Professional Documents
Culture Documents
อบรมแมลง-สัตว์ศัตรูพืช (หอยศัตรูพืช)
อบรมแมลง-สัตว์ศัตรูพืช (หอยศัตรูพืช)
อบรมแมลง-สัตว์ศัตรูพืช (หอยศัตรูพืช)
กลุ่มหอย (Molluscs)
Molluscs เป็ นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จัดอยูใ่ นไฟลัม Mollusca ซึง่ ใหญ่เป็ นอันดับสอง
ของอาณาจักรสัตว์ (Animal Kingdom) ที่มีทงชนิ ั ้ ดและปริ มาณเป็ นรองแต่กลุม่ ที่มีร ะยางค์เป็ นข้ อ
ปล้ องเท่านัน้ (Arthropods) มีรูปร่างลักษณะทัว่ ไป คือเป็ นท่อม้ วนขดของผิวหนังและแมนเทิล ลำตัว
อ่อนนุ่มมีเมือกไม่มีข้อปล้ อง บริเวณขอบแมนเทิลด้ านล่างติดกับ umbilicus จะผลิตเปลือกปกคลุมลำ
ตัว อาจจะปกคลุมทังตั ้ วหรื อเป็ นบางส่วนเท่านันตามแต่
้ ชนิดของหอย ไฟลัม Mollusca แบ่งเป็ นชัน้
(classes) ดังนี ้
Class Monoplacophora เป็ นชันที
้ ่โบราณที่สดุ มีเหลืออยูห่ นึง่ หรื อ สองชนิดเท่านัน้
Class Polyplacophora เป็ นหอยฝาเดียวโบราณ มีเปลือกเป็ นแผ่น 8 แผ่น ได้ แก่ ลิน่
ทะเล (Chitons)
Class Aplacophora เป็ นพวกคล้ ายหนอนไม่มีเปลือกหุ้ม
Class Gastropoda เป็ น หอยฝาเดีย วมีล กั ษณะเป็ น เกลีย วหรื อ ม้ ว นขดกลมมี
จำนวนชนิดมากที่สดุ
Class Scaphopoda เปลือกเป็ นท่อปลายเปิ ดทังสองด้
้ าน ได้ แก่หอยงาช้ าง
Class Bivavia หรื อ clams เป็ นหอยสองฝา เป็ นชันที ้ ่ใหญ่เป็ นอันดับสอง
Class Cephalopoda เป็ นพวกที่พฒ ั นาที่สดุ มีเปลือกปกคลุมภายนอก ได้ แก่ หอย
งวงช้ าง ( nautilus) หมึก ( octopus ; squid and cuttle fish)
Molluscs เป็ นกลุม่ สัตว์ที่โบราณมาก โดยพบฟอสซิลติดอยูท่ ี่หินของยุค Palaeozoic (ช่วง
แคมเบียน ประมาน 500 ล้ านปี ผ่านมาแล้ ว) จนถึงยุค Caenozoic เป็ นยุคที่มีการพัฒนามากที่สดุ
และปั จจุบนั มีการจำแนกชนิดต่างกันไปบ้างอาจเป็ น 120,000 ชนิด แต่ปกติแล้ วประมาณ 80,000
ชนิด ส่วนใหญ่อาศัยอยูใ่ นน้ำทะเลและประมาณ 75% เป็ นหอยฝาเดียว
หอยฝาเดียว (Gastropods) มีประมาณ 50,000 – 60,000 ชนิด ถูกจำแนกตามการหายใจแบ่ง เป็ น
3 Sub class คือ Prosobranchia , Opisthobranchia และ Pulmonata โดย Posobranchia จะ
หายใจ ด้ วยเหงือกที่เรี ยงเป็ น 2 แถว ในช่องแมนเทิล ส่วน Pulmonate จะหายใจด้ วยปอดเป็ นต้ น
ที่อยู่อาศัย (Habitat) หอยฝาเดียวอาศัยอยูไ่ ด้ ทงในน้ำทะเล
ั้ น้ำจืดและบนบก จึงมีรูปร่าง
แตกต่างกันไปตามแหล่งที่อยูอ่ าศัย จึงอาจพบหอยอยูใ่ นน้ำโดยจะว่ายน้ำ หรื อลอยไปตามกระแสน้ำ
หรื อคลานตามหน้ าดินใต้ น้ำ บางชนิดอยูบ่ นพื ้นดินจะคลานอยูต่ ามพื ้นดิน อยูใ่ นโพรงหรื อรู บนพื ้นดิน
บางชนิดจะอาศัยอยูบ่ นต้ นไม้ ดังนันหอยจึ
้ งกินอาหารได้ ทงพื
ั ้ ชผักต่างๆ เนื ้อสัตว์ ซากพืชและซากสัตว์
และบางพวกเป็ นปรสิต
ลำตัว (Body) แบ่งเป็ น 3 ส่วนใหญ่ๆตามพบเห็นคือ ส่วนหัวประกอบด้ วยปากอยูต่ รงปลาย
สุด มีหนวดและตา ส่วนของเท้ าอยูด่ ้ านล่างของส่วนหัว ใช้ สำหรับเคลื่อนที่และ ส่วนของอวัยวะ
ภายในเป็ นกลุม่ ก้ อนอวัยวะขนาดใหญ่ประกอบด้ วยระบบย่อยอาหารและระบบสืบพันธุ์ เป็ นต้ น ซึง่ จะ
บิดเวียนไปตามเปลือกที่ปกคลุมโดยมีผิวหนังห่อหุ้มอวัยวะเหล่านัน้ แมนเทิลจะมีผิวแนบชิดกับเปลือก
มีช่องว่างระหว่างผนังแมนเทิลกับส่วนหัวเรี ยกว่า mantle cavity ทำให้ สว่ นหัวและส่วนเท้ าสามารถยื่น
ออกและหดเข้ าได้ ถ้ าแบ่งส่วนของลำตัวตามหน้ าที่ของอวัยวะจะแบ่ง เป็ น สองส่วน คือ อวัยวะ
ภายในและแมนเทิล เรี ยกว่า visceropallium เป็ นส่วนที่ทำหน้ าที่ยอ่ ยอาหาร หมุนเวียนเลือด สืบพันธุ์
และขับถ่าย ตลอดถึงผลิตเมือกและขน (cilia) สำหรับพัดโบก ส่วนทีย่ น่ื ออกภายนอกได้ แก่ หัวและเท้ าเป็ น
ส่วนที่สมั ผัสกับสภาพแวดล้ อมภายนอก มีมดั กล้ ามเนื ้อขนาดใหญ่ สำหรับเคลื่อนที่และกินอาหาร รวม
ทังมี
้ เซลล์ขนทำหน้ าที่รับความรู้สกึ และมีเซลล์ผลิตเมือก
การสมมาตร (Symmetry) ลำตัว หอยส่ว นกลุม่ ก้ อ นอวัย วะภายในมีก ารบิด เวีย นไปตาม
เปลือกนันมี ้ สมมาตรแบบ Asymmetry ส่วนหัวและเท้ าสมมาตรแบบ Bilateral symmetry
เปลือก (Shell) โครงสร้ างของเปลือกประกอบด้ วยชันนอกเป็้ น periostracum ด้ านนอกสุด
เป็ นชันสารอิ
้ นทรี ย์ ชันในเป็
้ นชันแคลเซี
้ ่ยม (Watabe, 1988) รูปร่าง ของเปลือกถูกกำหนดโดยสัดส่วน
ของความสูงกับความกว้าง ถ้ าเปลือกแบนความกว้ างจะมากกว่าความสูง เปลือกจะมีรูปร่างสูงความสูง
จะมากกว่าความกว้ าง เปลือกทรงกลมความสูงกับความกว้ างจะเท่ากัน ส่วนผิวนอกเปลือกอาจมีผิว
เรี ยบ มันเงา หรื อมีรวดลายชัดเจน (Signor, 1983)
ฝาปิ ด (Operculum) เป็ นแผ่นแบน ทำหน้ าที่เปิ ดปิ ดของปากเปลือกเพื่อให้ สว่ นหัวและเท้ ายื่น
ออกและการไหลของน้ำเข้ าช่องแมนเทิล หอยบกบางชนิดไม่มีฝาปิ ด หอยจะพัฒนาปากของเปลือก
เป็ น fold, ridges, callus และ tubercle เพื่อให้ ปากแคบลงป้องกันแมลงผู้ลา่ รวมทังมี ้ การผลิตเมือกมา
ปิ ดปาก หรื อผลิตเป็ น Epiphragm เพื่อลดการสูญเสียน้ำ
การเคลื่อนที่ (Locomotion) หอยเคลื่อนที่ไปข้ างหน้ าด้ วยการหดตัวของกล้ ามเนื ้อตามความ
ยาวจากสั้นเท้ ามาด้ านหน้ า ส่วนการเคลื่อนที่ในทิศตรงข้ ามจะเป็ นการถอยหลัง หอยจะเคลื่อนที่ไป
ทางซ้ ายมือหรื อขวา กล้ ามเนื ้อด้ านนันก็ ้ จะหดตัวครึ่งหนึง่ ของความยาวแผ่น เท้ า ความเร็ วในการ
เคลื่อน ที่ขึ ้นกับการหดตัวของกล้ ามเนื ้อและความสูงของคลื่น (Miller, 1974)
อัตราการเคลื่อนที่สมั พันธ์ก บั เปลือกหอย ถ้ าเปลือกหอยอยูแ่ นวเดียวกับการเคลื่อ นที่จ ะ
เคลื่อน ที่ได้ เร็ว ยังขึ ้นกับความลาดเอียงและจำนวนเกลียวของเปลือกหอยโดยหอยที่มีเกลียวต่ำจะ
เคลื่อนที่เร็วกว่าเกลียวสูง
การเคลื่อนที่โดยขน ความเร็วการเคลื่อนที่สงู สุด 1.9 มิลลิเมตรต่อวินาที (Audesirk and
Audesirk, 1985) ความเร็วการเคลื่อนที่ด้วยขนจะเร็ วกว่า 2-3 เท่าของการเคลื่อนที่แบบหดกล้ ามเนื ้อ
แต่การเคลื่อนที่ด้วยขนมีข้อจำกัด คือ จะต้ องเป็ นหอยขนาดเล็ก เพราะง่ายต่อการใช้ ขนใต้ ฝ่าเท้ าได้ ดี
ไม่สามารถเคลื่อนกลับหลังได้ และไม่เหมาะสมสำหรับหอยขนาดใหญ่
ระบบประสาท (Nervous system) ระบบประสาทส่วนกลางประกอบด้ วยปมประสาท 5 ค ู่
ได้ แก่ Cerebral ganglion หล่อเลี ้ยงบริ เวณหัว เช่น หนวด ตา buccal ganglion หล่อเลี ้ยงบริ เวณ
ช่อ งปาก Oesophageal ganglion หล่อ เลี ้ยงบริ เ วณแมนเทิล Plural ganglion หล่อ เลี ้ยงอวัย วะ
ภายใน และ Pedal ganglion หล่อ เลี ้ยงบริ เ วณเท้ า และมีป มประสาทที่ไ ม่เ ป็ น คูค่ ือ visceral
ganglion จะมีการเชื่อมต่อประสานกันทัง้ 2 ข้ าง
การรับความรู้สกึ และการตอบสนอง (Sensory Receptor and Responses) อวัยวะรับความ
รู้สกึ ได้ แก่ ตา หนวด อวัยวะรับกลิ่น (Osphradium) และปุ่ มที่แมนเทิล รับรู้สารเคมี โดยที่ตาและปุ่ ม
บางชนิดทำหน้ าที่รับรู้แสงและ neuroepithelial cell หรื อปลายประสาทอิสระทำหน้ าที่รับรู้เกี่ยวกับ
อาหาร
ช่องแมนเทิล อวัยวะที่สำคัญที่สดุ อวัยวะหนึง่ ของหอยฝาเดียว ในการดำเนินชีวติ โดยผนัง
แมนเทิลนันทำหน้
้ าที่ผลิตเปลือกห่อหุ้มอวัยวะภายใน และมีรูปร่างคล้ ายกระโปรง จึงมีช่องว่าระหว่าง
แมนเทิลกับลำตัวทางด้ านหน้ า จนถึงด้ านหลังที่มีการบิดของลำตัว เป็ นช่องที่สว่ นหัวและเท้ าหดเข้ า
ภายในได้ จึงประกอบด้ วยอวัยวะหายใจ (gill) หัวใจและไตรวมทังท่ ้ อขับถ่ายของเสียของทางเดิน
อาหารและท่ออวัยวะสืบพันธุ์ (gonoduct)
อวัย วะหายใจ (gill) เป็ นแถวยาว อยูต่ ิดด้ านซ้ ายของผนัง ช่อ งแมนเทิล โดยมีริว้ ของ gill
เรี ยงเป็ นแถวอยู่จำ นวนมาก น้ำจะเข้ าทางด้ านซ้ ายของช่องแมนเทิลผ่านริว้ gill แล้ วผ่านออกด้ าน
ขวาของหัว หอยน้ำจืดจะมีทงั ้ gill และปอดแยกกันสามารถหายใจได้ ทงั ้ 2 ทาง จึงสามารถอาศัย
อยูใ่ นแหล่งน้ำจืดได้ แม้ จะมีออกซิเจนต่ำ ส่วนพวกหอยบก (Pulmonate) มีปอดช่วยหายใจ
การไหลเวียนเลือด (Circulation) หัวใจจะปั๊ มเลือดจากห้ องด้ านล่าง (Ventricle) ไปด้ านหน้ า
และด้ านหลังของหลอดเลือด การไหลย้ อนกลับของเลือดถูกป้องกันโดยลิ ้น (Valve) เลือดจากส่วนหัว
และเท้ าจะไหลกลับโดยการปั๊ มของ Cephalopedal Sinus เลือดที่ไปเลี ้ยงอวัยวะภายในจะไหลกลับ
โดยการปั๊ มของ Visceral sinus และเลือดที่ไปเลี ้ยงอวัยวะหายใจและไตจะกลับทาง Subrenal sinus
ก่อนกลับเข้ าสูช่ ่องหัวใจทางเส้ นเลือดดำ
การขับถ่าย (Excretion) น้ำเสียในเลือดจะถูกกรองทีไ่ ตเข้ าสูช่ อ่ งหัวใจทาง renopericardial canal
มาเปิ ดออกทีช่ อ่ งว่างแมนเทิลโดยตรง หรือโดยทางท่อไตมาเปิ ดออกทีข่ ้ างท่อถ่ายอุจระ
การกินและการย่ อย (Feeding and Digestion) ฟั น (radular) เป็ นอวัยวะรวบรวมเป็ น
แผ่น ฟั น อยูบ่ นปุ่ มกล้ า มเนื ้อเรี ย กว่า Odontophore ที่เ รี ย งต วั ซับ ซ้ อ นซึง่ โครงสร้ า ง radular,
Odontophor และ muscle เรี ยกว่า buccal mass เป็ นประโยชน์ในพวกหอยกินพืช พวกปากเจาะ
ปากดูด พวกกินซาก พวกที่เป็ นปรสิตและผู้ลา่ ด้ วยการดูด เจาะ บด ฉีก เสียบ อาหารเหล่านันเข้ ้ าสู่
ระบบการย่อยอาหาร (Fretter and Graham, 1994)
การย่ อย (Digestion) หอยมีการย่อยทังภายในและภายนอกเซลล์
้ ต่อมผลิตน้ำย่อยมีกระบวน
การซับซ้ อน มีการผลิต follicle เล็กๆ ขึ ้นมา ระหว่างผลิตเอนไซม์ การดูดซึมอาหารก็เกิด มีการสะสม
อาหารขึ ้นพร้ อมๆกัน และอาหารที่ไม่ถกู ย่อย ถูกส่งโดยขนพัดโบกเข้ ากระเพราะอาหาร เซลล์ในต่อม
ผลิตน้ำย่อยอาจจะทำหน้ าที่สะสมแคลเซียม เอนไซม์ที่ผลิต ได้ แก่ ไลเปส โปรทีเอส และคาร์ โบไฮเดรส
อาหาร ที่ไ ม่ถ กู ย่อ ยจากกระเพราะอาหาร ถูก ส่ง เข้ า ต่อ มผลิต น้ำย่อ ยและถูก ย่อ ยในเซลล์ โดย
วิธีPhagocytic cell ขณะที่มีการย่อยอาหารทังภายในและภายนอกเซลล์
้ หอยยังมีการกินอาหารเป็ นพัก
ๆ
การสืบพันธุ์ (Reproduction) หอยพวก Prosobranchs มีเพศแยกและมีหนึง่ gonad อยูท่ ี่
เกลียวสุดท้ ายใกล้ กบั ต่อมผลิตน้ำย่อย ในเพศผู้ ท่อนำอสุจิจาก testis มายัง prostate gland มา
เปิ ดใกล้ กบั Pallial vas deferene เข้ าสู่ Penis ซี่งอยูด่ ้ านขวาของหัว ในเพศเมียจะซับซ้ อนกว่าเพศ
ผู้ ท่อนำไข่จากรังไข่เข้ าสูช่ ่องแมนเทิลจะมี ทอ่ ของ albumin เปิ ดด้ านหลังของท่อ capsule gland
บริ เวณเท้ ามีตอ่ ม Pedal gland ผลิตเมือกสำหรับให้ ไข่ติดกับวัสดุที่วาง และในเพศเมียยังมีอวัยวะ
พิเศษ คือ ท่อรับอสุจิและถุงเก็บอสุจิ ( seminal receptacle) อสุจิจากเพศผู้เข้ าสูเ่ พศเมียอาจใช้ เวลา
เพียง 2-3 นาที จนถึงหลายชัว่ โมง
ดังที่ได้ กล่าวมาแล้ ว หอยฝาเดียวเป็ นกลุม่ ที่มีขนาดใหญ่อาศัยได้ ทงในน้ำและบนบกรวมทั
ั้ งอยู
้ ่
บนต้ นไม้ จึงมีแหล่งอาหารหลากหลายทังพื ้ ชน้ำ พืชผัก ผลไม้ บางชนิดเป็ นผู้ลา่ สัตว์อื่นเป็ น
อาหาร บางชนิดกินซากพืชซากสัตว์ โดยมีหอยหลายชนิดที่กดั กินพืชอาหารของมนุษย์ และเป็ น
พาหะนำโรคจนกลายเป็ นศัตรูของมนุษย์ และการเคลื่อนที่เป็ นระยะไกล ๆ จึงทำความเสียหายให้ กบั
พืชอาหารเป็ นอย่างมาก ดังนันจึ ้ งต้ องมีการศึกษาชีววิทยาและการป้องกัน กำจัดหอยเหล่านันอย่
้ างมี
ประสิทธิภาพโดยในที่นี ้จะกล่าวถึงหอยที่เป็ นศัตรูพืชเศรษฐกิจที่ สำคัญ 9 ชนิด ได้ แก่
1. หอยเชอรี่ Golden apple snail; Pomacea canaliculata Lamark
2. หอยทากยักษ์ Giant Africa; Acantina fulica
3. หอยดักดาน Siam snail ; Cryptozona siamensis
4. หอยสาริ กา Glass snail ; Sarika sp.
5. หอยเจดีย์ใหญ่ Prosopeas walkeri
6. หอยเจดีย์เล็ก Lamellaxis gracilis
7. หอยอำพัน Amber snail, Succinea sp.
8. หอยเลขหนึง่ Ovachlamys fulgens
9. หอยคล้ ายทาก Parmarion siamensis
หอยดักดาน หอยสาริ กา
ภาพที่ 4 หอยดักดานและหอยสาริ กา
ลักษณะทั่วไป เป็ นหอยฝาเดียว รูปร่างเป็ นท่อม้ วนขดแบน (Tubular coiled flat ) ขนาดปานกลาง
เปลือกเรี ยบในหอยสาริ กา เปลือกบางและแบน และเป็ นมันวาวกว่าหอยดักดาน มีสีน้ำตาลเข้ ม ไม่มี
ฝาปิ ด แต่จะผลิตแผนเมือก เรี ยกว่า epiphragm มาปิ ดปากเปลือก เมื่ออยูใ่ นสภาพแห้ งแล้ ง เพื่อ
ป้ องกันการสูญเสีย น้ำ เหมือนหอยทากยัก ษ์ ขนาดหอยสาริ กาประมาณ 18 - 20 มม. ขนาดหอย
ดักดานประมาณ 25 -35 มม. เปลือกบิดเวียนขวา ส่วนหัวและเท้ าจะยื่นออกจากเปลือก เพื่อกิน
อาหารและเคลื่อนที่ ปากอยูป่ ลายสุดลงมาทางด้ านล่างของส่วนหัว ถัดจากส่วนปากจะมีหนวดสัน้ 1 คู่
ทำหน้ าที่รับรู้การกินอาหารและมีตาอยูบ่ นก้ านตา 1 คู่ ทังตาและก้
้ านตาหดเข้ าผิวหนังได้ ทำหน้ าที่
รับรู้แสง เท้ าเป็ นแผ่นค่อนข้ างแคบแต่ยาวยืดหยุน่ มีเมือก ขณะเคลื่อนที่จะมีการหดตัวของกล้ ามเนื ้อ
เปลือกจะถูกยกขึ ้นด้ านบนของแผ่นเท้ า ทำให้ เคลื่อนที่ได้ เร็ ว ส่วนหัวและเท้ ามีสมมาตรแบบสองข้ าง
เหมือนกัน ส่วนอวัยวะภายในอยูภ่ ายในเปลือกสมมาตรแบบ Asymmetry แมนเทิลจะแนบชิดติดกับ
เปลือก เพื่อป้องกันความชื ้นและอันตรายให้ กบั อวัยวะภายใน ที่แผ่นแมนเทิลด้ านขวาจะมีรูเปิ ดปิ ด
เล็ก ๆ ทำหน้ าที่ให้ อากาศเข้ าไปในช่องแมนเทิลสำหรับหายใจที่ปอด
วงจรชีวิต ทังหอยสาริ
้ กาและหอยดักดานเป็ นหอยที่มีสองเพศในตัวเดียวกัน แต่ผสมภายในตัวเองไม่
ได้ เมื่อหอยโตเต็มที่จะจับคูก่ นั เวลากลางคืนทีมีอากาศชื ้น โดยจะยื่นอวัยวะเพศที่อยูส่ ว่ นหัวด้ าน
ขวาถัดจากก้ านของตัวที่ถ่ายอสุจิจะสอดอวัยวะสืบพันธุ์ เข้ าช่องสืบพันธุ์ของอีกตัวที่ ทำ หน้ าที่เป็ นตัว
เมีย ที่มีไข่ตกลงมาตามท่อนำไข่แล้ วผสมกับอสุจิ ไข่หลังจากถูกผสมแล้ วจะเคลื่อนมาตามท่อนำไข่มา
รวมกันที่มดลูก การวางไข่จะวางใต้ เศษใบไม้ หรื อใต้ ดินลึก 1-2 ซม. ที่มีความชื ้นไข่จะเป็ นฟองเดี่ยวแต่
อยูร่ วมเป็ นกลุม่ เปลือกไข่ขาวค่อนข้ างใสอ่อนนุ่มมีแคลเซี่ยมประกอบเล็กน้ อย กลุม่ ไข่ของสาริ กามี
ประมาณ 30 - 50 ฟอง และของหอยดักดานมีประมาณ 50 - 70 ฟอง ตัวอ่อนในไข่จะเจริ ญพัฒนา
ประมาณ 10 วัน จึงฟั กเป็ นลูกหอยมีเปลือกน้ำตาลอ่อนขนาด 2 มม. ลูกหอยจะกินต้นอ่อนและยอด
อ่อนของพืช โดยออกหากินและพักหลบซ่อนตัวเวลากลางวันอาจจะไม่ซ้ำที่เดิม ลูกหอยดักดานเมื่อ
โตขึ ้นเกลียวเปลือกส่วนยอดจะนูนขึ ้น ส่วนหอยสาริ กาจะแบนราบเหมือนเดิม
การทำลายพืช หอยทังสองชนิ ้ ดจะกัดกินพืชต่าง ๆ เช่น ผักบุ้งจีน คะน้ า ผักกาด กวางตุ้ง ตระกูล
แตง โดยจะกินทุกส่วนของพืชตังแต่ ้ ระยะกล้ า ลำต้ นและใบจนได้ รับความเสียหาย บางครัง้ อาจต้ อง
ปลูกใหม่ทงแปลง
ั้ และยังกัดกินผลไม้ เช่น มะละกอสุก มะม่วง กระท้ อน ลำไย ลิ ้นจี่ เป็ นต้ น
เนื่องจากหอยทังสองชนิ
้ ดเคลื่อนที่ได้ เร็ว และขึ ้นต้ นไม้ ได้ เก่ง
หอยเจดีย์ใหญ่ และหอยเจดีย์เล็ก
เป็ นหอยทากบกศัตรูพืชที่มีขนาดเล็ก อาศัยอยูต่ ามพื ้นดิน ตามกองวัสดุพืช จัด จำแนกดังนี ้
Class Gastropoda
Sub class Pulmonata
Order Stylomemotophora
Family Subulinidae
Scientific name Prosopeas walkeri หอยเจดีย์ใหญ่
Lamellaxic gracilis หอยเจดีย์เล็ก
หอยเจดีย์ใหญ่ หอยเจดีย์เล็ก
ภาพที่ 5 หอยเจดีย์ใหญ่ และหอยเจดีย์เล็ก
ลักษณะทั่วไป เป็ นหอยฝาเดียว รูปร่างเป็ นท่อม้ วนเป็ นเกลียวสูง (Tubular high spiral) ขนาดเล็ก
เปลือกเรี ยบหนาแข็งสีขาว ยอดเปลือกของหอยเจดีย์เล็กจะแหลมกว่า ไม่มีฝาปิ ด เมื่อโตเต็มที่หอย
เจดีย์ใหญ่มีความสูงประมาณ 15 - 25 มม. หอยเจดีย์เล็กมีความสูงประมาณ 9 -10 มม. เปลือกเวียน
ขวา ส่วนหัวและเท้ าจะยื่นออกจากเปลือกเพื่อกินอาหารและเคลื่อนที่ ปากอยูป่ ลายสุดลงมาทาง ด้ าน
ล่างของส่วนหัว ถัดจากส่วนปากจะมีหนวดสัน้ 1 คู่ ทำหน้ าที่รับรู้การกินอาหารและมีตาอยูบ่ นก้ าน
ตา 1 คู่ ทังตาและก้
้ านตาหดเข้ าผิวหนังได้ ทำ หน้ าที่รับรู้แสง เท้ าเป็ นแผ่น แบบแคบยาวเล็กน้ อย
ยืดหยุน่ มีเมือก ขณะเคลื่อนที่จะเคลื่อนที่ช้า เนื่องจากมีแผ่นเท้ าเล็กและมีเปลือกทรงสูง ส่วนหัว
และเท้ ามีสมมาตรแบบสองข้ างเหมือนกัน ส่วนอวัยวะภายในจะอยูภ่ ายในเปลือกสมมาตรแบบ
Asymmetry แมนเทิลจะแนบชิดติดกับเปลือก เพื่อป้องกันความชื ้นและอันตรายให้ กบั อวัยวะภายใน
ที่แผ่นแมนเทิลด้ านขวาจะมีรูเปิ ดปิ ดเล็กๆ ทำหน้ าที่ให้ อากาศเข้ าไปในช่องแมนเทิล สำหรับหายใจที่
ปอด
วงจรชีวิต ทังหอยเจดี
้ ย์ใหญ่และเจดีย์เล็กมีสองเพศในตัวเดียวกัน แต่ผสมภายในตัวไม่ได้ เมื่อโต
เต็มวัยจะจับคูก่ นั เวลากลางคืนมีอากาศชื ้น โดยตัวที่ถ่ายอสุจิจะสอดอวัยวะสืบพันธุ์เข้ าช่องสืบพันธุ์
ของอีกตัวที่ทำหน้ าที่เป็ นเพศเมีย อสุจิอาจจะถูกเก็บไว้ ในถุงเก็บอสุจิของเพศเมีย เมื่อไข่ตกจากรังไข่
จะเคลื่อนมาตามท่อนำไข่มาทีละฟองอย่างช้ าๆเพื่อผสมกับอสุจิ ไข่ที่ถกู ผสมกับอสุจิแล้ วจะค่อย ๆ
เคลื่อนมาตามท่อนำไข่ที่ไม่ขยายตัวเพื่อสะสมไข่ โดยไข่ที่ถกู ผสมแล้ ว จะเพิ่มขนาดขึ ้นพร้ อมทังมี ้ การ
พัฒนาของตัวอ่อนภายในเปลือกไข่ที่แข็งมีแคลเซียมประกอบอยู่ในมดลูกซึง่ มองเห็นจากภายนอก
เปลือกหอยได้ เมื่อไข่เคลื่อนที่มาถึงช่องเปิ ดของอวัยวะสืบพันธุ์อยูท่ างขวาของลำตัว ไข่จะถูกปล่อย
ออกมาอยูใ่ ต้ เศษกองวัสดุพืช หรื อมอส ทีละฟองหลังจาก วางไข่ 3 - 5 วัน ไข่จะฟั กเป็ นลูกหอยขนาด
เล็ก มีเปลือกค่อนข้ างกลม กินมอส ตะไคร่น้ำ ต้ นอ่อนและยอดพืช เป็ นอาหาร เมื่อโตขึ ้นยอดเกลียว
เปลือกจะสูงขึ ้น จะกินรากอ่อน ลำต้ น ใบพืชเป็ นอาหาร
การทำลายพืช หอยทังสองชนิ ้ ดอาศัยตามกองเศษวัสดุการเกษตร ปุ๋ยหมัก พื ้นดินที่ช่มุ ชื ้น โคนต้ นไม้
จึงกัดกินรากพืช ต้ นอ่อนของผักต่างๆ ลำต้ น ใบผัก บางครัง้ ระบาดจนต้ องทำแปลงหว่านเมล็ดพันธุ์
ใหม่ ทำความเสียหายกับเกษตรกรอย่างมาก หรื อกัดกินรากพืชของไม้ ดอก เช่น กล้ วยไม้ ทำให้
ชะงักการเจริญเติบโตแคระแกร็นได้ บางครัง้ อาจติดไปกับวัสดุปลูกกล้ วยไม้ ที่สง่ ออกไปขายต่าง
ประเทศ เมื่อถูกเจ้ าหน้ าที่ดา่ นกักกันพืชตรวจพบจะถูกเผาทันที
หอยเลขหนึ่ง
เป็ นหอยทากบกศัตรูกล้ วยไม้ มีขนาดเล็กมาก อาศัยอยูต่ ามพื ้นดิน หรื อวัสดุปลูก จำแนกได้ ดงั นี ้
Class Gastropoda
Sub class Pulmonata
Order Helicarionoidae
Family Helicarionidae
Scientific name Ovachlamys fulgens
ภาพที่ 7 หอยเลขหนึง่
หอยคล้ ายทาก
เป็ นหอยคล้ ายทากบกศัตรูกล้ วยไม้ และพืชผัก ผลไม้ หลายชนิด จัด จำแนกดังนี ้
Class Gastropoda
Sub class Pulmonata
Order Sigmurethra
Family Helicarionidae
Scientific name Parmarion siamensis
การป้องกันกำจัดหอยทาก
การป้องกัน
1. ในสวนที่ไม่เคยมีหอยทากมาก่อนต้ องหมัน่ ตรวจตรา โดยเฉพาะในฤดูฝนจะพบเห็นหอย
ทากได้ ง่าย เมื่อนำต้ นพันธุ์เช่น กล้ วยไม้ เข้ ามาในสวนควรแยกไว้ ตากหากให้ แน่ใจว่าไม่มีหอยทากหรื อ
ไข่หอยติดมา
2. เมื่อมีการเปลี่ยนเครื่ องปลูกใหม่ ควรชุบกาบมะพร้ าวหรื อเครื่ องปลูกในสารกำจัดหอย
หรื อควรอบหรื อตากแห้ งกาบมะพร้ าวเสียก่อนนำมาปลูก เพราะอาจมีไข่หอยหรื อลูกหอยติดมาด้ วย
การกำจัด
หากเริ่มพบหอยทากหรื อพบหอยชนิดตัวใหญ่ เช่น หอยสาริ กา หอยดักดานหรื อหอยทากยักษ์
แอฟริ กา ให้ เก็บออกหรื อวางเหยื่อพิษสำเร็ จรูปเมทัลดีไฮด์ มีลกั ษณะเป็ นเม็ดโดยวางเป็ นจุดประมาณ
ปลายช้ อนชาตามที่พบหอยทาก หรื อในตอนเย็นวันที่ฝนไม่ตก เพื่อให้ เหยื่อพิษมีประสิทธิภาพอยูไ่ ด้
นานหลายวัน
ชมพูนทุ และคณะ (2542) ได้ ทดสอบและแนะนำว่า ถ้ าพบหอยทากชนิดเล็กได้ แก่หอยทาก
ซัคซิเนียระบาดมากทัว่ ทังสวน
้ การใช้ เหยื่อพิษแบบเม็ดหว่านทัว่ ทังสวน
้ เพื่อให้ หอยทากเดินมาพบ
และกินหรื อสัมผัสโดยการเดินผ่านจะเป็ นการสิ ้นเปลืองและยากลำบากต่อเกษตรกร จึงแนะนำให้ ใช้
สารฆ่าหอยชนิดซึง่ ต่างอยูใ่ นรูปผง นำมาละลายน้ำแล้ วพ่นด้ วยเครื่ องพ่นชนิดใช้ แรงดันหรื อเครื่ องสูบ
โยกสะพายหลัง เดินพ่นไปตามทางเดินระหว่างโต๊ ะวางกล้ วยไม้ ทังนี ้ ้เพื่อให้ สารฆ่าหอยสัมผัสกับ
ตัวหอยโดยตรง และหากละอองตกค้ างอยูบ่ นมอสหรื อตะไคร่น ้ำตามพื ้นดินก็สามารถทำให้ หอยที่เดิน
เข้ ามาในบริเวณนันได้
้ รับสารเพิ่มไปด้ วย ใช้ สารกำจัดหอยพ่นโดยเลือกใช้ ชนิดใดชนิดหนึง่ ดังต่อไปนี ้
เมทัลดีไฮด์ 80% เป็ นผงสีขาวผสมน้ำในอัตรา 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
นิโคลซาไมด์ 70 % เป็ นผงสีเหลืองผสมน้ำอัตรา 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
ควรพ่นสารฆ่าหอยในตอนเช้ าตรู่ เนื่องจากจะยังมีความชื ้นสัมพัทธ์สงู หรื อพ่นน้ำเปล่าให้ ทวั่
สวนก่อนการพ่นสารประมาณ 15 นาที การพ่นสารควรพ่นตามพื ้นบริ เวณทางเดินระหว่างโต๊ ะวาง
กล้ วยไม้ เพื่อชักนำให้ หอยทากออกจากที่หลบซ่อน ขณะหอยทากเคลื่อนที่ ส่วนกล้ ามเนื ้อส่วนเท้ า
และส่วนหัวที่นิ่มจะสัมผัสสารฆ่าหอยเต็มที่
ถ้ าหากพบหอยหมายเลขหนึง่ หรื อหอยทากซัคซิเนียเริ่ มขึ ้นตามเครื่ องปลูก จำเป็ นต้ องพ่นสาร
ตรงเฉพาะลำต้ นส่วนกลางลงมาตลอดจนถึงส่วนของกระถาง หรื อเครื่ องปลูก รวมทังทางเดิ ้ นระหว่าง
โต๊ ะ เนื่องจากหอยทากมักหลบอาศัยในที่ร่มและชุ่มชื ้น
เอกสารอ้ างอิง
ชมพูนทุ จรรยาเพศ , ทักษิน อาชวาคม และทรงทับ แก้ วตา . 2532. การทดสอบอัตราการกินข้ าว
ของหอยเชอรี่ . รายงานผลการค้ นคว้ าและวิจยั กลุม่ งานสัตววิทยาการเกษตร กองกีฏและ
สัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร จตุจกั ร กรุงเทพฯ. หน้ า 115-125.
ชมพูนทุ จรรยาเพศ , เสริมศักดิ์ หงศ์นาค , กรแก้ ว เสือสะอาด และยุวลักษณ์ ขอประเสริ ฐ. 2537 .
สำรวจการแพร่กระจายและความเสียหายจากหอยเชอรี่ รายงานผลการค้ นคว้ าวิจยั . กลุม่
งาน สัตววิทยาการเกษตร กองกีฏและสัตววิทยาการเกษตร กองกีฏและสัตววิทยา กรม
วิชาการเกษตร จตุจกั ร กรุงเทพฯ. หน้ า 98 – 108.
ชมพูนทุ จรรยาเพศ , ปราสาททอง พรหมเกิด , ปิ ยาณี หนูกาฬ และธีรเดช เจริ ญรักษ์ 2542. การ
ป้องกันกำจัดหอยทากศัตรูกล้ วยไม้ . รายงานผลการวิจยั กลุม่ งานสัตววิทยาการเกษตร
กองฏีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร จตุจกั ร กรุงเทพฯ. หน้ า 244
ปราสาททอง พรหมเกิด และชมพูนทุ จรรยาเพศ . 2542. ผลกระทบของความแห้ งแล้ งต่อเนื ้อเยื่อหอย
เชอรี่ . การประชุมวิชาการอารักขาพืชแห่งชาติ ครัง้ ที่ 4 พัทยา ชลบุรี หน้ า 46-54.
Audesirk , T. and G. Audesirk , 1985 . Behavior of gastropod molluses , pp. 1-99 . In
A.O.D. Willon (ed.) The Mollusca . Vol.8. Neurobiology and Behavior Partv I.
Academic Press , New York.
Fretter , V. and A. Graham, 1994. British Prosobranch Molluses . Their function anatomy
and ecology . RaY Society London 820 p.
Miller , S. L. 1974 . Adaptive design of locomotion and foot form in prosobranch
gastropods. J. EXP. Marine Bio. And Eco. 14: 99 – 156
Oya , S.Y. Hirai and Y. Miyahara . 1987 . Overwintering of the Apple snail Pomacea
caniculata in North Kyushu . Jpn. Soc. Apple . Entomol. Zool. 31 (3) : 206 – 212
Signor , P. W. 1983. Burrowing and the functional significance of ratchet sculpture in
turitellifrom gastropoda J. Paleontol. 58 : 210 - 216
Watabe , N. 1988. Shell structure . pp. 691-704 In. E.R. Trueman and M.R. Clarke (eds) The
Mollusca . Vol. 11 . Form and Function. Academic Press . New York .