Download as doc, pdf, or txt
Download as doc, pdf, or txt
You are on page 1of 6

วิธีสร้ างบุญบารมี โดย สมเด็จพระสั งฆราชสกลสั งฆหปรินายกเจริญ สุ วฑ

ั ฒโก
บุญ คือ เครื่ องชำระสันดาน ความดี กุศล ความสุ ข ความประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจ และ กุศลธรรม
บารมี คือ คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิง่ ยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิง่

วิธีสร้ างบุญบารมีในพุทธศาสนา มีอยู่ ๓ ขั้นตอน


๑. การให้ทาน ได้บุญน้อยที่สุด แต่ควรปฏิบตั ิสม่ำเสมอ เพื่อให้ตวั เรามีกินมีใช้ตลอดทุกภพ ดังนั้น
ควรมัน่ ทำทาน
๒. การถือศีล ได้บุญมากกว่าการให้ทาน แต่นอ้ ยกว่าการเจริ ญภาวนา
๓. การเจริ ญภาวนา ได้บุญบารมีมากที่สุด และเป็ นการลงทุนน้อยที่สุด

๑. การให้ ทาน ย่อมมีผลได้บุญบารมีมาก ซึ่งต้องถึงพร้อมด้วยองค์ประกอบ ๓ ประการ


๑.) วัตถุทานที่ให้ ต้องบริ สุทธิ์ คือ จะต้องเป็ นสิ่ งของที่ตนแสวงหาได้มาด้วยความบริ สุทธิ์ ไม่ใช่
ทุจริ ต ลักทรัพย์ ยักยอก ปล้น ฯลฯ เช่น การฆ่าสัตว์นำเลือดเนื้อเขา ไปทำอาหารถวายพระ อย่างนี้
เป็ นการสร้างบาป เพราะทำด้วยจิตเศร้าหมอง แต่หากซื้ อเนื้อที่ผอู้ ื่นฆ่า โดยตนไม่มีส่วนร่ วมรู้เห็น ถือ
เป็ นวัตถุทานบริ สุทธิ์ อีกตัวอย่าง ในสมัย ร.๕ มีนางโลมเรี ยกเก็บเงินจากหญิงโสเภณี อัตราครั้งละ
๒๕ สตางค์ โดยแกชักไว้ ๕สตางค์ เก็บสะสมจนได้ประมาณ ๒,๐๐๐ แล้วนำมาจัดสร้างวัดด้วยเงินนั้น
ทั้งหมด เมื่อสร้างเสร็ จแกก็ปลื้มปิ ติ ไปนมัสการถาม หลวงพ่อโตว่าแกจะได้บุญบารมีอย่างไร หลวง
พ่อโตตอบว่าได้แค่ ๑สลึง แกก็เสี ยใจ เหตุเพราะวัตถุทานนั้นไม่บริ สุทธิ์ เพราะเบียดเบียนจากเจ้าของที่
ไม่เต็มใจให้ ฉะนั้นบรรดาพ่อค้าที่ซ้ื อของมาถูก แล้วมาขายแพงๆ จนเกินส่ วนที่ควรได้ ผลกำไรได้มา
เพราะโลภจัดย่อมไม่บริ สุทธิ์
๒.) เจตนาการให้ทานต้องบริ สุทธิ์ จุดมุ่งหมายของการให้ทาน คือ ขจัดความโลภ ตระหนี่ถี่เหนี่ยวเพื่อ
สงเคราะห์ให้ผอู้ ื่นได้รับสุ ข ด้วยเมตตาธรรมของตน เป็ นก้าวแรกในการเจริ ญเมตตาพรหมวิหาร๔ ซึ่ง
เป็ นเจตนาในการทำทานที่บริ สุทธิ์ ซึ่งแบ่งเป็ น๓ ระยะ
๒.๑ ระยะก่อนทำทาน ต้องมีจิตโสมนัส ร่ าเริ ง เบิกบาน ยินดีที่จะให้ทาน เพื่อสงเคราะห์ให้ผอู้ ื่นได้
รับความสุขเพราะทรัพย์สินของตน
๒.๒ ระยะลงมือทำ ก็ตอ้ งทำด้วยจิตโสมนัสร่ าเริ ง ยินดี เบิกบาน
๒.๓ ระยะหลังจากที่ได้ให้ทานไปแล้ว หวนคิดถึงที่ตนได้ทำไปแล้วครั้งใด ก็มีจิตโสมนัส เบิกบาน
ยินดีในทานนั้นๆ
แต่เจตนาที่บริ สุทธิ์ นี้จะยิง่ บริ สุทธิ์ มากยิง่ ขึ้นไปอีก หากผูใ้ ห้ทาน ได้ทำทานพร้อมกับมีวิปัสสนาปัญญา
โดยใคร่ ครวญว่า บรรดาทรัพย์สินทั้งปวงแท้จริ งเป็ นเพียงสมบัติกลาง เมื่อตายไปก็เอาไปไม่ได้ วัตถุ
ทานจะมากหรื อน้อยเป็ นของเลว หรื อไม่ประณี ตไม่สำคัญ เมื่อเราทำไปตามกำลังทรัพย์ที่มีอยู่ ย่อม
ใช้ได้ แต่อย่าทำแล้วมาเบียดเบียนตัวเอง เช่นมีนอ้ ยฝื นทำมากๆ จนเกินกำลัง ทำให้หลังทำตนเองและ
บุคคลที่เกี่ยวข้องต้องลำบากยากแคลนไม่มีกินไม่มีใช้ ย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง ดังนั้นเจตนานั้นย่อมไม่
บริ สุทธิ์ ถึงแม้วตั ถุทานมาก
ก็ยอ่ มได้บุญน้อย ตัวอย่างที่ ๑. ทำเพราะอยากได้หน้า ไม่มีเจตนาสงเคราะห์ผใู้ ด เรี ยกว่า ทำทานด้วย
ความโลภ ตัวอย่างที่ ๒. ทำทานด้วยการฝื นใจ เสี ยไม่ได้ ทำด้วยความเสี ยดาย มีพวกพ้องมาเรี่ ยไร
ตนเอง ไม่มีศรัทธาที่จะทำ หรื อมีศรัทธาอยูบ่ า้ ง แต่ตอ้ งจำใจทำไปเพราะความเกรงใจพวกพ้อง เกรง
เสี ยหน้า เช่นนี้จิตย่อมเศร้าหมอง ได้บุญน้อย หรื อไม่ได้บุญเลย ตัวอย่างที่ ๓. ทำด้วยความโลภ ทำ
เพราะอยากได้นี่ได้โน่น ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะมาขจัดความตระหนี่ เช่น ทำทาน ๑๐๐บาท แต่ขอให้
ร่ำรวยนับล้าน สิ่ งเหล่านี้เป็ นสมบัติสวรรค์ หากชาติก่อนไม่เคยทำบุญใส่ บาตร ฝากสวรรค์เอาไว้ อยูๆ่
ก็ขอมาเบิกในชาติน้ ี จะมีที่ไหนให้เบิกทำทานด้วยความโลภเช่นนี้ ย่อมไม่ได้บุญอะไรเลย สิ่ งที่จะได้
พอกพูนเพิ่มให้มากขึ้นและหนาขึ้น คือ ความโลภ สำหรับผลของทานนั้น หากน้อย หรื อมีกำลังไม่
มากนัก ย่อมน้อมนำให้ได้เกิดในมนุษยชาติ หากมีกำลังแรงมาก อาจจะน้อมนำให้ได้บงั เกิดในทาง
โลก ๖ ชั้น เมื่อเสวยสมบัติเทวโลกจนสิ้ นบุญแล้ว ด้วยเศษบุญที่ยงั คงเหลืออยูบ่ า้ ง ประกอบกับไม่มี
อกุศลธรรมอื่น ก็อาจน้อมนำให้บงั เกิด เป็ นมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง แล้วย่อมทำให้ได้เกิดในตระกูลร่ำรวย
มัง่ คัง่ สมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์ หรื อเป็ นผูท้ ี่ทำมาหากินขึ้น และร่ำรวยในภายหลัง ทรัพย์สมบัติไม่วิบตั ิ
หายนะไป แต่จะมัง่ คัง่ ร่ำรวยในวัยใด ย่อมสุ ดแต่ผลทานชาติก่อนๆ
- ร่ำรวยตั้งแต่วยั ต้น เพราะผลของทานที่ได้ต้ งั เจตนาไว้บริ สุทธิ์ ดี ตั้งแต่ก่อนจะทำทาน คือก่อนลงมือ
ทำทานมีจิตโสมนัส ทำเพื่อสงเคราะห์ผอู้ ื่น เมื่อเกิดเป็ นมนุษย์ยอ่ มเกิดในตระกูลที่ร่ำรวย ชีวิตวัยต้น
อุดมสมบูรณ์ดว้ ยทรัพย์ แล้วหากเจตนาไม่บริ สุทธิ์ ทั้ง ๓ ระยะ ผลทานนั้นย่อมไม่สม่ำเสมอกัน ขณะ
กำลังทำทานเกิดจิตเศร้าหมอง เสี ยดาย หวงแหน จะให้ทานก็เกิดหมดศรัทธา แต่ยงั ฝื นทำทานไป มีผล
ให้วยั กลางคน สมบัติอาจหายนะไป เช่น โดนปล้น โดนหลอก ฯลฯ แต่หากบริ สุทธิ์ ทั้ง ๓ระยะ ก็จะ
ร่ำรวยตั้งแต่วยั เกิด กลางคน ชรา
- ร่ำรวยในวัยกลางคน สื บเนื่อง เจตนางามบริ สุทธิ์ ในระยะที่๒ เช่นก่อนทำไม่มีจิตศรัทธา เช่น ทำ
ตามพวกพ้องอย่างเสี ยไม่ได้ แต่ เมื่อทำแล้ว ก็เกิดความสุ ขในขณะทำ วัยเด็กยากจน วัยกลางคนทำ
ธุรกิจประสบผลสำเร็ จ ส่ วนระยะที่๓ หากไม่บริ สุทธิ์ ผลทานอาจหมดกำลัง ทำให้ลม้ เหลววัยชรา
- ร่ำรวยบั้นปลาย สื บเนื่องมีเจตนาไม่งามไม่บริ สุทธิ์ ตั้งแต่ระแรกถึงระยะสอง แต่งามบริ สุทธิ์ ระยะที่๓
เช่น บังเอิญทำไปตามพวกพ้องแบบเสี ยไม่ได้ แต่เมื่อหวนคิดถึงทานนั้น ก็มีจิตโสมนัส ดังนั้น เกิดใน
ตระกูลยากจนต้องสร้างตัวเอง ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด จนถึงบั้นปลายถึงร่ำรวย

๓.) เนื้อนาบุญต้องบริ สุทธิ์ หมายถึง ผูท้ ี่รับทาน ต้องเป็ นผูม้ ีจิตใจบริ สุทธิ์ เช่น จะปลูกพืช ดินก็ดี น้ำก็
ดี แต่พ้ืนดินไม่ดี ซึ่งพืชที่ปลูกอาจไม่งอก เพราะพื้นดินแห้งแล้ง ดังนั้นการทำทานตัวบุคคลที่รับทาน
เป็ นสิ่ งสำคัญที่สุด เราทำทานจะได้บุญมากหรื อน้อยขึ้นอยู่ กับ คนที่รับทานเรานั้นเป็ น ผูม้ ีศีลธรรมสูง
มากน้อยแค่ไหน ปัญหาว่าทำอย่างไรจะได้พบกับท่านที่เป็ นเนื้ อนาบุญที่ประเสริ ฐ ย่อมขึ้นกับวาสนา
ของผูทำ
้ ทาน หากเรามีสร้างบารมีในอดีตชาติ ก็จะได้พบกับท่านที่มีเนื้อนาบุญที่ประเสริ ฐ ทำทานครั้ง
ใดก็โชคดีได้พบกับท่านผูป้ ฎิบตั ิดีเสี ยทุกครั้ง

๓.๑ ทำทานแก่สตั ว์เดรัจฉาน แม้มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล


ธรรมเลย
๓.๒ ทำทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีลธรรมวินยั มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผมู้ ีศีล
๕ เพียงครั้งเดียว
๓.๓ ทำทานแก่ผมู้ ีศีล๕ มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานผูม้ ีศีล ๘ เพียงครั้งเดียว
๓.๔ ทำทานแก่ผมู้ ีศีล๘ มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานผูม้ ีศีล๑๐ เพียงครั้งเดียว
๓.๕ ทำทานแก่ผมู้ ีศีล๑๐ มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานผูม้ ีศีล ๒๒๗ เพียงครั้งเดียว
พระที่บวชเข้ามา มีคุณธรรมต่างกัน เนื้อนาบุญก็ต่างกัน บุคคลที่บวชเข้ามา มีศีลปาติโมกข์สงั วร
๒๒๗ข้อนั้น สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสเรี ยกว่า พระ แต่เป็ น พระสมมุติเท่านั้น ( สมมุติสงฆ์ )
พระที่แท้จริ งคือ บุคคลที่บรรลุธรรม ตั้งแต่ตน้ พระโสดาบันไม่วา่ ท่านจะบวช หรื อเป็ นฆราวาสก็ตาม
พระด้วยกันก็มีคุณธรรมต่างกัน หลายระดับ จากน้อยไปหามาก คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระ
อนาคามี พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า และสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
๓.๖ การถวายทานแด่องค์พระสมมติสงฆ์ มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยงั ได้บุญน้อยกว่า การถวายทานแก่พระ
โสดาบัน เพียงครั้งเดียว
๓.๗ การถวายทานแด่พระโสดาบัน มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยงั ได้บุญน้อยกว่า การถวายทานแด่ พระสกิทา
คามี เพียงครั้งเดียว
๓.๘ การถวายทานแด่พระสกิทาคามี มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยงั ได้บุญน้อยกว่า การถวายทานแด่ พระ
อนาคามี เพียงครั้งเดียว
๓.๙ การถวายทานแด่พระอนาคามี มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยงั ได้บุญน้อยกว่า การถวายทานแด่ พระ
อรหันต์ เพียงครั้งเดียว
๓.๑๐ การถวายทานแด่พระอรหันต์ มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยงั ได้บุญน้อยกว่า การถวายทานแด่พระปัจเจก
พุทธเจ้า เพียงครั้งเดียว
๓.๑๑ การถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้ามากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยงั ได้บุญน้อยกว่า ถวายทานแด่องค์สม
เด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงครั้งเดียว
๓.๑๒ การถวายทานแด่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง ก็ยงั ได้บุญน้อยกว่า การถวายสังฆทาน
ที่มีองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็ นประธาน แม้จะเพียงครั้งเดียว
๓.๑๓ ที่มีองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็ นประธาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยงั ได้บุญน้อยกว่า ถวาย
วิหารทาน คือ การสร้างหรื อ ร่ วมสร้าง สิ่ งที่เป็ นสาธารณประโยชน์ ที่จะได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่วา่
จะเกี่ยวหรื อไม่เกี่ยวกับกิจในพุทธศาสนาก็ได้ เช่น บ่อน้ำในโรงเรี ยน โรงพยาบาล ศาลาป้ ายบอกทาง
เมรุ เผาศพ โบสถ์ ศาลา วิหาร ศาลาท่าน้ำ ฯลฯ
๓.๑๔ การถวายวิหารทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยงั ได้บุญน้อยกว่า การให้ธรรมทาน แม้จะให้แค่
เพียงครั้งเดียวก็ตาม การสอนธรรมะให้ผอู้ ื่นที่ยงั ไม่รู้ ให้ได้รู้หรื อเข้าใจใน มรรค ผล นิพพาน มากยิง่
ขึ้น ให้ผทู้ ี่เป็ นมิจฉาทิฐิน้ นั ได้กลับใจเป็ นสัมมาทิฐิ ชักจูงผูค้ นให้เข้าปฏิบตั ิธรรม รวมถึง พิมพ์แจก
หนังสื อธรรม
๓.๑๕ การให้ธรรมทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยงั ได้บุญน้อยกว่า อภัยทาน แม้จะให้แค่เพียงครั้ง
เดียว การให้อภัยทานคือไม่ผกู โกรธ อาฆาต จองเวร หรื อไม่พยาบาท คิดร้ายผูอ้ ื่น แม้แต่ศตั รู ซึ่งได้
บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ ายทาน อภัยทานเป็ นเมตตาพรหม ที่ผบำ ู้ เพ็ญฌาน และวิปัสสนา ย่อมละ
เสี ยได้ซ่ ึง พยาบาท

๒. การรักษาศีล ศีล แปลว่า ปกติ คือสิ่งหรื อกติกาที่บุคคลจะต้องระวัง รักษา ตามเพศ และ


ฐานะ ศีลนั้น มีหลายระดับ ศีล ๕, ศีล๘, ศีล๑๐, ศีล๒๒๗ ในบรรดาศีลชนิดเดียวกันยังแยกออกเป็ น
ระดับธรรมดา กลาง และสูงอีกด้วย มนุษย์เป็ นผูม้ ีใจอันประเสริ ฐ คุณธรรมที่ตอ้ งทรงไว้ให้ได้ตลอด
คือ ศีล๕ หากผูใ้ ดไม่มีศีล๕ ไม่เรี ยกว่า มนุษย์ เรี ยกว่า คน แปลว่า ยุง่ อย่างไรก็ดี ผูท้ ี่ให้อภัยทาน มาก
ถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยงั ได้บุญน้อยกว่า ถือศีล๕ เพียงครั้งเดียว และยิง่ ถือศีลได้สูงเท่าไหร่ ก็ยงิ่ ได้บุญมากยิง่
ขึ้นเท่านั้น ผลของการ รักษาศีลนั้นมีมาก จะยังประโยชน์สุขให้แก่ผรู้ ักษาศีลนั้นๆ ทั้งในชาติน้ ี และ
ชาติหน้า เมื่อได้ละอัตภาพนี้แล้ว ย่อมส่ งผลให้ได้บงั เกิดในเทวโลก ๖ ชั้น แล้วแต่ความละเอียด
ประณี ตของศีลที่รักษาและบำเพ็ญมาเป็ นมนุษย์ ถึงพร้อมด้วยสมบัติ ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุข
และ พลัง
อานิสงส์ของการรักษาศีล๕ คือ ๑.ไม่ฆ่าสัตว์ สุขภาพร่ างกายแข็งแรง อายุยนื ยาว ไม่มีศตั รู หรื อ
อุบตั ิเหตุต่างๆมาเบียดเบียน ๒.ไม่ลกั ทรัพย์ ทำให้เกิดมาในตระกูลร่ำรวย ทำมาหาเลี้ยงชีพในภายหน้า
มัง่ มีทรัพย์ ทรัพย์สมบัติไม่วิบตั ิหายนะ ๓.ไม่ล่วงประเวณี จะได้พบรักแท้ที่จริ งจัง และจริ งใจ ได้บุตร
ก็จะว่านอนสอนง่าย บุตรจะนำชื่อเสี ยง เกียรติยศมาสู่ วงศ์ตระกูล ๔.ไม่กล่าวมุสา ทำให้เสี ยงดี พูดจามี
น้ำมีนวล มีเหตุมีผล เจรจาสิ่ งใดก็มีผเู้ ชื่อฟัง และเชื่อถือ ๕.ไม่ดื่มของมึนเมาเสพติด จะมี ปัญญาดี
ความคิดแจ่มใส สติดี ไม่เป็ นวิกลจริ ต
การรักษาศีลนั้น แม้จะมีอานิสงส์เพียงไร ก็ยงั เป็ นเพียงการบำเพ็ญบุญบารมีในชั้นกลางๆ เพราะเป็ น
เพียงระเบียบ หรื อกติกา ที่จะรักษากาย วาจาเท่านั้น ทางจิตใจ ศีล ยังไม่สามารควบคุมได้ จึงได้บุญ
น้อยกว่าการภาวนา เพราะการภาวนานั้นรักษาจิตใจ ซักฟอกจิตให้เบาบางจนหมดกิเลส
๓. การภาวนา เป็ นการสร้ างบุญบารมีทสี่ ู งทีส่ ุ ด และยิง่ ใหญ่ที่สุดในพระพุทธ
ศาสนา การเจริ ญภาวนานั้นมี 2 อย่าง คือ
๓.๑ สมถภาวนา การทำจิตให้เป็ นสมาธิ หรื อเป็ นฌาณ คือการทำจิตให้ต้ งั มัน่ อยูใ่ นอารมณ์เดียว
ไม่ให้ฟงซ่ ุ้ านไปยังอารมณ์อื่น วิธีภาวนามีหลายร้อยชนิด ซึ่งพระพุทธองค์ทรงบัญญัติเป็ นแบบอย่างไว้
๔๐ ประการ เรี ยกว่า กรรมฐาน ๔๐ ทั้งนี้ยอ่ มสุ ดแล้วแต่อุปนิสยั และวาสนาบารมี ที่ได้สร้างสมอบรม
มาแต่ในอดีตชาติ ซึ่งก็ตอ้ งรักษาศีลให้ครบถ้วนบริ บูรณ์ดว้ ย หากศีลไม่มนั่ คง ย่อมเจริ ญฌานให้เกิดขึ้น
ได้โดยยาก เพราะศีลย่อมเป็ นรากฐาน เป็ นกำลังให้เกิดสมาธิข้ ึน การถือศีล ๒๒๗ ข้อ มาเป็ นเวลา
๑๐๐ ปี ก็ยงั ได้บุญกุศลน้อยกว่า การทำสมาธิเพียงให้จิตสงบ นานเพียงชัว่ ไก่กระพือปี ก จิตสงบ คือ จิต
ที่เป็ นอารมณ์เดียวเพียงชัว่ วูบ เรี ยกว่า ขณิ กสมาธิ สมาธิแบบเด็กๆ ที่เพิ่งหัดตั้งไข่ หัดยืนแล้วก็ลม้ ลง
เป็ นจิตที่ยงั ไม่ต้ งั มัน่ การทำสมาธิ มีหลายขั้นตอน ระยะก่อนเป็ นฌาน (อัปปนาสมาธิ ) ก็คือ ขณิ กสมา
ธื และอุปจารสมาธิ การทำสมาธิเป็ นการสร้างบุญกุศลยิง่ ใหญ่ ลงทุนน้อยที่สุด เพราะไม่ตอ้ งเสี ยเงิน
ทอง ไม่ตอ้ งเหนื่อยยาก เพียงแต่เพียงระวังรักษาสติ คุม้ ครองจิตมิให้แส่ ส่ายไป สู่ อารมณ์อื่นๆ ให้ต้ งั
มัน่ อยูอ่ ารมณ์เดียวเท่านั้น

๓. ๒ วิปัสสนาภาวนา เมื่อจิตตั้งมัน่ ในสมาธิดีแล้ว เช่นอยูใ่ นระดับฌานต่างๆ วิปัสสนาเป็ นจิตที่คิด


ใคร่ ครวญ หาเหตุ และผลในสภาวธรรมทั้งหลาย ทุกสิ่ งเป็ น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อเข้าใจจนจิตเข้า
สู่กระแสธรรม ตัดกิเลสได้ ปัญญาที่เห็นสภาพความเป็ นจริ งไม่ใช่แต่เพียงปัญหาที่นึกคิด และคาด
หมายเอาเท่านั้น ย่อมมีตาวิเศษ เรี ยก ญาณทัสสนะ เมื่อจิตอบรมสมาธิ จนมีกำลังดีแล้ว สมาธิอบรม
ปัญญา คือ สมาธิทำให้วิปัสสนาญาณเกิดขึ้น และเมือวิปัสสนาเกิดขึ้นแล้ว ย่อมถ่ายถอนกิเลสให้
เบาบางลง จิตย่อมเบา และใสสะอาด สมาธิจิตก็จะยิง่ ก้าวหน้าและตั้งมัน่ มากยิง่ ขึ้นๆไปอีก เรี ยก
ปัญญาอบรมสมาธิ ดังนั้นปัญญาเป็ นเหตุผลของกันและกัน จะขาดกำลังสมาธิมาสนับสนุนไม่ได้เลย
ต้องทำควบคู่กนั ไป
อันสังขารนั้นล้วนเป็ น อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ไม่ใช่ ตัว ตน คน สัตว์ ไม่มีตวั ตน เป็ นเพียง แค่ดิน
น้ำ ลม ไฟ มาประชุมรวมกันชัว่ คราวตามเหตุ ตามปัจจัยเท่านั้น เพราะเมื่อตายผุผงั ก็จะสลายไปยัง
ธาตุเดิมทั้ง๔ เมื่อจิตเห็นความเป็ นจริ ง ก็จะคลายกำหนัดในลาภ ยศ สรรเสริ ญ ความยึดมัน่ ถือมัน่ สุ ข
ทั้งหลาย ความโลภ โกรธ หลง ก็จะเบาบางลงตามลำดับ ปัญญาญาณ จนหมดสิ้ นจากกิเลสทั้งหมด
บรรลุพระอรหันตผล เมื่อเปรี ยบการให้ทาน เช่นกับ กรวดทราย เปรี ยบวิปัสสนาเป็ นเพชรน้ำเอก ซึ่ง
ทานย่อมไม่มีทางจะเทียบศีล ศีลก็ไม่มีทางที่จะเทียบสมาธิ และสมาธิกไ็ ม่มีทางเทียบกับวิปัสสนา แต่
ตราบใดที่เราท่านทั้งหลาย ยังไม่ถึงฝั่งพระนิพพาน ก็ตอ้ งเก็บเล็กผสมน้อย โดยทุกๆทาง เพื่อความไม่
ประมาท โดยทำทั้งทาน ศีล และภาวนา สุ ดแต่โอกาสจะอำนวยให้ หากทำแต่วิปัสสนาอย่างเดียว ไม่
ทำบุญเลย เกิดชาติหน้า เหตุที่ยงั ไม่ถึงฝั่งพระนิพพาน ก็เลยมีแต่ปัญญาอย่างเดียว ไม่มีจะกินจะใช้ ก็
เห็นจะเจริ ญวิปัสสนาให้ถึงฝั่งพระนิพพานไปไม่ได้เหมือนกัน การเจริ ญสมถะ และวิปัสสนาอย่าง
ง่ายๆ ประจำวันไม่วา่ จะอยูอ่ ริ ยบถใด ยืน เดิน นัง่ นอน คิด และใคร่ ครวญถึงความเป็ นจริ ง ๔ ประการ
ดังนี้ ทำแล้ว พระพุทธองค์ ตรัสว่า จิตของผูน้ ้ นั ไม่ห่างจากวิปัสสนา และเป็ นผูไ้ ม่ห่างจาก มรรคผล
นิพพาน คือ
- จิตใคร่ ครวญระลึกถึงความตาย เตือนสติให้ตื่น รี บพากเพียรชำระจิตให้บริ สุทธิ์ ประกอบแต่คุณ
ความดี
- จิตใคร่ ครวญร่ างกาย คน สัตว์ อันเป็ นนิยมรักใคร่ เสน่หา ซึ่งเป็ นบ่อเกิดแห่งตัณหาราคะ กาม
กิเลส ตายแล้วความงามก็ไม่หลงเหลืออยู่ ต้อง เน่าเหม็น แตก สลายไป
- จิตใคร่ ครวญพิจารณาร่ างกาย เป็ นสิ่ งปฏิกลู ทัว่ ร่ าง เพียงแค่ผวิ หนังห่อหุม้ ไว้ หากไม่ห่อหุม้ ก็ดู
ไม่ได้ หมดเสน่หา พากันรังเกียจก้อนขี้สิ่งสกปรกที่มีในร่ างกายเต็มไปหมด แม้แต่เจ้าของก็ดว้ ย
ดังนั้นเมื่อรู้แล้วก็เบื่อหน่ายร่ างกายทั้งของตนและ ผูอ้ ื่น ทำให้ง่ายต่อการนิพพิทาญาณแท้จริ ง
หลงสิ่ งที่ไม่น่าหลงใหล
- จิตใคร่ ครวญถึงธาตุกรรมฐาน เมื่อคนสัตว์สิ่งของ แตกสลาย ตายเน่าผุผงั ก็ทำให้กลับสู่ ความ
เป็ นดิน น้ำ ลม ไฟตามเดิม
************ ดังนั้น พวกเราควรเร่ งขวนขวายสร้างบุญบารมี ที่เป็ นอริ ยทรัพย์อนั ประเสริ ฐ ซึ่งจะ
ติดตามตัวไปได้ในทุกๆชาติ *****************

You might also like