Professional Documents
Culture Documents
โภชนบำบัด ปลดล๊อก
โภชนบำบัด ปลดล๊อก
โภชนบำบัด ปลดล๊อก
ดําเนินการพิมพและจัดจําหนายโดย :
ศูนยหนังสือ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
295 ถนนราชสีมา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300
Tel : 0 - 2244 - 5420 - 5, Fax : 0 - 2243 - 5984
ผู้ช่วยศาสตราจารย์พัทธนันท์ ศรีม่วง
พฤศจิกายน 2554
(2)
(3)
สารบัญ
หน้า
คํานํา (1)
สารบัญ (3)
สารบัญตาราง (8)
สารบัญภาพ (13)
บทที่ 2 อาหารเพื่อสุขภาพ 37
ความหมายของอาหารเพื่อสุขภาพ 37
อาหารแมคโครไบโอติกส์ 41
อาหารมังสวิรัติ 47
สมุนไพรกับสุขภาพ 53
สรุป 72
บทที่ 3 อาหารและโภชนาการสําหรับบุคคลวัยต่างๆ 73
โภชนาการและตํารับอาหารสุขภาพสําหรับหญิงตั้งครรภ์ 73
โภชนาการและตํารับอาหารสุขภาพสําหรับหญิงให้นมบุตร 85
โภชนาการและอาหารเสริมสําหรับทารก 91
โภชนาการและตํารับอาหารสุขภาพสําหรับเด็กวัยก่อนเรียน 98
(4)
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
โภชนาการและตํารับอาหารสุขภาพสําหรับเด็กวัยเรียน 102
โภชนาการและตํารับอาหารสุขภาพสําหรับเด็กวัยรุ่น 106
โภชนาการและตํารับอาหารสุขภาพสําหรับผู้สูงอายุ 111
สรุป 115
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
บรรณานุกรม 375
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
1.1 การแปลผลค่าดัชนีมวลกาย 20
1.2 ปริมาณอาหารทีบ่ ุคคลวัยต่างๆ ควรได้รบั ใน 1 วัน 31
2.1 ประเภทของอาหารฟังก์ชั่น องค์ประกอบหลัก และประโยชน์ต่อสุขภาพ 39
2.2 คุณค่าทางโภชนาการที่สําคัญของกระเทียม 54
2.3 คุณค่าทางโภชนาการที่สําคัญของหัวหอม ต้นหอมและดอกหอม 55
2.4 คุณค่าทางโภชนาการที่สําคัญของขมิ้น 56
2.5 คุณค่าทางโภชนาการที่สําคัญของขิง 58
2.6 คุณค่าทางโภชนาการที่สําคัญของข่า 59
2.7 คุณค่าทางโภชนาการที่สําคัญของพริก 61
2.8 คุณค่าทางโภชนาการที่สําคัญของพริกไทย 63
2.9 คุณค่าทางโภชนาการที่สําคัญของตะไคร้ 64
2.10 คุณค่าทางโภชนาการที่สําคัญของกระเพรา 64
2.11 คุณค่าทางโภชนาการที่สําคัญของโหระพา 65
2.12 คุณค่าทางโภชนาการที่สําคัญของตําลึง 66
2.13 คุณค่าทางโภชนาการที่สําคัญของถั่วพู 67
2.14 คุณค่าทางโภชนาการที่สําคัญของผักบุ้ง 67
2.15 คุณค่าทางโภชนาการที่สาํ คัญของมะระ 68
2.16 คุณค่าทางโภชนาการที่สําคัญของมะเขือเทศ 69
3.1 ตัวอย่างรายการอาหารสําหรับหญิงตั้งครรภ์ ใน 1 มื้อ 81
3.2 ปริมาณและแหล่งวิตามินและเกลือแร่ที่หญิงให้นมบุตรควรได้รับต่อวัน 87
3.3 ปริมาณอาหารของผู้ใหญ่ หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร 88
3.4 ประเภทของอาหารเสริมที่ทารกควรได้รับใน 1 วัน 95
3.5 พลังงานที่ควรได้รับจากอาหารที่บริโภคต่อวันสําหรับเด็กอายุ 1-8 ปี 98
3.6 ปริมาณอาหารสําหรับเด็กวัยก่อนเรียน 100
3.7 ปริมาณอาหารสําหรับเด็กวัยเรียนอายุ 6-13 ปี
พลังงาน 1,600 กิโลแคลอรีต่อวัน 105
(9)
สารบัญตาราง (ต่อ)
ตารางที่ หน้า
สารบัญตาราง (ต่อ)
ตารางที่ หน้า
สารบัญตาราง (ต่อ)
ตารางที่ หน้า
สารบัญตาราง (ต่อ)
ตารางที่ หน้า
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้า
1.1 ธงโภชนาการ 28
1.2 ปริมาณอาหารที่แสดงเป็นจํานวนทัพพี หรือช้อนกินข้าว
พร้อมความหลากหลายของอาหารในแต่ละกลุ่มที่สามารถกิน
สลับหมุนเวียนกันได้ 29
1.3 ปริมาณอาหารที่แสดงในธงโภชนาการ 30
1.4 พีระมิดอาหารหลัก 5 หมู่ 34
5.1 โครงสร้างของตับ 153
5.2 โรคทางผิวหนังที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน 164
6.1 ความดันโลหิตขณะทีห่ ัวใจบีบและคลายตัว 190
7.1 โครงสร้างของไต 216
7.2 โครงสร้างภายในของไต 217
8.1 หัวใจ 249
8.2 การทํางานของลิ้นหัวใจ 250
8.3 ปื้นเหลืองเหลืองแบบพุพองจากการมีไคโลไมครอนในเลือดสูง 257
8.4 ปื้นเหลืองทีบ่ ริเวณข้อศอก 258
9.1 ตับและถุงน้ําดี 278
9.2 อาการตาเหลือง ในผู้ป่วยดีซ่าน 281
9.3 ด้านหน้าของกระเพาะอาหารแสดงส่วนต่างๆ ของกระเพาะด้านบน 294
10.1 ลักษณะปุ่มก้อนที่นิ้วมือของผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์ 310
(14)
บทที่ 1
อาหาร โภชนาการ และภาวะสุขภาพ
ปัจจัยที่สําคัญในการพัฒนาประเทศได้แก่คุณภาพชีวิตของประชากร กล่าวคือประชากร
ต้ องได้ รับ การตอบสนองความต้ อ งการ ทั้ง ด้ า นร่ า งกาย จิ ต ใจ สั ง คม จนก่ อ ให้ เ กิ ด ความมี
สุขภาพกาย สุขภาพจิตที่ดี เพราะภาวะสุขภาพที่สมบูรณ์และแข็งแรงของประชากร ย่อมนําไปสู่
การมีศักยภาพทั้งด้านสติปัญญา และความคิดสร้างสรรค์ อันเป็นปัจจัยสําคัญในการพัฒนา
ประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า แต่ปัจจุบันพบว่าคนไทยประสบปัญหาสุขภาพ มีอัตราการเกิด
โรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มีความสัมพันธ์ทางโภชนาการเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความ
ดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคนิ่วในถุงน้ําดี โรคปวดข้อ เข่า โรคเกาต์ และโรคมะเร็ง
เป็นต้น โรคดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอาหารของคนไทย
มีการบริโภคอาหารกลุ่มแป้ง น้ําตาล ไขมัน เพิ่มมากขึ้น และมีการใช้พลังงานในชีวิตประจําวัน
น้อยลง ดังนั้นเพื่อการมีสุขภาพที่ดีแข็งแรงอันนําไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี นอกจากการออก
กําลังกายอย่างสม่ําเสมอ นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้ว ยังมีความจําเป็นที่ประชาชนต้อง
ทําความเข้าใจให้ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องการบริโภคอาหารว่าจะกินอย่างไรเพื่อให้ได้รับสารอาหาร
ที่มีประโยชน์มีคุณค่าต่อร่างกาย
ความหมายและความสําคัญของสุขภาพ และสุขภาพองค์รวม
สุขภาพ มีรากศัพท์มาจากคําว่า “สวัสถะ” หมายถึง ผู้ต้ังอยู่กับตัวเอง (สวะ หมายถึง
ตังเอง และ สถะ หมายถึง ตั้งอยู่) ทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ หรือ มีความอิ่มเอมอยู่ใน
ตัวเอง หรือ ภาวะที่บุคคลมีจิตสํานึกรู้ตัวทั่วพร้อม มีภาวะจิต และกายประสานกลมกลืนกัน
อย่างดีก่อให้เกิดความสงบหรือความสุข เป็นภาวะที่กายและจิตดําเนินไปอย่างกลมกลืนเป็น
หนึ่งเดียวกับธรรมชาติ (กองแพทย์ทางเลือก, 2550)
สุขภาพ (Health) หมายถึง ความสุขปราศจากโรค ความสบาย (พจนานุกรมฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525)
องค์การอนามัยโลก (2591) ให้ความหมายของ สุขภาพ หมายถึง ภาวะความสมบูรณ์
ของร่างกาย จิตใจ และการดํารงชีวิตอยู่ในสังคมด้วยดี ไม่ใช่เพียงแต่ปราศจากโรค หรือทุพพล
ภาพเท่านั้น (Health is defined as a state complete physical mental and social well-being
and merely the absence infirmity) ต่อมาในที่ประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลก เดือน
2
องค์ประกอบของสุขภาพ
จากความหมายของสุขภาพ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น คําว่า สุขภาพ จึงมิได้มีความหมาย
เฉพาะสุขภาพกายและสุขภาพจิตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสุขภาพสังคม และสุขภาพจิตวิญญาณ
ดังนั้นลักษณะของบุคคลที่มีสุขภาพที่สมบูรณ์ ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 มิติ ดังนี้
1. มิติทางกาย เป็นมิติทางร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง ปราศจากโรคหรือความเจ็บป่วย
มีปัจจัยองค์ประกอบทั้งด้าน อาหาร สิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย ปัจจัยเกื้อหนุนทางเศรษฐกิจที่
พอเพียง และส่งเสริมภาวะสุขภาพ
2. มิติทางจิตใจ เป็นมิติที่บุคคลมีสภาวะทางจิตใจที่แจ่มใส ปลอดโปร่ง ไม่มีความกังวล
มีความสุข มีเมตตา และลดความเห็นแก่ตัว
3. มิติทางสังคม เป็นความผาสุกของครอบครัว สังคม และชุมชน โดยชุมชนสามารถให้
การช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน สังคมมีความเป็นอยู่ที่เอื้ออาทร เสมอภาคมีความยุติธรรม และ
มีระบบบริการที่ดีและทั่วถึง
4. มิติทางจิตวิญญาณ เป็นความผาสุกที่เกิดจากจิตสัมผัสกับสิ่งที่มีบุคคลยึดมั่นและ
เคารพสูงสุดทําให้เกิดความหวัง ความเชื่อมั่นศรัทธา มีการปฏิบัติในสิ่งที่ดีงามด้วยความมี
เมตตา กรุ ณ า ไม่ เ ห็ น แก่ ตั ว มี ค วามเสี ย สละ และยิ น ดี ใ นการที่ ไ ด้ ม องเห็ น ความสุ ข หรื อ
ความสําเร็จของบุคคลอื่น ทั้งนี้สุขภาวะทางจิตวิญญาณจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีความหลุดพ้นจาก
ตัวเอง
5. มิติทางอารมณ์ คนเราจะตอบสนองต่ออารมณ์ท้งั ทางด้านบวกแลทางลบที่จะเกิดขึ้น
เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีท้งั นี้อยู่ที่การควบคุมของแต่ละบุคคล
มิติสุขภาพองค์รวมทั้ง 5 มิติซึ่งถือเป็นสุขภาวะจะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันโดยสุข
ภาวะทางจิตวิญญาณจะเป็นมิติที่สําคัญที่บูรณาการความเป็นองค์รวมของ กาย จิต อารมณ์
และสังคม ของบุคคลและชุมชนให้สอดประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จิตวิญญาณเป็น สิ่ง
3
สําคัญของสุขภาพที่จะกุมสุขภาวะในมิติอื่นๆ ให้ปรับตัวประสานอย่างครอบคลุมและครบถ้วน
ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและชุมชน หากขาดสุขภาวะทางจิตวิญญาณ มนุษย์จะไม่พบความสุขที่
แท้จริง ขาดความสมบูรณ์ในตนเอง มีความรู้สึกบกพร่อง หากมีความพร้อมถึงสิ่งอันมีค่าสูงสุด
ก็จะมีความสุขหรือสุขภาวะที่ดีได้แม้ว่าจะบกพร่องทางกาย เช่น มีความพิการ หรือเป็นโรค
เรื้อรัง (ประเวศ วะสี, 2543)
สุขภาพของคนไทย
จากแผนยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีไทย พ.ศ. 2554-2556 ได้นําเสนอสถานการณ์ปัญหา
สุขภาพและโรคไม่ติต่อเรื้อรังจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ไว้ดังนี้
1. ส่วนที่ 1 : บริบทใหม่ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต
และสุขภาพ
การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ขาดความสมดุลทั่วโลกและของประเทศ
ไทยภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทางวัตถุโดยเอาเศรษฐกิจหรือเงินเป็นตังตั้ง
แบบทุนนิยม เป็นผลให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตราที่สูงแต่มีความผันผวนตลอดเวลา
จากปัจจัยภายนอก ทําให้เศรษฐกิจเกิดความเลื่อมล้ํา สังคมไปสู่การเสื่อมสลาย จากสังคม
ตะวันออกเป็นสังคมตะวันตก สังคมเกษตรกรรมเป็นสังคมเปลี่ยนอุตสาหกรรม สังคมชนบท
กลายเป็นสังคมเมืองมากขึ้น ทําให้แบบแผนการดําเนินชีวิตและแบบแผนการบริโภคเปลี่ยนไป
ได้แก่ เกิดกระแสวัตถุนิยม บริโภคนิยม มีค่านิยมเลียนแบบการบริโภคตามต่างชาติ มีพฤติกรรม
การบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม ไม่ได้สัดส่วน ขาดความสมดุล ละเลย หรือมองข้ามคุณค่าทาง
โภชนาการ นิยมบริโภคอาหารฟาสต์ฟูด อาหารจานด่วน อาหารสําเร็จรูป กึ่งสําเร็จรูป ที่หาได้
ง่าย สะดวก ซึ่งส่วนมากเป็นอาหารประเภทผัด ทอด ย่าง หรือปิ้ง ซึ่งเป็นอาหารโปรตีน ไขมัน
และให้พลังงานสูง นิยมอาหารรสจัดที่มีความเค็มมีเกลือโซเดียมสูง และหวานมากเกินไป กินผัก
และผลไม้น้อย ขาดการออกกําลังกาย เกิดความเครียดสะสม เมื่อไม่สามารถหาทางออกได้มัก
พึ่ ง การกิ น อาหาร สู บ บุ ห รี่ และการดื่ ม สุ ร า จากเหคุ ผ ลดั ง กล่ า วทํ า ให้ ปั ญ หาด้ า นสุ ข ภาพ
เปลี่ยนไป โดยมีแบบแผนการเจ็บป่วยและตายจากภาวะทุพโภชนาการเป็นภาวะโภชนาการเกิน
และโรคอ้วนมากขึ้น จากโรคติดเชื้อหรือโรคติดต่อทั่วไปเป็นโรคเรื้อรังที่สามารถป้องกันได้ ที่
เกิดจากปัจจัยเสี่ยงภายใต้วิถีชีวิตและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ซึ่งองค์การอนามัยโลก (World
Health Organization-WHO) ได้คาดประมาณว่าในปี 2548 จํานวนการตายของประชากรโลก
ทั้งหมดประมาณ 58 ล้านคน มีประมาณ 35 ล้านคน (ร้อยละ 60) มีสาเหตุหลักมาจากโรค
เรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคไม่ติดต่อเรื้อรังจากโรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular
4
ร้อยละ 9.2 และ 44.6 ตามลําดับ โดยเริ่มดื่มเมื่ออายุเฉลี่ย 21.5 ปี (ชาย อายุ 19.1 ปี หญิงอายุ
เฉลี่ย 26.3 ปี) (สํานักงานสํารวจสุขภาพประชากรไทย, 2551-2552) ทั้งนี้สามารถเข้าถึงแหล่ง
จําหน่ายได้ง่ายมาก ในปี 2547 มีร้านขายสุราที่ได้รับอนุญาตจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถึง
585,700 ร้าน หรือ 1 ร้านต่อประชากรไทย 110 คน โดยผู้บริโภคใช้เวลาเพียง 7.5 นาที ในการ
หาซื้อ และมีผ้บู ริโภคเพียงร้อยละ 3 ที่รายงานว่ามีความยุ่งยากในการซื้อ และในปี 2552 มีร้าน
จําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรัศมี 500 เมตร รอบมหาวิทยาลัยในกรุเทพมหานคร เฉลี่ย 57
ร้านต่อตารางกิโลเมตร โดยมีปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เฉลี่ยของประชากรไทย
เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในผู้ใหญ่เพิ่มจาก 7.28 ลิตรของแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ต่อคนในปี 2550 เป็น
7.71 ลิตร (แผนยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติ มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2
พ.ศ. 2552 และ ภัทรพร พลพนาธรรม, 2552) นอกจากนี้ จากการประเมินต้นทุนหรือความ
สูญเสียทางเศรษฐกิจจากการดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทย ในปี 2549 มรมูลค่าสูงถึง 150,677
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.92 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic
Product- GDP)คิดเป็น 2,398 บาทต่อหัวประชากร (กระทรวงสาธารณาสุข มหาวิทยาลัยมหิดล
และศู น ย์ วิ จั ย ปั ญ หาสุ ร า, 2550) ในช่ ว ง / ทศวรรษที่ ผ่ า นมา ปี 2524-2550 ครั ว เรื อ นไทย
บริโภคสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ (เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และยาสูบ) ในมูลค่าคงที่ ปี
2550 เพิ่มขึ้น 2 เท่า จาก 32}910 ล้านบาท ในปี 2554 เป็น 63,915 ล้านบาท ในปี 2550 โดยมี
อั ต ราเพิ่ ม ขึ้ น เฉลี่ ย ร้ อ ยละ 5.7 ในมู ล ค่ า จริ ง ในขณะที่ ค รั ว เรื อ นจ่ า ยเงิ น เพื่ อ สุ ข ภาพ (การ
รักษาพยาบาล) น้อยกว่าเพียง 60,861 ล้านบาท ในปี 2550 หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่า ในอัตราเพิ่ม
เฉลี่ยร้อยละ 5.8 ในมูลค่าจริง (สํานักงานสถิติแห่งชาติ การสํารวจภาวะเศรษฐกิจและสังคม
ของครัวเรือน, 2550)
2.2 การออกกําลังกายที่ไม่เพียงพอ องค์การอนามัยโลกได้ประมาณว่า การไม่มี
กิจกรรมทางกายเพียงพอเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด ร้อยละ 22-23 โรคมะเร็ง
ลําไส้ใหญ่ ร้อยละ 16-17 โรคเหวาน ร้อยละ 15 โรคหลอดเลือดสมอง ร้อยละ 12-13 สํานักงาน
สถิติแห่งชาติได้รายงานว่า ในปี 2550 คนไทยอายุ 11ปีขึ้นไป ที่มีอาการป่วยในรอบ 1 เดือนที่
ผ่านมา ร้อยละ 16.7 ในจํานวนนี้เป็นผู้ที่ไม่ออกกําลังกายร้อยละ68.5 และผู้ที่เข้าพักรักษาใน
สถานพยาบาลระหว่าง 12 เดือนที่ผ่านมา ร้อยละ 16.7 เป็นผู้ที่ได้ออกกําลังกายถึงร้อยละ 74.2
อย่างไรก็ตาม จากการสํารวจสุขภาพของคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีกิจกรรมทางกายเพียงพอ
เพิ่มขึ้นร้อยละ 77.5 ในปี 2546-2547 เป็นร้อยละ 81.5 (41.2 ล้านคน) ในปี 2551-2552 ซึ่ง
สอดคล้องกับการสํารวจพฤติกรรมเสี่ยงโรคไม่ติดต่อและการบาดเจ็บของสํานักโรคไม่ติดต่อ
กรมควบคุมโรค พบคนไทยอายุ 15-74 ปี ออกกําลังกายในระดับปานกลางและระดับหนัก
8
อาหารหลัก 5 หมู่
เนื่ อ งจากไม่ มี อ าหารใดเพี ย งชนิ ด เดี ย วที่ส ามารถให้ ส ารอาหารแก่ ร่ า งกายได้ อ ย่ า ง
ครบถ้วน ดังนั้นนักโภชนาการจึงได้แนะนําให้รับประทานอาหารหลากหลายชนิดในแต่ละมื้อ
เพื่อที่ร่างกายจะได้รับสารอาหารครบทุกชนิด ในการแนะนําให้ประชาชนกินสารอาหารต่างๆ
ตามปริ ม าณที่ กํ า หนดไว้ ใ นทางปฏิ บั ติ น้ั น ไม่ ส ามารถทํ า ได้ ดั ง นั้ น การแบ่ ง อาหารออกเป็ น
หมวดหมู่โดยจําแนกตามสารอาหารที่มีมากเป็นองค์ประกอบจึงเป็นสิ่งที่สามารถแนะนําให้
ประชาชนปฏิบัติได้ ซึ่งในประเทศไทยได้มีการจําแนกอาหารหลักของคนไทยออกเป็นหมู่ใหญ่ๆ
ไว้ 5 หมู่ด้วยกัน เรียกว่า “อาหารหลัก 5 หมู่” ดังนี้
1. อาหารหมู่ที่หนึ่ง
อาหารในหมู่ที่ 1 ได้แก่ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ นม ไข่ และถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ อาหาร
ในหมู่ที่ 1 ให้สารอาหารโปรตีนแก่ร่างกายเป็นหลักรวมทั้งวิตามินและเกลือแร่หลายชนิด เช่น
วิตามินบีหก วิตามินบีสิบสอง ไนอะซิน เหล็กและสังกะสี อาหารในหมู่ที่ 1 จะมีผลทําให้ร่างกาย
เจริญเติบโตแข็งแรง ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและสร้างภูมิต้านทานโรคในร่างกาย อาหารหมู่
ที่ 1 ที่สําคัญ ได้แก่ เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง
2. อาหารหมู่ที่สอง
อาหารหมู่ที่ 2 ได้แก่ ข้าว แป้ง น้ําตาล เผือก มัน ขนมและอาหารต่างๆ ที่ทําจาก
ข้ า วหรื อ แป้ ง อาหารในหมู่ นี้ ใ ห้ ส ารอาหารคาร์ โ บไฮเดรตเป็ น ส่ ว นใหญ่ จึ ง เป็ น อาหารที่ ใ ห้
พลังงานที่สําคัญของร่างกาย เป็นแหล่งพลังงานที่มีราคาถูกและหาง่าย นอกจากคาร์โบไฮเดรต
แล้วพบว่าอาหารหมู่ที่ 2 ให้สารอาหารกลุ่มวิตามิน และเกลือแร่ อาหารหมู่ที่ 2 ที่สําคัญ ได้แก่
ข้าว แป้ง น้ําตาล เผือก
3. อาหารหมู่ที่สาม
อาหารหมู่ที่ 3 ได้แก่ผักต่าง ๆ ผัก คือ ส่วนของพืชที่สามารถนํามารับประทานได้
อย่างปลอดภัย คุณค่าทางโภชนาการของผัก พบว่าผักเป็นแหล่งของวิตามินและเกลือแร่ที่
สําคัญ ได้แก่ โพรวิตามินเอหรือเบตาแคโรทีน วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัสและเหล็ก ผักเป็น
อาหารที่มีไขมันในปริมาณต่ํามาก ผักที่กินรากและหัวเป็นแหล่งสะสมคาร์โบไฮเดรตพวกแป้ง
นอกจากสารอาหารต่างๆ แล้วผักยังมีเส้นใยอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อการขับถ่ายอุจจาระ
17
5. อาหารหมู่ที่ห้า
อาหารในหมู่ที่ 5 ได้แก่ ไขมัน และน้ํามันทั้งที่ได้จากพืช และสัตว์ ไขมันหรือน้ํามัน
เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงสุด ในปริมาณน้ําหนักที่เท่ากันไขมันให้พลังงานสูงกว่าคาร์โบไฮเดรต
และโปรตีนถึง 2 เท่า โดยไขมัน 1 กรัม ให้พลังงานแก่ร่างกาย 9 กิโลแคลอรี ไขมันจะช่วยชูรส
อาหาร และทําให้อาหารมีลักษณะนุ่มได้ ประโยชน์ของไขมันนอกจากเป็นแหล่งพลังงานแล้ว
ไขมันยังทําหน้าเป็นตัวทําละลายวิตามินที่ละลายในไขมัน คือ วิตามินเอ ดี อี และเค มีผลให้
ร่ า งกายสามารถดู ด ซึ ม วิ ต ามิ น กลุ่ ม นี้ ไ ปใช้ ป ระโยชน์ ไ ด้ ไขมั น ยั ง ให้ โ คเลสเตอรอลที่ ช่ ว ย
สังเคราะห์วิตามินดี เป็นส่วนประกอบในเซลล์สมอง เซลล์ประสาท นอกจากนี้ไขมันยังเป็นแหล่ง
ของกรดไขมันที่จําเป็นแก่ร่างกาย เช่น กรดไขมันตระกูลโอเมก้า 6 ได้แก่ กรดไลโนเลอิค
(linoleic acid) พบมากในน้ํามันพืชที่ได้จากเมล็ดข้าวโพด ถั่วเหลือง งา กรดไขมันชนิดนี้สามารถ
ลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ และป้องกันการเกิดโรคผิวหนังอักเสบที่เกิดจากการขาดกรด
ไขมัน กรดไขมันตระกูลโอเมก้า 3 ได้แก่ อีโคซาเพนตะอีโนอิค (eicosapentaenoic acid : EPA)
และกรดโดโคซาเฮกตะอีโนอิค (docosahextaenoic acid : DHA) กรดไขมันชนิดนี้พบมากในน้าํ มัน
ถั่วเหลือง น้ํามันคาโนลา ปลาและทะเล ซึ่งไขมันชนิดนี้มีบทบาทสําคัญในการพัฒนาการของ
สมองและการมองเห็น
ไขมันจึงเป็นสารอาหารที่จําเป็นต่อร่างกาย แต่การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงจะ
เสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน ภาวะผนังหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหัวใจและมะเร็งบางชนิดได้ ดังนั้น
กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขแนะนําให้คนไทยควรได้รับไขมันจากอาหาร
ไม่เกินร้อยละ 30 ของพลังงานที่ได้รับทั้งหมด
เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีจึงต้องบริโภคอาหารให้มีปริมาณและมีคุณค่าทางโภชนาการที่
เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย โดยจะต้องได้รับสารอาหารและพลังงานในปริมาณที่
สมดุลไม่มากหรือน้อยเกินไปเพื่อไม่ให้เป็นโรคขาดสารอาหาร (undernutrition) หรือเป็นผู้ที่มี
ภาวะโภชนาการเกิน (overnutrition) ดังนั้นในประเทศไทยจึงมีการแนะนําให้ประชาชนกินอาหาร
ให้ครบ 5 หมู่ นอกจากนี้กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการจัดทํา “ธง
โภชนาการ” เพื่อเป็นภาพจําลองในการอธิบายสัดส่วนของอาหารที่คนไทยควรกินในแต่ละมื้อ
รวมทั้งได้มีการจัดทําข้อปฏิบัติในการรับบริโภคอาหารเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี เพื่อเป็นแนวทางให้
คนไทยมีสุขภาพที่ดี เรียกว่า ข้อปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย (food based
dietary guidelines for Thai : FBDG) หรือ “โภชนบัญญัติ 9 ประการ”
19
ข้อปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย
ข้อปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย (food based dietary guidelines for
Thai : FBDG) หรือโภชบัญญัติ 9 ประการนี้ จัดทําโดยคณะกรรมการจัดทําข้อปฏิบัติการกิน
อาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย ซึ่งมาจากกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
และสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านอาหารและ
โภชนาการโดยเล็งเห็นว่าปัจจุบันคนไทยยังประสบปัญหาโภชนาการอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหา
การขาดสารอาหาร เช่น โรคขาดโปรตีนและพลังงาน โรคขาดสารไอโอดีน โรคโลหิตจางจาก
การขาดธาตุเหล็ก โรคต่างๆ เหล่านี้ทําให้เด็กไทยเจริญเติบโตและมีพัฒนาการทางด้านร่างกาย
และสมองที่ช้ากว่าปกติ สมรรถภาพในการทํางานต่ํา ในขณะเดียวกันภาวะโภชนาการเกินกําลัง
เป็นปัญหาใหม่ที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อันจะนําไปสู่โรคเรื้อรังที่มีความสัมพันธ์กับทาง
โภชนาการ ได้แก่ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด และโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น
ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของคนไทยในลําดับต้นๆ
ปัญหาโภชนาการของคนไทยดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ แต่หนึ่งในสาเหตุที่
สําคัญคือ คนไทยส่วนมากยังไม่ได้รับการส่งเสริมให้มีพฤติกรรมการกินอาหารที่ถูกต้อง จึงทํา
ให้ ข าดความรู้ แ ละมี ค วามเข้ า ใจในเรื่ อ งการรั บ ประทานอาหารที่ ถู ก ต้ อ ง เพื่ อ การมี ภ าวะ
โภชนาการและสุขอนามัยที่ดี กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงได้จัดทําข้อ
ปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย หรือ โภชนบัญญัติ 9 ประการ ขึ้นโดยมีเนื้อหาที่
สําคัญมีดังนี้
1. กินอาหารครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย และหมั่นดูแลน้ําหนักตัว
กองโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุข ได้ แ นะนํ าว่ าเพื่อให้ มี สุ ขภาพที่ดี จึ ง ควร
บริโภคอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย คือ การกินอาหารหลายๆ ชนิด เพื่อให้
ร่างกายได้รับสารอาหารต่างๆ ครบในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการ ถ้ากินอาหารไม่ครบ
ทั้ง 5 หมู่ หรือกินอาหารซ้ําซากเพียงบางชนิดทุกวัน อาจทําให้ได้รับสารอาหารบางประเภทไม่
เพียงพอหรือมากเกินไป ซึ่งอาหารในแต่ละชนิดจะประกอบด้วยสารอาหารต่างๆ ในปริมาณที่
มากน้อยต่างกัน โดยไม่มีอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งที่จะมีสารอาหารต่างๆ ครบในปริมาณที่
เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ดังนั้นในวันหนึ่งๆ เราต้องกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ใน
ปริมาณที่พอเหมาะ และในแต่ละหมู่ควรเลือกกินให้หลากหลายเพื่อให้ได้สารอาหารต่างๆ ครบ
ตามความต้องการของร่างกาย อันจะนําไปสู่การกินดีมีผลให้เกิด “ภาวะโภชนาการดี”
น้ําหนักตัว เป็นเครื่องบ่งบอกถึงภาวะสุขภาพของคนเราว่าดีหรือไม่ เพราะแต่ละคน
จะต้องมีน้ําหนักตัวที่เหมาะสมตามวัยและได้สัดส่วนกับความสูงของตัวเอง ดังนั้นการรักษา
20
น้ําหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยการกินอาหารให้เหมาะสมควบคู่ไปกับการออกกําลัง
กายที่เหมาะสมอย่างสม่ําเสมอจึงมีความสําคัญและจําเป็นอย่างยิ่ง การมีน้ําหนักตัวที่ต่ํากว่า
เกณฑ์ปกติจะทําให้ร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยง่าย ทําให้ประสิทธิภาพการเรียน และการทํางาน
ด้อยลงกว่าปกติ ในทางตรงกันข้ามหากมีน้ําหนักตัวที่มากกว่าปกติหรืออ้วนเกินไปจะมีความ
เสี่ยงต่ อการเกิดโรคหัวใจ ภาวะไขมันในเลื อดสูง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงและ
โรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น ในการประเมินน้ําหนักตัวว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่น้ันสามารถทํา
ได้หลายวิธี แต่วิธีที่ง่ายและที่นิยมมากที่สุด คือ การใช้ ดัชนีมวลกาย (body mass index) ในการ
ประเมินภาวะโภชนาการของผู้ใหญ่ท้ังชายและหญิงที่มีอายุต้ังแต่ 18 ปีขึ้นไป วิธีการคํานวณ
ดัชนีมวลกายสามารถคํานวณได้จากสูตร ดังนี้
น้ําหนักตัว (กิโลกรัม)
ดัชนีมวลกาย =
ส่วนสูง2 (เมตร)
ค่าดัชนีมวลกายที่คํานวณได้ ภาวะโภชนาการ
น้อยกว่า 18.5 น้ําหนักน้อย หรือ ภาวะขาดสารอาหาร
ค่าระหว่าง 18.5 – 22.9 น้ําหนักปกติ หรือ ภาวะโภชนาการปกติ
ค่าระหว่าง 23-29.9 ภาวะโภชนาการเกิน
มากกว่า 30 โรคอ้วน
ตัวอย่างการคํานวณหาค่าดัชนีมวลกาย
ชายคนหนึ่งปัจจุบันอายุ 35 ปี มีน้ําหนักตัว 70 กิโลกรัม ส่วนสูง 160 เซนติเมตร ชาย
คนนี้มีค่าดัชนีมวลกายเท่าไร และมีภาวะโภชนาการเป็นอย่างไร
น้ําหนักตัว (กิโลกรัม)
ดัชนีมวลกาย =
ส่วนสูง2 (เมตร)
21
70
ดัชนีมวลกาย =
1.62
= 27.34 กิโลกรัม / ตารางเมตร
แสดงว่าชายคนนี้มีภาวะโภชนาการเกิน ดังนั้นจึงควรแนะนําเรื่องการบริโภคอาหารให้
ถูกต้องเหมาะสม โดยให้ลดจํานวนพลังงานโดยเฉพาะจากอาหารประเภทไขมัน รวมทั้งแนะนํา
ให้ออกกําลังกายเป็นประจํา
การหมั่นดูแลน้ําหนักตัว ควรชั่งน้ําหนักตัวอย่างน้อยเดือนละครั้ง หากพบว่าน้ําหนัก
ตัว น้ อ ยควรกิน อาหารที่ มี ป ระโยชน์ ใ ห้ ม ากขึ้ น ถ้ าน้ําหนัก ตัวมากก็ควรลดการกินอาหารลง
โดยเฉพาะอย่ างยิ่ง อาหารประเภทไขมัน น้ํ าตาล และนอกจากนั้น ควรออกกํ าลังกายอย่าง
สม่ําเสมอและต่อเนื่องนาน 20-30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง เพื่อให้กล้ามเนื้อ
แข็งแรง การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
2. กินข้าวเป็นอาหารหลักสลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ
ข้าว เป็นอาหารหลักของประชากรโลกรวมทั้งคนไทย เป็นแหล่งอาหารที่สาํ คัญทีใ่ ห้
พลังงาน สารอาหารที่มีมากในข้าว ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน เราควรบริโภคข้าวกล้อง
หรือข้าวซ้อมมือ ซึ่งเป็นข้าวที่ขัดสีแต่น้อยจะมีโปรตีน ไขมัน ใยอาหาร แร่ธาตุ และวิตามินใน
ปริมาณที่สูงกว่าข้าวขัดขาว
นอกจากข้าว ผลิตภัณฑ์จากข้าวและธัญพืชอื่นๆ ได้แก่ ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน บะหมี่
วุ้นเส้น ตลอดจนขนมปังต่างๆ ให้พลังงานเช่นเดียวกับข้าว สามารถเลือกบริโภคได้ การบริโภค
อาหารประเภทข้าวและแป้งในแต่ละวันควรคํานึงถึงปริมาณที่รับประทาน เพราะถ้าร่างกาย
ได้รับมากเกินความต้องการแล้วจะสามารถเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
เมื่ อ สะสมมากขึ้ น จะทํา ให้ เ กิ ด โรคอ้ ว นได้ ดั ง นั้น การกิ น ข้ า วเป็น อาหารหลั กสลับ กั บ อาหาร
ประเภทแป้งเป็นบางมื้อพร้อมด้วยอาหารอื่นที่หลากหลายครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนเหมาะสม และ
ปริมาณที่เพียงพอ จึงเป็นสิ่งทีพ่ ึงปฏิบัติเพื่อนําไปสู่การมีภาวะโภชนาการที่ดี และสุขภาพอนามัย
ที่สมบูรณ์
3. กินพืชผักให้มากและกินผลไม้เป็นประจํา
พืชผักและผลไม้ เป็นแหล่งสําคัญของวิตามินและแร่ธาตุ รวมทั้งสารอื่นๆ ซึ่ง
ล้วนแต่มีความจําเป็นต่อร่างกายที่จะนําไปสู่สุขภาพที่ดี เช่น ใยอาหารช่วยในการขับถ่ายและนํา
22
โคเลสเตอรอลและสารพิษที่ก่อโรคมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทําให้ลดการสะสมสาร
เหล่านั้น นอกจากนั้น พืช ผัก ผลไม้หลายอย่างให้พลังงานต่ํา ดังนั้นหากกินให้หลากหลายเป็น
ประจําจะไม่ก่อให้เกิดโรคอ้วน ในทางตรงกันข้ามกลับลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง และ
โรคหัวใจ จากผลการวิจัยล่าสุดพบว่า สารแคโรทีน และวิตามินซีในพืชผักและผลไม้มผี ลป้องกัน
ไม่ให้ไขมันไปเกาะที่ผนังหลอดเลือด และป้องกันมะเร็งบางชนิด
ประเทศไทยมีผลไม้มากมายหลายชนิดซึ่งสามารถเลือกกินได้ตลอดทั้งปี มีท้ังที่กินดิบ
และสุก มีรสหวานและเปรี้ยว ซึ่งให้ประโยชน์แตกต่างกันไป ตัวอย่างผลไม้ เช่น ฝรั่ง มะม่วงมัน
ชมพู่ กล้วย สับปะรด ส้มเขียวหวาน ส้มโอ และมะละกอ สําหรับผู้ที่มีภาวะโภชนาการเกิน
ควรจํากัดปริมาณการกิ นผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน ละมุด ลําไย และขนุน เพราะมี
น้ําตาลสูง เพื่อให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์ และแข็งแรงจึงควรกินพืชผักทุกมื้อให้หลากหลายชนิด
สลับกันไปเพราะการบริโภคผักที่หลากหลายจะทําให้ผู้ผู้บริโภคได้รับสารอาหารอาหารต่างๆ
ครบ เช่น ผักหรือผลไม้ที่มีสีน้ําเงิน ม่วง จะมีสารสําคัญชื่อแอนโธไซยานิน (anthocyanin) สาร
กลุ่ ม นี้ เป็นสารต้ านอนุมูลอิสระ ช่ วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลดอัตราเสี่ ยงของการเกิด
โรคหั ว ใจ ผัก ในกลุ่ม นี้ ไ ด้ แ ก่ กะหล่ํ าปลีม่ วง มัน สี ม่ ว ง ข้ าวแดง ถั่วแดง มะเขือม่ วง ลูก ไหน
ลูกพรุน ราสเบอรี่ เป็นต้น ผักหรือผลไม้สีเขียว ให้สารที่สําคัญคือ คลอโรฟิลล์ และสารอื่นๆ
เช่น แคโรทีนอยด์กลุ่ม ลูทีน (eutein) และซีแซนทิน (zeaxanthine) อินโดล (indoles) เป็นต้น
ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก ผักในกลุ่มนี้ได้แก่ ผักคะน้า
ผักโขม ผักปวยเล้ง ผักกาดกอม แตงกวาทั้งเปลือก ถั่วแขก ถั่วลันเตา เป็นต้น ผักหรือผลไม้สี
แดง มีสาระสําคัญคือ ไลโคพีน (lycopene) ซึ่งเป็นแคโรทีนอยด์ที่ให้สีแก่พืชผักต่างๆ เช่น มะเขือ
เทศ พริกแดง แตงโม กระเจี๊ยบ มะละกอ หัวบีทรูท เชอรี่ โดยไลโคพีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
ช่ ว ยป้ อ งกั น การเกิ ด มะเร็ง ต่ อ มลูก หมาก ช่ ว ยชะลอความเสื่ อ มของเซลล์ ต่ า งๆ ในร่ า งกาย
โดยเฉพาะผิวหนัง
สําหรับผลไม้ควรกินเป็นประจําอย่างสม่ําเสมอ เพราะเป็นแหล่งของวิตามิน เกลือแร่
และใยอาหาร การบริโภคผลไม้นอกจากจะจัดไว้บริโภคหลังอาหารแต่ละมื้อแล้ว ยังสามารถ
จัดเป็นอาหารว่าง
4. กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ ถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจํา
ปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดแห้งเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีโปรตีนเป็น
สารอาหารที่จําเป็นต้องได้รับในปริมาณที่พอเพียงทั้งคุณภาพและปริมาณ หน้าที่สําคัญของ
โปรตีนคือเสริมสร้างร่างกายให้เจริญเติบโตแข็งแรง และซ่อมแซมเนื้อเยื่อซึ่งเสื่อมสลายให้อยู่ใน
23
ความหมายของธงโภชนาการ
ธงโภชนาการ คือ เครื่องมือที่จะช่วยอธิบายและทําความเข้าใจโภชนบัญญัติ 9 ประการ
เพื่อนําไปสู่การปฏิบัติ โดยแสดงเป็นภาพสัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมหัวกลับแบบธงแขวน แสดง
สัดส่วนอาหารในแต่ละกลุ่มเห็นเป็นภาพได้อย่างชัดเจน ฐานใหญ่ด้านบนเน้นให้กินมาก และ
ปลายธงข้างล่างเน้นให้กินน้อย
ธงโภชนาการ จะบอกชนิดและปริมาณของอาหารที่ควรกินในแต่ละวันเพื่อให้ได้
สารอาหารต่างๆ ตามข้อกําหนดปริมาณสารอาหารที่ควรได้รับใน 1 วัน สําหรับเด็กตั้งแต่อายุ
6 ปี ขึ้นไปถึงผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ
หลักการใช้ธงโภชนาการ
ธงโภชนาการ แสดงชนิ ด และปริ ม าณอาหารที่ ค วรบริ โ ภค โดยมี ห ลั ก การใช้ ธ ง
โภชนาการดังนี้
1. กลุ่มอาหารที่บริโภคแสดงด้วยพื้นที่ในภาพ
พื้นที่ในภาพของธงโภชนาการเป็นการแสดงปริมาณอาหารที่ควรรับประทาน โดย
กลุ่ ม อาหารใดมี พื้ น ที่ ข องธงโภชนาการมาก หมายถึ ง สามารถรั บ ประทานได้ ม ากและใน
ขณะเดียวกันกลุ่มอาหารที่มีพื้นที่ของธงโภชนาการน้อยให้รับประทานอาหารในกลุ่มนั้นให้น้อย
ตามปริมาณที่ธงโภชนาการได้แนะนําไว้ เช่น น้ําตาล เกลือ กินแต่น้อยเท่าที่จําเป็น
2. อาหารที่หลากหลายชนิดในแต่ละกลุ่ม สามารถเลือกกินสลับเปลี่ยนหมุนเวียน
กันได้ภายในกลุ่มเดียวกัน
อาหารในธงโภชนาการถูกแบ่งออกเป็นกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มข้าว-แป้ง กลุ่มผัก กลุ่ม
ผลไม้ กลุ่มเนื้อสัตว์ กลุ่มนม กลุ่มไขมัน น้ําตาลและเกลือแต่ละกลุ่มจะให้สารอาหารที่สําคัญ
ต่างกัน เช่น กลุ่มข้าวให้คาร์โบไฮเดรต กลุ่มเนื้อสัตว์ให้โปรตีน และแม้แต่ในกลุ่มเดียวกันยังให้
ปริมาณสารอาหารมากน้อยต่างกัน เช่น ข้าวกล้องให้ใยอาหารมากกว่าข้าวขาว ฝรั่งให้วิตามินซี
มากกว่ากล้วยน้ําว้า ดังนั้นจึงจําเป็นต้องกินอาหารทุกกลุ่มและในแต่ละกลุ่มให้หลากหลาย
เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน ส่วนใหญ่แล้วอาหารในกลุ่มเดียวกันให้สารอาหารหลักใกล้เคียง
กั น จึ ง กิ น ทดแทนสลั บ สั บ เปลี่ ย นกั น ได้ ไม่ กิ น อย่ า งใดอย่ า งหนึ่ ง ซ้ํ า ซากจํ า เจ จึ ง จะได้ รั บ
28
ประโยชน์จากการใช้ธงโภชนาการ
ธงโภชนาการ มีประโยชน์ต่อการกําหนดปริมาณอาหารที่บุคคลภาวะปกติควรบริโภค ดังนี้
30
1. บอกปริมาณความมากน้อยของอาหารแต่ละกลุ่มที่ควรกินในหนึ่งวัน
ปริมาณอาหารที่แสดงในธงโภชนาการแบ่งเป็นขั้นๆ ดังนี้
ขั้นที่ 1 ข้าว-แป้ง กินได้ปริมาณมากสุด ให้สารอาหารหลักคือคาร์โบไฮเดรต
เป็นแหล่งพลังงาน ข้าวที่ควรบริโภคคือข้าวที่ขัดสีแต่น้อย เช่น ข้าวกล้อง เพื่อให้ได้ใยอาหาร
วิตามินและเกลือแร่
ขั้นที่ 2 พืช ผัก ผลไม้ กินเป็นปริมาณมากรองลงมา เพื่อให้ได้วิตามิน แร่ธาตุ
และใยอาหาร
ขั้นที่ 3 เนื้อสัตว์ ถั่ว นม กินปริมาณพอเหมาะ เพื่อให้ได้โปรตีนคุณภาพดี ไขมัน
เหล็ก และแคลเซียม เป็นต้น
ขั้นที่ 4 น้ํามัน น้ําตาล เกลือ กินแต่น้อยๆ เท่าที่จําเป็น
ปริมาณอาหารที่แนะนําให้บริโภค
การแนะนําพลังงาน แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1,600 2,000 และ 2,400 กิโล
แคลอรีต่อวัน (ตารางที่ 1.2 ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกกินอาหารที่
เหมาะสมตามความต้องการของร่างกาย เพื่อให้การกินและการใช้พลังงานมีความสมดุล และ
ทําให้น้ําหนักตัวสัมพันธ์กับความสูง รวมทั้งอายุ เพศ และกิจวัตรประจําวัน
ตัวเลขในวงเล็บคือ ปริมาณแนะนําสําหรับผู้ใหญ่
1,600 กิโลแคลอรี สําหรับเด็กที่มีอายุ 6-13 ปี หญิงวัยทํางานอายุ 25-60 ปี ผู้สูงอายุ
60 ปีขึ้นไป
2,000 กิโลแคลอรี วัยรุ่นหญิง-ชายอายุ 14-25 ปี ชายวัยทํางานอายุ 25-60 ปี
2,400 กิโลแคลอรี หญิงชาย ที่ใช้พลังงานมากๆ เช่น เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน นักกีฬา
ตัวอย่าง รายการอาหารที่แนะนําให้บริโภคใน 1 วัน สําหรับผู้ที่ต้องการพลังงาน 1,600 กิโลแคลอรี
32
มื้อเช้า
รายการอาหาร : ข้าวกล้อง / ต้มจืดตําลึงหมูสบั / กล้วยน้ําว้า
ประกอบด้วย ข้าวกล้อง 2 ทัพพี
ตําลึงสุก 1 ทัพพี
หมูสับ 1 ช้อนกินข้าว
กล้วยน้ําว้า 1 ผล
มื้อว่างเช้า
รายการอาหาร : นมสด ขนาด 200 มล. จํานวน 1 แก้ว
มื้อกลางวัน
รายการอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ้ว / ฝรั่ง
ประกอบด้วย เส้นก๋วยเตี๋ยว 2 ทัพพี
คะน้าสุก 1 ทัพพี
เนื้อไก่สุก 1 ช้อนกินข้าว
ไข่ไก่ 1 ฟอง 2 ช้อนกินข้าว
น้ํามันพืช 2 ช้อนชา
ฝรั่งครึง่ ผลกลาง 1 ส่วน (ประมาณ 4-5 ชิ้น)
มื้อเย็น
รายการอาหาร : ข้าวกล้อง / ต้มยําปลาทูใส่เห็ด / ผัดผักรวม / มะละกอสุก
ประกอบด้วย ข้าวกล้อง 3 ทัพพี
เห็ดฟาง 1 ทัพพี
ปลาทู 1 ตัว
ผักรวมสุก 1 ทัพพี
น้ํามันพืช 2 ช้อนชา
มะละกอสุก 1 ส่วน (ประมาณ 6-8 ชิ้นขนาดพอคํา)
ก่อนนอน
รายการอาหาร : นมสด ขนาด 200 มล. จํานวน 1แก้ว (กองโภชนาการ, กรมอนามัย, 2543)
33
หมายเหตุ
ถ้าเป็นผู้ใหญ่ ควรกินผักวันละ 6 ทัพพี และผลไม้วนั ละ 4 ส่วน เพื่อให้ได้ใยอาหารที่
เพียงพอ และถ้าดื่มนมเพียง 1 แก้ว ควรเพิ่มแคลเซียม โดยการกินปลาเล็กปลาน้อย ครั้งละ 2
ช้อนชา หรือกินปลากระป๋อง ครั้งละ 2 ชิ้น 2 ครั้งต่อสัปดาห์
สําหรับในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เริ่มมีการแนะนําแนวทางการบริโภคอาหารให้กับ
ประชาชนเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2489 โดยได้มีการแบ่งอาหารออกเป็น 7 หมู่ ต่อมาในปี 2527
ได้จัดกลุ่มอาหารใหม่เหลือ 4 หมู่ ประกอบด้วยหมู่ที่ 1 ได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์นม หมู่ที่ 2
ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่และถั่วเมล็ดแห้ง หมู่ที่ 3 ได้แก่ ผักและผลไม้ และหมู่ที่ 4 ได้แก่ ขนมปังและ
ผลิต ภัณฑ์ธั ญพื ช และในปี พ.ศ.2535 ได้ มีก ารเสนอพีร ะมิ ดชี้ แนะการบริ โภคอาหาร (Food
Guide Pyramid) ดังแสดงในภาพที่ 2.1 โดยมีการแบ่งอาหารออกเป็น 6 หมู่ แสดงชนิดของ
อาหารและปริมาณที่ควรบริโภคจากพื้นที่ของพีระมิด ซึ่งพีระมิดแบ่งออกเป็น 4 ชั้น ดังนี้
ชั้นที่ 1 อยู่ด้านล่างสุดของพีระมิด แสดงหมู่ข้าวหรือผลิตภัณฑ์จากธัญพืช มีพื้นที่มาก
ที่สุด แนะนําให้บริโภคได้มาก กําหนดให้บริโภค 6-11 ส่วน
ชั้นที่ 2 พีระมิดในชั้นที่ 2 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ หมู่ผัก กําหนดให้บริโภค 3-5 ส่วน
และผลไม้ กําหนดให้บริโภค 2-4 ส่วน
ชั้นที่ 3 พีระมิดในชั้นที่ 3 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ หมู่นมและผลิตภัณฑ์นม กําหนดให้
บริโภค 2-3 ส่วน และหมู่เนื้อสัตว์ ไข่ และถั่วเมล็ดแห้ง กําหนดให้บริโภค 2-3 ส่วน
ชั้นที่ 4 ชั้นบนสุด คือ หมู่ไขมันและน้ําตาล แนะนําให้บริโภคเพียงเล็กน้อย
การจั ด กลุ่ ม อาหารโดยใช้ พี ร ะมิ ด จะช่ ว ยให้ ป ระชาชนเลื อ กอาหารในแต่ ล ะกลุ่ ม ได้
หลากหลายขึ้น เช่น กลุ่มโปรตีน อาจเลือกโปรตีนจากสัตว์หรือจากพืชก็ได้ จึงเอื้อประโยชน์ต่อ
ผู้บริโภคให้ได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการตามปกติ อย่างไรก็ตามในเด็กผู้หญิง
และหญิงมีครรภ์อาจต้องการธาตุเหล็กมากกว่าที่พีระมิดอาหารแสดงไว้เป็นพิเศษ นอกจากนี้
หญิงวัยทองและหญิงมีครรภ์ก็ยังต้องดื่มนม กินผักสีเขียว ปลาทั้งก้างมากเป็นพิเศษ หรือเสริม
เกลือแร่แคลเซียมชนิดเม็ด เพราะคนกลุ่มนี้ต้องการแคลเซียมมากกว่าปกติ
34
ความสําคัญของอาหารกับการป้องกันและการบําบัดรักษาโรค
การดูแลทางด้านอาหารให้กับผู้ป่วยเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้การรักษาทางยามี
ประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยรักษาภาวะโภชนาการของผู้ป่วยให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์
ด้วย ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นไม่ได้ถ้าไม่ได้รับอาหารที่ถูกต้องและเหมาะสมกับโรคและอาการที่
เป็นอยู่ เพราะเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะเจ็บป่วยจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในร่างกายตาม
อาการของโรค การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจมีผลต่อการกินอาหาร การใช้อาหาร และการเก็บ
สะสมอาหารภายในร่างกาย ตลอดจนการขับถ่ายสิ่งที่เสียออกจากร่างกายของผู้ป่วย จึงจําเป็นที่
ผู้ป่วยต้องได้รับอาหารที่จะรักษาภาวะโภชนาการให้คงอยู่ไว้ และช่วยในการบําบัดอาการของโรค
ที่เป็นอยู่ ดังนั้นอาหารมีความสําคัญต่อการบําบัดโรค ดังนี้
1. ช่วยป้องกัน และแก้ไขภาวะทุพโภชนาการ
ภาวะความเจ็บป่วยย่อมมีผลต่อภาวะโภชนาการของผู้ป่วย ดังนั้นจึงต้องคํานึงถึง
การจัดอาหารที่ถูกต้องและเหมาะสมกับโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยมีภาวะโภชนาการ
ที่ดี ผู้ป่วยที่มีภาวะโภชนาการเกิน โรคอ้วน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
35
การจัดอาหารจํากัดไขมันและการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานต่ําจะสามารถควบคุมน้ําหนัก
ตัวของผู้ป่วยให้อยู่ในภาวะปกติได้ และสามารถลดระดับไขมันในเลือดได้อีกด้วย แต่ในผู้ป่วยที่มี
ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังมีผลทําให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะการขาดสารอาหารได้ง่าย ดังนั้นผู้ป่วยควร
ได้รับอาหารที่มีปริมาณของพลังงานและสารอาหารที่เพียงพอกับความต้องการของร่ากาย
2. ช่วยบรรเทาและควบคุมอาการแสดงของโรค
อาหารมีส่วนสําคัญอย่างมากในการช่วยบรรเทาและควบคุมอาการแสดงของโรค
เช่น การให้ อาหารอ่อนในผู้ป่วยที่เ ป็นแผลในกระเพาะอาหารและลําไส้ จะช่วยให้กระเพาะ
อาหารและลําไส้ไม่ต้องทํางานหนัก ทําให้อาการของโรคบรรเทาลง
3. ช่วยป้องกันและลดภาวะแทรกซ้อนของโรค
การเจ็บป่วย โดยเฉพาะการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง มักมีผลทําให้ภูมิต้านทานของ
ร่างกายลดลง ทําให้ผู้ป่วยติดเชื้อและเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ง่าย ดังนั้นการจัดอาหารที่
ถูกต้องตามหลักโภชนบําบัด จะช่วยสร้างและเสริมภูมิต้านทานโรคของผู้ป่วยให้ดีขึ้นได้ และยัง
ช่วยให้ผ้ปู ่วยฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วยได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในทางตรงกันข้ามผู้ป่วยที่ได้รับอาหาร
ที่ไม่มีประโยชน์หรือไม่เหมาะสมกับโรคที่เป็นอยู่ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บป่วยอยู่นาน
4. ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล
การจัดอาหารที่ถูกต้องกับโรคและอาการที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ จะส่งผลให้ผู้ป่วยฟื้นตัว
หรือหายจากโรคในระยะเวลาที่ไม่นาน ดังนั้นจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่าง
ที่ผู้ป่วยรับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล นอกจากนี้ผู้ป่วยที่ได้รับอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชน
บําบัด จะเสริมประสิทธิภาพของยาให้ได้ผลดีขึ้น ทําให้ไม่ต้องทานยาในระยะเวลาที่นาน จึงเป็น
การประหยัดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์
สรุป
“อโรคยา ปรมา ลาภา” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เป็นความปรารถนาของ
มนุษย์ทุกคน ซึ่งพฤติกรรมที่ส่งเสริมให้ร่างกายมีความแข็งแรง และมีสุขภาพจิตที่ดี ปัจจัยที่
สําคัญมาจากการบริโภคอาหารที่เหมาะสม โดยมีพื้นฐานจากพฤติกรรมการบริโภคอาหาร
อย่างหลากหลายครบทั้ ง 5 หมู่ ในปริ ม าณอาหารที่เ พี ย งพอกับความต้องการของร่างกาย
เพื่อให้มีน้ําหนักตัวที่สมดุลอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน สามารถปฏิบัติตนเรื่องการบริโภคอาหารตาม
ข้ อ ปฏิ บั ติ ก ารกิ น อาหารเพื่ อ สุ ข ภาพที่ ดี ข องคนไทย มี พ ฤติ ก รรมการออกกํ า ลั ง กายอย่ า ง
เหมาะสมและถูกต้อง จะส่งผลให้มีสุขภาพที่ดีได้
36
บทที่ 2
อาหารกลุ่มฟังก์ชัน และอาหารสุขภาพกลุ่มอื่นๆ
ปัจจุบันการดําเนินชีวิตอยู่ในสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไป ประชาชนได้รับสารเคมีและ
ของเสียที่มาจากอุตสาหกรรม รวมทั้งการบริโภคอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน ซึ่งก่อให้เกิดความ
ไม่สมดุ ล ขึ้ น ในตัว สถานการณ์ เ ช่ น นี้ ทํ า ให้ เ กิ ด การตื่น ตัว และสนใจในเรื่องความสํ าคั ญและ
ประโยชน์ของอาหารต่อร่างกายมากขึ้น โดยไม่ได้คํานึงแต่เพียงรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ
เท่านั้น แต่ยังคํานึงถึงการใช้อาหารเพื่อการป้องกันโรคและรักษาโรคมากขึ้น เช่น โรคมะเร็ง
ไขมันอุดตันในเลือด โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น ซึ่งในความเป็นจริง
แล้วมนุษย์ได้มีการใช้อาหารเพื่อการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพมาเป็นระยะเวลานานแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นอาหารฟังก์ชัน อาหารมังสวิรัติ อาหารชีวจิต อาหารล้างพิษ และสมุนไพร เป็นต้น
อาหารฟังก์ชั่น
ความหมายของอาหารฟังก์ชั่น
คํานิยามของอาหารฟังก์ชั่นจากองค์กรต่างๆ มีความแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้คําว่า
Functional foods ได้มีการใช้ครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อประมาณกลางทศวรรษที่ 1980 ซึ่ง
หมายถึง “อาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตที่มีองค์ประกอบที่ช่วยทําหน้าที่เพิ่มเติมจากหน้าทีป่ กติ
ของร่างกาย” องค์กรอื่นๆ เช่น
The International Food Information Council (IFIC) ให้นิยามของอาหารฟังก์ชั่นว่า “เป็น
อาหารที่ ใ ห้ ป ระโยชน์ ต่ อ สุ ข ภาพนอกเหนื อ จากโภชนาการพื้ น ฐานที่ ไ ด้ จ ากอาหารใน
ชีวิตประจําวัน” ซึ่งคล้ายคลึงกับ The International Life Sciences Institute of North America
(ILSI) ให้นิยามว่าอาหารฟังก์ชั่นคือ “ส่วนประกอบของอาหารที่มีฤทธิ์ต่อกระบวนการทํางาน
ของร่างกายซึ่งให้ประโยชน์ต่อสุขภาพนอกเหนือจากโภชนาการพื้นฐาน”
ในประเทศแคนาดาได้ให้คํานิยามไว้ว่า “เป็นอาหารที่มีหน้าตาคล้ายอาหารธรรมชาติ
โดยบริโภคเป็นส่วนหนึ่งของอาหารปกติและแสดงฤทธิ์ต่อร่างกายในการลดความเสี่ยงโรค
เรื้อรังนอกเหนือไปจากหน้าที่พื้นฐานทางโภชนาการ” ส่วน The Institute of Medicine of the
National Academy of Sciences ให้คําจํากัดความว่า อาหารฟังก์ชั่นคือ “อาหารที่มีองค์ประกอบ
ที่ถูกปรับเปลี่ยนไปตั้งแต่ 1 ชนิดขึ้นไป เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ”
38
องค์ประกอบของอาหารฟังก์ชั่นต่อการส่งเสริมสุขภาพ
องค์ประกอบหลักในอาหารแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นสารอาหาร (nutrients)
และส่ ว นที่ ไ ม่ ใ ช่ ส ารอาหาร (nonnutrients) องค์ ป ระกอบทั้ ง สองส่ ว นมี ค วามสั ม พั น ธ์ ต่ อ การ
ป้องกันและหรือ การรักษาโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต
สูง และโรคกระดูกพรุน เป็นต้น นอกจากนี้ส่วนประกอบของอาหารฟังก์ชั่นยังถูกนํามาแยกสกัด
และนําไปเติมลงในอาหารชนิดอื่นๆ หรือมีบางส่วนที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาจากห้องทดลอง เพื่อ
ผลิตออกมาในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
อาหารฟังก์ชั่นสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม ตามข้อมูลหลักฐานการวิจัยดังนี้
1. กลุ่มที่มีการวิจัยทางคลินิก
2. กลุ่มที่มีการวิจัยในสัตว์
3. กลุ่มที่มีการวิจัยในหลอดทดลอง
4. กลุ่มที่มีการวิจัยทางระบาดวิทยา
ข้อมูลส่วนใหญ่ในปัจจุบันที่เป็นปัญหาของอาหารฟังก์ชั่น คือ ขาดการออกแบบงานวิจัย
ทางคลินิกที่ดี แต่ข้อมูลพื้นฐานที่ได้จากการสํารวจทางวิทยาศาสตร์วิธีอื่นๆ นั้นมีมากพอใน
อาหารฟังก์ชั่นหลายๆ ชนิดที่สามารถบ่งชี้ได้ว่ามีองค์ประกอบที่มีผลในการส่งเสริมสุขภาพ ดัง
ได้แสดงโดยย่อไว้ในตารางที่ 2.1
ในการใช้ อ าหารฟั ง ก์ ชั่ น นั้ น ต้ อ งพิ จ ารณาถึ ง ความปลอดภั ย โดยดู ร ะดั บ ปริ ม าณที่
เหมาะสมของสารอาหารและองค์ประกอบที่มีผลต่อสุขภาพในอาหารฟังก์ชั่นนั้น โดยที่นักวิจัย
ต้องทําการศึกษาวิจัยในคนเพิ่มเติมอย่างมาก เพราะการวิจัยในสัตว์ทดลองให้ข้อมูลในระดับที่
ไม่ ส ามารถนํ า มาประยุ ก ต์ ใ ช้ กั บ คนได้ เ ลยในการที่ จ ะกํ า หนดความต้ อ งการในการบริ โ ภค
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จากตารางที่1 ได้แสดงปริมาณโดยประมาณของอาหารธรรมชาติหรือ
สารอาหารพฤกษเคมีและองค์ประกอบอื่นที่ใช้ในการพัฒนาอาหารฟังก์ชั่นที่มีผลต่อการส่งเสริม
สุ ขภาพหรือป้ องกัน โรค อย่ า งไรก็ ต ามองค์ ป ระกอบส่ ว นใหญ่ ข องอาหารฟั ง ก์ ชั่น และระดั บ
แน่นอนที่แนะนําในการบริโภคเป็นสิ่งที่จะต้องจัดทําเมื่อมีข้อมูลบ่งชี้เพียงพอ
39
ในการใช้ อ าหารฟั ง ก์ ชั่ น นั้ น ต้ อ งพิ จ ารณาถึ ง ความปลอดภั ย โดยดู ร ะดั บ ปริ ม าณที่
เหมาะสมของสารอาหารและองค์ประกอบที่มีผลต่อสุขภาพในอาหารฟังก์ชั่นนั้น โดยที่นักวิจัย
ต้องทําการศึกษาวิจัยในคนเพิ่มเติมอย่างมาก เพราะการวิจัยในสัตว์ทดลองให้ข้อมูลในระดับที่
ไม่ ส ามารถนํ า มาประยุ ก ต์ ใ ช้ กั บ คนได้ เ ลยในการที่ จ ะกํ า หนดความต้ อ งการในการบริ โ ภค
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จากตารางที่1 ได้แสดงปริมาณโดยประมาณของอาหารธรรมชาติหรือ
สารอาหารพฤกษเคมีและองค์ประกอบอื่นที่ใช้ในการพัฒนาอาหารฟังก์ชั่นที่มีผลต่อการส่งเสริม
สุขภาพหรือป้ องกั น โรค อย่ า งไรก็ต ามองค์ ป ระกอบส่ ว นใหญ่ ข องอาหารฟัง ก์ ชั่ น และระดั บ
แน่นอนที่แนะนําในการบริโภคเป็นสิ่งทีจ่ ะต้องจัดทําเมื่อมีข้อมูลบ่งชี้เพียงพอ
ปัจจุบันการวิจัยทางอาหารฟังก์ชั่นยังมีข้อจํากัดในมิติที่ว่า ปริมาณขององค์ประกอบที่มี
ผลต่อการลดความเสี่ยงของการเกิดโรค ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกาการเก็บข้อมูลโดยเฉพาะ
การวิ จั ย ทางระบาดวิ ท ยาขนาดใหญ่ ซึ่ ง ขึ้ น อยู่ กั บ การทํ า แบบสอบถามเรื่ อ งอาหาร (food
frequency questionnaires, FFQs) โดยไม่รวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้สมุนไพร เครื่องเทศ
เครื่ อ งปรุ ง และหรื อ สารปรุ ง แต่ ง รส ทั้ ง ๆที่ สิ่ ง เหล่ า นั้ น มี ส ารที่ มี ฤ ทธิ์ ต่ อ ร่ า งกายและมี ก าร
วิ เคราะห์ อยู่ แ ล้ ว FFQs เน้ น การเก็ บ ข้ อ มู ล อาหารบางชนิ ด เช่ น ชาและผลไม้ ต ระกูลส้ ม ซึ่ ง
องค์ประกอบจะถูกนํามาศึกษาเพิ่มเติมในด้านการป้องกันโรค ข้อจํากัดอีกประการก็คือ ข้อมูล
ทางด้านพฤกษเคมีน้ันก็ยังมีไม่มากและที่มีอยู่มักเป็นข้อมูลของแคโรทีนอยด์ ไอโซเฟลโวนส์
และฟลาโวนอยด์ซึ่งข้อมูลยังมีไม่เพียงพอ
นอกจากนี้องค์ประกอบของอาหารนั้นจะทํางานร่วมกันในการดูดซึมสารอาหารหรือ
สารที่ออกฤทธิ์ ตัวอย่างเช่น สารไลโคพีนในมะเขือเทศเมื่อรับประทานร่วมกับไขมัน ไขมันจะช่วย
ในการดูดซึมของไลโคพีน ปริมาณการบริโภคที่แนะนําในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคในผู้
ที่มีสุขภาพดีจะเปลี่ยนไปเมื่อมีปัญหาโรคมะเร็งหรือหลอดเลือด ฉะนั้นข้อแนะนําในด้านปริมาณ
อาหารฟังก์ชั่นหรือองค์ประกอบของอาหารฟังก์ชั่นจําเป็นที่จะต้องมีการประเมินจากข้อเสนอที่
มีอยู่ในมิติของข้อมูลกลุ่มประชากรหรือการเปลี่ยนแปลงสภาวะของตัวคน
สมาคมนั ก กํ า หนดอาหารแห่ ง สหรั ฐ อเมริ ก าได้ ส นั บ สนุ น การควบคุ ม อาหารและ
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรวมทั้งอาหารฟังก์ชั่นทุกชนิด เพื่อให้แน่ใจว่าอาหารเหล่านั้นปลอดภัย
กระบวนการผลิตถูกต้องตามมาตรฐาน การอ้างสรรพคุณในฉลากอาหารตลอดจนปริมาณ
สารอาหารเป็นไปตามความจริง ไม่ก่อให้เกิดการเข้าใจผิดและใช้ข้อมูลอิงตามผลการวิจัย ซึ่ง
ทั้งหมดนี้จะเป็นแนวทางให้ผ้ผู ลิตอาหารฟังก์ชั่นเข้าสู่การวิจัยเพื่อพัฒนาในอนาคต นอกจากนีย้ งั
เป็นข้อมูลให้นักวิชาการนําไปเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนต่อไปด้วย (ชนิดา ปโชติการ
และคณะ หน้า 92-93)
41
อาหารแมคโครไบโอติกส์ (Macrobiotics)
ความหมายของแมคโครไบโอติกส์
คําว่า แมคโคไบโอติกส์ (Macrobiotics) มาจาก มาจากภาษากรีกสองคําคือ คําว่า แมค
โคร (macro) หมายถึง กว้าง ยืนยาว (long) หรือ ยิ่งใหญ่ (great) และไบโอติก (biotic) หมายถึง
เกี่ยวกับชีวิต หรือแนวทางของชีวิต (way of life)
ดังนั้นแมคโครไบโอติกส์ หมายถึง การสร้างสมดุลในทุกด้านของชีวิต และธรรมชาติท้ัง
ด้านกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม ชีววิทยา นิเวศวิทยา เป็นการดําเนินวิถีชีวิตประจําวันโดยเฉพาะ
เรื่องการดื่ม การกินให้สอดคล้องภัยธรรมชาติที่อยู่อาศัย เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีเต็มเปี่ยมไปด้วย
พลังงานแห่งชีวิต (Vitality) มีชีวิตชีวา มีความสุข และมีอิสรภาพ (โอภาส ภูชิสสะ และคณะ
2550, หน้า 25)
ประวัติความเป็นมาของการศึกษาแนวทางการบริโภคอาหารแมคโครไบโอติกส์
จอร์จ โอซาวา นักปราชญ์ชาวญี่ปุ่นได้ศึกษาการแพทย์แผนจีน และได้ให้แพทย์แผนจีน
รั ก ษาโดยใช้ ท ฤษฎี ห ยิ น -หยาง ทํ า ให้ เ ด็ ก ที่ ป่ ว ยรอดชี วิ ต ต่ อ มา จอร์ จ โอซาวา จึ ง ได้
ทําการศึกษาทฤษฎีหยิน-หยาง โดยได้เปิดโรงเรียนทฤษฎีหยิน-หยาง ต่อมาหลังสงครามโลก
ครั้งที่ 2 ญี่ ปุ่นแพ้สงคราม จอร์จ โวซาวา ตั ดสินใจเดินทางไปซีกโลกตะวันตกเพื่ อเผยแพร่
ทฤษฎีหยิน-หยาง
ในอเมริกา ในปี 1960 จอร์จ โอซาวา เริ่มนําแนวควคิดหยิน-หยง ไปใช้ในอเมริกาใน 10
รัฐ โดยระยะสุดท้ายให้ข้าวไม่ได้ขัดสี และน้ํา แต่ปรากฏว่าผู้ที่รับประทานสุขภาพไม่ดี จึงไม่ได้มี
การสนับสนุนให้ใช้ต่อไป หลังจากนั้นจอร์จ โอซาวา เสียชีวิต การเผยแพร่ความรู้แมคโครไบโอ
ติกส์ก็น้อยลง ต่อมา มิชิโอ กูชิ (Michio Kushi) ได้พัฒนาแนวคิดนี้ และนําไปสู่วิถีชีวิตแบบแมค
โครไบโอติกส์ โดย ในปี 1978 ได้เปิดสถาบัน Kushi ในบอสตัน เพื่อส่งเสริมแนวความคิดและ
แนวทางปฏิ บั ติ และจากแนวความคิ ด ของ Kushi ทํ า ให้ แมคโครไบโอติ ก ส์ ถู ก นํ า ไปใช้ ใ น
ชีวิตประจําวันมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เป็นเพียงแต่การรักษาเท่านั้น
ในปี 1980 Anthony Sattiloro แพทย์และผู้อํานวยการของ Philadelphia Hospital พบว่าเมื่อ
ผู้ป่วย prostate cancer รับประทานแมคโครไบโอติกส์แล้วผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นโดยแมคโครไบโอติกส์
ในอิตาลี เมื่อ 60 ปี ที่อิตาลี มาริโอ ป่วยด้วยโรคไวรัสลงตับ เขาได้รับการรักษา ซึ่ง
แพทย์แผนปัจจุบันบอกว่าเขาไม่มีโอกาสรอด แต่มาริโอหายป่วยเขาจึงมีประสบการณ์อาหาร
เกี่ยวกับพืช ผัก จากนั้นเขาได้อ่านหนังสือของจอร์จ โอซาวา และหนังสืออีกหลายเล่มที่เกี่ยวกับ
ศาสตร์ของจีน และอ่านตําราด้านชีวเคมี ฟิสิกส์ ตลอดจนตําราทางการแพทย์ที่เชื่อมทฤษฎี
42
คุณลักษณะที่จําเป็นของอาหารตามแนวทางแมคโครไบโอติกส์
คุณลักษณะที่จําเป็นของอาหารตามแนวทางแมคโครไบโอติกส์น้ัน คือความสมบูรณ์
ของอาหารประจําวันตามหลักโภชนาการเพื่อวิถีการมีพลานามัยดีเสริมพลังกาย พลังจิตในการ
ดําเนินชีวิต โดยอาหารต้องมีลักษณะที่สําคัญ ดังต่อไปนี้
1. ต้องเป็นอาหารที่มีลักษณะเป็นธรรมชาติ ไม่ถูกกระทําให้สูญเสียคุณค่าทาง
โภชนาการด้วยขบวนการแปรรูป หรือ กระบวนการผลิต เช่น ข้าว ก็ควรขัดสีเพียงเอาเปลือกหุ้ม
เมล็ดออก ไม่ขัดสรจนขาว หรือน้ําตาล ต้องไม่ใช้น้ําตาลที่ฟอกขาว ดังนั้นข้าวกล้องและน้ําตาล
ทรายแดง จึงเป็นที่นิยมของผู้ที่บริโภคอาหารตามแนวแมคโครไบโอติกส์
2. เป็นอาหารที่ผลิตด้วยวิธีการตามธรรมชาติมากที่สุด มีการใช้สารเคมีให้น้อยที่สุด
เช่น พืชที่ปลูกด้วยระบบเกษตรธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการใช้ยาฆ่าแมลงเป็นสารสังเคราะห์ทาง
เคมี ควรใช้สมุนไพรหรือการควบคุมด้วยธรรมชาติทางชีววิทยา
3. อาหารแต่ละมื้อจะต้องประกอบด้วยเมล็ดธัญพืชต่างๆ ที่ไม่ได้ขัดสีสกัดเอารําออกไป
ประมาณร้อยละ 50-60 พืชผักที่ปลูกในท้องถิ่นโดยวิธีธรรมชาติ ประมาณร้อยละ 20-30 และ
ร้อยละ 5-10 เป็นสาหร่ายหรือพืชจากทะเล งา ถั่วเมล็ดแห้ง เครื่องปรุงที่ได้จากการหมักตาม
ธรรมชาติ เช่น ซีอิ๊ว เกลือทะเลที่ได้จากธรรมชาติ ความสดของอาหารอย่างพืชผักจะทําให้
อาหารมีรสชาติดี หวาน อร่อย จึงไม่จําเป็นต้องใช้สารปรุงแต่อาหาร และน้ําตาลทีไ่ ม่ได้ฟอกขาว
และอนุญาตให้ใช้เนื้อปลาได้ท้งั ปลาน้ําจืดและปลาทะเล
44
รูปแบบอาหารแนวแมคโครไบโอติกส์
รายละเอียดของเลือกบริโภคอาหารตามแนวแมคโครไบโอติกส์ มีรายละเอียด ดังนี้
1. อาหารประเภทธัญพืชที่ยังไม่ได้ขัดสี
รับประทานได้ประมาณร้อยละ 50-60 ของอาหารทั้งหมด เมล็ดธัญพืชที่ควรรับประ
ทาเป็นประจํา ได้แก่ ข้าวเจ้าเมล็ดสั้นและเมล็ดยาว ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ลูกเดือย เป็นต้น
ส่วนธัญพืชที่อาจรับประทานได้เป็นครั้งคราวได้แก่ ข้าวเหนียว บะหมี่ที่ทําจากแป้งสาลีที่ไม่ขัดสี
(whole wheat) ขนมปังที่ไม่ได้ใส่ผงฟู เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ทําจากข้างซ้อมมือ
2. ซุปหรือแกงจืด
รับประทานวันละ 1-2 ถ้วย (หรือประมาณร้อยละ 5-10 ของอาหาร) แกงจืดที่ใส่
เต้าเจี้ยวญี่ปุ่น เรียกว่า Miso หรือใส่ซีอิ๊วพิเศษ เรียกว่า Tamari รสชาติของแกงจืดควรอ่อน ไม่
ควรมีรสเค็มติดค้างในปาก
3. ผัก
รับประทานร้อยละ 25-30 ของอาหาร ควรใช้ผักสดในการประกอบอาหารด้วยวิธี
ต่างๆ เช่น ลวก นึ่ง ต้ม อบ หรือ ผัด โดยใช้น้ํามันให้น้อยที่สุด ยําหรือสลัดผักที่ทําน้ําสลัดเอง
ทั้งนี้อาจรวมถึงผักดอง ผักที่แนะนําให้รับประทานเป็นประจํา ได้แก่
3.1 ผักใบเขียว เช่น ผักกาดขาวใบเขียว ตําลึง ผักบุ้ง ผักโขม ผักชี ต้นหอม คะน้า
ผักกวางตุ้ง ต้นกระเทียม ผักหวาน และผักอื่นๆ ที่ไม่มีกลิ่น เป็นต้น
3.2 ผักหัว ได้แก่ กะหล่ําปลี หอมหัวใหญ่ ผักกาดขาวปลี บวบ ผักกาดหางหงส์
ถั่วฝักยาว ดอกกะหล่ํา บรอคโครี่ น้ําเต้า และฟักทอง เป็นต้น
3.3. ผักที่เป็นราก ได้แก่ แครอท ไชเท้า ผักกาดแร็ดดิส (กะหล่ําปม) ในมือเสือ โกโบ
(เป็นรากยาวประมาณ 12 นิ้ว สีน้ําตาล)
3.4 ผัก ที่ ใ ช้ เ ป็น ครั้งคราว ได้ แ ก่ ขึ้ น ฉ่ า ย ถั่ วงอก ผั กกาดหอมห่ อ (iceberg)
ผักกาดหอม กุยฉ่าย ดอดกุยฉ่าย เห็ดหอม
ผักที่ควรหลีกเลี่ยงหรืองดรับประทาน ได้แก่ แอสพารากัส ผักขม อะโวกาโดมะเขือ
ยาว พริกหวานทั้งแดงและเขียว มะเขือเทศ มันฝรั่ง เผือก มันเทศ
4. ผลไม้
ให้ เ ลื อ กรั บ ประทานผลไม่ ที่ มี ต ามฤดู ก าล สั ป ดาห์ ล ะ 1-2 ครั้ ง โดยรั บ ประทาน
ปริมาณเล็กน้อย ผลไม้ที่ควรงดรับประทาน ได้แก่ ผลไม้เมืองร้อน เช่น กล้วย มะเดื่อ เกรฟฟรุต
มะม่วง ส้ม ผลกีวี และมะละกอ
45
5. อาหารประเภทโปรตีน
อาหารประเภทโปรตีน ที่ควรรับประทาน มีดังนี้
อาหารทะเล รับประทานอาหารทะเลได้ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ปลาที่รับประทาน ควร
เป็นปลาเนื้อขาวจะเป็นปลาน้ําจืดหรือน้ําทะเลก็ได้ แต่ข้อสําคัญจะต้องเป็นปลาที่อาศัยอยู่ใน
แหล่งน้ําที่สะอาด ตัวอย่างอาหารทะเลที่รับประทานได้ ได้แก่ ปลาลิ้นหมา ปลาตาเดียว ปลา
ตะเพียน ปลากระบอก ปลาสําลี ปลากะพง หอยลาย หอยนางรม หอยพัด กุ้ง ปู เป็นต้น ปลา
เนื้อแดง เช่น ปลาทูน่า อาจจะรับประทานเป็นครั้งคราวโดยปรุงกับซีอิ๊วทามาริ หัวไชเท้าขูด
หรือมัสตาล ปลาที่ควรงด ได้แก่ ปลาเนื้อแดง เช่น ปลาซัลมอน ปลาดาบ ปลาน้ําเงิน
โปรตีนจากสัตว์ที่ควรงดเว้น ได้แก่ เนื้อแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อแกะ ไก่ เป็ด สัตว์ปีก ไข่
และน้ํานม รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนยแข็ง เนยเหลว โยเกิร์ต ไอศกรีม ครีมที่ตีจนขึ้นฟู
เป็นต้น
โปรตีนจากพืช ได้แก่ เมล็ดพืช หรือถั่วคั่วพอสุก อาจจะใส่เกลือทะเลได้เล็กน้อย
เมล็ดพืชจะมีคุณสมบัติดีกว่าเพราะมีไขมันน้อยกว่า แต่ท้ังสองอย่างควรบริโภคในปริมาณจํากัด
สําหรับพืชตระกูลถั่ วและนัท ควรงดเว้น ได้แก่ ถั่วบราซิล ถั่วพัสทาซิโอ ถั่วแฮเซล ส่วนพื ช
ตระกูลนัทที่ควรงด ได้แก่ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นต้น
6. อาหารประเภทน้ํามัน
น้ํามันพืชที่ควรรับประทาน มีดังนี้
6.1 น้ํามันที่ใช้ได้บ่อยๆ ได้แก่ น้ํามันรํา น้ํามันข้าวโพด และน้ํามันงา
6.2 น้ํามันที่ใช้ได้เป็นครั้งคราว ได้แก่ น้ํามันดอกคําฝอย น้ํามันดอกทานตะวัน
6.3 น้ํามันที่ควรงดเว้น ได้แก่ ไขมันสัตว์ น้ํามันหมู น้ํามันเนย มาการีน (magarine)
เนยขาว (shortening) และไขมันอื่นๆ และน้ํามันพืชที่มีการปรุงแต่ง
7. สาหร่าย
สาหร่ายที่รับประทานได้ ได้แก่ คอมบุ (ภาษาจีน เรียก ไห้ต๋ัว) วากาเม่ โนริ ฮิชิกิ
(ภาษาจีนแต้จิ๋ว เรียก ไชเท้า) อาราเม่ ไอริสมอส วุ้น และสาหร่ายผม
8. เครื่องดื่ม
เครื่อ งดื่ม ที่ค วรดื่ม ได้แ ก่ น้ํา ต้ ม น้ํา ชาก้ า น (Bancha Twig) น้ํา ชาจากชากิ่ง
(Bancha Stem) เครื่องดื่มประเภทข้าวคั่ว ข้าวบาเลย์คั่ว สําหรับเครื่องดื่มที่ควรงด ได้แก่ กาแฟ
ชา เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชาแต่งรสแกลิน่ สมุนไพร โสม เครื่องดื่มปรงแต่ง (ผสมโซดา โคลา)
เป็นต้น
46
9. เครื่องเคียง
ได้แก่ งาคั่วและเกลือ โดยใช้งาในสัดส่วน 14-18 ต่อเกลือ 1 ส่วน สาหร่ายป่น ได้แก่
คอมบุ (ไห้ต๋ัว) โนริอบจนกรอบป่น บ๊วยเค็ม เกลือ (ume) หัวไชโป๊วไม่ใส่น้ําตาล อาหารประเภท
นี้ควรรับประทานแต่น้อย
10. เครื่องปรุงรส
ควรเลือกเครื่องปรุงรสที่ไม่ใส่สารกันบูด หรือสารเคมีใดๆ รวมทั้งน้ําตาล
รสเค็ม ใช้เกลือทะเลสีขาวเกล็ดเล็ก ซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว มิโซ่ สําหรับซีอิ๊วและเต้าเจี้ยว
ต้องไม่มีสารเคมี และน้ําตาล
รสเปรี้ยว ใช้น้ําส้มสายชูจากข้าว บ๊วย และบางครั้งอาจใช้มะนาว
รสหวาน ใช้แบะแซที่ไม่ฟอกสี หรือน้ําเชื่อมที่ทํามาจากเมล็ดพืช ควรใช้รสหวาน
แต่น้อยโดยพยายามจะใช้รสหวานจากธรรมชาติ เครื่องปรุงรสหวานที่ควรงดเว้น ได้แก่ น้ําตาล
ทรายแดง น้ําตาลทรายขาว น้ําเชื่อม น้ําตาลมะพร้าว น้ําผึ้ง โมลาส น้ําตาลเทียม น้ําเชื่อมจาก
ข้าวโพด ฟรุคโตส ดารอป น้ําเชื่อมเมเปิ้ล และช็อกโกแลต
11. เครื่องเทศ ควรงดเว้น
อาหารที่ ควรหลี ก เลี่ย งอื่ น ๆ ได้ แ ก่ อาหารที่ผ่า นกระบวนการแปรรู ป ต่ า งๆ เช่ น
อาหารสกัด อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง น้ําตาลทราย แป้งข้าวหมาก อาหารที่ปรุงแต่งด้วย
สารเคมี อาหารที่ใส่สี เป็นต้น
การบริ โ ภคอาหารตามแนวทางแมคโครไบโอติ ก ส์ นี้ จ ะเห็ น ได้ ว่ า อาหารชนิ ด นี้
ประกอบด้วยไขมัน ต่ํา และมี ใยอาหารสูง เชื่อว่าน่าที่จะลดปัจจั ยเสี่ยงฝนการเกิ ดโรคหัวใจ
โรคมะเร็งบางชนิดได้ แต่อย่างไรก็ตามการรับประทานอาหารตามแนวทางแมคโครไบโอติกส์
แบบเข้ ม งวดคื อ ไม่ บ ริ โ ภคเนื้ อ สั ต ว์ และผลิ ต ภั ณ ฑ์ จ ากเนื้ อ สั ต ว์ เ ลย จะทํ า ให้ เ กิ ด โรคขาด
สารอาหารได้ โดยทําให้มรการขาดทั้งวิตามิน เช่น วิตามินดี วิตามินบี 12 สังกะสี แคลเซียม
เหล็ก ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่างมากต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคมทะเร็งที่ต้องการสารอาหาร
และพลังงานที่เพิ่มขึ้น และแนวทางการใช้แมคโครไบโอติกส์เพียงอย่างเดียวโดยหลีกเลี่ยงการ
รักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันจะทําเกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงได้ และที่สําคัญในเด็ก หญิงมี
ครรภ์ และหญิงให้นมบุตร ควรหลี กเลี่ยงการบริโภคอาหารชนิดนี้ เนื่องจากเป็น วัยที่ กําลัง
เจริญเติบโต และต้องการสารอาหารเพิ่ม
47
อาหารมังสวิรัติ
บรรพบุรุษในยุคแรกๆ ของมนุษย์เป็นพวกที่กินผลไม้ ถั่วเปลือกแข็ง และผักมาโดย
ตลอด เนื่องจากโครงสร้างของร่างกานมนุษย์ท้ังกล้ามเนื้อ ฟัน ต่อมน้ําลาย กรดในกระเพาะ
อาหาร เล็บมือและเท้า จัดอยู่ในกลุ่มสัตว์ที่กินพืช (herbivora) ไม่ใช่สัตว์ที่กินสัตว์ (canivora)
หรือสัตว์ท้ังกินพืชและสัตว์ (omnivora) จนกระทั่งในยุคน้ําแข็งซึ่งเป็นช่วงวิกฤตการณ์ของโลกที่
มนุษย์ไม่สามารถจะหาอาหารชนิดอื่นกินได้ จึงจําเป็นต้องกินเนื้อสัตว์เพื่อความอยู่รอด และ
ธรรมเนียมการกินเนื้อสัตว์ก็ยังคงได้ดําเนินต่อมา แม้ว่ายุคน้ําแข็งจะผ่านพ้นไปก็ตาม (วิจิตร
บุณยะโหตระ, 2542) โดยแรกเริ่มนั้นไม่ได้ประกอบอาหารอย่างพิถีพิถันเท่าไรนัก ต่อมามีการ
พัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ โดยมีการปรุงอาหารในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ การต้ม การย่าง การผัด การ
อบ การนึ่ง เป็นต้น และสร้างสรรค์สร้างอาหารขึ้นมาในลักษณะใหม่ๆ การทําผลิตภัณฑ์อาหาร
ในรูปแบบต่างๆ อาทิ อาหารกระป๋ อง แฮม ไส้กรอก เป็นต้น รวมถึงการศึกษาค้ นคว้าและ
เผยแพร่คุณค่าทางโภชนาการของเนื้ อสัต ว์ เ พื่อรับรองการบริ โภคของมนุ ษย์อยู่ตลอดเวลา
วัฒนธรรมการบริโภคอาหารของมนุษย์จึงเปลี่ยนไปจากเดิมที่ควรเป็นไปตามธรรมชาติ การอบ
การนึ่ง เป็นต้น และสร้างสรรค์สร้างอาหารขึ้นมาใหม่
แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีคนอีกเป็นจํานวนมากที่ยินดีรับประทานอาหารตามธรรมชาติ ที่
ปราศจากเนื้อสัตว์มาจนถึงปัจจุบัน ตัวอย่างบุคคลที่สําคัญของโลกที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ
และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ได้แก่ พระพุทธเจ้า อัลเบิร์ตไอสไตล์ พลาโต ตอลสตลอย
แฟรงคลิน เซอร์ไอแซค นิวตัน และมหาตะมะ คานธี (วันชัย บุญรอด, 2530) การบริโภคอาหาร
ที่ปราศจากเนื้อสัตว์ถูกเรียกว่า มังสวิรัติ (vegetarian food) สมาคมมังสวิรัติถูกจัดตั้งขึ้นเป็นครั้ง
แรกในปี ค.ศ. 1847 เมืองแมนเซสเตอร์ ประเทศอังกฤษ โดยกลุ่ม Order of the Cross กลุ่ม
Seventh Day Adventists และกลุ่ม Muchduchnuns ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1957 มีสมาคมในเครือ
ถึง 45 แห่งทั่วราชอาณาจักร
สําหรับประเทศไทย กลุ่มมังสวิรัติที่เก่าแก่แห่งแรก คือ กลุ่มสํานักแม่ชีวรมัย จังหวัด
นครปฐม และวัดเขาวงพระจันทร์ จังหวดลพบุรี รวมทั้งคนไทยเชื้อสายจีนที่มีประเพณีกินเจใน
ราวเดือนตุลาคมขอทุกปี ในระยะต่อมาได้มีกลุ่มสนับสนุนให้รับระทานอาหารมังสวิรัติอย่าง
แพร่หลาย ได้แก่ กลุ่มของมูลนิธิเป้าเก็งเต็ง และกลุ่มสันติอโศก ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ได้มีการณรงค์
เผยแพร่ท้งั เอกสาร สิ่งพิมพ์ รวมทั้งสนับสนุนให้มีร้านอาหารมังสวิรัติโดยเฉพาะในราคาถูก และ
มีก ารเลี้ย งอาหารมั งสวิ รัติ แ ก่คนทั่วไปเนื่ องในโอกาสวัน สํ าคัญต่างๆ นอกจากนี้ ในหมู่นิ สิต
นักศึกษา เช่น กลุ่มรามบูชาธรรม มหาวิทยาลัยรามคําแหง กลุ่มนิสิตมหาวิทยาลัยมหิดลได้มี
การเผยแพร่อาหารมังสวิรัติโดยจัดงานทําบุญประจําปี จัดนิทรรศการเรื่องอาหารมังสวิรัติ ตอบ
48
ความหมายของอาหารมังสวิรัติ
มั ง สวิ รั ติ มาจากคํ า ว่ า “มั ง สะ” แปลว่ า เนื้ อ สั ต ว์ รวมกั บ คํ า ว่ า “วิ รั ติ ” แปลว่ า
ปราศจากความยินดี หรืองดเว้น ดังนั้น อาหารมังสวิรัติ หมายถึง อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นสวน
ประกอบ ตรงกับคําฝนภาษาอังกฤษว่า vegetarian food ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ใช้พืชผัก
ผลไม้เป็นหลักในการประกอบอาหาร เช่น ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง เห็ด รา งา ผลไม้ตามฤดูกาล
เป็นต้น และใช้เครื่องปรุงรสจากพืช ได้แก่ น้ํามันพืช กะปิเจ ซีอิ๊วขาว เป็นต้น
ประเภทของอาหารมังสวิรัติ
สามารถแบ่งรูปแบบของการรับประทานมังสวิรัติออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มกึ่งมังสวิรัติ (Semivegetarian)
เป็นกลุ่มที่นิยมรับประทานผัก ผลไม้และธัญพืชมากกว่าการรับประทานเนื้อสัตว์และ
ผลิตภัณฑ์อาหารจากสัตว์ แต่ก็ไม่เคร่งครัดมากซึ่งในกลุ่มนี้จะสามารถเลือกรับประทานอาหาร
ได้ ห ลากหลายรู ป แบบกว่ า กลุ่ ม อื่ น และสามารถวางแผนการรั บ ประทานอาหารให้ ไ ด้ รั บ
สารอาหารต่างๆ และโปรตีนอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
2. กลุ่มมังสวิรัติที่รับประทานนมและไข่ (Lacto-ovo-vegetarian)
เป็ น กลุ่ ม ที่ รั บ ประทานอาหารจากพื ช เป็ น ส่ ว นใหญ่ โดยสามารถรั บ ประทานนม
ผลิตภัณฑ์นมและไข่ได้ แต่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ประเภทต่างๆซึ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มนี้มักจะไม่พบ
ปัญหาด้านโภชนาการ หากสามารถรับประทานอาหารดังกล่าวได้อย่างน้อยวันละ 2 ส่วน คือ
เท่ากับไข่ 1 ฟอง และนมสด 1 แก้ว (ปริมาณ 240 ซี.ซี.)
3. กลุ่มมังสวิรัติแท้ (Vegan หรือ Total vegetarian)
เป็นกลุ่ม รับประทานเฉพาะอาหารที่ มาจากพืชเท่านั้น โดยหลีก เลี่ยงอาหารจาก
ผลิตภัณฑ์สัตว์ทุกชนิดจึงต้องระมัดระวังในการวางแผนการรับประทาน เพื่อให้ได้สารอาหาร
หลักๆ เช่น แคลเซียม ธาตุเหล็ก ธาตุสังกะสี และวิตามินบี 12 อย่างเพียงพอ เพราะสารอาหาร
ดังกล่าวมักพบมากในอาหารประเภทเนื้อสัตว์
49
แนวโน้มของผลิตภัณฑ์อาหารมังสวิรัติ
ในประเทศสหรัฐอเมริกาคาดว่าตลาดของอาหารมังสวิรัติในปี ค.ศ. 2002 มีมูลค่าสูงถึง
1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี ค.ศ. 1996 ซึ่งมีมูลค่าเพียง 310 ล้านเหรียญสหรัฐ
และคาดว่าในปี ค.ศ. 2006 มูลค่าตลาดอาหารมังสวิรัติในสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 2
เท่าคือ 2,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนในประเทศแคนาดาพบว่ามีมูลค่าตลาดจากปี ค.ศ. 2201
เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า
ปั จ จุ บั น มี ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ อ าหารมั ง สวิ รั ติ ใ หม่ ๆ ออกมาในตลาดตลอดเวลา เช่ น กลุ่ ม
ผลิตภัณฑ์อาหารและกลุ่มอาหารสะดวกซื้อ เป็นต้น ในกลุ่มอาหารมังสวิรัติที่เสริมสารอาหาร
ต่างๆ อาทิ นมถั่วเหลือง เนื้อสัตว์เทียม เต้าหู้ โปรตีนเกษตร น้ําผลไม้ ธัญพืชที่เสริมแคลเซียม
ธาตุเหล็ก สังกะสี วิตามินบี12 วิตามินดี และวิตามินบี2 เป็นต้น ส่วนกลุ่มอาหารมังสวิรตั สิ ะดวก
ซื้อ จะมี อ าหารแช่ แ ข็ ง มั ง สวิ รัติ นมถั่ ว เหลื อ ง เบอร์ เ กอร์ มั ง สวิ รั ติ และฮอทดอกมั ง สวิ รั ติ ใ น
ร้านอาหารทั่วไปเริ่มมีเมนูอาหารมังสวิรัติได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีต โดยพบว่าในตลาดสหรัฐอเมริกา
สามารถหาซื้ออาหารมังสวิรัติได้ท้ังในซูเปอร์มาร์เก็ตและตลาดสดในปริมาณที่ใกล้เคียงกันและ
ประมาณร้อยละ 75 ของยอดขายของนมถั่วเหลืองจะอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต (ชนิดา ปโชติการ
และคณะ, 2548)
ความเสี่ยงทางโภชนาการของผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติ
การบริโภคอาหารมัง สวิรั ติ อาจทําให้ ผู้บริ โภคมีภาวการณ์ขดสารอาหารบางอย่าง
ได้แก่ โปรตีน ไขมันบางชนิด วิตามิน และเกลือแร่ชิดต่างๆ ได้แก่ ธาตุเหล็ก วิตามินดี สังกะสี
วิตามินบี 12 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติแท้ ดังนั้นผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติควรมี
การวางแผนการรับประทานไว้อย่างดีเพื่อป้องกันการเกิดภาวการณ์ขาดสารอาหารดังกล่าว
การรับประทานอาหารมังสวิรัติ โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติแท้ อาจมีการ
ขาดสารอาหารชนิดต่างๆ ได้ดังนี้
1. ธาตุเหล็ก
อาหารจากพืชจะมีธาตุเหล็กชนิดนอนฮีม (Non-heme Iron) เท่านั้น ซึ่งธาตุ
เหล็กชนิดนอนฮีมจะมีความไวต่อตัวขัดขวางหรือตัวเสริมการดูซึมมากกว่าเหล็กชนิดฮีม (heme
Iron) ดังนั้นแม้ว่าในอาหารมังสวิรัติจะมีปริมาณธาตุเหล็กมากกว่าอาหารที่ไม่ใช่มังสวิรัติ แต่ชาว
มังสวิรัติจะมีระดับธาตุเหล็กในเลือดต่ํากว่าเพราะธาตุเหล็กจากพืชจะถูกดูดซึมได้น้อยกว่า แต่
พบว่ากลุ่มมังสวิรัติและไม่ใช่มังสวิรัติจะมีอัตราการเกิดโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กไม่
แตกต่างกัน เนื่องจากวิตามินซีจากผักและผลไม้สามารถช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กชนิดนอน
50
ฮีมได้ ดังนั้นการรับประทานอาหารมังสวิรัติที่มีปริมาณวิตามิซีสูงซึ่งจะช่วยการดูดซึมธาตุเหล็ก
จึงช่ วยลดปัญหาดังกล่าวลงได้ อาหารที่มี วิต ามิน ซีสู ได้แก่ ส้ม น้ํามะเขือเทศ ฝรั่ง มัน ฝรั่ ง
บร็อคโคลี กะหล่ําปลี เป็นต้น
2. แคลเซียม
พบว่ากลุ่มมังสวิรัติแท้น้ันจะมีปริมาณการได้รับแคลเซียมจากสารอาหารน้อย
กว่ามังสวิรัติกลุ่มอื่นๆ ชาวมังสวิรัติที่รับประทานไข่และนม มักได้รับปริมาณแคลเซียมมากกว่า
หรือเท่ากับกลุ่มที่เป็นมังสวิรัติแท้ อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า ชาวมังสวิรัติอาจมีความต้องการ
แคลเซียมที่ต่ํากว่ากลุ่มที่รับประทานเนื้อสัตว์ เพราะอาหารมังสวิรัติมีปริมาณโปรตีนต่ํากว่าและ
มีความเป็นด่างสูงกว่า ซึ่งมีผลกระทบต่อความต้องการแคลเซียมของร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นยัง
พบว่าในคนที่รับประทานอาหารที่มีโปรตีนและโซเดียมต่ํา รวมทั้งมีการออกกําลังกายอย่าง
สม่ําเสมอจะมีความต้องการแคลเซียมต่ํากว่าคนที่กินอาหารแบบตะวันตกและไม่ค่อยออกกําลัง
กาย ดังนั้นจะพบปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมานี้และผลจากพันธุกรรมทําให้มีความแตกต่างกันในด้าน
สุขภาพของกระดูกในแต่ละคน ซึ่งไม่ขึ้นกับปริมาณแคลเซียมที่รับประทานเข้าไป
หญิงชาวมังสวิรัติที่รับประทานอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมไม่เพียงพออาจมี
โอกาสเกิดโรคกระดูกพรุน ดังนั้นชาวมังสวิรัติจึงควรรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอกับความ
ต้องการของร่างกายในแต่ละช่วงวัยของชีวิต เช่น ในผู้ใหญ่มีความต้องการแคลเซียมประมาณ
1,000-1,200 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนผู้ที่มีอายุระหว่าง 9-18 ปี มีความต้องการแคลเซียม 1,300
มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อช่วยเสริมสร้างกระดูก ทั้งนี้แคลเซียมจะถูกดูดซึมได้ดีจากอาหารที่มาจาก
พื ช หลายชนิ ด และอาหารมั ง สวิ รั ติ จ ะมี ป ริ ม าณแคลเซี ย มเพี ย งพอต่ อ เมื่ อ อาหารดั ง กล่ า วมี
ส่วนประกอบที่มีปริมาณแคลเซียมสูง ส่วนการเสริมด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมหรือ
ยาแคลเซียมจะแนะนําเฉพาะชาวมังสวิรัติในรายที่ไม่สามารถรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมได้
อย่างเพียงพอได้
3. สังกะสี
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่า ชาวมังสวิรัติได้รับธาตุสังกะสีจากอาหารในปริมาณที่
น้อยกว่าหรือใกล้เคียงกับคนที่ไม่รับประทานอาหารมังสวิรัติ งานวิจัยส่วนใหญ่พบว่า ระดับ
สังกะสีในเส้นผม น้ําเลือด และน้ําลายของชาวมังสวิรัติอยู่ในระดับปกติ ธาตุสังกะสีพบมากใน
อาหารทะเล เนยถั่ว และถั่วเมล็ดแห้ง สังกะสีมีส่วนช่วยให้แผลหายเร็วและมีระบบภูมิคุ้มกันเป็น
ปกติ แต่สังกะสีในพืชจะมี Bioavailability ที่ต่ํา ดังนั้นชาวมังสวิรัติจึงควรได้รับธาตุนี้มากกว่า
ปริมาณที่ต้องการในแต่ละวัน (Recommended Dietary Allowance)
51
4. วิตามินดี
อาหารมังสวิรัติส่วนใหญ่เป็นอาหารที่มักขาดวิตามินดี เพราะแหล่งอาหารของ
วิตามินดีมาจากนมเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลืองและธัญพืช
เสริมวิตามินดีในท้องตลาด มีงานวิจัยพบว่าการได้รับแสงแดดมีผลอย่างมากต่อภาวะวิตามินดี
และการได้รับวิตามินดีจากอาหารมีบทบาทสําคัญต่อเมื่อได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ
5. วิตามินบีสิบสอง
แม้ว่าพืชบางชนิดจะมีวิตามินบี 12 อยู่บ้าง เช่น สาหร่ายสไปรูไรนา แต่ปริมาณ
มักไม่เพียงพอต่อความต้องการของชาวมังสวิรัติ ซึ่งโดยปกติวิตามินบี 12 จะพบมากในอาหาร
กลุ่มเนื้อสัตว์ งานวิจัยพบว่ากลุ่มมังสวิรัติที่รับประทานไข่และผลิตภัณฑ์นมก็ยังมีปริมาณของ
วิตามินบี 12 ในเลือดต่ํา จึงมีข้อเสนอให้มีการเสรอมด้วยอาหารเสริมวิตามินบี 12 เช่น นมถั่ว
เหลื อ งเสริ ม วิ ต ามิ น บี 12 หรื อ การได้ รั บ วิ ต ามิ น บี 12 ชนิ ด เม็ ด เสริ ม ในชาวมั ง สวิ รั ติ แ ท้ ที่ ไ ม่
รับประทานเนื้อสัต ว์ เลย แต่ เนื่องจากความต้ อ งการวิ ต ามิ น บี 12 มีน้ อยมากเพราะร่ างกาย
สามารถเก็บสะสมไว้และนําไปใช้ได้อีก ดังนั้นอาการของการขาดวิตามินบี 12 เช่น โรคโลหิตจาง
หรือปัญหาทางระบบประสาทเรื้อรังจะปรากฏล่าช้าหลายปี ในผู้สูงอายุแม้จีการดูดซึมวิตามินบี
12 ลดลง ดังนั้นชาวมังสวิรัติที่เป็นผู้สูงอายุจึงแนะนําให้เสริมวิตามินบี 12 ที่ระดับประมาณ 2.4
ไมโครกรัม ไม่พบอาการข้างเคียงของการได้รับวิตามินบี 12 เกินความต้องการของร่างกาย
หลังจากการรับประทานอาหารหรือจากการเสริม
6. ไขมันบางชนิด
ในอาหารส่วนใหญ่ยกเว้นปลา และไข่ มักจะขาดไขมันบางชนิด เช่น DHA (n-3
fatty acid docosahexaenoic acid) ดังนั้นชาวมังสวิรัติจึงมักมีโอกาสชาดกรดไขมันชนิดนี้ ถึงแม้
กรดไขมันที่จําเป็น alpha-linolenic acid สามารถเปลี่ยนเป็น DHA ได้แต่มีอัตราในการเปลี่ยนที่
ต่ํา และมักถูกรบกวนด้วยปริมาณการรับประทานของ linolenic acid (Omega-6 fatty acid) มี
คําแนะนําให้ชาวมังสวิรัติได้เสริมอาหารที่เป็นแหล่งของกรดไขมัน alpha-linolenic acid หรือ
Omega-3 fatty acid ที่รับประทานจากอาหาร
7. โปรตีน
ในคนปกติที่มีสุขภาพดีจะมีความต้องการโปรตีนประมาณ 50-63 กรัมต่อวัน
ถ้าชาวมังสวิรัติรับประทานพืชที่หลากหลายและในปริมาณที่เพียงพอตามพลังงานที่ต้องการต่อ
วันแล้ว โปรตีนจากพืชสามารถให้ปริมาณของกรดอะมิโนที่จําเป็นได้อย่างเพียงพอ แม้ว่าในพืช
บางชนิดจะมีปริมาณโปรตีนที่ต่ํากว่า จึงต้องมีการเพิ่มปริมาณของการรับประทานให้สูงขึ้น แต่
ทั้งนี้ขึ้นกับคุณภาพของโปรตีน เนื่องจากพบว่าการรับประทานโปรตีนของชาวมังสวิรัติแท้และ
52
บทบาทของการรับประทานอาหารมังสวิรัติต่อสุขภาพ
ปัจจุบันพบว่ามีการใช้อาหารมังสวิรัติซึ่งมีไขมันต่ําหรือไขมันชนิดอิ่มตัวต่ําเป็นส่วนช่วย
ในการเสริมสุขภาพ เพื่อลดปัญหาของผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ทั้งนี้เนื่องจาก
อาหารมังสวิ รั ติ มี ป ริ ม าณไขมัน อิ่ม ตัว น้ อ ย มี โ พเลทสู ง และสารต้ า นอนุ มู ลอิสระต่ างๆ เช่ น
วิ ต ามิ น ซี อี ปลุ่ ม แคโรที น อยด์ รวมทั้ ง สารพฤกษเคมี ต่ า ง (Phytochemical) ในบรรดาสาร
ดังกล่าวโฟเลทจะช่วยลดระดับของโฮโมซิสเทอีนในเลือดได้ จึงช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ และ
พบว่าการบริโภคอาหารมังสวิรัติไม่เพียงแต่อัตราการตายจากโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดต่ํา
กว่าเท่านั้น แต่ยังช่วยให้สภาวะของโรคดังกล่าวนั้นดึ้นอีกด้วย โดยส่วนใหญ่พบว่ากลุ่มผู้บริโภค
อาหารมังสวิรัติมักมีระดับคอเลสเตอรอลในเลือด (Total serum cholerterol) และระดับ LDL-C
(Low- density lipoprotein cholesterol) ในระดับที่ต่ํา และระดับ HDL-C (High- density
lipoprotein cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerride) แตกต่างกันในกลุ่มผู้บริโภคอาหาร
มังสวิรัติในแต่ละประเภท
ชาวมัง สวิ รั ติ มั ก มี แ นวโน้ ม มี ค วามดั น โลหิ ต สู ง น้ อ ยกว่ ากลุ่ ม ที่ ไ ม่ รั บ ประทานอาหาร
มังสวิรัติ ทั้งนี้น่าจะเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีปริมาณโซเดียมต่ํากว่าร่วมกับการบริโภค
ผักและผลไม้มากกว่า และการมีน้ําหนักตัวที่น้อยกว่า ในกลุ่มผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติจะ
พบการตายด้ ว ยโรคเบาหวานชนิ ด ที่ 2 น้ อ ยกว่ า กลุ่ ม ที่ ไ ม่ รั บ ประทานมั ง สวิ รั ติ ทั้ ง นี้ อ าจ
เนื่องมาจากชาวมังสวิรัติรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Carbohydrates) มากกว่า และมีค่า
ดัชนีมวลกาย(Body Mass Index) ที่ต่ํา นอกจากนี้ในกลุ่มที่ที่บริโภคมังสวิรัติจะพบอุบัติการณ์
ของการเกิดโรคมะเร็งลําไส้และปอดน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่รับประทานอาหารมังสวิรัติ ความเสี่ยง
ของการเดมะเร็งลําไส้ที่ลดลงนี้เกี่ยวข้องกับการเพิ่มการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหาร ผัก
และผลไม้มากขึ้น ชาวตะวันตกที่รับประทานอาหารมังสวิรัติยังไม่มีการสํารวจว่ามีอัตราการเกิด
มะเร็งเต้านมต่ําลงหรือไม่ แต่ในขอมูลเชิง Cross-cultural ได้ชี้ให้เห็นว่าในกลุ่มคนที่รับประทาน
อาหารที่มีพืชเป็นหลักจะมีอัตราการเกิดมะเร็งเต้านมต่ําลง ซึ่งการลดระดับของเอสโทรเจนใน
กลุ่มผู้หญิงชาวมังสวิรัติอาจเป็นการช่วยป้องกันการเกิดโรคดังกล่าว
53
การวางแผนการรับประทานอาหารมังสวิรัติที่ดีจะเป็นประโยชน์ในการป้องกันและรักษา
โรคไตด้วย โดยมีงานวิจัยทั้งในคนและสัตว์พบว่า โปรตีนจากพืชบางชนิดจะช่วยเพิ่มอัตราการ
รอดชีวิต โดยลดโปรตีนยูเรีย ลด glomerular filtration rate ลด renal blood flow และลดการ
ทํางานของเนื้อไตได้มากกว่ากลุ่มที่ไม่รับประทานอาหารมังสวิรัติ (ชนิดา ปโชติการ และคณะ,
2548)
ส่วนผลทางด้านจิตใจนั้นผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติมักมีสุขภาพจิตดี มีคุณธรรม เมตตา
ธรรม มีนิสัยสุขุมรอบคอบในการประกอบกิจกรรมการงานทุกประเภท และมีความเครียดต่ํา
และการบริโภคอาหารมังสวิรัติยังถือว่าช่วยประหยัดในด้านเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพราะราคาของ
อาหารมังสวิรัติต่ํากว่าการเลือกบริโภคอาหารเนื้อสัตว์อย่างเห็นได้ชัด
อาหารสมุนไพรกับสุขภาพ
อาหาร มีความสําคัญกับชีวิตมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นความต้องการพื้นฐานหนึง่ ใน
ปัจจัยสี่ การรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ก็จะสามารถป้องกันการเกิดโรคบางอย่างได้
ดังนั้นเราจึงต้องเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะกับความต้องกรของร่างกาย เพื่อเสริมสร้างให้
ร่างกายแข็งแรง
สมุนไพร (Herbs) หมายถึง ผลผลิตจากธรรมชาติที่ได้จากพืช สัตว์ และแร่ธาตุ ซึ่งใช้
เป็นยาหรือผสมกับสารอื่นตามตํารับยาเพื่อบําบัดโรค บํารุงร่างกาย เช่น กระเทียม น้ําผึ้ง เขา
กวางอ่อน กํามะถัน เป็นต้น (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน, 2542, หน้า 1132)
ในพืชสมุนไพรจะมีสารประกอบทางเคมีที่มีคุณสมบัตใิ นการป้องกันและรักษาโรคบางโรค
ได้ เช่น แคโรทีนอยด์ ไลโคพีน ลูตีน เพกทิน เซลลูโลส ลิกนิน ไฟโทอีสโทรเจน ฟลาโวนอยด์ อินโล
เป็นต้น สารดังกล่าวเป็นสารที่สังเคราะห์ได้จากพืช แต่ละชนิดมีคุณสมบัติและมีผลต่อร่างกาย
แตกต่างกันไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและคุณสมบัติทางเคมี ชนิดและปริมาณของสารนั้น
สมุนไพรที่นิยมนํามาประกอบอาหารมีด้วยกันหลากหลายชนิด ในที่นี้จะขอยกตัวอย่าง
สมุนไพรที่นิยมนํามาใช้ในการประกอบ เช่น กระเทียม หอม ข่า ตะไคร้ ขมิ้น ขิง พริก พริกไทย
กะเพรา โหระพา
อาหารสมุนไพร หมายถึง อาหารซึ่งเป็นพืชวัตถุ ได้แก่ พืช ผัก และผลไม้นานาชนิดซึ่ง
หาได้ตามพื้นเมือง สามารถปรุงแต่งรูปลักษณะ สี กลิ่น และรสให้น่ารับประทาน มีคุณค่าของ
สารอาหารครบถ้วน มีสรรพคุณทางด้านการส่งเสริมสุขภาพและการซ่อมเสริมสุขภาพได้ ถ้า
รู้จักเลือกรับประทานให้ถูกต้อง ถูกส่วน ถูกขนาด ถูกวิธี และถูกกับสภาพของร่างกายของ
ตนเอง (วรุณวรรณ ผาโคตร, 2548 หน้า 19)
54
สมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบในอาหาร
กระเทียม
กระเทียม (garlic) เป็นพืชที่มีลําต้นใต้ดินเป็นกระจุกเล็กๆ หัวกระเทียมเป็นส่วนกาบใบที่
สะสมอาหารแบ่งเป็นกลีบหลายกลีบ กระเทียมเป็นที่รู้จักกันดีในวงการแพทย์แผนโบราณมาช้า
นานว่ามีคุณค่าในการรักษาและป้องกันโรคได้หลายโรคอย่างมีประสิทธิภาพ
สรรพคุณทางยา สารประกอบสําคัญที่ให้สรรพคุณทางยาในกระเทียม ได้แก่ สาร
เมทิลแอลิลไตรซัลไฟด์ (methyl allyl trisulfide) สารอัลลิซิน (allicin) และน้ํามันหอมระเหย
กระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคกลากและโรคลิ้นเป็นฝ้า
ขาว นอกจากนี้กระเทียมมีสรรพคุณทางยา ดังนี้
1) กระเทียมช่ วยในการรักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้ออี กด้วย ซึ่งเป็นผลจาก
สาระสําคัญต่างๆในน้ํามันหอมระเหย ช่วยต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร โดยมีกลไกการ
ออกฤทธิ์เกี่ยวข้องกับการสร้างสารพรอสทาแกลนดิน (prostaglandin) ตามธรรมชาติ
2) กระเทียมมีฤทธิ์ท้ังรักษาและป้องกันไม่ให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง
โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โรคหลอดเลือดอุดตัน ที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาด
เลือด โดยกระเทียมช่วยลดปริมารณไขมันในเลือดได้ และลดการจับตัวของเกล็ดเลือดและสลาย
ไฟบริน
3) กระเทียมช่วยลดความดันเลือดและลดระดับน้ําตาลในเลือด
4) กระเทียมช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลําไส้ นอกจากนี้ยัง
สามารถป้ อ งกั น โรคหวั ด วั ณ โรค คอตี บ ปอดบวม ไทฟอยด์ มาลาเรี ย คออั ก เสบ และ
อหิวาตกโรคได้อีกด้วย
หัวหอมและต้นหอม
หัวหอม (onion) ทั้งหอมแดงและหอมใหญ่ เราเรียกว่า หัวหอม เป็นส่วนกาบใบของหอม
ที่สะสมอาหารจนอวบอ้วน มีลําต้นขนาดเล็กอัดแน่นอยู่ใต้ดินซึ่งจะมีรากฝอยงอกออกมาจํานวน
มากมาย ส่วนที่เรียกว่า “ต้นหอม (shallot)” นั้นส่วนสีขาวเป็นส่วนของก้านใบ และส่วนสีเขียว
เป็นส่วนตัวใบ หัวหอมและต้นหอมมีคุณค่าทางโภชนาการที่สําคัญ โดยเฉพาะเกลือแร่และ
วิตามินที่สําคัญ (ตารางที่ 2.3)
ขมิ้น
ขมิ้น (turmeric) มีหลายชนิด แต่ที่นํามาใช้เป็นอาหารมี 2 ชนิด ได้แก่ ขมิ้นชันและขมิ้น
อ้อย ขมิ้นที่ใช้ในการปรุงอาหารคือ ขมิ้นอ้อย ส่วนในทางยานิยมใช้ขมิ้นชัน ลักษณะของขมิ้นชัน
กับขมิ้นอ้อยมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก เป็นพืชล้มลุก มีลําต้นใต้ดินหรือเหง้า ประกอบด้วยแง่ง
หลัก ที่เรียกว่า “แง่งแม่” แขนงที่แตกออกมาจากแง่งแม่ ถ้ามีลักษณะกลม เรียกว่า “หัว” แต่ถ้า
มีลักษณะคล้ายนิ้วมือ เรียกว่า “นิ้ว” ขมิ้นชันจะมีเหง้าเล็กกว่าขมิ้นอ้อย มีกลิ่นหอม ใบเป็นใบ
เดี่ยวออกสลับกันอยู่รวมกันเป็นกอ งอกออกมาจากเหง้า ใบมีลักษณะเรียวยาวปลายใบแหลม
ขมิ้นชันมีใบยาวเรียวแหลมกว่าขมิ้นอ้อย ด้านล่างของใบมีเส้นใบเห็นได้ชัดเจน ออกดอกเป็นช่อ
โดยแทงออกมาจากเหง้ า บริ เ วณใจกลางกลุ่ ม ใบ ลั ก ษณะช่ อ ดอกคล้ า ยทรงกระบอก
ประกอบด้วยดอกย่อย ซึ่งดอกย่อยของขมิ้นชันมีสีเหลืองอ่อนหุ้มด้วยกลีบเลี้ยงหรือกลีบประดับ
สีเขียวอมชมพู ส่วนดอกย่อยของขมิ้นอ้อยมีสีขาว มีกลีบเลี้ยงสีชมพูอ่อนๆ พบได้ทุกภาคของ
ประเทศไทย ถิ่นกําเนิดของขมิ้นอยู่ในเขตร้อนของทวีปเอเชีย ประเทศอินเดีย จีน และหมู่เกาะ
อินเดียตะวันออกปัจจุบันมีการปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจอย่างแพร่หลายในเขตร้อน
สรรพคุณทางยา สาระสําคัญที่ให้สีพบในเหง้าขมิ้นชันมีน้ํามันหอมระเหยซึ่งเป็นน้ํามันสี
เหลือง ซึ่งมีชื่อว่า เซสควิเทอร์พี (sesquiterpene) พบประมาณร้อยละ 2-6 ในน้ํามันหอมระเหย
นี้ มี สารประกอบส่ ว นใหญ่ เ ป็น ทู มี โ รน (tumerone) นอกจากนี้ มี ส าร เออาร์ -เทอร์ มี โ รน(ar-
tumerone) อั ล ฟา-แอทเลนโทน (alpha-atlantone) ซิ ง จิ เ บอร์ รี น (zingiberene) บอร์ นี อ อล
(borneol) เป็นต้น ส่วนสารสีเหลืองส้ม มีชื่อว่า เคอร์คิวมิน (curcumin) สารคอร์คิวมินและน้ํามัน
หอมระเหยดังกล่าว ทําให้ขมิ้นมีสรรพคุณทางยาดังนี้
1) ขมิ้นมีฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร เนื่องจากสารสีเหลืองส้ม
ที่มีชื่อว่า เคอร์คิวมิน เป็นสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร มีฤทธิ์ลดการ
อักเสบและการกระตุ้นการหลั่งสารเมือก หรือ มิวซิน (mucin) ออกมาเคลือบกระเพาะ
2) ช่วยขับน้ําดีและคลายกล้ามเนื้อของอวัยวะภายในได้
3) ช่วยรักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อและช่วยบรรเทาอาการปวดท้องเนื่องจาก
แผลในกระเพาะอาหารได้
4) สารสกัดของขมิ้นมีฤทธิ์ต่อต้านการเจริญของเนื้องอกและเซลล์มะเร็ง ลด
ความไวของปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ลดระดับไขมันคอเลสเทอรอลในเส้นเลือดของสัตว์ทดลองได้
จึงเชื่อว่าสารสกัดจากขมิ้นอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ (สมเกียรติ
โกศลวัฒน์และคณะ, 2548, หน้า 34-35)
ขิง
ขิง (ginger) เป็นพืชล้มลุกมีลําต้นอยู่ใต้ดิน เรียกว่า “เหง้า” และ “แง่ง” แง่งจะแตก
แขนงออกมาคล้ายนิ้วมือ เนื้อในเป็นสีเหลืองแกมเขียว ใบสีเขียวใบเรียวแคบปลายแหลม ดอก
เป็นดอกช่อขนาดเล็กดอกสีเหลืองจะบานจากต้นไปหาปลาย ขิงชอบขึ้นในดินเหนียวปนทรายชุ่ม
ชื้นระบายน้ําได้ดี ใช้แง่งที่ชําเอามาปลูกโดยวางด้านที่แตกหน่อตั้งขึ้น ช่วงเวลาที่เก็บเกี่ยวในช่วง
อายุ 11-12 เดือน จีนเป็นชนชาติเก่าแก่ที่มีการใช้ประโยชน์จากขิงมายาวนาน แพทย์จีนโบราณ
จัดขิงเป็นพืชรสเผ็ดอุ่น ปัจจุบันขิงเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีการศึกษาวิจัย และใช้ประโยชน์อย่าง
กว้างขวาง เช่น จีนมีการศึกษาวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ของขิงพบว่าขิงแห้งช่วยให้กระเพาะ
อาหารแข็ ง แรง ทั้ ง ขิ ง สดและขิ ง แห้ ง มี ฤ ทธิ์ ด้ า นการคลื่ น ไส้ อ าเจี ย น จากการศึ ก ษาวิ จั ย ใน
ห้องทดลอง ยังพบว่าขิงมีฤทธิ์แก้ปวดและต้านการอักเสบ ญี่ปุ่นได้มีการนําขิงมาใช้ประโยชน์
ต่างๆเช่นเดียวกับจีน มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับขิงในญี่ปุ่นพบว่าขิงมีฤทธิ์บํารุงหัวใจ ลดความดัน
โลหิต ลดคอเลสเทอรอล อินเดียเป็นชาติหนึ่งที่มีการใช้สมุนไพรขิงอย่างแพร่หลาย การใช้ขิง
แห้งและขิงสดไม่แตกต่างกัน โดยใช้ขิงในการทาถูนวดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ใช้ขิงลด
58
ข่า
ข่า (galangal) เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียเขตร้อน เช่น อินเดีย ฟิลิปปินส์ ไทย กัมพูชา
ลาว และเวียดนาม นิยมปลูกตามบ้านเป็นพืชสวนครัวและเป็นยา ข่ามีลําต้นใต้ดิน ที่เรียกว่า
เหง้า และ แง่ง แง่งเป็นส่วนที่แยกออกมาจากเหง้า แง่งข่าเป็นส่วนที่เรานํามาทําเป็นเครื่องแกง
เช่นเดียวกับแง่งขมิ้นและขิงจะมีหน่อข่าเจริญออกมาจากแง่งข่า หน่อข่าอ่อนๆใช้เป็นผักปรุง
อาหารด้วย แง่งข่ามีรสชาติที่เผ็ดร้อน กลิ่นหอมฉุน โดยเฉพาะข่าแก่หรือเหง้า เพราะมีน้ํามัน
หอมระเหยต่ างๆ เช่ น ซิ นิออล (cineol) ยูจีน อล (eugenol) เคมเฟอรอล (kaemferol) การบูร
(camphor) และซินนามิคอัลดีไฮด์ (cinnamicaldehyde) เป็นต้น นอกจากนี้ข่าแก่ ข่าอ่อน และ
หน่อข่า มีคุณค่าทางโภชนาการต่างกัน (ตารางที่ 2.6)
พริก
พริก (chilli) มีถิ่นกําเนิดอยู่ในเขตร้อนของทวีปอเมริกา ชาวเม็กซิกันมีการปลูกพริกไว้
รับประทานกันมานานหลายพันปีมาแล้ว การเดินทางของพริกเริ่มเมื่อโคลัมบัสได้ค้นพบทวีป
อเมริ กาแล้ว ตอนขากลับได้นําพริ กไปเผยแพร่ใ นยุโรปทั้งในอังกฤษและโปรตุเกส แล้วชาว
โปรตุเกสเป็นผู้นําเอาพริกไปปลูกในทวีปเอเชียทั้งในจีน อินเดีย ญี่ปุ่น จีนโดยเฉพาะมณฑล
เสฉวน พริกที่มีอยู่ทั่วโลกนั้นมีสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน แล้วแต่ความเหมาะสมหรือความนิยมของ
ท้ องถิ่น นั้ น ๆ สํา รับ อาหารของครอบครัว ไทยนั้ น มี พ ริ ก เป็ น เครื่องปรุ งอยู่ ด้ วยเสมอ พริ ก มี
สารสําคัญที่เรียกว่า แคปไซซิน (capsaicin) มีชื่อทางเคมีว่า 8-methyl-n-vanilly-6-noneade
ซึ่งเป็นตัวการสําคัญที่ทําให้พริกเผ็ด บริเวณที่พบสารแคปไซซินในผลพริกนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ใน
ส่วนเยื่อแกนกลางสีขาวที่เราเรียกว่า ไส้พริก หรือส่วนที่มีเมล็ดพริกเกาะติดอยู่ ส่วนของเนื้อผล
พริก เปลือกผล และเมล็ดจะมีสารแคปไซซินอยู่น้อยมาก ปริมาณของสารแคปไซซินจะมีความ
แตกต่างกันออกไปตามชนิดและสายพันธุ์ของพริก ในพริกขี้หนูมีสารแคปไซซินมากที่สุด คือ
เท่ากับ 18.2 มิลลิกรัมต่อพริก 1 กิโลกรัม รองลงมาได้แก่ พริกเหลือง พริกชี้ฟ้า ซึ่งมีสารแคปไซซิน
เท่ากับ 16.7 4.5 3.8 และ1.6 มิลลิกรัมต่อพริก1กิโลกรัม ตามลําดับ พริกที่มีสารแคปไซซิน
จะเผ็ดมาก พริกที่มีสารแคปไซซินน้อย อย่างไรก็ตามแม้ว่า พริกจะเผ็ดมากแต่ป ริม ณสาร
แคปไซซินก็ไม่ได้มีมากมายเพราะมีสารนี้เพียงเล็กน้อยก็ทําให้เผ็ดได้ สารแคปไซซินมีคุณสมบัติ
ละลายน้ําได้เพียงเล็กน้อย แต่ละลายได้ดีในไขมัน ดังนั้นเมื่อมีอาการเผ็ดจากการรับประทาน
อาหารที่มีพริก จึงมักนิยมดื่มเครื่องดื่มที่มีไขมัน เช่น ดื่มน้ํานม เพื่อช่วยให้ความเผ็ดลดลงได้
สารแคปไซซินนี้จะมีคุณสมบัติทนต่อความร้อนและความเย็น ดังนั้นการใช้ความร้อนในการปรุง
อาหาร การนําอาหารไปแช่เย็นหรือแช่แข็ง ก็จะไม่มีผลทําให้ความเผ็ดสูญเสเสียไปแต่อย่างใด
สารแคปไซซินนี้ทําให้พริกมีประโยชน์ต่อสุขภาพนานัปการ นอกจากนี้ สีเหลือง สีส้ม และสีแดง
ของพริก คือ สารจําพวกแคโรทีนอยด์ ซึ่งมีอยู่มากมายถึง 20 ชนิด ที่สําคัญได้แก่ บีตาแคโรทีน
ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ สารจําพวกแคโรทีนอยด์เป็นสารที่ไม่ละลายในน้ําแต่ละลายใน
ไขมันเช่นกัน ดังนั้นการใช้พริกในส่วนผสมของอาหารไม่ว่าจะหุงต้มนานๆ ก็ตาม สีของพริกก็ยัง
61
4) ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากมีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิด
มะเร็ง ได้แก่ สารแคปไซซิน สารบีตาแคโรทีน และวิตามินซี อยู่มาก วิตามินซียับยั้งการสร้าง
สารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน
ซึ่ง เป็ น โปรตี น ที่ ส ามารถหยุ ด การแพร่ ก ระจายของเซลล์ ม ะเร็ ง ได้ นอกจากนี้ วิ ต ามิ น ซี แ ละ
สารบีตาแคโรทีนยังมีคุณสมบัติช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์ ซึ่งเกิดจากอนุมูลอิสระ
(free radicals) ที่ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งไปในที่สุด วิตามินซีและ
สารบีตาแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังกล่าวจึงช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
5) ช่วยเสริมสร้างสุขภาพดีและอารมณ์สดชื่น เนื่องจากสารแคปไซซินซึ่งช่วยเสริมสร้าง
อารมณ์สดชื่น เนื่องจากสารนี้มีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสารเอนดอร์ฟิน
(endorphin) ขึ้น สารนี้มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้
ดีข้ึน ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินมากเท่านั้น ปกติร่างกายของ
คนร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกําลังกาย ซึ่งทําให้ผู้ออก
กําลังกายรู้สึกสดชื่น แจ่มใส เช่นเดียวกัน
6) ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เนื่องจากสารแคปไซซินในพริก จึงช่วยบรรเทาอาการ
เจ็บปวดได้ เช่น บรรเทาอาการปวดฟั น บรรเทาอาการเจ็บ คอ และการอักเสบของผิวหนัง
รวมทั้งอาการที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเก๊าท์ หรือ โรคข้ออักเสบ สารแคปไซซินยังช่วยลดอาการ
ปวดศีรษะและไมเกรนลงได้
นอกจากนี้ ก ารรั บ ประทานอาหารที่ มี พ ริ ก เป็ น ส่ ว นประกอบยั ง ช่ วยกระตุ้ น เซลล์ ใ น
กระเพาะอาหารให้มีการหลั่งของกรดเกลือมากขึ้น รวมทั้งทําให้เยื่อบุผนังกระเพาะอาหารมีเลือด
มาหล่อเลี้ยงมากกว่าปกติ เนื่องจากพริกจะไปกระตุ้นการบีบตัวและการคลายตัวของกระเพาะ
อาหาร ทําให้รับประทานอาหารได้มากขึ้นและพริกยังทําให้เจริญอาหารและขับลมอีกด้วย
พริกไทย
พริกไทย (pepper) เป็นไม้เถาเลื้อยยืนต้น ผลของพริกไทยมีลักษณะกลมเรียงตัวกันเป็น
พวงอัดแน่นอยู่กับช่อ มีรสเผ็ดร้อน ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกจะมีสีส้มแดง ผลที่นํามาใช้มี 2 ชนิด
คือ พริกไทยดํา (black pepper) และพริกไทยล่อนหรือพริกไทยขาว (white pepper) พริกไทยดํา
ทําได้โดยเก็บผลพริกไทยที่โตเต็มที่มีสีเขียวแก่แต่ยังไม่แก่จัดมาตากจนแห้ง ซึ่งจะได้พริกไทยดํา
เหี่ยว ส่วนพริกไทยล่อนคือ การเก็บผลพริกไทยที่เริ่มสุกมาแช่น้ําแล้วนํามานวดเพื่อลอกเปลือก
ออก แล้ ว ตากแดด จะได้ ผ ลพริ ก ไทยที่ มี สี ข าวนวล พริ ก ไทยแก่ กั บ พริ ก ไทยอ่ อ นมี คุ ณ ค่ า
ทางโภชนาการต่างกัน (ตารางที่ 2.8)
63
ตะไคร้
ตะไคร้ (lemon grass) เป็นพืชล้มลุกขึ้นรวมกันเป็นกอแน่น โดยมีเหง้าซึ่งเป็นลําต้นอยู่
ใต้ดิน ส่วนที่เห็นคล้ายลําต้นมีลักษณะยาวทรงกระบอกมีไขสีขาวปกคลุมนั้นคือ กาบใบ ตะไคร้
มีกลิ่นหอม ตะไคร้เป็นพืชอาหารสสมุนไพรของไทยที่ให้กลิ่นหอมมาช้านาน ตะไคร้และกลิ่นของ
ตะไคร้จึงให้ความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทยโดยแท้ ตะไคร้มีสารเคมีจําพวกน้ํามันหอม
ระเหย (volatile oil)
สรรพคุ ณ ทางยา เนื่ อ งจากตะไคร้ มี น้ํ า มั น หอมระเหยในเหง้ า และกากใบ ซึ่ ง
ประกอบด้ ว ยสารซิ ท ราล (citral) ยู จี น อล (eugenol) เจอรานิ อ อล (geraniol) ซิ โ ทรเนลลอล
(citronellol) เมอร์ซีน (myrcene) การบูร (camphor) เป็นต้น ทําให้ตะไคร้มีสรรพคุณ ดังนี้
1) ช่วยลดความดันโลหิตสูง ขับเหงื่อ แก้หวัดลมเย็น ปวดศีรษะ
2) แก้อาการขัดเบา ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะเป็นเลือด
3) แก้อาการท้องอืด ท้ องแน่ น เฟ้ อ จุกเสี ยด ช่ วยขับ ลมในลํา ไส้ บรรเทาอาการไอ
รักษาอาการอ่อนเพลีย
64
4) ระงับอาการปวดเกร็งตามร่างกาย แก่อาการปวดเมื่อย
5) รักษาอาการข้อเท้าแพลง อาการปวดบั้นเอว
กระเพรา
กระเพรา (hole basil) เป็นพืชล้มลุกมีลักษณะเป็นพุ่ม ลําต้นเป็นสี่เหลี่ยม แตก
กิ่งก้านสาขามากมาย ใบเป็นรูปไข่ ขอบใบหยักเป็นซี่ฟัน ตามลําต้น ก่งก้านและใบมีขนอ่อนๆ ปก
คลุม ออกดอกเป็นช่อที่ยอดหรือปลายกิ่ง ดอกมีสีม่วงแดง เมล็ดมีสีดํา กระเพรามีสองพันธุ์ คือ
กระเพราขาว (Sri tulsi) ซึ่งมีลําต้นและใบสีเขียว และกระเพราแดง (Krishna tulsi) มีลําต้นและใบสี
แดงม่วง ใบกระเพรามีคุณค่าทางโภชนาการเด่น คือ มีบตี า้ แคโรทีนมาก (ตารางที่ 2.10)
โหระพา
โหระพา (sweet basil) เป็นพืชที่มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ เช่น ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุส้ัน มีความสูงของทรงพุ่มไม่
เกิน 60 เซนติเมตร ลําต้นเป็นรูปสี่เหลี่ยม ก้านใบและลําต้นมีสีม่วงแดง ใบสีเขียว ใบเป็นรูปหอก
ยาวประมาณ 1 – 3 นิ้ ว มี ก ลิ่ น หอม ออกดอกเป็ น ชั้ น คล้ า ยฉั ต ร ดอกสี ข าว ม่ ว งหรื อ ชมพู
โหระพาสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิดที่มีความชื้นสม่ําเสมอ ต้องการแสงแดด
เต็มที่ตลอดวันและสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี โหระพาเป็นเครื่องปรุงแต่งกลิ่นอาหาร ช่วยให้
อาหารมีกลิ่นหอมมีสารอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก
วิตามินเอ บี1 บี2 วิตามินซี คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เป็นต้น (ตารางที่ 2.11)
ตําลึง
ตําลึง (ivygournd) ตําลึงเป็นไม้เถาล้มลุกอายุหลายปีเถาแก่ของตําลึงจะใหญ่และแข็ง
เถาตําลึงจะมีลักษณะกลม สีเขียว ตามข้อมีหนวดเอาไว้ยึดเกาะ ใบเป็นเดี่ยวออกแบบสลับ ใบ
รูปร่างคล้าย 5 เหลี่ยม ขอบใบเว้าเล็กน้อย บางครั้งจะเว้ามากใบสีเขียวเรียบไม่มีขน ดอกเป็น
เดี่ยวออกจากบริเวณซอกใบ ดอกแยกเพศกันอยู่คนละต้น ดอกมีกลีบสีเขียวปลายดอกแยก
ออกเป็น 5 แฉก โคนตัดกันเป็นกรวยกลีบดอกสีขาว เกสรตัวผู้มี 3 อัน เกสรตัวเมียมี 1 อัน ผล
รูปร่างกลมรีคล้ายแตงแต่เล็กกว่า ผลดิบสีเขียว เมื่อแก่กลายเป็นสีแดง ตําลึงเป็นไม้กลางแจ้ง
พบขึ้นทั่วไปบริเวณริมรั้วที่รกร้าง ไร่ ส่วนการขยายพันธุ์ทําได้ 2 วิธี คือการเพาะเมล็ดและการ
ปักชําเถาแก่ ปลูกง่าย ไม่ต้องดูแลมากนัก ใบและเถาของตําลึงมีสรรพคุณทางยา ดังนี้
สรรพคุณทางยา ตําลึงทั้งลําต้น ใบ และราก มีสรรพคุณช่วยลดน้ําตาลในเลือด ใบ
และเถาของตําลึง รสเย็นเป็นที่เหมาะในการรับประทานช่วงฤดูร้อน จะช่วยผ่อนคลายความร้อน
มีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อนถอนพิษไข้
ถั่วพู
ถั่วพู (winged beens) เป็นพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่งมีลักษณะเป็นไม้เถาเลื้อยเถาแข็ง
และเหนียว ใบออกจากลําต้นแบบสลับ มีสีเขียว มีใบย่อย 3 ใบ รูปไข่ป้อม ดอกเป็ดอกย่อยสี
ขาวอมม่วง ฝักแบนเป็นเหลี่ยมมี 4 ปีก ตามความยาวของฝัก ภายในฝักมีเมล็ดกลมสีเขียว ถ้า
ฝักแก่จะมีเมล็ดสีน้ําตาลผิวมัน และขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ฝักอ่อนและยอดอ่อนและใบอ่อนของ
ถั่วพูเป็นฝักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ฝักอ่อนและใบอ่อนของถั่วพู มีคุณค่าทางโภชนาการ
เด่น ในด้าน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี วิตามินบี 1 โปรตีน (ตารางที่ 2.13) แต่ส่วนที่ให้
สรรพคุณทางยานั้นได้มีการใช้ส่วนรากของถั่วพู ซึ่งเป็นรากสะสมอาหาร ที่เรียกว่า หัวถั่วพู
สรรพคุณทางยา ใช้หัวถั่วพูเป็นยา แก้อ่อนเพลีย ช่วยบํารุงกําลัง และใช้เป็นยาระบาย
67
ผักบุ้ง
ผักบุ้ง (swamp morning glory) เป็นผักพื้นบ้านที่นิยมรับประทานกันใน
ชีวิตประจําวันโดยทั่วไป ผักบุ้งที่รับประทานมี 2 กลุ่ม คือ ผักบุ้งไทย กับผักบุ้งจีน ผักบุ้งไทยยัง
แย่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ผักบุ้งที่มีลําต้นและยอดสีแดงหรือเรียกว่าผักบุ้งนา เนื่องจากชอบขึ้น
ตามทุ่งนา มียางมาก เป็นผักบุ้งที่มีคุณค่าทางยามากกว่าชนิดอื่นๆ ผักบุ้งไทยอีกสายพันธุ์หนึ่ง
คือ ผักบุ้งน้ํา มีท้ังยอดสีแดงและสีเขียว แต่อวบใหญ่กว่า ผักบุ้งนา ส่วนผักบุ้งจีน จะมีลําต้นสี
เขียว อ่อนนุ่มกว่าผักบุ้งไทยลําต้นไม่ทอดยาวและมีใบมากกว่า ผักบุ้งจีน มักจะมีการปลูก พอ
เติบโต พอเหมาะสมจะนําไปใช้ประกอบอาหารได้ก็จะถอนราก แล้วมีการปลูกด้วยเมล็ดต่อไป
แต่ผักบุ้งไทยเป็นผักพื้นบ้านไทย ขึ้นได้ทั่วไปตามที่ช้ืน ตามแหล่งน้ําธรรมชาติ ตามท้องร่อง
เรือกสวน ไร่นา ลําคลอง ไนอง บึง ชาวบ้านมักอาศัยเก็บจากแหล่งน้ําดังกล่าวโดยไม่ต้องปลูก
ยิ่ ง เด็ ด ยอดมากก็ ยิ่ ง แตกยอดใหม่ เ พิ่ ม มากขึ้ น ผั ก บุ้ ง มี คุ ณ ค่ า ทางโภชนาการเป็ น ที่ รู้ จั ก กั น
โดยทั่วไป (ตารางที่ 2.14)
มะระ
มะระมี 2 ชนิด คือ มะระจีน และมะระขี้นก มะระจีน (bitter cucumber, Chinese)
และมะระขี้นก (bitter ground, Thai) เป็นผักประเภทผล ที่มีความขม คนนิยมกินมะระกันมากใน
ประเทศจีน รวมทั้งประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มะระที่มีต้นกําเนิดจากประเทศจีน เป็น
มะระผลใหญ่ ยาวอวบ ผิวขรุขระ เขียวอ่อนๆ นวลสวย เป็นผักผลตระกูลเดียวกับฟัก แฟง แตง
บวบ จีนมีมะระจีน นิยมต้มน้ําแกง ผักน้ํามัน คนไทยมีมะระขี้นกแต่เดิมเป็นผักพื้นบ้านเรียกว่า
ผักไห แล้วเพี้ยนเป็นผักไห่ ผลเล็กสีเขียวจัด รูปร่างเหมือนกระสวย เล็กกว่า เขียวกว่า ขมกว่า
มะระจีนหลายเท่า นิยมลวกกินกับน้ําพริก มะระขี้นก มีชื่อเสียงในด้านสมุนไพรเพราะมีคนวิจัย
ว่า มีสารต้านมะเร็งและนําไปผสมกับสมุนไพรตัวอื่น มีฤทธิ์ต้านไวรัสเอดส์ รู้วิธีกิน และรู้ว่า
พืชผักสมุนไพรนั้น “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ความขมของมะระเกิดจากสารอัลคาลอยด์ชนิด
หนึ่งชื่อโมโมดิซิน (Momodicine) กระจายอยู่ทั่วทุกส่วนของมะระทั้งใบ ยอด และผล แสดงถึง
ความเปี่ ย มล้ น ไปด้ ว ยคุ ณ ค่ า ทางอาหารและสรรพคุ ณ ทางยาของมะระ มะระมี คุ ณ ค่ า ทาง
โภชนาการสูงในด้านเกลือแร่และวิตามิน เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไนอาซินและบีต้าแคโรทีน
โดยเฉพาะผลอ่อนของมะระขี้นกให้วิตามินซีและบีต้าแคโรทีนสูง (ตารางที่ 2.15)
สรรพคุณทางยา มะระมีความขมของมะระเกิดขึ้นจากสารอัลคาลอยด์ชนิดหนึ่งชื่อ
โมโมดิซิน (Momodicine) ซึ่งรสขม เป็นความขมที่เป็นยา
69
มะเขือเทศ
มะเขือเทศ (tomato) เป็นพืชล้มลุกอายุ 1 ปี เติบโตเร็ว ลําต้นมีขนปกคลุม มีกลิ่น
เฉพาะตัว ใบหยักเว้าลึกดอกสีเหลืองรูปดาว ผลฉ่ําน้ํา ผลอาจมีรูปร่างกลมหรือรี สีเหลืองส้ม
หรือแดง มะเขือเทศเป็นแหล่งวิตามิน A B C E และ ธาตุ โพแทสเซียม มะเขือเทศ (tomato) เป็น
ผักประเภทผล มะเขือเทศจะมีรสชาติที่อร่อย มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งพบว่าเหล่งสําคัญของ
สารไลโคปีน ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระมีผลลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้ และมะเขือเทศ
ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมนด้านบีต้าแคโรทีนและวิตามินซีอีกด้วย (ตารางที่ 2.16)
การรับประทานอาหารของคนไทยในอดีตนิยมนําเอาพืชผักสมุนไพรมาปรุงเป็นอาหาร
ด้วยความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องธาตุ ในอาหารไทยจึงมีหลายรสชาติและสามารถสอดคล้องกับธาตุ
เจ้าเรือนหรืออาการของโรค
อาหารประจําธาตุเจ้าเรือน
ตามหลักทฤษฎีการแพทย์แผนไทย กล่าว่า คนเราเกิดมาในร่างกายประกอบด้วยธาตุท้ัง
สี่ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุลม ธาตุไฟ ซึ่งในแต่ละคนจะมีธาตุเด่นเป็นธาตุประจําตัว เรียกว่า
“ธาตุเจ้าเรือน”
ธาตุเจ้าเรือน หมายถึง องค์ประกอบของธาตุท้ัง 4 ที่รวมกันอย่างปกติ แต่จะมีธาตุ
อย่างใดอย่างหนึ่งเด่น หรือมากกว่าธาตุอื่นๆ ซึ่งเป็นบุคลิกลักษณะและอุปนิสัยติดตัวมาตั้งแต่
เกิด หรือเรียกอันัยหนึ่งว่า “ธาตุกําเนิด” ภายหลังอาจเปลี่ยนแปลงได้เนื่องจากพฤติกรรมการ
เลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อม ในทฤษฎีแพทย์แผนไทยได้ให้ความหมายของชีวิตว่า “ชีวิต คือ ขันธ์ 5
อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ และร่างกาย ประกอบด้วยธาตุท้ัง 4 ได้แก่
ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุ ลม และธาตุไ ฟ” การวิเคราะห์ธาตุเจ้าเรือนของแต่ละยุคคล สามารถ
วิเคราะห์ได้ตาม วัน เดือน ปีเกิด แบบไทย ได้ดังนี้
71
ธาตุไฟ
คนธาตุ ไ ฟ มั ก เป็ น คนที่มี รู ป ร่ า งผอม ผิ วคล้ํา ตกกระ กล้ า มเนื้ อ กระดู ก หลวม ควร
รับประทานผักและผลไม้พื้นบ้านที่มีรสขม เย็น จืด เช่น บัวบก มะระ มะรุม สะเดา ผักบุ้ง ตําลึง
สายบัว แตงกวา คะน้า บวบ มะเขือ ผักกาดจีน เป็นต้น
ตัวอย่างอาหารปรับสมดุลธาตุไฟ เช่น แกงจืดตําลึง ผัดบวบ มะระผัดไข่ ผัดผักบุ้ง หรือ
อาหารที่ มี ร สจื ด อาหารว่ า ง เช่ น ซาหริ่ ม ไอศกรี ม น้ําแข็ง ไส เครื่องดื่ม เช่ น น้ํ า แตงโมปั่ น
น้ําเก็กฮวย เป็นต้น
การับประทานอาหารควรรับประทานอาหารให้หลากหลายครบทุกรสทั้ง 4 ธาตุ ไม่ควร
เลือกรับประทานเฉพาะรสใดรสหนึ่งตามธาตุเจ้าเรือนของตนเอง หรือธาตุที่เจ็บป่วยเท่านั้น
เนื่องจากร่างกายต้องการอาหารบํารุงธาตุท้ัง 4 ดังนั้นการรักษาสมดุลของร่างกายด้วยการใช้
พืชผักและสมุนไพรต่างๆ เป็นไปตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทยซึ่งเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่เน้น
องค์รวมและความเป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนไทยในอดีตที่ได้มีการศึกษาด้วยตนเอง
และถ่ายทอดสืบต่อกันมานาน ในสมัยก่อนมีการนําพืชสมุนไพรมาปรุงเป็นอาหารด้วยความเชื่อ
เรื่องธาตุ อาหารพื้นบ้านไทยจึงมีหลายรสชาติและสามารถปรับให้สอดคล้องกับธาตุเจ้าเรือนได้
สรุป
อาหารเพื่อสุขภาพ กําลังเป็นอาหารที่ประชาชนให้ความสนใจมากขึ้น เป็นผลมาจาก
ความกังวลในเรื่องของปัญหาสุขภาพที่คนในสังคมกําลังเผชิญ โดยเฉพาะกลุ่มโรคไม่ติดต่อ
เรื้อรัง ได้แก่ โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง และโรคมะเร็ง เป็น
ต้น ซึ่งมูลเหตุสําคัญมาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม กินผักและผลไม้น้อย
บริโภคอาหารหวาน เค็ม มันมากเกินไป สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และออกกําลัง
กายไม่เพียง เหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงสําคัญที่ทําให้คนไทยประสบกับปัญหาสุขภาพดังกล่าว ดังนั้น
ในปัจจุบันจึงมีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องการบริโภคอาหารเพื่อการป้องกันและการบําบัดโรค
มากขึ้ น เช่ น กลุ่ ม อาหารฟั ง ก์ ชั น อาหารแมคโคไบติ ก ส์ อาหารมั ง สวิ รั ติ หรื อ กลุ่ ม อาหาร
สมุนไพร เป็นต้น
บทที่ 3
อาหารและโภชนาการสําหรับบุคคลวัยต่างๆ
ปัจจุบันคนไทยหันมาสนใจสุขภาพกันมากขึ้นมีการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกหลัก
โภชนาการ จากสถิติที่ผ่านมาพบว่าคนไทยและคนทั่วโลกมีอัตราการเสียชีวิตด้วยกลุ่มโรคเรื้อรัง
ที่ ไ ม่ ติ ด ต่ อ ได้ แ ก่ โรคหั ว ใจขาดเลื อ ด ภาวะไขมั น ในเลื อ ดสู ง โรคอ้ ว น โรคเบาหวาน และ
โรคมะเร็ง เป็นต้น สาเหตุที่สําคัญเกิดจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอาหาร การรับ
วัฒนธรรมการกินอาหารจากต่างประเทศ เป็นผลทําให้คนไทยมีปัญหาสุขภาพดังที่กล่าวมา
การรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่สมดุล มีปริมาณพลังงานและสารอาหารเพียงพอกับความ
ต้องการของร่างกายในแต่ละวัย รวมทั้งอาหารที่บริโภคนั้นมีความสะอาดปราศจากเชื้อโรคเป็น
แนวทางที่สําคัญในการป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้
โภชนาการและตํารับอาหารสุขภาพสําหรับหญิงตั้งครรภ์
หญิ ง ที่ มี ก ารตั้ ง ครรภ์ ร่ า งกายจะมี ก ารเปลี่ ย นแปลงทางด้ า นสรี ร วิ ท ยา มี ก ารสร้ า ง
เนื้อเยื่อต่างๆ มากขึ้นสําหรับรองรับการเจริญเติบโตของทารกรวมทั้งมีการทํางานของอวัยวะ
ต่างๆ ภายในร่างกาย ได้แก่ ตับ ไต หัวใจ รวมทั้งการทํางานต่อมไร้ท่อต่างๆ เพิ่มขึ้น มีผลทําให้
หญิ ง ที่ อ ยู่ ใ นภาวะตั้ ง ครรภ์ ต้ อ งการสารอาหารเพิ่ ม มากขึ้ น ตั้ ง แต่ ก่ อ นตั้ ง ครรภ์ ในระหว่ า ง
ตั้งครรภ์ และหลังการคลอดบุตร การได้รับอาหารในปริมาณที่ไม่เพียงพอมีโอกาสเสี่ยงต่อการ
ขาดสารอาหารและอาจมีปัญหาด้านสุขภาพอื่นๆ ตามมา ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการ
เจริญเติบโตของทารกในครรภ์ หากแต่การเอาใจใส่ดูแลด้านอาหารและโภชนาการที่ดีจะช่วย
ส่งเสริมให้สุขภาพของแม่และทารกมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง
ปริมาณพลังงานและสารอาหารที่หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับ
ในระหว่างที่มีการตั้งครรภ์เป็นช่วงที่ร่างกายมีการปรับสภาวะต่างๆ เพื่อให้สามารถที่จะ
เลี้ยงดูตัวอ่อนที่ฝังตัวอยู่ที่มดลูกให้เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ ระยะเวลาของการตั้งครรภ์ 9
เดือนนั้น จําเป็นอย่างยิ่งที่แม่ควรจะได้รับสารอาหารที่เพียงพอและมีคุณภาพ เพื่อส่งเสริมให้
ร่างกายสามารถสร้างเนื้อเยื่อรองรับทารกในครรภ์ ซึ่งปริมาณพลังงานและสารอาหารที่ควร
ได้รับมีดังนี้
74
1. ความต้องการพลังงาน
ในขณะที่ ต้ั ง ครรภ์ มี ค วามจํ า เป็ น ที่ แ ม่ ต้ อ งได้ รั บ พลั ง งานเพิ่ ม มากขึ้ น เพื่ อ การ
เสริมสร้างอวัยวะต่างๆ ของทารก เนื้อเยื่อของแม่ ปริมาณพลังงานที่ต้องการเพิ่มมากขึ้นจาก
ปกติ 300 กิโลแคลอรี ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ์ ทั้งนี้เนื่องจากทารกในครรภ์
เติบโตรวดเร็วมากในระยะนี้ ทําให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายต้องทํางานเพิ่มขึ้น เป็นผลให้ความ
ต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นด้วย
อาหารที่ให้พลังงานที่หญิงตั้งครรภ์ได้รับควรมาจาก คาร์โบไฮเดรตจากข้าว แป้ง
เผือก มัน ธัญพืช โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ปลา ถั่วต่างๆ ไขมันจากพืชและสัตว์ สําหรับวิตามินและ
เกลือแร่ได้จากการกินผักและผลไม้รวม ซึ่งการใช้พลังงานของร่างกายสําหรับหญิงตั้งครรภ์ควร
ใช้ พ ลั ง งานจากการเผาผลาญกรดไขมั น และกลู โ คส สํ า หรับ โปรตี น ไม่ ค วรนํ า มาเป็ น แหล่ ง
พลังงานแต่ควรใช้เพื่อการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เอนไซม์ และฮอร์โมน เป็นต้น
2. ความต้องการโปรตีน
ร่างกายมีความจําเป็นต้องได้รับโปรตีนเพิ่มมากขึ้น เพื่อใช้ในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อ
ต่างๆ ทั้งของแม่และทารก ความต้องการโปรตีนจะสูงที่สุดในระยะ 3 เดือนก่อนคลอด เพราะ
เป็นระยะที่ทารกเจริญเติบโตเร็วมาก จึงต้องการโปรตีนเพื่อสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ ปริมาณโปรตีน
และพลังงานที่แม่ได้รับในระยะตั้งครรภ์มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของสมองทารกเป็นอย่าง
มาก โดยเฉพาะในระยะ 3 เดือนก่อนคลอดจนถึง 6 เดือนหลังคลอด เป็นระยะที่เซลล์สมองมี
การแบ่งตัวและเจริญเติบโตเร็วที่สุด ดังนั้นถ้าแม่ได้รับโปรตีนและพลังงานไม่เพียงพอในระยะนี้
ทารกจะมีจํานวนเซลล์สมองน้อย และเซลล์สมองมีขนาดเล็ก ทําให้ทารกมีสมองเล็กกว่าปกติ
สติ ปั ญ ญาต่ํ า เรี ย นรู้ ช้ า เป็ น ผลเสี ย ต่ อ สติ ปั ญ ญาของเด็ ก ตลอดไป ดั ง นั้ น สภาอาหารและ
โภชนาการแห่งสหรัฐอเมริกาจึงได้แนะนําให้หญิงตั้งครรภ์กินอาหารโปรตีนเพิ่มขึ้นจากที่กินอยู่
ในภาวะปกติ อีก 20 กรัม คณะกรรมการจัดทําข้ อกําหนดสารอาหารที่ควรได้ รั บประจําวั น
สําหรับคนไทย ได้แนะนําให้หญิงตั้งครรภ์ กินอาหารโปรตีนเพิ่มขึ้นจากภาวะปกติ 25 กรัม ทั้งนี้
เพราะโปรตีนที่คนไทยได้รับส่วนใหญ่มาจากข้าวซึ่งเป็นโปรตีนไม่สมบูรณ์หรือให้ได้รับโปรตีน
ประมาณ 1.5 กรัม ต่อน้ําหนักตัว 1 กิโลกรัมและประมาณ 2 ใน 3 ของโปรตีนที่ได้รับควรเป็น
โปรตีนที่ได้จากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ และผลิตภัณฑ์ ไข่เป็ด ไข่ไก่ ไข่นกกระทา น้ํานมและ
ผลิตภัณฑ์จากนม และถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ ให้มากขึ้น
3. ความต้องการวิตามิน
วิตามินช่วยให้การทํางานในร่างกายเป็นปกติและมีความสําคัญต่อการทํางานของ
อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย หญิงตั้งครรภ์จึงควรกินอาหารที่มีปริมาณวิตามินให้เพียงพอ เพื่อให้
75
คณะกรรมการจัดทําข้อกําหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจําวันสําหรับคนไทย พ.ศ.
2546 ได้แนะนําให้มีการเสริมธาตุเหล็กในปริมาณ 60 มิลลิกรัมต่อวัน และเสริมธาตุเหล็กใน
ปริมาณ 120-180 มิลลิกรัมต่อวันสําหรับหญิงตั้งครรภ์ที่พบว่ามีอาการซีดร่วมด้วย แต่อย่างไร
ก็ดีเนื่องจากปัญหาการขาดธาตุเหล็กเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สําคัญในประเทศไทย ดังนั้นการ
เสริมธาตุเหล็กในรูปของยาจึง ยังมีความจําเป็นในหลายกลุ่ม ประชากร ในอาหารไทยทั่วไป
ประกอบด้วยธาตุเหล็กจากพืชเป็นหลัก ดังนั้นในการดูดซึมและนําไปใช้ประโยชน์ยงั อยู่ในอัตราที่
ค่อนข้างต่ํา เพียงร้อยละ 8-10 แหล่งอาหารที่มีธาตุเหล็ก ได้แก่ เครื่องในสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะ
ตับ ไต ม้าม ไข่แดง ผักใบเขียวต่างๆ ให้มากขึ้น
4.3 ไอโอดีน ไอโอดีนเป็นส่วนประกอบที่สําคัญของฮอร์โมนไธรอกซิน ซึ่งผลิตโดย
ต่อมไธรอยด์ การขาดหรือได้รับไอโอดีนไม่เพียงพอในระยะตั้งครรภ์จะส่งผลให้แม่เป็นโรคคอ
พอก ซึ่งมีความสําคัญต่อการควบคุมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตเพื่อให้ได้พลังงาน ในระยะ
ตั้งครรภ์มีความต้องการพลังงานมากกว่าปกติร่างกายจึงต้องมีการเผาผลาญอาหารมากกว่า
ปกติ ซึ่งฮอร์โมนดังกล่าวจึงมีความเกี่ยวข้องในการควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกายทั้งเซลล์
ร่างกายและเซลล์สมอง
คณะกรรมการจัดทําข้อกําหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจําวันสําหรับคนไทย
พ.ศ. 2546 ได้แนะนําหญิงตั้งครรภ์ควรได้รับไอโอดีนเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 50 ไมโครกรัม ซึง่
จะได้จากการกินอาหารทะเลต่าง ๆ เช่น ปลาทะเล หอยทะเล กุ้งทะเล นอกจากนี้ก็จะได้จาก
การกินเกลือที่ผสมไอโอดีน ซึ่งเรียกว่า “เกลืออนามัย” หญิงตั้งครรภ์ควรเลือกใช้เกลือชนิดนี้ใน
ปรุงอาหารทุกวันจะช่วยป้องกันการขาดไอโอดีนได้ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ห่างไกลจากทะเล เช่น ใน
ภาคเหนือ และภาคอีสาน
ผลจากการขาดไอโอดีนในแม่มีผลทําให้ทารกขาดไอโอดีนด้วย ทารกที่ขาด
ไอโอดีนอาจแท้งหรือตายระหว่างคลอด แต่ถ้ารอดชีวิตและเติบโตจะพบว่าทารกจะมีอาการ
ผิดปกติทางสมอง มีการพัฒนาทางด้านประสาทบกพร่อง และมีการพัฒนาการทางด้านร่างกาย
ต่ํา เรียกโรคนี้ว่า “โรคเอ๋อ”
4.4 ฟอสฟอรัส ทารกในครรภ์ต้องการฟอสฟอรัสควบคู่กับแคลเซียมในอัตราส่วน 1 : 1
ร่างกายจึงจะสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งฟอสฟอรัสจะทําหน้าที่ช่วยในการบํารุงกระดูกและ
ฟันให้แข็งแรง และมีประโยชน์ในการสร้างเซลล์ เนื่องจากฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบที่สําคัญ
ของกรดนิวคลิอิก ซึ่งมีความสําคัญต่อการส่งถ่ายพันธุกรรมและควบคุมเมตาบอลิซึมของเซลล์
อาหารที่มีฟอสฟอรัสมาก ได้แก่ ปลา ไข่ นม เนยและ ผักใบเขียวชนิดต่าง ๆ
80
5. ความต้องการน้ํา
หญิงตั้งครรภ์มีความต้องการน้ําเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเกิดการขยายตัวของปริมาณน้ํา
ภายนอกเซลล์ ความต้องการน้ําของทารกในครรภ์มารดาและปริมาณน้ําในถุงน้ําคร่ํา หญิงตั้งครรภ์
ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 จนถึงกําหนดก่อนคลอดมีความต้องการน้ําเพิ่มขึ้นอีก 300 มิลลิกรัมต่อวัน
ประเภทอาหารที่หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับ
หญิงตั้งครรภ์ควรกินอาหารให้รบทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ได้สารอาหารต่างๆ อย่างครบถ้วน
และเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย หญิงตั้งครรภ์ควรกินอาหารในปริมาณที่กําหนดไว้
ดังนี้
1. เนื้อสัตว์
หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับเนื้อสัตว์ในปริมาณที่เพียงพอทุกวัน เนื้อสัตว์ที่บริโภค ได้แก่
เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ ปลา และอาหารทะเลชนิดต่างๆ เช่น ปู หอย กุ้ง เป็นต้น โดยควรบริโภค
เนื้อสัตว์วันละ 210-250 กรัม (ประมาณ ¾ - 1 ถ้วยตวง) หรือประมาณมื้อละ 60 กรัม (4 ช้อน
โต๊ะ) วันละ 4 มื้อ
2. ถั่วเมล็ดแห้ง
ถั่วเมล็ดแห้ง ได้แก่ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดํา และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
เช่น นมถั่วเหลือง เต้าหู้ เป็นต้น อาหารกลุ่มนี้มีปริมาณโปรตีนมาก หญิงตั้งครรภ์ควรบริโภค
เป็นประจํา โดยสามารถนํามาปรุงประกอบเป็นอาหารคาวหรืออาหารว่างก็ได้ เช่น ถั่วเขียวต้ม
น้ําตาล เต้าฮวย เป็นต้น หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับถั่วเมล็ดแห้งประมาณวันละ 20 กรัม (ถั่วดิบ)
หรือถั่วสุกประมาณ ½ ถ้วยตวง
3. ไข่
ไข่ที่มีการบริโภคกันมาก ได้แก่ ไข่เป็ด และไข่ไก่ หญิงตั้งครรภ์ควรบริโภคไข่ทุกวัน
วันละ 1 ฟอง โดยจะบริโภคไข่ต้ม ไข่เจียว ไข่ดาว หรือนํามาผัดรวมกับอาหารชนิดอื่น
4. น้ํานม
น้ํานม เป็นอาหารมีคุณค่าทางโภชนาการสูง สารอาหารสําคัญที่มีในน้ํานม ได้แก่
โปรตีน แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินดี และวิตามินบี 2 หญิงตั้งครรภ์ควรดื่มน้ํานมอย่างน้อย
วันละ 1 แก้ว และสามารถเลือกดื่มน้ํานมถั่วเหลืองในกรณีที่มีปัญหาการแพ้นมวัว
5. ผักต่างๆ
หญิงตั้งครรภ์ควรบริโภคผักใบเขียวทุกวัน วันละ 2-3 ครั้งๆ ละประมาณ ½-1 ถ้วย
ตวง ผักที่ควรบริโภค เช่น ผักบุ้ง ผักตําลึง ผักคะน้า ผักโขม เป็นต้น และควรบริโภคผักสีเหลือง
เช่น ฟักทอง ดอกโสน เป็นต้น ประมาณสัปดาห์ละ 2 ครั้งๆ ละ ½-1 ถ้วยตวง การบริโภคผัก
81
นอกจากจะได้รับวิตามินและเกลือแร่ตามที่ร่างกายต้องการ ยังได้ใยอาหารที่ช่วยให้ระบบการ
ขับถ่ายทานได้ดีขึ้น
6. ผลไม้
หญิงตั้งครรภ์ควรบริโภคผลไม้สดทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง เพื่อให้ได้รับวิตามินชิด
ต่างๆ โดยเฉพาะวิตามินซี ผลไม้ที่หญิงตั้งครรภ์ควรบริโภคเป็นประจํา ได้แก่ ส้ม มะละกอสุก
ฝรั่ง สับปะรด เป็นต้น
7. ข้าว หรือ แป้ง
ได้แก่ ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ขนมจีน เส้นหมี่ เป็นต้น อาหารกลุ่มนี้เป็นอาหารกลุ่มที่ให้
พลังงาน ในระยะ 1-3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ร่างกายยังไม่ต้องการพลังงานเพิ่มมากขึ้น จึง
ยังไม่มีความจําเป็นต้องกินอาหารเหล่านี้เพิ่มขึ้น จนเมื่อตั้งครรภ์ในเดือนที่ 4 จึงค่อยๆ เพิ่ม
อาหารกลุ่มข้าว แป้ง แต่ท้งั นี้ให้เหมาะสมกับกิจกรรมของหญิงตั้งครรภ์ในแต่ละคน แ
8. ไขมัน หรือ น้ํามัน
ไขมันหรือน้ํามัน เป็นกลุ่มอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายมากกว่าสารอาหารชนิด
อื่นในปริมาณที่เท่ากัน และยังมีหน้าที่ช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันได้ หญิงตั้งครรภ์
ได้รับไขมันจากการบริโภคอาหารประเภททอด ผัด หรืออาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ
สารอาหาร
ชุดที่ รายการอาหาร พลังงาน โปรตีน
(กิโลแคลอรี) (กรัม)
ภาคกลาง
1 ข้าวสวย เต้าหู้ทรงเครื่อง แตงโม 600 20
2 ข้าวผัดทะเลไทย สับปะรด 570 17
3 ข้าวราดหน้าปลาทรงเครื่อง มังคุด 605 16
4 ข้าวสวย ไก่ผัดขิง มะละกอสุก 604 17
ภาคเหนือ
5 ข้าวสวย แกงผักกาดไก่ มะละกอสุก 561 18
6 ข้าวเหนียวนึ่ง แกงขนุนอ่อน กล้วยหอม 614 16
7 ข้าวเหนียวนึ่ง ยําไก่ใส่หัวปี ส้มเขียวหวาน 548 17
8 ข้าวสวย แกงผักกาดไก่ มะละกอสุก 561 18
82
สารอาหาร
ชุดที่ รายการอาหาร พลังงาน โปรตีน
(กิโลแคลอรี) (กรัม)
ภาคใต้
9 ข้าวสวย ไก่กอ และ สับปะรด 626 20
10 เต้าคั่ว กล้วยไข่เชื่อม 718 22
11 ข้าวสวย แกงส้มปักษ์ใต้ กล้วยบวดชี 592 15
12 ข้าวสวย ปลากระบอกต้มส้ม กล้วยต้มจิ้มมะพร้าว 570 19
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
13 ข้าวเหนียวนึ่ง ปลานึ่งกับผัก กล้วยเชื่อมราดกะทิ 594 20
14 ผัดหมี่ แตงโม 653 17
15 ข้าวเหนียวนึ่ง แกงอ่อมไก่ ส้มเขียวหวาน 574 18
16 ข้าวเหนียวนึ่ง งบปลา ผักต้ม กล้วยไข่ 571 18
ตัวอย่างตํารับอาหารสําหรับหญิงตั้งครรภ์
ตํารับที่ 1 ข้าวกล้องผัดน้ําพริกเผาทะเล
ส่วนผสม
ข้าวกล้องหุงสุก 2 ถ้วยตวง
กุ้งสดแกะเปลือก 6 ตัว
ปลาหมึกหั่นเป็นชิ้น 100 กรัม
แครอทหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ¼ ถ้วยตวง
ข้าวโพดอ่อนหั่นตามขวาง ¼ ถ้วยตวง
ยอดหน่อไม้ฝรั่ง 5 ยอด
ถั่วแขกหั่นตามขวาง ½ ถ้วยตวง
น้ําพริกเผา 2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ํามันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
83
น้ําตาลทรายแดง 2 ช้อนชา
น้ําปลา 2 ช้อนชา
เกลือป่น ¼ ช้อนชา
วิธีทํา
1. นําข้าวคลุกสุกมาคลุกกับน้ําพริกเผาให้เข้ากัน พักไว้
2. ตั้งกระทะใส่น้ํามันพืช เจียวกระเทียมให้หอม ใส่เนื้อสัตว์ท้งั หมดลงไป ผัดจนกระทั่ง
เนื้อสัตว์สุก จากนั้นใส่ผัดลงผักให้เข้ากัน
3. นํ า ข้ า วที่ คลุ ก กั บ น้ํ า พริ ก เผาใส่ ล งไปผั ดคลุ ก เคล้ าให้ เ ข้ ากั น อี ก ครั้ ง ปรุ ง รสด้ ว ย
น้ําตาลทราย น้ําปลา และเกลือ ผัดจนส่วนผสมกัน ตักเสิร์ฟใส่จาน
ตํารับที่ 2 ราดหน้าหมูสับ
ส่วนผสม
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 250 กรัม
เนื้อหมูสับ 150 กรัม
หอมหัวใหญ่หั่นสี่เหลี่ยม ½ ถ้วยตวง
มะเขือเทศหั่นสี่เหลี่ยม 1-2 ลูก
แครอทหั่นสี่เหลี่ยม ¼ ถ้วยตวง
เมล็ดถั่วลันเตาต้มสุก 3 ช้อนโต๊ะ
ฟักทองหั่นสี่เหลี่ยมต้มสุก ¼ ถ้วยตวง
น้ําซุปผัก 2 ถ้วยตวง
ตังฉ่าย 2 ข้อนโต๊ะ
น้ํามันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วดํา ½ ช้อนชา
น้ําตาลทรายแดง ½ ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น ½ ช้อนชา
แป้งข้าวโพดละลายน้ํา 3-4 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น ¼ ช้อนชา
ผักกาดหอม ตามชอบ
84
วิธีทํา
1. นําเส้นก๋วยเตี๋ยวคลุกเคล้ากับซีอิ๊วดําให้ทั่วกัน นําเส้นก๋วยเตี๋ยวไปคั่วในกระทะ (ใส่
น้ํามันพืชเล็กน้อย) พอเส้นสุกตักใส่จานพักไว้ เมื่อเส้นเย็นให้นําไปจัดในจานที่รองด้วย
ผักกาดหอม
2. เจียวกระเทียมกับน้ํามันพืชพอหอม ใส่หอมใหญ่และหมูสับลงไปผัดให้เข้ากัน ตาม
ด้วยตังฉ่าย มะเขือเทศ แครอท เมล็ดถั่วลันเตา ฟักทอง ปรุงรสด้วยเกลือ ซีอิ๊วขาว น้ําตาล
ทราย ชิมรสตามชอบ
3. จากนั้นเทน้ําซุปลงไปแล้วเร่งไฟให้น้ําซุปเดือด ใส่แป้งข้าวโพดแล้วผัดให้เข้ากันจน
เหนียว เสร็จแล้วตักราดบนเส้นใหญ่ที่เตรียมไว้ในจาน โรยด้วยพริกไทยป่นเล็กน้อยตามชอบ
ตํารับที่ 3 ราดหน้าเกี๊ยวกุ้ง
ส่วนผสมเกี๊ยวกุ้ง
แผ่นเกี๊ยว 15-20 แผ่น
เนื้อกุ้งสับยาบ ¼ ถ้วยตวง
เนื้อกุ้งบด ½ ถ้วยตวง
เนื้อหมูบด ½ ถ้วยตวง
น้ํามันงา 1-2 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
เกลือป่น ¼ ช้อนชา
พริกไทยป่น ¼ ช้อนชา
ส่วนผสมน้ําราดหน้า
เนื้อปู 50 กรัม
ยอดหน่อไม้รวก 7-8 ต้น
น้ําซุป 2½ ถ้วยตวง
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
มิโซะ ½ ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ําตาลทรายแดง ½ ช้อนชา
เหล้าจีน 2 ช้อนชา
แป้งข้าวโพดละลายน้ํา 3-4 ช้อนโต๊ะ
น้ํามันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
85
วิธีทํา
1. การทําเกี๊ยว ให้เริ่มจากการหมักเนื้อกุ้งสับ กุ้งบด หมูบด กับน้ํามันงา ซีอิ๊วขาว เกลือ
และพริกไทยป่นให้เข้ากัน พักไว้ในตู้เย็นประมาณ 20-30 นาที หลังจากนั้นตักส่วนผสมที่หมัก
เรียบร้อนแล้วตักใส่ลงบนแผ่นเกี๊ยวแล้วพับเป็นรูปทรงตามชอบ จากนั้นนําไปลวกหรือนําไปนึ่ง
จนสุกดี ยกลง คลุกเคล้ากับน้ํามันงาเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ติดกัน จัดลงจาน ราดด้วยน้าํ ราดหน้า
2. การทําน้ําราดหน้า เริ่มจากการผัดกระเทียมกับน้ํามันให้หอม เติมน้ําซุปลงไป ตาม
ด้วยมิโซะ (ละลายกับน้ําเล็กน้อย) ลงไป ตามด้วยเครื่องปรุงรสต่างๆ ให้เข้ากัน จากนั้นเร่งไฟให้
เดือด ใส่เหล้าจีนและเนื้อปู เทแป้งข้าวโพดที่ละลายน้ําลงไป คนเร็วๆ ให้ส่วนผสมเดือดข้นและ
เหนียว ใส่หน่อไม้ฝรั่ง คนให้เข้ากันอีกครั้ง แล้วนําไปตักราดบนเกี๊ยวกุ้งที่เตรียมไว้
อาหารที่หญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยง
ขณะตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ น้ําอัดลม เพราะมีสากาเฟอีนสูง หรือ
อย่ างมากสุดคื อดื่ม ได้ ไ ม่ เ กิ น 2 ถ้ วยต่ อวัน และไม่ค วรดื่ ม เครื่ องดื่ ม ที่ มี แอลกอฮอล์ทุ ก ชนิ ด
เพราะมีผลต่อโครงสร้างและการทํางานของสมองทาก ส่วนผลไม้เพื่อป้องกันเชื้อโรคควรเลือก
ดื่ ม พาสเจอร์ ไ รซ์ แ ล้ ว จะดี ก ว่ า ดื่ ม แบบสดๆ สํ า หรั บ ผั ก สด ควรล้ า งให้ ส ะอาดทุ ก ครั้ ง และ
เลือกรับประทานผักสดได้เกือบทุกชนิด ยกเว้นกะหล่ําปลีสดไม่ควรรับประทาน เพราะมีสาร
“กอยโทรเจน” (goitrogen) ซึ่งมีผลต่อต่อมไรอยด์ทําให้ไม่สามารถนําสารไอโอดีนมาใช้ในการ
สร้างฮอร์โมนไทร็อกซิน ทําให้เป็นโรคคอพอกและโรคเอ๋อในทารกแรกเกิด แต่สารกอยโทรเจน
จะสามารถสลายได้ดีเมื่อนําไปต้มให้สุก สําหรับเนื้อสัตว์ควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก
เพื่อป้องกันโรคพยาธิ
โภชนาการและตํารับอาหารสุขภาพสําหรับหญิงให้นมบุตร
ในระยะให้ น มบุ ต รแม่ จํ า เป็ น ต้ อ งได้ รั บ สารอาหารต่ า งๆ ตามที่ ร่ า งกายต้ อ งการใน
ปริมาณที่เพียงพอ เพื่อใช้ในการเสริมสร้างซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ ของแม่และเพื่อสร้างน้ํานมให้
ทารก ดังนั้นแม่จึงควรได้รับสารอาหารต่างๆ ให้เพียงพอ
ปริมาณพลังงานและสารอาหารที่หญิงให้นมบุตรควรได้รับ มีดังนี้
1. ความต้องการพลังงาน
อาหารที่ใ ห้ พ ลัง งานได้ แ ก่ คาร์ โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ในระยะให้นมบุ ต ร
ร่างกายจําเป็นต้องได้รับพลังงานเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในการผลิตน้ํานมสําหรับทารก ในแต่ละวันแม่
86
4. ความต้องการน้ํา
ในหญิงให้นมบุตรมีความต้องการน้ําใกล้เคียงกับปริมาณของน้ํานมแม่ที่หลั่งออกมา
ปริมาณของน้ําในน้ํานมแม่มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 87 และน้ํานมแม่ที่หลั่งออกมามีปริมาณเฉลี่ยวันละ
750 มิลลิลิตร ในระยะ 6 เดือนแรก ดังนั้น ปริมาณน้ําที่ต้องการเพิ่มขึ้นจากความต้องการของ
ผู้ใหญ่โดยปกติเพิ่มขึ้น 500 มิลลิลิตรต่อวัน ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ให้นมบุตร (ผู้ใหญ่หญิงที่มี
อายุ 19-70 ปี มีความต้องการน้ําวันละ 1,750-2,625 มิลลิลิตรต่อวัน)
ประเภทอาหารที่หญิงให้นมบุตรควรได้รับ
ปริมาณอาหารที่หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตรควรได้รั บต้องเพียงพอกับความ
ต้ อ งการของร่ า งกาย และควรจั ด อาหารให้ ค รบทั้ ง 5 หมู่ โดยพยายามให้ จั ด อาหารอย่ า ง
หลากหลายเพื่อให้ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน (ตารางที่ 3.3)
ปริมาณอาหาร
อาหาร
ผู้ใหญ่ หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นม
ข้อเสนอแนะ
ต่อวัน ต่อวัน บุตรต่อวัน
เนื้ อ สั ต ว์ ต่ า งๆ และ 150 – 180 กรัม 180 – 200 200 – 240 ควรกินอาหารทะเลอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
เครื่องในสัตว์สุก กรัม กรัม และกิ น ปลาหรื อ สั ต ว์ เ ล็ ก ๆ ที่ กิ น ได้ ทั้ ง กระดู ก
สัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง
ไข่เป็ด ไข่ไก่ น้ํานมสด 4-5ฟอง/ 1 ฟอง 1-2ฟอง
สัปดาห์
น้ํานมสด 0–1 1–2 2 ถ้วยตวงหรือ อาจใช้นมถั่ วเหลื องหรื อเครื่ องดื่มผสมนม เช่น
ถ้วยตวง ถ้วยตวง มากกว่า ไมโล โอวันติน
ถั่วเมล็ดแห้งต้มสุก ½ ½ ½-1 เป็นเต้าหู้ขาวหรือเต้าหู้แข็งก็ได้
ถ้วยตวง ถ้วยตวง ถ้วยตวง
ผักสีเขียว ½-1 1–2 2–3 ผักสดหรือผักสุกก็ได้
ถ้วยตวง ถ้วยตวง ถ้วยตวง
ผักสีเหลือง ½ ถ้วยตวง 1 ถ้วยตวง 1 ถ้วยตวง ประมาณสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
1. เนื้อสัตว์
หญิงให้นมบุตร ควรได้รับเนื้อสัตว์เพิ่มจากระยะตั้งครรภ์ 50-60 กรัม รวมเป็น
200-240 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 1 ¼ ถ้วยตวง เนื้อสัตว์ที่บริโภคเป็นชนิดใดก็ได้ เช่น เนื้อหมู
เนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อปลา และอาหารทะเล เป็นต้น
2. ไข่
ไข่ เป็นอาหารที่มีคุณภาพดี ร่างกายสามารถย่อยและสามารถดูดซึมได้ดี ทั้งยังมี
วิตามินเอและเหล็กมากด้วย หญิงให้นมบุตรควรกินไข่ทุกวัน จะเป็นไข่เป็ดหรือไข่ไก่ก็ได้
3. น้ํานม
หญิงให้นมบุตร ควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 2 ถ้วยตวง จะเป็นนมสด นมผง หรือนม
ถั่วเหลืองก็ได้
4. ถั่วเมล็ดแห้ง
ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง อาจจะทานในรูปถั่วเมล็ดแห้ง หรือผลิตภัณฑ์
ที่มีถั่วผสม
5. ผักต่างๆ
หญิ ง ให้ น มบุ ต ร ควรบริ โ ภคผั ก ให้ ม ากขึ้ น ทั้ ง ผั ก สี เ ขี ย วและสี เ หลื อ ง โดยควร
รับประทานวันละ 2-3 ถ้วยตวง
6. ผลไม้สด
หญิงให้นมบุตรควรกินผลไม้สดทุกวัน วันละ 2-3 ครั้ง และควรดื่มน้ําผลไม้แทน
น้ําหวาน ผลไม้ที่ควรบริโภคเป็นประจํา ได้แก่ มะละกอ สับปะรด ฝรั่ง เป็นต้น
7. น้ํามัน หรือ ไขมัน
หญิงให้นมบุตร ควรไดรับไขมันวันละ 31/2 – 4 ช้อนโต๊ะ
ตัวอย่างตํารับอาหารสําหรับหญิงให้นมบุตร
ตํารับที่ 1 แกงเลียงฟักทองกุ้งสด
ส่วนผสม
กุ้งสดแกะเปลือก 5-6 ตัว
ฟักทองหั่นชิ้นสี่เหลี่ยม 1½ ถ้วยตวง
บวบหั่นชิ้นขนาดพอคํา 1½ ถ้วยตวง
น้ําเต้า 1½ ถ้วยตวง
90
ตําลึง 1 ½ ถ้วยตวง
น้ําเปล่า 3 ½ ถ้วยตวง
ใบแมงลัก ½ ถ้วยตวง
น้ําปลา 1-2 ช้อนโต๊ะ
น้ําพริกแกงเลียง ¼ ถ้วยตวง
ส่วนผสมน้ําพริกแกงเลียง
เนื้อปลาแห้งย่าง ¼ ถ้วยตวง
พริกชี้ฟ้าขี้หนูสด 3 เม็ด
หอมเล็กซอย 3 ช้อนโต๊ะ
กะปิเผา 1 ช้อนชา
พริกไทยเม็ด 1 ½ ช้อนชา
เกลือป่น ¼ ช้อนชา
วิธีการทํา
1. การโขลกเครื่องแกงเลียง โขลกส่วนผสมของเครื่องแกงทุกอย่างให้เข้ากันจนละเอียด
จากนั้นใส่เนื้อปลาลงโขลกให้เข้ากันอีกครั้ง พักไว้สําหรับทําแกงเลียง
2. ละลายน้ําพริกแกงเลียงกับน้ําเปล่าแล้วไปนําไปตั้งไฟจนเดือด ใส่ฟักทอง พอฟักทอง
สุกใส่น้ําเต้า บวบ พอเดือดใส่กุ้งสด ปรุงรสด้วยน้ําปลา ชิมรสตามชอบ ใส่ใบตําลึง ใบแมงลัก
คนให้ผักสุก ยกลง ตักใส่ถ้วย รับประทานกับข้าวสวย ปลาแห้ง แตงโมหรือผลไม้อื่นๆ
ตํารับที่ 2 ต้มเลือดหมูใบตําลึง
ส่วนผสม
หมูสับ 1 ถ้วยตวง
เลือดหมูหั่นชิ้นใหญ่ 500 กรัม
ยอดใบตําลึง 2½ ถ้วยตวง
น้ําซุปไก่ 3 ถ้วยตวง
กระเทียมโขลกละเอียด 2 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 1½ ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น ¼ ช้อนชา
พริกไทยป่นตามชอบ
กระเทียมเจียวสําหรับโรยหน้า
91
วิธีทํา
1. หมั ก หมู สั บ กั บ กระเที ย มโขลก เติ ม เกลื อ และพริ ก ไทยเล็ ก น้ อ ย พั ก ไว้ ใ นตู่ เ ย็ น
ประมาณ 10 นาที จากนั้นลวกเลือดหมูที่หั่นเตรียมไว้พอให้ร้อนแล้วตักขึ้นพักไว้
2. ตั้งน้ําซุปให้ร้อน ปั้นหมูที่หมักไว้เป็นก้อนกลมขนาดตามชอบ นําไปต้มจนสุก ปรุงรส
ด้วยซีอิ๊ว เกลือป่น และพริกไทย ชิมรสตามชอบ เสร็จแล้วใส่เลือดหมูที่พักไว้ (ไม่ต้องต้มนาน
เพราะเลือดหมูจะแข็ง) เร่งไฟให้แรงขึ้น ใส่ใบตําลึง คนเล็กน้อยแล้วปิดไฟทันที
3. ตักเสิร์ฟใส่ชาม โรยด้วยกระเทียมเจียวเล็กน้อย รับประทานกับข้าวสวย
โภชนาการและอาหารเสริมสําหรับทารก
นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสําหรับทารก สารอาหารในนมแม่มีลักษณะเฉพาะ เช่น มี
โปรตีนเวย์ที่ย่อยง่าย มีไนโตรเจนที่ไม่ใช่โปรตีนสูง มีกรดไขมันที่ช่วยการเจริญของสมอง และมี
คาร์โบไฮเดรตโมเลกุลเล็กที่ช่วยสร้างเสริมภูมิค้มุ กันโรค แต่เมื่อถึงอายุหนึ่ง น้ํานมแม่อย่างเดียว
92
ไม่สามารถให้สารอาหารได้เพียงพอกับความต้องการของทารกจึงจําเป็นต้องได้รับจากอาหาร
เสริม เพื่อทารกจะได้รับสารอาหารต่างๆ สําหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างเต็มที่
อาหารเสริมสําหรับทารก
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 องค์การอนามัยโลกกําหนดให้อาหารเสริมหลังนมแม่อย่างเดียว 4-
6 เดือน การเริ่มให้อาหารเสริมช้าเกินไปอาจทําให้เกิดภาวะทุพโภชนาการ เนื่องจากทารกได้รับ
พลังงานและโปรตีนไม่เพียงพอ ขณะเดียวกันการได้รับอาหารเสริมเร็วเกินไปทําให้อัตราการ
เจ็บป่วยและอัตราการตายสูงขึ้นจากการติดเชื้อ เช่น โรคอุจจาระร่วง ปัจจุบันมีหลักฐานที่แสดง
ถึงคุณค่าของนมแม่ และสนับสนุนว่า การให้นมแม่อย่างเดียว 6 เดือนมีผลดีต่อสุขภาพของ
ทารกเพิ่มมากขึ้น ในปี ค.ศ. 2002 องค์การอนามัยโลกได้กําหนดให้เริ่มให้อาหารเสริมครั้งแรก
แก่ทารกเมื่ออายุ 6 เดือนขึ้นไป ในทารก 4-6 เดือน ที่ได้รับนมแม่เพียงอย่างเดียวแต่น้ําหนักไม่
ขึ้นตามเกณฑ์ ทั้งที่ได้รับนมแม่อย่างเหมาะสม และทารกยังแสดงอาการหิว ให้พิจารณาให้
อาหารเสริมเพิ่มเติม แต่ไม่ให้บ่อยมากเกินไปจนได้นมแม่ลดลงหรือทําให้เกิดการหย่านมแม่เร็ว
เกินไป (กุสุมา ชูศิลป์, 2546, หน้า 262)
ความหมายของอาหารเสริม
ได้มีผ้ใู ห้ความหมายของคําว่า อาหารเสริม ไว้ดังนี้
กุสุมา ชูศิลป์ (2546, หน้า 262) กล่าวว่า อาหารเสริม (complementary foods)
หมายถึง อาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณค่าสารอาหารที่ให้ทารกขณะที่ให้นมแม่ การกําหนดแนว
ปฏิบัติเน้น 1) เวลาที่เหมาะสม 2) ปริมาณพลังงานและสารอาหารที่ทารกต้องการ 3) ความ
หนาแน่นของพลังงานและสารอาหารในอาหารเสริมที่เหมาะสม และ 4) การให้อาหารที่สะอาด
ปลอดภัย และเสริมพัฒนาการด้านจิตใจและสังคม
เรืองวิทย์ ตันติแพทยางกูร (2548, หน้า 146) กล่าวว่า อาหารเสริม หมายถึง อาหารที่
ให้เสริมสําหรับทารกในช่วงเริ่มละนม ตั้งแต่อายุ 4-6 เดือน ไปจนถึง 1-2 ปี โดยไม่รวมความถึง
อาหารเสริมที่รับประทานเพื่อ เสริมสร้างสุขภาพ ทั้งในเด็กหรือผู้ใหญ่
องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้คํานิยามของอาหารเสริม คือ อาหารอื่นที่ไม่ใช่นมแม่
ไม่ว่าจะเป็นอาหารแข็งหรือของเหลว ซึ่งให้แก่ทารกเพื่อเสริม (ร่วมกับ) นมแม่ เพื่อให้ทารก
ได้รับคุณค่าทางโภชนาการพอเพียงแก่วัย
กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (United Nations Children’s Fund ; UNICEF) ให้คํา
นิยามของอาหารเสริม คือ อาหารสําหรับเด็กเล็กซึ่งบริโภคแล้วดูดซึมได้ง่าย และให้คุณค่าทาง
โภชนาการพอเหมาะกับการเจริญเติบโตของเด็กหลังอายุ 6 เดือน หมายรวมถึงอาหารหรือ
ของเหลวใดๆ ซึ่งไม่ใช่นมแม่ ซึ่งให้แก่เด็กในระยะนี้ด้วย
93
ลักษณะของอาหารเสริมที่เหมาะสมกับทารก
อาหารเสริ ม ที่ ดี ควรเป็ น อาหารที่ มี ค วามหลากหลาย ครบทั้ ง 5 หมู่ มี คุ ณ ค่ า ทาง
โภชนาการที่เพียงพอกับความต้องการของทารกในแต่ละช่วงอายุ ลักษณะอาหารเสริมของ
ทารกควรจะค่อยๆ เปลี่ยนจากลักษณะเหลวหรือเกือบเหลวมาเป็นอาหารกึ่งแข็งกึ่งเหลว จน
เป็นอาหารแข็ง ในช่วงก่อนเข้าระยะรับประทานอาหารแบบผู้ใหญ่ หรือเมื่อทารกมีอายุประมาณ
1 ปี องค์การอนามัยโลก ได้แนะนําวิธีการให้อาหารเสริมที่เหมาะสมสําหรับทารกไว้ดังนี้
1. ถูกเวลา
การให้อาหารเสริมควรให้เมื่อทารกมีความต้องการพลังงานและสารอาหารเกินกว่า
ที่ทารกจะได้รับจากนมแม่ ซึ่งในปี ค.ศ. 1979 องค์การอนามัยโลกกําหนดให้อาหารเสริมหลังได้
นมแม่อย่างเดียว 4-6 เดือน การให้อาหารเสริมช้าอาจทําให้ทารกเกิดปัญหาภาวะทุโภชนาการ
เนื่องจากทารกได้รับพลังงานและโปรตีนไม่เพียงพอ และในขณะเดียวกันการให้อาหารเสริมแก่
ทารกเร็วเกินไปทําให้ทารกมีอัตราการเจ็บป่วยและอัตราการตายสูงขึ้นจากการติดเชื้อ เช่น โรค
อุจจาระร่วง และในปี ค.ศ.2002 องค์การอนามัยโลกได้กําหนดให้เริ่มอาหารเสริมครั้งแรกเมื่อ
ทารกมีอายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยที่ทารกอายุ 4-6 เดือนที่ได้รับน้ํานมแม่อย่างเดียวแต่น้ําหนักไม่
ขึ้นตามเกณฑ์ ทั้งที่ได้รับน้ํานมแม่อย่างเหมาะสมและทารกแสดงอาการหิวให้พิจารณาให้อาหาร
เสริมเพิ่มเติมได้ แต่ไม่ให้บ่อยจนเกินไป
2. พอเพียง
อาหารที่ดีต้องมีปริมาณพลังงาน โปรตีน และสารอาหารกลุ่มวิตามินและเกลือแร่ที่
เพียงพอต่อความต้องการของทารก ตารางที่ 4.3 แสดงปริมาณพลังงาน และจํานวนโปรตีนที่
ทารกควรได้รับ โดยทารกอายุ 6-8 เดือน ต้องการอาหารเสริมนอกเหนือจากนมแม่ในปริมาณ
269 กิโลแคลอรีต่อวัน และทารกอายุ 9-11 เดือน ต้องการอาหารเสริมในปริมาณ 451 กิโล
แคลอรีต่อวัน
3. ปลอดภัย
อาหารเสริมควรเป็นอาหารที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นนั้นๆ โดยจะต้องเป็นอาหารที่ถูก
เตรียม และจัดเก็บอย่างถูกสุขลักษณะ อุปกรณ์ที่ใช้ในการป้อนอาหารแก่ทารกต้องเหมาะสม
94
ประเภทของอาหารเสริม
จํานวนมื้อ
อายุทารก ข้าว ไข่และเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้
อาหารเสริม
การให้อาหารเสริมแก่เด็กทารกต้องอาศัยหลักการทางด้านจิตสังคม เพื่อให้เด็กยอมรับ
อาหารเสริม ซึ่งมารดาควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. ป้อนอาหารทารกด้วยตนเอง และคอยช่วยเหลือเด็กที่โตแล้วให้ทานอาหารเอง ควร
ไวต่อการรับรู้สัญญาณที่แสดงถึงความหิวและความอิ่มของทารก
2. ป้อนอาหารอย่างช้าๆ ด้วยความอดทน และคอยกระตุ้นให้เด็กทานอาหาร แต่ไม่
ควรบังคับเด็กจนมากเกินไป
3. ถ้าทารกปฏิเสธการให้อาหารบางอย่าง ให้ทดลองเปลี่ยนวิธีการปรุงอาหาร โดยนํา
อาหารหลายชนิดมาผสมกัน เพื่อให้ได้อาหารที่เด็กต้องการ และควรมีวิธีการกระตุ้นให้เด็ก
ยอมรับการป้อนอาหารตลอดเวลา
4. ขณะทานอาหาร ควรลดสิ่งล่อใจที่ทําให้เด็กหันไปสนใจมากกว่าอาหารที่กําลังจะ
รับประทาน
5. ควรระลึกเสมอว่า การให้อาหารเด็ก เป็นวิธีการหนึ่งในการกระตุ้นการเรียนรู้ การ
ให้ความรัก การพูดคุย และการเชื่อมความสัมพันธ์จึงควรสบตากับเด็กตลอดเวลาที่ป้อนอาหาร
ตํารับที่ 1 ไข่แดงบดกับผัก
ส่วนผสม
แครอทสับละเอียด 50 กรัม
ใบผักกาดขาวสับละเอียด 50 กรัม
มันฝรั่ง 250 กรัม
ไข่แดงของไข่ไก่ต้มสุก ¼ ฟอง
นมที่ลูกดื่ม 3-4 ช้อนโต๊ะ
วิธีทํา
1. ต้มแครอทและผักกาดขาวจนสุกนุ่ม ตักใส่ถ้วยพักไว้
2. ล้างมันฝรั่งทั้งหัว ต้มจนสุก ลอกเปลือกออก บดด้วยที่บดในชามแก้วจนละเอียด ใส่
ไข่แดง ผสมให้เข้ากัน ตามด้วยแครอทและผักกาดขาวต้ม บดผ่านกระชอน ใส่นมหรือน้ําซุป
เล็กน้อย คนให้เข้ากัน
3. ตักใส่ถ้วย ตกแต่งด้วยแครอทต้มที่กดเป็นรูปดาว เสิร์ฟ
97
ตํารับที่ 2 โจ๊กปลาตําลึง
ส่วนผสม
ข้าวสารหอมมะลิ 1/4 ถ้วยตวง
น้ําซุปผัก 3 ถ้วยตวง
เนื้อปลาช่อนนึ่งแกะเนื้อยีละเอียด ¼ ถ้วยตวง
ตําลึงเด็ดยอดและใบ 1 ถ้วยตวง
ยอดตําลึงลวกสําหรับตกแต่ง
วิธีทํา
1. ซาวข้าวสาร 1 ครั้ง ต้มข้าวสารกับน้ําซุปผักในหม้อด้วยไฟปานกลาง หมั่นคน อย่าให้
ข้าวติดก้นหม้อ พอเดือด ใส่เนื้อปลาช่อนนึ่ง 3 ช้อนโต๊ะ และตําลึง ลดเป็นไฟอ่อน ต้มจนข้าวสุก
นุ่ม เมล็ดข้าวบานและผักเปื่อย ปิดไฟ นํามาบดด้วยกระชอนให้ละเอียด
2. ตักใส่ถ้วย โรยเนื้อปลาช่อนนึ่งที่เหลือ ตกแต่งด้วยยอดตําลึงลวก เสิร์ฟ
ตํารับที่ 3 ข้าวหมูบดกับผักใบเขียว
ส่วนผสม
ข้าวสารหอมมะลิ 1/4 ถ้วยตวง
น้ําซุปผัก 3 ถ้วยตวง
เนื้อหมูส่วนสันในสับ 2 ช้อนโต๊ะ
ผักกวางตุ้งสับ 20 กรัม
ตําลึงเด็ดยอดและใบสับ 20 กรัม
ใบปวยเล้งสับ 10 กรัม
ยอดปวยเล้งลวกสําหรับตกแต่ง
วิธีทํา
1. ซาวข้าวสาร 1 ครั้ง ต้มข้าวสารกับน้ําซุปผักในหม้อด้วยไฟปานกลาง หมั่นคน อย่าให้
ข้าวติดก้นหม้อ ต้มจนข้าวสุกนุ่ม ใส่เนื้อหมู ต้มพอสุก ใส่กวางตุ้ง ตําลึง และปวยเล้ง ลงต้ม
เดือดสักครู่ ปิดไฟ
2. ตักใส่ถ้วย ตกแต่งด้วยยอดปวยเล้งลวก เสิร์ฟ
98
โภชนาการและตํารับอาหารสุขภาพสําหรับเด็กวัยก่อนเรียน
เด็กวัยก่อนเรียนหมายถึง เด็กที่มีอายุ 1–5 ปี เด็กวัยนี้มีการเจริญเติบโตย่างรวดเร็วทั้ง
ทางด้านร่างกายและสมอง ดังนั้นจึงมีความต้องการสารอาหารต่างๆ ในปริมาณมาก โดยเฉพาะ
โปรตีนและพลังงาน ปัญหาโภชนาการที่สําคัญของเด็กวัยนี้เกิดขึ้นเนื่องจากเด็กยังมีอายุน้อยไม่
สามารถช่ ว ยเหลื อ ตั ว เองในด้ า นอาหารได้ ดัง นั้ น หากขาดการดู แ ลเอาใจใส่ จ ากพ่ อ แม่ ห รื อ
ผู้ปกครองจะส่งผลให้เด็กมีปัญหาการขาดสารอาหารได้
ปริมาณพลังงานและสารอาหารที่เด็กวัยก่อนเรียนควรได้รับ
ความต้องการสารอาหารเด็กวัยก่อนเรียนจําเป็นต้องได้รับสารอาหารต่างๆ ให้เพียงพอ
กับความเจริญเติบโตของร่างกายดังต่อไปนี้
1. ความต้องการพลังงาน
เนื่ อ งจากอั ต ราการเจริ ญ เติ บ โตของเด็ ก วั ย ก่ อ นเรี ย นมี อั ต ราที่ ค่ อ นข้ า งสู ง จึ ง
จําเป็นต้องได้รับอาหารที่มีพลังงานเพียงพอ เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและกิจกรรมการเล่น
ต่างๆ เด็กที่มีอายุ 1-3 ปี ควรได้รับพลังงานประมาณ 1,000 กิโลแคลอรีต่อวัน และอายุ 4-5
ปี ควรได้รับพลังงานประมาณ 1,250 กิโลแคลอรีต่อวัน (ตารางที่ 3.5)
2. ความต้องการโปรตีน
เด็กวัยก่อนเรียนจําเป็นต้องได้รับอาหารที่มีโปรตีนมากเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต
และช่วยให้ร่างกายแข็งแรงมีภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ เด็กอายุ 1 – 3 ปี ควรได้รับโปรตีน
ประมาณวันละ 18 กรัมต่อวัน อายุ 4 – 5 ปี ควรได้รับโปรตีนวันละ 22 กรัมต่อวัน โปรตีนควร
เป็นโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ น้ํานม ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เป็นต้น
3. ความต้องการวิตามินและเกลือแร่
เด็กวัยก่อนเรียนจําเป็นต้องได้รับวิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ เพื่อความเจริญเติบโต
ดังต่อไปนี้
3.1 วิตามินเอ การขาดวิตามินเอเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้เด็กตาบอด มักพบในวัย
ทารกและวัยก่อนเรียน อายุต้ังแต่ 2 เดือน ถึง 5 ปี สาเหตุเนื่องจากแม่ได้รับวิตามินเอน้อย
ในขณะตั้งครรภ์ ทําให้ทารกมีวิตามินเอสะสมอยู่น้อย เมื่อทารกได้รับการเลี้ยงดูด้วยนมข้นหวาน
ที่มีไขมันจากพืช และได้รับอาหารที่มีวิตามินเอ ไขมันและโปรตีนน้อย จึงทําให้ทารกและเด็กวัย
ก่อนเรียนมีวิตามินเอในร่างกายน้อย เมื่อเด็กมีการเจ็บป่วย ติดเชื้อ เช่น หัด ไข้ หรือท้องร่วง จะ
ทําให้เกิดการขาดวิตามินเอ มีอาการทางตา และทําให้ตาบอดได้ เด็กวัยก่อนเรียนจึงควรกิน
อาหารที่มีวิตามินเอให้มากขึ้น ซึ่งได้แก่ น้ํานม ไข่เป็ด ไข่ไก่ ตับสัตว์ต่างๆ ผักสีเขียวและสีเหลือง
ปริมาณวิตามินเออ้างอิงที่เด็กควรได้รับ คือ เด็กที่มีอายุ 1-5 ปี ควรได้รับวิตามินเอ 400-450
ไมโครกรัมต่อวัน
3.2 ธาตุเหล็ก ภาวะโลหิตจาง เป็นปัญหาโภชนาการที่สําคัญของประเทศ จากการ
สํารวจความชุกภาวะโลหิตจางในประเทศไทย โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ปี พ.ศ.
2539 พบโลหิตจางร้อยละ 15 ในเด็กวัยก่อนเรียน (สุภาพรรณ ตันตราชีวธร, 2548, หน้า 22)
ทําให้เด็กมีอาการอ่อนเพลีย ตัวซีด ความต้านทานต่ํา เป็นโรคติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย เช่น ไข้หวัด
หัด รวมทั้งยังเกิดผลเสียต่อการเรียนรู้และพัฒนาการในเด็ก และลดความสามารถในการทํางาน
เมื่อเป็นผู้ใหญ่เด็กวัยก่อนเรียนควรได้รบั อาหารที่มีเหล็กให้เพียงพอ ได้แก่ ไข่เป็ด ไข่ไก่ เนื้อสัตว์
ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้ง ตับ เครื่องในสัตว์ และผักใบเขียว ปริมาณธาตุเหล็กอ้างอิงที่ควรได้รบั ในเด็ก
ที่มีอายุ 1-3 ปี คือ 5.8 มิลลิกรัมต่อวัน และเด็กที่มีอายุ 4-5 ปี คือ 6.3 มิลลิกรัมต่อวัน
3.3 แคลเซียม แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่มีมากที่สุดในร่างกาย มีบทบาทสําคัญต่อ
กระดูกและการทํางานของระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบประสาท กล้ามเนื้อ หัวใจและ
หลอดเลือด ช่วยในการแข็งตัวของเลือด เป็นต้น พบว่าปริมาณมวลกระดูกมีการเปลี่ยนแปลงไป
ตามอายุ ในช่วงตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยหนุ่มสาว อัตราการสร้างกระดูกจะมีมากกว่าการสลาย
กระดูกเป็นผลทําให้มวลกระดูกเพิ่มมากขึ้น โดยจะเพิ่มอย่างรวดเร็วในวัยทารก เริ่มช้าลงในวัย
100
เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย
ข้าว แป้ง 2-3 ถ้วยตวง ควรให้เด็กได้รับประทานข้าวกล้องสลับกับข้าวขัดข้าว และควร
บริโภคผลิตภัณฑ์จากข้าวบ้าง
ที่มา (ดัดแปลงจากธงโภชนาการ)
101
ตัวอย่างตํารับอาหารสําหรับเด็กก่อนวัยเรียน
ตํารับที่ 1 ซุปเกี้ยมอี๋
ส่วนผสม
น้ําซุปหมู 2 ถ้วยตวง
เนื้อหมูส่วนสะโพกหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ¼ ถ้วยตวง
แครอทหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ¼ ถ้วยตวง
บวบปอกเปลือกหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ¼ ถ้วยตวง
เส้นเกี้ยมอี๋ ½ ถ้วยตวง
ซีอิ๊วขาว ½ ช้อนชา
เกลือสมุทรเล็กน้อย
วิธีทํา
1. ต้มน้ําซุปกระดูกหมูด้วยไฟกลางพอเดือด ใส่เนื้อหมู พอเดือดอีกครั้ง ลดเป็นไฟอ่อน
หมั่นข้อนฟองทิ้ง
2. ใส่แครอท ต้มจนสุกนุ่ม ใส่บวบ ต้มต่อจนสุก ปรุงรสด้วยซีอิ๊ว เกลือ พอเดือดอีกครั้ง
ปิดไฟ พักไว้
3. ตั้งหม้อน้ําบนไฟกลางจนเดือด ใส่เส้นเกี้ยมอี๋ลงลวกสักครู่ ตักเส้นขึ้นให้สะเด็ดน้ํา
4. ใส่เส้นเกี้ยมอี๋ลวกลงในถ้วย ตักน้ําซุปที่ต้มใส่ จัดเสิร์ฟ
ตํารับที่ 2 เกี๊ยวห่อผัก
ส่วนผสม
เนื้อหมูสับ 100 กรัม
ไข่ไก่ตีให้เข้ากัน 1 ช้อนโต๊ะ
แครอทหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 2 ช้อนโต๊ะ
ปวยเล้งต้มสุก หั่นเล็ก 1 ต้น
รากผักชี และกระเทียมไทยโขลกละเอียด ½ ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
เกลือสมุทรเล็กน้อย
แผ่นเกี๊ยว 20 แผ่น
น้ําซุปหมู 3 ถ้วยตวง
ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา
102
วิธีทํา
1. ทําไส้เกี๊ยวโดยใส่เนื้อหมู ไข่ ปวยเล้ง รากผักชีกระเทียมโขลกละเอียด ซีอิ๊วขาว เกลือ
สมุทร ลงในอ่างผสม ผสมให้เข้ากัน พักไว้
2. แบ่งส่วนผสมไส้เกี๊ยวออกเป็น 20 ส่วนเท่าๆ กัน วางไส้ตรงกลางแผ่นเกี๊ยว พักแผ่น
เกี๊ยวเป็นรูปสามเหลี่ยม แล้วนําปลายแผ่นเกี๊ยวมาทบกันให้ตรงกลางนูน ทาริมแผ่นเกี๊ยวด้วยน้ํา
หยิบแผ่นเกี๊ยวให้ติดกัน
3. ต้มน้ําในหม้อด้วยไฟแรงให้เดือด ใสเกี๊ยวลงไปลวกจนสุก สังเกตตัวเกี๊ยวจะลอย ต้ม
ต่อสักครู่ เพื่อให้เนื้อหมูสุกทั่ว ตักขึ้น จากนั้นต้มน้ําซุปหมูในหม้อด้วยไฟกลางพอเดือด ปรุงรส
ด้วยซอสปรุงรส พอเดือดอีกครั้ง ปิดไฟ
4. ตัดเกี๊ยวใส่ถ้วย ตักน้ําซุปหมูร้อนๆ ใส่ เสิร์ฟ
ตํารับที่ 3 มิลคเชกสตรอว์เบอร์รีวานิลลา
ส่วนผสม
สตรอว์เบอร์รีแช่แข็ง 1½ ถ้วยตวง
นมสดชนิดจืดแช่แข็ง 1½ ถ้วยตวง
ไอศกรีมรสวานิลลา 2 ถ้วยตวง
สตรอว์เบอร์รีแช่แข็งสําหรับตกแต่ง
วิธีทํา
1. ใส่สตรอว์เบอร์รีแช่แข็ง นมสด และไอศกรีมลงในโถปั่น ปั่นจนละเอียดเข้ากัน
2. รินใสแก้ว ตกแต่งด้วยสตรอว์เบอร์รีแช่แข็ง เสิร์ฟ
โภชนาการและตํารับอาหารสุขภาพสําหรับเด็กวัยเรียน
เด็กวัยเรียน หมายถึง เด็กที่มีอายุระหว่าง 6 – 10 ปี เด็กวัยนี้มีอัตราการเจริญเติบโตช้า
กว่าวัยทารกและวัยก่อนเรียน แต่มีอัตราการเจริญเติบโตอย่างสม่ําเสมอ แต่เนื่องจากเด็กวัยนี้มี
กิจกรรมเพิ่มมากขึ้น จึงควรได้รับสารอาหารต่างๆ ที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
ปริมาณพลังงานและสารอาหารที่เด็กวัยเรียนควรได้รับจากอาหาร
ความต้องการสารอาหารเด็กวัยเรียนจําเป็นต้องได้รับสารอาหารต่างๆ ให้เพียงพอกับ
ความเจริญเติบโตของร่างกายดังต่อไปนี้
103
1. ความต้องการพลังงาน
ความต้องการพลังงานของเด็กขึ้นกับอัตราการเจริญเติบและกิจกรรมต่างๆ ที่ทํา
เด็กวัยเรียนมีกิจกรรมมากขึ้น และยังอยู่ในวัยที่เจริญเติบโต จึงต้องได้รับพลังงานที่เพียงพอ
อาหารที่ให้พลังงานมาก ได้แก่ ข้าว แป้ง น้ําตาล เผือก มัน ไขมันจากพืชและสัตว์
2. ความต้องการโปรตีน
เด็ ก วั ย เรี ย นยั ง คงอยู่ ใ นระยะที่ ร่ า งกายกํ า ลั ง เจริ ญ เติ บ โต ถึ ง แม้ อั ต ราการ
เจริ ญ เติ บ โตจะช้ า กว่ า วั ย ก่ อ นเรี ย นก็ ต าม เด็ ก วั ย เรี ย นจํ า เป็ น ต้ อ งได้ รั บ อาหารที่ ใ ห้ โ ปรตี น
เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ ฮอร์โมน เลือด และอื่นๆ เพื่อเตรียมเข้าสู่วัยรุ่น เด็ก
วัยนี้ควรได้รับโปรตีนวันละ 1.2 กรัมต่อน้ําหนัก 1 กิโลกรัมของร่างกาย (ตารางที่ 1.5) โปรตีนที่
ได้รับควรเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดี ประมาณ 1 ใน 3 ควรเป็นโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ ไข่ น้ํานม
และควรได้รับถั่วเมล็ดแห้งมากขึ้น
3. ความต้องการวิตามิน
เด็กวัยเรียนจําเป็นต้องได้รับวิตามินต่างๆ ให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
วิตามินที่ควรได้รับแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ วิตามินที่ละลายในน้ํา ได้แก่ วิตามินบีรวม (วิตามิน
บีหนึ่ง วิตามินบีสอง ไนอะซิน กรดแพนโทเธนิก ไบโอติน โฟเลท วิตามินบีหก และวิตามินบีสิบ
สอง) และวิตามินซี และวิตามินที่ละลายในไขมันได้แก่ วิตามินเอ ดี อี และเค แม้ว่าวิตามินแต่ละ
ชนิดจะมีหน้าที่เฉพาะอย่างที่แตกต่างกัน แต่ทุกชนิดมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างการเจริญเติบโต
และรักษาร่างกายให้มีสุขภาพดี ช่วยในกระบวนการเมตาบอลิซึมและการทํางานของโปรตีน
ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และแร่ธาตุต่างๆ ให้เป็นปกติ ช่วยให้เนื้อเยื่อแข็งแรง มีความต้านทานโรค
การบริโภคอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่และมีปริมาณอาหารและสารอาหารที่พอเพียงกับความ
ต้องการของเด็ก จะช่วยให้เด็กมีการเจริญเติบโตที่ดี
4. ความต้องการเกลือแร่
เด็กวัยเรียนจําเป็นต้องได้รับเกลือแร่ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของ
ร่างกาย ทั้งนี้เพื่อความเจริญเติบโตและป้องกันการขาดสารอาหารต่างๆ ซึ่งวิตามินที่เด็กวัย
เรียนได้จากการบริโภคอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอ
4.1 แคลเซียม และฟอสฟอรัส เป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน
การขาดแคลเซียมในเด็กจะทําให้ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่ แหล่งแคลเซียมที่สําคัญมาจาก
นมและผลิตภัณฑ์ ปลาเล็กปลาน้อยที่กินได้ท้งั กระดูก เต้าหู้และผลิตภัณฑ์เป็นต้น
4.2 ไอโอดีน โรคคอพอกเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สําคัญ เกิดขึ้นมากกับเด็กใน
เขตจังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางบางจังหวัด การขาดไอโอดีน
104
กลุ่มอาหารที่ควรกิน เด็กวัยเรียน
ให้ครบใน 1 วัน ปริมาณ หมายเหตุ
หรือโยเกิร์ต 200 กรัม เพื่อให้ได้รับแคลเซียม
อาหารอื่น ที่เ ป็ น แหล่ ง แคลเซี ย มที่ ดีท ดแทนนม 1
น้ํานม 2 แก้ว แก้ว ปลาตัวเล็กตัวน้อยทอดกรอบ 2 ช้อนกินข้าว
ปลาซาร์ดีนกระป๋อง 1 กระป๋อง (65 กรัม) เต้าหู้
แข็ง 1 แผ่น
ควรกินอาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ ได้แก่ ปลา ไก่ หมู ไข่
และถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์วันละ 6 ช้อนกิน
เนื้อสัตว์ 6 ช้อนโต๊ะ ข้าว หรือ มื้อละ 2 ช้อนกินข้าว
ควรเป็นอาหารทะเลและเครื่องในสัตว์บ้าง สัปดาห์
ละ 1- 2 ครั้ง
4 ทัพพี ควรกิ น ผั ก ใบสี เ ขี ย วเข้ ม เพื่ อ ให้ ไ ด้ ใ ยอาหารและ
ผัก แคลเซียม
ควรเลือกกินผลไม้ที่หลากหลาย เพื่อให้ได้วิตามิน
และใยอาหาร
ผลไม้สด 3 ส่วน
ส่วน เท่ากับ เงาะ 4 ผล หรือ กล้วยน้ําว้า 1 ผล
หรือ มะละกอ 6 ชิ้น เป็นต้น
หรือก๋วยเตี๋ยว 1 ทัพพี = ขนมปัง 1 แผ่น = ขนมจีน
ข้าวสุก 8 ทัพพี 1 จับ = ข้าวเหนียว ½ ทัพพี เป็นต้น
โภชนาการและตํารับอาหารสุขภาพสําหรับวัยรุ่น
วัย รุ่ น เป็ น ระยะที่ ร่ า งกายเติ บ โตอย่ า งรวดเร็ ว และกํ าลั ง เปลี่ ย นจากเด็ ก เป็ น ผู้ ใ หญ่
อาหารจึ ง มี ค วามสํ า คั ญ ต่ อ ร่ า งกายมาก ถ้ า ในระยะนี้ วั ย รุ่ น ได้ รั บ อาหารเพี ย งพอ มี ภ าวะ
โภชนาการที่ดี จะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่ เป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพสมบูรณ์ โดยเฉพาะ
เด็กหญิง อาหารในระยะนี้มีความสําคัญมาก เพราะเป็นระยะที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ หรือการ
เตรียมตัวเป็นมารดาในอนาคต ถ้าในระยะนี้เด็กได้รับสารอาหารที่ดีถูกหลักโภชนาการ เมื่อ
เติบโตเป็นผู้ใหญ่และตั้งครรภ์ จะคลอดทารกที่มีสุขภาพแข็งแรง ดังนั้นอาหารจึงมีความสําคัญ
ต่อวัยรุ่นมาก เพราะนอกจากจะช่วยให้เตอบโตแข็งแรงแล้ว ยังเป็นรากฐานต่อสุขภาพของการ
เป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงในอนาคตด้วย วัยรุ่นจึงควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
ปริมาณพลังงานและสารอาหารที่วัยรุ่นควรได้รับ
วัยรุ่นจําเป็นต้องได้รับสารอาหารต่างๆ ให้เพียงพอกับความเจริญเติบโตของร่างกาย
ปริมาณพลังงานและสารอาหารที่วัยรุ่นควรได้รับมีดังต่อไปนี้
1. ความต้องการพลังงาน
วั ย รุ่ น เป็ น ระยะที่ร่ า งกายเจริ ญ เติ บ โตอย่ า งรวดเร็ วมากและยัง มี กิ จ กรรมต่ า งๆ
เพิ่มขึ้นทั้งในด้านการเรียน การสังคม การกีฬา จึงจําเป็นต้องได้รับพลังงานให้เพียงพอ เด็ก
วัยรุ่นควรได้รับพลังงานประมาณวันละ 1,700 - 2,300 กิโลแคลอรี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแรงงานและ
กิจกรรมที่ทํา ถ้ามีการออกกําลัง หรือใช้แรงงานมาก ก็จําเป็นต้องได้รับพลังงานเพิ่มขึ้น อาหาร
ที่ให้พลังงานควรมาจากคาร์โบไฮเดรตและไขมัน คาร์โบไฮเดรตที่ได้รับควรเป็นจําพวกข้าว หรือ
แป้งต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ ไขมันที่ได้รับควรมาจากพืชหรือสัตว์ ไขมันนอกจากจะให้พลังงานแล้ว
ยังช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันอีกด้วย ปริมาณพลังงานที่ควรได้รับจากอาหาร
สําหรับวัยรุ่น (ตาราง 1.10)
2. ความต้องการโปรตีน
วัยรุ่นเป็นระยะที่ร่างกายเจริญเติบโตรวดเร็วมาก จึงจําเป็นต้องได้รับโปรตีนให้
เพียงพอเพื่อเสริมสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ได้แก่ กล้ามเนื้อ กระดูก เลือด และสารที่ควบคุม
การทํางานในร่างกาย เช่น ฮอร์โมน วัยรุ่นจึงควรได้รับโปรตีนอย่างน้อยวันละ 1 กรัม ต่อน้ําหนัก
ตัว 1 กิโลกรัม และเนื่องจากวัยรุ่นยังอยู่ในวัยเจริญเติบโต โปรตีนที่ได้รับจึงควรเป็นโปรตีนที่มี
คุณภาพดี ประมาณ 2 ใน 3 ของปริมาณโปรตีนที่ได้รับควรมาจากเนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ น้ํานม
นอกจากนี้ก็ควรได้จากถั่วเมล็ดแห้งด้วย
107
3. ความต้องการวิตามิน
เด็กวัยรุ่นควรได้รับวิตามินต่างๆ ให้เพียงพอ เพื่อการเจริญเติบโตและป้องกันการ
ขาดโรควิตามิน วิตามินที่พบว่ามีปัญหาการขาดมากได้แก่
3.1 วิตามินเอ วิตามินเอจําเป็นในการเจริญเติบโตและเพื่อดํารงสุขภาพของเยือ่ บุต่าง ๆ
เช่น เยื่อบุนัยน์ตาและผิวหนัง การขาดวิตามินเอเป็นปัญหาโภชนาการที่สําคัญของประเทศและ
พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในเด็กวัยรุ่นมีความต้องการวิตามินเอ 9.3 ไมโครกรัมต่อ
น้ําหนักตัว 1 กิโลกรัม ในช่วงอายุ 9 – 12, 13 – 15 และ 16 – 18 ปี ช่วงนี้เด็กชายมีน้ําหนัก
มาตรฐาน 33, 49 และ 57 กิโลกรัมตามลําดับ ส่วนเด็กหญิงมีน้ําหนัก 34, 46 และ 48
กิโลกรัมตามลําดับ เมื่อคิดความต้องการวิตามินเอทํานองเดียวกับเด็กเล็กจะได้ความต้องการ
วิตามินเอในเด็กชาย 9 – 12, 13 – 15 และ 16 – 18 ปี เป็น 600, 600 และ 700 ไมโครกรัมต่อวัน
ตามลําดับ ส่วนเด็กหญิงเป็น 600 ไมโครกรัมต่อวันทุกช่วงอายุนี้ อาหารที่มีวิตามินเอสูงนั้นเป็น
อาหารที่ได้จากสัตว์ ตับของสัตว์ต่าง มีวิตามินเอสูงมาก เช่น ตับหมู ตับไก่ เป็นต้น รองลงมาคือ
ไข่ โดยเฉพาะไข่แดงมีวิตามินเอสูงเช่นกัน น้ํานมก็เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเอ จะเห็นว่ากลุ่ม
ประชากรที่บริโภคเนื้อสัตว์ ไข่ และดื่มนมเป็นประจําจะไม่มีปัญหาการขาดวิตามินเอ แหล่งของ
วิตามินเอจากพืชที่ดีคือพืชผักที่มีสีเขียวเข้ม และผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม เช่น ผักตําลึง ผักกวางตุ้ง
และฟักทอง มะม่วงสุก มะละกอสุก มะเขือเทศ เป็นต้น
108
เนื่องจากวัยรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างรวดเร็ว การจัดอาหารสําหรับวัยรุ่น
นอกจากจะครบทั้ง 5 หมู่แล้ว ปริมาณพลังงานที่ได้รับจากอาหารต้องเพียงพอแก่ความต้องการ
ของร่างกาย ปริมาณอาหารที่วัยรุ่นควรได้รับแสดงในตารางที่ 3.10
โภชนาการและตํารับอาหารสุขภาพสําหรับผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุ หมายถึง บุคคลทั้งเพศชายและหญิงที่มีอายุต้ังแต่ 60 ขึ้นไป ปัจจุบันมีจํานวน
ผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นทุกปี ในประเทศไทยพบว่าในปี พ.ศ. 2513 มีจํานวนผู้สูงอายุร้อยละ 4.5
ของประชากรทั้งหมด 30 ปีต่อมาคือในปี พ.ศ. 2543 มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 7.5 และมี
แนวโน้มว่าผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 15.28 ในปี พ.ศ. 2563 (สถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ,
มปป, หน้า 1) ทั้งนี้เนื่องมาจากการพัฒนาการด้านสาธารณสุขและทางการแพทย์ จึงทําให้มี
อัตราการตายของประชากรลดลง ผู้สูงอายุจึงมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น แต่พบว่ามีผู้สูงอายุจํานวนไม่
112
3. ความต้องการไขมัน
ผู้สูงอายุควรกินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร ไม่ควรเกินร้อยละ 25 – 30 ของปริมาณ
พลังงานที่ได้รับ การได้รับอาหารที่มีไขมันมากเกินไปจะทําให้น้ําหนักเพิ่มและเกิดโรคต่างๆ ตามมา
ได้ง่ายขึ้น เช่น โรคปวดข้อ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด และผู้สูงอายุควร
เลือกใช้น้ํามันพืชที่มีกรดไลโนเลอิคมาก แทนไขมันจากสัตว์ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ไขมันเลือดสูง
4. ความต้องการวิตามิน
ความต้องการวิตามินในผู้สูงอายุจะเท่าเดิมหรือลดลงเล็กน้อย แต่ผู้สูงอายุควรได้รับ
อาหารที่มีวิตามินให้เพียงพอ โดยเฉพาะวิตามินบีหนึ่ง บีสอง บีสิบสอง กรดโฟลิคและวิตามินซี
ผู้สูงอายุมักมีปัญหาได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ เนื่องจากฟันไม่ดี ทําให้เคี้ยวผักสด ผลไม้สดไม่ได้
ผู้สูงอายุจะต้องการวิตามินซีวันละ 30 มิลลิกรัม ซึ่งจะได้อย่างพอเพียงจากการดื่มน้ําส้มวันละ 1 แก้ว
5. ความต้องการเกลือแร่
5.1 แคลเซียม ผู้สูงอายุมักมีปัญหาเกี่ยวกับโรคกระดูกพรุน เนื่องจากเซลล์ของกระดูก
มีการสลายมากกว่าการสร้าง ผู้สูงอายุจึงต้องกินอาหารที่ให้โปรตีนให้เพียงพอ นอกจากนี้แคลเซียม
จากอาหารที่กินยังดูดซึมได้ไม่ดีอีกด้วย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเอนไซม์ ประกอบกับได้รับ
อาหารที่ช่วยในการดูดซึมไม่เพียงพอ ซึ่งได้แก่โปรตีนและวิตามินซีทําให้ได้รับแคลเซียม ไม่เพียงพอ
และเป็นสาเหตุให้เกิดโรคกระดูกพรุน การได้รับอาหารที่มีแคลเซียมอย่างเพียงพอจะช่วยเพิ่มความ
แน่นของกระดูก และป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ ผู้สูงอายุควรได้รับแคลเซียมอย่างน้อยวันละ 1,000
มิลลิกรัม ซึ่งจะได้จากนมและผลิตภัณฑ์จากนม (นมเปรี้ยว โยเกิร์ต) ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง และ
ผักใบเขียว (คะน้า กวางตุ้ง ชะพลู บร็อคโคลี และถั่วเมล็ดแห้ง) เพิ่มขึ้น
5.2 เหล็ ก ความต้ อ งการเหล็ ก ในผู้ สู ง อายุ ไ ม่ เ ปลี่ ย นแปลง แต่ ใ นหญิ ง จะลดลง
เล็กน้อย เนื่องจากไม่มีการสูญเสียทางประจําเดือน ผู้สูงอายุควรได้รับเหล็กประมาณวันละ 6
มิลลิกรัม การขาดธาตุเหล็กในผู้สูงอายุ มักเกิดจากการได้รับอาหารที่มีเหล็กไม่เพียงพอ ร่วมกับ
การที่ร่างกายดูดซึมเหล็กได้น้อยลง ดังนั้นผู้สูงอายุจึงควรกินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ ตับ
เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ไข่แดง และผักใบเขียวให้เพียงพอ และเพื่อให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น
ผู้สูงอายุควรกินผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ปริมาณธาตุเหล็กอ้างอิงที่ผู้สูงอายุชาย ควรได้รับคือวันละ
10.4 มิลลิกรัมต่อวัน และผู้สูงอายุหญิงวันละ 9.4 มิลลิกรัมต่อวัน
6. ความต้องการน้ํา
ผู้สูงอายุควรดื่มน้ําให้พอเพียงทุกวันอย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร และในวันที่มีอากาศ
ร้อนจัด ควรได้รับน้ําเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยน้ําที่สูญเสียทางผิวหนัง และเพื่อช่วยให้ไตขับถ่ายของเสีย
ได้ดีขึ้น น้ําที่ได้รับจะเป็นน้ําสะอาดหรือเครื่องดื่มจําพวกน้ําผลไม้หรือน้ํานมก็ได้
114
ตารางที่ 3.11 ปริมาณอาหารที่ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ควรได้รับใน 1 วัน พลังงาน 1,600 กิโล
แคลอรีต่อวัน
กลุ่มอาหารที่ควรกิน วัยผู้สูงอายุ
ให้ครบใน 1 วัน
ปริมาณ หมายเหตุ
หรือโยเกิร์ต 200 กรัม เพื่อให้ได้รับแคลเซียม
อาหารอื่นที่เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีทดแทนนม 1 แก้ว
น้ํานม 2 แก้ว
ปลาตั ว เล็ ก ตั ว น้ อ ยทอดกรอบ 2 ช้ อ นกิ น ข้ า ว ปลา
ซาร์ดีนกระป๋อง 1 กระป๋อง (65 กรัม) เต้าหู้แข็ง 1 แผ่น
ควรกินอาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ ได้แก่ ปลา ไก่ หมู ไข่ และ
ถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์วันละ 6 ช้อนกินข้าว หรือ
เนื้อสัตว์ 6 ช้อนโต๊ะ มื้อละ 2 ช้อนกินข้าว
ควรเป็นอาหารทะเลและเครื่องในสัตว์บ้าง สัปดาห์ละ
1- 2 ครั้ง
ควรกิ น ผั ก ใบสี เ ขี ย วเข้ ม เพื่ อ ให้ ไ ด้ ใ ยอาหารและ
ผัก 4 ทัพพี แคลเซียม
สรุป
คนแต่วัยมีความต้องการอาหารและสารอาหารที่แตกต่างกัน จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่ง
ที่ต้องมีความรู้ด้านโภชนาการเพื่อที่จะสามารถจัดอาหารได้ตรงกับความต้องการของแต่ละ
บุคคล การจัดอาหารที่ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสมย่อมก่อให้เกิดปัญหาทุพโภชนาการได้ ทั้ง
ปัญหาภาวะการขาดสารอาหาร และปัญหาภาวะโภชนาการเกิน ดังนั้นผู้จัดอาหารจึงควรมีท้ัง
ความรู้ด้านโภชนาการและมีทักษะการปรุงอาหารที่ดี ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ผ้บู ริโภคได้บริโภคอาหารที่
มีรสชาติดี ถูกต้องตามลักษณะอาหาร และมีคุณค่าทางโภชนาการ
116
บทที่ 4
อาหารสําหรับผู้ปว่ ยโรคอ้วน
ความหมายของภาวะน้ําหนักตัวเกินและโรคอ้วน
ภาวะน้ําหนักตัวเกินและโรคอ้วน คือ ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันไว้ในปริมาณมาก
เกินกว่าความจําเป็นของร่างกาย เป็นผลทําให้มีน้ําหนักตัวมากกว่าปกติ การมีน้ําหนักตัวที่เกิน
เป็นปัจจัยที่ทําให้ก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพ ความหมายของภาวะน้ําหนักเกินและโรคอ้วนได้มี
ผู้ให้ความหมายไว้ดังนี้
1. ภาวะน้ําหนักตัวเกิน
ได้มีนักวิชาการให้ความหมายของภาวะโภชนาการเกิน (overweight) ไว้ดังนี้
วิชัย ตันไพจิตร (2530, หน้า 25) ได้ให้ความหมายของภาวะน้ําหนักตัวเกิน หมายถึง
การที่ร่ างกายมี น้ํา หนักเมื่อเปรียบเที ยบกับ ส่ วนสูงแล้ วเกินกว่ามาตรฐานที่กําหนดไว้ ผู้ที่มี
น้ําหนักเกินอาจเกิดจากมีเนื้อเยื่อไขมันมากหรือกล้ามเนื้อมากหรือมีท้ังสองอย่าง ดังนั้น ผู้ที่มี
น้ําหนักเกินอาจไม่ได้เป็นโรคอ้วนก็ได้
118
สาเหตุของโรคอ้วน
สาเหตุที่แท้จริงของการมีน้ําหนักตัวเกินและโรคอ้วน คือการบริโภคอาหารที่มากเกิน
ความต้องการของร่างกาย นิยมบริโภคอาหารที่มีไขมันและให้พลังงานสูง ขาดการออกกําลัง
กาย นอกจากนี้แล้วยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกที่เป็นสาเหตุของโรคอ้วน สาเหตุของโรคอ้วน มีดังนี้
1. สาเหตุทางพันธุกรรม
มีการศึกษาพบว่าถ้าพ่อแม่อ้วน ลูกมีโอกาสอ้วนได้ถึงร้อยละ 80 รวมทั้งคนที่เป็นคู่
แฝดกันถ้าอ้วนจะอ้วนทั้งคู่ เมเยอร์ (Mayer) ได้พบว่าเด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่มีน้ําหนักตัวปกติยังมี
โอกาสที่จะมีน้ําหนักตัวเกินได้ถึงร้อยละ 10 และเด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่คนหนึ่งคนใดที่มี
น้ําหนักตัวเกินมีโอกาสที่เด็กจะมีน้ําหนักตัวเกินถึงร้อยละ 40-50 และเด็กที่เกิดจากพ่อและแม่ที่
มีน้ําหนักตัวเกิน ยิ่งมีโอกาสที่จะมีน้ําหนักตัวเกินสูงถึงร้อยละ 80 (เทวี โพธิผละ และ นิตยา
ตั้งชูรัตน์, 2549, หน้า 97-98)
2. สาเหตุจากพฤติกรรมการบริโภคอาหาร
การบริโภคอาหารที่มากเกินความต้องการของร่างกายเป็นสาเหตุสําคัญของการมี
น้ําหนักตัวเกิน การมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารตลอดเวลา การรับประทานอาหารประเภท
แป้ง น้ําตาล ไขมันและได้รับอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น หนังไก่ทอด หมูกรอบและขาหมู เป็นต้น
รวมทั้งนิยมบริโภคเครื่องดื่มประเภทน้ําอัดลมเป็นผลสําคัญที่ทําให้เกิดโรคอ้วน
3. เกิดความผิดปกติของสมองส่วนไฮโปธาลามัส
ในสมองส่วนไฮโปธาลามัส (hypothalamus) มีศูนย์ควบคุมความอยากอาหาร (eating
center) ให้เกิดขึ้นตามความต้องการใช้พลังงานของร่างกาย เมื่อเกิดความผิดปกติ เกิดความไม่
สมดุลระหว่างความรู้สึกอิ่ม ซึ่งมีศูนย์ควบคุม (satiety center) หรือความรูส้ กึ พอในอาหารทีบ่ ริโภค
กับความอยากอาหารหรือความหิว ทําให้เกิดลักษณะที่เรียกว่า “กินจุ” หรือ “บูลิเมีย” (bulemea)
ศูนย์ความอยากอาหารจะมีความผิดปกติขึ้นได้เนื่องจากมีความเคยชินในการบริโภคอาหาร
120
จํานวนมากจึงเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบต่อการกระตุ้นของร่างกายที่เกิดขึ้นเองแบบอัตโนมัติ หรือเกิด
จากการตั้งใจหรือบังคับจากสมองส่วนนอกจากซีรีบรัม เช่น เด็กที่ถูกมารดาบ่นในเรื่องการ
บริโภคอาหารจึงเป็นเหตุให้เด็กหลีกเลี่ยงการถูกมารดาบ่นด้วยการบริโภคอาหารจนเกิดความ
เคยชินเกิดขึ้นที่ศูนย์ควบคุมการบริโภค (เทวี โพธิผละ และ นิตยา ตั้งชูรัตน์, 2549, หน้า 98)
4. เกิดความผิดปกติของการทํางานของต่อมไร้ท่อ
สาเหตุที่ต่อมไร้ท่อทํางานผิดปกติมีด้วยกันหลายสาเหตุ เช่น การที่ต่อมสืบพันธุ์ของ
เพศชายหย่อนสมรรถภาพหรือถูกผ่าตัดออก มักทําให้เกิดภาวะน้ําหนักตัวเกินได้ง่าย หรือกรณี
ที่ตับอ่อนซึ่งทําหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลินผิดปกติ (hyperinsulinism) มักทําให้เกิดอาการหิว
บ่อยกว่าปกติ หรือในกรณีที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมาน้อย (hypothyrodism) ทําให้
ร่างกายใช้พลังงานเพื่อการเมตาบอลิซึมน้อยลงจึงทําให้มีน้ําหนักตัวเพิ่มมากขึ้น
ผลเสียและอันตรายที่เกิดจากโรคอ้วน
การมีภาวะน้ําหนักตัวเกินและโรคอ้วน นอกจากจะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการ
ทํางานของอวัยวะต่างๆ แล้วยังเป็นสาเหตุที่ทําให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้แก่ โรคความดัน
โลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคเบาหวานและโรคข้ออักเสบ เป็นต้น และยังส่งผลต่อเสียต่อ
บุคลิกภาพ และจิตใจของผู้ป่วยด้วย ดังนั้นจึงสรุปผลเสียและอันตรายที่เกิดจากโรคอ้วน ได้
ดังนี้
1. ผลเสียต่อสุขภาพด้านต่างๆ และการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มีความสัมพันธ์
กับทางโภชนาการในอนาคต
โรคอ้วน เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อเรื้อรังที่มีความสัมพันธ์กับทางโภชนาการและ
สามารถสร้างปัญหาให้กับสุขภาพด้านต่างๆ ให้กับผู้ป่วย ดังนี้
1.1 การเปลี่ยนแปลงของการหายใจ เนื่องจากบริเวณรอบทรวงอกของคนอ้วนจะมี
ไขมันมากทําให้ขัดขวางการขยายตัวของทรวงอก รวมทั้งไขมันที่ท้องทําให้กระบังลมไม่สามารถ
หย่อนตัวลงมาได้อย่างปกติ เป็นผลให้คนที่อ้วนเหนื่อยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่านอน คน
อ้วนจะหายใจลําบากซึ่งบางครั้งจะมีอาการหยุดหายใจเป็นพักๆ ในเวลาที่นอนหลับ (sleep
apnea syndrome) ผู้ป่วยที่มีภาวะดังกล่าวจะมีอาการปวดศีรษะในตอนเช้าส่วนในเวลากลางวัน
จะมีอาการง่วงนอน หายใจช้า การลดน้ําหนักจะช่วยให้ผ้ปู ่วยมีอาการดีขึ้น แต่ถ้ายังไม่ได้รับการ
รักษาในระยะต่อไปผู้ป่วยจะมีหัวใจซีกขวาล้มเหลวและอาจถึงแก่กรรมได้
1.2 การเปลี่ ย นแปลงของการเคลื่ อ นไหว เนื่ อ งจากโครงสร้ า งของร่ า งกายไม่
สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อให้รับน้ําหนักตัวที่มากเกินไป คนที่อ้วนเพราะมีน้ําหนักตัวเกินจึงมักมี
121
2. ผลเสียต่อบุคลิกภาพ และสภาพจิตใจ
การบริโภคอาหารเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมความสุขและแสดงออกถึงความมีเศรษฐฐานะ
ทางสังคม คนทั่วไปมักจะใช้การบริโภคอาหารเป็นสื่อแสดงความสัมพันธ์กันในสังคมรวมทั้งเป็น
เครื่องมือเรียกร้องความสนใจหรือต่อต้านความรู้สึกของคนอื่น เช่น มีการบริโภคอาหารปริมาณ
มาก (bulimia) หรือความไม่พอใจบริโภคอาหารบางอย่าง (anorexia nervosa) แต่การบริโภค
มากเกินไปทําให้มีรูปร่างไม่สวยงาม แต่งตัวลําบาก เลือกแบบเสื้อให้เหมาะกับรูปร่างยาก ทําให้
เกิดปมด้อย มีความรู้สึกแปลกแยกแตกต่างจากคนทั่วไปและอารมณ์แปรปรวนได้ง่าย ดังนี้
2.1 ความแปลกแยก เมื่อมีน้ําหนักตัวเกินจนอ้วนมักจะถูกล้อเลียนกันว่า “อ้วน” คน
อ้วนจึงมักเป็นตัวตลก ทําให้มีความวิตกกังวลเรื่องรูปร่างสืบเนื่องไปถึงการแต่งตัว ตั้งแต่การ
เลือกเสื้อผ้า ร้องเท้า เครื่องประดับอื่นๆ ด้วยความลําบากยุ่งยาก ทําให้เกิดความเบื่อหน่าย ไม่
อยากไปไหน ไม่อยากพบใคร มีความเฉื่อยชา ประกอบกับการมีน้ําหนักตัวเกินและเกิดไขมัน
สะสมตามแขนขาหน้าท้องมาก ทําให้เคลื่อนไหวลําบากเมื่อเดินไปมาต้นขาจะเสียดสีกันทําให้ไม่
อยากเดิน ไม่อยากจะประกอบกิจกรรมใดๆ เพราะจะมีเหงื่อออกง่าย เนื่องจากการเผาผลาญ
ไขมันในร่างกายมากกว่าคนปกติทําให้มีไขมันผสมกับเหงื่อตามผิวหนังโดยเฉพาะส่วนหน้า เมื่อ
เป็นมันจะเกิดสิวขึ้นง่ายกว่าคนปกติทั่วไปจึงเกิดอาการแปลกแยกแตกต่างจากคนทั่วไป
2.2 อารมณ์แปรปรวน เนื่องจากสาเหตุของความแปลกแยกทําให้เกิดความเก็บกด
ไม่มีการพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนฝูง ขาดวิถีทางระบายออกที่เหมาะสม นําไปสู่
ความแปรปรวนทางอารมณ์ แ ละความคิ ด บางครั้ ง เกิ ด อาการซึ ม เศร้ า บางรายอาจเกิ ด
ความเครียด ซึ่งหากไม่สามารถขจัดได้แล้วอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคจิตและคิดฆ่าตัวตายได้
การวินิจฉัยภาวะน้ําหนักตัวเกินและโรคอ้วน
การวินิจฉัยภาวะน้ําหนักตัวเกิน และโรคอ้วนมีหลายวิธี วิธีที่นิยมใช้กันมี ดังนี้
1. การใช้ดัชนีมวลกาย
ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index) เป็นการเปรียบเทียบน้ําหนักตัวกับส่วนสูงของ
ผู้ใ หญ่ โ ดยไม่ คํานึงถึ งเชื้อชาติ และพัน ธุก รรม ซึ่ง เป็น การคํ านวณหาขนาดมวลกายต่ อพื้นที่
ร่างกาย 1 ตารางเมตร โดยคํานวณได้จากสูตร
น้ําหนักตัว หนวยเปนกิโลกรัม
BMI =
(ความสูงเป นเมตร ) 2
123
การประเมินภาวะโภชนาการโดยใช้ดัชนีมวลกาย เป็นวิธีที่แพทย์และนักกําหนดอาหาร
นิยมใช้กันมากที่สุด โดยเฉพาะใช้กับผู้ถูกประเมินภาวะโภชนาการที่มีอายุต้ังแต่ 18 ปี ขึ้นไป ถ้า
มีค่าดัชนีมวลกายระหว่าง 23-24.9 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ถือว่ามีน้ําหนักเกินและค่าดัชนีมวล
กายมากกว่า 25 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ถือว่าเป็นโรคอ้วน
2. การหาปริมาณไขมันใต้ผิวหนัง
เนื่ องจากร่ า งกายของคนประกอบด้ ว ยเนื้ อเยื่อ หลายชนิ ด รวมกั น เป็ น น้ํ าหนัก ตั ว
รวมทั้งกล้ามเนื้อ กระดูก และไขมัน คนทั่วไปมักมีไขมันสะสมใต้ผิวหนังในปริมาณที่มากน้อย
แตกต่างกันและการสะสมไขมันเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย ประมาณร้อยละ 20 ของน้ําหนักตัวเกินจึง
เป็นน้ําหนักของไขมัน และเนื่องจากไขมันที่เก็บสะสมไว้ร้อยละ 50 ของไขมันที่เก็บสะสมไว้ใน
ร่างกายอยู่บริเวณใต้ผิวหนัง ดังนั้นจึงใช้วิธีการวัดความหนาไขมันใต้ผิวหนังใช้พิจารณาภาวะ
น้ํ า หนั ก ตั ว เกิ น ได้ การวั ด ไขมั น ใต้ ผิ ว หนั ง ใช้ เ ครื่ อ งมื อ ที่ เ รี ย กว่ า “คาลิ เ ปอร์ ที่ ใ ช้ วั ด ไขมั น ใต้
ผิวหนัง” (skinfold caliper) โดยมีตําแหน่งวัด ดังนี้
2.1 การวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนังบริเวณไตรเซฟ (triceps skinfold thickness)
เป็นตําแหน่งที่นิยมวัดไขมันใต้ผิวหนังมากที่สุดเริ่มต้นจากการหาจุดกึ่งกลางของต้นแขนซึ่งอยู่
ระหว่างข้อศอกกับหัวไหล่ด้านหลัง โดยให้ผู้ป่วยยืนตรงหรือนั่ง ปล่อยแขนห้อยข้างลําตัวหรือ
ตามสบาย ถ้านั่งหรือยืนไม่ได้ให้ผู้ป่วยนอนหงาย วางแขนทาบไว้กับอก จับผิวหนังและไขมันใต้
ผิวหนังที่ไม่มีกล้ามเนื้อยกขึ้น 2 เซนติเมตรเหนือจุดกึ่งกลางแขน แล้วจึ งวัดความหนาที่จุด
124
ความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง
อายุ (ปี)
ชาย (มิลลิเมตร) หญิง (มิลลิเมตร)
5 12 14
6 12 15
7 13 16
8 14 17
9 15 18
10 16 20
11 17 21
12 18 22
13 18 23
14 17 23
15 16 24
16 15 25
17 14 26
18 15 27
19 15 27
20 16 28
125
ความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง
อายุ(ปี)
ชาย (มิลลิเมตร) หญิง (มิลลิเมตร)
21 17 28
22 18 28
23 18 28
24 19 28
25 20 29
26 20 29
27 21 29
28 22 29
29 22 29
30 – 50 23 30
ที่มา (เทวี โพธิผละและรัตนา ตั้งชูรัตน์, 2538, หน้า 95)
ค่าไขมันใต้ผิวหนังบริเวณไตรเซฟ
เพศ
มาตรฐาน 90% ของมาตรฐาน
ชาย 12.5 11.3
หญิง 16.5 14.9
ที่มา (เทวี โพธิผละ และ รัตนา ตั้งชูรัตน์, 2538, หน้า 94)
126
3. การวัดเส้นรอบเอว
การวัดเส้นรอบเอว (waist circumference) เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เส้นรอบเอวมี
ความสัมพันธ์กับปริมาณไขมันในอวัยวะภายในช่องท้อง หากมีไขมันในช่องท้องมากจะพบว่ามี
ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้มากกว่าไขมันที่สะสมตามแขนหรือขา การวัดเส้นรอบเอวทําได้โดย
การวัดในท่ายืนให้ผู้ถูกวัดยืนแยกเท้าประมาณ 25-30 เซนติเมตร วัดรอบเอวระดับกึ่งกลาง
กระดูกสะโพกส่วนบนสุดและขอบล่างของกระดูกซี่โครงให้ขนานกับพื้นให้วัดขณะหายใจออก
เท่านั้น
ผลจากการวัดเส้นรอบเอว ในผู้ชายถ้ามีเส้นรอบเอวมากกว่า 90 เซนติเมตร ถือว่า อ้วน
มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและในผู้หญิง ถ้าเส้นรอบเอวมากกว่า 80 เซนติเมตร ถือว่า
อ้วน มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเช่นกัน ข้อดีของการวัดเส้นรอบเอว คือ การวัดทําได้ง่าย
ไม่สัมพันธ์กับความสูง มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับดัชนีมวลกายและเป็นดัชนีที่สามารถคาด
คะแนนมวลไขมันในช่องท้องและไขมันในร่างกายทั้งหมด
4. อัตราส่วนของเส้นรอบวงเอวต่อเส้นรอบสะโพก
อัตราส่วนของเส้นรอบวงเอวต่อเส้นรอบสะโพก (waist-over-hip circumference)
โดยทําการวัดเส้นรอบเอวที่บริเวณระดับสะดือและเส้นรอบสะโพก (ส่วนที่นูนที่สุดของสะโพก)
โดยเส้นรอบเอวเป็นดัชนีที่คาดคะเนมวลไขมันในช่องท้อง และไขมันในร่างกายทั้งหมด ส่วนเส้น
รอบวงสะโพกให้ข้อมูลด้านมวลกล้ามเนื้อและโครงสร้างกระดูกบริเวณสะโพก อัตราส่วนของ
เส้นรอบวงเอวต่อเส้นรอบสะโพก คํานวณจาก
เสนรอบวงเ อว
อัตราส่วนของเส้นรอบวงเอวต่อเส้นรอบสะโพก =
เสนรอบวงส ะโพก
ประเภทของโรคอ้วน
การมีภาวะน้ําหนักตัวเกินทําให้เกิดความอ้วนออกเป็น 2 ลักษณะตามการสะสมของ
ไขมันที่อวัยวะต่างๆ ได้ ดังนี้
127
1. แอนดรอยด์
แอนดรอยด์ (android obesity) เป็นความอ้วนหรือภาวะน้ําหนักตัวเกินที่มีไขมันไป
สะสมตามอัวยวะต่างๆ ตามแบบความอ้วนของเพศชาย (male type) เช่น บริเวณศีรษะ คอ และ
ตอนบนของลําตัว เมื่อมีความอ้วนเพิ่มมากขึ้นในระยะต่อมา ไขมันอาจสะสมตามบริเวณช่อง
ท้องที่เรียกว่า “อ้วนแบบลงพุง” (abdominal obesity)
2. กัยนอยด์
กัยนอยด์ (gynoid obesity) เป็นภาวะน้ําหนักตัวเกินหรือความอ้วนที่มีไขมันสะสม
ตามแบบหญิง (female type) มีลักษณะสะโพกผาย (gluteal obesity) คือมีไขมันสะสมที่ส่วนล่าง
ของท้อง และเต้านมและมีลักษณะพิเศษที่สังเกตได้คือ มีไขมันเป็นจํานวนมากสะสมตามบริเวณ
ลําตัวจนทําให้เป็นก้อนม้วนอยู่ที่ท้อง เต้านม โคนแขน สะโพก เป็นส่วนใหญ่ และมีบ้างเล็กน้อยที่
ข้อมือ ข้อเท้า (เทวี โพธิผละ และ รัตนา ตั้งชูรัตน์, 2538, หน้า 91-93)
การคํานวณหาความต้องการพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน
ร่างกายของคนเราทุกคนต้องการพลังงานเพื่อนําไปใช้ในการทํางานของอวัยวะต่างๆ
ภายในร่างกาย เช่น ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบประสาท การรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่
เป็นต้น พลังงานที่ใช้สําหรับการเปลี่ยนแปลงอาหารภายในร่างกาย ต้องการพลังงานเพื่อการ
ประกอบกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจําวัน เช่น การเดิน การเคลื่อนไหว และการประกอบอาชีพ
เป็นต้น
พลังงานที่ร่างกายได้รับมาจากการบริโภคอาหาร และร่างกายจะใช้สารอาหารที่บริโภค
เข้าไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน โดยสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน
และไขมั น ถ้ า พลั ง งานที่ ไ ด้ รั บ จากการบริ โ ภคอาหารเท่ า กั บ พลั ง งานที่ ร่ า งกายใช้ ไ ปใน
กระบวนการต่างๆ เรียกภาวะดังกล่าวว่า “พลังงานสมดุล” (energy balance) แต่ถ้าได้รับ
พลังงานจากอาหารน้อยกว่าที่ร่างกายใช้จะเรียกว่า “สมดุลพลังงานทางลบ” (negative energy
balance) ผลที่ตามมาคือ น้ําหนักตัวลด เป็นโรคขาดสารอาหาร แต่ถ้าได้รับพลังงานจากอาหาร
มากกว่าที่ร่างกายใช้จะเรียกว่า “สมดุลพลังงานทางบวก” (positive energy balance) ผลที่
ตามมาคือจะเป็น โรคอ้วน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรจึงทําให้
เกิดภาวะโภชนาการดังกล่าวได้
ในคนอ้วน จึงต้องมีการควบคุมน้ําหนักตัวให้เหมาะสม ซึ่งสามารถทําได้โดยการควบคุม
การบริโภคอาหารในแต่ละวันเพื่อให้ได้พลังงานที่พอดีกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน
ดังนั้นการคํานวณหาพลังงานที่ร่างกายต้องการ ทําได้ดังนี้
128
1. การคํานวณหาน้ําหนักตัวที่เหมาะสม
การมี น้ํ า หนั ก ตั ว ที่ เ หมาะสม คื อ การมี น้ํ า หนั ก ตั ว ได้ สั ด ส่ ว นกั บ โครงสร้ า งของ
ร่ า งกาย ซึ่ ง พอเหมาะที่ จ ะทํ า ให้ ร่ า งกายมี สุ ข ภาพดี เกณฑ์ ที่ ใ ช้ ใ นการตั ด สิ น น้ํ า หนั ก ตั ว ที่
เหมาะสมในบุคคลวัยต่างๆ มีดังนี้
1.1 ทารกและเด็ ก ในการกํ า หนดค่ า น้ํ าหนั ก และส่ ว นสูง ของเด็ ก ทารก ใช้ ข้อ มู ล
เกณฑ์อ้างอิงน้ําหนัก ส่วนสูง และเครื่องชี้วัดภาวะโภชนาการของประชาชนชาวไทยอายุ 1วัน-19
ปี ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2542 โดยหาค่าเฉลี่ยของน้ําหนักและส่วนสูงของ
ทารกและเด็กแต่ละกลุ่มอายุ จากค่ามัธยฐานของน้ําหนัก (median weight) และค่ามัธยฐานของ
ส่วนสูง (median height) ของแต่ละอายุ โดยมีรายละเอียดของข้อมูลอายุเป็นเดือน (ตารางที่ 4.4)
2. การคํานวณหาพลังงานและสารอาหารที่ต้องการ
การกํ า หนดความต้ อ งการพลั ง งานของร่ า งกายขึ้ น กั บ เพศ อายุ องค์ ป ระกอบ
ร่างกาย (มวลไขมันและมวลที่ปราศจากไขมัน) ซึ่งมีผลต่อค่าดัชนีมวลกาย โดยมวลที่ปราศจาก
ไขมันมีความสัมพันธ์กับค่าดัชนีมวลกาย เนื่องจากเป็นการวัดการทํางานของ แอกทีฟเซลล์แมส
(active cell mass) นอกจากนี้ยังขึ้นกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย โดยอาจแบ่งเป็นกลุ่มๆ ได้
ดังนี้
2.1 ทารก การกําหนดความต้องการพลังงานในทารกขึ้นกับปริมาณน้ํานมแม่อย่าง
เดี ย วในช่ วงอายุ น้ อ ยกว่ า 2 เดื อน และเพิ่ม ปริ ม าณอาหารเสริ ม หลั ง อายุ 2 เดื อ น ปั จ จุ บั น
องค์การอนามัยโลกแนะนําให้เลี้ยงทารกด้วยน้ํานมแม่ได้จนทารกมีอายุ 6 เดือน
จากการศึกษาพบว่าปริมาณน้ํานมแม่ของคนไทยในช่วงอายุต้ังแต่แรกคลอดจนถึงอายุ
8 เดือน มีปริมาณใกล้เคียงกันระหว่าง 616-707 กรัมต่อวัน และค่อยๆลดปริมาณลงจนถึง 516
กรัมต่อวันเมื่อเด็กอายุ 2 ปี ตารางที่ 4.6 แสดงความต้องการพลังงานและโปรตีนจากน้ํานมแม่
รวมทั้งอาหารอื่นด้วย สําหรับพลังงานที่ควรได้รับจากอาหารที่บริโภคต่อวันสําหรับทารก
พลังงาน
พลังงาน
อายุ น้ําหนัก (กิโลแคลอรี/วัน) ปริมาณน้ํานมแม่
(กิโลแคลอรี/
(ปี-เดือน) (กก.) จากน้ํานม จาก (มิลลิลิตร/วัน)
ทารก วัน)
แม่ อาหารอื่น
0-5 5 500 500 0 670
6-11 8 800 400 400 580
หมายเหตุ : ตามปริมาณที่ใช้อ้างอิงสําหรับคนไทย (Dietary Reference Intake : DRI) พ.ศ. 2546
ทารกมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ช่วงเดือนแรกความต้องการพลังงานที่เกี่ยวกับ
การเจริญเติบโตจะสูงถึงร้อยละ 35 ของความต้องการของพลังงานทั้งหมดและลดลงเหลือร้อย
ละ 3 เมื่อทารกอายุ 1 ปี ในช่วงวัยรุ่นความต้องการพลังงานที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโตจะเพิ่ม
เป็นร้อยละ 4 ของความต้องการพลังงานทั้งหมด สําหรับน้ําหนักของทารกอายุ 6 เดือนจะ
เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของน้ําหนักแรกเกิด และจะเพิ่มเป็น 3 เท่า เมื่ออายุได้ 1 ปี
2.2 เด็กและวัยรุ่น
เด็ ก และวั ย รุ่ น มี ก ารเจริ ญ เติ บ โตอย่ า งรวดเร็ ว ทั้ ง น้ํ า หนั ก และส่ ว นสู ง การ
กําหนดความต้องการพลังงานที่ต้องการนั้นเช่นเดียวกับการกําหนดค่าพลังงานในผู้ใหญ่ โดย
ทางคณะกรรมการจัดทําข้อกําหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจําวันสําหรับคนไทย พ.ศ. 2546
ได้กําหนดให้เด็กและวัยรุ่นได้รับพลังงาน ดังนี้ (ตารางที่ 4.8)
ผู้ใหญ่ ชาย
19-30 1,556 2,150
31-50 57.3 1,544 2,100
51-70 1,544 2,100
> 71 1,260 1,750
พลังงานที่ใช้จําแนกตามกิจกรรม
ภาวะโภชนาการ (กิโลแคลอรี/น้าํ หนักตัว 1 กก./วัน)
หนัก ปานกลาง เบา พัก
ภาวะขาดสารอาหาร 45-50 40 35 20-25
(น้ําหนักตัวน้อยกว่าร้อยละ 20 ของน้ําหนักที่ควรเป็น)
ปกติ 40 35 30 15-20
ภาวะโภชนาการเกิน 35 30 15-20 20
(น้ําหนักตัวมากกว่าร้อยละ 20 ของน้ําหนักที่ควรเป็น)
ที่มา (รุจิรา สัมมะสุต, 2529, หน้า 182)
การแบ่งประเภทของกิจกรรม มีดังนี้
พัก คือ ผู้ที่อยู่ในระยะพักฟื้น หรือผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียง
งานเบา คือ ผู้ที่ทํางานในสํานักงาน ผู้ชํานาญการทางวิชาชีพต่างๆ เช่น แพทย์ ครู นัก
บัญชี สถาปนิก แม่บ้านที่ทํางานบ้านโดยมีเครื่องผ่อนแรง เสมียนหน้าร้าน
งานปานกลาง คือ ผู้ที่ทํางานในโรงงานอุตสาหกรรมเบา นักศึกษา พนักงานก่อสร้างที่
ไม่ได้ใช้แรงงานหนัก ชาวประมง พนักงานหญิงในห้างสรรพสินค้า แม่บ้านที่ทํางานโดยไม่มี
เครื่องผ่อนแรง
งานหนั ก คื อ ผู้ ที่ ทํ า งานด้ า นการเกษตร ชาวไร่ ชาวสวน พนั ก งานป่ า ไม้ ทหาร
ประจําการ กรรมกรขุดแร่ กรรมกรในโรงงานถลุงเหล็ก นักกีฬา
ตัวอย่าง การคํานวณหาพลังงานที่ควรได้รับ
ตัวอย่างที่ 1 ชายคนหนึ่ ง มี อ ายุ 21 ปี เป็ น นั ก ศึ ก ษา มี น้ํ า หนั ก ตั ว 65 กิ โ ลกรั ม
ส่วนสูง 165 เซนติเมตร ให้คํานวณหาพลังงานที่ชายคนนี้ควรได้รับจากอาหาร
135
การบําบัดรักษาภาวะน้ําหนักตัวเกินและโรคอ้วน
การจะบําบัดรักษาภาวะน้ําหนักตัวเกินและโรคอ้วนได้น้นั จําเป็นต้องทราบสาเหตุที่ทาํ ให้
ผู้ป่วยว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด เช่นการมีน้ําหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากเกิดความผิดปกติของต่อม
ไร้ท่อหรือเกิดขึ้นจากการเป็นโรคอื่นจําเป็นที่ผู้ป่วยต้องรักษาโรคหรือความผิดปกติน้ันๆ ก่อน
แต่ถ้าไม่พบโรคอื่นใดอาจจะสรุป ได้ว่าภาวะน้ําหนัก ตัวเกิน นั้นอาจเกิดเนื่องจากการบริโภค
อาหาร ซึ่งการบําบัดรักษาภาวะน้ําหนักตัวเกินและโรคอ้วน สามารถแบ่งได้ 4 วิธี ดังนี้
1. การควบคุมอาหาร
การควบคุมอาหารได้ผลดีสําหรับผู้ที่มีภาวะน้ําหนักตัวเกินที่ไม่มากนัก หรือใน
บุคคลที่เริ่มมีน้ําหนักตัวเกินและอ้วนเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว ซึ่งไม่เคยลดน้ําหนักมาก่อน และมีสภาพ
จิตและอารมณ์ดี หลักการควบคุมอาหารเพื่อการลดน้ําหนักหรือรักษาภาวะน้ําหนักตัวเกินหรือ
โรคอ้วนมีด้วยกัน 2 วิธี คือ
1.1 การลดปริมาณอาหาร คือ การเลือกบริโภคอาหารที่มีสารอาหารซึ่งให้ปริมาณ
พลังงานน้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายต้องการใช้ ซึ่งเป็นผลทําให้ร่างกายเกิดการสลายพลังงานที่
สะสมในรูปของไขมันออกมาใช้แทนเป็นผลให้น้ําหนักตัวลดลง โดยทั่วไปการจัดอาหารให้มี
พลังงานลดลงจากเดิมประมาณวันละ 500-1,000 กิโลแคลอรี จะสามารถลดน้ําหนักตัวลงได้
0.5-1 กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งอัตราการลดน้ําหนักนี้ไม่ก่อให้เกิดความอ่อนเพลียหรือเจ็บป่วยแก่
ผู้ป่วย หลักการลดปริมาณอาหารที่สําคัญ มีดังนี้
1.1.1 พลังงานที่ควรได้รับ พลังงานที่จัดให้กับผู้ที่ต้องการลดน้ําหนัก ไม่ควรต่ํา
กว่าวั น ละ 1,000 กิ โ ลแคลอรี เนื่อ งจากการได้รั บ พลังงานที่น้ อยอาจมีผลทํา ให้ ผู้ป่ ว ยได้ รับ
สารอาหารไม่เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกายและต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่าง
ใกล้ชิด รวมทั้งอาจจะต้องการเสริมวิตามินและเกลือแร่บางชนิดให้กับผู้ป่วย ในการควบคุม
อาหารที่บริโภคประจําวันถ้าสามารถลดปริมาณพลังงานลงจากเดิมวันละ 500-1,000 กิโล
แคลอรีจะสามารถทําให้น้ําหนักตัวลดลงได้สัปดาห์ละ 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์
139
ในการสั่งอาหารสําหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วนหรือผู้ป่วยที่ต้องการลดน้ําหนัก แพทย์จะทํา
การสั่งอาหารให้กับผู้ป่วย โดยระบุปริมาณพลังงานที่ต้องการอย่างชัดเจน
1.1.2 สารอาหาร ในผู้ที่ต้องการลดน้ําหนักการจัดอาหารยังให้ผู้ป่วยได้รับ
สารอาหารที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
1) โปรตีนที่ได้ควรมีปริมาณมากพอที่จะรักษาสมดุลไนโตรเจนและควร
ได้ รั บ โปรตี น ที่ มี คุ ณ ภาพสู ง เพราะร่ า งกายยั ง คงมี ค วามจํ า เป็ น ที่ ต้ อ งการใช้ โ ปรตี น ในการ
ซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายและป้องกันไม่ให้ร่างกายสลายโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้
2) คาร์โบไฮเดรต ควรจัดอาหารให้มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 100 กรัมต่อ
วัน เพื่อป้องกันอาการอ่อนเพลียและภาวะกรดในเลือดและป้องกันอันตรายจากการเสียสมดุล
ของน้ําและของเหลวในร่างกายและให้บริโภคอาหารที่มีกากใยประมาณ 20-30 กรัม เพื่อช่วย
ให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ
3) ไขมันให้ได้รับไม่เกินร้อยละ 30 ของพลังงานที่ได้ โดยให้ได้รับกรด
ไขมันอิ่มตัวไม่เกินร้อยละ 10 ของพลังงาน การจํากัดอาหารประเภทไขมันจะสามารถช่วยให้การ
ลดน้ําหนักประสบความสําเร็จ
1.3 แนวทางการแนะนําการปฏิบัติตนในด้านพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ผู้ที่มี
ภาวะน้ําหนักตัวเกินหรือโรคอ้วน ต้องมีความตั้งใจที่จะลดน้ําหนักตัวลงและต้องมีความตระหนัก
ถึ ง ปั ญ หาของโรคอ้ วนที่ มี ต่ อสุ ขภาพ เพื่อ ให้ เ กิ ด แรงจู ง ใจที่ จ ะปฏิ บั ติ ตั ว ด้ า นพฤติ ก รรมการ
บริโภคอาหารเพื่อที่จะลดน้ําหนักตัวลงทําได้ ดังนี้
1.3.1 บริโภคอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ รับประทานอาหารให้
ครบ 5หมู่ ตัวอย่างการจัดอาหารลดน้ําหนัก ดังแสดงในตารางที่ 3.2
1.3.2 บริโภคอาหารทุกมื้อตามเวลา เลือกบริโภคอาหารที่ให้พลังงานต่ํา
บริโภคอาหารแต่พอควร ไม่บริโภคจนอิ่ม เมื่อรับประทานอาหารเสร็จทุกครั้งควรลุกออกจาก
โต๊ะอาหารทันที งดอาหารขบเคี้ยว เครื่องดื่มน้ําอัดลมหรือน้ําหวาน และงดอาหารระหว่างมื้อ
1.3.3 ลดหรื อ งดการบริ โ ภคน้ํ า ตาล และอาหารที่ มี น้ํ า ตาลเป็ น
ส่วนประกอบมากๆ เช่น น้ําอัดลม ขนมหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทองและกล้วยเชือ่ ม
เป็นต้น
1.3.4 ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันมาก เช่น เนื้อติดมัน หนังเป็ด หนังไก่
หมูสามชั้น ขาหมู อาหารที่มีส่วนผสมของกะทิ ได้แก่ แกงและขนมที่มีกะทิต่างๆ งดอาหารทอด
หรือการผัดที่ใช้น้ํามันมากๆ ควรเลือกบริโภคอาหารที่มีวิธีการปรุงโดยการต้ม ตุ๋น นึ่งและย่าง
แทน
140
ระดับพลังงานที่ต้องการในแต่ละวัน
กลุ่มอาหาร หน่วย (กิโลแคลอรี)
เพศหญิง 1200 เพศชาย 1500
ข้าว - แป้ง ทัพพี 5 6
ผัก ทัพพี 5 5
ผลไม้ ส่วน 3 3
เนื้อสัตว์ ช้อนกินข้าว 12 14
นมพร่องไขมัน แก้ว 1 2
ไขมัน ช้อนชา 2 3
น้ําตาล น้ําปลา และเกลือ ใช้เท่าที่จําเป็น
ที่มา (กองโภชนาการ กรมอนามัย, 2546)
141
2. การออกกําลังกาย
การออกกําลังกายควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารเป็นวิธีที่สามารถบําบัดและรักษา
ภาวะน้ําหนักตัวเกินได้เป็นอย่างดีและช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี การออก
กําลังกายจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารในร่างกายทําให้น้ําหนักตัวลดลงได้โดยไม่ต้อง
ลดการบริโภคอาหารมากนัก ข้อพิจารณาในการออกกําลังกาย มีดังนี้
2.1 รูปแบบการออกกําลังกาย สําหรับผู้ที่ต้องการลดน้ําหนักและควบคุมน้ําหนักตัว
ควรเลือกกิจกรรมการออกกําลังกายประเภทแอโรบิกหรือการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องอาทิ
การเดิน การวิ่งเหยาะๆ การขี่จักยานแบบนั่งอยู่กับที่ การว่ายน้ํา (ตารางที่ 4.13) หากชอบออก
กําลังกายเป็นกลุ่มสามารถเข้าร่วมกิจกรรมการเต้นแอโรบิก การฝึกไทเก๊กและการฝึกโยคะ
เป็นต้น โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับตัวเองและคํานึงถึงความสะดวก ปลอดภัย รวมทั้งความ
ยากง่ า ยด้ ว ยและควรหลี ก เลี่ ย งกิ จ กรรมการออกกํ า ลั ง กายที่ มี แ รงกระแทกหรื อ มี ก าร
เปลี่ยนแปลงจังหวะทิศทางการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ซึ่งจะมีผลต่อข้อเข่า ข้อเท้าทําให้เกิดการ
บาดเจ็บได้
กิจกรรม นาที
ล้างรถ 45-60
ถูบ้าน/เช็ดกระจก 45-60
ทําสวน 30-45
วอลเลย์บอล 45
เดิน 2.8 กม. (80 เมตร/นาที) 35
ขี่จักรยาน 8 กิโลเมตร (270 เมตร/นาที) 30
เดิน 3.2 ก.ม (110 เมตร/นาที) 30
แอโรบิกในน้ํา 30
บาสเก็ตบอล 15-20
ว่ายน้ํา 20
กระโดดเชือก 15
เดินขึ้นบันได 15
วิ่ง 2.4 กม.(160 เมตร/นาที) 15
ที่มา (กรมอนามัย, 2548, หน้า 81)
142
มากเท่าใดยิ่งช่วยเผาผลาญและลดไขมันในร่างกายได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามควรมีวันพักหรือ
หยุดออกกําลังกาย อย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์และออกกําลังกายเป็นประจําสม่ําเสมอหรือ
อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์
3. การใช้ยา
ผู้ป่วยโรคอ้วนที่ได้รับคําแนะนําให้ใช้ยาในการรักษาส่วนใหญ่จะเป็นผู้ป่วยโรคอ้วนที่
มีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 30 กิโลกรัมต่อตารางเมตร และได้ทําการรักษาโดยการควบคุม
อาหาร ร่วมกับการออกกําลังกายแล้วไม่ประสบผลสําเร็จ จึงต้องใช้ยาในการบําบัดรักษา ยาที่
ใช้ในการรักษาโรคอ้วน แบ่งออกได้หลายประเภท ดังนี้
3.1 ยาลดความอยากอาหารทําให้ไม่หิว ยากลุ่มนี้ได้แก่ ยากลุ่มอนุพันธ์ของแอมเฟ-
ตามีน (amphetamine derivatives) ซึ่งถูกจัดเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท มีฤทธิ์ในการ
กระตุ้นประสาทส่วนกลางที่ไฮโปธาลามัส ทําให้การอยากอาหารลดลงแต่มีฤทธิ์ข้างเคียงทําให้
กระปรี้กระเปร่า ไม่ง่วง หายใจคล่อง อารมณ์ครึกครื้น ใจสั่น นอนไม่หลับ อาจมีอาการประสาท
หลอน คอแห้ง ปวดท้อง ท้องผูกและอาจมีอาการท้องเดิน กระวนกระวาย มีอารมณ์แปรปรวน
เป็นเหตุให้มีอารมณ์รุนแรง ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว เมื่อใช้ยานี้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน
1-2 เดือน จะเกิดอาการดื้อยา ติดยา จึงต้องปรึกษาแพทย์ให้ตรวจวินิจฉัยในการดูแลรักษา
ใกล้ชิดตลอดเวลา และห้ามใช้ยานี้กับหญิงมีครรภ์และเด็กอายุต่ํากว่า 12 ปี
3.2 ยาที่ใช้แทนที่อาหาร ได้แก่ เมทธิลเซลลูโลส (methylcellulose) หรือเมล็ดซิ
ลเลียม (psyllium seed) เช่นเมล็ดแมงลัก มีคุณสมบัติดูดน้ํา เมื่อผสมน้ําแล้วพองตัวมีลักษณะ
คล้ายวุ้นเหนียวจะดูดซึมอาหารและน้ําไว้ กระเพาะอาหารถูกดันขยายตัวทําให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นทํา
ให้การเคลื่อนไหวของอาหารช้าลง อิ่มอยู่ได้นาน จึงมีคุณสมบัติแทนที่อาหารและชะลอหรือ
ขัดขวางการย่อยอาหาร
3.3 ยาที่ลดการดูดซึมสารอาหาร เช่น นีโอไมซิน (neomycin) ขัดขวางการสร้าง
ไมเซลล์ (micell) ทําให้ลดการดูดซึมไขมันลงถึงร้อยละ 20-50 ของปริมาณไขมันที่กินเข้าไปแต่
ไม่ค่อยนิยมใช้กัน ได้มีการศึกษาพบว่า ซูโครสโพลีเอสเตอร์ (sucrose polyester) เป็นไขมัน
สังเคราะห์ที่ไม่ถูกดูดซึมในระบบทางเดินอาหาร ใช้แทนไขมันธรรมชาติที่สามารถลดน้ําหนักตัว
และลดไขมันในเลือดด้วย
3.4 ยาที่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญสารอาหาร ยากลุ่มนี้ที่ใช้กัน เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์ มี
ฤทธิ์ในการเร่งการเผาผลาญพลังงาน ผลเสียของยาชนิดนี้คือ เป็นพิษต่อหัวใจ ทําให้ใจสั่น ปวดหัว
เหงื่อออก คลื่นไส้ อาเจียนและท้องเดิน เป็นต้น นอกจากฮอร์โมนไทรอยด์แล้วยังมียาระบายทําให้
144
ร่างกายขับถ่ายอาหารที่บริโภคเข้าไปในขณะที่ยังไม่มีการดูดซึมเข้าสู่เซลล์ ซึ่งจะช่วยลดน้ําหนักได้
เนื่องมาจากการสูญเสียน้ําและอาหารที่กินเข้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่สูญเสียไขมัน
การใช้ยาระบายหรือยาถ่าย ทําให้ขับถ่ายอาหารที่บริโภคเข้าไปโดยยังไม่ทันได้ดูดซึมเข้า
สู่เซลล์ของร่างกาย สามารถช่วยลดน้ําหนักได้เนื่องมาจากการสูญเสียน้ําและอาหารที่บริโภค
เข้าไปเร็วกว่ากําหนด แต่ไม่ใช่การลดน้ําหนักของไขมัน และการระบายบ่อยๆ ยังทําให้ร่างกาย
สูญเสียวิตามินและเกลือแร่ ทําให้ปากแห้ง อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อทําให้เป็นตะคริว หัวใจเต้น
ผิดปกติ ไตวาย ไตทํางานผิดปกติ เป็นนิ่ว ลําไส้อักเสบและเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งที่ลําไส้ใหญ่
4. การผ่าตัด และการดูดไขมัน
ปัจจุบันการทําศัลยกรรมตกแต่งได้เข้ามามีบทบาทในการรักษาผู้ป่วยโรคอ้วนมาก
ขึ้น อย่างไรก็ตามการผ่าตัดไม่ได้เป็นวิธีที่ดีที่สุด การผ่าตัดลดความอ้วนอาจทําได้โดยการผ่าตัด
เอาลําไส้เล็กออกบางส่วนเพื่อให้มีพื้นที่ในการย่อยและการดูดซึมอาหารลดลงหรือการผ่าตัดลด
ขนาดของกระเพาะอาหารเพื่อทําให้ผู้ป่วยบริโภคอาหารได้น้อยลง การผ่าตัดมีความยุ่งยากและ
อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต การผ่าตัดอาจจะได้ผลดีในระยะแรกแต่ถ้าผู้ป่วยไม่ควบคุมอาหารและ
ไม่ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอผู้ป่วยจะมีน้ําหนักเพิ่มขึ้นได้อีก
สําหรับการดูดไขมัน (liposuction) หมายถึง วิธีการใช้เครื่องมือที่มีลักษณะคล้ายท่อใส่
เข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อดูดเอาไขมันส่วนเกินออกมาจากบริเวณต่างๆ เช่น หน้าท้อง สะโพก ก้น
ต้นขา ต้นแขนและคอ เป็นต้น โดยการดูดไขมันนี้จะไม่สามารถลดความอ้วนทั่วร่างกายได้แต่จะ
ลดจํานวนไขมันในบริเวณส่วนต่างๆ ที่สะสมอยู่เฉพาะที่ได้ การดูดไขมันจะทําในผู้ป่วยโรคอ้วนที่
ทําการรักษาด้วยการควบคุมอาหารและการออกกําลังกายแล้วแต่ไม่เป็นผล ซึ่งผลเสียของการ
ดูดไขมันจะพบว่าผิวหนังจะมีลักษณะเป็นปม มีก้อนใต้ผิวหนัง มีแผลเป็นและอาจมีการติดเชื้อ
เสียเลือดและน้ํา ทําให้เกิดความดันโลหิตต่ําและอาจเสียชีวิตได้
การรักษาโรคอ้วนนอกจากการคุมอาหาร การรักษาด้วยยา ยังมีการรักษาได้ด้วยการ
ผ่าตัด แต่อย่างไรก็ตามการรักษาที่ได้ผลดีกับผู้ป่วยและมีภาวะแทรกซ้อนน้อยที่สุดคือ การ
ควบคุมอาหารและการออกกําลังกายอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างหลักการจัดอาหารสําหรับผู้ป่วยน้ําหนักตัวเกินและโรคอ้วน
ชายคนหนึ่ง มีส่วนสูง 160 เซนติเมตร น้ําหนัก 75 กิโลกรัม มีอาชีพเป็นพนักงานขาย
ของในห้างสรรพสินค้าแห่ง ให้คํานวณหาปริมาณพลังงานและสารอาหารที่ควรได้รับ กําหนด
สัดส่วยอาหารที่เหมาะสมโดยใช้รายการอาหารแลกเปลี่ยน และจัดรายการอาหารที่เหมาะสม
สําหรับชายคนนี้
145
1,080
ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ควรได้รับ =
4
(คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี)
ดังนั้น ชายคนนี้ต้องการคาร์โบไฮเดรตวันละ = 270 กรัม
= 270 กิโลแคลอรีต่อวัน
270
ปริมาณโปรตีนที่ควรได้รับ =
4
(โปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี)
ดังนั้น ชายคนนี้ต้องการโปรตีนวันละ = 67.5 กรัม
= 450 กิโลแคลอรีต่อวัน
450
ปริมาณไขมันที่ควรได้รับ =
9
(ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี)
ดังนั้น ชายคนนี้ต้องการไขมันวันละ = 50 กรัม
147
เนื้อสัตว์ไขมันต่ํามาก 1 - 7 0 35
เนื้อสัตว์ไขมันต่ํา 2 - 14 3 110
เนื้อสัตว์ไขมันปานกลาง 2 - 14 10 150
รวมจํานวนสารอาหาร 69 18
มื้ออาหาร
หมวดอาหาร ส่วน เช้า เที่ยง ว่างบ่าย เย็น
นมพร่องมันเนย 1 1 - - -
ผัก ก กินได้ตามชอบไม่จํากัดจํานวน
ผัก ข 4 1 1.5 - 1.5
ผลไม้ 5 1 1 2 1
ข้าว 9 2 3 1 3
เนื้อสัตว์ไขมันต่ํามาก 1 - 1 - -
เนื้อสัตว์ไขมันต่ํา 2 - 1 - 1
เนื้อสัตว์ไขมันปานกลาง 2 1 - - 1
ไขมัน 6.5 1.5 2 1 2
สรุป
ภาวะน้ํ า หนั ก ตั ว เกิ น (overweight) และโรคอ้ ว น (obesity) เป็ น ปั ญ หาสํ า คั ญ ทาง
สาธารณสุ ข เพราะทั้ ง สองภาวะเป็ น ปั จ จั ย เสี่ ย งที่ ทํ า ให้ ผู้ ป่ ว ยเกิ ด โรคไม่ ติ ด ต่ อ เรื้ อ รั ง ที่ มี
ความสัมพันธ์กับทางในอนาคต เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจและโรคไขมัน
ในเลื อ ดสูง เป็ น ต้ น มากกว่ า ผู้ที่ มี น้ํ า หนัก ตัว ปกติ สาเหตุข องการเกิ ด โรคอ้ ว นมี ส าเหตุจ าก
พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม โดยปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่สําคัญที่ทําให้เกิดโรคอ้วนมาจากพฤติกรรม
การบริ โ ภคโดยเฉพาะการกิ น อาหารประเภทแป้ ง และไขมั น ในปริ ม าณมากและมี วิ ถี ชี วิ ต ที่
เปลี่ยนไป ออกกําลังกายน้อยลง เกณฑ์ที่ใช้ในการตัดสินภาวะโภชนาการนิยมใช้ดัชนีมวลกาย
(body mass index : BMI) โดยผู้ที่มีภาวะโภชนาการปกติมีค่าดัชนีมวลกายระหว่าง 18.5 – 22.5
กิโ ลกรัม ต่ อตารางเมตร และผู้ ที่มี ค่าดัชนี มวลกายอยู่ระหว่ าง 23 – 24.9 และมากกว่า 25
กิโลกรัมต่อตารางเมตร จะมีภาวะโภชนาการเกินและเป็นโรคอ้วนตามลําดับ วิธีการรักษาโรค
อ้วนควรควบคุมให้มีน้ําหนักตัวที่เหมาะสม ซึ่งสามารถทําได้โดยการควบคุมอาหารปรับเปลี่ยน
พฤติกรรมการกิน การใช้ยาตามที่แพทย์แนะนําและการผ่าตัด
บทที่ 5
อาหารสําหรับผู้ปว่ ยโรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน เป็นโรคไม่ติดต่อชนิดเรื้อรังที่มีความสัมพันธ์กับทางโภชนาการและรักษา
ไม่หายขาด ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดได้ดีจะส่งผลทําให้เกิด
โรคแทรกซ้อนซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โรคเบาหวานเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สําคัญ
ของประเทศ ปัจจุบันผู้ป่วยโรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มจํานวนมากขึ้นทุกปี ในปี พ.ศ.2537 ได้มี
การประมาณการณ์จํานวนผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลกไว้ประมาณ 100 ล้านคนและมีรายงานใน
ประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า ในปี พ.ศ. 2500 มีรายงานผู้ป่วยโรคเบาหวาน 1.5 ล้านคน ต่อมา
ในปี พ.ศ.2541 มีผู้ป่วยเบาหวานประมาณ 10.5 ล้านคนและมีการคาดการณ์ไว้ว่าในปี พ.ศ.
2553 จะมีผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลกอย่างน้อย 215 ล้านคน (ธิติ สนับบุญ,2543,หน้า15) จํานวน
ผู้ป่วยเบาหวานที่เพิ่มมากขึ้นเป็นผลมาจากประชากรมีอายุยืนยาวขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงวิถี
การดําเนินชีวิต โดยเฉพาะการบริโภคอาหารที่นิยมบริโภคตามแบบอย่างชาติตะวันตก การ
ควบคุมโรคเบาหวานจะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ได้แก่ แพทย์ เภสัชกร พยาบาล
นักกําหนดอาหารและผู้ป่วยที่จะต้องให้ความมือเพื่อให้ผู้ป่วยมีความรู้และมีทักษะในการดูแล
ตนเองได้อย่างถูกต้อง นอกเหนือจากการใช้ยาควบคุมเบาหวานหรือการใช้อินซูลินแล้ว การ
ควบคุมอาหารเป็นสิ่งที่สําคัญและจําเป็นอย่างยิ่งในการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน การจัดอาหาร
ที่ถูกต้องตามหลักโภชนบําบัดจะช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ําตาลกลูโคส
ในเลือดได้ ซึ่งจะสนับสนุนการรักษาของแพทย์ในด้านอื่นๆให้ได้ผลดียิ่งขึ้น
ความหมายของโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็ น โรคที่ รู้ จั ก ทั่ ว ไปในวงการแพทย์ ม าตั้ ง แต่ โ บราณประมาณต้ น
คริสต์ศตวรรษ นายแพทย์ชาวกรีก ชื่อ กาเลน (Galan) ได้บรรยายถึงโรคที่ทําให้ผู้ป่วยผอมลง
ปัสสาวะบ่อย หิวบ่อย กินน้ํามากและถึงแก่ความตายภายหลังการเป็นโรคไม่นานนัก ต่อมาแอรี
เทียส (Aretaeus) นายแพทย์ชาวโรมัน ได้ต้ังชื่อโรคดังกล่าวตามอาการนี้ว่า “ไดอะบีติส”
(Diabetes) หมายถึง การที่ร่างกายขับน้ําหรือปัสสาวะออกมามากกว่าปกติ ต่อมานายแพทย์
อวิเซนนา (Avicenna) ได้ให้คําจํากัดความของโรคนี้ว่า เป็นโรคที่มีปัสสาวะเป็นรสหวานเหมือน
น้ําผึ้งและผู้ป่วยมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเสมอ เช่น แผลอักเสบเรื้อรังหรือเป็นฝี ในปี พ.ศ. 2217
152
การควบคุมระดับน้ําตาลในเลือด
เนื่องจากร่างกายคนเราจําเป็นต้องใช้พลังงานเพื่อการดํารงชีวิตและกลูโคสเป็นแหล่ง
พลังงานที่สําคัญที่สุดของเซลล์ต่างๆ ร่างกายจึงต้องพยายามรักษาระดับน้ําตาลกลูโคสในเลือด
ให้อยู่ในระดับปกติอยู่เสมอคือ 60-120 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร (มก./ดล.) ซึ่งร่างกายมี
กลไกที่จะควบคุมระดับน้ําตาลกลูโคสในเลือด ดังนี้
เมื่ อ คนเรารั บ ประทานอาหารเข้ าไประดั บ น้ํ า ตาลในเลื อ ดจะสู ง ขึ้ น อาหารประเภท
คาร์โบไฮเดรตจะทําให้ระดับน้ําตาลในเลือดเพิ่มได้มากที่สุดและระดับน้ําตาลที่เพิ่มขึ้นนี้จะกระตุ้น
ให้เบต้าเซลล์จากตับอ่อน (ภาพที่ 5.1) หลั่งอินซูลินออกมาเพื่อควบคุมระดับน้ําตาลในเลือด
โดยปริมาณอินซูลินจะหลั่งออกมาตามสัดส่วนของปริมาณกลูโคสที่ได้รับ ถ้ากินอาหาร
ที่ให้พลังงานมากระดับน้ําตาลในเลือดจะสูงขึ้นและอินซูลินก็จะหลั่งออกมามากขึ้น อินซูลินจะ
154
เป็นตัวนํากลูโคสเข้าสู่เซลล์และเร่งให้เซลล์ต่างๆใช้กลูโคสเป็นพลังงาน หากระดับกลูโคสใน
เลือดอยู่ในระดับสูง อินซูลินจะเปลี่ยนส่วนที่เหลือใช้เป็นไกลโคเจน (glycogen) เพื่อเก็บสํารองไว้
ในกล้ามเนื้อและตับเพื่อไว้เป็นพลังงานสํารองของร่างกาย แต่ถ้าระดับกลูโคสในเลือดยังคงสูง
อยู่อีก อินซูลินก็จะเปลี่ยนกลูโคสเป็นไขมันเก็บสํารองไว้ตามใต้ผิวหนังและหน้าท้องและส่วน
อื่นๆ ของร่างกาย ด้วยผลของอินซูลินดังกล่าวนี้ทําให้ระดับน้ําตาลกลูโคสในเลือดต่ําลงและหาก
ระดับน้ําตาลกลูโคสในเลือดลดลงต่ํากว่าปกติจะด้วยการออกกําลังกายมากเกินไปหรือได้รับ
อาหารไม่ เ พี ย งพอก็ ต าม ฮอร์ โ มนทั้ ง 5 ชนิ ด ได้ แ ก่ ฮอร์ โ มนเพื่ อ การเจริ ญ เติ บ โต (growth
hormone) คอร์ติโคสเตรอยด์ (corticosteroid) แคทีโคลามิน (cathecolamine hormone) กลูคา
กอน (glucagon) ไทรอกซิ น (thyroxine) จะเริ่ ม ทํ า งานโดยเร่ ง ให้ มี ก ารสลายไกลโคเจนเป็ น
กลูโคสและเร่งให้มีการสร้างกลูโคสจากโปรตีนและไขมัน โดยสลายโปรตีนและไขมันเป็นกลูโคส
ทําให้ระดับน้ําตาลในเลือดเพิ่มขึ้นด้วย กลไกการควบคุมของฮอร์โมนต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
นี้ทําให้ระดับน้ําตาลกลูโคสในเลือดอยู่ในระดับปกติอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตามหากขาดฮอร์โมนอินซูลิน จะมีผลให้เมตาบอลิซึมของอาหารผิดปกติ มี
การสลายมากกว่าการสร้างและเกิดอาการของโรคเบาหวานขึ้น เมื่อร่างกายขาดอินซูลินกลูโคส
จะไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ได้ทําให้ร่างกายไม่สามารถใช้กลูโคสเป็นพลังงานหรือเปลี่ยนกลูโคส
เป็นไกลโคเจนหรือไขมันที่สะสมไว้เพื่อใช้เป็นพลังงานสํารองของร่างกายได้จึงทําให้ระดับน้ําตาล
ในเลือดสูงและถูกขับออกมาทางปัสสาวะ แต่เนื่องจากร่างกายจําเป็นต้องใช้พลังงานเพื่อการ
ดํารงชีวิต จึงต้องสลายไขมันที่สะสมไว้และสลายโปรตีนของกล้ามเนื้อมาเผาผลาญเป็นพลังงาน
แทนเป็นผลให้ปริมาณไขมันใต้ผิวหนังลดลง กล้ามเนื้อเหี่ยวลีบ น้ําหนักลด
ในผู้ป่วยเบาหวานร่างกายใช้กลูโคสไม่ได้จึงทําให้มีการเผาผลาญไขมันเป็นพลังงานแทน
มากขึ้นทําให้มีการคั่งของสารคีโตนในเลือดเกินความสามารถของร่างกายที่จะนําคีโตนไปใช้เป็น
พลังงานได้ทัน จึงทําให้มีคีโตนคั่งในเลือด เรียกภาวะดังกล่าวว่า คีโตซีส (ketosis) สารคีโตนนี้
ประกอบด้วย กรดอะซิโตอะซีติก (acetoacetic acid) กรดเบต้าไฮดรอกซีบิวไทริค (beta-
hydroxy butyric acid) และอะซิโตน (acetone) ซึ่งอะซิโตนเป็นสารที่ระเหยได้จึงถูกขับออกทาง
ลมหายใจทําให้ผู้ป่วยที่มีสารคีโตนคั่งในเลือดจํานวนมากเมื่อหายใจจึงมีกลิ่นของอะซิโตน ส่วน
กรดอะซิติกและกรดเบต้าไฮดรอกซีบิวไทริคจะถูกขับออกทางปัสสาวะ เมื่อสารนี้ถูกขับออกทาง
ปัสสาวะจะดึงเอาโซเดียมและโปแตสเซียมออกมาด้วย ทําให้ร่างกายเสียสมดุล กรด–ด่าง และ
เกิดภาวะเป็นกรดในเลือดร่วมกับมีสารคีโตนในเลือดสูง สภาวะนี้เรียกว่า คีโตแอซิโดซีส (keto
acidosis) ผู้ป่วยจะอ่อนเพลีย กระหายน้ํามาก ในรายที่เป็นรุนแรงจะหอบเหนื่อยและหมดสติ
(วลัย อินทรัมพรรย์, 2549, หน้า 46)
155
ประเภทของโรคเบาหวาน
ในปี ค.ศ. 1985 คณะกรรมการเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคเบาหวาน องค์การอนามัยโลกใน
ปี ค.ศ. 1985 และสมาคมโรคเบาหวานในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แบ่งชนิดของโรคเบาหวานที่
สําคัญ ได้ดังนี้ (วิมลรัตน์ จงเจริญ, 2543, หน้า 68-69)
1. โรคเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน
โรคเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน (insulin dependent diabetes mellitus : IDDM) หรือ
โรคเบาหวานชนิ ด ที่ 1 เป็ น โรคเบาหวานที่ พ บได้ ป ระมาณร้ อ ยละ 5-10 ของโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานประเภทนี้สามารถพบได้ทุกกลุ่มอายุ แต่ส่วนใหญ่มักพบในเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 20
ปี จึงอาจมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคเบาหวานในเด็ก (juvenile-onset diabetes mellitus :
diabetes type I) อาการของโรคเกิดขึ้นทันทีทันใด ผู้ป่วยมักมีรูปร่างผอม ถ้าขาดการรักษาด้วย
อิ น ซู ลิ น ผู้ ป่ ว ยจะเกิ ด โรคแทรกซ้ อ นอย่ า งเฉี ย บพลั น เกิ ด ภาวะคี โ ตนคั่ ง ในเลื อ ด (diabetes
ketoacidosis) ทํ า ให้ ผู้ ป่ ว ยเสี ย ชี วิ ต ได้ ง่ า ยถ้ า ได้ รั บ การรั ก ษาไม่ ทั น ผู้ ป่ ว ยเบาหวานชนิ ด นี้
จําเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดตลอดชีวิต
2. โรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน
โรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน (noninsulin dependent diabetes mellitus : NIDDM)
หรือโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคเบาหวานที่พบได้มากที่สุด ประมาณร้อยละ 80-90 ของ
โรคเบาหวาน ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 30 ปี หรืออาจเรียกว่า โรคเบาหวานใน
ผู้ใหญ่ (adult-onset diabetes mellitus : diabetes type II) พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทนี้มีอาการเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปหรือไม่มีอาการ ผู้ป่วยส่วน
ใหญ่มีรูปร่างอ้วน และมักมีประวัติโรคเบาหวานในครอบครัวอย่างชัดเจน ผู้ป่วยเบาหวานชนิดนี้
ไม่จําเป็นต้องใช้อินซูลินในการรักษาเพื่อลดระดับน้ําตาลในเลือด นอกจากในภาวะที่โรครุนแรง
การรักษาโรคเบาหวานชนิดนี้สามารถทําได้โดยการควบคุมอาหารร่วมกับการรับประทานยา
และการออกกําลังกาย
3. โรคเบาหวานชนิดที่มีความสัมพันธ์กับภาวะทุพโภชนาการ
โรคเบาหวานชนิดที่มีความสัมพันธ์กับภาวะทุพโภชนาการ (malnutrition related
diabetes mellitus : MRDM) เป็นโรคเบาหวานที่พบในผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคขาดโปรตีนและ
พลังงาน โรคเบาหวานชนิดนี้พบมากในคนที่อาศัยอยู่ในประเทศเขตร้อนของแถบเอเชียและ
อั ฟ ริ ก า ผู้ ป่ ว ยมั ก มี รู ป ร่ า งผอมมาก กล้ า มเนื้ อ ลี บ และพบมากในกลุ่ ม อายุ ต่ํ า กว่ า 35 ปี
การรักษาโรคเบาหวานชนิดนี้ต้องควบคุมภาวะน้ําตาลสูงในเลือดด้วยการใช้อินซูลิน
156
4. โรคเบาหวานที่พบร่วมกับการเป็นโรคอื่นๆ
โรคเบาหวานที่พบร่วมกับโรคอื่นๆ (other type of diabetes) โรคเบาหวานชนิดนี้พบ
ได้ยาก แต่อาจพบร่วมกับผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอ่อน โรคต่อมไร้ท่อ โรคที่เกิดจากยาและการใช้
สารเคมี ความผิดปกติของอินซูลินหรือตัวรับอินซูลินและโรคทางพันธุกรรมบางชนิด เป็นต้น
5. โรคเบาหวานในหญิงตั้งครรภ์
โรคเบาหวานที่พบในขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus : GDM) พบได้
ประมาณร้อยละ 3 ของการตั้งครรภ์และภายหลังจากการคลอดบุตรโรคนี้จะหายไปหรือไม่มี
อาการ แต่บางรายอาจเป็นโรคเบาหวานตลอดไป เนื่องจากในขณะที่ต้งั ครรภ์มีการเปลี่ยนแปลง
ของฮอร์โมนในร่างกายและต้านฤทธิ์อินซูลินทําให้ระดับน้ําตาลในเลือดสูง พบได้ในอายุครรภ์
ตั้งแต่ 20-24 สัปดาห์เป็นต้นไป ภาวะน้ําตาลในเลือดสูงขณะตั้งครรภ์จะมีความสัมพันธ์ต่อการ
เกิดอันตรายแก่เด็กในครรภ์ การวินิจฉัยและการดูแลในขณะตั้งครรภ์จึงเป็นสิ่งสําคัญ
6. ภาวะที่มีความทนต่อกลูโคสบกพร่อง (impaired glucose tolerance : IGT)
ผู้ป่วยที่มีความทนต่อกลูโคสบกพร่อง (impaired glucose tolerance : IGT) นี้ยังไม่
เป็นโรคเบาหวานแต่มีความทนต่อกลูโคสบกพร่องเป็นครั้งคราว ซึ่งพบได้ท้ังในคนอ้วนและไม่
อ้วน ผู้สูงอายุ หรืออาจเกิดจากการได้รับยาบางชนิด การขาดการออกกําลังกายและพบร่วมกับ
การเป็นโรคอื่นๆ ที่อาจทําให้เกิดโรคเบาหวาน ผู้ที่มีภาวะความทนต่อกลูโคสบกพร่องนานๆ
อาจทําให้เปลี่ยนเป็นโรคเบาหวานได้ หรืออาจเป็นภาวะเช่นนี้ตลอดไป
สาเหตุของโรคเบาหวาน
สาเหตุและปัจจัยการส่งเสริมการเกิดโรคเบาหวานมีด้วยกันหลายสาเหตุ สรุปได้ดังนี้
1. ปัจจัยทางพันธุกรรม
เชื่อว่ากรรมพันธุ์มีส่วนสัมพันธ์กับการเกิดโรคเบาหวานทั้งชนิดที่พึ่งอินซูลินและไม่
พึ่งอินซูลิน โดยเฉพาะโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน ทั้งนี้ได้มีการศึกษาติดตามผลในฝาแฝดที่
เกิ ด จากไข่ ใ บเดี ย วกั น พบว่ า เมื่ อ ฝาแฝดคนหนึ่ ง เป็ น เบาหวานอี ก คนหนึ่ ง ก็ มี โ อกาสเป็ น
โรคเบาหวาน โดยที่มีอัตราการเกิดโรคเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลินร้อยละ 50 และโรคเบาหวาน
ชนิดไม่พึ่งอินซูลินมีถึงร้อยละ 90 (ดุษณี สุทธปรียาศรี, 2532, หน้า 146)
สําหรับโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน พบว่าปัจจัยทางด้านพันธุกรรมมีส่วนทําให้
เกิ ด โรคเบาหวานชนิ ด นี้ เ ช่ น กั น โดยพบว่ า ผู้ ที่ มี บิ ด า มารดา ญาติ พี่น้ อ งสายเลื อ ดตรงเป็ น
โรคเบาหวานจะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานมากกว่าผู้ที่ไม่มีประวัติการเป็นโรคเบาหวานทาง
พันธุกรรม
157
2. ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม
นอกจากปัจจัยทางด้านพันธุกรรมแล้ว ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมก็เป็นสาเหตุที่ทําให้
เกิดโรคเบาหวานได้ ปัจจัยแวดล้อมที่สําคัญ มีดังนี้
2.1 ความอ้วนและไขมันที่บริโภค ได้มีการศึกษาพบว่าโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน
มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความอ้วนและปริมาณไขมันที่บริโภค แต่สัมพันธ์ผกผันกับปริมาณกาก
ใยอาหารที่ได้รับและคนอ้วนมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้มากกว่าคนปกติประมาณ
3 เท่า เนื่องจากเซลล์ไขมันของคนอ้วนมีปฏิกิริยาต้านฤทธิ์อินซูลินและตัวรับอินซูลินในเซลล์ไขมัน
เซลล์กล้ามเนื้อของคนอ้วนมีน้อยลง (สุรัตน์ โคมินทร์, 2529, หน้า 165-171)
2.2 การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและขาดการออกกําลังกาย พบว่าคนในชุมชนเมืองมี
ความชุก ของการเป็ น โรคเบาหวานมากกว่ า คนที่อ าศั ย อยู่ ใ นชนบท อาจเป็น ผลมาจากการ
เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตโดยเฉพาะพฤติกรรมการบริโภคอาหาร มีการรับประทานอาหารที่มีไขมัน
สูง ขาดการออกกําลังกายจะทําให้ปฏิกิริยาระหว่างอินซูลินกับหน่วยรับอินซูลินผิดปกติ ทําให้มี
โอกาสเป็นโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินมากขึ้น
2.3 จากเชื้อไวรัส โรคเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลินอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสมาก่อน
เช่น ไวรัสที่ทําให้เกิดโรคคางทูม โรคหัดและโรคหัดเยอรมัน เชื้อไวรัสเหล่านี้จะทําให้ตับอ่อน
อักเสบเรื้อรังและทําลายเบต้าเซลล์ ทําให้ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้
2.4 เกิดความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น มีการหลั่งของฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต
(growth hormone) กลูคากอน (glucagon) และแคทีโคลามิน (catecholamine) มากผิดปกติ ทํา
ให้ มี ก ารสลายไกลโคเจนเป็ น กลู โ คสเพิ่ ม มากขึ้ น และการหลั่ ง คอร์ ติ โ คสเตอรอยด์
(corticosteroid) มากทําให้เร่งปฏิกิริยาการสร้างกลูโคสเพิ่มมากขึ้น
2.5 ความเครียด พบว่าการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงทําให้เกิดความเครียดขึ้นได้จนอาจ
มีผลทําให้ประสิทธิภาพการทํางานของกลูโคสลดลง ทั้งนี้เนื่องมาจากมีการเปลี่ยนแปลงของ
ระดับฮอร์โมนบางชนิดทําให้มีผลต่อกระบวนการเผาผลาญสารอาหารโดยเฉพาะต่อกลูโคส
ตลอดจนการหลั่งและการออกฤทธิ์ของอินซูลิน
2.6 อายุ พบว่าในประเทศสหรัฐอเมริกามีความชุกของการเกิดโรคเบาหวานมากขึ้น
โดยเฉพาะโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน โดยในช่วงอายุ 45-60 ปี พบเป็นโรคเบาหวานร้อย
ละ 6 และเมื่อมีอายุมากกว่า 65 ปี พบผู้ป่วยโรคเบาหวานร้อยละ 11 ในขณะที่ช่วงอายุ 18-44
ปี พบผู้ป่วยโรคเบาหวานร้อยละ 1.5 ซึ่งผลจากอุบัติการณ์ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เพิ่มมากขึ้นตาม
อายุมาจากความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาการทางการแพทย์ที่สามารถรักษาให้ผู้ป่วยมีอายุ
ที่ยืนยาวมากขึ้น (ธิติ สนับบุญ, และวิทยา ศรีดามา 2543, หน้า 18)
158
อาการแสดงของผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
การขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรืออินซูลินมีไม่มีเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เป็น
เหตุให้ร่างกายไม่สามารถใช้กลูโคสเป็นพลังงานได้ เป็นผลให้มีระดับน้ําตาลกลูโคสในเลือด
สูงขึ้น เมื่อเลือดไหลผ่านไต ไตไม่สามารถสกัดกั้นกลูโคสไว้ได้ ซึ่งโดยทั่วไปถ้าระดับน้ําตาลใน
เลือดสูงไม่เกิน 180 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร ไตจะสามารถดูดซึมน้ําตาลกลูโคสกลับได้
หมดทําให้ไม่มีน้ําตาลในปัสสาวะ แต่ถ้าระดับน้ําตาลในเลือดสูงกว่า 180 มิลลิกรัมต่อเลือด 1
เดซิลิตร ไตจะไม่สามารถกักกั้นน้ําตาลเอาไว้ได้ จึงทําให้น้ําตาลกลูโคสล้นผ่านไตออกมาเป็น
ปัสสาวะ ซึ่งเรียกระดับนี้ว่า “ขีดกักกั้นน้ําตาลของไต” (renal threshold) (วลัย อินทรัมพรรย์,
2549, หน้า 47) และเนื่องจากน้ําตาลมีความเข้มข้นสูงจึงดึงเอาน้ําซึ่งเป็นตัวทําละลายน้ําตาล
ออกมาด้วย ทําให้ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะครั้งละมากๆ จึงเกิดภาวะการขาดน้ํา ทําให้
ผู้ ป่ ว ยดื่ ม น้ํ า มากขึ้ น เพื่ อ ชดเชยน้ํ า ที่ สู ญ เสี ย ไปทางปั ส สาวะและเมื่ อ ผู้ ป่ ว ยโรคเบาหวานไม่
สามารถใช้อาหารที่รับประทานเข้าไปเป็นพลังงานได้ ทําให้ผู้ป่วยมีอาการหิวบ่อย กินจุ แต่
น้ําหนักตัวกลับลดลง เพราะผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่สามารถใช้กลูโคสเป็นพลังงานได้ จึงต้องใช้
โปรตีนและไขมันที่เก็บสะสมไว้เป็นพลังงานแทน ทําให้น้ําหนักตัวของผู้ป่วยลดลง กล้ามเนื้อลีบ
ผอม ความต้านโรคติดเชื้อต่างๆ ต่ํา จึงมักมีอาการคันตามผิวหนัง เป็นแผลหรือฝีง่ายและรักษา
ให้หายยาก เนื่องจากน้ําตาลในเลือดสูงทําให้เชื้อโรคเติบโตได้ดีและยังมีอาการอักเสบของปลาย
ประสาทต่างๆ มีอาการชาตามปลายมือ ปลายเท้าและปวดตามกล้ามเนื้อ ดังนั้นจึงสามารถสรุป
อาการที่สําคัญของโรคเบาหวานได้ ดังนี้ (วิมลรัตน์ จงเจริญ, 2543, หน้า 72-73)
1. ในระยะที่เริ่มเป็นหรือในระยะที่เป็นน้อย จะไม่พบอาการและอาการแสดง แต่การ
ตรวจเลือดจะพบระดับน้ําตาลในเลือดสูงและเมื่อตรวจปัสสาวะจะพบน้ําตาลในปัสสาวะ
2. ผู้ป่วยจะถ่ายปัสสาวะบ่อยและมีปริมาณปัสสาวะเป็นจํานวนมาก (polyuria)
เนื่องจากระดับน้ําตาลในเลือดสูงเกินขีดจํากัดของไต ดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น ทําให้น้ําตาลถูกขับ
ออกทางปัสสาวะ ในขณะเดียวกันน้ําตาลที่ถูกขับออกมาจะดึงเอาน้ําออกมาด้วยเนื่องจากเกิด
ออสโมติกไดยูเรซิส (osmotic diuresis) ทําให้ผ้ปู ่วยมีอาการปัสสาวะบ่อยครั้งและครั้งละมากๆ
159
การตรวจวินิจฉัยโรคเบาหวาน
ในปี ค.ศ.1997 สมาคมโรคเบาหวานแห่ ง สหรั ฐ อเมริ ก า (American Diabetes
Association : ADA) และองค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ใช้เกณฑ์ใน
การวินิจฉัยโรคเบาหวาน ดังนี้
1. การตรวจวัดระดับน้ําตาลในเลือด ภายหลังการอดอาหารนาน 8 ชั่วโมง
(fasting plasma glucose) ระดับน้ําตาลในเลือดมากกว่า 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร 2 ครั้ง ให้
วินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน
160
โรคแทรกซ้อนที่พบในผู้ป่วยเบาหวาน
โรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยเบาหวาน มีผลทําให้ผู้ป่วยมีภาวะความรุนแรงของโรค
มากขึ้นและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่ง โรคแทรกซ้อนที่พบในผู้ป่วย
เบาหวานที่สําคัญมีท้งั ชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง ดังนี้
1. โรคแทรกซ้อนชนิดเฉียบพลัน
โรคแทรกซ้อนชนิดเฉียบพลัน หมายถึงโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเมื่อเป็นเบาหวานและ
เกิดขึ้นโดยกะทันหันในเวลาใดก็ได้ ซึ่งเกิดจากการที่น้ําตาลในเลือดขาดการควบคุมหรือควบคุม
ไม่ได้ ซึ่งมักพบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจหมดสติ
หรือเสียชีวิต โรคแทรกซ้อนชนิดเฉียบพลันที่พบ มีดังนี้
1.1 ภาวะเป็นกรดในเลือดสูง (diabetic ketoacidosis : DKA) ภาวะนี้เป็นอันตราย
อย่างมากกับผู้ป่วย ถ้ารักษาไม่ทันผู้ป่วยอาจตายได้ สาเหตุเกิดขึ้นเนื่องมาจากการขาดฮอร์โมน
อินซูลิน พบมากในผู้ป่วยเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลินที่ละเลยไม่ฉีดอินซูลิน หรือผู้ป่วยเบาหวาน
ชนิดไม่ พึ่งอินซูลินที่ควบคุมระดับน้ําตาลในเลื อดไม่ดี อันเนื่องมาจากไม่ควบคุ มอาหาร กิ น
อาหารมากเกินไป มีภาวะเครียด ร่วมกับไม่ได้กินยาควบคุมเบาหวาน ผลของการขาดอินซูลนิ ทํา
ให้ร่างกายไม่สามารถใช้กลูโคสเป็นพลังงานได้ จึงมีการสลายไขมันที่สะสมไว้เป็นพลังงานแทน
และมีการสร้างคีโตนเพิ่มขึ้น
ในภาวะปกติสารคีโตนจะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งร่างกายสามารถนําไปใช้เป็นพลังงานได้
แต่ในผู้ป่วยเบาหวานสารคีโตนที่เกิดขึ้นมากทําให้เกิดสารคีโตนคั่งในเลือดและเกิดภาวะเป็นกรด
ขึ้น ซึ่งร่างกายจะพยายามขจัดออกทางปัสสาวะ ทําให้ปัสสาวะมีสารคีโตน (ketonuria) และจาก
การที่ร่างกายขับสารคีโตนออกทางปัสสาวะนี้ ทําให้ผู้ป่วยมีการสูญเสียน้ําและเกลือแร่ เกิดการ
เสียสมดุลของกรดด่าง เกิดภาวะเป็นกรดในร่างกาย ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
คลื่นไส้ อาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ กระหายน้ํา หอบ หายใจมีกลิ่นอะซิโตน ผู้ป่วยหมดสติและอาจ
ตายได้
1.2 ภาวะน้ําตาลในเลือดสูงมากโดยไม่มีภาวะกรด (hyperglycemic hyperosmolar
nonketotic syndrome : HHKS) มักพบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน เนื่องจากร่างกาย
ยังคงมีอินซูลินที่เพียงพอ ในภาวะนี้ร่างกายจะไม่มีการสลายของไขมันจนถึงขั้นภาวะกรดใน
เลือดสูง แต่มีอินซูลินไม่เพียงพอในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตจึงทําให้เกิดภาวะน้ําตาลใน
เลื อ ดสู ง มาก ผู้ ป่ ว ยมี อ าการซึ ม สับ สน ไม่ รู้ สึก ตัว และมี อ าการขาดน้ํ า อย่ า งมากโดยพบว่ า
ผิวหนังแห้ง ตาลึก เป็นต้น ผู้ป่วยไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เหมือนภาวะกรดในเลือดสูง แต่
162
ทําให้โปรตีนที่มีกลูโคสมาจับเกิดการสูญเสียคุณสมบัติและหน้าที่ไป เป็นเหตุให้การทํางานของ
จอตาผิดปกติ ประสาทตาเสื่อม เลนส์ตาขุ่น ผู้ป่วยอาจเป็นต้อกระจกและบางรายอาจเป็นต้อหิน
ตาพร่ามัวทําให้มองไม่เห็นและอาจตาบอดได้ในที่สุด ดังนั้นการตรวจตาเป็นระยะอย่างสม่ําเสมอ
ในผู้ป่วยเบาหวานจะช่วยชะลอการเกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ระยะเริ่มแรก
2.2 โรคแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับไต (diabetic nephropathy) ภาวะน้ําตาลในเลือดสูงมี
ความสัมพันธ์กับการหนาตัวของเยื่อหุ้มเซลล์ของหลอดเลือดฝอยในโกลเมอรูลัส (glomerulus)
ทําให้เลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง เกิดภาวะเสื่อมของไต (nephropathy) ทําให้อัตราการกรองของไต
ลดลงและมีการรั่วของโปรตีนทางปัสสาวะ ผู้ป่วยมักมีอาการบวม ตรวจพบโปรตีนในพลาสมา
ต่ํา และเมื่อมีอาการรุนแรงมากขึ้นจะเกิดการคั่งของของเสียในเลือด ระดับไนโตรเจนและคริเอติ
นินสูงในเลือดและเกิดภาวะไตวายในที่สุด
2.3 โรคแทรกซ้ อ นที่ เ กี่ ย วกั บ หลอดเลื อ ด ภาวะหลอดเลื อ ดแดงแข็ ง
(artherosclerosis) เป็นอาการแทรกซ้อนที่มีอันตรายต่ออวัยวะต่างๆ มากโดยเฉพาะหัวใจ สมอง
และไต พบมากในผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นมานานมากกว่า 10 ปี หรือในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่
ควบคุมอาการของโรค การมีระดับน้ําตาลสูงในเลือดเป็นเวลานานเป็นสาเหตุให้หลอดเลือด
เปลี่ยนแปลงและแข็งเร็วกว่าเวลาอันควร ประกอบกับผู้ป่วยเบาหวานมักมีระดับไขมันในเลือดสูง
มีโคเลสเตอรอลไปพอกผนังหลอดเลือด ทําให้ผนังหลอดเลือดหนาขึ้น เส้นผ่าศูนย์กลางของ
หลอดเลือดเล็กลง เลื อ ดไหลเวี ย นไปเลี้ ย งอวัย วะต่ า งๆ ได้ น้ อ ยลงทําให้ อวัย วะต่ า งๆ เสื่อ ม
สมรรถภาพ หรืออาจมีลิ่มเลือดมาเกาะทําให้หลอดเลือดอุดตัน ถ้าเกิดการอุดตันที่หลอดเลือด
แดงที่ไปเลี้ยงหัวใจ เมื่อเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ทันทําให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย ผู้ป่วยอาจตายโดย
เฉียบพลันหรือในระยะเวลาอันสั้น ถ้าเป็นหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ผู้ป่วยอาจเป็นอัมพาตหรือ
ตายได้ หรือถ้ าเป็ น ที่ หลอดเลือดแดงใหญ่ ที่ไ ปเลี้ย งที่ขา จะทํ า ให้เ ลื อดไปเลี้ ย งที่ขาและเท้ า
น้อยลง ทําให้ขาหรือเท้าเน่าดํา (gangrene) ซึ่งเป็นสาเหตุสําคัญที่ทําให้ผู้ป่วยเบาหวานต้องตัด
ขาเนื่องจากแผลเน่าและหากเป็นหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไต ทําให้ไตเสื่อมสภาพ ทํางานได้น้อยลง
ในที่สุดอาจทําให้ผ้ปู ่วยเกิดไตวายและเสียชีวิตได้
2.4 ภาวะแทรกซ้อนจากโรคติดเชื้อ ผู้ป่วยเบาหวานมักมีความต้านทานโรคต่ํา จึงทํา
ให้ผ้ปู ่วยเกิดโรคติดเชื้อได้ง่าย การมีระดับน้ําตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน ทําให้เม็ดเลือดขาว
มีประสิทธิภาพในการทําลายและต่อต้านเชื้อโรคได้น้อยลง ผู้ป่วยเบาหวานจึงติดเชื้อโรคได้ง่าย
เช่น วัณโรคปอด ซึ่งเกิดได้มากกว่าคนปกติถึง 5 เท่า และมีอาการลุกลามเร็วกว่าปกติ นอกจากนี้
ยังเกิดโรคติดเชื้อตามผิวหนังโดยเฉพาะบริเวณที่ช้ืน มีเหงือ่ มาก ทําให้เชื้อราเจริญได้ดี เช่น บริเวณ
ข้อพับ ขาหนีบ นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการพิการของปลายประสาท ทําให้ผู้ป่วยมีอาการชา
164
การรักษาโรคเบาหวาน
แม้ว่าโรคเบาหวาน จะเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่ไม่สามารถทําการรักษาให้หายขาดได้แต่
ในผู้ป่วยที่สามารถควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดได้ ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ผู้ป่วย
จึงมีความจําเป็นที่จะต้องดูแลตนเองในด้านต่างๆ ดังนี้
165
1. การควบคุมอาหาร
การควบคุมอาหารเป็นสิ่งที่จําเป็นสําหรับผู้ป่วยเบาหวานทุกคน ซึ่งจะต้องอาศัย
ความร่วมมือจากแพทย์ พยาบาลและความร่วมมือของผู้ป่วย การควบคุมอาหารไม่ใช่เป็นการ
จํากัดอาหารให้กับผู้ป่วยอย่างเข้มงวด แต่มุ่งเน้นให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ ไม่ขัด
ต่อความเชื่อ ศาสนา โดยพยายามช่วยให้ผ้ปู ่วยมีสุขภาพที่แข็งแรง สามารถควบคุมระดับน้าํ ตาล
และไขมันในเลือดได้ และช่วยป้องกันและลดอาการแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย
เบาหวาน ข้อมูลทั่วไปที่ควรทราบสําหรับการควบคุมอาหารในผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีดังนี้
1.1 จุดประสงค์ในการควบคุมอาหารในผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีดังนี้
1.1.1 เพื่อรักษาหรือปรับปรุงภาวะโภชนาการของผู้ป่วย
1.1.2 เพื่อรักษาน้ําหนักตัวของผู้ป่วยให้อยู่ในเกณฑ์ที่ควรจะเป็น
1.1.3 เพื่อรักษาระดับน้ําตาลในเลือดให้ใกล้เคียงกับภาวะปกติ
1.1.4 เพื่อป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคแทรกซ้อน
1.1.5 เพื่อส่งเสริมให้ผ้ปู ่วยมีสุขภาพโดยรวมดีขึ้น
1.2 ความต้องการพลังงานและสารอาหารสําหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
1.2.1 พลังงาน ปริมาณพลังงานที่ผู้ป่วยเบาหวานควรได้รับ ต้องเหมาะสมกับ
ผู้ป่วยเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมน้ําหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ การจัดพลังงานให้กับ
ผู้ ป่ วยต้ องพิ จ ารณาภาวะโภชนาการของผู้ ป่ วยด้ วย ในกรณี ที่ ผู้ ป่ วยมี ภ าวะโภชนาการเกิ น
จําเป็นต้องจํากัดปริมาณพลังงานในอาหารร่วมกับการออกกําลังกาย หรือในผู้ป่วยที่มีภาวะการ
ขาดสารอาหาร ควรได้รับพลังงานเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้มีน้ําหนักตัวอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานและผู้ป่วย
เบาหวานที่อยู่ในภาวะพิเศษ เช่น ในหญิงตั้งครรภ์ ให้นมบุตร ก็ควรได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นเพื่อให้
เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย และพอเพียงในการนําไปสร้างน้ํานมให้แก่ทารก เป็นต้น
1.2.1 คาร์โบไฮเดรต การควบคุมอาหารสําหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานในสมัยก่อนมี
การจัดคาร์โบไฮเดรตอย่างเข้มงวด โดยให้ผู้ป่วยกินข้าวแป้งน้อยมาก แต่การศึกษาในระยะหลังให้
ผู้ป่วยกินคาร์โบไฮเดรตมากขึ้นโดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ได้แก่ ข้าว เผือก มัน และอาหารที่
มีใยมากได้แก่ ผัก ซึ่งมีผลทําให้ระดับน้ําตาลในเลือดลดลง เพราะอาหารคาร์โบไฮเดรตสูงจะ
กระตุ้นเอนไซม์ในตับและทําให้อินซูลินจับเซลล์ดีข้นึ เป็นผลให้มีการเผาผลาญกลูโคสดีขึ้น
ปั จจุ บันสมาคมโรคเบาหวานแห่ งสหรั ฐอเมริ กาได้ เสนอแนะให้ ผู้ ป่ วยเบาหวานได้ รั บ
คาร์โบไฮเดรตร้อยละ 55-60 โดยกําหนดให้ได้รับคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (complex carbohydrate)
ซึ่งได้จากธัญพืชและแป้ง เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว วุ้นเส้น ขนมปัง เผือก หรือมัน ควรได้รับประมาณ
ร้อยละ 40-50 ส่วนคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (simple carbohydrate) ที่ได้จากน้ําตาลของผลไม้
166
ก๋ ว ยเตี๋ ย ว บะหมี่ ขนมปั ง มั น ฝรั่ ง อยู่ ใ นหมวดเดี ย วกั น สามารถใช้ ท ดแทนกั น ได้ และการ
ตอบสนองของระดั บ น้ํา ตาลในเลื อ ดต่ อ อาหารประเภทเดี ย วกัน ก็ ค วรใกล้ เ คี ย งกั น ด้ ว ย แต่
การศึกษาในปัจจุบันพบว่า การกินอาหารประเภทเดียวกันซึ่งอยู่ในหมวดเดียวกันแต่ต่างชนิดกัน
เช่น ข้าว กับ ก๋วยเตี๋ยว หรือข้าวโพด กับ ฝรั่ง ระดับน้ําตาลในเลือดหลังรับประทานจะสูงขึ้นไม่
เท่ากัน ซึ่งจากการศึกษาของเครโป (Crapo) และคณะพบว่า การกินข้าวโพดระดับกลูโคสใน
เลือดจะต่ํากว่าการกินขนมปังและมันฝรั่ง และระดับอินซูลินในเลือดก็ต่ําลงด้วย ถ้าเป็นอาหารที่
บดละเอีย ดก็จ ะทําให้ระดับ น้ําตาลในเลือดสูง กว่าอาหารที่ ไม่ได้ บด เพื่อที่จะให้มีสิ่งที่ นํามา
เปรียบเทียบได้ เจนกินส์ (Jenkins) และคณะได้เสนอแนะให้ใช้ “ดัชนีน้ําตาล” (glycemic index)
เป็นตัวเปรียบเทียบผลของอาหารต่อระดับกลูโคสในเลือด (วลัย อินทรัมพรรย์, 2549, หน้า 62-63)
ดัชนีน้ําตาล คือ ดัชนีน้ําตาลของอาหารใดอาหารหนึ่ง มีค่าเป็นร้อยละของกลูโคสใน
เลือดที่เกิดจากการกินอาหารนั้น เปรียบเทียบกับกลูโคสในเลือดที่เกิดจากการกินอาหารที่ใช้
เป็นตัวเปรียบเทียบ หรือ เป็นการวัดการดูดซึมของอาหารเปรียบเทียบกับอาหารมาตรฐาน ถ้า
ค่าดัชนีน้ําตาลเท่ากับ 100 แสดงว่าดูดซึมได้รวดเร็วเท่าอาหารมาตรฐาน ถ้าค่าดัชนีน้ําตาลสูง
แสดงว่าดูดซึมได้เร็วหรือมากกว่าอาหารมาตรฐาน และถ้าค่าดัชนีน้ําตาลต่ํากว่า 100 แสดงว่า
ดูดซึมได้ช้า มีผลให้ระดับน้ําตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานไม่สูงมาก ดังนั้นอาหารที่ผู้ป่วย
ควรเลือก คือ อาหารที่มีค่าดัชนีน้ําตาลต่ํา (ตารางที่ 5.2 )
1.4 สารให้ความหวาน
น้ําตาล ช่วยเติมแต่งรสชาติ ของอาหารให้ดีขึ้น แต่ในผู้ป่ วยโรคเบาหวานไม่
สามารถบริโภคน้ําตาลได้เหมือนกับคนปกติ ดังนั้นจึงมีการใช้สารให้ความหวานแทนน้ําตาล ใน
ปัจจุบันสารให้ความหวานมีอยู่ด้วยกันหลายชนิดแต่ละชนิดมีท้ังข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป
สารให้ความหวานที่พบในท้องตลาดแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
1.4.1 สารให้ความหวานที่ให้พลังงาน ได้แก่ น้ําตาลทราย น้ําตาลกลูโคส
น้ําตาลเหล่านี้ถูกย่อยและดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว ทําให้ระดับน้ําตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ซึ่งเป็นอันตรายแก่ผู้ป่วย ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยง หรือรับประทานน้ําตาลดังกล่าวให้น้อยที่สุด
สําหรับน้ําตาลฟรุกโตส ดูดซึมได้ช้ากว่าน้ําตาลซูโครส และไม่ต้องอาศัยอินซูลินในการผ่านเข้าสู่
เซลล์ แต่ในผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับกลูโคสในเลือดได้ ฟรุกโตสจะถูกเปลี่ยน
เพิ่มกลูโคส ทําให้กลูโคสในเลือดสูงขึ้นเช่นกัน
1.4.2 สารให้ความหวานที่ไม่ให้พลังงาน ได้แก่
1) อีริโธทอล เป็นสารให้ความหวานที่ให้พลังงานต่ําที่สุด คือน้อยกว่า
0.2 กิโลแคลอรีต่อกรัม มีความหวานประมาณร้อยละ 70-80 ของน้ําตาลทั่วไป
2) ซูคราโลส เป็นสารให้ความหวานเพียงชนิดเดียวที่ทํามาจากน้ําตาล
ปกติ แล้วนํามาปรับปรุงโครงสร้างเพื่อให้ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ําตาลชนิดนี้ได้ ดังนั้นจึงมี
รสชาติคล้ายน้ําตาลมากแต่ไม่ให้พลังงาน สามารถนํามาปรุงแต่งอาหารที่ร้อนบนเตาไปได้
3) สตีวิโอไซต์ (stevioside) หญ้าหวาน เป็นพืชพุ่มเตี้ยมีถิ่นกําเนิดอยู่ใน
ทวีปอเมริกา ชาวพื้นเมืองปารากวัยนํามาปรุงอาหารและมีการใช้กันมากกว่าร้อยปีมาแล้ว หญ้า
หวานมีรสหวานและมีรสขมของหญ้าปนอยู่ ไม่ให้พลังงานสามารถนํามาปรุงอาหารบนเตาได้
ความขมของหญ้าหวานที่ปนอยู่มีต้ังแต่รสขมเล็กน้อยจนถึงขมมากทั้งนี้ข้ึนอยู่กับสายพันธุ์และ
คุณภาพของหญ้าหวาน
4) แอสปาร์แตม (aspaetam) มีรสหวาน ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรีต่อ
กรัม แต่เนืองจากรับประทานน้อยจึงถือว่าให้พลังงานต่ํา ข้อเสียของการใช้แอสปาร์แตมคือ
คุณสมบัติและโครงสร้างจะถูกทําลายเมื่อโดนความร้อนสูง ดังนั้นจึงไม่สามารถนํามาใช้ใน
ขณะที่มีการหุงต้มอาหารบนเตาไฟได้ และห้ามใช้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย
1.5 การแบ่งมื้ออาหาร กลุ่มผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่ต้องฉีดยาอินซูลิน ให้กินอาหารหลัก
วันละ 3 มื้อ โดยกระจายพลังงานตามมื้อเช้า มื้อเที่ยง และมื้อเย็นในปริมาณร้อยละ 20-30,
30-40, 30-40 ตามลําดับ ถ้าต้องการอาหารว่าง 1-2 มื้อ ให้แบ่งพลังงานมาจากมื้ออาหารหลัก
170
น้ํ า ตาลและลดการดู ด ซึ ม ของน้ํ า ตาลเป็ น ผลทํ า ให้ ร ะดั บ น้ํ า ตาลในเลื อ ดลดลง ชนิ ด ของยา
รับประทานแบ่งออกได้ ดังนี้ (วิทยา ศรีดามา, 2543, หน้า 69-75)
2.1.1 ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (sulfonylurea) มีผลในการกระตุ้นเบต้าเซลล์ให้มี
การหลั่งอินซูลินมากขึ้นและยังช่วยให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น ทําให้ระดับน้ําตาลในเลือดลดลง
2.1.2 ยากลุ่มไบกัวไนด์ (biguanide) มีผลในการออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการดูด
ซึมของกลูโคสและกรดแอมิโนจากลําไส้เล็ก ลดการสร้างกลูโคสจากตับ (gluconeogenesis) เพิม่
การออกฤทธิ์ของอินซูลิน (insulin sensitivity) และทําให้กลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื่อได้มากขึ้น ยากลุ่มนี้
เช่น เมทฟอร์มิน (metformin)
2.1.3 ยากลุ่มกลูโคไซเดซินฮิบิเตอร์ (glucosidase inhibitor) มีฤทธิ์ยับยั้งการดูด
ซึมคาร์โบไฮเดรตทําให้น้ําตาลชนิดโมเลกุลคู่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นโมเลกุลเดี่ยวได้ ทําให้การดูด
ซึ ม กลู โ คสเข้ า สู่ ก ระแสเลื อ ดได้ น้ อ ยลง ยากลุ่ ม นี้ เช่ น อะคาร์ โ บส (acarbose) หรื อ กลู โ คเบ
(glucobay) และโวกลิโบส (voglibose) หรือเบเซน (basen) เป็นต้น
2.1.4 ยากลุ่ ม ไธอะโซลิ ดี น ไดโอน (thiazolidinedione) มี ผ ลในการเพิ่ ม ฤทธิ์
อินซูลินในกล้ามเนื้อตับ และเนื้อเยื่อไขมัน และทําให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ลดลงแต่เพิ่มระดับ
โคเลสเตอรอลชนิ ด เอชดี แ อล ยาในกลุ่ ม นี้ เ ช่ น ซิ ก ลิ ท าโซน (ciglitazone) โทรกลิ ท าโซน
(troglitazone) พิโอกลิทาโซน (pioglitazone) และเอนลิทาโซน (englitazone) เป็นต้น
2.2 ชนิดยาฉี ด อิ น ซูลิน นั้น ถูก ค้ น พบครั้ง แรกในปี ค.ศ. 1921 อิ น ซูลิน เป็ น
สารประกอบจําพวกโปรตีนที่เตรียมได้จากตับอ่อนของหมูและวัว ในปัจจุบันมีวิธีการสังเคราะห์
อินซูลินให้เหมือนของคน โดยวิธีการสร้างอินซูลินจากแบคทีเรียหรือยีสต์โดยวิธีชีวสังเคราะห์
ได้อินซูลินที่มีลักษณะเหมือนของคน การใช้ยาฉีดใช้ในการรักษาโรคเบาหวานทั้งชนิดพึ่งอินซูลิน
และไม่พึ่งอินซูลินที่รักษาด้วยการควบคุมอาหารและยาเม็ดรับประทานแล้วไม่ได้ผล ชนิดของยา
ฉีดอินซูลิน แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้
2.2.1 ชนิดออกฤทธิ์เร็ว (rapid acting : short acting) ยาเริ่มออกฤทธิ์ภายใน
1 ชั่วโมงภายหลังการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง การออกฤทธิ์ของยาสูงสุดที่ 2-4 ชั่วโมง และ
ระยะเวลาที่ออกฤทธิ์รวมนาน 5-7 ชั่วโมง ยาชนิดนี้ เช่น เรกูลาร์อินซูลิน (regular insulin) และ
ซิมิเลนเต (semilente) เป็นต้น
2.2.2 ชนิดออกฤทธิ์ปานกลาง (intermediate acting) ยาเริ่มออกฤทธิ์ภายหลัง
ฉีดเข้าใต้ผิวหนังประมาณ 1-3 ชั่วโมง การออกฤทธิ์ของยาสูงสุดที่ 8-12 ชั่วโมง และระยะเวลา
ที่ออกฤทธิ์รวมนาน 18-28 ชั่วโมง ยาชนิดนี้ เช่น เอนพีเอช (NPHc) และเลนเต (Lente) เป็นต้น
172
สําหรับการออกกําลังกายในผู้ป่วยเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจ
ระดับน้ําตาลในเลือดก่อนและหลังออกกําลังกายเสมอ โดยเฉพาะถ้ามีการออกกําลังกายหรือเล่น
กีฬาต่อเนื่องเป็นเวลานานหรือมีความหนักกว่าปกติ เพื่อเป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิด
ขึ้นกับผู้ป่วย เช่น ภาวะน้ําตาลในเลือดต่ํา ภาวะกรดคีโตนสูงในกระแสเลือด ภาวะการบาดเจ็บของ
เนื้อเยื้อกระดูก กล้ามเนื้อ ในผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดได้อย่าง
สม่ําเสมอมี ระดับน้ํ าตาลในเลื อดสู งมากกว่ า 250 มิ ลลิ กรัมต่ อเดซิ ลิ ตร หรื อผู้ ป่ วยกว่ า 100
มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรก่อนออกกําลังกาย และหรือมีความดันโลหิตขณะพักเกิน 200/100 มิลลิกรัม
ปรอท หรือมีความดันโลหิตตกหรือลดลงเกิน 20 มิลลิเมตรปรอทขณะออกกําลังกาย และมีภาวะ
หัวใจเต้นผิดจังหวะต้องงดการออกกําลังกาย ดังนั้นการออกกําลังกายทีเ่ หมาะสมร่วมกับการใช้ยา
และการควบคุมอาหารนอกจากจะช่วยควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดให้ผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว
ยังสามารถทําให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถดํารงชีวิตให้อย่างมีสุขภาพ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดและ
ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆของโรคเบาหวาน (ฉกาจ ผ่องอักษร, 2547, หน้า 41)
หลักการคํานวณ และการกําหนดอาหารสําหรับผู้ป่วยเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวานจําเป็นต้องควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับ
ภาวะปกติมากที่สุด เพื่อป้องกันความรุนแรงของอาการและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการ
ควบคุมระดับน้ําตาลไม่ดี ผู้ป่วยจําเป็นต้องควบคุมอาหารรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม
และสมดุลกับอินซูลินหรือยาที่แพทย์ให้ อาหารที่ผู้ป่วยรับประทานนั้นแพทย์จะเป็นผู้กําหนดทั้ง
พลังงานและสารอาหาร แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าอาหารที่รับประทานเป็นจํานวนเท่าใด จึงจะ
ได้รับพลังงานและสารอาหารที่แพทย์กําหนด จึงเป็นเหตุให้นักกําหนดอาหารนั้นต้องคํานวณหา
ปริมาณอาหาร โดยนํารายการแลกเปลี่ยนมาใช้ประกอบในการคํานวณหาสัดส่วนอาหารที่
ผู้ป่วยควรได้รับ
มื้ออาหาร
หมวดอาหาร ส่วน เช้า เที่ยง ว่างบ่าย เย็น
นมพร่องมันเนย 2 1 - - 1
ผัก ก กินได้ตามชอบไม่จํากัดจํานวน
ผัก ข 3 - 1.5 - 1.5
ผลไม้ 5 1 1 2 1
ข้าว 7.5 1.5 2 1.5 2
เนื้อสัตว์ไขมันต่ํามาก 2 1 - - 1
เนื้อสัตว์ไขมันปานกลาง 2 - 1 - 1
ไขมัน 7.5 2 2 1 2.5
จํานวน น้ําหนัก
มื้ออาหาร รายการอาหาร ส่วนประกอบ
ส่วน (กรัม)
เช้า 1 ข้าวต้มปลากะพง ข้าวสุก 1.5 110
ปลากะพง 1 30
ผักชี ต้นหอม เล็กน้อย -
น้ํามันพืช (กระเทียมเจียว) 2 10
2 ผลไม้ มะละกอสุก 1 115
3 นมพร่องมันเนย นมพร่องมันเนย 1 240
กลางวัน 1 ข้าวผัด ข้าวกล้อง 2 110
เนื้อหมู 1 30
หอมใหญ่
มะเขือเทศ 70
1
ต้นหอม
แตงกวา
น้ํามันพืช 2 10
2 ต้มยําเห็ดฟาง เห็ดฟาง 0.5 35
3 ผลไม้ ส้มเขียวหวาน 1 150
ว่างบ่าย 1 ขนมปังโฮลวีทปิ้งทา ขนมปังโฮลวีท 1.5 1.5 แผ่น
เนย เนยสด 1 5
2 น้ําผลไม้ น้ําฝรั่ง 2 160
เย็น 1 ข้าวสวย ข้าวกล้อง 2 110
2 แกงจืดผักกาดขาว ลูกชิ้นปลา 1 30
กับลูกชิ้นปลา ผักกาดขาว 0.5 35
น้ํามันพืช (กระเทียมเจียว) 0.5 2.5
178
จํานวน น้ําหนัก
มื้ออาหาร รายการอาหาร ส่วนประกอบ
ส่วน (กรัม)
เย็น 3 ผัดพริกขิงถั่วฝักยาว ถั่วฝักยาว 1 70
ไก่ เนื้อไก่ 1 30
น้ํามันพืช 1.5 7.5
4 ผลไม้ แตงโม 1 285
5 นมพร่องมันเนย นมพร่องมันเนย 1 240
ตัวอย่างหลักการคํานวณ และการกําหนดอาหารสําหรับผู้ป่วยเบาหวานที่แพทย์จํากัดไขมัน
แพทย์กําหนดให้ผู้ป่วยเบาหวานชายคนหนึ่งได้รับอาหารอ่อน (Soft diet) พลังงาน
1,600 กิโลแคลอรีต่อวัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ร้อยละ 60 : 15 : 25 ของพลังงาน
ทั้งหมด งดนม ให้กําหนดปริมาณอาหารและจัดรายการอาหารที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วย
ขั้นตอนที่ 1 ปริมาณพลังงานที่ผ้ปู ่วยต้องการ
เนื่องจากแพทย์กําหนดปริมาณพลังงานที่ผู้ควรได้รับไว้แล้ว คือ 1,600 กิโลแคลอรีต่อวัน
ขั้นตอนที่ 2 สารอาหารที่ผ้ปู ่วยควรได้รับ
เนื่ องจากแพทย์ กําหนดปริมาณสารอาหารที่ผู้ป่ ว ยควรได้ รับ ไว้ ดัง นี้ คาร์ โ บไฮเดรต
โปรตีน และไขมัน ร้อยละ 60 : 15 : 25 ของพลังงานทั้งหมด
จากการกํา หนดสั ดส่ วนของสารอาหารที่ผู้ ป่ ว ยเบาหวานควรได้ รับ จะพบว่ าผู้ ป่ ว ย
เบาหวานชายคนนี้ได้รับอาหารจํากัดไขมัน โดยแพทย์ระบุให้ผู้ป่วยได้รับไขมันจากอาหารร้อยละ
25 ของพลังงานทั้งหมด ซึ่งอาจเป็นเพราะผู้ป่วยเบาหวานชายคนนี้มีภาวะโภชนาการเกินหรือมี
ระดับไขมันในเลือดสูง ดังนั้นนักกําหนดอาหารจึงต้องพิจารณาการจัดอาหารให้กับผู้ป่วย ดังนี้
960
คํานวณเป็นคาร์โบไฮเดรตได้วันละ =
4
(คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี) = 240 กรัม
ดังนั้น ผู้ป่วยควรได้รับคาร์โบไฮเดรตจากอาหารวันละ = 240 กรัม
นักกําหนดอาหาร จะต้องพิจารณาชนิดของอาหารที่ให้โปรตีนที่ผู้ป่วยเบาหวานควร
ได้รับ แหล่งอาหารที่ให้โปรตีนที่สําคัญมาจากเนื้อสัตว์ (ผู้ป่วยงดนม) ซึ่งถ้าเลือกใช้ประเภทของ
เนื้อสัตว์ที่ไม่เหมาะสม อาจจะทําให้ผู้ป่วยเบาหวานได้รับไขมันจากอาหารในปริมาณที่มากและ
เป็นเหตุให้มีปริมาณไขมันที่จะนําไปใช้ในการประกอบอาหารมีจํานวนจํากัด เนื้อสัตว์ที่ควรจัด
ให้กับผู้ป่วยได้แก่กลุ่มเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ํามาก เนื้อสัตว์ไขมันต่ํา ไข่ เต้าหู้ และถั่วเหลือง
180
ผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะโภชนาการเกินและมีภาวะไขมันในเลือดสูง จะต้องจํากัดไขมันที่
ได้รับจากอาหาร ปริมาณไขมันที่ผู้ป่วยเบาหวานควรได้รับจากอาหารแพทย์กําหนดให้ผู้ป่วย
ได้รับไขมันไม่เกินร้อยละ 25 ของพลังงานทั้งหมด นักกําหนดอาหารควรจะเลือกใช้น้ํามันพืชที่มี
กรดไลโนเลอิ ก มาก มาใช้ในการประกอบอาหารให้ กับ ผู้ป่วย ได้แก่ น้ํามันถั่ วเหลือง น้ํามัน
ข้าวโพด น้ํามันรํา และหลีกเลี่ยงการใช้กะทิ น้ํามันมะพร้าว และจัดอาหารให้มีโคเลสเตอรอล
น้อยกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวัน โดยควรงดเครื่องในสัตว์ ไขมันสัตว์ เนื้อที่ติดมันและหนัง
ขั้นตอนที่ 3 กําหนดปริมาณอาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานควรได้รับโดยใช้ตารางรายการ
อาหารแลกเปลี่ยน (ตารางที่ 5.7)
181
มื้ออาหาร
หมวดอาหาร ส่วน เช้า เที่ยง ว่างบ่าย เย็น
ผัก ก กินได้ตามชอบ
ผัก ข 3 1 1 - 1
ผลไม้ 4 1 1 1 1
ข้าว 9 2 2 2 3
เนื้อสัตว์ไขมันต่ํามาก 2 2 - - -
เนื้อสัตว์ไขมันปานกลาง 3 - 1 - 2
ไขมัน 6 2 - 2 2
การจัดอาหารให้ผู้ป่วยต้องพิจารณาจากคําสั่งแพทย์ แพทย์ระบุให้ผู้ป่วยได้รับอาหาร
อ่อน ลักษณะที่สําคัญของอาหารอ่อน คือ อาหารต้องมีลักษณะอ่อนนุ่ม เปื่อย ย่อยง่าย งด
อาหารเนื้อสัตว์ที่มีพังผืดเพราะจะทําให้ย่อยยาก ผักต่างๆ ต้องเป็นผักที่ทําให้สุก เปื่อย ตัวอย่าง
รายการ อาหาร สัดส่วนและปริมาณอาหารในรายการอาหารแลกเปลี่ยนสําหรับผูป้ ว่ ยเบาหวาน
ชายพลังงาน 1,593.5 กิโลแคลอรี ตารางที่ 5.9- 5.10
จํานวน น้ําหนัก
มื้ออาหาร รายการอาหาร ส่วนประกอบ
ส่วน (กรัม)
เช้า 1 ข้าวต้ม ข้าว 2 110
2 ปลากะพงนึง่ ปลากะพง 2 60
น้ํามันพืช (กระเทียมเจียว) 1 5
3 ผัดผักบุ้ง ผักบุ้ง 1 70
น้ํามันพืช (ผัดผักบุ้ง) 1 5
4 ผลไม้ มะละกอสุก 1 115
กลางวัน 1 ซุปมักกะโรนีไก่ มักกะโรนี 2 150
เนื้อไก่ 1 30
หัวหอมใหญ่
แครอท 1 70
มะเขือเทศ
2 ผลไม้ น้ําฝรั่ง 1 80
ว่างบ่าย 1 ขนมปังโอลวีทปิ้งทา ขนมปังโฮลวีท 2 2 แผ่น
เนยสด เนยสด 2 10
2 ผลไม้ น้ําส้ม 1 120
เย็น 1 ข้าวต้ม ข้าว 3 110
2 ต้มจับฉ่ายกับเต้าหู้ ผักกาดขาว
แครอท 1 70
หัวไชเท้า
เต้าหู้ 1 65
3 หมูปั้นก้อนนึ่งซีอิ๊ว หมูสับ 1 30
น้ํามันพืช 2 10
เห็ดหอม เล็กน้อย -
4 ผลไม้ แคนตาลูป 1 200
184
การประเมินผลการควบคุมเบาหวาน
การที่ผ้ปู ่วยจะทราบว่าตนเองสามารถควบคุมเบาหวานได้ดีหรือไม่น้ัน สามารถประเมิน
ได้ด้วยวิธีดังนี้
1. การตรวจปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะทําได้โดยใช้ยาเม็ดตรวจปัสสาวะใส่ลงในปัสสาวะ 5 หยด กับ
น้ําเปล่า 10 หยด จะเกิดฟอง รอจนหมดฟองแล้วดูสีที่เกิดขึ้น หรืออาจใช้แผ่นทดสอบ โดยนํา
แผ่นทดสอบจุ่มลงในปัสสาวะแล้วเอาขึ้นมาเทียบสี ก็จะทราบว่ามีน้ําตาลกลูโคสมากน้อยแค่
ไหน ถ้าผู้ป่วยสามารถควบคุมเบาหวานได้ดีจะต้องไม่มีน้ําตาลในปัสสาวะไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือ
หลังอาหาร และไม่ควรมีอาการของภาวะน้ําตาลในเลือดต่ําเกิดขึ้น การตรวจปัสสาวะเป็นวิธีที่
ง่าย ราคาไม่แพง แต่ใช้ได้ผลดีในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่มีอาการผิดปกติของโรคไต
2. การตรวจหาระดับน้ําตาลกลูโคสในเลือด
วิธีการนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการประเมินการควบคุมเบาหวาน โดยทั่วไปนิยมเจาะหา
ระดับน้ําตาลกลูโคสในเลือดหลังอดอาหารมากกว่า 8 ชั่วโมง หรือหลังรับประทานอาหารแล้ว 2
ชั่วโมง อย่างใดอย่างหนึ่งมาเป็นเกณฑ์ใช้ประเมินการควบคุมเบาหวาน ซึ่งการควบคุมระดับ
น้ําตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานคงไม่ใช่มีค่าระดับน้ําตาลในเลือดเท่ากับคนปกติ เกณฑ์การ
แปลผลระดับน้ําตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานหลังอดอาหาร 10 ชั่วโมงมีดังนี้
ระดับน้ําตาลในเลือด 70-120 มก./ดล. แสดงว่าดี ควบคุมโรคเบาหวานได้ดี
ระดับน้ําตาลในเลือด 120-180 มก./ดล. แสดงว่าควบคุมโรคเบาหวานได้พอใช้
ระดับน้ําตาลในเลือดเกิน 180 มก./ดล. แสดงว่าควบคุมโรคเบาหวานยังไม่ดี
และค่าระดับน้ําตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง เกิน 180 มิลลิกรัม
ต่อเดซิลิตร ถือว่าการควบคุมโรคเบาหวานยังไม่ดี (วลัย อินทรัมพรรย์, 2549, หน้า 55-56)
การให้ความรู้ทางโภชนาการแก่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และรักษาไม่หายขาด ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการดูแลและ
ควบคุมเบาหวานให้ดีจะเกิดภาวะโรคแทรกซ้อนอย่างรุนแรงและอาจเกิดความพิการทุพพลภาพ
ได้ การที่ผู้ป่วยจะสามารถควบคุมเบาหวานได้ดีน้ันต้องอาศัยทั้งแพทย์ และทีมบุคลากรด้าน
สาธารณสุข และนักกําหนดอาหารที่จะเข้ามาให้คําแนะนําเรื่องอาหาร การใช้ยา การตรวจ
ปั ส สาวะ การตรวจเลื อ ด ทราบถึ ง โรคแทรกซ้ อ นที่ เ กิ ด ขึ้ น เป็ น ต้ น แต่ ใ นปั จ จุ บั น การให้
การศึกษาแก่ผู้ป่วยเบาหวาน (diabetic education program) เกิดขึ้นน้อย เนื่องจากแพทย์ใน
185
2.3 วิธีการให้ความรู้
การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเบาหวานมีด้วยกันหลายวิธี การจะเลือกวิธีใดนั้นขึ้นอยู่
กับระดับความรุนแรง ระยะเวลาของการเกิดโรค ความสามารถในการเรียนรู้ ระดับการศึกษา
อายุ ประสบการณ์ ความเชื่อพื้นฐานเดิมของผู้ป่วย เป็นต้น ดังนั้นก่อนการให้ความรู้ควรมีการ
ประเมินผู้ป่วยในแต่ละรายก่อน เทคนิคการสอนควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ควรใช้ศัพท์แพทย์ที่
ยุ่งยาก ใช้สื่อการสอนที่ดี และมีประสิทธิภาพและไม่ควรเป็นการสอนแบบบรรยายมาก ควรมี
การรับฟังอาจใช้วิธีการเล่าเรื่องจากผู้ป่วย แล้วให้คําแนะนําแก้ไขในสิ่งที่ผู้ป่วยปฏิบัติตัวไม่
ถูกต้อง การอบรมให้ความรู้แก่ผ้ปู ่วยเบาหวานนั้นสามารถทําได้หลายวิธีดังนี้
1) การสอนแบบรายบุคคล เป็นการสอนที่นิยมใช้มากที่สุด เนื่องจากสามารถที่
จะให้ความรู้โดยการบอกเล่า สอนแบบสาธิต และสอนทักษะต่างๆ แก่ผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี
รวมทั้งยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ป่วยได้มากขึ้น วิธีการนี้นิยมใช้กับการสอนทักษะต่างๆ เช่น
การฉีดยา การตรวจเลือด หรือการตรวจปัสสาวะด้วยตนเอง หรือการเลือกรับประทานอาหาร
เป็ น ต้ น ข้ อเสี ยของการสอนวิ ธี นี้ คือใช้ เวลานาน แต่ ข้อ ดี คือ สามารถประเมิ น ผู้เ รี ย นได้ ทัน ที
ภายหลังการสอน
2) การสอนแบบกลุ่มย่อย การสอนแบบนี้เหมาะสําหรับการให้ความรู้แบบ
บรรยาย และให้โอกาสแก่ผู้ฟังได้ซักถาม วิธีการสอนแบบนี้จะประหยัดเวลากว่าการสอนแบบ
รายบุคคล แต่ข้อเสียคือถ้ากลุ่มมีความหลากหลาย หรือมีความแตกต่างกันมากจะไม่สามารถ
ให้ความรู้ได้อย่างทั่วถึงและชัดเจน และที่สําคัญผู้ฟังอาจจะไม่ค่อยถาม แม้ว่าบางครั้งจะไม่
เข้าใจก็ตาม
3) การสอนแบบชั้นเรียน การสอนแบบนี้เป็นการสอนที่ง่าย เพราะใช้การ
บรรยายเป็นหลัก ให้ความรู้แก่ผ้ฟู ัง ผู้ดูแล ผู้ป่วย ผู้สนใจ นิยมใช้กับผู้ฟังที่เป็นกลุ่มใหญ่ ผู้ฟังไม่
ค่อยมีโอกาสได้ซักถาม หรือไม่ค่อยอยากจะถาม จึงประเมินผลการสอนได้ยาก
4) การจัดค่ายเบาหวาน เป็นวิธีการให้ความรู้ที่ดีที่สุด แต่เสียค่าใช้จ่ายมาก
การสอนแบบจัดค่ายเบาหวานนิยมทํากันในต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยเด็ก มักจะมี
การจัดอบรมในช่วงปิดภาคเรียน โดยจัดให้มีกิจกรรมกันเป็นกลุ่มๆ มีการแก้ปัญหาร่วมกัน และ
ฝึกการทํางานเป็นกลุ่มทําให้เกิดความสามัคคี และมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในที่สุด
(สมพงษ์ สุวรรณวลัยกร, 2543, หน้า 251-256)
188
สรุป
โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถใช้กลูโคสได้ เป็นผลทําให้มีระดับกลูโคสใน
เลือดสูงขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลินหรือมีอินซูลินไม่เพียงพอจนทําให้เกิดความ
ผิดปกติเกี่ยวกับการเผาผลาญอาหารในร่างกาย โรคเบาหวานสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ
ทุกวัย โรคเบาหวานที่พบสามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้ โรคเบาหวานชนิดที่พึ่งอินซูลิน
โรคเบาหวานชนิดไม่พึ่ งอินซูลิน และโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ สาเหตุสําคั ญของการเกิ ด
โรคเบาหวานมาจากปัจจัยด้านกรรมพันธุ์และปัจจัยสิ่งแวดล้อม ได้แก่ โรคอ้วน การออกกําลัง
กายน้อย เป็นต้น ในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมน้ําตาลได้ดี จะทําให้ผู้ป่วยเกิด
ภาวะแทรกซ้อนโรคต่างๆ ได้แก่ ภาวะเป็นกรดในเลือด โรคแทรกซ้อนตา โรคแทรกซ้อนเกี่ยวกับ
ไต และโรคแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับระบบหลอดเลือด เป็นต้น การรักษาโรคเบาหวานทําได้โดย
การใช้ยาเม็ดลดระดับน้ําตาลในเลือด การฉีดอินซูลิน การควบคุมอาหารและการออกกําลังกาย
อาหารที่ เ หมาะสมกั บ ผู้ ป่ ว ยโรคเบาหวาน คื อ อาหารนั้ น ต้ องให้ พ ลั ง งานและสารอาหารที่
เพียงพอแก่ความต้องการของผู้ป่วย เน้นการให้คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน งดหรือลดน้ําตาล และ
ควบคุมไขมันในอาหารไม่ให้เกินร้อยละ 30 ของพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน โคเลสเตอรอลใน
อาหารไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน ส่งเสริมให้ผู้ป่วยกินใยอาหารที่ได้จากพืชผักให้มาก จะช่วย
ให้ผ้ปู ่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
บทที่ 6
อาหารสําหรับผู้ปว่ ยโรคความดันโลหิตสูง
ความหมายความดันโลหิต
ความดันโลหิต หมายถึง แรงดันภายในหลอดเลือดแดงซึ่งเกิดจากการที่หัวใจบีบตัวฉีด
เลือดที่มีออกซิเจนและสารอื่นๆ เข้าสู่หลอดเลือดแดงเพื่อดันเลือดให้กระจายไปเลี้ยงส่วนต่างๆ
ของร่างกาย (ชวลิต รัตนกุล, และกวี เจริญลาภ 2549, หน้า155) ซึ่งสามารถวัดโดยใช้เครื่องวัด
ความดัน (sphygmomanometer) ที่แขน ค่าที่วัดได้มี 2 ค่า คือ
1. แรงดันโลหิตค่าสูงสุด หรือความดันซิสโตลิก (systolic blood pressure)
คือ ค่าที่วัดได้ตรงกับขณะที่หัวใจบีบเลือดเข้าสู่หลอดเลือดแดง ค่าความดันซิสโตลิก
ระดับที่เหมาะสม คือ น้อยกว่า 120 มิลลิเมตรปรอท (ภาพที่ 5.1)
2. แรงดันโลหิตค่าต่ําสุด หรือความดันไดแอสโตลิก (diastolic blood pressure)
คือ ค่าที่วัดได้ตรงกับระยะที่หัวใจหยุดพักการบีบตัว ค่าความดันไดแอสโตลิก ระดับ
ที่เหมาะสม คือ น้อยกว่า 80 มิลลิเมตรปรอท (ภาพที่ 5.1)
ในการวั ด ความดั น โลหิ ต ต้ อ งวั ด ทั้ ง สองค่ า และในการจดบั น ทึ ก ค่ าความดั น โลหิ ต
จะต้องเขียนค่าความดันซิสโตลิกก่อนแล้วตามด้วยค่าความดันไดแอสโตลิก หน่วยวัดความดัน
โลหิต คือมิลลิเมตรปรอท เช่น 120/80 มิลลิเมตรปรอท 140/90 มิลลิเมตรปรอท เป็นต้น ค่า
ความดันโลหิตทั้งสองค่าอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามเพศ อายุ เชื้อชาติ ภาวะเจ็บป่วย ความเครียด
น้ําหนักตัว รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวัน เช่น โกรธ ตกใจ ตื่นเต้น เป็นต้น
190
วิธีการวัดความดันโลหิต
การวัดความดันโลหิต มีวิธีการวัด 2 วิธี คือ
1. วิธีวัดความดันโลหิตทางตรง
วิธีการวัดแบบนี้ต้องใช้ผู้ที่มีความชํานาญและเครื่องมือพิเศษโดยใช้การสอดสาย
สวน (catheter) เข้ า ในหลอดเลื อ ดแดงแล้ ว ต่ อ เข้ า กั บ เครื่ อ งวั ด นิ ย มวั ด ในผู้ ป่ ว ยที่ อ ยู่ ใ น
โรงพยาบาล ซึ่งต้องการทราบค่าความดันโลหิตที่แน่นอนตลอดเวลาเพื่อประกอบการรักษา เช่น
ผู้ป่วยในภาวะช็อก เป็นต้น
2. วิธีวัดความดันโลหิตทางอ้อม
วิธีการวัดแบบนี้เป็นวิธีที่นิยมแพร่หลายมากที่สุด เนื่องจากสะดวกและปฏิบัติได้ง่าย
เครื่องวัดความดันโลหิต มี 3 ชนิด คือ
2.1 เครื่องวัดความดันชนิดปรอท (mercury sphygmomanometer) ซึ่งประกอบด้วย
แถบผ้าที่ภายในมีถุงยางสําหรับอัดลมได้ ใช้รัดต้นแขน จากถุงยางมีสายยางต่อเข้าฐานสําหรับ
เก็บปรอท จากฐานจะมีหลอดแก้วติดตั้งอยู่ในแนวดิ่ง วิธีการวัดทําโดยให้แถบผ้าที่ภายในมี
ถุงยางสําหรับอัดลมรัดที่ต้นแขนแล้วค่อยๆ คลายออกทีละน้อย พร้อมกับใช้เครื่องฟัง ฟังเสียง
ชีพจรตรงตําแหน่งบริเวณหลอดเลือดแดงเบรเคียล (brachial artery) ที่ส่วนพับของข้อศอก เมื่อ
ปรอทลดลงถึงระดับที่ทําให้ได้ยินเสียงชีพจรตู๊บครั้งแรก จะถือความดันตอนนี้เป็นความดันซีส
โตลิค (ค่าสูงสุด) และเสียงตุ๊บสุดท้ายจะถือเป็นระดับความดันไดแอสโตลิค (ค่าต่ําสุด) ดังนั้น
191
ความหมายของความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูง หมายถึง ภาวะที่ความดันโลหิตช่วงบนมีค่าตั้งแต่ 140 มิลลิเมตร
ปรอทขึ้นไปและความดันโลหิตช่วงล่างมีค่าตั้งแต่ 90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ซึ่งระดับค่าความดัน
โลหิตนั้นจะต้องสูงเกินปกติตลอดเวลาไม่ใช่เพียงชั่วคราว สําหรับระดับความรุนแรงของความ
ดันโลหิตที่สูงนั้นให้พิจารณาจากค่าความดันทั้งสองค่าคือ จากค่าความดันค่าสูงสุด (systolic
blood pressure) และค่าความดันค่าต่ําสุด (diastolic blood pressure) โดยถือระดับความดัน
โลหิตที่สูงกว่าเป็นเกณฑ์ เช่น ความดันโลหิต 150/110 มิลลิเมตรปรอท ความดันค่าสูงสุด 150
มิลลิเมตรปรอทจะอยู่ในระดับอ่อน แต่ค่าความดันต่ําสุด 110 มิลลิเมตรปรอท จะอยู่ในระดับที่
รุนแรง ดังนั้นผู้ป่วยรายนี้จะต้องจัดเป็นผู้ป่วยในกลุ่มที่มีความดันโลหิตสูงระดับรุนแรง (ตารางที่
6.1)
การวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง จะต้องวัดค่าความดันโลหิตสูงกว่าปกติเป็นจํานวน 3
ครั้ง ในวาระที่ต่างกันอย่างน้อย 3 คราว (ยกเว้นในรายที่สูงผิดปกติอย่างมากๆ) ในการวัดแต่ละ
ครั้งควรให้ผ้ปู ่วยนอนพัก 5-10 นาที
192
สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง
สาเหตุของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง มีดังนี้
1. ความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
จากสถิติผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงทั่วโลก พบว่ามีผู้ป่วยโรคความดันโลหิต
สูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ(primary hypertension) ถึงร้อยละ 80-90 ของผู้ป่วยและผู้ป่วยจะเริ่ม
เป็นโรคความดันโลหิตสูงเมื่ออยู่ในวัยกลางคน คืออายุประมาณ 35 ปี จนถึงวัยสูงอายุและมักมี
ประวัติครอบครัวหรือกรรมพันธุ์ เช่น มีบิดา มารดา พี่น้อง หรือสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคนี้
และผู้ป่วยส่วนมากมักเป็นผู้ที่มีภาวะโภชนาการเกิน ดังนั้นสาเหตุและปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดโรค
ความดันโลหิตสูงชนิดนี้อาจเนื่องจาก
1.1 กรรมพันธุ์ เป็นปัจจัยที่แก้ไขไม่ได้ จากหลักฐานทางระบาดวิทยาพบว่าผู้ที่บิดา
หรือมารดาเป็นโรคความดันโลหิตสูง มีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้มากกว่าผู้ที่บิดาและ
มารดาไม่เป็น ยิ่งกว่านั้นผู้ที่มีท้ังบิดาและมารดาเป็นโรคความดันโลหิตสูงจะมีความเสี่ยงที่จะ
เป็นโรคนี้มากที่สุดและในผู้สูงอายุที่มีอายุมากขึ้นก็จะมีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงเมื่ออายุ
มากขึ้น
193
ผลของโรคความดันโลหิตสูงที่มีต่ออวัยวะต่างๆ
โรคความดันโลหิตสูงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของหลอดเลือดแดง ทําให้
หัวใจทํางานเพิ่มมากขึ้น และยังมีผลทําให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไตเกิดการตีบหรืออุดตัน มีผลให้
เลือดไปเลี้ยงที่ไตไม่เพียงพอ เป็นเหตุให้ไตเสื่อมและวายในที่สุด ในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง
มากจะส่งผลกระทบกระเทือนต่อดวงตาอาจทําให้ผู้ป่วยตาบอดได้ ดังนั้นการเกิดโรคความดัน
โลหิตสูงจึงมีผลต่ออวัยวะต่างๆ เป็นเหตุให้อวัยวะนั้นเสื่อมสมรรถภาพในการทํางาน ผลของ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตที่มีต่ออวัยวะต่างๆ มีดังนี้
195
1. ผลของโรคความดันโลหิตสูงที่มีต่อหลอดเลือดแดง
ความดันโลหิตสูงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของหลอดเลือดแดง
ในทางเสื่อมสมรรถภาพมีผลทําให้เกิดโรคหลอดเลือดแดง 3 สภาวะ คือ
1.1 หลอดเลือดแดงโป่งพอง (aneurysm) ผลของหลอดเลือดแดงโป่งจะไปกดอวัยวะ
อื่นๆ ที่ใกล้เคียงทําให้อาจเกิดอาการต่างๆ เช่น ถ้าไปกดกระดูกหรือประสาทจะทําให้เกิดความ
เจ็บปวด เป็นต้น
1.2 การอุดตันของหลอดเลือด(thrombosis) เมื่อผนังหลอดเลือดแดงหนา แข็ง และ
รูภายในท่อขรุขระรวมทั้งยังตีบแคบ เลือดไหลไม่สะดวกทําให้เกิดการแข็งตัวในบริเวณนั้น เกิด
เป็นภาวะอุดตันทําให้เลือดไหลผ่านได้น้อยไม่พอกับความต้องการของร่างกาย หรืออาจจะไหล
ไม่ได้เลย จะทําให้ผ้ปู ่วยเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายอย่างเฉียบพลัน
1.3 การเลื่อนหลุดของก้อนเลือดที่อุดตัน เรียกว่า “เอ็มโบลิซึม” (embolism) ไหลไป
ตามกระแสเลือด และทําให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดส่วนปลาย มีผลทําให้ปริมาณเลือดที่
ไปเลี้ยงอวัยวะเหล่านั้นลดลงหรือไม่มีเลย อาจเป็นชั่วขณะหรือถาวรไปเลย เช่น เกิดการอุดตัน
ของแขนงหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองทําให้เกิดอัมพาตเป็นต้น
2. ผลของโรคความดันโลหิตสูงที่มีต่อหัวใจ
โรคความดันโลหิตสูงทําให้หัวใจส่วนเวนตริเคิลซีกซ้าย (left ventricle hypertrophy)
ทํางานเพิ่มมากขึ้น ผนังของหัวใจจะมีขนาดใหญ่และหนาขึ้น จนทํางานไม่ไหว เสื่อมสมรรถภาพ
ทําให้เกิดภาวะหัวใจวายได้โดยที่ผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวมาก่อน ซึ่งมักปรากฏอาการรุนแรง อาการที่
สําคั ญ ได้แก่ อาการหอบอย่างรุนแรง นอนราบไม่ได้ต้ องผุดลุกผุดนั่ง ผิวกายมีสีเ ขียวคล้ํา
อาจจะมีอาการไอ เสมหะออกเป็นฟองปนเลือด ระยะนี้ถ้ารักษาโดยถูกต้องและทันท่วงทีผู้ป่วย
อาจจะรอดชีวิตได้ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจเป็นโรคหัวใจแบบเรื้อรัง มีลักษณะอาการทีส่ าํ คัญคือ
มีอาการเหนื่อย หอบง่าย สังเกตได้ชัดเจนตอนกําลังทํางาน บางครั้งเป็นมากจนลุกจากเตียงไม่
ไหว นอนราบแล้วอึดอัด และอาจตื่นมากลางดึก เพราะมีอาการหอบ อาจมีอาการบวมที่ขาหรือ
ทั่วร่างกาย ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะถึงแก่กรรมในที่สุด
ผลของโรคความดันโลหิตสูงยังมีผลต่อหลอดเลือดโคโรนารี ทําให้เกิดโรคหัวใจขาด
เลือด (ischaemic heart disease) หลอดเลือดโคโรนารีจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยหลอดเลือดมี
ผนั งหนาแข็ ง ภายในท่อมีลักษณะขรุขระอาจจะเกิดภาวะตี บตันบางส่ วน หรื ออุดตันไปเลย
อาการสําคัญของโรคนี้ก็คือ ในกรณีที่หัวใจได้รับเลือดไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
โดยเฉพาะขณะที่ร่างกายต้องการเลือดไปเลี้ยงเพิ่มขึ้นกว่าปกติ เช่น ขณะออกแรง ผู้ป่วยจะมี
อาการเจ็บแน่นหรือจุก หรือปวดบริเวณทรวงอกตรงกลางๆ หรือบริเวณลิ้นปี่ ซึ่งบางครั้งอาจจะ
196
อาการแสดงของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
เมื่อมีความดันโลหิตสูงขึ้น ถ้าผู้ป่วยอยู่ในระยะที่หัวใจยังสามารถปรับตัวได้ดี ผู้ป่วยมัก
ไม่ มี อาการแสดงให้ เ ห็ น อย่ า งชั ด เจน โรคความดั น โลหิ ต สู ง จึ ง เป็ น โรคที่ เ ป็น อั น ตรายและมี
ภาวะแทรกซ้อนในอวัยวะที่สําคัญของร่างกาย โรคนี้จึงถูกเรียกอีกชื่อว่า “เพชฌฆาตเงียบ”
(silent killer) อาการของโรคจะปรากฏชัดขึ้นเมื่อหัวใจต้องทํางานหนักมากขึ้นในการบีบตัว เพื่อ
ดันเลือดให้ไหลผ่านแรงดันภายในหลอดเลือดแดงที่สูงขึ้นเป็นระยะเวลานานๆ หัวใจจะพองโตขึ้น
และในที่สุดจะเกิดภาวะหัวใจวาย อย่างไรก็ตามอาการและอาการแสดงสําคัญที่สังเกตได้ มีดังนี้
(วิมลรัตน์ จงเจริญ, 2543, หน้า 139-140)
1. ปวดศีรษะ มึนศีรษะ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อย อาจเนื่องมาจากเมื่อความดันโลหิต
สูง หลอดเลือดในสมองมีความตึงตัวมากขึ้น สมองบวมและมีแรงดันมากขึ้น ทําให้ปวดศีรษะ
บริ เ วณท้ า ยทอย โดยเฉพาะตอนเช้ า หลั ง ตื่ น นอนและอาจเกิ ด จากกล้ า มเนื้ อ บริ เ วณศี ร ษะ
กล้ามเนื้อคอและไหล่ตึง ทําให้เกิดอาการปวดศีรษะ มึนงง อาจมีอาการปวดอย่างรุนแรงและทํา
ให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้
2. ปวดเมื่อยบริเวณเอวหรือหลัง ผู้ป่วยมักมีอาการปวดแข็งและตึง ตั้งแต่บริเวณเอว
และหลังขึ้นไปบริเวณไหล่ถึงคอ เนื่องจากกล้ามเนื้อมีความตึงตัวและมีสารก่อความเมื่อยล้า
สะสมอยู่มากเกินไป หรือมีสารอาหารมาเลี้ยงไม่เพียงพอกับความต้องการ
3. หน้ามืดตาลาย วิงเวียนศีรษะ และอาจมีอาการหูอื้อร่วมด้วย
4. ชาตามปลายมือปลายเท้า มือเท้าเย็น และอาจมีอาการบวมที่ข้อเท้า
5. เจ็บแน่นหน้าอก เนื่องมาจากกล้ามเนื้อที่หัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงหายใจลําบากและ
ชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น หายใจลําบาก
6. อ่อนเพลียง่าย โดยไม่ทราบสาเหตุ
198
การปฏิบัติตัวเพื่อรักษาและป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
การรักษาโรคความดันโลหิตสูง มีดังนี้
1. การรักษาน้ําหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
การรักษาน้ําหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานจะสามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของการ
เกิดโรคต่างๆ ได้ รวมทั้งโรคความดันโลหิตสูง การประเมินหาน้ําหนักตัวที่ควรจะเป็นสามารถ
คํานวณได้จากดัชนีมวลกาย ซึ่งในผู้ที่มีภาวะโภชนาการปกติควรมีค่าดัชนีมวลกายระหว่าง
18.5-22.9 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
ในผู้ที่มีภาวะโภชนาการเกิน ซึ่งมีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 23 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
จะมีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าคนปกติ 2-6 เท่าดังนั้นผู้ป่วยจึงควรลดน้ําหนัก
โดยการควบคุมปริมาณอาหาร จํากัดการกินอาหารที่ให้พลังงานสูง เลือกบริโภคอาหารที่มี
เส้นใยสูงร่วมกับการออกกําลังกายอย่างพอเหมาะ
2. บริโภคอาหารให้ถูกต้องตามคําแนะนําของแพทย์หรือนักกําหนดอาหาร
ในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง แพทย์และนักกําหนดอาหารจะแนะนําให้ผู้ป่วยกิน
อาหารจํากัดโซเดียม อาหารลดไขมันและโคเลสเตอรอล ลดการบริโภคน้ําตาลลง และให้กิน
พืชผักเพื่อให้ได้รับใยอาหารให้มากขึ้น
3. การรักษาด้วยยา
หลักการใช้ยาเพื่อลดความดันโลหิต คื อ ลดแรงต้านของหลอดเลือดส่วนปลาย
(total peripheral resistance) เพิ่มจํานวนเลือดที่ออกจากหัวใจ (cardiac out put) และคงไว้กลไก
ของประสาทรับความรู้สึก (baroreceptor reflex) เพื่อช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดสามารถ
ปรับตัวต่อการกระตุ้นต่างๆ ชนิดของยาที่ใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูงมี 4 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มยาขับปัสสาวะ กลุ่มยาระงับประสาทซิมพาเธติค กลุ่มยาขยายหลอดเลือด และกลุ่มยา
ขัดขวางการทํางานของระบบเรนินแอนจิโอเทนซิน (ดุษณี สุทธปรียาศรี, 2532, หน้า 219)
199
ข้ อ แนะนํ า สํ า หรั บ เรื่ อ งการใช้ ย าคื อ ผู้ ป่ ว ยต้ อ งควรกิ น ยาตามที่ แ พทย์ สั่ ง อย่ า ง
สม่ําเสมอ เพื่อให้ผลการรักษาดีที่สุดและไม่กินยาที่นอกเหนือจากที่แพทย์สั่งเพราะเป็นสิ่งที่เป็น
อันตรายแก่ผ้ปู ่วย
4. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เหมาะสม
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่ส่งเสริมให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง
ได้แก่
4.1 การออกกําลังกายมีประโยชน์สําหรับสุขภาพและป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้
หลายชนิดมีการศึกษาพบว่าในผู้ที่ไม่ออกกําลังกายมีระดับความดันโลหิตสูงกว่าผู้ที่ออกกําลัง
กายประจํา การออกกําลังแบบใช้ออกซิเจน (aerobic exercise) จะสามารถลดระดับความดัน
โลหิตได้ทั่งในผู้ที่มีความดันโลหิตปกติและความดันโลหิตสูง โดยผู้ที่มีความดันโลหิตปกติจะลด
ได้ 2/3 มิลลิเมตรปรอท ส่วนผู้ที่มีความดันโลหิตสูงจะลดได้ 10/8 มิลลิเมตรปรอทผู้ป่วยโรค
ความดันโลหิตสูงสามารถออกกําลังกายได้โดยวิธีต่างๆ เช่น การเดินการวิ่ง กายบริหาร การ
ว่ ายน้ํา ขี่ จั ก รยานเป็ น ต้ น โดยผู้ป่ ว ยควรมี ค วามถี่ใ นการออกกําลัง กาย 3.5 วัน ต่ อ สั ป ดาห์
ระยะเวลาที่ออกกําลังกายไม่น้อยกว่า 20 นาที และมีความหนักของการออกกําลังกายโดยมี
อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ร้อยละ 60-90 ของอัตราการเต้นเป้าหมาย ข้อสําคัญของการออก
กําลังกายเพื่อให้เกิดผลดีกับผู้ป่วยมากที่สุดคือ ต้องออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอและต่อเนื่อง
4.2 พัก ผ่ อ นให้ เ พี ย งพอ การพัก ผ่อนโดยเฉพาะการนอนหลับ เป็น การลดการใช้
พลังงาน ช่วยให้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายทํางานลดน้อยลงและช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด
ได้มีการศึกษาพบว่า การพักผ่อนมีผลให้ความดันโลหิตลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรค
ความดันโลหิตระดับที่ไม่รุนแรงและในผู้ป่วยที่มีระดับความดันโลหิตสูง ควรได้รับการพักผ่อนที่
เพียงพอวันละ 7-8 ชั่วโมง (วิมลรัตน์ จงเจริญ, 2543, หน้า 143)
4.3 การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอื่นๆ ผู้ป่วยควรมีกิจกรรมสันทนาการและควรอยู่ใน
สถานที่ที่มสี ิ่งแวดล้อมที่ดี หลีกเลี่ยงความเครียด งดการสูบบุหรี่ งดหรือลดการดื่มเครื่องดื่มที่มี
แอลกอฮอล์ ทําจิตใจให้สงบจะช่วยลดปัจจัยเสริมที่ทําให้เกิดความดันโลหิตสูงได้
การจัดอาหารสําหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
การจัดอาหารที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจะเป็นประโยชน์ท้ังต่อตัว
ผู้ป่วย และส่งเสริมการรักษาของแพทย์ให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ข้อมูลพื้นฐานที่สําคัญสําหรับการจัด
อาหารให้กับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง มีดังนี้
200
1. จุดประสงค์ของการให้อาหารบําบัดโรคแก่ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
1.1 เพื่อรักษาหรือปรับปรุงภาวะโภชนาการของผู้ป่วย
1.2 เพื่อรักษาน้ําหนักตัวของผู้ป่วยให้อยู่ในเกณฑ์ที่ควรจะเป็น
1.3 เพื่อรักษาระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยให้ใกล้เคียงกับภาวะปกติ
1.4 เพื่อป้องกันและชะลอการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ
1.5 เพื่อส่งเสริมให้ผ้ปู ่วยมีสุขภาพที่ดี
2. อาหารจํากัดโซเดียม
อาหารจํากัดโซเดียม (low sodium diet) หมายถึง การจัดอาหารและเครื่องดื่ม
รวมทั้งเครื่องปรุงรสและอื่นๆ ที่ผู้ป่วยบริโภคในหนึ่งวันให้ปริมาณโซเดียมน้อยกว่าที่คนปกติจะ
ได้รับ อาหารจํากัดโซเดียมนอกจากจะเป็นอาหารที่เหมาะสมสําหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
แล้ว ผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยโรคหัวใจและผู้ป่วยโรคตับแข็ง เป็นต้น อาจจําเป็นต้องได้รับอาหารชนิด
นี้ในการบําบัดรักษาโรคเช่นกัน สําหรับในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสู งการจั ดอาหารจํากั ด
โซเดียมให้กับผู้ป่วยจัดตามระดับความรุนแรงของโรคความดันโลหิตสูงได้ดังนี้
2.1 อาหารที่ไม่เติมเกลืออีกเมื่อปรุงเสร็จ เป็นอาหารที่ให้โซเดียมประมาณ 4 กรัมต่อ
วัน หรือประมาณ 174 มิลลิอิควิวาเลนต์ การปรุงอาหารสามารถใช้เกลือ หรือน้ําปลา หรือซีอิ๊วได้
เล็กน้อยเพื่อให้อาหารมีรสบ้าง โดยใช้เกลือได้ประมาณ 3 ช้อนชาต่อวัน แต่ไม่มีการเติมเกลือ
น้ําปลา หรือซีอิ๊วอีกเมื่อปรุงอาหารเสร็จหรือขณะจะรับประทาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม
หรือมีโซเดียมสูง เช่น อาหารกระป๋อง ไข่เค็ม หมูเค็ม เนื้อเค็ม ของหมักดอง ไส้กรอก กุนเชียง
แหนม หมูยอ แฮม อาหารกรอบเค็มต่างๆ มันฝรั่งอบเกลือ ถั่วเค็ม ข้าวโพดคั่วและผงชูรส เป็นต้น
ปริ ม าณโซเดี ย มในระดับ นี้ เ หมาะสํา หรับ ผู้ป่ ว ยโรคความดัน โลหิ ต สูง เล็ ก น้ อ ย (mild
hypertension) หรือค่าความดันต่ําสุดอยู่ระหว่าง 90-104 มิลลิเมตรปรอท
2.2 อาหารจํากัดโซเดียมเล็กน้อย (mild sodium restriction) เป็นอาหารที่ให้โซเดียม
ประมาณ 2-3 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 87-130 มิลลิอิควิวาเลนต์ โดยให้ใส่เกลือ น้ําปลา
หรือซีอิ๊วในอาหารได้ประมาณ 2 ช้อนชาต่อวัน และเมื่อปรุงอาหารเสร็จจะไม่มีการเติมเกลือลง
ในอาหารอีก
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มหรืออาหารที่มีโซเดียมมากทุกชนิด เช่น เต้าเจี้ยว น้ําบูดู
ปลาร้า ซอสชูรส ผงกันบูด (sodium benzoate) กะปิ ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ไข่เค็ม อาหารกระป๋อง
สําเร็จรูป และอาหารหมักดองชนิดต่างๆ
ปริมาณโซเดียมในระดับนี้เหมาะสําหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงระดับปานกลาง
(moderate hypertension) หรือค่าความดันต่ําสุดอยู่ระหว่าง 105-119 มิลลิเมตรปรอท
201
ผู้ป่ ว ยงดกิ น อาหารที่ มี โคเลสเตอรอลสูง ได้ แ ก่ สมองสัต ว์ ไข่ ป ลาชนิ ด ต่ า งๆ เครื่อ งในสั ต ว์
ไข่แดง กุ้ง หอยและปู เป็นต้น
3.3 บริโภคอาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว แนะนําให้ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงได้รับ
กรดไขมันไม่อิ่มตัว โดยเฉพาะกรดไลโนเลนิก (linolenic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จําเป็นแก่
ร่างกายและสามารถลดโคเลสเตอรอลในเลือดได้ กรดไขมันชนิดนี้มีมากในน้ํามันถั่วเหลืองจึง
ควรให้ผ้ปู ่วยใช้น้ํามันถั่วเหลืองในการปรุงอาหาร
4. อาหารจํากัดคาร์โบไฮเดรต
ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มีภาวะโภชนาการเกิน แพทย์อาจจะให้ผู้ป่วยได้รับ
อาหารจํากัดคาร์โบไฮเดรตเพื่อให้ผ้ปู ่วยมีภาวะโภชนาการที่ดี และมีผลดีต่อการรักษาของแพทย์
โดยทั่วไปแพทย์จะสั่งอาหารชนิดนี้ให้เฉพาะผู้ป่วยที่ต้องการจํากัดพลังงาน ข้อแนะนําในการกิน
อาหารชนิดนี้คือ แนะนําเลือกแหล่งคาร์โบไฮเดรต แนะนําให้ผู้ป่วยเลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
รับประทาน ได้แก่ ข้าว แป้ง ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวโพด งดอาหารที่มีการปรุงรสด้วยน้ําตาล
แนะนําให้ผู้ป่วยงดเครื่ องดื่มที่มี น้ําตาลมาก ได้แก่ น้ําหวาน น้ําอัดลม งดน้ําชา กาแฟ และ
เครื่องดื่มร้อนที่ต้องเติมน้ําตาล รวมทั้งขนมที่มีรสหวาน ได้แก่ ลูกอม ลูกกวาดชนิดต่างๆ งด
ของเชื่อมทุกชนิด เช่น กล้วยเชื่อม สาเกเชื่อมและมะตูมเชื่อม เป็นต้น งดขนมกวนที่มีปริมาณ
น้ําตาลมากๆ เช่น กาละแม ข้าวเหนียวแดง เป็นต้น กินอาหารที่มีน้ําตาลตามธรรมชาติเท่านั้น
และเลือกรับประทานผักและผลไม้ที่มีรสไม่หวานจัด
หลักการจัดอาหารจํากัดโซเดียม
ในการจัดอาหารจํากัดโซเดียมนั้น นักกําหนดอาหารจะต้องทราบแหล่งและปริมาณของ
โซเดียมที่มีอยู่ในอาหาร เพื่อที่จะสามารถจัดอาหารที่เหมาะให้กับผู้ป่วยตามที่แพทย์สั่งอาหาร
ได้ (ชวลิต รัตนกุล และ กวี เจริญลาภ, 2549, หน้า 187-192)
1. แหล่งของโซเดียมในอาหาร
โซเดียม มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติทั่วไป มีมากที่สุดในเกลือและอาหารที่ปรุงแต่ง
ด้วยเกลือ แหล่งโซเดียมที่สําคัญมีดังนี้
1.1 เกลือแกง หรือโซเดียมคลอไรด์ (sodium chloride : Nacl) คือ เกลือที่ใช้ในการ
ปรุงอาหารเพื่อให้อาหารนั้นมีรสเค็ม โดยเกลือ 1 ช้อนชา หนักประมาณ 5 กรัม มีโซเดียมอยู่
ประมาณ 2,000 มิลลิกรัม ผู้ป่วยที่แพทย์สั่งจํากัดโซเดียมสามารถใช้เกลือในการปรุงอาหารได้
แต่ต้องใช้ในปริมาณที่แพทย์กําหนดอย่างเคร่งครัด
203
2. หลักการสั่งอาหาร การคํานวณและจัดอาหารจํากัดโซเดียม
การจะจัดอาหารให้กับผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมเริ่มตั้งแต่การสั่งอาหารที่
ชัดเจน เพื่อให้นักกําหนดอาหารสามารถคํานวณ และกําหนดส่วนอาหารที่ผู้ป่วยควรได้รับ
รวมทั้งจัดเตรียมอาหารที่ผ้ปู ่วยยอมรับเพื่อให้เกิดผลดีต่อการรักษา
2.1 หลักการสั่งอาหารจํากัดโซเดียม แพทย์เป็นผู้ทําหน้าที่สั่งอาหารให้กับผู้ป่วยซึ่ง
คําสั่งอาหารต้องระบุชนิดอาหาร ปริมาณพลังงาน สารอาหารและปริมาณโซเดียมให้ชัดเจน
หน่วยของโซเดียมที่นิยมใช้มีท้งั กรัม มิลลิกรัม และมิลลิอิควิวาเลนต์ ดังนั้นนักกําหนดอาหารจึง
จําเป็นต้องสามารถแปลงหน่วยของโซเดียมได้อย่างถูกต้อง
207
ตัวอย่าง การเปลี่ยนหน่วยของโซเดียมจากมิลลิอิควิวาเลนต์เป็นมิลลิกรัม
ผู้ป่วยหญิงคนหนึ่ง แพทย์สั่งให้ได้รับอาหาร Soft diet พลังงาน 2,000 กิโลแคลอรีต่อ
วัน คาร์โบไฮเดรต :โปรตีน : ไขมัน ร้อยละ 60 : 15 : 25 ของพลังงานทั้งหมดและให้ได้รับ
โซเดียม 65 มิลลิอิควิวาเลนต์ต่อวัน
ดังนั้นการแปลงหน่วยของโซเดียมจากมิลลิอิควิวาเลนส์ (mEq) ให้เป็นมิลลิกรัมสามารถ
ทําได้ดังนี้ มิลลิอิควิวาเลนต์ของสารใด คือ ปริมาณสารนั้นหนักเท่ากับน้ําหนักสมมูลย์ที่คิดเป็น
มิลลิกรัม (ชวลิต รัตนกุล และ กวี เจริญลาภ, 2549, หน้า 223)
1 มิลลิอิควิวาเลนท์ของโซเดียมเท่ากับโซเดียมกี่มิลลิกรัม
วิธีคํานวณ หาค่าสมมูลย์ของโซเดียม
น้ําหนักอะต อม
สมมูลย์ =
วาเลนซิ
ธาตุโซเดียมมีน้ําหนักอะตอม = 23 ; วาเลนซิ = 1
23
สมมูลย์ =
1
= 23
น้ําหนักสมมูลย์ของโซเดียมคิดเป็นมิลลิกรัม = 23 มิลลิกรัม
1 มิลลิอิควิวาเลนท์ของโซเดียมจึงเท่ากับโซเดียม = 23 มิลลิกรัม
โซเดียม 65 มิลลิอิควิวาเลนท์จึง = 65×23 มิลลิกรัม
= 1,505 มิลลิกรัม
2.2 การคํานวณและจัดอาหาร
ตัวอย่างที่ 1 ผู้ป่วยหญิงคนหนึ่ง แพทย์สั่งให้ได้รับอาหาร Soft diet พลังงาน
2,000 กิโลแคลอรีต่อวัน คาร์โบไฮเดรต : โปรตีน : ไขมัน ร้อยละ 60 : 15 : 25 และให้ได้รับ
โซเดียม 2 กรัมต่อวัน
ขั้นตอนที่ 1 ปริมาณพลังงานที่ผ้ปู ่วยต้องการ
เนื่องจากแพทย์กําหนดปริมาณพลังงานที่ผู้ควรได้รับไว้แล้ว = 2,000 กิโลแคลอรีต่อวัน
208
ขั้นตอนที่ 5 คํานวณหาปริมาณเกลือที่สามารถเติมหรือปรุงในอาหารให้กับผู้ป่วย
คํานวณปริมาณเกลือที่ผู้ป่วยควรใช้ใน 1 วัน แพทย์กําหนดให้ผู้ป่วยได้รับโซเดียมวันละ 2,000
มิลลิกรัม
ผู้ป่วยได้รับโซเดียมจากอาหารหลัก = 526.50 มิลลิกรัม
แพทย์กําหนดให้ผ้ปู ่วยสามารถได้รับโซเดียมได้ = 2,000 มิลลิกรัม
ผู้ป่วยยังสามารถได้รับโซเดียมเพิ่มเติม (จากเกลือ)ได้อีก = 2,000 – 526.50
= 1,473.50 มิลลิกรัม
เกลือแกงมีโซเดียมอยู่ร้อยละ = 40
100 × 1,473.50
โซเดียมในปริมาณ 1,473.5 มก. ควรได้มาจากเกลือ =
40
ดังนั้นผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับโซเดียมเพิ่มเติม (จากเกลือ) = 3,683.75 มิลลิกรัม
หรือ = 3.68 กรัม
ผู้ป่วยสามารถใช้เกลือในปริมาณวันละ 3.68 กรัม ในการปรุงอาหาร
จํานวน น้ําหนัก
มื้ออาหาร รายการอาหาร ส่วนประกอบ
ส่วน (กรัม)
เช้า 1 ข้าวต้ม ข้าวต้ม 2 137.5
2 ไก่บดนึ่ง เนื้อไก่ 1 30
3 ผัดผักบุ้ง ผักบุ้ง 1 70
น้ํามันพืช 1 5
4 ผลไม้ มะละกอสุก 1 115
5 นมพร่องมันเนย นมพร่องมันเนย 1 240
กลางวัน 1 ราดหน้าหมูสับ เส้นก๋วยเตี๋ยว 2.5 225
เนื้อหมูสับ 2 60
แป้งมัน 0.5 10
หัวหอมใหญ่
มะเขือเทศ 1 70
แครอท
น้ํามันพืช (ผัดเส้น) 1.5 7.5
2 ผลไม้ น้ําส้มคั้น 1 120
ว่างบ่าย 1 สาคูเปียกลําไย สาคู 2 150
ลําไย 1 55
น้ําตาล 5 25
กะทิ 1.5 1.5 ชต.
เย็น 1 ข้าวต้ม ข้าวต้ม 2.5 137.5
2 ไข่ตุ๋น ไข่ไก่ 1 1 ฟอง
ต้นหอม ผักชี เล็กน้อย -
3 จับฉ่าย แครอท
ผักกาดขาว
คะน้า 1 70
กะหล่ําปลี
213
ข้อแนะนําในการประกอบอาหารจํากัดโซเดียม
เนื่องจากอาหารจํากัดโซเดียมเป็นอาหารที่ไม่สามารถปรุงรสเค็มได้ตามต้องการ
อาหารชนิ ดนี้จึ ง เป็นอาหารที่ผู้ป่ วยยอมรับได้ยากมากที่สุด ดัง นั้นนัก กําหนดอาหารจึงต้ อง
พยายามจัดอาหารให้น่ารับประทานมากที่สุด ข้อแนะนําในการประกอบอาหารมีดังนี้
1. จัดอาหารให้มีสีของอาหารที่น่ารับประทาน
อาหารที่มีสีสันที่ดีจะชวนรับประทาน พยายามหลีกเลี่ยงการจัดอาหารที่มีสีซีด
คล้ํา หรืออาหารที่มีสีเดียวกันทําให้อาหารดูไม่น่ารับประทาน ควรเลือกใช้ผักสีต่างๆ มาใช้ใน
การปรุงอาหาร
2. จัดอาหารให้มีกลิน่ ที่หอม
อาจปรุ ง แต่ ง อาหารด้ ว ยสมุ น ไพร เช่ น การเลื อ กใช้ หั ว หอม ขิ ง ข่ า ตะไคร้
ใบมะกรูด เป็นต้น และเครื่องเทศ เช่น ลูกผักชี ยี่หร่า อบเชย กานพลู เป็นต้น ซึ่งสมุนไพรและ
เครื่องเทศเหล่านี้มีโซเดียมน้อยมากสามารถใช้ได้ตามต้องการ
3. สํารับอาหารในแต่ละมื้อควรให้มีรสชาติที่หลากหลาย
อาหารไทยมีถึง 5 รสทั้งเค็ม เปรี้ยว หวาน เค็ม และขม แต่สําหรับอาหารจํากัด
โซเดียมรสเค็มอาจจะหายไป ผู้ปรุงอาหารก็ควรเลือกรายการอาหารที่มีหลายรส อย่าเลือกปรุง
ประกอบรายการอาหารที่ให้รสเค็มอย่างเดียว เช่น ระหว่างแกงจืด กับ ต้มยํา ควรเลือกต้มยํา
ให้กับผู้ป่วย เพราะต้มยําสามารถนํามาปรุงรสได้ดีกว่าและยังแต่งกลิ่นให้หอมด้วยสมุนไพร แต่
ถ้าเป็นแกงจืด เมื่อขาดรสเค็มก็จะหมดรสชาติ ทําให้ไม่ชวนรับประทาน ซึ่งในต้มยําสามารถปรุง
รสเปรี้ยว หวานและเผ็ดเล็กน้อย และมีความหอมจากสมุนไพรคือตะไคร้ ใบมะกรูดและผักชี
เป็นต้น
4. ข้อแนะนําในการเติมเกลือ
เกลือที่ผู้ป่วยได้รับอนุญาตให้เติมได้ ให้ผู้ป่วยนําเกลือใส่ขวดเพื่อจะได้ใช้เกลือใน
จํานวนดังกล่าวเท่านั้นในการปรุงรสอาหารทั้งวัน และผู้ป่วยไม่ควรใช้เครื่องปรุงอย่างอื่น หรือถ้า
ผู้ป่วยไม่ชอบเกลือ อาจจะคํานวณเปลี่ยนเกลือให้เป็นน้ําปลา โดยถือว่าน้ําปลาที่เค็มจัดที่สุดมี
เกลือโซเดียมคลอไรด์ร้อยละ 35 ดังนั้น ถ้าผู้ป่วยสามารถใช้เกลือได้วันละ 5 กรัม (1 ช้อนชา)
เปลี่ยนมาเป็นน้ําปลาได้ 15 กรัม (3 ช้อนชา)
214
สรุป
โรคความดันโลหิตสูง คือ ภาวะที่ความดันโลหิตช่วงบน (systolic blood pressure) มีค่า
ตั้งแต่ 140 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป และมีค่าความดันโลหิตช่วงล่าง (diastolic blood pressure)
ตั้งแต่ 90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป โดยค่าความดันโลหิตนี้จะต้องสูงเกินกว่าปกติอยู่ตลอดเวลา
การเกิดโรคความดันโลหิตส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุมีเพียงผู้ป่วยประมาณร้อยละ 5 ของผู้ป่วย
ทั้งหมดที่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่มาจากโรคไต โรคของต่อมไร้ท่อ โรคหลอดเลือด หรือ
เกิดจากการได้รับยาบางอย่าง เช่น ยาคุมกําเนิดเป็นต้น ผลของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงทํา
ให้หลอดเลือดเกิดการเปลี่ยนแปลงอาจจะโป่ง หรือเกิดการตีบและอุดตันของหลอดเลือด และ
ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดโรคหัวใจตามมาภายหลัง นอกจากใช้ยาแล้ว การจัดอาหารที่เหมาะสมเป็นอีก
วิธีการหนึ่งที่จะช่วย ควบคุมระดับความดันโลหิตในผู้ป่วยได้ อาหารจํากัดโซเดียมเป็นอาหารที่จัด
ให้กับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งอาหารจํากัดโซเดียม หมายถึง การจัดอาหารให้มีปริมาณ
โซเดียมน้อยกว่าที่คนปกติได้รับ โดยแหล่งโซเดียมที่สําคัญคือ เกลือ และเครื่องปรุงรสที่มีเกลือ
เป็นส่วนผสม ได้แก่ น้ําปลา ซีอ้ิว เต้าเจี้ยว เป็นต้น รวมทั้งในอาหารธรรมชาติมีปริมาณโซเดียมที่
มากน้อยแล้วแต่ชนิดของอาหาร นักกําหนดอาหารจึงต้องทราบปริมาณโซเดียมที่มีอยู่ในอาหาร
แต่ละชนิด พร้อมรู้จักวิธีการปรุงอาหารให้น่ารับประทานและผู้ป่วยยอมรับเพื่อให้อาหารนั้นมีผล
ในการบําบัดรักษาโรคที่ผ้ปู ่วยเป็นอยู่
บทที่ 7
อาหารสําหรับผู้ปว่ ยโรคไต
ไต เป็นอวัยวะที่สําคัญอยู่ในช่องท้องด้านล่างระดับชายโครง ไตมีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว
มีน้ําหนักประมาณ 150-200 กรัม ไตมีหน้าที่สําคัญหลายอย่าง ได้แก่ ทําหน้าที่กําจัดของเสีย
ออกจากร่างกายโดยการกรองเลือดออกมาเป็นปัสสาวะ รักษาสมดุลของน้ําและเกลือแร่ใน
ร่างกายให้สมดุล นอกจากนี้ยังมีส่วนสําคัญในการสร้างฮอร์โมน กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง
จากไขกระดูก สร้างวิตามินดี เป็นต้น ถ้าไตมีความผิดปกติเกิดขึ้นเป็นผลให้ไตไม่สามารถทํา
หน้าที่ต่างๆ ได้ ทําให้ผู้ป่วยเกิดโรคไต ไตวายเฉียบพลันและไตวายเรื้อรัง เป็นต้น การรักษาโรค
ไตมีท้งั การใช้ยา การล้างไตทางหน้าท้อง การฟอกเลือดล้างไตด้วยเครื่องไตเทียมและการผ่าตัด
ปลูกถ่ายไต ซึ่งการผ่าตัดปลูกถ่ายไตเป็นการรักษาที่ทําให้ผู้ป่วยหายจากโรค นอกเหนือจาก
การรักษาที่กล่าวมาการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยในเรื่องอาหารก็เป็นสิ่งที่สําคัญมากที่จะช่วยบรรเทา
อาการของโรคไตและรักษาภาวะโภชนาการของผู้ป่วยให้ดีขึ้น อาหารที่สําคัญแก่ผู้ป่วยโรคไต
ได้แก่ อาหารจํากัดโซเดียม อาหารจํากัดโปแตสเซียม อาหารจํากัดโปรตีน ซึ่งผู้ป่วยโรคไตควร
ได้ รั บ อาหารชนิ ด ใดขึ้ น อยู่ กั บ อาการและพยาธิ ส ภาพของผู้ ป่ ว ยซึ่ ง แพทย์ จ ะเป็ น ผู้ ทํ า หน้ า ที่
กําหนดอาหารที่ผ้ปู ่วยควรบริโภคเพื่อให้เกิดประโยชน์ด้านสุขภาพแก่ผ้ปู ่วยมากที่สุด
โครงสร้างของไต
ไต เป็นอวัยวะที่มรี ูปร่างคล้ายถั่ว ไตของคนมี 2 ข้าง วางขนาบทั้งสองข้างของกระดูก
สันหลังประมาณซี่โครงที่ 12 ไต มีความยาวประมาณ 4-5 นิ้ว และมีความหนาประมาณ 1 นิ้ว
ไตมีน้ําหนักข้างละประมาณ 135 กรัม (ภาพที่ 6.1) เมื่อผ่าไตตามยาวออกเป็น 2 ซีกจะพบว่า
ลักษณะของเนื้อไตแบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือไตชั้นนอก เรียกว่า “คอร์เทกซ์” (cortex) มีความหนา
ประมาณ 1 เซนติเมตร และชั้นในเรียกว่า “เมดุลลา” (medulla) ถัดจากเนื้อชั้นในเข้าไปจะเป็น
ช่องว่างลักษณะคล้ายรูปกรวย เรียกว่า “กรวยไต” (pelvis) ซึ่งจะรวบรวมน้ําปัสสาวะที่เกิดขึ้น
จากการทํางานของเนื้อไตทั้งสองชั้น นําออกไปทางท่อไต (ureter) ซึ่งเป็นท่อที่มีความกว้างประมาณ
5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 10-12 นิ้ว ท่อนี้จะต่อจากกรวยไตข้างละท่อเพื่อนําปัสสาวะไปเก็บไว้
ในกระเพาะปัสสาวะ เมื่อมีปริมาณน้ําในกระเพาะปัสสาวะประมาณ 250-300 ซีซี จึงจะทําให้
216
รู้สึกปวดถ่ายปัสสาวะเมื่อถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะจะถูกขับจากกระเพาะปัสสาวะผ่านท่อปัสสาวะ
(urethra) ขับออกนอกร่างกาย (สุจรรยา สุวรรณคีรี, 2537, หน้า 129)
โกลเมอรูลัสและทิวบูลของไตเมื่อรวมกันจะเป็นหน่วยที่ทําหน้าที่ของไตเกือบทั้งหมด จึง
เรียกว่า “หน่วยไต” (nephron) ซึ่งจะเป็นหน่วยเล็กๆมีอยู่ในเนื้อไตข้างละประมาณ 1 ล้านหน่วย
ส่วนใหญ่จะอยู่ในเนื้อไตชั้นคอร์เทกซ์ ส่วนน้อยจะอยู่ในชั้นเมดุลลา โกลเมอรูลัส (ภาพที่ 6.2) มี
ลักษณะเป็นกลุ่มของเส้นโลหิตฝอย มีหน้าที่กรองของเสียที่เกิดขึ้นในร่างกาย ซึ่งอยู่ในเลือด
ออกไปทางน้ํากรอง สําหรับทิวบูลของไตมีลักษณะเป็นท่อเล็กๆ แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ทิวบูลส่วน
ต้น (proximal tubule) ทําหน้าที่ดูดซึมสารต่างๆ ที่ร่างกายต้องการ เช่น กลูโคส กรดอะมิโน น้ํา
โซเดียม เป็นต้น ทิวบูลส่วนโค้งของเฮนเล (loop of Henle) ส่วนนี้เป็นส่วนที่ยื่นเข้าไปในเมดุลลา
มีหน้าที่ช่วยให้ปัสสาวะข้นขึ้นและทิวบูลส่วนปลาย (distal tubule) ทําหน้าที่รักษาดุลน้ําเกลือแร่
และกรดด่าง
หน้าที่ของไต
ไตมีหน้าที่หลักอยู่ 4 ประการคือ
1. ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย
ของเสี ย ที่ ร่ า งกายขั บ ออกทางปั ส สาวะเป็ น ของเสี ย ที่ เ กิ ด จากการเผาผลาญ
สารอาหารในกลุ่มที่ให้พลังงาน ในการเผาผลาญสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและไขมัน จะ
ได้น้ําและคาร์บอนไดออกไซด์ โดยคาร์บอนไดออกไซด์จะถูกขับออกทางปอดและน้ําจะถูกขับ
ออกทางไต ส่วนการเผาผลาญโปรตีน จะเกิดของเสียเกิดขึ้นหลายชนิด ได้แก่ ยู เรีย (urea)
ครีอะตินิน (creatinine) กรดยูริก (uric acid) แอมโมเนีย ฟอสเฟตและซัลเฟต เป็นต้น ดังนั้นการ
เผาผลาญสารอาหารประเภทโปรตีนทําให้ไตต้องทํางานหนัก ของเสียต่างๆ ถูกขับออกมาตาม
หลอดเลือดของไตมายังโกลเมอรูลัส ซึ่งทําหน้าที่กรองของเสียออกผ่านไปทางทิวบูลของไต ดังนั้น
ปัสสาวะจึงเป็นแหล่งรวบรวมของเสียของร่างกาย นอกจากการขับถ่ายของเสียที่เกิดจากการเผา
ผลาญสารอาหารในร่างกายแล้ว ไตยังมีหน้าที่ขับถ่ายยา สารพิษ หรือสิ่งที่ปนเปื้อนในอาหารชนิด
ที่ละลายน้ําได้ ตัวอย่าง เช่น ยานอนหลับ ยาปฏิชีวนะ สีในอาหารและแร่ธาตุบางอย่าง เช่น ตะกั่ว
เป็นต้น
2. รักษาดุลของน้ํา แร่ธาตุ และสารต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ไตมีหน้าที่รักษาสมดุลน้ํา แร่ธาตุและสารต่างๆให้มีส่วนประกอบและปริมาณใน
ร่างกายและระดับในเลือดคงที่อยู่เสมอ ดังนี้
2.1 การรักษาสมดุลของน้ํา การรักษาสมดุลของน้ํา ในภาวะปกติร่างกายได้รับน้ํา
จากน้ํ าดื่ ม เครื่ องดื่ ม และน้ํ าในอาหารที่ เรากิ นเข้ าไป รวมทั้ งยั งได้ รั บน้ํ าจากการเผาผลาญ
สารอาหารต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งมีน้ําประมาณ 300-400 มิลลิลิตรต่อวัน โดยปกติถ้าร่างกายได้รับ
น้ําเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ ไตจะทําหน้าที่ขับน้ําส่วนที่เกินออกทางปัสสาวะ และหากร่างกาย
ได้รับน้ําไม่เพียงพอและเกิดภาวะการขาดน้ํามีผลให้เลือดมีความเข้มข้นเพิ่มมากขึ้น และกระตุ้น
ต่อมพิทูอิตารีในสมองให้หลั่งฮอร์โมนแอนตีไดยูเรติก (anti-diuretic hormone) ออกมา ทําให้ทิวบู
ลของไตมีการดูดซึมน้ํากลับเข้าสู่ร่างกาย จึงทําให้มีน้ําขับออกทางปัสสาวะน้อยลง ในทางกลับกัน
หากร่างกายได้รับน้ํามากเกินไปฮอร์โมนดังกล่าวจะหลั่งออกมาน้อย ทําให้ทิวบูลของไตดูดซึมน้ํา
กลับเข้าสู่ร่างกายน้อย มีผลให้มีการขับปัสสาวะมากขึ้น ปริมาณของน้ําในร่างกายจะอยู่ในภาวะ
สมดุล (ออมศีล ศีลพันธุ์, 2537, หน้า 123)
2.2 การรักษาสมดุลแร่ธาตุในร่างกาย แร่ธาตุที่สําคัญในเลือดที่ได้รับจาก
สารอาหารมีหลายอย่างที่สําคัญ ได้แก่ โซเดียม โปแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม คลอไรด์
และฟอสเฟต นอกจากนี้ยังมีทองแดง สังกะสีและเหล็กอยู่ในปริมาณเล็กน้อยด้วย ส่วนสารใน
219
ซึ่งสร้างสารเรนินขึ้นในภาวะที่มีหลอดเลือดแดงรีนัลตีบแคบ หรือไตอักเสบเรื้อรังจนเนื้อไตถูก
ทําลาย หรือการมีความดันโลหิตสูงอยู่นานๆ ทําให้ผนังหลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่มาสู่หน่วยไต
(nephron) หนาตัวและตีบแคบ มีผลให้เลือดมาสู่โกลเมอรูลัสน้อยลง กระตุ้นให้มีการสร้างเรนิน-
แองจิโอเทนซิน ออกไปสู่กระแสเลือดมากขึ้น สารนี้จะออกฤทธิ์ทําให้หลอดเลือดแดงขนาดเล็ก
ที่ สุ ด ทั่ ว ร่ า งกายหดตั ว และมี ค วามต้ า นทานในหลอดเลื อ ดสู ง ขึ้ น เกิ ด ความดั น โลหิ ต สู ง
นอกจากนี้เรนิน-แองจิโอเทนซินยังไปกระตุ้นต่อมหมวกไต (adrenal gland) ให้สร้างฮอร์โมน
อัลโดสเตอโรน (aldosterone)เพิ่มขึ้น มีผลทําให้มีการดูดซึมของโซเดียมกับน้ํากลับสู่ร่างกายที่
บริเวณหลอดเลือดฝอยของไต (ทิวบูล) มากขึ้น เกิดการคั่งของโซเดียมและน้ําในร่างกาย ทําให้
เกิดความดันโลหิตสูงด้วย
4.2 การสร้างสารเอริโธรปัวอิติน (erythropoietin) ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นให้ไขกระดูก
สร้างเม็ดเลือดแดง ดังนั้นในผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายจึงมีโลหิตจางและซีด เพราะไตไม่สามารถ
สร้างสารเอริโธรปัวอิตินนี้ได้
4.3 การสร้างวิตามินดี โดยปกติวิตามินดีที่ได้จากอาหารหรือสังเคราะห์ที่ผิวหนัง
เมื่อได้รับแสงแดดจะไปทําปฏิกิริยาที่ตับโดยเปลี่ยนเป็นสารประกอบที่เรียกว่า 25-ไฮดรอกซี
คลอลิแคลซิเฟอรอล (25-hydroxy cholecalciferol) ซึ่งจะต้องไปเปลี่ยนเป็นสารประกอบอีกชนิด
ที่เรียกว่า 1-25 ไดไฮดรอกซี คลอลิแคลซิเฟอรอล (1-25-di hydroxy cholecalciferol) ที่ไตก่อน
จึงจะสามารถออกฤทธิ์ได้ ดังนั้นเมื่อเป็นโรคไตวายเรื้อรัง ไตไม่สามารถจะเปลี่ยนวิตามินดีให้อยู่
ในรูปที่มีประสิทธิภาพได้ ทําให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมจากลําไส้ได้ ทําให้ร่างกาย
เสียสมดุลทางแคลเซียม กระดูกผุ และกร่อน ถ้าเป็นในเด็กก็จะมีการเจริญเติบโตช้า
จะเห็ น ได้ ว่ า ไตเป็ น อวั ย วะที่ สํ า คั ญ ในการขั บ ถ่ า ยและควบคุ ม ดุ ล ผลผลิ ต จาก
กระบวนการเผาผลาญสารอาหารเกือบทุกชนิด ดังนั้นในการให้อาหารบําบัดโรคไตจึงต้องคํานึง
ชนิดของโรค พยาธิสภาพ ระยะเวลาของโรค และอาการของผู้ป่วยเป็นสําคัญ
ประเภทของโรคไต
โรคไตมีหลายชนิด อาการแสดงจึงมีความแตกต่างกัน แต่อาการที่พบบ่อยในผู้ป่วย
ได้ แ ก่ อาการบวม ความดั น โลหิ ต สู ง การเปลี่ ย นแปลงของปริ ม าณปั ส สาวะ ลั ก ษณะของ
ปัสสาวะผิดปกติ มีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีในเลือด และอาการอื่นๆ ทั่วไป โรคไตที่สําคัญ
ได้แก่ (จันทรนิวัทธ์ เกษมสันต์ ชวลิต รัตนกุล และสุพัฒน์ วาณิชย์การ, 2549, หน้า 244-328)
221
และถ้าผู้ป่วยมีระดับของโปรตีนในพลาสมาต่ําลงเรื่อยๆ โปรตีนที่อยู่ในเนื้อเยื่อจะถูกสลายออกมา
ทําให้ผ้ปู ่วยเกิดภาวะทุพโภชนาการ ตับมีเนื้อเยื่อไขมันมาก และมีโซเดียมคั่งมาก
การรักษา ในการรักษาผู้ป่วยโรคเนฟโฟรติคซินโดรม ส่วนใหญ่จะรักษาตามอาการ โดย
ยาที่ใช้ในการรักษา ได้แก่ ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคอื่นๆ ที่เกิดร่วมกับโรคเนฟโฟรติคซินโดรม
และผู้ป่ วยต้ องได้ รับการควบคุมอาหาร โดยผู้ป่วยที่ มีอาการตั วบวม อาจต้องจํากัดปริมาณ
โซเดียมให้เหลือ 500-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน และถ้าผู้ป่วยมีการสูญเสียโปรตีนในปัสสาวะมาก
ต้องให้อาหารเพิ่มโปรตีนแก่ผ้ปู ่วย โดยปริมาณโปรตีนที่ให้อาจสูงถึง 100-120 กรัมต่อวัน
3. โรคไตวายเฉียบพลัน (acute renal failure)
โรคไตวายเฉียบพลัน เป็นภาวะที่ไตเสียหน้าที่การทํางานอย่างรวดเร็ว เนื่องจากไต
ถูกทําลายอย่างรุนแรง ทําให้เกิดการคั่งของของเสียในร่างกาย เสียสมดุลของน้ํา เกลือแร่และ
กรดต่างๆ ความสามารถในการวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็วและช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงทีจะ
สามารถช่วยให้ไตคืนสู่สภาพปกติได้
สาเหตุ สาเหตุที่สําคัญของการเกิดโรคไตวายเฉียบพลัน มีท้ังสาเหตุที่เกิดจากภายนอก
ไต(external renal causes) คือ เลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง จากภาวะสูญเสียเลือดมาก เช่น ช็อคจาก
การบาดเจ็บอย่างรุนแรง การตกเลือดหลังคลอด การติดเชื้อและภาวะหัวใจวาย เป็นต้น หรือมี
การอุดตันของทางเดินปัสสาวะ เช่น การมีก้อนนิ่วอุดตันหลอดไต เนื้องอกหรือมะเร็งอุดกั้น
ทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น และสาเหตุจากภายในไต (intrarenal causes) ได้แก่ การมีความ
ผิดปกติที่กรวยไต เช่น โรคโกลเมอรูโลเนฟไฟรติส ความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรง โรคเอส.แอล.
อี การตั้งครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น
พยาธิสภาพของผู้ป่วยโรคไตวายเฉียบพลัน เมื่อเลือดไปเลี้ยงที่ไตลดลง ทําให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงหน้าที่ของไต คือทําให้อัตราการกรองของโกลเมอรูลา (glomerular filtration : GFR)
ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยปกติอัตราการกรองของโกลเมอรูลา เท่ากับ 125 มิลลิลิตรต่อนาที ทํา
ให้สารน้ําไหลผ่านทิวบูลช้าลงและทําให้การดูซึมกลับของโซเดียมและน้ําเพิ่มมากขึ้นและถ้าไต
หยุดการทํางานผู้ป่วยจะหยุดปัสสาวะหรือมีปัสสาวะน้อยลงทําให้มีการคั่งของยูเรีย คริเอตินิน
และกรดยูริกเพิ่มมากขึ้น ในกรณีที่ไตวายเฉียบพลันเนื่องมาจากภาวะช็อคเนื่องจากการติดเชื้อ
ในกระแสเลือด พิษจากแบคทีเรีย หรือจากการแตกของเม็ดเลือดแดงสลายในหลอดเลือดอย่าง
มาก มีผลต่อเกร็ดเลือดและการแข็งตัวของเลือด ทําให้เกิดลิ่มเลือดและการอุดตันในหลอด
เลือดของไต ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขอาจทําให้อวัยวะอื่นถูกทําลายไม่สามารถฟื้นคืนสู่สภาพปกติได้
และอาจถึงแก่กรรมได้
224
หลักการกําหนดอาหารให้ผู้ป่วยโรคไต
การกําหนดอาหารที่ผ้ปู ่วยควรได้รับเป็นสิ่งที่จําเป็น เพราะอาหารจะช่วยบรรเทาอาการ
และภาวะของโรคที่เป็นอยู่ในทุเลาลงได้
1. จุดประสงค์ของการให้อาหารสําหรับผู้ป่วยโรคไต
การจัดอาหารที่ถูกต้อง เหมาะสมกับผู้ป่วยจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้ผู้ป่วยหาย หรือ
บรรเทาอาการจากโรคที่เป็นอยู่ การจัดอาหารสําหรับผู้ป่วยโรคไตมีจุดประสงค์เพื่อ
1.1 เพื่ อรั กษาภาวะโภชนาการของผู้ ป่ วยให้ ดี ที่ สุ ดเท่ าที่ จะทํ าได้ ถ้ าเป็ นผู้ ป่ วย
เด็กนอก จากจะรักษาภาวะโภชนาการแล้วยังต้องส่งเสริมให้มีภาวะโภชนาการที่ดีเพื่อให้เด็กมี
อัตราการเจริญเติบโตตามวัย
1.2 เพื่อป้องกัน หรือลดการสลายโปรตีนในเนื้อเยื่อของร่างกายให้เกิดน้อยที่สุด
เท่าที่จะทําได้
1.3 เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารต่างๆ ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของ
ร่างกายและไม่ขัดต่อการรักษาของแพทย์
1.4 เพื่อให้ไตสามารถฟื้นฟูจากพยาธิสภาพที่เป็นอยู่ หรือช่วยให้ไตไม่เสื่อมลงไป
จากสภาพที่เป็นอยู่เดิม
1.5 เพื่อให้ผู้ป่วยมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของอาหารที่มีผลต่อโรคและต่อการ
รักษาโรคไต และสามารถปฏิบัติตัวในเรื่องการบริโภคอาหารได้อย่างถูกต้อง
2. หลักการกําหนดอาหารให้ผู้ป่วยโรคไตอักเสบเฉียบพลัน
ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไตอักเสบเฉียบพลันผู้ป่วยจะมีอาการตัวบวม มีความดันโลหิตสูง
และปัสสาวะน้อย แสดงว่าผู้ป่วยมีการคั่งของเกลือและน้ํา จึงจําเป็นต้องจํากัดเกลือและน้ํา โดย
มีหลักการกําหนดอาหาร ดังนี้
2.1 โซเดียม ผู้ป่วยควรจํากัดโซเดียมในอาหารให้เหลือประมาณ 2-3 กรัมต่อวัน
2.2 โปแตสเซียม โดยทั่วไปไม่จําเป็นต้องจํากัดอาหารโปแตสเซียม ยกเว้นในผู้ป่วย
ที่ปัสสาวะน้อยมากหรือเกิดภาวะไตวาย
2.3 โปรตีน ในระยะที่ผ้ปู ่วยมีปัสสาวะน้อย เพื่อลดภาระการทํางานของไต ดังนัน้ จึง
ควรให้อาหารที่มีโปรตีนค่อนข้างต่ํา คือประมาณวัน ละ 40-50 กรัม เมื่อผู้ป่วยขั บปัสสาวะ
ออกมาได้ดีขึ้นจึงจัดอาหารธรรมดาให้กับผู้ป่วย แต่ในผู้ป่วยที่มีภาวะไตวาย จําเป็นต้องจํากัด
โปรตีน
2.4 คาร์โบไฮเดรต สามารถจัดคาร์โบไฮเดรตได้มากให้ผู้ป่วยเพื่อป้องกันและหรือ
สงวนโปรตีนให้ร่างกายใช้ ดังนั้นคาร์โบไฮเดรตที่ผ้ปู ่วยควรรับควรมาจากผลไม้
227
4. หลักการกําหนดอาหารให้ผู้ป่วยภาวะไตวาย
ไตวายเป็นภาวะที่ไตทํางานได้น้อยลงจนไม่สามารถรักษาดุลของส่วนประกอบทาง
ชี ว เคมี ใ นร่ า งกายได้ เป็ น การสู ญ เสี ย หน้ า ที่ ก ารทํ า งานของไตทุ ก ๆ ด้ า น มี ผ ลกระทบต่ อ
กระบวนการเผาผลาญสารอาหาร และสภาวะโภชนาการของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก ดังนั้นการจัด
อาหารให้ผ้ปู ่วย ควรคํานึงถึงสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้
4.1 พลังงาน ผู้ป่วยควรได้รับพลังงานที่เพียงพอกับความต้องการ ถ้าผู้ป่วยสามารถ
กินอาหารได้ในระยะแรกผู้ป่วยควรได้รับพลังงาน 50 กิโลแคลอรีต่อน้ําหนักตัว 1 กิโลกรัม โดย
สัดส่วนของสารอาหารต่างๆ นั้น ผู้ป่วยควรจํากัดอาหารโปรตีน และเพิ่มปริมาณคาร์โบไฮเดรต
ให้สูงขึ้นเพื่อชดเชยพลังงานที่ขาดหายไปจากโปรตีน
ในระยะแรกที่ผ้ปู ่วยมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ควรมีการให้กลูโคสทางหลอด
เลือดดําประมาณ 100 กรัม ใน 24 ชั่วโมง โดยอาจให้เป็นน้ําตาลกลูโคสความเข้มข้นถึงร้อยละ
20 เมื่อผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้อาจจะจัดอาหารน้ําใส ได้แก่ น้ําหวาน หรือเยลลี่ให้
ผู้ป่วย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตซึ่งจะช่วยลดการเผาผลาญโปรตีนจาก
กล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงาน
4.2 โปรตีน ควรจัดให้อาหารของผู้ป่วยมีโปรตีนประมาณ 0.2-0.5 กรัมต่อน้ําหนัก
ตัว 1 กิโลกรัม หรือประมาณวันละ 20-40 กรัม โดยโปรตีนที่จัดให้ต้องเป็นโปรตีนที่มีคุณค่าทาง
ชีวภาพสูง เช่น ไข่ นม และเนื้อสัตว์
4.3. เกลื อ แร่ ในผู้ ป่ ว ยที่ มี ปั ส สาวะน้ อ ย มี ก ารคั่ ง ของโซเดี ย ม และโปแตสเซี ย ม
จะต้องจํากัดโซเดียมในอาหาร โดยให้โซเดียมได้ 500-1000 มิลลิกรัมต่อวัน และโปแตสเซียม
ในอาหารไม่เกิน 2 กรัมต่อวัน (คนปกติต้องการโปแตสเซียม 2-6 กรัมต่อวัน) แต่ในระยะที่
ผู้ป่วยมีปัสสาวะมากจะมีก ารสูญเสีย โซเดี ยมเป็น จํานวนมากทางปัสสาวะ ผู้ป่วยควรได้รั บ
โซเดียมในปริมาณที่มากเพียงพอ
4.4 น้ํา ในระยะที่ผู้ป่วยมีปัสสาวะน้อย ควรมีการกําหนดปริมาณของเหลวทั้งหมด
ให้แก่ผู้ป่วย เท่ากับ ปริมาณที่สูญเสียทางผิวหนัง ลมหายใจ และอุจจาระ ซึ่งมีปริมาณเท่ากับ
500-600 มิลลิลิตรต่อวัน รวมกับปริมาณปัสสาวะที่ขับออกจากร่างกายใน 24 ชั่วโมง ที่ผ่านมา
หรืออาจจะให้น้ําน้อยกว่าที่คํานวณได้ประมาณร้อยละ 1-2 เพื่อป้องกันไม่ให้ผ้ปู ่วยได้รับน้ําเกิน
5. หลักการกําหนดอาหารให้ผู้ป่วยภาวะไตวายเรื้อรัง
เนื่องจากภาวะนี้เนื้อไตถูกทําลายอย่างถาวรและซ้ําๆ ทําให้ไตสูญเสียหน้าที่ทีละเล็ก
ทีละน้อย จนทําให้เกิดความผิดปกติของระบบการเผาผลาญ และสภาวะโภชนาการของผู้ป่วย
229
GFR ปริมาณโปรตีนต่อวัน
หน้าที่ไตที่สญ
ู เสียร้อยละ (มิลลิลิตร/นาที/1.73 ตาราง กรัมต่อ กรัมต่อ
เมตร) กิโลกรัม กิโลกรัม
70-75 30-20 0.60 42
75-95 20-5 0.45 32
มากกว่า 95 ต่ํากว่า 5 0.40 28
ที่มา (จันทรนิวัทธ์ เกษมสันต์ ชวลิต รัตนกุล และสุพัฒน์ วาณิชย์การ, 2549, หน้า 263)
นม และเนื้อสัตว์ สําหรับไข่ขาวจะเป็นอาหารโปรตีนที่มีคุณภาพดีที่สุดสําหรับผู้ป่วยเนื่องจากมี
ฟอสเฟตต่ํา
4.3 เกลือแร่ การจัดปริมาณโซเดียมในอาหารขึ้นอยู่กับปริมาณโซเดียมที่สูญเสีย
ทางปัสสาวะ และระดับโซเดียมในเลือดของผู้ป่วย และภาวะของผู้ป่วย เช่น บวม มีความดันโลหิต
สู ง หรื อหั วใจวาย ผู้ ป่ วยควรได้ รับโซเดี ยมเพียง 1 กรัมต่อวัน แต่ในผู้ ป่ วยที่ ไม่ มี อาการบวม
สามารถให้โซเดียมในอาหารได้ไม่เกิน 2 กรัมต่อวัน และถ้าผู้ป่วยได้รับการล้างช่องท้องด้วยน้ํายา
อาจให้โซเดียมได้ถึง 2-3 กรัมต่อวัน สําหรับโปแตสเซียมนั้นถ้าผู้ป่วยได้รับยาขับปัสสาวะ อาจทํา
ให้ ผู้ป่วยสูญเสียโปแตสเซี ยม อาจจะต้ องให้ โปแตสเซี ยมเพิ่ม โดยปติระดับโปแตสเซียมที่ให้
ประมาณ 1.5-2.0 กรัมต่อวัน
4.4 น้ํ า ปริ ม าณน้ํ า ที่ ใ ห้ กั บ ผู้ ป่ ว ยเช่ น เดี ย วกั บ ผู้ ป่ ว ยภาวะไตวายเฉี ย บพลั น โดย
ปริมาณของปัสสาวะในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา รวมกับปริมาณน้ําที่สูญเสียทางผิวหนัง เหงื่อ
ลมหายใจ และอุจจาระ ซึ่งคิดเป็น 500-600 มิลลิลิตร
อาหารจํากัดโปรตีน
อาหารจํากัดโปรตีน หมายถึง อาหารที่จัดให้มีปริมาณโปรตีนน้อยกว่าระดับปกติ ซึ่งจะ
มีโปรตีนอยู่ระหว่าง 0.4-0.6 กรัมต่อน้ําหนักตัวที่เหมาะสม 1 กิโลกรัม ทั้งนี้เพื่อให้มีของเสีย
เกิดขึ้นน้อยที่สุด และเป็นการลดการทํางานของไต การจัดอาหารลดโปรตีนจัดให้กับผู้ป่วยที่เป็น
โรคไตวาย ไตวายเรื้อรัง ไตวายเฉียบพลัน หลักในการกําหนดอาหารจํากัดโปรตีนมีขอ้ พิจารณา
ดังนี้
1. โปรตีนที่ได้รับ
การจัดให้ผู้ป่วยได้รับโปรตีนที่น้อย จําเป็นต้องให้ผู้ป่วยได้รับโปรตีนที่มีคุณค่าทาง
ชีวภาพสูง ได้แก่ นม ไข่ และเนื้อสัตว์ โดยควรให้ผู้ป่วยได้รับโปรตีนในกลุ่มนี้ร้อยละ 70-75 ของ
จํานวนโปรตีนที่ตอ้ งการ ที่เหลือให้ได้รับโปรตีนจากข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์
2. คาร์โบไฮเดรต
จั ด ให้ ผู้ ป่ ว ยได้ รั บ คาร์ โ บไฮเดรตได้ ม าก ทั้ ง นี้ เ พื่ อ ป้ อ งกั น การสลายโปรตี น จาก
เนื้อเยื่อต่างๆ ภายในร่างกาย มาเผาผลาญเป็นพลังงาน คาร์โบไฮเดรตที่จัดให้กับผู้ป่วย ควรเป็น
กลุ่มอาหารที่ให้แต่สารอาหารคาร์โบไฮเดรตอย่างเดียวเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยได้รับโปรตีนเกิน
กว่าที่กําหนดไว้ ดังนั้นอาหารที่ควรจัดเพิ่ม ได้แก่ ผลไม้ และน้ําตาล
231
3. ไขมัน
ปริมาณไขมันที่จัดให้ผู้ป่วยได้รับในปริมาณปกติคือไม่เกินร้อยละ 30 ของพลังงาน
ทั้งนี้ในผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง ให้จํากัดไขมัน อาจจะจัดให้ได้รับไขมันประมาณร้อยละ
20-30 ของพลั ง งานที่ ไ ด้ รั บ และในผู้ ป่ ว ยที่ มี ภ าวะโคเลสเตอรอลสู ง ให้ ผู้ ป่ ว ยได้ รั บ
โคเลสเตอรอลไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน โดยพยายามงดอาหารพวกเนื้อสัตว์ที่มีไขมันอิ่มตัว
สูง กุ้ง หอย ปลาหมึก เครื่องในสัตว์ เป็นต้น
ตัวอย่างการคํานวณอาหารจํากัดโปรตีน
1. ตัวอย่างการคํานวณอาหารจํากัดโปรตีน 20 กรัม
นายดุสิต ราชสีมา แพทย์กําหนดให้ได้รับพลังงานวันละ 1,600 กิโลแคลอรีต่อวัน
โปรตีน 20 กรัมต่อวัน
ขั้นตอนที่ 1 ปริมาณพลังงานที่ผ้ปู ่วยต้องการ = 1,600 กิโลแคลอรี
ขั้นตอนที่ 2 ปริมาณสารอาหารที่ผ้ปู ่วยต้องการ
แพทย์จะเป็นผู้กําหนดปริมาณโปรตีนที่ผ้ปู ่วยควรได้รับต่อวันไว้ เช่น 20
กรัมต่อวัน ซึ่งปริมาณโปรตีนที่ผู้ป่วยได้รับนั้นจะน้อยมาก ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องได้รับพลังงาน
ชดเชยในส่วนที่ขาดหายไป โดยจะได้รับคาร์โบไฮเดรตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะกําหนดให้ผู้ป่วยได้รับ
คาร์โบไฮเดรต ร้อยละ 70 ของพลังงานที่ไม่มีโปรตีน และไขมันได้รับร้อยละ 30 ของพลังงานที่
ไม่มีโปรตีน
โปรตีนที่ผ้ปู ่วยได้รับ = 20 กรัมต่อวัน
โปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน = 4 กิโลแคลอรี
โปรตีน 20 กรัม ให้พลังงาน = 20 x 4
= 80 กิโลแคลอรี
พลังงานที่ไม่มีโปรตีน = พลังงานทั้งหมด – ปริมาณพลังงานที่ได้จากโปรตีน
= 1,600 – 80
= 1,520 กิโลแคลอรี
1,064
คิดเป็นคาร์โบไฮเดรต =
4
= 266 กรัม
456
คิดเป็นคาร์โบไฮเดรต =
9
= 50.66 หรือ 50.5 กรัม
ขั้นตอนที่ 3 จัดชนิดของโปรตีนที่ผู้ป่วยควรได้รับ
จากปริมาณโปรตีนที่แพทย์กําหนด จัดประเภทของโปรตีนที่ควรได้รับจากอาหาร ดังนี้
1. จัดเป็นโปรตีนที่มีคุณค่าทางชีวภาพสูงร้อยละ 75 ของจํานวนโปรตีนที่ต้องการ
75× 20
=
100
= 15 กรัม
15
จัดเป็นเนื้อสัตว์ เท่ากับ = (เนื้อสัตว์ 1 ส่วน มีโปรตีน 7 กรัม)
7
2. โปรตี น ที่ ที่ ไ ด้ จ ากข้ า ว แป้ ง และผั ก ร้ อ ยละ 25 ของจํ า นวนโปรตี น ที่ ต้ อ งการ
ต้องการ
25× 20
=
100
= 5 กรัม
จํานวนโปรตีน 5 กรัม นํามาจัดเป็นหมวดอาหารข้าว แป้ง และหมวดผัก ข ดังนี้
จัดเป็นข้าว 2 ส่วน ข้าว 2 ส่วน ให้โปรตีน เท่ากับ 4 กรัม
จัดเป็นผัก ข 1 ส่วน ผัก ข 1 ส่วน ให้โปรตีน เท่ากับ 2 กรัม
รวมจํานวนโปรตีนที่ได้จากอาหารทั้งหมด = 19 กรัม
233
ขั้นตอนที่ 4 กําหนดสัดส่วนของอาหารในแต่ละหมวด
เนื่ อ งจากต้ อ งจั ด คาร์ โ บไฮเดรตเพื่อ ชดเชยพลั ง งานที่ห ายไปจากการจํ ากั ด ปริ ม าณ
โปรตี น ดั ง นั้ น จึ ง ต้ อ งจัด อาหารในกลุ่ม ของผลไม้ และน้ํ า ตาลให้ ผู้ ป่ ว ย เพื่ อ ชดเชยพลัง งาน
ดังกล่าว (ผัก และผลไม้ มีโปรตีนน้อยมาก) จากการกําหนดอาหารในหมวดต่างๆ ดังนี้
ผัก ข กําหนด 1 ส่วน ให้คาร์โบไฮเดรต = 5 กรัม
ข้าว กําหนด 2 ส่วน ให้คาร์โบไฮเดรต = 36 กรัม
ผลไม้ กําหนด 6 ส่วน ให้คาร์โบไฮเดรต = 90 กรัม
รวมได้รับคาร์โบไฮเดรตทั้งหมด = 131 กรัม
266 − 131
จัดเป็นน้ําตาล =
5
= 27 ส่วน
ขั้นตอนที่ 5 กําหนดรายการอาหารโดยใช้รายการอาหารแลกเปลี่ยน
หลังจากคํานวณหาปริมาณสารอาหารต่างๆ ที่ผู้ป่วยควรได้รับแล้ว รวมทั้ง
คํ า นวณหาสั ด ส่ ว นของอาหารในหมวดต่ า งๆ เรี ย บร้ อ ยแล้ ว ให้ นํ า มากํ า หนดสั ด ส่ ว นลงใน
รายการอาหารแลกเปลี่ยน (ตารางที่ 7.2)
234
มื้ออาหาร
หมวดอาหาร ส่วน เช้า เที่ยง ว่างบ่าย เย็น
ผัก ข 1 - - - 1
ผลไม้ 6 2 1 2 1
ข้าว 2 1 0.5 - 1
เนื้อสัตว์ไขมันปานกลาง 2 0.5 1 - 0.5
ไขมัน 8 1 2 2 3
น้ําตาล 27 7 7 4 9
2. ตัวอย่างการคํานวณอาหารจํากัดโปรตีน 40 กรัม
นายดุสิต ราชสีมา แพทย์กําหนดให้ได้รับพลังงานวันละ 1,600 กิโลแคลอรีต่อวัน
โปรตีน 40 กรัมต่อวัน
ขั้นตอนที่ 1 ปริมาณพลังงานที่ผ้ปู ่วยต้องการ = 1,600 กิโลแคลอรี
ขั้นตอนที่ 2 ปริมาณสารอาหารที่ผ้ปู ่วยต้องการ
แพทย์จะเป็นผู้กําหนดปริมาณโปรตีนที่ผ้ปู ่วยควรได้รับต่อวันไว้ เช่น 40
กรัมต่อวัน ซึ่งปริมาณโปรตีนที่ผู้ป่วยได้รับนั้นจะน้อยมาก ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องได้รับพลังงาน
ชดเชยในส่วนที่ขาดหายไป โดยจะได้รับคาร์โบไฮเดรตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะกําหนดให้ผู้ป่วยได้รับ
236
ขั้นตอนที่ 3 จัดชนิดของโปรตีนที่ผู้ป่วยควรได้รับ
จากปริมาณโปรตีนที่แพทย์กําหนด จัดประเภทของโปรตีนที่ควรได้รับจากอาหาร ดังนี้
1. จัดเป็นโปรตีนที่มีคุณค่าทางชีวภาพสูงร้อยละ 75 ของจํานวนโปรตีนที่ต้องการ
75 × 40
=
100
= 30 กรัม
237
30
จัดเป็นเนื้อสัตว์ เท่ากับ = (เนื้อสัตว์ 1 ส่วน มีโปรตีน 7 กรัม)
7
= 4.28 ส่วน หรือ 4.5 ส่วน
ดังนั้น จัดเนื้อสัตว์ 4.5 ส่วน ทําให้ผ้ปู ่วยได้รับโปรตีน = 4.5 x 7
= 31.5 กรัม
ขั้นตอนที่ 5 กําหนดรายการอาหารโดยใช้รายการอาหารแลกเปลี่ยน
หลังจากคํานวณหาปริมาณสารอาหารต่างๆ ที่ผู้ป่วยควรได้รับแล้ว รวมทั้ง
คํ า นวณหาสั ด ส่ ว นของอาหารในหมวดต่ า งๆ เรี ย บร้ อ ยแล้ ว ให้ นํ า มากํ า หนดสั ด ส่ ว นลงใน
รายการอาหารแลกเปลี่ยน (ตารางที่ 7.5)
มื้ออาหาร
หมวดอาหาร ส่วน เช้า เที่ยง ว่างบ่าย เย็น
ผัก ข 1 - 1 - -
ผลไม้ 6 2 1 2 1
ข้าว 3 1 1 - 1
เนื้อสัตว์ไขมันต่ํา 2 1 - 1 -
เนื้อสัตว์ไขมันปานกลาง 2.5 - 1.5 - 1
ไขมัน 6 1 2 1 2
น้ําตาล 20.5 5 5 5.5 5
อาหารจํากัดโซเดียม
แพทย์จะเป็นผู้ที่กําหนดปริมาณโซเดียมในอาหารที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วยแต่ละราย ทั้งนี้
ขึ้นกับระดับโซเดียมในเลือดของผู้ป่วย ระยะของโรค และอาการ การจํากัดโซเดียมในอาหาร
สําหรับผู้ป่วยโรคไตอยู่ระว่าง 250-3,000 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นอาหารสิ่งที่นักกําหนดอาหาร
ต้องคํานึงในการจัดอาหารจํากัดโซเดียม ปริมาณเกลือที่จะให้กับผู้ป่วยใน 1 วัน
จากตัวอย่างที่ 1 และ 2 กําหนดให้ได้รับอาหารจํากัดโปรตีนในปริมาณ 20 และ 40
กรั ม ตามลํ า ดั บ โดยกํ า หนดให้ ไ ด้ พ ลั ง งานที่ เ ท่ า กั น คื อ 1,600 กิ โ ลแคลอรี ต่ อ วั น ดั ง นั้ น ถ้ า
240
อาหารจํากัดโปแตสเซียม
ในคนปกติได้รับโปแตสเซียมจากอาหารหลักที่คนบริโภค เช่น ข้าว เนื้อสัตว์ ผัก และ
ผลไม้เกือบทั้งหมด นั้นในผู้ป่วยที่จํากัดโปแตสเซียมจึงมีความจําเป็นต้องจํากัดอาหารหลักด้วย
เช่นกัน จึงทําให้การกําหนดอาหารจํากัดโปแตสเซียมมีผลต่อภาวะโภชนาการของผู้ป่วย เช่น
อาจทํ า ให้ ผู้ ป่ วยต้ องรับ ประทานผั ก และผลไม้ ล กลง จนทํ า ให้ ผู้ป่ ว ยอาจเกิ ด ภาวการณ์ ข าด
วิตามินบางชนิด เช่น วิตามินซี เป็นต้น นักกําหนดอาหารควรคํานึงถึงสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้ในการ
กําหนดอาหารจํากัดโปแตสเซียมดังนี้
1. การบอกปริมาณโปแตสเซียม
แพทย์จะเป็นผู้กําหนดปริมาณโปแตสเซียมที่ผู้ป่วยควรได้รับใน 1 วัน โดยอาจจะ
ระบุบอกหน่วยของโปแตสเซียมเป็น มิลลิอิควิวาเลนต์ แต่ตารางบอกปริมาณโปแตสเซียมใน
อาหารที่พบทั่วไปจะบอกหน่วยเป็นมิลลิกรัม ดังนั้นนักกําหนดอาหารจึงต้องสามารถแปลง
หน่วยเปลี่ยนจากมิลลิอิควิวาเลนต์เป็นมิลลิกรัมได้
1 มิลลิอิควิวาเลนต์ของโปแตสเซียม = 39 มิลลิกรัม
คิดเป็นมิลลิกรัมของโปแตสเซียม = จํานวนมิลลิอิควิวาเลนท์ x 39
คิดเป็นมิลลิอิควิวาเลนต์ของโปแตสเซียม
2. ระดับการจํากัดโปแตสเซียม
ในผู้ป่วยโรคไตบางระยะ เช่น โรคไตวายเฉียบพลัน ระยะที่มีปัสสาวะน้อย หรือ
ผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย มีการคั่งของโปแตสเซียมในร่างกายมาก เป็นผลให้มีโปแตสเซียมใน
เลือดสูงขึ้นซึ่งจะทําให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วย สําหรับการจํากัดโปแตสเซียมมีดังนี้
2.1 ผู้ป่วยไตวายที่ไม่ได้ฟอกเลือด ให้จํากัดโปแตสเซียมอยู่ระหว่าง 1,500-2,000
มิลลิกรัม หรือ 39-50 มิลลิอิควิวาเลนต์
2.2 ผู้ป่วยไตวายที่ฟอกเลือดด้วยไตเทียม ให้จํากัดโปแตสเซียมได้ถึง 2,700
มิลลิกรัม หรือ 70 มิลลิอิควิวาเลนต์
2.3 ผู้ป่วยไตวายที่ฟอกเลือดด้วยน้ํายาทางช่องท้อง อาจจะจํากัดให้จํากัดโปแต
สเซียมได้ถึง 3,000-3,500 มิลลิกรัม หรือ 75-90 มิลลิอิควิวาเลนต์
242
3. ปริมาณโปแตสเซียมในอาหาร
โปแตสเซียม มีอยู่ในอาหารทั่วไปตามธรรมชาติท้งั ในสัตว์และพืช (ตารางที่ 7.9 )
ปริมาณโปแตสเซียม
ชนิดอาหาร
(มิลลิกรัม)
เนื้อสัตว์
เนื้อสัตว์บก และ เครื่องใน 200-400
ปลา กุ้ง ปู หอย (ทั้งน้าํ จืดและน้ําเค็ม) 200-700
นมและไข่
นมวัวสด 137
โยเกิร์ต 138
ไข่เป็ด 135
ไข่ไก่ 120
ข้าวและแป้ง
ข้าวสาร (ข้าวขาว) 12
ข้าวสาร (ข้าวแดง) 150
ขนมปังปอนด์ ขาว 109
มันเทศสีเหลือง 393
มันสําปะหลัง 418
เส้นหมี่ 5
แป้งมัน แป้งถั่ว น้ําตาลทราย 0
ถั่วเมล็ดแห้ง
ถั่วลิสงแห้ง 1,329
ถั่วเขียว 1,141
ถั่วแระ 680
เนยถั่วลิสง 650
งา 573
243
ปริมาณโปแตสเซียม
ชนิดอาหาร
(มิลลิกรัม)
ผัก
ผักที่มีโปแตสเซียมมากที่สุด (หัวปลี ผักชี ต้นกระเทียม 447-544
ผักที่มีโปแตสเซียมมาก (ใบแมงลัก โหระพา หน่อไม้ฝรั่ง 200-400
มะเขือเปราะ หอมแดง ผักกวางตุ้ง เห็ดฟาง มะเขือพวง
ผักปวยเล้ง แครอท ผักบุ้งไทย)
ผักที่มีโปแตสเซียมปานกลาง (เห็ดนางฟ้า แตงกวา ฟักเขียว 100-200
หัวผักกาดขาว พริก มะเขือยาว มะละกอดิบ มะเขือเทศสีดา
พริกหยวก ผักบุ้งจีน
ผักที่มีโปแตสเซียมค่อนข้างน้อย บวบเหลี่ยม ถั่วพู หอมหัวใหญ่ ไม่เกิน 100
ผักที่มีโปแตสเซียมน้อยมาก (เห็ดหูหนู) 25
ผลไม้
ผลไม้ทีม่ ีโปแตสเซียมมากที่สุด ได้แก่ ทุเรียน 437-442
ผลไม้ทีม่ ีโปแตสเซียมมาก ได้แก่ ลําไย และกล้วยชนิดต่างๆ 200-300
ผลไม้ทีม่ ีโปแตสเซียมปานกลาง ได้แก่ สับปะรด ฝรั่ง เงาะ ส้ม 100-200
เซ้ง ส้มเขียวหวาน องุ่น มะม่วง มะละกอสุก ลิ้นจี่ ละมุด ขนุน
ผลไม้ทีม่ ีโปแตสเซียมน้อย แตงโม 78
ไขมัน
น้ํากะทิ 324
น้ํามันพืชชนิดต่างๆ 0
ที่มา (จันทรนิวัทธ์ เกษมสันต์, ชวลิต รัตนกุล และสุพัฒน์ วณิชย์การ 2549, หน้า 323-325)
การจํากัดน้ําและการให้น้ําแก่ผู้ป่วยโรคไต
ในคนปกติไตจะทําหน้าที่ควบคุมสมดุลของน้ํา แต่ในผู้ป่วยโรคไตการทําหน้าที่ดังกล่าว
ของไตจะเสียไปจนทําให้ผู้ป่วยไม่ สามารถขับถ่ายน้ําออกจากร่างกาย หรือ ขับ น้ําออกจาก
ร่างกายอย่างผิดปกติเป็นผลให้ร่างกายมีการขาดน้ํา ดังนั้นการกําหนดปริมาณน้ําที่ผู้ป่วยควร
ได้รับจึงเป็นสิ่งที่จําเป็นและสําคัญมากต่อการรักษาชีวิตของผู้ป่วย
244
1. การจํากัดน้ํา
ผู้ป่วยโรคไตที่แพทย์สั่งให้มีการจํากัดน้ําและเครื่องดื่มนั้น มักเป็นผู้ป่วยที่ไตขับถ่ายน้ํา
ออกจากร่างกายได้น้อย เช่นในผู้ป่วยภาวะไตวายเฉียบพลัน ระยะที่จัดว่าปัสสาวะน้อยคือ ปัสสาวะ
ไม่ เกิ น 400 มิ ลลิ ลิ ตรต่ อวั น การกํ าหนดปริ มาณน้ํ าที่ เหมาะสมให้ กั บผู้ ป่ วยให้ คํ านวณปริ มาณ
ปัสสาวะในรอบ 24 ชั่วโมง โดยคิดจากปริมาณน้ําที่สูญเสียไปทางผิวหนัง ลมหายใจ และอุจจาระ ซึ่ง
มีประมาณวันละ 500-600 มิลลิลิตร รวมกับปริมาณปัสสาวะที่ออกใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และ
อาจจะให้น้อยกว่าที่คํานวณได้อีกประมาณร้อยละ 1-2 เพื่อป้องกันภาวะน้ําเกิน นอกจากนี้ควร
แนะนําให้ผู้ป่วยทราบว่าสามารถดื่มน้ําและเครื่องดื่มต่างๆ ได้ตามที่แพทย์กําหนดเท่านั้น โดยอาจให้
ผู้ป่วยนําน้ําดื่มใส่ขวดที่มีขีดบอกปริมาณไว้ โดยไม่ให้ผ้ปู ่วยดื่มน้ําและเครื่องดื่มจากแหล่งอื่น
2. การให้น้ําในปริมาณมาก
ผู้ ป่ วยโรคไตที่ แ พทย์ กํ า หนดให้ ไ ด้ รั บ น้ํ า ในปริ ม าณมากๆ เนื่ องจากผู้ ป่ ว ยอาจมี
ภาวะการขับปัสสาวะในปริมาณมาก เช่น ในผู้ป่วยไตวายเฉียบพลัน ซึ่งผู้ป่วยจะมีระยะปัสสาวะ
มาก หากผู้ป่วยได้รับน้ําไม่เพียงพอจะทําให้ผู้ป่วยเกิดภาวะการขาดน้ําซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต
ของผู้ป่วยอย่างยิ่ง นอกจากผู้ป่วยจะได้รับน้ําที่เป็นน้ําและเครื่องดื่มต่างๆ แล้ว ผู้ป่วยยังสามารถ
ได้รับน้ําในรูปของอาหารด้วย ซึ่งอาหารที่มีน้ํามาก ได้แก่ ผลไม้ น้ําส้ม แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่
สามารถกินน้ําชดเชยปริมาณที่สูญเสียไปแพทย์อาจจะต้องให้น้ําเกลือ เพื่อช่วยให้ผ้ปู ่วยได้รับน้ํา
การที่ผู้ป่วยสามารถควบคุมปริมาณน้ําได้ตามที่แพทย์กําหนดจะส่งผลที่ดีต่อการรักษา
ช่วยให้ผ้ปู ่วยสามารถฟื้นจากโรคได้
สรุป
โรคไต เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาโดยการควบคุมอาหารให้เหมาะสมกับชนิด ระยะ และ
อาการของผู้ป่วยเป็นสําคัญ อาหารที่กําหนดให้กับผู้ป่วยโรคไตมีท้ังอาหารจํากัดโซเดียม ซึ่งจะ
จัดให้ในผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่มีอาการตัวบวม ปัสสาวะน้อย อาหารจํากัด
โปแตสเซียม จัดให้กับผู้ป่วยโรคไตที่อยู่ในระยะปัสสาวะน้อย อาหารจํากัดโปรตีน จัดให้กับ
ผู้ป่วยเพื่อชะลอการเสื่อมของไต และช่วยลดระดับของของเสียที่คั่งอยู่ในร่างกายของผู้ป่วย
รวมทั้งการจํากัดปริมาณน้ํา เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถรักษาสมดุลของน้ําได้ร่างกายได้ การรักษา
โรคไตนอกจากจะรักษาด้วยยาแล้วการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยในเรื่องอาหารเป็นสิ่งสําคัญมาก
รวมทั้งผู้ป่วยควรได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ พบแพทย์อย่างสม่ําเสมอ โรคไตเป็นโรคที่ต้องใช้
ระยะเวลาในการรักษานาน ผู้ป่วยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงมาก ดังนั้นการป้องกันการ
เกิดโรคไตเป็นสิ่งที่สําคัญ ดังนั้นควรลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไต
บทที่ 8
อาหารสําหรับผู้ปว่ ยภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง
และโรคหัวใจขาดเลือด
ปัญหาสุขภาพของประชาชนชาวไทยในปัจจุบันเปลี่ยนจากโรคติดเชื้อ เป็นโรคไม่ติดต่อ
เรื้อรัง องค์การอนามัยโรคชี้ให้เห็นว่าในปี พ.ศ.2563 โรคสําคัญที่กลายเป็นปัญหาสาธารณสุข
4 อันดับคือ โรคหัวใจขาดเลือด รองลงมาคือโรคซึมเศร้า อุบัติเหตุจราจรและโรคระบบหลอด
เลือดในสมอง และจากการสํารวจสภาวะสุขภาพในปี พ.ศ.2543 พบว่ามีคนไทยเป็นโรคความ
ดันโลหิตสูงประมาณ 6.3 ล้านคน และส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 70 ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคดังกล่าว
โดย 2 ใน 3 ของผู้ป่วยอยู่ในวัยทํางาน ซึ่งในทางการแพทย์ระบุว่าผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง
จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ประมาณ 4 เท่าของผู้ที่มีระดับความดันโลหิต
ปกติ การเกิ ด โรคหั ว ใจขาดเลื อ ดทํ า ให้ ผู้ ป่ ว ยไม่ ส ามารถทํ า งานได้ ขาดรายได้ ต้ อ งพึ่ ง พา
ครอบครัว ประเทศชาติสูญเสียทรัพยากรบุคคลที่อยู่ในวัยทํางาน การลดปัจจัยเสี่ยงที่สําคัญ
ของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดคือการควบคุมระดับไขมันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติโดยปรับเปลี่ยน
พฤติกรรมการบริโภคอาหาร
หน้าที่และโครงสร้างของหลอดเลือดแดง
หลอดเลือดแดงทําหน้าที่นําเลือดที่บีบออกจากหัวใจไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ผนั ง ของหลอดเลื อ ดแดงมี ส มบั ติ พิ เ ศษคื อ มี ค วามยื ด หยุ่ น (elasticity) เมื่ อ หั ว ใจบี บ ตั ว ส่ ง
เลือดออกจากหัวใจเข้าสู่หลอดเลือดแดง ซึ่งผนังของหลอดเลือดแดงมีอยู่ 3 ชั้น คือ
1. ผนังชั้นในสุด
ผนังชั้นในสุดประกอบด้วยเซลล์เยื่อบุ (endothelial cell) เรียงตัวเป็นชั้นเดียว ผิวหน้า
ของเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดแดงปกติจะมีลักษณะราบเรียบ เลือดไหลผ่านได้สะดวก เซลล์เยื่อบุนี้
ทําหน้าที่ป้องกันไม่ให้สารในเลือดที่จะทําอันตรายต่อผนังหลอดเลือดแดงผ่านเข้าสู่ผนังของ
หลอดเลือดแดง
246
2. ผนังชั้นกลาง
ผนังชั้นนี้ประกอบด้วยเซลล์กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle cell) เรียงตัวซ้อนกัน
อยู่หลายชั้น เซลล์กล้ามเนื้อเรียบนี้มีเนื้อเยื่อยึดเหนี่ยว และสารพวกคาร์โบไฮเดรตล้อมรอบอยู่
3. ผนังชั้นนอก
ผนังชั้นนอกประกอบด้วยเซลล์ไฟโบรบลาสท์ (fibroblast) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทําหน้าที่
สร้ างเนื้อเยื่อยึดเหนี่ย ว และยั งมีสารคาร์ โบไฮเดรตเช่นเดียวกับผนัง ชั้นกลาง ผนัง ชั้น นี้เ ป็ น
ทางผ่านของหลอดเลือดที่นําอาหารไปเลี้ยงผนังชั้นกลางของหลอดเลือดแดง และเส้นประสาทที่
ควบคุมการทํางานของหลอดเลือดแดง (วิชัย ตันไพจิตร, 2549, หน้า 333)
ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง
ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผนังชั้นในสุด
ของหลอดเลือดแดงขนาดใหญ่ และหลอดเลือดแดงขนาดปานกลาง โดยพบมีการคั่งของไขมัน
ในผนังชั้นในสุดเป็นผลให้หลอดเลือดแดงหนาตัวขึ้น ผนังหลอดเลือดสูญเสียความยืดหยุ่น ภาวะ
นี้มีผลร้ายต่อสุขภาพ และอาจทําให้ผ้ปู ่วยเสียชีวิตได้
1. พยาธิสภาพของภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง
เป็นพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นกับผนังชั้นในสุดของหลอดเลือดแดงขนาดใหญ่และหลอด
เลือดแดงขนาดปานกลางเท่านั้น ความผิดปกติที่ตรวจพบคือ มีการคั่งของไขมันในผนังชั้นในสุด
ของหลอดเลือดแดงร่วมกับการหนาตัวของผนังชั้นในสุดของหลอดเลือดแดง ความรุนแรงของ
ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง แบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ
1.1 รอยไขมัน (fatty streak) จัดเป็นพยาธิสภาพระยะเริ่มแรกของภาวะหลอดเลือด
แดงแข็ง ลักษณะที่เห็นด้วยตาเปล่า คือ ผนังชั้นในสุดของหลอดเลือดแดงมีลักษณะเป็นแผ่นสี
เหลืองหรือสีขาว เมื่อนําส่วนของหลอดเลือดแดงที่เป็นรอยไขมันมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์
และวิธีการทางชีวเคมีจะพบว่า ผนังชั้นในสุดของหลอดเลือดแดงมีเซลล์กล้ามเนื้อเรียบ ซึ่งใน
ภาวะปกติ จ ะพบอยู่ เ ฉพาะในผนั ง ชั้ น กลางบุ ก รุ ก เข้ า มาแทรกอยู่กั บ เซลล์ เ ยื่อ บุ ช้ั น ใน เซลล์
กล้ามเนื้อเรียบที่เข้ามาแทรกอยู่ในผนังชั้นใน มีลักษณะผิดปกติด้วย คือมีไขมันคั่งอยู่ภายใน
เซลล์ พยาธิสภาพแบบรอยไขมันนี้ถือว่ามีความรุนแรงน้อยที่สุด ไม่มีผลต่อการไหลเวียนเลือด
1.2 แผ่นพังผืด (fibrous plaque) จัดเป็นพยาธิสภาพของภาวะหลอดเลือดแดงแข็งที่มี
ความรุนแรงมากลักษณะที่เห็นด้วยตาเปล่า คือ ผนังชั้นในสุดของหลอดเลือดแดงมีลักษณะหนา
ตัวขึ้นจนเป็นรอยนูนยื่นเข้าไปในโพรงของหลอดเลือดแดง ทําให้เกิดอุปสรรคต่อการไหลเวียน
ของเลือด
247
หน้าที่และโครงสร้างของหัวใจ
หัวใจ เป็นกล้ามเนื้อที่ทําหน้าที่สูบฉีดโลหิตซึ่งมีออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงส่วน
ต่างๆของร่างกาย (ภาพที่ 8.1) การทํางานของกล้ามเนื้อหัวใจได้รับออกซิเจนจากหลอดเลือด
แดง หัวใจสองเส้นหลัก ซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่ทุกส่วนของหัวใจ แต่หากหลอดเลือดแดง
ทั้งสองนี้ผิดปกติไปก็อาจทําได้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
1. หน้าที่ของหัวใจ
หัวใจ ทําหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายเครื่องสูบน้ํา หัวใจจะ
บีบตัวฉีดเลือดออกไปครั้งละประมาณ 60-80 มิลลิลิตร หรือนาทีละประมาณ 5 ลิตร วงจรการ
ทํางานของหัวใจ หัวใจจะบีบตัวและคลายตัว และหยุดพักได้เองโดยอัตโนมัติ การเคลื่อนไหวเช่นนี้
250
โรคหัวใจขาดเลือด
โรคหัวใจขาดเลือด (ischemic heart disease or coronary heart disease or coronary
artery disease) โรคหัวใจขาดเลือดเกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งของหลอดเลือดแดงโคโร
นารี โรคหั ว ใจขาดเลื อ ดกํ า ลั ง เป็ น ปั ญ หาที่ สํ า คั ญ ของประเทศไทย เนื่ อ งจากประชาชนมี
พฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
1. ประเภทของโรคหัวใจขาดเลือด
โรคหัวใจขาดเลือดแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1.1 ตายทันที (sudden death) ผู้ป่วยประเภทนี้เมื่อเกิดโรคหัวใจขาดเลือดแล้วจะถึงแก่
กรรมอย่างปัจจุบันทันด่วน
1.2 โรคแองจินาเปคทอริส (angina pectoris) ผู้ป่วยประเภทนี้จะมีอาการเจ็บหน้าอก
เป็นครั้งคราว เพราะเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่พอ เนื่องจากหลอดเลือดแดงโคโรนารี
บางส่วนตีบ
1.3 โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย (myocardial infarction) เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจตาย
เกิดจากหลอดเลือดแดงโคโรนารีบางส่วนอุดตัน ผู้ป่วยเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง มีภาวะช๊อกและ
หัวใจวาย
2. ลักษณะทางคลินิกของโรคแองจินาเปคทอรีส (angina pectoris)
2.1 อาการของโรคแองจินาเปคทอรีส อาการของโรคนี้คือ การเจ็บหน้าอก ถ้าผูป้ ว่ ย
บอกรายละเอียดของโรคนี้คือ การเจ็บหน้าอก ถ้าผู้ป่วยบอการายละเอียดของอาการเจ็บ
หน้าอกได้ถูกต้องแล้ว จะทําให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้ถึงร้อยละ 80 สิ่งที่ควรจดจํา
เกี่ยวกับอาการของโรคแองจินาเปคทอริส (angina pectoris) คือ
1) ตําแหน่งที่เจ็บ ส่วนใหญ่ของอาการเจ็บหน้าอกของโรคแองจินาเปคทอริส
อยู่บริเวณหลังกระดูกอกกระดูกนี้อยู่ตรงกลางด้านหน้าของทรวงอก ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการ
เจ็บร้าวไปที่อื่น เช่น ด้านในของแขนซ้าย คอ หลัง ขากรรไกร เป็นต้น
2) ลักษณะและระยะเวลาที่เจ็บ ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บแบบถูกบีบรัด บาง
รายมีแต่อาการแน่นอึดอัดรู้สึกอ่อนเพลียจะเป็นลม อาการเจ็บจะทวีความรุนแรงขึ้นถึงสุดขีด
แล้วหายไปในระยะเวลาไม่เกิน 15 นาที
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคแองจินาทอริส อาการเจ็บหน้าอกในโรคแองจินาเปคทอริสอาจ
เกิดภายหลังภาวะต่อไปนี้ คือ ความตึงเครียดทางจิตใจ การออกกําลังกาย การมีเพศสัมพันธุ์
การกินอาหาร การถูกอากาศเย็นจัด การเป็นไข้สูง อาการเจ็บหน้าอกหายได้เมื่อพักและหยุด
กระทําในสิ่งที่เป็นปัจจัยชักนํา ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเจ็บหน้าอก ทั้งๆที่ร่างกายพักผ่อนอยู่
252
4. ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
ปัจจัยเสี่ยง (risk factor) สําหรับโรคหัวใจขาดเลือด หมายถึง ภาวะหรือโรคต่างๆ ที่พบ
ในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดมากกว่าคนปกติ ปัจจัยเสี่ยงที่สําคัญของโรคหัวใจขาดเลือดมีดังนี้
4.1 ภาวะโคเลสเตอรอลสูงในเลือด การวัดระดับโคเลสเตอรอลมีประโยชน์สามารถ
ใช้คาดคะเนความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ พบว่าผู้ที่มีระดับโคเลสเตอรอลในเลือด
มากกว่า 250 และ 300 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร เป็นโรคหัวใจขาดเลือดสูงกว่าผู้ที่มีระดับ
โคเลสเตอรอลในเลือดน้อยกว่า 250 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร ถึง 2 และ 3 เท่าตามลําดับ
ปั จ จุ บั น กํ า หนดว่ า ผู้ ที่ มี อ ายุ ต้ั ง แต่ 20 ปี ขึ้ น ไป ควรมี ร ะดั บ โคเลสเตอรอลน้ อ ยกว่ า 200
มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร แอล.ดี.แอล-โคเลสเตอรอล (LDL-cholesterol) น้อยกว่า 130
มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร และเอ็ช.ดี.แอล-โคเลสเตอรอล (HDL-cholesterol) มากกว่า 35
มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร
4.2 ภาวะไตรกลีเซอไรด์สูงในเลือด เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สําคัญของโรคหัวใจขาดเลือด
พบว่าผู้ที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง 200 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร ควรได้รับการ
บําบัดที่ถูกต้อง
4.3 โรคความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สําคัญของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด มี
ข้อมูลชี้ให้เห็นว่าผู้ที่มีระดับความดันโลหิตสูงกว่า 160/95 มิลลิเมตรปรอท เป็นโรคหัวใจขาด
เลือดมากกว่าผู้ที่ระดับความดันโลหิตต่ํากว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอทถึง 5 เท่า และพบว่าผู้ที่
เป็ น โรคความดั น โลหิ ต สู ง เมื่ อ ได้ รั บ การควบคุ ม ความดั น โลหิ ต ให้ อ ยู่ ใ นเกณฑ์ ป กติ จะเป็ น
โรคหัวใจขาดเลือดน้อยลง
4.4 โรคอ้วน ผู้ที่เป็นโรคอ้วนมีสถิติเป็นโรคหัวใจขาดเลือดมากกว่าคนที่มีน้ําหนักตัว
ปกติ อัตราการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดจะเพิ่มมากขึ้นอีกถ้าผู้ที่อ้วนมีภาวะแทรกซ้อนของโรคต่างๆ
ดังนีค้ ือ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะโคเลสเตอรอลสูงในเลือด หรือภาวะไตรกลีเซอ
ไรด์สูงในเลือด เป็นต้น
4.5 การสูบบุหรี่ มีการศึกษาพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่มากเป็นประจํามีโอกาสเป็นโรคหัวใจ
ขาดเลือดมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ และในผู้ที่สูบบุหรี่มากถึงวันละ 20 มวน มีสถิติการตายจาก
โรคหัวใจขาดเลือดสูงกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 4 เท่า ทั้งนี้เพราะสารนิโคติน (nicotin) ในบุหรี่ จะ
ออกฤทธิ์กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมนแคทีโคลามิน ระดับแคทีโคลามินที่เพิ่มสูงขึ้นมีผล
ทํ า ให้ หั ว ใจเต้ น เร็ ว ขึ้ น และระดั บ ความดั น โลหิ ต เพิ่ ม สู ง ขึ้ น หั ว ใจจึ ง ต้ อ งทํ า งานหนั ก มากขึ้ น
นอกจากนี้คาร์บอนมอนอกไซด์ (carbon monoxide) ซึ่งเป็นก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้บุหรี่ เมื่อผู้
สูบบุหรี่สูดเอาก๊าซดังกล่าวเข้าสู่ร่างกาย คาร์บอนมอนอกไซด์จะแย่งที่ออกซิเจนในการจับกับ
254
ฮี โ มลโกลบิ น ในเม็ ด เลื อ ดแดงได้ ถึ ง ร้ อ ยละ 20 ทํ า ให้ ก ารขนถ่ า ยออกซิ เ จนโดยฮี โ มโกลบิ น
สู่อวัยวะต่างๆ รวมทั้งหัวใจลดลงด้วย ภาวะดังกล่าวจึงทําให้หัวใจต้องทํางานหนัก และที่สาํ คัญ
ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจําจะมีระดับแอล.ดี.แอล.-โคเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น แต่ระดับเอ็ช.ดี.
แอล.-โคเลสเตอรอล ในเลือดจะต่ําลง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีส่วนทําให้เกิดภาวะหลอด
เลือดแดงแข็ง
4.6 การขาดการออกกําลังกาย การออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอมีส่วนช่วยลด
อัตราการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด เนื่องจากการออกกําลังกายช่วยให้น้ําหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ
และสามารถเพิ่มไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นมาก (H.D.L) ในเลือดให้สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยขนถ่าย
โคเลสเตอรอลจากเซลล์เข้าสู่ตับเพื่อให้ตับได้เผาผลาญต่อไป และยังช่วยให้สามารถใช้พลังงาน
ที่สะสมไว้ในรูปของไขมันได้ดีขึ้น ทําให้ระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดลดลง แต่
การขาดการออกกําลังกายนอกจากจะทําให้อ้วน ยังมีผลทําให้ระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลี
เซอไรด์ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น เป็นผลทําให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดตามมา
4.7 โรคเบาหวาน ในผู้ป่วยโรคเบาหวานมีโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้สูงกว่าคน
ปกติถึง 2 เท่า เพราะผู้ป่วยโรคเบาหวานมักมีระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูง และมักมีโรคความ
ดันโลหิตสูงหรือโรคอ้วนร่วมด้วย ภาวะต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
ขาดเลือด
4.8 ความเครียด ผู้ที่อยู่ในภาวะตึงเครียดเป็นประจํา พบว่าเสี่ยงต่อการเกิด
โรคหัว ใจขาดเลื อ ดมากกว่ า ผู้ ที่มี จิ ต ใจสงบหรื อ ผู้ ที่มี อ ารมณ์ ร่ า เริ ง อยู่ เ สมอ ได้ มี ก ารศึ ก ษา
รูปแบบพฤติกรรมที่ทําให้บุคคลที่อยู่ในภาวะของอารมณ์ตึงเครียดซึ่งเป็นเหตุทําให้ภาวะหลอด
เลือดแดงโคโรนารีตีบตันคือการตั้งความหวังสูงในการปฏิบัติงาน การที่มีชีวิตเพื่อการต่อสู้
แข่ ง ขั น ตลอดเวลา การทํ า งานที่ ต้ อ งเร่ ง รี บ หรื อ งานที่ ทํ า ให้ เ กิ ด ความวิ ต กกั ง วล และต้ อ ง
แก้ปัญหาใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เป็นเหตุให้เพิ่มการขับนอร์อิพิเนฟริน และอิพิเนฟริน ซึ่งมีผลต่อ
การเผาผลาญไขมันและทําให้ไขมันในเลือดสูง (วิมลรัตน์ จงเจริญ, 2543, หน้า 145)
4.9 การดื่มสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มีผลให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ และไล
โปโปรตีนที่มีความหนาแน่นต่ํามากในเลือดสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดได้มากขึ้น
4.10 การกินยาเม็ดคุมกําเนิด การศึกษาพบว่าหญิงที่กินยาเม็ดคุมกําเนิด มีสถิติ
การเป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และมีภาวะโคเลสเตอรอลสูงในเลือดมากกว่า
หญิงที่ได้กินยาเม็ดคุมกําเนิด
255
ภาวะโคเลสเตอรอลสูงในเลือดกับโรคหัวใจขาดเลือด
การมีไขมันสูงในเลือดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สําคัญของการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง การ
ลดไขมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมปริมาณและคุณภาพของไขมันในอาหารจะช่วยลดปัจจัย
เสี่ยงดังกล่าวได้ และสามารถลดอันตรายจากโรคหัวใจขาดเลือดได้
1. แหล่งอาหารที่มีโคเลสเตอรอล
โคเลสเตอรอลจั ด เป็ น สารอาหารประเภทไขมั น ตั บ และลํ า ไส้ เ ล็ ก สามารถ
สังเคราะห์โคเลสเตอรอลขึ้นได้เอง นอกจากนี้แล้วร่างกายยังได้รับโคเลสเตอรอลจากการกิน
อาหาร อาหารที่ให้โคเลสเตอรอลมีเฉพาะในสัตว์เท่านั้นซึ่งจะมีปริมาณมากน้อยแล้วแต่ชนิดของ
อาหาร
ปริมาณ ปริมาณ
อาหาร อาหาร
โคเลสเตอรอล โคเลสเตอรอล
ไก่ , ตับ 336 วัว , เนื้อ 65
ไก่ , น่อง 100 เป็ด , ตับ 235
ไก่ , อก 63 ไต , เป็ด , เนื้อ 82
ไข่ไก่ , ไข่ขาว 0 ปลากะพงขาว 57
ไข่ไก่ , ไข่แดง 1,250 สมอง ,ปลาเก๋า ,เนื้อ 38
ไข่ไก่ , ทั้งฟอง 427 เนยเหลว , ปลาทู 76
กุ้งกุลาดํา 175 เ น ย แ ข็ ง , ป ล า ห มึ ก 251
กล้วย
กุ้งแชบ๊วย 192 น้ํามันหมู,ปูทะเล,เนื้อ 87
วัว , ตับ 218 น้ํานม,กุนเชียง 71
ที่มา (กองโภชนาการกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข,2541,หน้า 11-44)
หลักการจัดอาหารลดโคเลสเตอรอล
การกํ า หนดปริ ม าณโคเลสเตอรอล สมาคมโรคหั ว ใจแห่ ง สหรั ฐ อเมริ ก า ได้ ว าง
หลั ก เกณฑ์ ก ารใช้ อ าหารบํ า บั ด ภาวะโคเลสเตอรอลสู ง ในเลื อ ด โดยให้ ล ดปริ ม าณไขมั น ที่
รั บ ประทานให้ น้ อ ยลงอย่ า งค่ อ ยเป็ น ค่ อ ยไป ซึ่ ง ไขมั น ที่ ค วรลดคื อ ปริ ม าณไขมั น ทั้ ง หมดที่
รับประทาน (total fat) กรดไขมันอิ่มตัว และโคเลสเตอรอลในอาหาร (ตารางที่ 8.2) ขั้นตอน
การใช้อาหารบําบัดภาวะโคเลสเตอรอลสูงในเลือด ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ความแตกต่างของ
แต่ละระยะอยู่ที่ปริมาณไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโคเลสเตอรอลที่รับประทาน
ระยะที่หนึ่ง ให้รับประทานอาหารซึ่งให้สัดส่วนดังนี้ ไขมันร้อยละ 30 คาร์โบไฮเดรต
ร้อยละ 55 และโปรตีนร้อยละ 15 ของพลังงานที่ต้องการต่อวัน และจํากัดปริมาณโคเลสเตอรอล
ที่รับประทานให้น้อยกว่าวันละ 300 มิลลิกรัม
ระยะที่สอง ให้ รับประทานอาหารซึ่งให้สดส่วนของพลังงานดังนี้ไขมันร้อยละ 25
คาร์โบไฮเดรตร้อยละ 60 และโปรตีนร้อยละ 15 ของพลังงานที่ต้องการต่อวัน และรับประทาน
โคเลสเตอรอลเพียงวันละ 200 – 250 มิลลิกรัม
ระยะที่สาม ให้รับประทานอาหารที่ให้สัดส่วนของพลังงานดังนี้ ไขมันร้อยละ 20
คาร์โบไฮเดรตร้อยละ 65 และโปรตีนร้อยละ 15 ของพลังงานที่ต้องการต่อวัน ซึ่งรับประทาน
โคเลสเตอรอลเพียงวันละ 100 – 150 มิลลิกรัม
259
ระยะต่างๆของการควบคุมอาหาร
สารอาหาร
ระยะที่ 1 ระยะที่ 2 ระยะที่ 3
ปริมาณไขมันทั้งหมด (ร้อยละของพลังงาน) 30 25 20
ไขมันอิ่มตัว (saturated) 10 8.3 6.7
ไขมันไม่อิ่มตัว (monounsaturated) 10 8.3 6.7
ไขมันไม่อิ่มตัวสูง (polyunsaturated) 10 8.3 6.7
คาร์โบไฮเดรต (ร้อยละของพลังงาน) 55 60 65
แป้ง เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น
น้ําตาล ลดลง ลดลง ลดลง
โปรตีน (% of Kcal) 15 15 15
โคเลสเตอรอล (cholesterol) (มิลลิกรัมต่อวัน) <300 200 - 250 100 – 150
ปริมาณพลังงานทั้งหมด ลดลงเพื่อให้ได้น้ําหนักตัวทีค่ วรจะเป็น
ที่มา (วิชัย ตันไพจิตร, รัตนา พากเพียรกิจวัฒนา และสุนาฎ เตชางาม, 2529, หน้า 90)
หลักสําคัญของการบําบัดนี้อยู่ที่การลดปริมาณไขมันที่รับประทาน โดยปริมาณไขมันแต่
ละระยะควรประกอบด้วย saturated , monounsaturated และ polyunsaturated fatty acid
(PUFA) อย่างละเท่าๆ กัน เช่น ระยะที่หนึ่ง ให้รับประทานไขมันทั้งหมดร้อยละ 30 ของพลังงาน
ทั้งหมด จะประกอบด้วยกรดไขมันแต่ละชนิด ร้อยละ 10 เท่านั้น ส่วนการพิจารณาเลือก
อาหารระยะใด ในการบําบัดผู้ป่วยที่มีภาวะโคเลสเตอรอลสูงในเลือดขึ้นอยู่กับ ความรุนแรงของ
ภาวะโคเลสเตอรอลสูงในเลือด ความตั้งใจ และการตอบสนองต่ออาหารของผู้ป่วย
การจัดอาหารให้กับผู้ป่วยต้องคํานึงคุณค่าทางโภชนาการ และรสชาติที่ผู้ป่วยสามารถ
ยอมรับได้ สําหรับในผู้ป่วยที่มีภาวะโคเลสเตอรอลสูง และมีโรคอ้วนร่วมด้วย การลดน้ําหนัก
เป็นสิ่งที่จําเป็นที่ต้องทําควบคู่กันไป พร้อมกับการออกกําลังกายอย่างเหมาะสม
ปริ ม าณกรดไลโนเลอิ ก ที่ ผู้ ป่ ว ยควรได้ รั บ กรดไลโนเลอิ ก เป็ น กรดไขมั น ที่ จํ า เป็ น
ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้ต้องได้รับจากอาหาร ร่างกายมีความต้องการกรดไขมันชนิด
นี้ประมาณร้อยละ 2 ของพลังงานที่ต้องการต่อวัน เพื่อป้องกันการขาดกรดไลโนเลอิก และจาก
การศึ ก ษาพบว่ า การได้ รั บ กรดไลโนเลอิ ก มากพอถึ ง ร้ อ ยละ 10 ของพลัง งานที่ ต้ อ งการจะ
สามารถควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ให้อยู่ในระดับเกณฑ์ปกติ การศึกษาใน
260
ระยะหลังพบว่าฮอร์โมนโปรตาแกลนดินซึ่งสร้างมาจากกรดไลโนเลอิกนั้นมีผลทําให้ไตเพิ่มการ
ขับถ่ายโซเดียมและน้ําออกจากร่างกาย จึงมีส่วนในการควบคุมความดันโลหิตทั้งซิสโตลิกและ
ไดแอส โตลิกให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องได้รับกรดไลโนเลอิกร้อยละ 10 ของพลังงานที่
ได้รับทั้งหมดต่อวัน
ปริมาณ
ส่วนประกอบ ชื่อทางการค้า
กรดไลโนเลอิก
น้ํามันบริสุทธิ์
ถั่วเหลืองร้อยละ 100 น้ํามันเบสฟูด 57
ทิพ 47
ข้าวโพดร้อยละ 100 มาโซลา(mazola) 47
ถั่วลิสงร้อยละ 100 อาละดิน 37
รําข้าวร้อยละ 100 ทิพ 34
ลูกโลก 32
คิง 31
ปาล์มร้อยละ 100 พิกเจียน (pigeon) 13
รอยโก้ 11
มะพร้าวร้อยละ 100 ช้างบิน 2
น้ํามันผสม
ถั่วเหลืองร้อยละ 50 นุ่นร้อยละ 50 ทิพ 48
ถั่วเหลืองร้อยละ 25 นุ่นร้อยละ 25 รําข้าวร้อยละ 25 ทิพ 48
ฝ้ายร้อยละ 25
รําข้าวร้อยละ 50 นุ่นร้อยละ 50 ทิพ 37
ถั่วเหลืองร้อยละ 40 นุ่นร้อยละ 40 ฝ้ายร้อยละ 20 กุ๊ก 2 47
ถั่วเหลืองร้อยละ 40 รําข้าวร้อยละ 40 ฝ้ายร้อยละ 20 กุ๊ก 3 49
ที่มา (วิชัย ตันไพจิตร, 2539, หน้า 364)
261
น้ํามันพืชที่มีปริมาณกรดไลโนเลอิกมาก เป็นน้ํามันบริสุทธิ์หรือน้ํามันพืชผสมที่มีกรด
ไลโนเลอิกมากกว่าร้อยละ 45 ได้แก่ น้ํามันถั่วเหลืองร้อยละ 100 น้ํามันข้าวโพดร้อยละ 100
น้ํามันผสมระหว่างน้ํามันถั่วเหลืองและน้ํามันนุ่นอย่างละร้อยละ 50 เป็นต้น
น้ํามันพืชที่มีกรดไลโนเลอิกปานกลาง ได้แก่ น้ํามันพืชที่มีกรดไลโนเลอิกอยู่ประมาณ
ร้ อ ยละ 35 ได้ แ ก่ น้ํ า มั น รํ า บริ สุ ท ธิ์ ร้ อ ยละ 100 น้ํ า มั น ผสมระหว่ า งน้ํ า มั น รํ า และน้ํ า มั น นุ่ น
อย่างละร้อยละ 50
น้ํามันที่มีกรดไลโนเลอิกน้อย เป็นน้ํามันพืชที่มีกรดไลโนเลอิกอยู่ร้อยละ 12 หรือน้อย
กว่า ได้แก่ น้ํามันปาล์มบริสุทธิ์ร้อยละ 100 และน้ํามันมะพร้าวร้อยละ 100 (ตารางที่ 8.3)
อาหารกับการบําบัดภาวะไตรกลีเซอไรด์สูงในเลือด
ไขมัน ที่เราบริโภคส่วนใหญ่ที่ได้รับจากอาหาร คือ ไตรกลีเซอไรด์
1. แหล่งไตรกลีเซอไรด์
อาหารประเภทไขมันที่บริโภคเข้าสู่ร่างกายจะมีไตรกลีเซอไรด์เป็นองค์ประกอบหลัก
ไตรกลีเซอไรด์ 1 โมเลกุล ประกอบไปด้วยกรดไขมัน 3 โมเลกุล และกลีเซอรอล 1 โมเลกุล เมื่อ
262
ร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารที่มีไขมันและใช้ไม่หมดก็จะสะสมไขมันไว้ตามส่วนต่างๆ ของ
ร่างกาย เช่น หน้าท้อง หรือ ต้นขา รวมทั้งในกระแสเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสําคัญที่ก่อให้เกิดโรค
ต่างๆ ขึ้น แหล่งที่มีของไตรกลีเซอไรด์แบ่ง ได้ 2 แหล่ง ดังนี้
1.1 จากอาหาร อาหารที่มีไตรกลีเซอไรด์ที่สําคัญ ได้แก่ ไขมันหรือน้ํามันที่ประกอบ
อาหาร เช่น ไขมันหมู ไขมันวัว หรือในน้ํามันพืชต่างๆ สําหรับในเนื้อสัตว์เป็นแหล่งไตรกลีเซอไรด์
โดยปริมาณไตรกลีเซอไรด์ที่พบในเนื้อสัตว์มีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับส่วนของไขมันที่แทรกอยู่ใน
เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว และเนื้อแกะ มีไตรกลีเซอไรด์ร้อยละ 15-30 เนื้อไก่มีไตรกลีเซอ
ไรด์ร้อยละ 10 สําหรับผักและผลไม้มีอะโวคาโด และผลโอลีฟ มีไตรกลีเซอไรด์ ร้อยละ 16 และ
30 ตามลําดับ
1.2 จากการสร้างขึ้นเองในร่างกาย ร่างกายสามารถสร้างกลีเซอรอลและกรดไขมัน
ที่ไม่จําเป็นได้ ส่วนกรดไขมันที่จําเป็นร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ต้องได้รับจากการกิน
อาหารเท่านั้น หลังจากที่ร่างกายได้รับอาหารเข้าไป ร่างกายจะนํานํากลีเซอรอลและกรดไขมัน
ไปสร้างเป็นไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งจะอยู่ในรูปของวี.แอล.ดี.แอล เป็นส่วนใหญ่
2. หน้าที่ของไตรกลีเซอไรด์ มีดังนี้
2.1 ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไตรกลีเซอไรด์โดย 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี
2.2 ให้กรดไขมันที่จําเป็น ไตรกลีเซอไรด์ที่ได้จากน้ํามันพืชบางชนิด ให้กรดไขมัน
ชนิดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จําเป็นแก่ร่างกาย
2.3 ช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน คือวิตามินเอ ดี อี และเค
2.4 ช่วยให้ร้สู ึกอิ่มนาน และไขมันช่วยให้รสชาติอาหารดีขึ้น
2.5 เป็นฉนวนให้แก่ร่างกาย ในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย โดยเฉพาะการ
ต้านทานความเย็น
3. สาเหตุของการมีภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง มีด้วยกันหลายสาเหตุดังนี้
3.1 กรรมพันธุ์ ในผู้ที่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ในส่วนที่ควบคุมการเผาผลาญ
ไตรกลีเซอไรด์ จะมีผลให้มีระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
3.2 การกินอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ กินอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมัน
มากกว่าร้อยละ 30 ของพลังงานที่ควรได้รับ โดยส่วนใหญ่ไขมันที่ได้รับยังเป็นไขมันประเภท
อิ่มตัว และการบริโภคน้ําตาลทราย จํานวนมากมีผลให้มีภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
3.3 ภาวะโภชนาการเกินและโรคอ้วน พบว่าในคนอ้วนมักมีระดับโคเลสเตอรอลใน
เลือดสูง
263
ตัวอย่างการจัดอาหารจํากัดไขมัน
เพื่อให้นักกําหนดอาหารสามารถจัดบริการอาหารให้แก่ผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง แพทย์
จําเป็นต้องระบุปริมาณพลังงานและปริมาณไขมันที่ผู้ป่วยควรได้รับ เช่น นายดุสิต ราชสีมา
อาหารธรรมดา 1,800 กิโลแคลอรี ไขมัน (low fat) ร้อยละ 25 ของพลังงาน หรือ นายใจดี รัก
ชาติ อาหารอ่อน 1,500 กิโลแคลอรี ไลโนเลอิก ร้อยละ 10 ของพลังงาน โคเลสเตอรอลน้อย
กว่า 300 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นต้น
ตัวอย่างที่1
แพทย์กําหนดให้นายดุสิต ราชสีมา ได้รับอาหารธรรมดา 1,800 กิโลแคลอรี ไขมันร้อยละ
25 ของพลังงานทั้งหมด และโคเลสเตอรอลไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน
ขั้นตอนที่ 1 ปริมาณพลังงานที่ผู้ป่วยต้องการ
เนื่องจากแพทย์กําหนดปริมาณพลังงานที่ผ้คู วรได้รับไว้แล้วคือ 1,800 กิโลแคลอรีต่อวัน
ขั้นตอนที่ 2 สารอาหารที่ผู้ป่วยควรได้รับ
เนื่องจากแพทย์กําหนดปริมาณสารอาหารที่ผู้ป่วยควรได้รับไว้ดังนี้ ไขมันร้อยละ 25 ของ
พลังงานที่ได้รับ ดังนั้นในผู้ป่วยที่จํากัดไขมันจึงควรได้รับพลังงานชดเชยมาจากคาร์โบไฮเดรต โดย
กําหนดให้ได้รับพลังงานในสัดส่วนดังนี้ คาร์โบไฮเดรต : โปรตีน : ไขมัน เท่ากับ 60 :15 :25 ของ
พลังงาน และจัดอาหารให้มีโคเลสเตอรอลน้อยกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวัน
กําหนดให้ผ้ปู ่วยได้รับคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 60 ของพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน
60
คาร์โบไฮเดรต = × 1,800
100
= 1,080 กิโลแคลอรี
1080
=
4
= 270 กรัม
ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ผ้ปู ่วยควรได้รับจากอาหาร = 270 กรัม
265
25
ไขมัน = × 1,800
100
= 450 กิโลแคลอรี
450
=
9
= 50 กรัม
ปริมาณไขมันที่ผ้ปู ่วยควรได้รับจากอาหาร = 50 กรัม
ขั้นตอนที่ 3 กําหนดปริมาณอาหารที่ผู้ป่วยควรได้รับโดยใช้รายการอาหารแลกเปลี่ยน
(ตารางที่ 8.4)
266
มื้ออาหาร
หมวดอาหาร ส่วน เช้า เที่ยง ว่างบ่าย เย็น
นมพร่องมันเนย 1 1 - - -
ผัก ก กินได้ตามชอบไม่จํากัดจํานวน
ผัก ข 3 1 1 - 1
ผลไม้ 6 1 2 2 1
ข้าว 8.5 2 2.5 1.5 2.5
เนื้อสัตว์ไขมันต่ํามาก 2 1 - 1 -
เนื้อสัตว์ไขมันต่ํา 2 - 1 - 1
เนื้อสัตว์ไขมันปานกลาง 1 - - - 1
ไขมัน 6.5 1 2 1.5 2
ขั้นตอนที่ 5 การกําหนดรายการอาหาร
เนื่องจากแพทย์ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารธรรมดา ดังนั้นลักษณะของอาหารที่จัด
ให้กับผู้ป่วยนั้นจะเหมือนกับอาหารที่คนปกติทั่วไปรับประทาน แต่จะงดอาหารที่มีรสจัด งด
อาหารหมักดอง และพยายามจัดอาหารที่มีปริมาณของผักและผลไม้ให้มาก เพราะผู้ป่วยจํากัด
ไขมัน หลีกเลี่ยงการใช้เนื้อสัตว์ที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น กุ้ง ปลาหมึก ไข่แดง เป็นต้น (ตารางที่
8.6)
268
ปริมาณโคเลสเตอรอลที่ผู้ป่วยได้รับ ดังนี้
จากการกําหนดจํานวนส่วนอาหารที่ผู้ป่วยควรได้รับ (ตารางที่ 8.4) และได้นํามาจัด
รายการอาหารที่เหมาะสมสําหรับนายใจดี รักชาติ (ตารางที่ 8.5-8.6) พบว่านายใจดีจะได้รับ
โคเลสเตอรอลจากการจัดรายการอาหารดังแสดงในตารางที่ 8.7
ตัวอย่ างที่ 2 นายใจดี รัก ชาติ อาหารอ่ อน 1,500 กิ โ ลแคลอรี ไลโนเลอิ ก ร้ อยละ 10 ของ
พลังงาน โคเลสเตอรอลน้อยกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวัน
ขั้นตอนที่ 1 ปริมาณพลังงานที่ผู้ป่วยต้องการ
เนื่องจากแพทย์กําหนดปริมาณพลังงานที่ผู้ควรได้รับไว้แล้ว เท่ากับ 1,500 กิโลแคลอรี
ต่อวัน
ขั้นตอนที่ 2 สารอาหารที่ผู้ป่วยควรได้รับ
ในกรณีน้ีจะกําหนดให้ผู้ป่วยได้รับพลังงานในสัดส่วนดังนี้ คาร์โบไฮเดรต : โปรตีน :
ไขมัน เท่ากับ 55 :15 :30 ของพลังงาน โดยไขมันที่จัดต้องเป็นไลโนเลอิก ร้อยละ 10 ของ
พลังงาน และจัดอาหารให้มีโคเลสเตอรอลน้อยกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวัน
กําหนดให้ผ้ปู ่วยได้รับคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 55 ของพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน
55
คาร์โบไฮเดรต = × 1,500
100
= 825 กิโลแคลอรี
825
=
4
ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ผ้ปู ่วยควรได้รับจากอาหาร = 206.25 กรัม
หรือ = 206 กรัม
กําหนดให้ผ้ปู ่วยได้รับโปรตีน ร้อยละ 15 ของพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน
15
โปรตีน = × 1,500
100
= 225 กิโลแคลอรี
225
=
4
ปริมาณโปรตีนที่ผ้ปู ่วยควรได้รับจากอาหาร = 56.25 กรัม
หรือ = 56 กรัม
450
=
9
ปริมาณไขมันที่ผ้ปู ่วยควรได้รับจากอาหาร = 50 กรัม
แพทย์กําหนดให้ผ้ปู ่วยได้รับกรดไลโนเลอิกร้อยละ 10 ของพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน
10
= × 1,500
100
= 150 กิโลแคลอรี
150
=
9
= 16.67 กรัม
หรือ = 17 กรัม
ขั้นตอนที่ 3 กําหนดปริมาณอาหารที่ผู้ป่วยควรได้รับโดยใช้รายการอาหารแลกเปลี่ยน
(ตารางที่ 8.8)
271
มื้ออาหาร
หมวดอาหาร ส่วน เช้า เที่ยง ว่างบ่าย เย็น
นมพร่องมันเนย 1 1 - - -
ผัก ก กินได้ตามชอบไม่จํากัดจํานวน
ผัก ข 3 - 1 1 1
ผลไม้ 4 1 1 1 1
ข้าว 6.5 1.5 2 1 2
เนื้อสัตว์ไขมันต่ํามาก 2 1 - - 1
เนื้อสัตว์ไขมันต่ํา 2 - 1 - 1
น้ํามันพืชถั่วเหลือง 8 2 2 2 2
ปริมาณโคเลสเตอรอลที่ผู้ป่วยได้รับ ดังนี้
จากการกําหนดจํานวนส่วนอาหารที่ผู้ป่วยควรได้รับ (ตารางที่ 8.7) และได้นํามาจัด
รายการอาหารที่เหมาะสมสําหรับนายใจดี รักชาติ (ตารางที่ 8.8-8.9) พบว่านายใจดีจะได้รับ
โคเลสเตอรอลจากการจัดรายการอาหารดังแสดงในตารางที่ 8.10 – 8.11
จํานวน น้ําหนัก
มื้ออาหาร รายการอาหาร ส่วนประกอบ
ส่วน (กรัม)
เช้า 1 ข้าวต้มปลากะพง ข้าวสุก 1.5 82.5
ปลากะพง 1 30
ผักชี ต้นหอม เล็กน้อย -
น้ํามันถั่วเหลือง 2 10
2 ผลไม้ มะละกอสุก 1 115
3 นมพร่องมันเนย นมขาดมันเนย 1 240
กลางวัน 1 มักกะโรนีน้าํ ไก่ มักกะโรนี 2 150
เนื้อไก่ 1 30
แครอท
หัวหอมใหญ่ 1 70
มะเขือเทศ
น้ํามันถั่วเหลือง 2 10
2 ผลไม้ แคนตาลูป 1 200
ว่างบ่าย 1 สลัดผักผลไม้รวม แครอท 0.5 35
กะหล่ําปลีม่วง 0.5 35
องุ่น 0.5 50
แอปเปิ้ล 0.5 50
น้ําสลัด 2 2 ชต.
ขนมปังโฮลวีทปิ้ง 1 1 แผ่น
เย็น 1 ข้าวต้ม ข้าวต้ม 2 110
2 ไก่ต๋นุ ฟัก เนื้อไก่ 1 30
ฟัก 1 70
3 ปลาราดซอสส้ม ปลากะพง 1 30
น้ําส้ม 1 120
เนยสด 2 10
275
4. ออกกําลังกาย
การออกกําลังกายมีส่วนช่วยในการเผาผลาญไตรกลีเซอไรด์เป็นพลังงาน ดังนั้นใน
ผู้ป่วยที่มีภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงจึงควรออกกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอคกับการควบคุม
อาหารตามหลักโภชนาการ
5. การรักษาโดยการใช้ยา
การรักษาภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง นอกจากการควบคุมอาหารและการใช้ยา
แล้ ว การใช้ ย าลดระดั บ วี . แอล.ดี . แอล ควบคู่ กั บ การควบคุ ม อาหารที่ ถู ก ต้ อ งตามหลั ก
โภชนาการ และการออกกําลังกาย จะมีผลในผู้ป่วยที่มีภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง โดยยา
ดังกล่าวแพทย์จะสั่งให้กับผู้ป่วยในรายที่ทําการควบคุมอาหารแล้ว แต่ยังมีระดับไตรกลีเซอไรด์
ในเลือดสูงกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร
สุรป
ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ก่อให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งมีผลทําให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเป็น
จํานวนมาก ปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด ได้แก่ ภาวะโคเลสเตอรอลสูงในเลือด ความ
ดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ การขาดการออกกําลังกาย โรคอ้วน โรคเบาหวาน ความตึงเครียดทาง
จิตใจ การดื่มเหล้า การกินยาเม็ดคุมกําเนิด เป็นต้น การป้องกันและการรักษาภาวะหลอดเลือด
แดงแข็งต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ป่วยลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังที่กล่าวมา โดยพยายามให้
ผู้ป่วยกินอาหารถูกต้องตามหลักโภชนาการ รักษาน้ําหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่สูบ
บุหรี่ งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และให้ผู้ป่วยได้ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอและ
เหมาะสมกับผู้ป่วย
276
บทที่ 9
อาหารสําหรับผู้ปว่ ยโรคตับ ถุงน้ําดี และโรคกระเพาะอาหาร
โครงสร้างและหน้าที่ของตับ
โรคที่เกี่ยวกับตับอาจเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น เชื้อไวรัส พิษจากแอลกอฮอล์ การ
ขาดสารอาหาร และอื่นๆ สาเหตุต่างๆ เหล่านี้ทําให้เกิดโรคสําคัญคือ โรคตับอักเสบ โรคตับแข็ง
อาการของโรคที่พบนอกจากจะมีผลต่อระบบการย่อยการดูดซึมอาหารแล้ว ยังทําให้ผู้ป่วยเกิด
อาการข้างเคียงซึ่งมีผลต่อการยอมรับอาหารของผู้ป่วยด้วย เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน เป็น
เหตุให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่เสื่อมโทรม และในรายที่รุนแรงได้รับการรักษาไม่ทันอาจทําให้ผู้ป่วย
เสี ย ชี วิ ต ได้ การรั ก ษาโรคตั บ นอกจากใช้ ย าตามคํ า สั่ ง แพทย์ แ ล้ ว ยั ง ต้ อ งใช้ อ าหารในการ
บําบัดรักษาโรคดังกล่าวด้วย
1. โครงสร้างของตับ
ตับ (liver) เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของร่างกาย มีน้ําหนักเฉลี่ยประมาณ 1.2-1.5
กิโลกรัม ตั้งอยู่บริเวณใต้ชายโครงขวาของช่องท้องและเลยมาถึงยอดอก ตับแบ่งออกเป็น 2 พู
(lobe) พูขวาจะเล็กกว่าพูซ้าย ใต้พูด้านขวาจะมีถุงน้ําดีแนบอยู่ เนื้อตับแต่ละพูจะประกอบด้วยพู
ย่อยที่มีขนาด 1-2 มิลลิเมตรอยู่ทั่วตับ และแต่ละพูย่อยจะประกอบด้วยเซลล์ตับหลายเซลล์ ซึ่งแต่
ละเซลล์สามารถสร้างน้ําดี (bile) และถูกส่งออกจากเซลล์ของตับไปสู่ท่อน้ําดีฝอย (bile
capillaries) ซึ่งอยู่ในพูย่อย หลังจากนั้นน้ําดีจึงถ่ายเทเข้าสู่ท่อน้ําดีของตับ (hepatic) ไปเก็บไว้ใน
278
2. หน้าที่ของตับ
ตับ ทําหน้าที่ในการควบคุมกระบวนการเผาผลาญสารอาหารของร่างกาย รวมทั้ง
ช่วยกําจัดสารพิษที่ร่างกายได้รับ หน้าที่สําคัญของตับมีดังนี้
2.1 ทําหน้าที่เผาผลาญคาร์โบไฮเดรต กลูโคสร้อยละ 60 ของกลูโคสที่ร่างกาย
ได้รับจากอาหาร จะถูกตับนํามาใช้ในการสร้างไกลโคเจน และไตรกลีเซอไรด์ การรักษาระดับ
กลู โ คสให้ ค งที่ ถู ก ควบคุ ม โดยการเพิ่ ม การทํ า งานของกลู โ คส-6-ฟอสเฟต (glucose-6-
phosphatase) ในตับ และจะเพิ่มการสร้างกลูโคสซึ่งขึ้นกับคอร์ติซอล (cortisol) และฮอร์โมนการ
เจริญเติบโต โดยจะอาศัยกลีเซอรอล กรดอะมิโนแลคเตท ไพรรูเวท และอะลานิน
2.2 ทําหน้าที่เผาผลาญโปรตีน โดยการสร้างโปรตีนในพลาสมา ขจัดแอมโมเนียม
จากกรดอะมิโน และสร้างยูเรีย ในภาวะที่ร่างกายได้รับไนโตรเจนน้อยลง เกิดการปรับตัวโดยใช้
โปรตีนของกล้ามเนื้อเพื่อรักษาระดับของกรดอะมิโนในพลาสมาและตับ การขับแอมโมเนียมจะ
279
เพิ่มขึ้นเพราะการสร้างยูเรียลดลง ซึ่งร่วมกับการขาดโปตัสเซียมและการเกิดภาวะกรดในเลือด
ซึ่งเกิดจากกระบวนการสลาย (catabolism) ของโปรตีนและกรดไขมัน กรดอะมิโนจะถูกนําไปใช้
ในการสร้างโปรตีนและกลูโคส ตับจะควบคุมการส่งกรดอะมิโนไปที่อวัยวะส่วนปลาย ควบคุม
การสร้างกรดอะมิโนและเปลี่ยนกรดอะมิโนเป็นยูเรีย
2.3 ทําหน้าที่เผาผลาญไขมัน โดยสร้างไลโปโปรตีน ฟอสโฟลิพิดและโคเลสเตอรอล
สร้างและหลั่งน้ําดีลงสู่ทางเดินอาหาร
2.4 ทําหน้าที่กําจัดสารพิษ โดยตับทําหน้าที่เปลี่ยนสารพิษให้อยู่รูปที่ไม่เป็นอันตราย
ต่อร่างกาย และกําจัดออกทางระบบน้ําดี (อุจจาระ) และส่งผ่านกระแสเลือดกําจัดออกโดยไต
(ปัสสาวะ)
2.5 ทําหน้าที่เก็บสะสมวิตามินที่ละลายในไขมันและแร่ธาตุบางชนิด ได้แก่ วิตามินเอ
วิตามินดี และธาตุเหล็ก
โรคตับอักเสบและหลักการจัดอาหาร
สาเหตุของโรคตับอัก เสบเกิดขึ้น ได้จากหลายสาเหตุ เช่น เชื้อไวรัส สารพิษ ยา
บางอย่าง แอลกอฮอล์ หรือพยาธิบางชนิด แต่พบว่าโรคตับอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส พบได้
บ่อยที่สุด เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคที่พบได้บ่อยคือ (สุรัตน์ โคมินทร์, และวีระพงษ์ ฉัตรา
นนท์ 2539, หน้า 7-9)
1. สาเหตุของโรค
เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรค และพบได้บ่อย คือ
1.1 เชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A virus = HAV) ทําให้เกิดโรคตับอักเสบ
เอ (Hepatitis A) ระบาดวิทยาของไวรัสตับอักเสบ เอ พบว่าระยะฟักตัวของโรคตับอักเสบ เอ อยู่
ระหว่าง 20- 45 วัน หรือเฉลี่ยประมาณ 28-30 วัน โดยพบเชื้อไวรัสอยู่ในกระแสเลือดใน
ช่วงเวลาไม่ยาวนัก คือ ระหว่างช่วงท้ายของระยะฟักตัวจนถึงช่วงแรกของระยะกําลังเป็น การ
ติดต่อที่สําคัญที่สุดคือ จากอุจจาระสู่ปาก โดยเชื้อที่ออกมากับอุจจาระผู้ป่วยปนเปื้อนกับอาหาร
ที่กินเข้าไป ดังนั้นผู้ป่วยทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ จะเป็นตัวการสําคัญในการ
แพร่เชื้อ การปรุงอาหารและการหยิบจับอาหารโดยไม่หุงต้มอีกครั้ง จะเป็นอีกทางหนึ่งที่จะแพร่
เชื้อได้มาก เชื้อชนิดนี้ไม่ติดต่อทางลมหายใจ และแม้จะพบเชื้อในเลือดและปัสสาวะได้แต่ไม่เป็น
ปัญหาสําคัญในการติดต่อ
1.2 เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B virus = HBV) ทําให้เกิดโรคตับอักเสบ บี
(hepatitis B) ระยะฟักตัวของโรคตับอักเสบ บี อยู่ระหว่าง 30-180 วัน แต่ส่วนใหญ่จะอยู่
280
การวินิจฉัยโรคจากประวัติการตรวจร่างกายผู้ป่วยดังกล่าวข้างต้นเพียงอย่างเดียวทําได้
ยาก การตรวจหาน้ําดีในปัสสาวะ การเจาะเลือดเพื่อตรวจหาระดับบิลิรูบิ น และตรวจการ
ทํางานของตับ ตลอดจนการเจาะเนื้อตับมาตรวจและการตรวจเลือดหาแอนติเจนจากเชื้อไวรัสนี้
โดยวิธีพิเศษจะช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรค (ตารางที่ 9.1)
3. การรักษาโรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัสที่ไม่มีโรคแทรกซ้อน
3.1 การพักผ่อน ให้ผ้ปู ่วยได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยพยายามให้ผู้ป่วย
นอนอยู่เฉยๆ และห้ามการออกกําลังกาย เพื่อให้กระบวนการเมตาบอลิซึมเกิดขึ้นน้อยที่สุด เพื่อ
ช่วยลดการทํางานของตับ
3.2 การใช้ยา ยังไม่มีข้อมูลเรื่องของการใช้ยาในการรักษา
283
โรคตับแข็งและหลักการจัดอาหาร
โรคตั บ แข็ ง (cirrhosis) เป็ น โรคที่ มี ก ารทํ า ลายโครงสร้ า งของตั บ และเนื้ อ ตั บ แล้ ว มี
เนื้อเยื่อเกี่ยวพันหรือพังผืดเกิดขึ้นมาแทนที่ แม้จะมีเซลล์ของตับงอกใหม่ภายหลังเซลล์ของตับ
ถูกทําลายแล้วก็ตาม การงอกก็ไม่ได้งอกตามโครงสร้างเดิม แต่จะงอกเป็นตุ่ม (nodules) ทั่วทั้ง
ตับเบียดโครงสร้างเดิมภายในตับให้ผิดรูปไป ดังนั้นเมื่อดูผิวของตับด้วยตาเปล่าจะเห็นตุ่มขรุขระ
อยู่ทั่วไป
1. การเกิดพยาธิสภาพของโรคตับแข็ง
เริ่มต้นจากการที่เซลล์ของตับถูกทําลายจากสาเหตุใดก็ตาม จะทําให้โครงสร้างของ
ตับส่วนนั้นยุบตัวลงจนผิดรูปเดิมไป และจะมีเซลล์ที่สร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันพังผืดมาล้อมรอบไว้
เซลล์ ของตับที่ถูกทํ าลายเหล่ านี้อาจงอกใหม่ได้บ้าง แต่ จะถู กพังผืดซึ่งเกิดจากเซลล์เนื้ อเยื่อ
เกี่ยวพันพังผืดดังกล่าวสร้างล้อมรอบไว้เป็นตุ่มๆ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะไม่กลับคืนเป็นปกติ
ดังนั้นจึงไม่สามารถรักษาคนที่เป็นโรคตับแข็งให้กลับมาเหมือนปกติได้อีก ตุ่มที่เกิดขึ้นเป็นจํานวน
มากนี้จะเบียดหลอดเลือดดําในเนื้อตับ ทําให้ขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ยังผลให้ความดัน
เลือดในระบบพอร์ตัลสูงขึ้นมาก ซึ่งจะทําให้ตับเสื่อมสมรรถภาพลงไปอีก นอกจากนี้ยังอาจมีผล
ทําให้หลอดเลือดดําในผนังหลอดอาหารและกระเพาะอาหารโป่งขอด (esophageal gastric
varices) และผนังของหลอดเลือดที่โป่งขอดนี้จะแตกได้ง่าย ถ้าแตกแล้วมีเลือดออกมาก จะทําให้
มีอันตรายถึงตายได้หากแก้ไขไม่ทันท่วงที
นอกจากนี้เลือดที่ไปเลี้ยงตุ่มต่างๆ ที่เกิดใหม่น้ีจะน้อยลงไม่เพียงพอ เพราะเลือดจาก
หลอดเลือดดําพอร์ตัล (portal) ที่มาสู่เนื้อตับจะเข้าตับได้น้อยเนื่องจากเนื้อตับที่แข็งและมีพังผืด
ขวางอยู่ จึงเปลี่ยนทางเดินโดยผ่านไปเปิดสู่หลอดเลือดดําของตับเพื่อออกจากตับไปสู่ระบบ
ไหลเวียนเลือดทั่วไปโดยตรง ทําให้ต่มุ เหล่านี้ต้องอาศัยเลือดจากหลอดเลือดแดงของตับมาเลี้ยง
แต่เพียงอย่างเดียว ทําให้สมรรถภาพของตับเสื่อมลง และยิ่งมีการขาดเลือดมากขึ้นก็จะทําให้
เซลล์ตับถูกทําลายมากขึ้นตามไปด้วย เป็นผลให้โรคตับแข็งมีอาการทรุดลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น แม้
285
โปรตีนในเลือดต่ําและมีการคั่งของโซเดียม อาเจียนเป็นเลือดจากการแตกของผนังโป่งขอดของ
หลอดเลื อ ดดํ า ภายในหลอดอาหารหรื อ กระเพาะอาหาร ดี ซ่าน เลื อ ดออกง่ า ยจากที่ตั บ ไม่
สามารถสร้ างปัจ จั ยที่ ช่วยให้ เลื อดเป็น ลิ่ม ทางผิ วหนังอาจจะพบอาการหลอดเลือดฝอยใต้
ผิวหนังขยายตัวพอง มีลักษณะเป็นจุดแดงสดตรงกลางและมีหลอดเลือดฝอยเส้นเล็กๆ แผ่
ออกไปรอบด้านเป็นวงกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ถึง 10 มิลลิเมตรคล้ายแมงมุม จึง
เรียก สไปเดอร์แองจิโอมาส์ ซึ่งมักจะพบที่ผิวหนังบริเวณใบหน้ าโดยเฉพาะที่จมูกและแก้ม
บริเวณหน้าอก คอและไหล่
4. หลักการจัดอาหารสําหรับผู้ป่วยโรคตับแข็ง
ผู้ป่วยโรคตับแข็ง ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีภาวะทุพโภชนาการ การจัดอาหารที่มีปริมาณ
พลังงานและสารอาหารอย่างเพียงพอจะทําให้ผ้ปู ่วยมีภาวะโภชนาการที่ดีข้ึน
4.1 พลังงาน ในผู้ป่วยโรคตับมักจะมีน้ําหนักลดจากภาวะการขาดอาหาร ดังนั้นจึง
ควรให้ผ้ปู ่วยได้รับอาหารที่มีพลังงานสูง โดยอย่างน้อยสุดปริมาณพลังงานที่ควรได้รับประมาณ
45-50 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัมต่อวัน หรือ 2,000-3,000 กิโลแคลอรีต่อวัน ในผู้ป่วยที่ขาด
สารอาหาร และ 30-35 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัมต่อวัน ในผู้ป่วยที่มีภาวะโภชนาการปกติ
4.2 โปรตีน ผู้ป่วยควรได้รับโปรตีนที่มีคุณภาพสูงในปริมาณที่เพียงพอกับความ
ต้ อ งการของร่ า งกาย โดยเฉลี่ ย ผู้ ป่ ว ยควรได้ รั บ โปรตี น ประมาณ 1.5 กรั ม ต่ อ น้ํ า หนั ก ตั ว 1
กิโลกรัม หรือประมาณร้อยละ 12-15 ของพลังงานที่ได้รับทั้งหมดต่อวัน ข้อควรระวังของการให้
อาหารโปรตีนสูงคือจะทําให้ผู้ป่วยมีระดับความรู้สึกตัวลดน้อยลงได้ เรียกว่า “ภาวะพรีโคม่า”
(precoma) เนื่องจากความสามารถในการกําจัดของเสียของตับลดลง การให้อาหารที่มีโปรตีน
มากจะทําให้มีแอมโมเนียคั่ง ดังนั้น การจัดอาหารให้ผู้ป่วยแพทย์และนักกําหนดอาหารต้อง
พิจารณาปริมาณโปรตีนให้ผ้ปู ่วยเป็นรายๆ ไป
4.3 คาร์ โ บไฮเดรต ผู้ ป่ ว ยที่ ต้ อ งการพลั ง งานเพิ่ ม สามารถจั ด อาหารในกลุ่ ม
คาร์โบไฮเดรตให้แก่ผ้ปู ่วยได้ โดยอาจจะจัดข้าว แป้ง ขนมปัง น้ําหวาน หรือน้ําผลไม้ ให้แก่ผปู้ ว่ ย
โดยปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ผ้ปู ่วยควรได้รับประมาณร้อยละ 50-60 ของพลังงานที่ได้รับ
4.4 ไขมัน ผู้ป่วยควรได้รับไขมันในปริมาณที่เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย
โดยให้ผู้ป่วยได้รับไขมันประมาณร้อยละ 25-30 ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน ถ้าสามารถทําได้
ควรให้ไขมันในรูปไตรกลีเซอไรด์ที่ประกอบไปด้วยกรดไขมันโมเลกุลยาวปานกลาง (medium
chain triglycerides : MCT) ซึ่งในปัจจุบันมีจําหน่ายในประเทศไทยแล้ว ร่วมกับการใช้ไขมันจาก
พืช จะช่วยให้การย่อยและการดูดซึมไขมันดีขึ้น เนื่องจากไขมันโมเลกุลขนาดยาวปานกลางถูก
ดูดซึมผ่านเยื่อบุลําไส้เข้าหลอดเลือดได้โดยตรง ซึ่งเป็นผลดีแก่ผ้ปู ่วย
287
5. การดื่มสุรากับโรคตับแข็ง
การดื่มสุรา เป็นสาเหตุหลักที่ทําให้เกิดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ นอกจากนี้แล้ว
ยังพบว่าการดื่มสุราเป็นปัจจัยเสี่ยงสําคัญของการเกิดโรคหลายๆ โรค โดยเฉพาะโรคตับแข็ง
5.1 เมตาบอลิซึมของแอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปส่วนใหญ่จะถูกดูดซึมที่ลําไส้เล็ก ในขณะทีท่ อ้ งว่าง
แอลกอฮอล์ถูกดูดซึมได้เร็ว การได้กินอาหารพร้อมกันไปด้วยทําให้แอลกอฮอล์ถูกดูดซึมช้าลง
เพราะเคลื่อนผ่านกระเพาะอาหารช้าลง หลังจากถูกดูดซึมแล้วแอลกอฮอล์จะกระจายไปทั่ว
ร่างกาย ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดขึ้นอยู่กับแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป ประมาณร้อยละ 90 ถึง 98
ของแอลกอฮอล์ที่ถูกดูดซึมจะถูกออกซิไดซ์ให้เป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้ําโดยเอมไซม์ดี
ไฮโดรจิเนส (alcohol dehydrogenase )ที่อยู่ในไซโตซอล (cytosal) ของเซลล์ตับที่เหลือประมาณ
ร้อยละ 2 ถึง 10 ถูกขับถ่ายออกโดยตรงผ่านลมหายใจ ไต ตับ น้ําดี เหงื่อ น้ําลายและน้ําตา
อัตราของเมตาบอลิซึมของแอลกอฮอล์ในคนธรรมดาอยู่ระหว่าง 100 ถึง 200 มิลลิกรัมต่อ
น้ําหนักตัวหนึ่งกิโลกรัมต่อหนึ่งชั่วโมง โดยมีอัตราสูงสุดประมาณ 250 มิลลิกรัมต่อน้ําหนักตัว
หนึ่งกิโลกรัมต่อหนึ่งชั่วโมง การดื่มแอลกอฮอล์จํานวนปานกลางถึงมากเป็นเวลานานๆ ไม่ได้
กระตุ้นให้ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ดีไฮโดรจิเนสเพิ่มขึ้น
ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดระหว่าง 100 ถึง 200 มิลลิกรัมต่อเลือด100
มิลลิลิตร จะทําให้คนธรรมดาเริ่มมีการเมาให้เห็น และระดับสูงกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเลือด 100
มิลลิลิตร จะทําให้ผ้ดู ื่มมีอาการรุนแรงแต่รายที่ติดสุราและทนสุราได้ดีระดับขนาดนี้อาจจะยังไม่
เมา อย่างไรก็ตามถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดขึ้นสูงกว่า 400 มิลลิกรัม ต่อเลือด 100 มิลลิลิตร
จะทําให้ผู้ดื่มทุกคนมีอาการหลับขนาดที่ต้องปลุกโดยการกระตุ้นให้เกิดความเจ็บปวดถึงขนาด
จึงจะตื่น แล้วจะหลับต่อไปใหม่ หรืออาจจะโคม่าไปเลย แต่ถ้าระดับเกิน 500 มิลลิกรัมต่อเลือด
100 มิลลิลิตรมักถึงตาย
5.2 ผลของแอลกอฮอล์ต่อการเปลี่ยนแปลงของตับ ได้แก่
1) ภาวะมีไขมันสะสมในตับมาก (alcoholic fatty liver) การดื่มแอลกอฮอล์
จํานวนปานกลางถึงมากไม่ว่าจะดื่มมากทันทีเลยหรือดื่มไปเรื่อยๆ ทําให้มีไขมันสะสมในเนื้อตับ
มาก การกินอาหารที่มีไขมันมากด้วยจะทําให้ไขมันสะสมในตับมากกว่าการกินอาหารที่มีไขมัน
น้อย แต่อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ และมีโปรตีนปานกลางหรือสูงไม่สามารถ
ป้องกันการสะสมไขมันในตับได้เลย การหยุดดื่มแอลกอฮอล์ช่วยลดไขมันในตับลงแต่ถา้ ดืม่ ต่อไป
เรื่อยๆ ก็จะมีไขมันในตับต่อไปเรื่อยๆ
289
นอกจากจะพบไขมันซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไตรกลีเซอไรด์ในตับของผู้ดื่มแอลกอฮอล์แล้ว
ยังพบการเสื่อมของเซลล์ออร์แกเนล (cell organelles) อีกด้วย ซึ่งเข้าใจว่าเป็นพิษโดยตรงของ
แอลกอฮอล์ต่อตับ อย่างไรก็ตามในการดื่มแอลกอฮอล์ต่อไปอีกนานๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่พบว่าการ
เปลี่ยนแปลงในตับดังกล่าวจะแปรสภาพไปเป็นโรคตับแข็ง
ในคนที่มีไขมันสะสมในตับนี้มักจะไม่มีอาการอะไรผิดปกติ นอกจากเวลาตรวจร่างกาย
อาจคลําพบตับโตขึ้นอย่างเดียว และภาวะนี้ยังไม่ต้องรักษา นอกจากให้คําแนะนําในเรื่องพิษ
แอลกอฮอล์เท่านั้น
2) โรคตั บ อั ก เสบเนื่ อ งจากแอลกอฮอล์ ในขณะที่ ส่ ว นใหญ่ ข องผู้ ดื่ ม
แอลกอฮอล์มีไขมันสะสมในเนื้อตับมาก แต่มีเพียงร้อยละ 10 ถึง 20 ของผู้ที่ดื่มจัดๆ (ที่มีสะสม
ในเนื้อตับทุกคน) เท่านั้นที่จะเป็นโรคตับอักเสบด้วย ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยดื่มมากกว่าวันละ 70
กรั ม และมั ก มากกว่ า 160 กรั ม ทุ ก วั น ติ ด ต่ อ กั น ตั้ ง แต่ สิ บ ปี ขึ้ น ไป โรคตั บ อั ก เสบที่ เ กิ ด จาก
แอลกอฮอล์ (alcoholic hepatitis) กลายเป็นโรคตับแข็งที่สูงมาก แต่ไม่เกิดในทุกคน การอักเสบ
อาจจะกลับคืนได้ถ้าหยุดดื่มแอลกอฮอล์ผู้ป่วยอาจจะไม่มีอาการเลย หรือมีอาการน้อยๆ จน
อาการมากๆ เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง หรือแน่นท้องอย่างคลุมเครือ น้ําหนัก
ลดและมีไข้ ต่อมาอาจจะมีดีซ่าน ท้องมานน้ําและอาการบวม จากการเจาะเนื้อตับมาตรวจ
พบว่าส่วนใหญ่ของผู้ป่วยมักมีโรคตับแข็งที่เกิดจากแอลกอฮอล์ร่วมด้วย การรักษาส่วนใหญ่เป็น
การรักษาแบบประคับประคองและการหยุดแอลกอฮอล์
3) โรคตับแข็งเนื่องจากแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยโรคตับอักเสบทีเ่ กิดจากแอลกอฮอล์
มักจะกลายมาเป็นโรคตับแข็งที่เกิดจากแอลกอฮอล์ (alcoholic cirrhosis) ได้เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น
การที่นําผู้ป่วยโรคตับแข็งนี้มาหาแพทย์จึงมักจะเป็นอาการของโรคตับอักเสบที่เกิดร่วมกับโรคตับ
แข็ง อาการของโรคตับแข็งมักเป็นผลมาจากการที่มีความดันของระบบเลือดพอร์ตัลสูง
นอกเหนื อไปจากนั้ น ผู้ ป่ ว ยโรคตั บ แข็ง จากแอลกอฮอล์ ที่ เ ป็น ชาย อาจจะมี ลั ก ษณะ
เปลี่ยนไปทางผู้หญิง เช่น ไม่มีความรู้สึกทางเพศ เต้านมใหญ่ ลูกอัณฑะฝ่อ การสร้างตัวอสุจิลด
น้อยลง ส่วนผู้หญิงมักจะขาดประจําเดือน การตายในโรคตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ที่เป็นมาก
แล้วนั้น มักจะเป็นผลของโคม่าจากตับ ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นของเลือดที่ออกจากหลอดเลือด
ดําในหลอดอาหารที่โป่งขอด นอกจากนั้นสาเหตุการตายที่สําคัญคือ ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียที่
กระจายไปในเลือด เนื่องจากภูมิต้านทานของผู้ป่วยลดลง การอักเสบของเยื่อบุช่องท้องจากเชื้อ
แบคทีเรียและมะเร็งของตับ
290
โรคถุงน้ําดีและหลักการจัดอาหาร
ถุงน้ําดี ยึดติดอยู่กับใต้ตับตรงกลาง ผนังของถุงน้ําดีมีลักษณะบาง มีความจุประมาณ
60 มิลลิลิตร น้ําดีที่สร้างขึ้นจากตับจะถูกเก็บไว้ในถุงน้ําดี เมื่อร่างกายต้องการใช้จึงมีการ
ปล่อยน้ําดีออกมาทางลําไส้เล็กตอนต้น น้ําดีจะช่วยให้ไขมันที่ย่อยแล้วละลายได้มากขึ้นเพื่อที่จะ
สามารถดูดซึมผ่ านลําไส้เข้าไปท่อน้ําเหลื องได้ (สุรัตน์ โคมิน ทร์ และ วีร ะพงษ์ ฉัต รานนท์ ,
2539, หน้า 26-28)
1. โรคถุงน้ําดีอักเสบเฉียบพลัน
1.1 อาการของโรคถุงน้ําดีอักเสบเฉียบพลัน พบว่าผู้ป่วยมีอาการอาหารไม่ย่อย
บางครั้งอาเจียน ถ้าอักเสบรุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการหนาว สั่น และมีไข้ต่ําๆ ผู้ป่วยมีอาการปวด
ที่ใต้ลิ้นปี่ โดยจะปวดตลอดเวลา โดยพบว่าบริเวณใต้ชายโครงขวาจะเป็นบริเวณที่ปวดมากที่สุด
บางครั้งถ้าผู้ป่วยปวดมากๆ กล้ามเนื้อหน้าท้องจะหดตัวจนแข็งเกร็ง หายใจสั้น ชีพจรเต้นเร็ว ไม่
สม่ําเสมอ และประมาณร้อยละ 20 ของผู้ป่วยจะมีดีซ่านเกิดขึ้นร่วมด้วย
1.2 พยาธิสภาพ โรคถุงน้ําดีอักเสบเฉียบพลัน (acute cholecystitis) ประมาณร้อยละ
95 ของผู้ป่วยถุงน้ําดีอักเสบเฉียบพลันจะมีนิ่วในถุงน้ําดีด้วย นิ่วนี้จะอุดตันท่อที่น้ําดีออกไปสู่
ลําไส้เล็ก ในระยะ 36 – 48 ชั่วโมงแรก จะมีการอักเสบบริเวณเยื่อเมือกบุช้ันในของถุงน้ําดีหรือ
อาจมีการอักเสบตลอดความหนาของผนังถุงน้ําดี ทําให้ขัดขวางการไหลกลับของเลือดที่มาเลี้ยง
จึงเกิดการบวมและโป่งตึงของถุงน้ําดี ทําให้ปวดและเมื่อกดจะเจ็บบริเวณถุงน้ําดีและอาจคลํา
291
ดังนั้นหลักการจัดอาหารสําหรับผู้ป่วยถุงน้ําดีอักเสบเฉียบพลัน ถ้าผู้ป่วยกินอาหารได้
น้อย อาหารที่จัดควรต้องงดอาหารที่มีไขมันทั้งหมดก่อน อาหารที่ให้ครั้งแรกควรเป็นอาหารน้ํา
ประกอบด้วยโปรตีนประมาณ 30-40 กรัม และคาร์โบไฮเดรตประมาณ 200-300 กรัม ถ้า
ผู้ป่วยเริ่มมีอาการดีขึ้นจึงจะค่อยๆ เพิ่มอาหารให้มากขึ้น แต่ยังต้องจํากัดปริมาณไขมันให้ต่ําอยู่
คือประมาณวันละ 30-50 กรัม หรือไม่เกินร้อยละ 25 ของพลังงานทั้งหมด ระยะนี้ผู้ป่วยอาจ
กินอาหารอ่อนหรืออาหารธรรมดาก็ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับอาหารของผู้ป่วย
2. โรคถุงน้ําดีอักเสบเรื้อรัง
โรคถุงน้ําดีอักเสบเรื้อรัง (cholecystitis) โรคถุงน้ําดีอักเสบเรื้อรังเป็นการอักเสบ
อย่างเรื้อรังของผนังถุงน้ําดี ซึ่งมักเป็นผลมาจากนิ่วในถุงน้ําดี หรืออาจเกิดจากนิ่วในถุงน้ําดีใน
ภายหลัง และอาจเกิดการอักเสบเฉียบพลันแทรกซ้อนเมื่อใดก็ได้ถ้ามีการอุดตันของน้ําดีเกิดขึ้น
โดยลักษณะของถุงน้ําดีของผู้ป่วยจะพบได้ต้งั แต่รูปร่างปกติ หรือมีการเปลี่ยนแปลงของชัน้ ต่างๆ
ของผนังถุงน้ําดีเพียงเล็กน้อย จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงในผนังอย่างมากมาย เนื่องจากการ
อักเสบครั้งก่อนๆ อาจมีพังผืดติดกับอวัยวะใกล้เคียง ในรายที่เป็นมากๆ ถุงน้ําดีอาจฝ่อเล็กน้อย
2.1 อาการ และอาการแสดง อาการแสดงสําคัญของผู้ป่วยโรคถุงน้ําดีอักเสบเรื้อรัง
คือ ผู้ป่วยมีอาการปวดเสียดในท้องที่เกิดจากก้อนนิ่วผ่านไปตามทางเดินน้ําดี ผู้ป่วยจะปวดท้อง
มากจนเป็นตะคริวโดยเฉพาะบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา เนื่องจากการบีบตัวของถุงน้ําดี
และทางเดินน้ําดี เมื่อมีก้อนนิ่วไปอุดตันท่อน้ําดีชั่วคราว หลังจากที่ผ้ปู ่วยเริ่มปวดท้องน้อยๆ ไม่กี่
นาทีอาการปวดจะมากขึ้นทันที และคงอยู่เช่นนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วจะค่อยๆ ทุเลา อาการ
อื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น คือ ผู้ป่วยมักมีความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารส่วนบน เช่น คลื่นไส้
อาเจียน แน่นท้อง ท้องอืด เรอ เป็นต้น
2.2 การรักษา ใช้การผ่าตัดเอาถุงน้ําดีออก
2.3 หลักการจัดอาหาร พลังงานผู้ป่วยควรได้รับพลังงานเท่ากับความต้องการปกติ
คือ 30-35 กิโลแคลอรีต่อน้ําหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน อาหารที่จัดควรเป็นอาหารที่มีไขมันต่าํ มี
ไขมั น ประมาณร้ อ ยละ 25 ของพลั ง งานทั้ ง หมด หากจํ า เป็ น อาจใช้ ไ ขมั น ชนิ ด พิ เ ศษซึ่ ง มี
ส่วนประกอบเป็นกรดไขมันที่มีขนาดปานกลาง (medium chain triglycerides, MCT oil) ซึ่ง
สามารถดูดซึมได้ดีโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อย ปริมาณโปรตีนที่ผู้ป่วยได้รับ จัดให้ผู้ป่วย
ได้รับโปรตีนประมาณร้อยละ 15-20 ของพลังงานทั้งหมด ส่วนคาร์โบไฮเดรต ให้ได้ร้อยละ 50
ของพลังงานทั้งหมด
293
3. โรคนิ่วในถุงน้ําดี
โรคนิ่วในถุงน้ําดี (cholelithiasis) พบได้ประมาณร้อยละ 10-20 ของผู้ใหญ่ ประมาณ
สองในสามของผู้ป่วยที่มีนิ่วในถุงน้ําดีจะมีถุงน้ําดีอักเสบเรื้อรังเกิดด้วย ก้อนนิ่วที่พบอาจจะ
ประกอบด้ ว ยสารชนิ ด หนึ่ ง หรื อ หลายชนิ ด ก็ ไ ด้ เช่ น โคเลสเตอรอลอย่ า งเดี ย ว หรื อ มี
โคเลสเตอรอลเป็นส่วนใหญ่ และมีรงควัตถุน้ําดี (bile pigment) ก้อนนิ่วอาจจะเคลือ่ นไปมาอยูใ่ น
ถุงน้ําดีในขณะที่ถุงน้ําดีบีบตัวเพื่อขับน้ําดีเข้าสู่ลําไส้เล็ก หรือเมื่อน้ําดีจากตับมาพักสะสมอยู่ใน
ถุงน้ําดี ระยะนี้มักไม่ทําให้เกิดอาการ แต่เมื่อเคลื่อนที่เข้าไปในบริเวณคอของถุงน้ําดีหรือเข้าไป
ในท่อน้ําดีหรือท่อน้ําดีร่วมแล้ว อาจจะทําให้เกิดอาการขึ้นได้ ก้อนนิ่วอาจไปติดอยู่ตอนหนึ่งตอน
ใดของท่อทําให้เกิดอาการปวด
3.1 อาการ และอาการแสดง อาการจะรุนแรงมากน้อยและมีลักษณะใดมักขึ้นอยู่
กับความมากน้อยของการอุดตันที่เกิดจากก้อนนิ่ว และการเคลื่อนที่หรืออยู่กับที่ของก้อนนิ่ว
ตลอดจนว่ามีการอักเสบร่วมด้วยหรือไม่ การอุดตันของทั้งท่อน้ําดีและทั้งท่อตับอ่อนเนื่องจาก
ก้อนนิ่วอาจทําให้เกิดอาการต่อไปนี้คือ ปวดเสียดซึ่งอาจเกิดร่วมกับการมีไข้หนาวสั่น และดีซ่าน
ถ้ามีการอักเสบของท่อน้ําดีเกิดขึ้นด้วยอาการปวดมักจะอยู่ใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา แต่อาจ
โยงไปที่บริเวณส่วนบนของหลังหรือบริเวณด้านหน้าหัวใจก็ได้ ทําให้บางครั้งเข้าใจว่ามีหลอด
เลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อ หัวใจอุดตันหรือมีโรคของหลอดอาหาร อาจมีอาการคลื่นไส้และอาเจียน
ร่วมด้วย
น้ําดีมีหน้าที่ช่วยในการย่อยและการดูดซึมไขมัน ถ้าน้ําดีไม่สามารถเข้าสู่ลําไส้เล็กได้
มากขึ้น ไขมันก็จะถูกย่อยและถูกดูดซึมได้ยากทําให้ร่างกายขาดพลังงาน และอาจนําไปสู่การ
ขาดวิตามินเอ ดี อี และเค เพราะวิตามินดังกล่าวต้องอาศัยไขมันในการช่วยในการดูดซึม
3.2 การรักษา อาการปวดที่เกิดจากการอุกตันบางส่วนจะทุเลาลงภายในหนึ่งถึงสี่
ชั่วโมงหลังจากการให้ยาแก้ปวดหรือยาแก้อาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบ ปัจจุบันมีวิธีการ
รักษาโรคนิ่วโดยการใช้ยาละลายก้อนนิ่ว แต่วิธีการรักษาโรคนิ่วได้ดีที่สุดคือ การผ่าตัด
3.3 การจัดอาหารสําหรับผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ําดี อาหารที่ไม่มีโคเลสเตอรอลหรือ
อาหารที่มีโคเลสเตอรอลไม่มีผลในการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนิ่ว แต่อาหารไขมันจะกระตุ้นให้ถุง
น้ําดีทํางานเพื่อบีบให้น้ําดีหลั่งออกมาสู่ลําไส้เล็ก ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับถุงน้ําดีจึงควร
หลีกเลี่ยงอาหารมันๆ เช่น อาหารและขนมที่มีไขมันมาก อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบทั้ง
อาหารคาวและหวาน ช็อกโกแลต หรืออาหารทอด อาหารที่มีเครื่องเทศมากและอาหารที่มีรส
จัดเพราะอาจทําให้ท้องอืดลําไส้บีบตัวมากซึ่งจะกระตุ้นการทํางานของถุงน้ําดีด้วย
294
โรคกระเพาะอาหารและหลักการจัดอาหาร
1. โครงสร้างและหน้าที่ของกระเพาะอาหาร
กระเพาะอาหาร อยู่ถัดจากหลอดอาหาร บริเวณด้านบนซ้ายของช่องท้องถัดจากกระ
บังลม อยู่ในลักษณะเฉียง บริเวณลิ้นปี่ตรงสะดือ รูปร่างขนาดและตําแหน่งของกระเพาะอาหาร
เปลี่ยนแปลงได้ เช่น ในขณะกระเพาะอาหารว่าง กระเพาะอาหารมีเนื้อที่ประมาณ 50 ลูกบาศก์
เซนติเมตร แต่เมื่อมีอาหารเต็มที่ พื้นที่ของกระเพาะอาหารจะขยายได้ถึง 1,000-1,200 ลูกบาศก์
เซนติเมตร หน้าที่สําคัญของกระเพาะอาหาร คือ เป็นที่พักอาหารไว้ชั่วคราว รวมทั้งยังทําหน้าที่
ย่อยอาหารโดยเฉพาะอาหารประเภทโปรตีน ทําลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ปนมากับอาหาร เนื่องจาก
ภาวะในกระเพาะอาหารเป็ นกรด รวมทั้ งผลิ ตสารที่ ช่วยในการดู ดซึ มวิ ตามิ นบี 12 ที่ เรี ยกว่ า
“อินทรินสิกแฟคเตอร์” (intrinsic factor) ก่อนที่จะลําเลียงอาหารไปยังลําไส้เล็ก
กระเพาะอาหารนั้นสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือกระเพาะอาหารส่วนบน คือ ฟันดัส
(fundus) เป็นส่วนที่ยื่นเข้าไปเหนือส่วนหูรูด หรือลิ้นปิดและเปิดระหว่างหลอดอาหารกับ
กระเพาะที่เรียกว่า คาร์ดิแอก (cardiac sphincter) กระเพาะอาหารส่วนกลางคือ บอดี (body)
อยู่ตอนกลางเพื่อบรรจุอาหารจึงเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุด และกระเพาะอาหารส่วนล่าง คือ ไพโลรัส
(pylorus) เป็นส่วนที่แคบติดต่อกับลําไส้เล็กส่วนต้น มีหูรูดปิดและเปิด คือ ไพโลริก (pyloric
sphincter) (ภาพที่ 9.3)
ด้านในของกระเพาะอาหารมีลักษณะเป็นรอยย่นพับซ้อนกันมากมาย เรียกลักษณะ
ดังกล่าวว่า รูกี (rugae) จึงทําให้มีพื้นที่ผิวมากกว่าชั้นของกล้ามเนื้อเพื่อให้กระเพาะอาหาร
สามารถเพิ่มพื้นที่ ขยายตัวได้เมื่อได้รับอาหาร ที่ผนังด้านในของกระเพาะอาหารมีต่อมเพื่อทํา
หน้าที่สร้างน้ําย่อยและสร้างสารเมือก ต่อมที่สร้างน้ําย่อยในกระเพาะอาหารแบ่งออกเป็น 3
ชนิด ดังนี้
1.1 คาร์ดิแอค แกลนส์ (cardiac glands) เป็นต่อมน้ําย่อยที่ทําหน้าที่ขับน้ําเมือก
และไบคาร์บอเนต ซึ่งทําหน้าที่ป้องกันไม่ให้กรดและเอนไซม์ทําลายเยื่อบุของกระเพาะอาหาร
รวมทั้งช่วยหล่อลื่นอาหารเพื่อช่วยให้อาหารเคลื่อนที่ได้ง่ายในกระเพาะอาหารและลําไส้เล็กส่วนต้น
1.2 แกสตริก หรือฟันดิก แกลนส์ (gastric or fundic glands) ประกอบด้วย
เซลล์ 2 ชนิด คือ
1.2.1 ชีฟ เซลล์ (chief cells) ทําหน้าที่หลั่งน้ําย่อยเพปซิโนเจน
(pepsinogen)
1.2.2 พาไรเอทัล เซลล์ (parietal cells) ทําหน้าที่ในการหลั่งกรดเกลือ
(HCl) เพื่อช่วยให้น้ําย่อยทํางานได้ดีขึ้น โดยปกติต่อมพาไรเอทัล เซลล์ จะหลั่งกรดเกลือ
ประมาณ 150-160 มิลลิอิควิวาเลนต์ต่อลิตร มีผลให้ในกระเพาะอาหารมีภาวะเป็นกรด (pH 1-
3) และผลิตอินทรินสิกแฟคเตอร์
1.3 ไพลอริค แกลนส์ (pyloric glands) ทําหน้าที่ขับเอนไซม์เพปซิโนเจน และน้ําเมือก
กระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือ เพปซิโนเจน และสารเมือกในปริมาณที่เพียงพอและได้สัดส่วน
กัน ทั้งนี้โดยการควบคุมของระบบประสาทและฮอร์โมน ฮอร์โมนแกสตรินจะไปกระตุ้นให้มีการ
หลั่งกรดเกลือเพิ่มมากขึ้น กรดเกลือจะเปลี่ยนเพปซิโนเจนไปเป็นเพปซิน ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทํา
หน้าที่ย่อยโปรตีนในกระเพาะอาหารให้เป็นโปรตีโอส เปปโตน เพื่อลําเลียงส่งต่อไปยังลําไส้เล็ก
นอกจากนี้ ใ นกระเพาะอาหารสามารถย่ อ ยไขมั น ได้ บ้ า งเล็ ก น้ อ ยเนื่ อ งจากมี เ อนไซม์ ไ ลเปส
สําหรับคาร์โบไฮเดรตจะไม่มีการย่อยเกิดขึ้นในกระเพาะอาหาร อาหารที่ถูกคลุกเคล้ากับน้ําย่อย
ในกระเพาะอาหารเรียกว่า “ไคม์” (chyme) ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนเหลวๆ ข้นๆ ไคม์จะผ่านหูรูด
ด้านล่างของกระเพาะอาหารเข้าสู่ลําไส้เล็ก ตอนต้นหรือดูโอดีนัมทีละน้อย อาหารที่ผ่านจะ
กระตุ้ น ให้ ดู โ อดี นั ม หลั่ ง ฮอร์ โ มนเอนเทอโรแกสโตรน (enterogastrone) ไปควบคุ ม กระเพาะ
อาหารให้บีบรูดส่งอาหารมาสู่ดูโอดีนัมทีละน้อยจนหมด ถ้าอาหารที่กินเข้าไปเป็นอาหารเหลว
และมี ค าร์ โ บไฮเดรตอยู่ เ ป็ น จํ า นวนมากจะสามารถผ่ า นดู โ อดี นั ม ได้ เ ร็ ว กว่ า อาหารที่ มี
องค์ประกอบของไขมันจํานวนมาก โดยทั่วไปอาหารจะอยู่ในกระเพาะอาหารประมาณ 3 ชั่วโมง
สําหรับในกระเพาะอาหารนั้นจะไม่มีการดูดซึมสารอาหารโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน แต่
296
จากนั้นจึงค่อยๆ ให้เพิ่มมากขึ้นตามอาการและความต้องการของผู้ป่วยจนผู้ป่วยกินอาหาร
ธรรมดาได้ และถ้ามีการอาเจียนมากควรปรึกษาแพทย์
2) กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง สาเหตุที่แท้จริงและการเกิดโรคกระเพาะ
อาหารอักเสบเรื้อรังยังไม่เป็นที่ทราบแน่นอน การกินอาหารไม่เหมาะสม เหล้า บุหรี่ กาแฟ การ
ติดเชื้อ ภาวะแวดล้อม พันธุกรรม ความผิดปกติทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย ตลอดจนโรคขาด
สารอาหารต่ างๆ ล้ วนแต่ มีร ายงานว่ ามี ส่ว นสัม พันธ์กับ โรคนี้ แต่ ยัง หาข้อพิ สูจน์แน่ ชัดไม่ ได้
กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังทุกชนิดมักเกิดร่วมกับโรคแผลเปปติค และอาจมีมะเร็งในกระเพาะ
อาหารเกิดตามมาได้
อาการ มักมีความผิดปกติในการย่อยอาหาร แน่นหน้าบริเวณใต้ลิ้นปี่และหลังอาหาร
อาจมีอุจจาระร่วง เลือดออกและอาเจียนเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ใช่อาการเฉพาะของโรคนี้ ผู้ป่วยอาจ
กินอาหารไขมันมากและอาหารเผ็ดร้อนไม่ได้ ซึ่งจะมีอาการท้องอืด อึดอัด และมีลมในท้อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการกินอาหารจํานวนมาก อาการจะคล้ายกับอาการของแผลเปปติค
แต่จะไม่ทุเลาเมื่อให้ยาลดกรดทุกๆชั่วโมงเหมือนในแผลเปปติค ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการปวดตอน
ดึก อาจมีการเบื่ออาหารและน้ําหนักลดคล้ายมะเร็งในกระเพาะอาหาร อาจเกิดโลหิตจางจาก
การขาดเหล็กได้ถ้ามีเลือดออกข้องในหรือร่างกายดูดซึมเหล็กไม่ได้ ที่สําคัญที่สุดกว่าครึ่งหนึ่ง
ของผู้ป่วยกระเพาะอักเสบเรื้อรังจะไม่มีอาการเลย
การวิ นิ จ ฉั ย โดยมากจากการสอดเครื่ อ งมื อ ผ่ า นหลอดอาหารเข้ า ไปส่ อ งดู ก าร
เปลี่ยนแปลงในกระเพาะอาหาร และการตัดเนื้อในกระเพาะอาหารออกตรวจ
การรั ก ษาและการจั ด อาหาร ยั ง ไม่ มี ก ารรัก ษาที่ สามารถแก้ ไ ขการเปลี่ ย นแปลงใน
กระเพาะอาหารของโรคนี้ให้กลับคืนมาได้ ส่วนใหญ่จะเป็นการจัดอาหารอ่อนให้กับผู้ป่วยกิน
อาหารเป็นเวลาแล้วเคี้ยวให้ละเอียดก่อนจะกลืน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเครื่องชูรสหรือเครื่องเทศ
มาก โดยมากจะใช้หลักการเดียวกับโรคแผลเปปติค คือให้อาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
ร่วมกับการให้ยาต้านกรด พยายามหาสาเหตุที่ทําให้เกิดอาการและรักษา ในรายที่มีโลหิตจาง
ชนิดเพอร์นิเซียสเกิดด้วยก็ควรให้วิตามินบี 12
3. โรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร
มะเร็งกระเพาะอาหาร หมายถึง มะเร็งที่เกิดขึ้นตรงบริเวณเยื่อบุภายในโพรง
กระเพาะอาหาร เป็นมะเร็งที่พบได้พอประมาณ มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป มักจะ
ตรวจพบผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งชนิดนี้ในระยะสุดท้าย เนื่องจากผู้ป่วยมักจะมาหาหมอเมื่อมีอาการ
ปรากฏชัดเจน ได้แก่ อาการปวดท้องและน้ําหนักลด ซึ่งเป็นระยะที่มะเร็งลุกลามไปมากแล้ว จน
สุดจะเยียวยารักษาได้
301
ปัญหาในการบริโภค แนวทางในการจัดอาหาร
อาหาร
1.เบื่ออาหารและอิ่มเร็ว -แบ่งอาหารออกเป็นหลายๆ มื้อ ในแต่ละวัน
-ให้อาหารเสริมที่มีพลังงานและโปรตีนสูง
-หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารทอด
-จัดบรรยากาศในการรับประทานอาหาร
2.ท้องเดิน -แบ่งอาหารออกเป็นหลายๆ มื้อ
-จัดอาหารอ่อน และเพิ่มอาหารน้ํา
-งดอาหารที่เหนียว มีเส้นใยสูง
-หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารทอด
-หลีกเลี่ยงอาหารที่ทําให้เกิดแก๊ส อาหารที่มีเครื่องเทศ
-งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
3.คลื่นไส้ อาเจียน -กินอาหารในปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
-จัดอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก
-หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด มีเครื่องเทศ และมีกลิ่นแรง
-แพทย์อาจให้ยาเพื่อลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
4.ก า ร เ คี้ ย ว แ ล ะ ก ลื น -กินอาหารในปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
ลําบาก -ให้อาหารที่นุ่ม เปื่อย เคี้ยวง่าย
-ให้อาหารเสริมที่มีพลังงานและโปรตีนสูง
-หลีกเลี่ยงผัก ผลไม้ ที่มีใยอาหารสูง เนื้อแข็งกระด้าง ควรจัด
ผลไม้สุก เช่น มะละกอสุก มะม่วงสุก หรือน้ําผลไม้ให้ผ้ปู ่วย
-หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเครื่องเทศ อาหารที่มีลักษณะแห้ง เช่น
ขนมปังปิ้ง ทองม้วน
5.ท้องผูก -ให้ผ้ปู ่วยดื่มน้ํา หรืออาหารที่มีน้ํามากๆ
-เพิ่มการบริโภคอาหารที่มีใยอาหาร เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพด
ผัก และผลไม้ชนิดต่างๆ
304
ปัญหาในการบริโภค แนวทางในการจัดอาหาร
อาหาร
6.ปากแห้ง -กินอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
-กินอาหารที่น่มุ ไม่แห้ง หรือมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย เพื่อกระตุ้นให้
มีน้ําลาย
7.มีแก๊สในท้อง -หลี ก เลี่ ย งอาหารที่ มี ใ ยอาหารสู ง เช่ น ข้ าวซ้ อมมื อ ถั่ ว ชนิ ด
ต่างๆ
-หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารทอด
-แนะนําให้ผู้ป่วยสังเกตตนเองว่า อาหารอะไรที่ทําให้เกิดแก๊ส
เพราะแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน และหลีกเลี่ยงอาหารชนิดนั้น
-แนะนําให้ออกกําลังกายบ้าง
ที่มา (ดัดแปลงจาก รุจิรา สัมมะสุต, 2545, 42-44)
สรุป
ตั บ เป็ น อวั ย วะที่ มี ค วามสํ า คั ญ ในกระบวนการเมตาบอลิ ซึ ม ของสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน และยังทําหน้าที่สร้างน้ําดี ทําลายสารพิษต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย
และสร้างฮอร์โมนที่สําคัญหลายชนิด โรคตับอักเสบที่พบบ่อยที่สุดเกิดจากเชื้อไวรัส อาหารที่
ปนเปื้อนเป็นตัวแพร่เชื้อที่สําคัญ การจัดอาหารที่มีปริมาณโปรตีนและพลังงานอย่างเพียงพอ
และมีสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดีจะช่วยบําบัดรักษาโรคนี้ได้ สําหรับโรคตับแข็ง สาเหตุของการเกิด
305
ความหมายของโรคเกาต์
โรคเกาต์ (Gout) เป็นโรคที่เกิดจากการมีระดับกรดยูริก (uric acid) ในเลือดสูงขึ้น ทําให้
เกิดการอักเสบของข้อ เนื่องมาจากการเกาะของเกลือยูริก (uric) บริเวณข้อและเอ็น หากเป็น
เรื้อรังจะทําให้ข้อผิดรูปและเสียหน้าที่การทํางาน
การเกิดและการขับถ่ายกรดยูริกในร่างกาย
กรดยูริก (uric acid) มาจากการเผาผลาญขั้นสุดท้ายของสารพิวรีน (purine) ซึ่งพิวรีน
เป็นองค์ประกอบของนิวคลีโอโปรตีน (nucleoprotein) ในนิวเคลียสของเซลล์โดยถูกนํามาสร้าง
อาร์เอ็นเอ (RNA หรือ ribonucleic acid) และดีเอ็นเอ (DNA หรือ deoxy ribonucleic acid) ทั้งอาร์
เอ็นเอและดีเอ็นเอมีอยู่ในเซลล์ทุกเซลล์ที่มีชีวิตเป็นตัวที่กําหนดลักษณะธรรมชาติในร่างกาย
ร่างกายมนุษย์ได้พิวรีนมาจาก 2 แหล่งด้วยกัน ดังนี้
1. จากอาหาร
พิวรีน เป็นส่วนประกอบอยู่ในอาหาร และเป็นสารที่อยู่ในเซลล์ของสัตว์และพืช มี
มากในเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ พิวรีนทําหน้าที่เสริมสร้างอาร์เอ็นเอ (RNA : ribonucleic acid) และดี
เอ็นเอ (DNA : deoxy : ribonucleic acid ) พิวรีนที่ได้จากอาหารทั้งพืชและสัตว์อยู่ในรูปของ
นิวคลีโอโปรตีน เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป อาหารจะถูกย่อย ทําให้นิวคลีโอโปรตีนจาก
308
ภาวะกรดยูริกสูงในเลือด
ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง เป็นภาวะที่มียูเรตในเลือดมากกว่าปกติ โดยในผู้ชายจะมีค่า
มากกว่ า 7 มิลลิกรั มในเลื อด 100 มิ ลลิลิตร และในผู้หญิ งมากกว่า 6 มิ ลลิกรัมในเลื อด 100
มิลลิลิตร แต่ในผู้ที่มีกรดยูริกในเลือดสูงไม่จําเป็นต้องเป็นโรคเกาต์เสมอไป ภาวะกรดยูริกสูงพบ
ได้ประมาณร้อยละ 5 ของประชากร (สุจรรยา สุวรรณคีรี, 2537, หน้า 152)
สาเหตุของโรคเกาต์
ข้ออักเสบในโรคเกาต์เป็นหลังจากมีผลึกของโมโนโซเดียมยูเรตไปตกตะกอนในน้ําหล่อ
เลี้ยงข้อ และเนื้อเยื่อรอบๆ ข้อ ผลึกเหล่านี้จะถูกกินโดยเม็ดโลหิตขาวทําให้เม็ดโลหิตขาวปล่อย
เอนไซม์และสารเคมีออกมากระตุ้นปฏิกิริยาต่างๆ ทําให้เกิดการอักเสบ ปวด บวมแดง และร้อน
ตามมา โรคเกาต์นี้แบ่งตามสาเหตุได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
309
1. โรคเกาต์ที่เกิดขึ้นเอง
โรคเกาต์ที่เกิดขึ้นเอง (primary gout) โรคเกาต์ที่เกิดขึ้นเองพบบ่อยที่สุด ผู้ป่วย
เหล่านี้เกิดโรคเกาต์ตามหลังการมีการสร้างกรดยูริกมากเกินไป หรือขับถ่ายยูริกน้อยเกินไปก็ได้
มักพบในผู้ชายอายุระหว่าง 40-50 ปี โดยมากไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่บางคนเกิดจากความ
ผิ ด ปกติ ข องยี น (gene) ที่ ค วบคุ ม การสร้ า งและทํ า ลายกรดนิ ว คลิ อิ ค ซึ่ ง จะถ่ า ยทอดความ
ผิดปกตินี้ไปยังลูกหลานได้
2. โรคเกาต์ที่เกิดขึ้นจากสาเหตุอื่น
โรคเกาต์ที่เกิดขึ้นจากสาเหตุอื่น (secondary gout) อาจพบได้ในกรณีที่ผู้ป่วยบางคน
มีปัญหาเกิดขึ้นเนื่องจากภาวะเจ็บป่วยด้วยโรคอื่นมาก่อน หรือภาวะแทรกซ้อนจากโรค หรือ
การใช้ยารักษาโรคอื่นๆ ทําให้ขัดขวางการขับถ่ายกรดยูริกที่พบได้บ่อย มีผลให้กรดยูริกคั่งอยู่ใน
เลือด และในไขข้อมากขึ้น เช่น โรคไตเรื้อรังผลของการขับถ่ายกรดยูริกที่พบได้บ่อย มีผลให้กรด
ยูริกคั่งอยู่ในเลือด และในไขข้อมากขึ้น เช่น โรคไตเรื้อรังผลของการกินยาขับปัสสาวะเพื่อลด
ความดันโลหิตสูงภาวะเป็นพิษจากสารตะกั่ว โรคเบาหวานรุนแรง จนเลือดเกิดภาวะเป็นกรด
นอกจากสารตะกั่ว โรคเบาหวานรุนแรง จนเลือดเกิดภาวะเป็นกรด นอกจากนั้น การอดอาหาร
โดยดื่มน้ําไม่เพียงพอก็ทําให้หารขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะได้น้อย ส่วนบางโรคก็ทําให้มีการ
สร้างกรดยูริกมากเกินไป เช่น โรคมะเร็งของเม็ดโลหิต เป็นต้น
แอลกอฮอล์เป็นสารที่ก่อปัญหาให้แก่สุขภาพได้หลายชนิด เช่น ทําให้มีการสังเคราะห์
ไขมันในเลือดเพิ่มทําให้ไขมันเลือดสูง แอลกอฮอล์จะขัดขวางการดูดซึมของสารอาหาร รวมทั้ง
วิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินบี ทั้งทําให้เร่งการขับสารอาหารออกทางปัสสาวะได้หลาย
ชนิด การเผาผลาญแอลกอฮอล์ยังทําให้ร่างกายมีกรดแลกติค (lactic acid) คั่งในเลือดซึ่งจะไป
ขัดขวางการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะได้เช่นกัน ดังนั้น คนดื่มสุราจึงเป็นสาเหตุให้โรคเกาต์
กําเริบได้
อาการของโรคเกาต์
โรคเกาต์ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ (สุรัตน์ โคมินทร์ และ รัศมี คันธเสวี,2549, หน้า 128-129)
1. ระยะเริ่มแรก
อาการแรกที่เกิดขึ้นคือปวดรุนแรงอย่างทันทีทันใด โดยไม่มีอาการอื่นเตือนล่วง
หนาให้รู้ตัว มักเกิดที่หัวแม่เท้าเป็นแห่งแรก ส่วนที่นิ้วมือและที่เข่าจะพบน้อยกว่าเคยพบว่า
เกิดขึ้นภายหลังสวมรองเท้าบีบมากๆ หรือสวมถุงมือที่คับเกินไป อาจเกิดภายหลังที่กินอาหารที่
มีแคลอรีสูงมากๆ หรือดื่มสุราเกินขนาด บางครั้งอาจเกิดหลังผ่าตัด หรือหลังเป็นโรคติดเชื้อ
310
อาการแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นได้เมื่อโรคนี้กําเริบถึงส่วนอื่นของร่างกาย ที่น่าวิตกคือ
อาการแทรกซ้อนจากภาวะไตล้มเหลว ผลึกยูเรตอาจสะสมได้ในส่วนที่เรียกว่า “กรวยไต” เกิด
เป็นนิ่วในไตซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 10 – 25 ของผู้ที่มีกรดยูริกสูงในเลือด ถ้ามีการสะสมมาก
จนขัดขวางการทํางานของไต หรือทําลายเนื้อไตมากๆ ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะไตล้มเหลว และมีการ
คั่งของของเสียหลายชนิดในเลือดจนทําให้ผู้ป่วยตายได้ ภาวะไตล้มเหลวนี้จึงเป็นสาเหตุการ
ตายที่สําคัญของคนที่เป็นโรคเกาต์ (สุรัตน์ โคมินทร์ และ รัศมี คันธเสวี, 2539, หน้า 127-129)
การวินิจฉัยโรคเกาต์
การวินิจฉัยโรคเกาต์ ทําได้ 3 วิธี ดังนี้
1. การตรวจหาระดับกรดยูริกในเลือด
ค่ า ปกติ ข องกรดยู ริ ก ในเลื อ ดของผู้ ช าย ประมาณ 6-7 มิ ล ลิ ก รั ม ในเลื อ ด 100
มิ ล ลิ ลิ ต ร สํ า หรั บ ผู้ ห ญิ ง จะต่ํ า กว่ า นี้ เ ล็ ก น้ อ ย การตรวจหาระดั บ กรดยู ริ ก ในเลื อ ดเพื่ อ ใช้
วินิจฉัยโรคเกาต์พบว่าอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ เนื่องจากในผู้ป่วยโรคเกาต์เฉียบพลันอาจจะตรวจ
ไม่พบกรดยูริกสูงก็ได้ หรือในผู้ป่วยที่รับประทานยาบางประเภทอาจจะมีผลให้มีระดับกรดยูริก
ในเลือดสูงหรือต่ํากว่าปกติก็ได้ แต่การตรวจหากรดยูริกในเลือดเหมาะสมสําหรับใช้ในการ
ติดตามผลการรักษามากกว่า
2. การเอกซเรย์ขอ้ ที่ปวด
ในผู้ป่วยที่ข้อบวมอย่างเฉียบพลัน มักจะไม่พบสิ่งผิดปกติในการเอกซเรย์ แต่ใน
ผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์มานานและเรื้อรัง เมื่อเอกซเรย์จะพบว่ากระดูกพรุน และมีการทําลายของ
ข้อที่อักเสบ และอาจจะพบก้อนผลึกยูริกเกาะอยู่ตามกระดูก
3. การเจาะน้ําในข้อ
การเจาะน้ําในข้อออกมาตรวจเป็นวิธีการวินิจฉัยโรคเกาต์ที่ดีและได้ผลมากที่สุด โดย
นําเอาน้ําในข้อมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่มีเลนส์พิเศษ สามารถเห็นผลึกของกรดยูริกที่เป็น
เข็มยาวได้
การรักษาโรคเกาต์
ผู้ป่วยโรคเกาต์ ควรได้รับการดูแลและการรักษาอย่างถูกต้อง โรคเกาต์ทําให้ผู้ป่วยมี
คุณภาพชีวิตที่ไม่ดี ผู้ป่วยเกิดความทุกข์ทรมานจากอาการปวดตามข้อที่เกิดขึ้นเป็นประจํา และ
ยั ง ทํ า ให้ ผู้ ป่ ว ยเกิ ด โรคแทรกซ้ อ นต่ า งๆ ตามมา การรั ก ษาโรคเกาต์ ยั ง ไม่ ส ามารถรั ก ษาให้
312
หายขาดได้ผู้ป่วยจําเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาอย่างต่อเนื่อง นอกจากยาแล้วผู้ป่วยต้อง
ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ และบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการและเหมาะสมกับโรค
1. การให้ยา
ยาที่แพทย์นํามาใช้ในการรักษาโรคเกาต์ มีด้วยกันหลายชนิด แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
1.1 กลุ่มยาระงับปวด เนื่องจากผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดข้ออย่างมาก แพทย์จึงสั่ง
ยาระงับปวดให้กับผู้ป่วย
1.2 กลุ่มยาที่มีฤทธิ์ในการขับกรดยูริกออกจากร่างกาย มีผลให้กรดยูริกในเลือด
ลดลงสู่ระดับปกติ แต่ผู้ป่วยจะต้องใช้ยาติดต่อกันอย่างสม่ําเสมอเป็นเวลานาน จึงจะมีผลให้
ผลึกยูเรตที่สะสมอยู่ตามข้อกระดูกค่อยๆ สลาย และถูกขับออกทางปัสสาวะ
1.3 กลุ่ ม ยาลดการสั ง เคราะห์ ก รดยู ริ ก ในร่ า งกาย ยากลุ่ ม นี้ จ ะไประงั บ การ
ปฏิบัติการของเอนไซม์แซนทีน ออกซีเดช (xanthine oxidase) ซึ่งเป็นตัวควบคุมปฏิกิริยาในการ
สังเคราะห์กรดยูริกจากสารแซนทีน และไฮโปแซนทีน (hypoxanthine) ภายในร่างกาย
2. การพักผ่อน
เนื่องจากผู้ป่วยโรคเกาต์ จะมีอาการอักเสบของข้อ ดังนั้นเมื่อมีอาการอักเสบเกิดขึน้
ผู้ป่วยควรพักผ่อน หยุดการใช้ข้อเพื่อมิให้อาการกําเริบ และเป็นการบรรเทาอาการปวด
หลักการจัดอาหารให้กับผู้ป่วยโรคเกาต์
การรักษาโรคเกาต์ให้ได้ผล มีความจําเป็นที่ต้องใช้ยาควบคู่กับการควบคุมอาหาร โดย
ให้ผ้ปู ่วยจํากัดอาหารที่มีพิวรีน ดังนั้นหลักในการจัดอาหารมีดังนี้
1. ปริมาณพิวรีนในอาหาร
การควบคุมอาหารให้ผู้ป่วยโรคเกาต์ได้รับอาหารที่มีพิวรีนต่ํา จะมีผลช่วยให้ระดับ
ของกรดยูริกในเลือดของผู้ป่วยต่ําลงได้ประมาณ 0.5-1 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร โดย
ปกติอาหารที่เรารับประทานประจําวันมีพิวรีนประมาณ 600-1,000 มิลลิกรัม อาหารที่มีพิวรีน
สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ (วิมลรัตน์ จงเจริญ, 2543, หน้า 245)
1.1 อาหารกลุ่มที่ มีพิ วรี นน้ อย ได้ แ ก่ ข้าว ขนมปังต่างๆ เนยแข็ง เนยเหลว คุก กี้
ธัญพืช ก๋วยเตี๋ยว มักกะโรนี ผัก และผลไม้ชนิดต่างๆ นมและผลิตภัณฑ์จากนม ไข่ ไอศกรีม
ช็อคโกแลต ชา กาแฟ น้ําตาล เกลือ ไขมัน ผลไม้เปลือกแข็ง ข้าวโพดคั่ว คัสตาร์ด ครีม เครื่อง
ชูรส น้ําส้มสายชู
1.2 อาหารกลุ่มที่มีพิวรีนปานกลาง คือ มีพิวรีนประมาณ 9-100 มิลลิกรัมต่อ
อาหาร ในส่วนที่กินได้ 100 กรัม ได้แก่ เนื้อหมู วัว แพะ ปลา ปลากะพงแดง ปลาหมึก หอย กุ้ง
313
ถั่วเมล็ดแห้ ง ถั่ วลิ สง ใบขี้เหล็ก สะตอ ผักโขม ถั่วลันเตา ถั่วแขก หน่ อไม้ หน่ อไม้ ฝรั่ ง เห็ ด
กระถิน ชะอม
1.3 อาหารกลุ่มที่มีพิวรีนมาก คือ มีพิวรีน 100-1,000 มิลลิกรัมต่ออาหาร ในส่วน
ที่กินได้ 100 กรัม ได้แก่เครื่องในสัตว์ เนื้อไก่ เป็ด ห่าน ปลาดุก ไข่ ปลาซาร์ดีนกระป๋อง ปลา
ไส้ตัน ปลายขนาดเล็ก กะปิ น้าํ สลัดเนื้อ ซุปก้อน ยีสต์ น้ําต้มกระดูก น้ําซุปต่างๆ
2. พลังงานและสารอาหารที่ควรได้รับ
2.1 พลังงานที่ควรได้รับ ผู้ป่วยควรได้รับพลังงานประมาณ 30-35 กิโลแคลอรีต่อ
น้ําหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่ในผู้ป่วยโรคเกาต์ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีน้ําหนักตัวเกิน ดังนั้นจึงควร
จะต้องลดน้ําหนักโดยการจํากัดปริมาณพลังงาน ให้ผู้ที่ต้องการลดน้ําหนักได้รับพลังงานจาก
อาหารวันละ 1,200-1,600 กิโลแคลอรีเพื่อให้ผู้ป่วยมีน้ําหนักตัวใกล้เคียงกับน้ําหนักมาตรฐาน
ข้อควรระวังในการจัดอาหารลดพลังงานในผู้ป่วยโรคเกาต์ที่แสดงอาการรุนแรง ไม่ควรให้ผู้ป่วย
กินอาหารที่มปี ริมาณพลังงานต่ํา เพราะจะทําให้เกิดการสลายตัวของไขมันในเนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งจะ
ทํ าให้ ร่ างกายขั บยู ริ กออกน้ อยลง การลดน้ํ าหนั กโดยการอดอาหารหรื อการให้ ผู้ ป่ วยได้ รั บ
พลังงานที่ต่ํามาก จะทําให้เกิดอาการของโรคเกาต์ได้
2.2 โปรตีน ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรได้รับโปรตีนประมาณร้อยละ 12-15 ของพลังงานที่
ได้รับ หรือเท่ากับ 0.8 -1.2 กรัมต่อน้ําหนัก 1 กิโลกรัมของน้ําหนักตัวมาตรฐาน แต่ผู้ป่วย
จําเป็นต้องเลือกแหล่งของโปรตีนโดยพยายามไม่ให้เป็นแหล่งของพิวรีน เพราะจะทําให้มีกรด
ยูริกในเลือดสูง และส่งผลให้โรคกําเริบขึ้นได้
2.3 คาร์โบไฮเดรต ผู้ป่วยควรไดรับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตประมาณร้อยละ 55-
60 ของพลังงานที่ได้รับ โดยให้ผู้ป่วยได้รับคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ผู้ป่วยไม่ควรบริโภคน้ําตาล
เกินร้อยละ 10 ของพลังงานที่ควรได้รับ และไม่ควรบริโภคน้ําตาลฟรักโทส เพราะจะทําให้เกิด
กรดยูริกในเลือดสูงได้
2.4 ไขมัน ผู้ป่วยควรได้รับพลังงานจากอาหารประมาณ 25-30 ของพลังงานที่ควร
ได้รับ ผู้ป่วยไม่ควรกินอาหารที่มีไขมันมาก เพราะไขมันจะช่วยเพิ่มระดับโคเลสเตอรอลในเลือด
ให้สูงได้ นอกจากนี้การได้รับไขมันในปริมาณมากๆ จะมีผลทําให้น้ําหนักตัวของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น
อย่างรวดเร็ว และส่งผลให้ผู้ป่วยต้องรับน้ําหนักตัวที่เพิ่มขึ้นทําให้ข้อที่ปวดอยู่แล้วมีอาการปวด
และอักเสบมากขึ้น
3. ชนิดของอาหารที่รับประทานได้และอาหารที่ควรรับประทาน
3.1 ผักและผลไม้ ผู้ป่วยควรได้รับผักและผลไม้อย่างเพียงพอ ยกเว้นผักและถั่วที่มี
พิวรีนสูง เช่น เห็ด ชะอม กระถิน หน่อไม้
314
การกําหนดและการจัดรายการอาหาร
การกําหนดและจัดรายการอาหารสําหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ เพื่อให้จํากัดพิวรีนให้เป็นไป
ตามที่ต้องการเป็นเรื่องที่ค่อนข้างทําได้ยาก เพราะอาหารแต่ละชนิดมีปริมาณพิวรีนที่ไม่เท่ากัน
และยังไม่สามารถใช้ตารางรายการอาหารแลกเปลี่ยนมาคํานวณกําหนดปริมาณของพิวรีนได้
ดังนั้นในการกําหนดและจัดอาหารให้กับผู้ป่วยจึงกําหนดให้ผู้ป่วยได้รับพลังงานต่ํา (1,200-
1,600 กิโลแคลอรีต่อวัน) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาวะโภชนาการและกิจกรรมของผู้ป่วยแต่ละบุคคล
สําหรับสารอาหารกําหนดให้ได้รับโปรตีนร้อยละ 50-65 โปรตีน ร้อยละ 10-15 และไขมันร้อย
ละ 25-30 ของพลังงานทั้งหมด และเนื่องจากไม่สามารถกําหนดและคํานวณปริมาณสารพิวรีน
ในอาหารแต่ละชนิดได้ชัดเจน ดังนั้นการจัดอาหารที่สําคัญคือ ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีพวิรีนสูง
ตัวอย่างการกําหนดและจัดอาหารสําหรับผู้ป่วยโรคเกาต์
แพทย์กําหนดให้ผู้ป่วยโรคเกาต์ ได้รับพลังงาน 1,200 กิโลแคลอรีต่อวัน คาร์โบไฮเดรต
: โปรตีน : ไขมัน เท่ากับ 55 : 15 : 30 ของพลังงานทั้งหมด ให้กําหนดและจัดอาหารสําหรับ
ผู้ป่วยโรคเกาต์
315
มื้ออาหาร
หมวดอาหาร ส่วน เช้า เที่ยง ว่างบ่าย เย็น
นมพร่องมันเนย 1 1 - - -
ผัก ก กินได้ตามชอบ
ผัก ข 3 1 1 - 1
ผลไม้ 4 1 1 1 1
ข้าว 4 1 1.5 - 1.5
เนื้อสัตว์ไขมันต่ํามาก 3.5 1 1 - 1.5
ไขมัน 6.5 2 1 - 3.5
จํานวน น้ําหนัก
มื้ออาหาร รายการอาหาร ส่วนประกอบ
ส่วน (กรัม)
เช้า 1 ข้าวสวย ข้าวสวย 1 55
2 ผัดฟักทอง ฟักทอง 1 70
น้ํามันพืช 2 10
3 ปลาทูนึ่ง ปลาทูนึ่ง 1 30
4 นมพร่องมันเนย นมพร่องมันเนย 1 240
5 ผลไม้ ส้มเขียวหวาน 1 150
กลางวัน 1 ข้าวสวย ข้าวสวย 1.5 82.5
2 แกงส้มดอก- ดอกกะหล่ํา 1 70
กะหล่ํา-ปลากะพง ปลากะพง 1 30
3 แกงจืดตําลึง ตําลึง ตาม -
น้ํามันพืช (น้ํามัน ชอบ 5
4 ผลไม้ กระเทียมเจียว) 1 120
ฝรั่ง 1
ว่างบ่าย 1 ผลไม้ องุ่น 1 100
เย็น 1 ข้าวสวย ข้าวสวย 1.5 82.5
2 ผัดผักบุ้ง ผักบุ้ง ตาม -
น้ํามันพืช ชอบ 17.5
3 แกงเลียงกุ้งสด บวบ 3.5
ฟักทอง
ใบแมงลัก 70
ข้าวโพดอ่อน 1
กุ้ง 30
4 ผลไม้ แตงโม 1 285
1
319
สรุป
โรคเกาต์ เป็นโรคที่เกิดจากการมีกรดยูริกในเลือดสูงมากกว่าปกติ โดยมีระดับกรดยูริก
สูงเป็นระยะเวลานาน จนทําให้เกิดการตกผลึกของยูริกตามเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ทําให้เกิดอาการ
อักเสบของข้อ หรือ เอ็น ทําให้ผู้ป่วยมีอาการปวด บวม แดง และร้อน กรดยูริกที่ร่างกายได้รับ
ถูกสร้างขึ้นที่ตับจากสารพิวรีนที่ร่างกายได้จากการสังเคราะห์ในร่างกายเองและจากการบริโภค
อาหาร การรักษาโรคเกาต์มีท้ังการใช้ยาและการควยคุมอาหาร อาหารที่ผู้ป่วยควรบริโภค คือ
อาหารนั้นต้องครบทั้ง 5 หมู่ มีปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายและช่วยให้ผู้ป่วย
มีภาวะโภชนาการที่ดี อาหารที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรหลีกเลี่ยง คือ อาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่อง
ในสัตว์ กะปิ ปลากระป๋อง ไข่ปลา น้ําต้มเนื้อ ยอดผักโขม ชะอม ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น และผู้ป่วย
ต้องงดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เพราะจะทําให้มีการขับกรดยูริกออกจากร่างกายน้อยลง
การจัดอาหารอย่างเหมาะสมและให้ความรู้ในเรื่องของสารพิวรีนในอาหารจะช่วยให้ผู้ป่วย
ปฏิบัติตัวในเรื่องของอาหารได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการรักษาของแพทย์ และทําให้
ผู้ป่วยทุเลาจากโรคที่เป็นอยู่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
320
บทที่ 11
อาหารสําหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี (ที่ยงั ไม่มีอาการ)
ความหมายของโรคเอดส์
เอดส์ มีชื่อภาษาอังกฤษคือ Acquired Immunodeficiency Syndrome หรือเรียกย่อๆ ว่า
AIDS มีความหมายดังนี้
A คือ Acquired หมายถึง ภาวะที่เกิดขึ้นในภายหลัง มิได้เป็นมาแต่กําเนิดหรือ
สืบสายเลือดทางพันธุกรรม
I คือ Immune หมายถึงเกี่ยวกับระบบภูมิค้มุ กันหรือภูมิต้านทานของร่างกาย
D คือ Deficiencyหมายถึงความบกพร่องหรือขาด
S คือ Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการคือโรคที่มีอาการหลาย ๆ อย่างไม่
เฉพาะที่ระบบใดระบบหนึ่ง
ดังนั้นเอดส์จึงหมายถึง กลุ่มอาการภูมิค้มุ กันเสื่อม โดยที่คณะอนุกรรมการบัญญัติศัพท์
แพทย์ของราชบัณฑิตยสถาน ได้ประชุมกันแล้วเห็นว่าคําว่า "เสื่อม" นั้น หมายถึง สิ่งที่เคยดีมา
ก่อนอยู่แล้วเกิดขาดพร่องไปในภายหลัง ซึ่งน่าจะตรงกับคําว่า Acquired มากกว่าคําว่า
"บกพร่อง" ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าขาดตั้งแต่กําเนิดหรือเกิดมาขาดในภายหลัง นอกจากนี้ยังมี
ผู้ให้ความของโรคเอดส์ไว้ดังนี้
322
ประวัติของโรคเอดส์
ได้มีรายงานในวงการแพทย์เป็นครั้งแรกเกี่ยวกับโรคเอดส์ ในเดือนมิถุนายน 2524 ใน
ประเทศสหรัฐอเมริกาว่าในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2523 ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2524
พบโรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติสคารินิไอ ในชายรักร่วมเพศ 5 คน ในโรงพยาบาล 3 แห่ง
ของเมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งโรคนี้พบได้น้อยมากในคนที่สุขภาพดี ชายทั้ง 5 คน
นี้ เ คยเป็ น คนแข็ ง แรงดี ม าก่ อ น ไม่ มี ป ระวั ติ รั บ ยากดภู มิ คุ้ ม กั น และจากการตรวจทาง
ห้องปฏิบัติการพบว่า ภูมิค้มุ กันชนิดเซลเสียไปด้วย
การศึกษาย้อนหลังพบว่าโรคเอดส์ เริ่มปรากฏในประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2521
แล้ว แต่เพิ่งจะมารายงานในปี 2524 และถ้าศึกษาซีรั่มที่เก็บย้อนหลังไปนานๆ จะพบว่าใน
ประเทศอัฟริกาเองก็พบหลักฐานของการติดเชื้อโรคเอดส์ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2513 และในขณะที่
รายงานโรค เอดส์เป็นครั้งแรก ในสหรัฐอเมริกานั้น ประเทศอื่น ๆ ในแถบอื่น ก็มีผู้ป่วย
เช่นเดียวกัน เช่น ในทวีปยุโรป ภายหลังที่มีข่าวระบาดของโรคในสหรัฐอเมริกา จึงได้มีการตื่นตัว
เฝ้าระวังโรค โดยการศึกษาย้อนหลังในประเทศฝรั่งเศส พบผู้ป่วยเอดส์ รายแรกในปี 2522 ส่วน
ในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์น้ัน พบผู้ป่วย เอดส์ รายแรกในปี 2525 ในประเทศญี่ปุ่น
รายงานผู้ป่วยเอดส์ รายแรกเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2528 สําหรับในประเทศไทยเริ่มมีการ
รายงานผู้ป่วย
เอดส์ครั้งแรกจากโรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2527 นักวิทยาศาสตร์
ใช้เวลา 2 ปี จึงทราบว่าโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส และในปี 2528 จึงสามารถคิดค้นวิธีการ
ตรวจหาแอนติบอดี้ต่อเชื้อไวรัสโดยวิธีอีไลซ่า
ระบาดวิทยาของโรคเอดส์
การระบาดของโรคเอดส์ ที่แพร่กระจายไปอย่างมากมายในปัจจุบันนั้น สามารถแยก
ออกได้ดังนี้
1. แบ่งตามระยะเวลาของการกําเนิดโรค
เมื่ อ พิ จ ารณาตามระยะเวลาของการกํ า เนิ ด โรคเอดส์ สามารถแบ่ ง การระบาด
ออกเป็น 3 ครั้งติดต่อกัน คือ
1.1 การระบาดของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีในระยะแรก ซึ่งไม่มีใครทราบว่าจะเริ่ม
ระบาดเมื่อไรและจากที่ใด แต่ที่แน่ๆ คือ เชื้อไวรัสได้แพร่ไปหลายประเทศทั่วโลก ตัง้ แต่ประมาณ
ปี 2518 และปัจจุบันนี้อาจจะแพร่ไปทุกประเทศแล้ว
324
ในกลุ่มนี้จะยังคงดําเนินควบคู่ไปกับกลุ่มหญิงบริการ หากค่านิยมและพฤติกรรมการเที่ยวหญิง
บริการยังไม่เปลี่ยนแปลง
2.5 ระยะที่ 5 เป็นระยะที่คาดว่าอีก 5-20 ปี จะพบการระบาดของเชื้อเอดส์ในหญิง
ทั่วไป คือ หญิงที่กําลังจะแต่งงานหรือหญิงที่เป็นแม่บ้านและลูกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อ เอดส์
หากไม่มีการป้องกันที่ดี
การติดต่อของโรคเอดส์
ในทางระบาดวิทยาของโรคติดเชื้อนั้น ต้องพิจารณาถึงตัวที่เป็นแหล่งอาศัยของเชื้อ
(reservior) ทางที่เชื้อออก ทางที่เชื้อเข้า และตัวที่เป็นแหล่งให้เชื้อเข้าไปอยู่ (host) ดังนั้นการ
ติดต่อ คือ การที่เชื้อออกจากพาหะนําโรค ไปเข้าอยู่ในแหล่งใหม่
สําหรับโรคเอดส์ แหล่งอาศัยของเชื้อ คือ "คน" เมื่อสารน้ําที่ออกจากผู้ที่ติดเชื้อ เช่น
เลือด น้ําอสุจิ หรือน้ําคัดหลั่งจากช่องคลอด สู่สิ่งแวดล้อมภายนอก เชื้อจะไม่มีการแบ่งตัวเพิ่ม
จํานวน และจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ชั่วโมงก็จะตาย แมลงต่าง ๆ รวมทั้งยุงไม่ใช่แหล่งอาศัย หรือ
ตัวพาหะนําโรคดังนั้นโรคเอดส์ สามารถติดต่อกันได้หลายทาง ได้แก่
1. การติดต่อทางเพศสัมพันธ์
โรคเอดส์สามารถติดต่อได้ท้ังจากชายสู่หญิง หญิงสู่ชาย ชายสู่ชาย นั่นคือการมี
เพศสัมพันธ์ (sexual transmission) แบบรักต่างเพศ รักร่วมเพศ และ รักสองเพศ แม้ว่าความ
เสี่ยงของการติดเชื้อ จากการมีเพศสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวจะมีน้อย แต่ก็เกิดขึ้นได้และความเสีย่ ง
จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ามีเพศสัมพันธ์หลาย ๆ ครั้ง ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ชาย ในการรับ
เชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ มีการศึกษาพบว่า คู่นอนของผู้ติดเชื้อเอดส์กว่าร้อยละ 50 จะติดเชื้อ
เอดส์ไป
จากการศึกษาพบว่าในปัจจุบันของประเทศไทย ผู้ป่วยเอดส์และผู้มีอาการสัมพันธ์กับ
เอดส์ มีพฤติกรรมเสี่ยงอันดับหนึ่ง จากเพศสัมพันธ์แบบรักต่างเพศ โดยพบในชาย : หญิง
เท่ากับ 7.06 : 1 จะเห็นได้ว่า กลุ่มบุคคลที่มีการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ โดยอาชีพ ได้แก่ กลุ่มหญิง
บริการ และชายบริการเป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูงในการติดเชื้อเอดส์ และเป็นกลุ่มที่มีการ
แพร่กระจายเชื้อไปยังผู้ใช้บริการได้สูง หากไม่มีการป้องกันที่ดี
2. การติดต่อทางเลือด
พบได้บ่อยจากการรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์ของเลือด ขณะทําการผ่าตัด หรือเพื่อ
รักษาโรคเลือด บางชนิด การใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาที่ปนเปื้อนเชื้อ การปลูกถ่ายอวัยวะหรือ
การผสมเทียม
326
ในระยะแรกของการระบาดของโรคเอดส์ในสหรัฐอเมริกา พบว่ากลุ่มผู้ป่วยฮีโมฟีเลีย
(Hemophilia) มีการติดเชื้อเอดส์สูง เนื่องจากกลุ่มนี้จําเป็นต้องได้รับปัจจัยในการแข็งตัวของ
เลือดที่ขาดไป คือ factor VIII ซึ่งขั้นตอนในการเตรียมนั้นทําได้โดยสกัดเอา factor VIII
จากพลาสม่า ซึ่งอาจต้องใช้พลาสม่ามากกว่า 1 ยูนิต นั่นคือใช้เลือดจากผู้บริจาคมากกว่า 1 คน
โอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อเอดส์จึงมีมากขึ้น
จากการรายงานของศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกา พบว่าในปี พ.ศ.2531 มีผู้ป่วย
เอดส์จากการรับเลือดจํานวน 377 ราย พบว่าเป็นผู้ป่วยที่ได้รับเลือดหลังปี พ.ศ.2528 เพียง 14
รายเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ.2532 พบว่าผู้ป่วยเอดส์จากการรับเลือดเพิ่มขึ้นเป็น 793 ราย ทั้งนี้
อาจเนื่องจากเป็นการติดเชื้อตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2528 ซึ่งเป็นระยะแฝงของโรค เพราะตั้งแต่ปี
พ.ศ.2528 เป็นต้นมา ได้มีการตรวจเลือดก่อนให้ผู้ป่วยทุกราย แต่ข้อจํากัดของการตรวจหา
แอนติบอดี้ต่อเชื้อเอชไอวีในช่วงที่ผู้ป่วยเริ่มรับเชื้อ จนถึงช่วงก่อนการที่ร่างกายผู้ป่วยจะสร้าง
แอนติบอดี้ (Windowperiod) ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เวลา 2-3 เดือนหลังจากได้รับเชื้อแต่บางรายอาจใช้
เวลานานถึง 3 ปีครึ่งหรือบางรายอาจนานกว่า 8 ปี นั่นคือ ช่วงที่ตรวจอาจเป็นช่วง "window
period" จึงทําให้ผลเลือดเป็นลบปลอม
ในกลุ่มผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด เป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเอดส์
สูงมากจากการใช้เข็ม และกระบอกฉีดยาร่วมกัน เนื่องจากต้องการแสดงความเป็นเพื่อนตาย
ร่วมสายเลือด และต้องการแสดงว่าเป็นพวกเดียวกัน บางคนไม่สามารถหาเข็ม และกระบอกฉีด
ยาแยกใช้เฉพาะตัวได้ เนื่องจากไม่มีเงิน หรือช่วงที่อยากยามาก ๆ หรือเสี้ยนยานั้นจะควบคุม
ตัวเองไม่ได้ ดังนั้นหากคนแรกติดเชื้อ คนที่สองซึ่งนําเอาเข็มที่คนแรกใช้แล้วมาใช้อีก ก็จะติดเชื้อ
โดยตรงจากเลือดของคนแรกที่ติดอยู่ปลายเข็มนั้น
สําหรับการผสมเทียมนั้น พบอุบัติการณ์การนําเชื้ออสุจิที่ติดเชื้อเอชไอวี เข้าไปผสม
เทียมแล้วในสหรัฐอเมริกา แต่ในประเทศไทยยังไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าว แวนโวริส และคณะ ได้
ศึกษาเชื้อไวรัสในน้ําอสุจิ โดยนําเลือดและน้ําอสุจิจากชายรักร่วมเพศที่ติดเชื้อเอดส์ จํานวน 25
ราย มาศึกษา โดยวิธี Polymerase chain reaction พบมียีโนมของไวรัสเอชไอวี ในน้ําอสุจิเพียง 1
รายเท่านั้น แต่เมื่อทําการเพาะเชื้อเป็นเวลา 1 เดือน พบ 4 รายใน 24 ตัวอย่าง จากการที่พบเชื้อ
เอชไอวีในน้ําอสุจิในอัตราที่ต่ํา คณะผู้วิจัยคิดว่า เชื้อเอชไอวี อาจติดอยู่ในเม็ดเลือดขาวในน้ํา
อสุจิ ซึ่งถ้าเป็นจริงดังที่ผ้วู ิจัยคิด ก็อาจจะแยกเม็ดเลือดขาวออกจากน้ําอสุจิ ก่อนที่จะนําน้าํ อสุจิ
ที่เหลือ แต่ตัวอสุจิไปผสมเทียม ซึ่งทําให้การผสมเทียมปลอดภัยจากเชื้อเอชไอวีมากขึ้นกว่าใน
ปัจจุบัน แต่ไม่สอดคล้องกับการศึกษาของ สคอฟิลค์ และคณะรายงานผลการวิจัยในการ
ประชุมเอดส์นานาชาติครั้งที่ 7 ที่อิตาลี ว่าตัวอสุจิไม่เพียงแต่จะช่วยทําให้เกิดการติดเชื้อเอชไอวี
327
อาการของผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี
ผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวีจะปรากฏอาการที่แตกต่างกัน มีต้งั แต่ไม่ปรากฏอาการเลยไปจนถึง
มีอาการของมะเร็ง หรือโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่ร้ายแรง จนทําให้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ดังนั้น
การจัดแบ่งระยะต่าง ๆ ของการติดเชื้อโรคเอดส์ จึงเป็นประโยชน์ในการดูแลรักษาผู้ป่วย ในการ
พยากรณ์โรคได้แน่นอนมากขึ้น รวมถึงประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพยาธิกําเนิด การ
ดําเนินของโรค การทดลองยาและวัคซีนด้วย ในประเทศไทย กองระบาดวิทยาร่วมกับกองโรค
เอดส์ เป็นแกนประสานความร่วมมือกับนักวิชาการจากสถาบันต่าง ๆ ได้แบ่งระยะการติดเชื้อ
โรคเอดส์ออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
1. ระยะติดเชื้อที่ไม่ปรากฏอาการ ตรวจพบแอนติบอดี้ต่อเชื้อเอชไอวีในเลือด
2. ระยะติดเชื้อที่ปรากฏอาการ ตรวจพบแอนติบอดี้ต่อเชื้อเอชไอวีในเลือด ร่วมกับมี
อาการของโรค หรือกลุ่มอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะภูมิคุ้มกัน ดังนี้ ติดเชื้อราในปาก เป็น
โรคงูสวัด บนผิวหนัง มีอาการผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง เช่น สับสน จิตเสื่อม ซึม ชัก
ไม่รู้สึกตัว อุจจาระร่วงเรื้อรังนานกว่า 1 เดือน มีไข้เป็นประจําหรือเป็น ๆ หาย ๆ นานกว่า 1
เดือน น้ําหนักตัวลดเกินร้อยละ 10 ของน้ําหนักตัวเดิม อ่อนเพลีย หมดแรงมานานกว่า 1 เดือน
มีผื่นที่ผิวหนังเรื้อรังนานกว่า 1 เดือน ซีด เม็ดเลือดขาวต่ํา และเกล็ดเลือดต่ํา ไอเรื้อรังติดต่อกัน
นานกว่า 2 เดือน ต่อมน้ําเหลืองนอกบริเวณขาหนีบโตนานกว่า1 เดือนอย่างน้อย 2 แห่ง
3. ระยะเป็ นเอดส์
3.1 ผู้ป่วยเอดส์ ที่มีอาการชี้บ่งของภาวะภูมิคุ้มกันเสื่อม เป็นผู้ป่วยทุกกลุ่มอายุ ที่
ตรวจพบการติดเชื้อเอชไอวี ร่วมกับโรคชี้บ่งว่ามีภาวะภูมิค้มุ กันเสื่อมอย่างน้อยโรคใดโรคหนึ่งใน 25
3.2 ผู้ป่วยเอดส์ที่พบเม็ดเลือดขาว ซีดี 4 ต่ํากว่า 200 ต่อไมโครลิตร เป็นผู้ป่วยทุก
กลุ่มอายุที่ตรวจพบการติดเชื้อเอชไอวี ร่วมกับตรวจพบ ซีดี 4 ต่ํากว่า 200 ต่อไมโครลิตร อย่าง
น้อย 2 ครั้ง เพื่อเป็นการยืนยัน เนื่องจากมีการคลาดเคลื่อนของการตรวจได้ง่าย ในกรณีไม่ปรากฏ
โรค หรือกลุ่มอาการอื่น ๆ หรือการวินิจฉัยโดยอาศัยโรค หรือ กลุ่มอาการอื่น ๆ ยังไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตามการที่แบ่งระยะการติดเชื้อโรคเอดส์ดังกล่าวนั้น มิใช่หมายความว่า การ
เป็นโรคเอดส์ จะเริ่มจากระยะติดเชื้อโดยไม่ปรากฏอาการ แล้วกลายเป็นผู้ติดเชื้อที่ปรากฏ
อาการ จากนั้นจึงกลายเป็นเอดส์ตามลําดับ ดังตัวอย่างผู้ป่วยติดเชื้อโดยไม่มีอาการอยู่เป็นระยะ
เวลานาน ต่อมาเกิดอาการปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติส คารินิไอ (Pneumocystis carinii
329
ผลกระทบของโรคเอดส์ที่มีต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
โรคเอดส์ เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวี มีผลทําให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเสื่อมลง
ร่างกายจึงติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่าย และเป็นมะเร็งที่ปกติไม่พบในคนที่อายุน้อยกว่า 60 ปี
นอกจากผลกระทบทางด้านร่างกายแล้ว ยังส่งผลกระทบทางด้านจิตสังคม และมักจะรุนแรง
กว่าโรคอื่น ๆ กล่าวคือ เกิดขึ้นทุกระยะตั้งแต่ก่อนทราบผลการตรวจ ระยะทราบผลการวินิจฉัย
ระยะได้รับการรักษา ระยะเกิดโรคแทรกซ้อน หรือติดเชื้อซ้ํา และระยะใกล้ตาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่
จะกังวล กลัวตาย กลัวสังคมรังเกียจ กลัวถูกทอดทิ้ง กลัวการถูกแยก บางคนอาจทุกข์ทรมาน
มากจากอาการทางกาย และจิตสังคม จึงคิดฆ่าตัวตาย ผลกระทบของโรคเอดส์ มิใช่มีผล
เฉพาะตัวผู้ป่วยเท่านั้น ยังมีผลกระทบต่อครอบครัว และบุคคลใกล้ชิด ต่อสังคม และ
ประเทศชาติอีกด้วย อุบัติการณ์ของโรคเอดส์ ปรากฏขึ้นอย่างรุนแรง และเฉียบพลัน จึงส่งผล
กระทบต่อสังคม และประเทศชาติ ดังนี้
1. ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ
ผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ ส่วนใหญ่อยู่ใน ช่วงอายุ 20 - 59 ปี ซึ่งเป็นวัย
ทํางาน เมื่อมาป่วยด้วยโรคเอดส์ทําให้ตกงาน เนื่องจากภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง ทําให้ร่างกาย
อ่อนเพลีย อ่อนล้า ไม่มีแรงทํางาน และที่สําคัญยิ่ง คือ ถูกรังเกียจจากสังคมทั้งตนเอง และ
ครอบครัว ทําให้ขาดรายได้ นอกจากนี้ ค่ารักษาที่ต้องใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่ต้องเจ็บป่วยเรื้อรัง
เข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลซ้ําแล้วซ้ําเล่า จะทําให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายมิใช่น้อยโดยเฉพาะเมื่อไม่มี
รายได้ จึงไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้ รัฐต้องเข้ามารับผิดชอบ โดยการให้สังคมสงเคราะห์แก่ผ้ปู ่วย
2. ผลกระทบด้านทรัพยากรบุคคล
โรคเอดส์ทําให้สูญเสียทรัพยากรบุคคลของชาติ เนื่องจากวัยรุ่น และเด็กเป็นมาก
ขึ้น ปัจจุบันนี้พบผู้ป่วยเอดส์ที่เป็นเด็กสูงถึงร้อยละ 6 ทําให้กําลังของชาติลดลง อนาคตของชาติ
มืดมน อีกทั้งในปัจจุบันนี้เอดส์มีการแพร่ระบาดเข้าสู่รอบครัวแบบครบวงจร ทําให้เกิดปัญหา
เด็กกําพร้าเพิ่มขึ้น เด็กที่เป็นกําลังสําคัญกลับต้องเป็นภาระกับครอบครัวและประเทศชาติ
330
3. ผลกระทบต่อขวัญของประชาชน
ประชาชนในชาติจะอยู่อย่างหวาดผวา เสียขวัญ เพราะกลัวผู้ป่วยที่เป็นเอดส์ บาง
คนไม่กล้าว่ายน้ําในสระ บางคนไม่กล้าเข้าห้องน้ําสาธารณะ พยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยบางคนก็ถูก
รังเกียจ บางคนไม่กล้าไปในที่แออัด เช่น ศูนย์การค้า เพราะกลัวคนเอาเข็มฉีดยาไล่แทง
ดังนั้น การให้ข้อมูลที่ถูกต้องในการป้องกันโรคเอดส์ จะช่วยให้ประชาชนอยู่ในสังคมได้
อย่างมีความสุข จะเห็นได้ว่าโรคเอดส์ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งตัวของผู้รับเชื้อ และ
ครอบครัว รวมไปถึงสังคมและประเทศชาติ ดังนั้นการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ให้มี
คุณภาพชีวิตที่ดี มีพฤติกรรมการป้องกันโรคที่ถูกต้อง ไม่ให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อ จึงมี
ความสําคัญยิ่ง รวมถึงการให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อป้องกันการติดเชื้อด้วย
หลักการจัดอาหารสําหรับผู้ป่วยโรคเอดส์
อาหารเป็นปัจจัยที่มีความสําคัญต่อการส่งเสริมภาวะสุขภาพ และระบบภูมิคุ้มกันของ
ร่างกายทั้งในคนปกติและคนป่วย และในผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์อาหารมีประโยชน์
ทั้งการป้องกันและการรักษาโรคภาวการณ์ขาดสารอาหารทั้งโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ โดย
ทั้งไปพบว่าในผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์จะรับประทานอาหารได้น้อยลง และมีอาหาร
ท้องร่วงจึงเป็นเหตุให้ผู้ป่วยมีภาวการณ์ขาดสารอาหาร เป็นผลให้มีความต้านทานโรคต่ํา และมี
อัตราการป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนต่างๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิต ดังนั้นการจัดอาหารที่
ถูกหลักโภชนบําบัดเหมาะสมกับผู้ป่วยและโรคที่เป็นอยู่จะช่วยให้ผ้ปู ่วยสามารถมีชีวิตอยู่ได้
1. จุดประสงค์ของการจัดอาหารให้กับผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์
1.1 เพื่อช่วยรักษาระดับภูมิค้มุ กันของร่างกาย
1.2 เพื่อรักษาน้ําหนักตัวของผู้ป่วยให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
1.3 เพื่อป้องกันปัญหาการขาดสารอาหารในผู้ป่วย
1.4 เพื่อลดอาการอ่อนเพลีย
1.5 เพื่อให้ผ้ปู ่วยมีความเข้าใจและเห็นความสําคัญของโภชนาการ และสามารถ
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคที่มีผลต่อการชะลอการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
2. การเปลี่ ยนแปลงทางร่ างกายของผู้ ติ ดเชื้อเอชไอวี ที่มีผ ลต่อภาวะ
โภชนาการ
เนื่องจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่างที่
มีผลต่อภาวะโภชนาการ ได้แก่
331
หลักปฏิบัติตนด้านอาหารสําหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี (ที่ยังไม่มีอาการ)
เพื่อให้ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี (ที่ยังไม่ปรากฏอาการ) สามารถมีคุณภาพที่ดีโดยดูแลตนเอง
และเป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการเป็นเวลาหลายสิบปีได้น้นั ผู้ติดเชื้อเอชไอวีต้องรู้จักเลือกรับประทาน
อาหารที่มีประโยชน์ โดยมีหลักในการปฏิบัติตนด้านอาหารสําหรับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี (ที่ยังไม่มี
อาการ) ดังนี้
1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในแต่ละหมู่ให้หลากหลาย และกินอาหารอย่างสม่ําเสมอ
การกินอาหารหลาหลายชนิดจะทําให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบ เพราะว่ า
อาหารในแต่ละหมู่มีความเหมือนและแตกต่างกันของสารอาหาร โดยอาหารแต่ละหมู่ก็จะมี
ประโยชน์สําหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ดังต่อไปนี้ (กองโภชนาการ, ม.ป.ป, หน้า 6-17)
อาหารหมู่ที่ 1 ได้แก่นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้ง และงา อาหารหมู่ที่ 1 เป็น
แหล่งของสารอาหารประเภทโปรตีน ซึ่งเป็นสารที่จําเป็นต่อการเจริญเติบโต ซ่อมแซมส่วนที่
สึกหรอ สร้างภูมิคุ้มกันโรค ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี ควรได้รับโปรตีนในปริมาณที่พอเพียงกับความ
ต้องอาจจะให้ผ้ตู ิดเชื้อได้รับโปรตีนประมาณ 15-20 กรัม ต่อน้ําหนักตัว 1 กิโลกรัม และถ้าเป็นผู้
ติดเชื้อที่เป็นเด็ก ปริมาณโปรตีนที่ได้รับต้องเพียงพอที่จะสร้างความเจริญเติบโต
อาหารหมู่ที่ 2 ได้แก่ ข้าว แป้ง เผือก มัน และน้ําตาล อาหารหมู่ที่ 2 เป็นแหล่งของ
สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งให้พลังงานแก่ร่างกาย และช่วยป้องกันการเสื่อมของ
332
เซเลเนียมและแมกนีเซียมเป็นสารต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งจะคอยกําจัดอนุมูลอิสระ
ก่อนที่มันจะไปทําลายส่วนประกอบต่างๆ ขอเซลล์ จนทําให้เซลล์น้ันมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ
และเป็นต้นเหตุของโรคมะเร็ง สําหรับเส้นใยอาหารที่มีในข้าวกล้องนั้น จะช่วยระบบการขับถ่าย
ของร่างกายให้เป็นไปอย่างปกติ
4. กินเนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเพิ่มเป็นสองเท่าจากปกติ
เนื้อสัตว์ต่างๆ เนื้อปลา เนื้อหมู กุ้ง ไข่ ถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์เป็นโปรตีนที่มี
คุณภาพดี โปรตีนเหล่านี้เป็นส่วนสําคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ สารต่างๆ เช่น ฮอร์โมน เลือด
น้ําย่อย และสารเคมีอื่นๆ ที่ทําให้ร่างกายดําเนินไปอย่างปกติ รวมทั้งสารภูมิคุ้มกันโรค สําหรับใน
ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี จะมีการนําเอาโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงานเป็นอันดับแรก เพรา
ฉะนั้นร่างกายจึงต้องได้รับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ ถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์จากถั่วให้มาก
ขึ้นจากปกติประมาณสองเท่า ถ้าผู้ติดเชื้อเอชไอวี ได้รับโปรตีนไม่เพียงพอจะทําให้กล้ามเนื้อเล็ก
ลง การจัดอาหารโปรตีนสูงให้ผ้ปู ่วยอาจจะจัดอยู่ในอาหารมื้อหลัก อาหารเสริมระหว่างมื้อก็ได้
5. กินพืชผัก ผลไม้ให้มากเป็นประจํา
โดยเฉพาะผัก ผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม ผัก และไม้เป็นแหล่งสําคัญของวิตามินและ
เกลือแร่ ใยอาหาร และสารเคมีที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น กะหล่ําปลี กะหล่ําดอก คะน้า มี
สารเคมีที่มีอยู่ตามธรรมชาติช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนี้ผักและผลไม้ที่มี
สีเหลืองยังมีผลต่อระบบภูมคุ้มกันของร่างกาย เช่น แครอท ฟักทองมะละกอ มะม่วงสุก และ
ยังให้วิตามินซีที่ช่วยในการรักษาและสมานแผล ต่อต้านการติดเชื้อแบคทีเรีย และลดการแพ้
สารต่ า งๆ ของร่ า งกาย เช่ น มะขามป้ อ ม ฝรั่ ง มะระขี้ น ก บรอคโคลี ดอกขี้ เ หล็ ก เป็ น ต้ น
นอกจากนี้ผักและผลไม้ยังเป็นแหล่งที่ดีของใยอาหาร ช่วยในการดูดน้ําทําให้มีการเพิ่มปริมาณ
และน้ําหนักของอุจจาระ ให้ผู้ป่วยขับถ่ายกากอาหารได้ง่าย ดังนั้นผู้ติดเชื้อควรกินผักและผลไม้
เป็นประจําทุกมื้อและทุกวัน
6. ดื่มนมเป็นประจําทุกวัน
นมเป็นแหล่งอาหารที่ให้พลังงาน ให้โปรตีนช่วยในการเจริญเติบโตและซ่อมแซม
ส่วนที่สึกหรอ ให้แคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยในการซ่อมแซมและบํารุงกระดูกให้มีความ
แข็งแรง ให้กรดไขมันที่จําเป็นแก่ร่างกาย ให้น้ําตาลแลคโตสและวิตามินต่างๆ เช่น วิตามินเอ
ช่วยในการมองเห็น และช่วยในการต้านทานโรค ในผู้ติดเชื้อที่ไม่สามารถดื่มนมได้เนื่องจากมี
อาการท้องอืด ท้องเสีย ควรที่จะเริ่มจากการดื่มนมในปริมาณน้อยๆ แล้วค่อยเพิ่มขึ้นโดยให้ดื่ม
นมหลังอาหาร หรืออาจเปลี่ยนมาเป็นโยเกิรต์ชนิดครีมหรือเป็นนมเปรี้ยวแทน นอกจากนี้ผู้ติด
เชื้อเอชไอวี ยังสามารถเลือกดื่มนมถั่วเหลืองหรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ ได้เช่นกัน
334
5. วิตามินบี 6
จําเป็นต่อการทํางานของระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินบี 6 พบมากในเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์
รําข้าว ข้าวกล้อง เมล็ดธัญพืช ถั่วชนิดต่างๆ นม ไข่แดง ผักใบเขียว กล้วย เป็นต้น
6. วิตามินบี 12
เป็ น ส่ ว นสํ า คั ญ ในการสร้ า งเส้ น ใยประสาท หากร่ า งกายขาดวิ ต ามิ น บี 12 เป็ น
เวลานาน ระบบประสาทอาจเสื่อมอย่างถาวรได้ส่งผลให้มีความผิดปกติด้านระบบความคิด และ
ทําให้เกิดโรคโลหิตจาง วิตามินบี 12 พบมากในเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ถั่วชนิดต่างๆ ธัญพืช เป็นต้น
7. วิตามินซี
ทําหน้าที่เป็นสารป้องกันการทําปฏิกิริยากับออกซิเจนของวิตามินเอ วิตามินอี กรด
ไขมันไม่อิ่มตัว จําเป็นในการสร้างกระดูกและฟัน ช่วยรักษาและผสานแผลต่อต้านการติดเชื้อ
ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กในลําไส้เล็ก วิตามินซีพบมากในดอกขี้เหล็ก มะขามป้อม มะระขี้นก
ใบมะรุม มะม่วงแก้วสุก ฝรั่ง มะม่วงพิมแสนดิบ ผักคะน้า ใบย่านาง มะขามเทศ ผักกาดเขียว
ผักโขม น้อยหน่า มะปราง กะหล่ําดอก พริกขี้หนูสด พริกหวานยักษ์ เป็นต้น
8. เหล็ก
ธาตุ เ หล็ ก เป็ น ส่ ว นสํ า คั ญ ของเม็ ด เลื อ ดแดงและเอนไซม์ ก ารขาดเหล็ ก จะลด
ความสามารถของเม็ดเลือดขาวในการทําลายเชื้อโรค การดูดซึมธาตุเหล็กในอาหารจากสัตว์จะ
ดีกว่าอาหารที่ได้จากพืช วิตามินซีและโปรตีนจะเพิ่มการดูดซึมเหล็กในลําไส้เล็ก เหล็กพบมาก
ในตับ เนื้อสัตว์ นม ไข่แดง ถั่วชนิดต่างๆ และผักใบเขียว เป็นต้น
9. สังกะสี
มีหน้าที่สําคัญในการรักษาสภาพของผนังเซลล์ ทําให้แผลหายเร็ว ช่วยรักษาระดับ
วิตามินเอในเลือด การขาดสังกะสีทําให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง เมื่อสังกะสีถูกดูดซึมต้อง
มีโปรตีนช่วยในการขนย้าย และถ้าอาหารที่มีแคลเซียมมาก เส้นใย และกรดไฟติคสูงจะลดการ
ดูดซึมของสังกะสี สังกะสีพบมากใน อาหารทะเล หอย ตับ ไข่แดง เมล็ดธัญพืช นม เป็นต้น
10. เซเลเนียม
ทํา งานร่ ว มกับ วิ ต ามิ น อี ในการป้ อ งกันเนื้อเยื่อถู ก ทําลาย เซเลเนี ย มพบมากใน
อาหารทะเล เนื้อสัตว์ ไข่ (โดยเฉพาะไข่แดง) เมล็ดธัญพืช และนม เป็นต้น
336
ตัวอย่างรายการอาหารสําหรับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี (ที่ยังไม่มีอาการ)
ตัวอย่างอาหารสําหรับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี (ที่ยังไม่มีอากาการ) ใน 1 วัน ดังนี้ (ตารางที่
11.1-ตารางที่ 11.3)
สรุป
โรคเอดส์ กลุ่มอาการภูมิค้มุ กันเสื่อมที่เกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี มีผลให้ผู้ที่ได้รับเชื้อมี
ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และเกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นมาในภายหลัง การแพร่เชื้อเอชไอวี สามารถทําได้
3 ทาง คือ ทางเลือด ทางเพศสัมพันธ์ และจากแม่ไปสู่ลูก การดูแลสุขภาพผู้ป่วยโรคเอดส์เป็น
สิ่งที่สําคัญ การจัดอาหารที่เหมาะสมให้กับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีน้ัน ผู้ติดเชื้อควรได้รับพลังงานจาก
อาหารในปริมาณที่สูงและเพียงพอต่อกิจกรรมหรืออาชีพที่ทํา โดยสัดส่วนของพลังงานให้ผู้ติด
เชื้อได้รับปริมาณในปริมาณที่สูง โดยเน้นให้ผู้ป่วยรับประทานโปรตีนที่มีคุณภาพดีจากเนื้อสัตว์
ไข่ นม และถั่ว สําหรับคาร์โบไฮเดรตให้ได้มากเพื่อป้องกันไม่ให้ผ้ปู ่วยนําโปรตีนมาเผาผลาญเป็น
พลั ง งาน ให้ ผู้ ป่ ว ยกิ น ผั ก และผลไม้ เ พื่ อ ให้ ไ ด้ วิ ต ามิ น และเกลื อ แร่ ช นิ ด ต่ า งๆ เพื่ อ เพิ่ ม ระบบ
ภูมิคุ้มกันของร่างกาย นอกจากนี้ผู้ติดเชื้อต้องพบแพทย์เป็นระยะเมื่อมีอาการหรือโรคแทรก
ซ้อนขึ้น ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอเป็นประจํา และทําจิตใจให้สบายจะสามารถทําให้ผู้ติด
เชื้อมีชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
บทที่ 12
การบริการอาหารในโรงพยาบาล
ผู้ ป่ ว ยที่ เ ข้ า รั บ การรั ก ษาตั ว ในโรงพยาบาล (ผู้ ป่ ว ยใน) จํ า เป็ น ต้ อ งได้ รั บ อาหาร
เช่นเดียวกับคนปกติ อาหารที่จัดให้กับผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนอกจากจะให้
พลังงานและสารอาหารที่เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกายแล้ว อาหารนั้นต้องสามารถ
บําบัดและบรรเทาอาการของโรค หรือป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ และต้องรักษา
ภาวะโภชนาการของผู้ป่วยให้ดีที่สุด จากความจําเป็นที่ผู้ป่วยต้องได้รับอาหารอย่างถูกต้องเพื่อ
ผลในการรั ก ษาและเพื่ อ สุ ข ภาพของผู้ ป่ ว ยเอง โรงพยาบาลจึ ง ต้ อ งมี ห น่ ว ยงานที่ ทํ า หน้ า ที่
ให้บริการอาหารแก่ผู้ป่วย โดยทั่วไปหน่วยงานดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า “แผนกอาหาร” “แผนก
อาหารและโภชนาการ” หรือ “ฝ่ายโภชนาการ”
ความรู้เกี่ยวกับการบริการอาหารในโรงพยาบาล
ฝ่ายโภชนาการจึงเป็นหน่วยงานหนึ่งในโรงพยาบาลที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในงาน
ด้านบริการอาหารให้กับผู้ป่วย งานในหน่วยงานโภชนาการที่สําคัญได้แก่ งานธุรการ งานผลิต
อาหาร งานบริการอาหาร และงานด้านการศึกษาและวิจัยด้านโภชนบําบัด ข้อมูลพื้นฐานที่
สําคัญสําหรับงานบริการอาหารในโรงพยาบาล ที่ควรทราบมีดังนี้
1. บุคลากรสําคัญที่เกี่ยวข้องกับงานการให้บริการอาหารบําบัดโรค
การให้บริการอาหารในโรงพยาบาลแก่ผ้ปู ่วยนั้น จําเป็นต้องได้รับความร่วมมือจาก
บุคลากรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในโรงพยาบาล ดังนี้
1.1 แพทย์ ทําหน้าที่ในการรักษาผู้ป่วยรวมทั้งทําหน้าที่ในการกําหนดชนิดของ
อาหารที่ ผู้ ป่ วยควรได้ รั บ โดยทั่ วไปแพทย์ จะสั่ งอาหารให้ กั บ ผู้ ป่ วยได้ เ มื่ อแพทย์ รั บรู้ อาการ
เจ็บป่วย รู้โรค และรู้ผลการตรวจชีวเคมีของเลือด ซึ่งแพทย์อาจสั่งอาหารสําหรับผู้ป่วยทั่วไป
อาหารเฉพาะโรค หรืออาหารบําบัดโรคให้กับผู้ป่วย ซึ่งการจัดอาหารให้กับผู้ป่วยจําเป็นต้อง
พิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องและมีความสัมพันธ์กับการยอมรับอาหารของผู้ป่วย ได้แก่ ความเชื่อ
ส่วนตัว ศาสนา ความชอบ ฐานะทางเศรษฐกิจ (สุรัตน์ โคมินทร์, 2548, หน้า 80)
1.2 พยาบาล พยาบาลเป็นบุคลากรทางด้านการแพทย์ที่มีความสําคัญและมีส่วน
สนับสนุนการรั ก ษาด้ านอาหารให้ กับ ผู้ป่วย เพราะพยาบาลเป็น ผู้อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยมากที่สุด
340
นอกจากจะทําหน้าที่ในการรักษาและดูแลผู้ป่วยตามคําสั่งของแพทย์แล้ว พยาบาลยังมีหน้าที่ใน
การคัดลอกคําสั่งอาหารที่แพทย์สั่งให้แก่ผู้ป่วยมายังฝ่ายโภชนาการ พร้อมทั้งยังสามารถให้
ข้อมูลเกี่ยวกับการบริโภคอาหารของผู้ป่วยในขณะที่ทําการรักษาตัวในโรงพยาบาลได้เป็นอย่างดี
1.3 นักกําหนดอาหาร คือผู้ที่เชี่ยวชาญทางด้านอาหารและโภชนาการ ทําหน้าที่
ส่งเสริมให้บุคคลมีภาวะโภชนาการและสุขภาวะที่ดีของคน โดยการบริโภคอาหารที่ถูกต้อง
พอเพียงกับที่ร่างกายต้องการ นอกจากนี้ยังทําหน้าที่กํากับดูแลการเตรียมและการบริการ
อาหาร การพั ฒ นาและดั ด แปลงอาหาร ทํ า การวิ จั ย และการให้ ค วามรู้ กั บ ประชาชนเป็ น
รายบุคคลหรือเป็นกลุ่มในเรื่องอาหารและโภชนาการ เพื่อให้ บุคคลต่ างๆ มี พฤติกรรมทาง
โภชนาการที่ดี (ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์, 2550, หน้า 1) นักกําหนดอาหารจะต้องจบการศึกษา
อย่างน้อยระดับปริญญาตรีทางด้านวิทยาศาสตร์ในสาขาโภชนศาสตร์ โภชนวิทยา อาหารและ
โภชนาการ คหกรรมศาสตร์ หรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง และต้องผ่านการฝึกงานด้านโภชนบําบัด
ในโรงพยาบาล
ในประเทศสหรัฐอเมริกาผู้ที่จะเป็นนักกําหนดอาหารได้จะต้องมีใบประกอบวิชาชีพที่
เรียกว่า Registered dietitian หรือ RD สําหรับในประเทศไทย สมาคมนักกําหนดอาหารกําลัง
ดําเนินการพิจารณาร่างหลักเกณฑ์การรับรองนักกําหนดอาหารวิชาชีพของไทยขึ้นเป็นครั้งแรก
เพื่อให้นักกําหนดอาหารของไทยได้ก้าวสู่การเป็นนักกําหนดอาหารวิชาชีพ มีการปฏิบัติงานที่ได้
มาตรฐาน และได้รับการรับรองคุณภาพของวิชาชีพนักกําหนดอาหารและทําให้นักกําหนดอาหาร
เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศเคียงคู่กับวิชาชีพอื่นๆ และเป็นที่ยอมรับในระดับสากลต่อไปใน
อนาคต (สุนาฏ เตชางาม, 2550, หน้า 3-5)
2. ประเภทของอาหารที่มีบริการให้กับผู้ป่วยในโรงพยาบาล
อาหารที่ฝ่ายโภชนาการจัดบริการให้แก่ผ้ปู ่วยในโรงพยาบาล สามารถแบ่งออกเป็น
2 ประเภทดังนี้ (รุจิรา สัมมะสุต, 2541, หน้า 12-57)
2.1 แบ่งออกตามลักษณะของการบริการและราคาอาหาร แบ่งได้เป็น 4 ประเภท
ดังนี้
2.1.1 อาหารผู้ป่วยสามัญ เป็นอาหารที่จัดบริการให้แก่ผู้ป่วยทั่วไปของ
โรงพยาบาลของรัฐ ผู้ป่วยไม่ต้องเสียเงินค่าอาหาร อาหารแต่ละมื้ออาจจะมีกับข้าว 1-2 ชนิด
พร้ อ มขนมหรื อ ผลไม้ ทั้ ง นี้ ขึ้ น อยู่ กั บ งบประมาณและนโยบายการบริ ก ารอาหารของแต่ ล ะ
โรงพยาบาล
2.1.2 อาหารพิเศษ เป็นอาหารที่แตกต่างจากอาหารผู้ป่วยสามัญเพราะผู้ป่วย
ต้องเสียเงินค่าอาหารตามอัตราที่แต่ละโรงพยาบาลกําหนดไว้ เช่น วันละ 150 บาท หรือ 200
341
4. คําสั่งงดอาหาร
คําสั่งงดอาหาร (N.P.O.– Nothing per oral) เป็นคําสั่งงดอาหารและเครื่องดื่มทุก
ชนิดที่ผู้ป่วยได้รับอยู่ ซึ่งแสดงถึงการเตรียมผู้ป่วยก่อนการทําการผ่าตัด หรืออยู่ในช่วงหลังการ
ผ่าตัด หรือเพื่อเป็นการรักษาอย่างหนึ่งอย่างใดที่ไม่สามารถให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้
คําสั่งเช่นนี้ นักกําหนดอาหารจะต้องให้ความสําคัญ แจ้งให้พนักงานส่งอาหารทราบ และปฏิบัติ
ตามคําสั่งอย่างเคร่งครัดเพราะถ้าเกิดความผิดพลาดจะนําอันตรายมาสู่ตัวผู้ป่วยได้
5. คําสั่ง “ยับยั้ง” การให้อาหาร
คําสั่ง “ยับยั้ง” การให้อาหาร เป็นการระงับการบริการอาหารไว้ชั่วคราว ในกรณีน้ี
ถาดอาหารของผู้ป่วยจะถูกเก็บไว้ และจะกลับมาบริการอาหารให้ใหม่เมื่อคําสั่งนี้ถูกยกเลิก
การสั่ง “ยับยั้ง” การให้อาหาร หมายความถึง การที่ผู้ป่วยยังไม่สามารถรับประทาน
อาหารได้ในเวลาอันสั้น เนื่องจากต้องทําการตรวจเฉพาะอย่าง ซึ่งจะรับประทานอาหารก่อนการ
ตรวจไม่ได้ แต่หลังจากการตรวจเสร็จสิ้นผู้ป่วยจะสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ คําสั่ง
“ยับยั้ง” การให้อาหารนี้ พยาบาลจะต้องแจ้งให้ฝ่ายโภชนาการที่ทําหน้าที่ในการบริการอาหาร
ทราบล่วงหน้า พร้อมทั้งแจ้งเวลาและมื้ออาหารที่ต้องการให้ยับยั้งในใบสั่งอาหาร และเมื่อสิ้นสุด
คํ า สั่ ง การยั บ ยั้ ง แล้ ว ไม่ จํ า เป็ น ต้ อ งมี ใ บสั่ ง อาหารใหม่ นอกจากกรณี ที่ แ พทย์ ต้ อ งการให้
เปลี่ยนแปลงชนิดอาหารใหม่ให้กับผู้ป่วย
6. วิธีการบริการผู้ป่วย
การบริ ก ารอาหารผู้ ป่ ว ยในแต่ ล ะโรงพยาบาลจะแตกต่ า งกั น ไป ทั้ ง นี้ ข้ึ น อยู่ กั บ
นโยบายและสภาพของโรงพยาบาล วิธีการบริการอาหารผู้ป่วยแบ่งออกเป็น 3 วิธี ดังนี้
6.1 การบริการอาหารจากห้องครัวทั้งหมด (centralized system) เป็นวิธีการจัด
อาหารให้กับผู้ป่วยทุกคนที่ห้องครัวของฝ่ายโภชนาการ อาหารของผู้ป่วยทุกถาดจะผ่านการ
ตรวจสอบความถูกต้องจากนักกําหนดอาหารก่อนที่จะลําเลียงไปบริการให้แก่ผู้ป่วยแต่ละคนที่
หอผู้ป่วย รวมทั้งการเก็บรวบรวมภาชนะต่างๆ หลังจากการบริโภค เพื่อมาล้างทําความสะอาด
ที่ฝ่ายโภชนาการด้วย
6.2 การบริการอาหารตามหอผู้ป่วย (decentralized system) เป็นการบริการ
อาหารทั้งหมดซึ่งประกอบไปด้วยข้าว กับข้าว ขนมและอื่นๆ จะถูกลําเลียงไปยังหอผู้ป่วย การ
ตักและจัดอาหารเพื่อบริการจะทําที่หอผู้ป่วย โดยเจ้าหน้าที่บนหอผู้ป่วยร่วมกับเจ้าหน้าที่ของ
ฝ่ า ยโภชนาการ แต่ ใ นทางปฏิ บั ติ จ ริ ง พบว่ า เจ้ า หน้ า ที่ ข องฝ่ า ยโภชนาการไม่ ส ามารถร่ ว ม
ให้บริการได้ เนื่องจากมีอัตรากําลังไม่เพียงพอ จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บนหอผู้ป่วยเป็น
ผู้ดําเนินการภายใต้การดูแลของพยาบาลประจําหอผู้ป่วย การบริการอาหารผู้ป่วยวิธีนี้เกิด
345
ข้อผิดพลาดได้ง่าย เนื่องจากเจ้าหน้าที่อาจไม่เข้าใจเกี่ยวกับอาหารผู้ป่วยและอาจจะไม่ทราบถึง
คําสั่งของแพทย์ ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว ควรมีนักกําหนดอาหารติดตาม
ควบคุมและตรวจสอบความถูกต้องของอาหารที่จะบริการแก่ผ้ปู ่วยที่หอผู้ป่วยด้วย
6.3 การบริการแบบผสม (mixed system) เป็นการบริการที่นําการบริการทั้ง 2
ระบบมารวมกันคือ ทั้งแบบการบริการจากห้องครัวและบริการอาหารตามหอผู้ป่วย โดยการ
บริการอาหารแบบนี้มักจะใช้กับโรงพยาบาลที่มีจํานวนผู้ป่วยมาก มีห้องครัวอยู่ห่างจากอาคาร
ผู้ป่วย ทางเดินระหว่างตึกมีระยะทางไกลหรือมีพื้นผิวของทางเดินที่ขรุขระ ดังนั้นจึงอาจใช้
วิธีการบริการอาหารแบบผสม โดยจะบริการอาหารจากห้องครัวทั้งหมดให้แก่ผู้ป่วยที่รับอาหาร
พิเศษ และอาหารบําบัดโรคที่ต้องมีการชั่งอาหาร และวิธีการบริการอาหารตามหอผู้ป่วยให้แก่
ผู้ป่วยที่รับอาหารสามัญและอาหารสําหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคทั่วไป
7. การจัดถาดอาหารผู้ป่วย
เพื่อเพิ่มความน่ารับประทาน และเชิญชวนให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้ดีขึ้น นัก
กําหนดอาหารควรให้ความสนใจในการจัดถาดอาหารให้กับผู้ป่วยด้วย สิ่งที่ต้องคํานึงถึงในการ
จั ด ถาดอาหารผู้ ป่ ว ยคื อ ความสะอาดของถาดอาหาร ภาชนะและเครื่ อ งใช้ ใ นการบริ โ ภค
ตลอดจนการจั ด วางภาชนะและปริ ม าณอาหารที่ ตั ก การจั ด ตกแต่ ง อาหารให้ น่ า ดู แ ละน่ า
รับประทานจะช่วยดึงดูดความสนใจและส่งเสริมให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้ดีขึ้น สําหรับ
วิธีการนําส่งอาหารจากห้องครัวไปยังหอผู้ป่วยนั้นควรใช้รถเข็นที่มีระบบอุ่นอาหารในตัว เพื่อ
ช่วยไม่ให้อาหารเย็นก่อนถึงผู้ป่วย
8. การควบคุมความถูกต้องของอาหาร
เพื่อให้การตักอาหารและการส่งอาหารผู้ป่วยเป็นไปอย่างถูกต้อง ควรมีบัตรอาหาร
(diet slip) กํากับที่ถาดอาหารของผู้ป่วย เพื่อให้ทราบว่าอาหารนั้นเป็นอาหารของผู้ป่วยคนใด
เป็นอาหารชนิดใด รูปแบบของบัตรอาหารขึ้นอยู่กับการกําหนดของฝ่ายโภชนาการของแต่ละ
โรงพยาบาล
บัตรอาหารของผู้ป่วยแต่ละคน ควรบันทึกรายละเอียดที่ต้องควบคุมไว้ด้วยเช่น ชื่อหอ
ผู้ป่วย ชื่อผู้ป่วย เลขที่เตียงของผู้ป่วย ชนิดของอาหาร เป็นต้น บางโรงพยาบาลอาจจะใช้สีของ
บัตรเป็นตัวกําหนดชนิดของอาหาร เช่น สีเขียวแทนอาหารธรรมดา สีฟ้าแทนอาหารอ่อน เป็นต้น
หรืออาจจะใช้สีเดียวกัน และพิมพ์ชื่อชนิดของอาหารกํากับไว้ให้เห็นอย่างชัดเจน ในบัตรอาหาร
ควรมีเนื้อที่ว่างไว้ด้วย เพื่อใช้บันทึกข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับอาหารผู้ป่วย เช่น งดเนื้อ ขออาหารที่ไม่
เผ็ด เพิ่มไข่ทุกมื้อ เป็นต้น
346
9. การเก็บถาดอาหารของผู้ป่วย
หลังจากการส่งอาหารให้แก่ผู้ป่วยแล้วประมาณ 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ของฝ่าย
โภชนาการจะดําเนินการเก็บถาดอาหารนั้นกลับมายังฝ่ายโภชนาการ เพื่อนําไปล้างและทําความ
สะอาดต่อไป บางครั้งผู้ป่วยยังรับประทานอาหารไม่เสร็จ อาจจะเป็นเพราะมีญาติมาเยี่ยม หรือ
ยังไม่ หิ ว ถ้าผู้ป่ว ยยังต้องการรับประทานอาหารนั้นอยู่สามารถขอค้างถาดอาหารไว้ ไ ด้ แต่
อย่างไรก็ตามถ้าผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้เสร็จตามเวลาที่ทางโรงพยาบาลกําหนดไว้
ก็จะทําให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทําได้สะดวกมากขึ้น
10. การรายงานผลการรับประทานอาหารของผู้ป่วย
ผู้ ป่ ว ยที่ แ พทย์ ต้ อ งการทราบผลการบริ โ ภคอาหาร เพื่ อ นํ า ไปประกอบการวาง
แผนการรักษา จะต้องแจ้งให้ฝ่ายโภชนาการทราบ เพื่อติดตามดูแลตรวจถาดอาหารของผู้ป่วย
รายนั้นๆ ทั้งก่อนและหลังการบริโภคอาหารและทํารายงานแจ้งให้แพทย์ทราบ โดยแนบรายงาน
นั้นรวมไว้ที่แผนการรักษาของแพทย์ที่หอผู้ป่วย ฝ่ายโภชนาการอาจต้องกําหนดแบบฟอร์ม
รายงานการบริโภคอาหารของผู้ป่วยไว้ด้วยและเพื่อให้ได้ผลดีในการบันทึกการบริโภคอาหาร
ของผู้ป่วย แพทย์ควรแจ้งให้ผ้ปู ่วยและเจ้าหน้าที่ประจําหอผู้ป่วยทราบเพื่อขอความร่วมมือ ดังนี้
10.1 แจ้งให้ผู้ป่วยทราบ นักกําหนดอาหารหรือพยาบาลประจําหอผู้ป่วยต้องแจ้ง
ให้ผ้ปู ่วยทราบว่าผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้เฉพาะอาหารที่ฝ่ายโภชนาการจัดบริการให้
เท่านั้น งดอาหารที่นํามาจากภายนอกเด็ดขาด อาหารที่รับประทานไม่หมดในแต่ละมื้อต้อง
ปล่อยทิ้งไว้ในถาด ห้ามเททิ้งหรือแจกจ่ายให้ผ้อู ื่นรับประทาน
10.2 แจ้งให้ญาติผู้ป่วยทราบ ถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารที่นํามาจากภายนอกญาติ
ต้องจดบันทึกปริมาณอาหารที่ผู้ป่วยรับประทานลงในแบบฟอร์มที่ฝ่ายโภชนาการกําหนดไว้โดย
ละเอียดและส่งให้นักกําหนดอาหารเพื่อนําไปคํานวณหาปริมาณพลังงานและสารอาหารที่ผู้ป่วย
ได้รับและรายงานให้แพทย์ทราบ
การติดตามการบริโภคอาหารผู้ป่วย เพื่อทํารายงานผลการบริโภคอาหารนั้นเป็นงานที่
ต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบและใช้เวลามาก ฝ่ายโภชนาการจะดําเนินการจัดทํารายงาน
ผลการรับประทานอาหารของผู้ป่วยเฉพาะผู้ป่วยที่แพทย์สั่งเท่านั้น และโดยทั่วไปการรายงาน
ผลเช่นนี้จะทําติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 3 วันเท่านั้น นอกจากแพทย์เห็นสมควรเปลี่ยนแปลง
เป็นอย่างอื่น ซึ่งแพทย์จะต้องแจ้งให้ฝ่ายโภชนาการทราบเป็นรายๆ ไป
347
อาหารสําหรับผู้ป่วยทั่วไปในโรงพยาบาล
อาหารสําหรับผู้ป่วยทั่วไปเป็นอาหารที่ให้ทางระบบทางเดินอาหารที่ทางฝ่ายโภชนาการ
จัดบริการให้แก่ผู้ป่วยที่ไม่จําเป็นต้องจํากัดหรือเพิ่มสารอาหารบางอย่างหรือหลายๆ อย่างเป็น
กรณีพิเศษ ซึ่งแตกต่างไปจากมาตรฐานอาหารที่ได้กําหนดไว้ อาหารสําหรับผู้ป่วยทั่วไปเป็น
อาหารที่มีปริมาณพลังงานและสารอาหารที่เพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วย
แต่ละวัย แต่อาจจะมีการดัดแปลงอาหารในด้านเนื้อสัมผัสของอาหารให้มีลักษณะอ่อนนุ่มหรือ
เหลวเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละโรคในขณะนั้น อาหารสําหรับผู้ป่วยทั่วไปมี 4
ประเภท ดังนี้
1. อาหารธรรมดา หรืออาหารปกติ
อาหารธรรมดา (regular diet, general diet, normal diet) เป็นอาหารที่มีคุณค่าทาง
โภชนาการครบถ้วนและมีพลังงานที่เพียงพอกับความต้องการของผู้ป่วย อาหารธรรมดาเป็น
อาหารที่ เ หมาะสํ า หรั บ ผู้ ป่ ว ยทั่ ว ไปที่ ไ ม่ มี ค วามผิ ด ปกติ ข องการย่ อ ยและการดู ด ซึ ม อาหาร
ลักษณะอาหารใกล้เคียงกับอาหารที่รับประทานกันตามปกติ แต่รสชาติของอาหารควรมีรสอ่อน
ควรงดอาหารที่มีรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด หวาน และเค็มจัด อาหารหมักดอง อาหารที่มีเนื้อสัมผัส
แข็งกระด้างและย่อยยาก อาหารที่มีใยแข็งและทําให้เกิดก๊าซมาก เช่น ผักกระเฉด ชะอม หัวไช
เท้าแก่ เป็นต้น อาหารที่รับประทานได้มี ดังนี้ (ตารางที่ 12.1)
ในแต่ละโรงพยาบาลควรมีการกําหนดมาตรฐานของอาหารธรรมดาไว้ (ตารางที่ 12.2)
เพราะเป็นอาหารที่แพทย์มักสั่งให้แก่ผู้ป่วยทั่วไป อาหารที่จัดควรจะเป็นอาหารที่ให้คุณค่าทาง
โภชนาการครบถ้วนและเป็นไปตามภาวะโภชนาการของผู้ป่วย (ตารางที่ 12.3)
ชนิดของอาหาร ลักษณะอาหารที่รับประทานได้
ข้าว ข้าวสวย (ข้าวขาว หรือ ข้าวกล้อง) ที่หุงนุ่ม ไม่แข็งกระด้าง
ผลิตภัณฑ์จากแป้ง เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว มักกะโรนี ขนมปัง รับประทานได้
ผัก ผักสดทุกชนิดรับประทานได้
งด ผักที่มีใยแข็งและทําให้เกิดก๊าซมาก เช่น ผักกระเฉด ชะอม และงดผักดอง
ผลไม้ ผลไม้สดทุกชนิดรับประทานได้
งด ผลไม้หมักดอง
เนื้อสัตว์ และไข่ เนื้อสัตว์ทุกชนิดรับประทานได้ แต่ต้องผ่านความร้อนทําให้สุก
348
ชนิดของอาหาร ลักษณะอาหารที่รับประทานได้
ไขมัน ควรเลือกบริโภคน้ํามันจากพืช
หลีกเลี่ยง การบริโภคอาหารที่ทอดแล้วอมน้ํามัน เช่น กล้วยแขก ปาท่องโก๋
เครื่องปรุงรส เครื่องปรุงรสทุกชนิดรับประทานได้
เครื่องปรุงที่มีรสจัด น้ําตาล น้ําปลา ควรบริโภคแต่น้อย
เครื่องดื่ม สามารถดื่มเครื่องดื่มได้ทุกชนิด เช่น กาแฟ ชา โกโก้ โอวัลติน และน้ําผลไม้
งด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ที่มา (ดัดแปลงจาก รุจิรา สัมมะสุต, 2541, หน้า 30)
2. อาหารธรรมดาย่อยง่าย
อาหารธรรมดาย่อยง่าย หรืออาหารพักฟื้น (light or convalescent diet) เป็นอาหารที่มี
คุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกับอาหารธรรมดา แต่ย่อยง่ายกว่า อาหารทุกชนิดต้องทําให้สุก ไม่
ควรเป็นอาหารที่ทอดแข็งและมีไขมันมากเพื่อไม่ให้อาหารค้างอยู่ในกระเพาะนานซึ่งจะทําให้ผู้ป่วย
รู้สึกท้องอืด งดอาหารที่มีรสจัด เผ็ดจัดทุกชนิด เช่น แกงส้ม แกงป่า ผัดเผ็ด ยํา ลาบ พล่า เป็นต้น
งดอาหารที่มีใยแข็งหรือมีเมล็ดมาก เช่น ฝรั่ง สับปะรด ผักคะน้า หน่อไม้ (ตารางที่ 12.4) อาหาร
ชนิดนี้มักเป็นอาหารที่จัดให้กับผู้ป่วยที่อยู่ในระยะพักฟื้น ผู้ป่วยที่มีระบบการย่อยอาหารยังทํางาน
ได้ไม่ดีพอ หรือผู้ป่วยภายหลังการผ่าตัด (ตารางที่ 12.5)
ชนิดของอาหาร ลักษณะอาหารที่รับประทานได้
ข้าว ข้าวสวยที่หุงนิ่มๆ ข้าวต้ม ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยวแบบต่างๆ เป็นต้น
มักกะโรนี วุ้นเส้น รับประทานได้ แต่ต้องต้มให้นุ่ม
ผัก ผักทุกชนิดทําให้สุกด้วยการต้ม หรือ นึ่ง
งด ผักที่มีกากและเส้นใยมากๆ
ผลไม้ ผลไม้สุกทุกชนิด เลือกรับประทานผลไม้ที่ย่อยง่าย ไม่มีเปลือกหรือกาก
มาก เช่น มะละกอ กล้วย เป็นต้น
งด ผลไม้ที่มีเนื้อแข็ง ผลไม้ดิบ และผลไม้หมักดองทุกชนิด
เนื้อสัตว์ และไข่ เนื้อสัตว์ทุกชนิดรับประทานได้ แต่ต้องผ่านความร้อนทําให้สุก เช่น การ
ต้ม ตุ๋น เนื้อสัตว์ต้องนุ่ม ไม่มีพังผืด ไม่เหนียว ไข่ ต้องปรุงให้สุก
งด เนื้ อ สั ต ว์ ดิ บ เนื้ อ สั ต ว์ ที่ นํ า ไปทอด ปิ้ ง ย่ า งจนมี เ นื้ อ สั ม ผั ส ที่ แ ข็ ง
กระด้าง
ไขมัน ควรเลือกบริโภคน้ํามันจากพืช
งด กะทิ (หัวกะทิเข้มข้น) น้ํามันหรือไขมันจากสัตว์
เครื่องปรุงรส เครื่องปรุงรสทุกชนิดรับประทานได้
งด เครื่องปรุงรสที่มีรสจัด น้ําตาล น้ําปลา ควรบริโภคแต่น้อย
เครื่องดื่ม เครื่องดื่มที่สามารถดื่มได้ เช่น โกโก้ โอวัลติน น้ําผลไม้ นม เป็นต้น
งด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ และน้ําอัดลม
ที่มา (ดัดแปลงจาก รุจิรา สัมมะสุต, 2541, หน้า 33)
351
3. อาหารอ่อน
อาหารอ่อน (soft diet) เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมีปริมาณพลังงานที่
เพียงพอกับความต้องการของผู้ป่วยเช่นเดียวกับอาหารธรรมดา อาหารอ่อนเป็นอาหารที่มี
ลักษณะอ่อนนุ่ม เปื่อย เคี้ยวง่าย ย่อยง่าย ไม่มีกากหรือมีกากน้อย งดอาหารเนื้อสัตว์ที่มีพังผืด
เพราะผู้ป่วยจะย่อยยาก ผักต่างๆ ต้องทําให้สุกเปื่อย บดเอาใยอาหารออก (ตารางที่ 12.6 )
อาหารประเภทนี้มักจัดให้กับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเคี้ยว ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรค
ระบบทางเดินอาหาร ผู้สูงอายุที่มีปัญหาเกี่ยวกับฟัน ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เป็นต้น โรงพยาบาล
บางแห่งอาจแบ่งอาหารอ่อนเป็น 2 ประเภท คือ อาหารอ่อนที่ใช้สําหรับผู้ป่วยทั่วไป และอาหาร
อ่อนสําหรับผู้ป่วยหลังการผ่าตัดซึ่งอาหารอ่อนแต่ละชนิดมีลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนี้
3.1 อาหารอ่อนทั่วไป (medical soft diet) อาหารอ่อนชนิดนี้อาหารมีลักษณะอ่อน
เปื่อย นุ่ม และย่อยง่าย รับประทานง่าย อาหารที่แข็งและย่อยยากจะต้องนํามาดัดแปลงทําให้นุ่ม
ด้วยวิธีการสับให้ละเอียด การต้ม หรือตุ๋นจนอาหารนั้นเปื่อยนุ่ม เพื่อไม่ให้ระคายเคืองต่ออวัยวะ
ที่ทําหน้าที่ย่อยอาหารและไม่ทําให้ผู้ป่วยท้องอืด จุกแน่น งดอาหารหมักดอง อาหารที่มีรสจัด
เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด เปรี้ยวจัด เป็นต้น อาหารชนิดนี้จัดให้กับผู้ป่วยที่มีปัญหาในการเคี้ยวอาหาร
ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการพักฟื้นและผู้ป่วยหลังคลอด เป็นต้น
352
ชนิดของ
ลักษณะอาหารที่รับประทานได้
อาหาร
ข้าว ข้าวต้ม หรือโจ๊ก ผลิตภัณฑ์จากแป้ง เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยวต่างๆ มักกะโรนี วุ้น
เส้น บะหมี่รับประทานได้ แต่ต้องต้มให้เปื่อยนุ่ม
งด ข้าวที่แข็ง
ผัก ผักทุกชนิดต้มให้เปื่อยหรือบดกรองเอาใยออก ควรเลือกผักที่มีใยน้อย
งด ผักสดทุกชนิด ผักดอง ผักตากแห้ง ผักที่มีใยหรือกากมาก
ผลไม้ ผลไม้สุกที่อ่อนนุ่ม ไม่มีกากหรือใยมาก เช่น กล้วยสุก มะละกอสุก เป็นต้น
ถ้าเป็นผลไม้ที่มีกากหรือใยมากต้องกรองเอากากออกก่อน
งด ผลไม้ที่มีเนื้อแข็ง ผลไม้ดิบ และผลไม้หมักดองทุกชนิด ผลไม้กระป๋อง
ผลไม้ตากแห้ง ผลไม้ที่รับประทานได้ท้ังเปลือกหรือมีเมล็ดเล็กๆ เช่น องุ่น
ลางสาด มังคุด เป็นต้น
เนื้อสัตว์ และ เนื้อสัตว์ทุกชนิดรับประทานได้ แต่ต้องเป็นเนื้อที่ไม่มีเอ็นหรือพังผืด เนื้อ
ไข่ ต้องสับหรือบดให้ละเอียด และต้องผ่านความร้อนทําให้สุก เช่น การต้ม
ไข่ ให้ใช้ไข่ลวก ไข่ตุ๋น ไข่กวน ไข่ดาวน้ํา งดไข่ที่ทอดจนกรอบแข็ง
งด เนื้อสัตว์ที่นําไปผ่านความร้อนด้วยการทอด จนเนื้อมีเนื้อสัมผัสที่แข็ง
งดเนื้อตากแห้ง ไส้กรอก กุนเชียง
353
ชนิดของอาหาร ลักษณะอาหารที่รับประทานได้
ไขมัน ควรเลือกบริโภคน้ํามันจากพืช
งด กะทิที่เข้มข้น น้ํามันและไขมันจากสัตว์
เครื่องปรุงรส เครื่องปรุงรสทุกชนิดใช้ได้ แต่ต้องปรุงรสอาหารไม่ให้มีรสจัด
งด เครื่องปรุงรสที่มีร สจัด เช่น ซอสพริ ก เต้าเจี้ ยว น้ําตาล น้ําปลา
เกลือบริโภคแต่น้อย
เครื่องดื่ม สามารถดื่ ม นม และเครื่ อ งดื่ ม ต่ า งๆ เช่ น ไมโล โอวั ล ติ น น้ํ า หวาน
น้ําเต้าหู้
งด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้ําอัดลม ชา กาแฟ
ที่มา (ดัดแปลงจาก รุจิรา สัมมะสุต, 2541, หน้า 35-36)
4. อาหารเหลว
อาหารเหลว (liquid diet) เป็นอาหารที่จัดให้แก่ผ้ปู ่วยภายหลังการผ่าตัด เพือ่ เป็นการ
ทดสอบการทํางานของระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ทําการผ่าตัดช่องท้อง หรือ
ผู้ป่วยที่มีปัญหาการเคี้ยวอาหาร เช่น ผู้ป่วยที่ดัดฟัน ถอนฟัน และไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้
อาหารมี ลั ก ษณะเป็ น น้ํา หรื อ ของเหลว สามารถกลื น ได้ โ ดยไม่ ต้ อ งเคี้ ย ว ย่ อยง่ าย ไม่ มี ก าก
(ตารางที่ 12.7) ซึ่งช่วยให้ผ้ปู ่วยสามารถกลืนอาหารได้โดยไม่ต้องเคี้ยว อาหารเหลวแบ่งออกเป็น
2 ประเภท ดังนี้
1.1 อาหารเหลวใส (clear liquid diet) มีลักษณะเป็นน้ําใส เป็นอาหารที่มีคุณค่าทาง
โภชนาการน้อย ให้พลังงานประมาณ 400-500 กิโลแคลอรี มีโปรตีนประมาณ 5 กรัม และ
คาร์โบไฮเดรตประมาณ 100 กรัม อาหารเหลวใสจึงเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ําจึง
จัดให้ผู้ป่วยรับประทานได้ในระยะเวลาสั้นเพียง 3 วันเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเกิดปัญหา
การขาดสารอาหาร ดังนั้นอาหารชนิดนี้จัดให้แก่ผู้ป่วยหลังผ่าตัดระยะแรก หรือผู้ป่วยที่เป็นโรค
เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ตัวอย่างอาหารเหลวใส เช่น น้ําขาวใส แป้งเปียกใส น้ําซุปใสที่ไม่
มีไขมัน น้ําต้มผักใส น้ําผลไม้กรองใส แป้งเปียกใส่น้ําหวาน เยลลี่ น้ําหวาน และเครื่องดื่มไม่ใส่
นม เป็นต้น
1.2 อาหารเหลวข้น (full liquid diet) มีลักษณะเป็นน้ําข้น เป็นอาหารที่มีคุณค่าทาง
โภชนาการมากกว่าอาหารเหลวใส ให้พลังงานประมาณ 1,300-1,500 กิโลแคลอรี โดยมีโปรตีน
354
อาหารบําบัดโรคหรืออาหารเฉพาะโรค
อาหารบําบัดโรค (therapeutic diet : modification) หมายถึง อาหารที่ได้ทําการดัดแปลง
จากอาหารปกติเพื่อใช้ในการบําบัดโรคให้แก่ผู้ป่วย โดยดัดแปลงอาหารให้เหมาะสมกับโรคของ
ผู้ป่วยแต่ละโรคถูกต้องตามหลักโภชนาการและโภชนบําบัด
การดัดแปลงอาหารเพื่อให้เป็นอาหารบําบัดโรคหรืออาหารเฉพาะโรคนั้นทําให้อาหารที่
ดัดแปลงมีสารอาหารบางอย่างน้อยลง ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือเพิ่มมาก
จนเกินความต้องการของร่างกายเมื่อเทียบกับคนปกติทั่วไป รวมถึงรูปลักษณ์ของอาหารอาจ
แตกต่างไปจากอาหารทั่วไปที่คนปกติรับประทานไปบ้าง ซึ่งอาจจะมีผลต่อการยอมรับของ
ผู้ป่วย ดังนั้นข้อมูลพื้นฐานที่ควรทราบในการดัดแปลงอาหารมี ดังนี้
355
1. หลักในการพิจารณาเพื่อการดัดแปลงอาหาร
ในการดัดแปลงอาหารเพื่อให้บริการแก่ผ้ปู ่วย มีหลักในการพิจารณา ดังนี้
1.1 อาหารที่ดัดแปลงนั้นต้องมีลักษณะแตกต่างจากอาหารเดิมที่ผ้ปู ่วยเคยบริโภคให้
น้อยที่สุด
1.2 อาหารที่ดัดแปลงต้องเป็นอาหารทีมีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอกับความ
ต้องการของร่างกายของผู้ป่วยในขณะนั้น
1.3 อาหารที่ดัดแปลงต้องเป็นไปตามบริโภคนิสัยและเป็นที่ยอมรับของผู้ป่วย
1.4 อาหารที่ดัดแปลงต้องมีการจัดเตรียมง่าย ไม่ย่งุ ยาก
1.5 อาหารที่ดัดแปลงต้องประหยัด มีราคาถูก
2. ลักษณะของการดัดแปลงอาหาร
การดัดแปลงอาหารเป็นสิ่งที่จําเป็นและสําคัญอย่างยิ่ง นักกําหนดอาหารมีความ
จํ า เป็ น ต้ อ งดั ด แปลงอาหารธรรมดาให้ เ ป็ น อาหารเฉพาะโรคตามที่แ พทย์ สั่ง และอาหารที่
ดัดแปลงแล้วนั้นต้องเป็นอาหารที่ผ้ปู ่วยยอมรับบริโภคได้ การดัดแปลงอาหารมีลักษณะ ดังนี้
2.1 ดัดแปลงปริมาณของพลังงานในอาหาร
เป็นการดัดแปลงอาหารให้มีพลังงานเปลี่ยนแปลงไปจากมาตรฐานอาหารที่
กําหนดไว้ เช่น ให้พลังงานสูงขึ้น หรือต่ํากว่ามาตรฐานที่กําหนดไว้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
2.1.1 อาหารพลังงานสูง (high energy diet) เป็นอาหารที่มีพลังงานสูงกว่าปกติ
อาหารดัดแปลงชนิดนี้จะจัดให้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคขาดสารอาหาร ผู้ป่วยที่ผอมมาก ผู้ป่วยติดเชื้อ
ผู้ป่วยถูกความร้อนลวก ผู้ป่วยวัณโรคและผู้ป่วยที่มีอัตราการเผาผลาญสูง เป็นต้น
2.1.2 อาหารพลังงานต่ํา (low energy diet) เป็นอาหารที่ลดพลังงานให้ต่ํากว่า
ปกติ อาหารดัดแปลงพลังงานต่ําจะจัดให้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรค
ความดันโลหิตสูง โรคไต และโรคเกาต์ เป็นต้น
2.2 ดัดแปลงลักษณะของอาหาร
เป็นการดัดแปลงอาหารโดยทําให้อาหารอ่อนนุ่มด้วยการบด สับ เคี่ยว เป็น
อาหารที่มีใยอาหารต่ํา (low fiber diet) หรือเพิ่มให้อาหารมีใยอาหารมากขึ้น (high fiber diet)
2.3 ดัดแปลงสารอาหารหลัก
เป็นการดัดแปลงอาหารให้มีปริมาณของสารอาหารมากขึ้นหรือน้อยลง จาก
ที่มาตรฐานอาหารในโรงพยาบาลกําหนดไว้ เช่น อาหารเพิ่มโปรตีน (high protein diet) อาหาร
ลดไขมัน (low fat diet ) และอาหารลดโคเลสเตอรอล (low cholesterol diet) เป็นต้น
356
2.4 ดัดแปลงแร่ธาตุในอาหาร
เป็นการดัดแปลงอาหารโดยการเพิ่มหรือลดปริมาณแร่ธาตุในอาหารนั้นๆ ตาม
ความเหมาะสมเพื่อใช้ในการบําบัดโรค เช่น อาหารลดโซเดียม (low sodium diet) อาหารที่มี
แคลเซียมสูง (high calcium diet) หรืออาหารที่มีโปแตสเซียมต่ํา (low potassium diet) เป็นต้น
การดั ด แปลงอาหารเพื่ อ ให้ เ ป็ น อาหารบํ า บั ดโรคนั้ น อาจจะดั ด แปลงพลั ง งานหรื อ
สารอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว หรือหลายชนิดก็ได้ ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับโรคและอาการ
ของผู้ป่วยที่เป็นอยู่ในขณะนั้น อาหารดัดแปลงหรืออาหารเฉพาะโรคเหล่านี้แพทย์จะเป็นผู้สั่งและ
กํ า หนดปริ ม าณชนิ ด ของอาหารตลอดทั้ ง ปริ ม าณสารอาหาร นั ก กํ า หนดอาหารจะเป็ น
ผู้ดําเนินการคํานวณอาหารตามที่แพทย์สั่งรวมทั้งดําเนินการชั่ง ตวง จัด และบริการอาหารให้กับ
ผู้ป่วย
3. ประเภทของอาหารบําบัดโรค
จากการดัดแปลงอาหารที่สามารถทําได้หลายลักษณะดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ดังนั้นอาหารบําบัดโรคหรืออาหารเฉพาะโรคสามารถจําแนกได้หลายประเภทตามการดัดแปลง
ดังนี้
3.1 อาหารเปลี่ยนแปลงกากและใยอาหาร
อาหารเปลี่ยนแปลงกากและใยอาหาร (residue and fiber modified diet) แบ่ง
ออกเป็น 2 ชนิด คือ
3.1.1 อาหารที่มีใยอาหารต่ําหรือลดกาก (low residue diet) เป็นอาหารที่มีการ
ดัดแปลงให้อาหารมีใยหรือกากอาหารน้อย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วย
ให้แก่ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับฟัน ไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ ผู้ป่วยที่มีอาการเกี่ยวกับหลอด
อาหารอัก เสบ โรคลํา ไส้ห รื อแผลที่ กระเพาะอาหาร ผู้ป่วยที่มี ปัญหาในการย่อยการดูด ซึ ม
ผู้ป่วยที่มีปัญหาลําไส้อุดตันบางส่วน (ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มี ลําไส้ อุดตัน )เป็นต้น นอกจากการ
ดัดแปลงกากและใยอาหารแล้ว อาหารชนิดนี้ยังมีการดัดแปลงรสชาติอาหารให้มีรสชาติอ่อน
กว่าปกติ การจัดอาหารลดกากให้กับผู้ป่วยเป็นระยะเวลานานๆ อาจทําให้ผู้ป่วยขาดสารอาหาร
บางชนิดโดยเฉพาะวิตามิน และเกลือแร่ ดังนั้นอาจต้องมีการเสริมวิตามินและเกลือแร่ให้กับ
ผู้ป่วยด้วย
3.1.2 อาหารที่มีใยอาหารหรือกากอาหารสูง (roughage diet) เป็นอาหารที่มี
กากและใยอาหารสูงส่วนใหญ่จะจัดธัญพืชที่ยังไม่ได้ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวโพด
ลูกเดือย งาถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ ขนมปังประเภทโฮลวีท (whole wheat) ผัก และผลไม้ชนิดต่างๆ
ให้กับผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกเป็นประจํา การจัดอาหารที่มีใยอาหารหรือกากอาหารสูงนั้นควร
357
แพทย์อาจจะสั่งอาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูงกว่าปกติให้แก่ผู้ป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้โซเดียมใน
ร่างกายต่ําลงหรือเกิดการขาดโซเดียม
อาหารที่ให้ทางสายให้อาหาร
อาหารที่ให้ทางสายให้อาหาร (tube feeding diet) เป็นอาหารที่มีลักษณะเหลว
สามารถผ่ า นทางสายให้ อ าหารได้ ส ะดวก อาหารชนิ ด นี้ จ ะจั ด ให้ กั บ ผู้ ป่ ว ยที่ ไ ม่ ส ามารถ
รับประทานอาหารทางปากได้แต่การทํางานของระบบทางเดินอาหารของผู้ป่วยยังเป็นปกติ
ได้แก่ ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว ผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุทางสมอง ผู้ป่วยที่ผ่าตัดช่องปาก ผู้ป่วยที่เบื่อ
อาหารอย่างมาก ผู้ป่วยที่ต้องการปรับภาวะโภชนาการให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นต้น เนื่องจาก
ผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารทางปากได้ การให้อาหารทางสายให้อาหารจึงเป็นสิ่งจําเป็น
เพราะสามารถช่วยส่งเสริมและคงสภาพภาวะโภชนาการของผู้ป่วยไม่ให้เกิดภาวะทุพโภชนาการ
และยังช่วยให้ผ้ปู ่วยที่มีภาวะทุพโภชนาการอยู่ มีภาวะโภชนาการที่ดีข้ึน
1. ประเภทของสูตรอาหารที่ให้ทางสายให้อาหาร
อาหารที่ใช้ในการให้ทางสายให้อาหารแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1.1 สูตรอาหารที่จัดเตรียมขึ้นภายในโรงพยาบาล ฝ่ายโภชนาการของแต่ละ
โรงพยาบาลอาจจัดเตรียมสูตรอาหารชนิดนี้เอง สูตรอาหารชนิดนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.1.1 สูตรน้ํานมผสม (milk-based formula) อาหารทางสายให้อาหารสูตรนี้ใช้
นมและผลิตภัณฑ์จากนมเป็นส่วนผสมที่สําคัญ และเพื่อให้ได้รับสารอาหารอื่นเพิ่มเติมจึงมีการ
เติมส่วนผสมอื่นด้วย เช่น น้ําตาล น้ํามัน และไขมัน แพทย์จะเป็นผู้สั่งอาหารชนิดนี้และต้อง
กําหนดปริมาณพลังงาน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และสารอาหารอื่นๆ ที่ผ้ปู ่วยควรได้รบั ซึง่
นักกําหนดอาหารจะต้องคํานวณหาสัดส่วนของวัตถุดิบที่ใช้ ตัวอย่างสูตรน้ํานมผสม เช่น สูตร
น้ํานมผสมสูตร “รามาธิบดี” (ตารางที่ 12.8)
ไม่ให้ความร่วมมือเนื่องจากผู้ป่วยจะดึงสายออกบ่อยๆ และไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับ
หลอดคอ หลอดอาหาร เนื่องจากจะทําให้ใส่สายให้อาหารเข้าสู่กระเพาะอาหารได้ลําบาก
สําลักอาหารได้ง่าย และอาจทําให้เกิดความระคายเคืองและทําให้ผ้ปู ่วยรู้สึกไม่สบาย
2.1.2 การให้อาหารทางสายให้อาหารโดยผ่านจากปากเข้าไปยังกระเพาะอาหาร
(orogastric tube feeding) หลักการให้อาหารทางสายให้อาหารโดยวิธีน้ีมีหลักการเช่นเดียวกับการ
ให้อาหารทางสายให้อาหารโดยผ่านรูจมูกเข้าสู่กระเพาะอาหาร แต่วิธีนี้มีข้อเสียคือ การยึดติดของ
สายให้อาหารให้อยู่ที่เดิมไม่ดีเท่ากับการให้อาหารทางสายให้อาหารผ่านทางรูจมูก การให้อาหาร
ทางสายให้อาหารโดยวิธีนี้เหมาะสมกับผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของโพรงจมูกที่ไม่สามารถใส่สายให้
อาหารเข้าไปได้
2.2 การให้อาหารทางสายให้อาหารโดยไม่ผ่านกระเพาะอาหาร แบ่งออกได้ ดังนี้
2.2.1 การให้อาหารทางสายให้อาหารโดยผ่านทางรูจมูกไปยังลําไส้เล็กส่วนต้น
(nasoduodenal tube feeding) วิธีน้ีเหมาะสําหรับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ไม่รู้สึกตัว มีอาการชัก
บ่อยๆ สําลักอาหารได้ง่าย และในรายที่มีอาหารผ่านกระเพาะอาหารได้ช้า
2.2.2 การให้อาหารทางสายให้อาหารโดยผ่านทางรูจมูกไปยังลําไส้เล็ก
ส่วนกลาง (nasojejunal tube feeding) จะพิจารณาให้อาหารทางสายให้อาหารโดยวิธีนี้แก่ผู้ป่วย
เช่นเดียวกับการให้อาหารทางสายให้อาหารผ่านรูจมูกไปยังลําไส้เล็กส่วนต้นและยังให้ได้ใน
ผู้ป่วยที่มีรูรั่วของลําไส้เล็กส่วนต้น (duodenal fistula)
2.3 การให้อาหารทางสายให้อาหารโดยผ่านเข้าทางผนังหน้าท้อง ทําโดยการผ่าตัด
หรือใช้วิธีส่องกล้องเข้าทางกระเพาะอาหาร (percutaneous endoscopic gastrostomy : peg) แบ่งออก
ได้ ดังนี้
2.3.1 การให้ อ าหารทางสายให้ อ าหารโดยผ่ า นทางรู เ ปิ ด ผนั ง หน้ า ท้ อ งไปสู่
กระเพาะอาหาร (gastrostomy tube feeding) การให้อาหารทางนี้เหมาะสําหรับผู้ป่วยที่ไม่
สามารถให้อาหารโดยการใส่ทางสายผ่านทางจมูกหรือปากได้ เช่น ผู้ป่วยมีอาการอุดตันของ
หลอดอาหาร หรือใช้สําหรับผู้ป่วยที่ต้องได้รับอาหารทางสายให้อาหารเป็นระยะเวลานานๆ แต่
ระบบการย่อยอาหารและการดูดซึมในร่างกายยังปกติดี
2.3.2 การให้อาหารทางสายให้อาหารโดยผ่านทางรูเปิดผนังหน้าท้องไปสู่ลําไส้
เล็กส่วนกลาง (jejunostomy tube feeding) การให้อาหารโดยวิธีน้ีเหมาะสําหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถ
ให้อาหารโดยผ่านทางจมูกหรือทางปากได้ เช่น ผู้ป่วยที่มีโอกาสสําลักอาหารเข้าหลอดลมได้งา่ ย มี
เนื้องอกในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบ ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร หรือ
กระเพาะอาหารมีการเคลื่อนไหวหรือบีบตัวน้อยทําให้อาหารผ่านกระเพาะอาหารได้ช้า ข้อดีของ
365
5. ลักษณะที่ดีของสูตรอาหารที่ให้ทางสายให้อาหาร
สูตรอาหารที่ให้กับผู้ป่วยที่ผ่านทางสายให้อาหาร ควรมีคุณสมบัติต่อไปนี้
5.1 ให้พลังงานและสารอาหารที่เพียงพอ กล่าวคือ พลังงานที่ให้ในผู้ป่วยผู้ใหญ่จะ
กําหนดให้ได้รับพลังงานวันละ 25-30 กิโลแคลอรีต่อน้ําหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่ถ้าผู้ป่วยอยู่ใน
ภาวะเครียดอาจให้พลังงาน 30-50 กิโลแคลอรีต่อน้ําหนักตัว 1 กิโลกรัม สําหรับสารอาหาร
ควรได้จากโปรตีนร้อยละ 15-20 ของพลังงานทั้งหมด ไขมันร้อยละ 30 ของพลังงานทั้งหมด
ไขมันที่ใช้ควรมาจากน้ํามันพืช ในด้านคุณภาพของไขมันควรควรได้กรดไลโนเลอิก (linoleic acid)
ร้อยละ 10 ของพลังงานที่ได้รับ ซึ่งสามารถป้องกันการขาดกรดไลโนเลอิกและควบคุมระดับ
ไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สําหรับคาร์โบไฮเดรตควรให้ร้อยละ 50-55 ของพลังงาน
ทั้งหมดและควรเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากแป้ง ธัญพืช มากกว่าน้ําตาล ปริมาณเกลือแร่ที่ควร
ได้รับ มีดังนี้ แคลเซียม 40-120 มก./100 มล. ฟอสฟอรัส 40-95 มก./100 มล. โซเดียม 50-80
มก./100 มล. โปแตสเซียม 120-140 มก./100 มล.
5.2 มีอัตราส่วนระหว่างพลังงานที่ไม่ได้มาจากโปรตีนต่อไนโตรเจน (non-protein
calorie : nitrogen ratio) อย่างเหมาะสมเพื่อให้ร่างกายสามารถนําเอากรดอะมิโนที่ดูดซึมเข้าไป
สร้างโปรตีนภายในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรให้ผ้ปู ่วยได้รับพลังงานที่ไม่ได้จากโปรตีน
ในปริมาณ 150 แคลอรีต่อ 1 กรัมไนโตรเจน หรือ 24 แคลอรีต่อ 1 กรัมโปรตีน
5.3 มีออสโมลาลิตี้ ของอาหารที่ พอเหมาะ ในภาวะปกติระดับออสโมลาลิต้ี ของ
ของเหลวภายในร่างกายมีค่าเท่ากับ 300 มิลลิออสโมลต่อกิโลกรัม ร่างกายพยายามรักษา
ระดับ ความดั น ออสโมลาลิ ตี้ ข องของเหลวภายในกระเพาะอาหารและลํ าไส้ ใ ห้ อยู่ ใ นเกณฑ์
ดังกล่าว อาหารที่รับประทานโดยทั่วไปจะมีค่าความดันออสโมลาลิต้ี 600 มิลลิออสโมลต่อ
กิโลกรัม ดังนั้นถ้าหากให้สูตรอาหารที่มีความดันออสโมลาลิตี้สูงกว่า 600 มิลลิออสโมลต่อ
กิโลกรัม จะต้องควบคุมอัตราการไหลของสูตรอาหารให้ช้าลงเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะอุจจาระร่วงซึ่ง
อาจจะเกิดขึ้นได้
5.4 ความเข้มข้นของพลังงานไม่ควรมากกว่า 1-1.2 กิโลแคลอรีต่อมิลลิลิตร โดยทั่วไป
แล้วสูตรอาหารที่ให้ผู้ป่วยจะต้องให้พลังงานและน้ํากับผู้ป่วยอย่างเพียงพอ ในกรณีที่ต้องจํากัด
ปริมาณน้ําอาจเพิ่มความเข้มข้นของพลังงานของสูตรอาหาร ทั้งนี้ไม่ควรเกิน 1.5 กิโลแคลอรีต่อ
มิลลิลิตร
5.5 ปลอดภัยจากเชื้อโรค การจัดเตรียมอาหารทางสายให้อาหารจะต้องคํานึงถึง
ความสะอาดให้มากที่สุดตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบที่นํามาใช้ ภาชนะ อุปกรณ์ ความสะอาดของ
368
สิ่งที่ควรทราบในการดัดแปลงอาหารบําบัดโรค
เพื่อให้สามารถดําเนินการจัดเตรียมอาหารบําบัดโรคได้อย่างถูกต้อง นักกําหนดอาหาร
จําเป็นต้องมีความรู้ด้านต่างๆ ดังนี้
1. ตารางแสดงคุณค่าอาหารไทย และรายการอาหารแลกเปลี่ยน
ตารางแสดงคุณค่าอาหาร และรายการอาหารแลกเปลี่ยน (food exchange list)
นับเป็นเครื่องมือสําคัญในการทํางานของนักกําหนดอาหารเพราะเป็นสิ่งที่ช่วยในการคํานวณ
และกําหนดสัดส่วนอาหารให้ผ้ปู ่วย ทําให้ทราบว่าผู้ป่วยจะต้องรับประทานอาหารอะไร ปริมาณ
มากน้อยเพียงใด จึงจะได้รับพลังงานและสารอาหารตามที่แพทย์กําหนดไว้ในแผนการรักษา
เพราะฉะนั้นนักกําหนดอาหารจึงจําเป็นต้องรู้จักใช้ตารางคุณค่าอาหาร และรายการอาหาร
แลกเปลี่ยนให้ถูกต้อง
1.1 ตารางแสดงคุณค่าอาหารไทย ในส่วนที่กินได้ 100 กรัม ของกองโภชนาการ
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตารางนี้แสดงรายละเอียดของคุณค่าทางโภชนาการของ
อาหารชนิดต่างๆ ได้แก่ พลังงาน โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามินและเกลือแร่ เป็นต้น
ตารางนี้จึงเหมาะสําหรับการนํามาคํานวณหาสารอาหารอย่างละเอียด เพื่อนํามาใช้ในงานวิจัย
หรือทดลองต่างๆ การนําตารางนี้มาใช้พบว่าจะต้องเสียเวลาในการคํานวณหาสารอาหารต่างๆ
มาก จึงไม่เหมาะที่จะนํามาใช้ในการคํานวณอาหารประจําวันให้กับผู้ป่วย
1.2 ตารางแสดงคุณค่าอาหารในรายการอาหารแลกเปลี่ยน รายการอาหาร
แลกเปลี่ยนเป็นรายการอาหารที่จําแนกอาหารออกเป็นหมวดๆ ตามชนิดของสารอาหารที่มีอยู่
โดยอาหารที่มีสารอาหารที่เหมือนกันจะถูกจัดให้อยู่ในหมวดเดียวกัน เพื่อใช้ในการคํานวณหา
ปริ มาณอาหาร และสามารถแลกเปลี่ ยนอาหารในหมวดเดี ยวกั นได้ ตารางรายการอาหาร
แลกเปลี่ยนมีด้วยกันหลายตาราง เช่น ตารางคุณค่าอาหารแลกเปลี่ยนอาหารโรคเบาหวาน อาหาร
แลกเปลี่ยนอาหารลดโซเดียม อาหารแลกเปลี่ยนอาหารลดไขมัน เป็นต้น ซึ่งนักกําหนดอาหาร
สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม แต่ที่นิยมนํามาใช้ในการดัดแปลง คํานวณ และกําหนด
สารอาหาร และปริมาณอาหารให้กับผู้ป่วยมากที่สุด คือ ตารางคุณค่าอาหารแลกเปลี่ยนอาหาร
โรคเบาหวาน รายละเอียดจะกล่าวในบทที่ 2 ต่อไป
370
2. การคํานวณ
อาหารบําบัดโรคที่แพทย์กําหนดสําหรับผู้ป่วยจะระบุเฉพาะพลังงานหรือสารอาหาร
ที่ต้องการต่อวันเท่านั้น จึงไม่สามารถบอกได้ว่าควรกินอาหารอะไร มากน้อยเพียงใด ถ้านัก
กํ า หนดอาหารไม่ คํ า นวณหาปริ ม าณอาหารไว้ ดั ง นั้ น นั ก กํ า หนดอาหารจึ ง ต้ อ งสามารถ
คํ า นวณหาปริ ม าณอาหารที่ ผู้ ป่ ว ยต้ อ งการตามคํ า สั่ ง แพทย์ โดยมี ต ารางรายการอาหาร
แลกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือสําคัญที่ใช้ในการคํานวณและกําหนดปริมาณอาหารที่เหมาะสมให้กับ
ผู้ป่วย
3. การซักประวัติและบริโภคนิสัยของผู้ป่วย
การจัดอาหารบําบัดโรคจะได้ผลดีหรือไม่ส่วนหนึ่งอยู่ที่นักกําหนดอาหารสามารถทราบ
ถึงบริโภคนิสัยของผู้ป่วยและสามารถดัดแปลงอาหารให้ใกล้เคียงกับบริโภคนิสัย ดังนั้น การพบ
ผู้ป่วยเพื่อพูด คุย ไต่ถามถึงความชอบและไม่ชอบอาหารของผู้ป่วยจึงมีความสําคัญในการดัดแปลง
อาหารให้ผ้ปู ่วยด้วย
4. การประกอบอาหาร
นักกําหนดอาหารต้องทราบว่าอาหารแต่ละชนิดที่จัดให้กับผู้ป่วยนั้นมีส่วนประกอบ
มีวิธีการเตรียมอย่างไร เครื่องปรุงต้องใส่อะไรบ้างและเครื่องปรุงแต่ละชนิดมีผลต่อโรคที่ผู้ป่วย
เป็นอย่างไรเพื่อที่จะได้ดัดแปลงอาหารได้ถูกต้อง
5. ลักษณะอาหาร
นักกําหนดอาหารจะต้องรู้ลักษณะของอาหารแต่ละชนิดว่าควรเป็นอย่างไร เช่น
อาหารบางอย่างควรกรอบ บางอย่างควรรับประทานร้อน บางอย่างควรรับประทานเย็น เป็นต้น
เมื่ อ มี ก ารดัดแปลงแล้ วจะได้ อาหารที่ไ ม่ แ ตกต่า งไปจากเดิ ม มากนัก และเป็นผลทํ า ให้ ผู้ป่ ว ย
ยอมรับอาหารนั้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาวะโภชนาการของผู้ป่วยและสนับสนุนการรักษาของแพทย์
6. ความละเอียด รอบคอบ
อาหารบําบัดโรคที่แพทย์สั่งส่วนมากจะกําหนดพลังงานและสารอาหารบางตัว ซึ่ง
นักกําหนดอาหารต้องทําการคํานวณและชั่งตวงอาหารให้ถูกต้องตามที่คํานวณไว้ด้วยจึงจะได้
อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ตรงตามที่แพทย์กําหนด ดังนั้นความละเอียดรอบคอบรวมถึง
การติ ด ตามตรวจสอบความถู ก ต้ อ งของอาหารทุ ก มื้ อ ก่ อ นการนํ า ไปบริ ก ารให้ ผู้ ป่ ว ย จึ ง มี
ความสําคัญที่นักกําหนดอาหารไม่ควรละเลย
7. การติดตามการบริโภคอาหาร
นักกําหนดอาหารต้องทําการติดตามการบริโภคอาหารของผู้ป่วยเพื่อให้ทราบถึงผล
การยอมรับอาหารของผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารได้จะต้องทําการแก้ไข
371
ปรับปรุงอาหารเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้ แต่ท้ังนี้ต้องไม่มีผลเสียต่อการรักษา
ของแพทย์ การติดตามการบริโภคอาหารโดยการเยี่ยมผู้ป่วยที่หอผู้ป่วยจะทําให้นักกําหนด
อาหารได้รู้จัก คุ้นเคย และรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับบริโภคนิสัย ตลอดจนสามารถจัดเตรียม
อาหารให้ได้ตามแผนการรักษาของแพทย์จนเป็นที่ยอมรับของผู้ป่วย ย่อมแสดงถึงประสิทธิภาพ
และความสามารถของนักกําหนดอาหารซึ่งจะทําให้แพทย์ พยาบาล และผู้ที่เกี่ยวข้องได้เห็น
ความสําคัญของอาหารที่มีบทบาทในการรักษาผู้ป่วย ซึ่งมีความสําคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการใช้
ยา เพราะฉะนั้นนักกําหนดอาหารควรตระหนักถึงภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบของตนเองและ
พยายามทําหน้าที่น้นั ให้ดีที่สุด
ตัวอย่างรายการอาหารผู้ป่วยที่บริการในโรงพยาบาล
ตารางที่ 12.10 รายการอาหารธรรมดาสําหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาล
สรุป
อาหารที่บริการให้กับผู้ป่วยในโรงพยาบาลแบ่งออกเป็น 1) อาหารทั่วไปในโรงพยาบาล
ได้แก่ อาหารธรรมดา อาหารอ่อน อาหารน้ํา 2) อาหารเฉพาะโรค และ 3) อาหารทางสายให้
อาหาร การดําเนินการจัดบริการอาหารให้กับผู้ป่วยเป็นหน้าที่สําคัญของฝ่ายงานโภชนาการ
โดยมีนักกําหนดอาหารทําหน้าที่ในการจัดให้มีอาหารบริการกับผู้ป่วย โดยอาหารที่จัดให้กับ
ผู้ป่วยต้องถูกต้องตามหลักโภชนาการและโภชนบําบัด และเป็นอาหารที่ผู้ป่วยยอมรับได้ นัก
กําหนดอาหารจะจัดอาหารให้กับผู้ป่วยตามคําสั่งของแพทย์ คํานวณปริมาณสารอาหารที่ผู้ป่วย
ควรได้รับและกําหนดสัดส่วนอาหารโดยใช้ตารางรายการอาหารแลกเปลี่ยน ผลิตและบริการ
อาหารให้กับผู้ป่วย นอกจากนี้ยังทําหน้าที่ในการให้เผยแพร่ให้ความรู้ด้านอาหาร โภชนาการ
และโภชนบําบัดแก่ผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย และบุคคลทั่วไป รวมทั้งยังทําหน้าที่ในการค้นคว้า วิจัย
งานด้านอาหารและโภชนาการที่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วย
บรรณานุกรม
ชนิดา ปชิตการ ศัลยา คงสมบูรณ์เวช และอภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์. (2553). อาหาร & สุขภาพ.
พิมพ์ครั้งที่ 4, กรุงเทพฯ : เสริมมิตร.
ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรา และคนอื่นๆ. (2554). เอชไอเอ กลไกการพัฒนานโยบายสาธารณะ
เพื่อชีวิตและสุขภาพ. สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล. บริษัท
อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งจํากัด (มหาชน). นครปฐม.
ชมรมนักกําหนดอาหาร. (2544).รายการอาหารแลกเปลี่ยนไทย. การอบรมโภชนาการและ
โภชนบําบัดสําหรับผู้สอนวิชาโภชนบําบัด. 9-11 พฤษภาคม 2544. ศูนย์การแพทย์สิริ
กิต์คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
ชวลิต รัตนกุล. (2544). อาหารบําบัดโรคตับแข็ง.ใน การอบรมโภชนาการและโภชนบําบัด
สําหรับ ผู้สอนวิชาโภชนบําบัด. 9-11 พฤษภาคม 2544, จัดโดยชมรมนักกําหนด
อาหารร่วมกับฝ่ายโภชนาการ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.
ชวลิ ต รั ต นกุ ล และ กวี เจริ ญ ลาภ. (2549). อาหารกั บ โรคความดั น โลหิ ต สู ง . ใน
คณะกรรมการปรับปรุงวิชาอาหารบําบัดโรค มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (บก.).
เอกสารประกอบการสอนชุดวิชาอาหารบําบัดโรค หน่วยที่ 8-15. (หน้า 151-223)
นนทบุรี : มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช.
ชวลิ ต รัตนกุล, วินิต า จันทรรั กษา, ชนิ ดา ปโชติการ, และสุนาฏ เตชางาม. การดัดแปลง
อาหารสํ าหรั บผู้ป่ วยโรคไตและโรคความดันโลหิ ต สูง. ในการกําหนดและการ
ดั ด แปลงอาหารไทยสู่ ค รั ว โลกและครั ว โรค : นํ า ความรู้ สู่ ก ารปฏิ บั ติ . การประชุ ม
วิชาการเฉลิมฉลองพระชนมายุ 50 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราช
กุมารี วันที่ 12-15 พฤษภาคม 2548.
ดุษณี สุทธปรียาศรี. (2532). โภชนศาสตร์คลินิก. กรุงเทพฯ : โครงการตําราวิทยาศาสตร์
อุตสาหกรรม
ดาวเรือง แก้วขันตี และคณะ. (2547). เอกสารประกอบการกําหนดเป้าหมายทันตสุขภาพ
ของคนไทย ปี พ.ศ. 2563 เรื่อง สภาวะสังคมไทยและภาพคนไทยปี พ.ศ. 2563.
กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.
ทวีศักดิ์ แทนวันดี. (2548). ไวรัสตับอักเสบ มฤตยูเงียบแห่งปัจจุบัน. [Online]. Available :
http :///mof.or.th/ pitsanulpke.
377
ความหมายของรายการอาหารแลกเปลี่ยน
สมาคมนักกําหนดอาหารแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (The American Dietetic
Association) เป็นผู้วางแผนและริเริ่มนํารายการอาหารแลกเปลี่ยนมาใช้ อาหารในตารางรายการ
อาหารแลกเปลี่ยนมีท้ังหมด 6 หมวดด้วยกัน อาหารในหมวดเดียวกันมีปริมาณโปรตีน ไขมัน
และคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่ใกล้เคียงกันและมีรายการที่ใช้ทดแทนกันได้ อาหารแต่ละหมวด
จะกําหนดปริมาณของอาหารไว้แตกต่างกัน เรียกว่า “ส่วน” (serving) รายการอาหาร
แลกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือสําคัญในการจัดปริมาณอาหารที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วย ได้มีนักวิชาการ
ได้กล่าวถึงความหมายของรายการอาหารแลกเปลี่ยนไว้ ดังนี้
สุ จ รรยา สุ ว รรณคี รี (2537, หน้ า 25) ได้ ใ ห้ ค วามหมายของคํ า ว่ า รายการอาหาร
แลกเปลี่ยน หมายถึง กลุ่มของอาหารที่ได้กําหนดปริมาณไว้แน่นอนและมีคุณค่าทางอาหาร
ทัดเทียมกัน ซึ่งเมื่อรับประทานแล้วสามารถทดแทนกันได้ คุณค่าอาหารเหล่านี้ได้แก่ โปรตีน
ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต อาหารที่จะแลกเปลี่ยนกันได้จะต้องอยู่ในหมวดเดียวกัน
รุจิรา สัมมะสุต และรัศมี คันธเสวี (2549, หน้า 32) ได้ให้ความหมายของคําว่า รายการ
อาหารแลกเปลี่ยน คือรายการอาหารชนิดต่างๆ ที่จําแนกออกเป็นหมวดๆ ตามชนิดของ
384
สารอาหารที่มีอยู่ อาหารที่มีสารอาหารเหมือนกันจัดรวมอยู่ในหมวดเดียวกันเพื่อใช้ในการ
คํานวณหาปริมาณอาหารและแลกเปลี่ยนอาหารในหมวดเดียวกันที่จะให้ผ้ปู ่วยรับประทาน
ศรีสมัย วิบูลยานนท์ (2538, หน้า 83) ได้ให้ความหมายของคําว่า รายการอาหารแลก
เปลี่ยน หมายถึงการจัดอาหารเป็นพวกให้ใช้แลกเปลี่ยนเวียนไปเรื่อยๆ คิดค่าเฉลี่ยปริมาณ
คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน และพลังงานไว้เป็นพวกๆ ตัวเลขค่าปริมาณของสารอาหารนี้ไม่ใช่
ตัวเลขที่ถูกต้องสําหรับอาหารแต่ละอย่างแต่เป็นค่าเฉลี่ยที่จะต้องใช้อาหารต่างๆ ในรายการ
สลับเปลี่ยนกันไปทุกวันทุกมื้อให้ทั่วถึง
นิธิยา รัตนาปนนท์ และ วิบูลย์ รัตนาปนนท์ (2543, หน้า 44) ได้ให้ความหมายของคํา
ว่ า รายการอาหารแลกเปลี่ ย น หมายถึ ง รายการที่ กิ น ทดแทนกั น ได้ เ นื่ อ งจากมี ป ริ ม าณ
สารอาหารและจํ า นวนพลั ง งานใกล้ เ คี ย งกั น เพื่ อ ประโยชน์ ใ นการเลื อ กบริ โ ภคอาหารให้
เหมาะสมกับร่างกายและนําไปใช้ป้องกันหรือรักษาโรคบางชนิด
วรุวรรณ ผาโคตร, สิรนาถ นุชนาถ, และธาดา วิมลวัตรเวที (2548, หน้า 99) กล่าวว่า
รายการอาหารแลกเปลี่ยน มี 6 หมวด ดังนี้ น้ํานม ผัก ผลไม้ แป้งและธัญพืช เนื้อสัตว์ และไขมัน
จากความหมายของคําว่า รายการอาหารแลกเปลี่ยนที่นักวิชาการหลายท่านได้แสดง
ทัศนะไว้น้ัน สรุปได้ว่า รายการอาหารแลกเปลี่ยน คือ เครื่องมือสําคัญที่ช่วยในการคํานวณและ
กําหนดสัดส่วนอาหารตามความต้องการของแต่ละบุคคล ซึ่งสามารถนําไปใช้ได้ท้ังบุคคลใน
ภาวะปกติ และในผู้ป่วย โดยมีการจัดกลุ่ มอาหารออกเป็น 6 หมวด ได้แก่ หมวดน้ํานมและ
ผลิตภัณฑ์ หมวดผัก หมวดข้าว แป้ง ขนมปัง ธัญพืชและผลิตภัณฑ์ หมวดผลไม้ หมวดเนื้อสัตว์
และหมวดไขมัน โดยกําหนดให้แต่ละหมวดมีปริมาณสารอาหาร ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน
ไขมัน และพลังงานที่เท่ากันและกําหนดปริมาณอาหารในแต่ละหมวดว่า “ส่วน” (serving)
อาหารในหมวดเดียวกัน 1 ส่วน อาจมีน้ําหนักที่แตกต่างกันแต่มีคุณค่าทางโภชนาการเท่ากันจึง
ทํ า ให้ อ าหารให้ ห มวดเดี ย วกั น สามารถแลกเปลี่ ย นกั น ได้ มี ผ ลทํ า ให้ ผู้ ป่ ว ยได้ รั บ อาหารที่
หลากหลาย
รายการอาหารแลกเปลี่ยน
รายการอาหารแลกเปลี่ย นได้ กํา หนดขึ้ น โดยสมาคมนั ก กํา หนดอาหารแห่ ง ประเทศ
สหรัฐอเมริกาและสมาคมโรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกา (The American Dietetic Association
and The American Diabetes Association) ในปี ค.ศ. 1947 เพื่อใช้ในการกําหนดอาหารสําหรับ
ผู้ป่วยเบาหวาน ต่อมาในปี ค.ศ.1976 ได้มีการปรับปรุงรายการอาหารแลกเปลี่ยนใหม่โดยมุ่ง
ระวังถึงปริมาณพลังงานและไขมันในอาหาร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ
385
ตีบตันซึ่งเป็นกันอย่างแพร่หลายในคนอเมริกัน ปัจจุบันได้มีรายการอาหารแลกเปลี่ยนไทย
โดยเฉพาะซึ่งจัดทําขึ้นโดยนักกําหนดอาหารและนักโภชนาการจากหน่วยงานต่างๆ รายการ
อาหารแลกเปลี่ยนนี้จะสามารถนําไปใช้เป็นคู่มือในการกําหนดและจัดทําอาหารสําหรับบุคคล
ต่างๆ โดยทั่วไปและผู้ป่วยโรคที่ต้องใช้อาหารบําบัดโรคหรือโภชนบําบัดด้วย
รายการอาหารแลกเปลี่ยนแบ่งอาหารออกเป็นหมวดหมู่โดยใช้ปริมาณของพลังงานและ
สารอาหารที่ให้พลังงานเป็นหลัก โดยกําหนดปริมาณหรือน้ําหนักของอาหารแต่ละชนิดตาม
ปริมาณที่คนทั่วไปบริโภคอาหารชนิดนั้นได้ ต่อ 1 ครั้ง ซึ่งเรียกว่า “ส่วน” (serving) ซึ่งเป็นส่วน
ของอาหารที่กินได้เป็นน้ําหนักของอาหารสุก (ตารางที่ 1)
1.2 นมพร่องมันเนย
นมพร่องมันเนย เป็นนมที่กําจัดไขมันออกบางส่วน นมพร่องมันเนย 1 ส่วน ให้
สารอาหารคาร์โบไฮเดรต 12 กรัม โปรตีน 8 กรัม ไขมัน 5 กรัม และพลังงาน 120 กิโลแคลอรี
นมสดพร่องมันเนย 1 ส่วน มีปริมาณที่แตกต่างกันตามชนิดของนม (ตารางที่ 3) ดังนี้
387
หมายเหตุ 1) นมทั้ง 3 ชนิด ในปริมาณ 1 ส่วน ให้โซเดียม120 กรัม โปแตสเซียม 350 กรัม
ฟอสฟอรัส 220 กรัม
2) นมที่เติมน้ําตาล นมช็อกโกแลต นมสตอเบอรี่ นมเปรี้ยวต่างๆ จะมีปริมาณ
พลังงานเพิ่มขึ้น หรือแตกต่างกันไปตามชนิดของส่วนประกอบต่างๆ ที่เติมเข้าไป
2. หมวดผัก
ผัก ในรายการอาหารแลกเปลี่ยน แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
388
ชนิดของผลไม้อบแห้ง ปริมาณ
แอปเปิล 4 ชิน้
มะเดื่อ 1 1/2 ผล
พรุน 2 ผล
ลูกเกด 2 ช้อนโต๊ะ
5. หมวดเนื้อสัตว์
เนื้อสัตว์ที่ รับประทานมีหลายชนิ ด ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ํา และสั ตว์ปีก แต่การแบ่ง
เนื้อสัตว์ในรายการอาหารแลกเปลี่ยนจะแบ่งตามปริมาณไขมันได้ 4 ประเภท ดังนี้
5.1 เนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ํามาก (very lean meat) เนื้อสัตว์ไขมันต่ํามาก ปริมาณ 1
ส่วน ให้โปรตีน 7 กรัม ไขมัน 0 - 1 กรัม และพลังงาน 35 กิโลแคลอรี น้ําหนักเนื้อสัตว์สุก
30 กรัม หรือ 2 ช้อนโต๊ะ หรือน้ําหนักดิบ 40 กรัม (3 ช้อนโต๊ะ)
เนื้อสัตว์ไขมันต่ํามากได้แก่ เนื้อปลาชนิดต่างๆ เช่น ปลาช่อน ปลาตาเดียว ปลาเก๋า ปลา
นกแก้ว ปลากะพงขาว ปลาทู ปลาหางเหลือง ปลาสีกุน ปลาใบขนุน ปลาทรายแดง ปลาดุกอุย
ปลาน้ําดอกไม้ ปลาเนื้ออ่อน ปลาหมอเทศ ปลากระบอก ปลาอินทรีย์ ลูกชิ้นปลา1 ลูกชิ้นเนื้อ1
ปลาหมึกสาย หอยแครง2 หอยลาย2 กุ้งทะเล3 กุ้งน้ําจืด3 กุ้งฝอย4 เนื้อปูทะเล ปูตัวเล็ก เนื้ออกไก่
สันในไก่
1
หมายเหตุ ลูกชิ้นปลาและลูกชิ้นเนื้อ ประมาณ 5 ลูกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5
เซนติเมตร
2
หอยประมาณ 10-15 ตัว หรือน้ําหนักสุก 30 กรัม หรือน้ําหนักดิบ 70 กรัม
3
กุ้ ง สด ประมาณ 4 ตั ว ขนาดกลาง (ยาว × เส้ น ผ่ า ศู น ย์ ก ลาง = 8 × 12
เซนติเมตร
4
กุ้งฝอย ประมาณ 6 ช้อนโต๊ะ
6. หมวดไขมัน
ไขมัน 1 ส่วน ให้สารอาหาร ไขมัน 5 กรัม พลังงาน 45 กิโลแคลอรี ไขมัน ได้แก่ น้ํามัน
ทุกชนิด ครีม เนย มาการีน น้ําสลัด เป็นต้น ไขมันแต่ละชนิดให้กรดไขมันที่แตกต่างกัน จึงแบ่ง
ประเภทของไขมันตามกรดไขมัน ดังนี้ (ตารางที่ 11)
6.1 กลุ่มไขมันประเภทที่มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวตําแหน่งเดียว (monounsaturated fatty
acid : MUFA) ได้แก่ น้ํามันมะกอก น้ํามันรําข้าว น้ํามันถั่วลิสง เนยถั่วลิสง เมล็ดมะม่วงหิม
พานต์
6.2 กลุ่มไขมันประเภทที่มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหลายตําแหน่ง (polyunsaturated fatty
acid : PUFA) ได้แก่ น้ํามันถั่วเหลือง น้ํามันข้าวโพด น้ํามันดอกคําฝอย น้ํามันดอกทานตะวัน
เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดฟักทอง มายองเนส น้ําสลัดน้ําใส
6.3 กลุ่มไขมันประเภทที่มีกรดไขมันชนิดอิ่มตัว (saturated fatty acid : SFA) ได้แก่
น้ํามันหมู น้ํามันไก่ เนยสด เนยขาว กะทิ ครีมนมสด
395
หมายเหตุ
อาหารที่รับประทานได้โดยไม่คิดพลังงาน ได้แก่ พริกไทย เครื่องเทศอื่นๆ กาแฟ ชา วุ้น
จืด ซุปน้ําใส น้ํามะนาว น้ําปลา เกลือ
สําหรับน้ําตาล น้ําตาล 1 ส่วน น้ําหนัก 5 กรัม หรือ 1 ช้อนชา ให้คาร์โบไฮเดรต 5
กรัม พลังงาน 20 กิโลแคลอรี
396
หลักการคํานวณและกําหนดปริมาณอาหารให้กับผู้ป่วย โดยใช้รายการ
อาหารแลกเปลี่ยน
ในการคํานวณกําหนดสัดส่วนอาหารในหมวดต่างๆ ที่นําไปใช้ในการจัดรายการอาหาร
เพื่ อ ให้ ไ ด้ พ ลั ง งาน คาร์ โ บไฮเดรต โปรตี น และไขมั น ตามกํ า หนด โดยใช้ ร ายการอาหาร
แลกเปลี่ยน เป็นเครื่องมือในการคํานวณ มีหลักการในการคํานวณเป็นขั้นๆ ดังนี้
1. แบบฟอร์ม
การคํานวณและการกําหนดปริมาณอาหารนั้นจะเรียงลําดับอาหารหมวดต่างๆ ที่ใช้
และสารอาหารที่ได้รับ โดยรูปแบบของตารางแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ตารางแนวนอน เริ่มต้น
ด้วยจํานวน “ส่วนอาหาร” ที่กําหนด ปริมาณสารอาหารต่างๆ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน
ไขมันและพลังงาน ตารางในแนวตั้ง เริ่มต้นด้วยหมวดน้ํานม หมวดผัก หมวดผลไม้ หมวดข้าว
และแป้ง หมวดเนื้อสัตว์และหมวดไขมัน (ตารางที่ 12)
ประโยชน์จากการใช้แบบฟอร์มเพื่อช่วยให้การคํานวณกําหนดปริมาณอาหารไม่สับสน
เนื่องจากต้องคํานวณสารอาหารให้ครบไปทีละชนิด โดยในขั้นแรกต้องคํานวณและจัดอาหารที่
ให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตจนครบก่อน โดยกําหนดจํานวนส่วนของนม ผัก ผลไม้
ตามลําดับและหลังจากนั้นให้คํานวณจํานวนส่วนของข้าวจากคาร์โบไฮเดรตที่เหลือ (หลังจาก
การจัดนม ผัก และผลไม้) เป็นลําดับต่อมา ต่อจากคาร์โบไฮเดรตจะต้องคํานวณจํานวนส่วน
ของเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นกลุ่มอาหารที่ให้โปรตีน และสุดท้ายคํานวณจัดอาหารประเภทไขมันเพื่อให้
ได้สารอาหารประเภทไขมันตามที่กําหนดไว้
2. การคํานวณ
กําหนดปริมาณหรือ“ส่วน”ของอาหารแลกเปลี่ยนหมู่ต่างๆ เพื่อให้ได้คาร์โบไฮเดรต
โปรตีน ไขมัน และพลังงานตามกําหนด โดยคํานวณลงในแบบฟอร์มเป็นลําดับ (ตารางที่ 12)
โดยให้เริ่มกําหนดอาหารเรียงตามลําดับตั้งแต่หมวดนม หมวดผัก หมวดผลไม้ หมวดข้าวและ
แป้ง หมวดเนื้อสัตว์ และหมวดไขมันเป็นลําดับ ดังนี้
2.1 กําหนดสัดส่วนของนมที่ต้องการ และคํานวณหาปริมาณคาร์โบไฮเดรต โปรตีน
ไขมัน และพลังงานที่ได้รับจากนม ทั้งนี้การกําหนดนมให้ผู้ป่วยต้องคํานึงด้วยว่าผู้ป่วยสามารถ
ดื่มนมได้หรือไม่และถ้าดื่มได้ก็ต้องพิจารณาว่าผู้ป่วยควรดื่มนมในปริมาณกี่ส่วนและเป็นนมชนิด
ใดเพื่อให้เหมาะสมกับปริมาณสารอาหาร พลังงาน และความต้องการของผู้ป่วย
397
ตัวอย่างการกําหนดส่วนอาหารที่ควรได้รับ
แพทย์กําหนดให้นายดุสิต ราชสีมา ได้รับอาหารธรรมดา พลังงานวันละ 1,600 กิโล
แคลอรี คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันร้อยละ 55 : 15 : 30 ของพลังงานทั้งหมด ให้
คํานวณหาปริมาณสารอาหารที่นายดุสิต ราชสีมา ต้องได้รับใน 1 วัน และกําหนดสัดส่วน
อาหารที่ควรได้รับโดยใช้ตารางการอาหารแลกเปลี่ยน
1. คํานวณหาปริมาณสารอาหารที่ต้องการ
พลังงานที่ ควรได้รั บ 1,600 กิ โลแคลอรีต่ อวัน กําหนดให้ได้รั บ คาร์โ บไฮเดรต
โปรตีน และไขมันร้อยละ 55 : 15 : 30 ของพลังงานทั้งหมด
กําหนดให้ผ้ปู ่วยได้รับคาร์โบไฮเดรต ร้อยละ 55 ของพลังงานทั้งหมด
55
คาร์โบไฮเดรต = × 1,600 = 880 กิโลแคลอรี
100
880
คํานวณเป็นคาร์โบไฮเดรตได้วันละ = = 220 กรัม
4
(คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี)
ดังนั้น นายดุสิตควรได้รับคาร์โบไฮเดรตจากอาหารวันละ = 220 กรัม
401
480
คํานวณเป็นไขมันได้วนั ละ = = 53.33 กรัม
9
(ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี)
ดังนั้น นายดุสิตควรได้รับไขมันจากอาหารวันละ = 53.5 กรัม
60 - 27
=
7
= 4.71 ส่วน หรือ 4.5 ส่วน
3. การกําหนดมื้ออาหาร
นําสัดส่วนอาหารที่ได้จากตารางที่ 13 มากําหนดมื้ออาหาร โดยกําหนดมื้ออาหาร
เป็น 4 มื้อ คือ มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อว่างบ่าย และมื้อเย็น (ตารางที่ 14)
มื้ออาหาร
หมวดอาหาร ส่วน เช้า เที่ยง ว่างบ่าย เย็น
นมพร่องมันเนย 1 1 - - -
ผัก ก กินได้ตามชอบไม่จํากัดจํานวน
ผัก ข 3 1 1 - 1
ผลไม้ 3 1 1 - 1
ข้าว 6.5 1.5 2 1 2
เนื้อสัตว์ไขมันต่ํา 3 2 - - 1
เนื้อสัตว์ไขมันปานกลาง 1.5 - 0.5 - 1
ไขมัน 6.5 1.5 2 1 2
น้ําตาล 6 1.5 1.5 3 -
4. การกําหนดรายการอาหาร
จากคําสั่งแพทย์ แพทย์ระบุชนิดอาหารที่นายดุสิต ราชสีมา ควรได้รับคือ อาหาร
ธรรมดา (ตารางที่ 15 และ ตารางที่ 16) ซึ่งลักษณะของอาหารธรรมดาที่สําคัญคือ เป็นอาหาร
ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับอาหารของคนปกติทั่วไปที่ไม่ได้เจ็บป่วย งดอาหารที่มีรสจัด เช่นเผ็ดจัด
เค็มจัด เปรี้ยวจัด เป็นต้น งดอาหารหมักดองและอาหารที่มีใยกระด้างย่อยยาก โดยอาหารชนิด
นี้ต้องมีคุณค่าและสารอาหารครบถ้วนตามหลักโภชนาการ
406
จํานวน น้ําหนัก
มื้ออาหาร รายการอาหาร ส่วนประกอบ
ส่วน (กรัม)
เช้า 1 นมพร่องมันเนย นมพร่องมันเนย 1 240 มล.
2 ข้าวต้ม ข้าวสุก 1.5 82.5
3 ผัดฟักทอง ฟักทอง 1 70
น้ํามันพืช 1.5 7.5
น้ําตาลทราย 1.5 7.5
4 ไก่นึง่ ซีอิ๊ว เนื้อไก่ 2 60
ขิง ตามชอบ ตามชอบ
5 ผลไม้ มะละกอสุก 1 115
กลางวัน 1 ข้าวผัดสามสี ข้าวสุก 2 110
เนื้อหมู 0.5 15
ข้าวโพด
เมล็ดถั่วลันเตา 1 70
แครอท
น้ํามันพืช 2 10
407
จํานวน น้ําหนัก
มื้ออาหาร รายการอาหาร ส่วนประกอบ
ส่วน (กรัม)
น้ําตาลทราย 1.5 7.5
2 ต้มจืดฟัก ฟักเขียว ตามชอบ ตามชอบ
3 ผลไม้ ส้มเขียวหวาน 1 150
ว่างบ่าย 1 ขนมปังทาเนย ขนมปังโฮลวีท 1 1 แผ่น
เนยสด 1 5
น้ําตาลทราย 1 5
2 กาแฟ กาแฟ ตามชอบ ตามชอบ
น้ําตาลทราย 2 10
เย็น 1 ข้าวสวย ข้าวสุก 2 110
2 แกงป่าไก่ เนื้อสันในไก่ 1 30
ถั่วฝักยาว
มะเขือ 1 70
ฟักทอง
3 ไข่เจียว ไข่ไก่ 1 1 ฟอง
น้ํามันพืช 2 10
4 ผลไม้ องุ่น 1 100
การชั่งและการตวงอาหาร
เพื่อให้ได้อาหารที่มีพลังงานและสารอาหารตรงตามที่ได้คํานวณไว้ตามคําสั่งอาหารของ
แพทย์ จึงจําเป็นต้องมีการชั่งและตวงอาหารในการจัดเตรียมอาหารให้แก่ผู้ป่วย อุปกรณ์ในการ
ชั่งตวงที่ได้มาตรฐานมีหลายชนิดแตกต่างกันดังนี้
1. เครื่องชั่ง
เครื่ องชั่ ง อาหารมี ห ลายชนิ ด ทั้ง ชนิ ด หยาบ และละเอี ย ด เครื่อ งชั่ ง ชนิ ด หยาบใช้
สําหรับชั่งอาหารที่มีปริมาณมากๆ ตั้งแต่ 1 กิโลกรัมขึ้นไป และความละเอียดของเครื่องชั่งจะ
408
2. ถ้วยตวง และช้อนตวง
ในกรณีที่ไม่มีเครื่องชั่ง อุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งที่นํามาใช้ในการจัดอาหารให้กับผู้ป่วยที่
ต้องได้รับสารอาหารตามแพทย์สั่งสามารถใช้ ถ้วยตวง และช้อนตวง
2.1 ถ้วยตวงของเหลว ชนิดที่เป็นแก้ว จะมีขนาด 1 ถ้วยตวง และ 2 ถ้วยตวงทั้งสอง
ขนาดจะมีขีดบอกปริมาตรของถ้วยตวงไว้ ดังนี้ 1/4,1/3 และ 1/2 ถ้วยตวง และขีดบอกปริมาตร
1 ออนซ์ถึง 32 ออนซ์ ไว้ด้านนอกของถ้วยตวง (ภาพที่ 2)
409
ภาพที่ 2 ถ้วยตวงของเหลวชนิดแก้วและสแตนเลส
ภาพที่ 3 ถ้วยตวงอาหาร
ภาพที่ 4 ช้อนตวงอาหาร
อุปกรณ์ที่ใช้ในการชั่งตวงอาหารที่กล่าวมาแล้วไม่ได้เป็นอุปกรณ์ที่จําเป็นที่จะต้องมีใช้
ทุก ครอบครั ว ส่ ว นมากจะมี ใ ช้ ใ นโรงพยาบาล โรงเรี ย นสอนการประกอบอาหาร หรื อ บาง
ครอบครัวที่มีการทําอาหารฝรั่งเท่านั้น ดังนั้นในครอบครัวที่มีผู้ป่วยที่ต้องรับประทานอาหารที่
แพทย์กําหนดพลังงานและสารอาหาร จําเป็นจะต้องหาอุปกรณ์ชั่งตวงมาใช้เพื่อจะได้จัดอาหาร
ให้มีปริมาณพลังงานและสารอาหารครบถูกต้องตามแพทย์สั่งได้
ในกรณีที่มีปัญหาในการจัดหาเครื่องชั่ง ถ้วยตวงและช้อนตวงได้ ผู้ป่วยอาจดัดแปลง
อุปกรณ์หรือของใช้ในบ้านมาใช้แทนได้ เช่น ถ้วยตวง อาจใช้กระป๋องนมข้นหวานที่มีขนาดความ
สูง 3 นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 นิ้ว หรือกระป๋องนมสดที่มีขนาดความสูงประมาณ 4 นิ้ว
เส้ น ผ่ า ศู น ย์ ก ลางประมาณ 3 นิ้ ว หรื อ แก้ ว น้ํ า ทรงกระบอกที่ มี ค วามสู ง ประมาณ 4 นิ้ ว
เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 นิ้ว มาเป็นตัวอย่าง ใช้ถ้วยตวงมาตรฐานตวงน้ําเทลงในกระป๋อง
นมและแก้วน้ํา แล้วทําเครื่องหมายให้ทราบปริมาณความจุ 1/4 , 1/3, 1/2 และ 1 ถ้วยตวงที่
กระป๋องนม หรือแก้วน้ํานั้นก็สามารถนํากระป๋องนมหรือแก้วน้ํามาใช้แทนถ้วยตวงได้ สําหรับ
ช้อนตวงก็เช่นกัน อาจจะนําช้อนคาวหรือ ช้อนหวานที่ใช้อยู่ในบ้านมาใช้แทนช้อนตวงโดยเลือก
คันที่ใกล้เคียงกับช้อนตวงมาตรฐานมากที่สุด (รุจิรา สัมมะสุต และรัศมี คันธเสวี, 2549, หน้า
52-54)
หลักการจัดอาหารเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความอยากรับประทานอาหาร
อาหารที่ จั ด บริ ก ารให้ แ ก่ ผู้ป่ ว ยจะเกิ ด ประโยชน์ สู ง สุ ดถ้าผู้ป่ ว ยสามารถรั บ ประทาน
อาหารนั้นได้หมด เพราะจะทําให้ผ้ปู ่วยได้รับพลังงานและสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการ
ของร่างกายและเป็นไปตามที่แพทย์ต้องการแต่ก็มักจะเกิดปัญหาเสมอว่าผู้ป่วยไม่สามารถ
411
รับประทานอาหารได้หรือรับประทานได้ในปริมาณที่น้อย หรือผู้ป่วยบางรายอาจจะปฏิเสธไม่
ยอมรับประทานอาหารเลย เพราะความเบื่อหรือไม่มีความอยากรับประทานอาหารนั้น เป็นต้น
ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตามเป็นสิ่งที่ผู้จัดอาหารหรือนักกําหนดอาหารจะ
ละเลยเสียไม่ได้ ดังนั้นนักกําหนดอาหารจะต้องเอาใจใส่ติดตามหาปัญหาและพยายามหาทาง
แก้ไขเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกอยากรับประทานอาหาร ซึ่งทําให้การใช้อาหารบําบัดโรค
บรรลุผลได้ตามวัตถุประสงค์
ในการจัดอาหารเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกอยากรับประทานอาหารจึงจําเป็นต้อง
พยายามขจัดปัญหาต่างๆ เหล่านั้น ขณะเดียวกันก็พยายามหาสิ่งที่จะมาช่วยกระตุ้นความรู้สึก
อยากรับประทานอาหารด้วย สิ่งกระตุ้นความรู้สึกต่างๆ จะเกิดได้จากประสาทสัมผัสทางตา
จมูกและลิ้น การจัดอาหารจึงต้องพยายามให้เกิดการกระตุ้นประสาทดังกล่าว โดยยึดหลักการ
จัดอาหาร ดังนี้ (รุจิรา สัมมะสุต และรัศมี คันธเสวี, 2549, หน้า 56-59)
1. สีสันของอาหาร
สีของอาหารเป็นสิ่งแรกที่ผู้ป่วยจะได้สัมผัสทางตาก่อนที่จะรับประทานอาหารนั้น
อาหารที่มีสีเดียวกันหมดทั้งสํารับจะทําให้ดูไม่น่าสนใจและไม่กระตุ้นความอยากรับประทาน
อาหาร เช่น สีเขียวทั้งหมดของแกงจืดผักตําลึง ผัดผักกวางตุ้ง ลอดช่องใบเตย หรือสีขาวเหลือง
ของแกงจืดผักกาดขาว ผัดผักกะหล่ําปลี และวุ้นกะทิ เป็นต้น อาหารที่จัดควรจะให้มีสีสันที่
กลมกลืนกันอย่างเหมาะสมและควรเป็นสีตามธรรมชาติของอาหารนั้นหรือเกิดจากการใช้ผัก
ตกแต่ง ซึ่งการจัดอาหารให้มีหลากหลายสีจะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทางตาของผู้ป่วยให้เกิด
ความรู้สึกอยากรับประทาน
2. ปริมาณอาหารที่จัดให้
ผู้ป่วยที่มีความเบื่ออาหาร เมื่อเห็นอาหารในภาชนะมีปริมาณมากจะทําให้รู้สึกเบื่อ
และไม่อยากรับประทานอาหารมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในการจัดบริการอาหารให้แก่ผ้ปู ่วยจึงไม่ควรตัก
อาหารมากจนเต็มภาชนะ ซึ่งนอกจากจะทําให้ดูไม่น่ารับประทานแล้วยังอาจทําให้อาหารหกใน
ระหว่างการขนส่ง ควรตักอาหารในปริมาณที่พอเหมาะกับภาชนะ ไม่มากจนเกินไปซึ่งจะช่วยทํา
ให้อาหารนั้นน่าดูและน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น
3. ลักษณะและการจัดอาหาร
อาหารแต่ละชนิดจะมีลักษณะเฉพาะที่จะทําให้ดูน่ารับประทาน และถ้าผิดไปจาก
ลักษณะที่ควรเป็นจะทําให้ความน่ารับประทานลดลง เช่น ปลาควรจะเป็นชิ้นๆ หรือเป็นตัว เนื้อ
ไม่หลุดหายไปเหลือแต่ก้าง เนื้อสัตว์ที่อยู่ในหม้อรวมกันจํานวนมากถ้าถูกตักหรือคนหลายๆ ครั้ง
จะทําให้ เละไม่ เป็ นชิ้ น หรือผัก ที่ต้ องรั บประทานสดก็ควรจะสดไม่เหี่ย ว เป็ นต้น นั กกําหนด
412
อาหารจะต้องพยายามศึกษาหาวิธีการที่จะคงรูปลักษณ์ของอาหารแต่ละชนิดไว้ เพื่อช่วยให้
อาหารมีความน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น
การจั ด อาหารเป็ น อี ก สิ่ ง หนึ่ ง ที่ จ ะทํ า ให้ อ าหารนั้ น ดู น่ า รั บ ประทานหรื อ ผู้ ป่ ว ยเกิ ด
ความรู้สึกอยากรับประทาน การจัดบริการอาหารจํานวนมากทําให้ต้องทํางานแข่งกับเวลา จัด
ให้เสร็จและครบตามจํานวนผู้ป่วยและต้องบริการให้ทันเวลา บ่อยครั้งจึงพบว่าการจัดอาหารนั้น
ขาดความพิถีพิถัน ขาดการตกแต่งให้ดูสวยงาม แต่จะตักอาหารในลักษณะสุ่มๆ ปริมาณมาก
เกิน น้อยเกินไปหรือบางครั้งมีแต่ผักไม่มีเนื้อสัตว์ เป็นต้น เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้ป่วยที่รับ
ถาดอาหารนั้นจะเกิดความรู้สึกหงุดหงิด ไม่สนใจอาหาร และไม่อยากรับประทานอาหารมาก
ยิ่งขึ้น การจัดอาหารจึงนับว่าเป็นสิ่งสําคัญที่ควรให้ความเอาใจใส่อาจจะต้องมีการจัดเรียงหรือ
ตกแต่งให้สวยงามเพื่อให้เกิดความสวยงามและทําให้อาหารดูน่ารับประทานและกระตุน้ ให้ผปู้ ว่ ย
รู้สึกอยากรับประทานอาหารได้มากขึ้น
4. กลิ่นอาหาร
อาหารแต่ละชนิดมีกลิ่นของอาหารที่แตกต่างกัน อาหารบางอย่างมีกลิ่นที่ผู้ป่วย
ชอบ บางอย่างผู้ป่วยอาจจะไม่ชอบและบางครั้งกลิ่นของอาหารอาจจะทําให้ผู้ป่วยเกิดอาการ
คลื่นไส้ อาเจียนได้ ผู้ป่วยแต่ละคนก็มีความชอบกลิ่นอาหารแตกต่างกันไป นักกําหนดอาหาร
ควรเรียนรู้และสังเกตการยอมรับอาหารของผู้ป่วย เพื่อจะได้จัดและดัดแปลงอาหารนัน้ ให้เป็นไป
ตามความชอบของผู้ ป่ ว ย เช่ น ผู้ ป่ ว ยไม่ ช อบกลิ่ น กระเที ย มเจี ย ว ก็ ไ ม่ ค วรจั ด อาหารที่ มี
กระเที ย มเจี ย วให้ หรื อ งดการใส่ ก ระเที ย มเจี ย วในอาหารนั้ น เป็ น ต้ น กลิ่ น ของอาหารเป็ น
ตัวกระตุ้นน้ําย่อยและทําให้เกิดความรู้สึกอยากรับประทานอาหารได้เป็นอย่างดีถ้ากลิ่นอาหาร
นั้นเป็นที่พอใจหรือผู้ป่วยชอบ และกลิ่นอาหารที่มักจะก่อให้เกิดปัญหาและผู้ป่วยไม่ชอบ ได้แก่
กลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ไข่ กระเทียมเจียว ปลาเค็ม ผักที่ไม่สุก ผักชี เป็นต้น นักกําหนดอาหาร
จะต้องควบคุมการเตรียมและหาวิธีที่จะไม่ให้เกิดกลิ่นที่ไม่ต้องการ
5. รสชาติของอาหาร
เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้มากหรือน้อย ความเจ็บป่วยมี
ส่ ว นทํ า ให้ ป ระสาทของการรั บ รสเปลี่ ย นแปลงไปด้ ว ย บางคนเคยชอบรสเปรี้ ย วอาจจะ
เปลี่ยนเป็นไม่ชอบ หรือเคยไม่ชอบรสหวานกลับเปลี่ยนเป็นชอบรสหวาน การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
ทําให้อาหารนั้นมีรสชาติไม่ถกู ปาก เกิดความหงุดหงิด ไม่พอใจและไม่ยอมรับประทานอาหารได้
การปรับปรุง รสชาติทําให้ เป็นที่พอใจกับผู้ป่วยทุกคน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทําได้ยากแต่นักกําหนด
อาหารไม่ควรละเลยจะต้องคอยติดตามผลการบริโภคอาหารของผู้ป่วย และหาวิธีที่จะดัดแปลง
ปรับปรุงรสชาติของอาหารให้เป็นไปตามความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย ส่วนมากอาหารของ
413
สรุป
รายการอาหารแลกเปลี่ยน (food exchange list) เป็นเครื่องมือสําคัญที่ทําให้นักกําหนด
อาหารสามารถจัดสัดส่วนและปริมาณอาหารให้กับผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องตามความต้องการของ
ผู้ป่วยและเป็นไปตามแผนการรักษาของแพทย์ รายการอาหารแลกเปลี่ยนมีการแบ่งอาหาร
ออกเป็น 6 หมวด โดยอาหารในหมวดเดียวกันมีปริมาณสารหลักได้แก่ โปรตีน ไขมัน และ
คาร์โบไฮเดรตในปริมาณใกล้เคียงกันและมีรายการอาหารที่เลือกใช้ทดแทนกันได้ อาหารแต่ละ
หมวดจะกําหนดปริมาณของอาหารไว้แตกต่างกันเรียกว่า “ส่วน” ในการคํานวณกําหนดส่วน
อาหารที่ควรได้รับแต่ละส่วน สิ่งที่นักกําหนดอาหารต้องทราบเพื่อที่จะสามารถกําหนดปริมาณ
ให้กับผู้ป่วย คือ ปริมาณพลังงาน สัดส่วนของสารอาหารที่ควรได้รับ หลังจากนั้นจึงกําหนด
ปริมาณอาหารที่ผู้ป่วยควรได้รับโดยใช้ตารางรายการแลกเปลี่ยน เริ่มต้นจากหมวดนม ผัก
ผลไม้ และข้าวก่อน เพื่อให้ได้คาร์โบไฮเดรตตามกําหนด หลังจากนั้นกําหนดส่วนของเนื้อสัตว์
เพื่อให้ได้รับโปรตีนตามที่กําหนด และไขมันตามลําดับ