Professional Documents
Culture Documents
Peripheral Nerve Injury PDF
Peripheral Nerve Injury PDF
cell ภายในเส้นประสาท
1. ส่วนของเซลล์ที่อยู่ภายในเส้นประสาทที่สําคัญที่สุดคือ axon ซึ่งมีต้นกําเนิดจากเซลล์ประสาท (neuron) axonเป็นระยางค์
(appendage) ที่ยื่นยาวออกมาจาก neuron ทําหน้าที่เชื่อมต่อไปยังอวัยวะส่วนปลาย (end organ) neuron มี 3 ประเภท คือ
motor neuron sensory neuron และ autonomic neuron
motor neuron อยู่ทางด้านหน้าของไขสันหลังจึงเรียกว่า anterior horn cell มี end organ เป็น กล้ามเนื้อ (muscle)
เมื่อมีกระแสประสาทจากระบบประสาทส่วนกลางกระตุ้น motor neuron
ก็จะส่งกระแสประสาทไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว
sensory neuron อยู่ในกระเปาะของเส้นประสาทก่อนที่จะเข้าไปยังไขสันหลัง เรียกว่า dorsal root ganglion เซลล์นี้มี axon
ที่รับการกระตุ้นจาก sensory end organ นําข้อมูลการรับความรู้สึกแล้วแจ้งต่อไปยังระบบประสาทส่วนกลาง
ทําให้สามารถรับรู้สิ่งกระตุ้นจากภายนอกร่างกายได้
2. Schwann cell มีความสําคัญต่อ axon อย่างยิ่ง cellนี้จะหุ้มอยู่รอบๆ axon ตลอดความยาว ทําหน้าที่สร้างสาร neurotrophic
factor ช่วยให้ axon อยูร่ อดได้ การห่อหุ้มของ Schwann cell รอบ axon เกิดขึ้นได้ 2 แบบทําให้แบ่ง axon เป็น 2 ชนิดคือ
2.1 nonmyelinated axon โดย axonขนาดเล็กหลายaxon (3-6) จะวางอยู่ในร่องผิวภายนอกของ Schwann cellเพียง 1 cell
(รูปที่ 2) พบใน axon ที่ทําหน้าที่รับความรู้สึกที่ผิวหนัง และ ควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ axon
กลุ่มนี้มีความเร็วในการนํากระแสประสาทช้า
รูปที่ 2 ภาพวาดแสดง Schwann cell ที่ห่อหุ้ม myelinated axon และ non-myelinated axon
2.2 myelinated axon โดย Schwann cell จะสร้าง myelin sheath วนเป็นวงหลายๆชั้นหุ้มรอบ axon (รูปที่ 2) ใน axon 1
เส้นจะมี Schwann cell หลาย cell เรียงตัวกันไปตามแนวยาวคล้ายรูปร่างของไส้กรอก โดย Schwann cell 1 cell จะหุ้ม axon
เพียงเส้นเดียวเท่านั้น รอยต่อระหว่าง Schwann cell เป็นรอยคอดเรียกว่า node of Ranvier ในตำแหน่งนี้ axon
สามารถแลกเปลี่ยน ion กับ extracellular fluid ได้ ทําให้มีการกระโดดของประจุไฟฟ้าไปตาม node เรียกว่า saltatory
propagation การนํากระแสประสาทจึงรวดเร็วกว่า nonmyelinated axon พบว่ายิ่ง axon
ที่มีขนาดใหญ่ก็ยิ่งมีความเร็วในการนํากระแสประสาทที่เร็วขึ้น และ พบว่ามีหน้าที่ต่างๆกัน (ตารางที่ 1)
Ulnar nerve เมื่อถึงข้อมือจะลอดเข้าใน ulnar tunnel หรือเรียกอีกชื่อว่า Guyon’s canal (การกดทับ ulnar nerve
ในบริเวณข้อมือ เรียกว่า ulnar tunnel syndrome หรือ Guyon’s canal syndrome) ในบริเวณนี้ ulnar nerve แยกออกเป็น 2
แขนง คือแขนงรับความรู้สึก (sensory branch) และแขนงสั่งงานกล้ามเนื้อ (motor branch)
แขนงรับความรู้สึกจะทําหน้าที่รับความรู้สึกทางด้านล่างของนิ้วก้อยและนิ้วนางทางด้าน ulnar ครึ่งนิ้ว
ส่วนแขนงสั่งงานกล้ามเนื้อจะทําหน้าที่สั่งงานกล้ามเนื้อในมือเกือบทั้งหมด ได้แก่ hypothenar muscle 3มัด interosseous
muscle 7มัด lumbricalของนิ้วนางและนิ้วก้อย และ adductor pollicis
โปรดสังเกตว่าผู้ป่วยที่เป็น Guyon’s canal syndrome จะมีอาการชาเฉพาะบริเวณทางด้านล่างของนิ้วก้อยและนิ้วนางทางด้าน
ulnar ครึ่งนิ้ว และมีการอ่อนแรงเฉพาะกล้ามเนื้อในมือ เมื่อใดก็ตามที่ตรวจพบว่ามีการชาในบริเวณที่เลี้ยงด้วย dorsal branch
หรือมีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อในแขน ได้แก่ flexor digitorum profundus ของนิ้วก้อยและนิ้วนาง และ flexor carpi ulnaris
ควรนึกถึงความผิดปกติที่ส่วนเหนือกว่า คือ cubital tunnel syndrome ซึ่งพบได้บ่อยกว่า
ส่วนการแยกความแตกต่างระหว่าง cubital tunnel syndrome กับ radiculopathy ของ C8 T1
นั้นอาศัยการตรวจกล้ามเนื้อโคนนิ้วโป้ง (thenar muscle) ซึ่งเลี้ยงโดย median nerve ที่มาจากส่วนของ C8 T1 root
ซึ่งจะไม่อ่อนแรงใน cubital tunnel syndrome
Radial nerve แยกออกมาจาก posterior cord ของ brachial plexus ในบริเวณรักแร้ ซึ่งมาจากรากประสาท (cervical root)
ระดับ C5 C6 C7 และ C8 ในบริเวณรักแร้หลังแยกออกมาจาก posterior cord นั้น radial nerve มีแขนงเลี้ยงกล้ามเนื้อ
triceps และผิวหนังทางด้านหลังของต้นแขน จากนั้นจะทอดยาวอยู่คู่กับ profunda humeral artery โดยพันเป็นเกลียว
อยู่รอบกระดูก humerus ในร่อง spiral groove หรือ radial groove ในช่วงนี้ radial nerve รับภยันตรายจากกระดูก humerus
หักได้บ่อยซึ่งมีลักษณะทางคลินิกที่เรียกว่า wrist drop เมื่อถึงเหนือข้อศอก radial nerve จะอยู่ด้านนอกระหว่างกล้ามเนื้อ
brachialis และ brachioradialis แล้วให้แขนงเลี้ยงกล้ามเนื้อทั้งสองรวมทั้งกล้ามเนื้อ extensor carpi radialis longus (ECRL)
(รูปที่ 7)
เมื่อถึงข้อศอก radial nerve จะแบ่งเป็นสองแขนงคือ superficial branch และ deep branch แขนงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อ extensor
carpi radialis brevis (ECRB) อาจแยกออกจาก main radial nerve หรือ deep branch หรือ superficial branch ก็ได้
superficial branch จะทอดยาวไปพบกับ radial artery อยู่คู่กันไปทางด้านนอกของแขนจนถึงข้อมือและเลี้ยงผิวหนังบริเวณ
dorsal radial ของมือ ส่วน deep branch หรือเรียกอีกชื่อว่า posterior interosseous nerve (PIN) จะรอดใต้กล้ามเนื้อ supinator
ซึ่งขอบทางส่วนต้นของกล้ามเนื้อจะหนาตัวเป็นวงโค้งเรียกว่า arcade of Froshe เมื่อ PIN
รอดผ่านขอบทางส่วนปลายของกล้ามเนื้อ supinator จะวางอยู่บน interosseous membrane PIN
จะให้แขนงเลี้ยงกล้ามเนื้อฝั่งเหยียด (extensor group) ของนิ้วมือทั้งหมด เลี้ยงข้อมือทางด้านบน แต่จะไม่เลี้ยงผิวหนัง
ดังนั้นผู้ป่วยที่มีภยันตรายต่อ PIN จะตรวจไม่พบการชาของผิวหนัง ทําให้บางครั้งสับสนกับ extensor tendon injury ได้
ในอดีต radial nerve injury มักแบ่งตามลักษณะทางคลินิกโดยอาศัย wrist drop คือ ถ้ามี wrist drop ถือเป็น high radial nerve
palsy ถ้าไม่มี wrist drop ถือเป็น low radial nerve palsy ในปัจจุบันมีการแบ่งที่ละเอียดกว่าเดิมดังนี้
1. High radial nerve palsy คือ radial nerve รับภยันตรายเหนือต่อส่วนที่ให้แขนงไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ triceps
ทําให้พบการอ่อนแรงของ extensor group ทั้งหมดรวมทั้ง triceps brachii ด้วย
2. Intermediate radial nerve palsyคือ radial nerve รับภยันตรายต่ํากว่าส่วนที่ให้แขนงไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ triceps
แต่สูงกว่าบริเวณที่แยกแขนงเลี้ยง ECRL กรณีนี้จะพบ wrist drop แต่ triceps brachii
ยังปกติทําให้สามารถเหยียดข้อศอกได้
3. Low radial nerve palsy คือ radial nerve รับภยันตรายต่ํากว่าส่วนที่ให้แขนงไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ ECRLกรณีนี้จะไม่พบ
wrist drop แต่ไม่สามารถเหยียดนิ้วได้ ตัวอย่างของภาวะนี้คือ posterior interosseous nerve palsy
ระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บ
ระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บเป็นอีกปัจจัยที่สําคัญที่สุดในการฟื้นตัวของเส้นประสาท ส่งผลต่อการตัดสินใจในการรักษา
และการพยากรณ์โรค Seddon ได้แบ่งระดับความรุนแรงเป็น 3 ระดับ คือ
1. neurapraxia เป็นการบาดเจ็บที่รุนแรงน้อยที่สุด axon ภายในเส้นประสาทไม่มีการฉีกขาด และพบ myelin sheath
มีรูปร่างผิดปกติ การทํางานของเส้นประสาทเพียงแต่หยุดการทํางานไปชั่วคราวนานไม่เกิน 2 ถึง 3 สัปดาห์
เมื่อมีการฟื้นตัวก็จะเกิดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ขึ้นกับระยะทางเพราะไม่ต้องรอ axon regeneration
2. axonotmesis เป็นการบาดเจ็บที่ axon ภายในขาดแต่ลักษณะภายนอกไม่เห็นการขาด อาจพบแต่ร่องรอยฟกช้ําเท่านั้น
ในการบาดเจ็บแบบนี้ต้องรอ axon regeneration ซึ่งเกิดขึ้นช้าๆด้วยความเร็วเฉลี่ย 1 มม.ต่อวัน (2-3 มม.ต่อวัน
ในตําแหน่งที่ใกล้ spinal cord แต่ช้ากว่า 1 มม.ต่อวันในตําแหน่งปลายมือปลายเท้า) ดังนั้นการฟื้นตัวการทํางานของ end
organ จึงขึ้นกับระยะทาง ตําแหน่งที่ใกล้กว่าจะฟื้นก่อนตําแหน่งที่ไกลกว่า
เปรียบเทียบได้คล้ายกับการเดินสวนสนามของทหาร (motor march recovery)
3. neurotmesis เป็นการบาดเจ็บที่เห็นเส้นประสาทขาดออกจากกันอย่างชัดเจน axon ที่อยู่ภายในก็ย่อมขาดด้วย
การรักษาจําเป็นต้องอาศัยการผ่าตัดเท่านั้นจึงจะเกิดการฟื้นการทํางานได้
ต่อมา Sunderland ได้แบ่งระดับความรุนแรงเป็น 5 ระดับ โดย neurapraxia เทียบได้กับระดับที1่ neurotmesis
เทียบได้กับระดับที5่ และเพิ่มรายละเอียดของ axonotmesis แยกย่อยออกเป็นระดับที2่ ที่มีการบาดเจ็บเฉพาะaxon
ระดับที่3มีการบาดเจ็บของ endoneurium เกิดแผลเป็นบ้าง และระดับที่4มีการบาดเจ็บของperineurium
ซึ่งทําให้เกิดแผลเป็นภายในเส้นประสาทมาก และในระดับที่ 4 นี้ axon ไม่สามารถ regenerate
ผ่านแผลเป็นที่เกิดจากการบาดเจ็บได้ การตรวจร่างกายจึงพบว่า Tinel’s sign
เกิดอยู่ที่ตําแหน่งเส้นประสาทบาดเจ็บและไม่เปลีย่ นตําแหน่งเมื่อเวลาผ่านไป
หากผ่าตัดดูเส้นประสาทก็จะพบเส้นประสาทไม่ขาดจากกันแต่บริเวณที่บาดเจ็บจะแข็งเป็นก้อนใหญ่ เรียกว่า neuroma-in-
continuity จึงจําเป็นต้องอาศัยการผ่าตัดเอาส่วน neuroma ออกแล้วเย็บซ่อมหรือปลูกถ่ายเส้นประสาทใหม่
จึงจะเกิดการฟื้นการทํางานได้ ดังนั้นการแบ่งของ Sunderland จึงให้ข้อสังเกตุว่าแม้จะไม่เห็นเส้นประสาทขาดจากกัน
แต่ก็อาจบาดเจ็บรุนแรงจนต้องอาศัยการผ่าตัดในเวลาต่อมา
ในท้ายที่สุด Mackinnon และ Dellon ก็ได้เพิ่มการแบ่งของ Sunderland ขึ้นมาอีกชนิดเป็นชนิดที่ 6
คือมีการบาดเจ็บผสมกันหลายระดับในเส้นประสาทเส้นเดียว ทําให้เกิดความยากลําบากในการตัดสินใจการรักษา
และท้าทายความสามารถในการรักษาอย่างมาก (รูปที่ 11) (ตารางที่ 2)
รูปที่11 ความรุนแรงของการบาดเจ็บเส้นประสาท Sunderland แบ่งไว้ 5 ระดับ ต่อมา Mackinnon ได้เพิ่มเติมแบบที่ 6
ซึ่งมีการบาดเจ็บร่วมกันหลายระดับในเส้นประสาทเส้นเดียวกัน ทําให้การตัดสินใจรักษาและการผ่าตัดยุ่งยากซับซ้อนกว่าเดิม
ตารางที่ 2 ระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บเส้นประสาทส่วนปลาย
Seddon Sunderland Myelin Axon Endoneurium Perineurium Epineurium
Neurapraxia I + - - - -
Axonotmesis II + + - - -
III + + + - -
IV + + + + -
Neurotmesis V + + + + +
VI Various fibers and fascicles demonstrate various pathologic changes
(Mackinnon-Dellon, 1988)
การเปลี่ยนแปลงจากการบาดเจ็บของเส้นประสาท
ปัจจัยที่มีผลต่อการฟื้นตัวของเส้นประสาท
มีปัจจัยหลายอย่างทีเ่ อื้อให้มีการงอกใหม่ของ axon พิจารณากว้างๆได้ 6 ประการคือ
1. General factors ได้แก่สุขภาพทั่วๆไปของผู้ป่วยและอายุ หากสุขภาพดี อายุน้อย ก็จะฟื้นตัวได้ดีกว่า
โรคบางอย่างมีผลเสียอย่างชัดเจน เช่น โรคเบาหวาน และผู้ป่วยติดสุรา
2. Type of lesions เป็นผลมาจากระดับความรุนแรง และสาเหตุของการบาดเจ็บ ที่ได้กล่าวมาแล้ว
3. Site of lesions การบาดเจ็บยิง่ ใกล้กับ end organ มากเท่าไหร่ การฟื้นการทํางานก็ยิ่งหวังผลได้มากขึ้น
นอกจากนี้การบาดเจ็บบางประเภทยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาโดยการเย็บซ่อมได้ เช่น
กรณีที่เส้นประสาทถูกกระชากขาดออกจากไขสันหลังเช่นที่พบใน root avulsion brachial plexus injury
แม้จะมีความพยายามเย็บต่อเข้าให้เหมือนเดิมซึ่งทําได้ยากมาก แต่ก็ไม่ได้ผลดี
ในกรณีเช่นนี้ในปัจจุบันนิยมรักษาโดยการย้ายเส้นประสาทเส้นอื่นที่สําคัญน้อยกว่ามาทํางานทดแทน เรียกว่า nerve
transfer
4. Timing หากการบาดเจ็บถูกละเลยไว้นานเกินไป end organ ได้แก่กล้ามเนื้อและ sensory end organ
จะเสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ แม้ว่า axon regeneration เกิดขึ้นถึง end organ แต่ end organ เสียหมดแล้ว
ก็จะไม่มีการทํางานใหม่เกิดขึ้น นอกจากนี้ Schwann cell
ในเส้นประสาทที่บาดเจ็บก็จะลดจํานวนลงตามเวลาเช่นกัน
ในปัจจุบันเป็นที่รู้กันว่าหากเวลาหลังบาดเจ็บนานเกินกว่า 12 ถึง 18 เดือน
การเย็บซ่อมเส้นประสาทจะให้ผลที่แย่มากควรหาวิธีการรักษาแบบอื่นเช่นการย้ายเส้นเอ็น การย้ายกล้ามเนื้อ หรือ
การเชื่อมข้อ
5. Coaptation technique การเย็บซ่อมเส้นประสาท การปลูกถ่ายเส้นประสาท ล้วนแต่ต้องใช้ความปราณีต
ในปัจจุบันเทคนิคการผ่าตัดด้วยจุลศัลยกรรมโดยใช้กล้องขยายและใช้อุปกรณ์ที่ออกแบบพิเศษเป็นสิ่งสําคัญที่จะทํา
ให้การผ่าตัดประสบความสําเร็จ ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป
6. Biomolecular factors ปัจจุบันได้มีการศึกษาวิจัยเพื่อให้การซ่อมแซมเส้นประสาทได้ดีขึ้น
รวมถึงการซ่อมเส้นประสาทโดยใช้ท่อนําประสาท (tubulization repair)
ทําให้เกิดความรูใ้ นระดับสารที่สร้างจากเซลล์ ซึ่งมีสารประเภทต่างๆดังต่อไปนี้
6.1. neurotrophic substance คือโปรตีนที่สร้างจาก neuron กล้ามเนื้อ Schwann cell และเซลล์ข้างเคียง ช่วยทําให้ axon
อยู่รอดและปรับตัวได้ มีมากมายหลายชนิด เช่น neurotrophins (NGF, BGNF, NT-3, NT-4/5) neuropoietic cytokines (CNTF,
IL-6) fibroblast growth factors (aFGF, bFGF, FGF-5, FGF-6) insulin gene family (IGF-I, IGF-II, insulin)
และที่ไม่สามารถจัดกลุ่มได้ (LIF, EGF, TGF∞,TGFß, CDNF) ชนิดที่เป็นที่รู้จักกันดีถอื เป็นต้นแบบคือ NGF (nerve growth
factor) พบว่าโปรตีนชนิดนี้จะเข้าไปจับกับ receptor แล้วกลายเป็น vesicle ถูกลําเลียงแบบ retrograde axonal transport
กลับไปที่ neuron ช่วยให้อยู่รอดได้ดีขึ้นโดยเฉพาะ sensory neuron
6.2. neurotropic substance คือสารที่ถูกสร้างจากเซลล์อื่นๆที่อยู่ในส่วนปลายของเส้นประสาทที่ถูกตัดขาด กระตุ้นให้ axon
ในส่วนต้นของเส้นประสาทที่บาดเจ็บงอกไปในทิศทางที่ถูกต้อง ได้ค้นพบสารดังกล่าวจากการทดลองใช้ท่อแบบรูป Y
กับเส้นประสาทที่ถูกตัดขาดแล้ววางปลายทั้งสองอยู่โดยมีช่องว่างตรงกลางของตัว Y แล้วอีกด้านหนึ่งมีเส้นเอ็นเป็นตัวเลือก
พบว่าเส้นประสาทงอกไปในทิศที่มีเส้นประสาทส่วนปลายวางอยู่ไม่งอกไปในท่อที่มีเส้นเอ็น
ในปัจจุบันพบว่าสารบางชนิดทําหน้าที่เป็นทั้ง neurotrophic และ neurotropic
6.3. neurite promoting factors คือสารที่กระตุ้นให้ growth cone ในส่วนของ axon ที่กําลังงอกเจริญเติบโตได้ดี
สารที่อยู่ในช่องว่างระหล่างเซลล์คือ laminin และ fibronectin สารที่อยู่ที่พื้นผิวของเซลล์คือ N-CAM และ L1
ความรู้ในระดับ Biomolecular นี้ส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย ยังมีการนํามาใช้ในผู้ป่วยจริงน้อยมาก
เพราะยังมีค่าใช้จ่ายสูงและผลที่ได้ยังไม่เหนือกว่าวิธีการเย็บซ่อม หรือ การใช้ nerve grafting อย่างชัดเจน
ในการตรวจร่างกายผู้ป่วยทางคลินิกอาจไม่มีอุปกรณ์การตรวจที่เพียบพร้อม
จึงจําเป็นต้องมีการประยุกต์ใช้ความรู้ให้เหมาะสม เนื่องจาก Merkel cell neurite complex และ Ruffini end organ ซึ่งเป็น slow
adaptive receptors จะทําหน้าที่รับความรู้สึกแบบ static touch การตรวจร่างกายซึ่งปกติต้องใช้ monofilament test
หากไม่มีอุปกรณ์ก็ควรใช้การสัมผัสที่ไม่มีการเคลื่อนไหว ส่วน Meissner corpuscle และ Pacinian corpuscle ซึ่งเป็น
quick adaptive receptors จะทําหน้าที่รับความรู้สึกแบบ moving touch การตรวจร่างกายซึ่งปกติต้องใช้ vibration
หากไม่มีอุปกรณ์ก็ควรใช้การสัมผัสที่มีการเคลื่อนไหวด้วย ซึ่งในกรณีนี้การตรวจที่เรียกว่า light moving touch แบบที่เรียกว่า
ten test ทําโดยใช้ปลายนิ้วของผูต้ รวจสองข้างสัมผัสแล้วลูบเบา ๆโดยให้มีความหนักเบาเท่า ๆ กัน
ไปยังบริเวณที่ต้องการตรวจเปรียบเทียบระหว่างข้างที่มีปัญหากับข้างปกติในบริเวณเดียวกัน
และให้ข้างปกติมีค่าความรู้สึกเต็มสิบ ผู้ป่วยบอกว่าข้างที่ผิดปกติมีค่าเท่าไหร่เมื่อเทียบกับข้างปกติ
ผลการวิจัยพบว่าการตรวจลักษณะนี้สามารถให้ผลการตรวจมีความน่าเชื่อถือเทียบเท่ากับ monofilament test
แต่ไม่จําเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่ยุ่งยากแต่อย่างใด
การบันทึกการฟื้นคืนของการรับความรู้สึกแบ่งเป็น 6 ระดับคือ
S0 ไม่สามารถรับรู้การสัมผัสใดๆ
S1 สามารถรับรู้ความรู้สึกปวดลึก (deep cutaneous pain) เฉพาะบางส่วนภายในบริเวณที่เส้นประสาทเลี้ยง (autonomous
area)
S2 สามารถรับรู้ความรู้สึกปวดตื้นๆ (superficial cutaneous pain) และการสัมผัส (tactile sensibility)
เฉพาะบางส่วนภายในบริเวณที่เส้นประสาทเลี้ยง (autonomous area)
S3 สามารถรับรูค้ วามรู้สึกปวดตื้นๆ (superficial cutaneous pain) และการสัมผัส (tactile sensibility)
ในบริเวณที่เส้นประสาทเลี้ยง (autonomous area) ได้ทั้งหมด
S3+ สามารถแยกแยะการรับรู้การสัมผัสปลายแหลมสองตําแหน่งได้ (2-point discrimination)
S4 สามารถรับความรู้สึกได้ตามปกติ
การส่งตรวจเพิ่มเติม
โดยทั่วไปหลังการบาดเจ็บในช่วงเร่งด่วนการส่งตรวจเพิ่มเติมมักจะทําเพื่อได้ข้อมูลของการบาดเจ็บร่วมอื่นๆตามความจําเป็น
เช่น ถ่ายภาพรังสีเพื่อดูการหักของกระดูก ฉีดสีเข้าหลอดเลือด (angiogram) การตรวจด้วยคลื่นเสียง (Doppler ultrasound)
เพื่อหาการบาดเจ็บของเส้นเลือด ส่วนการบาดเจ็บของเส้นประสาทมักอาศัยเพียงการซักประวัติตรวจร่างกายเท่านั้น
การส่งตรวจเพิ่มเติมมักจะจําเป็นมากขึ้นเมื่อต้องติดตามรักษาคนไข้ การตรวจช่วยวินิจฉัยทางไฟฟ้า (electro-diagnostic
study) เป็นการตรวจที่เป็นประโยชน์มาก ให้ข้อมูล และสามารถบอกแนวโน้มของการฟื้นตัวการทํางานของเส้นประสาทได้ดี
แบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่คือ การตวจไฟฟ้าของกล้ามเนื้อ (electromyography, EMG) และ
การตรวจการนํากระแสไฟฟ้าของเส้นประสาท (nerve conduction study, NCS)
ในปัจจุบันการตรวจดังกล่าวต้องอาศัยอุปกรณ์เฉพาะซึ่งมีราคาสูง และมักทําโดยแพทย์เฉพาะทางกายภาพบําบัด หรือ
อายุรแพทย์ด้านประสาทวิทยา ต้องอาศัยความชํานาญเฉพาะด้าน การตรวจเหล่านี้จึงยังไม่ครอบคลุมทุกโรงพยาบาล
การตรวจเพิ่มเติมอื่นที่ช่วยให้ข้อมูลคือ MRI โดยเฉพาะ การบาดเจ็บของร่างแหเส้นประสาทบริเวณไหล่ (brachial plexus
injury) สามารถให้ขอมูลการบาดเจ็บที่สําคัญได้หลายประการได้แก่ การหลุดของรากประสาทจากไขสันหลัง (root avulsion
injury) บริเวณที่บาดเจ็บว่าอยู่ในตําแหน่งใด (zone of injury) เส้นประสาทฉีกขาดจากกันหรือไม่
เส้นประสาทบวมใหญ่ผิดปกติหรือไม่ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดมีผลต่อการตัดสินใจรักษา ในกรณีที่เป็น root avulsion
นั้นไม่สามารถเย็บซ่อมได้ ก็ต้องผ่าตัดย้ายเส้นประสาท (nerve transfer) จากบริเวณอื่นๆมาทํางานแทนเส้นประสาทใน
brachial plexus โดยไม่ต้องเสียเวลาติดตามดูการฟื้นตัวของเส้นประสาท เป็นผลให้การผ่าตัดทําได้เร็วกว่าเดิม
การเปลีย่ นแปลงที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อก็น้อยกว่าการรอนานๆ
แนวทางการตัดสินใจรักษา
การตัดสินใจอาศัยองค์ประกอบหลายๆประการ หากพบผู้ป่วยหลังบาดเจ็บใหม่ๆ
การตัดสินใจจะขึ้นกับสาเหตุของการบาดเจ็บดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น หากจะแบ่งง่ายๆ แบ่งได้ 2 ประเภทคือ
แบบที่ไม่มีบาดแผลจากภายนอก (closed injury) และแบบที่มีบาดแผล (open injury) การตัดสินใจทําได้ตาม รูปที่ 14 และ
รูปที่ 15 ตามลําดับ เหตุผลหลักที่แพทย์ไม่สามารถทําการรักษาให้เสร็จสิ้นอย่างมั่นใจในครั้งเดียวเพราะ
แพทย์ไม่สามารถทราบความรุนแรงของการบาดเจ็บ (degree of nerve injury) ว่าเป็นระดับใด
การรักษาด้วยการผ่าตัดจุลศัลยกรรม
ในอดีตแพทย์ยังไม่ทราบรายละเอียดทางกายวิภาคของเส้นประสาทจึงทําการเย็บเส้นประสาทในลักษณะเดียวกันกับเส้นเอ็น
คือใช้ไหมเย็บขนาดใหญ่ตักผ่านกลางเส้นประสาทดึงมาให้ชนกันแล้วผูกโดยไม่ได้คํานึงถึงความตึงที่มาเกินไป
เป็นผลให้การเย็บซ่อมเส้นประสาทไม่ได้ผล ในปัจจุบันแพทย์ได้ทราบรายละเอียดของเส้นประสาทอย่างชัดเจน
ในขณะเดียวกันก็ได้มีการพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ดีขึ้นมาก ไล่ตั้งแต่กล้องขยายสําหรับผ่าตัดที่ทําให้เห็น fascicle
ภายในเส้นประสาทอย่างชัดเจน ไหมเย็บที่มีขนาดเล็กลงมากกว่าเส้นผม เข็มเย็บที่แหลมคมและขนาดเล็กทําให้เกิดอันตรายต่อ
axon ภายในเส้นประสาทลดลง อุปกรณ์ที่ใช้จับเนื้อเยื่อและเข็มเย็บที่มีปลาบแหลมเล็กเป็นพิเศษ
ทําให้สามารถเย็บเส้นประสาทได้อย่างเที่ยงตรงและนุ่มนวลกว่าเดิม ซึ่งรวมเรียกว่า การผ่าตัดจุลศัลยกรรม (microsurgery)
และที่สําคัญไม่แพ้กันคือ แพทย์เฉพาะทางจุลศัลยกรรม (microsurgeon)
ทีไ่ ด้รับการฝึกฝนให้ทําการผ่าตัดที่ละเอียดละออและแม่นยํา ทั้งยังมีการรวบรวมและถ่ายทอดความรู้ ตลอดจนงานวิจัยใหม่ๆ
การรักษาการบาดเจ็บของเส้นประสาทจึงได้ผลดีขึ้นกว่าในอดีตมาก อย่างไรก็ตามผลการรักษายังไม่ได้ดีถึงขั้นสมบูรณ์
และการฟื้นการทํางานก็มักไม่ถึงขั้นที่เป็นปกติ จนบ่อยครั้งต้องทําให้ผู้ป่วยผิดหวัง
ทั้งเนื่องมาจากข้อจํากัดในเรื่องการเสื่อมสภาพของ end organ ได้แก่ กล้ามเนื้อ และ
อวัยวะรับความรู้สึกที่ขาดเส้นประสาทมาเลี้ยงจะค่อยๆเสียไปตามกาลเวลา
ดังนั้นในการรักษาต้องอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจสภาพความจริง และไม่คาดหวังเกินกว่าความจริงเสมอ
การเย็บซ่อมเส้นประสาทมีวิธีการแยกย่อยหลายวิธี สรุปคร่าวๆได้ดังนี้
1. การเย็บซ่อมเส้นประสาทโดยตรง (direct repair)
โดยการนําปลายเส้นประสาทที่ขาดจากกันทั้งสองปลายมาชนกันและเย็บรั้งให้อยู่ด้วยกันโดยไหมเย็บซึ่งนิยมใช้ไหมเ
ย็บที่ไม่ละลาย (non-absorbable suture) ขนาดตั้งแต่ 6/0 จนถึง 12/0 ขึ้นกับขนาดของเส้นประสาท
วิธีนี้เหมาะกับเส้นประสาทที่ถูกตัดขาดโดยของมีคมและแผลสะอาด ทําให้ไม่จําเป็นต้องตักส่วนปลายทิ้ง
ขณะเย็บจึงไม่มีความตึงสูง เห็นหน้าตัดชัดเจนทําให้เย็บถูกตําแหน่งได้ง่าย
เทคนิคการเย็บยังแบ่งออกได้เป็น
1.1. Epineurium repair คือการเย็บเฉพาะชั้น epineurium นอกสุด (รูปที่ 16) ทําได้ง่ายกว่าวิธีอื่นๆ
มีข้อเสียคืออาจเกิดการพับงอ หรือหมุนบิดของ fascicle ที่อยู่ภายใน ทําให้เส้นประสาทงอกผิดตําแหน่งได้
1.2. Fascicular repair (Perineurium repair) คือไม่เย็บชั้น epineurium แต่จะแยก fascicle ออกเป็นเส้นๆ
แล้วเย็บแต่ละ fascicle เข้าหากัน โดยเย็บผ่านชั้น perineurium (รูปที่ 17)
ทําให้สามารถหลีกเลี่ยงการหักงอหรือบิดหมุนของ fascicle ได้ การผ่าตัดซับซ้อนกว่า
ใช้ความสามารถมากกว่า แม้ว่าในทางทฤษฎีน่าจะดีกว่าแต่ในทางปฏิบัติกลับไม่พบว่าผลการรักษาเหนือกว่า
epineurium repair อาจเพราะหลายสาเหตุเช่น เย็บมากทําให้เกิดแผลเป็นมาก หรืออาจมีการเย็บผิด fascicle
ทําให้ axon งอกผิดทิศทางโดยไม่สามารถหาทางที่ถูกต้องเองได้ซึ่งเรียกว่า mechanical block
1.3. Group fascicular repair (Epi-Perineurium repair) คือการเย็บผ่านทั้งชั้น epineurium และ perineurium (รูปที่
18) โดยมองหน้าตัดเห็น fascicle เป็นกลุ่มๆใหญ่ๆ ไม่จําเป็นต้องพยายามแยกทุกๆ fascicle ออกจากกัน
การเย็บไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก และยังป้องกันการหักพับหรือบิดหมุนของ fascicle ภายในได้พอสมควร
และเปิดช่องว่างระหว่างปลาย fascicle เหลืออยู่บ้างทําให้เหลือเส้นทางที่ axon จะเลือกงอกได้เองบ้าง
รูปที่ 18 ภาพวาดแสดง Group fascicular repair
การรักษาผ่าตัดโดยทางเลือกอื่นๆ
ในกรณีที่เวลาหลังการบาดเจ็บล่วงเลยมานานจนไม่สามารถหวังผลจากการรักษาโดยวิธีเย็บซ่อมเส้นประสาทได้
เพราะกล้ามเนื้อ และ sensory end organ เสื่อมสภาพไป การผ่าตัดรักษาจะเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นๆที่ได้ผลดีกว่าการซ่อม
วิธีเหล่านี้มีหลายรูปแบบดังต่อไปนี้
1. การย้ายกล้ามเส้นเอ็น (tendon transfer) โดยเลือกเส้นเอ็นของกล้ามเนื้อที่ยังทํางานได้ดีในบริเวณใกล้เคียงกัน
(donor tendon) แต่มีหน้าที่เดิมที่สําคัญน้อยกว่า
ตัดปลายเส้นเอ็นแล้วเปลี่ยนตําแหน่งไปเย็บกับเส้นเอ็นที่เสียหน้าที่ไป (recipient tendon) เช่นการย้าย flexor carpi
radialis tendon (FCR) ไปยัง extensor digitorum communis (EDC) ในกรณีของ radial nerve palsy (รูปที่ 20)
ผู้ป่วยจะได้การเหยียดนิ้วหลังการผ่าตัด แต่ก็จะสูญเสียแรงงอข้อมือจาก FCR
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยยังเหลือแรงงอข้อมือจาก flexor carpi ulnaris (FCU) ทําให้สิ่งที่ได้มามากกว่าสิ่งที่สูญเสียไป
รูปที่ 20 การผ่าตัดย้ายเส้นเอ็น flexor carpi radialis tendon (FCR) ไปยัง extensor digitorum communis (EDC) ในกรณีของ
posterior interosseous nerve palsy A) ก่อนผ่าตัด ผู้ป่วยเหยียดนิ้วข้างซ้ายไม่ได้ B) หลังผ่าตัด ผู้ป่วยเหยียดนิ้วได้
แนวทางการพัฒนาการรักษา
ในช่วงหลายทศวรรตที่ผ่านมา microsurgery มีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาการรักษาการบาดเจ็บของเส้นประสาทให้ได้ผล
อย่างไรก็ตามผลการรักษาในหลายๆกรณียังไม่เป็นที่น่าพอใจของแพทย์และผู้ป่วย เช่นกรณี brachial plexus injury หรือ sciatic
nerve injury หรือ Late nerve injury ซึ่งผู้ประพันธ์ได้แต่หวังว่าจะมีการพัฒนาได้หลายๆแง่ดังต่อไปนี้
1. การหาวิธีคงสภาพของกล้ามเนื้อและส่วนรับความรู้สึกไม่ให้เสื่อมสภาพไปเมื่อขาดเส้นประสาทมาเลี้ยงเป็นเวลานา
น
2. การหาวิธีหยุดยัง้ การเกิด apoptosis ของ neuron กรณีที่เส้นประสาทบาดเจ็บรุนแรงหรือเกิดใกล้ไขสันหลัง
3. การหาวิธีวินิจฉัยแยก degree of injury โดยไม่ต้องรอดูการฟื้นตัว
4. การพัฒนาวิธีการผ่าตัดที่ง่ายกว่าเดิม ไม่จํากัดให้ผ่าตัดโดย microsurgeon เท่านั้น
5. การพัฒนาวัสดุทดแทน nerve grafting
หวังว่าในอนาคตจะมีการค้นคว้าวิจัยที่พัฒนาแง่มุมที่กล่าวมาเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่เป็นที่พอใจของผู้ป่วยต่อไป