเลือกในทัศนะของมุหมั มัด สอง อิลมฺ บะอฺ ดุลอะหายีน ( علم
บินสะหฺ นูนมีรายวิชาดังนี้ ( )بعض األحاينيความรู้ที่มีความต้องการบาง
1) คณิ ตศาสตร ช่วงเวลา)
2) กวี คาแปลก ภาษาอาหรับและการ
เขียน อิ ล มุ ล หาล คื อ ความรู ้ ที่ เ กี่ ย วกั บ
3) หลักไวยากรณ์อาหรับ หลั ก การศาสนา และบทบัญ ญั ติ อิ ส ลาม
คุณลักษณพิเศษของหลักสู ตรมีดงั นี้ หมายถึง หมายถึงทุกอย่างที่เป็ นสิ่ งจาเป็ นใน
1) หลักสู ตรมีการบุรณาการระหว่างโลก ด้านศาสนาหรื อทางโลกดุ นยาที่สามารถช่วย
ดุนยากับอาคิเราะฮฺ ในการทาอีบาดะห์ต่อเอกองค์อลั ลอฮฺ
2) มีการอมรมพัฒนาทางจิตวิญญาณ ประเภทของอิลมุหาล
ต่อเอกอัลลอฮฺ
สี่ ความรู ้ที่เกี่ยกับจรรยามารยาท เช่น
การอดทน การให้ อ ภัย การมี สั จ จะ การ
ช่วยเหลือผูอ้ ื่น การร่ วมมือร่ วมใจทาในสิ่ งที่ดี
เป็ นต้น
ฟัรฎกิู ฟายะฮฺออกเป็ น สอง ชนิด
รายละเอียดวิชา
1-วิชาเอกภาพ()التوحيد
2-วิชาฟิ กฮฺ
3-วิชา กวีอาหรับ()الشعر
4-วิชาอัลกุรอาน
5-วิชาการคัดลายมือ()خط
6-วิชาแพทยศาสตร์
3.กระบวนการเรียนการสอน
1.วิธีสอนแบบบรรยาย 1-การอภิปราย()املناظرة
2.วิธีสอนแบบอภิปราย 2-การตั้งคาถาม( )املطارحةคือการโยน
3.วิธีสอนแบบท่องจา คาถามหรื อตั้งโจทย์ต่างๆการอภิปรายร่ วมกัน
4.วิธีสอนแบบร่ วมมือ 3-การย้อนคิดทบทวน()املذاكرة
5-การสอนแบบค่อยเป็ นค่อยไปที่ละขั้น 4-การใช้คาถาม()السؤال
6.ให้ความแตกต่างระหว่างบุคคล
250
26-พยายามห่างไกลจากเพือนที่ไม่ดี
27-การใช้ทุ น ทรั พ ย์ใ นการศึ ก ษาและ
ห่างไกลจากการตระหนี่ถี่เหนียว
28-เชิญชวนและตักเตือน
29-มุ่งมัน่ อยูก่ บั การงานที่ดี
30-สร้ า งเจตนาที่ บ ริ สุ ท ธิ์ ในการศึ ก ษา
แสวงหาความรู้
31-ทุ่มเทเวลาให้กบั การศึกษา
32-สร้างความตื่นเต้น ()التشويق
33-การศึกษาอย่างต่อเนื่อง
34-ช่ ว งวัย ที่ ค วรเริ่ มในการศึ ก ษาหา
ความรู้
35-ช่ ว งเวลาที่ ดี ที่ สุ ดในการศึ ก ษาหา
ความรู้
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียไ์ ด้มีความเห็นว่า
ช่ วงเวลาที่ เหมาะสมในการศึ ก ษาหาความรู ้
คื อ ช่ ว งเช้ า ช่ ว งสุ หู ร (ก่ อ นละหมาดซุ บ ฮฺ )
และช่วงระหว่างมัฆริ บและอิชาอฺ
36-ศึกษาหาความรู้วชิ าที่หลากหลาย
บุรฮานุ ดดีนอัลซัรนูญีย ไ์ ด้กล่าวว่า“ถ้ามี
ความรู้สึกเบื่อในวิชาที่ได้เรี ยนก็หันไปศึกษา
ในวิชาอื่น”
37-เตรี ยมพร้ อ มในเรื่ องอุ ป กรณ์ ก าร
เขียนและพร้อมให้ความสาคัญ
38-การบันทึก
39-ผูเ้ รี ยนไม่ควรนอนมากเกิ่นไปและไม่
ควรกินเยอะเกิ่นไป
40-หันไปทางทิศกิบละฮฺในเวลาเรี ยน
41-เตรี ยมพร้ อ มในเรื่ องอุ ป กรณ์ ก าร
253
เรี ยน
42-ใ ก ล้ ชิ ด กั บ บุ ค ค ล ที่ ศ อ ลิ หฺ แ ล ะ
ห่างไกลกับบุคคลที่ชอบทาบาปและความชัว่
43-ใช้ความพยายามและต่อเนื่อง
44-อ่านดุอาอฺ อฺก่อนเริ่ มอ่านหนังสื อ
45-การสรรเสริ ญต่อท่านนบี
46-ให้ ค วามส าคั ญ และให้ เ กี ย รติ ก ั บ
หนังสื อ
47-การทาซิวากหรื อแปรงฟัน
4.ผู้สอน
2)คุณลักษณะทางด้ านวิชาการ
1)-ด้านวิชาความรู้
1-ท่องจาอัลกุรอาน โดยสามารถรู ้หุก่มตัจวีด
2-มีความรู ้ เกี่ ยวกับฟิ กฮฺ เพื่อที่สามารถสอนเด็ก
ในเรื่ องของการละหมาดและบทบัญญัติต่างๆที่
เกี่ยวกับการละหมาด การอาบน้ าละหมาด และ
เงื่อนไขตางๆของการละหมาด
3-มีความรู ้ เกี่ ยวกับไวยากรณ์ ภาษาอาหรับเพื่อ
สามารถที่จะสอนเด็กเกี่ยวกับหลักพื้นฐานของ
การเขียนด้วยหลัก ไวยากรณ์ ภาษาอาหรับ และ
สามารถแต่งประโยคได้อย่างถูกต้อง
4-ผูส้ อนคดลายมื อ ต้อ งเป็ นผู้ที่ มี ล ายมื อ การ
เขียนที่สวยงาม
5-สื บค้น และอ่านเพิ่มเติมจากตาราที่เป็ นมรดก
ทางวิชาการ เพื่อผูเ้ รี ยนสามารถท่องจาบทกวี
อาหรับ และที่สาคัญอย่างยิงผูส้ อนการคัดหลาย
มื อ ต้อ งเป็ นผูท้ ี่ มี ล ายมื อ การเขี ย นที่ ส วยงาม
255
(Ridwan:1970:15)
ละหมาดในมัสยิดทุกคนหรื อไหม่
9-มีความยุติธรรม
5.ผู้เรียน
1-มีมรรยาทที่ดีงามตามแบบฉบับของท่านนบี 1)มารยาทของผูเ้ รี ยนกับพระเจ้า
และกฎเกณฑ์ที่ศาสนาได้กาหนดไว้
1-สร้างเจตนาที่ดี
2-สร้างความสัมพันธ์อนั ดีระหว่างครู ผสู ้ อนกับ
ผูเ้ รี ยน 2-การมอบหมายการงานต่ า งๆต่ อ เอกองค์
3-ผูเ้ รี ยนจาเป็ นต้องปฏิบตั ิตามนัยแห่ งพระมหา อัลลอฮ()التوكل
คัม ภี ร์อลั กุ รอาน เพื่ อนามาสู่ ค วามเชื่ อมั่นใน 3-การระวังตน ()الورع
เกี ย รติ ย ศอัน สู ง ส่ ง ของพระมหาคัม ภี ร์ อ ัล กุ
4-ละหมาดและอิบาดัตสุ นตั ต่างๆ
รอาน
4-ผูเ้ รี ยนจาเป็ นต้องอ่านอัลกุรอานในเวลาและ 5-การชูกรู และการราลึกถึงอัลลอฮฺ
สถานที่ ที่ เ หมาะสม ไม่ ค วรอ่ า นตามถนน
6-การขอดุอาอฺ
สาธารณะหรื อในห้องน้ า
5-ในหมู่ นั ก วิ ช าการด้ า นนิ ติ ศ าสตร์ ได้ ใ ห้ 2)มารยาทของผูเ้ รี ยนต่อตนเอง
ความเห็นว่า ไม่สามารถที่จะจับต้องอัลกุรอ่าน
1-เอาเวลาเพื่ อ ท าในสิ่ งที่ ดี แ ละการภั ก ดี
ได้ นอกจากจะอยู่ ใ นสภาพที่ มี น้ าละหมาด
259
บทที่ 6
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูล
ใ น ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์ แ น ว คิ ด ท า ง ก า ร ศึ ก ษ า ข อ ง มุ หั ม มั ด บิ น ส ะ ห นู น
และบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียก์ บั การประยุกต์ใช้ในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลามครั้งนี้ ผูว้ ิจยั ได้
เก็บข้อมูลจากกลุ่ มตัวอย่างครู อิสลามศึ กษาในโรงเรี ยนเอกชนขนาดใหญ่ในระบบประเภทสอน
ศาสนาควบคู่วิชาสามัญ สังกัดสํานักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดปั ตตานี จํานวน 278 คน ได้รับคืน
หลังจากเก็บข้อมูล จํานวน 273 คน ดังรายละเอียดในตารางที่ 4-7
รายการ X SD ความหมาย
1. ด้านเป้ าหมายและวัตถุประสงค์ของ 3.99 .75 มาก
การศึกษา
2. ด้านหลักสู ตร 3.92 .78 มาก
3. ด้านกระบวนการเรี ยนการสอน 3.79 .71 มาก
4. ด้านผูส้ อน 3.92 .73 มาก
5. ด้านผูเ้ รี ยน 4.05 .82 มากที่สุด
รวม 3.94 .69 มาก
รายการ X SD ความหมาย
1. เพื่อยึดมัน่ ในศาสนา 4.21 .92 มากที่สุด
2. เพือ่ เผยแพร่ ความรู ้ทางศาสนา 4.10 .96 มากที่สุด
3. เพื่อเพิ่มพูนในวิชาความรู ้ 4.00 1.00 มากที่สุด
4. เพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรี 3.76 1.00 มาก
5. เพื่อแสวงหาปั จจัยยังชีพ 3.69 .95 มาก
6. เพื่อจรรยามารยาทที่ดีงาม 4.13 .90 มากที่สุด
รวม 3.98 .77 มาก
จากตารางที่ 9 พบว่า ครู อิส ลามศึ ก ษาที่ เป็ นกลุ่ ม ตัวอย่า งมี ความเห็ นเกี่ ยวกับ
แนวคิดทางการศึกษาของมุหัมมัด บิน สะหนูน ในด้านเป้ าหมายและวัตถุประสงค์ของการศึกษาอยู่
ในระดับมาก ( X = 3.98) เมื่อพิจารณาในแต่ละประเด็น พบว่า ด้านเป้ าหมายและวัตถุประสงค์ของ
การศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหนูน ในระดับมาก 3 ลําดับแรก คือ เพื่อยึดมัน่ ในศาสนา ( X = 4.21)
เพื่อจรรยามารยาทที่ดีงาม ( X = 4.13) และเพื่อเผยแพร่ ความรู ้ทางศาสนา ( X = 4.10) ส่ วนด้าน
เป้ าหมายและวัตถุประสงค์ของการศึกษาของมุหัมมัด บิน สะหนู น ที่น้อยที่สุด คือ เพื่อแสวงหา
ปัจจัยยังชีพ ( X = 3.69)
จากตารางที่ 10 พบว่า ครู อิสลามศึ กษาที่ เป็ นกลุ่ มตัวอย่างมี ความเห็ นเกี่ ยวกับ
แนวคิดทางการศึกษาของบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญียใ์ นด้านเป้ าหมายและวัตถุประสงค์ของการศึกษา
อยู่ใ นระดับ มากที่ สุ ด ( X = 4.00 ) เมื่ อ พิ จารณาในแต่ ล ะประเด็ น พบว่า ด้า นเป้ าหมายและ
วัตถุประสงค์ของการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหนูนในระดับมาก 3 ลําดับแรก คือ เพื่อการยําเกรง
ต่ออัลลอฮุ ( X = 4.38) เพื่อตอบแทนพระคุณของอัลลอฮ ( X = 4.16) และเพื่อฝึ กฝนใน
จรรยามารยาทอันดีงามและสู งส่ งพร้อมละทิ้งในสิ่ งที่ไม่ดีกบั เพื่อรักษาไว้ซ่ ึ งศาสนาและคงมีไว้ซ่ ึ ง
อิสลาม ( X = 4.11) ส่ วนด้านเป้ าหมายและวัตถุประสงค์ของการศึกษาของบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญีย ์
ที่นอ้ ยที่สุด คือ เพื่อห่างไกลจากโลกดุนยากับเพื่อฝึ กฝนทักษะการคิดและสรุ ปผล ( X = 3.77)
หลักสู ตร X SD ความหมาย
1. มีการจําแนกระหว่างวิชาบังคับกับวิชา 3.96 .93 มาก
เลือก โดยวิชาอัลกุรอานเป็ นวิชาบังคับ
และวิชาคณิ ตศาสตร์ กวี คําแปล ภาษา
อาหรับและการเขียนหลักไวยกรณ์อาหรับ
เป็ นวิชาเลือก
266
จากตารางที่ 11 พบว่า ครู อิส ลามศึ ก ษาที่ เป็ นกลุ่ ม ตัวอย่า งมี ค วามเห็ นเกี่ ย วกับ
แนวคิดด้านหลักสู ตรการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหนูนอยูใ่ นระดับมาก ( X = 3.90) เมื่อพิจารณา
ในแต่ละประเด็น พบว่า ด้านหลักสู ตรการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหนูนในระดับมาก 3 ลําดับแรก
คือ บังคับผูเ้ รี ยนต้องศึกษาอัลกุรอาน ( X = 4.03) หลักสู ตรมาจากการบูรณาการระหว่างความรู ้ทาง
โลกดุนยาและอาคิเราะห์ ( X = 4.02) และมีการจําแนกระหว่างวิชาบังคับกับวิชาเลือก โดยวิชาอัลกุ
รอานเป็ นวิช าบัง คับ และวิชาคณิ ตศาสตร์ กวี คําแปล ภาษาอาหรั บและการเขี ยนหลัก ไวยกรณ์
อาหรับเป็ นวิชาเลือก ( X = 3.96) ส่ วนด้านหลักสู ตรการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหนูนที่นอ้ ยที่สุด
คือ หลักสู ตรได้เน้นเนื้ อหาวิชา เช่น กวี คําแปลกภาษาอาหรับและการเขียนหลักไวยกรณ์อาหรับ
( X = 3.70)
หลักสู ตร X SD ความหมาย
1. จําแนกหลักสู ตรการเรี ยนการสอน 3.79 1.01 มาก
ออกเป็ น 2 ประเภท คือ อิลมุล หาล
)( (علم احلالความรู้ที่มีตอ้ งต้องการทุก
สถานการณ์ ) และอิ ล มฺ บะอฺ ดุล อะหายีน
(( )علم بعض األحاينيความรู้ที่มีความ
267
ต้องการบางช่วงเวลา)
2. แบ่งอิลมุหาลออกเป็ น 4 ชนิดด้วยกัน 4.06 1.03 มากที่สุด
2.1 ความรู ้ที่เกี่ยวกับการอิบาดาต
2.2 ความรู ้ที่เกี่ยวกับสังคม เช่น การซื้ อ
ขาย การแต่งงาน เป็ นต้น
2.3 ความรู ้ที่เกี่ยวกับจิตใจ เช่น การยําเกรง
และการถ่อมตนต่อเอกอัลลอฮฺ
2.4 ความรู ้ที่เกี่ยวกับจรรยามารยาท
จากตารางที่ 12 พบว่า ครู อิส ลามศึ ก ษาที่ เป็ นกลุ่ ม ตัวอย่า งมี ค วามเห็ นเกี่ ย วกับ
แนวคิ ดด้านหลักสู ตรการศึ กษาของบุรฮานุ ดดี น อัลซัรนู ญียอ์ ยู่ในระดับมาก ( X = 3.94) เมื่อ
พิจารณาในแต่ละประเด็น พบว่า ด้านหลักสู ตรการศึกษาของบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญียใ์ นระดับมาก 3
ลําดับแรก คือ แบ่งอิลมุหาลออกเป็ น 4 ชนิ ดด้วยกัน 1. ความรู ้ ที่เกี่ ยวกับการอิบาดาต 2. ความรู ้ ที่
เกี่ยวกับสังคม เช่น การซื้ อขาย การแต่งงาน เป็ นต้น 3. ความรู ้ที่เกี่ยวกับจิตใจ เช่น การยําเกรง
4. ความรู ้ ที่เกี่ ยวกับจรรยามารยาท และการถ่อมตนต่อเอกอัลลอฮฺ ( X = 4.06) ฟั รฎูกิ ฟายะฮฺ
ออกเป็ น สอง ชนิ ด คือ สิ่ งที่จาํ เป็ นสําหรับมุสลิ ม เช่น การท่องจําอัลกุรอาน และสิ่ งที่ไม่ใช่ ความรู ้
ทางชะรี อะฮฺ เช่น การแพทย์ คณิ ตศาสตร์ ( X = 4.03) และมีหลักสู ตรได้กาํ หนดให้มีรายวิชาดังนี้
เช่ น วิชาเอกภาพ( )التوحيدวิชาฟิ กฮฺ วิชา กวี อาหรับ( )الشعرวิชาอัลกุรอาน วิชาการ คัดลายมือ
()خطวิชาแพทยศาสตร์ ( X = 3.90) ส่ วนด้านหลักสู ตรการศึกษาของบุรฮานุ ดดีน อัลซัรนูญียท์ ี่
น้อยที่สุด คือ จําแนกหลักสู ตรการเรี ยนการสอน ออกเป็ น 2 ประเภท คือ อิลมุล หาล ( علم
268
กระบวนการเรียนการสอน X SD ความหมาย
1. สอนแบบบรรยาย 4.04 .88 มากที่สุด
2. สอนแบบอภิปราย 3.70 .98 มาก
3. สอนแบบท่องจํา 3.79 1.02 มาก
4. สอนแบบร่ วมมือ 3.64 1.02 มาก
5. สอนแบบค่อยเป็ นค่อยไปที่ละขั้น 3.67 1.02 มาก
6. ให้ความแตกต่างระหว่างบุคคล 3.57 1.00 มาก
7. การสอนแบบการใช้สื่อการเรี ยนการสอน 3.91 .97 มาก
8. การสอนแบบทัศนศึกษา 3.59 1.01 มาก
9. การให้ความเสมอภาคระหว่างผูเ้ รี ยน 3.79 1.04 มาก
10. การสร้างความเป็ นมิตรระหว่างผูส้ อน 3.85 1.01 มาก
กับผุเ้ รี ยน
11. การสอนแบบฝึ กฝนปฏิบตั ิ 3.79 .98 มาก
12. การสอนแบบตัรฆีบและตัรฮีบ 3.73 1.06 มาก
รวม 3.76 .76 มาก
จากตารางที่ 13 พบว่า ครู อิสลามศึ กษาที่ เป็ นกลุ่ มตัวอย่างมี ความเห็ นเกี่ ยวกับ
แนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหนูนในด้านกระบวนการเรี ยนการสอนอยู่ในระดับมาก
( X = 3.76) เมื่อพิจารณาในแต่ละประเด็น พบว่า ด้านกระบวนการเรี ยนการสอนของมุหมั มัด บิน
สะหนูนในระดับมาก 3 ลําดับแรก คือ สอนแบบบรรยาย ( X = 4.04) การสอนแบบการใช้สื่อการ
เรี ยนการสอน ( X = 3.91) และการสร้างความเป็ นมิตรระหว่างผูส้ อนกับผุเ้ รี ยน ( X = 3.85) ส่ วน
ด้านกระบวนการเรี ยนการสอนของมุหมั มัด บิน สะหนู นที่นอ้ ยที่สุด คือ ให้ความแตกต่างระหว่าง
บุคคล ( X = 3.57)
269
กระบวนการเรียนการสอน X SD ความหมาย
1. การอภิปราย((املناظرة 3.73 .97 มาก
2. การตั้งคําถาม( (املطارحةคือการโยน 3.74 .95 มาก
คําถามหรื อตั้งโจทย์ต่างๆการอภิปราย
ร่ วมกัน
3. การย้อนคิดทบทวน((املذاكرة 3.78 .97 มาก
4. การใช้คาํ ถาม((السؤال 3.92 .91 มาก
5. การสร้างความเข้าใจ 3.84 .93 มาก
6. การสังเกต และการคิดใคร่ ครวญ 3.76 1.01 มาก
7. การไปทัศนศึกษา 3.55 .97 มาก
8. การบันทึก 3.80 .92 มาก
9. ให้เกียรติความรู ้และผูร้ ู ้ 3.93 .94 มาก
10. การคัดเลือก วิชาความรู้อาจารย์ 3.77 .90 มาก
และเพื่อนฝูง
11.ใช้ความพยายาม อย่างต่อเนื่อง และสร้าง 3.86 .87 มาก
แรงจูงใจ
12. การใช้ความอดทน 3.88 .96 มาก
13. เลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการศึกษาหา 3.62 1.34 มาก
ความรู้
270
ตารางที่ 14 (ต่อ)
กระบวนการเรี ยนการสอน X SD ความหมาย
14. อาศัย เคล็ ดลับ ช่ ว ยจํา คื อความจริ ง จัง 3.71 1.07 มาก
ความขยัน หมั่ น เพี ย ร กิ น แต่ น้ อ ย ทํา การ
ละหมาดยามคํ่า คื น และการอ่ า นอัล กุ ร อ่ า น
การแปรงฟั น การดื่ มนํ้า ผึ้ง การรั บประทาน
นํ้าเต้าผสมนํ้าตาล และประทานลูกเกดสี แดง
เข้มจํานวนยีส่ ิ บเอ็ดเม็ดระหว่างมื้อเช้า
15. ห่ างไกลจากสาเหตุของการหลงลืม เช่ น 3.79 .98 มาก
การทํามะอฺ ศิยตั การทําบาปต่างๆ มีความคิดที่
ฟุ้ งซ่ าน โศกเศร้ าเสี ยใจเกี่ ยวกับเรื่ องทางโลก
หมกมุ่ นอยู่ก ับเรื่ องไร้ สาระ และการรั บ ทาน
อาหารอันเป็ นสาเหตุให้เกิดเสมหะและนํ้ามูก
ก็ทาํ ให้ความจําลดเลื่อนได้
16. ขอคําแนะนําและคําปรึ กษาจากผูส้ อนใน 3.81 .97 มาก
การศึกษาหาความรู ้ที่เหมาะสมกับผูเ้ รี ยน
17. เลือกสถานที่ที่เหมาะสมในการศึกษาหา 3.79 1.01 มาก
ความรู้
18. เลือกช่วงอายุที่เหมาะสมในการเริ่ มเรี ยน 3.86 .97 มาก
19. ทบทวนบทเรี ยนอย่างสมํ่าเสมอ 3.78 1.02 มาก
20. การจับจ่ายใช้สอยและรับประทาน 3.75 .90 มาก
อาหารอย่างพอประมาณและพอเพียง
21. คาบเวลาการเรี ยนการสอนไม่มาก 3.75 .91 มาก
เกินไป
22. การใช้สติปัญญาในการศึกษาหาความรู้ 3.87 .92 มาก
23. การประเมินตนเอง 3.73 .97 มาก
24. การเรี ยนแบบค่อยเป็ นค่อยไป 3.76 .94 มาก
25. เขียนบทสรุ ปหลังจากเลิกเรี ยน 3.67 .95 มาก
26. ควรบันทึกสิ่ งที่ผเู ้ รี ยนเข้าใจ 3.76 1.00 มาก
271
ตารางที่ 14 (ต่อ)
กระบวนการเรี ยนการสอน X SD ความหมาย
27. พยายามห่างไกลหลีกเลี่ยงจากเพื่อนที่ไม่ดี 3.98 .91 มาก
28. ควรใช้จ่ายในการศึกษาและห่างไกลจาก 3.95 .90 มาก
การตระหนี่ถี่เหนียว
29. พยายามเชิญชวนและตักเตือนในสิ่ งที่ดี 4.01 .95 มากที่สุด
30. พยายามยุง่ เกี่ยวกับการงานที่ดีและ 3.98 .96 มาก
ห่างไกลกับการงานที่ตามอารมณ์ใฝ่ ตํ่า
31. สร้างเจตนาที่บริ สุทธิ์ ในการศึกษา 3.99 .92 มาก
แสวงหาความรู้
32. ทุ่มเทเวลาให้กบั การศึกษา 3.92 .94 มาก
33. สร้างความตื่นเต้น ()التشويق 3.74 .95 มาก
34. การศึกษาอย่างต่อเนื่ อง 3.85 .93 มาก
35. เลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการศึกษาหา 3.82 .94 มาก
ความรู ้ คือ ช่วงเช้า ช่วงสุ หูร(ก่อน
ละหมาดซุ บฮฺ)และช่วงระหว่างมัฆริ บ
และอิชาอฺ
36. ศึกษาหาวิชาความรู้ที่หลากหลายเมื่อมี 3.77 .94 มาก
ความรู ้สึกเบื่อในวิชาที่ได้เรี ยนก็หนั ไป
ศึกษาในวิชาอื่น
37. เตรี ยมพร้อมในเรื่ องอุปกรณ์การเขียน 3.88 .94 มาก
38. ผูเ้ รี ยนไม่ควรนอนและกินมากเกินไป 3.84 .94 มาก
39. หันหน้าไปทางทิศกิบละฮฺในเวลาเรี ยน 3.71 1.05 มาก
40.ใกล้ชิดกับบุคคลที่ศอลิหฺและห่างไกลกับ 3.94 .95 มาก
บุคคลที่ชอบทําบาปและทําชัว่
41. อ่านดุอาอฺ ก่อนเริ่ มอ่านหนังสื อ 4.02 .96 มากที่สุด
42. กล่าวสรรเสริ ญต่อท่านนบี 4.08 .88 มากที่สุด
43. ให้ความสําคัญและให้เกียรติกบั หนังสื อ 3.94 .94 มาก
44. ทําการซิวากหรื อแปรงฟัน 3.21 1.71 ปานกลาง
รวม 3.82 .71 มาก
272
จากตารางที่ 14 พบว่า ครู อิส ลามศึ ก ษาที่ เป็ นกลุ่ ม ตัวอย่า งมี ค วามเห็ นเกี่ ย วกับ
แนวคิดทางการศึกษาของบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญียใ์ นด้านกระบวนการเรี ยนการสอนอยูใ่ นระดับมาก
( X = 3.82) เมื่อพิจารณาในแต่ละประเด็น พบว่า ด้านกระบวนการเรี ยนการสอนของบุรฮานุ ดดี น
อัลซัรนูญียใ์ นระดับมาก 3 ลําดับแรก คือ กล่าวสรรเสริ ญต่อท่านนบี ( X = 4.08) อ่านดุอาอฺ ก่อนเริ่ ม
อ่านหนังสื อ ( X = 4.02) และพยายามเชิ ญชวนและตักเตือนในสิ่ งที่ ดี ( X = 4.01) ส่ วนด้าน
กระบวนการเรี ยนการสอนของบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญียท์ ี่น้อยที่สุด คือ ทําการซิ วากหรื อแปรงฟั น
( X = 3.21)
ตารางที่ 15 (ต่อ)
ภาระหน้าที่ของผูส้ อน X SD ความหมาย
9. ไม่ ค วรที่ จ ะให้ ผู ้เ รี ยนศึ ก ษากั บ ผู ้เ รี ยน 3.71 1.01 มาก
ด้ ว ย กั น น อ ก จ า ก ด้ ว ย ก า ร อ นุ ญ า ต จ า ก
ผูป้ กครอง หรื อ บ้านของผูเ้ รี ยนอยูใ่ กล้กนั
10. ในขณะที่มีการเรี ยนการสอนไม่ควรที่จะ 3.85 .90 มาก
ละทิ้ ง ภาระหน้ า ที่ ด้ ว ยการไปละหมาดศพ
(ละหมาดญินาซะฮฺ)
11.ผู ้ส อนไม่ ค วรที่ จ ะให้ ผู ้เ รี ยนขาดเรี ยน 3.76 1.03 มาก
นอกจากด้วยการอนุญาตจากผูป้ กครอง
12. ผูส้ อนไม่ควรที่จะเขียนหรื ออ่านในขณะที่ 3.80 1.01 มาก
มีการเรี ยนการสอนนอกจากหลังเสร็ จภาระ
กิจการเรี ยนการสอน
รวม 3.85 .73 มาก
จากตารางที่ 15 พบว่า ครู อิสลามศึ กษาที่ เป็ นกลุ่ มตัวอย่างมี ความเห็ นเกี่ ยวกับ
แนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหนูนด้านผูส้ อนในภาระหน้าที่ของผูส้ อนอยูใ่ นระดับมาก
( X = 3.85) เมื่อพิจารณาในแต่ละประเด็น พบว่า ในภาระหน้าที่ของผูส้ อนของมุหมั มัด บิน สะ
หนูนในระดับมาก 3 ลําดับแรก คือ ดูแลและให้ความสําคัญกับผูเ้ รี ยน ( X = 4.08) ผูส้ อนควรให้
เวลากับการสอนอย่างเต็มที่ ( X = 4.01) และผูส้ อนไม่ควรดําเนิ นภารกิ จหรื อกิ จการใด ๆ ที่ไป
รบกวนกิจการการสอนนอกจากในเวลาที่ไม่มีการเรี ยนการสอน ( X = 3.95) ส่ วนในภาระหน้าที่
ของผูส้ อนของมุหัมมัด บิน สะหนูน ที่น้อยที่สุด คือ ไม่ควรที่จะให้ผเู ้ รี ยนศึกษากับผูเ้ รี ยนด้วยกัน
นอกจากด้วยการอนุญาตจากผูป้ กครอง หรื อ บ้านของผูเ้ รี ยนอยูใ่ กล้กนั ( X = 3.71)
274
บุคลิกภาพของผู้สอน X SD ความหมาย
1. ท่องจําอัลกุรอาน โดยสามารถรู ้หุก่มตัจวีด 3.93 1.16 มาก
2. มีความรู ้เกี่ยวกับฟิ กฮฺเพื่อที่สามารถสอนเด็ก 4.00 .99 มากที่สุด
ในเรื่ องของการละหมาดและบทบัญญัติต่างๆ
ที่ เกี่ ย วกับ การละหมาด การอาบนํ้า ละหมาด
และเงื่อนไขตางๆ ของการละหมาด
3. มีความรู ้ เกี่ ยวกับไวยกรณ์ ภาษาอาหรับเพื่อ 3.94 .96 มาก
สามารถที่จะสอนเด็กเกี่ยวกับหลักพื้นฐานของ
การเขียนด้วยหลักไวยกรณ์ภาษาอาหรับ และ
สามารถแต่งประดยคได้อย่างถูกต้อง
4. สื บ ค้น และอ่า นเพิ่ ม เติ ม จากตํา ราที่ เป็ น 3.84 1.04 มาก
มรดกทางวิชาการ เพื่อผูเ้ รี ยนสามารถท่องจํา
บทกวีอาหรั บ และที่สําคัญอย่างยิ่งผูส้ อนการ
คัดหลายมือ ต้องเป็ นผูท้ ี่มี ลายมื อการเขีย นที่
สวยงาม
รวม 3.93 .91 มาก
จากตารางที่ 16 พบว่า ครู อิสลามศึ กษาที่ เป็ นกลุ่ มตัวอย่างมี ความเห็ นเกี่ ยวกับ
แนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหนูนด้านบุคลิกภาพของผูส้ อนในวิชาความรู้ อยูใ่ นระดับ
มาก ( X = 3.93) เมื่อพิจารณาในแต่ละประเด็น พบว่า ในวิชาความรู ้ ของมุหมั มัด บิน สะหนูนใน
ระดับมาก 3 ลําดับแรก คือ มีความรู ้เกี่ยวกับฟิ กฮฺ เพื่อที่สามารถสอนเด็ก ในเรื่ องของการละหมาด
และบทบัญ ญัติต่ า งๆที่ เ กี่ ย วกับ การละหมาด การอาบนํ้า ละหมาด และเงื่ อ นไขต่ า งๆ ของการ
ละหมาด ( X = 4.00) ความรู ้เกี่ยวกับไวยกรณ์ภาษาอาหรับเพื่อสามารถที่จะสอนเด็กเกี่ยวกับหลัก
พื้นฐานของการเขียนด้วยหลักไวยกรณ์ภาษาอาหรับ และสามารถแต่งประดยคได้อย่างถูกต้อง ( X
= 3.94) และท่องจําอัลกุรอาน โดยสามารถรู ้หุก่มตัจวีด ( X = 3.93) ส่ วนในวิชาความรู ้ของมุหมั มัด
บิน สะหนูนที่น้อยที่สุด คือ สื บค้นและอ่านเพิ่มเติมจากตําราที่เป็ นมรดกทางวิชาการ เพื่อผูเ้ รี ยน
275
บุคลิกภาพของผู้สอน X SD ความหมาย
1. บริ สุทธิ์ ใจ (อิคลาส) 4.14 1.04 มากที่สุด
2. ความยําเกรงต่อเอกองค์อลั ลอฮฺ 4.22 1.02 มากที่สุด
3. มีความรู ้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ 4.10 .99 มากที่สุด
4. มีความอ่อนโยน รักและเอ็นดูผเู้ รี ยน 4.08 .98 มากที่สุด
5. เสี ยสละเวลาให้กบั ผูเ้ รี ยน 4.04 1.00 มากที่สุด
6. มีความสุ ขมุ รอบคอบและการรู ้จกั ยับยั้ง 4.04 1.04 มากที่สุด
ตนเองหรื อ อัลวัรอฺ()الورع
รวม 4.10 .87 มากทีส่ ุ ด
จากตารางที่ 17 พบว่า ครู อิสลามศึ กษาที่ เป็ นกลุ่ มตัวอย่างมี ความเห็ นเกี่ ยวกับ
แนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหนูนด้านบุคลิกภาพของผูส้ อนในมารยาทของผูส้ อนอยู่
ในระดับมากที่สุด ( X = 4.10) เมื่อพิจารณาในแต่ละประเด็น พบว่า ในมารยาทของผูส้ อนของมุหมั
มัด บิน สะหนูนในระดับมาก 3 ลําดับแรก คือ ความยําเกรงต่อเอกองค์อลั ลอฮฺ ( X = 4.22) บริ สุทธิ์
ใจ (อิคลาส) ( X = 4.14) และมีความรู ้ สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ ( X = 4.10) ส่ วนในมารยาทของ
ผูส้ อนของมุหมั มัด บิน สะหนูนที่นอ้ ยที่สุด คือ เสี ยสละเวลาให้กบั ผูเ้ รี ยนกับมีความสุ ขุมรอบคอบ
และการรู ้จกั ยับยั้งตนเองหรื อ อัลวัรอฺ ( ( )الورعX = 4.04)
276
เงื่อนไขของการลงโทษ X SD ความหมาย
1. มีเป้ าหมายเพื่อเด็กได้รับประโยชน์จาก 4.02 .95 มากที่สุด
การลงโทษ
2. ผูส้ อนไม่ควรตีเกินสามครั้ง นอกจากจะ 3.74 1.06 มาก
ได้รับอนุญาตจากผูป้ กครอง
3. ผูส้ อนควรลงโทษเด็กด้วยตนเอง และควร 3.87 1.00 มาก
ใช้ความเมตตาในการตี
4.ไม่ควรที่จะตีผเู ้ รี ยนในขณะที่มีความโกรธ 3.95 1.04 มาก
แค้น
5. ห้ามด่าและไม่ควรใช้คาํ ที่ไม่สุภาพ 3.95 1.12
6. สถานที่สาํ หรับตึเด็กนั้นต้องเป็ นที่ที่ 4.05 1.00 มากที่สุด
ปลอดภัย คือ ต้นขา และส้นเท้า และไม่ควรตี
ที่หวั และใบหน้า
7. ไม่ควรตีเด็กที่อายุยงั ไม่ถึง 10 ขวบ 3.93 1.06 มาก
8. ไม่ควรตีเด็กโดยปราศจากการอนุ ญาต 3.86 1.07 มาก
จากผูป้ กครอง
9. ผูส้ อนต้องคํานึงถึงร่ างกายของผูเ้ รี ยน 3.95 .98 มาก
เวลาจะลงโทษ และผูส้ อนต้องรับผิดชอบใน
กรณี ตีเกินขอบเขต
รวม 3.92 .83 มาก
จากตารางที่ 18 พบว่า ครู อิส ลามศึ ก ษาที่ เป็ นกลุ่ ม ตัวอย่า งมี ค วามเห็ นเกี่ ย วกับ
แนวคิดทางการศึ กษาของมุหัมมัด บิ น สะหนู นด้านการลงโทษในเงื่ อนไขของการลงโทษอยู่ใน
ระดับมาก ( X = 3.92) เมื่อพิจารณาในแต่ละประเด็น พบว่า ในเงื่อนไขของการลงโทษของมุหมั มัด
บิน สะหนูนในระดับมาก 3 ลําดับแรก คือ สถานที่สําหรับตึเด็กนั้นต้องเป็ นที่ที่ปลอดภัย คือ ต้นขา
และส้นเท้า และไม่ควรตีที่หวั และใบหน้า ( X = 4.05) มีเป้ าหมายเพื่อเด็กได้รับประโยชน์จากการ
ลงโทษ ( X = 4.02) และไม่ควรที่จะตีผเู ้ รี ยนในขณะที่มีความโกรธแค้น ห้ามด่าและไม่ควรใช้คาํ ที่
277
รู ปแบบและวิธีการลงโทษ X SD ความหมาย
1. ให้คาํ ตักเตือน 4.08 1.07 มากที่สุด
2. ให้ผปู้ กครองได้รับรู้ถึงนิสัยมารยาทของ 4.02 .95 มากที่สุด
เด็กและให้ผปู ้ กครองมี่ส่วนร่ วมในการ
แก้ไขเปลี่ยนแปลงมารยาทของเด็ก
3. มีการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างผูส้ อนกับ 3.93 .97 มาก
ผูป้ กครองของเด็ก และผูส้ อนมีหน้าที่
ประกาศให้ผปู้ กครองรู้เวลาเด็กขาดเรี ยน
4. ในกรณี เด็กไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข 3.73 .97 มาก
ตัวเอง ก็ควรใช้วธิ ี อื่นในการลงโทษ เช่น
วิธีการตําหนิ ตามลําพัง หลังจากนั้น
ตําหนิ ต่อหน้าเพื่อนฝูงจํานวนมาก
รวม 3.94 .82 มาก
จากตารางที่ 19 พบว่า ครู อิสลามศึ กษาที่ เป็ นกลุ่ มตัวอย่างมี ความเห็ นเกี่ ยวกับ
แนวคิดทางการศึกษาของมุหัมมัด บิน สะหนูนด้านการลงโทษในรู ปแบบและวิ ธีการลงโทษอยูใ่ น
ระดับมาก ( X = 3.94) เมื่อพิจารณาในแต่ละประเด็น พบว่า ในรู ปแบบและวิธีการลงโทษของมุหมั
มัด บิน สะหนูนในระดับมาก 3 ลําดับแรก คือ ให้คาํ ตักเตือน ( X = 4.08) ให้ผปู้ กครองได้รับรู้ถึง
นิสัยมารยาทของเด็กและให้ผปู ้ กครองมี่ส่วนร่ วมในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงมารยาทของเด็ก ( X =
4.02) และมีการเชื่ อมสัมพันธ์ระหว่างผูส้ อนกับผูป้ กครองของเด็ก และผูส้ อนมีหน้าที่ประกาศให้
ผูป้ กครองรู้เวลาเด็กขาดเรี ยน ( X = 3.93) ส่ วนในรู ปแบบและวิธีการลงโทษของมุหมั มัด บิน สะ
หนูนที่นอ้ ยที่สุด คือ ในกรณี เด็กไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเอง ก็ควรใช้วิธีอื่นในการลงโทษ
เช่น วิธีการตําหนิตามลําพัง หลังจากนั้นตําหนิต่อหน้าเพื่อนฝูงจํานวนมาก ( X = 3.73)
278
จากตารางที่ 20 พบว่า ครู อิสลามศึ กษาที่ เป็ นกลุ่ มตัวอย่างมี ความเห็ นเกี่ ยวกับ
แนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหนูนด้านการลงโทษในอุปกรณ์สําหรับใช้ในการตีอยูใ่ น
ระดับมาก ( X = 3.61) เมื่อพิจารณาในแต่ละประเด็น พบว่า ในอุปกรณ์สําหรับใช้ในการตีของมุหมั
มัด บิน สะหนูนในระดับมาก คือ ไม้เท้าโดยมีเงื่ อนไขว่า ไม่ควรที่จะหนาเกิ นไปซึ่ งทําให้กระดูก
ของเด็กนั้นแตกหัก หรื อบางเกินไปทําให้อนั ตรายต่อร่ างกายของเด็ก ( X = 3.70) และดุรเราะหฺ (ไม้
หวาย) มีเงื่อนไขว่าต้องเปี ยกและอ่อนที่ไม่ทาํ อันตรายต่อร่ างกายเด็ก ( X = 3.53) ตามลําดับ
279
จากตารางที่ 21 พบว่า ครู อิสลามศึ กษาที่ เป็ นกลุ่ มตัวอย่างมี ความเห็ นเกี่ ยวกับ
แนวคิดทางการศึกษาของบุรฮานุ ดดีน อัลซัรนู ญียด์ า้ นคุณสมบัติเกี่ยวกับศักยภาพของผูส้ อนอยูใ่ น
ระดับมากที่สุด ( X = 4.07) ในระดับมาก 3 ลําดับแรก คือ มีบุคลิกภาพที่ดี ( X = 4.18) มีความ
เมตตา ( X = 4.10) และมีความรู ้ และความวัรอฺ การนอบน้อมถ่อมตน ความอ่อนโยนและความ
อดทนและผูส้ อนควรให้อภัยผูอ้ ื่น ( X = 4.08) ส่ วนด้านคุณสมบัติเกี่ยวกับศักยภาพของผูส้ อนของ
บุรฮานุดดีน อัลซัรนูญียท์ ี่นอ้ ยที่สุด คือ ผูส้ อนไม่ควรที่จะโต้เถียงผูอ้ ื่น ( X = 3.92)
280
จากตารางที่ 22 พบว่า ครู อิสลามศึ กษาที่ เป็ นกลุ่ มตัวอย่างมี ความเห็ นเกี่ ยวกับ
แนวคิดทางการศึ กษาของบุรฮานุ ดดี น อัลซัรนู ญียด์ ้านคุ ณสมบัติเกี่ ยวกับหน้าที่ของผูส้ อนอยู่ใน
ระดับมาก ( X = 3.97) เมื่ อพิจารณาในแต่ละประเด็น พบว่า ด้านคุ ณสมบัติเกี่ ยวกับหน้าที่ ของ
ผูส้ อนของบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญียใ์ นระดับมาก 3 ลําดับแรก คือ ให้คาํ ปรึ กษาผูเ้ รี ยนพร้อมแนะนํา
เกี่ยวกับสาขาวิชาที่ถนัด ( X = 4.04) ควรคํานึงถึงระดับของผูเ้ รี ยนและความแตกต่างระหว่างบุคคล
( X = 3.97) และมีความเมตตาและตักเตือนผูเ้ รี ยน ( X = 3.91) ตามลําดับ
มารยาทผู้เรี ยน X SD ความหมาย
1. มีมรรยาทที่ดีงามตามแบบฉบับของท่านนบี 4.07 1.02 มากที่สุด
2. สร้างความสัมพันธ์อนั ดีระหว่างครู ผสู ้ อนกับ 4.08 .98 มากที่สุด
ผูเ้ รี ยน
3. ผูเ้ รี ยนจําเป็ นต้องปฏิบตั ิตามนัยแห่งพระมหา 4.03 .99 มากที่สุด
คัมภีร์อลั กุรอาน เพื่อนํามาสู่ ความเชื่อมัน่ ใน
เกียรติยศอันสู งส่ งของพระมหาคัมภีร์
อัลกุรอาน
281
ตารางที่ 23 (ต่อ)
คุณสมบัติเกี่ยวกับหน้าที่ของผูส้ อน X SD ความหมาย
4. ผูเ้ รี ยนจําเป็ นต้องอ่านอัลกุรอานในเวลา 4.00 1.06 มากที่สุด
และสถานที่ที่เหมาะสม ไม่ควรอ่านตามถนน
สาธารณะหรื อในห้องนํ้า
5. ไม่ควรที่จะจับต้องอัลกุรอ่าน นอกจากจะ 4.08 .98 มากที่สุด
อยูใ่ นสภาพที่มีน้ าํ ละหมาดเท่านั้น นอกจาก
เด็กๆ ที่ยงั ไม่บรรลุนิติภาวะ
6. ผูส้ อนไม่จาํ เป็ นต้องก้มสู ญูดในอายะฮฺที่ 3.89 .98 มาก
ต้องซูญูดเมื่อได้ฟังอัลกุรอานจากเด็กนักเรี ยน
ในกรณี ที่เด็กไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ถา้ เด็กได้
บรรลุนิติภาวะแล้วครู ผสู ้ อนก็สามารถเลือก
ปฏิบตั ิได้
7. ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการศึกษาอัลกุรอานคือ 3.75 1.33 มาก
ช่วงเช้า(เวลาดุฮา) จนถึงตะวันลับขอบฟ้ า
รวม 3.99 .84 มาก
จากตารางที่ 23 พบว่า ครู อิสลามศึ กษาที่ เป็ นกลุ่ มตัวอย่างมี ความเห็ นเกี่ ยวกับ
แนวคิดทางการศึกษาของของมุหมั มัด บิน สะหนู นด้านมารยาทผูเ้ รี ยนต่ออัลกุรอานและวิชาความ
รู ้ อยู่ในระดับมาก ( X = 3.99) เมื่อพิจารณาในแต่ละประเด็น พบว่า ด้านมารยาทผูเ้ รี ยนต่ออัลกุ
รอานและวิชาความรู้ของมุหมั มัด บิน สะหนูนในระดับมาก 3 ลําดับแรก คือ สร้างความสัมพันธ์อนั
ดี ร ะหว่า งครู ผูส้ อนกับ ผูเ้ รี ย นกับ ไม่ ค วรที่ จ ะจับ ต้อ งอัล กุ ร อ่ า น นอกจากจะอยู่ใ นสภาพที่ มี น้ ํา
ละหมาดเท่านั้น นอกจากเด็กๆ ที่ยงั ไม่บรรลุนิติภาวะ ( X = 4.08) มีมรรยาทที่ดีงามตามแบบฉบับ
ของท่านนบี ( X = 4.07) และผูเ้ รี ยนจําเป็ นต้องปฏิ บตั ิตามนัยแห่ งพระมหาคัมภีร์อลั กุรอาน เพื่อ
นํามาสู่ ความเชื่ อมัน่ ในเกียรติยศอันสู งส่ งของพระมหาคัมภีร์อลั กุรอาน ( X = 4.03) ส่ วนด้านด้าน
มารยาทผูเ้ รี ยนต่ออัลกุรอานและวิชาความรู ้ ของมุหมั มัด บิน สะหนูนที่น้อยที่สุด คือ ช่ วงเวลาที่ดี
ที่สุดในการศึกษาอัลกุรอานคือช่วงเช้า (เวลาดุฮา) จนถึงตะวันลับขอบฟ้ า ( X = 3.75)
282
จากตารางที่ 24 พบว่า ครู อิส ลามศึ ก ษาที่ เป็ นกลุ่ ม ตัวอย่า งมี ค วามเห็ นเกี่ ย วกับ
แนวคิดทางการศึกษาของบุรฮานุ ดดี น อัลซัรนู ญียด์ า้ นมารยาทของผูเ้ รี ยนกับอัลลอฮุอยู่ในระดับ
มากที่สุด ( X = 4.14) เมื่อพิจารณาในแต่ละประเด็น พบว่า ด้านมารยาทของผูเ้ รี ยนกับอัลลอฮุของ
บุรฮานุดดีน อัลซัรนูญียใ์ นระดับมาก 3 ลําดับแรก คือ สร้างเจตนาที่ดี ( X = 4.21) ขอดุอา ( X =
4.15) และชูกรู และรําลึกถึงอัลลอฮฺ ( X = 4.14) ส่ วนด้านมารยาทของผูเ้ รี ยนกับอัลลอฮุของบุรฮานุด
ดีน อัลซัรนูญียท์ ี่นอ้ ยที่สุด คือ ละหมาดและอิบาดัตสุ นตั ต่างๆ ( X = 4.08)
283
จากตารางที่ 25 พบว่า ครู อิสลามศึ กษาที่ เป็ นกลุ่ มตัวอย่างมี ความเห็ นเกี่ ยวกับ
แนวคิดทางการศึกษาของบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญียด์ า้ นมารยาทของผูเ้ รี ยนต่อตนเองอยูใ่ นระดับมาก
ที่สุด ( X = 4.07) เมื่อพิจารณาในแต่ละประเด็น พบว่า ด้านมารยาทของผูเ้ รี ยนต่อตนเองของบุรฮา
นุ ดดี น อัล ซัรนู ญีย ์ใ นระดับ มาก 3 ลําดับแรก คื อ ใช้เวลาในการกระทํา ในสิ่ ง ที่ ดีและการภัก ดี
ต่ออัลลอฮฺ ( X = 4.17) พยายามหลีกเลี่ยงจากจารยามารยาทที่ไม่ดี ( X = 4.13) และทุ่มเทความ
พยายามอย่างพอดิ บพอดี ในการเรี ยนไม่น้อยและไม่มากเกิ นไปเพื่อมิให้เบื่ อหน่ ายและละทิ้งการ
เรี ยนกับอดทนในการศึกษาหาความรู ้ ( X = 4.08) ส่ วนด้านมารยาทของผูเ้ รี ยนต่อตนเองของบุรฮา
นุดดีน อัลซัรนูญียท์ ี่นอ้ ยที่สุด คือ พยายามลดความสัมพันธ์กบั โลกดุนยา ( X = 3.93)
284
จากตารางที่ 26 พบว่า ครู อิสลามศึ กษาที่ เป็ นกลุ่ มตัวอย่างมี ความเห็ นเกี่ ยวกับ
แนวคิดทางการศึกษาของบุรฮานุ ดดีน อัลซัรนูญียด์ า้ นมารยาทของผูเ้ รี ยนต่อสังคมอยูใ่ นระดับมาก
ที่สุด ( X = 4.02) เมื่อพิจารณาในแต่ละประเด็น พบว่า ด้านมารยาทของผูเ้ รี ยนต่อสังคมของบุรฮา
นุดดีน อัลซัรนูญีย ์ คือ สร้างความใกล้ชิดกับผูส้ อนและเพื่อนฝูงกับการถ่อมตนและให้เกียรติผสู ้ อน
( X = 4.05) และให้เกียรติลูกหลานของผูส้ อน ( X = 3.93) ตามลําดับ
จากตารางที่ 27 พบว่า ครู อิสลามศึ กษาที่ เป็ นกลุ่ มตัวอย่างมี ความเห็ นเกี่ ยวกับ
แนวคิดทางการศึกษาของบุรฮานุ ดดี น อัลซัรนู ญียด์ า้ นมารยาทของผูเ้ รี ยนต่อเพื่อนฝูงอยู่ในระดับ
มากที่สุด ( X = 4.04) คือ พยายามห่ างไกลจากการนิ นทาผูอ้ ื่นและนัง่ ร่ วมกับผูท้ ี่ชอบพูดในเรื่ องที่
ไม่เป็ นสาระ ( X = 4.04)
285
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูล
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์ เชิงลึกจํานวน 2 ข้อดังนี้
ข้ อที่ 1.ท่านเห็นด้วยหรื อไม่กบั ผลการวิเคราะห์ระดับความคาดหวังของครู สอน
ศาสนาต่ อ การประยุ ก ต์ ใ ช้ แ นวคิ ด ทางการศึ ก ษาของมุ หั ม มัด บิ น สะหฺ นู น และบุ ร ฮานุ ด
ดีนอัลซัรนู ญียใ์ นโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ผูท้ รงคุ ณวุฒิที่ตอบแบบสัมภาษณ์ เชิ งลึ กมี
ความเห็นในประเด็นดังกล่าวนี้ดงั ปรากฏในตารางที่ 29
ข้ อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ ความถี่
1.สร้างความรู้ความเข้าใจและความตระหนักเกี่ยวกับแนวคิดทางการศึกษาของ มุหมั 9
มัด บิน สะหฺ นูนและบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญียใ์ ห้ผบู้ ริ หาร ฝ่ ายวิชาการ ครู ผสู้ อน และ
ผูเ้ รี ยน
2.จัดกิจกรรมต่างๆที่มุ่งสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดทางการศึกษาของ มุหมั มัด 9
บิน สะหฺ นูนและบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญี
3.จัดอมรมผูบ้ ริ หาร ฝ่ ายวิชาการ ครู ผสู้ อนและผูเ้ รี ยนให้เข้าใจแนวคิดทางการศึกษา 9
มุหมั มัด บิน สะหฺ นูนและบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญีย ์
4.ผูบ้ ริ หารและครู รวมกันสร้างหลักสู ตร ที่เน้นแนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัด บิน 8
สะหฺ นูนและบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญีย ์
5.โรงเรี ยนต้องส่ งเสริ มในการเรี ยนรู้ตามแนวคิดของที่เน้นแนวคิดทางการศึกษาของ 7
มุหมั มัด บิน สะหฺ นูนและบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญียอ์ ย่างเต็มที่
6.สร้างกระบวนการพัฒนาตรู ให้เป็ นไปตามเนื้ อหาของแนวคิดทางการศึกษาของ 6
มุหมั มัด บิน สะหฺ นูนและบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญีย ์
7.การให้ชุมชน หรื อ หน่วยงานเข้ามามีส่วนร่ วมในการจัดทําหลักสู ตรที่เน้นแนวคิด 6
ทางการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหฺ นูนและบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญีย ์
288
สังคม เช่น การซื้ อขาย การแต่งงาน เป็ นต้น ความรู ้ที่เกี่ยวกับจิตใจ เช่น การยําเกรง ความรู ้ที่เกี่ยวกับ
จรรยามารยาท และการถ่อมตนต่อเอกอัลลอฮฺ ซึ่ งรายวิชาเหล่านี้ จะเป็ นการบังคับในรายวิชาที่ตอ้ ง
จัดให้มีการเรี ยนการสอนของโรงเรี ยน
1.สร้างความตระหนักและให้ความสําคัญในเรื่ องแนวคิดทางการศึกษาในอิสลาม
ผูท้ รงคุณวุฒิเห็นพ้องต้องกันว่า โรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในสามจังหวัด
ชายเดนภาคใต้ยงั ขาดการสร้างความตระหนักและให้ความสําคัญในเรื่ องแนวคิดทางการศึกษาใน
อิสลามของนักคิดมุสลิมเป็ นอย่างมากโดยเฉพาะแนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหฺ นูนและ
บุรฮานุ ดดี นอัล ซัรนู ญีย ์ซ่ ึ ง เป็ นสาเหตุ สําคัญที่ ท าํ ให้โรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิ สลามในสาม
จังหวัดชายเดนภาคใต้ไม่ได้นาํ แนวคิดทางการศึกษาในอิ สลามมาประยุกต์ใช้ในโรงเรี ยนเอกชน
สอนศาสนาอิสลามตามที่ควรจะเป็ น ความเห็นนี้ สอดคล้องกับผลการสัมภาษณ์ เชิ งลึกผูท้ รงคุณวุฒิ
อีกกลุ่มหนึ่ งซึ่ งมีความเห็ นมากที่ สุ ดว่าแนวทางในการนํามาประยุกต์ใช้แนวคิดทางการศึกษาของ
มุหมั มัด บิน สะหฺ นูน และ บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย ์ คือ สร้างความรู้ความเข้าใจและความตระหนัก
292
เกี่ ยวกับแนวคิดทางการศึก ษาของ มุหัมมัด บิน สะหฺ นูนและบุรฮานุ ดดี น อัลซัรนู ญียใ์ ห้ผูบ้ ริ หาร
ฝ่ ายวิชาการ ครู ผสู้ อน และผูเ้ รี ยน ดังนั้นจึงจําเป็ นจะต้องความตระหนักและให้ความสําคัญในเรื่ อง
แนวคิดทางการศึกษาในอิสลามกับผูบ้ ริ หาร ครู ผสู ้ อน และนักเรี ยนด้วย
4.สร้างหลักสู ตรบูรณาการระหว่างศาสนาและสามัญ
ผู ้ท รงคุ ณ วุ ฒิ เ ห็ น ว่ า การจัด การเรี ยนการสอนโดยใช้ ส องหลัก สู ต รนั้น ทํา ให้
โรงเรี ย นเอกชนสอนศาสนาอิ ส ลามในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะประสบปั ญหาใน ด้าน
งบประมาณ การบริ หารจัดการ และบุคลากร ดังนั้น การบูรณาการหลักสู ตรจึงมีความเหมาะสม
อย่างยิง่ สําหรับโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะจะช่วย ลด
จํานวนครู ผูส้ อน และมีงบประมาณเพียงพอในการพัฒนาอาคารสถานที่ และการบริ หารจัดการ
ตลอดจนผูเ้ รี ยนมีเวลาในการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเองมากยิ่งขึ้น และยังสามารถเดินตามแนวทาง
แนวคิ ดทางการศึ ก ษาของมุ หัม มัด บิ น สะหฺ นูน และบุ รฮานุ ดดี นอัล ซัรนู ญีย ์ที่ เป็ นแนวคิ ดทาง
การศึกษาที่เน้นหลักสู ตรบูรณาการ
293
5.โรงเรี ยนสร้างนโยบายที่จะนําแนวคิดทางการศึกษาในอิสลามมาใช้
ผูท้ รงคุณวุฒิเห็นว่า มุหมั มัด บิน สะหฺ นูน และบุรฮานุ ดดีน อัลซัรนูญียก์ ารที่จะนํา
แนวคิ ดทางการศึ ก ษาของมุ หัม มัด บิ น สะหฺ นูน และบุ รฮานุ ดดี น อัล ซัรนู ญีย ์ มาประยุก ต์ใ ช้ใ น
โรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลามมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายโรงเรี ยน เพราะฉะนั้นโรงเรี ยน
ต้องกําหนดนโยบายที่จะมาเป็ นแนวทางในการประยุกต์ใช้แนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัด บิน
สะหฺ นูน และบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญียใ์ ห้ชดั เจน
6.มีการประชุมติดตามอย่างต่อเนื่อง
ผู ้ท รงคุ ณ วุ ฒิ เ ห็ น ว่ า หลัง จากได้มี ก ารประยุ ก ต์ ใ ช้ แ นวคิ ด ทางการศึ ก ษาของ
มุหัมมัด บิน สะหฺ นูน และบุรฮานุ ดดีนอัลซัรนูญียใ์ นโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลามผูบ้ ริ หาร
ต้องจัดให้มีการประชุมติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อสามารถแก้ไขในสิ่ งที่ผิดพลาดและพัฒนาเพื่อให้
เกิดความสมบูรณ์ทางด้านการเรี ยนการสอนต่อไป
297
บทที่ 7
สรุป อภิปรายผล และข้ อเสนอแนะ
วัตถุประสงค์ การวิจัย
1. เพื่อศึกษาชีวประวัติของอิบนุสะหฺ นูนและบุรฮานุดดีนอัลซัรณูญีย ์
2. เ พื่ อ ศึ ก ษ า แ น ว คิ ด ท า ง ก า ร ศึ ก ษ า ข อ ง มุ หั ม มั ด บิ น ส ะ หฺ นู น แ ล ะ
บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย ์
3. เพื่อศึกษาระดับความคาดหวังของครู สอนศาสนาอิสลามต่อการประยุกต์ใช้
แนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหฺ นูนและบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญียใ์ นโรงเรี ยนเอกชนสอน
ศาสนาอิสลาม
4. เพื่ อ ศึ ก ษาแนวทางการประยุก ต์ใ ช้ แ นวคิ ด ทางการศึ ก ษาของมัหัม มัด บิ น
สะหฺ นูนและบุรฮานุดดีนอัลซัรณูญียใ์ นโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม
ระเบียบวิธีวจิ ัย
งานวิจยั เรื่ องนี้ เป็ นการวิจยั ที่ผสมผสานระหว่างการวิจยั เชิ งคุณภาพ (Qualitative
Research) กับการวิจยั เชิงปริ มาณ โดยแบ่งเป็ น 3 ตอน ดังนี้คือ
ตอนที่ 1 เป็ นการวิจยั เอกสาร (Documentary Research) โดยเก็บข้อมูลจากเอกสาร
ปฐมภูมิ (Primary Sources) ซึ่ งประกอบด้วยตาราอาดาบุ ลมุอลั ลิมีน ของอิบนุ สะหฺ นูนและตารา
ตะอฺ ลีมุลมุตะอัลลิมเตาะรี กอตตะอัลลุมของอัลซัรนูญียแ์ ละเอกสารทุติยภูมิ (Secondary Sources) ที่
เกี่ยวข้องกับงานวิจยั ที่เน้นการวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวคิดทางการศึกษาของท่านมุหมั มัด บิน สะหฺ นุน
และบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญีย ์
ตอนที่ 2 เป็ นการเก็บข้อมูลเชิ งปริ มาณ จากภาคสนาม โดยใช้แบบสอบถามกับ
ผูใ้ ห้ขอ้ มูลหลักที่เป็ นครู สอนศาสนาอิ สลามในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิ สลามขนาดใหญ่ใน
จังหวัดปั ตตานี เขต เพื่อมุ่งศึกษาระดับความคาดหวังต่อการประยุกต์ใช้แนวคิดทางการศึกษาของ
มุหมั มัด บิน สะหฺ นูนและบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญียใ์ นโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ประชากร
298
ประชากรและกลุ่มตัวอย่ าง
ประชากรและกลุ่ ม ตัวอย่า งในการศึ ก ษาครั้ งนี้ ไ ด้แก่ ผูบ้ ริ หารและหัวหน้า ฝ่ าย
วิชาการในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในสามจังหวัดปั ตตานีจานวน 9 คน
เครื่องทีใ่ ช้ ในการวิจัยครั้งนี้
1.เอกสารและตาราที่เป็ นแหล่งข้อมูลหลัก คือ ตารา อาดาบ อัลมุอลั ลิมีน (آداب
(املعلمنيของท่านมุหมั มัด บิน สะหฺ นูนและตารา ตะอฺ ลีม อัลมุตะอัลลิม เตาะรี กอ อัตตะอัลลุม (تعليم
( املتعلم طريق التعلمของท่านบุรฮานุ ดดีน อัลซัรนูญีย ์ และแหล่งข้อมูลเสริ ม เป็ นเอกสารและตาราที่
299
1
เมืองหัมศ์ต้ งั อยูใ่ นภาคกลางของประเทศซีเรี ยเป็ นเมืองที่สามทีสาคัญทีสุดของประเทศซี เรี ยซึ่ งสมัยปกครองโดย
ชาวโรมันก่อน2300ค.ศ. เมืองหัมศ์ถูกเรี ยกว่าเมืองอะมีสา
300
ชี วประวัติของบุรฮานุดดีนอัซซัรนูญยี ์
เชื้อสายและวงศ์ ตระกูล
คาว่า ซัรนู ญีย ์ มาจากคาว่า ซัรนูจ ซึ่ งเป็ นชื่ อหนึ่ งของเมืองในเปอร์ เซี ย เมืองหลวง
ของแคว้น อัซซะจีสฐานในสมัยก่อน(Al-bagdadi: 1979:138) ยากูต อัลหะมาวียไ์ ด้กล่าวในหนังสื อ
มุอฺญมั อัลบุลดาน ( (معجم البلدانว่าเมือง ซัรนู จ คือเมืองที่มีชื่อเสี ยงตั้งอยูหลังแม่น้ าหนึ่ งหลังจาก
เมืองคูญนั ด์คือตั้งอยูห่ ลังแม่น้ า ญีหูน(อามูดาร์ ยา(ในเคาะรอสาน และบุคคลแรกที่ได้ส่งกองทัพเพื่อ
พิชิตเมืองดังกล่าว คือ หัจญาจ บิน ยูยุฟอัสสะกอฟี ย์ดว้ ยคาสั่งของท่านเคาะลีฟะฮฺ อบั ดุ ลมาลิ ก บิน
มิรวาน(เสี ยชีวติ ฮ.ศ. 86(
การถือกาเนิด
หนังสื อประวัติศาสตร์ และหนังสื อ อัตเฏาะบากอตและหนังสื ออัตตะรอญุม ไม่ได้
ระบุ ถึงวันเดื อนปี เกิ ดของท่านอัซซัรนู ญีย ์ แต่ปีการเสี ยชี วิตของท่านมี การถกเถี ยงในบรรดานัก
ประวัติศาสตร์ ในการกาหนดวันเดื อนปี ที่เสี ยชี วิตของท่านส่ วนในหนังสื อ ที่ได้ทาการตะหฺ กีกโดย
ท่าน อุษมาน ได้ระบุวา่ ท่านอัซซัรนูญียื ได้เสี ยชีวติ ในปี ที่ ฮ.ศ.591(az-zarnuji:1397:25)และได้มีการ
ระบุ ใ นบางหนัง สื อประวัติศาสตร์ ว่า ท่านได้เสี ยชี วิตในปี ที่ ฮ.ศ. 620 เช่ นหนัง สื อ อัลญะวาฮิ ร
อัล มุ ฎี อ ะห์ ( ( اجلاجل اجليجلجلر اجلملجل ي لجلجلل رและหนั ง สื อ ( ( دجلاجلاجلجلررجل اجلملجلجلع جلجل جل اجل جل مجلجليได้ ก ล่ า วว่ า อิ
มามอัซซัรนูญีย ์ ได้ร่วมสมัยและรุ่ นเดียวกับท่านอันนุอฺมาน บิน อิบรอฮีม อัซซัรนูญีย ์ ซึ่ งเสี ยชี วิตใน
ปี ที่ ฮ.ศ.640
2. ข้อค้นพบเพื่อตอบคาถามตามวัตถุประสงค์ของการวิจยั ข้อที่ 2 ว่าเพื่อศึกษา
แนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหฺ นูน แฃะบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย ์
แนวคิดทางการศึกษาของอิบนุสะหฺนูน
เป้าหมายของการศึกษา
เป้ าหมายของการศึกษาตามแนวคิดของท่าน อิบนุสะหฺ นูน มีดงั นี้
1) เพื่อยึดมัน่ ในศาสนา
2) เพื่อเผยแพร่ ความรู ้ทางศาสนา
3) เพิ่มพูนในวิชาความรู ้
4) เพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรี
5) เพื่อแสวงหาปัจจัยยังชีพ
6) เพื่อมารยาทที่ดีงาม
301
หลักสู ตรการเรียนการสอน
อิบนุ สะหฺ นูนได้จาแนกหลักสู ตรการเรี ยนการสอนออกเป็ น สอง ประเภท คือ
1) ประเภทวิชาบังคับ 2) ประเภทวิชาเลือก
ส่ วนในประเภทวิช าบัง คับ คื อ วิช าอัล กุ ร อาน ถื อ ว่า ทุ ก คนมี ค วามจาเป็ นต้อ ง
ศึกษาอัลกุรอาน
ประเภทวิชาเลือกในทัศนะของอิบนุสะหฺ นูนมีรายวิชาดังนี้
1.คณิ ตศาสตร (จาเป็ นต้องเรี ยน(
2.กวี คาแปลก ภาษาอาหรับและการเขียน
3.หลักไวยกรณ์อาหรับ
กระบวนการเรียนการสอน
กระบวนการเรี ยนการสอนตามแนวคิดของท่านอิบนุสะนูน คือ
1( วิธีสอนแบบบรรยาย
2) วิธีสอนแบบอภิปราย
3) วิธีสอนแบบท่องจา
4) วิธีสอนแบบร่ วมมือ
5) การสอนแบบค่อยเป็ นค่อยไปที่ละขั้น
6) ให้ความแตกต่างระหว่างบุคคล
7) การสอนแบบการใช้สื่อการเรี ยนการสอน
8) การสอนแบบทัศนศึกษา
9) การให้ความเสมอภาคระหว่างผูเ้ รี ยน
10) การสร้างความเป็ นมิตร
11( ฝึ กฝนปฏิบตั ิ
12( การสอนแบบตัรฆีบและตัรฮีบ
ผู้สอน
คุณลักษณะทางด้านวิชาชีพของผูส้ อน
1) ดูแลและให้ความสาคัญผูเ้ รี ยนโดยเฉพาะในช่วงแยกย้ายจากสถานศึกษากลับไป
ที่บา้ น) และควรตรวจสอบว่าเด็กกลับถึงบ้านหรื อไม่ แล้วหรื อยัง
2) ในช่วงที่ผเู ้ รี ยนขาดเรี ยนผูส้ อนควรติดต่อกับผูป้ กครองเด็ก
302
3) ผูส้ อนควรสละเวลากับการสอนอย่างเต็มที่เพราะจะทาให้ภาระหน้าทีการสอน
จะได้เดินไปด้วยดีและสมบูรณ์
4) ผูส้ อนห้ามดาเนิ นภารกิจหรื อกิจการใดๆที่ไปรบกวนกิจการการสอนนอกจาก
ในเวลาที่ไม่มีการเรี ยนการสอน
5) ไม่ควรที่จะกาชับให้คนหนึ่ งคนใดไปช่ วยสอน นอกจากว่ามันจะให้ประโยชน์
กับผูเ้ รี ยน
6) ผูส้ อนไม่ควรที่จะสั่งใช้ผเู ้ รี ยนไปรับใช้ในความต้องการส่ วนตัวของผูส้ อน
7) ผูส้ อนไม่ควรที่จะสอนอัลกุรอานและตารับตาราให้กบั บุตรของชาวคริ สตร์
8) ผูส้ อนผูช้ ายไม่ควรที่จะสอนผุเ้ รี ยนผูห้ ญิง ไม่ควรที่จะรวมเรี ยนระหว่างผูห้ ญิง
กับผูช้ าย
9) ผูส้ อนสามารถที่จะร่ ารวยได้แต่ไม่ใช่อาศัยความร่ ารวยจากผูเ้ รี ยน
10) ไม่ ค วรที่ จะให้ผูเ้ รี ย นศึ ก ษากับ ผูเ้ รี ย นด้ว ยกันนอกจากด้ว ยการอนุ ญาตจาก
ผูป้ กครอง หรื อ บ้านของผูเ้ รี ยนอยูใ่ กล้กนั
11) ในขณะที่มีการเรี ยนการสอนไม่ควรที่จะทิง้ ภาระหน้าที่ดว้ ยการไปละหมาดศพ
(ละหมาดญินาซะฮฺ(
12) ผูส้ อนไม่ควรที่จะให้ผเู ้ รี ยนขาดเรี ยนนอกจากด้วยการอนุญาตจากผูป้ กครอง
13) ผูส้ อนไม่ควรที่ จะเขี ยนหรื ออ่านในขณะที่ มีการเรี ยนการสอนนอกจากหลัง
เสร็ จภาระกิจการเรี ยนการสอน
14) มีความรู ้เกี่ยวกับวิธีการสอน
คุณลักษณะของผู้สอนทางด้ านด้านวิชาความรู้
คุณลักษณะของผูส้ อนทางด้านด้านวิชาความรู้มีดงั นี้
1( ท่องจาอัลกุรอานโดยสามารถรู ้หุก่มตัจวีด
2( มี ค วามรู ้ เ กี่ ย วกับ ฟิ กฮฺ เ พื่ อที่ ส ามารถสอนเด็ ก ในเรื่ อ งของการละหมาดและ
บทบัญญัติต่างๆ ที่เกี่ยวกับการละหมาดการอาบน้ าละหมาด และเงื่อนไขตางๆของการละหมาด
3( มี ความรู ้ เกี่ ยวกับไวยกรณ์ ภาษาอาหรับเพื่อสามารถที่ จะสอนเด็กเกี่ ยวกับหลัก
พื้นฐานของการเขียนด้วยหลักไวยกรณ์ภาษาอาหรับ และสามารถแต่งประโยคได้อย่างถูกต้อง
4( ผูส้ อนการคัดหลายมือ ต้องเป็ นผูท้ ี่มีลายมือการเขียนที่สวยงาม
5( สื บค้น และอ่านเพิ่มเติมจากตาราที่ เป็ นมรดกทางวิชาการ เพื่อผูเ้ รี ยนสามารถ
ท่องจาบทกวีอาหรับ
303
วิธีการลงโทษ
อิบนุสะหฺ นุน ได้ต้ งั เงื่อนไขในการลงโทษเด็กไว้ 2 ประการ ดังนี้
1) มีเป้ าหมายเพื่อเด็กได้รับประโยชน์จากการลงโทษ
2) ผูส้ อนไม่ควรตี เกิ นสามครั้ งนอกจากจะได้รับอนุ ญาตจากผูป้ กครองโดยท่าน
กล่าวว่าไม่สามารถตีเด็กเกินขอบเขตนอกจากจะได้การอนุญาตจากผูป้ กครอง
การลงโทษทางด้ านจิตใจ
การลงโทษเด็ ก ทางร่ า งกายนั้น ไม่ ส ามารที่ จะกระท าได้น อกจากต้อ งผ่า นการ
ลงโทษทางด้านจิตใจก่อน ที่มีรูปแบบและวิธีการลงโทษดังนี้
1( ให้คาตักเตือน
2( ให้ผปู ้ กครองได้รับรู ้ถึงนิสัยมารยาทของเด็กและให้ผปู ้ กครองมี่ส่วนร่ วมในการ
แก้ไขเปลียนแปลงมารยาทของเด็ก
3) มีการเชื่ อมสัมพันธ์ระหว่างผูส้ อนกับผูป้ กครองของเด็ก และผูส้ อนมี หน้าที่
ประกาศให้ผปู้ กครองรู้เวลาเด็กขาดเรี ยน
4) ในเมื่อเด็กไม่ได้เปลี่ ยนแปลงแก้ไขตัวเอง ก็ควรใช้วิธีอื่นในการลงโทษ คื อ
วิธีการตาหนิตามลาพัง หลังจากนั้นตาหนิต่อหน้าเพื่อนฝูงจานวนมาก
304
5) กักตัวเด็กหลังจากได้แยกย้ายจากการเล่าเรี ยนโดยมีเงื่อนไขอย่าห้ามเด็กในการ
รับประทานอาหารและดื่มอันเนื่ องเด็ก ต้องการอาหารเพื่อความเจริ ญเติบโตและพัฒนาร่ างกายให้
แข็งแรง เพราะเป้ าหมายของการลงโทษคือ การแก้ไขและเปลี่ยนแปลงมารยาทของเด็กเท่านั้น ซึ่ ง
ไม่ได้มีเป้ าหมายห้ามมีการเจริ ญเติบโตด้านร่ างกายของเด็ก
6( เงื่อนไขในการลงโทษทางจิตใจ คือห้ามด่าและไม่ควรใช้คาที่ไม่สุภาพ
3)สละเวลาเพือ่ การสอน
อินสะหฺ นูนได้เน้นย้าให้ผสู ้ อนได้เสี ยสละเวลาเพื่อการสอนอย่างเต็มที่ โดยได้กล่าว
ว่า “ผูส้ อนไม่ ค วรที่ จะละทิ้ ง การสอนนอกจากว่า ไม่ไ ด้อยู่ใ นเวลาสอน”และท่า นได้ก ล่ า วอี ก ว่า
“ผูส้ อนควรหมัน่ พยายามสละเวลาให้กบั การสอน และไม่ควรที่จะไปละหมาดศพนอกจากว่ามัน
จาเป็ นจริ งๆ”
หลักสู ตร
อัลซัรนูญียไ์ ด้กาหนดและจาแนกหลักสู ตรการเรี ยนการสอนออกเป็ น 2 ประเภท
คือ
1) อิลมุล หาล(( (علم الحالความรู้ที่มีตอ้ งต้องการทุกสถานการณ์(
2) อิลมฺ บะอฺ ดุลอะหายีน (( ( علم بعض األحايينความรู้ ที่มีความต้องการบาง
ช่วงเวลา(
กระบวนการเรียนการรู้
กระบวนการเรี ยนรู ้ในทัศนะของอัลซัรนูญียม์ ีดงั นี้
1( การอภิปราย ( (املن ظرر2)การตั้งคาถาม( (املط ح3(การย้อนคิดทบทวน((املذاكرر
4) การใช้คาถาม( (السؤال5) การสร้างความเข้าใจ 6( การสังเกต และการคิดใคร่ ครวญ 7) ทัศนศึกษา
8) การบันทึก 9( ให้เกียรติความรู ้และผูร้ ู ้ 10) ให้เกียรติความรู ้และผูร้ ู ้ 11) การคัดเลือก วิชาความรู้
อาจารย์และเพื่อนฝูง 12)ใช้ความพยายาม อย่างต่อเนื่ อง และสร้างแรงจูงใจ 13) การใช้ความอดทน
14) เลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการศึกษาหาความรู้ 15) อาศัยเคล็ดลับช่ วยจาคือความจริ งจัง ความ
ขยันหมัน่ เพียร กินแต่น้อย ทาการละหมาดยามค่ าคืนและการอ่านอัลกุรอ่าน การแปรงฟั น การดื่ม
น้ าผึ้ง การรับประทานน้ าเต้าผสมน้ าตาล และประทานลูกเกดสี แดงเข้มจานวนยี่สิบเอ็ดเม็ดระหว่าง
มื้อเช้า 16)ห่ างไกลจากสาเหตุของการหลงลื ม เช่ น การทามะอฺ ศิยตั การทาบาปต่างๆ มีความคิดที่
ฟุ้ งซ่ าน โศกเศร้ าเสี ยใจเกี่ยวกับเรื่ องทางโลก หมกมุ่นอยู่กบั เรื่ องไร้ สาระ และการรับประทานอาหาร
อันเป็ นสาเหตุให้เกิดเสมหะและน้ ามูกก็ทาให้ความจาลดเลือนได้17) ขอคาแนะนาและคาปรึ กษาจาก
ผูส้ อนในการศึกษาหาความรู ้ ที่เหมาะสมกับผูเ้ รี ยน 18) เลือกสถานที่ที่เหมาะสมในการศึกษาหา
ความรู้ 19) เลือกช่วงอายุที่เหมาะสมในการเริ่ มเรี ยน 20) ทบทวนบทเรี ยนอย่างสม่าเสมอ 21) การ
จับจ่ายใช้สอยและรับประทานอาหารอย่างพอประมาณและพอเพียง 22) คาบเวลาการเรี ยนการสอน
ไม่มากเกินไป 23) การใช้สติปัญญาในการศึกษาหาความรู้ 24) การประเมินตนเอง 25) การเรี ยน
แบบค่อยเป็ นค่อยไป 26) เขียนบทสรุ ปหลังจากเลิกเรี ยน 27) ควรบันทึกสิ่ งที่ผเู ้ รี ยนเข้าใจ 28)
พยายามห่างไกลหลีกเลี่ยงจากเพื่อนที่ไม่ดี 29) ควรใช้จ่ายในการศึกษาและห่ างไกลจากการตระหนี่
ถี่เหนียว 30) พยายามเชิญชวนและตักเตือนในสิ่ งที่ดี 31) พยายามยุง่ เกี่ยวกับการงานที่ดีและห่ างไกล
กับการงานที่ตามอารมณ์ใฝ่ ต่า 32) สร้างเจตนาที่บริ สุทธิ์ ในการศึกษาแสวงหาความรู ้ 33) ทุ่มเทเวลา
ให้กบั การศึกษา 34) สร้างความตื่นเต้น ( (التش يق35) การศึกษาอย่างต่อเนื่ อง 36) เลือกช่วงเวลาที่ดี
ที่สุดในการศึกษาหาความรู ้ คือ ช่ วงเช้า ช่ วงสุ หูร(ก่อนละหมาดซุ บฮฺ (และช่ วงระหว่างมัฆริ บและ
อิชาอฺ 37) ศึกษาหาวิชาความรู ้ที่หลากหลายเมื่อมีความรู ้สึกเบื่อในวิชาที่ได้เรี ยนก็หนั ไปศึกษาใน
วิชาอื่น 38) ตรี ยมพร้อมในเรื่ องอุปกรณ์การเขียน 39) ผูเ้ รี ยนไม่ควรนอนและกินมากเกินไป 40) หัน
หน้าไปทางทิศกิบละฮฺ ในเวลาเรี ยน 41) ใกล้ชิดกับบุคคลที่ศอลิหฺและห่ างไกลกับบุคคลที่ชอบทา
308
ผู้สอน
คุณสมบัติของผูส้ อนในทัศนะของอัลซัรนูญีบโ์ ดยแยกตามด้านต่างๆ มีดงั นี้
คุณสมบัติเกีย่ วกับศักยภาพของผู้สอน
1( มีบุคลิ กภาพที่ดี 2( มีความรู้ และความวัรอฺ 3( การนอบน้อมถ่ อมตน 4( ความ
อ่อนโยนและความอดทน 5( มีความเมตตา 6( ห่ างไกลจากการกล่าวตาหนิ (ประณาม( ผูเ้ รี ยนและ
การอิจฉาริ ษยา 7( ผูส้ อนควรให้อภัยผูอ้ ื่น 8( ผูส้ อนไม่ควรที่จะโต้เถียงผูอ้ ื่น
ผู้เรียนตามแนวคิดอัลซัรนูญยี ์
มารยาทของผูเ้ รี ยนต่ออัลลอฮฺ
1( สร้างเจตนาที่ดี
2( มอบหมายการงานต่างๆต่อเอกองค์อลั ลอฮ(
3( มีความสุ ขมุ รอบคอบและการรู ้จกั ยับยั้งตนเองหรื ออัลวัรอฺ ((ال ع
4(ละหมาดและอิบาดัตสุ นตั ต่าง ๆ
5(ชูกรู และการราลึกถึงอัลลอฮฺ
6( ขอดุอา
มารยาทของผู้เรียนต่ อตนเอง
1( ใช้เวลาในการกระทาในสิ่ งที่ดีและการภักดีต่ออัลลอฮฺ
2( พยายามหลีกเลี่ยงจากจารยามารยาทที่ไม่ดี
3( พยายามลดความสัมพันธ์กบั โลกดุนยา
4( ทุ่มเทความพยายามอย่างพอดิบพอดีในการเรี ยนไม่นอ้ ยและไม่มากเกินไปเพื่อมิ
ให้เบื่อหน่ายและละทิง้ การเรี ยน
309
5( มีความกระตือรื อร้น
6( อดทนในการศึกษาหาความรู้
มารยาทของผู้เรียนต่ อผู้สอน
1( สร้างความใกล้ชิดกับผูส้ อนและเพื่อนฝูง
2( การถ่อมตนและให้เกียรติผสู ้ อน
3( ให้เกียรติลูกหลานของผูส้ อน
1.สร้างความตระหนักและให้ความสาคัญในเรื่ องแนวคิดทางการศึกษาในอิสลาม
311
4.สร้างหลักสู ตรบูรณาการระหว่างศาสนาและสามัญ
ผู ้ท รงคุ ณ วุ ฒิ เ ห็ น ว่ า การจัด การเรี ยนการสอนโดยใช้ ส องหลัก สู ต รนั้น ท าให้
โรงเรี ย นเอกชนสอนศาสนาอิ ส ลามในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะประสบปั ญหาใน ด้าน
งบประมาณ การบริ หารจัดการ และบุ คลากร ดังนั้น การบูรณาการหลักสู ตรจึงมีความเหมาะสม
312
5.โรงเรี ยนสร้างนโยบายที่จะนาแนวคิดทางการศึกษาในอิสลามมาใช้
ผูท้ รงคุณวุฒิเห็นว่า มุหมั มัด บิน สะหฺ นูน และบุรฮานุ ดดีน อัลซัรนูญียก์ ารที่จะนา
แนวคิดทางการศึกษาของมาประยุกต์ใช้ในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลามมันมีส่วนเกี่ยวข้อง
กับ นโยบายโรงเรี ย น เพราะฉะนั้น โรงเรี ย นต้อ งก าหนดนโยบายที่ จ ะมาเป็ นแนวทางในการ
ประยุกต์ใช้แนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหฺ นูน และบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญียใ์ ห้ชดั เจน
6.จัดประชุมติดตามอย่างต่อเนื่อง
ผูท้ รงคุ ณวุฒิเห็ นว่า หลังจากได้มีการประยุกต์ใช้แนวคิดทางการศึกษาของ มุหัม
มัด บิน สะหฺ นูน และบุรฮานุ ดดีนอัลซัรนูญียใ์ นโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลามโดยผูบ้ ริ หาร
ต้องจัดการประชุมติดตามผลอย่างต่อเนื่ องเพื่อสามารถแก้ไขในสิ่ งที่ผิดพลาดและพัฒนาเพื่อให้เกิด
ความสมบูรณ์ทางด้านการเรี ยนการสอนต่อไป
7.2 อภิปรายผล
จากข้อค้นพบจากการวิจยั เรื่ อง “แนวคิดทางการศึกษาของมุหัมมัด บิน สะหฺ นูน
และบุรฮานุ ดดี นอัลซัรนู ญียก์ บั การประยุกต์ใช้ในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิ สลาม” สามารถ
อภิปรายผลตามวัตถุประสงค์ของการวิจยั ได้ดงั นี้
ว่า ซัรนู จ ซึ่ งเป็ นชื่ อหนึ่ งของเมื องในเปอร์ เซี ย เมื องหลวงของแคว้น อัซซะจี สฐานในสมัยก่ อน
อัลซัรนูญียไ์ ด้เติบโตท่ามกลางของความหลากหลายทางด้านความรู ้ประเพณี และวัฒนธรรม และได้
ซึมซับด้วยภาษาอาหรับและได้เสี ยชีวิตในปี ที่ ฮ.ศ.591 ซึ่ งแสดงให้เห็นว่า แนวคิดของนักการศึกษา
จะสะท้อนจากบริ บทสังคมของแต่ละคนที่อาศัยอยู่ ซึ่ งมุหมั ดั บินสะหฺ นูนได้มีชีวิตและเจริ ญเติบโต
ในบ้านที่เต็มไปด้วยความรู ้ ซึ่ งบิดาของท่านเป็ นผูท้ ี่มีความเชี่ ยวชาญด้านฟิ กฮฺ ผูท้ ี่เผยแพร่ ทศั นะมา
ลิกีย ์ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่แนวคิดของมุหมั มัดบินสะหฺ นูนจะเน้นหนักในเรื่ อง อัลกุรอาน มารยาท
ของผูส้ อน การยืมหนังสื อ การตีเด็ก เพราะท่านมุหมั ดั บินสะหฺ นูนเป็ นผูไ้ ด้รับความรู ้อนั ดับแรก คือ
จากบิดาของท่าน ผูท้ ี่มีความเชี่ยวชาญทางด้างฟิ กฮฺในทัศนะของมาลิกีย ์
โดยภาพรวมแล้ว แนวคิ ด ทั้ง 2 ท่ า นจะมี ค วามคล้ า ยคลึ ง กัน กล่ า วคื อ ในทุ ก
กระบวนการจัดการศึกษามีการอ้างอิงไปยังอัลกุรอานและซุ นนะ แต่ก็ยงั พบว่ามีความแตกต่างใน
วิ ธี ก ารปลี ก ย่ อ ย เช่ น ด้า นกระบวนการเรี ย นการสอน มุ หัม มัด อิ บ นุ สะหฺ นุ น จะเน้น และให้
ความสาคัญในผูส้ อน ส่ วนบุรฮานุ ดดีน อัลซัรนุ ญีย ์เน้นในเรื่ องผูเ้ รี ยนให้มีความหลากหลาย จาก
ความต่างหรื อจุดเน้นที่ต่างกันทางแนวคิดทั้งสองท่านทาให้เกิดความสมบูรณ์และครอบคลุมในการ
นาไปสู่ การประยุกต์ใช้ในการจัดการเรี ยนการสอน
1.เป้ าหมายและวัตถุประสงค์ของการศึกษา
มุหัมมัด บิน สะหฺนูน บุรฮานุดดีนอัลซัรนูญยี ์
1. เพื่อยึดมัน่ ในศาสนา 1. เพื่อการยาเกรงต่ออัลลอฮฺ
2. เพื่อเผยแพร่ ความรู ้ทางศาสนา 2. เพื่อฝึ กฝนและปลูกฝังจรรยามารยาทที่ดีงามและละทิง้
3. เพิ่มพูนในวิชาความรู ้ ในสิ่ งที่ไม่ดี
4. มีเกียรติยศและศักดิ์ศรี 3.เป็ นหนทางที่จะรู้ถึงความรู้ทางโลก
5. เพื่อแสวงหาปั จจัยยังชีพ 4. เพื่อแสวงหาโลกหน้า
6. เพื่อมารยาทที่ดีงาม 5. เพื่อรักษาไว้ซ่ ึงศาสนาและคงมีไว้ซ่ ึงอิสลาม
6. เพื่อตอบแทนพระคุณของอัลลอฮฺที่ประทานความรู้
7. หลีกเลี่ยงจากการยิง่ ยโสโอ้อวดในวิชาความรู้
8. ห่างไกลจากโลกดุนยา
9. เพื่อฝึ กฝนในการคิดและสรุ ป
10. เพื่อสร้างพลังสมองและใช้สติปัญญาศรัทธา
11. เพื่อการศึกษาอย่างต่อเนื่ อง
12. เพื่อคานึงถึงคุณค่าของความรู ้
315
แนวคิ ด ทางการศึ ก ษาของมุ หัม มัด บิ น สะหฺ นู น และบุ ร ฮานุ ด ดี น อัล ซัร นู ญี ย ์
สอดคล้องกับผลการวิจยั ของฮาซัน บือราเฮง (2553: บทคัดย่อ( ได้ทาการศึกษาเรื่ อง การศึกษาใน
อิสลาม : แนวคิดและกระบวนการจัดการเรี ยนรู ้ พบว่า การศึกษาอิสลามมีมีแนวคิดมาจากฐานที่มา
3 แหล่ง คื อ อัลกุรอาน อัลหะดิ ษ และทัศนะของปราชญ์มุสลิ ม มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาผูเ้ รี ยนให้
เป็ นผูท้ ี่มีความศรัทธามัน่ มี ความจงรั กภักดี ต่ออัลลอฮฺ พระเจ้าผูท้ รงสร้ างสากลจักรวาลและเป็ น
การศึกษาตลอดชี วิต และยังสอดคล้องกับแนวคิดของ อีม่าม อัลเฆาะซาลี ดังนี้ (al-Ghazali, 1986:
66)
1. เพื่อรู้จกั อัลลอฮฺ และสามารถปฏิบตั ิตามคาสอนของอัลลอฮฺ ดว้ ยความบริ สุทธิ์ ใจ
และไม่หลงลืมไปกับโลกวัตถุ
2. เพื่อให้กายและใจปราศจากคุณลักษณะที่ควรแก่การประณามและมีคุณลักษณะ
ที่ดีงามควรแก่การได้รับการยกย่องสรรเสริ ญ
3. เพื่อได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ และสามารถยกระดับความเป็ นเลิ ศเท่า
ทันกับบรรดาปวงชมชั้นสู งจากบรรดามลาอิกะฮฺและมุก็อรรอบีน
นอกจากนั้นมุ หัม มัด บิน สะหฺ นูน ได้ใ ห้ความสาคัญในเรื่ องโลกดุ นยาและอาคิ
เราะห์เป็ นแนวคิดที่มีความสัมพันธ์ระหว่าพระเจ้ากับมนุษญ์ ซึ่งจะแตกต่างกับนักการศึกษาทัว่ ไปที่
316
1. ความรู ้ที่เกี่ยวกับอิบาดาต
2. ความรู ้ที่เกี่ยวกับสังคม เช่น การซื้ อขาย การ
2
โจฮันน์ ไฮน์ริค เปสตาลอซซี่ (Johann Heinrich Pestalozzi) มีชีวิตอยูใ่ นช่วงระยะเวลาระหว่าง ปี ค.ศ.1746ถึง
1827เปสตาลอซซี่ เป็ นนักการศึกษาชาวอิตาเลี่ยน-สวิสเซอร์ แลนด์ซ่ ึ งทฤษฎีทางการศึ กษาที่ คิดนั้นได้กลายเป็ น
พื้นฐานที่สาคัญในการจัดการเรี ยนการสอนระดับปฐมวัย เปสตาลอซซี่ ได้รับอิทธิ พลด้านความคิดจากรุ สโซ เปส
ตาลอซซี่
317
รายละเอียดวิชาที่ใช้ในการจัดการเรี ยน
การสอนได้แก่ วิชาเอกภาพ( )التوحيدวิชาฟิ กฮฺ
วิชา กวีอาหรับ( )الشعرวิชาอัลกุรอาน วิชาการ
คัดลายมือ( )خطวิชาแพทยศาสตร์
ทางธรรม ทั้งนี้ เนื่ องมาจากอิ ทธิ พ ลจากแนวคิ ดเซคคิ วลาร์ ที่ พยายามแยกวิถีก ารดาเนิ นชี วิตและ
ศาสตร์ วิชาความรู ้ ทางธรรมออกจากทางโลก และสาเหตุจากตัวผูส้ อนเองที่ไม่สามารถบูรณาการ
องค์ความรู ้ได้ กล่าวคือ ผูส้ อนที่จบการศึกษาด้านศาสนาไม่สามารถเชื่อมโยงกับองค์ความรู ้ทางโลก
ได้ และผูส้ อนที่จบการศึกษาด้านสามัญไม่สามารถเชื่ อมโยงองค์ความรู ้ ดา้ นศาสนาในการจัดการ
เรี ยนการสอนได้
3.กระบวนการเรี ยนการสอน
แนวคิดทางการศึกษาของมุหัมมัด บิน สะหฺ นูนและบุรฮานุ ดดี นอัลซัรนูญีย ์ ด้าน
กระบวนการเรี ยนการสอนจะมีรูปแบบและวิธีการที่หลากหลายเพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่ายในการ
เรี ยนตลอดจนเพื่อให้ผเู ้ รี ยนเกิ ดการเรี ยนรู ้ ดว้ ยทักษะวิธีการที่หลากหลายเช่ นกัน ซึ่ งสอดคล้องกับ
รู ปแบบและวิธีการสอนของท่านนบี ดังผลงานวิจยั ของ ยุทธนา เกิ้อกูล (2550: บทคัดย่อ( ได้ทาการ
วิจยั เกี่ ยวกับ วิทยาการสอนของท่านนบีมุฮมั มัด ผลการวิจยั พบว่า 1( รู ปแบบการสอนของท่านนบี
มุฮมั มัด ได้แบ่งออกเป็ น 2 รู ปแบบคื อ การสอนเป็ รายบุ คคลและการสอนเป็ นรายกลุ่ม 2( วิธีการ
สอนของท่านนบีมุฮมั มัด มีความโดดเด่นและมีความหลากหลาย อาทิเช่น วิธีการสอนแบบบรรยาย
การสอนแบบสาธิ ต การสอนแบบอภิปราย การสอนแบบฝึ กฝนและปฏิบตั ิ การใช้คาถาม การสอน
แบบตักเตือน การสอนแบบตัรฆีบและตัรฮีบ ฯลฯ ท่านนบมุฮมั มัดมิได้จากัดวิธีสอนวิธีใดวิธีหนึ่ ง
เป็ นการเฉพาะเจาะจงในการสอนแต่ละครั้งของท่าน แต่ท่านจะใช้วิธีการสอนและเทคนิ คการสอน
ตามความเหมาะสมของแต่ละบทเรี ยน และตามสถานการณ์ที่หลากหลาย ดังนั้น วิทยาการสอนของ
ท่านจึ ง เป็ นวิท ยาการสอนที่ ส มบู รณ์ และได้ถ่ ายทอดจวบจนมาถึ ง ปั จจุ บนั และยังสอดคล้องกับ
ผลการวิจยั ของ ฮาซัน บื อราเฮง (2553: บทคัดย่อ( ได้ท าการศึ ก ษาเรื่ อง การศึ ก ษาในอิ ส ลาม :
แนวคิ ดและกระบวนการจัดการเรี ยนรู ้ พบว่า กระบวนการจัดการเรี ยนรู้ ในอิสลามประกอบด้วย
องค์ประกอบที่สาคัญ คือ หลักสู ตรที่ครอบคลุมและสมดุล กิจกรรมการเรี ยนรู ้ที่มีประสิ ทธิ ภาพ สื่ อ
การเรี ยนรู ้ ที่เหมาะสม กระบวนการสอนที่มีคุณภาพ และการวัดประเมินผลที่ต่อเนื่ อง นอกจากนี้
กระบวนการเรี ยนรู ้ ในอิสลามมิได้จากัดรู ปแบบที่ตายตัวหรื อวิธีการใดวิธีการหนึ่ งเฉพาะ แต่เน้น
รู ปแบบการจัดการเรี ยนรู ้ ที่หลากหลาย คานึ งถึ งความเหมาะสมของผูเ้ รี ยนและไม่ขดั กับหลักการ
อิสลาม
จุดเน้นประการส าคัญของ บุ รฮานุ ดดี น อัล ซัรนู ญีย ์ คื อการนาวิธี ก ารสอนแบบ
ผูเ้ รี ยนเป็ นศูนย์กลางมาใช้ในการจัดการเรี ยนการสอน สอดคล้องกับแนวคิดของ จอห์น ดิวอี้ (John
Dewey) ซึ่ งเป็ นต้นคิดในเรื่ องของ “การเรี ยนรู้โดยการกระทา” หรื อ “Learning by Doing” (Dewey
,1963) อันเป็ นแนวคิดที่แพร่ หลายและได้รับการยอมรับทัว่ โลกมานานแล้ว การจัดการเรี ยนการ
320
สอนโดยให้ผูเ้ รี ยนเป็ นผูล้ งมื อปฏิ บตั ิจดั กระทานี้ นับว่าเป็ นการเปลี่ ยนบทบาทในการเรี ยนรู ้ ของ
ผูเ้ รี ยนจากการเป็ น “ผูร้ ับ” มาเป็ น “ผูเ้ รี ยน” และเปลี่ ยนบทบาทของครู จาก “ผูส้ อน” หรื อ “ผู้
ถ่ายทอดข้อมูลความรู ้ ” มาเป็ น “ผูจ้ ดั ประสบการณ์ การเรี ยนรู้ ” ให้ผูเ้ รี ยน ซึ่ งการเปลี่ยนแปลง
บทบาทนี้ แท้จริ งแล้ว บุรฮานุดดีน อัลซัรนูญีย ์ ได้เสนอแนวคิดการสอนแบบผูเ้ รี ยนเป็ นสาคัญก่อน
จอห์น ดิ วอี้ เป็ นร้ อยๆปี มาแล้ว และอีก หลากหลายแนวความคิดที่อ ัล ซัรนู ญียไ์ ด้เสนอและถู ก
นามาใช้ในกระบวนการเรี ยนการสอนปั จจุบนั เช่น
1( เสรี ภาพทางการศึกษา
ปั จจุบนั ได้มีการเรี ยกร้องในเรื่ องสิ ทธิ เสรี ภาพทางศึกษาซึ่ งอัล ซัรนูญียไ์ ด้นาเสนอ
แนวคิ ด ดัง กล่ า วไว้ก่ อ นนัก คิ ด ทางการศึ ก ษาหลายๆท่ า น จนกลายเป็ นแหล่ ง อ้า งอิ ง ให้ ก ับ นัก
การศึ ก ษาปั จจุ บ นั หนึ่ ง ในบรรดานัก การศึ ก ษาเหล่ า นั้น คื อ โจฮัน ไฮริ ช เปสตาลอสซี่ โดยได้
เรี ยกร้องให้ผสู ้ อน ให้เกียรติผเู ้ รี ยน และให้สิทธิ เสรี ภาพเพื่อให้ความสนใจของผูเ้ รี ยนปรากฏออกมา
(al-Ibrashi:1950:3)
3.การศึกษาอย่างต่อเนื่อง
บุรฮานุ ดดีน อัลซัรนูญีย ์ มองว่าการศึกษาจะต้องมีความต่อเนื่ อง เริ่ มตั้งแต่ในเปล
จนถึ งหลุ มฝั งศพ และท่านยังตัก เตื อนว่า มิ ให้มีการหยุดพักจากการศึ กษาเพราะมันจะทาให้แรง
บันดาลใจในการศึกษาลดลง อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
“และจงกล่าวเถิดข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ขอพระองค์ทรง
โปรดเพิ่มพูนความรู ้แก่ขา้ พระองค์ดว้ ย”(ฏอฮา :11)
4.ความเข้าใจ
อัลซัรนู ญียไ์ ด้ต้ งั เงื่ อนไขในการศึกษาว่า ให้นกั ศึกษารับในสิ่ งที่เขาเข้าใจและห่ าง
ใกลจากสิ่ งที่ไม่เข้าใจเพราะมันจะนามาซึ่ งความขี้ เกี ยจ และเสี ยเวลา และมันยังขจัดความเฉลี่ ยว
ฉลาดให้หายไป โจฮันน์ ไฮน์ริค เปสตาลอซซี่ ได้เน้นในการสร้างความเข้าใจในการเรี ยนการสอน
ซึ่ งท่านได้เรี ยกร้ องให้ผสู ้ อนพยายามให้เวลากับผูเ้ รี ยนในทุ กจุดของการเรี ยนเพื่อความเข้าใจของ
ผูเ้ รี ยน(Shafshaq,n.d.:239)
นางมาเรี ย มอนเตสซอรี ได้เน้นและให้ความสาคัญในการสร้างความเข้าใจในการ
อ่านและเขียน ซึ่ งแท้จริ งการเขียนไม่ใช่การโอนย้ายตัวอักษรแต่การเขียนคือการทาความเข้าใจกับ
ตัวอักษรที่ได้อ่าน(abdulaziz:1978:67)
322
5.การศึกษาแบบค่อยเป็ นค่อยไป
อัลซัรนู ญียไ์ ด้ให้ความสาคัญในการเรี ยนการสอน ถึ งการศึกษาแบบค่อยเป็ นค่อย
ไป กล่าวคือผูเ้ รี ยนควรเริ่ มเรี ยนสิ่ งที่ใกล้กบั ความเข้าใจของผูเ้ รี ยนก่อน โดยเฉพาะในการกาหนดสิ่ ง
ที่จะเรี ยนสิ่ งที่ท่องจาได้
ไทเลอร์ มีแนวคิดว่า การจัดช่วงลาดับ (sequence) หมายถึง หรื อการจัดสิ่ งที่มีความง่าย ไปสู่ สิ่ง
ที่มีความยาก ดังนั้นการจัดกิจกรรมและประสบการณ์ ให้มีการเรี ยงลาดับก่อนหลัง เพื่อให้ได้เรี ยนเนื้ อหาที่ลึกซึ้ ง
ยิง่ ขึ้น
4. ผูส้ อน
แนวคิดการศึกษาด้านผูส้ อนของมุหมั มัด บิน สะหฺ นูนและบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญีย ์
ต่างก็มีความคล้ายคลึ งกัน โดยภาพรวมคุ ณลักษณะของผูส้ อนจะต้องมีความยาเกรงต่ออัลลอฮฺ มี
ความรับผิดชอบ มี ความบริ สุทธิ์ ใจ มี ความเสี ยสะอย่างเต็มที่ ในการทาหน้าที่ มีบุคลิ กภาพที่ ดี มี
เมตตาต่อผูเ้ รี ยน มี ความรู ้ จริ งในสาขาที่สอน เป็ นต้น มุหัมมัด บิน สะหฺ นูนจะให้ความสาคัญและ
อธิ บายเกี่ยวกับคุณลักษณะของผูส้ อนได้อย่างละเอียด โดยการแบ่งคุณลักษณะของผูส้ อนออกเป็ น 4
ด้า นคื อ คุ ณลัก ษณะด้า นวิชาชี พ คุ ณลัก ษณะด้านการ คุ ณลักษณะส่ วนตัว และคุ ณลัก ษณะด้า น
ความสัมพันธ์ กบั ผูเ้ รี ยน สอดคล้องกับแนวคิ ดของ Abu Hamid al-Ghazali (1992: 77-82( ได้
กล่าวถึงคุณลักษณะของผูส้ อนด้านความสัมพันธ์กบั ผูเ้ รี ยน ดังนี้
1. ปฏิบตั ิต่อผูเ้ รี ยนด้วยความรัก ความเมตตาและอ่อนโยน
2. ผูส้ อนจะต้องปฏิบตั ิตามแบบอย่างของท่านรอซู ้ล คือการเรี ยนการสอนไม่ควรมี
เจตนาเพื่อแสวงหาผลตอบแทน
3. ผูส้ อนต้องให้คาชี้แนะแนวทางแก้ผเู ้ รี ยน เช่น ไม่ให้ขา้ มไปเรี ยนวิชาในระดับสู ง
ในขณะที่ยงั ไม่ได้ผา่ นการเรี ยนวิชาพื้นฐาน
4. สอดแทรกสิ่ งที่ละเอียดอ่อนเข้าในในการเรี ยนการสอน เช่นการพยายามปลูกฝัง
นิสัยที่ดีแก่ผเู ้ รี ยน
5. ครู ตอ้ งมีความรับผิดชอบอย่างจริ งจังต่อวิชาที่สอน
6. หากผูเ้ รี ยนมีสติปัญญาด้อย ผูส้ อนควรสอนให้เหมาะสมกับระดับสติปัญญาของ
ผูเ้ รี ยน
สอดคล้องกับ Watchareeya Wanglem (1997:43-60 อ้างจาก ซอลีฮะห์ หะยีสะมะ
แอ, 2546 :21( ได้กล่าวถึงผูส้ อนทางด้านวิชาชีพและด้านสังคม โดนสรุ ปจากแนวคิดหรื อทัศนะของ
บรรดานักปราชญ์ นักการศึ กษาของมุ สลิ ม อาทิ เช่ น อิม่าม อัล-เฆาะซาลี , อิบนุ ญามาอะฮฺ , Talat
Sultan ดังนี้
1. มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาที่สอน
2. มี จิตวิญญาณแห่ งความเป็ นครู ยึดมัน่ ในคุ ณธรรมและจรรยาบรรณครู ในการ
สอน
324
จากการวิเคราะห์ ขอ้ มู ล พบว่า ระดับ ความคาดหวัง ของครู อิส ลามศึ กษาต่ อการ
ประยุกต์ใช้แนวคิดทางการศึกษาของมุหมั มัด บิน สะหฺ นูนและบุรฮานุ ดดีนอัลซัรนูญียใ์ นโรงเรี ยน
เอกชนสอนศาสนาอิ ส ลามทั้ง 5 ด้ า น คื อ เป้ าหมายและวัต ถุ ป ระสงค์ ก ารศึ ก ษา หลัก สู ต ร
กระบวนการเรี ยนการสอน ผูส้ อน และ ผูเ้ รี ยน อยูใ่ นระดับมากแต่ไม่ถึงขั้นดีมาก ทั้งนี้ อนั เนื่ องจาก
ส่ วนใหญ่ของความคาดหวังของครู อิสลามศึ กษายังไม่เข้าใจและไม่มีความรู ้ เกี่ ยวกับแนวคิ ดทาง
การศึกษาของ มุหมั มัด บิน สะหฺ นุนและบุรฮานุดดีน อัลซัรนูญี
7.3 ข้ อเสนอแนะการวิจัย
จากการวิจยั เรื่ อง แนวคิดทางการศึกษาของมุหัมมัด บิน สะหฺ นูนเละบุรฮานุ ด
ดี น อัล ซั ร นู ญี ย ์ ก ับ การประยุ ก ต์ ใ ช้ ใ นโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิ ส ลามผู้วิ จ ัย มี ป ระเด็ น
ข้อเสนอแนะดังนี้
บรรณานุกรม
ก. ภาษาต่ างประเทศ
Abduni, Kamel.2004.Haqiqatul Mu’allim wal Mu’ta’allim bil Fikr at-Tarbawi al-Islami. (حقيقة
)ادلعلم وادلتعلم ابلفكر ال رتبوي اإلسالمي.Irbid:Darul Kitab al-Thaqafi.
Abu al-Fida’, Isma’il Ibn Kathir.1993.Tasir al-Quran al-Azim) (تف سري الفرآن العظيم.Beirut: Dar
al-Khair li al-Tiba’ah.
Abu Dawud, Sulaiman Bin al-Ash‘ath al-Sajastani al-Azdi. 1969. Sunan Abi Dawud. (سنن
)أيب داود. Beirut : Dar al-Hadith
Ahmad Bin Muhammad Bin Hanbal. 1995. al-Musnad li al-Imam Ahmad Bin Muhammad
Bin Hanbal. ( ) ادلسند لإلمام أمحد بن حنبل. al-Qahirah : Dar al-Hadith
al-Ahwani, Ahmad, Fuad.d.n. al-tarbiah fil Islam )(ال رتبية يف اإلسالم.Cairo.Darul Maarif.
Al-Hakim, Abu ‘Abdullah Muhammad Ibn ‘Abdullah al-Nisaburi. 2002. AlMustadrak ‘Ala al-
Sahihayn ( )ادلستدرك على الصحيحني. Mustafa ‘Abdulqadir ‘Ata, tahqiq. Beirut: Dar al-
Kutub al-‘Ilmiyah.
al-Hamidi,Zahroh Muhammad. d.n. al-A’ra’al-Tarbawiah inda Shaeik Abdullah Muhammad al-
Khulaifi)(اآلراء ال رتبوية عند الشيخ عبد هللا بن دمحم اخلليفي.
al-Qadi Iyad, Iyad Bin Musa.1998.Tartibulmadarik wa Taqribul masalik (ترتيب ادلدارك وتقريب
)ادلسالك.Beirut:Dar al-Kutub al-Ilmiah.
al-Nahwee, Adnan Bin Ali Rida Bin Muhammad.2000.Annahjul Imani li al-Tafkir.Dar al-
Nahwee.
al-Zarnuji wa al-Shaukani)( دراسة مقارنة لنسق التعلم لدى كل من الزرنوجي والشوكاين.Buhus al-
Mu’ tamar al-Tarbawi
Hashim ‘Ali al-Ahdal. 1413. al-Tarbiyyat al-Dhatiyyah Min al-Kitab wa al-Sunnah. (الرتبية
)الذاتية من الكتاب والسنة. Dar al-Ahadal : Makkat al-Mukarramah
335
Ibn A’rad,Abusaeid Ahmad Bin Muhammad.n.d.Mukjam Ibn A’rabi( )معجم ابن األع رايبSaudi
Arabia:Dar Ibn Jauzi
Ibn Abdilbar,Abu Umar Yusuf Bin Abdillah.1994.Jamie bayan al-Ilm wa fadlih( جامع بيان العلم
)و ضلهSaudi Arabia:Dar Ibn al-Jauzi
Ibn Eyad,Abu al-Fadl Eyad Bin Musa.1968.Ta’rajum Aglabiah Mustakhrajah min Madarik al-
Qadi Eyad)) ت راجم أغلبية مستخرجة من مدارك القاضي عياض.al-
Talibi,Muhammad.Tunisia:al-Matbaah al-Rasmiah.
Ibn Hajar,Ahmad Bin Ali bin Hajar.1986.Lisanulmizan)(لسان ادلي زان.Dar al-Ma’a’rif al-
Nizamiyah.Beirut:Mu’assasah al-A’lami
Ibn Khaldun. 1978. al-Muqaddimah ) ( ادلقدمة. Beirut : Dar al-Qalam
Ibn Majah,Abu Abdillah Muhammad Bin Yazid.2009.Sunan Ibn Majah()سنن ابن ماجةal-Arna-ub
Shuaib.Dar Risala al-A’lamiah
Ibn Qayyim Aljauziah.2011.Mitah Dar Assaadah wa Manshur Wilayati Alilm wal
Iradah.Abdulrahman Hasan Qaid.Jeddah:Mujammaa Fiqh Alislami.
Muhammad nasir.1977.al-Fikr al-Tarbawi al-Arabi al-Islami )( الفكرى الرتبوي العريب اإلسالمي
.Kuwait:Wikalah al-Matbua.
Mahjub, Abbas.1987.Nahwu Minhaj al-Islami fi al-Tarbiah wa al-Ta’lim (حنو منهج اإلسالمي يف
)ال رتبية والتعليم.Dimashq:Dar Ibn Kathir.
Muslim, Abu al-Husein Muslim Bin Hujjaj al-Qushairi al-Naisaburi. 1996. Sahih Muslim.
)(صحيح مسلم. al-Riyad : Dar ‘Alam al-Kutub
Saiyid Ahmad Uthman.1989.al-Taalum inda Burhanul Islam al-Zarnuji (التعلم عند برهان اإلسالم
)الزرنوجيCairo : Maktabah al-Anjalu al-Misriah.
Shamsuddin,Nur Abdul Amir.1985.al-Fikr al-Tarbawi inda Ibn Sahnun wal Qabisi (الفكر الرتبوي
)ع ند ابن سحنون والقابسي,Bairut:Dar al-Faraa.
ข. ภาษาไทย
กมลรัตน์ หล้าสุ วงษ์. 2528. จิตวิทยาการศึกษาฉบับปรั บปรุ งใหม่ . พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุ งเทพมหานคร :
ห้างหุ น้ ส่ วนจากัดศรี เดชา.
ปรี ยาพร วงศอ์ นุตรโรจน์ . 2544. ม.ป.ป. การบริหารงานวิชาการ .กรุ งเทพมหานคร : ศูนย์สื่อเสริ ม
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542
ภาคผนวก
341
ภาคผนวก ก
หนังสื อขอความอนุเคราะห์
342
บันทึกข้อความ
ส่ วนราชการ วิทยาลัยอิสลามศึกษา สานักงานเลขานุการ โทร. 084-3968782
ที่ มอ 751/ วันที่ 7 กันยายน 2558
เรื่ อง ขอความอนุเคราะห์เป็ นผูเ้ ชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่ องมือวิจยั
เรี ยน ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.อะห์มดั ยีส่ ุ่ นทรง
ด้ว ยนายอาหะมะ คาเด นัก ศึ ก ษาระดับปริ ญญาเอก สาขาวิชาอิ ส ลามศึ ก ษา
วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิท ยาลัยสงขลานคริ นทร์ วิทยาเขตปั ตตานี กาลังทาวิทยานิ พนธ์ เรื่ อง
“แนวคิดทางการศึกษาของมุหัมมัด บิน สะหฺ นูนและบุรฮานุ ดดีนอัลซัรนู ญียก์ บั การประยุกต์ใช้ใน
โรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม”โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.อิบรอฮีม ณรงค์รักษาเขต เป็ น
อาจารย์ที่ปรึ กษา
ในการนี้ วิท ยาลัย อิ ส ลามศึ ก ษา พิ จ ารณาแล้ว เห็ นว่า ท่ า นเป็ นผู ม้ ี คุ ณสมบัติ
เหมาะสม จึ งใคร่ ขอความอนุ เคราะห์ จากท่านได้กรุ ณาเป็ นผูเ้ ชี่ ย วชาญในการตรวจสอบความ
เที่ยงตรงตามวัตถุประสงค์ของแบบสอบถาม ตลอดทั้งให้ขอ้ เสนอแนะอื่นๆ เพื่อเป็ นข้อมูลสาหรับ
ผูว้ ิจยั ในการปรับปรุ งเครื่ องมือเพื่อการวิจยั ต่อไป พร้อมนี้ ขอส่ งแบบสอบถามและข้อมูลสาหรับ
ผูเ้ ชี่ยวชาญตรวจแบบสอบถามวิทยานิพนธ์ จานวน 1 ชุด
จึงเรี ยนมาเพื่อโปรดพิจารณาให้ความอนุเคราะห์ดว้ ย จักขอบคุณยิง่
(ดร.ยูโซะ ตาเละ)
ผูอ้ านวยการวิทยาลัยอิสลามศึกษา
343
ขอแสดงความนับถือ
(ดร.ยูโซะ ตาเละ)
ผูอ้ านวยการวิทยาลัยอิสลามศึกษา
สานักงานเลขานุการ
โทรศัพท์ 084-3968782
โทรสาร 0 7333 1305
344
ขอแสดงความนับถือ
(ดร.ยูโซะ ตาเละ)
ผูอ้ านวยการวิทยาลัยอิสลามศึกษา
สานักงานเลขานุการ
โทรศัพท์ 084-3968782
โทรสาร 0 7333 130
345
ขอแสดงความนับถือ
สานักงานเลขานุการ
โทรศัพท์ 084-3968782
โทรสาร 0 7333 1305
346
ขอแสดงความนับถือ
สานักงานเลขานุการ
โทรศัพท์ 084-3968782
โทรสาร 0 7333 1305
347
ภาคผนวก ข
เครื่ องมือทีใ่ ช้ ในการวิจัย
348
แบบสอบถามการวิจัย
เรื่ อง แนวคิดทางการศึกษาของมุหัมมัด บิน สะหฺนูนและบุรฮานุดดีนอัลซัรนูญยี ์
กับการประยุกต์ ใช้ ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม
ระดับการประยุกต์ ใช้
ประเด็น/ด้ าน ข้ อคาถาม
5 4 3 2 1
1. ด้ านปรั ชญาและเป้ าหมายของ ท่ านคิดว่ าโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลามควรมี
การศึกษา ปรั ชญาและเป้ าหมายของการศึ กษาในเรื่ องต่ อไปนี้
อยู่ในระดับใด
1.1 ปรั ช ญาและเป้ า หมายของ
การศึ ก ษาของมุ หั ม มั ด บิ น สะหฺ
นูน
1.เพื่อยึดมัน่ ในศาสนา
2.เพื่อเผยแพร่ ความรู ้ทางศาสนา
3.เพื่อเพิ่มพูนในวิชาความรู ้
4.เพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรี
5.เพื่อแสวงหาปัจจัยยังชีพ
6.เพื่อจรรยามารยาทที่ดีงาม
1.2ปรั ชญาและเป้ าหมายของ
ก า ร ศึ ก ษ า ข อ ง บุ ร ฮ า นุ ด
ดีนอัลซัรนูญยี ์
7.เพื่อการยาเกรงต่ออัลลอฮฺ
8.เพื่ อฝึ กฝนในจรรยามารยาทอัน ดี ง ามและสู ง ส่ ง
พร้อมละทิ้งในสิ่ งที่ไม่ดี
9.เพื่อเป็ นแนวทางศึกษาถึงความรู ้ทางโลกนี้
10.เพื่อแสวงหาโลกหน้า
11.เพื่อรักษาไว้ซ่ ึงศาสนาและคงมีไว้ซ่ ึงอิสลาม
12.เพื่อตอบแทนพระคุณของอัลลอฮฺ
13.เพื่อหลีกเลี่ยงจากการยิง่ ยโสโอ้อวดในวิชาความรู ้
14.เพื่อห่างไกลจากโลกดุนยา
15.เพื่อฝึ กฝนทักษะการคิดและสรุ ปผล
16.เพื่อศรัทธาด้วยการใช้สติปัญญา
17.เพื่อการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
350
18.เพื่อคานึงถึงคุณค่าของความรู ้
2. ด้ านหลักสู ตร ท่ านคิดว่ าโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลามควรมี
หลั ก สู ต รการเรี ย นการสอนในเรื่ อ งต่ อ ไปนี้ อ ยู่ ใ น
ระดับใด
2.1หลัก สู ต รการศึ ก ษาของมุ หั ม
มัด บิน สะหฺนูน
19.มีการจาแนกระหว่างวิชาบังคับกับวิชาเลื อก โดย
วิชาอัลกุรอาน เป็ นวิชาบังคับ และวิชา คณิ ตศาสตร์
กวี ค าแปลก ภาษาอาหรั บ และการเขี ย นหลัก ไว
ยกรณ์อาหรับเป็ นวิชาเลือก
20.หลัก สู ต รได้เ น้น เนื้ อ หาวิช า เช่ น กวี ค าแปลก
ภาษาอาหรับและการเขียน หลักไวยกรณ์อาหรับ
21.บังคับผูเ้ รี ยนต้องศึกษาอัลกุรอาน
22.หลักสู ตรควรบู รณาการระหว่างความรู ้ ทางโลก
ดุนยาและอาคิเราะห์
23.หลักสู ตรควรเน้นพัฒนาผูเ้ รี ยนด้านจิตวิญญาณ
ถ่อมตนต่อเอกอัลลอฮฺ
4 ความรู ้ที่เกี่ยวกับจรรยามารยาท
71.ทุ่มเทเวลาให้กบั การศึกษา
72.สร้างความตื่นเต้น ()التشويق
73.การศึกษาอย่างต่อเนื่อง
74.เลือกช่ วงเวลาที่ดีที่สุดในการศึกษาหาความรู ้ คือ
ช่ ว งเช้ า ช่ ว งสุ หู ร (ก่ อ นละหมาดซุ บ ฮฺ ) และช่ ว ง
ระหว่างมัฆริ บและอิชาอฺ
75.ศึกษาหาวิชาความรู ้ที่หลากหลายเมื่อมีความรู ้สึก
เบื่อในวิชาที่ได้เรี ยนก็หนั ไปศึกษาในวิชาอื่น
76.เตรี ยมพร้อมในเรื่ องอุปกรณ์การเขียน
77.ผูเ้ รี ยนไม่ควรนอนและกินมากเกินไป
78.หันหน้าไปทางทิศกิบละฮฺในเวลาเรี ยน
79.ใกล้ชิดกับบุคคลที่ศอลิหฺและห่ างไกลกับบุคคลที่
ชอบทาบาปและทาชัว่
80.อ่านดุอาอฺ ก่อนเริ่ มอ่านหนังสื อ
81.กล่าวสรรเสริ ญต่อท่านนบี
82.ให้ความสาคัญและให้เกียรติกบั หนังสื อ
83.ทาการซิวากหรื อแปรงฟัน
4. ด้ านผู้สอน ท่ านคิดว่ าโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลามควรมี
แนวคิดเกีย่ วกับผู้สอนในเรื่ องต่ อไปนีอ้ ยู่ในระดับใด
4.1ผู้ ส อนตามแนวคิ ด ของมุ หั ม
มัด บินสะหนูน
4.1.1 ภาระหน้าที่ของผูส้ อน
84.ดูแลและให้ความสาคัญกับผูเ้ รี ยน
85.ผูส้ อนควรให้เวลากับการสอนอย่างเต็มที่
86.ผูส้ อนไม่ควรดาเนิ นภารกิ จหรื อกิ จการใดๆที่ไป
รบกวนกิ จการการสอนนอกจากในเวลาที่ไม่มีการ
355
เรี ยนการสอน
87.ไม่ควรที่ จะกาชับให้คนหนึ่ งคนใดไปช่ วยสอน
นอกจากว่ามันจะให้ประโยชน์กบั ผูเ้ รี ยน
88.ผูส้ อนไม่ควรที่จะสั่งใช้ผูเ้ รี ยนไปรับใช้ในความ
ต้องการส่ วนตัวของผูส้ อน
89.ผูส้ อนไม่ควรที่จะสอนอัลกุรอานแลตารับตารา
ให้กบั บุตรของชนต่างศาสนิก
90.ผูส้ อนผูช้ ายไม่ควรที่จะสอนผูเ้ รี ยนผูห้ ญิง ไม่ควร
ที่จะรวมเรี ยนระหว่างผูห้ ญิงกับผูช้ าย
91.ผูส้ อนไม่มุ่งเป้ าหมายชี วิตไปที่ความสุ ขทางโลก
ดุ น ยาโดยใช้วิ ช าความรู ้ เ ป็ นเครื่ อ งมื อ ในการหา
ทรัพย์สิน ตาแหน่ง ลาภยศและอื่นๆ
92.ไม่ ค วรที่ จ ะให้ ผู ้เ รี ย นศึ ก ษากับ ผู ้เ รี ย นด้ว ยกัน
นอกจากด้วยการอนุ ญาตจากผูป้ กครอง หรื อ บ้าน
ของผูเ้ รี ยนอยูใ่ กล้กนั
93.ในขณะที่ มีการเรี ยนการสอนไม่ควรที่ จะละทิ้ ง
ภาระหน้าที่ด้วยการไปละหมาดศพ(ละหมาดญินา
ซะฮฺ)
94.ผูส้ อนไม่ ค วรที่ จะให้ผูเ้ รี ย นขาดเรี ย นนอกจาก
ด้วยการอนุญาตจากผูป้ กครอง
95.ผูส้ อนไม่ควรที่จะเขี ยนหรื ออ่านในขณะที่มีการ
เรี ยนการสอนนอกจากหลังเสร็ จภาระกิ จการเรี ย น
การสอน
4.1.2 บุคลิกภาพของผูส้ อน
4.1.2.1 ด้านวิชาความรู ้
96.ท่องจาอัลกุรอาน โดยสามารถรู ้หุก่มตัจวีด
97.มี ความรู ้ เกี่ ยวกับฟิ กฮฺ เพื่อที่สามารถสอนเด็กใน
เรื่ องของการละหมาดและบทบัญญัติต่างๆที่เกี่ยวกับ
การละหมาด การอาบน้ าละหมาด และเงื่อนไขตางๆ
356
ของการละหมาด
98.มี ค วามรู ้ เ กี่ ย วกับ ไวยกรณ์ ภ าษาอาหรั บ เพื่ อ
สามารถที่ จะสอนเด็กเกี่ ยวกับหลักพื้นฐานของการ
เขียนด้วยหลัก ไวยกรณ์ ภาษาอาหรับ และสามารถ
แต่งประดยคได้อย่างถูกต้อง
99.สื บค้น และอ่านเพิ่มเติมจากตาราที่เป็ นมรดกทาง
วิช าการ เพื่ อ ผู เ้ รี ย นสามารถท่ อ งจ าบทกวีอ าหรั บ
และที่สาคัญอย่างยิ่งผูส้ อนการคัดหลายมือ ต้องเป็ น
ผูท้ ี่มีลายมือการเขียนที่สวยงาม
4.1.2.2 ด้านมารยาทของผูส้ อน
100.บริ สุทธิ์ ใจ(อิคลาส)
101.มีความยาเกรงต่อเอกองค์อลั ลอฮฺ
102.มีความรู ้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่
103.มีความอ่อนโยน รักและเอ็นดูผเู ้ รี ยน
104.เสี ยสละเวลาให้กบั ผูเ้ รี ยน
105.มีความสุ ขุมรอบคอบและการรู ้ จกั ยับยั้งตนเอง
หรื อ อัลวัรอฺ()الورع
4.1.2.3 การลงโทษ
1) เงื่อนไขของการลงโทษ
106. มีเป้ าหมายเพื่อเด็กได้รับประโยชน์จากการ
ลงโทษ
107. ผูส้ อนไม่ควรตีเกิ นสามครั้ง นอกจากจะได้รับ
อนุญาตจากผูป้ กครอง
108.ผูส้ อนควรลงโทษเด็ก ด้วยตนเอง และควรใช้
ความเมตตาในการตี
109.ไม่ควรที่จะตีผเู ้ รี ยนในขณะที่มีความโกรธแค้น
110.ห้ามด่าและใช้คาที่ไม่สุภาพ
357
121.มีบุคลิกภาพที่ดี
ต่ออัลลอฮฺ
146.พยายามหลีกเลี่ยงจากจารยามารยาทที่ไม่ดี
147.พยายามลดความสัมพันธ์กบั โลกดุนยา
148.ทุ่มเทความพยายามอย่างพอดิบพอดีในการเรี ยน
ไม่นอ้ ยและไม่มากเกินไปเพื่อมิให้เบื่อหน่ายและละ
ทิ้งการเรี ยน
149.มีความกระตือรื อร้น
150.อดทนในการศึกษาหาความรู ้
5.2.4 มารยาทของผู ้เ รี ย นต่ อ
ผูส้ อน
151. สร้างความใกล้ชิดกับผูส้ อนและเพื่อนฝูง
152. การถ่อมตนและให้เกียรติผสู ้ อน
153. ให้เกียรติลูกหลานของผูส้ อน
5.2.5 มารยาทของผูเ้ รี ยนต่อเพื่อน
ฝูง
154.พยายามห่ า งไกลจากการนิ น ทาผู ้อื่ น และนั่ ง
ร่ วมกับผูท้ ี่ชอบพูดในเรื่ องที่ไม่เป็ นสาระ
วันที่..............เดือน...........................พ.ศ.2558
361
แบบสั มภาษณ์
โครงการวิจัย เรื่ องแนวคิดทางการศึกษาของมุหัมมัด บิน สะหฺนูนและบุรฮานุดดีนอัล-ซัรนูญีย์กบั
การประยุกต์ ใช้ ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม
****************************
ข้ อมูลพืน้ ฐาน
ชื่ อ.............................นามสกุล..................
เพศ .........................อายุ......................ปี
ตาแหน่งผูใ้ ห้สัมภาษณ์...................................................................................
หน่วยงาน.................................................................
เวลาเริ่ มต้นสัมภาษณ์...................................วันที่...........................................
ผูส้ มั ภาษณ์...........................................................
วันที่......................................................................
เวลา.......................................................................
363
ภาคผนวก ค
การหาค่ าความสอดคล้องข้ อคาถามกับวัตถุประสงค์ ของแบบสอบถามเพื่อการวิจัย
(Item Objective Index : IOC)
364
ภาคผนวก ง
การตัครีจญ์ หะดีษ
369
ภาคผนวก จ
ตัวอย่ างหนังสื ออาดาบุลมุอลั ลิมนี
และหนังสื อตะอฺลมี ุลมุตะอัลลิมเตาะรีกอตตะอัลลุม
378
379
380
381
382
383
384
385
386
387
388
ประวัติผู้เขียน
วุฒิการศึกษา
วุฒิ ชื่ อสถาบัน ปี ทีส่ าเร็จการศึกษา
ปริ ญญาตรี (อัลหะดีษและอิสลามศึกษา) มหาวิทยาลัยอิสลามมะดีนะ 2002
ปริ ญญาโท (อิสลามศึกษา) มหาวิทยาลัยยัรมูก 2007
ทุนการศึกษา
ได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาจากสา นักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ) ใน
โครงการเครื อข่ายเชิงกลยุทธ์เพื่อการผลิตและพัฒนาอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา
ผลงานวิชาการ
ก. ผลงานวิจยั
1.นักวิจยั ร่ วมโครงการสถานภาพและการปรับตัวของสตรี มุสลิมหม้ายในสาม
จังหวัดชายแดนภาคใต้ กรณี ศึกษาสตรี มุสลิมหม้าย อาเภอรามัน จังหวัดยะลา
(แหล่งทุน สกว. ปี 2554)
2.นักวิจยั ร่ วมความเชื่อมโยงทางสังคมและวัฒนธรรมมุสลิมอาเซี ยน ผ่านการ
เผยแพร่ ศาสนาญามาอะฮฺตบั ลิฆแหล่งทุน มหาวิทยาลัยฟาฏอนี ปี 2555)
ข.บทความ
1.แนวคิดทางการศึกษาของอิบนุสะหฺ นูนในหนังสื ออาดาบุลมุอลั ลิมีน
2.แนวทางการดะอฺวะหฺ ของ ดร.ยีหาด มุหมั มัด
ด้ วยพระนามแห่ งอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ