Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 90

นิทานเวตาล

ผู้แปล : น.ม.ส.

ต้นเรื่อง
พระราชาทรงนามวิกรมาทิตย์ ครองราชย์อยู่กรุง อุชชยินีนับเวลาถึงบัดน้ได้เกือบี
๒,๐๐๐ีปีีพระองค์เป็นกษัตริย์ทรงนามเลื่องลือ สามารถทั้งในทางศึกแลในทางปกครองไพร่ฟูา
ประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุข ทั้งเป็นผู้เอื้อเฟื้อต่อการเรยนรู้ีมปราชญ์ี๙ีคนีเรยกว่าีเนาวรัตนกวคือ
กาลิทาส เป็นต้นีแต่งกลอนยอพระเกยรติปรากฏจนเวลาน้ว่า รัชกาลพระวิกรมาทิตย์เป็นเวลาท่วิชา
รุ่งเรือง

ประวัติของพระราชาองค์น้ีมเรื่องจริงปะปนกับเรื่องซึ่งประดิษฐ์ขึ้น กล่าวตามความท่เป็นคํา
นําเรื่องน้ว่า เมื่อพระวิกรมาทิตย์ทรงครองราชสมบัติรุ่งเรืองอยู่หลายปีีจนพระชนมายุได้ี๓๐ีพรรษา
จึงทรงพระดําริว่าีบ้านเมืองต่างประเทศท่ได้ทรงยินชื่อีแต่มิได้เคยเห็นนั้นมมาก สมควรจะเสด็จไปดู
ให้เห็นเสยสักครั้งหนึ่ง ราชประสงค์คือจะเท่ยวสอดรู้การในบ้านเมืองเหล่านั้น หาช่องทางท่จะเอา
รวมเข้ามาเป็นเมืองขึ้นด้วยกําลังอาวุธหรือกําลังป๎ญญา ทรงคิดฉะน้จึงมอบราชการบ้านเมืองให้พระ
อนุชาีทรงนามพระ ภรรตฤราช ปกครองแทนพระองค์ีแล้วทรงเครื่องปลอมเป็นโยคีมพระราชโอรส
องค์ท่ี๒ีทรงนาม ธรรมธวัช ตามเสด็จีเท่ยวเตร็ดเตร่ไปในปุาแลเมืองต่างๆ
พระภรรตฤราชผู้อนุชาซึ่งปกครองสมบัติแลราชการเมืองแทนพระราชานั้นเป็นบุรุษมหฤทัย
ซึมเซาเป็นปกติ เพราะได้เสยนางผู้เป็นชายาไปด้วยเหตุประหลาดีมเรื่องตามท่กล่าวต่อกันมาว่า วัน
หนึ่งพระภรรตฤราชเสด็จออกล่าเนื้อในปุา พบหญิงแม่หม้ายเข้าสู่กองเพลิงซึ่งเผาศพพราหมณ์ผู้สาม
หญิงนั้นแสดงความมั่นใจปราศจากความสะทกสะท้านีครั้นพระภรรตฤราชเสด็จกลับถึงวัง จึงเล่าแก่
นางผู้เป็นชายาแห่งพระองค์ว่าีนางพราหมณมความสัตย์แลความกล้าฉันนั้นีๆ พระชายาทูลตอบว่า
เมื่อผัวสิ้นชพไปแล้วหญิงดย่อมจะสิ้นชวิตด้วยเพลิงแห่งความทุกข์ หาต้องตายในกองเพลิงซึ่งเผา
สามไม่ีพระภรรตฤราชทรงฟ๎งดังนั้นก็นิ่งตรึกตรอง มิได้ตรัสประการใดีครั้นวันรุ่งขึ้นเสด็จออกปุาล่า
เนื้ออกครั้งหนึ่ง ไม่ช้าตรัสให้มหาดเล็กเชิญเครื่องทรงซึ่งขาดแลเปื้อนเปรอะกลับไปทูลพระชายาว่า
เกิดเหตุวิบัติในปุา พระภรรตฤราชสิ้นพระชนม์เสยแล้วีพระชายาได้ยินดังนั้น ก็ล้มลงสิ้นชวิตด้วย
เพลิงแห่งความทุกข์ พระภรรตฤราชกลับจากปุาก็เสยพระหฤทัยหนักหนา มอาการซึมเซากระเดยด
ไปข้างจะออกเป็นฤาษอยู่ร่ําไปีแม้มชายาองค์อื่นีๆ จํานวนไม่น้อยก็ไม่ทําให้แช่มชื่นได้ี(จนได้นาง
มาใหม่อกองค์หนึ่ง)

เมื่อได้รับตําแหน่งปกครองแทนองค์พระราชาแล้ว พระภรรตฤราชก็ปฎิบัติราชการโดยทาง
ท่ชอบ แต่ไม่สนุกในงานท่กระทําจนกามเทพแผลงศรดอกไม้ทะลุหฤทัยอกครั้งหนึ่ง

นางนั้นมหน้าเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ มผมดังเมฆสนิลโลหิตซึ่งอุ้มฝนห้อยอยู่บนฟูาีมผิว
ซึ่งเย้ยดอกมะลิให้ได้อาย มตาเหมือนเนื้อทรายซึ่งระแวงภัยีริมฝีปากเหมือนดอกทับทิมีคอเหมือน
คอนกเขา มือเหมือนสแห่งท้องสังข์ีเอวเหมือนเอวเสือดาวีบาทเหมือนดอกบัว พร้อมด้วยลักษณะ
นางงามอย่างแขก ซึ่งไทยเราแต่งกาพย์กลอนก็พลอยเอาอย่างมาเห็นงามไปด้วยีพระชายาองค์ใหม่
งามเช่นน้ พระภรรตฤราชก็ลืมหลงีแต่นางมิได้จงใจภักดต่อพระสวาม กลับไปมใจรักใคร่กับอํามาตย์
หนุ่มคนหนึ่งชื่อมหิบาลีมิช้าก็เกิดเหตุ

ในท่ใกล้พระราชวัง มพราหมณ์คนหนึ่งกับภริยาเป็นคนจนยากแค้นแสนเข็ญไม่รู้จะทําอะไร
ก็ทําตบะ คืออดข้าวีแลทรมานตัวต่างๆีหน้าหนาวลงแช่น้ําีหน้าร้อนนั่งผิงไฟรอบตัว จนเทวดา
เบ็ดเตล็ดพากันยําเกรงทั่วไปีในท่สุดเทวทูตลงมาจากสวรรค์ ยื่นผลไม้ให้ผลหนึ่งีบอกว่าเป็นผลไม้
อํามฤตีถ้ากินแล้วจะยืนชวิตอยู่ค้ําฟูา

ครั้นเทวทูตอันตรธานไปแล้ว พราหมณ์ก็อ้าปากซึ่งฟ๎นหมดไปแล้วีเพื่อจะกัดแลกินผล
อํามฤตีพอนางพราหมณร้องห้ามว่า "ท่านเอยีท่านจงยั้งชั่งใจดูก่อน ความตายนั้นเป็นทุกข์ชั่วขณะ
เดยว ความมชวิตยากแค้นเช่นเราน้เป็นทุกข์ยาวนาน ท่านอยากจะมทุกข์เช่นน้จนค้ําฟูาหรือีความ
ยากจนน้เป็นบาปท่เราทําไว้ในหนหลัง ท่านจะยึดทุกข์คือชวิตไปทําไมเล่าีผลไม้นั้นท่านอย่ากินเลย"

พราหมณ์ได้ยินภริยาท้วงดังนั้นก็ลังเลในใจ นั่งนิ่งปากอ้าตาเพ่งอยู่สักครู่หนึ่งีจึงกล่าวแก่
ภริยาว่า "ข้าได้รับผลไม้น้ไว้จากเทวทูตด้วยหมายจะกินีเมื่อเจ้าคัดค้านฉะน้ข้าก็สงสัยในใจ เจ้าผู้ม
ป๎ญญาจะเห็นควรให้ข้าทําอย่างไรต่อไปเล่า"
นางพราหมณตอบว่า "ท่านกับข้าพเจ้าเวลาน้ก็แก่แล้วีความชราย่อมกดกันความสุขซึ่งมในใจหนุ่ม
แลสาว คนแก่จะอยู่ปรัมปราอกช้านานก็หาประโยชน์มิได้ ถ้าการกินผลไม้น้กลับให้ความเป็นหนุ่มแก่
ท่านีข้าพเจ้าก็จะมิคัดค้านเลย"

พราหมณ์ได้ยินภริยากล่าวดังนั้น ก็สิ้นความลังเลในใจทิ้งผลไม้ลงยังพื้นดินีนางพราหมณ
ก็ยินด แต่ซ่อนความอิ่มใจไว้มิแสดงให้สามเห็น ความอิ่มใจนั้นเกิดแต่ความเห็นแก่ตนเองฝุายเดยวี
คือนางพราหมณเห็นว่า นางได้อยู่เป็นสามภริยากับพราหมณ์มาก็ช้านานจนถึงความชราเห็นปานฉะน้
แล้ว ถ้าสามกินผลอํามฤตยืนยงต่อไปีส่วนนางเองมิพ้นความตายได้ไซร้ ความเท่ยงธรรมจะมก็หาไม่ี
ครั้นสามทิ้งผลไม้อํามฤตลงบนพื้นดินฉะนั้นแล้ว นางก็กล่าวติเตยนความอายุยืนซ้ําเติมอกจนสามเห็น
จริง กลับโกรธเทวดาว่านําผลอํามฤตมาให้ด้วยความปองร้ายีหยิบผลไม้นั้นจะโยนเข้ากองไฟ ภริยา
ห้ามไว้แล้วกล่าวว่า"ท่านอย่าเพิ่งทําเร็วไปนักีผลไม้น้มิใช่ของหาง่าย เมื่อได้มาแล้วก็ควรใช้ให้เป็น
ประโยชน์ีท่านจงไปเฝูาพระภรรตฤราชีถวายผลไม้น้ เธอคงจะประทานรางวัลให้สมแก่ราคาของี
รางวัลนั้นแหละจะปลดทุกข์คือความจนของเรา ท่านทําตบะมาช้านานจนได้ผลเช่นน้แล้วีท่านจง
กระทําตามคําข้า เพื่อให้ผลแห่งตบะนั้นเป็นเครื่องนํามาซึ่งความสุขเถิด" พราหมณ์สามได้ฟ๎งภริยา
กล่าวดังนั้นก็เห็นด้วยีจึงนําผลอํามฤตเข้าไปเฝูาพระภรรตฤราช ทูลให้ทราบคุณแห่งผลไม้นั้น แล้ว
ทูลว่า"พระองค์จงรับผลไม้น้เป็นของซึ่งข้าพเจ้าถวายเถิด พระองค์ทรงพระชนมายุยืนนานจะได้เป็นท่
พึ่งแก่ประชาราษฎร์ทั่วไป แลถ้าประทานรางวัลแก่ข้าพเจ้าให้สมแก่ค่าแห่งผลไม้น้ ความเป็นท่พึ่ง
ของพระองค์ก็ยิ่งแผ่กว้างทวออกไป"

พระภรรตฤราชได้ฟ๎งดังนั้นก็ทรงยินด รับผลไม้จากพราหมณ์แล้วตรัสให้พราหมณ์ตาม
เสด็จเข้าไปในคลังทอง อันเป็นท่ซึ่งทองทรายกองอยู่หลายพ้อมีแล้วตรัสให้พราหมณ์ขนเอาไปเต็ม
แรงท่จะขนได้ พราหมณ์ก็เปลื้องผ้าออกห่อทองทราบแลบรรจุในท่ต่างๆีซึ่งจะบรรจุได้ รวมทั้งใน
ปากอันพูดคล่องแลไม่มฟ๎นนั้นด้วย

ครั้นพราหมณ์ออกจากวังไปแล้ว พระภรรตฤราชก็เสด็จไปสู่ตําหนักแห่งพระชายาองค์ใหม่ี
ประทานผลไม้แก่นางแล้วตรัสว่า "เจ้าจงกินผลไม้อํามฤตน้เถิดีความงามของเจ้าจะอยู่ให้ข้าชมไปชั่ว
กาลนาน" พระชายาซึ่งมหน้าเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ มผมดังเมฆสนิลโลหิตซึ่งอุ้มฝนห้อยอยู่บนฟูาี
มผิวซึ่งเย้ยดอกมะลิให้ได้อายีฯลฯ ทรงรับผลไม้อํามฤตจากพระภรรตฤราชแล้ววางพระหัตถ์บนอุระ
พระสวาม จุมพิตพระเนตรแลพระโอษฐ์ีพลางทูลว่าี"พระองค์จงเสวยผลไม้น้เถิด หรือมิฉะนั้นแบ่ง
เสวยกับข้าพเจ้าองค์ละครึ่งผลเพื่อจะได้ยืนชนมายุไปด้วยกัน ความเป็นสาวอยู่เสมอนั้น ถ้ามิได้มชาย
ผู้เป็นท่รักอยู่ด้วยแล้วประโยชน์อันใดจะมเล่า" พระภรรตฤราชทรงฟ๎งดังนั้นีก็แช่มชื่นในพระหฤทัยี
แต่ตรัสแก่นางว่า ผลอํามฤตนั้นต้องกินคนเดยวหมดผลจึงจะมคุณดังกล่าว ถ้าแบ่งกินคนละครึ่งก็ไม่ม
ประโยชน์เลยีรับสั่งเท่านั้นแล้วก็เสด็จไปจากตําหนักนาง ทิ้งผลอํามฤตไว้ให้นางเสวยตามสบาย

ฝุายพระชายาผู้มหน้าเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ มผมเหมือนเมฆสนิลโลหิตซึ่งอุ้มฝนห้อยอยู่
บนฟูาฯลฯ ครั้นพระสวามเสด็จพ้นตําหนักไปแล้ว นางก็ตรัสให้คนสนิทไปตามอํามาตย์หนุ่มผู้เป็นท่
พึ่งพระหฤทัยไปท่ตําหนัก แลประทานผลอํามฤตแก่อํามาตย์หนุ่มด้วยกิริยาแลวาจาซึ่งสําแดงเสน่หา
อย่างน้อยเสมอกับท่ได้แสดงต่อพระภรรตฤราชผู้สวาม อํามาตย์หนุ่มรับผลอํามฤตด้วยกิริยาแลวาจา
ซึ่งสําแดงเสน่หาไม่หย่อนกว่าท่นางสําแดง แล้วกลับจากตําหนักพระชายาีพบนางสนมรูปงามคน
หนึ่งีซึ่งเป็นท่พิศวาสของอํามาตย์หนุ่ม อํามาตย์หนุ่มก็ให้ผลอํามฤตแก่นางนั้นด้วยกิริยาแลวาจาซึ่ง
สําแดงเสน่หาไม่หย่อนกว่าท่ได้แสดงต่อพระชายา ประมาณี๕ีนาทซึ่งพ้นมาแล้ว

นางสนมรูปงามได้รับผลไม้สําคัญีไม่ทราบเรื่องแต่เดิมมา คิดจะหาความชอบต่อพระ
ภรรตฤราชโดยความฝ๎นว่าจะได้เป็นใหญ่ีจึงนําผลไม้ไปถวาย ทูลว่าเป็นผลอํามฤตซึ่งถ้าเสวยให้หมด
ผลจะทรงพระชนม์ยืนยาวชั่วกัลปาวสาน พระภรรตฤราชทรงรับผลอํามฤตจากนางแล้วประทานทรัพย์
เป็นรางวัลมากมาย ครั้นนางออกจากท่เฝูาแล้วีก็ทรงถือผลไม้ในพระหัตถ์ีพิศพลางทรงรําพึงว่าี"
มายาคือความมั่งคั่งีแลมายาคือความรักน้มคุณดท่ไหนบ้าง ความชื่นบานอันเกิดแต่มายาทั้งสองน้อยู่
ได้ครู่เดยวก็กลับเป็นความขมตลอดชาติ ศฤงคารน้เหมือนเหล้าในถ้วยของนักเลงสุราีเมื่อจิบครั้งแรก
มรสดเอิบอาบไปทั่วกาย ยิ่งดื่มบ่อยเข้ายิ่งหย่อนรสีในท่สุดเป็นทุกข์อันหนักีชวิตน้มิใช่อื่นไกล คือ
ความหมุนเวยนแห่งความชื่นบาน ซึ่งเป็นความหลงกับความเร่าร้อนซึ่งเป็นความจริงเท่านั้น วันท่จะ
ตื่นจากชวิตก็คือวันท่สิ้นสุดแห่งชวิตนั้นเอง ทางท่สองรองความตื่นจากชวิตน้ก็คือความเป็นดาบสไว้
ศรัทธาในตบะเพื่อพระผู้เป็นเจ้าจะได้ทรงกรุณาประทานในโลกหน้า ความสุขซึ่งไม่ประทานในโลกน้"
เราได้กล่าวมาในเบื้องต้นว่า พระภรรตฤราชเป็นผู้มหฤทัยซึมเซาชวนจะเป็นฤษอยู่เสมอีๆีแล้ว
ถ้อยคําท่ทรงรําพึงน้เป็นคําของคนท่ใกล้จะออกปุาเป็นดาบส เราท่านฟ๎งดูไม่เห็นได้ความเป็นเรื่อง
เป็นราวอะไร เพราะเรายังห่างไกลจากความเป็นดาบสมากีแลมิได้แสวงท่จะออกปุาเป็นฤษเลย

ส่วนพระภรรตฤราชนั้นเมื่อทรงรําพึงเช่นกล่าวนั้นแล้ว ก็ตกลงในหฤทัยว่าจะออกปุาเป็น
โยค แต่ยังอยากจะสนทนากับพระชายาผู้มหน้าเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญีฯลฯีอยู่ จึงเสด็จไปตําหนัก
นางีซ่อนผลอํามฤตไปด้วย ครั้นเสด็จจึงตรัสถามว่าผลอํามฤตท่ประทานนั้นีนางเสวยแล้วหรือีนาง
ทูลตอบว่า "ไฉนพระองค์จึงตรัสถามเช่นน้ีข้าพเจ้าได้รับประทานก็กินแล้วเป็นแน่ พระองค์ทรงเห็น
ข้าพเจ้าสวยน้อยไปกว่าเมื่อตะก้น้หรือ" พระภรรตฤราชทรงหยิบผลอํามฤตออกชูให้นางดูแล้วมดํารัส
แก่ราชบุรุษอํานวยวิธตัดหัวนางอย่างละเอยด ส่วนผลอํามฤตนั้นมรับสั่งให้ล้างจนสิ้นมลทินท่ติดจาก
มือคนต่างีๆ แล้วก็เสวยหมดทั้งผลแล้วทิ้งราชสมบัติเข้าปุาเป็นโยค คนบางพวกกล่าวว่าพระภรรตฤ
ราชยังทรงโยคะอยู่ในแถบเขาหิมาลัย อันเป็นท่กว้างยากท่ใครจะไปตามพบีคนบางพวกกล่าวว่าี
เมื่อจําเริญตบะยิ่งๆีขึ้น ก็ได้เข้ารวมอยู่ในภาวะแห่งพระผู้เป็นเจ้าีอันเป็นท่ประมวลคนดทั่วไป

ส่วนราชสมบัติกรุงอุชชยิน ซึ่งว่างผู้ปกครองนั้นก็ร้อนถึงพระอินทร์ตามเคยีพระอินทร์ตรัส
ให้อสูรตนหนึ่งชื่อ ปัถพีบาล ลงมาปูองกันกรุงอุชชยินมิให้มภัยมาถึง ต่อเมื่อพระวิกรมาทิตย์กลับเข้า
กรุงเมื่อใดีจึงให้อสูรกลับไปท่อยู่ได้ ป๎ถพบาลรับเทวบัญชาดังนั้นก็มาอยู่ประจําการท่กรุงอุชชยิน
เฝูายามทั้งวันทั้งคืนมิให้ภัยมมาได้ีฝายพระวิกรมาทิตย์ เมื่อเสด็จพาพระโอรสปลอมเป็นโยคเท่ยว
เตร็ดเตร่ตามเมืองแลปุาต่างีๆ ประมาณปีหนึ่งก็บังเกิดเบื่อหน่ายีเพราะเสื้อผ้าเครื่องทรงไม่สบายควร
แก่ราชูปโภค บางคราวก็หิวีบางคราวก็ต้องต่อสู้สัตว์ปุาท่นึกว่ากษัตริย์ี๒ีองค์คือเนื้อี๒ีก้อน อนึ่ง
พระราชาทิ้งราชสมบัติไปนานก็คิดเป็นห่วงีเกิดวิตกต่างๆ ทั้งได้ยินลือกันว่าพระภรรตฤราชทิ้งเมือง
เข้าปุาเป็นฤษไปเสยแล้ว เหตุเหล่าน้รวมกันทําให้พระวิกรมาทิตย์พาพระโอรสหันพระพักตร์สู่นคร

สององค์ทรงด่วนดําเนินหลายวันีถึงประตูนครเวลาเท่ยงคืน พอจะเสด็จเข้าเมืองก็มผู้มกาย
ใหญ่ยืนขวางประตูร้องถามด้วยเสยงดังสนั่นว่าี"ใครมา จะไปไหนีจงหยุดอยู่กับท่แลบอกชื่อไปก่อน"
พระวิกรมาทิตย์ทรงโกรธเป็นกําลังีตรัสว่า "เราคือพระราชาวิกรมาทิตย์ีจะกลับเข้าสู่นครของเราีเจ้า
คือใครจึงกําเริบมาห้ามฉะน้"

อสูรป๎ถพบาลตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นผู้ท่เทพยดาให้มารักษาเมืองน้ีถ้าท่านคือพระวิกรมา
ทิตย์จริง จงมาสู้ลองฤทธิ์ดูก่อน" พระราชาตรัสว่า"ตกลง" เพราะไม่โปรดจะทําอะไรยิ่งกว่ารบ ครั้น
ทรงเหน็บผ้าทรงมั่นคงแล้วีก็ตรงเข้าต่อสู้กับอสูรีอสูรนั้นกําหมัดเท่าผลแตงโม ลําแขนแข็งราว
ตะบองเหล็กีฟาดลงมาแต่ละครั้งดังต้นไม้ใหญ่ซึ่งพายุพัดล้มฟาดลงมา ส่วนพระราชานั้นสูงเพยง
สะดือยักษ์ียักษ์ก้มลงฟาดกําหมัดคราวไรก็ตวาดด้วยเสยงอันดัง คนท่ไม่กล้าหาญมั่นคงีอาจแพ้
เพราะเสยงนั้นอย่างเดยวีต่อสู้กันอยู่ครู่หนึ่ง ยักษ์เหยยบพลาดล้มลงีพระราชบุตรเข้าช่วยนั่งทับอยู่
บนท้องยักษ์ พระราชาขึ้นข่อยู่บนคอีสองพระหัตถ์จิกลงไปในกระบอกตา ตรัสว่า"ถ้ายักษ์ไม่ยอมแพ้
จะควักดวงตาออกเสย" ยักษ์ร้องทูลว่าี"พระองค์ได้ทแล้ว นับว่าทําให้ข้าพเจ้าล้มได้ ข้าพเจ้ายอม
ถวายชีวิตของพระองค์แก่พระองคี์"

พระวิกรมาทิตย์ทรงสํารวลแลตรัสว่า "เจ้าจะเป็นบ้าดอกกระมังีเจ้าอยู่ในอํานาจของข้าแล้ว
ข้าจะตัดลมหายใจของเจ้าเสยก็ได้ในบัดน้ เจ้าจะกลับมาให้ชวิตของข้าแก่ข้าอย่างไรเล่าีเจ้าไม่ต้อง
ให้ชวิตข้า ข้าก็มชวิตต่อไปได้"

ยักษ์ตอบว่า "พระองค์อย่ากล่าวเย่อหยิ่งให้เกินไปีพระองค์ตั้งอยู่ในความไม่รู้ พระองค์จะ


สิ้นชวิตในเร็ววันน้เองีถ้าข้าพเจ้าช่วยให้พระองค์พ้นภัยถึงแก่ชวิต ก็คือข้าพเจ้าถวายชวิตแก่พระองค์ี
พระองค์จงฟ๎งเรื่องซึ่งข้าพเจ้าจะเล่าถวาย แล้วทรงตรึกตรองดูเถิดีถ้าเชื่อข้าพเจ้าแลทําตามคํา
ข้าพเจ้า พระองค์จะทรงชนมายุยืนยาวประกอบด้วยผาสุกสวัสด เป็นท่พึ่งของประชาราษฎร์ไปชั่วกาล
นานีแลเมื่อถึงคราวดับพระชนม์ ก็จะดับด้วยความไม่กระสับกระส่าย"
พระราชาแลพระราชบุตรเสด็จลงจากตัวยักษ์ยืนอยู่ยังดิน ยักษ์ลุกขึ้นนั่งแล้วเล่าเรื่องดังต่อไปน้

"ในกรุงอุชชยินีมคนเกิดในวันเดือนปีเดยวกันแลฤกษ์เดยวกันี๓ีคน คนท่ี๑ีคือพระองค์
ผู้ทรงนามพระวิกรมาทิตย์ีคนท่ี๒ีเป็นบุตรคนค้าน้ํามันีคนท่ี๓ เป็นโยคฆ่าคนท่ี๒ีตายเสยแล้ว
โยคนั้นฆ่าคนทั้งหลายท่มโอกาสฆ่าได้เพื่อบูชานางทุรคา ครั้นฆ่าบุตรคนค้าน้ํามันแล้วีโยคก็ไปทํา
ตบะห้อยตัวเองเอาหัวลงอยู่บนต้นไม้ในปุาช้า มความคิดจะฆ่าพระองค์ผู้เป็นพระราชาีแลได้ฆ่าแล้ว
ซึ่งบุตรของตน" พระราชาตรัสถามว่า "โยคเหตุไรจึงมบุตร" ยักษ์ตอบว่า"ข้าพเจ้ากําลังจะเล่าอยู่
เด๋ยวน้

ในเวลาซึ่งพระราชบิดาของพระองค์ยังทรงพระชนม์ครองราชสมบัติอยู่นั้น วันหนึ่งเสด็จ
ออกเท่ยวปุาีได้ทอดพระเนตรเห็นโยคตนหนึ่งนั่งทําตบะอยู่ในปุา ฝูงปลวกพากันมาทํารังเกาะอยู่
รอบตัวโยคีสัตว์เลื้อยคลานต่างๆีพากันไต่ตามกายแลหน้า หมาร่าทํารังห้อยอยู่บนผมีแต่โยคก็มิได้
รู้สึกตัวีนั่งนิ่งเหมือนคนไม่มใจ ต่อพิจารณาละเอยดจึงเห็นได้ว่ามชวิตีพระราชาทอดพระเนตรเห็น
ดังนั้นก็แปลกพระหฤทัย สักครู่หนึ่งก็เสด็จคืนพระนครีทรงม้านิ่งตรึกตรองตลอดทาง ครั้นถึงพระนคร
ก็รับสั่งถึงโยคนั้นร่ําไป ยิ่งทรงนึกถึงแลรับสั่งถึงก็ยิ่งใคร่ทรงทราบเรื่องแลทดลองตบะแห่งโยคนั้น ใน
ท่สุดมรับสั่งให้ปุาวร้องทั่วพระนครว่าถ้าผู้ใดทําให้โยคเข้ามาในพระนครได้โดยลําพังความชักชวน จะ
ประทานรางวัลมจํานวนี๑๐๐ีเหรยญสุวรรณ

"ยังมนางเวศยาคนหนึ่งชื่อ นางวสันตเสนา มชื่อเสยงชํานาญการร้องรําทําเพลงยิ่งกว่า


สามารถสํารวมฤด นางนั้นเข้าไปเฝูาพระราชบิดาของพระองค์ีอาสาจะนําโยคเข้ามายังท้องพระโรง
แลจะให้แบกทารกมาด้วย พระราชาทรงฟ๎งก็สงสัยคําท่นางกล่าวว่าจะทําได้แต่ประทานใบพลูแก่นาง
ใบหนึ่งเป็นสัญญา ตกลงให้ทําตามอาสาแล้วประทานอนุญาตให้ออกจากท้องพระโรงไป

"นางวสันตเสนาครั้นออกจากท่เฝูาแล้วก็ไปยังปุาเท่ยวหาโยค พบนั่งหิวแลกระหายน้ําอยู่
แทบใกล้ต้นไม้ใหญ่ มอาการเหมือนใกล้จะสิ้นชวิตด้วยความร้อนแลความหนาว นางจึงทําอาหารน้ํา
อย่างหนึ่งซึ่งมรสหวานแหลมีค่อยย่องเข้าไปใกล้แล้วค่อยๆ ปูายอาหารนั้นท่ปากโยคีโยครู้สึกถึง
ความหวานก็เลยอาหารนั้นเข้าไป นางก็ปูายเติมอกเป็นหลายครั้งีครั้นวันท่สามโยคค่อยมกําลัง พอ
รู้สึกนิ้วปูายท่ปากก็ลืมตาขึ้นดูีเห็นนางวสันตเสนาก็ถามว่าีเจ้ามาท่น่ทําไม"

นางวสันตเสนาเตรยมตอบไว้แล้ว ครั้นโยคถามดังนั้นก็ตอบว่าี"ข้าพเจ้าเป็นลูกสาวเทวดาี
ได้กระทําพรตอยู่ในสวรรค์ บัดน้ข้าพเจ้าลงมาพักอยู่ในปุาน้เพื่อจะถือพรตต่อไป" "โยคเห็นนางรูปร่าง
งาม ก็คิดว่าการทรงพรตอยู่ใกล้ีๆนางมโฉมเช่นน้สําราญกว่าอยู่คนเดยวมาก จึงถามว่าท่อยู่ของนาง
อยู่ท่ไหนีนางวสันตเสนาก็ช้ว่าอยู่ใกล้ีๆีนั้นเอง แล้วแกะดินปลวกให้หลุดจากกายโยคีชักชวนให้
อาบน้ําชําระกาย แล้วพาไปท่กระท่อมซึ่งได้จัดให้มผู้มาสร้างขึ้นเตรยมไว้ในปุานั้น ครั้นถึงกระท่อมได้
เห็นของดีๆีต่างีๆ ซึ่งควรแก่ชาวนครล้วนเป็นสิ่งซึ่งโยคไม่เคยพบเห็นีโยคก็พิศวงยิ่งนัก นางวสันต
เสนาก็อธิบายว่าีนางถือพรตชนิดท่ต้องใช้ของดท่สุดซึ่งจะหาได้ ต้องแต่งตัวให้สวยีต้องกินอาหาร
ประกอบด้วยรสทั้งี๖ีทั้งต้องบํารุงความรื่นเริงต่างีๆ (ชะรอยจะทํานองเดยวกันกับชนหมู่หนึ่งซึ่งนับ
ถือคําสั่งสอนของวัลลภาจารย์ยังมอยู่ในอินเดยจนถึงทุกวันน้)

ครั้นไปถึงกระท่อม นางวสันตเสนาก็เล้ยงดูโยคเป็นอันดีฝุายโยคเมื่อได้รู้รสทั้งี๖ีก็ชอบ
ใจ ละพรตอย่างเก่ามาถือพรตอย่างใหม่ีถือการกินแลดื่มแทนการอด มิช้าก็ได้อยู่กินกับนางวสันต
เสนาตามวิธคนธรรพ์วิวาหะีครั้นี๑๐ เดือนล่วงแล้วไปก็มบุตรคนหนึ่งีดังน้โยคจึงมบุตร

"ฝุายนางวสันตเสนาครั้นมบุตรแล้วีวันหนึ่งจึงชักชวนโยคผู้สามว่า ดูกรท่านผู้ทรงโยคะีเรา
ได้ถือพรตมาในปุาน้ช้านานแล้ว มาเราไปยังท่าน้ําอันเป็นบุณยสถานต่างๆีเพื่อล้างกายให้หมดบาป
เป็นท่จําเริญสุขต่อไป โยคได้ฟ๎งดังนั้นก็เห็นชอบจึงแบกทารกผู้บุตรขึ้นบ่าแล้วออกเดินตามนางผู้
ภริยา นางก็นําตรงเข้ากรุงอุชชยิน เข้ายังท้องพระโรงในเวลาท่พระราชาประทับอยู่ท่ามกลางอํามาตย์
มนตร ทอดพระเนตรเห็นนางวสันตเสนานําโยคแบกทารกเข้ามาีก็ทรงพระสรวลตรัสว่าี"อโห หญิง
เวศยาไปพาโยคแบกทารกมาแล้ว" "พวกอํามาตย์มนตรพร้อมกันทูลว่าีพระองค์ตรัสถูกแท้ หญิงคนน้
เจยวรับจะไปพาโยคมาีนางรับจะทําอันใดก็ทําอันนั้นสําเร็จแล้วทุกประการ" "พระราชาได้ทรงฟ๎งก็
ทรงพระสรวลีผู้ท่เฝูาอยู่ก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน ประหนึ่งโยคเป็นเครื่องสนุกอย่างใหญ่

ฝุายโยคเมื่อได้ยินพระราชาตรัสแลได้ยินคนอื่นๆ พูดแล้วหัวเราะเกรยวกราวดังนั้น ก็คิดว่า


พวกน้เจยวแต่งนางไปล่อเราให้เสยผลแห่งตบะท่ได้บําเพ็ญมา ครั้นรู้สึกเช่นนั้นแล้วก็แบกลูกขึ้นบ่าี
สาปคนทั้งหลายท่อยู่ในท่นั้น แล้วออกจากท้องพระโรงไปีคําท่โยคสาปนั้นไม่เป็นผลสําเร็จีเพราะ
เสยตบะเสยแล้ว"

"ครั้นโยคกลับไปถึงปุาก็ฆ่าบุตรของตนเสย แล้วเริ่มทําตบะใหม่ีมาดหมายจะแก้แค้นพระ
ราชบิดาแห่งพระองค์ บัดน้พระราชบิดาก็สิ้นพระชนม์ไปแล้วีโยคตั้งหน้าจะทําร้ายพระองค์ต่อไป หวัง
จะเอาเลือดพระราชาแลพระราชบุตรเป็นเครื่องบูชานางทุรคา เพื่อได้รับความเป็นใหญ่ในโลกเป็น
รางวัล" ป๎ถพบาลเล่าเรื่องจบแล้ว ก็ทูลพระวิกรมาทิตย์ว่าี"ข้าพเจ้าได้กล่าวสัญญาแล้วว่าจะช่วยชวิต
พระองค์ พระองค์จงฟ๎งข้าพเจ้าเถิดีต่อไปน้จงระวังพระองค์ีอย่าเชื่อคําผู้มสํานักในหมู่คนตาย แล
ทรงจําใส่พระหฤทัยไว้ว่าีผู้ใดมุ่งจะฆ่าชวิตพระองค์ พระองค์อาจตัดหัวผู้นั้นเสยก่อนได้โดยครอง
ธรรม ต่อนั้นไปจะทรงครอบครองสกลโลกด้วยความสุขีปรากฏพระนามไปชั่วกาลนาน"

ป๎ถพบาลทูลเท่านั้นแล้วก็อันตรธานไป พระวิกรมาทิตย์กับพระราชบุตรก็เสด็จเข้าไปในพระ
นครีฝุายชาวเมือง ครั้นพระราชาเสด็จคืนครองราชสมบัติก็พากันยินดีรื่นเริง ต่างแต่งกายโอ่อ่า
ประกวดกันีบ้างก็ร้องรําทําเพลงีบ้างก็ประโคมดนตรกึกก้องไป เนาวรัตนกวก็แต่งกลอนยอพระ
เกยรติเชิดชูเป็นเครื่องจําเริญพระยศีพระราชาก็ทรงสําราญ แวดล้อมด้วยพระราชวงศ์ีอํามาตย์มนตร
แลจตุรงคินเสนาีเหมือนหนึ่งสุรเทพนิกร แวดล้อมศักราเทวราชครองราชัยอยู่ในกรุงอมราวดจัดเป็น
ทิพยนครฉะนั้น

ฝุายพระวิกรมาทิตย์ ครั้นสงบความรื่นเริงในการเสด็จนครแล้ว ก็ทรงปกครองประชาราฎร์


โดยเย่ยงอย่างประเสริฐีคนทําผิดก็ลงราชทัณฑ์ตามโทษานุโทษ เป็นต้นว่า อํามาตย์คนหนึ่งขึ้นชื่อ
ว่ารับสินบนก็โปรดให้ริบทรัพย์สมบัติของอํามาตย์นั้นไปขึ้นท้องพระคลังเสยสิ้น คนชาติต่ําคนหนึ่งม
กลิ่นเหล้าออกจากปากก็โปรดให้สักหน้าเป็นเครื่องหมายโทษ ช่างทองคนหนึ่งประกอบการฉ้อโกงีก็
โปรดให้เอามดโกนขดเนื้อเป็นรอยยาวีๆ เหมือนฉกผ้าีคนหนึ่งเป็นคนปากร้ายีพูดจาให้โทษ ก็โปรด
ให้เจาะท่กะโหลกหลังศรษะแล้วเอาคมจับลิ้นลากย้อนรอยไปออกทางช่องซึ่งเจาะนั้น คนฆ่าคนตาย
สองสามคนีก็โปรดให้เอาขึ้นเผาทั้งเป็นบนตารางเหล็ก แลโปรดให้อ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าใน
ขณะเดยวกันให้คนเหล่านั้นพ้นโทษซึ่งน่ากลัวจะได้รับในปรโลก ส่วนการรบแย่งเมืองของผู้อื่นีก็ได้
ทรงทําด้วยความสามารถ มิช้าก็มอาณาจักรไปในสกลโลก

วันหนึ่งพระวิกรมาทิตย์เสด็จออกว่าราชการเมือง มพ่อค้าคนหนึ่งเข้าไปเฝูาในท้องพระโรง
พ่อค้าคนน้มาจากเมืองไกลขึ้นชื่อว่ามั่งมนัก ครั้นได้เข้าเฝูาก็นําผลไม้ผลหนึ่งถวายแล้วทูลลาไปีเมื่อ
พ่อค้าไปแล้ว พระวิกรมาทิตย์ทรงดําริว่าีคนท่ยักษ์บอกให้เราระวังนั้นอาจเป็นคนน้ก็ได้ ไม่ควรเราจะ
กินผลไม้น้ีทรงดําริฉะนั้นแล้วก็ตรัสเรยกชาวคลังมารับผลไม้ไปรักษาไว้ รุ่งขึ้นพ่อค้าก็เข้าไปเฝูาอก
แลถวายผลไม้อกผลหนึ่ง พระราชาก็ตรัสให้ชาวคลังรับผลไม้นั้นไปเก็บไว้อกีเป็นดังน้ทุกวัน จน
ผลไม้มอยู่ในคลังกองใหญ่

วันหนึ่งพระวิกรมาทิตย์เสด็จลงไปทอดพระเนตรม้าีณีโรงม้าต้น ประสบเวลาท่พ่อค้าไป
เฝูาีพ่อค้าก็ถวายผลไม้ท่โรงม้า พระราชาทรงรับแล้วก็ทรงเดาะผลไม้นั้นเล่นแลทรงนิ่งตรึกตรองอยู่
เผอิญผลไม้ตกจากพระหัตถ์ีกลิ้งไปใกล้ลิงซึ่งผูกไว้ในโรงม้าต้น สําหรับคอยรับอุป๎ทวันตรายต่างีๆีมิ
ให้เกิดแก่ม้า ลิงเห็นผลไม้กลิ้งไปใกล้ก็ฉวยเอาไปฉกกิน ทับทิมเม็ดใหญ่งามช่วงโชติก็ตกจากผลไม้
นั้น พระราชาแลข้าราชการท่ตามเสด็จต่างก็พิศวงีเพราะไม่มใครเห็นทับทิมงามเช่นน้เลย พระวิกรมา
ทิตย์ทอดพระเนตรทับทิมอยู่สักครู่หนึ่งีก็ระแวงพระพระหฤทัย ตรัสถามพ่อค้าว่าี"เหตุไรเจ้าจึงให้
ทรัพย์แก่เราดังเช่นทับทิมเม็ดน้" พ่อค้าทูลว่า " คัมภร์โบราณสอนว่าีเมื่อจะไปเฝูาพระราชาี๑ีไปหา
อุป๎ชฌาย์ี๑ ไปหาตุลาการี๑ีไปหาหญิงสาวี๑ีไปหาหญิงแก่ผู้มลูกสาวซึ่งเราใคร่ได้ี๑ อย่าให้ไป
มือเปล่า ข้าพเจ้าได้ถวายทับทิมเช่นเดยวกันน้แก่พระองค์มามากแล้ว เหตุใดจึงรับสั่งแต่เม็ดน้เม็ด
เดยวเล่าีผลไม้ท่ข้าพเจ้าถวายทุกๆีวันนั้น มทับทิมอย่างเดยวกับเม็ดน้ซ่อนอยู่ข้างในทุกผล"

พระราชาได้ฟ๎งดังนั้นก็ตรัสเรยกนายคลังให้ไปขนผลไม้มาทั้งสิ้น ครั้นขนมาแล้วก็ตรัสให้
ผ่าออกดูพบทับทิมผลละเม็ดขนาดใหญ่ีแลน้ํางามเสมอกันทุกีๆีเม็ด พระวิกรมาทิตย์ทอดพระเนตร
เห็นก็ทรงโสมนัสีจึงตรัสให้ตามพ่อค้าพลอยเข้ามาแล้วตรัสว่า " มนุษย์เราเมื่อสิ้นชวิตแล้ว จะพาสิ่ง
ใดจากโลกน้ไปสู่โลกหน้าได้นั้นไม่ม ความทรงธรรมเป็นคุณวิเศษยิ่งสิ่งอื่นในโลกน้ เพราะฉะนั้นเจ้า
จงบอกแก่เราว่า ทับทิมเหล่าน้เม็ดหนึ่งๆีมค่าเท่าไร"

พ่อค้าพลอยทูลตอบว่าี"พระราชารับสั่งถูกต้องทุกประการีผู้ใดมธรรมในใจ ผู้นั้นเป็น
เจ้าของสิ่งทั้งปวงในโลกธรรมย่อมจะเป็นเพื่อนไปในท่ทั้งปวง มประโยชน์ทั้งในโลกน้แลโลกหน้าีอัน
ทับทิมเหล่าน้ถ้าข้าพเจ้าทูลว่า แต่ละเม็ดมราคาถึงสิบล้านเหรยญสุวรรณี(๑๐,๐๐๐,๐๐๐) พระองค์ก็
ยังไม่ทรงทราบราคาจริงของทับทิมเม็ดหนึ่ง อันท่จริงราคาทับทิมเหล่าน้แต่ละเม็ดอาจซื้อทวปได้
ทวปหนึ่งีจากจํานวนี๗ีทวป ซึ่งรวมกันเป็นโลกน้" พระราชาได้ฟ๎งก็ทรงสําราญพระหฤทัยีประทาน
รางวัลแก่พ่อค้าพลอย แล้วตรัสให้พ่อค้าผู้ถวายทับทิมตามเสด็จคืนเข้าท้องพระโรง รับสั่งให้นั่งในท่
อันควรแล้วตรัสว่า"ราชัยไอศวรรย์ของเราทั้งหมดไม่มราคาครึ่งค่อนราคาแห่งทับทิมน้เม็ดหนึ่งๆ ท่าน
เป็นคนหาประโยชน์ในการค้าขายีเหตุไรท่านจึงให้ทับทิมแก่เราถึงเท่าน้"

พ่อค้าทูลตอบว่าี"ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ คัมภร์โบราณกล่าวว่า ข้อความบางอย่างไม่


ควรกล่าวในท่ชุมนุมคือีการขอพรี๑ีการร่ายมนตร์ี๑ การวางยาี๑ีการกล่าวคุณความดี๑ีการใน
เรือนี๑ีการกินอาหารท่ห้ามี๑ การกล่าวลบหลู่เพื่อนบ้านี๑ ถ้าข้าพเจ้าได้เฝูาเฉพาะพระองค์
ข้าพเจ้าจะทูลความประสงค์ของข้าพเจ้า การอันใดในโลกน้ถ้าได้ยินถึงี๖ีหูีก็สิ้นเป็นความลับีถ้าได้
ยินเพยง ๔ีหูีบางทจะไม่มใครทราบต่อไปีถ้าได้ยินแต่ี๒ีหูีแม้พระพรหมก็ไม่ทราบได ้"ี (ตรงน้เรา
ท่านสมัยน้ควรเห็นว่าีถ้าี๒ีหูนั้นเป็นหูพระพรหม พระพรหมก็อาจทราบได้บ้างกระมัง) พระวิกรมา
ทิตย์ทรงฟ๎งดังนั้น ก็รับสั่งให้พ่อค้าเข้าไปเฝูาในท่ลับีแล้วตรัสว่า "ท่านได้ให้ทับทิมแก่เรามากมาย
ฉะน้ีเรายังมิได้ทําอันใดตอบแทนท่านเลย แม้จะได้เล้ยงอาหารจนครั้งหนึ่งก็หามิได้ีท่านจะประสงค์
สิ่งใดก็จงบอกเราเถิด"

พ่อค้าทูลตอบว่าี"ข้าพเจ้ามิใช่พ่อค้า ข้าพเจ้าเป็นโยคชื่อ ศานติศีล ข้าพเจ้ากําลังจะ


กระทําพิธอันหนึ่งในปุาช้าริมฝ๎่งแม่น้ําโคทาวร เมื่อข้าพเจ้าทําสําเร็จแล้วจะได้ความเป็นใหญ่ในโลก
ข้าพเจ้าขอเชิญพระองค์และพระธรรมธวัชผู้พระราชบุตรช่วยข้าพเจ้าในการน้ เชิญเสด็จไปท่ปุาช้าคืน
หนึ่งีและกระทําการตามสั่งข้าพเจ้าทุกประการ ถ้าพระองค์โปรดข้าเจ้าเช่นน้ีการพิธของข้าพเจ้าจะ
สําเร็จ"

พระวิกรมาทิตย์ได้ยินกล่าวถึงปุาช้าก็สะดุ้งพระหฤทัย ด้วยระลึกถึงคําท่ยักษ์ทูลไว้ แต่


พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ทรงราบวิธซ่อนความรู้สึกมิให้ปรากฏในกิริยาอาการ โยคศานติศลจะได้
ทราบว่าทรงระแวงนั้นหามิได้ พระวิกรมาทิตย์ทรงนิ่งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งีทรงดําริว่าได้ลั่นพระโอษฐ์
แล้ว ถ้าไม่ทําตามจะเสยคําไปีจึงตรัสว่าี"เราจะไปยังปุาช้าแลช่วยท่านในพิธท่กล่าวนั้น ท่านจงบอก
กําหนดวันแลเวลาเถิด" โยคทูลว่า "เชิญเสด็จไปท่ปุาช้าจําเพาะแต่พระองค์กับพระราชบุตรีมิให้มคน
ตามเสด็จ แต่ให้ทรงถืออาวุธไปด้วยีกําหนดวันจันทร์แรมี๑๔ีค่ําเดือนน้" พระราชาทรงรับแม่นมั่น
แล้วีโยคก็ทูลลาจากวังไปเตรยมการสําหรับพิธท่กล่าวนั้น

ฝุายพระวิกรมาทิตย์ ครั้นโยคทูลลาไปแล้วก็เสด็จขึ้นข้างใน ทรงดําริข้อความซึ่งประทาน


คํามั่นแกโยคไม่มทางจะถอยได้ แต่การอันน้เป็นเครื่องซึ่งอาจให้ได้อายีจึงมิได้รับสั่งแพร่งพรายแก่
ใคร แม้อํามาตย์ท่สนิทก็มิได้ตรัสให้รู้เรื่อง

ครั้นถึงกําหนดกลางคืนแรมี๑๔ีค่ําีพระราชากับพระราชบุตรก็เตรยมพระองค์ ทรงผ้าโพก
พันไปใต้คางีทรงถือดาบอันเป็นอาวุธคู่พระหัตถ์ สามารถสู้อริทั้งท่เป็นมนุษย์แลอมนุษย์

สององค์พากันเสด็จออกจากวังดําเนินไปตามถนน บ่ายพระพักตร์สู่ปุาช้าซึ่งอยู่ริมแม่น้ําโค
ทาวรีคืนนั้นมืดนัก พายุพัดฝนตกเยือกเย็นีผู้คนไม่มเดินไปมาในถนน พระราชาแลพระราชบุตรตั้ง
พระพักตร์รบดําเนินไปจนเห็นแสงไฟอยู่กลางปุาช้า ก็เสด็จตรงเข้าไปหาแสงไฟีเมื่อถึงขอบปุาช้าี
พระราชาหยุดชะงัก เพราะรังเกยจเหยยบพื้นดินโสโครกด้วยซากศพ ทรงเหลยวดูพระราชบุตรเห็น
มิได้ครั้นคร้ามเลย

สององค์ก็ทรงดําเนินตรงเข้าไปีสักครู่หนึ่งถึงกลางปุาช้า พระราชาทอดพระเนตรเห็นสิ่งท่
น่าเป็นท่รังเกยจต่างีๆ อยู่ล้อมกองไฟซึ่งได้เผาศพใหม่ีๆีภูตผปิศาจปรากฏแก่ตารอบข้างีเสือ
คํารามอยู่ก็ม ช้างฟาดงวงอยู่ก็มีหมาในซึ่งขนเรืองๆ อยู่ในท่มืดก็กินซากศพซึ่งกระจัดกระจายเป็นชิ้น
เป็นท่อน หมาจิ้งจอกก็ต่อสู้กันแย่งอาหารีคือเนื้อแลกระดูกมนุษย์ หมก็ยืนเค้ยวกินตับแห่งทารกีใน
ท่ใกล้กองไฟเห็นรูปผนั่งยืนแลลอยอยู่เป็นอันมาก ทั้งมเสยงลมแลฝนีเสยงสุนัขเห่าหอนีเสยงนก
เค้าแมวร้องแลเสยงกระแสน้ําไหลกลบกันไป ในท่ามกลางสิ่งน่าเกลยดน่ากลัวเหล่าน้ีโยคศานติศล
นั่งอยู่ใกล้กองไฟ มกะโหลกศรษะวางอยู่บนเข่าีมือถือกระดูกแข้งมือละท่อน เคาะกะโหลกเป็นเพลง
ให้ภูตต่างๆีรําแลโลดไปมาอยู่รอบข้าง

พระวิกรมาทิตย์ทรงความกล้าอย่างท่สุดีดังจะเห็นได้ในเวลาท่รบยักษ์นั้นแล้ว แต่ความ
กล้านั้นประกอบด้วยความระมัดระวังพระองค์ ครั้นเห็นมนุษย์แวดล้อมด้วยผดังนั้นีก็ซ้ําคิดถึงยักษ์
เห็นเป็นช่องอันดท่จะทําลายศัตรูซึ่งมุ่งร้ายต่อพระองค์ีทรงคิดว่าในขณะนั้น ถ้าตรงเข้าไปฟ๎นด้วย
พระแสงดาบอันคมกล้าีให้หัวโยคขาดไป ก็จะทําได้สําเร็จประสงค์โดยง่าย แต่ทรงรําลึกว่าได้ทรง
สัญญาเสยแล้วว่าจะมารับใช้โยคในคืนวันนั้น จําต้องปฏิบัติตามข้อสัญญาีแลระวังพระองค์คอยหา
โอกาสในเวลาข้างหน้าต่อไป

พระราชาทรงดําริฉะน้แล้ว จึงเสด็จทรงนําพระราชบุตรเข้าไปทํากิริยาเคารพโยคเป็นอันด
แล้วทรงนั่งลงบนพื้นดินตามคําโยคทูลเชิญีสักครู่หนึ่งพระราชาตรัสว่า "เรามาทั้งน้โดยสัญญาจะ
ปฏิบัติคําสั่งแห่งท่านีท่านจะให้เราทําอันใดจงว่าไปเถิด" โยคทูลตอบว่าี"พระองค์เสด็จมาถึงแล้ว ก็
จงปฏิบัติตามประสงค์ข้อหนึ่งของข้าพเจ้าก่อน คือในทิศใต้มปุาช้าเช่นเดยวกันน้อกแห่งหนึ่งีในปุา
ช้านั้นมต้นอโศก บนต้นอโศกนั้นมศพแขวนอยู่ศพหนึ่งีพระองค์จงไปพาศพนั้นมาให้ข้าพเจ้าโดยเร็ว"

พระราชาทรงฟ๎งดังนั้น ก็จับพระหัตถ์พระราชบุตรพากันเดินไปในทิศใต้ ทรงทราบใน


พระทัยว่าศานติศลกําลังตั้งพิธจะทําร้ายพระองค์แลพระราชวงศ์ของพระองค์ จําเป็นพระราชาต้องคิด
อุบายปูองกันมิให้โยคกระทําการเป็นภัยแก่พระองค์ได้ ทรงพระราชดําริเช่นน้พลางดําเนินไปีได้ยิน
เสยงดนตรของโยคแลเสยงภูตผปิศาจต่างๆ เต้นรําทําเพลงอื้ออึงในปุาช้าีทางท่เดินนั้นมืดถึงแก่จะ
เดินให้ตรงมิได้ ทั้งมภูตตามล้อหลอกให้ตกใจีบ้างก็แกล้งขวางจะให้สะดุดล้มีบ้างก็เป็นงูมาพันพระ
ชงฆ์ บ้างก็ทําแสงวูบวาบข้างๆีทางเดินีบ้างก็ทําเสยงดังลั่นใกล้ๆีพระองค์ แม้คนท่กล้าก็น่า
หวาดเสยวีไม่อาจดําเนินต่อไปได้

แต่พระราชากับพระราชบุตรก็มิได้ถอย พากันทรงดําเนินไปจนถึงปุาช้าซึ่งโยคทูลนั้น สักครู่


หนึ่งเห็นต้นอโศกต้นใหญ่ลุกเป็นไฟแดงไปทั้งต้น พระราชาไม่ทรงย่อท้อก็เดินตรงเข้าไปประเด๋ยวได้
ยินเสยงผร้องบอกว่าี"ฆ่าเสย ฆ่าเสยทั้งสองคนีจับตัวให้ได้ีช่วยกันจับตัวเผาในไฟบนต้นไม้ให้ไหม้
เป็นจุณไป ทําให้รู้สึกพิษไฟแห่งบาดาล" พระราชาไม่ทรงครั่นคร้ามีก็ตรงเข้าไปถึงต้นไม้ แต่เปลว
ไฟบนต้นอโศกนั้นมิได้ร้อนีเพราะเป็นไฟท่ปิศาจสําแดงหลอกเท่านั้น เมื่อเข้าไปถึงโคนต้นไม้
พระราชาก็หยุดพิศดูศพซึ่งแขวนอยู่บนกิ่งอโศก ศพนั้นลืมตาโพลง ลูกตาสีเขียวเรือง ๆ ผมสี
น้้าตาล หน้าสีน้าตาล ตัวผอมเห็นซี่โครงเป็นซี่ ๆ ห้อยเอาหัวลงมาท้านองค้างคาว แต่เป็น
ค้างคาวตัวใหญ่ที่สุด เมื่อจับถูกตัวก็เย็นชืดเหนียว ๆ เหมือนงู ปรากฏเหมือนหนึ่งไม่มีชีวิต
แต่หางซึ่งเหมือนหางแพะนั้นกระดิกได้ พระวิกรมาทิตย์ทอดพระเนตรเห็นเช่นน้ ก็ทรงคิดว่าศพน้
คือศพลูกชายของพ่อค้าน้ํามัน ซึ่งยักษ์ได้ทูลไว้ว่าโยคเอาไปแขวนไว้ท่ต้นไม้ ครั้นเมื่อเห็นเป็นเวตาล
เช่นน้ก็ทรงพิศวง แต่ทรงดําริว่าชะรอยโยคจะแกล้งเปล่ยนศพลูกชายพ่อค้าน้ํามันให้มรูปเป็นเวตาล
เพื่อจะลวงให้สนิทดอกกระมัง ทรงคิดเช่นน้แล้วีพระราชาก็ทรงปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ตรัสให้พระราช
บุตรยืนหลกให้ห่างออกไป แล้วทรงพระแสงดาบฟ๎นกิ่งไม้ซึ่งเวตาลห้อยอยู่นั้นขาดตกลงยังดินทั้ง
เวตาลด้วย

ฝุายเวตาลเมื่อตกถึงพื้นดินก็กัดฟ๎นร้องเสยงเหมือนทารกซึ่งได้รับความเจ็บ พระราชาตรัส
ว่าี"อ้ายตัวน้มชวิต" แล้วเสด็จโจนลงจากต้นไม้ีตรัสถามเวตาลว่า "เอ็งน้อะไร" ตรัสแทบจะยังไม่ทัน
ขาดคําีเวตาลหัวเราะด้วยเสยงอันดัง แล้วกลับขึ้นไปห้อยเกาะกิ่งไม้กิ่งอื่นอยู่บนต้นไม้อย่างเก่า ห้อย
พลางหัวเราะจนตัวแกว่งไปมา

ฝุายพระราชาทรงคิดว่า เวตาลน้คงจะเป็นบุตรพ่อค้าน้ํามันเป็นแน่ จําจะต้องปีนขึ้นไปตัดกิ่ง


ไม้ลงมาอกครั้งหนึ่งีจึงตรัสแก่พระราชบุตรว่า คราวหน้าเมื่อเวตาลตกลงมาถึงพื้นดินีก็ให้จับไว้ให้จง
ได้ ตรัสสั่งแล้วพระราชาทรงปีนขึ้นบนต้นไม้ีตัดกิ่งตกลงมาอกกิ่งหนึ่งพร้อมกับเวตาล พระราชบุตร
คอยอยู่ข้างล่างก็ตรงเข้าจับเวตาลไว้แน่น พระราชาเสด็จรบลงจากต้นไม้เข้าช่วยพระราชบุตรยึดแล้ว
ตรัสถามว่าี"เอ็งน้คือใคร" ทันใดนั้น เวตาลก็หัวเราะด้วยเสยงอันดังแล้วลื่นหลุดลอยขึ้นไปเกาะอยู่บน
ต้นไม้อย่างเก่า ห้อยพลางหัวเราะเย้ยอยู่บนกิ่งไม้อันสูง

ฝุายพระราชาเมื่อเวตาลหลุดไปได้ถึงสองครั้งเช่นน้ีก็ทรงพิโรธ ตรัสสั่งพระราชบุตรว่าีเมื่อ
เวตาลตกลงมาถึงพื้นดินให้ฟ๎นหัวให้ขาดออกไป แล้วทรงปีนขึ้นต้นไม้จับผมเวตาลกระชากจนหลุด
จากกิ่งไม้เกาะแล้วทิ้งลงมาถึงพื้นดิน พระราชบุตรคอยอยู่ข้างล่างก็ฟ๎นด้วยพระแสงดาบถูกหัวเวตาล
ดาบบิ่นไป ปรากฏเหมือนหนึ่งฟ๎นหินีพอพระราชาเสด็จลงจากต้นไม้มาถึงดินตรัสถามว่า"เอ็งคือใคร"
แทบจะยังไม่ทันสุดสําเนยงีเวตาลก็หัวเราะไปเกาะอยู่บนต้นไม้อย่างเก่า พระวิกรมาทิตย์เสด็จปีนขึ้น
ไปีแลลงหลายครั้งก็ไม่ย่อท้อ ปรากฏความเพยรเหมือนหนึ่งว่าจะยอมปีนขึ้นปีนลงอยู่จนสิ้นยุค แต่
ไม่จําเป็นต้องเพยรนานถึงเท่านั้นีเพราะเวตาลยอมให้จับในครั้งท่เจ็ดีแลกล่าวว่า แม้เทวดาก็ขืนใจ
คนหัวดื้อไม่ได ้ีฝุายพระราชาเมื่อจับเวตาลไว้แล้ว ก็ปลดผ้าผืนหนึ่งออกจากพระองค์ผูกเป็นย่ามจะ
ใส่เวตาล เวตาลนิ่งดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่าี"ท่านน้คือใครีท่านจะทําอะไร" พระราชาตรัสตอบว่าี"เอ็ง
จงรู้ว่าข้าคือพระวิกรมาทิตย์พระราชากรุงอุชชยิน ข้าจะจับตัวเอ็งไปให้คนีๆีหนึ่งีซึ่งเห็นสนุกในการ
เคาะกะโหลกหัวผเป็นเพลงให้ผฟ๎ง"

เวตาลทูลตอบว่าี"พระองค์ผู้เป็นราชา จงจําภาษิตโบราณไว้ว่า ลิ้นคนนั้นตัดคอคนเสยมาก


ต่อมากแล้ว ข้าพเจ้าจะยอมตามพระหฤทัยพระองค์ีแลตามเสด็จไปหาบุรุษท่ทําดนตรด้วยกะโหลก
หัวผ พระองค์จะผูกข้าพเจ้าสะพายหลังเหมือนย่ามคนขอทานก็ตามพระประสงค์ แต่พระองค์จงฟ๎งคํา
ข้าพเจ้าใส่พระหฤทัยไปตลอดทางีคือข้าพเจ้าเป็นผู้ช่างพูด แลทางเดินตั้งแต่ท่น้ไปถึงปุาช้า ซึ่ง
เพื่อนของพระองค์นั่งทําดนตรอยู่นั้นกินเวลาชั่วโมงเศษ ในเวลาเดินทางข้าพเจ้าจะเล่านิทานเล่นี
เพราะ ปราชญ์ผู้มความรู้ย่อมใช้เวลาของตนในเรื่องหนังสือมิใช่ใช้เวลาในการนอนแลการข้เกยจ
อย่างคนโง่
ในเวลาเล่านิทานนั้นข้าพเจ้าจะตั้งปัญหาถามพระองค์ แลพระองค์ต้องสัญญาข้อนี้
เสียก่อน ข้าพเจ้าจึงจะยอมไปด้วย คือเมื่อข้าพเจ้าตั้งปัญหาถ้าพระองค์ตอบ จะเป็นด้วย
กรรมในปางก่อนบันดาลให้ตอบหรือด้วยแพ้ความฉลาดของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าล่อให้
ทรงแสดงความเย่อหยิ่งว่ามีความรู้ก็ตาม ถ้าตรัสตอบปัญหาข้าพเจ้าเมื่อใด ข้าพเจ้าจะ
กลับไปที่อยู่ของข้าพเจ้า ต่อเมื่อพระองค์ไม่ตอบปัญหาเพราะได้สติหรือด้วยความโง่เขลา
ของพระองค์ก็ตาม ข้าพเจ้าจึงจะยอมไปด้วย ข้าพเจ้าขอทูลแนะน้าเสียแต่ในบัดนี้ว่า
พระองค์จงสงบความหยิ่งในพระหฤทัยว่าเป็นผู้มีความรู้ เมื่อเกิดมาเป็นคนโง่แล้วก็จงยอมโง่
เสียเถิด มิฉะนั้นพระองค์จะไม่ได้ประโยชน์ซึ่งนอกจากข้าพเจ้าแล้วไม่มีใครจะอ้านวยไดี้"

พระวิกรมาทิตย์ได้ทรงฟ๎งดังนั้นก็คิดขัดเคืองในพระหฤทัยีเพราะ พระราชาไม่เคยฟ๎งใครดู
หมิ่นว่าโง่ แต่ครั้นจะไม่ยอมสัญญาตามคําเวตาลก็จะไม่ได้ตัวไปดังประสงค์ ทรงดําริเช่นน้แล้วมิได้
ตรัสตอบประการใดีทรงจับเวตาลใส่ลงในย่ามยกขึ้นสะพาย แล้วตรัสให้พระราชบุตรรบตามให้ทันี
พลางเสด็จออกรบทรงดําเนินไป ฝุายเวตาลครั้นออกเดินได้สักครู่หนึ่งีก็ทูลถามป๎ญหาสั้นีๆ กล่าว
ด้วยลมแลฝนแลโคลนในถนนีพระราชามิได้ตรัสตอบประการใดีเวตาลจึงทูลว่า "ข้าพเจ้าจะเล่า
นิทานซึ่งเป็นเรื่องจริงถวายในบัดนี้ พระองค์จงฟังเถิด"

Introduction
นิทานเวตาลเรื่องที่ ๑
เรื่องท่ี๑

ในกรุงพาราณสมพระราชาทรงศักดิ์ใหญ่ครองราชย์สมบัติีทรงนาม
พระประตาปมุกุฏ มราชบุตรีทรงนามวัชรมุกุฏีมเรื่องดังต่อไปน้

เช้าวันหนึ่งีพระวัชรมุกุฏกับสหายีชื่อพุทธิศริระ พากันข่ม้าออกเท่ยวล่าเนื้อ
ในปุาีพุทธิ- ศริระเป็นบุตรของประธาน คือหัวหน้าอํามาตย์ในพระนครนั้นีชายหนุ่มทั้ง
สองข่ม้าไปในปุา พบสระใหญ่สระหนึ่งมกําแพงล้อมรอบริมสระเป็นท่ร่มรื่นตลบด้วย
กลิ่นดอกไม้ ฝูงนกคือหงส์แลนกจากพรากเป็นต้นีลงลอยอยู่ในสระ ในหมู่ดอกบัวอัน
ชูก้านขึ้นมาพ้นน้ําเป็นท่ชวนชม แมลงภู่ทั้งหลายพากันร่อนอยู่เหนือน้ําีแลกินรส
ดอกบัวในสระนั้นีพระราชบุตรแลสหาย ไม่เคยไปพบสระนั้นในปุาต่างก็พิศวงจึงลง
จากหลังม้าีผูกม้าไว้แทบใต้ต้นไม้ แล้วเดินเข้าไปริมสระชําระพระพักตร์และหัตถ์ แล้ว
ก็เข้าไปในศาลพระมหาเทพซึ่งอยู่ใกล้ฝ๎่งสระีต่างคนกระทําการนอบน้อมแลสวดมนต์
สักครู่หนึ่งมหญิงสาวเป็นอันมาก ห้อมล้อมด้วยทาสพากันมาท่ริมสระฟาก
โน้น ครั้นมาถึงก็ยืนสนทนาแลสํารวลกันอยู่ท่ขอบสระีบางนางก็ลงอาบน้ํา แต่นางผู้
เป็นหัวหน้าคือพระราชบุตรนั้นมิได้ลงสระน้ํา เสด็จเดินเท่ยวเล่นใต้ร่มไม้กับนางอกคน
หนึ่งห่างฝูงนางออกไป
ฝุายพระราชบุตรปล่อยให้พุทธิศริระนั่งสวดมนต์อยู่ในศาลพระมหาเทพคน
เดยว พระองค์เสด็จออกจากศาลเดินเด่ยวไปในหมู่ไม้ มิช้าพระราชบุตรแลพระราช
ธิดาก็สบพระเนตรกันีนางสะดุ้งเหมือนหนึ่งตกพระหฤทัย พระราชบุตรทรงใฝุฝ๎น
ในทันทท่ทอดพระเนตรเห็นนางีแลตรัสออกมาว่าี"กามเทพเอย เหตุไรท่านจึงมา
รบกวนเราเช่นน้" พระราชธิดาได้ยิน ทรงยิ้มหยุดยืนดูกิริยาพระราชบุตรีเพราะเธอตก
ประหม่ามิรู้จะกล่าวแลทําประการใดได้ นางนิ่งดูอยู่ครู่หนึ่งก็ทําการเหมือนพิโรธตรัส
แก่หญิงสหายซึ่งแสร้งหันหลังเก็บดอกมะลิว่า เหตุไรจึงปล่อยให้ชายหนุ่มมายืนจ้องดู
นางอยู่เช่นน้ ฝุายหญิงสหายเมื่อได้ยินดังนั้น ก็หันมากล่าวคําเกร้ยวกราดขับไล่ให้
พระราชบุตรไปเสยจากท่ แลให้พาความละลาบละล้วงไปเสยด้วย มิฉะนั้นจะเรยก
ทหารมาจับตัวทิ้งลงไปในสระให้สมแก่โทษ ฝุายพระราชบุตรยืนตกตะลึงดูนางีมิได้
ยินคําท่หญิงสหายกล่าวขู่ นางทั้งสองเห็นดังนั้นก็พากันเดินห่างออกไป
ครั้นถึงขอบสระฟากข้างโน้น พระราชธิดาก็เหลยวดูว่าชายหนุ่มผู้ตก
ประหม่ายังนิ่งอยู่กับท่หรือทําอย่างไรต่อไป ครั้นเห็นพระราชบุตรยังยืนจ้องดูอยู่ีนางก็
ทรงยิ้มแล้วเสด็จลงไปท่ขอบสระ เก็บดอกบัวดอกหนึ่งชูขึ้นไหว้ฟูาแล้วเอาเสยบเกศา
แล้วทัดท่กรรณีแล้วกัดด้วยทนต์ แล้วทิ้งลงเหยยบด้วยบาทีแล้วกลับหยิบขึ้นป๎กท่
อุระ ครั้นทําเช่นน้แล้วนางก็เสด็จไปขึ้นยานกลับคืนสู่นิเวศน์แห่งนาง
ฝุายพระราชบุตรีครั้นนางไปแล้วก็เร่าร้อนในพระหฤทัย เสด็จกลับไปยังศาล
พระมหาเทพีพบพุทธิศริระเดินออกมาจากศาลีพระราชบุตรก็รับสั่งว่า "สหายเอยีข้า
ได้เห็นนางหนึ่งงามนักีจะเป็นีนางดนตรของพระอินทร์ในสวรรค์ หรือจะเป็นนางมา
จากทะเลหรือธิดาแห่งนาคราชีหรือบุตรพระราชาในแผ่นดินีก็หาทราบไม่" พุทธิศริระ
ผู้จะเป็นอํามาตย์มป๎ญญาในภายหน้าทูลว่า "พระองค์จงกล่าวโฉมหน้านางให้ข้าพเจ้า
ฟ๎งเถิด" พระราชบุตรตรัสว่า "พักตร์นางเหมือนพระจันทร์ยามเพ็ญีผมเหมือนหมู่ผึ้ง
อันเกาะห้อยอยู่บนช่อดอกไม้ ปลายขนงยาวจรดถึงกรรณีโอษฐ์มรสเหมือนจันทราม
ฤตีเอวเหมือนเอวสิงห์ ทรงดําเนินเหมือนราชหงส์ีกล่าวเทยบเครื่องแต่งกายนางคือส
ขาว กล่าวเทยบฤดูนางคือวสันตฤดูีกล่าวเทยบีดอกไม้นางคือพุทธชาด กล่าว
สําเนยงนางคือนกกาเหว่าีกล่าวความหอมนางคือชะมดเชยงีกล่าวความงามนางคือ
พระศร กล่าวความเป็นนางคือความรักีถ้าข้ามิได้นางมาีข้าจะไม่ทรงชวิตไปเป็นอัน
ขาด ข้าได้ตกลงในใจเช่นน้แล้ว"
พุทธิศริระได้ฟ๎งพระราชบุตรตรัสดังนั้นีก็มิได้ร้อนใจีเกรงจะปลงพระชนม์
ลงในกลางปุา เพราะเคยได้ยินพระราชบุตรตรัสอย่างเดยวกันทุกครั้งท่ได้เห็นนางงาม
มิได้คิดว่าจะเป็นไปลึกซึ้งยิ่งกว่าคราวก่อนๆีพุทธิศริระจึงทูลว่า ถ้าไม่ขึ้นม้าเด๋ยวน้คง
จะค่ําอยู่กลางปุาไม่กลับถึงนครได้ในเวลาอันควร พุทธิศริระกล่าวดังนั้นแล้วีเจ้าแลข้า
ก็ชวนกันขึ้นม้าหันกลับเข้าเมือง
ในเวลาเดินทางอยู่ประมาณี๓ีชั่วโมงนั้น ชายหนุ่มทั้งสองเกือบจะมิได้
สนทนากันเลย พระวัชรมุกุฏนิ่งนึกถึงนางมิได้รับสั่งประการใด เมื่อพุทธิศริระทูลอะไรก็
ต้องทูลดังๆถึงสามส่ครั้ง จึงจะตรัสตอบคําเดยวหรือสองคําเป็นอย่างมาก ฝุายพุทธิศริ
ระเมื่อเห็นพระราชบุตรนิ่งอยู่ดังนั้นีก็มิได้ทูลอันใดต่อไป คิดในใจว่าถ้าพระราชบุตร
อยากได้ความเห็นแลความแนะนําก็ให้หารือมาเถิด
พุทธิศริระคิดดังน้ เพราะดําเนินความคิดตามวิธของบิดาผู้เป็นอํามาตย์ม
ป๎ญญาีซึ่ง มิได้ให้ป๎ญญาแก่ผู้ใดท่มิได้ขอนั้นเป็นอันขาด ถึงแม้ผู้ท่ขอป๎ญญาบางทก็
ได้เห็นสิ่งตรงกันข้าม อันผู้ฉลาดไม่เรยกว่าป๎ญญาเป็นอันขาด

ฝุายพุทธิศริระีเมื่อข่ม้านิ่งๆีเวลานั้นก็ตรึกตรองข้อความลึกลับอันหนึ่ง ซึ่ง
ขึ้นต้นไว้แต่เวลาเช้าเพราะชายหนุ่มคนน้มวิธฝึกฝนป๎ญญาให้คมกล้า คือเมื่อตื่นขึ้น
เช้าก็คิดตั้งป๎ญหาถามตัวเองข้อหนึ่งซึ่งมใจความลึกลับ แลตรึกตรองตอบป๎ญหานั้น
ทุกขณะีท่มเวลาว่างีข้อความท่ลึกลับแลละเอยด ถ้าเก่ยวกับป๎ญหานั้นก็นําเอามา
ตรึกตรองจนสิ้นเชิง แลเมื่อได้ทําเช่นน้มาสองสามปีก็ควรเป็นท่เชื่อได้ว่า ชายหนุ่มคน
น้มป๎ญญารุ่งโรจน์มาก
ครั้นกลับถึงวังในตอนค่ํา พระราชบุตรก็บรรทมกระสับกระส่ายอยู่ตลอดคืนี
แลเป็นเช่นนั้นตลอดวันรุ่ง ครั้นวันท่สองถึงแก่ประชวรมอาการเป็นไข้ีการเขยนการ
อ่านการกินการนอนก็งดหมด ราชการซึ่งพระราชบิดามอบเฉพาะพระองค์ก็งดีการ
อื่นๆีก็งด เพราะรับสั่งว่าจะสิ้นพระชนม์อยู่แล้ว ครั้นพระชนม์ยังไม่สิ้นก็ทรงเขยนรูป
นางงามผู้เก็บดอกบัวมาทําแปลกๆ จนฝ๎งอยู่ในพระหฤทัยีกล่าวกันว่าเขยนเหมือน
อย่างท่สุด ครั้นเขยนแล้วก็บรรทมพิศดูรูปีด้วยพระเนตรอันฉ่ําด้วยน้ํา อกครู่หนึ่งลุก
ทะลึ่งขึ้นฉกรูปนั้นเสย แล้วชกพระเศยรประหนึ่งว่าพระเศยรได้กระทําความผิดเป็นข้อ
ใหญ่ แล้วก็เขยนรูปนางอกรูปหนึ่งงามยิ่งกว่ารูปก่อน

อกวันสองวันีพระราชบุตรตรัสให้เรยกพุทธิศริระเข้าไปเฝูา พุทธิศริระ
ทราบอยู่หลายวันแล้วว่าคงจะเรยกีครั้นเข้าไปเฝูาถึงท่บรรทม เห็นพระราชบุตรพระ
พักตร์เผือดแลทรงบ่นว่าปวดพระเศยร พุทธิศริระทราบอยู่แล้วว่าจะรับสั่งเรื่องอะไร
แต่ยังไม่กล้ารับสั่งเพราะราชบุตรแลสหายคนน้ได้สนทนาเรื่องผู้หญิงหลายครั้งแล้ว
พระราชบุตรตรัสครั้งไร พุทธิศริระก็ยิ้มเย้ยแลกล่าวลบหลู่หญิงอย่างเร่ยวแรงแลยัง
กล่าวติเตยนชายท่หลงรักหญิงอย่างเร่ยวแรงยิ่งไปกว่าติเตยนหญิงเสยอก เหตุดังน้
พระราชบุตรจึงอ้ําอึ้งยังไม่กล่าวเรื่องท่อยู่ในพระหฤทัย พุทธิศริระรู้ทแลอยากให้ตรัส
ออกมาจึงทูลว่า
"โรคชนิดน้ต้องเสวยยาขมแลอดของแสลงให้จริง มิฉะนั้นโรคไม่บรรเทาได้"
พระราชบุตรได้ฟ๎งพุทธิศริระสําแดงความร้อนใจ ดังนั้นก็สิ้นความอ้ําอึ้งีพระหัตถ์จับมือ
พุทธิศริระน้ําพระเนตรตกตรัสว่า
"ชายใดเข้าเดินในทางแห่งความรักชายนั้นจะรอดชวิตไปมิได้ หรือถ้ายังไม่
สิ้นชวิตีชวิตก็มิใช่อื่นีคือความทุกข์ท่ยืดยาวออกไปนั้นเอง" พุทธิศริระทูลว่าี
"พระองค์รับสั่งถูกเป็นแน่แล้วีกวโบราณย่อมกล่าวว่า วิถแห่งความรักนั้นไม่มต้นแลไม่
มปลาย บุรุษพึงตรึกตรองให้ถ่องแท้แล้วจึงวางเท้าลงในวิถนั้น ผู้มป๎ญญารู้สิ่งทั้งสาม
คือความใคร่ีหญิงหนึ่งีกระดานสกาหนึ่งีการดื่มน้ําเมาหนึ่ง อาจให้ผลแก่คนในทางท่
ไม่อาจทํานายได้ เหตุดังนั้นวิธท่จะปฏิบัติการทั้งสามสิ่งน้ดท่สุดก็คือไม่ปฏิบัติเสยเลย
กล่าวอกนัยหนึ่งก็คือเว้นให้ขาด แต่วิธของโลกน้ ถ้าไม่มวัวตัวเมยก็ต้องรดนมตัว
ผู้แทน" คําสอนของผู้มป๎ญญากล่าวเช่นน้ จะแปลว่ากระไรก็ตาม พระราชบุตรย่อมจะ
ทรงเห็นว่าเป็นคําสอนท่กล่าวช้าไปไม่ทันกาลเสยแล้ว เธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงตรัสว่าี"ข้า
ได้ย่างเท้าเดินทางนั้นเสยแล้ว ท่สุดแห่งทางจะเป็นความทุกข์หรือความสุขก็ตามบุญ
ตามกรรม" ตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงถอนใจใหญ่ีฝุายพุทธิศริระเห็นพระราชบุตรมอาการ
ดังนั้น ก็คิดสงสารจึงทูลถามว่าี"นางนั้นคือนางซึ่งพบท่สระในปุานั้นหรือ" พระราช
บุตรพยักพระพักตร์ีพุทธิศริระทูลถามว่า "เมื่อนางจะไปนั้นนางได้กล่าวอะไรแก่
พระองค์หรือเปล่า หรือพระองค์ได้กล่าวอะไรแก่นางบ้าง" พระราชบุตรตรัสว่าี"ไม่ได้
กล่าวอะไรแก่กันเลย" พุทธิศริระกล่าวว่าี"ถ้าเช่นนั้นก็ยากท่สุดท่จะได้นางมา" พระ
ราชบุตรตรัสว่า "ถ้าเช่นนั้นข้าก็ใกล้เวลาตาย แลชวิตเป็นความทุกข์ตั้งแต่บัดน้ไปจวบ
เวลาขาดลมหายใจ"
พุทธิศริระคิดขัดใจท่พระราชบุตรพูดนอกเรื่อง เพราะการกล่าวถึงความตาย
ไม่ใช่ทางท่จะได้นางมาเป็นอันขาด พุทธิศริระนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงทูลถามว่าี"นางไม่ได้
ให้สัญญาอะไรบ้างหรือ พระองค์จงเล่าให้ข้าพเจ้าฟ๎งให้ละเอยดีคนไข้ท่บอกอาการ
โรคครึ่งๆีกลางๆ ไม่มประโยชน์เลย" ครั้นพุทธิศริระทูลดังนั้นีพระราชบุตรก็ตรัสเล่า
ตั้งแต่ต้นจนปลาย กล่าวโทษพระองค์เองท่ตกตะลึงแลสะทกสะท้านมิได้กล่าวอันใด
แก่นาง ในท่สุดเล่าถึงกิริยาท่นางเก็บดอกบัวมาทําท่าต่างๆีพุทธิศริระได้ยินดังนั้น ก็
นิ่งตรองอยู่สักครู่หนึ่งแล้วทูลพระราชบุตร สําแดงคุณชั่วแห่งแห่งความสะทกสะเทิ้น
ในขณะท่อยู่ใกล้หญิง ถ้าพระราชบุตรจะเป็นผู้มความสุขต้องสําแดงพระองค์เป็นคน
กล้าในคราวหน้าท่พบนางจึงจะสําเร็จประสงค์ พระราชบุตรตรัสสัญญาว่าถ้าได้พบนาง
ก็จะเป็นคนกล้าตามคําสอนนั้น แต่เมื่อไม่พบจะกล้าอย่างไรได้ีพุทธิศริระกล่าวว่าี
"พระองค์จงสงบลงบ้างเถิด ข้าพเจ้ารู้ชื่อนางแลท่อยู่ของนางแล้วีเมื่อนางเก็บดอกบัว
ขึ้นชูไหว้ไปในฟูานั้น คือนางสําแดงความยินดต่อเทวะท่ได้อํานวยให้นางได้พบพักตร์
อันประเสริฐของพระองค์"
พระราชบุตรได้ทรงฟ๎งก็ยิ้มออกมาได้ีแลยิ้มครั้งแรกในเวลาหลายวัน พุทธิศ
ริระทูลต่อไปว่าี"เมื่อนางยกดอกบัวขึ้นทัดหูนั้น เป็นท่หมายให้ทราบว่านางเป็น
ชาวเมืองกรรณาฏกะ แลเมื่อนางกัดดอกบัวด้วยทนต์นั้นนางทําสัญญาณให้ทรงทราบ
ว่านางเป็นราชธิดาท้าวทันตวัต พระองค์ย่อมทราบว่าีท้าวทันตวัตน้เป็นอริใหญ่ของ
พระราชบิดาแห่งพระองค์ ไม่มท่าทางจะปรองดองกันได้เป็นอันขาด" พระราชบุตรได้
ยินดังนั้น ก็ครางด้วยความเศร้าพระหฤทัยีพุทธิศริระกล่าวต่อไปว่าี"เมื่อนางเหยยบ
ดอกบัวนั้น นางให้เครื่องหมายว่านางชื่อป๎ทมาวด แลเมื่อนางเอาดอกบัวป๎กท่อุระนั้น
เป็นท่หมายว่าีพระองค์สิงอยู่ในหฤทัยแห่งนาง" พระวัชรมุกุฏได้ทรงฟ๎งดังนั้นก็ผุดลุก
ขึ้นด้วยความยินด อาการไข้ก็เปลื้องปลดไปทันทีทรงกําลังกระปร้กระเปร่าเหมือนแต่
ก่อน ตรัสชมความรอบรู้ของพุทธิศริระ พลางรับสั่งอ้อนวอนให้ช่วยทูลขออนุญาตพระ
ราชบิดาไปยังนครอันเป็นท่อยู่แห่งนางนั้น
ฝุายพุทธิศริระโดยความภักดต่อราชบุตรีก็เข้าไปทูลพระราชาธิบดว่า พระ
ราชบุตรไม่ใคร่ทรงสบายีควรเสด็จเท่ยวในประเทศต่างๆ เพราะพระกายต้องการ
เปล่ยนน้ําพระหฤทัยต้องการเปล่ยนท่อยู่ ครั้นพระราชบิดาประทานอนุญาตแล้วีพระ
วัชรมุกุฏก็หยุดพักอยู่ริมทาง แล้วพุทธิศริระก็แต่งตัวเป็นคนเดินทางขึ้นม้าไปหลายวัน
ถึงนครกรรณาฏกะก็หยุดพักอยู่ริมทาง แล้วพุทธิศริระก็นําพระราชบุตรออกเท่ยวถาม
หาหญิงผู้มป๎ญญาโดยอธิบายว่าต้องการจะให้ดูเคราะห์ในอนาคต แลช้แจงต่อพระ
ราชบุตรอกขั้นหนึ่งว่าหญิงเอาใจใส่ต่อกิจการในอนาคตนั้น ย่อมจะเอื้อเฟื้อต่อกิจการ
ป๎จจุบัน ด้วยเหตุดังนั้นควรสืบหาหญิงหมอดูเป็นผู้ช่วยให้สําเร็จกิจอันประสงค์

พุทธิศริระเท่ยวถามอยู่ครู่หนึ่ง มผู้ช้หญิงแก่ผู้หนึ่งซึ่งนั่งป๎่นฝูายอยู่หน้า
กระท่อม พุทธิศริระจึงเข้าไปหาหญิงแก่นั้นีกระทําการเคารพเป็นอันดแล้วพูดว่า
"ข้าพเจ้าเป็นพ่อค้ามาจากเมืองไกลสองคนด้วยกันีสินค้าของเราตามมาข้างหลัง เรา
ล่วงหน้ามาก่อนเพื่อจะหาท่พักีถ้ามารดายอมให้เราพักในเรือนน้ เราคงจะอยู่เป็นสุข
แลให้เงินแก่มารดาโดยอัตราอันสูง" ฝุายหญิงแก่นั้นนอกจากเป็นหมอดูียังเป็นผู้รู้
ลักษณะคนอกด้วย ครั้นเห็นเค้าหน้าชายหนุ่มทั้งสองก็ชอบีเพราะคิ้วกว้างแลปากม
ลักษณะว่าไม่ตระหน่ จึงตอบพุทธิศริระว่าี"กระท่อมน้เหมือนหนึ่งเรือนของท่านีเชิญ
มาพักอยู่ให้สบายเถิด" พูดเท่านั้นแล้วก็พาชายหนุ่มทั้งสองเข้าไปในเรือน กล่าวติ
เตยนความรุงรังของตนเองแล้วเชิญให้ชายทั้งสองพักผ่อนกายอยู่ในเรือนนั้น สักครู่
หนึ่งหญิงแก่กลับมายังห้องซึ่งชายหนุ่มทั้งสองพักีพุทธิศริระจึงถามว่า "มารดาอยู่ท่น้
มความสุขอยู่หรือีญาติวงศ์สหายอยู่พร้อมกันหรืออย่างไร แลมารดาหากินทางไหน"
หญิงแก่ตอบว่า "ลูกชายของข้าเป็นคนใช้สนิทของท้าวทันตวัตผู้เป็นพระราชาของเรา
ข้าเป็นนางนมของนางป๎ทมาวดพระราชธิดาองค์ใหญ่ีครั้นข้าแก่ชราก็มาอยู่ในเรือนน้
ไม่ต้องกังวลการหากินีเพราะพระราชาประทานทุกอย่าง ข้าไปในวังเฝูาพระราชบุตร
วันละครั้งีนางเป็นหญิงงามอย่างประหลาด เป็นคนดมป๎ญญาหาเสมอมิได้"

พระวัชรมุกุฏพักอยู่ท่เรือนหญิงแก่ีอันเป็นนางนมของพระราชธิดาหลายวัน
แลกระทําให้นางนมเอื้อเฟื้อรักใคร่ด้วยความไม่ตระหน่ ด้วยวาจาอ่อนหวานและด้วย
รูปสมบัติของพระองค์ีครั้นคุ้นเคยแลรู้ใจกันมากขึ้น พระวัชรมุกุฏก็ตรัสถึงพระราชธิดาี
แลกล่าวแก่หญิงนางนมว่า เมื่อไปเฝูานางป๎ทมาวดคราวหน้าขอให้ช่วยถือหนังสือไป
ถวายฉบับหนึ่งจะได้หรือไม่ นางนมมความยินดีเพราะเป็นธุระของนางนมท่จะต้อง
ยินดตามแบบนิทานชนิดน้ จึงกล่าวแก่พระวัชรมุกุฏว่าี"ลูกเอยีไม่จําเป็นจะต้องคอย
ถึงพรุ่งน้ เจ้าจงเขยนหนังสือเถิดีมารดาจะถือไปเด๋ยวน้" พระวัชรมุกุฏพระองค์สั่นด้วย
ความยินดีรบเสด็จไปหาพุทธิศริระ ซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่นอกเรือนีแล้วรับสั่งบอกว่า
นางนมรับแล้วท่จะถือหนังสือไปถวายพระราชธิดา ป๎ญหายังมแต่เพยงว่าจะเขยน
หนังสืออย่างไรจึงจะด จะผูกประโยคแลใช้ศัพท์ชั้นไหนจึงจะถูกพระหฤทัยนางีจะใช้
ศัพท์เรยกนางว่า "แก้วตาแห่งตู" จะเบาไปีแลศัพท์ี"โลหิตในตับแห่งข้า" จะหนักไป
ดอกกระมัง อนึ่งการแต่งหนังสือสําคัญเช่นนั้นจะทําให้แล้วเร็วทันในวันนั้นก็ยาก เป็น
เรื่องท่หนักพระหฤทัยอยู่ีฝุายพุทธิศริระเมื่อได้ยินดังนั้นก็ทูลว่า อย่าให้ทรงเดือดร้อน
เลยีจะทําถวายให้เสร็จ แล้วพุทธิศริระก็ไปหยิบเครื่องเขยนมานั่งเขยนอยู่ครู่หนึ่ง ครั้น
สําเร็จแล้วก็พับหนังสือนั้นปิดผนึกีเขยนรูปดอกบัวลงบนหลังผนึกดอกหนึ่ง แล้วส่ง
ถวายพระราชบุตร พระราชบุตรก็นําหนังสือนั้นไปส่งให้หญิงแก่นางนมถือไปถวายพระ
ราชธิดา
นางนมได้รับหนังสือแล้วก็รบเข้าวังไปท่ตําหนักพระราชบุตรตามเคย ฝุาย
นางป๎ทมาวดครั้นเห็นนางนมเข้าไปเฝูาีก็ตรัสเรยกให้นั่งแลสนทนาด้วย นางนมพูดถึง
เรื่องอื่นๆีอยู่สักครู่จึงจึงทูลว่า "เมื่อนางยังอยู่ในความเป็นเด็กอ่อนีข้าได้เล้ยงดูนาง
มาด้วยความภักด บัดน้เทพดาให้รางวัลแก่ข้าด้วยประทานความงามีความไม่มโรค
แลความดแก่นางในเวลาท่ทรงจําเริญเพยงน้ีหัวใจของข้าจะใคร่เห็นความสุขของนาง
ยิ่งๆ ขึ้นไปตราบชวิตข้าหาไม่ีนางจงทรงอ่านหนังสือน้ซึ่งมาจากชายหนุ่มงามท่สุด
แลดท่สุดซึ่งข้าได้เคยเห็นเป็นขวัญตา"
พระราชธิดาทรงรับหนังสือไปทอดพระเนตรดอกบัวบนหลังผนึก แล้วทรง
เปิดออกอ่านพบอินทรวิเชยรฉันท์ดังน้ี

o ได้เห็นพระเพ็ญโฉม ดุจโสมสว่างหน
ราดเร้ากําเดาดลีจิตเดือดบ่เหือดลง

o ศรทรงอนงค์แผลง พิษแสร้งจะเสยบองค์
ป๎กในหฤทัยตรงีอุระแค้นเพราะแสนคม

o วันพบประสบพักตร์ีศุภลักษณ์มโนรมย์
อิ่มใจจะใคร่ชมีบ่มิพริบกระหยิบตา

o เพ็ญโสมบ่เพ็ญศรีดุจน้ีณีเวหา
แสงส่องบ่ผ่องปรา กฎอย่างพระนางนวล

o งอนงามอร่ามโรจน์ีฉวิโชติประชันชวน
แข่งขันพระจันทร์บวรณ์ีศศิแน่จะแพ้นาง

o ยามยลพิมลโฉม อุระโหมพระเพลิงพลาง
ร้อนรักตระหนักกลางีจิตข้าศิขาดูร

o นางกลับและลับเนตรีก็เทวศทวคูณ
เร่าร้อนบ่ผ่อนภูลีพิษรักประจักษ์แด

o คิดไปก็ใจหายีเพราะกระต่ายจะหมายแข
เวยนหวังระวังแล ศศิไซร้บ่ไยด

o อ้านางสอางรัตนีวรขัติยนาร
โปรดด้วยอํานวยช วะบ่ตัดสลัดตูฯ

พระราชธิดาทรงอ่านหนังสือตลอดแล้วก็สําแดงอาการพิโรธ ตรัสแก่นางนม
ด้วยสําเนยงอันขุ่นแค้นว่าี"น่แกเป็นอะไรไปจึงบังอาจนําหนังสือน้มาให้ คนโง่ท่เขยน
หนังสือน้ีแต่งฉันท์ไม่เป็นก็แค่นจะแต่งกับเขาด้วยีคนแต่งฉันท์เลวๆ เช่นน้ยังอาจมา
แต่งถวายพระราชธิดา อยากรู้ว่าเรยนหนังสือมาแต่สํานักไหนจึงเลวถึงเท่าน้" นางตรัส
พลางทรงฉกหนังสือตอนท่ว่าี"ศศิไซร้บ่ไยด" ส่งให้นางนมแล้วตรัสว่า "แกจงนําเอา
คําตอบน้ไปให้ชายท่แต่งฉันท์ไม่เป็น แลตัวแกเองจงอย่าทําเอื้อมอาจถือหนังสือเข้า
มาเช่นน้อกเป็นอันขาด"
หญิงแก่นางนมได้ฟ๎งพระราชธิดากริ้วถึงเพยงนั้นก็เสยใจรบกลับไปบ้าน พบ
พระราชบุตรตามทางก็เล่าให้ฟ๎งทุกประการ พระราชบุตรได้ทรงฟ๎งแลอ่านคําตอบแล้ว
ก็เสยพระหฤทัยยิ่งนัก เมื่อทรงดําเนินกลับนั้นทรงคิดถึงวิธทําลายชวิตตนเองหลาย
อย่างีเช่นีกระโดดน้ํา ผูกคอตนเองแขวนีแทงอกตนเองีเป็นต้นียังไม่ทนตกลงว่า
อย่างไหนจะดก็พอถึงท่พัก พบพุทธิศริระนั่งอยู่หน้าเรือนีก็ตรัสเล่าให้ฟ๎งแลทรง
สําแดงความเสยใจยิ่งนัก
พุทธิศริระนิ่งฟ๎งตลอดแล้วทูลว่าี"พระองค์อย่าเพ่อตตนเองก่อนไข้ จงทรง
ตรึกตรองใจความท่นางตรัสให้ถ่องแท้ก่อน ต่อไปข้างหน้าเมื่อพระองค์ได้สมาคมกับ
หญิงมากๆีแล้ว จะทรงทราบว่าเมื่อหญิงกล่าวว่าไม่ไยดนั้นแปลว่ายินด เพราะฉะนั้น
ตามท่เราทํามาเพยงน้นับว่าสําเร็จดังหมาย อนึ่งเมื่อนางทรงถามว่าพระองค์ทรงเรยน
หนังสือจากสํานักไหนนั้น ถ้าจะแปลเป็นภาษาผู้ชายแปลว่าท่านคือใคร"

พระวัชรมุกุฏได้ทรงฟ๎งดังนั้นก็ยินด ครั้นวันรุ่งขึ้นก็ทรงบอกนางนมว่า
พระองค์เป็นยุพราชกรุงพาราณสให้นางนมเข้าไปทูลพระราชธิดาเถิด ฝุายนางนมได้
ทราบดังนั้นก็ดใจีแต่กล่าวว่าทราบมาแต่แรกแล้ว เช้าวันนั้นก็เข้าไปในวังเฝูาพระราช
ธิดาทูลว่า
"พระยุพราชซึ่งนางได้ทําให้มใจใฝุฝ๎นตั้งแต่วันท่ได้เห็นกันริมสระีเมื่อวัน
ขึ้นี๕ ค่ําีเดือนก่อนนั้นีเสด็จมาท่เรือนข้าพเจ้าแลให้ข้าพเจ้ามาทูลว่าพระองค์เสด็จ
มาแล้ว นางทํากิริยาเป็นสัญญาณท่ริมสระอย่างไรีก็จงทําตามสัญญาณนั้นเถิด พระ
ราชบุตรองค์น้ทรงศักดิ์สมควรแก่นางแท้ีนางจงฟ๎งคําข้าพเจ้าเถิด"
นางป๎ทมาวดได้ทรงฟ๎งดังนั้นก็สําแดงความโกรธยิ่งกว่าครั้งก่อน นางเสด็จ
ลุกไปเอากระแจะจันทน์ละเลงบนพระหัตถ์ทั้งสองพระหัตถ์แล้วตบเข้าท่แก้มนางนม
ทั้งสองแก้ม ตรัสว่าี"แกจงรบไปจากวังน้โดยเร็วีมิฉะนั้นจะต้องรับโทษยิ่งกว่าน้ แก
จําไม่ได้หรือว่าข้าห้ามไม่ให้เอาเรื่องน้มาพูดต่อไปเป็นอันขาด" นางนมอกจากวัง
กลับไปทูลพระวัชรมุกุฏีต่างคนเสยใจท่ไปหลงเชื่อพุทธิศริระ

ครั้นเล่าความให้พุทธิศริระฟ๎งีพุทธิศริระก็ทูลพระราชบุตรว่า "พระองค์อย่า
ทรงตกใจีการท่พระราชธิดาเอากระแจะจันทน์ทาแก้มนางนมด้วยนิ้วี๑๐ นิ้วนั้นี
หมายความว่ากลางคืนยังมแสงพระจันทร์อยู่อกี๑๐ีคืนีเมื่อพ้นี๑๐ีคืนไปแล้ว นางจะ
ออกมาพบพระองค์ในท่มืดีพระองค์จงหักความกระวนกระวายในพระหฤทัยคอยไปอกี
๑๐ วันเถิด"
พุทธศริระทูลแปลกิริยาแห่งพระราชธิดาแล้ว ก็ทูลต่อไปว่านางองค์น้เห็นจะ
ฉลาดเกินท่จะเป็นความสุขแก่สาม เพราะฉะนั้นพระราชบุตรควรหยุดยั้งชั่งพระหฤทัยดู
แต่ในขณะท่ยังมเวลาจะถอนพระองค์ได้ีคําตักเตือนอันน้ีพระวัชรมุกุฏไม่ทรงฟ๎งเลย

ครั้นพ้นกําหนดี๑๐ีวันไปแล้ว ชายหนุ่มทั้งสองก็ให้นางนมเข้าไปเฝูาพระ
ราชธิดา คราวน้นางเอาหญ้าฝรั่นทานิ้วพระหัตถ์ี๓ีนิ้วแล้วประไว้บนแก้มนางนม ครั้น
นางนมกลับมาเล่าีพุทธิศริระก็อธิบายว่าีนางขอผลัดอกี๓ีวัน เพราะยังประชวรพระ
โรคลําดับเดือนีวันท่ส่เป็นวันนัดให้เสด็จ ครั้นวันท่ส่นางนมเข้าไปเฝูาอกครั้งหนึ่งี
คราวน้พระราชธิดากริ้วมาก เสด็จทรงฉุดตัวนางนมไปท่ประตูด้านตะวันตกีทรงผลัก
ให้ออกประตูนั้น แลตรัสว่าถ้ากลับเข้าไปอกจะตด้วยแส้
ครั้นนางนมกลับไปเล่าให้พุทธิศริระฟ๎งีพุทธิศริระอธิบายว่า พระราชธิดา
เชิญพระราชบุตรให้เสด็จไปพรุ่งน้เวลากลางคืน แลให้เข้าทางประตูด้านตะวันตกีครั้น
เวลากลางคืนวันรุ่งขึ้น พุทธิศริระทูลเตือนพระวัชรมุกุฏให้เตรยมพระองค์ีพระวัชรมุกุฏ
ไม่ต้องให้มใครเตือน กําลังแต่งพระองค์อยู่แล้วีแท้จริงแต่งพระองค์อยู่หลายชั่วโมง
จึงเสร็จ ครั้นแล้วก็เสด็จออกมาถามพุทธิศริระว่าีใช้ได้หรือยังีพุทธิศริระทูลตอบว่า
งามมาก แล้วทูลเตือนอกครั้งหนึ่งว่าีสังเกตเห็นนางฉลาดเกินไป ถ้าจะได้เป็นเมยเห็น
จะไม่มสุขอย่างเมยโง่ๆ
ครั้นเวลาเท่ยงคืน ชายหนุ่มทั้งสองก็พากันออกเดินไปยังประตูด้านตะวันตก
แห่งพระราชวัง ครั้นถึงประตูเห็นปิดงับแงีพุทธิศริระก็ย่องเข้าไปดูเห็นนายประตูนั่ง
หลับอยู่ แลเห็นหญิงคนหนึ่งมผ้าคลุมหัวยืนคอยอยู่ข้างใน พุทธิศริระก็ย่องกลับไปทูล
พระราชบุตรีพระราชบุตรก็เสด็จย่องเข้าประตูไป พุทธิศริระคอยอยู่สักครู่หนึ่งก็
กลับไปท่พักีฝุายพระราชบุตรครั้นเข้าไปในประตูแล้ว หญิงท่ยืนคอยอยู่ก็จับพระหัตถ์
แลทําสัญญาณให้เดินเบาๆีแล้วนําไปตามทางมืด บางแห่งจุดไฟริบหร่ีสักครู่หนึ่งไป
ถึงบันไดศิลาก็พากันขึ้นไปบนตําหนักพระราชธิดา พระวัชรมุกุฏเสด็จออกจากท่มืด
เข้าไปท่สว่างก็มัวพระเนตรอยู่ครู่หนึ่ง ประเด๋ยวทอดพระเนตรดูรอบห้องเป็นท่งดงาม
แต่งด้วยเครื่องบํารุงความสําราญต่างๆ กลิ่นควันเผาเครื่องหอมแลกลิ่นดอกไม้หอม
ตลบไปทั้งห้อง ตะเกยงเงินซึ่งจุดด้วยน้ํามันหอมก็ส่งกลิ่นอันพึงสูดดม ข้างหนึ่งม
ดอกไม้กองรอบเตยงลาดผ้าขาวป๎กด้วยเส้นทอง โรยด้วยดอกพุทธชาดซึ่งเก็บใหม่ๆี
อกข้างหนึ่งมภาชนะรองหบหมากแลขวดน้ําดอกไม้เทศ มถาดรองเครื่องหอมต่างๆี
แลภาชนะรองเครื่องหวานหลายอย่าง มนางกํานัลคอยรับใช้ประจําท่ีบ้างก็มหน้าท่
อ่านกาพย์กลอน บ้างก็มหน้าท่ฟูอนรําแลบรรเลงดนตร รวมความว่าเครื่องสําราญตา
สําราญใจมากอย่างมอยู่ในห้องนั้น
สักครู่หนึ่งพระราชธิดาเสด็จเข้ามาเปลื้องผ้าคลุมพระพักตร์ออกสําแดง
พระองค์ให้เห็น พระวัชรมุกุฏสะดุ้งด้วยความยินดีนางเชิญพระราชกุมารให้นั่ง ทรง
ชโลมพระองค์ด้วยกระแจะจันทน์ีแลโปรยน้ํากุหลาบถวาย แล้วทรงโบกพัดอันทําด้วย
ขนนกยูงมด้ามทองีพระวัชรมุกุฏตรัสแก่นางว่า
"พระหัตถ์อันอ่อนของนางน้ไม่สมควรจะโบกพัดีนางจงหยุดเสยเถิด ข้าได้
เห็นนางก็มความเอิบอิ่มในใจีแม้ไม่ต้องพัดก็เย็นพออยู่แล้ว นางจงประทานพัดให้ข้า
เถิด" นางป๎ทมาวดยิ้มพลางทูลว่า "พระองค์ทรงอุตส่าห์เข้ามาถึงท่น้ีเป็นพระเดช
พระคุณนักหนา สมควรข้าพเจ้าจะปฏิบัติพระองค์ด้วยความกตัญํู" ขณะนั้นนางกํานัล
คนโปรดเข้ามารับพัดไปถวายอยู่งานีทูลว่าี" หน้าท่ปฏิบัติของข้าพเจ้าีสองพระองค์
จงทรงสําราญเถิด"

เวตาลเล่ามาถึงเพยงน้ก็หยุดพักครู่หนึ่งีแล้วเล่าต่อไปว่าี"ครั้นเวลารุ่งเช้า
นางป๎ทมาวดก็ซ่อนพระราชกุมารไว้ในท่ลับีครั้นกลางคืนก็ทรงสําราญอย่างคืนก่อน
พระราชกุมารมความสุขจะหาเสมอมิได้ีโลกใหญ่กว้างก็ทรงลืมหมด คงเหลืออยู่แต่
โลกในตําหนักนางเท่านั้นีฝุายนางป๎ทมาวดเป็นหญิงเฉลยวฉลาด เมื่อได้สามท่
ป๎ญญาอ่อนก็ยิ่งผูกรักแน่นขึ้นีดังคําโบราณกล่าวว่า คนตรงกันข้ามในเชิงป๎ญญาย่อม
ล่อใจกัน ในชั้นต้นนางตั้งแต่งให้พระสวามเป็นคนปราดเปรื่องโดยอธิบายว่าน้ํานิ่งไหล
ลึก เมื่อพระราชกุมารไม่ใคร่ตรัสก็นึกว่าคงจะมความคิดรุ่งโรจน์นิ่งไว้ในพระหฤทัย คน
มคิ้วกว้างแลโค้งงามเช่นน้จะไม่ฉลาดอย่างไรได้ คนมหนวดน่าดูเช่นนั้นคงจะต้องเป็น
ผู้มใจโอบเอื้ออยู่เอง คนมตาเช่นพระราชกุมารจะไม่เป็นคนกล้านั้นไม่ได้ีนางป๎ทมาวด
หลงคิดดังน้ในชั้นต้น
ครั้นต่อมาก็เห็นพระสามฉลาดเฉลยวน้อยลง แต่ความเสน่หาของนางมิได้
ลดหย่อนีกลับจะมากขึ้น เป็นต้นมาว่าเมื่อสอนให้ทรงท่องกาพย์กลอนีเธอจําไม่ใคร่
ได้ นางก็ทรงพระสรวลเห็นน่าเอ็นดูีเมื่อเธอพูดสันสกฤตผิดไวยากรณ์ก็เห็นน่ารัก เมื่อ
เธอสบถก็เห็นไพเราะ

ต่อๆ มานางก็สงสัยว่าจะมใครอกคนหนึ่งีซึ่งล่วงรู้กับพระสวามในเรื่องลอบ
รักกับนางน้ แต่นางก็มิได้ทูลถามตรงๆีเป็นแต่สังเกตวาจาท่ตรัสแลทูลไล่เลยงอ้อม
ค้อม จนในท่สุดวัชรมุกุฏทรงเล่าให้นางฟ๎งถึงพุทธิศริระผู้มป๎ญญา เริ่มแต่ความเห็นทับ
ถมหญิงทั้งหลายตลอดจนแปลกิริยาต่างๆ ท่นางได้ทําเป็นเครื่องสัญญาณีในท่สุด
ความเห็นของพุทธิศริระว่า นางฉลาดเกินท่จะเป็นเมยีซึ่งเป็นความสุขแก่ผัวนั้นก็ตรัส
เล่าด้วย
นางป๎ทมาวดทรงคิดในใจว่าี"ถ้าเราไม่แก้แค้นชายคนนั้นได้ ขอให้เราเกิด
เป็นลาของคนทําสวนในชาติหน้าเถิด" ทรงคิดดังน้แล้ว นางก็ตรัสชมความฉลาดของ
พุทธิศริระยกขึ้นไปถึงฟูา ตรัสว่าทรงรู้สึกบุญคุณของชายผู้นั้นท่ได้ช่วยให้นางถึง
ความสุข แลสําแดงประสงค์จะใคร่พบพุทธิศริระสักครั้งหนึ่ง

ฝุายพระวัชรมุกุฏเสด็จซ่อนอยู่ในนิเวศน์นางประมาณเดือนหนึ่งก็รําลึกถึง
โลกภายนอก เธอเสวยมากไปีไม่ได้ออกข่ม้าล่าเนื้อบ่อยๆีเหมือนแต่ก่อนก็เกิดไม่
สบาย พระพักตร์และพระเนตรเหลืองีมอาการหาวดังซึ่งคนตับพิการมักจะเป็น บาง
เวลาก็ปวดพระเศยรแลเสวยอาหารไม่ได้ีจะซ่อนอยู่ก็ไม่เป็นสุข
วันหนึ่งอยู่พระองค์เดยวทรงนึกดังๆีว่าี"เราได้ทิ้งเมืองมาก็นานแล้ว แล
สหายซึ่งได้ช่วยีให้เราีได้รับความสุขเช่นน้ก็ไม่ได้พบกันมาตั้งเดือน สหายของเราจะ
บ่นอย่างไรบ้างแลจะอยู่เป็นสุขหรือไรเราีก็ไม่ทราบได้เลย"
ขณะนั้นนางป๎ทมาวดเข้าไปถึงีได้ยินหางเสยงท่ตรัสก็เข้าใจตลอด นางเห็น
เป็นช่องอันดท่จะสําเร็จความคิดีจึงตรัสหาความพระสามว่า พระหฤทัยไม่ยั่งยืน
อยากจะเปล่ยนบ่อยๆีครั้นเห็นพระสามตรัสปฏิเสธ นางก็กล่าวซ้ําจนเธอจวนจะกริ้วอยู่
แล้ว เธอจึงตรัสอ้างคัมภร์โบราณว่าภริยาท่ไม่มลูกีสามควรทิ้งไปหาใหม่ในปีท่แปด
ภริยาท่มลูกเกิดมาตายหมดในปีท่๑๐ีภริยาท่มแต่ลูกหญิงในปีท่ี๑๑ แลภริยาซึ่งกล่าว
ดุดันสามนั้นีสามควรทิ้งไปหาใหม่ทันท

นางได้ยินพระสามตรัสดังนั้นก็อธิบายว่าคําท่นางกล่าวนั้น มิใช่กล่าวถึง
ความรักระหว่างระหว่างสองพระองค์ นางกล่าวถึงข้อท่พระสามลืมพุทธิศริระผู้สหาย
นั้นดอกีนางตรัสว่า "พระองค์เสด็จอยู่ท่น่ีพระหฤทัยออกไปอยู่กับสหายเช่นน้จะมสุข
อย่างไรได้ พระองค์ทรงซ่อนความในพระหฤทัยไว้ด้วยเหตุใด เกรงว่าถ้าข้าพเจ้า
ทราบข้าพเจ้าจะเดือดร้อนฉะนั้นหรือ พระองค์จงเชื่อชายาของพระองค์ว่าคงจะไม่ม
ประสงค์ให้พระองค์เลิกร้างจากสหายซึ่งมคุณแก่เราทั้งสองนั้นเป็นอันขาด" นางป๎ทมา
วดทูลเช่นนั้นแล้วก็แนะนําให้เสด็จออกไปหาพุทธิศริระในคืนวันนั้น เพื่อจะได้สิ้นห่วง
ถึงสหายีอนึ่งนางจะฝากของออกไปแทนคุณพุทธิศริระบ้าง พระวัชรมุกุฏทรงยินดตรง
เข้าสวมกอดนางีกลับทําให้นางโกรธในใจ เพราะเห็นว่าถนัดทรงยินดท่จะทิ้งนางไป
หาสหาย นางเกรงจะซ่อนความโกรธไว้ไม่ได้ก็รบหนไปจัดของท่จะฝากไปประทาน
พุทธิศริระ
สักครู่หนึ่งนางเสด็จกลับมาในห้องถือถุงบรรจุของกินมาส่งถวายทูลว่า
ขอให้ประทานแก่พุทธิศริระว่าเป็นของซึ่งนางทําด้วยพระหัตถ์ ถึงแม้คนมป๎ญญาก็คง
จะชมรสซึ่งมในขนมนั้น

พระยุพราชเมื่อได้ล่ําลานางีสวมองค์แล้วสอดกรเล่าีคําลาคําท้ายกลับเป็น
คําต้นหลายครั้ง แล้วก็เสด็จเล็ดลอดออกจากวังีครั้นผ่านพ้นประตูซึ่งนายประตูนั่ง
หลับตามเคย ถึงถนนใหญ่ก็รบทรงดําเนินตรงไปบ้านหญิงนางนม เวลานั้นเป็นเวลา
เท่ยงคืนแม้ฉะนั้นพุทธิศริระยังนั่งอยู่หน้าเรือน ครั้นพระยุพราชเสด็จไปถึงต่างก็แสดง
ความยินด พระวัชรมุกุฏตรัสแสดงความร้อนพระหฤทัยท่เห็นพุทธฺศริระมอาการซูบซด
พุทธิศริระทูลว่าไม่ได้ยินข่าวเจ้าช้านานก็ร้อนใจกินไม่ได้ีนอนไม่หลับ จึงมอาการ
เช่นน้
พระวัชรมุกุฏได้ทรงฟ๎งอธิบายถึงความสําราญในวัง ซึ่งทรงคิดว่าไม่ยิ่ง
หย่อนกว่าความสุขในสวรรค์ีทั้งยกนางป๎ทมาวดเชิดชูขึ้นไปถึงฟูา เทยบกับนาง
เทพธิดาีซึ่งเป็นหมู่ชนท่ไม่เคยทรงพบเห็นก็จริงอยู่ แต่คงจะไม่ล้ําเลิศเกินนางป๎ทมา
วดไปได้ีทั้งในความงามแลความเฉลยวฉลาดทุกประการ พุทธิศริระได้ยินรับสั่งยอ
พระเกยรตินางยืดยาวเช่นนั้น ก็โคลงศรษะยิ้มมิได้กล่าวประการใดีพระยุพราชทรง
เห็นดังนั้นก็ตรัสว่า "อย่างเก่าอกแล้วีความสําราญของท่านอยู่ในความลบหลู่ป๎ญญา
ของผู้อื่น ไม่เปล่ยนแปลงบ้างเลยีท่านคงจะคิดอิจฉานางเสยแล้วีอิจฉาว่ามป๎ญญา
แลอิจฉาว่านางรักข้าีท่านจงเชื่อข้าว่านางองค์น้ดหาท่เปรยบมิได้ ถึงแม้ท่านเกลยด
ผู้หญิง เมื่อได้ทราบคําสรรเสริญท่นางกล่าวถึงท่านทราบคําสั่งท่นางสั่งมาถึง แล
ทราบรสแห่งของกินท่นางฝากมาประทานท่านจะเว้นชมนางไม่ได้เป็นแน่ น่แน่ะท่าน
จงกินขนมน้ีซึ่งนางฝากมาให้ท่านโดยเฉพาะ เป็นขนมซึ่งนางทําด้วยพระหัตถ์นาง
เอง"
พุทธิศริระทูลว่า "นางสั่งมาถึงข้าพเจ้าอย่างไรได้ีอย่างไรนางจึงฝากของ
มาประทาน นางไม่ทรงทราบว่ามข้าพเจ้าอยู่ในโลกน้ พระองค์ไปรับสั่งถึงข้าพเจ้าขึ้น
แล้วกระมัง" พระวัชรมุกุฏตรัสตอบว่า "คืนหนึ่งข้านั่งอยู่คนเดยวกําลังคิดถึงท่านก็ม
อาการซึมเซาไป นางเข้ามาพบก็ถามว่าเหตุไรจึงเป็นเช่นนั้น ข้าก็ตอบนางตามจริงแล
เล่าให้ฟ๎งถึงท่านแลความฉลาดของท่าน นางได้ทราบก็อนุญาตให้ข้าออกมาหาท่านี
แลส่งขนมน้มาให้ท่านกิน ท่านจงกินให้สมศรัทธาของนางผู้ทําแลข้าผู้ถือมาเถิด"

พุทธิศริระทูลว่า "พระองค์จงประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าแลทรงฟ๎งคําท่ข้าพเจ้าทูลน้เถิด การ


ท่รับสั่งบอกชื่อข้าพเจ้าแก่นางนั้นไม่ดเลย ผู้ชายไม่ควรทําให้ผู้หญิงรู้ได้ว่าความลับซึ่งนางบอกแก่มือ
ซ้ายแห่งชายนั้นทราบไปถึงมือขวา ถึงยิ่งทราบไปถึงคนอื่นด้วยยิ่งร้ายใหญ่ อกอย่างหนึ่งการท่ทรง
สําแดงให้นางทราบว่าีทรงพระเมตตาข้าพเจ้านั้นก็ไม่เป็นทางด เพราะ ผู้หญิงย่อมจะเกลยดเพื่อน
ของชายท่รัก " พระยุพราชตรัสว่าี"ข้าจะทําอย่างไรได้ีเมื่อข้ารักนางข้าก็ไม่อยากปกปิดข้อความ
อะไร เมื่อนางถามก็บอกตรงๆีทั้งนั้น" พุทธิศริระทูลว่า "พระหฤทัยเช่นน้เมื่อพระองค์จําเริญพระชนม์
ยิ่งขึ้นก็คงจะเปล่ยน เพราะจะทรงทราบได้ว่าีความรักระหว่างหญิงกับชายนั้น คือการเล่นซึ่งต้องใช้
ป๎ญญาระหว่างคนสองคนท่มเพศต่างกัน ฝุายหนึ่งเพยรจะเอาเปรยบมากท่สุด อกฝุายหนึ่งเพยรจะ
เสยเปรยบน้อยท่สุดท่จะเป็นได้ คนทั้งสองต่อสู้กันบนกระดานสกาเช่นน้ีฝุายท่ป๎ญญาแหลมกว่าแล
ชํานาญกว่าย่อมชนะเสมอ ความไม่พูดนั้นเป็นสิ่งท่หัดทําได้ีถ้าพระองค์ทรงซ้อมอยู่สักปีหนึ่งจะทรง
เห็นว่า การเปิดความลับนั้นยากกว่าการปิดไปเสยอกีถ้าจะกล่าวถึงขนมท่นางประทานมาน้ ข้าพเจ้า
ยอมเอาชวิตข้าพเจ้าเป็นสินพนันกับชวิตหมาว่าขนมน้ผสมด้วยยาพิษ" พระวัชรมุกุฏตรัสว่าี"เป็นไป
ไม่ได้เป็นอันขาดีไม่มใครในโลกน้จะทําอย่างท่ท่านว่า ถ้าคนไม่กลัวคนด้วยกันก็ต้องกลัวพระผู้เป็น
เจ้าบ้าง" พุทธิศริระกล่าวว่าี" ข้าพเจ้าเกิดมายังไม่เคยรู้เลยว่า ผู้หญิงท่กําลังรักกลัวพระผู้เป็นเจ้าหรือ
กลัวอะไรบ้าง แต่ข้อท่ข้าพเจ้ากล่าวนั้นทดลองได้ง่ายๆี(พูดพลางเรยกหมาท่นอนอยู่ข้างนั้น แล้ว
โยนขนมให้หน่อยหนึ่งกล่าวว่า) "เอ้า เอ็งไปหาญาติสามหัวของเอ็งซึ่งเป็นผู้รับใช้มัจจุราชนั้นเกิด"
หมาได้ยินก็ลุกขึ้นกินขนมท่พุทธิศริระโยนให้ีประเด๋ยวก็ล้มลงขาดใจตาย พระยุพราชเห็น
ดังนั้นก็ทรงเสยใจเป็นกําลังีตรัสว่าี"นางช่างเป็นเช่นน้ได้ ไม่คิดเลยว่าจะชั่วช้าถึงปานน้ีข้าหลงรัก
นางนักหนาีไม่รู้เลยว่าใจคอหยาบคายมาก ข้าจะกล้าอยู่กับนางไปอย่างไรได้" พุทธิศริระทูลว่า "สิ่ง
ใดเกิดแล้วสิ่งนั้นย่อมเกิดแล้วีจะแก้ให้กลับไม่เกิดนั้นไม่ได้ ข้าพเจ้าคิดเกรงมาแต่แรกแล้วว่า พระ
ราชกุมารทรงป๎ญญาหลักแหลมนักคงจะทําอะไรชนิดน้เป็นแน่ เพราะคนเราไม่มใครจะทําอะไรผิดีจะ
ทําอะไรโง่ๆ จะทําอะไรนอกคอกเหมือนหญิงสาวมป๎ญญา แม้จะทําการท่มโทษ ก็ทําให้สนิทสนม
ไม่ได้ีข้าพเจ้าขออยู่ห่างไกลป๎ญญาหญิง ขออยู่กับความโง่เขลาจึงจะเป็นสุข" ในตอนน้ีพระราชบุตร
มิได้ทรงยกย่องความฉลาดเลย พุทธิศริระจึงทูลต่อไปว่าี"ข้าพเจ้าก็ได้ทูลกําชับแล้วเพราะเกรงจะ
เป็นเช่นน้ แต่บัดน้เมื่อได้เห็นฤทธิ์นางแล้วก็เบาใจ นางคิดไม่สําเร็จครั้งน้นับว่าสิ้นโอกาสท่จะทําการ
เช่นเดยวกันอก หรือถ้าทําก็ไม่ใช่ทําในเร็ววันน้ีข้าพเจ้าขอทูลถามป๎ญหาข้อหนึ่ง คือถ้าไม่ได้อยู่กับ
นางพระองค์จะมความสุขได้หรือ" พระยุพราชทรงถอนใจใหญ่ตรัสว่า "ไม่ได้เป็นแน่"
พุทธิศริระทูลว่า "ถ้าไม่ได้ก็ต้องใช้ป๎ญญาด้วยมความรู้ว่าไม่ได้นั้นเป็นบรรทัด เราจะต้อง
ประชันหน้ากับนางในสนามรบีแลเอาชัยในเชิงอาวุธท่นางใช้เอง อาวุธนั้นคือความหลอกล่อีตาม
ธรรมดาข้าพเจ้าไม่เต็มใจจะทํากลกับหญิง แต่นางองค์น้เห็นจะเป็นชายาดของพระองค์แท้จริง การ
วางยาพิษน้นางเพยรจะเอาชวิตข้าพเจ้าีมิใช่ชวิตพระองค์ จะว่านางประทุษร้ายต่อพระองค์ไม่ได้
พระองค์เสด็จออกมาครั้งน้นางกําหนดให้เสด็จกลับเมื่อไร" พระยุพราชตรัสว่า "เมื่อข้าสิ้นห่วงท่าน
แล้วให้กลับเข้าไป" พุทธิศริระกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้นนางคอยท่าเสด็จกลับพรุ่งน้กลางคืน เพราะจะ
เสด็จกลับเข้าวังก่อนนั้นไม่ได้ีข้าพเจ้าจะขอทูลลาไปเข้าท่นอน เพื่อจะได้ตรึกตรองหาทางท่จะทํา
การให้สําเร็จประสงค์" พุทธิศริระทูลดังนั้นแล้วพระราชบุตรก็เข้าท่บรรทมีพุทธิศริระก็ไปนอน

กลางคืนวันรุ่งขึ้นครั้นถึงเวลาเช้าพระวัชรมุกุฏก็เสด็จเข้าวัง พุทธิศริระไปส่งเสด็จตามทางี
ทูลว่าี"ความประสงค์ของเราคือจะพาตัวพระราชกุมารไป พระองค์จงรับตรศูลี(คือสามง่าม) น้ไป
ซ่อนในพระองค์ แลเมื่อพบนางจงสําแดงเสน่หาให้มากีอย่าตรัสเล่าถึงการท่เป็นไปเมื่อคืนน้ นาง
คอยฟ๎งไม่เห็นตรัสว่ากระไรก็คงจะถามถึงข้าพเจ้า พระองค์จงตรัสบอกนางว่าข้าพเจ้ากําลังไม่สบายี
ยังไม่ได้กินขนมท่นางประทานออกมา ข้าพเจ้าเก็บขนมนั้นไว้ว่าจะกินคืนวันน้ีในกลางคืนเมื่อนาง
บรรทมหลับ พระองค์จงลอบถอดเครื่องเพชรพลอยท่ประดับองค์นาง แล้วเอาตรศูลน่แทงท่ชงฆ์ข้าง
ซ้ายแห่งนางแล้วรบเสด็จออกมาหาข้าพเจ้า ถ้านางบรรทมยังไม่หลับจงประทานผงน้ให้นางดมีเมื่อ
ดมผงน้แล้วอย่าว่าแต่คน ถึงช้างก็จะหลับเหมือนตายไปจนรุ่งสว่างีแม้นแทงด้วยตรศูลก็ไม่ตื่น ส่วน
พระองค์เองนั้นีอย่าลองดมยาน้เป็นอันขาด"
พระวัชรมุกุฏทรงรับยาจากพุทธิศริระแล้วีก็ทรงเล็ดลอดเข้าไปในวัง ในเวลาซึ่งนายประตู
นั่งหลับตามเคยีครั้นถึงตําหนักพบนางนั่งคอยท่าอยู่ สององค์ก็สําแดงยินดต่อกันตามเย่ยงอย่างหญิง
ชายีฝุายนางป๎ทมาวด แลดูพระเนตรแลสังเกตกิริยาพระสามีเห็นยิ้มแย้มแจ่มใสด นางก็หลอกผู้ซึ่ง
หญิงฉลาดชอบหลอกี(คือตัวเอง) ว่าีอุบายท่คิดไปนั้นสําเร็จประสงค์ พระสามไม่รู้กลีแลตั้งแต่บัดน้
นับว่าไม่มใครอื่นีซึ่งพระสามจะห่วงถึงต่อไป นางทรงนึกรื่นรมย์ในหฤทัยเช่นน้จนบรรทมหลับไป

ฝุายพระวัชรมุกุฏีครั้นนางหลับแล้วเกรงจะหลับยังไม่สนิทก็เอายาให้ดม แล้วถอดเครื่อง
เพชรพลอยซึ่งประดับองค์นางจนหมด เอาตรศูลแทงท่ชงฆ์ซ้ายแล้วรบพาเครื่องประดับหนออกจาก
วังไปหาพุทธิศริระ พุทธิศริระตรวจดูของเหล่านั้นแล้วีก็ฉวยย่ามห้อยบ่าเชิญให้ราชบุตรทรงดําเนิน
ตามไป จนถึงปุาช้าแห่งหนึ่งีพุทธิศริระกับพระราชบุตรก็เปล่ยนเครื่องแต่งกาย พุทุธิศริระเองแต่งเป็น
โยคีพระราชบุตรแต่งเป็นศิษย์ แล้วซ่อนเสื้อผ้าซึ่งผลัดออกนั้นสําเร็จแล้ว พุทธิศริระผู้เป็นครูจึงกล่าว
แก่พระราชกุมารผู้เป็นศิษย์ว่า
"ท่านจงไปในตลาดแลเท่ยวบอกขายเครื่องเพชรพลอยเหล่าน้ีสําแดงของให้คนเห็นมากๆ ด้วยกันี
แลถ้าใครจับกุมท่านจงพาตัวมาหาข้าพเจ้า"

ครั้นรุ่งเช้าพระวัชรมุกุฏก็พาเครื่องประดับอันมราคาเป็นอันมากนั้นไปเท่ยวบอกขายใน
ตลาด ครั้นไปถึงร้านช่างทองร้านหนึ่งียื่นของให้ดูแลบอกขายทั้งถามราคาของเหล่านั้นด้วย
ช่างทองนั่นเป็นคนค้าขายโดยสุจริตต่อเมื่อจําเป็นจะสุจริต ครั้นเห็นคนหนุ่มไม่รู้จักราคาของ นําเอา
ของราคามากไปบอกขายเช่นนั้นก็กล่าวว่าเป็นของเลว และจะรับซื้อเป็นราคาเพยงหนึ่งในพันแห่ง
ราคาจริง ราคาท่ช่างทองจะรับพระวัชรมุกุฏไม่ยอมขาย เพราะต้องการจะเท่ยวอวดของเหล่านั้นต่อไป
อกีครั้นจะสด็จีออกจากร้าน ช่างทองก็เข้ากั้นประตูไว้แล้วกล่าวว่าีถ้าไม่ยอมขายจะเรยกตํารวจจับ
เพราะของเหล่านั้นช่างทองถูกขโมยไปเมื่อี๒ี- ๓ีวันนั้นเอง
ฝุายพระราชกุมารเมื่อช่างทองกล่าวขู่ดังนั้นก็ไม่ทรงหวาดหวั่นกลับทรงพระสรวล ช่างทอง
ลังเลในใจไม่กล้าเรยกตํารวจมาจริงๆีเพราะทราบว่าถ้าเรยกตํารวจมา สิ่งของเหล่านั้นจะเป็นลาภแก่
ตํารวจียิ่งกว่าเป็นลาภแก่ช่างทองหลายร้อยเท่า ช่างทองกําลังตรึกตรองยังไม่แน่ใจว่าจะทําอย่างไร
ดีพอมคนอกคนหนึ่งเข้ามาในร้าน คนท่มาใหม่นั้นเป็นช่างทองหลวงีครั้นเห็นเครื่องประดับเข้าก็จํา
ได้แลกล่าวว่า "เครื่องประดับเพชรพลอยเหล่าน้เป็นของพระราชธิดาีข้าพเจ้าจําได้ถนัด เพราะได้
เป็นผู้ทําเมื่อี๒ี- ๓ีเดือนน้เองี(พูดเท่านั้น แล้วช่างทองหลวงหันไปถามพระราชกุมารว่า) "เจ้าได้
ของเหล่าน้มาแต่ไหน"

ในเวลาท่ไต่ถามกันอยู่เช่นน้ีมคนมายืนมุงดูเป็นอันมาก จนข่าวทราบไปถึงผู้บังคับการ
ตํารวจ ผู้บังคับการตํารวจจึงให้ตามตัวพระราชกุมารแลช่างทองทั้งสองคนไปไต่สวน ครั้นไปถึงพร้อม
กันแลตรวจของกลางแล้วีผู้บังคับการตํารวจก็ถามพระราชกุมารว่า "เจ้าได้ของเหล่าน้มาแต่ไหนีจง
ให้การไปแต่ความจริง" พระวัชรกุมารแสร้งทําเป็นกลัว ตรัสตอบว่าี"ครูของข้าพเจ้ามอบของเหล่าน้
ให้ข้าพเจ้าไปเท่ยวขายีในเวลาน้ ครูของข้าพเจ้ากระทําการบูชาอยู่ท่ปุาช้านอกเมือง จะได้ของ
เหล่าน้มาจากไหนข้าพเจ้าหาทราบไม่ีข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่มความผิด ท่านจงปล่อยตัวข้าพเจ้าไปเถิด"

ผู้บังคับการตํารวจได้ยินดังนั้นีก็ให้ไปตามพุทธิศริระมาจากปุาช้า แล้วพาคนทั้งสองไปเฝูา
ท้าวทันตวัตีทูลความให้ทรงทราบทุกประการ ท้าวทันตวัตทรงฟ๎งเรื่องตลอดแล้วก็ตรัสถามพุทธิศริระ
ว่าีได้ของเหล่านั้นมาแต่ไหน พุทธิศริระได้ยินรับสั่งถามีก็คล่หนังโครําออกปูเป็นอาสนะ แล้วนั่งลง
ชักประคําท่องมนต์อยู่เกือบชั่วโมงหนึ่งีจึงทูลตอบว่า
"ข้าพเจ้ากล่าวคําสัตย์ีด้วยมพระมหาเทพเป็นพยานว่าของเหล่าน้เป็นสมบัติของข้าพเจ้า
คือเมื่อวันแรมสิบส่ค่ํากลางคืนีข้าพเจ้าไปท่ปุาช้าเผาศพเพื่อจะสวดมนต์เรยกแม่มด ข้าพเจ้าสวด
เรยกอยู่ช้านานจึงเรยกมาได้ีครั้นแม่มดมาแล้วก็ทํากิริยากําเริบอุกอาจ ข้าพเจ้าจึงต้องลงโทษแทง
ด้วยตรศูลอันน้ีถูกตรงขาซ้าย ถึงกระนั้นแล้วยังดื้อดึงอยู่อกีข้าพเจ้าจึงปลดเอาของเหล่าน้ออกไว้
เสย แล้วไล่ให้ไปตามใจีแต่เช่นนั้นแล้วยังทํากิริยากําเริบอยู่อกช้านาน ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นแม่มดท่
ดื้อดึงเช่นนั้นเลย ของเหล่าน้ข้าพเจ้าได้มาจากแม่มดนั้นีโดยประการท่ทูลมาเช่นน้"

ท้าวทันตวัตได้ทรงฟ๎งดังนั้นก็ทรงเฉลยวใจขึ้นมา จึงตรัสให้โยคคอยอยู่ท่ท้องพระโรงีแล้ว
เสด็จขึ้นข้างในีพบพระราชมารดาก็ทูลว่า "พระแม่จงเสด็จไปยังท่อยู่แห่งนางป๎ทมาวดีพระราชธิดา
ของข้าพเจ้า แลตรวจดูชงฆ์ซ้ายแห่งนางว่ามรอยอันใดบ้างีแลเป็นรอยชนิดไหน ข้าพเจ้าจะคอยฟ๎ง
อยู่ท่น้" พระราชมารดาเสด็จไปครู่หนึ่ง ก็เสด็จกลับมาตรัสแก่ท้าวทันตวัตผู้พระราชบุตรว่าี"แม่ได้ไป
ถึงห้องนางป๎ทมาวดแล้ว นางนอนอยู่ในท่บรรทมีมแผลสามรอยอยู่ท่ชงฆ์ซ้ายีมอาการเหมือนหนึ่ง
เจ็บปวดมาก แม่ถามว่าได้แผลนั้นมาอย่างไรีนางตอบว่าตะปูตําีแต่แม่ไม่เคยเห็นตะปูสามแหลม
เช่นน้ นางคงจะได้ทุกข์มากเพราะแผลนั้น แม่จะรบกลับไปดูแลรักษามิฉะนั้นอาจเป็นเหตุให้เกิดความ
เศร้าโศกในวงศ์ญาติ"
พระราชมารดาตรัสดังนั้นแล้ว ก็เสด็จกลับไปยังท่อยู่แห่งพระราชธิดา ฝุายท้าวทันตวัตได้
ทรงฟ๎งดังนั้นก็อ้ําอึ้งในพระหฤทัยีทรงคิดว่าี" การในเรือนหนึ่งีความคิดในใจหนึ่งีความเสยหาย
หนึ่ง ไม่ควรจะบอกให้ใครทราบ เมื่อนางป๎ทมาวดเป็นแม่มดเช่นน้ นางก็มิใช่บุตรของเราีจําเราจะไป
หารือโยคดู" ตรัสเท่านั้นแล้วก็เสด็จออกไปท่ท้องพระโรงีตรัสให้ศิษย์ของโยคถอยออกไป แล้วก็
ตรัสถามโยคว่าี"ท่านผู้ทรงความรู้จงบอกแก่ข้าว่าีหญิงท่เป็นแม่มดนั้น ธรรมศาสตร์บัญชให้ลงโทษ
อย่างไร" พุทธิศริระผู้เป็นโยคทูลว่าี"ข้าแต่พระมหาราชา ธรรมศาสตร์กล่าวว่าีถ้าพราหมณ์หรือวัว
หรือหญิงหรือเด็ก หรือผู้ท่อยู่ในปกครองของเรากระทําความผิดอันนั้นท่านให้ลงโทษไล่เสยจาก
บ้านเมือง ถึงแม้จะควรอย่างยิ่งท่จะลงโทษประหารชวิต ก็ลงโทษถึงปานนั้นไม่ได้เพราะพระลักษมไม่
โปรด"

พระราชาได้ทรงฟ๎งดังนั้นก็ประทานรางวัลแก่โยคเป็นอันมาก แล้วเสด็จขึ้นจากท้องพระโรง
ครั้นเวลาเท่ยงคืนก็ตรัสให้ราชบุรุษซึ่งเป็นท่ไว้พระหฤทัยจับนางป๎ทมาวดคุมตัวออกไปนอกเมือง แล
ปล่อยทิ้งไว้กลางปุาซึ่งมากด้วยภูตผปีศาจแลสิงห์เสือร้ายทั้งปวง
ฝุายพุทธิศริระกับพระราชกุมารออกจากท่เฝูาก็รบกลับไปปุาช้า ผลัดเครื่องแต่งกาย
ตามเดิมแล้วก็กลับไปเรือนหญิงนางนม ให้รางวัลแก่หญิงนั้นมากมายจนแกนั่งร้องไห้ด้วยความยินด
แล้วชายทั้งสองก็ขึ้นม้าออกตามพวกราชบุรุษท่พานางไปปล่อย ครั้นพบนางกลางปุาก็ชวนไป
กรุงพราณส

เราท่านไม่ต้องสงสัยว่าเมื่อการเป็นเช่นนั้น นางจะยอมเท่ยวเตร็ดเตร่อยู่องค์เดยวในปุาหรือ
จะยอมไปกับพระราชกุมาร เวตาลเล่ามาถึงเพยงน้ีก็ทูลพระวิกรมาทิตย์ว่า "พระองค์ทรงนิ่งฟ๎งมาช้า
นานยังมิได้ตรัสอะไรเลยีท่ทรงนิ่งฟ๎งเช่นน้ ก็คงจะเป็นด้วยเพลินเรื่องท่ข้าพเจ้าเล่าีแต่เมื่อข้าพเจ้า
เล่ามาจบเช่นน้แล้ว ถ้าพระองค์ไม่อธิบายป๎ญหาท่ข้าพเจ้าจะถามเด๋ยวน้ีพระองค์คงจะตกนรกเป็นแน่
ป๎ญหาของข้าพเจ้านั้นคือว่าีชายหนุ่มหนึ่งีสหายของชายหนุ่มหนึ่งีหญิงสาวหนึ่ง บิดาของหญิงสาว
หนึ่งีทั้งส่น้ควรจะติโทษใครมากท่สุด"

พระวิกรมาทิตย์ตรัสว่าี"ท้าวทันตวัตเป็นผู้ท่ควรได้รับความติเตยนมากกว่าคนอื่น" เวตาล
ทูลถามว่าเพราะเหตุไรีพระวิกรมาทิตย์ตรัสว่า "พระวัชรมุกุฏนั้นอยู่ในเวลาท่ลุ่มหลงหญิงีเหตุฉะนั้น
เสมอกับคนบ้า จะให้รับผิดชอบความประพฤติของตนเองนั้นไม่ได้ีพุทธิศริระเป็นข้ารับใช้เจ้า เมื่อทํา
การให้สําเร็จประสงค์เจ้าแล้วก็นับว่ากระทําการดโดยหน้าท่ ส่วนนางป๎ทมาวดนั้นนางเป็นหญิงสาว
เพราะฉะนั้นอาจฆ่าคนได้อยู่เสมอไม่นับว่าทําอะไรแปลกประหลาดีแต่ ท้าวทันตวัตนั้นเป็นเจ้า
ครองแผ่นดิน ชนมายุไม่น้อย ควรจะรอบรู้การงานทั้งปวง ไม่ควรจะหลงเชื่ออุบายตื้นๆ ยังมิ
ทันได้ตรึกตรองให้ละเอียดก็ให้น้าพระราชธิดาไปปล่อยกลางป่าเช่นนี้ ควรติเตียนเป็นอัน
มาก "

เวตาลได้ยินรับสั่งก็หัวเราะด้วยเสยงอันดังีกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจะกลับไปท่ต้นอโศกเด๋ยวน้
ข้าพเจ้าเกิดมายังไม่เคยได้ยินพระราชาติเตยนพระราชาง่ายดายถึงเพยงน้" เวตาลพูดเท่านั้นแล้วก็
ออกจากย่ามีหัวเราะก้องฟูา ลอยกลับไปเกาะห้อยหัวอยู่ยังต้นอโศกตามเดิม.

The Vampire's First Story


นิทานเวตาลเรื่องที่ ๒
เรื่องท่ี๒

ฝุายพระวิกรมาทิตย์ ครั้นเวตาลหลุดลอยไปแล้วก็ยืนตะลึงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จึงหัน


พระพักตร์พาพระราชบุตรดําเนินไปยังต้นอโศก ครั้นถึงก็ปีนขึ้นไปปลดเวตาลลงมาบรรจุ
ลงย่ามแบกดําเนินกลับมาีเวตาลก็เล่าเรื่อง ซึ่งกล่าวว่าเป็นเรื่องจริงอกเรื่องหนึ่งดังน้

ในเมืองโภควดีมพระราชกุมารองค์หนึ่งซึ่งข้าพเจ้าจะกล่าวได้ว่าทรงเกยรติคุณ แลทรงศักดิ์
ประดุจดังพระราชบุตรแห่งพระองค์ซึ่งตามเสด็จอยู่ีณีบัดน้ เวตาลทูลดังนั้น ประสงค์จะทูลพระราชา
ทางอ้อมแต่พระราชามิได้รับสั่งประการใดเพราะไม่โปรดการยอ แต่ถ้าจ้าเป็นใครจะต้องยอใคร
แล้ว พระวิกรมาทิตย์โปรดให้ยอพระองค์เอง ไม่ต้องให้ยอผ่านคนอื่น พระหฤทัยในข้อนี้เนา
วรัตนกวีย่อมทราบ แลใช้เป็นหลักในการยอพระเกียรติ แลใช้การยอพระเกียรติเป็นหลัก
แห่งความมั่งคั่งของเจ้าบทเจ้ากลอนทั้งเก้านั้น

เวตาลเล่าต่อไปว่าีพระราชกุมารองค์นั้นทรงนาม พระรามเสน เป็นพระราชบุตรของ


พระราชาธิบด ซึ่งข้าพเจ้าจําต้องกล่าวว่าผิดกับพระองค์มาก เพราะพระราชาองค์นั้นโปรดเข้าปุาล่า
เนื้อีโปรดเล่นสกาีโปรดบรรทมกลางวัน เสวยน้ําจัณฑ์กลางคืนีโปรดความสําราญซึ่งเป็นไปในทาง
กามีประกอบด้วยคุณชั่วหลายอย่าง คุณดหายากแต่เป็นท่รักท่นับถือของพระราชบุตรแลธิดา เพราะ
เธอทรงเอาใจใส่ท่จะให้เป็นเช่นนั้น เธอไม่วางลงเป็นบัญญัติมาแต่สวรรค์ว่าจะมเหตุอันควรก็ดีมิมก็ด
ลูกจําเป็นต้องรักพ่อให้เต็มความรักซึ่งมในใจีมิฉะนั้นก็ต้องตกนรก ไม่เหมือนพ่อแม่บางคนซึ่งถือตัว
ว่าทรงคุณธรรมอันดีแต่ใช้ลูกวิ่งตามหลังประหนึ่ง...
เวตาลพูดไม่ทันขาดคํา พระวิกรมาทิตย์ทรงพิโรธเป็นกําลังก็เอื้อมพระหัตถ์ไปข้างหลัง จับ
แขนเวตาลเต็มกํากระชากด้วยกําลังแรงีเวตาลร้องโอยๆีเหมือนหนึ่งเจ็บปวดมาก แต่ถ้าจะสังเกตก็
เหมือนแกล้งร้องเป็นเชิงเยาะเย้ยีไม่ใช่ร้องด้วยเจ็บ เพราะเมื่อพระราชาหยุดกระชากีเวตาลก็กล่าว
ต่อไปด้วยสําเนยงแจ่มใสว่า

พ่อทั้งหลายแบ่งเป็นสามประเภท แลถ้าจะกล่าวการจําแนกประเภทแห่งแม่ก็ฉันเดยวกัน พ่อ


ประเภทที่หนึ่ง เป็นคนชนิดที่กล่าวได้โดยอุปมาว่า มีอกกว้างสามศอก มีใจกว้างตามขนาด
แห่งอก พ่อชนิดนี้เป็นคนใจดี ชอบสนุก เอาใจลูก มักจะจน แต่ลูกรักเหมือนเทวดา พ่อ
ประเภทที่สองอกกว้างเพียงศอกคืบ มีใจแคบเข้ามาตามส่วนแห่งอก พ่อชนิดน้ถ้าได้ยิน
ข้าพเจ้าพูดดังท่พระองค์ได้ยินอยู่เด๋ยวน้ก็คงคิดในใจว่าอ้ายตัวน่มันพูดถูก กูจะจําคําของมันเป็นคติี
ลองดูว่าจะเป็นผลอย่างไรบ้างีคิดดังนั้นแล้วก็กลับไปบ้าน ปฏิบัติการเอาใจลูกเป็นขนานใหญ่ แต่ไม่
ช้าก็กลับเป็นอย่างเก่าเพราะความเท่ยงในใจไม่ม พ่อประเภทที่สามเป็นคนอกกว้างศอกเดียวไม่
มีเศษ สมมุติเป็นที่สุดแห่งความแคบ แลใจก็ได้ขนาดกับอก
พระองค์ผู้เป็นพระราชาธิบดอันสูงสุด เป็นตัวอย่างพ่ออกศอกเดยวคือประเภทท่สามน้ีเมื่อยัง
ทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงเรยนวิชาซึ่งมผู้สั่งสอนถวายีเช่น ความรู้ท่ว่าไม้เรียวเป็นต้นไม้ซึ่งคน
อาจปีนขึ้นไปได้ถึงสวรรค์เป็นต้น ครั้นพระองค์ทรงชนมายุถึงมัชฌิมวัยีก็ทรงใช้ความรู้ท่เรยนมาใน
เบื้องต้น ทรงปลูกไม้เรยวสําหรับให้พระราชบุตรปีนขึ้นไปสู่ทิพยโลก พระองค์จะสอนอะไรตนเองก็
สอนไม่ได้ ก่อนที่หนวดแห่งพระองค์งอกงามเป็นช่อ ครั้นเมื่องอกงามแล้วใครจะสอนอะไร
พระองค์ก็ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าใครเพียรจะท้าให้พระองค์เปลี่ยนความเห็น พระองค์ก็กล่าวค้า
ที่กวีโง่ๆ กล่าวไว้ว่า

o อะไรใหม่มิใช่ความจริงแน่ีความจริงแท้เกิดใหม่เกิดได้หรือ
อะไรใหม่ไม่จริงทุกสิ่งคือีอะไรจริงใช่ชื่อว่าใหม่เอยีฯ

แต่พระองค์ก็เป็นประโยชน์แก่โลกเหมือนสิ่งอื่นๆ ในแผ่นดิน เมื่อทรงชนมายุก็อยู่


เหมือนอูฐซึ่งรับใช้การ เมื่อสิ้นชนมายุแล้ว เถ้าแลถ่านอัฐิแห่งพระองค์ก็ประสมธาตุอย่าง
เดียวกับเถ้าแลถ่านอัฐิแห่งผู้มีปัญญา
พระราชาทรงจับย่ามกระชากีเวตาลร้องเหมือนเจ็บ ครั้นพระราชาทรงหยุดกระชากีมันก็
หัวเราะแล้วทูลต่อไปว่า ข้าพเจ้ากล่าวตรงไปตรงมามิได้อ้อมค้อมีเพราะถ้าไม่พูดตรง จะต้องพูดยืด
ยาวจึงจะได้ความเท่าท่พูดน้ีบัดน้จะทูลเล่าเรื่องต่อไปว่า

ครั้นพระราชากรุงโภควดเป็นอากาศปนกับอากาศไปแล้ว พระรามเสนก็ได้รับราชสมบัติเป็น
มรดกสืบไปีพระรามเสนมนกแก้วตัวหนึ่ง ซึ่งได้รับเป็นมรดกจากพระราชบิดา นกแก้วตัวน้เป็นมรดกม
ค่ายิ่งทรัพย์สินเงินทองทั้งหลายีมชื่อว่า จุรามัน พูดสันสกฤตคล่องราวกับบัณฑิตีรู้ศาสตร์ทั้งหลายี
แลมความคิดราวกับเทวดา เว้นแต่ถ้าเทวดาจะไม่มความคิดแล้วก็จนใจอยู่ นกจุรามันน้เป็นท่ปรึกษา
ของพระราชาองค์ใหม่ในกิจส่วนพระองค์แลราชการบ้านเมืองทั่วไป

วันหนึ่งพระราชาตรัสแก่นกจุรามันว่าี"เจ้ามความรู้ทุกอย่าง เจ้าจงบอกแก่ข้าว่าข้าจะหานาง
ได้ท่ไหนผู้จะเป็นคู่สมควรแก่ข้าทุกประการ คัมภร์ศาสตร์กล่าวว่าีชายจะมเมยไม่ควรเลือกหญิงีใน
สกุลซึ่งกล่าวต่อไปน้ แม้สกุลจะมั่งคั่งด้วยโคีด้วยแพะีด้วยแกะีด้วยทองแลด้วยธัญญาหารก็
ต้องห้าม ถ้าเป็นสกุลซึ่งไม่กระทําการบูชาตามบัญญัติีในคัมภรศาสตร์ หรือเป็นสกุลซึ่งไม่มลูกชายี
หรือเป็นสกุลซึ่งไม่มใครเคยเรยนพระเวท หรือเป็นสกุลซึ่งคนมขนขึ้นมากตามกายีหรือเป็นสกุลซึ่งม
โรคติดต่อกันมาแต่ปูุแลบิดา ชายจะเลือกภริยาควรเลือกนางซึ่งมกายไม่มตําหนิีซึ่งมนามไพเราะ ซึ่ง
เดินงามเหมือนช้างอ่อนอายุีซึ่งมฟ๎นแลผมพอดทั้งขนาดแลปริมาณ ซึ่งมกายอันอ่อนนุ่มีคัมภร
ศาสตร์กล่าวเช่นน้ เจ้าจะเห็นนางท่ไหนสมควรแก่ข้าบ้าง"

นกจุรามันทูลตอบว่า "ข้าแต่พระราชาีในเมืองมคธมพระราชาทรงนาม ท้าวมคเธศวร มพระ


ราชธิดาทรงนาม จันทราวดี นางน้จะได้กับพระองค์เป็นแน่ีนางประกอบด้วยความรู้แลงดงามนัก ม
ฉวเหลืองแลนาสิกเหมือนดอกงาีชงฆ์เรยวเหมือนต้นกล้วยีเนตรใหญ่เหมือนใบบัว คิ้วจดกรรณทั้ง
สองข้างีริมพระโอษฐ์เหมือนใบมะม่วงอ่อนีพักตร์เหมือนจันทร์เพ็ญ สําเนยงเหมือนนกกาเหว่าีกรี
ยาวถึงเข่าีศอเหมือนคอนกเขาีเอวเหมือนเอวสิงห์ เกศาห้อยยาวถึงเอวีทนต์เหมือนเมล็ดแห่งผล
ทับทิมีดําเนินเหมือนช้างเมามัน"
พระรามเสนได้ทรงฟ๎งนกจุรามันชมโฉมนางดังนั้นก็เป็นท่พอพระราชหฤทัย เราท่านทั้งหลาย
จะต้องคิดว่าพระรามเสนเป็นแขก อาจเห็นงามในทางซึ่งเราท่านเห็นน่าเกลยดเป็นท่สุด อนึ่งนกจุรา
มันเป็นนกแขกแล้วมิหนําซ้ําพูดสันสกฤตคล่องด้วย เหตุดังนั้นความเปรยบของนกคงจะผิดกับความ
เปรยบของท่านแลข้าพเจ้า ซึ่งไม่ใช่นกแลพูดสันสกฤตไม่เป็น

จะอย่างไรก็ตามคําชมโฉมของนกนั้น กระทําให้พระรามเสนคิดใคร่จะได้นางเป็นชายาแต่ยัง
ไม่แน่ในพระหฤทัยทเดยว จึงตรัสเรยกพระราชครูไทวะจินตกะเข้าไปเฝูาตรัสถามว่าี"ข้าจะได้ใคร
เป็นเมย" พระราชครูตรวจตําราแม่นยําแล้วทูลว่าี"นางท่จะเป็นพระราชชายาทรงพระนาม นาง
จันทราวดี ไม่ช้าคงจะได้มการวิวาหะพระองค์กับนางองค์นั้น" พระราชาได้ทรงฟ๎งก็ยินดีแม้ไม่เคย
ทรงเห็นนางก็เกิดรักแลใคร่เป็นกําลัง จึงทรงจัดให้พราหมณ์คนหนึ่งเป็นทูตไปเฝูาท้าวมคเธศวรีขอ
พระราชธิดา ทรงสัญญาแก่พราหมณ์นั้นว่าีถ้าจัดการสําเร็จจะประทานรางวัลให้สมกับความชอบ คําท่
ทรงสัญญาน้เสมอกับทําให้ปีกงอกบนหลังพราหมณ์ มคํากล่าวว่าไม่เคยมใครเดินทางเร็วเท่า
พราหมณ์คนนั้น

ฝุายพระราชธิดาท้าวมคเธศวรมนกขุนทองตัวหนึ่งพูดสันสกฤตคล่องไม่หย่อนกว่านกแก้ว
ของพระรามเสน นกขุนทองนั้นเป็นนางนกชื่อโสมิกา มความรู้อยู่ในใจหลายร้อยเล่มสมุด จะหานก
ไหนทรงความรู้เช่นนั้นไม่มีถ้าจะเว้นก็มแต่นกแก้วของพระรามเสนกระมัง พระองค์ทรงทราบว่าใน
กาลโบราณีคนมความรู้ทําสัตว์พูดได้แลเข้าใจภาษามนุษย์ แม้ภาษาสันสกฤตซึ่งใช้ไวยากรณ์ยาก
ท่สุดีนกก็พูดได้ไม่พลาดพลั้งีดังนกชื่อจุรามัน แลนางนกชื่อโสมิกาน้เป็นตัวอย่าง
การทําให้นกพูดได้น้ กล่าวกันว่าเป็นความคิดของนักปราชญ์คนหนึ่งซึ่งผ่าลิ้นนกออกให้เป็น
สองภาค แล้วเปล่ยนรูปสมองด้วยวิธผูกรัดหัวกะโหลกเบื้องหลัง จนหัวกะโหลกเบื้องหลังยื่นออกมาี
ทําให้เกิดมันสมองีจนถึงรู้คิดแลพูดได้เป็นภาษาคน การท่นักปราชญ์คิดทําให้นกรู้ประสาเช่นน้ก็ม
คุณดบ้างีแต่มคุณชั่วมาก เหมือนความคิดนักปราชญ์ทั้งปวง คือเมื่อนกมความคิดแลพูดได้แล้วก็คิด
อย่างฉลาดแลพูดอย่างด คําท่กล่าวล้วนเป็นคําสัตย์ีครั้นมนุษย์พูดเหลวไหลีปราศจากสัตย์ นกก็พูด
ติเตยนจนมนุษย์เบื่อความสัตย์เข้าเต็มท่ีก็ทิ้งวิชาทําให้นกพูดได้นั้นเสย ความรู้จึงเสื่อมด้วยประการ
เช่นน้ีในป๎จจุบันถ้านกแก้วแลนกขุนทองยังพูดได้ ก็พูดเหลวๆีเพราะความจําอย่างเดยวีไม่ใช่พูด
ด้วยรู้คิดอย่างแต่ก่อน มนุษย์ไม่ต้องเดือดร้อนด้วยความสัตย์แห่งนกอกต่อไป

วันหนึ่งนางจันทราวดพระราชกุมารีทรงนั่งตรัสกับนางนกในท่รโหฐาน ข้อความท่ตรัสนั้นไม่
เป็นข้อความแปลก เพราะหญิงสาวในยุคทั้งหลายเมื่อพูดกับผู้ท่ไว้ใจสนิท จะเป็นเรื่องให้ช่วย
พยากรณ์การภายหน้าก็ตามีให้ทํานายฝ๎นก็ตามีจะหารือความในใจก็ตาม ใจความท่พูดนั้นอย่างี
เดยวกันหมดีจะพูดเรื่องอื่นเป็นไม่มีเรื่องท่พูดนั้น เรื่องท่พูดนั้นพระองค์ควรทราบได้ด้วยไม่ต้องถาม
ว่าอะไรีพระวิกรมาทิตย์ทรงนิ่งอยู่ เวตาลก็กล่าวต่อไปว่า
นางจันทราวดตรัสวนเวยนสักครู่หนึ่ง ก็ไปถึงป๎ญหาซึ่งได้ตรัสถามแล้วในเดือนนั้นประมาณ
ร้อยครั้งว่า ชายท่สมควรเป็นสามแห่งนางมหรือไม่ีนางนกทูลว่า "ข้าพเจ้ามความยินดท่จะทูลให้ทรง
ทราบได้ในวันน้ อันท่จริงความมิดเม้ยนในใจแห่งเราผู้เป็นหญิง..." นกทูลยังไม่ทันขาดคํา นาง
จันทราวดชิงตรัสว่าี"เจ้าจงหยุดแสดงธรรมในทันท มิฉะนั้นเจ้าจะต้องกินข้าวกับเกลือแทนข้าวกับ
ไข่"

เวตาลกล่าวต่อไปว่าีพระองค์ย่อมทราบว่านกขุนทองชอบกินข้าวกับไข่ีไม่ชอบข้าวกับเกลือ
เมื่อนางจันทราวดตรัสขู่ดังนั้นนกก็งดการสําแดงป๎ญญา ซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ท่ได้สดับต่อๆี
กันมาีนกทูลว่า "ข้าพเจ้าเห็นการภายหน้าได้ถนัดีพระรามเสนพระราชาธิบดครองกรุงโภควด จะเป็น
พระราชสามแห่งนางีนางจะเป็นความสุขแก่พระรามเสน ดังซึ่งพระรามเสนจะเป็นความสุขแก่นางี
เธอเป็นชายหนุ่มงดงาม มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติีมหฤทัยเผื่อแผ่แก่คนอื่นีสนุกง่ายีไม่ฉลาดเกิน แล
ไม่มโอกาสจะเป็นคนเจ็บได้เลย"
พระราชธิดาได้ฟ๎งดังนั้น แม้ไม่เคยได้เห็นพระรามเสนก็บังเกิดความรักใคร่ีกล่าวสั้นๆ
พระราชาหนุ่มและพระนารสาวต่างก็เป็นปฏิพัทธ์กันอยู่ไกลๆ แต่เพราะเหตุท่พระแลนางอยู่ใน
ตําแหน่งีสูงสมควรกันีความรักอยู่ห่างๆ จึงสําเร็จได้ดังประสงค์

เมื่อพราหมณ์ซึ่งพระรามเสนให้เป็นทูตไปกล่าวขอนางนั้นีไปถึงกรุงมคธ ท้าวมคเธศวรก็ทรง
รับรองเป็นอันดีแลตรัสอวยพระราชธิดาแก่พระรามเสน ทรงแต่งให้พราหมณ์ในกรุงมคธไปกรุงโภค
วดเป็นทางจําเริญไมตรีแล้วตรัสให้เตรยม การมงคลีฝุายพระรามเสนเมื่อทรงทราบข่าวดีก็แช่มชื่น
ในพระหฤทัย ประทานรางวัลแก่พราหมณ์กรุงมคธเป็นอันมากีครั้นถึงวันฤกษ์ดก็ออกจากกรุงโภควด
แวดล้อมด้วยพหลแสนยากรีรอนแรมไปในปุาจนถึงกรุงมคธีก็เข้าเฝูาท้าวมคเธศวร กระทําการเคารพ
แลแสดงไมตรอันด
ครั้นถึงฤกษ์งามยามบุญ ท้าวมคเธศวรก็จัดการวิวาหะพระราชธิดาีมการเล้ยงดูอย่างใหญ่ ม
การตกแต่งด้วยโคมไฟแลจุดดอกไม้เพลิงีมการสวดร้องตามซึ่งบัญญัติไว้ในพระเวท มการแห่แลการ
ดนตรีมเสยงดังเอ็ดไปทั้งพระนครีครั้นพิธวิวาหะสําเร็จแล้ว นางจันทราวดล้างขมิ้นจากพระหัตถ์แทบ
จะยังไม่ทันหายเหลือง พระรามเสนก็ทูลลาท้าวมคเธศวรพานางกลับกรุงโภควด

นางจันทราวดจะจากพระราชบิดาแลบ้านเมืองไปก็มความสร้อยเศร้าจึงต้องพาโสมิกา คือ
นางนกขุนทองไปด้วยีไปตามทางีนางเล่าถึงนกแลความฉลาดของนกถวายพระสาม แลทั้งทูลว่านก
เป็นผู้กล่าวพระนามพระราชาให้นางทราบก่อนท่ได้ยินทางอื่น
ฝุายพระรามเสนได้ทรงฟ๎งก็เล่าถึงจุรามันนกแก้วของพระองค์ ทรงช้แจงความฉลาดแล
ความรู้ของนกนั้นีรวมทั้งข้อท่พูดสันสกฤตคล่องนั้นด้วย
พระราชินได้ฟ๎งดังนั้นก็ทูลพระราชาว่า "เมื่อนกสองตัวของเราวิเศษถึงปานน้ก็ควรจะเล้ยงใน
กรงเดยวกันแลให้วิวาหะกันโดยคนธรรพ์ลักษณะ นกทั้งสองจะได้เป็นสุข" พระราชินได้วิวาหะใหม่ๆ
ก็ใคร่จะจัดการวิวาหะให้คู่อื่นบ้าง ตามซึ่งมักจะเป็นไปโดยมากในหมู่หญิงสาวซึ่งได้ผัวใหม่ๆ
พระราชาตรัสว่าีนางตรัสถูกแล้วีถ้านกทั้งสองไม่มคู่จะมสุขอย่างไรได้ การท่ตรัสอย่างน้
เพราะพระองค์กําลังเพลินในการมคู่ ย่อมจะนึกตามอารมณ์ของผู้มเมยใหม่ว่านอกจากคนมเมยแล้ว
ไม่มใครมความสุขเป็นอันขาดีความทุกข์จะเกิดแก่ผู้มเมยนั้นไม่อาจมได้ในโลก

ครั้นสององค์เสด็จถึงกรุงโภควดแล้ว ก็ตรัสให้เจ้าพนักงานยกกรงใหญ่มาตั้งจําเพาะพระ
พักตร์ ทรงจับนกปล่อยเข้าไปในกรงทั้งสองตัวีฝุายนกจุรามันเกาะอยู่บนคอนเอยงคอดูนกขุนทอง
นางโสมิกานกขุนทองจับอยู่อกคอนหนึ่ง ยกหน้าชูปากขึ้นไปบนฟูาโดยกิริยาดูหมิ่นแล้วกระโดดไป
เกาะคอนอื่นท่ห่างออกไป
นกแก้วนิ่งดูอยู่ครู่หนึ่งก็พูดภาษาสันสกฤตว่าี"นางนกขุนทอง เจ้าคงจะกล่าวดอกกระมังว่าี
เจ้าไม่อยากได้คู่" นางนกขุนทองตอบในภาษาเดยวกันว่า "ท่านเดาเห็นจะไม่ผิด" นกแก้วี"เพราะ
เหตุไรเจ้าจึงไม่อยากมคู่" นกขุนทอง "เพราะใจของข้าเป็นอย่างนั้น" นกแก้วี"น่พูดอย่างผู้หญิง
ทเดยว ข้าจะขอยืมคําพระราชาของข้ามากล่าวว่าีท่อธิบายเช่นน้เป็นป๎ญญาหญิง คือไม่ใช่ป๎ญญาแล
ไม่ใช่อธิบายเลยีเจ้าจะพูดให้แจ่มแจ้งกว่าน้สักหน่อยจะได้หรือไม่ หรือรังเกยจท่จะพูดให้ผู้อื่น
เข้าใจ"
นกขุนทองโกรธจนแทบจะลืมไวยากรณ์สันสกฤตีตอบว่าี"ข้าไม่รังเกยจเลย ข้าจะบอกให้
แจ่มแจ้งท่สุดีบางทจะแจ่มแจ้งเกินความพอใจของเจ้า พวกเจ้าซึ่งเป็นเพศชายย่อมประกอบขึ้นด้วย
ความบาปีความโกงีความล่อหลอก ความเห็นแก่ตัวีความปราศจากธรรมในใจีคล่องในการทําลาย
พวกเราซึ่งมเพศเป็นหญิง เพื่อความสําราญของพวกเจ้า"

พระราชาตรัสแก่พระราชินว่า "นางนกตัวน้กล้าหาญีพูดจาไม่เกรงใจใครเลย" นกแก้วทูล


พระราชาว่า "พระองค์จงถือว่าคําท่นางนกกล่าวนั้นเหมือนหนึ่งลมซึ่งเข้ากรรณน้ไปออกกรรณโน้นเถิด
(แล้วเหลยวไปพูดกับนกขุนทองว่า) นางนกขุนทอง พวกเจ้านั้นถ้าไม่ได้ประกอบขึ้นด้วยความ
ล่อหลอกีแลความคดในใจแลความไม่รู้ ก็ประกอบขึ้นด้วยอันใดเล่า พวกเจ้ามปรารถนาอยู่อย่างเดยว
แต่จะไม่ให้มชวิตเป็นเครื่องสําราญได้ในโลกน้เป็นอันขาด"

พระราชินทูลพระราชาว่าี"นกของพระองค์ตัวน้ีพูดจาก้าวร้าว ไม่ยําเกรงใครเลย"
นกขุนทองทูลพระราชินว่า "คําท่ข้าพเจ้ากล่าวนั้นอาจนําพยานมาสําแดงได้" นกแก้วทูลพระราชาว่า
ข้าพเจ้าอาจนํานิทานมาเล่าให้ผู้หญิงเห็นจริงได้"
พระราชาแลพระราชินได้ทรงฟ๎งดังนั้นีก็ตกลงกันให้นกทั้งสองนําหลักฐานมาสําแดง เป็น
พยานคําท่กล่าวีพระราชินขอให้นกขุนทองแสดงก่อนีพระราชายอมตกลง นางนกขุนทองกล่าวดังน้

นิทานของนกขุนทอง

เมื่อก่อนท่ข้าพเจ้ามาเป็นข้าพระองค์นั้นีข้าพเจ้าเคยอยู่กับ นางรัตนาวดี ธิดาพ่อค้าผู้มั่งคั่ง


ด้วยทรัพย์สมบัติ นางรัตนาวดเป็นหญิงน่ารักน่าชมทุกประการี(นกขุนทองกล่าวเท่านั้นก็ร้องไห้ พระ
ราชินทรงสงสารก็รับสั่งปลอบโยนเป็นอันดีนกก็เล่าต่อไปว่า)

ใน เมืองอิลาบุรี มพ่อค้ามั่งมคนหนึ่งีได้ความเดือดร้อนเพราะไม่มบุตร พ่อค้าจึงทําโยคะคือ


อดข้าวเป็นต้นีแลทั้งเท่ยวไปในบุณยสถานต่างๆีเพื่อจะขอลูก เมื่ออยู่บ้านก็อ่านปุราณะแลให้ทาน
แก่พราหมณ์ีด้วยประสงค์อันนั้น
ต่อมาพระผู้เป็นเจ้าโปรดประทานให้มบุตรชายมาเกิดคนหนึ่ง พ่อค้ายินดก็มงานสมโภชลูก
ชายใหญ่โตีให้ทานแก่พราหมณ์ผู้สวดกลอนยอีแลพราหมณ์อื่นๆ เป็นอันมากีผู้ท่จนก็ได้รับเงินแจก
แลเสื้อผ้าีผู้ท่หิวก็ได้รับแจกอาหารแลของอื่นๆ เป็นอันมาก
พ่อค้าทํานุบํารุงเล้ยงบุตรชายมาจนอายุได้ห้าขวบก็หาผู้มาสอนให้อ่านหนังสือ ครั้นโตขึ้นอก
ก็ส่งให้ไปอยู่กับครูผู้มชื่อว่ามความรู้แลสั่งสอนด บุตรชายโตขึ้นมรูปสมบัติดูไม่ได้ีเค้าหน้าเหมือนลิงี
ขาเหมือนขานกกระเรยน หลังโกงเหมือนหลังอูฐ พระองค์คงจะทราบภาษิตโบราณว่า ถ้าพบคน
ขาเขยกให้เชื่อใจได้ว่าพบความคด ๓๒ ข้อ ถ้าพบคนตาบอดข้างหนึ่ง พบความคด ๘๐ ข้อ
ถ้าพบคนหลังกุ้งให้สวดมนต์อ้อนวอนพระมเหศวรให้คุ้มครองตน
บุตรชายพ่อค้านั้นีเมื่อไปเรยนหนังสือกับครูก็มิได้ไปถึงครู ไปเท่ยวแวะเล่นเบ้ยกับเพื่อนท่
เป็นพาลด้วยกัน ต่างคนมใจชั่วและประพฤติทุจริตต่างๆีเมื่อพบผู้หญิงก็เข้าเก้ยวชักชวนในเชิงกาม
และกระทําการลามกจนบิดาเสยใจเป็นโรคหนักอยู่หน่อยหนึ่งีก็ถึงแก่ความตาย

ครั้นบิดาสิ้นชวิตแล้ว บุตรชายได้รับมรดกก็จ่ายทรัพย์เปลืองไปในการพนันแลบํารุงความชั่ว
ไม่ช้าทรัพย์มรดกซึ่งได้รับเป็นอันมากนั้นก็สิ้นไปจนไม่มอะไรเหลือ ครั้นทรัพย์ของตนหมดก็ทําลาย
ทรัพย์เพื่อนบ้านจนในท่สุดเขาจับได้ว่าเป็นขโมย เผอิญหลบหลกได้ไม่ถูกประหารชวิตตามอาญา
เมือง จนในท่สุดกล่าวลบหลู่เทวดาว่าให้แต่โชคร้าย แล้วหนออกจากเมืองไปเดินปุาอยู่พักหนึ่งีถึง
เมืองซึ่งเป็นท่อยู่แห่ง เหมคุปต์ เศรษฐผู้บิดานางรัตนาวด ได้ยินชื่อเหมคุปต์ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อบิดา
ของตนยังมชวิตอยู่นั้น ได้ทําการค้าขายติดต่อีจึงเข้าไปหาเหมคุปต์ แจ้งความว่าตนเป็นบุตรแห่ง
พ่อค้าท่ได้เคยค้าขายติดต่อกัน บัดน้บิดาสิ้นชวิตเสยแล้วีพูดเท่านั้นก็ร้องไห้ร่ําไรไปเป็นอันมาก

ฝุายเหมคุปต์ีครั้นได้ยินแลเห็นชายหนุ่มแต่งกายทรุดโทรมดังนั้น ก็ประหลาดใจแลคิด
สงสารีจึงปลอบโยนซักถามว่าเหตุไฉนจึงเป็นเช่นน้ ชายหนุ่มหลังโกงเหมือนอูฐตอบว่าีข้าพเจ้าจัด
สินค้าบรรทุกเรือไปค้าขายในเมืองอื่น ครั้นขายของหมดแล้วีข้าพเจ้าซื้อสินค้าเมืองนั้น บรรทุกเรือจะ
กลับไปขายในเมืองของข้าพเจ้าีแล่นใบไปในกลางทะเล ถูกพายุใหญ่เป็นอันตรายในทะเลทั้งเรือแล
สินค้าีข้าพเจ้าเกาะกระดานลอยไปคนเดยว เผอิญยังไม่ถึงเวลาสิ้นชวิตีจึงรอดขึ้นฝ๎่งได้แลเดินทาง
มาีจนถึงเมืองน้ ข้าพเจ้าไม่มหน้าจะกลับไปเมืองของตนได้ีเพราะสิ้นทรัพย์แล้วก็ไม่มใครนับถือ ผู้ท่
เป็นศัตรูก็มแต่จะด่าว่าข่มข่ต่างๆ บิดามารดาของข้าพเจ้าก็สิ้นชวิตเสยนานแล้วีข้าพเจ้าไม่รู้จะหัน
หน้าไปหาใคร ทั้งน้ก็เป็นผลแห่งกรรมซึ่งกระทําไว้แต่ปางก่อนีพูดเท่านั้นแล้วก็ร้องไห้ร่ําไรไป

ฝุายเหมคุปต์เศรษฐได้ยินชายหลังอูฐร้องไห้เล่าเรื่องให้ฟ๎งดังนั้นก็เกิดสงสารเป็นกําลัง จึง
ต้อนรับเล้ยงดูให้ชายหลังอูฐอาศัยอยู่ในบ้านของตน ชายชั่วเห็นทางจะได้ดด้วยทําดก็ขืนใจปฏิบัติ
เป็นคนด จนเหมคุปต์ไว้ใจให้มส่วนในการค้าขาย ชายหนุ่มก็ยิ่งแสร้งทําดจนเหมคุปต์ไว้ใจแลเอ็นดู
ยิ่งขึ้น

วันหนึ่งเหมคุปต์ตรึกตรองในใจว่า เราน้มความร้อนใจมาหลายปีแล้วเพราะบกพร่องใน
ครอบครัว เพื่อนบ้านของเราก็ซุบซิบนินทาเรามาช้านานีบ้างก็พูดอ้อมค้อมีบ้างก็พูดตรงๆีว่า
ธรรมดาคนมลูกสาวีเมื่อลูกอายุถึงี๗ีขวบี๘ีขวบีพ่อก็ต้องจัดการให้มผัว เพราะธรรมศาสตร์บัญญัติ
อย่างนั้น แต่บุตรสาวเหมคุปต์เศรษฐน้พ้นอายุท่ควรแต่งงานมาหลายปีีจนบัดน้อายุถึงี๑๓ีหรือ ๑๔ี
ปีีนางเป็นคนร่างใหญ่รูปอวบีดูเหมือนหญิงอายุี๓๐ีปีท่มผัวแล้ว แต่บิดาก็ยังหาจัดการให้มผัวไม่ี
บิดาจะกินแลนอนเป็นสุขอย่างไร การท่ปล่อยให้เป็นเช่นน้ย่อมเป็นท่ครหาีเป็นโทษโดยคดโลกแล
คดธรรม แม้ญาติวงศ์ท่สิ้นชวิตไปแล้วย่อมได้ทุกข์เพราะเหตุท่ญาติในมนุษยโลกปล่อยลูกสาวไว้มิให้
มผัวจนปุานน้ ข้อติเตยนข้อน้ก็ทําให้เราเดือดร้อนมาช้านานแล้วแต่เรามิรู้จะแก้ไขอย่างไรได้ บัดน้
พระผู้เป็นเจ้าโปรดให้เราสิ้นทุกข์ีจึงบันดาลให้ชายหนุ่มน้มาถึงบ้านเรา เขาก็เป็นคนดีปฏิบัติอยู่ใน
คลองธรรมเป็นท่ชอบใจเรา จําเราจะยกลูกสาวให้แก่ชายหนุ่มน้ตามโอกาสท่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่
เรา เราจะชักช้าต่อไปไม่ควร เพราะสิ่งใดท่จะทําได้ในวันน้ สิ่งนั้นเป็นดท่สุดีพรุ่งน้จะเป็นอย่างไรเรา
ทราบไม่ได้

เหมคุปต์ตรึกตรองตกลงใจดังน้แล้วีก็ไปพูดกับภริยาว่า ความเกิดี๑ีการวิวาหะี๑ีความตายี
๑ีทั้งี๓ อย่างน้ย่อมเป็นไปแล้วแต่เทวดาจะบัญญัต ิีเราต้องการให้ลูกหญิงของเราได้ผัวท่เกิดใน
สกุลดีเป็นผู้มั่งมีเป็นผู้มรูปงาม เป็นคนฉลาดีแลเป็นผู้มความสัตย์ีแต่เราจะหาชายหนุ่มเช่นนั้น
ไม่ได้ เจ้ากล่าวว่าถ้าเจ้าบ่าวขาดคุณดเหล่าน้ีการวิวาหะก็จะไม่เป็นผลดังประสงค์ แต่ถ้าจะไม่ให้ลูกม
ผัวไซร้ีเราจะเอาเชือกผูกคอลูกเราถ่วงลงในคูน้ก็ไม่ได้ เหตุดังนั้น ถ้าเจ้าเห็นว่าบุตรพ่อค้าซึ่งข้าได้
รับเข้าไว้เป็นสหายในการค้าขายของข้าน้ เป็นคนดีควรจะให้ลูกสาวเราได้ีเราจะรบจัดการวิวาหะ
โดยเร็ว

ภริยาเหมคุปต์ได้ยินสามพูดดังนั้นก็ดใจ เพราะชายหนุ่มหลังอูฐได้ล่อลวงให้ลุ่มหลงอยู่แล้วี
นางจึงตอบสามว่า เมื่อพระผู้เป็นเจ้าช้ทางให้เห็นชัดอยู่เช่นน้ีถ้าเราไม่ทําตามก็คือขืนคําเทพยดา เรา
มิได้ไปเท่ยวแสวงหาท่ไหนีเจ้าบ่าวก็มมาเองีเหตุดังนั้นเราไม่ควรจะชักช้าไปเลย ท่านจงรบจัดการ
เถิด

สามภริยาปรึกษากันเช่นน้แล้วก็เรยกบุตรสาวเข้าไปหา นางนั้นงามสมควรเป็นท่รักของ
คนธรรพ์ีนางมเกศายาวอันเป็นสม่วงอ่อน เพราะแสงแห่งความเป็นสาวีเป็นมันเหมือนปีกแมลงภู่ี
ขนงบริสุทธิ์แลใสเหมือนโมรา แก้วประพาฬอันเกิดแต่ทะเลนั้นีเมื่อเทยบกับริมฝีปากแห่งนาง แก้ว
ประพาฬก็มสเผือดไปีทนต์ของนางเสมอกับไข่มุกีภาคต่างๆ ในกายนางล้วนประกอบขึ้นสําหรับเป็นี
ท่รักทั้งนั้นีเมื่อใครได้เห็นเนตรแห่งนาง ก็ใคร่จะเห็นอกีแลเห็นอยู่เสมอไป ใครได้ยินเสยงนางก็ใคร่
จะได้ยินดนตรนั้นอยู่เสมอีความดของนางเสมอกับความงาม เป็นท่รักของบิดามารดาแลญาติพ่น้อง
ทั่วไปีเพื่อนฝูงของนางจะหาท่ตินางก็มิได้ ถ้าข้าพเจ้าจะเล่าคุณความดของนางก็คงไม่มเวลาสิ้นสุด
ได้ นกขุนทองเล่ามาเพยงน้ก็ร้องไห้ร่ําไรอยู่ครู่หนึ่งจึงเล่าต่อไป

เมื่อบิดามารดาเรยกนางรัตนาวดมาบอกความประสงค์ให้ทราบ นางก็ตอบว่าแล้วแต่บิดา
มารดา เพราะนางไม่ใช่หญิงชนิดท่เกลยดอะไรไม่เกลยดเท่าชายท่พ่อแม่บัญชาให้รัก อันท่จริง
ข้าพเจ้าทราบว่านางจะดูชายหนุ่มท่จะเป็นเจ้าบ่าวก็ดูไม่ได้เต็มตา เพราะความข้ริ้วของชายนั้น แต่ไม่
ช้าความช่างพูดของเจ้าบ่าวก็ทําให้นางเกิดความนิยมขึ้นทละน้อย แลทั้งนางรู้สึกคุณชายหนุ่มท่
อุตส่าห์เอาใจใส่เอื้อเฟื้อต่อบิดามารดา นับถือความประพฤติของชายหนุ่มซึ่งแสร้งทําดีสงสารด้วย
ตกยาก จนในท่สุดก็ลืมความข้ริ้วของชายนั้น
เมื่อก่อนการวิวาหะ นางได้สัญญาในใจไว้ว่าีเมื่อแต่งงานแล้ว แม้หน้าท่แห่งภริยาจะไม่เป็น
ท่ชอบใจเพยงไร นางก็จะอุตส่าห์ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหน้าท่ีครั้นแต่งงานแล้ว ความไม่พอใจใน
หน้าท่นั้นหามไม่ีนางกลับรักสามเสยอก ส่วนความข้ริ้วของสามนั้นไม่เป็นเหตุให้นางเกลยดชัง อันท่
จริงกลับจะรักยิ่งขึ้นเพราะความข้ริ้วนั้น

ความรักน้เป็นของน่าพิศวงมาก เป็นแสงฟูาฉายความสุขลงมายังแผ่นดินอันมืดแลเต็มไป
ด้วยความซึมเซา เป็นมนตร์ซึ่งทําให้เรารําลึกถึงความมชาติท่สูงกว่าน้ เป็นความสุขในขณะน้แลเป็น
ทางพาให้คิดถึงสุขในเบื้องหน้า ทําให้ความข้ริ้วกลับเป็นความงามีทําให้ความโง่กลายเป็นความ
ฉลาด ทําให้ความแก่เป็นความหนุ่มีทําให้บาปเป็นบุญีทําให้ความซึมเซาเป็นความแช่มชื่น ทําให้ใจ
แคบเป็นใจกว้างีความรักน้เป็นโอสถอย่างเอก ชักให้ความตรงกันข้ามมาเดินลงรอยเดยวกัน

นกขุนทองกล่าวดังน้ีพลางแลดูนกแก้วีนกแก้วกล่าวว่า ถ้าเอาคําโบราณมาพูดน้อยกว่าน้จะ
เป็นการสําแดงความคิดตนเองมากขึ้น การท่จําเอาคําเก่าๆีมากล่าวเช่นน้ีไม่เป็นไปตามทํานองผู้ม
ป๎ญญาเลย นกขุนทองกล่าวต่อไปว่าีคําโบราณกล่าวว่า เสือจะกลายเป็นลูกแกะนั้นยังไม่เคยม เหตุ
ดังนั้นถึงชายหนุ่มหลังอูฐจะได้แสร้งประพฤติเป็นคนดอยู่คราวหนึ่งก็หาดได้จริงไม่

อยู่มาวันหนึ่งีชายหนุ่มรําลึกในใจว่า ผู้มป๎ญญาย่อมเอาตัวออกห่างจากความเหน่ยวรั้งแห่ง
ครอบครัว แลปลดตัวจากความรักลูกรักเมยแลรักบ้านีคิดดังน้ชายหนุ่มจึงกล่าวแก่ภริยาว่า ข้าได้จาก
เมืองมาอยู่ในเมืองเจ้าน้ก็หลายปีแล้ว ไม่ได้ข่าวคราวญาติพ่น้องในเมืองข้าเลยีใจข้าจึงเศร้าีเจ้าจง
กล่าวแก่แม่ของเจ้า ขออนุญาตให้ข้ากลับไปบ้านเมืองีแลถ้าเจ้าจะใคร่ไปด้วยก็ได้ นางรัตนาวดได้
ยินสามว่าดังนั้นีก็รบไปบอกมารดาตามคําซึ่งสามกล่าว มารดาได้ทราบก็ไปแจ้งแก่เหมคุปต์ีเหม
คุปต์ตอบอนุญาต ให้บุตรเขยกลับบ้านเมืองได้ตามใจีแลถ้าบุตรจะยอมไปกับสามก็อนุญาต ครั้นตก
ลงกันดังน้แล้วีเหมคุปต์เศรษฐก็ให้ทรัพย์สินแก่บุตรเขยเป็นอันมาก ทั้งให้แก่บุตรสาวอกส่วนหนึ่งี
แลจัดทาสให้ไปด้วยคนหนึ่ง บุตรเขยแลบุตรสาวก็ลาออกเดินทางเข้าปุาไป

ฝุายชายหนุ่มหลังอูฐ พาภริยาเดินทางไปหลายวัน นิ่งตรึกตรองไม่ใคร่จะตกลงในใจว่าจะทํา


วิธใดจึงจะทิ้งภริยาเสยได้ การท่จะพาไปยังเมืองของตนนั้นไม่ได้เป็นอันขาดีเพราะเมื่อไปถึงเมือง
เข้า นางก็จะจับเท็จทั้งปวงได้ อนึ่งชายหลังอูฐอยากได้นางเป็นภริยาก็เพราะอยากได้ทรัพย์สมบัติี
ไม่อยากได้ตัวนางเอง ครั้นเมื่อพ้นตาพ่อแม่มาเช่นน้ก็คิดหาทางจะทิ้งนางเสยแต่ตรึกตรองอยู่หลาย
วัน จนไปถึงปุาเปล่ยวก็หยุดพักแล้วบอกแก่นางว่าตําบลนั้นโจรผู้ร้ายชุกชุม นางจงปลดเครื่องประดับ
กายทั้งปวงซึ่งมค่าเป็นอันมากออกให้สามซ่อนไว้ในไถ้ ครั้นนางทําตามแล้วชายสามก็ล่อทาสไปห่าง
ท่ซึ่งภริยานั่งคอยอยู่ แล้วเอามดเชือดคอทาสีทิ้งศพไว้เป็นอาหารสัตว์ในปุาีแล้วกลับไปหาภริยา
ล่อให้เดินไปใกล้เหวีแล้วผลักตกลงไปในเหว เผอิญก้นเหวนั้นมกิ่งไม้แลใบไม้รองอยู่มากนางจึงไม่
สิ้นชวิต

ฝุายชายหลังอูฐครั้นผลักภริยาลงเหวแล้วก็รวบรวมทรัพย์สมบัติทั้งปวงออกเดินทางไปสู่
เมืองของตน ไม่ช้ามชายอกคนหนึ่งเดินมาในปุาเปล่ยว ได้ยินเสยงคนร้องไห้ก็หยุดยืนฟ๎งแลนึกในใจ
ว่าีปุาน้เปล่ยวนักหนา เหตุใดมคนมาร้องไห้อยู่ในดงชัฏ ครั้นยืนฟ๎งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เดินไปในทางซึ่ง
ได้ยินเสยงร้องไห้ ครั้นไปถึงเหวก็หยุดชะโงกดูเห็นผู้หญิงร้องไห้อยู่ก้นเหว ชายนั้นก็ปลดผ้าโพกแล
สายรัดตัวออกต่อกันเป็นสายยาวหย่อนลงไปในเหว ร้องให้นางเอาปลายผ้าผูกตัวเข้าแล้วฉุดขึ้นมาได้
แลถามนางว่าเกิดเหตุอย่างไรจึงเป็นเช่นน้

นางรัตนาวดตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นบุตรเหมคุปต์พ่อค้าเศรษฐใหญ่ในกรุงจันทปุระีข้าพเจ้า
เดินทางมากับสาม พบโจรมกําลังช่วยกันฆ่าทาสของข้าพเจ้าเสยแล้วมัดสามข้าพเจ้าพาตัวไป แล
เมื่อได้ปลดเครื่องประดับกายของข้าพเจ้าออกหมดแล้วก็ผลักข้าพเจ้าตกอยู่ในเหวน้ ข้าพเจ้าไม่
ทราบว่าสามจะเป็นตายประการใดีแลสามข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่า ข้าพเจ้ายังอยู่หรือสิ้นชวิตแล้ว
ชายเดินปุาได้ฟ๎งนางเล่าดังนั้นก็เชื่อแลพานางไปเมืองจันทปุระส่งยังบ้านบิดา เมื่อนางไปถึง
บ้านบิดาก็เล่าเรื่องอย่างเดยวกับท่เล่าให้ชายเดินทางฟ๎ง

เหมคุปต์เศรษฐได้ยินเรื่องก็สงสารบุตรีจึงกล่าวปลอบโยนว่า "ลูกเอ๋ยีเจ้าอย่าร้อนใจไปเลยี
ผัวของเจ้ายังคงมชวิตอยู่เป็นแน่ ธรรมดาโจรย่อมจะแย่งชิงทรัพย์สมบัติของผู้อื่นีไม่แย่งชิงชวิตผู้ไม่
มทรัพย์เหลือ เหตุดังน้เมื่อไรพระผู้เป็นเจ้าโปรดีผัวของเจ้าก็จะกลับมาเมื่อนั้น จงตั้งใจคอยไปเถิด"
เหมคุปต์กล่าวปลอบบุตรฉะน้พลางจัดเครื่องประดับกายอันหาค่ามิได้ให้แก่บุตรเป็นอันมาก
ทั้งบอกกล่าวญาติพ่น้องแลมิตรทั้งปวงให้มาเย่ยม แลปลอบโยนช้แจงแก่นางรัตนาวดโดยนัยเดยวกันี
แต่นางก็มิได้วายเศร้า เพราะเรื่องในใจผิดกับเรื่องท่เล่าบอกแก่บิดาแลญาติมิตรทั้งนั้น

จะกล่าวถึงชายหลังอูฐีเมื่อผลักภริยาตกแหวแล้ว ก็รวบรวมของมราคาทั้งหลายรบไปยัง
เมืองของตน เพื่อนฝูงทั้งปวงก็ช่วยกันต้อนรับเป็นอันดีเพราะเหตุท่มทรัพย์เป็นอันมาก เพื่อนนักเลงก็
พากันมากลุ้มรุมีชวนเล่นชวนกินอย่างแต่ก่อน การพนันแลการเสพย์เครื่องมึนเมาต่างๆีก็กลับทําี
ตามเดิมีโทษทั้งหลายก็กลับเกิด ทรัพย์สินทั้งหลายก็เปลืองไปีในท่สุดก็หมดลงอกครั้งหนึ่ง ชน
ทั้งหลายท่เป็นสหายในการทําชั่วแลเป็นมิตรในการช่วยกันกินกันเล่นต่างก็ชักห่างออกไป

ในท่สุดเมื่อชายหลังอูฐสิ้นทรัพย์แน่แล้วก็ไม่มใครคบค้าสมาคม เมื่อไปถึงบ้านผู้ท่เคยเป็น
มิตรเขาก็ปิดประตูเสย หรือมิฉะนั้นขับไล่ไม่ให้เข้าเรือนีชายหลังอูฐสิ้นป๎ญญาก็กระทําโจรกรรม จน
เขาจับได้ก็ถูกเฆ่ยนตลงโทษเป็นสาหัสีครั้นจะอยู่ในเมืองของตนต่อไปไม่ได้ ก็หนออกจากเมืองอก
ครั้งหนึ่งีเดินไปในปุาีพลางคิดในใจว่า เราจะต้องกลับไปหาพ่อตาเล่านิทานให้ฟ๎งว่า บัดน้นางรัตนา
วดคลอดบุตรเป็นชายคนหนึ่งแล้ว เราจึงไปหาพ่อตาเพื่อจะบอกข่าวอันควรยินดน้ให้พ่อตาทราบ เรา
อาจจะได้ทรัพย์สมบัติอกเพราะการไปบอกข่าวน้

ชายหลังอูฐคิดดังนั้นแล้วีก็ตั้งหน้าเดินไปเมืองจันทปุระีตรงไปบ้านเหมคุปต์เศรษฐ ครั้นไป
ถึงประตูบ้านก็ตกใจเป็นกําลัง เพราะเห็นนางรัตนาวดภริยาลงจากเรือนวิ่งออกมารับีในชั้นต้นคิดว่าผ
เพราะนึกว่านางคงจะตายอยู่ในเหวนั้นเองีเมื่อคิดดังน้ก็กลัวจึงหันหลังจะวิ่งหน ต่อนางตะโกนเรยก
จึงหยุดยืนลังเลด้วยเข้าใจว่านางคงจะกลับไปเล่าเรื่องให้บิดาฟ๎งตลอด เมื่อเหมคุปต์มาพบเข้าก็จะคง
จับตัวลงโทษเป็นแน่
ฝุายรัตนาวดเห็นสามยืนลังเลีมสหน้าอันซดด้วยความกลัวเช่นนั้น ก็กล่าวแก่สามว่าี"ท่าน
อย่าสะดุ้งตกใจไปเลยีข้าพเจ้ามิได้เล่าความจริงแก่บิดาดอก ข้าพเจ้าได้เล่าว่าเราเดินทางไปกลาง
ปุาีพบโจรหมู่หนึ่งมกําลังมาก โจรฆ่าทาสของข้าพเจ้าเสยีแย่งเครื่องประดับจากกายข้าพเจ้าหมด
แล้วผลักข้าพเจ้าตกลงในเหวแลทั้งมัดท่านพาตัวไปีเมื่อท่านพบกับบิดาข้าพเจ้า ท่านจงเล่าเรื่องให้
ตรงกันีเราทั้งสองก็จะกลับได้ความสุขเหมือนเดิม ท่านจงระงับความร้อนใจเสยเถิด ข้าพเจ้าดูอาการ
แห่งท่านเห็นว่าท่านจะได้ทุกข์มานักหนา เสื้อผ้าแลร่างกายจึงขะมุกขะมอมเหมือนเช่นท่เห็นอยู่น้
ท่านจงตามข้าพเจ้าขึ้นมาบนเรือนแลผลัดเสื้อผ้าโสมมน้ สวมเสื้อผ้าท่ดแลกินอาหารซึ่งประกอบด้วย
รสทั้งหก ท่านจงถือว่าเหย้าเรือนแลสมบัติเหล่าน้เป็นท่าน แลตัวข้าพเจ้าคือทาสผู้จะปฏิบัติท่านให้
ได้ความสุขทุกประการ"

ชายหลังอูฐได้ฟ๎งภริยากล่าวดังนั้นีแม้ตัวจะเป็นผู้มใจบึกบึน ก็บังเกิดใจอ่อนแทบจะร้องไห้ี
จึงตามภริยาขึ้นไปบนเรือน ครั้นถึงห้องนางก็ล้างเท้าให้ีแลจัดให้อาบน้ําชําระกาย แต่งเครื่องนุ่งห่ม
อย่างดมค่าแล้วนําเอาอาหารมาให้กิน
ครั้นเหมคุปต์เศรษฐและภริยากลับมาถึงบ้าน นางรัตนาวดก็พาสามไปหาแลเล่านิทานให้ฟ๎ง
ว่าีฝูงโจรได้ปล่อยชายสามกลับมาแล้ว เหมคุปต์แลภริยาได้ฟ๎งก็ดใจ จัดการให้บุตรเขยอยู่กินม
ตําแหน่งในครอบครัวอย่างแต่ก่อน

ชายหนุ่มหลังอูฐได้กินอยู่มความสุขีก็พักอยู่กับพ่อตาี๒-๓ีเดือน ระหว่างนั้นประพฤติตัวเป็น
คนดีมใจโอบอ้อมอารต่อภริยา ผู้ท่ไม่รู้เรื่องไม่มใครสงสัยว่าจะเป็นคนชั่วร้าย แต่การกระทําดนั้นเป็น
การขืนนิสัยีจะทําได้อย่างมากก็พักหนึ่งเท่านั้น ไม่ช้าก็คบกับโจรในเมืองนั้นีนัดหมายกันเข้าีปล้น
บ้านเหมคุปต์เศรษฐ ครั้นถึงวันนัดเวลาเท่ยงคืนีนางรัตนาวดกําลังหลับสนิทีชายหลังอูฐก็เอามด
แทงนางตาย แล้วเปิดประตูรับพวกโจรเข้าไปในเรือนีช่วยกันฆ่าเหมคุปต์แลภริยาตาย แล้วช่วยกัน
ขนทรัพย์สมบัติล้วนแต่ท่มราคาออกจากเรือนไป

นางนกขุนทองเล่ามาเพยงน้ีก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อไปว่า

เมื่อชายหลังอูฐเดินผ่านกรงข้าพเจ้าีเวลาจะออกจากบ้านหนไปนั้น มันแลดูข้าพเจ้าแลหยุด
ยืนจับประตูกรงีจะีเปิดจับข้าพเจ้าออกมาหักคอ เผอิญหมาเห่าขึ้นมันตกใจก็รบหนไปีข้าพเจ้าจึง
รอดชวิตอยู่ได้ นางนกขุนทองร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อกครู่หนึ่งจึงทูลพระมเหสว่า เรื่องน้ข้าพเจ้ายิน
ด้วยหูีรู้ด้วยตามาเอง แลเป็นเรื่องท่ทําให้ข้าพเจ้าได้ความทุกข์ีในเวลายังอ่อนอายุ จึงเป็นเหตุให้
ข้าพเจ้ารังเกยจชายทั้งหลายีจะขออยู่ไม่มคู่ไปจนสิ้นชวิต พระองค์จงทรงดําริว่าีนางรัตนาวดไม่ได้
ทําความผิดอะไรเลย ยังเป็นได้ถึงเพยงนั้นเพราะผู้ชายย่อมมน้ําใจเป็นโจรทั้งหมด แลผู้หญิงซึ่งยอม
เป็นมิตรกับชายนั้นเสมอกับเอางูเห่ามาเล้ยงไว้บนอก
นางนกขุนทองทูลพระมเหสเช่นน้แล้วก็หันไปพูดกับนกแก้วว่า น่แน่ะเจ้านกแก้วีข้าได้เล่า
เรื่องเป็นพยานคําของข้าแล้วีข้าไม่มอะไรจะพูดอก นอกจากจะกล่าวว่าผู้ชายทั้งปวงเป็นจําพวกคด
โกงล่อลวงผู้อื่น เห็นแก่ตัวแลมใจบาปหยาบร้ายหาท่สุดมิได้

นกแก้วทูลพระราชาว่า พระองค์จงฟ๎งเถิด เมื่อหญิงกล่าวว่าไม่มอะไรจะพูดท่เป็นข้อสําคัญ


จะอยู่ในคําแถมทั้งนั้น แลคําแถมย่อมจะยาวกว่าคําพูดท่พูดมาแล้วหลายสิบเท่า นางนกตัวน้ก็ได้พูด
มาจนน่าจะเบื่อเต็มทอยู่แล้ว แต่อย่างนั้นยังนับว่าพึ่งจะขึ้นต้นเท่านั้น พระราชาตรัสว่าเจ้ามเรื่องอะไร
จะนํามากล่าวเป็นพยานคําติเตยนหญิง เจ้าก็จงเล่าไปเถิดีนกแก้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องซึ่งเกิด
แต่เมื่อข้าพเจ้ายังอ่อนอายุ แลทําให้ข้าพเจ้าทําความตกลงในใจว่าจะอยู่ไม่มคู่ไปตราบจนวันตาย

นิทานของนกแก้ว

เมื่อข้าพเจ้าเป็นลูกนก ยังไม่ทันได้ร่ําเรยนอันใดก็ติดกรงหับีแล้วมผู้นําไปขายพ่อค้าเศรษฐ
ชื่อ สาครทัต ซึ่งเป็นพ่อหม้ายีมลูกสาวคนหนึ่งชื่อ นางชัยศิริีสาครทัตกระทําการค้าขายกว้างขวางี
มธุระอยู่ท่ร้านตลอดวันแลครึ่งคืน ใช้เวลาในการก้มมองดูตัวเลขในบัญชีแลดุด่าเสมยนรับใช้ีไม่ม
เวลาดูแลบุตรสาว นางชัยศิริประพฤติตนตามอําเภอใจแลอําเภอใจของนางนั้นไม่มอําเภออันดเลย

ชายทั้งปวงท่มลูกสาว อาจกระทําผิดเป็นข้อใหญ่ได้สองทางคือีระมัดระวังน้อยไปทางหนึ่ง
ระมัดระวังมากไปทางหนึ่ง พ่อแม่บางจ้าพวกคอยจ้องมองดูลูกสาวมิให้คลาดตาไปเลย คอย
สงสัยว่าลูกสาวมีความคิดชั่วร้ายในใจอยู่เป็นนิตย์ พ่อแม่ชนิดนี้มักจะเขลา แลเพราะเขลาจึง
แสดงความสงสัยให้ลูกเห็น เมื่อลูกเห็นว่าสงสัยว่าคิดชั่วก็เสมอกับยุ เพราะหญิงสาวย่อมมี
มานะโดยความคิด ตื้นๆ ว่า เราจะท้าชั่วโดยเร็วให้สมกับโทษที่เราได้รับอยู่แล้ว ในเวลานี้เรา
ยังไม่ได้ท้าชั่วอะไรเลย แต่ก็ได้รับโทษเสมอกับว่าได้ท้าชั่วมาช้านาน ความส้าราญแห่งการ
ท้าชั่วนั้นเรายังไม่ได้รับ ได้รับแต่ทุกข์แห่งความท้าชั่ว ไหนๆ ก็ได้รับทุกข์แล้ว เราจะทิ้งความ
ส้าราญเสียท้าไมเล่า เราต้องรีบท้าชั่วทันที เพราะเราได้ทุกข์มานานแล้ว เมื่อคิดดังนี้แล้วก็
ประพฤติการเป็นโทษต่างๆ ที่พ่อแม่ไม่อาจรู้เห็น เพราะพ่อแม่นั้นถึงจะระมัดระวังอย่างไร ลูกสาว
ก็คงหลบหลกได้เสมอีพ่อแม่จะนั่งจ้องอยู่วันยังค่ําคืนยังรุ่งไม่ได้ ต้องมเวลาหลับตาลงบ้าง
พ่อแม่อีกประเภทหนึ่ง ท้าผิดในทางที่ระมัดระวังลูกสาวน้อยไป คือไม่ระมัดระวัง
เสียเลย ปล่อยให้ลูกนั่งเล่นอยู่เปล่าๆ ไม่มีอะไรท้าเสมอกับฝึกหัดให้ขี้เกียจ แลเพาะพืชความ
ชั่ว ปล่อยให้คบกับคนซึ่งมีความคิดบาป คือให้โอกาสให้ปฏิบัติเป็นโทษ หญิงสาวซึ่งบิดา
มารดาปล่อยตามอ้าเภอใจเช่นนี้ มักจะเดินเข้าสู่บ่วงซึ่งผู้มีเจตนาชั่ววางดักไว้แลประพฤติตัว
เป็นโทษด้วยประการต่างๆ เพราะความไม่ระมัดระวังตัวแล เพราะความล่อลวงของพวกมี
เจตนาชั่ว อันเป็นชนจ้าพวกซึ่งมีความเพียรยิ่งกว่าผู้มีเจตนาดี ก็บิดามารดาซึ่งมป๎ญญานั้นควร
ทําอย่างไรเล่าจึงจะหลกทางทั้งสองน้ได้

ธรรมดาบิดามารดาผู้มป๎ญญาย่อมเอาใจใส่สังเกตนิสัยบุตรของตน แลดําเนินการระมัดระวัง
ตามนิสัยซึ่งมในตัวบุตรีถ้าลูกสาวมนิสัยดอยู่ในตัว บิดามารดาท่ฉลาดก็คงจะวางใจปล่อยให้ดําเนิน
ความประพฤติตามใจในเขตอันควร ถ้าบุตรสาวมนิสัยกล้าแข็งีบิดามารดาก็คงจะแสดงกิริยาประหนึ่ง
ว่าไว้วางใจในบุตร แต่คงจะลอบระมัดระวังอยู่เสมอ

นกแก้วแสดงวิธเล้ยงลูกสาวถวายพระราชารามเสนเช่นน้ต่อไปอกครู่หนึ่งจึงเล่าถึงนางศิริชัย
ว่า นางนั้นเป็นคนสูงีค่อนข้างจะอ้วนีรูปทรงดีครอบงําน้ําใจตนเองไม่ใคร่ได้ นางมเนตรใหญ่แลหลัง
ตากว้างีมือมรูปอันดแต่ไม่เล็ก ฝุามือมไอร้อนแลเป็นเหงื่ออยู่เสมอๆีเสยงค่อนข้างแหลมแลบางทฟ๎ง
เหมือนเสยงผู้ชาย ผมดําเป็นมันเหมือนขนนกกาเหว่าีผิวเหมือนดอกพุทธชาด ลักษณะเหล่าน้เป็น
ลักษณะซึ่งคนโดยมากมักจะแลดูีแต่นางจะเป็นคนงามก็ไม่เชิง ไม่งามก็ไม่เชิงีกล่าวได้ว่าอยู่ ใน
ระหว่างคนสวยแลคนข้ริ้วอันเป็นความดแก่ตัวหญิง เพราะความอยู่กลางๆีน้สําคัญอยู่ หญิงท่งามนัก
อย่าว่าแต่ใครแม้นางสดายังถูกทศกัณฐ์ลักพาไป

นกแก้วกล่าวต่อไปว่าีแต่ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็จําต้องกล่าวว่า หญิงงามมักจะมธรรมในใจ
มากกว่าหญิงข้ริ้ว หญิงงามได้รับชักชวนจูงใจไปในทางชั่วแต่มความหยิ่งเป็นเครื่องต่อสู้ปูองกันตัวได้
เพราะความหยิ่งนั้นทําให้หญิงงามสัญญาในใจตัวเองว่า จะได้รับชักโยงไปในทางเดยวกันบ่อยๆี
เพราะฉะนั้นถึงจะไม่ยอมไป ในคราวน้ก็ไม่สิ้นโอกาสท่จะได้รับเชื้อเชิญต่อไป
กล่าวอกนัยหนึ่งหญิงงามไม่เดินทางชั่วเพราะมความหยิ่งในใจว่า จะเดินเมื่อไหร่ก็เดินได้ี
ส่วนหญิงข้ริ้วนั้นจําเป็นต้องชักโยงคนอื่น ไม่ใช่มคนอื่นมาชักโยงีเมื่อตนโยงแล้วตนก็ต้องตามและ
เมื่อความโยงสําเร็จด้วยความตาม ฉะน้ีความหยิ่งแลความมุ่งหมายของหญิงข้ริ้วีก็ย่อมสมหวังด้วย
ความตาม ไม่ใช่ด้วยต่อสู้ความชักโยง

เราท่านอ่านถ้อยคําของนกจุรามันมาเพยงน้ก็ต้องพิศวง ว่านกแก้วพูดดังนั้นหมายความว่า
อย่างไรีถ้าตรึกตรองดูสักี๕ีนาท ก็คงจะเห็นพร้อมกันหมดว่าีนกแก้วหมายความว่าอย่างไรเหลือท่
จะรู้ได้ ท่เป็นดังน้เห็นจะเป็นเพราะเวลาผิดกันประมาณี๒๐๐ีปีีอย่างหนึ่ง เพราะจุรามันเป็นนกท่าน
แลข้าพเจ้าเป็นคนอย่างหนึ่ง อกอย่างหนึ่งเพราะนกจุรามันเป็นนกพูดสันสกฤตจึงเหลือท่ท่านแล
ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้

นกจุรามันกล่าวต่อไปว่าีข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วว่า หญิงข้ริ้วมักมใจเห้ยมโหดกว่าหญิงงาม
เหตุดังนั้นเมื่อหมายอย่างไรก็ย่อมจะสมหมายบ่อยกว่ากัน ผู้มป๎ญญาในโลกธรรมกล่าวภาษิตท่เป็น
ความจริงไว้ว่า "ชายรักหญิงงามีบูชาหญิงข้ริ้ว" แลเมื่อถามว่าเหตุใดจึงบูชาหญิงข้ริ้วีก็มคําตอบว่า
เพราะหญิงข้ริ้วไม่ช่วยแสดงท่าทางว่าคิดถึงตัวเองยิ่งกว่าคิดถึงเรา
ส่วนนางศิริชัยนั้น ก็ใช้ความงามซึ่งมส่วนน้อยนั้นเป็นเครื่องล่อให้ชายตามตอมได้มาก แต่ใช้
ความไม่สงบเสง่ยมเป็นเครื่องล่อได้มากกว่า แลใช้ความมทรัพย์ของบิดาเป็นเครื่องล่อได้มากท่สุด
นางชัยศิริไม่มความเขินขวยเสยเลย ไม่ยอมให้มชายตามน้อยกว่าคราวละครึ่งโหลเป็นอันขาด นาง
รื่นรมย์ในการรับแขกชายหนุ่มๆีเหล่านั้นติดต่อกันไปตามเวลานัด บางคราวกําหนดเวลาให้สั้นี
สําหรับจะได้ไล่คนเก่าีให้มท่ว่างสําหรับคนใหม่ ถ้าชายคนไหนบังอาจแสดงกิริยาวาจาหวงหึงหรือติ
เตยนวิธของนางก็ตาม ชายนั้นจะถูกเชิญให้ทราบประตูทางออกโดยเร็ว

ครั้นนางชัยศิริมอายุี๑๓ีปีีมชายหนุ่มคนหนึ่งกลับจากเมืองไกล ชายหนุ่มคนน้เป็นลูกพ่อค้า
ซึ่งมเคหสถานอยู่ในท่ใกล้ แลบิดาเป็นเพื่อนกับสาครทัตบิดานางชัยศิริีชายหนุ่มนั้นชื่อ ศรีทัต ไป
ค้าขายเมืองไกลหลายปีีแลได้เคยรักนางชัยศิริมาแต่นางยังเป็นเด็ก ครั้นกลับมาถึงเมืองของตนก็
เห็นสิ่งทั้งปวงเป็นท่แช่มชื่นไปหมด ตั้งแต่ลุงข้เหนยวโทโสร้ายไปจนหมาแก่ท่เห่าอยู่ในลานบ้านก็
เห็นน่ารัก คนท่จากบ้านเมืองไปช้านานีเมื่อแรกกลับมาถึงีใจคอมักเป็นเช่นน้
ส่วนนางชัยศิรินั้นีศรทัตแลไม่เห็นว่าได้เปล่ยนแปลงไปเป็นอันมาก แลมิได้เปล่ยนไปในทาง
ท่ดขึ้นเลยีจมูกนางโตออกไปก็ไม่เห็น หลังตากว้างออกไปแลหนาขึ้นก็ไม่เห็นีกิริยากระด้างขึ้นก็ไม่
เห็น เสยงแข็งขึ้นกว่าแต่ก่อนก็ไม่ได้ยิน ไม่ได้สังเกตว่านางชํานาญการติแลชมเครื่องแต่งตัวชาย ไม่
สังเกตว่านางชอบคนชํานาญเพลงดาบีแลชอบคนรบเก่งบนหลังม้าแลช้าง

ข้อความเหล่าน้ศรทัตไม่เห็นีจึงไปกล่าวแก่บิดาของตน ในเรื่องท่จะใคร่ได้นางชัยศิริเป็น
ภริยา ครั้นบิดาอนุญาตแล้วไม่ทันได้กล่าวแก่สาครทัตีก็ตรงไปกล่าวแก่ตัวนางทเดยว แต่นางชัยศิริ
เป็นหญิงชนิดใหม่ีท่ไม่ต้องการความเห็นบิดาในเรื่องท่จะเลือกผัว ครั้นศรทัตไปกล่าวดังนั้นีนางก็ทํา
ทเหมือนหนึ่งตกลง ทําให้ชายหนุ่มคนนั้นยินดโลดโผนอยู่หน่อยหนึ่งแล้วก็บอกให้รู้ว่า นางชอบใจ
ศรทัตในทางเป็นเพื่อนีแต่ถ้าเป็นผัวจะเกลยดท่สุด
นกจุรามันกล่าวต่อไปว่าีความรู้สึกซึ่งหญิงมต่อชายนั้นมสามอย่างีอย่างท่ี๑ คือความรักี
อย่างท่ี๒ีคือความเกลยดีอย่างท่ี๓ีคือความเฉยๆีไม่รักไม่เกลยด ความรู้สึกประเภทท่ี๑ีคือ ความ
รักนั้นอ่อนท่สุดแลเคลื่อนง่ายท่สุด หญิงอาจจะตกสู่ความรักง่ายเท่าตกจากความรัก อธิบายว่า
ประเด๋ยวอย่างนั้น ประเด๋ยวอย่างน้ีจะเอาแน่ไม่ได้ ส่วนความเกลยดนั้นเป็นของคู่กันกับความรัก ชาย
มป๎ญญาอาจเปล่ยนความเกลยดให้เป็นความรักได้เสมอ แล ความรักซึ่งเกิดแต่ความเกลยดนั้นมักจะ
อยู่ทนกว่าความรักล้วน ส่วนความเฉยๆีคือความไม่เกลยดไม่รักนั้น ชายผู้ชํานาญในลลาศาสตร์ย่อม
เปล่ยนความเฉยๆีให้เป็นความเกลยดได้เสมอ แลเมื่อเปล่ยนเป็นความเกลยดแล้วีก็อาจเปล่ยนเป็น
ความรักได้อกชั้นหนึ่ง ดังน้ประเภทความรู้สึกทั้งี๓ีก็ลงรอยเดยวกัน

เวตาลเล่ามาเพยงน้ีก็ทูลถามพระวิกรมาทิตย์ว่า ตามท่ข้าพเจ้าเล่าถึงนกขุนทองแลนกแก้ว
มาเช่นน้ พระองค์ทรงเห็นว่านกตัวไหนกล่าวความจริงในสันดานมนุษย์ลึกซึ้งกว่ากัน
แต่อุบายของเวตาลท่จะทําให้พระราชาตรัสตอบป๎ญหานั้นไม่สําเร็จ พระวิกรมาทิตย์ทรงรู้ทก็นิ่งีรบ
ทรงดําเนินไป เวตาลเห็นไม่สมประสงค์ก็เล่านิทานต่อไปว่า

ฝุายศรทัตเมื่อได้ทราบว่านางชัยศิริไม่ยอมเป็นภริยาก็เดือดร้อนในใจเป็นกําลัง กําหนดใจจะ
กระโดดน้ําตายีจะกระโดดจากยอดเขาแลทําอะไรต่างๆีท่แปลกแลโง่ รวมทั้งการออกปุาเป็นโยค
ด้วย ครั้นตรึกตรองอยู่ช้านานว่าจะทําอย่างไหนจึงจะดท่สุดก็เห็นว่าจะทําสิ่งโง่ๆเหล่านั้นก็ล้วนแต่ไม่
ดทั้งนั้น เพราะการกระโดดน้ําตายก็ดีการกระโดดจากยอดเขาก็ดีการออกปุาเป็นฤาษก็ด ไม่เป็นวิธท่
จะได้นางชัยศิริมาเป็นภริยาทั้งนั้นีครั้นมเวลาตรึกตรองมากๆ เข้าก็ได้ความคิดซึ่งใครๆีเขารู้กันมาช้า
นานแล้วว่าีขันติเป็นธรรมะประเสริฐ จึงบังคับตัวเองให้ตั้งอยู่ในขันติีไม่ช้านานก็สําเร็จประสงค์ แต่
ความสําเร็จประสงค์นั้นเป็นโทษแก่ศรทัตเป็นอันมากีดังจะเห็นได้ภายหลัง

ฝุายนางชัยศิริเมื่อตกลงใจแน่นอนแล้วว่าีจะไม่รับศรทัตเป็นสาม ก็ยั่งยืนในใจอยู่พักหนึ่งไม่
สู้ช้าก็เปล่ยนใจใหม่ตามเคย ศรทัตได้ทราบว่านางยินยอมก็ดใจโลดโผนีเรยกตัวเองว่าบุรุษผู้ม
ความสุขท่สุดในโลก แลทั้งกระทําบูชาแก้สินบนเทวดาท่โปรดบันดาลให้นางเปล่ยนใจมายอมเป็น
ภริยาตน แลทั้งทําอะไรท่แปลกอกหลายอย่าง ซึ่งคนท่ไม่บ้าหรือไม่ดใจเหลือเกินคงไม่ทําเป็นอัน
ขาด ต่อมาไม่ช้าศรทัตแลนางชัยศิริก็แต่งงานกันตามธรรมเนยม

ฝุายนางชัยศิริเมื่อได้ทํางานมงคลกับศรทัตแล้วไม่ช้าก็เบื่อจนเกลยดสามเพราะเป็นนิสัยของ
นางท่จะเป็นเช่นนั้น ครั้นเกลยดสามเช่นน้แล้วก็หันไปใคร่ครวญหาชายหนุ่มเสเพลคนหนึ่งซึ่งไม่เคย
รักนางเลย ศรทัตผู้สามยิ่งสําแดงเสน่หาต่อนางีนางก็ยิ่งสําแดงความขึ้งโกรธ เมื่อสามหยอกเย้าก็ทํา
ให้เกิดหมั่นไส้ีเมื่อพูดล้อก็เห็นไม่ขัน ครั้นหญิงสหายช่วยกันว่ากล่าวทัดทานมิให้นางสําแดงกิริยา
เป็นอริต่อสาม นางก็กลับแสดงกิริยาขุ่นเคือง เมื่อสามนําเครื่องประดับกายมาให้เป็นของกํานัลนางก็
ป๎ดเสยีหันหนพลางกล่าวว่าบ้า นางออกจากเรือนไปเท่ยวอยู่ท่อื่นวันยังค่ําีแล้วพูดแก่เพื่อนหญิงซึ่ง
อายุรุ่น ราวคราวกันว่าีความเป็นสาวของข้าน้ผ่านพ้นไปทุกๆีวัน ข้าไม่ได้รับความสําราญอันควรจะ
ได้รับตามวัยของข้าน้เลย ความสนุกในโลกน้มอย่างไรข้าก็หารู้รสไม่
ครั้นกลับไปถึงบ้าน นางก็ขึ้นไปแอบมองอยู่บนช่องหน้าต่าง เมื่อเห็นชายเสเพลซึ่งเป็นท่
ใฝุฝ๎นเดินมาตามถนน นางก็เรยกหญิงสหายให้ไปเชื้อเชิญขึ้นมาบนเรือน ครั้นหญิงสหายไม่ทําตาม
ด้วยความกลัวภัยจากศรทัตผู้สาม นางก็โกรธแลมอาการกระสับกระส่ายีบอกตัวเองว่าไม่รู้จะพูดว่า
กระไรีไม่รู้จะทําอะไร ไม่รู้จะไปไหนจึงจะถูกใจตัวีจะกินก็ไม่ได้ีจะนอนก็ไม่หลับีจะร้อนก็ไม่สบาย
จะหนาวก็ไม่สบายีอะไรๆีก็ไม่ถูกใจทั้งนั้น

นางชัยศิริกระสับกระส่ายอยู่เช่นน้หลายวันจึงตกลงในใจว่าถ้าขืนอยู่ห่างชายเสเพลซึ่งเป็นท่
รัก ก็ไม่มความสุขได้เป็นอันขาดีคืนหนึ่งครั้นสามหลับสนิท นางก็ลุกจากท่นอนย่องออกจากเรือน
เดินไปตามถนนมุ่งหน้าไปยังเรือนชายเสเพล ขณะนั้นมโจรคนหนึ่งเดินมาตามทางเห็นนางชัยศิริเดิน
ไปก็นึกในใจว่า หญิงคนน้ประดับกายด้วยเครื่องทองคําแลเพชรพลอยีจะเดินไปไหนในเวลาเท่ยงคืน
จําเราจะสะกดรอยไปีเมื่อได้ทจะได้แย่งเอาของเหล่านั้น คิดดังน้โจรก็เดินตามมิให้นางรู้ตัว

ฝุายนางชัยศิริครั้นไปถึงเรือนชายเสเพลก็ขึ้นบันไดไปพบชายเจ้าของเรือนนอนอยู่หน้าประตู
นางคิดว่าชายคนนั้นนอนหลับด้วยความเมาีแต่อันท่จริงชายคนนั้นสิ้นชวิตเสยแล้ว เพราะได้ถูกขโมย
แทงก่อนท่นางไปถึงไม่สู้ช้านัก
ฝุายนางชัยศิริเมื่อเห็นชายหนุ่มนอนอยู่ดังนั้นีนางก็นั่งลงข้างตัว จับสั่นจะให้ตื่นก็ไม่ตื่นีนาง
เชื่อแน่ว่าเป็นโดยพิษความเมา นางก็เอามือช้อนศรษะขึ้นกอดรัดสําแดงเสน่หาต่างๆ
ขณะนั้น ปิศาจตนหนึ่งนั่งอยู่บนต้นไม้หน้าบันไดเรือนชายหนุ่ม ครั้นเห็นนางไปนั่งกอดรัด
สําแดงเสน่หาต่อศพดังนั้นีปิศาจก็เห็นสนุก จึงโดดลงจากต้นไม้ตรงเข้าสิงในศพชายหนุ่ม ศพนั้นก็
ตื่นขึ้นจากความตายเหมือนคนตื่นจากความหลับ แล้วกระหวัดรัดกายนางเหมือนหนึ่งเสน่หา นางชัยศิ
ริยินดในความเล้าโลมของปิศาจก็ก้มหน้าเข้าไปหาหน้าศพ ปิศาจได้ทก็กัดจมูกนางแหว่งไปทั้งชิ้น
แล้วออกจากศพกลับขึ้นไปนั่งหัวเราะอยู่บนต้นไม้ตามเดิม

ฝุายนางชัยศิริเมื่อจมูกแหว่งไปเช่นนั้นีก็ตกใจเป็นกําลังีแต่ไม่สิ้นสติ นางจึงนั่งตรึกตรองอยู่
กับท่ครู่หนึ่งีแล้วรบออกเดินกลับไปบ้าน ครั้นถึงบ้านก็ตรงเข้าไปในห้องซึ่งสามนอนอยู่ ปิดประตูห้อง
แล้วก็เอามือกุมจมูกร้องครวญครางีได้ยินไปตลอดจนถึงเพื่อนบ้าน
ญาติพ่น้องีแลเพื่อนบ้านได้ยินเสยงโวยวาย คิดว่าเกิดเหตุใหญ่โตก็พากันมาช่วยเป็นอัน
มาก ครั้นไปถึงเรือนศรทัตแลภริยาก็เข้าไปถึงประตูห้องีเสยงนางร้องอยู่ในห้อง แต่ประตูห้องนั้นปิด
คนทั้งหลายก็พังประตูเข้าไปเห็นนางชัยศิริเอามือกุมจมูกเลือดไหล ศรทัตทํากิริยางุ่มง่ามไม่ปรากฏ
ว่าจะทําอะไรแน่
ครั้นญาติแลเพื่อนบ้านไปถึงพร้อมกัน แลเห็นนางชัยศิริจมูกแหว่งดังนั้นก็กล่าวแก่ศรทัตว่าี
เจ้าน้เป็นคนชั่วร้ายนักหนา ไม่มยางอายีไม่มกรุณาแลไม่ยําเกรงกฎหมายบ้านเมืองเลย เจ้ากัดจมูก
นางเสยเช่นน้ด้วยเหตุไร

ฝุายศรทัตเมื่อได้ยินดังนั้นีก็รู้สึกว่าถูกกลภริยาจึงกล่าวแก่ตนเองว่า บุรุษไม่ควรวางความ
เชื่อในคนซึ่งเปล่ยนใจหนึ่งีงูดําหนึ่ง ศัตรูซึ่งถืออาวุธหนึ่งีแลควรระวังภัยอันเกิดแต่ความประพฤติ
แห่งหญิง ในโลกน้ไม่มอะไรซึ่งกวปริยายไม่ได้ีไม่มอะไรซึ่งโยคไม่รู้ ไม่มคําพล่ามคําใดซึ่งคนเมาไม่
พูดีไม่มเขตตรงไหนซึ่งเป็นท่สุดแห่งมารยาหญิง เทวดานั้นมความรู้มากก็จริงอยู่ีแต่ไม่รู้ลักษณะชั่ว
แห่งม้า ไม่รู้ลักษณะแห่งอัสนในหมู่เมฆีไม่รู้ความประพฤติแห่งหญิง ไม่รู้โชคของชายในภายหน้าีก็
เมื่อเทวดายังไม่รู้เช่นน้ เราผู้เป็นคนจะรู้ได้อย่างไรเล่า
ศรทัตกล่าวเช่นน้แล้วก็ร้องไห้แลสาบานต่อหน้าต้นแมงลัก(ตุลสิ) แลสิ่งซึ่งเป็นท่นับถือทั้ง
ปวงีว่ามิได้ทําผิดเช่นท่ถูกกล่าวหานั้นเลย ถ้าพูดไม่จริงขอให้เสยโคีแลข้าวสาลแลทองจนสิ้นไป
เถิด คําท่ศรทัตกล่าวเช่นน้หามใครเชื่อไม่

ฝุายพ่อค้าผู้เป็นบิดานางชัยศิริีครั้นเห็นเหตุเกิดแก่ลูกสาวดังนั้น ก็รบไปฟูองต่อผู้บังคับการ
ตํารวจีผู้บังคับการตํารวจก็ใช้คนไปจับศรทัต ส่งไปให้ตุลาการชําระ ตุลาการก็ชําระไต่สวนเสร็จแล้วก็
พาตัวโจทก์จําเลยไปยังท่เฝูาพระราชา เผอิญเป็นเวลาซึ่งพระราชามพระราชประสงค์จะลงโทษแก่
ใครสักคนหนึ่งให้เป็นตัวอย่างแก่คนทําผิดซึ่งเผอิญมมากในเวลานั้น พระราชาทรงทราบเรื่องีจึงตรัส
ให้นางชัยศิริทูลให้การตามท่เกิดโดยสัตย์จริง นางก็ช้ท่จมูกแหว่งแล้วทูลว่าีข้าแต่พระมหาราชา
เรื่องสัตย์จริงปรากฏอยู่ในท่ซึ่งควรมจมูกติดอยู่น้

พระราชาได้ฟ๎งคําให้การซึ่งทรงเห็นแจ่มแจ้งดังนั้นีก็ตรัสให้จําเลยให้การีจําเลยทูลว่า จมูก
นางจะขาดไปด้วยเหตุอันใดข้าพเจ้าไม่ทราบเลยีข้าพเจ้านอนหลับอยู่ ตื่นขึ้นในเวลาเท่ยงคืนก็เห็น
นางเป็นอยู่เช่นน้ีพระราชาได้ทรงฟ๎งก็ตรัสว่า ถ้าจําเลยไม่รับเป็นสัตย์จะตัดแขนขวาเสยีครั้นยังไม่รับ
ก็ตรัสว่าจะตัดแขนซ้ายด้วย ครั้นศรทัตไม่รับทั้งไม่ขอประทานโทษีก็ทรงพิโรธเป็นกําลังีตรัสถาม
ศรทัตว่า คนใจเห้ยมโหดอย่างเจ้าน้จะทําอย่างไรจึงจะสมแก่โทษีศรทัตทูลว่า พระองค์ทรงดําริ
อย่างไรีก็โปรดอย่างนั้นเถิดีพระราชายิ่งทรงกริ้ว ก็ตรัสให้พาศรทัตไปเสยบไว้ทั้งเป็น ราชบุรุษได้ฟ๎ง
ก็เข้าจับตัวศรทัตจะพาไปลงโทษตามรับสั่ง

ฝุายขโมยซึ่งทราบเหตุแต่ต้นจนปลายนั้นีตามเข้าไปฟ๎งชําระอยู่ด้วย ครั้นได้ยินคําตัดสิน
ลงโทษคนไม่มความผิดีก็เกิดยุติธรรมขึ้นในใจ จึงวิ่งแหวกคนเข้าไปร้องทูลพระราชาว่าี
พระมหากษัตริย์จงทรงฟ๎งข้าพเจ้าก่อน พระองค์เป็นพระราชาธิบดีมหน้าท่ยกย่องคนดแลลงโทษคน
ชั่ว อย่าเพิ่งประหารชวิตชายคนน้ีพระราชาได้ทรงฟ๎งดังนั้น ก็ตรัสให้ขโมยเล่าเรื่องถวายแต่ตามสัตย์
จริงีขโมยทูลว่าีข้าพเจ้าเป็นขโมย แลชายคนน้ไม่มความผิดีพระองค์จะลงโทษคนผิดตัวอยู่แล้ว
ขโมยก็เล่าเรื่องถวายแต่ต้นจนปลายเว้นแต่ข้อท่ตนไปแทงชายเสเพลตายนั้นหาได้ทูลไม่

พระราชาได้ทรงฟ๎งตลอด ก็ตรัสสั่งราชบุรุษว่าเจ้าจงไปตรวจศพชายซึ่งเป็นท่รักของหญิงน้
ถ้าพบจมูกหญิงในปากคนตายีคําของขโมยผู้มาเป็นพยานน้ก็เป็นความจริง แลชายผู้ผัวน้ก็เป็นคนไม่
มโทษ ราชบุรุษได้ฟ๎งรับสั่งดังนั้นก็ไปตรวจศพชายหนุ่มตามรับสั่ง ไม่ช้าได้จมูกนางกลับมาทูลว่าีได้
ค้นจมูกพบในปากแห่งศพสมดังคําซึ่งขโมยทูล พระราชาทรงทราบดังนั้นก็ตรัสให้ศรทัตพ้นโทษ แล
รับสั่งให้เอาดินหม้อประสมน้ํามันทาหน้านางชัยศิริ ทั้งโกนผมแลคิ้วจนเกล้ยงแล้วให้เอาตัวขึ้นข่ลา
หันหน้าไปข้างหาง ให้จูงลาเท่ยวประจานรอบพระนครแล้วให้ขับนางไปสู่ปุาีเมื่อทรงตัดสินลงโทษ
ดังน้แล้ว ก็ประทานหมากพลูแลสิ่งอื่นๆีแก่ศรทัตแลขโมยีรวมทั้งพระราโชวาทยืดยาว ซึ่งคนทั้งสอง
ไม่ต้องการนั้นด้วย

นกจุรามันกล่าวต่อไปว่า หญิงประกอบขึ้นด้วยคุณชนิดท่ข้าพเจ้าเล่านิทานเป็นตัวอย่างมาน้ี
คําโบราณกล่าวว่า ผ้าเปียกย่อมจะดับไฟีอาหารชั่วย่อมจะทําลายกําลัง ลูกชายชั่วย่อมจะทําลาย
สกุลีแลเพื่อนท่โกรธย่อมจะทําลายชวิต แต่หญิงนั้นย่อมจะทําทุกข์ให้แก่ผู้อื่นทั้งในคราวรักแลคราว
เกลยด จะทําอะไรๆ ก็คงจะเป็นไปในทางท่ทําความเดือดร้อนให้แก่เราทั้งนั้นีอนึ่ง ความงามของนก
ปรอดอยู่ในสําเนยงีความงามของชายข้ริ้วอยู่ในวิชา ความงามของโยคอยู่ในความไม่โกรธีความงาม
ของหญิงอยู่ในสัตย์ แต่หญิงมความงามจะหาท่ไหนจึงจะพบได้เล่า อนึ่งพระนารทเป็นผู้ฉลาดโดย
มายาในหมู่ฤาษีหมาจิ้งจอกในหมู่สัตว์ีกาในหมู่นก ช่างตัดผมในหมู่คนีหญิงในโลกีนกแก้วกล่าว
ต่อไปว่า เรื่องท่ข้าพเจ้าทูลมาน้เป็นเรื่องท่ข้าพเจ้ายินด้วยหูรู้ด้วยตามาเอง ในเวลานั้นข้าพเจ้ายังเป็น
นกอ่อนีแม้กระนั้นยังทําให้ข้าพเจ้ากําหนดใจมาจนบัดน้ว่า หญิงทั้งหลายเกิดมาสําหรับทําลาย
ความสุขแห่งเราเท่านั้น

เวตาลเล่าต่อไปว่าีเมื่อนกขุนทองแลนกแก้วเล่านิทานมาแล้วเช่นน้ ก็เกิดทุ่มเถยงกันเป็น
ขนานใหญ่ีนกขุนทองก็กล่าวติเตยนชายแลยกยอหญิง นกแก้วก็กล่าวยกยอชายแลติเตยนหญิง
อย่างร้ายแรงจนนางจันทราวดพระมเหสทรงพิโรธนกแก้วตรัสว่า ผู้ท่ดูหมิ่นหญิงมแต่พวกท่สมาคมกับ
พวกต่ําช้าีหาความเท่ยงธรรมในใจมิได้ อนึ่งนกจุรามันควรละอายคําตนเองท่กล่าวติเตยนหญิง
เพราะแม่ของนกจุรามันก็เป็นนกตัวเมยเหมือนกัน

ฝุายพระราชารามเสนีเมื่อได้ยินนกขุนทองก็กริ้ว แลตรัสสําแดงพิโรธจนนกขุนทองเกาะคอน
ร้องไห้ีประกาศว่าชวิตไม่พึงสงวนเสยแล้ว เวตาลกล่าวต่อไปว่าีพูดสั้นๆีเจ้าสององค์แลนกสองตัวก็
ทุ่มเถยงคัดค้านขัดคอกัน หญิงจะชั่วกว่าชายีหรือชายจะชั่วกว่าหญิงก็ไม่ตกลงกันได้ ถ้าหาก
พระองค์เสด็จอยู่ในท่นั้นด้วยีป๎ญหาก็คงจะได้รับคําตัดสินท่ถูกต้อง เพราะพระองค์ทรงป๎ญญารอบรู้ี
อาจช้แจงข้อความชนิดน้ให้แจ่มแจ้งได้ อันท่จริงตามเรื่องท่ข้าพเจ้าเล่าถวายเป็นป๎ญหาเช่นน้
พระองค์คงจะได้ทรงดําริแน่นอนในพระหฤทัยแล้วว่าีใครจะชั่วกว่าใคร ข้าพเจ้าเองตรึกตรองในใจมา
ช้านานีก็ยังไม่ทราบได้แน่นอนจนบัดน้
พระวิกรมาทิตย์ตรัสตอบว่าีหญิงย่อมจะชั่วกว่าชายอยู่เอง ชายนั้นถึงจะชั่วปานใดก็ยังรู้ผิดรู้
ถูกอยู่บ้างีหญิงนั้นไม่รู้เสยเลยทเดยว

เวตาลหัวเราะด้วยเสยงอันดังแล้วตอบว่า พระองค์ทรงเห็นเช่นนั้นเพราะเป็นชาย
ดอกกระมัง ข้าพเจ้ามความยินดท่ได้ฟ๎งดําริแห่งพระองค์ เพราะพระดํารินั้นเป็นเหตุให้
ข้าพเจ้าจะได้กลับไปอยู่ต้นอโศกเด๋ยวน้ เวตาลพูดเท่านั้น แล้วก็ลอยออกจากย่ามหัวเราะ
ก้องฟูากลับไปห้อยหัวอยู่ยังต้นอโศกตามเดิม
The Vampire's Seacond Story
นิทานเวตาลเรื่องที่ ๓

เรื่องท่ี๓

พระวิกรมาทิตย์ ครั้นเวตาลหลุดลอยไปแล้ว ได้สติก็เสด็จหันกลับพาพระ


ราชบุตรทรงดําเนินกลับไปยังต้นอโศก ครั้นถึงก็เสด็จปีนขึ้นไปปลดเวตาลลงมาใส่
ลงในย่ามอย่างเก่า เสด็จออกทรงดําเนินไปได้หน่อยหนึ่ง เวตาลก็เล่าเรื่องซึ่งกล่าว
ว่าเป็นเรื่องจริงอกเรื่องหนึ่งดังน้

ในกาลก่อนมเมืองงามชื่อ โศภาวดี พระราชาทรงนาม รูปเสน มข้าใช้ใกล้ชิดชื่อ สุ


รเสน เป็นผู้มกําลังแลป๎ญญาีว่องไวชํานาญในการรบยิ่งนัก สุรเสนคนน้แต่เดิมก็เป็นทหาร
ธรรมดาแต่ด้วยความกล้าแลความฉลาด ปฏิบัติการในหน้าท่หาผู้เสมอมิได้ีจึงได้เลื่อน
ตําแหน่งขึ้นไปโดยลําดับ ในท่สุดเป็นแม่ทัพในกรุงโศภาวด บ้านใกล้เมืองเคยงพากันกล่าว
เลื่องชื่อลือฤทธิ์ทั่วไป

ฝุายสุรเสนเมื่อได้รับตําแหน่งแม่ทัพแล้ว ก็มิได้เว้นว่างการงานในหน้าท่เหมือนอย่าง
ข้าราชการบางจําพวก ซึ่งเมื่อพระราชาทรงแต่งตั้งให้เป็นใหญ่แล้วก็ละเว้นราชการ เพื่อจะได้ม
เวลาทําพลกรรมีสนองคุณเทพยดาท่บันดาลให้ตนได้เป็นใหญ่
สุรเสนเห็นว่าการบันดาลให้ตนเป็นใหญ่นั้นีถ้าจะจําแนกออกเป็นหุ้น พระราชาคงจะ
ถือหุ้นมากกว่าผู้อื่นีแลการทําพลกรรมถวายพระราชา ก็คือการปฏิบัติราชการท่ทรงมอบหมาย
ให้เป็นไปดังพระราชประสงค์ ส่วนเทพยดานั้นหากจะมหุ้นอยู่บ้างก็เปรยบเหมือนหุ้นท่ไม่ได้จด
ทะเบยน แต่การบวงสรวงอาจมได้บ้างในเวลาท่ว่างราชการ

กล่าวการปฏิบัติหน้าท่ สุรเสนเป็นผู้กล้าใช้ความเห็นของตนแลแบบฉบับการ
สงครามซึ่งบัณฑิตแลพราหมณ์ผู้มิได้เป็นนักรบ บังอาจแต่งขึ้นไว้เป็นต้าราใช้สืบกัน
มาแต่โบราณนั้น สุรเสนแม่ทัพนํามาใช้เป็นหลักแต่ท่เห็นใช้ได้ แลใช้ความคิดแลความ
ชํานาญของตนเป็นบรรทัดทางเดินีรู้จักเลือกท่รบีรู้จักใช้ทหาร รู้จักรักษาลําเลยงของตนใน
ขณะท่ตัดลําเลยงข้าศึก เมื่อเห็นธนูท่ทหารใช้อยู่นั้นใช้ได้ไม่ว่องไวก็คิดเปล่ยนเสยใหม่ก่อนท่
จะต้องเปล่ยนเพราะแพ้ เมื่อเห็นด้ามดาบจับไม่ถนัด แม้ด้ามจะได้เคยใช้กันมาแล้วตั้งพันปี แล
คนทั้งหลายคิดว่าเป็นด้ามดท่สุดเพราะอายุ สุรเสนแม่ทัพก็กล้าเปล่ยนเสยไม่เกรงพวกไม่ใช่
นักรบคือบัณฑิตแลพราหมณ์ติเตยนว่าไม่ถูกต้องตามคัมภรศาสตร ี์อนึ่ง สุรเสนได้จัดทหารถือ
ศรไฟขึ้นหมู่หนึ่งซึ่งเมื่อใช้ต่อสู้ทัพช้างของข้าศึกก็มชัยรอบข้าง แม้พระอังคารผู้เป็นเจ้าแห่ง
การรบก็ต้องชมว่าด

วันหนึ่งสุรเสนแม่ทัพนั่งว่าราชการอยู่หน้าจวนีมทนายเข้าไปบอกว่า มชายถืออาวุธ
คนหนึ่งมาจะขอเข้ารับราชการ แม่ทัพได้ทราบจึงพาตัวเข้าไปซักถามตามธรรมเนยม
ชายผู้นั้นแสดงตัวว่าีชื่อ วีรพล เป็นคนชํานาญอาวุธีมชื่อเสยงว่ากล้าแลซื่อสัตย์
ปรากฏทั่วไปในภารตวรรษ (คืออินเดย) สุรเสนแม่ทัพเคยได้ยินคนชมตัวเองดังน้นับครั้งไม่ถ้วน
มิได้เชื่อคําท่กล่าว แต่อยากจะแสดงให้ชายถืออาวุธนั้นรู้ตัวละอายแก่ใจว่าตนไม่รู้จักใช้อาวุธ
เลย จึงบอกว่าให้ชักดาบออกสําแดงความสามารถให้ปรากฏเถิด

ฝุายวรพลได้ยินดังนั้นก็นึกรู้ในใจแม่ทัพีแต่มิได้หวาดหวั่น เอามือขวาชักดาบออก
แกว่งเหนือศรษะเหมือนจักรยนต์ซึ่งหมุนี๑,๒๐๐ีรอบต่อนาท มือซ้ายยื่นเหยยดออกไปีมือ
ขวาหวดด้วยดาบเต็มกําลัง ตัดเล็บนิ้วก้อยแห่งมือซ้ายขาดตกอยู่กับพื้น การตัดเล็บให้ขาดไป
ด้วยดาบซึ่งฟาดเต็มแรงนั้น ถ้านิ้วพลอยติดไปด้วยก็นับว่าง่ายแลนับว่าตัดเล็บสําเร็จเหมือนกัน
ถ้าตัดไปทั้งมือยิ่งง่ายหนักเข้าีแลการตัดเล็บก็เป็นอันได้ตัด แต่วรพลตัดเล็บครั้งนั้นีมิได้ถูกนิ้ว
แลเนื้อเป็นเหตุให้เลือดตกแม้แต่หยดหนึ่งเลย

สุรเสนแม่ทัพเห็นดังนั้นก็ชอบใจีจึงสนทนากับวรพลถึงวิธยุทธ์ วรพลช้แจงแสดง
ความเห็นมหลักฐานมั่นคง ปรากฏว่ามิใช่แต่รอบรู้ตําราซึ่งบัณฑิตแลพราหมณ์ผู้ไม่เคยรบแต่ง
ไว้เป็นแบบฉบับการรบ ถึงแม้ข้อบกพร่องในตําราโบราณเหล่านั้นก็รู้ด้วย เมื่อเป็นดังนั้นสุรเสน
แม่ทัพก็เห็นได้ว่า วรพลนั้นมิใช่คนสามัญเลยจึงพาเข้าเฝูาท้าวรูปเสนีทูลให้ทราบทุกประการ

ท้าวรูปเสนเป็นพระราชาท่คิดมากตรัสน้อยีครั้นได้ยินแม่ทัพทูลตลอดแล้ว ก็ตรัส
ถามวรพลว่าี"ข้าควรให้เบ้ยเล้ยงแก่เจ้าวันละเท่าไหร่" วรพลทูลว่า "ถ้าประทานเบ้ยเล้ยงแก่
ข้าพเจ้าเป็นทองคําวันละี๑,๐๐๐ีทนาระ จึงจะพอเป็นค่าใช้สอยของข้าพเจ้า" ท้าวรูปเสนตรัส
ถามว่าี"เจ้ามทหารมาด้วยก่กองทัพ จึงต้องใช้ทองคํามากถึงวันละเท่านั้น" วรพลทูลว่าี
ข้าพเจ้าไม่มกองทัพมาด้วย มแต่ครอบครัวของข้าพเจ้าีซึ่งมจํานวนคือีท่หนึ่งตัวข้าพเจ้า ท่
สองภริยาของข้าพเจ้าคนหนึ่งีท่สามบุตรชายคนหนึ่งีท่ส่บุตรหญิงคนหนึ่ง ท่ห้าไม่ม"

คนทั้งหลายท่อยู่ในท่เฝูาได้ยินดังนั้น ต่างคนก็ยิ้มแลหัวเราะีพระราชาทรงนิ่งอยู่ครู่
หนึ่ง แล้วตรัสให้วรพลออกไปจากท่เฝูา

เวตาลกล่าวแก่พระวิกรมาทิตย์ต่อไปว่า "พระองค์คงได้ทรงสังเกตแล้วว่า ใน
หมู่มนุษย์พวกพระองค์นั้น คนมากมักจะเชื่อราคาคนๆ เดียว ตามประมาณที่คนนั้น
ก้าหนด ถ้าใครตั้งราคาตนเองสูง คนอื่นๆ คงจะพูดกันว่า "คนนี้คงจะมีคุณวิเศษอะไร
สักอย่างหนึ่งซึ่งยังไม่ปรากฏแก่เรา เพราะเราเป็นผู้ไม่มีความรู้" ดังนี้ถ้าพระองค์ทรง
บอกแก่คนทั้งหลายว่า พระองค์มีความกล้า มีความฉลาด พระหฤทัยดี แลแม้จะตรัสว่า
พระองค์รูปงาม ไม่ช้าก็จะมีผู้เชื่อว่าจริง แลเมื่อมีคนเชื่อเสียแล้ว พระองค์จะกลับท้า
อย่างไรให้ปวงชนทราบได้ว่า พระองค์ไม่กล้า ไม่ฉลาด ไม่มีพระหฤทัยดี แลไม่ทรงรูป
งามนั้น จะทรงท้าได้ด้วยยากที่สุด อนึ่ง..."

พระราชาเหลยวไปตรัสแก่พระราชบุตรว่าี"อย่าฟ๎งมันีอย่าฟ๎งมัน (แล้วตรัสแก่
เวตาล) น่แน่ะีเจ้าตัวช่างพูด ถ้าคนพากันนับถือธรรมเลอะเทอะอย่างท่เจ้าว่าน้ไปด้วยกันหมดี
ความสงบเสง่ยม ความปราศจากโอ้อวดีปราศจากความเห็นแก่ตัวฝุายเดยวแลคุณความดอื่นๆี
อกมากมาย จะมิสูญสิ้นไปหรือ"

เวตาลตอบว่าี"ข้าพเจ้าไม่ทราบ แลไม่ใส่ใจท่จะให้คุณเหล่านั้นคงมไปในโลกีแต่
ข้าพเจ้าอาจกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าได้เคยสิงซากศพมนุษย์มาช้านานีได้เปล่ยนจากศพน้ไปอยู่
ศพโน้นบ่อยๆ จนได้ความรู้สําคัญข้อหนึ่งีคือ ผู้มป๎ญญาย่อมจะรู้จักตนเอง ไม่ขุ่นข้องในใจ
เกินไปในเวลาท่ตกอับีหรือรื่นรมย์เกินไปในเวลาท่ชะตาขึ้น เพราะรู้ตัวว่าไม่ได้ประดิษฐ์ตัวขึ้น
เองยิ่งกว่าได้ประดิษฐ์เสื้อผ้าท่ไปจ้างเขาทํามาให้ ส่วนคนโง่นั้นีเมื่อเอาตัวไปเทยบกับคนโง่
กว่าก็ยินดเบิกบานจนเกินเหตุ หรือเมื่อเทยบตัวเองกับคนท่โง่หย่อนกว่าีก็กระดากเดือดร้อนใน
ใจ เพราะรู้ว่าเขาโง่น้อยกว่าตัว ความกระดากน้ีเรยกว่าความปราศจากโอ้อวด ความสงบเสง่ยมี
หรือจะเรยกว่าว่ากระไรอกก็ยังจะได้
ส่วนตัวข้าพเจ้านั้น เมื่อได้เข้าสิงซากศพไม่ว่าจะเป็นศพชายีศพหญิงหรือศพเด็ก
ข้าพเจ้าคงจะรู้สึกว่าข้าพเจ้าควรถ่อมตัวเป็นอันยิ่ง เพราะรู้ว่าเหย้าที่อาศัยของข้าพเจ้า
นั้นเป็นที่ส้านักของสัตวชาติที่จองหองที่สุด แลเจ้าของเดิมเพิ่งทิ้งเหย้าไปยังไม่ทันช้า
เลย อนึ่ง..."

พระราชาทรงพิโรธรับสั่งว่าี"เอ็งอยากจะให้ข้าเอาตัวเอ็งฟาดลงกับพื้นดินหรือ"
เวตาลบ่นอุบอิบ เป็นทํานองว่าการแสดงป๎ญญาให้คนโง่ฟ๎งไม่มประโยชน์แล้วเล่านิทานต่อไป
ว่า

ท้าวรูปเสนได้ทรงฟ๎งคําวรพลทูลดังนั้นีก็ทรงนิ่งตรึกตรอง ตั้งป๎ญหาถามพระองค์
เองว่าีเหตุใดชายคนน้จึงตราคาความรับใช้ของตนแพงเช่นท่กล่าว แล้วทรงพระดําริว่าีการต
ราคาสูงเช่นน้คงจะเป็นด้วยมคุณวิเศษความดอย่างเอก ซึ่งอาจจะเห็นได้ภายหลังีเมื่อทรงนึก
ดังนั้นแล้วก็นึกต่อไปว่า ถ้าประทานค่าจ้างมากมายตามท่วรพลทูลไซร้ ความมใจใหญ่ของ
พระองค์คงจะให้ผลประโยชน์แก่พระองค์ในวันหน้า

เมื่อทรงตรึกตรองเห็นเช่นน้ จึงรับสั่งเรยกวรพลกลับเข้าไปหน้าพระท่นั่งแล้วรับสั่ง
เรยกชาวคลังมาสั่งว่า จงจ่ายทองคําให้แก่วรพลวันละี๑,๐๐๐ีทนาระีแล้วตรัสให้วรพลอยู่รับ
ราชการต่อไป

ฝุายวรพลนั้นมคําเล่ากันว่า เมื่อได้รับพระราชทานสินจ้างมากถึงเพยงนั้นก็ได้ใช้
ทรัพย์ของตนในทางท่ดท่สุด ในเวลาเช้าทุกวันได้เอาทรัพย์ท่ได้ในวันก่อนมาแบ่งออกเป็น
สองส่วน
ส่วนหนึ่งแจกจ่ายให้แก่พราหมณ์แลปุโรหิต ส่วนท่เหลือนั้นแบ่งออกอกเป็นสองภาคี
ภาคหนึ่งแจกแก่ไวราค คือคนขอทานซึ่งประกาศตัวว่านับถือพระวิษณุเป็นเจ้าีแลสันยาส (ผู้
นับถือพระศิวะเป็นเจ้า) ซึ่งเป็นผู้มกายอันชโลมด้วยเถ้าถ่าน แลปกปิดกายด้วยท่อนผ้าซึ่งจะ
มิดชิดก็ไม่มิดได้ แลพากันยื่นศรษะซึ่งมุ่นเหมือนเชือกแน่นกันเข้าไปรับแจกท่ประตู ส่วนทรัพย์
ท่ยังเหลืออยู่จากท่แจกแล้วนั้นีวรพลให้มผู้จัดประกอบอาหารอันมรส แลเมื่อได้เล้ยงคนขัดสน
อาหารทั้งหลายจนอิ่มหนําสําราญทั่วกันแล้ว วรพลแลบุตรภริยาจึงกินแล้วแต่จะมเหลือ

การจําหน่ายทรัพย์ทุกๆ วันเช่นน้มคํากล่าวสืบกันมาว่าเป็นวิธดนักีแต่พวกท่กล่าวว่า
ดนั้น พราหมณ์แลปุโรหิตคงจะเป็นผู้กล่าวนําหน้าีไวราคแลสันยาสเป็นพวกท่รองลงมา แล
พวกยาจกท่ได้รับเล้ยงทุกๆีวันก็คงจะกล่าวชมวิธจําหน่ายทรัพย์ชนิดนั้นด้วย ชนพวกอื่นๆีท่
พลอยชมว่าดไปด้วยก็จะมบ้างดอกกระมัง แต่ท่จะเป็นวิธดจริงหรือไม่นั้นเป็นข้อท่น่าพิศวง

ในเวลาค่ําคืนวรพลถืออาวุธเข้าไปยืนอยู่ใกล้แท่นท่บรรทมทุกคืน เมื่อใดพระราชา
ตื่นบรรทมขึ้นีตรัสถามว่าใครอยู่ท่นั่นีวรพลก็ทูลตอบทันทว่า "ข้าพเจ้าวรพลอยู่น่ีถ้ามโองการ
ตรัสสั่งประการใด ข้าพเจ้าพร้อมท่จะปฏิบัติตามพระราชประสงค์"
ท้าวรูปเสนตื่นบรรทมขึ้นแลตรัสถามครั้งใด ก็ได้ทรงยินวรพลทูลตอบเช่นนั้นเสมอ
จนแทบจะเบื่อีบางคราวถึงทรงอยากให้มเหตุอันใด ท่จะได้ทรงใช้วรพลให้เห็นความสามารถ
บางคืนท้าวรูปเสนมรับสั่งให้ทําอะไรท่แปลกท่สุดเพื่อทดลองใจีเพราะ คําโบราณย่อมกล่าวว่า
จะลองใจข้าให้ใช้ทั้งในทางท่ควรแก่เวลา แลไม่ควรแก่เวลาีถ้าทําตามโดยเต็มใจีจงทราบว่า
เป็นข้าท่ดีถ้าโต้ตอบ จงไล่เสยโดยเร็วีการทดลองใจข้าด้วยประการท่กล่าวน้ คงจะได้รู้จริง
เสมอกับการทดลองใจเมยด้วยความยากจนของผัว หรือทดลองญาติแลเพื่อนด้วยขอให้ช่วย
ธุระ

โดยประการท่กล่าวมาน้ วรพลอยู่ยามรักษาพระราชาคืนยังรุ่งีแลท่ทําเช่นนั้นก็เพื่อ
สินจ้างท่ได้พระราชทาน แลนอกจากเวลาอยู่ยามนั้นีจะดื่มแลกินก็ดีนั่งนอนเดินยืนก็ด จะได้
ลืมหน้าท่เป็นผู้เฝูารักษาพระราชานั้นหามิได้ การท่ทําเช่นนั้นก็ชอบด้วยธรรมเนยมีเพราะถ้า
ชายคนหนึ่งขายชายอกคนหนึ่ง ชายคนท่สองเป็นผู้ถูกขายีแต่ถ้าข้าเข้าไปรับใช้นายก็คือข้า
ขายตัวเอง แลเมื่อชายใดเป็นข้าต้องอาศัยผู้อื่นแล้วความสุขจะมกระไรได้ ธรรมดาคนจะม
ป๎ญญาฉลาดเฉลยวแลมความรู้ปานใดก็ตามีถ้ามนายแลอยู่ต่อหน้านาย ก็ย่อมจะนิ่งเหมือนคน
ใบ้ีแลมความสะทกสะท้านอยู่เป็นปกติ ต่อเมื่ออยู่พ้นหน้านายไปจึงจะค่อยผ่อนกายได้บ้าง
เหตุดังนั้นปราชญ์ผู้มป๎ญญาย่อมกล่าวว่าีการรับใช้ให้ถูกต้องทุกประการนั้น ยากยิ่งกว่าฝึกฝน
ความรู้ในทางธรรม

คืนหนึ่งพระราชาตื่นบรรทมขึ้น ได้ยินเสยงหญิงโหยไห้คร่ําครวญอยู่ในปุาช้าท่ใกล้
พระราชวัง พระราชาตรัสถามว่าใครอยู่ยามีวรพลทูลตอบตามเคยีจึงรับสั่งว่า "เจ้าจงไปดูว่าม
หญิงมาร้องไห้คร่ําครวญอยู่ทําไม เมื่อได้ความแล้วจงรบกลับมาโดยเร็ว" วรพลได้ฟ๎งรับสั่ง
ดังนั้นก็รบไปทําตาม

ฝุายพระราชาีครั้นวรพลไปแล้วีก็ทรงเครื่องดําคลุมพระองค์รบตามวรพลไป เพื่อจะ
ทอดพระเนตรความกล้าของชายผู้นั้นีอกครู่หนึ่ง วรพลไปถึงปุาช้าได้เห็นหญิงงามผู้หนึ่งฉว
เหลืองอ่อน ประดับกายด้วยเพชรพลอยตั้งแต่ศรษะถึงเท้าีมือหนึ่งถือเขาีมือหนึ่งถือสร้อยคอ
ประเด๋ยวก็ย่างเท้าเต้นไปมาีประเด๋ยวก็โดดีประเด๋ยวก็วิ่งไปรอบๆ ประเด๋ยวก็ทอดตัวลงพาด
บนดินีเอามือตศรษะตนเองีร้องไห้คร่ําครวญีแต่จะหาน้ําตามิได้
วรพลเห็นดังนั้น ไม่ทราบว่านางคือนางฟูาผู้เกิดจากเกษยรสมุทรแลเป็นท่รักของ
ชาวฟูาทั่วไปีจึงถามว่า "นางคือใครีมาตตัวร้องไห้คร่ําครวญเช่นน้เพราะทุกข์อันใด" นางตอบ
ว่า "ข้าคือราชลักษม" วรพลถามว่าเหตุใดนางจึงโศกฉะน้เล่า
นางจึงกล่าวช้แจงให้วรพลฟ๎งว่าีในพระราชวังแห่งพระราชานั้น มผู้กระทําการลามก
อย่างท่กระทํากันเป็นปกติในหมู่ชนซึ่งเป็นศูทรมวรรณะต่ํา เหตุฉะนั้นความเสื่อมจะมมาสู่
พระราชฐานีอันเป็นท่ซึ่งนางเคยอยู่มา แลจะต้องละทิ้งไปในบัดน้ีอกประมาณเดือนหนึ่ง
พระราชาจะประชวรหนักถึงสิ้นพระชนม์ นางมความเสยใจจึงร้องไห้ีนางอยู่มาในราชสํานักได้
นําความสุขมาให้มาก เหตุดังนั้นจึงเสยใจหนักีท่ทราบว่าคําทํานายของนางจะไม่เป็นไปจริง
มิได้เลย

วรพลถามว่าี"ภัยท่นางกล่าวน้ จะหาทางปูองกันเพื่อรักษาชวิตพระราชาไว้ให้ยั่งยืน
ร้อยปีไม่ได้หรือ" นางตอบว่า "ทางปูองกันมอยู่ท่อาจทําได้ีคือีตั้งแต่น้ไปีทางตะวันออกไกล
ประมาณี๓ีโกรศ มศาลพระเทวศาลหนึ่งีถ้าท่านตัดศรษะบุตรของท่านด้วยมือท่านเอง นํา
ถวายเป็นเครื่องบูชาพระเทวีพระราชาจะทรงพระชนมายุยืนยาวไปชั่วกาลนาน จะมภัยอันใดมา
พ้องพานนั้นหาไม่"
นางราชลักษมกล่าวเช่นนั้นแล้วก็อันตรธานหายไป ฝุายวรพลเมื่อได้รับความรู้เช่นน้
แล้วีก็มิได้กล่าวประการใด หันกลับรบเดินไปสู่บ้านแห่งตนีพระราชาก็ทรงพระดําเนินลอบตาม
ไปมิให้วรพลรู้ตัว ได้ทอดพระเนตรกิริยาแลทรงฟ๎งคําพูดีทราบแจ้งในพระหฤทัยทุกประการ

ฝุายวรพลเมื่อออกจากปุาช้าแล้วก็รบเดินไปปลุกภริยาขึ้นเล่าความให้ฟ๎งทุกประการ
กล่าวความประพฤติระหว่างสามกับภริยาีปราชญ์ผู้เป็นกวโบราณแสดงไว้ว่า

o นางใดฟ๎งสามีเชื่อถือดด้วยวาจา
อกทั้งกิริยาีโอนอ่อนรับเพราะนับถือ
o นางนั้นได้ชื่อว่าีภริยาท่ดคือ
เกยรติ์เฟื่องเลื่องบรรลือ ได้ชื่อว่าชายจริงฯ

ดังน้เมื่อนางได้ฟ๎งถ้อยคําสามแล้วก็รบปลุกลูกชายขึ้น ฝุายลูกหญิงเมื่อได้ยินปลุก
พ่ชายก็พลอยตื่นขึ้นด้วย วรพลก็พาเมยแลลูกเดินไปสู่ศาลพระเทว
เมื่อเดินไปตามทางวรพลกล่าวแก่เมยว่า "ถ้าเจ้ายินยอมให้ลูกชายของเจ้าโดยเต็ม
ใจ ข้าผู้เป็นสามจะทําลายชวิตเด็กนั้นถวายเป็นเครื่องบูชาพระเทว เพื่อความยืนพระชนม์แห่ง
พระราชาผู้เป็นเจ้าของเรา"
นางตอบว่าี"พ่อแลแม่ บุตรแลธิดาีพ่น้องแลวงศ์ญาติทั้งปวงในเวลาน้นับว่าข้าพเจ้า
ไม่มเสยแล้ว ข้าพเจ้ามท่านผู้เดยวเป็นผู้แทนพ่อแม่ลูกแลพ่น้องีคัมภรศาสตร์ย่อมกล่าวว่า
ภริยานั้นจะบริสุทธิ์ด้วยทําทานแก่นักบวชีหรือด้วยกระทําการบูชายัญก็หาไม่ นางใดปฏิบัติสาม
ด้วยดีนางนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ครองธรรม แม้สามจะเป็นผู้ง่อยเปล้ยเสยขาีเป็นผู้เสยมือีหรือใบ้ี
หูหนวกีตาบอดตาเดยว เป็นกุดถังหรือหลังค่อมีภริยาก็จําต้องปฏิบัติด้วยดทั้งนั้น คําโบราณ
กล่าวความจริงไว้ว่า

O ใครมบุตรว่าง่ายกายปราศจากไข้ีมหทัยเสาะหาวิชาขลัง
ทั้งมเพื่อนฉลาดเฉลยวช่วยเหน่ยวรั้งีมเมยฟ๎งถ้อยคําประจําใจ
ผู้นั้นดมบุญอาจจุนค้ําีโลกให้จําเริญสุขปลดทุกข์ได้
ชนทั้งหลายคลายร้อนหย่อนแยงภัย เพราะเขาให้ความสุขปราศจากทุกข์เจยวฯ
O อนึ่งบ่าวเกยจคร้านการรับใช้ีพระราชาเป็นใหญ่ใจข้เหนยว
อกเพื่อนใจไม่จริงพิงข้างเดยวีเมยเด็ดเด่ยวไม่ฟ๎งคําบังคับ
ทั้งส่น้ปลดสุขพาทุกข์สู่ีเหมือนศัตรูเข้ามาเวลาหลับ
จักปูองกันฉันใดไม่ระงับีเหลือจักรับจักรบจักหลบล้ฯ"

นางกล่าวแก่สามดังน้แล้ว ก็หันไปกล่าวแก่บุตรว่าี"ลูกเอยีถ้าเรายอมสละหัวของ
เจ้าเป็นเครื่องบูชาพระเทว ชวิตแห่งพระราชาจะรอดได้ีแลบ้านเมืองจะดํารงสุขสืบไป"
ลูกชายได้ฟ๎งแม่กล่าวดังนั้น แม้ยังอ่อนอายุียังกล่าวตอบดังซึ่งเราท่านไม่น่าจะเชื่อ
ว่าเด็กพูดได้ แต่พึงระลึกว่าในสมัยโน้น แม้แต่นกแก้วนกขุนทองยังพูดสันสกฤตได้คล่องดกว่า
ท่านแลข้าพเจ้าเหลือจะพรรณนา เด็กคนนั้นเป็นคนแล้วมิหนําซ้ํากล่าวกันว่าเป็นเด็กฉลาดนัก
ด้วย เหตุดังนั้นการท่พูดเพยงเท่าน้ไม่ประหลาดอะไร ถ้าประหลาดก็ประหลาดด้วยพูดน้อยไป
เสยอก

ลูกชายกล่าวว่า "ข้าแต่นางผู้เป็นมารดาีข้าพเจ้าเห็นว่าเราจะรบเร่งให้การอันน้
เป็นไปโดยเร็ว เพราะเหตุว่าีประการท่ี๑ีข้าพเจ้าผู้บุตรจําต้องเชื่อฟ๎งคําสั่งของมารดาีประการ
ท่ี๒ ข้าพเจ้าจําต้องยังความเจริญให้มแก่พระราชาผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าีประการท่ี๓ ถ้าชวิต
แลร่างกายของข้าพเจ้าเป็นประโยชน์แก่พระเทว ก็ไม่มทางใดท่ข้าพเจ้าจะใช้ชวิตแลร่างกาย
ของข้าพเจ้าให้ดยิ่งไปได้"

เวตาลเล่ามาถึงเพยงน้ จึงกล่าวแก่พระราชาวิกรมาทิตย์ว่าพระองค์จงประทานอภัย
แก่ข้าพเจ้า ท่ได้นําเอาคําพูดคนเหล่านั้นมากล่าวยืดยาวีเด็กเล็กๆีซึ่งกําลังจะถูกเชือดคอนั้น
พูดจาราวกับอาจารย์ธรรมศาสตร์ีฟ๎งอยู่ค่อนข้างจะแปลกสักหน่อย

เวตาลเล่าเรื่องต่อไปว่า เมื่อเด็กได้กล่าวแก่มารดาแล้วก็เหลยวไปกล่าวแก่บิดาว่าี
"ข้าแต่ท่านบิดา ผู้ใดได้กระทําการเป็นคุณประโยชน์แก่นายของตนีชวิตของผู้นั้นนับว่าไม่
เปลืองไปเปล่า แลเพราะเหตุท่ได้ใช้ชวิตในทางท่เกิดประโยชน์ ผู้นั้นก็คงจะได้รับรางวัลใน
โลกหน้าๆีต่อไป"

ฝุายลูกหญิง เมื่อได้ยินบิดามารดาแลพ่ชายพูดกันมาเพยงน้ก็กล่าวสอดขึ้นบ้างว่าี"
ถ้ามารดาวางยาพิษให้ลูกหญิงกลืนีถ้าบิดาขายลูกชายของตน ถ้าพระราชายึดถือเอา
หลักทรัพย์สมบัติทั้งปวงของประชาราษฎร์ไปเป็นประโยชน์แก่พระองค์เอง ดังน้ใครจะได้อะไร
เป็นท่พึ่งพํานักเล่า "

ลูกหญิงพูดดังน้ไม่มใครฟ๎ง คนทั้งส่ก็พากันเดินไปจนถึงศาลพระเทวีพระราชาก็
เสด็จด้อมตามไปจนตลอดทาง อกครู่หนึ่งไปถึงศาลพระเทวีเป็นเรือนห้องเดยวมชาลารอบ
ข้างหน้ามเรือนหลังใหญ่ซึ่งคนอาจเข้าไปนั่งได้หลายร้อยคน หน้าเทวรูปนองไปด้วยเลือดอัน
ไหลจากสัตว์มชวิต ซึ่งมผู้ได้ฆ่าเพื่อการบูชาในศาลน้ีเทวรูปนั้นดําใหญ่ีมกรี๑๐ีกร หัตถ์ขวา
หัตถ์หนึ่งถือหอกแทงอสูรชื่อมหิษีหัตถ์ซ้ายหัตถ์หนึ่งถือหางงูแลผมแห่งมหิษ แลงูนั้นกัด
หน้าอกอสูรีกรอื่นๆีถืออาวุธต่างๆีเงื้อง่าอยู่เหนือพระเศยร แลท่ข้างบาทนั้นมสิงห์ยืนพิงอยู่ตัว
หนึ่ง

ฝุายวรพลเมื่อไปถึงศาล ก็พนมมือนมัสการแลกล่าวคําวิงวอนพระเทวว่าี"ข้าแต่พระ
เทวเป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะประหารชวิตลูกชายถวายเป็นเครื่องบูชาพระองค์ ขอพระองค์จงอํานวย
ให้พระราชาทรงชนมายุยืนยาวไปจวบพันปีเถิดีโอ้พระมารดา พระองค์จงทําลายศัตรูของ
พระราชาเสยเถิด จงทรงฆ่าแลทําให้ศัตรูเหล่านั้นเป็นเถ้าถ่านไปให้สิ้นีหรือไล่มันไปเสยให้สิ้น
พระองค์จงตัดมันทั้งหลายให้เป็นท่อนแลเสวยเลือดมัน พระองค์จงล้างแลทําลายมันเสยด้วย
วัชระีด้วยโตมรีด้วยขรรค์ีด้วยจักร ด้วยบาศอันเป็นอาวุธของพระองค์"

วรพลกล่าวดังนั้นแล้ว ก็บอกให้ลูกชายคุกเข่าลงตรงหน้าเทวรูปแล้วฟ๎นด้วยดาบถูก
คอขาด หัวกระเด็นไปกลิ้งอยู่บนพื้นชาลาแล้วโยนดาบขว้างไปไกลตัว ฝุายลูกหญิงเมื่อเห็น
พ่ชายคอขาดกระเด็นไปดังนั้น ก็วิ่งเข้าไปฉวยเอาดาบเชือดคอตนเองสิ้นไปชวิตลงไปอกคน
หนึ่ง นางผู้เป็นมารดาเห็นลูกชายแลลูกหญิงสิ้นชวิตลงไปดังนั้นีเหลือท่จะสะกดใจไว้ได้ ก็วิ่ง
ไปหยิบดาบฟ๎นคอตนเองตายลงไปอกเป็นี๓ีศพด้วยกัน

ฝุายวรพลเมื่อเห็นดังนั้นีจึงกล่าวแก่ตนว่าี"ลูกเราก็ตายหมดแล้ว กูจะอยู่รับใช้
พระราชาไปทําไมเล่า เมื่อได้ทองคําเป็นรางวัลจากพระราชาก็ไม่มลูกจะรับช่วงต่อไปอกแล้ว"
คิดดังน้ วรพลก็เอาดาบฟ๎นคอตนเองล้มลงขาดใจตาย

ฝุายท้าวรูปเสนพระราชาทรงแอบดูีทอดพระเนตรเห็นหัวี๔ีหัวีขาดจากตัวี๔ีตัว
กลิ้งอยู่หน้าศาลดังนั้นีก็ทรงสลดพระหฤทัยีทรงคํานึงว่าี"พ่อแม่ลูกทั้งี๔ น้ได้สละชวิตไป
แล้วเพื่อประโยชน์แก่เราีโลกน้กว้างใหญ่ก็จริง แต่หาคนท่ซื่อสัตย์กล้าหาญถึงเพยงน้หาไม่ได้
ใครบ้างจะสละชวิตเช่นน้เพื่อสนองคุณพระราชาีแต่มิได้บอกกล่าวโอ้อวดให้ใครทราบเลย
อํานาจแลความเป็นพระราชาของเราน้ีถ้าจะยั่งยืนอยู่ได้ด้วยต้องทําลายชวิตคนถึงปานน้ ก็สิ้น
ความสําราญแลเป็นบาปีมิได้ผิดอะไรกับถูกแช่ง เราคงจะครองราชัยไปก็หายุติธรรมมิได้"

พระราชาทรงดําริเช่นน้แล้ว ก็ทรงหยิบดาบขึ้นจะประหารชวิตพระองค์เองีแต่เทวรู
ปพระเทวทรงยึดพระหัตถ์ไว้ รับสั่งห้ามมิให้พระราชาประหารพระองค์เองีแลให้ทรงขอพร
แล้วแต่พระประสงค์ ฝุายท้าวรูปเสนเมื่อพระเทวตรัสให้ขอพรดังนั้น ก็ทูลขอให้ประทานคืนชวิต
วรพลแลลูกเมยีในพริบตาเดยว พระเทวก็ทรงได้น้ําอมฤตจากบาดลีทรงพรมศพทั้งส่ศพนั้นี
หัวกับตัวก็กลับมาติดกัน คืนชวิตขึ้นมาทั้งส่คน

ท้าวรูปเสนก็ตรัสให้คนทั้งส่เดินตามเสด็จกลับพระราชวังีอยู่มาไม่ช้า ท้าวรูปเสนก็
แบ่งราชสมบัติประทานให้วรพลครอบครองตามสมควร

เวตาลเล่ามาเพยงน้ก็หยุดอยู่ครู่หนึ่งีแล้วทูลพระวิกรมาทิตย์ว่าี" ข้าซึ่งไม่เสยดาย
ชวิตตนเอง ในการรักษาชวิตเจ้านั้นเป็นข้าท่มความสุข แลเจ้าซึ่งอาจตัดรกรากแห่งความใคร่
เป็นใคร่อยู่ แลความจําเริญในราชสมบัติได้นั้นเป็นเจ้าซึ่งมความสุขี๓ีเท่า
ดูกรพระราชาีข้าพเจ้าขอทูลถามพระองค์สักข้อหนึ่งว่าีบรรดาคนทั้งห้านั้น คนไหน
จะโง่ท่สุด"

พระวิกรมาทิตย์ได้ทรงฟ๎งก็แสดงอาการพิโรธ เพราะความถูกพระหฤทัยในเรื่อง
ความซื่อต่อหน้าท่ ในเรื่องความรักกันในเหล่าบุตรแลสามภรรยาีในเรื่องผู้น้อยฟ๎งคําผู้ใหญ่ ใน
เรื่องคนมใจใหญ่แลใจมั่นคงเหล่านั้นกลับกระจัดกระจายไปหมดเพราะเวตาลกลับกล่าวว่าเป็น
ความโง่เสยแล้ว แลเพราะเหตุท่กริ้วดังนั้นจึงรับสั่งด้วยสําเนยงโกรธว่า

"อ้ายผ ถ้าคําท่เอ็งกล่าวว่าคนไหนโง่ท่สุดนั้นหมายความว่า คนไหนมน้ําใจควรเป็น


ท่นับถือท่สุด กูจะตอบได้ทันทว่าคือท้าวรูปเสนผู้เป็นพระราชา"

เวตาลถามว่า "เหตุไรจึงทรงเห็นอย่างนั้น" พระวิกรมาทิตย์ตรัสว่าี"เอ็งเป็นผป๎ญญา


ตัน ไม่อาจเข้าใจได้ีวรพลนั้นมหน้าท่จะสละชวิตของตนให้แก่เจ้า ซึ่งมกรุณาให้ลาภถึงเพยง
นั้นีบุตรชายของวรพลจะขืนคําบิดานั้นไม่ได้เป็นอันขาด แลส่วนหญิงเมื่อใครฆ่ากันท่ไหนให้
เห็นเป็นตัวอย่างก็ต้องฆ่าตัวเองเป็นธรรมดาตามนิสัยผู้หญิง แต่ท้าวรูปเสนนั้นทรงสละราชัย
ของพระองค์เพื่อประโยชน์แก่วรพลผู้เป็นข้า แลไม่ตราคาชวิตของพระองค์ีแลราชสมบัติซึ่ง
เป็นของชวนให้อยากมชวิต ยิ่งกว่าราคาท่อนฟางท่อนหนึ่งเลยีเหตุดังนั้นกูจึงเห็นว่าการท่
พระราชาทรงกระทํานั้น เป็นบุญแลควรสรรเสริญยิ่งกว่าผู้อื่น"

เวตาลหัวเราะตอบว่า "ดูกรพระราชา แม้พระองค์มีแขนแลขาอย่างหนุมาน


พระองค์ก็จะต้องเบื่อปีนต้นไม้สูงโน้นบ้างดอกกระมัง" พูดเท่านั้นแล้ว เวตาลก็ออกจาก
ย่ามลอยหัวเราะก้องฟ้าคืนไปห้อยอยู่ยังต้นอโศกตามเดิม พระวิกรมาทิตย์กับพระราช
บุตร ก็หันพระพักตร์ทรงด้าเนินกลับไปต้นอโศกอีกครั้งหนึ่ง

The Vampire's Third Story


นิทานเวตาลเรื่องที่ ๔
เรื่องท่ี๔

พระวิกรมาทิตย์เสด็จไปถึงต้นอโศกีทรงปีนขึ้นไปปลดเวตาลลงมาบรรจุ
ย่าม แล้วทรงดําเนินพาพระราชบุตรไปได้หน่อยหนึ่ง เวตาลก็เล่านิทานซึ่งกล่าวว่า
เป็นเรื่องจริงเรื่องท่ี๔ีดังน้

มพ่อค้าไม่สําคัญคนหนึ่งชื่อ หิรัณยทัตตี์มบุตรงามชื่อ นางมัทนเสนา มหน้า


เหมือนพระจันทร์เพ็ญีผมเหมือนเมฆ ตาเหมือนตาชะมดีคิ้วเหมือนธนูท่ขึ้นสายแล้วีจมูก
เหมือนปากนกแก้วีคอเหมือนคอนกเขา ฟ๎นเหมือนเมล็ดแห่งผลทับทิมีริมฝีปากสแดงเหมือน
ผลน้ําเต้าีเอวอ่อนเหมือนเอวเสือ มือแลเท้าเหมือนดอกไม้อ่อนีผิวเหมือนมะลิ มลักษณะเป็น
นางงามตามเคยมิให้ขาดได้โดยประเพณีใช่แต่เพยงนั้นียังงามขึ้นทุกวันๆ จนพระจันทร์แล
เมฆีแลตาชะมดีแลธนูท่ขึ้นสายพานแล้วีฯลฯีจะแพ้หมด

ครั้นนางมอายุสมควรจะมเรือน บิดามารดาหารือกันแลตรึกตรองถึงการวิวาห์บุตร
ชนทั้งหลายในแว่นแคว้นแห่งพระราชาทรงนาม วีรวรกษัตริย์ ครอง กรุงมัทนบุรีีต่างเลื่อง
ลือกันไปว่าีหิรัณยทัตต์มลูกสาวงามจับใจเทวดาีบุรุษ แลมุนทั้งปวงีชายทั้งหลายท่ใคร่ได้
ภริยางามีต่างก็ไปหาช่างเขยนมาวาดรูปตน แล้วส่งรูปนั้นไปยังบ้านหิรัณยทัตต์ีหิรัณยทัตต์ก็
ส่งรูปทั้งหมดให้บุตรตรวจ ดูว่าจะชอบเจ้าของรูปคนไหนีแต่นางมัทนเสนาเป็นคนเลือกโน่น
เลือกน่แลเปล่ยนใจง่ายๆ เหมือนกับนางงามอื่นๆีมากด้วยกันีครั้นบิดาบอกให้เลือกสามในหมู่
คนท่ส่งรูปมานั้น นางก็ตอบว่าไม่ชอบใจใครเลยีแลขอให้บิดาเลือกคนอื่นท่มรูปดมคุณด แล้ว
มิหนําซ้ําให้มความคิดดอกด้วย

เวตาลกล่าวว่า พระองค์ทรงป๎ญญาสามารถย่อมจะทรงทราบว่า ชายรูปงามนั้นก็หา


ยากอยู่แต่ก็พอหาได้ีชายทรงคุณดก็หาไม่ง่าย แต่ก็คงจะพอหาได้ีส่วนชายรูปงามท่ทรงคุณด
นั้น ถ้าจะมในโลกก็คงจะนับให้ถ้วนได้ด้วยนิ้วมือสิบนิ้ว แต่ท่จะหาเอาความคิดดเข้ามาประสม
อกอย่างหนึ่งนั้นถ้าจะหาเข็มในมหาสมุทรก็เห็นจะยากง่ายปานกัน

วันหนึ่งเมื่อเวลาล่วงไปแล้วช้านาน มชายส่คนมาจากส่เมืองไปท่เรือนหิรัณยทัตต์ี
เพื่อจะขอบุตรเป็นภริยา หิรัณยทัตต์กล่าวว่าีถ้าคนทั้งส่มคุณดอย่างไรก็จงแสดงให้ปรากฏเถิด
ในส่วนรูปนั้นก็เห็นได้อยู่แล้วว่าไม่เลวทรามีแต่จะต้องการรู้ว่ามวิชาอะไรบ้าง

ชายคนท่ี๑ีตอบว่า "ข้าพเจ้ามความรู้ในพระศาสตร์หาผู้เสมอมิได้ีส่วนรูปกายของ
ข้าพเจ้านั้น ท่านเห็นอยู่แล้วว่าย่อมเป็นท่พึงใจสตร"
ชายคนท่ี๒ีกล่าวว่า "ข้าพเจ้ามความรู้ในการยิงธนูไม่มท่เปรยบ ข้าพเจ้าอาจแผลง
ศรไปฆ่าสัตว์ท่ข้าพเจ้าไม่เห็น แลหมายยิงได้ด้วยเสยงท่ได้ยินเท่านั้น ความมรูปงามของ
ข้าพเจ้าท่านก็เห็นอยู่แล้ว"
ชายคนท่ี๓ีกล่าวว่า "ข้าพเจ้ารู้ภาษาสัตว์น้ําแลสัตว์บกีภาษานกแลภาษามฤค จะ
หาคนมกําลังเสมอข้าพเจ้าหามิได้ ความงามของข้าพเจ้าย่อมประจักษ์แก่ตาท่านอยู่แล้ว"
ชายคนท่ี๔ กล่าวว่าี"ข้าพเจ้ามวิธทอผ้าชนิดหนึ่งีซึ่งจะแลกทับทิมได้ี๕ีเม็ด แล
เมื่อได้ขายผ้าผืนหนึ่งได้ทับทิมมาแล้ว ข้าพเจ้าแบ่งทับทิมเม็ดหนึ่งให้แก่พราหมณ์เป็นทานี
เม็ดท่ี๒ ถวายเป็นเครื่องบูชาเทวดาีเม็ดท่ี๓ีข้าพเจ้าเก็บไว้ประดับตัวเองีเม็ดท่ี๔ ให้ภริยา
ประดับกายีเม็ดท่ี๕ีข้าพเจ้าขายได้เงินตรามาแล้วจําหน่ายในการเล้ยงแขก ความรู้ข้าพเจ้าม
เช่นกล่าวน้ีแลไม่มผู้อื่นมวิชาเช่นข้าพเจ้าเลย ความมรูปงามของข้าพเจ้าย่อมแจ้งแก่ตาท่าน
อยู่แล้ว"

ฝุายหิรัณยทัตต์ีเมื่อได้ฟ๎งคําชายทั้งส่คนีก็นิ่งตรึกตรองว่า "ปราชญ์ย่อมกล่าวว่าสิ่ง
ใดๆีก็ดีถ้ามากเกินไปก็ไม่ดเลย นางสดามความงามมากจนราวัณลักพาหน ท้าวมหาพลให้
ทานมากเกินไปจนกลับเป็นท้าวแทตย์ท่จนีปราศจากความมั่งคั่ง ลูกสาวของเรางามเกินไปีจะ
ปล่อยให้ไม่มสามอยู่นั้นไม่ได้ คนส่คนน้จะยกนางให้แก่คนไหนด"

หิรัณยทัตต์คิดยังไม่ตกลงในใจีจึงไปหาลูกสาวเล่าความให้ฟ๎งแล้วถามว่า นางจะ
เห็นควรให้บิดายกนางให้แก่ชายคนไหนีนางมิรู้ว่าจะกล่าวประการใด ก็ก้มหน้านิ่งอยู่

หิรัณยทัตต์จึงตรึกตรองต่อไปว่า "ชายท่รู้ศาสตร์นั้นเป็นพราหมณ์ ชายท่แผลงศรไป


ถูกสัตว์ท่ได้ยินแต่เสยงนั้นเป็นกษัตริย์ แลชายท่รู้วิชาทอผ้านั้นเป็นศูทร แต่ชายท่เข้าใจภาษา
สัตว์นั้นเป็นคนวรรณะเดยวกับเราีผู้นั้นเราจะยกลูกสาวให้"
หิรัณยทัตต์ตริตรองในใจดังน้แล้วีก็จัดการเตรยมวิวาห์บุตร

ระหว่างนั้นเป็นฤดูวสันต์ นางมัทนเสนาออกไปเดินชมดอกไม้อยู่ในสวน เผอิญเมื่อ


นางออกไปนั้นมชายคนหนึ่งชื่อโสมทัตตี์เป็นบุตรของธรรมทัตต์ไปเท่ยวเดินเล่นในปุาจะกลับ
บ้าน ก็ผ่านสวนท่นางมัทนเสนาเดินลงไปเดินเท่ยวอยู่
โสมทัตต์เห็นนางก็งวยงงหลงใหลในรูปนางีจึงกล่าวแก่เพื่อนว่าี"เพื่อนเอ๋ย ถ้าข้า
ได้นางคนน้ีข้าจะมความจําเริญในชวิตน้ีถ้าไม่ได้ ความเกิดมาแลอยู่ในโลกก็จะเปลืองเวลา
เปล่า" เมื่อพูดดังน้แล้ว โสมทัตต์เกรงนางจะพ้นไปเสยีจึงเดินเข้าไปใกล้นางโดยมิได้ตั้งใจจะ
ละลาบละล้วง
แต่เมื่อเข้าไปใกล้ตัวนางแล้วไซร้ โสมทัตต์กุมสติไว้ไม่มั่นเหลือท่จะอดกลั้นได้ีก็
ตรงเข้าไปจับมือนางแล้วกล่าวว่า "ข้ามความรักนางเหลือท่จะทรงสติไว้ได้ีถ้านางไม่รักข้า ข้า
จะต้องทอดทิ้งชวิตเสยในบัดน้"
นางมัทนเสนาตอบว่า "ขอท่านอย่าสละชวิตเสยเลยีเพราะการฆ่าตัวตายเป็นอกุศล
ข้าพเจ้าจะพลอยได้บาปถูกลงโทษเพราะช่วยทําให้เลือดตก จะได้ความเดือดร้อนทั้งโลกน้แล
โลกหน้า"
โสมทัตต์ตอบว่า "คํากล่าวอ่อนหวานของนางแทงหัวใจข้าทะลุเสยแล้ว แล
ความรู้สึกว่าจะต้องพ้นไปจากนางเผากายข้าให้ไหม้เป็นจุณไป ความทรงจําแลป๎ญญาเครื่องรู้ก็
สลายไปด้วยทุกข์อันน้ แลความรักเกินประมาณทําให้ข้าไม่รู้สึกผิดแลชอบ แต่ถ้านางจะให้
สัญญาแก่ข้าสักข้อหนึ่งีข้าคงจะมชวิตต่อไปได้"
นางตอบว่าี"กลยุคมาถึงเป็นแน่เสยแล้วีแลตั้งแต่ขึ้นต้นกลยุคมา ความเท็จเกิดใน
โลกมากขึ้นีแลความจริงลดน้อยลงไป คนใช้ลิ้นกล่าววาจาท่เกล้ยงเกลาแต่ใช้ใจเป็นท่เล้ยง
มายาีศาสนาสลายไป ความชั่วช้าทารุณเกิดมากขึ้นีแลแผ่นดินก็ให้พืชผลน้อย พระราชาทรง
เรยกค่าปรับจากราษฎรีพราหมณ์ประพฤติไปในทางละโมบีบุตรไม่ฟ๎งคําแห่งบิดา พ่น้องไม่
ไว้ใจกันเองีไมตรสิ้นไปในหมู่มิตรีความจริงไม่มในใจผู้เป็นนาย บ่าวเลิกการรับใช้ีชายทิ้งเสย
ซึ่งคุณแห่งชายีแลหญิงก็สิ้นความอายีอกี๕ วันตั้งแต่น้ไปจะถึงวันวิวาห์ของข้าพเจ้าีถ้าท่าน
ไม่ฆ่าตัวตายีข้าพเจ้าสัญญาว่า ในวันนั้นข้าพเจ้าจะไปหาท่านก่อนแล้วจึงจะกลับไปอยู่กับ
สาม"

เราท่านในสมัยน้ เมื่อได้ยินคํานางมัทนเสนากล่าวยืดยาวถึงเหตุการณ์ท่เป็นไปใน
กลยุค ก็น่าจะพิศวงว่าเหตุใดจึงต้องจาระไนมากมายถึงเพยงนั้น อันท่จริงนางต้องการจะกล่าว
นิดเดยวว่า นางต้องสละความอายด้วยกลัวจะพลอยได้บาปเพราะเป็นเหตุให้โสมทัตต์ฆ่าตัว
ตาย

ส่วนนางมัทนเสนาเมื่อได้กล่าวคํามั่นดังนั้น แลได้สบถเชิญพระคงคาเป็นพยานแล้ว
ก็กลับบ้านีโสมทัตต์ก็แยกทางไป

ครั้นถึงกําหนดการวิวาห์ หิรัณยทัตต์พ่อค้าก็จ่ายเงินตราเป็นอันมากในการเล้ยงแล
หาของให้เจ้าบ่าว หนุ่มสาวทั้งคู่ถูกทาขมิ้นทั่วตัวีแลในคืนก่อนวิวาห์นั้นถูกฟ๎งดนตรท่ใช้เสยง
มาก ทั้งถูกชโลมด้วยน้ํามันทั้งตัวียังเจ้าบ่าวจะถูกโกนผมอกเล่า แห่ซึ่งพาเจ้าบ่าวไปส่งบ้าน
เจ้าสาวนั้นครึกครื้นมากมาย ถนนสว่างไปด้วยคบเพลิงซึ่งคนถือชูไปีแลดอกไม้เพลิงก็จุด
ตลอดทางีช้างีอูฐ แลม้าซึ่งแต่งเครื่องอย่างงามก็เดินไปตามระยะีแลกว่าจะแห่ไปถึงบ้าน
เจ้าสาว ก็มเด็กซนและชายหนุ่มชั่วตายีเพราะถูกดอกไม้เพลิงหรือถูกช้างเหยยบ หรือเพราะ
เหตุอื่นๆีตั้งี๕ีคนี๖ีคนีเพราะแห่กลางคืนเช่นนั้นย่อมจะมเหตุเสมอ

ครั้นเจ้าบ่าวไปถึงบ้านเจ้าสาว ก็กระทําการวิวาห์ตามท่บัญญัติไว้ในคัมภร์แล้วก็ม
การเล้ยงอย่างฟุุมเฟือย จนแขกท่นั่งลงกินเล้ยงนั้นไม่มใครบ่นว่ากระไรสักคนเดยว
ครั้นเสร็จพธวิวาห์แล้วีสามก็พานางมัทนเสนาผู้ภริยาไปสู่เรือนแห่งตน เมื่อวันล่วง
ไปหลายวันแล้วภริยาแห่งน้องสุดท้อง แลภริยาแห่งพ่หัวปีของเจ้าบ่าวก็ช่วยกันฉุดคร่าพา
เจ้าสาวไปส่งตัว แลให้นั่งอยู่บนท่นอนของเจ้าบ่าวซึ่งแต่งด้วยดอกไม้สด
ครั้นผู้ส่งตัวออกจากห้องไปแล้วีสามก็เข้าเล้าโลมภริยา นางใช้มือทั้งสองผลักตัว
สามไว้ให้ห่าง แล้วเล่าเรื่องท่ได้สัญญาแก่โสมทัตต์ไว้ตามจริงทุกประการ

เจ้าบ่าวได้ฟ๎งดังนั้นก็ตอบว่าี"สิ่งทั้งหลายคนอาจรู้ได้ด้วยคําพูด คําพูดนั้นเป็นฐาน
ท่ตั้งแห่งสิ่งทั้งหลายีแลสิ่งทั้งหลายย่อมออกจากคําพูด เหตุดังนั้นผู้ทําคําพูดให้เป็นเท็จีก็ทํา
ให้สิ่งทั้งหลายเป็นเท็จไปหมด ถ้าเจ้าอยากจะไปหาเขาก่อนีก็จงไปเถิด"
เราท่านอ่านคําพูดของเจ้าบ่าวน้ีก็น่าจะเห็นแปลก แต่ไม่จําเป็นจะต้องเพยรเข้าใจ
คําของเขาเลย

ฝุายนางมัทนเสนา เมื่อได้รับอนุญาตจากสามแล้วก็ลุกขึ้นรบเดินไปสู่เรือนโสมทัตต์
ทั้งท่ยังแต่งกายเต็มยศอยู่ีครั้นเดินไปตามถนนีกลางทางพบโจรคนหนึ่ง โจรเห็นนางแต่งกาย
ด้วยเครื่องประดับอันมค่าเดินมาคนเดยวดังนั้นก็ยินด จึงตรงเข้าไปถามว่าี"นางเดินถนนมืด
เช่นน้ในเวลาเท่ยงคืน แลแต่งกายด้วยผ้างดงามแลเครื่องเพชรพลอยมค่าเช่นน้เพื่อจะไปไหน"
นางตอบว่าี"ข้าจะไปเรือนแห่งชายท่รัก" โจรถามว่า "ตามทางท่เดินมาน้ใครเป็นผู้
คุมครองรักษานาง" นางตอบว่า "ผู้ปกครองของข้าคือกามเทพีคือเด็กหนุ่มงามซึ่งแผลงศร
เพลิง ทําให้เกิดแผลคือความรักขึ้นในใจแห่งชนทั้งหลายในสามโลกีคือรติบด ผู้มนกกาเหว่า
แลแมลงภู่แลลมโชยไปเป็นเพื่อน"

นางกล่าวเช่นนั้นแล้วก็เล่าเรื่องตามจริงตลอดีแล้วกล่าวสัญญาแก่โจรว่า "ท่านอย่า
ทําลายเพชรพลอยเครื่องประดับของข้าเลยีข้าให้สัญญาแก่ท่านว่า เมื่อข้ากลับมาีข้าจะให้
สิ่งของเหล่าน้แก่ท่านหมด"
โจรได้ฟ๎งดังนั้นก็นึกในใจว่า การท่จะทําลายเครื่องประดับของนางเสยในทันทหา
ประโยชน์มิได้ เพราะนางได้สัญญาแล้วว่าจะให้ด้วยความเต็มใจ เหตุดังนั้นโจรจึงยอมให้นาง
ไปตามอัชฌาสัยแล้วนั่งลงคอยแลคํานึงในใจตามความคิดซึ่งดูราวกับฉลาด แต่เข้าใจยากว่า
เก่ยวข้องกับเรื่องอย่างไร
แต่คนผู้นั้นเป็นโจร เราเท่าท่เป็นสาธุชนจะเห็นแนวความคิดของเขาอย่างไรได้

โจรนั่งคํานึงว่า "กูเห็นประหลาดนักท่ท่านผู้เล้ยงกูมาแต่เมื่อกูยังอยู่ในครรภ์มารดา
นั้น เมื่อกูมกําเนิดแล้วแลได้รับความสําราญเพราะของดทั้งปวงอันมอยู่ในโลกบัดน้ ท่านผู้นั้นก็
หาตามมาดูแลรักษากูไม่ีกูไม่รู้ว่าผู้นั้นยังจะหลับหรือตายเสยแล้ว แลกูจะยอมกลืนยาพิษยิ่ง
กว่าท่จะยอมขอเงินีหรือขอความกรุณาอย่างอื่นจากชายผู้ใด เพราะ ของี๖ีอย่างน้เป็นเครื่อง
ชักจูงให้ชายเป็นคนต่ําช้าคือ ไมตรกับคนไม่มสัตย์ี๑ีหัวเราะไม่มเหตุี๑ีทะเลาะกับผู้หญิงี๑
รับใช้นายท่ไม่มคุณดพอควรเป็นนายี๑ีข่ลาี๑ีพูดภาษาซึ่งไม่ใช่สันสกฤตี๑ อนึ่งสิ่งทั้งี๕ีน้ี
เทวดาจารึกลงไว้ในโฉลกของเราในเวลาท่เราเกิดีคือีอายุี๑ีกรรม ๑ีทรัพย์ี๑ีวิชาศาสตร์ี๑ี
เกยรติี๑ กูในเวลาน้ก็ประกอบการดแล้ว แลธรรมดาคน ตราบใดมีธรรมอันดีอยู่เบื้องบน
ตราบนั้นคนทั้งหลายยอมเป็นข้าปฏิบัติตามใจทุกประการ ต่อเมื่อความประพฤติธรรม
หย่อนลงไป ชนทั้งปวงแม้แต่มิตรก็ย่อมจะคิดประทุษร้าย"

ในขณะท่โจรนั่งตรึกตรองเช่นน้อยู่ริมทางเดิน นางมัทนเสนารบไปถึงเรือนโสมทัตต์
พ่อค้าหนุ่มีโสมทัตต์หลับอยู่ นางก็ปลุกให้ตื่นขึ้น โสมทัตต์รู้สึกตัวเห็นนางก็ตกใจโจนจากท่
นอนมอาการสั่นกลัวแลถามว่า "นางเป็นเทพธิดาีเป็นนางสิทธาีหรือเป็นนางนาค ขอนางจง
แจ้งแก่ข้าโดยตรงว่านางเป็นอะไรีแลมาโดยประสงค์อันใด ข้าจะปฏิบัติตามใจนางทุกประการ"

นางมัทนเสนาตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ีชื่อมัทนเสนาีธิดาหิรัณยทัตต์ผู้เป็น
พ่อค้า ท่านจําไม่ได้หรือว่าเมื่อวานซืนเมื่อพบกันในสวน ท่านได้ถือมือข้าพเจ้าไว้แล้วกล่าวว่าี
ถ้าข้าพเจ้าไม่ให้คํามั่นแก่ท่านว่า จะมาหาท่านก่อนจึงกลับไปอยู่กับสามชองข้าพเจ้าีท่านก็จะ
ทําตัวท่านเองให้ตายไป"

โสมทัตต์ถามว่าี"นางได้บอกให้สามทราบเรื่องน้หรือเปล่า" นางตอบว่าี"ข้าพเจ้า
ได้เล่าให้ฟ๎งจนตลอดีสามของข้าพเจ้ารอบรู้เหตุการณ์ป็นอันด ยอมให้ข้าพเจ้ามา"
โสมทัตต์ได้ยินดังนั้น ก็กล่าวด้วยเสยงซึ่งส่อน้ําใจอันเห่ยวแห้งว่าี"การเรื่องน้จะ
เปรยบก็ เหมือนมุกดาีซึ่งไม่มเรือนอันงามีเหมือนอาหารขาดฆี(ฆตํีฆฤตีเปรยง คือเนยท่ได้
ละลายไฟแล้ว) เหมือนขับกลอนไม่มเพลงีล้วนแต่แปลกธรรมดาทั้งนั้น อนึ่งเสื้อผ้าท่ไม่สะอาดี
ย่อมทําให้ความงามของผู้แต่งเสื่อมไป อาหารชั่วทําให้หย่อนกําลังีเมยทุศลเป็นเครื่องกวนผัว
ให้ตายจาก ลูกชายท่มนิสัยต่ําช้าเป็นเครื่องทําความฉิบหายให้เกิดแก่สกุล อสูรท่โกรธย่อมจะ
ฆ่าชวิตผู้อื่นีแลหญิงไม่ว่าเพราะรักหรือเกลยด ย่อมจะเป็นเหตุแห่งความทุกข์เสมอีเพราะ
หญิงไม่พาความคิดท่อยู่ในใจมาสู่ลิ้น แม้สิ่งท่อยู่ท่ลิ้นแล้วก็ไม่พูดออกมาีแลเมื่อทําอะไรคงจะ
ไม่บอกใครเป็นอันขาด พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างหญิงมาเป็นสัตว์ประหลาดในโลก "

โสมทัตต์กล่าวดังนั้นแล้วีก็กล่าวแก่นางต่อไปว่าี"นางจงกลับไปบ้านเสยเถิด นาง
เป็นภริยาชายอื่นีข้าไม่มจิตผูกพันกับนาง" ฝุายนางมัทนเสนาเมื่อโสมทัตต์กล่าวดังนั้น ก็รบ
ออกจากเรือนโสมทัตต์เดินทางคืนไปสู่เรือนสาม เมื่อพบโจรตามทางนางก็เล่าเรื่องให้ฟ๎ง แล
ยอมจะให้เครื่องแต่งกายแก่โจรตามสัญญาแต่โจรไม่รับีกลับชมใหญ่ แล้วเชิญให้นางกลับบ้าน

ครั้นไปถึงบ้านนางก็เล่าให้สามฟ๎งทุกประการีแต่เขาสิ้นรักนางเสยแล้วีแลกล่าวว่าี
" พระราชาก็ดีผู้เป็นนายก็ดีผู้เป็นภริยาก็ดีผมของคนก็ด เล็บก็ดีเมื่ออยู่ผิดท่ไปแล้วก็ไม่น่าดู
เลยีอนึ่งนกกาเหว่างามเพราะเสยง คนข้ริ้วงามเพราะความรู้ีโยคงามเพราะไม่ถือโทษผู้อื่น แล
หญิงงามเพราะความบริสุทธิ์ "

เวตาลเล่ามาเพยงน้ ก็เปล่ยนเสยงกลับทูลถามพระราชาในขณะท่ทรงฟ๎งเพลินอยู่
ว่าี"แลชายทั้งี๓ีคนนั้น คนไหนมธรรมดกว่าคนอื่น"

พระราชาไม่ทันยั้งพระโอษฐ์ ตรัสตอบว่าี"โจรดกว่าคนอื่น" เวตาลถามว่าี"เพราะ


เหตุไรจึงทรงเห็นอย่างนั้น" พระราชาตรัสว่า "เพราะเหตุว่าชายผู้เป็นผัวนั้นเมื่อเห็นเมียรัก
คนอื่นเสียแล้ว ถึงแม้ความรักนั้นไม่เป็นเหตุให้เสียความบริสุทธิ์ก็ย่อมจะสิ้นเสน่หาอยู่
เอง โสมทัตต์นั้นไม่กล้าท้าร้ายนาง เพราะกลัวพระราชาจะลงโทษภายหลัง หาใช่เป็น
ด้วยเหตุอื่นไม่ ส่วนโจรนั้นโจรกรรมเป็นเครื่องหากิน เป็นผู้ไม่กลัวกฎหมายอยู่แล้ว
การที่โจรยอมให้นางไปโดยดีนั้น หาใช่เป็นด้วยกลัวภัยอันใดไม่ เหตุดังนั้นโจรจึง
ดีกว่าคนอื่น "

เวตาลหัวเราะแล้วกล่าวว่าี"นิทานจบเพยงน้" แล้วก็ออกจากย่ามลอยหัวเราะไปใน
ฟูามืด พระราชาแลพระราชบุตรก็ยืนตะลึงจ้องพระเนตรกันอยู่ีพระราชาตรัสแก่พระราชบุตรว่า
"คราวหน้าถ้าอ้ายตัวนั่นมันตั้งป๎ญหาถามข้าีข้าอนุญาตให้เจ้าทําละลาบละล้วงต่อข้า คือให้จับ
แขนขาบบให้รู้ตัวก่อนท่ข้ามเวลาตอบมันได้ีถ้าไม่เช่นนั้นเราทั้งี๒ จะไม่มเวลากระทํากิจอันน้
ให้สําเร็จได้"
พระราชบุตรรับค้าพระราชบิดา แต่ไม่นึกว่าวิธีป้องกันอย่างใหม่นั้นจะได้ผล
ดังหวัง ครั้นสององค์ทรงด้าเนินกลับไปถึงต้นอโศก ได้ยินเสียงเวตาลหัวเราะก้องอยู่
บนต้นไม้ พระราชบิดาก็ทรงปีนขึ้นไปปลดลงมาตามเคย และมันก็เล่านิทานอีกเรื่อง
หนึ่ง ซึ่งกล่าวว่าเป็นเรื่องจริงตามเคยเหมือนกัน
The Vampire's Fourth Story
นิทานเวตาลเรื่องที่ ๕
เรื่องท่ี๕
เวตาลเริ่มด้วยส้าเนียงโอนอ่อนว่า ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ พระองค์ทรง
ปัญญายิ่งล้นหาผู้เสมอมิได้ในสามภพก็จริง แต่หมาซึ่งเป็นสัตว์สี่เท้ายังรู้พลาดแลล้ม
ในเวลาเหยียบที่ลื่นฉันใด ผู้เป็นปราชญ์แม้ปัญญาจะทึบเพียงไร.... พระราชาทรงจับ
ย่ามกระชาก เวตาลแกล้งร้องครวญครางเหมือนหนึ่งได้ความเจ็บปวด ครั้นหยุดร้องก็
เล่าต่อไปด้วยส้าเนียงแจ่มใสว่า

ในเมืองชื่อ มาลยะ ตั้งอยู่แถบฝ๎่งเหนือแห่ง ภารตะวรรษ (คืออินเดย) มกรุงชื่อ


จันทร์อุทัย พระราชาทรงนาม รันธีระ เป็นกษัตริย์คล้ายกับกษัตริย์อื่นอกหลายองค์ซึ่งเป็นคน
ครึ่งเทวดา
เมื่อยังหนุ่มีพระองค์เป็นชายชนิดท่เรยกสรรพรสิก เป็นผู้ยินดในรสทั้งปวงีโปรด
เสวยของมโอชะแปลกๆ ทั้งชนิดท่ต้องเค้ยวแลไม่ต้องเค้ยวีทั้งท่เป็นอาหารแลไม่เป็นอาหาร
ทั้งท่มเยื่อและไม่มเยื่อีส่วนของเสวยท่ไม่ต้องเค้ยวนั้น โปรดเสวยคราวหนึ่งมปริมาณมากๆีแล
ซ้ําถ่ด้วย อนึ่งเธอโปรดฟ๎งดนตรแลทอดพระเนตรนางระบํา ทรงหมกไหม้ใฝุฝ๎นในกามคุณยิ่ง
กว่าทรงแสวงความรู้ หรือทําบุญต่อเทวดาหรือสนทนากับคนฉลาดีครั้นพระชนมายุพ้นี๓๐ีปี
ไปแล้ว ก็กลับพระองค์เป็นคนละคนีทรงละเว้นการคะนองยินดในรูปรสกลิ่นเสยง ทรงประกอบ
ราชกิจเป็นอย่างดีไม่ช้านักก็ได้พระนามว่าเป็นพระราชาผู้เลิศ จะหาพระมหากษัตริย์ดเสมอนั้น
ยาก
การท่เป็นดังน้ก็เป็นท่น่าสรรเสริญเพราะพระราชาซึ่งเป็นผู้แทนพระพรหมอยู่ใน
โลกน้ โดยมากมักจะทรงยินดในการกินแลดื่มีทั้งทรงรื่นเริงในการระบําบําเรอ บูชากามเทพ
ตลอดชวิต

ในหมู่ข้าราชการของพระรันธระ มบุรุษผู้หนึ่งชื่อ คุณศังกร รับราชการในตําแหน่ง


ธรรมาธิการของพระนคร
คุณศังกรน้เป็นคนแปลกเหล่าีเพราะเป็นคนฉลาดด้วย ซื่อแลมยุติธรรมด้วยีการ
ตัดสินคดย่อมทําโดยระมัดระวัง ในเวลาท่กินข้าวเย็นแล้วเสมอกับท่ยังไม่ได้กินีถ้ามผู้มาติด
สินบน แม้สินบนนั้นจะทําให้ความเจริญเกิดในครอบครัวก็ยังไม่รับีถ้าคนจนมาต้องคด ก็มักจะ
ได้รับสิ่งซึ่งคนจนไม่ใคร่ได้รับีคือความกรุณา ถ้าคนมั่งมมาเป็นความก็ไม่จําเป็นจะถูกลงโทษ
เพราะมั่งม เพื่อให้ปรากฏว่าธรรมมาธิการแลธรรมศาสตร์มิได้นับถือบุคคลผู้ใดเลย เมื่อนั่งบน
บัลลังก์ว่าความีก็มิได้ใช้วาจาทารุณดุด่าลูกความท่กล่าวตอบไม่ได้ แลไม่ถือว่าผู้ใดอุกอาจ
ล่วงเกินในเวลาท่หาใครทําเช่นนั้นไม่

ชนทั้งหลายในกรุงจันทร์อุทัยีพากันรักแลนับถือคุณศังกร แต่ความรักแลความนับ
ถือนั้น จะได้เป็นเครื่องปูองกันมิให้โจรกรรมเกิดแทบทุกวันก็หามิได้ จนประชาชนในกรุงจันทร์
อุทัยไม่รู้จะปูองกันรักษาทรัพย์ของตนอย่างไร ในท่สุดพวกพ่อค้าซึ่งถูกโจรภัยยิ่งกว่าคนพวก
อื่นีพากันไปร้องทุกข์ต่อคุณศังกร กล่าวว่า

"ข้าแต่ท่านผู้เป็นเสาแห่งกฎหมาย พวกเราถูกพวกโจรกระทําการข่มเหงจนสิ้น
ทรัพย์ไปเป็นอันมากีเราจะอยู่ในกรุงน้ต่อไป ก็ไม่อาจอยู่ได้เสยแล้ว" คุณศังกรตอบว่า
"สิ่งใดเกิดแล้ว สิ่งนั้นย่อมเกิดแล้วีเราจะแก้สิ่งท่เกิดแล้วให้กลับไม่เกิดนั้นแก้
ไม่ได้ แต่ในภายหน้าเราจะมิให้ท่านต้องรับความเดือดร้อนอันน้จะจัดการแก้ไขมิให้พวกโจร
เป็นภัยแก่ท่านอกได้"

เมื่อได้กล่าวเช่นน้แล้ว คุณศังกรก็เรยกเจ้าหน้าท่ผู้อยู่ใต้บังคับมาสั่งให้เพิ่มจํานวน
กันขึ้น แลให้ช่วยกันระวังรักษาการณ์ีช้แจงวิธการให้แยกกันเฝูารักษายามกลางคืน ให้เปิด
ทะเบยนจดชื่อแลตําแหน่งท่พํานักของคนเข้าออกในกรุงนอกกรุง ให้จัดหาผู้ชํานาญการสะกด
รอยเท้าีจัดเป็นหมู่เป็นกองีแม้โจรจะสวมเกือกโจร (ซึ่งมักจะทําด้วยด้วยท่อนแลเศษหนังีม
นิ้วอยู่ข้างส้นหรือมวิธล่อลวงอย่างอื่น) ก็อาจสะกดรอยตามไปจนจับตัวได้
อนึ่งคุณศังกรสั่งอนุญาตต่อกองตระเวนว่า ถ้าพบขโมยกําลังกระทําโจรกรรมก็ให้
ประหารชวิตได้ด้วยีไม่ต้องตั้งป๎ญหาสักคําเดยว

ดังน้คนเป็นอันมาก ก็ช่วยกันตระเวนรักษาถนนในพระนครเพื่อปูองกันโจรผู้ร้ายมิ
ให้กําเริบ แต่โจรกรรมก็มิได้สงบไปเลยีชาวกรุงจันทร์อุทัยยังเสยทรัพย์เพราะขโมยอยู่เนืองๆ
แทบไม่เว้นคืนีอยู่มาไม่ช้าพวกพ่อค้าก็นัดกันไปประชุมเฉพาะหน้าคุณศังกร แล้วกล่าวว่า

"ข้าแต่ท่านผู้เป็นอวตารแห่งยุติธรรม ท่านได้เปล่ยนเจ้าพนักงานเป็นอันมากแล้วี
ท่านได้จ้างคนยามเพิ่มขึ้นมากแล้ว แลท่านได้จัดการตระเวนมากขึ้นแล้วีแต่จํานวนโจรจะ
ลดลงไปก็หามิได้ โจรกรรมยังเกิดอยู่อย่างเก่านั้นเอง"
คุณศังกรได้ฟ๎งดังนั้น ก็พาพวกพ่อค้าเข้าไปเฝูาพระราชาในพระราชวัง แลบอกให้
ถวายเรื่องราวบังคมทูลแทบฝุาพระบาทพระมหากษัตริย์ ฝุายพระราชาเมื่อได้ทราบดังนั้นีก็
ตรัสปลอบโยนพวกพ่อค้าเป็นอันดีแล้วรับสั่งว่า
"พวกเจ้าจงวางใจเถิดีคืนวันน้เราจะจัดการอย่างใหม่ แลถ้าเทพเจ้าทรงกรุณาให้
การเป็นไปดังหมายีพวกเจ้าก็คงจะสิ้นเดือดร้อนในครั้งน้" ตรัสดังนั้นแล้วก็รับสั่งให้พ่อค้า
ทั้งหลายทูลลาจากท่เฝูา

เวตาลกล่าวต่อไปแก่พระกรมาทิตย์ว่าีพระองค์คงจะได้เคยฟ๎งคํากวโบราณกล่าว
ไว้ว่า

ธรรมดาคนเขลาเบาจิตคิดมิชอบ
ย่อมเกิดกอปรด้วยความมิรู้บังคับยับยั้งใจ
ออกแล่นไปตั้งแต่สุดทางข้างท่เป็นต้น
วิ่งตะบันไปจนสุดหนปลายข้างโน้น
ครั้นถึงท่สุดแห่งปลายโพ้นแล้วไซร้
จะแล่นต่อไปก็มิรอด เพราะเป็นทางบอดอยู่เพยงนั้น
ทั้งใจก็เต้นแลเส้นก็สั่นเพราะเหน็ดเหนื่อย
ป๎ญญาก็เฉื่อยเพราะล้าแลช้าีเพราะแล่นนั้นเอง
ปราชญ์ในเพรงท่านจึงไม่สรรเสริญ
ผู้ที่แล่นเร็วเพลินตั้งแต่ต้นจนปลาย
ปราศความหมายว่าจะท้าฉันใดในเมื่อสุดทางแล้ว
ผิยังคลาดแคล้วความประสงค์มุ่งมาด
จะเหาะเหินเดินอากาศก็เหาะไม่เป็น
ดังฤาจะมิยากล้ําลําเค็ญเข็ญขร
ประหนึ่งว่าต้องพิษศรแหลมเส้ยม
เห้ยมทุกข์ท่อัดอั้นต้นหฤทัย
เยยใดจะเสร็จหวังดังปรารถนาพ่อเอยฯ

พระรันธระเป็นพระราชาซึ่งประชาชนนับถือว่าเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ธํารงธรรมทุก
ประการแล้ว ยังไม่พอพระหฤทัยียังอยากจะกระทําให้เลิศกว่านั้นไปอก ถึงทอดพระองค์ลง
ประกอบกิจซึ่งไม่พึงทรงกระทําเองเลย
ในคืนนั้น พระราชาทรงปลอมพระองค์โดยวิธผัดพระพักตร์ด้วยผงสท่ทําให้พระฉว
ผิดไป ป๎้นหนวดเหนือพระโอษฐ์ตั้งขึ้นไปเกือบถึงพระเนตร แลแสกหนวดท่คางเอาปลายป๎ดไป
ทางพระกรรณทั้งสองข้าง ทั้งเอาขนหางม้าผูกพระนาสิกรั้งไปข้างหลังให้แน่นจนเปล่ยนรูปไป
เหมือนจมูกคนอื่น เมื่อแต่งพระพักตร์ดังน้แล้วก็คลุมพระองค์ด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบ รัดสะเอวแล
ขัดกระบ่ีพระกรสอดโล่พร้อมแล้วีก็เสด็จออกจากพระราชวังพระองค์เดยว มิได้ตรัสให้ใคร
ทราบ
ทรงดําเนินไปตามถนนในพระนคร คืนวันนั้นมืดนัก พระรันธระทรงเดินไปในพระ
นครอันเงยบจนเกือบชั่วโมงหนึ่งก็มิได้พบปะใคร ครั้นทรงเดินเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่งีหลัง
หมู่บ้านซึ่งเป็นท่อยู่แห่งพ่อค้า ได้ทอดพระเนตรเห็นหมาตัวหนึ่งซึ่งปรากฏเหมือนหมาไม่มท่
อาศัย หมานั้นนอนอยู่ข้างฝาเรือนแห่งหนึ่งีพระราชาทรงเดินเข้าไป พอใกล้เข้าไปก็มชายคน
หนึ่งลุกทะลึ่งขึ้นจากท่มืดีซึ่งได้นั่งเป็นท่กําบังอยู่ แล้วถามว่า
"นั่นใคร" พระรันธระตอบตรัสตอบว่า
"ข้าเป็นขโมยีเจ้าเป็นอะไร" ชายผู้นั้นตอบว่า
"ข้าก็เป็นขโมยเหมือนกันีมาเราจงไปด้วยกันเถิดีแต่เจ้าเป็นอะไร เป็นขโมยผู้ด
หรือขโมยไพร่" พระราชาตรัสตอบว่า "คนหากินอย่างเดยวกันต้องตั้งพิธเอาใจกัน
สักหน่อยจึงจะต้องตําราโจร เวลาน้พระจันทร์ก็จะขึ้นอยู่แล้วีถ้าระวังไม่ดตุลาการได้ตัวเราไป
ชําระ เวลาถูกจับกับเวลาแขวนคอของเราจะไม่ห่างกันก่มากน้อย" โจรกล่าวว่า
"เจ้าจงสงบลิ้นของเจ้าเสยบ้างเถิดีเราจะได้ลงมือทําการด้วยกัน"

ดังนั้นพระราชาแลโจรก็พากันไปตามทาง พบพวกโจรแอบซุ่มด้อมมองอยู่ตาม
ถนนเป็นอันมากีแต่ด้วยเหตุท่กําบังด ผู้ท่ไม่รู้ร่องรอยก็หาพบปะพวกเหล่านั้นไม่ีโจรบางคนก็
ซุ่มเล้ยงสุรากัน บางพวกก็ทําร้ายชวิตเจ้าของทรัพย์ีบางพวกก็ทาตัวด้วยน้ํามันแลทาขอบตา
ด้วยเขม่า แล้วท่องมนตร์ท่จะทําให้ตาสว่างเห็นได้ไกลในเวลามืด บางพวกก็ฝึกซ้อมวิชาซึ่งได้
เรยนรู้เนื่องมาจากเทวดาผู้ถือหอกทองคือ พระกรรติเกยะ (สกันทะ) ผู้เป็นเจ้าแห่งโจรกรรม
แลเป็นผู้ท่ได้แสดงตําราชื่อเจาริยวิทยาแก่ชายผู้หนึ่งชื่อ ยุคาจารยี์เป็นแบบฉบับสําหรับสั่ง
สอนศิษย์สืบมา
โจรบางพวกฝึกฝนวิชาซึ่งกล่าวในตําราทั้งี๔ีอย่างีสําหรับการทําทางเข้าไปใน
เรือนคือี(๑) เจาะผนังเอาอิฐดินสุกออกทละแผ่นๆี(๒) เจาะผนังตึกซึ่งก่อด้วยอิฐดินดิบ เมื่อ
กําแพงนั้นอ่อนด้วยความชื้นีหรือแห้งเกราะด้วยแสงแดดีหรือด้วยใช้น้ําเกลือี(๓) เทแลสาด
น้ําราดผนังดินี(๔) เจาะฝาไม้
อนึ่งลูกแห่งพระสกันทะเหล่านั้นเจาะฝาเป็นรูปดอกบัวีรูปพระอาทิตย์ รูป
พระจันทร์ข้างขึ้นีรูปทะเลสาบีแลรูปหม้อน้ําีตามวิธท่บัญญัติไว้ในคัมภร์ แลทาน้ํามันว่านยา
เป็นเครื่องกําบังตัวมิให้ใครเห็นีแลปูองกันอาวุธมิให้ถูกกาย

ครั้นพระราชาแลโจรผู้เป็นสหาย กระทําโจรกรรมได้ทรัพย์มราคาจนเต็มย่ามแล้วี
โจรจึงกล่าวแก่พระราชาว่าี"น่แน่ะสหาย เราได้ทรัพย์มากแล้วีบัดน้เราจะกลับไปท่ซ่อนของ
เรา อันเป็นท่ซึ่งพวกเราคอยการเล้ยงเหล้าอยู่แล้ว"
พระราชาทรงได้ยินก็ยินดในพระหฤทัยีทรงตั้งจํานงจะตามไปดูความลับของซ่อง
โจรให้ได้ พระราชาแลโจรก็พากันไปตามทางท่จะกลับไปซ่องีได้พบรูหนูรูหนึ่งตามทาง
พระราชาทรงแสดงความยินดทั้งในวาจาอาการ (เพราะการพบรูหนูถือกันว่าเป็นเครื่องส่งโชค
ด) โจรเห็นดังนั้นก็เป็นท่พอใจ และเชื่อว่าพระราชาเป็นโจรอกคนหนึ่งจริง จึงสอนให้ผิวพระ
โอษฐ์แลกล่าวคําอาณัติสัญญาณตามวิธโจรในซ่องของตน แลทั้งสัญญาว่าจะยอมให้รับส่วน
แบ่งแห่งทรัพย์ท่หาได้ในคืนนั้นด้วย

ครั้นไปถึงประตูกรุงีโจรก็เคาะติดๆีกันสองหน มผู้เปิดประตูให้ทันท โจรก็พา


สหายใหม่เดินไปจนใกล้จะถึงเขาเต้ยแห่งหนึ่งห่างกําแพงเมืองประมาณี๒ีโกรศ ครั้นไปถึงปุา
มืดก่อนถึงเขาีโจรก็ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งีแล้วเอานิ้วใส่ปากผิวติดๆ กันสองครั้งีดังก้องไปในปุา
เงยบ คอยอยู่ครู่หนึ่งได้ยินเสยงตอบสัญญาณเหมือนนกเค้าแมวร้อง โจรก็ตอบสัญญาณอกครั้ง
หนึ่งด้วยเสยงร้องเหมือนหมาใน
ในทันใดนั้นีคนถืออาวุธประมาณี๖ คนก็ทะลึ่งขึ้นจากท่กําบังแลหญ้ารกเพื่อจะรับ
สัญญาณอกครั้งหนึ่งีโจรก็ให้สัญญาณ แลพระราชาก็ทําตามท่โจรสอนไว้แล้วพากันผ่านเลย
ไป คนถืออาวุธซึ่งเป็นกองรักษาของโจรก็กลับหายไปในท่รกนั้นเอง
ฝุายพระราชานั้นทรงสังเกตจําสัญญาณเหล่าน้ไว้หมด ทั้งทรงสังเกตทางเดินแล
จําท่หมายไว้ทุกประการ แลเมื่อเข้าปุาแล้วยังได้ทรงถากต้นไม้ให้รู้ทางไว้อกชั้นหนึ่ง ครั้นเดิน
ไปได้ครู่ใหญ่ๆีถึงเชิงหน้าผาีโจรก็เดินเข้าไปทํากิริยาเคารพต่อหน้าผานั้น แล้วเดินไปถึงท่
ว่างแห่งหนึ่งในท่ใกล้ีเลิกหญ้าขึ้นแห่งหนึ่งก็เห็นฝาปิดปากหลุม โจรแลพระราชาก็ช่วยกันเปิด
ฝานั้นขึ้นีเห็นแสงสว่างข้างใน แลได้ยินเสยงคนเป็นอันมากพูดกันอยู่ข้างล่างีโจรกล่าวแก่
พระราชาให้ตามลงไปในหลุม แล้วก็ถือย่ามลงไปก่อนตามบันไดไม้ไผ่ีพระราชาก็เสด็จตามลง
ไป ครั้นถึงพื้นล่างเห็นเป็นห้องใหญ่มคบไฟจุดป๎กอยู่เป็นควันตลบไปทั้งนั้น

เมื่อลงไปในท่สว่างใต้ดินเช่นน้ ภายหลังท่เดินไปในปุามืดก็ทําให้พระราชาทรงนึก
ถึงกรุงบาดาล ซึ่งทรงได้ยินพระราชมารดากล่าวถึงแต่พระองค์ยังเยาว์พระชนม์ ส่วนบนพื้นถ้ํา
นั้นปูด้วยพรมตั้งแต่อย่างดท่สุดจนอย่างเลวท่สุดปะปนกัน มถุงย่ามอาวุธแลทรัพย์ท่กระทํา
โจรกรรมมาได้แลเครื่องดื่มเครื่องกินต่างๆ วางเรยงรายไป
โจรพาพระราชาเดินผ่านห้องน้ไปเข้าอกห้องหนึ่ง พบโจรเป็นอันมากเตรยมตัว
สําหรับความสําราญีแลการเล้ยงในเวลากลางคืน บางคนก็เปล่ยนเสื้อซึ่งเปื้อนเปรอะเพราะ
เท่ยวซอกซอน บางคนก็ล้างเลือดจากมือแลเท้าของตนีบางคนก็หวผมซึ่งมากไปด้วยฝุุน บาง
คนก็ทาตัวด้วยน้ํามันมะพร้าวอันอบแล้วให้หอม ล้วนเป็นคนจําพวกหยาบช้าทารุณแสนสาหัส
ทั้งนั้น บางคนชํานาญการแทงคนด้วยอาวุธแหลมซึ่งห้อยอยู่กับเอว บางคนเป็นผู้วางยาพิษฆ่า
คนด้วยยาซึ่งใส่ถุงเล็กแขวนอยู่ท่แขนซ้าย บางคนก็ชํานาญการอย่างอื่นซึ่งมท่หมายให้เห็นได้
บ้างีไม่มบ้าง

พระราชาเสด็จไปในท่ประชุมคนเหล่าน้ ให้คิดยินดท่ได้ปลอมพระองค์อย่างสนิที
ไม่มใครในหมู่โจรท่จําพระองค์ได้ แม้ข้าราชการแลพวกท่รับจ้างเป็นผู้ตรวจการรักษาพระนคร
ซึ่งท่จริงเป็นโจรแลมาอยู่ในชุมชนโจรคืนนั้นีก็จําพระราชาไม่ได้ พระราชาได้ทอดพระเนตร
เห็นข้าราชการผู้เป็นกองตระเวนปูองกันโจรกลับเป็นโจรอยู่ในสํานักโจรดังนั้น ถ้าไม่ทรงสงสัย
อยู่ก่อนก็ทรงทราบได้ในเวลานั้นว่าเหตุใดโจรกรรมจึงไม่สงบไปเลยในพระนคร
ฝุายโจรซึ่งเป็นสหายพาพระราชาเข้าไปในซ่องโจรคืนนั้น ปรากฏจากอาการท่หมู่
โจรต้อนรับว่าเป็นนายซ่อง นายโจรบอกให้คนทั้งหลายคํานับเพื่อนโจรท่มาใหม่ แล้วไต่ถามแล
ตอบกันถึงความสําเร็จหรือไม่สําเร็จของคนทั้งหลายซึ่งออกทําการในคืนนั้น
ไม่ช้าก็พากันไปในห้องเล้ยงีต่างคนต่างนั่งลงตามท่ของตน กินอาหารดื่มสุราแล
บริโภคสิ่งอื่นๆีตามสมัครแลสบาย ครั้นเมื่อได้เล้ยงแลรื่นเริงกันแล้วสองสามชั่วโมงีคบไฟ
ตามท่อยู่นั้นก็หมดไป แลความง่วงก็เกิดแก่คนพวกนั้นีจนถึงคนท่ง่วงยากท่สุดก็ง่วง ต่างคน
ต่างเอนตัวลงนอนเกะกะกันไปีบ้างก็ห่มผ้าแลเอาผ้าคลุมศรษะหลับ บางคนนั่งพิงโงกนไปข้าง
หนึ่งีมอาการแน่นิ่ง ด้วยพิษฝิ่นแลกัญชาเหมือนหนึ่งไม่รู้สึกอะไรเลย
อกสักครู่หนึ่งมหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องีเป็นบ่าวรับใช้ของพวกโจรเหล่านั้น
แลพระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นหญิงนั้นก่อนเวลาท่กล่าวน้ไม่ีครั้นเข้ามาเห็นพระราชา หญิง
นั้นจําได้ก็กล่าว่า
"น่เหตุไรพระองค์จึงเสด็จเข้ามาอยู่ในหมู่คนทําบาปเช่นน้ พระองค์จงรบเสด็จหน
ไปเสยโดยเร็วเถิด ถ้าไม่เช่นนั้นคนเหล่าน้ตื่นขึ้นก็คงจะประหารชวิตพระองค์เสยเป็นแน่"
พระราชาตรัสตอบว่า
"เราไม่รู้จักทางีเจ้าจงนําเราไปเถิด" หญิงนั้นก็ออกนําพระราชาให้เสด็จหน
พระองค์ทรงก้าวหลกไปในเหล่าคนท่นอนกรนเกะกะกันไปรอบข้าง ทรงย่องด้วยพระบาทอัน
เบาเหมือนตนเสือปลาจนถึงบันไดท่ทรงปีนขึ้นไปเปิดฝาหลุม ด้วยกําลังทั้งหมดท่มในพระองค์ี
แล้วเสด็จขึ้นจากปากหลุมีแลกระทําท่สังเกตไว้ แล้วปิดฝาหลุมแลเอาแผ่นหญ้าคลุมเสย
ตามเดิม

ครั้นพระราชาเสด็จกลับถึงวังีพอเปลื้องเครื่องปลอมพระองค์ ทรงเครื่องราชาภรณ์
ตามเคยเสร็จยังมิทันไร พวกพ่อค้าในพระนครก็ประชุมกันเข้าไปเฝูาอกครั้งหนึ่งีพวกพ่อค้า
เหล่านั้นกราบทูลว่า ในกลางคืนมโจรกรรมใหญ่ๆีมากรายไปกว่าท่เคยีแลเล่าเรื่องความเสย
ทรัพย์ถวาย แล้วทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุกดาแห่งยุติธรรม เมื่อวานน้เองีพระองค์ทรงปลอบโยนพวก
เราีโดยสัญญาว่าจะทรงใช้วิธใหม่ปูองกันเรือน แลท่เก็บสมบัติของเรามิให้โจรเข้ามารบกวนได้
แต่ท่จริงเมื่อคืนน้เราเสยทรัพย์ไปเพราะโจรียิ่งกว่าท่ได้เป็นมาแล้วในคืนใดๆ เสยอก"
พระราชารับสั่งว่าีให้พวกพ่อค้าออกจากท่เฝูาไปเถิด ทรงสาบานว่าครั้งน้ีถ้าทรง
ทําลายพวกโจรท่กระทําบาปหยาบช้าทารุณเหล่านั้นไม่ได้ ก็จะสละชวิตพระองค์เอง
พระราชาตรัสสัญญาแก่พวกพ่อค้าดังนั้นแล้ว ก็ทรงกําหนดการในพระหฤทัยมิได้
แพร่งพรายให้ใครรู้ แต่ตรัสสั่งทหารธนูพวกหนึ่งให้เตรยมตัวไว้สําหรับราชการลับ ครั้น
ข้าราชการท่ได้ทรงพบในซ่องโจรมาเข้าเฝูาีหรือได้ทอดพระเนตรเห็นในท่ใด ก็ตรัสให้ลอบจับ
เอาตัวไปประหารชวิตเสยในท่ลับ เพราะเหตุว่าคนท่ตายแล้วนั้นผิดกับเวตาลในข้อท่นําเอา
อะไรไปเท่ยวเล่าไม่ได้

ครั้นเวลากลางคืน พระราชาทรงประมาณว่าถึงเวลาท่พวกโจรเท่ยวกระทําลักชิง
ปล้นสะดมเสร็จแล้ว คงจะคืนไปยังซ่องของตนเพื่อการเล้ยงแลการสําราญอย่างแต่ก่อนๆ จึง
ทรงถืออาวุธออกนําหน้าพลออกจากพระนครไปยังหน้าผา ซึ่งอยู่ในปุารกท่เป็นทางเข้าไปสู่
ซ่องแห่งโจร แต่พวกโจรนั้นเมื่อโจรคนใหม่หลบหนไปแต่ตอนกลางคืน ก็เกิดความสงสัยจึง
เท่ยวสืบรู้ตัวว่าอาจมภัยมาในคืนนั้น ครั้นจะแยกกันหลบหนไปในตอนกลางวันก็กลัวว่า ทหาร
ของพระราชาจะเท่ยวตามพบเป็นหมู่เล็กหมู่น้อยีจะรวบรวมกันต่อสู้ไม่ได้ ครั้นถึงกลางคืนจะ
แยกกันหนก็ยังกลัวีเพราะรู้ว่ารุ่งเช้าคงจะถูกจับ

ฝุายนายโจรเป็นผู้มความคิดในทางท่จะสู้ทางเดยว ครั้นภัยจะมาถึงดังน้ีก็ชักชวน
พวกพ้องให้ประชุมกันต่อสู้ีแลสัญญาว่าถ้าพวกโจรทําตาม ก็คงจะสู้ทหารพระราชาได้ดังหวัง
พวกโจรรู้ว่านายเป็นคนกล้าก็มความนับถือ ครั้นกล่าวชักนําดังนั้นก็เชื่อแลสัญญา
ว่าจะกระทําตามทุกประการีครั้นเวลาค่ํา นายโจรก็ประชุมตรวจตราพลโจรีตรวจธนูแลศรแล
อาวุธอื่นๆ แล้วพูดเอาใจแลนําออกเดินไปจากถ้ําีจัดให้พลเข้าซุ่มอยู่ริมทาง ตนเองปีนขึ้นไป
บนแผ่นผาท่สูงเพื่อจะได้เห็นศัตรูมาแต่ไกลีคนอื่นๆ ก็ก้มหูลงฟ๎งท่แผ่นดินีเพื่อจะได้รู้ตัวเมื่อม
อริเข้ามาใกล้
ครั้นพระจันทร์ขึ้นีพวกโจรท่ซุ่มคอยดูอยู่ ก็เห็นพระราชาทรงนําทหารรบเดินไป
โดยมิได้ระมัดระวัง เพราะพระราชาทรงประมาทว่าพวกโจรกําลังหลับเพราะเล้ยงดูกันตามเคย
แลคงจะทรงจับโจรได้ในถ้ําใต้ดินีเพราะความประมาทของคนพาลพวกนั้น ดังนั้นพระราชาเอง
กลับเป็นผู้ประมาทเสยทแก่โจร เพราะเมื่อพระองค์ทรงนําพลไปถึงท่โจรซุ่มีนายโจรก็ปล่อย
ให้เดินถลําเข้าไปจนพอด จึงให้สัญญาณให้พวกท่ซุ่มอยู่โจนขึ้นจากท่ซ่อนพร้อมกัน เข้าตพล
พระราชาโดยท่มิทันรู้กันีทหารหลวงก็พากันแตกตื่นกระจัดกระจาย พากันหนไม่เป็นกระบวนี
ฝุายพระราชาเมื่อเห็นเสยทก็เสด็จหนกับเขาด้วย แต่นายโจรวิ่งตามไปร้องว่า
"โหเหา ท่านผู้มชาติเป็นนักรบก็หนการรบด้วยหรือ"
พระราชาทรงได้ยินดังน้ีก็เสด็จหยุดยืนประจันหน้านายโจร ทั้งสองชักดาบออก
ต่อสู้กันเป็นสามารถีพระราชาเป็นผู้ชํานาญเพลงดาบยิ่งนัก แต่นายโจรก็ชํานาญเสมอด้วย
พระองค์ ต่างคนต่างเริ่มการต่อสู้ด้วยวิธท่คนชํานาญเพลงดาบย่อมกระทํา คือก้มตัวลงจน
เกือบจะเป็นก้อนกลมๆีโจนไปเป็นวงรอบๆีต่างคนต่างจ้องดูตากัน คิ้วขมวดแลริมฝีปากทํา
อาการแสดงความดูหมิ่นปฏิป๎กษ์ แลทั้งโจนไปมาโดยระยะท่คํานวณว่าจะได้เปรยบข้าศึกี
กระโดดเข้าไปราวกับกบกระโดด กระโดดกลับออกราวกับลิงีแลเคาะโล่ด้วยดาบเป็นจังหวะเร็วี
แลดังประหนึ่งเสยงกลอง
พระราชาเห็นได้ทีทรงโจนเข้าไปเอาดาบฟาดขานายโจร พร้อมกับท่ทรงตวาด
ด้วยเสยงอันดังีนายโจรโดดขึ้นสูงจากดิน พระแสงดาบก็หวดไปใต้ขาโจรเปล่าๆีไม่เป็น
อันตรายแก่โจรเลยีในทันใดนั้น นายโจรแกว่งดาบเหนือศรษะสามรอบแล้วฟาดลงมารวดเร็ว
ดังหนึ่งสายฟูา หมายเฉวยงบ่าพระราชาีพระราชาทรงรับด้วยโล่ีอาวุธโจรไม่ถูกต้องพระองค์
แต่ถึงกระนั้นก็ซวนเซไปด้วยกําลังโจรีพระราชาแลโจรต่อสู้ซึ่งกันและกันีต่างรุกแลรับ ต่างก็
โจมฟ๎นแลปูองป๎ดจนเหนื่อยอ่อนแลแขนชาไปทั้งสองฝุาย ฝีมืออาวุธแลกําลังกายแลความ
กล้าก็เสมอกันีไม่มได้เปรยบเสยเปรยบกันอยู่ช้านาน จนนายโจรเหยยบหินซึ่งกลิ้งได้พลาดล้ม
ลง พระราชาก็ทรงโจนเข้าจับนายโจรมัดมือไขว้หลังีทรงผลักไสให้โจรเดินเข้าสู่พระนคร โดย
ท่ใช้ปลายพระแสงดาบเป็นเครื่องบังคับ ส่วนพลโจรนั้นครั้นนายล้มลงก็พากันวิ่งหนไปสิ้น

ครั้นรุ่งเช้าีพระราชาเสด็จไปทอดพระเนตรนายโจรท่คุมขังไว้ รับสั่งให้คุมตัว
ออกมาอาบน้ําชําระกายหมดแล้วให้แต่งเสื้อผ้าอย่างด แล้วให้ขึ้นนั่งบนหลังอูฐมผู้จูงไปตระเวน
รอบพระนครีมผู้ร้องปุาวนําหน้าไปดังน้
"ชนทั้งหลายจงฟ๎งพระราชโองการซึ่งโปรดให้เรามาปุาวร้องีคนๆ น้คือโจรซึ่ง
ลอบลักปล้นสะดมชาวกรุงจันทร์อุทัย ให้ชนทั้งหลายชวนกันมาประชุมเย็นวันน้ในท่ว่างหน้า
ประตูนครด้านทะเล เพื่อจะได้รู้โทษแห่งการประกอบกรรมเป็นบาป แลดูตัวอย่างซึ่งจะทําให้
คนทั้งหลายระวังตัวกลัวผิด" พระราชาได้ตรัสสั่ง แล้วให้ประหารชวิตโจรด้วยวิธเอาตัวขึ้นตตะปู
มือแลเท้าให้กางอยู่ทั้งส่แลตัวตรง สิ่งใดโจรอยากกินให้ปูอนให้กินเพื่อชวิตจะได้ยาวแลทน
ทุกข์อยู่ได้นาน เมื่อใกล้จะตายให้หลอมทองคําเทลงไปในคอีจนกว่าทองคําจะล้นแลแตก
ออกมาตามคอแลภาคอื่นๆ ในตัวโจร

ครั้นเวลาเย็น ผู้คุมก็พาตัวโจรไปประหารชวิตโดยวิธท่กล่าวนั้น เผอิญกระบวนแห่


นักโทษผ่านไปทางเรือนแห่งเศรษฐผู้หนึ่งีซึ่งมทรัพย์มากล้นพ้นประมาณ เศรษฐผู้นั้นมลูกสาว
เป็นท่รักชื่อ นางโศภนีนางเป็นผู้อยู่ในวัยเยาว์คือดอกไม้ประกอบด้วยความงามทุกประการ
แลงามขึ้นทุกเวลาทุกขณะีนางน้บิดาได้สงวนไว้มิให้ชายเห็นีจะออกนอกกําแพงสวนก็ไม่ได้
เพราะนางนมซึ่งเป็นผู้ท่ชาวบ้านใกล้เคยงพากันนับถือว่า เป็นผู้ฉลาดรู้การล่วงหน้านั้นีได้
ทํานายไว้ในขณะท่นางนมจะตายว่า นางโศภนน้จะเป็นนางงามซึ่งคนชมทั่วพระนครีจะไม่ได้
สามโดยวิวาหะแต่จะเป็นหม้ายสต (คือแม่หม้ายซึ่งฆ่าตัวตายในกองเพลิงเผาศพผัว)
ตั้งแต่นั้นมาเศรษฐผู้บิดาก็ระวังรักษาบุตรเหมือนหนึ่งเก็บมุกดาไว้ในหบ แล
กําหนดทางแห่งชวิตของลูกสาวไว้โดยหวังว่าจะให้เป็นไปตลอดอายุ คือไม่ให้เก่ยวข้องพัวพัน
กับชายเป็นอันขาด แต่การกําหนดทางแห่งชวิตล่วงหน้าช้านานเช่นนั้น ปราชญ์ผู้เป็นกวโบราณ
กล่าวกลอนไว้เป็นเครื่องจูงป๎ญญาว่า

O อันวิถชวิตเดินผิดง่าย
แม้นผิดหมายอาจถลํานําสู่เถิน
ใครกําหนดล่วงหน้าช้าเหลือเกิน
ถึงคราวเดินอาจผิดท่คิดไว้
ป๎ญญาเราแค่คืบสืบไม่ออก
เหลือจะบอกล่วงหน้าช้าีๆีได้
อันวิถชวิตคิดอย่างไร
จักแจ้งใจข้างหน้าอนาคตฯ

คํากลอนท่มคติเป็นเช่นน้ีเศรษฐผู้เป็นบิดานางโศภนคงจะไม่เคยรู้ มิฉะนั้นกวผู้
กล่าวกลอนนั้นกล่าวทหลังีหรือกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ตัวกวเอง มิได้เก่ยวแก่ผู้อื่นนอกจากผู้ท่
ได้ฟ๎งกลอนโดยเฉพาะก็เป็นได้
ความจริงจะอย่างไรก็ตามีแต่เศรษฐบิดาได้กําหนดการไว้จะให้เป็นไปตลอดชวิต
ลูกสาว แลตัวเศรษฐเองก็กล่าวให้คนทั้งหลายทราบแน่นอนว่า ถ้าบุตรสิ้นชวิตบิดาจะมชวิตอยู่
ต่อไปไม่ได้เป็นอันขาด ความคิดอันน้มั่นในใจเศรษฐจนได้กําหนดตําแหน่งีแลวิธฆ่าตัวตายไว้
เสร็จีแต่ ศรคือผลแห่งกรรมปางก่อนีอาจตามขึ้นไปถูกแร้งซึ่งร่อนอยู่เหนือเมฆ อาจตามลงไป
ถูกตัวหนอนซึ่งซ่อนอยู่ในดินีแลอาจแทรกน้ําลงไปถูกปลาในท้องมหาสมุทร ฉันใดเล่ามนุษย์
จะหนพ้นได ้ี

ในเย็นวันท่จะประหารชวิตนักโทษนั้น เผอิญเกิดไฟไหม้ขึ้นในบ้านเศรษฐภาคท่
เป็นท่อยู่แห่งหญิง หญิงทั้งหลายรวมทั้งนางโศภนก็ต้องหนออกจากห้องท่อยู่ภาคในบ้าน มา
พักอยู่ท่ห้องริมถนนีแลในถนนมคนแน่นไปทั้งนั้น เสยงคนแจจันพูดกันไปตามทางในพระนคร
มคํากล่าวบอกกันว่าโน่นแน่โจรซึ่งได้ลอบลักปล้นสะดมคนทั้งหลายในพระนคร โจรจงสะทก
สะท้านลาญใจเถิดีพระราชามรับสั่งจะให้ประหารชวิตอยู่แล้ว ในเชิงรูปงามก็ดีมทรงโอ่อ่าก็ดี
มกําลังความกล้าก็ด จะหาใครในกรุงจันทร์อุทัยยิ่งนายโจรไปนั้นหาไม่ได้

เมื่อนายโจรได้แต่งกายด้วยเครื่องแต่งงดงามดังนั้น แม้กระบวนแห่เป็นเครื่อง
อุจาดก็จริง แต่นายโจรก็ยังมทรวดทรงอาการประหนึ่งพระราชบุตรข่อูฐไปด้วยท่าทางงดงาม
ผิวหน้ามิได้เสยีแลด้วยความไว้ตัวีจะได้ยินคําเยาะเย้ยของประชาราษฎร์ก็แทบไม่ได้ยิน แม้
ชาวพระนครทั้งหมดจะพากันแตกตื่นกระสับกระส่าย แลคลั่งเพราะจับโจรได้จะประหารชวิตี
นายโจรมกิริยาเพิกเฉย มิได้พลอยกระสับกระส่ายไปด้วย แต่ครั้นเมื่อได้ยินคนกล่าวให้สะทก
สะท้านริมฝีปากโจรก็ขยับ ตามแสงเหมือนแสงไฟด้วยความโกรธีหว่างคิ้วก็มุ่น

ขณะนั้นนางโศภนร้องกรดขึ้นท่หน้าต่างท่แอบดูอยู่ นายโจรผ่านหน้าต่างไปหน้า
เสมอกับหน้านางีแลอยู่ห่างกับแก้มอันซดไม่ก่คืบ นางได้เห็นลักษณะงามของนายโจรีแล
ในขณะท่นายโจรแสดงเค้าหน้าโกรธนั้น นางรู้สึกสะดุ้งเหมือนหนึ่งรู้สึกถูกสายฟูาีในทันใดนั้น
นางโศภนก็วิ่งไปหาบิดา บอกว่า
"บิดาจงรบไปโดยเร็วแลขอโทษให้พระราชาปล่อยโจรนั้นเถิด"
เศรษฐบิดาตกใจเพราะคําท่บุตรกล่าวีตอบว่า
"โจรคนนั้นได้เป็นหัวหน้าทําการขโมยทุกประเภททั่วพระนคร แลบัดน้ทหารศร
ของพระราชามชัยจับตัวมาได้ก็โปรดให้ลงอาญาตามควรแก่โทษ พ่อเป็นอะไรจะเข้าไปทูล
ขอให้ทรงปล่อยโจรน้ได้"

นางโศภนแสดงอาการทุกข์ีซึ่งดูประหนึ่งจะทําให้คลั่งไคล้ีตอบบิดาว่า
"ถ้าบิดาจะทูลขอโทษให้พระราชาปล่อยโจรนั้นได้ด้วยยอมถวายสมบัติทั้งหลายี
ของเรา บิดาจงสละทรัพย์ทั้งหมดถวายเสยเถิดีถ้าข้าพเจ้าไม่ได้นายโจรนั้นมา ข้าพเจ้าจําต้อง
สละชวิต"
นางกล่าวแก่บิดาฉะน้แล้ว ก็ชักผ้าคลุมศรษะร้องไห้ลั่นไปทั้งตัวราวกับหัวใจจะ
แตกลงไปกับท่
ฝุายเศรษฐผู้บิดาเมื่อได้เห็นลูกสาวมอาการดังนั้น แลรู้ใจว่าถ้าไม่สมประสงค์ นาง
ก็จะสละชวิตลงไปจริงดังกล่าวแลทั้งทราบว่าตัวเศรษฐเอง เมื่อสิ้นบุตรแล้วก็จะทนรักษาชวิต
ต่อไปไม่ได้เพราะเหตุความโศกเดือดร้อน ด้วยประการฉะน้ีเศรษฐจึงรบเข้าเฝูาพระราชาทูล
ด้วยสําเนยงอันสั่นเพราะเศร้าว่า
"ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าขอถวายทรัพย์เป็นเงินตราส่แสน แลขอ
ประทานโทษนายโจรให้หลุดพ้นพระราชอาชญาเสยเถิด"
พระราชาแปลกพระหฤทัยีทรงคิดว่าคนบ้าหลุดเข้าไปในพระราชวัง ทรงตริตรอง
ว่าจะลงพระราชอาชญานายประตูีด้วยวิธตัดศรษะเสยบหรือผ่าอก หรือจะทําอย่างไหนดียังไม่
ทันตกลงในพระราชหฤทัยีแต่ครั้นทรงสังเกตกิริยาอาการต่อไป ก็ไม่ทรงเห็นได้ว่าเศรษฐเป็น
บ้าีครั้นทูลวิงวอนอกีก็รับสั่งตอบว่า
"โจรคนน้ ได้ทําการปล้นสะดมย่องเบาฉกชิงวิ่งราวทุกประเภทโจรกรรมีแลได้ทํา
ทั่วพระนคร ผู้มทรัพย์ได้รับทุกข์เพราะโจรน้ทั่วหน้า อนึ่งโจรน้ได้ทําร้ายทหารของเราจนย่อย
ยับีการท่จะขอให้ปล่อยไปให้พ้นโทษนั้น ปล่อยมิได้เป็นอันขาด"
เศรษฐได้ฟ๎งรับสั่งดังนั้น ควรจะเห็นได้แล้วว่าจะทูลขอต่อไปก็ไม่มประโยชน์แต่ยัง
ไม่หยุดรําพันวิงวอนทั้งน้ําตา ด้วยทรัพย์สินบนด้วยเรื่องลูกสาวจะสละชวิต แลด้วยข้อท่ตัวเอง
จะต้องตายไปตามกันแต่ก็ไม่มประโยชน์ทั้งนั้น ครั้นเห็นได้แน่ว่าถึงจะอย่างไรีพระราชาก็ไม่
โปรด เศรษฐจึงออกจากท่เฝูาร่ําไห้ไปสู่เรือนของตนีเล่าความให้บุตรฟ๎งว่า
"ลูกเอ๋ยีพ่อได้พยายามทุกลู่ทางแล้ว พระราชาก็ไม่โปรดตามท่เราประสงค์ีมาเรา
จงตายไปด้วยกันเถิด"

ฝุายเจ้าพนักงานผู้คุมเมื่อได้พานายโจรตระเวนรอบกรุงแล้ว ก็พาไปนอกประตูพระ
นครีแล้วจัดการลงโทษตามพระราชกําหนดีนายโจรทนเจ็บปวดด้วยความมั่นคง ในใจ
ปราศจากอาการแสดงทุกข์ีแต่เมื่อมผู้เล่าให้ฟ๎งถึงนางโศภน นายโจรอดใจไว้ไม่ได้ก็ร้องไห้ขึ้น
ด้วยเสยงอันดัง แสดงความเศร้าสงสารประหนึ่งหัวใจจะแตกออกไป อกครู่หนึ่งก็หยุดร้องไห้
กลับหัวเราะด้วยสําเนยงอันดัง ประหนึ่งอยู่ในท่รื่นเริงด้วยการเล้ยง คนทั้งหลายท่ประชุมดูการ
ประหารชวิตอยู่นั้นพากันแปลกใจท่นายโจรหัวเราะเหมือนหนึ่งเห็นอะไรสนุก แลเมื่อหัวเราะใน
เวลาท่เหล็กแหลมกําลังแทงเข้าไปในเนื้อจนคนดูพากันเสยวไส้เช่นนั้น ใครเลยจะเห็นเหตุท่
ควรรื่นรมย์

ฝุายนางโศภนผู้ได้มคู่แล้วโดยใจนึก ครั้นนายโจรผู้สามโดยวิวาหะอันมิได้กระทํา
นั้นสิ้นชวิตไปแล้ว นางก็กล่าวแก่ตัวเองตามคติโบราณีซึ่งกวแต่งไว้ดังน้

O ผมขนคนในกายีมประมาณหมายประมวลเป็น
สามสิบห้าล้านเส้นีอาจจะนับถ้วนจํานวนม
o หญิงใดได้เผาตัวีเมื่อีณ เผาผัวจะได้ด
สามสิบห้าล้านปีีนับฉนําซึ่งจะถึงฟูา
o ฉันใดคนคล้องงู ดึงประจากรูก็ขึ้นมา
ฉันนั้นนางเหน่ยวสาีมมิให้ตกนรกแรง
o แม้นเขาเนาขุมทุกข์ีเพลิงก็ร้อนรุกแลลุกแดง
ถูกมัดรัดรึงแทง พิษจะเปรยบแหลนก็แสนอัน
o เดือดร้อนเหลือผ่อนพักีโทษจะหนักนักสํานักทัณฑ์
เหตุหยาบบาปในบรรพ์ีทุกขะเหลือร้อนก็อ่อนเพลย
o ผัวเป็นเช่นน้ไซร้ อาจจะคืนได้เพราะคุณเมย
เผาตัวเพลิงผัวเลยีตายจะเป็นบุณยะจุนผัว
o หน้าท่แห่งหญิงหม้ายีกาละผัวตายก็เผาตัว
ในใจไปุคิดกลัวีธรรมะจารบ่มเยง
O ตราบใดหญิงยังขาดีใจบ่อาจคํานึงเกรง
กริ่งกลัวเผาตัวเอง พร้อมกะศพผัวเพราะมัวมน
o ตราบนั้นแม้นเกิดใหม่ีคงจะไม่ใช่มนุษย์ชน
จักมส่ตนตนีย่อมจะต่ําต้อยมิน้อยเลยฯ

นางโศภนกล่าวแก่ตัวเองดังน้แล้วีก็กําหนดใจจะเผาตนในกองเพลิงเผาศพสามผู้
มิใช่ผัว เพื่อจะให้นายโจรได้ความสุขในโลกหน้า นางกําหนดใจดังนั้นแล้วก็แสดงความกล้า
ด้วยวิธเผานิ้วด้วยคบเพลิง จนนิ้วนั้นไหม้เป็นถ่านไปทันทีแล้วนางก็ลงล้างกายชําระมลทินใน
แม่น้ํา การเตรยมทําพิธเผาตัวนั้น
นางจัดให้มผู้ขุดหลุมๆีหนึ่ง แล้วเอากิ่งไม้สดเรยงเป็นตารางีบนตารางวางฟืนแล
เชื้อเพลิงีคือีปอีชันแลฆเป็นต้น เมื่อจัดตารางเผาศพแล้วีก็เอาศพนายโจรมาชโลมน้ํามันให้
สะอาดีแต่งเครื่องเสื้อผ้าใหม่ เอาวางบนกองเชื้อเพลิงีนางโศภนกล่าววิงวอนเทพเจ้า ขอให้
นางกับสามได้อยู่เป็นสุขด้วยกันในสวรรค์ีมนางระบําเป็นผู้ปฏิบัติด้วยด โดยจํานวนปีเท่ากับ
รัชกาลแห่งพระอินทร์ี๑๔ีองค์ีหรือเท่ากับจํานวนผมในเศยรแห่งนาง ครั้นเสร็จวิงวอนแล้วนาง
ก็ให้เครื่องประดับกายีแลข้าวปลากระยาหารแจกจ่ายในหมู่มิตร แล้วเอาด้ายพันข้อมือทั้งสอง
ข้างีเอาหวใหม่ป๎กในผมีแลทาหน้าผากด้วยแปูงส แล้วเอาข้าวสารแลเบ้ยผูกท่ปลายผ้าอัน
เป็นเครื่องปกคลุมกาย ครั้นเสร็จแล้วนางเดินประทักษิณศพเจ็ดรอบ แลยื่นข้าวสารแลเบ้ย
ให้แก่ผู้ท่ยืนอยู่ในท่ใกล้ในเวลาประทักษิณนั้น ครั้นเสร็จประทักษิณแล้วีนางก็ขึ้นนั่งบนกองฟืน
ท่พร้อมด้วยเชื้อไฟ เอาศรษะแห่งนายโจรวางหนุนตักนางแล้วสั่งให้จุดไฟขึ้นีคนท่อยู่ใกล้ๆ ก็
ช่วยกันจุดไฟขึ้นหลายแห่งีแล้วตกลองแลเปุาสังข์เสยงสนั่นไป มผู้เอาฟางโยนเติมเข้าไปใน
กองเพลิงทั้งเทชันและน้ํามันเนยลงไปในกองไฟอกเป็นอันมาก แต่ความตายของนางโศภนนั้น
เป็นสหมรณะย่อมจะตายเป็นสุขเสมอแลเมื่อได้จุดไฟขึ้นแล้วผู้ใดจะได้เห็นกายนางเขยื้อนก็ไม่
มแท้จริงดูเหมือนจะตายไปก่อนท่เปลวไฟจะถึงตัว

ฝุายเศรษฐผู้เป็นบิดานั้นีเมื่อบุตรถึงแก่ความตายแล้ว ก็จัดให้ช่างเหล็กทําเหล็ก
คมขึ้นอันหนึ่งรูปเหมือนพระจันทร์ครึ่งซก คมเหมือนมดโกนแลพอดกับคอของตนีปลายสอง
ข้างมโซ่ร้อยยาวพอเท้ายันได้ ตัวเศรษฐนั่งลงหลับตา แล้วให้มผู้เอาดินจากแม่น้ําไวตรณมาถู
ตัวให้บริสุทธิ์แลร่ายมนตร์อันควรแก่พิธแล้ว ก็เอาเท้ายันปลายโซ่หงายคอกระแทกไปด้วย
กําลังแรงศรษะก็ขาดตกกลิ้งอยู่กับพื้น

เวตาลเล่ามาจนถึงเพยงน้ก็หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง มอาการเหมือนดังตรึกตรองถึง
ความสุขซึ่งเศรษฐย่อมจะได้รับ เพราะการสละชวิตตนโดยประการซึ่งเล่ามาน้ีตรงน้พระธรรม
ธวัชพระราชบุตร ทูลถามพระราชาว่าีนายโจรหัวเราะด้วยเหตุใดีพระราชาไม่ทันคิดีทรงตอบ
พระราชบุตรว่า
"หัวเราะเยาะหญิงสาวท่บ้าเหลือเกินนั้นแหละ" เวตาลกล่าวว่า
"ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ท่ทรงปล่อยข้าพเจ้าจากย่ามอันเป็นท่ไม่มสุขน้อก
ครั้งหนึ่ง แต่ความเข้าใจของพระองค์ว่านายโจรหัวเราะเยาะนางโศภนนั้นผิดเสยอกแล้ว ถ้า
ข้าพเจ้าไม่ทูลอธิบายเสยก่อนจึงกลับคืนไปยังต้นอโศก พระราชบุตรก็จะทรงเข้าใจผิดว่าเหตุ
ใดนายโจรผู้กล้าจึงร้องไห้ และเหตุใดจึงหัวเราะในขณะท่บุคคลไม่พึงหัวเราะเลยเป็นอันขาด
เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจะทูลช้แจงเสยก่อนจึงจะทูลลาไป
"เหตุท่นายโจรร้องไห้นั้นีเพราะไม่เห็นทางอันใดท่จะสนองคุณนาง ในข้อท่นาง
เต็มใจสละสิ่งซึ่งพึงสงวนทั้งหลายเพื่อจะช่วยชวิตนายโจร แลการตันความคิดเช่นน้เป็นเหตุให้
เศร้าโศก"
"แล้วนายโจรกลับคิดเห็นแปลกท่สุดท่นางมาเริ่มรักในเวลาท่ชวิตของนายโจรจวน
จะสิ้นอยู่แล้ว อนึ่งเทพยดาอํานวยการบางอย่างในการท่แปลกเหลือมนุษย์จะเข้าใจได้ เป็นต้น
อํานวยทรัพย์มากมายแก่คนตระหน่ซึ่งไม่รู้จักใช้ทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ได้ หรืออํานวยป๎ญญา
แก่คนมสันดานชั่วีซึ่งเมื่อมป๎ญญาแล้วก็ใช้ในทางท่ผิด หรืออํานวยเมยงามให้แก่คนโง่ซึ่งไม่
รู้จักปกป๎กรักษาได้ หรืออํานวยฝนในท่ซึ่งดาดด้วยหินคือเขาเป็นต้น อันไม่เป็นทําเลซึ่งพืช
พันธุ์จะงอกได้เลย นายโจรคิดถึงความแปลกๆีเช่นน้ จึงหัวเราะในเวลาท่ไม่น่าจะหัวเราะ"

"พระองค์ได้ทรงตอบปัญหาเนื่องในเรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าถวายนี้แล้ว แม้ทรง
ตอบอย่างเขลาๆ ก็เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าจะได้กลับคืนไปยังต้นอโศกตามค้าสัญญาที่มีไว้
ต่อกัน แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะไปนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า มนุษย์อาจหัวเราะแลร้องไห้ อาจ
ร้องไห้แลหัวเราะได้ด้วยเหตุทุกอย่างในโลก ตั้งแต่ความตายแห่งเพื่อนบ้านซึ่งมักจะ
ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเลย จนถึงความตายของตนเอง ซึ่งเกี่ยวกับตัวเป็นอันมาก ส่วน
ข้าพเจ้านั้นมีธรรมดาเป็นผู้หัวเราะเห็นขันทุกอย่างทุกเวลา เพราการหัวเราะย่อมช่วย
ให้มันสมองมีอาการฉับไว ช่วยให้ปอดมีก้าลังขึ้น ช่วยให้เค้าหน้างดงามทวีขึ้น แล....
ทูลลาที"
ครั้งน้พระราชาทรงรู้แล้วว่าเวตาลจะหน จึงทรงปลดย่ามจากพระอังสาเอาลงไว้ใต้
พระกรีทรงหนบไว้แน่นแต่ก็ไม่มประโยชน์อะไร เวตาลหลุดจากย่ามโดยง่ายตามเคยีแลลอย
หัวเราะก้องฟูากลับไปยังต้นอโศกตามเดิม
The Vampire's Fifth Story
นิทานเวตาลเรื่องที่ ๖
เรื่องท่ี๖

ครั้นพระวิกรมาทิตย์เสด็จกลับถึงต้นอโศก ทรงปีนขึ้นไปปลดเวตาลลงมา
มัดลงย่ามตามเคย แลทรงพาพระราชบุตรออกเดินไปหน่อยหนึ่ง เวตาลก็เล่าเรื่องที่
กล่าวว่าเป็นเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่งดังนี้

เหนือฝ๎่งอันงามแห่งแม่น้ํายมุนาีมกรุงชื่อ ธรรมสถล ในกรุงธรรมสถลมพราหมณ์


คนหนึ่งชื่อ เกศวะ เป็นคนมบุญ ปกติเป็นผู้ทําตบะแลบูชายัญีณีฝ๎่งแม่น้ําีเทวรูปท่ใช้บูชาก็
ป๎้นเองด้วยดินเหนยว หาเท่ยวซื้อจากผู้ทําขายไม่
พราหมณ์ผู้น้เป็นผู้มความรู้เมื่ออายุมาก เมื่อยังเด็กเป็นผู้ไม่มเพยรในทางเล่า
เรยน ใช้เวลาเมื่อยังเป็นหนุ่มในการบูชากามเทพแลนางรตีมิใคร่สร่างความมัวเมาในกาม เป็น
เหตุบิดามารดามเรื่องร้อนใจบ่อยๆ
วันหนึ่งเกศวะกระทําผิดให้เป็นเครื่องขุ่นใจบิดามารดาเป็นข้อใหญ่ บิดามารดาจึง
ติเตยนกล่าวแสดงโทษแห่งความประพฤติของบุตรอย่างรุนแรง เกศวะแค้นใจก็หลบหนออก
จากหมู่บ้านของตนไปจนเข้าละแวกอื่น พบต้นไม้ใหญ่ก็ขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ีแลใต้
ต้นไม้นั้นมเทวรูป ปัญจานน คือีรูปพระอิศวรี๕ีพักตร์ คนทั้งหลายในละแวกนั้นนับถือว่า
ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก เทวรูปนั้นมผู้เฝูาระวังรักษาเพื่อการหากินของเขาีแต่เวลานั้นเผอิญผู้เฝูาไม่อยู่
เกศวะอยู่บนต้นไม้เห็นเทวรูปตั้งอยู่ข้างล่างก็เกิดความคิดลามก จึงถ่ายป๎สสาวะรดลงมาบน
เทวรูป แล้วลงจากต้นไม้ผลักเทวรูปกลิ้งตกลงในสระซึ่งอยู่ข้างหน้านั้น
รุ่งเช้าผู้เฝูาเทวรูปไปถึงท่ต้นไม้ ไม่พบเทวรูปซึ่งเคยเป็นเครื่องหากินของตนก็
เดือดร้อนีตโพยตพายกลับไปบ้าน แลประกาศให้ฝูงชนทราบ ไม่ช้าชาวบ้านก็ออกเกรยวกราว
ช่วยกันออกตามเทวรูปท่หายแลโจษจันแซ่ไปในหมู่บ้าน ในขณะนั้นบิดามารดาของเกศวะ
เท่ยวตามหาบุตรท่หลบหายไป ครั้นไปถามหาคนหนุ่มซึ่งมลักษณะอย่างนั้นีๆีก็มคนกล่าวว่า
จําได้ว่า เมื่อวันก่อนมคนหนุ่มเช่นท่ว่าไปนั่งอยู่บนต้นไม้อันเป็นท่สํานักของเทวรูปป๎ญจานน รุ่ง
ขึ้นก็ทราบกันว่าเทวรูปหายไป
ต่อมาไม่นานเกศวะกลับเข้ามาในหมู่บ้านีชาวบ้านทั้งหลายพากันช้เป็นนิ้ว
เดยวกันว่า คนน้คงจะขโมยเทวรูป เกศวะเห็นจะปฏิเสธไม่ไหวก็รับเป็นสัตย์แลช้ให้ค้นในสระ
ซึ่งทิ้งเทวรูปลงไว้ ทั้งบอกคนเหล่านั้นว่าได้ถ่ายป๎สสาวะรดเสยแล้ว คนทั้งหลายได้ฟ๎งดังนั้นก็
กล่าวเป็นเสยงเดยวกันว่าีเกศวะกระทําบาปมโทษใหญ่หลวง มนุษย์ไม่จําต้องลงโทษีเพราะ
พระป๎ญจานนคงจะลงโทษถึงสิ้นชวิตทันทไม่ต้องสงสัยเลย

เกศวะได้ทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษถึงดังนั้นก็ตกใจกลัวเป็นกําลัง กลับเป็น
คนว่าง่ายสอนง่ายีเชื่อถ้อยมารดาตั้งแต่นั้นมา แลพากเพยรเรยนรู้จนได้ชื่อว่าเป็นผู้มวิชา
ยิ่งยวดในชนบท มคํากล่าวว่าชะรอยจะเป็นเพราะเกศวะกลับตัวได้ในทันทีพระป๎ญจานนจึงไม่
ประหารชวิต เพราะกรรมท่กระทําบนต้นไม้ครั้งนั้น
ตั้งแต่เกศวะกลับตัวได้แล้ว ก็จําเริญในวิชาสามารถทุกประการจนมเหย้าเรือน
เป็นหลักแหล่งีภายหลังมบุตรชื่อ มธุมาลตีีเป็นหญิงงามนักีมคําถามว่าเทวดาได้สิ่งใดมา
จากไหน จึงป๎้นหน้าคนได้งามถึงเท่านั้นีได้แบ่งเอาภาคอันงามท่สุดในพระจันทร์มาหรือ จึงทํา
ให้มรอยแหว่งซึ่งคนอาจเห็นได้ในดวงเดือน นางมธุมาลตมตาเหมือนนิโลตบลซึ่งบานเต็มท่ีม
แขนเหมือนก้านบัว มผมยาวห้อยเหมือนความมืดแห่งกลางคืน

ครั้นนางงามผู้มอายุสมควรวิวาหะีมารดาบิดาแลพ่ชายก็ช่วยกันเป็นทุกข์ด้วยการ
หาคู่ เพราะปราชญ์ย่อมกล่าวว่า
"ลูกหญิงซึ่งมีอายุควรมีคู่ไม่มีคู่ ย่อมเป็นเช่นก้อนอุบาทว์ห้อยอยู่เหนือ
หลังคาเรือน" แล "พระราชา ๑ หญิง ๑ ไม้เลื้อย ๑ ย่อมรักที่จะดูแลสิ่งที่อยู่ใกล้" แล
"ใครบ้างไม่เคยได้ทุกข์เพราะหญิง เหตุว่าหญิงนั้น ผู้ใดจะบังคับให้อยู่ในถ้อยค้าก็
บังคับไม่ได้ แม้จะบังคับด้วยให้ของที่ชอบใจ หรือบังคับด้วยความกรุณาหรือบังคับ
ด้วยนิติธรรม หรือบังคับด้วยการลงโทษ ก็บังคับไม่ได้ทั้งนั้น เพราะหญิงไม่รู้จักผิดแล
ชอบ"

วันหนึ่งพราหมณ์เกศวะไปจากบ้าน เพื่อช่วยการแต่งงานบุตรของพราหมณ์ไป
บ้านอุป๎ชฌาย์เพื่อการศึกษา
แลในระหว่างท่บิดาแลบุตรไม่อยู่บ้านนั้น มชายคนหนึ่งมาท่บ้านของพราหมณ์
นางพราหมณภริยาเกศวะเข้าใจว่าชายคนนั้นเป็นคนมคุณด เพราะเหตุมรูปงามจึงบอกยกลูก
สาวให้ ฝุายพราหมณ์เกศวะนั้นไปพบพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งเป็นท่ชอบใจีก็บอกยกลูกสาวให้
แลส่วนบุตรชายนั้นไปพบชายเพื่อนเรยนคนหนึ่งท่บ้านอุป๎ชฌาย์ ก็ยกน้องสาวให้เหมือนกัน

ต่อนั้นมาบิดาแลบุตรก็พาชายหนุ่มคนละคนมายังบ้านตน ครั้นถึงบ้านพบชาย
หนุ่มอกคนหนึ่งท่นางพราหมณยกลูกสาวให้ีชายหนุ่มทั้งี๓ีคน นั้นเสมอกันในวิชาีในคุณดี
ในรูปีแลในอายุีจึงเกิดป๎ญหายุ่งยากขึ้นในทันท
ชายทั้งสามต่างคนร้องทุกข์ีคนหนึ่งว่ามาถึงเรือนก่อน คนหนึ่งว่าบิดานางเป็นผู้
ยกให้ีแลบิดาย่อมเป็นใหญ่ในครอบครัว อกคนหนึ่งร้องทุกข์ว่ากระไรไม่มใครจําได้ ปรากฏแต่
ว่าตัวเป็นคนท่ควรได้นางเท่านั้นีคนทั้งสามร้องขอความเป็นธรรม แลความเป็นธรรมตาม
ความเห็นของชายหนุ่มคนหนึ่งๆ ก็คือให้นางแก่ตัวจึงเป็นอันกล่าวได้ว่าธรรมะในเวลานั้นแยก
ได้เป็นสามแพร่ง เพราะชายหนุ่มสามคน

ฝุายพราหมณ์เกศวะผู้บิดาครั้นเกิดเหตุเช่นน้ีก็รําพึงว่าี"เจ้าสาวคนเดยว เจ้า
หนุ่มสามคนเช่นน้จะทําอย่างไรหนอีจะยกให้คนไหน จะไม่ยกให้สองคนสองคนไหนจึงจะ
ถูกต้องตามธรรมนิยม เราผู้บิดามารดาแลพ่ชายก็ให้คําตกลงแก่เขาทั้งสามแล้วคนละคน เหตุ
ประหลาดเผอิญเป็นไปเช่นน้ีจะทําอย่างไรด"
พราหมณ์เกศวะอ้ําอึ้งอยู่ช้านานีไม่ตกลงในใจว่ากระไร หารือกับภริยาแลบุตรก็
ไม่ได้ประโยชน์เพราะคนทั้งี๒ีก็ไม่รู้จะว่ากระไรเหมือนกัน

ส่วนชายหนุ่มทั้งี๓ีคนนั้น เมื่อบิดานางยังไม่ตัดสินว่ากระไรก็พากันนั่งนิ่งดูเดือน
เพ็ญ คือหน้าแห่งนางจนไม่กระพริบตาีดูประหนึ่งจะประพฤติตัวเป็น จโกระ คือนกซึ่งกล่าวกัน
ว่ากินแสงจันทร์เป็นอาหาร

พราหมณ์เกศวะตรึกตรองอยู่ช้านาน นึกว่าเห็นช่องท่พอจะแก้ป๎ญหาได้จึงกล่าว
แก่ชายทั้งสามว่า จะต้องตัดสินด้วยวิธให้สําแดงความรู้ประชันกัน ใครยกเอาภาษิตซึ่งกวผู้ม
เกยรติแต่งไว้แต่โบราณมากล่าวให้ดกว่าคนอื่น คนนั้นจะได้รับรางวัลคือลูกสาวพราหมณ์

ชายหนุ่มคนท่ี๑ ได้ยินดังนั้นกล่าวภาษิตของกวโบราณโดยท่ไม่ต้องตรึกตรอง
ว่า

O ชายหาญเห็นได้เมื่อี สงคราม นั้นเนอ


ความซื่อส่อถนัดยามี ส่งหน้
เห็นมิตรคิดเห็นความ จริงเมื่อ
ทุกข์แลีเมยสัตย์ชัดชื่อช้ี เมื่อไข้ไร้สินฯ

ชายหนุ่มคนท่ี๒ียกภาษิตขึ้นกล่าวว่า
O หญิงใด
(๑) อยู่ในเหย้าแห่งพ่อก็จริงอยู่แหล่ีแต่มิฟ๎งบังคับ
(๒) มกําชับใจตัวมัวแต่เท่ยวรื่นเริงเชิงสนุกทุกเบื้อง
(๓) ปลดเปลื้องผ้าคลุมหน้าต่อหน้าชาย
(๔) หลับราวตายมิวายง่วง
(๕) ดื่มเหล้าล่วงลําคอ
(๖) พอใจอยู่หากจากสาม
สตรนั้นปราศจากธรรมนําจิตชอบประกอบด้วยใจบาปหยาบยิ่งีจริงแลฯ

ชายหนุ่มคนท่ ๓ีกล่าวภาษิตซึ่งอ้างว่าเป็นของโบราณว่า

O ใครจะไว้ใจอะไรตามใจเถิด
แต่อย่าเกิดไว้ใจในสิ่งห้า
หนึ่งอย่าไว้ใจทะเลทุกเวลา
สองสัตว์เข้ยวเล็บงาอย่าวางใจ
สามผู้ถืออาวุธสุดจักร้าย
ส่ผู้หญิงทั้งหลายอย่ากรายใกล้
ห้ามหากษัตริย์ทรงฉัตรชัย
ถ้าแม้นใครประมาทอาจตายเอยีฯ

พราหมณ์เกศวะได้ฟ๎งดังชายหนุ่มสามคนท่องภาษิตซึ่งกล่าวว่าเป็นของโบราณก็
จับใจแกทั้งหมด ไม่รู้ว่าชอบภาษิตไหนมากกว่าอกสองภาษิตีก็ทําให้อ้ําอึ้งไปอก คราวน้ไม่ใช่
ตรึกตรองว่าควรยกลูกสาวให้ชายคนไหนีตรึกตรองว่าควรยกให้ภาษิตบทไหน เป็นเรื่องนึกถึง
คําพูดีไม่ใช่นึกถึงคนีจึงลังเลไปอกทางหนึ่ง

ขณะนั้นมงูพิษตัวหนึ่งมาตัดป๎ญหาท่มในใจพราหมณ์เกศวะ พราหมณ์ยังตรึก
ตรองรวนเรในใจีพองูเลื้อยเข้ามากัดลูกสาวตาย คนทั้งหกก็ร้องไห้ตโพยตพายเพราะทุกข์
สามัญ
ครั้นได้สติก็วิ่งตามหมอแลแม่มดรวมทั้งคนฉลาดทั้งปวง ท่ประกาศตัวว่าเรยก
พิษงูออกจากกายผู้ถูกกัดได้ คนเหล่านั้นเมื่อได้มาพบศพนางมธุมาลตีแล้วต่างคนก็สั่นศรษะี
คนหนึ่งกล่าวว่า คนท่ถูกงูกัดี๕ีค่ําี๖ีค่ําี๘ีค่ําี๙ีค่ําีแลี๑๔ีค่ําีนั้นไม่มรอดีอกคนหนึ่ง
กล่าวว่า คนท่ถูกงูกัดวันเสาร์แลวันอังคารต้องตายเสมอีคนท่ี๓ีกล่าวว่า คนท่ถูกงูกัดจะตาย
หรือไม่ก็แล้วแต่ว่าพระจันทร์สถิตราศไหนในเวลาท่ถูกกัดีคนท่ี๔ กล่าวว่าผู้ใดถูกงูกัดท่ตาีหูี
ลิ้นีจมูกีริมฝีปากล่างีแก้มีคอีแลท้อง คนนั้นต้องตายีคนท่ี๕ีกล่าวว่าีแม้พระพรหมก็ไม่
อาจแก้นางน้ให้คืนชวิตได้

ครั้นหมอทั้งหลายกลับไปหมดแล้ว พราหมณ์เกศวะก็จัดการเผาศพลูกสาวแล้ว
กลับบ้านีฝุายชายหนุ่มสามคนนั้นกล่าวแก่กันว่า
"เราทั้งี๓ีคนหัวอกอันเดยวกัน ได้ทุกข์อย่างเดยวกันีซึ่งเกิดเพราะเหตุเดยวกัน
เราจะต้องเท่ยวไปหาความสุขท่อื่น แลในการหาความสุขไม่มทางใดดกว่าทางท่พระอินทร์ผู้
เป็นเจ้าแห่งสวรรค์กล่าวไว้คือ

o ชายใดไม่เท่ยว เทยวไป
ทุกแคว้นแดนไพรี มิอาจประสบพบสุข
o ชายใดอยู่เหย้า เนาทุกข์
ไม่ด้นซนซุกี ก็ชื่อว่าชั่วมัวเมา

o จงจรเท่ยว เทยวบทไป
พงพนไพรี ไศละลําเนา
o ดั้นบถเดิน เพลินจิตเรา
แบ่งทุกเบาี เชาวนะไวฯ

o ชายหาญชาญเช่ยว เทยวไพร
สองขาพาไปี บ่มัวบ่เมาเขลาขลาด
o ขาเขาคือกิ่ง พฤกษชาติ
ช่อชูดูดาษ และดกด้วยดอกออกระดะ
o ไปุช้าเป็นผล ปนคละ
โตีๆีโอชะ รสาภิรสหมดมวล
o โทษหลายกลายแก้ แปรปรวน
เจือจุนคุณควร เพราะเหตุท่เท่ยวเทยวเดิน

o จงจรเท่ยว เทยวบทไป
พงพนไพรี ไศละดําเนิน
o ดุ่มบถด่วน ชวนจิตเพลิน
ใดบ่มิเกินี เชิญบทจรีฯ
o เชิญคะนึง พระทินกร
ฤาหลับฤานอนี ธเดินและด้นบนสวรรค์
o เธอมความสุข ทุกวัน
หมื่นกัปแสนกัลป์ บ่อ่อนบ่เปล้ยเพลยองค์
o จงจรเท่ยวี เทยวบทไป
ตั้งจิตในี ไพรพนพง
o ดูทินกรี จรจิรยง
แสนสุขทรงี ทุกขะบ่มีฯ

ชายหนุ่มทั้งสามตกลงใจว่าจะออกเท่ยวด้นดั้นไปตามบุญตามกรรม ดังน้แล้วชาย
คนท่ี๑ีก็เก็บกระดูกแห่งนางรวมเข้าเป็นห่อขึ้นห้อยบ่าีแล้วประพฤติตัว เป็นไวเศษิก ถือศล
เว้นบาปใหญ่ทั้งี๘ีอย่างีคือีกินกลางคืนี๑ีฆ่าชวิตี๑ กินผลไม้เกิดบนต้นยางหรือกินฟ๎กทองี
หรือหน่อไม้ไผ่ี๑ีกินน้ําผึ้งหรือเนื้อสัตว์ี๑ ลักทรัพย์ของผู้อื่นี๑ีข่มขืนหญิงมสามี๑ีกิน
ดอกไม้หรือเนยเหลวหรือเนยแข็งี๑ บูชาเทวดาในศาสนาอื่นี๑ีส่วนการปฏิบัติด้วยด
ชายผู้เป็นไวเศษิกย่อมตั้งใจมั่นว่าการไม่ทําร้ายคนแลสัตว์อื่นเป็นทางเว้นท่ชอบ
แม้ผู้ทําความผิดก็ไม่ควรเอาชวิตีอนึ่งศลทั้งี๕ีคือไม่กล่าวเท็จีไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ขโมยีไม่ดื่ม
น้ําเมาีไม่มภริยาีนั้นต้องถือมั่นเป็นนิตย์ ทรัพย์ทั้งหลายจะมไม่ได้ีเว้นแต่ผ้าพันกายีผ้าเช็ด
ปากีภาชนะสําหรับรับทานคืออาหาร แลแส้สําหรับกวาดดินีด้วยเกรงจะเหยยบสิ่งมชวิต
เท่านั้น
อนึ่งอาจารย์ไวเศษิกสอนให้ศิษย์ไม่ไว้ใจในทางท่นอกลัทธิของตน ให้กลัวความ
ทุกข์ในภพหน้าีให้รับทานจากผู้อื่นไม่เกินท่จะพอเป็นอาหารชั่ววันเดยว ไม่กินอาหารท่
เก่ยวกับชวิตสัตว์แลให้ทําคุณต่อคนทั้งหลาย
ชายหนุ่มคนท่ี๑ เมื่อเป็นไวเศษิกแล้วฉะน้ก็เพยรจะลืมความรักท่เคยมีเพยรจะ
ลืมนางท่หนตายไป กล่าวแก่ตัวเองว่า
"ท่เราได้เคยนึกว่า หญิงอาจให้ความสุขได้นั้นไม่ใช่เหตุอื่น เป็นด้วยความทะนง
แลความนึกถึงตัวเองฝุายเดยวีเราได้เคยคิดว่า ริมฝีปากของนางเหมือนผลไม้สุกีอกเหมือน
บัวตูม พระจันทร์ย่อมจะซดเพราะเพยรจะเอาอย่างแสงหน้าแห่งนางีฯลฯีเช่นน้ก็เพราะหลง
บัดน้ใจเราออกหากจากโลกไปแล้วีถ้าเราได้เห็นนางอก เราก็คงจะกล่าวว่าน่หรือรูปท่ชาย
หลงใหล สิ่งน้ไม่ใช่อื่นไกลคือตะกร้าซึ่งมหนังหุ้มภายนอก ข้างในคือกระดูกเลือดเนื้อแลสิ่ง
โสโครกทั้งหลายเท่านั้น ธรรมดาคนหลงเมื่อเห็นสิ่งประกอบขึ้นด้วยของสกปรกก็เรยกว่าหน้า
แลพิศชมดูดดื่มราวกับคนข้เมากินเหล้าีเราไม่ควรยินดยินร้าย ในร่างกายอันเต็มไปด้วยเลือด
แลเนื้อีหน้าท่เราคือเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นต้นเหตุแห่งสังขารีเลิกเอาใจใส่ในสิ่งทั้งหลาย
ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความสําราญหรือเร่าร้อน"

ชายหนุ่มคนท่ี๒ีนั้นีกวาดเอาเถ้าถ่านท่เผาศพนางรวมกันเป็นห่อแล้วก็ออกพา
เข้าปุา ทําตัวเป็น วานปรัสถี์ีตามบัญญัติของพระมนูีแม้อายุยังไม่สมควรก็ทําจนได้
พระมนูบัญญัติไว้ในธรรมศาสตร์ว่า เมื่อชายผู้เป็นพ่อบ้านีรู้สึกว่ากล้ามเนื้อของ
ตนอ่อนเทิบทาบีผมก็หงอก แลทั้งได้เห็นลูกแห่งลูกของตนก็ถึงเวลาท่ควรออกปุาีให้พาเอา
ไฟสําหรับบูชา (อัคนโหตร) ของตนกับเครื่องใช้ในการบูชาไฟไปด้วยกับตน แลเมื่อถึงปุาท่
สงัดแล้วก็ให้อยู่สํารวมอินทรย์ในท่นั้น ให้กินของสะอาดซึ่งเป็นอาหารฤาษีคือมูลผลาหาร
ต่างๆีแลให้กระทําการบูชาทั้งี๕ีคือ (๑) สอนพระเวที(บูชาพระเวท) (๒) เซ่นด้วยขนมแลน้ําี
(บูชาบิดร) (๓) เผาของในไฟ (บูชาเทวดา) (๔) ให้อาหารเป็นทานี(บูชาสัตว์ทั้งหลาย) (๕)
ต้อนรับแขกี(บูชาคน) แลให้นุ่งหนังหรือเปลือกไม้ีให้อาบน้ําเช้าเย็นีให้ผมแลหนวดเล็บงอก
ไม่มกําหนด ให้นอนกลิ้งเกลือกไปมาบนแผ่นดินีหรือยืนเขย่งบนนิ้วหัวแม่เท้าตลอดวัน หน้า
ร้อนให้ผิงไฟี๕ีกองีคือไฟล้อมตัวี๔ีกองีไฟบนหัวคือพระอาทิตย์กองหนึ่ง หน้าฝนให้ตาก
ฝนีหน้าหนาวให้ใช้ผ้าเปียกีแลทรมานตัวอย่างอื่นๆีอกมาก

ชายหนุ่มคนท่ี๓ นั้นบวชเป็นโยคเท่ยวเร่ร่อนไปในท่ต่างๆีแลปฏิบัติตนตามควร
แก่โยคทุกประการ
วันหนึ่งโยคไปถึงบ้านแห่งหนึ่ง ก็แวะเข้าไปเพื่อจะขออาหารีชายเจ้าของบ้านี
ครั้นเห็นโยคก็ต้อนรับเป็นอันด แลเชิญให้รับเล้ยงอาหารในบ้านีครั้นเตรยมอาหารพร้อมเสร็จ
เจ้าของบ้านก็เชิญโยคไปยังท่กินอาหารีแลเมื่อได้ล้างมือล้างเท้าแล้ว ก็กล่าวแก่โยคว่า
"ธรรมดาเจ้าของบ้านจะขับให้แขกท่มาถึงในตอนเย็นไปพ้นบ้านนั้นทําไม่ได้
แขกมาถึงเพราะพระอาทิตย์ท่กลับจากทางเดินนั้นเป็นผู้ให้มา และแม้จะมาตามควรแก่ฤดูหรือ
มิควรก็ด เจ้าของบ้านจะให้เข้าพักอยู่ในบ้านโดยท่มิเล้ยงดูนั้นมิได้ ข้าพเจ้าไม่อาจกินอาหาร
อันอร่อยได้ก่อนท่ได้เชิญแขกให้กิน เพราะการเล้ยงแขกให้อิ่มหนําสําราญนั้นย่อมนําทรัพย์ีนํา
เกยรติ นําความมอายุยืนมาสู่เจ้าของบ้านีแลทั้งเตรยมท่ในสวรรค์ไว้ให้ด้วย"
เจ้าของบ้านกล่าวดังน้แล้วีภริยาก็นําอาหารมาเล้ยง คือข้าวแลถั่วกับน้ํามันแล
เครื่องเทศต่างๆ ซึ่งผสมกันหุงในหม้อเหนือไฟซึ่งใช้ฟืนอันสะอาด
ครั้นเล้ยงอาหารได้ครึ่งหนึ่งยังไม่สําเร็จการกิน ภริยาเจ้าของบ้านจะยกอาหารมา
เพิ่มเติม ทารกผู้เป็นบุตรร้องไห้ด้วยเสยงอันดังแล้วเข้ายึดผ้ามารดาไว้ีไม่ให้ยกอาหารไปตั้ง
มารดาจะห้ามก็ไม่หยุดยิ่งร้องแลยิ่งยึดผ้าดึงไว้ มารดาขัดใจก็วางเครื่องเล้ยงลงแล้วจับตัวลูก
โยนเข้าไปในกองไฟีทารกก็ไหม้เป็นจุณไป

ฝุายโยคเมื่อเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นจากท่นั่ง เจ้าของบ้านจึงถามว่า
"เหตุใดอาจารย์จึงไม่กินเล่า" โยคตอบว่าี"ข้าพเจ้าเป็นแขกมารับเล้ยงของท่าน
แต่ข้าพเจ้าไม่อาจกินอาหารได้ในท่เล้ยงของคนท่ประพฤติราวกับรากษส คําโบราณย่อมกล่าว
ว่าีคนท่สํารวมความยินดยินร้ายไม่ได้นั้นีมชวิตปุวยการเปล่า"
"แลพระราชาโง่ ๑ ผู้เย่อหยิ่งเพราะมีทรัพย์มาก ๑ เด็กอ่อนแอ ๑ ทั้งสาม
นี้ประสงค์สิ่งใดไม่อาจได้มาดังประสงค์" "
แล พระราชาย่อมทําลายศัตรูแม้เมื่อกําลังหนีช้างแม้เพยงกระทบ แลงูแม้เพยง
หายใจรดีก็ย่อมนํามาซึ่งความตาย คนใจบาปแม้กําลังหัวเราะก็อาจทําลายผู้อื่นได ้"ี

ฝุายเจ้าของบ้านเมื่อได้ยินดังน้ก็ยิ้ม แล้วลุกไปหยิบสมุดเล่มหนึ่งมาจากท่ซึ่ง
ซ่อนไว้คือบนขื่อ สมุดนั้นคือตําราสังชีวนีวิทยา คือวิชาชุบคนตายให้คืนชวิต
ครั้นหยิบหนังสือลงมาแล้ว ชายเจ้าของหนังสือก็กางตําราออกทําพิธชุบลูกให้
คืนเป็น ไม่ช้าเด็กก็กลับมาร้องไห้เสยงดังอยู่อย่างเก่า
ชายผู้เป็นบิดาจึงกล่าวว่า "บรรดาของมค่าทั้งหลายจะหาสิ่งใดมค่าเกินวิชานั้น
หาได้ไม่ ทรัพย์อื่นๆีอาจถูกขโมยลักีหรือลดน้อยลงไปด้วยการจับจ่าย แต่วิชานั้นไม่มความ
ตายแลยิ่งจ่ายมากก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น วิชาน้จะแบ่งให้แก่ใครให้เปลืองไปก็ไม่ได้ีแลขโมยจะลักก็
ลักไม่ได้"

ฝุายโยคเมื่อได้เห็นอัศจรรย์ดังนั้น ก็นึกในใจว่าี"ถ้าเราได้สมุดเล่มน้ เราก็อาจชุบ


นางผู้เป็นท่รักของเราให้คืนชวิตมาดังเก่า แล้วเราจะเลิกประพฤติอย่างไม่สบายต่างๆีดังซึ่งเรา
ทําอยู่เด๋ยวน้"
โยคตรึกตรองดังน้แล้วก็กลับนั่งลงกินอาหารแลค้างอยู่ในเรือนนั้น ครั้นเวลา
กลางคืนเมื่อได้เล้ยงกันอกมื้อหนึ่งแล้วีต่างคนก็ไปยังท่นอนของตน โยคนอนแล้วระวังตัวไม่
ยอมให้หลับีจนเวลาเท่ยงคืน เห็นว่าคนทั้งหลายคงจะหลับสนิทแน่แล้วีโยคก็ลุกขึ้นย่องเข้า
ไปในห้องนอนเจ้าของบ้าน ลักหยิบเอาสมุดตําราสังชวนลงมาจากขื่อได้แล้วก็ลอบออกจาก
บ้านหนไปในเวลากลางคืน รบเดินตรงไปยังปุาช้าท่เผาศพนางผู้เป็นท่รัก เผอิญพบชายหนุ่ม
อกสองคนกลับมาอยู่ในท่เดยวกัน ต่างคนต่างเล่าความเป็นไปแห่งตนแลตนสู่กันฟ๎งอยู่ ครั้น
ชายทั้งสองนั้นเห็นโยคก็จําได้จึงร้องทักขึ้นว่า
"ท่านเอย ท่านได้ไปเท่ยวในโลกแล้วได้ความรู้อันใดซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่เรา
ทั้งสามบ้างหรือเปล่า" ชายผู้เป็นโยคตอบว่า
"ข้าพเจ้าได้เรยนวิชาชุบคนตายให้คืนชวิตได้" ชายสองคนตอบว่า
"ถ้าท่านมวิชาเช่นนั้น ท่านจงชุบนางผู้เป็นท่รักของเราให้คืนชวิตมาเถิด"

ชายผู้เป็นโยคก็จัดการตั้งพิธชุบนาง เริ่มการร่ายมนตร์ีซึ่งทําให้ฟูาแลอากาศเต็ม
ไปด้วยสิ่งซึ่งน่าหวาดเสยว คือภูตผมร่างกายเป็นท่พึงแสยงีสําแดงอาการให้เห็นปรากฏต่างๆ
ทั้งตลบไปด้วยเสยงไม่พึงฟ๎งีคือเสยงหมาหอนีเสยงนกฮูกแลสัตว์อื่นๆ ชายทั้งสามก็แทง
ตัวเองให้เลือดตกเป็นเครื่องบูชานางจัณฑีแล้วกล่าวสรรเสริญว่า
"ข้าแต่พระแม่ผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลก พระองค์เป็นผู้กระทําความสําเร็จให้เกิด
ตามความประสงค์ของชนทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอถวายเลือดจากกายของข้าพเจ้าเป็นเครื่องบูชา
พระองค์ ขอพระองค์จงโปรดอนุกูลข้าพเจ้า"

ชายทั้งสามกล่าวอย่างข้างบนแล้วก็เชือดเนื้อเผาไฟบูชาอกชั้นหนึ่งีแล้วกล่าวว่า
"ข้าแต่พระเทว ขอพระองค์จงโปรดให้นางผู้เป็นท่รักของข้าพเจ้าคืนชวิตมาเถิด
ขอพระองค์จงโปรดกรุณาข้าพเจ้าตามส่วนแห่งความจงรัก ซึ่งเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าถวายเนื้อของ
ตนเป็นเครื่องบูชานั้นเถิด ข้าพเจ้าขอถวายนมัสการพระองค์ด้วยความนับถือแท้จริงีโอม"

เมื่อได้กล่าวสรรเสริญแลบูชานางจัณฑด้วยเลือดแลเนื้อของตนดังนั้นแล้ว ชาย
ทั้งสามก็ช่วยกันรวมเถ้าแลอัฐิแห่งนางซึ่งชายคนท่ี๑ีแลคนท่ี๒ ได้เก็บรักษาไว้นั้นให้เป็นกอง
เดยวกันีชายคนท่ี๓ ผู้เป็นเจ้าของตําราก็ร่ายมนตร์จนเกิดไอสขาวขึ้นมาจากดินีแล้วเกิดเป็น
รูปลอยอยู่ แล้วเกิดความดูดีดูดเอาเถ้าแลอัฐิซึ่งกองอยู่นั้นเข้าไปในรูป อกครู่หนึ่งก็เกิดเป็น
นางมธุมาลตชวิตคืนมาอย่างเดิม แลนางขอให้ชายทั้งสามพาไปส่งยังเรือนบิดา

ฝุายชายทั้งสามเมื่อนางคืนชวิตแล้วีก็วิวาทแย่งชิงนาง ต่างคนกล่าวว่าตนควร
จะได้นางเป็นภริยาโดยความชอบธรรม
ชายคนท่ี๑ีกล่าวว่านางคืนชวิตมาได้ก็เพราะกระดูกท่เขาได้รักษาไว้ีชายคนท่ี
๒ กล่าวว่าเพราะเถ้าถ่านต่างหากีชายคนท่ี๓ีหัวเราะเยาะคนทั้งสองว่ากระดูแลเถ้าถ่าน ถ้า
ไม่ได้ตั้งพิธแลร่ายมนตร์ตามตําราจะมชวิตมาอย่างไรได้

ชายทั้งสามทุ่มเถยงกันีไม่มใครยอมใคร จึงพากันไปหาบัณฑิตผู้ปราดเปรื่องให้
ตัดสินก็ไม่มใครตัดสินได้ีส่วนพระราชานั้น ใครบ้างนึกว่าจะได้ป๎ญญาจากพระราชา ใครบ้างไป
หาพระราชาในขณะท่ต้องการพบผู้เฉลยวฉลาดีส่วนตัวข้าพเจ้าี(เวตาล) น้ พิศวงว่า พระองค์
ผู้ทรงนามวิกรมาทิตย์เป็นพระราชาผู้ประกอบด้วยป๎ญญายิ่งมหากษัตริย์ทั้งปวง พระองค์จะ
ตัดสินได้บ้างกระมังว่าีนางนั้นควรเป็นของชายคนไหนโดยทางท่ชอบ

พระวิกรมาทิตย์กําลังขุ่นพระหฤทัยในข้อท่เวตาลกล่าวดูหมิ่นป๎ญญาพระราชาทั้ง
ปวง ครั้นเวตาลทูลให้ตัดสินก็ตรัสออกมาว่า
"เอ็งมันโง่ ไม่รู้จักอะไรีชายคนท่ี๒ีสิควรได้นางเป็นภริยา"
เวตาลถามว่าี"เพราะเหตุใดจึงทรงตัดสินอย่างนั้น"
ตรัสตอบว่าี"เพราะเขาเป็นผู้เก็บเถ้าถ่านไว้"
เวตาลกล่าวว่าี"ถ้าชายคนท่ี๑ีไม่ได้เก็บกระดูกไว้บริบูรณ์ นางจะคืนชวิตมา
อย่างไรได้ีและชายคนท่ี๓ีไม่ได้เรยนวิชาสังชวนรู้ร่ายมนตร์ แลตั้งพิธถูกต้องตามตําราีการ
ชุบนางก็ไม่อาจทําได้ีชายคนท่ี๒ีเก็บไว้แต่เถ้าถ่าน จะได้เปรยบชายี๒ีคนอย่างไรไม่เห็น
เหตุ แต่พระราชาป๎ญญาลึกล้ําเห็นจะทรงอธิบายได้ดอกกระมัง"

พระราชาทรงตวาดว่าี"เอ็งโง่แล้วยังดื้อด้วย ชายคนท่ี๑ีนั้นเก็บกระดูกของนาง
รักษาไว้ีจึงอยู่ในตําแหน่งเสมอลูก ไม่ควรได้นางเป็นภริยาีชายคนท่ี๓ ได้ชุบนางให้คืนชวิต
คือให้ชวิตแก่นางจึงอยู่ในตําแหน่งบิดาีไม่ควรได้นางเป็นภรรยา ส่วนชายคนท่ี๒ีนั้นเป็นแต่
เพยงเก็บเถ้าถ่านไว้ีจึงควรได้เป็นผัวนาง คําอธิบายเช่นน้จะทะลุความโง่ของเอ็งเข้าไปีทําให้
เอ็งเข้าใจได้หรือยัง"
เวตาลตอบว่าี"ความโง่ของข้าพเจ้าทะลุแล้ว แต่ของพระองค์นั้นยัง จึงเป็นเหตุ
ให้ข้าพเจ้าได้กลับไปแขวนตัวอยู่ยังต้นอโศกในบัดน้"

ครั้นเวตาลหัวเราะก้องฟูาลอยไปแล้ว พระวิกรมาทิตย์กับพระราชบุตรก็เสด็จ
กลับไปยังต้นอโศก พระราชาทรงปีนขึ้นไปปลดเวตาลมาใส่ย่ามก็ทรงรําพึงว่า
"ถ้าเรานั่งลงวางอ้ายตัวน้ไว้กับดินให้มันพูดไปจนสิ้นฤทธิ์ของมันีบางทจะสําเร็จ
ได้ เมื่อเราเดินพลางีคิดพลางนั้นคงจะเหนื่อยเกินไปจนทําให้เสยทมันร่ําไป"

ทรงคิดดังนี้ก็เอาย่ามวางลงยังพื้นดิน ทรงนั่งลงข้างๆ แล้วเอาเชือกผูก


ย่ามล่ามกับผ้ารัดสะเอวแน่นหนา รับสั่งให้พระราชบุตรท้าอย่างเดียวกัน เวตาลรู้ดังนั้น
ก็ร้องทุกข์ว่า ผิดระเบียบสัญญา พระราชาทรงตอบว่า สัญญาไม่ได้กล่าวว่าเดินหรือนั่ง
เวตาลสาบานว่าจะไม่อ้าปากพูดอะไรอีกจนค้าเดียว แต่ไม่ช้าก็อดไม่ได้ เอ่ยเล่าเรื่อง
ขึ้นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งกล่าวว่าเป็นเรื่องจริงตามเคย
The Vampire's Sixth Story
นิทานเวตาลเรื่องที่ ๗
เรื่องท่ี๗

เวตาลเล่าว่า ยังมเมืองชื่อ กุสมาวดีีพระราชาคือท้าว สุพิจาร มพระราชธิดา


ทรงนามนาง จันทร์ประภา เป็นนางงามยิ่งหญิงทั้งหลายและทรงชนมายุควรแก่การวิวาหะ

วันหนึ่งในวสันตฤดูีพระราชธิดาแวดล้อมด้วยบริวาร เท่ยวชมพระราชอุทยานีฤดู
นั้นเป็นฤดูไม้เปล่ยนใบแลผลิดอกงามไปทั้งสวน พระราชธิดาทรงเพลิดเพลินชมพรรณไม้ีแล
สนุกในการเย้าหยอกของหมู่นางท่ตามเสด็จ บ้างก็เก็บดอกไม้ไล่ซัดกันเป็นพวกๆีบ้างก็วิ่งแข่ง
กันตามทางอันราบรื่น บ้างก็ปีนต้นไม้เก็บดอกแลผลีบางพวกก็เพยรจับเพื่อนกันผลักลงสระ
เป็นเวลาท่รื่นรมย์ทั้งพวกีส่วนพระราชธิดานั้นทรงสนุกในการเล่นของนางทั้งหลาย แลทรงเข้า
ช่วยเก็บดอกไม้ซัดีแลผลักคนลงสระมากกว่าคนอื่นกล้าทํา เพราะนางเป็นราชกุมารไม่มใคร
ซัดดอกไม้ตอบหรือผลักลงสระได้
ในวันก่อนเจ้าหน้าท่เท่ยวไล่คนให้ออกไปพ้นราชอุทยาน เพราะข้างในจะเสด็จ
ออกนั้นีเผอิญมชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ มนัสวี เป็นบุตรพราหมณ์ีแลเป็นผู้มรูปร่างงดงามนัก
เท่ยวเล่นในสวนแลมานอนหลับอยู่ในท่กําบังใต้ร่มไม้ เจ้าหน้าท่ไม่ทันเห็นจึงมิได้ปลุกให้ตื่น
แลไล่ไปให้พ้นก่อนท่พระราชธิดาเสด็จออกชมราชอุทยาน แม้ในเวลาท่นางจันทร์ประภาแล
บริวารมาเล่นอยู่แล้วนั้น มนัสวพราหมณ์หนุ่มก็ยังหลับเป็นสุขอยู่

ฝุายนางจันทร์ประภาพระราชธิดาทรงวิ่งแลขว้างดอกไม้จนเหนื่อยแล้วก็หยุดเล่น
เสด็จทรงดําเนินไปองค์เดยวห่างนางตามเสด็จทั้งหลาย โดยหวังจะเสด็จไปพักท่ตําหนักใน
สวนีขณะนั้นมนัสวนอนอยู่ใกล้ทางดําเนิน แลได้นอนหลับมานานจนใกล้จะตื่นอยู่แล้ว ครั้นได้
ยินเสยงนางทรงดําเนินร้องเพลงผ่านไปใกล้ๆีมนัสวก็ตื่นแลลุกขึ้นนั่ง ตาสบพระเนตรพระราช
ธิดาต่างก็เกิดเสน่หาขึ้นในทันใด

พระวิกรมาทิตย์ตรัสแก่เวตาลว่า
"ไม่จริงีหญิงกับชายจะรักกันในนาทแรกท่สบตากันนั้นไม่มในโลก ข้าไม่เชื่อเลย
ว่าพระกามเทพจะทรงทําอย่างท่เอ็งว่า" พระราชาตรัสเช่นน้
เพราะข้อท่ไม่ทรงเชื่อนั้นได้เกิดแก่พระองค์เองหลายครั้งแล้ว แลไม่เป็นผลดเลยจนครั้งเดยวี
เวตาลตอบว่า
"เสน่หาท่เกิดในทันทท่หญิงกับชายได้เห็นกันเป็นครั้งแรกนั้นเป็นของมแน่นอน
จะปฏิเสธเสยอย่างไรได้" พระวิกรมาทิตย์ตรัสว่า
"ถ้าเช่นนั้นเอ็งจะอ้างหลักฐานได้ดอกกระมัง" เวตาลตอบว่า
"ข้าพเจ้าไม่จําเป็นต้องอ้างหลักฐาน เพราะมนุษย์ชายหญิงย่อมเป็นอย่างนั้นอยู่
มากด้วยกันแล้วีความโง่ของมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งของพระราชา...."
พระวิกรมาทิตย์ตรัสว่า "เอ็งจะเล่านิทานก็เล่าไปีหรือไม่เล่าก็นิ่งเสย"

เวตาลเล่าต่อไปว่าีเมื่อพระราชธิดาแลมนัสวพราหมณ์หนุ่มได้สบตากันเป็นครั้ง
แรก ดังนั้นก็มผลแปลกท่สุดีคือีมนัสวทนความรักรุมรึงในใจท่เกิดในทันทไม่ได้ ก็ล้มลงสลบ
ไปกับท่ีฝุายพระราชธิดาทรงเห็นดังนั้นีพระชงฆ์ก็อ่อนแลพระกายก็สั่น ทรงล้มสลบไป
เหมือนกันีมิช้าพวกสาวใช้ตามไปพบพระราชบุตรเป็นดังนั้น ก็ตกใจช่วยกันเชิญพระองค์ไป
ทรงวอกลับคืนเข้าพระราชวัง

ฝุายมนัสวสลบแน่นิ่งไม่รู้สึกตัวอยู่ช้านานจนมพราหมณ์ผู้มวิชาี๒ีคนีชื่อ ศศีีคน
หนึ่ง มูลเทวะ คนหนึ่ง เดินเข้าไปในสวนหลวงพบพราหมณ์หนุ่มนอนสลบอยู่ีพราหมณ์มูลเท
วะจึงกล่าวแก่เพื่อนว่า
"ชายหนุ่มมานอนสลบอยู่กับพื้นดินเช่นน้ีเพราะเหตุใด" พราหมณ์ศศกล่าวว่า
"คงจะเป็นด้วยมนางงามยิงศรคือตาจากธนูคือคิ้วถูกชายหนุ่มคนน้ล้มลงสลบไป"
พราหมณ์มูลเทวะกล่าวว่า
"เราควรจะแก้ไขให้ฟื้นขึ้น" พราหมณ์ศศถามว่า
"ประโยชน์อะไร" พราหมณ์มูลเทวะไม่ฟ๎งเพื่อนทัดทานีวิ่งไปท่สระน้ําเอาปลาย
ผ้าชุบน้ํามารดพราหมณ์หนุ่ม แลเช็ดหน้าให้ีแล้วพยุงตัวให้นั่งขึ้นีสักครู่หนึ่งพราหมณ์ก็ได้สติ
คืนมา พราหมณ์ทั้งี๒ีสังเกตเห็นได้ว่าเป็นโรคใจยิ่งกว่าโรคกาย จึงถามว่าเหตุใดจึงมานอน
สลบอยู่ในราชอุทยานีมนัสวกล่าวว่า
"บุรุษพึงเล่าความทุกข์ให้ฟ๎งแต่เฉพาะผู้ท่จะช่วยแก้ทุกข์ได้ การกล่าวทุกข์ให้ผู้
ซึ่งเมื่อได้ฟ๎งแล้วช่วยระงับทุกข์ไม่ได้นั้นหาประโยชน์มิได้ ผู้มทุกข์ไม่ได้ดอะไรจากคํากล่าวว่า
สงสารีหรือวาจาเช่นกัน"

พราหมณ์ทั้งสองได้ฟ๎งมนัสวกล่าวดังนั้น ก็พูดจาประเล้าประโลมเอาใจจนเห็นว่า
กรุณาจริงีมนัสวจึงเล่าว่า
"พระราชธิดาเสด็จมาในสวนน้เมื่อตอนบ่ายวันน้ ข้าพเจ้าได้เห็นนางก็เกิดความรัก
รุมรึงขึ้นในใจทันทีมิอาจทรงกายอยู่ได้ ก็ล้มสลบลงอยู่ดังท่ท่านมาพบนั้นีถ้าข้าพเจ้าไม่ได้
นางผู้เป็นพระราชธิดา ข้าพเจ้าก็คงตายีถ้าได้จึงจะคงชวิตต่อไปได้" พราหมณ์มูลเทวะกล่าวว่า
"เจ้าจงมากับเราเถิด ข้าจะพยายามด้วยอุบายท่ข้าสามารถจะทําได้ทุกประการให้
เจ้าได้นางดังประสงค์ แลถ้าข้าทําไม่สําเร็จีข้าสัญญาจะให้เจ้าเป็นผู้มทรัพย์มากมาย ไม่ต้อง
พึ่งใครในโลกอกต่อไป" มนัสวกล่าวว่า
"พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมณีขึ้นในโลกนี้เป็นอันมาก โดยพระประสงค์จะ
ทรงอุปการะเหล่าชน แต่มุกดาคือสตรีนั้นเลิศยิ่งมณีทั้งหลาย บุรุษมีความใคร่ทรัพย์ก็
เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่สตรี แลชายที่สละภริยาเสียแล้วแม้จะมีสมบัติก็ใช้อะไรไม่ได้
ชายที่ไม่มีเมียสวยนั้นดีกว่าดิรัจฉานที่ตรงไหน จะต่้าช้าไปกว่าสัตว์เลวทรามเสียอีก
ทรัพย์นั้นเป็นผลของความอยู่ในธรรม ความสุขเป็นผลของความมีทรัพย์ แลภริยาเป็น
ผลของความมีสุข ชายไม่มีเมียจะมีความสุขอย่างไรได้" มนัสวพูดเพ้อพร่ําไปในทํานองน้
ช้านานีเพราะความหลงรักีเราท่านฟ๎งดูก็น่าจะเห็นแปลก แต่อาจเป็นอาการธรรมดาของโรครัก
ก็เป็นได้

พราหมณ์มูลเทวะกล่าวว่าี"สิ่งใดซึ่งเจ้าประสงค์ สิ่งนั้นข้าจะทําให้สําเร็จได้ด้วย
ความกรุณาของพระผู้เป็นเจ้า" มนัสวกล่าวว่า
"ข้าแต่ท่านผู้เป็นบัณฑิต ขอท่านจงโปรดให้ข้าพเจ้าได้นางสมประสงค์เถิด"
พราหมณ์มูลเทวะรับสัญญาจะจัดการให้สมหมายีแล้วพามนัสวกลับไปบ้านของ
มูลเทวะ เมื่อไปถึงบ้านแล้วก็รับรองเป็นอันด เชิญให้นั่งในท่อันควรแล้วมูลเทวะก็ไปหยิบลูกอม
มาสองลูก แล้วอธิบายท่ใช้แห่งลูกอมนั้นให้มนัสวฟ๎งว่า
"ในเรือนของเราน้ีมวิชาลับซึ่งได้ส่งต่อเป็นมรดกกันมาหลายชั่วคน แลข้าใช้วิชา
น้กระทําประโยชน์ให้เกิดแก่มนุษย์ แต่การใช้ความรู้ของข้าน้จะสําเร็จประโยชน์ก็ต่อเมื่อผู้ซึ่งมา
ขอให้ช่วยนั้นมใจบริสุทธิ์แลตั้งใจจริงท่จะรับประโยชน์ ลูกอมลูกน้ถ้าเจ้าอมเข้าในปากีเจ้าจะ
กลายเป็นหญิงอายุี๑๒ีปี ถ้าเอาออกจากปากจึงจะคืนรูปเดิมีถ้าข้าให้ลูกอมน้แก่เจ้า เจ้าต้อง
ตั้งใจแน่นอนว่าจะเอาไปใช้แต่ทางท่ด มิฉะนั้นจะเกิดเหตุเป็นทุกข์แก่เจ้าอย่างใหญ่ เหตุฉะนั้น
เจ้าจงตรึกตรองในใจให้ดเสยก่อนจึงรับลูกอมน้ไปใช้ ถ้าไม่แน่ใจก็อย่ารับไปเลย"

เวตาลเล่าต่อไปว่า เมื่อพราหมณ์มูลเทวะกล่าวเช่นน้ ชายหนุ่มซึ่งกําลังรักหญิง


อย่างรุนแรงย่อมจะนึกแน่ใจแลกล่าวรับรองทันทว่า ตนเป็นผู้มใจบริสุทธิ์แลตั้งใจจริงท่สุดใน
โลก แลมนัสวก็ได้กล่าวยืนยันเช่นนั้นในทันท มูลเทวะจึงส่งลูกอมลูกหนึ่งให้มนัสวอมไว้ในปาก
แต่กําชับให้ระวังมิให้กลืนล่วงลําคอเข้าไปเป็นอันขาด ส่วนลูกอมอกลูกหนึ่งนั้นมูลเทวะอมเองี
คนทั้งสองก็มรูปเปล่ยนไป มนัสวเป็นหญิงสาวสวยีมูลเทวะเป็นพราหมณ์แก่อายุไม่ต่ํากว่าี๘๐ี
ปี
เมื่อแปลงตัวดังน้แล้วีคนทั้งสองก็เดินไปสู่พระราชวัง เข้าเฝูาท้าวสุพิจาร
พระราชา ตรงเข้าไปยังท่เสด็จออกโดยท่มิต้องมผู้ทูลเบิกเพราะพราหมณ์ผู้ใหญ่มเกยรติท่จะ
ทําเช่นนั้นได้
ฝุายพระราชาเมื่อทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์ผู้มอายุมากเข้าไปในท้องพระโรง ก็
เสด็จลุกขึ้นต้อนรับเป็นอันด เชื้อเชิญให้พราหมณ์แลนางซึ่งปรากฏเหมือนหนึ่งลูกสาวนั่งในท่
อันควร พราหมณ์มูลเทวะก็ท่องมนตร์แลถวายพระพรพระราชาว่า
"พระผู้เป็นเจ้าองค์ใด เมื่อทรงรูปเป็นคนค่อมได้ล่อลวงท้าวพลผู้เป็นราชาทรง
ศักดิ์ใหญ่ เมื่อเป็นนักรบผู้แกล้วกล้าได้นํากองทัพลิงจองถนนข้ามสมุทร เมื่อเป็นโคบาลได้ยก
เขาโควรรธน์ชูไว้ในฝุาพระหัตถ์ เป็นเครื่องปูองกันคนเล้ยงโคทั้งชายแลหญิงให้พ้นภัยีคือ
สายฟูาอันมาแต่สวรรค์ ขอพระผู้เป็นเจ้าองค์นั้น จงคุ้มครองพระองค์ผู้เป็นพระราชาให้ทรง
สวัสดิ์มสุขทุกทิวาราตร"
ท้าวสุพิจารทรงฟ๎งเพลินีจนพราหมณ์หยุดพูดแล้วจึงรับสั่งถามว่า
"ท่านผู้เป็นอาจารย์มาจากสํานักใด" มูลเทวะทูลว่า
"เมืองของข้าพเจ้าอยู่ฟากเหนือแห่งแม่น้ําพระคงคา ข้าพเจ้าได้เท่ยวไปจากบ้าน
ถึงประเทศท่ไกล แลได้พบนางคนน้สมควรเป็นภริยาแห่งบุตรข้าพเจ้าีข้าพเจ้าจึงพานางกลับ
บ้าน แต่ในเวลาท่ข้าพเจ้าไม่อยู่นั้นีข้าวปลาอาหารไม่มพอคนกิน คนในละแวกบ้านของ
ข้าพเจ้าอดอาหารีจะอยู่ไปในท่นั้นไม่ได้ ภริยาแลบุตรข้าพเจ้าก็อพยพไปอยู่ท่อื่นีข้าพเจ้าไม่รู้
ว่าท่ไหน แต่ข้าพเจ้ามนางรุ่นสาวคนน้เป็นเครื่องห่วงอยู่ จะออกเท่ยวตามบุตรแลภริยาก็ไม่ได้
แต่ข้าพเจ้าได้ยินชนเลื่องลือเกยรติพระองค์ผู้ทรงธรรมีมพระหฤทัยประกอบด้วยกรุณา
ข้าพเจ้าจึงกล่าวแก่ตัวเองว่าจะพานางมาถวายฝากไว้ีเพื่อได้ทรงดูแลมิให้ภัยต่างๆ มมาถึงนาง
จนกว่าข้าพเจ้าจะกลับ ขอพระองค์จงโปรดรับนางไว้ตามปรารถนาของข้าพเจ้าเถิด"

ท้าวสุพิจารได้ทรงฟ๎งดังนั้นีก็ทรงนั่งนิ่งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง เพราะคําท่พราหมณ์
กล่าวนั้นแม้เป็นการยกยอถูกต้องตามพระราชหฤทัยก็จริง แต่ทรงเห็นภัยมอยู่ทั้งสองทางีทาง
หนึ่งถ้าทรงรับตามปรารถนาแห่งพราหมณ์ ก็คือรับฝากนางสาวซึ่งรูปแลเค้าหน้างดงามีพูดจา
สําเนยงไพเราะ แลทั้งมตากระเดยดจะเป็นนักเลงอยู่ด้วยีการรับฝากนางชนิดน้ไว้ในเรือนนั้น
เป็นภัยอยู่ในตัวไม่ต้องอธิบายีแต่ถ้าไม่รับฝากก็มภัยอกทางหนึ่ง คือจะถูกพราหมณ์สาปให้
พระองค์แลบ้านเมืองย่อยยับไปด้วยอํานาจความโกรธของพราหมณ์ พระราชาทรงเทยบภัยทั้งี
๒ีข้างีเห็นว่าภัยข้างถูกสาปนั้นหนักกว่า จึงรับสั่งแก่พราหมณ์ว่า
"ข้าแต่ท่านผู้เกิดจากเศยรแห่งพระพรหม ข้าพเจ้าจะรับฝากนางรุ่นสาวน้ไว้ตาม
ปรารถนาของท่าน"
พราหมณ์มูลเทวะได้ฟ๎งดังนั้น ก็ถวายพระพรพระราชาด้วยถ้อยคําอันดแล้วรับ
พระราชทานพลูแลออกจากท่เฝูาไป (เป็นธรรมเนยมเจ้าของบ้านต้องให้ใบพลูแลเครื่องเทศให้
แขกเค้ยว เมื่อเวลาจะแนะให้ลากลับ)

ครั้นพราหมณ์แก่ออกจากท่เฝูาไปแล้ว พระราชารับสั่งเรยกนางจันทร์ประภาพระ
ราชบุตรเข้ามาเฝูาีตรัสว่า
"นางน้เป็นคู่หมั้นกับพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งแลพราหมณ์แก่ผู้เป็นพ่อผัวพามาฝาก
ให้บิดาคุ้มครองรักษาไว้จนถึงเวลาท่พราหมณ์จะกลับมารับ เจ้าจงพานางเข้าไปข้างในให้อยู่
ด้วยกันกับเจ้าีเจ้าจงเอาใจใส่ดูแลด้วยด ไม่ให้ไปพ้นจากตัวเจ้าทั้งกลางวันแลกลางคืนีทั้ง
เวลาหลับเวลาตื่นเวลากิน ทั้งเมื่ออยู่ในแลไปนอกพระราชวัง"
นางจันทร์ประภาพระราชธิดาได้ฟ๎งรับสั่งดังนั้นก็พานางซึ่งเป็นสะใภ้พราหมณ์ไป
ยังตําหนักแห่งนาง ตําหนักนั้นเดิมเป็นท่สําราญแลท่สนุก แต่บัดน้เป็นท่ซึ่งมอาการเห่ยวแห้ง
ทําให้เกิดหงอยเหงาในใจ หน้าต่างก็ชักม่านให้มืดีแลสาวใช้ท่เดินไปมาก็ระวังฝีเท้ามิให้ดัง
ประหนึ่งว่า ความเดินดังจะทําให้เกิดความปวดศรษะแก่ใครผู้อยู่

ฝุายพระราชธิดาีเมื่อพาสะใภ้พราหมณ์ไปถึงตําหนักแล้ว ก็ทรงเอาใจใส่เป็นอันด
แลตรัสกับนางมากกว่าท่เคยตรัสเป็นปกติในหมู่นั้น จะเป็นด้วยนางสะใภ้พราหมณ์เป็นคนมตา
เป็นนักเลง หรือจะเป็นด้วยพระราชธิดาทรงรู้สึกด้วยไม่มเหตุอะไรท่จะทราบได้ ว่าการจะ
เป็นไปดังซึ่งจะเป็นไปก็ตามีพระองค์ี(พระวิกรมาทิตย์) ย่อมจะทรงทราบว่าอาจเป็นได้ด้วย
เหตุทั้งี๒ีอย่าง
แต่ข้อท่จะเป็นด้วยเหตุใดนั้นไม่สู้สําคัญนักีเพราะนางสะใภ้พราหมณ์สังเกตเห็น
ได้ว่า พระราชธิดามความเศร้าหฤทัยปรากฏอยู่ท่พระนลาฏีครั้นเมื่อเข้าท่บรรทมด้วยกันแล้ว
นางสะใภ้พราหมณ์จึงทูลถามว่าีเพราะเหตุใดพระราชธิดาจึงมทุกข์ นางจันทร์ประภาจึงตรัส
เล่าเรื่องน่าสงสารให้นางสะใภ้พราหมณ์ฟ๎งว่า

"วันหนึ่งในฤดูวสันต์ ข้ากับบริวารพากันไปเดินเล่นในอุทยาน ข้าได้พบพราหมณ์


หนุ่มคนหนึ่งรูปร่างงดงามยิ่งนัก ครั้นตาเราทั้งสองสบกันเข้าก็ล้มลงสลบไปีแลข้าก็ล้มแน่นิ่ง
ไปเหมือนกัน ฝุายนางทั้งหลายซึ่งเป็นบริวารของข้า เมื่อเห็นข้าเป็นดังนั้นก็พาข้าคืนเข้า
พระราชวังีทั้งท่ข้ายังไม่รู้สึกตัว เหตุดังนั้นข้าไม่รู้ว่าพราหมณ์หนุ่มคนนั้นชื่อไรีบ้านอยู่ท่ไหน
แต่ความงามของเขาพิมพ์ไว้ในความทรงจําของข้าีแลข้าไม่มปรารถนาจะดื่มแลกินเลย เหตุ
ฉะน้ผิวพรรณแห่งข้าจึงเผือดซดแลกายซูบผอมไป"
พระราชธิดาตรัสดังน้แล้วก็ทรงถอนใจใหญ่ มสําเนยงซึ่งมนัสวผู้แปลงเป็นสะใภ้
พราหมณ์ได้ยินไพเราะท่สุด แลพระราชธิดาทรงพยากรณ์ตามซึ่งหญิงผู้อยู่ในความอั้นป๎ญญา
ในเรื่องรัก มักจะพยากรณ์ว่าคงจะสิ้นพระชนม์ด้วยอาการฉับพลันในตอนต้นเดือนหน้านั้นเอง
นางสะใภ้พราหมณ์ได้ฟ๎งดังนั้นก็แสร้งก้มหน้าทูลถามด้วยกิริยาเอยงอายว่า
"ข้าพเจ้าทําให้พราหมณ์หนุ่มผู้เป็นท่รักของนางเข้ามาเฝูาได้ในบัดน้ นางจะ
ประทานอะไรแก่ข้าพเจ้าเป็นรางวัล" พระราชธิดาตรัสตอบว่า
"ข้าจะยอมเป็นทาสของนางรับใช้การอย่างต่ําท่สุด แลจะยืนพนมมือคอยปฏิบัติ
นางผู้มคุณ"
นางสะใภ้พราหมณ์ได้ยินรับสั่งดังนั้น ก็คายลูกอมออกจากปากกลายเป็นมนัสว
พราหมณ์หนุ่มเข้าโลมพระราชธิดา นางจันทร์ประภาก็ทรงละอายหฤทัยยิ่งนัก
"ข้าพเจ้าจะเล่าถวายพิสดารว่า..." พระวิกรมาทิตย์ตรัสตอบว่า
"เอ็งไม่ต้องเล่าเรื่องตรงนั้นพิสดารีข้าไม่อยากฟ๎งของเอ็ง"

เวตาลเล่าต่อไปว่าีฝุายมนัสวพราหมณ์หนุ่ม เมื่อได้เข้าถึงพระองค์พระราชธิดา
สมปรารถนาีดังนั้น ก็คํานึงถึงลักษณะแห่งวิวาหะทั้งแปดอย่างีคือ

(๑) วิวาหะลักษณะพราหมณ์ คือบิดายกลูกสาวให้แก่พราหมณ์


(๒) วิวาหะโดยลักษณะเทวดา คือบิดายกลูกสาวให้แก่พราหมณ์ผู้กระทําพิธบูชายัญีเป็น
ค่าจ้างในการกระทําพิธนั้น
(๓) วิวาหะโดยลักษณะฤาษ คือบิดายกลูกสาวให้แก่ชายซึ่งให้โคกระบือแก่บิดาคู่หนึ่งหรือสอง
คู่
(๔) วิวาหะโดยลักษณะประชาบด คือเมื่อบิดาแห่งหญิงยกบุตรให้แก่ชายแลกล่าวแก่คนทั้ง
สองว่า "เจ้าจงร่วมกันประพฤติธรรม"
(๕) วิวาหะโดยลักษณะอสูร คือเมื่อชายได้ให้ทรัพย์แก่ญาติแห่งหญิงจนเต็มท่ซึ่งจะให้ได้แล้ว
บิดาหญิงยกบุตรให้เป็นภริยา
(๖) วิวาหะโดยลักษณะรากษส คือชายแย่งหญิงได้ในการรบสู้กับผู้ปกครองของหญิง
(๗) วิวาหะโดยลักษณะคนธรรพ์ คือเมื่อหญิงกับชายได้กันเองด้วยความเต็มใจทั้งสองฝุาย
(๘) วิวาหะโดยลักษณะปิศาจีคือชายลอบรักหญิงเมื่อเวลาหลับหรือเมาีหรือสลบไม่มสติ (มนู
ธรรมศาสตร์ี๓:๒๐ีแลต่อไป)

มนัสวคํานึงถึงลักษณะวิวาหะทั้งแปดน้ เห็นว่าลักษณะคนธรรพ์เป็นลักษณะท่
เหมาะกว่าอย่างอื่น เพราะพระราชธิดาเป็นนางสูงศักดิ์ีมพระชนมายุสมควรแก่การวิวาหะแล้ว
แลมอํานาจโดยธรรมเนยมท่จะร้องขอให้พระราชบิดาอํานวยการสยุมพร เมื่อพระราชธิดาได้
เลือกพระสามตามแบบอย่างซึ่งพระรามีพระอรชุนีพระนลเป็นต้น ได้พระราชธิดาแห่งกษัตริย์
ทรงนามเลื่องลือมาเป็นชายา การท่มนัสวพราหมณ์หนุ่มนึกเอาพระนามกษัตริย์ทรงมเกยรติใน
โบราณกาลมาเข้าแถวกับตนเองเช่นน้ ก็แสดงความกําเริบใจมิใช่น้อยีแต่ความฮึกเหิมเช่นนั้น
เป็นอาการของผู้ท่กําลังจะได้ลูกสาวของพระราชาเป็นภริยา

เมื่อมนัสวได้พระราชธิดาสมประสงค์แล้วีก็อยู่ภายในพระราชวังประมาณห้าเดือน
เศษ เปล่ยนแปลงกายเป็นชายแลหญิงทุกวันทุกคืนีจนทราบได้ว่าไม่ช้าก็จะได้เป็นพ่อ...
เวตาลกล่าวต่อไปว่าีข้าพเจ้าก็รู้นิสัยคนมากอยู่ แต่นิสัยของมนัสวนั้นแปลกกับ
นิสัยคนอื่นในความรู้ของข้าพเจ้าีคนอื่นๆ เมื่อได้เปล่ยนจากเพศชายเป็นเพศหญิงีแลเปล่ยน
จากเพศหญิงเป็นเพศชายทุกี๒๔ ชั่วโมงแล้วีก็คงจะเป็นความเปล่ยนท่มากพอในวันหนึ่งๆ
แต่มนัสวยังต้องการเปล่ยนอิริยาบถให้ยิ่งกว่านั้นอก ไม่พอใจในการท่ต้องแอบซ่อนอยู่ใน
ตําหนักทุกวันทุกคืน ต้องการจะเท่ยวเปล่ยนท่ไปบ้าง จนถึงแก่กล่าวโทษพระราชธิดาว่าไม่พา
ออกเท่ยวเปล่ยนอากาศ
ส่วนพระราชธิดานั้นีเราท่านน่าจะคิดเห็นว่าเมื่อได้ล้มสลบอยู่กับท่ เพราะความ
เสน่หาซึ่งเกิดในนาทแรกท่ได้พบชาย แลเมื่อฟื้นจากสลบแล้วยังได้บําเพ็ญพระองค์จะไปสู่
ยมโลก เพราะรักยังไม่สําเร็จดังได้กล่าวมาแล้วเช่นน้ีครั้นเมื่อได้ชายท่รักมาสมหมาย ก็น่าจะ
ยังไม่เบื่อีไม่นั่งหาวีแลไม่แสดงพิโรธเล็กๆีน้อยๆ ก่อนปีหนึ่งจากวันท่ได้ชายนั้นมาเป็นสามี
แต่การหาเป็นเช่นนั้นไม่ นางจันทร์ประภาพระราชธิดาทรงเบื่อมนัสวีแลเบื่อความไม่เห็นคนอื่น
นอกจากมนัสว เสมอกับมนัสวเบื่อพระราชธิดาีแลความไม่เห็นคนอื่นนอกจากพระราชธิดา จน
นางใกล้จะชวนสามออกเท่ยวอยู่แล้วหลายครั้ง
แต่ครั้นเมื่อสามกล่าวชวนนางไปเท่ยวให้พ้นความอยู่ด้วยกันโดยจําเพาะไปบ้าง
นางก็กลับทรงคิดขุ่นเคืองว่าีมนัสวเบื่อความอยู่ด้วยกันสองต่อสอง จึงตรัสประชดว่าคนมคู่แล้ว
ถ้าแม้นหมักหมมคลุกคลกันอยู่สองต่อสองแลทะเลาะกันวันยังค่ําๆีก็เป็นคู่ท่โง่ท่สุด มนัสวแก้
ว่าีเขาไม่ได้คิดเบื่อนาง เขาไม่ต้องการอะไรยิ่งกว่าท่จะพานางออกแสดงให้รู้กันทั่วโลกว่าเป็น
ภริยาของเขา แต่นางก็ยังไม่เป็นท่พอหฤทัยีต้องการโต้ตอบกันอยู่อกช้านาน ในท่สุดเป็นอัน
ตกลงว่าจะเลิกขังตัวเองและออกเท่ยวในท่ต่างๆ นางจึงไปเฝูาทูลท้าวสุพิจารพระราชบิดาว่า
นางแลหญิงสะใภ้พราหมณ์ต้องการออกเท่ยวกินลม แลไปในท่สําราญต่างๆีเพื่อผาสุก
ท้าวสุพิจารทรงยินดท่ได้เห็นพระราชธิดามอาการน้ํานวลขึ้นีจึงตรัสอํานวยว่า
เสด็จเท่ยวเตร่ไปในท่ใดท่สมควรแก่เกยรติยศีก็แล้วแต่นางจะประสงค์ ดังน้พระราชธิดาแล
มนัสวผู้สามี(ในรูปหญิงสะใภ้พราหมณ์) ก็ออกเท่ยวในท่ต่างๆ ตามสําราญ

วันหนึ่ง ท้าวสุพิจารเสด็จไปเป็นเกยรติยศแก่การแต่งงานท่บ้านมหาอํามาตย์ ผู้


อยู่ในตําแหน่งโกษาธิบดีพระราชธิดาแลหญิงสะใภ้พราหมณ์ก็ตามเสด็จด้วย
ฝุายชายหนุ่มผู้เป็นบุตรโกษาธิบด เมื่อได้เห็นหญิงสะใภ้พราหมณ์มรูปร่างแล
หน้าตางดงามีก็หลงรักในทันใด เป็นครั้งท่สองในเรื่องน้ีท่ชายรักหญิงในนาทแรกท่เห็นหน้า
ชายหนุ่มจึงกล่าวแก่เพื่อนสนิทของตนตามเคยว่า
"ถ้าข้าได้นางนั้นีข้าจะมสําราญในโลกีถ้าไม่ได้ข้าจะต้องสละชวิตเสย"
ฝุายพระราชานั้นเมื่อได้ทรงสําราญในการเล้ยงแล้ว ก็เสด็จคืนเข้าพระราชวัง
พร้อมด้วยพระราชธิดาแลผู้อื่นๆีซึ่งตามเสด็จ

ส่วนบุตรโกษาธิบดนั้น ครั้นนางสะใภ้พราหมณ์ตามเสด็จกลับเข้าพระราชวังแล้วก็
เดือดร้อนกระวนกระวายเป็นกําลัง ตั้งแต่นั้นมาก็มอาการซูบซดเพราะทิ้งข้าวทิ้งน้ําแลหลับนอน
ไม่เป็นปกติ เพื่อนสนิทรู้ความในใจเป็นการลับไม่บอกให้ใครทราบีแต่ไม่นิ่งอยู่ได้นาน เพราะ
อดไม่ได้นั้นอย่างหนึ่งีอกอย่างหนึ่งอธิบายว่าีบุตรโกษาธิบดปุวยอาการหนัก ถ้าขืนนิ่งเสยก็คง
จะถึงชวิต ดังน้ความลับนั้นก็ทราบถึงโกษาธิบดในสองสามวันนั้นเอง โกษาธิบดนึกหนักใจใน
การท่บุตรชายปุวยนั้นอยู่แล้ว ครั้นได้ทราบสมุฏฐานแห่งโรคก็รบเข้าเฝูาพระราชาีทูลว่า
"ข้าแต่พระมหาราชาีบุตรชายของข้าพเจ้ารักหญิงสะใภ้พราหมณ์ คลั่งไคล้ม
อาการปุวยปางตายีไม่กินไม่นอนีเฝูาแต่พร่ําเพ้อละเมอฝ๎น ขอพระองค์จงโปรดกรุณาประทาน
นางแก่บุตรข้าพเจ้าเพื่อให้คงชวิตไปเถิด"
ท้าวสุพิจารได้ทรงฟ๎งดังนั้นีก็ทรงแสดงกิริยาพิโรธตรัสว่า
"เจ้าเป็นบ้าไปเสยแล้วหรือจึงมากล่าวเช่นน้ ข้าเป็นพระราชาจะกระทําอยุติธรรม
เช่นนั้นด้วยประการใด เจ้าเป็นผู้ใหญ่ย่อมจะทราบว่าเมื่อมผู้พาผู้อยู่ในความปกครองมาฝากให้
อยู่ในอารักขาแห่งผู้มิอาจให้อารักขาได้ ผู้รับฝากจะยกผู้อยู่ในความฝากนั้นไปให้ผู้อื่นไม่ได้
เป็นอันขาด เจ้าก็เป็นอํามาตย์ผู้ใหญ่มสติป๎ญญาีเหตุไฉนจึงมาขอเช่นน้"

โกษาธิบดทราบแจ้งอยู่ในใจว่า พระราชาทรงปกครองบ้านเมืองได้ด้วยเขาเป็นผู้
อุดหนุน ถ้าเขาไม่ได้อยู่รับราชการเมื่อใดีการบ้านเมืองก็จะทรุดโทรมไป แลพระราชาก็จะต้อง
ทรงรับความเดือดร้อนีอนึ่งโกษาธิบดรู้จักพระหฤทัยพระราชาอยู่ว่า มักจะโอนเอนไปได้เพื่อ
ความสะดวกอันควรแก่รูปการณ์ีจึงนึกในใจว่า "พระหฤทัยดังน้อกหน่อยก็คงเปล่ยน" แต่มิได้
กล่าวอะไร นั่งก้มหน้านิ่งแสดงกิริยาเหมือนผู้ท่สิ้นหวัง
ฝุายท้าวสุพิจารนั้นีประเด๋ยวก็ตรัสกริ้วีประเด๋ยวก็ตรัสปลอบีติโทษบ้างียกยอ
บ้าง เพื่อจะให้โกษาธิบดเปิดปากทูลขอคําอันใดท่จะทําให้ทรงเห็นความเป็นไปในใจของเขา
ได้ แต่เขาก็นิ่งอึ้งีไม่พูดจาอะไรเลยีจนในท่สุดกราบถวายบังคมลาออกจากท่เฝูา เดินน้ําตา
คลอออกไีปจนถึงประตูวังีจึงกล่าวแก่ตนเองีแต่มผู้อื่นได้ยินว่า "ตัวกูน้อดข้าวเสยสักี๑๐ีวันี
ก็คงได้ไปโลกหน้าสมหวัง"

ครั้นเมื่อโกษาธิบดกลับไปถึงบ้านแล้ว ก็เรยกบ่าวไพร่มาพร้อมกันเข้าไปเย่ยมลูก
ชายในห้องีพบลูกชายนอนอยู่บนเสื่อ หน้าตาซูบซดเพราะอดอาหารีบิดาจึงจับมือบุตรไว้ีแล้ว
กระซิบดังพอให้ได้ยินกันทั่วว่า
"ลูกเอ๋ยีพ่อจะแก้ไขอะไรก็ไม่ได้แล้ว จําเป็นจะต้องตายไปตามกัน"
ฝุายพวกบ่าวไพร่เมื่อได้ยินนายพูดดังนั้น ต่างคนก็หลกออกไปจากห้องแล้วเล่าสู่
เพื่อนกันฟ๎งีแลเพื่อนก็เล่าต่อๆีกันไปว่า โกษาธิบดมจํานงจะสละชวิตเสยแล้ว แลต่างคนต่างก็
เข้าไปด้อมมองคอยดูว่านายจะทําจริงตามพูดหรือไม่ แลถ้ายอมตายจะตายอย่างไรีตายท่ไหนี
แลตายเมื่อไร การท่บ่าวไพร่ได้ทราบความตั้งใจแห่งนายเช่นน้ ถ้าจะกล่าวว่าพากันเศร้าโศก
เสยใจก็ไม่เชิงีจะว่าไม่รักนายก็ว่าไม่ได้ เพราะนายเป็นผู้ใจดมกรุณาต่อบ่าวแต่ถึงกระนั้นบ่าวก็
ใคร่รู้ใคร่เห็นลังเลครึ่งๆ กลางๆีในใจไม่แน่ว่าอยากให้เหตุเกิดหรือไม่ ท่เป็นเช่นน้ก็เพราะความ
ตื่นเต้นในใจตามธรรมดามนุษย์ซึ่งหาความยั่งยืนมิได้

ตรงน้พระวิกรมาทิตย์ทรงแค้นเคืองในพระหฤทัย เพราะเหตุเวตาลกล่าวติเตยน
ธรรมดาแห่งมนุษย์ ทรงแสดงพิโรธให้เวตาลรู้สึกแต่มันทําเป็นไม่รู้สึกีเล่าต่อไปว่า
เมื่อโกษาธิบดได้อดข้าวอดน้ําอยู่แล้วถึงสามวัน อํามาตย์ผู้ใหญ่ก็ประชุมปรึกษา
กันว่าีถ้าพระราชาไม่ยินยอมตามคําร้องขอ ก็จะพากันไปถวายบังคมลาออกจากราชการไป
บวชเป็นโยคีหรือไปทําอะไรท่แปลกๆีต่างๆ การท่เป็นเช่นน้ก็เพราะโกษาธิบดเป็นหัวหน้าจูง
ราชการให้ดําเนินไปนั้นข้อหนึ่ง อกข้อหนึ่งอํามาตย์เหล่านั้นเห็นว่า ก็เมื่อผู้ใหญ่อยู่ในตําแหน่ง
สูงถึงโกษาธิบดแล้วทูลขอเท่าน้ยังไม่ได้ ต่อไปข้างหน้าใครจะทูลอะไรได้เล่าีเมื่อเป็นเช่นน้จะ
ทําราชการไปทําไม
เช้าวันรุ่งขึ้นข้าราชการทั้งหลายก็พร้อมกันเข้าไปเฝูาท้าวสุพิจาร ทูลว่าบุตรของ
โกษาธิบดใกล้จะถึงตายอยู่แล้วีเพราะเหตุหัวใจเต็มแลท้องว่าง ถ้าบุตรตายีบิดาซึ่งไม่ได้กิน
แลดื่มมาถึงสามวันแล้วีก็จะพลอยตายด้วย ถ้าโกษาธิบดตาย ราชการบ้านเมืองก็จะเกิดยุ่ง
เหยิงเพราะเขาเป็นนายคลังใหญ่รู้บัญชทั้งปวง แลมคํากล่าว่าในเวลาน้ีบัญชของบ้านเมืองนั้น
ปลวกกินเสยครึ่งหนึ่งแล้ว ท่ยังเหลืออกครึ่งหนึ่งก็ไม่เป็นประโยชน์ีเพราะกรดหมึกกัดกระดาษ
ขาดไปมาก บัญชหาติดต่อกันได้ความประการใดไม่ีเหตุดังนั้นข้าราชการทั้งหลายจึงประชุมพร
อ้มกัน ทูลขอให้พระราชาประทานนางสะใภ้พราหมณ์แก่บุตรโกษาธิบดดังประสงค์ ความตั้งมั่น
ในพระหฤทัยของพระราชานั้นทนข่าวปลวกแลกรดหมึกไม่ได้ จึงทรงคิดโอนเอนไปข้างจะยอม
แต่ยังมพระประสงค์จะแสดงความมั่นคงในพระหฤทัยให้คนทั้งหลายเห็น จึงตรัสว่าโกษาธิบด
แลบุตรชายเป็นคนมคุณด เป็นประโยชน์แก่ราชการเพยงไรก็ทรงทราบอยู่แล้ว แลมพระราช
ประสงค์จะช่วยบิดาแลบุตรนั้นทุกทางท่จะทรงช่วยได้ปราศจากอสัตย์ แต่ในเรื่องน้ได้ทรงรับ
สัญญาเสยแล้วว่าจะคุ้มครองนางท่พราหมณ์เฒ่านํามาฝากไว้ พระองค์จะยอมสวรรคตเสยสิบ
สองครั้ง ยิ่งกว่าท่จะกระทําการเป็นท่เสยสัญญาหรือปฏิบัติหน้าท่ปราศจากความสัตย์ ทั้งทรง
แสดงธรรมะต่างๆ ซึ่งไม่สู้เก่ยวแก่การขอแลการให้หญิงสะใภ้พราหมณ์อันเป็นป๎ญหาอยู่ใน
เวลานั้น แต่ข้าราชกรท่เฝูาอยู่ก็พากันตั้งใจฟ๎งคําตรัส เพราะไม่มใครรู้พระหฤทัยพระราชาเท่าท่
โกษาธิบดรู้ จึงพากันเห็นจริงแลชมธรรมะท่ทรงแสดงให้ฟ๎งีแลต่างคนก็นั่งนิ่งอยู่

ฝุายพระราชาทรงคอยอยู่ครู่หนึ่งให้ธรรมะซึมซาบเข้าไปในใจผู้ฟ๎งแล้ว ก็ตรัสเสย
ใหม่ให้ผลแห่งคําสอนท่มในใจข้าราชการเหล่านั้นค่อยเบาบางลงไป โดยท่ตรัสว่าธรรมะซึ่ง
ทรงแสดงนั้น ได้ทรงรับเป็นคําสั่งสอนของพระราชบิดาแลพระราชมารดาซึ่งทรงธรรมอย่างสูง
ทั้งสองพระองค์ แลเป็นธรรมะซึ่งบุรุษพึงประพฤติแลเคารพโดยปกติีแต่ถ้าเกิดป๎ญหาแปลก
ธรรมดาแลผิดปกติ การดําเนินทางธรรมจะแผกเพ้ยนไปจากรอยเดิมบ้างีถ้ายังเป็นธรรมอยู่ ก็
อาจแผกเพ้ยนไปได้ีเพราะการดําเนินตามรอยแคบนั้นีย่อมแสดงน้ําใจแคบ พระองค์มพระราช
ประสงค์ให้ชนทั้งหลายเห็นว่าีพระองค์มิใช่พระราชาท่มพระหฤทัยแคบ จึงพระราชทาน
อนุญาตให้ข้าราชการทั้งหลายกล่าวช้แจงให้ทรงเห็นชอบว่าในการเรื่องน้เป็นหน้าท่ของ
พระองค์ท่จะต้องเสยสัญญาท่ประทานไว้แก่พราหมณ์เฒ่า แลเป็นหน้าท่ของพระองค์ท่จะต้อง
ประทานเมยของคนอื่นให้แก่บุตรชายโกษาธิบด
ฝุายเหล่าอํามาตย์ท่เฝูาอยู่นั้น เมื่อได้ยินพระราชารับสั่งข้างท้ายน้ก็ดใจีจึง
ช่วยกันทูลช้แจงด้วยคําต่างๆ กันซึ่งรวมอยู่ในชื่อว่าน้ําท่วมทุ่งีรวมความว่าพราหมณ์เฒ่านั้นก็
สูญหายไปช้านาน บัดน้คงจะตายแลมผู้เผาเสยแล้ว อนึ่งหญิงสะใภ้แห่งพราหมณ์นั้นก็เป็นแต่
ได้หมั้นคู่กันไว้กับบุตรพราหมณ์ หาได้มวิวาหะไม่ เขาทั้งหลายจึงเห็นสมควรท่จะประทานนาง
ซึ่งผู้นํามาฝากคงจะตายแล้วแก่บุตรโกษาธิบด เพื่อให้ราชการบ้านเมืองยืนยงต่อไป ส่วน
พราหมณ์เฒ่านั้นหากยังไม่ตายจะกลับมาก็ควรประทานทรัพย์ให้มากมายจนเป็นท่พอใจ หรือ
ถ้ายังไม่พอใจีก็ประทานนางอื่นซึ่งงามกว่าน้ให้พราหมณ์เฒ่าพาไปเป็นภริยาบุตร กล่าวการ
สละีคนควรสละบุคคลเพื่อประโยชน์แก่ครอบครัว สละครอบครัวเพื่อประโยชน์แก่กรุงีสละกรุง
เพื่อประโยชน์แก่พระราชา

ท้าวสุพิจารเมื่อได้ฟ๎งอํามาตย์ทั้งหลายกราบทูลดังนั้น ก็ตรัสว่าีป๎ญหาน้มข้อท่
ควรคํานึงทั้งสองฝุายีจะทรงตรึกตรองดูให้รอบคอบในคืนนั้น รุ่งขึ้นขึงจะตรัสให้อํามาตย์ทั้ง
ปวงทราบกระแสพระดําริ ตรัสดังน้แล้วก็รับสั่งให้อํามาตย์ทั้งปวงออกจากท่เฝูา

ฝุายพวกอํามาตย์เมื่อได้ยินรับสั่งดังนั้น ก็นึกแน่ใจว่าพระราชาคงจะเสด็จเข้าไป
ปรึกษาพระมเหสีแลนางข้างใน เขาทั้งหลายก็มความยินด เพราะหวังได้ว่านางทั้งปวงคงจะ
ต้องการให้มวิวาหะเป็นการใหญ่ แลส่วนนางสาวผู้เป็นสะใภ้พราหมณ์นั้น เมื่อจะได้แต่งงานด
เช่นน้ก็คงไม่ทิ้งโอกาสป๎จจุบันีคอยหาโอกาสอนาคต
อํามาตย์ทั้งปวงออกจากเฝูาแล้วก็รบไปเล่าความให้โกษาธิบดทราบ แลโกษาธิ
บดกับบุตรก็กินข้าวด้วยกันในคืนนั้นเป็นครั้งแรกในเวลาหลายวัน

ฝุายท้าวสุพิจารเมื่อเสด็จคืนเข้าข้างในแล้ว ก็เสด็จตรงไปยังตําหนักพระราชธิดาี
ตรัสแก่หญิงสะใภ้พราหมณ์ว่า
"เจ้าจงไปอยู่กับบุตรชายโกษาธิบด"

เวตาลกล่าวต่อไปว่า นางจันทร์ประภากับมนัสวในเวลากลางคืนทะเลาะกันแทบ
ไม่เว้นคืน เพราะฉะนั้นในเวลากลางวันีนางจันทร์ประภาแลนางสะใภ้ีพราหมณ์เกือบจะไม่พูด
กันซึ่งๆ หน้าีครั้นเมื่อคนทั้งสองได้ยินพระราชารับสั่งให้พรากกันดังนั้นต่างคนก็....

พระธรรมธวัชพระราชบุตรทรงฟ๎งเวตาลเพลิน ครั้นได้ยินเวตาลพูดถึงเพยงน้ียัง
ไม่ทันขาดคําก็ทรงสอดถามขึ้นว่า
"ดใจใช่หรือไม่" เวตาลตอบว่า
"หามิได้ ไม่ใช่ดใจีเสยใจมากีพระราชบุตรยังอ่อนป๎ญญานัก"
พระวิกรมาทิตย์ตรัสกริ้วพระราชบุตรีแลห้ามไม่ให้ตรัสถึงเรื่องท่ไม่รู้ แล้วเวตาลก็
เล่าต่อไปว่าีนางจันทร์ประภาีหญิงสะใภ้พราหมณ์

เมื่อได้ฟ๎งท้าวสุพิจารตรัสดังนั้นก็หน้าซดแลกันแสงวิงวอนพระราชาด้วยถ้อยคํา
ต่างๆ ให้ทรงถอนคําสั่งีแต่พระราชาหายอมตามไม่ีนางสะใภ้พราหมณ์กล่าวว่า
"ความทรงธรรมอันงามของหญิง ย่อมจะสลายไปด้วยรูปงามเหลือเกินนัก
พราหมณ์รับใช้พระราชาย่อมท้าความเสื่อมให้แก่ศาสนาของตน นางโคถ้าไปกินหญ้า
ไกลถิ่นนักก็เกิดความเสื่อมเสีย ทรัพย์ย่อมจะสูญเพราะเจ้าของไม่ประพฤติธรรม แล
ความเจริญย่อมจะสิ้นไปในเรื่องซึ่งเจ้าของไม่ท้าตามค้ามั่นสัญญา"
นางสะใภ้พราหมณ์กล่าวเช่นน้ ท้าวสุพิจารก็ทรงเห็นชอบทุกประการีมิได้ตรัส
คัดค้านข้อความท่กล่าวนั้นประการใด แต่ก็ยังทรงยืนคําท่จะให้หญิงสะใภ้ีพราหมณ์ไปเป็น
ภริยาแห่งบุตรโกษาธิบดให้จงได้
นางจันทร์ประภากล่าวว่า พระราชบิดาเป็นพระราชาซึ่งทรงประพฤติเท่ยงธรรมอยู่
เป็นปกติ มาบัดน้มพระประสงค์แผกเพ้ยนไปจากคลองธรรม คงจะเป็นด้วยหวังประโยชน์แก่
พระองค์อย่างเดยว แลเมื่อใดความเห็นแก่ประโยชน์ตนเข้าครอบงําตนีเมื่อนั้นขวาก็กลับเป็น
ซ้าย ซ้ายก็กลายเป็นขวาีเหมือนเงาในกระจกคันฉ่อง
ท้าวสุพิจารตรัสว่าีความเปรยบของนางนั้นถูกต้องหาตําหนิมิได้ แต่ก็ยังมพระ
ประสงค์จะให้หญิงสะใภ้พราหมณ์ไปเป็นภริยาแห่งบุตรโกษาธิบดอยู่นั่นเอง ฝุายนางสะใภ้
พราหมณ์ีเมื่อเห็นพระราชามิได้ลดหย่อนพระราชประสงค์เช่นนั้น ก็เพยรจะชักเวลาให้เยิ่น
ออกไปีจึงทูลว่า
"ข้าแต่พระมหาราชา ถ้าพระองค์ทรงกําหนดในพระหฤทัยแน่นอนแล้ว ว่าจะให้
ข้าพเจ้าเป็นภริยาแห่งบุตรโกษาธิบดีพระองค์จงโปรดให้ชายหนุ่มนั้นสัญญาว่า จะทําการสิ่ง
หนึ่งตามความประสงค์ของข้าพเจ้าีถ้าเขาไม่ยอมทํา ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมไปอยู่กับเขาเป็นอัน
ขาด" พระราชาตรัสว่า
"เจ้าจะให้เขาทําอะไรก็จงว่าไปเถิด" นางทูลว่า
"ข้าพเจ้าอยู่ในตระกูลพราหมณ์ีเขาอยู่ในตระกูลนักรบ ธรรมศาสตร์บัญญัติว่าเรา
ทั้งสองจะวิวาหะกันไม่ได้ เว้นแต่เขาจะได้เท่ยวยาตราแล้วตามบุณยสถานทุกตําบล" พระราชา
ตรัสว่า
"เจ้าพูดถูกต้องีเป็นความจริงดังหนึ่งพระเวท" แลทรงคิดยินดท่มช่องทางจะ
ยืดเวลาออกไปอกีแลในระหว่างเวลาท่ยืดออกไปนั้น พระองค์ยังจะสําแดงความมั่นคงใน
สัญญาให้ยาวไปได้อกหน่อยหนึ่ง

คืนวันนั้นีนางจันทร์ประภาแลมนัสวระงับการทะเลาะประจําคืน ต่างคนต่างแสดง
ความยินดต่อกันท่ได้ทําอุบายให้ภัยออกห่างไปได้โดยความนึก แต่มิได้ห่างออกไปโดยความ
จริงเลย
รุ่งขึ้นเช้าท้าวสุพิจารเสด็จออกรับสั่งให้อํามาตย์ทั้งปวงเข้าไปในท่เฝูา รวมทั้ง
โกษาธิบดแลบุตรชายด้วย แล้วรับสั่งบอกว่าหญิงสะใภ้พราหมณ์ได้กล่าวถูกต้องเป็นการ
สมควรยิ่งนัก คนทั้งหลายได้ทราบก็เห็นชอบพร้อมกัน
แต่บุตรโกษาธิบดทูลขอว่าระหว่างท่ตัวเขาไปเท่ยวยาตราอยู่นั้นีให้นางไปอยู่
คอยท่า ณีเรือนแห่งบิดาของเขาีจนกว่าเขาจะกลับมาีคําท่ทูลขอน้พระราชาไม่สู้จะโปรด
เพราะไม่พอพระหฤทัยท่จะพรากหญิงสะใภ้พราหมณ์ไปจากพระราชธิดา แต่โกษาธิบดแล
บุตรชายทําทเหมือนจะกลับไปอดข้าวน้ําใหม่ พระราชาจึงจําเป็นจําต้องตรัสอํานวยตาม
ประสงค์ หญิงสะใภ้พราหมณ์ก็ถูกฉุดคร่าพาไปยังบ้านโกษาธิบด โกษาธิบดพานางไปมอบไว้
กับภริยาของตนคนท่สาวแลสวยท่สุด แลกําชับว่าให้อยู่ด้วยกันจงดต่างคนต่างเอาใจกันีอย่า
ให้เกิดขุ่นข้องหมองใจขึ้นได้

ฝุายบุตรชายโกษาธิบดนั้นก็ออกเท่ยวไปตามบุณยสถานต่างๆ ตามกําหนดีฝุาย
หญิงสะใภ้พราหมณ์ีได้อยู่ร่วมห้องกับภริยาสาวของโกษาธิบด ทนเป็นหญิงอยู่ไม่ได้ตลอด
ย่สิบส่ชั่วโมงีก็กลายเป็นมนัสวในกลางคืน แต่ก็ไม่ทําดังนั้นไปได้นานีเพราะบาปกรรมมาตาม
ทันดังคําซึ่งมูลเทวะกล่าวไว้ คืนหนึ่งเมื่อได้เป็นมนัสวพราหมณ์หนุ่มอยู่ตลอดคืนแล้ว จะแปลง
ตัวเป็นหญิงสะใภ้พราหมณ์ีเอาลูกอมใส่ปากโดยความเลินเล่อ ลูกอมเลื่อนเลยเข้าคอไปี
มนัสวจะแปลงตัวเป็นหญิงก็แปลงไม่ได้ จึงต้องรบหนโจนจากหน้าต่างห้องภริยาสาวของ
โกษาธิบดีในเวลาท่ยังไม่สว่าง แลเหตุด้วยความมืดีมนัสวโจนพลาดขาแพลงล้มอยู่กับท่ลุก
ไปไม่ได้

ฝุายพราหมณ์มูลเทวะนั้นีเมื่อได้แปลงเป็นพราหมณ์เฒ่า พามนัสวซึ่งปลอมเป็น
หญิงสะใภ้ไปฝากพระราชาไว้แล้ว ออกจากท่เฝูาก็คืนรูปเป็นพราหมณ์มูลีเทวะกลับไปหา
พราหมณ์ศศ เล่าความให้ฟ๎งทุกประการีพราหมณ์ศศได้ยินดังนั้นก็ทําหน้าขุ่น ใช้คําแข็งกล่าว
แก่พราหมณ์มูลเทวะว่า ความมใจดแลใจอ่อนพาให้มูลเทวะประกอบการเป็นบาปอย่างยิ่งีมูล
เทวะเถยงว่า
"ข้าได้กําชับชายหนุ่มนั้นแล้วว่าจะทําการเป็นท่เรยบร้อยไปได้ก็ด้วยความบริสุทธ์
เพราะฉะนั้นอันตรายอะไรจะมเล่า" พราหมณ์ศศกล่าวว่า
"ท่านได้ให้อาวุธอันคมไปแก่คนโง่ีมันคงจะไปทําอะไรเกิดเหตุขึ้นจงได้ แล
ข้าพเจ้าจะขอพนันกับท่านว่าีภายในหกเดือนน้ ถ้าชายหนุ่มนั้นไม่ไปทําเลอะเทอะให้เกิดเหตุ
ขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าจะยอมยกคัมภร์ทั้งหลายของข้าพเจ้าให้เป็นทรัพย์ของท่าน แต่ถ้าชายหนุ่มนั้น
ไปทําให้เกิดความเป็นเหตุเสื่อมเสย ท่านต้องใช้วิชาของท่านให้ข้าพเจ้าได้พระราชธิดาของ
ท้าวสุพิจารมาเป็นภริยา"

พราหมณ์ทั้งสองสัญญากันมั่นคงแล้ว ต่างคนก็กล่าวตกลงแก่กันว่าีจะไม่พูดถึง
เรื่องน้ไปอกจนใกล้กําหนดหกเดือน ครั้นใกล้กําหนดพราหมณ์ทั้งสองก็เท่ยวสืบข่าวในท่ใกล้
พระราชวัง แลสืบต่อไปจนถึงบ้านโกษาธิบด ได้ทราบว่ามนัสวคือสะใภ้พราหมณ์เฒ่าหายไป
จากบ้านโกษาธิบดในเวลากลางคืน ไม่มใครทราบร่องรอยว่าไปทางไหนีพราหมณ์มูลเทวะสืบ
ข่าวได้ความต่อออกไปอกบ้าง ตรึกตรองเห็นแน่ชัดว่าแพ้พนันเสยแล้ว จึงจัดการใช้หน้ให้แก่
พราหมณ์ศศผู้เป็นเพื่อนคือส่งลูกอมอกลูกหนึ่งให้แก่พราหมณ์ศศอม เขาก็กลายเป็นพราหมณ์
หนุ่มอ้วนีรูปร่างสะสวยีพราหมณ์มูลเทวะก็อมลูกอมอกลูกหนึ่ง กลายเป็นพราหมณ์เฒ่าถือไม้
เท้าีพาพราหมณ์หนุ่มเข้าเฝูาพระราชา

ฝุายท้าวสุพิจารเสด็จออกอยู่ในท้องพระโรง ทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์เฒ่าเข้า
ไปก็จําได้ีให้เกิดกระวนกระวายในพระหฤทัย แต่ก็ทรงนบนอบรับสั่งให้พราหมณ์นั่งเป็นอันด
แลเมื่อทรงได้รับพรจากพราหมณ์แล้วก็รับสั่งถามทุกข์สุขตามธรรมเนยม ในท่สุดเมื่อได้รับสั่ง
วกเวยนอยู่ครู่ใหญ่แล้วีจึงตรัสถามพราหมณ์ว่า ไปไหนมาจึงหายไปช้านานีพราหมณ์เฒ่าทูล
ว่า
"ข้าพเจ้าเท่ยวไปหลายแห่งเพื่อจะตามให้พบบุตร ครั้นเมื่อพบแล้วก็พากลับมา
เฝูาในบัดน้ีขอพระองค์จงโปรดประทานภริยาของเขาแก่เขา แลข้าพเจ้าจะทูลลาพาบุตรแล
สะใภ้คืนไปสํานักของข้าพเจ้าตามเดิม"
ท้าวสุพิจารรับสั่งอ้อมแอ้มอยู่ช้านานีตาจะปกปิดไว้ก็ไม่ได้ จึงรับสั่งเล่าเรื่องให้
พราหมณ์เฒ่าทราบทุกประการีพราหมณ์เฒ่าแสดงอาการโกรธกล่าวว่า
"พระองค์ทําอะไรอย่างน้ พระองค์ไม่อยู่ในคําสัตย์สัญญาเอาภริยาแห่งบุตรของ
ข้าพเจ้าไปยกให้วิวาหะกับชายอื่น พระองค์กระทําแล้วตามพระหฤทัยประสงค์ีแลบัดน้จงฟ๎งคํา
สาปของข้าพเจ้าเถิด"
ท้าวสุพิจารทรงตกประหม่าเดือดร้อนีเกรงคําสาปเป็นกําลัง จึงตรัสแก่พราหมณ์
ว่า
"ท่านจงกรุณาแก่ข้าพเจ้าีอย่าโกรธ แลอย่าสาปเลยีท่านจะประสงค์อะไรี
ข้าพเจ้าจะยอมตามทุกประการ" พราหมณ์เฒ่ากล่าวว่า
"ถ้าพระองค์เกรงคําสาปของข้าพเจ้าแลเต็มพระหฤทัยจะประทานสิ่งใดไมว่าท่
ข้าพเจ้าทูลขอ ก็จงประทานนางจันทร์ประภาพระราชธิดาให้เป็นภริยาบุตรข้าพเจ้าีถ้าทรงยอม
ดังน้ ข้าพเจ้าจะยกโทษถวายีส่วนตัวข้าพเจ้าเองนั้นีตั้งแต่น้ต่อไป สร้อยมุกดาหรืองูเห่ามพิษ
ก็ตามีฟูกอ่อนนุ่มหรือหินแข็งท่สุดก็ตาม ใบหญ้าใบหนึ่งหรือหญิงงามท่สุดก็ตามีข้าพเจ้าเห็น
เหมือนกันทั้งนั้น ความประสงค์ของข้าพเจ้ามอยู่แต่ว่าจะหาบุณยสถานสักแห่งหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้า
จะไปอยู่ภาวนาออกนามพระผู้เป็นเจ้าไปตราบเท่าเวลาตาย"
ท้าวสุพิจารทรงฟ๎งดังนั้น เห็นพราหมณ์เป็นคนอยู่ในศลในสัตย์ยิ่งขึ้นีก็ยิ่งกลัวคํา
สาปทวขึ้นกว่าเก่า จึงรับสั่งเรยกโหรเข้ามา คํานวณถวายฤกษ์วิวาหะพระราชธิดากับพราหมณ์
อ้วนบุตรพราหมณ์เฒ่า แล้วรับสั่งให้จัดการไปตามประเพณ แต่หาได้ประทานโอกาสให้พระ
ราชธิดายินยอมหรือโต้แย้งการอันน้ไม่ อันท่จริงถ้ารับสั่งถามพระราชธิดาีพระราชธิดาก็คงจะ
ไม่ขัด เพราะนางทรงทราบข่าวว่านางสะใภ้พราหมณ์หายไปจากเรือนโกษาธิบด แลความในจะ
เป็นอย่างไรีพระราชธิดาก็คงจะทรงเดาได้
อนึ่งนางจันทร์ประภาหยุดประชวรพระโรคลําดับเดือนมาหลายเดือนแล้ว แลนางสงสัยว่าพระ
ราชบิดาคงจะไม่โปรดการวิวาหะแบบคนธรรพ์ กล่าวคือไม่โปรดให้พระราชบุตรมวิวาหะโดยวิธ
นั้น ส่วนพระองค์พระราชาเองนั้นอกอย่างหนึ่ง

ดังน้พราหมณ์อ้วนีก็ได้รับพระราชธิดาไปเป็นภริยา พร้อมด้วยทรัพย์ซึ่ง
พระราชทานเป็นสินสมรสเป็นอันมาก ฝุายมนัสวนั้นเมื่อลุกขึ้นได้จากท่ซึ่งล้มอยู่ในเวลาท่โจน
จากหน้าต่างนั้นแล้ว ก็เท่ยวเร้นซ่อนต่อไปีจนได้ทราบว่าพราหมณ์ศศได้วิวาหะกับพระราชธิดาี
พาไปบ้านแล้ว มนัสวก็ตามไปท่บ้านพราหมณ์ศศีกล่าวแก่เจ้าของบ้านว่า
"ท่านจงส่งภรรยาของข้าพเจ้าคืนให้ข้าพเจ้า" พราหมณ์ศศเถยงว่านางเป็นภริยา
ของเขาต่างหาก แลอ้างพยานคือโหรหลวงแลพราหมณ์ในพระราชสํานักีรวมทั้งพยานอกหก
คนนั้นด้วย
มนัสวสาบานโดยวิธรุนแรงท่สุดว่า นางเป็นภริยาของเขาโดยวิวาหะตามท่ชอบี
แลกุมารในครรภ์นางก็คือบุตรของเขา เหตุฉะนั้นนางจะเป็นภริยาของพราหมณ์ศศอย่างไรได้
อนึ่งมนัสวเพยรจะอ้างพราหมณ์มูลเทวะเปูนพยานีแต่มูลเทวะหลบหายไปเสย มนัสวจึงอ้าง
นางจันทร์ประภาเอง แต่นางกลับกล่าวโดยอาการแค้นเคืองว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นมนัสว
เลย

เวตาลกล่าวต่อไปว่าีแต่ถึงมนัสวอ้างพยานไม่ได้ดังนั้น คนก็ยังเห็นจริง เพราะ


เรื่องของมนัสวเป็นเรื่องแปลกแลไม่น่าเชื่อ คนจึงพากันเชื่อ แม้ทุกวันน้ก็ยังมคนหลายคนท่
เห็นว่ามนัสวเป็นผู้ท่ได้กระทําวิวาหะกับพระราชธิดาโดยวิธท่ถูกต้องตามธรรมศาสตร์
พระวิกรมาทิตย์ไม่โปรดการลอบรัก ครั้นได้ยินเวตาลกล่าวดังนั้นก็ตรัสว่า
"ถ้าใครเชื่ออย่างเอ็งกล่าวคนนั้นก็เป็นคนใจลามก เพราะไม่มใครรู้เลยว่ามนัสว
ชายชั่วนั้นเป็นพ่อของกุมารในครรภ์ ส่วนพราหมณ์ศศได้แต่งงานต่อหน้าพยานโดยวิธท่ถูกต้อง
ตามกฎหมายแลยุติธรรม เหตุดังนั้นนางจึงต้องเป็นภริยาของศศ แลบุตรท่เกิดมานั้นก็อาจ
กรวดน้ําทําบุญไปให้บรรพบุรุษได้ีตามคัมภรศาสตร์ กฎหมายแลยุติธรรมเป็นอย่างท่ข้าว่าน้"

เวตาลกล่าวว่า "ยุติธรรมนั้นบางทีก็ไม่ยุติธรรม แลพระองค์จงรีบก้าวพระ


บาทเถิด ลองดูว่าพระองค์จะกลับไปถึงต้นอโศกก่อนข้าพเจ้าได้บ้างหรือไม่" เวตาล
กล่าวดังนั้นแล้วก็ออกจากย่ามลอยหัวเราะก้องฟ้ากลับไป
The Vampire's Seventh Story
นิทานเวตาลเรื่องที่ ๘
เรื่องท่ี๘

เวตาลกล่าวว่า ข้าแต่พระราชาผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ข้าพเจ้ามีภักดีต่อ


พระองค์เพราะทรงพยายามมิได้ย่อหย่อนแลความมีพระเศียรดื้อเช่นนี้ บางทีก็ได้ผล
สมหมาย จึงเป็นคุณที่บุคคลพึงอุดหนุนมิให้เสื่อมคลายไปได้ ข้าพเจ้ามีประสงค์จะ
ฝึกฝนความเพียรของพระองค์ให้ทวียิ่งๆ ขึ้น จึงจะเล่านิทานเรื่องจริงถวายอีกเรื่องหนึ่ง
เป็นเครื่องบ้ารุงพระเศียรดื้อแลพระปัญญา

ในแคว้น องคะ (องคราษฎร์) มพระราชาองค์หนึ่งทรงนาม พระยศเกตีุีปรากฏ


พระรูปประหนึ่งพระอนงค์มาครององค์ เป็นเครื่องเพลินตานางทั้งหลายีแลนางงามทั้งหลายก็
เป็นเครื่องเพลินพระเนตรพระราชา เพราะเธอทรงหมกไหม้ใฝุฝ๎นในกามารมณ์ีพระเนตรคอยจะ
เพลินอยู่ง่ายๆ แลเพราะพระเนตรเพลินง่ายีจํานวนนางข้างในจึงไม่น้อยแลเพิ่มร่ําไป

พระยศเกตุมมุขมนตรชื่อ ทีรฆะทรรศิน เป็นคนเฉลยวฉลาดีรับราชการเป็นท่ไว้


วางพระราชหฤทัย ไม่ใช่เพราะพระราชหฤทัยเป็นสิ่งท่ทรงไว้วางง่ายๆ เป็นเพราะมุขมนตรเป็น
คนมปรชาสามารถีเหมือนสารถซึ่งเมื่อรู้ทางท่นายจะไปแล้ว ก็อาจขับรถไปให้ถึงท่ได้ดัง
ประสงค์
กล่าวความสามารถปฏิบัติราชการีบุคคลพึงสมมติว่าข้าราชการทุกคนรู้ปฏิบัติ
มิฉะนั้นไม่เป็นข้าราชการได้ีแต่ความสามารถนั้นย่อมจะต่างกันตามตัวคน แลพระองค์คงจะ
ทราบประเภทท่กล่าวแยกไว้กว้างๆีว่า

O ธรรมดาข้าราชการหลาย
อาจจําหน่ายจําแนกแยกเป็นสอง
เสนามาตย์มนตรมเนืองนอง
อยู่ในสองประเภทสังเกตไว้
ประเภทหนึ่งสามารถรับราชกิจ
เมื่อติดต่อกันอยู่กับผู้ใหญ่
รู้วิธย่อหย่อนผ่อนปรนไป
ความรู้ใจนายตนได้ผลด
ประเภทสองสามารถรับราชกิจ
โดยชนิดวิชาสารถ
อาจขับรถชักม้าพาจรล
ไม่ถึงท่ได้ผลเพราะตนเองฯ

ทรฆะทรรศินเป็นข้าราชการชนิดสารถทราบวิถทางท่ตนจะต้องขับรถ คือพระราช
ประสงค์แห่งพระราชาจะให้บ้านเมืองจําเริญสุขีแลสามารถขับรถไปได้โดยวิถนั้น พระราชาจึง
พระราชทานอํานาจให้ดูแลราชการบ้านเมืองได้อย่างกว้างขวาง

อยู่มาไม่ช้าพระราชาทรงสําราญในศฤงคารยิ่งๆีขึ้น จึงทรงมอบให้ทรฆะทรรศินว่า
ราชีการแทนพระองค์ทเดยว พระองค์เองทรงรื่นรมย์อยู่ในหมู่นางสนมีหาเวลาเสด็จออกว่า
ราชการมิได้

ฝุายทรฆะทรรศินครั้นได้รับมอบให้ว่าราชการแทนพระองค์พระราชาีก็ปฏิบัติโดย
ทางท่ชอบ ได้ความเหน็ดเหนื่อยทั้งกลางวันแลกลางคืน มิได้แสวงลาภยิ่งกว่าท่ได้รับ
พระราชทานอยู่แล้วโดยปกติ หรือแสวงอํานาจเกินท่จําเป็นจะต้องมสําหรับว่าราชการใน
ตําแหน่งสูง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่พ้นคําคนนินทาีเพราะการนินทาเป็นของเหลือที่มนุษย์จะเว้น
ได้ คนบางคนเมื่อหันหน้าไปข้างขวา ก็ชมมือขวานินทามือซ้าย เมื่อหันไปข้างซ้ายก็
ย้ายไปนินทามือขวา มยุติธรรมในข้อท่นินทาหมดไม่เลือกหน้า สุดแต่ว่าอยู่ลับหลังแล้วเป็น
ใช้ได้ พระองค์ผู้เป็นพระราชาได้ทรงฟ๎งคนทั้งหลายยกยอพระองค์คือเจ้าบทเจ้ากลอนท่เรยก
แก้วทั้งเก้านั้นเป็นต้น แต่ในขณะท่ถูกยอมากนั้นถ้าทรงคิดว่าถูกนินทาน้อยีพระองค์ก็คิดผิด
ไกลทเดยว

ส่วนทรฆะทรรศินผู้เป็นมุขมนตรนั้น ครั้นได้ว่าราชการต่างพระองค์พระราชาไม่นานี
ก็มคํากล่าวเลื่องลือกันว่า ทรฆะทรรศินแกล้งชักชวนให้พระราชาีหมกมุ่นในกามคุณจนทรง
ละเลยราชการบ้านเมือง พอพระหฤทัยเป็นพระราชาแต่ชื่อเพื่ออิ่มในศฤงคารี(กาม) เป็นเหตุ
ให้ทรฆะทรรศินมอํานาจเสมอพระเจ้าแผ่นดินีแลเหตุท่ ทรฆะทรรศินชักพระราชาให้เป็นไป
ดังนั้นีก็คือความประสงค์อํานาจนั้นเอง

ทรฆะทรรศินได้ทราบคําลือดังน้ก็เกิดความน้อยใจ ครั้นกลับไปถึงบ้านจึงกล่าวแก่
นาง เมธาวดีีผู้ภริยาว่า
"ดูกรนางผู้เป็นเมยรักของข้าีพระราชาทรงเพลินในทางบํารุงกาม ละเว้นราชการ
บ้านเมืองไม่ทรงหันหาเลย ข้าเป็นผู้รับมอบให้ดูแลราชการต่างพระองค์ก็ปฏิบัติการโดยสุจริต
ไม่คิดแก่เหน็ดเหนื่อย แต่บัดน้มผู้เป็นอริของข้าจัดให้เกิดเลื่องลือทั่วไปว่า ข้าได้รวบอํานาจ
พระราชาเข้าไว้ีเพื่อประโยชน์ของตนเสยแล้ว การลือว่าชั่วนั้นถึงจะเป็นการใส่ไคล้ีก็ยังให้
โทษแก่ผู้ลือได้ แม้คนมเกยรติโด่งดังยังไม่พ้นโทษแห่งความลือเท็จีพระรามต้องสละนางสดา
เพราะความเลื่องลือว่าชั่วหรือมิใช่ีเมื่อการเป็นเช่นน้ข้าจะควรทําประการใด"
นางเมธาวดไม่ได้ชื่อว่าเมธาวดเปล่าๆีฉลาดจริงีๆีด้วย ครั้นได้ยินสามกล่าวดังนั้นี
ก็ตอบว่า
"ข้าแต่ท่านผู้มใจสุจริตีท่านจงทูลลาพระราชาไปเสยจากพระนคร อ้างเหตุว่าจะ
ไปยังท่าน้ําอันเป็นบุณยสถานต่างีๆีเพื่ออาบน้ําล้างบาป เมื่อท่านท่องเท่ยวไปต่างประเทศ
เสยแล้ว คนทั้งหลายก็จะเห็นได้ว่าท่านมิได้มุ่งหมายจะหาอํานาจีคําเล่าลือก็จะหมดไปเอง
อนึ่งเมื่อท่านไม่อยู่ีพระราชาจําต้องทรงดูแลราชการบ้านเมืองเอง เพราะไม่มใครอื่นจะเป็นผู้
ต่างพระองค์ได้ีเมื่อได้ทรงว่าราชการจนเต็มท่ ความหมกมุ่นในกายก็จําต้องสร่างีเพราะเวลา
ไม่มพอเสยแล้วีเมื่อท่านกลับมา พระราชาอาจเปล่ยนเป็นอย่างอื่นีแลท่านจะคืนเข้ารับ
ราชการตามตําแหน่งเดิมได้ ปราศจากความนินทา"

ทรฆะทรรศินได้ฟ๎งนางเมธาวดกล่าวดังนั้นก็เห็นชอบีจึงเข้าไปเฝูาพระราชาทูลว่า
"ข้าแต่พระมหากษัตริย์ ข้าพจ้าขอทูลลาไปต่างประเทศเพื่ออาบน้ําตามท่าบุญ
ต่างๆ น้ําใจข้าพเจ้าปลงในการอันน้แล้ว"
พระยศเกตุตรัสว่า "ท่านอย่าต้องไปจากพระนครเลยีการทําบุญท่านอาจทําได้ใน
เรือนของท่าน คือการทําทานเป็นต้นีซึ่งจะพาท่านไปสู่สวรรค์เมื่อพ้นโลกน้" ทรฆะทรรศินทูล
ตอบว่า
"ความบริสุทธ์อันเกิดได้ด้วยการจ่ายทรัพย์นั้นบุคคลพึงแสวงด้วยวิธทําทานเป็น
ต้น แต่การอาบน้ําท่ท่าบุญนั้นให้ความบริสุทธิ์อันมิรู้เสื่อมคลาย ผู้มป๎ญญาพึงไปสู่ท่าบุญก่อน
ความชรามาเบยดเบยนตน มิฉะนั้นไม่รู้แน่ได้ว่าจะไปถึงเพราะจะไว้ใจร่างกายไม่ได้เสยแล้ว
พระองค์จงโปรดประทานอนุญาตแก่ข้าพเจ้าในบัดน้เถิด"

ทรฆะทรรศินทูลดังนั้นีพระราชายังมิได้รับสั่งตอบประการใดเด็ดขาด ปรากฏแต่ว่า
ไม่เต็มพระหฤทัยให้ไปีแลยังไม่ได้ประทานอนุญาต พอเจ้าพนักงานห้องสรงเข้ามาทูลว่า
"ข้าแต่พระราชา พระอาทิตย์กําลังตกลงีณีกลางทะเลสาบแห่งฟูาอยู่แล้ว เวลาน้
เป็นโมงท่กําหนดเวลาสรงแลโมงก็จะล่วงไปีเชิญเสด็จเข้าท่สรงเถิด" เมื่อพระราชาได้ทรงฟ๎ง
ดังนั้นก็ลุกขึ้นเสด็จสู่ท่สรง ทรฆะทรรศินก็ถวายบังคมแล้วลากลับบ้าน

ครั้นถึงบ้านก็สั่งภริยาให้อยู่ดูการเหย้าีแล้วลอบเดินทางออกจากพระนครไป
แม้แต่บ่าวในเรือนก็มิให้ทราบีครั้นพ้นพระนครไปแล้วก็เท่ยวไปตามท่าน้ําต่างๆ จนเข้าแคว้น
เปาณฑระ ถึงกรุงีๆีหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ฝ๎่งทะเล มศาลพระศิวะเป็นท่คนไปบูชามากีทรฆะทรรศิน
ไปถึงศาลนั้นก็เข้าไปบูชาแลนั่งพักอยู่

เผอิญพ่อค้าคนหนึ่งชื่อ นิธิทัตตี์ไปบูชาพระศิวะท่ศาลนั้นีครั้นเห็นทรฆะทรรศิน
นั่งพักอยู่ เห็นได้ว่าอ่อนเพลยเพราะความร้อนด้วยแสงพระอาทิตย์ กายก็มัวด้วยฝุุนท่เกาะตาม
ทางเดินีนิธิทัตต์พ่อค้าเป็นคนใจอาร ครั้นเห็นคนเดินทางมอาการดังนั้นีทั้งเห็นสวมสังวาล
พราหมณ์ีแลเป็นผู้มลักษณะด เห็นได้ว่าเป็นพราหมณ์มเกยรติีนิธิทัตต์จึงเชิญให้ไปบ้านของ
ตน
ทรฆะทรรศินรับเชิญออกจากศาลตามไปยังบ้านนิธิทัตต์ ครั้นไปถึงเจ้าของบ้านก็
ต้อนรับเป็นอันดีเชิญให้อาบน้ําแลเล้ยงอาหารอย่างด เสร็จแล้วนิธิทัตต์ก็ถามว่า
"ท่านชื่อไรีมาแต่ไหน แลจะไปไหนต่อไป" ทรฆะทรรศินตอบความว่า
"ข้าพเจ้าเป็นพราหมณ์ชื่อทรฆะทรรศินีมาจากองคราษฎร์เท่ยวอาบน้ําตามท่า
บุญ"

นิธิทัตต์พ่อค้าเป็นคนยินดในการรับแขก แลเมื่อเห็นแขกลักษณะดก็ยิ่งชอบใจจึง
กล่าวว่า"
"ข้าพเจ้ากําลังจะไปค้าขายท่เกาะชื่อ สุวรรณทวีป ท่านจงพักอยู่ท่บ้านข้าพเจ้าน้
จนข้าพเจ้ากลับ มเวลาพอท่ท่านจะผ่อนกายให้สิ้นความเหน็ดเหนื่อยีแล้วท่านจึงเดินทาง
ต่อไป" ทรฆะทรรศินตอบว่า
"ถ้าท่านเต็มใจให้ข้าพเจ้าไปด้วย ข้าพเจ้าอยากจะไปสุวรรณทวปกับท่านยิ่งกว่าท่
จะคอยท่านอยู่ในเรือนน้ แม้เรือนของท่านเป็นท่อยู่สบายีข้าพเจ้าก็ใคร่จะเท่ยวดูท่ต่างๆ
มากกว่าพักอยู่กับท่"
นิธิทัตต์พ่อค้าได้ยินดังนั้นก็ยอมตามประสงค์ ทรฆะทรรศินก็พักอยู่ในเรือนนั้นคืน
หนึ่ง รุ่งขึ้นนิธิทัตต์ก็พาแขกไปลงเรือซึ่งบรรทุกด้วยสินค้าอันมค่า แล้วออกแล่นใบไปในทะเล

ทรฆะทรรศินได้เห็นสมุทรซึ่งเป็นท่น่ากลัวแลน่าพิศวง มคําถามว่ามุขมนตรของ
พระราชาครองกรุงใหญ่ มกิจอะไรเก่ยวข้องกับการเดินเรือค้าขายทางทะเล ถ้าไม่มไซร้การ
เดินทางครั้งนั้นก็ไม่ใช่การท่ทรฆะทรรศินพึงทํา แต่มคําตอบว่าแม้ผู้เป็นใหญ่ถ้าถูกเอาความ
ร้ายปูายชื่อ ก็อาจทํานอกทางถึงเช่นท่ทรฆะทรรศินทําครั้งนั้นได้

ครั้นไปถึงสุวรรณทวปีนิธิทัตต์ก็ทําการค้าขายตามธรรมเนยม พักอยู่ท่เกาะนั้นจน
เสร็จการจําหน่ายสินค้าีแลซื้อสินค้าบรรทุกเรือขากลับ ครั้นเสร็จกิจแล้วก็ออกจากเกาะแล่น
เรือกลับมาตามทาง

วันหนึ่งีทรฆะทรรศินเห็นคลื่นลูกหนึ่งเกิดขึ้นในทะเล แล้วมต้นกัลปพฤกษ์ผุด
ขึ้นมาจากน้ําีกิ่งก้านเป็นทองทั้งต้น มแก้วประพาฬประดับเป็นช่อีๆีลูกแลดอกล้วนแล้วด้วย
มณมค่า ความงามท่เหลือจะพรรณนาได้ีบนกิ่งีๆีหนึ่งมอาสนะประดับด้วยแก้ว บนอาสนะม
นางนั่งเอนพิงอยู่ีนางนั้นงามเป็นท่พิศวง ทรฆะทรรศินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หยิบพิณขึ้นดด
แลขับด้วยสําเนยงไพเราะจับใจ

O อันปวงกรรมทําไว้แต่ปางหลังีเป็นพืชยังปางน้ให้มผล
หว่านพืชดผลดมแก่ตนีหว่านพืชชั่วกลั้วผลท่ข้นแค้น
อันความจริงข้อน้มมาแล้ว ไม่คลาดแคล้วเป็นอื่นทุกหมื่นแสน
จะเปล่ยนชั่วให้ดมมาแทน ถึงแม้นแมนแม่นไม่เปล่ยนได้เอยฯ

เมื่อนางทิพย์ขับกลอนดังนั้นแล้ว ก็กลับจมลงในทะเลทั้งต้นไม้แลอาสนะอันงาม
ทรฆะทรรศินยืนตะลึงดูน้ําในทะเลเหมือนหนึ่งว่ามอะไรท่พึงดูยังผุดขึ้นมาเด่นอยู่พลางรําพึงว่า
"วันน้เราได้เห็นสิ่งน่าพิศวงนัก ใครบ้างคิดว่าจะได้เห็นต้นไม้ขึ้นจากทะเลีมนาง
ทิพย์นั่งขับกลอนอยู่บนต้นไม้นั้น แล้วจมหายไปทันทไม่มอะไรเหลืออยู่เป็นท่หมายีทะเลน้
เป็นคลังใหญ่อยู่ตามเคย เป็นท่อยู่แห่งสิ่งประเสริฐทั้งหลายีพระลักษมีพระจันทร์ ต้นปาริชาต
แลของเลิศหลายอย่างได้ขึ้นมาจากทะเลน้"
ทรฆะทรรศินยืนตรึกตรองอยู่เช่นน้ด้วยได้เห็นของประหลาด แต่นายท้ายแล
ลูกเรือทั้งหลายท่ได้เคยเดินทะเลทางนั้นไม่เห็นประหลาดเลย จึงกล่าวแก่ทรฆะทรรศินว่า
"นางงามผุดขึ้นจากทะเลบนต้นไม้นั้นเสมอีแลกลับจมลงไปเช่นเดยวกันทุกครั้ง
ท่านพึ่งเคยเห็นจึงพิศวงีพวกเราเคยเห็นบ่อยๆ"
ทรฆะทรรศินได้ฟ๎งคนประจําเรือบอกดังนั้นก็ไม่หายพิศวง นิ่งตรึกตรองอยู่
ตลอดเวลาท่เรือเดินทาง ครั้นถึงฝ๎่งซึ่งเป็นท่าเรือของนิธิทัตต์พ่อค้าีนิธิทัตต์ขนสินค้าขึ้นบก
พาทรฆะทรรศินกลับบ้านแลมการเล้ยงดูกันตามเคย

อยู่มาไม่ช้าทรฆะทรรศินก็ลานิธิทัตต์จะกลับเมืองแห่งตน ต่างคนอวยพรแลแสดง
ความอาลัยแก่กันแล้วีทรฆะทรรศินก็ออกเดินทางบ่ายหน้าสู่แคว้นองคะ ครั้นเข้าไปในกรุงี
กองคอยเหตุของพระราชาเห็นทรฆะทรรศินมาแต่ไกล ก็รบเข้าไปเฝูาทูลให้พระมหากษัตริย์
ทรงทราบ

พระยศเกตุได้รับความลําบากในราชการเป็นอันมากีในเวลาท่มุขมนตรไม่อยู่ ครั้น
ได้ทราบว่าทรฆะทรรศินกลับมาใกล้จะถึงีก็เสด็จออกไปรับถึงนอกพระนคร ทรงแสดงความ
ยินดท่มุขมนตรกลับมาถึงีแล้วเสด็จคืนเข้ากรุง ตรัสให้ทรฆะทรรศินซึ่งมร่างกายซูบผอมแล
เปื้อนด้วยฝุุนแลเปือกตมตามเสด็จเข้าไปถึงพระราชวัง แล้วตรัสว่า
"เหตุไรท่านจึงกระทําการปราศจากกรุณาแก่เราถึงเช่นน้ ท่านทิ้งเราไปเราก็ได้
ความลําบากต่างๆ แลตัวท่านเองก็ได้ความเดือดร้อนเพราะทรมานร่างกายจนเห็นได้ถึงปาน
ฉะน้ แต่การท่ท่านออกเท่ยวเดินทางเตร็ดเตร่ไปเช่นน้ีก็เป็นด้วยเทพยดาบัญญัติไว้ มนุษย์จะ
แก้ไขให้เป็นไปอย่างอื่นนั้นไม่ได้ ท่านจงเล่าให้เราฟ๎งว่าท่านได้ไปถึงเมืองไหนบ้าง แลได้เห็น
อะไรแปลกประหลาดในเมืองต่างๆีแลระหว่างเดินทาง"
ทรฆะทรรศินได้ฟ๎งรับสั่งถามดังนั้นก็ทูลเล่าตลอดตั้งแต่ออกจากพระนครไปจนถึง
แลกลับจากสุวรรณทวป แลเล่าถึงนางทิพย์อันเป็นมณของโลกทั้งสาม ซึ่งนั่งบนต้นกัลปพฤกษ์
ผุดขึ้นมาจากทะเลนั้นด้วย
ฝุายพระราชา ครั้นได้ทรงยินทรฆะทรรศินมุขมนตรเล่าถึงนางทิพย์ก็มพระหฤทัย
ใคร่ทราบยิ่งขึ้น จึงตรัสไล่เลยงลักษณะความงามแห่งนางีแล้วบังเกิดความรักรุมรึงในพระ
หฤทัย ทรงพระดําริว่าชวิตแลราชัยปราศจากนางเป็นสิ่งไม่มค่าเสยแล้วีความสุขประการต่างีๆ
จะมไม่ได้ีเว้นแต่นางจะเป็นผู้ยังให้เกิด

เวตาลกล่าวต่อไปว่า ความรักเป็นของมีอ้านาจยิ่งยวด แม้บุรุษผู้ทรงไว้ซึ่ง


อ้านาจก็ไม่พ้นความข่มขี่แห่งความรักไปได้ ชายบางคนมียศมีเกียรติมีทรัพย์แลมีคุณ
ความดีทุกประการ เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความเป็นไทยแก่ตน จะประพฤติอย่างไรประพฤติ
ได้ที่ไม่ผิดคลองธรรม จะท้าอะไรท้าได้ที่ไม่ผิดกฎหมาย ชายเช่นนี้จะเลือกมิตรเลือก
สหายก็เลือกได้ตามใจชอบ หรือเมื่อเลือกไม่ได้ดังนึก ก็คงจะเป็นด้วยฝ่ายโน้น
ปราศจากลักษณะที่จะเป็นเพื่อนสนิทกันได้ ไม่มีอันใดเป็นเครื่องเสื่อมเสียความเป็น
ไทยแก่ตน ชายที่มีอิสระเช่นนี้เมื่อความรักเข้ามาครอบง้าก็กลายหมด ความเป็นไทย
แก่ตนก็เสื่อมถอย เพราะหัวใจไปถูกมัดตรึงตราเสียแล้ว แม้คนที่ไม่กลัวเทวดา แลไม่
เกรงเดชพระอินทร์ เพราะไม่ได้ท้าอะไรที่พระสวรรคบดีจะต้าหนิโทษได้ก็กลับมากลัว
สตรีตัวนิดเดียวซึ่งเป็นที่รักของตน ไม่ใช่เพราะหญิงมีอ้านาจวาสนายิ่งกว่าเทวดาแล
พระอินทร์ เป็นเพราะตกเป็นทาสแห่งความรัก หัวใจถูกล่ามโซ่ไว้แน่นหนา ตัวเป็นไทย
ใจเป็นทาสเสียแล้ว คติแห่งความรักมีเช่นนี้

แม้พระยศเกตุเป็นพระราชาทรงศักดิ์ใหญ่ เป็นท่นิยมของนางทั้งหลายเพราะชาติ
เพราะทรัพย์ีแลเพราะอํานาจ ก็ยังตกเป็นทาสแห่งความรักีไม่อาจหักห้ามความรุมรึงในพระ
หฤทัยได้ จึงรับสั่งให้ทรฆะทรรศินเลื่อนเข้าไปใกล้พระองค์ีแล้วตรัสว่า
"ข้าจําเป็นจะต้องไปให้เห็นนางองค์นั้นเพราะถ้าจะอยู่เช่นน้ต่อไปก็จะทรงชวิตไว้
ไม่ได้ ข้าจะไปตามทางท่ท่านไปีแลท่านอย่าคิดเลยท่จะห้ามข้าหรือคิดท่จะตามข้าไปด้วย ข้า
จะปลอมตัวไปโดยลําพังีแลท่านต้องอยู่รักษาราชการบ้านเมืองไว้ ความประสงค์ของข้า
ดังกล่าวน้ีท่านจะขัดขืนทัดทานนั้นไม่ได้เป็นอันขาด"
เมื่อพระราชารับสั่งแก่มุขมนตรเด็ดขาดดังน้แล้วก็ตรัสให้ออกจากท่เฝูา ทร
ฆะทรรศินถวายบังคมลาไปบ้าน นําความยินดมาสู่บุตรภริยาแลญาติพ่น้องซึ่งตั้งใจคอยท่ามา
ช้านาน แต่ทรฆะทรรศินก็มิได้แสดงอาการรื่นเริงในเวลามการรื่นเริงในบ้าน เพราะอํามาตย์ท่ด
ไม่อาจเพลิดเพลินใจได้ในเวลาท่จรรยาแห่งพระราชาของตนไม่เป็นไปในทางท่ควร

เวตาลกล่าวต่อไปว่า ข้อท่กล่าวว่าพระราชจรรยาไม่เป็นไปในทางท่ควรนั้นไม่ใช่
ติเตยนความรักหญิง ความรักหญิงเป็นสิ่งท่บุคคลผู้ไม่ได้ถือพรตพรหมจรรย์พึงแสวงแลพึง
สงวนไว้มิให้เสื่อมคลายไปได้ บุรุษควรมีความรักเป็นเครื่องน้าความมีภริยา ไม่ใช่มีภริยา
เป็นเครื่องน้าความรัก เพราะวิธท่สองน้มทางแคล้วคลาดมาก แลชายผู้มใจสะอาดย่อมจะ
อยากมอบหัวใจให้แก่ภริยาตนีเหตุฉะนั้นท่กล่าวว่า พระราชจรรยาของพระยศเกตุเป็นไป
ในทางท่ไม่ควรนั้น ก็เล็งความเพยงว่าทรงลุ่มหลงนางมจํานวนมากอยู่แล้วียังจะแสวงต่อไป
อกเล่า

ครั้นกลางคืนวันรุ่งขึ้นีพระยศเกตุแต่งพระองค์เป็นดาบส เสด็จออกเดินทางไป
พระองค์เดยวีตามทางท่ทรฆะทรรศินได้ทูลไว้ ได้พบฤษองค์หนึ่งชื่อ กุศนาภะ พระยศเกตุก็
เข้าไปทําการเคารพ เล่าความประสงค์ท่เดินทางให้ฤษทราบแลขอความรู้เพื่อสําเร็จหมายีฤษ
กุศนาภะตอบว่า
"ท่านจงตั้งหน้าเดินทางไปด้วยความกล้า แลเมื่อท่านลงเรือเดินทะเลไปกับ
พ่อค้าชื่อลักษมทัตต์ ท่านจะได้เห็นนางแลได้นางสําเร็จประสงค์"
คําท่ฤษกล่าวน้ นําความเบิกบานมาสู่หฤทัยพระราชาเป็นอันมากีจึงทรงนอบน้อม
ลาฤษ ออกเดินทางผ่านแคว้นต่างๆีหลายแคว้น แลทั้งได้ข้ามแม่น้ําแลเขาเป็นอันมากจนถึง
ฝ๎่งทะเล ได้พบลักษมทัตต์พ่อค้ากําลังเตรยมการจะเดินทางไปค้าขายท่เกาะสุวรรณทวป
พระยศเกตุซึ่งปลอมเป็นดาบสีก็เสด็จเข้าไปหาลักษมทัตต์พ่อค้า ลักษมทัตต์ได้
เห็นดาบสมพระลักษณะเป็นพระราชาคือรอยบาทมกงจักรเป็นต้น ก็กระทําการเคารพรับรองเป็น
อันดีแล้วเชิญให้พระยศเกตุเสด็จลงเรือไปด้วย

ครั้นไปถึงกลางทะเล พระยศเกตุได้ทอดพระเนตรเห็นต้นกัลปพฤกษ์ผุดขึ้นมาม
นางนั่งอยู่บนกิ่ง เธอทอดพระเนตรดูนางเหมือนนกจะโกระเพ่งแสงเดือนีนางถือพิณดดและขับ
เพลง

O อันปวงกรรมทําไว้แต่ปางหลังีเป็นพืชยังปางน้ให้มผล
หว่านพืชดผลดมแก่ตน หว่านพืชชั่วกลั้วผลท่ข้นแค้น
อันความจริงข้อน้มมาแล้วีไม่คลาดแคล้วเป็นอื่นทุกหมื่นแสน
จะเปล่ยนชั่วให้ดมมาแทนีถึงแม้นแมนแม่นไม่เปล่ยนได้เอยีฯ

พระราชาได้ฟ๎งนางขับกล่าวคติแห่งกรรมดังน้ ก็เกิดความรักกลัดกลุ้มในพระ
หฤทัยยิ่งขึ้น ทรงยืนตะลึงพิศดูนางอยู่ครู่หนึ่งจึงตรัสบูชาทะเลว่า
"ข้าแต่พระสมุทรผู้เป็นคลังแห่งมณทั้งหลายีผู้มน้ําใจอันลึกบุคคลไม่อาจหยั่งได้
เพราะเมื่อพระองค์ซ่อนนางน้ไว้ในทะเลก็คือซ่อนนางลักษมไว้มิให้พระวิษณุเห็น ข้าพเจ้าขอ
เอาพระองค์เป็นท่พึ่งเพื่อสําเร็จประสงค์ของข้าพเจ้า"
พระราชาตรัสยังไม่ทันขาดคํา ต้นกัลปพฤกษ์แลนางทิพย์ก็จมลงไปในทะเล
พระราชาก็ทรงโจนตามลงไปประหนึ่งจะดับไฟราคะด้วยน้ําในมหาสมุทร

ในทันใดนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นีแลเสด็จไปถึงเมืองีๆ หนึ่งงามนักีมแสงระยับ
จากเรือนซึ่งมมณเป็นเสาีทองเป็นผนัง หน้าต่างแลม่านล้วนแต่มุกดาีมสวนซึ่งมสระอันงามีม
ขั้นบันไดทําด้วยมณสต่างๆ สําหรับเดินลงสระีแลมต้นกัลปพฤกษ์หลายต้น
พระราชาทรงเดินจากเรือนน้สู่เรือนโน้นในเมืองนั้นจนได้เท่ยวเกือบจะทั่วทุกเรือน
แต่เรือนเหล่านั้นแม้จะงดงามประกอบด้วยความมั่งคั่งทุกประการก็ปราศจากคนอยู่ แลพระราชา
จะหานางซึ่งเป็นท่รักแห่งพระองค์ก็หาไม่พบ
ครั้นทรงเดินเท่ยวต่อไปอกครู่หนึ่งีพบวังสูงใหญ่ประดับด้วยมณอันงาม พระยศ
เกตุจึงเสด็จเปิดประตูเข้าไปเท่ยวทอดพระเนตรข้างในพบคนีๆีหนึ่ง นอนอยู่บนเตยงมผ้าคลุม
อยู่ตลอดตัวีพระองค์ทรงเปิดผ้าขึ้นดูก็เห็นนางผู้เป็นท่รัก พักตร์แห่งนางซึ่งเหมือนเพ็ญจันทร์
นั้นมเค้าเหมือนยิ้มในขณะท่ผ้าคลุมหลุดพ้นไปเหมือนความมืดหลบแสงพระจันทร์
พระราชาได้ทอดพระเนตรดังนั้น ก็มพระหฤทัยเหมือนหนึ่งคนท่ได้เดินผ่าน
ทะเลทรายในฤดูร้อนไปพบแม่น้ําซึ่งเป็นท่ชุ่มชื่น
ฝุายนางนั้นเมื่อลืมเนตรขึ้นเห็นบุรุษงาม ประกอบด้วยลักษณะดเข้าไปยืนอยู่ข้าง
ท่บรรทมดังนั้นีก็ลุกขึ้นด้วยอาการฉับไว แลแสดงเคารพเชื้อเชิญเป็นอันดีพระพักตร์นางก้มดู
พื้น เหมือนหนึ่งให้เกยรติแก่พระบาทพระราชาด้วยเอาบัวคือพระเนตรลงปกคลุม แล้วนางตรัส
ถามว่า
"ท่านนามอะไรีเป็นอะไร แลมาในท่อันมาถึงได้ด้วยยากน้โดยประสงค์อะไร อนึ่ง
กายท่านมลักษณะเครื่องหมายอย่างกษัตริย์ีเหตุใดจึงแต่งเป็นดาบส ขอท่านจงช้แจงให้
ข้าพเจ้าทราบ" พระราชาตรัสตอบว่า
"ข้าเป็นพระราชาครององคราษฎร์ีทรงนามยศเกตุีข้าได้ยินจากเพื่อนผู้เป็น
เชื่อถือว่า ถ้าใครเดินทางไปมาในทะเลน้ีก็อาจได้เห็นนางผุดขึ้นจากทะเลบนต้นกัลปพฤกษ์
ข้าจึงแต่งปลอมกายเช่นน้ีสละราชสมบัติเพื่อจะได้เห็นนางีแลได้ตามนางลงมาในทะเล ขอ
นางจงบอกข้าว่านางเป็นอะไร"
นางทูลตอบด้วยความรู้สึกอาย รู้สึกรักีแลรู้สึกยินดว่า
"มพระราชามวาสนาองค์หนึ่ง เป็นใหญ่ในหมู่วิทยาธรีข้าพเจ้าเป็นธิดาของ
พระราชาองค์นั้น พระบิดาของข้าพเจ้าเสด็จไปจากกรุงน้พร้อมด้วยวิทยาธรทั้งหลาย ทิ้ง
ข้าพเจ้าไว้ผู้เดยวีด้วยเหตุไรข้าพเจ้าหาทราบไม่ ข้าพเจ้าอยู่ผู้เดยวก็มความง่วงเหงา จึงผุดขึ้น
ในทะเลแลนั่งร้องเพลงเล่นบนต้นกัลปพฤกษ์"

พระราชาได้ทรงฟ๎งเพลิดเพลินสําเนยงนางีทั้งรุมรึงรักรูปแลกิริยาทุกประการ จึง
ตรัสเชิญนางให้ยินยอมวิวาหะกับพระองค์ีนางก็ตกลงตามพระประสงค์ แต่ขอให้พระราชา
ประทานคํามั่นข้อหนึ่งว่าีเดือนละี๔ีวันีคือีวันี๘ีค่ําีแลี๑๔ีค่ํา นางจะไปไหนหรือทําอะไรี
พระราชาจะห้ามปรามหรือแม้แต่ทัดทานก็ไม่ได้ ถ้าพระราชาประทานคํามั่นดังน้ีนางจึงจะยอม
วิวาหะด้วย

เราท่านทั้งหลายเมื่อได้ทราบว่าการเป็นเช่นน้ ก็ไม่ต้องสงสัยว่าพระราชาจะ
ประทานคําสัญญาหรือไม่ พระยศเกตุได้อยู่กินกับนางวิทยาธรเป็นสุขเหลือท่จะพรรณนา จนวัน
หนึ่งนางทูลพระราชาว่า
"ข้าพเจ้ามกิจจะต้องไปท่อื่น พระองค์จะต้องคอยอยู่ท่น่เพราะวันน้เป็นวันี๑๔ีค่ํา
อนึ่งในเวลาท่ทรงคอยอยู่พระองค์เดยวนั้นีอย่าเสด็จเข้าไปในห้องน้เป็นอันขาด เพราะในห้อง
น้มอ่างแก้วีซึ่งถ้าใครตกลงไปจะไปผุดขึ้นในโลกมนุษย์"

นางทูลพระราชาเช่นน้แล้วีก็ทูลลาออกไปนอกกรุง พระราชาทรงพระแสงดาบ
ด้อมตามนางไปมิให้ทันรู้ีครั้นออกนอกนครไปหน่อยหนึ่ง พระราชาทอดพระเนตรเห็นรากษส
ตัวหนึ่ง กายใหญ่รูปร่างน่ากลัวเหมือนนรกซึ่งสําแดงรูปเป็นสัตว์มชวิต อ้าปากใหญ่ดําเหมือน
กลางคืน ครั้นเห็นนางก็ร้องด้วยเสยงอันดังแล้วตรงเข้าจับนางใส่ปากกลืนเข้าไป
พระราชาเห็นดังนั้นก็พระองค์สั่นด้วยเพลิงแห่งความโกรธ ชักพระแสงดาบตรง
เข้าฟ๎นรากษสคอขาดศรษะตกจากตัวีเลือดไหลนองไป เพลิงแห่งความโกรธของพระราชาก็
ดับด้วยเลือดแห่งอสูร แต่เพลิงแห่งความทุกข์ท่ไม่ได้นางคืนนั้นหาดับไม่ พระราชาเสยพระ
หฤทัยสิ้นสติมิรู้จะทําประการใด
พอนางออกจากกายรากษสไม่มอันตรายประการใด ปรากฏความงามตามเคย
เหมือนหนึ่งแสงพระจันทร์ซึ่งส่องสว่างไปทั่ว พระราชาทอดพระเนตรเห็นนางคืนมาดังนั้นก็ทรง
ยินดวิ่งเข้าสวมกอดนาง พลางตรัสถามว่าการเป็นเช่นน้เพราะเหตุไรีเป็นความฝ๎นหรือความ
เป็นจริง

นางวิทยาธรได้ฟ๎งรับสั่งถามดังนั้น ก็กลับระลึกความเดิมขึ้นมาได้ีจึงเล่าถวาย
พระราชาว่า
"ข้าแต่พระสวามีการท่เกิดน้มิใช่มายาแลมิใช่ความฝ๎น เป็นเพราะคําสาปของ
พระราชาผู้เป็นชนกแห่งข้าพเจ้า พระราชานั้นแต่ก่อนก็ทรงครองสมบัติอยู่ในกรุงน้ พระองค์ม
บุตรหลายองค์แต่ไม่ทรงรักใคร่เท่าข้าพเจ้าีแลในเวลาเสวย ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้อยู่เสวยด้วยก็ไม่
เสวยเป็นอันขาด ส่วนข้าพเจ้านั้นนับถือพระศิวะด้วยความเลื่อมใสจริงๆีเคยมาีณีท่น้ทุกวันี๘ี
ค่ําีแล ๑๔ีค่ําีวันหนึ่งข้าพเจ้ามาบูชาพระเคารเพลินไปตลอดวัน พระบิดาของข้าพเจ้าไม่ได้
เสวยอาหารีตั้งพระหฤทัยคอยข้าพเจ้าจนหิวโหย เกิดพิโรธเป็นกําลัง แม้ความรักข้าพเจ้าก็ไม่
อาจปูองกันไม่ให้การเป็นไปตามคติแห่งกรรมในปางก่อน ครั้นข้าพเจ้ากลับมาเฝูาในเวลาค่ําก็
ทรงสาปว่า
"เพราะเจ้าทําให้ข้าอดอาหารตลอดวัน ต่อไปข้างหน้าเมื่อเจ้าออกไปนอกกรุงเพื่อ
จะบูชาพระศิวะในวันี๘ีค่ําีแลี๑๔ีค่ํา จงมรากษสมาจับตัวเจ้ากลืนเข้าไปในท้องีแต่ให้เจ้า
กลับออกมาได้ทางหัวใจรากษส อนึ่งไม่ให้เจ้าจําเรื่องแลคําสาปน้ได้ ไม่ให้ความจําเจ็บปวดท่
ได้ถูกกลืนเข้าไปในท้องรากษสนั้นได้ แลให้เจ้าอยู่ในกรุงน้ต่อไปคนเดยวี"

เมื่อพระบิดาข้าพเจ้าสาปดังน้แล้ว ข้าพเจ้าก็ค่อยอ้อนวอนจนเธอสงสารแลสาป
เพิ่มเติมว่า 'เมื่อใดพระราชาครององคราษฎร์ทรงนามพระยศเกตุได้มาเป็นสามของเจ้า เธอได้
ทอดพระเนตรเห็นรากษสกลืนเจ้าีแลเธอฆ่ารากษสตาย จนเจ้ากลับคืนออกมาจากหัวใจ
รากษสแล้วีเมื่อนั้นให้สิ้นคําสาปน้ ให้เจ้าระลึกเรื่องแลคําสาปของข้าได้ีแลให้คืนความรู้วิทยา
ธรได้อย่างเก่า'
เมื่อพระบิดาข้าพเจ้าได้สาปข้าพเจ้าเช่นน้แล้วก็พาบริวารไปอยู่เขานิษธในโลก
มนุษย์ ทิ้งข้าพเจ้าไว้ในเมืองน้ีแลการก็เป็นไปตามคําสาปนั้นสิ้นแล้ว แลข้าพเจ้าก็กลับระลึก
เหตุการณ์ทั้งปวงได้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจะไปเฝูาพระบิดาท่เขานิษธในทันท เพราะกฎของ
พวกวิทยาธรมอยู่ว่าีผู้ใดถูกสาป เมื่อสิ้นสาปแล้วต้องกลับคืนไปเข้าพวกโดยเร็ว ส่วนพระองค์
นั้นจะเสด็จอยู่ท่น่ต่อไป หรือจะเสด็จคืนครองนครของพระองค์ก็แล้วแต่พระประสงค์"

เมื่อพระราชาทรงฟ๎งดังน้ีก็เดือดร้อนในพระหฤทัยเป็นกําลัง เพราะทุกข์วิโยค
หญิงท่รักนั้นีเป็นทุกข์หนักเหลือหนักีนับประสาแต่ใคร แม้พระมเหศวรเมื่อพรากจากพระอุมาี
ยังทรงกระวนกระวายยวดยิ่ง ไหนเลยมนุษย์เดินดินจะหักห้ามความโศกเสยได้
พระยศเกตุทรงรับทุกข์ใหญ่หลวงเพราะนางจะต้องพรากไป แต่ทรงเห็นอุบายจะ
ยืดความสุขออกไปได้ีจึงตรัสแก่นางว่า
"ถ้าจําเป็นจะต้องพรากจากนางเพราะกรรมทําไว้ีก็เหลือท่จะแก้ไขได้ แต่ขอนาง
จงกรุณาแก่ข้าผู้สามีอย่าพึ่งไปในทันทีหยุดอยู่ท่น่อกี๗ีวัน ใช้เวลานั้นทําให้ความสุขยืดยาว
ออกไปบ้างีเมื่อครบี๗ีวันแล้ว นางจะไปเฝูาพระบิดาก็ตามปรารถนาีข้าก็จะคืนสู่นครของข้า"

พระราชาวิงวอนเช่นน้จนนางสงสารยอมให้ยืดความสุขออกไปดังพระประสงค์
พระราชาก็ทรงสําราญอยู่กับนางตลอดี๖ีวันีครั้นวันท่ี๗ เธอทรงชวนนางเข้าไปในห้องซึ่งม
อ่างแก้วอันเป็นประตูคืนสู่โลกมนุษย์ เพื่อให้นางช้ให้ทรงเห็นีแลอธิบายให้ทรงทราบวิธท่จะ
เสด็จกลับคืนพระนคร
ครั้นพระองค์แลนางยืนชะโงกดูอยู่ด้วยกันท่ปากอ่างแล้ว พระราชาก็กอดพระศอ
นางพาโจนลงในอ่าง ในทันใดนั้นสององค์ก็เสด็จผุดขึ้นในสระแห่งพระราชอุทยานในนครของ
พระยศเกตุ คนเฝูาสวนเห็นพระราชาเสด็จกลับมาก็มความยินดรบส่งข่าวไปให้ทรฆะทรรศิน
ผู้รักษาพระนครทราบ

ทรฆะทรรศินกับหมู่เสนาอํามาตย์ีก็พากันรบไปรับเสด็จีณ พระราชอุทยานีแล้ว
พากันแวดล้อมตามเสด็จเข้าพระราชวังีส่วนทรฆะทรรศิน เมื่อได้เห็นพระราชาพานางทิพย์
กลับมาด้วยีก็คิดประหลาดแลกล่าวแก่ตนเองว่า
"พระราชาทําอย่างไรหนอจึงพานางวิทยาธรมาได้ นางองค์น้เจยวท่เราได้เห็นนั่ง
ดดพิณแลขับกลอนอยู่บนต้นกัลปพฤกษ์ซึ่งผุดขึ้นจากทะเล แล้วกลับจมลงไปเร็วราวกับ
สายฟูาีการทั้งหลายแม้จะแปลกเกินท่ป๎ญญามนุษย์จะเข้าใจได้ ก็อาจเกิดแลอาจเป็นไปตามท่
เทพยดาบัญญัติไว้ เหตุฉะนั้นแม้มนุษย์จะได้นางวิทยาธรมาเป็นภริยาีก็ไม่ควรผู้อื่นจะกระวน
กระวายใจ แต่ความกระวนกระวายใจนั้นเล่าีก็เกิดตามบัญญัติแห่งเทพยดาฉันเดยวกัน จะ
แก้ไขด้วยอุบายประการใดีเราก็สิ้นป๎ญญาท่จะทราบได้เสยแล้ว ความอัดอั้นตันป๎ญญาน้เล่าีก็
เป็นเพราะเทพยดาบัญญัติเหมือนกันีเพราะฉะนั้นีฯลฯ"

การท่ทรฆะทรรศินซัดเทพยดาไปทุกอย่างไม่เห็นท่าทางว่าจะหยุดเพยงไหนจน
ต้องกล่าว ฯลฯีเช่นน้ก็อาจจูงเราทั้งหลายไปในทางท่เห็นได้ว่าีทรฆะทรรศินใกล้จะถึงอะไร
ส่วนข้าราชการอื่นๆ ตลอดถึงราษฎรพลเมืองนั้นต่างก็รื่นเริงเอิกเกริกแสดงความสบายใจท่
พระราชาเสด็จกลับสู่กรุง แลทั้งได้พานางวิทยาธรมาด้วย

ฝุายนางวิทยาธรครั้นมาถึงนครของพระราชาผู้สามแลพ้นกําหนดี๗ีวันแล้ว ก็
คํานึงจะกลับคืนสู่พวกีแต่ครั้นจะเหาะก็เหาะไม่ขึ้นีเพราะลืมวิชานั้นเสยแล้ว เมื่อนางรู้สึกว่า
นางเสื่อมความรู้ีก็เดือดร้อนหฤทัยีแสดงอาการเศร้าโศก พระสวามสังเกตเห็นก็ตรัสถามว่า
"เหตุไรจึงเป็นเช่นนั้น" นางทูลตอบว่า
"เพราะข้าพเจ้ารักพระองค์ ยอมอยู่กับพระองค์นานเกินควรไม่รบกลับไปเข้าหมู่
วิทยาธรในทันทท่สิ้นสาป จึงถูกลงโทษคือลืมวิชาเหาะเสยแล้วีข้าพเจ้าจะกลับไปยังถิ่นทิพย์ก็
กลับไม่ได้"
พระราชาได้ทรงฟ๎งดังนั้นก็ทรงยินดนักีตรัสว่า
"ครั้งน้ข้าได้นางวิทยาธรไว้แน่แล้ว"

ฝุายทรฆะทรรศินเมื่อได้ทราบดังนั้น ก็ตรึกตรองต่อไปตามแนวความคิดท่เริ่มแต่
วันท่ไปรับเสด็จพระราชาท่พระราชอุทยาน ครั้นกลับไปบ้านก็นอนคํานึงต่อไปอกจนดับชวิตไป
ด้วยความเสยใจ

รุ่งเช้ามผู้นําความเข้าไปทูลีพระราชาก็ทรงเศร้าโศก แต่เมื่อไม่มใครช่วยแบ่งเบา
ภาระปกครองราชการบ้านเมืองีพระราชาก็ต้องทรงทําเอง ทรงพระชนม์ยืนยาวมนางวิทยาธร
เป็นท่รักร่วมพระหฤทัย

เวตาลเล่ามาดังน้แล้วก็หยุดอยู่ครู่หนึ่งีแล้วทูลถามพระวิกรมาทิตย์ว่า
"พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าทรฆะทรรศินเสยใจตาย เพราะไม่ได้นางมาเป็นเมย
ตัวเองดอกกระมังีถ้าทรงคิดดังนั้น ก็คงจะเป็นด้วยทรงเห็นว่าทรฆะทรรศินเสยใจเพราะตัวเอง
เห็นนางก่อน ถ้าไม่นําความมาเล่าถวายพระราชาีแลถ้าตัวพากเพยรเองก็อาจได้นางมาเป็น
เมย"
พระวิกรมาทิตย์ไม่โปรดคําท่เวตาลทายพระหฤทัยผิดๆีจึงตรัสว่า
"ข้าไม่ได้คิดอย่างเอ็งว่าีทรฆะทรรศินเป็นคนด ไม่ใช่คนชนิดนั้น" เวตาลทูลว่า
"ถ้าเช่นนั้นคงจะเป็นด้วยทรงเห็นว่าทรฆะทรรศิน เสยใจท่พระราชาเสด็จกลับมา
รับความเป็นใหญ่ในบ้านเมืองคืนไป ตัวทรฆะทรรศินสิ้นอํานาจเสยแล้วีจึงเสยใจถึงชวิต
ธรรมดาคนเมื่อได้ชิมความมอํานาจแล้วีไหนเลยจะไม่เสยใจในเวลาท่ต้องลดตัวลงมา" พระวิ
กรมาทิตย์ตรัสตอบว่า
"ไม่ใช่อย่างนั้นเป็นอันขาด ข้าได้กล่าวแล้วว่าทรฆะทรรศินเป็นคนดีหาใช่คน
ชนิดนั้นไม่ เหตุท่ทําให้ทรฆะทรรศินเสยใจจนตายนั้นีก็เพราะรําลึกว่า แต่นางมนุษย์พระราชา
ยังลุ่มหลงละทิ้งราชการบ้านเมืองเสยแล้ว ก็เมื่อได้นางวิทยาธรมาเช่นน้ีจะเป็นอย่างไรต่อไป
อกเล่า ตัวทรฆะทรรศินเองได้เหน็ดเหนื่อยมามาก จนถึงกับเท่ยวเดินทางตรากตรําโดยหวังว่า
พระราชาจะคืนดีการก็กลับตรงกันข้ามดังน้ เป็นท่น่าเสยใจนักีทรฆะทรรศินคิดดังน้จึงตายด้วย
ความเศร้าใจ"

เวตาลหัวเราะทูลว่า
"ถ้าพระองค์ต้องกลับไปต้นอโศกอีกหลายเที่ยว ก็อย่าทรงเศร้าโศกเสีย
พระชนม์เร็วนัก" ทูลเท่านั้นแล้วก็หลุดลอยกลับไปอยู่ต้นอโศกตามเดิม

The Vampire's Eighth Story


นิทานเวตาลเรื่องที่ ๙
เรื่องท่ี๙

เวตาลเล่าเรื่องซึ่งยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่งว่า

กว้างแลไกลในประเทศอันงามซึ่งชนอารยะผู้มถิ่นเดิมในแผ่นดินสูงทางตะวันตก
สาดกันมาตั้งภูมิลําเนา เป็นปึกแผ่นอยู่นั้นีเกยรติแห่งนาง มุกดาวลี บุตรพราหมณ์ หริทาส
เลื่องลือทุกทิศีบัณฑิตแลกวนับจํานวนร้อยพากันแต่งกาพย์กลอนสําแดงความรัก บ้างก็กล่าว
ว่านางอยู่ในท่ใดีท่นั้นย่อมสว่างเหมือนแสงฉายในเดือนมืด บ้างก็กล่าวสรรเสริญความงาม
แห่งนางแลแสดงทุกข์ท่เกิดเพราะความรัก

O อ้าอนงค์ทรงศักดิ์ด้วยี ศรดอก ไม้แฮ


จากแหล่งแผลงตรงตอกี อกข้า
โปร่งปรุทลุเล่ห์หอก ไล่หั่น

O สาวสวรรค์ดั้นจากด้าว แดนสวรรค์ีใดฤา
อ่าเอ่ยมองค์เอวอันี อ่อนชอ้อน
เพ็ญพักตร์ลักษณ์ลาวัณย์ ราววาด
โอ้อกสทกทุกข์สท้อนี ท่าวสท้านลาญหลง

O เดยวดอมกรอมทุกข์กล้ําี กรึงกมลีหม่นแล
กองระกําดํากล ก่นเศร้า
เพลิงร้อนจะผ่อนปรนี พอปลด
ร้อนราคเราเร่าร้อนี รุ่มร้อนรอนทรวงฯ

O เปล่าเปล่ยวเห่ยวอกโอ้ี โอ๋อก
หนาวจิตคืออุทกี สทกสท้อน
คิดโฉมประโลมกกี กอดอุ่น
กายแม่เย็นยามร้อน อุ่นเนื้อยามหนาวฯ

O ใคร่สมสมใคร่ได้ี ทางใด แม่เอย


เจ็บจิตอาจิณใจี จักขว้ํา
โหยหวนอ่วนอกไอ เป็นเลือดีแล้วแม่
แรงรักชักชอกช้ํา ใช่ช้าลาตายฯ

บ้างก็แต่งคําฉันท์ลําดับครุลหุีซึ่งตนเห็นไปเองว่าไพเราะ กล่าวชมแลเชิญนางให้
ยินยอมวิวาหะกับตน

O อ้าอุไรพธู พบูพิบูลย์
เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ เจริญภาส
O ตูสวิงสวายเพราะสายสวาท รทวยบ่ปลด
ระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก
O แสนจะเสยวจะสร้านี ณีวารวิโยค
จะข้ามีณีห้วงบ่ล่วง ณีโอฆก็อกกรม
O ใคร่เสน่หะนิตย์ สนิทสนม
จะแนบจะนิทร์จะชิด จะชมีณีเชิงรัก
O เชิญสมรสุมาลย์ สมานสมัคี
ประสานประสงค์ประจงประจักษ์ ประจวบใจฯ

บ้างก็กล่าวลบหลู่ตนเองด้วยความขุ่นแค้นท่ไม่สมหมาย แลกระเดยดไปข้าง
โลกจะแตกเพราะเหตุนั้น

O โอ้อาตมะอกวิตกยิ่ง เพราะวหญิงวยาภา
ฉันใดจะได้สมรมาี นิทระแนบพนอชม
O ใคร่สมบ่สมหทยะใคร่ี ก็ไฉนจะได้สม
โหยหวยระทวยอุระระทม ทุกข์แทบถล่มลง
O ใจผูกจะปลูกปิยะมนัสี ทวิวัฒนาทรง
แคล้วคลาดเพราะมาดมนทนงี นรต้อยจะสอยดาว
O ต่ําชาติและปราศนรุปถัม ภกช้ําอุรายาว
แร้นทรัพยะยับยศีณีคราวี ทุกขกว้างบ่บางเบา
O แค้นใจบ่ใส่ชลกะโหลกี บ่ชโงกจะดูเงา
น้ําหน้ากระลาศิรษเรา ฤจะหมายตะกายสูง
O คางคกผงกมุขเผยอี จิตเห่อจะปีนยูง
เป็นหมูจะคู่อศวจูงี จรได้ไฉนนา
O ตกทุกข์จะลุกสิก็ถลํา ทุกข์ล้ําจะไตรตรา
หลกหล่มก็ล้มจะคมนา คมเกลื่อนบ่เหมือนใจ
O น้ํารักประจักษ์จิตบ่ขาด กลบาศกระลึงไกร
โซ่เหล็กก็ล่ามหทยะไทยี ดุจทาสบ่อาจจร
O อ้าตูจะดูสกลภพี ก็สยบแสยงหยอน
มืดมนก็จะด้นยนะซอน ก็และเครื่องจะเคืองตา
O ปราศหวังก็ดังสุรยะดับ ระวลับนิราภา
คิดีๆีระอิดอุระระอา อุรุโลกจะแหลกฤาฯ

บ้างก็กล่าวลบหลู่พระจันทร์ว่า

O เพ็ญพระจันทร์นั้นสว่างแต่ข้างขึ้น
กระต่ายมึนเมาเพ็ญจนเป็นบ้า
อันทรามวัยใสสุกทุกเวลา
น้ําใจข้ามึนเมาทั้งขึ้นแรม
ได้ยลพักตร์รักเหลือไม่เบื่อรัก
อกจะหักเพราะอนงค์ศรทรงแหลม
ให้แค้นคิดจิตเจ็บท่เหน็บแนม
ไม่ยิ้มแย้มเยื้อนให้ชื่นใจเอยฯ

บ้างก็กล่าวว่านางมผิวเหมือนดอกจําปาีมผมเหมือนนางงู มบาทเหมือนทับทิมี
(เพราะย้อม) มตาเหมือนตาเนื้อตามเคยีคิ้วเหมือนธนูก่ง ตามอย่างคิ้วท่นิยมว่างามีเดินเหมือน
หงส์ีฯลฯ
แลไม่มใครลืมกล่าวว่านางมสําเนยงไพเราะ เหมือนนกกาเหว่าแลทุกคนกล่าวว่า
ถ้านางอัจฉราลงมาเปรยบประชันความงาม นางอัจฉราจะได้อาย
แต่บัณฑิตแลกวนับจํานวนร้อยซึ่งประชันกันแต่งกาพย์กลอนสรรเสริญความงาม
นางมุกดาวลนั้น จะจูงใจให้นางรักผู้แต่งผู้ใดผู้หนึ่งก็หามิได้ เพราะธรรมดาหญิงย่อมจะเคย
ได้ยินค้ายกยอความงามจนชินหู แม้จะยอด้วยกาพย์กลอนไพเราะก็ไม่เป็นของแปลกีถ้ายิ่ง
กาพย์กลอนเลวๆ อย่างท่กล่าวมาแล้วก็ยิ่งเบื่อหนักขึ้น แลพระองค์ผู้ทรงสติป๎ญญาสามารถ
ย่อมจะทรงทราบว่า วิธียอหญิงงามต้องยอว่ามีวิชาปราดเปรื่อง หรือยกคุณที่ไม่มีขึ้น
กล่าวจึงจะเป็นเครื่องจับใจนางสวย กล่าวตรงกันข้าม ถ้านางเป็นผู้ท่หาความสวยยากีถึง
หากจะเป็นคนมเชาวน์ ก็อาจยอให้ต้องใจได้ด้วยกล่าวถึงความงามอันสุขุมอันเป็นของไม่หา
ง่ายเหมือนความงามซึ่งล่อตา ดังน้เป็นต้น ความยอนั้นเปรียบเหมือนหินกับเหล็ก ซึ่งท้าให้
เพลิงแห่งความรักเกิดได้

ส่วนนางมุกดาวลนั้นเบื่อกาพย์กลอนจนเกลยดกวไปทั้งหมดีวันหนึ่งจึงบอกแก่
บิดาว่า ถ้าจะหาผัวให้ต้องหาชายท่รูปร่างดีไม่เคยแต่งกาพย์กลอนเป็นอันขาด อนึ่งชายท่จะ
เป็นสามนางนั้นีต้องเป็นคนเชาวน์ไวประกอบด้วยความรู้ ยิ่งรู้มากยิ่งดีขอแต่อย่าให้เป็นความรู้
ในเชิงกาพย์กลอนเท่านั้น

อยู่มาช้านานมชายหนุ่มส่คนมาจากส่ทิศ ต่างคนประกอบคุณงามความดของตน
เสมอกันีทั้งในเชิงป๎ญญาีในกําลังีแลในความรู้ คนทั้งส่เข้าไปหาีพราหมณ์หริทาสีแสดง
ประสงค์จะได้บุตรพราหมณ์เป็นภริยา หริทาสจึงนัดให้มาพร้อมกันในวันรุ่งขึ้นเพื่อจะได้ประกวด
ความดกันในการเจรจาแสดงความรู้

วันรุ่งขึ้นชายทั้งส่ก็มาตามนัดีชายคนหนึ่งท่ชื่อ มหาเสนีีกล่าวแสดงป๎ญญาว่า
"ชายใดมจํานงหาความไม่เปล่ยนแปลงในโลกน้ีชายนั้นเป็นคนโง่ เพราะความ
เป็นไปของโลกนั้นอ่อนเหมือนต้นกล้วยแตกดับง่ายเหมือนฟองทะเล"
"สิ่งทั้งหลายในท่สูงไม่ช้าจะลืม สิ่งทั้งหลายในท่ต่ําคงจะสลายไปทั้งสิ้น"
"ญาติท่ตายไปแล้วกินน้ําตาของญาติท่คงมชวิตอยู่ด้วยความไม่เต็มใจี
เพราะฉะนั้น จักทําบุญกรวดน้ําีจงอย่าให้ช้ําใจีอกด้วนอาดูรพ่อเอย"

นางมุกดาวลนั่งฟ๎งอยู่หลังฉากได้ยินมหาเสนกล่าวก็ว่า
"ชายคนน้พูดไม่มมงคลเลยีมิหนําซ้ํากําเริบเอากลอนเลวีๆีมากล่าวด้วย คนเป็น
กวใช้ไม่ได้"

ชายคนท่สองกล่าวว่า
"หญิงใดปฏิบัติชายผู้ซึ่งบิดามารดายกให้ด้วยด หญิงนั้นได้ชื่อว่าเป็นหญิงดีแล
คัมภรศาสตร์กล่าวว่า หญิงใดเป็นโยคินในเวลาสามยังอยู่ีหญิงนั้นทําให้สามอายุสั้น แลจะตก
ในกองไฟภายหลัง"
คําท่ชายคนท่สองกล่าวน้ นางมุกดาวลเห็นโง่ท่สุดีจึงนึกในใจว่าีนางว่าจะไม่
ยอมคํานึงถึงชายคนนั้นเป็นอันขาด
ชายคนท่สามเป็นตระกูลนักรบชื่อ คุณากร กล่าวว่า
"มารดาคุ้มครองบุตรเมื่อเป็นทารก บิดาคุ้มครองเมื่อจําเริญวัยใหญ่ขึ้น แต่บุรุษซึ่ง
เป็นชาตินักรบย่อมจะคุ้มครองรักษาสกุลของตนทุกเมื่อ ธรรมเนยมแห่งโลกแลหลักท่ตั้งของ
ข้าพเจ้าเป็นเช่นน้"
คนท่ประชุมฟ๎งอยู่นั้นเมื่อได้ยินคุณากรกล่าวดังน้ีก็พากันสรรเสริญว่า เป็นคนกล้า
ควรเป็นท่เคารพ

ส่วนชายคนท่ส่เป็นตระกูลพราหมณ์ชื่อ รัตนทัตตี์เมื่อได้ยินชายทั้งสามคนกล่าว
แสดงป๎ญญาดังนั้น ก็นิ่งอยู่มิได้พูดประการใดจนชายทั้งสามคิดว่าเป็นเพราะเหตุโง่เขลาเบา
ความรู้ แต่ครั้นพราหมณ์ผู้เป็นบิดานางแลคนอื่นๆ ท่ประชุมฟ๎งกันอยู่นั้นกล่าวคะยั้นคะยอให้พูดี
รัตนทัตต์ก็พูดสั้นๆีว่า
"ความนิ่งนั้นดกว่าความพูด"
ครั้นเมื่อเขาเตือนให้พูดอกก็กล่าวว่า
"คนฉลาดไม่ประกาศความมีอายุของตน ไม่ประกาศให้ใครทราบเมื่อถูก
หลอก ทั้งไม่ประกาศความมีทรัพย์หรือเสียทรัพย์ ไม่ประกาศความบกพร่องใน
ครอบครัว ไม่ร่ายมนตร์ให้คนได้ยิน แลไม่ประกาศความรักภริยา หรือวิธีประสมยา
หรือหน้าที่ประพฤติธรรม หรือของให้ หรือค้ากล่าวโทษ หรือความไม่มีสัตย์แห่งภริยา
ตน"
เมื่อชายคนท่ส่ได้กล่าวดังน้แล้วีก็เป็นอันสิ้นการประลองป๎ญญาในวันนั้น
พราหมณ์หริทาสเจ้าของบ้านแสดงความเสยใจต่อชายคนท่หนึ่งแลท่สองีแลให้ของเล็กน้อย
แล้วก็เอาน้ํามันหอมประพรมเสื้อผ้าชายสองคนีแลรดน้ําดอกไม้เทศท่ศรษะแล้วก็ให้พลู เชิญ
ให้กลับ ส่วนชายคนท่สามท่ส่คือคุณากรแลรัตนทัตต์นั้นพราหมณ์หริทาสเชิญให้มาใหม่ใน
วันรุ่งขึ้น

ชายทั้งสองก็มาตามนัดีครั้นนั่งลงพร้อมกันแล้ว พราหมณ์หริทาสจึงถามว่า
"ท่านทั้งสองมป๎ญญาดังท่แสดงโดยคําพูดเมื่อวานน้ีบัดน้ท่านจงแสดงให้เห็นว่า
ป๎ญญาของท่านมผลเป็นความรู้แลประโยชน์อะไรบ้าง" คุณากรกล่าวว่า
"ข้าพเจ้าได้สร้างรถขึ้นไว้คันหนึ่ง รถนั้นอาจพาข้าพเจ้าไปถึงไหนได้ทุกแห่งใน
พริบตาเดยว" รัตนทัตต์กล่าวว่า
"ข้าพเจ้ามความรู้ชุบคนตายให้ฟื้นคืนเป็นมาได้ แลอาจสอนเพื่อนของข้าพเจ้าให้
สามารถเช่นกัน"

เวตาลเล่ามาเพยงน้ก็หยุดไว้ีแล้วทูลถามพระวิกรมาทิตย์ว่า ชายหนุ่มมความรู้
ประเสริฐทั้งสองคนเช่นน้ พระราชาจะทรงดําริว่าพราหมณ์หริทาสควรจะเลือกชายคนไหนเป็น
เขย แต่พระวิกรมาทิตย์ไม่ทรงตอบีเหตุไม่ทรงทราบว่าจะตอบประการใด หรือเหตุได้พระสติว่า
เป็นกลเวตาลลวงถามีก็เป็นได้ทั้งสองประการ
ครั้นพระวิกรมาทิตย์ไม่ทรงตอบ จนเวตาลเห็นได้ว่าจะล่อให้ตรัสตรงน้ไม่สําเร็จ
แล้วีก็เล่าต่อไปว่า

เมื่อชายหนุ่มทั้งสองได้แสดงความรู้ให้ท่ประชุมทราบดังน้แล้ว พราหมณ์หริทาส
ยังลังเลในใจไม่แน่ว่าจะเลือกคนไหนด จึงเรยกให้นางมุกดาวลออกมากลางท่ประชุมถามว่า
นางจะเลือกชายคนไหน นางมุกดาวลก้มหน้านิ่งไม่ตอบว่ากระไรด้วยวาจาีแต่ชายหางตาดูรัตน
ทัตต์
พราหมณ์หริทาสเห็นดังนั้นีก็กล่าวภาษิตมความว่า มุกดาควรร้อยเป็นสร้อยกับ
มุกดาด้วยกันีแลยกลูกสาวให้แก่รัตนทัตต์ตามใจธิดาประสงค์ ฝุายคุณากรชาตินักรบเห็นดังนั้น
ก็แค้นใจ มือจับหนวดบิดขึ้นไปจนถึงตาซึ่งแดงด้วยความโกรธีมือก็เวยนไปจับดาบร่ําไป แต่
คุณากรเป็นคนเกิดในสกุลดมยุติธรรมในใจีถึงแม้จะขุ่นเคืองใจถึงเช่นน้ ไม่ช้าก็หายโกรธ

ฝุายมหาเสนคือชายคนหนึ่งซึ่งถูกคัดออกไปแต่วันแรกนั้นีชะรอยจะเป็นด้วยกว
ดอกกระมัง จึงเป็นคนไม่มความอายเลย ครั้นเมื่อพราหมณ์หริทาสได้หมั้นกําหนดการวิวาหะ
นางมุกดาวลแล้ว มหาเสนได้ทราบก็กระทําการอุกอาจเข้าไปในท่ประชุมีพูดจาแสดงความ
โกรธ แลกล่าวภาษิตกาพย์กลอนท่ไม่เข้าเรื่องด้วยเสยงดังกลบไปในเรือน ยกคุณชั่วแห่งหญิง
ทั้งหลายขึ้นกล่าวว่าีในโลกน้หญิงเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ เป็นยาพิษอย่างแรงีเป็นท่อยู่
แห่งความกระวนกระวายีเป็นผู้สังหารความกําหนดแน่ในใจคน เป็นผู้กระทําให้เกิดความมึนเมา
รักีแลเป็นโจรปล้นคุณความดทั้งหลายในโลก
เมื่อได้กล่าวประหัตประหารหญิงเช่นน้แล้ว ก็กล่าวต่อไปถึงบิดาแห่งนางีเรยกหริ
ทาสว่าี"มหาพราหมณ์" ซึ่งรับโคแลทองคําเป็นสินจ้างีแลเป็นคนบูชาลิง ส่วนพราหมณ์แลลูก
แห่งพราหมณ์ทั้งหลายนั้นใช้ไม่ได้หมดีรวมทั้งรัตนทัตต์ด้วย
ครั้นคนท่อยู่ในท่ประชุมนั้นช่วยกันห้ามปราม มหาเสนก็ยิ่งแสดงความโกรธมาก
ขึ้น จนพราหมณ์หริทาสตกใจกลัวสําเนยงแลอาการมหาเสนเป็นกําลังีในท่สุดมหาเสนสาบาน
ว่า แม้นางมุกดาวลจะได้หมั้นแล้วก็ตาม ถ้าเขาไม่ได้นางเป็นภริยาเขาก็จะฆ่าตัวตายแล้วเป็นผ
มากวนแลทําร้ายคนในบ้านนั้นทั้งบ้าน

ฝุายคุณากรเป็นชาตินักรบมใจกล้า ครั้นได้ยินมหาเสนพูดดังนั้นก็แนะนําว่าให้รบ
ฆ่าตัวตายเสยเถิด และเมื่อเป็นผแล้วจะทําอะไรก็แล้วแต่สมัคร แต่พราหมณ์หริทาสห้าม
คุณากรไม่ให้พูดแสดงน้ําใจร้ายกาจีมหาเสนยิ่งโกรธใหญ่ เกิดความกล้าเพราะเกลยดีเพราะ
รักีแลเพราะโกรธ ก็ชักเชือกบ่วงออกจากอกวิ่งออกไปจากเรือนแล้วผูกคอแขวนตัวตายอยู่กับ
ต้นไม้ข้างเรือนนั้น

ครั้นเวลาเท่ยงคืนผมหาเสนก็ทําจริงดังท่กล่าวไว้เมื่อยังมชวิต แสดงตัวเป็น
รากษสมาท่เรือนพราหมณ์หริทาสีทําให้พราหมณ์แลคนทั้งหลายตกใจเป็นกําลัง ครั้นรากษส
มาทําอาการคุกคามีจนคนกลัวหลบซ่อนไปหมดแล้ว ก็พานางมุกดาวลเหาะหายไปเสยจาก
เรือนแลบอกกล่าวไว้ว่า ถ้าจะตามให้พบให้ไปตามบนยอดสูงท่สุดแห่งเขาหิมาลัย

ฝุายพราหมณ์หริทาสเมื่อเกิดเหตุดังน้ก็วิ่งไปเรือนรัตนทัตต์ ปลุกให้ตื่นขึ้นแล้ว
พราหมณ์หริทาสก็ปากสั่นเล่าความให้ผู้จะเป็นบุตรเขยทราบทุกประการ รัตนทัตต์พราหมณ์
หนุ่มทราบเรื่องก็ตกใจเป็นกําลัง ออกวิ่งไปเรือนคุณากรนักรบแลวิงวอนให้ช่วยีคุณากรเป็นคน
ใจด แม้จะได้ขุ่นเคืองด้วยเหตุแพ้รัตนทัตต์ในทางรักก็จริง แต่เมื่อผู้ชนะมาวานให้ช่วยก็ยอม
ช่วยจึงจัดรถซึ่งพาเหาะได้ีแล้งสองคนก็ขึ้นนั่งบนรถ แลบอกพราหมณ์หริทาสให้นอนใจว่าีจะ
ได้ลูกสาวคืนมาในไม่ช้า
คุณากรก็ร่ายมนตร์ให้รถลอยขึ้นในอากาศีรัตนทัตต์ก็ร่ายมนตร์ไล่ผมิให้มากดกั้น
ตตสวิตุรวเรณยํีภโรคีเทวสยีธมหิีธิโยีโยีนะีปรโจทยาต รถก็พาลอยไปถึงยอดสูงสุดแห่ง
เขาหิมาลัยีอันเป็นท่ซึ่งผมหาเสนพานางไปทิ้งไว้นั้น

ครั้นชายหนุ่มทั้งสองพานางมาส่งคืนต่อบิดาแล้ว พราหมณ์หริทาสเกรงจะเกิด
เหตุอื่นขึ้นอกีก็รบให้โหรหาฤกษ์ทําการวิวาหะโดยเร็ว แลเมื่อฤกษ์ดก็เอาขมิ้นทามือลูกสาว
ตามธรรมเนยมีการแต่งงานครั้งนั้นครึกครื้นนัก กวใหญ่น้อยซึ่งรักนางไม่สมหมายีได้ความ
ทุกข์ถึงอกหักมจํานวนสองโหลเศษ
ฝุายรัตนทัตต์เจ้าบ่าวเมื่อได้วิวาหะเสร็จตามพิธแล้ว ก็ลาพราหมณ์หริทาสพา
ภริยาจะกลับไปบ้านเดิมีคุณากรนักรบมความภักดต่อนาง แลต่อรัตนทัตต์ผู้เพื่อน ก็สาบานว่า
จะไม่ทิ้งคนทั้งสองนั้นก่อนไปถึงบ้านเดิมแห่งเจ้าบ่าว

นางแลชายหนุ่มทั้งสองก็ลาพราหมณ์หริทาสออกเดินทางไป แลทางเดินนั้นต้อง
ข้ามยอดเขาวินธยะีอันเป็นท่มากด้วยภัยประการต่างๆ เมื่อถึงหน้าผาแลดูลงไปก็ลึกน่ากลัวี
เมื่อถึงลําธารน้ําก็เช่ยวไหลกระแทกหิน ยากท่จะข้ามได้ปราศจากอันตรายีประเด๋ยวก็เข้าปุา
รกชัฏซึ่งมืดเหมือนมรณะ ยากท่จะหาทางเดินไปได้ีประเด๋ยวสายฟูาก็ฟาดสาดฝนลงมา จน
หนาวเย็นสะท้านทั่วสรรพางค์กายีเมื่อยามร้อนก็ร้อนจนนกตกตายลงมาจากอากาศ รอบข้างก็
ก้องด้วยเสยงสัตว์ร้ายต่างๆีซึ่งมิใช่มิตรแห่งมนุษย์

เมื่อทางเดินลําบากถึงเพยงน้ีเราท่านก็น่าสงสัยว่า เหตุใดคุณากรจึงไม่พาบ่าว
สาวขึ้นรถเหาะไปส่งีเหตุจะอย่างไรก็ตาม การเดินทางครั้งนั้นใช้เวลาเดินดินไม่ใช่เดินอากาศ
แลคนทั้งสามก็ได้ความลําบากดังกล่าวมาแล้วีแลจะปรากฏต่อไปในเรื่องน้ แต่คนทั้งสามก็ทน
เดินทางไปด้วยอานุภาพพระกามเทพีจนพ้นปุาใหญ่ไปถึงท่ราบแล้ว

คืนหนึ่งนางมุกดาวลฝ๎นว่า นางเดินลุยไปในหนองน้ําขุ่นโสโครกีนางอุ้มเด็กคน
หนึ่งซึ่งมอาการเหมือนเจ็บ เด็กนั้นดิ้นแลร้องครวญครางีมเด็กอื่นเป็นอันมากได้ยินร้องก็ร้อง
บ้าง เด็กเหล่านั้นรูปร่างพิกลีบางคนก็ปุองเหมือนคางคกีบางคนก็ผอมยืดนอนอยู่ตามขอบ
หนอง บางคนก็ลอยอยู่เหนือน้ําีเด็กเหล่านั้นมอาการเหมือนหนึ่งระดมกันร้องใส่เอานาง
ประหนึ่งว่านางเป็นเหตุให้ร้องไห้ีแลจะว่ากล่าวปลอบโยนหรือขู่เกร้ยวกราดประการใด ก็ไม่นิ่ง
ทั้งนั้นีครั้นนางตื่นขึ้นก็เล่าความฝ๎นให้ชายทั้งสองฟ๎ง
รัตนทัตต์ผู้สามได้ฟ๎งแล้วก็นิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงบอกภริยาแลเพื่อนว่าีจะเกิด
เหตุใหญ่เป็นภัยแก่คนทั้งสามในไม่ช้า ครั้นรัตนทัตต์ทํานายดังน้แล้วก็หยิบด้ายออกมาเส้น
หนึ่งีตัดออกเป็นสามท่อน แจกกันคนละท่อนีแล้วอธิบายว่าีถ้าเกิดเหตุเป็นภัยแก่ร่างกาย ให้
เอาเชือกนั้นผูกเข้าท่แผลๆีก็จะหายไปในทันท
ครั้นแจกเชือกแล้วรัตนทัตต์ก็สอนมนตร์ให้ภริยาแลเพื่อนท่องจําไว้ เป็นมนตร์ท่
ชุบคนตายให้คืนชวิตได้ มนตร์นั้นเป็นอย่างไรข้าพเจ้าไม่ควรนํามากล่าวให้ทรงทราบีเวตาล
เล่าต่อไปว่า

ตามท่รัตนทัตต์ทํานายฝ๎นไว้นั้นไม่ช้าก็เกิดเหตุตามพยากรณ์คือ ในตอนเย็นเมื่อ
คนทั้งสามเดินพ้นจากปุาออกทุ่งก็มคนพวกหนึ่งเรยกว่า กิราตะ มจํานวนเป็นอันมากพากันเข้า
ทําร้ายมาเบื้องต้น
มกิราตะคนหนึ่งร่างเล็กตัวดําถือธนูแลศรทําด้วยหวาย ยืนขวางทางทํากิริยาเป็น
สัญญาณให้คนทั้งสามวางอาวุธีครั้นคนทั้งสามไม่หยุด กิราตะก็พูดเสยงโกรธดังก้องไปเหมือน
นกท่ตกใจกลัว ตาก็เหลือกไปเหลือกมาแลแดงด้วยความโกรธีมือถืออาวุธชูขึ้นแกว่งอยู่บน
ศรษะ ในทันใดนั้นพวกกิราตะก็หลั่งกันออกจากพุ่มไม้ีแลท่กําบังหลังก้อนหิน ต่างคนต่าง
ช่วยกันยิงมาดังห่าฝนีการต่อสู้ซึ่งกําลังไม่พอกันนั้นเป็นไปไม่ได้นาน คุณากรนักรบถือดาบใน
มือขวาใช้แขนอันมกําลังไล่ฟาดฟ๎นศัตรูล้มตายลงหลายสิบคน แต่พวกกิราตะก็หนุนเนื่องกัน
เข้ามาเหมือนหมู่แตนซึ่งมผู้ทําลายรัง ไม่ช้าคุณากรก็ถูกอาวุธสิ้นกําลังล้มลง

ฝุายรัตนทัตต์นั้นเมื่อศัตรูมมากก็พานางหลบไปซ่อนไว้ในโพรงไม้แห่งหนึ่งแล้ว
กลับมาต่อสู้กับพวกชาวปุา ไม่ช้าก็ถูกอาวุธสิ้นกําลังลงเหมือนกันีฝุายพวกกิราตะนั้นครั้นชาย
ทั้งสองล้มลงแล้ว ก็ชักมดออกตัดศรษะให้ขาดออกจากตัวทั้งสองศพ แล้วปลดเอาของมค่า
ทั้งหลายซึ่งมอยู่ในตัวชายสองคนนั้นีเสร็จแล้วก็พากันกลับไป หาตามไปทําร้ายนางซึ่งซ่อน
อยู่ในโพรงไม้นั้นไม่

ฝุายนางมุกดาวลตกใจเพยงจะสิ้นชวิตีครั้นสงบเสยงลงไปีก็ออกจากโพรงไม้
เมยงมอง ไม่เห็นพวกโจรชาวปุาีเห็นแต่ศพสามและเพื่อนกลิ้งอยู่กลางดิน หัวตกอยู่ห่างตัวทั้ง
สองหัวีนางก็นั่งลงร้องไห้ครวญครางอยู่ช้านานจนจวนค่ํา จึงคิดขึ้นได้ถึงวิชาท่เรยนรู้จากสาม
ในวันนั้นเองีนางจึงหยิบเอาด้ายวิเศษออกมา ยกเอาหัวทั้งสองหัวมาวางต่อกับตัวสองตัวแล้ว
เอาด้ายผูกหัวกับตัวเข้าไว้ด้วยกัน
แต่เวลานั้นเป็นเวลามืดเห็นไม่ถนัด ทั้งเป็นเวลาท่นางกําลังตื่นตกใจไม่ทันได้
พิจารณาละเอยด หัวแลตัวท่ต่อกันนั้นผิดสํารับกันไป นางไม่ทันสังเกตก็นั่งลงร่ายมนตร์สํชวน
ซึ่งสามได้สอนไว้
พอร่ายมนตร์จบชายสองคนก็มชวิตคืนมา ต่างคนต่างลืมตาแลลุกขึ้นนั่งลูบคลํา
ตัวเองเหมือนหนึ่งดูว่าร่างกายยังอยู่ครบหรือไม่ แต่เมื่อลูบพบร่างกายเต็มทั้งตัวแล้วก็ไม่หาย
สงสัย ต่างคนเห็นว่าจะมอะไรผิดสักแห่งหนึ่งีจึงเอามือคลําหน้าผากแล้วแลดูลงไปตลอดถึง
เท้า แล้วต่างลุกขึ้นยืนมองดูแขนแลขาของตน แลดูผ้านุ่งห่มซึ่งพวกโจรเหลือทิ้งไว้ให้น้อย
ท่สุด
ฝุายนางมุกดาวล เมื่อเห็นชายทั้งสองทํากิริยาประหลาดดังนั้นก็นึกว่าเป็นด้วย
ความยุ่งในมันสมองของคน ซึ่งเป็นโรคถูกตัดหัวหายขึ้นใหม่ๆีนางจึงยืนดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้ววิ่ง
เข้าไปกอดชายซึ่งนางคิดว่าเป็นสามีแต่เขาไม่ยอมให้นางเข้าชิดตัว กลับผลักเสยแล้วบอกว่า
นางเข้าใจผิดีนางมุกดาวลละอายในใจเป็นกําลัง ก็วิ่งเข้ากอดคอชายอกคนหนึ่งซึ่งนึกว่าเป็น
สามของตนแน่ แต่ชายคนนั้นก็ผลักนางไว้ให้ห่างแลบอกว่าเข้าใจผิดเหมือนกัน
ในขณะน้นางรู้สึกขึ้นมาว่าได้ต่อหัวผิดตัวเสยแล้วีไม่รู้ว่าจะทําอย่างไร ก็นั่งลง
ร้องไห้ราวกับอกจะแตกไปกับท่ีหัวพราหมณ์รัตนทัตต์กล่าวว่า
"นางน้เป็นเมยของท่าน" หัวคุณากรนักรบกล่าวว่า
"นางน้เป็นเมยของท่านไม่ใช่ของข้า" ตัวรัตนทัตต์กับหัวคุณากรตอบว่า
"หามิได้นางเป็นเมยของข้าต่างหาก" คุณากร-รัตนทัตต์กล่าวว่า
"ถ้าเช่นนั้นข้าคือผู้ใด" รัตนทัตต์-คุณากรกลับถามว่า
"ก็เจ้านึกว่าข้าคือผู้ใด" หัวพราหมณ์ตัวนักรบกล่าวว่า
"นางต้องเป็นเมยของข้า" หัวนักรบตัวพราหมณ์กล่าวว่า
"เจ้าโกหกีนางเป็นเมยของข้าต่างหากีหัวทั้งสองพูดพร้อมกันว่า
"เจ้าพูดอย่างคนพาลฟ๎งไม่ได้"

เวตาลกล่าวต่อไปว่า หัวสองหัวแลตัวสองตัวโต้เถยงกันไม่มทางท่จะยินยอมกัน
ได้ ผู้ท่จะตัดสินได้แน่นอนก็เห็นจะมแต่พระพรหมพระองค์เดยวีส่วนข้าพเจ้านั้น นอกจากจะตัด
หัวต่อเสยใหม่แล้วีก็ไม่รู้จะวินิจฉัยอย่างไรได้ แลข้าพเจ้าเชื่อเป็นแน่ว่าีแม้พระองค์ผู้เป็น
พระราชาอันประเสริฐ ก็ไม่ทรงป๎ญญาพอตัดสินได้ว่าีนางมุกดาวลเป็นภริยาของหัวแลตัวสํารับ
ไหน อันท่จริงพวกข้าพเจ้าซึ่งเป็นเวตาลด้วยกันกระซิบบอกต่อีๆีกันมาว่า เมื่อหัวแลตัวสอง
สํารับนั้นตายไปเฝูาธรรมราชาี(คือพระยม) ป๎ญหาอันเดยวกันก็เกิดขึ้นในยมโลกีเพราะหัวทั้ง
สองต่างปฏิเสธบาปกรรมต่างๆ ซึ่งตัวได้ทําไว้ในเมืองมนุษย์ีแม้ธรรมราชาก็พิศวงีไม่รู้จะแจก
คะแนนโทษอย่างไรได้ ตรงน้ พระธรรมธวัชพระราชบุตรทรงนึกขันข้อท่หัวต่อผิดตัวแลเผลอ
พระองค์ไม่ทันนึกถึงพระราชบิดาก็ทรงพระสรวลขึ้นด้วยสําเนยงอันดัง พระวิกรมาทิตย์พระราช
บิดาทรงขัดเคืองพระราชบุตรก็ตรัสว่า
"ความเห็นขันในขณะซึ่งไม่มสิ่งใดขันนั้นเป็นเหตุให้คนดูแคลน แลทรงอ้างภาษิต
ซึ่งบิดามักจะชอบเอามากล่าวแก่บุตรว่า ความหัวเราะนั้นเป็นเครื่องส่อน้ําใจปราศจากความคิดี
แล้วรับสั่งต่อไปว่า "คัมภรศาสตร์แสดงว่า..."
เวตาลกล่าวว่า
"ดูไม่สู้จําเป็นท่พระองค์จะต้องทรงอธิบายให้แจ่มแจ้งถึงเพยงนั้น คําท่รับสั่งก็คง
เป็นคําของชัยเทวะหรือคนอื่นในหมู่กวแก้วทั้งเก้า แต่คนเก้าคนนั้นรู้กาพย์กลอนของตัวเองี
ดกว่ารู้คัมภรศาสตร์เป็นอันมาก"

พระวิกรมาทิตย์ทรงนิ่งชั่งพระหฤทัยว่า จะลงโทษเวตาลท่กล่าวค้านขึ้นกลางคันด
หรือไม่ อกครู่หนึ่งจึงรับสั่งแก่พระราชกุมารต่อไปว่า
"คัมภรศาสตร์กล่าวว่าีแม่น้ําพระคงคาเป็นใหญ่ในหมู่แม่น้ําทั้งปวง เขาพระสุเมรุ
เป็นใหญ่กว่าเขาทั้งหลายีต้นกัลปพฤกษ์เป็นใหญ่กว่าต้นไม้ทั้งปวง แลในภาคแห่งมนุษย์นั้นี
หัวเป็นใหญ่แลประเสริฐท่สุด กล่าวโดยความอันแสดงในคัมภรศาสตร์เช่นน้ นางมุกดาวลต้อง
เป็นภริยาของชายสํารับซึ่งหัวเคยเป็นสามของนาง"
เวตาลหัวเราะแล้วทูลตอบว่า
"ความเห็นของข้าพเจ้าไม่ต้องกับคัมภรศาสตร์ีแลไม่ตรงกับพระราชดําริแห่ง
พระองค์ คือข้าพเจ้าเห็นว่านางมุกดาวลเป็นภริยาของชายสํารับท่กายเคยเป็นผัวนาง เพราะ
เหตุว่ากายนั้นมอุทรีซึ่งเป็นท่อยู่แห่งวิญญาณอันมความไม่รู้ดับเป็นสภาพ ส่วนหัวนั้นเสมอกับ
หม้อกระดูกหม้อหนึ่งซึ่งไม่มอะไรอยู่ข้างในนอกจากมันสมองซึ่งเป็นเยื่อข้นเสมอกับมันสมอง
แห่งลูกวัวเท่านั้น"
พระวิกรมาทิตย์รับสั่งด้วยสําเนยงพิโรธว่า
"เอ็งไม่นึกหรือว่า วิญญาณนั้นเมื่อเข้าไปในตัวมนุษย์แล้วก็มสํานักอยู่ในมันสมอง
แลพิจารณากายภายนอกเห็นได้จากสํานักนั้น" เวตาลตอบว่า
"วิญญาณจะมสํานักอยู่ท่อุทรคนก็ตามีหรือท่มันสมองก็ตาม สํานักของข้าพเจ้า
อยู่ท่ต้นอโศกเป็นแน่"
พูดเท่านั้นแล้วเวตาลก็ออกจากย่ามหัวเราะก้องฟ้าลอยไป พระวิกรมา
ทิตย์กับพระราชบุตรก็เสด็จหันพระพักตร์คืนไปยังต้นอโศก ทรงปลดเวตาลลงมาใส่
ย่าม แล้วก็รับสั่งแก่เวตาลว่า ให้เล่าเรื่องจริงไปอีกเรื่องหนึ่ง
The Vampire's Ninth Story
นิทานเวตาลเรื่องที่ ๑๐

เรื่องท่ี๑๐

เวตาลกล่าวว่าครั้งนี้ข้าพเจ้าให้เกิดเขม่นตาซ้าย หัวใจเต้นแรงแลตาก็มืดมัว
เป็นลางไม่ดีเสียแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็จะเล่าเรื่องจริงถวายอีกเรื่องหนึ่ง แลเพราะเหตุ
ข้าพเจ้าเบื่อหน่ายการถูกแบกสะพายไปมาเป็นหลายเที่ยวแล้ว แม้พระองค์ไม่ทรงเบื่อ
เป็นผู้แบกก็จริง ข้าพเจ้าจะตั้งปัญหาที่อยากทูลถามสักที ถ้าทรงตอบได้ พระปัญญาก็
มากยิ่งกว่าที่ข้าพเจ้าคิดว่าจะมีในพระราชาพระองค์ใด

ในโบราณกาลเมืองใหญ่เมืองหนึ่งชื่อ กรุงธรรมปุระ พระราชาทรงนาม ท้าวมหา


พล มมเหสซึ่งแม้มพระราชธิดาจําเริญวัยใหญ่แล้วก็ยังเป็นสาวงดงามถ้าจะเปรยบกับพระราช
บุตรก็คล้ายพ่กับน้องยิ่งกว่าแม่กับลูก ท่เป็นเช่นน้ไม่ใช่เพราะพระราชธิดามอาการแก่เกินอายุ ท่
จริงเป็นด้วยพระราชมารดาเป็นสาวไม่รู้จักแก่ แลความสาวของพระนางเป็นเครื่องประหลาดของ
คนทั้งหลาย

เมื่อท้าวมหาพลจะสิ้นบุญนั้นีเกิดศึกขึ้นท่กรุงธรรมปุระ ข้าศึกมกําลังมากแล
ชํานาญการศึกีใช้ทั้งทองคําแลเหล็กเป็นอาวุธ คือใช้ทองคําซื้อน้ําใจนายทหารแลไพร่พลของ
พระราชาให้เอาใจออกห่างจากพระองค์ แลใช้เหล็กเป็นอาวุธฆ่าฟ๎นคนท่ซื้อน้ําใจไม่ได้ีข้าศึก
ใช้ทองคําบ้าง เหล็กบ้างเป็นอาวุธดังน้ีจนในท่สุดร้พลของท้าวมหาพลหรอร่อยย่อยยับไป

ท้าวมหาพลเห็นจะรักษาชวิตพระองค์ไว้ไม่ได้ด้วยวิธรบ ก็คิดจะรักษาด้วยวิธหน จึง


พาพระมเหสแลพระราชธิดาออกจากกรุงไปในเวลาเท่ยงคืนจําเพาะสามพระองค์ พระราชาทรง
พานางทั้งสองเล็ดรอดพ้นแนวทัพข้าศึกไปแล้วก็ตั้งพระพักตร์มุ่งไปยังเมืองซึ่งเป็นเมืองเดิมของ
พระมเหส วันรุ่งขึ้น

พระราชานํานางทั้งสองเดินไปจนเวลาสาย ถึงท้องทุ่งเห็นหมู่บ้านหมู่หนึ่งแต่ไกลี
ไม่ทรงทราบว่าเป็นหมู่บ้านโจร แต่ทรงสงสัยไม่วางพระหฤทัยจึงตรัสให้พระมเหส แลพระราช
ธิดาหยุดนั่งกําบังอยู่ในแนวไม้ พระองค์ทรงถืออาวุธเดินตรงเข้าไปสู่หมู่บ้านเพื่อจะหาอาหาร
เสวยแลสู่นางทั้งสององค์

ฝุายพวก ภิลล์ ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านนั้นประพฤติตัวเป็นโจรอยู่โดยปกติ ครั้นเห็นชายคน


เดยวแต่งตัวด้วยของมค่าเดินเข้าไปเช่นนั้น ก็คุมกันออกมาจะเข้าชิงทรัพย์ในพระองค์พระราชา
ท้าวมหาพลทรงเห็นดังนั้นก็ทรงพระแสงธนูยิงพวกโจรล้มตายเป็นอันมาก ฝุายนายโจรได้ทราบ
ว่าผู้มทรัพย์มาฆ่าฟ๎นพวกตนลงไปเป็นอันมากดังนั้นก็กระทําสัญญาณเรยกพลโจรออกมาทั้ง
หมดแล้วเข้าล้อมรบพระราชา ท้าวมหาพลองค์เดยวเหลือกําลังจะต่อสู้ปูองกันอาวุธพวกโจรได้
ก็สิ้นพระชนม์ลงในท่นั้นีพวกภิลล์ก็ช่วยกันปลดเปลื้องของมค่าออกจากพระองค์ แล้วพากันคืน
เข้าสู่บ้านแห่งตน

ฝุายพระมเหสและพระราชธิดาทรงแอบอยู่ในแนวไม้เห็นพวกโจรเข้ากลุ้มรุมรบ
พระราชาก็ตกใจเป็นกําลังแต่ไม่รู้จะทําอย่างไรได้ ครั้นเห็นพวกภิลล์ทําลายพระชนม์พระราชา
ลงไปแล้ว สองนางพระองค์สั่นพากันหนห่างออกไปจากหมู่บ้านโจรีทางจะไปทางไหนหาทราบ
ไม่ ความมุ่งมาดมอยู่แต่ว่าจะหนให้พ้นมือพวกภิลล์ซึ่งเป็นคนชาติต่ําช้าเท่านั้น นางทั้งสองทรง
กําลังน้อยแต่อํานาจความกลัวพาให้เสด็จไปเป็นทางถึงี๔ีโกรศ อ่อนเพลยพระกําลังีทรง
ดําเนินต่อไปไม่ได้ีก็หยุดนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ริมทาง

เผอิญมพระราชาอกพระองค์หนึ่งีทรงนาม ท้าวจันทรเสน เสด็จออกยิงสัตว์ปุากับ


พระราชบุตรจําเพาะสองพระองค์ กษัตริย์ทั้งสองทรงม้าไปตามแนวปุาีเห็นรอยเท้าหญิงสองคน
ก็ทรงชักม้าหยุดดู พระราชบิดาตรัสว่า
"รอยเท้าคนทําไมมอยู่ในปุาแถบน้" พระราชบุตรทูลว่า
"รอยเท้าเหล่าน้เป็นรอยเท้าหญิงสองคน รอยเท้าชายคงจะโตกว่าน้" พระราชาตรัส
ว่า
"เจ้าของรอยเท้าเหล่าน้เป็นหญิงจริงอย่างเจ้าว่า แลน่าประหลาดท่มหญิงมาเดิน
อยู่ในปุาีแต่ถ้าจะพูดตามเรื่องในหนังสือ หญิงท่พระราชาพบในปุามักจะงามกว่าหญิงท่จะหาได้
ในกรุงเหมือนดอกไม้ปุาท่งามกว่าดอกไม้ในสวน มาเราจะตามนางทั้งสองน้ไปีถ้าพบนางงาม
จริงดังว่าีเจ้าจงเลือกเอาเป็นเมยคนหนึ่ง" พระราชบุตรทูลตอบว่า
"รอยเท้านางทั้งสองน้มขนาดไม่เท่ากัน แม้เท้ามขนาดย่อมทั้งสองนางก็ยังก็ยัง
ใหญ่กว่ากันอยู่คนหนึ่ง ข้าพเจ้าจะเลือกนางเท้าเล็กเป็นภริยาข้าพเจ้าีเพราะคงจะเป็นสาวน้อย
ตามขนาดแห่งเท้า ส่วนนางเท้าเขื่องนั้นคงจะเป็นสาวใหญ่ีขอพระองค์จงรับไว้เป็นราชชายา"
ท้าวจันทรเสนตรัสว่า
"เหตุไฉนเจ้าจึงกล่าวดังน้ พระราชมารดาของเจ้าสิ้นพระชนม์ไปไม่ก่วัน เจ้าจะ
อยากมแม่เล้ยงเร็วเท่าน้เจยวหรือ" พระราชบุตรทูลตอบว่า
"ขอพระองค์อย่ารับสั่งเช่นนั้น เพราะบ้านของผู้เป็นใหญ่ในครอบครัวนั้นีถ้าไม่มแม่
เรือนก็เป็นบ้านท่ว่าง อนึ่งพระองค์ย่อมจะทรงทราบคาถาซึ่งมูลเทวะบัณฑิตแต่งไว้ีมความว่า
'ชายผู้ไม่ใช่คนโง่ไม่ยอมคืนสู่เรือนซึ่งไม่มนางท่รักผู้มรูปงามคอยรับรองในขณะท่กลับถึงเรือน
นั้น แม้เรยกว่าเรือนก็ไม่ใช่ีอื่นีคือคุกซึ่งไม่มโซ่เท่านั้นเอง' พระองค์ย่อมทรงทราบได้ด้วย
พระองค์เองว่า ความสุขแห่งพ่อบ้านซึ่งอยู่โดดเด่ยวนั้นมไม่ได้ในบ้านีแลมไม่ได้นอกบ้าน
เพราะไม่มหวังว่าจะได้ความสุขีเมื่อกลับมาสู่เรือนแห่งตน"

ท้าวจันทรเสนทรงนิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่งีแล้วตรัสตอบพระราชบุตรว่า
"ถ้านางเท้าเขื่องมลักษณะเป็นท่พึงใจีข้าก็จะทําตามคําเจ้าว่า"

ครั้นกษัตริย์ทั้งสององค์ทรงกระทําสัญญาแบ่งนางกันดังน้แล้ว ก็ทรงชักม้าตาม
รอยเท้านางเข้าไปในปุาีสักครู่หนึ่งเห็นสองนางนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ กษัตริย์สององค์เสด็จลงจาก
ม้าเข้าไปถามนาง ทั้งสองนางก็เล่าเรื่องให้ทรงทราบทุกประการ พระราชากับพระราชบุตรก็เชิญ
นางทั้งสองขึ้นหลังม้าองค์ละองค์ นางพระบาทเขื่องคือพระราชธิดาขึ้นทรงม้ากับท้าวจันทรเสน
นางพระบาทเล็กคือพระมเหสขึ้นทรงม้ากับพระราชบุตรีส่องค์ก็เสด็จเข้ากรุง

กล่าวสั้นๆ ท้าวจันทรเสนแลพระราชบุตรก็ทําการวิวาหะทั้งสองพระองค์แต่กลับคู่
กันไป คือพระราชบิดาทรงวิวาหะกับพระราชบุตรีพระราชบุตรทรงวิวาหะกับพระมเหส แลเพราะ
เหตุท่คาดขนาดเท้าผิดีลูกกลับเป็นเมยพ่อีแม่กลับเป็นเมยลูก ลูกกลับเป็นแม่เล้ยงของผัวแม่
ตัวเองีแลแม่กลับเป็นลูกสะใภ้ของผัวแห่งลูกตน แลต่อมาบุตรแลธิดาก็เกิดจากนางทั้งสอง แล
บุตรแลธิดาแห่งนางทั้งสองก็ก็มบุตรแลธิดาต่อีๆีกันไป

เวตาลเล่ามาเพยงน้ก็หยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อไปว่าบัดน้ข้าพเจ้าจะตั้งป๎ญหา
ทูลถามพระองค์ว่า ลูกท้าวจันทรเสนท่เกิดจากธิดาท้าวมหาพล แลลูกมเหสท้าวมหาพลท่เกิด
กับพระราชบุตรท้าวจันทรเสนนั้นจะนับญาติกันอย่างไร พระวิกรมาทิตย์ได้ทรงฟ๎งป๎ญหาเวตาลก็
ทรงตรึกตรองเอาเรื่องพ่อกับลูกีแม่กับลูก แลพ่กับน้องมาปนกันยุ่ง แลมิหนําซ้ํามเรื่องแม่เล้ยง
กับแม่ตัวแลลูกสะใภ้กับลูกตัวอกเล่า พระราชาทรงตป๎ญหายังไม่ทันแตกีพอทรงนึกขึ้นได้ว่า
การพาเวตาลไปส่งให้แก่โยคนั้น จะสําเร็จได้ก็ด้วยไม่ทรงตอบป๎ญหาีจึงเป็นอันทรงนิ่งเพราะ
จําเป็นแลเพราะสะดวก แลรบสาวก้าวทรงดําเนินเร็วขึ้นีครั้นเวตาลทูลเย้าให้ตอบป๎ญหาด้วยวิธ
กล่าวว่าโง่ จะรับสั่งอะไรไม่ได้ก็ทรงกระแอมีเวตาลทูลถามว่า
"รับสั่งตอบป๎ญหาแล้วไม่ใช่หรือ"
พระราชาไม่ทรงตอบว่ากระไร เวตาลก็นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วทูลถามว่า
"บางทพระองค์จะโปรดฟ๎งเรื่องสั้นๆีอกสักเรื่องหนึ่งกระมัง" ครั้งน้แม้แต่กระแอม
พระวิกรมาทิตย์ก็ไม่ทรงกระแอมีเวตาลจึงกล่าวอกครั้งหนึ่งว่า
"เมื่อพระองค์ทรงจนป๎ญญาถึงเพยงน้แล้ว บางทพระราชบุตรซึ่งทรงป๎ญญาเฉลยว
ฉลาดจะทรงแก้ป๎ญหาได้บ้างกระมัง"
แต่พระธรรมธวัชพระราชบุตรนิ่งสนิททเดยว

ปลายเรื่อง
เมื่อพระวิกรมาทิตย์ทรงนิ่งอึ้งมิได้ออกพระโอษฐ์ตรัสประการใด ดังนั้น
เวตาลก็แสดงวาจาอาการประหลาดใจเป็นที่สุด กล่าวชมว่าทรงตั้งมั่นพระหฤทัยดีนัก
พระปัญญาราวกับเทวดาแลมนุษย์อื่นที่มีปัญญา จะหามนุษย์เสมอมิได้ แต่ถึงเวตาลจะ
เห็นแล้วว่าพระราชาตั้งพระหฤทัยจะไม่รับสั่ง ก็ยังไม่ยอมสนิท ยังกล่าวยั่วโดยเพียรจะ
ให้รับสั่งให้จงได้ เวตาลกล่าวว่า

"ข้าพเจ้าขอถวายพระพรให้ทรงรับความสําราญ เป็นผลแห่งการท่ทรงนิ่งครั้งน้
พระองค์ได้ทรงเพยรมาหลายครั้งแล้วท่จะห้ามความช่างพูดในพระองค์ีแต่ก็ไม่สําเร็จ ข้าพเจ้า
จะไม่ทูลถามว่าการท่ทรงระงับความช่างพูดนั้นีเป็นด้วยความถ่อมพระองค์ แลความสามารถกุม
พระสติไว้ได้ีหรือเป็นด้วยความโง่แลไม่สามารถเท่านั้นเอง
การท่ข้าพเจ้าไม่ทูลถามว่าีไม่ทรงตอบเพราะเหตุไรนั้น ก็เพราะข้าพเจ้าต้องการจะ
ไว้พระพักตร์ีแลพระองค์ก็คงจะทรงทราบแล้วว่า ข้าพเจ้าสงสัยว่าไม่ทรงตอบเพราะพระป๎ญญา
ทึบีไม่ทรงทราบว่าจะตอบว่ากระไร หาใช่เป็นด้วยมพระป๎ญญาจะตอบได้ถูกต้องีแต่ไม่ทรง
ตอบเพราะกุมพระสติไว้ได้ไม่ การท่ไม่ทรงตอบป๎ญหาครั้งน้ีก็กล่าวได้ว่าเป็นด้วยทรงเชื่อ
คําแนะนําของข้าพเจ้า แลข้าพเจ้ามความปลื้มท่ทรงเชื่อคําสั่งสอนของเวตาลจึงไม่ทูลซักถาม
ว่า ทรงเชื่อเพราะความฉลาดกุมสติไว้ได้ีหรือเป็นเพราะโง่ไม่รู้จะตอบว่ากระไร แลความไม่ตอบ
ก็เป็นความเชื่อคําสั่งสอนของข้าพเจ้าไปในตัว"

พระวิกรมาทิตย์ทรงกัดริมพระโอษฐ์เพื่อจะห้ามพระองค์เองมิให้ตรัสีแลก็ห้ามไว้
ได้ เวตาลกล่าวต่อไปว่า
"เมื่อพระองค์ทรงรู้สึกความทึบแห่งพระป๎ญญา แลได้รับทุกข์คืออัดอั้นตันพระ
หฤทัยถึงเพยงน้แล้วีข้าพเจ้าก็เกิดสงสาร จึงยอมระงับความมุ่งหมายซึ่งมมาแต่ในเบื้องต้นว่า
จะทําให้ทรงดําเนินทวนไปทวนมาจนสิ้นพระชนม์ลงในระหว่างทางเพื่อข้าพเจ้าจะได้มโอกาส
สละศพท่สิงอยู่เด๋ยวน้ เข้าสิงศพพระราชาลองดูว่ามรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง อนึ่งข้าพเจ้าได้
ถวายสัญญาไว้แต่ในชั้นเดิมว่าจะถวายประโยชน์อย่างหนึ่งซึ่งไม่มใครอื่นจะถวายได้ แต่ก่อนท่
จะถวายนั้นีข้าพเจ้าขอทูลถามว่า พระองค์จะทรงขยับย่ามให้ข้าพเจ้าหายใจสะดวกขึ้นอกหน่อย
จะได้หรือไม่"
พระธรรมธวัชพระราชบุตรได้ยินเวตาลทูลถามดังนั้น ก็จับแขนเสื้อทรงพระราช
บิดากระตุกเพื่อจะเตือนให้รู้พระองค์ีมิให้ตรัสตอบเวตาล แต่พระราชบิดารู้สึกพระองค์อยู่แล้ว
แม้ใครจะเอาม้ามาลากหลายคู่ก็ไม่ฉุดให้พระวาจาออกจากพระโอษฐ์ได้
ฝุายเวตาลเมื่อเห็นพระราชาทรงนิ่งอยู่ดังนั้นก็กล่าวต่อไปว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในหมู่นักรบ พระองค์จงรําลึกถึงคําซึ่งอสูรป๎ถพบาลได้
ทูลไว้ว่าีผู้ใดมุ่งจะฆ่าชวิตพระองค์ๆ อาจตัดหัวผู้นั้นเสยก่อนได้โดยคลองธรรมีแลในการ
ข้างหน้าซึ่งจะเป็นไปตั้งแต่บัดน้ พระองค์พึงปฏิบัติตามคําท่อสูรกล่าวนั้น ส่วนพ่อค้าพลอยซึ่ง
ถวายทับทิมแก่พระองค์เป็นอันมาก แลโยคชื่อศานติศลซึ่งกระทําพิธอยู่ท่ปุาช้าริมฝ๎่งแม่น้ําโค
ทาวรนั้นีคือคนีๆ เดยวกันีแลมิใช่ใครอื่นีคือโยคซึ่งพระราชบิดาแห่งพระองค์ได้กระทําเหตุให้
โกรธ แลมาดหมายจะแก้แค้นเป็นเวรกันอยู่จนบัดน้ีส่วนข้าพเจ้าผู้เป็นลูกพ่อค้าน้ํามันนั้น โยค
กลัวว่าจะกระทําการกดกั้นความเป็นใหญ่ในโลกของเขา จึงฆ่าข้าพเจ้าเสยด้วยอํานาจตบะแล
พาศพข้าพเจ้ามาแขวนห้อยหัวไว้ท่ต้นอโศกเป็นเครื่องล่อลวงพระองค์"

"โยคนั้นเป็นผู้ใช้ให้พระองค์มาปลดข้าพเจ้าแบกไปให้แก่เขา แลเมื่อพระองค์
ทรงทิ้งข้าพเจ้าลงท่เท้าเขาในคืนวันน้ เขาจะสรรเสริญความกล้าแลความเพยรของพระองค์ขึ้น
ไปจนถึงฟูา ข้าพเจ้าขอทูลให้รู้พระองค์แลระวังพระองค์จงหนัก เพราะโยคคงพาพระองค์ไปท่
หน้าเทวรูปนางทุรคาีแลเมื่อเขาได้บูชาแล้ว เขาจะเชิญให้พระองค์เคารพเทวรูปโดยอัษฎางค
ประณต"
ตรงน้เวตาลทูลกระซิบค่อยๆ ประหนึ่งเกรงว่าจะมผู้ได้ยินแลนําคําท่กล่าวนั้นไป
บอกโยคศานติศล ครั้นทูลเสร็จแล้วีเวตาลก็ออกจากศพ ทําให้ย่ามซึ่งพระราชาทรงแบกนั้นเบา
เข้าเป็นอันมาก แต่เมื่อได้ออกจากย่ามแล้วยังลอยกล่าวสรรเสริญพระราชาแลพระราชบุตรอยู่
อก คําสรรเสริญนั้นเป็นไปในทางท่ชมว่ารู้สึกความโง่แลลดหย่อนราชมานะอันเป็นคุณ
ความดีซึ่งถ้ามีในตัวใครผู้นั้นย่อมมีความสุขในโลก

ครั้นเวตาลไปพ้นแล้ว พระวิกรมาทิตย์ก็รบทรงดําเนินไปถึงปุาช้า พบโยคกําลัง


นั่งเคาะกะโหลกหัวผกล่าวไม่หยุดปากว่า
"โหีกาล โหีทุรคาีโหีเทว"
รอบตัวโยคนั้น มากไปด้วยรูปกายอันน่าเกลยดน่ากลัวีคือผอสูรทั้งหลายสําแดง
รูปต่างๆีกัน บ้างก็เป็นนาคีบ้างก็เป็นภูต บ้างก็เป็นรูปแพะใหญ่ซึ่งผแห่งผู้ฆ่าพราหมณ์ได้เข้าสิง
อยู่ บ้างก็เป็นหนอนใหญ่ซึ่งผแห่งพราหมณ์กินเหล้าเป็นผู้สิง บ้างก็เป็นรูปคนหน้าเป็นม้าแลอูฐ
แลลิงีบ้างก็เป็นรูปคนขาข้างเดยว หูข้างเดยวแลเป็นผดูดเลือดีเพราะเมื่อยังไม่ตายได้ขโมย
ของวัด บ้างก็มรูปเป็นแร้งแลเป็นผเลวีๆีเพราะเคยเป็นชู้กับเมยอุป๎ชฌาย์ หรือได้เมยเป็นคนต่ํา
ชาติีหรือเป็นผทําบาปอื่นต่างีๆ บ้างก็เป็นรูปสัตว์อันน่าเกลยดแลน่ากลัวีกัดกินท่อนแห่งศพ
มนุษย์ แลทําเสยงกึกก้องไปทั้งปุาช้า

ครั้นพระวิกรมาทิตย์เสด็จเข้าไปใกล้จะถึงตัวโยค โยคก็ยกแขนขึ้นเป็น
สัญญาณเสยงทั้งหลายก็หยุดนิ่งหมด พระราชาก็ทรงทิ้งย่ามศพลงตรงหน้าโยคีโยคก็แสดง
ความยินด แลกล่าวสรรเสริญความมั่นคงของพระราชาเป็นอันมาก แล้วโยคก็หยิบเอาศพซึ่งเป็น
ศพเด็กออกมาจากย่ามีแล้วหันหน้าไปทางทิศใต้ ร่ายมนตร์อยู่ครู่หนึ่งีศพนั้นก็มอาการเหมือน
เป็น แล้วโยคก็ถวายของเป็นเครื่องบูชาพระเทวีคือีพลูีดอกไม้ีไม้จันทน์ีข้าวีลูกไม้ แลเนื้อ
มนุษย์ซึ่งไม่เคยถูกคมเหล็ก
แล้วเอาเชื้อเพลิงใส่ลงในกะโหลกหัวผ จุดไฟเปุาจนลุกเป็นเปลวใช้
แทนโคมส่องทาง นําพระราชาแลพระราชบุตรไปยังเทวรูปนางกาลี
เป็นรูปหญิงด้าคอขาดจากตัวครึ่งหนึ่ง ลิ้นแลบออกมาจากปาก
ซึ่งอ้ากว้าง ตาแดงเหมือนคนเมา คิ้วแดง แลผมซึ่งเป็นเส้นหยาบ
นั้นห้อยคลุมไปจนถึงเท้า เสื้อผ้าที่คลุมนั้นคือหนังช้างแห้ง
สะเอวรัดด้วยมาลัยร้อยด้วยมือแห่งยักษ์ซึ่งนางฆ่าตายในขณะ
รบ มีศพสองศพห้อยเป็นกุณฑลที่หูสองข้าง แลสร้อยคอนั้นเป็น
โซ่กะโหลกหัวคน มือทั้งสี่ถือดาบ บาศ ตรี แลคทา เท้าหนึ่ง
เหยียบอกพระศิวะผู้สามี อีกเท้าหนึ่งเหยียบน่อง หน้าเทวรูปอันน่า
กลัวน้ีมเครื่องใช้ในการบูชาต่างๆ คือตะเกยงีหม้อีแลภาชนะอื่นๆีกับ
สังข์แลฆ้องเป็นต้น ของเหล่าน้มกลิ่นเลือดทั้งนั้น

ครั้นโยคพาพระราชาแลพระราชบุตรไปถึงหน้าเทวรูปแล้ว ก็ก้มลงวางกะโหลก
ศรษะท่ถือเป็นโคมนําทางมานั้นลงกับพื้น แล้วหยิบดาบมาถือแอบหลังไว้ีแลทูลพะราชาว่า
"ข้าแต่พระราชา พระองค์ได้ทรงกระทําตามสัญญาแล้วโดยทางท่ชอบทุก
ประการ แลเพราะเหตุท่พระองค์เสด็จมาในท่น้ีพิธของข้าพเจ้าจะเป็นอันสําเร็จดังหมาย พระ
อาทิตย์ก็จะขับรถข้ามเขาเบื้องตะวันออกอยู่แล้ว เชิญพระองค์ทรงเคารพพระผู้เป็นเจ้าโดย
อัษฎางคประณต แลพระเกยรติของพระองค์จะรุ่งเรืองยิ่งีๆีขึ้นไปีสิธิทั้งแปดีแลนิธิทั้งเก้า จะ
ได้เป็นของพระองค์ีแลความจําเริญจะมยืนยาวไปชั่วกาลนาน"

พระวิกรมาทิตย์ทรงฟ๎งดังนั้นีรําลึกได้ถึงคําเวตาล จึงรับสั่งแก่โยคโดยอาการ
เคารพว่า
"ข้าพเจ้าพระราชาไม่เคยกระทําอัษฎางคประณต ขอท่านผู้เป็นอาจารย์จงทําให้
ข้าพเจ้าดูก่อนีแล้วข้าพเจ้าจะทําตาม"

โยคผู้ฉลาดขุดหลุมไว้ล่อพระราชา ก็ตกหลุมท่ตัวเองทําไว้ีครั้นโยคก้มตัวลง
กระทําอัษฎางคประณต พระวิกรมาทิตย์ก็ชักพระแสงดาบออกีฟาดถูกศรษะโยคขาดกระเด็นไป
ขณะนั้นเทวรูปคว่ําลงมา หากพระธรรมธวัชพระราชบุตรจับพระกรพระราชบิดาเหน่ยวพระองค์
กระชากไปโดยแรง พระราชาจึงหลกพ้นเทวรูปรอดชวิตไปได้ีในทันใดนั้นมเสยงกล่าวใน
อากาศว่า
"บุรุษพึงฆ่าคนซึ่งตั้งใจจะฆ่าตนได้โดยคลองธรรม"
แลมเสยงดนตรแลคําอวยชัยมาจากในฟูา ทั้งดอกไม้ทิพย์ก็ตกกล่นเกลื่อนไป
พระอินทร์แวดล้อมด้วยเทพบริวารก็เสด็จมาเฉพาะพระพักตร์พระวิกรมาทิตย์ แลตรัสให้ขอพรๆี
หนึ่งีพระวิกรมาทิตย์ทูลว่า
"ข้าแต่พระจอมสวรรค์ขอพระองค์จงประทานพรให้เรื่องของข้าพเจ้าน้ ปรากฏไป
ในโลกชั่วกาลนาน" พระอินทร์ตรัสว่า
"เราให้พรแก่ท่านดังขอีแลตราบใดพระอาทิตย์แลพระจันทร์ยังส่องอยู่ในฟูา แล
ฟูายังครอบดินีตราบนั้นเรื่องน้ปรากฏไปในโลก"

ครั้นพระอินทร์เสด็จหายไปแล้วีพระวิกรมาทิตย์ทรงยกศพทั้งสองทิ้งเข้าไปใน
กองไฟ ก็เกิดมพระสองตนีพระวิกรมาทิตย์ตรัสว่า
"เมื่อข้าเรยกเจ้าจงมาทันท"
แล้วก็พาพระราชบุตรคืนเข้าพระราชวัง ทรงปกครองบ้านเมืองเป็นสุขชั่วกาล
นาน จนเมื่อพระองค์ซึ่งมีความตายเป็นสภาพเสด็จสู่ปรโลกแล้ว พระเกียรติซึ่งมิรู้ดับยัง
ปรากฏตราบเท่าทุกวันนี้
The Vampire's Tenth Story

You might also like