Professional Documents
Culture Documents
เรื่องราวกลุ่มเกษตรอินทรีย์สนามชัยเขต
เรื่องราวกลุ่มเกษตรอินทรีย์สนามชัยเขต
สนามชัยเขต
โดย กอบมณี
(1)
แหละ ๒ ล้านกว่าเนี่ย เป็นเครื่องมือเลย เพราะว่าในแง่ของประสบการณ์การบริหารจัดการ เอาประสบการณ์จาก
ยางแดง เรียนรู้เรื่องระบบบัญชี มาขยายผล เพราะฉะนั้นยางแดงจะช่วยกลุ่มอื่นได้หมด กลุ่มอื่นก็มาช่วยยางแดง
ได้ เพราะฉะนั้นกลุ่มออมทรัพย์ ทุกกลุ่มสามารถช่วยเหลือกันได้หมดเลย ปิดบัญชีด้วยกันได้ไม่ต้องให้คนข้างนอก
มาช่วย ไม่ต้องให้ผู้ตรวจจาก ไม่ต้องให้พัฒนาชุมชนมาช่วย ยางแดงที่มีทักษะ ประสบการณ์ชานาญแล้ว สามารถ
ลงไปช่วยเพื่อนๆ ลงไปช่วยกลุ่มน้องๆ ปิดบัญชีได้ เวลามาบริหารเงินซิป พูดถึงเรื่องการมีส่วนร่วม พูดถึงเรื่อง
ความโปร่งใส เราก็ต้องมีกติกาการบริหารร่วมกัน ๒ ล้านกว่า นี่เป็นครั้งแรกเลย มีการประชุมกันทุกเดือน มีการ
บริหารจัดการเงิน จะมีเรื่องการทาบัญชี มีประชุม มีมติ อะไรที่ไม่เป็นมติก็ไม่สามารถทาได้ เรียกว่าเป็น
ประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบยกมือ แต่เป็นแบบมีเหตุมีผล แล้วก็เป็นการตัดสินใจอย่างรอบด้านแล้ว
มันก็เป็นเวทีที่ได้ฝึกทักษะในการจัดการร่วมกัน แล้วก็สร้างความไว้วางใจกัน ตอนนี้มันก็ไม่ใช่เป็นการทางาน
ระดับชุมชน ที่ต้องวิ่งไปอย่างนั้นอีกแล้ว เราทางานในระดับเครือข่ายแล้ว ผู้นาแต่ละคนจะกลับไปปฏิบัติการใน
หมู่บ้านตัวเอง เสร็จแล้วเราก็ตามไป ไปดู ไปสนับสนุนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ในแต่ละเดือนเราก็จะประชุมทุกเดือน
อยู่แล้ว เดือนนึงพี่จะมีประชุมประมาณ ๒๐ วันไม่ต้องไปไหน ตามลงไป ดู
(4)
ก็ทาเรื่องข้าวอินทรีย์ ใช้ชื่อว่ากลุ่มเกษตรอินทรีย์อาเภอสนามชัยเขตเมื่อปี ๔๔ แล้วมาเริ่มขอรับรองมาตรฐานในปี
๔๕ ซึ่งเราก็ทากระบวนการให้ความรู้ด้วย ก็ลงไปจับกับเกษตรกรเลย ทานายังไงไม่ต้องใส่ปุ๋ย เพราะบางคนยังติด
อยู่ หักดิบเลย มาทาอย่างนี้ได้ยังไง โดยทากิจกรรมโรงเรียน ต้องมาเจอกันทุกเดือน มาเรียนรู้ว่าดินมันเป็นยังไง
มีข้อจากัดยังไง แล้วเราจะปรับปรุงได้ยังไง ก็ให้ความรู้ในเรื่องของดิน เพราะดินเป็นหัวใจสาคัญ ก็เลยให้ความรู้ใน
เรื่องของการปรับปรุงดิน แล้วก็ให้ความรู้เรื่องมาตรฐานด้วยว่า มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของ มกท.เอง แล้วก็ของ
มาตรฐานสากลที่เราจะไป ในมาตรฐานมีข้อห้าม หรือข้อกาหนดที่เราต้องทาอย่างไรบ้าง ซึ่งมันจะมีระบบลดการ
ปนเปื้อน การสร้างแนวกันชน เราก็ต้องทาคันนาให้กว้าง ๑ เมตร สูงไม่ต่ากว่า ๕๐ เซน ต้องมีพื้ชเป็นแนวกันชน
เช่น แฝก หรือถ้าเป็นป่าอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปฟันมันทิ้ง ทาเป็นแนวกันชนไปเลย แล้วคันน้า คันนาที่มันกว้าง เราก็มี
การลงไปดูไปให้คาแนะนาในเรื่องของการทาแนวกันชน ทั้งทางน้า ทางอากาศ ให้ความรู้แล้วก็ลงไปดูในแปลงใน
เรื่องของการสามารถจัดการแปรงได้ตามมาตรฐาน การลดการปนเปื้อนจากแปรงข้างเคียง ประมาณ ๘ ปีแล้ว
(6)
สหรัฐอเมริกา และในยุโรปหลายแห่ง เขาบอกว่าเคยมีทาแล้วในประเทศไทยแต่มันไม่เวิร์ค ทาแล้วไปไม่ได้
เนื่องจากมันไม่เป็นความร่วมมือจากหลายๆ ส่วน อย่างเมื่อก่อนกลุ่มเล็กๆ อย่างสวสนแสงตะวัน ตรงหนองจอกที่
ทาตระกร้าผักส่งให้สมาชิก พอทาไปช่วงหนึ่งมันก็มีปัญหา เพราะผักในตัวมันเองไม่ใช่ว่าจะทาได้ทุกฤดูกาล แล้ว
ความหลากหลายของผักโดยกลุ่มเล็กๆ มันมีข้อจากัด ตลาดแบบนี้ก็เลยหยุดไป พอหยุดไปการทางานกับ
ผู้บริโภคที่จะให้เข้าใจ หรือเชื่อมโยงกับผู้ผลิตให้เกิดความร่วมมือกัน มันไม่เกิดกระบวนการทางานอย่างต่อเนื่อง
ของกลุ่มสวนเงินมีมาก็เลยสนใจ เลยมาเกาะเกี่ยวกับกลุ่มที่ทาเกษตรยั่งยืน เกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งผู้
ประกอบการายเดี่ยว อย่างเช่นอาจจะทานมอินทรีย์ หรือบางคนเขาเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์อยู่แล้วแต่ว่ากระจายกันอยู่
ไม่เกิดความร่วมมือ ก็ดึงเหล่านี้มาจับมือกัน พัฒนา ทาให้เกิดพื้นที่ๆ เราเอาผลผลิต ที่ผลิตในระบบอินทรีย์มา
จาหน่ายให้กับผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นที่ๆ จะเกิดการสื่อสารร่วมกันระหว่างผู้ผลิต กับผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งเป็นการ
ทางานเชิงความคิด ทางานเชิงกระบวนการเปลี่ยนแปลง ซึ่งทามา ๒ ปีแล้วเป็นการร่วมมือกันหลายส่วน มีกลุ่มที่
สนใจทางานกับผู้บริโภคในเมือง แล้วก็ได้ขยายไปสู่การลดของเสีย เช่นการทาปุ๋ยน้าฯ เริ่มมีการขยายความคิดให้
คนในเมือง เพื่อส่งเสริมคนเมือง เช่นถ้าคนเมืองมีพื้นที่เล็กๆ น้อยๆ จะสามารถปลูกอะไรกินเองได้ ก็จะแตก
ออกไปเป็นเรื่องของการส่งเสริมคนเมือง ปลูกผักในกระถาง ปลูกผักบนชั้นดาดฟ้า แต่ในกลุ่มของพี่ก็เป็นกลุ่ม
เกษตรกร ที่เอาผลผลิตเข้ามาเป็นเครื่องมือในการสื่อการกับคนกินให้เข้าใจว่า เกษตรอินทรีย์คืออะไร เกษตร
อินทรีย์มีความสาคัญกับความมั่นคงทางอาหาร แล้วก็สุขภาพที่ดี สิ่งแวดล้อมที่ดี ของผู้กิน รวมทั้งสังคมไทย แล้ว
ก็สิ่งแวดล้อมที่ดียังไง ซึ่งตรงนี้เกษตรกรก็ได้ทาบทบาทเป็นคนขายด้วย ก็จะมีประสบการณ์ได้รับรู้ ได้สื่อสารกับ
ผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็ได้แลกเปลี่ยนมุมมองในฐานะของเกษตรกรของเขาให้ผู้บริโภคได้รู้ด้วย มันเป็น
ความสัมพันธ์ที่มากกว่าคนขาย กับคนซื้อ แต่เราเป็นเพื่อน เราเป็นหุ้นส่วนชีวิต ที่ต้องดูแลโลกใบนี้ด้วยกัน เขาจะ
มีอาหารสดๆ ที่ปลอดสารพิษ แล้วก็ดีต่อสุขภาพของเขากิน แล้วก็เป็นการกินที่ไม่ได้ใช้พลังงานสิ้นแปลือง แล้ว
ระบบการผลิตก็เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ดังนั้นสุขภาพที่ดีเกิดตั้งแต่เกษตรกรผู้ผลิต สิ่งแวดล้อมดีเกิดขึ้นตั้งแต่
ในแปรงของเกษตรกรแล้ว แล้วผักพวกนี้เดินทางไม่ไกล เป็นผักที่เป็นอาหารธรรมชาติ เป็นพันธุ์พืชท้องถิ่น ซึ่ง
เป็นพืชผักตามฤดูกาล การกินอาหารตามฤดูกาล เป็นการกินอาหารที่ถูกต้องและยั่งยืน ดีต่อสุขภาพ และทาให้
เกิดสมดุลทั้งตัวคนกิน ทั้งระบบการผลิต แล้วก็ระบบนิเวศน์ด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องสร้างความเข้าใจ
(8)
ที่เขาส่งเสริมเรื่องการปลูกผักสวนครัวรอบๆ บ้าน เพื่อให้มีอาหารที่ปลอดภัย ดีต่อสุขภาพกิน เมื่อเหลือกินก็จะ
เป็นรายได้เสริม เป็นค่าน้า ค่าไฟ ค่าขนมลูก ภายใต้โครงการลุ่มน้าพอเพียงกลุ่มก็มีแผนในเรื่องนี้ซึ่งเป็นแผนเดิม
อยู่แล้ว อย่าง ๕๐ ครอบครัว ทุกครอบครัวต้องมีแปรงผัก แล้วแต่ละแปรงจะต้องมีผักไม่ต่ากว่า ๑๐ ชนิด อันนี้เป็น
ข้อตกลง ส่วนที่เหลือก็มาเชื่อมโยงกับทางบางคล้า เราจะมาพัฒนาตลาดร่วมกับทางบางคล้า ส่วนนี้ก็จะเป็น
ช่องทางสาหรับครอบครัวที่ไม่ขอรับรองมาตรฐานอินทรีย์ คือเข้ามาสู่ตลาดเพื่อสุขภาพ นอกเหนือจากตลาดที่
โรงพยาบาล ที่เราไปขายให้ทุกวันจันทร์ ซึ่งก็ถือว่าเรามาเป็นทีม เป็นเพื่อนในการเปิดพื้นที่บางคล้า ให้มี
แนวความคิดแบบนี้ ทาให้คนบางคล้าเริ่มเข้าใจ และก็เห็นความสาคัญของการกินอาหารเพื่อสุขภาพ แล้วต้องรู้ว่า
ผลิตแล้วมันไม่ทาลายสิ่งแวดล้อม ดีต่อทั้งคนผลิต แล้วก็คนกิน ที่สาคัญคืออยู่ใกล้บ้านเดินทางไม่ไกล ไม่ทาให้
โลกร้อนเพิ่มขึ้น ไม่สิ่นเปลืองพลังงาน เป็นผักตามฤดูกาลที่ดีต่อสุขภาพ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราอยากจะช่วยกัน ซึ่ง
ตรงนี้มันเห็นว่าตั้งแต่ระดับชาติ ภาค เครือข่าย ระดับกลุ่ม แล้วก็ครอบครัวล้วนมีจุดหมายเดียวกัน คือพึ่งตนเอง
เรื่องอาหาร พึ่งตนเองเรื่องการเงิน ดูแลสวัสดิการ แล้วก็มีกลุ่มตัวเองที่จะมีพื้นที่ในการให้ข้อมูล เพื่อสร้างความ
พร้อมในการรับมือกับวิกฤตต่างๆ ประเด็นเรื่องโลกร้อน ประเด็นเรื่องนโยบายเกษตรของรัฐบาล เช่นเรื่องการค้า
เสรี ไปทาสัญญาแล้วเกิดผลอย่างไรต่อพี่น้องเรา สิ่งเรานี้เราก็ทางานทั้งชุด ขบวนการในการทางานเชิงความคิด
ให้พี่น้องเรา ของกลุ่มในพื้นที่แล้วก็ในระดับเครือข่าย เครือข่ายก็จะรวมกับเครือข่ายในระดับภาค และชาติ ไป
ขับเคลื่อน ประเด็นเรื่อง FTA เราจะเสนอข้อคิดเห็นจากด้านเกษตรกรยังไง ถ้าถามว่าทันไหม ต้องบอกว่าการ
เปลี่ยนแปลงมันใหญ่ เราเป็นกลุ่มเล็กๆ มันก็คงไปเปลี่ยนแปลงตรงนั้นไม่ได้ แต่เกษตรกรที่ได้ข้อมูล และ
เตรียมพร้อมก็จะสามารถยืนหยัดพึ่งตนเองได้ แต่คนกินที่ไม่ได้ข้อมูล เห็นแต่ว่าถูก กินผักถูกจากจีนที่อาบยามา
ซึ่งยาบางตัวประเทศไทยออกกฎหมายห้ามใช้แล้วแต่ทางจีนยังเสรี นี่คือเรื่องที่บริโภคต้องได้รับข้อมูลข่าวสาร
และต้องตัดสินใจเลือก หรืออย่างวันนี้บางคนทานผลิตภัณท์จากถั่วเหลือง อย่างน้าเต้าฮู้ ก็เป็นถั่วเหลืองจากการ
ตัดต่อพันธุกรรม แต่ผู้บริโภคยังไม่ถูกคุ้มครอง สคบ.ไม่ได้ทาบทบาทเหล่านี้ แต่ในส่วนของเราเครือข่ายเกษตรที่
ทาหน้าที่ตรงนี้ในบทบาทที่ต้องการให้ผู้บริโภคเปลี่ยนการกิน เพราะการเปลี่ยนการกินก็คือการเปลี่ยนแปลงโลก
เราก็ทาได้แค่ตรงนี้ เกษตรกรเลี้ยงตัวเองได้ เกษตรกรไม่สูญเสียที่ดิน มีเมล็ดพันธุ์ ผลิตอาหารกินเลี้ยงตัวเองได้
เหลือกินแล้วก็ขายไปให้คนที่ไม่สามารถผลิตอาหารเองได้กิน กระแสแถบนี้ที่มันเปลี่ยนแปลงไปจากการปลูกยูคา
ลิปตัส หรือต้นกระดาษที่มันมาแทนมันสาปะหลัง หรือพื้นที่นาที่แต่เดิมปลูกแต่ข้าวก็เปลี่ยนมาเป็นมัน ตอนกระแส
มันมา หรือเปลี่ยนเป็นปาล์มน้ามัน แล้วก็ยางพารา พื้นที่อาหารมันลดลง ดังนั้นสิ่งที่เรากาลังต่อสู้กันภายใต้เรื่อง
เกษตรยั่งยืน เกษตรกรรมทางเลือก แล้วก็เกษตรอินทรีย์ เรากาลังจะบอกว่าพื้นที่ความมั่นคงทางอาหารเป็นสิ่ง
สาคัญ พื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูกพืชอาหารต้องปลูกอาหาร แล้วเกษตรกรรายย่อยต้องมีความมั่นคงเรื่องอาหาร
เพราะถ้าเกษตรกรรายย่อยไม่มีความมั่นคงด้านอาหารก็จบแล้ว ไปไม่รอดแล้ว จะมีการสูญเสียที่ดินกันขนานใหญ่
แล้วก็จะไม่สามารถกลับมาเป็นเกษตรกรได้อีก เราต้องต่อสู้ถึงที่สุด ถึงสิทธิการเป็นเกษตรกรเลย เรื่องการเป็น
เจ้าของทรัพยากร เรื่องพันธุกรรม เรื่องที่ดิน เรื่องน้า ทั้งชุด ดังนั้นจริงๆ เรื่องความมั่นคงทางอาหารมันคือเรื่อง
การเมืองภาคพลเมือง เป็นเรื่องของการที่เราจะรับรู้ถึงสิทธิของตัวเอง ปกป้องสิทธิ์ตัวเองได้ คุ้มครองสิทธิ์ของ
(9)
ตัวเองได้ แล้วก็มีส่วนร่วมในการกาหนดทิศทางในการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ ของตัวเอง
ไม่ใช่เพิกเฉย เพราะฉะนั้นคุยได้ทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องการเมือง การหาอยู่หากิน สุข ทุกข์
(10)
กัน ถ้าคนทาตลาดทาตลาดไป สมาชิกไม่ได้ผลิตผักตามแผน ก็มีผลกระทบกับตลาด เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องที่
ต้องรับผิดชอบร่วมกัน การขยายตลาดแต่ละจุดก็จะมีการปรึกษาหารือกัน เพราะถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสาคัญ
เหมือนกับเราเตรียมขยับที่จะรองรับ วันนี้กลุ่มเกษตรอินทรีย์ของเราก็พรร้อมที่จะขยายประสบการณ์ แล้วก็เปิด
พื้นที่ให้เพื่อน แต่ว่าตลาดอย่างเครือข่ายตลาดสีเขียวที่รีเจนท์ หรือที่ มสธ. เพื่อนเราที่จะเข้ามาร่วมกับเราต้องขอ
รับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ แล้วกลุ่มก็สามารถทาบทบาทในการรับรองคุณได้ ไปจัดระบบกลุ่มให้คุณได้ ทาให้
คุณมีเวทีได้ ถ่ายทอดความรู้ได้ บริหารจัดการได้ แล้วก็เชื่อมโยงผลผลิตเข้าด้วยกัน วันนี้ตลาดข้าวกว้างมากเลย
นะ แต่พื้นที่สนามชัยตั้งแต่มีปัญหาเรื่องโลกร้อนมา ปลูกอะไรก็ยากขึ้น ปราจีนปลูกเหลืองปะทิวได้ปีนึง ๔๐ ตัน
ข้าวสาร ทุกที่ผลิตไม่ได้นะ ปีที่แล้วเราส่งไปได้แค่ ๘ ตันเอง จากที่เคยส่ง ๒๐ กว่าตัน ข้าวเปลือก เพราะอะไร
เพราะพื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูกเหลืองปะทิวมันลดลง มันไม่มีน้าขังนานแบบนั้นแล้ว เหลืองปะทิวเป็นข้าวหนัก
ต้องเป็นนาลุ่มจริงๆ ข้าวที่ปลูกได้ตอนนี้จะเป็นข้าวเบา ข้าวมะลิแดง แล้วตอนหลังก็ขยายไปเป็น หอมนิล แล้วก็
ข้าวพื้นเมือง ขวัญชัยก็เอามาแปรรูปเป็นขนมจีนอินทรีย์ ทุกตัว เราจะดูข้าวที่ชาวบ้านกินทุกตัว จับกลับไปหมด
เลย ตอนนี้กาลังรวบรวมพันธุกรรมข้าวพื้นบ้าน ท้องถิ่นปลูกเก็บพันธุ์เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะขยายพันธุ์เพื่อที่จะ
ปรับตัวกับภาวะโลกร้อน เพราะสายพันธุ์มันจะได้รับผลกระทบ ถ้าเราไม่เตรียมความพร้อมเรื่องสายพันธุ์ไว้ เมื่อ
วันที่ได้รรับผลกระทบเราก็จะรับมือหับมันไม่ได้
ทุกวันนี้เรื่องโลกร้อนเป็นประเด็นที่กลุ่มเกษตรอินทรีย์กาลังตั้งเป็นโจทย์ ในการที่จะสร้างองค์ความรู้ใน
การที่จะเตรียมรับมือให้ได้ ประเด็นเรื่องเมล็ดพันธุ์เป็ประเด็นที่พี่น้องเราตื่นตัวแล้ว ประเด็นเรื่องการฟื้นฟูระบบ
นิเวศน์ ที่จะช่วยในเรื่องการดูดซับคาร์บอน เป็นเรื่งที่ต้องทาอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง เรื่องความมั่นคงทางอาหาร
ผู้ผลิตเกษตรอินทรีย์ทุกคนต้องมีอาหารกินพอเพียง ทุกสิ่งที่ออกไปคือสิ่งที่เหลือกินแล้วจากครอบครัว เราจึงเป็น
ผู้สร้างความมั่นคงทางอาหารให้สังคมด้วย
(11)
ตอนนี้พวกพี่ในกลุ่มเกษตรอินทรีย์ก็ได้ให้ความรู้ไปในกลุ่มเยาวชนแล้ว เป็นครูภูมิปัญญาแล้ว สอนเด็ก
เรื่องเกษตรอินทรีย์ที่โรงเรียนสนามชัย เรามีการให้ความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ เรื่องดิน เรื่องระบบนิเวศน์ ความ
หลากหลายซึ่งเป็นการปูความรู้สู่การทาเกษตรอินทรีย์จริงๆ โดยเราไปท้าทาย ผอ.ไว้ เปลี่ยนหลักสูตรเกษตรของ
โรงเรียนสิ เป็นเกษตรอินทรีย์เลย เราจะมาสอนให้ตั้งแต่การปลูก การดูแลผัก เก็บผัก พาไปดูของจริง รับรอง
ผลผลิตให้ด้วยว่าเป็นอินทรีย์ เรียกว่าเรียนรู้เรื่องระบบการผลิตแบบอินทรีย์ตั้งแต่เริ่มต้น แล้วก็เรื่องพันธุ์พืช
ท้องถิ่น อาหารครอบครัว ใช้พืชผักเหล่านี้เป็นอาหารเหลือกินค่อยเอามาขาย
(12)
เป้าเพื่อที่จะขยายไปสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด แล้วราคาประกันสูงมาก สมาชิกเห็นราคาประกันผักแล้วเสียดาย แต่
กาลังผลิตมันเต็มแล้ว ตอนนี้มันเป็นอย่างนี้ ก็อยากให้เพื่อนขยาย เพื่อให้เพื่อนได้เข้าถึงราคาประกันที่ดี ดังนั้น
ตลาดผลผลิตเกษตรอินทรีย์มันก็ทาให้ครอบครัวมีรายได้ มีสุขภาพที่ดี มีอาหารกินอย่างครอบคลุมตลอดปีตาม
พืชผลที่ตัวเองทาในครอบครัว ดังนั้นเรื่องความมั่นคงทางอาหารผ่าน เรื่องรายได้ผ่าน เรื่องสุขภาพผ่าน เพื่อนก็ได้
แล้วยังได้ความรู้ ได้พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง แล้วก็ตระหนักถึงความสาคัญของพันธุ์พื้ชที่ตัวเองมีอยู่ว่ามัน
คุณค่าและมีความสาคัญ สิ่งเหล่านี้มันจะเกิดมาจากกระบวนการทางานเลย เรายินดีที่จะมีเพื่อนเพิ่มเลยนะ เพราะ
เราเปิดตลาดเอาไว้ให้ พื้นที่ที่มีอยู่แต่ยังไม่มีผลผลิตไปตลอบสนองเขา ถ้าคุณมีความรู้แวก็ผลิตตามมาตรฐานและ
ขอรับรองมาตรฐาน คุณก็เข้าไปในตลาดได้เลย เรายินดีเลย เรายินดี แล้วก้สนับสนุนให้เข้าด้วย เพราะยิ่งทาให้
ตลาดเขียวมันขยายตัวกว้างขึ้นนั่นคือการขยายโอกาสการสื่อแนวคิด เปลี่ยนแปลงผู้บริโภคมันจะกว้างขวางยิ่งขึ้น
ไม่ใช่รณรงค์เพื่อให้คนทุกคนตื่นตัว แต่ไม่รู้จะไปซื้อที่ไหน จะไปซื้อในห้างก็แพง อย่างผักบุ้งที่เราประกันซื้อจาก
สมาชิก ที่จะไปตลาดรีเจนท์เดิมเราซื้อที่ กิโลละ ๒๐ ตอนนี้ปรับเป็น ๒๕ แต่ของที่ไร่ปลูกรักให้อยู่ที่กิโลละ ๔๐
เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องของตลาดอย่างเดียว แต่มันต้องเริ่มตั้งแต่ตัวคนทา มันต้องตกผลึกทางความคิดเลย มันต้องมี
กระบวนการการทางานที่เข้มข้น ต้องมีระบบของกลุ่มที่ลงไปดูแลติดตาม เพราะกลุ่มเกษตรอินทรีย์สนับสนุน
ตั้งแต่เรื่องความรู้ ทุน เมล็ดพันธุ์ ปัจจัยการผลิตทุกตัว กลุ่มเอื้อ จัดการให้เบ็ดเสร็จเลย ดังนั้นสมาชิกอยู่ในกลุ่มนี่
มีความสุขมาก สมาชิกอยู่ในกลุ่มนี่มีหลักประกันในทุกเรื่องเลย มีปัญหาตรงไหนปรึกษากลุ่ม เราจะหารือกัน
ช่วยกันแก้ไขปัญหา ปัญหาจัดการได้ ไม่มมีคนไหนเลยที่ถูกทอดทิ้ง ที่ตกหล่นในระหว่างกระบวนการการพัฒนา
ไปด้วยกัน สู่การเป็นระบบเกษตรอินทรีย์ และระบบการค้าเสรีที่เป็นธรรม แล้วทุกคนจะเห็นความสาคัญของเพื่อน
ทุกคน เพราะหายไปคนหนึ่งคือกาลังกายผลิตลดลงไป ต้องขยายอย่างเดียว คนทาต้องทาอยู่ หาเพื่อนเพิ่ม ขยาย
ไปให้เพื่อนเข้าถึงงอย่างที่เขาเข้าถึง เขามีความสุขแล้ว เขารู้แล้วว่าระบบการค้าที่เป็นธรรม และระบบการผลิต
แบบอินทรีย์มันยั่งยืน แล้วก็มั่นคง คนอื่นๆ ที่ยังไม่มีโอกาสอยากให้มีโอกาส