มะเร็งเป็นอย่างไร เป็นมะเร็งทำอย่างไร ทำอย่างไรไม่เป็นมะเร็ง

You might also like

Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 11

มะเร็งเป็นอย่างไร

เป็นมะเร็งทำอย่างไร
ทำอย่างไรไม่เป็นมะเร็ง
ผศ.ดร นิพนธ์ ตุวานนท์
อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (2543 -2547)

บทนำ

ผู้เขียนจบเภสัช มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และได้รับราชการเป็นอาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย


เชียงใหม่เป็นระยะเวลา 34 ปี เมื่อเกษียณตัวเองได้ 2 ปีได้ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ (Colorectal cancer)
ในระยะสุดท้าย (ระยะที่ 4) มะเร็งได้ลุกลามไปที่ตับและที่ปอด (Liver & Lung metastases) ได้รับ
การรักษาโดยวิธีแพทย์แผนปัจจุบันครบทุกวิธี ทั้งเคมีบำบัด การผ่าตัดสำไส้ผ่าตัดตับ ผ่าตัดปอด และรับ
การฉายรังสี โดยทีมแพทย์ โรงพยาบาลมหาราช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ใช้เวลารักษา
ทั้งหมด 2 ปี ก่อนการรักษาโดยวิธีแพทย์แผนปัจจุบัน ผู้เขียนได้รับความรู้ด้านธรรมชาติบำบัด และอาหาร
การกินแบบ “เกอร์สัน” (Gerson, M.D.) (เอกสารอ้างอิง 1) จาก นพ.สำราญ อาบสุวรรณ แพทย์มช.
รุ่นที่ 11 ที่ศึกษาในเรื่องนี้อย่างแตกฉาน และได้กรุณาถ่ายทอดความรู้ให้ หลังจากนั้น ผู้เขียนได้ค้นคว้า
พยายามหาคำตอบ

สาเหตุของการเกิดโรงมะเร็ง
ทำอย่างไรที่จะลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็ง
กิน – อยู่ อย่างไรจึงจะห่างจากโรคมะเร็ง และให้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ขณะที่รักษาตัว (ปี 49 – 51) และหลังจากนั้น ผู้เขียนได้ปฏิบัติตนตามบทความที่ได้เขียนไว้นี้อย่างสม่ำเสมอ


และต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เมื่อท่านอาจารย์ รศ.ดร.ภก.จักรพันธ์ ศิริธัญญาลักษณ์ ได้มาเยี่ยมเยียนที่บ้าน
และได้ขอให้ผมเขียนบทความอะไรก็ได้ที่ไม่เกี่ยวกับคณะเภสัชศาสตร์และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในโอกาส
เฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปีคณะเภสัชมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พูดง่ายๆก็คือขอให้เขียนฉีกแนวออกไปบทความ
นี้จึงเกิดขึ้น เพื่อเป็นการเล่าสู่กันฟัง
.......

มะเร็งเกิดขึ้นได้อย่างไร?

“มะเร็ง” (Cancer) คำน่ากลัวนี้มาจากคำว่า “KARKINUS” ภาษากรีก แปลว่า “ปู” เนื่องจากก้อนเนื้อมะเร็ง


มองดูแล้วคล้ายปู มนุษย์ทุกคนมี ยีนมะเร็ง (Oncogene) อยู่ในเซลล์ และโดยปรกติ ยีนมะเร็งจะถูกยับยั้งไม่
ให้ทำงานด้วย ยีนต้านมะเร็ง (Anti-oncogene) ในร่างกายของเราจะประกอบด้วยเซลล์หลายพันล้านเซลล์
แต่ละเซลล์จะมีตัวควบคุมทางพันธุกรรมไปยังเซลล์ที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ การถอดแบบตัวเองของดีเอ็นเอ ลงไป
ในเซลล์เกิดใหม่ที่ปราศจากการรบกวนจากภายนอก ก็จะทำให้ได้เซลล์ใหม่ที่มีรหัสพันธุกรรมที่เป็นปรกติ
เมื่อใดก็ตามที่เกิดความผิดปรกติในกระบวนการถอดแบบเซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่ก็จะมีความผิดปรกติด้วย เช่น
เซลล์มี nucleus แปลกไป ขนาดของ cytoplasm เล็กกว่าเซลล์ปรกติ รูปร่างและขนาดของเซลล์แตกต่างไป
จากเซลล์ปรกติ และเซลล์มีการแบ่งตัวจำนวนมาก เรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่าเซลล์มันกลายพันธุ์ และพัฒนา
ไปสู่การเป็นเซลล์มะเร็งได้ในที่สุดตัวการสำคัญที่ทำให้กระบวนการถอดแบบของ ดีเอ็นเอเกิดความผิดพลาด จนนำ
ไปสู่การเกิดเซลล์มะเร็งก็คือ “สารก่อมะเร็ง” (Carcinogens) โดยปรกติ ร่างกายจะมีกระบวนการซ่อมแซม
ดีเอ็นเอเพื่อจะทำให้เซล์ที่ผิดปรกติกลับมามีสภาพปรกติ แต่ความสามารถของร่างกายเราก็มีจำกัด ขณะเดียวกัน
ร่างกายจะใช้ ที – เซลล์ (T–Cell) ที่อยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ของระบบภูมิคุ้มกันออกมาจัดการกับเซลล์
มะเร็งดังกล่าวเพื่อจะให้เซลล์มะเร็งหมดไป แต่ เซลล์มะเร็งจะแบ่งตัวรวดเร็วเป็นทวีคูณจำนวนมาก ที – เซลล์ จึงไม่
สามารถกำจัดได้หมดสิ้นและเซลล์มะเร็งสามารถหลุดลอยไปตามกระแสโลหิตและน้ำเหลือง เมื่อไปหยุดอยู่ ณ ที่ใด
ก็จะเกิดการแบ่งตัว และเจริญเติบโตขึ้นที่นั่นทำให้เกิดมะเร็งตามเนื้อเยื่อและอวัยวะบริเวณนั้น

ดังนั้น เมื่อเราแก่ตัวลง สภาพร่างกายเสื่อมถอยประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันลดลง โอกาสเป็นมะเร็งก็สูงขึ้น จะพบว่า


คนอายุเกิน 50 ปี เป็นมะเร็งกันค่อนข้างมาก ที่พบกันมากในหมู่คนไทย คือ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ
มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม และ มะเร็งมดลูก

ปัจจัยที่ทำให้เกิดมะเร็ง

ปัจจัยภายใน :
ประกอบด้วย พันธุกรรม ภูมิต้านทาน และความเครียด เป็นที่ยืนยันแน่นอนแล้วว่า มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม
เกิดจากพันธุกรรม ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น แต่ตัวเลขทางสถิติพบว่า พันธุกรรมมีส่วนเพิ่มความเสี่ยงประมาณ
ร้อยละ 10 เท่านั้น เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ต้องการที่จะพิสูจน์ทฤษฎีพันธุกรรมนี้ โดยได้นำ
ไข่จากรังไข่ของมารดา นำมาผสมกับสเปิร์มที่คัดเลือกไว้ เพื่อให้เกิดเพศหญิงในหลอดแก้ว แล้วดูด nucleus ของเซลล์
ที่ผสมพันธุ์แล้วออกมาทำการตัดยีนตัวที่เชื่อว่าจะเหนี่ยวนำทำให้เกิดมะเร็งเต้านม แล้วฉีด nucleus กลับเข้าไปใหม่
แล้วนำเซลล์นี้เข้าไปใส่ให้เจริญเติบโตในมดลูก และต่อมาได้ทารกคลอดออกมาเป็นเพศหญิง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์
ตั้งความหวังว่า เด็กหญิงคนนี้เมื่อโตขึ้นจะไม่เป็นเป็นมะเร็งเต้านม เราคงต้องเฝ้าติดตามต่อไป

ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะทำหน้าที่เหมือนเครื่องรับสัญญาณเตือนภัยอันตราย เมื่อมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
หรือเมื่อร่างกายผลิตเซลล์กลายพันธุ์ ที – เซลล์ของเม็ดเลือดขาวจะทำหน้าที่ขจัดเชื้อโรคและเซลล์กลายพันธุ์เหล่านี้
เมื่อเรามีอายุมากขึ้น ประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันจะลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งในผู้ที่มีอายุมากขึ้น
ขณะเดียวกัน อาหารที่เรารับประทาน หากสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกัน ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งจะลดลง (จะกล่าว
ละเอียดในภายหลัง)

อนุมูลอิสระ (Free Radical) คือ โมเลกุลที่อิเล็คตรอน (Electron) ขาดหายไป จึงขาดความเสถียร (Unstable)


จึงจำเป็นต้องดึงอิเล็คตรอนจากโมเลกุลข้างเคียงมาไว้กับตัว ทำให้โมเลกุลข้างเคียงขาดความเสถียร จนต้องแย่ง
อิเล็คตรอนจากโมเลกุลอื่นๆที่เป็นส่วนประกอบของเซลล์มาอีก ปฏิกิริยาดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นติดต่อกันเป็นลูกโซ่ไม่
จบสิ้น และหากปฏิกิริยาดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในขณะที่เซลล์แบ่งตัวและมีการถอดแบบดีเอ็นเอ ก็จะก่อให้เกิดความเสียหาย
แก่ดเี อ็นเอของเซลล์เกิดใหม่ จนเกิดเป็นเซลล์มะเร็งในทีส่ ด
ุ ดังนัน
้ สารทีม
่ ฤ
ี ทธิต
์ อ่ ต้านอนุมลู อิสระก็จะสามารถป้องกัน
หรือลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง

ความเครียด ในขณะที่ร่างกายอยู่ในภาวะตึงเครียด ซึ่งเกิดขึ้นประจำสำหรับคน “Type A” (Super Active)


(และผู้เขียนก็เป็นคน Type A จึงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่) ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอเดรนาลิน (Adrenaline) และ
คอร์ติซอล (Cortisol) ฮอร์โมนคอร์ติซอลนี้ จะทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานน้อยลง จึงทำให้ระบบภูมิต้านทานโรคของ
ร่างกายมีประสิทธิภาพน้อยลง

อ่านแล้วอย่างเครียดนะครับ ชิวๆ
ปัจจัยภายนอก :

อากาศ มลพิษในอากาศเป็นสารก่อมะเร็ง พึงหลีกเลี่ยงสถานที่ที่อากาศไม่บริสุทธิ์และขณะเดียวกัน หากได้สูด


อากาศที่บริสุทธิ์ในตอนเช้า หรือบริเวณชายทะเลก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ภูมิคุ้มกันดี หลีกเลี่ยง สารเคมี สารพิษ
ควันบุหรี่ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย

อาหารการกิน อาหารที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้แก่ อาหารที่แปรรูปอาหารที่มีการปรุงแต่งสี กลิ่น รส


จนขาดความเป็นธรรมชาติ อาหารที่ไม่สดอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษ เช่น ผัก ผลไม้ที่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง หากการ
รับประทานอาหารของเราสามารถเสริมสร้างประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน ขจัดอนุมูลอิสระ และไม่ให้สารพิษ
สารเคมี เข้าสู่กระบวนการเมตะโบลิซึ่ม(Metabolism) ของร่างกาย กินอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพทานอาหารให้
ครบ 5 หมู่ คือ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุ (Minerals) ในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสมและ
ครบถ้วนพร้อมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การพักผ่อนที่เพียงพอและไม่เครียดใช้ชีวิตสบายๆ (ชิวๆ)
ปล่อยวาง และคิดกุศล อย่าคิดอกุศล รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม (ตามค่า BMI, Body Mass Index
ซึ่งคำนวณได้จากน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม หารด้วยค่าความสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง) จะลดความเสี่ยงการเป็น
มะเร็งได้มากทีเดียว

สารเคมีที่ปนเปื้อนมาในอาหาร ทั้งเจตนาและไม่เจตนา อาทิเช่น วัตถุกันเสีย (สารกันบูด, Preservatives)


สีสังเคราะห์ ผงฟอกขาว (Sodium dithionite) ดินประสิว หรือ เกลือไนไตรท์ หรือเกลือไนเตรท (Sodium
หรือ Potassium Nitrite หรือ Nitrate) ซึ่งนิยมเติมลงในเนื้อหมัก เช่น แหนม แฮม ไส้กรอก เซลามิ และเบคอน
เพื่อยับยั้งการเกิดพิษ (toxins) ในอาหารเนื้อหมักจากแบคทีเรีย Clostridium Botulinum เกลือไนไตรท์
หรือ ไนเตรทนี้ จะทำปฏิกิริยา nitration กับสารประกอบพวก เอมีน (amines) ที่อยู่ในโปรตีนของเนื้อสัตว์
เกิดเป็นสารประกอบ “ไนโตรซามีน” (Nitrosamines) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง (cascinogens) น้ำประสานทอง
(Borax) ฟอร์มาลีน (Formalin) ขัณฑสกร (Saccharin Sodium) สารเหล่านี้เป็นสารก่อมะเร็ง คลอรีน
(Chlorine) ในน้ำประปาจะทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

สิ่งที่ห้ามรับประทาน (งดเว้น)

น้ำตาล (Glucose) เซลล์มะเร็งชอบกลูโคส เพราะเป็นปัจจัยหลักในการแบ่งเซลล์ เนื่องด้วยเซลล์มะเร็ง


มีการแบ่งตัวเร็วมาก จึงมีการเผาผลาญน้ำตาลสูง การตรวจหาเซลล์มะเร็งโดยวิธี PET/CT (Positron
Emission Tomography ) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุด และแม่นยำที่สุดในการตรวจหามะเร็งในระยะแรกเริ่ม
ก็ใช้การฉีดน้ำตาล FDG ซึ่งติดสลาก (Label) ด้วยสารรังสี F-18 ให้กับผู้รับการตรวจแล้วถ่ายภาพออก
มา [18F]FDG จะเข้าไปแทนที่กลูโคสในเซลล์มะเร็งได้มากกว่าเซลล์ปรกติ และไม่สามารถปล่อย [18F]FDG
ออกมานอกเซลล์มะเร็งได้ เมื่อถ่ายภาพ ก็จะได้จุดสีดำบริเวณเซลล์มะเร็ง

ไขมันสัตว์ (Animal Fat) เป็นปัจจัยหลักที่เซลล์มะเร็งใช้ในการแบ่งเซลล์

ปลาเค็ม ปลาเกลือ ปลาสลิดตากแห้ง ส่วนใหญ่มักปนเปื้อนยาฆ่าแมลง ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง หากมีความ


อยากมากที่จะรับประทาน ให้หายี่ห้อที่มีตรา GMP (Good Manufacturing Practice) และ HACCP
(Hazard Agent Critical Control Point) ตรา HACCP นี้ได้ยากมาก จะแสดงว่าผลิตภัณฑ์อาหารนั้นมี
การควบคุมกระบวนการผลิตเป็นอย่างดีเลิศ และไม่มีสารพิษปนเปื้อน มีอยู่ 2-3 ยี่ห้อในซุปเปอร์สโตร์
ถั่วงอก ยอดมะพร้าวอ่อน และยอดตาลอ่อน ที่มีสีขาวสดสวยผิดธรรมชาติ เพราะปนเปื้อนด้วยสารฟอกขาว
หรือ ฟอร์มาลีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

อาหารทะเลทีว่ างขายทัว่ ไปในตลาด ส่วนใหญ่จะแช่นำ้ ยาฟอร์มาลิน ซึง่ เป็นสารก่อมะเร็ง และทำให้ผรู้ บ


ั ประทาน
เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง ปัจจุบันมีการผสม Borax กับน้ำแข็ง ใช้แช่อาหารทะเลเพื่อขยายเวลามิให้เน่าเสีย
ควรรับประทานอาหารทะเลสด หรือที่ขายตามห้าง หรือแช่แข็งในหีบห่อที่ผลิตโดยบริษัทชื่อดังที่ส่งออกขาย
ต่างประเทศ จะมีขายตามห้างใหญ่ๆ เลือกที่มีตรา GMP, HACCP

เนื้อหมู เนื้อไก่ ในตลาดสด มักเป็นเนื้อที่มาจากฟาร์มเลี้ยงที่ไม่มีการควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะ ฮอร์โมน


สารเร่งเนื้อแดง ให้ทานเนื้ออนามัย (Hygienic Meat) ที่ระบุบนฉลาก ว่าปราศจากการใช้ยาต่างๆในกระบวนการ
ผลิต และมีตรา GMP ซึ่งจะมีวางขายในห้าง เช่น ของ ซีพี และ เบทาโกร (จ่ายแพงหน่อย แต่ปลอดภัย
และสบายใจ)

ปลาเจ่า ปลาส้ม ปลาร้า และ แหนม จะใส่ดินประสิว (เกลือไนเตรท เกลือไนไตรท์) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

ข้าวมันไก่ ไก่ตอน มักจะฝังฮอร์โมนในตัวไก่ แล้วเกิดการตกค้างของฮอร์โมน

สิ่งที่ไม่ควรรับประทาน (เสพ) และพึงหลีกเลี่ยง


อาหารกระป๋อง มีสารกันบูด (วัตถุกันเสีย, Preservatives) ถ้าเป็นเนื้อสัตว์ เนื้อปลากระป๋อง มักจะมี
เกลือไนเตรท ไนไตรท์ เพื่อกันมิให้เกิดอาหารกระป๋องเป็นพิษ จะมีสารประกอบ Nitrosamines ซึง่ เป็น
สารก่อมะเร็ง

อาหารหมักดอง อาจมี ขัณฑสกร (Saccharin Sodium) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง และอาจมีสารเคมีปนเปื้อน


อาหารเค็มมีเกลือโซเดียมสูง ไม่ดีต่อสุขภาพ

บุหรี่ สารก่อมะเร็ง

โกโก้ ช็อคโกแล็ต ครีม และ ไอศครีม มีไขมันสูง เซลล์มะเร็งชอบไขมัน และใช้ไขมันในกระบวนการแบ่งเซลล์

แอลกอฮอลล์ เหล้า ไวน์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ (Ethanol) ทุกชนิด ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง เพิ่มสภาวะกรด


ในเซลล์ ทำให้เซลล์มะเร็งเติบโตได้ดี

ชา กาแฟ มีคาเฟอีน (Caffeine) สารกระตุ้น หากมีความอยาก ก็ทานได้บ้างเล็กน้อย นานๆ ครั้ง ยกเว้น


ชาเขียว มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ

น้ำนม โยเกิร์ต เนย ให้ไขมันสูง และยังทำให้ลำไส้หลั่งสารมิวคัส (Mucus) ซึ่งเป็นอาหารของมะเร็ง งดดื่มนม


ทานนมถั่วเหลืองไม่หวานแทน เซลล์มะเร็งก็จะไม่ได้รับอาหารหล่อเลี้ยง

โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ย่อยสลายยาก ทำให้เกิดเนื้อตกค้าง เน่าเปื่อยในลำไส้ใหญ่ นำไปสู่การเกิดสารพิษ


เกิดโปลิพ (Polyps) ในลำไส้ใหญ่ และพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด

ไม่ดื่มน้ำประปา ถึงแม้จะต้มสุก เพราะยังมีสารคลอรีนซึ่งจะทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง ให้ดื่มน้ำแร่ (Mineral Water)


จะดีที่สุด

ไม่อุ่นอาหารในถุงพลาสติกในเตาไมโครเวฟ เพราะจะเกิดสาร ‘Dioxin’ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง


มะเร็งเต้านม ให้ใช้ภาชนะแก้วทนความร้อน Pyrex หรือ Corning หรือ เซรามิคในการอุ่นอาหารในเตาไมโครเวฟ
หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะหม้อที่ทำจากอลูมิเนียม ให้ใช้ภาชนะสแตนเลส หรือ แก้วทนความร้อน

หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อแดง (Red Meat) ซึ่งทำให้เกิดสภาวะเป็นกรด ซึ่งเซลล์มะเร็งเติบโตได้ดี


ในสภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด และเนื้อสัตว์ยังมีไขมันสูง ทานเนื้อปลาดีที่สุด ทานไก่อนามัยได้เล็กน้อย
หลีกเลี่ยงเนื้อหมูและเนื้อวัว ทานเนื้อสัตว์อนามัย (Hygienic Meat) ได้บ้างเล็กน้อย อย่าทานโปรตีนจากเนื้อ
สัตว์มากจนเกินความพอดี เซลล์มะเร็งชอบโปรตีน ทานในปริมาณที่เหมาะสม ครั้งละประมาณไม่เกิน 150
กรัม สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เสริมโปรตีนด้วยโปรตีนเกษตร จากถั่วเหลือง เต้าหู้

หลีกเลี่ยงการทานน้ำมัน (Cooking Oil) ที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ในขณะเดียวกัน ไขมันไม่อิ่มตัวก็มีกรดไขมัน


(Unsaturated Fatty Acid) ที่มีความเสถียรต่ำ ถูกกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระได้ง่าย อนุมูลอิสระจะไปจับกับ
ดีเอ็นเอ ทำให้การถอดรหัสภายในเซลล์เกิดความผิดพลาดได้ ส่งผลไปถึงการเกิดเซลล์มะเร็ง ดังนั้นควรลด
การบริโภคอาหารไขมัน ทั้งไขมันอิ่มตัวและไขมันไม่อิ่มตัว หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้ใช้น้ำมันมะกอก น้ำมัน
แคโนลา (Canola) ซึ่งมีไขมันต่ำที่สุดเพียง 7% น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก น้ำมันข้าวโพด
เพราะมีไขมันอิ่มตัวต่ำ งดใช้น้ำมันปาล์ม (ไขมันอิ่มตัว 51%) และน้ำมันหมู (ไขมันอิ่มตัว43%) นอกจากนี้
การทานไขมันมากทำให้ร่างกายต้องหลั่งน้ำดีออกมาที่ลำไส้มาก เกิด “เกลือน้ำดี” ตกค้างในลำไส้ ซึ่งจะถูก
แบคทีเรียบางชนิดในลำไส้เปลี่ยนเป็นสารประกอบ 3- เมทริลโคแลนทรีน (3-Methylcholantrene) ซึ่งเป็น
สารก่อมะเร็ง ทำให้คนที่ทานอาหารที่มีไขมันสูงมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้สูง

หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อ ปิ้ง ย่าง ต้มตุ๋นนานๆ (เกิน 2 ชั่วโมง) เนื้อปิ้ง ย่าง ความร้อนจะทำให้ไขมันหลอม


หยดลงบนถ่าน เกิดการสันดาปไม่สมบูรณ์ ทำให้ได้สารพี เอ เอช PAH (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon
และ Heterocyclic amines) ที่พบมาเป็นพวกเบนโซไพรีน (Benzopyrine) เป็นควันดำเกาะติดตามเนื้อ
ปิ้งย่างรมควัน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื้อที่ต้มตุ๋นนานๆ จะเกิดสาร Heterocyclic
amines ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

หลีกเลี่ยงการรับประทานของทอด ไม่ว่าจะเป็นมันทอด กล้วยทอด ไก่ทอด ฯลฯ น้ำมันที่ใช้ทอดหลาย ๆ ครั้ง


ในความร้อนสูงๆจะเกิดสารประกอบโพลาร์ (Polar Compounds) ซึ่งให้อนุมูลอิสระเป็นอันตรายต่อเซลล์
ปรกติ ซึ่งจะทำให้เกิดเซลล์มะเร็ง

ลดอาหารเค็ม การรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัดเป็นประจำจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ
อาหาร และมะเร็งหลอดอาหาร

หลีกเลี่ยงการใช้ซอสปรุงรส ซึ่งใช้กรดเกลือย่อยถั่วเหลืองก่อนนำไปหมัก เพื่อเร่งกระบวนการหมักให้เร็วขึ้น


โดยวิธีการนี้ จะทำให้ได้ซอสปรุงรส หรือซีอิ้วขาว ที่มีสารพิษในกลุ่ม Chlorinated Hydrocarbon
ปนเปื้อนมา ที่พบมากคือ 3-เอ็มซีพีดี (3-MCPD หรือ 3-Monochloropropanediol) ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย
ดังนั้น ก่อนซื้อซอสปรุงรส หรือ ซีอิ้วขาวให้อ่านฉลากให้ดีๆ ว่าหมักโดยวิธีธรรมชาติเท่านั้น และไม่ใช้กรดเกลือ
เร่งปฏิกิริยา

หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป ที่ใส่วัตถุกันเสีย ภาษาชาวบ้านเรียกสารกันบูด (Preservatives) ส่วนใหญ่จะใช้


โซเดียมเบนโซเอท Sodium Benzoate หรือBenzoic Acid หรือเจือสีสังเคราะห์ ถึงแม้จะเป็นสีสำหรับผสม
อาหารก็ตาม ทั้งนี้เพราะโมเลกุลของสารประกอบเหล่านี้ จะไม่พบในสารประกอบต่างๆตามธรรมชาติในร่างกาย
เรา (นั่นคือ เป็นสารเคมีแปลกปลอมที่เข้าไปในร่างกายเรา) ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเรา ปัจจุบันพบว่า
มีการใช้สารกันบูดในน้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกกะปิ เส้นก๋วยเตี๋ยว เพื่อให้อาหารเหล่านี้ขายได้นานๆ โดยไม่เน่าเสีย
อยากกินน้ำพริกหนุ่ม ก็เลือกซื้อจากผู้ขายที่ปรุงไว้ไม่มาก ขายหมดภายในวันเดียว ประเภทใส่ถุงพลาสติก
สวยงามเก็บไว้ได้หลายๆ วันพึงหลีกเลี่ยง ยิ่งชาวบ้านใช้วัตถุกันเสีย จะไม่มีการ ชั่ง-ตวง-วัด ใส่มากๆ เข้าไว้ก่อน
เพื่อป้องกันอาหารบูดเสีย
หลีกเลี่ยงการรับประทานถั่วลิสง เพราะส่วนใหญ่จะมีสารอฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) ซึ่งทำให้เกิดมะเร็งตับ

หลีกเลี่ยงการรับประทานผักสดจากตลาดสดทั่วไป เพราะส่วนใหญ่จะปนเปื้อนด้วยยาฆ่าแมลง เกษตรกร


จะพ่นยาฆ่าแมลงเพื่อให้ได้ผักต้นโตสวยงามได้ราคาดี และเก็บผักมาขายก่อนที่ยาฆ่าแมลงจะหมดฤทธิ์ จาก
รายการ “แผ่นดินไท” ช่อง TPBS พบว่า เกษตรกรฉีดพ่นยาฆ่าแมลง 3 ครั้ง ใน 10 วันในช่วงฤดูร้อน มีการเก็บ
ตัวอย่างผักในตลาดสดในกรุงเทพมาสุ่มตรวจ พบว่า มีสารพิษตกค้างในระดับอันตราย ในขณะที่ตัวอย่าง
ผักตามห้างฯอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย ดังนั้น ควรซื้อผักในห้างฯที่ติดฉลากว่า “ผักปลอดสารพิษ” ผักสลัด
ควรทานผัก “ไฮโดร” (Hydroponics) ซึ่งปลูกในโรงกันแมลง จึงไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลงในกระบวนการ
ผลิต มีจำหน่ายในห้างฯ (จ่ายแพงหน่อย แต่ปลอดภัย และสบายใจ) มีรายงานการวิจัย (อ้างอิง 2) เกี่ยวกับ
การตรวจหาปริมาณไนเตรทอันเนื่องมาจากการให้ปุ๋ยไนโตรเจนในผักไฮโดรฯจากฟาร์มผู้ผลิตจำนวน 7
ฟาร์มในช่วงเดือนต่างๆของปี พบว่า มีความเข้มข้นไนเตรทในผักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ปลอดภัยสำหรับ
การบริโภคของสหภาพยุโรป หากซื้อผักจากตลาด ให้ล้างน้ำหลายๆ ครั้ง และแช่ด้วยผงฟู (Sodium
Bicarbonate) หรือผงถ่าน (Activated Charcoal)

ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านม (Estrogen – Receptor – Positive breast cancer) ควรงดการบริโภค


นมถั่วเหลือง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองทุกชนิด และให้งดทาน หัวมัน มะพร้าวอ่อน สาหร่ายสไปรูไลน่า
เพราะอาหารเหล่านี้จะให้สารประกอบ Isoflavones ซึ่งออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน อาหารเหล่านี้
จัดอยู่ในกลุ่ม “Phytoestrogen” (ฮอร์โมนเอสโตรเจนจากพืช)

ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งปอด ให้งดทานอาหารที่มี บีต้าคาโรทีน (Beta-carotenes) สูง เช่นแครอท มะละกอ


ปริมาณสูงของบีต้า คาโรทีน เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งปอด (อ้างอิง 3. และ 4.)

สิ่งที่ต้องรับประทาน

ให้ทานผัก- ผลไม้ 5 สี แตกต่างกันในแต่ละวัน (Five colourful fruits and vegetables) จะอุดมไปด้วย


วิตามินต่างๆและแร่ธาตุ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายเรา เสริมสร้างการสร้างเม็ดเลือด เกล็ดเลือด และอื่นๆ

อ. สุรัตน์วดี จิวะจินดา (อ้างอิง 5) แห่งศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลองมหาวิทยาลัย


เกษตรศาสตร์ กำแพงแสน นครปฐม ได้นำพืชผักพื้นบ้านไทย 100 กว่าชนิดมาวิจัยทดลอง ได้ผลปรากฏว่า
มีผักไทยร่วม 90 ชนิดมีสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งไม่ให้เซลล์มะเร็งลุกลามขยายตัว ไม่ใช่
กินเข้าไปแล้วจะทำให้หายจากโรคมะเร็ง อย่าเข้าใจผิด อ.สุรัตน์วดีได้แบ่งพืชผักไว้ 4 ประเภท

ประเภทที่ 1 ผักที่มีฤทธิ์ต้านทานการลุกลามขยายตัวของเซลล์มะเร็งได้มากกว่า 70% (เซลล์มะเร็งที่เคย


ขยายตัวได้ 100% เจอผักเหล่านี้เข้าไปเซลล์มะเร็งจะเพิ่มจำนวนได้ไม่เกิน 30%) ได้แก่ ผักขี้ขวง(สะเดาดิน)
,ผักโขมหัด, มะระขี้นก,ใบมะม่วงเพกา (มะริดไม้), ตังโอ๋, ดอกแก้วเมืองจีน, แขนงกะหล่ำ, ปีแช, ตะไคร้,
ชะมวง, โหระพา, ใบยี่หร่า, แมงรัก, ถั่วลันเตาแคบ้าน, ผักแว่น, ยอดสะเดา, พริกไทย, มะกรูด, มะแขว่น,
ชะพลู,ใบพลู, ผักไผ่(ผักแผว), ใบยอ, ผักคาวทอง (พูลดาว), ผักแขยงขื่นฉ่าย,ใบบัวบก, ผักชี,ผักชีฝรั่ง,
หอมแย้, กระชาย,ข่า ,ขิงแก่
ประเภทที่ 2 มีฤทธิ์ต้านทานมะเร็ง 50-70% ได้แก่ หัวไชเท้า (เป็นพืชผักที่เกษตรกรใช้ยาฆ่าแมลงมากที่สุด จาก
การสัมภาษณ์เกษตรกรย่านปทุมธานี ในรายการ “แผ่นดินไท” ทางทีวีช่อง TPBS ถ้าจะกินต้องมั่นใจว่าปลอดสาร
พิษ) ฟัก, สะระแหน่, ขี้เหล็ก(ดอก), ยอดสะเดา(สด), หยวกกล้วย, พริกหยวก, ผักชีลาว, ขิงอ่อน

ประเภทที่ 3 มีฤทธิ์ต้านทานมะเร็ง 30-50% ได้แก่ ผักบุ้ง, บวบหอม, มะดัน, ขี้เหล็ก, เมล็ดกฐิน, มะขาม,
มะขามเทศ, มะเดื่อ, มะเขือม่วง, มะเขือเทศ, มะเขือยาว, มะเขือพวง, มะอึก, กระเจี๊ยบมอญ

ประเภทที่ 4 มีฤทธิ์ต้านทานมะเร็งได้น้อยกว่า 30% ได้แก่ แครอท, ผักกูด, ยอดผักปลัง, ผักกาดแก้ว, กะหล่ำปลี,


กะหล่ำม่วง, บวบงู, มะระจีน, สะตอ, ลูกเหนียง, ถั่วพู, กุยช่าย, หน่อไม้ฝรั่ง, สายบัว, พริก, มันฝรั่ง, ดอกโสน,
หอมแดง, หอมหัวใหญ่, ต้นกระเทียม, ดอกกระเจี๊ยบ, มะกอก, เผือก, แตงโม, เห็ดหอม, เห็ดลม, เห็ดนางฟ้า

จะเห็นได้ว่าผักพื้นบ้านไทย และสมุนไพรไทยมีฤทธิ์ต้านมะเร็งสูง สูงกว่าพืชผักฝรั่ง เช่น แครอท, หน่อไม้ฝรั่ง,


ผักกาดแก้ว, กะหล่ำปล,ี หอมหัวใหญ่, และมันฝรั่ง

แครอทให้ฤทธิ์ต้านมะเร็งต่ำ แต่ให้สารประกอบบีต้าคาโรทีน (provitamin A) ซึ่งจะแตกตัวให้วิตามินเอในร่างกาย


ต่อไป

การเลือกรับประทานผักทุกๆประเภทดังกล่าวข้างต้น ผักประเภทที่ 4 ถึงแม้จะมีฤทธิ์ต้านทานมะเร็งต่ำแต่ก็มีสาร


อาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการที่ผักประเภท 1, 2 และ3 ไม่มีก็ได้

ให้รับประทานธัญพืชรวม(Cereals) อันประกอบด้วย ข้าวซ้อมมือ, ข้าวกล้อง, ข้าวเหนียวดำ, ข้าวบาร์เล่ย์,


ข้าวโอ๊ต, ข้าวบัควีต, ข้าวสาลี, ถั่วแดง, ถั่วดำ, ลูกเดือย, เม็ดบัว, งาดำ, จมูกข้าวโพด, ข้าวมอลต์ ฯลฯ
(ให้หลีกเลี่ยงถั่วลิสง ป้องกันการปนเปื้อนของ aflatoxin) ล้างธัญพืชให้สะอาด นำมาต้มตุ๋นจนเมล็ดธัญ
พืชต่างๆเปื่อยนุ่ม รินน้ำที่ได้ดื่มไปเรื่อยๆ ทั้งวัน นำกากที่ได้ใส่เครื่องปั่น ปั่น เหยาะซอสแมกกี้เพิ่มรสชาติ
ผสมน้ำธัญพืชแล้วดื่มกิน อร่อยดีและมีวิตามินรวม และแร่ธาตุสูง เพิ่มภูมิต้านทาน เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง
ช่วยในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดขาว, เม็ดเลือดแดง, เกล็ดเลือด และทีเซลล์

ช่วงที่ผมรับเคมีบำบัดรวมทั้งหมด 18 ครั้งผมได้ทานสลัดผักสด น้ำปั่นจากใบแป๊ะตำปึง (ชาขนไก่ทองคำ) จาก


ต้นอ่อนข้าวสาลี (wheatgrass) และธัญพืชรวมอย่างสม่ำเสมอ พบว่ามีเม็ดเลือดขาวสี่พันกว่าช่วง 3 ครั้งแรก
ของการรับยาเคมีบำบัด หลังจากนั้นไม่เคยต่ำกว่า 5,000 และเกร็ดเลือดไม่เคยต่ำกว่า 170,000 จึงสามารถรับ
เคมีบำบัดได้อย่างต่อเนื่อง ผลการรักษาจึงออกมาดี ผลแล็บ (ผลตรวจวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการ) ก็เป็นที่
พอใจของทีมแพทย์ที่รักษา

มีธัญพืชรวมเป็นผงสำเร็จรูปอยู่ในซอง ชงด้วยน้ำร้อนรับประทานได้เลย สะดวกดี แต่ทุกยี่ห้อจะผสมด้วยครีม


เทียมและน้ำตาล จึงเป็นการเพิ่มไขมันและกลูโคส (เซลล์มะเร็งชอบ) เลือกยี่ห้อที่มีไขมันและน้ำตาลน้อยๆ หน่อย
ก็แล้วกันมีจำหน่ายตามร้านอาหารสุขภาพและในห้างสรรพสินค้า

ให้ทานน้ำปั่น(น้ำเอนไซม์) ซึ่งประกอบด้วยแอบเปิ้ลเขียว, ฝรั่งปลอดสารพิษ, ข้าวโพดหวานดิบ, ใบแป๊ะตำปึง


(ชาขนไก่ทองคำ), หว่านง้อก(ว่านพญาวานร), หญ้าปักกิ่ง, มะระขี้นก, ใบบัวบก, ใบยอ, ใบย่านาง ผลไม้ตาม
ฤดูกาลเพื่อแต่งรส เช่น ชมพู่, มะเฟือง, ทับทิม, สาลี่, ส้มโอ ไม่ต้องครบทุกอย่างก็ได้ หาอะไรได้ก็โอเค ปั่นแยก
กากเสร็จแล้วให้ทานทันที (เครื่องปั่นหรือเครื่องแยกกากควรเป็นเครื่องที่มีแรงม้าสูงแต่ความเร็วต่ำ high power
- low speed) หากทิ้งไว้เอนไซม์จะเสื่อมสลาย จะเพิ่มภูมิคุ้มกัน มีฤทธิ์ต้านทานมะเร็ง สุขภาพแข็งแรง (Healthy)
หน้าตาจะสดใสมีน้ำมีนวลทานตอนเช้าทุกๆวัน หากขยันก็คั้นทานทุกเช้า เย็น
ให้ทานผลไม้เหล่านี้บ่อยๆ เช่น มะเขือเทศ, กระเทียมและหัวหอม, สาหร่ายทะเล เห็ดหอม ปลาและเต้าหู้
เป็นประจำ

ในมะเขือเทศมีสารไลโคปีน(Lycopene) ซึ่งมีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ พบว่า มะเขือเทศมีฤทธิในการ


ชะลอการกระจายตัวของมะเร็งต่อมลูกหมาก

กระเทียม/หัวหอม จะให้สารประกอบแอลเลียม (allium) และไดอริลซัลไฟด์ (diarylsulfide) ซึ่งจะไปเพิ่ม


ปริมาณเอ็นไซม์กลูต้าไทโอนเอสทรานเฟอเรส (glutathione-s-transferase) ซึ่งมีหน้าที่ในการกำจัด
ทำลายสารพิษในร่างกาย

ในสาหร่ายทะเล เห็ดหอม เนื้อปลา และในเต้าหู้ จะพบ (selenium) สูง ซึ่งซีลีเนียมนี้จะช่วยป้องกันการเกิด


มะเร็งต่อมลูกหมาก

หากจะทานเนื้อปิ้งย่างบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อหายอยาก ให้รับประทานผักชีฝรั่งร่วมด้วย เนื่องด้วยในผักชีฝรั่ง


มีสารมัยรีสทิซิน (myristicin) ซึ่งจะไปยับยั้งการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารเบนโซไพริน (benzopyrine)
ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ PAH(Polycyclic aromatic hydrocarbon) ซึ่งเกิดจากการสันดาปไม่สมบูรณ์ของการ
ปิ้งย่างรมควันเนื้อสัตว์

บททั่วไป

ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า มะเร็งเกิดจากอาหารการกินที่ไม่ถูกต้อง มีรายงานว่ากลุ่มคนที่ถือนิกาย


เซเว่นเดย์ แอ็ดเวนทิส (Seven-Day Adventist) ซึ่งบริโภคอาหารมังสวิรัติ ดื่มนม และกินไข่ ไม่สูบบุหรี่
ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ในสหรัฐอเมริกามีอัตราการเป็นมะเร็งทุกชนิดต่ำที่สุด และอีกกลุ่มหนึ่งคือมอร์มอน
(Mormon) นิยมทานผักผลไม้ และนิยมสะสมอาหารไว้กินโดยใช้เทคโนโลยีพื้นบ้าน ไม่ทานอาหารกระป๋อง
ที่วางขายทั่วไป ทานเนื้อสัตว์บ้าง ไม่ดื่ม ชา กาแฟ ของมึนเมาทุกชนิด ไม่นิยมเที่ยวสถานเริงรมย์ พบว่า
กลุ่มคนพวกนี้ในอเมริกามีอัตราเป็นมะเร็งทุกชนิดต่ำพอๆกับกลุ่มชนเซเว่นเดย์ แอ็ดเวนทิส (Seven-Day
Adventist)

มีการศึกษาถึงพฤติกรรมการบริโภคอาหารกับการเกิดมะเร็งของชาวญี่ปุ่น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นชาวญี่ปุ่นที่


อาศัยอยู่ในญี่ปุ่น และกลุ่มที่ 2 เป็นชาวญี่ปุ่นที่อพยพไปอาศัยอยู่ในอเมริกาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
นับเวลาจนถึงปัจจุบันก็สืบทอดมาแล้ว 2-3 รุ่น พบว่ากลุ่มแรกทานข้าว ธัญพืช ทานเนื้อสัตว์น้อย กลุ่มที่
สองทานธัญพืชในรูปของแป้งทำเป็นขนมปังซึ่งไม่มีกากใย นิยมบริโภค อาหารไขมันสูง เนื้อ นม และไข่ พบว่า
กลุ่มแรกเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารสูงกว่ามะเร็งลำไส้ แต่กลุ่มที่2 ที่อพยพไปอเมริกาวัฒนธรรมการบริโภค
เหมือนคนอเมริกัน เป็นมะเร็งลำไส้สูงในอัตราเดียวกับคนอเมริกัน และการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารลดลง

ดังนั้นหากต้องการลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งลำไส้ให้ทานอาหารที่มีกากใยสูงมีไขมันน้อย มีโปรตีนต่ำ และ


หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงจากสารก่อมะเร็ง (Carcinogens) ทุกชนิด
หากไม่ต้องการเป็นมะเร็ง ควรปฏิบัติตาม 7 อ. (อ้างอิง 6) ได้แก่

อาหาร อาหารที่ถูกสุขลักษณะ ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม อย่าบริโภคโปรตีนและไขมันมากเกินไป และต้องปราศจาก


สารก่อมะเร็ง

อากาศ อากาศบริสุทธิที่มีโอโซน(O3) สูง เซลล์มะเร็งไม่สามารถอยู่ได้ในสภาวะแวดล้อมที่มีออกซิเจน (Oxygenated


Environment) ดังนั้นการสูดหายใจลึกๆ (deep breathing) เอาออกซิเจนเข้าปอดเต็มที่ก็เป็นการทำลายเซลล์มะเร็ง

อารมณ์ ต้องไม่เครียด ทำตัวสบายๆคิดกุศล เปลี่ยนบุคลิกจาก Type-A เป็น Type-Z (จากคนที่กระตือรือร้นคล่อง


แคล่วว่องไว เป็นคนที่นิ่งมากขึ้น)

ออกกำลัง อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก ทำยืดเส้นยืดสาย(stretching


exercises) พร้อมสูดลมปราณเอาออกซิเจนเข้าปอดเยอะๆ

เอนกาย ให้หลับพักผ่อนตอนบ่ายๆสัก1-2 ชม.ทุกวัน

อริยะสัตย์ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ปล่อยวาง ทำสมาธิ อย่าคิดอกุศล การทำสมาธิร่างกายจะหลั่งสารบีต้า เอ็นดอร์ฟีน
(beta – Endorphin) (ทำให้เคลิบเคลิ้มเป็นสุข) และ Growth hormones ฮอร์โมนเริ่งการเจริญเติบโตซึ่งจะไปเสริมสร้าง
เซลล์ที่สึกหรอ

เอาพิษออก (Detoxification) ดีท๊อกซ์ด้วยชาคาโมมายล์ (Camomile) หรือกาแฟสำหรับดีท๊อกซ์ ครั้งละประมาณ


500 ซีซี ให้ศึกษาให้ดีก่อนทำ ดีท๊อกซ์

อาหารที่เรารับประทานในโลกนี้มี 6 แบบ คือ

อาหารทั่วไป

อาหารมังสวิรัติ (Vegetarians) ทานผัก นม ไข่

อาหารเจ ทานเฉพาะผักที่ไม่มีกลิ่นฉุน และไม่ทานไข่

อาหารชีวจิต เน้นการบริโภคผักและเฉพาะเนื้อปลา ไม่ทานเนื้อสัตว์อื่น

อาหารแมคโครไบโอติก(macrobiotics) คล้ายแบบที่ 4 แต่ทานเนื้อสัตว์บ้าง

อาหารสูตรเกอร์สัน (อ้างอิง1)

5 แบบแรกจะไม่เอ่ยถึง จะขยายความเฉพาะแบบที่ 6
ผมได้รับการถ่ายทอดความรู้ของการทานอาหารแบบเกอร์สันนี้เป็นครั้งแรกจากนพ.สำราญ อาบสุวรรณ แพทย์มช. รุ่น 11
ซึ่งแตกฉานในด้านนี้ เพราะท่านได้ใช้สูตรเกอร์สันนี้รักษาตัวของท่านเองจากอาการป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย มะเร็ง
ได้เข้ากระดูกแล้วจนหายขาด ปัจจุบันท่านก็ยังทานอาหารสูตรเกอร์สันนี้อยู่

Dr. Max Gerson, MD นพ. แม็กซ์ เกอร์สัน เป็นแพทย์ชาวยิว จบแพทย์จากเยอรมนี และได้ลี้ภัยไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ท่าน
ได้คิดสูตรอาหารรักษามะเร็งเป็นคนแรกในโลก ต่อมาก็มีคนลอกเลียนแบบนำไปเปิดศูนย์บำบัดแพร่หลายอย่างกว้างขวาง
ในเมืองไทยก็มีอยู่ 2-3 ศูนย์
หลักการบริโภคของหมอเกอร์สัน คือ ต้องการให้เซลล์มะเร็งอดอาหารตาย(starvation) โดยให้ผู้ป่วยมะเร็งทาน
แต่ผักและผลไม้ ห้ามเนื้อทุกชนิดแม้กระทั่งเนื้อปลา ห้ามทานไขมัน น้ำตาล เกลือโซเดียม (ทานเกลือโพแตสเซียม)
ห้ามอาหารแปรรูปซับซ้อนทุกชนิด (งดอาหารกระป๋องทุกรูปแบบ) ไม่ให้ทานถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองทุกชนิด
นม เนยไข่ ทานไม่ได้ นั่นคือตัดโปรตีนและน้ำตาล ไขมันและสารเคมีทุกชนิดเข้าสู่ร่างกาย ห้ามแม้กระทั่งการใช้ยาสีฟัน ร่างกาย
จะรับโปรตีนได้ไม่เกินวันละ 35 กรัม เป็นโปรตีนจากข้าวกล้อง และพืชผัก เช่น wheat grass (นำเมล็ดข้าวบาร์เล่ย์มา
แช่น้ำให้งอกเป็นbudding) แล้วนำไปเพาะบนถาด เมื่อต้นโตประมาณสองคืบก็ตัดมาคั้นน้ำดื่ม จะมีโปรตีนประมาณ 15%)
ข้าวกล้อง 1 ทัพพี จะให้โปรตีนประมาณ 7-8 กรัม ปัจจุบันมีข้าวกล้องดำผลิตโดยคณะเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลับเชียงใหม่
ให้โปรตีนสูงประมาณ 12-13 กรัมต่อทัพพี (สามารถซื้อได้ที่ศูนย์วิจัยเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรคณะเกษตรมหาวิทยาลัย
เชียงใหม่)

อาหารสูตร Dr. Gerson นี้ไม่ให้รับประทานไขมันทุกชนิด ดังนั้นจึงห้ามทานน้ำมันพืชทุกชนิด ที่ใช้ในการผัดปรุงอาหาร


ดังนั้นจึงมีการใช้ “น้ำโพแตส” แทนน้ำมันพืช

บอกตรงๆ ว่าอาหารสูตรนี้โหดสุดๆ ผมรับประทานอาหารสูตร Dr. Gerson นี้ได้ 3 เดือน เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานและขจัด


เซลล์มะเร็ง ผมรับประทานอาหารสูตรนี้ช่วงก่อนและเริ่มต้นรับเคมีบำบัด ซึ่งแพทย์ที่รักษาผมก็ห้ามผมแล้ว และให้ผม
กินอาหารครบห้าหมู่ แต่ผมไม่เชื่อฟัง ขออนุญาตหมอทดลองและบอกหมอว่าถ้าไม่ไหวค่อยทานแบบคุณหมอบอก หลังจาก
รับเคมีบำบัดไป 5 ครั้ง ปรากฏว่าผมก็นอนแซ่วหมดแรง ผมทราบโดยทันทีว่า สุขภาพเราแย่แล้ว ขาดสารอาหาร
ขาดโปรตีน กลัวว่าจะไม่สามารถรับเคมีบำบัดต่อได้ จึงบอกภรรยาช่วยทำข้าวต้มปลาให้ทาน (โดยยังไม่ทานโปรตีนจากเนื้อ
สัตว์อื่น) ผมทานข้าวต้มปลาทุกมื้ออยู่ 2 วัน เริ่มฟื้นมีแรง บอกภรรยาว่าสามารถไปรับเคมีบำบัดได้แล้วแน่ๆ เมื่อครบ
กำหนดนัดของหมอผู้รักษาผมก็สามารถรับเคมีบำบัดได้จนครบคอร์สที่หมอได้กำหนดไว้ และมีการเจาะเลือดวัดดูค่า CEA
(Colo Embryonic Antigen) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดผลการรักษามะเร็งลำไส้ คิดในใจว่าถ้าทานเนื้อปลาแล้วค่าCEAสูงขึ้นจะต้อง
รีบหยุดทานและกลับมาทานอาหารสูตร Dr. Gerson ใหม่ แต่ผลแล็บปรากฏออกมาว่า ค่า CEA ลดลงอย่างต่อเนื่อง แสดง
ว่าผมตอบสนองต่อยาเคมีบำบัดและโปรตีนจากเนื้อปลาไม่มีผลเสียต่อการรักษา

ผมเปลี่ยนการรับประทานอาหารจากแบบ Dr. Gerson มาเป็นแบบชีวจิต ผมทานอาหารชีวจิตอยู่ประมาณ 1 ปี หลังจากนั้น


จึงเริ่มทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ แต่หลีกเลี่ยงปัจจัยเลี่ยงจาก carcinogens ทั้งหมด

ปัจจุบันผมทานอาหารแบบที่1 (ทั่วไป) แต่หลีกเลี่ยงสารก่อมะเร็งต่างๆ ไม่บริโภคในสิ่งที่ห้ามกินและหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆ ดังที่


กล่าวไว้ข้างต้น

บทสรุป

ควรบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม ให้เน้นการรับประทานผักผลไม้ ธัญพืชที่ให้ “กากใยอาหาร”


บริโภคเนื้อสัตว์ให้น้อย ทานนม ไข่บ้างเพื่อเป็นแหล่ง

ทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอลล์ ดำรงวิถีชีวิตให้ใกล้ธรรมชาติมากที่สุด หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป


อาหารที่มีไขมันสูง และอาหารหวานจัด อย่าทานอาหารรสจัดเกินไป อย่าทานอิ่มเกินไป อย่าให้สารเคมีเข้าสู่ร่างกาย
และหลีกเลี่ยงสารก่อมะเร็ง ให้พักผ่อนพอควร ไม่เครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และเน้นสูดออกซิเจนเข้าปอดลึกๆ
แล้วพ่นลมหายใจออกทางปาก ทำอย่างน้อย 200 ครั้งต่อวัน หลีกเลี่ยงตัวเองจากสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ สรรหาสถานที่
ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ปล่อยวางแล้วทำสมาธิ

แค่นี้แหละคุณก็จะห่างไกลจากโรคมะเร็ง หรือหากคุณเป็นมะเร็งคุณภาพชีวิตของคุณก็จะดีขึ้น (maximize your quality of life)


ภาคผนวก

สูตรน้ำโปรแตส

1. หอมหัวใหญ่ 1/2 ก.ก. 5. กะหล่ำปลี (ปลอดสารพิษ) 1/2 ก.ก.


2. แครอท 1/2 ก.ก. 6. หัวไชเท้า (ปลอดสารพิษ) 1/2 ก.ก.
3. มันฝรั่ง 1/2 ก.ก. 7. ข้าวโพดหวานฝัก 1/2 ก.ก.
4.มะเขือเทศ 1/2 ก.ก. 8. น้ำสะอาด 20 ลิตร

วิธีทำ
1. ต้มน้ำให้เดือด ใส่รายการที่ 1-7
2. ต้มให้เดือดต่ออีกประมาณ 15 นาที
3. ตุ๋นต่อด้วยไฟกลางอีก 2 ชั่วโมง
4. ทิ้งให้เย็น กรองเอาแต่น้ำใส่ถุงหรือกล่องพลาสติกชนิดใส่อาหาร (food grade) เก็บไว้ในช่องแช่แข็ง นำมาใช้
เมื่อต้องการปรุงอาหาร

เอกสารอ้างอิง

1. The Gerson Therapy “The Amazing Nutritional Program for Cancer and Other illness” by Charlotte
Gerson and Morton Walker, Twin streams, 2001

2. อาจารย์ ไพโรจน์ พิมพ์ศิริกุล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โครงการ “การสะสมไนเตรท


ในผักที่ปลูกโดยไม่ใช้ดิน และผักอนามัย ในช่วงฤดูกาลต่างๆ และวิธีการลดปริมาณไนเตรทในผัก”
ชุดโครงการวิจัยดินและปุ๋ยพืชสวน สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) มกราคม 2551.

3. Cancer J clin. 2006; 56:323-353.

4. Search Medscape ,MEDLINE and Drug Reference

5. http:/member.thai.net/cancertherapy/superthaiveg.htm

6. มะเร็ง ทำอย่างไรไม่เป็นมะเร็ง เป็นมะเร็งทำอย่างไร? มะเร็งจะหายภายใน 2 เดือน


เรียบเรียงโดย นายสุวัฒน์ สินสุวงศ์ ภบ.บว.

You might also like