พรบ ระเบียบข้าราชการพลเรือน 2551 แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 2 พศ 2558

You might also like

Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 45

พระราชบัญญัติ

ระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑
-------------------
ภูมพิ ลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็ จ พระปรมิ น ทรมหาภู มิ พ ลอดุ ล ยเดช มี พระบรมราชโองการโปรดเกล้ า ฯ
ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจากัดสิทธิและเสรีภ าพของบุคคล
ซึ่ง มาตรา ๒๙ ประกอบกับ มาตรา ๓๑ มาตรา ๓๓ มาตรา ๔๓ และมาตรา ๖๔ ของรัฐ ธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทาได้โดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึ ง ทรงพระกรุ ณ าโปรดเกล้ า ฯ ให้ ต ราพระราชบั ญ ญั ติ ขึ้ น ไว้ โ ดยค าแนะน าและยิ น ยอม
ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบั ญ ญั ติ นี้ เ รี ย กว่ า “พระราชบั ญ ญั ติ ร ะเบี ย บข้ า ราชการพลเรื อ น
พ.ศ. ๒๕๕๑”
มาตรา ๒๑ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิก
(๑) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
(๒) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗
(๓) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๘
(๔) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๔
มิให้นาคาสั่ งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ที่ ๓๘/๒๕๑๙ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม
๒๕๑๙ มาใช้บังคับแก่ข้าราชการพลเรือน
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“ข้าราชการพลเรือน” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับบรรจุและแต่งตั้งตามพระราชบัญญัตินี้
ให้รับราชการโดยได้รับเงินเดือนจากเงินงบประมาณในกระทรวง กรมฝ่ายพลเรือน
“ข้าราชการฝ่ายพลเรือน” หมายความว่า ข้าราชการพลเรือน และข้าราชการอื่นในกระทรวง
กรมฝ่ายพลเรือน ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการประเภทนั้น

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๒๒ ก/หน้า ๑/๒๕ มกราคม ๒๕๕๑
“กระทรวง” หมายความรวมถึงสานักนายกรัฐมนตรีและทบวง
“รั ฐ มนตรี เ จ้ า สั ง กั ด ” หมายความว่ า รั ฐ มนตรี ว่ า การกระทรวง รั ฐ มนตรี ว่ า การทบวง
และหมายความรวมถึงนายกรัฐมนตรีในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาส านักนายกรัฐ มนตรี และนายกรัฐมนตรี
หรือรัฐมนตรีในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกรมและไม่สังกัดกระทรวง
“ปลัดกระทรวง” หมายความรวมถึงปลัดสานักนายกรัฐมนตรีและปลัดทบวง
“กรม” หมายความรวมถึงส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกรม
“อธิบดี” หมายความว่า หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมหรือเทียบเท่ากรม
“ส่ว นราชการ” หมายความว่า ส่ วนราชการตามกฎหมายว่าด้ว ยการปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม และส่ ว นราชการที่จั ดตั้งขึ้น ตามกฎหมายว่าด้ว ยระเบียบบริห ารราชการแผ่ นดินและมีฐ านะ
ไม่ต่ากว่ากรม
มาตรา ๕ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

ลักษณะ ๑
คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน

มาตรา ๖ ให้ มี ค ณะกรรมการข้ า ราชการพลเรื อ นคณะหนึ่ ง เรี ย กโดยย่ อ ว่ า “ก.พ.”


ประกอบด้ ว ยนายกรั ฐ มนตรี ห รื อ รองนายกรั ฐ มนตรี ที่ น ายกรั ฐ มนตรี ม อบหมาย เป็ น ประธาน
ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อานวยการสานักงบประมาณ และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ
และสั ง คมแห่ ง ชาติ เป็ น กรรมการโดยต าแหน่ ง และกรรมการซึ่ ง ทรงพระกรุ ณ าโปรดเกล้ า ฯ แต่ ง ตั้ ง
จากผู้ ท รงคุ ณ วุ ฒิ ด้ า นการบริ ห ารทรั พ ยากรบุ ค คล ด้ า นการบริ ห ารและการจั ด การ และด้ า นกฎหมาย
ซึ่ง มีผ ลงานเป็ น ที่ ป ระจั ก ษ์ใ นความสามารถมาแล้ ว และเป็ น ผู้ ที่ไ ด้รั บการสรรหาตามหลั ก เกณฑ์ วิ ธีก าร
และเงื่ อ นไขที่ ก าหนดในกฎ ก.พ. จ านวนไม่ น้ อ ยกว่ า ห้ า คน แต่ ไ ม่ เ กิ น เจ็ ด คน และให้ เ ลขาธิ ก าร ก.พ.
เป็นกรรมการและเลขานุการ
กรรมการซึ่งทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้ าฯ แต่งตั้งต้องไม่เป็นผู้ ดารงตาแหน่งทางการเมือง
กรรมการหรื อผู้ ด ารงตาแหน่ งที่รั บ ผิ ดชอบในการบริห ารพรรคการเมืองหรือเจ้า หน้าที่ใ นพรรคการเมือ ง
และมิได้เป็นกรรมการโดยตาแหน่งอยู่แล้ว
มาตรา ๗ กรรมการซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้อยู่ในตาแหน่งได้คราวละสามปี
ถ้าตาแหน่งกรรมการว่างลงก่อนกาหนดและยังมีกรรมการดังกล่าวเหลืออยู่ อีกไม่น้อยกว่าสามคน ให้กรรมการ
ที่เหลือปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้
เมื่อตาแหน่งกรรมการว่างลงก่อนกาหนดให้ดาเนินการแต่งตั้งกรรมการแทนภายในกาหนด
สามสิบวัน เว้นแต่วาระของกรรมการเหลือไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันจะไม่แต่งตั้งกรรมการแทนก็ได้ ผู้ซึ่งได้รับ
แต่งตั้งเป็นกรรมการแทนนั้นให้อยู่ในตาแหน่งได้เพียงเท่ากาหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทน
กรรมการซึ่งพ้นจากตาแหน่ง จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นกรรมการอีกก็ได้
ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตาแหน่งตามวาระ แต่ยังมิได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
กรรมการใหม่ ให้กรรมการนั้นปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งกรรมการใหม่
มาตรา ๘ ก.พ. มีอานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) เสนอแนะและให้คาปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์การบริหาร
ทรัพยากรบุคคลภาครัฐในด้านมาตรฐานค่าตอบแทน การบริหารและการพัฒนาทรัพยากรบุคคล รวมตลอดทั้ง
การวางแผนกาลังคนและด้านอื่น ๆ เพื่อให้ส่วนราชการใช้เป็นแนวทางในการดาเนินการ
(๒) รายงานคณะรั ฐ มนตรีเพื่ อพิจารณาปรับปรุง เงินเดือน เงินประจาตาแหน่ง เงินเพิ่ ม
ค่าครองชีพ สวัสดิการ หรือประโยชน์เกื้อกูลอื่นสาหรับข้าราชการฝ่ายพลเรือนให้เหมาะสม
(๓) ก าหนดหลั ก เกณฑ์ วิ ธี ก าร และมาตรฐานการบริ ห ารและพั ฒ นาทรั พ ยากรบุ ค คล
ของข้าราชการพลเรือน เพื่อส่วนราชการใช้เป็นแนวทางในการดาเนินการ
(๔) ให้ความเห็นชอบกรอบอัตรากาลังของส่วนราชการ
(๕) ออกกฎ ก.พ. และระเบี ย บเกี่ ย วกั บ การบริ ห ารทรั พ ยากรบุ ค คลเพื่ อ ปฏิ บั ติ ก าร
ตามพระราชบัญญัตินี้ รวมตลอดทั้งการให้คาแนะนาหรือวางแนวทางในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎ ก.พ. เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
(๖) ตีความและวินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้ รวมตลอดทั้ง
กาหนดแนวทางปฏิบัติในกรณีที่เป็นปัญหา มติของ ก.พ. ตามข้อนี้ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว
ให้ใช้บังคับได้ตามกฎหมาย
(๗) กากับ ดูแล ติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการ
พลเรือนในกระทรวงและกรม เพื่อรักษาความเป็นธรรมและมาตรฐานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล รวมทั้ง
ตรวจสอบและติ ดตามการปฏิ บั ติ ตามพระราชบั ญญั ตินี้ ในการนี้ ให้ มี อานาจเรี ยกเอกสารและหลั ก ฐาน
จากส่วนราชการ หรือให้ผู้แทนส่วนราชการ ข้าราชการหรือบุค คลใด ๆ มาชี้แจงข้อเท็จจริง และให้มีอานาจ
ออกระเบี ย บให้ กระทรวง และกรมรายงานเกี่ ยวกั บการบริห ารทรัพยากรบุ คคลของข้าราชการพลเรือ น
ที่อยู่ในอานาจหน้าที่ไปยัง ก.พ.
(๘) ก าหนดนโยบายและออกระเบี ย บเกี่ ย วกั บ ทุ น เล่ า เรี ย นหลวงและทุ น ของรั ฐ บาล
ให้สอดคล้องกับนโยบายการบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการฝ่ ายพลเรือน ตลอดจนจัดสรรผู้รับทุน
ที่สาเร็จการศึกษาแล้วเข้ารับราชการในกระทรวงและกรมหรือหน่วยงานของรัฐ
(๙) ออกข้ อ บั ง คั บ หรื อ ระเบี ย บเกี่ ย วกั บ การจั ด การการศึ ก ษาและควบคุ ม ดู แ ลและ
การให้ความช่วยเหลือบุคลากรภาครัฐ นักเรียนทุนเล่าเรียนหลวง นักเรียนทุนของรัฐบาล และนักเรียนทุนส่วนตัว
ที่อยู่ในความดูแลของ ก.พ. ตลอดจนการเก็บเงินชดเชยค่า ใช้จ่ายในการดูแลจัดการการศึกษา ทั้งนี้ ให้ถือว่า
เงินชดเชยค่าใช้จ่ายในการดูแลจัดการการศึกษาเป็นเงินรายรับของส่วนราชการที่เป็นสถานอานวยบริ การ
อันเป็นสาธารณประโยชน์ ตามความหมายในกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
(๑๐) กาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อรับรองคุณวุฒิของผู้ได้รับปริญญา ประกาศนียบัตร
วิชาชีพหรือคุณวุฒิอย่างอื่น เพื่อประโยชน์ในการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือน และการกาหนด
อัตราเงินเดือนหรือค่าตอบแทน รวมทั้งระดับตาแหน่งและประเภทตาแหน่งสาหรับคุณวุฒิดังกล่าว
(๑๑) กาหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการปฏิบัติ การเกี่ยวกับ การบริ ห ารทรัพยากรบุคคล
ตามพระราชบัญญัตินี้
(๑๒) พิจารณาจัดระบบทะเบียนประวัติและแก้ไขทะเบียนประวัติเกี่ยวกับวัน เดือน ปีเกิด
และการควบคุมเกษียณอายุของข้าราชการพลเรือน
(๑๓) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้และกฎหมายอื่น
การออกกฎ ก.พ. ตาม (๕) ในกรณีที่เห็นสมควร ให้สานักงาน ก.พ. หารือกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
เพื่อประกอบการพิจารณาของ ก.พ. ด้วย
มาตรา ๙ ในกรณีที่ ก.พ. มีมติว่ากระทรวง กรม หรือผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ หรือปฏิบัติการโดยขัดหรือแย้งกับแนวทางตามที่กาหนดในพระราชบัญญัตินี้
ให้ ก.พ. แจ้งให้กระทรวง กรม หรือผู้มีหน้าที่ปฏิบัติดังกล่าวดาเนินการแก้ไข ยกเลิ ก หรือยุติการดาเนินการ
ดังกล่าวภายในเวลาที่กาหนดในกรณีที่กระทรวง กรม หรือผู้มีหน้าที่ปฏิบัติดังกล่าวไม่ดาเนินการตามมติ ก.พ.
ภายในเวลาที่กาหนดโดยไม่มีเหตุอัน สมควร ให้ ถือว่าปลั ดกระทรวง อธิบดี หรือผู้ มีห น้าที่ปฏิบัติดังกล่ าว
แล้วแต่กรณี กระทาผิดวินัย
การดาเนิ น การทางวิ นั ย ตามวรรคหนึ่ งและการสั่ งลงโทษให้ เ ป็น อานาจหน้ าที่ ของ ก.พ.
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กาหนดในกฎ ก.พ.
ในกรณีที่ผู้ไม่ปฏิบัติการตามมติ ก.พ. ตามวรรคหนึ่งเป็นรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ให้ ก.พ. รายงาน
นายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควรต่อไป
มาตรา ๑๐ ในกรณีที่ ก.พ. เห็ น ว่า การบริห ารทรัพ ยากรบุ คคลในเรื่อ งใดที่ข้ าราชการ
ฝ่ายพลเรือนทุกประเภทหรือบางประเภทควรมีมาตรฐานหรือหลักเกณฑ์เดียวกัน ให้ ก.พ. จัดให้มีการประชุม
เพื่อหารือร่วมกันระหว่างผู้แทน ก.พ. ผู้แทน ก.พ.ร. และผู้แทนองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการ
ฝ่ายพลเรือนประเภทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกาหนดมาตรฐานหรือหลักเกณฑ์กลางการบริหารทรัพยากรบุคคล
ในเรื่ อ งนั้ น เสนอต่ อ คณะรั ฐ มนตรี และเมื่ อ คณะรั ฐ มนตรี ใ ห้ ค วามเห็ น ชอบแล้ ว ให้ ใ ช้ บั ง คั บ มาตรฐาน
หรือหลักเกณฑ์กลางดังกล่าวกับข้าราชการฝ่ายพลเรือนทุกประเภทหรือประเภทนั้น ๆ แล้วแต่กรณี
ความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับวิธีการบริหารทรัพยากรบุคคลของรัฐ
ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๑๑ ให้นาบทบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการที่มีอานาจดาเนินการพิจารณาทางปกครอง
ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับแก่การประชุม ก.พ. โดยอนุโลม เว้นแต่กรณี
ตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง
มาตรา ๑๒ ก.พ. มี อ านาจแต่ งตั้ งคณะอนุ กรรมการวิ สามั ญ เรี ยกโดยย่ อว่ า “อ.ก.พ. วิ สามั ญ”
เพื่อทาการใด ๆ แทนได้
จานวน คุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้ง อ.ก.พ. วิสามัญ รวมตลอดทั้งวิธีการได้มา
วาระการดารงตาแหน่ง และการพ้นจากตาแหน่งให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
มาตรา ๑๓ ให้มีสานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เรียกโดยย่อว่า “สานักงาน ก.พ.”
โดยมี เลขาธิ การ ก.พ. เป็ น ผู้ บั งคั บ บั ญชาข้า ราชการและบริ ห ารราชการของส านัก งาน ก.พ. ขึ้ นตรงต่ อ
นายกรัฐมนตรี
สานักงาน ก.พ. มีอานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการดาเนินงานในหน้าที่ของ ก.พ. และ ก.พ.ค. และดาเนินการ
ตามที่ ก.พ. หรือ ก.พ.ค. มอบหมาย
(๒) เสนอแนะและให้คาปรึกษาแก่กระทรวง กรม เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทาง
การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ
(๓) พัฒนา ส่งเสริม วิเคราะห์ วิจัยเกี่ยวกับนโยบาย ยุทธศาสตร์ ระบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ
และมาตรฐานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการพลเรือน
(๔) ติดตามและประเมินผลการบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการพลเรือน
(๕) ดาเนินการเกี่ยวกับแผนกาลังคนของข้าราชการพลเรือน
(๖) เป็นศูนย์กลางข้อมูลทรัพยากรบุคคลภาครัฐ
(๗) จัด ทายุท ธศาสตร์ ประสานและดาเนิน การเกี่ย วกับ การพัฒ นาทรัพ ยากรบุค คล
ของข้าราชการฝ่ายพลเรือน
(๘) ส่งเสริม ประสานงาน เผยแพร่ ให้คาปรึกษาแนะนา และดาเนินการเกี่ยวกับการจัด
สวัสดิการและการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตสาหรับทรัพยากรบุคคลภาครัฐ
(๙) ดาเนิน การเกี่ย วกับ ทุนเล่า เรีย นหลวงและทุน ของรัฐ บาลตามนโยบายและระเบีย บ
ของ ก.พ. ตามมาตรา ๘ (๘)
(๑๐) ดาเนินการเกี่ยวกับการดูแลบุคลากรภาครัฐและนักเรียนทุนตามข้อบังคับหรือระเบียบ
ของ ก.พ. ตามมาตรา ๘ (๙)
(๑๑) ดาเนิ นการเกี่ยวกับการรับรองคุณวุฒิ ของผู้ได้รับปริญญา ประกาศนียบัตรวิช าชีพ
หรือคุณวุฒิอย่างอื่น เพื่อประโยชน์ในการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือน และการกาหนดอัตรา
เงินเดือนหรือค่าตอบแทน รวมทั้งระดับตาแหน่งและประเภทตาแหน่งสาหรับคุณวุฒิดังกล่าว
(๑๒) ด าเนิน การเกี ่ย วกับ การรัก ษาทะเบีย นประวัต ิแ ละการควบคุม เกษีย ณอายุ
ของข้าราชการพลเรือน
(๑๓) จั ด ท ารายงานประจ าปี เ กี่ ย วกั บ การบริ ห ารทรั พ ยากรบุ ค คลในราชการพลเรื อ น
เสนอต่อ ก.พ. และคณะรัฐมนตรี
(๑๔) ปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ อื่ น ตามที่ บั ญ ญั ติ ไ ว้ ใ นพระราชบั ญ ญั ติ นี้ กฎหมายอื่ น หรื อ ตา มที่
คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือ ก.พ. มอบหมาย
มาตรา ๑๔ ให้มีคณะอนุกรรมการสามัญ เรียกโดยย่อว่า “อ.ก.พ. สามัญ” เพื่อเป็นองค์กร
บริหารทรัพยากรบุคคลในส่วนราชการต่าง ๆ ดังนี้
(๑) คณะอนุกรรมการสามัญประจากระทรวง เรียกโดยย่อว่า “อ.ก.พ. กระทรวง” โดยออกนาม
กระทรวง
(๒) คณะอนุกรรมการสามัญประจากรม เรียกโดยย่อว่า “อ.ก.พ. กรม” โดยออกนามกรม
(๓) คณะอนุกรรมการสามัญประจาจังหวัด เรียกโดยย่อว่า “อ.ก.พ. จังหวัด” โดยออกนาม
จังหวัด
(๔) คณะอนุกรรมการสามัญประจาส่วนราชการอื่นนอกจากส่วนราชการตาม (๑) (๒) และ (๓)
การเรียกชื่อ องค์ประกอบ และอานาจหน้าที่ของ อ.ก.พ. ตาม (๔) ให้เป็นไปตามที่กาหนด
ในกฎ ก.พ.
มาตรา ๑๕ อ.ก.พ. กระทรวง ประกอบด้วยรัฐมนตรีเจ้าสังกัด เป็นประธาน ปลัดกระทรวง
เป็นรองประธาน และผู้แทน ก.พ. ซึ่งตั้งจากข้าราชการพลเรือนในสานักงาน ก.พ. หนึ่งคน เป็นอนุกรรมการ
โดยตาแหน่ง และอนุกรรมการซึ่งประธาน อ.ก.พ. แต่งตั้งจาก
(๑) ผู้ ทรงคุณ วุฒิ ด้านการบริ ห ารทรั พยากรบุคคล ด้า นการบริห ารและการจัดการ และ
ด้านกฎหมาย ซึ่งมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในความสามารถมาแล้ว และมิได้เป็นข้าราชการในกระทรวงนั้น
จานวนไม่เกินสามคน
(๒) ข้าราชการพลเรือนผู้ดารงตาแหน่งประเภทบริหารระดับสูงในกระทรวงนั้น ซึ่งได้รับเลือก
จากข้าราชการพลเรือนผู้ดารงตาแหน่งดังกล่าว จานวนไม่เกินห้าคน
ให้ อ.ก.พ. นี้ตั้งเลขานุการหนึ่งคน
มาตรา ๑๖ อ.ก.พ. กระทรวง มีอานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) พิจารณากาหนดนโยบาย ระบบ และระเบียบวิธีการบริหารทรัพยากรบุคคลในกระทรวง
ซึ่งต้องสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรฐานที่ ก.พ. กาหนดตามมาตรา ๘ (๓)
(๒) พิจารณาการเกลี่ยอัตรากาลังระหว่างส่วนราชการต่าง ๆ ภายในกระทรวง
(๓) พิจารณาเกี่ยวกับการดาเนินการทางวินัยและการสั่งให้ออกจากราชการตามที่บัญญัติไว้
ในพระราชบัญญัตินี้
(๔) ปฏิบัติการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้และช่วย ก.พ. ปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
ตามที่ ก.พ. มอบหมาย
มาตรา ๑๗ อ.ก.พ. กรม ประกอบด้วยอธิบดี เป็นประธาน รองอธิบดีที่อธิบดีมอบหมาย
หนึ่งคน เป็นรองประธาน และอนุกรรมการซึ่งประธาน อ.ก.พ. แต่งตั้งจาก
(๑) ผู้ ท รงคุณ วุ ฒิ ด้า นการบริ ห ารทรั พยากรบุ ค คล ด้ า นการบริห ารและการจั ด การและ
ด้ า นกฎหมาย ซึ่ ง มี ผ ลงานเป็ น ที่ ป ระจั ก ษ์ ใ นความสามารถมาแล้ ว และมิ ไ ด้ เ ป็ น ข้ า ราชการในกรมนั้ น
จานวนไม่เกินสามคน
(๒) ข้าราชการพลเรือนซึ่งดารงตาแหน่งประเภทบริหารหรือประเภทอานวยการในกรมนั้น
ซึ่งได้รับเลือกจากข้าราชการพลเรือนผู้ดารงตาแหน่งดังกล่าว จานวนไม่เกินหกคน
ให้ อ.ก.พ. นี้ตั้งเลขานุการหนึ่งคน
มาตรา ๑๘ อ.ก.พ. กรม มีอานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) พิจ ารณากาหนดนโยบาย ระบบ และระเบียบวิธีการบริหารทรัพยากรบุคคลในกรม
ซึ่ง ต้อ งสอดคล้ อ งกั บ หลั ก เกณฑ์ วิ ธีก าร และมาตรฐานที่ ก.พ. ก าหนดตามมาตรา ๘ (๓) และนโยบาย
และระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ อ.ก.พ. กระทรวงกาหนดตามมาตรา ๑๖ (๑)
(๒) พิจารณาการเกลี่ยอัตรากาลังระหว่างส่วนราชการต่าง ๆ ภายในกรม
(๓) พิจารณาเกี่ยวกับการดาเนินการทางวินัยและการสั่งให้ออกจากราชการตามที่บัญญัติไว้
ในพระราชบัญญัตินี้
(๔) ปฏิบั ติการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้และช่วย ก.พ. ปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
ตามที่ ก.พ. มอบหมาย
มาตรา ๑๙ อ.ก.พ. จังหวัด ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน รองผู้ว่าราชการ
จั งหวัดที่ ผู้ ว่ าราชการจั งหวั ดมอบหมายหนึ่ งคน เป็นรองประธาน และอนุกรรมการ ซึ่ งประธาน อ.ก.พ.
แต่งตั้งจาก
(๑) ผู้ ทรงคุณ วุฒิ ด้านการบริ ห ารทรั พยากรบุคคล ด้านการบริห ารและการจัดการ และ
ด้านกฎหมาย ซึ่งมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในความสามารถมาแล้ว และมิได้เป็นข้าราชการพลเรือนในจังหวัดนั้น
จานวนไม่เกินสามคน
(๒) ข้าราชการพลเรือนซึ่งดารงตาแหน่งประเภทบริหารหรือประเภทอานวยการ ซึ่งกระทรวง
หรื อ กรมแต่ ง ตั้ ง ไปประจ าจั ง หวั ด นั้ น และได้ รั บ เลื อ กจากข้ า ราชการพลเรื อ นผู้ ด ารงต าแหน่ ง ดั ง กล่ า ว
จานวนไม่เกินหกคน ซึ่งแต่ละคนต้องไม่สังกัดกระทรวงเดียวกัน
ให้ อ.ก.พ. นี้ตั้งเลขานุการหนึ่งคน
มาตรา ๒๐ อ.ก.พ. จังหวัด มีอานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) พิ จ ารณาก าหนดแนวทางและวิ ธี ก ารบริ ห ารทรั พ ยากรบุ ค คล ซึ่ ง ต้ อ งสอดคล้ อ ง
กับหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรฐานที่ ก.พ. กาหนดตามมาตรา ๘ (๓)
(๒) พิจารณาเกี่ยวกับการดาเนินการทางวินัยและการสั่งให้ออกจากราชการตามที่บัญญั ติไว้
ในพระราชบัญญัตินี้
(๓) ปฏิบัติตามที่ อ.ก.พ. กระทรวง หรือ อ.ก.พ. กรม มอบหมาย
(๔) ปฏิบัติการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้และช่วย ก.พ. ปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
ตามที่ ก.พ. มอบหมาย
มาตรา ๒๑ หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาหรือการเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็ นอนุกรรมการ
ตามมาตรา ๑๕ (๑) และ (๒) มาตรา ๑๗ (๑) และ (๒) และมาตรา ๑๙ (๑) และ (๒) วาระการดารงตาแหน่ง
และจานวนขั้นต่าของอนุกรรมการดังกล่าว ให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
มาตรา ๒๒ ในกรณีที่กระทรวงใดมีเหตุพิเศษ ก.พ. จะอนุมัติให้ มีแต่ อ.ก.พ. กระทรวง
เพื่อทาหน้าที่ อ.ก.พ. กรม ก็ได้
ในกรณี ส่ ว นราชการที่ มี ฐ านะเป็ น กรมและไม่ สั ง กั ด กระทรวง แต่ อ ยู่ ใ นบั ง คั บ บั ญ ชา
ของนายกรั ฐมนตรีห รือรัฐ มนตรี หรือส่ว นราชการที่มีฐ านะเป็นกรมและมีหั วหน้าส่ว นราชการรับผิ ดชอบ
ในการปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี ให้บรรดาอานาจหน้าที่ของ อ.ก.พ. กระทรวง
เป็นอานาจหน้าที่ของ อ.ก.พ. กรมด้วย แต่ในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ให้มีรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเป็นประธาน
และอธิ บ ดี เ ป็ น รองประธาน และผู้ แ ทน ก.พ. ซึ่ ง ตั้ ง จากข้ า ราชการพลเรื อ นในส านั ก งาน ก.พ.หนึ่ ง คน
เป็นอนุกรรมการโดยตาแหน่ง
ในกรณีสานักงานรัฐมนตรี ให้ อ.ก.พ. กรมของสานักงานปลัดกระทรวงทาหน้าที่ อ.ก.พ. กรม
ของสานักงานรัฐมนตรี
มาตรา ๒๓ ให้นามาตรา ๑๑ มาใช้บังคับแก่การประชุมของ อ.ก.พ. วิสามัญ และ อ.ก.พ. สามัญ
โดยอนุโลม

ลักษณะ ๒
คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม

มาตรา ๒๔ ให้มีคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมคณะหนึ่ง เรียกโดยย่อว่า “ก.พ.ค.”


ประกอบด้วยกรรมการจานวนเจ็ดคนซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตามมาตรา ๒๖
กรรมการ ก.พ.ค. ต้องทางานเต็มเวลา
ให้เลขาธิการ ก.พ. เป็นเลขานุการของ ก.พ.ค.
มาตรา ๒๕ ผู้จะได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการ ก.พ.ค. ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(๑) มีสัญชาติไทย
(๒) มีอายุไม่ต่ากว่าสี่สิบห้าปี
(๓) มีคุณสมบัติอื่นอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
(ก) เป็ น หรื อ เคยเป็ น กรรมการผู้ ท รงคุ ณ วุ ฒิ ใ นคณะกรรมการข้ า ราชการพลเรื อ น
คณะกรรมการข้ า ราชการครู คณะกรรมการข้ า ราชการครู แ ละบุ ค ลากรทางการศึ ก ษา คณะกรรมการ
ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา หรือคณะกรรมการ
ข้าราชการตารวจ
(ข) เป็นหรือเคยเป็นกรรมการกฤษฎีกา
(ค) รับ ราชการหรือ เคยรับ ราชการในตาแหน่ง ไม่ต่ากว่า ผู ้พิพ ากษาศาลอุท ธ รณ์
หรือเทียบเท่า หรือตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองชั้นต้น
(ง) รับ ราชการหรือ เคยรับ ราชการในตาแหน่ง ไม่ต่ากว่า อัย การพิเ ศษประจาเขต
หรือเทียบเท่า
(จ) รับราชการหรือเคยรับราชการในตาแหน่งประเภทบริหารระดับสูงหรือเทียบเท่า
ตามที่ ก.พ. กาหนด
(ฉ) เป็ น หรื อ เคยเป็ น ผู้ ส อนวิ ช าในสาขานิ ติ ศ าสตร์ รั ฐ ศาสตร์ รั ฐ ประศาสนศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ สั ง คมศาสตร์ หรื อ วิ ช าที่ เ กี่ ย วกั บ การบริ ห ารราชการแผ่ น ดิ น ในสถาบั น อุ ด มศึ ก ษา และ
ดารงตาแหน่งหรือเคยดารงตาแหน่งไม่ต่ากว่ารองศาสตราจารย์ แต่ในกรณีที่ดารงตาแหน่งรองศาสตราจารย์
ต้องดารงตาแหน่งหรือเคยดารงตาแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี
มาตรา ๒๖ ให้ มี ค ณะกรรมการคั ด เลื อ กกรรมการ ก.พ.ค. ประกอบด้ ว ยประธาน
ศาลปกครองสู ง สุ ด เป็ น ประธาน รองประธานศาลฎี กาที่ ไ ด้รั บ มอบหมายจากประธานศาลฎี ก าหนึ่ ง คน
กรรมการ ก.พ. ผู้ ท รงคุ ณ วุ ฒิ ห นึ่ ง คนซึ่ ง ได้ รั บ เลื อ กโดย ก.พ. และให้ เ ลขาธิ ก าร ก.พ. เป็ น กรรมการ
และเลขานุการ
ให้คณะกรรมการคัดเลือกมีหน้าที่คัดเลือกบุคคลผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา ๒๕ จานวนเจ็ดคน
ให้ผู้ได้รับคัดเลือกตามวรรคสองประชุมและเลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นประธานกรรมการ
ก.พ.ค. แล้วให้นายกรัฐมนตรีนาความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
หลั กเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกกรรมการ ก.พ.ค. ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการคัดเลื อก
กาหนด
มาตรา ๒๗ กรรมการ ก.พ.ค. ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นข้าราชการ
(๒) เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐหรือบุคคลใด
(๓) เป็ น ผู้ ดารงตาแหน่ งทางการเมือง กรรมการหรือผู้ ดารงตาแหน่งที่รับผิ ดชอบในการ
บริหารพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง
(๔) เป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจ
(๕) เป็นกรรมการในองค์กรกลางบริหารงานบุคคลในหน่วยงานของรัฐ
(๖) ประกอบอาชีพ หรือ วิช าชีพอย่างอื่น หรือดารงตาแหน่งหรือ ประกอบการใด ๆ หรือ
เป็นกรรมการในหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน อันขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กาหนดในพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๒๘ ผู้ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการ ก.พ.ค. ผู้ใดมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๗
ผู้ นั้ น ต้อ งลาออกจากการเป็ น บุ คคลซึ่ งมีลั กษณะต้อ งห้ า มหรือ แสดงหลั ก ฐานให้ เป็ นที่ เชื่ อได้ว่า ตนได้ เลิ ก
การประกอบอาชีพหรือวิช าชีพหรือการประกอบการอันมีลักษณะต้องห้ามดังกล่าวต่อเลขานุการ ก.พ.ค.
ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคัดเลือก
ในกรณี ที่ผู้ ได้รั บ คั ดเลื อ กเป็ น กรรมการ ก.พ.ค. มิไ ด้ล าออกหรือ เลิ กการประกอบอาชี พ
หรือวิชาชีพหรือการประกอบการดังกล่าวภายในเวลาที่กาหนดตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าผู้นั้นมิเคยได้รับคัดเลือก
เป็นกรรมการ ก.พ.ค. และให้ดาเนินการคัดเลือกกรรมการ ก.พ.ค. ขึ้นใหม่
มาตรา ๒๙ กรรมการ ก.พ.ค. มีว าระการดารงตาแหน่งหกปีนับแต่วันที่ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และให้ดารงตาแหน่งได้เพียงวาระเดียว
ให้กรรมการ ก.พ.ค. ซึ่งพ้นจากตาแหน่งตามวาระ อยู่ในตาแหน่งเพื่อปฏิบัติห น้าที่ต่อไป
จนกว่าจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งกรรมการ ก.พ.ค. ใหม่
มาตรา ๓๐ นอกจากการพ้นจากตาแหน่งตามวาระ กรรมการ ก.พ.ค. พ้นจากตาแหน่งเมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓) มีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์
(๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๕ หรือมาตรา ๒๗
(๕) ต้องคาพิพากษาถึงที่สุดให้จาคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษ
ในความผิดอันได้กระทาโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
(๖) ไม่สามารถปฏิบัติงานได้เต็มเวลาอย่างสม่าเสมอตามระเบียบของ ก.พ.ค.
เมื่อมีกรณีตามวรรคหนึ่ง ให้กรรมการ ก.พ.ค. เท่าที่เหลืออยู่ปฏิบัติห น้าที่ต่อไปได้ และ
ให้ถือว่า ก.พ.ค. ประกอบด้วยกรรมการ ก.พ.ค. เท่าที่เหลืออยู่ เว้นแต่มีกรรมการ ก.พ.ค. เหลืออยู่ไม่ถึงห้าคน
เมื ่อ มีก รณีต ามวรรคหนึ ่ง หรือ กรณีที ่ก รรมการ ก.พ.ค. พ้น จากต าแหน่ง ตามวาระ
ให้คณะกรรมการคัดเลือกดาเนินการคัดเลือกกรรมการ ก.พ.ค. แทนกรรมการ ก.พ.ค. ซึ่งพ้นจากตาแหน่ง
โดยเร็ว
มาตรา ๓๑ ก.พ.ค. มีอานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) เสนอแนะต่อ ก.พ. หรือองค์กรกลางบริหารงานบุคคลอื่น เพื่อให้ ก.พ. หรือองค์กรกลาง
บริหารงานบุคคลอื่น ดาเนินการจัดให้มีหรือปรับปรุงนโยบายการบริหารทรัพยากรบุคคลในส่วนที่เกี่ยวกับ
การพิทักษ์ระบบคุณธรรม
(๒) พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา ๑๑๔
(๓) พิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ตามมาตรา ๑๒๓
(๔) พิจารณาเรื่องการคุ้มครองระบบคุณธรรมตามมาตรา ๑๒๖
(๕) ออกกฎ ก.พ.ค. ระเบียบ หลักเกณฑ์ และวิธีการเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎ ก.พ.ค. เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
(๖) แต่งตั้งบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่ ก.พ.ค. กาหนด เพื่อเป็น
กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือเป็นกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์
มาตรา ๓๒ ให้กรรมการ ก.พ.ค. กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ และกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์
ได้รับเงินประจาตาแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นตามที่กาหนดในพระราชกฤษฎีกา และให้มีสิทธิ
ได้รั บ ค่าใช้จ่ ายในการเดิน ทางตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้ว ยค่ าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการเช่นเดีย ว
กับผู้ดารงตาแหน่งประเภทบริหารระดับสูง
มาตรา ๓๓ การประชุ ม ของคณะกรรมการ ก.พ.ค. กรรมการวิ นิ จ ฉั ย อุ ท ธรณ์ และ
กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ ให้เป็นไปตามระเบียบที่ ก.พ.ค. กาหนด

ลักษณะ ๓
บททัว่ ไป

มาตรา ๓๔ การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนต้องเป็นไปเพื่อผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
ความมีประสิทธิภาพ และความคุ้มค่า โดยให้ข้าราชการปฏิบัติราชการอย่างมีคุณภาพ คุณธรรม และมีคุณภาพ
ชีวิตที่ดี
มาตรา ๓๕ ข้าราชการพลเรือนมี ๒ ประเภท คือ
(๑) ข้าราชการพลเรือนสามัญ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนซึ่งรับราชการโดยได้รับบรรจุแต่งตั้ง
ตามที่บัญญัติไว้ในลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
(๒) ข้ า ราชการพลเรื อ นในพระองค์ ได้ แ ก่ ข้ า ราชการพลเรื อ นซึ่ ง รั บ ราชการโดยได้ รั บ
บรรจุแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งในพระองค์พระมหากษัตริย์ตามที่กาหนดในพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๓๖ ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนต้องมีคุณสมบัติทั่วไป และไม่มี
ลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
ก. คุณสมบัติทั่วไป
(๑) มีสัญชาติไทย
(๒) มีอายุไม่ต่ากว่าสิบแปดปี
(๓) เป็น ผู้เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น
ประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ข. ลักษณะต้องห้าม
(๑) เป็นผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง
(๒) เป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ คนวิกลจริตหรือจิตฟั่ นเฟือน
ไม่สมประกอบ หรือเป็นโรคตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
(๓) เป็ น ผู้ อ ยู่ ใ นระหว่ า งถู ก สั่ ง พั ก ราชการหรื อ ถู ก สั่ ง ให้ อ อกจากราชการไว้ ก่ อ น
ตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามกฎหมายอื่น
(๔) เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม
(๕) เป็ น กรรมการหรื อ ผู้ ด ารงต าแหน่ ง ที่ รั บ ผิ ด ชอบในการบริ ห ารพรรคการเมื อ ง
หรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง
(๖) เป็นบุคคลล้มละลาย
(๗) เป็นผู้เคยต้องรับโทษจาคุกโดยคาพิพากษาถึงที่สุดให้จาคุกเพราะกระทาความผิด
ทางอาญา เว้นแต่เป็นโทษสาหรับความผิดที่ได้กระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(๘) เป็นผู้เคยถูกลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกจากรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่น
ของรัฐ
(๙) เป็นผู้เคยถูกลงโทษให้ออก หรือปลดออก เพราะกระทาผิดวินัยตามพระราชบัญญัตินี้
หรือตามกฎหมายอื่น
(๑๐) เป็น ผู้เ คยถูก ลงโทษไล่อ อก เพราะกระทาผิด วินัย ตามพระราชบัญ ญัตินี้ หรือ
ตามกฎหมายอื่น
(๑๑) เป็น ผู ้เ คยกระทาการทุจ ริต ในการสอบเข้า รับ ราชการ หรือ เข้า ปฏิบัต ิง าน
ในหน่วยงานของรัฐ
ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนซึ่งมีลักษณะต้องห้ามตาม ข. (๔) (๖) (๗) (๘) (๙)
(๑๐) หรือ (๑๑) ก.พ. อาจพิจารณายกเว้นให้เข้ารับราชการได้ แต่ถ้าเป็นกรณีมีลักษณะต้องห้ามตาม (๘)
หรือ (๙) ผู้นั้นต้องออกจากงานหรือออกจากราชการไปเกินสองปีแล้ว และในกรณีมีลักษณะต้องห้ามตาม (๑๐)
ผู้นั้น ต้อ งออกจากงานหรือ ออกจากราชการไปเกิน สามปีแ ล้ว และต้อ งมิใ ช่เ ป็น กรณีอ อกจากงานหรือ
ออกจากราชการเพราะทุจริตต่อหน้าที่ มติของ ก.พ. ในการยกเว้นดังกล่าวต้ องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า
สี่ในห้าของจานวนกรรมการที่มาประชุม การลงมติให้กระทาโดยลับ
การขอยกเว้นตามวรรคสอง ให้เป็นไปตามระเบียบที่ ก.พ. กาหนด
ในกรณีตามวรรคสอง ก.พ. จะยกเว้นให้เป็นการเฉพาะราย หรือจะประกาศยกเว้นให้เป็นการ
ทั่วไปก็ได้
มาตรา ๓๗ การจ่ายเงินเดือนและเงินประจาตาแหน่งให้ข้าราชการพลเรือนให้เป็นไปตาม
ระเบียบที่ ก.พ. กาหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
มาตรา ๓๘ ข้าราชการพลเรือนอาจได้รับเงินเพิ่มสาหรับตาแหน่งที่ประจาอยู่ในต่างประเทศ
ตาแหน่ ง ในบางท้ องที่ ต าแหน่ ง ในบางสายงาน หรื อ ตาแหน่ งที่ มีเ หตุพิ เศษตามระเบี ยบที่ ก.พ. ก าหนด
โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
ข้าราชการพลเรือนอาจได้รับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวตามภาวะเศรษฐกิจตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่คณะรัฐมนตรีกาหนด
ในการเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อดาเนินการตามวรรคสอง ให้ ก.พ. เสนอแนะสาหรับ
ข้าราชการประเภทอื่นในคราวเดียวกันด้วย
มาตรา ๓๙ วั น เวลาท างาน วั น หยุ ด ราชการตามประเพณี วั น หยุ ด ราชการประจ าปี
และการลาหยุดราชการของข้าราชการพลเรือน ให้เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีกาหนด
มาตรา ๔๐ เครื่องแบบของข้าราชการพลเรือนและระเบียบการแต่งเครื่องแบบให้เป็นไป
ตามกฎหมายหรือระเบียบว่าด้วยการนั้น
มาตรา ๔๑ บาเหน็จบานาญข้าราชการพลเรือนให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น

ลักษณะ ๔
ข้าราชการพลเรือนสามัญ

หมวด ๑
การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญ

มาตรา ๔๒ การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญตามพระราชบัญญัตินี้ ให้คานึงถึง


ระบบคุณธรรมดังต่อไปนี้
(๑) การรับบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งต้องคานึงถึงความรู้
ความสามารถของบุคคล ความเสมอภาค ความเป็นธรรม และประโยชน์ของทางราชการ
(๒) การบริ ห ารทรั พ ยากรบุ ค คล ต้ อ งค านึ ง ถึ ง ผลสั ม ฤทธิ์ แ ละประสิ ท ธิ ภ าพขององค์ ก ร
และลักษณะของงาน โดยไม่เลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
(๓) การพิจารณาความดีความชอบ การเลื่อนตาแหน่ง และการให้ประโยชน์อื่นแก่ข้าราชการ
ต้องเป็นไปอย่างเป็นธรรมโดยพิจ ารณาจากผลงาน ศักยภาพ และความประพฤติ และจะนาความคิดเห็ น
ทางการเมืองหรือสังกัดพรรคการเมืองมาประกอบการพิจารณามิได้
(๔) การดาเนินการทางวินัย ต้องเป็นไปด้วยความยุติธรรมและโดยปราศจากอคติ
(๕) การบริหารทรัพยากรบุคคลต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง
มาตรา ๔๓ ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ มี เ สรี ภ าพในการรวมกลุ่ ม ตามที่ บั ญ ญั ติ ไ ว้
ในรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้ต้องไม่กระทบประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินและความต่อเนื่องในการ
จัดทาบริการสาธารณะ และต้องไม่มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง
หลั ก เกณฑ์ วิธี ก าร และเงื่ อ นไขในการรวมกลุ่ ม ตามวรรคหนึ่ง ให้ เ ป็ น ไปตามที่ ก าหนด
ในพระราชกฤษฎีกา
หมวด ๒
การกาหนดตาแหน่ง และการให้ได้รับเงินเดือนและเงินประจาตาแหน่ง

มาตรา ๔๔ นอกจากตาแหน่งที่กาหนดในกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินแล้ว
อ.ก.พ. กระทรวงอาจกาหนดตาแหน่งที่มีชื่ออย่างอื่นเพื่อประโยชน์ในการบริหารงาน และแจ้งให้ ก.พ. ทราบด้วย
มาตรา ๔๕ ตาแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญมี ๔ ประเภท ดังต่อไปนี้
(๑) ตาแหน่งประเภทบริหาร ได้แก่ ตาแหน่งหัวหน้าส่วนราชการและรองหัวหน้าส่วนราชการ
ระดับกระทรวง กรม และตาแหน่งอื่นที่ ก.พ. กาหนดเป็นตาแหน่งประเภทบริหาร
(๒) ตาแหน่งประเภทอานวยการ ได้แก่ ตาแหน่งหั วหน้าส่วนราชการที่ต่ากว่าระดับกรม
และตาแหน่งอื่นที่ ก.พ. กาหนดเป็นตาแหน่งประเภทอานวยการ
(๓) ตาแหน่งประเภทวิชาการ ได้แก่ ตาแหน่งที่จาเป็นต้องใช้ผู้สาเร็จการศึกษาระดับปริญญา
ตามที่ ก.พ. กาหนดเพื่อปฏิบัติงานในหน้าที่ของตาแหน่งนั้น
(๔) ตาแหน่งประเภททั่วไป ได้แก่ ตาแหน่งที่ไม่ใช่ตาแหน่งประเภทบริหาร ตาแหน่งประเภท
อานวยการ และตาแหน่งประเภทวิชาการ ทั้งนี้ ตามที่ ก.พ. กาหนด
มาตรา ๔๖ ระดับตาแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ มีดังต่อไปนี้
(๑) ตาแหน่งประเภทบริหาร มีระดับดังต่อไปนี้
(ก) ระดับต้น
(ข) ระดับสูง
(๒) ตาแหน่งประเภทอานวยการ มีระดับดังต่อไปนี้
(ก) ระดับต้น
(ข) ระดับสูง
(๓) ตาแหน่งประเภทวิชาการ มีระดับดังต่อไปนี้
(ก) ระดับปฏิบัติการ
(ข) ระดับชานาญการ
(ค) ระดับชานาญการพิเศษ
(ง) ระดับเชี่ยวชาญ
(จ) ระดับทรงคุณวุฒิ
(๔) ตาแหน่งประเภททั่วไป มีระดับดังต่อไปนี้
(ก) ระดับปฏิบัติงาน
(ข) ระดับชานาญงาน
(ค) ระดับอาวุโส
(ง) ระดับทักษะพิเศษ
การจัดประเภทตาแหน่งและระดับตาแหน่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กาหนดในกฎ ก.พ.
มาตรา ๔๗ ตาแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญจะมีในส่วนราชการใด จานวนเท่าใด และ
เป็นตาแหน่งประเภทใด สายงานใด ระดับ ใด ให้ เป็นไปตามที่ อ.ก.พ. กระทรวงกาหนด โดยต้องคานึงถึง
ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ความไม่ซ้าซ้อนและประหยัดเป็นหลัก ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ก.พ.
กาหนด และต้องเป็นไปตามมาตรฐานกาหนดตาแหน่งตามมาตรา ๔๘
มาตรา ๔๘ ให้ ก.พ. จัดทามาตรฐานกาหนดตาแหน่ง โดยจาแนกตาแหน่งเป็นประเภท
และสายงานตามลักษณะงาน และจัดตาแหน่งในประเภทเดียวกันและสายงานเดียวกันที่คุณภาพของงาน
เท่ากันโดยประมาณเป็นระดับเดียวกัน ทั้งนี้ โดยคานึงถึงลักษณะหน้าที่ความรับผิดชอบและคุณภาพของงาน
ในมาตรฐานกาหนดตาแหน่งให้ ระบุชื่อตาแหน่งในสายงาน หน้าที่ความรับผิ ดชอบหลั ก
และคุณสมบัตเิ ฉพาะสาหรับตาแหน่งไว้ด้วย
มาตรา ๔๙ ภายใต้ บั ง คั บ กฎหมายว่ า ด้ ว ยระเบี ย บบริ ห ารราชการแผ่ น ดิ น ต าแหน่ ง ใด
บังคับบัญชาข้าราชการพลเรือนในส่วนราชการหรือหน่วยงานใด ในฐานะใดให้เป็นไปตามที่ผู้บังคับบัญชา
ซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ กาหนด โดยทาเป็นหนังสือตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กาหนด
มาตรา ๕๐ ให้ ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือนตามตาแหน่งในแต่ล ะประเภท
ตามที่กาหนดไว้ในบัญชีเงินเดือนขั้นต่าขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญท้ายพระราชบัญญัตินี้
ผู้ดารงตาแหน่งประเภทใด สายงานใด ระดับใด จะได้รับเงินเดือนเท่าใดตามบัญชีเงินเดือ น
ขั้นต่าขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
ข้าราชการพลเรือนสามัญอาจได้รับเงินประจาตาแหน่งตามบัญชีอัตราเงินประจาตาแหน่ง
ของข้าราชการพลเรือนสามัญท้ายพระราชบัญญัตินี้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ก.พ. กาหนด
ผู้ ดารงตาแหน่ ง ประเภทใด สายงานใด ระดับ ใด จะได้ รับ เงิ นประจาต าแหน่ งตามบัญ ชี
อัต ราเงิ น ประจ าตาแหน่ ง ของข้ าราชการพลเรือ นสามั ญท้ ายพระราชบัญ ญัติ นี้ใ นอั ตราใด ให้ เป็ นไปตาม
ที่กาหนดในกฎ ก.พ.
เงิน ประจ าตาแหน่ง ตามมาตรานี้ ไม่ถือ เป็น เงิน เดือ นเพื่อ เป็น เกณฑ์ใ นการคานวณ
บาเหน็จบานาญตามกฎหมายว่าด้วยบาเหน็จบานาญข้าราชการ
มาตรา ๕๐/๑ ๒ ในกรณีที่มีเหตุผ ลและความจาเป็น เพื่อเป็นการเยียวยาให้ ข้าราชการ
พลเรือนสามัญได้รับเงินเดือนหรือเงินประจาตาแหน่งที่เหมาะสมและเป็นธรรม ก.พ. อาจกาหนดให้ข้าราชการ
พลเรือนสามัญได้รับการเยียวยาโดยให้ได้รับเงินเดือนหรือเงินประจาตาแหน่งตามที่เห็นสมควรเป็นกรณี ๆ ไปก็ได้
ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะรัฐมนตรีกาหนด


มาตรา ๕๐/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘
มาตรา ๕๑ คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาปรับเงินเดือนขั้นต่าขั้นสูงหรือเงินประจาตาแหน่ง
ของข้าราชการพลเรือนสามัญให้เหมาะสมยิ่งขึ้นตามความจาเป็นก็ได้ โดยหากเป็นการปรับเงินเดือนขั้นต่า
ขั้น สู ง หรื อเงิน ประจ าตาแหน่ งเพิ่มไม่เกิน ร้อยละสิ บของเงินเดือน หรือเงินประจาตาแหน่งที่ใช้บังคับอยู่
ให้ ก ระท าได้ โ ดยตราเป็ น พระราชกฤษฎีก า และให้ ถือ ว่ า เงิ น เดื อนขั้ น ต่ าขั้ น สู ง และเงิ น ประจ าต าแหน่ ง
ท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว เป็นเงินเดือนขั้นต่าขั้นสูง และเงินประจาตาแหน่งท้ายพระราชบัญญัตินี้
เมื่ อ มี ก ารปรั บ เงิ น เดื อ นหรื อ เงิ น ประจ าต าแหน่ ง ตามวรรคหนึ่ ง การปรั บ เงิ น เดื อ นหรื อ
เงิ น ประจ าต าแหน่ ง ของข้า ราชการพลเรื อนสามั ญที่ ได้ รั บอยู่เ ดิ มเข้า สู่ อั ต ราในบั ญชี ที่ไ ด้ รับ การปรั บใหม่
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะรัฐมนตรีกาหนด

หมวด ๓
การสรรหา การบรรจุ และการแต่งตั้ง

มาตรา ๕๒ การสรรหาเพื่อให้ได้บุคคลมาบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
และแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่ง ต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมและคานึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคล
ดังกล่าว ตลอดจนประโยชน์ของทางราชการ ทั้งนี้ ตามที่กาหนดในหมวดนี้
มาตรา ๕๓ การบรรจุ บุ ค คลเข้ า รั บ ราชการเป็ น ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ เพื่ อ แต่ ง ตั้ ง
ให้ดารงตาแหน่งใด ให้บรรจุและแต่งตั้งจากผู้สอบแข่งขันได้ในตาแหน่งนั้น โดยบรรจุและแต่งตั้งตามลาดับที่
ในบัญชีผู้สอบแข่งขันได้
การสอบแข่งขัน การขึ้น บัญชีผู้ สอบแข่งขันได้ และรายละเอียดเกี่ยวกับ การสอบแข่งขัน
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ ก.พ. กาหนด
ความในวรรคหนึ่งไม่ใช้บังคับกับการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการตามมาตรา ๕๕ มาตรา ๕๖
มาตรา ๖๓ มาตรา ๖๔ และมาตรา ๖๕
มาตรา ๕๔ ผู้ ส มั ค รสอบแข่ง ขั น ในต าแหน่ งใด ต้อ งมี คุณ สมบัติ ทั่ ว ไปและไม่ มี ลั ก ษณะ
ต้อ งห้ า ม หรื อ ได้รั บ การยกเว้ น ในกรณี ที่ มี ลั ก ษณะต้อ งห้ า มตามมาตรา ๓๖ และต้ อ งมี คุ ณ สมบั ติ เ ฉพาะ
สาหรับตาแหน่งหรือได้รับอนุมัติจาก ก.พ. ตามมาตรา ๖๒ ด้วย
สาหรับผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๓๖ ข. (๑) ให้มีสิทธิสมัครสอบแข่งขันได้แต่จะมีสิทธิ
ได้ รั บ บรรจุ เ ป็ น ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ที่ ส อบแข่ ง ขั น ได้ ต่ อ เมื่ อ พ้ น จากการเป็ น ผู้ ดารงตาแหน่ ง
ทางการเมืองแล้ว
มาตรา ๕๕ ในกรณี ที่ มี เ หตุ พิ เ ศษ ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาซึ่ ง มี อ านาจสั่ ง บรรจุ ต ามมาตรา ๕๗
อาจคั ด เลื อ กบรรจุ บุ ค คลเข้ า รั บ ราชการและแต่ ง ตั้ ง ให้ ด ารงต าแหน่ ง โดยไม่ ต้ อ งด าเนิ น การสอบแข่ ง ขั น
ตามมาตรา ๕๓ ก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ ก.พ. กาหนด
มาตรา ๕๖ กระทรวงหรื อ กรมใดมี เ หตุ ผ ลและความจ าเป็ น อย่ า งยิ่ ง จะบรรจุ บุ ค คล
ที่มีความรู้ความสามารถ และความชานาญงานสูง เข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งประเภทวิชาการ
ระดับชานาญการ ชานาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ หรือทรงคุณวุฒิ หรือตาแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ
ก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ ก.พ. กาหนด
มาตรา ๕๗ การบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และการแต่งตั้ง
ให้ดารงตาแหน่งตามมาตรา ๕๓ มาตรา ๕๕ มาตรา ๕๖ มาตรา ๖๓ มาตรา ๖๔ มาตรา ๖๕ และมาตรา ๖๖
ให้ผู้มีอานาจดังต่อไปนี้ เป็นผู้สั่งบรรจุและแต่งตั้ง
(๑) การบรรจุ แ ละแต่ ง ตั้ ง ให้ ด ารงต าแหน่ ง ประเภทบริ ห ารระดั บ สู ง ต าแหน่ ง หั ว หน้ า
ส่วนราชการระดับกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัติ
ราชการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดนาเสนอคณะรัฐมนตรี
เพื่ อ พิ จ ารณาอนุ มั ติ เมื่ อ ได้ รั บ อนุ มั ติ จ ากคณะรั ฐ มนตรี แ ล้ ว ให้ รั ฐ มนตรี เ จ้ า สั ง กั ด เป็ น ผู้ สั่ ง บรรจุ และ
ให้นายกรัฐมนตรีนาความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
(๒) การบรรจุ และแต่ งตั้งให้ ดารงตาแหน่ง ประเภทบริห ารระดับ สู งตาแหน่งรองหั ว หน้ า
ส่ ว นราชการระดั บ กระทรวง หั ว หน้ าส่ ว นราชการระดั บกรม รองหั ว หน้า ส่ ว นราชการระดับ กรมที่ อยู่ ใ น
บั ง คั บ บั ญ ชาหรื อ รั บ ผิ ด ชอบการปฏิ บั ติ ร าชการขึ้ น ตรงต่ อ นายกรั ฐ มนตรี ห รื อ ต่ อ รั ฐ มนตรี แล้ ว แต่ ก รณี
หรื อ ต าแหน่ ง อื่ น ที่ ก.พ. ก าหนดเป็ น ต าแหน่ ง ประเภทบริ ห ารระดั บสู ง ให้ ป ลั ด กระทรวงผู้ บั ง คั บ บั ญ ชา
หรือ หัว หน้า ส่ว นราช การระดับ กรมที ่อ ยู ่ใ นบัง คับ บัญ ช าหรือ รับ ผิด ช อบการปฏิบ ัต ิร าช การ
ขึ้นตรงต่อนายกรั ฐมนตรีหรือต่อรัฐ มนตรี แล้ว แต่กรณี เสนอรัฐ มนตรีเจ้าสั งกัดเพื่อนาเสนอคณะรัฐมนตรี
พิ จ ารณาอนุ มั ติ เมื่ อ ได้ รั บ อนุ มั ติ จ ากคณะรั ฐ มนตรี แ ล้ ว ให้ ป ลั ด กระทรวงผู้ บั ง คั บ บั ญ ชา หรื อ หั ว หน้ า
ส่วนราชการระดับกรมดังกล่าวเป็นผู้สั่งบรรจุ และให้นายกรัฐมนตรีนาความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
(๓) การบรรจุ แ ละแต่ ง ตั้ ง ให้ ด ารงต าแหน่ ง ประเภทบริ ห ารระดั บ ต้ น ให้ ป ลั ด กระทรวง
ผู้บั งคับ บั ญชา หรื อหั ว หน้ าส่ว นราชการระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิ ดชอบการปฏิบัติราชการ
ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี เป็นผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง
(๔) การบรรจุ และแต่งตั้ งให้ ดารงตาแหน่ง ประเภทอ านวยการ ประเภทวิช าการ ระดั บ
ปฏิบัติการ ชานาญการ ชานาญการพิเศษ และเชี่ยวชาญ และประเภททั่วไปในสานักงานรัฐมนตรี ให้รัฐมนตรี
เจ้าสังกัดเป็นผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง
(๕) การบรรจุและแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งประเภทอานวยการระดับสู ง ให้ปลัดกระทรวง
ผู้บั งคับ บั ญชา หรื อหั ว หน้ าส่ว นราชการระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิ ดชอบการปฏิบัติราชการ
ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี เป็นผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง
(๖) การบรรจุ แ ละแต่ ง ตั้ ง ให้ ด ารงต าแหน่ ง ประเภทอ านวยการระดั บ ต้ น ให้ อ ธิ บ ดี
ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งเมื่อได้รับความเห็นชอบจากปลัดกระทรวง ส่วนการบรรจุ
และแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งประเภทอานวยการระดับต้นในส่ว นราชการระดับกรมที่หัวหน้าส่ว นราชการ
อยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี หรือต่อรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี
ให้อธิบดีผู้บังคับบัญชา เป็นผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง
(๗) การบรรจุและแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งประเภทวิช าการระดับทรงคุณวุฒิ ให้รัฐ มนตรี
เจ้าสังกัดนาเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัด
เป็นผู้สั่งบรรจุ และให้นายกรัฐมนตรีนาความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
(๘) การบรรจุและแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ให้ปลัดกระทรวง
หรื อ หั ว หน้ า ส่ ว นราชการระดั บ กรมที่ อ ยู่ ใ นบั ง คั บ บั ญ ชาหรื อ รั บ ผิ ด ชอบการปฏิ บั ติ ร าชการขึ้ น ตรงต่ อ
นายกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี เป็นผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง
(๙) การบรรจุ แ ละแต่ ง ตั้ ง ให้ ด ารงต าแหน่ ง ประเภทวิ ช าการระดั บ ช านาญการพิ เ ศษ
และตาแหน่งประเภททั่ว ไประดับ ทักษะพิเศษ ให้ อธิบดีผู้ บังคับบัญชา เป็นผู้ มีอานาจสั่ งบรรจุและแต่งตั้ง
เมื่อ ได้รั บ ความเห็ น ชอบจากปลั ดกระทรวง ส่ ว นการบรรจุแ ละแต่ง ตั้ง ให้ ด ารงตาแหน่ งประเภทวิช าการ
ระดับชานาญการพิเศษ และตาแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษในส่ว นราชการระดับกรมที่หัว หน้า
ส่วนราชการอยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี
แล้วแต่กรณี ให้อธิบดีผู้บังคับบัญชา เป็นผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง
(๑๐) การบรรจุและแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ชานาญการ
ตาแหน่ งประเภททั่ ว ไประดั บ ปฏิ บั ติ งาน ช านาญงาน และอาวุ โ ส ให้ อธิ บดี ผู้ บังคั บบั ญชา หรื อผู้ ซึ่ งได้ รั บ
มอบหมายจากอธิบดีผู้บังคับบัญชา เป็นผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง
(๑๑) การบรรจุและแต่งตั้งตามมาตรา ๕๓ และการย้ายตามมาตรา ๖๓ ให้ดารงตาแหน่ง
ตาม (๙) ซึ่ ง ไม่ ใ ช่ ตาแหน่ ง ประเภททั่ ว ไประดั บ ทั ก ษะพิ เ ศษ และต าแหน่ งตาม (๑๐) ในราชการบริ ห าร
ส่วนภูมิภาค ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดผู้บังคับบัญชา เป็นผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง
ในการเสนอเพื่อแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดารงตาแหน่ง ให้รายงานความสมควร
พร้อมทั้งเหตุผล ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ. กาหนดไปด้วย
มาตรา ๕๘ ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดารงตาแหน่งประเภทบริหารผู้ใดปฏิบัติหน้าที่เดียว
ติดต่อกันเป็นเวลาครบสี่ปี ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ ดาเนินการให้มีการสับเปลี่ยน
หน้ าที่ ย้าย หรือโอนไปปฏิบั ติหน้ าที่อื่น เว้นแต่มีความจาเป็นเพื่อประโยชน์ของทางราชการจะขออนุมัติ
คณะรัฐมนตรีให้คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่เดิมต่อไปเป็นเวลาไม่เกินสองปีก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ.
กาหนด
ความในวรรคหนึ่ ง ไม่ ใ ห้ ใ ช้ บั ง คั บ แก่ ผู้ ด ารงต าแหน่ ง ที่ ก.พ. ก าหนดว่ า เป็ น ต าแหน่ ง ที่ มี
ลักษณะงานเฉพาะอย่าง
มาตรา ๕๙ ผู้ได้รับบรรจุและแต่งตั้งตามมาตรา ๕๓ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๕๕ ให้ทดลอง
ปฏิบัติหน้าที่ราชการและให้ได้รับการพัฒนาเพื่อให้รู้ระเบียบแบบแผนของทางราชการและเป็นข้าราชการที่ดี
ตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
ผู้ ท ดลองปฏิบั ติ ห น้ า ที่ ร าชการตามวรรคหนึ่ง ผู้ ใ ดมี ผ ลการประเมิ น ทดลองปฏิ บั ติ ห น้ า ที่
ราชการตามที่ ก าหนดในกฎ ก.พ. ไม่ ต่ ากว่ า มาตรฐานที่ ก าหนด ให้ ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาซึ่ ง มี อ านาจสั่ ง บรรจุ
ตามมาตรา ๕๗ สั่ งให้ผู้ นั้น รับ ราชการต่อไป ถ้าผู้ นั้นมีผลการประเมินทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการต่ากว่า
มาตรฐานที่กาหนด ก็ให้สั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการได้ไม่ว่าจะครบกาหนดเวลาทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ
แล้วหรือไม่ก็ตาม
ผู้ ใ ดถู ก สั่ ง ให้ อ อกจากราชการตามวรรคสอง ให้ ถื อ เสมือ นว่า ผู้ นั้น ไม่เ คยเป็น ข้ าราชการ
พลเรือนสามัญ แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือการรับเงินเดือน
หรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับจากทางราชการในระหว่างผู้นั้นอยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติ
หน้าที่ราชการ
ผู้อยู่ในระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการผู้ใดมีกรณีอันมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัย
ให้ผู้บังคับบัญชาดาเนินการทางวินัยตามที่บัญญัติไว้ในหมวด ๗ การดาเนินการทางวินัย และถ้าผู้นั้นมีกรณี
ที่จะต้องออกจากราชการตามวรรคสอง ก็ให้ผู้บังคับบัญชาดาเนินการตามวรรคสองไปก่อน
ความในวรรคหนึ่ ง วรรคสอง และวรรคสามให้ ใ ช้ บั ง คั บ กั บ ข้ า ราชการหรื อ พนั ก งาน
ส่วนท้องถิ่นซึ่งโอนมาตามมาตรา ๖๔ ในระหว่างที่ยังทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๖๐ ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ซึ่ ง อยู่ ใ นระหว่ า งทดลองปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ร าชการ
ผู้ ใ ดถู ก สั่ ง ให้ อ อกจากราชการตามมาตรา ๑๑๑ และต่ อ มาปรากฏว่ า ผู้ นั้ น มี ก รณี ที่ จ ะต้ อ งถู ก สั่ ง ให้ อ อก
จากราชการตามมาตรา ๕๙ หรื อตามมาตราอื่น ก็ ให้ ผู้ บั งคับ บัญ ชาซึ่ง มีอานาจสั่ งบรรจุตามมาตรา ๕๗
หรื อ ผู้ มี อ านาจตามมาตราอื่ น นั้ น แล้ ว แต่ ก รณี มี อ านาจเปลี่ ย นแปลงค าสั่ ง เป็ น ให้ อ อกจากราชการ
ตามมาตรา ๕๙ หรือตามมาตราอื่นนั้นได้
มาตรา ๖๑ การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดารงตาแหน่งในสายงานที่ไม่มีกาหนดไว้
ในมาตรฐานกาหนดตาแหน่ง จะกระทามิได้
มาตรา ๖๒ ผู้ ได้รั บ แต่งตั้งให้ ดารงตาแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญตาแหน่งใดต้องมี
คุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสาหรับตาแหน่งนั้นตามมาตรฐานกาหนดตาแหน่ง
ในกรณีที่มีเหตุผ ลและความจาเป็น ก.พ. อาจอนุมัติให้ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
ที่มีคุณสมบัติต่างไปจากคุณสมบัติเฉพาะสาหรับตาแหน่งตามมาตรฐานกาหนดตาแหน่งก็ได้
ในกรณีที่ ก.พ. กาหนดให้ปริญญา ประกาศนียบัตรวิชาชีพหรือคุณวุฒิใดเป็นคุณสมบัติเฉพาะ
สาหรับตาแหน่ง ให้หมายถึงปริญญา ประกาศนียบัตรวิชาชีพหรือคุณวุฒิที่ ก.พ. รับรอง
มาตรา ๖๓ การย้า ย การโอน หรือ การเลื ่อ นข้า ราชการพลเรือ นสามัญ ไปแต่ง ตั ้ง
ให้ดารงตาแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญในหรือต่างกระทรวงหรือกรม แล้วแต่กรณี ให้เป็นไปตามที่กาหนด
ในกฎ ก.พ.
การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญจากกระทรวงหรือกรมหนึ่ง ไปแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่ง
ข้าราชการพลเรือนสามัญในต่างประเทศสังกัดอีกกระทรวงหรือกรมหนึ่ง เป็นการชั่วคราวตามระยะเวลา
ที่กาหนด ให้กระทาได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ. กาหนด
การย้ า ยหรื อ การโอนข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ไปแต่ ง ตั้ ง ให้ ด ารงต าแหน่ ง ในระดั บ
ที่ต่ากว่าเดิมจะกระทามิได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้น
การบรรจุ ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ที่ ไ ด้ อ อกจากราชการไปเนื่ อ งจากถู ก สั่ ง ให้ อ อก
จากราชการเพื่ อ ไปรั บ ราชการทหารตามกฎหมายว่ า ด้ ว ยการรั บ ราชการทหาร หรื อ ได้ รั บ อนุ มั ติ
จากคณะรั ฐ มนตรี ใ ห้ ไ ปปฏิ บั ติ ง านใด ๆ ซึ่ ง ให้ นั บ เวลาระหว่ า งนั้ น ส าหรั บ การค านวณบ าเหน็ จ บ านาญ
เหมือนเต็มเวลาราชการหรื อออกจากราชการไปที่มิใช่เป็นการออกจากราชการในระหว่างทดลองปฏิบัติ
หน้ าที่ราชการกลั บเข้ารับ ราชการในกระทรวงหรือกรม ตลอดจนจะสั่ งบรรจุและแต่งตั้งให้ ดารงตาแหน่ง
ประเภทใด สายงานใด ระดั บ ใด และให้ ไ ด้ รั บ เงิ น เดื อ นเท่ า ใด ให้ ก ระท าได้ ต ามหลั ก เกณฑ์ แ ละวิ ธี ก าร
ที่ ก.พ. กาหนด
เพื่ อ ประโยชน์ ใ นการนั บ เวลาราชการตามพระราชบั ญ ญั ติ นี้ แ ละตามกฎหมายว่ า ด้ ว ย
บ าเหน็ จ บ านาญข้ า ราชการ ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ที่ ไ ด้ อ อกจากราชการไป เนื่ อ งจากถู ก สั่ ง ให้ อ อก
จากราชการเพื่ อ ไปรั บ ราชการทหารตามกฎหมายว่ า ด้ ว ยการรั บ ราชการทหาร หรื อ ได้ รั บ อนุ มั ติ
จากคณะรั ฐ มนตรี ใ ห้ ไ ปปฏิ บั ติ ง านใด ๆ ซึ่ ง ให้ นั บ เวลาระหว่ า งนั้ น ส าหรั บ การค านวณบ าเหน็ จ บ านาญ
เหมือนเต็มเวลาราชการ เมื่อได้รั บ บรรจุ กลั บเข้ารับราชการให้ มีสิ ทธินับวันรับราชการก่อนถูกสั่ ง ให้ ออก
จากราชการรวมกับวันรับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร หรือวันที่ได้ปฏิบัติงานใด ๆ
ตามที่ ได้รั บ อนุ มั ติจ ากคณะรั ฐ มนตรี แล้ ว แต่ก รณี และวั นรับ ราชการเมื่อได้รับบรรจุ กลั บ เข้ารั บราชการ
เป็นเวลาราชการติดต่อกันเสมือนว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกสั่งให้ออกจากราชการ สาหรับผู้ซึ่งออกจากราชการไป
ที่มิใช่เป็ น การออกจากราชการในระหว่างทดลองปฏิบัติห น้าที่ราชการซึ่งได้รับบรรจุกลั บเข้ารับราชการ
ตามวรรคสี่ ให้ มี สิ ท ธิ นั บ เวลาราชการก่ อ นออกจากราชการเพื่ อ ประโยชน์ ใ นการนั บ เวลาราชการ
ตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๖๔ การโอนพนักงานส่ วนท้องถิ่น การโอนข้าราชการที่ไม่ใช่ข้าราชการพลเรือน
สามัญตามพระราชบัญญัตินี้และไม่ใช่ข้าราชการการเมือง และการโอนเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานอื่นของรัฐ
ที่ ก.พ. ก าหนด มาบรรจุ เ ป็ น ข้า ราชการพลเรือ นสามั ญ ตลอดจนจะแต่งตั้ง ให้ ดารงตาแหน่ง ประเภทใด
สายงานใด ระดับใด และให้ได้รับเงินเดือนเท่าใด ให้กระทาได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ. กาหนด
เพื่ อ ประโยชน์ ใ นการนั บ เวลาราชการ ให้ ถื อ เวลาราชการหรื อ เวลาท างานของผู้ ที่ โ อน
มารับราชการตามวรรคหนึ่ง เป็นเวลาราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย
มาตรา ๖๕ พนั ก งานส่ ว นท้ อ งถิ่ น ซึ่ ง ไม่ ใ ช่ อ อกจากงานในระหว่ า งทดลองปฏิ บั ติ ง าน
หรือข้าราชการที่ไม่ใช่ข้าราชการพลเรือนสามัญตามพระราชบัญญัตินี้ และไม่ใช่ข้าราชการการเมือง ข้าราชการ
วิสามัญ หรือข้าราชการซึ่งออกจากราชการในระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ ผู้ ใดออกจากงานหรือ
ออกจากราชการไปแล้ ว ถ้าสมัครเข้า รั บ ราชการเป็ นข้าราชการพลเรือนสามัญและทางราชการต้องการ
จะรับผู้นั้นเข้ารับราชการให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ พิจารณาโดยคานึงถึงประโยชน์
ที่ทางราชการจะได้รับ ทั้งนี้ จะบรรจุและแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งประเภทใด สายงานใด ระดับใด และให้ได้รับ
เงินเดือนเท่าใดให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ. กาหนด
เพื่อประโยชน์ในการนับเวลาราชการ ให้ถือเวลาราชการหรือเวลาทางานของผู้เข้ารับราชการ
ตามวรรคหนึ่งในขณะที่เป็นข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่นนั้นเป็นเวลาราชการของข้าราชการพลเรือน
สามัญตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย
มาตรา ๖๖ ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดได้รับแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งตามมาตรา ๖๒ แล้ว
หากภายหลังปรากฏว่าเป็ นผู้มีคุณสมบัติไม่ตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสาหรับตาแหน่งนั้น ให้ ผู้บังคับบัญชา
ซึ่ ง มี อ านาจสั่ ง บรรจุ ต ามมาตรา ๕๗ แต่ ง ตั้ ง ผู้ นั้ น ให้ ก ลั บ ไปด ารงต าแหน่ ง ตามเดิ ม หรื อ ต าแหน่ ง อื่ น
ในประเภทเดี ย วกั น และระดั บ เดี ย วกั น โดยพลั น แต่ ทั้ ง นี้ ไม่ ก ระทบกระเทื อ นถึ ง การใดที่ ผู้ นั้ น ได้ ป ฏิ บั ติ
ไปตามอานาจและหน้ าที่ และการรั บ เงิน เดือนหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิ ทธิจะได้รับอยู่ก่อ น
ได้รับคาสั่งให้กลับไปดารงตาแหน่งตามเดิมหรือตาแหน่งอื่นในประเภทเดียวกันและระดับเดียวกัน
การรับ เงินเดือน สิทธิและประโยชน์ของผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้กลับไปดารงตาแหน่งตามเดิม
หรือตาแหน่งอื่นในประเภทเดียวกันและระดับเดียวกันตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
ที่ ก.พ. กาหนด
ในกรณีที่ไม่ส ามารถแต่งตั้งให้กลั บไปดารงตาแหน่งตามเดิมหรือตาแหน่งอื่นในประเภท
เดียวกันและระดับเดียวกันตามวรรคหนึ่งได้ ไม่ว่าด้วยเหตุใดให้ ก.พ. พิจารณาเป็นการเฉพาะราย
มาตรา ๖๗ ผู้ได้รับบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญและแต่งตั้งให้ดารง
ตาแหน่ งใดตามมาตรา ๕๓ วรรคหนึ่ ง มาตรา ๕๕ มาตรา ๕๖ มาตรา ๖๓ มาตรา ๖๔ และมาตรา ๖๕
หากภายหลั งปรากฏว่าขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือมีลักษณะต้องห้ามโดยไม่ได้รับการยกเว้นตามมาตรา ๓๖
หรื อ ขาดคุ ณ สมบั ติ เ ฉพาะส าหรั บ ต าแหน่ ง นั้ น โดยไม่ ไ ด้ รั บ อนุ มั ติ จ าก ก.พ. ตามมาตรา ๖๒ อยู่ ก่ อ นก็ ดี
มีกรณีต้องหาอยู่ก่อนและภายหลังเป็นผู้ขาดคุณสมบัติเนื่องจากกรณีต้องหานั้นก็ดี ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจ
สั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ สั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการโดยพลัน แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้น
ได้ปฏิบัติไปตามอานาจและหน้าที่ และการรับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับ
จากทางราชการก่อ นมีค าสั่ ง ให้ อ อกนั้ น และถ้า การเข้า รั บราชการเป็ นไปโดยสุ จ ริ ตแล้ ว ให้ ถือ ว่ าเป็ นการ
สั่งให้ออกเพื่อรับบาเหน็จบานาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบาเหน็จบานาญข้าราชการ
มาตรา ๖๘ ในกรณี ที่ ต าแหน่ ง ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ว่ า งลง หรื อ ผู้ ด ารงต าแหน่ ง
ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ราชการได้ และเป็นกรณีที่มิได้บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการ
แผ่นดิน ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ มีอานาจสั่งให้ข้าราชการพลเรือนที่เห็นสมควร
รักษาการในตาแหน่งนั้นได้
ผู้รักษาการในตาแหน่งตามวรรคหนึ่ง ให้มีอานาจหน้าที่ตามตาแหน่งที่รักษาการนั้น ในกรณี
ที่มีกฎหมายอื่น กฎ ระเบี ย บ ข้อบั งคั บ มติของคณะรัฐ มนตรี มติ คณะกรรมการตามกฎหมายหรือคาสั่ ง
ผู้บังคับบัญชา แต่งตั้งให้ผู้ดารงตาแหน่งนั้น ๆ เป็นกรรมการ หรือให้มีอานาจหน้าที่อย่างใด ก็ให้ผู้รักษาการ
ในตาแหน่งทาหน้าที่กรรมการ หรือมีอานาจหน้าที่อย่างนั้นในระหว่างที่รักษาการในตาแหน่ง แล้วแต่กรณี
มาตรา ๖๙ ในกรณีที่มีเหตุผลความจาเป็น ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗
มีอานาจสั่งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ประจาส่วนราชการเป็นการชั่วคราวโดยให้พ้นจากตาแหน่งหน้าที่เดิมได้
ตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
การให้ได้รับเงินเดือน การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือน การดาเนินการทางวินัย และการออก
จากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
มาตรา ๗๐ ในกรณีที่มีเหตุผลความจาเป็น ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗
มีอานาจสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญพ้นจากตาแหน่งหน้าที่และขาดจากอัตราเงินเดือนในตาแหน่งเดิม
โดยให้รับเงินเดือนในอัตรากาลังทดแทนโดยมีระยะเวลาตามที่ ก.พ. กาหนดได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่กาหนดในกฎ ก.พ.
การให้พ้นจากตาแหน่ง การให้ได้รับเงินเดือน การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือน การดาเนินการ
ทางวินั ย และการออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญตามวรรคหนึ่ง ให้ เป็น ไปตามที่กาหนด
ในกฎ ก.พ.
ในกรณีที่ ห มดความจ าเป็ น หรือ ครบกาหนดระยะเวลาการให้ รับเงินเดือนในอั ตรากาลั ง
ทดแทน ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ สั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นพ้นจาก
การรับเงินเดือนในอัตรากาลังทดแทนและแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งตามเดิมหรือตาแหน่งอื่นในประเภทเดีย วกัน
และระดับเดียวกัน
มาตรา ๗๑ ในกรณี ที่ ศ าลปกครองมี ค าพิ พ ากษาถึ ง ที่ สุ ด สั่ ง ให้ เ พิ ก ถอนค าสั่ ง แต่ ง ตั้ ง
ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ให้ เ ป็ น หน้ า ที่ ข อง ก.พ. โดยความเห็ น ชอบของคณะรั ฐ มนตรี ใ นการสั่ ง การ
ตามสมควรเพื่อเยียวยาและแก้ไขหรือดาเนินการตามที่เห็นสมควรได้
หมวด ๔
การเพิม่ พูนประสิทธิภาพและ
เสริมสร้างแรงจูงใจในการปฏิบตั ิราชการ

มาตรา ๗๒ ให้ส่วนราชการมีหน้าที่ดาเนินการให้มีการเพิ่มพูนประสิทธิภาพและเสริมสร้าง
แรงจู ง ใจแก่ ข้ า ราชการพลเรื อนสามั ญ เพื่ อ ให้ ข้ า ราชการพลเรื อ นสามัญ มี คุ ณ ภาพ คุ ณ ธรรม จริ ย ธรรม
คุณภาพชีวิต มีขวัญและกาลังใจในการปฏิบัติราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่ ก.พ. กาหนด
ในกรณี ที่ เ ห็ น สมควร และเพื่ อ การประหยั ด ส านั ก งาน ก.พ. จะจั ด ให้ มี ก ารเพิ่ ม พู น
ประสิทธิภาพและเสริมสร้างแรงจูงใจแทนส่วนราชการตามวรรคหนึ่งก็ได้
มาตรา ๗๓ ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาต้ อ งปฏิ บั ติ ต นต่ อ ผู้ อ ยู่ ใ ต้ บั ง คั บ บั ญ ชาอย่ า งมี คุ ณ ธรรมและ
เที่ยงธรรมและเสริมสร้างแรงจูงใจให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาดารงตนเป็นข้าราชการที่ดี
มาตรา ๗๔ ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ผู้ ใ ดประพฤติ ต นอยู่ ใ นจรรยาและระเบี ย บวิ นั ย
และปฏิบั ติร าชการอย่ า งมี ป ระสิ ท ธิภ าพและเกิ ดผลสั มฤทธิ์ต่ อภารกิ จของรัฐ ให้ ผู้ บั งคั บบั ญ ชาพิจ ารณา
เลื่อนเงินเดือนให้ตามควรแก่กรณีตามที่กาหนดในกฎ ก.พ. และจะให้บาเหน็จความชอบอย่างอื่นซึ่งอาจเป็น
คาชมเชย เครื่องเชิดชูเกียรติ หรือรางวัลด้วยก็ได้
มาตรา ๗๕ การให้ ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ไปศึ ก ษาเพิ่ ม เติ ม ฝึ ก อบรม ดู ง าน หรื อ
ปฏิบัติการวิจัยในประเทศหรือต่างประเทศ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ ก.พ. กาหนด
มาตรา ๗๖ ให้ผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ประเมินผลการปฏิบัติราชการของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา
เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาแต่งตั้ง และเลื่อนเงินเดือน ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ. กาหนด
ผลการประเมินตามวรรคหนึ่งให้นาไปใช้เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาและเพิ่มพูนประสิทธิภาพ
การปฏิบัติราชการด้วย
มาตรา ๗๗ ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดถึงแก่ความตายเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ
ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาเลื่อนเงินเดือนให้ผู้นั้นเป็นกรณีพิเศษเพื่อประโยชน์ในการคานวณบาเหน็จบานาญ
หรือให้ได้รับสิทธิประโยชน์อื่นตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกาหนด

หมวด ๕
การรักษาจรรยาข้าราชการ

มาตรา ๗๘ ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องรักษาจรรยาข้าราชการตามที่ส่วนราชการกาหนด
ไว้โดยมุ่งประสงค์ให้เป็นข้าราชการที่ดี มีเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นข้าราชการ โดยเฉพาะในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑) การยึดมั่นและยืนหยัดทาในสิ่งที่ถูกต้อง
(๒) ความซื่อสัตย์สุจริตและความรับผิดชอบ
(๓) การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
(๔) การปฏิบัติหน้าที่โดยไม่เลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
(๕) การมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน
ให้ส่วนราชการกาหนดข้อบังคับว่าด้วยจรรยาข้าราชการเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของงาน
ในส่วนราชการนั้นตามหลักวิชาและจรรยาวิชาชีพ
ในการกาหนดข้อบังคับว่าด้วยจรรยาข้าราชการตามวรรคสอง ให้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น
ของข้าราชการและประกาศให้ประชาชนทราบด้วย
มาตรา ๗๙ ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ผู้ ใ ดไม่ ป ฏิ บั ติ ต ามจรรยาข้ า ราชการอั น มิ ใ ช่
เป็ น ความผิ ด วินั ย ให้ ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาตั กเตื อ น น าไปประกอบการพิ จารณาแต่ง ตั้ งเลื่ อ นเงิ นเดื อน หรื อ สั่ ง
ให้ข้าราชการผู้นั้นได้รับการพัฒนา

หมวด ๖
วินยั และการรักษาวินยั

มาตรา ๘๐ ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องรักษาวินัยโดยกระทาการหรือไม่กระทาการ
ตามที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้โดยเคร่งครัดอยู่เสมอ
ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ผู้ ป ฏิ บั ติ ร าชการในต่ า งประเทศนอกจากต้ อ งรั ก ษาวิ นั ย
ตามที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้แล้ว ต้องรักษาวินัยโดยกระทาการหรือไม่กระทาการตามที่กาหนดในกฎ ก.พ. ด้วย
มาตรา ๘๑ ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ
มาตรา ๘๒ ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องกระทาการอันเป็นข้อปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑) ต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และเที่ยงธรรม
(๒) ต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติของ
คณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล และปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ
(๓) ต้ อ งปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ร าชการให้ เ กิด ผลดี ห รือ ความก้า วหน้ า แก่ ร าชการด้ ว ยความตั้ง ใจ
อุตสาหะ เอาใจใส่ และรักษาประโยชน์ของทางราชการ
(๔) ต้องปฏิบัติตามคาสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการ โดยชอบด้วยกฎหมาย
และระเบียบของทางราชการ โดยไม่ขัดขืนหรือหลีกเลี่ยง แต่ถ้าเห็นว่าการปฏิบัติตามคาสั่งนั้นจะทาให้เสียหาย
แก่ ร าชการ หรื อ จะเป็ น การไม่ รั กษาประโยชน์ ข องทางราชการจะต้อ งเสนอความเห็ น เป็ น หนั ง สื อทั น ที
เพื่ อให้ ผู้ บั งคั บ บั ญ ชาทบทวนคาสั่ งนั้ น และเมื่ อ ได้ เสนอความเห็ นแล้ ว ถ้า ผู้ บั ง คับ บัญ ชายื นยั น ให้ ปฏิ บั ติ
ตามคาสั่งเดิม ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตาม
(๕) ต้องอุทิศเวลาของตนให้แก่ราชการ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการมิได้
(๖) ต้องรักษาความลับของทางราชการ
(๗) ต้องสุ ภาพเรี ย บร้ อย รักษาความสามัคคีและต้องช่ว ยเหลือกันในการปฏิบัติราชการ
ระหว่างข้าราชการด้วยกันและผู้ร่วมปฏิบัติราชการ
(๘) ต้องต้อนรับ ให้ ความสะดวก ให้ความเป็นธรรม และให้การสงเคราะห์แก่ประชาชน
ผู้ติดต่อราชการเกี่ยวกับหน้าที่ของตน
(๙) ต้องวางตนเป็นกลางทางการเมืองในการปฏิบัติหน้าที่ราชการและในการปฏิบัติการอื่น
ที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ ประชาชน กั บ จะต้ อ งปฏิ บั ติ ต ามระเบี ย บของทางราชการว่ า ด้ ว ยมารยาททางการเมื อ ง
ของข้าราชการด้วย
(๑๐) ต้องรักษาชื่อเสียงของตน และรักษาเกียรติศักดิ์ของตาแหน่งหน้าที่ ราชการของตน
มิให้เสื่อมเสีย
(๑๑) กระทาการอื่นใดตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
มาตรา ๘๓ ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องไม่กระทาการใดอันเป็นข้อห้าม ดังต่อไปนี้
(๑) ต้องไม่รายงานเท็จ ต่อผู้บังคับบัญชา การรายงานโดยปกปิดข้อความซึ่งควรต้องแจ้ง
ถือว่าเป็นการรายงานเท็จด้วย
(๒) ต้ อ งไม่ ป ฏิ บั ติ ร าชการอั น เป็ น การกระท าการข้ า มผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาเหนื อ ตน เว้ น แต่
ผู้บังคับบัญชาเหนือตนขึ้นไปเป็นผู้สั่งให้กระทาหรือได้รับอนุญาตเป็นพิเศษชั่วครั้งคราว
(๓) ต้อ งไม่อ าศัย หรือ ยอมให้ผู ้อื่น อาศัย ตาแหน่ง หน้า ที่ร าชการของตนหาประโยชน์
ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น
(๔) ต้องไม่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ
(๕) ต้ อ งไม่ ก ระทาการหรื อ ยอมให้ ผู้ อื่ น กระทาการหาผลประโยชน์ อั น อาจทาให้
เสียความเที่ยงธรรมหรือเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตาแหน่งหน้าที่ราชการของตน
(๖) ต้องไม่เป็ นกรรมการผู้จัดการ หรือผู้จัดการ หรือดารงตาแหน่งอื่นใดที่มีลั กษณะงาน
คล้ายคลึงกันนั้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท
(๗) ต้องไม่กระทาการอย่างใดที่เป็นการกลั่นแกล้ง กดขี่ หรือข่มเหงกันในการปฏิบัติราชการ
(๘) ต้องไม่กระทาการอันเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
(๙) ต้องไม่ดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่ หรือข่มเหงประชาชนผู้ติดต่อราชการ
(๑๐) ไม่กระทาการอื่นใดตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
มาตรา ๘๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ ใดไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติตามมาตรา ๘๑ และ
มาตรา ๘๒ หรือฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา ๘๓ ผู้นั้นเป็นผู้กระทาผิดวินัย
มาตรา ๘๕ การกระทาผิดวินัยในลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
(๑) ปฏิ บั ติ ห รื อ ละเว้ น การปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ร าชการโดยมิ ช อบเพื่ อ ให้ เ กิ ด ความเสี ย หาย
อย่างร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต
(๒) ละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ
อย่างร้ายแรง
(๓) ละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินสิบห้าวันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
หรือโดยมีพฤติการณ์อันแสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ
(๔) กระทาการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
(๕) ดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่ ข่มเหง หรือทาร้ายประชาชนผู้ติดต่อราชการอย่างร้ายแรง
(๖) กระทาความผิดอาญาจนได้รับโทษจาคุกหรือโทษที่หนักกว่าโทษจาคุกโดยคาพิพากษา
ถึงที่สุดให้จาคุกหรือให้รับโทษที่หนักกว่าโทษจาคุก เว้นแต่เป็นโทษสาหรับความผิดที่ได้กระทาโดยประมาท
หรือความผิดลหุโทษ
(๗) ละเว้นการกระทาหรือกระทาการใด ๆ อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๘๒ หรือฝ่าฝืน
ข้อห้ามตามมาตรา ๘๓ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
(๘) ละเว้นการกระทาหรือกระทาการใด ๆ อันเป็นการไม่ปฏิบั ติตามมาตรา ๘๐ วรรคสอง
และมาตรา ๘๒ (๑๑) หรื อฝ่ าฝื น ข้อห้ ามตามมาตรา ๘๓ (๑๐) ที่มีกฎ ก.พ. กาหนดให้ เป็นความผิ ดวินัย
อย่างร้ายแรง
มาตรา ๘๖ กฎ ก.พ. ตามมาตรา ๘๐ วรรคสอง มาตรา ๘๒ (๑๑) มาตรา ๘๓ (๘) และ (๑๐)
และมาตรา ๘๕ (๘) ให้ใช้สาหรับการกระทาที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่กฎ ก.พ. ดังกล่าวใช้บังคับ
มาตรา ๘๗ ให้ ผู้บั งคับบั ญชามีหน้าที่เสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้ อยู่ใต้บังคับบัญชามีวินัย
และป้องกันมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทาผิดวินัย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ. กาหนด
มาตรา ๘๘ ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัย จะต้องได้รับโทษทางวินัย เว้นแต่
มีเหตุอันควรงดโทษตามที่บัญญัติไว้ในหมวด ๗ การดาเนินการทางวินัย
โทษทางวินัยมี ๕ สถาน ดังต่อไปนี้
(๑) ภาคทัณฑ์
(๒) ตัดเงินเดือน
(๓) ลดเงินเดือน
(๔) ปลดออก
(๕) ไล่ออก
มาตรา ๘๙ การลงโทษข้าราชการพลเรือนสามัญให้ทาเป็นคาสั่ง ผู้สั่งลงโทษต้องสั่งลงโทษ
ให้ เ หมาะสมกั บ ความผิ ด และต้ อ งเป็ น ไปด้ว ยความยุ ติ ธ รรมและโดยปราศจากอคติ โดยในค าสั่ ง ลงโทษ
ให้แสดงว่าผู้ถูกลงโทษกระทาผิดวินัยในกรณีใดและตามมาตราใด
หมวด ๗
การดาเนินการทางวินยั

มาตรา ๙๐ เมื่ อมีก ารกล่ าวหาหรือมี กรณี เป็น ที่ส งสั ยว่ าข้า ราชการพลเรือนสามั ญผู้ ใ ด
กระทาผิ ดวินั ย ให้ผู้บั งคับ บัญชามีหน้าที่ต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗
ทราบโดยเร็ว และให้ผู้ บังคับบั ญชาซึ่งมีอานาจสั่ งบรรจุตามมาตรา ๕๗ ดาเนินการตามพระราชบัญญัตินี้
โดยเร็วด้วยความยุติธรรมและโดยปราศจากอคติ
ผู้บังคับบัญชาหรือผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ ผู้ใดละเลยไม่ปฏิบัติ
หน้าที่ตามวรรคหนึ่ง หรือปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริตให้ถือว่าผู้นั้นกระทาผิดวินัย
อ านาจหน้ า ที่ ข องผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาซึ่ ง มี อ านาจสั่ ง บรรจุ ต ามมาตรา ๕๗ ตามหมวดนี้
ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ จะมอบหมายให้ผู้บังคับบัญชาระดับต่าลงไปปฏิบัติแทน
ตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กาหนดก็ได้
มาตรา ๙๑ เมื่อได้รับรายงานตามมาตรา ๙๐ หรือความดังกล่าวปรากฏต่อผู้บังคับบัญชา
ซึ่งมีอานาจสั่ งบรรจุ ตามมาตรา ๕๗ ให้ ผู้ บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่ งบรรจุตามมาตรา ๕๗ รีบดาเนินการ
หรือสั่งให้ดาเนินการสืบสวนหรือพิจารณาในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าผู้นั้นกระทาผิดวินัยหรือไม่
ถ้าเห็นว่ากรณีไม่มีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยก็ให้ยุติเรื่องได้
ในกรณีที่เ ห็น ว่า มีมูล ที่ค วรกล่า วหาว่า ข้า ราชการพลเรือ นสามัญ ผู ้ใ ดกระทาผิด วิน ัย
โดยมีพยานหลักฐานในเบื้องต้นอยู่แล้ว ให้ดาเนินการต่อไปตามมาตรา ๙๒ หรือมาตรา ๙๓ แล้วแต่กรณี
มาตรา ๙๒ ในกรณีที่ผ ลการสื บสวนหรือพิจารณาตามมาตรา ๙๑ ปรากฏว่ากรณีมีมูล
ถ้ า ความผิ ด นั้ น มิ ใ ช่ เ ป็ น ความผิ ด วิ นั ย อย่ า งร้ า ยแรง และได้ แ จ้ ง ข้ อ กล่ า วหาและสรุ ป พยานหลั ก ฐาน
ให้ ผู้ ถู ก กล่ า วหาทราบ พร้ อ มทั้ ง รั บ ฟั ง ค าชี้ แ จงของผู้ ถู ก กล่ า วหาแล้ ว ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาซึ่ ง มี อ านาจสั่ ง บรรจุ
ตามมาตรา ๕๗ เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทาผิดตามข้อกล่าวหา ให้ผู้บังคับบัญชาสั่ งลงโทษตามควรแก่กรณี
โดยไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนก็ได้
ในกรณี ต ามวรรคหนึ่ ง ถ้ า ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาซึ่ ง มี อ านาจสั่ ง บรรจุ ต ามมาตรา ๕๗ เห็ น ว่ า
ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทาผิดตามข้อกล่าวหา ให้ผู้บังคับบัญชาดังกล่าวสั่งยุติเรื่อง
มาตรา ๙๓ ในกรณีที่ผ ลการสื บสวนหรือพิจารณาตามมาตรา ๙๑ ปรากฏว่ากรณีมีมูล
อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ แต่งตั้งคณะกรรมการ
สอบสวน ในการสอบสวนต้องแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบพร้อมทั้งรับฟัง
ค าชี้ แ จงของผู้ ถู ก กล่ า วหา เมื่ อ คณะกรรมการสอบสวนด าเนิ น การเสร็ จ ให้ ร ายงานผลการสอบสวน
และความเห็นต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗
ถ้าผู้บังคับ บัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ เห็นว่าผู้ ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทาผิ ด
ตามข้อกล่าวหา ให้สั่งยุติเรื่อง แต่ถ้าเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทาผิดตามข้อกล่าวหา ให้ดาเนินการต่อไป
ตามมาตรา ๙๖ หรือมาตรา ๙๗ แล้วแต่กรณี
มาตรา ๙๔ การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนส าหรับกรณีที่ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ต าแหน่ ง ต่ า งกั น หรื อ ต่ า งกรมหรื อ ต่ า งกระทรวงกั น ถู ก กล่ า วหาว่ า กระท าผิ ด วิ นั ย ร่ ว มกั น ใ ห้ ด าเนิ น การ
ดังต่อไปนี้
(๑) สาหรับข้าราชการพลเรือนสามัญในกรมเดียวกัน ที่อธิบดีหรือปลัดกระทรวงถูกกล่าวหา
ว่ากระทาผิดวินัยร่ วมกับ ผู้อยู่ใต้บังคับ บัญชา ให้ปลัดกระทรวงหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวง แล้ว แต่กรณี
เป็นผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน
(๒) สาหรับข้าราชการพลเรือนสามัญต่างกรมในกระทรวงเดียวกันถูกกล่าวหาว่ากระทาผิด
วินั ย ร่ ว มกั น ให้ ป ลั ด กระทรวงเป็ น ผู้ สั่ ง แต่ งตั้ ง คณะกรรมการสอบสวน เว้ นแต่ เ ป็น กรณี ที่ ป ลั ด กระทรวง
ถูกกล่าวหาร่วมด้วย ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเป็นผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน
(๓) สาหรับข้าราชการพลเรือนสามัญต่างกระทรวงกันถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยร่วมกัน
ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ ร่วมกันแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน เว้นแต่เป็นกรณี
ที่มีผู้ถูกกล่าวหาดารงตาแหน่งประเภทบริหารระดับสูงร่วมด้วย ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ
สอบสวน
(๔) สาหรับกรณีอื่น ให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
มาตรา ๙๕ หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาเกี่ยวกับการดาเนินการทางวินัยให้เป็นไป
ตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
ในกรณีที่เป็ น ความผิ ดที่ป รากฏชัดแจ้งตามที่กาหนดในกฎ ก.พ. จะดาเนินการทางวินั ย
โดยไม่ต้องสอบสวนก็ได้
มาตรา ๙๖ ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชา
ซึ่งมี อานาจสั่ ง บรรจุ ต ามมาตรา ๕๗ สั่ งลงโทษภาคทัณ ฑ์ ตั ดเงิน เดือ นหรือลดเงิน เดือ นตามควรแก่ กรณี
ให้เหมาะสมกับความผิด
ในกรณี มี เ หตุ อั น ควรลดหย่ อ น จะน ามาประกอบการพิ จ ารณาลดโทษก็ ไ ด้ แต่ ส าหรั บ
การลงโทษภาคทัณฑ์ให้ใช้เฉพาะกรณีกระทาผิดวินัยเล็กน้อย
ในกรณีกระทาผิ ดวินั ยเล็ กน้อยและมีเหตุอันควรงดโทษ จะงดโทษให้ โ ดยให้ ทาทัณฑ์บน
เป็นหนังสือหรือว่ากล่าวตักเตือนก็ได้
การลงโทษตามมาตรานี้ ผู้ บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่ งบรรจุตามมาตรา ๕๗ จะมีอานาจ
สั่งลงโทษผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาในสถานโทษและอัตราโทษใดได้เพียงใด ให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
มาตรา ๙๗ ภายใต้บ ัง คับ วรรคสอง ข้า ราชการพลเรือ นสามัญ ผู ้ใ ดกระท าผิด วิน ัย
อย่า งร้า ยแรง ให้ล งโทษปลดออกหรือ ไล่อ อกตามความร้า ยแรงแห่ง กรณี ถ้า มีเ หตุอัน ควรลดหย่อ น
จะนามาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่ห้ามมิให้ลดโทษลงต่ากว่าปลดออก
ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนหรือผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา ๙๓
วรรคหนึ่ง หรือผู้มีอานาจตามมาตรา ๙๔ เห็นว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ให้ ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาซึ่ ง มี อ านาจสั่ ง บรรจุ ต ามมาตรา ๕๗ ส่ ง เรื่ อ งให้ อ.ก.พ. จั ง หวั ด อ.ก.พ. กรม หรื อ
อ.ก.พ. กระทรวง ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาสังกัดอยู่ แล้วแต่กรณี พิจารณา เมื่อ อ.ก.พ. ดังกล่าวมีมติเป็นประการใด
ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ สั่งหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่กาหนดในกฎ ก.พ.
ในกรณีที่ผู้ บังคับบั ญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ ไม่ใช้อานาจตามมาตรา ๙๓
วรรคหนึ่ง มาตรา ๙๔ หรือมาตรานี้ ให้ผู้บังคับบัญชาตามมาตรา ๕๗ ระดับเหนือขึ้นไป มีอานาจดาเนินการ
ตามมาตรา ๙๓ วรรคหนึ่ง มาตรา ๙๔ หรือมาตรานี้ได้
ผู้ใดถูกลงโทษปลดออก ให้มีสิทธิได้รับบาเหน็จบานาญเสมือนว่าผู้นั้นลาออกจากราชการ
มาตรา ๙๘ ข้า ราชการพลเรือ นสามัญ ผู้ใ ดให้ข้อ มูล ต่อ ผู้บัง คับ บัญ ชาหรือ ให้ถ้อ ยคา
ในฐานะพยานต่อ ผู้มีห น้า ที่สืบ สวนสอบสวนหรือ ตรวจสอบตามกฎหมายหรือ ระเบีย บของทางราชการ
อัน เป็น ประโยชน์แ ละเป็น ผลดียิ่ง ต่อ ทางราชการ ผู้บัง คับ บัญ ชาอาจพิจ ารณาให้บาเหน็จ ความชอบ
เป็นกรณีพิเศษได้
ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ผู้ ใ ดอยู่ ใ นฐานะที่ อ าจจะถู ก กล่ า วหาว่ า ร่ ว มกระท าผิ ด วิ นั ย
กับข้าราชการอื่น ให้ข้อมูลต่อผู้บังคับบัญชา หรือให้ถ้อยคาต่อบุคคลหรือคณะบุคคลตามความในวรรคหนึ่ง
เกี่ย วกับ การกระทาผิดวินัย ที่ได้กระทามา จนเป็นเหตุให้ มีการสอบสวนพิจารณาทางวินัยแก่ผู้เป็นต้นเหตุ
แห่งการกระทาผิด ผู้บังคับบัญชาอาจใช้ดุลพินิจกันผู้นั้นไว้เป็นพยานหรือพิจารณาลดโทษทางวินัยตามควร
แก่กรณีได้
ข้า ราชการพลเรือ นสามัญ ผู ้ใ ดให้ข ้อ มูล หรื อ ให้ถ้อ ยคาในฐานะพยานตามวรรคหนึ ่ง
หรือวรรคสองอันเป็นเท็จให้ถือว่าผู้นั้นกระทาผิดวินัย
หลักเกณฑ์และวิธีการการให้บาเหน็จความชอบ การกันเป็นพยาน การลดโทษ และการ
ให้ความคุ้มครองพยาน ให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
กฎ ก.พ. ว่ า ด้ ว ยการคุ้ ม ครองพยานตามวรรคสี่ จะก าหนดหลั ก เกณฑ์ แ ละวิ ธี ก าร
ที่ส านั ก งาน ก.พ. หรื อ ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาซึ่ งมี อ านาจสั่ ง บรรจุ ต ามมาตรา ๕๗ จะดาเนิ น การย้ าย โอน หรื อ
ด าเนิ น การอื่ น ใดโดยไม่ ต้ อ งได้ รั บ ความยิ น ยอมหรื อ เห็ น ชอบจากผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาของข้ า ราชการผู้ นั้ น
และไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนหรือกระบวนการตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ก็ได้
มาตรา ๙๙ ให้กรรมการสอบสวนตามมาตรา ๙๓ วรรคหนึ่ง เป็นเจ้าพนักงานตามประมวล
กฎหมายอาญาและให้มีอานาจเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เพียงเท่าที่เกี่ยวกับอานาจและหน้าที่ของกรรมการสอบสวนและโดยเฉพาะให้มีอานาจดังต่อไปนี้ด้วยคือ
(๑) เรียกให้กระทรวง กรม ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ หรือห้างหุ้นส่วน
บริษัท ชี้แจงข้อเท็จจริง ส่งเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ส่งผู้แทนหรือบุคคลในสังกัดมาชี้แจงหรือให้ถ้อยคา
เกี่ยวกับเรื่องที่สอบสวน
(๒) เรียกผู้ถูกกล่าวหาหรือบุคคลใด ๆ มาชี้แจงหรือให้ถ้อยคา หรือให้ส่งเอกสารและหลักฐาน
เกี่ยวกับเรื่องที่สอบสวน
มาตรา ๑๐๐ ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ผู้ ใ ดมี ก รณี ถู ก กล่ า วหาเป็ น หนั ง สื อ ว่ า กระท า
หรื อละเว้น กระทาการใดที่เป็ น ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ถ้าเป็นการกล่ าวหาต่อผู้บังคับบัญชาของผู้ นั้ น
หรื อ ต่ อ ผู้ มี ห น้ า ที่ สื บ สวนสอบสวนหรื อ ตรวจสอบตามกฎหมายหรื อ ระเบี ย บของทางราชการ หรื อ
เป็นการกล่าวหาโดยผู้บังคับบัญชาของผู้นั้น หรือมีกรณีถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาว่ากระทาความผิดอาญา
อัน มิใช่เป็ น ความผิ ดที่ได้กระทาโดยประมาทที่ไม่เกี่ยวกับราชการหรือความผิ ดลหุ โ ทษ แม้ภ ายหลั งผู้ นั้น
จะออกจากราชการไปแล้ว โดยมิใช่เพราะเหตุตาย ผู้มีอานาจดาเนินการทางวินัยมีอานาจดาเนินการสืบสวน
หรือพิจารณา และดาเนินการทางวินัยตามที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ต่อไปได้เสมือนว่าผู้นั้นยังมิได้ออกจากราชการ
แต่ทั้งนี้ ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ ต้องดาเนินการสอบสวนตามมาตรา ๙๓ วรรคหนึ่ง
ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ผู้นั้นพ้นจากราชการ
ในกรณีต ามวรรคหนึ ่ง ถ้า ผลการสอบสวนพิจ ารณาปรากฏว่า ผู ้นั ้น กระท าผิด วิน ัย
อย่างไม่ร้ายแรงก็ให้งดโทษ
มาตรา ๑๐๑ ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง
จนถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทาความผิดอาญา เว้นแต่เป็นความผิด
ที่ได้กระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ผู้ บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ มีอานาจ
สั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนหรือพิจารณา หรือผลแห่งคดีได้
ถ้าภายหลังปรากฏผลการสอบสวนหรือพิจารณาว่าผู้นั้นมิได้กระทาผิดหรือกระทาผิดไม่ถึงกับ
จะถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออก และไม่มีกรณีที่จะต้องออกจากราชการด้วยเหตุอื่น ก็ให้ผู้มี อานาจดังกล่าว
สั่งให้ ผู้นั้ นกลับ เข้าปฏิบั ติร าชการหรือกลั บเข้ารับราชการในตาแหน่งตามเดิมหรือตาแหน่งอื่นในประเภท
เดีย วกันและระดับ เดียวกันหรือในตาแหน่ งประเภทและระดับที่ ก.พ. กาหนด ทั้งนี้ ผู้นั้นต้องมีคุณสมบัติ
ตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสาหรับตาแหน่งนั้น
เมื่อได้มีการสั่ งให้ ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ ใดพักราชการหรือออกจากราชการไว้ก่อน
แล้วภายหลังปรากฏว่าผู้นั้นมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงในกรณีอื่นอีก ผู้บังคับบัญชา
ซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุ ตามมาตรา ๕๗ มีอานาจดาเนินการสื บสวนหรือพิจารณา และแต่งตั้งคณะกรรมการ
สอบสวนตามมาตรา ๙๓ ตลอดจนดาเนินการทางวินัยตามที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ต่อไปได้
ในกรณีที่สั่งให้ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนกลับเข้ารับราชการ หรือสั่งให้ผู้ถูกสั่งให้ออก
จากราชการไว้ก่อนออกจากราชการด้ว ยเหตุอื่นที่มิใช่เป็นการลงโทษเพราะกระทาผิ ดวินัยอย่างร้ายแรง
ก็ให้ผู้นั้นมีสถานภาพเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตลอดระยะเวลาระหว่างที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
เสมือนว่าผู้นั้นเป็นผู้ถูกสั่งพักราชการ
เงินเดือน เงินอื่นที่จ่ายเป็นรายเดือน และเงินช่วยเหลืออย่างอื่น และการจ่ายเงินดังกล่าว
ของผู้ถูกสั่งพักราชการ และผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ให้เป็นไปตามกฎหมายหรือระเบียบว่าด้วยการนั้น
การสั่งพักราชการให้สั่งพักตลอดเวลาที่สอบสวนหรือพิจารณา เว้นแต่ผู้ถูกสั่งพักราชการผู้ใด
ได้ร้องทุกข์ตามมาตรา ๑๒๒ และผู้มีอานาจพิจารณาคาร้องทุกข์เห็นว่าสมควรสั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่
ราชการก่อนการสอบสวนหรือพิจารณาเสร็จสิ้นเนื่องจากพฤติการณ์ของผู้ถูกสั่งพักราชการไม่เป็นอุปสรรค
ต่อการสอบสวนหรือพิจารณา และไม่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยต่อไป หรือเนื่องจากการดาเนินการ
ทางวินัยได้ล่วงพ้นหนึ่งปีนับแต่วันพักราชการแล้วยังไม่แล้วเสร็จและผู้ถูกสั่งพักราชการไม่มีพฤติกรรมดังกล่าว
ให้ผู้มีอานาจสั่งพักราชการสั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการก่อนการสอบสวนหรือพิจารณาเสร็จสิ้น
ให้นาความในวรรคหกมาใช้บังคับกับกรณีถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนด้วย
หลั ก เกณฑ์ แ ละวิ ธี ก ารเกี่ ย วกั บ การสั่ ง พั ก ราชการ การสั่ ง ให้ อ อกจากราชการไว้ ก่ อ น
ระยะเวลาให้พักราชการและให้ออกจากราชการไว้ก่อน การให้กลับเข้าปฏิบัติราชการหรือกลับเข้ารับราชการ
และการดาเนินการเพื่อให้เป็นไปตามผลการสอบสวนหรือพิจารณาให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
มาตรา ๑๐๒ การลงโทษข้าราชการพลเรือนสามัญในส่ ว นราชการที่มีกฎหมายว่าด้ว ย
วิ นั ย ข้ า ราชการโดยเฉพาะ ในกรณี เ ป็ น ความผิ ด วิ นั ย อย่ า งไม่ ร้ า ยแรงตามพระราชบั ญ ญั ติ นี้ จ ะลงโทษ
ตามพระราชบั ญ ญัตินี้ ห รื อลงทัณฑ์ ห รื อลงโทษตามกฎหมายว่าด้ว ยวินัยข้ าราชการนั้ นอย่ างใดอย่างหนึ่ ง
ตามควรแก่ ก รณี แ ละพฤติ ก ารณ์ ก็ ไ ด้ แต่ ถ้ า เป็ น กรณี ก ระท าผิ ด วิ นั ย อย่ า งร้ า ยแรงตามพระราชบั ญ ญั ติ นี้
ไม่ว่า จะได้ล งทัณ ฑ์ห รือ ลงโทษตามกฎหมายดัง กล่า วแล้ว หรือ ไม่ ให้ผู้บัง คับ บัญ ชาพิจ ารณาดาเนิน การ
ตามที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๑๐๓ เมื่ อ ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาได้ สั่ ง ลงโทษตามพระราชบั ญ ญั ติ นี้ ห รื อ ลงทั ณ ฑ์
ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยข้าราชการโดยเฉพาะ หรือสั่งยุติเรื่อง หรืองดโทษแล้ว ให้รายงาน อ.ก.พ. กระทรวง
ซึ่ ง ผู้ ถู ก ด าเนิ น การทางวิ นั ย สั ง กั ด อยู่ เ พื่ อ พิ จ ารณา เว้ น แต่ เ ป็ น กรณี ด าเนิ น การทางวิ นั ย กั บ ข้ า ราชการ
ต่างกระทรวงกัน หรือกรณีดาเนินการทางวินัยตามมติ อ.ก.พ. กระทรวง ตามมาตรา ๙๗ วรรคสอง ให้รายงาน
ก.พ. ทั้งนี้ ตามระเบียบที่ ก.พ. กาหนด
ในกรณีที่ อ.ก.พ. กระทรวงหรือ ก.พ. เห็ นว่าการดาเนินการทางวินัยเป็นการไม่ถูกต้อง
หรือไม่เหมาะสม หากมีมติเป็นประการใด ให้ผู้บังคั บบัญชาสั่งหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามที่ อ.ก.พ. กระทรวง
หรือ ก.พ. มีมติ
ในกรณีตามวรรคสองและในการดาเนินการตามมาตรา ๑๐๔ ให้ ก.พ. มีอานาจสอบสวนใหม่
หรือสอบสวนเพิ่มเติมได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ. กาหนดตามมาตรา ๙๕
มาตรา ๑๐๔ ในการดาเนินการของ อ.ก.พ. กระทรวงตามมาตรา ๙๗ วรรคสอง หรือ
มาตรา ๑๐๓ วรรคสอง หากผู้แทน ก.พ. ซึ่งเป็นกรรมการใน อ.ก.พ. กระทรวงดังกล่าวเห็นว่าการดาเนินการ
ของผู้บังคับบัญชาหรือมติ อ.ก.พ. กระทรวง เป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้หรือปฏิบัติไม่เหมาะสม
ให้ ร ายงาน ก.พ. เพื่ อ พิ จ ารณาด าเนิ น การตามควรแก่ ก รณี ต่ อ ไป และเมื่ อ ก.พ. มี ม ติ เ ป็ น ประการใด
ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามที่ ก.พ. มีมติ ทั้งนี้ เว้นแต่ผู้ถูกลงโทษได้อุทธรณ์คาสั่งลงโทษ
ของผู้บั งคับบัญชาต่อ ก.พ.ค. ในกรณีเช่นนี้ให้ ก.พ. แจ้งมติต่อ ก.พ.ค. เพื่อประกอบการพิจารณาวิ นิจฉัย
อุทธรณ์
มาตรา ๑๐๕ เมื่อ มีก รณีเ พิ่ม โทษ ลดโทษ งดโทษ หรือ ยกโทษ ให้ผู้สั่ง มีคาสั่ง ใหม่
และในคาสั่งดังกล่าวให้สั่งยกเลิกคาสั่งลงโทษเดิม พร้อมทั้งระบุวิธีการดาเนินการเกี่ยวกับโทษที่ได้รับไปแล้ว
ทั้งนี้ ตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
มาตรา ๑๐๖ ข้าราชการพลเรือนสามัญซึ่งโอนมาตามมาตรา ๖๔ ผู้ใดมีกรณีกระทาผิดวินัย
อยู่ก่อนวันโอนมาบรรจุ ให้ผู้บังคับบัญชาของข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นดาเนินการทางวินัยตามหมวดนี้
โดยอนุ โลม แต่ถ้าเป็ นเรื่องที่อยู่ในระหว่างการสืบสวนหรือพิจารณา หรือสอบสวนของผู้ บังคับบัญชา เดิม
ก่อนวันโอนก็ให้สืบสวนหรือพิจารณา หรือสอบสวนต่อไปจนเสร็จ แล้วส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาของข้าราชการ
พลเรื อนสามัญผู้นั้ นพิจ ารณาดาเนิ นการต่อไปตามหมวดนี้โ ดยอนุโ ลม แต่ทั้งนี้ ในการสั่ งลงโทษทางวินัย
ให้พิจารณาตามความผิดและลงโทษตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นหรือกฎหมาย
ว่าด้วยระเบียบข้าราชการที่โอนมานั้น แล้วแต่กรณี

หมวด ๘
การออกจากราชการ

มาตรา ๑๐๗ ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการเมื่อ


(๑) ตาย
(๒) พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบาเหน็จบานาญข้าราชการ
(๓) ลาออกจากราชการและได้รับอนุญาตให้ลาออกหรือการลาออกมีผลตามมาตรา ๑๐๙
(๔) ถูกสั่งให้ออกตามมาตรา ๕๙ มาตรา ๖๗ มาตรา ๑๐๑ มาตรา ๑๑๐ หรือมาตรา ๑๑๑ หรือ
(๕) ถูกสั่งลงโทษปลดออก หรือไล่ออก
วันออกจากราชการตาม (๔) และ (๕) ให้เป็นไปตามระเบียบที่ ก.พ. กาหนด
มาตรา ๑๐๘ ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดเมื่ออายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ในสิ้นปีงบประมาณ
และทางราชการมีความจาเป็นที่จะให้รับราชการต่อไปเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในทางวิชาการหรือหน้าที่ที่ต้องใช้
ความสามารถเฉพาะตัว ในตาแหน่งตามมาตรา ๔๖ (๓) (ง) หรือ (จ) หรือ (๔) (ค) หรือ (ง) จะให้รับราชการ
ต่อไปอีกไม่เกินสิบปีก็ได้ตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
มาตรา ๑๐๙ ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดประสงค์จะลาออกจากราชการให้ยื่นหนังสือ
ขอลาออกต่อผู้บังคับ บัญ ชาเหนือ ขึ้น ไปชั้น หนึ่ง โดยยื่นล่ว งหน้าก่อ นวัน ขอลาออกไม่น้อ ยกว่า สามสิบ วัน
เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ เป็นผู้พิจารณาก่อนวันขอลาออก
ในกรณีที ่ผู ้ป ระสงค์จ ะลาออกยื ่น หนัง สือ ขอลาออกล่ว งหน้า น้อ ยกว่า สามสิบ วัน
และผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ เห็นว่ามีเหตุผลและความจาเป็นจะอนุญาตให้ลาออก
ตามวันที่ขอลาออกก็ได้
ในกรณีที่ผู้ บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ เห็ นว่าจาเป็น เพื่อประโยชน์
แก่ราชการ จะยับยั้งการลาออกไว้เป็นเวลาไม่เกินเก้าสิบวันนับแต่วันขอลาออกก็ได้ ในกรณีเช่นนั้นถ้าผู้ขอลาออก
มิได้ถอนใบลาออกก่อนครบกาหนดระยะเวลาการยับยั้ง ให้ถือว่าการลาออกนั้นมีผลเมื่อครบกาหนดเวลา
ตามที่ได้ยับยั้งไว้
ในกรณี ที่ ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาซึ่ ง มี อ านาจสั่ ง บรรจุ ต ามมาตรา ๕๗ มิ ไ ด้ ยั บ ยั้ ง ตามวรรคสาม
ให้การลาออกนั้นมีผลตั้งแต่วันขอลาออก
ในกรณีที่ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดประสงค์จะลาออกจากราชการเพื่อดารงตาแหน่ง
ในองค์ก รอิส ระตามรั ฐ ธรรมนู ญ ตาแหน่ ง ทางการเมือง หรือตาแหน่งอื่น ที่ ก.พ. กาหนด หรือเพื่อสมัค ร
รั บ เลื อ กตั้ ง เป็ น สมาชิ ก รั ฐ สภา สมาชิ ก สภาท้ อ งถิ่ น หรื อ ผู้ บ ริ ห ารท้ อ งถิ่ น ให้ ยื่ น หนั ง สื อ ขอลาออก
ต่อผู้บังคับบัญชาตามวรรคหนึ่ง และให้การลาออกมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้นั้นขอลาออก
หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ย วกับการลาออก การพิจารณาอนุญาตให้ ลาออกและการยับยั้ง
การลาออกจากราชการ ให้เป็นไปตามระเบียบที่ ก.พ. กาหนด
มาตรา ๑๑๐ ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ มีอานาจสั่งให้ข้าราชการ
พลเรื อนสามัญออกจากราชการเพื่อรั บบ าเหน็จบานาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้ว ยบาเหน็จบานาญ
ข้าราชการได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เมื่ อ ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ผู้ ใ ดเจ็ บ ป่ ว ยไม่ อ าจปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ร าชการของตนได้
โดยสม่าเสมอ
(๒) เมื่ อ ข้า ราชการพลเรื อ นสามัญ ผู้ ใ ดสมั ครไปปฏิบั ติง านใด ๆ ตามความประสงค์ข อง
ทางราชการ
(๓) เมื่อข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดขาดคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา ๓๖ ก. (๑) หรือ (๓)
หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๓๖ ข. (๑) (๓) (๖) หรือ (๗)
(๔) เมื่ อ ทางราชการเลิ ก หรื อ ยุ บ หน่ ว ยงานหรื อ ต าแหน่ ง ที่ ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ
ปฏิบัติหน้าที่หรือดารงอยู่ สาหรั บผู้ที่ออกจากราชการในกรณีนี้ให้ ได้รับเงินชดเชยตามหลั กเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังกาหนดด้วย
(๕) เมื่ อข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ผู้ ใ ดไม่ ส ามารถปฏิบั ติ ร าชการให้ มี ป ระสิ ทธิ ภ าพและ
เกิดประสิทธิผลในระดับอันเป็นที่พอใจของทางราชการ
(๖) เมื่อข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดหย่อนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหน้าที่ราชการ
บกพร่องในหน้าที่ราชการ หรือประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตาแหน่งหน้าที่ราชการ ถ้าให้ผู้นั้นรับราชการต่อไป
จะเป็นการเสียหายแก่ราชการ
(๗) เมื่อข้าราชการพลเรื อนสามัญผู้ ใดมีกรณีถูกสอบสวนว่ากระทาผิ ดวินัยอย่างร้ายแรง
ตามมาตรา ๙๓ และผลการสอบสวนไม่ได้ความแน่ชัดพอที่จะฟังลงโทษตามมาตรา ๙๗ วรรคหนึ่ง แต่มีมลทิน
หรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวน ถ้าให้รับราชการต่อไปจะเป็นการเสียหายแก่ราชการ
(๘) เมื่อข้าราชการพลเรื อนสามัญผู้ ใดต้องรับโทษจาคุกโดยคาพิพากษาถึงที่ สุ ดให้ จาคุก
ในความผิดที่ได้กระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษหรือต้องรับโทษจาคุกโดยคาสั่งของศาลซึ่งยังไม่ถึงกับ
จะต้องถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออก
การสั่งให้ออกจากราชการตามวรรคหนึ่งให้ เป็นไปตามที่กาหนดในกฎ ก.พ. ทั้งนี้ ให้นา
มาตรา ๙๗ วรรคสอง มาใช้บังคับกับการสั่งให้ออกจากราชการตามกรณี (๓) เฉพาะมาตรา ๓๖ ก. (๓) กรณี (๖)
และกรณี (๗) โดยอนุโลม
เมื่อผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ สั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใด
ออกจากราชการตามมาตรานี้แล้ว ให้รายงาน อ.ก.พ. กระทรวง หรือ ก.พ. แล้วแต่กรณี และให้นามาตรา ๑๐๓
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๑๑ เมื่อข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดไปรับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วย
การรับราชการทหาร ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ สั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการ
ผู้ใดถูกสั่งให้ออกจากราชการตามวรรคหนึ่ง และต่อมาปรากฏว่าผู้นั้นมีกรณี ที่จะต้องถูกสั่ง
ให้ อ อกจากราชการตามมาตราอื่ น อยู่ ก่ อ นไปรั บ ราชการทหาร ก็ ใ ห้ ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาซึ่ ง มี อ านาจสั่ ง บรรจุ
ตามมาตรา ๕๗ มีอานาจเปลี่ยนแปลงคาสั่งให้ออกตามวรรคหนึ่งเป็นให้ออกจากราชการตามมาตราอื่นนั้นได้
มาตรา ๑๑๒ ในกรณีที่ผู้ บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่ งบรรจุตามมาตรา ๕๗ ไม่ใช้อานาจ
ตามมาตรา ๑๑๐ โดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ ระดับเหนือขึ้นไป
มีอานาจดาเนินการตามมาตรา ๑๑๐ ได้
มาตรา ๑๑๓ การออกจากราชการของข้า ราชการพลเรือ นสามัญ ผู ้ดารงต าแหน่ง
ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ให้นาความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตาแหน่ง
นับแต่วันออกจากราชการ เว้นแต่ออกจากราชการเพราะความตายให้นาความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ

หมวด ๙
การอุทธรณ์

มาตรา ๑๑๔ ผู้ ใ ดถู ก สั่ ง ลงโทษตามพระราชบั ญ ญั ติ นี้ ห รื อ ถู ก สั่ ง ให้ อ อกจากราชการ
ตามมาตรา ๑๑๐ (๑) (๓) (๕) (๖) (๗) และ (๘) ผู้ นั้นมีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค. ภายในสามสิบวันนับแต่
วันทราบหรือถือว่าทราบคาสั่ง
การอุ ท ธรณ์ แ ละการพิ จ ารณาวิ นิ จ ฉั ย อุ ท ธรณ์ ต ามวรรคหนึ่ ง ให้ เ ป็ น ไปตามที่ ก าหนด
ในกฎ ก.พ.ค.
มาตรา ๑๑๕ ในการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ ก.พ.ค. จะพิจารณาวินิจฉัยเองหรือจะตั้ง
คณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ เพื่อทาหน้าที่เป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ก็ได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่กาหนด
ในกฎ ก.พ.ค.
มาตรา ๑๑๖ เมื่อ ก.พ.ค. พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจสั่งบรรจุ
ตามมาตรา ๕๗ ดาเนินการให้เป็นไปตามคาวินิจฉัยนั้นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ ก.พ.ค. มีคาวินิจฉัย
ในกรณีที่ผู้อุทธรณ์ไม่เห็นด้วยกับคาวินิจฉัยอุทธรณ์ของ ก.พ.ค. ให้ฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
สูงสุดภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ทราบหรือถือว่าทราบคาวินิจฉัยของ ก.พ.ค.
ผู้บั งคับบั ญชาผู้ ใดไม่ป ฏิบั ติตามวรรคหนึ่ง ให้ ถือว่าเป็นการจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
มาตรา ๑๑๗ ในการปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ต ามพระราชบั ญ ญั ติ นี้ ให้ ก รรมการ ก.พ.ค. และ
กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และให้มีอานาจดังต่อไปนี้
(๑) สั่งให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งลงโทษหรือสั่งให้ออกจากราชการอันเป็นเหตุให้มีการอุทธรณ์
ส่งสานวนการสอบสวนและการลงโทษให้ ก.พ.ค. ภายในเวลาที่กาหนด
(๒) สั่งให้กระทรวง กรม ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐรวมตลอดทั้ง
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องสอบสวนใหม่หรือสอบสวนเพิ่มเติมหรือส่งตัวข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่
ในสังกัดมาให้ถ้อยคา ในการนี้จะกาหนดระยะเวลาในการสอบสวนใหม่หรือสอบสวนเพิ่มเติมไว้ด้วยก็ได้
(๓) มีคาสั่งให้ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของกระทรวง กรม ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
และหน่ ว ยงานอื่ น ของรั ฐ หรื อ องค์ ก รปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น หรื อ บุ ค คลใดที่ เ กี่ ย วข้ อ ง มาให้ ถ้ อ ยค าหรื อ
ให้ส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
(๔) เข้าไปในอาคาร หรื อสถานที่ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้ าที่ของ ก.พ.ค. ทั้งนี้
ในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก หรือในเวลาทาการของสถานที่นั้น
(๕) สอบสวนใหม่หรือสอบสวนเพิ่มเติม
มาตรา ๑๑๘ การพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา ๑๑๔ ให้ ดาเนินการให้ แล้ วเสร็จ
ภายในหนึ่ ง ร้ อ ยยี่ สิ บ วั น นั บ แต่ วั น ที่ ไ ด้ รั บ อุ ท ธรณ์ เว้ น แต่ มี เ หตุ ขั ด ข้ อ งที่ ท าให้ ก ารพิ จ ารณาไม่ แ ล้ ว เสร็ จ
ภายในระยะเวลาดังกล่าว ก็ให้ขยายระยะเวลาได้อีกซึ่งไม่เกินสองครั้ง โดยแต่ละครั้งจะต้องไม่เกินหกสิบวัน
และให้บันทึกเหตุขัดข้องให้ปรากฏไว้ด้วย
มาตรา ๑๑๙ ข้าราชการพลเรือนสามัญซึ่งโอนมาตามมาตรา ๖๔ ผู้ใดถูกสั่งลงโทษทางวินัย
อยู่ก่อนวันโอนมาบรรจุ และผู้นั้นมีสิทธิอุทธรณ์ได้ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น
หรือกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการที่โอนมาแต่ยังไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ตามกฎหมายดังกล่าว ก็ให้ผู้นั้น
มีสิทธิอุทธรณ์ตามมาตรา ๑๑๔ ได้ แต่ถ้าผู้นั้นได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคล
ส่ ว นท้ อ งถิ่ น หรื อ กฎหมายว่ า ด้ ว ยระเบี ย บข้ า ราชการที่ โ อนมาไว้ แ ล้ ว และในวั น ที่ ผู้ นั้ น ได้ โ อนมาบรรจุ
เป็ น ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ การพิ จ ารณาวิ นิ จ ฉั ย อุ ท ธรณ์ ยั ง ไม่ แ ล้ ว เสร็ จ ก็ ใ ห้ ส่ ง เรื่ อ งให้ ก .พ.ค.
เป็นผู้พิจารณาอุทธรณ์
มาตรา ๑๒๐ ในการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ ก.พ.ค. มีอานาจไม่รับอุทธรณ์ ยกอุทธรณ์
หรือมีคาวินิจฉัยให้แก้ไขหรือยกเลิกคาสั่งลงโทษ และให้เยียวยาความเสียหายให้ผู้อุทธรณ์ หรือให้ดาเนินการ
อื่นใดเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ตามระเบียบที่ ก.พ.ค. กาหนด
การวินิจฉัยให้แก้ไขหรือให้ดาเนินการอื่นตามวรรคหนึ่ง ก.พ.ค. จะให้เพิ่มโทษไม่ได้ เว้นแต่
เป็นกรณีได้รับแจ้งจาก ก.พ. ตามมาตรา ๑๐๔ ว่าสมควรเพิ่มโทษ ในกรณีเช่นนั้น ก.พ.ค. มีอานาจวินิจฉัย
ให้เพิ่มโทษได้
มาตรา ๑๒๑ เมื่อมีกรณีดังต่อไปนี้ กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์อาจถูกคัดค้านได้
(๑) รู้ เ ห็ น เหตุ ก ารณ์ ใ นการกระท าผิ ด วิ นั ย ที่ ผู้ อุ ท ธรณ์ ถู ก ลงโทษหรื อ การถู ก สั่ ง ให้ อ อก
จากราชการ
(๒) มีส่วนได้เสียในการกระทาผิดวินัยที่ผู้อุทธรณ์ถูกลงโทษหรือการถูกสั่งให้ออกจากราชการ
(๓) มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้อุทธรณ์
(๔) เป็นผู้กล่าวหา หรือเป็นหรือเคยเป็นผู้บังคับบัญชาผู้สั่งลงโทษหรือสั่งให้ออกจากราชการ
(๕) เป็ น ผู้ มี ส่ ว นเกี่ ย วข้ อ งกั บ การด าเนิ น การทางวิ นั ย หรื อ การสั่ ง ให้ อ อกจากราชการ
ที่ผู้อุทธรณ์ถูกลงโทษหรือถูกสั่งให้ออกจากราชการ
(๖) มีความเกี่ยวพันทางเครือญาติหรือทางการสมรสกับบุคคลตาม (๑) (๒) (๓) หรือ (๔)
อันอาจก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้อุทธรณ์
กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ซึ่งมีกรณีตามวรรคหนึ่ง ให้แจ้งต่อประธาน ก.พ.ค. และถอนตัว
จากการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์
การยื่นคาคัดค้าน และการพิจารณาคาคัดค้าน ให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.ค.

หมวด ๑๐
การร้องทุกข์

มาตรา ๑๒๒ ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ผู้ ใ ดมี ค วามคั บ ข้ อ งใจอั น เกิ ด จากการปฏิ บั ติ
หรือไม่ปฏิบัติต่อตนของผู้บังคับบัญชา และเป็นกรณีที่ไม่อาจอุทธรณ์ตามหมวด ๙ การอุทธรณ์ ได้ ผู้นั้นมีสิทธิ
ร้องทุกข์ได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กาหนดไว้ในหมวดนี้
มาตรา ๑๒๓ การร้อ งทุก ข์ที่เ หตุเ กิด จากผู้บัง คับ บัญ ชา ให้ร้อ งทุก ข์ต่อ ผู้บัง คับ บัญ ชา
ชั้นเหนือขึ้นไป ตามลาดับ
การร้องทุกข์ที่เหตุเกิดจากหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบ
การปฏิ บั ติ ร าชการขึ้ น ตรงต่ อ นายกรั ฐ มนตรี ห รื อ ต่ อ รั ฐ มนตรี ปลั ด กระทรวงรั ฐ มนตรี เ จ้ า สั ง กั ด หรื อ
นายกรัฐมนตรี ให้ร้องทุกข์ต่อ ก.พ.ค.
เมื่ อ ก.พ.ค. ได้ พิ จ ารณาวิ นิ จ ฉั ย เรื่ อ งร้ อ งทุ ก ข์ ป ระการใดแล้ ว ให้ หั ว หน้ า ส่ ว นราชการ
ระดับกรมที่อยู่ในบังคับ บัญชาหรือรั บผิดชอบการปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี
ปลั ด กระทรวง รั ฐ มนตรี เ จ้ า สั ง กัด หรื อนายกรั ฐ มนตรี แล้ ว แต่ กรณี ดาเนิน การให้ เ ป็นไปตามคาวินิ จฉั ย
ของ ก.พ.ค.
การร้องทุกข์และการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เป็นไป
ตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.ค.
มาตรา ๑๒๔ ในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ให้ ก.พ.ค. มีอานาจไม่รับเรื่องร้องทุกข์
ยกคาร้อ งทุก ข์ หรือ มีคาวินิจ ฉัย ให้แ ก้ไ ขหรือ ยกเลิก คาสั่ง และให้เ ยีย วยาความเสีย หายให้ผู้ร้อ งทุก ข์
หรือให้ดาเนินการอื่นใดเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามระเบียบที่ ก.พ.ค. กาหนด
ในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ ก.พ.ค. จะพิจารณาวินิจฉัยเอง หรือจะตั้งกรรมการ
ก.พ.ค. คนหนึ่ง หรือจะตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ เพื่อทาหน้าที่เป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ก็ได้
ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.ค. และในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้กรรมการวินิจฉัย
ร้องทุกข์เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และให้มีอานาจตามมาตรา ๑๑๗ โดยอนุโลม
มาตรา ๑๒๕ เมื่อมีกรณีดังต่อไปนี้ กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์อาจถูกคัดค้านได้
(๑) เป็น ผู ้บัง คับ บัญ ชาผู้เ ป็น เหตุใ ห้เ กิด ความคับ ข้อ งใจ หรือ เป็น ผู้อ ยู่ใ ต้บัง คับ บัญ ชา
ของผู้บังคับบัญชาดังกล่าว
(๒) มีส่วนได้เสียในเรื่องที่ร้องทุกข์
(๓) มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ร้องทุกข์
(๔) มีค วามเกี่ย วพัน ทางเครือ ญาติห รือ ทางการสมรสกับ บุค คลตาม (๑) (๒) หรือ (๓)
อันอาจก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ร้องทุกข์
กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ซึ่งมีกรณีตามวรรคหนึ่ง ให้แจ้งต่อประธาน ก.พ.ค. และถอนตัว
จากการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์
การยื่นคาคัดค้าน และการพิจารณาคาคัดค้าน ให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.ค.

หมวด ๑๑
การคุ้มครองระบบคุณธรรม

มาตรา ๑๒๖ ในกรณีที่ ก.พ.ค. เห็นว่ากฎ ระเบียบ หรือคาสั่งใดที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้


และมุ่ง หมายให้ ใ ช้บั งคั บ เป็ น การทั่ว ไป ไม่ ส อดคล้ องกับ ระบบคุ ณธรรมตามมาตรา ๔๒ ให้ ก.พ.ค. แจ้ ง
ให้หน่วยงานหรือผู้ออกกฎ ระเบียบ หรือคาสั่งดังกล่าวทราบ เพื่อดาเนินการแก้ไข หรือยกเลิกตามควรแก่กรณี
ลักษณะ ๕
ข้าราชการพลเรือนในพระองค์

มาตรา ๑๒๗ การแต่งตั้งและการให้ข้าราชการพลเรือนในพระองค์พ้นจากตาแหน่งให้เป็นไป


ตามพระราชอัธยาศัย
เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานบุคคลจะตราพระราชกฤษฎีกากาหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
เกี่ยวกับการกาหนดตาแหน่ง การให้ได้รับเงินเดือนและเงินประจาตาแหน่ง การบรรจุ การแต่งตั้ง การเพิ่มพูน
ประสิ ท ธิ ภ าพและเสริ ม สร้ า งแรงจู ง ใจในการปฏิ บั ติ ร าชการ การรั ก ษาจรรยา การรั ก ษาวิ นั ย การออก
จากราชการ การอุทธรณ์ การร้ องทุกข์ และการอื่น ตามที่จาเป็นของข้าราชการพลเรื อนในพระองค์ก็ไ ด้
แต่ทงั้ นี้ ต้องไม่กระทบต่อพระราชอานาจตามวรรคหนึ่ง
พระราชกฤษฎีกาตามวรรคสองจะกาหนดให้นาบทบัญญัติแห่ งพระราชบัญญัตินี้ทั้งหมด
หรือบางส่วน มาใช้บังคับหรือจะกาหนดให้แตกต่างจากที่บัญญัติในพระราชบัญญัตินี้ก็ได้

บทเฉพาะกาล

มาตรา ๑๒๘ ให้ ก.พ. อ.ก.พ. วิสามัญ และ อ.ก.พ. สามัญ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวันก่อนวันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ก.พ. หรือจนกว่า
จะได้แต่งตั้ง อ.ก.พ. วิสามัญ หรืออนุกรรมการใน อ.ก.พ. สามัญ แล้วแต่กรณี ตามพระราชบัญญัตินี้
การด าเนิ น การแต่ ง ตั้ ง ก.พ. ให้ ก ระท าให้ แ ล้ ว เสร็ จ ภายในหนึ่ ง ร้ อ ยยี่ สิ บ วั น นั บ แต่ วั น ที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๑๒๙ ในระหว่ า งที่ ยั ง มิ ไ ด้ ด าเนิ น การให้ มี ก.พ.ค. ให้ ก.พ. ท าหน้ า ที่ ก.พ.ค.
ตามพระราชบัญญัตินี้ไปพลางก่อนจนกว่าจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ก.พ.ค. ตามพระราชบัญญัตินี้
การดาเนินการแต่งตั้ง ก.พ.ค. ให้กระทาให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๑๓๐ ผู้ ใ ดเป็ น ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ หรื อ ข้ า ราชการพลเรื อ นในพระองค์
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ อยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้ผู้นั้นเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ หรือข้าราชการพลเรือนในพระองค์ตามพระราชบัญญัตินี้ แล้วแต่กรณี
ต่อไป
มาตรา ๑๓๑ ในระหว่างที่ ก.พ. ยังมิได้จัดทามาตรฐานกาหนดตาแหน่งตามมาตรา ๔๘
บทบั ญ ญั ติ ใ นลั ก ษณะ ๔ ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ และลั ก ษณะ ๕ ข้ า ราชการพลเรื อ นในพระองค์
ยังไม่ใช้บังคับ โดยให้นาบทบัญญัติในลักษณะ ๓ ข้าราชการพลเรือนสามัญ และลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือน
ในพระองค์ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตลอดจนบัญชี
อัตราเงินเดือนข้าราชการพลเรือนและบัญชีอัตราเงินประจาตาแหน่งข้าราชการพลเรือนท้ายพระราชบัญญัติ
เงินเดือนและเงินประจาตาแหน่ง พ.ศ. ๒๕๓๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาใช้บังคับแก่ข้าราชการพลเรือ นสามัญ
และข้า ราชการพลเรื อนในพระองค์ไ ปพลางก่ อ นจนกว่ า ก.พ. จะจั ดท ามาตรฐานก าหนดตาแหน่ ง เสร็ จ
และจั ดตาแหน่ งข้าราชการพลเรื อนสามัญของทุกส่ ว นราชการเข้าประเภทตาแหน่ง สายงาน และระดั บ
ตาแหน่งตามมาตรฐานกาหนดตาแหน่ง และประกาศให้ทราบ จึงให้นาบทบัญญัติในลักษณะ ๔ ข้าราชการ
พลเรือนสามัญ และลักษณะ ๕ ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ แห่งพระราชบัญญัตินี้มาใช้บังคับตั้งแต่วันที่
ก.พ. ประกาศเป็นต้นไป และให้ผู้บังคับบั ญชาสั่งแต่งตั้งข้าราชการให้ดารงตาแหน่งใหม่ภายในสามสิบวัน
นับแต่วันที่ ก.พ. ประกาศ
ในการจั ดตาแหน่งและการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญตามวรรคหนึ่ง หากมีเหตุผ ล
และความจาเป็น ก.พ. อาจอนุมัติให้แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญผู้มีคุณสมบัติต่างไปจากคุณสมบัติเฉพาะ
สาหรับตาแหน่งตามที่กฎหมายกาหนดไว้เป็นการเฉพาะตัวได้
ให้ ก.พ. ด าเนิ น การประกาศตามวรรคหนึ่ ง ให้ แ ล้ ว เสร็ จ ภายในหนึ่ ง ปี นั บ แต่ วั น ที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๑๓๒ ในระหว่างที่ยังมิได้ตราพระราชกฤษฎีกา หรือออกกฎ ก.พ. ข้อบังคับ หรือ
ระเบียบหรือกาหนดกรณีใด เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นาพระราชกฤษฎีกา กฎ ก.พ. ข้อบังคับ
หรือระเบียบหรือกรณีที่กาหนดไว้แล้วซึ่งใช้อยู่เดิมมาใช้บังคับเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้
ในกรณีที่ไม่อาจนาพระราชกฤษฎีกา กฎ ก.พ. ข้อบังคับ หรือระเบียบหรือกรณีที่กาหนดไว้
แล้วมาใช้บังคับได้ตามวรรคหนึ่ง การจะดาเนินการประการใดให้เป็นไปตามที่ ก.พ. กาหนด
มาตรา ๑๓๓ ข้ า ราชการพลเรื อ นผู้ ใ ดมี ก รณี ก ระท าผิ ด วิ นั ย หรื อ กรณี ที่ ส มควรให้ อ อก
จากราชการอยู่ ก่ อนวัน ที่บ ทบั ญญัติในลั กษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ และลั กษณะ ๕ ข้าราชการ
พลเรือนในพระองค์ แห่งพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ผู้บังคับบัญชาตามพระราชบัญญัตินี้มีอานาจสั่งลงโทษ
ผู้ นั้ น หรื อ สั่ งให้ ผู้ นั้ น ออกจากราชการตามกฎหมายว่าด้ ว ยระเบียบข้าราชการพลเรือนที่ใช้ อยู่ ใ นขณะนั้ น
ส่ ว นการสอบสวน การพิ จ ารณา และการด าเนิน การเพื่ อลงโทษหรือ ให้ ออกจากราชการ ให้ ด าเนิน การ
ตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่
(๑) กรณีที่ผู้บังคับบัญชาได้สั่งให้สอบสวนโดยถูกต้องตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้นไปแล้ว
ก่อนวันที่บทบัญญัติในลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ และลักษณะ ๕ ข้าราชการพลเรือนในพระองค์
แห่งพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และยังสอบสวนไม่เสร็จก็ให้สอบสวนตามกฎหมายนั้นต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ
(๒) ในกรณีที่ได้มีการสอบสวนหรือพิจารณาโดยถูกต้องตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้น
เสร็จไปแล้วก่อนวันที่บทบัญญัติในลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ และลักษณะ ๕ ข้าราชการพลเรือน
ในพระองค์ แห่งพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้การสอบสวนหรือพิจารณา แล้วแต่กรณีนั้นเป็นอันใช้ได้
(๓) กรณีที่ได้มีการรายงานหรือส่งเรื่อง หรือนาสานวนเสนอ หรือส่งให้ อ.ก.พ. สามัญใด
พิ จ ารณาโดยถู ก ต้ อ งตามกฎหมายที่ ใ ช้ อ ยู่ ใ นขณะนั้ น และ อ.ก.พ. สามั ญ พิ จ ารณาเรื่ อ งนั้ น ยั ง ไม่ เ สร็ จ
ก็ให้ อ.ก.พ. สามัญ พิจารณาตามกฎหมายนั้นต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ
มาตรา ๑๓๔ ข้ า ราชการพลเรื อ นซึ่ ง โอนมาจากพนั ก งานส่ ว นท้ อ งถิ่ น หรื อ ข้ า ราชการ
ประเภทอื่นก่อนวันที่บทบัญญัติในลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ และลักษณะ ๕ ข้าราชการพลเรือน
ในพระองค์ แห่ งพระราชบั ญ ญัติ นี้ ใช้ บั ง คับ ผู้ ใ ดมี กรณีก ระท าผิ ดวิ นั ยหรือ กรณีที่ ส มควรให้ อ อกจากงาน
หรื อให้ ออกจากราชการตามกฎหมายว่าด้ว ยระเบียบบริ ห ารงานบุคคลส่ ว นท้องถิ่นหรือกฎหมายว่าด้ว ย
ระเบี ย บข้า ราชการนั้ น อยู่ ก่ อ นวั น ที่ บ ทบั ญญั ติ ใ นลั ก ษณะ ๔ ข้า ราชการพลเรื อ นสามั ญ และลั ก ษณะ ๕
ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ แห่งพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ผู้บังคับบัญชาตามพระราชบัญญัตินี้มีอานาจ
ดาเนินการทางวินัยแก่ผู้นั้น หรือดาเนินการสั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการได้ ทั้งนี้ ให้นามาตรา ๑๐๖ มาใช้บังคับ
โดยอนุโลม
มาตรา ๑๓๕ ผู้ ใ ดถู ก สั่ ง ลงโทษหรื อ ถู ก สั่ ง ให้ อ อกจากราชการตามพระราชบั ญ ญั ติ
ระเบี ยบข้าราชการพลเรื อน พ.ศ. ๒๕๓๕ ถ้ายังมิได้ยื่นอุทธรณ์ห รือร้องทุกข์ตามพระราชบัญญัติดังกล่ าว
และยั งไม่พ้นกาหนดเวลาอุทธรณ์หรื อร้องทุกข์ในวันที่บทบัญญัติในลั กษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
และลักษณะ ๕ ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ แห่งพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้มีสิทธิอุทธรณ์หรือร้องทุกข์
ตามพระราชบัญญัตินี้ ได้ภ ายในสามสิ บ วัน นับแต่วันที่บทบัญญัติในลั กษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
และลักษณะ ๕ ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ แห่งพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา ๑๓๖ เรื่องอุทธรณ์และเรื่องร้องทุกข์ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่บทบัญญัติในลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ และลักษณะ ๕ ข้าราชการ
พลเรือนในพระองค์ แห่งพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและอยู่ในอานาจการพิจารณาของ อ.ก.พ. สามัญ หรือ ก.พ.
ให้ อ.ก.พ. สามัญ หรือ ก.พ. แล้วแต่กรณี พิจารณาต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ
เรื่องอุทธรณ์และเรื่องร้องทุกข์ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ที่ได้ยื่นต่อ อ.ก.พ. สามัญ หรือ ก.พ. ในวันหรือหลังวันที่บ ทบัญญัติในลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
และลักษณะ ๕ ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ แห่งพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและเป็นกรณีที่มีการลงโทษ
หรือสั่งการไว้ก่อนวันที่บทบัญญัติในลักษณะ ๔ ข้าราชการพลเรือนสามัญ และลักษณะ ๕ ข้าราชการพลเรือน
ในพระองค์ แห่งพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ ก.พ.ค. เป็นผู้พิจารณาดาเนินการต่อไป
มาตรา ๑๓๗ การใดที่อยู่ระหว่างดาเนินการหรือเคยดาเนินการได้ตามพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และมิได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือมีกรณีที่ไม่อาจดาเนินการ
ตามพระราชบัญญัตินี้ การดาเนินการต่ อไปในเรื่องนั้นจะสมควรดาเนินการประการใดให้เป็นไปตามที่ ก.พ.
กาหนด
มาตรา ๑๓๘ การปรั บ เงินเดือนและเงินประจาตาแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ
เข้าตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะรัฐมนตรีกาหนด
เพื่อประโยชน์ในการดาเนินการตามวรรคหนึ่ง ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ได้รับเงินเดือน
ยังไม่ถึงขั้นต่าของระดับตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ให้ได้รับเงินเดือนไม่ต่ากว่าขั้นต่าชั่วคราวตามบัญชี
ท้ายตามพระราชบั ญญัตินี้ และให้ ได้รั บ การปรับเงินเดือนจนได้รับเงินเดือนในขั้นต่าของระดับตามบัญชี
ท้ายพระราชบัญญัตินี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะรัฐมนตรีกาหนด
มาตรา ๑๓๙ ในกรณี ที่ก ฎหมายว่า ด้ว ยระเบี ยบข้า ราชการประเภทต่า ง ๆ ก าหนดให้
นากฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการพลเรือนสามัญมาใช้บังคับ
หรือใช้บังคับโดยอนุโลม ให้ยังคงนาพระราชบั ญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไข
เพิ่มเติม มาใช้บั งคับ หรื อใช้บังคับ โดยอนุ โ ลมต่อไป การให้นาพระราชบัญญัตินี้ไปใช้บังคับกับข้าราชการ
ประเภทดังกล่ าวทั้งหมดหรือบางส่ วน ให้ กระทาได้โดยมติขององค์กรกลางบริห ารงานบุคคลหรือองค์กร
ที่ทาหน้าที่องค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการประเภทนั้น ๆ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี

ผูร้ บั สนองพระบรมราชโองการ
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี
บัญชีเงินเดือนขั้นต่าขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญ๓
ตาแหน่งประเภทบริหาร
บาท บาท
ขั้นสูง ๗๔,๓๒๐ ๗๖,๘๐๐
ขั้นต่า ๕๑,๑๔๐ ๕๖,๓๘๐
ขั้นต่าชั่วคราว ๒๔,๔๐๐ ๒๙,๙๘๐
ระดับ ต้น สูง

บัญชีเงินเดือนขั้นต่าขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตาแหน่งประเภทอานวยการ
บาท บาท
ขั้นสูง ๕๙,๕๐๐ ๗๐,๓๖๐
ขั้นต่า ๒๖,๖๖๐ ๓๒,๘๕๐
ขั้นต่าชั่วคราว ๑๙,๘๖๐ ๒๔,๔๐๐
ระดับ ต้น สูง

บัญชีเงินเดือนขั้นต่าขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตาแหน่งประเภทวิชาการ

บาท บาท บาท บาท บาท


ขั้นสูง ๒๖,๙๐๐ ๔๓,๖๐๐ ๕๘,๓๙๐ ๖๙,๐๔๐ ๗๖,๘๐๐
ขั้นต่า ๘,๓๔๐ ๑๕,๐๕๐ ๒๒,๑๔๐ ๓๑,๔๐๐ ๔๓,๘๑๐
ขั้นต่าชั่วคราว ๗,๑๔๐ ๑๓,๑๖๐ ๑๙,๘๖๐ ๒๔,๔๐๐ ๒๙,๙๘๐
ชานาญการ
ระดับ ปฏิบัติการ ชานาญการ เชี่ยวชาญ ทรงคุณวุฒิ
พิเศษ

บัญชีเงินเดือนขั้นต่าขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตาแหน่งประเภททั่วไป
บาท บาท บาท บาท
ขั้นสูง ๒๑,๐๑๐ ๓๘,๗๕๐ ๕๔,๘๒๐ ๖๙,๐๔๐
ขั้นต่า ๔,๘๗๐ ๑๐,๑๙๐ ๑๕,๔๑๐ ๔๘,๒๒๐
ระดับ ปฏิบัติงาน ชานาญงาน อาวุโส ทักษะพิเศษ


บัญชีเงินเดือนขั้นต่าขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๘
ตารางบัญชีอัตราเงินประจาตาแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ

๑. ประเภทบริหาร
ระดับ อัตรา (บาท/เดือน)
ระดับสูง ๒๑,๐๐๐
๑๔,๕๐๐
ระดับต้น ๑๐,๐๐๐

๒. ประเภทอานวยการ
ระดับ อัตรา (บาท/เดือน)
ระดับสูง ๑๐,๐๐๐
ระดับต้น ๕,๖๐๐

๓. ประเภทวิชาการ
ระดับ อัตรา (บาท/เดือน)
ทรงคุณวุฒิ ๑๕,๖๐๐
๑๓,๐๐๐
เชี่ยวชาญ ๙,๙๐๐
ชานาญการพิเศษ ๕,๖๐๐
ชานาญการ ๓,๕๐๐

๔. ประเภททั่วไป
ระดับ อัตรา (บาท/เดือน)
ทักษะพิเศษ ๙,๙๐๐
หมายเหตุ : เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติระเบียบบริหาร
ราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ บัญญัติให้ดาเนินการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการ
พลเรือน เพื่อกาหนดภารกิจของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และสานักงานคณะกรรมการข้าราชการ
พลเรือนให้เหมาะสม ประกอบกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้ใช้บังคับมานาน
บทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับพัฒนาการด้ านการบริห ารราชการที่เปลี่ยนไป ดังนั้น เพื่อกาหนด
ภารกิจของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนและสานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนให้เหมาะสม
และเพื่อให้ การบริ ห ารทรั พยากรบุ คคลภาครั ฐ สอดคล้ องกับ ทิศทางการบริ ห ารราชการ สมควรปรับปรุ ง
กฎหมายดังกล่าว โดยปรับบทบาทของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน จากเดิมที่เป็นทั้งผู้จัดการงานบุคคล
ของฝ่ายบริห าร ผู้ พิทักษ์ระบบคุณธรรม และผู้จัดโครงสร้างส่ วนราชการ ให้เป็นเพียงผู้ จัดการงานบุคคล
ของฝ่ายบริหาร โดยมิให้ซ้าซ้อนกับบทบาทของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ส่วนบทบาทในการพิทักษ์
ระบบคุณธรรมให้ เป็นของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ปรับบทบาทของสานักงานคณะกรรมการ
ข้าราชการพลเรือนจากเดิมที่เป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการดาเนินงานของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
ให้ เป็ นเจ้าหน้าที่เกี่ย วกับ การดาเนิ นงานของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนและคณะกรรมการพิทักษ์
ระบบคุณธรรม และมิให้ซ้าซ้อนกับบทบาทของสานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ปรับปรุงระบบ
ตาแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญให้จาแนกตามกลุ่มลักษณะงาน ตลอดจนกระจายอานาจการบริหาร
ทรัพยากรบุคคลภาครัฐให้ส่วนราชการเจ้าสังกัดดาเนินการมากขึ้น จึงจาเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พระราชกฤษฎีกาการปรับเงินเดือนขั้นต่าขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. ๒๕๕๔๔
มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป
หมายเหตุ : เหตุ ผ ลในการประกาศใช้ พ ระราชกฤษฎี ก าฉบั บ นี้ คื อ โดยที่ ม าตรา ๕๑ วรรคหนึ่ ง
แห่ ง พระราชบั ญ ญั ติ ร ะเบี ย บข้ า ราชการพลเรื อ น พ.ศ. ๒๕๕๑ บั ญ ญั ติ ใ ห้ ค ณะรั ฐ มนตรี จ ะพิ จ ารณา
ปรั บ เงิ น เดื อ นขั้ น ต่ าขั้ น สู ง ของข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ให้ เ หมาะสมยิ่ ง ขึ้ น ตามความจ าเป็ น ก็ ไ ด้
โดยหากเป็ น การปรั บ เงิน เดือนขั้น ต่าขั้น สู งเพิ่มไม่เกิ นร้อยละสิ บของเงินเดือนที่ใช้บังคับอยู่ ให้ กระทาได้
โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ประกอบกับบัญชีเงินเดือนขั้นต่าขั้นสูงของข้ าราชการพลเรือนสามัญในปัจจุบัน
ไม่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น สมควรปรับเงินเดือนขั้นต่าขั้นสูงของข้าราชการ
พลเรือนสามัญให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยปรับเพิ่มบางอัตราและปรับเพิ่มเป็นร้อยละที่แตกต่างกันร้อยละห้ า
ถึงร้อยละสิบ จึงจาเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้


ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘/ตอนที่ ๒๒ ก/หน้า ๙/๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘๕
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป
มาตรา ๕ ในวาระเริ่มแรก ให้ปรับเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนสามัญที่ได้รับอยู่เดิม
เข้าสู่อัตราในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้
ให้ ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ผู้ ด ารงต าแหน่ ง ประเภทวิ ช าการระดั บ ปฏิ บั ติ ก ารและ
ระดับชานาญการและผู้ดารงตาแหน่งประเภททั่วไประดับปฏิบัติงานและระดับชานาญงานได้รับเงินเดือน
ในอัตราที่สู งกว่า อัตราที่ไ ด้รั บ อยู่ เ ดิมตามบั ญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้อี กร้อยละสี่ ของเงิ นเดือนที่ ได้รับอยู่
ในกรณีที่การปรับเงินเดือนดังกล่าวทาให้มีเศษไม่ถึงสิบบาทให้ปรับตัวเลขเงินเดือนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นสิบบาท
มาตรา ๖ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ : เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรปรับอัตราเงินเดือน
ของข้าราชการพลเรือนสามัญให้เหมาะสม เป็นธรรม และได้มาตรฐาน โดยคานึงถึงค่าครองชีพที่เปลี่ยนแปลงไป
ค่าตอบแทนในภาคเอกชน ฐานะการคลังของประเทศ ความแตกต่างระหว่างรายได้ของข้าราชการระดับต่าง ๆ
ในประเภทเดี ย วกั น และต่ า งประเภทกั น และปั จ จั ยอื่ น ที่ จ าเป็น สมควรปรั บ บั ญ ชี เงิ น เดื อ นขั้น ต่ าขั้ น สู ง
ของข้าราชการพลเรือนสามัญให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และกาหนดมาตรการเยียวยาให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ได้รับเงินเดือนหรือเงินประจาตาแหน่งที่เหมาะสมและเป็นธรรมตามควรแห่งกรณี ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
ที่คณะรัฐมนตรีกาหนด จึงจาเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้


ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๒/ตอนที่ ๔๓ ก/หน้า ๑/๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘

You might also like