Professional Documents
Culture Documents
แผนการศึกษาปี 4 PDF
แผนการศึกษาปี 4 PDF
บิ ด
าธ
าม
ลร
แผนการศึกษา
า บา
พย
สาหรับนักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
์ โรง
ตร
1
ตารางแผนการสอนเรียงตามตารางสอน (นศพ.)
ี
บิ ด
6. Diseases of esophagus อ.สุริยะ, อ.วีรพัฒน์
7. Surgical bleeding and hypovolemic อ.คณิต, อ.จักรพันธ์
าธ
8. GI bleeding อ.ภาณุวัฒน์, อ.วีรพัฒน์
าม
9. Colorectal อ.คณิต, อ.จักรพันธ์
ลร
10. Vascular diseases อ.ปิยนุช, อ.วิวัฒน์
11. Stomach diseases อ.ปรีดา, อ.จักรพันธ์
12.
13.
Minimal invasive surgery
Jaundice บา
อ.ธีรพล
า
อ.สิโรจน์, อ.อาภัสนี, อ.ราเมศร์
พย
14. Pancreatic disease อ.ภาณุวัฒน์, อ.จุมพล
์ โรง
2
33. Ped : intest obstruction 2 อ.สาธิต
34. Ped : intest obstruction 3 อ.สุเมธ
35. Ped : abdominal wall defects อ.ศนิ
36. Urinary tract infection อ.วิทย์
37. Acid/base disorder อ.รณรัฐ
38. Ped : acute abdomen อ.วิชัย พ.
39. Ped : diaphragmatic hernia & GER อ.วิชัย พ.
40. Facial injury อ.สุรเวช
ี
บิ ด
41. Ped : ambulatory surg. Problems อ.ศนิ
42. Burns อ.สุรเวช
าธ
43. Principles of trauma management อ.สุรศักดิ์
าม
44. Thyroid อ.ธีรพล,อ.บุญส่ง
45. Soft tissue infection อ.รณรัฐ, อ.อัษฎา
ลร
46. Organ transplantation อ.โสภณ
47.
48.
Surgical oncology
Difficulty in urination and retention บา
อ.วีรพัฒน์
า
อ.วิทย์,อ.กฤษฎา
พย
49. Skin & soft tissue mass อ.เฉลิมพงษ์
50. Intraoral lesions อ.วิชัย ศ.
์ โรง
3
1. Body response to injuries
สาหรับ : นักศึกษาแพทย์ ปี 4
ระยะเวลา : 1 ชม.
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน : Core Lecture
าธ
าม
ความรู้พื้นฐาน : 1. Neuroendocrine physiology (ปี 2 และปี 3)
2. Elementary biochemistry and metabolism (ปี 1 และปี 2)
ลร
3. Elementary cellular physiology (ปี 1 และปี 2)
4. ความรู้ทางคลินิกเรื่อง Hypovolemia (ดูในแผนการศึกษาหัวข้อ “Gastrointestinal
tract hemorrhage”)
า บา
พย
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้นักศึกษาสามารถ
1. บรรยายถึงความคิดรวบยอดของ Metabolic response
์ โรง
- Intermediary metabolism
าส
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ :
1. ก่อนเข้าห้องเรียน
1.1 นักศึกษาอ่านเอกสารประกอบคาสอนเรื่อง “An introduction to metabolic response to
ศลั
2. ในชั้นเรียน
ภา
4
สื่อการสอน :
1. เครื่องฉาย Slide หรือ
2. เครือ่ ง computer (Powerpoint presentation) และ LCD projector
แหล่งเรียนรู้ :
1. เอกสารประกอบการบรรยายเรื่อง “An introduction to metabolic response to injury and sepsis”
2. บทความ “ภาวะตอบสนองของร่างกายต่อสิ่งกระตุ้นภายในและภายนอกร่างกาย” โดย อ.นพ.ธีรพล
อังกูลภักดีกุล ในตาราศัลยศาสตร์รามาธิบดี เล่ม 2 ผศ.นพ.สาวิตร โฆษิตชัยวัฒน์ บรรณาธิการ. เรือน
แก้วการพิมพ์, กรุงเทพฯ 2544 หน้า 110 – 122
ี
บิ ด
3. บทความทุกเรื่องในวารสาร World Journal of Surgery เล่มที่ 24 ฉบับที่ 6 ปี ค.ศ. 2000 โดยเฉพาะ
หน้า 624 – 647; 655 – 663; 705 – 711
าธ
4. บทความที่แนะนาในเอกสารบรรยายในข้อ 1
าม
การประเมินผล :
ลร
1. จากการซักถามและการตอบในห้องเรียน
2. การสอบ MCQ เมื่อจบ rotation
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
5
2. Wound Healing
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 50 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar Core based lecture
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. Process and mechanism of wound healing
2. Phase of wound healing
ลร
3. Wound contracture
- Epithelization
4. Types of wound closure
5. Cytokines and wound Healing า บา
พย
6. Drug and nutrient aspect of wound healing
7. Chonic wound (unhealed wound)
์ โรง
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
คว
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
ภา
6
2.4 Cytokine in wound Healing 5 นาที
2.5 Nutrition in wound healing 5 นาที
2.6 Drug in wound healing
2.7 Chronic wound 5 นาที
2.8 Hypertrophic scar + keloid
2.9 Wound Dressing 5 นาที
2.10 Method of wound closure 5 นาที
2.11 สรุปการเรียนรู้ 5 นาที
2.12 ให้นักศึกษาซักถาม นาที
รวม 50 นาที
ี
บิ ด
สื่อการสอน
- Computer Notebook
าธ
- เครื่อง Projector LCD ต่อกับ Computer
าม
- โปรแกรม Power Point
ลร
แหล่งเรียนรู้
- เอกสารประกอบการเรียนรู้ เรื่อง “Wound Healing ” โดย นายแพทย์อัจฉริย สาโรวาท
- Schwartz’s principle of surgery
- Sabiston’s textbook of surgery า บา
พย
- Grabb and smith’s plastic surgery
์ โรง
การประเมินผล
1. การซักถามนักศึกษาในห้องตรวจผู้ป่วยนอก ตึกผู้ป่วยใน
2. การสอบลงกอง :-
ตร
2.1 MCQ
าส
3.1 MCQ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
7
3. Fluid and Blood component Therapy
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4
ระยะเวลา 90 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. นิยามของ Fluid ชนิดต่างๆในร่างกาย ได้แก่ Extracellular Fluid, Intracellular Fluid, Interstitial Fluid
2. Blood component ชนิดต่างๆ
ลร
3. Parenteral Solution ชนิดต่างๆ
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
1. สามารถบอก Anatomy of body fluid า บา
พย
2. สามารถบอก Normal exchange of fluid and electrolyte
3. สามารถจาแนกชนิดของ fluid change ได้เป็น volume change, concentration change composition
์ โรง
change
4. สามารถบอกชนิดของ parenteral solution ได้
5. สามารถบอกหลักการของการให้ fluid ในระยะต่างๆของการผ่าตัดได้ ( Preoperative Fluid Therapy,
ตร
การจัดประสบการการเรียนรู้
ชิ า
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 นักศึกษาทบทวนชนิดของ Fluid ต่างๆในร่างกาย Blood Component และ parenteral solution
คว
2. ในชั้นเรียน
2.1 นาเข้าสู่บทเรียน 1 นาที
2.2 Fluid Therapy 40 นาที
2.3 Blood Therapy 40 นาที
2.4 สรุปบทเรียนการเรียนรู้ 5 นาที
2.4 ให้นักศึกษาซักถามและแจ้งให้เรียนรูด้ ้วยตนเองในวัตถุประสงค์ที่ไม่ได้สอน 4 นาที
รวมเวลา 90 นาที
8
3. หลังชั้นเรียน
ศึกษาเอกสารเพิ่มเติม
สื่อการสอน
1. เครื่องฉายภาพจากคอมพิวเตอร์ (Projector)
2. คอมพิวเตอร์
แหล่งเรียนรู้
1. เอกสารประกอบการเรียนรู้ เรือ่ ง “Fluid and blood component Therapy”
2. ตาราเรื่อง Principle of Surgery, Schwartz 7th edition Vol. 1
ี
บิ ด
3. ตาราเรื่อง Sabistan Textbook of Surgery 16th edition, Beaudramp evens Mattox
4. ตาราเรื่อง Surgery Scientific Principles and practice 13th edition Greenfield
าธ
าม
การประเมินผล
1. การซักถาม และตอบในชั้นเรียน
ลร
2. การสอบลงกอง MCQ
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
9
4. Pre and Post Operative Care
เรื่อง : Pre and Post Operative Care
สาหรับ : นักศึกษาแพทย์ปี 4
ระยะเวลา : 1 ชั่วโมง 30 นาที
ี
บิ ด
ความรู้พื้นฐาน
าธ
1. สรีรวิทยาของระบบต่างๆของร่างกาย
2. พยาธิสรีรวิทยาและการดาเนินโรคของโรครักษาทางศัลยกรรม
าม
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ :
ลร
เมื่อผ่านการเรียนรูน้ ักศึกษาสามารถ
บา
1. อธิบายคาจากัดความของ Perioperative period
2. อธิบายหลักการประเมินความเสี่ยงและการตัดสินใจรักษาด้วยการผ่าตัด
า
3. อธิบายหลักการประเมินผู้ป่วยก่อนผ่าตัด ตามระบบต่างๆ
พย
4. อธิบายหลักการดูแลผู้ป่วยในช่วง Perioperative period
5. อธิบายการป้องกันการติดเชื้อและการเกิด Thromhoembolism หลังผ่าตัด
์ โรง
6. อธิบายการวินิจฉัยและการรักษาภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดที่พบบ่อย
ตร
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียนให้นักศึกษา
าส
สื่อการสอน :
ชิ า
1. เครื่องฉายภาพจากคอมพิวเตอร์
2. เครื่องคอมพิวเตอร์
คว
10
5. Acute abdomen
เรื่อง : Acute Abdomen
สาหรับ : นักศึกษาแพทย์ ปี 4
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Case Acute Abdomen
าธ
วัตถุประสงค์
าม
1. ให้คานิยามและเข้าใจความหมายของภาวะ Acute Abdomen
2. สามารถบอกแนวทางในการวินิจฉัย ผู้ป่วย Acute Abdomen
ลร
3. สามารถ Approach ผู้ป่วย Acute abdomen โดย แยกภาวะ Surgical และ Medical Condition ได้
ความรู้พื้นฐาน
1. กายวิภาคของอวัยวะในช่องท้อง า บา
พย
2. Anatomy และ physiology ของ Pain ชนิด ต่างๆ เช่น Somatic, Visceral, refer pain
์ โรง
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าเรียน
- ทบทวนภายวิภาค
ตร
2. ในชั้นเรียน
าส
- ยกตัวอย่างประวัติผู้ป่วยที่มาด้วยเรื่องปวดท้องเฉียบพลัน
- ถามนักศึกษาถึงประวัตผิ ู้ป่วยทีต่ อ้ งการเพิ่มเติม
- สรุปประวัติผปู้ ่วย
ศลั
- สามารถศึกษาถึง การตรวจร่างกายเพิ่มเติม
- สรุปการตรวจร่างกายและ Pertinent Finding ที่สัมพันธ์กับประวัติ
- ระดมความคิดในแง่ของการวินจิ ฉัย และการวินิจฉัยแยกโรค
- อธิบาย Specific ในแง่ของ
: Steroid effect ใน Acute Abdomen
: Medical disease ใน Acute Abdomen เช่น Heart, pneumonia, nephritis, cirrhosis, T.B.
- แนวทางและการแปรผลของการตรวจทางห้องปฏิบตั ิการที่ว่าเป็นในการวินิจฉัยและวินจิ ฉัยแยก
โรค เช่น CBC, UA
- การตรวจทาง X-ray : Plain Abdomen U/S, Ct Scan
11
- Invasive procedure เช่น Abdominal paracenthesis, laparoscopy
- สรุป General aspects ใน specific diseases : MED, Sv, X-ray
- Acute appendicitis
- Acute cholecystitis, acute cholangitis
- PO perforation
- Acute pancreatitis
- Gut obstruction
- Gynecolotic condition
สื่อการสอน
ี
บิ ด
1. Power point presentation
2. เครื่องฉายภาพ ข้ามศรีษะ
าธ
3. X-ray
าม
แหล่งเรียนรู้
ลร
1. ตาราเรื่อง Principle of Surgery, Schwartz 7th edition
2. ตาราเรื่อง Sabistan Textbook of Surgery 16th edition
การประเมินผล า บา
พย
1. จากการซักถามและตอบในชั้นเรียน
2. การสอบลงกอง
์ โรง
- MCQ
- OSCE
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
12
6. Surgery of the Esophagus
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 3 ชั่วโมง
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Seminar
าธ
าม
ความรู้พื้นฐาน
1. กายวิภาคของหลอดอาหาร
ลร
2. สรีรวิทยาของหลอดอาหาร
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
บา
1. ระบุอาการและอาการแสดงทีพ่ บบ่อยของ Esophageal disease ดังนี้
า
พย
1.1 Dysphagia
1.2 Odenophagia
์ โรง
2.2.1 Achalasia
2.2.2 Zenker’s diverticulum
ยศ
2.4.1 Leiomyoma
ชิ า
13
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 นักศึกษาทบทวนความรู้ทางกายวิภาคและสรีรวิทยาของหลอดอาหาร
1.2 ศึกษาเอกสารประกอบการเรียนรู้ล่วงหน้า
2. ในชั้นเรียน นาที
2.1 นาเข้าสู่บทเรียน 5
2.2 ทบทวนความรู้ทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน 10
2.3 อธิบายอาการและอาการแสดงของ Esophageal disease 15
2.4 อธิบาย Esophageal disease ที่พบบ่อยตามโรคในแง่การวินิจฉัย 30
ี
บิ ด
การวินิจฉัยแยกโรค การตรวจทางห้องปฏิบตั ิการ การตรวจทางรังสี
2.5 อธิบายหลักการรักษา Esophageal disease ที่พบบ่อย 30
าธ
รวม 90 นาที
าม
สื่อการสอน
ลร
1. เครื่องฉายวีดที ัศน์
2. เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ
3. คอมพิวเตอร์
า บา
พย
แหล่งเรียนรู้
1. เอกสารประกอบการเรียนรูเ้ รื่อง Surgical Infection โดย อาจารย์นายแพทย์วีรพัฒน์ สุวรรณธรรมา
์ โรง
2. Peters JH, DeMeester TR. Esophageal and Diaphragmatic Hernia. In: Schwartz SI, Shires GT,
Spencer FC, Daly JM, Fischer JE, Galloway AC. Principle of Surgery. Seventh edition. Vol 1
:McGraw-Hill: 1999:1081-1179.
ตร
าส
การประเมินผล
1. จากการซักถามและการตอบในชั้นเรียน
ยศ
2. การสอบลงกอง
2.1 MCQ
2.2 Short answer
ศลั
3. การสอบรวบยอด
ชิ า
3.1 MCQ
คว
ภา
14
7. Surgical Bleeding
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 1 ชั่วโมง
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. สรีรวิทยาการแข็งตัวของเลือดและการละลายลิ่มเลือด
2. พยาธิสรีรวิทยาของภาวะ shock
ลร
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายกลไกของ normal hemostasis และ fibronolysis ได้
บา
2. บอกสาเหตุที่พบบ่อยที่ทาให้เกิดปัญหา Surgical bleeding ได้
า
พย
3. อธิบายหลักการวินิจฉัย Surgical bleeding ได้
4. อธิบายหลักการรักษา Surgical bleeding ได้
์ โรง
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 นักศึกษาทบทวนกลไกการแข็งตัวของเลือดและการละลายลิ่มเลือดทีเ่ คยเรียนมา
ศลั
1.3 ศึกษาเอกสารประกอบการเรียนรู้ล่วงหน้ามาก่อน
2. ในชั้นเรียน
คว
15
สื่อการสอน
1. Computer powerpoint
2. LCD Projector
แหล่งเรียนรู้
1. เอกสารคาสอนเรื่อง surgical bleeding และ management of hemorrhagic shock
2. Text book – Principle of surgery
การประเมินผล
ี
บิ ด
1. การซักถาม - ตอบในชั้นเรียน
2. การสอบลงกอง MCQ
าธ
าม
ลร
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
16
8. Gastrointestinal bleeding (GI bleeding)
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 3 ชั่วโมง
ี
บิ ด
อาจารย์นายแพทย์วีรพัฒน์ สุวรรณธรรมา
กิจกรรมการเรียนการสอน Core-based lecture
าธ
าม
ความรู้พื้นฐาน
1. กายวิภาคของระบบทางเดินอาหาร
ลร
2. พยาธิสรีรวิทยาของการเสียเลือดในระดับต่าง ๆ
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
เมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 า บา
พย
1. สามารถระบุถึงหลักการวินิจฉัย
1.1 ว่ามี/ไม่มี GI bleeding ได้
์ โรง
1.2 แยกภาวะ GI bleeding ได้ว่าเป็น UGI bleeding หรือ LGI bleeding โดยข้อมูลทางคลินิกและ
การวินิจฉัยเพิ่มเติม
1.3 ว่าภาวะ GI bleeding ที่มีอยู่นั้น Active หรือไม่
ตร
2.1.1 Esophagus
2.1.1.1 Mallory-Weiss tear
2.1.1.2 Esophagitis
ศลั
2.1.2 Stomach
2.1.2.1 Gastric ulcer
คว
2.1.2.2 Gastritis
ภา
17
2.2 LGI bleeding
2.2.1 Small bowel
2.2.1.1 Meckel ‘s diverticulum
2.2.1.2 Angioma, angiodysplasia
2.2.1.3 Tumor (benign, malignant)
2.2.1.4 Small bowel diverticulum
2.2.2 Large bowel
2.2.2.1 Infectious colitis
2.2.2.2 Inflammatory bowel disease
2.2.2.3 Tumor (benign, malignant)
ี
บิ ด
2.2.2.4 Angiodysplasia
2.2.2.5 Colonic diverticulosis
าธ
2.2.3 Ano-rectal
าม
2.2.3.1 Hemorrhoids
2.2.3.2 Anal fissure
ลร
2.2.3.3 Radiation proctitis
2.2.3.4 Tumor (benign, malignant)
3. บา
2.2.3.5 Solitary rectal ulcer syndrome
รู้และสามารถเลือกส่งตรวจเพิ่มเติม และแปลผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและทางรังสีได้อย่าง
า
พย
ถูกต้องเหมาะสมตามภาวะของ GI bleeding
3.1 UGI bleeding
์ โรง
3.1.1 Esophagogastroduodenoscopy
3.1.2 Angiography
3.1.3 Radionuclide scanning
ตร
3.2.1 Colonoscopy
3.2.2 Radionuclide scanning
ยศ
3.2.3 Angiographt
3.2.4 Sigmoidoscope
3.2.5 Proctoscopy
ศลั
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน ให้นักศึกษาชั้นปีที่ 4
1.1 ทบทวนความรู้ทางกายวิภาคของระบบทางเดินอาหารและพยาธิสรีรวิทยาของการเสียเลือด
ในระดับต่าง ๆ
1.2 ศึกษาเอกสารประกอบการเรียนรูล้ ่วงหน้า
18
2. ในชั้นเรียน นาที
2.1 นาเข้าสู่บทเรียน 5
2.2 ทบทวนความรู้ทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานและพยาธิสรีรวิทยาของการเสียเลือด 5
ในระดับต่าง ๆ
2.3 อธิบายการวินิจฉัย GI bleeding 10
2.3.1 การวินิจฉัยว่ามี/ไม่มี GI bleeding
2.3.2 การแยกว่าเป็น UGI/LGI bleeding
2.3.3 การบอกว่ามี active bleeding หรือไม่
2.4 อธิบายขั้นตอนการส่งตรวจเพิ่มเติมต่าง ๆ ทั้งในแง่ของ indication และ 5
contraindication
ี
บิ ด
2.5 อธิบายขั้นตอนการดูแลรักษาเบื้องต้นของผูป้ ่วย GI bleeding 5
2.5.1 Resuscitation
าธ
2.5.2 Preparation for investigation or surgery
าม
2.6 อธิบายภาวะ/โรคที่พบบ่อยใน UGI bleeding และการดูแลรักษาทางอายุรกรรม 30
2.7 อธิบาย indication for surgery และ surgical management ของผู้ป่วย 10
ลร
UGI bleeding
2.8 ทดสอบหลังการสอน UGI bleeding 10
2.9 พักการบรรยาย
บา
2.10 อธิบายภาวะ/โรคที่พบบ่อยใน LGI bleeding และการดูแลรักษาทางอายุรกรรม 30
า 10
พย
2.11 อธิบาย indication for surgery และ surgical management ของผู้ปว่ ย 10
LGI bleeding
์ โรง
สื่อการสอน
1. เครื่องฉายวีดที ัศน์
ยศ
2. เครือ่ งฉายภาพข้ามศีรษะ
3. คอมพิวเตอร์
ศลั
แหล่งเรียนรู้
ชิ า
2. Fischer JE, Nussbaum MS, Chance WT, and Luchette F. Manifestation of Gastrointestinal
ภา
disease. In: Schwartz SI, Shires GT, Spencer FC, Daly JM, Fischer JE, Galloway AC eds. Principles
of Surgery. Seventh edition. Vol 1, McGraw-Hill. 1999: 1061-66
3. Stabile BE, Stamos ML. “Gastrointestinal bleeding”. In Zinner ML, Schwartz SE, Elis H eds.
Maingot’s Abdominal Operations. Tenth edition. Appleton & Lange, Stanford CT, 1997: 289-
313.
4. Geller ER Ed , “Shock and Resuscitation”. McGraw-Hill . New York, 1993.
5. Peitzman AB, Billiar TR, Harbrecht BG, et.al. “Hemorrhagic Shock.” Curr Probl Surg 1995, 32:
927-1004.
19
6. Gupta PK, Fleischer DE, “Nonvariceal upper gastrointestinal bleeding”, and Brewer TG., “Treatment
of acute gastroesophageal variceal hemorrhage” Med Clin North Am 1993;77: 963-1014.
7. DeMarkles MP, Murphy JR. “Acute lower gastrointestinal bleeding”. Med Clin N Am 1993; 77:
1085-1100.
8. The American Society for Gastrointestinal Endoscopy. “An annotated algorithmic approach to acute
lower gastrointestinal bleeding”. Gastrointest Endosc 2001; 53: 859-863.
การประเมินผล
1. จากการซักถามและการตอบในชั้นเรียน
2. การสอบลงกอง
ี
บิ ด
2.1 MCQ
2.2 Short answer
าธ
3. การสอบรวบยอด
าม
3.1 MCQ
3.2 OSCE
ลร
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
20
9. Colorectal (Common anorectal problems)
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ี
บิ ด
ผู้รับผิดชอบ ผศ.คณิต สัมบุณณานนท์ / รศ.จักรพันธ์ เอื้อนรเศรษฐ์
าธ
กิจกรรมการเรียนการสอน Lecture Seminar
าม
ความรู้พื้นฐาน
ลร
1. กายวิภาคของอวัยวะขับถ่าย และลาไส้ใหญ่
2. การตรวจทางทวารหนักที่ถูกวิธี
3. สามารถอธิบายสาเหตุที่ทาให้เกิดปัญหาหรือโรคที่พบบ่อยทางทวารหนัก และลาไส้ตรง
4. ระบุอาการและอาการแสดงของโรคทางทวารหนักและลาไส้ตรงส่วนล่างที่พบบ่อย
5. สามารถวินิจฉัยโรคที่พบบ่อยนี้ได้ถูกต้อง และวินิจฉัยจาแนกโรคเมื่อผู้ป่วยมาตรวจ ได้อย่างมีเหตุผล
ตร
ในกลุ่มอาการดังนี้
าส
7. สามารถอธิบายหลักการการรักษาผู้ป่วยที่มาด้วยปัญหาของทวารหนักและลาไส้ตรงได้
ชิ า
9. ทราบถึงภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดที่อาจจะเกิดขึ้นได้พร้อมทั้งสามารถให้คาแนะนาแก่ผู้ป่วยได้
ภา
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
3. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 นักศึกษาทบทวนการวิภาคของลาไส้ตรงและทวารหนัก วิธีการตรวจเบื้องต้นที่เคยเรียนมา
1.2 ศึกษาเอกสารประกอบการเรียนรู้ล่วงหน้ามาก่อน
4. ในชั้นเรียน
2.1ทบทวนความรู้โครงสร้างทางกายวิภาคของลาไส้ตรงและทวาร
2.5อธิบายถึงวิธีการตรวจร่างกาย โดยเน้นที่การตรวจทางทวารหนักและลาไส้ตรงส่วนล่างเพื่อให้ได้การวินิจฉัย
ในผูป้ ่วยที่มาด้วยกลุ่มอาการต่างๆ
21
2.2แสดงให้เห็นปัญหาที่พบบ่อยทางทวารหนักและลาไส้ตรง
2.4อธิบายถึงกลุ่มอาการต่างๆ ที่ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมาหาแพทย์ได้ พร้อมทั้งฉายรูป Slide แสดงถึงโรคทีเ่ ป็น
common ano-rectal problems เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจมากยิ่งขึน้
2.7การวินิจฉัยโรคที่พบบ่อยทางทวารหนักในคนไทยตามลาดับ
2.7.1Hemorrhoid
2.7.2Anorectal abcess and fistula
2.7.3Anal fissue
2.7.4Neoplastic tumor of anus
2.8อธิบายถึงแนวทางในการรักษาในโรคต่างๆ ที่พบบ่อยทางทวารหนักและลาไส้ตรง พร้อมทั้งการให้
คาแนะนาในการปฏิบัติตัวต่อผูป้ ว่ ยที่ยังเป็นโรคระยะแรกๆ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคดาเนินไป
ี
บิ ด
2.9อธิบายหลักการในการรักษาในแต่ละโรคทางทวารหนักและลาไส้ตรงที่พบบ่อย
2.10 ให้คาแนะนาต่อผูป้ ่วยเพื่อรณรงค์เชิงรุกเพื่อป้องกันการเกิดโรคและให้คาแนะการปฏิบัติตัว การรักษาที่ถูก
าธ
วิธี
าม
2.11 สรุปการเรียนรู้ในครั้งนี้
2.12 เปิดโอกาสให้นักศึกษาซักถามและแจ้งให้นักศึกษาเรียนรูด้ ้วยตนเองเพิ่มเติมในโรคที่พบ
ลร
สื่อการสอน
1. สไลด์
2. เครื่องฉายสไลด์ า บา
พย
3. เลเซอร์พอยด์เตอร์ (Laser Pointer)
์ โรง
แหล่งเรียนรู้
1. เอกสารประกอบการเรียนรู้ โรคที่พบบ่อยทางทวารหนักและลาไส้ใหญ่ ตาราศัลยศาสตร์เล่ม 1
2. Text book – Principle of Surgery – Schwartz edition หน้า
ตร
าส
การประเมินผล
1. การซักถาม – ตอบในชั้นเรียน และที่แผนกตรวจผูป้ ่วยนอกศัลยกรรม
ยศ
22
11. Stomach and Duodenum
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ ปี 4
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. Developmental anatomy ของ Stomach + duodenum
2. Anatomy ของ Stomach & Duodenum
ลร
3. การซักประวัติโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร และ การตรวจร่างกาย Abdomen
วัตถุประสงค์เรียนรู้
เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาแพทย์ สามารถอธิบาย า บา
พย
1. Anatomy ของ
1.1 Stomach
์ โรง
1.2 Duodenum
2. Physiology ของ
2.1 Stomach
ตร
2.2 Duodenum
าส
3.3.2 Obstruction
ชิ า
3.3.3 Perforation
3.4 Role of surgical treatment
คว
4. Neoplasms of stomach
4.1 Benign neoplasms
4.2 Malignant neoplasms
4.2.1 Adenocarcinoma
4.2.1.1 Scope of the problem
4.2.1.2 Classification
1.2.3.1 TNM Classification
4.2.3.1 Japanese classification
4.2.1.3 Management
23
4.2.2 Lymphoma
4.2.3 Gastric stomach tumor
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 นักศึกษาแพทย์ ทบทวน development anatomy ของ Stomach & Duodenum และ หลักการซัก
ประวัติของระบบทางเดินอาหาร และ การตรวจร่างกาย ของ Abdomen
1.2 ศึกษาวัตถุประสงค์การเรียนรู้
1.3 ศึกษาเอกสารประกอบการเรียนรูล้ ่วงหน้า
1.4 นักศึกษาแพทย์ จัดกลุ่ม จัดเตรียมสื่อการสอน ตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ (สาหรับ นักศึกษา
ี
บิ ด
แพทย์)
2. ในชั้นเรียน
าธ
2.1 Introduction โดย อาจารย์ 10 นาที
าม
2.2 นาเสนอเนื้อหาตามวัตถุประสงค์ที่ 1 และ 2 30 นาที
2.3 สรุปบทเรียนการซักถาม โดยอาจารย์ 10 นาที
ลร
2.4 นักศึกษาแพทย์ ทาเสนอเนื้อหาตามวัตถุประสงค์ที่ 3 45 นาที
2.5 สรุปบทเรียน และซักถาม โดยอาจารย์ 10 นาที
2.6 หยุดพัก
2.7 นักศึกษาแพทย์ ทาเสนอเนื้อหา ตามวัตถุประสงค์ 4
า บา 15 นาที
50 นาที
พย
2.8 สรุปบทเรียน และซักถาม โดยอาจารย์ 10 นาที
รวม 180 นาที
์ โรง
สื่อการสอน
1. เครื่องฉายแผ่นใส (สาหรับอาจารย์)
ตร
3. Computer
ยศ
แหล่งเรียนรู้
1. Gastric cancer โดย นพ.จักรพันธ์ เอื้อนรเศรษฐ์ : ศัลยศาสตร์วิวัฒน์ ฉบับที่
2. Principle of Surgery, Schwatz 7th edition 1999
ศลั
การประเมินผล
คว
1. การซักถาม และตอบในชั้นเรียน
ภา
24
12. Principle of Minimally invasive Surgery
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 1 ชั่วโมง
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture
ความรู้พื้นฐาน
าธ
1. -
าม
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถ
ลร
1. อธิบายคาจากัดความของ Minimally invasive Surgery
2. อธิบายถึงข้อดีและข้อเสียของ Minimally invasive Surgery
3. อธิบายส่วนประกอบของ Minimally invasive Surgery ดังนี้
3.1 Equipment า บา
พย
3.1.1 Image Production
3.1.2 Peritoneal access devices
์ โรง
3.1.3 Instromentation
3.2 Gases for Pneumoperitoneum
4. อธิบายและเข้าใจ Physiology of Pneumoperitoneum
ตร
อะไรกันบ้าย
ชิ า
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
5. ก่อนเข้าชั้นเรียน
คว
Surgery
6. ในชั้นเรียน
2.1 อธิบายคานิยามของ Minimally invasive Suegery
2.2 อธิบายข้อดีและข้อเสียของ Minimally invasive Surgery
2.3 ฉาย Slide ให้ดูรูปส่วนประกอบของเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จาเป็นที่ใช้ในการทาผ่าตัดชนิด
นี้ พร้อมกับบรรยายให้นักศึกษาเข้าใจ
2.4 อธิบาย Physiologic responges ของภาวะ Pneumoperitoneum ให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์
25
Vedio ให้นักศึกษาเข้าใจมากยิ่งขึ้น
สื่อการสอน
1. คอมพิวเตอร์ Power point presentation
2. เครื่องฉายภาพจากจอคอมพิวเตอร์
3. Vedio presentation
แหล่งเรียนรู้
1. เอกสารประกอบการเรียนรู้ เรือ่ ง An Introduction of Minimally invasive Surgery
2. Surgery, Basic science and clinical Evidence บทที่ 25 หน้า 429-453 เรื่อง General
ี
บิ ด
Principle of Minimally invasive Surgery
าธ
าม
ลร
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
26
13. Jaundice
สาหรับ : นักศึกษาแพทย์ ปี 4
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Seminar :
าธ
ความรู้พื้นฐาน : - Normal and abnormal metabolism of bilirubin ในแต่ละระดับ
าม
- กายวิภาคของ Hepatobiliary system
ลร
บา
วัตถุประสงค์
ภายหลังจบการเรียนการสอน นักศึกษาแพทย์สามารถ า
พย
1. วินิจฉัยแยกอาการเหลือง (Janundice) เนื่องจากภาวะท่อน้าดีอุดตันจากอาการเหลืองเนื่องจากสาเหตุอื่น
เช่น Hemolysis, carotenemia ด้วยประวัติ การตรวจร่างกาย ได้แก่ อาการเหลืองหรือดีซ่าน, อ่อนเพลีย,
์ โรง
กันตามตัว, น้าหนักลดและการพบก้อนในท้อง
2. ระบุสาเหตุต่างๆ และอธิบายพยาธิกาเนิดของอาการเหลือง (Jaundice) ซึ่งจาแนกได้เป็น 2 ประเภท
ตร
ใหญ่ ๆ คือ
a. Modical jaundice เช่น ตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน (acute viral hepatitis), แพ้ยา เป็น
าส
ต้น
ยศ
ตรวจร่างกาย
4. เลือกส่งตรวจพื้นฐานทางห้องปฏิบตั ิการเพื่อสนับสนุนการวินจิ ฉัยสาเหตุของอาการเหลือง (Jaundice)
คว
เช่น
ภา
27
b. Edoscopic retrograde cholangiopancreatography (ERCP)
c. Computerized tomography (CT scan) upper abdomen
d. Magnetic resonance (MR) of upper abdomen
e. Percutaneous cholangiography (PTC)
f. Magnetic resonance cholangiopancreatography (MRCP)
g. การเจาะเนื้อตับมาพิสูจน์ทางพยาธิวิทยา (liver biopsy)
7. บอกหลักการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเหลือง (Jaundice) โดยเฉพาะภาวะในข้อ 2 ได้ถูกต้อง ทั้ง
a. Medical ได้แก่ การเลือกใช้ยารักษาโดยแพทย์ทั่วไปเพื่อรักษาอาการเหลืองและอาการคัน รวมทัง้
ี
บิ ด
อาการข่างเคียงของยา ยากลุ่มต่างๆ ได้แก่
i. Antihistamine เพื่อรักษาอาการคัน
าธ
ii. Cholestyramine เพื่อจับ bile
าม
iii. Ursodeoxycholic acid เพื่อเพิ่ม bile flow
b. ระบุวิธีการทาง radiologic intervention ในการักษา ได้แก่ PTBD เพื่อ drain bile ทางผิวหนัง
ลร
c. ระบุวิธีการทาง surgery ในการรักษา ได้แก่ การผ่าตัดต่อท่อน้าดีและลาไส้เล็ก
บา
d. Combined (a) – (c)
8. ให้คาแนะนาเกี่ยวกับโรคและการปฏบัติตัวของผูป้ ่วยในแต่ละกรณีได้อย่างเหมาะสม
า
พย
9. ตระหนักความรู้สึกของผู้ป่วยที่มีอาการเหลือง (Jaundice) และความสาคัญของการให้กาลังใจเพือ่ การ
ปฏิบตั ิตัวตามคาแนะนาอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
์ โรง
ประสบการณ์การเรียนรู้
ชิ า
1. เนื้อหาวิชา
a. แนวทางการวินิจฉัยแยกอาการเหลือง (Jaundice) เนื่องจากภาวะท่อน้าดีอดุ ตันจากอาการเหลืองเนื่อง
คว
28
d. หลักการของการเลือกส่งตรวจในขั้นต่อไป เช่น ultrasonography of upper abdomen, endoscopic
retrograde cholangiopancreatography (ERCP) , computerized tomography (CT scan) upper
abdomen, magnetic resonance (MR) of upper abdomen, percutaneous cholangiography (PTC),
magnetic resonance cholangiopancreatography (MRCP) และการเจาะเนื้อตับมาพิสูจน์ทางพยาธิ
วิทยา (liver biopsy)
e. หลักการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเหลือง (Jaundice) โดยเฉพาะภาวะในข้อ 2 ได้ถูกต้องทั้ง medical,
radiologic intervention และทาง surgery
ี
บิ ด
2. การจัดการเรียนการสอน
1. นาเข้าสู่บทเรียน 5 นาที
าธ
2. อภิปรายในหัวข้อการเรียนการสอน
าม
2.1 ทบทวน metabolism of bilirubin และ อาการเหลือง (Jaundice) 5 นาที
2.2 นาเสนอผู้ป่วย 3 ราย ที่มาด้วยอาการเหลืองจากสาเหตุของ hemolysis, 30 นาที
ลร
acute viral hepatitis และ obstructive jaundice อภิปรายในหัวข้อของการซักประวัติ
บา
การตรวจร่างกาย แปลผลการตรวจขั้นพืน้ ฐาน และหลักการจาแนก medical
และ surgical jaundice า
พย
2.3 การส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติมในผูป้ ่วยแต่ละราย 15 นาที
2.4 นาเสนอและอ๓ปราบผูป้ ่วยรายที่ 4 ที่มาด้วย อาการเหลืองจาก Intrahepatic 10 นาที
์ โรง
cholestasis
2.5 หลักการดูแลรักษาอาการเหลืองจากสาเหตุต่างๆ ทาง
ตร
- Medical 5 นาที
- Surgical 5 นาที
าส
- Radiological 5 นาที
ยศ
3. สื่อการศึกษา
ศลั
3.2 เอกสารประกอบการสอน
3.2.1 เรื่องการตรวจทางรังสีและคลื่นเสียงของระบบทางเดินน้าดี โดย น.พ. ราเมศร์ วัชรสินธ์ ภาควิชารังสี
คว
วิทยา
ภา
29
3.3 แหล่งเรียนรู้
- Diseasesof the Liver and Biliary system. Sherlock S. & Dooley J. eds. 10th ed. Blackwell Sceince
1997. pp 201-237.
การประเมินผล
1. จากการอภิปรายตัวอย่าง ซักถามในห้องเรียน
2. การสอบข้อเขียน
3. จากการสังเกตการปฏิบัติงานในหอผูป้ ่วย
ี
บิ ด
าธ
าม
ลร
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
30
14. Surgery of pancreatic disease
สาหรับ : นักศึกษาแพทย์ ปี 4
ี
บิ ด
ภาควิชาศัลยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี
าธ
กิจกรรมการเรียนการสอน : Lecture
าม
ความรู้พื้นฐาน : 1. Anatomy and embryology of the pancreas
ลร
5. สรีรวิทยาของตับอ่อนในแง่ endocrine & exocrine functions
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้นักศึกษาสามารถ
3. อธิบายถึงความสาคัญของโรคตับอ่อนที่พบบ่อยทางศัลยกรรม
า บา
พย
4. บรรยายถึงกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาของตับอ่อนที่มีความสาคัญในแง่
ศัลยกรรมอย่างคร่าว ๆ
์ โรง
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ :
ชิ า
3. ก่อนเข้าชั้นเรียน ให้นักศึกษา
3.1 ทบทวนกายวิภาคศาสตร์ และ สรีรวิทยาของตับอ่อน
คว
อ่านประกอบที่แนะนาไว้
2. ในชั้นเรียน : ประสบการณ์การเรียนรู้ประกอบด้วยการบรรยายโดยผู้รับผิดชอบ
ประกอบการนาเสนอ slides (โดยบรรยายตามหัวข้อที่ระบุใว้ในวัตถุประสงค์)
สื่อการสอน :
3. เครื่องฉาย Slide
4. Laptop computer & video projector
31
แหล่งเรียนรู้ :
1. ทบทวนกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาจากเอกสารต่าง ๆ ของชั้นปีที่ 2 และ 3
2. ทบทวนกายวิภาคศาสตร์ และสรีรวิทยา คร่าว ๆ ใน
Bailey & love’s Short Practice of Surgery ,22nd edition, ปี 1995 (Mann CV,
Russel RLG , Williams NS, editors) บทที่ 48 “The pancreas” เขียนโดย
RLG Russell หน้า 750 – 751 (พิมพ์โดย Chapman & Hall, London)
5. อ่านเนื้อหาประกอบใน
3.1 Baily & love’s short practice of surgery 22nd edition, บทที่ 48 หน้า
751-763
3.2 Maingot’s Abdominal operations, 10th edion ปี 1997 (Zinner MJ,
ี
บิ ด
Schwartz SI , Ellis H editors) บทที่ 70 - 75 ( “Pancreas”) หน้า 1889 -
2917 โดยเฉพาะบทที่ 73 “Endocrine tumours of the pancreas”
าธ
(พิมพ์โดย Appleton & Lange, New Jersey)
าม
4. เอกสารประกอบคาสอนเรือ่ ง “An introduction to surgical diseases of the
pancreas” และเอกสารอื่น ๆ ที่แนะนาในนั้น
ลร
7. บทความเรื่อง “เนื้องอกของตับอ่อน” โดย รศ.นพ.โสภณ จิรสิริธรรม หน้า 74 - 77
ในตาราศัลยศาสตร์รามาธิบดี เล่ม 2 พิมพ์ปี 2544
การประเมินผล : า บา
พย
3. จากการตอบซักถามในห้องเรียน
4. MCQ ก่อนลงจาก rotation
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
32
15. Surgical Infection
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 60 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core lecture
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. กายวิภาคของผิวหนังและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันใต้ผิวหนัง, ช่องท้อง และช่องปอด
2. จุลชีววิทยาของเชื้อก่อโรค
ลร
3. เภสัชจลนศาสตร์ของยาปฏิชีวนะ
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
7. ระบุปจั จัยที่ทาให้เกิด surgical infection ดังนี้
า บา
พย
7.1 Microbial pathogenicity
7.2 Host defense
์ โรง
8.2.2 Empyema
ชิ า
33
12. ประเมินขีดความสามารถในการดูแลผู้ป่วยด้วยตนเองและพิจารณาส่งต่อผู้ป่วยให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้
อย่างถูกต้องและเหมาะสม
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
3. ก่อนเข้าชั้นเรียน
3.1 นักศึกษาทบทวนความรู้ทางกายวิภาคของผิวหนังและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันใต้ผิวหนัง, ช่องท้อง
และช่องปอด
3.2 นักศึกษาทบทวนความรู้ทางจุลชีววิทยาของเชื้อก่อโรคทั้งแบคทีเรีย เชื้อราและไวรัส
3.3 นักศึกษาทบทวนความรู้ทางเภสัชจลนศาสตร์ของยาปฏิชีวนะ
3.4 ศึกษาเอกสารประกอบการเรียนรูล้ ่วงหน้า
ี
บิ ด
4. ในชั้นเรียน นาที
4.1 นาเข้าสู่บทเรียน 5
าธ
4.2 ทบทวนความรู้ทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน 5
าม
4.3 อธิบายปัจจัยทีท่ าให้เกิด Surgical infection 5
4.4 อธิบาย Surgical infection ที่พบบ่อยตามโรคในแง่การวินิจฉัย 20
ลร
การวินิจฉัยแยกโรค การตรวจทางห้องปฏิบตั ิการ การตรวจทางรังสี
และแนวทางการรักษารวมทั้งข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดรักษา
บา
4.5 อธิบาย surgical wound classification พร้อมยกตัวอย่าง
4.6 อธิบาย prophylaxis antibiotic ใน surgical procedure
า 5
5
พย
แยกตามหมวดการผ่าตัด
4.7 slide ตัวอย่างผู้ป่วย 1-2 ราย 5
์ โรง
สื่อการสอน
าส
4. เครื่องฉายวีดที ัศน์
5. เครือ่ งฉายภาพข้ามศีรษะ
ยศ
6. คอมพิวเตอร์
แหล่งเรียนรู้
ศลั
10. Howard RJ. Surgical Infection. In: Schwartz SI, Shires GT, Spencer FC, Daly JM, Fischer JE,
Galloway AC. Principle of Surgery. Seventh edition. Vol 1 :Mcgraw-Hill: 1999:123-153.
คว
ภา
การประเมินผล
4. จากการซักถามและการตอบในชั้นเรียน
5. การสอบลงกอง
5.1 MCQ
5.2 Short answer
6. การสอบรวบยอด
6.1 MCQ
34
16. Surgery of Hepatobiliary diseases
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ ปี 4
ลักษณะการเรียนรู้ Seminar
ี
บิ ด
อาจารย์ผู้สอน ผศ.สิโรจน์ กาญจนปัญจพล / รศ.โสภณ จิรสิริธรรม
าธ
วัตถุประสงค์
าม
ภายหลังจบการเรียนการสอนนักศึกษาสามารถ
1. บอกถึงสาเหตุการเกิดนิ่วในถุงน้าดี และท่อน้าดี การตรวจวินจิ ฉัยโรค จากอาการและอาการแสดง การดาเนิน
ลร
ของโรคนิ่วในถุงน้าดี วิธีการ การรักษา
2. สามารถให้การวินิจฉัย Liver disease ที่พบบ่อยได้อย่างถูกต้อง โดยอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย การใช้
Laboratory tert และ Investigation ต่างๆ
า บา
พย
เนื้อหาวิชา
- Gall stone formation
์ โรง
- Emphysematous cholecystitis
- Gall stone ileus
าส
- As cending cholangitis
- Tumor of the biliary tract cholangio carcinoma periamipullary carcinoma
ยศ
- Liver abscess
- Primary benign liver tumor
- Hepatocellular carcinoma
ศลั
วิธีการเรียนรู้ การจัดสัมมนากลุ่มโดยนักศึกษาไปค้นคว้าและนาเสนอหน้าห้อง
ภา
เอกสารประกอบ
1. หนังสือ schwrtz’s principle of surgery 7th edition chapter 28 liver หน้า 1395-1415 chapter 29 Gall
blader and extrahepatic biliary system หน้า 1437-1466
2. หนังสือ Sabiston “text book of surgery 16th Edition chapter 48 liver หน้า 997-1059 chapter 50
Biliary tract หน้า 1076-1111
3. หนังสือ Surgery of the liver and biliary tract โดย L.H Blumgart 2nd edition
- Section 5,6,7, gall stone and gall bladder หน้า 551-920
- Section 8,9,10,11 หน้า 925-1220
35
4. หนังสือ Disease of the liver and biliary system โดย Sherlock / Dooley
- Chapter 27th liver infection หน้า 471-477
- Chapter 28 Hepatic tumor หน้า 503-531
- Chapter 31 gall stone and inflammatosuy gall bladder disease หน้า 562-591
- Chapter Disease of the Ampula of vater 33 หน้า 599-612
ี
บิ ด
าธ
าม
ลร
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
36
17. Hernia and abdominal wall defect
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. Developmental anatomy of abdominal wall, Inguinal region and spermatic Cord
2. Anatomy of abdominal wall and Inguinal region
ลร
3. หลักการซักประวัติและตรวจร่างกายทาง abdomen
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถ
า บา
พย
1. นิยามภาวะไส้เลื่อน (Hernia) ได้ทั้ง
1.1 Grain Hernia
์ โรง
- Abdominal wall
ชิ า
- Inguinal canal
คว
- Fumeral canal
- Nerve and blood vessel บริเวณ groin
ภา
- Myopecitineal orifice
- Inguinal ligament
- Iliopubic tract
- Cooper ligament
- Conjoined tendon
3. อธิบายสาเหตุการเกิด Inguinal hernia ทั้งแบบ direct, Indirect และ femeral
4. ระบุอาการของผูป้ ่วยทีเ่ ป็นไส้เลื่อน เช่น ก้อนขาหนีบ ก้อนที่แผลผ่าตัด ก้อนที่สะดือหรือตาแหน่งอื่นของ
ผนังหน้าท้อง อาการปวดถ่วงทีข่ าหนีบ เป็นต้น
37
5. วินิจฉัย Inguinal Hernia ชนิดต่างๆในผูป้ ่วยที่มาด้วยอาการมีก้อนที่ขาหนีบ และวินจิ ฉัยแยกโรคอื่นๆ เช่น
lymphadenopaphy, hydroccle, lipana ของ spermatic cord, orchitis, tension of testis
6. ระบุ เลือกส่งและแปรผลการตรวจเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนภาวะไส้เลื่อน ได้แก่
6.1 Ultrasonography whole abdomen หรือ เฉพาะที่
6.2 Peritoneography
7. อธิบายภาวะรับด่วนฉุกเฉินทีเ่ กิดจากไส้เลื่อนในด้านอาการ อาการแสดง และการดูแลรักษา ได้แก่
7.1 Incarcerated Hernia (Irreduceble Hernia)
7.2 Strangulated Hernia
8. เปรียบเทียบ direct, Indirect และ femeral Hernia ในด้าน
8.1 ตาแหน่ง
ี
บิ ด
8.2 พยาธิกาเนิด
8.3 โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน
าธ
8.4 อุบัติการในหญิงและชาย
าม
8.5 วิธีตรวจร่างกาย
8.6 หลักการรักษา
ลร
9. ระบุปจั จัยเสี่ยงของการเกิดไส้เลื่อนชนิดต่างๆ
10. อธิบายหลักการในการรักษาไส้เลื่อนในด้าน
10.1 non-operative treatment
10.2 operative treatment า บา
พย
11. นิยาม operative treatment
11.1 anterior approach
์ โรง
-- tissue repair
-- Mesh repair
11.2 Posterior approach
ตร
-- laparoscopic approach
12. ระบุภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดไส้เลื่อนได้ทั้ง
ยศ
กาจัดหรือลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือเกิดไส้เลือ่ นซ้า
ชิ า
การจัดประสบการการเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 นักศึกษาทบทวนกายวิภาค, development anatomy ของ abdomen และหลักการซักประวัติ ตรวจ
ร่างกายของ abdomen และหลักการซักประวัติ ตรวจร่างกายของ abdomen
1.2 ศึกษาเอกสารประกอบการเรียนรู้ล่วงหน้า (เอกสารประกอบการเรียนรู้ หมายเลข 1)
1.3 นักศึกษาแบ่งกลุ่ม จัดเตรียมสือ่ การสอนตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ (สาหรับนักศึกษา)
2. ในชั้นเรียน
2.1 นาเข้าสู่บทเรียนโดยอาจารย์ 10 นาที
2.2 นาเสนอเนื้อหาตามวัตถุประสงค์ โดยนักศึกษา 120 นาที
38
2.3 สรุปบทเรียนโดยอาจารย์ 30 นาที
2.4 ให้นักศึกษาซักถามและแจ้งให้เรียนรูด้ ้วยตนเองในวัตถุประสงค์ที่ไม่ได้สอน 20 นาที
รวมเวลา 180 นาที
สื่อการสอน
1. เครื่องฉายแผ่นใส
2. เครื่องฉายภาพจากคอมพิวเตอร์ (Projector)
3. คอมพิวเตอร์
แหล่งเรียนรู้
ี
บิ ด
1. เอกสารคาสอน Hernia : เอกสารคาสอนนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 หน่วยศัลยศาสตร์ทั่วไป สายบี
2. Principle of Surgery, Schwartz 7th edition, Hernia and abdominal wall defect
าธ
3. Nyhus and Condon’s Hernia 5th edition
าม
การประเมินผล
ลร
1. การซักถาม และตอบในชั้นเรียน
2. สังเกตุและประเมินผลระหว่างการปฏิบัตงิ านในภาควิชาศัลยศาสตร์
3. การสอบลงกอง MCQ
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
39
18. Surgery of Breast
เรื่อง Breast
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4
ระยะเวลา 90 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. Developmental anatomy of breast
2. Anatomy of breast
ลร
3. หลักการซักประวัติและตรวจร่างกายเต้านม
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถบอก า บา
พย
1. Development anatomy of Breast
2. ลักษณะทางกายวิภาคของเต้านมถึง
์ โรง
4. อาการและอาการแสดงของโรคเต้านมที่พบบ่อยและแนวทางในการวินิจฉัยแยกโรค
4.1 Breast mass
4.2 Breast pain
ศลั
4.4 Ulcer
5. แสดงวิธีการตรวจร่างกายของเต้านมได้อย่างถูกต้อง
คว
6. วิธีการและการเลือกส่ง การตรวจทางห้องปฏิบัติการและรังสีวินิจฉัยได้อย่างเหมาะสม
ภา
6.1 Ultrasound
6.2 Mammogram
6.3 Manetic Resonance Imaging
6.4 Ductography
6.5 Doppler Flow studies
6.6 Thermography
7. วิธีการทาและการเลือกวิธีทาเพื่อให้ได้ผลการวินจิ ฉัยทางชิ้นเนื้อ
7.1 FNAB
7.2 Core Biopsy
40
7.3 Excisional Biopsy
7.4 Incisional Biopsy
8. การดาเนินโรค อาการ อาการแสดง การวินิจฉัย วิธีการรักษาและติดตาม โรคทางเต้านมที่ไม่ใช่มะเร็งที่พบ
บ่อย
8.1 Congenital and Development Disease
8.1.1 Acessory Breast
8.1.2 Gynecomastia
8.2 Inflamatory and Infectious disorder
8.2.1 Mastitis
8.2.2 Breast Abscess
ี
บิ ด
8.2.3 Hidradenitis Supprativa
8.2.4 Mondor’s Disease
าธ
8.3 Nonproliferative Lesions
าม
8.3.1 Fibrocystic Disease
8.3.2 Cysts
ลร
8.4 Proliferative Lesions
8.4.1 Fibroadenoma
8.4.2 Papilloma
8.4.3 Phyllodes Tumors า บา
พย
8.4.4 Fat Necrosis
8.4.5 Ductal Ectasia
์ โรง
13.3 Radiotherapy
ชิ า
41
การจัดประสพการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 นักศึกษาทบทวนกายวิภาค, development anatomy ของ Breast และหลักการซักประวัติ ตรวจร่างกาย
ของ Breast
1.2 ศึกษาเอกสารและสื่อการสอนประกอบการเรียนรู้ล่วงหน้า
1.3 นักศึกษาแบ่งกลุ่ม จัดเตรียมสือ่ การสอนตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ (สาหรับนักศึกษา)
2. ในชั้นเรียน
2.1 นาเข้าสู่บทเรียนโดยอาจารย์ 5 นาที
2.2 นาเสนอเนื้อหาตามวัตถุประสงค์ โดยนักศึกษาที่ได้รบั การแบ่งกลุ่มไว้ ( 3-4 คน)
วัตถุประสงค์ ข้อที่ 1-7 10 นาที
ี
บิ ด
วัตถุประสงค์ ข้อที่ 8 15 นาที
วัตถุประสงค์ ข้อที่ 9-16 15 นาที
าธ
วัตถุประสงค์ ข้อที่ 17 5 นาที
าม
2.3 สรุปบทเรียนโดยอาจารย์ 5 นาที
2.4 แบ่งกลุ่มนักศึกษาทั้งห้องออกเป็น 3 กลุ่มโดยมีนักศึกษาทีเ่ ป็นผู้นา 15 นาที
ลร
เสนอบทเรียนกระจายอยู่ในแต่ละกลุ่มและเป็นคนนากลุ่มศึกษาผูป้ ่วยตัวอย่าง
ผู้ป่วยรายที่ 1 Breast Mass
ผู้ป่วยรายที่ 2 Breast Pain
ผู้ป่วยรายที่ 3 Nipple Discharge า บา
พย
2.5 ตัวแทนแต่ละกลุ่มนาเสนอแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วย
ผู้ป่วยรายที่ 1 Breast Mass 5 นาที
์ โรง
รวมเวลา 90 นาที
าส
สื่อการสอน
ยศ
1. เครื่องฉายแผ่นใส
2. เครื่องฉายภาพจากคอมพิวเตอร์ (Projector)
3. คอมพิวเตอร์
ศลั
4. เอกสารแสดงผู้ป่วยตัวอย่าง
ชิ า
5. ปากกาเขียนแผ่นใส 3 ชุด
6. กระดาษเปล่า ขนาด A4 6 แผ่น
คว
7. แผ่นใสชนิดเขียน 12 แผ่น
ภา
แหล่งเรียนรู้
1. เอกสารคาสอน Benign Breast Disease : เอกสารคาสอนนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 หน่วยศัลยศาสตร์
ทั่วไป สายบี
2. เอกสารคาสอน Breast Cancer : เอกสารคาสอนนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 หน่วยศัลยศาสตร์ทั่วไป สายบี
3. Principle of Surgery, Schwartz 7th edition, Breast
4. VDO สอนแสดงการตรวจเต้านม หน่วยศัลยศาสตร์ทั่วไป สายบี
42
การประเมินผล
1. การซักถาม และตอบในชั้นเรียน
2. สังเกตุและประเมินผลระหว่างการปฏิบัตงิ านในภาควิชาศัลยศาสตร์
3. การสอบลงกอง , MCQ
ี
บิ ด
าธ
าม
ลร
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
43
19. Surgical complication
ระยะเวลา 50 minutes
ี
บิ ด
ลักษณะการเรียนรู้ Lecture
าธ
อาจารย์ผู้สอน Chumpon Wilasrusmee
าม
วัตถุประสงค์
ลร
Basic knowledge
บา
-Basic physiology of organ systems including respiratory, cardiac, renal, and gastrointestinal system.
-Hemostasis, surgical bleeding and transfusion. า
พย
-Pre and post operative care.
-Surgical infection.
์ โรง
-Pathophysiology of D.M.
-Wound healing
ตร
าส
เนื้อหาวิชา
Aims:
ยศ
-To prevent and protect against the complication and improve the outcome of surgery
ชิ า
44
Methods: All presentation will be done as slides from power point.
-Review material before class.
-Shortly explain and review the basic knowledge as described above in the first ten minutes.
-Introduction to surgical complication (definition, significant, organ systems at risk)
-Pathophysiology and management of D.M. patients undergoing surgery.
-Causes and treatments of perioperative fever.
-Diagnosis and management of wound complications.
-Appropriate approach for cardiac and respiratory complication.
ี
บิ ด
-5 minutes for first period of questions and answers.
-Gastrointestinal fistulas: causes and management.
าธ
-Care and complication of stomal.
าม
-Metabolic disorders and surgical complications.
-10 minutes for question and answer including example of patients with post-operative complications.
ลร
บา
อุปกรณ์
Media า
พย
Power point presentation including pictures of GI fistulas, stomal complications
์ โรง
หนังสืออ่านประกอบ
References
ตร
การประเมินผล
ศลั
Evaluation
ชิ า
-OSCE
ภา
45
20. Obstructive uropathy
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
เวลา 50 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. กายวิภาคศาสตร์ และสรีระวิทยาของระบบทางเดินปัสสาวะ
2. ระบบประสาทควบคุมการทางานของระบบทางเดินปัสสาวะ
ลร
3. ดุลย์เกลือแร่ในร่างกาย และการแลกเปลี่ยนสารต่างๆ ที่ไต
4. กลไกของการปวด และการตอบสนองของร่างกาย
- ผลต่อ lower tract: lower urinary tract symptoms (LUTs), bladder trabeculation, diverticulum,
cellule
2. ระบุอาการ อาการแสดงของการอุดกั้นต่อทางเดินปัสสาวะ
ตร
กั้นได้
4. ระบุโรคที่พบบ่อยทีท่ าให้เกิดการอุดกั้นต่อทางเดินปัสสาวะได้
ยศ
- Relief of obstruction
ชิ า
- Eradication of infection
- Improve general condition (fluid, electrolyte imbalance)
คว
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 ทบทวนความรู้พื้นฐานกายวิภาคศาสตร์ สรีรวิทยาของระบบทางเดินปัสสาวะ
.2 ทบทวน ความรู้ดุลย์ เกลือแร่ การแลกเปลี่ยนสารต่างๆ ที่ไต
46
2. ในชั้นเรียน
2.1 นาสู่บทเรียน 1 นาที
2.2 ทบทวนความรู้พื้นฐานทางกายวิภาค 2 นาที
2.3 ทบทวนความรู้เกี่ยวกับการปวด 2 นาที
2.4 ทบทวนความรู้เกี่ยวกับดุลย์เกลือแร่ และการแลกเปลี่ยนสารที่ไต 2 นาที
2.5 อธิบายพยาธิสรีรวิทยาของการอุดกั้นของระบบทางเดินปัสสาวะ 2 นาที
2.6 อาการวิทยาของการอุดกั้นเฉียบพลันและเรื้อรัง 5 นาที
2.7 การวินิจฉัยและสืบค้น 5 นาที
2.8 ผลของการอุดกั้นทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง 5 นาที
2.9 ยกตัวอย่างโรคที่พบบ่อยที่มผี ลให้มีการอุดกั้นต่อทางเดินปัสสาวะ 5 นาที
ี
บิ ด
2.10 การรักษาระยะเริ่มแรก (initial management) 5 นาที
2.11 การรักษาอย่างถาวร 5 นาที
าธ
2.12 ปัญหาแทรกซ้อนจากการอุดกั้น 3 นาที
าม
2.13 สรุปปัญหาการเรียนรู้ 2 นาที
2.14 ซักถาม 5 นาที
ลร
รวม 50 นาที
สื่อการสอน
1. เครื่องฉาย projector
า บา
พย
2. Computer for power point presentation
์ โรง
แหล่งเรียนรู้
1. เอกสารประกอบการเรียนรูเ้ รือ่ ง Obstructive uropathy โดย รศ.วชิร คชการ
ตร
2. ตาราศัลยศาสตร์ระบบทางเดินปัสสาวะ
3. Tanagho EA. Urinary obstruction and stasis. In: Tanagho EA, et al, eds. Smith’s
าส
การประเมินผล
1. จากการซักถาม – ตอบ ในชั้นเรียน
2. การสอบลงกอง MCQ
ศลั
3. การสอบรวบยอด MCQ
ชิ า
คว
ภา
47
21. Surgical Endocrine
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4
ระยะเวลา 90 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
4. Anatomy of Parathyroid , Pancrease , Adrenal Gland
5. Physiology of Parathyroid , Pancrease , Adrenal Gland
ลร
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถบอก
า บา
พย
1. Parathyroid
1.1 anatomy and embryology
์ โรง
1.2 Physiology
1.3 อาการและอาการแสดงของ Hyperfunction and Hypofunction of Parathyroid Gland
1.4 ความแตกต่างระหว่าง Primary , Secondary and Tertiary Hyperparathyroidism
ตร
1.5.1 Biochemical
1.5.2 Imaging : Radionuclide , CT Scan , MRI , Ultrasound
ยศ
48
3.5 อาการและอาการแสดงของโรคทีเ่ กิดจากชั้น Adrenal Medulla : Pheochromocytoma
3.6 การวินิจฉัยแยกโรค Pheochromocytoma
3.7 วิธีการรักษาโรค Pheochromocytoma
3.8 คาจากัดความของ Incidentaloma
3.9 วิธีการรักษา Incidentaloma
3.10 วิธีการรักษาโดยวิธีการผ่าตัดของ Adrenal Gland
4. Multiple endocrine neoplasia
4.1 การถ่ายทอดทางยีนเป็นแบบใด
4.2 MEN I ประกอบด้วยโรคอะไรบ้าง
4.3 MEN II ประกอบด้วยโรคอะไรบ้าง
ี
บิ ด
การจัดประสพการณ์การเรียนรู้
าธ
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
าม
1.1 นักศึกษาทบทวน Anatomy and Physiology of Parathyroid , Pancrease , Adrenal Gland
1.2 ศึกษาเอกสารและสื่อการสอนประกอบการเรียนรู้ล่วงหน้า
ลร
1.3 นักศึกษาแบ่งกลุ่ม จัดเตรียมสื่อการสอนตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ (สาหรับนักศึกษา)
2. ในชั้นเรียน
2.1 นาเข้าสู่บทเรียนโดยอาจารย์
บา
2.2 บอกนักศึกษาถึงหัวข้อ Surgical Endocrine อื่นที่จดั การเรียนแยกไว้ คือ Thyroid , Breast
า 10 นาที
พย
2.3 นาเสนอเนื้อหาตามวัตถุประสงค์ โดยนักศึกษาที่ได้รบั การแบ่งกลุ่มไว้ ( 3-4 คน)
Parathyroid 20 นาที
์ โรง
Pancrease 15 นาที
Adrenal 15 นาที
Multiple endocrine neoplasia 5 นาที
ตร
สื่อการสอน
1. เครื่องฉายแผ่นใส
ศลั
2. เครื่องฉายภาพจากคอมพิวเตอร์ (Projector)
ชิ า
3. คอมพิวเตอร์
คว
แหล่งเรียนรู้
ภา
การประเมินผล
1. การซักถาม และตอบในชั้นเรียน
2. สังเกตุและประเมินผลระหว่างการปฏิบัตงิ านในภาควิชาศัลยศาสตร์
3. การสอบลงกอง , MCQ
49
22. Introduction to Pediatric Surgery / Pre and post operative care :
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 1 ชม.
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. Neonatal and Pediatric Physiology
2. Metabolic response to trauma and surgery
ลร
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถ
บา
1. อธิบายภาวะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อระบบการทางานของอวัยวะเมื่อเกิดโรคที่ต้องผ่าตัด โดยเฉพาะในทารก
แรกเกิด เวลาที่เหมาะสมทีค่ วรทาผ่าตัดแต่ละโรค ซึ่งจะมีผลต่อการดูแลรักษา ภาวะแทรกซ้อน และพยากรณ์ของ
า
พย
โรค
2. อธิบายวิธีการเตรียมเด็กก่อนผ่าตัดและการดูแลหลังผ่าตัดในด้านต่าง ๆ
์ โรง
Respiratory system
Fluid and electrolyte
Nutrition
ตร
Surgical infection
Vascular access
ยศ
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
ศลั
ให้ผเู้ รียนเตรียมอ่านเนื้อหาเตรียมคาถาม
ชิ า
2. ในชั้นเรียน
2.1อาจารย์บรรยายแก่นักศึกษาตามหัวข้อต่อไปนี้ [ 40 นาที ]
คว
50
2.แสดงตัวอย่างผู้ป่วยด้วย slides และ video tape ของผูป้ ่วยจริง และ สอบถามนักเรียนแพทย์จากตัวอย่างผู้ป่วย
[ 20 นาที ]
สื่อการสอน
1. สไลด์เตรียมโดยอาจารย์
2. คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
3. video tape แสดงผู้ป่วยตัวอย่าง
แหล่งเรียนรู้
ี
บิ ด
1.O’Neill, Rowe, Grosfeld, Coran. Textbook of Pediatric Surgery , 5th ed ; Chicago:Yearbook medical
publishes,1998
าธ
2 Raffensperger JG.Swenson's Pediatric Surgery 4th ed.Norwalk,Connecticut: Appleton and Lange.
าม
1990
3 Ashcraft, Murphy. Pediatric Surgery 3rd ed. W.B. Saunders Company. 2000
ลร
การประเมินผล
1. สอบข้อเขียน
2. สอบปากเปล่า า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
51
23. Overview to pediatric gastrointestinal obstruction :
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 1 ชม.
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. Development of gastrointestinal tract
2. Anatomy of GI tract
ลร
3. Composition of gastrointestinal fluid
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
ชิ า
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1. นักศึกษาทบทวนความรู้พื้นฐานที่ระบุ
คว
2. ในชั้นเรียน
ภา
อาจารย์บรรยายในหัวข้อต่อไปนี้
1. นิยามภาวะ gut obstruction : complete obstruction, partial obstruction
: upper gut obstruction, lower gut obstruction
2. อาการและอาการแสดงของผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะ Gut obstruction
3. โรคที่พบบ่อยที่ทาให้เกิด gut obstruction ในเด็กอายุต่างๆ
4. การตรวจร่างกายที่พบได้ในผู้ป่วยที่มีภาวะ Gut obstruction
5. การตรวจทางรังสีวินิจฉัย เพื่อวินิจฉัยภาวะ gut obstruction จากโรคต่างๆ เช่น plain film abdomen, UGI
series, long GI , Barium enema, U/S, CT scan
6. การรักษาเบื้องต้นสาหรับผูป้ ่วยทีม่ ีภาวะ gut obstruction
52
7. electrolyte imbalance จากการเกิด gut obstruction
8. การให้ replacement IV fluid เพื่อทดแทน gastric content หรือ bile
9. การประเมินภาวะ dehydration และการรักษา
10. complication of gut obstruction
สื่อการสอน
1. Program Powerpoint ประกอบด้วยคาบรรยาย, รูปตัวอย่างผูป้ ่วย และภาพรังสี
2. เอกสารคาสอน
แหล่งเรียนรู้
ี
บิ ด
1 O’Neill, Rowe, Grosfeld, Coran. Textbook of Pediatric Surgery , 5th ed ; Chicago:Yearbook
medical publishes,1998
าธ
2 Raffensperger JG.Swenson's Pediatric Surgery 4th ed.Norwalk,Connecticut: Appleton and Lange.
าม
1990
3 Ashcraft, Murphy. Pediatric Surgery 3rd ed. W.B. Saunders Company. 2000
ลร
การประเมินผล
1. โดย Direct Observation และการซักถามในชั้นเรียน
2.โดยการสอบ MCQ เมื่อลงกอง า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
53
25. Congenital craniofacial anomalies
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 50นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน lecture
าธ
ความรู้พื้นฐาน 1. Embryology of facial development
าม
1.1 first and second branchial arches
1.2 eyes and orbits
ลร
1.3 nose and lips
1.4 palate
1.5 tooth development
2. anatomy of skull and facial bones า บา
พย
2.1 cranium and sphenoids
2.2 orbits and frontal sinuses
์ โรง
facial neurofibroma,
3. ป้องกันและให้การรักษาเบื้องต้นสาหรับemergency conditions เช่น upper airway
obstruction, corneal exposure, pupillary obstruction,meningitis ,bleeding เป็นต้น
4. ตระหนักความสาคัญของป้องกันผลแทรกซ้อนในระยะยาวจากความผิดปกติแต่กาเนิด เช่น
สมองพิการ พูดไม่ชัด หูหนวก ตาบอด ฟันไม่สบกัน ใบหน้าไม่เท่ากัน เป็นต้น
5. เข้าใจปัญหาของผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย ผลกระทบในด้านจิตใจ ความขัดแย้งในครอบครัว การ
ยอมรับ สภาพความจริง ความยากลาบากและค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูและรักษาในระยะยาว
และสามารถแนะนาหรือติดต่อหน่วยงานหรือองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือได้
54
6. ตระหนักความสาคัญของการสื่อสารและอธิบายให้ญาติผู้ป่วยได้ เกี่ยวกับ เวลาที่เหมาะสมใน
การผ่าตัด ขั้นตอน เหตุผลที่ต้องผ่าตัด การคาดหวัง และปรึกษา ส่งต่อ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญไดัอ
ย่างเหมาะสม
7. ตระหนักความสาคัญของการให้ความรู้แก่ญาติผู้ป่วยและประชาชนในด้านปัจจัยเสี่ยงและ
การป้องกันความพิการแต่กาเนิดโดยทั่วไปและในบุตรคนต่อไป
การจัดประสบการณืการเรียนรู้
ก่อนเข้าชั้นเรียน
1. review facial development และfacial anatomy
ี
บิ ด
2. อ่านเอกสารประกอบการเรียน
าธ
ในชั้นเรียน
าม
1. slide of a patient with craniofacial clefts 3min.
and let the students describe the deformed parts of the face.
ลร
2. slide of a patient with upper eyelid cleft with corneal exposure 2min
บา
and let the student point out the potential clinical problems . .
3. Relate the deformed parts to their consequential functional impairments 5min
า
พย
by showing slides of patients with cleft lip,cleft palate,cleft nose,
episcleral dermoid cysts ,microtia, mandibular hypoplasia,
์ โรง
รวม 50 min.
55
สื่อการสอน
1. เครื่องฉายสไลด์
2. สไลด์
แหล่งการเรียนรู้
1. Sabiston’s textbook of surgery ,16th edition, Chapter 40; Plastic and maxillofacial surgery,
p 1309-1315.
2. Schwartz’s principle of surgery,Chapter 44; Plastic and reconstructive surgery,
p 2040-2049
การประเมินผล
ี
บิ ด
1. การถามและตอบในชั้นเรียน
2. การสอบ MCQ
าธ
าม
ลร
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
56
26. Neck Mass
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 50 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar Core based lecture
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. กายวิภาคภายนอกบริเวณคอ , และภายในช่องปาก
- Anatomical landmarks
ลร
- Triangles of neck
- Vascular supply
- Lymphatic drainage system
- Salivary glands :- า บา
พย
- Major
- Minor
์ โรง
2. สาเหตุและการแบ่งชนิดของก้อนที่คอ
3. การวินิจฉัยโรค
3.1 การซักประวัติ
ตร
3.2 การตรวจร่างกาย
าส
- การดูลักษณะภายนอก
- การดูช่องปาก
ยศ
- การคลาก้อนในช่องปาก
- การคลาก้อนที่คอ
- การคลาเม็ดน้าเหลืองบริเวณคอ
ศลั
4. โรคก้อนที่คอทีค่ วรรู้
ชิ า
57
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
7. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 นักศึกษาอ่านทบทวนเรื่อง “ก้อนที่คอ” ตามเอกสารประกอบคาสอน เรื่อง “ก้อนทีค่ อ”
( Lump in the neck ) และตามตาราที่อ้างอิงไว้
1.2 นักศึกษาฝึกตรวจช่องปากและฝึกคลาก้อนในช่องปากและฝึกคลาเม็ดน้าเหลืองกลุ่มต่างๆ
บริเวณคอมาก่อนโดยฝึกหัดกับเพื่อนนักศึกษาแพทย์ด้วยกันเองหรือจากผู้ป่วย
8. ในชั้นเรียน
2.1 นาเข้าสู่บทเรียน 5 นาที
2.2 ทบทวนกายวิภาค , triangles of neck , และ anatomical landmarks บริเวณคอ 5 นาที
2.3 แนวทางการซักประวัติ 5 นาที
ี
บิ ด
2.4 การตรวจร่างกาย
- การตรวจช่องปาก
าธ
- การคลา (Bimanual palpation ) ก้อนที่คอและการคลาเม็ดน้าเหลืองที่คอ 10 นาที
าม
2.5 สุ่มนักศึกษามาสาธิตการตรวจร่างกาย ในข้อ 2.4 5 นาที
2.6 การวินิจฉัยโรคก้อนทีค่ อที่พบบ่อย 10 นาที
ลร
2.7 สุ่มนักศึกษาให้ตอบการวินิจฉัยโรคผูป้ ่วยก้อนทีค่ อที่ฉายสไลด์ให้ดู 5 นาที
(spot diagnosis)
2.8 สรุปการเรียนรู้
2.9 ให้นักศึกษาซักถาม า บา 3
2
นาที
นาที
พย
รวม 50 นาที
สื่อการสอน
์ โรง
1. เครื่องฉายสไลด์ 2 เครื่อง
2. สไลด์สี พร้อมถาดใส่สไลด์ 2 อัน
3. ไม้กดลิ้น ไฟฉาย ผ้าก๊อซสะอาด ถุงมือ
ตร
าส
แหล่งเรียนรู้
1. เอกสารคาสอนเรื่อง “Lump in the neck” โดย นายแพทย์อาทิ เครือวิทย์
ยศ
การประเมินผล
ชิ า
2. การสอบลงกอง :-
ภา
- MCQ
- Slide test
3. การสอบรวบยอด
- MCQ
- OSCE (แสดงการคลาเม็ดน้าเหลืองทีค่ อ)
58
28. Common tumor in Pediatric :
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 1 ชั่วโมง
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. Basic Principle of Oncology
2. Pathology of Pediatric Tumor ( ศึกษาในวิชา Pathology, ปี 3 )
ลร
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถ
2. บอกอุบัติการณ์ของเนื้องอกที่พบบ่อยในเด็ก
a. Wilm’s Tumor า บา
พย
b. Neuroblastoma , ganglioneuroblastoma and ganglioneuroma
c. Hepatoblastoma
์ โรง
4. วินิจฉัยและวินิจฉัยจาแนกโรคเนือ้ งอกที่พบบ่อยในเด็กได้จากการซักประวัติและตรวจร่างกาย
5. บอกการตรวจทางห้องปฏิบัติการและรังสีวินิจฉัยทีจ่ าเป็นเพื่อวินจิ ฉัยโรคเนื้องอกในเด็กได้
ยศ
โรคได้
10. ส่งต่อผู้ป่วยให้แพทย์ผเู้ ชี่ยวชาญได้ถูกต้องเหมาะสม
คว
ภา
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 นักศึกษาทบทวนความรู้เรื่อง Pathology ของเนื้องอกที่พบบ่อยในเด็ก
1.2 นักศึกษาทบทวนความรู้เรื่อง Basic Principle of Oncology
2. ในชั้นเรียน
อาจารย์บรรยายตามหัวข้อต่อไปนี้
Neuroblastoma
Incidence
Clinical presentation : History and physical examination, location of tumor
59
Investigations : Plain film, U/S, CT, MRI, MIBG scan, bone scan, bone marrow aspiration
Tumor marker : Urine VMA/HVA, serum NSE
Pathological diagnosis
Staging : INSS ( International Neuroblastoma staging system)
Prognostic factors : Age, staging ,N-myc oncogene, NSE, DNA ploidy, ferritin level
Treatment: Multidisciplinary : Surgery, chemotherapy and radiation therapy
Prognosis
Screening program for neuroblastoma
Recent advance in treatment : tumor vaccine, gene therapy
Wilms’tumor
ี
บิ ด
Incidence
Clinical presentation : History and physical examination
าธ
Investigations : Plain film, Doppler U/S, CT, MRI
าม
Pathological diagnosis
Staging : NWTS
ลร
Prognostic factors : staging , Histology
Treatment: Multidisciplinary : Surgery, chemotherapy and radiation therapy
Prognosis
Hepatoblastoma า บา
พย
Incidence
Clinical presentation : History and physical examination
์ โรง
Staging
าส
สื่อการสอน
1. Program Powerpoint ประกอบด้วยคาบรรยาย, รูปตัวอย่างผูป้ ่วยที่เป็นเนื้องอก และภาพรังสี
2. เอกสารคาสอน
60
แหล่งเรียนรู้
1 O’Neill, Rowe, Grosfeld, Coran. Textbook of Pediatric Surgery , 5th ed ; Chicago:Yearbook
medical publishes,1998
2 Raffensperger JG.Swenson's Pediatric Surgery 4th ed.Norwalk,Connecticut: Appleton and Lange.
1990
3 Ashcraft, Murphy. Pediatric Surgery 3rd ed. W.B. Saunders Company. 2000
การประเมินผล
1. โดย Direct Observation และการซักถามในชั้นเรียน
2.โดยการสอบ MCQ เมื่อลงกอง
ี
บิ ด
าธ
าม
ลร
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
61
29. Gut obstruction in children
Intestinal obstruction I ( TE fistula, Hypertrophic pyloric stenosis )
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 1 ½ ชม.
ี
บิ ด
ผู้รับผิดชอบ น.พ.สาธิต กรเณศ
าธ
าม
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
ลร
ความรู้พื้นฐาน
1. Development of trachea and esophagus
2. Anatomy of trachea , esophagus, and pylorus
า บา
พย
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถ
์ โรง
สาหรับการวินิจฉัยโรค
5) บอก associated anomalies ที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่มี TEF : VACTERL
ยศ
a) Recurrent fistula
b) Stricture of esophagus
คว
c) Leakage of anastomosis
ภา
d) Gastroesophageal reflux
10) บอก prognosis ของผู้ป่วย esophageal atresia และ TEF
11) บอก epidemiology ของ hypertrophic pyloric stenosis (HPS)
12) อธิบาย clinical presentation ของผู้ป่วย HPS
13) บอก differential diagnosis ของ HPS
14) บอกการตรวจร่างกายที่พบในผูป้ ว่ ย HPS
15) บอกการทารังสีวินิจฉัย ทีจ่ าเป็นสาหรับการวินิจฉัยโรค HPS
a) Plain film abdomen
b) Upper GI contrast study
62
c) U/S pylorus
16) อธิบายภาวะ electrolyte imbalance ในผูป้ ่วย HPS Electrolyte : Hyponatremic hypochloremic metabolic
alkalosis และการรักษา
17) อธิบายวิธีการรักษา HPS : preoperative treatment
: Operative treatment ( Ramstedt pyloromyotomy )
: Post operative treatment eg. NPO time
18) บอกภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัด pyloromyotomy รวมถึงการวินิจฉัยและรักษาภาวะแทรกซ้อนนัน้ ๆ เช่น
Mucosal perforation, incomplete myotomy เป็นต้น
19) บอก prognosis ของผู้ป่วย HPS
ี
บิ ด
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1) ก่อนเข้าชั้นเรียน
าธ
a) นักศึกษาทบทวน embryology เกี่ยวกับ Development of esophagus และ trachea
าม
b) นักศึกษาทบทวน anatomy of trachea, esophagus and pylorus
c) ให้ผู้รบั ผิดชอบเตรียมเนื้อหาพบอาจารย์ก่อนบรรยาย
ลร
2) ในชั้นเรียน
: Physical examination
3. Classification ของแต่ละโรค
3 Differential diagnosis ของแต่ละโรค
ตร
4 Investigations ที่เหมาะสมสาหรับแต่ละโรค เช่น intrauterine ultrasound, plain abdomen, UGI study , Barium
าส
: Preoperative management
: Operation : Type of operation
: Postoperative management
ศลั
7 การพยากรณ์โรค
อาจารย์ช่วยเสริม และสรุปเนื้อหา รวมทั้งแสดงภาพตัวอย่างผู้ป่วย และตัวอย่างภาพรังสี
คว
ภา
สื่อการสอน
1. เครื่อง Computer และ LCD projector พร้อมจอ
2. เครื่องฉายแผ่นใส
3. โปรแกรม Powerpoint ( คาบรรยาย ภาพตัวอย่างผู้ป่วย ตัวอย่างภาพรังสี )
63
แหล่งเรียนรู้
1 O’Neill, Rowe, Grosfeld, Coran. Textbook of Pediatric Surgery , 5th ed ; Chicago:Yearbook
medical publishes,1998
2 Raffensperger JG.Swenson's Pediatric Surgery 4th ed.Norwalk,Connecticut: Appleton and Lange.
1990
3 Ashcraft, Murphy. Pediatric Surgery 3rd ed. W.B. Saunders Company. 2000
การประเมินผล
1. โดย Direct Observation และการซักถามในชั้นเรียน
2.โดยการสอบ MCQ เมื่อลงกอง
ี
บิ ด
าธ
าม
ลร
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
64
30. Hematuria
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 50 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. กายวิภาคของระบบทางเดินปัสสาวะ
2. หน้าที่และการทางานของระบบทางเดินปัสสาวะ
ลร
3. ความหมายของ hematuria
- Total hematuria
- Terminal hematuria
- ลักษณะของลิ่มเลือด
ตร
- Painless hematuria
าส
- Cystoscopy
- Retrograde pyelography
คว
5. ให้คาแนะนาและการปฏิบัติตัวแก่ผู้ป่วยที่มี hematuria
ภา
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 ให้นักศึกษาทบทวนกายวิภาค หน้าที่และการทางานของระบบทางเดินปัสสาวะ
1.2 ศึกษาเอกสารประกอบการสอน
65
2. ในชั้นเรียน
2.1 นาสู่บทเรียน 2 นาที
2.2 ทบทวนกายวิภาค หน้าที่ และการทางานของระบบทางเดินปัสสาวะ 4 นาที
2.3 ความหมายของ hematuria 2 นาที
2.4 ความหมายของ significant hematuria และ pseudohematuria 6 นาที
2.5 ลักษณะทางคลินิกที่สาคัญของ hematuria 10 นาที
2.6 สาเหตุของ hematuria แบ่งตามอายุและเพศ 6 นาที
2.7 ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุผู้ป่วยที่มี hematuria 12 นาที
2.8 ยกตัวอย่างผู้ป่วยที่มี hematuria และอภิปราย 4 นาที
2.9 คาแนะนาสาหรับผู้ป่วยที่มี hematuria 2 นาที
ี
บิ ด
2.10 นักศึกษาซักถามปัญหา 2 นาที
รวม 50 นาที
าธ
าม
สื่อการสอน
1. สไลด์ และเครื่องฉายสไลด์
ลร
2. Computer และ projector
แหล่งเรียนรู้
บา
1. Compbell’s urology. Patrich C. Walsh et al. eds. 7th ed. WB Saundders Co. Philadelphia 1998, vol
า
พย
1, 133-134.
2. Adult and pediatric urology. Jay Y. Gillenwater et al. eds. Year book medical publishers, Inc.
์ โรง
การประเมินผล
าส
1. การซักถามและการตอบในชั้นเรียน
2. การสอบลงกอง MCQ
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
66
31. Surgical Jaundice in Infant and children : อ.สุเมธ
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 1 ½ ชม.
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. Metabolism of billirubin
2. Anatomy of hepatobiliary system
ลร
3. Pathology and physiology of jaundice
ผ่าตัดรักษาได้ผลดี
4. บอกการรักษา พยากรณ์ของโรค และ complications ของโรคได้
5. อธิบายการดูแลเด็กที่รักษาไม่หายขาดแก่ญาติผู้ป่วยได้
ตร
าส
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1 ก่อนเข้าชั้นเรียน
ยศ
1. หลักการวินิจฉัยอาการและแยกโรคเด็กแรกคลอด ที่มีอาการ
jaundice ที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ได้แก่
คว
Biliary atresia
ภา
Biliary hypoplasia
Inspissated bile syndrome
Choledochal cyst
Spontaneous perforation of bile duct
20) สาเหตุ อาการแสดงของโรค เหตุผลที่ต้องรักษาโรคด้วยการผ่าตัด การพยากรณ์โรค
67
สื่อการสอน
1. แผ่นใสเตรียมโดยนักเรียนผูบ้ รรยาย
2. สไลด์เตรียมโดยอาจารย์ และ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
แหล่งเรียนรู้
1. O’Neill, Rowe, Grosfeld, Coran. Textbook of Pediaric Surgery , 5th ed ; Chicago:Yearbook medical
publishes,1998
2 Raffensperger JG.Swenson's Pediatric Surgery 4th ed.Norwalk,Connecticut: Appleton and Lange.
1990
3 Ashcraft, Murphy. Pediatric Surgery 3rd ed. W.B. Saunders Company. 2000
ี
บิ ด
การประเมินผล
าธ
1. สอบลงกอง
าม
2. สอบปากเปล่า
3. ซักถามขณะสอนข้างเตียง และOPD
ลร
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
68
31.1 Surgical Jaundice in Infant and children : อ.สุเมธ
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 1 ½ ชม.
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. Metabolism of billirubin
2. Anatomy of hepatobiliary system
ลร
3. Pathology and physiology of jaundice
ผ่าตัดรักษาได้ผลดี
9. บอกการรักษา พยากรณ์ของโรค และ complications ของโรคได้
10. อธิบายการดูแลเด็กที่รักษาไม่หายขาดแก่ญาติผู้ป่วยได้
ตร
าส
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
3 ก่อนเข้าชั้นเรียน
ยศ
1. หลักการวินิจฉัยอาการและแยกโรคเด็กแรกคลอด ที่มีอาการ
jaundice ที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ได้แก่
คว
Biliary atresia
ภา
Biliary hypoplasia
Inspissated bile syndrome
Choledochal cyst
Spontaneous perforation of bile duct
21) สาเหตุ อาการแสดงของโรค เหตุผลที่ต้องรักษาโรคด้วยการผ่าตัด การพยากรณ์โรค
69
สื่อการสอน
1. แผ่นใสเตรียมโดยนักเรียนผูบ้ รรยาย
2. สไลด์เตรียมโดยอาจารย์ และ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
แหล่งเรียนรู้
1. O’Neill, Rowe, Grosfeld, Coran. Textbook of Pediaric Surgery , 5th ed ; Chicago:Yearbook medical
publishes,1998
2 Raffensperger JG.Swenson's Pediatric Surgery 4th ed.Norwalk,Connecticut: Appleton and Lange.
1990
3 Ashcraft, Murphy. Pediatric Surgery 3rd ed. W.B. Saunders Company. 2000
ี
บิ ด
การประเมินผล
าธ
1. สอบลงกอง
าม
2. สอบปากเปล่า
3. ซักถามขณะสอนข้างเตียง และOPD
ลร
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
70
32. Common Problems in Hand Surgery
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 60 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar Core based lecture
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. Function anatomy of the hands.
2. Tourniquet and incision in the hand Surgery.
ลร
3. Hand edema.
4. Hand tumor.
5. Hand infections.
6. Carpal tunnel syndrome. า บา
พย
7. Trigger finger and trigger thumb.
8. De Quervain’s disease
์ โรง
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
คว
2. ในชั้นเรียน
2.1 นาเข้าสู่บทเรียน 5 นาที
2.2 ทบทวน Functional anatomy of the hands 5 นาที
2.3 การใช้ Tourniquet in hand Surgery 2 นาที
2.4 Incision in hand Surgery 3 นาที
2.5 Hand edema 3 นาที
71
2.6 Hand tumor 8 นาที
2.7 Hand infections 7 นาที
2.8 De Quervain’s disease 2 นาที
2.9 Carpal tunnel syndrome 3 นาที
2.10 Trigger finger and trigger thumb 2 นาที
2.11 Hand splint and dressing 5 นาที
2.12 สรุปการเรียนรู้ 5 นาที
2.13 ให้นักศึกษาซักถาม 10 นาที
รวม 60 นาที
สื่อการสอน
ี
บิ ด
- Computer Notebook
- เครื่อง LCD Projector 1 เครื่อง
าธ
- โปรแกรม Power Point สาหรับ presentation
าม
แหล่งเรียนรู้
ลร
1. เอกสารประกอบคาสอน เรื่อง “ปัญหาที่พบบ่อยในศัลยกรรมมือ ”
โดย รองศาสตราจารย์นายแพทย์อาทิ เครือวิทย์
2. Green’s operative hand Surgery
บา
3. ศัลยศาสตร์อุบัตเิ หตุทางมือ ศาสตราจารย์นายแพทย์วิวัฒน์ วิสุทธิโกศล บรรณาธิการ
า
พย
การประเมินผล
์ โรง
1. การสุ่มซักถามและให้นักศึกษาสาธิตในห้องเรียน ที่ห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกศัลยกรรม
และที่หอผูป้ ่วยในศัลยกรรม
2.1 MCQ
ตร
2. การสอบลงกอง :-
าส
3.1 MCQ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
72
33. Gut obstruction in children
Intestinal Obstruction II (duodenal obstruction, malrotation, midgut volvulus,
jejunoileal atresia ) อ . สาธิต
ี
บิ ด
3. midgut volvulus
4. jejunoileal atresia
าธ
าม
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ลร
ระยะเวลา 1 ½ ชม.
ความรู้พื้นฐาน
1. Development and rotation of GI tract
2. Anatomy of the intestine
ตร
าส
embryo ได้
2. อธิบายความผิดปกติของ development of duodenum ที่ทาให้เกิด duodenal obstruction ได้
3. บอก clinical presentation ของผูป้ ่วยที่มีภาวะ duodenal obstruction ได้
ศลั
b. Operative treatment
i. Duodenoduodenostomy
ii. Duodenojejunostomy
iii. Excision of web
c. Post operative care
7. บอกความผิดปกติของการ rotation ของ intestine ในระยะต่างๆของ embryo ได้
8. อธิบายการเกิด gut obstruction ใน ผู้ป่วย malrotation ได้
a. Ladd’s band
b. Midgut Volvulus
73
9. บอก clinical presentation ของผูป้ ่วย midgut volvulus ได้
10. เลือก และ แปลผลการทารังสีวินิจฉัย ที่จาเป็นสาหรับการวินิจฉัย malrotation และ midgut volvulus ได้
ได้แก่ plain film abdomen, UGI series, Barium enema, Doppler U/S
11. อธิบายหลักการของ Ladd’s procedure ได้
12. บอก complication ของ midgut volvulus ได้
13. บอก prognosis ของผู้ป่วย malrotation และ midgut volvulus ได้
14. อธิบายความผิดปกติของ development of intestine ที่ทาให้เกิด jejunoileal atresia ได้
15. บอก clinical presentation ของผูป้ ่วย jejunoileal atresia ได้
16. เลือก และ แปลผลการทารังสีวินิจฉัย ที่จาเป็นสาหรับการวินิจฉัย jejunoileal atresia ได้ ได้แก่ plain film
abdomen, UGI series, Barium enema
ี
บิ ด
17. อธิบายหลักการรักษาผู้ป่วย jejunoileal atresia ได้
a. Pre operative care : NPO, NG decompression, IV fluid
าธ
b. Operative treatment
าม
c. Post operative care
18. บอก complication ของ jejunoileal atresia ได้
ลร
19. บอก prognosis ของผู้ป่วย jejunoileal atresia ได้
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน า บา
พย
1.1ให้ผู้รบั ผิดชอบเตรียมเนื้อหาพบอาจารย์ก่อนบรรยาย
1.2 นักศึกษาทบทวนความรู้พื้นฐานที่กาหนด
์ โรง
2. ในชั้นเรียน
2.1นักศึกษาที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ดาเนินการบรรยายตามหัวข้อต่อไปนี้
1. stage ของการ development และ rotation ของ intestine ในระยะต่างๆของ embryo
ตร
4.2.1. Duodenoduodenostomy
4.2.2. Duodenojejunostomy
คว
74
10. complication ของ midgut volvulus
11. prognosis ของผูป้ ่วย malrotation และ midgut volvulus
12. ความผิดปกติของ development of intestine ที่ทาให้เกิด jejunoileal atresia
13. clinical presentation ของผูป้ ่วย jejunoileal atresia
14. Types of Jejunoileal atresia
15. การทารังสีวินิจฉัย ที่จาเป็นสาหรับการวินิจฉัย jejunoileal atresia ได้แก่ plain film abdomen, UGI series,
Barium enema
16. หลักการรักษาผู้ป่วย jejunoileal atresia
16.1. Pre operative care : NPO, NG decompression, IV fluid
16.2. Operative treatment
ี
บิ ด
16.3. Post operative care
17. complication ของ jejunoileal atresia
าธ
18. prognosis ของผูป้ ่วย jejunoileal atresia
าม
อาจารย์ช่วยเสริม และสรุปเนื้อหา รวมทั้งแสดงภาพตัวอย่างผู้ป่วย และตัวอย่างภาพรังสี
ลร
สื่อการสอน
1. เครื่อง Computer และ LCD projector พร้อมจอ
2. เครื่องฉายแผ่นใส
บา
3. โปรแกรม Powerpoint ( คาบรรยาย ภาพตัวอย่างผู้ป่วย ตัวอย่างภาพรังสี )
า
พย
แหล่งเรียนรู้
์ โรง
1 O’Neill, Rowe, Grosfeld, Coran. Textbook of Pediatric Surgery , 5th ed ; Chicago:Yearbook medical
publishes,1998
2 Raffensperger JG.Swenson's Pediatric Surgery 4th ed.Norwalk,Connecticut: Appleton and Lange.
ตร
1990
าส
3 Ashcraft, Murphy. Pediatric Surgery 3rd ed. W.B. Saunders Company. 2000
ยศ
การประเมินผล
1. โดย Direct Observation และการซักถามในชั้นเรียน
ศลั
ชิ า
คว
ภา
75
34. Gut obstruction in children
Intestinal Obstruction III ( Hirschsprung’s disease, anorectal malformation) :
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ี
บิ ด
ผู้รับผิดชอบ อ.สุเมธ ธีรรัตน์กุล
าธ
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
าม
ความรู้พื้นฐาน
ลร
1. Embryology of intestinal development
2. Embryology of neural crest migration
3. Physiology of bowel movement and defecation
า บา
พย
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถ
์ โรง
1. Diagnose and differential diagnose Hirschsprung’s disease from other causes of intestinal obstruction in
newborn and children
2. Tell the steps of investigation and management of patient with Hirschsprung’s disease
ตร
3. Tell the supportive and specific management of patient with Hirschsprung’s disease
าส
พัฒนาพร้อมกัน ซึ่งอาจมีความผิดปกติร่วมด้วย
6. อธิบายสรีระของความผิดปกติของรูทวารหนัก เปรียบเทียบกับเด็กปกติ
7. อธิบายขั้นตอนการขับถ่ายอุจจาระและบอกชื่อกล้ามเนื้อที่มคี วามสาคัญในการกลั้นอุจจาระได้
ศลั
แสดง
9. บอกการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อแยกระดับความผิดปกติของทวารหนัก และความผิดปกติอวัยวะอื่น
คว
และเวลาที่เหมาะสมในการส่งตรวจ
ภา
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
76
1.1 ให้ผู้รบั ผิดชอบเตรียมเนื้อหาพบอาจารย์ก่อนบรรยาย
1.2 ให้ผเู้ รียนเตรียมอ่านเนื้อหาเตรียมคาถาม
2. ในชั้นเรียน
นักเรียนบรรยาย
1. Physiology of intestinal movement and defecation under control of autonomic and somatic nervous
system
2. อาการของเด็กแรกคลอด และเด็กโตที่ลาไส้อุดตัน
3. Differential diagnosis of neonatal intestinal obstruction
4. Supportive management of Hirschsprung’s disease
ี
บิ ด
5. Specific management of Hirschsprung’s disease
6. Embryology of anorectal development
าธ
7. Anatomy of anorectal canal
าม
8. Physiology of defication
9. Anorectal malformation
ลร
a. Supravator type
b. Infralevator type
10. Complication of rectourinary fistula
บา
11. Choice for colostomy locations and surgical technique for anorectoplasty.
า
พย
12. Postoperative care and follow up
อาจารย์ช่วยเสริม และสรุปเนื้อหา รวมทั้งแสดงภาพตัวอย่างผู้ป่วย
์ โรง
สื่อการสอน
1. แผ่นใสเตรียมโดยนักเรียนผูบ้ รรยาย
ตร
แหล่งเรียนรู้
ยศ
3 Ashcraft, Murphy. Pediatric Surgery 3rd ed. W.B. Saunders Company. 2000
คว
การประเมินผล
ภา
1. สอบลงกอง
2. สอบปากเปล่า
77
35. Abdominal Wall defect :
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. embryology : development of abdominal wall
ลร
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถ
1. อธิบาย development of abdominal wall ได้
2. นิยาม Omphalocele และ Gastroschisis ได้
3. บอกสาเหตุการเกิด omphalocele และ gastroschisis ได้
า บา
พย
4. บอกวิธีการวินิจฉัย abdominal wall defect ในระยะก่อนคลอดได้
a. Prenatal ultrasound
์ โรง
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1. นักศึกษาทบทวน embryology เรื่อง development of abdominal wall
1.2. ให้ผู้รบั ผิดชอบเตรียมเนื้อหาพบอาจารย์ก่อนบรรยาย
2. ในชั้นเรียน
นักศึกษาที่ได้รับมอบหมาย เป็นผูด้ าเนินการบรรยายตามหัวข้อต่อไปนี้
1. Embryology ของการ form abdominal wall
2. สาเหตุของการเกิด Omphalocele และ Gastroschisis
78
3. Diagnosis of abdominal wall defect : prenatal , postnatal
4. Differentiation between omphalocele and gastroschisis
5. Associated anomalies of omphalocele and gastroschisis
6. Preoperative management of abdominal wall defect
7. Operative management of abdominal wall defect
8. Postoperative care of abdominal wall defect
9. Non-operative management of abdominal wall defect
10. Complications of abdominal wall defect
11. Prognosis of abdominal wall defect
อาจารย์ช่วยเสริม และสรุปเนื้อหา รวมทั้งแสดงภาพตัวอย่างผู้ป่วย
ี
บิ ด
สื่อการสอน
าธ
1. เครื่อง Computer และ LCD projector พร้อมจอ
าม
2. เครื่องฉายแผ่นใส
3. โปรแกรม Powerpoint ( คาบรรยาย ภาพตัวอย่างผู้ป่วย ตัวอย่างภาพรังสี )
ลร
แหล่งเรียนรู้
medical publishes,1998 า บา
1 O’Neill, Rowe, Grosfeld, Coran. Textbook of Pediatric Surgery , 5th ed ; Chicago:Yearbook
พย
2 Raffensperger JG.Swenson's Pediatric Surgery 4th ed.Norwalk,Connecticut: Appleton and Lange.
1990
์ โรง
3 Ashcraft, Murphy. Pediatric Surgery 3rd ed. W.B. Saunders Company. 2000
การประเมินผล
ตร
79
36. Urinary tract infection
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 60 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. กายวิภาคของระบบทางเดินปัสสาวะทั้งหญิงและชาย
1. ชนิดของเชื้อแบคทีเรีย ที่มักจะทาให้เกิดโรคติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ ทางด้าน
ลร
1.1 Normal flora
1.2 Invasiveness
กรัมลบ
1.3 Antibiotic sensitivity
กรัมบวก
า บา
พย
E.coli Staph. Aureus
Prot. mirabilis Staph. epidermidis
์ โรง
2.1 Quinolone
2.2 Sulfa
ยศ
2.3 Penicillin
2.4 Cephalosporin
3. การแปลผลการตรวจปัสสาวะ
ศลั
3.1 วิธีเก็บปัสสาวะส่งตรวจที่ถูกต้อง
ชิ า
4. อาการและอาการแสดงของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและกลไกการเกิด
ภา
80
2.1 ทางรังสีวิทยา (plain KUB, IVP, ultrasonography)
2.2 ทางห้องปฏิบัติการ (UA, urine C/S, urine gram stain, AFB C/S and gram stain, urine
PCR for TB)
3. ระบุอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนบนและส่วนล่างและอธิบายกลไก
การเกิด
4. วินิจฉัยแยกโรคและวินจิ ฉัยภาวะติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะได้อย่างถูกต้อง ดังนี้
4.1 การติดเชื้อแบบไม่เฉพาะเจาะจง (non-specific infection)
- Pyelonephritis
- Pyonephrosis
- Xanthogranulomatous pyelonephritis
ี
บิ ด
- Renal abscess
- Perinephric abscess
าธ
- Cystitis
าม
- Epididymo-orchitis
- Prostatitis
ลร
- Urethritis *
4.2 การติดเชื้อแบบเฉพาะเจาะจง (specific infection)
- Tuberculosis
- Candidiasis า บา
พย
5. ระบุเชื้อที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะทั้งเจาะจงและไม่เฉพาะเจาะจง
6. เลือกใช้ยาปฏิชีวะนะที่เหมาะสมได้อย่างถูกต้อง
์ โรง
7. อธิบายหลักการรักษาภาวะติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะเบื้องต้น โดยจาแนกภาวะที่จาเป็นต้องให้
การรักษาโดยวิธีทางยาหรือทางศัลยกรรม อันได้แก่
7.1 การแก้ไขภาวะอุดกั้นของระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น suprapubic cystostomy, stone
ตร
removal, catherization
าส
8. ประเมินขีดความสามารถของตนเอง ปรึกษาและส่งต่อคนไข้มารับการรักษาทางศัลยกรรมต่อไป
9. ระบุ วินิจฉัยและอธิบายหลักการรักษาภาวะปัสสาวะบ่อยเรื้อรังได้อย่างเป็นขั้นตอน ได้แก่
interstitial cystitis, TB cystitis, recurrent bacterial cystitis, urethral syndrome
ศลั
เพื่อป้องกันการลุกลามของโรค อันมีผลเสียต่อการทางานของไต
11. ตระหนักความรู้สึก สภาพจิตใจ และผลกระทบต่อวิถีชีวิตและการทางานของคนไข้และญาติที่มี
คว
อาการปัสสาวะบ่อยเรื้อรัง
ภา
* เรียนเพิ่มเติมในหน่วยโรคผิวหนังและทางนรีเวชวิทยา
81
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 นักศึกษาทบทวนกายวิภาคของระบบทางเดินปัสสาวะและการแปลผลการตรวจปัสสาวะ
1.2 ศึกษาเอกสารประกอบการสอนเรื่อง Urinary Tract Infection (จากแหล่งเรียนรูข้ ้อ 1)
2. ในชั้นเรียน
2.1 นาเข้าสู่บทเรียน 1 นาที
2.2 ทบทวนความรู้พื้นฐานเรื่องกายวิภาคและแบคทีเรีย 4 นาที
2.3 ฉายสไลด์ชนิดของการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ 5 นาที
2.4 ฉายสไลด์การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบน 20 นาที
2.5 สรุปการเรียนรู้เรื่องการติดเชือ้ ระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบน 2 นาที
ี
บิ ด
2.6 ฉายสไลด์การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง 20 นาที
2.7 สรุปการเรียนรู้เรื่องการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง 2 นาที
าธ
2.8 ให้นักศึกษาซักถามและแจ้งให้เรียนรู้ด้วยตนเองในหัวข้อที่ไม่ได้สอน 6 นาที
าม
รวม 60 นาที
ลร
สื่อการสอน
1. เอกสารประกอบการสอนเรื่อง Urinary Tract Infection
2. Slides และเครื่องฉาย slide า บา
พย
3. Computer และ projector
์ โรง
แหล่งเรียนรู้
1. สมบุญ เหลืองวัฒนากิจ การติดเชือ้ ของระบบทางเดินปัสสาวะ. ใน: สาวิตร โฆษิตชัยวัฒน์
บรรณาธิการ. ตาราศัลยศาสตร์รามาธิบดี เล่ม 2. กรุงเทพฯ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาล
ตร
5. วีระสิงห์ เมืองมั่น วชิร คชการ การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ใน: ไพฑูรย์ คชเสนีย์, กฤษฎา รัตน
ชิ า
การประเมินผล
1. จากการซักถามและการตอบในชั้นเรียน
2. จากการซักถามและการตอบในกลุ่มเรียนย่อย (preceptor)
3. จากการสอบลงกอง MCQ
4. จากการสอบรวบยอด MCQ และ OSCE
82
38. Common acute surgical abdomen in pediatric patients
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 1 ½ ชม.
ี
บิ ด
ผู้รับผิดชอบ อ.วิชัย พันธ์ศรีมังกร
าธ
าม
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
ลร
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถ
1. บอกโรคที่พบบ่อย และวิธีการแยกโรคต่างๆในผู้ป่วย acute abdomen
2. บอก pathophysiology ของการเกิด NEC ได้
3. บอก incidence และ stage ต่างๆ ของ NEC ได้ า บา
พย
4. บอกอาการแสดงและการตรวจพบทางร่างกายที่สาคัญในการวินิจฉัย NEC ได้
5. บอกหลักการวินิจฉัย รักษา การติดตามผลการรักษา โดยใช้ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การใช้รังสี
์ โรง
83
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
2. ในชั้นเรียน
นักศึกษาที่ได้รับมอบหมาย เป็นผูด้ าเนินการบรรยายตามหัวข้อต่อไปนี้
1. History taking in pediatric patients with acute abdomen
2. Physical examination
3. Etiology and risk factors of NEC
4. Clinical presentation NEC
5. Diagnosis, investigation and staging of NEC
6. Indications for operation in NEC
ี
บิ ด
7. Treatment for NEC : non-operative treatment, operative treatment
8. Result and prognosis of NEC
าธ
9. นิยาม ภาวะ Intussusception
าม
10. Incident และ กลุ่มอายุผู้ป่วยที่เป็น Intussusception
11. leading points eg. polyp, lymphoma, intestinal duplication
ลร
12. อาการแสดงและการตรวจพบทางร่างกายที่สาคัญในผู้ป่วย Intussusception
13. Initial management for patient suspected of Intussusception
บา
14. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และหรือการใช้รังสีวินิจฉัย เช่น plain film abdomen, ultrasonography,
Barium enema เพื่อช่วยแยกโรคได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และประหยัด
า
พย
15. หลักการ และวิธีทา Barium enema เพื่อ reduce Intussusception
16. contraindication of Barium enema ในผู้ป่วย Intussusception
์ โรง
สื่อการสอน
ชิ า
แหล่งเรียนรู้
1 O’Neill, Rowe, Grosfeld, Coran. Textbook of Pediaric Surgery , 5th ed ; Chicago:Yearbook medical
publishes,1998
2 Raffensperger JG.Swenson's Pediatric Surgery 4th ed.Norwalk,Connecticut: Appleton and Lange.
1990
3 Ashcraft, Murphy. Pediatric Surgery 3rd ed. W.B. Saunders Company. 2000
การประเมินผล
1. โดย Direct Observation และการซักถามในชั้นเรียน
2.โดยการสอบ MCQ เมื่อลงกอง
84
39. Diaphragmatic hernia and GER : อ.วิชัย พ.
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 1½ ชม.
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. Embryology of the Diaphragm development
2.Physiology of stomach function
ลร
3.Anatomy of diaphragm , esophagus ,and stomach
4. บอกหลักการรักษาไส้เลื่อนกระบังลม
5. บอกปัจจัยทีเ่ กี่ยวข้องกับการพยากรณ์โรคไส้เลื่อนกระบังลมได้
6. นิยาม gastroesophageal reflux ( GER)
ตร
7. บอกอาการและอาการแสดงของผู้ป่วย GER
าส
monitoring, esophagogastroscope
10. อธิบายวิธีการรักษา GER
10.1. Medical treatment : feeding position, thicken meal, continuous feeding, medications
ศลั
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1นักศึกษาทบทวน embryology เรื่อง development of abdominal wall
1.2ให้ผู้รบั ผิดชอบเตรียมเนื้อหาพบอาจารย์ก่อนบรรยาย
ในชั้นเรียน
นักศึกษาที่ได้รับมอบหมาย เป็นผูด้ าเนินการบรรยายตามหัวข้อต่อไปนี้
1. Embryology of diaphragm and consequence of pathophysiology of hypoplastic lung
85
2. Clinical manifestation of diaphragmatic hernia
3. Pre and post- operative management of Bochdalek type diaphragmatic hernia
4. Fetal surgery for congenital diaphragmatic hernia
5. Prognosis of patient with diaphragmatic hernia
6. นิยาม gastroesophageal reflux ( GER)
7. อาการและอาการแสดงของผู้ป่วย GER
8. diffferential diagnosis ของ GER
9. investigation ที่ใช้ในการวินจิ ฉัย GER เช่น Barium swallow, milk scan, 24 hr. pH monitoring,
esophagogastroscope
10. วิธีการรักษา GER
ี
บิ ด
a. Medical treatment : feeding position, thicken meal, continuous feeding, medications
b. Operative treatment : fundoplication
าธ
11. indication of fundoplication
าม
12. complication ที่พบบ่อยหลังทา fundoplication : Esophageal stricture, recurrent GER, Bleeding, splenic
injury, gut obstruction from adhesion band
ลร
13. prognosis ของผูป้ ่วย GER
อาจารย์ช่วยเสริม และสรุปเนื้อหา รวมทั้งแสดงภาพตัวอย่างผู้ป่วย
สื่อการสอน า บา
พย
1. เครื่อง Computer และ LCD projector พร้อมจอ
2. เครื่องฉายแผ่นใส
์ โรง
แหล่งเรียนรู้
ตร
1 O’Neill, Rowe, Grosfeld, Coran. Textbook of Pediaric Surgery , 5th ed ; Chicago:Yearbook medical
าส
publishes,1998
2 Raffensperger JG.Swenson's Pediatric Surgery 4th ed.Norwalk,Connecticut: Appleton and Lange.
ยศ
1990
3 Ashcraft, Murphy. Pediatric Surgery 3rd ed. W.B. Saunders Company. 2000
ศลั
การประเมินผล
ชิ า
86
40. Facial injury
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 50 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar Core based lecture
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. Mechanism of facial injuries
2. Diagnosis of facial injuries
ลร
- soft tissue injuries
- facial bone fracture
3. First aid and initial management of facial injuries
บา
4. General principle of surgical management of facial injuries
า
พย
5. Prevention of facial injuris in the community
์ โรง
3.สามารถให้ first aids และ initial management ในผูป้ ่วย facial injuries เบื้องต้นได้
าส
ได้
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
ศลั
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
ชิ า
(bedside teaching)
2. ในชั้นเรียน
2.1 อธิบาย Mechanism of facial injuries
2.2 อธิบายลักษณะ facial injuuries ชนิดต่างๆ
- soft tissue injuries
- facial bone fractures
2.3 แนวทางการตรวจร่างกายและการวินิจฉัยใน facial injuries ชนิดต่างๆ
2.4 หลักการของ first aids and initial management ในผูป้ ่วย facial injuries
2.5 หลักการของ surgical management ในผูป้ ่วย facial injuries
87
2.6 สุ่มนักศึกษาให้ตอบแนวทางการวินิจฉัยและตรวจดูแลเบื้องต้นในผูป้ ่วย
facial injuries แบบต่างๆ
2.7 แนวทางการให้ความรู้แก่ประชาชนในการป้องกันและดูแลตัวเองหลังจากได้รับ
บาดเจ็บบริเวณใบหน้า
2.8 สรุปการเรียนรู้
2.9 ให้นักศึกษาซักถาม
สื่อการสอน
- เครื่อง LCD Projector
- เครื่องฉาย slide
ี
บิ ด
แหล่งเรียนรู้
าธ
- เอกสารคาสอนเรื่อง “facial injuries” โดย นายแพทย์สุรเวช น้าหอม
าม
- Sabiston is Textbook of Surgery
- Schwartz’s principle of Surgery
ลร
การประเมินผล
(bedside teaching) า บา
1. จากการสุ่มซักถามและให้นักศึกษาสาธิตการตรวจร่างกายขณะดูผปู้ ่วยข้างเตียง
พย
2. การสอบลงกอง :-
2.1 MCQ
์ โรง
3.2 OSCE
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
88
41. Common Ambulatory Pediatric Surgical Problems
( Inguinal Hernia , hydrocele, phimosis, undescended testis , torsion of testis) :
ี
บิ ด
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
าธ
ระยะเวลา 1 ½ ชม.
าม
ผู้รับผิดชอบ อ. ศนิ มลกุล
ลร
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
ความรู้พื้นฐาน า บา
พย
1. Development and migration of testis
2. Anatomy of inguinal canal
์ โรง
6. อธิบายภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในแต่ละโรค และอธิบายหลักการรักษาภาวะแทรกซ้อนนั้นๆได้
ได้แก่
6.1 Incacerated and strangulated hernia
6.2 paraphimosis
7. อธิบายภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการผ่าตัดรักษาโรคที่กาหนดได้
89
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 นักศึกษาทบทวน embryology เกี่ยวกับ development and migration of testis
1.2 นักศึกษาทบทวน anatomy of inguinal canal
1.3 ให้ผู้รบั ผิดชอบเตรียมเนื้อหาพบอาจารย์ก่อนบรรยาย
ในชั้นเรียน
นักศึกษาที่ได้รับมอบหมาย ดาเนินการสัมนาในหัวข้อต่อไปนี้ โดยมีอาจารย์ช่วยสรุปและแสดงภาพตัวอย่าง
ผู้ป่วย
Inguinal hernia and hydrocele
ี
บิ ด
Definition , Embryology and pathogenesis
Incidence: concerning side, sex
าธ
Clinical presentation and physical examination
าม
Differential diagnosis
Investigations
ลร
Treatment : principle and timing of surgery
: Indications for contralateral exploration
: complications of surgery
บา
Complication of inguinal hernia : Incarcerated and strangulated hernia : diagnosis and management
า
พย
Undescended testis
Review of development and migration of testis
์ โรง
Incidence
ชิ า
Pathogenesis
Clinical presentation : History and Physical examination
คว
Investigations
Treatment : Scrotal exploration, contralateral orchidopexy
Phimosis
Normal physiology of prepuce
Definition of phimosis
Complications of phimois
Circumcision : Indications and complications
Paraphimosis : definition and treatment
90
สื่อการสอน
1. เครื่อง Computer และ LCD projector พร้อมจอ
2. เครื่องฉายแผ่นใส
3. โปรแกรม Powerpoint ( คาบรรยาย ภาพตัวอย่างผู้ป่วย ตัวอย่างภาพรังสี )
แหล่งเรียนรู้
1 O’Neill, Rowe, Grosfeld, Coran. Textbook of Pediaric Surgery , 5th ed ; Chicago:Yearbook medical
publishes,1998
2 Raffensperger JG.Swenson's Pediatric Surgery 4th ed.Norwalk,Connecticut: Appleton and Lange.
1990
ี
บิ ด
3 Ashcraft, Murphy. Pediatric Surgery 3rd ed. W.B. Saunders Company. 2000
าธ
การประเมินผล
าม
1. โดย Direct Observation และการซักถามในชั้นเรียน
2.โดยการสอบ MCQ เมื่อลงกอง
ลร
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
91
42. Burns
เรื่อง Burns
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 50 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar Core based lecture
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. Pathophysiology of burns
2. การประเมิน burn wound depth
ลร
4. แนวทางการดูแลผู้ป่วยเบื้องต้น
- Estimate burn severity
- Initial fluid resuscitation and monituring
- Burn wound care า บา
พย
- Pain contral
- Nutrition support
์ โรง
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
ชิ า
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 นักศึกษาอ่านทบทวนเรื่อง “burns” ตามเอกสารประกอบคาสอนและตาราที่อ้างอิงไว้
คว
1.2 นักศึกษาได้มีโอกาสดูผู้ป่วยไฟไหม้น้าร้อนลวก
ภา
2. ในชั้นเรียน
2.1 อธิบาย Pathophysiology of Burns
2.2 อธิบายลักษณะ burn wound และการประเมิน burn area
2.3 แนวทางการดูแลผู้ป่วยเบื้องต้น
2.4 ขั้นตอนในการดูแลรักษาผู้ปว่ ย
- การซักประวัติ การตรวจร่างกาย ประเมิน burn severity
2.5 หลักการของ Fluid resuscitation และ Monitoring
- Parkland’s Formula
2.6 การดูแล burn wound
92
- Topical Antibiotic
- Wound dressing
- Surgical management
2.7 การดูแลด้านอื่น
- Pain Control
- Nutrition Support
- Antibiotic
- Tetanus prophylaxis
2.8 ลักษณะของ Inhalation injuries, chemical injuries, และ electrical injuries
2.9 การดูแลผลแทรกซ้อนของ burn ในระยะหลัง
ี
บิ ด
2.10 สรุปการเรียนรู้
2.11 ให้นักศึกษาซักถาม
าธ
าม
สื่อการสอน
- เครื่อง LCD Projector
ลร
แหล่งเรียนรู้
การประเมินผล
1. จากการซักถามนักศึกษาระหว่าง bedside techingในห้องตรวจผู้ป่วยนอก ตึกผู้ป่วยใน
2. การสอบลงกอง :-
ตร
2.1 MCQ
าส
3.2 MCQ
3.2 OSCE
ศลั
ชิ า
คว
ภา
93
43. Principle of trauma management
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 1 ชั่วโมง
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Lecture
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. กลไกของการบาดเจ็บชนิดต่างๆ ตลอดจนผลการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและพยาธิวิทยาในผู้ป่วย
2. หลักการ approach ผู้ป่วยที่ได้รบั บาดเจ็บตั้งแต่การเริ่มประเมินและแนวทางการวินิจฉัย
ลร
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถ
เมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน นักศึกษาแพทย์ปที ี่ 4 สามารถ
บา
1. เข้าใจกลไกและปัจจัยเกื้อหนุนการเกิดอุบัติเหตุ ตลอดจนการป้องกันและลดความรุนแรงของการเกิด
า
พย
อุบัติเหตุ
2. เข้าใจหลักการประเมินและดูแลผู้ป่วยที่ได้รบั อุบตั ิเหตุในขั้นต้นและรู้ถึงแนวการรักษาภาวะวิกฤตินี้
์ โรง
ในเบื้องต้น
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
ตร
1.1 ทบทวน
าส
2. ในชั้นเรียน
2.1 อธิบายปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดการบาดเจ็บและวิธีการป้องกันหรือลดความรุนแรงของการบาดเจ็บนั้น
ยศ
ดังนี้
- ปัจจัยของตัวผู้ป่วย
- alcohol / drug
ศลั
- penetrating injury
ภา
- falling
2.3 อธิบายขั้นตอนการดูแลรักษาและประเมินผูป่ วยที่ได้รบั บาดเจ็บและเน้นการดูแลในระยะวิกฤติ
เบื้องต้น ดังนี้
- step in trauma approach - primary survey
- resuscitation
- secondary survey
- investigation
- definite treatment
2.4 หลักการและแนวทางการรับปัญหา mass cansualty
94
สื่อการสอน
1. คอมพิวเตอร์และโปรแกรม Power point presentation
2. เครื่อฉายภาพจากจอคอมพิวเตอร์
แหล่งเรียนรู้
1. Text book : Trauma
การประเมิน
1. ซักถามในชั้นเรียน
2. การสอบลงกอง MCQ
ี
บิ ด
าธ
าม
ลร
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
95
44. Thyroid disease
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ผู้รับผิดชอบ
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Lecture Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
3. กายวิภาคและ สรีระวิทยาของต่อมไธรอยด์
ลร
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถ
เมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน นักศึกษาแพทย์ปที ี่ 4 สามารถ
1. ระบุอาการของภาวะ
1.1 Hypothyroidism า บา
พย
1.2 Hyperthyroidism
1.3 Goiter
์ โรง
2. ระบุและตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคไธรอยด์ชนิดต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
าส
3. เลือกส่งและแปลผลการตรวจเพิ่มเติมเพื่อการวินิจฉัยดังนี้
3.1 Thyroid function test
ยศ
4. วินิจฉัยโรคทางต่อมไธรอยด์หรือสามารถส่งต่อผู้ป่วยที่สงสัยโรคดังนี้ได้
ชิ า
4.1 Hypothyroidism
4.1.1 Hashimoto’s thyroiditis
คว
4.2 Hyperthyroidism
4.2.1 Grave’s disease
4.2.2 Toxic nodule or toxic adenoma
4.2.3 Toxic multinodular goiter
4.3 Goiter
4.3.1 Benige Goiter
4.3.2 Malignant Goiter
5. อธิบายหลักการรักษาโรคของต่อมไธรอยด์ได้ดังนี้
5.1 Medical Treatment
96
5.2 Radioactive iodine
5.3 Operation Treatment
6. ตระหนักถึงความสาคัญในการให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับการป้องกันไม่ให้เกิดโรคไธรอยด์ พร้อมทั้ง
แนะนาอาการให้ต่อประชาชน เพือ่ มาพบแพทย์ตั้งแต่แรกเริ่มของอาการผิดปกติซึ่งอาจเป็นโรคทางไธรอยด์
ได้
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 นักศึกษาทบทวนกายวิภาคและ สรีระวิทยาของต่อมไธรอยด์
2. ในชั้นเรียน
ี
บิ ด
2.1 แนะนาปัญหาเกี่ยวกับโรคของ thyroid ในทางคลินิก
2.2 นาเสนอผู้ป่วย thyrotoxicosis
าธ
2.3 บรรยายอาการของ thyrotoxicosis และการประยุกต์ใช้ในผูป้ ่วย
าม
2.4 บรรยายอาการตรวจพบของผูป้ ่วย thyrotoxisis และการประยุกต์ใช้ในผูป้ ่วย
2.5 อธิบายการทดสอบทางห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจการทางานของต่อม thyroid
ลร
2.6 แนวทางการรักษา thyrotoxicosis
2.7 นาเสนอผู้ป่วย hypothyroidism
บา
2.8 บรรยายอาการของ hypothyroidism และการประยุกต์ใช้ในผู้ปว่ ย
2.9 บรรยายอาการตรวจพบของผูป้ ่วย hypothyroidism และการประยุกต์ใช้ในผูป้ ่วย
า
พย
2.10 แนวทางการรักษา hypothyroidism
2.11 นาเสอนผู้ป่วย solitary thyroid nodule
์ โรง
สื่อการสอน
1. คอมพิวเตอร์เพื่อ Power point presentation
ยศ
2. เครื่อฉายภาพจากจอคอมพิวเตอร์
3. เลเซอร์พอยด์เตอร์ (Laser Pointer)
ศลั
แหล่งเรียนรู้
ชิ า
97
45. Soft Tissue Infection
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4
ระยะเวลา 90 นาที
ี
บิ ด
นพ.รณรัฐ สุวิกะปกรณ์กุล
าธ
กิจกรรมการเรียนการสอน Seminar
าม
ความรู้พื้นฐาน
ลร
1. ความรู้ทาง Microbilology, Immunology และ Pharmacology of antibiotic
2. Anatomy of Musculoskeleton System
3. Histology of Soft Tissue
4. หลักการซักประวัติและตรวจร่างกายของ Skin and Soft Tissue
า บา
พย
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
์ โรง
เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถ
1. ระบุนิยามของ Medical Soft Tissue Infection ได้แก่ Cellulitis Erysipelas, Impetigo, Folliculitis
Staphylocoucal Scalded Skin Syndrome, Lymphangitis Echyma
ตร
2. ระบุนิยามของ Surgical Soft Tissue Infection ได้แก่ Subcutaneous Abscess, Necrotizing Soft Tissue
าส
7. ตระหนักถึงความสาคัญของการให้ความรู้ความเข้าใจถึงสาเหตุของโรค การรักษาและพยากรณ์โรคกับ
ชิ า
ผู้ป่วยและญาติ
8. ประเมินขีดความสามารถในการดูแลผู้ป่วยด้วยตนเองและส่งต่อผูเ้ ชี่ยวชาญได้ถูกต้องและเหมาะสม
คว
ภา
การจัดประสบการการเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 นักศึกษาทบทวนความรู้พื้นฐานก่อนเข้าชั้นเรียน
1.2 ศึกษาเอกสารประกอบการเรียนรู้ล่วงหน้า
2. ในชั้นเรียน
2.1 นาเข้าสู่บทเรียน 10 นาที
2.2 Medical Soft Tissue Infection 30 นาที
2.3 Surgical Soft Tissue Infection 30 นาที
2.4 สรุปบทเรียนการเรียนรู้ 10 นาที
98
2.4 ให้นักศึกษาซักถามและแจ้งให้เรียนรูด้ ้วยตนเองในวัตถุประสงค์ที่ไม่ได้สอน 10 นาที
รวมเวลา 90 นาที
3. หลังชั้นเรียน
ศึกษาเอกสารเพิ่มเติม
สื่อการสอน
1. เครื่องฉายภาพจากคอมพิวเตอร์ (Projector)
2. คอมพิวเตอร์
แหล่งเรียนรู้
ี
บิ ด
1. เอกสารประกอบการเรียนรู้ เรือ่ ง “Soft Tissue Infection”
2. ตาราเรื่อง Principle of Surgery, Schwartz 7th edition Vol. 1
าธ
3. ตาราเรื่อง Principle and Practice of Infectious Diseases, Mandell, 5th edition
าม
การประเมินผล
ลร
1. การซักถาม และตอบในชั้นเรียน
2. สังเกตและประเมินผลระหว่างปฏิบตั ิงานในภาควิชาอายุรศาสตร์และศัลยศาสตร์
3. การสอบลงกอง MCQ, MEQ หรือ OSCE
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
99
46. Principle of Organ Transplantation
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 1 ชั่วโมง
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. ความรู้พื้นฐานทางด้านอิมมูโนโลยี ทีเซลล์ ภูมิคุ้มกัน
2. ความรู้พื้นฐานทางด้านสรีรวิทยาของไต
ลร
3. ความรู้พื้นฐานทางด้านการวิภาคของไตและหลอดเลือดใหญ่บริเวณท้องน้อย
4. ความรู้พื้นฐานความรู้พื้นฐานทางด้านโรคไต ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย การฟอกเลือด
วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ า บา
พย
1. นิยามของการปลูกถ่ายอวัยวะ
2. อธิบายถึงความสาเร็จและความจาเป็นของการปลูกถ่ายอวัยวะ
์ โรง
3. อธิบายถึงความสาคัญและหลักการของระบบอิมมูโนโลยีทเี่ กี่ยวข้องกับการปลูกถ่ายอวัยวะในด้าน
3.1 ชนิดของเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่ปลูกถ่าย
3.2 HLA
ตร
3.4 ยากดภูมิคุ้มกันที่ใช้บ่อย
4. อธิบายถึงความสาคัญและหลักการของการบริจาคอวัยวะซึ่งครอบคลุมสาระสาคัญ
ยศ
4.4 เทคนิคการดูแลและผ่าตัดนาอวัยวะออกจากผู้บริจาคโดยสังเขป
ชิ า
5. อธิบายถึงความสาคัญและหลักการของการผ่าตัด ปลูกถ่ายไตโดยสังเขป
6. อธิบายถึงความสาคัญและหลักการของภาวะแทรกซ้อนในการปลูกถ่ายอวัยวะในด้าน
คว
6.1 ด้านศัลยกรรม
ภา
6.2 ด้านอายุรกรรม
6.3 ด้านผลข้างเคียงจากยากดภูมิคุ้มกัน
7. อธิบายถึงผลสาเร็จของการปลูกถ่ายอวัยวะทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
8. อธิบายถึงอุปสรรคในการปลูกถ่ายอวัยวะในด้านการแพทย์ สังคม และความเข้าใจของประชาชน
9. จริยธรรมในการปลูกถ่ายอวัยวะ
10. ระเบียบข้อบังคับของแพทยสภาว่าด้วยเรื่องการปลูกถ่ายอวัยวะ
11. ตัวอย่างคนไข้ในวิชาชีพต่างๆที่ประสพผลสาเร็จในการปลูกถ่ายไต ตัวอย่างในด้าน
-การทางาน
-การเดินทางไกล
100
-การรับประทานอาหาร
-การออกกาลังกาย
-การมีครอบครัว
-การมีชีวิตที่ยืนยาว
-การดารงชีวิตเหมือนคนปกติ
12. การรณรงค์เพื่อเพิ่มจานวนผู้บริจาคอวัยวะ
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1ทบทวนกายวิภาค สรีรวิทยาของไต
ี
บิ ด
1.2ทบทวนความรู้พื้นฐานทางด้านอิมมูโนโลยี
2. ในชั้นเรียน
าธ
2.1 อธิบายคานิยามของการปลูกถ่ายอวัยวะ
าม
2.2 อธิบายคานิยามของภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวข้องกับการปลูกถ่ายอวัยวะ HLA
2.3 อธิบายคานิยามของการปฏิเสธการปลูกถ่าย
ลร
2.4 อธิบายคานิยามของผูบ้ ริจาคอวัยวะชนิดต่างๆ
2.5 อธิบายเทคนิคการผ่าตัดนาอวัยวะต่างๆออกจากผู้บริจาค
สมองตาย า บา
2.6 อธิบายถึงคุณลักษณะของสภาวะการตาย สมองตาย เกณฑ์การตรวจและวินิจฉัยสภาวะ
พย
2.7 อธิบายถึงหลักการในการดูแลผู้บริจาคอวัยวะที่เสียชีวิตก่อนการบริจาคอวัยวะ
2.8 อธิบายถึงข้อบงชี้ของการปลูกถ่ายอวัยวะ การปลูกถ่ายไต
์ โรง
2.9 อธิบายถึงเทคนิคการปลูกถ่ายไต
2.10 อธิบายถึงยากดภูมิคุ้มกันชนิดต่างๆ กลไกการทางานและผลข้างเคียง
2.11 อธิบายถึงผลแทรกซ้อนของการปลูกถ่ายอวัยวะ
ตร
2.12 อธิบายถึงจริยธรรมทัศนคติที่ดีที่ถูกต้องต่อการปลูกถ่ายอวัยวะ
าส
สื่อการสอน
ยศ
แหล่งการเรียนรู้
1. เอกสารประกอบการสอนเรื่อง Organ transplantation โดย อ. โสภณ จิรสิริธรรม
คว
การประเมินผล
1. จากการตอบข้อซักถามของนักศึกษาในระหว่างชั้นเรียน
2. MCQ examination ก่อนลงจากหน่วยศัลยกรรมทั่วไป
101
47. Animal Bites
สาหรับ : นักศึกษาแพทย์ปี 4
ระยะเวลา : 50 นาที
ี
บิ ด
ความรู้พื้นฐาน (Basic Knowledge)
าธ
1. Microbiology of bite wound
าม
2. Infections and other complications of wound
3. Principle of wound care and wound healing
ลร
a. Type of wound closure
b. Mechanism involved in wound healing
c. Phases of healing
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : า บา
พย
To understand the microbiology involved, the associated soft tissue injury, and the overall
evaluation and management of the individual bites.
์ โรง
1. In general
A Mechanism
1. Direct injury
ตร
2.Indirect injury
าส
B. Bacteria contamination
1. Types of animal
ยศ
2. Location of bites
C. Rabies
D. Tetanus
ศลั
E. Toxin
ชิ า
B. Wound assessment
ภา
102
F. Tetanus prophylaxis
1. Active
2. Passive
2. Human Bites
A. Bacteriology of human mouth
B. Choice of prophylactic antibiotic
C. Wound care (actual bite wounds VS clenched-fist injuries)
1. Examination
2. Wound management
a. lrrigation
ี
บิ ด
b. Debridement
c. Wound closure
าธ
d. Wound immobilized and elevated
าม
3. Snake Bites
A. Fang (เขี้ยวงู) 3types
ลร
1. ชนิดพับเก็บไม่ได้, อยู่ด้านหน้าของกราม, สั้น 3 มม.ได้แก่
เขี้ยวงูเห่า, งูจงอาง, งูในตระกูล Elapidae
1. Neurotoxin
2. Hemototoxin
3. Myotoxin
ตร
4. Cytotoxin
าส
5. Cardiotoxin
6. Nephrotoxin
ยศ
C. Types of snake
1. Elapidae
2. Viperidae
ศลั
3. Hydrophidae
ชิ า
4. Colubridac
D. Management
คว
103
48. Surgical Oncology
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4
ระยะเวลา 90 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน lecture
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. Pathophysiology : Cancer (ปี 3)
2. Cancer Management ( Adult Medicine ปี 4 )
ลร
บา
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถบอก า
1. วิธีการIdentification of solid tumor โดยใช้
พย
1.1 อาการและอาการแสดงของโรคมะเร็งที่พบบ่อยทางศัลยกรรมได้
1.1.1 Systemic symptoms and signs
์ โรง
Ultrasound
1.2.3 Serum Tumors Marker ( CEA , α feto protein , )
ยศ
1. FNA
ชิ า
4. Excisional Biopsy
3. รายละเอียดและการนาไปใช้ของ Staging System ( TNM staging)
ภา
4. บทบาทของSurgeryในการรักษาโรคมะเร็งในด้าน
4.1 Preventive Surgery
4.2 Primary ( Definitive)
4.3 Cytoreduction
4.4 Palliative
4.5 Metastasis
4.6 Emergency
4.7 Rehabilitation and reconstruction
4.8 Vascular Access
104
ว่ามีรายละเอียดและที่ใช้อย่างไรบ้าง
การจัดประสพการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 นักศึกษาทบทวนความรู้เรื่องการดาเนินโรค Cell Biology ของโรคมะเร็ง และ Cancer management
1.2 ศึกษาเอกสารและสื่อการสอนประกอบการเรียนรู้ล่วงหน้า
2. ในชั้นเรียน
2.1 นาเข้าสู่บทเรียนโดยอาจารย์ 5 นาที
2.2 กล่าวสรุปเนื้อหาทีน่ ักศึกษาเรียนมาแล้วจากCancer Manangement 10 นาที
2.3 นาเสนอเนื้อหาตามวัตถุประสงค์ 60 นาที
ี
บิ ด
2.4 ให้นักศึกษาซักถามและแจ้งให้เรียนรูด้ ้วยตนเองในวัตถุประสงค์ที่ไม่ได้สอน 15 นาที
รวมเวลา 90 นาที
าธ
าม
สื่อการสอน
1. เครื่องฉายภาพจากคอมพิวเตอร์ (Projector)
ลร
2. คอมพิวเตอร์
แหล่งเรียนรู้
บา
1. เอกสารคาสอน Surgical Oncology : เอกสารคาสอนนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 หน่วยศัลยศาสตร์
า
พย
ทั่วไป สายบี
2. เอกสารคาสอน Cancer Management: เอกสารคาสอนนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 วิชาAdult Medicine
์ โรง
การประเมินผล
ตร
1. การซักถาม และตอบในชั้นเรียน
าส
2. สังเกตุและประเมินผลระหว่างการปฏิบัตงิ านในภาควิชาศัลยศาสตร์
3. การสอบลงกอง , MCQ
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
105
50. Difficulty in urination, urinary retention
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 50 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. กายวิภาคของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง
2. กลไกการขับถ่ายปัสสาวะ
ลร
3. การซักประวัติผู้ป่วยที่มีปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะ
4. การตรวจทางทวารหนัก
6. อธิบายสาเหตุของภาวะปัสสาวะไม่ออก
าส
- สาเหตุจากกระเพาะปัสสาวะ
- สาเหตุจากทางผ่านของปัสสาวะ
ยศ
- สาเหตุจากภาวะทางจิตใจ
7. ระบุโรคทางกายที่พบได้บ่อยทีส่ ามารถทาให้เกิดภาวะปัสสาวะลาบาก และปัสสาวะไม่
ออกได้
ศลั
8. วินิจฉัยความผิดปกติจากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย
ชิ า
ถูกต้องเหมาะสม
12. อธิบายหลักการและข้อบ่งใช้ของ CIC (clean intermittent catheterization)
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
1.1 ทบทวนกายวิภาคของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง และกลไกการขับถ่ายปัสสาวะ
1.2 ศึกษาเอกสารประกอบการเรียนรู้ล่วงหน้า
2. ในชั้นเรียน
2.1 นาเข้าสู่บทเรียน
106
2.2 ทบทวนกายวิภาคของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง และกลไกการขับถ่ายปัสสาวะ
2.3 บรรยายเรื่องภาวะปัสสาวะไม่ออกในเพศชายโดยแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆ
- คาจากัดความ
- พยาธิสภาพ
- สาเหตุ
- ผลเสียของภาวะปัสสาวะไม่ออก
- การซักประวัติ ตรวจร่างกาย
- การสืบค้น
- การรักษา
2.4 บรรยายเรื่องภาวะปัสสาวะไม่ออกในเพศหญิงโดยแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆ
ี
บิ ด
- คาจากัดความ
- สาเหตุของปัสสาวะไม่ออก
าธ
- การซักประวัติ ตรวจร่างกาย
าม
- ภาวะกระเพาะปัสสาวะไม่บีบตัว
- กระเพาะปัสสาวะพิการ
ลร
- การอุดกั้นต่อหลอดปัสสาวะ
2.5 สรุปการเรียนรู้
2.6 ให้นักศึกษาซักถาม
2.7 ให้นักศึกษาทาแบบทดสอบ MCQ, short answer รวม 20 ข้อ
า บา
พย
สื่อการสอน
์ โรง
1. เครื่องฉายภาพจาก computer
2. เครื่องฉายแผ่นทึบ
ตร
แหล่งเรียนรู้
าส
การประเมินผล
คว
1. จากการซักถาม และการตอบในชั้นเรียน
ภา
107
Urinary Incontinence
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา -
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar Self-directed study
าธ
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้นักศึกษาสามารถ
าม
1. อธิบายกลไกการถ่ายปัสสาวะและการกลั้นปัสสาวะได้
2. ทราบถึงสาเหตุ พยาธิสภาพและชนิดของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ชนิดต่างๆ
ลร
- Extraurethral incontinence
- Urethral incontinence
- Stress urinary incontinence
- Urge incontinence า บา
พย
- Reflex incontinence
- Overflow incontinence
์ โรง
3. ทราบถึงแนวทางการวินิจฉัยและเมื่อใดควรจะส่งการตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการและการ
ตรวจพิเศษของภาวะ incontinence
- UA
ตร
- Cystometry
าส
- Cystoscopy
- Ultrasonography
ยศ
- IVP
4. สามารถแยกแยะภาวะที่อาจเป็นอันตรายเพื่อส่งปรึกษาแพทย์ผู้เชีย่ วชาญ ได้แก่ overflow
incontinence และ incontinence ที่มีผลกับ upper tract
ศลั
การดูแลของญาติ ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ
แหล่งเรียนรู้
1. Tanagho EA, et al. Urinary incontinence. In: Tanagho EA, et al, eds. Smith’s General Urology,
12th ed.. Appleton & Lange:London, 1988, p 555-7.
2. วชิร คชการ การถ่ายปัสสาวะผิดปกติใน: สาวิตร โฆษิตชัยวัฒน์บรรณาธิการ, ตาราศัลยศาสตร์
รามาธิบดี เล่ม2,กรุงเทพมหานคร:ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี,
2543:98-109
108
3. วีระสิงห์ เมืองมั่น,กฤษฎา รัตนโอฬาร. ภาวะปัสสาวะเล็ดใน: ไพฑูรย์ คชเสนี,กฤษฎา รัตนโอฬาร.
ศัลยศาสตร์ระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ชาย,กรุงแทพมหานคร:สยามสเตชั่นเนอรี่
ซัพพลายส์,2537 : 480-503
4. พิชัย บุณยะรัตเวช. การถ่ายปัสสาวะผิดปกติ.กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
2536
การประเมินผล
1. ซักถาม-ตอบ กับอาจารย์ preceptor
2. สอบลงกอง MCQ
3. สอบรวบยอด MCQ
ี
บิ ด
าธ
าม
ลร
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
109
Tumor of the KUB and Male Genital Systems
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 60 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar Self-directed study
y
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. กายวิภาค(Anatomy) และเนื้อเยื่อวิทยา (Histology) ของไต, ท่อไต, กระเพาะปัสสาวะ, ท่อ
ปัสสาวะ, ต่อมลูกหมาก, องคชาต, ถุงอัณฑะ, ลูกอัณฑะ และอวัยวะของทางเดินน้าเชื้อ
ลร
(Epididymis, Spermatic cords, Seminal vesicles)
2. ลักษณะทางพยาธิวิทยา (Histopathology) ของเนื้องอกร้าย
วัตถุประสงค์การเรียนรู:้ บา
ภายหลังการเรียนการสอนนักศึกษาสามารถ
า
พย
1. ลักษณะของเนื้องอกต่างๆของระบบทางเดินปัสสาวะ และอวัยวะเพศชาย
- ลักษณะทั่วไปและสาเหตุการเกิดเนื้องอก
์ โรง
- การแบ่งชนิดของเนื้องอกต่างๆตามลักษณะเนื้อเยื่อและลักษณะทางพยาธิวิทยา
- ธรรมชาติวิทยาของเนื้องอกต่างๆแต่ละชนิดที่สาคัญ: อุบัติการ สาเหตุ กลไกการเกิด
- พยาธิวิทยา: การจาแนกชนิด, การจาแนกระยะการแพร่กระจายโรค (Staging), การจาแนก
ตร
- อาการและอาการแสดง
2. เลือกวิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ทางรังสีวิทยาสาหรับเนื้องอกต่างๆของระบบทางเดินปัสสาวะ
ยศ
และ
อวัยวะเพศชายได้
3. ให้การวินิจฉัย การวินิจฉัยแยกโรค และการรักษาเบื้องต้นของเนื้องอกต่างๆของระบบทางเดิน
ศลั
ปัสสาวะ
ชิ า
และอวัยวะเพศชายได้
4. ส่งต่อผู้ป่วยเนื้องอกต่างๆของระบบทางเดินปัสสาวะ และอวัยวะเพศชาย เพื่อการรักษาที่ซับซ้อน
คว
ได้อย่างเหมาะสม
ภา
110
แหล่งเรียนรู้
1. หนังสือศัลยศาสตร์ระบบทางเดินปัสสาวะ และอวัยวะสืบพันธ์ชาย ตอนที1่ ระบบทางเดิน
ปัสสาวะ. บรรณาธิการ ไพฑูรย์ คชเสนี, กฤษฎา รัตนโอฬาร หน้า 327-414 และตอนที่ 2 หน้า 267-
302. กรุงเทพฯ: สยามสเตชั่นเนอรี่ซัพพลายส์, 2535.
2. หนังสือ Smith’s General Urology, 14th Edition. โดย Emil A. Tanagho, Jack W. McAninch หน้า
353-447. A Lange Medical Book, 1995.
3. หนังสือ Anderson’s Pathology, 9th Edition. โดย John M. Kissane หน้า 566-614 และ หน้า 804-
919. St. Louis: C.V. Mosby, 1990.
วิธีสอน :
ี
บิ ด
1. การบรรยายประกอบสไลด์ / ใช้ Computer Projector: Power Point
2. การซักถามในชั้นเรียน
าธ
าม
วิธีประเมินผล:
1. จากการซักถามและการตอบในกลุ่มเรียนย่อย (Preceptorship)
ลร
2. สอบข้อเขียนเมื่อจบหลักสูตร MCQ
3. การสอบรวบยอด (Comprehensive Exams)
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
111
51. Skin and soft tissue mass
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 1 ชั่วโมง
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. กายวิภาคของผิวหนัง
2. การซักประวัติ ตรวจร่างกายทั่วไป โดยเฉพาะส่วนผิวหนัง และเนือ้ เยื่อใต้ผิวหนัง
ลร
3. นิยาม ความหมายทางพยาธิวิทยาของเนื้องอก ( tumors and neoplasm )
เนื้อเยื่ออ่อน
4. รู้จักชนิดของเนื้องอกทั้ง benign และ malignant ของผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน ที่พบบ่อย และ
สามารถให้การวินิจฉัยได้
ตร
5. ทราบวิธีการส่งตรวจชิ้นเนื้อ
าส
6. รู้จักรอยโรคที่มีโอกาสเสี่ยงทีจ่ ะเกิดเป็นเนื้อร้ายได้สูง
7. ตระหนักและสามารถให้ความรู้กับประชาชน ถึงสาเหตุหรือภาวะที่เอื้อต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง
ยศ
เยื่อบุช่องปาก
8. ทราบหลักการรักษา และ การพยากรณ์โรค เนื้องอกทีผ่ ิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน และสามารถทาการ
รักษาได้ด้วยตนเองในบางโรค ( อ้างอิงตามเกณฑ์มาตรฐานผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมของแพทย
ศลั
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
คว
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
ภา
112
2. ในชั้นเรียน
2.1 นาเข้าสู่บทเรียน 1 นาที
2.2 ทบทวนกายวิภาคของชั้นต่างๆของผิวหนัง 1 นาที
2.3 ทบทวนความหมาย และนิยามศัพท์ของเนื้องอก 1 นาที
2.4 อธิบายแนวทางการ approach ในผู้ป่วยที่มีก้อนหรือ skin lesion 5 นาที
2.5 ฉาย slide แสดงชนิดของเนื้องอกของผิวหนังทั้ง benign และ malignant ที่พบ 20 นาที
บ่อย รวมทั้ง premalignant lesion และหลักการรักษา
2.6 ฉาย slide แสดงชนิดของ benign soft tissue tumor และหลักการรักษา 15 นาที
2.7 ฉาย VDO clips แสดงการตัดตัวอย่างเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา 10 นาที
2.8 สรุปการเรียนรู้ 2 นาที
ี
บิ ด
2.9 ให้นักเรียนซักถาม 3 นาที
2.10 แนะนาให้ศึกษาด้วยตนเองในเรื่อง soft tissue sarcoma 2 นาที
าธ
รวม 60 นาที
าม
สื่อการสอน
ลร
1. เนื้อหาโดยสรุป ( Power point presentation )
2. ภาพแสดงเพื่อประกอบคาอธิบาย ( illustration )
3.
4.
ภาพแสดงตัวอย่างผู้ป่วย ( Slide )
VDO แสดงหัตถการการส่งชิ้นเนือ้ ตรวจ า บา
พย
5. VDO แสดงหัตถการการรักษา “ Excision of benign tumor and cyst of skin and subcutaneous
tissue ”
์ โรง
แหล่งเรียนรู้
1. เอกสารประกอบการเรียนรู้ เรื่อง Skin and soft tissue tumor โดย นพ.เฉลิมพงษ์ ฉัตรดอกไม้ไพร
ตร
2. Grabb & Smith’s Plastic Surgery. 5th edition: SJ. Aston, RW. Beasley, Charles HM. Thorn
าส
(eds) Section 3, 1997, Page 107-120 ( Basal cell and squamous cell carcinoma ) ,
Page 141-159 ( Benign Growths and Generalized Skin Disorder )
ยศ
การประเมินผล
1. การซักถามการตอบในห้องเรียน
ศลั
113
52. Intraoral lesion
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 50 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar Core based lecture
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. กายวิภาคของอวัยวะในช่องปาก
2. กายวิภาคของต่อมน้าลาย
ลร
3. การตรวจร่างกายภายในช่องปาก ใบหน้า และคอ
4. การตรวจต่อมน้าลายบริเวณใบหน้าและคอ
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
คว
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
ภา
114
2.7 กายวิภาคของ salivary gland
2.8 Common benign salivary gland tumors
2.9 Common malignant salivary gland tumors
2.10 สรุปการเรียนรู้
2.11 ซักถาม และตอบคาถาม
สื่อการสอน
1. เครื่องฉายสไลด์
2. สไลด์สี
ี
บิ ด
แหล่งเรียนรู้
1. เอกสารประกอบการเรียนรู้ เรื่อง “Intraoral tumors and Salivary gland tumors ”
าธ
โดย นายแพทย์วิชัย ศรีมุนินทร์นิมิต
าม
2. ตาราเรื่อง Plastic, Maxillofacial and Reconstructive Surgery 3rd edition 1997
แต่งโดย Gregory S. Georgiade บทที่ 19 หน้า 155 – 165 , บทที่ 36 หน้าที่ 406 – 417
ลร
3. ตาราเรื่อง “Plastic Surgery” 5th edition 1997 แต่งโดย Grabb and Smith บทที่ 37 – 38
หน้าที่ 439 – 457
การประเมินผล า บา
พย
1. การซักถามและตอบในชั้นเรียน
2. การสอบลงกอง :-
์ โรง
3.3 MCQ
าส
3.4 OSCE
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
115
53. Urolithiasis
เรื่อง Urolithiasis
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 1 ชั่วโมง
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. กายวิภาคศาสตร์ของระบบทางเดินปัสสาวะทั้งชายและหญิง
2. สรีรวิทยาการทางานของไต เช่น การดูดซึมและการขับ calcium, phosphate, uric acid
ลร
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถ
ปัสสาวะในประเทศไทย า บา
1. ตระหนักความสาคัญ ระบุอบุ ตั ิการและเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขของโรคนิ่วในระบบทางเดิน
พย
2. ระบุและอธิบายกลไกการเกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะแต่ละชนิด ได้แก่ calcium
oxalate, calcium phosphate, magnesium ammonium phosphate, uric acid stones
์ โรง
3. ระบุอาการและอาการแสดงของโรคนิ่วในตาแหน่งต่างๆของระบบทางเดินปัสสาวะ
ตลอดอาการแทรกซ้อนที่เกิดจากนิ่ว
3.1 อาการและอาการแสดงของโรคนิ่ว
ตร
3.2 อาการแทรกซ้อน
- Sepsis
- Renal failure
ศลั
- Hydronephrosis
ชิ า
- Pyonephrosis
4. วินิจฉัยและวินิจฉัยแยกโรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะที่มาพบแพทย์ในแต่ละอาการได้ จาก
คว
ประวัติและการตรวจร่างกาย
ภา
116
- Ureterorenoscopy (URS) with stone fragmentation
- Pyelo-nephrolithotomy
- Urinary bypass procedures เช่น suprapubic cystostomy, percutaneous nephrostomy
7. ประเมินขีดความสามารถตนเอง ปรึกษาและส่งต่อคนไข้ได้เหมาะสม
8. ตระหนักความสาคัญของความรู้สึก ความวิตกกังวล ความเจ็บปวด ค่าใช้จ่ายในการรักษา และให้
คาแนะนาคนไข้ที่เป็นนิ่วและญาติต่อการรักษา และการกลับเป็นซ้า
9. ตระหนักความสาคัญของการให้ความรู้ประชาชน และการป้องกันการเกิดนิ่วในชุมชน เช่น จาก
อาหาร อุปนิสัยการดื่มน้า
ี
บิ ด
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. ก่อนเข้าชั้นเรียน
าธ
1.1 ให้ศึกษาเอกสารประกอบการสอน และตารามาล่วงหน้า
าม
2. ในชั้นเรียน
2.1 นาเข้าสู่บทเรียน 3 นาที
ลร
2.2 บรรยายกลไกของการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ 20 นาที
2.3 บรรยายอาการ อาการแสดง การวินิจฉัยและการวินิจฉัยแยกโรค 10 นาที
นิ่วในทางเดินปัสสาวะ
2.4 สอบถามนักศึกษาเรื่อง **** า บา
พย
2.5 บรรยายวิธีการรักษานิ่วในทางเดินปัสสาวะ 20 นาที
2.6 ให้นักศึกษาซักถาม 7 นาที
์ โรง
สื่อการสอน
1. สไลด์
ตร
าส
แหล่งเรียนรู้
1. ไพฑูรย์ คชเสนี วีระวิเศษสินธุ์ สมบุญ เหลืองวัฒนากิจ นิ่วในทางเดินปัสสาวะ
ยศ
การประเมินผล
1. สอบถามความเข้าใจของนักศึกษาเป็นระยะๆ ในระหว่างการบรรยาย
2. สอบลงกอง - MCQ
3. สอบรวบยอด - MCQ
117
GU Tumor
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา 60 นาที
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar Self-directed study
าธ
y
าม
ความรู้พื้นฐาน
1. กายวิภาค(Anatomy) และเนื้อเยื่อวิทยา (Histology) ของไต, ท่อไต, กระเพาะปัสสาวะ, ท่อปัสสาวะ,
ลร
ต่อมลูกหมาก, องคชาต, ถุงอัณฑะ, ลูกอัณฑะ และอวัยวะของทางเดินน้าเชื้อ (Epididymis,
Spermatic
cords, Seminal vesicles)
บา
2. ลักษณะทางพยาธิวิทยา (Histopathology) ของเนื้องอกร้าย
า
พย
วัตถุประสงค์การเรียนรู:้ ภายหลังการเรียนการสอนนักศึกษาสามารถ
์ โรง
1. บอกลักษณะของเนื้องอกต่างๆของระบบทางเดินปัสสาวะ และอวัยวะเพศชาย
- ลักษณะทั่วไปและสาเหตุการเกิดเนื้องอก
- การแบ่งชนิดของเนื้องอกต่างๆตามลักษณะเนื้อเยื่อและลักษณะทางพยาธิวิทยา
ตร
และอวัยวะเพศชายได้
ชิ า
อย่างเหมาะสม
- การผ่าตัด (Surgery) การให้ยา การใช้สารเคมีบาบัด (Chemotherapy) หรือ ภูมิคุ้มกันบาบัด
(Immunotherapy) การใช้รังสีบาบัด (Radiotherapy) และการติดตามผลการรักษา เนื้องอกต่างๆ
5. ให้การพยากรณ์โรค ของเนื้องอกต่างๆได้
7. ทราบว่าเนื้องอกชนิดใดพบได้บ่อยและสามารถตรวจหาได้ในระยะต้นๆ (early detection) เช่น การ
ตรวจหา PSA ในคนไข้ที่มีปจั จัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก
118
แหล่งเรียนรู้
1. หนังสือศัลยศาสตร์ระบบทางเดินปัสสาวะ และอวัยวะสืบพันธ์ชาย ตอนที่1 ระบบทางเดินปัสสาวะ.
บรรณาธิการ ไพฑูรย์ คชเสนี, กฤษฎา รัตนโอฬาร หน้า 327-414 และตอนที่ 2 หน้า 267-302.
กรุงเทพฯ: สยามสเตชั่นเนอรี่ซัพพลายส์, 2535.
2. หนังสือ Smith’s General Urology, 14th Edition. โดย Emil A. Tanagho, Jack W. McAninch หน้า
353-447. A Lange Medical Book, 1995.
3. หนังสือ Anderson’s Pathology, 9th Edition. โดย John M. Kissane หน้า 566-614 และ หน้า 804-919.
St. Louis: C.V. Mosby, 1990.
วิธีสอน :
ี
บิ ด
1. การบรรยายประกอบสไลด์ / ใช้ Computer Projector: Power Point
2. การซักถามในชั้นเรียน
าธ
าม
วิธีประเมินผล:
1. จากการซักถามและการตอบในกลุ่มเรียนย่อย (Preceptorship)
ลร
2. สอบข้อเขียนเมื่อจบหลักสูตร MCQ
3. การสอบรวบยอด (Comprehensive Exams)
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
119
Neurogenic Bladder
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา -
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar Self-directed study
าธ
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้นักศึกษาสามารถ
าม
1. อธิบายกลไกการทางานของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างได้
2. อธิบายประสาทสรีรวิทยาการทางานของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างได้
ลร
3. ทราบถึงความผิดปกติจากระบบประสาททีเ่ กิดขึน้ จากโรคที่พบได้บ่อย เช่น เบาหวาน CVA, spinal
cord injury
- Hyperreflexic bladder า บา
4. ทราบถึงความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะที่เกิดขึ้นจากโรคระบบประสาท
พย
- Hyperreflexic bladder with detrusor sphincter dysynergia
- Hyporeflexic bladder
์ โรง
7. ทราบถึงหลักการรักษาขั้นต้นและเมื่อใดควรจะส่งผู้ป่วยมารับการรักษต่อทางศัลยกรรม
ยศ
แหล่งเรียนรู้
1. Tanagho EA, et al. Neuropathic bladder disorder. In: Tanagho EA, et al, eds. Smith’s General
Urology,
ศลั
เตชั่นเนอรี่ซัพพลายส์, 2542:231-50.
ภา
การประเมินผล
1. ซักถาม-ตอบ กับอาจารย์ preceptor
2. สอบลงกอง MCQ
3. สอบรวบยอด MCQ
120
Male fertility and infertility
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา -
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar Self-directed study
าธ
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถ
าม
1. อธิบายกายวิภาคและหน้าที่ของอัณฑะ ท่อน้าอสุจิ seminal vesicles ตาแหน่งรูเปิดของ ejaculatory
duct และไขสันหลัง เส้นประสาท pelvic plexus และ ระบบประสาท sympathetic ที่ ควบคุมการหลั่ง
ลร
น้าอสุจิ บริเวณ T10-L2
2. อธิบายกลไกการควบคุมด้วยฮอร์โมนระหว่างอัณฑะ ต่อมใต้สมองและ
hypothalamus
3. เขียน diagram กระบวนการสร้างอสุจิได้อย่างถูกต้อง า บา
พย
4. อธิบายองค์ประกอบและหน้าที่การทางานของอสุจิและน้าอสุจิ
5. ตระหนักความสาคัญและซักประวัติเพศสัมพันธ์และวิธีการร่วมเพศได้อย่างเหมาะสม
์ โรง
8. อธิบายขั้นตอนการวินจิ ฉัยภาวะมีบุตรยากทางฝ่ายชาย
- การตรวจร่างกาย ขนาดอัณฑะ
ยศ
- การตรวจน้าอสุจิ
- การตรวจ transrectal ultrasonography
- Testicular biopsy
ศลั
9. นาไปใช้กับการคุมกาเนิดได้อย่างเป็นขั้นตอน ได้แก่
ชิ า
- การทาหมันชาย
- การใช้ถุงยางอนามัย
คว
- withdrawal technique
ภา
แหล่งเรียนรู้
1. McClure RD, et al. Male infertility. In: Tanagho EA, et al, eds. Smith’s General Urology, 12th ed..
Appleton & Lange:London, 1988, p 637-62.
121
2. www.urorama.com (infertility)
3. เอกสารคาสอนเรื่อง สรีระวิทยาการสืบพันธุ์ชาย
4. แบบจาลองกายวิภาคของลูกอัณฑะ ท่อน้าอสุจิ seminal vesicles รูเปิดของ
ejaculatory duct (ใน skillslab)
การประเมินผล
1. จากการซักถามและการตอบกับ preceptor
2. จากการสอบลงกอง MCQ
3. จากการสอบรวบยอด MCQ และ OSCE
ี
บิ ด
าธ
าม
ลร
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
122
Male sexual dysfunction
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา -
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar Self-directed study
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. กายวิภาคขององคชาต
2. กายวิภาคของไขสันหลัง เส้นประสาท pelvic plexus และ cavernous nerve
ลร
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถ
1. เข้าใจถึงกลไกการควบคุมการแข็งตัวขององคชาต
บา
2. เข้าใจสาเหตุต่างๆว่าทาให้เกิดโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้อย่างไร
า
พย
- สาเหตุทางด้านจิตใจ เช่น depression
- สาเหตุทางด้านร่างกาย เช่น diabetes, atherosclerosis, hyperlipidemia, Peyronie’s
์ โรง
disease, hypogonadism
3. ให้การวินิจฉัยโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
4. สั่งการตรวจทางห้องปฏิบัติการในคนไข้โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้อย่างเหมาะ
ตร
- ยาสอดทางท่อปัสสาวะ: แสบในท่อปัสสาวะ
- ยาฉีดเข้าในองคชาต: องคชาตแข็งค้าง
คว
123
แหล่งเรียนรู้
5. สมบุญ เหลืองวัฒนากิจ. สรีรวิทยาของการแข็งตัวขององคชาต: ใน: กฤษฎา รัตนโอฬาร, สมบุญ
เหลืองวัฒนากิจ บรรณาธิการ. ตารา ความบกพร่องของการแข็งตัวขององคชาต. กรุงเทพฯ: บี
ยอนด์ เอ็นเตอร์ไพรซ์, 2544, 1-16.
2. สมบุญ เหลืองวัฒนากิจ. การวินิจฉัยความบกพร่องของการแข็งตัวขององคชาต.
ใน: กฤษฎา รัตนโอฬาร, สมบุญ เหลืองวัฒนากิจ บรรณาธิการ. ตารา ความ
บกพร่องของการแข็งตัวขององคชาต. กรุงเทพฯ: บียอนด์ เอ็นเตอร์ไพรซ์, 2544,
36-63.
การประเมินผล
ี
บิ ด
1. จากการซักถามและการตอบในกลุ่มเรียนย่อย (preceptor)
2. จากการสอบลงกอง MCQ
าธ
3. จากการสอบรวบยอด MCQ และ OSCE
าม
ลร
า บา
พย
์ โรง
ตร
าส
ยศ
ศลั
ชิ า
คว
ภา
124
แผนการสอน SKILL LAB AND DEMONSTRATION
1. Vasectomy
เรื่อง Vasectomy
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ี
บิ ด
ผู้รับผิดชอบ อาจารย์วิทย์ วิเศษสินธุ์
าธ
กิจกรรมการเรียนการสอน O Core Lecture O Seminar O Self-directed study
าม
ความรู้พื้นฐาน
ลร
1. กายวิภาคของอวัยวะสืบพันธุ์ชาย
2. หลักการของการคุมกาเนิดชาย
า
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อผ่านการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถ บา
พย
1. เข้าใจถึงกายวิภาคของอวัยวะสืบพันธุ์ชาย
2. ทราบถึงหลักการ และวิธีการคุมกาเนิดชาย
์ โรง
- แบบชั่วคราว
- แบบถาวร
ตร
3. ให้คาแนะนา ปรึกษากับชายที่จะมารับการทาหมันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
4. มีความเข้าใจที่ถูกต้องถึงผลข้างเคียงของการทาหมัน และสามารถอธิบายให้ผปู้ ่วยเข้าใจได้
าส
5. ทราบถึงขั้นตอนการเตรียมก่อนการทาหมันชาย และวิธีการทาหมันชายโดยใช้วิธีการทาหมันเจาะ
6. ทราบถึงวิธีการดูแลหลังการทาหมัน และให้คาแนะนาการคุมกาเนิดแบบชั่วคราวก่อนที่น้าอสุจิจะหมด
ยศ
และเกิดเป็นหมันถาวรได้
7. ทราบอาการแทรกซ้อนจากการทาหมันและรู้วิธีการป้องกัน
8. ตระหนักถึงประโยชน์ของการคุมกาเนิด
ศลั
ชิ า
แหล่งเรียนรู้
คว
การประเมินผล
1. จากการซักถามและการตอบกับ preceptor
2. จากการสอบลงกอง MCQ
3. จากการสอบรวบยอด MCQ และ OSCE
125
2. Circumcision
เรื่อง Circumcision
สาหรับ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4
ระยะเวลา
ผู้รับผิดชอบ
ี
บิ ด
กิจกรรมการเรียนการสอน Core Lecture Seminar skill lab
าธ
ความรู้พื้นฐาน
าม
1. anatomy of penis
2. Basic sterile technique
ลร
3. Indication and contraindication for circumcision
4. complications of circumcision
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
ก่อนเข้าชั้นเรียน
ตร
1 นักศึกษาอ่านวิธีการทา circumcision
าส
6. ปิดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศเข้าที่
7. ใช้ clamp โค้ง 2 ตัว จับหนังหุ้มปลายที่บริเวณ 11 และ 1 นาฬิกา ใช้ clamp ตรงหนีบด้าน dorsum ที่ 12
นาฬิกาของหนังหุ้มปลาย ให้ปลาย clamp อยู่ distal ต่อ sulcus level ประมาณ 0.5-1.0 cm. หนีบไว้เป็น
เวลาประมาณ 1นาที แล้วปล่อย clamp ตรง
8. ใช้กรรไกร Mezzenbaum ตัดหนังหุ้มปลายตามแนวที่ clamp ไว้
9. หนีบด้าน ventral ที่ 6 นาฬิกาของหนังหุ้มปลายด้วย clamp ตรง ลึกจนถึง frenulum หนีบไว้เป็นเวลา
ประมาณ 1นาที แล้วปล่อย clamp
10. ใช้กรรไกร Mezzenbaum ตัดหนังหุ้มปลายตามแนวที่ clamp ไว้
126
11. ใช้กรรไกร Mezzenbaum ตัดหนังหุ้มปลายตามแนว circumferential เชื่อมระหว่างรอยตัดด้าน dorsum
กับ ventral
12. ห้ามเลือดโดยการจี้ด้วยเครื่องจี้ไฟฟ้า หรือ การผูกเส้นเลือดด้วยไหมละลาย ( Chromic catgut)
13. เย็บหนังหุ้มปลายด้านในและด้านนอกเข้าด้วยกันด้วย Chromic Catgut โดยเริ่มเย็บที่ด้าน Dorsum และ
ventral ก่อน แล้วจึงเย็บให้ครบรอบวง ให้แต่ละ stitch ห่างกัน 0.3-0.5 cm.
14. ใช้ antibiotic ointment ทาแผล จะพันผ้าพันแผลโดยรอบหรือไม่ก็ได้
ี
บิ ด
สื่อการสอน
าธ
1. video วิธีการทา circumcision
าม
2. แบบจาลองอวัยวะเพศชาย
3. ชุดผ่าตัดเล็ก ประกอบด้วย clamp ตรง , clamp โค้ง 2ตัว, กรรไกร Mezzenbaum, Needle holder, tooth
ลร
forceps, syringe5ml , เข็มฉีดยา 18G และ 23G
4. ถุงมือผ่าตัด
5. น้ายา Hibiscrub (จาลอง)
6. ยาชา ( จาลอง) า บา
พย
แหล่งเรียนรู้
์ โรง
1 O’Neill, Rowe, Grosfeld, Coran. Textbook of Pediaric Surgery, 5th ed ; Chicago:Yearbook medical
publishes,1998
2 Raffensperger JG. Swenson's Pediatric Surgery 4th ed. Norwalk, Connecticut: Appleton and
ตร
Lange. 1990
าส
3 Ashcraft, Murphy. Pediatric Surgery 3rd ed. W.B. Saunders Company. 2000
ยศ
การประเมินผล
1. Direct observation ตาม task analysis
2. OSCE exam ใน comprehensive examination
ศลั
ชิ า
คว
ภา
127
3. Excision of subcutaneous mass
ี
บิ ด
ความรู้พื้นฐาน :
1. รู้ชื่อเครื่องมือและการใช้เครื่องมืออย่างถูกต้อง
าธ
2. รู้วิธีการเย็บผิวหนัง และการผูกปม
าม
3. รู้ indication ในการผ่าตัด
ลร
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ : เมื่อจบการเรียนเรื่องนี้ ผู้เรียนสามารถ
บา
1. สามารถวางแผนขั้นตอนต่างๆ ในการผ่าตัด excision ของ subcutaneous masses ต่างๆ ได้ เช่น
lipoma, sebaceous cyst เป็นต้น า
พย
2. สามารถเลือก skin incision , เครื่องมือที่ใช้ dissection
3. สามารถเข้าใจและทาการ dissection ของ subcutaneous mass ได้
์ โรง
4. สามารถเข้าใจและทาการเย็บปิดแผลได้
5. การติดตามผลและการดูแลรักษาหลังการผ่าตัด
ตร
าส
สื่อการศึกษา (อุปกรณ์การเรียนการสอน) :
1. set ผ่าตัดสาหรับ excision and suturing (ทั้งหมด 10 ชิ้น)
ยศ
การประเมินผล :
คว
1. การให้นักศึกษาปฏิบตั ิให้ดูตอนปลายชั่วโมง
ภา
128