Professional Documents
Culture Documents
09 Vipassana PDF
09 Vipassana PDF
คูมือวิปสสนาจารย
ฉบับลัดสั้น
___________________________________________
หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้นบรรลุธรรมในชาตินี้
ศึกษาคัมภีรพ
ระไตรปฎก ภาษาบาลี
อรรถกถาฎีกา
สถิติการวิจัย ภาษาอังกฤษ
ปฏิบัติวิปสสนาภาวนา 7 เดือนเต็ม
กอนจบหลักสูตร
เปดรับสมัครผูจบปริญญาตรีทุกสาขา
เขาศึกษา ทุกเดือนมีนาคมและเมษายน ทุกๆ ป
ขอมูลทางบรรณานุกรมของสํานักหอสมุดแหงชาติ
National Library of Thailand Cataloging in publication Data
พระภาวนาพิศาลเมธี พรหมจันทร
คูมือวิปสสนาจารยฉบับลัดสั้น: —
กรุงเทพฯ : ประยูรสาสนไทย การพิมพ, 2564. 1,100 หนา.
1. คูมือวิปสสนาจารยฉบับลัดสั้น. I ชื่อเรื่อง.
294.3122
ISBN : 978-616-497-440-1
ผูทรงคุณวุฒิตรวจสอบ :
พระมหาสุรชัย วราสโภ,ผศ.ดร. ป.ธ.๗ , M.A., Ph.D.
พระมหาชิต านชิโต,ผศ.ดร. ป.ธ.๗, ศน.บ., M.A., Ph.D.
พระครูพิพิธวรกิจจานุการ,ผศ.ดร. ศน.บ., M.A., Ph.D.
พระมหาโกมล กมโล ผศ. ป.ธ.๘, พธ.บ., ศศ.ม
ผศ.ดร. วิโรจน คุมครอง ป.ธ.๙, พธ.ม., พธ.ด.
จัดทําโดย : พระภาวนาพิศาลเมธี พรหมจันทร
ออกแบบปก : ปณิธาน นาคพุทธิกุล
เดือน/ป พิมพ : ๑ กุมภาพันธ ๒๕๖๔
จํานวนพิมพ : ๓,๐๐๐ เลม (แจกเปนธรรมทาน)
จัดรูปเลมโดย : พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี
เกียรติคุณประกาศ
หลวงพอสมเด็จพระพุทธชินวงศ ทานเปนผูที่ทําใหขาพเจาไดรูวา
“ที่แทแลว พระพุทธเจาตรัสรูอะไรกันแน” ทานเปนมหากัลยาณมิตรในชีวิต
ของขาพเจา ทานชวยจัดหาทุนการศึกษาและสรางตําราใหขาพเจาไดศึกษา
จนจบหลั กสู ตรบาฬีพุทธศาสตร และวิ ปส สนาภาวนา พอจะมีความรู
ความสามารถเปนพระวิปสสนาจารยบอกบทกรรมฐานอยูทุกวันนี้
บุญกุศลใดๆ ที่เกิดจากการเขียนและเผยแผหนังสือเลมนี้ ขออุทิศ
เปนอาจริยบูชาแดหลวงพอสมเด็จพระพุทธชินวงศ(สมศักดิ์ อุปสมมหาเถระ)
และทานพระครู ปกาศิตพุทธศาสตร ผูใหป ฏิป ทาทางธรรมและโอกาส
ทางการศึกษาแกผูเขียน และอุทิศใหแกพระธรรมวิมลโมลี (รุน ธีรปฺโญ)
พระศีลาจารพิพัฒน พระครูวิสุทธิธีรญาณ อาจารยนิมิตร โพธิพัฒน อาจารย
มงคล ทัตตะโสภณ ตลอดถึงบูรพาจารย และบรรพบุรุษทุกๆ ทาน
ขอมูลใด ๆ ในหนังสือเลมนี้จะมีไมไดเลยหากผูเขียนไมไดรับการสั่ง
สอนฝกฝนอบรมจากพระมหาเถระ ๔ รูปนี้ คือ ๑. พระธรรมโกศาจารย
(หลวงพอปญญานันทะ) ๒. สมเด็จพระพุทธชินวงศ (สมศักดิ์ อุปสมมหา
เถระ) ๓. สยาดอภัททันตะ วิโรจนะ (วัดงุยเตาอูกัมมัฏฐาน) ๔. พระครูศรี
คณาภิรักษ (เจาคณะอําเภอระโนด)
ผูเขียน
[๔]
คํานํา
พระพุ ทธเจ าทรงเป น พระสั พ พัญ ูผู รู แ จ ง ทุก สรรพสิ่ ง แล ว ด ว ย
ความที่พระองคทรงรูทุกอยางนี่เอง ทําใหทรงเห็นแจงวา ถาหากบอกความ
จริ ง ทั้ ง หมดที่ ท รงรู จ ะก อ ให เ กิ ด โทษ เกิ ด หายนะแก ม วลสรรพสั ต ว เ สี ย
มากกวา พระองคจึงเลือกที่จะสอนเฉพาะเรื่องที่เปนไปเพื่อความดับทุกข
เพื่อคลายโศกเพียงเทานั้น มุงสอนแตในประเด็นวา ทําอยางไรจึงจะหลุดพน
จากกฎเกณฑทั้งปวงได ไมยอมสยบอยูกับอํานาจใดๆ ทั้งสิ้น หนทางนั้นก็คือ
การปฏิบัติวิปสสนาภาวนาที่ผูปฏิบัติสามารถพิสูจนใหเห็นจริงไดดวยตนเอง
ในชาตินี้ ไมตองรอใหตายเสียกอน ซึ่งมีพระอริยเจาสามารถพิสจู นทราบจน
เห็นประจักษแจงดวยตนเองและนําออกเผยแผ สืบทอดกันมาจนถึงปจจุบัน
เปาหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ การเรงพัฒนาจิตวิญญาณ
ตามแนวศีล สมาธิ ปญญา เพื่อใหบรรลุมรรค ผล เขาถึงพระนิพพานที่ไม
ตองกลับมาทุกขอีก บรรลุเปนพระอริยบุคคล ๔ จําพวก คือ พระโสดาบัน
พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต แตความเขาใจของคนทั่วไป
มักนําพระอริยบุคคลทั้ง ๔ จําพวกไปผูกติดกับการแสดงอิทธิปาฏิหาริย วา
ตองเหาะได รูใจคนอื่นได เสกมนตคาถาได ไลผีได ถึงขั้นรูอนาคตได ซึ่งเปน
ความเขาใจที่คลาดเคลื่อนจากแนวคําสอนของพระบรมศาสดา และของพระ
อรหันตทั้งหลาย ที่ปรากฏในคัมภีรในพระไตรปฎก อรรถกถา ฎีกา เพราะ
ความเปนพระอริยบุคคลนั้น ไมไดวัดกันที่สิ่งที่ไดมาหรือสิ่งที่ไดรู แตขึ้นอยู
กับสิ่งที่ละไดแลว ก็คือ ละกิเลสตัณหาและสังโยชน ละไดมากเทาใดก็ยิ่ ง
บรรลุธรรมขั้นสูงขึ้นเทานั้น
ข า พเจ า เองรั บ หน า ที่ เ ป น วิ ป ส สนาจารย บ อกบทกรรมฐาน สอน
ปฏิ บัติ วิป สสนาภาวนามา ๗ ป โดยการให ผูป ฏิบั ติไดศึกษาพระไตรป ฎ ก
อรรถกถา ฎี กา และวิ สุ ท ธิ มรรค เป น เวลา ๑ ป ค รึ่ งก อน จากนั้ น ปฏิ บั ติ
ภาวนาแบบกําหนดอาการพอง-ยุบเปนอารมณหลัก เปนเวลาอีก ๗ เดือน
เต็ม จึ งจะจบหลักสูต รการศึกษาได ซึ่งผู เขียนเองก็ได เคยผ านการปฏิบั ติ
[๕]
ภาวนาในหลักสูตรนี้มาเชนกัน แมความรูสึกสวนตัวจะนิยมชมชอบในการ
ปฏิบัติแบบกําหนดลมหายใจเขา-ออกมากกวา แตก็ไมอาจปฏิเสธความจริงที่
เกิดขึ้นไดวา การเจริญสติกําหนดรูลักษณะอาการของวาโยธาตุ(พอง-ยุบ)ใน
ทอง เปนการเจริญวิปสสนาที่ถูกตรงตามหลักสติปฏฐาน ๔ ไดเชนกัน เพราะ
ในขณะปฏิบั ตินั้น มิใชกําหนดรูอาการของวาโยธาตุ (อาการพอง-ยุบ )แต
เพียงอยางเดียว หากมีอารมณอื่น ๆ แทรกเขามาชัดเจนกวา หรือจิตเคลื่อน
ไปรับรูอารมณนั้นๆ ก็ใหตามกําหนดรูจนอาการนั้นๆ ดับไปจากจิต หรือจิต
ดับไปจากอารมณนั้นๆ เสียกอน จึงกลับมากําหนดรูอาการวาโยธาตุที่ทอง
อีก และเมื่อเจริญภาวนาจนสภาวญาณสูงขึ้น จนสภาวะอาการของวาโยธาตุ
ดับไปสิ้นแลว ก็ใหตามกําหนดรูอารมณที่ปรากฏชัดอื่นๆ ตอไป โดยเฉพาะ
สภาวะธรรมารมณ ที่ ป รากฏกั บ จิ ต อาการของจิ ต และตั ว จิ ต เอง ที่ รั บ รู
ธรรมารมณ นั้ น ๆ จนกว า สภาวะทั้ ง ที่ เ ป น ธรรมารมณ และจิ ต ที่ รั บ รู
ธรรมารมณนั้นๆ ดับหมดสิ้นไป จากนั้นจะหนวงเอาพระนิพพาน มาเปน
อารมณไดเองโดยอัตโนมัติ ดังไดอธิบายรายละเอียดไวในหนังสือเลมนี้แลว
อนุโมทนาบุญกับผูชวยตรวจอักษร
พระมหาบุญเลิศ อินฺทปฺโ และคณะนิสิตดุษฎีบัณฑิต (วิปสสนาภาวนา)
แมชีนวพร ทองศรีเพชร
แมชีจันทรจิรา ชินศรี
คุณสุกัญญา วโรทัย
[๖]
สารบัญ
เรื่อง
เกียรติคุณประกาศ [๓]
คํานํา ก
สารบัญ จ
คําอธิบายสัญลักษณและคํายอ ฎ
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้ ๑
๑. อริยบุคคลในพุทธศาสนา ๓
๒. ลักษณะของผูบ รรลุโสดาบัน ๑๔
๓. กําลังสมาธิในการบรรลุโสดาบัน ๓ แบบ ๒๗
๔. การเห็นแจงอริยสัจ ๔ ของพระโสดาบัน ๓๙
๔.๑ กระบวนการของอริยสัจ ๔ ๔๕
- ตารางวิเคราะห ๔๗
๔.๒ เห็นแจงนิโรธสัจบรรลุวิปสสนาญาณ ๔๗
๔.๓ พิจารณาอริยสัจ ๔ ตามลําดับปฏิจจสมุปบาท ๔๘
๕. ญาณ ๑๖ ตามลําดับอริยสัจ ๔ ๕๒
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้นตามลําดับญาณ ๑๖ ๕๙
ขั้นที่ ๑ เห็นรูปเห็นนาม ๖๐
ญาณที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ ๖๒
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม ๖๓
ญาณที่ ๒ ปจจยปริคคหญาณ ๖๔
ญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ ๖๖
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูป-นาม ๖๗
ญาณที่ ๓ สัมมนสญาณ (ชวงปลาย) ๖๙
ญาณที่ ๔ อุทยัพพยญาณ ๗๒
[๗]
ญาณที่ ๕ ภังคญาณ ๗๘
ขั้นที่ ๔ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูป-นาม ๘๑
ญาณที่ ๖ ภยญาณ หรือ ภยตูปฏฐานญาณ ๘๓
ญาณที่ ๗ อาทีนวญาณ ๘๗
ญาณที่ ๘ นิพพิทาญาณ ๘๙
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูป-นาม ๙๑
ญาณที่ ๙ มุญจิตุกัมยาญาณ ๙๒
ญาณที่ ๑๐ ปฏิสังขาญาณ ๙๔
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม ๙๖
ญาณที่ ๑๑ สังขารุเปกขาญาณ ๙๘
ขั้นที่ ๗ สลัดคืนรูป-นาม ๑๑๒
ญาณที่ ๑๒ อนุโลมญาณ ๑๑๗
ญาณที่ ๑๓ โคตรภูญาณ ๑๒๕
ญาณที่ ๑๔ มรรคญาณ ๑๒๘
ญาณที่ ๑๕ ผลญาณ ๑๒๘
ญาณที่ ๑๖ ปจจเวกขญาณ ๑๒๙
บทที่ ๓ การปฏิบัติวิปสสนาแบบลัดสั้น ๑๓๑
๑. ความรู ๖ ระดับในการพัฒนาญาณปญญา ๑๓๑
๒. วิปสสนาภาวนา ๑๓๕
๒.๑ วิปสสนาญาณ ๑๓๙
๑) สภาวญาณของสมถยานิก ๑๔๑
- ตารางเปรียบเทียบ ๑๔๒
๒) สภาวญาณของวิปสสนาญานิก ๑๔๓
๒.๒ ญาณ ๑๖ แบงออกเปน ๕ ระดับ ๑๔๔
๒.๓ การบรรลุธรรม ๗ แบบ ๑๔๗
๓. การเจริญวิปสสนาของสมถยานิก ๑๕๔
[๘]
๕. การเจริญสติสัมปชัญญะตออารมณภายนอก ๔๓๙
๖. การกําหนดอิริยาบถยอย สํานักตางๆ ๔๔๗
๗. ประวัติผูบรรลุธรรม ๔๗๑
บทที่ ๙ ขั้นที่ ๑ เห็นรูปเห็นนาม ๔๘๗
๑. วิธีกําหนดกราบและกําหนดอิริยาบถ ๔๘๙
๒. วิธีจงกรม แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน ๔๘๙
๓. วิธีกําหนดรูพอง-ยุบ ๔๘๕
๔. วิธีกําหนดรูอิริยาบถ ๔๘๙
๕. วิธีเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน ๔๙๐
๖. วิธีเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน ๔๙๑
๗. วิธีเจริญธัมมนุปสสนาสติปฏฐาน ๔๙๔
๘. สภาวะญาณที่เกิดขึ้นเมื่อปฏิบัติขั้นที่ ๑ สมบูรณ ๔๙๕
ญาณที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ ๕๙๖
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม ๔๙๗
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ ๕๐๐
ค. สภาวธรรมที่ปรากฏ : รับประทานอาหาร ๕๐๑
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการเวทนา ๕๐๒
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการจิต ๕๐๓
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อายตนะ ๑๒ ๕๐๕
- ปริญญา ๓ และอริยสัจในนามรูปปริจเฉทญาณ ๕๐๖
- อัตราการพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%) ๕๐๗
- ความสมดุลของอินทรีย ๕ ๕๐๗
บทที่ ๑๐ ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม ๕๑๗
๑. วิธีกําหนดกราบ ๕๑๘
๒. วิธีจงกรม แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน ๕๑๘
๓. วิธีกําหนดรูพอง-ยุบ ๕๑๙
[๑๒]
๔. วิธีกําหนดรูอิริยาบถ ๕๑๒
การกําหนดรับประทานอาหาร ๕๑๒
๕. วิธีเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน ๕๑๓
๖. วิธีเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน ๕๑๗
๗. วิธีเจริญธัมมนุปสสนาสติปฏฐาน ๕๑๙
๘. สภาวะญาณที่เกิดขึ้นเมื่อปฏิบัติขั้นที่ ๒ สมบูรณ ๕๒๑
ญาณที่ ๒ ปจจยปริคคหญาณ ๕๒๑
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม ๕๒๒
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ ๕๒๔
ค. สภาวธรรมที่ปรากฏ : รับประทานอาหาร ๕๒๔
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการเวทนา ๕๒๕
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการจิต ๕๒๖
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : ธรรม ๕๒๗
- ปริญญา ๓ และอริยสัจ ๔ ในปจจยปริคคหญาณ ๕๒๘
- อัตราการพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%) ๕๒๙
- ความสมดุลของอินทรีย ๕ ๕๓๑
ญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ ๕๓๒
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม ๕๓๓
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ ๕๓๓
ค. สภาวธรรมที่ปรากฏ : รับประทานอาหาร ๕๓๔
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการเวทนา ๕๓๕
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการจิต ๕๓๖
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : ธรรม ๕๓๘
- ปริญญา ๓ และอริยสัจ ๔ ในสัมมสนญาณ ๕๓๙
- อัตราการพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%) ๕๔๑
- ความสมดุลของอินทรีย ๕ ๕๔๖
[๑๓]
- ความสมดุลของอินทรีย ๕ ๖๔๗
บทที่ ๑๓ ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม ๖๔๗
๑. วิธีกําหนดกราบ ๖๔๗
๒. วิธีจงกรม ๖๔๘
๓. วิธีกําหนดรูพอง-ยุบ ๖๔๙
๔. วิธีกําหนดรูอิริยาบถ ๖๕๐
๕. วิธีเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน ๖๕๒
๖. วิธีเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน ๖๕๓
๗. วิธีเจริญธัมมนุปสสนาสติปฏฐาน ๖๕๔
๘. สภาวะญาณที่เกิดขึ้นเมื่อปฏิบัติขั้นที่ ๒ สมบูรณ ๖๕๖
ญาณที่ ๙ มุญจิตุกัมยตาญาณ ๖๕๗
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม ๖๕๙
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ ๖๖๐
ค. สภาวธรรมที่ปรากฏ : รับประทานอาหาร ๖๖๑
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการเวทนา ๖๖๒
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการจิต ๖๖๒
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : ธรรม ๖๖๓
- ปริญญา ๓ และอริยสัจ ๔ ในมุญจิตุกัมยาญาณ ๖๖๔
- อัตราการพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%) ๖๖๕
- ความสมดุลของอินทรีย ๕ ๖๖๕
ญาณที่ ๑๐ ปฏิสังขาญาณ ๖๖๖
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม ๖๖๗
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ ๖๖๗
ค. สภาวธรรมที่ปรากฏ : รับประทานอาหาร ๖๖๙
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการเวทนา ๖๖๙
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการจิต ๖๗๐
[๑๗]
๒. พิจารณาสภาพธรรมขณะจงกรม ๗๑๕
๓. พิจารณาสภาพธรรมขณะกําหนดรูพอง-ยุบ ๗๑๗
๔. พิจารณาสภาพธรรมขณะกําหนดรูอิริยาบถ ๗๒๐
- ขณะรับประทานอาหาร ๗๒๐
- ขณะนอน ๗๒๑
๕. พิจารณาสภาพธรรมขณะเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน ๗๒๒
๖. พิจารณาสภาพธรรมขณะเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน ๗๒๓
๗. พิจารณาสภาพธรรมขณะเจริญธัมมนุปสสนาสติปฏฐาน ๗๒๔
๘. สภาวะญาณที่เกิดขึ้นเมื่อปฏิบัติขั้นที่ ๒ สมบูรณ ๗๒๖
ญาณที่ ๑๑ สังขารุเปกขาญาณ (ชวงปลาย) ๗๓๐
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม ๗๓๑
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ ๗๓๑
ค. สภาวธรรมที่ปรากฏ : รับประทานอาหาร ๗๓๒
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการเวทนา ๗๓๒
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการจิต ๗๓๓
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : ธรรม ๗๓๕
- ปริญญา ๓ ในสังขารุเปกขาญาณ (ชวงปลาย) ๗๓๖
- อัตราการพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%) ๗๓๗
- ความสมดุลของอินทรีย ๕ ๗๓๘
ญาณที่ ๑๒ อนุโลมญาณ ๗๓๙
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม ๗๔๓
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ ๗๔๕
ค. สภาวธรรมที่ปรากฏ : รับประทานอาหาร ๗๔๗
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการเวทนา ๗๔๘
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการจิต ๗๕๑
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : โพชฌงค, อริยสัจ ๔ ๗๕๑
- ปริญญา ๓ และอริยสัจ ๔ ในอนุโลมญาณ ๗๕๕
[๑๙]
๒. ประสบการณการเจริญวิปสสนายานิก ๙๓๗
๓. ประสบการณการเจริญสมถยานิก ๙๔๐
๓.๑ สภาวธรรมการปฏิบัติครั้งแรก (๔ เดือน) ๙๔๕
๓.๒ สภาวธรรมการปฏิบัติครั้งที่ ๒ (๔ เดือน) ๙๔๗
๓.๓ สภาวธรรมการปฏิบัติครั้งที่ ๓ (๑ เดือน) ๙๕๔
๓.๔ สภาวธรรมการปฏิบัติครั้งที่ ๔ (๗ เดือน) ๙๖๐
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ ๙๗๑
๑. นิโรธสมาบัติ ๙๗๑
๑.๑ ประเภทวิปสสนาเพื่อบรรลุสมาบัติ ๙๗๔
๑.๒ ผลสมาบัติ ๙๗๗
๑.๓ นิโรธสมาบัติ ๙๗๗
๑.๔ การดับขันธเขาสูปรินิพพาน ๙๗๘
๒. นิโรธสมาบัติในตําราวิชาการยุคปจจุบัน ๙๘๑
๒.๑ ทัศนะของพระภัททันตะ อาสภมหาเถระ ๙๘๑
๒.๒ ทัศนะของพระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ ๙๘๓๓
๒.๓ ทัศนะของพระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต) ๙๘๗
๒.๔ ทัศนะของเสถียร โพธินันทะ ๙๘๘
๓. หลักธรรมที่เกี่ยวของกับนิโรธสมาบัติ ๙๙๓
๓.๑ สัญญาเวทยิตนิโรธ ๙๙๓
๓.๒ อภิสัญญานิโรธ ๙๙๗
๓.๓ สัญญาเวทยิตนิโรธธาตุ ๙๙๙
๓.๔ อสัญญาสมาบัติ ๑,๐๐๐
๓.๕ โมเนยยธรรม ๑,๐๐๓
๓.๖ สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติวิโมกข ๑,๐๐๕
๓.๗ สมถพละ ๑,๐๐๕
๓.๘ สมาธิจริยา ๙ ๑,๐๐๗
๓.๙ ญาณจริยา ๑๖ ๑,๐๐๗
[๒๒]
บรรณานุกรม ๑๐๕๗
[๒๓]
คําอธิบายสัญลักษณและคํายอ
ก. คํายอเกี่ยวกับพระไตรปฎก
หนังสือเลมนี้ ใชขอมูลจากคัมภีรพระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬา-
ลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๓๙ และพระไตรปฎกภาษาบาลี ฉบับมหา
จุฬาเตปฏกํ ๒๕๐๐ โดยใชคํายอชื่อพระไตรปฎก เริ่มจากอักษรยอชื่อคัมภีร ตาม
ดวยวงเล็บฉบับที่ใชแลวตามดวยเลม/ขอ/หนา ตามลําดับ เชน
ที.สี. (บาลี) ๙/๓/๓๖ หมายถึง สุตฺตนฺตปฏก ทีฆนิกาย สีลกฺขนฺธวคฺค
พระไตรปฎก ภาษาบาลี เลมที่ ๙ ขอที่ ๓ หนา ๓๖.
ที.สี. (ไทย) ๙/๑๗๐/๕๖ หมายถึง สุตตันตปฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
พระไตรปฎกภาษาไทย เลมที่ ๙ ขอที่ ๑๗๐ หนา ๕๖ เปนตน
พระวินัยปฎก (ไทย)
เลม คํายอ ชื่อคัมภีร
๑-๒ วิ.มหา. (ไทย) = วินัยปฎก มหาวิภังค (ภาษาไทย)
๔-๕ วิ.ม. (ไทย) = วินัยปฎก มหาวรรค (ภาษาไทย)
๖-๗ วิ.จู. (ไทย) = วินัยปฎก จูฬวรรค (ภาษาไทย)
พระสุตตันตปฎก (บาลีและไทย)
เลม คํายอ ชื่อคัมภีร
๙ ที.สี. (ไทย) = สุตตันตปฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค (ภาษาไทย)
๑๐ ที.ม. (ไทย) = สุตตันตปฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค (ภาษาไทย)
๑๑ ที.ปา. (ไทย) = สุตตันตปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค (ภาษาไทย)
๑๒ ม.มู. (ไทย) = สุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก (ภาษาไทย)
๑๓ ม.ม. (ไทย) = สุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปณณาสก (ภาษาไทย)
๑๔ ม.อุ. (บาลี) = สุตฺตนฺตปฏก มชฺฌิมนิกาย อุปริปณฺณาสกปาลิ (ภาษาบาลี)
ม.อุ. (ไทย) = สุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปณณาสก (ภาษาไทย)
๑๕ สํ.ส. (ไทย) = สุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (ภาษาไทย)
๑๖ สํ.นิ. (ไทย) = สุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค (ภาษาไทย)
๑๗ สํ.ข. (ไทย) = สุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค (ภาษาไทย)
[๒๔]
ปกรณวิเสส (บาลีและไทย)
มิลินฺท. (บาลี) = มิลินฺทปฺหปกรณ (ภาษาบาลี)
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) = วิสท
ุ ฺธิมคฺปกรณ (ภาษาบาลี)
วิสุทฺธ.ิ (ไทย) = วิสทุ ธิมรรคปกรณ (ภาษาไทย)
ข. คํายอเกี่ยวกับคัมภีรอรรถกถา
หนังสือเลมนี้ใชอรรถกถาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยใน
การอางอิง โดยระบุ เลม/ขอ/หนาหลังคํายอชื่อคัมภีร เชน ที.ม.อ. (บาลี) ๑/๔๑๔/
๓๐๘ หมายถึง ทีฆนิกาย สุมงฺคลวิลาสินี มหาวคฺคอฏกถา อรรถกถา ภาษาบาลี
เลมที่ ๑ ขอที่ ๔๑๔ หนา ๓๐๘ หรือ หากเปนตําราเลมเดียว ระบุเพียง ขอ/หนา
อรรถกถาพระสุตตันตปฎก (บาลี)
ที.ม.อ. (บาลี) = ทีฆนิกาย สุมงฺคลวิลาสินี มหาวคฺคอฏกถา
ที.ปา.อ. (บาลี) = ทีฆนิกาย สุมงฺคลวิลาสินี ปาฏิกวคฺคอฏกถา
ม.ม.อ. (บาลี) = มชฺฌิมนิกาย ปปฺจสูทนี มชฺฌิมปณฺณาสกอฏกถา
สํ.สฬา.อ. (บาลี) = สํยุตฺตนิกาย สารตฺถปฺปกาสินี สฬายตนวคฺคอฏกถา
องฺ.จตุกฺก.อ. (บาลี) = องฺคุตฺตรนิกาย มโนรถปูรณี จตุกฺกนิปาตอฏกถา
องฺ.ปฺจก.อ. (บาลี) = องฺคุตฺตรนิกาย มโนรถปูรณี ปฺจกนิปาตอฏกถา
องฺ.ฉกฺก.อ. (บาลี) = องฺคุตฺตรนิกาย มโนรถปูรณี ฉกฺกนิปาตอฏกถา
องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) = องฺคุตฺตรนิกาย มโนรถปูรณี สตฺตกนิปาตอฏกถา
องฺ.อฏก.อ. (บาลี) = องฺคุตฺตรนิกาย มโนรถปูรณี อฏกนิปาตอฏกถา
องฺ.นวก.อ. (บาลี) = องฺคุตฺตรนิกาย มโนรถปูรณี นวกนิปาตอฏกถา
องฺ.ทสก.อ. (บาลี) = องฺคุตฺตรนิกาย มโนรถปูรณี ทสกนิปาตอฏกถา
ขุ.ขุ.อ. (บาลี) = ขุทฺทกนิกาย ปรมตฺถโชติกา ขุทฺทกปาอฏกถา
ขุ.ธ.อ. (บาลี) = ขุทฺทกนิกาย ธมฺมปทอฏกถา
ขุ.ป.อ. (บาลี) = ขุทฺทกนิกาย สทฺธมฺมปฺปกาสินี ปฏิสมฺภิทามคฺคอฏกถา
ขุ.พุทฺธ.อ. (บาลี) = ขุทฺทกนิกาย มธุรตฺถวิลาสินี พุทฺธวํสอฏกถา
[๒๖]
อรรถกถาพระอภิธรรมปฎก (บาลี)
อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) = อภิธมฺมปฏก ธมฺมสงฺคณี อฏสาลินีอฏกถา (ภาษาบาลี)
อภิ.ปฺจ.อ. (บาลี) = อภิธมฺมปฏก ปฺจปกรณอฏกถา (ภาษาบาลี)
อรรถกถาพระอภิธรรมปฎก ภาษาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
เลมที่ เลม ภาค ตอน คํายอ ชื่ออรรถกถา
๗๕ ๑ ๑ - อภิ.สํ.อ. (ไทย) ธัมมสังคณี อัฏฐสาลินีอรรถกถา
๗๗ ๒ ๑ - อภิ.วิ.อ. (ไทย) วิภังค สัมโมหวิโนทนีอรรถกถา
๗๘ ๒ ๒ - อภิ.วิ.อ. (ไทย) วิภังค สัมโมหวิโนทนีอรรถกถา
๗๙ ๓ - - อภิ.ปุ.อ. (ไทย) ปุคคลปญญัติ ปญจปกรณอรรถกถา
ค. คํายอเกี่ยวกับคัมภีรฎีกา
หนังสือเลมนี้ใชฎีกาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในการ
อางอิง โดยระบุ เลม/ขอ/หนา หลังคํายอชื่อคัมภีร เชน วิมติ.ฏีกา (บาลี) ๒/๒๔๑/
๑๑๐ หมายถึง วิมติวิโนทนีฏีกา เลมที่ ๒ ขอที่ ๒๔๑ หนา ๑๑๐
หรือ หากเปนตําราเลมเดียว ระบุเพียง ขอ/หนา
วชิร.ฏีกา (บาลี) = วชิรพุทฺธฏิ ีกา (ภาษาบาลี)
สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) = สารตฺถทีปนีฏีกา (ภาษาบาลี)
[๒๘]
ง. คํายอเกี่ยวกับคัมภีรปกรณวิเสส
หนังสือเลมนี้ใชปกรณวิเสส วิสุทธิมรรค ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ในการอางอิงโดยระบุ เลม/ขอ/หนา หลังยอชื่อคัมภีร เชน วิสุทฺธิ. (บาลี) ๒/๕๗๘/
๑๗๐. หมายถึง คัมภีรวิสุทธิมรรคภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เลมที่ ๒ ขอที่ ๕๗๘ หนาที่ ๑๗๐ หรือ หากเปนตําราเลมเดียว ระบุเพียง ขอ/หนา
เนตฺติ. (บาลี) = เนตฺติปกรณ (ภาษาบาลี)
มิลินฺท. (บาลี) = มิลินฺทปฺหปกรณ (ภาษาบาลี)
สงฺคห. (บาลี) = อภิธมฺมตฺถสงฺคห (ภาษาบาลี)
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) = วิสุทฺธิมคฺคปกรณ (ภาษาบาลี)
วิสุทฺธ.ิ มหาฏีกา (บาลี) = ปรมตฺถมฺชูสา วิสุทฺธิมคฺคมหาฏีกา (ภาษาบาลี)
วิภาวิน.ี (บาลี) = อภิธมฺมตฺถวิภาวินีฏีกา (ภาษาบาลี)
จ. คํายอภาษาไทย
ม.ป.ป. = ไมปรากฏปที่พิมพ
ม.ป.ท. = ไมปรากฏสถานที่พิมพ
บรรลุโสดาบันในชาตินี้
ผลจากการเจริญสมถะไมวาจะเปนฌานหรืออภิญญาก็ตาม ยังเปน
โลกีย เสื่อมถอยได เชน ฤทธิ์ที่พระเทวทัตได๒ เจโตวิมุตติของพระโคธิกะ๓
๑
๑
ดูรายละเอียด วิสุทฺธิ. (บาลี )๒/๑๙๕,๑๙๗.
๒
ดูรายละเอียด วิ.ม. (บาลี) ๗/๓๕๕/๑๖๑.
๓
ดูรายละเอียด วิสุทฺธิ. (บาลี) ๓/๓๔๓, ขุ.ชา.อ. (บาลี) ๔/๕.
๔
ดูรายละเอียด ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๑๗/๒๘๓, ม.มู.(ไทย) ๑๒/๓๑๗/๓๒๐.
๕
ดูใน ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๕๗๓.
๖
ที.สี. (บาลี) ๙/๕๐/๒๒, ที.สี.(ไทย) ๙/๕๐/๔๗, ขุ.จริยา.อ. (บาลี) ๔๔/๖๙.
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
มิจฉาทิฏฐิ เรากลาววามีคติ ๑ ใน ๒ อยาง คือ นรก หรือกําเนิดเดรัจฉาน๗
เหลาสัตวที่ประกอบดวยมิจฉาทิฏฐิ หลังจากตายแลวยอมไปเกิดในอบาย
ทุคติ วินิบาต นรก๘ บุคคลผูมีปญญาทรามประกอบดวยมิจฉาทิฏฐิ หลังจาก
ตายแลว จะไปเกิดในนรก”๙
อนึ่ง มิจฉาทิฏฐินี้สามารถกําจัดใหสิ้นซากไดดวยการเจริญวิปสสนา
ภาวนาเพียงเทานั้น๑๐ดังที่พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา “บุคคลเมื่อรู เมื่อเห็น
จักขุโ ดยความไมเที่ย ง ..เห็น รูปโดยความไมเที่ย ง ..เห็น จักขุวิญญาณโดย
ความไมเที่ยง ..เห็นจักขุสัมผัสโดยความไมเที่ยง จึงละมิจฉาทิฏฐิได ฯลฯ
เมื่อรูเห็นแมความเสวยอารมณที่เปนสุข หรือทุกข หรือมิใชสุขมิใชทุกข ที่
เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเปนปจจัย โดยความไมเที่ยง จึงละมิจฉาทิฏฐิได”๑๑
เมื่อบรรลุโสดาบันแลว เปนผูมีความเห็นถูกตองตามความเปนจริง
เปนมนุ ษยที่ส มบูรณ เพราะเปน ผูสมบูร ณดวยศีล ๕ ประหาณมิจ ฉาทิฏ ฐิ
และวิจิกิจฉาไดอยางเด็ดขาด เจตนาที่จะละเมิดศีล ๕ ไมมีอีกแลว๑๒ เปรียบ
เหมือนพืช GMO ที่ถูกตัดแตงยีนดอยออกไปเลว งูพิษที่ถูกถอดเขี้ยวแลว ถึง
จะมีความเกรี้ยวกราดอยู แตก็ทํารายใครไมไดอีก
พระโสดาบันแมจะมีความโกรธอยู แตก็ไมคิดอาฆาตทํารายใคร แม
มี ค วามโลภอยู ก็ ไ ม คิ ด จะขโมยของใคร ถึ ง จะมี ค วามหลงอยู แ ต ก็ ไ ม คิ ด
แสวงหาโลกียสุขดวยการเสพสุราของมึนเมา แมยั งตองอยู ทามกลางโลก
ธรรม ๘๑๓ แตก็จะไมถูกเขี้ยวเล็บของโลกขบกัดอีกตอไป การดํารงชีวิตอยูใน
โลกของพระโสดาบั น เปรี ย บเหมื อ นกั บ ลิ้ น งู ใ นปากงู เพราะแม ต อ งอยู
๗
ดูใน ที.สี. (ไทย) ๙/๕๐๙/๒๒๔.
๘
ดูใน องฺ.เอก. (ไทย) ๒๐/๓๐๔/๓๙.
๙
ดูใน ขุ.อิติ. (ไทย) ๒๕/๓๒/๓๗๙.
๑๐
ดูใน องฺ.จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๓๘/๓๓๙, องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๕๔/๑๙๐.
๑๑
ดูใน สํ.ส. (ไทย) ๑๘/๑๖๕/๒๐๐.
๑๒
ดูใน องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๙๕/๓๒๘.
๑๓
โลกธรรม คือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นประจําโลก ๘ ประการ คือ มีลาภ เสื่อมลาภ
มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข ดูใน องฺ.อฏก. (ไทย) ๒๓/๙๖/๑๕๙.
๒
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
ทามกลางเขี้ยวพิษ แตไมเคยโดนพิษทํารายเลยแมสักครั้ง หรือเปรียบเหมือน
ฝามือที่ไมมีแผล คนลงในหมอยาพิษ ยอมไมเกิดโทษ๑๔
พระโสดาบันจะบรรลุอรหันตอีกไมเกิน ๗ ชาติโดยอัตโนมัติ เมื่อ
บรรลุอรหันตแลว ก็จะไดประสบสุขในพระนิพพานอยางถาวร ชนิดที่ไม
ตองกลับมาทุกขอีก เพราะเปนบรมสุขที่ไมเจือดวยกามคุณ ๕ อีกตอไป๑๕
๑. อริยบุคคลในพุทธศาสนา
เปาหมายอันสูงสุดในการปฏิบัติธรรม คือการเกิดปญญาเห็นแจง
โลกุตตรธรรม ๙ (อริยมรรค ๔ สามัญผล ๔ และนิพพาน ๑) สําเร็จเปนพระ
อริยบุคคลขั้นตางๆ
อริยบุคคล หมายถึง บุคคลผูมีความบริสุทธิ์ประเสริฐกวาบุคคลทั้ง
ปวง ทั้งในโลกนี้และโลกหนา๑๖ เปนผูทําลายบาปอกุศลที่ที่กอใหเกิดความเรา
รอนและความเศราหมอง และนําไปเกิดในภพใหม (ใหมีชาติ ชรา มรณะตอไป)
คือ กิเลส ๑๐ ประการไดแลว๑๗ ไดแก
๑) มิจฉาทิฏฐิกิเลส เศราหมองและเรารอน เพราะความเห็นผิดจาก
เหตุผลตามความเปนจริงวา บาป-บุญไมมี นรก-สวรรคไมมี เปนตน
๒) วิจิกิจฉากิเลส เศราหมองและเรารอน เพราะความลังเลสงสัยใน
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เปนตน
๓) โลภกิเลส เศราหมองและเรารอน เพราะยินดีอยากได
๔) โทสกิเลส เศราหมองและเรารอน เพราะไมพอใจ ขุนเคือง
๕) โมหกิเลส เศราหมองและเรารอน เพราะความมัวเมาลุมหลง
๖) มานะกิเลส เศราหมองและเรารอน เพราะความทะนงตนถือตัว
๗) ถีนกิเลส เศราหมองและเรารอน เพราะหดหูทอถอยจากความ
๑๔
ดูใน ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๒๔/๗๐.
๑๕
ดูใน องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๓๔/๕๐๐.
๑๖
อภิ.ปุ.อ. (ไทย) ๓/-/-/๒๑๕.
๑๗
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๓๔/๔๖๓.
๓
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
เพียร
๘) อุทธั จจกิเลส เศร าหมองและเรารอน เพราะเกิดฟุงซานไปใน
อารมณตางๆ
๙) อหิริกิเลส เศราหมองและเรารอน เพราะไมละอายในการกระทํา
บาป
๑๐) อโนตตัปปกิเลส เศราหมองและเรารอน เพราะไมเกรงกลัวผล
ของการกระทําบาป๑๘ที่นําไปเกิดในภพใหม (มีชาติ ชรา มรณะ) ไดแลว๑๙
นอกจากนี้พระอริยบุคคลเปนผูรูแจงในอริยสัจ ๔ สามารถปฏิบัติ
ธรรมตามมรรคมีองค ๘ จนประหาณกิเลสที่ทําใหตองเศราหมองและเรา
รอน เขาถึงอบายภูมิ ๔ ทั้ง ๑๐ ประการใหลดลง หรือหมดไป หรือที่นิยม
กลาววาสามารถดับกิเลสที่ผูกมัดจิตใจมนุษยทั้งหลายทั้ง ๑๐ อยางได กิเลสที่
ผูกมัดใจสัตวไวกับทุกข เรียกวา สังโยชน มี ๑๐ ประการ คือ
๑) สักกายทิฏฐิ ความเห็นวาเปนตัวตน
๒) วิจิกิจฉา ความลังเล สงสัย เคลือบแคลงตางๆ เชน สงสัยในพระ
ศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ เปนตน
๓) สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลและพรต คือความยึดถือผิดไป
วา จะบริสุทธิ์ จะหลุดพนไดเพียงดวยศีลและพรต
๔) กามฉันทะหรือกามราคะ ความติดใจในกาม ความอยากไดใฝหา
ในเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ที่ชอบใจ
๕) พยาบาทหรือปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ ความหงุดหงิดขัด
เคืองหรืองุนงาน
๖) รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต เชนติดใจในอารมณ
แหงรูปฌาน เปนตน
๗) อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม เชนติดใจในอารมณแหงอรูป
๑๘
อภิ.ปุ.อ. (ไทย) ๓/-/-/๒๑๕.
๑๙
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๓๔/๔๖๓.
๔
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
ฌาน เปนตน
๘) มานะ ความถือตัว ความสําคัญตน
๙) อุทธัจจะ ความฟุงซาน จิตใจไมสงบ
๑๐) อวิชชา ความไมรู ไมรูอริยสัจ ๕
ขอต น ชื่ อโอรั มภาคิย สั งโยชน ๕ ขอหลั งชื่ ออุทธั มภาคิย สั งโยชน
พระโสดาบันละสังโยชน ๓ ขอตนได พระสกทาคามีทําสังโยชนที่ ๔ และที่
๕ให เ บาบาง พระอนาคามี ล ะสั ง โยชน ๕ ข อ ต น ได ห มด พระอรหั น ต ล ะ
สั ง โยชน ไ ด ห มดทั้ ง ๑๐ ข อ ๒๐ ให ล ดลงหรื อ หมดไป เป น ผู ที่ สั ต บุ รุ ษ
สรรเสริ ญ๒๑ เปน สาวกของพระพุทธเจา เป นผูควรแกทักษิณา ทานที่เขา
ถวายในบุ คคลเหลานี้มีผ ลมาก มีผ ลไพบูลย๒๒ ผูประกอบดวยปญญาเป น
เครื่องพิจารณาเห็นความเกิดและความดับ๒๓
นอกจากนี้ ในพระไตรปฎ ก พระสั มมาสั มพุทธเจ าไดตรั สว า พระ
อริยบุคคล หมายถึงผูเปนอยูดวยธรรม ๑๐ ประการ คือ
๑. เปนผูละองค ๕ ได คือ เปนผูละกามฉันทะได เปนผูละพยาบาท
ได เปนผูละถีนมิทธะไดเปนผูละอุทธัจจกุกกุจจะได เปนผูละวิจิกิจฉาได
๒. เปนผูประกอบดวยองค ๖ คือ ๑) เห็นรูปทางตาแลวไมดีใจ ไม
เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู๒) ฟงเสียงทางหู แลวไมดีใจ ไมเสียใจ
มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู ๓)ดมกลิ่นทางจมูกแลวไมดีใจ ไมเสียใจ มี
อุ เ บกขา มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะอยู ๔) ลิ้ ม รสทางลิ้ น แล ว ไม ดี ใ จ ไม เ สี ย ใจ มี
อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู ๕) ถูกตองโผฏฐัพพะทางกายแลวไมดีใจ ไม
เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู ๖) รูธรรมารมณทางใจแลวแลวไมดีใจ
ไมเสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู
๓. เปนผูมีธรรมเปนเครื่องรักษาอยางเอก คือ เปนผูประกอบดวยใจ
๒๐
องฺ.ทสก.(ไทย) ๒๔/๑๓/๒๑.
๒๑
ขุ.ขุ.(ไทย) ๒๕/๖/๑๐.
๒๒
อฺง.นวก.(ไทย) ๒๓/๒๓๑/๔๘๘.
๒๓
ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๒๙๓/๓๐๗.
๕
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
ที่รักษาดวยสติ
๔. เปนผูมีอปสเสนธรรม ๔ ประการ คือ ๑)เปนผูพิจารณาแลวเสพ
หมายถึงพิจารณาแลวเสพปจจัย ๔ มีจีวรเปนตน ๒)เปนผูพิจารณาแลวอด
กลั้น หมายถึงพิจารณาแลวอดกลั้นตอความหนาวเปนตน ๓) เปนผูพิจารณา
แลวเวนหมายถึงพิจารณาแลวเวนชางดุราย หรือคนพาลเปนตน ๔) เปนผู
พิจารณาแลวบรรเทา หมายถึงพิจารณาแลวบรรเทาอกุศลวิตก มีกามวิตก
(ความตรึกในทางกาม) เปนตน
๕. เปนผูมีปจเจกสัจจะ๒๔บรรเทาได คือ ปจเจกสัจจะเปนอันมาก
คือเห็นวาโลกเที่ยงบาง โลกไมเที่ยงบาง ‘โลกมีที่สุดบาง โลกไมมีที่สุดบาง
ชีวะกับสรีระเปนอยางเดียวกันบาง ชีวะ๒๕กับสรีระเปนคนละอยางกันบาง
หลังจากตายแลวตถาคต๒๖เกิดอีกบาง หลังจากตายแลวตถาคตไมเกิดอีกบาง
หลั ง จากตายแล ว ตถาคตเกิ ด อี ก ก็ มี ไม เ กิ ด อี ก ก็ มี บ า ง หลั ง จากตายแล ว
ตถาคตเกิ ด อี ก ก็ ไ ม ใ ช ไม เ กิ ด อี ก ก็ ไ ม ใ ช บ า ง เหล า นั้ น ทั้ ง หมดของสมณ
พราหมณจํานวนมากอันภิกษุในธรรมวินัยนี้บรรเทาไดกําจัดได สละได คลาย
ได ปลอยวางได ละได สละคืน
๖. เปนผูมีการแสวงหาอันสละไดดี คือ เปนผูละการแสวงหากามได
ละการแสวงหาภพได ระงับการแสวงหาพรหมจรรยได
๗. เปนผูมีความดําริอันไมขุนมัว คือ เปนผูละความดําริในกามได
เปนผูละความดําริในพยาบาทได เปนผูละความดําริในวิหิงสาได
๘. เป น ผู มี ก ายสั ง ขารอั น ระงั บ ได คื อ เพราะละสุ ข และทุ ก ข ไ ด
เพราะโสมนัสและโทมนัสดับไปกอนแลว บรรลุจตุตถฌานที่ไมมีทุกข ไมมีสุข
มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา
๒๔
หมายถึง ความเห็นของแตละคนที่แตกตางกันไปโดยยึดถือวา “ความเห็นนี้
เทานั้นจริง ความเห็นนี้เทานั้นจริง” (องฺ.ทสก.อ. (ไทย) ๕/๒/-/๓๒๔.X
๒๕
หมายถึงวิญญาณอมตะ หรืออาตมัน อภิ.ปุ.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๑๒๙.
๒๖
ตถาคต ในที่นี้เปนคําที่ลัทธิอื่นใชมากอนพุทธกาล หมายถึงอัตตา (อาตมัน)
ไมไดหมายถึงพระพุทธเจา อรรถกถาอธิบายวาหมายถึงสัตว ที.สี.อ.(ไทย) ๑/๒/-/๑๐๘.
๖
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
๙. เปนผูมีจิตหลุดพนไดดี คือ เปนผูมีจิตหลุดพนจากราคะ หลุดพน
จากโทสะ และหลุดพนจากโมหะ
๑๐. เปนผูมีปญญาหลุดพนไดดี คือ รูชัดวา ราคะ เราละไดเด็ดขาด
ตัดรากถอนโคนเหมือนตนตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแลว เหลือแตพื้นที่
เกิด ขึ้น ตอไปไมได รูชัด วา โทสะ ฯลฯ รู ชัดว า โมหะ เราละไดเด็ ดขาด ..
เกิดขึ้นตอไปไมได๒๗
พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสถึงพระอริยบุคคลวา
๑. ผูเปนอสมยวิมุตตะ (ผูที่อาสวะ สิ้นไปเพราะเห็นดวยปญญา) ใน
อริยวิโมกข (อริยวิโมกข๒๘วิโมกข แปลวา ความหลุดพน หมายถึงภาวะที่จิต
หลุดพนจากสิ่งรบกวนและนอมดิ่งไปในอารมณนั้นหมายถึง โลกุตตระ)
๒. ผูเปนอกุปปธรรม (บุคคลผูไดสมาบัติมีรูปหรืออรูปเปนอารมณ
ตามที่ตองการ โดยไมยาก ไมลําบาก จะเขาหรือออกจากสมาบั ติได ตาม
สมาบัติที่ตอ งการ ตามกําหนดเวลาที่ตองการ) ในอริยวิโมกข
๓. ผู เ ป น อปริ ห านธรรม (บุ ค คลผู ไ ด ส มาบั ติ มี รู ป หรื อ อรู ป เป น
อารมณ ตามที่ตองการ โดยไมยาก ไมลําบากจะเขาหรือออกจากสมาบัติได
ตามสมาบัติที่ตองการตามกําหนดเวลาที่ตองการ) ในอริยวิโมกข๒๙
พระอริยบุคคลเปน ๔ ชั้น คือ
๑) พระโสดาบัน ผูเขาถึงกระแสพระนิพพาน คือเขาสูมรรคโสดาบัน
หมายถึงผูประกอบด วยอริย มรรคมีองค ๘ เพราะคําว า โสตะเปน ชื่อของ
อริยมรรคมีองค ๘ ๓๐
๒) พระสกทาคามี ผูจะกลับมาเกิดในโลกมนุษยหรือเทวโลกอีกครั้ง
๓๑
เดียว
๒๗
องฺ.ทสก.(ไทย) ๒๔/๒๐/๓๙-๔๒.
๒๘
องฺ.อฏก.อ. (ไทย) ๔/-/-/๒๗๒.
๒๙
อภิ.ปุ.(ไทย) ๓๖/๑๘-๒๒/๑๔๙-๑๕๐.
๓๐
สํ.ม.(ไทย) ๑๙/๑๔๓๐-๑๔๓๓/๔๙๕.
๓๑
สํ.ม.อ.(ไทย) ๕/๒/-/๓๐๐.
๗
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
๓) พระอนาคามี ผูไมกลับมาถือปฏิสนธิในกามาวจรภูมิอีกหรือกาม
โลก คือมนุษยโลก และเทวโลก๓๒
๔) พระอรหันต ผูหางไกลจากกิเลสโดยสิ้นเชิง๓๓
พระพุทธศาสนาถือวา พระอริยบุคคลเหลานี้เปนบุคคลผูประเสริฐ
กวาบุคคลทั้งปวง ทั้งในโลกนี้และเทวโลก รูแจงอริยสัจ ๔ อันเกิดจากการ
บําเพ็ญไตรสิกขาหมายถึงศีล สมาธิ และปญญา๓๔ จนใหทําศีล สมาธิ ปญญา
บริบูรณ สามารถละกิเลสคือสังโยชน ที่ผูกมัดจิตใจมนุษยไวกับความทุกขให
ลดหรือหมดไป กาวลวงพนจากภาวะปุถุชนเปนพระอริยบุคคล พระโสดาบัน
พระสกทาคามี พระอนาคามี สามารถทําใหศีล สมาธิ ปญญาสําเร็จไดเพียง
บางสวน กิเลสบางสวนยังคงเหลืออยูบาง หรือเบาบาง สวนพระอรหันตเปน
ผู สิ้ น กิ เ ลสคื อ สั ง โยชน แ ละความทุ ก ข ไ ด ห มดสิ้ น บริ บู ร ณ ด ว ยศี ล สมาธิ
ปญญา๓๕ สิ้นภพสิ้นชาติ ไมผุดไมเกิด หลุดพนจากสังสารวัฎ ไมตองเวียน
วายตายเกิดอีกตอไป๓๖ บรรลุเปาหมายของพุทธศาสนาคือพระนิพพานอัน
เปนประโยชนสูงสุด ในขณะเดียวกัน ความเปนพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดมี
ความบริสุทธิ์จากอกุศลธรรมทั้งหลาย๓๗และปดกั้นจากอกุศลธรรมทั้งทาง
กาย ทางวาจา และทางใจ มุงทําประโยชนเพื่อสังคมมากกวาตนเอง
ประเภทของพระอริยบุคคล
ธรรมที่องคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาไดตรัสไวนั้น เปนธรรมงาย
เป ดเผย ปรากฏ ไมมีเ งื่อนปม สงผลใหผู ปฏิ บัติ เป นพระอริย บุคคลหลาย
ประเภทตามกําลังแหงอินทรียแปลวาความเปนใหญในกิจ หมายถึงธรรมที่
เปนเจาการ ในการครอบงําหรือกําราบสิ่งที่เปนปฏิปกษในการปฏิบัติธรรม
๓๒
ขุ.อิต.ิ อ.(ไทย) ๑/๔/-/๖๐๐.
๓๓
วิ.มหา.(ไทย) ๑/-/๑.
๓๔
ขุ.อป.(ไทย) ๓๒/๕๒/๕๓๑.
๓๕
องฺ.ติก.(ไทย) ๒๐/๕๒๘/๓๑๗-๓๑๘.
๓๖
ขุ.ม.(ไทย) ๒๙/๖/๒๗.
๓๗
ม.มู.(ไทย) ๑๒/๔๓๔/๔๖๓.
๘
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
คือความขาดศรัทธา ความเกียจคราน ความเพิกเฉยปลอยปละละเลย ความ
ฟุงซาน และการขาดความรู ความหลงผิดหรือการไมใชปญญา มี ๕ อยาง
คือ สัทธา (ความเชื่อ) วิริยะ (ความเพียร) สติ (ความระลึกได หรือครองใจไว
กับ กิจ ที่ทํา ) สมาธิ (ความมีจิ ต ตั้ งมั่ น ) และป ญญา (ความรู ชั ด หรื อ ความ
เข า ใจ)และกํ า จั ด กิ เ ลสคื อ สั ง โยชน ที่ ผู ก มั ก ใจมนุ ษ ย ไ ว กั บ ทุ ก ข ทั้ ง ๑๐
ประการไดเพียงบางสวน หรือไดสําเร็จบริบูรณ ดังพระพุทธพจนที่พระผูมี
พระภาคไดตรัสไววา
พระศาสดาผูแสวงหาคุณอันยิ่งใหญจัดเปนบุคคลจําพวกที่ ๑
ในโลกพระสาวกผูต รัสรูตามพระศาสดาพระองคนั้น ผูอบรมตนแล ว
จัดเปนบุคคลจําพวกที่ ๒ พระสาวกอื่นๆ นอกจากนี้ ผูยังเปนพระเสขะ
กําลั งปฏิ บั ติ อยู เป น พหู สู ต ถึงพร อมด ว ยศีล และวั ต ร จั ด เป น บุ คคล
จําพวกที่ ๓ บุคคล ๓ จําพวกนี้เปนผูประเสริฐที่สุดในเทวดาและมนุษย
เปนผูสองแสงสวาง เผยแผสัจธรรมอยู ยอมเปดประตูสูนิพพาน ชวย
ปลดเปลื้องขนจํานวนมากออกจากโยคะ๓๘
พระอริยบุคคล ๒ จําพวก
๑. พระเสขะ ผูยังตองศึกษา คือ ศึกษาอธิสีลสิกขาบาง อธิจิตตสิก
ขาบาง อธิปญญาสิกขาบาง ผูศึกษาเพื่อกําจัด บรรเทา ละ สงบ ระงับ๓๙
๒. พระอเสขะ ผูไมตองศึกษา ผูศึกษาสิกขาเรียบรอยแลวผูงดเวน
เพราะหมดสิ้นราคะ เพราะหมดสิ้นโทสะ เพราะหมดสิ้นโมหะแลว อยูใน(อริ
ยวาสธรรม) แลว ประพฤติจรณธรรมแลว๔๐และพบอีกวาพระผูมีพระภาค
เจา ทรงตรัสเรียกอริยบุคคลทั้ง ๒ จําพวกวา ทักขิไณยบุคคลคือเปนผูควร
แกของที่เขานํามาถวาย ควรแกของตอนรับ ควรแกทักษิณา ควรแกการทํา
อั ญ ชลี เ ป น นาบุ ญ อั น ยอดเยี่ ย มของโลก ๔๑ ดั ง พุ ท ธพจน ว า “ในโลกนี้ มี
๓๘
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๘๓/๒๘๙.
๓๙
องฺ.ติก.(ไทย) ๒๐/๕๒๕/๓๑๒.
๔๐
วิ.ป.(ไทย) ๘/๒/๕.
๔๑
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๘๙/๑๐๔.
๙
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
ทักขิไณยบุคคล ๒ จําพวก ไดแก พระเสขะ และพระอเสขะ เปนผูควรแก
ทักษิณาของทายกผูบูชาอยูเปนคนตรงทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ”๔๒
พระเสขะ หมายถึงพระอริยบุคคล ๗ จําพวกคือ ๑) พระโสดาปตติ
มรรค ๒) พระโสดาปตติผล ๓) พระสกทาคามิมรรค ๔) สะสกทาคามิผล ๕)
พระอนาคามิ มรรค ๖) พระอนาคามิ ผ ล ๗) พระอรหั ต ตมรรค ๔๓ มีพ ระ
โสดาบัน เปนตนคือผูยังตองศึกษาตามไตรสิกขา คือศีล สมาธิ และ ปญญา
เพื่อละสังโยชน หรือประหาณกิเลส ยังไมบรรลุอรหัต ยังปรารถนาธรรมที่
เกษมจากโยคะอยางยอดเยี่ยมอยู๔๔ เพื่อบรรลุธรรมสูงขึ้น จนถึงเปนพระ
อรหันต คือ ผูประกอบดวยสัมมาทิฎฐิที่เกิดพรอมกับผล ๓ และมรรค ๔๔๕
ฯลฯ ประกอบดวยสัมมาสมาธิสัมมาทิฎฐิที่เกิดพรอมกับผล ๓ และมรรค ๔
เพราะเปนผูไดเจริญสติปฏฐาน ๔ ประการคือ
๑) พิจารณาเห็นกายในกายอยู มีความเพียร มีสั มปชั ญญะ มีส ติ
กําจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได
๒) พิจารณาเปนเวทนาในเวทนาทั้งหลาย ฯลฯ
๓) พิจาณาเปนจิตในจิต ฯลฯ
๔) พิ จ ารณาเห็ น ธรรมในธรรมทั้ ง หลายอยู มี ค วามเพี ย ร มี
สัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได๔๖
บางขอ เปนผูอาศัยแลวตั้งอยูในเสขภูมิ คือ
๑) รู ชั ด ตามความเป น จริ ง ว า นี้ ทุ กข นี้ ทุก ขสมุทั ย นี้ ทุ กขิ โ รธ นี้
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
๒) พิจารณา รูชัดวาสมณะหรือพราหมณอื่นนอกศาสนานี้ผูที่แสดง
ธรรมจริงแทแนนอนเหมือนพระผูมีพระภาคไมมีเลย
๔๒
องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๒๘๐/๗๙.
๔๓
ที.ปา. ๑๑/๓๓๓/๒๒๔.
๔๔
ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๖/๔๐., ม.อุ.(ไทย) ๑๔/๑๐๐/๘๑.
๔๕
สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๒๕/๑๘.
๔๖
สํ.ม.(ไทย) ๑๙/๗๘๔/๒๕๑.
๑๐
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
๓) รูชัดวา อินทรีย ๕ ประการคือ ๑) สัทธินทรีย ๒) วิริยนทรีย ๓)
สตินทรีย ๔) ปญญินทรีย อันมีคติ มีความเปนเลิศ มีผล และมีที่สุด ทานยัง
ไมถูกตองด วยนามกาย แต ทานเห็ น แจ งแทงตลอดด ว ยปญญา๔๗ เป น ผู มี
ธรรม ๖ ประการของพระเสขะ คือ ๑) ความเปนผูไมชอบการงาน ๒) ความ
เปนผูไมชอบการพูดคุย ๓) ความเปนผูไมชอบการนอนหลับ ๔) ความเปนผู
ไมชอบการคลุกคลีดวยหมู ๕) ความเปนผูคุมครองทวารในอินทรียทั้งหลาย
(สํารวมระวังอายตนะ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) ๖) ความเปนผูรู
จักประมาณในการบริโภค๔๘
พระอเสขะ หมายถึงพระอรหันตเป นผูศึกษาสิกขาเรียบร อยแล ว
เปนพระอรหั นตขีณาสพ อยูจบพรหมจรรยแลว ทํากิจที่ควรทําเสร็จแล ว
ปลงภาระไดแลว บรรลุประโยชนตนโดยลําดับแลว สิ้นภวสังโยชนแลวสิ้นภว
สังโยชนแลว หมายถึง สิ้นสังโยชน ๑๐ ประการ คือ ๑) กามราคะ ๒) ปฏิฆะ
๓) มานะ ๔) ทิฏฐิ ๕) วิจิกิจฉา ๖) สีลัพพตปรามาส ๗) ภวราคะ ๘) อิสสา
๙) มัจฉริยะ ๑๐) อวิชชา สังโยชนเหลานี้เรียกวา ภวสังโยชน เพราะผูกพัน
หมูสัตวไวในภพนอยภพใหญ๔๙
พระอริยบุคคล ๔ คู คือ ๘ บุคคล
พระผูมีพระภาคเจ าทรงตรั สว าในพระธรรมวิ นัย นี้มีรั ตนะมาก มี
รัตนะหลายชนิด คือสติปฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย ๕
พละ ๕ โพชฌงค ๗ อริยมรรคมีองค ๘๕๐มากเปนที่อยูของพระอริยบุคคล ๘
จําพวกเปรียบดวยมหาสมุทรเปนที่อยูของสัตวขนาดใหญแลวยังคุณใหพระ
ศาสนาดํารงอยู๕๑
คือ
๔๗
สํ.ม.(ไทย) ๑๙/๑๐๓๒/๓๓๗.
๔๘
องฺ.ฉกฺก.(ไทย) ๒๒/๓๐๒/๔๗๗.
๔๙
ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๘/๔๗.
๕๐
องฺ.อฏก.(ไทย) ๒๓/๑๐๙/๒๕๑.
๕๑
วิ.จู.(ไทย) ๗/๕๑๒/๓๐๙.
๑๑
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
พระอริยบุคคล ๔ คู ๘ บุคคล หมายถึงพระอริยบุคคล ๔ คู๕๒ จัด
ตามขั้นการบรรลุมรรค ๔ ผล ๔ จึงรวมเปน ๘ บุคคล ซึ่งจําแนกตามกิเลสคือ
สังโยชนที่ละไดในแตละขั้นพรอมไปกับความกาวหนาในการบําเพ็ญไตรสิกขา
คือศีล สมาธิ ปญญา อันเปนบุคคลผูควรแกของที่เขานํามาถวาย ควรแกของ
ตอนรับ ควรแกทักษิณา ควรแกการทําอัญชลี เปนนาบุญอันยอดเยี่ยมของ
โลก ไดแก
๑. พระผูดํารงอยูในโสดาปตติมรรค และพระผูบรรลุโสดาปตติผล
๒. พระผูดํารงอยูในสกทามิมรรค และพระผูบรรลุสกทามิผล
๓. พระผูดํารงอยูในอนาคามิมรรค และพระผูบรรลุอนาคามิผล
๔. พระผูดํารงอยูในอรหัตตมรรค และพระผูบรรลุอรหัตตผล๕๓
โสดาปตติมรรคบุคคล คือบุคคลในขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้นเปนครั้ง
แรก ที่เรียกวาโสดาปตติมรรคจิต โสดาปตติมรรคบุคคลนี้นับเปนอริยบุคคล
ขั้นแรกและไดชื่อเปนผูเขาถึงกระแสนิพพาน มรรคจิตในขั้นนี้จะทําลายกิเลส
ไดดังนี้คือ (ในที่นี้จะใชกิเลส ๑๐ ประกอบ อันเปนรูปแบบประเภทหนึ่งของ
การแบงประเภทของกิเลส เปนหลัก) มิจฉาทิฏฐิกิเลส และวิจิกิจฉากิเลส
โสดาปตติผลบุคคล หรือเรียกกันทั่วไปวา โสดาบัน คือผูที่ผานโสดา
ปตติมรรคมาแลว โดยคุณสมบัติที่สําคัญของโสดาบันคือ ปดกั้นอบายภูมิโดย
เด็ดขาด มีความแนนอนที่จะบรรลุพระอรหันตในวันขางหนา
สกทาคามิมรรคบุคคล คือบุคคลในขณะมรรคจิตเกิดขึ้นเปนครั้งที่
๒ ละกิเลสไดเทากับพระโสดาบัน แตกิเลสที่เหลือใหเบาบางลง(ราคะ โทสะ
และโมหะ)
สกทาคามีผลบุคคล คือผูที่ผานสกทาคามีมรรคมาแลว คุณสมบัติที่
สําคัญของสกทาคามีผลบุคคล คือ ถายังไมสามารถบรรลุธรรมที่สูงขึ้นไปได
ในชาตินี้ก็จะกลับมาเกิดในโลกมนุษยหรือเทวโลกอีกเพียงครั้งเดียว
อนาคามิมรรคบุคคล คือ บุคคลในขณะมรรคจิตเกิดขึ้นเปนครั้งที่ ๓
๕๒
องฺ.จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/๓๔/๕๔.
๕๓
อภิ.ปุ.(ไทย) ๓๖/๑๕๐/๒๒๙.
๑๒
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
ที่เรียกวาอนาคามิมรรคจิตเพราะ สามารถทําลายกิเลสไดเด็ดขาดเพิ่มอีก ๒
ตัวคือกามฉันทะ และปฏิฆะ
อนาคามิผลบุคคล คือผูที่ผานอนาคามิมรรคมาแลว คุณสมบั ติ ที่
สําคัญของอนาคามิผลบุคคล คือ เมื่อหมดอายุขัยแลวไปเกิดในพรหมโลกชั้น
สุทธาวาส เปนรูปพรหมชั้นสูงอันเปนที่อยูของผูที่ไดบรรลุเปนพระอริยเจา
ชั้นอนาคามี
อรหัตตมรรคบุคคล คือบุคคลในขณะมรรคจิตเกิดขึ้นเปนครั้งที่ ๔
ที่เรียกวาอรหัตตมรรคจิต เพราะทําลายกิเลสที่เหลือทุกตัวไดอยางหมดสิ้น
จนไมมีกิเลสใดๆ เหลืออีกเลย
อรหัตผลบุคคล หรือที่เรียกกันทั่วไปวา พระอรหันต คือ ผูที่หางไกล
จากบาปที่กอใหเกิดความเศราหมอง ละกิเลสที่นําไปสูภพใหมไดแลว
๒. ลักษณะของผูบรรลุโสดาบัน
โสดาบัน จึงแปลวา ถึงกระแส หมายถึง ผูเขาถึงกระแสที่จะนําไปสู
พระนิพพาน๕๔ จะตองไดบรรลุพระอรหัตผลในอนาคตอยางแนนอน เปน
บุคคลผูประกอบดวยอริยมรรคมีองค ๘ ทางอันประเสริฐ ๘ ประการ ไดแก
๑) สัมมาทิฎฐิ เห็นชอบ ๒) สัมมาสังกัปปะ ดําริชอบ ๓) สัมมาวาจา เจรจา
ชอบ ๔) สัมมากัมมันตะ ทําการงานชอบ ๕) สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ ๖)
สัมมาวายามะเพียรชอบ ๗) สัมมาสติ ระลึกชอบ ๘) สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่น
ชอบ ๕๕ เพราะคํ า ว า โสตะ เป น ชื่ อ ของอริ ย มรรคมี อ งค ๘ ๕๖ ดั ง ที่
พระพุทธเจาได ต รัส กับ พระสารี บุต รว า “สารี บุต ร ที่เรี ยกว า โสดา โสดา
โสดา เป น อย า งไร” พระสารี บุ ต รกราบทู ล ว า “ข า แต พ ระองค ผู เ จริ ญ
อริยมรรคมีองค ๘...เปนโสดา”๕๗ พระพุทธเจาตรัสวา“สารีบุตรที่เรียกวา ผู
๕๔
พระพรหมคุ ณ าภรณ (ป.อ. ปยุ ตฺ โ ต), พจนานุ ก รมพุ ท ธศาสน ฉบั บ
ประมวลศัพท, พิมพครั้งที่ ๑๒, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย, ๒๕๕๑), หนา ๔๔.
๕๕
สํ.ม. (บาลี) ๑๙/๑๐๐๑/๓๐๐.สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๐๑/๔๙๕.
๕๖
ม.มู(ไทย) ๑๒/-/๕๘.
๑๓
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
๕๗
๘...เปนโสดา” พระพุทธเจาตรัสวา“สารีบุตรที่เรียกวา ผูบรรลุโสดาคือ
ใคร”พระสารี บุ ต รกราบทูล ว า “ขาแต พระองคผู เ จริ ญ ผู ใดประกอบด ว ย
อริยมรรคมีองค ๘ นี้เรียกวา ผูบรรลุโสดา...”๕๘
ตามคัมภีรอรรถกถาเรียกวา ธุวสีโล(ผูมีศีลประจํา) บาง ตสีโล(ผูมี
ศีลมั่นคง) บาง โสตาปนฺโน(ผูเขาถึงผลดวยมรรคที่ เรียกวา โสตะ) บาง อวินิ
ปาตธมฺโม(มีอันไมตกไปในอบายภูมิ ๔ เปนสภาพ) บาง นิยโต(ผูเที่ยวดวย
คุณธรรมเครื่ องกําหนดคือโสดาป ตติ มรรค) บาง สมฺพฺปรายโน(มีปญญา
เครื่องตรัสรูพรอม คือ มรรค ๓ เบื้องสูง ที่เปนไปในเบื้องหนา) บาง๕๙
ทิฏสมฺปนฺโน ไดแก พระอริยสาวก คือพระโสดาบันผูถึงพรอมดวย
ปญญาในมรรค พระโสดาบันนั้นมีชื่อมาก เชน ชื่ อวา ทิฏส มฺปนฺโน ผูถึง
พรอมดวยทิฏิทสฺสนนมฺปนฺโน ผูถึงพรอมดวยทัสสนะ อาคโต อิมํสทฺธมฺมํ ผู
มาถึงพระสัทธรรม ปสฺสตฺอิมํสทฺธมฺมํ ผูเห็นพระสัทธรรมอยู เสกฺขานาเณร
สมนฺนาคโต ผูประกอบดวยญาณของพระเสกขะ เสกฺขาย วิชฺชาย สมนฺนาค
โค ผูประกอบดวยวิชชาของพระเสกขะ ธฺมโสตสมาปนฺโน ผูถึงพรอมดวย
กระแสธรรม อริ โ ย นิ พฺ เ พธิ ก ปฺ โ ผู มี ป ญ ญาเครื่ อ งชํ า แรกกิ เ ลสอั น
ประเสริฐ อมตทฺวารํอาหจฺจติฎ ติ ผูตั้งอยูใกลประตูพระนิพพาน๖๐
พระโสดาบัน๖๑ หมายถึง ผูเขาถึงกระแสพระนิพพาน คือเขาสูมรรค
เป น ผู ป ระกอบด ว ยอริ ย มรรคมี อ งค ๘ เพราะคํ า ว า โสตะ เป น ชื่ อ ของ
อริ ยมรรคมีองค ๘ ๖๒ คือเดิ นทางถูกต องตามอริ ยมรรคอย างแทจ ริง รู ชั ด
ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และเครื่องสลัดออกจากอินทรีย ๕ ประการ
๕๗
สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๔๓๐/๔๙๕.
๕๘
สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๔๓๒/๔๙๕.
๕๙
องฺ.ติก.อ.(ไทย) ๑/๓/-/๔๕๗.
๖๐
องฺ.ทุก.อ.(ไทย) ๑/๒/-/๑๔๘.
๖๑
ม.มู.(ไทย) ๑๒/๕๔/๕๘.
๖๒
องฺ.ทสก.(ไทย) ๒๔/๖๔/๑๔๒.
๑๔
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
อินทรีย ๕ ประการ คือ ๑) สัทธินทรีย ๒) วิริยินทรีย ๓) สตินทรีย ๔) สมาธิ
นทรี ย ๕ ) ป ญ ญิน ทรี ย ๖๓ตามความเป น จริ ง เป น ผู ไ มต กไปในอบายภู มิ ๔
อบายภูมิ ๔ คือนรก กําเนิดสัตวดิรัจฉาน แดนเปรต และพวกอสูรกาย๖๔ มี
ความแนนอนที่จะบรรลุเปนพระอรหันตในวันขางหนา ดังปรากฏขอความใน
คัมภีรสังยุตตนิกาย มหาวารวรรควา
พระโสดาบันเปนผูมั่นคง เลื่อมใสยิ่งในพระพุทธเจาวา แมเพราะ
เหตุ นี้ พระผู มีพ ระภาคพระองคนั้ น ฯลฯ เป น ศาสดาของเทวดาและ
มนุ ษ ย ทั้ ง หลาย เป น พระพุ ท ธเจ า เป น พระผู มี พ ระภาคเป น ผู มั่ น คง
เลื่อมใสยิ่งในพระธรรม ฯลฯ ในพระสงฆ ฯลฯ ไมมีหาสปญญามีปญญา
ราเริง เพราะเปนผูทําสติปฎฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย
๕ พละ ๕ โพชฌงค ๗ และอริ ย มรรคมีองค ๘ ให เ จริ ญ ๖๕ ไมมีช วน
ปญญาชวนปญญา มีปญญารวดเร็ว เพราะแลนไปเร็วในรูปที่เปนอดีต
อนาคต และปจจุบัน และแลนไปเร็วในนิพพาน อันเปนที่ดับชาติ ชรา
มรณะ โดยพิจารณาทําใหแจมแจง วามีความดับไปเปนธรรมดา๖๖ ทั้งไม
ถึงพรอมดวยวิมุตติ เขาจึงเปนพระโสดาบัน ไมมีทางตกต่ํา มีความแนน
นอนที่จะสําเร็จสัมโพธิในวันขางหนา เพราะสังโยชน ๓ ประการสิ้นไป
แมบุคคลนี้ก็พนจากนรก กําเนิดสัตวดิรัจฉาน ภูมิแหงเปรต อบาย ทุคติ
และวินิบาต๖๗
พระโสดาบัน คือผูรูชัดคุณ โทษ และเครื่องสลัดออกจากอินทรีย ๕
อิน ทรี ย ๕ ประการ คื อ ๑) สั ท ธิ น ทรี ย ๒) วิ ริ ย นทรี ย ๓) สติ น ทรี ย ๔)
สมาธิทรีย ๕) ปญญินทรีย ซึ่งเปนตามความเปนจริง ปดกั้นอบายภูมิ ๔ มี
ความแนนอนที่จะสําเร็จมรรคเบื้องสูง ๓ (สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค
๖๓
สํ.ม.(ไทย) ๑๙/๘๔๕/๒๘๓.
๖๔
ม.มู.อ.(ไทย)๑/-/-/๔๒๖.
๖๕
ม.อุ.อ.(ไทย) ๓/๒/-/๕๗.
๖๖
ม.อุ.อ.(ไทย) ๓/๒/-/๕๘.
๖๗
สํ.ม.(ไทย) ๑๙/๑๕๔๓/๕๓๔.
๑๕
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
และอรหัตตมรรค) รูแจงอริยสัจ๖๙ ไมถือกําเนิดในภพที่ ๘ไมถือกําเนิดใน
๖๘
๖๘
สํ.ม.(ไทย) ๑๙/๘๔๕/๒๘๓.
๖๙
ขุ.สุ.(ไทย) ๒๕/๒๓๒/๕๕๕.
๗๐
ขุ.สุ.อ. (ไทย) ๑/๖/-/๑๖๓-๑๖๔.
๗๑
ขุ.สุ.อ. (ไทย) ๑/๖/-/๑๖๖.
๗๒
ม.มู.อ.(ไทย)๑/๒/-/๑๕.
๗๓
ขุ.ป.(ไทย) ๓๑/๑๕๑/๒๓๐.
๗๔
สํ.ม.(ไทย) ๑๙/๑๖๗๑/๕๙๕.
๗๕
สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๖๖๔/๕๙๒.
๗๖
สํ.ม.(ไทย) ๑๙/๑๖๗๑/๕๙๕.
๑๖
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
หนึ่งมีความเกิดขึ้นเปนธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเปนธรรมดา” เมื่อ
ไดฟงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร สําเร็จเปนพระโสดาบันองคแรก และนอกจากนี้
พระผู มีพระภาคเจ ายังตรั ส ถึงพระโสดาบัน ไว อีกว า พระโสดาบั นคือผู ล ะ
ธรรม ๓ ประการไดอยางสิ้นเชิง คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรา
มาส๗๗ผูไมถือกําเนิดในภพที่ ๘หมายถึงไมเกิดในภพที่ ๘ เพราะทานนั้นละ
สังโยชน ๓ ประการ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ไดแลว และ
จะเวียนเกิดเวียนตายในเทวโลกและมนุษยโลกอยางมากไมเกิน ๗ ครั้ง แลว
บรรลุอรหัตตผล เพราะนามรูปพนไปในภพที่ ๗ นั่นเอง๗๘ไมทําอภิฐาน ๖
หมายถึงฐานะอันหนัก ๖ ประการ ไดแก ๑) ฆามารดา ๒) ฆาบิดา ๓) ฆา
พระอรหันต ๔) ทําโลหิตของพระพุทธเจาใหหอ ๕) ทําใหสงฆแตกกัน ๖)
เขารีตศาสดาอื่น๗๙ ผูประกอบดวยธรรม ๔ ประการ ไมมีทางตกต่ําไมมีทาง
ตกต่ํา หมายถึงไมตกไปในอบาย ๔ คือ นรก กําเนิดสัตวดิรัจฉาน แดนเปรต
และพวกอสู ร๘๐ มีความแนนอนที่จ ะสํ าเร็ จสัมโพธิสัมโพธิ ในที่นี้ หมายถึง
มรรค ๓ เบื้องสูง (สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค)๘๑ ใน
วันขางหนา ดังปรากฏขอความในคัมภีรสังยุตตนิกายวา
โสดาบันเปนผูมั่นคง เลื่อมใสยิ่งในพระพุทธเจาวา ‘แมเพราะเหตุนี้
พระผู มีพระภาคพระองคนั้ น ฯลฯ เป น ศาสดาของเทวดาและมนุ ษย
ทั้งหลาย เปนพระพุทธเจา เปนพระผูมีพระภาค’ เปนผูมั่นคง เลื่อมใส
ยิ่งในพระธรรม ฯลฯ ในพระสงฆ ฯลฯ ไมมีหาสปญญา๘๒ ไมมีชวน
๗๗
ขุ.สุ.(ไทย) ๒๕/๒๓๓/๕๕๕.
๗๘
ขุ.สุ.อ. (ไทย) ๑/๖/-/๑๖๓-๑๖๔.
๗๙
ขุ.สุ.อ. (ไทย) ๑/๖/-/๑๖๖.
๘๐
สํ.ม.(ไทย) ๑๙/๓๕๘/๒๘๓.
๘๑
ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๑/-/๑๔๕.
๘๒
หาสปญญา มีปญญาราเริง เพราะเปนผูทําสติปฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิ
บาท ๔ อินทรีย ๕ พละ ๕ โพชฌงค ๗ และอริยมรรคมีองค ๘ ใหเจริญ (ม.อุ.อ.
(บาลี) ๓/๙๒/๕๗)
๑๗
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
๘๓
ปญญา ทั้งยังไมถึงพรอมดวยวิมุตติ เขาจึงเปนพระโสดาบัน ไมมีทาง
ตกต่ํา มีความแนนอนที่จะสําเร็จสัมโพธิในวันขางหนา เพราะสังโยชน ๓
ประการสิ้นไป แมบุคคลนี้ก็พนจากนรก กําเนิดสัตวดิรัจฉาน ภูมิแหง
เปรต อบาย ทุคติ และวินิบาต๘๔
การละสังโยชนของพระโสดาบัน
พระโสดาบันละสังโยชน ได ๓ ประการ คือ
๑) สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดวาเปนตัวเรา ของเรา ยังติดแนนใน
สมมติวาเปนตัวตน เรา เขา
๒) วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย ในความเปนไปของ
ชีวิต เปนตน ทําใหไมมั่นใจที่จะดําเนินชีวิตไปตามหลักธรรม
๓) สี ลั พ พตปรามาส ความถื อ มั่น ในศีล พรต คื อ ความยึ ด ถื อ ใน
กฎระเบียบอยางงมงาย เห็นวาจะบริสุทธิ์หลุดพนไดเพียงเพราะศีล๘๕
พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา “ผูเปนพระโสดาบันยอมมีจิตสงัดจาก
สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย และเหลา
กิเลสที่อยูในพวกเดียวกับสักกายทิฏฐิ เปนตนนั้น”๘๖
พระโสดาบันสามารถประหาณอกุศลกรรมบถ ๖ ประการไดแลว
คือ ฆาสัตว ลักทรัพย ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดสอเสียดและมิจฉาทิฏฐิ
ไดเด็ดขาดแลว๘๗ ชื่อวาผูถึงพรอมดวยทัสสนะ ประกอบดวยวิชชาของพระ
เสขะ ผูเขาถึงกระแสธรรม ผูยืนจรดประตูอมตะ๘๘
๘๓
ชวนปญญา มีปญญารวดเร็ว เพราะแลนไปเร็วในรูปที่เปนอดีต อนาคต และ
ปจจุบัน และแลนไปเร็วในพระนิพพาน อันเปนที่ดับชาติ ชรา มรณะ โดยพิจารณาทํา
ใหแจมแจง วามีความดับไปเปนธรรมดา (ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๙๒/๕๗-๕๘)
๘๔
สํ.มหา. (ไทย) ๑๙/๑๐๒๑/๕๓๔.
๘๕
องฺ.ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๓๖๑/๔๘๘. ขุ.ม.อ. (บาลี) ๗/๙๘.
๘๖
ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๒๒๓., ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๗/๓๓.
๘๗
องฺ.ติก. อ. (ไทย) ๑/๓/-/๔๕.
๘๘
องฺ.ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๙๐/๖๑๕, องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๒๖๘/๔๐๒,
๑๘
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
นอกจากนี้ยังสามารถกําจัดราคะ โทสะ โมหะอยางหยาบที่จะทําให
ไปตกอบายภูมิได และละอุปาทาน ๓ คือ ทิฏุปาทาน สีลัพพตุปาทาน
และอัตตวาทุปาทานไดเด็ดขาด๘๙
ประเภทของพระโสดาบัน
แมพระโสดาบันบุคคลจะสามารถละกิเลสได เพียง ๒ อยาง แตทานก็
ตัดสังสารวัฏลงไดมาก ตามประเภทแหงพระโสดาบัน ๓ ประเภท ดังนี้
๑) เอกพีชี โ สดาบั น ได แ ก พระโสดาบั น ที่ ส ร า งบารมีม าแก ก ล า
มากดวยปญญาเจริญสมถภาวนามานอย เจริญวิปสสนามามาก เมื่ออินทรีย
แกกลาก็สามารถบรรลุมรรค ผลไดอยางรวดเร็ว พระโสดาบันประเภทนี้จะ
ปฏิ ส นธิ อี กเพีย งชาติ เ ดี ย วก็จ ะบรรลุ อรหั ต ตผล ๙๐ เป น พระอริ ย บุ คคลใน
พระพุทธศาสนาแลวดับขันธเขาสูปรินิพพาน๙๑
๒) โกลังโกลโสดาบัน ไดแก พระโสดาบันที่สรางบารมีมาปานกลาง
มีปญญาและสมาธิเทาๆ กัน เจริญวิปสสนาภาวนาและสมถภาวนามาพอๆ
กัน เมื่ออินทรียแกกลาก็สามารถบรรลุมรรคผลไดอยางปานกลาง ประเภทนี้
จะปฏิ สนธิในมนุษยภู มิห รือเทวภู มิอีก ๒-๖ ชาติเ ปน อย างมากก็จะบรรลุ
อรหัตตผล เปนพระอริยบุคคลแลวดับขันธเขาสูปรินิพพาน๙๒
๓) สั ต ตั กขัต ตุ ป รมโสดาบั น ได แก พระโสดาบั น ที่ส ร างบารมีม า
อยางออน มีสมาธิมาก แตปญญานอย เจริญวิปสสนาภาวนามานอย เมื่อ
อินทรียแกกลาก็สามารถบรรลุมรรคผล อยางเชื่องชา อยางไรก็ตามพระโสดาบัน
ประเภทนี้ จะปฏิ สนธิ ในมนุ ษยภู มิหรื อเทวภู มิอี กเพี ยง ๗ ชาติ ๙๓ ก็ จะบรรลุ
อรหัตตผล เปนพระอริยบุคคลในพุทธศาสนาแลวดับขันธเขาสูปรินิพพาน๙๔
๘๙
ดูใน ขุ.อิต.ิ อ. (ไทย) ๑/๔/-/๔๑๕., ขุ.อุ.อ. (ไทย) ๑/๓/-/๓๗๒.
๙๐
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๕๑/๒๓๐.
๙๑
ดูใน องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๘๘/๒๔๒, องฺ.ติก.ฏีกา (บาลี) ๒/๘๘/๒๓๗.
๙๒
ดูใน อภิ.ปุ. (บาลี) ๓๖/๓๒/๑๒๒-๑๒๓, อภิ.ปฺจ.อ. (บาลี) ๓๒/๕๔.
๙๓
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๕๑/๒๓๐.
๙๔
ดูใน อภิ.ปุ. (บาลี) ๓๖/๓๑/๑๒๒, องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๘๗/๒๔๒.
๑๙
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
๒๐
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
เมื่อนั้น อริยสาวกนั้น เมื่อหวังอยูพึงพยากรณตนเองวา เรามีนรกสิ้นแลว
มีกําเนิดสัตวดิรัจฉานสิ้นแลว มีภูมิแหงเปรตสิ้นแลว มีอบาย ทุคติและ
วินิบาต๑๐๓ สิ้นแลว เปนโสดาบันแลว ไมมีทางตกต่ํา มีความแนนอนที่
จะสําเร็จสัมโพธิ ในวันขางหนา”
พระโสดาบันระงับภัยเวร ๕ คือ
๑. ระงับจากการฆาสัตว เพราะการฆาสัตวเปนปจจัย จึงประสบภัย
เวรที่เปนไปใน ปจจุบันบาง ในสัมปรายภพบาง เสวยทุกขโทมนัสทางใจบาง
บุคคลผูเวนขาดจากการฆาสัตว ยอมไมประสบภัยเวรที่เปนไปในปจจุบัน ที่
เปนไปในสัมปรายภพ ทั้งไมตองเสวยทุกขโทมนัสทางใจ บุคคลผูเวนขาดจาก
การฆาสัตวแลว ยอมระงับภัยเวรนั้นได อยางนี้
๒. ระงับจากการลักทรัพย ...
๓. ระงับจากการประพฤติผดิ ในกาม ...
๔. ระงับจากการพูดเท็จ ...
๕. ระงับจากการเสพของมึนเมา คือ สุราและเมรัย๑๐๔...
พระโสดาบันประกอบดวยองคเครื่องบรรลุโสดาบัน ๔ ประการ คือ
๑) ประกอบด วยความเลื่อมใสอันไมห วั่น ไหวในพระพุทธเจ า ว า
“แมเพราะเหตุนี้ พระผูมีพระภาคพระองคนั้น เปนพระอรหันต ตรัสรูดวย
พระองคเองโดยชอบ ฯลฯ เปนพระพุทธเจา เปนพระผูมีพระภาค”
๒) ประกอบดวยความเลื่อมใสอันไมหวั่นไหวในพระธรรมวา “พระ
ธรรมเป นธรรมที่พระผู มีพระภาคตรั สไวดี แล ว ผู ปฏิ บัติ จะพึงเห็ นชั ดด ว ย
ตนเอง ไมประกอบดวยกาล ควรเรียกใหมาดู ควรนอมเขามาในตน ฯ”
๓) ประกอบดวยความเลื่อมใสอันไมหวั่นไหวในพระสงฆ วา “พระ
สงฆ ส าวกของพระผู มี พ ระภาค เป น ผู ป ฏิ บั ติ ดี ปฏิ บั ติ ต รง ฯลฯ ควรแก
ทักษิณา ควรแกการทําอัญชลี เปนนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก”
๑๐๓
ทั้ง ๓ คํานี้เปนไวพจนของนรก (องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๔๓/๕๐)
๑๐๔
สุราและเมรัย ดูใน ขุ.ขุ.อ. (บาลี) ๑/๑๗-๑๘.
๒๑
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
๔) ประกอบดวยศีลที่พระอริยะชื่นชม ไมขาด ไมทะลุ ไมดางพรอย
ทานผูรูสรรเสริญ ไมถูกตัณหาและทิฏฐิครอบงํา เปนไปเพื่อสมาธิ๑๐๕
ทิฏฐิของพระโสดาบัน
พระโสดาบัน ถึงพรอมดวยทิฏฐิ มีความเห็นชอบ ๖ ประการ คือ
๑. เปนผูไมอาจยึดถือสังขารวาเปนของเที่ยง
๒. เปนผูไมอาจยึดถือสังขารวาเปนสุข
๓. เปนผูไมอาจยึดถือธรรมวาเปนอัตตา
๔. เปนผูไมอาจทําอนันตริยกรรม
๕. เปนผูไมอาจเชื่อความบริสุทธิ์โดยถือมงคลตื่นขาว
๖. เปนผูไมอาจแสวงหาเขตบุญนอกศาสนานี๑๐๖ ้
เมื่อบรรลุโสดาบัน๑๐๗แลว เปนผูมีความเห็นถูกตองตามความเปน
จริง เปนมนุษยที่สมบูรณ เพราะเปนผูสมบูรณดวยศีล ๕ สามารถประหาณ
มิจฉาทิฏฐิ และวิจิกิจฉาไดอยางเด็ดขาด เจตนาที่จะละเมิดศีล ๕ ไมมีอีก
แลว๑๐๘ เปรียบเหมือนงูพิษที่ถูกถอดเขี้ยวแลว ถึงจะมีความเกรี้ยวกราดอยู
แตก็ทํารายใครไมไดอีก
พระโสดาบันแมจะมีความโกรธอยู แตก็ไมคิดอาฆาตทํารายใคร แม
จะมีความโลภอยู ก็ไมคิด จะขโมยของใคร ถึงจะมีความหลงอยู แตก็ไมคิด
แสวงหาโลกียสุขดวยการเสพของมึนเมา แมยังตองอยูทามกลางโลกธรรม
๘๑๐๙ แตก็จะไมถูกเขี้ยวเล็บของโลกขบกัดอีกตอไป การดํารงชีวิตอยูในโลก
ของพระโสดาบันเปรียบเหมือนลิ้นงูในปากงู เพราะแมตองอยูทามกลางเขี้ยว
พิษ แตไมเคยโดนพิษทํารายเลยแมสักครั้ง หรือเปรียบเหมือนมือที่ไมมีแผล
๑๐๕
องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๙๒/๒๑๒.
๑๐๖
องฺ.ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๙๒/๖๑๖.
๑๐๗
ผูเขาถึงกระแสธรรม ผูยืนจรดประตูอมตะ’องฺ.เอกก.อ.(บาลี)๑/๒๖๘/๔๐๒.
๑๐๘
ดูใน ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๐/๑๒.
๑๐๙
โลกธรรม คือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นประจําโลก ๘ ประการ คือ มีลาภ เสื่อมลาภ
มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข ดูใน องฺ.อฏก. (ไทย) ๒๓/๙๖/๑๕๙.
๒๒
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
คนลงในหมอยาพิษ ก็ไมเ กิด โทษ จะบรรลุอรหัน ตอีกไมเ กิน ๗ ชาติ โดย
อัตโนมัติ เมื่อบรรลุอรหันตแลว ก็จะไดประสบสุขในพระนิพพาน ชนิดที่ไม
ตองกลับมาทุกขอีก เพราะเปนบรมสุขที่ไมเจือดวยกามคุณ ๕ อีกตอไป๑๑๐
การพยากรณพระโสดาบัน
การที่จะรูไดวาใครเปนพระอริยบุคคลชั้นไหนนั้น ตองเปนผูที่มีภูมิ
ธรรมเสมอกันหรือสูงกวาจึงจะรูได๑๑๑ แตคนธรรมดาที่ไมใชพระอริยเจาก็ยัง
พอสังเกตไดวาใครเปนพระโสดาบัน โดยการอนุมานเอา อาจจะถูกหรือผิดก็
ได มีห ลั กในการอนุ มานดั งนี้ คือ ผู ที่บ รรลุ เ ปน พระโสดาบัน แลว เป น ผู มี
ศรัทธาไมหวั่นไหว เปนผูที่ยอมมอบกายถวายชีวิตแดพระรัตนตรัย ถึงจะถูก
ฆาตายก็ไมยอมกลาวดูหมิ่นพระรัตนตรัย หรือมีคนเอาเงินเอาทองมากองไว
ขางหนา แลวบอกวา เงินทองทั้งหมดนี้จะเปนของทาน ถาทานยอมกลาว
"พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆไมดีจริง" พระโสดาบันจักไมพูดอยาง
เด็ดขาด ดังเชน นายสุปปพุทธกุฏฐิ๑๑๒
บางทานไมรูวาตนเองบรรลุโสดาบันแลว
พระอริยบุคคลผูบรรลุมรรคเบื้องตนบางทานที่ไมฉลาดในบัญญัติ
ธรรม ก็อาจมีขอสงสัยอยูวาตนไดบรรลุแลวหรือยัง เชน พระเจามหานามะ
ทรงบรรลุโสดาบัน เปนพระอริยบุคคลผูมีคติอันแนนอนแลว แตก็ยังไมรูตัว
วาไดบรรลุธรรมแลว ดังปรากฏเรื่องราวในพระคัมภีรวา
พระเจามหานามะกราบทูลพระผูมีพระภาคเจาวา สมัยนั้น หมอม
ฉันลืมสติปรารภพระผูมีพระภาค พระธรรม และพระสงฆ หมอมฉันคิดวา
“หากเราพึงถึงแกกรรมในเวลานี้ คติของเราจะเปนอยางไร อภิสัมปรายภพ
จะเปนอยางไร”
พระผูมีพระภาคตรัสวา “อยาทรงกลัวเลย มหาบพิตร การสวรรคต
๑๑๐
ดูใน ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๒๔/๗๐., องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๓๔/๕๐๐.
๑๑๑
ดูรายละเอียดใน องฺ.ติก.อ. (ไทย) ๑/๓/-/๒๖๖.
๑๑๒
ดูประวัติใน ขุ.อุทาน. (ไทย) ๒๕/๔๓/๒๕๖.
๒๓
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
ของพระองคจั กไม เลวทราม กาลกิริ ยาก็จั กไมเ ลวทราม มหาบพิตร อริ ย
สาวกผูประกอบดวยธรรม ๔ ประการยอมนอมไปสูนิพพาน โนมไปสูนิพพาน
โอนไปสูนิพพาน
ธรรม ๔ ประการ อะไรบาง คือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
๑. ประกอบดวยความเลื่อมใสอันไมหวั่นไหวในพระพุทธเจา
๒. ประกอบดวยความเลื่อมใสอันไมหวั่นไหวในพระธรรม
๓. ประกอบดวยความเลื่อมใสอันไมหวั่นไหวในพระสงฆ
๔. ประกอบดวยศีลที่พระอริยะชอบใจ..เปนไปเพื่อสมาธิ๑๑๓
พระโสดาบันกับคุณคาของทรัพย ๗ ประการ
เรื่องชายโรคเรื้อนชื่อสุปปพุทธะเปนโสดาบัน ... ขณะนั้น ทาวสักก
เทวราชทรงทราบวา สุปปพุทธกุฏฐินี้ มีความประสงคจะประกาศคุณที่ตน
ได รั บ ในศาสนาของพระศาสดาให ป รากฏ คิ ด จั กทดลองเธอ จึ ง เสด็ จ ไป
ประทับอยูในอากาศ ไดตรัสคํานี้วา สุปปพุทธะ เธอเปนคนขัดสน เปนคน
กําพรา เปนคนยากไร เราจะใหทรัพยอันหาประมาณมิไดแกเธอ แตเธอจง
พูด ว า พระพุ ท ธไม ใช พระพุท ธ พระธรรมไม ใช พ ระธรรม พระสงฆ ไม ใ ช
พระสงฆ เราพอกันทีดวยพระพุทธ ดวยพระธรรม ดวยพระสงฆ
ลําดั บนั้ น สุ ปปพุทธะจึ งกลาวกะทาวสักกะนั้นว า ทานเป นใคร?
ตอบวา เราเปนทาวสักกเทวราช สุปปพุทธกุฏฐิกลาววา ดูกอนอันธพาลผูไม
มีย างอาย ทานกลาวคําที่ไมควรจะกลาวอย างนี้ ไมส มควรพูดกับ เราเลย
เพราะเหตุไรทานจึงพูดกับเราวา เปนคนเข็ญใจ ขัดสน กําพรา เราเปนโอรส
บุตรของพระโลกนาถมิใชหรือ เราไมใชคนเข็ญใจขัดสนกําพรา ที่จริงแล เรา
ไดรับความสุขดวยความสุขอยางยิ่ง มีทรัพยมาก อนึ่ง บุคคลใดไมเลือกวาจะ
เปนหญิงหรือชาย มี ทรัพย ๗ อยางคือ ทรัพยคือศรัทธา ทรัพยคือศีล ทรัพย
คือหิ ริ ทรั พย คือโอตตั ป ปะ ทรั พย คื อสุ ต ะ ทรั พย คือจาคะ และทรั พย คื อ
ปญญา บัณฑิตเรียกบุคคลนั้นวาไมเข็ญใจ และชีวิตของเขาไมเปลา ดังนั้น
๑๑๓
สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๑๘/๕๒๓.
๒๔
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
เราจึ งชื่ อว ามีอริ ย ทรั พย ๗ ประการนี้ เพราะบุ คคลผู มีอริ ย ทรั พย เ หล านี้
พระพุทธเจาหรือพระปจเจกพุทธเจาไมตรัสเรียกวา เปนคนเข็ญใจ๑๑๔
ตัวอยางขางตน จะเห็นวาพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบันนอกจาก
จะมีคุณลักษะพิเศษ ๔ ประการ คือศรัทธาอยางไมหวั่นไหวในพระพุทธ พระ
ธรรม พระสงฆ และมีมีศีล ๕ ขอบริสุทธิ์แลว ผูเปนพระโสดาบันจะเปนผูที่
ไมใหคุณคากับวัตถุนิยมตางๆ ไมวาจะเปนเงิน ทอง เปนตน แตทานเหลานั้น
ใหคุณคากับทรัพยภายในที่เรียกวา อริยทรัพย ๗ ประการ
ลักษณะบางประการของพระโสดาบัน
๑) พระโสดาบันบางทานไมรูวาตนเองบรรลุธรรมแลว
พระเจามหานามะ ทรงบรรลุโสดาบันแลว แตก็ยังไมรูตัว จึงเกิดขอ
สงสัยในคติของตน ดังปรากฏเรื่องราวในคัมภีรพระไตรปฎกวา
พระเจามหานามะทูลพระผูมีพระภาคเจาวา ครั้งหนึ่ง หมอมฉันลืม
สติปรารภพระผูมีพระภาค พระธรรมและพระสงฆ หมอมฉันคิดวา “หากเรา
พึงถึงแกกรรมในเวลานี้ คติของเราจะเปนอยางไรหนอ?”
พระผูมีพระภาคตรัสวา “อยาทรงกลัวเลยมหาบพิตร การสวรรคต
ของพระองคจักไมเลวทราม กาลกิริยาก็จักไมเลวทรามยอมนอมไปสูนิพพาน
โนมไปสูนิพพาน โอนไปสูนิพพาน”๑๑๕
๒) พระโสดาบันยังมีครอบครัว
ความเปนอยูของพระโสดาบันเหมือนกันกับคนทั่วไป เพราะยังมี
ความโลภ โกรธ หลงอยู ยังมีครอบครัว มีลูกมีหลานอยู เชน นางวิสาขา เปน
พระโสดาบันตั้งแตยังเปนเด็ก เมื่อโตเปนสาวไดแตงงาน ใหกําเนิดลูกชาย
๑๐ คน ลู กสาว ๑๐ คน เมื่ อ นางไปวั ด ก็จ ะมีทั้ ง ลู กทั้ ง หลานไปด ว ย คน
ทั้งหลายก็จะถามวา “นางวิสาขาคนไหน”๑๑๖ นี้ก็แสดงใหเห็นวาโสดาบัน
๑๑๔
ดูรายละเอียดใน ขุ.อุ.อ. (ไทย) ๑/๓/๕๐๓-๕๐๔.
๑๑๕
สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๑๘/๕๒๓.
๑๑๖
ดูรายละเอียดใน ขุ. อุทาน. (ไทย) ๒๕/๗๘/๓๔๐.
๒๕
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
นั้นก็เหมือนกับคนทั่วไป อยางแยกไมออก
๓) โสดาบันยังมีความประมาทอยู
โสดาบั น แม เ ป น พระอริ ย บุ ค คลมี ทิ ฏ ฐิ ที่ ส มบู ร ณ แ ล ว แต ยั ง ไม
สมบูรณดวยสติและปญญา ยังมีความประมาทอยูบาง ดังที่พระผูมีพระภาค
เจาตรัสไววา “พระโสดาบันเหลาใด รูแจงอริย สัจที่พระศาสดาผูมีปญญา
ลึกซึ้งแสดงแลว ถึงแมวาพระโสดาบันจะประมาทไปบาง แตทานเหลานั้นก็
จะไมถือกําเนิดในภพที่ ๘”๑๑๗
“โสดาบั น พ น แล ว จากอบายทั้ ง ๔ และจะไม ทํ า อภิ ฐ าน ๖๑๑๘
ถึงแมวาโสดาบันนั้นจะทําบาปกรรม๑๑๙ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจไป
บ า ง ท า นก็ ไ ม ป กป ด บาปกรรมนั้ น ไว ผู เ ห็ น บท ๑๒๐แล ว ไม อ าจทํ า อย า ง
นั้น”๑๒๑
๒. กําลังสมาธิในการบรรลุโสดาบัน ๓ แบบ
ในการปฏิ บั ติ วิ ป ส สนาภาวนาเพื่ อบรรลุ โ สดาบั น แม ล ว งละเมิ ด
สิกขาบทเล็กนอยบ าง และสมาธิไมสมบูรณ ก็สามารถพอกพูน อินทรีย ๕
เจริญสติปฏฐาน ๔ ได เพราะจิตที่สงบชั่วขณะๆ ดวยอํานาจของสติ และ
สัมปชัญญะอยางตอเนื่อง สามารถนํามาเปนพื้นฐานเจริญวิปสสนาได คัมภีร
ฎีกาอธิบายวา “น หิ ขณิกสมาธึ วินา วิปสฺสนา สมฺภวติ”๑๒๒ คือ ตองอาศัย
๑๑๗
ไมเกิดในภพที่ ๘ เพราะทานละสังโยชน ๓ ประการ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาส) ไดแลว และจะเวียนเกิดเวียนตายในเทวโลกและโลกมนุษยอยางมาก
ไมเกิน ๗ ครั้ง แลวบรรลุอรหัตตผล (ขุ.ขุ.อ. (บาลี) ๖/๑๖๓-๑๖๔)
๑๑๘
อภิฐาน ๖ คือ ไมทํากรรมหนัก ๖ ประการ ไดแก ๑) ฆามารดา ๒) ฆาบิดา
๓) ฆาพระอรหันต ๔) ทําโลหิตของพระพุทธเจาใหหอ ๕) ทําใหสงฆแตกกัน ๖) เขารีต
ศาสดาอื่น (ขุ.ขุ.อ. (บาลี) ๖/๑๖๖)
๑๑๙
บาปกรรม หมายถึง การตองอาบัติเบา มิไดหมายถึงอาบัติหนัก ดูใน ขุ.ขุ.อ.
(บาลี) ๖/๑๖๗ และดู วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๐/๒๓๘.
๑๒๐
บท หมายถึง ทางแหงนิพพาน ขุ.ขุ.อ. (บาลี) ๖/๑๖๗.
๑๒๑
ขุ.ขุ. (ไทย) ๒๕/๑๑/๑๒.
๑๒๒
ดูใน ม.มู.ฏีกา (บาลี) ๑/๔๙/๒๕๗. ดูเพิ่มเติมหนา ๔๐๙.
๒๖
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
ขณิกสมาธิเปนบาทฐานจึงจะเจริญวิปสสนาได มีพระพุทธวจนะยืนยันไววา
ภิกษุในธรรมวินัยนี้มีปกติทําศีลใหบริบูรณ มี
ปกติ ทํ า สมาธิ พ อ ประมาณ มี ป กติ ทํ า ป ญ ญา
พอประมาณ ภิ ก ษุ นั้ น ล ว งละเมิ ด สิ ก ขาบท
เล็กนอย๑๒๓บาง ออกจากอาบัติบาง ขอนั้นเพราะ
เหตุ ไร เพราะในการต องอาบั ติและการออกจาก
อาบัติเล็กนอยนี้ เราไมกลาวความเปนคนไมเหมาะสม(แกมรรคผล)ไว
แต สิ ก ขาบทเหล า ใดเป น เบื้ อ งต น แห ง พรหมจรรย ๑๒๔ สมควรแก
พรหมจรรย ภิกษุนั้นมีศีลประจําตัวและมีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหลานั้น
ศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย เพราะสังโยชน ๓ ประการสิ้นไป เธอจึงเปน
โสดาบั น ไม มี ท างตกต่ํ า มี ค วามแน น อนที่ จ ะสํ า เร็ จ สั ม โพธิ ในวั น
ขางหนา๑๒๕
พระโสดาบัน แมยังไมสมบูรณดวยสมาธิ และปญญา แตก็เปนผูมี
สัมมาทิฏฐิสมบูรณแลว๑๒๖ และไดบรรลุธรรมแลว๑๒๗ หนวงนิพพานมาเปน
อารมณไดแลว และเปนนิยตบุคคลที่มีความแนนอน คือ ไมตกไปในอบายภูมิ
๔ อีกแลว และจะบําเพ็ญใหบริบูรณในสมาธิ และปญญาใหยิ่ง ๆ ขึ้นไป
บรรลุเปนพระอรหันตในภพเบื้องหนา อีกไมเกิน ๗ ชาติ อยางแนนอน๑๒๘
หากมีผูคัดคานวา “ตองไดฌานกอนเทานั้นจึงจะบรรลุธรรมได”
ก็นาสงสัยวา “ผูที่บรรลุธรรมขณะที่ฟงธรรม เขาใชฌานอะไรเปนบาท
๑๒๓
อาบัติที่เหลือ เวนปาราชิก ๔ ดูใน องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๘๗/๒๔๑.
๑๒๔
อาบัติปาราชิก ๔ ดูใน องฺ.ติก.ฏีกา (บาลี) ๒/๘๗/๒๓๔.
๑๒๕
องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๘๓/๓๑๓.
๑๒๖
ความถึงพรอมดวยสัมมาทิฏฐิ ๕ ประการ คือ (๑) กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ
(๒) ฌานสัมมาทิฏฐิ (๓) วิปสสนาสัมมาทิฏฐิ (๔) มัคคสัมมาทิฏฐิ (๕) ผลสัมมาทิฏฐิ
(องฺ.ทุก.อ. (บาลี) ๒/๑๗๕/๗๑)
๑๒๗
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๓๗/๕๗. ชื่อวา อปรามัฏฐะ เพราะตัณหาและทิฏฐิไมเกาะ
เกี่ยว และเพราะใครๆ ไมสามารถปรามาสไดวา ทานเคยตองอาบัตินี้มา
๑๒๘
ไมตกไปในอบาย ๔ อีกแลว ดูใน องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๘๗/๒๔๒.
๒๗
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
ฐาน?” นั่นหมายความวา แมไมไดสมาธิระดับฌานก็สามารถเจริญวิปสสนา
ได!
อนึ่ง ปจจุบันนี้ มีผูสนใจคนควาพระไตรปฎกดวยโปรแกรมคอม-
พิวเตอรกันมากขึ้น จนพบวา คําวา ขณิกสมาธิ ไมมีเขียนไวในพระไตรปฎก
ไมใชพุทธวจนะ ..ในเรื่องนี้ ขออรรถาธิบาย ดังนี้
พระพุทธเจาตรัสสอนวิธีเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน๑๒๙ ไววา
พระพุทธวจนะ แปลเปนภาษาไทย
การเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน เปนการเจริญวิปสสนาที่พระผู
มีพระภาคเจาตรัสไวดวยพระองคเอง โดยใหกําหนดพิจารณาจิตที่มีราคะ
บาง จิตที่ฟุงซานบาง เปนอารมณในการเจริญวิปสสนา
๑๒๙
ดูใน ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๘๑/๓๕๕.
๒๘
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
กอใหเกิดขอสงสัยวา “จิตที่มีราคะ จิตที่ฟุงซานไมมีในผูเจริญฌาน
อย า งแน น อน แต เ หตุ ไ ฉนพระพุ ท ธเจ า จึ ง ให เ จริ ญ วิ ป ส สนากํ าหนดจิ ต ที่
ฟุงซานเปนอารมณ?”
ตอบวา “นั่นก็เพราะ ถึงไมไดฌานสมาธิก็เจริญวิปสสนาได” คัมภีร
อรรถกถาอธิบายวา ขอวา สราคมสฺส จิตฺตํ ไดแกจิตของเขาผูนั้นมีราคะ ทาน
กลาววาเปนการเจริญภาวนาแบบวิปสสนาลวนๆ ที่เรียกวาสุทธวิปสสนา๑๓๐
เรื่องนี้มีขอวินิจฉัยเพิ่มเติมวา พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา“คจฺฉนฺโต
คจฺฉามีติ ปชานาติ” เดินอยูก็รูชัดวา “เดินอยู”
หลายคนบอกวา การเจริญวิปสสนาไมตองบริกรรม แครูก็พอ จึงนา
สงสัยวา แลวพระพุทธพจนวา “คจฺฉามีติ” (อิติ) มีไวเพื่ออะไร นั่นบงบอก
วาใหบริกรรมในใจ อันเปนสัมมาวาจา ..มิใชหรือ?
นายสุ ป ปพุ ทธกุฏ ฐิ คนขอทานโรคเรื้ อ นจะเขา ไปขอทานขณะที่
พระพุทธเจากําลังแสดงธรรม จึงแอบนั่งฟงอยูดวย จนไดบรรลุโสดาบัน๑๓๑
..นาสงสัยวา เขาใชกําลังฌานอะไรเปนบาทฐานในการบรรลุธรรม
ในขณะนั่งฟงธรรม เขาเขาฌานอะไรอยู? (ก็..หามิได)
จิ ต ที่ ส งบชั่ ว ขณะๆ ด ว ยอํา นาจสติ แ ละสั ม ปชั ญ ญะที่ เ พิ่ ม พู น ขึ้ น
สามารถนํามาเปนพื้นฐานเจริญวิปสสนาได คัมภีรมูลปณณาสกฎีกากลาววา
“น หิ ขณิ ก สมาธึ วิ น า วิ ป สฺ ส นา สมฺ ภ วติ ”๑๓๒ “หากขาดขณิ ก สมาธิ
วิป ส สนาก็เ กิด ไมได ” คือ ต องอาศัย ขณิกสมาธิ เ ป น บาทฐานจึ งจะเจริ ญ
วิปสสนาได เมื่อวิปสสนาญาณสูงขึ้นตามลําดับ การเพงลักษณะอารมณก็จะ
แนบแนนขึ้นตามลําดับเชนกัน เมื่อมรรคจิตเกิดขึ้นก็ยอมบริบูรณพรอมดวย
องคฌานทั้ง ๕ (วิตก วิจาร ปติ สุข สมาธิ) จัดเปนปฐมฌานโสดาปตติมรรค
จิต สกทาคามิมรรคจิต อนาคามิมรรคจิต อรหัตตมรรคจิต ของสุกขวิปสสก
บุคคล ก็จัดเขาเปนปฐมฌานดวยกันทั้งสิ้น ดังที่ปรากฏในคัมภีรอรรถกถาวา
๑๓๐
ดูใน อภิ.วิ.อ. (ไทย) ๒/๒/-/๑๒๒.
๑๓๑
ดูใน ขุ.อุ. (ไทย) ๒๕/๔๓/๒๕๕.
๑๓๒
ม.มู.ฏีกา (บาลี) ๑/๔๙/๒๕๗. ดูอธิบายที่หนา ๓๔๑.
๒๙
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
"มรรคที่เกิดขึ้นแกพระสุกขวิปสสกโดยกําหนดวิปสสนาก็ดี มรรคที่ภิกษุทํา
ฌานใหเปนบาทฐานแลวพิจารณาสังขารเล็กๆ นอยๆ ใหเกิดขึ้นก็ดี ในมรรค
ทั้งหมดนั้น มีโพชฌงค ๗ องคมรรค ๘ และองคฌาน ๕ อยูดวย"๑๓๓
แสดงวา แมมรรค๑๓๔ ที่เกิดขึ้นแกผูเจริญวิปสสนาลวนๆ ก็ประกอบ
ดวยองคฌาน ๕ ประการอยางครบถวน จึงเปนฌานจิตเชนกัน ดังพุทธพจน
วา “ฌานยอมไมมีแกผูไมมีปญญา ปญญาก็ยอมไมมีแกผูไมมีฌาน”๑๓๕
การพัฒนาขณิกสมาธิดวยการปรับอินทรีย ๕
ขณิกสมาธิใชในการเจริญวิ ปสสนา๑๓๖ เป นความตั้งมั่นรูรู ป-นาม
ทุ ก ๆขณะที่ เ กิ ด -ดั บ เมื่ อ จิ ต มี ส ติ ร ะลึ ก รู อ ารมณ ป รมั ต ถ อ ย า งต อ เนื่ อ ง
ปราศจากนิ ว รณ ในขณะที่อิน ทรี ย ๕ คื อ ศรั ทธา วิ ริ ย ะ สติ สมาธิ และ
ปญญามีกําลังสม่ําเสมอแกผูเจริญวิปสสนาภาวนา
การเจริญอินทรีย ๕ ใหเพิ่มพูนและสมดุลยกันอยางตอเนื่องทําให
วิ ป ส สนาญาณเจริ ญ ก า วหน า และโน ม ไปสู ม รรค ผล นิ พ พาน ดั ง ที่
พระพุทธเจาตรัสไววา
“ดูกอนภิกษุทั้งหลาย แมน้ําคงคาไหลไปสูทิศปราจีน หลั่งไปสูทิศ
ปราจีน บาไปสูทิศปราจีน แมฉันใด ภิกษุเจริญอินทรีย ๕ กระทําให
มากซึ่งอินทรีย ๕ ยอมเปนผูนอมไปสูนิพพาน โนมไปสูนิพพาน โอนไป
นิพพาน ฉันนั้นเหมือนกัน. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเจริญอินทรีย ๕
กระทําใหมากซึ่งอินทรีย ๕ อยางไรเลา ..ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยอมเจริญ
สัทธินทรีย อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ นอมไปในการสละ
ยอมเจริญวิริยินทรีย...สตินทรีย..สมาธินทรีย..ปญญินทรีย อันอาศัยวิเวก
อาศั ย วิ ร าคะอาศั ย นิ โ รธ น อ มไปในการสละ..ภิ ก ษุ เ จริ ญ อิ น ทรี ย ๕
กระทําใหมากซึ่งอินทรีย ๕ อยางนี้แล ยอมเปนผูนอมไปสูนิพพาน โนม
๑๓๓
ดูใน ขุ.ป.อ. (บาลี) ๑/๓๒๔.
๑๓๔
ดูอธิบายที่หนา ๑๒๕, ๓๐๑,
๑๓๕
ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๗๒/๑๔๙.
๑๓๖
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๓๖๘.
๓๐
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
ไปสูนิพพาน โอนไปสูนิพพาน”๑๓๗
อนึ่ง ผู เจริ ญอินทรีย ๕ ให แกกลาและสมดุล อยางต อเนื่อง จะได
บรรลุอนาคามี ในชาติปจจุบัน ดังที่พระพุทธเจาตรัสไววา “อินทรีย ๕ อัน
บุคคลเจริญแลว กระทําใหมากแลว มีอานิสงส คือ จะไดบรรลุอรหัตผลใน
กาลปจจุบัน ถาไมไดบรรลุอรหัตผลในกาลปจจุบัน จะไดบรรลุในเวลาใกล
ตาย ถ าไมได บ รรลุ อรหั ต ผลในเวลาใกล ต ายใซร จะได เ ป น พระอนาคามี
เพราะสังโยชนอันเปนสวนเบื้องต่ํา ๕ ประการ สิ้นไป”๑๓๘
อินทรีย แปลวา สภาพที่เปนใหญในกิจของตน๑๓๙ คือ ธรรมที่เปน
เจาการในการทําหนาที่กําจัดกวาดลางอกุศลธรรม ซึ่งเปนฝายตรงขาม เชน
ความศรัทธากําจัดความไมเชื่อเสียได ความเพียรจํากัดความเกียจคราน ทํา
ใหเกิดความพรอมในการปฏิบัติธรรมใหกาวหนา
ลักษณะแหงอินทรีย ๕ และ พละ ๕
อินทรีย ๕ กับพละ ๕ นี้มีขอธรรมะเปนอยางเดียวกัน แตวาหมวด
หนึ่งมุงเปนอินทรียคือเปนใหญเหนืออกุศลธรรมทั้งหลายที่ตรงกันขาม อีก
หมวดหนึ่งคือพละ มุงถึงเปนกําลังหรือเปนพลังในอันที่จะปราบปรามกิเลส
หรืออกุศลธรรมที่ตรงกันขาม มีลักษณะที่แตกตางกัน ดังนี้
๑) สัทธินทรียมีการนอมใจเชื่อเปนลักษณะ สัทธาพละมีการไม
หวั่นไหวในอารมณเปนที่ตั้งแหงความไมเชื่อเปนลักษณะ ศรัทธานั้น เปน
ใหญเ หนื อความไมเ ชื่อ เปน กําพลั งที่ปราบปรามความไมเชื่ อลงได กําจั ด
ความไมเชื่อได
๒) วิ ริ ยิ น ทรี ย มี ก ารประคองเป น ลั ก ษณะ วี ริ ย พละมี ก ารไม
หวั่นไหวในอารมณเปนที่ตั้งแหงความเกียจครานเปนลักษณะ วิริยะความ
เพียร เปนใหญเหนือความเกียจคราน เปนพลังเปนกําลังสําหรับปราบปราม
ความเกียจคราน
๑๓๗
สํ.มหา. (ไทย) ๑๙/๕๔๑/๓๕๒.
๑๓๘
สํ.มหา. (ไทย) ๑๙/๕๓๖/๓๔๗.
๑๓๙
สํ.ม.อ. (ไทย) ๕/-/๒/๙.
๓๑
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
๓) สตินทรี ยมีการบํารุงเป นลักษณะ สติพละมีการไมหวั่นไหวใน
อารมณเปนที่ตั้งแหงความมีสติฟนเฟอนเปนลักษณะ สติเปนใหญเหนือความ
หลงลืมสติความเผลอสติ เปนเครื่องปราบปรามความหลงลืมสติ
๔) สมาธินทรี ยมีความไมฟุงซานเป นลักษณะ สมาธิพละมีการไม
หวั่นไหวในอารมณเปนที่ตั้งแหงความฟุงซานเปนลักษณะ สมาธิเปนใหญ
เหนือความฟุงซานแหงจิต เปนเครื่องปราบปรามความฟุงซานแหงจิต
๕) ปญญินทรียมีการรูอารมณตางๆ เปนลักษณะ ปญญาพละมีการ
ไมหวั่นไหวในอารมณเปนที่ตั้งแหงอวิชชาเปนลักษณะ๑๔๐ ปญญา เปนเครื่อง
เป น ใหญ เ หนื อ อวิ ช ชาความไม รู โมหะความหลงถื อ เอาผิ ด เป น เครื่ อ ง
ปราบปรามทําลายอวิชชาโมหะ
เพราะฉะนั้น จึงตองแบงเปน ๒ หมวด เปนอินทรียหมวด ๑ เปน
พละหมวด ๑ เมื่อพิจารณาดูถึงบุคคลในโลกนี้ บุคคลผูเปนใหญก็จะตองมี
พละคือกําลัง ถาไมมีพละคือกําลังก็เปนใหญไมได และถาไมมีความเปนใหญ
ก็มีพละกําลังไมได เพราะฉะนั้น ในการปฏิบัติธรรมะจะตองตอสูกับกิเลส
มาร คือกิเลสในจิตใจ ดวยธรรมในหมวดโพธิปกขิยธรรม ปฏิบัติในหมวดสติ
ป ฏ ฐานทั้ง ๔ เป น หลั ก โดยที่ ต อ งอาศัย สั ม มั ป ปธานและอิ ท ธิ บ าท เป น
อุปการะธรรมในการปฏิบัติสติปฏฐาน และเมื่อพบเกาะคือเครื่องขัดขวาง
การปฏิบัติ ซึ่งเปรียบเหมือนเกาะที่เกิดกลางแมน้ํา ทําใหแมน้ําแยกเปนสอง
สาย จึงตองแยกธรรมะนี้ออกเปนสองสาย สายอินทรียที่เปนใหญ คือตอง
รักษาศรัทธาเปนตนใหเปนใหญเหนือกิเลส และตองมีพละคือกําลัง หรือมี
ศรัทธาเปนตนนั้นเองเปนกําลัง สําหรับที่จะบําราบกิเลสมารลงไป เมื่อเปน
ใหญก็ชื่อวามี พละ(กําลัง) และเมื่อมีพละคือกําลังก็ชื่อวาเปนใหญความเปน
ใหญกับความมีพละคือกําลังตองคูกันไป ในคราวที่พบกิเลสมารอันจะตอง
ปราบปราม ซึ่งขัดขวางการปฏิบัติธรรมะ ก็ตองมีความเปนใหญ ตองมีพละ
คือกําลัง คือตองมีความเปนใหญเหนือกิเลสมาร ตองมีพละกําลังที่จะปราบ
กิเลสมารลงไปได จึงจะหลุดรอดจากกิเลสมารที่มาขัดขวาง แลวก็ดําเนินการ
๑๔๐
ขุ.ม.อ. (ไทย) ๕/-/๑/๓๙๒.
๓๒
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
ปฏิบัติตอไป คือตองมีธรรมะ ๕ ขอนี้เอง ตองมีศรัทธา มีวิริยะ มีสติ มีสมาธิ
มีปญญา
ในการปฏิ บั ติ ธ รรมะจะต อ งต อ สู กั บ มาร คื อ กิ เ ลสในจิ ต ใจด ว ย
ธรรมะ และเมื่อพบเกาะ คือเ ครื่องขัดขวางการปฏิ บัติ ซึ่งเปรียบเหมือน
เกาะที่เ กิด กลางแมน้ํ า ทําให แมน้ํ าแยกเป น สองสาย จึ งต องแยกธรรมะนี้
ออกเปนสองสาย สายอินทรียที่เปนใหญ คือ ตองรักษาศรัทธาเปนตน ให
เป น ใหญเ หนือกิเ ลส และต องมีพละ คือ กําลั งมีศรั ทธาเป นต น เป น กําลั ง
สําหรับที่จะบําราบกิเลสมารลงไป คือ ตองมีความเปนใหญเหนือกิเลสมาร
ตองมีพละกําลังที่จะปราบกิเลสมารลงใหได จึงจะปลอดภัยจากกิเลสมาร
ที่มาขัดขวาง แลวก็ดําเนินการปฏิบัติตอไป
การบรรลุโสดาบัน ๓ รูปแบบ
คัมภีรปฏิสัมภิทามรรคแสดงถึงโสดาปตติมรรค หรือการเขาถึงความ
เปนพระโสดาบัน ไว ๓ ประเภท ดังนี้
๑) สัทธานุสารี คือ ผูแลนตามไปดวยศรัทธา คือ ทานผูปฏิบัติเพื่อ
บรรลุโสดาปตติผลที่มีสัทธินทรียแกกลา อบรมอริยมรรคโดยมีศรัทธาเปน
ตัวนํา ทานผูนี้บรรลุเปนอนิมิตตะวิโมกขเพราะเห็นอารมณเปนอนิจจัง๑๔๑
เมื่ อ มนสิ ก าร ๑๔๒ โดยความเป น สภาพไม เ ที่ ย ง เต็ ม เป ย วด ว ย
สัทธินทรีย
๑๔๑
ดูรายละเอียดใน สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๓๐๒/๓๒๐.
๑๔๒
โยนิโสมนสิการ แปลวา ทําไวในใจโดยอุบายอันแยบคาย เปนธรรม
อยางเอกที่เปนเหตุใหธรรมตางๆ ที่เปนกุศลที่ยังไมเกิดขึ้น ไดเกิดขึ้น และทําใหละ
บาปอกุศลที่เกิดขึ้นแลวได เปนเหตุทําใหโพชฌงคเกิดขึ้นและเจริญบริบูรณ เพื่อ
ความดํารงมั่นแหงพระสัทธรรม” เปนธรรมเครื่องละวิปลาส ๔ ประการ คือ
๑. ทําไวในใจโดยแยบคายวา “สังขารรางกายเปนอสุภะ ลวนแตไมสวย
ไม ง าม” เมื่ อโยนิ โ สมนสิ ก ารในอสุ ภ นิ มิ ต เช น นี้ กามฉั น ทะที่ ยั ง ไม เกิด ขึ้น ก็ไ ม
เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแลวก็ละได ยอมรูชัดตามความเปนจริงในสังขารรางกายที่เปนอสุ
ภะวา “ไมงาม” ละสุภวิปลาส (สําคัญวา “เปนของสวยงาม”) ได
๓๓
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
เพราะสัทธินทรียมีประมาณยิ่ง บุคคลนั้นจึงไดโสดาปตติมรรค เพราะเหตุนั้น
ทานจึงกลาววาเปนสัทธานุสารีบุคคล อินทรียที่เปนไปตามสัทธินทรียนั้นมี ๔
ทั้งเปนสหชาตปจจัย อัญญมัญญปจจัย นิสสยปจจัยสัมปยุตตปจจัย
๒) กายสักขี คือ หมายถึงผูแลนไปตามสมาธิ หรือผูแลนตามไปดวย
สมาธิ คือ ทานผูปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปตติผลที่มีสมาธินทรียแกกลา อบรม
อริยมรรคโดยมีสมาธิเปนตัวนํา ทานผูนี้ถาบรรลุผลแลวกลายเปนกายสักขี
เปนผูเห็นประจักษกับตัว สัมผัสวิโมกข ๘ ดวยนามกายที่เปนสันตวิโมกข
หลุดพนดวยอัปปณิหิตวิโมกขเพราะเห็นอารมณเปนทุกข๑๔๓
เมื่อมนสิการโดยความเปนทุกขสมาธินทรียมีประมาณยิ่ง เพราะสมาธิ
นทรียมีประมาณยิ่งบุคคลจึงไดโสดาปตติมรรคเพราะเหตุนั้นทานจึงกลาววา
เป น กายสั ก ขี บุ ค คลอิ น ทรี ย ที่ ไ ปตามสมาธิ น ทรี ย นั้ น มี ๔ ทั้ ง เป น สหชาต
ปจจัยอัญญมัญญปจจัยนิสสยปจจัยสัมปยุตตปจจัย
๓๔
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
๓) ธรรมานุสารี คือ ผูแลนไปตามธรรม หรือผูแลนตามไปดวยธรรม
คื อ ท า นผู ป ฏิ บั ติ เ พื่ อ บรรลุ โ สดาป ต ติ ผ ล ที่ มี ป ญ ญิ น ทรี ย แ ก ก ล า อบรม
อริยมรรคโดยมีปญญาเปนตัวนํา๑๔๔ทานผูนี้บรรลุเปนสุญญติวิโมกขเพราะ
เห็นอารมณเปนอนัตตา
เมื่อมนสิการโดยความเปนอนัตตาปญญินทรีย มีประมาณยิ่งเพราะ
ปญญินทรียมีประมาณยิ่งบุคคลจึงไดโสดาปตติมรรคเพราะเหตุนั้นทานจึง
กลาววาเปนธรรมานุสารีบุคคลอินทรียที่เปนไปตามปญญินทรียนั้นมี๔ทั้ง
เปนสหชาตปจจัยอัญญมัญญปจจัยนิสสยปจจัยสัมปยุตตปจจัย๑๔๕
เห็นแจงไตรลักษณ บรรลุโสดาบัน ๓ แบบ
เมื่อมนสิการโดยความเปนสภาพไมเที่ยง ใจเต็มเปยมดวยศรัทธา
เพราะสัทธินทรียมีประมาณยิ่ง บุคคลจึงไดโสดาปตติมรรค เพราะเหตุนั้นจึง
กลาววา เปนสัทธานุสารีบุคคล
เมื่อมนสิการโดยความเปนทุกข ในเต็มเปยมดวยฌานสมาธิ บุคคล
จึงไดโสดาปตติมรรค เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา เปนกายสักขีบุคคล
เมื่อมนสิการโดยความเปนอนัตตา ใจเต็มเพียวดวยปญญาเห็นเกิด-
ดับ บุคคลจึงไดโสดาปตติมรรค เพราะเหตุนั้นจึงกลาววา เปนธรรมานุสารี
ประเภทของพระอริยบุคคลผูเ ห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
๑) พระอริ ย บุ ค คลผู ไ ด อ นิ จ จานุ ป ส สนาสั ง ขารุ เ ปกขาญาณ ๒
ประเภท คือ สัทธานุสารี ๑ สัทธาวิมุต ๑
๒) พระอริยบุคคลผูไดทุกขานุปสสนาสังขารุเปกขาญาณ ๒ จําพวก
คือ กายสักขี ๑ อุภโตภาควิมุต ๑
๓) พระอริ ย บุ ค คลผู ไ ด อ นั ต ตานุ ป ส สนาสั ง ขารุ เ ปกขาญาณ ๓
จําพวก คือ ธัมมานุสารี ๑ ทิฏฐิปตตะ ๑ ปญญาวิมุต ๑
๑๔๔
ดูใน องฺ.สตฺตก.อ.(บาลี) ๓/๑๔/๑๖๒.
๑๔๕
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒๑/๓๗๑-๓๗๓.
๓๕
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
พระอริยบุคคลผูเปนสัทธาธิมุตก็ดี กายสักขีก็ดี ทิฏฐิปตตะก็ดี ทั้ง ๓
ทานนี้บางทีก็เปนสัทธาธิมุต บางทีก็เปนกายสักขี บางทีก็เปนทิฏฐิปปตตะ
อนึ่ง สัทธานุสารีและธัมมานุสารี หมายถึงมรรคจิตของบุคคลผู มี
อินทรียแกรอบ วิปสสนาญาณแกรอบ โพชฌงคแกรอบ เขาถึงอนุโลมญาณ
โคตรภูญาณ เกิดมรรคจิตขึ้น ปญญาประหารกิเลสบางเหลา(สังโยชน ๓)
ขณะถัด มากิเ ลสบางเหล าถูกประหารเป นผลจิ ต ผลนั้น เกิด ขึ้น ติด กันไมมี
ระหวาง มรรคจิตนั้นวาโดยสภาวธรรม คือจิตที่สมังคีดวยมรรคมีองค๘ เปน
โลกุตร ถาวาโดยปุคคลาทิฏฐาน คือ สัทธานุสารี หรือธัมมานุสารี นั่นเอง
สัทธานุสารีและธัมมานุสารีนี้ จึงหมายถึงมรรคจิตนั้ นและที่ไมได
หมายความรวมถึ ง ปุ ถุ ช นชนที่ กํ า ลั ง เจริ ญ ปุ พ พภาคมรรคอยู ดั ง ที่
พระพุทธเจาตรัสอธิบายไววา
“ภิกษุ ท. ..สัทธานุสารี กาวลงสูอริยมรรค หยั่งลงสูภูมิของสัตบุรุษ
ผานภูมิของปุถุชนไดแลว ..ไมสมควรตายตราบเทาที่ยังไมทําใหแจงโสดา
ปตติผล ..ธัมมานุสารี กาวลงสูอริยมรรค หยั่งลงสูภูมิของสัตบุรุษ ผานภูมิ
ของปุ ถุ ช นได แ ล ว ..ไม ส มควรตายตราบเท า ที่ ยั ง ไม ทํ า ให แ จ ง โสดาป ต ติ
ผล”๑๔๖พระพุทธเจาทรงรับรองไวชัดเจนอีกดวยวา กอนที่บุคคลนี้จะตาย
จะตองเขาถึงโสดาปฏิผลคือสําเร็จเปนพระโสดาบันแนนอน ทั้งนี้เพราะมรรค
จิ ต และผลจิ ต นั้ น เป น อกาลิ โ ก ให ผ ลไมจํ ากัด กาล ให ผ ลในทัน ที เกิด ขึ้ น
ติดกันไมมีในระหวาง เกิดขึ้นในวิถีจิตเดียวกันนั่นเอง
อะไรคือความเหมือนและความตางระหวางสัทธานุสารีและธัมมานุ
สารี การที่ ม รรคจิ ต จะเกิ ด ขึ้ น ได นั้ น จะต อ งผ า นการเจริ ญ สติ ป ฏ ฐาน ๔
มาแลวทั้งสิ้น ถาไมไดปฏิบัติในชาตินี้ ก็ตองเคยปฏิบัติมาแลวในชาติกอนๆ
อยางเชนบุคคลในสมัยพุทธกาล เพียงฟงธรรมแลวบรรลุธรรมเลย มีทั้งสัทธา
นุสารีและธัมมานุสารี อินทรียแกรอบแลว วิปสสนาญาณแกรอบแลว และ
โพชฌงค แ ก ร อบแล ว จึ ง เข า ถึ ง มรรคจิ ต ได ทั้ ง คู เ ห็ น อริ ย สั จ ๔ ทํ า ลาย
ความเห็นผิ ดวาเปนตั วตนคือสักกายทิฐิ ละวิจิกิจฉา ละศีลปตปรามาสได
๑๔๖
ม.ม. (ไทย) ๑๗/๓๐๒/๓๒๐.
๓๖
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
เหมือนกัน และประกอบดวยสัทธินทรีย วิริยินทรีย สตินทรีย สมาธินทรีย
และปญญินทรียเหมือนกัน
ความต าง คือ สั ทธานุ สารี แลน ไปถึงมรรคจิต นั้ นโดยมีศรั ทธานํ า
แตธัมมานุสารีแลนไปถึงมรรคจิตนั้นโดยมีปญญานํา ดังที่พระพุทธเจาทรง
ตรัส วา “ภิกษุ ท. ตา ..หู ..จมูก ..ลิ้ น ..กาย ..ใจ เป นสิ่งไมเ ที่ยง มีความ
แปรปรวนเปนปกติ มีความเปลี่ยนเปนอยางอื่นเปนปกติ ..ภิกษุ ท. บุคคลใด
มีความเชื่ อน อมจิต ไปในธรรม ๖ อย างนี้ ด ว ยอาการอยางนี้ บุ คคลนี้ เ รา
เรียกวาเปน สัทธานุสารี ..ภิกษุ ท. ! ธรรม ๖ อยางเหลานี้ ทนตอการเพง
โดยประมาณอันยิ่งแหงปญญา ของบุคคลใด ดวยอาการอยางนี้ บุคคลนี้เรา
เรียกวา ธัมมานุสารี”๑๔๗
สัทธานุสารีเมื่อฟงธรรมแลวอาศัยเพียงศรัทธาในพระตถาคตนอม
จิตเลื่อมใสเชื่อวา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไมเที่ยง ทําใหเขาถึงมรรคจิตได
แตธัมมานุสารีเมื่อฟงธรรมมีศรัทธาในตถาคตแลว ยังมีการเพงดวยปญญา
อันยิ่งวา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นไมเที่ยงดวย เขาถึงมรรคจิตได
จากที่พระพุทธเจาตรัสลําดับของอริยบุคคล เปนที่สังเกตไดวา ทรง
เรียงลําดับจากผูมีอินทรียสมบรูณไปหาผูที่มีอินทรียนอยลงไปตามลําดับ ใน
ที่นี้ แสดงให เ ห็ น ว า ธั มมานุ ส ารี ที่อ าศั ย ป ญ ญาอัน ยิ่ ง แล น สู ม รรคจิ ต นั้ น มี
อินทรียที่แกกวาสัทธานุสารีผูอาศัยเพียงศรัทธานําแลนสูมรรคจิต ทั้งนี้ไมได
กลาวถึงความเร็วชาแหงการบรรลุ เพราะบุคคลมีปญญานอยบรรลุชาก็มี
บรรลุ เ ร็ว ก็มี บุคคลมีปญญามากบรรลุช าก็มี บรรลุ เร็ วก็มี กลาวถึงแต ว า
สัทธานุสารีผูมีศรัทธากลาเมื่อบรรลุผลแลวกลายเปนสัทธาวิมุติ สวนธัมมานุ
สารีที่มีอินทรียคือปญญากลาเมื่อบรรลุผลแลวจะเปนทิฏฐิปตตะ
โสดาปตติมรรค นอกจากธัมมานุสารี สัทธานุสารี มีอีกชื่อวา กาย
สักขีอีกดวย โดยพระสารีบุต รไดอธิ บายในอรรถกถาวา เมื่อมนสิการโดย
ความไมเที่ยง อนิจจัง สัทธินทรียมีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรียมีประมาณ
ยิ่งจึงไดโสดาปตติมรรค บุคคลนี้เรียกวา สัทธานุสารี เมื่อ มนสิการโดยความ
๑๔๗
ดูรายละเอียดใน ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๗๘/๔๖๙.
๓๗
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
เปนทุกข สมาธินทรียมีประมาณยิ่ง เพราะสมาธินทรียมีประมาณยิ่งจึงได
โสดาปตติมรรค บุคคลนี้เรียกวา กายสักขี เมื่อมนสิการโดยความไมใชตัวตน
อนัตตา ปญญินทรียมีประมาณยิ่ง เพราะปญญินทรียมีประมาณยิ่งจึงไดโดส
ดาปตติมรรค บุคคลนี้เรียกวา ธัมมานุสารี๑๔๘
๔. การเห็นแจงอริยสัจ ๔ ของพระโสดาบัน
พระพุทธองคตรัสถึงธรรมจักรอันยอดเยี่ยมที่ตถาคตไดประกาศแลว
อันสมณะพราหมณ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ใหหมุนกลับไมได คือ
การบอก ๑๔๙การแสดง การบั ญญั ติ ๑๕๐ การกํ าหนด ๑๕๑ การเป ด เผย การ
จํ า แนก ๑๕๒ การทํ าให ง า ย ๑๕๓คื อ อริ ย สั จ ๔ ประการได แ ก ทุ ก ขอริ ย สั จ
ทุกขสมุทยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ พระองค
ทรงตรัสกับภิกษุทั้งหลายทรงยกยองพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ใหคบ
กับทั้งสองทานเพราะวาเป นภิกษุผู ฉลาด เปนผู อนุ เคราะหเพื่อนพรหมจารี
ทั้งหลาย พระสารี บุ ตรเปรี ยบเหมือนผู ให กํ าเนิ ด พระโมคคั ลลานะเปรี ยบ
เหมือนผูบํารุงเลี้ยงทารกที่เกิดแลว พระสารีบุตรยอมแนะนําในโสดาปตติผล
โมคคัลลานะยอมแนะนําในประโยชนที่สูงสุด สารีบุตรสามารถที่จะบอก แสดง
บัญญั ติ กําหนด เปดเผย จําแนก ทําใหงายซึ่งอริยสัจ ๔ได โดยพิสดาร เมื่อ
พระองคทรงลุกขึ้นจากพุทธอาสน เสด็จเขาไปยังที่ประทับ ตอมาพระสารีบุตร
๑๔๘
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป.อ. ๖๙/๔๙๓/๓๔๒-๓๔๔
๑๔๙
การบอก หมายถึง การบอกอริยสัจ (ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๗๑/๒๒๓., องฺ.
จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๑๗๒/๓๙๕., องฺ.จตุกฺก.ฏีกา (บาลี) ๒/๑๗๒/๔๓๔.)
๑๕๐
การบัญญัติ หมายถึง การตั้งสัจจะ มีทุกขสัจ เปนตน (ม.อุ.อ. ๓/๓๗๑/๒๒๓.)
๑๕๑
การกําหนด หมายถึง การใหเนื้อความนั้นดําเนินไปโดยประการตางๆ (ม.อุ.อ.
๓/๓๗๑/๒๒๓,องฺ.จตุกฺก.ฏีกา ๒/๑๗๒/๔๓๕.)
๑๕๒
การจําแนก หมายถึง การจําแนกประเด็นทีเ่ ปดแลว (ม.อุ.อ. ๓/๓๗๑/๒๒๓, องฺ.
จตุกฺก.ฏีกา ๒/๑๗๒/๔๓๕.)
๑๕๓
การทําใหงาย หมายถึง การแสดงประเด็นที่จําแนกไวใหชัดเจนดวยการชี้เหตุ
และยกอุทาหรณตางๆ มาประกอบ (ม.อุ.อ. ๓/๓๗๑/๒๒๓, องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๑๗๒/๓๙๙)
๓๘
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
ก็ไดขยายความเรื่องอริยสัจ ๔ ใหภิกษุทั้งหลาย
อริยสัจ คือ ความจริงอยางประเสริฐ, ความจริงของพระอริยะ,
ความจริงที่ทําคนใหเปนพระอริยะ มี ๔ อยาง คือ ทุกข (ทุกขสัจจะ) สมุทัย
(สมุทัยสัจจะ) นิโรธ (นิโรธสัจจะ) มรรค (มัคคสัจจะ)๑๕๔ หรือสัจจะที่พระ
อริยะแทงตลอดอยางนี้ก็ได
คําวา อริยสัจ มาจากคําวา อริย+สัจจะ สองคํารวมกัน แปลวา เปน
สัจจะที่พระอริยะแทงตลอด อริยสัจ ๔ คือ ความจริงแทที่นําไปสูความสิ้น
ทุกขไดจริง๑๕๕ ธรรมอันทําใหเปนพระอริยะ๑๕๖ พระผูมีพระภาคเจาตรัสไว
๔ ประการ คือ
๑) ทุกขอริยสัจ ไดแก ชาติเปนทุกข ชราเปนทุกข มรณะ เปนทุกข
โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสเปนทุกข การไมไดสิ่งที่ตองการ เปนทุกข
โดยยอก็คือ อุปาทานขันธนั่นเอง ๑๕๗
ชาติคือ ความเกิด ความเกิดพรอม ความหยั่งลง ความบังเกิด ความ
บังเกิดเฉพาะความปรากฏแหงขันธ ความไดอายตนะ ในหมูสัตวนั้ นๆ ของ
เหลาสัตวนั้นๆ
ชราคื อ ความแก ความคร่ํ าคร า ความมี ฟนหลุ ด ความมีผมหงอก
ความมีหนังเหี่ยวยน ความเสื่อมอายุ ความแกหงอมแหงอินทรีย ในหมูสัตว
นั้นๆ ของเหลาสัตวนั้นๆ๑๕๘
มรณะ คือ ความจุติ ความเคลื่อนไป จากหมูสัตวนั้นๆ ความทําลาย
ไป ความหายไปความตายกล าวคือมฤตยู การทํากาละ ความแตกแห งขั นธ
ความทอดทิ้งรางกายความขาดสูญแหงชีวิตินทรียของสัตวเหลานั้นๆ
โสกะ คือ ความเศราโศก กิริยาที่เศราโศก ภาวะที่เศราโศก ความแหง
๑๕๔
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับ
ประมวลศัพท, พิมพครั้งที่ ๑๕,(กรุงเทพ:บริษัท สหธรรมิก จํากัด, ๒๕๕๓), หนา ๕๖๙.
๑๕๕
อภิ.วิ.มูลฎีกา (บาลี) ๑/๑๘๙/๕๘.
๑๕๖
ขุ.เถร. (บาลี) ๒/๓๖/๑๕๘.
๑๕๗
วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๔/๒๑, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๙๑/๘๖
๑๕๘
ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๗๓/๔๑๘.
๓๙
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
ผากภายในความแหงกรอบภายใน ของผู ที่ประกอบดวยความเสื่อมอยางใด
อยางหนึ่ง (หรือ)ผูที่ถูกเหตุแหงทุกขอยางใดอยางหนึ่งกระทบ
ปริเทวะ คือ ความรองไห ความคร่ําครวญ กิริยาที่รองไห กิริยาที่คร่ํา
ครวญ ภาวะที่รองไห ภาวะที่คร่ําครวญ ของผูที่ประกอบดวยความเสื่อมอยาง
ใดอยางหนึ่ง (หรือ)ผูที่ถูกเหตุแหงทุกขอยางใดอยางหนึ่งกระทบ
ทุกข๑๕๙ คือ ความทุกขทางกาย ความไมสําราญทางกาย ความเสวย
อารมณที่เปนทุกขไมสําราญ อันเกิดจากกายสัมผัส
โทมนัส คือ ความทุกขทางใจ ความไมสําราญทางใจ ความเสวย
อารมณที่เปนทุกขไมสําราญ อันเกิดจากมโนสัมผัส
อุปายาส คือ ความแคน ความคับแคน ภาวะที่แคน ภาวะที่คับแคน
ของผูที่ประกอบดวยความเสื่อมอยางใดอยางหนึ่ง (หรือ) ผูที่ถูกเหตุแหงทุกข
อยางใดอยางหนึ่งกระทบ
การไมได สิ่ งที่ ต องการเป นทุ กข คื อ ความปรารถนาว า ความเกิ ด
ความแกความเจ็บความตายความเศร าโศก ความคร่ําครวญ ความทุกขกาย
ความทุกขใจและความคับแคนใจ ไมพึงมีแกเราทั้งหลาย แตความปรารถนานี้
ไมพึงสําเร็จไดตามความปรารถนา คือ ๑) อุปาทานขันธคือรูป ๒) อุปาทาน
ขันธ คือเวทนา ๓) อุ ปาทานขันธ คือสั ญญา ๔) อุ ปาทานขั นธ คื อสั งขาร ๕)
อุปาทานขันธคือวิญญาณ เรียกโดยยอวา อุปาทานขันธ ๕ เปนทุกข นี้เรียกวา
ทุกขอริยสัจ๑๖๐
๒. ทุกขสมุทัย เรียกสั้นๆ วา สมุทัย แปลวา เหตุเกิดแหงทุกข หรือ
สาเหตุให ทุกขเ กิด ขึ้น ได แก ความอยาก ที่ยึ ดถือเอาตั ว ตนเป น ที่ตั้ง โดย
อาการที่มีเรา ซึ่งจะเสพ ที่จะได จะเปน จะไมเปน อยางนั้นอยางนี้ ทําให
ชีวิ ต ถูกบี บคั้น ดว ยความเร าร อน ร านรน กระวนกระวาย ความหวงแหน
เกลียดชัง หวั่นกลัว หวาดระแวง ความเบื่อหนาย หรือความคับของติดขัด
ในรูปใดรูปหนึ่ง อยูตลอดเวลา ไมอาจปลอดโปรงโลงเบา เปนอิสระ สดชื่น
๑๕๙
ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๗๓/๔๑๙.
๑๖๐
ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๗๓/๔๒๐-๔๒๑.
๔๐
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
เบิกบานได อยางบริสุทธิ์สิ้นเชิง ไมรูจักความสุข ชนิดที่เรียกวา ไรไฝฝา และ
ไมอืดเฟอ เมื่อบุคคลผูปฏิบัติเขาถึงสัจจละอวิชชาไดยอมรูสิ่งที่เปนสาเหตุ
เกิดของทุกข ซึ่งตองจะตองกําจัดเสีย ถาจัดเปนขั้น ไดแก สืบคน วิเคราะห
และวินิจฉัยมูลเหตุของปญหา ซึ่งจะตองแกไขกําจัดใหหมดสิ้นไป
สมุ ทั ย อริ ย สั จ ความจริง แทที ่ว า ความทุก ขทั ้ง มวลที ่ส รรพสัต ว
ประสบอยู หรือรับ รูทางอายตนะ ๖ อยูนั้น ลว นเกิดจากเหตุปจ จัยนั้น คือ
อวิช ชา ตัณหาและอาสวะกิเ ลส ที่ห มักดองอยูในขันธสันดานของสัต ว๑๖๑
แตละตนนั่นเอง ตัณหานั้นมีอยู ๓ ประการ คือ
๑. กามตัณหา คือ ความอยากไดอยางโนนอยางนี้ ซึ่งเกิดจากตา
หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เชน ตาเห็นรูปสวยงาม ก็เกิดความอยากได อยาก
ไดบานสวยๆ ราคาแพง อยากไดเสื้อผาสวยๆ อยากไดรถยนตคันงาม เปน
ตน ความอยากทํานองนี้เป นความอยากในสิ่งที่รักใคร และนาพอใจ เป น
ความอยากที่ไมรูจบ เมื่อไมไดตามความประสงคก็จะเกิดทุกข
๒. ภวตัณหา คือ ความยากเปนอยางโนนอยางนี้ เปนความ
อยากไดในตําแหนงฐานะที่สูงขึ้นตามที่ตนรักใครและพอใจ เชน อยากเปน
ขาราชการในตําแหนงสูงๆ อยากเป นมหาเศรษฐี และอยากเป นบุคคลที่มี
ชื่อเสียง เปนตน เมื่อไมไดดังใจปรารถนาก็เปนทุกข
๓. วิภวตัณหา คือ ความอยากไมเปนความอยากไมมี จัดเปน
ความอยากที่ประกอบกับความเบื่อหนายในสภาพที่เปนอยูในปจจุบัน โดย
ตองการจะหลีกหนีใหพนจากสภาพนั้นไป เชน อยากไมเปนคนโง อยากไม
เป น คนพิการ และอยากไมเ ป น คนยากจน เป น ต น ซึ่งความอยากไมเ ป น
นี้ ถาไมเปนไปตามที่ตนตองการแลวก็จะทําใหเกิดทุกข เชนเดียวกัน
๓. ทุก ขนิ โ รธ เรี ย กสั้ น ๆ ว า นิ โ รธ แปลว า ความดั บ ทุกข ได แก
ภาวะที่เขาถึง เมื่อกําจัดอวิชชา สํารอกตัณหาสิ้นแลว ไมถูกตัณหายอมใจ
หรือฉุดลากไป ไมถูกบีบคั้นดวยความรูสึกกระวนกระวาย ความเบื่อหนาย
หรื อ ความคั บ ข องติ ด ขั ด อย างใดๆ หลุ ด พน เป น อิส ระ ประสบความสุ ข ที่
๑๖๑
ขุ.อุ.อ.(ไทย)๔๔/๓๖๓.
๔๑
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
บริสุทธิ์ สงบ ปลอดโปรงโลงเบา ผองใสเบิกบาน เรียกสั้นๆ วานิพพาน เมื่อ
บุคคลเขาถึงสัจจะยอม ละอวิชชา รูภาวะของการดับทุกข ซึ่งจะตองกระทํา
ใหประจักษแจง ถาจัดเปนขั้น ก็ไดแก ขั้นเล็งเห็นรูภาวะที่หมดปญหาที่เอา
เปนจุดหมาย ใหเห็นวาการแกปญหาเปนสิ่งที่เปนไปได และจุดหมายนั้นควร
เขาถึง ซึ่งจะตองทําใหสําเร็จดวยมรรค
ลักษณะอาการของนิโรธมี ๕ ระดับ ดังนี้
๑) วิกขัมภนนิโรธ คือ การดับดวยการขมไว เปนการดับกิเลสของ
ทานผูบําเพ็ญฌาน ยอมขมนิวรณไวได ตลอดเวลาที่อยูในฌานนั้น
๒. ตทังคนิโรธ คือ การดับดวยองคนั้นๆ คือ ดับกิเลสดวยธรรมที่
เปนคูปรับหรือธรรมที่ตรงขาม เชน ดับสักกายทิฏฐิดวยความรูที่กําหนดแยก
นามรูปออกได เปนการดับชั่วคราวในกรณีนั้นๆ (เมื่อกําหนดรูรูปนามตาม
ความเปนจริงจนสติมีกําลัง สมาธิมั่นคง ปญญาในวิปสสนาญาณแกกลาจน
เห็นอารมณกับจิตตัวรูอารมณดับพรอมกันในทีละขณะนั้นๆ สงเคราะหได
ตั้งแต ภังคญาณ ขึ้นไป)
๓. สมุจเฉทนิโรธ คือ การดับดวยตัดขาด ดับกิเลสเสร็จสิ้นเด็ดขาด
ดวยโลกุตตรมรรคในขณะแหงมรรคนั้น ชื่อสมุจเฉทนิโรธ (มัคคญาณ)
๔. ปฏิปสสัทธินิโรธ คือ การดับดวยสงบระงับ อาศัยโลกุตตรมรรค
ดับกิเลสเด็ดขาดไปแลว บรรลุโลกุตตรผล กิเลสเปนอันสงบระงับไปหมดแลว
ไมตองขวนขวายเพื่อดับอีกในขณะแหงผลนั้นชื่อ ปฏิปสสัทธินิโรธ (ผลญาณ)
๕. นิสสรณนิโรธ (ดับดวยสลัดออกได หรือดับดวยปลอดโปรงไป
คือ ดับกิเลสเสร็จสิ้นแลว ดํารงอยูในภาวะที่กิเลสดับแลวนั้นยั่งยืนตลอดไป
ภาวะนั้นชื่อนิสสรณนิโรธ ไดแกอมตธาตุ คือ นิพพาน
ดังนั้น นิโรธ คือ ความดับกิเลส, ภาวะไรกิเลสและไมมีทุกขเกิดขึ้น
หรือเรียกวากระบวนการปฏิจจสมุปบาทสายดับ
๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เรียกสั้นๆ วา มรรค แปลวา ขอปฏิบัติ
ให ถึ ง ความดั บ ทุ ก ข ได แ ก อริ ย อั ฏ ฐั ง คิ ก มรรค หรื อ ทางอั น ประเสริ ฐ มี
องคประกอบ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ ที่เรียกวา มัชฌิมาปฏิปทา
เพราะเปนทางสายกลาง ซึ่งดํ าเนิ นไปพอดี ที่จ ะให ถึงนิ โรธ โดยไมติด ของ
๔๒
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
หรือเอียงไปหาที่สุดสองอยาง คือ กามสุขัลลิกานุโยค (ความหมกมุนในกาม
สุข) และอัตตกิลมถานุโยค (การประกอบความลําบากแกตน คือ บีบคั้น
ทรมานตนเองใหเดือดรอน) แตเมื่อบุคคลผูปฏิบัติเขาถึงสัจะละอวิชชา รู
มรรคาคือขอปฏิ บัติใหถึงซึ่งความดับแหงทุกข ซึ่งจะตองฝกฝนปฏิบัติ ถา
จัดเปนขั้น ก็ไดแก ขั้นกําหนดวางแบบแผน หรือรับทราบวิธีการ ขั้นตอน
และรายละเอียดทั้งหลายในการแกไขปญหากําจัดสาเหตุของปญหานั้น ซึ่ง
จะตองลงมือปฏิบัติหรือดําเนินการตอไปอยางเปนรูปธรรม๑๖๒
๔.๑ กระบวนการของอริยสัจ ๔
กระบวนการของอริยสัจ ๔ ไดแกการกําหนดรูทุกข ละสมุทัย แจง
นิโรธ และเจริญมรรค๑๖๓ ซึ่งกิจทั้ง ๔ นี้สําเร็จพรอมกันในขณะเดียวกัน การ
กําหนดรูทุกขกค็ ือการมีสติกําหนดรูอุปาทานขันธ ๕ อันไดแก อาการของรูป
นามที่ปรากฏแตล ะขณะๆ สภาวะอาการเหล านั้ นไมเ ที่ย ง เป นทุกข เป น
อนัตตา ไมใชตัวใชตนของเรา เปนเพียงสภาวะที่เกิดขึ้นแลวก็ดับไปเทานั้น
การที่สติไปกําหนดรูสภาวะอาการนั้นเรียกวา กําหนดรูทุกขอริยสัจ ขณะที่มี
สติเขาไปกําหนดรูอาการกระทบคือผัสสะ ทําใหเกิดเวทนาตางๆ เชน สุข
ทุกข อุเบกขา และความกําหนัดในอาการนั้นๆ ก็ถูกละไป เรียกวาสมุทยสัจ
สวนความดับแหงสมุทัย (ความดับแหงการที่สติเขาไปรูสภาวะอาการเกิด
เวทนาและตัณหาที่เกิดขึ้น) นั้นเรียกวาแจงนิโรธ เมื่อทั้ง ๓ อยาง (คือทุกข
สมุทัย นิโรธ) เกิดขึ้นพรอมกัน ก็เรียกไดวาเปนการเจริญมรรค คืออริยมรรค
มี อ งค ๘ อั น มี สั ม มาทิ ฏ ฐิ สั ม มาสั ง กั ป ปะ สั ม มาว า จา สั ม มากั ม มั น ตะ
สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เกิดขึ้นพรอมทั้งหมด การ
ทําใหมีสติกําหนดรูทุกขสัจ ละสมุทัยและมีนิโรธเปนอารมณ เปนมรรคสัจ
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ไดแสดงถึงกระบวนการของอริยสัจ ๔ วาดวย
อาการ ๑๒ ดังนี้ “ภิกฺขเว อิเมสุ จตูสุ อริยสจฺเจสุ เอวนฺติปริวฏฏํ ทฺวาทสาการํ
๑๖๒
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม (ฉบับปรับขยาย), หนา
๘๔๙-๘๕๐.
๑๖๓
ดูรายละเอียดใน สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๙๘/๖๑๐
๔๓
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ สุวิสุทฺธํอโหสิ อถาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก
สพฺรหฺมเกสสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ
อภิสมฺพุทฺโธปจฺจฺญาสึ.”
“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดญาณทัสสนะตามเปนจริงของเราในอริยสัจ ๔
๓ รอบ ๑๒ อาการ อยางนี้ หมดจดดีแลว เมื่อนั้น เราจึงยืนยันไดวา เปนผูตรัส
รูสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลก กับทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ใน
หมูสัตวพรอมทั้งสมณพราหมณ เทวดาและมนุษย”๑๖๔
ญาณทัสสนะ หมายถึง สัจจญาณ(หยั่งรูสัจจะ) กิจจญาณ(หยั่งรูกิจ)
กตญาณ(หยั่งรูการอันทําแลว)
๓ รอบ ๑๒ อาการ หมายถึง สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ เกิดขึ้น
เวียนไปในอริยสัจ ๔ ขอ ขอละ ๓ รอบ รวมเปน ๑๒ รอบ ดังนี้
สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ
ก. (๑) นี้ทุกข (๒) ทุกขนี้ควรกําหนดรู (๓) ทุกขนี้กําหนดรูแ ลว
ข. (๑) นี้สมุทัย (๒) สมุทัยนี้ควรละ (๓) สมุทัยนี้ละแลว
ค. (๑) นี้นิโรธ (๒) นิโรธนี้ควรทําใหแจง (๓) นิโรธนี้ทําใหแจงแลว
ง. (๑) นี้มรรค (๒) มรรคนี้ควรทําใหเจริญ (๓)มรรคนี้ทําใหเจริญแลว๑๖๕
สฬายตนวิ ภั งคสู ต ร ๑๖๖ พระพุ ทธเจ า ตรั ส ถึ งแนวทางปฏิ บั ติ ควร
กระทําดวยปญญาอันยิ่ง ดังนี้
๑) ทุ กข : ธรรมที่ ควรกํ าหนดรู ด วยป ญญาอั นยิ่ ง (ปริ ญญา) ได แก
อุปาทานขันธ ๕
๒) สมุทัย : ธรรมที่ควรละดวยปญญาอันยิ่ง (ปหานะ) ไดแก อวิชชา
และ ภวตัณหา
๓) มรรค : ธรรมที่ควรเจริญดวยปญญาอันยิ่ง (ภาวนา) ได แ ก สมถะ
และ วิปสสนา
๑๖๔
วิ.ม. (บาลี) ๔/๑๖/๒๑., วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๖/๒๓.
๑๖๕
สํ.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๐๘๑/๓๘๐, สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๑๖/๒๑๙.
๑๖๖
ม.อุ. (ไทย) ๑๔ /๓๐๔/๓๖๘
๔๔
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
๔) นิโรธ : ธรรมที่ควรทําใหแจงดวยปญญาอันยิ่ง (สัจฉิกิริยา) ไดแก
วิชชา และวิมุตติ๑๖๗
พระสูตรนีจ้ ะเรียงลําดับของมรรคไวกอนนิโรธ เนื่องจากนิโรธ ไดแก
วิชชา คือ อรหัตตมรรค และวิมุตติ คือผลวิมุตติ๑๖๘ และมีการกลาวเปรียบ
กับทุกขสัจเปนดังโรคสมุทยสัจเปนดังสมุฏฐานของโรคนิโรธสัจเปนดังความ
สงบของโรคมรรคสัจเปนดังเภสัช๑๖๙
ญาณ ๓, วิปสสนาญาณ ๑๖, ปริญญา ๓, วิสุทธิ ๗, อริยสัจ ๔
วิปสสนาญาณ ปริญญา โพธิปกขิย
ญาณ วิสุทธิ ๗ อริยสัจ ๔
๑๖ ๓ ธรรม ๓๗
สัจจ ปญญารูจากการ ศีลวิสุทธิ
ญาณ ฟงและการศึกษา - จิตตวิสุทธิ
๑.นามรูปปริจเฉท ญาต ทิฏฐิวิสุทธิ ทุกข สติปฏฐาน ๔
๒. ปจจัยปริคคห ปริญญา กังขาวิตรณ สมุทัย
๓. สัมมสนญาณ ตีรณ มัคมัคคญาณ วิกขัมพนนิโรธ สัมมัปธาน ๔
๔. อุทยัพพยญาณ ปริญญา ทัสสนวิสุทธิ สมุทัย,ตทังคนิโรธ
๕. ภังคญาณ ปหาน อิทธิบาท ๔
๖. ภยญาณ ปริญญา แจงนิโรธ
กิจจ ๗. อาทีนวาณ (ตทังคนิโรธ) อินทรีย ๕
มรรค
ญาณ ๘. นิพพิทาญาณ
๙. มุจจิตุกัมยตา ปฏิปทาญาณ พละ ๕
๑๐. ปฏิสังขา ทัสสนวิสุทธิ
๑๑. สังขารุเปกขา
โพชฌงค ๗
๑๒. อนุโลมญาณ
๑๓. โคตรภูญาณ
๑๔. มัคคญาณ อริยสัจ ๔ สมบูรณ อริยมรรค
กต ญาณทัสสนวิ สมุทเฉทปหาน
ญาณ ๑๕. ผลญาณ สุทธิ มีองค ๘
๑๖. ปจจเวกขณ
๑๖๗
ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๓๒/๔๙๑.
๑๖๘
ม.อุ.อ. (ไทย)๒๓/๘๓๑/๕๐๘.
๑๖๙
อภิ.วิ.อ. (ไทย) ๗๗/๑๗๐/๓๐๖.
๔๕
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
๔.๒ เห็นแจงนิโรธยสัจ บรรลุวิปสสนาญาณ
ภังคานุปสสนาญาณ(ที่ ๕) พระสารีบุตรเถระระบุวาเปน "วิปสสนา
ญาณ" เพราะเปนญาณที่เกิดปญญาเห็นความดับที่เปนจุดจบสิ้นของอารมณ
และจิตรู เห็นแตอาการที่สิ่งทั้งหลายดับไปๆ เห็นวาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงลวน
จะตองดับสลายไปทั้งหมด ดังที่ทานอธิบายวา
จิตมีรูปเปนอารมณเกิดขึ้นแลวยอมดับไป พระโยคาวจรพิจารณา
อารมณ นั้นแลวพิจารณาเห็นความดับแหงจิตนั้น พิจารณาเห็นโดยความ
ไมเที่ยง ไมพิจารณาเห็นโดยความเที่ยง พิจารณาเห็น โดยความเปนทุกข
ไมพิจารณาเห็นโดยความเปนสุข พิจารณาเห็นโดยความ เปนอนัตตา ไม
พิ จ ารณาเห็ น โดยความเป น อั ต ตา ย อ มเบื่ อ หน า ย ไม ยิ น ดี ย อ มคลาย
กําหนัด ไมกําหนัด ยอมทําราคะใหดับ ไมใหเกิด ไมยึดถือ
เมื่ อ พิ จ ารณาเห็ น โดยความไม เ ที่ ย ง ย อ มละนิ จ จสั ญ ญาได เมื่ อ
พิจารณาเห็นโดยความเปนทุกข ยอมละสุขสัญญาได เมื่อพิจารณาเห็นโดย
ความเปนอนัต ตา ยอมละอัต ตสัญญาได เมื่อเบื่อหนาย ยอมละนันทิได
เมื่อคลายกําหนัด ยอมละ ราคะได เมื่อทําราคะใหดับ ยอมละสมุทัยได
เมื่อสละคืน ยอมละอาทานะได๑๗๐
จุดมุงหมายของการบรรลุวิปสสนาญาณ
๑. เพื่อพัฒนาจิตสูอริยภาวะ การพัฒนาจิตไปสูความเปนอริยภาวะ
หมายถึ ง การพั ฒ นาจิ ต ตามลํ า ดั บ ขั้ น แห ง วิ ป ส สนาญาณที่ ไ ด บ รรลุ ถึ ง
สามารถยกจิ ต ของตนเกิ ด ความบริ สุ ท ธิ์ ล ะอนุ สั ย กิ เ ลสหรื อ สั ง โยชน ไ ด
ตามลําดับขั้นจากขั้นที่ละไดบางสวน จนถึงการละไดทั้งหมด ในพุทธปรัชญา
เถรวาท อริยบุคคลคือผูที่บ รรลุธรรมชั้นสูงตั้งแตโสดาปตติมรรคขึ้นไปถึง
อรหั ต ตผล ท านจะกํา หนดจากระดั บ ของกิ เลสที่ เหลื ออยู ในจิ ตและระดั บ
คุณภาพของจิต ที่สามารถเขาถึงกระบวนการในลําดับของวิปสสนาญาณ แตละ
ระดับดังนี้
๑๗๐
ขุ.ป.(บาลี) ๓๑/๑๑๒/๘๓.
๔๖
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
๑) จิตของอริยบุคคลระดับโสดาบันภาวะ ผูที่จะสามารถขามพน
โคตรปุ ถุ ช น ไปสู อ ริ ย ชน ต อ งรู แ จ ง แทงตลอดในระดั บ แห ง ญาณ ตั้ ง แต
อุทยัพยญาณ จนถึงสัจจานุโลมิกญาณจนผานโคตรภูญาณ มรรคญาณ ผล
ญาณ ถือ นิพ พานเปน อารมณ พิจ ารณากิเ ลสที่ล ะไดแ ลว และกิเ ลสที่ย ัง
เหลืออยู เกิดมรรคญาณครั้งที่ ๑ จะสามารถละสังโยชน ๓ เบื้องตน คือ สัก
กายทิฏฐิ ,วิ จิ กิจ ฉา และสีลั พพตปรามาสได เด็ ดขาด (กําจั ดทิฏฐานุสั ยและ
วิจิกิจฉานุสัยได) อันเปนสังโยชนเบื้องต่ําได จิตมีความสะอาดในระดับหนึ่ง แต
ยังไมสามารถลดแรงของราคะโทสะ และโมหะไดมากนัก พระอริยบุคคลผูได
บรรลุโสดาปตติผลนั้น เปนภาวะที่ตัดอนุสัยกิเลสไดบางสวนทําใหตองวนเวียน
ตอในสังสารวัฏนี้อีก โดยแบงตามประเภท ดังนี้
(๑) เอกพี ชี คื อ ผู ที่ ผ า นวิ ป ส สนาญาณตามลํ า ดั บ และยกจิ ต
พิ จ ารณามรรค ผลนิ พ พาน สามารถละสั ง โยชน เ บื้ อ งต น ๓ ได และลด
กระแสกิเลสไดมาก จึงตองเกิดอีกเพียงครั้งเดียว
(๒) โกลั งโกละ คือ ผู ที่ผ านวิ ป ส สนาญาณตามลํ าดั บ และยกจิ ต
พิ จ ารณามรรค ผลนิ พ พาน สามารถละสั ง โยชน เ บื้ อ งต น ๓ ได และลด
กระแสกิเลสพอประมาณ จะตองมาเกิดอีก ๒-๓ ครั้ง
(๓) สัตตักขัตตุปรมะ คือ ผูที่ผานวิปสสนาญาณตามลําดับ และยก
จิตพิจารณามรรค ผล นิพพาน สามารถละสังโยชนเบื้องตน ๓ ได และลด
กระแสกิเลสไดเบาบาง เพราะบารมีธรรมยังไมมากพอ จะตองมาเกิดอีก ๗
ครั้งเปนอยางมาก
๒) จิตของอริยบุคคลระดับพระสกทาคามีภาวะ ผูที่ผานการทวน
ญาณ จนรู แจ งแทงตลอดในระดั บแห งวิ ป สสนาญาณ ตั้ งแต อุทยั พยญาณ
จนถึงสัจจานุโลมิกญาณ จนผานโคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณ ถือนิพพาน
เปนอารมณ พิจารณากิเลสที่ละไดแลวและกิเลสที่ยังเหลืออยู จนเกิดมรรค
ญาณครั้งที่ ๒ สามารถละสังโยชน ๓ เบื้องตน คือ สั กกายทิฏฐิ วิจิ กิจฉา
และสี ลั พพตปรามาสได เด็ ด ขาด พรอ มสามารถลดแรงของราคะ โทสะ
โมหะไดม ากกวา โสดาบัน สามารถกํา จัด กามราคานุสัย และปฏิฆานุสัย
สวนหยาบๆได จิตสะอาดมากขึ้น แตยังไมสะอาดหมดจดถึงที่สุด
๔๗
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
๓) จิต ของอริย บุคคลระดั บ พระอนาคามีภ าวะ ผูที่ผานการทวน
ญาณ สามารถรูแ จง แทงตลอดในระดับแหงญาณ ตั้งแตอุทยัพยญาณ จนถึง
สัจจานุโลมิกญาณ จนผานโคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณ ถือนิพพานเปน
อารมณ พิจารณากิเลสที่ละไดแลวและกิเลสที่ยังเหลืออยู จนเกิดมรรคญาณ
ครั้งที่ ๓ สามารถละสังโยชน ๓ และละเพิ่มอีก ๒ อยางคือ กามราคะและ
ปฏิฆะ (ความขัดเคือง) สามารถกําจัดกามราคานุสัย และปฏิฆานุสัยสวนที่
ละเอียดได จิตมีความสะอาดมากขึ้น มีความสะอาดมากวาพระสกทาคามี
แตยังไมหมดจดถึงที่สุดแลว๑๗๑
๔) จิตของพระอริยบุคคลระดับพระอรหันตภาวะ ผูสามารถผาน
การทวนญาณ สามารถรูแจงแทงตลอดในระดั บแหงญาณ ตั้งแต อุทยั พย
ญาณ จนถึง สัจจานุโลมิกญาณ จนพิจารณามรรค ผล นิพพาน กิเลสที่ละได
แลวและกิเลสที่ยังเหลืออยู จนเกิดมรรคญาณครั้งที่ ๔ สามารถละสังโยชนที่
เหลืออีก ๕ อยาง คือ รูปราคะ, อรูปราคะ, มานะ, อุจธัจจะ และอวิชชา
สามารถกําจัดมานานุสัย, ภวราคานุสัยและอวิชชานุสัยใหเด็ดขาด ถือเปนผูมี
จิตที่หางไกล สะอาดบริสุทธิ์ หมดจดถึงที่สุด มีคําอธิบายเพิ่มเติมวา เปนจิต
ที่มีความเปนอิสระคือความหลุดพนจากอาสวะทั้งหลาย เหมือนผาขาว
สะอาด ปราศจากมลทิน ควรรับ น้ํา ยอ มไดเ ปน อยา งดี๑๗๒ ไมมีค วาม
หวาดเสีย ว ไมสะดุง ไมสะทาน ไมหวั่นไหว มีความหนักแนนเหมือนภูเขา
หินใหญ มีสภาพเหมือนแผนดินที่ไมวาใครทิ้งของสะอาดหรือไมสะอาดลงไป
ก็รองรับไดโดยไมขัดเคือง๑๗๓ ตลอดเวลามีความผองใส เยือกเย็น อิ่มเอิบ
และมีแตความสุข จิตของพระอรหันตถือวาเปนจิตที่สมบูรณที่สุด
๒. เพื่อความหลุดพนจากทุกข การหลุดพนจากการยึดมั่นถือมั่นใน
๑๗๑
อางใน พระมหาอิสรเชษฐ ปฺาวชิโร (ใจมาสุข), “การศึกษาเปรียบเทียบ
แนวคิ ดเรื่ องวิ ป สสนาญาณในพุ ท ธปรั ชญาเถรวาทกับ อัช ฌัต ติก ญาณของโอโช” ,
วิทยานิพนธพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓), หนา ๔๒-๔๓.
๑๗๒
ที.ม.(ไทย) ๑๐/๗๕/๔๓.
๑๗๓
ดูรายละเอียดใน อง.ฉกฺก.(ไทย) ๒๒/๕๕/๕๓๘-๕๓๙.
๔๘
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
กายในใจนี้ หรือละความยึด มั่นถือมั่นในอุป าทานขันธ ๕ คือ รูปนามนี้ได
วิปสสนาญาณจึงเปนปจจั ยสําคัญในการทําใหสามารถเห็นแจงทุกขในรู ป
นาม ดังนั้น ทุกขที่วิปส สนาญาณเขาไปเห็นคือ สภาวะทุกขในไตรลักษณ
และทุกขในอริยสัจ ๔ เมื่อศึกษาจะเห็นไดวา อริยสัจ ๔ เปนเปาหมายเบื้อง
หนาของวิปสสนาญาณ ที่สามารถทําผูปฏิบัติขามพนจากโคตรปุถุชน ไปสู
โคตรอริยชนได คือ ตองอาศัยญาณที่เขาไปพิจารณารูปนาม โดยความเปน
อริยสัจ ๔ ซึ่งปรากฏชัดใน สังขารุเปกขาญาณ ที่เห็นอริยสัจเปนเบื้องหนา และ
สัจจานุโลมิกญาณ มีการอนุโลมแก วิปสสนาญาณทั้ง ๘ เปนเบื้องตน และ
มีก ารคลอ ยตามโพธิป ก ขิย ธรรม ๓๗ หรือ มรรคสั จ จะ ในส ว นเบื้ อ ง
ปลาย๑๗๔ ดังนั้น การคลอยตามโพธิปกขิยธรรม ๓๗ หรือมรรคสัจ คือ การ
มองเห็นหนทางไปสูการดับทุกขในอริยสัจ ๔ พระผูมีพระภาคตรัสไวในอาส
วักขยสูตรวา
“ภิกษุทั้งหลาย เรากลาวความสิ้ นไปแหงอาสวะทั้งหลาย วามีได
สําหรับผูรูผูเห็นอยูเทานั้น หาไดกลาววา มีไดสําหรับผูไมรูไมเห็นอยู ในกรณี
นี้ สําหรับผูรูผูเห็นอยูซึ่งสัจจะวา ทุกขเปนอยางนี้ เหตุใหเกิดทุกขเปนอยางนี้
ความดับทุกขเปนอยางนี้ และขอปฏิบัติใหถึงความดับทุกขเปนอยางนี้”๑๗๕
๓. เพื่อการบรรลุพระนิพพาน จุดมุงหมายที่สําคัญของการเจริ ญ
วิปสสนา คือ การมีญาณหยั่งรูแจงเห็นจริง จนสามารถละความยึดมั่นถือมั่น
ในตั ว ตนได อย างเด็ ด ขาด จึ งชื่ อว า บรรลุ ถึงนิ พพาน ดั งนั้ น นิ พพาน เป น
เปาหมายที่วิปสสนาญาณตองเขาไปถึง และถือเปนอารมณ ดังปรากฏในวิสุทธิ
มรรคว า อนุ โลมญาณสามารถกําจั ดกิ เลสที่ ป ดบั งอริ ยสั จออกไปได แต ไม มี
นิพพานเปนอารมณ ในโคตรภูญาณ จิตสามารถนอมอารมณไปสูนิพพานได
แต ไ ม ส ามารถทํ า ลายกิ เ ลสได เมื่ อ โคตรภู ญ าณเกิ ด ขึ้ น ทํ า หน า ที่ ข องตน
๑๗๔
อางใน พระมหาอิสรเชษฐ ปฺาวชิโร (ใจมาสุข), “การศึกษาเปรียบเทียบ
แนวคิ ดเรื่ องวิ ป สสนาญาณในพุ ท ธปรั ช ญาเถรวาทกั บ อั ช ฌั ต ติ ก ญาณของโอโช ” ,
วิทยานิพนธพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, หนา ๔๔.
๑๗๕
สํ.ม.(ไทย) ๑๙/๑๐๙๕/๖๐๘.
๔๙
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
หมดแลวก็ดับไป ญาณในโลกุตตระ คือ มรรคญาณ ผลญาณโดยมีนิพพาน
เปนอารมณก็เกิดขึ้นติดตอกันไป อุปมาเหมือน บุรุษจะขามคลองน้ํา วิ่งมา
ดวยกําลังแรงจับเถาไมที่ผูกติดอยูกับตนไม แลวเหวี่ยงตัวใหขามไปถึงอีกฝง
หนึ่ง แลวปลอยเถาไมเสีย แลวมาตั้งตัวใหเปนปกติก็สบาย รูสึกวาตัวเองได
ขามพ นคลองน้ํ าสํ าเร็ จแล วการปล อยเถาไม นั้ นก็ คือ ตั ดเชื้ อชาติ ปุ ถุชนไปสู
อริยชน ไปสูฝงคือพระนิพพาน๑๗๖
๔.๓ พิจารณาอริยสัจ ๔ ตามลําดับปฏิจจสมุปบาท
พระสารีบุตรเถระอธิบายไววา การรูแจง ดวยการละสุขโสมนัสที่
อาศัย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิ ญญาณ (วิ ปส สนาภูมิ ๖) เปน ตน เป น
อารมณ เกิดขึ้นวา “นี้เปนคุณแหงรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)”
จัดเปนสมุทยสัจ
การรู แ จ งด ว ยการกํา หนดรู รู ป เวทนา สั ญญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ
(วิปสสนาภูมิ ๖) ที่ไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรผันเปนธรรมดาวา “นี้เปน
โทษแหงรูป” เปนทุกขสัจ
การรูแจงดวยการทําใหแจงธรรมเปนที่กําจัดฉันทราคะ ธรรมเปนที่
ละฉันทราคะในรูป เปนตน วา “นี้เปนเครื่องสลัดออกจากรูป” เปนนิโรธสัจ
การรู แจ งด ว ยการเจริ ญทิฏ ฐิ สั งกัป ปะ วาจา กัมมัน ตะ อาชี ว ะ
วายามะ สติ สมาธิ ในการรูแจงทั้ง ๓ นี้เปนมัคคสัจ
ชราและมรณะเปนทุกขสัจ ชาติเปนสมุทยสัจ การสลัดชรามรณะ
และชาติเปนนิโรธสัจ การรูชัดความดับแหงชรามรณและชาติเปนมัคคสัจ
ชาติเปนทุกขสัจ ภพเปนสมุทยสัจ การสลัดออกจากชาติและภพแม
ทั้งสองเปนนิโรธสัจ การรูชัดความดับแหงชาติและภพเปนมัคคสัจ
ภพเปนทุกขสัจ อุปาทานเปนสมุทยสัจ การสลัดออกจากภพและ
อุปาทานทั้งสองเปนนิโรธสัจ การรูชัดความดับภพและอุปาทานเปนมัคคสัจ
๑๗๖
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, แปลโดย สมเด็จพระพุฒาจารย
(อาจ อาสภมหาเถร), พิมพครั้งที่ ๑๐, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ บริษัท ธนาเพรส
จํากัด, ๒๕๕๔), หนา ๑๑๓๒-๑๑๓๓.
๕๐
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
อุ ป าทานเป น ทุ ก ขสั จ ตั ณ หาเป น สมุ ท ยสั จ การสลั ด ออกจาก
อุปาทานและตัณหาทั้งสองเปนนิโรธสัจ การรูชัดความดับแหงอุปาทานและ
ตัณหาเปนมัคคสัจ
ตัณหาเปนทุกขสัจ เวทนาเปนสมุทยสั จ การสลัดจากตัณหาและ
เวทนาสองเปนนิโรธสัจ การรูชัดความดับแหงตัณหาและเวทนาเปนมัคคสัจ
เวทนาเป นทุกขสั จ ผัส สะเปน สมุทยสั จ การสลั ด จากเวทนาและ
ผัสสะทั้งสองเปนนิโรธสัจ การรูชัดความดับแหงเวทนาและผัสสะเปนมัคคสัจ
ผัสสะเปนทุกขสัจ สฬายตนะเปนสมุทยสัจ การสลัดออกจากผัสสะ
และสฬายตนะทั้งสองเปนนิโรธสัจ การรูชัดความดับแหงผัสสะและสฬายต
นะเปนมัคคสัจ
สฬายตนะเป น ทุก ขสั จ นามรู ป เป น สมุ ท ยสั จ การสลั ด ออกจาก
สฬายตนะและนามรูปแมทั้งสองเปนนิโรธสัจ การรูชัดความดับแหงสฬายต
นะและนามรูปเปนมัคคสัจ
นามรูปเปนทุกขสัจ วิญญาณเปนสมุทยสัจ การสลัดออกจากนามรูป
และวิ ญ ญาณแม ทั้ ง สองเป น นิ โ รธสั จ การรู ชั ด ความดั บ แห ง นามรู ป และ
วิญญาณเปนมัคคสัจ
วิ ญ ญาณเป น ทุ ก ขสั จ สั ง ขารเป น สมุ ท ยสั จ การสลั ด ออกจาก
วิญญาณและสังขารแมทั้งสองเปนนิโรธสัจ การรูชัดความดับแหงวิญญาณ
และสังขารเปนมัคคสัจ
สังขารเปนทุกขสัจ อวิชชาเปนสมุทยสัจ การสลัดออกจากสังขารละ
อวิชชาเปนนิโรธสัจ การรูชัดความดับแหงสังขารและอวิชชาเปนมัคคสัจ๑๗๗
การเจริ ญวิ ป ส สนากรรมฐาน อัน เป น วิ ธี เ ขาถึงพระรั ต นตรั ย ด ว ย
วิปสสนาวิธีนี้ แสดงใหเห็นถึงการไดเห็นอริยสัจ ๔ ไปในตัว กลาวคือ
๑. ขันธ ๕ อันเปนอารมณของวิปสสนาที่ผูปฏิบัติพิจารณามาตั้งแต
ตนจนถึงอนุโลมญาณเปนที่สุดนั้นเปนตัวทุกขสัจ ผูบรรลุมรรคญาณนั้นจึงได
ชื่อวาเปนผูเห็นแจงทุกขสัจ
๑๗๗
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๖/๔๔๑.
๕๑
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
๒. ตัณหาอันเปนเหตุใหเกิดขันธ ๕ นั้นเปน สมุทยสัจ ผูบรรลุมรรค
ญาณจึงไดชื่อวาเปนผูเห็นแจงสมุทยสัจ
๓. มรรคจิตที่ไดนิพพานเปนอารมณ นิพพานนั้นก็ไดแก นิโรธสัจ
นั่นเอง ผูบรรลุมรรคญาณจึงไดชื่อวาเปนผูเห็นแจงนิโรธสัจ
๔. ปญญาเจตสิกที่เกิดรวมกับมรรคจิตนั้น เปนตัวสัมมาทิฏฐิเปน
องคธรรมของอริยมรรคที่ ๑ และในขณะมรรคจิตเดียวกันนั้นมีวิตกเจตสิก
อันเปนสัมมาสังกัปปะเปนองคอริยมรรคที่ ๒, มีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชี ว ะเจตสิ ก อัน เปน องคอริ ย มรรคที่ ๓-๔-๕, มีวิ ริ ย ะสติ และ
เอกัคคตาเจตสิก อันเปนตัวสัมมาวิริยะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ อันเปนองค
อริ ย มรรคที่ ๖-๗-๘ เกิ ด ร ว มกั น ประกอบพร อ มกั น โดยมี นิ พ พานเป น
อารมณอยางเดียวกัน องคอริยมรรค ๘ ประการนี้เปน มรรคสัจ ดังนั้นผูได
บรรลุมรรคญาณนั้น จึงไดชื่อวาเปนผูเห็นแจงมรรคสัจ
ผูป ฏิบัติ กรรมฐานจนไดบรรลุถึงมรรคญาณแลว ชื่อว าได เห็น แจ
งอริยสัจ ๔ คือ ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค ดวยมรรคญาณหรือมรรคปญญา
คัมภีรอรรถกถาอธิบายวา สติที่กําหนดรูอารมณ เปนทุกขสัจ
ตัณหาที่เปนตัวเหตุอันยังทุกขสัจนั้นใหตั้งขึ้นเปนสมุทัยสัจ ความไมเปนไป
(ความดับ)แหงสัจจะทั้ง ๒ นั้นเปนนิโรธสัจ อริยมรรคที่กําหนดรูทุกขสัจ ละ
สมุทัยสัจ มีนิโรธเปนอารมณเปนมัคคสัจ โยคาวจรขวนขวายอยูดวยอํานาจ
สัจจะ ๔ อยางนี้ ยอมบรรลุความดับทุกขได ดวยหนทางนี๑๗๘ ้
๕. ญาณ ๑๖ ตามลําดับอิริยสัจ ๔
อริยสัจ ๔ เปนหลักธรรมสําคัญ ถือเปนหัวใจของพระพุทธศาสนา
ครอบคลุ มหลั กธรรมคําสอนทั้งหมด มีความหมายว า สั จจที่จ ริงแท เป น
ธรรมที่พระพุทธเจายกย องว าเปน ยอดธรรม เปน เสมือนรอยเทาช าง คือ
ธรรมทั้งหลายรวมลงไดในธรรมนั้น
๑๗๘
ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๘๐.
๕๒
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
๑) ทุกขอริยสัจ คือ ความจริงแทที่ปรากฏใหจิตรับรูคือทุกข
ทุกขในที่นี้ หมายถึง สภาพธรรมที่ปรากฏ คือ ธรรมชาติทั้งปวงที่
รับรูทางตา หู จมูก ลิ้นกาย หรือใจ ซึ่งลวนตกอยูในสภาพที่เปลี่ยนแปลงไป
ตามเหตุปจจัยอยูตลอดเวลา คงทนสภาพอยูไมไดและบังคับบัญชาไมได อัน
ไดแก รูป เสียง กลิ่น รส อารมณสัมผัส และความรูสึกนึกคิดตางๆ แมแต
ความสุข ก็เปนทุกข เพราะเกิดแลวก็มีอาการเปลี่ยนแปลง ดับไปทุกครั้ง
ความทุกขหรือสภาพที่ทนไดอยาก กลาวใหลึกลงไปอีก หมายถึง
สภาวะของสิ่งทั้งหลายที่ตกอยูในกฎแหงความไมเที่ยง ซึ่งประกอบดวยภาวะ
บีบคั้น กดดัน ขัดแยง ขัดของ มีความบกพรอง ไมสมบูรณในตัว ขาดแกน
สาร และความเที่ยงแท ไมอาจใหความพึงพอใจเต็มแทจริงสรุป คือ การที่
กําหนดเห็นรูปนามเปนทุกข คือ เห็นอารมณชัด เพราะอารมณที่ปรากฏลวน
เปนสิ่งที่ถูกปรุงแตง สภาพที่ไมคงที่ เปลี่ยนแปลงอยูเสมอ
(คํ า ว า ทุ ก ข เป น คํ า ศั พ ท สํ า คั ญ ในพระพุ ท ธศาสนา และใช ใ น
ความหมายที่กวางและลึกกวาในภาษาไทยมาก โดยปกติในภาษาไทยเราใช
คําวา ทุกข กับ ความรูสึกที่ไมนาพอใจ หรือความทุกขระทมขมขื่น แตใน
ภาษาบาลี ทุกข โดยยอจะหมายถึง ความคงสภาพอยูไมไดของสิ่งตางๆใน
โลกดังกลาว การทําความเขาใจศัพทคําว า ทุกข ให กระจาง จะช วยให ผู
ศึกษาไมเกิดความรูสึกวาพระพุทธศาสนามองโลกในแงราย เมื่ออานเนื้อหา
บางตอน เชน “การเกิดเปนทุกข” “ทั้งในกาลกอนและบัดนี้ เราสอนแตทุกข
และนิโรธแหงทุกข” เปนตน ทั้งนี้เพราะทานชี้ไปที่ตัวสภาวะที่คงสภาพอยู
ไมได มีการเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลานั่นเอง)
กลาวโดยยอ ทุกข (ในไตรลักษณ) คือ ความคงสภาพอยูไมได
พระพุทธเจาบอกกิจ ที่พึงจะทําต อทุกขอริย สั จ วา ทุกขํ อริย สจฺ จํ
ปริฺเญยฺยํ ทุกขอริยสัจควรกําหนดรู ดังนั้น กิจญาณในทุกขอริยสัจ คือ
กําหนดรูรูสภาวะที่เปนทุกข รูสภาพอันเปนที่ตั้งแหงทุกข รูตําแหนงแหงที่
ของทุกข ซึ่งจะตองรูตามสภาพที่แทจริงของมัน (คือ ไมใชรูตามสภาพที่เรา
อยากใหมันเปนหรือตามที่เราเกลียดชังมัน เปนตน) ถาจัดเปนขั้น ไดแก ขั้น
แถลง หรือสํารวจปญหาที่จะตองทําความเขาใจ และรูขอบเขต
๕๓
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
เมื่อทํากิจ สมบู ร ณแล ว ญาณที่ป รากฎ คือ นามรู ปปริ เ ฉทญาณ
กําหนดรูดูอาการทองพอง ทองยุบ พองใหญ ยุบ ใจที่รูสึกกับทองพอง ทอง
ยุบใหเทากันใหตรงกันพอดี อยาใหกอนหรือหลังกัน จิตที่รูพรอมกันเชนนี้
วินิ จฉัย วา นามรู ป ปริ เ ฉทญาณ จิ ต กําหนดพร อมกัน ทีเ ดี ยว ความรู สึกถึง
ความมีอยูตัวตนขณะนั้น ยอมไมปรากฏนี้เรียกวา นามรูปปริ เฉทญาณ๑๗๙
จัดเปนทุกข(จินตาญาณ)”
๒) สมุทยอริยสัจ คือ ความจริงแทที่วา ความทุกขทั้งมวลที่สรรพ
สัตวประสบอยู หรือรับรูทางอายตนะ ๖ อยูนั้น ลวนเกิดจากเหตุทั้งสิ้น ไมได
เกิดขึ้นเอง หรือใครบันดาลใหเกิดขึ้น เหตุปจจัยนั้นคือ ตัณหา และอาสว
กิ เ ลส ที่ ห มั ก ดองอยู ใ นขั น ธสั น ดานของสั ต ว แ ต ล ะตนนั่ น เอง หรื อ
กระบวนการปฏิจจสมุปบาทสายเกิด
เหตุเบื้องตน คือ อวิชชาและตัณหาที่ทําใหวางใจ วางตัว แสดงออก
สัมพันธตอชีวิตและโลกอยางไมถูกตอง ไมเปนไปดวยความรูตามเปนจริง แต
เป น ไปด ว ยความยิ น ดี ยิ น ร า ย ชอบชั ง เป น ต น ตลอดจนกิเ ลสทั้งหลายที่
สืบเนื่องมา เชน ความกลัว ความถือตัว ความริษยา ความหวาดระแวง ฯลฯ
นั่นแหละ คือที่ไหลเนืองมาแหงปญหาความทุกขของมนุษย ตัณหาเปนตัวบง
การ อวิชชาคอยหนุนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เปนสิ่งที่มีอยูตามธรรมดา และ
ดํ า เนิ น ไปตามกฎธรรมชาติ การที่ ค นเขา ไปเกี่ ย วข อ งกับ สิ่ ง ใดก็ต าม ถ า
เกี่ยวของโดยมีกิเลส มีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นดวยกิเลส ก็จะเกิดปญหา
มีทุกขขึ้นมา คือ กาวจากทุกขในสิ่ งทั้งหลายที่มีอยู ตามธรรมชาติ มาเป น
ทุกขในใจเรากลาวโดยยอ สมุทัย คือ กิเลสทั้งหลายประดามี
สภาพธรรมของสมุทัย คือ เจตนาที่เขาไปกําหนดรู ตัณหาที่อยาก
กําหนด เปนกระบวนการเกิดขึ้นของรูปนาม คือ ปฏิจจสมุปบาทสายเกิด
ปจจยาการ เปนหลักธรรมที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นพรอมแหงธรรมทั้งหลาย
๑๗๙
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธ)ิ , คูมือสอบอารมณกรรมฐานวิชาครู,
พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท ช. โฆษิตพิพัฒน จํากัด, ๒๕๔๓.), หนา ๘๓.
๕๔
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
เพราะอาศัยซึ่งกัน และกัน การที่สิ่ งทั้งหลายอาศัย ซึ่งกัน และกัน เกิด มีขึ้น
เพราะมี ปจจัย ๑๒ ประการ เกิดขึ้นสืบเนื่องกันมาตามลําดับ ดังนี้ คือ
เพราะอวิชชาเปนปจจัย สังขารจึงมี
เพราะสังขารเปนปจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเปนปจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเปนปจจัย สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะเปนปจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเปนปจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเปนปจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเปนปจจัย อุปาทานจึงมี
เพราะอุปาทานเปนปจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเปนปจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเปนปจจัย ชรามรณะจึงมี
ความโศก ความคร่ําครวญ ทุกข โทมนัส และความคับแคนใจ ก็มี
พรอม ความเกิดขึ้นแหงกองทุกขคืออุปาทานขันธจึงมีตอไป
อนึ่ง พระพุทธเจาบอกกิจที่พึงจะทําตอทุกขอริยสัจวา ทุกขสมุทโย
อริยสจฺจํ ปหาตพฺพํ ทุกขสมุทัยอริยสัจควรละ กิจญาณในสมุทัยคือรูสิ่งที่เปน
สาเหตุแหงทุกขที่ตองกําจัดเสีย ถาจัดเปนขั้นๆ ไดแก ขั้นสืบคน วิเคราะห
และวินิจฉัยมูลเหตุของปญหาซึ่งจะตองแกไขกําจัดใหหมดสิ้นไป
เมื่อทํากิจสมบูรณแลว ญาณที่ปรากฎ คือ ปจจยปริคหญาณ เปน
ญาณที่เกิดปญญารูแจงในสภาวะของรูปกับนาม ที่กําหนดอยูวาทั้งรูปและ
นาม เปนเหตุ เปนผลซึ่งกันและกัน คือรูชัดในอาการตางๆ พรอมกับจิตที่เขา
รูทุกอารมณที่กระทบจิตจัดเปนอริยสัจ ๔ คือ “สมุทัย(จินตาญาณ)”
๓) นิ โ รธอริ ยสั จ ความจริ ง อัน ประเสริ ฐ คือ ความดั บ แห งทุ ก ข
ไดแก ความดับของทุกขสัจที่เปนรูปนามทั้งหมดนี้ เมื่อกําจัดอวิชชาสํารอก
ตัณหาซึ่งเปนเหตุสิ้นแลว ทุกขที่เปนผลก็ดับสิ้นไป ไมถูกตัณหายอมใจหรือ
ฉุดลากไป ไมถูกบีบคั้นดวยความรูสึกกระวนกระวาย ความเบื่อหนายหรือ
๕๕
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
ความคับของติดขัดอยางใดๆ หลุดพนเปนอิสระ ประสบความสุขที่บริสุทธิ์
สงบ ปลอดโปรงโลงเบา ผองใส เบิกบาน หรือเรียกวานิพพาน
ถาเรารูทันความจริงของโลกและชีวิต แลวเปลี่ยนวิธีสัมพันธเสียใหม
โดยไมสัมพันธดวย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน (กิเลสตางๆ) เปนสัมพันธกับสิ่ง
ทั้งหลายดวยปญญา เมื่อพัฒนาปญญาจนถึงที่สุด สมุทัยก็หายไป กลายเปน
นิโรธ ความคับของติดขัดใดๆภายในจิตใจ กลายเปนความหลุดพนเปนอิสระ
ปลอดโปรงโลงเบากลาวโดยยอ นิโรธ คือ นิพพาน
เมื่อมีสติ สมาธิ และปญญาญาณสมบูรณ ยอมพนไปจากสังขารที่
เป น ทุก ข (รู ป -นามอัน เป น สั ง ขตธรรม) ได และพน จากกิเ ลสตั ณหาอย า ง
สิ้นเชิง ชนิดที่ไมอาจเปนทุกขไดอีกเลย นั่นคือ “พระนิพพาน๑๘๐”
พระพุ ท ธเจ า บอกกิ จ ที่ พึ ง จะทํ า ต อ นิ ธ รธอริ ย สั จ ว า ทุ กฺ ข นิ โ รโธ
อริยสจฺจํ สจฺฉิกาตพฺพํ ทุกขนิโรธอริยสัจควรทําใหแจง กิจญาณในนิโรธคือรู
ภาวะความดับทุกข ซึ่งตองทําใหประจักษแจง ถาจัดเปนขั้น ไดแก ขั้นเล็ง
ภาวะหมดปญหา ที่เอาเปนจุดหมาย ใหเห็นวา การแกไขปญหาเปนไปได
และจุด หมายนั้นควรเขาถึง ซึ่งจะต องทําใหสําเร็จ โดยรู เขาใจอยูว า การ
เขาถึงจุดหมายนั้นจะสําเร็จ หรือเปนไปไดอยางไร
เมื่อทํากิจสมบูรณแลว ญาณที่ปรากฎ คือ
ญาณที่ ๓ สั มมสนญาณ ป ญญาพิจารณาเห็ น อาการเกิด ตั้ ง ดั บ
ความเกิดเปนตัณหา สภาวะที่ทรงตัวเปนทุกข สภาวะที่ดับไปจัดเปนอริยสัจ
๔ คือ “นิโรธ (ตทังคนิโรธ)”
ญาณที่ ๔ อุทยัพพยญาณ ปญญาที่เห็นเนืองๆ ในความแปรผันของ
ปจจุบันธรรมทั้งหลาย คือรูปที่เกิดแลวเปนปจจุบันลักษณะแหงความเกิดของ
รูปนั้ นเปน อุทยั พ๑๘๑(ความเกิดขึ้ น) ลั กษณะแห งความแปรผั นเป น วยะ๑๘๒
๑๘๐
วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๔/๒๑, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๑/๓๓๔.
๑๘๑
ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๙๒๒-๙๒๔/๗๒๒.
๑๘๒
องฺ.ปญจก. (ไทย) ๒๒/๓๐๗/๔๐๙.
๕๖
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
(ความดับไป) สภาวะนิมิตตางๆ หายไปเร็ว แสงสวางแจมใสคลายไฟฟาจัดเปน
อริยสัจ ๔ คือ “สมุทัย(ตทังคนิโรธ)”
๔) มรรคอริ ยสัจ คือ ความจริ งแทที่วา ทางปฏิบั ติใหเ ขาถึงพระ
นิพพานมีอยูจริง และสามารถปฏิบัติใหรูแจงเห็นจริงไดในปจจุบันขณะนี้ นั่น
คือ การเจริญปญญา ศีลและสมาธิ ทํามรรคมีองค ๘ ใหเจริญขึ้น๑๘๓
ปฏิปทาหรือขอปฏิบัติใหถึงความดับทุกข มีองค ๘ ที่เรียกวา เปน
ทางสายกลาง ซึ่งดําเนินไปพอดีที่จะใหถึงนิโรธ โดยไมติดของหรือเอียงไปหา
ที่สุดสองอยาง คือ ความหมกมุนในกามสุข และการบีบคั้นทรมานตนเองให
เดือดรอน เปนกระบวนวิธีพัฒนามนุษยไปสูการมีปญญา จนกระทั่งไมตอง
อาศัย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ในการดําเนินชีวิต กาวขามการดําเนินชีวิต
โดยอาศัยแรงจูงใจจากกิเลส อันเปนเหตุแหงทุกข ไปสูการอยูดวยปญญา
ดําเนินชีวิตดวยแรงจูงใจจากความปรารถนาในสิ่งดีงาม
พระพุทธเจาบอกกิจที่พึงจะทําตอมรรคอริยสัจ วา ทุกฺขนิโรธคามินี
ปฏิปทา อริยสจฺจํ ภาเวตพฺพํ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจควรเจริญ กิจ
ญาณในมรรคคือรูขอปฏิบัติใหถึงความดับทุกข ซึ่งจะตองฝกฝนปฏิบัติพัฒนา
เจริญเดินหนาตอไปถาจัดเปนขั้น ไดแก ขั้นกําหนดวาง หรือรับทราบวิธีการ
ขั้นตอนและรายละเอียดทั้งหลายในการแกไขกําจัดสาเหตุของปญหานั้น ซึ่ง
จะตองลงมือปฏิบัติและดําเนินตอไป พูดใหเขาใจงายๆ คือ รูวา ทุกขหรือ
ปญหาของเราคืออะไร, ทุกขนั้นเกิดจากอะไร, เราตองการหรือพึงตองการ
ผลสําเร็จอะไร และจะเปนไปไดอยางไร,เราจะตองทําอะไรบาง
เมื่อทํากิจสมบูรณแลว ญาณที่ปรากฎ คือ ญาณที่ ๕ - ๑๓๑๘๔
ในญาณนี้ อารมณและจิตที่กําหนดไดดับหายไปพรอมๆ กันทุกครั้ง
นั้น คือ ปญญาพิจารณาเฉพาะความดับไปของรูปนามอยูเนืองๆ กําหนดจนจิต
ดับไปพรอมอารมณ อาการเผลอบอยๆ แลวจิตเกาะกับนิวรณ เพราะความดับ
ไปของจิตกับอารมณ จิตจึงไปเกาะอารมณที่เคยชิน คือกิเลส พบแตการดับ
๑๘๓
สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๖๗/๕๗., สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๘๔/๕๙๙.
๑๘๔
ดูรายละเอียดใน บทที่ ๒
๕๗
บทที่ ๑ บรรลุโสดาบันในชาตินี้
นิ มิ ต หรื ออาการปรากฏรวดเร็ ว ตามไม ทั น สติ ตั้ งมั่ น อยู ในนิ โ รธ เห็ น ว า
“สั งขารเกิ ดขึ้นอย างนี้ แล วดั บไปอย างนี้ เป นธรรมดาเนื องๆ”คือ ทางอั น
ประเสริฐ ที่ทําใหผูปฏิบัติพนทุกขได เมื่อทํามรรคมีองค ๘ ใหสมบูรณซึ่งเปน
กระบวนการเกิดจากการกําหนดรู รูป-นาม ที่ประกอบดวยปชานาติ (ใสใจ)
มรรคนี้ เ ป น เบื้ อ งต น ซึ่ ง เป น โลกี ย ะ ๑๘๕ ได แ ก สติ ป ฏ ฐาน ๔
สัมมั ปปธาน ๔ เปนตน ที่จะนําไปสู อริยมรรคที่ เปนโลกุตระ ประหารกิเลส
อยางสิ้นเชิง โดยที่พัฒนาวิปสสนาญาณตามลําดับจนถึงมรรคญาณ องคมรรค
ทั้ง ๘๑๘๖ ยอมเกิดขึ้นพรอมกัน คือ สัมมาทิฏฐิ๑๘๗สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทําหนาที่ละ
สมุทัย ดับกิเลสโดยสมุจเฉทประหาร บรรลุเปนพระอริยบุคคลโดยลําดับของ
อริยมรรค จัดเปนอริยสัจ ๔ คือ “ในญาณที่ ๑๔, ๑๕, ๑๖ แจงนิโรธอริยสัจ ๔
เกิดขึ้นตามลําดับจนสมบูรณ”
๑๘๕
สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๒๕๓/๑๗๘.
๑๘๖
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๖/๔๖๘.
๑๘๗
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๙๐/๒๒๔.
๕๘
บทที่ ๒
๑
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๔/๓๔๐.
๒
ขุ.อุ. (ไทย) ๒๕/๔๓/๒๕๕.
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
มรรค มีองค ๘
๖.ภยญาณ
ขั้นที่ ๔ เห็นความเปน ๓.ปหาน (อริยสัจ ๔
๗.อาทีนวญาณ
ทุกขของรูป-นาม ปริญญา เกิดโดย
๘.นิพพิทาญาณ
แบบ สมบูรณขึ้น
ขั้นที่ ๕ เห็นความไมใช ๙.มุญจิตุกัมยตาญาณ ตทังคปหาน ตามลําดับ)
ตัวตนของรูป-นาม ๑๐.ปฏิสังขาญาณ ทุกข, สมุทัย,
ขั้นที่ ๖ วางเฉยตอรูป- ๑๑. ตน นิโรธ, มรรค
นาม สังขารุเปก
ขาญาณ ปลาย วุฏฐาน
คามินี อริยสัจ ๔
๑๒.อนุโลมญาณ
สมบูรณ
ขั้นที่ ๗ สลัดคืนรูป-นาม ๑๓.โคตรภูญาณ
๑๔.มรรคญาณ สมุทเฉทปหาน
๑๕.ผลญาณ ปฏิปสสัทธิปหาน
๑๖.ปจจเวกขณญาณ
นิสสรณปหาน เปนพระนิพพานหาใชเปนปจจเวกขณญาณ ไม..
ขั้นที่ ๑ เห็นรูปเห็นนาม
คําวา "เห็น" ในที่นี้หมายถึง ปญญารูวาอะไรเปนอะไรตามธรรมชาติ
เดิมแท ในขณะตาเห็นรูป หูไดยินเสียง จมูกไดกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกตอง
สัมผัส และใจนึกคิดคือภาวะเดิมแทของสิ่งที่ถูกรับรูนั้น หากไมเปนรูปก็เปน
นาม หากไมเปนนามก็เปนรูป และเมื่อรูวาอะไรเปนอะไรจริงๆ แลว ยอมไม
๖๐
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ปฏิบัติผิดตอสิ่งทั้งปวง เมื่อโยคี๓ปฏิบัติถูกแลวก็เปนอันแนนอนวา ความทุกข
จะเกิดขึ้นไมได การปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา คือ ปฏิบัติเพื่อใหรูวาสิ่ง
ทั้งปวง คืออะไร เมื่อรูแจงแทจริงก็ยอมหมายถึงการบรรลุมรรคผล เพราะ
ความรู (ปญญาญาณ) นั่นเอง เปนตัวทําลายกิเลสไปในตัว เมื่อรูวาสิ่งทั้งปวง
เปนอะไรจริงๆ แลวความเบื่อหนายคลายความอยาก และความหลุดพนจาก
ทุกขยอมจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมนั้น
รูป ไดแก อารมณสัมผัสที่ถูกรับรูทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งก็คือ สี
เสียง กลิ่น รสและสัมผัสตางๆ มีอาการแตกสลายอยูเสมอ เพราะความรอน
บาง ความเย็นบาง เพราะเหตุนั้น ธรรมชาตินั้นเรียกวา รูป๔
๓
โยคี หรือ โยคาวจร หมายถึง ผูประกอบความเพียรในกรรมฐาน เปนผูฉลาด
เฉียบแหลมในการประคองจิต ขมจิต ทําจิตใหราเริง ทําจิตใหตั้งมั่น และวางเฉยได
ประคองจิตใหตั้งอยูดวยธัมมวิจยสัมโพชฌงค วิริยสัมโพชฌงค ปติสัมโพชฌงค
ขม จิต เมื่อ จิ ตฟุ งซ านก็ข ม ดว ยป สสั ท ธิสั มโพชฌงค สมาธิสั มโพชฌงค และ
อุเบกขาสัมโพชฌงค
ทํา จิ ต ให รา เริง ดว ยการพิ จ ารณาสัง เวควัต ถุ ๘ ประการ (ชาติ ชรา พยาธิ
มรณะ ทุกขในอบาย ทุกขมีวัฏฏะเปนมูลในอดีต ทุกขมีวัฏฏะเปนมูลในอนาคต ทุกขมี
การแสวงหาอาหารเปนมูลในปจจุบัน) หรือดวยการระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย
จิตตั้งมั่น ทําจิตใหเวนจากความหดหูและฟุงซาน ดวยผูกใจไวกับวิริยะและ
สมาธิ หรืออุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ
วางเฉย พระโยคีรูความหดหู ฟุงซานแหงจิต จิตอภิรมยในอารมณกสิณเปนตน
หรือจิตสัมปยุตดวยฌานแลว ไมพึงขวนขวายในการประคองจิต ขมจิต ทําจิตใหราเริง
ควรกระทําการวางเฉยอยางเดียว (ขุ.ม.อ.(บาลี) ๒๑๐/๔๗๙-๔๘๐).
๔
องฺ.เอก.อ. (ไทย) ๑/๑/-/๓๓. รูป หมายถึง มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัย
มหาภูตรูปนั้น คือ รูปใหญ รูปตนเดิม คือ ธาตุ ๔ ไดแก (๑) ปฐวีธาตุ สภาวะที่แผไป
หรือกินเนื้อที่สภาพอันเปนหลักที่ตั้งที่อาศัยแหงสหชาตรูป เรียกสามัญวา ธาตุแขนแข็ง
หรือธาตุดิน (๒) อาโปธาตุสภาวะที่เอิบอาบหรือดูดซึม ซานไป ขยายขนาด ผนึก พูน
เขาดวยกัน เรียกสามัญ วา ธาตุเหลว หรือธาตุน้ํา (๓) เตโชธาตุ สภาวะที่ทําใหรอน
เรียกสามัญวา ธาตุไฟ (๔) วาโยธาตุ สภาวะที่ทําใหสั่นไหว เคลื่อนที่ ค้ําจุนเรียกสามัญ
วา ธาตุลม (ที.สี. (ไทย) ๙/๔๘๗-๔๙๙/๒๑๖-๒๒๐, ขุ.จู. (ไทย) ๓๐/๕/๕๘.).
๖๑
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
นาม คือ สภาวะที่รับรูทางใจและความรูสึกนึกคิดตางๆ มีการนอม
ไปสูอารมณเปนลักษณะมีหนาที่ประกอบกับจิตและเจตสิกดวยกันมีวิญญาณ
เปนเหตุใหเกิด ไดแก นามขันธ ๔ คือ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ
และวิ ญญาณขัน ธ คัมภี ร อรรถกถาอธิบ ายว า ธรรมชาติ ใด ย อมน อมไปรู
อารมณ ฉะนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อวานาม คือ นอมไปสูอารมณ๕
เมื่อโยคีกํ าหนดรู จนเห็ น รู ป เห็ น นาม ว าเป น คนละส ว น คนละ
ความรูสึกกัน ไมไดปนกัน การรูจักจําแนกรูปและนามอันเปนสิ่งที่รูหรือเปน
อารมณเครื่องระลึกของสติ ออกจากจิ ตผู รู หมายถึง ความรูจักรูป ธรรม-
นามธรรม วาสิ่งที่มีอยู ที่เปนของจริง ก็มีแตรูปธรรมและนามธรรมเทานั้น
จึงเกิดเปนปญญาญาณขั้นที่ ๑ ทีเ่ รียกวา นามรูปปริจเฉทญาณ
โยคีผูเปนวิปสสนายานิก (เจริญวิปสสนาลวน) เมื่อกําหนดรูธาตุ ๔
โดยสังเขป หรือโดยพิสดาร ดวยมุงในการกําหนดธาตุเหลานั้นๆ ครั้นรวมรูป
แมทั้งหมดเหลานั้นเขาเปนอันเดียวกันโดยลักษณะ คือ ความเสื่อมสลาย ก็
เห็ น ว า นี่ คื อ รู ป เมื่ อ โยคาวจรนั้ น กํ า หนดเห็ น รู ป อย า งนี้ แ ล ว อรู ป ธรรม
ทั้งหลายก็ปรากฏทางทวาร และกําหนดเชนนี้ ดวยธาตุ ๑๘ ดวยอายตนะ
๑๒ ทางขันธ ๕ โดยยนยอแตอยางเดียวอยางนี้วา “รูปอยางใดอยางหนึ่ง รูป
ทั้งปวง ก็คือ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔” ดังนี้ แลวกําหนด
มนายตนะ ดวย และเอกเทศของ ธัมมายตนะ ดวยวา “นาม” แลวกําหนด
นามและรูปโดยสังเขปวา นามนี้ดวย รูปนี้ดวย เรียกวา “นาม-รูป”
การเห็ น นามและรู ป ตามเป น จริ ง ซึ่ ง ครอบงํ า สั ต ตสั ญ ญา (คื อ
ความสํ า คั ญ หมายรู ว า มี สั ต ว ) เสี ย ได แล ว ตั้ ง อยู ใ นภู มิ ที่ ไ ม ลุ ม หลงของ
โยคาวจรผูกําหนดรูนามและรูป แมคําวา “นามรูปววัฏฐาน การกําหนดรู
นามและรูป” ก็ด๖ี คําวา “สังขารปริจเฉท(การกําหนดรูสังขาร)” ก็ดี เปนชื่อ
๕
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๒๔๘. นาม หมายถึง ขันธที่มิใชรูป ๔ อยาง (เวทนา
สัญญา สังขาร และวิญญาณ (ขุ.จู. (ไทย) ๓๐/๕/๕๘.).
๖
นามรูปววัฏฐาน และสังขารปริจเฉท นี้เรียกอีกซื่อหนึ่งวา นามรูปปริจเฉท
ญาณ เปนญาณอันดับแรก หรือญาณที่ ๑ ในญาณ ๑๖
๖๒
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ของการเห็นนามและรูปตามเปนจริงนี้เหมือนกัน
เมื่อศึกษาในปฏิสัมภิทามรรคพบวา ญาณนี้มีอรรถเดียวกันกับวัตถุ
นานั ตตญาณ๗ โคจรนานัต ตญาณ๘ ภูมิน านานั ต ตญาณ และธั มมนานั ต ต
ญาณ๙” เปนญาณที่รูความเปนจริงของธรรมชาติทั้งปวงวา เปนเพียงรูปกับ
นามเทานั้น คือ มองเห็นความตางกันของธรรมชาติ ๒ อยาง คือ เห็นรูปก็
เปนลักษณะธรรมชาติอยางหนึ่ง เห็นนามก็เปนลักษณะธรรมชาติอยางหนึ่ง
เชนวา เห็นวาการเคลื่อนไหวก็เปนธรรมชาติอยางหนึ่งที่ไมสามารถจะรับรู
อะไรไดดว ยตัวเอง เปนเพียงแตธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาแลวก็สลายตัวไป จัดวา
เปนรูปธรรมสวนตัวที่เขาไปรูเปนธรรมชาติที่สามารถจะรับรูอะไรได จัดเปน
นามธรรม สภาวะที่เห็นความตางกันของธรรมชาติ ๒ อยางนี้คือ เห็นวารูปก็
อยางหนึ่งเห็นวานามก็อยางหนึ่งอยางนี้เรียกวาสามารถแยกรูป
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
การพิจารณาในชวงตน ยังไมถึงขั้น "พิจารณาเห็น" เปนเพียงการใส
ใจกําหนดดวยโยนิโสมนสิการ๑๐ ลงไปในทุกๆ การรับรู ขณะที่ตาเห็นรูป หู
ไดยินเสียง จมูกรูกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกตองสัมผัส ใจคิดนึกเทานั้น ยังไม
เห็นสภาวธรรมเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เปนเพียงการเห็นสิ่งนั้นๆ ตาม
ลักษณะที่เปนสภาวะของมันเอง ขณะเกิดผัสสะเทานั้น
การกําหนดรูผัสสะ คือรูเห็นวา นี้ตาสัมผัส นี้หูสัมผัส นี้จมูกสัมผัส
นี้ลิ้นสัมผัส นี้กายสัมผัส นี้ใจสัมผัส ...นี้ผัสสะเปนอดีต นี้ผัสสะเปนอนาคต นี้
ผัสสะเปนปจจุบัน นี่เปนการกําหนดรูขั้นรูจัก เรียกวา ญาตปริญญา
เมื่อเขาสูชวงปลายของขั้นนี้ จะเปนการ "พิจารณาเห็นพระไตร
๗
ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๖๖/๗๘-๘๐, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๖/๑๐๙-๑๑๑.
๘
ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๖๗/๘๑-๘๒, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๗/๑๑๒-๑๑๔.
๙
ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๗๒/๘๗-๘๘, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๗๒/๑๒๑-๑๒๒.
๑๐
โยนิโสมนสิการ แปลวา ทําไวในใจโดยอุบายอันแยบคาย เปนธรรมอยางเอก
ที่เปนเหตุใหธรรมตางๆ ที่เปนกุศลที่ยังไมเกิดขึ้น ไดเกิดขึ้น และทําใหละบาปอกุศลที่
เกิดขึ้นแลวได เปนเหตุทําใหโพชฌงคเกิดขึ้นและเจริญบริบูรณ เปนไปเพื่อบรรลุธรรม
๖๓
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ลักษณ" แตก็ยังเปนจินตาญาณ (ยังไมถึงขั้นปจจักขญาณ) เปนการกําหนดรู
สังขารดวยการพิจารณาเห็นไตรลักษณ วาสิ่งนั้นๆ มีลักษณะไมเที่ยง เปน
ทุกข เปนอนัตตา๑๑ การพิจารณาโดยความไมเที่ยง โดยความเปนทุกข เปน
โรค..ดั งหั ว ฝ ดั ง ลู ก ศร ลํ า บาก อาพาธ เป น อย า งอื่ น ไมมี อํ า นาจ ชํ า รุ ด
เสนียด อุบาทว ภัย อุปสรรค หวั่นไหว แตกพังไมยั่งยืน ไมมีที่ตานทาน ไมมี
ที่ซอนเรน ไมมีที่พึ่ง วาง เปลา สูญ เปนโทษ มีความแปรไปเปนธรรมดา ไมมี
แกนสาร มูลแหงความลําบาก ดังเพชฌฆาต ปราศจากความเจริญ มีอาสวะ
มีเหตุปจจัยปรุงแตงเหยื่อมาร มีชาติเปนธรรมดา มีชราเปนธรรมดา มีพยาธิ
เปนธรรมดา มีมรณะเปนธรรมดา มีโสกะปริเทวะ ทุกขโทมนัสและอุปายาส
เปนธรรมดา มีความเศราหมองเปนธรรมดา...พิจารณาเห็นเหตุเกิดแหงทุกข
ดับไป ชวนใหแชมชื่น เปนอาทีนวะ เปนนิสสรณะ เรียกวา ตีรณปริญญา
การปฏิบัติวิปสสนาในบันไดขั้นที่ ๒ นี้ ตองเพิ่มสติในการกําหนดรู
ทวารทั้ง ๖ เพื่อใหเห็นสภาวธรรมใหชัดขึ้น สภาวธรรมที่ปรากฏคือญาณที่ ๒
และญาณที่ ๓ ช ว งต น สั งเกตเห็ น จิ ต ที่เ ขาไปรู อารมณ ขณะกําหนดเดิ น
กําหนดเวทนา กําหนดจิต โยคีจะเริ่มเห็นพระไตรลักษณ คือการอนุมานถึง
ความไมเที่ยง เปนทุกข บังคับบัญชาไมได ยอมทําใหวิปสสนาญาณแกกลา
เห็นสภาวธรรมตางๆ ละเอียดขึ้น
ญาณที่ ๒ ปจจยปริคคหญาณ
ปจจย แปลวา เหตุและผล ปริคคห แปลวา กําหนดรู ญาณ แปลวา
ปญญา รวมความวา ปญญาที่กําหนดรูเห็นในสภาวะของรูปกับนามเปนเหตุ
ปจจัยซึ่งกันและกัน คือ ทั้งรูปและนามเปนเหตุเปนผลซึ่งกันและกันอยูทุก
ขณะ มีปญญากําหนดรูทั้งเหตุและผล เหตุคือสิ่งที่เกิดกอน ผลคอยเกิดที
หลัง เชน รูปเกิดกอนนามเกิดทีหลัง นามเกิดกอนรูปเกิดที่หลัง เปนตน๑๒
๑๑
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท
, หนา ๑๐๓.
๑๒
พระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทฺธิ), ลําดับโสฬสญาณ, หนา ๕๙.
๖๔
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
บางทีเ่ รียกวา ธัมมัฏฐิติญาณบาง ยถาภูตญาณบาง สัมมาทัสสนะบาง๑๓และ
ผูประกอบดวยญาณขั้นนี้ เรียกวาเปน “จูฬโสดาบัน” คือพระโสดาบันนอย
เปนผูมีคติในทางกาวหนาที่แนนอนในพระพุทธศาสนา เมื่อวาตามชื่อญาณนี้
ปรากฏแตในคัมภีรวิสุทธิมรรค ในคัมภีรปฏิสัมภิทามรรคเนื้อหาสาระของ
ญาณนี้ตรงกับธัมมัฏฐิติญาณ (ญาณในการกําหนดที่ตั้งแหงธรรม)๑๔
กําหนดรูเหตุและปจจัยของนามและรูปวา “นามและรูปนี้จะไมมี
เหตุหามิได เพราะนามและรูปทุกอยาง ถึงความเปนอยางหนึ่งอยางเดียวกัน
ทั้งหมดในที่ทุกแหงและในกาลทุกเมื่อ (นามและรูปนั้น) จะมีเทพเจาเปนเหตุ
หามิได เพราะนอกไปจากนามและรูปแลว หามีเทพเจาใดๆ ไม เพราะถึงแม
ศาสดาพวกใดจะกลาว (ทึกทักเอา) วา นามรูปเปนประมาณนั่นแหละ คือ
เทพเจามีพระอิศวรเปนตน นามและรูปที่เขากลาววาคือเทพเจามีพระอิศวร
เปนตนของพวกศาสดาเหลานั้น ก็ถึงภาวะเปนของหาเหตุมิได เพราะฉะนั้น
นามและรูปนั้นตองมีเหตุมีปจจัย เหตุและปจจัยเหลานั้นคืออะไรหนอแล”๑๕
เห็นเหตุปจจัยของรูป-นาม คือเห็นวารูป-นามนี้เปนเหตุเปนปจจัย
ซึ่งกัน และกัน มีความเกี่ยวของเปน ป จ จั ยกัน เช น ขณะที่การกาวไป การ
เคลื่อนไหวตางๆ เปนไปเพราะวามีธรรมชาติอยางหนึ่งเปนตัวเหตุปจจัย คือ
มีจิตปรารถนาจะใหกายเคลื่อนไหว กายก็เคลื่อนไหว จิตปรารถนาจะยืนกาย
ก็ยืน จิต ปรารถนาจะเดิน กายก็เดิ น ธาตุล มที่ไปผลั กดัน ใหกายนั้ นเป นไป
อยางนี้เรียกวา นามเปนปจจัยใหเกิดรูป นามคือจิตใจเปนปจจัยใหเกิดรูป
รูปที่กาวไปรูปที่เคลื่อนไหว เกิดขึ้นมาไดเพราะวาจิตเปนปจจัย
สว นรู ป บางอย าง รู ป เป น ป จ จั ย ใหเ กิด นาม เช น เสี ย ง เสี ย งมีมา
กระทบประสาทหู เสียง เปนรูป เมื่อกระทบประสาทหู ซึ่งเปนรูปดวยกัน ก็
เกิดการไดยินขึ้น เกิดการรับรูทางหูขึ้น ก็จะมองเห็นวามันเปนเหตุปจจัยกัน
๑๓
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒๗/๓๘๓.
๑๔
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔๕/๗๐.
๑๕
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, แปลโดย สมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ
อาสภมหาเถร), พิมพครั้งที่ ๗, (กรุงเทพ :บริษัท ธนาเพรส จํากัด, ๒๕๕๑), หนา ๙๙๕.
๖๕
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
เสียงมากระทบจึงเกิดการไดยินขึ้น เรียกวา รูปเปนปจจัยใหเกิดนาม เย็น
รอน ออนแข็ง หย อนตึ ง เป น รูป มากระทบกายก็เ กิด การรั บ รูซึ่งเปน นาม
เกิดขึ้น เมื่อผูปฏิบัติธรรมมีความเพียร ดูรูปนาม เห็นความเกิดดับ เห็นความ
เปนเหตุเปนปจจัยของรูปนามอยูเสมอก็จะ กาวขึ้นสูญ าณที่ ๓ สัมมสนญาณ
ญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ
อตี ต านาคตปจฺ จุ ปฺป นฺ น านํ ธมฺมานํ สงฺขิป ตฺ ว า ววตฺ ถาเน ปา
สมฺมสเนาณํ. ปญญารูแจงในขณะกําหนดสภาวะลักษณะของรูป-นามโดย
อาการ ๓ อยางคือ โดยความเปนอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
ปญญาที่กําหนดจนเห็นไตรลักษณ เห็นความเกิดดับของรูปนาม แต
ที่รวู ารูปนามดับไปก็เพราะเห็นรูปนามใหมเกิดสืบตอแทนขึ้นมา คือสันตติยัง
ไมขาด และยังอาศัยจินตามยปญญาอยู อีกนัยหนึ่ง เปนญาณที่ยกรูปนามขึ้น
สูไตรลักษณวา รูปนามทั้งปวงนั้นปรากฏเปนคราวๆ เมื่อถูกรู และรูปนามทั้ง
ปวงนั้นลวนหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปจจัยตกอยูใตกฎไตรลักษณ
ปญญารูแจงในขณะกําหนดสภาวะลักษณะของรูป-นามโดยอาการ
๓ อยาง คือ โดยความเปนอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา๑๖ เปนปญญาเครื่อง
พิจารณาเห็นรูปนามเปนไตรลักษณเพราะเหตุวามีลักษณะ ๓ อยาง คือ
๑. อนิจจัง ลักษณะความแปรปรวนไมยั่งยืน ความไมเที่ยง
๒. ทุกขัง ลักษณะความบีบคั้น ความทนไดยาก เปนทุกข
๓. อนัตตา ลักษณะความไมใชตัวตน
เมื่อวาตามชื่อ ญาณนี้ปรากฏทั้งในคัมภีรปฏิสัมภิทามรรค (ญาณที่
๕) และคัมภีรวิสุทธิมรรค สาระสําคัญของญาณนี้คือ ผูปฏิบัติรูวารูปนามดับ
ไปและเห็นรูปนามใหมเกิดขึ้นสืบตอกันไปแตสันตติ (ความสืบตอ) ยังไมขาด
เพราะเป น เพีย งความรูด ว ยจิ น ตาญาณ (ความนึกพิจ ารณา) หลั กฐานใน
คัมภีรสัทธัมมปกาสินี : อิทานิ ยสฺมา เหฏฐา สรูเปน นามรูป ววตฺถานญาณํ
น วุตฺตํ, ตสฺมา ปฺจธา นามรูปปฺเภทํ ทสฺเสตุ อชฺฌตฺตววตฺถาเนปฺญาวตฺถุ
๑๖
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕/๑.
๖๖
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
นานตฺเต ญาณนฺติอาทีนิ ปฺจ ญาณานิ อุทฺทิฏฐานิ๑๗
ปญญาญาณที่ประจักษแจงการเกิดดับสืบตอกันอยางรวดเร็วของ
นามและรูปแยกออกเปน ๔ นัยคือ
๑) กลาปสัมมสนนัย เห็นชัดถึงรูปอดีต รูปปจจุบัน รูปอนาคต รูป
ภายใน รูปภายนอก รูปหยาบ รูปละเอียด รูปใกล รูปไกล รูปเลว รูปประณีต
ทั้งหมดเปนอนิจจังสิ้นไปฝายเดียวไมมีกลับ
๒) อัทธานสัมมสนนัย เห็นรูปนามในอดีตไมเปนปจจุบันรูปนาม
ปจจุบันไมเปนอนาคต รูปภายในไมเปนรูปภายนอกเปนตน มีเหตุปจจัยกัน
อยู ปจจุบันดี อนาคตดี ปจจุบันชั่ว อนาคตไมดี
๓) สันตติสัมมสนนัย พิจารณาเห็นรูปรอนหายไป รูปเย็นเกิด รูป
เย็นดับ-รูปรอนเกิด รูปนามไมเที่ยงเปนอนัตตา
๔) ขณสัมมสนนัย เห็นความเกิดดับกันอยูเรื่อยไปไมวาจะยืน เดิน
นั่ง นอน เห็นวาขันธ ๕ เกิดเพราะอวิชชาเกิด ขันธ ๕ ดับเพราะอวิชชาดับ
ตั้งแตญาณ ๑ ถึงญาณ ๓ นี้เรียกวา “ญาตปริญญา” คือปญญาที่ประจักษ
ลั ก ษณะของนามธรรมและรู ป ธรรมที่ ป รากฏโดยสภาพไม ใ ช ตั ว ตน เป น
พื้นฐานใหนอมพิจารณาลักษณะของรูปนามอื่นเพิ่มขึ้น๑๘
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูป-นาม
ขั้นนี้เปนขั้นพิจารณาเห็นพระไตรลักษณ ดังที่พระสารีบุตรเถระ
อธิบายวิธีพิจาณารูปที่เปนอารมณของจิตยกขึ้นสูพระไตรลักษณ ในลําดับ
ของวิปสสนาญาณวา
“วิ ป ส สนาญาณเป น อย า งไร คือ ป ญ ญาในการพิจ ารณาอารมณ
แลวพิจารณาเห็นความดับ ไดแก จิตมีรูปเปนอารมณเกิดขึ้นแลวยอมดับไป
เมื่ อ พิ จ ารณาอารมณ นั้ น แล ว พิ จ ารณาเห็ น ความดั บ ไปแห ง จิ ต นั้ น ด ว ย
พิจารณาเห็นอยางไรชื่อวาพิจารณาเห็น คือ พิจารณาเห็นโดยความไมเที่ยง
๑๗
ขุ.ป.อ. (บาลี) ๑/๓๖.
๑๘
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, พิมพครั้งที่ ๗, หนา ๑๐๐๙.
๖๗
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ไมพิจารณาเห็นโดยความเที่ยง พิจารณาเห็นโดยความเปนทุกข ไมพิจารณา
เห็นโดยความเปนสุข พิจารณาเห็นโดยความเปนอนัตตา ไมพิจารณาเห็น
โดยความเปนอัตตา ยอมเบื่อหนาย ไมยินดี ยอมคลายกําหนัด ไมกําหนัด
ยอมทําราคะใหดับ ไมใหเกิด ยอมสละคืน ไมยึดถือ เมื่อพิจารณาเห็นโดย
ความไมเที่ยง ยอมละนิจจสัญญาได เมื่อพิจารณาเห็นโดยความเปนทุกข
ยอมละสุขสัญญาได เมื่อพิจารณาเห็น โดยความเป นอนัตตาย อมละอัต ต
สัญญาได เมื่อเบื่อหนาย ยอมละนันทิ (ความยินดี) ได เมื่อคลายกําหนัดยอม
ละราคะได เมื่อทําราคะใหดับ ยอมละสมุทัยได เมื่อสละคืน ยอมละอาทา
นะ (ความยึดถือ) ได”๑๙
การกําหนดรูขันธ ๕ โดยอาการ ๔๐๒๐ พิจารณาเห็นอนิจจลักษณะ
โดยอาการ ๑๐ ประการ ดังนี้
๑. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนอนิจจัง มีความไมเที่ยง
๒. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนปโลกะ มีความแตกทําลาย
๓. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนจละ มีความหวั่นไหว เปลี่ยนแปลง
๔. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนปภังคุ มีความผุพังไป
๕. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนอัทธุวะ ความไมยั่งยืน
๖. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนวิปริณามธัมมะ มีความแปรผันไป
เปนธรรมดา
๗. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนอสารกะ ความไมมีแกนสาร
๘. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนวิภวะ ปราศจากความเจริญ
๙. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนสังขตะ เปนของถูกปจจัยปรุงแตง
๑๐. พิ จ ารณาเห็ น ขั น ธ ๕ ว า เป น มรณธั ม มะ มี ค วามตายเป น
ธรรมดา
ในชวงตนเปนภูมิแหงตีรณปริญญา กําหนดรูขั้นพิจารณาคือ รูดวย
ปญญาที่หยั่งลึกซึ้งไปถึงสามัญญลักษณะ ไดแกรูถึงการที่สิ่งนั้นๆ เปนไปตาม
๑๙
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๒/๘๒.
๒๐
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, ๒๕๖๐,หนา ๑๐๑๘.
๖๘
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
กฎธรรมดา โดยพิจารณาเห็นความไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตาภูมิแหงตี
รณปริญญา เริ่มตั้งแตการพิจารณากองสังขาร จนถึงอุทยัพพยานุปสสนา
(การพิจารณาเห็นความเกิดและความดับ) และเมื่อสติ สมาธิ ปญญาแกกลา
ขึ้นเปนภูมิแหงปหานปริญญา กําหนดรูถึงขั้นละได คือ รูถึงขั้นที่ทําใหถอน
ความยึดติดเปนอิสระจากสิ่งนั้นๆไดถูกตองจัดเขาในนิโรธอริยสัจ (ตทังค
นิโรธ ดับดวยองคนั้นๆ คือ ดับกิเลสดวยธรรมที่เปนคูปรับ หรือธรรมที่ตรง
ขาม เชน ดับสักกายทิฏฐิดวยความรูที่กําหนดแยกรูป-นามออกได เปนการ
ดับชั่วคราวในกรณีนั้นๆ) การพิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูป-นาม นี้นับ
สงเคราะหเขาในญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ (ตอนปลาย) ญาณที่ ๔ อุทยัพพย
ญาณ และญาณที่ ๕ ภังคญาณ
ญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ(ชวงปลาย)
ป ญ ญาเป น เครื่ อ งพิ จ ารณาเห็ น รู ป -นามเป น ไตรลั ก ษณ เ หตุ ว า มี
ลั ก ษณะ ๓ อย า ง มากด ว ยอํ า นาจของสมาธิ คื อ ไตรลั ก ษณ เป น อาการ
ปรากฏแหงปรมัตถธรรมมิใชสมมติบัญญัติ ในอนิจจังและทุกขัง ๒ ประการ
แรก มีการรูและสอนกันมากอนแลว แตอนัตตานั้นเปนวิสัยของพระพุทธเจา
เกิดจากพระสัพพัญุตญาณแลวทรงนํามาสั่งสอน ดังที่พระผูมีพระภาคตรัส
ในอนัตตลักขณสูตร เมื่อกลาว “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเปนธรรมดา สิ่ง
นั้นทั้งหมดลวนมีความดับไปเปนธรรมดา” เปนการกลาว “สังขารทั้งปวงไม
เที่ยง” และรวมไปถึง “สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้นก็ตองเปนทุกข มีความแปรผันไป
เปนธรรมดา”เสมอ เริ่มดวย รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ ในขันธ
๕ เที่ ย งหรื อ ไม เ ที่ ย งก อ นเสมอ ตรั ส เน น อนั ต ตาในอนั ต ตลั ก ขณสู ต ร ๔
ประการ เพื่อ แสดงให เ ห็ น การละอุป าทานขั น ธ ๕ มิจ ฉาทิ ฏ ฐิ ๑๐๒๑
สักกายทิฏฐิ ๒๐๒๒ และอัตตานุทิฏฐิ ๒๐๒๓ คือ
๑) ตรัสขันธ ๕ เปนอนัตตา เปนไปเพื่ออาพาธ ไมสามารถใหเปน
๒๑
ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๑๓๖/๑๕๗, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๓๖/๒๑๑.
๒๒
ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๑๓๗/๑๕๗-๑๕๘, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๓๗/๒๑๒.
๒๓
ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๑๓๐-๕/๑๔๗-๑๕๖, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๓๐-๕/๒๐๐-๒๑๐.
๖๙
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
อยางนี้ อยาไดเปนอยางนั้น
๒) ตรัสถามใหตอบ วา ขันธ ๕ เที่ยงหรือไมเที่ยง เมื่อไมเที่ยง เปน
ทุกขหรือเปนสุข สิ่งใดไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรผันเปนธรรมดา ควร
หรือที่จะเห็นสิ่งนั้นวา นั่นของเรา เราเปนนั่น นั่นเปนอัตตาของเรา ซึ่งตอบ
วาไมควรเห็น
๓) ตรัสขันธ ๕ ทั้งในอดีต อนาคต และปจจุบันภายในหรือภายนอก
หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล ทั้งหมดนั่น นั่นไมใชของ
เรา เราไมเปนนั่น นั่นไมใชอัตตาของเรา
๔) ตรั สผู ได ส ดับ เห็ น อยู อยางนี้ ยอมเบื่ อหน ายคลายกําหนั ด จิ ต
หลุดพน มีญาณรูชัดวา “ชาติสิ้นแลว พรหมจรรยไดอยูจบแลว กิจที่ควรทํา
ไดทําเสร็จแลว กิจอื่นเพื่อความเปนอยางนี้มิไดม”ี ๒๔
สัมมสนญาณเปน ญาณที่เ ห็ นไตรลั กษณ คือเห็น อนิจ จัง ความไม
เที่ยงของรูปนาม เห็นทุกขัง คือความทนอยูในสภาพเดิมไมไดของรูปนาม
เห็นอนัตตา ความบังคับบัญชาไมไดของรูปนาม แตวาการเห็นอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตาในญาณที่ ๓ นี้ยังเอาสมมุติบัญญัติมาปน ยังมีสุตมยปญญา ปญญาที่
เกิดจากการไดฟงมา เอาจินตามยปญญาความตรึกนึกคิดมาปนอยูดวย
๑) อนิจจสัมมสนะ (การพิจารณาเห็นความไมเที่ยง)
ผูปฏิบัติที่สามารถกําหนดรูเทาทันปจจุบันไดยอมรูเห็นวา สภาวะ
พอง สภาวะยุบ สภาวะนั่ง สภาวะเหยียด สภาวะคู สภาวะเคลื่อนไหว เปน
ตน เกิดขึ้นแลวดับไป อยางเชน สภาวะพองปรากฏขึ้นแลวดําเนินไปชั่วขณะ
จึงสิ้นสุดลง แลวจึงเกิดสภาวะยุบ หลังจากสภาวะพองจึงเกิดขึ้นอีก จะเห็น
ไดวาสภาวะยุบไมมีในสภาวะพอง และสภาวะพองก็ไมมีในสภาวะยุบ แม
สภาวะยก ยาง และเหยียบ ก็เกิดขึ้นแลวสิ้นสุดลงในแตละขณะ สภาวะยก
ไมมีในสภาวะยาง สภาวะยางก็ไมมีในสภาวะเหยียบ ดังนี้เปนตน เขายอม
เขาใจวารูปที่กําหนดอยูนั้นไมเที่ยงเขายอมอนุมานรูวา
๒๔
ดูรายละเอียดใน วิ.ม. (บาลี) ๔/๒๐-๒๔/๒๗-๓๑, วิ.ม. (ไทย) ๔/๒๐-๒๔/
๒๗-๓๑.
๗๐
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
๑. รูปทั้งหมดในอดีตไมเที่ยง
๒. รูปทั้งหมดในอดีตยอมดับ
๓. รูปทั้งหมดในอนาคตไมเที่ยง
๔. รูปทั้งหมดในปจจุบันไมเที่ยง
๕. ในขณะหายใจออก เห็นวารูปภายในดับไปในภายใน ไมดํารงอยู
ภายนอก จึงไมเที่ยง
๖. ในขณะหายใจเขา เห็นวารูปภายนอกทั้งหมดดับไปในภายนอก
ไมดํารงอยูภายนอก จึงไมเที่ยง
๗. รูปหยาบที่ปรากฏในภายนอกในขณะที่สี เสียง กลิ่น รส หรือ
สัมผัส มีสภาวะดับไปไมเที่ยง ไมถึงรูปที่ละเอียด
๘. รูปละเอียดที่ปรากฏในภายนอกในขณะที่สี เสียง กลิ่น รส หรือ
สัมผัส มีสภาวะดับไปไมเที่ยง ไมปะปนกันในรูปหยาบ
๙. ในขณะสุขภาพดี คือรูปเลวทั้งหมดสิ้นไปดับไป ไมถึงรูปประณีต
จึงมีสภาวะไมเที่ยง
๑๐. ในขณะรูสึกไมสบายสุขภาพทรุดโทรม รูปประณีตหมดสิ้นไป
ดับไป จึงมีสภาวะไมเที่ยง
๑๑. ในขณะเหยียดแขน ขา สภาวะเหยียดสิ้นไป รูปไกลดับไป ไม
ตั้งอยูในรูปใกล จึงมีสภาวะไมเที่ยง
๑๒. ในขณะคูแขน ขา การคูสิ้นไป รูปไกลดับไป ไมถึงรูปใกล จึงมี
สภาวะไมเที่ยง
๒) ทุกขสัมมสนะ (พิจารณาเห็นความเปนทุกข)
ผูที่อายุยังนอยคบหาสมาคมกับคนวัยใกลเคียงกันอยูอยางรื่นเริง
ยอมยากที่จะเขาใจวารูปนามของตนเปนสิ่งที่นากลัว แตผูที่อายุมากขึ้นแลว
พบกับศพคนสูงอายุที่เสียชีวิตดวยโรคภัย อีกทั้งตนเองก็เจ็บปวยไมสบายคิด
ไดวาจะตองตาย ยอมสําคัญรูปนามของตนวานากลัว ในกรณีเดียวกัน ผูที่ไม
รูเห็นความเกิดดับของรูปนามโดยประจักษยอมไมสําคัญวารูปนามนากลัว
ตอเมื่อไดรูเห็นความเกิดดับของรูปนามวาไมไดตั้งอยูเพียงชั่วพริบตาเดียว
๗๑
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ยอมเขาใจวารูปนามนากลัว เพราะเกิดขึ้นแลวดับสูญไป หรือเขาใจวารูป
นามนากลัว นารังเกียจ ไมดีงาม เปนทุกขเพราะถูกบีบคั้นโดยความเกิดดับ
ดวยเหตุนี้ ผูที่รูเห็นความเกิดดับของสภาวะพอง-ยุบ นั่ง เหยียด คู
เคลื่อนไหวฯลฯ ยอมเขาใจวารูปดังกลาวนากลัว ไมดีงาม เปนทุกขเพราะถูก
บีบคั้นโดยความเกิดดับ หรือเพราะดับสูญอยูเสมอ หรือเพราะเปนที่ตั้งแหง
ทุกขที่ทนไดยาก
๓) อนัตตสัมมสนญาณ (พิจารณาเห็นความไมใชตัวตน)
มักปรากฏขึ้นในขณะเหลานี้ คือ
๑. เมื่อพบความเกิดขึ้นของรูปที่ไมตองการใหเกิดขึ้น
๒. เมื่อพบความดับไปของรูปที่ไมตองการใหดับไป
๓. เมื่อพบความเกิดขึ้นและความดับไปของรูปนามในปจจุบันขณะ
๔. ปญญาในการกําหนดรวม (สภาวธรรม) วาเปนอนัตตาเพราะเปน
สภาพไรแกนสาร ชื่อวา สัมมสนญาณ
ญาณที่ ๔ อุทยัพพยญาณ
ปญญาเห็นความเกิดขึ้นและการแปรไปของรูป-นาม หรือญาณที่
เปนไปดวยอํานาจการพิจารณาเห็น ความเกิดขึ้นและความดับแหงสังขาร
ทั้งหลาย มี ๒ อยาง คือ
๑) ตรุณอุทยัพพยญาณ คือ อุทยัพพยญาณอยางออน
ยั ง มี วิ ป ส สนู ป กิ เ ลส ๑๐ ประการปะปนอยู เรี ย กว า มั ค คามั ค ค
ญาณทั ส สนวิ สุ ท ธิ วิ ป ส สนู ป กิ เ ลส ๑๐ ประการ คื อ โอภาส ญาณ ป ติ
ปสสัทธิ สุข อธิโมกข ปคคหะ อุปฏฐานะ อุเบกขา และนิกันติ เมื่อขาดสติก็
จะเขาไปยึดถือวา “โอภาสเกิดขึ้นแกเราแลว” ก็จะเกิดวิปสสนูปกิเลสขึ้น
โดยการยึ ด ถื อ ๓ ทาง คื อ ยึ ด ถื อโดย ทิฏ ฐิ มานะ และตั ณ หา ที่เ รี ย กว า
อุปกิเลสเพราะเปนวัตถุ (ที่ตั้ง)ของอุปกิเลส มิใชเพราะเปนอกุศล สวนนิกันติ
เปนทั้งอุปกิเลสและเปนที่ตั้งของอุปกิเลสดวย เปนกิเลสในระดับผูมีวิปสสนา
ญาณ เมื่ อ เป น วิ ป ส สนาก็ จ ะมี ป รมั ถ ต เ ป น อารมณ ซึ่ ง หมายความว า
วิปสสนูปกิเลสเปนอารมณประเภทธรรมารมณ โดยมีอุปกิเลส ๑๐ เปนสิ่ง
๗๒
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
เราใหเกิดวิปสสนูปกิเลส โดยการยึดถือ ๓ ทางคือยึดถือโดยทิฏฐิ ยึดถือโดย
มานะ และยึ ด ถื อ โดยตั ณ หา และเกิ ด แก บุ ค คลผู ป ฏิ บั ติ ช อบ ผู มี ค วาม
พากเพียรในการปฏิบัติอยายิ่งยวด
๒) พลวอุทยัพพยญาณ คือ อุทยัพพยญาณอยางแก
ป ญ ญาที่ เ ห็ น ความเกิ ด -ดั บ ของรู ป นาม ผ า นอุ ป สรรคคื อ ผ า น
วิปสสนูปกิเลสไปไดดําเนินไปตามมรรคโดยตรง๒๕ เปนญาณที่เห็นไตรลักษณ
อย า งชั ด แจ ง ทุ ก ขณะที่ กํ า หนด สั น ตติ ไ ม ส ามารถป ด บั ง ให ค งเห็ น นิ จ จั ง
อิริยาบถไมสามารถปดบังใหคงเห็นสุข ฆนสัญญาไมสามารถปดบังใหคงเห็น
อัตตา จึงปหานมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งผูปฏิบัติจะพนไปจากอํานาจของวิปสสนูปกิเลส
ในสัจจกถากลาวสรุปไดวา“วิปสสนูปกิเลสจะไมเกิดขึ้นแก ๑) ผูบรรลุปฏิเวธ
แลว ๒) ผูปฏิบัติผิด ๓) ผูละทิ้งกรรมฐาน ๔) ผูเกียจครานการปฏิบัติ๒๖
จําแนกโดยสภาวะลักษณะ
อุท ยั พพยญาณในเบื้ อ งต น ไม ส ามารถกํ า หนดรู น ามรู ป อัน เป น
สภาวะธรรมพระไตรลักษณตามความเปนจริงได เพราะถูกอุปกิเลส ๑๐ ทํา
ใหมัวหมองลงฉะนั้น ผูปฏิบัติตองทําความเพียรตอไปอีกจนสามารถพนจาก
อุปกิเลส ๑๐ แลวอุทยัพพยญาณอยางแกที่พนจากอุปกิเลส ๑๐ ก็จะเกิดขึ้น
จนสามารถกําหนดรูพระไตรลักษณไดอยางมั่นคงชัดเจน๒๗
ลักษณะทั้งหลายไมปรากฏเฉพาะการที่ไมมนสิการ(ไมใสใจ) คือ
อนิจจลักษณะถูกสันตติปดบังไว เพราะไมมนสิการความเกิดและ
ความดับ
ทุกขลักษณะถูกอิริยาบถทั้งหลายปดบังไว เพราะไมมนสิการความ
เบียดเบียนเฉพาะหนา ดวยความเกิดขึ้นและความดับไป
๒๕
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๒ วิปสสนา
กรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : หจก. ทิพยวิสุทธิ,์ ๒๕๕๔), หนา ๑๑๖.
๒๖
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖-๗/๓๑๕-๓๑๗, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖-๗/๔๒๕-๔๒๖.
๒๗
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๔๐.
๗๓
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
อนัตตะลักษณะถูก(ฆนสัญญ) ความเปนกลุมกอนปดบังไว เพราะ
ไมมนสิการถึงความสลายตัวของธาตุตางๆ
เมื่อผูปฏิบัติเจริญวิปสสนาภาวนาจนบรรลุถึงอุทยัพพยญาณ อยาง
แกกลาแลวพิจารณากําหนดรูในไตรลักษณะ ๓ ปรากฏชัด ดังนี้
อนิจจลักษณะ คือ การเห็นความเกิดขึ้นและดับไปโดยขณะ และรู
ถึงความมีแลวไมมีรูความวางเปลาในเบื้องตนและที่สุด
ทุก ขลัก ษณะ คือการรู ถึงความเบี ยดเบีย นเฉพาะหน าด ว ยความ
เกิดขึ้น และดับไป แมสภาวะลักษณะก็ปรากฏชัดดวย เพราะมุงลงไปที่ตัว
ธรรมะ (รูปนาม) ที่เกิดขึ้นและดับไป แมสังขตลักษณะที่เปนไปชั่วขณะนั้นก็
ปรากฏชัด ในสภาวะลั กษณะ เพราะรู ว าไมมีความดับ ไปไหนขณะที่กําลั ง
เกิดขึ้น และรูวาไมมีความเกิดขึ้นในขณะที่กําลังดับไป
อนัตตลักษณะ คือ การเห็นคลื่นโดยปจจัย และรูวาธรรมทั้งหลาย
เปนไปตอเนื่องดวยปจจัยปราศจากผูกระทํา๒๘
เมื่ อ ผู ป ฏิ บั ติ ธ รรม กํ า หนดในลั ก ษณะดั ง กล า วมาแล ว ชื่ อ ว า
อุทยัพพยญาณอยางแกไดดําเนินไปตามวิถขี องตน ความตามความเปนจริง
ดวยเหตุนี้ อุทยัพพยญาณจึงเปนญาณที่สําคัญของปฏิปทาญาณทัส
สนวิ สุ ทธิ อัน เป น หนทางปฏิ บั ติ เ พื่อที่ จ ะให ถึงวิ สุ ทธิ ธ รรม ซึ่ง มีทางเดี ย ว
เทานั้น ดังพระพุทธพจนวา ผูใดมาเห็นสังขาร คือความเกิดขึ้นและดับไป
ของนามรู ป ว าไมเที่ยง เป นทุกข เปนอนั ตตา แมมีชีวิ ตอยู เพีย งวัน เดีย ว
ประเสริ ฐ กว า ผู ไม เ ห็ น ความเกิด และความดั บ ที่มีชี วิ ต อยู ตั้ งร อยป ด ว ย
ปญญานี้เปนหนทางอันบริสุทธิ์ ซึ่งไดแก อุทยัพพยญาณ๒๙
อนึ่ง วิปสสนาญาณนี้ เปนไปเนื่องดวยกับสติปฏฐาน คือ เห็นความ
เกิดขึ้นของนามรูปอันไดแกปจจยปริคคหญาณ เห็นความดับไปของนามรูป
อันนี้ไดแกสัมมสนญาณ เห็นทั้งความเกิดขึ้นและดับไปของนามรูปอันนี้ไดแก
อุทยัพพยญาณ ซึ่งเปนตีรณปริญญา และตอจากนั้นก็จะละความยึดมั่นถือ
๒๘
เรื่องเดียวกัน. หนา ๑๐๔๒.
๒๙
ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๑๓/๖๕.
๗๔
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
มั่น ดวยตัณหาและทิฏฐิ ซึ่งมาในมหาสติปฏฐานสูตรวา ตัณหาและทิฏฐิ ไม
อาศัย แลวอันนี้เปนปหานปริญญา ไดแก ญาณที่ตอจาก อุทยัพพยญาณขึ้น
ไป ตั้งแต ภังคานุปสสนาญาณเปนตนไปจนถึงมรรคญาณ๓๐
วิปสสนาจารยจะรูไดจากลักษณะของญาณนี้ดังตอไปนี้
๑. รูไดจากอัชฌัตติการมณ คืออารมณภายใน เชนบางโยคีจะบอก
เองวาเวลานี้ การกําหนดพองยุบไมเ หมือนแตกอนแลว รู สึกวาหายไปเร็ ว
เหลือเกิน อาการที่พองยุบหายไปเร็ว เกิดดับเร็ว นั้นเปนลักษณะของญาณ
นี้ เมื่อวิปสสนาจารยประสงคจะทราบวาถึงญาณนี้แลวหรือยัง แตโยคีก็ยัง
ไมบอกถึงอาการเหลานี้ เชนนี้ตองถามควบกันทั้ง ๒ ญาณ คือถามวาเวลานี้
การกําหนดเปนอยางไรบาง อาการพองยุบหายไปชาๆ หรือวาหายไปเร็วๆ
ถาตอบวาหายไปชาๆ ก็แสดงวาโยคียังไมถึงญาณนี้ ยังอยูเพียงสัมมสนญาณ
เทานั้น แตถาบอกวาหายไปเร็วๆ เกิดดับเร็ ว ก็แสดงวา โยคีถึงอุทยัพพย
ญาณแลว ลักษณะของญาณนี้เกิดดับเร็ว แตนั้นอาการพองยุบจึงปรากฏชัด
แตเพียง ๒ ขณะเทานั้น คือ ขณะแรกของอาการพองยุบ (อุปปาทะ) และ
ขณะสุดทายของอาการพองยุบ (ภังคะ) สวนฐีติขณะปรากฏเร็วมาก โยคีเห็น
ไมชัด จนรูสึกเหมือนกับวาไมปรากฏ
๒. รูไดจาก พหิทธารมณ คือ อารมณภายนอก ไดแก นิมิตตางๆ
ที่ปรากฏ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแลวก็หายไปอยางรวดเร็ว เพื่อแสดงความเกิดดับให
ปรากฏชัดเจน ฉะนั้นจึงปรากฏชัดแตเพียง ๒ ขณะ คือ อุปปาทะ (ขณะเกิด)
และภังคะ (ขณะดับ) ดังกลาวมาแลว เปรียบไดกับทอนไมที่โยนขึ้นไปใน
อากาศ พอสุดกําลังที่โยนขึ้นไปก็จะตกลงมาทันที ถาจะมีคําถามวา ทอน
ไม นั้ น เมื่ อ ขึ้ น ไปสู งสุ ด กํ าลั ง ที่ โ ยนไปแล ว ไม ตั้ ง อยู ก ลางอากาศหรื อ แก ว า
ตั้งอยูแตอาการที่ตั้งอยู (ฐีติขณะ) นั้นเร็วมาก จนไมสามารถกําหนดได จะ
กํา หนดได แต เ วลาโยนขึ้ น (อุป ปาทขณะ) และเวลาตกลงมา (ภั ง คขณะ)
เทานั้น สรุปวาอาการเกิดดับของนิมิตตางๆ ในญาณนี้เกิดเร็วแลวก็หายเร็ว
๓. รูไดจากอาการของเวทนา ทุกขเวทนาในญาณนี้ก็ยังมีอยูบาง
๓๐
ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๐-๑๔/๔๘-๗๓.
๗๕
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
แตเมื่อเกิดขึ้นพอกําหนดก็ดับไปเร็ว แลวก็เกิดขึ้นอีก ตั้งอยูไมนานก็ดับไป
เกิดขึ้นดับ ไปอยูอย างนี้เสมอ โยคีที่เคยนึกคร ามตอทุกขเวทนาในสัมมสน
ญาณนั้น เมื่อถึงระยะนี้จะไมรูสึกหวาดเกรงอีกตอไป เพราะรูลวงหนาอยู
แลววา เมื่อเวทนาเกิดไมชาก็ตองดับไป การที่เกิดขึ้นแลวดับไปอยูเชนนี้ ก็
เพื่ อ แสดงสภาวะเกิ ด ดั บ ให ป รากฏชั ด นั่ น เอง นี้ แ หละเป น ลั ก ษณะของ
อุทยัพพยญาณที่วิปสสนาจารยจะพึงรู
การเห็นรูปนามโดยปจจัยและขณะ
ผู ป ฏิ บั ติ จ ะเห็ น ความเกิ ด ขึ้ น และดั บ ไป ๒ ทางคือ โดยป จ จั ย ๑
และโดยขณะ ๑ ดวยการเห็นความเกิดขึ้นและดับไปของรูปนาม โดยอาศัย
อวิชชาเปนตนนั้น เปนการเห็นโดยปจจัย สวนการเห็นลักษณะแหงความเกิด
เฉพาะในขณะเกิดเทานั้น หรือการเห็นลักษณะ ของความแปรปรวน เฉพาะ
ในขณะดับเทานั้น เปนการเห็นโดยขณะ เมื่อผูปฏิบัติเห็นรูปนาม โดยปจจัย
และขณะอยูอยางนี้ อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท นัย ๔ อยาง และลักษณะ ๓
อยาง ก็จักปรากฏ คือ
ก) อริยสัจ ๔ ปรากฏชัด
๑. การเห็นความเกิดขึ้นโดยปจจัย สมุทยสัจยอมปรากฏ เพราะรู
ถึงปจจัยใหเกิด
๒. การเห็นความเกิดขึ้นโดยขณะ ทุกขสัจจยอมปรากฏ เพราะรู
วาความเกิดเปนทุกข หรือการเห็นความดับไป โดยขณะ และรูวาความดับไป
เปนทุกข ทุกขสัจยอมปรากฏ
๓. การเห็นความดับไปโดยปจจัย นิโรธสัจยอมปรากฏ เพราะรูวา
ธรรมทั้งหลาย ไมเกิดเพราะไมมีปจจัย
๔. การเห็นความเกิดขึ้นและดับไปโดยปจจัย โดยขณะ และกําจัด
เสียซึ่งความฟนเฝอในความเกิดขึ้นและความดับไป เปนมรรคสัจ ฝายโลกิยะ
ข) ปฏิจจสมุปบาท ๔ นัยยะ ปรากฏชัดดังนี้
ฝายอนุโลมเมื่อเห็นความเกิดขึ้นโดยปจจัยเพราะรูลงไปวา สิ่งนี้มีอยู
สิ่งนี้จึงมี ฝายปฏิโลม เมื่อเห็นความดับไปโดยปจจัยเพราะรูลงไปวา เพราะ
๗๖
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
สิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ๓๑
๑. เอกัตตนัย นัยแหงความเปนธรรมรวมเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน
คือการเห็นความเกิดขึ้นโดยปจจัย และรูถึงความไมขาดสาย และสืบตอของ
เหตุและผล ก็ละอุจเฉททิฏฐิ
๒ . มานั ต ตนั ย นั ย แห ง ความเป น ธรรมต า งกัน คื อการเห็ น ความ
เกิดขึ้นโดยขณะ และรูถึงความเกิดขึ้นของสังขารใหมๆ ละสัสสตทิฏฐิ
๓. อัพยาปารนัย ในแหงความไมขวนขวาย คือการเห็นความเกิดขึ้น
และดั บ ไป โดยป จ จั ย และรู ว า ธรรมทั้ ง หลาย ไม เ ป น ไปตามอํ า นาจ
ละอัตตทิฏฐิ
๔. เอวังธัมมตานัย นัยแหงความเปนธรรมดา ของธรรมทั้งหลาย
อยางนี้เอง คือการเห็นความเกิดขึ้นโดยปจจัย และรูถึงความเกิดขึ้นของผล
ตามสมควรแกปจจัย ละอกิริยทิฏฐิ๓๒
ค) ลักษณะ ๓ อยางปรากฏชัดดังนี้
๑. อนันตลักษณะ คือการเห็นความเกิดขึ้นโดยปจจัย และรูวาธรรม
ทั้งหลายเปนไปตอเนื่อง โดยปราศจากผูกระทํา
๒. อนิจจลักษณะ คือการเห็นความเกิดขึ้นและความดับไปโดยขณะ
และรูถึงความมีและไมมี เกิดแลวดับ รูถึงความวางเปลาในเบื้องตนและที่สุด
๓. ทุกขลักษณะ คือรูถึงความเบียดเบียนเฉพาะหนา ดวยความ
เกิดขึ้นความดับไป แมสภาวะลักษณะตามความเปนจริง เชน ไฟ รอน น้ํา
เหลว ก็ปรากฏชั ดดว ย แมสังขตลั กษณะ ที่เป นไปชั่วขณะก็ปรากฏชั ดใน
สภาวะลักษณะ เพราะรูวาความไมมีดับไปในขณะที่กําลังเกิดขึ้น และรูวาไม
มีความเกิดขึ้นในขณะที่กําลังดับไป
๓๑
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔๙-๕๒/๗๗-๘๓, ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘๗/๖๘๘.
๓๒
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔๙-๕๒/๗๗-๘๓, ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘๙, พระสัทธัมมโชติกะ
ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๒ วิปสสนากรรมฐาน, หนา ๑๑๗-๑๑๙.
๗๗
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ญาณที่ ๕ ภังคญาณ
ภังคญาณ ญาณที่พิจารณาเห็นการดับไปของรูปนามโดยสวนเดียว
ดังมีวจนัตถะแสดงวา อุทยํ มฺุจิตฺวา วเย ปวตฺตํ ญาณํ ภงฺคญาณํ แปลวา
ญาณที่ปลอยความเกิด แลวเปนไปในความเสื่อมชื่อวา ภังคญาณ องคธรรม
ไดแก ปญญาเจตสิกในมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต๓๓
ปญญาของผูที่เจริญวิปสสนากรรมฐาน จนถึงภังคญาณคือ ญาณที่
๕ เปนตนไป จึงจะไดนามวา อธิปญญา มีองค ๓ คือ
๑. อารมฺ ม ณปฏิ ส งฺ ขา พิจ ารณารู ป นามที่ เ กิด ขึ้ น เฉพาะหน า ซึ่ ง
เรียกวา “ปจจุบัน”
๒. ภงฺคานุปสฺสนา ตามเห็นเฉพาะความดับไปของรูปนามฝายเดียว
๓. สฺุญโต อุปฏฐานํ เห็นรูปนามปรากฏโดยความเปนของสูญ คือ
ว างเปล าจากสั ต ว บุ ค คล ตั ว ตน เรา เขา มีเ พีย งรู ป นามเทา นั้ น ถาใคร
พิจารณาเห็นอยางนี้จะละอัตตานุทิฏฐิเสียไดและพญามัจจุราชก็จะไมตาม
ทัน ซึ่งปรากฏอยูในพระไตรปฎกวา สฺุญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา
สโต อตฺตานุทิฏฐ ี โอหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น
ปสฺสติ. “ดูกอนโมฆราช เธอจงมีสติทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโลกโดยความเปน
ของสูญถอนอัตตานุทิฏฐิ คือ ความตามเห็นวาเปนตัวตนเสียไดเมื่อพิจารณา
เห็นอยางนี้ จึงจะขามพนพญามัจจุราชได เพราะพญามัจจุราชไมสามารถจะ
พบเห็นบุคคลผูพิจารณาเห็นโลกโดยอาการอยางนี้ได ดังนี”้ ๓๔
ภังคญาณนีเ้ ปนภูมิแหงปหานปริญญา คือเปนการกําหนดรูถึงขั้นละ
ได คือ รูถึงขั้นที่ทําใหถอนความยึดติดเปนอิสระจากสิ่งนั้นๆ ไดถูกตอง จัด
เขาในนิโรธสัจและมรรคสัจ คือ เปนตทังคนิโรธที่ดับตัณหาและอุปาทานดวย
องคนั้นๆ คือ ดับกิเลสดวยธรรมที่เปนคูปรับ หรือธรรมที่ตรงขาม เชน ดับ
สักกายทิฏฐิดวยความรูที่กําหนดแยกรูป-นามออกได เปนการดับชั่วคราวใน
๓๓
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๒ วิปสสนา
กรรมฐาน, หนา ๑๓๒.
๓๔
ขุ.สุ. (ไทย) ๒๕/๑๑๒๖/๗๗๒, อัตตานุทิฏฐิ หมายถึงสักกาทิฏฐิ.
๗๘
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
กรณีนั้นๆ และเริ่มแจงนิโรธ
นิโรธ แปลวา ความดับ นั้นมีอยู ๒ อยาง คือ
๑. อุปฺปาทนิโรธ ความดับของรูปนาม ในภังคญาณ
๒. อนุปฺปาทนิโรธ ความดับสนิทของขันธ ๕ คือ นิโรธสมาบัติ
นิโรธ แปลวา ความดับ มีอยู ๒ อยาง คือ ๑) ขณิกนิโรธ ความดับ
ชั่วขณะ หมายเอาความสิ้น ความเสื่อมไปของรู ปนาม ๒) อนุปฺป าทนิโรธ
การดับของอวิชาในสันดานของพระอรหันต
ญาณของผูเจริญวิปสสนาเมื่อถึงภังคญาณแลวเปนญาณมีกําลังแก
กล า ดํ า เนิ น ไปอยู เมื่ อ เป น เช น นี้ รู ป นามจึ งปรากฏเกิ ด ดั บ รวดเร็ ว ยิ่ ง ขึ้ น
เพราะรูปนามเกิดดับเร็วนี้เองเปนตนเหตุ สติจึงกาวลวงความเกิดแลวจดจอ
อยูเฉพาะความดับไปฝายเดียว ซึ่งจัดเปนภังคญาณ
อีกประการหนึ่งเพราะผูปฏิบัติธรรมนอมใจไปสูความดับจึงละความ
เกิดแลวเอาสติจดจอ เฉพาะความดับไปฝายเดียว ดังนั้น ญาณนี้จึงไดชื่อวา
ภังคญาณ
เมื่อวิปสสนาญาณไดเกิดขึ้นดังนี้แลว จิตไดอารมณปรมัตถ จึงทิ้ง
อารมณบัญญัติ ทั้งอารมณที่กําหนดและจิตที่รูจะปรากฏวาหายไปๆ แตผู
ปฏิบัติจะเห็นวา รูปหายไปกอน จิตหายไปทีหลัง อันที่แทนั้นหายไปพรอม
กัน การที่เปนเชนนั้น เพราะจิตกอนดับไปจิตหลังตามรู ดังหลักฐานรับรองไว
วา เยน จิตฺเตน ตํ รูปารมฺมณํ ขยโต ทิฏฐ ตสฺส จิตฺตสฺส ปเรน จิตฺเตน ภงฺคํ
อนุปสฺสติ. “จิตใดเห็นรูปารมณนั้น โดยความสิ้นไปเสื่อมไป ผูปฏิบัติธรรม
ยอมตามเห็นความดับไปของจิตนั้นดวยจิตอื่น”
บุรุษผูมีตาดี ยืนอยูที่ริมสระโบกขรณี หรือยืนอยูที่ริมแมน้ําแลดู
ฟองน้ําใหญๆ บนหลังน้ําในเมื่อฝนเม็ดใหญๆ ตกลงมา ซึ่งเกิดขึ้นแลวๆ ก็
แตกไป ฉันใด ผูเจริญวิปสสนาเมื่อถึงญาณที่ ๕ นี้แลวยอมพิจารณาเห็นรูป
นามดับไปฉันนั้นเหมือนกัน ดังพระบาลีวา ยถา ปุพฺพุฬฺกํ ปสฺเส ยถา ปสฺเส
มรีจิกํ เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุ ราชา น ปสฺสติ.
๗๙
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
“บุคคลพึงเห็น ฟองน้ําและพยับแดดที่เกิดขึ้นแลวดับ ไปฉันใด พึง
พิจารณาเห็นรูปนามฉันนั้น พระยามัจจุราชจึงจะไมตามทัน” ดังนี้
เมื่อผู ใดปฏิ บัติถึงญาณที่ ๕ นี้ ผู นั้นจะไดรับ อานิ สงส ๘ ประการ
ตามหลักฐานดังตอไปนี้วา ตสฺเสวํ สพฺเพ สงฺขาเร ภิชฺชนฺตีติ อภิณฺหํ ปสฺสโต
อฏฐานิสํสํ สปริวารํ ภงฺคานุปสฺสนาญาณํ พลปฺปตฺตํ โหติ.
เมื่อผูปฏิบัติธรรมพิจารณาอยูเนืองๆ เห็นแตความดับไปของรูปนาม
อยูอยางนี้ ภังคานุปสสนาญาณ มีกําลังแกกลายอมไดรับอานิสงสบริวาณถึง
๘ ประการ คือ:-
๑. ภวทิฏฐิปฺปหานํ ละสัสสตทิฏฐิ คือความเห็นวารูปนามเปนของ
เที่ยงเสียได
๒. ชีวิตนิกนฺติปริจฺจาโค ทอดอาลัยในชีวิต หมายความวา ยอมสละ
ชีวิตบูชาพระรัตนตรัยได เพราะมีศรัทธาแกกลา
๓. สทา ยุตฺตปฺปยุตฺโต ขยันหมั่นเจริญภาวนาบอยๆ
๔. วิ สุ ทฺ ธ าชี วิ ต า มี อ าชี พ อั น บริ สุ ท ธิ์ มี ค วามเป น อยู บ ริ สุ ท ธิ์ คื อ
ครองชีพโดยสุจริตธรรม หางไกลจากความอิสสาริษยากัน หางไกลจากความ
ประพฤติชั่วทางไตรทวาร
๕. อุสฺสุกฺกปฺปหานํ ละความหวงใยกิจนอยใหญเสียไดเพราะมีความ
สังเวชกลา โดยไดพิจารณาเห็นสังเวคธรรม ๘ ประการคือ ชาติ ชรา พยาธิ
มรณะ นรก ดิรัจฉาน เปรตอสุรกาย
๖. วิคตภยา ปราศจากภัย คือหมดภัย เพราะไมมีความเยื่อใยในตน
ตองการจะใหหลุดพนจากภัยในวัฏฏสงสารทั้งปวง
๗. ขนฺติโสรจฺจปฏิลาโภ มีความอดทน และสงบเสงี่ยม สัมมาคารวะ
ออนนอม สุภาพเรียบรอยดี
๘. อรติ ร ติ ส หนตา อดทนต อ ความไม ยิ น ดี ใ นเสนาสนะอั น สงั ด
ครอบงําความยินดีในกามคุณ และยินดีแตในอธิศีล อธิจิต อธิปญญา๓๕
๓๕
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) คูมือสอบอารมณกรรมฐาน,
พิมพครั้งที่ ๕ (กรุงเทพ : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๐), หนา ๓๑–๓๒.
๘๐
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ขั้นที่ ๔ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูป-นาม
การพิจารณาธรรมในขั้นนี้เปนผลจากภังคญาณ ทําใหเกิดปญญา
เห็นโทษเห็นภัยของรูป-นาม ซึ่งคือการที่รูปไมปรากฏชัดแกโยคีหรืออารมณ
ที่เคยกําหนดหายไป จนเห็นเปนภัย บางขณะรูปหายไปหมดเลยมีความรูสึก
ทุกขที่จิตมากเพราะอาการของจิตปรากฏชัดเจน กิเลสอนุสัยปรากฏชัด เห็น
รู ป -นามเป น โทษ เกิด อาการเบื่ อหน าย เซื่อ งๆ ซึม ๆ บางคนรู สึ ก ขี้เ กีย จ
กําหนดอารมณที่กระทบทางทวารทั้ง ๖ จัดเปนสภาวธรรมของบันไดขั้นนี้
การกําหนดรู๓๖ขันธ ๕ โดยอาการ ๔๐ พิจารณาเห็นทุกขลักษณะ
โดยอาการ ๒๕ ประการ๓๗ ดังนี้
๑. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนทุกข ทนอยูไมได ถูกบีบคั้นเนืองๆ
๒. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนโรค เสียดแทง เบียดเบียนอยูเสมอ
๓. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนคัณฑ เปนดุจหัวฝที่กลัดหนอง มีทั้ง
เลือด ทั้งหนอง ทั้งเจ็บ ทั้งปวด เชน เปนแผลเปอยเนา เปนมะเร็ง ขี้เรื้อนกุด
ถัง ผด ผื่น หนอคุดทะราด พุพอง เปนตน
๔. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนสัลละ เปนลูกศรปกเสียบ ทิ่มแทง
อยูเสมอ เชน เจ็บ ปวด เมื่อย คัน แสบ รอน หนาว หิว กระหาย เปนตน
๕. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนอฆะ คับแคบ เบียดเบียน เดือดรอน
๖. พิจ ารณาเห็ น ขัน ธ ๕ ว า เป น อฆมูล เป น รากเหงาเคามูล แห ง
ความคับแคบ แหงความเดือดรอน เพราะโรคภัย และกิเลสทั้งหลาย
๗. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนอาพาธ เจ็บปวย เชน ถูกยิง ถูกแทง
ถูกไฟ เปนไข เปนอัมพาต เปนหืด เปนหอบ เปนริดสีดวง เปนตน
๘. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนอีติ ความหายนะ
๙. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนอุปททวะ เชน ถูกรถทับ ถูกรถชน
ประสบกับอุปททวะเหตุอื่นๆ อีก สุดแทแตจะเกิด
๓๖
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๒/๘๒.
๓๗
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, พิมพครั้งที่ ๑๒, หนา ๑๐๑๘.
๘๑
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
๑๐. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนภัยเปนของนากลัว เพราะจะตอง
เผชิญกับภัยนานาชนิด เชน อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย โจรภัย ทุพภิกขภัย
ชาติภัย ชราภัย มรณภัย เปนตน
๑๑. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนอุปสัค สิ่งที่ขัดขวางกีดกันกางกั้น
ไมใหชีวิตดําเนินไปไดโดยราบรื่น
๑๒. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนอตาณะ ไมมีอะไรจะมาตานทาน
ไวได ตองเปนไปตามเหตุตามปจจัยของเขา เชน เจ็บ ตาย เปนตน
๑๓. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนอเลณะ ปองกันอะไรไมได จะหลีก
เรนอยูที่ไหนๆ ก็ไมพนทุกขไปได
๑๔. พิจ ารณาเห็ น ขั น ธ ๕ ว า เป น อสรณะ ไม มี ที่พึ่ ง เพราะต อ ง
แตกดับไป ทําลายไป สลายไป ทนอยูไมได
๑๕. พิจารณาเห็ นขันธ ๕ วาเป นอาทีนวะ มีทุกข มีโทษมาก ทั้ง
ภายนอกภายใน
๑๖. พิ จ ารณาเห็ น ขั น ธ ๕ ว า เป น วธกะ ผู ฆ า เพราะเป น ดุ จ นาย
เพชรฆาตคอยถือดาบเขนฆาสรรพสัตวอยูตลอดเวลาไมมียกเวนใครๆ
๑๗. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนสาสวะ เปนบอเกิดแหงอาสวะทั้ง
๔ คือ กามาสวะ อาสวะคือ กาม ภวาสวะ อาสวะคือ ภพ อวิชชาสวะ อา
สวะคืออวิชชา ทิฏฐาสวะ อาสวะคือ ทิฏฐิ
๑๘. พิจารณาเห็น ขัน ธ ๕ วาเป นมารามิส เป นเหยื่ อหลอก เป น
เหยื่อลอใหสรรพสัตวหลงติดบวง ดุจพรานเบ็ดตกปลาฉะนั้น
๑๙. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนชาติธัมมะ เกิดมารับกองทุกขเปน
ธรรมดา ไมลวงพนจากความเกิดไปได เกิดมาเมื่อใดก็หอบเอาทุกขมาเมื่อ
นั้น ดุจเห็นหัวงูโผลจากดินเมื่อใด ก็ดันเอาฝุนมาพรอมกันเมื่อนั้น ฉะนั้น
๒๐. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนชราธัมมะ มีความแก มีความเสื่อม
มีความทรุดโทรมเปนธรรมดา ไมมีใครหามและแกไขไดเลย
๒๑. พิจารณาเห็ นขันธ ๕ ว าเป นพยาธิธัมมะ มีความเจ็บไขเป น
ธรรมดา ไมมีใครลวงพนความเจ็บไขไปไดเลย
๘๒
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
๒๒. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนโสกธัมมะ มีความเศราโศกเปน
ธรรมดา เศราโศกเพราะเสื่อมญาติ เสื่อมทรัพย เปนโรค เปนตน ไมมีใครลวง
พนไปไดเลยแมแตคนเดียว เวนพระอริยเจาเทานั้น
๒๓. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนปริเทวธัมมะ มีความรองไหบ น
เพอเปนธรรมดา เพราะถูกความเสื่อมตางๆ ครอบงํา
๒๔. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนอุปายาสธัมมะ มีความคับแคนใจ
เปนธรรมดา คับแคนเพราะเหตุ ๕ ประการ มีความเสื่อมญาติ เปนตน โดย
องคธรรม ไดแก โทสะ นั่นเอง
๒๕. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนสังกิเลสกธัมมะ มีความเศราหมอง
เปนธรรมดา เศราหมองเพราะกิเลสทั้ง ๑๐ คือ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ
ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ
สภาวธรรมในขั้นนี้โยคีจะเห็นโทษเห็นภัยของรูป-นาม ซึ่งเปนผล
จากภังคญาณ คือการที่รูปไมปรากฏชัดแกโยคี หรืออารมณที่เคยกําหนด
หายไปเปนญาณที่ ๖ คือเห็นเปนภัย และโยคีกําหนดแลวรูปหายไปหมดเลย
หรื อ มีความรู สึ ก ทุกข ที่จิ ต มากเพราะอาการของจิ ต ปรากฏชั ด เจน กิ เ ลส
อนุสัยปรากฏชัดคือโทษ จัดวาเปนญาณที่ ๗ เห็ นโทษของรูป-นาม โยคีมี
อาการเบื่อหนาย เซื่องๆ ซึมๆ ในชีวิต เปนตน จัดเปนญาณที่ ๘ นิพพิทา
ญาณ หรือมีสภาวะที่โยคีรูสึกขี้เกียจกําหนดอารมณที่กระทบทางทวารทั้ง ๖
เปนตน จัดเปนสภาวธรรมของบันไดขั้นนี้ มีรายละเอียดดังนี้
ญาณที่ ๖ ภยญาณ หรือ ภยตูปฏฐานญาณ
ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นวารูปนามนี้เปนภัย เปนที่นากลัวเหมือน
คนกลัวสัตวรายเชน เสือ เปนตน ผูปฏิบัติจะเห็นวา ภพชาติทั้งปวง (คือการ
ที่จิตเขาไปอิงอาศัยอารมณตางๆนั้น) เปนของไมปลอดภัย เนื่องจากอารมณ
ทั้งปวงล วนแต เ กิด ดับ เปน ปญญาที่กําหนดจนรูเ ห็น วารู ป-นามนี้เ ปน ภั ย
เปนที่นากลัวเหมือนคนกลัวสัตวราย ผูปฏิบัติจะเห็นวาภพชาติทั้งปวง (คือ
การที่จิตเขาไปอิงอาศัยอารมณตางๆ นั้น) เปนของไมปลอดภัย เนื่องจาก
๘๓
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
อารมณทั้งปวงลวนแตเกิด-ดับ๓๘
คําวา “สภาพการณที่นากลัว” นั้น แบงออกเปน ๒ อยางคือ
๑) มูลวัตถุ ที่ตั้งอันเปนเคามูลแหงกองทุกข มีอยู ๕ อยาง คือ
๑. อุปปาทะ ไดแก ความเกิดขึ้นแหงขันธ ๕ อาศัยอดีตกรรม
ถาไมมีอดีตกรรม คือกรรมเกาที่ไดทําไวในภพกอนแลว ขันธเดี๋ยวนี้ก็จะไมมี
ขันธนี้จึงเปนของที่นากลัวมาก เพราะประกอบไปดวยทุกขนานาประการ
๒. ปวัตตะ ไดแก ความเปนไปไมขาดสายของรูปนามในรูปภพ
อรูปภพ เปนของที่นากลัว เพราะเปนทุกข ถูกทุกขตางๆ เบียดเบียนบีบคั้น
อยูเนืองๆ
๓. นิมิตตะ ไดแก รูปนามที่เปนอดีต ปจจุบัน เปนของไมเที่ยง
เปนทุกขทนอยูไมได เปนของบังคับบัญชาไมได ไมอยูในอํานาจของใครๆ
ทั้งสิ้น เปนของนิดหนอย วางเปลา ไมมีเจาของ ไมมีสาระแกนสาร มีแตตาย
ไปฝายเดียว ดังนั้น รูปนามจึงเปนของที่นากลัวสําหรับผูที่มีปญญาพิจารณา
๔. อายู ห นะ ได แก กรรมเป น เหตุ ใ ห ถือ ปฏิ ส นธิ อี กต อ ไปคื อ
กุศลกรรมนําไปเกิด ในสุคติโลกสวรรค อกุศลกรรมนําไปเกิดในอบายภูมิทั้ง
๔ ดังนั้น รูปนามจึงเปนของที่นากลัว
๕. ปฏิสนธิ ไดแก การเกิดอีก เพราะผลกรรมที่ทําไวดังกลาวมา
นั้น เมื่อเกิดเปนรูปนามขึ้นมาเมื่อใด ทุกขก็ตองติดตามมาเมื่อนั้น ดุจเห็นหัวงู
ดันดินขึ้นมาเมื่อใด ฝุนก็ติดขึ้นมาเมื่อนั้น ดังนั้นรูปนามจึงเปนของที่นากลัว
๒) ปริยายวัตถุ ที่ตั้งแหงกองทุกขโดยออม มีอยู ๑๐ อยาง คือ
๑. คติ ทางเปนที่ดําเนินไปแหงชีวิต เมื่อแตกตายทําลายขันธไป
แลว มี ๒ ทาง คือ ทุคคติ (ทางที่ไมดี คือไปเกิดในอบายภูมิ ๔ เพราะอํานาจ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง) สุคติ (ทางไปที่ดี คือไปเกิดเป นมนุ ษย
เทวดา พรหม เพราะอํานาจแหงกามาวจรกุศล รูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล)
๒. นิพพัตติ ไดแก ความปรากฏแหงขันธ แยกเปน ๓ อยางคือ
๓๘
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ. อานาปานสติภาวนา ลําดับการบรรลุธรรมของ
พระพุทธเจา, หนา ๓๓๐.
๘๔
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ก. นามนิพฺพตฺติ ไดแก วิบากปฏิสนธิในรูปภูมิ
ข. รูปนิพฺพตฺติ ไดแก วิบากปฏิสนธิในอสัญญสัตตภูมิ
ค. นามรูปนิพฺพตฺติ ไดแก วิบากปฏิสนธิใน ๒๖ ภูมิที่เหลือ
๓. อุปปตติ ไดแก ภพทีจ่ ะตองเกิด คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ
๔. ชาติ ไดแก ปฏิสนธิ มี ๓ คือ
ก. เอกโวการชาติ ไดแก ปฏิสนธิในอสัญญสัตตภูมิ
ข. จตุโวการชาติ ไดแก ปฏิสนธิในอรูปภูมิ
ค. ปฺจโวการชาติ ไดแก ปฏิสนธิใน ๒๖ ภูมิที่เหลือ
๕. ชรา ไดแก ความคร่ําครา ความแก ความเสื่ อมไปของรู ป
นามมีอยู ๓ อยางคือ
ก. สัมมติชรา แกตามสมมติโวหารของชาวโลก เชน ผมหงอก
ฟนหัก เปนตน
ข. สันตติชรา แกไปตามลําดับของรูปนาม นับตั้งแตปฏิสนธิ
จนกระทั่งถึงตาย มีความสืบตอ คือ สันตติอยูตลอดไป
ค. ขณิกชรา แกชั่วขณะหนึ่งๆ ไดแก ฐีติขณะ คือ อุปปาทะ
เกิด ฐีติ แก และภังคะ ตาย
๖. พยาธิ ไดแก ความเจ็บไข คือ ทุกขเวทนาเพราะถูกโรค ๔๙
อยางเบียดเบียน โรคในตา ในหู ในจมูก ในลิ้น ในกาย โรคในศีรษะ โรคใน
ปาก โรคฟน โรคไอ โรคหู โรคหืด (โรคสะอึก) โรคหวัด โรครอนใน (ไขพิษ)
ไขเชื่อม โรคในทอง ลมจับ โรคบิด จุกเสียด (ตะคริว) โรคลงราก โรคเรื้อน
โรคฝ โรคกลาก โรคมังครอ โรคลมบาหมู หิดเปอน หิดดาน คุดทะราด หูด
ละลอก อาเจี ย น โลหิ ต โรคดี เ ดื อ ด โรคเบาหวาน เริ ม พุ พ อง ริ ด สี ด วง
อาพาธมี ดี เ ป น สมุ ฏ ฐาน อาพาธมี เ สมหะเป น สมุ ฏ ฐาน อาพาธมี ล มเป น
สมุฏฐาน ไขสันนิบาต คือความเจ็บที่เกิดแตดี เสมหะ และลมทั้ง ๓ นี้เจือกัน
ความเจ็ บ เกิดแตฤดู แปรปรวน ความเจ็ บเกิด แตการผลัด เปลี่ย นอิริ ยาบถ
ความเจ็บเกิดแตความเพียรกลา ความเจ็บเกิดแตวิบากกรรม ความเจ็บเกิด
เพราะความเย็น ความรอน ความหิว กระหาย เกิดเพราะอุจจาระ ปสสาวะ
๗. มรณะ คือความตาย แบงออกเปน ๓ อยาง คือ
๘๕
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ก. สัมมติมรณะ ตายโดยสมมติ เชน นาย ก. ตาย
ข. ขณิกมรณะ ตายชั่ว ขณะหนึ่งๆ ตายอยูทุกฝกาว ทุกขณะ
หายใจเขาออก ทุกขณะตาเห็นรูป หูไดยินเสียง จมูกไดกลิ่น ลิ้นไดรส กาย
ถูกเย็นรอนออนแข็ง ใจคิดธรรมารมณ
ค. สมุจเฉทมรณะ ตายโดยตัดขาดจากวัฏฏสงสาร ไดแก การ
ตายของพระอรหันต
๘. โสกะ แปลวา ความเศราโศก มีลักษณะเรารอนอยูภายใน มี ๕
ประการ ไดแก พยสนะ คือความเสื่อม ๕
ก. ญาติพยสนโสกะ โศกเศราเพราะเสื่อมญาติ
ข. โภคพยสนโสกะ โศกเศราเพราะเสื่อมโภคะ
ค. โรคพยสนโสกะ โศกเศราเพราะโรคเบียดเบียน
ง. สีลพยสนโสกะ โศกเศราเพราะศีลวิบัติ
จ. ทิฏฐิพยสนโสกะ โศกเศราเพราะเห็นผิด
๙. ปริเ ทวะ การร่ําไห บน เพอ จําแนกออกเปน ๕ เช นกันคือ
โศกเศราเพราะเสื่อมญาติ เพราะเสื่อมโภคะ เปนตน
๑๐. อุปายาส ความคับแคนใจ ไดแก ความเศราโศกอยางสุดซึ้ง
องคธรรม ไดแก โทสเจตสิก มี ๕ อยางเหมือนกัน เชน ญาติพยสนอุปายาส
คับแคนใจเพราะเสื่อมญาติ คับแคนใจเพราะเสื่อมโภคะ คับแคนใจเพราะถูก
โรคเบียดเบียน เปนตน
โสกะ ปริเทวะ อุปายาส มีอุปมาดังนี้
โสกะ เปรียบเหมือนน้ํากะทิที่กําลังเดือด
ปริเทวะ เปรียบเหมือนน้ํากะทิที่เดือดเต็มที่แลว ลนกะทะออกมา
ขางนอก
อุปายาส เปรียบเหมือนน้ํากะทิที่ลนออกมานั้นเหือดแหงไป
พยสนะ คือ ความเสื่อมทั้ง ๕ ขอนี้ เปนเหตุ โสกะ ปริเทวะ
อุปายาส เปนผล
๘๖
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
มูลวัตถุ ๕ ปริยายวัตถุ ๑๐ นี้ เปนของที่นากลัวมาก เมื่อผูปฏิบัติ
พิจารณาเห็นวา รูปนามเปนของนากลัวเชนนี้ ก็จัดเปน ภยญาณ๓๙
ญาณที่ ๗ อาทีนวญาณ
อาทีน วญาณ หมายถึง ปญญาพิจ ารณาเห็ นทุกขเห็ นโทษของรู ป
นาม คือเมื่อเห็นวารูปนามปรากฏเปนของนากลัวแลว ก็จะเห็นทุกขเห็นโทษ
ของรูปนามเปนลําดับที่ ๗ ในวิปสสนาญาณ ๑๖ เห็นทุกขเห็นโทษของรูป
นาม คือปญญารูวารูปนามมีแตทุกข มีแตโทษ ไมมีคุณเลย เห็นสังขารธรรม
เปนโทษ มีแตความบกพรอง อยูดวยทุกขเสมอโดยอาการเห็นรูปนามซึ่งมีแต
ความดับไป หายไปวาไมดี มีโทษ เรียกวา อาทีนวญาณ๔๐
ปญญาที่กําหนดจนรูเห็น วารูป -นามนี้เปน โทษ เหมือนผูที่เ ห็นไฟ
กําลังไหมเรือนตนอยู จึงคิดหนีจากเรือนนั้นในระหวางที่อิงอาศัยอารมณนั้น
จิตไมไดมีความสุขจริง เพราะภพชาติทั้งปวงลวนแตมีทุกขมีโทษในตัวเอง
การเห็นทุกขโทษดวยปญญา ๑๕ อยาง คือ
๑. อุปปาอาทีนวญาณ เห็นทุกข โทษ ในการเกิดของรูปนาม
๒. ปวัตตอาทีนวญาณ เห็นทุกข โทษ คือ ความเปนของไมเที่ยง
เปนทุกข เปนอนัตตา ของรูปนามที่กําลังเปนไปอยู
๓. นิมิตตอาทีนวญาณ เห็นทุกข โทษ ของรูปนามที่เปนสัญลักษณ
บอกใหรูไดอยางชัดเจน เชน ผมหงอก ฟนหัก เปนตน
๔. อายูหนอาทีนวญาณ เห็นทุกข โทษ ของรูปนามที่สั่งสมเอากรรม
ตางๆ มาไว แลวนําใหเกิดวนเวียนอยูในภพตางๆ ลวนแตเปนอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา ทั้งนั้น หาสาระแกนสารอะไรมิไดเลย
๕. ปฏิส นธิอาทีนวญาณ เห็ นทุกข โทษ ในการถือปฏิสนธิ จะถือ
ปฏิสนธิในภูมิไหนๆ ก็เปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้น
๓๙
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) วิปสสนากรรมฐาน
ภาค ๑ เลม ๒, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทสหธรรมิก จํากัด, ๒๕๔๘ ),หนา ๑๘๓-๑๙๕.
๔๐
สยาดอภัททันตวิโรจนะ, วิธีเจริญมหาสติปฏฐาน เลม ๒, พิมพครั้งที่ ๑,
(กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพดีเอ็มจี, ๒๕๕๕), หนา ๒๑๖.
๘๗
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
๖. คติอาทีนวญาณ เห็นทุกข โทษ ในคติทั้ง ๕ คือ นรก ดิรัจฉาน
ปตติวิสัย มนุษย เทวดา จะเปนคติใดก็ลวนแตเปนทุกขทั้งนั้น
๗. นิพพัตติอาทีนวญาณ เห็นทุกข โทษ ในภพที่จะไปเกิด คือจะไป
เกิดในภพไหนๆ ก็ไมพนไปจากทุกขได
๙. ชาติอาทีนวญาณ เห็นทุกขโทษของรูปนามที่กําลังเกิดอยู
๑๐. ชราอาที น วญาณ เห็ น ทุ ก ข โทษ ในความแก ความเสื่ อ ม
ความทรุด โทรมของรูปนาม เชน ผมหงอก ฟน หัก หนั งเหี่ย ว ตามัว หูตึ ง
แรงนอยถอยกําลัง นั่งก็งวย จะลุกเดินไปไหนก็ไมสะดวก เปนตน
๑๑. พยาธิอาทีนวญาณ เห็ นทุกข โทษ ของรูปนาม เพราะถูก
โรคภัยหลายรอยหลายพันอยางเบียดเบียน มีอวัยวะที่ไหนก็เจ็บที่นั้น เชน
มีปากก็เจ็บปาก มีทอง มีไส มีแขน มีขา มีตา มีมือ ก็เจ็บปวดขึ้นได ในเมื่อ
ถูกโรคเบียดเบียน ตองวิ่งหาโอสถมาชวยปลดทุกข มีผาตัดเปนตนบาง สู
ไมไดก็ตายไป ถึงไมตายก็ตองนอนทุกขทรมานไปอีกนาน คือ เห็นวาจะตอง
แตกสลายพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ไมวันใดก็วันหนึ่ง
๑๓. โสกอาทีนวญาณ เห็นทุกข โทษ ในความโศกเศราตางๆ นานา
เพราะรูปนามแตกดับไป เสื่อมไป วิบัติไป เชน ญาติตายไป ทรัพยสูญหายไป
โรคภัยเบียดเบียน เปนตน
๑๔. ปริเทวอาทีนวญาณ เห็นทุกขโทษ ในการร่ําไห เพราะถูกความ
เสื่อมทั้ง ๕ มีเสื่อมญาติเปนตน ครอบงําอยูทุกรูปทุกนาม
๑๕. อุปายาสอาทีนวญาณ เห็นทุกข โทษ ของรูปนาม เพราะถูก
ความคับแคนใจครอบงํา
ญาณนี้ ปรากฏทั้งในคัมภี ร ป ฏิ สัมภิ ทามรรค (ญาณที่ ๘)๔๑ และ
คัมภีรวิสุทธิมรรค สาระสําคัญของญาณนี้ก็คือ ผูปฏิบัติจะเห็น (ภาพนิมิต)
รางกายที่คอยๆ พองขึ้นอืดที่บริเวณทอง ลําตัว แขน หลังมือ หลังเทา เปน
ตน สักระยะหนึ่งอาการพองอืดก็จะคอยๆ ยุบลงตามปกติ๔๒ เปนปญญาที่
๔๑
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๓/๘๔.
๔๒
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๓๒๒.
๘๘
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
กําหนดจนรูเห็นวารูป-นามนี้เปนโทษ เหมือนผูที่เห็นไฟกําลังไหมเรือนตนอยู
จึงคิดหนีจากเรือนนั้นในระหวางที่อิงอาศัยอารมณนั้น จิตไมไดความสุขจริง
เพราะภพชาติทั้งปวงลวนแตมีทุกขมีโทษในตัวเอง๔๓
ญาณที่ ๘ นิพพิทาญาณ
สภาวะของญาณนี้ : เมื่อ เห็น รูป -นามเปน ภัย และเปน โทษดว ย
ประการตา งๆ ทั้ง พิจ ารณาเห็น ซ้ํา เห็น ซากอยูอ ยา งนี้ ก็ยิ่ง เห็น ภัย เห็น
โทษชัดขึ้นก็เ ปนธรรมดาที่จะตองเกิด ความเบื่อหนายตอรูป-นามทั้งปวง
อัน เกิด จากปญ ญาที่เ ห็น แจง ถึง ภัย และโทษ ของสัง ขารรูป -นามทั้ง ปวง
มิใ ชเ บื ่อ หนา ยในอารมณอ ัน ไมเ ปน ที ่น า ชื ่น ชมยิน ดีอัน เนื ่อ งดว ยโทสะ
เพราะความเบื่อหนายอันเนื่องจากโทสะนั้นเปนการเลือกเบื่อหนายสิ่งใดที่
ไมชอบก็เบื่อหนาย แตสิ่งใดที่ยังชอบ อยูก็ไมเบื่อหนาย เปนตน แตวาการ
เบื ่อ หนา ยดว ยปญ ญาเปน การเบื ่อ หนา ยตอ สิ ่ง ทั ้ง ปวงไมใ ชเ ลือ กเบื ่อ
เหมือนอยางเนื่องดว ยโทสะ นิพพิทาญาณนี้เบื่อหนายตอสังขารรูป-นาม
ในทุก ๆ ภูมิ ที่เ บื่อ หนา ยสัง ขารรูป -นามในทุก ๆ ภูมิ ก็เ พราะสังขารรูป -
นามไมวาจะอยูในภูมิไหนก็เปนภัยเปนโทษทั้งนั้น
นิพพิทานญาณ ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นวา เกิดความเบื่อหนายใน
รูป-นาม เบื่อหนายในขันธ ๕ จิตคลายความเพลิดเพลินพึงพอใจในภพชาติ
ตางๆ ในขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค นิพพิทาญาณ ๘ ประการ คือ
๑. ชื่อวานิพพิทาญาณ เพราะพิจารณาเห็นวาไมเที่ยงหายใจเขารู
เห็นตามความเปนจริง
๒. ชื่อวานิพพิทาญาณ เพราะพิจารณาเห็นวาไมเที่ยงหายใจออกรู
เห็นตามความเปนจริง
๓. ชื่ อ ว า นิ พ พิ ท าญาณ เพราะพิ จ ารณาเห็ น ความคลายออกได
หายใจเขารูเห็นตามความเปนจริง
๔. ชื่ อ ว า นิ พ พิ ท าญาณ เพราะพิ จ ารณาเห็ น ความคลายออกได
หายใจออกรูเห็นตามความเปนจริง
๔๓
ขุ.จู.อ. (ไทย) ๖/๘๒๑/๖๕๑.
๘๙
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
๕. ชื่อวานิพพิทาญาณ เพราะพิจารณาเห็นความดับไปหายใจเขารู
เห็นตามความเปนจริง
๖. ชื่อวานิพพิทาญาณ เพราะพิจารณาเห็นความดับไปหายใจออกรู
เห็นตามความเปนจริง
๗. ชื่อวานิพพิทาญาณ เพราะพิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเขารู
เห็นตามความเปนจริง
๘. ชื่อวานิพพิทาญาณ เพราะพิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก
รูเห็นตามความเปนจริง๔๔
แตเมื่อจะกลาวโดยภาคปฏิบัติแลว ยอสรุปลงมาดังนี้ คือ:-
๑. ผูปฏิบัติเบื่อหนายตอรูปนามทางทวารทั้ง ๖
๒. รูสึกใจคอเหี่ยวแหง คลายๆ กับขี้เกียจ แตก็ยังกําหนดรูปนาม
ไดดีอยู
๓. ใจไมเบิกบาน มีอาการเศราโศกดุจพลัดพรากจากของรัก ของ
ชอบใจ ฉะนั้น
๔. มีใจเอือมๆ เบื่อๆ เมื่อกอนเห็นวาอบายภูมิ ๔ เทานั้น เปนของ
ไมดี สวนมนุษย เทวดา ยังเห็นวาดีอยู แตบัดนี้รูสึกวาพระนิพพานเทานั้นดี
ที่สุด นอกนั้นไมดีเลย
๕. มีใจนอมไป โอนไปสูพระนิพพาน
๖. กําหนดรูปนามไมเพลิดเพลิน
๗. ทุกๆ อยางที่กําหนดรู ไมเห็นมีดีที่ตรงไหนเลย มีแตไมดีทั้งนั้น
และไมมีความสนุกเพลิดเพลิน
๘. ไมอยากพูดจาปราศรัย กับใครๆ ไมอยากพบใคร อยากอยูใน
หองคนเดียวเทานั้น
๙. เมื่อกอนไดยิ น เขาพูด วาเบื่ อ แต ยั งไมเ คยเห็ นว าจะน าเบื่ อ
ตรงไหน แตบัดนี้รูแลววาเบื่อจริงๆ
๔๔
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๘๓/๒๘๘.
๙๐
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
๑๐. มีความรูสึกแหงแลงในใจคลายๆ กับอยูกลางสนามหญากวางๆ
ซึ่งแหงแลงเต็มทนมีแตแดดเผาใหหญาเหี่ยวแหงอยูตลอดเวลา
๑๑. ไมพอใจยินดีในโลกธรรม อยากจะใหถึงสันติเร็วๆ
๑๒. ทานอาหารนอย นอนนอย พูดนอย๔๕
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูป-นาม
การพิจ ารณาเห็ น สั งขารทั้ ง หลายเป น อนั ต ตา โดยเป น สิ่ งไม ใ ช
ตัวตน โดยเปนฝายอื่น โดยเปนของวาง๔๖ โดยเปนของเปลา โดยเปนของสูญ
โดยเปนของไมมีใครเปนเจาของ โดยเปนของไมมีใครเปนใหญ โดยเปนของ
ไมอยูในอํานาจใคร ผูพิจารณาเห็นดังนี้ ชื่อวา ไดยกขึ้นสูไตรลักษณแลว๔๗
การกําหนดรูขันธ ๕ โดยอาการ ๔๐๔๘ เห็นพระไตรลักษณ เฉพาะ
อนัตตลักษณะมี ๕ ประการ ดังนี้
๑. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนอนัตตา ไมใชตัวตน บังคับบัญชา
ไมได ไมอยูในอํานาจของใครๆ ทั้งสิ้น
๒. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนประ โดยความเปนปรปกษ
๓. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนริตตะ โดยความเปนของเปลา
๔. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนตุจฉ โดยเปนของวาง
๕. พิจารณาเห็นขันธ ๕ วาเปนสุญญะ โดยเปนของสูญ
เมื่อโยคีไดผานวิปสสนาญาณที่ ๖-๗-๘ เห็นภัย เห็นโทษ ตลอดจน
กระทั่งเกิดความเบื่อหนายในรูป-นามที่กําลังกําหนดอยูนั้นแลว จะเกิดความ
กลัดกลุมรําคาญอยางยิ่ง จึงอยากใครที่จะไปใหพนเสียจากรูป-นามที่กําหนด
อยูนั้น จากนั้นจะเกิดปญญาพิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูป-นาม อาการ
๔๕
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙), วิปสสนากรรมฐาน ภาค
๑ เลม ๒, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท สหธรรมิก จํากัด, ๒๕๔๘), หนา ๒๐๕-๒๒๒.
๔๖
วิสุทฺธ.ิ (ไทย) ๓/๒/๑๕๗.
๔๗
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๒/๘๒.
๔๘
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, พิมพครั้งที่ ๑๒, หนา ๑๐๑๘.
๙๑
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
พอง-ยุ บจะกลั บมาปรากฏชั ดอี กครั้ ง แต มี ความแปรปรวนของอารมณ ใน
ลักษณะของอนัตตา บังคับไมได๔๙ เห็นความเปนอนัตตา คือความไมใชตัวตน
ของรูป-นาม จึงทําใหจิตอยากพน อยากหนี เพราะกะเกณฑในอารมณไมได
ญาณที่ ๙ มุญจิตุกัมยตาญาณ
อิ มิ น าปน นิ พฺ พ ทาญาเณน อมสฺ ส กุ ล ปุ ตฺ ต สฺ ส นิ พฺ พิ นฺ ท นฺ ต สฺ ส
อุกฺกณฺฐนฺตสฺส อนภิรมนฺตสฺส สพฺพภวโยนิคติวิฺญาณฏฐิติสตฺตาวาสคเตสุ
สเภทเกสุ สงฺขาเรสุ สงฺขาเรสุ เอกสงฺขาเรป จิตฺตํ น สชฺชติ น ลคฺคติ น
พชฺฌติ, สพฺพสฺมา สงฺขารคตา มุจฺจิตุกามํ นิสฺสริตุ กามํ โหติ. ฯลฯ.๕๐
เมื่อเบื่อหนายเอือมระอาไมยินดีอยูดว ยนิพพิทาญาณ จิตไมของไม
เกาะไมติดอยูในสังขารที่มีความแตกดับ ที่ดําเนินไปอยูในภพ ๓ กําเนิด ๔
คติ ๕ วิญญาณฐิติ ๗ และสัตตาวาส ๙ แมอยางหนึ่ง เปนจิตที่ปรารถนาจะ
พนสลัดออกไปจากสังขารทั้งปวง โบราณขนานนามวา “ญาณมวนเสื่อ”
สภาวะของญาณนี้ คือ มีความรูสึกใครจะหนีใหพน เมื่อมันเบื่อแลวก็
ใครจะหนี มีความรูสึกอยากจะหนีไป เหมือนบุคคลที่อยูใน กองเพลิง มันก็
อยากจะไปใหพนจากกองเพลิงเหลานี้ จากนั้นเมื่อเพียรพยายามตอไปก็จะขึ้น
ญาณที่ โยคีบุคคลผูเจริญวิปสสนากรรมฐาน จนเกิดปญญาถึงกับมีความเบื่อ
หนายตอรูปธรรมนามธรรมอันเปนสังขารธรรม ตั้งหนาเจริญภาวนาตอไปโดย
ปราศจากความทอถอย มีความเบื่อหนายในรูป-นามยิ่งขึ้น ก็เกิดความมุง
หมาย ที่จะใหพนสิ่งที่ไมดี สิ่งที่ชั่ว เปนภัย เปนโทษ นาเบื่อหนาย คือสังขาร
รูป-นาม ที่มุงจะใหพนจากสังขารรูป-นาม ที่จะหนีจากสังขาร รูป-นามนี่
แหละเรียกวา มุญจิตุกมยตาญาณ การพนจากรูป-นาม การหนีจากรูป-นาม ก็
คือ การพนจากทุกขโทษภัยนั่นเอง เปนความมุงมั่นที่จะพนอยางแรงกลา อัน
เกิดจากปญญาที่เรียกวา ภาวนามยปญญา ไมใชนึกจะพนอยางเลื่อนลอย
โดยไมไดมีการเจริญภาวนาแตอยางใด
๔๙
สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๙๐/๑๗๑.
๕๐
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๓๒๖, อางแลว, คัมภีรว ิสุทธิมรรค, หนา ๗๕๖, ๑๐๙๑.
๙๒
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
เปนปญญาที่ปรารถนาจะพนไปจากฐานะทั้ง ๕ คือ ๑) ความเกิดขึ้น
ความบังเกิด ความเกิด ๒) ความเปนไป ความอุบัติ คติ ๓) นิมิต ความแก
ความเจ็บไข ความตาย ความเศร าโศก ความรําพัน ความคับแคนใจ ๔)
กรรมเปนเครื่องประมวลมา ๕) ปฏิสนธิ โดยการพิจารณาและดํารงมั่นอยู
ใน ๔ วาระ คือ (๑) เปนภัย - ปลอดภัย (๒) เปนทุกข - เปนสุข (๓) เปน
อามิส - ไมเปนอามิส (๔) เปนสังขาร (สังขารและอุเบกขา) – เปนนิพพาน
เปนปญญาความรูที่ปรารถนาจะปลดเปลื้อง(สังขารทั้งหลาย)ไปเสีย
เพราะในเวลานั้นทุกขเวทนาชนิดตางๆ ก็ปรากฏขึ้นในกายของโยคีผูนั้นดวย
และความไมตองการจะอยูในอิริยาบถอันหนึ่งอันเดียวนานๆ ก็ปรากฏขึ้น
โดยมากดวย ถึงแมความคิดเหลานั้นจะไมเกิดขึ้น แตความไมสะดวกสบาย
ของสังขารทั้งหลายก็ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น ในระหวางที่กําหนดอยู
เปนระยะๆ นั้น บุคคลผูปฏิบัติผูนั้นจะปรารถนาอยูอยางนี้วา ทําไฉน ฉันจะ
พนจากอิริยาบถนี้ไปเสียไดโดยเร็ว จะบรรลุสถานที่สงบของสังขารทั้งหลาย
เหลานี้ จะสลัดสังขารทั้งหลายนี้ออกไปเสียโดยสิ้นเชิง ดังนี้บาง
ในเวลานั้ น จิ ต ของผู ป ฏิ บั ติ จ ะปรารถนาอยู อ ย า งนี้ ทุ ก ๆ ครั้ ง ที่
กําหนดอยูวา (๑) ทําไฉน ฉันจะพนจากอิริยาบถนี้ไปเสียไดโดยเร็ว (๒) ทํา
ไฉน ฉันจึงจะบรรลุสถานที่สงบของสังขารทั้งหลายเหลานี้ (๓) ทําไฉน ฉันจึง
จะสลัดสังขารทั้งหลายนี้ออกไปเสียโดยสิ้นเชิง สามารถละติดการของอยูใน
กามภาวะได”๕๑
ในคัมภีรวิสุทธิมรรค กลาวถึง มุญจิตุกัมยตาญาณ๕๒ ไวดังนี้
แตเมื่อกุลบุตรผูนี้ เบื่อหนายอยู เอือมระอาอยู ไมอภิรมยยินดีอยู
ดวยนิพพิทาญาณนี้ จิตก็ไมของ ไมเกาะ ไมติดอยู ในสังขารทั้งหลาย ซึ่งมี
ความแตกดับ ที่ดําเนินไปอยูใน ภพ ๓ กําเนิด ๔ คติ ๕ วิญญาณฐิติ ๗
และสัตตาวาส ๙ ทุกหนทุกแหงแมแตสังขารเดียว เป นจิตที่ใครจะพนไป
ปรารถนาจะออกไปเสียจากสังขารทั้งปวง
๕๑
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ),วิปสสนานัยเลม ๒,๒๕๕๐, หนา ๓๐๔.
๕๒
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, ๒๕๕๔, หนา ๑๐๙๑- ๑๐๙๒.
๙๓
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
- ภพ ๓ ไดแก กามภพ รูปภพ อรูปภพ
- กําเนิด ๔ ไดแก อัณฑชะ ชลาพุชะ สังเสทชะ โอปปาติกะ
- คติ ๕ ไดแก นรก สัตวเดรัจฉาน เปรต มนุษย เทวดา
- วิญญาณฐิติ ๗ ไดแก
๑. มนุ ษยและเทวดาชั้ น กามาวจร เป น สัต ว จํ าพวกที่มีร างกาย
ตางกันมีปฏิสนธิตางกัน จึงเรียกวา นานัตตกายนานัตตสัญญี
๒. พรหมชั้นปฐมฌานและสัตวในอบายภูมิ เปนสัตวจําพวกที่มี
รางกายตางกัน แตมีปฏิสนธิเหมือนกัน จึงเรียกวา นานัตตกายเอกัตตสัญญี
๓. พรหมชั้นทุติยฌาน เปนสัตวจําพวกที่มีรางกายหมือนกัน แตมี
ปฏิสนธิตางกัน จึงเรียกวา เอกัตตกายนานัตตสัญญี
๔. พรหมชั้นตติยฌาน และเวหัปผลา เปนสัตวจําพวกที่มีรางกาย
และปฏิ ส นธิ เ หมื อ นกั น จึ ง เรี ย กว า เอกั ต ตกายเอกั ต ตสั ญ ญี แม พ รหม
สุทธาวาส ก็จัดเขาในขอนี้
๕. อากาสานัญจายตนพรหม ชื่อวา อากาสานัญจายตนสัญญี
๖. วิญญาณัญจายตนพรหม ชื่อวา วิญญาณัญจายตนสัญญี
๗. อากิญจัญญายตนพรหม ชื่อวา อากิญจัญญายตนสัญญี
- สัตตาวาส ๙ คือ วิญาณฐิติ ๗ ที่เพิ่ม อสัญญีสัตตพรหม และ เนว
สัญญานาสัญญายตนพรหม เขาไปดวย
ญาณที่ ๑๐ ปฏิสังขาญาณ
ปญญาเห็นสังขารทั้งหลายเปนทุกข โดยเหตุทั้งหลายวา โดยถูกบีบ
คั้นอยูเนืองนิตย โดยเปนสิ่งที่ทนยาก (คือทนอยูไมได) โดยเปนที่ตั้งของทุกข
โดยเป น โรค โดยเป น แผลฝ โดยเป นลู กศร โดยเป น ของชั่ ว ร าย โดยเป น
อาพาธ โดยเปนอุบาทว โดยเปนภัย โดยเปนอุปสรรค โดยไมมีที่ตานทาน
โดยไมมีที่กําบัง โดยไมมีที่พึ่ง โดยเปนโทษ โดยเปนมูลของความลําบาก โดย
เปนผูฆา โดยเปนสิ่งเปนไปกับอาสวะ โดยเปนเหยื่อของมาร โดยเปนสิ่งมี
ชาติ เ ป น ธรรมดา โดยเป น สิ่ ง มีช ราเป น ธรรมดา โดยเป น สิ่ งมี พ ยาธิ เ ป น
ธรรมดา โดยเปนสิ่งมีมรณะเปนธรรมดา โดยเปนสิ่งมีโสกะเปนธรรมดา โดย
๙๔
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
เปน สิ่งมีอุป ายาสเปน ธรรมดา โดยเป นสิ่งมีความเศราหมองเปนธรรมดา
ย อมเห็ น ไดโ ดยเป น ของไมงาม อัน เป น บริ ว ารแห ง ทุก ขลั ก ษณะโดยเหตุ
ทั้งหลายเชนวา โดยเปน สิ่งไมงาม โดยเปน สิ่งมีกลิ่นเหม็น โดยเปน สิ่งน า
รังเกียจ โดยเปนสิ่งปฏิกูล โดยเปนสิ่งมิใชกําจัด (ความปฏิกูล) ไดดวยการตบ
แตง โดยเปนสิ่งนาเกลียด โดยเปนสิ่งนาขยะแขยง
ปฏิสังขาญาณ คือ การเห็นสังขารทั้งหลายเปนอนัตตา โดยเปนสิ่ง
ไมใชตัวตน โดยเปนฝายอื่น โดยเปนของวาง โดยเปนของเปลา โดยเปนของ
สูญ โดยเปนของไมมีใครเปนเจาของ โดยเปนของไมมีใครเปนใหญ โดยเปน
ของไมอยูในอํานาจใคร ผูเห็นตามความเปนจริงดังกลาวมานั้นไดยกขึ้นสูไตร
ลักษณแลว เพราะเหตุไร จึงกําหนดสังขารทั้งหลายอยางนั้น การกําหนด
อยางนั้น เพื่อทําวิธีแหงการปลดเปลื้องใหสําเร็จ ๕๓
ยอมกําหนดเห็นความวางเปลา ๖ อยาง คือ
- กําหนดอายตนะภายในเปนของวางเปลาจากตัวตน
- วางเปลาจากความไมเที่ยง ยั่งยืน มั่นคง
- รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณก็เปนของสูญ
- วิญญาณที่อาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็วางเปลา
- สัมผัสทางทวารก็เปนของวางเปลา
พิจ ารณาความว า งเปล า อี ก ๙ ประการ คือ รู ป เวทนา สั ญ ญา
สังขาร วิญญาณ จักขุ ชรา มรณะ ไมมีแกนสาร ปราศจากสาระ เพราะไม
เทีย่ งเปนทุกข ไมใชตัวตน ไมยงั่ ยืน ไมตั้งมั่น เปนของแปรผัน๕๔
ผูที่เจริญวิปสสนาบรรลุถึงปฏิสังขานุปสสนาญาณนี้แลว เมื่อญาณมี
ความแกกลาจึงรูสึกวากําหนดไดดีกวาเดิม มีความคลายคลึงกับอุทยัพพย
ญาณและภังคญาณ เมื่อผูปฏิบัติบรรลุถึงญาณนี้แลว ยอมมีความกลาหาญ
อยางไมทอถอย ในขณะที่มีความพยายามอยางไมทอถอยนั้นอินทรีย ๕ ปรับ
เสมอกันดวยความสมดุลดี เปนเหตุใหบรรลุเขาสูวิปสสนาญาณเบื้องสูง
๕๓
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๓๒๘.
๕๔
วิสุทธิ. (บาลี) ๒/๓๓๑.
๙๕
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
เมื่อวาตามชื่อญาณ นี้ปรากฏทั้งในขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
(ญาณที่ ๙) และคัมภีรวิสุทธิมรรค สาระสําคัญของญาณนี้ก็คือ ผูปฏิบัติได
เห็ น ไตรลั กษณชั ด เจนที่ สุ ด กว า ทุก ญาณที่ ผ านมา การหยั่ ง รู ไ ตรลั ก ษณ มี
ประโยชนมากเพื่อจะไดยกจิตขึ้นสูไตรลักษณตอไป๕๕
ลั กษณะขางต น ที่กล าวมานั้ น ปรากฏชั ด ในวิ ป ส สนามรรคขั้น สู ง
แตในวิปสสนาของมรรคแรกเกิดขึ้นบาง คือบุคคลที่รูเห็นอนิจจลักษณะเปน
ตนอยางใดอยางหนึ่ ง ดวยวุฏ ฐานคามินี วิปสสนาแลวจะบรรลุมรรคญาณ
ตอจากนั้นการรูเห็นในลักษณะอยางใดอยางหนึ่งจึงนับวาบริบูรณ เพราะทํา
ใหบรรลุมรรคญาณได๕๖
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
อุเบกขา แปลวา ความวางเฉย ความวางใจเปนกลาง คือ ความวาง
เฉยแบบวางใจเปนกลางๆ ไมเอนเอียงเขาขางเพราะชอบ เพราะชัง เพราะ
หลง เพราะกลัว เชน ไมเสียใจเมื่อคนที่ตนรักถึงความวิบัติ ไมดีใจเมื่อศัตรูถึง
ความวิบัติ มิใชวางเฉยแบบไมไมรูไมชี้ ทั้งที่สามารถชวยเหลือได เปนตน๕๗
อุเบกขามี ๑๐ ประการ คือ๕๘
๑. ฉฬั ง คุ เ ปกขา อุ เ บกขาในอารมณ ๖ ภิ ก ษุ ผู เ ป น พระอรหั น ต
ขี ณ าสพเห็ น รู ป ด ว ยจั ก ษุ แ ล ว ย อ มไม ดี ใ จ ย อ มไม เ สี ย ใจ เป น ผู มี ส ติ มี
สัมปชัญญะเห็นเสมอกันอยู๕๙ อุเบกขานี้ชื่อวา ฉฬังคุเปกขา
๒. พรหมวิหารุเบกขา อุเบกขาอันใดคืออาการอันเปนกลางๆ ใน
๕๕
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, พิมพครั้งที่ ๑๒, หนา ๑๐๙๒ - ๑๐๙๔.
๕๖
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสสนานัยเลม ๒, หนา ๓๑๘.
๕๗
พระธรรมกิตติวงศ (ทองดี สุรเตโช), พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน
ฉบับคําวัดที่ชาวพุทธควรรู, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม,
๒๕๕๑), หนา ๑๓๘๙.
๕๘
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๒๘๓., วิ.มหา.อ. (ไทย) ๙/๒๖๕.
๕๙
องฺ.ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๑/๑๔๒, สํ.ม.อ. (ไทย) ๕/๖๐๐/๓๑๘.
๙๖
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
สัตวทั้งหลาย ซึ่งมาแลวอยางนี้วา ภิกษุมีจิตประกอบดวยอุเบกขาแผไปทาง
ทิศหนึ่งอยู๖๐
อุเบกขานี้ชื่อวา พรหมวิหารุเปกขา
๓. โพชฌั ง คุ เ ปกขา อุ เ บกขาอั น ใดคื อ อาการอั น เป น กลางๆ ใน
สหชาตธรรมทั้งหลาย ซึ่งมาแลวอยางนี้วา ภิกษุยอมยังอุเบกขาสัมโพชฌงค
อันอาศัยวิเวก อันอาศัยนิพพานใหเกิดขึ้น อุเบกขานี้ชื่อวาโพชฌังคุเปกขา๖๑
๔. วิ ริ ยุ เ ปกขา อุ เ บกขาอัน ใดกล าวคื อความเพีย รที่ไ มตึ งเครี ย ด
เกินไป และที่ไมหยอนยานเกินไป ซึ่งมาแลวอยางนี้วา ภิกษุผูโยคีบุคคล ยอม
มนสิการถึงอุเปกขานิมิตตลอดกาลโดยกาล อุเบกขานี้ชื่อวา วิริยุเปกขา๖๒
๕. สังขารุเปกขา อุเบกขาที่พิจารณาสภาพธรรมนิวรณเปนตน ลง
ความเห็นเปนกลางๆ ในการยึดถือสังขารอันมาแลวอยางนี้ วา สังขารุเปกขา
เกิดขึ้นดวยอํานาจสมถะมี ๘ สังขารุเปกขาเกิดขึ้นดวยอํานาจวิปสนสนามี
๑๐ อุเบกขานี้ชื่อวา สังขารุเปกขา๖๓
๖. เวทนุเปกขา อุเบกขาอันใดที่รูสึกไมทุกขไมสุข (คือเฉยๆ) ซึ่ง
มาแลวอยางนี้วา สมัยใดกามาวจรกุสลจิตอันประกอบดวยอุเบกขาเวทนา
เกิดขึ้น อุเบกขานี้ชี่อวา เวทนุเปกขา๖๔
๗. วิ ป ส สนุ เ ปกขา อุ เ บกขาอั น ใดคื อ ความเป น กลางๆ ในการ
พิจารณา ซึ่งมาแล วอย างนี้ วา ขันธ ๕ ใดมีอยู ขันธ ๕ ใดปรากฏชัด โยคี
บุคคลยอมละขัน ธ ๕ นั้ น ย อมได อุเ บกขาในขัน ธ ๕ นั้น อุเบกขานี้ ชื่ อว า
วิปสสนุเปกขา๖๕
๘. ตัตรมัชฌัตตุเปกขา อุเบกขาอันใดที่ยังสหขาตธรรมทั้งหลายให
เป น ไปเสมอกั น ซึ่ ง มาแล ว ในเยวาปนกธรรมทั้ ง หลายมี ฉั น ทะเป น ต น
อุเบกขานี้ชื่อวา ตัตรมัชฌัตตุเปกขา
๖๐
ที.สี. (ไทย) ๙/๕๕๖/๒๔๕.
๖๑
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๗/๒๖.
๖๒
อง.ติก. (ไทย) ๒๐/๑๐๓/๓๔๕.
๖๓
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๗/๒๖.
๖๔
อภิ.สง. (ไทย) ๓๔/-/๑๕๑.
๖๕
ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๗/๗๖, องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๕๕/๙๙-๑๐๐.
๙๗
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
๙. ฌานุเปกขา อุเบกขาอันใดที่ไมใหเกิดความเอนเอียงไปในฝาย
แมในฝายสุขอันเลิศนั้นก็ตาม ซึ่งมาแลวอยางนี้วา และเปนผูมีสัมปชัญญะ
เห็นเสมอกันอยู อุเบกขานี้ชื่อวา ฌานุเปกขา๖๖
๑๐. ปาริสุ ทธุเ ปกขา อุเบกขาอันใดที่บริสุ ทธิจ ากนิว รณและวิต ก
วิจารเปนตนมีอันไมขวนขวายแมในการสงบแหงธรรมอันเปนขาศึก เพราะ
ธรรมอันเปนขาศึกเหลานั้นสงบไปแลว ซึ่งมาแลวอยางนี้วา จตุตถฌาน อันมี
สติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา อุเบกขานี้ชื่อวา ปาริสุทธุเปกขา๖๗
อนึ่ง มุญจิตุกมยตาญาณเปนปญญาที่ใครหนีจากรูป-นาม ปฏิสังขา
ญาณเปนปญญาที่ไตรตรองมองหาอุบายหนีจากรูป-นาม และสังขารุเปกขา
ญาณเปนปญญาที่วางเฉยตอรูป-นาม รวม ๓ ญาณนี้ พยัญชนะตางกันจริง
แตวาอรรถเหมือนกัน คือจะหนีจากรูป-นาม ดังมีบาลีวา ยา จ มฺุจิตุกมฺย
ตา ยา จ ปฏิสงฺขานุปสฺสนา ยา จ สงฺขารุเปกฺขา อิเม ธมฺมา เอกตฺถา พย
ฺชนเมวนานํ. มุญจิตุกมยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ และสังขารุเปกขาญาณทั้ง
๓ ญาณนี้มีอรรถเดียวกัน แตชื่อพยัญชนะนั้นตางกัน๖๘
ญาณที่ ๑๑ สังขารุเปกขาญาณ
ป ญ ญาที่ ป รารถนาจะพ น ไป พิ จ ารณาดํ า รงมั่ น อยู ชื่ อ ว า
สังขารุเปกขาญาณ เปนอยางไร๖๙ คือ
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไปจากความเกิดขึ้น พิจารณาดํารงมั่นอยู
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไปจากความเปนไป พิจารณาดํารงมั่นอยู
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไปจากนิมิต พิจารณาดํารงมั่นอยู
ป ญ ญาที่ ป รารถนาจะพ น ไปจากกรรมเป น เครื่ อ งประมวลมา
พิจารณาดํารงมั่นอยู
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไปจากปฏิสนธิ พิจารณาดํารงมั่นอยู
๖๖
ที.สี. (ไทย) ๙/๒๓๐/๗๖.
๖๗
ที.สี. (ไทย) ๙/๒๓/๗๓.
๖๘
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒๗/๓๘๔.
๖๙
ขุ.ป (ไทย) ๓๑/๕๔/๘๖-๘๗.
๙๘
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไปจากคติ พิจารณาดํารงมั่นอยู
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไปจากความบังเกิด พิจารณาดํารงมั่นอยู
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไปจากความอุบัติ พิจารณาดํารงมั่นอยู
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไปจากความเกิด พิจารณาดํารงมั่นอยู
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไปจากความแก พิจารณาดํารงมั่นอยู
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไปจากความเจ็บไข พิจารณาดํารงมั่นอยู
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไปจากความตาย พิจารณาดํารงมั่นอยู
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไปจากความเศราโศก พิจารณาดํารงมั่นอยู
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไปจากความรําพัน พิจารณาดํารงมั่นอยู
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไปจากความคับแคนใจพิจารณาดํารงมั่นอยู
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไป พิจารณาดํารงมั่นอยูวา ความเกิดขึ้น
เปนทุกข เปนตน..... ฯลฯ จนถึง...ความคับแคนใจเปนทุกข
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไป พิจารณาดํารงมั่นอยูวา ความเกิดขึ้น
เปนภัย เปนตน..... ฯลฯ จนถึง...ความคับแคนใจเปนภัย
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไป พิจารณาดํารงมั่นอยูวา ความเกิดขึ้น
เปนอามิส เปนตน..... ฯลฯ จนถึง...ความคับแคนใจเปนอามิส
ปญญาที่ปรารถนาจะพนไป พิจารณาดํารงมั่นอยูวา ความเกิดขึ้น
เปนสังขาร เปนตน.... ฯลฯ จนถึง...ความคับแคนใจเปนสังขาร แมแต สังขาร
และอุเบกขา ก็เปนสังขาร
ความเปนไปในสังขาร ญาณเพงเฉยสังขารเหลานั้น เพราะเหตุนั้น
จึงชื่อวา สังขารุเปกขาญาณ
อุปมาดวยงูเหา : มีบุรุษคนหนึ่งอยากจะไดปลามาเปนอาหารจึงเอา
สุมๆ ลงไปในน้ําแลวงมตามไป เผอิญไปถูกงูเหาเขาจึงจับคองูภายในน้ําไวได
นึกกระหยิ่มอยูในใจวา เราจับปลาใหญได ครั้นยกขึ้นมาดูจริงๆ จึงรูวาเปน
งูเหาเพราะเห็นดอกจัน เขาหวาดกลัวมากเห็นโทษในการจับ เพราะเกรงจะ
ถูกงูกัดตายตองการปลอยใหพนไปจากตัวโดยเร็ว จึงหาอุบายปลอยคือจับ
หางงู คลายขนดจากแขนของตนแลวยกงูขึ้นแกวงไปวนมาอยู ๒ - ๓ รอบ ทํา
ใหงูอิดโรยออนกําลัง กอนแลวจึงโยนไป ตัวเองก็รีบขึ้นมาสูขอบบึงยืนดูทาง
๙๙
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
มาโดยหมายวา เราพนจากปากงูเหาแลว อุปมานี้เ ปรียบเทีย บไดกับญาณ
ตางๆ ไดดังนี๗๐
้ คือ
อุปมา เปรียบเหมือน
๑) ผูปฏิบัติไดอัตภาพมาเปน ตอนที่ บุ รุษ นั้ นจั บ งูเ ห าได แล ว เข า ใจว าเป นปลา
คนตั้งแตตน รูสึกวามีความยินดี แลวดีใจมาก
๒) นามรูปปริ จเฉทญาณ ถึ ง บุรุษนั้นดึงงูออกมาจากสุมแลเห็นจึงรูวาเปนงูแลว
ภยญาณ กลัว
๓) อาทีนวญาณ บุ รุ ษ คนนั้ น เห็ น โทษของงู ว า ถ า ถู ก งู ตั ว นั้ น กั ด ก็
จะตองมีอันตรายแกชีวิต
๔) นิพพิทาญาณ บุรุษนั้นเห็นทุกขโทษอันจะเกิดขึ้น เพราะถูกงูกัด
แลวเบื่อหนาย ไมอยากใหงูอยูในมือของตนอีก
๕) มุญจิตุกัมยตาญาณ บุรุษนั้นอยากจะปลอยงูใหพนไปจากตัว
๖) ปฏิสังขาญาณ บุรุษนั้นทําอุบายเพื่อปลอยงู
๗) สังขารุเปกขาญาณ บุ รุ ษ นั้ น จั บ งู แ กว ง ทํ า ให ห มดกํ า ลั ง ลง จนไม
สามารถจะเอี้ยวมากัดเขาได ใจก็วางเฉยอยู
๘) อนุโลมญาณ บุรุษนั้นกําลังจะปลอยงู และแนใจ มั่นใจวา ตน
ตองพนอันตรายโดยอุบายอยางนี้
๙) โคตรภูญาณ การปลอยงูใหพนจากมือของบุรุษนั้นแลวรีบไปยืน
๑๐) มรรคญาณ อยูขอบบึ
การยื นอยูงบนขอบบึงของบุรุษนั้น
๑๑) ผลญาณ การไปยืนอยูในที่ไมมีภัยยืนอยูในที่ปลอดภัย ยืน
อยูในที่ไมมีอันตรายแลว
๑๒) ปจจเวกฃณญาณ การแลดูทางมาของบุรุษ
๗๐
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, พิมพครั้งที่ ๕, หนา ๑๐๘๓ ,
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๒ วิปสสนา
กรรมฐาน, หนา ๒๐๑.
๑๐๐
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ความสืบเนื่องกันของญาณทั้ง ๓๗๑
มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ สังขารุเปกขาญาณ ทั้ง ๓ ญาณ
นี้โดยใจความเปนอันเดียวกัน ดังที่ปรากฏอยูในปฏิสัมภิทามรรค คือ
๑. ปญญาพิจารณาเห็นความเกิดดับของรูปนามแลวอยากหลุดพน
จากรูปนาม จัดเปนมุญจิตุกัมยตาญาณ
- ความตั้งใจพิจารณาดูความเกิดดับของรูปนาม จัดเปนปฏิสังขา
ญาณ
- ความวางเฉยตอความเกิดดับของรูปนาม จัดเปนสังขารุเปกขา
ญาณ
๒. ปญญาพิจารณาเห็นความเปนไปของรูปนามที่กําลังดับอยูแลว
อยากหลุดพนจากรูปนาม จัดเปน มุญจิตุกัมยตาญาณ
- ความตั้ ง ใจพิ จ ารณาดู รู ป นาม ที่ กํ า ลั ง เกิ ด ดั บ อยู นั้ น จั ด เป น
ปฏิสังขาญาณ
- ความวางเฉยในรูปนามที่กําลังเกิดดับอยูนั้น จัดเปน สังขารุเปก
ขาญาณ
๓. ปญญาที่พิจารณาเห็นนิมิต คือ ความไมเที่ยงไมยั่งยืน เปนตน
ของรูปนามทั้งปวง แลวอยากหลุดพนจากรูปนามนั้น จัดเปน มุญจิตุกัมยตา
ญาณ
- ความตั้งใจพิจารณาดูรูปนามนั้น จัดเปน ปฏิสังขาญาณ
- ความวางเฉยในรูปนามนั้น จัดเปน สังขารุเปกขาญาณ
๔. ปญญาที่พิจารณาเห็นกรรมที่เปนเหตุใหรูปนามเกิดอีกแลวอยาก
หลุดพน จัดเปน มุญจิตุกัมยตาญาณ
- ความตั้งใจพิจารณาดูรูปนามนั้น จัดเปน ปฏิสังขาญาณ
- ความวางเฉยในรูปนามนั้น จัดเปน สังขารุเปกขาญาณ
๕. ปญญาที่พิจารณาเห็นรูปนามปฏิสนธิ คือเห็นการเกิดขึ้นตอไป
๗๑
พระมหาณัชพล นราวงษ (ผูเรียบเรียง), คูมือการสอบอารมณสําหรับพระ
วิปสสนาจารย สภาวะของวิปสสนาญาณ ๑๖, (๒๕๕๓), หนา ๔๕๓.
๑๐๑
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
อีกของรูปนาม แลวอยากหลุดพนจัดเปน มุญจิตุกัมยตาญาณ
- ความตั้งใจพิจารณาดูรูปนามนั้น จัดเปน ปฏิสังขาญาณ
- ความวางเฉยตอรูปนามนั้น จัดเปน สังขารุเปกขาญาณ
๖. ปญญาพิจารณาเห็นคติของรูปนาม แลวอยากหลุดพนจัดเปน
มุญจิตุกัมยตาญาณ
- ความตั้งใจพิจารณารูปนามนั้น จัดเปน ปฏิสังขาญาณ
- ความวางเฉยในรูปนามนั้น จัดเปน สังขารุเปกขาญาณ
๗. ปญญาพิจารณาเห็นความบังเกิดขึ้นของขันธทั้งหลายแลวอยาก
หลุดพน จัดเปน มุญจิตุกัมยตาญาณ
- ความตั้งใจพิจารณารูปนามนั้น จัดเปน ปฏิสังขาญาณ
- ความวางเฉยในรูปนามนั้น จัดเปน สังขารุเปกขาญาณ
๘. ปญญาพิจารณาเห็นอุปปตติ คือ ความเปนไปแหงวิบากของรูป
นามที่กําลังเกิดดับอยู แลวอยากหลุดพนจากรูปนามนั้น จัดเปน มุญจิตุกัมย
ตาญาณ
- ความตั้งใจพิจารณาดูรูปนามนั้น จัดเปน ปฏิสังขาญาณ
- ความวางเฉยในรูปนามนั้น จัดเปน สังขารุเปกขาญาณ
๙. ปญญาพิจารณาเห็นชาติ คือ ความเกิดขึ้นของรูปนามแลวอยาก
หลุดพนจากรูปนาม จัดเปน มุญจิตุกัมยตาญาณ
- ความตั้งใจพิจารณาดูรูปนามนั้น จัดเปน ปฏิสังขาญาณ
- ความวางเฉยในรูปนามนั้นจัดเปน สังขารุเปกขาญาณ
๑๐. ป ญญาที่พิจ ารณาเห็ นความชรา ของรู ปนามนั้น แลว อยาก
หลุดพนจากรูปนาม จัดเปน มุญจิตุกัมยตาญาณ
- ความตั้งใจพิจารณาดูรูปนามนั้น จัดเปน ปฏิสังขาญาณ
- ความวางเฉยในรูปนามนั้น จัดเปน สังขารุเปกขาญาณ
๑๑. ปญญาพิจารณาเห็นความเจ็บไขของรูปนามแลวอยากหลุดพน
จากรูปนาม จัดเปนมุญจิตุกัมยตาญาณ
- ความตั้งใจพิจารณาดูรูปนามนั้น จัดเปน ปฏิสังขาญาณ
- ความวางเฉยในรูปนามนั้น จัดเปน สังขารุเปกขาญาณ
๑๐๒
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
๑๒. ปญญาที่พิจารณาเห็นความตายของรูปนามแลวอยากหลุดพน
จากรูปนาม จัดเปน มุญจิตุกัมยตาญาณ
- ความตั้งใจพิจารณาดูรูปนามนั้น จัดเปน ปฏิสังขาญาณ
- ความวางเฉยในรูปนามนั้น จัดเปน สังขารุเปกขาญาณ
๑๓. ปญญาที่พิจารณาเห็นความเศราโศก คือความเรารอนแหงใจ
เพราะประสบกับความเสื่อมญาติ เสื่อมทรัพย ถูกโรคภัยเบียดเบียน แลว
อยากหลุดพนจากรูปนามจัดเปน มุญจิตุกัมยตาญาณ
- ความตั้งในพิจารณาดูรูปนามนั้น จัดเปน ปฏิสังขาญาณ
- ความวางเฉยในรูปนามนั้น จัดเปน สังขารุเปกขาญาณ
๑๔. ปญญาที่พิจารณาเห็นปริเทวะ คือ ความพิไรรําพันบนเพอไป
ตางๆ นานา เพราะประสบกับ ความเสื่ อม ๕ ประการ มีความเสื่ อมญาติ
เปนตน แลวอยากหลุดพนจากรูปนาม จัดเปน มุญจิตุกัมยตาญาณ
- ความตัง้ ใจพิจารณาดูรูปนามนั้น จัดเปน ปฏิสังขาญาณ
- ความวางเฉยในรูปนามนั้น จัดเปน สังขารุเปกขาญาณ
๑๕. ปญญาที่พิจารณาเห็นอุปายาส คือ ความคับแคนใจ เพราะได
ประสบกับความทุกขแหงใจขนาดหนัก เนื่องจากญาติตายบาง ทรัพยสมบัต
วิบัติไปบาง ถูกโรคภัยไขเจ็บเบียดเบียนบาง เห็นผิดบาง ศีลวิบัติบาง โดย
องคธรรมไดแก โทสะนั้นเอง จัดเปน มุญจิตุกัมยตาญาณ
- ความตั้งใจพิจารณาดูรูปนามนั้น จัดเปน ปฏิสังขาญาณ
- ความวางเฉยในรูปนามนั้น จัดเปน สังขารุเปกขาญาณ
อาการที่ไดพรรณนามาทั้ง ๑๕ ขอนี้ จัดเปนลักษณะของญาณทั้ง ๓
แยกใหละเอียดออกอีก เพื่อประโยชนแกนักศึกษาและนักปฏิบัติ
ยอดของวิปสสนา
ธรรมดาต น ไม แ ละพื ช พั น ธุ ธั ญ ญาหารต า งๆ ต อ งมี ย อดฉั น ใด
วิปสสนาก็ฉันนั้น ตองมียอดเชนกัน ยอดของวิปสสนานั้นมีอยู ๒ อยาง คือ
๑.สิกฺขาปตฺตํ วิปสสนาที่ถึงยอด ถึงปลาย ถึงความสุดยอด ไดแก
สังขารุเปกขาญาณ ที่ครบองค ๖ เมื่อครบองค ๖ แลวผูนั้นก็มีหวังจะได
๑๐๓
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
บรรลุมรรค ผล นิพพาน อยางแนนอน
๒.วุฏฐานคามินี วิปสสนาที่ถงึ การออกไป คือ ไปสืบตอกันกับมรรค
ดังมีหลักรับรองไดวา “มคฺเคน สทฺธึฆฏิยติ. สืบตอกันกับมรรค”
วุฏฐานะ แปลวา ออกไป ไดแก มรรค ดวยเหตุ ๒ ประการคือ
๑. นิมิตฺตภูตโต อภินิวิฏฐวตฺถุโต ออกจากนิมิต ออกจากวัตถุ ที่
เปนเหตุใหยึดมั่นถือมั่น ไดแกขันธ ๕ ซึ่งเปนอารมณของวิปสสนานั่นเอง
๒. อชฺฌตฺตปฺปวตฺตนโต ออกจากความเปนไปแหงมิจฉาทิฏฐิใน
ภายในขันธสันดานของตน และออกจากกองกิเลสที่เปนไปตามมิจฉาทิฏฐินั้น
เพราะเหตุทั้ง ๒ ประการนี้ วิปสสนา นั้น จึงไดชื่อวา “วุฏฐานคามิน”ี
วิธีออกจากความยึดมั่นมี ๑๘ นัย
๑. ยึดมั่นรูปนามภายใน ออกเพราะรูปนามภายใน เชน บุคคลบาง
คนพิจารณารูปนามภายใน แลวพิจารณารูปนามภายนอก คือ รูปนามของ
ผูอื่น กับสังขารที่ไมมีใจครอง เห็นชัดวา เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล ว
กลับมาพิจารณารูปนามภายใน มรรคก็จะเกิดขึ้นดังนี้หลักฐานรับรองไววา
ตสฺเสวํ สมฺมสโตอชฺฌตฺตํ สมฺมสนกาเล วิปสฺสนา มคฺเคนสทฺธึฆฏิยติ.
เมื่อผู ป ฏิบั ติ พิจ ารณารูป นามอยูอยางนี้ ในเวลาพิจารณารู ปนาม
ภายใน วิปสสนาก็สืบตอกันกับมรรค มรรคจะเกิดก็เพราะวิปสสนา
๒. ยึดมั่นรูปนามภายใน ออกเพราะรูปนามภายนอก เชน พิจารณา
รูปนามภายในบาง พิจารณารูปนามภายนอกดังที่กลาวมาแลวนั้นบาง แต
ขณะทีพ่ ิจารณารูปนามภายนอก วิปสสนาก็สืบตอกับมรรคคือมรรคเกิด ก็ถา
หากวาผูปฏิบัตินั้นพิจารณารูปนามภายนอก วิปสสนาก็สืบตอกันกับมรรค
ตัวอยางเชน พระสารีบุตรไดฟงธรรมจากพระอัสสชิเพียงยอๆ วา
เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต
เตสฺจ โย นิโรโธ จ เอวํวาที มหาสมโณ.
“ธรรมเหลาใดเกิดแตเหตุ พระตถาคตตรัสเหตุแหงธรรมเหลานั้น
และตรัสความดับแหงธรรมเหลานั้น” ดังนี้
๑๐๔
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
พอฟ ง เท า นี้ ท า นก็ ส ามารถเข า ใจได ดี ว า “ยงฺ กิ ฺ จิ สมุ ท ยธมฺ มํ
สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺม.ํ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเปนธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล
ลวนมีความดับไปเปนธรรมดา”
ถาพิจารณาเห็นอยางนี้แลวออกจากขันธ ๕ คือมรรคเกิดชื่อวาออก
จากขันธ ๕ โดยประหาณคราวเดียว
๓. พิ จ ารณารู ป นามภายนอก ออกเพราะรู ป นามภายนอก เช น
พิจารณารูปนามของผูอื่นและสังขารที่ไมมีใจครอง แลวมรรคเกิด
๔. พิ จ ารณารู ป นามภายนอก ออกจากรู ป นามภายใน เช น
พิจารณารูปนามของคนอื่น และสังขารที่ไมมีใจครอง แลวกลับมาพิจารณา
รูปนามภายใน จึงไดบรรลุมรรค
๕. พิจารณารูป ออกเพราะรูป เชน พิจารณามหาภูตรูป อุปาทาย
รูป ทําใหเปนกองๆ แลวพิจารณาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เห็นแนชัด
วาไมใชรูปเปนแตนามเทานั้น แลวกลับมาพิจารณารูปอีก มรรคก็เกิดขึ้น ดัง
มีหลักฐานรับรองไววา “ตสฺเสวํ สมฺมสโต รูปสมฺมสนกาเล วิปสฺสนา มคฺเคน
สทฺธึฆฏิยติ. เมื่อผูปฏิบัติธรรมนั้น พิจารณาอยูอยางนี้ ในเวลาพิจารณารูป
วิปสสนาก็สืบตอกันกับมรรค คือ มรรคเกิด
๖. พิจารณารูปออกเพราะนาม เชน พิจารณารูป พิจารณานาม
ครั้นกลับมาพิจารณานาม มรรคก็เกิด ดังมีหลักฐานรับรองไววา สเจ ปนสฺส
อรูปสมฺมสนกาเล วิปสฺสนา มคฺเคน สทฺธึฆฏิยติ. ถาหากวา ผูปฏิบัติพิจารณา
รูปและนามอยู ครั้นกลับมาพิจารณานาม วิปสสนาก็เกิดสืบตอกันกับมรรค”
๗. พิจารณานามออกเพราะนาม เชน พิจารณานามแลวมรรคเกิด
๘. พิจารณาออกเพราะรูป เชน พิจารณาขันธ ๕ แลวพิจารณารูป
มรรคเกิด
๙. พิจารณารูปนามออกเพราะรูปนามพรอมกัน เชนพิจารณาวา
ยงฺ กิ ฺ จิ สมุ ทยธมฺ มํ ส พฺ พ นฺ ตํ นิ โ รธธมฺ มํ . สิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง มี ค วามเกิ ด ขึ้ น เป น
ธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลลวนมีความดับไปเปนธรรมดา ดังนี้แลวมรรคก็เกิด
๑๐๕
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
๑๐. พิจารณาอนิจจัง ออกทางอนิจจัง เชนเมื่อแรกพิจารณาอนิจจัง
กอน ตอมาพิจารณาทุกขัง และอนัตตา เวลาจะออกจริงๆ เห็นอนิจจัง ดัง
หลักฐานรับรองไววา ตสฺเสวํปฏิปนฺนสฺส อนิจฺจโต สมฺมสนกาเลวุฏฐานํ โหติ.
“เมื่อนักปฏิบัติธรรมนั้นปฏิบัติอยางนี้ เวลาพิจารณาอนิจจัง ยอม
ออกคือมรรคเกิด”
๑๑. พิจารณาอนิจจัง ออกทางทุกขัง เชน ครั้งแรกพิจารณาเห็น
อนิจจังครั้นจะถึงมรรคเห็นทุกขัง พอเห็นทุกข มรรคก็เกิด
๑๒. พิ จ ารณาอนิ จ จั ง ออกทางอนั ต ตา เช น ครั้ ง แรกพิ จ ารณา
อนิจจังกอน ตอมาพิจารณาเห็นทุกขัง ครั้นจะถึงมรรคอนัตตาปรากฏ แลว
มรรคก็เกิด ดังมีหลักฐานรับรองไววา “สเจ ปนสฺส ทุกฺขโต อนตฺตโต สมฺมสน
กาเลวุฏฐานํ โหติ. ก็ถาหากวา นักปฏิบัติธรรมนั้น ครั้งแรกพิจารณาเห็น
อนิจจัง ตอมาเห็นทุกขัง พิจารณาเห็นอนัตตา มรรคก็เกิด
๑๓. พิจารณาเห็นทุกข ออกทางทุกข เชน เมื่อแรกพิจารณาเห็นทุก
ขัง ต อมาเห็ น อนิ จ จั ง และอนั ต ตาครั้ น จวนจะถึงมรรค ทุ กขก็ป รากฏชั ด
แลวมรรคก็เกิด
๑๔. พิจารณาเห็นทุกขัง ออกทางอนิจจัง เชน เบื้องแรก เห็นทุกข
ตอมาเห็นอนิจจัง และอนัตตา ครั้นจวนจะถึงมรรค อนิจจังปรากฏชัด แลว
มรรคก็เกิด
๑๕. พิจ ารณาเห็นทุกข ออกทางอนัต ตา เช น เบื้องแรกเห็นทุกข
ตอมาเห็นอนิจจัง และอนัตตา เมื่อจวนจะถึงมรรคอนัตตาปรากฏชัด แลว
มรรคก็เกิด
๑๖. พิจ ารณาเห็ น อนั ต ตา ออกทางอนั ต ตา เช น เบื้ องแรกเห็ น
อนัตตา ตอมาเห็นอนิจจังและทุกขัง ครั้นจวนจะถึงมรรคอนัตตาปรากฏชัด
แลวมรรคก็เกิด
๑๗. พิจารณาเห็นอนัตตา ออกทางทุกขัง เชน เบื้องแรกเห็นอนัตตา
ตอมาเห็นอนิจจังและทุกขัง ครั้นจวนจะถึงมรรค ทุกขปรากฏชัดมรรคก็เกิด
๑๘. พิจารณาเห็นอนัตตา ออกทางอนิจจัง เชน เบื้องแรกเห็น
อนัตตา ตอมาอนิจจังและทุกขังปรากฏ ครั้นจวนจะถึงมรรคอนิจจังปรากฏ
๑๐๖
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ชัด แลวมรรคก็เกิด
วุฏฐานคามินีวิปสสนา
สังขารุเปกขาญาณ แปลวา ปญญาพิจารณาเห็นรูปนาม เปนทุกข
เปนโทษ เกิดความเบื่อหนายอยากหลุดพน ตั้งใจปฏิบัติ วางเฉยตอรูปนาม
เรี ย กว า วิ ป ส สนาญาณที่ แกก ล า ถึงความเป น ยอด เรี ย กว า วุ ฏ ฐานคามิ นี
วิปสสนา แปลวา เตรียมกําลังออกจากกิเลสและกองทุกขดวยอํานาจแหง
มรรค ดังที่ไดบรรยายมาแลว จึงสรุปผลไดเปน ๔ ขอ ดังนี้ คือ
๑. ผูที่เห็นรูปนามเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในเบื้องตนแตเวลาถึง
มรรค ก็เห็นอนิจจังชัด ผูนั้นมากดวยอธิโมกข คือ มีสัทธามาก ไดสัทธินทรีย
ยอมหลุดพน คือถึงพระนิพพานดวยอนิมิตตวิโมกข เปนสัทธานุสารีในขณะ
มรรคที่ ๑ คือ โสดาปตติมรรค เปนสัทธาวิมุต ในฐานะ ๗ คือ โสดาปตติผล
๑ สกิทาคามิมรรค ๑ สกิทาคามิผล ๑ อนาคามิมรรค ๑ อนาคามิผล ๑ และ
อรหัตตมรรค ๑
๒. ถ า ออกทางทุ ก ข คื อ เมื่ อ ถึ ง มรรค เห็ น แจ ง ทุ ก ข ผู นั้ น มาก
ด ว ยป ส สั ท ธิ คือ ความสงบ ได ส มาธิ น ทรี ย ย อ มหลุ ด พน ด ว ยอั ป ปณิ หิ ต
วิโมกข เปนกายสักขีในที่ทุกแหง
๓. ถาผูใดเจริญสมถกรรมฐาน จนไดอรูปฌานแลว เอาเปนบาท
ของวิปสสนา เจริญวิปสสนาตอ จนไดบรรลุอรหัตตมรรค อรหัตตผล ผูนั้น
เปนอุภโตภาควิมุตในผลอันเลิศ คือ อรหัตตผล
๔. ถาออกทางอนัตตา ผูนั้นมากดวยเวทะ คือความรูยอมไดปญญิ
นทรีย หลุดพนดวยสุญญวิโมกข เปนธัมมานุสารีในขณะมรรคที่ ๑ คือ โสดา
ปตติมรรค เปนทิฏฐิปตตะในฐานะ ๖ คือ ในขณะโสดาปตติผล ๑ สกิทาคามิ
มรรค ๑ สกิ ท าคามิ ผ ล ๑ อนาคามิ ม รรค ๑ อนาคามิ ผ ล ๑ และ
อรหัตตมรรค ๑ เปนปญญาวิมุต ในผลอันเลิศ คือ อรหัตตผล
เพื่อให วุ ฏ ฐานคามินี วิ ป ส สนานี้ แจ มแจ ง พร อมกับ ญาณต น คือ ภยญาณ
อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ สังขารุเปกขา
๑๐๗
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ญาณ อนุโลมญาณ กับญาณสุดทาย คือ โคตรภูญาณ จึงมีอุปมาตอไปนี้ คือ
:-
อุปมาคางคาว
ยังมีคางคาวตัวหนึ่งจับแอบอยูที่ตนมะปรางที่มีกิ่ง ๕ กิ่ง โดยตั้งใจ
วาจะไดด อกผลในตนไมนั้น ครั้นไปจับกิ่งที่ ๒-๓-๔-๕ ก็ไมมีอะไร ไมพบ
อะไรอีกเชนกัน จึงไดทอดอาลัยในตนไมนั้นวา ตนไมนี้ไมมีดอก ไมมีผลอะไร
ที่ควรถือเอาไดเลย แลววิ่งไปตามกิ่งตรงยอดโผลศีรษะตรงระหวางคาคบ
แหงนดู ข า งบนแล ว บิ น ไปในอากาศ ไปแอบอยู ที่ ต น มี ผ ลต น อื่ น ๆ พึ ง
เปรียบเทียบกับ การปฏิบัติดังนี้ คือ :-
ผูปฏิบัติวิปสสนา เปรียบเหมือนคางคาว
อุปทานขันธทั้ง ๕ เหมือนตนมะปรางมี ๕ กิ่ง
การยึดมั่นขันธ ๕ เหมือนกับการไปแอบจับที่กิ่งทั้ง ๕ ของคางคาว
ผูปฏิบัติ พิจารณาขันธที่ ๑ ไมเห็นมีอะไรที่ควรยึด มั่นจึงพิจารณา
ขันธที่ ๒-๓-๔-๕ ก็ไมพบอะไรอีก เปรียบเหมือนคางคาวนั้น ไปจับกิ่งที่ ๑
ไมเห็นมีอะไร จึงบินไปจับกิ่งที่ ๒-๓-๔-๕ ก็ไมเห็นมีอะไรอีกฉะนั้น
การที่ผูปฏิบัติเบื่อหนาย เพราะเห็นวาขันธ ๕ เปนอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา แลวเกิดญาณทั้ง ๓ คือ มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ และสัง
ขารุเปกขาญาณ เปรี ยบเหมือนคางคาวนั้ นสละความอาลัย ทอดอาลัยใน
ตนไมนั้นวา ตนไมนี้ไมมีดอกผลอะไรเลย
อนุโลมญาณของผูปฏิบัติ เปรียบเหมือนการไตขึ้นขางบน โดยกิ่ง
ตรงของคางคาว
โคตรภู ญ าณ เปรี ย บเหมื อ นการชะโงกศี ร ษะแลดู เ บื้ อ งบนของ
คางคาว
มรรคญาณ เปรียบเหมือนการบินไปในอากาศของคางคาว
ผลญาณ เปรียบเหมือนการบินไปจับอยูที่ตนไมมีผลตนอื่น
ปจจเวกขณญาณ เปรียบเหมือนการแลดูทางมาของคางคาว
๑๐๘
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
อุปมาโค
ความว า โคของชาวนาคนหนึ่ ง เมื่อเจ าของนอนหลั บ ไปในเวลา
กลางคืน แหกคอกหนีออกไป พอตอนจวนสวาง เจาของโคไปที่คอกแลดูก็ไม
เห็น รูวาโคหนีไป ออกติดตามรอยเทาไป พบโคของหลวงเขาใจวา เปนโค
ของตัว จึงจับจูงมา พอเวลาสวางจําไดวาโคนี้มิใชของตัว เปนโคของหลวง
รูสึกกลัว คิดวาถาพวกตํารวจยังไมจับเรา เรายังไมถึงความฉิบหายเพียงใด
เราจักหนีไปเพียงนั้น จึงทิ้งโคแลวหนีไปโดยเร็วหยุดอยูในที่พนภัย
ในขอนั้น มีอุปมาอุปมัยกับขอปฏิบัติดังนี้ คือ
การยึดมั่นขันธ ๕ วา เรา ของเรา ของปุถุชนคนโง เปรียบเหมือน
การจับโคของหลวง โดยเขาใจผิดคิดวา โคของตน
การรู ขันธ ๕ ว ามีแต รูปนาม เกิดมาเพราะเหตุปจ จัย เปนของไม
เที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา มีแตความเกิด-ดับ และดับไปฝายเดียว ไดแก
ญาณที่ ๑-๒-๓-๔-๕ ซึ่งเปรียบเทียบเหมือนกันกับการจําไดวาเปนโคของ
หลวง ฉะนั้น
ญาณที่ ๖-๗-๘ เปรียบเหมือนเวลากลัวเห็นโทษ และเกิดความเบื่อ
ของชายคนนั้น
ญาณที่ ๙-๑๐-๑๑ เปรียบเหมือนความอยากหนีไปของชายคนนั้น
หาหนทางหนี แลวเดินไปเฉยเหมือนไมมีอะไรเกิดขึ้น
ญาณที่ ๑๒ เปรียบเหมือนการเตรียมเดินตรงไปตามทางของชาย
คนนั้น เพราะรูแนแลววาตองไปทางนี้
ญาณที่ ๑๓ เปรียบเหมือนการสละโค
ญาณที่ ๑๔ เปรียบเหมือนการหนีไป
ญาณที่ ๑๕ เปรียบเหมือนการหนีไปยืนอยูในที่ปลอดภัย
ญาณที่ ๑๖ เปรียบเหมือนการดูทางมาของตน ฉะนั้น
อุปมายักษิณี
ความว า บุ รุ ษคนหนึ่ งไดอยู รว มกัน กับนางยักษิณี นางยั กษิณีนั้ น
ครั้นเวลากลางคืน พอรูวาผัวหลับแลวก็ไปสูปาชาผีดิบกินเนื้อมนุษยอยู ชาย
๑๐๙
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ผูเปน ผัวตื่น ขึ้นคิดวา นางนี้ไปไหน จึงออกติดตามไปพบนางกําลังกินเนื้ อ
มนุษยอยู รูวาเปน อมนุษยจึงกลัวแล วรีบหนีไปโดยเร็ว หยุดยืนในที่เกษม
ปลอดภัย
ในขอนั้น มีการเปรียบเทียบกับญาณในการปฏิบัติดังนี้ คือ
การยึดมั่นขันธ ๕ วา เรา ของเรา เปรียบเหมือนการอยูรวมกันกับ
นางยักษิณี
การเห็นรูปนาม เห็นพระไตรลักษณ รูวาขันธ ๕ เปนของไมเที่ยง
ไดแก ญาณที่ ๑-๒-๓-๔-๕ เปรียบเหมือนการเห็นนางยักษีณีเคี้ยวกินเนื้อ
มนุษยอยูในปาชา จึงรูวา นี้เปนนางยักษิณี
ญาณที่ ๖-๗-๘ เปรียบเหมือนเวลากลัวนางยักษิณี เห็นโทษเบื่อ
ญาณที่ ๙-๑๐-๑๑ เปรียบเหมือนเวลาตองการหนี หาทางหนีแลว
ทําใจเฉยๆ
ญาณที่ ๑๒-๑๓ เปรียบเหมือนการละนางยักษิณี
ญาณที่ ๑๔ เปรียบเหมือนการหนีไปโดยเร็ว
ญาณที่ ๑๕ เปรียบเหมือนการหยุดยืนอยูในที่พนภัย
ญาณที่ ๑๖ เปรียบเหมือนการยืนแลดูทางมาของตน
ผลที่เกิดขึ้นในเมื่อถึงสังขารุเปกขาญาณ มีอยูอีก ๙ ประการ คือ
๑. ปฏิสฺสติ มีสติชัดขึ้น องคธรรมคือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เพราะ
เมื่อสติมีกําลังแกกลาแลว ความโลภ ความโกรธ ความหลงไมมี ใจก็วางเฉย
อยูก ับรูปนาม อุปมาเหมือนไฟฟาที่มีกําลังกลาปรากฏชัดดี ความมืดก็ไมมี
๒. วิ ร ตฺ ต จิ ตฺ ต จิ ต ไมยึ ด มั่ น ไมถือ มั่น ไมผู กพัน ไมเ กี่ย วเกาะ ไม
กําหนัดพอใจ อยูก ับรูปนาม จึงมีความวางเฉย
๓. นชฺโฌสติฏฐน ไมรับไวเปนอารมณ คือไมรับเบญจขันธวาเปน
ของเที่ย ง เป น สุ ข เป น ตั ว ตน เป น ของสวยงาม เพราะเห็ น แน ชั ด แล ว ว า
เบญจขันธเปนของไมเที่ยง เปนทุกข ไมสวยงาม เปนอนัตตา สัญญาวิปลาส
จึงหายไป ไมเขาใจผิด ไมหลงติดอยู ใจจึงวางเฉยอยูกับรูปนามเทานั้น
๑๑๐
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
๔. ทุกฺขอปน ไมสั่งสมทุกขไว ทุกขตางๆ ไดสลายลงไปใจจึงวางเฉย
อยูกับรูปนามเทานั้น
๕. นิพฺพานสนฺติก ชื่อวาไดอยูใกลพระนิพพาน เพราะเมื่อมีสติชัด
ขึ้ น ศี ล สมาธิ ป ญ ญาแก ก ล า ขึ้ น วิ ป ส สนาญาณสู ง ขึ้ น มาโดยลํ า ดั บ ๆ ก็
สามารถทําลายตัวโมหะ คือ ความไมรูทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค ลงไปได แม
โลภะ โทสะ โมหะก็เบาบางลงไปไดเชนเดียวกัน เมื่อทําลายกองกิเลสใหเบา
บางลงไปไดมากเทาใด ผูปฏิบัติก็ชื่อวา ไดอยูใกลพระนิพพานเขาไปเทานั้น
๖. จิตฺตปฏิลียติ จิตถอยออกจากภพ ๓ กําเนิด ๔ วิญญาณฐิติ ๗
สัตตาวาส ๙ มีแตความวางเฉยอยูกับรูปนามเทานั้น
๗. นิพฺพานเมว ปกฺขนฺทติ. ญาณนี้เมื่อเห็นสันติบทแลวก็แลนไปสู
พระนิพพานฝายเดียวเทานั้น
๘. ติวิธานุปสฺสนาวเสน ติฏฐติ. ตั้งมั่นอยูดวยอํานาจอนุปสสนาทั้ง
๓ ประการ
๙. เมื่อวิปสสนาไดเขาถึงยอดแลว เรียกวา วุฏฐานคามินีวิปสสนา
หรื อ สิ ก ขาป ต ตวิ ป ส สนา ได แ ก ญาณทั้ ง ๓ คื อ สั ง ขารุ เ ปกขาญาณ ๑
อนุโลมญาณ ๑ โคตรภูญาณ ๑ ญาณทัง้ ๓ นี้เปนยอดแหงโลกิยญาณ
วุฏฐานคามินี แปลวา ญาณที่ทําใหถึงมรรค ดวยการหลุดพนจาก
กิเลสทั้งหลาย
สิ กขาป ต ตะ แปลว า ถึ งยอดแห งโลกีย ญาณ ที่ได ชื่ อว า ยอดนั้ น
เพราะเหตุ ๔ ประการ คือ
๑. วาโดยญาณ ก็เปนญาณที่สูงสุด เปนยอดของโลกียญาณ
๒. วาโดยฐาน ก็เปนฐานของญาณที่สูงสุดเปนยอดของโลกียญาณ
๓. วาโดยยอด ก็ไดแกยอดที่สูงสุด คือสุดยอดของญาณนัน่ แหละ
เพราะฉะนั้น จึงเรียกวา วุฏฐานะ หรือสิกขาปตตะ
๔. วาโดยใจ ก็เปนใจที่สูงสุด คือถึงยอดของญาณโลกีย
ปญญาทีพ่ ิจารณาเห็นรูปนามเปนทุกขโทษ นาเบื่อหนาย อยากหลุด
พน ตั้งใจปฏิบัติ ใจวางเฉยอยูกับรูปนาม โดยมีความเพียร มีสติสัมปชัญญะดี
๑๑๑
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
จัดเปนสังขารุเปกขาญาณ เมื่อญาณนี้แกกลาแลว สามารถจะเปนพลวปจจัย
ใหไดบรรลุมรรคผล นิพพาน สําเร็จเปนพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
สังขารุเปกขาญาณนี้ เมื่อจะกลาวโดยภาคปฏิบัติและสภาวะที่เกิด
แกผูปฏิบัติแลว ยอมมีลักษณะอาการเปนดังนี้ คือ
๑. เมื่อทานผูใดปฏิบัติถึงญาณนี้แลว จะไมมีความกลัว ไมมีความ
ยินดี เวลาตาเห็นรูป หูไดยินเสียง จมูกไดกลิ่น ลิ้นไดรส กายถูกเย็นรอนออน
แข็ง จะมีใจเฉยๆ คือ กําหนดทันรูปนามมีใจเฉยอยูกับรูปนามเทานั้น
๒. ผูนั้นจะไมมีความดีใจ ไมมีความเสียใจ มีความเพียรดี มีสติ มี
สัมปชัญญะดี ไมคอยเผลอจากรูปนาม ถึงจะมีจิตออกไปก็เปนบางครั้ง
๓. กําหนดไดสะดวกสบายดี ไมมีอะไรมารบกวน ใจคอเบิกบาน
ปลอดโปรง ไมมีกังวลอะไรเลย มีแตใจเฉยอยู
๔. สมาธิดี ใจสงบแนวแนไปไดนานๆ คือใจอยูกับรูปนามไดนาน
เชนอยูกับพอง-ยุบ ไดนาน เพงดูความเกิดดับของรูปนาม เฉยอยูไดปจจุบัน
มากที่สุด อุปมาเหมือนรถยนตที่วิ่งไปในถนนดีๆ เรียบๆ ผูขับจะรูสึกวาสบาย
ปลอดโปร ง ขั บ ง า ย ฉั น ใด ผู ป ฏิ บั ติ เ มื่ อ ถึ ง ญาณนี้ แ ล ว ก็ ฉั น นั้ น จะรู สึ ก
เพลิดเพลินจนลืมเวลาไป เชน ตั้งใจจะนั่งเพียง ๓๐ นาที หรือ ๑ ชั่วโมงนั่ง
เลยเวลาไปจนถึงครึ่งตอครึ่งเชนเลยไปจนถึง ๑ ชั่วโมง ๑ ชั่งโมงครึ่ง เปนตน
๕. เวทนา คือ การเจ็บ ปวด เมื่อย เปนเหน็บไมมีมารบกวนเลย นั่ง
ไดนาน ใจไมกระวนกระวาย โรคภัยไขเจ็บหายไปหมดสิ้น
๖. ยิ่งนานยิ่งละเอียด ยิ่งประณีตสุขุม ดุจคนรอนแปง ยิ่งรอนนาน
แปงก็ยิ่งละเอียดฉะนั้น
๗. ใจไมฟุงซาน ไมรําคาญ เมื่อกอน เวลาไดยิ นเสียง ไดกลิ่น จะ
รูสึก พอใจ ไมพอใจมีอยู แตเมื่อถึงญาณนี้แลวจะไมสนใจอยางอื่นเลย จะมี
แตตั้งใจปฏิบัติ จิตจับอยูกับรูปนามดูความเกิดดับของรูปนามเฉยอยู เทานั้น
๘. ใจถอยกลับมาจับรูปนาม จับพระไตรลักษณนอมไปในสันติบท
ไมติดอยูในภพ กําเนิด คติ วิญญาณฐิติ สัตตาวาส อุปมาดุจเอาขนไกไปจี้ไฟ
๙. เมื่อถึงญาณนี้แลว จะรูสึกวาไมงวงนอน แมจะไมหลับไมนอน
เลยทั้งคืนทัง้ วันก็อยูได ไมรูสึกเมื่อย ไมรูสึกเพลีย มีกําลังใจดีมาก
๑๑๒
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
๑๐. เมื่อคุณสมบัติเหลานี้เกิดขึ้นแลว ผูปฏิบัติมีหวังจะไดผลดีในไม
ชา เพราะฉะนั้น จึงตองระมัดระวังประคองอารมณใหดีที่สุด อุปมาดุจคนถือ
ขัน ที่เ ต็ มเป ย มไปดว ยน้ํ า มัน จะต องประคองให ดี ที่สุ ด มิให น้ํ ามัน ล น ไหล
ออกมาจากขัน ฉะนั้น
ขั้นที่ ๗ สลัดคืนรูป-นาม
ปฏิบัติเหมือนขั้นที่ ๖ ใหสมบูรณ มีหลักสําคัญในการปฏิบัติ ดังนี้
๑. กําหนดรูอารมณตามที่จิตรู โดยใหจิตเลือกอารมณเอง แลวรูไป
ตามอาการรูนั้นๆ จนดับ ตั้งแตจิตแรกที่ตื่น จนถึงจิตสุดทายที่หลับ
๒. ต อ งกํ าหนดจนเห็ น อาการดั บ ของทุก ๆ สภาวะ ที่จิ ต เขา ไปรู
บางครั้งอารมณดับไปจากจิต บางครั้งจิตรูดับไปจากอารมณ
โยคีบางคนสงสัยวา “ทําไมตองกําหนดอิริยาบถยอยใหมากมาย ดู
สับสนวุยวาย นารําคาญ” ตอบวา : ก็เปรียบเหมือนนักมวยสากล ตั้งคําถาม
วา “มวยสากลเขาใชมือตอยกัน ทําไมตองซอมวิ่ง เหนื่อยเปลาๆ เอาเวลาไป
ซอมชก ซอมตอยอยางเดียว ไมดีกวาหรือ?”
๓. บริกรรมภาวนาไปตามอาการที่เกิดขึ้นจริง ในขณะปจจุบัน อยู
ตลอดเวลา แมแตในฝนก็กําหนด แตถารูสึกวาคําบริกรรมไปทับสภาวะ (จิต
เพงที่คําบริกรรมเกินไป) ถาเชนนั้น ไมตองบริกรรม ตามรูอยางเดียว
๔. ถาเห็น แสงสวาง (ไมใชแสงสี) ให กําหนดจนกวาจะดับ แตถา
กําหนด ๒-๓ นาทีแลวยังไมดับ ใหทําเปนไมใสใจ แลวไปกําหนดอารมณที่
ปรากฏชัดตอไป แตถาเห็นแสงสี หรือเห็นนิมิตเรื่องราว แสดงวาญาณตก
(มาที่ญาณที่ ๔) แกโดย : เพิ่มการกําหนดตนจิตใหได ๙๐% ขึ้นไป
๕. เพิ่มการสังเกตรู–เห็นอาการดับของจิต (ตัวรู) ที่เขาไปกําหนด
ใหได ๑–๒ ขณะจิต กอนที่จะดับสิ้นลง คือ ดับไปทั้งอารมณ และจิต (ผูรู)
โยคีบ างคน กํ า หนดอยู ดี ๆ อาการพอง-ยุ บ รั ว เร็ ว ขึ้น มา ปรากฏ
อาการเกิดดับอยางถี่ยิบ บางคนแรงมากเหมือนกับเครื่องจักร เหนื่อยหอบ
๑๑๓
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
แทบขาดใจ ก็ให ต ามรู ไปตามอาการนั้ น กําหนดเพีย งว า “รู ๆๆๆๆ” ไป
เรื่อยๆ จนกวาจิตจะละคําบริกรรมไปเอง อยาดัดแปลงแกไขสภาวะใดๆ
เด็ดขาด ..ขอย้ําวา “หามดัดแปลงแกไขสภาวะในชวงนี้ อยางเด็ดขาด” ถา
พอง-ยุบเร็วแรงแทบขาดใจ ก็ใหตามรูไปตามนั้นจนกวาจะขาดใจตายไปเลย
เมื่ออาการพอง-ยุบ กลับมาเปนปกติ ใหเพิ่มการกําหนดอิริยาบถ
ยอย และเจาะลึกสภาวะธัมมานุปสสนาใหมากขึ้น โดยเฉพาะ “ตัณหาหนอ”
(อยากหนอ) “มานะหนอ”(ยึดหนอ) “ทิฏฐิหนอ”(นึกหนอ : อาการคิด-นึก
ชวงนี้ จะเปนเรื่องปจจุบัน เราเปนผูคิด-นึกเสียเอง เปนสวนมาก)
เมื่ออารมณที่เปนรูป-นามดับไปสิ้นแลว ก็จะหนวงเอานิพพานมา
เปนอารมณไดเอง อยางเปนปจจัตตัง ที่ไมขึ้นกับกาลเวลาอีกตอไป
ในบันไดขั้นที่ ๗ ถือวาเปนขั้นสุดทายของการปฏิบัติวิปสสนา เปน
วิถีของการออกเรียกวา “วุฏฐานคามินีวิปสสนา”๗๒ คือการออกจากรูปนาม
จนหนวงนิพพานเปนอารมณ ซึ่งเปนชื่อของ ๓ ญาณ คือสังขารุเปกขาญาณ
ตอนปลาย อนุโมญาณ และโคตรภูญาณ วุฏฐานคามินีอีกความหมายหนึ่งคือ
สวนสืบตอของอริยมรรค๗๓ อริยมรรคชื่อวาวุฏฐานะ คือการสลัดคืนรูปนาม
สวนการกําหนดในขั้นนี้ ตองปฏิบัติเหมือนขั้นที่ ๖ ใหสมบูรณกอนจึงจะ
ไดผล การกําหนดมีดังนี้
สภาวธรรมในขั้นนี้เปนสภาวธรรมที่สูงสุด เขาสูอริยมรรค อริยผล
โดยจะแบงสภาวธรรมออกเปน ๒ สวน คือ
๑) สวนที่หนึ่งเปนวุฏฐานคามินีวิปสสนา คือสังขารุเปกขาญาณ
ตอนปลาย อนุโลมญาณ และโครตรภูญาณ
๒) สวนที่สองเป นความสื บต อของญาณขางต น คือมรรคญาณ ผล
ญาณและปจจเวกขณญาณ มีรายละเอียดดังนี้
วิปสสนาของผูไดสังขารุเบกขาญาณ ชื่อวา “วุฏฐานคามินีวิปสสนา
ที่ถึงที่สุด” คําวา “สิขาปตตวิปสสนาและวุฏฐานคามินีวิปสสนา” เปนชื่อ
๗๒
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๑๐/๓๗๗.
๗๓
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๗๘๒/๓๓๙.
๑๑๔
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ของญาณ ๓ นี้ คือ สังขารุเบกขาญาณ อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ
วิปสสนานี้ชื่อวา “สิขาปตตวิปสสนา”เพราะถึงยอด คือความสูงสุด
แหงโลกิยญาณ ชื่อวา วุฏฐานคามินีวิปสสนา เพราะไปสูวุฏฐานะ(การออก)
สวนมรรค ชื่อวา “วุฏฐานะ” เพราะออกจากวัตถุที่ยึดคือขันธ ๕
อันเปนอารมณของวิปสสนาในภายนอก และจากกิเลสขันธที่เปนไปตามขันธ
๕ นั้นในสันดานของตนมีมิจฉาทิฏฐิเปนตนในภายในดวย๗๔ วิปสสนานี้ไปสู
มรรคจึงไดชื่อวา “วุฏฐานคามินีวิปสสนา” หมายความวาสืบตอกับมรรค๗๕
ดังนั้น วุฏฐานคามินีวิปสสนาก็คือวิปสสนาทีน่ ําไปสูมรรคหรือสืบตอกับมรรค
มรรคยอมเกิดขึน้ ดวยการพิจารณาโดยความไมเที่ยง โดยความเปนทุกข หรือ
โดยความเปนอนัตตา ดังนั้น โยคีจึงตองพิจารณาโดยความไมเที่ยง โดยความ
เปนทุกข และโดยความเปนอนัตตา๗๖
วิปสสนาของผูไดสังขารุเบกขาญาณ ชื่อวา วุฏฐานคามินีวิปสสนาที่
ถึงที่สุด คําวา สิขาปตตวิปสสนาและวุฏฐานคามินีวิปสสนา นี้เปนชื่อของ
ญาณ ๓ นี้ คือ สังขารุเบกขาญาณ อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ วิปสสนานี้ชื่อ
วา “สิขาปตตวิปสสนา” เพราะถึงยอด คือความสูงสุดแหงโลกิยญาณ ชื่อวา
“วุฏฐานคามินีวิปสสนา” เพราะไปสูวุฏฐานะ (การออก) สวนมรรค ชื่อวา
“วุฏฐานะ” เพราะออกจากวัตถุที่ยึดคือขันธ ๕ อันเปนอารมณของวิปสสนา
ในภายนอก และจากกิเลสขันธที่เปนไปตามขันธ ๕ นั้นในสันดานของตนมี
มิจฉาทิฏฐิเปนตนในภายในดวย๗๗ วิปสสนานี้ไปสูมรรคจึงไดชื่อวา “วุฏฐาน
คามินีวิ ปสสนา” หมายความวาสืบ ตอกับ มรรค๗๘ ดังนั้น วุฏฐานคามินี
วิปสสนา ก็คือวิปสสนาที่นําไปสูมรรคหรือสืบตอกับมรรค
มรรค ยอมเกิดขึ้นดวยการพิจารณาโดยความไมเที่ยง โดยความเปน
๗๔
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธ.ิ ฏีกา (บาลี) ๒/๗๘๒/๕๑๘.
๗๕
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๗๘๒/๓๓๙.
๗๖
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๗๘๗/๓๔๐.
๗๗
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธ.ิ ฏีกา (บาลี) ๒/๗๘๒/๕๑๘.
๗๘
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๗๘๒/๓๓๙.
๑๑๕
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ทุกข หรือโดยความเปนอนัตตา ดังนั้น โยคีจึงตองพิจารณาโดยความไมเที่ยง
โดยความเปนทุกข และโดยความเปนอนัตตา๗๙
ยอดของวิปสสนา คือ ธรรมดาเจดียตองมียอดฉันใด วิปสสนาก็มี
ยอดฉันนั้น ยอดของวิปสสนามี ๒ ประการ คือ๘๐
๑) สิขาปตตะ วิปสสนาที่ถึงยอดสูงสุด ไดแก สังขารุเปกขาญาณที่
มีสภาวะลักษณะครบองค ๖ คือ
๑. สามารถละความกลัวและความยินดีในการวางเฉยตอปวง
สังขาร
๒. ไมดีใจและไมเสียใจ (หากแตมีสติสัมปชัญญะ) ในการวางเฉย
ตอปวงสังขาร
๓. มีจิตเปนกลางในการกําหนดรูป-นามนั้น กําหนดไดงายโดยไม
จําตองขะมักเขมน
๔. แนว แนอยูได นาน คือ มีป ญญาเห็น รูป-นามเกิดดั บเป นไป
ติดตอกันไดดี
๕. ยิ่งนานยิ่งละเอียดสุขุม ดุจรอนแปง
๖. พนจากอารมณที่ฟุงซาน คือ ไมฟุงซาน
เมื่อมีสภาวะลักษณะครบทั้ง ๖ แลวผูนั้นก็มีหวังที่จะไดบรรลุมรรคผล
นิพพาน อยางแนนอน๘๑
๒) วุฏฐานคามินี วิปสสนาที่ออกจากนิมิต จากวัต ถุที่เ ปน เหตุ ให
ยึดมั่นถือมั่น ไดแก อุปาทานขันธ ๕ ซึ่งเปนอารมณของวิปสสนา
วุ ฏ ฐานคามิ นี แปลว า ที่ ตั้ ง ของการออก เป น เครื่ อ งออก เป น
ทางออก คือ ออกจากวิปสสนาญาณ อันหมายไปถึงการออกจากกิเลส ออก
จากทุ ก ข ออกจากสั ง สารวั ฏ และที่ ว า ถึ ง แล ว ซึ่ ง ความเป น ยอดนั้ น
๗๙
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๗๘๗/๓๔๐.
๘๐
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๒ วิปสสนา
กรรมฐาน, หนา ๑๙๔-๑๙๕.
๘๑
ดูใน ขุ.จู.อ. (ไทย) ๖/-/-/๖๕๓.
๑๑๖
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
หมายความวา ถึงที่สุดแหงวิปสสนาญาณ คือปญญาที่เห็นการเกิด-ดับของ
รู ป -นาม ผละออกจากการเห็ น รู ป -นามเกิ ด ดั บ ในตอนนี้ ทิ้ ง อารมณ ไ ตร
ลักษณที่ญาณนี้ เพราะญาณตอไป คือโคตรภูญ าณนั้น มีพ ระนิพ พานเปน
อารมณแ ลว สัง ขารุเ ปกขาญาณและอนุโ ลมญาณทั ้ง ๒ ญาณเปน
วิปส สนาที่ถึงแลว ซึ่งความเปน ยอด จึงมีชื่อวา วุฏ ฐานคามินี เปน เครื่อ ง
ออกไปจากทุก ข กําหนดรูอารมณตามที่จิต รู โดยให จิต เลื อกอารมณเ อง
แลวรูไปตามอาการรูนั้นๆ จนดับ ตั้งแตจิตแรกที่ตื่น จนถึงจิตสุดทายที่หลับ
ญาณที่ ๑๒ อนุโลมญาณ
ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นใหคลอยไปตามอริยสัจ เรียกวา สัจจานุโล
มิกญาณ ก็ได เปนญาณที่รูอารมณรูป-นามเปนครั้งสุดทายกอนที่จะไดบรรลุ
มรรค ผล หรือเรียกวา “อนุตตญาณ”
ญาณที่อนุโลมแกวิปสสนาญาณเบื้องตน ๘ ไปตามลําดับ โดยมีรูป
นามเปนอารมณ เมื่อไดกําลังคืออินทรีย ๕ แกกลาแลว ก็เขาเขตอนุโลมไป
ตามโพธิปกขิยธรรม ๓๗ ประการในเบื้องสูง๘๒
ปญญาที่พิจารณาอนุโลมคือคลอยตามสภาพแหงอริยสัจจ ๔ โดยไม
ขัด กัน เป น วิ ป ส สนาญาณที่เ กิด ต อ จากสั ง ขารุ เ ปกขาญาณ เป น ญาณที่
อนุโลมใหเห็นอริยสัจจทั้ง ๔ ประการโดยประจักษแจง๘๓
ญาณอันเปนไปโดยอนุโลมแกการหยั่งรูอริยสัจจ คือ เมื่อวางใจเปน
กลางต อสั งขารทั้งหลาย ไมพะวง และญาณแลน มุงตรงไปสู นิ พพานแล ว
ญาณอันคลอยตอการตรัสรูอริยสัจจ ยอมเกิดขึ้นในลําดับถัดไป
ปญญาที่เปนไปตามลําดับแหงอริยสัจจธรรมทั้ง ๔ คือ เปนปญญาที่
อนุโลมจากญาณต่ําไปหาญาณสูงอยางหนึ่ง และอนุโลมตามโพธิปกขิยธรรม
๓๗ อี ก อย า งหนึ่ ง ญาณอั น เป น ไปโดยอนุ โ ลมแก สติ ป ฏ ฐานทั้ ง ๔
๘๒
พระสั ท ธั ม มโชติ ก ะ ธั ม มาจริ ย ะ: วิ ป ส สนากรรมฐาน, พิ ม พ ค รั้ ง ที่ ๗,
กรุงเทพมหานคร: หจก.ทิพยวิสุทธิ,์ ๒๕๕๙, หนา ๒๑๑.
๘๓
พระมหาชินวัฒนจกฺกวโร: วิปสสนาโชติกะ, พิมพครั้งที่ ๑, กรุงเทพมหานคร:
อภิธรรมมหาวิทยาลัย, ๒๕๖๐, หนา ๒๘๕.
๑๑๗
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย ๕ พละ ๕ โพชฌงค ๗ และมรรคมีองค
๘ นี้เปนการอธิบายโดยพิศดาร๘๔
พิจารณารูปนามวาเปนไตรลักษณ ตั้งแตอุทยัพพยญาณ(ญาณที่ ๔)
ถึง สังขารุเปกขาญาณ (ญาณที่ ๑๑) ดังที่ทานพระสารีบุตรนําธรรม ๒๐๑
ประการ มาจําแนกเปนขันติญาณ เชน รูปที่รูชัดโดยความไมเที่ยง รูปที่รูชัด
โดยความเปนทุกข รูปที่รูชัดโดยความเปนอนัตตา รูปใดๆ ที่พระโยคีรูชัด
แลว รูปนั้นโยคียอมพอใจ เพราะฉะนั้นปญญาที่รชู ัดจึงชื่อวา ขันติญาณ๘๕
ญาณนี้อนุโลมแกวิปสสนาญาณทั้ง ๘ ในสวนเบื้องตน และอนุโลม
แกโพธิปกขิยธรรม ๓๗ ในสวนเบื้องปลาย หากอนุโลมญาณไมเกิดขึ้น โคตร
ภูญาณก็ไมอาจจะหนวงเอานิพพานเปนอารมณได เมื่อโคตรภูญาณไมเกิดขึ้น
มรรคญาณก็เกิดขึ้นไมได๘๖ ก็เพราะอนุโลมแกมรรคสัจ ๔๘๗ จึงไดชื่อวา “สัจ
จานุโลมิกญาณ” อนุโลมญาณนี้เปนญาณสุดทายแหงวุฏฐานคามินิวิปสสนา
อัน มีสั งขารเป น อารมณ แต ต ามความเป น จริ ง แล ว โคตรภู ญาณเป น ที่สุ ด
แหงวุฏฐานคามินีวิปสสนา เพราะยังอยูในกระแสของวิปสสนา อนุโลมญาณ
นี่ในสฬายตนวิภังคสูตร๘๘ ตรัสเรียกวา “อตัมมยตา”๘๙ เปนตน๙๐
กําหนดรูอารมณตามที่จิตรู โดยใหจิตเลือกอารมณเอง แลวรูไปตาม
อาการรูนั้นๆ จนดับ ตั้งแตจิตแรกที่ตื่น จนถึงจิตสุดทายที่หลับ
๘๔
พระธรรมธีรราชมุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ):วิปสสนากรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๓,
กรุงเทพมหานคร: บริษัท ประยูรวงศพริ้นทติ้งจํากัด, ๒๕๕๔,หนา ๕๗๘.
๘๕
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๙๒/๑๕๓.
๘๖
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธ.ิ ฏีกา (บาลี) ๒/๘๐๔/๕๓๑.
๘๗
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๘๐๔-๘๐๕/๓๔๙-๓๕๑.
๘๘
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๓๐๔-๓๑๒/๒๗๘-๒๘๖, ม.อุ.(ไทย)๑๔/
๓๐๔-๓๑๒/๓๖๘-๓๘๐.
๘๙
อตัมมยตา แปลวา ความไมมีตัณหา ในที่นี้หมายถึงวิปสสนาเปนเครื่องนํา
สัตวออกจากความยึดมั่น คือ ตัณหานั้น (ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๑๐/๑๙๔).
๙๐
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๘๐๔-๘๐๕/๓๔๙-๓๕๒.
๑๑๘
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ญาณที่ป รากฏ คือ ญาณที่ ๑๑ สั งขารุเ ปกขาญาณ (ตอนปลาย)
เปนการวางเฉยตอรูปนามที่อยูในวิถีของการออกจากรูปนาม หรือเรียกวา
สิขาปตตวิปสสนา คือยอดแหงวิปสสนา โดยเปนฐานของการออก ๓ ฐาน
คือ๑) อนิจจานุปสสนา ๒) ทุกขานุปสสนา ๓) อนัตตานุปสสนาญาณที่ ๑๒
อนุโลมญาณ ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นใหคลอยไปตามอริยสัจจ เรียกวา สัจ
จานุโลมิกญาณ ก็ได, เปนญาณที่รูอารมณรูป-นามเปนครั้งสุดทายกอนที่จะ
ไดบรรลุมรรค ผล หรือเรียกวา“อนุตตญาณ”ญาณที่ ๑๓โคตรภูญาณจิตเห็น
พระนิพพาน ตัด ขาดจากโคตรปุ ถุช นเปน โคตรอริ ย ชน เมื่อจิ ตหมดความ
อยาก (ไมมีตัณหา) จิ ตก็ปล อยวางอารมณทั้งปวง ถอยเขาหาจิ ตผู รูอยาง
อัตโนมัติญาณที่ ๑๔ มรรคญาณจิตเห็นพระนิพพาน และตัดขาดจากกิเลส
ญาณที่ ๑๕ ผลญาณ จิต เห็นพระนิพพานโดยเสวยผลแหงสันติ สุขญาณที่
๑๖ ปจจเวกขณญาณจิตเห็นใน มรรคจิต, ผลจิต, นิพพาน, กิเลสที่ละแลว
และกิเลสที่ยังคงเหลืออยู
เปนภูมิแหงปหานปริญญา กําหนดรูถึงขั้นละได คือ รูถึงขั้นที่ทําให
ถอนความยึดติดเปนอิสระจากสิ่งนั้นๆ(ละวิปลาส) ได และปฏิบัติตอสิ่งตางๆ
ไดถูกตองภูมิแหงปหานปริญญาแบงเปนขั้นๆ เริ่ มตั้งแตพิจารณาเห็นโดย
ความเปนของไมเที่ยงยอมละนิจจสัญญาเสียได พิจารณาเห็นโดยความเปน
ทุกขย อมละสุ ขสั ญญา (ความสํ าคัญว าเป นสุ ข) เสี ยได พิจ ารณาเห็ น โดย
ความไมเปนตัว ตนละอัตตสัญญา (สําคัญวาเปนตัวตน) เสี ยได เบื่อหนาย
ความเพลิดเพลิน สํารอกราคะดับตัณหา สละคืนความยึดถือเสียไดจัดเขาใน
อริ ย สั จ ๔ คือ “แจ งนิ โ รธ(อริ ย สั จ ๔เกิด โดยสมบู ร ณขึ้น ตามลํ าดั บ )ทุกข ,
สมุทัย,นิโรธ, มรรค, ในญาณที่ ๑๔เปนสมุจเฉทประหาณคือ ดับดวยตัดขาด
คือ ดับกิเลสเสร็จสิ้นเด็ดขาด ดวยโลกุตตรมรรค ในขณะแหงมรรคนั้นสติ
สมาธิปญญา และธรรมฝายการตรัสรูทั้งปวง รวมลงที่จิตดวงเดียวเปนมรรค
สมังคี, ในญาณที่ ๑๕ เปนปฏิปสสัทธินิโรธ ดับดวยสงบระงับ คือ อาศัยโล
กุตตรมรรค ดับ กิเ ลสเด็ด ขาดไปแลว บรรลุ โลกุตตรผล กิเลสเป นอัน สงบ
ระงับไปหมดแลว ไมตองขวนขวายเพื่อดับอีก ในขณะแหงผลนั้น, ในญาณที่
๑๖ เปน นิสสรณนิโรธ ดับดวยสลัดออกได หรือดับดวยปลอดโปรงไป คือ
๑๑๙
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ดับ กิเ ลสเสร็ จสิ้ นแล ว ดํารงอยูในภาวะที่ดั บกิเ ลสแล ว นั้น ยั่ งยื น ตลอดไป
ไดแกอมตธาตุ คือ นิพพาน”อริยสัจ ๔ สมบูรณ.
กําหนดความสลัดคืนความยึดมั่นถือมั่นในรูป-นาม และขันธ ๕ ซึ่ง
เปนผลมาจากความดับลงแหงความยึดถือ กลาวคือ เมื่อกําหนดความดับลง
แหงความยึดมั่นถือมั่นจนจิตปลอยวางสิ่งที่เคยยึดมั่นถือมั่นไดแลว ก็ให
กําหนดความสลัดคืนนั้น การเจริญวิปสสนาภาวนาโดยมีสติกําหนดรูอาการ
พอง-ยุบจนเห็นความดับลงแหงความยึดมั่นถือมั่น จนจิตปลอยวางสิ่งที่เคย
ยึดมั่นถือมั่นไดแลว ก็ใหกําหนดความสลัดคืนนั้นวา สลัดคืนแลวหนอๆ อัน
เปนขั้นสุดทาย๙๑
พระสารีบุตรนําธรรม ๒๐๑ ประการ มาจําแนกขันติญาณ เชน รูป
ที่รูชัดโดยความไมเที่ยง รูปที่รูชัดโดยความเปนทุกข รูปที่รูชัดโดยความเปน
อนัตตา รูปใดๆ ที่พระโยคาวจรรูชัดแลว รูปนั้นๆ พระโยคาวจรยอมพอใจ
เพราะฉะนั้น ปญญาที่รูชัด จึงชื่อวาขันติญาณ (ญาณในความพอใจ)
เวทนาที่รูชัดโดยความไมเที่ยง ฯลฯ ชรามรณะที่รูชัดโดยความเปน
ทุกข ชรามรณะที่รูชัดโดยความเปนอนัตตา ชรามรณะใดๆ อันพระโยคาวจร
รูชัดแลว ชรามรณะนั้นๆ อันพระโยคาวจรยอมพอใจ เพราะฉะนั้น ปญญาที่
รูชัด จึงชื่อวาขันติญาณ๙๒
ความสามารถ ความคิดอาน ความพอใจ ความกระจาง ความเพง
พินิจ ปญญาที่สามารถไตรตรองสภาวธรรมอันเหมาะสม ซึ่งมีลักษณะเห็นวา
“รูปไมเที่ยง เวทนาไมเที่ยง ฯลฯ สัญญาไมเที่ยง ฯลฯ สังขารไมเที่ยง ฯลฯ
หรือวิญญาณไมเที่ยง” ดังนี้บาง นี้เรียกวา สัจจานุโลมิกญาณ๙๓
ชื่อ (ที่เรียก) นี้เปนชื่อเฉพาะของชวนจิต ๓ ดวงเหลานั้น แตจิตทั้ง
๓ อยางนี้ จะเรียกวา “อาเสวนะ”บาง วา“บริกรรม” บาง วา “อุปจาร”
๙๑
พุทธทาสภิกขุ, วิธีฝกสมาธิวิปสสนา ฉบับสมบูรณ, พิมพครั้งที่ ๘, (โอเอ็นจี
การพิมพ จํากัด สํานักพิมพสุนทรสาสน), หนา ๓๗๗-๔๐๗.
๙๒
ขุ.ป.(ไทย) ๓๑/๑.๔๑/[๘๒-๘๓]
๙๓
อภิ.วิ.(ไทย) ๓๕/๗๙๓/๕๐๙
๑๒๐
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
บาง วา “อนุโลม”บาง โดยไมแตกตางกันก็สมควร
ที่วาเปนอนุโลม หมายถึง เปนอนุโลมของญาณทั้งหลายที่เปนสวน
เบื้องหนา และของธรรมทั้งหลายที่เปนสวนเบื้องหลัง เพราะวาอนุโลทนั้น
คลอยตามวิปสสนาญาณ ๘ เบื้องหนา เพราะมีกิจเหมือนกัน และคลอยตาม
โพธิปกขิยธรรม ๓๗ ประการเบื้องบน (เบื้องหลัง) จริงอยู อนุโลมญาณนั้น
เพราะเหตุ ป รารถสั ง ขารทั้ ง หลายแล ว ดํ า เนิ น ไปโดยมี ลั กษณะ มี อ นิ จ จ
ลักษณะเปนตน จึงอนุโลมคลอยตามญาณทั้ง ๘ ประการเหลานี้ เพราะมีกิจ
(กําหนดพิจารณาพระไตรลักษณ) เหมือนกัน ประหนึ่งจะพูดโดยความวา
อุทยพยญาณ ไดเห็นแลวซึ่งความเกิดขึ้นและความดับไปของธรรม
ทั้งหลาย ที่มีความเกิดและความดับอยูเปนปกตินั่นแลหนอ และวา๙๔
ภังคานุปสสนาญาณ ไดเห็นความดับของธรรมทั้งหลาย ที่มีแตความ
ดับอยูอยางเดียว แลวละหนอ และวา
สิ่งซึ่งมีแตความนากลัวแตอยางเดียวหนอ ปรากฏโดยเปนที่นากลัว
แก ภยตุปฏฐาณญาณ แลว และวา
อาที น วานุ ป ส สนาญาณ ได เ ห็ น โทษเลวร า ยในธรรมที่ มี แ ต โ ทษ
เลวรายอยางเดียว แลวละหนอ และวา
นิพพิทาญาณ ก็เบื่อหนายแลว ในธรรมที่นาเบื่อหนายเสียจริงๆ ละ
หนอ และวา
มุญจิตุกัมยตาญาณ ก็เกิดปรารถนาเพื่อจะพนไปเสียจากธรรมที่ควร
จะพนไปโดยแทจริง แลวละหนอ และวา
สิ่งที่ควรทบทวนกําหนดรูแลวหนอ เราไดกําหนดรูดวย ปฏิสังขา
ญาณ แลว และวา
สิ่งที่ควรวางเฉยนั่นแลหนอ เราไดวางเฉยดวย สังขารุเปกขาญาณ
แลวดังนี้
และอนุโลมแกปกขิยธรรม ๓๗ ประการในเบื้องบน เพราะตอง
๙๔
พระพุ ท ธโฆสเถระ รจนา: คั ม ภี ร วิ สุ ท ธิ ม รรค, พิ ม พ ค รั้ ง ที่ ๑๒
กรุงเทพมหานคร บริษัท ธนาเพรส จํากัด,๒๕๖๐, หนา ๑๑๒๕-๑๑๒๖.
๑๒๑
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
บรรลุดวยการปฏิบัติ (วิปสสนาญาณทั้งหลาย) นั้น๙๕
การเกิดของอนุโลมญาณ
เมื่อผูปฏิบัติธรรมไดมีวิปสสนาญาณเกิดขึ้นมาโดยลําดับๆ จนถึงสัง
ขารุเปกขาญาณแลว พยายามทําตอเนื่องกันไป จะปรากฏผลดังนี้
๑. มีความเชื่อและความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยแกกลามากขึ้น
๒. ประคองความเพียรไดดีมากขึ้น สามารถกําจัดปฏิปกษ คือ ความ
เกียจคราน และความโลภ โกรธ หลง ไดดีขึ้น
๓. สติตั้งมั่นดี คือ มุงตรงตออารมณที่กําหนดอยางกลาแข็ง
๔. จิตตั้งมั่นไดดีมาก
๕. สังขารุเปกขาญาณอยางแกกลายอมเกิดขึ้น สามารถเปนปจจัยให
อนุโลมญาณเกิดขึ้นได
๖. ปญญาในการพิจารณารูปนาม ก็เปนกลางๆ คือ วางเฉยอยูกับรูป
นาม ยอมเกิดขึ้น
๗. สังขารุเปกขาญาณของผูนั้นยอมเกิดขึ้นวา “บัดนี้มรรคจักเกิด”
พิจารณารูปนามวา “ไมเทีย่ ง เปนทุกข หรือเปนอนัตตา” แลวหยั่งลงสูภวังค
๘. ในลําดับภวังค มโนทวาราวัชชนจิตกระทํารูปนามใหเปนอารมณ
ว า “ไมเ ที่ย ง เป น ทุกข หรื อเป น อนั ต ตา” ตามนั ย อัน สั งขารุ เ ปกขาญาณ
กระทําแลว ยอมเกิดขึ้น๙๖
ตอจากนั้ น ชวนจิ ตดวงที่ ๑ (ปริ กรรม) ยอมหนว งเอาอารมณไตร
ลักษณอยางใดอยางหนึ่งตามมโนทวารวัชชนกิจเหมือนอยางนัน้ แลวดับลง
ตอจากนั้น ชวนจิตดวงที่ ๒(อุปาจาร) เมื่อไดปจจัยจากชวนจิตดวงที่
๑ ยอมเกิดขึ้นขณะหนึ่ง โดยมีไตรลักษณแหงนามรูปเปนอารมณเชนเดียวกัน
เพราะยังปลอยอารมณอันเปนไตรลักษณไมได เกิดขึ้นแลวดับไป
ตอจากนั้น ชวนจิตดวงที่ ๓ (อนุโลม) เมื่อไดปจจัยจากชวนจิตดวงที่
๙๕
พระพุ ท ธโฆสเถระ รจนา: คั ม ภี ร วิ สุ ท ธิ ม รรค, พิ ม พ ค รั้ ง ที่ ๑๒,
กรุงเทพมหานคร บริษัท ธนาเพรส จํากัด,๒๕๖๐, หนา ๑๑๒๖-๑๑๒๗.
๙๖
พระธรรมธีรราชมุนี (โชดก ญาณสิทฺธ)ิ :วิปสสนากรรมฐาน,หนา ๕๗๘-๕๗๙.
๑๒๒
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
๒ ยอมเกิดขึ้นหนึ่งขณะ โดยมีไตรลักษณ(นามรูป)เหมือนกัน แลวดับไป
การดับของอนุโลมชวนนี้ หาใชดับไปแตจิตเทานั้น หากแตยังทําให
อารมณที่เปนไตรลักษณ ซึ่งเปนอารมณของวิปสสนาญาณที่เปนโลกียญาณ
นั้นดับสิ้นไปดวย พรอมกับการดับของอนุโลมชวนดวงที่ ๓ นี่เอง เพื่ออนุโลม
ชวยเหลือใหโคตรภูญาณ สามารถหนวงเอาพระนิพพานมาเปนอารมณและ
เปนปจจัยสงตอใหแกมรรคญาณได๙๗
ชวนทั้ง ๓ นี้ เรียกวา อาเสวนะบาง ปริกรรมบาง อุปจารบาง และ
อนุโลมบาง
เรียกวา อาเสวนะ เพราะเสพบอยๆ เพื่อมรรค
เรียกวา ปริกรรม เพราะบริกรรม คือ พิจารณาเพื่อมรรค
เรียกวา อุปจาร เพราะใกลตอมรรค
เรียกวา อนุโลม เพราะเปนไปตามญาณต่ําและญาณสูง
ดวยกําลังที่ไมเพียงพอที่จะสลัดทิ้งรูปนาม ในการเขาสูอารมณพระ
นิพพาน จึงตองอาศัยความบริบู รณในการทบทวนญาณ โดยถอยกลั บไป
เริ่มตนในญาณต่ําขึ้นไปสูญาณสูง ตั้งแตพลวอุทยัพพยญาณ จนถึงสังขารุ-
เปกขาญาณ ที่ผานมาแลวหนหนึ่ง โดยมีรูปนามเปนอารมณ และจะไมถอย
กลับสูญาณเบื้องต่ําอีกแลว จากนั้นจิตก็จะรวบรวมพลังเปนครั้งสุดทายดวย
โพธิปกขิยธรรม ๓๗ ประการ ที่ประชุมพรอมกันเต็มเปยมจากธรรมสมังคี
เสมอกันในขณะจิตเดียว เพื่อเปนฐานผลักดันจิตใหเขาสูพระนิพพาน
กิจของอนุโลมิกญาณ
อนุโลมิกญาณ วาโดยกิจมี ๒ อยาง คือ
(๑) ลักขณัตตยสัมมสนกิจ อนุโลมญาณมีหนาที่พิจารณาลักษณะทั้ง
๓ คือ ลักษณะไมเที่ยง เปนทุกข และเปนอนัตตา
(๒) สัมโมสาทิปฏิปกขวิธมนกิจ อนุโลมญาณมีหนาที่กําจัดปฏิปกษ
คือขาศึกทั้งหลาย มี โลภะ โทสะ โมหะ เปนตน, กิเลสตมวิโนทนกิจ ไดแกมี
๙๗
พระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทฺธิ), คูมือสอบอารมณกรรมฐานวิชา
ครู, หนา ๗๑.
๑๒๓
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
หนาที่กําจัดความมืด คือ กิเลสนั่นเอง เพราะโพธิปกขิยธรรม ๓๗ ประการ
มาประชุมพรอมกัน เพื่อทํางานละกิเลสใหเปนสมุจเฉทปหาน๙๘
การมีสติกําหนดรูปนาม (ขันธ ๕) จะเปนการสกัดกั้นกระแสของ
กิเลสในทุกครั้งที่กําหนดรู ซึ่งผูปฏิบัติจะเห็นศักยภาพของสติในขอนี้มาโดย
ตลอด พอมาถึงขั้นอนุโลมญาณ ความคมกลาของปญญา ก็จะเห็นมากกวาที่
เคยเห็น กลาวคือแทนที่จะเห็นเพียงแตวาสติเปนเครื่องกั้นกระแส (กิเลส)
ในโลกเหมือนเมื่อกอน กลับเห็นไปถึงวา สติเกิดขึ้นกําหนดรูรูปนามครั้งหนึ่ง
อริยสัจ ๔ จะปรากฎพรอมกันในวาระนั้นครั้งหนึ่ง คือเห็นวา
๑. รูปนาม ขันธ ๕ นี้เปนทุกข
๒. ดําหริและตัณหานี้ เปนสมุทัย
๓. ความดับกิเลสในขณะหนึ่งๆ เปนนิโรธ
๔. สติ (ที่สกัดกั้นการปรุงแตงนั้น) เปนมรรค๙๙
ผลของอนุโลมญาณ ยอมสามารถกําจัดความมืด คือ กิเลสอันปกปด
อริยสัจ ๔ เสียได๑๐๐
ญาณทั้ง ๙ นี้ คือ อุทยัพพยญาณ ภังคญาณ ภยญาณ อาทีนวญาณ
นิ พ พิ ท าญาณ มุ ญ จิ ตุ กั ม ยตาญาณ ปฏิ สั ง ขาญาณ สั ง ขารุ เ ปกขาญาณ
อนุโลมญาณ ชื่อวา ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ เพราะเหตุ ๖ ประการ คือ
๑. เปนขอปฏิบัติเพื่อญาณทัสสนวิสุทธิ คือ มรรค
๒. รูพระไตรลักษณ
๓. ปรากฏชัด
๔.เปนเครื่องเห็นพระไตรลักษณ และอริยสัจ ๔
๕. เปนปฏิปกษตอธรรมที่ผิด
๙๘
พระสั ท ธั ม มโชติ ก ะ ธั ม มาจริ ย ะ: วิ ป ส สนากรรมฐาน, พิ ม พ ค รั้ ง ที่ ๗,
กรุงเทพมหานคร: หจก.ทิพยวิสุทธิ,์ ๒๕๕๙, หนา ๒๑๓-๒๑๔.
๙๙
นวองคุลี : วิปสสนาญาณ, พิมพครั้งที่ ๑, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ เม็ด
ทราย, ๒๕๔๖, หนา ๑๖๘-๑๖๙
๑๐๐
พระธรรมธีรราชมุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ):วิปสสนากรรมฐาน, หนา ๕๙๔.
๑๒๔
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
๖. บริสุทธิ์วิเศษ๑๐๑
ญาณที่ ๑๓ โคตรภูญาณ
จิตเห็นพระนิพพาน ตัดขาดจากโคตรปุถุชนเปนโคตรอริยชน เมื่อ
จิตหมดความอยาก (ไมมีตัณหา) จิตก็ปลอยวางอารมณทั้งปวง ถอยเขาหา
จิตผูรูอยางอัตโนมัติ
ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นพระนิพพาน ตัดขาดจากโคตรปุถุชนเปน
โคตรอริยชน เมื่อจิตหมดความอยาก(ไมมีตัณหา) จิตก็ปลอยวางอารมณทั้ง
ปวง ถอยเขาหาจิตผูรูอยางอัตโนมัติ มีความหมายวา เมื่อจิตของพระโยคี
ตั้งอยูแลวในอนุโลมญาณ ตอจากนั้นก็กาวขึ้นสูโคตรภูญาณ ทําหนาที่โอน
จากโคตรปุ ถุช น ที่ห นาแน นไปด วยกิเ ลส ไปสู โคตรอริ ยชนที่หางไกลจาก
กิเลส กลาวโดยวิถีจิต เมื่ออนุโลมชวนะ ซึ่งมีไตรลักษณคือความเกิดดับแหง
รูปนามเปนอารมณนั้นดับไปแลวก็เปนปจจัยใหเกิดโคตรภูจิต ยึดหนวงพระ
นิพพานเปนอารมณ นํามาซึ่งปญญาที่รูยิ่งในสันติลักษณะ คือพระนิพพาน
ตามลําดับแหงวิถีจิตที่ชื่อวามรรควิถ๑๐๒
ี
โยคีผูปฏิบัติที่มีอนุโลมญาณเกิดขึ้นแลว เมื่ออนุโลมญาณแมทั้ง ๓
(หรือ ๒) เหลานั้น ไดทําลายความมืด (คือกิเลส) ชนิดหนาๆ ที่ปดบัง (อริยะ)
สัจจะอยู ใหอันตรธานไปตามสมควรแกกําลังของตน จิตของโยคีนั้น ก็ไม
แลนไป ไมตั้งมั่น ไมนอมไป ไมของ ไมติด ไมเกาะ ในสังขารทั้งปวง (แต)
ถอยกลับ งอกลับ วกกลับ เหมือนหยาดน้ํา กลอกกลิ้งกลับจากใบบัว นิมิต
(คือสังขาร) ที่เปนอารมณทั้งปวงก็ดี ความเปนไป (ของสังขาร) ที่เปนอารมณ
ทั้งปวงก็ดี ยังปรากฏโดยปริโพธ (คือสิ่งขัดขวาง)อยูในทันที เมื่ออารมณคือ
นิมิตและความเปนไป (ของสังขาร) ทุกประการ ปรากฏโดยปริโพธอยูนั้น ณ
ตอนทายสุด แห งอาเสวนะ (๓ หรื อ ๒ ครั้ ง)๑๐๓ ของอนุ โลมญาณ โคตรภู
๑๐๑
เลมเดียวกัน หนา ๕๘๓.
๑๐๒
พระภาวนาพิ ศ าลเมธี วิ . , เอกสารประกอบการสอนวิ ช า : สั ม มนา
วิปสสนาภาวนา, ๒๕๕๑, หนา ๕๗๘.
๑๐๓
บริกรรม อุปจาร และอนุโลม
๑๒๕
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ญาณ ที่เปนญาณถึงยอด เปนที่สุดของวิปสสนาก็เกิดขึ้น ทํานิโรธคือพระ
นิพพานอันปราศจากสังขาร ไมมีนิมิต ไมมีความเปนไป ใหเปนอารมณ ขาม
พนโคตรปุถุชน พนการเรียกวาปุถุชน กาวลงสูโคตรพระอริยะ สูการเรียก
ขานวา พระอริยะสูภูมิพระอริยะ ซึ่งเปนการรําพึงถึงครั้งแรก คํานึงถึงเปน
ครั้งแรก ในอารมณพระนิพพาน ทําใหสําเร็จความเปนปจจัยของ (อริยะ)
มรรค โดยอาการ ๖ คือโดย อนันตรปจจัย ๑ สมนันตรปจจัย ๑ อาเสวนา
ปจจัย ๑ อุปนิสสยปจจัย ๑ นัตถิปจจัย ๑ และวิคตปจจัย ๑ ไมหวนกลับมา
อีก ซึ่ง (เปนญาณที)่ ทานกลาวระบุถึงไววา
“ปญญาในการหวนกกลับดวยการออกจากสังขารภายนอก เรียกวา
โคตรภู เ พราะครอบงํา ความเกิด ขึ้น ความเป น ไป ความคับ แคน ใจ (ของ
สังขารทั้งหลาย) เพราะครอบงํานิ มิต คือสั งขารภายนอก เพราะแล นไปสู
ความไมเกิดขึ้น แลนไปสูความไมเปนไป ฯลฯ สูความไมคับแคนใจ สูนิโรธ
สูพระนิ พพาน เรีย กวา โคตรภู เพราะครอบงําความเกิด ขึ้น (ของสั งขาร)
แลวแลนไปสูความไมเกิดขึ้น (คือนิพพาน)”๑๐๔
ในโคตรภูญาณ อารมณที่ปรากฏกอนที่จะเคลื่อนเขาสูความดับขอ
รูปนาม หรือ ทางเขาสูพระนิพพาน ๓ ประเภท มีดังนี้
๑) รูปนามแสดงใหเห็นถึงความไมเที่ยง โดยการเกิดดับของรูปนาม
จะมีมาก, เร็ว และสั้นจนถึงที่สุด สําหรับผูที่เคยสะสมบารมีทางศีลมากอน
เรียกวา เขาทางอนิจจัง ดวยการหลุดพนทาง อนิมิตตวิโมกข
๒) รูปนามแสดงใหเห็นถึงความเปนทุกข โดยทุกขเวทนา(คัน แนน
หรือปวด) จะเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงที่สุด สําหรับผูที่เคยสะสมบารมี ทาง
สมาธิมากอน เรียกวา เขาทางทุกขัง ดวยการหลุดพนทาง อัปปณิหิตวิโมกข
๓) รูปนามแสดงใหเห็นถึงความไมมีตัวตน โดยรูปนามจะแผวเบา
ละเอียดจนถึงที่สุด สําหรับผูที่เคยสะสมบารมีทางปญญามากอน เรียกวาเขา
ทางอนัตตาดวยการหลุดพนทาง สุญญตวิโมกข
๑๐๔
พระพุ ท ธโฆสเถระ รจนา: คั ม ภี ร วิ สุ ท ธิ ม รรค, พิ ม พ ค รั้ ง ที่ ๑๒,
กรุงเทพมหานคร บริษัท ธนาเพรส จํากัด,๒๕๖๐, หนา ๑๑๓๑-๑๑๓๒.
๑๒๖
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
โคตรภูธรรมแบงเปน ๒ ฝาย ฝายกุศล ๑๕ ประการ ฝายอัพยากฤต
๓ ประการ ฝายอกุศล ไมม๑๐๕
ี
สมถะ วิปสสนา
ครอบงํา ผลลัพธ ครอบงํา ผลลัพธ
๑. นิวรณ ปฐมฌาน ๑. รูปนาม โสดาปตติมัค
๑๖ ประการ
๒. วิตก วิจารณ ทุติยฌาน ๒. “ โสดาปตติผลสมาบัติ
๓. ปติ ตติยฌาณ ๓. “ สกทาคามิมัค
๔. สุข จตุตถฌาน ๔. “ สกทาคามิผลสมาบัติ
๕.รูปสัญญา อากาสานัญจา ๕ “ อนาคามิมัค
ปฏิสัญญา ๖. “ อนาคามิผลสมาบัติ
นานัตตสัญญา ๗. “ อรหัตตมัค
๖.อากาสานัญจา วิญญานัญจา ๘. “ อรหัตตผลสมาบัติ
๗. วิญญาณัญจา อากิญจัญญา ๙. “ อนิมิตตวิหารสมาบัติ
๘. อากิญจัญญา เนวสัญญานา ๑๐. “ สุญญตาวิหารสมาบัติ
สัญญา
กุศล ขอ๑-๘ (๘ ขอ) กุศล ขอ๑-๗ (๗ ขอ)
อัพยากฤติ ขอ๘-๑๐ (๓ ขอ)
โคตรภูญาณนี้เปนอาวัชชนะของมรรคญาณ ฉะนั้น จะจัดเขาไปใน
ปฏิป ทาญาณทัสสนวิสุ ทธิ ก็เ ขาไมได และจะจั ดเขาในญาณทัส สนวิสุ ทธิ ก็
ไมได เพราะปราศจากลักษณะของวิสุทธิทั้ง ๒ อยางนี้ ฉะนั้น โคตรภูญาณ
จึงอยูในระหวางกลาง เปนอัพโพหาริก แตวาตกอยูในกระแสของวิปสสนา
จึงเรียกวา วิปสสนาญาณเชนกัน๑๐๖
๑๐๕
พระสั ทธั ม มโชติ ก ะ ธัม มาจริย ะ: วิ ปส สนากรรมฐาน, พิ มพ ค รั้ง ที่ ๗,
กรุงเทพมหานคร: หจก.ทิพยวิสุทธิ,์ ๒๕๕๙, หนา ๒๒๖.
๑๐๖
พระภัททันตะ อาสภมหาเถระ:วิปสสนาทีปนีฎีกา, พิมพครั้งที่ ๑, วัดภัททัน
ตะ อาสภาราม, ๒๕๑๓, หนา ๑๘๒.
๑๒๗
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
ญาณที่ ๑๔ มรรคญาณ
จิตเห็นพระนิพพานและตัดขาดจากกิเลส เปนสมุจเฉทประหาณ๑๐๗
สติ สมาธิ ปญญาและธรรมฝายการตรัสรูทั้งปวงรวมลงที่จิตดวงเดียว เปน
มรรคสมังคี กําลังของมรรคแหวกมโนวิญญาณซึ่งหอหุมปดบังธรรมชาติอัน
บริสุทธิ์ออก
ญาณนี้เปนโลกุตตรญาณ จะทําหนาที่ประหาณกิเลสระดับอนุสัย
กิเลส ทําหนาที่รูทุกข ละเหตุแหงทุกข แจงนิโรธความดับทุกข เจริญตนเอง
เต็มที่คือองคมรรค ๘ มีการประชุมพรอมกัน ทําหนาที่ละอนุสัยกิเลสแลวก็
ดับลง มีนิพพานเปนอารมณขณะที่จิตเปนโคตรภูนั้น เปนเวลาที่เริ่มดับวับลง
ไป เพราะไดนิพพานคือความดับเปนอารมณจิตจึงดับวับไป ตอจากนั้นมรรค
จิตก็เกิดรับนิพพานที่โคตรภูจิตรับแลวนั้นเปนอารมณตอไปชั่วขณะจิตหนึ่ง
ญาณที่เกิดรวมกับมรรคจิตนั้น เรียกวา มรรคญาณ๑๐๘
ญาณที่ ๑๕ ผลญาณ
จิตเห็นพระนิพพานโดยเสวยผลแหงสันติสุข สาระสําคัญของญาณนี้
ก็คือ ผูปฏิบัติถึงญาณนี้แมกิเลสจะถูกประหาณไปไดอยางเด็ดขาดดวยมรรค
ญาณ แตอํานาจของกิเลสก็ยังเหลืออยู เชนเดียวกับที่เอาน้ําไปรดถานไฟ ไอ
รอนยังเหลืออยูในฟนที่ไฟไหม แตไฟนั้นดับแลว การประหาณกิเลสดวยผล
ญาณก็มีนัยเชนนี้๑๐๙
ญาณนีเ้ ปนโลกุตตรญาณ เกิดขึ้นมา ๒ ขณะ เปนผลของมรรคญาณ
ทําหนาที่รับนิพพานเปนอารมณ ๒ ขณะ แลวก็ดับลง อรรถกถาแสดงไววา
-โยคีทานใดมีอนุโลมจิต ๒ (อุปจาร และอนุโลม) ชวนจิตที่ ๓ ของ
โยคีทานนั้นเปนโคตรภู ชวนจิตที่ ๔ เปนมรรคจิต มีผลจิต ๓ ชวนะ
-โยคีทานใด มีอนุโลมจิต ๓ (บริกรรม อุปจารและอนุโลม) ชวนจิตที่
๑๐๗
สํ.นิ.อ. (บาลี) ๒/๗๐/๑๔๓
๑๐๘
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๑๓๕.
๑๐๙
พระภาวนาพิ ศ าลเมธี วิ . , เอกสารประกอบการสอนวิ ช า : สั ม มนา
วิปสสนาภาวนา, ๒๕๕๑, หนา ๕๘๓.
๑๒๘
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
๔ ของโยคีทานนั้นเปนโคตรภู ชวนจิตที่ ๕ เปนมรรคจิต มีผลจิต ๒ ชวนะ
ญาณที่ ๑๖ ปจจเวกขณญาณ
ญาณนี้เปนญาณที่เกิดขึ้นตอจากผลญาณ คือ เมื่อไดเขาสูความดับ
แลว ครั้งเมื่อรูสึกตัวก็มาพิจารณาวาตนเองนั้นเปนอะไรไป ขอมูลในคัมภีร
ปฏิสัมภิทามรรคอธิบายวา ตทา สมุทาคเต ธมฺเม ปสฺสเน ปฺญา. ปญญาใน
การพิจารณาเห็นธรรมที่เขามาประชุมในขณะนั้น๑๑๐ เปนญาณรูดวยการ
พิจารณาทบทวน คือสํารวจรูมรรคผลและกิเลสที่ละไดแลว กิเลสที่เหลืออยู
และนิพพาน(เวนพระอรหันต ไมมีการพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู) ๑๑๑
จิตเห็นในมรรคจิต ผลจิต นิพพาน กิเลสที่ละแลว และกิเลสที่ยังคง
เหลืออยู เปนญาณหยั่งรู ดวยการพิจารณา ทบทวน คือสํารวจรูมรรค ผล
กิเลสที่ละไดแล ว กิเลสที่เหลื ออยู และนิพพาน(เวนพระอรหันต ไมมีการ
พิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู) ๑๑๒
พระอริยบุคคลทานนั้นสํารวจทบทวนดูมรรควา “ขาพเจามาดวย
มรรคนี้แนแลว”
จากนั้นก็สํารวจทบทวนดูผลวา “อานิสงสดังนี้ขาพเจาไดรับแลว”
สํารวจทบทวนดูกิเลสทั้งหลายที่ละไดแลว
จากนั้นสํารวจทบทวนดูกิเลสทั้งหลายที่ตองฆาดวยมรรค ๓ เบื้อง
สูงวา “กิเลสทั้งหลายชื่อนี้ๆ ของขาพเจายังเหลืออยู” และในที่สุด ก็สํารวจ
ทบทวนดูพระอมตนิพพานวา “พระธรรมนี้ ขาพเจาแทงตลอดโดยอารมณ
แลว”
พระโสดาบันอริยสาวกมีปจจเวกขณะ (คือการสํารวจทบทวน) ๕
ประการดั ง กล า วนี้ และพระโสดาบั น มี ป จ จเวกขณะ ๕ ฉั น ใด แม พ ระ
สกทาคามีและพระอนาคามีทั้งหลายก็มีปจจเวกขณะ ๕ ฉันนั้น แตของพระ
๑๑๐
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป.(ไทย) ๓๑/๖๕/๑๐๖-๑๐๙
๑๑๑
ขุ.ป.(ไทย) ๓๑/๖๕/๑๐๖-, วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๖๖๒-๘๐๔/๒๕๐-๓๕๐.
๑๑๒
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๕/๑๐๖, วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๖๖๒-๘๐๔/๒๕๐-๓๕๐.
๑๒๙
บทที่ ๒ หลักปฏิบัติวิปสสนา ๗ ขั้น ตามลําดับญาณ ๑๖
อรหันตไมมกี ารสํารวจทบทวนดูกิเลสที่เหลือแล เพราะทานละกิเลสทั้งหลาย
หมดแลว๑๑๓
กิเลสที่พระอริยบุคคลประหาร
พระอริยบุคคลและการละกิเลสแตละประเภท สามารถสรุปไดวา
๑. พระโสดาบัน คือ ผูยังโสดาปตติมรรคใหเกิดแลว ยอมละการ
ไปในอบายไดการละทิฏฐิและวิจิกิจฉา
๒. พระสกทาคามี คือ ผู ยั งสกทาคามีมรรคให เ กิด แล ว ย อมทํ า
ราคะ โทสะ และโมหะให เ บาบางลง จะมาสู โ ลกนี้ อี ก เพี ย งครั้ ง เดี ย ว
(ประหารใหเปนตนุกระ คือ เบาบางลง)
๓. พระอนาคามี คือ ผูยังอนาคามิมรรคใหเกิดแลว ยอมละกาม
ราคะและพยาบาทไดโดยไมมีเหลือ ไมกลับมาสูความเปนสัตวในกามภพอีก
(ประหารแบบสมุจเฉท)
๔. พระอรหันตคือ ผูยังอรหัตมรรคใหเกิดแลว ยอมละกิเลสไมมี
สวนเหลือเปนพระขีณาสพเปนพระทักขิไณย ผูเลิศในโลก
ทิฏฐิและวิจิกิจฉา ๒ อยางนี้โสดาปตติมรรคประหาณไดโดยเด็ดขาด
โทสะนั้น อนาคามีมรรคประหาณไดโดยเด็ดขาด โลภะ โมหะ มานะ ถีนะ
อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ นั้นอรหัตตมรรคประหาณไดโดยเด็ดขาด”๑๑๔
๑๑๓
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๑๓๗.
๑๑๔
พระพุทธโฆสเถระ รจนา, คัมภีรวิสุทธิมรรค, ๒๕๖๐, หนา ๑,๑๕๖
๑๓๐
บทที่ ๓
การปฏิบัติวิปสสนาแบบลัดสั้น
ความเห็นแจงตามความเปนจริงของรูป-นาม(ขันธ ๕) โดยที่ยังไมได
เจริญสมถะมากอนและยังไมไดฌานสมาบัติ เริ่มปฏิบัติวิปสสนาเลยทีเดียว
ใชสมาธิเพียงระดับขณิกสมาธิ คือ รูทันปจจุบันทุกขณะของรูปนามโดยความ
เปนไตรลักษณ จนไดบรรลุมรรค ผล นิพพาน เรียกวาวิปสสนายานิก และ
เมื่อสิ้นอาสวะกิเลสสําเร็จเปนพระอรหันตมีชื่อเรียกวา สุกขวิปสสกบุคคล
หรือปญญาวิมุตติบุคคล คือ บุคคลที่หลุดพนดวยความสามารถแหงปญญา๑
๑. ความรู ๖ ระดับ ในการพัฒนาญาณปญญา
ปฺา แปลวา ความรู ความเขาใจ ความรูชัด มาจาก า ธาตุใน
ความรู ป บทหนา กฺวิ ปจจัย เปนอิตถีลิงค อาการันต วิเคราะหวา ปฺาย
เต เอตายาติ ปฺา. สภาวะที่ชวยใหรูชัด รูทั่วถึงได ชื่อวาปญญา๒
คัมภีรอังคุตตรนิกายอธิบายวา ปญญา หมายถึง ความรูธรรมที่เปน
กุศล อกุศล ธรรมที่มีโทษ ไมมีโทษ ธรรมดํา (ธรรมที่ใหผลเปนทุกข) ธรรมขาว
(ธรรมที่ใหผลเปนสุข) ธรรมที่ควรเสพ ธรรมที่ไมควรเสพ ธรรมที่ไมสามารถทํา
ใหเปนพระอริยะ และธรรมที่สามารถทําใหเปนอริยะ๓ หมายถึง ปญญาระดับ
โลกิยะ เปนความรูที่เกิดจากการฟง และการคิดพิจารณา
คัมภีรอังคุตตรนิกายอธิบายวา ปญญา หมายถึง เครื่องพิจารณาเห็น
ทั้งความเกิด และความดับอันเปนอริยะ ชําแรกกิเลส ใหถึงความสิ้นทุกขโดย
ชอบ๔ หมายถึง ปญญาระดับโลกุตตระ เปนความรูที่เกิดจากการเจริญวิปสสนา
๑
ดูรายละเอียดใน องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๙๐/๗๙, วิสุทฺธ.ิ มหาฏีกา (บาลี) ๑/๒๑.
๒
พระมหาสมปอง มุทิโต, คัมภีรอภิธานวรรณนา, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ
ธรรมสภา, ๒๕๔๒), หนา ๒๐๙.
๓
องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๕/๔๓๙.
๔
องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๔/๗.
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ตั้งแตเริ่มตนจนกระทั่งบรรลุมรรคผล๕
มนุ ษ ย จึ ง ต อ งอาศั ย ป ญ ญาเป น เครื่ อ งมื อ ในการดํ า เนิ น ชี วิ ต ให
ปราศจากความทุกขมากที่สุด ใหสามารถอยูรอดอยางดีงาม มีความสุข๖ มีความ
เขาใจในเหตุผล ดี ชั่ว รูคิด รูวินิจฉัย และรูที่จะจัดการ สิ่งใดเปนประโยชน มิใช
ประโยชน๗ การเรีย นรู เป นความหมายหนึ่ งของการศึกษา ที่จ ะฝ กตั วเอง
พัฒนาชีวิตตนเองใหมีความสามารถที่จะเปนอยูไดอยางดี
ป ญญาตามหลั กศาสนาพุ ทธอาศั ยระบบการรั บรู ที่ เกิ ดขึ้ งเองตาม
ธรรมชาติ แล ว จากระดั บเบื้ องต น (โลกิยป ญญา) ไปสู ความรู ระดั บสู งขึ้ นไป
(โลกุตตรปญญา) แบงได ๖ ระดับ ดังตอไปนี้
๑) ปญญาระดับวิญญาณ คือ ความรูแจงอารมณอันเปนความรู
เริ่ ม แรกเมื่ อ เห็ น ได ยิ น ได ก ลิ่ น ลิ้ ม รส กายถู ก ต อ งสํ า ผั ส เป น ต น ซึ่ ง จะ
กลายเปนเวทนาตอไป เปนความรูที่เกิดขึ้นโดยอาศัยทวารทั้ง ๖ เปนฐาน
ขณะตาสัมผัสกับรูปเกิดความรูขึ้น เรียกวา จักขุวิญญาณ ขณะหูสัมผัสกับ
เสียงเกิดความรูขึ้น เรียกวา โสตวิญญาณ ขณะจมูกสัมผัสกับกลิ่นเกิดความรู
ขึ้น เรียกวา ฆานวิญญาณ ขณะลิ้นสัมผัสกับรสเกิดความรูขึ้น เรียกวา ชิวหา
วิญญาณ ขณะกายสัมผัสกับโผฏฐัพพะเกิดความรูขึ้น เรียกวา กายวิญญาณ
ขณะทีใ่ จสัมผัสกับธรรมเกิดความรูขึ้น นี่เรียกวา มโนวิญญาณ๘
ความรูระดับวิญญาณนี้ เปนความรูที่มีความบริสุทธิ์เนื่องจากเปน
การรูโดยตรง ในระยะแรกยังไมมีรายละเอียดหรือความหมายอะไร เมื่อตา
๕
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, สมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ อาสภ
มหาเถร) แปลและเรียบเรียง, (พิมพครั้งที่ ๙, ๒๕๕๓.) หนา ๗๓๑
๖
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), หัวใจพระพุทธศาสนา, พุทธจักร, ปที่
๖๑ ฉบับที่ ๔ (เมษายน ๒๕๕๐), หนา ๑๐.
๗
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวล
ธรรม, พิมพครั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท เอส อาร พริ้นติ้ง แมส โปรดักส
จํากัด, ๒๕๕๑), หนา ๑๗๔.
๘
ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๓/๓๑๖.
๑๓๒
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
เห็นรูปก็รูเพียงวาเห็นเทานั้นแตไมรูวาเปนรูปอะไร การเกิดขึ้นของความรู
ระดั บ วิ ญ ญาณนี้ จ ะเกิ ด ขึ้ น ได ต อ งมี อ งค ป ระกอบ ๓ อย า งคื อ อายตนะ
อารมณ และจิตทําหนาที่จดจอในอารมณ ๖
๒) ปญญาระดับสัญญา หมายถึง การจํ าได ห มายรู เป นความรู
ระดับรูอาการเครื่องหมายลักษณะตางๆ อันเปนเหตุใหจําอารมณนั้นๆ ได มี
ความละเอียดกว าความรูระดับ วิญญาณ เกิด ขึ้นโดยอาศัยการเทีย บเคีย ง
ระหวางประสบการณเดิม หรือความรูเกากับความรูใหม แบงออกเปน ๖
อยางตามทางแหงการรับรู คือ รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา
โผฏฐัพพสัญญา และธัมมสัญญา ความรูระดับสัญญานี้เปนกระบวนการเก็บ
รวบรวม และสะสมขอมูลของการเรียนรูและวัตถุดิบสําหรับความคิดนั่นเอง๙
๓) ปญญาระดับทิฏฐิ หมายถึง ความเห็นซึ่งรวมถึงความเชื่อถือ
ความเขาใจตามนัยเหตุผล ความรูที่เปนทรรศนะแนวคิดหรือทฤษฎีตางๆ ที่
เกิดขึ้นหลังจากการฟง การคิด ที่เปนไปตามกระบวนการทางเหตุผลหรือ
อนุมาน เปนการเห็นความจริงรวบยอดที่อยูเบื้องหลังปรากฏการณตางๆ ซึ่ง
เปนความรูที่ไดจากการคิดแบบวิเคราะหเปรียบเทียบ แลวทําการสังเคราะห
สรุปรวบยอดกลายเปนทรรศนะ มโนภาพ หรือความเขาใจ เปนความรู ที่
เกิดขึ้นจากการฟง หรือสุตมยปญญา และการคิดที่เรียกวา จินตามยปญญา
ตามทรรศนะของพุทธปรัชญาแบงความรูระดับทิฏฐิออกเปน ๒ ประเภท คือ
มิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นที่ผิดจากความเปนจริงเปนไปเพื่อสรางโลกสราง
กิเ ลส และสัมมาทิฏ ฐิ คือ ความเห็ นชอบเห็ น ความจริ ง ได แก การเห็ น ที่
ถู ก ต อ งตามอริ ย สั จ ๔ ดั ง พระผู มี พ ระภาคตรั ส ว า ดู ก รภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย
สัมมาทิฏฐิคืออะไร คือความรูในทุกข ความรูในสมุทัย ความรูในทุกขนิโรธ
ความรูในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกวา สัมมาทิฏฐิ๑๐ สัมมาทิฏฐิเทานั้น
จึงจะถือวา เปนปญญาที่ตรงตามทรรศนะของพุทธปรัชญาเถรวาท
๙
เดือน คําดี, พุทธปรัชญา, (กรุงเทพมหานคร: โอ เอส พริ้นติ้ง เฮาส, ๒๕๓๔),
หนา ๑๒๙.
๑๐
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๓๕/๑๒๖–๑๒๘.
๑๓๓
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๔) ปญญาระดับอภิญญา คือ ความรูที่เกิดขึ้นจากความสามารถ
พิเ ศษทางจิ ต โดยการฝกจิต ให มีพลังโดยไมต องอาศัย ประสาทสัมผัส ใดๆ
ทั้งสิ้น เปนสิ่งที่สามารถรับรูไดโดยไมขึ้นกับกาลเวลา การรับรูระดับนี้เมื่อ
เกิดขึ้นสามารถที่จะรับรูสิ่งตางๆ ไดเกินวิสัยสามัญของมนุษย เรียกความรู
แบบนี้วา อภิญญา มี ๖ ประการ คือ
(๑) อิทธิวิธี คือ ความสามารถแสดงฤทธิ์ไดหลายอยาง เชน คน
เดียวทําใหเปนหลายคน ทําที่มืดใหสวาง
(๒) ทิพพโสตะ คือ ความสามารถในการไดยินเสียงทั้งเสียงทิพย
เสียงมนุษยทั้งระยะใกลไกล
(๓) เจโตปริยญาณ คือ การรูใจคนอื่น สามารถบอกไดวาเขาคิด
อยางไร
(๔) ปุ พเพนิ ว าสานุ ส สติ ญาณ คือ ความสามารถระลึ กชาติ ใน
อดีตได
(๕) ทิพพจักขุ คือ ความสามารถในการมองเห็นสัตวทั้งหลายผู
จุติเปนอันมาก
(๖) อาสวักขยญาณ คือ ความรูที่ทําใหสิ้นอาสวะกิเลส๑๑
ความรู ร ะดั บ อภิ ญ ญาทั้ ง ๖ นี้ อภิ ญ ญา ๕ ข อ แรกจั ด เป น โลกี ย
อภิญญา เปน ความรูระดั บสามั ญทั่วไป ผูที่ไดอภิ ญญานี้ อาจเปนสัมมาทิฏฐิ
หรือมิจฉาทิฏฐิก็ได สวนอภิญญาขอที่ ๖ คือ อาสวักขยญาณ จัดเปนโลกุตตร
อภิญญา เปนความรูระดับสูง ผูไดอภิญญาขอนี้จะเปนสัมมาทิฏฐิเทานั้น
๕) ปญญาระดั บญาณ คือ ความหยั่ งรู ด ว ยป ญญาประจักษแจ ง
เปนความรูที่เกิดขึ้นจากการหยั่งรูสภาวะแหงความจริงทั้งหลาย ตามความ
เปนจริง เปนความรูที่เกิดขึ้นเฉพาะภายในตัวของผูรูเทานั้น เปนการเรียนรู
โดยประสบการณต รง ตามหลั กไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ป ญญา ความรู
ระดับญาณนีไ้ ดแก "ญาณ ๑๖"๑๒
๑๑
ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๖/๓๙๔–๓๙๖.
๑๒
ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๗๒., ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑-๖๕/๗-๑๐๙.
๑๓๔
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๖) ปญญาระดั บตรั สรู หรื อ สัมโพธิ คือ ความรูร ะดับ ญาณขั้น
สูงสุดในพุทธปรัชญา เปนญาณที่รูวาตนหลุดพนจากสภาวธรรมฝายสังขตะ
ทั้งปวง และเมื่อไดบรรลุโลกุตตรธรรมก็รูวาตนไดอยูจบพรหมจรรยแลว กิจ
ที่จะพึงทําทุกอย างก็ได ทําเสร็ จแลว ไดบรรลุถึงความเปน อิสระจากโลกิย
ธรรมทั้งมวลโดยสมบูรณ ไมมีกิจที่ตองทําอีกตอไป ความรูระดับนี้จะเกิดขึ้น
ไดตองมีเงื่อนไข ๓ ประการ คือ ไดปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค ๘ บริบูรณ
ด ว ยดี มี ค วามรู ร ะดั บ ญาณเกิ ด ขึ้ น แล ว โดยสมบู ร ณ และเกิ ด ความ
เปลี่ ย นแปลง ๕ ประการคือ เปลี่ ย นแปลงทางป ญ ญา เปลี่ ย นแปลงทาง
คุ ณ ภาพจิ ต เปลี่ ย นแปลงทางอารมณ เปลี่ ย นแปลงทางทั ศ นคติ และ
เปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม๑๓
ความรูระดับวิญญาณ ระดับสัญญา ระดับทิฏฐิ ระดับอภิญญา ๕
ขอแรก และระดับญาณตั้งแตนามรูปปริเฉทญาณ จนถึงสัจจานุโลมิกญาณ
และปจจเวกขณญาณ จัดเปนความรูระดับโลกียะ สวนอภิญญาขอที่ ๖ คือ
อาสวักขยญาณ กับความรูระดับญาณเบื้องสูง ตั้งแต มรรคญาณ ผลญาณ
และความรูระดับตรัสรูหรือสัมโพธิ จัดเปนความรูระดับโลกุตตระ การแบง
ความรูออกเปนอยางนี้ เพื่อจําแนกระดับภูมิความรูของแตละบุคคลตามหลัก
คําสอนในพระพุทธศาสนาเถรวาท
๒. วิปสสนาภาวนา
วิปสสนา แปลวา ปญญาหยั่งรูรูปธรรมและนามธรรมตามความเปน
จริง วาสภาวธรรมทั้งหลายไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตาไมใชตัวตน ไดแก
ภาวนาปญญา๑๔ มีศัพทวิเคราะหวา อนิจฺจาทิวเสน วิวิเธน อากาเรน ธมฺเม
ปสฺสตีติ วิปสฺสนา๑๕ ปญญาใดยอมเห็นสังขตธรรมมีขันธเปนตน ดวยอาการ
๑๓
บุญมี แทนแกว, ญาณวิทยา, (กรุงเทพมหานคร: ธนะการพิมพ, ๒๕๓๕),
หนา ๕๕.
๑๔
วิภาวิน.ี ฎีกา (บาลี) หนา ๒๖๗.
๑๕
ขุ.ป.อ. (บาลี) ๑/๑๕๕/๓๒๘, อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๑/๑๐๐/๑๐๐.
๑๓๕
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ตางๆ มีความไมเที่ยงเปนตน ฉะนั้นปญญานั้น ชื่อวา วิปสสนา
ความเห็นแจ งในอารมณต างๆ โดยความเปนรูปนามที่พิเศษนอก
ออกไปจากบัญญัติ โดยการละทิ้งสัททบัญญัติ อัตถบัญญัติเสียสิ้น และเห็น
แจงในอารมณตางๆ โดยอาการเปนอนิจจะ ทุกขะ อนัตตะ อสุภะ ที่พิเศษ
นอกออกไปจากนิจจสัญญาวิปลาส สุขสัญญาวิปลาส อัตตสัญญาวิปลาส สุภ
สัญญาวิปลาสเสีย ไดแก ปญญาเจตสิกที่ในมหากุศลจิต มหากริยาจิต๑๖
วิปสสนาภาวนาเปนการอบรมปญญาใหเกิดความรูแจงชัดในขันธ ๕
ตามความเปนจริง วาไมเที่ยง มีสภาวะทนไดยาก ที่ไมใชตัวตนจะบังคับ
บัญชาได ปฏิบัติเพื่อใหเกิดญาณรูแจงอริยสัจ ๔๑๗ ที่เรียกวา “ญาณ” เปน
การใครครวญธรรม เพงพินิจพิจารณาเห็นธรรมโดยความเปนไตรลักษณ๑๘
แตที่เราไมเห็นรูป-เห็นนามตามความเปนจริง (โดยความเปนไตรลักษณ) ได
โดยงาย นั่นก็เพราะวามีธรรม ๓ ประการ๑๙ เปนเครื่องขวางกั้นเอาไว ก็คือ
สันตติปดบังอนิจจัง อิริยาบถปดบังทุกข ฆนสัญญาปดบังอนัตตา
๑) สันตติ หมายถึง การเกิดขึ้นติดตอสืบเนื่องกันของรูปและนาม
อยางรวดเร็ว คือความสืบตอแหงกรรม ฤดู จิต อาหาร ตัวอยางที่เขาใจได
งาย เชน ขนเกาหลุดลวงไป ขนใหมเกิดขึ้นแทน ความคิดเกาดับไปความคิด
ใหมมาแทน มาปดบังไมใหเห็นความเปนอนิจจัง จึงเปนเครื่องปดบังไมให
เห็นความไมเที่ยงของรูปและนาม ทําใหเห็นเหมือนกับวา รูปและนามนี้ยังมี
อยูเรื่อยๆ ไป เมื่อเห็นความจริงของรูปและนามไมไดก็เกิดความสําคัญผิดใน
รูป-นามวา “เปนของเที่ยง” เรียกวา นิจจวิปลาส
๑๖
พระสัทธัมมโชติกะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๑ สมถกรรมฐานทีปนี
, พิมพครั้งที่ ๕ (กรุงเทพมหานคร: บริษัท วี.อินเตอร พริ้นท จํากัด, ๒๕๔๗), หนา ๑๕.
๑๗
ดูใน ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๒/๒๔๒, องฺ.จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๒๕๔/๔๔๗.
๑๘
องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๒๐/๑๖๕, องฺ.สตฺตก.ฏีกา (บาลี) ๓/๒๐/๑๙๒.
๑๙
ดูใน องฺ.สตฺตก.ฏีกา (บาลี) ๑/๓๔๑.
๑๓๖
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๒) อิริยาบถ หมายถึงการเปลี่ยนอิริยาบถมาปดบังทุกข ตัวอยาง
เชน เมื่อเราเดินเมื่อยเราก็เปลี่ยนเปนนั่ง นั่งเมื่อยก็เปลี่ยนเปนนอน ทําใหคิด
วาขันธ ๕ ของเราเปนสุข การที่ไมไดพิจารณาอิริยาบถจึงไมเห็นความจริง
ของรูปและนามวา มีทุกขเบียดเบียนบีบคั้นอยูตลอดเวลา เมื่อไมเห็นทุกข ก็
เขาใจผิดวาเปนสุข เรียกวา “สุขวิปลาส”เปนปจจัยแกตัณหาทําใหปรารถนา
ดิ้น รนไปตามอํานาจของตัณหาที่อาศัย รูป -นามเกิด ขึ้น เพราะเหตุที่ไมได
พิจารณาอิริยาบถ จึงทําใหไมเห็นทุกข
๓) ฆนสัญญาปดบังอนัตตา ฆนสัญญา แปลวาความสําคัญวาเปน
กลุมกอน คือความสําคัญผิดในสภาวธรรมที่รวมกันอยูเปนกลุมเปนกอนของ
ขันธ ๕ วาเปนตัวเปนตน วามีสาระแกนสาร จึงทําใหไมเห็นความแยกกัน
ของรูป-นามเปนคนละอยางได เมื่อไมสามารถกระจายความเปนกลุมกอน
(ฆนสัญญา)ใหแยกออกจากกันได จึงไมมีโอกาสที่จะเห็นความไมใชตัวตนได
ทําใหหลงยึดถือวาเปนตัวเปนตน แตแทจริงแลวเปนเพียงธาตุที่ประกอบขึ้น
เปนคน ถาแยกออกแลวไมมีความเปนคนเลย ตอเมื่อรวมกันเขาจึงสมมติชื่อ
ว า เป น สิ่ ง นั้ น สิ่ ง นี้ เมื่ อ ไม เ ห็ น อนั ต ตา วิ ป ลาสที่ เ รี ย กว า “อั ต ตวิ ป ลาส”
(ความสําคัญผิดวาเปนตัวตน) ก็ตองเกิดขึ้น และเปนปจจัยแกตัณหา๒๐
วิธีทําลายเครื่องปดบังไตรลักษณทั้ง ๓ ประการนี้ได มีอยูเพียงทาง
เดียวเทานั้น นั่นคือปฏิบัติตามหลักสติปฏฐาน ๔๒๑ นี้เทานั้น ที่สามารถ
ทําลายวิปลาสและทําใหเกิดปญญาเห็นความจริงของรูป-นามได
อีกนัยหนึ่ง วิปสสนา หมายถึง เห็นตามเหตุตามการณดวยปญญา
ตามความเปน จริ ง๒๒ แต ที่มนุ ษย เ ห็ น ผิด ไปจากความเป น จริ งนั้ น ก็เ พราะ
วิปลาสธรรม ๓ ประการ คือ ทิฏฐิวิปลาส (ความเห็นผิด) จิตตวิปลาส (รูผิด)
และสัญญาวิปลาส (จําผิด) องคของวิปลาส มี ๔ คือ
๑) สุภวิปลาส สําคัญวารูป-นามสวยงาม
๒๐
วิสุทธฺ .ิ (บาลี) ๓/๒๗๕, วิสุทธฺ .ิ มหาฏีกา (บาลี) ๓/๕๒๒.
๒๑
ดูรายละเอียดใน ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๐๖/๒๕๔.
๒๒
ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๙๙/๒๔๗.
๑๓๗
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๒) สุขวิปลาส สําคัญวารูป-นามเปนสุข
๓) นิจจวิปลาส สําคัญวารูป-นามเที่ยง
๔) อัตตวิปลาส สําคัญวารูป-นามเปนตัวตน๒๓
วิปลาสธรรมนี้ เกิด ขึ้นเพราะไมไดกําหนดรูความจริงของรู ป-นาม
การที่จะละวิปลาสธรรมนี้ไดก็โดยการกําหนดรูป-นามตามนัยของสติปฏฐาน
๔ เทานั้น ในคัมภีรอรรถกถากลาววา สติปฏฐาน ๔ มุงแสดงการละหรือ
ทําลายวิปลาสธรรมทั้ง ๔ เปนหลัก คือ
๑) สุภวิปลาส กําจัดไดดวยการเจริญกายานุปสสนาสติปฏฐาน คือ
ละความสําคัญผิดวารูป-นามเปนของสวยงามเสียได
๒) สุขวิปลาส กําจัดไดดวยการเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน คือ
ละความสําคัญผิดวารูป-นามเปนสุขเสียได
๓) นิจจวิปลาส กําจัดไดดวยการเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน คือ
ละความสําคัญผิดวารูป-นามเปนของเที่ยงเสียได
๔) อัตตวิปลาส กําจัดไดดวยการเจริญธรรมานุปสสนาสติปฏฐาน
คือ ละความสําคัญผิดวารูป-นามเปนตัวเปนตนเสียได๒๔
ดวยเหตุผลดังกลาวนี้ จึงกลาวไดวาวิปสสนาและสติปฏฐานเปนสิ่ง
เดียวกันโดยความเปนเหตุเปนผลกัน คือวิปสสนาญาณจะมีขึ้นไมไดเลย หาก
ขาดกระบวนการพิจารณาธรรมตามแนวสติปฏฐาน ๔
ผลสําเร็จของการเจริญวิปสสนา คือ ไดบรรลุมรรค ผล นิพพาน ซึ่ง
เปนผลมาจากการปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกตองเพียงหนึ่ งเดียวเทานั้น คือ
การเจริ ญ สติ ป ฏ ฐาน ๔ (เอกายนมรรค ๒๕) โดยการพิ จ ารณาธรรมตาม
กระบวนการอริยสัจ ๔ ปรากฏผลเปนสภาวญาณเปนขัน้ ๆ ไป ดังนี้
๒๓
ดูรายละเอียดใน องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๔๙/๔๔, วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๓๖๖.
๒๔
ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๖๙, ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๐๖/๒๕๔, วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๓๖๑.
๒๕
องฺ.ทุกฺก. (ไทย) ๒๐/๘๘/๓๑๕, ขุ.ม.อ. (บาลี) ๓/๕๐.
๑๓๘
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๒.๑ วิปสสนาญาณ
ญาณ แปลวา ความรูอยางแจมแจง ความเห็นแจง๒๖ มีการตรัสรู
สภาวธรรมเป น ลั กษณะ มีการกําจั ด เสี ย ซึ่งโมหะอัน ป ด บังสภาวธรรม
ทั้งหลายเป น รส มีค วามหายหลงเป น ผล สมาธิ จั ด เป น เหตุ ใ กล ของญาณ
นั้น”๒๗ เปนธรรมชาติที่รูแจงตามความจริง ที่เรียกวา รูอริยสัจ ๔ คือ ทุกข
สมุทัย นิโรธ มรรค มีลักษณะแหงการรูสภาวธรรมดาแหงธรรมทั้งหลาย คือ
ลักษณะ ๓ มี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีลักษณะสองแสงใหความสวาง และ
กําจัดความมืด หรือกําจัดอวิชชา คือ ความไมรู ซึ่งเปนเหมือนกับความมืด
อั น ทํ า ให ห ลงให สิ้ น สู ญ ไปขณะเดี ย วกั น ก็ ทํ า วิ ช ชา คื อ ความรู ซึ่ ง
เปรียบเสมือนความสวางใหเกิดขึ้น ทําใหหายจากความหลงมีลักษณะรูทั่วถึง
ธรรมทั้งหลายมีลักษณะการแทงตลอดสภาวธรรมทั้งปวง
ญาณ คื อ ป ญ ญาหรื อ อโมหะ มี อ งค ธ รรมเป น อั น เดี ย วกั น คื อ
ปญญาเจตสิก (จิตที่ประกอบกับปญญาเจตสิกเรียกวาญาณสัมปยุตต๒๘ หรือ
ปญญินทรีย) คือ ภาวะที่รูชัด ภาวะที่ฉลาด ความรูอยางแจมแจง ความเห็น
แจง ความรูดี)๒๙” ในคัมภีรวิสุทธิมรรคแสดงลักษณะแหงญาณไวดังนี้วา
“ญาณมีการตรัสรูสภาวะแหงธรรมเปนลักษณะ มีการกําจัดเสียซึ่ง
ความมืด คือโมหะ อันปดบังสภาวะแหงธรรมทั้งหลายเปนรส มีความ
หายหลงเป น ผล ส ว นสมาธิ จั ด เป น ปทัฏ ฐาน(คื อ เหตุ ใ กล ) ของญาณ
นั้น”๓๐ ซึ่งมีพระบาลีรับรองวา “สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ปสฺสติ. ผูมี
จิตตั้งมั่นแลว(เปนสมาธิ) ยอมรูเห็นตามเปนจริง” ๓๑
๒๖
อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/๓๔/๓๓.
๒๗
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๗๖.
๒๘
มหามกุ ฎ ราชวิ ท ยาลั ย , อภิ ธั ม มั ต ถวิ ภ าวิ นี ฎี ก าแปล, พิ ม พ ค รั้ ง ที่ ๕ ,
(กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพมหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕), หนา ๙๖.
๒๙
อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/๓๔/๓๓.
๓๐
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๗๖.
๓๑
องฺ.ทสก. (บาลี) ๒๔/๒/๓.
๑๓๙
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ญาณ เปนปญญาเครื่องรูในอริยสัจ ๔ รูตามความเปนจริงในอริยสัจ
วา นี้เปนทุกข นี้เปนเหตุแหงทุกข นี้เปนการดับทุกข นี้เปนขอปฏิบัติใหถึง
ความดับทุกข และรูวา ทุกขควรกําหนดรู สมุทัยควรละ นิโรธควรทําใหแจง
มรรคควรเจริญ จนถึงที่สุดรูวา ทุกขไดรูแลว สมุทัยไดละแลว นิโรธไดทําให
แจงแลว และมรรคไดเจริญแลวดังปรากฏในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรวา
ภิกษุทั้งหลาย ญาณทัสสนะ(สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ)๓๒ตาม
เปนจริงของเราในอริยสัจ ๔ เหลานี้ ๓ รอบ ๑๒ อาการ (หมายถึง สัจจ
ญาณ กิจจญาณ กตญาณ เกิดขึ้นเวียนไปในอริยสัจ ๔ ขอขอละ ๓ รอบ
(๔ x ๓ = ๑๒) รวมเปน ๑๒ รอบดังนี้
ก. (๑) นี้ทุกข (๒) ทุกขนี้ควรกําหนดรู (๓) ทุกขนี้กําหนดรูแลว
ข. (๑) นี้สมุทัย (๒) สมุทัยนี้ควรละ (๓) สมุทัยนี้ละแลว
ค. (๑) นี้นิโรธ (๒) นิโรธนี้ควรทําใหแจง (๓) นิโรธนี้ทําใหแจงแลว
ง. (๑) นี้มรรค (๒) มรรคนี้ควรทําใหเจริญ (๓) มรรคนี้ทําใหเจริญแลว)๓๓
อยางนี้ยังไมหมดจดดีตราบใด เราก็ยังไมยืนยันวา เปนผูตรัสรูสัมมา
สัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลก กับทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ใน
หมู สั ต ว พร อ มทั้ ง สมณพราหมณ เ ทวดา และมนุ ษ ย ต ราบนั้ น ภิ ก ษุ
ทั้งหลาย เมื่อใดความรูเห็นตามเปนจริงของเราในอริยสัจ ๔ เหลานี้ ๓
รอบ ๑๒ อาการอยางนี้หมดจดดีแลว เมื่อนั้นเราจึงยืนยันไดวาเปน ผู
ตรั ส รู สั มมาสั มโพธิ ญาณอัน ยอดเยี่ ย มในโลก กับ ทั้งเทวโลก มารโลก
พรหมโลก ในหมู สั ต ว พ ร อ มทั้ ง สมณพราหมณ เทวดา และมนุ ษ ย
ญาณทัสสนะเกิดขึ้นแกเราวาความหลุดพนของเราไมกําเริบ ชาตินี้เปน
ชาติสุดทาย บัดนี้ ภพใหมไมมีอกี ๓๔
๓๒
สํ.ม.อ. (ไทย) ๓/๑๐๘๑/๓๘๐., สารตฺถ.ฏีกา ๓/๑๖/๒๑๙.
๓๓
สํ.ม.อ. (ไทย) ๓/๑๐๘๑/๓๘๐., สารตฺถ.ฏีกา ๓/๑๖/๒๑๙.
๓๔
วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๖/๒๓-๒๔.
๑๔๐
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
วิป ส สนาญาณ คือ ปญญาหยั่ งรู หยั่งเห็ นโดยประการตางๆ ใน
สภาวะลักษณะของรูปและนามตามความเปนจริง วาสภาวธรรมทั้งหลายไม
เที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา ไมใชตัวตน เปนธรรมชาติที่รูแจงความจริง ๔
ประการ คือ ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค๓๕ มีลักษณะรูสภาวธรรมดา ๓
ประการแหงธรรมทั้งหลาย คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สองแสงใหความสวาง
และกําจัดความมืด คืออวิชชา (ความไมรู) ขณะเดียวกันก็ทําวิชชา คือ
ความรู ซึ่งเปรียบเสมือนความสวางใหเกิดขึ้น ทําใหหายจากความหลง รู
ทั่วถึงและแทงตลอดสภาวธรรมทั้งปวง สวนสมาธิจัดเปนเหตุใกลของญาณ
นั้น”๓๖
สภาวะญาณในการเจริญวิ ปสสนา จําแนกประเภทตามที่รู จักกัน
ทั่วไปออกไดเปน ๒ กลุมใหญๆ คือ วิปสสนาญาณ ๙ (สมถยานิก) และญาณ
๑๖ (วิปสสนายานิก)๓๗ ดังนี้
๑) สภาวญาณของสมถยานิก
ในคัมภี ร พระไตรป ฎ กแสดงวิ ป ส สนาญาณไว ๙ ขั้น มุงหมายถึ ง
ญาณที่นับเขาในวิปสสนา นําบุคคลผูปฏิบัติใหไปสูโลกุตตระปญญา หลุดพน
จากกิเลสอาสวะทั้งปวง นับตั้งแตญาณที่ ๔ อุทยัพพยญาณจนถึงญาณที่ ๑๒
อนุ โ ลมญาณ เพราะอุทยั พพยญาณเป น ญาณแรกที่ รู เ ห็ น ไตรลั ก ษณ ด ว ย
ปญญาชนิดที่เรียกวา ภาวนามยปญญาโดยตรง ไมตองอาศัยจินตามยปญญา
เขามาชวย เปนสภาวะญาณที่ปรากฏแกผูเจริญวิปสสนาแบบสมถยานิก๓๘
เมื่ อ เกิ ด วิ ป ส สนาญาณ ๙ แล ว จะเกิ ด ความรู แ จ ง เห็ น จริ ง คื อ
ญาณทัส สนวิสุ ทธิ และในระหว างนั้นจะเกิด ญาณครอบโคตร (ญาณที่อยู
ทามกลางระหวางเปนปุถุชนกับอริยชน) เปรียบเหมือนคนขามเรือ เมื่อเรือ
๓๕
อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/๓๔/๓๓.
๓๖
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๗๖.
๓๗
ข.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/๕๕.
๓๘
ดูรายละเอียดใน องฺ.จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๑๖๒/๓๘๗, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา (บาลี)
๒/๑๖๒/๔๒๕.
๑๔๑
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๕. ภังคญาณ ๒. ภังคญาณ
ศีล และสมาธิ?
๖. ภยญาณ ๓. ภยญาณ
๗. อาทีนวญาณ ๔. อาทีนว
อัปปนาสมาธิ
ปฏิปทาญาณ ปญญา
๘. นิพพิทาญาณ ๕. นิพพิทา ทัสสน
๙. มุญจิตุกัมยตา ๖.มุญจิตุกัมยตา- วิสุทธิ
๑๐. ปฏิสังขาญาณ ๗. ปฏิสังขาญาณ
๑๑. สังขารุเปกขา ๘. สังขารุเปกขา-
๑๒. อนุโลมญาณ ๙. อนุโลมญาณ
๑๓. โคตรภูญาณ
อัปปนาสมาธิสมบูรณ
อัปปนาสมาธิ
๑๔. มัคคญาณ
กอนบรรลุมรรค ผล ญาณทัสสนวิ
๑๕. ผลญาณ สุทธิ
๑๖. ปจจเวกขณ
เขาเทียบทาแลวกาวขาขางหนึ่งลงไปเหยียบบนเรือ สวนขาขางหนึ่งยังอยูบน
บก จะกล าวว าบุ รุษผู นี้อยูบ นบกหรื อในน้ําอยางใดอย างหนึ่ง เพียงอย าง
เดียวยอมไมได เพราะตามสภาพที่เปนจริง บุรุษคนนี้ไดอยูในทั้งน้ําและบน
บก สภาพจิ ต ของผู เขาถึงโคตรภูญาณนี้เ ป นเบื้ องต นแห งโสดาป ต ติมรรค
ญาณ เปรียบเหมือนแสงเงินแสงทอง เปนนิมิตหมายแหงพระอาทิตยกําลัง
๑๔๒
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
จะขึ้น ตัววิปสสนาญาณ ๙ และโคตรภูญาณนี้จะเรียงลําดับขั้นตอนที่จะให
จิต เขาถึงมรรค ผู ป ฏิ บัติ เ มื่อได ผ านขั้นตอนมาโดยลํ าดั บแล ว จะไดบ รรลุ
มรรคผล นิพพาน อันเปนเปาหมายสูงสุดแหงชีวิต
๒) สภาวญาณของวิปสสนายานิก
ญาณ ๑๖ นับตั้งแตนามรูปปริจเฉทญาณ จนถึง ปจจเวกขณญาณ
ซึ่งบังเกิดแกผูเจริญวิปสสนาแบบวิปสสนายานิก หรือสุทธวิปสสนา
ญาณ ๑๖ คือ ลําดั บญาณที่เกิดขึ้น ตามความเปน จริ งแกผูป ฏิบั ติ
วิปสสนาลวน หรือที่เรียกวา การเจริญสุทธญาณิกวิปสสนา ตามลําดับมี ๑๖
ประการ แบงออกเปน ๓ ระดับ คือ
๑. ญาณระดับตน เปนญาณเห็นรูป-เห็นนาม ไดแก นามรูปปริจเฉท
ญาณ ปจจยปริคคหญาณและสัมมสนญาณ ยังเปนญาณที่เปนไปดวยอํานาจ
สุตมยปญญา และจินตามยปญญาอยู ยังมีอารมณเปนสมถะ คือ เปน
บัญญัติอารมณผสมอยูมาก
๒. ญาณระดับกลาง เปนญาณเห็นไตรลักษณในรูป-นาม ไดแก
อุทยัพพยญาณ เปนญาณที่เปนไปดวยอํานาจภาวนามยปญญา แตยัง
มีจินตามยปญญาผสมอยูบาง มีอารมณเปนวิปสสสนา คือ มีรูป-นาม
ปรมัตถเปนอารมณ
๓. ญาณระดับสูง เปนญาณรูแจงพระไตรลักษณ เห็นความ ไมเที่ยง
เห็นความทนสภาพอยูไมได เห็นความไมใชตัวตนในทุกรูป-ทุกนามที่
กําหนดรู ไดแก ภังคญาณเปนตนไป เปนไปดวยอํานาจภาวนามยปญญา
โดยแท มีอารมณเปนปรมัตถลวน๓๙
ญาณ ๑๖ แบงออกเปน ๓ ระดับ คือ
๑. ญาณระดั บ ต น เป น ญาณ เห็ น รู ป เห็ น นาม ได แ ก นามรู ป
ปริจเฉทญาณ ปจจยปริคคหญาณ และสัมมสนญาณ ยังเปนญาณที่เปนไป
๓๙
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสสนานัย เลม ๑, พระพรหมโมลี
(สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.๙, M.A., Ph.D.) ตรวจชําระ, หนา ๖๙.
๑๔๓
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ดวยอํานาจสุตมยปญญา และจินตามยปญญา ยังมีอารมณสมถะ คือ เปน
บัญญัติอารมณผสมอยูมาก
๒. ญาณระดั บ กลาง เป น ญาณเห็ น ไตรลั ก ษณ ใ นรู ป นาม ได แ ก
อุทยัพพยญาณ เปนญาณที่เปนไปดวยอํานาจภาวนามยปญญา แตยังมีจิน
ตามยปญญาผสมอยูบาง
๓. ญาณระดับสูง เปนญาณรูแจงพระไตรลักษณ เห็นความไมเที่ยง
เห็นความทนสภาพอยูไมได เห็นความไมใชตัวตนในทุกรูปนามที่กําหนดรู ได
แก ภั ง คญาณ เป น ต น ไป เป น ไปด ว ยอํ า นาจภาวนามยป ญ ญาโดยแท มี
อารมณปรมัตถลวน การแบงญาณ ๑๖ ออกเปน ๓ ระดับ คือ ตน กลาง สูง
หรือเรียกอีกอยางวา ออน กลาง แก ก็เพื่อใหเห็นวา การพัฒนาปญญา หรือ
ญาณ นั้น เปนไปแบบคอยเปนคอยไป มีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงจากหยาบ
ไปสูความละเอียด ประณีต คือ เริ่มตนเห็นดวยตาเนื้อเห็นเปนบัญญัติจน
พัฒนาเปนเห็นดวยตาปญญา เห็นเปนปรมัตถ และมีการพัฒนาอินทรีย ๕
พละ ๕ ใหกลาแข็ง ขึ้นไปเปนลําดับๆ
๒.๒ ญาณ ๑๖ แบงออกเปน ๕ ระดับ คือ
๑. ทิฏฐิวิสุทธิ นามรูปานํ ยถาวทสฺสนํ ทิฏวิสุทฺธิ นาม๔๐ ปญญาที่
กําหนดรูเห็นลักษณะเฉพาะของสภาวธรรมทางกาย (รูป) และทางใจ(นาม)
แยกออกจากกันไดตามความเปนจริง คือ รูปมีสภาพเปลี่ยนแปลงชํารุดทรุด
โทรม นามมีสภาพนอมไปสูอารมณหรือรูอารมณนั้น ชื่อวา ทิฏฐิวิสุทธิ๔๑
ทิฏฐิวิสุทธิประกอบดวยญาณที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ เปนปญญา
ที่กําหนดรูเห็น รูปนาม ตามสภาวะที่เปนจริง ที่ชื่อวา ทิฏฐิวิสุทธิ เพราะ
ชําระใจของโยคีบุคคลใหปราศจากสักกายทิฏฐิหรืออัตตทิฏฐิ
๒. กังขาวิตรณวิสุทธิ เอตสฺเสว ปน นามรูปสฺส ปจฺจยปริคฺคหเณน
ตีสุ อทฺธาสุ กงฺขํ วิตริตฺวา ิตํ าณํ กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิ นาม.๔๒ ปญญาที่
๔๐
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๒๕๐.
๔๑
วิภาวิน.ี ฏีกา (บาลี) หนาที่ ๒๖๘. (มหามกุฏฯ)
๔๒
วิสุทธฺ .ิ (บาลี) ๒/๒๖๓.
๑๔๔
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
กําหนดรูเห็นในสภาวะของกาย(รูป) กับใจ(นาม) เปนเหตุปจจัยซึ่งกันและกัน
คือ ทั้งรู ปและนามเป น เหตุ เ ปน ผล ซึ่งกัน และกัน อยู ทุกขณะ” เป น ความ
บริสุทธิ์แหงปญญาเครื่องขามพนความสงสัย ไดแก ความบริสุทธิ์เพราะหาย
สงสัย คือ ขณะที่พิจารณาอยูพบเพียงเหตุและผล ที่ลวงมาแลวก็เพียงเหตุ
และผล ตอไปก็มีเพียงเหตุและผลเทานั้น ความรูนี้อยูในขั้นตีรณปริญญา คือ
รูสามัญญลักษณะ (อุปาทะ ฐีติ ภังคะ) ของไตรลักษณ
กั ง ขาวิ ต รณวิ สุ ท ธิ ป ระกอบด ว ยญาณที่ ๒ ป จ จยปริ ค คหญาณ
ปญญาที่กําหนดรูเห็นเหตุปจจัยของรูปนาม ที่เกิดภายในตน ชื่อวา กังขา
วิตรณวิสุทธิ เพราะกาวขามความสงสัย ๘ ประการ คือ
๑) พุทฺเธกงฺขติ สงสัยในพระพุทธคุณทั้ง ๙
๒) ธมฺกงฺขติ สงสัยในพระธรรมคุณทั้ง ๖
๓) สํฆกงฺขติ สงสัยในสังฆคุณทั้ง ๙
๔) สิกฺขาย กงฺขติ สงสัยในสิกขา คือ ขอปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปญญา
๕) ปุพฺพนเต กงฺขติ สงสัยในขันธ ๕ ที่เปนอดีต
๖) อปรนฺกงฺขติ สงสัยในขันธ ๕ ที่เปนอนาคต
๗) ปุพฺพนตาปรนฺเต กงฺขติ สงสัยในขันธ ๕ ที่เปนอดีตและอนาคต
๘) อิ ท ปฺ ป จฺ จ ยตาปฏิ จฺ จ สมฺ ปฺ ป นฺ เ นสุ ธมฺ เ มสุ กงฺ ข ติ . สงสั ย ใน
ปฏิจจสมุปบาท
๓. มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ความเห็นอันบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นวา
เปนทางหรือมิใชทาง คือสามารถตัดสินใจไดวา การยินดีในนิมิตเปนทางผิด
การกําหนดเทานั้นจึงจะเปนทางถูก ญาณจึงจะแจมชัดขึ้นอีก๔๓
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ประกอบดวย ญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ
คือ ญาณที่ไตรตรองในลักษณะทั้ง ๓ ของรูปนาม และอุทยพยญาณเบื้องตน
คื อ ป ญ ญาที่ เ ห็ น ความเกิ ด ขึ้ น และดั บ ไปของรู ป นาม แต ยั ง อ อ นอยู ใน
ระหวางนั้นเปน มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ เพราะวาวิปสสนาญาณทั้งสอง
นี้ชําระใจใหพนจากคาหะทั้ง ๓ คือ ความยึดมั่นโดยตัณหา มานะ ทิฏฐิใน
๔๓
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๙๘/๒๙๕.
๑๔๕
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
อุ ป กิ เ ลส ๑๐ อย า ง ซึ่ ง เป น หนทางผิ ด เสี ย ได ฉะนั้ น เมื่ อ อุ ท ยั พ ยญาณ
เบื้ องต น (อย างออน) ของโยคีที่เ ห็ น ความเกิด ดั บ ของรู ปนามนั้ น เกิด ขึ้น
ติดตอกันไมขาดสายโดยสะดวกสบาย แมวาจะมีอุปกิเลส ๑๐ อยาง อยางใด
อยางหนึ่งเกิดขึ้นรบกวนขัดของอยูก็ตาม ใจก็ไมเขาไปเกาะเกี่ยวยุงอยูกับ
อุปกิเลส ๑๐ นี้ แตประการใด คงเห็นอยูแตความเกิดดับของรูปนาม ตอไป
อยางไมหยุดหยอนเวลานั้นแลไดชื่อวา มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
๔. ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ปญญาที่บริสุทธิ์เขาถึงทางที่ถูก ตรง
สูพระนิพพานโดยถูกตองแลว หมายถึง อารมณอันเปนปฏิปทาที่ถูกตอง
ตัณหาและทิฏฐิไมสามารถเขาไปในอารมณนั้นได มีไตรลักษณในนาม-รูป
เปนอารมณ เปนตัวถูกรู สวนปญญาเปนตัวรูอารมณไตรลักษณนั้น ความรู
เชนนี้ เปนปจจัยแกวิปสสนาญาณเบื้องสูงตอเนื่องไปถึงโคตรภูญาณ มีดังนี้
ปฏิ ป ทาญาณทัส สนวิ สุ ทธิ ประกอบด ว ย ๙ ญาณ คือ ญาณที่ ๔
อุทยัพพยญาณ ญาณที่ ๕ ภังคญาณ ญาณที่ ๖ ภยญาณ ญาณที่ ๗ อาทีนว-
ญาณ ญาณที่ ๘ นิพพิทาญาณ ญาณที่ ๙ มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณที่ ๑๐
ปฏิ สังขาญาณ ญาณที่ ๑๑ สังขารุเ ปกขาญาณ ญาณที่ ๑๒ อนุ โลมญาณ
เพราะวาวิปสสนาญาณทั้ง ๙ นี้ ชําระใจใหพนจากความสําคัญผิดทั้ง ๓ มี
นิจจสัญญา สุขสัญญา อัตตสัญญา จึงไดชื่อวา ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ
๕. ญาณทัสสนวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แหงปญญาในมรรคญาณ ที่เห็น
แจงพระนิพพาน เปนปญญาขั้นสูงสุดของการเจริญวิปสสนาจนเห็นอริยสัจ
ทั้ง ๔ ครบถวน คือ ตั้งแตวิสุทธิที่ ๑ ถึงวิสุทธิที่ ๖ นั้นรูอริยสัจเพียง ๒
สัจจะ คือ รูทุกขสัจกับสมุทัยสัจ สวนญาณทัสสนวิสุทธิเปนโลกุตตรวิสุทธิ
เพราะรูแจงอริยสัจทั้ง ๔ ทั้งนี้วิสุทธิแตละอยางจะเปนปจจัยแกกันและกัน
ตามลําดับ ไมมีการขามขั้น
ญาณทัสสนวิสุทธิประกอบดวยญาณที่ ๑๔ มรรคญาณ ญาณที่ ๑๕
ผลญาณ ญาณที่ ๑๖ ปจจเวกขณญาณ ที่ชื่อวา ญาณทัสสนวิสุทธิ เพราะ
ชําระใจใหพนจากมลทิน คือ โมหะความหลง ความไมรูเรื่อง ๘ อยางเสียได
เรื่ อง ๘ อย างนั้ น คือ ๑) ไมรู ว ากายใจนั้ นเป นทุกข ๒) ไมรู ว าความยิ น ดี
พอใจนั้นเปนเหตุใหเกิดทุกข ๓) ไมรูวาพระนิพพานนั้นเปนธรรมที่ดับทุกข
๑๔๖
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๔) ไมรูวาองคมรรค ๘ นั้นเปนขอปฏิบัติใหถึงซึ่งพระนิพพาน ๕) ไมรูในภพ
ชาติที่เคยมีมา หมายถึง ไมมีความเชื่อในภพกอนๆ ๖) ไมรูภพชาติที่จะมีใน
ขางหนา หมายถึง ไมเชื่อในการที่จะเกิดตอไป ๗) ไมรูในภพชาติที่เคยมีมา
และจะมีตอไป หมายถึง ไมมีความเชื่อทั้งในภพกอนและภพหนา คงเชื่ออยู
แตในปจจุบันภพนี้วา มีการกําเนิดขึ้นมาจากบิดามารดา เมื่อตายแลวก็หมด
เรื่องกัน และ ๘) ไมรูในความเปนไปแหงสัตวทั้งหลายวา ไดแก ธรรมที่เปน
เหตุ และ เป น ผล มี อวิ ช ชา ตั ณ หา เป น ที่ อาศัย และเกิด ขึ้น ติ ด ต อ เกี่ ย ว
เนื่องกัน ในระหวางที่ยังไมเขาถึงพระนิพพานนั้นวา ไมใชธรรมที่เปนเหตุเปน
ผลแตอยางใด คงเกิดขึ้นและเปนไปตามอํานาจของพระเจาที่ไดจัดสรางขึ้น
การแบงญาณ ๑๖ ออกเปน ๕ ระดับ ตามวิสุทธิ ๕ ก็เ พื่อแสดงใหเห็นใน
มุมมองของพัฒนาการทางปญญาที่คอยๆ พัฒนาขึ้นเปนลําดับ โดยเห็นรูป
นามตามความเปนจริงครบทั้ง ๕ ระดับที่เรียกวา วิสุทธิ ๕ ซึ่งหมายความวา
กิเลสจะคอยๆ ลดลงๆ ตามปญญาที่พัฒนาขึ้นเปนลําดับๆ รูจักทางที่ถูกตอง
ของการปฏิบัติมากขึ้นๆ และมีความเห็นที่ถูกตองเพิ่มมากขึ้นๆ จนถึงที่สุด
หมดกิเลสอยางสิ้นเชิง
๒.๓ การบรรลุธรรม ๗ แบบ
การบรรลุธรรม คือ การเกิดปญญาเห็นแจงโลกุตตรธรรม ๙๔๔ และ
อริยสัจ ๔๔๕ ขั้นสูงสุดก็คือ การบรรลุวิชชา๔๖และวิมุตติ๔๗นั่นเอง สําเร็จเปน
พระอริยบุคคล ๔ จําพวก คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี
๔๔
โลกุตตรธรรม ๙ คือ อริยมรรค ๔ สามัญญผล ๔ และนิพพาน ๑ ดูใน ม.มู.อ.
(บาลี) ๒/๓๑๑/๑๓๙. และดู ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๔๗๘/๓๖๑. (อริยมรรค ๔ คือ โสตาปตติ
มรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตมรรค ดูในองฺ.ปฺจก.อ. (บาลี) ๓/๕๗/
๓๑. สามัญญผล (ผลแหงความเปนสมณะ) ๔ ไดแก ๑. โสดาปตติผล ๒. สกทาคามิผล
๓. อนาคามิผล ๔. อรหัตผล ดูใน ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๔/๓๗๘.)
๔๕
ดูใน สํ.ม. (บาลี) ๑๙/๑๐๙๑/๓๗๖, สํ.ม. (ไทย)๑๙/๑๐๙๑/๖๐๕.
๔๖
วิชชา หมายถึง ความรูแจงอรหัตมรรค, สํ.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๕๓-๖๒/๑๔.
๔๗
วิมุตติ หมายถึง ผลวิมุตติ, ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๔๓๓/๒๕๔.
๑๔๗
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๔๘
และพระอรหั น ต โดยการปฏิ บั ติ ต ามหลั ก ไตรสิ ก ขา เจริ ญ สมถะและ
วิปสสนา ตามหลักการเจริญสติปฏฐาน ๔ จนเห็นแจงพระไตรลักษณตาม
ความเปนจริง เมื่อวิปสสนาญาณแกกลาดําเนินตามวิปสสนาวิถี ผูปฏิบัติ
สามารถรูแจงแทงตลอดอริยสัจ ๔ ละสังโยชนและอนุสัย ไดตามกําลังของ
มรรค บรรลุมรรคผล นิพพาน สําเร็จเปนพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
คัมภีรอรรถกถาอธิบายวา “อภิสมโยติ สจฺจานํ อภิมุเขน สมาคโม
ปฏิเวโธ.”๔๙ การบรรลุ คือ การแทงตลอดสัจจะทั้งหลายเฉพาะหนา ชื่อวา
การตรัสรู มีปรากฏทั้งคฤหัสถและบรรพชิตทีม่ ีอายุไมต่ํากวา ๗ ป๕๐
บุคคลผูไดบรรลุธรรมแลว จําแนกเปน ๗ ประเภท๕๑ ดังนี้
๑. ทานผูเปนอุภโตภาควิมุตติ คือ ผูหลุดพนทั้งสองสวน ไดแกหลุด
พน จากรู ปกายด ว ยอรู ปสมาบั ติ และหลุ ดพน จากนามกายดว ยอริ ย มรรค
ไดแก พระอรหันตผูบําเพ็ญสมถภาวนาไดสัมผัสวิโมกข ๘ หมายถึง สมาบัติ
๘๕๒ และนิโรธสมาบัติดวยนามกาย ไดเจโตวิมุตติขั้นอรูปสมาบัติ และสิ้นอา-
สวะเพราะเห็นอริยสัจ ๔ ดวยปญญาแลว ไดปญญาวิมุตติดวย๕๓
ผูปฏิบัติสมถภาวนาดวยกสิณ ๑๐ อานาปานาสติ หรืออัปปมัญญา
๔ เมื่อไดรูปฌานสมบูรณ แลวตอดวยเจริญอรูปสมาธิ ๔ จนจิตหลุดพนจาก
รูปกาย ดวยนามกายเปนเจโตวิมุตติ ไดสัมผัสสันตวิโมกข๕๔ นําเอาสภาพ
ธรรมที่ประกอบกับจิตนั้นมาเปนพื้นฐานเจริญวิปสสนา ในหมวดธัมมานุปสส
๔๘
ดูในวิสุทธิ. (บาลี) ๒/๘๑๑-๘๑๕/๓๕๖-๓๕๙.
๔๙
ขุ.ธ.อ. (บาลี) ๒/๑๙/๓๕๒.
๕๐
ดูรายละเอียดใน ขุ.ธ.อ. (บาลี) ๑/๕๒,๑๑๑/๒๘๕, ๕๐๘.
๕๑
ดูใน องฺ.สตฺตก. (บาลี) ๒๓/๑๔/๙, องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๑๔/๒๐-๒๑.
๕๒
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๒๙/๗๕, องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๐.
๕๓
ดูใน องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๐, องฺ.นวก.อ. (บาลี) ๓/๔๕/๓๑๖.
๕๔
สันตวิโมกข หมายถึง อรูปสมาธิที่พนไดอยางสิ้นเชิง เพราะพนจากธรรมที่
เป น ข า ศึ ก กล า วคื อ นิ ว รณ ๕ ประการ และเพราะไม เ กี่ ย วข อ งในอารมณ เป น ต น
(องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๙/๓๒๐)
๑๔๘
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
นาตอไป คือ พิจารณาธรรมที่ปรากฏชัด จนพิจารณาเห็นธรรมที่เปนอารมณ
ดับไป และเห็นจิตนั้นดับไปดวย เกิดวิปสสนาญาณไปตามลําดับ จนไดบรรลุ
มรรค ผล นิพพาน
โยคาวจรผูบรรลุโสดาปตติมรรคแลว และกําลังปฏิบัติเพื่อทําใหแจง
ซึ่งโสดาปตติผล มีศรัทธาแกกลาเปนตัวนํา ชื่อวาสัทธานุสารี ทานผูเปน
สัทธานุสารีนี้ภายหลังบําเพ็ญสมถภาวนาจนสมาบัติ ๘ สมบูรณพรอมกับได
บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เปนเจโตวิมุตติ๕๕ที่หลุดพนจากอารมณฌานอยาง
สิ้นเชิง ไดสัมผัสสันตวิโมกข นําเอาสภาพธรรมที่ประกอบกับจิตนั้นมาเปน
พื้นฐานเจริญวิปสสนาตอไป จนหลุดพนจากนามกาย ดวยอริยมรรค๕๖ เมื่อ
บรรลุโสดาปตติผลแลว กําลังปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลเบื้องสูง เปนกายสักขี
และเมื่อบรรลุอรหัตผลกลายเปนอุภโตภาควิมุตติ๕๗ ดังที่พระพุทธเจาตรัส
กับพระอานนทวา
อานนท วิโมกข๕๘ ๘ ประการนี้ คือ
๑) บุคคลผูมีรูป เห็นรูปทั้งหลาย นี้เปนวิโมกขประการที่ ๑
มีรูป หมายถึงไดรูปฌานโดยเจริญกสิณที่กําหนดวัตถุในกายของตน
เชน สีผม เห็นรูปทั้งหลาย หมายถึงเห็นรูปฌาน ๔๕๙
๒) บุ คคลผู มีอรู ปสั ญญาภายใน เห็ นรู ป ทั้งหลายภายนอก นี้เ ป น
วิโมกขประการที่ ๒
เห็นรูปทั้งหลายภายนอก หมายถึงเห็นรูปทั้งหลายมี นีลกสิณ เปน
ตน ดวยญาณจักขุ
๓) บุคคลผูนอมใจไปวา ‘งาม’ นี้เปนวิโมกขประการที่ ๓
๕๕
ดูใน องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๐, องฺ.นวก.อ. (บาลี) ๓/๔๕/๓๑๖.
๕๖
ดูใน ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๖๙/๑๗๗.
๕๗
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔๗๔-๗๗/๓๕๘-๓๖๑, ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๑๔๔.
๕๘
ที.ปา. ๑๑/๓๓๙/๒๓๑, ๓๕๘/๒๗๑-๒๗๒, ม.ม. ๑๓/๒๔๘/๒๒๓, องฺ.อฏฐก.
(ไทย) ๒๓/๖๖/๓๖๘-๓๖๙.
๕๙
ที.ม.อ. (บาลี) ๑๒๙/๑๑๒-๑๑๓.
๑๔๙
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ผู น อมใจไปว างาม หมายถึงผู เ จริ ญวั ณณกสิ ณ กําหนดสี ที่งาม๖๐
๔) บุคคลบรรลุอากาสานัญจายตนฌานโดยกําหนดวา ‘อากาศหา
ที่สุดมิได’อยู เพราะลวงรูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไมกําหนดนานัตตสัญญา
โดยประการทั้งปวง นี้เปนวิโมกขประการที่ ๔
๕) บุคคลลวงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุ
วิญญาณัญจายตนฌานโดยกําหนดวา ‘วิญญาณหาที่สุดมิได’ อยู นี้เปน
วิโมกขประการที่ ๕
๖) บุคคลลวงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุอา
กิญจัญญายตนฌานโดยกําหนดวา ‘ไมมีอะไร’ อยู นี้เปนวิโมกขประการที่ ๖
๗) บุคคลลวงอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุเนว
สัญญานาสัญญายตนฌานอยู นี้เปนวิโมกขประการที่ ๗
๘) บุ คคลล ว งเนวสั ญญานาสั ญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง
บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู นี้เปนวิโมกขประการที่ ๘
ผูเขาวิโมกข ๘ ประการนี้ ทั้งโดยอนุโลมและปฏิโลมบาง เขาหรือ
ออกไดตามโอกาสที่ตองการ ตามชนิดสมาบัติที่ตองการ และตามระยะเวลา
ที่ตองการ ทําใหแจงเจโตวิมุตติ ปญญาวิมุตติ อันไมมีอาสวะเพราะอาสวะสิ้น
ไป ดวยปญญาอันยิ่งเองเขาถึงอยูในปจจุบัน เรียกวา ผูเปนอุภโตภาควิมุตติ
อานนท อุภโตภาควิมุตติอยางอื่นที่ดีกวาหรือประณีตกวาอุภโตภาควิมุตตินี้
ไมม”ี ๖๑
๖๐
ที.ม.อ. (บาลี) ๑๒๙/๑๑๒-๑๑๓.
๖๑
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๒๙-๑๓๐/๗๕-๗๖, องฺ.สตฺตก.อ.(บาลี) ๓/๑๔/๑๖๐,
องฺ.นวก.อ. (บาลี) ๓/๔๕/๓๑๖.
๑๕๐
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
วิโมกข ๘ คือ การแสดงสมาบัติทั้งหลาย โดยดํ าเนินไปจนครบถึงอนุ
ปุพพวิหารสมาบัติ ๙
วิโมกข ที่ ๑
วิโมกข ที่ ๒ รูปฌาน ๔
วิโมกข ที่ ๓
วิโมกข ที่ ๔ สมาบัติ ๘
วิโมกข ที่ ๕
วิโมกข ที่ ๖ อรูปสมาธิ ๔ อนุปุพพวิหาร (สมาบัติ) ๙
วิโมกข ที่ ๗
วิโมกข ที่ ๘ = นิโรธสมาบัติ
ผูเป นอุภโตภาควิมุตติ เปน อย างไร คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ ได
สัมผัสสันตวิโมกข๖๒ ซึ่งไมมีรูปเพราะลวงรูปฌานไดดวยกายอยู และอาสวะ
ทั้งหลายของผูนั้นสิ้นไปเพราะเห็นดวยปญญานี้เรียกวาเปนอุภโตภาควิมุตติ๖๓
๒. ทา นผูเ ปน ปญญาวิมุต ติ คือ ผู ห ลุ ด พน ด ว ยป ญญา หมายถึ ง
พระอรหันตผูบําเพ็ญวิปสสนาลวนๆ หรือผูบําเพ็ญรูปฌาน ๔ อรูปสมาธิ ๔
แตมิไดสัมผัสสันตวิโมกข สิ้นอาสวะเพราะเห็นอริยสัจ ๔ ดวยปญญา๖๔
๓. ทานผูเปนกายสักขี คือ ผูเปนพยานดวยนามกาย หรือ ผู
ประจักษกับตัว คือ ทานที่ไดสัมผัสวิโมกข ๘ ดวยกาย และอาสวะบางสวนก็
สิ้นไปเพราะเห็นอริยสัจ ๔ ดวยปญญา๖๕ หมายเอาพระอริยบุคคลผูบรรลุ
๖๒
สันตวิโมกข หมายถึง อรูปสมาธิที่พนไดอยางสิ้นเชิง เพราะพนจากธรรมที่
เปนขาศึกกลาวคือ นิวรณ ๕ (องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๙/๓๒๐.)
๖๓
ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๘๒/๒๐๘.
พระอรหั นตอุภโตภาควิมุ ตตินี้ ยอ มไดทั้งเจโตวิมุ ตติและป ญญาวิมุต ติ เจโต
วิมุตติเปนผลของสมถะขั้นอรูปสมาธิขึ้นไป ปญญาวิมุตติเปนผลของวิปสสนา อปเจตฺถ
สมถผลํ เจโตวิมุตฺติ, วิปสฺสนาผลํ ปฺาวิมุตฺตีติ เวทิตพฺพา. (ขุ.อิติ.อ. (บาลี) ๘๒/
๒๘๘), อง.จตุกฺก. (บาลี) ๒๑/๘๗/๙๙, อง.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๘๗/๑๓๓.
๖๔
ดูใน องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๑, อภิ.ปฺจ.อ. (บาลี) ๒๕/๔๙.
๖๕
องฺ.ทุก.อ.(บาลี) ๒/๔๙/๕๕, องฺ.สตฺตก.อ.(บาลี) ๓/๑๔/๑๖๑.
๑๕๑
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
โสดาปตติผลขึ้นไป และจนถึงผูกําลังปฏิบัติเพื่ออรหัตผล ที่มีสมาธินทรียแก
กลายิ่ง คือ ไดแกอรูปสมาธิขั้นใดขั้นหนึ่ง ในการปฏิบัติ๖๖ จัดอยูในผูมีศรัทธา
แกกลาดวย ทานผูนี้ถาบรรลุอรหัตผลกลายเปนอุภโตภาควิมุตติ๖๗
๔. ทานผูเปนทิฏฐิปตตะ คือ ผูบรรลุสัมมาทิฏฐิ หมายถึง ทานผู
เขาใจอริยสัจถูกตองและอาสวะบางสวนก็สิ้นไปเพราะเห็นดวยปญญา ไดแก
พระอริยบุคคลผูบรรลุโสดาปตติผลขึ้นไปจนถึงผูปฏิบัติเพื่อพระอรหันต ที่
มีปญญินทรียแกกลาในการปฏิบัต๖๘ ิ
๕. ทานผูเปนสัทธาวิมุต คือ ผูหลุดพนดวยศรัทธา หมายถึง ทานผู
เขาใจอริยสัจถูกตอง ไดแก พระอริยบุคคลผูบรรลุโสดาปตติผลขึ้นไป จนถึงผู
ปฏิบัติเพื่อบรรลุพระอรหันตที่มีสัทธินทรียแกกลา
๖. ทานผูเปนธัมมานุสารี คือ ผูแลนไปตามธรรม(ปญญา) หมายถึง
พระอริยบุคคลผูดํารงอยูในโสดาปตติมรรค กําลังปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปตติ
ผล มีปญญาแกกลาเปนตัวนํา อริยบุคคลผูปฏิบัติเพื่อทําใหแจงซึ่งโสดาปตติ
ผล มีปญญาแกกลาเปนตัวนํา ชื่อวา ธัมมานุสารี
อริยบุคคลผูตั้งอยูแลวในผล คือ โสดาปตติผล สกทาคามิผล หรือ
อนาคามิผล มีปญญาแกกลาเปนตัวนํา ชื่อวาทิฏฐิปตตะ ถาบรรลุอรหัตผล
โดยมีสมาธิระดับอรูปสมาธิ ๔ เปนบาทฐานกลายเปนอุภโตภาควิมุตติ ถา
บรรลุ อรหั ต ผลโดยมีส มาธิ ร ะดั บรู ป ฌาน ๔ หรื อขณิกสมาธิ เ ป นบาทฐาน
กลายเปนปญญาวิมุตติ
๗. ทานผูเปนสัทธานุสารี คือ ผูแลนไปตามศรัทธา หมายถึง พระ
อริยบุคคลผูดํารงอยูในโสดาปตติมรรค กําลังปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปตติผล มี
ศรัทธาแกกลาเปนตัวนํา๖๙
อริยบุคคลผูปฏิบัติเพื่อทําใหแจงซึ่งโสดาปตติผล มีศรัทธาแกกลา
๖๖
ดูใน องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๑, อภิ.ปฺจ.อ. (บาลี) ๒๖/๔๙.
๖๗
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔๗๔-๗๗/๓๕๘-๓๖๑, ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๑๔๔.
๖๘
ดูใน องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๑, อภิ.ปฺจ.อ. (บาลี) ๒๗/๔๙-๕๐.
๖๙
ดูใน องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๒, อภิ.ปฺจ.อ. (บาลี) ๓๐/๕๐-๕๓.
๑๕๒
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
เปนตัวนํา ชื่อวา สัทธานุสารี
อริยบุคคลผูตั้งอยูแลวในผล คือ โสดาปตติผล สกทาคามิผล หรือ
อนาคามิผล มีศรัทธาแกกลาเปนตัวนํา ชื่อวา สัทธาวิมุต๗๐
ทานผูนี้ถาบรรลุอรหัตผล โดยมีสมาธิระดับอรูปสมาธิ ๔ หรือ นิโรธ
สมาบัติ เปนบาทฐาน กลายเปนอุภโตภาควิมุตติ ถาบรรลุอรหัตผล โดยมี
สมาธิระดับรูปฌาน ๔ เปนบาทฐาน กลายเปนปญญาวิมุตติ
อนึ่ง อริยบุคคล ๗ จําพวกในเบื้องตนนี้ ในลําดับที่ ๑ ถึง ๕ จัดเปน
พระเสขบุคคล และลําดับที่ ๖ ถึง ๗ จัดเปนพระอเสขบุคคล สามารถแสดง
ใหเห็นเปนลําดับอยางตอเนื่องไดดังนี้
๑. สัทธานุสารี ๓. สัทธาวิมตุ ๖. ปญญาวิมุตติ
๒. ธัมมานุสารี ๔. ทิฏฐิปตตะ
+ วิโมกข ๘ ๕. กายสักขี ๗. อุภโตภาควิมุตติ
กลาวโดยสรุปบุคคลประเภทที่ ๑ และ ๒ (อุภโตภาควิมุตติ และ
ปญญาวิมุตติ) ไดแกพระอรหันต ๒ ประเภท บุคคลประเภทที่ ๓, ๔ และ ๕
(กายสักขี ทิฏฐิปปตตะ และสัทธาวิมุตติ) ไดแกพระโสดาบัน พระสกทาคามี
พระอนาคามี และทานผูตั้งอยูในอรหัตมรรค จําแนกเปน ๓ พวกตาม
อินทรียที่แกกลา เปนตัวนําในการปฏิบัติ คือ สมาธินทรีย หรือปญญินทรีย
หรือสัทธินทรียบุคคลประเภทที่ ๖ และ ๗ (ธัมมานุสารี และสัทธานุสารี)
ไดแก ทานผูตั้งอยูในโสดาปตติมรรค จําแนกตามอินทรียที่เปนตัวนําในการ
ปฏิบัติ คือ ปญญินทรีย หรือสัทธินทรีย
พระสารีบุตรเถระเรียกผูที่ปฏิบัติโดยมีสัทธินทรียเปนตัวนําวาเปน
สัทธาวิมุตติ และตั้งแตบรรลุโสดาปตติผลไปจนบรรลุอรหัตผลปฏิบัติโดยมี
สมาธินทรียเปนตัวนํา เรียกวาเปนกายสักขี ตั้งแตบรรลุโสดาปตติมรรคไปจน
บรรลุ อรหั ต ผล เรี ย กผู ที่ ป ฏิ บั ติ โ ดยมีป ญ ญิน ทรี ย เ ป น ตั ว นํ าว า เป น ทิฏ ฐิ ป
ปตตะ ตั้งแตบรรลุโสดาปตติผลไปจนบรรลุอรหัตผล โดยนัยนี้จึงมีคําเรียก
๗๐
องฺ.ทุก.อ. (บาลี) ๒/๔๙/๕๕, องฺ.สตฺตก.อ.(บาลี) ๓/๑๔/๑๖๒.
๑๕๓
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
พระอรหันตวา สัทธาวิมุตติ หรือกายสักขี หรือทิฏฐิปตตะ ไดดวย๗๑
คัมภีรมหาฎีกาอธิบายวา ผูไมไดวิโมกข ๘ เมื่อตั้งอยูแลวในโสดา
ปตติมรรค เปนสัทธานุสารี หรือธัมมานุสารี ตอจากนั้น เปนสัทธาวิมุตติ
หรือทิฏฐิปปตตะ จนไดสําเร็จอรหัตผล จึงเปนประเภทปญญาวิมุตติ
ผูไดวิโมกข ๘ เมื่อตั้งอยูในโสดาปตติมรรค เปนสัทธานุสารี หรือ
ธัมมานุสารี อยางใดอยางหนึ่ง ตอจากนั้นเปนกายสักขี เมื่อสําเร็จอรหัตผล
จึงเปนพระอริยบุคคลประเภท อุภโตภาควิมุตติ๗๒
บุคคลประเภทกายสักขีนี่เองที่ไดชื่อวา สมถยานิก สวนคําวา
ปญญาวิมุตติ บางแหงมีคําจํากัดความแปลกออกไปจากนี้วา ไดแกผูที่บรรลุ
อรหันต โดยไมไดโลกียอภิญญา ๕ และอรูปสมาธิ ๔๗๓
๓. การเจริญวิปสสนาของสมถยานิก
ภิกษุผูบรรลุฌานแลวควรเขาฌานบอยๆ เมื่อเกิดความชํานาญใน
การเข า ฌานแล ว จึ ง ยกองค ฌ าน (ป ติ สุ ข ) ขึ้ น สู พ ระไตรลั ก ษณ เจริ ญ
วิปสสนา เพื่อใหฌานเปนบาทตามลําดับ เรียกวา อนุปทธัมมวิปสสนา การ
หยั่งเห็นธรรมตามลําดับสมาบัติและองคฌาน๗๔
การเจริญวิปสสนาโดยมีสมถะนําหนา อรรถกถาพระวินัยอธิบายวา
“ผูบํ าเพ็ญเพีย รทําให จตุ ต ถฌานเกิดแล ว ใคร จ ะเจริ ญกรรมฐาน
โดยวิธี สัลลักขณา (คือวิปสสนา) และวิวัฏฏนา (คือมรรค) แลวบรรลุปาริ
สุทธิ (คือผล) ในอานาปานสติภาวนานี้ตอไป ยอมทําฌานนั้นแลใหถึง
ความเป น วสี ด ว ยอาการ ๕ แคล ว คล อ งแล ว กํ า หนดรู ป -นามเจริ ญ
วิปสสนา”๗๕
๗๑
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒๑/๓๗๑.
๗๒
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธ.ิ มหาฎีกา (บาลี) ๒/๗๗๒/๕๑๓-๕๑๕.
๗๓
ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๒/๓๓๗.
๗๔
ม.อุ.อ. (บาลี) ๔/๕๘.
๗๕
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒/๔๑๔, ๓๑/๕๓๕/๔๓๓.
๑๕๔
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ถามวา เริ่มตั้งอยางไร? ตอบวา อันภิกษุนั้นออกจากสมาบัติแลว
ยอมเห็นไดวา กรัชกาย๗๖และจิตดวย เปนสมุทัยแหงลมอัสสาสะปสสาสะ
ทั้งหลาย เปรียบเหมือนเมื่อเตาสูบของชางทอง ถูกชักสูบอยู ลมอาศัยสูบ
และความพยายามที่ควรแกการนั้นของบุรุษประกอบกัน ยอมเขา-ออกไดฉัน
ใดลมอัสสาสะปสสาสะก็อาศัยกายและจิตประกอบกัน เขา-ออกไดฉันนั้น
เหมือนกัน จากนั้นยอมกําหนดลงไดวา ลมอัสสาสะปสสาสะและกายดวย
เปนรูป จิตและธรรมที่สัมปยุตกับจิตนั้น เปนอรูป ครั้นกําหนดรูป-นามได
อยางนี้แลวก็หาปจจัยของรูป-นามดู เมื่อหาดูเห็นเหตุปจจัยแลวก็ขามความ
สงสัยปรารภความเปนไปแหงรูป-นามในกาลทั้ง ๓ เสียได ผูขามความสงสัย
ไดแลว ยกขึ้นสูไตรลักษณโดยพิจารณาเปนกลาป ละวิปสสนูปกิเลสทั้ง ๑๐
อันเกิดขึ้นในสวนเบื้องตนแหงอุทยัพพยานุปสสนาเสีย กําหนดเห็นปฏิปทา
ญาณอันพนจากอุปกิเลสแลววาเปนทาง ละการพิจารณาขางเกิดแลวก็ถึงภัง
คานุปสสนา ดูแตขางดับ แลวก็เบื่อหนายหายรักในสังขารที่ปรากฏโดยความ
เปนของนากลัว เพราะเห็นแตขางดับหาระหวางมิได หลุดพนไปถึงอริยมรรค
๔ ตามลําดับ ตั้งอยูในอรหัตผลถึงที่สุดแหงปจจเวกขณญาณ๗๗
คัมภีรอังคุตตรนิกายอธิบายการปฏิบัติของสมถยานิกบุคคล วา
“ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้สงัดแลวจากกามคุณ สงัด
แลวจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก มีวิจาร มีปติ และสุขเกิดแต
วิเวกอยู เธอยอมหยั่งเห็นธรรมเหลานั้น คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
และวิ ญญาณ ในขณะเกิดปฐมฌานนั้ นว าไมเที่ยง เป นทุกข เหมือนโรค
เหมือนฝ เหมือนหนาม ไมดีงาม เหมือนโรค เปนสภาพอื่น (จากตัวตน)
แตกสลาย วางเปลา ไมใชตัวตน”๗๘
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) อธิบายรายละเอียดวา ภิกษุผู
๗๖
กรชกาย หมายถึง รางกายที่เกิดจากธุลีคือราคะ (ขุ.ม. ๒๙/๒๐๙/๔๓๑, ขุ.จู.
๓๐/๗๔/๑๖๒, ที.สี.ฏีกา (อภินว) ๔๕/๕๑๘.)
๗๗
วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๕๐๕, ขุ.ป.อ. (บาลี) ๒/๑๐๗.
๗๘
อง.นวก. (บาลี) ๒๓/๓๖/๓๔๗.
๑๕๕
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
บรรลุปฐมฌานแลว ควรเขาปฐมฌานกอนจะเจริญวิปสสนาเพื่อใหฌานเปน
บาท เมื่อออกจากฌานแลวจึงเจริญวิปสสนาตอมา แมการหยั่งเห็นก็เปนการ
กําหนดรูขันธ ๕ ซึ่งปรากฏในปฐมฌานนั้น ผูที่บรรลุ รูปฌานอื่นหรื ออรู ป
สมาธิ ก็ควรปฏิบัติตามนัยนี้เชนเดียวกัน ผูบรรลุฌานตองเขาฌานกอนแลว
ออกจากฌาน หลังจากนั้นจึงกําหนดรูรูป-นามที่ปรากฏในฌานนั้นๆ มีสาธก
เกี่ยวกับเรื่องนี้ในคัมภีรวิสุทธิมรรควา
“การหยั่งเห็นรูป-นามตามความเปนจริง ชื่อวา ทิฏฐิวิสุทธิ (ความ
หมดจดแหงความเห็น) ผูปฏิบัติฝายสมถยานิกถาตองการใหสําเร็จทิฏฐิ-
วิสุทธินั้น พึงกําหนดองคฌานมีวิตกเปนตน และธรรม [มีผัสสะ สัญญา
เจตนา จิ ต เป น ต น ] ที่ ป ระกอบกั บ องค ฌ านนั้ น โดยประเภทแห ง
ลักษณะและหนาที่เปนตน เมื่อออกจากรูปฌานหรืออรูปสมาธิอยางใด
อยางหนึ่งแลว ยกเวนเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน” ๗๙
การกําหนดรูองคฌานและสัมปยุตตธรรม คือ จิตพรอมดวยเจตสิก
คือ การกําหนดสภาวลักษณะที่เปนลักษณะพิเศษของธรรมนั้นๆ และหนาที่
เปนตน มิใชการรับรูชื่อ รูปรางสัณฐานหรือจํานวน พระพุทธองคจึงตรัสสอน
ใหกําหนดรูรูปธรรมกอนนามธรรม แตถานามธรรมปรากฏชัดในบางขณะ ก็
อาจกําหนดนามธรรมไดเชนกัน โยคีไมอาจกําหนดรูปธรรมและนามธรรม
พรอมกันได จึงทรงแสดงการกําหนดรูหทัยรูปอันเปนที่อาศัยของฌานดังมี
สาธกวา “อรูเป วิปสฺสนาภินิเวโส เยภุยฺเยน สมถยานิกสฺส โหติ. ฌานงฺคานิ
ปริคฺคณฺหาติ อรูปมุเขน วิปสฺสนํ อภินิวิสนฺโต.”๘๐ การเจริญวิปสสนาใน
นามธรรมยอมมีแกสมถยานิกเปนสวนใหญ ผูที่เจริญวิปสสนาโดยมีนามธรรม
เปนหลักยอมกําหนดรูองคฌาน
เมื่อกําหนดรูนามธรรมเปนหลักแลว แมจะไมกําหนดรูปธรรมก็จัด
วาไดกําหนดรูป-นามทั้งสองไดโดยปริยาย แมวิปสสนายานิกผูกําหนดรูปเปน
หลักก็จัดวาไดกําหนดรูปและนามทั้งสองโดยปริยายเชนเดียวกัน เพราะรูป-
๗๙
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๒๕๐.
๘๐
วิสุทฺธ.ิ มหาฎีกา (บาลี) ๒/๕๑๙, ที.ม.ฎีกา (บาลี) ๒/๓๗๖
๑๕๖
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
นามก็มีลักษณะทั่วไป คือไตรลักษณเหมือนกัน ดังมีสาธกวา รูเป วิปสฺสนาภิ
นิเวโส เยภุยฺเยน วิปสฺสนายานิกสฺส. อสฺสาสปสฺสาเส ปริคฺคณฺหาติ รูปมุเขน
วิปสฺสนํ อภินิวิสนฺโต, โย อสฺสาสปสฺสาสกมฺมิโกติ วุตฺโต.๘๑
“การเจริญวิปสสนาในรูปธรรม ยอมมีแกวิปสสนายานิกเปนสวน
ใหญ ผูที่เจริญวิปสสนาโดยมีรูปธรรมเปนหลักซึ่งเรียกวาผูเพงลมหายใจเขา-
ออก ยอมกําหนดรูลมหายใจเขา-ออก”
บางคนสําคัญวา การเจริญวิปสสนาตองอาศัยสมถะเปนบาทอยาง
แนนอน โดยตองบรรลุฌานกอนแลวจึงมาเจริญวิปสสนาได โดยอางขอความ
ในคัมภีรวิสุทธิมรรคที่กลาวถึงการเจริญอานาปานสติแบบสมถะ๘๒ และ
อางอิงสาธกจากคัมภีรพระบาลีวา “โส ฌานา วุฏหิตฺวา อสฺสาสปสฺสาเส
วา ปริคฺคณฺหาติ ฌานงฺคานิ วา.”๘๓ “ภิกษุนั้นออกจากฌานนั้นแลว ยอม
กําหนดรูลมหายใจเขา-ออกหรือองคฌาน”
ความจริงแลวขอความขางตนกลาวระบุถึงบุคคลผูบรรลุฌานดวย
การเจริญอานาปานสติแลวเจริญวิปสสนาดวยการกําหนดรูลมหายใจเขา-
ออกหรื อ องค ฌ าน มิ ไ ด มุ ง แสดงว า ถา ไม บ รรลุ ฌานก็ เจริ ญวิ ป สสนาไม ได
เพราะธรรมที่เปนกามาวจรเปนอารมณของสมถยานิกและวิปสสนายานิกทั้ง
สองจําพวก แตบุคคลทั้งสองนี้มีวิธีปฏิบัติตางกัน สมถะกําหนดรูสัณฐานยาว
สั้นของลมหายใจเขา-ออก ซึ่งจัดเปนบัญญัติ สวนวิปสสนากําหนดรูสภาวะ
เคลื่อนไหวของลมหายใจที่กระทบจมูกหรือริมฝปากบน โดยโผฏฐัพพารมณ
นับเขาในธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน มีอรรถาธิบายวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตกลาววา ลมหายใจเขา-ออกเปนกองรูปอยางหนึ่ง [วาโยธาตุ] ในกอง
รูปทั้งหลาย กลาวคือเปนกองวาโยธาตุ ในบรรดากองรูปเหลานั้น ลมหายใจ
เขา-ออกเปนกองรูปอยางหนึ่ง เพราะนับเขาในโผฏฐัพพายตนะ”๘๔
๘๑
ที.ม.ฎีกา (บาลี) ๒/๓๗๖, วิสุทฺธ.ิ มหาฎีกา (บาลี) ๒/๕๑๙.
๘๒
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๑/๓๑๓.
๘๓
ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๙๗.
๘๔
ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๑๔๙/๑๓๔, ม.อุ.อ. (บาลี) ๔/๑๐๐
๑๕๗
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
กองรูป คือ วาโยธาตุที่นับเขาในโผฏฐัพพายตนะในรูป ๒๕ ประการ
มีจักขายตนะเปนตน๘๕ แตในขณะปฏิบัติภาวนา ไมอาจตามรูรูปธรรมและ
นามธรรมพรอมกันได เพราะทั้ง ๒ อยางนั้นมีลักษณะตางกัน กลาวคือ รูปมี
ลั ก ษณะไมรั บ รู อ ารมณ ส ว นนามมีลั กษณะรั บ รู อารมณ และจิ ต ก็รั บ เอา
อารมณอยางเดียวในแตละขณะ ไมอาจรับรูเรื่องสองเรื่องในขณะเดียวกันได
ดังมีสาธกวา “ควรหยั่งเห็นรูปในบางคราว ควรหยั่งเห็นนามในบางคราว
เพราะไมอาจหยั่งเห็นพรอมกัน เนื่องจากรูปธรรมตรงกันขามกับนามธรรม
โดยแท และไมประสงคการหยั่งเห็นในเรื่องที่ตางกัน” ๘๖
สรุปความวา สมถยานิกบุคคลพึงกําหนดรูอารมณที่ปรากฏชัด เมื่อ
ออกจากฌานแลว อันไดแก นามธรรมคือฌานจิตตุปบาทในปจจุบันขณะนั้น
หทัย รู ป อัน เป น ที่ตั้ ง ของจิ ต หรื อรู ป อย างใดอย า งหนึ่ ง ที่เ กิด จากจิ ต ส ว น
วิปสสนายานิกพึงกําหนดรูรูป-นามในปจจุบันขณะนั้นๆ เพียงตางกันที่สมถ
ยานิกเปนผูบรรลุฌานแลว จึงกําหนดรูฌานเปนตนได แตวิปสสนายานิก
มิไดบรรลุฌาน จึงกําหนดรูป-นามในขณะเห็นเปนตน
ในขณะเห็นเปนตนนั้น วิปสสนายานิกพึงเจริญสติรูเทาทันสภาวะ
การเห็นซึ่งเปนจิตและเจตสิก รูปอันเปนที่ตั้งของนามธรรมเหลานั้น และสีที่
พบเห็น แมในขณะไดยิน รูกลิ่น ลิ้มรส สัมผัส ก็มีนับเดียวกันนี้ สวนในขณะ
นึ ก คิ ด พึ ง รู เ ท า ทั น สภาวะคิ ด ที่ เ ป น จิ ต และเจตสิ ก รู ป อั น เป น ที่ ตั้ ง ของ
นามธรรมเหลานั้น และรูปที่เกิดจากจิตที่คิดฟุงซาน โดยรับรูสภาวธรรมที่
ปรากฏชัดในขณะนั้นๆ ตามสมควร๘๗ ผูที่เจริญวิปสสนาโดยมีรูปธรรมเปน
หลักซึ่งเรียกวาผูเพงลมหายใจเขา-ออก ยอมกําหนดรูลมหายใจเขา-ออก”
สวนผูที่เจริญวิปสสนาโดยมีนามธรรมเปนหลัก ยอมกําหนดรูองคฌาน” ๘๘
๘๕
อภิ.สงฺ. (บาลี) ๓๔/๕๙๕/๑๘๑, ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๖๘-๖๙.
๘๖
วิสุทฺธ.ิ มหาฎีกา (บาลี) ๒/๔๔๑
๘๗
ม.ม.ฎีกา (บาลี) ๓/๓๒๖.
๘๘
ที.ม.ฎีกา (บาลี) ๒/๓๗๖.
๑๕๘
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๓.๑ สมถยานิก ผูบรรลุอรหัตผลเปนปญญาวิมุตติ
๑) ใชสมาธิระดับรูปฌาน ๔
พระผู มีพระภาคเจ าตรั ส ถึงรู ป ฌานที่เ กิด ขึ้น จากการเจริ ญสมถะ
ตามลําดับวา “ภิกษุทั้งหลาย เราไดปรารภความเพียร มีความเพียรไมยอ
หยอนแลวมีสติมั่นคง ไมเลอะเลือน มีกายสงบไมกระสับกระสาย มีจิตตั้งมั่น
มีอารมณเปนหนึ่ง
๑. เรานั้นสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแลว บรรลุปฐมฌาน
ที่มีวิตก วิจาร ปติ และสุขอันเกิดจากวิเวกอยู
๒. เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป เราบรรลุทุติยฌานที่มีความผองใส
ในภายใน มีภาวะที่จิตเปนหนึ่งผุดขึ้น ไมมีวิตก ไมมีวิจาร มีแตปติและสุขอัน
เกิดจากสมาธิอยู
๓. เพราะปติจางคลายไป เรามีอุเบกขามีสติสัมปชัญญะเสวยสุข
ดวยนามกาย บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญวา ผูมีอุเบกขามี
สติ อยูเปนสุข’
๔. เพราะละสุขและทุกขได เพราะโสมนัสและโทมนัสดับไปแลว เรา
บรรลุจตุตถฌานที่ไมมีทุกขและไมมีสุข มีสติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาอยู”๘๙
เมื่อมีศีลบริสุทธิ์บริบูรณดีแลว ชื่อวามีรากฐานมั่นคงที่จะทําสมาธิ
เพื่อชําระใจใหบริสุทธิ์ สมาธิที่เกิดจากศีลบริสุทธิ์นี้ยอมมีกําลังมาก เปนบาท
ฐานในการเจริ ญปญญาต อไป ดั งที่พระพุทธเจ าตรั ส วา “สมาธิ อัน บุ คคล
อบรมโดยมีศีลเปนฐาน ยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก ปญญาอันบุคคลอบรม
โดยมีสมาธิเปนฐาน ยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก จิตอันบุคคลอบรมโดยมี
ปญญาเปนฐาน ยอมหลุดพนโดยชอบจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย”๙๐
ผู บํ า เพ็ ญ สมถภาวนาได รู ป ฌานขั้ น ใดขั้ น หนึ่ ง ก อ นแล ว หรื อ ได
อุปจารสมาธิแลว จึงเจริญวิปสสนาทีหลัง คือผูไดรูปฌาน ออกจากรูปฌาน
นั้นๆ แตจิตยังทรงอารมณฌานนั้นอยู พิจาณาสภาพธรรมที่ประกอบอยูกับ
๘๙
อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๖๒๓/๔๑๓.
๙๐
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๑๕๙/๘๖, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๗๖/๙๖.
๑๕๙
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๙๑
ฌานนั้น ตามแนวการพิจารณาในหมวดเวทนานุปสสนาสติปฏฐานก็ดี จิต
ตานุปสสนาสติปฏฐานก็ดี หรือธัมมานุปสสนาสติปฏฐานก็ดี ที่ปรากฏเปน
ปจจุบันอารมณ๙๒ คือ พิจารณารูป-นามที่ปรากฏชัด จนเห็นรูป-นามที่เปน
อารมณ ดั บ ไป และเห็ น จิ ต ตั ว รู นั้ น ดั บ ไปด ว ยเกิ ด วิ ป ส สนาญาณ ๙๓ไป
ตามลําดับจนไดบรรลุมรรคผล นิพพาน บุคคลนั้นเรียกวา สมถยานิกบุคคล
ผูปฏิบั ติตามแนวทางนี้ เมื่อบรรลุโสดาปตติ มรรคแลว และกําลั ง
ปฏิบัติเพื่อทําใหแจงซึ่งโสดาปตติผล โดยมีอัปปนาสมาธิขั้นรูปฌานเปนบาท
ฐาน มีศรัทธาแกกลาเปนตัวนํา ชื่อวาสัทธานุสารี เมื่อบรรลุโสดาปตติผล
แล ว และกําลั งปฏิ บั ติ เพื่อบรรลุ มรรคผลเบื้ องสู งตอไป โดยมีศรั ทธาและ
สมาธิแกกลาเปนตัวนํา จะบรรลุสกทาคามีหรืออนาคามี เปนประเภทสัทธา
วิมุต ทานผูนี้เมื่อบรรลุอรหัตผลกลายเปนปญญาวิมุตติ๙๔
๒) ใชสมาธิระดับอรูปสมาธิ ๔
อรูปสมาธิ เปน สภาวะที่อัปปนาจิตพน จากอารมณที่เ ปนรูป เป น
สภาวะที่ใชการเพงสติตัดกระแสรูปารมณ ซึ่งในการเพงฌานนี้ สติที่เหลืออยู
จะมีเพียงอรูปสัญญาเทานั้น อรูปสมาธิมี ๔ ระดับคือ
๑. อากาสานัญจายตนะ ไดแก ฌานที่กําหนดอากาศ(ชองวาง) ไมมี
ที่สิ้นสุดเปนอารมณ จัดเปนอรูปสมาธิ
๒. วิญญาณัญจายตนะ ไดแก ฌานที่กําหนดวิญญาณไมมีที่สุดเปน
๙๕
อารมณ
๓. อากิญจัญญายตนะ ไดแก ฌานที่กําหนดภาวะที่ไมมีอะไรๆ เปน
อารมณ หรือภพของผูเขาถึงอรูปสมาธิ๙๖
๙๑
ดูรายละเอียดใน องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๓๖/๕๐๘.
๙๒
อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/๑๘/๔, อภิ.สง. (ไทย) ๓๔/๑๐๔๖/๒๖๘.
๙๓
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๑/๘๒. ดูรายละเอียดใน ภังคานุปสสนาญาณนิทเทส.
๙๔
วิสุทฺธ.ิ ฏีกา (บาลี) ๒/๗๗๒/๕๑๓-๕๑๕, องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๑.
๙๕
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๔/๑๑๓.
๙๖
ดูรายละเอียดใน ม.อุ.(ไทย) ๑๔/๙๕/๑๑๔.
๑๖๐
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไดแก ฌานที่เลิกกําหนดสิ่งใดๆ โดย
ประการทั้งปวง เขาถึงภาวะที่มีสัญญาก็ไมใช ที่ไมมีสัญญาก็ไมใช๙๗
สภาวะของอรูปสมาธิ เปนการกําหนดของสภาวะสิ่งที่ไมใชรูปธรรม
เปนอารมณ สิ่งที่ใชเปนอารมณในการกําหนดคือนามธรรม ในการกําหนด
สภาวธรรม พิจารณาเห็นโดยความเปนไตรลักษณ วาเกิดขึ้นแลว ก็ดับไป
หากบุคคลใดไดปฏิบัติสมถภาวนา ชนิดที่สามารถทํารูปฌานทั้ง ๔
ใหสมบูรณได เชน กสิณ ๑๐ อานาปานาสติ อัปปมัญญา ๔ (เมตตา กรุณา
มุทิตา อุเบกขา) เปนตน เมื่อไดรูปฌาน ๔ สมบูรณ แลวตอดวยเจริญอรูป
สมาธิ ๔ เมื่อออกจากสมาธินนั้ ๆ แลว นําเอาสภาพธรรมที่ประกอบกับจิตนั้น
ขณะนั้น มาเปนอารมณในการเจริญวิปสสนา ในหมวดเวทนานุปสสนา จิต
ตานุปสสนา หรือธัมมานุปสสนาตอไป คือ พิจารณาธรรมที่ยังเหลืออยู จน
พิ จ ารณาเห็ น ธรรมที่ เ ป น อารมณ ดั บ ไป และเห็ น จิ ต นั้ น ดั บ ไปด ว ย เกิ ด
“วิ ป ส สนาญาณ”ไปตามลํ าดั บ จนได บ รรลุ ม รรค ผล นิ พ พาน บุ คคลนั้ น
เรี ย กว าสมถยานิ กบุ คคล และเมื่อบรรลุ ธ รรมแล ว จั ด เป น พระอริ ย บุ คคล
ประเภทสัทธานุสารีหรือธัมมานุสารี อยางใดอยางหนึ่ง ตอจากนั้นเปนกาย
สักขี๙๘ เมื่อบรรลุพระอรหันต เปนประเภท “ปญญาวิมุตติ”
โดยทั่ว ไปมั กเขาใจกั น ว า ผู ได อรู ป สมาบั ติ เ มื่ อบรรลุ อหั ต ผล จะ
สําเร็จเปนพระอรหันตประเภทอุภโตภาควิมุตติ แตในพระไตรปฎกระบุไว
ชัดเจนวา ผูไดสัญญาเนวสัญญายตนะเมื่อออกจากสมาธินั้นแลว พิจารณา
สภาพธรรมนั้นจนรูถึงความเกิด-ดับ คุณ โทษ และอุบายสลัดออกตามความ
เปนจริง ยอมหลุดพนเพราะไมถือมั่น๙๙ เปนปญญาวิมุตติ๑๐๐
๙๗
ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๖/๑๑๔. อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๖๐๕-๖๒๐/๔๑๐-๔๑๒.
๙๘
วิสุทธิ.มหาฏีกา (บาลี) ๒/๗๗๒/๕๑๓-๕๑๕.
๙๙
หลุดพนเพราะไมถือมั่น หมายถึง ไมถือมั่นในอุปาทาน ๔ คือ ๑) กามุปาทาน
(ถือมั่นในกาม) ๒) ทิฏุปาทาน (ถือมั่นในทิฏฐิ) ๓) สีลัพพตุปาทาน (ถือมั่นในศีลพรต)
๔) อัตตวาทุปาทาน (ถือมั่นในวาทะวามีอัตตา) (ที.ม.อ. (บาลี) ๑๒๘/๑๑๒.)
๑๐๐
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๒๙/๗๕, ผูเปนปญญาวิมุตติ หมายถึง ผูหลุดพนดวย
กําลังปญญา โดยไมไดบรรลุสมาธิชั้นสูงคือวิโมกข ๘ (ที.ม.ฏีกา (บาลี) ๑๒๘/๑๔๔.)
๑๖๑
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๓.๒ สมถยานิก ผูบรรลุอรหันตเปนอุภโตภาควิมุตติ
หากบุคคลใดไดปฏิบัติสมถภาวนา ชนิดที่สามารถทํารูปฌานทั้ง ๔
ใหสมบูรณได เชน กสิณ ๑๐ อานาปานาสติ หรืออัปปมัญญา ๔ เมื่อไดรูป
ฌาน ๔ สมบูรณ แลวตอดวยเจริญอรูปสมาธิ ๔ จนจิตหลุดพนจากรูปกาย
ด ว ยนามกาย เป น เจโตวิ มุต ติ ที่ห ลุ ด พน จากอารมณ ฌานอย างสิ้ น เชิ ง ได
สัมผัสสันตวิโมกข๑๐๑ นําเอาสภาพธรรมที่ประกอบกับจิตนั้นมาเปนพื้นฐาน
เจริญวิปสสนา ในหมวดธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน (ลวงเวทนานุปสสนาสติ
ปฏฐาน จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน)ตอไป คือ พิจารณาธรรมที่ปรากฏชัด จน
พิจ ารณาเห็น ธรรมที่เ ปน อารมณจิ ตดั บไป และเห็น จิ ตนั้ นดั บ ไปดว ย เกิด
“วิปสสนาญาณ” ไปตามลําดับ จนไดบรรลุมรรค ผล นิพพาน บุคคลนั้น
เรียกวา สมถยานิกบุคคล
วิปสสนายานิกบางทาน เมื่อบรรลุโสดาปตติมรรคแลว และกําลัง
ปฏิบัติเพื่อทําใหแจงโสดาปตติผล มีปญญาแกกลาเปนตัวนําโดยการเจริญ
วิปสสนาภาวนากอน หรือสลับกับการเจริญสมถภาวนา ชื่อวาธัมมานุสารี
หากทานผูเปนธัมมานุสารีประเภทนี้ ภายหลังบําเพ็ญสมถภาวนาจนสมาบัติ
๘ สมบูรณพรอมกับไดบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เปนเจโตวิมุตติ๑๐๒ทีไ่ ดสัมผัส
สั น ตวิ โ มกข นํ า เอาสภาพธรรมที่ ป ระกอบกั บ จิ ต ที่ ยั ง เหลื อ อยู นั้ น มาเป น
พื้นฐานเจริญวิปสสนาตอไป จนหลุดพนจากนามกาย ดวยอริยมรรค๑๐๓ เมื่อ
บรรลุโสดาปตติผลแลว กําลังปฏิบัติเ พื่อบรรลุมรรคผลเบื้องสูง เปนกาย
สักขี๑๐๔ และเมื่อบรรลุอรหัตผล กลายเปนอุภโตภาควิมุตติ๑๐๕
๑๐๑
สันตวิโมกข หมายถึง อรูปสมาธิที่พนไดอยางสิ้นเชิง เพราะพนจากธรรมที่
เป น ข า ศึ ก กล า วคื อ นิ ว รณ ๕ ประการและเพราะไม เ กี่ ย วข อ งในอารมณ เป น ต น
(องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๙/๓๒๐.)
๑๐๒
ดูใน องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๐, องฺ.นวก.อ. (บาลี) ๓/๔๕/๓๑๖.
๑๐๓
ดูใน ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๖๙/๑๗๗.
๑๐๔
วิสุทธิ.มหาฏีกา (บาลี) ๒/๗๗๒/๕๑๓-๕๑๕.
๑๐๕
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔๗๔-๗๗/๓๕๘-๓๖๑, ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๑๔๔.
๑๖๒
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
สวนผูบรรลุโสดาปตติมรรคแลว และกําลังปฏิบัติเพื่อทําใหแจงซึ่ง
โสดาปตติผล มีศรัทธาแกกลาเปนตัวนํา ชื่อวาสัทธานุสารี หากทานผูเปน
สัทธานุสารีนี้ ภายหลังบําเพ็ญสมถภาวนาจนสมาบัติ ๘ สมบูรณพรอมกับได
บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เปนเจโตวิมุตติ๑๐๖ที่หลุดพนจากอารมณฌานอยาง
สิ้นเชิง ไดสัมผัสสันตวิโมกข นําเอาสภาพธรรมที่ประกอบกับจิตที่ยังเหลืออยู
นั้ น มาเป น พื้ น ฐานเจริ ญ วิ ป ส สนาต อ ไป จนหลุ ด พ น จากนามกาย ด ว ย
อริยมรรค๑๐๗ เมื่อบรรลุโสดาปตติผลแลว กําลังปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผล
เบื้องสูงเปนกายสักขี และเมื่อบรรลุอรหัตผลกลายเปนอุภโตภาควิมุตติ๑๐๘
๔. การเจริญวิปสสนาของวิปสสนายานิก
วิปสสนายานิก หมายถึง ผูมีวิปสสนาเปนยาน ผูเริ่มปฏิบัติดวย
เจริญวิปสสนาทีเดียว โดยไมเคยฝกหัดเจริญสมาธิใดๆ มากอน เมื่อเจริญ
วิปสสนา คือ ใชปญญาพิจารณาความจริงเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายอยางถูกทาง
แลว จิตก็จะสงบขึ้น เกิดมีสมาธิตามมาเอง๑๐๙ มีวิปสสนาลวนๆ เปนเครื่อง
นําทาง หรื อบุ คคลผู ไปสูมรรค ผล นิพพานโดยอาศัย วิป สสนาลว นๆ เป น
ยานพาหนะ๑๑๐ โดยมีปรมัตถเปนอารมณ คือกําหนดรูปและนามหรือขันธ ๕
อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๖ หรือธาตุ ๑๘ เปนตน เปนอารมณโดยทางพระไตร
ลักษณ จนบรรลุมรรค ผล นิพพาน ดังที่พระสารีบุตรเถระอธิบายวา
สภาวะพิจ ารณาเห็ น โดยความไมเ ที่ย ง ชื่ อวา วิ ป ส สนา เพราะมี
สภาวะพิจ ารณาเห็ น โดยความเป น ทุกข ชื่ อวา วิ ป ส สนา เพราะมีส ภาวะ
๑๐๖
ดูใน องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๐, องฺ.นวก.อ. (บาลี) ๓/๔๕/๓๑๖.
๑๐๗
ดูใน ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๖๙/๑๗๗.
๑๐๘
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔๗๔-๗๗/๓๕๘-๓๖๑, ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๑๔๔. ผูหลุดพน
ทัง้ ๒ สวน คือ ๑) หลุดพนจากรูปกายดวยอรูปสมาบัติ ๒) หลุดพนจากนามกายดวย
อริยมรรค (ที.ม.อ. (บาลี) ๑๓๐/๑๑๓.)
๑๐๙
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย, หนา ๔๔๙.
๑๑๐
พระโสภณมหาเถระ (มหาสี สยาดอ), วิ ปส สนาชุ นี หลั กการปฏิ บั ติ
วิปสสนา, หนา ๖๐.
๑๖๓
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
พิจารณาเห็นโดยความเปนอนัตตา สภาวะที่จิตปลอยธรรมทั้งหลายที่เกิดใน
วิปสสนานั้นเปนอารมณ และสภาวะที่จิตเปนเอกัคคตารมณ ไมฟุงซานเปน
สมาธิ วิปสสนาจึงมีกอน สมถะมีภายหลัง ดวยประการดังนี้ เพราะเหตุนั้น
ทานจึงกลาววา “เจริญสมถะมีวิปสสนานําหนา”
การพิจารณาเห็นเวทนาชื่อวาวิปสสนาเพราะมีสภาวะพิจารณาเห็น
ชรา และมรณะโดยความไมเที่ยง ชื่อวา วิปสสนาเพราะมีสภาวะพิจารณา
เห็นชราและมรณะโดยความเปนทุกข ชื่อวา วิปสสนา สภาวะที่จิตปลอย
ธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นเปนอารมณ และสภาวะที่จิตเปนเอกัคคตา
รมณ ไมฟุงซาน เปนสมาธิ วิปสสนาจึงมีกอน สมถะมีภายหลัง ดวยประการ
ดังนี้ เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา “เจริญสมถะมีวิปสสนานําหนา”๑๑๑
๔.๑ ขณิกสมาธิในการเจริญวิปสสนา
วิปสสนายานิก คือ ผูเจริญวิปสสนาดวยการอาศัยขณิกสมาธิเปนฐาน
ในการปฏิ บั ติ ทํ า ให ดํ า เนิ น ไปสู ม รรค ผล และนิ พ พาน ด ว ยการเจริ ญ
วิปสสนาลวนๆ บุคคลประเภทนี้มีขณิกสมาธิอยางเดียวเปนจิตตวิสุทธิ๑๑๒
เมื่อขณิกสมาธิแกกลามากขึ้น ความตั้งมั่นแหงจิตเหมือนฌานใน
สมถภาวนาย อ มเกิด ขึ้ น แมอ ารมณ ที่เ ป น รู ป นามจะเปลี่ ย นแปลงไปตาม
สภาพที่ป รากฏชั ด ความตั้ งมั่ น ก็คงอยู อย า งนั้ น ลํ าดั บ จิ ต ที่เ กิด กอนและ
ลําดับจิตที่ภายหลังมีกําลังทัดเทียมกัน สมาธิดังกลาวตางจากฌานในสมถ
ภาวนาคือฌานในสมถภาวนารับรูอารมณบัญญัติอยางเดียว ไมปรากฏความ
เปนรูปนาม ทั้งปราศจากสภาวะของพระไตรลักษณ แตสมาธิของวิปสสนา
รับรูอารมณปจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไดบาง ทั้งปรากฏความเปนรูปนาม เมื่อ
ญาณแกกลาขึ้นก็จะหยั่งเห็นพระไตรลักษณที่รูเห็นความเกิดดับเปนตน
ในคัม ภี ร ม หาฎี ก าว า “คํา ว า ขณิ ก จิ ตฺ เ ตกคฺค ตา มีค วามหมายว า
สมาธิ ที่ตั้ งอยู ชั่ ว ขณะ โดยแทจ ริ งแล ว สมาธิ นั้ น ดํ าเนิ น ไปในอารมณด ว ย
๑๑๑
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔/๔๑๘-๔๑๙.
๑๑๒
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสสนานัย เลม ๑, หนา ๖๑.
๑๖๔
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
อาการเดียวอยางตอเนื่อง ไมถูกนิวรณที่เปนปฏิปกษกันครอบงํา ยอมตั้งจิต
ไวมั่นเหมือนฌานสมาธิที่หยั่งลงแลว”๑๑๓
ขณิกสมาธิใชในการเจริญวิปสสนา๑๑๔ เปนความตั้งมั่นของจิตขณะ
พิจารณารูป -นามทุกๆ ขณะที่เ กิด-ดั บ เมื่อจิต มีสติ ระลึกรู อารมณปรมัต ถ
อยางตอเนื่อง ปราศจากนิวรณ ในขณะนั้นมีอินทรีย ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ
สมาธิและปญญามีกําลังสม่ําเสมอ สวนอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิใชเปน
บาทฐานเพื่อการเจริญวิปสสนาของผูเปนสมถยานิก คือ เมื่อจิตมีความตั้งมั่น
ปราศจากความฟุงซาน ออนควรแกการงาน เมื่อจิต ถอนออกจากอุป จาร
สมาธิหรืออัปปนาสมาธิแลว ก็เจริญวิปสสนาดวยจิตที่มีขณิกส-มาธิตอไป๑๑๕
ขณิกสมาธินี้ สงบชั่วขณะๆ ก็จริง แตเมื่อมีกําลังแกกลา ก็สามารถ
บรรลุถึงโลกุตตรอัปปนาสมาธิ คือมรรค ผล นิพพานได อุปมาเหมือนกับเม็ด
งา มีขนาดเล็กมาก มีน้ํามันนอยยังไมพอใช แตวาหลายเม็ดรวมกันแลวก็ได
น้ํามันมาก ขอนี้ฉันใด วิปสสนาขณิกสมาธิ ก็ฉันนั้น โยคีบุคคลมีจิตไปรู
อารมณใด ก็ตั้งสติกําหนดที่นั้น ไดขณิกสมาธิเกิดขึ้นมาทันที บางคนเขาใจวา
วิปสสนานี้ตองตั้งสติกําหนดเพงอารมณอยูเพียงอารมณเดียวใจจึงจะสงบมี
สมาธิดี เมื่อมีอารมณอื่นเชน การเห็น การไดยิน การเจ็บปวด การคิด การ
นึก เปนตน แทรกเขามาก็ไมยอมกําหนด เพราะเกรงวาถากําหนดตาม ใจจะ
ฟุงซานเสียสมาธิ การเขาใจอยางนี้เปนการเขาใจผิด เพราะขณิกสมาธิ มาก
ไปดวยสติสัมปชัญญะ ไมอาจใหฟุงซานได
เมื่อขณิกสมาธิแกกลามากขึ้น ความตั้งมั่นแหงจิตดุจฌานในสมถ
ภาวนายอมเกิดขึ้น แมอารมณที่เปนรูป-นามจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพที่
๑๑๓
วิสุทฺธิ.ฏีกา (บาลี) ๑/๔๐๙, บาลีวา ขณิกจิตฺเตกคฺคตาติ ขณมตฺตฏฐิติโก
สมาธิ. โสป หิ อารมฺมเณ นิรนฺตรํ เอกากาเรน ปวตฺตมโน ปฏิปกฺเขน อนภิภูโต อปฺปโ ต
วิย จิตฺตํ นิจฺจลํ ฐเปติ.
๑๑๔
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๓๖๘.
๑๑๕
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสสนานัย เลม ๑, หนา ๕๙.
๑๖๕
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ปรากฏชัด ความตั้งมั่นก็คงอยูอยางนั้น ลําดับจิตที่เกิดกอนและลําดับจิตที่
เกิดภายหลังมีกําลังทัดเทียมกัน สมาธิดังกลาวตางจากสมาธิในสมถภาวนา
สมถสมาธิรับรูอารมณบัญญัติอยางเดียว แตไมปรากฏความเปนรูป-
นาม ทัง้ ปราศจากสภาวะของพระไตรลักษณ สวนสมาธิของวิปสสนานั้นรับรู
อารมณปจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไดตลอด ทั้งปรากฏความเปนรูป-นาม เมื่อ
ญาณแกกลาขึ้นก็จะหยั่งเห็นพระไตรลักษณที่รูเห็นความเกิดดับ ดังขอความ
ในคัมภีรมหาฎีกาวา “สมาธิที่ตั้งอยูชั่วขณะ โดยแทจริงแลว สมาธินั้นดําเนิน
ไปในอารมณดวยอาการเดียวอยางตอเนื่อง ไมถูกนิวรณที่เปนปฏิปกษกัน
ครอบงํา ยอมตั้งจิตไวมั่นเหมือนฌานสมาธิที่หยั่งลงแลว” ๑๑๖
ขณิกสมาธิก็สามารถตั้งจิตไวมั่น มีกําลังมากเทากับอุปจารสมาธิได
เพราะขณะกําหนดอารมณอันหนึ่งกับอีกอันหนึ่งนั้นระหวางกลางอารมณทั้ง
สองกิเลสนิวรณเขาไมได เมื่อกําหนดติดตอกันอยูเรื่อยไป ขณะนั้นใจสงบก็
ตั้งอยูไดนานเหมือนกัน และเมื่อผูปฏิบัติเขาถึงอุทยัพพยญาณ ภังคญาณ
เปนตน วิปสสนาขณิกสมาธิแกกลายิ่งขึ้น มีกําลังมากเทียบเทากับอัปปนา
สมาธิ เพราะปราศจากปฏิปกษ คือกิเลสนิวรณ ฉะนั้น ขณิกสมาธิ คือการที่
ใจสงบตั้งอยูนานๆ ได นี้ก็เรียกวา จิตตวิสุทธิ๑๑๗
เมื่อมีศีลบริสุทธิ์บริบูรณดีแลว ชื่อวามีรากฐานมั่นคงที่จะทําสมาธิ
เพื่อชําระใจใหบริสุทธิ์อีกตอไป แตถาศีลยังไมบริสุทธิ์ มีขาด ดางพรอย ทะลุ
อยู ก็ยากที่จะทําใหบังเกิดมีสมาธิขึ้นมาได อนึ่ง สมาธิที่เกิดจากศีลบริสุทธิ์นี้
ยอมมีกําลังมาก๑๑๘ยอมปรากฏขึ้นเมื่อจิตตั้งมั่นในอารมณปจจุบันที่เปนรูป
นามอยางตอเนื่องปราศจากนิวรณ ในขณะที่อินทรีย ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ
สติ สมาธิ และปญญา มีกําลังสม่ําเสมอกันแกผูเจริญวิปสสนาภาวนา ขณิก-
สมาธิใชในการเจริญวิปสสนา เปนความตั้งมั่นอยูชั่วขณะเมื่อจิตมีสติระลึกรู
๑๑๖
วิสุทฺธ.ิ มหาฏีกา (บาลี) ๑/๔๐๙.
๑๑๗
พระภัททันตะอาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ, วิปสสนาทีปนี
ฎีกา, พิมพครั้งที่ ๙, (กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพเลี่ยงเซียง จํากัด), หนา ๗๐.
๑๑๘
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๑๕๙/๘๖, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๗๖/๙๖.
๑๖๖
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
อารมณปรมัตถ สวนอุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิใชเปนบาทฐานเพื่อการ
เจริญวิปสสนาของผูเปนสมถยานิก โดยในเบื้องตนใหผูปฏิบัติมีสติรูอารมณ
บัญญัติอันใดอันหนึ่งที่ถูกจริต จนเกิดปฏิภาคนิมิตและรูนิมิตนั้นตอไปจนจิต
มีอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ จิตจะมีความตั้งมั่น มีสติ ปราศจากกิเลส
และอุปกิเลส ออน ควรแกการงาน เมื่อจิตถอนออกจากอุปจารสมาธิหรือ
อัปปนาสมาธิแลว ก็เจริญวิปสสนาดวยจิตที่มี ขณิกสมาธิตอไป สวนอาการที่
จิตเคลิบเคลิ้มลืมตัวและขาดสติ ไมใชอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิอยางที่
พวกเราบางคนเขาใจกัน เพราะจิตที่ขาดสติ ลืมเนื้อลืมตัว ใชในการเจริญ
วิปสสนาไมไดอยางมากก็เปนแคมิจฉาสมาธิเทานั้น๑๑๙
วิปสสนาขณิกสมาธินี้มีอารมณเปนปรมัตถ (รูป-นาม) ตั้งสติกําหนด
ทุกสิ่งทุกอยาง อาการตางๆ เชน การเห็น การไดยิน การเจ็บ การปวด การ
คิด การนึก เปนตน อารมณใดปรากฏชัดเจน ก็ตั้งสติกําหนดอารมณนั้นจน
ไดสมาธิชั่วขณะหนึ่ง สมาธิชั่วขณะนี้แหละเรียกวาขณิกสมาธิ เมื่อผูปฏิบัติ
ธรรมมีศีลบริสุทธิ์บริบูรณดีแลว ชื่อวา มีรากฐานมั่นคงที่จะทําสมาธิ เพื่อ
ชําระใจใหบริสุทธิ์ สมาธิที่เกิดจากศีลบริสุทธิ์นี้ยอมมีกําลังมาก เปนบาทฐาน
ในการเจริญปญญาตอไป ดังที่พระพุทธเจาตรัสวา “สมาธิอันบุคคลอบรม
โดยมีศีลเปนฐาน ยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก ปญญาอันบุคคลอบรมโดยมี
สมาธิเปนฐาน ยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก จิตอันบุคคลอบรมโดยมีปญญา
เปนฐาน ยอมหลุดพนโดยชอบจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย”๑๒๐
๔.๒ การพัฒนาขณิกสมาธิดวยการปรับอินทรีย ๕
ขณิกสมาธิใชในการเจริญวิ ปสสนา๑๒๑ เป นความตั้งมั่นรูรู ป-นาม
ทุ ก ๆขณะที่ เ กิ ด -ดั บ เมื่ อ จิ ต มี ส ติ ร ะลึ ก รู อ ารมณ ป รมั ต ถ อ ย า งต อ เนื่ อ ง
ปราศจากนิ ว รณ ในขณะที่อิน ทรี ย ๕ คื อ ศรั ทธา วิ ริ ย ะ สติ สมาธิ และ
ปญญามีกําลังสม่ําเสมอแกผูเจริญวิปสสนาภาวนา
๑๑๙
พระโสภณมหาเถระ(มหาสีสยาดอ), วิปสสนานัย เลม ๑, ๒๕๔๘, หนา๕๙.
๑๒๐
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๑๕๙/๘๖, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๗๖/๙๖.
๑๒๑
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๓๖๘.
๑๖๗
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
กอนปฏิบัตโิ ยคีมักพูดวา “ที่มาปฏิบัตินี้ไมไดหวังอะไรมาก ขอให
ใจสงบ อยูปฏิบัติไดครบกําหนดเวลาก็พอแลว” แตเมื่อไดลงมือปฏิบัติไป ๓-
๔ วั น จะมี คํ า ถามเกิ ด ขึ้ น ในใจแทบทุ ก คนว า “ทํ า อย า งไร จึ ง จะมี
ความก าวหน าในการปฏิ บั ติ วิ ป ส สนาญาณจะเกิด ขึ้น ได อย างไร?” พระ
วิปสสนาจารย พึงใหคําตอบวา “ความกาวหนาในการปฏิบัติวิปสสนาขึ้นอยู
กั บ การปรั บ อิ น ทรี ย ๕ ให ส มดุ ล และเพิ่ ม กํ า ลั ง พละ ๕ ให แ ก ก ล า ขึ้ น
ตามลํ าดั บ” ซึ่งนั้ นหมายความวา พระวิป สสนาจารยจ ะต องอธิ บายให ผู
ปฏิบัติเขาใจความหมายและความสําคัญของการปรับอินทรียใหสมดุลยกัน
พรอมทั้งมีกระบวนการบมเพาะอินทรียและพอกพูนกําลังพละใหเกิดขึ้นใน
ขันธสันดานของโยคีผูปฏิบัติใหแกกลาขึ้นตามลําดับ ตามจํานวนระยะเวลาที่
ปฏิบัติเพิ่มขึ้น ดังที่พระพุทธเจาตรัสวา “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุอาศัยศีล
ตั้งอยูในศีลแลว เจริญ ทําใหมากซึ่งอินทรีย ๕ ยอมถึงความเจริญงอกงาม
ไพบูลยในธรรมทั้งหลาย”๑๒๒
๔.๓ การบรรลุธรรมของวิปสสนายานิก
วิปสสนายานิก มีรูปแบบในการเจริญวิปสสนาภาวนา ๔ แบบ ดังนี้
๑. รูปแบบการเจริญวิปสสนาภาวนาแบบวิปสสนายานิก สําหรับผู
ตัณหาจริต ศรัทธาแกกลา (กายานุปสสนา)
๒. รูปแบบการเจริญวิปสสนาภาวนาแบบวิปสสนายานิก สําหรับผู
ตัณหาจริต ปญญาแกกลา (เวทนานุปสสนา)
๓. รูปแบบการเจริญวิปสสนาภาวนา แบบวิปสสนายานิกสําหรับ
ผูทิฏฐิจริต ศรัทธาแกกลา (จิตตานุปสสนา)
๔. รูปแบบการเจริญวิปสสนาภาวนา แบบวิปสสนายานิก สําหรับ
ผูทิฏฐิจริต ปญญาแกกลา (ธรรมานุปสสนา)
๑๒๒
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/๗๑๓/๓๔๔.
๑๖๘
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๑๒๓
ดูรายละเอียดใน องฺ.สตฺตก.อ. (ไทย) ๔/-/๑๔/๑๙ - ๒๒.
๑๒๔
ดูรายละเอียดใน องฺ.ทุก. (ไทย)๒๐/๙๐/๗๙, วิสุทฺธ.ิ ฏีกา (บาลี) ๑/๒๑.
๑๖๙
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
อนึ่ง พระอรหันตปญญาวิมุตติมี ๕ ประเภท คือ (๑) พระปญญา
วิมุตติ ผูไดจตุตถฌาน (๒) พระปญญาวิมุตติ ผูไดตติยฌาน (๓) พระปญญา
วิมุตติ ผูไดทุติยฌาน (๔) พระปญญาวิมุตติ ผูไดปฐมฌาน (ไดกอนทํา
วิปสสนา) (๕) พระปญญาวิมุตติ ผูไดสุกขวิปสสก (พระวิปสสนายานิก)๑๒๕
พระอรหั น ต ป ระเภทวิ ป ส สนายานิ ก นี้ หมายถึ ง พระอรหั น ต ผู
บําเพ็ญวิ ปสสนาล วนๆ มิไดสัมผัสวิ โมกข ๘ แต สิ้นอาสวะเพราะเห็น ดว ย
ป ญ ญา ๑๒๖ ซึ่ ง ในชั้ น คั ม ภี ร อ รรถกถาได บั ญ ญั ติ ชื่ อ พิ เ ศษเรี ย กว า พระ
สุกขวิปสสก เปนอันดับสุดทายในพระปญญาวิมุตติ๑๒๗
อริ ย บุ ค คลประเภทนี้ ปฏิ บั ติ เ พื่ อทํ าให แจ งซึ่ งโสดาป ต ติ ผ ล โดย
มีขณิก-สมาธิเปนบาทฐาน ปฏิบัติสุทธวิปสสนาตามแนวสติปฏฐาน ๔ เพื่อ
บรรลุโสดาปตติผล ดวยกําลังของปญญินทรีย เปนธัมมานุสารี คือ ผูแลนไป
ตามธรรม หรื อผูแลนตามไปดว ยธรรม มีปญญาเป นตัว นํา๑๒๘ ทานผูนี้ถา
บรรลุโสดาปตติผลแลว กลายเปนทิฏฐิปปตตะ๑๒๙ เมื่อบรรลุพระอรหันต
เปนประเภท “ปญญาวิมุตติ”๑๓๐ ดังที่พระพุทธเจาตรัสวา
“ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหลานี้ของผูใด ประจักษชัดโดยยิ่งดวยปญญา
อยางนี้ ผูนี้เราเรียกวา ธัมมานุสารี กาวลงสูอริยมรรค หยั่งลงสูภูมิของ
สัตบุรุษ ผานภูมิของปุถุชนไดแลวไมควรทํากรรมที่ทําแลวไปเกิดในนรก
กําเนิดสัตวดิรัจฉาน หรือภูมิแหงเปรตไมสมควรตายตราบเทาที่ยังไมทําให
แจงโสดาปตติผล ภิกษุทั้งหลาย ผูใดรูเห็นธรรมเหลานี้อยางนี้ ผูนี้เราเรียกวา
“อริยสาวกผูเปนโสดาบันไมมีทางตกต่ํา มีความแนนอนที่จะสําเร็จสัมโพธิใน
๑๒๕
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม,๒๕๕๒), หนา ๓๓๒.
๑๒๖
ดูรายละเอียดใน องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๑.
๑๒๗
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรมฉบับปรับขยาย,หนา ๔๕๐.
๑๒๘
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวล
ศัพท, หนา ๑๕๒.
๑๒๙
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๓๑.
๑๓๐
ดูรายละเอียดใน สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๓๐๒ - ๓๑๑/๓๒๐ - ๓๒๗, สํ.ส. (ไทย)
๑๘/๗๐/๖๐.
๑๗๐
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๑๓๑
วันขางหนา”
ป ญ ญาวิ มุ ต ตบุ ค คล มี ๕ ประเภทดั ง กล า วแล ว พระอรหั น ต ผู
บําเพ็ญวิ ปสสนาล วนๆ มิไดสัมผัสวิ โมกข ๘ แต สิ้นอาสวะเพราะเห็น ดว ย
ปญญา๑๓๒ เปนปญญาวิมุตตบุคคลที่เรียกวา สุกขวิปสสก
พระสุกขวิปสสก(ผูที่เจริญวิปสสนาลวน) จะไดสมาธิถึงระดับฌาน
ก็ต อ เมื่อ ถึง ขณะแห งมรรค ๑๓๓ คือ จิ ต ที่ส งบชั่ ว ขณะก็ ส ามารถนํ ามาเป น
พื้นฐานในการเจริญวิปสสนาได แตถาหากขาดขณิกสมาธิ วิปสสนาก็เกิดขึ้น
ไมได ต องอาศัย ขณิกสมาธิเ ป นบาทจึงจะเจริญวิ ปส สนาได เมื่อวิ ปส สนา
ญาณสูงขึ้นตามลําดับ การเพงลักษณะอารมณก็จะแนบแนนขึ้นเชนกัน เมื่อ
มรรคจิตเกิดขึ้นก็ยอมบริบูรณพรอมดวยองคฌานทั้ง ๕ จัดเปนปฐมฌานโส
ตาปตติมัคคจิต สกทาคามิมรรคจิต อนาคามิมรรคจิต และอรหัตมรรคจิต
ของสุกขวิปสสกบุคคล จัดเขาเปนปฐมฌานดวยกันทั้งสิ้น พระผูมีพระภาค
ตรัสถึงสภาวะจิตของพระอรหันตผูเปนพระสุกขวิปสสกวา ภิกษุในธรรมวินัย
นี้ เมื่อมนสิการสักกายะ จิตของเธอยอมไมแลนไป ไมเลื่อมใส ไมตั้งอยู ไม
นอมไปในสักกายะ แตเมื่อมนสิการถึงความดับสักกายะ จิตของเธอจึงแลน
ไป เลื่อมใส ตั้งอยู นอมไปในความดับสักกายะ จิตนั้นของเธอชื่อวาเปนจิต
ดําเนินไปดีแลว เจริญดีแลว ตั้งอยูแลว หลุดพนดีแลว พรากออกดีแลวจาก
สักกายะ เธอหลุดพนแลวจากอาสวะ และความเรารอนที่กอความคับแคนซึ่ง
เกิดขึ้นเพราะสักกายะเปนปจจัย ยอมไมเสวยเวทนานั้น เรียกวา ธาตุที่สลัด
สั กกายะ ในคั มภี ร อ รรถกถาอธิ บ ายเสริ มว านี่ เ ป น วิ ธี การที่พระอรหั น ต ผู
บําเพ็ญวิปสสนาลวน สงจิตในอรหัตผลสมาบัติไปยังอุปาทานขันธทั้ง ๕ เพื่อ
ทดสอบดูวาความยึดมั่นในขันธทั้ง ๕ วาเปนอัตตายังมีอยูหรือไม๑๓๔
๑๓๑
ดูรายละเอียดใน สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๓๐๒ - ๓๑๑/๓๒๐ - ๓๒๗.
๑๓๒
ดูใน องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๑.
๑๓๓
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรมฉบับปรับขยาย,หนา ๔๑๘.
๑๓๔
พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย (ประเสริฐ มนฺตเสวี), วิปสสนาภาวนาที่
ไมถูกเขียนไวในพระไตรปฎก, หนา ๔๐๐-๔๐๑.
๑๗๑
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๔.๔ วิปสสนายานิกบรรลุเปนพระอรหันตปญญาวิมุตติ
ทานผูเปนปญญาวิมุตติ คือ ผูหลุดพนดวยปญญา ในกรณีนี้หมายถึง
พระอรหั น ต ผู บํ าเพ็ญ วิ ป ส สนาล ว นๆ มิ ได สั ม ผั ส วิ โ มกข ๘ แต สิ้ น อาสวะ
เพราะเห็นดวยป ญญา๑๓๕ ไดเจริญสติปฏฐาน ๔ มีสติ พิจารณาในอาการ
ดวยอิริยาปถปพพะและสัมปชัญญปพพะ หรือปฏิบัติในหมวดปฏิกูลปพพะ
ธาตุมนสิการปพพะเลยทันที ดวยการตามพิจารณารูปกายดวยกําลังปญญิ
นทรีย ตามความเปนจริง โดยที่ยังไมไดฌาน๑๓๖ เริ่มปฏิบัติวิปสสนาเลยใช
สมาธิเพียงระดับขณิกสมาธิ คือ พิจารณาเห็นรูป-นามปจจุบันโดยความเปน
ไตรลักษณ เกิดวิปสสนาญาณไปตามลําดับจนอรหัตผล เรียกวา วิปสสนายา
นิก บุคคลนี้เมื่อบรรลุโสดาปตติมรรคแลว กําลังปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปตติ
ผล จัดเปนพระอริยบุคคลประเภทธัมมานุสารี เมื่อบรรลุโสดาปตติผลแลว
กลายเปนทิฏฐิปตตะ๑๓๗ และเมื่อสิ้นอาสวะกิเลสสําเร็จเปนพระอรหันต
บุคคล มีชื่อเรียกวา ปญญาวิมุตติ๑๓๘
ปญญาวิมุต ติเ ปน ความหลุด พน ทางด านปญญา เปน ความหลุด
พนดวยปญญา เปนความหลุดแหงปญญา เปนปญญาที่มีความบริสุทธิ์หมด
จด เพราะเป น ป ญญาที่ ไม มี กิเ ลสและความทุ กข ทั้ง ปวงบดบั ง หรื อ ทํา ให
ผิดเพี้ยนไป ปญญานี้สามารถปรากฏขึ้นไดแกบุคคลที่กําจัดอวิชชาออกได
หมดแลว ซึ่งจะทําใหบุคคลนั้นหลุดพนจากกิเลสและความทุกขที่เปนเครื่อง
ผูกมัดตางๆ ได บุคคลผูที่เปนปญญาวิมุตตินั้น มีผลมาจากการเจริญวิปสสนา
ลวน บุคคลผูที่เจริญวิปสสนาลวนโดยมิไดสัมผัสวิโมกข ๘ แตสามารถสิ้น
กิเ ลสและกองทุ กข ทั้ งปวงได ด ว ยป ญ ญา บุ ค คลที่เ จริ ญ วิ ป ส สนาล ว นนั้ น
เรียกวา เปนสุกขวิปสสก แตโดยตามจริง ยอมไดเจโตวิมุตติดวย เพราะการ
๑๓๕
ดูใน องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๓/๑๔/๑๖๑.
๑๓๖
พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย (ประเสริฐ มนฺตเสวี), อานาปานสติ
ภาวนา, หนา ๑๙๘.
๑๓๗
ดูรายละเอียดใน องฺ.สตฺตก.อ. (ไทย) ๔/-/๑๔/๑๙ - ๒๒.
๑๓๘
ดูรายละเอียดใน องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๙๐/๗๙, วิสุทฺธ.ิ ฏีกา (บาลี) ๑/๒๑.
๑๗๒
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
เจริญปญญาวิมุตติสอความคลุมถึงอยูแลววาตองไดเจโตวิมุตติดวย ถามีแต
ปญญาวิมุตติอยางเดียว หมายถึง พระอรหันตเทานั้น “อานนท ภิกษุผูรูถึง
ความเกิด ความดับ คุณ โทษของวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ และอุบาย
สลัดออกจากวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ นี้ตามความเปนจริง ยอมหลุด
พนเพราะไมถือมั่น”๑๓๙ ภิกษุนี้เรียกวา ผูเปนปญญาวิมุตติ
ดังนั้น เมื่อกลาวถึงบุคคลผูบรรลุอรหัตผล โดยแบงเปนปญญาวิมุตติ
กับอุภโตภาควิมุตตินั้น พึงเขาใจวา ปญญาวิมุตติ ซึ่งดูเหมือนจะใหแปลวา ผู
ไดปญญาวิมุตติอยางเดียวนั้น อันที่จริงยอมไดเจโตวิมุตติดวย เพราะการได
ป ญ ญาวิ มุ ต ติ ส อ ความคลุ ม ถึ ง อยู แ ล ว ว า ต อ งได เ จโตวิ มุ ต ติ ด ว ย เป น แต
หมายถึ ง เจโตวิ มุ ต ติ แ บบอาศั ย สมาธิ เ พี ย งเท า ที่ จํ า เป น ซึ่ ง จะต อ งมี เ ป น
ธรรมดาอยูแลวกอนที่จะไดปญญาวิมุตติ ผูที่เจริญวิปสสนาอยางเดียว แต
ความจริงก็ตองอาศัยสมถะ เพื่อใชสมาธิเทาที่จําเปนดวยนั่นเอง๑๔๐
๕. วิถีจิตรับรูอารมณ ในการเจริญวิปสสนา
การทําใหปญญาเกิดขึ้นนั้น มีความเกี่ยวของกับกระบวนการรับรู
อารมณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีลําดับขั้นตอนการรับรู ดังตอไปนี้
๕.๑ การรับรูอารมณผานทวาร ๖ วัตถุรูป ๖ อายตนะ ๖ ธาตุ ๖
ทวาร แปลวา ประตูสําหรับเปนที่เขาออกของอารมณ มีประสาทตา
เปนตน มี ๖ ทวาร๑๔๑
วัตถุรูป ๖ มี ตา หู เปนตน ยอมเปนที่อาศัยของจิตและเจตสิกและ
รองรับจิตและเจตสิกทั้งหลายนั้น ตามสภาพของตนเชนเดียวกัน
อายตนะ ๖ คือ อายตนะภายนอก อายตนะภายใน เมื่อมากระทบ
๑๓๙
ที.ม.อ. (บาลี) ๑๒๘/๑๑๒.
๑๔๐
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย, หนา ๔๓๑.
๑๔๑
พระสั ทธั มมโชติ กะ ธัม มาจริย ะ, ปรมัต ถโชติก ะ ปริจ เฉทที่ ๓ และ ๗
หลักสูตรจูฬอภิธรรมิกโท, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ ทิพยวิสุทธิ์
จํากัด, ๒๕๔๔), หนา ๓๑.
๑๗๓
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
กันเขาแลว วิถีจิตตาง ๆ มีจักขุทวารวิถี เปนตนยอมเกิดขึ้น๑๔๒
ธาตุ ๖ มีจักขุปสาท เปนตน ชื่อวา ธาตุ เพราะมีเนื้อความวา ไมใช
สัตว ไมใชชีวะ เปนแตสภาวะแท ๆ นั้นเอง
ทวาร ๖ วัตถุรูป ๖ อายตนะ ๖ ธาตุ ๖ เหลานี้ เรียกวา อุปกรณใน
การรับรู มีรายละเอียด ดังนี้
(๑) จั ก ขุ ท วาร เป น จั ก ขุ ป สาทรู ป ที่ ซึ ม ซาบอยู บ ริ เ วณตาดํ า มี
ลักษณะที่สามารถกระทบกับรูปารมณไดคือ สิ่งที่สามารถรูไดทางตา แลว
เกิดการรับรูข ึ้นมา เปนการมองเห็นรูป
(๒) โสตทวาร เปนโสตปสาทรูปที่ซึมซาบอยูบริเวณชองหู มีลักษณะ
ที่สามารถกระทบกับสัททารมณ คือ เสียงที่สามารถรูไดทางหู แลวเกิดการ
รับรูขึ้นมา เปนการไดยินเสียง
(๓) ฆานทวาร เปนฆานปสาทรูปที่ซึมซาบอยูบริเวณโพรงจมูก มี
ลั กษณะที่ส ามารถกระทบกั บ คั น ธารมณ คือ กลิ่ น ที่ ส ามารถรู ไ ด ท างจมู ก
แลวเกิดการรับรูขึ้นมา เปนการดมกลิ่น
(๔) ชิวหาทวาร เปนชิวหาปสาทรูปที่ซึมซาบอยูบริเวณปลายลิ้น มี
ลักษณะที่สามารถกระทบกับรสารมณ คือ รสที่สามารถรูไดทางลิ้น แลวเกิด
การรับรูขึ้นมา เปนการลิ้มรส
(๕) กายทวาร เปนกายปสาทรูปที่ซึมซาบอยูทั่วรางกาย มีลักษณะที่
สามารถกระทบกับโผฏฐัพพารมณ คือ ความเย็น รอน ออน แข็ง ตึงไหว ที่
สามารถถูกตองไดทางกาย แลวเกิดการรับรูขึ้นมา เปนการถูกตองสัมผัส
(๖) มโนทวาร เปนจิตในการรับรูอารมณในทางทวารทั้ง ๖๑๔๓
กระบวนการรับอารมณ มีอุปกรณในการรับอารมณที่สําคัญ เชน
การรับ รูอารมณทางจักขุ มีเครื่องมือในการรั บอารมณ คือ “จั กขุปสาท”
จั กขุป สาททําหน าที่ห ลายประการด ว ยกัน หน าที่การทํางานในด านแรก
เรียกวา ทวารหรือทางผาน เรียกวา จักขุทวาร, ทําหนาที่เปนวัตถุหรือเปนที่
๑๔๒
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๕๓.
๑๔๓
สุภีร ทุมทอง, การพัฒนาอินทรียสังวร, พิมพครั้งที่ ๑, (๒๕๕๔), หนา ๑๕๒.
๑๗๔
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
อาศัยของจิตและเจตสิก เรียกวา จักขุวัตถุ, ทําหนาที่เปนอายตนะภายใน
เรียกวาจักขายตนะทําหนาที่เปนธาตุ เรียกวา จักขุธาตุ เปนตน กระบวนการ
รับอารมณทางทวารอื่นก็เปนไปในทํานองเดียวกันนี้
๔.๒ อารมณที่ถูกรับรู
อารมณ (อารมฺมณ) หมายถึง ธรรมชาติเครื่องยึดเหนี่ยวจิต ใหจิตไป
รับรู (อาลมฺพ อาลมฺพน โคจร วิสย) (อา บทหนา รุม ธาตุ ในความหมายวา
ยินดี ยุ ปจจัย ซอน ม แปลง ยุ เปน อน = น เปน ณ)๑๔๔
วิเคราะหวา อา อภิมุขํ รมนฺติ เอตฺถาติ อารมฺมณํ. จิตและเจตสิก
ทั้งหลาย มายินดีพรอมหนากันในธรรมชาตินี้ ฉะนั้น ธรรมชาตินี้ชื่อวา
อารมณ มีความหมายวา เปนที่ยึดหนวงจิตและเจตสิกทั้งหลาย เหมือนคน
แกที่ทุพพลภาพ ยอมตองอาศัยไมเทาหรือเชือกเปนเครื่องยึดเหนี่ยวใหทรง
ตัวลุกขึ้นและเดินไปไดฉันใด จิตและเจตสิกทั้งหลายก็เชนเดียวกัน ตองมี
อารมณเปนเครื่องอาศัยยึดเพื่อเกิดขึ้นติดตอกัน ดังที่ทานแสดงวจนัตถวา
จิตฺตเจตสิเกหิ อาลมฺพตีติ อาลมฺพณํ แปลวา ธรรมชาติอันจิตและเจตสิกยึด
หนวง ฉะนั้นจึงชื่อวา อาลัมพณะ ไดแก อารมณ ๖๑๔๕
คําวา อารมณ วิเคราะหวา อาคนฺตฺวา จิตฺตเจตสิกา รมนฺติ เอเตสูติ
อารมฺมณานิ. รูปเปนตนเปนที่จิตและเจตสิกมายินดี จึงชื่อวา อารัมมณะ๑๔๖
โดยนัยนี้ หมายถึง รูปนามที่เปนที่ยึดเหนี่ยวของจิต ในการปฏิบัติวิปสสนา
ภาวนา อารมณของวิปสสนาภาวนา เรียกวา วิปสสนาภูมิ
สิ่งที่ถูกรับรูเรียกวา “อารมณ” เปนสิ่งที่ยึดเหนี่ยวของจิต เพราะจิต
นั้นเปนธรรมชาติที่รับรูอารมณ หากไมมีอารมณ จิตก็เกิดไมได อารมณแยก
เปน ๖ ประเภท ตามกระบวนการรับรู คือ
(๑) รูปารมณ หรือ รูปายตนะ องคธรรมไดแก สีตางๆ ที่สามารถ
๑๔๔
พระธรรมกิตติวงศ (ทองดี สุรเตโช,ราชบัณฑิต), พจนานุกรมเพื่อการศึกษา
พุทธศาสน ชุด ศัพทวิเคราะห, หนา ๑๐๒.
๑๔๕
พระสัทธัมมโชติกะธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๓, ๗, หนา ๓๓.
๑๔๖
พระมหาสมปอง มุทิโต, คัมภีรอภิธานวรรณนา, พิมพครั้งที่ ๒, หนา ๑๕๑.
๑๗๕
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
รับรูไดดวยจักขุวิญญาณจิต ๒ เทานั้น
(๒) สัทธารมณ หรือ สัทธายตนะ องคธรรมไดแก เสียงตางๆ ที่
สามารถรับรูไดดวยโสตวิญญาณจิต ๒ เทานั้น
(๓) คั น ธารมณ หรื อ คัน ธายตนะ องคธ รรมได แ ก กลิ่ น ต างๆ ที่
สามารถรับรูไดดวยฆานวิญญาณจิต ๒ เทานั้น
(๔) รสารมณ หรือ รสายตนะ องคธรรมไดแก รสตาง ๆ ที่สามารถ
รับรูไดดวยชิวหาปสาทเทานั้น
(๕) โผฏฐัพพารมณ หรือ โผฏฐัพพายตนะ องคธรรมไดแก เย็น รอน
ออน แข็ง หยอน ตึงที่สามารถรับรูไดดวยกายวิญญาณจิต ๒ เทานั้น
(๖) ธั มมารมณ หรื อ ธั ม มายตนะ ได แ กจิ ต เจตสิ ก ปสาทรู ป ๕
สุขุมรูป ๑๖ นิพพาน บัญญัติ ที่สามารถรับรูไดดวยมโนวิญญาณเทานั้น
กระบวนการรับรูอารมณโดยอายตนะภายในและภายนอกนั้น เปน
ธรรมที่เปนเหตุเปนผลกัน ดังตอไปนี้
๑. จักขายตนะกับรูปายตนะทั้งสองเปนเหตุ การเห็นเปนผล
๒. โสตายตนะกับสัททายตนะทั้งสองเปนเหตุ การไดยินเปนผล
๓. ฆานายตนะกับคันธายตนะทั้งสองเปนเหตุ การไดกลิ่นเปนผล
๔. ชิวหายตนะกับรสายตนะทัง้ สองเปนเหตุ การรูรสเปนผล
๕. กายายตนะกับโผฏฐัพพายตนะเปนเหตุ การรูสัมผัสเปนผล
๖. มนายตนะกับธัมมายตนะทั้งสองเปนเหตุ การรูสัมผัสเปนผล
๕.๓ วิถีจิต ในการรับรูอารมณ
วิถีจิต คือ จิตพรอมดวยเจตสิกที่เกิดขึ้นโดยลําดับติดตอกันเปนแถว
เปนจิตที่กําลังเกิดขึ้นรับอารมณใหม๑๔๗ ไดแก สีตางๆ เสียงตางๆ กลิ่นตางๆ
รสตางๆ เย็น รอน ออนแข็ง หยอน ตึง และธัมมารมณ อันไดแก จิตเจตสิก
ปสาทรูป สุขุมรูป ๑๖ นิพพาน และบัญญัต๑๔๘ ิ
๑๔๗
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ,ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๓, ๗,หนา ๓๗.
๑๔๘
วรรณสิทธิ ไวทยเสวี, คูมือการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๔
วิถีสังคหวิภาค, พิมพครั้งที่ ๕, (นครปฐม, ๒๕๔๗), หนา ๑๗.
๑๗๖
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
วิถีจิต หมายถึง จิตที่เกิดขึ้นเปนลําดับติดตอกันเปนแถว นับตั้งแต
การปรากฏของอารมณ (รูป เสียง..) ที่มากระทบทางทวาร (ตา หู..) ในทุกๆ
ความรูสึกนึกคิดอันมีที่มาและที่ไป ที่มาของความรูสึกนึกคิดในเบื้องตน คือ
อารมณหรือสิ่งเรา เมื่อมีอารมณมากระทบทางทวารตางๆ (ประสาทสัมผัส)
จะเกิดจิตชนิดตางๆ เพื่อทําหนาที่รับรูและตอบสนองสิ่งเรานั้น
จิตตุปปาทะ คือ จิตที่เกิดขึ้นพรอมกับเจตสิกที่ ในวิถีจิตนั้นๆ
วิ ถี จิ ต คื อ ความเป น อยู หรื อ ความเป น ไปของจิ ต และเจตสิ ก
ตามลําดับที่เกิดกอนและหลัง ในปวัตติกาล(กาลที่เปนไปถัดจากปฏิสนธิกาล)
ในเมื่อประสบกับอารมณใหมในวาระหนึ่งๆ เปนการทํางานของจิตเมื่อมีการ
รับรูอารมณทางตา หู จมูก ลิน กายใจ การทํางานของจิตเมื่อประกอบ
เจตสิกนัน มี ๑๔ กิจดวยกัน คือปฏิสนธิกิจ ภวังคกิจ อาวัชชนกิจสวนกิจ
ฆายนกิจ สายนกิจ ผุสสนกิจ สัมปฏิจฉนกิจ สันตีรณกิจ โวฏฐัพพนกิจ ชวน
กิจ ตทาลัมพนกิจ (ตทารัมมณกิจ) และจุติกิจ
ในขณะเจริญวิปสสนาภาวนานั้น “ผูปฏิบัติไมสามารถนําเอาจิตตุป
บาทแตละดวงมากําหนดรูหรือพิจารณาแยกเปนดวงๆ ไดเลย จึงตองกําหนด
โดยวิถีจิตทั้งวิถี”๑๔๙ เชน เมื่อจิตรับอารมณใหมที่ผานเขามาทางจักขุทวาร
และจิตขึ้นสูวิถีหรือจักขุทวารวิถี การกําหนดรูรูปารมณนี้ เปนการกําหนดรู
ทั้งวิถีจิตที่กําลังเกิดขึ้น มิใชกําหนดรูจิตแตละดวงที่กําลังดําเนินอยู “โดยวิถี
จิตยอมปรากฏแกผูปฏิบัติธรรมเหมือนเปนเพียงหนวยเดียว”๑๕๐
หนาที่ของจิต
อนึ่ง จิตมีธรรมชาติเกิด-ดับสืบตอกัน การเกิด-ดับของจิตนี้เปนไปใน
๒ ลั กษณะ คือ เกิด-ดับในภวังคจิต และเกิด-ดั บในวิ ถี คือ เมื่อรับ อารมณ
การทํางานของจิตก็เชนกัน ทํางานใน ๒ ลักษณะ คือ ทําในวิถีจิต และใน
๑๔๙
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสสนาชุนี หลักการปฏิบัติวิปสสนา,
หนา ๒๑๓.
๑๕๐
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), ปฏิจจสมุปบาท เหตุผลแหงวัฏสงสาร,
หนา ๑๑๔.
๑๗๗
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๑๕๑
ภวังคจิต การเกิดดับตอเนืองของจิตเปนอยูหลายภพชาติยาวนาน จึง
เหมือนจิตเปนกระแส เปนแถวแนวไมขาดสาย จึงเรียกวา กระแสจิต
ภวังคจิต คือ จิตที่เกิดดับอยูในกระแสภวังค ไมไดรับรูโลกภายนอก
ทางตา หู จมูก ลิน กาย ใจ รวมทั้งเวลานอนหลับแลวไมฝน แสดงวาจิตอยู
ในภวังค เวลาหลับภวังคจิตก็เกิด-ดับเชนเดียวกับจิตดวงอืนๆ เชนกัน และมี
อารมณติดมาตังแตปฏิสนธิ
คําวา ภวังค หมายถึง องคแหงภพ เปนจิตตั้งแตปฏิสนธิ จนถึงจุติ
(ตาย) ขณะใดที่จิตไมไดขึ้นสูอารมณทางตา หู จมูก ลิน กาย ใจ จิตขณะนั้น
เปนภวังค แตเมื่อจิตรับอารมณทางตา หู จมูก ลิน กาย ใจ(ทวาร ๖) แลว
ขณะนันจิตก็ไมใชภวังค จัดวาพนไปจากภวังคแลว เมื่อจิตรับอารมณทาง
ทวาร ๖ เห็นหรือไดยินตางๆ เรียกวา จิตขึ้นวิถีรับอารมณ เมื่อขึ้นวิถีรับ
อารมณแลว ก็จะมีภวังคจิตคันสลับตลอด จิตขึ้นวิถีรับอารมณใหมจบแลว ก็
มีภวังคจิตคั้นอีก สลับกันอยูเชนนี้ตลอดที่เรายังตื่นอยู การทํางานของจิต
รวดเร็วมาก เราจึงไมรูสึก แมจิตเปนภวังคไมไดขึ้นวิถีรับอารมณแตจิตก็
ทํางานตลอดเวลา คือเกิด-ดับ และมีอารมณทตี่ ิดมาตังแตปฏิสนธิ (เกิด)
นอกจากธรรมชาติของจิตดังกลาวแลว จิตยังมีหนาที่ที่เปนไปตาม
กระบวนการธรรมชาติเปนขั้นตอนตอเนื่อง การกระทําทุกอยางที่เกิดขึ้นทาง
๑๕๑
ภวังคจิต คือจิตที่ทําหนาที่ รักษาองคแหงภพ หมายความถึงรักษา
กรรมวิบากของรูปธรรม นามธรรม สืบตอจากปฏิสนธิวิบากจิต และปฏิสนธิกัมมชรูป
ใหดํารงอยูไดในภพนั้นๆ ตราบเทาอํานาจแหงชนกกรรมจะสงผลใหเปนไปเทาที่อายุ
สังขารจะพึงตั้งอยูได ภวังคจิตนี้เปนหนาที่ตามธรรมดาของจิต ที่จะตองทํากิจนี้อยูเสมอ
จิตจะหยุดทํากิจนี้ ก็ตอเมื่อขณะที่มีอารมณใหม ในปจจุบันมาคั่นตอนใหจิตขึ้นวิถีรับ
อารมณใหมในปจจุบันเสียเทานั้น พนจากการขึ้นวิถีรับอารมณใหมแลว จิตจะตองทํา
หนาที่ในการรักษาองคแหงภพนี้อยูเสมอตลอดเวลา
พระอนุรุ ทธเถระ,พระอภิธัมมัต ถสังคหะ ปริเฉทที่ ๓ ปกิ ณกสังคหวิภาค,
รวบรวมโดย วรรณสิทธิ์ ไวทยะเสรี, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๕๑),
หนา ๓๓-๔๐.
๑๗๘
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
กาย วาจา ใจ จะสําเร็จลุลวงไดก็ตองอาศัยจิต และเจตสิกที่เกิดขึ้นทํากิจ
หนาที่ของตนๆ จิตเกิดขึ้นและดับไปรวดเร็วดุจแลนไปในอารมณ อยู
ตลอดเวลา และยังสามารถทํากิจตางๆ ใหสําเร็จไปไดอีกดวย หนาที่การงาน
ของจิตเรียกวา กิจ ในคัมภีรอภิธัมมัตสังคหะ ดแสดงหนาที่ของจิตไว ๑๔
อยาง๑๕๒ ดังนี้
(๑) ปฏิสนธิ คือทําหนาที่เกิดขึ้นสืบตอไปในภพใหม เปนขณะจิต
แรกที่ปรากฏขึ้นในภพใหมนั้น และจะปรากฏขึ้นเพียงขณะจิตเดียวเทานั้น
ในภพชาติหนึ่งๆ
(๒) ภวังคจิต คือ จิตที่ทําหนาที่รักษาองคแหงภพ หมายความถึง
รักษากรรมวิบากของรูปธรรม นามธรรม สืบตอจากปฏิสนธิวิบากจิต และ
ปฏิสนธิกัมมชรูป ใหดํารงอยูไดในภพนั้นๆ ตราบเทาอํานาจแหงชนกกรรม
จะสงผลใหเปนไปเทาที่อายุสังขารจะพึงตั้งอยูได ภวังคจิตนี้เปนหนาที่ตาม
ธรรมดาของจิต ที่จะตองทํากิจนี้อยูเสมอ จิตจะหยุดทํากิจนี้ ก็ตอเมื่อขณะที่
มีอารมณใหม ในปจจุบันมาคั่นตอนใหจิตขึ้นวิถีรับอารมณใหมในปจจุบันเสีย
เทานั้น พนจากการขึ้นวิถีรับอารมณใหมแลว จิตจะตองทําหนาที่ในการ
รักษาองคแหงภพนี้อยูเสมอตลอดเวลา
(๓) อาวัชชนกิจ คือ จิตทําหนาที่พิจารณาอารมณ ๖ ที่มาถึงตน ทั้ง
ทางปญจทวารหรือทางมโนทวาร เปนจิตขณะแรกที่ทิ้งจากภวังคกิจ แลว
จะตองทําหนาที่อาวัชชนกิจนี้ทันที่ หรือกลาวอีกนัยหนึ่งวา เปนจิตที่ทํา
หนาที่ตอนรับอารมณใหมในปจจุบันภพ กลาวไดวา เปนจิตดวงที่ขึ้นวิถีรับ
อารมณใหม
(๔) ทัสสนกิจ คือ จิตที่ทําหนาที่เห็นรูปารมณ จิตนี้มีชื่อเรียกวาจักขุ
วิญญาณจิตเพราะอาศัยจักขุวัตถุรูเห็นรูปารมณ ถาไมมีจักขุปสาททําหนาที่
เปนจักขุวัตถุแลว ทัสสนกิจ คือจิตที่ทําหนาที่เห็นจะเกิดขึ้นไมได และจิตที่
๑๕๒
พระอนุรุทธเถระ,พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๓ ปกิณกสังคหวิภาค,
รวบรวมโดย วรรณสิทธิ์ ไวทยะเสรี, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๕๑),
หนา ๓๓-๔๐.
๑๗๙
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ทําหนาที่เห็นนี้ ในวิถีจิตหนึ่งๆ ทัสสนกิจ จะมีไดเพียงขณะจิตเดียว คือ
ขณะที่จักขุวิญญาณจิตเกิดขึ้นในจักขุทวารวิถีเทานั้น
(๕) สวนกิจ คือ จิตที่ทําหนาที่ไดยินสัททารมณ จิตนี้มีชื่อวา โสต
วิญญาณจิตเพราะอาศัยโสตวัตถุเกิด เพื่อรูไดยินสัททารมณ ถาไมมีโสต
ปสาททําหนาที่เปนโสตวัตถุแลว สวนกิจคือจิตที่ทําหนาที่ไดยินจะเกิดขึ้น
ไมได และจิตที่ทําหนาที่ไดยินนี้ในวิถีจิตหนึ่งๆ สวนกิจจะมีไดเพียงขณะจิต
เดียว คือขณะที่โสตวิญญาณจิตเกิดขึน้ ในโสตทวารวิถี
(๖) ฆายนกิจ คือ จิตที่ทําหนาที่รูกลิ่นคันธารมณ จิตนี้ชื่อวา ฆาน
วิญญาณจิต เพราะอาศัยฆานวัตถุรูกลิ่นคันธารมณ ถาไมมีฆานปสาททํา
หนาที่เปนฆานวัตถุแลว ฆายนกิจ จิตที่ทําหนาที่รูกลิ่นก็มีขึ้นไมได และกิจที่
ทําหนาที่รูกลิ่นนี้ ในวิถีจิตหนึ่งๆ ฆายนกิจ จะมีไดเพียงขณะจิตเดียว คือ
ขณะที่ฆานวิญญาณจิตเกิดขึ้นในฆานทวารวิถี
(๗) สายนกิจ คือ จิตที่ทําหน าที่รูรสารมณ จิตนี้เรียกวา ชิวหา
วิญญาณจิตเพราะอาศัยชิวหาวัตถุรูรสารมณ ถาไมมีชิวหาปสาททําหนาที่
เปนชิวหาวัตถุแลว สายนกิจ จิตที่ทําหนาที่รูรสารมณก็จะมีขึ้นไมได และจิต
ที่ทําหนาที่รูกลิ่นนี้ ในวิถีจิตหนึ่งๆ สายนกิจ จะมีไดเพียงขณะจิตเดียว คือ
ชิวหาวิญญาณจิตที่เกิดในชิวหาทวารวิถี
(๘) ผุสนกิจ คือ จิตที่ทําหนาที่รูการกระทบโผฏฐัพพารมณ จิตนี้ชื่อ
วา กายวิญญาณจิต เพราะอาศัยกายวัตถุ เพื่อทํากิจรูการกระทบถูกตอง
สัมผัสโผฏฐัพพารมณ ถาไมมีกายปสาทเพื่อทําหนาที่เปนกายวัตถุแลว ผุสน
กิจ จิตที่ทําหนาที่รูการกระทบโผฏฐัพพารมณก็จะมีขึ้นไมได และจิตที่ทํา
หนาที่ผุสนกิจนี้ในวิถีจิตหนึ่งๆ ผุสนกิจจะมีไดเพียงขณะจิตเดียวคือขณะกาย
วิญญาณจิตเกิดในกายทวารวิถีเทานั้น
(๙) สัมปฏิจฉนกิจ คือ จิตที่ทําหนาที่รับปญจารมณตอจากทวิปญจ
วิญญาณจิต ในปญจทวารวิถีหนึ่งๆ สัมปฏิจฉนกิจจะเกิดขึ้นเพียงขณะจิต
เดียวเทานั้น
(๑๐) สันตีรณกิจ คือจิตที่ทําหนาที่ไตสวนปญจารมณตอจากสัมปฏิ
จฉนกิจ ในปญจทวารวิถีจิตหนึ่งๆ สันตีรณกิจจะเกิดขึ้นขณะจิตเดียวเทานั้น
๑๘๐
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
(๑๑) โวฏฐัพพนกิจ คือจิตที่ทําหนาที่ตัดสิ้นปญจารมณ โดยความ
เปนกุศล อกุศล เปนตน จิตนี้ ชื่อวา มโนทวาราวัชชนจิต ทําหนาที่โวฏฐัพ
พนกิจ ทางปญจทวารวิถีในวิถีจิตที่สมบูรณ วิถีจิตหนึ่งๆ ยอมเกิดไดขณะจิต
เดียว ในวิถีจิตที่ไมสมบูรณคือ ในโวฏฐัพพนวาระ อาจเกิดได ๒-๓ ขณะ
(๑๒) ชวนกิจ คือจิตที่ทําหนาที่เสพอารมณ ๖ ดวยกุศลจิต อกุศล
จิต สเหตุกกิริยาจิต หสิตุปาทจิต และโลกุตตรวิบากจิต ในวิถีจิตหนึ่งๆ ที่
เปนกามวิถีแลว สวนมากเกิดติดตอกัน ๗ ขณะ และในอัปปนาวิถี อาจเกิด
ไดมากมายจนประมาณมิไดก็มี
(๑๓) ตทาลัมพนกิจ คือจิตที่ทําหนาที่รับอารมณที่เหลือจากชวนจิต
เสพแลว ในกามอารมณหรือวิภูตารมณ ซึ่งมีจิตที่ชื่อวาตทาลัมพนจิต แลวจะ
ทําตทาลัมพนกิจ และเปน ๒ ขณะจิตสุดทายในวิถีจิตที่เปนตทาลัมพนวาระ
(๑๔) จุติกิจ คือจิตที่ทําหนาที่สิ้นจากภพปจจุบัน เปนจิตดวงสุดทาย
ที่จะปรากฏในภพชาตินั้น และจะปรากฏไดเพียงขณะจิตเดียว ในภพชาติ
หนึ่ง คลายคลึงกับปฏิสนธิกิจ จิตที่ทําหนาที่จุตินี้ เปนจิตประเภทเดียวกับ
ปฏิสนธิจิตและภวังคจิตนั่นเอง
การทํางานที่นั บ ว าเป น วิ ถีจิ ต เกิดเมื่อมีการรั บ อารมณ ทางตา หู
จมูก ลิน กาย ใจ เชน เห็น คิด ไดยิน เปนตน จิตจะรับอารมณก็เมื่อผัสสะ
เกิดขึ้น คือ รูปกระทบตาจึงเห็น เสียงกระทบหูจึงไดยิน เมื่อเกิดผัสสะจิตรับ
อารมณทางทวาร ๖ เรียกวา จิตขึ้นวิถี การทํางานของจิตในวิถีจิตนัน มีดังนี้
ขณะที่ ๑ อดี ตภวังค เป นภวังคจิตที่กระทบกับอารมณทางตา หู
จมูก ลิน กาย เปนครั้งแรก ภวังคจิตนี้มีอารมณที่รับตอจากภพที่แลว เปน
อารมณเกา(อดีตอารมณ) ไดแก กรรมอารมณ กรรมนิมิตอารมณ คตินิมิต
อารมณ อยางใดอยางหนึง อารมณทั้ง ๓ นี้เปนอารมณกอนตายที่ตองมา
ปรากฏกับทุกคนอยางใดอยางหนึ่ง เปนอารมณที่มาจากภพที่แลวตอมายัง
ภพนี้ ซึ่งจิตจะรับมาตังแตปฏิสนธิวิญาณเกิดขึ้น (คือเมื่อเกิด) แลวดับไป เมื่อ
ดับแลวภวังคจิตดวงแรกก็รับอารมณสืบตอมาจากปฏิสนธิวิญญาณ และรับ
อารมณเรือยไป จนสิ้นชีวิต(จุติจิต) ระหวางมีชีวิต(ระหวางปฏิสนธิจิตถึงจุติ
จิต)จะมีการรับอารมณเกิดขึ้นเรือยๆ ถาไมมีอารมณใหมมากระทบภวังคจิต
๑๘๑
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ใหหวันไหว จิตก็จะรับอารมณเกา(ภวังคจิต) ภวังคจิตดวงแรกที่กระทบ
อารมณใหม ก็จะไมปลอยอารมณเกาจึงเรียกวา อดีตภวังค ขณะนันจิตยังไม
ขึ้นวิถี ฉะนั้น อดีตภวังคเปนภวังคจิตเกา เปนดวงที่ ๑
ขณะที่ ๒ ภวังคคจลนะ(ภวังคไหว) เกิดตอจากอดีตภวังค ยังมีภวังค
จิตทีเ่ สพอารมณเกาอยู แตตางจากอดีตภวังค(ดวงแรก) ที่ภวังคคจลนะมีการ
กระทบอารมณใหม แล วมีความหวั นไหวเพราะการกระทบภวังคคจลนะ
หรือขณะที่ ๒ นี้ จิตยังไมขึ้นวิถี การขึ้นวิถีขึ้นทีด่ วงที่ ๔ หรือขณะที่ ๔
ขณะที่ ๓ ภวังคคุปจเฉทะ(ตัดกระแสภวังค) ยังเปนภวังคจิต แต
ปลอยอารมณเกา จิตนี้ยังไมขึ้นวิถี
ขณะที่ ๔ ปญจทวาราวัชชนะ ทําหนาที่รับอารมณใหมที่มากระทบ
ทางตา หู จมูก ลิน กาย (ปญจทวาร) เปนจิตดวงแรกที่ขึ้นวิถีรับอารมณใหม
แลวเปนปจจัยแกจิตดวงตอๆ ไป ใหรับอารมณจนสุดวิถี
ขณะที่ ๕ ปญจวิญญาณ(จิต ๕ ดวง) ทีเ่ กิดขึ้นรับปญจารมณ โดยจะ
เกิดทีละดวงเทานั้น คือ
จักขุวิญญาณ ปรากฏขึ้นรับรูปารมณ คือ เห็นรูปารมณนัน
โสตวิญญาณ ปรากฏขึ้นรับสัททารมณ คือ ไดยินสัทธารมณนัน
ฆานวิญญาณ ปรากฏขึน้ รับคันธารมณ คือ รูกลินคันธารมณนัน
ชิวหาวิญญาณ ปรากฏขึ้นรับรสารมณ คือ รูรสารมณนัน
กายวิญญาณ ปรากฏขึ้นรับโผฏฐัพพารมณ คือ รูสึกสัมผัส ถูกตอง
ขณะที่ ๖ สัมปฏิจฉันนะเกิดขึ้นรับอารมณจากปญจวิญญาณ แลว
สงตอใหจิตดวงตอไป คือ สันตีรณะ
ขณะที่ ๗ สันตีรณะรับอารมณมาจากสัมปฏิจฉันนะ แลวทําหนาที่
ไตสวนอารมณ กอนทีจ่ ะสงตอไปใหโวฏฐัพพนะ
ขณะที่ ๘ โวฏฐัพพนะทําหนาที่ตัดสิ้นอารมณที่รับมาวาดี-ชัว เปน
กุศล-อกุศล ตามแตการมนสิการ(พิจารณา) ของบุคคล ฉะนั้น จิตขณะนี้จึง
สําคัญมาก เพราะดวงตอไป คือชวนะจิตทําหนาที่เสพอารมณ การเสพ
อารมณนี้เปนไปถึง ๗ ขณะ จะเปนบุญ-บาปอยูที่ชวงนี้ ฉะนั้นถาโวฏฐัพพนะ
ตัดสิ้นวาเปนกุศล มนสิการวาเปนกุศล ชวนะก็คลอยตามไป
๑๘๒
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ขณะที่ ๙-๑๕ ชวนะ จิต ทําหนาที่เ สพอารมณทั้ง ๗ ขณะ เป น
อารมณเดียวกัน ถาเปนกุศลก็เปนกุศลทั้ง ๗ ดวง ถาเปนอกุศลก็เปนอกุศล
ทั้ง ๗ ดวง บุญ-บาปปรากฏทีช่ วนจิตนี้
ขณะที่ ๑๖ - ๑๗ ตทาลัมพนะเปนจิตที่รับเศษของอารมณที่เหลือ
จากชวนะอีก ๒ ขณะ แลวหนวงอารมณสูภวังคจิตตอไป ถือวาสิ้นสุดวิถี
ตอจากนี้จิตก็เปนภวังครับอารมณเกาตอไป จนกระทั้งไดรับกระทบ
อารมณใหม จึงขึ้นวิถีใหม ตามนัยที่ไดกลาวมาแลวขางตน การรับอารมณใน
ลักษณะขางตนนี้ นับเปนวิถีจิตที่รับอารมณชัดเจนที่สุด มีจิตเกิดถึง ๑๗
ขณะ เปนการรับอารมณทางทวาร ๕
วิถีจิตที่แสดงนี้ เปนอติมหันตารมณ ปญจารมณ หรืออารมณทั้ง ๕
(รูป เสียง กลิน รส โผฏฐัพพะ) มีกําลังแรงกลามากที่สุด มีเหตุปจจัยที่ชวย
ใหจิตรับอารมณ และมีความเดนชัด เชน ถาในแงรูปารมณจะชัดเจน เพราะ
มีจักขุปสาทดี มีแสงพอเพียง หรือถาเปนสัททารมณจะชัดเจน เพราะโสต
ปสาทดี มีคลืนเสียง มีความสันสะเทือน มีชองวางหรืออากาศเปนตน ถาขาด
มนสิการหรือการรับอารมณไมชัดเจน ขณะจิตจะไมถึง ๑๗ ขณะ
อติมหันตารมณนี้เปนกามวิถี คือ เปนวิถีจิตที่เปนไปกับอารมณ
ทางปญจาทวารที่เกี่ยวกับกาม จิตที่เกี่ยวของก็เปนกามาวจรจิต มีขณะจิต
เกิดมากที่สุด ถึง ๑๗ ขณะ จึงแจมชัดมาก แตตองเปนไปในรูปปจจุบัน
เทานั้น คือตองกําลังมีอยู กําลังปรากฏอยู จึงเปนอารมณแกปญจทวารวิถีได
นอกจากอติ ม หั น ตารมณแ ล ว ยั งมี วิ ถี จิ ต ที่เ ป น ไปกับ อารมณ
ทางปญจทวาร ทีม่ ีกําลังออนไปตามลําดับ
จําแนกวิถีจิตทีเ่ ปนไปกับอารมณทางปญจทวาร ไว ๔ แบบ คือ
๑. อติมหันตารมณ จิตขึ้นสูวิถี รับรูอารมณที่กําลังแรงมากที่สุด ถึง
๑๗ ขณะ
๒. มหันตารมณ จิตขึ้นสูวิถีรับรูอารมณ มีกําลังออนกวาอติมหันตา
รมณ มหันตารมณวิถีมีได ๒ นัย คือจิตเกิดดับ ๑๖ และ ๑๕ ขณะ
๓. ปริตตารมณ จิตขึ้นวิถีรับรูอารมณมีกําลังออน วิถีนี้เกิดได ๖ นัย
คือ จิตเกิดดับ ๑๔, ๑๓, ๑๒, ๑๑, ๑๐ และ ๙ ขณะ
๑๘๓
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๔. อติปริตรตารมณ จิตขึ้นวิถีรับรูอารมณมีกําลังออนที่สุด วิถีนี้เกิด
ได ๖ นัย คือ จิตเกิดดับ ๘, ๗, ๖, ๕, ๔ และ ๓ ขณะ
นอกจากการรับรูอารมณทางปญจทวาร มีวิถีจิตที่เกิดขึ้น ดังที่ได
ยกตัวอยางไปแลว คือ อติมหันตารมณ ก็ยังมีการรับรูอารมณของจิตทางมโน
ทวาร การรับอารมณทั้ง ๖ ในทางมโนทวาร สามารถรับรูอารมณทั้ง ๖ ได
ทั้งในอดี ต ป จจุ บั น อนาคต อารมณที่ปรากฏทางมโนทวารปรากฏได ทุก
อารมณ ไมจํากัดกาลของอารมณนัน
วิถีจิตทางมโนทวารนี้ไว มี ๔ นัย คือ
๑. อติวิดภูตารมณ อารมณปรากฏชัดเจนทางใจมากทีส่ ุด
๒. วิภูตารมณ อารมณปรากฏชัดทางใจ แตไมเทาอติวภูตารมณ
๓. อวิภูตารมณ อารมณไมปรากฏชัดทางใจ ไมมีชวนะ ยังไมเสพ
อารมณ
๔. อติอวิภูตารมณ อารมณไมปรากฏทางใจเลย เพียงแตทําให
ภวังคจิตไหวเทานั้น จิตไมขึ้นวิถีรับอารมณใหมเลย เกิดไดในฝนของปุถุชน
เรียกไดวา จิตไมขึ้นวิถีรับอารมณเลย
การอธิบายวิถีจิตทางปญจทวาร และทางมโนทาวรที่แสดงแลวนี้
เปนกามวิถีเทานั้น คือ วิถีจิตที่ปรากฏรับอารมณทั้ง ๖ รูป เสียง กลิน รส
สัมผั ส และธรรมารมณที่เ กี่ย วของกับ กามและแสดงเพีย งวิ ถีที่รับ อารมณ
โดยทัวไป ยังมีวิถีซึ่งเปนวิถีจิตที่เกิดใกลตาย แตไมไดแสดงไวในที่นี้ คือ
มรณาสันนวิถี
นอกจากกามวิถีแลว ยังมีวิถีจิตที่เปนอัปปนาวิถี เปนวิถีจิตที่แนบ
แนนกับอารมณเดียว
คําวาอัปปนาวิถี แปลวาทําลาย คือทําลายกิเลส มีนิวรณ เปนตน
อัปปนาวิถีจะเปนมโนทวารวิถีเพียงอยางเดียว และเมื่อจิตตองแนบแนนกับ
อารมณอยางเดียว ก็มีวิถีเดียว คือวิภูตารมณวิถีอารมณตองชัดเจนจริงๆ จึง
เปนอัปปนาวิถี แตอัปปนาวิถี จะไมมีตทาลัพนจิต เพราะไมใชกามชวนะ อีก
ทั้งเปนวิถีที่มีแตกุศล วิบาก และกิริยา มีแตโสภณจิต ไมมีอกุศลจิตเลย ไมมี
การสังสมกิเลส มีแตประหารกิเลส ทั้งในลักษณะขมไว และทําลายกิเลสให
๑๘๔
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
สิ้นซาก นอกจากนี้ ชวนจิตของอัปปนาวิถีเกิดได ๑ ขณะจิต ขึ้นไปจนนับไม
ถวน เมื่ออัปปนาวิถีไมมีอกุศลจิต มีแตโสภณจิต และเปนชวนจิตทีย่ าวมาก
อัปปนาวิถี และโลกุตตรอัปปนาวิถี มีความแตกตาง คือ โลกียอัปป
นาวิถีหรือฌานจิต คือ วิถีที่มีฌานจิต ๑๘ ดวงเกิดขึ้น(ฌานจิต หรือมหัคคต
จิตนี้ มี ๑๘ คือ ทีเ่ ปน มหัคคตกุศลจิต ๙ มหัคคตกิริยาจิต ๙ เชน เมื่อเจริญ
สมถกรรมฐาน จิตสงบ ไดปฐมฌาน หรือฌานระดับอืนๆ เปนตน)
โลกุตตรอัปปนาวิถี คือ วิถีทมี่ ีโลกุตตรจิตเกิดขึ้น ๘ หรือ ๔๐ ดวง
ตามแตจําแนกหยาบละเอียด คือ มัคคจิต๔(๒๐) ผลจิต ๔ (๒๐) โลกิตตรจิต
ทั้งหมดนี้ มีพระนิพพานเปนอารมณอยางเดียวกันทั้งสิ้น โลกุตตรอัปปนาวิถี
นี้ บางทีเ่ รียกวา มรรควิถี เพราะเปนวิถีจิตทีเ่ ขาถึงมรรค
วิถีจิตเมื่อจำแนกโดยประเภทใหญๆ มี ๒ ประเภท คือ
(๑) ปญจทวารวิถี คือ ความเปนไปของจิตและเจตสิก ที่เกิดทาง
ทวารทั้ง ๕ ไดแก จักขุทวารวิถี โสตทวารวิถี ฆานทวารวิถี ชิวหาทวารวิถี
กายทวารวิถี มีลําดับการแสดงดังตอไปนี้
เมื่อมีอารมณมากระทบกับภวังคจิตเปนครั้งแรก จึงเรียกจิตดวงนี้วา
“อตีตภวังค” อารมณมากระทบกับภวังคจิต ทาง ๕ ทวาร เรียกวา “ปญ
จารมณ” ไดแก รูปารมณ สัทธารมณ คันธารมณ รสารมณ และโผฏฐัพพา
รมณ (อยางใดอยางหนึ่งที่เปนประธาน) เมื่อภวังคอตีตดับลงแลว จิตที่ทํา
หนาที่เกิดตอ เรียกวา “ภวังคจลนะ” คือจิตที่หวั่นไหวดวยอํานาจอารมณที่
ถูกรับรู และเมื่อภวังคจลนะดับลงแลว จิตที่ทําหนาที่เกิดตอ เรียกวา “ภวัง
คุ ป จ เฉทะ” ซึ่ ง ได แ ก ภวั ง คจลนะดวงที่ ๒ ทํ า หน า ที่ ตั ด กระแสภวั ง ค
ในขณะที่ยังเปนภวังคจิตอยูยังไมขึ้นสูวิถี
เมื่อภวังคุปจเฉทะดับลงแลว จิตที่ทําหนาที่เกิดตอ เรียกวา “ปญจ-
ทวาราวัชชนจิต” ทําหนาที่ ๒ อยาง คือ ๑) ทําหนาที่พิจารณา (หรือรับ..)
อารมณ ๕ อยาง ๒) ทําหนาที่ตัดกระแสภวังคไมใหเกิดขึ้นเลยเขาไปในวิถี
เมื่อปญจทวาราวัชชนจิต ดับลงแลว จิตที่ทําหนาที่เกิดตอ เรียกวา
“ทวิปญจวิญญาณจิต” คือ จิตที่ทําหนาที่รูอารมณวาเปนอารมณชนิดไหน
๑๘๕
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
เชน จักขุวิญญาณจิตทําหนาที่รูรูปารมณ โสตวิญญาณจิตทําหนาที่รูสัทธา
รมณ เปนตน การที่จะรูวาเปนอารมณชนิดไหน อารมณนั้นจะตองปรากฏชัด
กวาอารมณอื่นๆ จึงจะรูอารมณนั้น ๆ ได
เมื่อทวิปญจวิญญาณจิตดับลงแลว จิตที่ทําหนาที่เกิดตอ เรียกว า
“สัมปฏิจฉนจิต” คือ จิตที่ทําหนาที่เกิดตอจากทวิปญจวิญญาณจิต และจิตที่
ทําหนาที่สัมปฏิจฉนจิต รับอารมณ ๕ อยางเหมือนกันกับปญจทวาราวัชชน
จิต จึงรวมเรียกวา จิต ๓ (ปญจทวาราวัชชนจิต ๑ สัมปฏิฉนจิต ๒) ดวงนี้วา
มโนธาตุ คือจิตที่รับอารมณ ๕ อยางโดยแนนอน
เมื่อสัมปฏิจฉนจิตดับลงแลว จิตที่ทําหนาที่เกิดตอเรียกวา “สันตีรณ
จิต” คือจิตที่ทําหนาที่ไตสวนอารมณ
เมื่อสันตีรณจิตดับลงแลว จิตที่ทําหนาที่เกิดตอ เรียกวา “โวฏฐัพ
พนจิต” คือจิตที่ทําหนาที่ตัดสินอารมณ (เปนจิตที่สําคัญที่สุดในปญจทวาร
วิถี คือมโนทวาราวัชชนจิต จิตดวงนี้ทําหนาที่ตัดสินอารมณที่ไมดีใหเปนดีได
เมื่อโวฏฐัพพนจิตดับลงแลว จิตที่ทําหนาที่เกิดตอ เรียกวา “ชวน
จิ ต” คือ จิ ต ที่ทําหน า ที่เ สพอารมณ (หรื อ เรี ย กอีกอย างหนึ่ งว า “เป น ตั ว
กรรม” ก็ได) เกิดขึ้น ๗ ขณะ
เมื่ อ ชวนจิ ต ดวงที่ ๗ ดั บ ลงแล ว จิ ต ที่ ทํ า หน า ที่ เ กิ ด ต อ เรี ย กว า
“ตทารั ม มณจิ ต ” คื อ จิ ต ที่ ทํ า หน า ที่ ต อ จากชวนะ (เหตุ ที่ ต ทารั ม มณจิ ต
เกิดขึ้น ๒ ขณะนั้น เพราะการดับลงของอารมณนั้นยังมีกําลังมาก)
ดังนั้น กระบวนการเกิดปญญาทางทวารตาง ๆ นั้น เมื่อมีรูปารมณ
มากระทบจักขุปสาท และสงตอใหจักขุวิญญาณเกิดขึ้น ทําหนาที่ในการเห็น
การเห็นนั้นมีทั้งดีและไมดี กรณีที่เห็นไมดีก็พิจารณาอยางแยบคายใหเปนดี
ไดทําใหปญญาเกิด เชน การเห็นสุนัขเนาจัดเปนอารมณที่ไมดีสําหรับบุคคล
ทั่วไป แตสําหรับผูเจริญกรรมฐานกลับเปนอารมณที่ดี โดยพิจารณาวา ตัว
เราและสัตวทั้งหลายที่เกิดอยูในโลกนี้เวลาตายแลวก็มีสภาพเชนเดียวกับ
สุนัขเนาเหมือนกัน เปนเหตุใหปญญาเกิดได๑๕๓
๑๕๓
พระสัทธัมมโชติกะธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๓, ๗, หนา ๑๗.
๑๘๖
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ปญจทวารวิถีเปนวิถีจิตในกามภูมิเทานั้น สวนมโนทวารวิถี เปนวิถี
จิตในกามภูมิ และในภูมิที่สูงขึ้นไปอีก คือ อัปปนามโนทวารวิถี หรือฌานวิถี
(จําแนกออกเป นโลกียอัป ปนาวิ ถี และโลกุตตรอัปปนาวิถี) ป ญจทวารวิ ถี
เกิดขึ้นเมื่อมีอารมณ ๕ มาปรากฏทางทวาร ๕ คือ รูปารมณกระทบกับจักขุ
ประสาท สั ททารมณกระทบกับ โสตประสาท คัน ธารมณกระทบกับ ฆาน
ประสาท รสารมณกระทบกับชิวหาประสาท และโผฏฐัพพารมณกระทบกับ
กายประสาท อารมณทั้ง ๕ ก็มากระทบถึงจิต จิตที่ยังอยูในภวังคนั้นก็ตื่น
จากภวังค เกิดเปนจิตที่เขาอยูในวิถีแหงการรับรู ที่เรียกวา วิถีจิต
(๒) มโนทวารวิถี คือ ความเปนไปของจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นทาง
ใจ เปนวิถีจิตของอารมณทางใจ
มโนทวารวิถี หมายถึง กระแสทํางานภายในจิต สืบตอมาจาก
กระบวนการทางปญจทวารวิถีอีกทีหนึ่ง ทําใหจิตมีกระบวนการแหงความ
นึกคิดพิจารณา ทําใหเกิดจินตภาพ และมโนภาพตางๆ ขึ้นมา โดยมีการทํา
หนาที่รับรู เสพ เสวยผลแหงอารมณนั้นๆ
ในชวงภวังคจิตและชวงวิถีจิต จิตยอมเกิดและดับไปตามลําดับ โดย
มีชื่อเรียกตางๆ ตามหนาที่ตอ ๆ กันไปดังนี้
๑) ชวงภวังคจิต มี ๓ ขณะ ไดแก ๑. อดีตภวังค คือ ภวังคจิตที่สืบ
ตอมาจากกอน ๒. ภวังคจลนะ คือ ภวังคไหวตัวจากอารมณใหมมากระทบ
๓. ภวังคุปจเฉทะ คือ ภวังคตัดขาดจากอารมณเกา หรือตัดกระแสของภวังค
ใหขาดไปโดยสิ้นเชิง
๒) ช ว งวิ ถี จิ ต มี ๑๔ ขณะ ได แ ก ๑. อาวั ช ชนะ คื อ การคํ า นึ ง
อารมณใหมทางทวาร ๕ เรียกวา ปญจทวาราวัชชนะ หรือเรียกตามทวาร
เช น ขณะที่เ กิ ด ทางจั กขุ ทวาร เป น จั ก ขุทวาราวั ช ชนะ เป น ต น ๒. ป ญ จ
วิญญาณ คือ การรูอารมณในอารมณทั้ง ๕ ถารูปมากระทบก็ไดเห็นอารมณ
นั้นเปนจักขุวิญญาณ ถาเสียงมากระทบก็ไดยินอารมณนั้นเปนโสตวิญญาณ
เปนตน ๓. สัมปฏิจฉนะ คือ การรับอารมณจากปญจวิญญาณ เพื่อเสนอแก
สันตีรณะเทานั้น ๔. สันตีรณะ คือ การพิจารณาไตรตรองอารมณที่รับมา ๕.
โวฏฐัพพนะ คือ การกําหนดอารมณ หรือการตัดสินอารมณ ๖.– ๑๒. ชวนะ
๑๘๗
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
คือ การแลนไปในอารมณที่โวฏฐัพพนะกําหนดไวแลว ดวยความเร็วเหมือน
อสนีบาตติดตอกัน ๗ ขณะจิต ๑๓.–๑๔. ตทาลัมพนะ คือ การหนวงอยูกับ
อารมณหรือเก็บอารมณตอจากชวนะติดตอกัน ๒ ขณะจิต แลวก็สิ้นสุดวิถี
คือ เปนอันจบกระบวนการของวิถีจิต ๑ วิถี อารมณก็ดับไป แลวจิตก็ตกไป
ในภวังค๑๕๔ เมื่อนับตลอดทั้งสองชวง คือ ตั้งแตอดีตภวังคจุดเริ่มมาจนจบ
วิถีจิต รวมทั้งหมดเปน ๑๗ ขณะจิต๑๕๕
สําหรับผูเจริญวิปสสนาภาวนา จนวิปสสนาญาณแกกลาแลว อาจ
ทําใหเกิดความรูสึกวาชวงของจิตที่กําหนดขางหนาและขางหลังดูเหมือนวา
จะทิ้งชวงหางกันมากขึ้น ตัวอยางเชน ในการคูแขนเขาแตละครั้งอาจตองใช
จิตกําหนดหลายรอบ ซึ่งในการกําหนดรูอาการดังกลาว จิตที่กําหนดหลังๆ
จะดูหางจากจิตที่กําหนดกอนๆ จึงอาจทําใหผูปฎิบัติคิดวา อารมณที่กําหนด
นั้นนอยไปหรือหางไป ซึ่งความจริงแลว อารมณนั้นไมไดนอยหรือหางอยางที่
คิดแตอยางใด แตเนื่องจากการกําหนดของผูปฎิบัตินั้นเปนไปดวยความเร็ว
จึงทําใหภวังคจิตทั้งหลาย ปรากฏออกมาในระหวางแหงวิถีจิตทั้งหลายดวย
ในช ว งเวลาเช น นั้ น การเขา ไปรู ส ภาวะความขาดช ว งของวิ ถีจิ ต
ทั้งหลายเรี ยกวา เปน การรู ภวั งคมโนทวาร แต สําหรั บการรูอาวั ชชนมโน
ทวารนั้น เปนการรูลักษณะของมโนทวาร การรูวาอาวัชชนะนั้นมีหนาที่ทํา
กิจคือการพิจารณา เปนการรูรสะ รูการเอาใจใสในอารมณนั้น เรียกวา เปน
การรูปจจุปฏฐาน รูวาเนื่องจากภวังคจิตขาดชวงไป จึงไดเกิดการเริ่มตนเอา
ใจใสอารมณ จัดเปนการรูปทัฏฐานของอาวัชชนมโนทวารนั้น ก็การรูมโน
ทวาร เปรียบเหมือนกับการรูหทัยวัตถุรูปหรือรูปหัวใจ หมายความวา เมื่อรู
รูปหัวใจ โดยถูกตองตรงตามความเปนจริง ยอมทําใหรูไดวา รูปหัวใจนั้นเปน
นิสสยะกลาว คือ ที่ตั้งที่อาศัยของจิตที่ทําการกําหนดพิจารณา จากนั้น ก็จะ
ทําใหรูตอไปวา จิตเริ่มตนนึกคิดตั้งแตตรงเริ่มตนกําหนดตั้งแตจุดเริ่มตน ก็
การรูเชนนี้จัดเปนการรูลักษณะของอาวัชชนมโนทวาร
๑๕๔
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๗๖๔-๗๖๘.
๑๕๕
เรื่องเดียวกัน, หนา ๓๗๘.
๑๘๘
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ในมโนทวารวิถีนี้ จิตสามารถรับอารมณทั้ง ๖ ไดหมด ไมจํากัดวาจะ
เปนปจจุบัน อดีต หรืออนาคต แมแตในกาลวิมุตตารมณ (คือพระนิพพาน
และบัญญัติ) ในมโนทวารวิถีก็รับ ได มโนทวารวิ ถีมีอารมณได ๖ คือ รูป า
รมณ สัททารมณ คันธารมณ รสารมณ โผฏฐัพพารมณ และธัมมารมณ ทั้งที่
เป น ปรมั ต ถ แ ละบั ญ ญั ติ ธั ม มารมณ จึ ง ไม จํ า กั ด ว า จะเป น ป จ จุ บั น อดี ต
อนาคต หรือกาลวิมุต ก็เปนอารมณแกมโนทวารวิถีไดทั้งสิ้น
มโนทวารวิถี มี ๓ อยาง๑๕๖ ดังนี้
๑) มโนทวารวิถีผสม คือ มโนทวารวิถีที่มาปรากฏพรอมกับปญจ
ทวารวิถี ดังความวา “อารมณหนึ่ง ๆ ยอมมาปรากฏในทวารอยางละสองๆ
...การที่รูปารมณปจจุบันเปนตนกระทบในจักขุประสาทเปนตน และการมา
ปรากฏในมโนทวารดวยการยังภวังคจิตใหไหว ยอมมีไดในขณะเดียวกันไม
กอนไมหลัง”
๒) มโนทวารวิถีที่ติดตามปญจทวารวิถี คือ เมื่อทวาร ๕ ถูกอารมณ
กระทบแลวครั้งหนึ่ง ครั้นวิถีจิตที่ดําเนินไปในทวาร ๕ ดับไปแลว อารมณ ๕
ที่ผานมาแลวก็มาปรากฏในมโนทวารตามสภาวะ กระแสภวังคที่เปนทวาร
ของกระแสวิถีจิต ชื่อวา มโนทวารที่ติดตามปญจทวาร และจิตเหลานั้นก็เปน
วิถีจิตที่ติดตาม
๓) มโนทวารวิถีที่สําเร็จเฉพาะ คือ เมื่อภวังคจิตที่มีอารมณ ๖ มา
ปรากฏโดยประการนั้นๆ ปราศจากการติดตาม โดยกระทบในทวาร ๕ ไดแก
อารมณมาปรากฏไดดวยเหตุตางๆ ดังตอไปนี้ อารมณที่เคยพบ คือ อารมณ
๕ ที่ ท วาร ๕ เคยรั บ มาก อ น, อารมณ ที่ เ กี่ ย วเนื่ อ งกั บ อารมณ ที่ เ คยพบ,
อารมณที่เคยสดับคืออารมณ ๖ ที่เคยสดับจากคนอื่นแลวรับเอามา, อารมณ
ที่เกี่ยวเนื่องกับอารมณที่เคยสดับ, ความเชื่อตอบุคคลอื่น, ความพอใจคือ
ความเห็นของตน, ความดําริอาการ คือความดําริโดยประการนั้นๆ โดยอาศัย
เคามูลของอรรถ เคามูลของพยัญชนะ และเคามูลของเหตุ, ความเหมาะสม
๑๕๖
พระอนุรุทธะและพระญาณธชนะ, อภิธัมมัตถสังคหะและปรมัตถทีปนี,
หนา ๓๙๖., ๓๘๕-๓๘๖.
๑๘๙
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
แกก ารใคร ค รวญด ว ยความรู , แรงกรรมต างๆ, อานุ ภ าพของฤทธิ์ ต า งๆ,
อํานาจของธาตุแปรปรวน, อํานาจของการที่เทวดานํามาแสดง, อํานาจของ
การตามรูอ ริยสัจ, และอํานาจของการรูแจง (ดวยโลกุตตรญาณ) เปนตน
การดําเนินไปของอารมณทางมโนทวารวิถีมี ๔ วาระเชนเดียวกัน
กับปญจทวารวิถี คือ ตทารัมมณวาระ ชวนวาระ โวฏฐัพพนวาระ และโมฆะ
วาระ ตามลําดับอารมณที่ปรากฏชัด ดังนี้ ๑) อติวิภูตารมณ คือ อารมณที่
ปรากฏเดนชัด มีวิถีจิตที่บริบูรณ ๑๒ ขณะจิต ๒) วิภูตารมณ คือ อารมณที่
ปรากฏชัดมาก เมื่อวิถีจิตมาถึงชวนะ ๗ ขณะจิต ก็ตกภวังคไปเลย ๓) อวิภู
ตารมณ คือ อารมณที่ปรากฏชัดนอย มีเพียงอาวัชชนะ จากนั้นก็ตกภวังคไป
และ ๔) อติอวิภูตารมณ คืออารมณที่ปรากฏไมชัด มีเพียงภวัคจลนะ ไมมี
การเกิดขึ้นของวิถีจิต
ดังนั้น สันตติปจจุบันของนามที่นับเนื่องดวยชวนวาระ ๒-๓ วิถีจิต
จึงยอมเปนไปใน ๒ วาระ คือ ตทารัมมณวาระและชวนวาระ ซึ่งอารมณที่
ปรากฏเดน ชั ดและชั ด มาก การที่จิ ตรั บ อติ วิ ภูต ารมณและวิภู ต ารมณได ดี
เพราะจิตจะรื่นรมยในอารมณที่ปรากฏชัดเทานั้น๑๕๗ ความสัมพันธระหวาง
มโนทวารวิถีกับปญจทวารวิถีที่สําคัญ คือ ปญจทวารวิถีจะสําเร็จกิจการรับรู
ของทวาร ๕ ได ตองอาศัยมโนทวารวิถี ดังคัมภีรปรมัตถทีปนีฎีกาอธิบาย
จักขุทวารวิถีที่เปนอติมหันตารมณ และอติวิภูตารมณในมโนทวารวิถี ดังนี้
เมื่อจั กขุทวารวิ ถี [ที่ ๑] ดํ าเนิ น ไปกอนวิ ถี จิ ต ทั้งหมด ต อมามโน
ทวารวิถี [ที่ ๒] ที่ติดตามจักขุทวารวิถีจึงดําเนินไป หลังจากนั้น มโนทวารวิถี
[ที่ ๓] ที่รับเอากลุมกอนของสัณฐานยอมดําเนินไป จากนั้น มโนทวารวิถี [ที่
๔] ที่กําหนดหมายสียอมดําเนินไป ในขณะดําเนินไปอยู บุคคลยอมกําหนด
หมายสีไดโดยนัยวา เราเห็นสีเขียว เปนตน ตอแตนั้น มโนทวารวิถี [ที่ ๕]
รับเอารูปร างยอมดําเนิ นไป จากนั้น มโนทวารวิถี [ที่ ๖] ที่กําหนดหมาย
รูปรางยอมดําเนินไป ในขณะดําเนินไปอยู บุคคลก็กําหนดหมายสัณฐานได
๑๕๗
ดูรายละเอียดใน พระอนุรุทธะและพระญาณธชนะ, อภิธัมมัตถสังคหะและ
ปรมัตถทีปนี, หนา ๓๙๙.
๑๙๐
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
หลั งจากนั้ น มโนทวารวิถี [ที่ ๗] ที่รั บเอาชื่ อย อมดํ าเนิ นไป จากนั้ น มโน
ทวารวิถี [ที่ ๘] ที่กําหนดหมายชื่อยอมดําเนินไป ในขณะดําเนินไปอยู ยอม
กําหนดหมายชื่อได ครั้ น วิ ถีจิต ที่กําหนดหมายอารมณนั้ น ๆ ดํ าเนิน ไปอยู
บุคคลยอมรูวาเราเห็นอารมณนั้นๆ ดวยประการฉะนี้
เมื่อมโนทวารวิถีที่ ๓ รับเอารูป ธรรมโดยความเปนกลุมกอนของ
สัณฐาน ที่ถูกวิถีจิต ๒ วิถีแรกรับเอาหลายครั้งแลว ยอมเปนเหมือนจับดุนไฟ
หมุนเปนวงกลม จึงชื่อวา วิถีจิตที่รับเอากลุมกอนของสัณฐาน เพราะไมมี
การรับเอาสีที่ประจักษโดยปราศจากการรับเอากลุมกอน๑๕๘
การกํ า หนดรู อ ารมณ ห รื อ สภาวธรรมอย า งเท า ทั น ป จ จุ บั น มี
ความสํ า คัญยิ่ งในการเจริ ญวิ ป ส สนาภาวนา โดยต อ งกํา หนดรู ใ ห เ ท าทั น
สันตติปจจุบัน คือ ปจจุบันของกระแสรูปที่นับเนื่องดวยปญจทวารวิถี ๑-๒
วิถีจิต และปจจุบันของกระแสนามที่นับเนื่องดวยมโนทวารวิถีที่ดําเนินถึง
ที่สุดของชวนจิต ๒-๓ วิถีจิต๑๕๙
ในขณะเจริญวิปสสนาภาวนานั้น “ผูปฏิบัติไมสามารถนําเอาจิตตุป
บาทแต ล ะดวงมากํ า หนดรู ห รื อ พิ จ ารณาแยกเป น ดวง ๆ ได เ ลย จึ ง ต อ ง
กําหนดโดยวิถีจิตทั้งวิถ”ี ๑๖๐ เชน เมื่อจิตรับอารมณใหมที่ผานเขามาทางจักขุ
ทวาร และจิตขึ้นสูวิถีหรือจักขุ-ทวารวิถี การกําหนดรูรูปารมณนี้ เปนการ
กําหนดรูทั้งวิถีจิตที่กําลังเกิดขึ้น มิใชกําหนดรูจิตแตละดวงที่กําลังดําเนินอยู
“โดยวิถีจิตยอมปรากฏแกผูปฏิบัติธรรมเหมือนเปนเพียงหนวยเดียว”๑๖๑
๑๕๘
เรื่องเดียวกัน, หนา ๓๙๐.
๑๕๙
พระภัททันตะอาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ, ปฐม
วิปสสนาวงศในประเทศไทย, (กรุงเทพมหานคร: ๒๕๕๔), หนา ๗๗.
๑๖๐
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสสนาชุนี หลักการปฏิบัติวิปสสนา,
หนา ๒๑๓.
๑๖๑
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), ปฏิจจสมุปบาท เหตุผลแหงวัฏสงสาร,
หนา ๑๑๔.
๑๙๑
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๕.๔ อัตราวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๑. นามรูป ๕ (จิตอกุศล)
๖๐ ๑๐ (ทุกขเวทนา) ๑๐ (นิวรณ) ๑๐
ปริจเฉทญาณ ๕ (จิตกุศล)
๒. ปจจยปริคคห ๔๐ (ทุกขเวทนา) ๕ (จิตอกุศล)
๒๐ ๕ (นิวรณ) ๒๐
ญาณ ๕ (สุขเวทนา) ๕ (จิตกุศล)
๒๐ (ทุกขเวทนา)
๓. สัมมสนญาณ ๓๐ ๙ (จิตกุศล) ๐-๑ (นิวรณ) ๓๐
๑๐ (สุขเวทนา)
๕ (ทุกขเวทนา)
๔. ตรุณอุทยัพพย ๑๐ (สุขเวทนา)
๒๐ ๑๐ (จิตกุศล) ๕ (ฟุง-นิวรณ) ๓๕
ญาณ ๑๐ (โสมนัสส)
๕ (อุเบกขา)
๐-๑ (นิวรณ)
๐-๑ (ทุกขเวทนา)
๓ (ขันธ ๕)
๔. พลวอุทยัพพย ๔ (สุขเวทนา)
๒๐ ๑๐ (จิตกุศล) ๒ (อายตนะ) ๔๐
ญาณ ๕ (โสมนัสส)
๒ (โพชฌงค)
๑๐ (อุเบกขา)
๒ (อริยสัจ)
๕ (ขันธ ๕)
๐-๑ (สุขเวทนา)
๕ (อายตนะ)
๕.ภังคญาณ ๑๐ ๔ (โสมนัสส) ๑๐ (จิตกุศล) ๕๐
๕ (โพชฌงค)
๕ (อุเบกขา)
๕ (อริยสัจ)
๐-๑ (นิวรณ)
๒ (ทุกขเวทนา)
๖. ภยญาณ ๕ (ขันธ ๕)
๑๐ (โทมัสสเวทนา) ๑๐ (จิตกุศล)
๑๐ ๕ (อายตนะ) ๔๐
0 (สุขเวทนา) ๓ (จิตอกุศล)
๕ (โพชฌงค)
๓ (อุเบกขา)
๖ (อริยสัจ)
๐-๑ (นิวรณ)
๒ (ทุกขเวทนา)
๕ (ขันธ ๕)
๑๐ (โทมัสสเวทนา) ๑๐ (จิตกุศล)
๗.อาทีนวญาณ ๑๐ ๕ (อายตนะ) ๔๐
0 (สุขเวทนา) ๓ (จิตอกุศล)
๕ (โพชฌงค)
๓ (อุเบกขา)
๖ (อริยสัจ)
๒ (ทุกขเวทนา) ๑๐ (จิตกุศล) ๐-๑ (นิวรณ)
๘.นิพพิทาญาณ ๑๐
๑๐ (โทมัสสเวทนา) ๓ (จิตอกุศล) ๕ (ขันธ ๕) ๔๐
๑๙๒
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
0 (สุขเวทนา) ๕ (อายตนะ)
๓ (อุเบกขา) ๕ (โพชฌงค)
๖ (อริยสัจ)
๐-๑ (นิวรณ)
๒ (ทุกขเวทนา) ๕ (ขันธ ๕)
๙.มุญจิตุกัมยตา ๑๕ (จิตกุศล)
๑๕ ๑๐ (โทมัสส) ๕ (อายตนะ) ๓๐
ญาณ ๒ (จิตอกุศล)
๓ (อุเบกขา) ๕ (โพชฌงค)
๖ (อริยสัจ)
๐-๑ (นิวรณ)
๑๐ (ทุกขเวทนา) ๕ (ขันธ ๕)
๒๐ (จิตกุศล)
๑๐.ปฏิสังขาญาณ ๑๐ ๕ (โทมัสส) ๕ (อายตนะ) ๒๐
๐-๑ (จิตอกุศล)
๑๐ (อุเบกขา) ๖ (โพชฌงค)
๗ (อริยสัจ)
๐-๑ (นิวรณ)
๕ (ทุกขเวทนา) ๑๐ (ขันธ ๕)
๒๕ (จิตกุศล)
ตน ๗ ๒ (โทมัสส) ๑๐ (อายตนะ) ๑๐
๐-๑ (จิตอกุศล)
๑๐ (อุเบกขา) ๑๐ (โพชฌงค)
๙ (อริยสัจ)
๑๑. ๐-๑ (นิวรณ)
สังขารุ ๙ (ขันธ ๕)
๐-๑ (ทุกขเวทนา) ๑๔ (จิตกุศล)
เปกขา กลาง ๕ ๑๐ (อายตนะ) ๕
๔ (อุเบกขา) ๐-๑ (จิตอกุศล)
ญาณ ๓๐ (โพชฌงค)
๒๐ (อริยสัจ)
๕ (ขันธ ๕)
๕ (จิตกุศล) ๑๐ (อายตนะ)
ปลาย ๒ ๕ (อุเบกขา) ๓
๔๐ (โพชฌงค)
๓๐ (อริยสัจ)
๐-๑ (ขันธ ๕)
๑๒. ๐-๑ (อายตนะ)
๐-๑ ๐-๑-๐ ๐-๑-๐
อนุโลมญาณ ๓ (โพชฌงค) ๐-๑-๐
๙๐ (อริยสัจ)
๐ (ขันธ ๕)
๑๓. ๐ (อายตนะ)
00 00 00 00
โคตรภูญาณ ๐ (โพชฌงค)
๑๐๐ (อริยสัจ)
๑๙๓
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๖. สุทธวิปสสนาภาวนา
การเจริญวิปสสนาลวนๆ ผูปฏิบัติจนบรรลุมรรค ผลไดแลว เรียกวา
สุกขวิปสสกบุคคล หรือวิปสสนายานิก๑๖๒ เพราะแมแตจิตที่สงบชั่วขณะก็
สามารถนํามาเปนพื้นฐานเจริญวิปสสนาได๑๖๓ ดังคัมภีรมูลปณณาสกฎีกา
กลาววา “น หิ ขณิกสมาธึ วินา วิปสฺสนา สมฺภวติ”๑๖๔ หากขาดขณิกสมาธิ
วิปสสนาก็เกิดไมได คือตองอาศัยขณิกสมาธิเปนบาทจึงจะเจริญวิปสสนาได
เมื่อวิ ป ส สนาญาณสูงขึ้น ตามลํ าดั บ การเพงลักษณะอารมณก็จ ะ
แนบแนนขึ้นเชนกัน เมื่อมรรคจิตเกิดขึ้นก็ยอมบริบูรณพรอมดวยองคฌาน
ทั้ง ๕ จัดเปนปฐมฌานโสตาปตติมรรคจิต สกทาคามิมรรคจิต อนาคามิมรรค
จิต อรหัตมรรคจิต ของสุกขวิปสสกบุคคล จัดเขาเปนปฐมฌานดวยกันทั้งสิ้น
ดังอรรถาธิบายในคัมภีรอรรถกถาวา
“วิปสฺสนานิยเมน หิ สุกฺขวิปสฺสกสฺส อุปฺปนฺนมคฺโคป สมาปตฺติลาภิ
โน ฌาน ปาทก อกตฺ ว า อุ ปฺ ป นฺ น มคฺ โ คป ปมชฺ ฌ าน ปาทก กตฺ ว า
ปกิณฺณกสงฺขาเร สมฺมสิตฺวา อุปฺปาทิตมคฺโคป ปมชฺฌานิโกว โหติ สพฺ
เพสุ สตฺตโพชฺฌงฺคานิ อฏมคฺคงฺคานิ ปฺจ ฌานงฺคานิ โหติ.”๑๖๕
มรรคที่เกิดขึ้นแกพระสุกขวิปสสกโดยกําหนดวิปสสนา ก็ดี, มรรคที่
ไมทําฌานให เ ป น บาท เกิด ขึ้น แกผู ได ส มาบั ติ ก็ดี , มรรคที่ภิ กษุทํ า
ปฐมฌานใหเปนบาทแลวพิจารณาสังขารเล็กๆ นอยๆ ใหเกิดขึ้นก็ดี, ใน
มรรคทั้งหมดนั้น มีโพชฌงค ๗ องคมรรค ๘ องคฌาน ๕ อยูดวย
แสดงวา แมมรรคที่เกิดขึ้นแลวแกผูเจริญวิปสสนาลวนๆ ก็ยอม
ประกอบดวยองคฌาน คือ วิตก วิจาร ปติ สุข เอกัคคตา อยางครบถวน๑๖๖
พระอริยะที่เปนสุกขวิปสสกบุคคล เรียกอีกชื่อหนึ่งวา ปญญาวิมุตติ
๑๖๒
องฺ.จตุกฺ.อ. (ไทย) ๒/-/-/๒๕๕,๓๕๕ , ขุ.เถร.อ. (ไทย) ๒/๓/๔/๕๖๗.
๑๖๓
ดูใน ขุ.เถร.อ. (บาลี) ๒/๑๒๘๘/๖๐๓.
๑๖๔
ม.มู.ฏีกา (บาลี) ๑/๔๙/๒๕๗, วิสุทฺธ.ิ มหาฏีกา (บาลี) ๑/๓/๑๕.
๑๖๕
ขุ.ป.อ. (บาลี) ๑ /๓๒๔, อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๑/๔๔๓.
๑๖๖
ดูใน องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๙๕/๓๒๘.
๑๙๔
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
มีจํานวนมากกวาพระอริยะ ที่เปนฌานลาภีบุคคล นั้นมากมาย เรียกอีกชื่อ
หนึ่งวาเจโตวิมุตติ ในคัมภีรสังยุตตนิกายพระพุทธเจาตรัสกับพระสารีบุตรวา
“อิเมสํ หิ สารีปุตฺต ปฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ สฏิภิกฺขู เตวิชฺชา สฏิ ภิกฺขู
ฉฬภิฺา สฏ ิ ภิ กฺขู อุภ โตภาควิ มุตฺ ตา อถ อิต เร ปฺาวิ มุตฺ ตา.”
ดูกอนสารีบุตร ในพระภิกษุ ๕๐๐ รูป ๖๐ รูปเปนเตวิชชบุคคล
๖๐ รูปเปนฉฬภิญญาบุคคล ๖๐ รูปเปนอุภโตภาควิมุตติบุคคล นอกนั้น
ทั้งหมดเปนปญญาวิมุตติบุคคล๑๖๗
พระพุทธเจาตรัสสภาวะจิตของพระอรหันตผูสุกขวิปสสกวา
“ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อมนสิการสักกายะ จิตของเธอยอมไมแลน
ไป ไมเลื่อมใส ไมตั้งอยู ไมนอมไปในสักกายะ แตเมื่อมนสิการถึงความดับสัก
กายะ จิตของเธอจึงแลนไป เลื่อมใส ตั้งอยู นอมไปในความดับสักกายะ จิต
นั้นของเธอชื่อวาเปนจิตดําเนินไปดีแลวเจริญดีแลว ตั้งอยูดีแลว หลุดพนดี
แลว พรากออกดีแลวจากสักกายะ เธอหลุดพนแลวจากอาสวะ และความเรา
ร อนที่ กอความคับ แคน ซึ่ งเกิ ด ขึ้น เพราะสั กกายะเป น ป จ จั ย ย อมไม เ สวย
เวทนานั้น เรียกวา ธาตุที่สลัดสักกายะ”๑๖๘
คั ม ภี ร อ รรถกถาอธิ บ ายเสริ ม ว า “นี่ เ ป น วิ ธี ก ารที่ พ ระอรหั น ต ผู
บําเพ็ญวิปสสนาลวน สงจิตในอรหัตผลสมาบัติไปยังอุปาทานขันธ ๕ เพื่อ
ทดสอบดูวา ความยึดมั่นในขันธ ๕ วาเปนอัตตา ยังมีอยูหรือไม”๑๖๙
๖.๑ อารมณหลักในการเจริญวิปสสนา
การเจริญวิปสสนามีอารมณหลักในการตามรู ๒ ประการ คือ
๑.๑) ตามรูรูปเปนหลัก คือตามรูอาการของธาตุ ๔ ธาตุใดธาตุหนึ่ง
ที่ปรากฏชัดเจนในขณะจิตปจจุบัน คือ ธาตุดินมีลักษณะแข็งปรากฏชัดใน
รูปทั้งหมด แตขณะที่แสงจันทรแสงอาทิตยปรากฏ มีลักษณะออนมีความ
๑๖๗
สํ.ส. (บาลี) ๑๕/๒๑๕/๒๓๐, สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๒๑๕/๓๑๓.
๑๖๘
องฺ.ปฺจก. (บาลี) ๒๒/๒๐๐/๒๓๐, องฺ.ปฺจก. (ไทย) ๒๒/๒๐๐/๓๔๑.
๑๖๙
องฺ.ปฺจก.อ. (บาลี) ๓/๒๐๐/๘๓.
๑๙๕
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
แข็งน อ ย ธาตุ น้ํ า มีลั ก ษณะเกาะกุม ทําให วั ต ถุที่แข็ งอยู ร วมกัน กอ ตั ว เป น
รูปรางได (ทําใหวัตถุที่ออนไหลไปได) ธาตุไฟมีลักษณะเย็นหรือรอน ธาตุลม
มีลักษณะหยอนหรือตึง และปรากฏสภาวะเคลื่อนไหว๑๗๐
การตามรูรูปเปนหลัก เปนการเจริญวิปสสนาลวนๆ ใชขณิกสมาธิ
พิจารณาอาการของรูป โดยเฉพาะธาตุลมที่เคลื่อนไหว๑๗๑ โดยลักษณะ ๗
ประการ คือ ๑) อนิจ จานุป สสนา พิจ ารณาเห็ นความไมเ ที่ย ง ๒) ทุกขา
นุปสสนา พิจารณาเห็นความเปนทุกข ๓) อนัตตานุปสสนา พิจารณาเห็น
ความไม มี ตั ว ตน ๔) นิ พ พิท านุ ป ส สนา พิ จ ารณาเห็ น ความน า เบื่ อ หน า ย
๕) วิราคานุปสสนา พิจารณาเห็นความคลายกําหนัด ๖) นิโรธานุปสสนา
พิจารณาเห็นความดับกิเลส ๗) ปฏินิสสัคคานุปสสนา พิจารณาเห็นความ
สลัดทิ้งกิเลส๑๗๒ นี่เปนการเจริญวิปสสนาของวิปสสนายานิก
๑.๒) ตามรูนามเปนหลัก คือ ตามรูเวทนา จิต หรือสภาพธรรม๑๗๓
ที่ปรากฏในขณะจิตปจจุบัน ไดแก บุคคลผูบรรลุฌานแลว ควรเขาฌานนั้น
บอยๆ เมื่อเกิดความชํานาญในการเขาฌานแลว จึงยกองคฌานที่ปรากฏชัด
คือ ปติ สุข หรืออุเบกขาขึ้นสูพระไตรลักษณเจริญวิปสสนา พิจารณาเห็น
สภาพธรรมตามลําดับสมาบัติและองคฌาน๑๗๔ โดยลักษณะ ๗ ประการ คือ
๑) พิจารณาเห็นความไมเที่ยง ๒) พิจารณาเห็นความเปนทุกข ๓) พิจารณา
เห็นความไมมีตัวตน ๔) พิจารณาเห็นความนาเบื่อหนาย ๕) พิจารณาเห็น
ความคลายกําหนัด ๖) พิจารณาเห็นความดับกิเลส ๗) พิจารณาเห็นความ
สลัดทิ้งกิเลส๑๗๕ นี่เปนการเจริญวิปสสนาของสมถยานิก
คัมภีรฏีกาอธิบายการกําหนดอารมณที่แตกตางกันของสมถยานิก
๑๗๐
ดูใน พระญาณธชเถระ (แลดีสยาดอ), อานาปานทีปนี, หนา ๓๗.
๑๗๑
ดูรายละเอียดใน ขุ.เถร.อ. (บาลี) ๒/๑๒๘๘/๖๐๓.
๑๗๒
ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๖๕/๑๖๙.
๑๗๓
ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๑๔๘/๑๓๓.
๑๗๔
ม.อุ.อ. (บาลี) ๔/๕๘.
๑๗๕
ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๖๕/๑๖๙.
๑๙๖
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
บุคคลและวิปสสนายานิกบุคคลวา สมถยานิกกําหนดรูองคฌานเปนอารมณ
ซึ่งเปนนามธรรมที่ปรากฏชัดเมื่อออกจากฌาน คือกําหนดรูฌานจิตตุปบาท
ในขณะปจจุบัน มีหทัยรูปเปนที่ตั้ง๑๗๖ สวนวิปสสนายานิกกําหนดรูรูป-นาม
(ขัน ธ ๕) ที่ป รากฏชั ด ในขณะป จ จุ บั น สติ รู เ ท าทัน สภาวะจิ ต เจตสิ กและ
อายตนะภายนอกเปนที่ตั้ง การหยั่งรูไมอาจกําหนดรูสังขารธรรมในอัตภาพ
ของตนโดยสิ้นเชิงได๑๗๗ จึงกําหนดเฉพาะอารมณที่จิตรูชัด๑๗๘
๖.๒ การกําหนดดวยบริกรรมภาวนา
การกํ าหนด คื อ การเอาจิ ต (น อ มจิ ต ,ส ง จิ ต ,ส องจิ ต ) เข าไปรั บ รู
อารมณ ห รื อ ความรู สึ ก ต า งๆ ที่เ กิ ด ขึ้ น ในป จ จุ บั น ขณะอย า งจดจ อ เฝ า ดู
สภาวะปจจุบันอารมณ อันเปนสภาพธรรมที่ปรากฏขึ้นตามความเปนจริง
ดวยความเชื่อมั่นในแนวปฏิบัติ มีวิริยะ สติ สมาธิ และปญญา โดยปราศจาก
การคิดนึกพิจารณา ปรุงแตง หรือเพิ่มเติมสิ่งใดๆ ลงไปในทุกๆ ขณะที่มีการ
กําหนดรูในอานาปานสติภาวนานี้ มีศัพทบาลีแสดงการกําหนดรูอยู ๒ ศัพท
คือ ปชานาติ และ สิกฺขติ มีอธิบายดังนี้
๑) บทวา ปชานาติ แปลวา รูชัด เปนผลเกิดขึ้นจากการกําหนดรู
รูป-นามปจจุบัน อันอาศัยการบริกรรมภาวนาเปนเครื่องประคับประคอง
คัมภีรอรรถกถาอธิบาย๑๗๙วา แมสัตวดิรัจฉาน เชน สุนัขบาน สุนัข
จิ้งจอก เมื่อเดินไปก็รูวา ตัวเดินไปก็จริงอยู แตพระพุทธเจามิไดตรัสหมาย
เอาความรูเชนนั้น เพราะความรูเชนนั้นละความเห็นวาสัตวไมได เพิกถอน
ความเขาใจวาสัตวไมได ไมเปนกรรมฐานหรือสติปฏฐานภาวนา สวนการรู
ของผูเจริญภาวนายอมละความเห็นวาสัตว เพิกถอนความเขาใจวาสัตวได
เปนทั้งกรรมฐานและเปนสติปฏฐานภาวนา และคําที่ตรัสหมายถึงความรูชัด
อยางนี้วา ใครเดิน การเดินของใคร เดินไดเพราะอะไร
๑๗๖
ที.ม.ฏีกา (บาลี) ๒/๓๗๖.
๑๗๗
ม.อุ.ฏีกา (บาลี) ๓/๓๒๖.
๑๗๘
วิสุทธิ.มหาฏีกา (บาลี) ๒/๔๓๒.
๑๗๙
ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๕/๓๘๑.
๑๙๗
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ตอบวา ไมใชสัตว หรือบุคคลไรๆ เดิน ไมใชการเดินของสัตวหรือ
บุคคลไรๆ เดิน เดินไดเพราะการแผไปของวาโยธาตุอันเกิดจากจิตปรารถนา
เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นยอมรูชัดวา จิตคิดวาจะเดิน จิตนั้นก็ทําใหเกิดวาโยธาตุ
ทําใหเกิดความเคลื่อนไหว การนําสกลกายใหกาวไปขางหนาดวยความไหว
ตัวแหงวาโยธาตุ อันเกิดจากจิตปรารถนา เรียกวาเดิน แมในอิริยาบถอื่นก็
เหมือนกัน เกิดจิตปรารถนาขึ้นวาเราจะนั่ง จิตนั้นก็ทําใหเกิดวาโยธาตุๆ ก็ทํา
ใหเกิดความจงใจในความเคลื่อนไหว ความคูกายเบื้องลางลง ทรงกายเบื้อง
บนขึ้น ดวยความไหวตัวแหงวาโยธาตุอันเกิดแตการทําของจิต เรียกวานั่ง
กายเปรียบเหมือนเกวียน เพราะอรรถวาไมรู ธาตุลมที่เกิดจากจิต
เปรียบเหมือนโค จิตเปรียบเหมือน สารถี เมื่อจิตเกิดขึ้นวา จะเดิน จะยืน
วาโยธาตุที่ทําใหเกิดความเคลื่อนไหวก็เกิดขึ้น อิริยาบถมีเดินเปนตน ยอม
เปนไปเพราะความไหวตัวแหงวาโยธาตุอันเกิดแตการทําของจิต๑๘๐
๒) บทว า สิ กฺขติ แปลว า สํ าเหนี ย ก คือ เพีย รพยายามกําหนดรู
อารมณ ที่ ป รากฏในขณะป จ จุ บั น อย า งใส ใ จ ก อ เกิ ด เป น ไตรสิ ก ขาอย า ง
ครบถวน คือ ความสํารวมของผูเพียรพยายามใสใจกําหนด จัดเปนอธิศีล
สิกขา ความตั้งใจมั่นของผูเพียรพยายามใสใจกําหนด จัดเปนอธิจิตตสิกขา
ความรูทั่วถึงของผูเพียรพยายามใสใจกําหนด จัดเปนอธิปญญาสิกขา๑๘๑
การบริกรรมภาวนา
คําวา บริกรรม มาจากคําวา ปริกมฺม หมายถึง การจัดแจง,การทอง
บน, การบําเพ็ญ๑๘๒ เปนการกระทําขั้นตนในการเจริญภาวนา คือ กําหนดใจ
เพงวัตถุ หรือนึกถึงอารมณที่กําหนดนั้นซ้ําๆ อยูในใจ เพื่อทําใจใหสงบ๑๘๓
๑๘๐
ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๗๕/๓๘๑.
๑๘๑
วิสุทธฺ .ิ (บาลี) ๑/๒๒๐/๒๙๘.
๑๘๒
พระอุดรคณาธิการ (ชวินทณ สารคํา), รศ. ดร. จําลอง สารพัดนึก,
พจนานุกรม บาลี-ไทย, ISBN ๙๗๔-๘๗๕๓๙-๑-๓ ครั้งที่ ๓/๑๐/๒๕๓๘, หนา ๓๓๖.
๑๘๓
ป. อ. ประยุตฺโต, พจนานุกรมพุทธศาสนฉบับประมวลศัพท,
(กรุงเทพมหานคร: โรงพิมมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หนา ๑๐๘.
๑๙๘
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
บริกรรมภาวนาในการเจริญสมถะ คือ การกําหนดเพงอารมณ นึก
ภาวนาในใจซ้ําแลวซ้ําเลา จนกระทั่งจิตถูกดึงมาเกาะติดกับนิมิต สวนการ
บริกรรมภาวนาในการปฏิบัติ วิปสสนานั้น ไมใชการทองบ น,หรือสาธยาย
เหมื อ นสมถะ แต เ ป น การเอาจิ ต (โน ม จิ ต ,น อ มจิ ต ) เข า ไปรั บ รู อ ารมณ
ความรูสึกตางๆ ที่เกิดขึ้นในปจจุบันขณะอยางจดจอ เฝาดูสภาวะปจจุบัน
อารมณอันเปนสภาพธรรมที่ปรากฏขึ้นตามความเปนจริง โดยปราศจากการ
คิ ด นึ ก พิ จ ารณาปรุ ง แต ง หรื อ เพิ่ ม เติ ม สิ่ ง ใดๆ ลงไปในทุ ก ๆ ขณะที่ มี ก าร
กําหนดรู ดวยสติที่ประกอบพรอมดวยความเชื่อมั่นในแนวปฏิบัติ อันสงผล
ใหมีวิริยะ สมาธิ และปญญาเพิ่มพูนขึ้นอยางตอเนื่อง เปนการระลึกรูเทาทัน
อารมณปจจุบัน การบริกรรมมีความสําคัญตอการปฏิบัติวิปสสนาอยางยิ่ง
โดยเฉพาะการปฏิบัติแบบสุทธวิปสสนา จัดเปนวิชชมานบัญญัติ คือบัญญัติ
แสดงเนื้อความที่ปรากฏ สื่อใหรูสภาวธรรมนั้นๆ ไดอยางชัดเจน ในเรื่องนี้
ทานมหาสีสยาดอ (พระโสภณมหาเถระ) อธิบายไววา ผูปฏิบัติตองทําความ
เขาใจในความแตกตางกันของปจจุบันธรรมและปจจุบันอารมณ
- ปจจุบันธรรม คือ รูปนามที่เกิดเปนปจจุบันอยูเรื่อยไป
- ปจจุบันอารมณ คือ รูปนามที่ปรากฏในปจจุบันเฉพาะหนา
อารมณที่มีความสําคัญตอการปฏิบัติวิปสสนา คือ ปจจุบันอารมณ
เพราะอภิชฌาโทมนัสจะเกิดขึ้นไดหรือไมไดอยูที่วา ผูปฏิบัติสามารถกําหนด
ไดเทาทันตามความเปนจริงหรือไม หากกําหนดไดทัน วามีรูปอะไร นาม
อะไรเกิดขึ้นในอารมณปจจุบัน ขณะนั้นอภิชฌาและโทมนัสยอมเกิดขึ้นไมได
เทากับวาในขณะนั้นสมุทัยอันเปนเหตุที่ทําใหเกิดทุกขยอมถูกละไป(ทําลาย
ตัณหา) ดังนั้น ความสําคัญจึงอยูตรงที่วาตองคอยสังเกตใหไดทันในปจจุบัน
อารมณ
หลายคนสงสัยวา : การปฏิบัติแบบนี้มากไปดวยคําบริกรรม มีแต
คําบัญญัติ จะเปนวิปสสนาไดอยางไร? ตอบวา : การเจริญวิปสสนาเปนการ
ระลึกรูสภาวธรรมปจจุบัน คําบริกรรมจะทําใหรับรูคําบัญญัติเปนอารมณก็
จริง แตก็ชวยใหจิตจดจออารมณมากขึ้นในเบื้องตน จากนั้นจึงสามารถหยั่ง
๑๙๙
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
เห็นรูปนามตามสภาวธรรมนั้นๆ โดยความไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตาได
เมื่อวิปสสนาญาณมีกําลังมากขึ้นแลว ก็ไมจําเปนตองใชคําบริกรรมอีกตอไป
เพราะในขณะตอจากนั้นจะสามารถรูรูปนามไดชัดเจน จนเห็นความเกิด-ดับ
อยางรวดเร็วของสภาวธรรมที่ กําลังกําหนดอยู ดังขอความในคัมภีรมหาฎีกา
วา “นนุ จ ตชฺชาปฺตฺติวเสน สภาวธมฺโม คยฺหตีติ. สจฺจํ คยฺหติ ปุพฺพภาเค
ภาวนาย ปน วฑฺฒมานาย ปฺ ตฺตึ สมติกฺกมิตฺว า สภาเวเยว จิตฺ ตํ ติฎ
ติ.”๑๘๔ “ถามวา บุคคลยอมรับรูสภาวธรรมโดยเนื่องดวยชื่อบัญญัติไดหรือ?
ตอบว า จริ ง อยู ใ นเบื้ อ งแรกย อ มรั บ รู เ นื่ อ งด ว ยบั ญ ญั ติ (คื อ คํ า บริ ก รรม
สลับกันไป) แตในเมื่อภาวนาเจริญขึ้น จิตยอมล วงบัญญัติแล วดํารงอยูใน
สถานะเดียว (ไมมีคําบริกรรมอีก)”
มีหลักฐานที่เ กี่ยวกับการใชคําบริกรรมที่เปนบัญญัติดังนี้ “มนสา
สชฺฌาโย ลกฺขณปฏิเวธสฺส ปจฺจโย โหติ. ลกฺขณปฏิเวโธ มคฺคผลปฏิเวธสฺส
ปจฺจโย โหติ.”๑๘๕การสาธยายทางจิต เปนปจจัยแกการแทงตลอดไตรลักษณ
การแทงตลอดไตรลักษณเปนปจจัยแกการแทงตลอดมรรคผล
เมื่อโยคีบุคคลมีอารมณบัญญัติ พรอมดวยกําหนดอารมณปรมัตถ
และปฏิบัติตอเนื่องไดดียิ่งขึ้น สติ สมาธิจะเริ่มมีกําลังเรียกวา สมาธิญาณแก
กลา ก็จะรูรูปปรมัตถและนามปรมัตถแทๆ วามีสภาวลักษณะ คือ เย็น รอน
ออน แข็งเคลื่อนไหวปรากฏใหกําหนดรูได เรียกวา ความจริงปรากฏ เมื่อ
ความจริงปรากฏ สมมุติก็หาย สมมุติเปนเพียงสื่อใหเขาถึงความจริง เปน
อุปกรณรวมทําใหเห็นความจริงเทานั้น เชนกันกอนที่จะเขาถึงปรมัตถก็ตอง
ผานบัญญัติกอน ไมผานบัญญัติ จะเขาถึงปรมัตถไดอยางไร เหมือนจะเขา
บานตองเปดประตูกอน ไมเปดประตูจะเขาบานไดอยางไร ฉะนั้นแล๑๘๖
ในเบื้องตนของการปฏิบัติจะใหเห็นปรมัตถลวนๆ เลยทีเดียวยอม
เปนไปไมได ในที่นี้จึงใหมีอารมณบัญญัติพรอมดวยกําหนดอารมณปรมัตถ
๑๘๔
วิสุทฺธ.ิ มหาฎีกา (บาลี) ๑/๓๑๖.
๑๘๕
อภิ.วิ.อ. (บาลี) ๒/๒๔๓, วิสุทธิ. (บาลี) ๑/๒๖๕.
๑๘๖
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสสนานัย เลม ๑, หนา ๖๙.
๒๐๐
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
เปนขอปฏิบัติโดยตรง
บัญญัตินั้นวาโดยหลักใหญมีอยู ๒ อยาง คือ วิชชมานบัญญัติ และ
อวิชชมานบัญญัติ การบัญญัติตั้งชื่อวารูป เวทนา สัญญา ฯลฯ อาโปธาตุ
วาโยธาตุตามสภาพความเปนจริง ขันธมีอยู ธาตุ ๔ ก็มีอยู เปนปรมัตถแทๆ
เพียงแตนําปรมัตถนั้นมาตั้งชื่อเรียกเพื่อใชสื่อสารความหมายใหรับรูรวมกัน
การบัญญัติตั้งชื่ออยางนี้เรียกวา วิชชามานบัญญัติ (บัญญัติที่มีอยู) สวน
บัญญัติที่ไมมีปรมัตถสภาวะ คือปราศจากความเปนจริง
ปรากฏตัวอยาง การใชคําบริกรรมภาวนาในคัมภีรอรรถกถาวา
พระจูฬปนถกนั่งแลดูพระอาทิตย พลางลูบทอนผาขาว บริกรรมวา
“รโชหรณ รโชหรณ” เมื่อทานลูบ ทอนผานั้นอยู ทอนผาไดเศราหมองไป
ตามลําดับ จึงเกิดปญญาเห็นสภาพธรรมวา “ทอนผานี้สะอาดอยูแตเดิม มา
ถูกเขากับอัตภาพนี้ จึงละปกติเดิมเสีย กลายเปนของเศราหมองอยางนี้ไปได
สังขารทั้งหลายไมเที่ยงหนอ ครั้นแลวเริ่มกําหนดรูความสิ้นและความเสื่อม
เจริญวิปสสนา”
พระศาสดาทรงทราบวา “จิตของพระจูฬปนถกขึ้นสูวิปสสนาแลว”
จึงตรั ส ว า “จู ฬป น ถก เธออย าทําความหมายเฉพาะทอนผ านั้ น ว า 'เศร า
หมองแลวติดธุลี ก็ธุลีทั้งหลายมีธุลี คือราคะเปนตน มีอยูในภายในของเธอ
เธอจงกําจัดมันออกเสีย” ดังนี้แลว ในกาลจบคาถา พระจูฬปนถกบรรลุพระ
อรหันต พรอมดวยปฏิสัมภิทา๑๘๗
๑๘๗
องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๑๗๒/๑๘๓-๑๘๔, ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๔๐/๓๓๐.
ปฏิสัมภิทา ๔ คือ ๑) อรรถปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานในอรรถ ไดแก ความ
เขาใจแจมแจงในความหมายของถอยคําตางๆ ๒) ธรรมปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานใน
ธรรม ไดแก ความเขาใจแจมแจงในขอธรรมตางๆ สามารถอธิบายโดยพิสดารได ๓)
นิรุตติปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานในภาษา คือ รูภาษาตางๆ และรูจักใชถอยคําชี้แจง
แสดงอรรถและธรรมใหคนอื่นเขาใจได ๔) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานใน
ปฏิภาณ ไดแก ความมีไหวพริบ สามารถเขาใจคิดเหตุผลไดเหมาะสมทันการ และมี
ความรูความเขาใจชัดในความรูตางๆ (องฺ.จตุกฺก. (บาลี) ๒๑/๑๗๒/๑๘๓-๑๘๔, ขุ.ปฏิ.
(บาลี) ๓๑/๑๑๐/๑๒๓, อภิ.วิ. (บาลี) ๓๕/๗๑๘/๓๕๙.)
๒๐๑
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
จะเห็นไดวา การบริกรรมก็คือการเจริญสติปฏฐานพิจารณาดูสิ่งใด
สิ่งหนึ่งที่มีอยูจริง จนเกิดปญญารูแจงขึ้นมาในสิ่งนั้นจริงๆ เชน พระจูฬปน
ถก ที่บริกรรมลูบผาขาว จนเกิดปญญาขึ้นในขณะจิตเดียวก็บรรลุอรหันตได
แสดงใหเห็นวา การบริกรรมดวยจิตจดจอตอเนื่องในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีอยู
ในปจจุบันตามความเปนจริงก็จะเกิดปญญาแว็บขึ้นมาประดุจสายฟาแลบ
และพิจารณาเห็นความเกิดดับของรูปนาม แลวก็หลุดพนดวยขณะจิตเดียว
เทานั้น เพราะวากิริยาที่ทําบริกรรมในขณะเจริญกรรมฐานอยางใดอยาง
หนึ่ง มีลักษณะคลายกับการทองบนในใจ การสาธยาย การใครครวญ หรือ
การไตรตรอง การเพงวัตถุ หรือนึกถึงอารมณที่กําหนดนั้นวาซ้ําๆ อยูในใจ
เปนการเพิ่มวิริยะทางใจ คือทําใหจิตสงบจากนิวรณ โดยอาศัยการบริกรรม
เปนเครื่องชวยใหรูตัวในขณะปจจุบันแลวพัฒนาการ เกิดเปนโยนิโสมนสิการ
อันเปนตัวปญญาพิจารณาเห็นความเสื่อมสิ้นดับสูญของสรรพสิ่งโดยความไม
มีอะไรเปนแกนสารเปนเหตุใหละอุปาทานขันธ ๕ เสียได
๖.๓ การกําหนดรู ตามลําดับญาณ ๑๖
ปริญญา แปลวา กําหนดรู หรือทําความรูจัก หมายถึง การทําความ
เขาใจสิ่งตางๆ โดยครบถวนหรือรอบดาน๑๘๘ แบงออกเปน ๓ ขั้น
๑) ญาตปริญญา กําหนดรูขั้นรูจัก คือ รูตามสภาวะลักษณะ ไดแก
รูจักจําเพาะตัวของสิ่งนั้นตามสภาวลักษณะแท วารูปมีลักษณะสลาย เวทนา
มีลักษณะเสวยอารมณ สัญญามีลักษณะกําหนดไดหมายรู ดังนี้เปนตน
ภูมิแหงญาตปริญญา เริ่มตั้งแตกําหนดสังขาร จนถึงกําหนดปจจัย
ปริญญานี้ก็คือการตามกําหนดอยางจดจอตอเนื่อง จนแจงลักษณะเฉพาะ
ของอารมณที่กําหนดนั่นเอง
กําหนดรูขั้นรูจั ก คือ กําหนดรูสิ่งนั้ นๆ ตามลักษณะที่เปน สภาวะ
ของมันเอง พอใหแยกออกจากสิ่งอื่นๆ ได การกําหนดรูผัสสะ คือ รูเห็นวา นี้
ตาสัมผัส นี้หูสัมผัส นี้จมูกสัมผัส นี้ลิ้นสัมผัส นี้ที่ตั้งแหงเวทนาที่เปนทุกข นี้
๑๘๘
ดูรายละเอียดใน ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๖๒/๖๐, วิสุทฺธ.ิ มหาฎีกา (บาลี) ๓/๒๓๐.
๒๐๒
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
สัมผัสเปนที่ตั้งแหงเวทนาเปนอทุกขมสุข...นี้ผัสสะอันประกอบดวยกุศลจิต นี้
ผั ส สะอัน ประกอบด ว ยอกุศลจิ ต นี้ ผั ส สะอัน ประกอบด ว ยอัพยากตจิ ต นี้
ผัสสะอันประกอบดวยกามาวจรจิต นี้ผัสสะอันประกอบดวยรูปาวจรจิต นี้
ผัสสะอันประกอบดวยอรูปาวจรจิต...นี้ผัสสะเปนของวางเปลา นี้ผัสสะเปน
ศีล นี้ผัสสะเปนสมาธิ นี้ผัสสะเปนโลกิยะ นี้ผัสสะเปนโลกุตตระ นี้ผัสสะเปน
อดีต นี้ผัสสะเปนอนาคต นี้ผัสสะเปนปจจุบัน ญาณที่ปรากฏ คือ ญาณที่ ๑
นามรูปปริจเฉทญาณ และญาณที่ ๒ ปจจยปริคหญาณ
ญาณที่ปรากฏ คือ ญาณที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ ปญญารู ว า
อะไรเปนรูป อะไรเปนนาม และสามารถแยกรูปแยกนามออกจากกันได เห็น
ปรมัตถอารมณไดอยางชัดเจน คือปญญารูแจงรูปนาม ปญญารูวา อะไรเปน
รูป อะไรเปนนาม รูปนามแทจริงเปนอยางไรและสามารถแยกรูปแยกนาม
ออกจากกันไดไมปะปนกันอยางชัดเจน ญาณนี้ กำหนดจนรูเห็นรูปเห็นนาม
วาเปนคนละสวนซึ่งไมไดปนกัน
ญาณที่ ๒ ปจจยปริคคหญาณ ปญญาที่กําหนดรูเห็นในสภาวะของ
รูป กับนามเปนเหตุปจจัยซึ่งกันและกัน คือทั้งรูปและนามเปนเหตุ เปนผลซึ่ง
กันและกันอยูทุกขณะ และญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ(แบบออน) ปญญาที่
กําหนดจนรูเห็นไตรลักษณ คือ ความเกิดดับของรูป-นามแตที่รูวารูป-นาม
ดับไปก็เพราะ เห็นรูป-นามใหมเกิดสืบตอแทนขึ้นมาแลว เห็นอยางนี้เรียกวา
สันตติยังไมขาดและยังอาศัยจินตามยปญญาอยู
เป น ภู มิ แ ห ง ญาตปริ ญ ญา คื อ เริ่ ม ตั้ ง แต กํ า หนดสั ง ขารจนถึ ง
กําหนดปจจัย ปริญญานี้ก็คือการตามกําหนดอยางจดจอตอเนื่อง จนแจง
ลั ก ษณะเฉพาะของอารมณ ที่ กํ า หนดจั ด เข า ใน ทุ ก ขอริ ย สั จ (จิ น ตาญาณ
ความรูที่เปนไปกับความดําริ วิปสสนาญาณที่ยังออน ตรุณวิปสสนา)
๒) ตีรณปริญญา กําหนดรูขั้น "พิจารณา" คือ รูดวยปญญาที่หยั่ง
ลึกซึ้งไปถึงสามัญลักษณะ๑๘๙ไดแก รูถึงการที่สิ่งนั้นๆ เปนไปตามกฎธรรมดา
๑๘๙
ตีรณฏเ าณํ แปลวา ปญญามีความหมายวาใครครวญ ไดแก ปญญามี
การเขาใครครวญเปนสภาวะหรือมีการพิจารณาเปนสภาวะ.
๒๐๓
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
โดยพิจารณาเห็นความไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา เชน เวทนาและสัญญา
นั้น ไมเที่ยงมีความแปรปรวนเปนธรรมดาไมใชตัวตน
ภู มิ แ ห ง ตี ร ณปริ ญ ญา เริ่ ม ตั้ ง แต ก ารพิ จ ารณากองสั ง ขาร จนถึ ง
อุทยัพพยานุปสสนา (เห็นความเกิดและดับ) ปริญญานี้ ก็คือการตามกําหนด
อยางจดจอตอเนื่องจนแจงสามัญลักษณะของอารมณที่กําหนดนั่นเอง
กําหนดรูขั้นพิจารณา คือ กําหนดรูสังขารดวยการพิจารณาเห็นไตร
ลักษณ วาสิ่งนั้นๆ มีลักษณะไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา พิจารณาโดย
ความไมเที่ยง โดยความเปนทุกข เปนโรค... ดังหัวฝ ดังลูกศร ลําบาก อาพาธ
เปนอยางอื่น ไมมีอํานาจ ชํารุด เสนียด อุบาทว ภัย อุปสรรค หวั่นไหว แตก
พังไมยั่งยืน ไมมีที่ตานทาน ไมมีที่ซอนเรน ไมมีที่พึ่ง วาง เปลา สูญ เปนโทษ
มีความแปรไปเปนธรรมดาไมมีแกนสาร มูลแหงความลําบาก ดังเพชฌฆาต
ปราศจากความเจริ ญ มีอาสวะ มีเ หตุ ปจจั ยปรุ งแตงเหยื่อมาร มีชาติ เป น
ธรรมดา มีชราเปนธรรมดา มีพยาธิเปนธรรมดา มีมรณะเปนธรรมดา มีโสกะ
ปริ เ ทวะ ทุ ก ข โ ทมนั ส และอุ ป ายาสเป น ธรรมดา มี ค วามเศร า หมองเป น
ธรรมดา...พิจารณาเห็นเหตุเกิดแหงทุกขดับไป ชวนใหแชมชื่น เปนอาทีนวะ
เปนนิสสรณะ ญาณที่ปรากฏ คือ ญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ และญาณที่ ๔
อุทยัพพยญาณ
ญาณที่ ป รากฏ คื อ ญาณที่ ๓ สั ม มสนญาณ (แบบแก ) ป ญ ญาที่
กําหนดจนรูเห็นไตรลักษณ คือ ความเกิดดับของรูป-นามแตที่รูวารูป-นาม
ดับไปก็เพราะ เห็นรูป-นามใหมเกิดสืบตอแทนขึ้นมาแลว เห็นอยางนี้เรียกวา
สันตติยังไมขาดและยังอาศัยจินตามยปญญาอยูญาณที่ ๔ อุทยัพพยญาณ
ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นไตรลักษณชัดเจน โดยสันตติขาด คือเห็นรูป-นาม
ดับไปในทันทีที่ดับและเห็นรูป-นามเกิดขึ้นในขณะที่เกิด หมายความวา เห็น
ทันทั้งในขณะที่เกิดและขณะที่ดับ เปนญาณที่เห็นรูป-นามเกิดดับตามความ
เปนจริง
ภูมิแหงตีรณปริญญา กําหนดรูขั้นพิจารณา คือ รูดวยปญญาที่หยั่ง
ลึกซึ้งไปถึงสามัญลักษณะ ไดแกรูถึงการที่สิ่งนั้นๆ เปนไปตามกฎธรรมดา
โดยพิจารณาเห็นความไมเที่ยงเปนทุกข เปนอนัตตาภูมิแหงตีรณปริญญา
๒๐๔
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
เริ่มตั้งแตการพิจารณากองสังขาร จนถึงอุทยัพพยานุปสสนา (การพิจารณา
เห็ น ความเกิดและความดั บ ) ปริ ญญานี้ ก็คือ การตามกําหนดอย างจดจ อ
ตอเนื่องจนแจงสามัญลักษณะของอารมณที่กําหนดจัดเขาใน อริยสัจ ๔ คือ
“สมุทัย(จินตาญาณความรูที่เปนไปกับความดําริ หมายถึง วิปสสนาญาณ
ขั้นตนที่ยังออน ตรุณวิปสสนา) และนิโรธ (ตทังคนิโรธ ดับดวยองคนั้นๆ คือ
ดับกิเลสดวยธรรมที่เปนคูปรับ หรือธรรมที่ตรงขาม เชน ดับสักกายทิฏฐิดวย
ความรูที่กําหนดแยกรูปนามออกได เปนการดับชั่วคราวในกรณีนั้นๆ)”
๓) ปหานปริญญา๑๙๐ กําหนดรูถึงขั้นละได คือ รูถึงขั้นที่ทําใหถอน
ความยึดติดเปนอิสระจากสิ่งนั้นๆ ได (ละวิปลาสได) และปฏิบัติตอสิ่งตางๆ
ไดถูกตองภูมิแหงปหานปริญญาแบงเปนขั้นๆ เริ่ มตั้งแตพิจารณาเห็นโดย
ความเปนของไมเที่ยงยอมละนิจจสัญญาเสียได พิจารณาเห็นโดยความเปน
ทุกขย อมละสุ ขสั ญญา (ความสํ าคัญว าเป นสุ ข) เสี ยได พิจ ารณาเห็ น โดย
ความไมเปนตัว ตนละอัตตสัญญา (สําคัญวาเปนตัวตน) เสี ยได เบื่อหนาย
ความเพลิดเพลิน สํารอกราคะดับตัณหา สละคืนความยึดถือเสียไดจัดเขาใน
อริยสัจ ๔ คือ “แจงนิโรธ (อริยสัจ ๔ สมบูรณขึ้น) ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค
ในญาณที่ ๑๔ เปนสมุจเฉทประหาณ คือ ดับดวยตัดขาด คือ ดับ
กิเลสเสร็ จสิ้นเด็ด ขาด ดวยโลกุตตรมรรค ในขณะแหงมรรคนั้น สติ สมาธิ
ปญญา และธรรมฝายการตรัสรูทั้งปวง รวมลงที่จิตดวงเดียวเปนมรรคสมังคี
ในญาณที่ ๑๕ เปนปฏิปสสัทธินิโรธ ดับดวยสงบระงับ คือ อาศัย
โลกุตตรมรรค ดับกิเลสเด็ดขาดไปแลว บรรลุโลกุตตรผล กิเลสเปนอันสงบ
ระงับไปหมดแลว ไมตองขวนขวายเพื่อดับอีก ในขณะแหงผลนั้น
เมื่อเขาสูพระนิพพาน เปนนิสสรณนิโรธ ดับดวยสลัดออกได หรือ
๑๙๐
คําว า ปหาเน ปฺา แปลวา ป ญญาในการละ ป ญญาเปนเครื่องละ
วิปลาสทั้งหลายมีนิจจสัญญาวิปลาสเปนตน หรือธรรมชาติใดยอมละนิจจสัญญาวิปลาส
เปนตนได ฉะนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่ อวา ปหานาปญญา คือ “ญาณเปน เครื่องละนิ จ
สัญญาวิปลาส” อีกอยาง “คําวา ปริจฺจาคฏเ าณํ ญาณในอรรถวาสละ ไดแก มีการ
สละนิจสัญญาวิปลาสเปนตน เปนสภาวะ” ดูใน ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๙๓.
๒๐๕
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ดับดวยปลอดโปรงไป คือ ดับกิเลสเสร็จสิ้นแลว ดํารงอยูในภาวะที่
ดับกิเลสแลวนั้น ยั่งยืนตลอดไป ไดแก อมตธาตุ คือ นิพพาน
ภูมิแหงปหานปริญญาแบงตามการประหาณวิปลาส๑๙๑ ดังนี้
๑. เมื่อโยคี พิจารณาเห็นความดับของรูป-นาม (ในภังคญาณ) แลว
จากนั้นพิจารณาเห็นโดยความเปนของไมเที่ยง ยอมละนิจจสัญญาเสียได
๒. พิจารณาเห็นโดยความเปนทุกข เห็นความบีบคั้นใหคงสภาพเดิม
อยูไมได ยอมละสุขสัญญา (ความสําคัญผิดวาเปนสุข) เสียได
๔. พิจารณาเห็นโดยความไมใชตัวตน ไมอยูในอํานาจบังคับบัญชา
ของใคร ยอมละอัตตสัญญา (ความสําคัญผิดวาเปนตัวตน) เสียได
๕. เมื่อนั้น ยอมเบื่อหนายความเพลิดเพลิน สํารอกราคะ ดับตัณหา
สละคืนความยึดถือ (ละอุปาทานในขันธ ๕) ได๑๙๒
กํา หนดรู ถึ งขั้ น ละได คื อ กํา หนดรู สั งขารว า เป น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง
อนัตตา จนถึงขั้นละนิจสัญญา เปนตน๑๙๓ การกําหนดละจากกิเลสโดยการ
บรรเทา ทําฉันทะราคะในผัสสะใหสิ้นไปดังที่พระผูมีพระภาคตรัสวา “ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ฉันทะราคะในผัส สะใด ทานทั้งหลายจงละฉันทะราคะนั้ น
ฉันทะราคะนั้นจักเปนของอันทานทั้งหลายละแลว มีมูลรากอันตัดขาดแลว
ทําใหไมมีที่ตั้งดุจตาลยอดดวนถึงความไมมีในภายหลัง มีความไมเกิดขึ้นใน
อนาคตเปนธรรมดา โดยประการอยางนี”้
ญาณที่ปรากฏจัดเขาใน อริยสัจ ๔๑๙๔ คือ “นิโรธ (ตทังคนิโรธ ดับ
ดวยองคนั้นๆ คือ ดับกิเลสดวยธรรมที่เปนคูปรับ หรือธรรมที่ตรงขาม เชน
ดับสักกายทิฏฐิดวยความรูที่กําหนดแยกรูปนามออกได เปนการดับชั่วคราว
๑๙๑
ปญญาเครื่องละวิปลาส ชื่อวา ปหานปญญา (ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๙๓.)
วิปลาสธรรม คือ ธรรมที่มาปดบังพระไตรลักษณ ทําใหสรรพสัตวไมเห็นความ
จริงของรูป-นาม มี ๓ ประการ คือ ๑) ทิฏฐิวิปลาส ความเห็นผิดๆ ๒) จิตตวิปลาส
ความคิดผิดๆ ๓) สัญญาวิปลาส ความจดจํามาผิดๆ (วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๓๖๖.)
๑๙๒
ดูรายละเอียดใน ขุ.จู.อ. (ไทย) ๖/-/-/๖๔๕, ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๙๑.
๑๙๓
เรื่องเดียวกัน, หนา ๒๒๓.
๑๙๔
ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๓/๖๓.
๒๐๖
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ในกรณีนั้นๆ), สมุทัย(ตทังคนิโรธ ดับดวยองคนั้นๆ คือ ดับกิเลสดวยธรรมที่
เปนคูปรับ หรือธรรมที่ตรงขาม เชน ดับสักกายทิฏฐิดวยความรูที่กําหนด
แยกรูป นามออกได เปน การดั บ ชั่ว คราวในกรณีนั้ น ๆ), และเริ่ มแจ งนิ โ รธ
(อริยสัจ ๔เกิดโดยสมบูรณขึ้นตามลําดับ) ทุกข, สมุทัย,นิโรธ, มรรค”
ตารางญาณ ๑๖ ปริญญา ๓ และอริยสัจ ๔
บันได ๗ ขั้น วิปสสนาญาณ ๑-๑๖ ปริญญา ๓ อริยสัจ ๔
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป-เห็นนาม ๑.นามรูปปริจเฉทญาณ ๑.ญาต ทุกข (จินตาญาณ)
๒.ปจจยปริคคหญาณ ปริญญา สมุทัย(จินตาญาณ)
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
๓.สัมมสน แบบออน
นิโรธ(ตทังคนิโรธ)
ญาณ แบบแก ๒.ตีรณ
ตรุณอุทยัพพย ปริญญา
ขั้นที่ ๓ เห็นความไมเที่ยง ๔.อุทยัพพย ญาณ
ของรูป-นาม สมุทัย(ตทังคนิโรธ)
ญาณ พลวอุทยัพพย
ญาณ
๕.ภังคญาณ
๖.ภยญาณ
ขั้นที่ ๔ เห็นความเปนทุกข ๓.ปหาน
๗.อาทีนวญาณ
ของรูป-นาม ปริญญา
๘.นิพพิทาญาณ
แจงนิโรธ
ขั้นที่ ๕ เห็นความไมใช ๙.มุญจิตุกัมยตาญาณ
(อริยสัจ ๔
ตัวตนของรูป-นาม ๑๐.ปฏิสังขาญาณ เกิดโดยสมบูรณ
ขั้นที่ ๖ วางเฉยตอรูป-นาม ๑๑. ตน ขึ้นตามลําดับ)
สังขารุ ปลาย ทุกข, สมุทัย,
วุฏฐาน
เปกขา นิโรธ, มรรค
คามินี
ญาณ
๑๒.
อนุโลม
ญาณ
ขั้นที่ ๗ สลัดคืนรูป-นาม ๑๓.โคตรภูญาณ
๑๔.มรรคญาณ สมุจเฉทปหาน
๑๕.ผลญาณ ปฏิปสสัทธิปหาน
๑๖.ปจจเวกขณญาณ นิสสรณปหาน
๒๐๗
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ญาณที่ ๕ ภังคญาณ ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นความดับของรูป-นาม
สังขารแตฝายเดียว โดยยึดเอาความแตกดับของสังขารนั้นเปนอารมณวา ทุก
สิ่งทุกอยางยอมแตกดับไปอยางนี้
ญาณที่ ๖ ภยญาณ บ า งก็ เ รี ย กว า ภยตู ป ฏ ฐานญาณ ป ญ ญาที่
กําหนดจนรูเห็นวารูป-นามนี้เปนภัยเปนที่นากลัว เหมือนคนกลัวสัตวราย
เชน เสือ เปนตน
ญาณที่ ๗ อาทีนวญาณ ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นวารูป-นามนี้เปน
โทษ เหมือนผูที่เห็นไฟกําลังไหมเรือนตนอยู จึงคิดหนีจากเรือนนั้น
ญาณที่ ๘ นิพพิทาญาณ ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นวาเกิดเบื่อหนาย
ในรูป-นาม เบื่อหนายในปญจขันธ
ญาณที่ ๙ มุญจิตุกัมยตาญาณ ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นวาใครจะ
หนีจากรูป-นาม อยากพนจากการครองรูป-นาม ใครจะพนจากปญจขันธ
เปรียบดังปลาเปนๆ ที่ใครจะพนจากที่ดอนที่แหง
ญาณที่ ๑๐ ปฏิสังขาญาณ ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นเพื่อ หาอุบายที่
จะเปลื้องตนใหพนจากปญจขันธ เปนญาณที่ขมักเขมน เพื่อใหพนจากการ
ครองรูป-นาม
ญาณที่ ๑๑ สังขารุเปกขาญาณ (ตอนตน)ปญญาที่กําหนดจนรูเห็น
วา จะหนีไมพนจึงเฉยอยูไมยินดียินราย เปนญาณที่พิจารณารูป-นามดวย
อาการวางเฉย ดุจบุรุษอันเพิกเฉยในภริยาที่ทิ้งขวางหยารางกันแลว
ญาณที่ ๑๑ สังขารุเปกขาญาณ (ตอนปลาย) เปนการวางเฉยตอรูป
นามที่อยูในวิถีของการออกจากรูปนาม หรือเรียกวา สิขาปตตวิปสสนา คือ
ยอดแหงวิปสสนา โดยเปนฐานของการออก ๓ ฐาน คือ ๑) อนิจจานุปสสนา
๒) ทุกขานุปส สนา ๓) อนัตตานุปสสนา
ญาณที่ ๑๒ อนุโลมญาณ ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นใหคลอยไปตาม
อริยสัจจ เรียกวา สัจจานุโลมิกญาณ ก็ได เปนญาณที่รูอารมณรูป-นามเปน
ครั้งสุดทายกอนที่จะไดบรรลุมรรค ผล หรือเรียกวา “อนุตตญาณ”
๒๐๘
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ญาณที่ ๑๓ โคตรภู ญาณ จิ ต เห็ น พระนิ พพาน ตั ด ขาดจากโคตร
ปุถุชนเปนโคตรอริยชน เมื่อจิตหมดความอยาก (ไมมีตัณหา) จิตก็ปลอยวาง
อารมณทั้งปวง ถอยเขาหาจิตผูรูอยางอัตโนมัติ
ญาณที่ ๑๔ มรรคญาณ จิตเห็นพระนิพพาน และตัดขาดจากกิเลส
ญาณที่ ๑๕ ผลญาณ จิตเห็นพระนิพพานโดยเสวยผลแหงสันติสุข
ญาณที่ ๑๖ ปจจเวกขณญาณ จิตเห็นใน มรรคจิต ผลจิต นิพพาน
กิเลสที่ละแลว และกิเลสที่ยังคงเหลืออยู
อานิสงสของการกําหนดมี ๗ ประการ ไดแก
๑) สักกายทิฏฐิหาย เนื่องจากขณะที่เขาไปกําหนดรูนั้น ก็จะรูวาใน
ตัวเรา มิใชเรา สัตว บุคคล ตัวตน เราเขา เมื่อเขาใจอยูอยางนี้ก็ชื่อวา ขจัด
สักกายทิฏฐิ ได
๒) สัมมาทิฏฐิมรรคเกิด เมื่อขณะกําหนดรูอยูนั้น ความสําคัญมั่น
หมายวาเปนเรา เปนของของเราไมมี ความรูสึกยินดียินรายไมเกิด และ ไมมี
ความรูสึกยินดียินราย ในโลภะ โทสะ โมหะ ผลคือ กิเลสก็ไมเขามาเจือในจิต
๓) ตทังคปหานดับกิเลสชั่วขณะ เมื่อกําหนดรูอยูกิเลสดับไปชั่วขณะ
ดับไปหายไป ชั่วขณะหนึ่ง จึงเปนตทังคปหาน คือ ประหาณกิเลส หรือ ดับ
กิเลสชั่วขณะหนึ่ง มิใชตลอดกาล
๔) เกิดอนิจจานุปสสนา ในขณะกําหนด จะเกิดการเห็นถึงความ
ตั้งอยูไมได ไมเที่ยง โดยมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู และดับไปเปนธรรมดา
๕) ทุกขสัจ เมื่อกําหนดรูอาการนั้นๆ จะแสดงสภาวลักษณะใหเห็น
พระไตรลักษณ เห็นอาการเกิด-ดับ เกิดความเบื่อหนายในรูปนาม
๖) สัสสตทิฏฐิหาย ผลการจากกําหนดรู ทําใหเห็นวา แตละรูปแต
ละนาม ลวนเกิด-ดับ มิไดเนื่องเปนอันเดียวกัน เมื่อเขาใจอยางนี้ เรียกวา
สันตติขาด คือ ความสืบตอขาดไป
๗) อุจเฉททิฏฐิหาย เมื่อเขาใจวา พอง-ยุบ มิไดเปนอันเดียวกันรูป
นามสังขารมิไดสืบตอเนื่องกันเปนอันเดียวกัน ก็ทําใหเขาใจวา รูปนาม แต
๒๐๙
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
กาลกอนไมมี แตเดี๋ยวนี้เกิดมี ถึงเกิดมีมาก็จริง แตก็ตองแตกสลายไปดับไป
เปนธรรมดามิไดสูญสิ้นไปหากรูปนามยังมีกิเลสอยู๑๙๕
๗. การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ความเห็นแจงตามความเปนจริงของรูป-นาม ขันธ ๕ โดยที่ยังไมได
เจริญสมถะมากอนและยังไมไดฌานสมาบัติ เริ่มปฏิบัติวิปสสนาทีเดียว ใช
สมาธิเพียงระดับขณิกสมาธิ คือ รูทันปจจุบันทุกขณะของรูปนามโดยความ
เปนไตรลักษณ จนไดบรรลุมรรค ผล นิพพาน เรียกวาวิปสสนายานิก และ
เมื่อสิ้ น อาสวะกิเ ลส มีชื่ อ เรี ย กว า สุ ก ขวิ ป ส สกบุ คคล หรื อป ญญาวิ มุต ติ
บุคคล คือ บุคคลที่หลุดพนดวยความสามารถแหงปญญา๑๙๖
ในคัมภีรปฏิสัมภิทามรรค พระสารีบุตรอธิบายวิธีพิจารณาโดยนัย
วิปสสนาตั้งแตขนั้ แรกวา
ภิกษุพจิ ารณาเห็นกายนั้นอยางไร คือพิจารณาเห็นโดยความไมเที่ยง
ไม พิ จ ารณาเห็ น โดยความเที่ ย ง พิ จ ารณาเห็ น โดยความเป น ทุ ก ข ไม
พิจ ารณาเห็ น โดยความเป น สุ ข พิจ ารณาเห็ น โดยความเป น อนั ต ตา ไม
พิจารณาเห็นโดยความเปนอัตตา ยอมเบื่อหนายไมยินดี ยอมคลายกําหนัด
ไม กํ า หนั ด ย อ มทํ า ราคะให ดั บ ไม ใ ห เ กิ ด ย อ มสละคื น ไม ยึ ด ถื อ เมื่ อ
พิจารณาเห็นโดยความไมเที่ยงยอมละนิจจสัญญาได เมื่อพิจารณาเห็น
โดยความเปนทุกข ยอมละสุขสัญญาได เมื่อพิจารณาเห็นโดยความเปน
อนัตตา ยอมละอัตตสัญญาได เมื่อเบื่อหนาย ยอมละนันทิ(ความยินดี)ได
เมื่อคลายกําหนัดยอมละราคะได เมื่อทําราคะใหดับยอมละสมุทัยได เมื่อ
สละคืนยอมละความยึดถือได พิจารณาเห็นกายนั้นอยางนี๑๙๗ ้
แทจริงแลว การปฏิบัติวิปสสนานั้นไมตองการปฏิบัติใหถึงขั้นฌานก็
๑๙๕
พระภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัครมหากัมมัฏฐานาจริยะ, วิปสสนาธุระ,
(กรุงเทพมหานคร: บจก. C100 Co., Ltd., ๒๕๓๖), หนา๒๐-๒๔.
๑๙๖
ดูรายละเอียดใน องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๙๐/๗๙, วิสุทฺธ.ิ มหาฏีกา (บาลี) ๑/๒๑.
๑๙๗
ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๑๖๗/๒๕๘.
๒๑๐
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ปฏิ บั ติ วิ ป ส สนาได เ ลยทัน ที ดั ง มีข อความว า “ลมหายใจในขณะที่ไ มไ ด
กําหนดรูก็ยั งหยาบอยู ตอเมื่อกําหนดรูสภาวะของมหาภูตรูป(อาการเย็ น
รอน ออน แข็ง หยอน ตึง เคลื่อนไหวไปมา เปนตน) จึงละเอียดลง แมลม
หายใจในตอนที่กําหนดมหาภูตรูปนั้นก็นับวายังหยาบอยู เมื่อกําหนดอุปา
ทายรูป(รูปละเอียด) จึงละเอียดเขา ลมหายใจตอนที่กําหนดอุปาทายรูปนั้น
ยังหยาบอยู เมื่อกําหนดรูรูปทั้งสิ้นจึงละเอียดเขา ลมหายใจตอนที่กําหนดรู
รูปทั้งสิ้นก็นับวายังหยาบ ตอเมื่อที่กําหนดทั้งรูปทั้งนามจึงละเอียดเขา
แมลมหายใจในตอนที่กําหนดทั้งรูปทั้งนามนั้นก็นับวายังหยาบ ใน
ตอนที่กําหนดปจจัยของนามรูปจึงละเอียดเขา กายสังขารในตอนที่กําหนด
ปจจัยนั้นก็ยังนับวายังหยาบ ตอเมื่อเห็นนามรูปพรอมทั้งปจจัยจึงละเอียด
เขา แมกายสังขารในตอนที่เห็นนามรูปพรอมทั้งปจจัยนั้นก็นับวายังหยาบ
ถึงตอนที่เปนวิปสสนาอันมีไตรลักษณเปนอารมณจึงละเอียดเขา ในทุรพล
วิปสสนา(วิปสสนากําลังออน)ก็นับวายังหยาบ ในพลววิปสสนา(วิปสนากําลัง
กลา) จึงละเอียดเขา”๑๙๘
วิธีปฏิบัติของวิปสสนายานิกบุคคล โดยการเปลี่ยนการกําหนดให
กลายเปนการพิจารณารูป-นาม ดิ่งไปในทางของปญญาอยางเดียว๑๙๙ พระ
สารีบุตรเถระอธิบายวิธีเจริญวิปสสนาโดยการพิจารณารูป เวทนา สัญญา
สัขาร วิญญาณ (วิปสสนาภูมิ ๖) ดวยหลักอนุปสสนา ๗ ประการ วา
ภิกษุพิจารณากายนั้นโดยความไมเที่ยง ไมพิจารณาโดยความ
เที่ ย ง พิ จ ารณาโดยความเป น ทุ ก ข ไม พิ จ ารณาโดยความเป น สุ ข
พิจารณาโดยความเปนอนัตตา ไมพิจารณาโดยความเปนอัตตา ยอมเบื่อ
หนาย ไมยินดี ยอมคลายกําหนัด ไมกําหนัด ยอมใหราคะดับไป ไมให
เกิด ยอมสละคืน ไมยึดถือ เมื่อพิจารณาโดยความไมเที่ยงยอมละนิจจ
สั ญ ญาได เมื่ อพิ จ ารณาโดยความเป น ทุ กข ย อ มละสุ ข สั ญ ญาได เมื่ อ
พิจารณาโดยความเปนอนัตตายอมละอัตตสัญญาได เมื่อเบื่อหนาย ยอม
๑๙๘
ขุ.ป.อ. (บาลี) ๒/๑๐๗.,วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๑/๓๐๐,
๑๙๙
พุทธทาสภิกขุ, อานาปานสติสมบูรณแบบ, หนา ๙๕.
๒๑๑
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ละความยินดีได เมื่อคลายกําหนัดยอมละราคะได เมื่อใหราคะดับ ยอม
ละสมุทัยได เมื่อสละคืนยอมละความยึดถือได”๒๐๐ ...พิจารณาเวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ (วิปสสนาภูมิ ๖๒๐๑ ก็มีนัยดุจเดียวกัน)๒๐๒
และอธิ บ ายป ญ ญาญาณในการชํ า แรกกิ เ ลสตามลํ า ดั บ ขั้ น ตอน
อนุปสสนา ๗ ประการ ดังนี้
๑. อนิจจานุปสสนา ในรูป (ขันธ ๕) ที่บุคคลเจริญ ทําใหมากแลว
ยอมทําปญญาแลนไปใหเต็มรอบ อนิจจานุปสสนาในรูปที่เปนอดีต อนาคต
และปจจุบันที่บุคคลเจริญ ทําใหมากแลว ยอมทําปญญาแลนไปใหเต็มรอบ
๒. ทุ ก ขานุ ป ส สนา ในรู ป ที่ บุ ค คลเจริ ญ ทํ า ให ม ากแล ว ย อ มทํ า
ปญญาชําแรกกิเลสใหเต็มรอบ ทุกขานุปสสนาในรูปที่เปนอดีต อนาคต และ
ปจจุบันที่บุคคลเจริญทําใหมากแลว ยอมทําปญญาแลนไปใหเต็มรอบ
๒๐๐
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๖๖/๑๘๘.
๒๐๑
การเจริญวิปสสนาตองอาศัยอารมณวิปสสนา หรือวิปสสนาภูมิ ๖ เปน
ปรมั ต ถ อ ารมณ ได แ ก ขั น ธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อิ น ทรี ย ๒๒ อริ ย สั จ ๔
ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ถามวา เพราะเหตุอะไรพระผูมีพระภาคเจาตรัสขันธ ๕ แลว จึง
ตรั ส อายตนะ๑๒, ธาตุ ๑๘ อิ น ทรี ย ๒๒ ซ้ํ า อี ก ทั้ ง ที่ มี ส ภาวธรรมไม ต า งกั น กั น ?
อภิธัมมัตถสังคหะแกวา เพราะทรงประสงคอนุเคราะหสัตว ๓ เหลา คือ
๑. ทรงจําแนก นามและรูปไวในขันธ ๕ สําหรับอนุเคราะหสัตวผูหลงงมงายใน
นาม(โดยเฉพาะ) มีอินทรียแกกลา สอนเพียงเล็กนอย ก็เขาใจ
๒. ทรงจําแนก นามและรูปไวในธาตุ ๑๘ สําหรับอนุเคราะหสัตวผูหลงงมงาย
ในรูป(โดยเฉพาะ)มีอินทรียไมแกกลานัก ตองอธิบายขยายความจึงจะเขาใจ
๓. ทรงจําแนก นามและรูปไวในอินทรีย ๒๒ สําหรับอนุเคราะหสัตวผูหลงงม
งายในทั้งรูปทั้งนาม มีอินทรียออน ตองอธิบายและพร่ําสอนบอยๆ จึงจะเขาใจ
ดูใน ติสฺสทตฺตตฺเถโร, อภิธมฺมตฺถสงฺคหปาลิยา สห อภิธมฺมตฺถวิภาวินี นาม
อภิธมฺมตฺถสงฺคหฏีกา, พิมพครั้ง ที่ ๘, (กรุ งเทพมหานคร: โรงพิมพม หามกุฏราช
วิทยาลัย, ๒๕๔๒), หนา ๒๓๑.
๒๐๒
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๖๖/๑๘๘., ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒/๕๔๑.
๒๑๒
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
๓. อนัต ตานุ ปส สนา ในรู ปที่บุคคลเจริ ญ ทําใหมากแลว ย อมทํา
ป ญ ญามากให เ ต็ ม รอบ อนั ต ตานุ ป ส สนาในรู ป ที่ เ ป น อดี ต อนาคต และ
ปจจุบันที่บุคคลเจริญทําใหมากแลว ยอมทําปญญาแลนไปใหเต็มรอบ
๔. นิพพิทานุ ปสสนา ในรู ปที่บุคคลเจริ ญ ทําใหมากแลว ยอมทํา
ปญญาเฉีย บแหลมให เต็มรอบ นิพพิทานุป สสนาในรู ปที่เ ปนอดี ต อนาคต
และปจจุบันที่บุคคลเจริญทําใหมากแลว ยอมทําปญญาแลนไปใหเต็มรอบ
๕. วิ ร าคานุ ป ส สนา ในรู ป ที่บุ ค คลเจริ ญ ทํา ให มากแล ว ย อมทํ า
ปญญากวางขวางใหเต็มรอบ วิราคานุปสสนาในรูปที่เปนอดีต อนาคต และ
ปจจุบันที่บุคคลเจริญทําใหมากแลว ยอมทําปญญาแลนไปใหเต็มรอบ
๖. นิโรธานุปสสนา ในรูปที่บุคคลเจริญ ทําใหมากแลว ยอมทํา
ป ญ ญาลึ ก ซึ้ ง ให เ ต็ ม รอบ นิ โ รธานุ ป ส สนาในรู ป ที่ เ ป น อดี ต อนาคต และ
ปจจุบันที่บุคคลเจริญทําใหมากแลว ยอมทําปญญาแลนไปใหเต็มรอบ
๗. ปฏินิสสัคคานุปสสนา ในรูปที่บุคคลเจริญ ทําใหมากแลว ยอม
ทําปญญาไมใกลใหเต็มรอบ ปฏินิสสัคคานุปสสนาในรูปที่เปนอดีต อนาคต
และปจจุบันที่บุคคลเจริญ ทําใหมากแลว ยอมทําปญญาแลนไปใหเต็มรอบ
ฯลฯ.. อนิจจานุปสสนาในเวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณ
(ก็มีนัยดุจเดียวกัน)๒๐๓
การเจริญวิปสสนาลวนเรียกวา สุทธวิปสสนา ผูบรรลุมรรคผลดวย
การเจริญสุทธวิปสสนาเรียกวา สุกขวิปสสกบุคคล๒๐๔ พุทธทาสภิกขุเรียก
การเจริญอานาปานสติแบบวิปสสนาลวน ๆ วา อานาปานสติแบบลัดสั้น ซึ่ง
มีวิธีการปฏิบัติตดังนี้
เริ่มตนดวยกายใชสติกําหนดลมหายใจเขาและลมหายใจออกโดย
นึกในใจตามอาการของลมหายใจเขา-ออกวา ออกหนอ-เขาหนอ,ออกหนอ-
เขาหนอ เมื่อกําหนดลมหายใจเขา-ออกตามสมควรแลวใหเลื่อนมาสังเกตลม
๒๐๓
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒/๕๔๑.
๒๐๔
ดูรายละเอียดใน ขุ.เถร.อ. (บาลี) ๒/๑๒๘๘/๖๐๓
๒๑๓
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
หายใจเขา-ออก ยาว หรือสั้น และกําหนดรูตามอาการที่หายใจนั้น ถาจะ
กําหนดให ล ะเอียดยิ่งขึ้นไป ให กําหนดลมหายใจหยาบหรื อละเอีย ด โดย
กําหนดรูตามอาการที่หายใจนั้นวา หยาบหนอ-ละเอียดหนอ, หยาบหนอ-
ละเอียดหนอ แนวปฏิบั ติสําหรับ บุคคลผูไมประสงคจะทําใหเต็ มที่ในฝาย
สมถะ แตมีความประสงคจะลัดตรงไปสูวิปสสนาไดเลย ก็สามารถที่จะยัก
ยายหรือเปลี่ยนการกําหนดใหกลายเปนการพิจารณา และพิจารณารูป-นาม
โดยความเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดวยอํานาจของการพิจารณาดิ่งไป
ในทางของปญญาอยางเดียว โดยไมหวงหรือไมตองการบรรลุฌานเปนตนไป
แตอยางใด ซึ่งหมายความวาไมตองการสมาธิถึงขนาดบรรลุฌาน ตองการ
สมาธิเพียงเทาที่จะเปนบาทฐานของวิปสสนาเทานั้น โดยเพงเล็งเอาความดับ
ทุกขเ ป น ที่มุงหมาย แต ไม ป ระสงค ส มรรถภาพหรื อคุ ณสมบั ติ พิ เ ศษ เช น
อภิญญาเปนตน มีลําดับพิจารณารูป-นาม๒๐๕
พระสารีบุตรเถระอธิบายวา ยอมทําธรรมทั้งหลาย (โพธิปกขิยธรรม
๓๗ ประการ๒๐๖) ใหประชุมลง คือ บุคคลยอมทําอินทรียทั้งหลายใหประชุม
ลงดวยการเปนใหญ ทําพละทั้งหลายใหประชุมลงดวยการไมหวั่นไหว ทํา
โพชฌงคทั้งหลายใหประชุมลงดวยการเปนธรรมเครื่องนําออก ทํามรรคให
ประชุมลงดวยการเปนเหตุ ทําสติปฏฐานใหประชุมลงดวยการเขาไปตั้งไว
ทําสัมมัปปธานใหประชุมลงดวยการเริ่มตั้งความเพียร ทําอิทธิบาทใหประชุม
ลงดวยการใหสําเร็จ ทําสัจจะใหประชุมลงดวยการถองแท ทําสมถะให
ประชุมลงดวยการไมฟุงซาน ทําวิปสสนาใหประชุมลงดวยการพิจารณาเห็น
ทําสมถะและวิปสสนาใหประชุมลงดวยการมีกิจเปนอันเดียวกัน ทําธรรม
เปนคูกันใหประชุมลงดวยการไมลวงเกินกัน
๒๐๕
พุทธทาสภิกขุ, สมถวิปสสนายุคปรมาณู, หนา ๗๒-๘๖.
๒๐๖
โพธิปกขิยธรรม(ธรรมอันเปนฝายแหงการตรัสรู) ๓๗ ประการ ไดแก สติ
ปฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย ๕ พละ ๕ โพชฌงค ๗ มรรคมีองค ๘
ดูใน ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๕๐/๑๗๔, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๕๒๒/๓๙๒, องฺ.ทสก.ฏีกา (บาลี)
๓/๑๑๓-๑๑๖/๔๓๘.
๒๑๔
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ทําสีลวิสุทธิใหประชุมลงดวยการสํารวม ทําจิตตวิสุทธิใหประชุมลง
ดวยการไมฟุงซาน ทําทิฏฐิวิสุทธิใหประชุมลงดวยการเห็นถูก ทําวิโมกขให
ประชุมลงดวยความหลุดพน ทําวิชชาใหประชุมลงดวยการแทงตลอด ทํา
วิมุตติใหประชุมลงดวยการสละรอบ ทําญาณในความสิ้นไปใหประชุมลงดวย
การตัดขาด ทําญาณในความไมเกิดขึ้นใหประชุมลงดวยการเห็นเฉพาะ ทํา
ฉันทะใหประชุมลงดวยการเปนมูลเหตุ ทํามนสิการใหประชุมลงดวยการเปน
สมุฏฐาน ทําผัสสะใหประชุมลงดวยการประสบ ทําเวทนาใหประชุมลงดวย
การรูสึก ทําสมาธิใหประชุมลงดวยการเปนประธาน ทําสติใหประชุมลงดวย
การเปนใหญ ทําสติสัมปชัญญะใหประชุมลงดวยการเปนธรรมที่ยิ่งกวานั้น
ทําวิมุตติใหประชุมลงดวยการเปนสาระ ทํานิพพานอันหยั่งลงในอมตะให
ประชุมลงดวยการเปนที่สุด๒๐๗
๘. วิปสสนาดับภพชาติไดอยางไร
เมื่อรูแจงอารมณขณะเกิดผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตก็จะ
ไมเกิดสังขารปรุงแตง เมื่อไมปรุงแตงก็ไมเกิดตัณหาอุปาทาน เมื่อไมเกิด
ตั ณ หาอุป าทานก็ ไม เ กิด ภพ-ชาติ เมื่ อไม มีค วามเกิ ด อี ก ก็ ไ มมี ความแก
ความเจ็บ และความตายอีกตอไป นี่แลคือการดับภพ-ชาติในขณะจิตปจจุบัน
การดับภพ-ชาติในขณะจิตปจจุบันนี้ เปรียบเหมือนการดับไฟที่กน
บุหรี่ หรือที่กานไมขีด กําจัดตนตอที่จะลุกลามเผาบานเผาเมืองในที่สุด
หากไม เ กิด ป ญ ญารู แจ ง เมื่อ ตาเห็ น เสื้ อสวย ไมมี ส ติ รู เ ท าทั น จิ ต
ปญญาไมรูแจงอารมณ ก็จะเกิดสังขารปรุงแตงวา “เสื้อสวย นาจะเปนของ
เรา” แลวยึดมั่นในจิตนั้นวา “เราอยากได” ภพ-ชาติเกิดขึ้นทันที โดยความ
เปนผูอยากไดเสื้อตัวนั้น ทุกขยอมเกิดตามมา ฯลฯ
แตเมื่อฝกวิปสสนา เกิดปญญารูแจงอารมณแลว ขณะตาเห็นเสื้อ
สวย รูทันจิตวา “วิญญาณกําลังรู กําลังเห็น” สิ่งที่เห็นจึงเปนเพียงสีที่ถูกเห็น
๒๐๗
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๗๐/๒๖๖.
๒๑๕
บทที่ ๓ การเจริญวิปสสนาแบบลัดสั้น
ไมเกิดสังขารปรุงแตง วาเปนเสื้อ ความรูสึกวาสวยหรือไมสวยจึงไมเกิดขึ้น
ตัณหาอุปาทานที่อยากไดอยากมี ก็เกิดไมได ภพ-ชาติก็ถูกระงับไป
เมื่อภพ-ชาติถูกระงับไปทุกๆ ขณะ ที่มีสติและสัมปชัญญะรูเทาทัน
ผัสสะ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เชนนี้ ทําใหหมดเชื้อที่กอใหเกิดภพ-ชาติ
อันเปนที่มาของทุกข เปรียบเหมือนเชื้อไฟที่ถูกดับตั้งแตปลายไมขีดแลว เมื่อ
ไมเกิดภพ-ชาติในทุกขณะจิตที่รับรูอารมณ ทําใหหมดเชื้อที่จะใหไปเกิดใหม
เมื่อจริมจิต ๒๐๘ดับในขณะตาย ไมหน วงใหเกิด ปฏิสนธิจิต อีกตอไป ไมถือ
กําเนิดในภพใหมอีกแลว ยอมปรินิพพาน ณ ขณะนั้น
๒๐๘
จิตสุดทาย หมายถึง จุติจิตของพระอรหันต ขณะปรินิพพาน (ขุ.จู.อ.(บาลี)
๖/๗.)
๒๑๖
บทที่ ๔
วิธีพิจาณาอุปกิเลส ในญาณ ๑๖
อุปกิเลส แปลวา สิ่งที่ทําใหจิตเศราหมอง ขุนมัว รับคุณธรรมไดยาก
ในทางพระพุทธศาสนาถือวา กิเลสเปนภัยรายแหงจิต ทําใหคนตัดสินใจทํา
ผิด ทําใหจิตไมอาจบรรลุนิพพาน ฉะนั้น วิปสสนูปกิเลสจึงหมายถึงสิ่งที่ทําให
วิปสสนาหมนหมอง๑ สภาพที่ใจถูกอุทธัจจะในธรรมกั้นไว ความฟุงซานใน
ธรรม๒ สิ่งที่ทําใหวิปสสนาหมนหมอง และใหรายละเอียดเพิ่มเติมวา สาเหตุ
ที่ทําใหวิปสสนาหมนหมองเกิดจากใจที่ถูกความฟุงซานในธรรม คืออุปกิเลส
ครอบงํา และเกิดแกผูที่ไดตรุณวิปสสนาอันดับแรก มีชื่อเรียกวา อุทยัพยา
นุปสสนาญาณ๓
คัมภีรพุทธศาสนาหลายคัมภีรระบุวา วิปสสนูปกิเลส ๙ ประการ
แรกเปนที่ตั้งของอุปกิเลส มิใชอุปกิเลส สวนนิกันติเปนอุปกิเลส (โดยตรง)
เมื่อผูปฏิบัติยินดีในญาณ เปนตนนั้นๆ ภาวนายอมเสื่อมไป คนที่มีการสดับ
นอยยอมสําคัญวาไดบรรลุธรรมแลวในธรรมที่ยังมิไดบรรลุ เปนอารมณที่ตั้ง
ของอุ ป กิ เ ลส คื อ เครื่ อ งเศร า หมอง ๓ ประการอั น ได แ ก ตั ณ หา มานะ
และทิฏฐิ จึงชื่อวา อุปกิเลส โดยออม สวนนิกันติเปนตัณหาที่ทําใหวิปสสนา
เศราหมอง จึงชื่อวา อุปกิเลส โดยตรง และชื่อวา อุปกิเลสวัตถุ (ที่ตั้งของ
อุปกิเลส) เพราะเปนอารมณที่ตั้งของตัณหาเปนตน ๓ ประการ๔
๑
ดูรายละเอียดใน พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, แปลและเรียบเรียง
โดย สมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ อาสภมหาเถระ), พิมพครั้งที่ ๖, 2550) หนา ๑๐๖๑.
๒
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖-๗/๔๒๕-๔๒๗.
๓
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค,หนา ๑๐๖๐-๖๑.
๔
พระพุทธทัตตเถระ, อภิ ธั ม มาวตาร, พิมพครั้งที่ ๓, พระธัมมานันทมหา
เถระ อั ค รมหาบั ณ ฑิ ต ตรวจชํ า ระ, พระคั น ธสาราภิ ว งศ แปลและอธิ บ าย,
(กรุงเทพมหานคร: หจก. ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๕), หนา ๔๓๐-๔๓๒.
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
อุปกิเลสมี ๑๐ คือ โอภาส ญาณ ปติ ปสสัทธิ สุข อธิโมกข ปคคหะ
อุป ฏฐานะ อุเ บกขาและนิ กัน ติ เมื่อขาดสติ ก็จ ะเขาไปยึด ถือว า “โอภาส
เกิดขึ้นแกเราแลว” ก็จะเกิดวิปสสนูปกิเลสขึ้น โดยการยึดถือ ๓ ทาง คือ
ยึดถือโดย ทิฏฐิ มานะ และตัณหา ที่เรียกวาอุปกิเลสเพราะเปนวัตถุ (ที่ตั้ง)
ของอุปกิเลส มิใชเพราะเปนอกุศล สวนนิกันติเปนทั้งอุปกิเลสและเปนที่ตั้ง
ของอุปกิเลสดวย เปนกิเลสในระดับผูมีวิปสสนาญาณ เมื่อเปนวิปสสนาก็จะ
มีปรมัถตเปนอารมณ ซึ่งหมายความวาวิปสสนูปกิเลสเปนอารมณประเภท
ธรรมารมณ โดยมีอุปกิเลส ๑๐ เปน สิ่งเราใหเกิดวิ ปสสนูป กิเลส โดยการ
ยึดถือ ๓ ทางคือยึดถือโดยทิฏฐิ ยึดถือโดยมานะ และยึดถือโดยตัณหา และ
เกิดแกบุคคลผูปฏิบัติชอบ ผูมีความพากเพียรในการปฏิบัติอยายิ่งยวด
อนึ่ง เนื่องดวยวิปสสนูปกิเลสจะเกิดในผูที่ปฏิบัติวิปสสนาภาวนา
ซึ่งมีปรมัต ถเป นอารมณ ในปรมัตถโชติก๕ ได แสดงไวว า วา ธรรมชาติใด
ยอมเห็นแจงในอารมณตางๆ มีรูปารมณ เปนตน โดยความเปนนามรูป ที่
พิเศษนอกออกไปจากบัญญัติ โดยการละทิ้งสัททบัญญัติ๖ อัตถบัญญัติ๗ เสีย
สิ้น และยอมเห็นแจงในอารมณตางๆ มีรูปารมณ เปนตน โดยอาการเปน
อนิจจะ ทุกขะ อนัตตะ อสุภะ ที่พิเศษนอกออกไปจากนิจจสัญญาวิปลาส
สุขสัญญาวิปลาส อนัตตสัญญาวิปลาสเสียฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อวาวิปสสนา
ไดแก ปญญาเจตสิก ที่ในมหากุศล มหากิริยา
๕
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริเฉจที่ ๙ เลม ๑ สมถกร
รมฐานทีปนี, พิมพครั้งที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร: วี อินเตอร พริ้น, ๒๕๔๗), หนา๑๗.
๖
สั ท ทบั ญ ญั ติ เรี ย กอี ก ชื่ อ ว า นามบั ญ ญั ติ บั ญ ญั ติ ใ นแง เ ป น เครื่ อ งให รู กั น
บัญญัติที่เปนชื่อ แยกยอยออกเปน ๖ ดูรายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺ
โต), พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม,พิมพครั้งที่ ๑๘, (กรุงเทพมหานคร:
บริษัท เอส อาร พริ้นติ้ง แมส โปรดักส จํากัด, ๒๕๕๓), หนา๖๖-๖๗.
๗
เรื่องเดียวกัน, หนา ๗๑.
๒๑๘
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
๑. อารมณเปนที่ตั้งของอุปกิเลส ๑๐
อารมณเปนที่ตั้งที่ทําใหมีวิ ปสสนู ปกิเลส มี ๑๐ ชนิด คือ โอภาส
ญาณ ปติ ปสสัทธิ สุข อธิโมกข ปคคาหะ อุปฏฐานะ อุเบกขา และนิกันติ
การจะรูจักวิปสสนูปกิเลสในเบื้ องตน ก็ดว ยการดูลักษณะเฉพาะ
ของวิปสสนูปกิเลสนั้น เพื่อที่จะรูจักลักษณะพิเศษ หรือลักษณะเฉพาะของ
เขาแตละชนิด เปรียบเหมือนจะรูจักใครสักคนก็ตองรูจักนิสัยใจคอ หนาที่
การงาน ความสามารถ ของเขาคนนั้นวาเปนอย างไร ลักษณะเฉพาะของ
สภาวธรรมทั้ง ๑๐ มีดังนี้
๑. โอภาส หมายถึง แสงสวาง ไดแก แสงสวางในวิปสสนา แตกตาง
กันไปบางทานโอภาสเกิดขึ้นสองสวางเพียงฐานบัลลังกเทานั้น สําหรับบาง
ทานสองสวางตลอดภายในหอง สําหรับบางทาน สองสวางภายนอกหองดวย
สําหรั บบางทานส องสว างไปทั่ว วิห าร สํ าหรับ บางทานสองสวางไปตลอด
คาวุตตลอดครึ่งโยชน ตลอด ๑ โยชน ตลอด ๒ โยชนตลอด ๓ โยชน เปน
ตน๘ เมื่อเกิดความสวางขึ้นในใจ จิตใจของบุคคลนั้นจะรูสึกเกิดความพอใจ
กับสิ่งอัศจรรยในใจ ที่ปรากฏขึ้น มีความสวางในจิตในใจขึ้น มีเหมือนเปน
แสงสวางอยูทั่วตัว เกิดความยินดีพอใจ จึงมองไมเห็นรูป-นาม เพราะมัวติด
อยูกับแสง สวางเหลานั้น เรียกวามีนิกันติ
๒. ญาณ หมายถึง การรูน ามรูปที่เกิดดับอยางรวดเร็วในทวารทั้ง ๖
ที่เกิดขึ้นตามที่กําหนด ซึ่งหมายความวา ขณะที่กําหนดไปก็จะรูซึ้งถึงความ
เปนอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาของรูปนามที่กําลังเกิดดับอยูและในการรูนี้จะ
ไมรูสึกวาเปนการพิจารณา แตจะรูสึกวาเปนการรูโดยธรรมชาติ๙ สงเคราะห
เขาในปญญินทรียเจตสิก ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ ดังนี้
๘
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๖๒.
๙
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสสนาชุนี หลักการปฏิบัติวิปสสนา
(ฉบับสมบรูณ), แปลโดย จํารูญ ธรรมดา, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพทิพยวิสุทธิ์,
๒๕๕๓), หนา ๕๒๐.
๒๑๙
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
- ธมฺมสภาวปฏิเวธลกฺขณา มีการรูแจงสภาวธรรม เปนลักษณะ
- ธมฺมานํ สภาวปฏิจฺฉาทกโมหนฺธการวิทฺธสนรสา (วา) มีการกําจัด
ความมืด(โมหะ) อันปกปดมิใหเห็นสภาวธรรมตามความเปนจริง เปนกิจ
- ตถปฺปกาสนรสา (วา) หรือมีการประกาศความจริง เปนกิจ
- ปรมตฺถปกาสนรสา (วา) หรือมีการประกาศปรมัตถธรรม เปนกิจ
- จตุสจฺจวิภาวนกิจฺจุปฏฐานา มีการยังอริยสัจ ๔ ใหแจมแจงเปนกิจ
- อสมฺโมหปจฺจุปฏฐานา มีความไมหลงจากความจริง เปนผล
- สมาธิปทฏฐานา มีสมาธิ เปนเหตุใกล
แตความรู ในขั้นนี้มีความรูสึกวาตั วเองนั้น รูอะไรทะลุป รุโปรงไป
หมด จะคิดจะนึก จะพิจารณาอะไร มันเขาใจไปหมด ในขณะที่ผูปฎิบัติกําลัง
ปฏิบั ติ เทียบเคีย งไตรตรองรู ปธรรมและนามธรรมทั้งหลายอยู นั้นญาณมี
กระแสอันปราดเปรียวแหลม คมแกกลาชัดแจง ก็บังเกิดขึ้นประดุจดังวชิระ
ของพระอินทรที่ทรงซัดออกไป
๓. ปติ หมายถึง ความอิ่มใจ ความดื่มด่ํา๑๐ ปติมี ๕ อยาง คือ
๑. ขุททกาปติ ความเอิบอิ่มเล็กนอย
๒. ขณิกาปติ ความเอิบอิ่มเพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ
๓. โอกกันติกาปติ ความเอิบอิ่มซาเซ็น
๔. อุพเพงคาปติ ความเอิบอิ่มโลดแลน
๕. ผรณาปติ ความเอิบอิ่มซาบซาน๑๑
ปติสงเคราะหเขาในปติเจตสิก มีลักษณะเฉพาะ๑๒ ดังนี้
- สมฺปยายนลกฺขณา มีความแชมชื่นใจในอารมณ เปนลักษณะ
๑๐
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวล
ธรรม, พิมพครั้งที่ ๑๓,(กรุงเทพมหานคร: บริษัท เอส อาร พริ้นติ้ง แมส โปรดักส
จํากัด, ๒๕๔๘), หนา ๒๒๖.
๑๑
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๖๔-๑๐๖๕.
๑๒
วรรณสิทธิ ไวทยะเสวี รวบรวม, คูมือการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริ
เฉจที่ ๒ เจตสิกสังคหวิภาค, หนา ๓๐.
๒๒๐
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
- กายจิตฺตปนฺนรสา (วา) มีการทําใหอิ่มกายอิ่มใจ(หรือ) เปนกิจ
- ผรณรสา มีการทําใหซาบซานทั่วรางกาย เปนกิจ
- โอคยฺยปจฺจุปฏฬฐานา มีความฟูใจ เปนผล
- เสสขนฺธตฺตยปทฏฐานา มีเวทนาขันธ สัญญาขันธ วิญญาณขัน ธ
เปนเหตุใกล
เมื่อมีความอิ่มเอิบใจอยางมาก จิตใจมีความปลื้มอกปลื้มใจ ปรากฏ
ในขณะปฏิบัติ ธรรม เมื่อเกิดขึ้นแลวมี ๕ อยาง คือ ขุททกาปติ (ความอิ่มใจ
เล็กนอย) ขณิกาปติ (ความเอิบอิ่มที่เพิ่มพูนทุกขณะ) โอกกันติกาปติ (ความ
เอิบอิ่มซานเซ็นเปนพักๆ) อุพเพงคาปติ (ความเอิบอิ่มโลดแลน) ผรณาปติ
(ความเอิ บ อิ่ ม ซาบซ า น)ป ติ อิ่ ม เอิ บ อย า งมากจนก็ เ กิ ด ความยิ น ดี พ อใจ
วิปสสนาก็ไมเจริญ
๔. ปส สัท ธิ หมายถึ ง ความสงบเย็ น กายใจ ความผ อ นคลายรื่ น
๑๓
สบาย ป ส สั ท ธิ ใ นวิ ป ส สนา ทราบว า เมื่ อ โยคี นั่ ง อยู ใ นที่ พั ก กลางคื น ก็ ดี
กลางวันก็ดี ในสมัยนั้น ทั้งกายและจิตไมมีความกระวนกระวาย ๑ ไมมีความ
หนัก ๑ ไมมีความกระดาง ๑ ไมมีความไมควรแกงาน (ในการปฏิบัติ) ๑ไมมี
ความเจ็บไข ๑ ไมมีความคดโกง ๑ แตทวาในสมัยนั้นแล กายและจิตของ
โยคีนั้น สงบ ๑ เบา ๑ ออน ๑ ควรแกงาน ๑ ผองใส ๑ เที่ยงตรง ๑ เปนแท
เลย โยคีนั้ น เป น ผู มีกายและใจอัน ธรรมทั้งหลายมีป ส สั ทธิ เ ป น ต น เหล า นี้
อนุ เ คราะห แ ล ว ในสมัย นั้ น ก็ เ สวยความยิ น ดี ที่เ รี ย กว า มิใ ช ข องมี อยู ใ น
มนุ ษย ๑๔ ป ส สั ทธิ ส งเคราะห เ ขาใน กายป ส สั ทธิ เ จตสิ ก และจิ ต ตป ส สั ท ธิ
เจตสิก มีลักษณะเฉพาะ ดังนี้
- กายจิตฺตานํ ทรถวูปสมลกฺขณา มีการทําใหจิตเจตสิกสงบจาก
ความเรารอน เปนลักษณะ
- กายจิตฺตทรถนิมฺมทฺทนรสา มีการกําจัดความเรารอนของจิต
๑๓
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวล
ธรรม, หนา ๑๖๕.
๑๔
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๖๕.
๒๒๑
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
เจตสิก เปนกิจ
- กายจิตฺตานํ อปริปฺผนฺทนสีติภาวปจฺจุปฏฐานา มีความเยือกเย็นไม
ดิ้นรน เปนผล
- กายจิตฺตปทฏฐานา มีจิตและเจตสิก เปนเหตุใกล
จิตใจมีความสงบอยางมาก มีความนิ่ง ความ สงบ ลงไปอยางมาก
ปราศจากความซั ด ส า ยฟุ ง ซ า นในขณะมี ป ส สั ท ธิ ป รากฏมี ส ภาวธรรม
บางอยางเกิดรวมคือลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา ปาคุญญตา แลอุชุกตา
๕. สุข หมายถึง ความสุขจากการประกอบวิปสสนา เปนความสุข
อั น ประณี ต ยิ่ ง เกิ ด ขึ้ น ท ว มท น ไปในสรี ร กายทั้ ง สิ้ น ๑๕ ความสุ ข ประกอบ
วิปสสนา สงเคราะหเขาในสุขเวทนาเจตสิกและโสมนัสเวทนาเจตสิก
สุขเวทนาเจตสิกมีลักษณะเฉพาะ ดังนี้
- อิฏฐโผฏฐพฺพานุภวนลกฺขณา มีการสัมผัสกับโผฏฐัพพารมณที่ดี
เปนลักษณะ
- สมฺปยุตฺตานํ พยุหนรสามีการทําใหสัมปยุตธรรมเจริญ เปนกิจ
- กายิกอสฺสาทปจฺจุปฏฐานา มีความยินดีทางกาย เปนผล
- กายินฺทฺริยปทฏฐานา มีกายปสาท เปนเหตุใกล
โสมนัสเวทนาเจตสิกมีลักษณะเฉพาะ๑๖ ดังนี้
- อิฏฐารมฺมณานุภวนลกฺขณา มีการเสวยอารมณที่ดี เปนลักษณะ
- อิฏฐาการสมฺโภครสา มีการประจวบกับอาการที่นาปรารถนา
เปนกิจ
- เจตสิกอสฺสาทปจฺจุปฏฐานา มีความแชมชื่นยินดีทางใจ เปนผล
- ปสฺสทฺธิปทฏฐานา มีความสงบกายใจ เปนเหตุใกล
เมื่อมีความสบายมากในขณะที่ผูปฏิบัติบําเพ็ญวิปสสนากําลังปฏิบัติ
อยูนั้น ความสุขอันประณีตยิ่งก็บังเกิดขึ้นทวมทนไปทั่วสรีระกายเปนสุขทวม
๑๕
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๖๖.
๑๖
เรื่องเดียวกัน, หนา ๒๐.
๒๒๒
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ทนหัวใจ ไมสามารถจะบรรยายใหถูกตองได เพราะเปนสุขที่มีรสอันล้ําลึก
แปลกประหลาดทําใหผูปฏิบัติเขาใจผิดวา เปนนิพพานหรือทําใหยินดีพอใจ
(นิกันติ)เปนโลภะ สงผลใหการเจริญสติไมตอเนื่องและรูป- นามไมชัดเจน
จัดเปนวิปสสนูปกิเลส
๖. อธิ โ มกข หมายถึง ตั ด สิ น ใจเชื่ อ หรื อศรั ทธาที่ สั มปยุ ต ตด ว ย
วิปสสนา เปนความผองใสยิ่ง ของจิตและเจตสิกที่เปนศรัทธาที่มีกําลังกลา
พาใหคิดไปใหญโต เชน คิดถึงคนทั้งหลายอยากใหเขาไดเขากรรมฐานอยาง
ตนบาง เมื่อนึกใกลเขามาถึงอาจารยผูใหกรรมฐานแกตนในปจจุบันก็เกิด
ศรัทธาในตัวทานนึกถึงบุญคุณของทานตลอดจนบุญคุณของพระพุทธศาสนา
เปนอยางยิ่งเชื่อถือลงไป แลวก็ติดใจในความเชื่อถือเหลานั้น ไมเห็นรูป-นาม
อีกเหมือนกัน๑๗ สงเคราะหเขาในอธิโมกขเจตสิก มีลักษณะเฉพาะ ดังนี้
- สนฺนิฏฐานลกฺขโณ มีการตัดสินใจเด็ดขาด เปนลักษณะ
- อสํสปฺปนรโส มีการตั้งมั่นไมรวนเรในอารมณ เปนกิจ
- วินิจฺฉยปจฺจุปฏฐาโน มีการตัดสิน เปนผล
- สนฺนิฏเฐยฺยธมฺมปทฏฐาโน มีธรรมที่ตองตัดสินใจ เปนเหตุใกล
๗. ปคคหะ หมายถึง วิริยะ คือความเพียร เพราะวา ความเพียรที่
สัมปยุตดวยวิปสสนานั่นแล เปนความเพียรที่ไมหยอนเกินไป ไมตึงเกินไป
ประคับประคองไวเปนอยางดี ก็เกิดขึ้นแกโยคีนั้น๑๘
ปคคหะสงเคราะหเขาในวิริยะเจตสิก มีลักษณะเฉพาะ ดังนี้
- อุสฺสาหนลกฺขณํ มีความอดทนตอสูกับความลําบาก เปนลักษณะ
- สหชาตานํ อุปตฺถมฺภนรสํ มีการอุดหนุนธรรมที่เกิดพรอมกับตนไม
ใหถอยหลังเปนกิจ
- อสีสํทนปจฺจุปฐานํ มีการไมถอย เปนผล
- สํเวควตฺถุ ปทฏฐานํ มีความสลด คือสังเวควัตถุ ๘ เปนเหตุใกล๑๙
๑๗
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๖๖.
๑๘
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๖๖.
๑๙
เรื่องเดียวกัน, หนา ๒๙.
๒๒๓
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
- วิริยารมฺภ วตฺถุ ปทฏฐานํ หรือ วิริยารัมภวัตถุ ๘๒๐ เปนเหตุใกล
เมื่อผูปฏิบัติจะเกิดความเพียรอยางมาก เปนความเพียรที่สัมปยุต
ดวยวิปสสนาซึ่งเปนความเพียรที่ไมตึงเกินไปไมหยอนเกินไปประคับประคอง
ไวเปนอยางดีพยายามในการปฏิบัติอยางไมรูจักเหน็ดเหนื่อย เกิดความขยัน
ขึ้นเปนพิเศษจนทําใหตนเองแปลกใจวาเหตุใดตนจึงไดมีวิริยะมากไมรูจัก
เหน็ดเหนื่อยในการปฏิบัติเชนนี้และเมื่อมนสิการไมดีก็จะเขาใจตนเองผิดไป
วาไดมรรคผลนิพพานแลว ทําใหไมมี คิดจะปฏิบัติวิปสสนาตอไป
๘. อุ ป ฏ ฐาน หมายถึ ง สติ ที่ ป รากฏขึ้ น เหมื อ นกั บ ว า รู ป นาม
ทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นไดแลนเขามาสูภายในจิต หรือเหมือนกับวาดวงจิตที่
กําหนดนั้นแหละ แลนเขาไปหารูปนามเหลานั้น ดวยอํานาจของสติที่เรียกวา
อุป ฏฐาน นี้แหละที่ส ามารถกําหนดอาการของรู ป นามทั้งหลายได แมจ ะ
ละเอียดออนเพียงไรก็ตาม อารมณและการกําหนด จะปรากฏเปนจังหวะเขา
กันไดดีมาก๒๑
อุปฏฐานสงเคราะหเขากับสติเจตสิก มีลักษณะเฉพาะ ดังนี้
- อปลาปนลกฺขณา มีความระลึกไดในอารมณเนืองๆ เปนลักษณะ
- อสมฺโมหรสา มีความไมหลงลืม เปนกิจ
- วิสยาภิมุขภาวปจฺจุปฏฐานา มีความจดจอตออารมณ เปนผล
- ถิรสฺญา ปทฏฐานา (วา) มีความมั่นคง (หรือ) เปนเหตุใกล
- กายาทิสติปฏฐาน ปทฏฐานา มีสติปฏฐาน ๔ (กาย เวทนา จิต
ธรรม) เปนเหตุใกล
เมื่อมีความรูสึกวาสตินี้คลองวองไวที่ จะกําหนดรูส ภาวธรรมตางๆ
อารมณตางๆ ที่มากระทบในสวนตางๆ สติมีความรับรูวองไวมาก เปนสติที่
ทําใหอารมณปรากฏชัดเจนนี้ทําใหสภาวะรูป-นามที่แมจะละเอียดก็เปนสิ่งที่
ประจักษ ชัดเจนแกผูปฏิบัติ จนเกิดความพอใจในสติที่มีสติระลึกรูไดเทาทัน
๒๐
เรื่องเดียวกัน, หนา ๒๙.
๒๑
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) , วิปส สนาชุนี หลักการปฏิบตั วิ ปิ ส สนา
(ฉบับสมบรูณ) ,หนา๕๒๖.
๒๒๔
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ที่จริงสติเปนเรื่องดี เปนสิ่งที่ ควรเจริญ ใหเกิดขึ้น แตมันไปเสียตรงที่มีนิกันติ
คือมีความยินดีพอใจในสติที่เกิดขึ้น วิปสสนาก็ กาวไปไมได
๙. อุเบกขาหมายถึง ความมีจิตเปนกลาง๒๒ อุเบกขา หมายถึง “ทั้ง
วิปสสนูเปกขา และอาวัชชนูเปกขา เพราะวา ในสมัยนั้น ทั้งวิปสสนูเปกขา
ซึ่งมีความเปน กลางในสังขารทั้งปวง ทั้งอาวัขขนูเปกขา ในมโนทวาร ก็มี
กําลัง เกิดขึ้นแกโยคีนั้น ความจริงเมื่อโยคีรําพึงถึงฐานะนั้นๆอยูอุเบกขานั้นก็
ดํ า เนิ น อย า งแก ก ล า แหลมคม ประดุ จ ดั ง วชิ ร ะของพระอิ น ทร ที่ ท รงซั ด
ออกไป และประดุจดังลูกศรที่เผารอน แลวยิงออกไปในกองใบไม”๒๓
อุเบกขาสงเคราะหเขาในตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก มีลักษณะดังนี้
- จฺตตเจตสิกานํ สมวาหิตลกฺขณามีการทําจิต เจตสิ กใหเ ปนไป
สม่ําเสมอ เปนลักษณะ
- อูนาธิกตานิวารณรสา (วา) มีการหามจิตเจตสิก ไมยิ่งและหยอน
เปนกิจ
- ปกฺขปาตุปจฺเฉทนรสา มีการตัดขาดการตกไปในความยิ่งและ
หยอนของจิตเจตสิก
- มชฺฌตฺตภาวปจฺจุปฏฐานา มีความฉลาดเปนกลาง โดยเพงเฉยตอ
จิตเจตสิก เปนผล
- สมฺปยุตฺตปทฏฐานา มีสัมปยุตธรรม เปนเหตุใกล
เมื่อจิตใจมีความเฉยมาก ไมรูสึกดีใจเสียใจ มีความเฉยเปนกลางใน
สังขารทั้งปวง และอาวัชชนูเปกขา(ความเปนกลางที่เกิดขึ้นในมโนทวาร)
อุเบกขาทั้ง ๒ นี้เกิดแกผูเริ่มตนบําเพ็ญวิปสสนา และเมื่ออุเบกขาดําเนินไป
ผูปฏิ บัตินึ กถึงอารมณใด อุเบกขานั้ นก็ดําเนินไปอย างแกกล าแหลมคมไม
ยินดียินรายตอทุกสิ่งเหมือนคนไมมีกิเลส อุเบกขานี้แทจริงเปนของดี แตถา
ไมมนสิการใหดี มีตัณหา มานะ ทิฏฐิเขามาแทรกก็กลายเปนวิปสสนูปกิเลส
๒๒
พระพรหมคุณ าภรณ (ป.อ.ปยุตฺ โ ต) , พจนานุ กรมพุท ธศาสตร ฉบั บ
ประมวลธรรม, หนา ๒๔๓.
๒๓
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๖๖.
๒๒๕
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
๑๐. นิกันติ หมายถึง ความใครในวิปสสนา เพราะวานิกันติมีอาการ
สงบสุ ขุ ม ก็ เ กิ ด แก โ ยคี นั้ น ทํ าความอาลั ย อยู ใ นวิ ป ส สนาอั น ประดั บ ด ว ย
อุปกิเลสมีโอภาส เปนตน๒๔
นิกันติสงเคราะหเขาในโลภเจตสิก มีลักษณะเฉพาะ ดังนี้
- อารมฺมณฺคฺคณ ลกฺขโณ มีความยึดอารมณ เปนลักษณะ
- อภิสงฺค รโส มีความของติดอยูในอารมณ เปนกิจ
- อปริจาค ปจฺจุปฏฐาโน มีความไมยอมละ เปนผล
- สํโ ยชนิย ธมฺเ มสุ อสฺส าททสฺ สน ปทฏ ฐาโน มีความเห็ นความ
สําราญในสังโยชนธรรมเปนเหตุใกล
เมื่อเกิดกับผูปฏิบัติแลวยอมยึดมั่นความ ยินดีพอใจดวยตัณหามานะ
และทิฏฐิทําใหวิ ปสสนาไมเจริ ญกาวหนาตอไปเป นที่เขาใจวา สิ่ งตางๆ ที่
เกิดขึ้นเหลานี้ ที่จริงเปนเรื่องดี ปติก็ดี ความสุขก็ดี ความสงบก็ดี ความรูสติก็
ดี มัน เปนเรื่องดีเกิดขึ้นมา แตเสียตรงที่มีนิกันติ คือความเขาไปยินดีติดใจ
ทําใหการเจริญ วิปสสนานั้น ไมกาวหนา ไปติดอยูแคนั้น
นิกันตินี้มีความของติดอยูในอารมณเปนกิจ มีความไมยอมละเปน
ผล และมีความเห็น ความสํ าราญในสั งโยชน ธรรมเปน เหตุใกล ซึ่งจัด เป น
กิเลสโดยแท ตางกับอีก ๙ ชนิดขางตนที่มีลักษณะเฉพาะที่พึงประสงค และ
ในคั ม ภี ร วิ สุ ท ธิ ม รรค พระพุ ท ธโฆสเถระได แ สดงไว ว า “นิ กั น ติ ห มายถึ ง
วิปสสนานิกันติ (ความใครในวิปสสนา) เพราะวานิกันติ มีอาการ สงบ สุขุม
ก็เกิดขึ้นแกโยคีนั้น ทําความอาลัยอยูในวิปสสนาอันประดับดวยอุปกิเลสมี
โอภาสเปนตน ดวยประการดังกลาวนี้ ซึ่งเปนความใครที่ใครๆไมสามารถ
แมแตกําหนดรูไดวาเปนกิเลส”๒๕
๒๔
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๖๗.
๒๕
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวสิ ุทธิมรรค, หนา ๑๐๖๗.
๒๒๖
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
๒. เหตุปจจัยแหงการเกิดวิปสสนูปกิเลส
สาเหตุที่ทําให เกิด วิปสสนูปกิเลสไดแกนิว รณ คือ ใจมีอุทธัจ จะใน
ธรรมกั้นไว๒๖ หมายความวา อุทธัจจนิวรณจะมากั้นขัดขวางปญญาญาณใน
วิปสสนาตั้งแตญาณ ๔ อยางแกขึ้นไป เมื่อนิวรณคืออุทธัจจเกิดขึ้นในขณะ
ปฏิบัติวิปสสนาญาณโดยเฉพาะในญาณ ๔ อยางออนแลววิปสสนาจึงเศรา
หมองไมใชเศราหมองเพราะเหตุอื่น ไมใชเปนวิปสสนูปกิเลสเพราะเหตุอื่น
แตที่เศราหมองหรือเปนวิปสสนูปกิเลสนั้นก็เพราะความฟุงในธรรมกลาวคือ
อุปกิเลส ๑๐ ประการที่เกิดจากการเจริญวิปสสสนาเทานั้น ดังมีหลักฐาน
ในขุททกนิกายปฏิสัมภิทามรรค วา
(ภิกษุ) มีใจถูกอุทธัจจะในธรรมกั้นไว เปนอยางไร คือ เมื่อภิกษุ
มนสิ การโดยความไมเที่ย ง โอภาสยอมเกิดขึ้น ภิกษุนึกถึงโอภาสว า
“โอภาสเปนธรรม” เพราะนึกถึงโอภาสนั้น ความฟุงซานเปนอุทธัจจะ
ภิกษุมีใจถูกอุทธัจจะนั้นกั้นไว ยอมไมรูชัดความปรากฏโดยความไม
เที่ย งตามความเปน จริ งไมรู ชัด ความปรากฏโดยความเป น ทุกขต าม
ความเปนจริง ไมรูชัดความปรากฏโดยความเปนอนัตตาตามความเปน
จริง เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา มีใจถูกอุทธัจจะในธรรมกั้นไว ใน
เวลาที่จิตตั้งมั่นสงบอยูภายใน มีภาวะที่จิตเปนหนึ่งผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู
มรรคก็เกิดแกเธอ มรรคยอมเกิดอยางไร ฯลฯ มรรคยอมเกิดอยางนี้
ภิกษุยอมละสังโยชน ไดอยางนี้ อนุสัยยอมสิ้นไปอยางนี๒๗ ้
พระพุ ท ธองค ท รงตรั ส ว า การมนสิ ก ารโดยไม เ ที่ ย งเป น ต น ทํ า ให
วิปสสนูปกิเลสเกิดซึ่งตั้งเปนประเด็นไว ๓ ประเด็น คือ
๒.๑ เพราะมนสิการโดยความไมเที่ยง
เมื่อมนสิการโดยความไมเที่ยง ญาณ (ความรู)ยอมเกิดขึ้น ปติ(ความ
อิ่ ม ใจ)ย อ มเกิ ด ขึ้ น ป ส สั ท ธิ (ความสงบกายสงบใจ) ย อ มเกิ ด ขึ้ น สุ ข
๒๖
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/ ๖/ ๔๒๕-๖.
๒๗
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/ ๖/ ๔๒๕.
๒๒๗
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
(ความสุ ข) ย อมเกิดขึ้น อธิ โ มกข (ความนอมใจเชื่ อ) ย อมเกิดขึ้น ป คคหะ
(ความเพียรที่พอดี) ยอมเกิดขึ้นอุปฏฐาน (สติแกกลา) ยอมเกิดขึ้น อุเบกขา
(ความมีใจเปนกลาง) ยอมเกิดขึ้นนิกันติ (ความติดใจ) ยอมเกิดขึ้น ภิกษุนึก
ถึงนิ กัน ติ ว า“นิ กั น ติ เ ป น ธรรม”เพราะนึ กถึงนิ กัน ติ นั้ น ความฟุงซานเป น
อุทธัจจะ ภิกษุมีใจถูกอุทธัจจะนั้นกั้นไวอยางนี้ ยอมไมรูชัดความปรากฏ
โดยความไมเที่ยงตามความเปนจริง ไมรูชัดความปรากฏโดยความเปนทุกข
ตามความเปนจริง ไมรูชัดความปรากฏโดยความเปนอนัตตาตามความเปน
จริง เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา มีใจถูกอุทธัจจะในธรรมกั้นไวในเวลาที่
จิตตั้งมั่นสงบอยูภายใน มีภาวะที่จิตเปนหนึ่งผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู มรรคก็เกิดแก
เธอ มรรคยอมเกิดอยางไร ฯลฯ มรรคยอมเกิดอยางนี้ ภิกษุยอมละสังโยชน
ไดอยางนี้ อนุสัยยอมสิ้นไปอยางนี๒๘ ้
๒.๒ เพราะมนสิการโดยความเปนทุกข
เมื่อมนสิการโดยความเปนทุกข ฯลฯ โอภาสยอมเกิดขึ้น ฯลฯ ญาณ
ยอมเกิดขึ้น ปติยอมเกิดขึ้น ปสสัทธิยอมเกิดขึ้นสุขยอมเกิดขึ้นอธิโมกขยอม
เกิดขึ้นปคคหะยอมเกิดขึ้น อุปฏฐานยอมเกิดขึ้นอุเบกขายอมเกิดขึ้น นิกันติ
ยอมเกิดขึ้น ภิกษุนึกถึงนิกันติวา“นิกันติเปนธรรม”เพราะนึกถึงนิกันตินั้น
ความฟุงซานเปนอุทธัจจะ ภิกษุมีใจถูกอุทธัจจะนั้นกั้นไวยอมไมรูชัดความ
ปรากฏโดยความเป น อนั ต ตาตามความเปน จริง ไมรู ชัด ความปรากฏโดย
ความไมเที่ยงตามความเปนจริงไมรูชัดความปรากฏโดยความเปนทุกขตาม
ความเปนจริง เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา มีใจถูกอุทธัจจะในธรรมกั้นไว
ฯลฯภิกษุยอมละสังโยชนไดอยางนี้ อนุสัยยอมสิ้นไปอยางนี๒๙ ้
๒.๓ เพราะมนสิการโดยความเปนไตรลักษณ
เมื่อมนสิการรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณโดยความเปน
อนัตตาอยูก็ดี เมื่อมนสิการชราและมรณะโดยความไมเที่ยงเปนตน โอภาสก็
๒๘
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖/๔๒๖.
๒๙
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖/๔๒๖.
๒๒๘
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ดี ญาณก็ดี ปติก็ดี ปสสัทธิก็ดี สุขก็ดี อธิโมกขก็ดี ปคคหะก็ดี อุปฏฐานก็ดี
อุเบกขาก็ดี นิกันติยอมเกิดขึ้น ภิกษุนึกถึงนิกันติวา“นิกันติเปนธรรม”เพราะ
นึกถึงนิกันตินั้น ความฟุงซานเปนอุทธัจจะ ภิกษุมีใจถูกอุทธัจจะนั้นกั้นไว
ยอมไมรูชัดชราและมรณะตามความเปนจริงโดยไตรลักษณ เพราะเหตุนั้น
ทานจึงกลาวว ามีใจถูกอุทธัจ จะในธรรมกั้น ไว ในเวลาที่จิ ตตั้ งมั่น สงบอยู
ภายในมีภาวะที่จิตเปนหนึ่งผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู โดยความไมเที่ยง มรรคก็เกิด
แกเธอ มรรคยอมเกิด๓๐
ในคัมภีรปฏิสัมภิทามรรคไดกลาวถึงวิปสสนูปกิเลส ไววา
โอภาเส เจว าเณ จ ปติยา จ วิกมฺปติ
ปสฺสทฺธิยา สุเข เจว เยหิ จิตฺตํ ปเวธติ.
อธิโมกฺเข จ ปคฺคเห อุปฏาเน จ กมฺปติ
อุเปกฺขาวชฺชนายฺจ อุเปกฺขาย นิกนฺติยา.๓๑
จิตยอมกวัดแกวง หวั่นไหวเพราะโอภาส เพราะญาณ เพราะปติ
เพราะปสสัทธิ เพราะสุข เพราะอธิโมกข เพราะปคคหะ เพราะอุปฏ
ฐาน เพราะอุเบกขาเพราะนอมนึกถึงอุเบกขาและนิกันติ๓๒
นอกจากนี้ในบาลีขุททกนิกายปฏิสัมภิทามรรคไดกลาวถึงผูที่ผานพน
จากวิปสสนูปกิเลสดังกลาวไววา
อิมานิ ทส านานิ ปฺา ยสฺส ปรีจิตา
ธมฺมุทฺธจฺจกุสโล โหติ น จ วิกฺเขป คจฺฉติ.๓๓
ภิกษุนั้นกําหนดฐานะ ๑๐ ประการนี้ ดวยปญญาแลว
ยอมเปนผูฉลาด ในอุทธัจจะในธรรมและยอมไมถึงความหลงใหล
จิตกวัดแกวง เศราหมองจิตภาวนา ยอมเคลื่อน
จิตกวัดแกวง ไมเศราหมองจิตภาวนายอมเสื่อมไป
๓๐
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖/๔๒๖.
๓๑
ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/ ๗/ ๓๑๗.
๓๒
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๗/๔๒๖.
๓๓
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๗/๔๒๗.
๒๒๙
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
จิตบริสุทธิ์ ไมเศราหมองจิตภาวนายอมไมเสื่อมไป
จิตไมฟุงซาน ไมเศราหมองจิตภาวนายอมไมเคลื่อน
ดวยฐานะ ๔ ประการนี้ ภิกษุยอมรูชัดความที่จิตกวัดแกวง ฟุงซาน
ถูกโอภาสเปนตนกั้นไว ดวยฐานะ ๑๐ ประการนี้ ฉะนี้แล๓๔
วิปสสนูปกิเลส คือ อุปกิเลสแหงวิปสสนา เปนธรรมารมณที่เกิดแกผูได
ตรุณวิปสสนา หรือวิปสสนาออนๆ ทําให เขาใจผิดวา ตนบรรลุมรรคผลแลว
เปนเหตุขัดขวางใหไมกาวหนาตอไปในวิปสสนาญาณพบในวิสุทธิ ๗ โดยเฉพาะ
ขอ ๕ คือ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ๓๕ หมายถึง ความหมดจดแหงญาณที่รู
เห็นวาเปนทางหรือมิใชทาง เปนการเริ่มเจริญวิปสสนาดวยพิจารณากลาป จน
มองเห็ น ความเกิ ด ขึ้ น และความเสื่ อ มไปแห ง สั ง ขารทั้ ง หลาย เรี ย กว า
อุ ท ยั พ พยานุ ป ส สนา หรื อ ตรุ ณ วิ ป ส สนา คื อ วิ ป ส สนาญาณอ อนๆ ซึ่ ง มี
วิปสสนูปกิเลสเกิดขึ้น การกําหนดอุปกิเลสทั้ง ๑๐ แหงวิปสสนานั้น มิใชทาง
สวนวิปสสนาที่เริ่มดําเนินเขาสูวิถีนั่นเปนทาง เตรียมที่จะประคองจิตไวในวิถี
คือ วิปสสนาญาณนั้นตอไป ขอนี้จัดเปนขั้นกําหนดมัคคสัจจ๓๖
ตรุ ณวิ ปสสนา หรื อตรุ ณอุทยั พพยญาณนี้เป นญาณแรกในวิป สสนา
ญาณ ๙ อันเปนตัววิปสสนา คือ ปญญาความรูที่ทําใหเกิดความรูแจง เขาใจ
สภาวะของสิ่งทั้งหลายตามเปนจริง ความจริงญาณนี้ชื่อวา อุทยัพพยานุปสส
นาญาณ คือ ญาณที่ต ามเห็ น ความเกิด และความดั บ ของสั งขาร โดยการ
พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและดับไปในขันธ ๕ (รูปนาม) อยางชัดเจนวา ขันธ
๕ ที่เกิดขึ้นแลวก็ตองแตกดับไปเหมือนกันหมด๓๗
เมื่ อ ผู ป ฏิ บั ติ ม าถึ ง อุ ท ยั พ พยญาณใหม ๆ (อ อ นๆ) เริ่ ม ปรากฏ
วิป สสนู ปกิเลสคือ สิ่ งที่ทําให วิป ส สนาหมนหมอง ทําให วิป ส สนาเสื่ อมไป
๓๔
ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๕๒ – ๖๐/๒๗๓ – ๘๔. ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/
๗/๔๒๗.
๓๕
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวล
ธรรม, หนา ๒๔๓.
๓๖
เรื่องเดียวกัน, หนา ๒๐๘.
๓๗
เรื่องเดียวกัน, หนา ๒๒๖.
๒๓๐
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
เพราะผูปฏิบัติธรรมที่พบเห็นสิ่งเหลานี้อาจสําคัญผิดวา ตนไดบรรลุมรรคผล
นิพพานแลวหยุดปฏิบัติ หรือ แมจะไมสําคัญผิดอยางนั้น ก็อาจยินดีพอใจ
สงผลใหการเจริญสติขาดชวง และความกาวหนาลดลง แตถาผูปฏิบัติธรรม
เขาใจวา เปนเพียงทางผานเหมือนปายบอกทาง แลวกําหนดรูตามความเปน
จริงก็ไมอาจทําใหวิปสสนาเสื่อมมี ๑๐ ประการ๓๘
วิปสสนูปกิเลส ๑๐ ประการนี้ จะเกิดแกผูเจริญวิปสสนาภาวนา ใน
เมื่อไดบรรลุถึงอุทยัพพยญาณที่ยังออนอยู ถามีผูมีความเพียรนั้นพลาดพลั้ง
หลงกลตอวิปสสนูปกิเลสเหลานี้แลว ยอมจะเขาถึงสภาวะที่เรียกวา ตกเหว
ตายอยูเพียงนี้ คือ ไมสามารถจะบําเพ็ญความเพียรในวิปสสนาตอไป เพราะ
เขาใจผิดคิดวา ตนสําเร็จเปนพระอรหันตแลว แตถามีอุปนิสัยบารมีดีใน
อดีตชาติ คือ ผูที่ควรบรรลุมรรคผล เพราะปฏิสนธิดวยไตรเหตุ และสามารถ
พาตนให ผ านวิ ป ส สนู ป กิเ ลสไปได แ ล ว วิ ป ส สนาญาณก็จ ะดํ าเนิ น ไปตาม
แนวทางแหงรูปนาม (สังขาร) มีอาการเกิดดับชัดเจนขึ้น จนพบสภาวะใน
ญาณตอๆ ไป๓๙
๓. เหตุที่ทําใหเกิดวิปสสนูปกิเลส
เมื่อภิกษุมนสิการโดยความไมเที่ยง ญาณยอมเกิดขึ้น และเมื่อภิกษุ
นึกถึงญาณวา “ญาณเปนธรรม” เพราะอาการและเจตนาที่นึกถึงญาณนั้น
(นิกันติ) ความฟุงซาน(อุทธัจจะ)ก็เกิดขึ้น
เมื่อภิกษุมีใจถูกอุทธัจจะนั้นกั้นไว ยอมไมรูชัดความปรากฏโดย
ความไมเที่ยงตามความเปนจริง ยอมไมรูชัดความปรากฏโดยความเปนทุกข
ตามความเปนจริง และยอมไมรูชัดความปรากฏโดยความเปนอนัตตา ตาม
ความเปนจริง เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา มีใจถูกอุทธัจจะในธรรมกั้นไว
๓๘
สมเด็จพระพุทธชินวงศ (สมศักดิ์ อุปสมมหาเถระ), อริยวังสปฏิปทา, หนา
๑๒๘.
๓๙
พระอาจารย ภั ททัน ตะ อาสภเถระ ธั มมาจริย ะ, วิปส สนาทีปนี ฎีกา,
หนา ๕๙ – ๖๐.
๒๓๑
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
จิตยอมกวัดแกวง หวั่นไหว และยอมถึงความหลงใหล จิตภาวนายอมเคลื่อน
ยอมเสื่อม และยอมถึงความเศราหมอง เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา มีใจ
ถูกอุทธัจจะในธรรมกั้นไว ในเวลาที่จิตตั้งมั่นสงบอยู๔๐ ดังนั้น ตนเหตุแหง
วิปสสนูปกิเลส คือ อุทธัจจะ พึงทําความเขาใจวา แมนิกันติหรือความยินดี
พอใจจะเปนเหตุใหตัณหา ทิฏฐิและมานะเกิดขึ้น ซึ่งจัดเปนอุปกิเลสโดยออม
แตนิกันติก็ถูกนับเนื่องเขาเปน ๑ ใน ๑๐ ของวิปสสนูปกิเลส และถือวาเปน
อุ ป กิ เ ลสโดยตรง พึ ง สั ง เกตว า ในขณะที่ วิ ป ส สนาญาณกํ า ลั ง ดํ า เนิ น ไป
ถึงแมวาจะอยูในระดับจินตาญาณก็ตาม เมื่อมีนิกันติเกิดขึ้น แตผูปฏิบัติไมได
กําหนดรู อุทธัจจะคือความกวัดแกวงหรือความฟุงซานแหงจิตยอมตามมา
เป น เหตุ ให การมนสิ การถึงความเป นพระไตรลั กษณอยางใดอย างหนึ่ งไม
ปรากฏ ในคั ม ภี ร พ ระไตรป ฎ กจึ ง กล า วถึ ง อุ ท ธั จ จะในฐานะต น เหตุ แ ห ง
วิปสสนูปกิเลส เพราะทําใหวิปสสนาเศราหมอง ซึ่งมีรายละเอียดดังตอไปนี้
๓.๑ อุทธัจจะ ความฟุงในสภาพธรรม
ภาวะแหงความฟุงซานชื่อวา อุทธัจจะ มีลักษณะคือความไมสงบ
อุปมาเหมือนน้ํากระเพื่อมเพราะถูกลมตี มีความไมตั้งมั่นในอารมณเปนกิจ
อุปมาเหมือนธงที่สะบัดเพราะถูกลมพัด มีความพลุงพลานไปเปนผลปรากฏ
เหมือนขี้เถาที่ฟุงขึ้นเพราะถูกกอนหินปา มีอโยนิโสมนสิการเปนเหตุใกล๔๑
อโยนิโสมนสิการ คือการตรึกถึงอกุศลวิตกอันเลวทราม ไดแก
กามวิตก (ความตรึกเกี่ยวกับกาม) พยาบาทวิตก (ความตรึกเกี่ยวกับพยาบาท)
และวิหิงสาวิตก (ความตรึกเกี่ยวกับวิหิงสา)๔๒ คือการคิดฟุงซาน คิดเรื่องราว
ตางๆ ในชีวิตประจําวัน การคิดฟุงซานทําใหมีอาการเผลอสติ
อาการของอุทธัจจะ เรื่องมีอยูวา พระภาคิเนยยสังฆรักขิตเถระ ทาน
ไดผามา ๒ ผืน จึงนําผืนที่ยาวที่สุดไปถวายหลวงลุง แตหลวงลุงไมรับเพราะ
ทานมีพอใชแลว ทําใหทานภาคิเนยยะนอยใจอยากจะลาสิกขา ในขณะที่กําลัง
๔๐
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖/๔๒๕.
๔๑
พระพุทธทัตตเถระ, อภิธัมมาวตาร, หนา ๗๓-๗๔.
๔๒
สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๒๓๑/๓๓๒., สํ .ส. (บาลี) ๑๕/๒๓๑/๒๔๔-๒๔๕.
๒๓๒
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ถวายงานพัดใหกับหลวงลุงอยูนั้น จึงคิดฟุงซานตอไปวาจะนําผาผืนที่ยาวที่สุด
ไปขาย แลวซื้อแมแพะมาเลี้ยง จะขายลูกแพะเลี้ยงชีวิตเก็บเงินแตงงาน เมื่อ
ภรรยาคลอดลูกจะพาลูกและภรรยามาหาหลวงลุง ในระหวางที่นั่งเกวียนมา
กับภรรยา สองสามีภรรยาแยงกันอุมลูก ภรรยาไมยอมสงลูกใหอุมแตทิ้งลูกที่
รอยลอเกวียน สามีโกรธภรรยาจึงใชดามปฏักตีภรรยา ในขณะที่ยกดามปฏักตี
ภรรยานั้นปรากฏวาไดตีหัวหลวงลุง เพราะในขณะนั้นกําลังคิดฟุงซาน๔๓
อุทธัจจะและกุกกุจจะ การที่อุทธัจจะจะเกิดขึ้นตองมีอาหารทําให
เกิดดังขอความวา อาหารที่ทําใหอุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไมเกิดใหเกิดขึ้น หรือ
ทําอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแลวใหเจริญไพบูลยยิ่งขึ้น คือ ความไมสงบจิตมี
อยู การทํามนสิการโดยไมแยบคายในความไมสงบจิตนั้นใหมาก นี้เปนอาหาร
ที่ทํา อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไมเกิดใหเกิดขึ้นหรือทําอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้น
แลวใหเจริญไพบูลยยิ่งขึ้น๔๔
เพราะเหตุนี้ อุทธัจจะ คือ ความกวัดแกวงหรือความฟุงซานแหงจิต
เปนเหตุใหการมนสิการถึงความเปนพระไตรลักษณอยางใดอยางหนึ่งไมปรากฏ
เมื่อจิตกวัดแกวง หวั่นไหวอยูเชนนี้ ยอมถึงความหลงใหล จิตภาวนายอม
เคลื่อน ยอมเสื่อม และยอมถึงความเศราหมอง พึงสังเกตวา ในเวลาที่จิตตั้งมั่น
สงบอยูภายใน มีภาวะที่จิตเปนหนึ่งผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู แสดงใหเห็นถึงสภาวะ
ของจิตที่เปนสมาธิอยางแรงกลา ถากําลังสติไมเพียงพอ การมนสิการหรือการ
กําหนดรู อย างจดจ อและต อเนื่ องย อมขาดช วง อกุ ศลธรรมจึ งเข าครอบงํ า
ดังนั้น อโยนิโสมนสิการ ถือวาเปนเหตุใกลแหงอุทธัจจะ มีความสัมพันธกันกับ
เหตุของการเกิดขึ้นของญาณ อันเปนวิปสสนูปกิเลส ดังตอไปนี้
๓.๒ อโยนิโสมนสิการ
อโยนิโสมนสิการ คือ การพิจารณาโดยไมแยบคาย ถือวาเปนอาหาร
หรื อเครื่ องสนั บสนุนให อุทธั จจะที่ยั งไม เกิดใหเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้ นแล วให
๔๓
ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒๗/๔๑๒-๔๑๗.อภิ.สง. (ไทย) ๓๔/๔๒๗/๑๒๓., อภิ.สง.
(บาลี) ๓๔/๔๒๗/๔๖.
๔๔
สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๒/๑๖๒., สํ.ม. (บาลี) ๑๙/๒๓๒/๙๑-๙๖.
๒๓๓
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
เจริ ญไพบู ลยยิ่ งขึ้น ซึ่งคําว า อโยนิ โสมนสิ การนี้ ตรงขามกับ คําว า โยนิ โ ส
มนสิการ และเมื่อสงเคราะหลงสูภาคสวนของการปฏิบัติ ไดแกการกําหนดรู
อย า งจดจ อ และต อ เนื่ อ งไม ข าดสายนั่ น เอง ดั ง นั้ น ในที่ นี้ จึ ง จะแสดง
รายละเอีย ดในคําว า โยนิ โ สมนสิ การ เพื่อเป น กรณีศึกษา เพราะจะเป น
ประโยชนในทางปริยัติ และเสริมสรางเทคนิคในการปฏิบัติสืบตอไป
มนสิการ มาจากโยนิโสมนสิการ เปนคําที่ปรากฏในพระไตรปฎก
หมายถึง ความคิด หรือการพิจารณาในใจโดยอุบายอันแยบคาย๔๕
โยนิโสมนสิการ หมายถึง การใชความคิดถูกวิธี คือ การทําในใจโดย
แยบคาย มองสิ่งทั้งหลายดวยความคิดพิจารณาสืบคนถึงตนเคา สาวหาเหตุผล
จนตลอดสาย แยกแยะออกพิเคราะหดูดวยปญญาที่คิดเปนระเบียบและโดย
อุบายวิธี ใหเห็นสิ่งนั้นๆ ตามสภาวะและตามความสัมพันธแหงเหตุปจจัย พระ
พุทธองคตรัสวา “เราไมเห็นแมธรรมอยางหนึ่งที่เปนเหตุใหกุศลธรรมที่ยังไม
เกิดขึ้นก็เกิดขึ้น หรือเปนเหตุให อกุ ศลธรรมที่เกิดขึ้นแลวเสื่อมไปเหมือน
โยนิโสมนสิการนี้ ”๔๖ สามารถแสดงรายละเอียดใหเห็นเปน ๓ ประการ ตาม
ลักษณะ ไดดังตอไปนี้
๑) การมนสิการโดยความไมเที่ยง (อนิจฺจํ) คําวา อนิจจัง (อนิตยะ
ในภาษาสันสกฤต) เปนลักษณะที่ ๑ ในไตรลักษณ ซึ่งโดยทั่วไปถือวาเปน
รากฐานของลักษณะที่ ๒ และ ที่ ๓ คือ ทุกขังและอนัตตา๔๗ เพราะวาสิ่งใดไม
เที่ยง สิ่งนั้นเปนทุกขและสิ่งใดไมเที่ยง จึงไมควรถือสิ่งนั้นวาเปนตัวตนและของ
ตน หมายถึง อนิจจัง คือ ความไมคงที่ ความเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งทุกอยางไม
คงที่ ทุกสิ่งทุกอยางเปลี่ยนแปลงไป “สุทฺธิ ธมฺมา ปวตฺตนฺติ” ธรรมชาติโดยแท
ยอมเปลี่ ยนแปลงไป คือมีการเปลี่ ยนแปลงทั้งในทางปริ มาณและในทาง
คุณภาพ โดยเปลี่ยนแปลงจากสภาวธรรมอยางหนึ่ง ไปสูสภาวธรรมอีกอยาง
๔๕
พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร: ฉบับประมวล
ธรรม, พิมพครั้งที่ ๑๒, กรุงเทพมหานคร, ๒๕๔๖), หนา ๕๗.
๔๖
องฺ.เอก. (ไทย) ๒๐/๖๗/๑๒.
๔๗
ดูรายละเอียดใน องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๑๓๗/๓๘๕., สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๓๑/๔๔.
๒๓๔
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
หนึ่งเรื่อยไป จนกวารูปธรรมนามธรรมนั้นๆ จะสิ้นสุดยุติลงตามอายุขัยของสิ่ง
นั้นๆ ความเปลี่ยนแปลงดังกลาวนี้ เปนปรากฏการณ หรือความประจักษแหง
สภาพภายนอกของสิ่งนั้นๆ “พหิทฺธา ธมฺมา” ความเปลี่ยนแปลงดังกลาวนี้ มี
ลักษณะที่แตกตางกันสําหรับรูปธรรมและนามธรรม กลาวคือ
(๑) รูปธรรม คือ ความเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นจาก การเกิดขึ้น
(อุปจย) การเจริญสืบตอ (สนฺตติ) การเสื่อมสลาย (ชรตา) และการดับสูญสิ้นไป
(อนิจฺจตา) ในที่สุด เชน มนุษยเราเริ่มบังเกิดชีวิตจากการปฏิสนธิขึ้นในครรภ
มารดา แลวเจริญเติบโตจนกระทั่งคลอดออกมาเปนทารก ตอจากนั้น ก็จะเจริญวัย
เติบโตเปนเด็ก เปนหนุมสาว เปนวัยกลางคน วัยชรา แลวก็แกตายไปในที่สุด แต
เพื่อใหมีความหมายครอบคลุมถึงรูปธรรมทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่มีชีวิตและไมมีชีวิต
อโห, อนิจฺจา สงฺขารา โอสังขารทั้งหลายเอย ชางไมหยุดนิ่งเลย
เต กาลิกา อสณฺจิตา. ดํารงอยูเพียงชั่วคราวเทานั้น ไมมั่นคงถาวร
เสียเลย. สกาลา กาลิกา สพฺเพ ลวนถูกกําหนดดวยกาลเวลา ใหคงอยูเพียงชั่วคราว
(๒) นามธรรม คือ จิตกับเจตสิก ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลง เปน
๓ จังหวะดวยกัน คือ อุปาท (เกิดขึ้น) ฐีติ (ตั้งอยู) ภงฺค (ดับไป) สภาวะของ
นามธรรมเหลานี้ยอมเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลาหามีแกนสารสาระไม๔๘
เพราะเหตุ นี้ เมื่ อมนสิ การโดยความไม เที่ ยง ญาณ (ความรู ) ย อม
เกิดขึ้น ภิกษุนึกถึง นิกันติวา “นิกันติเปนธรรม” เพราะนึกถึงนิกันตินั้น ความ
ฟุงซานเปนอุทธัจจะ ภิกษุมีใจถูกอุทธัจจะนั้นกั้นไวอยางนี้ ยอมไมรูชัดความ
ปรากฏโดยความไมเที่ยงตามความเปนจริง ไมรูชัดความปรากฏโดยความเปน
ทุกขตามความเปนจริง ไมรูชัดความปรากฏโดยความเปนอนัตตาตามความเปน
จริง เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา มีใจถูกอุทธัจจะในธรรมกั้นไวในเวลาที่จิต
ตั้งมั่นสงบอยูภายในมีภาวะที่จิตเปนหนึ่งผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู๔๙
๔๘
ดูรายละเอียดใน พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับขยายความ
,พิมพครั้งที่ ๖.(กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๓๘),หนา
๖๘.
๔๙
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖/๔๒๖.
๒๓๕
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
๒) การมนสิการโดยความเปนทุ กข (ทุกฺขํ ) คํ าว า ทุกขั ง แปลว า
สภาวะที่บีบคั้น ของธรรมชาติ หมายความวา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีลักษณะที่
เปนทุกขมองดูแลวนาสังเวชใจ นําใหเกิดความทุกขใจแกผูมีความเห็นอยาง
แจมแจงในสิ่งนั้นๆ เชน “สภาวะของขันธ ๕ เปนตัวทุกข อันมีตัณหาเปน
มูลเหตุแหงทุกข” อีกนัยหนึ่ง คําวา ทุกขัง หรือ ทุกฺขตา เปนลักษณะที่ ๒ ของ
ไตรลักษณ ซึ่งเปนผลเกี่ยวของกับลักษณะที่ ๑ คือ อนิจจัง กลาวคือ สิ่งใดไม
เที่ยง สิ่งนั้นเปนทุกข หรือสิ่งที่เปนทุกขเพราะความไมเที่ยง โดยทั่วไปคําวา
ทุกข ถูกแปลเปนภาษาอังกฤษวา Suffering และมักใชใน ๓ ความหมาย
ใหญๆ คือ
(๑) ความหมายธรรมดา หมายถึง ความไมสบายกายไมสบายใจ
ซึ่งตรงขามกับ คําวา ลักษณะของสุขหรือทุกขนี้ หมายถึง ทุกขเวทนา ซึ่งเปน
หนึ่งในขันธ ๕
(๒) ความสําคัญทางปรัชญาที่ลึกซึ้ง หมายถึง ทุกขลักษณะซึ่งเปน
ทุกขในไตรลักษณ
(๓) ความหมายทางปรั ชญาและจิ ตวิ ทยาที่ ลึ กซึ้ ง หมายถึ ง
ประสบการณทางจิต ที่เจ็บปวดทรมาน หรือสภาวะที่บีบคั้นซึ่งเกิดมาจากความ
ยึดมั่นถือมั่นในขันธ ๕ วาเปนตัวตน๕๐
อีกนัยหนึ่ง ถามองลึกเขาไปถึงเนื้อหาภายในของสรรพสิ่ง “อชฺฌตฺติกา
ธมฺมา” วาภายในของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ มีธรรมชาติอยู ๓ ชนิด คือ
ธรรมชาติที่เปนบวก ธรรมชาติที่เปนลบและธรรมชาติที่เปนกลาง ธรรมชาติฝาย
บวก (Positive aspect) หมายถึง ธรรมชาติที่เกิดขึ้นใหม ที่กําลังพัฒนา กําลัง
กาวหนา กําลังเจริญเติบโต ธรรมชาติฝายลบ (Negative aspect) หมายถึง
ธรรมชาติที่เกาแก ที่ลาหลัง กําลังผุพัง กําลังเสื่อมสลาย ธรรมชาติทั้งสองฝายนี้
จะขัดแยงกันปะทะกัน ลักษณะนี้เรียกวา สภาวทุกข หรือทุกขํ(Contradiction)
แลวก็กลับเขาสูสภาวะไมมีบวกไมมีลบ เปนอัพยากตาธัมมา แลวก็เริ่มขัดแยง
๕๐
องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๑๓๗/๓๘๕., สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๓๑/๔๔., ม.อุ. (ไทย) ๑๔/
๘๖-๙๐/ ๙๖-๑๐๓.
๒๓๖
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
กันอีก แลวก็กลับเขาสูสภาวะอยางเดิมอีกจะเปนอยางนี้เรื่อยไปจนกวาจะ
สิ้นสุดอายุขัยของสิ่งนั้นๆ
พึงทําความเขาใจวา ความขัดแยงของธรรมชาติฝายบวกและฝายลบ หรือ
ตัวทุกขัง นี่เองที่เปนตัวผลักดัน (Expulsion force) ใหสรรพสิ่งทั้งหลายเกิดความ
เปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ (Qualitativechange) จากคุณภาพที่ดอยกวา ไปสู
คุณภาพที่ดีกวาเรื่อยๆ ไป เพราะฉะนั้น อัพยากตะ มีลักษณะเปนเพียง สัจธรรม
สัมพัทธ (Relative truth) เทานั้น สวนสภาวะทุกขหรือทุกขนั้นเปนสัจธรรม
สมบูรณ (Absolute truth) พุทธศาสนาจําแนกทุกขออกเปน ๓ ชนิด คือ
(๑) ทุก ขทุก ขตา คือ ทุก ขที่เ ปน ความรูสึก ทุก ขคือ
ความทุกขก ายทุก ขใจไมส บาย เจ็บ ปวดเมื่อ ยขบ โศกเศรา เปน ตน
อยา งที่เ ขา ใจกัน โดยสามัญ ตรงตามชื่อ ตามสภาพ ที่เ รีย กกัน วา
ทุกขเวทนา (ความทุกขอยางปกติที่เกิดขึ้น เมื่อประสบอนิฏฐารมณ)
(๒) วิปริณามทุกขตา คือ ทุกขเนื่องดวยความผันแปร หรือ
ทุกขที่แฝงอยูในความผันแปรของสุข คือความสุขที่กลายเปนความทุกขหรือ
ทําใหเกิดทุกขเพราะความแปรปรวนกลับกลายของมันเอง (ภาวะที่ตามปกติ
ก็สบายดีเฉยอยูไมรูสึกทุกขอยางใดเลย แตครั้นไดเสวยความสุขบางอยาง
พอสุขนั้นจางลงหรือหายไป ภาวะเดิมที่เคยรูสึกสบายเปนปกตินั้น กลับ
กลายเปนทุกขไป เสมือนเปนทุกขแฝง ซึ่งจะแสดงตัวออกมาในทันทีที่
ความสุขนั้นจืดจางหรือเลือนลางไป ยิ่งสุขมากขึ้นเทาใดก็กลับกลายเปนทุกข
รุนแรงมากขึ้นเทานั้น เสมือนวาทุกขที่แฝงขยายตัวตามขึ้นไปถาความสุขนั้น
ไมเกิดขึ้น ทุกขเพราะสุขนั้นก็ไมมีแมเมื่อยังเสวยความสุขอยู พอนึกวาสุขนั้น
อาจจะตองสิ้นสุดไปก็ทุกขดวยหวาดกังวล ใจหาย ไหวหวั่น ครั้นเวลาแหง
ความสุขผานไปแลว ก็หวนระลึกดวยความละหอยหาวา เราเคยมีสุขอยาง
นี้ๆ บัดนี้สุขนั้นไมมีเสียแลวหนอ)
(๓) สังขารทุกขตา คือ ทุกขตามสภาพสังขาร คือ สภาวะ
ของตัวสังขารเอง หรือ สิ่งทั้งหลายที่เกิดจากเหตุปจจัย ไดแกขันธ ๕ (รวม
มรรค ผล ซึ่งเปนโลกุตตรธรรม) เปนทุกข คือ เปนสภาพที่ถูกบีบคั้นดวยปจจัย
ที่ขัดแยง มีการเกิดขึ้น และการสลายหรือดับไป ไมมีความสมบูรณในตัวของ
๒๓๗
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
มันเอง อยูในกระแสแหงเหตุปจจัย จึงเปนสภาพซึ่งพรอมที่จะกอใหเกิดทุกข
แกผูไมรูเทาทันตอสภาพและกระแส ทั้งเขาไปฝนกระแสดวยความอยากความ
ยึดถืออยางโงๆ จึงไมเขาไปเกี่ยวของและปฏิบัติตอมันดวยปญญา๕๑
ดังนั้น เมื่อมนสิการโดยความเปนทุกข ญาณ (ความรู) ยอมเกิดขึ้น
ภิกษุนึกถึงนิกันติวา “นิกันติเปนธรรม” เพราะนึกถึงนิกันตินั้น ความฟุงซาน
เปนอุทธัจจะ ภิกษุมีใจถูกอุทธัจจะนั้นกั้นไวอยางนี้ ยอมไมรูชัดความปรากฏ
โดยความไมเที่ยงตามความเปนจริง ไมรูชัดความปรากฏโดยความเปนทุกขตาม
ความเป นจริ ง ไมรูชั ดความปรากฏโดยความเป นอนั ตตาตามความเปนจริ ง
เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา มีใจถูกอุทธัจจะในธรรมกั้นไวในเวลาที่จิตตั้งมั่น
สงบอยูภายในมีภาวะที่จิตเปนหนึ่งผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู๕๒
๓) การมนสิการโดยความเปนอนัตตา (อนตฺตา) คําวา อนัตตา เปน
ลักษณะที่ ๓ และลักษณะสุดทายของไตรลักษณ หรือสามัญลักษณะ
เชนเดียวกับอริยสัจ ๔ อนัตตา เปนคําสอนเฉพาะของพระสัมมาสัมพุทธเจา
ทั้งหลายเทานั้น (พุทฺธานํ สามุกํสิกา ธมฺมเทสนา, สามุกกังสิก-เทศนา)๕๓ และ
เปนหลักคําสอนในพุทธศาสนาที่ปฏิเสธ อัตตา หรืออาตมัน ของศาสนา
พราหมณ ฮินดูโดยตรง คําสอนเรื่อง อนัตตานี้แหละที่มีความแตกตางจาก
ศาสนาพราหมณ ฮินดู โดยสิ้นเชิง ตามนิรุกติศาสตรคําวา อนัตตา มาจากคํา
วา น+อัตตา วิเคราะหวา อตฺตโน อภาโว แปลวา ความไมมีแหงอัตตาหรือ
ตัวตน คําวา อัตตา ในภาษาบาลีมีใชอยู ๒ แบบ คือ อัตตา และ อัตตะ ซึ่งถูก
ใชเปนเอกพจนเทานั้นในพระไตรปฎก
อนึ่ง บรรดาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู ในทางปรมัตถใหเราไดสัมผัสและ
รับรูนั้น มันมีอยูในสภาพของการเปน “สังขาร” คือ มีอยูอยางปรุงแตงประกอบ
กันของหลายสิ่งหลายอยาง มิไดมีอยูอยางโดดเดี่ยว สังขารนั้นๆ จึงตองมี
๕๑
พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับขยายความ, หนา ๘๗,.
๕๒
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖/๔๒๖.
๕๓
ที.สี. (ไทย) ๙/๒๙๘,๓๕๕/๑๐๙,๑๔๙., ขุ.อุ. (ไทย) ๒๕/๔๓/๒๕๖., ขุ.อุ.
(บาลี) ๒๕/๑๑๒/๑๔๗.
๒๓๘
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
สัมพัทธกัน เกี่ยวพันกัน และพึ่งพิงกัน ทั้งตองถูกจํากัดดวยกาลเวลาคือ มี
อายุขัยแหงการดับ ไมมีสิ่งใดที่มีอยูเปนอนันตกาล ก็มีแตความวางเปลาหรือ
ความไมมีนั่นเอง จะเห็นไดวา ในที่สุดของสิ่งที่สุดนั้น สิ่งที่มีอยูจริง ก็คือความไม
มี บรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยูในภาววิสัยนั้น ไมวา รูปธรรมก็ดี
นามธรรมก็ดี (นอกจากนิพพาน) ลวนมีอยูอยางเปน สังขาร คือ เปนสังขตธรรม
ทั้งสิ้น ก็เมื่อสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยูนั้น ลวนมีอยูอยางเปนสังขารที่ปรุง
แตงประกอบกันเขา สิ่งนั้นๆ ทั้งหลาย ก็ยอมตกอยูภายใตกฎแหง “ไตรลักษณ”
คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาทั้งสิ้น ดังนั้น อนัตตาเปนกฎของธรรมชาติโดย
สัจจะ จะทํางานรวมกับอนิจจะและทุกขะเพื่อปรุงแตงความเปนโลก และ
ทํางานเปนเอกเทศในความเหนือโลก
เพราะเหตุนี้ เมื่อมนสิการรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
โดยความเปนอนัตตาอยูก็ดี เมื่อมนสิการชราและมรณะโดยความไมเที่ยง
เปนตน ญาณ (ความรู) ยอมเกิดขึ้น ภิกษุนึกถึงนิกันติวา “นิกันติเปนธรรม”
เพราะนึกถึงนิกันตินั้น ความฟุงซานเปนอุทธัจจะ ภิกษุมีใจถูกอุทธัจจะนั้น
กั้นไวอยางนี้ ยอมไมรูชัดความปรากฏโดยความไมเที่ยงตามความเปนจริง ไม
รูชัดความปรากฏโดยความเปนทุกขตามความเปนจริง ไมรูชัดความปรากฏ
โดยความเปนอนัตตาตามความเปนจริง เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา มีใจ
ถูกอุทธัจจะในธรรมกั้นไวในเวลาที่จิตตั้งมั่นสงบอยูภายในมีภาวะที่จิตเปน
หนึ่งผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู๕๔
ดวยเหตุผลดังกลาว การโยนิโสมนสิการโดยไมแยบคาย เรียกอีก
อยางหนึ่งวา อโยนิโสมนสิการ คือ การพิจารณาในสภาวะของรูปธรรมและ
นามธรรมที่ตกอยูภ ายใตอํานาจของพระไตรลักษณไมตอเนื่อง จึงเปนเหตุให
อุทธัจจะเขาครอบงํา ซึ่งอโยนิโสมนสิการนี้เปรียบเหมือนอาหารหรือเครื่อง
สนับสนุนใหอุทธัจจะที่ยังไมเกิดไดเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแลวใหพัฒนายิ่งขึ้น
พึงสังเกตวา เมื่อผูปฏิบัติไมเห็นสังขารธรรมโดยความเปนพระไตรลักษณ
อยางใดอยางหนึ่งแลว ความคิดหรืออารมณก็จะพอกพูนทําใหจิตเศราหมอง
๕๔
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖/๔๒๖.
๒๓๙
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ซัดสายไปตามอํานาจของกิเลส ไดแก ตัณหา ทิฏฐิ และมานะ ดังนั้น อโยนิ
โสมนสิการจึงมีความสัมพันธกับการเกิดขึ้นของ อุทธัจจะ อันเปนเหตุที่ทําให
วิปสสนูปกิเลสเฉพาะญาณเกิดขึ้น ดังที่ไดแสดงมาในเบื้องตน
ในคัมภีรอรรถกถา อธิบายวา เปนอุปกิเลสเพราะเปนที่ตั้งแหงความ
เศราหมอง แตไมใชอกุศล สวนนิกันติเปนอุปกิเลสดวยเปนที่ตั้งแหงความ
เศราหมองดวย อุปกิเลสเหลานั้นมี ๑๐ อยาง แตดวยสามารถแหงวัตถุมี ๓๐
อยาง กลาวคือ เมื่อพระโยคาวจร ถือวา ญาณเกิดแลวแกเรา ยอมเปนการ
ถือเอาดวยทิฏฐิ เมื่อถือวา ญาณนาพอใจจริงหนอ ยอมเปนการถือเอาดวย
มานะ และเมื่อยินดีในญาณ ยอมเปนการถือเอาดวยตัณหา การถือเอา ๓
อยางดวยสามารถแหงทิฏฐิ มานะ และตัณหาในญาณดวยประการดังนี้ แม
ในอุปกิเลสที่เหลือก็อยางนั้น อุปกิเลส ๓๐ อยาง ดวยอํานาจแหงการถือเอา
ยอมมีดวยประการฉะนี้๕๕
๔. ขั้นตอนการเกิดขึ้นของวิปสสนูปกิเลส
การเกิดขึ้นของวิปสสนูปกิเลสนั้น จะอยูในชวงมัคคามัคคญาณทัสสน
วิสุทธิ คือ ความบริสุทธิที่เกิดขึ้นจากการไดรูวาทางไหนเปนทางหรือทางไหน
มิใชทาง กลาวคือในระหวางวิปสสนาญาณที่ ๓ ตอนปลาย คือ สัมมสนญาณที่
กํ าลั งก าวย างเข าสู วิ ป สสนาญาณที่ ๔ คื อ ตรุ ณอุ ทยั พพยญาณ จึ งทํ าให
วิปสสนูปกิเลสเกิดขึ้น สามารถแสดงรายละเอียดใหเห็นไดดังตอไปนี้
๔.๑ การเกิดขึ้นของตรุณอุทยัพพยญาณ
เมื่อผูปฏิบัติไมไดศึกษาพระธรรมที่ทรงแสดงไวโดยละเอียดใหเขาใจ
อยางถูกตอง ยอมไมสามารถอบรมเจริญปญญาที่จะประจักษแจงลักษณะ
ของสภาพธรรมและดับกิเลสได การที่ปญญาจะประจักษแจงลักษณะของ
สภาพธรรมตามความเปนจริงไดนั้น มหากุศลญาณสัมปยุตตจะเกิดขึ้นระลึก
ศึก ษา รู ลั ก ษณะนามธรรมและรู ป ธรรมไปแต ล ะชาติ ๆ จนกว าป ญ ญาที่
สังเกตรูลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมจะเพิ่มขึ้น เมื่อปญญาสมบูรณ
๕๕
ขุ.ป.อ.(ไทย) ๓๑/๕๔๓/๔๗๘.
๒๔๐
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
มั่น คงถึ ง ขั้ น ใด มหากุศ ลญาณสั มปยุ ต ตจิ ต ที่เ ป น วิ ป ส สนาญาณก็ เ กิ ด ขึ้ น
ประจักษแจงลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ตามลําดับขั้นของวิปสสนา
ญาณทางมโนทวาร
เมื่อผูปฏิบัติเจริญสติปฏฐาน ๔ เพื่อพัฒนาศีล สมาธิ และปญญา
ของตนใหเกิดความบริสุทธิ์แลวก็ไดชื่อวา สีลวิสุทธิ จิตวิสุทธิ และทิฏฐิวิสุทธิ
ไดเกิดขึ้นแลว วิปสสนาญาณที่ ๑ ก็ปรากฏ และเปนบาทฐานใหวิปสสนา
ญาณลํ าดับ ที่ ๒ เกิด ขึ้นพร อมกับ วิสุ ทธิลํ าดับที่ ๔ คือ กังขาวิตรณวิสุทธิ
หมายถึง ความบริสุทธิ์ที่เกิดจากการขามพนความลังเลสงสัยในรูปธรรมและ
นามธรรม และเมื่อวิปสสนาญาณที่ ๒ สมบูรณจึงทําใหวิปสสนาญาณที่ ๓
เกิด ขึ้น พร อมกับ วิสุ ทธิ ลํ าดับ ที่ ๕ คือ มัคคามัคคญาณทัส สนวิ สุทธิ และ
ดําเนินไปจนถึงญาณที่ ๔ อยางออน ไดแก ตรุณอุทยัพพยญาณ ดังนี้
ตรุณอุทยัพพยญาณ คือ วิปสสนาญาณขั้นเริ่มแรกจึงเปนวิปสสนา
ที่ ยังออน ซึ่งยังมีการตรึกถึงนามธรรมและรูปธรรมที่กําลังประจักษแจงแม
โดยอาการที่วางเปลาจากโลกที่เคยรวมกัน เมื่อมีการตรึกถึงนามธรรม และ
รูปธรรมที่กําลังประจักษจึงชื่อวา จินตาญาณ เพราะยังมีการระลึก สังเกตรู
ลักษณะของนามธรรมและรู ปธรรมทางมโนทวารนั้ นอยู ว าจะเกิด ขึ้น โดย
ความเปนอนัตตา ณ สถานที่ใด ขณะใด และจะมีนามธรรมใดปรากฏเปน
อารมณกี่อารมณบาง เปนตน๕๖
การปรากฏขึ้น ของตรุ ณ อุท ยั พ พยญาณ หรื อวิ ป ส สนาญาณที่ ๔
อย า งอ อ นนี้ เป น ลั ก ษณะของจิ น ตาญาณ คื อ ความรู ที่ เ กิ ด ขึ้ น จากการ
เทียบเคียง หรืออนุมานตามสภาพธรรมที่ไดประสบพบเจอ ซึ่งกําลังจะกาวสู
ภาวนาญาณ อาจารยสุจินต บริหารวนเขตต ไดอธิบายความเขาใจของบุคคล
วา อาจมีความแตกตางกัน ๓ ประการ ไดแก
ประการที่ ๑ ขณะที่ผูปฏิบัติกําลังระลึกรู พิจารณาสังเกตรูลักษณะ
ของนามธรรมและรูปธรรม และคิดวารูชัดแลวนั้นเปนนามรูปปริจเฉทญาณ
แลว ที่เขาใจอยางนี้เพราะยังไมรูวา วิปสสนาญาณตองเกิดขึ้น ปรากฏโดย
๕๖
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔๙/๗๗.
๒๔๑
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ความเปนอนัตตาเชนเดียวกับนามธรรมอื่นๆ และเปนการประจักษลักษณะ
ของนามธรรมและรูปธรรมสืบตอกันทางมโนทวาร โดยลักษณะที่ทวารอื่น
เสมือนถูกมโนทวารปดบังไว โดยนัยตรงกันขามกับขณะที่วิปสสนาญาณไม
เกิด ซึ่งแมมโนทวารวิถีจิตเกิดคั่นปญจทวารวิถีจิตทุกวาระ แตมโนทวารวิถีก็
ไมปรากฏ เพราะอารมณของปญจทวารวิถีจิตปดบังไว
ประการที่ ๒ ขณะที่ผูปฏิบัติพิจารณารูวานามนี้เกิดจากรูปนี้ รูปนั้นเกิด
จากนามนั้นจนเขาใจไดอยางแจมแจง และหมดความลังเลสงสัยแลวนั้น ชื่อวา
เปนวิปสสนาญาณ คือ ปจจยปริคคหญาณ แตเมื่อนามรูปปริจเฉทญาณยังไมเกิด
วิปสสนาญาณอื่นๆ ก็เกิดไมได และเมื่อนามรูปปริจเฉทญาณเกิดแลว จะไมเขาใจ
ผิดเลยวาขณะที่ไมใชวิปสสนาญาณนั้นเปนวิปสสนา ผูที่มีวิปสสนาญาณเกิดแลว
ยอมรูความเปนอนัตตาของวิปสสนาญาณวา วิปสสนาญาณจะเกิดขึ้นตามทีม่ รรค
มีองค ๘ (ปกติมีองค ๕) ปรุงแตงไปจนถึงความสมบูรณของวิปสสนาญาณนั้นๆ
วิปสสนาญาณนั้นๆ จึงเกิดขึ้นตามเหตุปจจัย ฉะนั้นจึงเปนผูอบรมเจริญเหตุ คือ
สติปฏฐาน ระลึก ศึกษา พิจารณา สังเกต รูลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม
เปนปกติ เพิ่มขึ้น และละเอียดขึ้น
ประการที่ ๓ เมื่อสัมมสนญาณเกิดขึ้นนั้น ผูปฏิบัติจะพิจารณาเห็น
นามธรรมเกิดขึ้นและดับตอๆ กันไป และนามธรรมก็ไมใชรูปธรรม แตเมื่อไม
รูลักษณะของนามธรรมซึ่งเปนธาตุรู เพราะไมไดอบรมเจริญสติปฏฐานระลึก
รู ลั ก ษณะของนามธรรมแต ล ะประเภท ก็ คิ ด ว า นามธรรมที่ เ กิ ด ดั บ นั้ น มี
ลักษณะเหมือนกับรูปอยางใดอยางหนึ่ง ผูที่ใจรอนอยากใหวิปสสนาญาณ
เกิ ด เร็ ว ๆ นั้ น ย อ มพยายามทํ า อย า งอื่ น แทนการระลึ ก พิ จ ารณาสั ง เกต
ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏตามเหตุปจจัยตามความ
เปนจริง แตก็ไมมีทางจะเรงรัดปญญาไดเลย เพราะเหตุที่จะคอยๆ อบรม
ป ญ ญาให เ จริ ญ ขึ้ น ได นั้ น มี ห นทางเดี ย ว คื อ สติ ป ฏ ฐานตามปกติ ใ น
ชีวิตประจําวันเทานั้น ถาทําอยางอื่นที่ผิดไปจากนี้ ก็แน นอนที่ผลตองผิดไป
ตามเหตุที่ผิดดวย การปฏิบัติผิดนั้น เกิดจากการหวังผลอยางรวดเร็วเพราะไม
เขาใจหนทางปฏิบัติที่ถูก โลภมูลจิตก็เกิดรวมกับความเห็นผิดจึงเปนมิจฉา
มรรคที่นําไปสูมิจฉาวิมุตติ คือการพนอยางผิดๆ เพราะไมใชการพนจากกิเลส
๒๔๒
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
อยางถูกตองแตก็เขาใจผิดวาพนจากกิเลสแลวจัดเปนวิปสสนูปกิเลส คือ สิ่งที่
ทําใหวิปสสนาเศราหมอง๕๗
๔.๒ การปรากฏของวิปสสนูปกิเลส
เมื่อกังขาวิตรณญาณวิสุทธิเกิดขึ้นแลว ปญญาที่เจริญขึ้นจากสติปฏ
ฐานที่พิจารณาลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทั่วขึ้นจนชิน รูวาเปนแต
เพียงนามธรรมและรูปธรรมเทานั้นเสมอกันหมดทุกประเภท ทําใหละคลาย
การใสใจแสวงหายึดมั่นในนามหนึ่งนามใดรูปหนึ่งรูปใดโดยเฉพาะ และนอม
พิจารณาการเกิดดั บ ความไมเที่ยง ความเป นทุ กข ความเป นอนั ตตาของ
นามธรรมและรู ป ธรรมที่ ป รากฏจนประจั ก ษ ก ารเกิ ด ดั บ สื บ ต อ กั น ของ
นามธรรมและรูปธรรมเปนสัมมสนญาณและอุทยัพพยญาณตามลําดับ เมื่อ
อุทยัพพยญาณดั บไปแล ว กิเลสที่ยังไมไดดับเปนสมุจเฉทก็ทําใหเกิดความ
ยินดีพอใจในวิปสสนูปกิเลส และญาณหรือความรูยอมเกิดจากจิตที่สงบถึงขั้น
เปนปจจัยใหเกิดความยินดีในความคมกลาของปญญาที่ประจักษการเกิดดับ
ของนามธรรมและรูปธรรมอยางคมชั ด แกลวกล า และวองไวดุ จอสนี บาต
(ฟ าผ า, สายฟ า ) เมื่ อเป น เช น นี้ จึ งทํ าให จิ ต หลุ ด ออกไปจากป จ จุ บั น ขณะ
วิปสสนาก็ถึงความเศราหมองเนื่องจากไมไดพิจารณาความเกิดดั บ ไมเที่ยง
เปนทุกข เปนอนัตตา ไมใชตัวตนของสภาพธรรมในขณะนั้น๕๘ เพราะผูปฏิบัติ
ถูกอุทธัจจะครอบงําไวดวยความฟุงซานในธรรม คือ ญาณ หรือความรูที่กําลัง
ปรากฏในขณะนั้นวาเปนความรูที่วิเศษ ประณีต หรือ เขาใจผิดวาเปนพระ
นิพพาน วิปสสนาที่ดําเนินมาจึงเศราหมองลง เพราะอุทธัจจะเปนเหตุ
๔.๓ ลักษณะการเกิดวิปสสนูปกิเลส
พระสารีบุ ตรเถระได แสดงเหตุ การณเกิดวิ ปสสนูป กิเ ลส ไวในธั ม
มุทธั จ จวารนิ ทเทส ว า เมื่อมนสิ ก ารธรรมหรื อ รู ป นามโดยความเป น ไตร
๕๗
สุจินต บริหารวนเขตต, ปรมัตถธรรมสังเขป จิตสังเขปและภาคผนวก,
หนา ๔๗๒-๔๗๔.
๕๘
เรื่องเดียวกัน, หนา ๔๘๕-๔๘๘.
๒๔๓
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ลักษณวิปสสนูปกิเลสก็จะเกิดขึ้น ดังแสดงไวดังนี้วาเมื่อภิกษุมนสิการโดย
ความไมเที่ยง โอภาสยอมเกิดขึ้น ญาณยอมเกิดขึ้น ปติยอมเกิดขึ้นปสสัทธิ
ยอมเกิดขึ้น สุขยอมเกิดขึ้น อธิโมกขยอมเกิดขึ้น ปคคหะยอมเกิดขึ้น อุปฏ
ฐานย อ มเกิ ด ขึ้ น อุ เ บกขาย อ มเกิ ด ขึ้ น นิ กั น ติ ย อ มเกิ ด ขึ้ น และเมื่ อ ภิ ก ษุ
มนสิการโดยความเปนทุกข โดยความเปนอนัตตา เมื่อมนสิการรูปโดยความ
ไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา เมื่อมนสิการเวทนา ฯลฯ สัญญาฯลฯ สังขาร
ฯลฯ วิญญาณ ฯลฯ จักขุ ฯลฯ มนสิการชราและมรณะโดยความไมเที่ย ง
ฯลฯ มนสิ การชราและมรณะโดยความทุกข มนสิ การชราและมรณะโดย
ความเปนอนัตตา โอภาสยอมเกิดขึ้น ญาณยอมเกิดขึ้น ฯลฯ๕๙
พระพุทธโฆสเถระไดแสดงเหตุของการเกิดวิปสสนูปกิเลสไปในทาง
เดียวกันกับพระไตรปฎก คือ “เมื่อผูปฏิบัติเห็นความแตกตางกันของสัจจะ๖๐
ของปฏิจจสมุปบาทของนัย๖๑ และของลักษณะ๖๒” และคัมภีรวิสุทธิมรรค
ไดแสดงเหตุเกิดวิปสสนูปกิเลสละเอียดเพิ่มมากขึ้นวา วิปสสนูปกิลสจะเกิด
กับบุคคลประเภท “อารทฺธวิปสฺสโก แปลวา ผูที่เริ่มตนบําเพ็ญวิปสสนา” คือ
เปนผูที่เริ่มตนรูวิธีการปฏิบัติวิปสสนาถูกวิธีและลงมือปฏิบัติไดผล จนสมาธิ
แกกลากาวขามนิวรณ ๕ ไปได๖๓
พระโสภณมหาเถระ ก็ไดแสดงในทํานองเดียวกัน ดังนี้ “สําหรับ
บุคคลผูปฏิบัติตามวิธีที่ไดแสดงไวในปริเฉจที่ ๕ จนมีสมาธิแกกลา นิวรณ
ทั้ ง หลายก็ จ ะไม เ กิ ด ขึ้ น บ อ ยนั ก การกํ า หนดก็ จ ะเป น ไปได ต อ เนื่ อ ง” ก็
สามารถที่จะบรรลุญาณที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณที่ ๒ ปจจยปริคคห
ญาณ ญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ และ “จนบรรลุตรุณวิปสสนาญาณ (วิปสสนา
๕๙
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖/๔๒๕–๔๒๖.
๖๐
สัจจะ หมายถึง รูปนาม.
๖๑
นัย มี ๔ แบบ คือ เอกัตตนัย นานัตตนัย อัพยาปารนัย เอวังธัมมตานัย ดู
รายละเอียดใน พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๕๙.
๖๒
ลักษณะ หมายถึง อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ อนัตตลักษณะ.
๖๓
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๖๐.
๒๔๔
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
อยางออน) อันดับแรก มีชื่อวา อุทยพยานุปสสนาญาณ” ๖๔
อุปกิเลส ๑๐ เปนสภาวธรรมที่เปนที่ตั้งของอุปกิเลส ก็จะเกิดขึ้นเอง
และเปนเหตุปจจัยทําใหเกิดวิปสสนูปกิเลส
พระอาจารย ภั ท ทั น ตะ อาสภมหาเถระ ธั ม มาจริ ย ะ อั ค คมหา
กัมมัฏฐานาจริยะ ไดกลาวไปในแนวทางเดียวกันวา สมาธิเปนสาเหตุใหเกิด
วิปสสนูปกิเลส โดยไดแสดงไวดังนี้ “ถาจะมีปุจฉาวา? เมื่อโยคีบุคคลบรรลุถึง
อุทยพยญาณอยางออนนี้แลว เหตุไฉนจึงตองมี วิปสสนูปกิเลสเกิดขึ้นเลา?
คําวิ สั ช นาก็คือ วิ ป ส สนู ป กิเ ลสเหล านั้ น เกิด ขึ้น โดยอํานาจสมาธิ คือ โยคี
บุคคลปฏิบัติมาถึงขั้นนี้แลวกําลังสมาธิจะดีขึ้นมาก ทําใหจิตใจผองใส เปน
เหตุใหไดพบเห็นสิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรยที่ตนไมเคยพบเห็นมากอน
เชนโอภาสเปนตน๖๕
เหตุ ที่ เ กิ ด วิ ป ส สนู ป กิ เ ลส เป น เพราะผู ป ฏิ บั ติ เ กิ ด การยึ ด ถื อ ใน
อุปกิเลส ๑๐ เชน “แสงสวางเห็นปานนี้ไมเคยเกิดขึ้นแกฉันในกาลกอนแตนี้
เลยหนอ ฉันเปนผูบรรลุมรรคแลว ฉันเป นผูบรรลุผลเป นแน๖๖” โดยการ
ยึดถือ (คาหะ)๖๗ นี้เกิดจาก ๑) ทิฏฐิ คือความเห็นผิดวามีตัว มีตน มีเรา เรา
เปนผูเห็นแสงสวาง ๒) มานะ คือ ถือตัว วาตัววิเศษกวาคนอื่นๆ และ ๓)
ตัณหา คือ ความทะยานอยากอยากเห็นแสงสวาง เพราะความถูกใจ ชอบใจ
ยินดี ในแสงสวาง
พระโสภณมหาเถระไดแสดงใหชัดเจนเพิ่มมากขึ้นไปอีกในประเด็น
การเรียกชื่ออุปกิเลส ๑๐ เปนอุปกิเลสวัตถุ ๙ โดยการอางถึงคัมภีรวิสุทธิ
มรรควาเอตฺถ จ โอภาสาทโย อุปกฺกิเลสวตฺถุตาย อุปกฺกิเลสาติ วุตฺตา, นอ
๖๔
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสสนาชุนี หลักการปฏิบัติวิปสสนา
(ฉบับสมบรูณ) ,หนา ๔๓๕.
๖๕
ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะ อุคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ, ปฐม
วิปสสนาวงศ ในประเทศไทย, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทอมรินทรพริ้นติ้งแอนดพับลิช
ชิ่ง จํากัด (มหาชน), ๒๕๕๔), หนา๑๔๖.
๖๖
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๐๖๒.
๖๗
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๐๖๗.
๒๔๕
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
กุสลตฺตา.นิกนฺติ ปน อุปกฺกเลสโส เจว อุปกฬกิเลสวตฺถุ จ. วตฺถุเสเนว เจเต
ทส, คาหวเสน ปนสมตฺตึส โหนตฺติ๖๘
อนึ่ง ในบรรดาอุปกิเลส ๑๐ อยางนี้ ตั้งแตโอภาสถึงอุเบกขา ทาน
เรียกวาอุปกิเลส เพราะเปนที่ตั้งของตัณหา มานะ และทิฏฐิ อันเปนเครื่อง
เศราหมอง ไมไดเรียกวาอุปกิเลสเพราะเปนอกุศล สวนนิกันติเปนทั้งอุปกิเลส
ตัวจริง และที่ตั้งแหงอุปกิเลส จริงอยู โดยวัตถุแลวอุปกิเลสมี ๑๐ อยาง แต
โดยเคหะกลาวคือตัณหา มานะ และทิฏฐิ แลวมี ๓๐หมายความวา อุปกิเลส
วัตถุ ๙ มีโอภาสเปนตน จนถึงอุเบกขานั้น ทานเรียกวาอุปกิเลส ไดก็ตอเมื่อ
ถูกตัณหา มานะ และทิฏฐิเขาครอบงําแลวเทานั้น๖๙
มีเรื่องที่ตองทําความเขาใจใหชัดเจนจากการใชศัพทอุปกิเลส ๑๐
ในคัมภีรวิสุทธิมรรค และ หนังสือวิปสสนาชุนี อาจจะเกิดความสับสนได จึง
ขอสรุปคําศัพทที่เกี่ยวของดังนี้
วิ ป ส สนู ป กิเ ลสเป น กิ เ ลสในระดั บ วิ ป ส สนาญาณระดั บ อุท ยั พ พย
ญาณอยางออน
อุปกิเลส ๑๐ (วิสุทธิมรรค) ตรงกับ อุปกิเลสวัตถุ ๙ (วิปสสนาชุนี
ตั ด นิ กัน ติ ออก) ที่ตั้ ง ของอุป กิเ ลส ไมเ ป น อกุศ ลอุป กิเ ลส เป น กิเ ลสอย า ง
ละเอียดที่นอนนิ่งในสันดาน (อกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ โมหะ)
กระบวนการเกิด วิ ปส สนู ปกิเ ลส เริ่มจาก เกิด อุปกิเ ลส ๑๐ หรื อ
อุปกิเลสวัตถุ ๙ เปนอารมณมากระทบ ทําใหอุปกิเลส ที่นอนนิ่งในสันดาน
ปรุงแตงขึ้น เรียกวาเกิด วิปสสนูปกิเลส
พระอาจารย ภั ท ทั น ตะ อาสภมหาเถระ ธั ม มาจริ ย ะ อั ค คมหา
กัมมัฏฐานาจริยะ ไดแสดงตัวอยางเปรียบเทียบ ใหเห็นฐานะของวิปสสนูปกิ
เลสเปน ดังนี้ ยังมีอุบาสกผูหนึ่งเปนคนดีมีศีลธรรม เปนหัวหนามรรคนายก
วัดแหงหนึ่ง เปนที่นับถือของคนทั่วไปทั้งพระภิกษุสามเณรและชาวบาน วัน
หนึ่งมีเพื่อนขี้เมา ๓ คน มาชวนไปเที่ยวตลาด และ พากันเขาไปในรานสุรา
๖๘
วิสุทฺธ.ิ ๒/๓๐๙.
๖๙
เรื่องเดียวกัน.
๒๔๖
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
เมื่อนั่งลงแลวเพื่อนทั้ง ๓ ก็สั่งสุรามารับประทานจนเมา และคุยกันเอะอะ
ฝูงชนเดิน ผานไปมาได ยินเสี ยงดั งตางก็เ หลีย วดู เห็นอุบาสกผูนั้ นนั่งในวง
เหลา ก็นึกติฉินนินทา พากันเขาใจผิดคิดวา อุบาสกที่ตนนับถือในคุณธรรม
นั้น กลายเปนคนกินสุร าเสียแลว เพราะเห็ นอยูวา อุบาสกนั้นนั่งอยูในวง
เหลา และ สถานที่นั้นเปนโรงเหลา แมอุบาสกผูนั้นยังมั่นอยูในศีลไมดื่มเลย
นั่งเฉยๆ อยูแทๆ กลับตองถูกนินทาเสียชื่อ เพราะเพื่อนขี้เมา ๓ คนนั้น เปน
ผู ก อ เหตุ ข อ นี้ ฉั น ใด ธรรมชาติ ทั้ ง ๙ ประการ คื อ ตั้ ง แต โอภาสจนถึ ง
อุเ บกขาก็ เ หมือ นกั น ทั้ง ๆที่ เ ป น ของดี เป น กุ ศลแท ๆ แต ก็ต องมาเสี ย ชื่ อ
กลายเปนอุปกิเลสไป เพราะเพื่อนขี้เมาทั้ง ๓ คือ ตัณหามานะ ทิฏฐิ เปน
ตัวการกอเหตุแทๆ แตพอผานญาณนี้ไปแลว ตัณหา มานะ ทิฏฐิ จากไปแลว
ธรรมทั้ง๙ ก็กลั บ มาเป น ของดี ต ามเดิ ม และ ดี วิ เ ศษเสี ย ด ว ย เพราะเป น
โพชฌงค คือองคคุณสําคัญของเหตุใหไดมรรค ผล สวนขอสุดทาย คือ นิกัน
ติ เปนตัวอกุศล เปนอุปกิเลสแทอยางไมตองสงสัย๗๐
และหนั ง สื อ วิ ป ส สนาชุ นี พระโสภณมหาเถระยั ง ได อ ธิ บ าย
รายละเอียดลักษณะการเกิดของวิปสสนูกิเลสวา อาจจะเกิดขึ้นทีละอยางๆ
ในแตละขณะของจิตดวงหนึ่งๆ หรืออาจเกิดหลายๆอยาง พรอมๆกันก็ได
โดยอ า งถึ ง คั ม ภี ร วิ สุ ท ธิ ม รรคว า “น วาป หิ อุ ป กฺ กิ เ ลสา เอกกฺ ข เณป
อุ ปฺ ป ชฺ ช นฺ ติ ,ปจฺ จ เวกฺ ข ณา ปน วิ สํ วิ สํ โหติ ๗๑” แปลว า จริ ง อยู อุ ป กิ เ ลส
นอกจากนิ กั น ติ แม ทั้ ง ๙ ย อ มเกิ ด ขึ้ น ได แ ม ใ นขณะเดี ย วกั น ส ว นการ
พิจารณานั้นแยกพิจารณา
สรุปในหัวขอนี้ คือ เมื่อสามารถกาวขามนิวรณ ๕ จิตผองใส มีสมาธิ
สามารถกํ า หนดรู ป นามได ต อ เนื่ อ ง ก็ จ ะก า วข า มญาณเบื้ อ งต น จนถึ ง อุ
ทยัพยานุปสสนา ญาณอยางออน อุปกิเลส ๑๐ ก็จะเกิดขึ้น ซึ่งเปนการพบ
เจอครั้งแรก ไมรูเทาทัน เปนสิ่งเรา ทําใหเกิดตัณหา หลงเพลินในอุปกิเลส
๗๐
พระอาจารย ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะ อุคคมหากัมมัฏฐา
นาจริยะ, ปฐมวิปสสนาวงศ ในประเทศไทย, หนา ๑๔๗.
๗๑
เรื่องเดียวกัน, หนา ๕๒๘.
๒๔๗
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
๑๐ เกิดเปนวิปสสนูปกิเลส และลักษณะการเกิดของวิปสสนูกิเลส อาจจะ
เกิด ขึ้น ทีล ะอย างๆ ในแต ล ะขณะของจิ ต ดวงหนึ่ งๆ หรื ออาจเกิด หลายๆ
อยางพรอมๆ กันก็ไดหมายเหตุทายหัวขอ ๒.๓ ผูปฏิบัติบางคนอาจจะไมเกิด
วิ ป ส สนู ป กิ เ ลส เมื่ อ ปฏิ บั ติ ถึ ง อุ ท ยั พ พยญาณอย า งอ อ น ด ว ยสาเหตุ ว า
“บุ คคลนั้ น เป น ทวิ เ หตุ กบุ คคล คือ บุ คคลที่ถือ ปฏิ ส นธิ ด ว ยเหตุ ๒ ได แ ก
อโลภเหตุ (ความไมโลภ) และอโทสเหตุ (ความไมโกรธ) จึงเปนผูไมมีปญญา
(อโมหเหตุ) มาตั้งแตเกิด ทําใหไมสามารถที่จะเจริญฌานหรือมรรคผลให
สําเร็ จในชาติ นี้ได เมื่อปฏิบั ติบุ คคลพวกนี้จึ งไมเ กิด วิป สสนูป กิเ ลส ส วนติ
เหตุกบุคคลมีเหตุ ๓ ไดแก อโลภเหตุ อโทสเหตุ และอโมหเหตุ จึงมีปญญา
มาตั้งแตเกิด๗๒”
๔.๔ ตัวอยางอาการการเกิดวิปสสนูปกิเลส
ในหั ว ข อ นี้ จะแสดงให เ ห็ น ๒ ส ว น คื อ ส ว นภายใน และส ว น
ภายนอก สวนภายในหมายถึงสภาพหรือสภาวะของอุปกิเลสทั้ง ๑๐ ที่เปน
สิ่งเรา ทํางานรวมกันอยางไร ในขณะเกิดวิปสสนูปกิเลส และสวนภายนอก
หมายถึง ผู ที่เ กิดวิ ป ส สนูป กิเ ลส มีความคิด มีอาการ และพฤติ กรรมการ
แสดงออกอยางไร
ตั ว อย า งที่ ๑. เมื่ อ ผู นั้ น พยายามกํ า หนด ที นี้ ใ นการที่ ผู นั้ น จะ
พยายามกําหนดไปแลว จากนั้ นจิ ตใจของผู ปฏิ บัติ นั้น จะรู สึกวามัน มีความ
ปลาบปลื้ มป ติ เบาขึ้น มา รูสึ กว ามีแสงระยิ บระยั บ เกิด ขึ้น มาทัน ที จะมีสี
เขี ย วๆ แดงๆ จะปรากฏขึ้ น ทั น ที ๗๓ และ แสงสว า งนี้ มั น จะเกิ ด อาการ
ระยิบ ระยั บขึ้น มากอน จะเป นประกายเขีย วๆ แดงๆ ต อจากนั้ น ก็จ ะเกิด
ความรูสึกเสมือนหนึ่งมีบุคคลเอาไฟเขามาฉาย หรือประหนึ่งเกิดความสวางมี
อยูในหองกรรมฐาน ประดุจดังวาเปนเวลากลางวัน จะมีอาการรูสึกแจมชัด
ทีเ ดี ย ว สิ่ ง เหล านี้ คือ อะไร ก็ คื ออํ านาจของโอภาส อัน เป น แสงสว า ง ซึ่ ง
จัดเปนวิปสสนูปกิเลส เพราะวาในขณะที่แสงสวางปรากฏขึ้นนั้น ผูปฏิบัติ
๗๒
เรื่องเดียวกัน, หนา ๔๐๘.
๗๓
เรื่องเดียวกัน, หนา ๔๐๐.
๒๔๘
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ยอมไมสามารถกําหนดธรรมะใดๆได ถึงกับตกตะลึงงันในแสงสวางนั้น และ
คิดไดในทันทีวาธรรมะที่ตัวไดเสาะแสวงหามานานนั้นเราไดประสบเสียแลว
ในครั้งนี้ ผูปฏิบัตินั้นก็ตีความหมายเขาใจเอาเองเลยที่เดียววา เราไดรูธรรม
วิเศษเบื้องสูงแลว สมประสงคดังที่ไดตั้งใจไว การเขาใจนั้น จึงทําใหบุคคล
นั้นตะลึงงันไป ไมสามารถกําหนดไดฉะนั้นโอภาสหรือแสงสวางที่ปรากฏใน
ครั้งนี้ จึงจัดเปนวิปสสนูปกิเลสประการหนึ่ง๗๔
ตัวอยางแรกนี้แสดงใหเห็นวา อุปกิเลส ๑๐ สามารถเกิดพรอมกัน
หลายชนิด คือ ปติปสสัทธิ สุข โอภาส และรวมกันสงผล ผูปฏิบัติจะรูสึกวา
เห็น แสงสวาง ทั้งๆ ที่หลับตาอยู พรอมกันนั้นยังรูสึกรับรูความรูสึกทางกาย
คือ รูสึกวากายเบา สบาย ผอนคลายทั่วทั้งตัว และรูสึกรับรูทางใจคือรูสึกถึง
ความสงบ สุ ข ป ติ ป สสั ทธิ เปน ผลทําใหเ กิดแรงดึ งดูด ผู ปฏิ บั ติอย างมาก
อยางที่ไมเคยพบเจอหรือรูสึกมากอน จนสามารรถทําใหผูปฏิบัติขาดสติหยุด
กําหนด มัวหลงเพลินในแสงสี ในปติ ในสุข เกิดเปนวิปสสนูปกิเลส ตัวอยาง
นี้เดนที่โอภาส โอภาสมีกําลังแรงชัดเจนมาก
ตั ว อย า งที่ ๒. ความปลาบปลี้ ม ป ติ นี้ เ วลาเกิ ด ขึ้ น แล ว จะเกิ ด
ความรูสึกวาตัวของเรา มีอาการขนลุกขนพองขึ้นมา บางครั้งจะรูสึกหัวโต
ผมคลายๆ กับมันชันขึ้นมา แตความจริงนั้นไมใช มันเปนเพราะอํานาจของ
การสรางแหง “ปติชรูป” ทั่วสกลกาย ดังนั้นจึงทําใหเราเขาใจผิด คิดวาที่มี
อาการขนลุกขนพองขึ้นมานั้น มันเปนประการหนึ่งที่เราจะไดธรรม เราไป
เขาใจดังนี้
ขณะที่นั่งภาวนาอยู จะมีอาการขนลุกเกรียวๆ ขึ้นมาทีเดียว คลาย
กับคนเราเดินผานสถานที่แหงใดแหงหนึ่ง และ มีผูกลาวกันวาตรงนั้นตรงนี้ผี
ดุ เคยหลอกคนมาแลว ดังนี้เปนตน พอเราไปถึงตรงนั้น ก็เกิดความกลัว มี
อาการตัวพองขึ้นมา การที่เปนเชนนี้นั่นแหละเรียก “ขุททกาปติ”ตอจากนั้น
มัน ก็จ ะมี อาการเกิ ด ขึ้ น อี ก ในคราวนี้ ที่ป รากฏนั้ น มัน จะมี อาการเหมื อ น
อยางไร มันจะมีอาการเสมือนหนึ่งฟาแลบ ที่เราไมสามารถจะมองใหรูไดวา
๗๔
เรื่องเดียวกัน.
๒๔๙
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ทางไหนหัวทางไหนหางทาง หรือวามันสวางแลบมาจากทางไหน เราไมรูได
เลยมันจะมีอาการแวบเดียว แวบเดียวแลวก็หายไป ปติชรูป สรางบอยครั้ง
แลวมันก็จะกอใหเรารูสึกอาการปราโมทยยินดี จากขางลางขึ้นขางบน จาก
ขางบนลงมาขางลาง อะไรทํานองนี้ ก็เนื่องดวยอํานาจของ “ขณิกาปต๗๕ ิ ”
เพราะการซานของปติชรูปนั่นเอง ทานจึงรูสึกอาการ วาบๆ หวามๆ
เสมือนหนึ่งทานไดเห็นคลื่นในแมน้ํา หรือคลื่นในทะเล เวลามันไลตอนกันมา
ซอนๆ กัน พอมาถึงฝงคลื่นนั้นก็หายวาบไปฉันใดในที่นี้ก็คลายกัน มีการเห็น
ไลกันมา แตอีกประการหนึ่งพูดยาก อาการนี้คือมันมีความรูสึกคลายมีอะไร
มาดันๆ เขามาแลวก็หายวาบๆ ไป ที่เปนเชนนี้ก็เพราะอํานาจของ “โอกกัน
ติกาปต”ิ
“อุพเพงคาปติ” เปนปติที่สามารถทําใหตัวลอยได บางคนสามารถ
ลอยไดคืบเดียว บางคนลอยไดศอกหนึ่ง บางคนเพียง ๒-๓ นิ้ว บางคนจะ
รู สึ กร างกายถู ไปถูม าเท านั้ น คือรู ว าถู ไปกั บ พื้น บางคนตั ว ลอยไมไ ด ก็ มี
อาการโอนเอนโยนตัว คือตัวโยกเยกไปมาคลายๆ กับลม หรือมิลมแหล และ
“ผรณาปตินั้น” จะมีอาการรูสึกเสมือนหนึ่งเรา ไมอยากจะกระดุกกระดิก
ขยับเขยื้อนตัวฉะนั้นแมแตเปลือกตาที่เราปดเอาไว รูสึกวาไมอยากจะเปดตา
เลย ที่เปนเชนนี้ก็เพราะความซาบซานของความปรีดาปราโมทยนั้น ยังให
เราหมดความรูสึกที่เราอยากจะกระดุกกระดิก บอกกันไมถูกเลยจะบรรยาย
ใหกันฟง ก็แสนยากที่จะเขาใจ ผรณาปตินี้ เมื่อเกิดแกทานผูใดแลว ทานผู
นั้นมักจะคิดเอาวาเปนธรรมะวิเศษที่ตัวไดเฝาใฝหามานั้น บัดนี้ไดปรากฏแก
ตนแล ว เลยตั ด สิ น ใจเอาง า ยๆว า อั น นี้ เ องก็ เ ลยทํ า ให ผู นั้ น ไม ส ามารถ
กําหนดใหกา วหนาตอไปได๗๖
ตัวอยางนี้ แสดงใหเห็นอาการของปติทั้ง ๕ ชนิด ปติเดนชัด มีกําลัง
มาก มากจนแสดงออกมาทางรางกายในรูปแบบตางๆ เชนรูสึกหัวโต ขนลุก
เสียวสั่น โยกเยก ตัวหมุน ตัวลอยได เปนตน สวนทางใจ ก็รูสึกถึงปติ สุข
๗๕
เรื่องเดียวกัน, หนา๔๐๑.
๗๖
เรื่องเดียวกัน, หนา ๔๐๒ – ๔๐๓.
๒๕๐
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
อยางมาก สงผลทําใหเกิด “ทิฏฐิวิปลาส” คิดวาตัวเองไดธรรมะวิเศษเกิด
การยึดติด โดยเคหา ๓ เปน “วิปสสนูปกิเลส” ละเลยการกําหนดอารมณ
ปจจุบันตามความเปนจริง ตัวอยางนี้แสดงใหเห็นวา ปติเดนชัดกวาโอภาส
ตัวอยางที่ ๓. ที่กลาวถึงปสสัทธิวา เปนการสงบจิตสงบและกาย ที่
ถึง กั บ ทํ า ให พ ระอาจารย เ ข า ใจผิ ด ไป แต ส ว นศิ ษ ย ภู มิ ใ จคิ ด ไปว า ถึ ง พระ
นิพพานแลวนั้น ในที่นี้ก็เนื่องมาจากสหชาติของปสสัทธิ ไดแก ลหุตา มุทุตา
กัมมัญญตา ปาคุญญตา อุชุกตา เปนตน ไดเกิด พรอมกัน มานั่นเองฉะนั้ น
ความสงบกายและอาการสงบใจนั้น จึงไดกอใหเ กิดความเขาใจผิด ความ
เขาใจผิดอันนี้แหละที่พระกรรมฐานจารยสวนมากตีความเร็วไป เพราะวา
อํานาจของสหธรรมของปสสัทธิตัวนี้ ซึ่งไดแกลหุตา ลหุตานี้ไดแก กายลหุตา
รูปลหุตา จิตลหุตา นั่นเอง คือความเบาไดเกิดขึ้นแลว ความรูสึกทางกาย
และใจนั้นเบามาก คือเวลาเรากําหนด ซายยางหนอ ขวายางหนอ ยกหนอ
ยางหนอ เหยียบหนออะไรเหลานี้ เปนตน แทนที่เราจะตองพยายามทําใหได
จั งหวะนั้ น เมื่อเกิด ลั กษณะของป ส สั ทธิ แล ว จั งหวะนั้ น จะได เ กิด ขึ้น เองมี
อาการเบาๆ และนุมนวลไปทีเดียว ที่เรียกวาเบาและนุมนวลนี้ เบานั้นเบา
เพราะอะไร เบาเพราะอํานาจแหงลหุตา ที่นุมนวลนั้น นุมนวลเพราะอะไร
นุมนวลเพราะอํานาจมุทุตา ที่กลาววานุมนวลในที่นี้ไมเกิดเพียงแตนุมนวลใน
การเดิน หรือในการนั่งกําหนด แมแตไปสอบ
อารมณ ถาหากวาอาจารยตะเพิด หรือพูดเสียงดังๆ เขาหนอย ใจ
นอยไปเลย อยากจะรองไหเสียแลวทําไมจึงอยากจะรองไห ทีนี้ใจนอยหรือไม
นอย แตจิตขณะนั้นมันนุมนวลเหลือเกิน มันเปนจิตมุทุตามุทุตามันเกิดอยู
แลว รางกายของเราก็นุมนวลไปดวย เพราะฉะนั้นเมื่อฟงคําพูดเสียงแข็งๆ
หรือเสียหนักๆ ของพระอาจารยเขา ศิษยก็เกิดอาการไมพอใจ ถาเปนหญิงก็
มีอาการคอนขวับๆ เอาดื้อๆ ถาเปนชายไมตองหรอก ลุกหนีไปเลย หมดการ
คาราวะ ลุกไปเสียเฉยๆ อยางนั้นเอง มักจะมีอาการดังกลาวนี้ ทีนี้ กัมมัญญ
ตา มักจะมีอาการแชมชอย ไมวาจะทําอะไร คือ รูจักที่สูงที่ต่ํา ถากลาวถึง
กาลทั่วไป แตจะกลาวถึงอาการแชมชอยคือหมายความวา เมื่อขณะจะเดิน
เมื่อแรกนั้น เราจะเดินไดจังหวะเดียว ถาไมเขาจังหวะเราก็จะไมเดินทีเดียว
๒๕๑
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
จะทําอะไรตองใหไดจังหวะตองไดฉากเสมอกัน แตพอเกิด กัมมัญญตาขึ้น
แลว ความแชมชอยนั้นๆ เราจะแลดูไมเปนฉากเสียแลว คลายๆ กับวาการ
เดินจะกาวจะยางอะไรนั้น อาการที่จะเกิดจังหวะนั้นดูประหนึ่งวามีอะไรมา
กระตุนเตือนใหเกิดขึ้นเองมันจะเปนดังที่กลาวมานี้ ฉะนั้นการที่เกิดอาการ
แชมชอยนี้ก็เพราะอะไร ก็เพราะอํานาจของ กัมมัญญตา ปาคุญญตา อุชุกตา
เหลานี้เอง มันคอยบันดาลดลเอาไวให เพราะฉะนั้นจึงเกิดอาการนุมนวล แช
ชอย ออนโยน เมื่อเราจะทําอะไรโดยมาก มักชอบประกอบการงาน
นั้น อยางสุภาพเรียบรอย ใครมาทําเสียงดังตึงตังไมชอบ เพราะขณะนั้นจิต
ของเรากําลังเกิดปสสัทธิอยู ดังนั้นสหชาติของปสสัทธิ จึงทําใหทางกายและ
จิตใจของผูปฏิบัติเขาสูความสงบ ในวิปสสนูปกิเลสนี้๗๗
ตัวอยางนี้ แสดงใหเห็นถึงอาการของปสสัทธิเดนชัด สงผลทั้ง กาย
และใจ ผูที่เกิดปสสัทธิจะรูสึก รางกายและจิตใจจะสงบ นุมนวล ออนโยน
สละสลวย ผองใส เที่ยงตรง อาการทุกขทรมารตางๆ เชน ปวดเมื่อย ปวดหัว
เบื่อหนาย ฟุงซาน หงุดหงิด หดหู ทอถอย จากการปฏิบัติกัมมัฏฐานที่รูสึก
วาปฏิบัติยากจะกลายเปนปฏิบัติงาย ขณะปฏิบัติจะรูสึกวาทั้งกายและจิตไม
มีความกระวนกระวาย ไมมีความหนัก ไมมีความกระดาง ไมมีความไมควร
แกงาน ไมมีความเจ็ บไข ไมมีความคดโกงปฏิบั ติได ทั้งงายและมีความสุ ข
อยางมากที่สุ ดในระดั บที่ไมเ คยพานพบมากอนในชี วิต ทําใหผู ปฏิ บัติ เกิด
ความหลงใหล เพลิน ยึดติด จนเกิดเปนวิปสสนูปกิเลส เมื่อพบเจอครั้งแรก
ยากที่จะรูเทาทัน ไมสามารถตานทาน ทําใหการเจริญสติตองหยุดลง
ตั ว อย า งที่ ๔ เมื่ อ แรกเข า สู วิ ป ส สนาสถานนั้ น ท า นได มี ค วาม
ประสงคและมีจุดประสงคอยางไรก็ได เขามาดวยศรัทธาตัวนี้ นึกเสียวาถาได
เขามาปฏิบัติแลว เราจะตองไดธรรมวิเศษ เราจะตองถึงพระนิพพานอยาง
แนนอน เราเอาพระนิพพานเปนจุดยึดมั่น พอเรามาไดปฏิบัติสักขณะหนึ่ง
จนกระทั่งเราไดเห็นในความจริงที่เกิดขึ้นแลว ศรัทธาตัวนั้น คือ ศรัทธาตัว
แรกดําริในการจะมาเรียนพระกรรมฐานเปนทุนเดิมนั่นแหละ จะทวีความแก
๗๗
เรื่องเดียวกัน, หนา ๔๐๔–๔๐๕.
๒๕๒
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
กลาขึ้นทันที อาการทวีความแกกลาขึ้นนั้น จะยังใหผูปฏิบัติไมสามารถที่จะ
กําหนดอารมณที่ตั้งใจไวได คือจิตก็คิดแตจะสรางสรรคนานาประการเชนนั่ง
คิดนั่งนึกไปวา ธรรมะนี้ทําไมจึงวิเศษประเสริฐสุดดังนี้หนอ จะไปแสวงหา
ธรรมประเสริ ฐ เลิ ศ ไปกว านี้ ไ มมี อี กแล ว เรานี้ ว าสนาดี เ หลื อเกิ น ถ าไม มี
วาสนาเราก็ คงมิ ได เ ขามาปฏิ บั ติ ดี ใจเกิด อาการหั ว เราะ ร าเริ งเอาเฉยๆ
อาการดังกลาวนี้เรียกวา หัวเราะโดยไมมีปมีขลุยนั่นเอง นอกจากนี้บางคน
นึกวา เอ เราจะตองไปเชิญชวนบิดา มารดา ปูยา ตายาย พี่ปา นาอา ของ
เราใหเขามาปฏิบัติ บางครั้งก็นึกนั่งคิดไปตางๆ เชน ดําริจะซื้อของชนิดนั้น
ชนิดนี้ ไปถวายพระอาจารยเปนการบูชาคุณ และเปน
การบูชาพระธรรม สรางภาพสรางเมืองในอากาศจนลืม มิไดกําหนด
อะไรเลย นี่เปนเรื่องของฆราวาสฝายอุบาสกอุบาสิกา ถาเปนฝายบรรพชิต
พอมาเจอกับศรัทธานี้แลว ความดีอกดีใจในการปฏิบัติ เกิดความภาคภูมิใจ
นึกวาในคราวนี้ ตัวอาตมาคงไดชดใชขาวกอนเกลือเม็ดที่ญาติโยมทั้งหลายได
อุปการะ นับตั้งแตไดบรรพชาอุปสมบท คงจะไดทดแทนคุณหมดแนในคราว
นี้เอง เมื่อบริโภคอาหารของญาติโยมทั้งหลายแลว บางคราก็ยถา อนุโมทนา
ในทานให บางคราวก็มิไดกลาวคําอนุโมทนากถาถากินไปกินมาคงลางหนี้สิน
ไดหมดครั้งนี้ บางครั้งนั่งวาดภาพคิดจะสรางวิปสสนาสถาน เชิญชวนใหญาติ
โยมทั้งหลาย ให มาปฏิ บัติ กัน ให เต็ มที่ทีเ ดีย ว ตั้งตัว เป นพระอาจารย สอน
กรรมฐานตามแนวสติปฏฐาน ๔ ทันที เมื่อไดสําเร็จเปนผลแลว แตเมื่อมา
มองดูตัวแลวก็ยังไมไดไปแคไหนเลย นี่เพราะอะไร ก็เพราะอํานาจตัวศรัทธา
ที่เกิดประกอบกับความปติโสมนัสนั่นเอง อีกดานหนึ่งเมื่อคฤหัสถทั้งหลาย
ไดพยายามเห็นความจริงของธรรมะเชนนี้แลว เกิดการนอยใจรองไหโฮๆ ขึ้น
เฉยๆ ครั้นไปถามวารองไหทําไมโยม? มักจะไดรับคําตอบวา เสียดายครับ
เสี ย ดายเจ า คะ คื อ บิ ด า มารดา ปู ย า ตายาย พี่ ป า น าอา ไมได มาเห็ น
ธรรมะอันประเสริฐ กระผมเห็นแลว ดิฉันไดเห็นแลว รองไหฮื้อๆ ไมรูจะทํา
ประการใด นึกก็ไมอยากนึกเสียแลว เลยรองไหเจาคะ เออ ไมไดความหมาย
อะไรเลย นี่เพราะอะไร? ก็เพราะตัวศรัทธาเกิดนั่นเอง ดวยเหตุนี้ ตัวศรัทธา
เมื่อเกิดขึ้นแลว ไมกอใหเกิดความดี ใหกาวถึงธรรมเบื้องสูงได ฉะนั้นพระ
๒๕๓
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
อาจารย เมื่อทานไปสั่งสอนปวงสานุศิษยของทาน เมื่อพบศิษยที่มีศรัทธา
ดังกลาวแลวนั้น ทานยังไดชวยสงเสริม ถาเราสงเสริมเขาก็เทากับปล้ําผีลุก
ปลุกผีนั่ง คือคนหนึ่งเกิดศรัทธากําลังแกกลา เราไปบอกวาดีและชมเชย เมื่อ
พระอาจารยไปสงเสริมใหการสนับสนุนผูปฏิบัติของทานมีหวังเปนบารอย
เปอรเซ็นต ทําไมจึงบา? ก็เราเปนอาจารยควรตัดไมใหศรัทธาเกิดจะตองขม
ใหตกไปแทนที่จะชม กลับไปสงเสริมบอกวาดี ชมวาเปนคนหายาก ดีมาก
ทีเดียวที่เรียกวาปล้ําผีลุกปลุกผีนั่ง ผลสุดทายผีตัวนั้นเอง เลยทําใหคนนั้น
เปนบาไปเลย เรียนวิปสสนาแลวเปนบาเปนเพราะเหตุนี้แหละ๗๘
ตัวอยางนี้ แสดงใหเห็นวา การปฏิบัติที่ถูกตองในเบื้องตน ทําให
ไดรับผลของการปฏิบัติเกิดอุปกิเลส ๑๐ เชน โอภาส ปติ ปสสัทธิ สุข เปน
ตน กอใหเกิดศรัทธาอยางแรงกลาได จะสังเกตไดวาในตัวอยางนี้ วิปสสนูปกิ
เลส ไมไ ด เ กิ ด จาก โอภาส ป ติ ป ส สั ท ธิ และสุ ข โดยตรง แต ส ภาวธรรม
เหล านี้ รว มกัน สงผลให ผูป ฏิ บั ติ เกิด ศรั ทธาในการปฏิ บั ติ อย างแรงกล าแต
ประเด็นสําคัญ คือ ศรัทธาที่เกิดขึ้น ไมใชสงผลดีดานเดียว แตสงผลเสียได
เช น กัน เมื่อเกิด เป น วิ ป ส สนู ป กิเ ลส สามารถทําให ผู ป ฏิ บั ติ มีพฤติ กรรมที่
ผิดเพี้ยนไปจากการดําเนินชีวิตที่เปนปกติมีพฤติกรรมแปลกๆ อาจถึงขั้นเสีย
สติเปนบา สงผลเสียตอการทําหนาที่ ที่ตนตองรับผิดชอบอยู สงผลตอคน
รอบกายไมวาจะเปน คนในครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อนรวมงาน
ตลอดจนถึงผูที่จะตองมีปฏิสัมพันธตอกันทําใหเห็นวา เมื่อไดของดี ของวิเศษ
ในขณะที่ ส ติ ป ญญาไมแ ก กล า พอ ก็ส ามารถทํา ให เ กิ ด ผลเสี ย ได ในการ
ดําเนินชีวิตเราก็เห็นไดอยูบอยๆ ตัวอยางเชน เด็กที่ไดโทรศัพทมือถือรุนดีๆ
แตเอาใชไปในทางที่ผิด เพลินกับการดูหนัง ฟงเพลง เลนเกมส หรือคนจนหา
เช ากิน ค่ําการศึกษาน อย พอถูก สลากกิน แบ งรางวั ล ที่ ๑ ร่ํ ารวยเงิน ทอง
ขึ้นมาทันตาเห็น ก็ใชเงินทองไปในทางที่ผิด เที่ยวเตร กินเหลา เมายา เลน
การพนัน จับจายใชสอยอยางฟุมเฟอย จนเกิดผลรายกับตนเองทั้งทางกาย
และใจ ไม ส ามารถเพิ่ ม พู น และรั ก ษาเงิน ทองไว ไ ด และอีก หนึ่ ง ตั ว อย า ง
๗๘
เรื่องเดียวกัน, หนา ๔๐๕–๔๐๖.
๒๕๔
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
นักการเมืองที่ได อํานาจบริ หารประเทศ ก็ห ลงอํานาจใช อํานาจไปในทาง
เสื่อมเสีย เปนตน ถาบุคคลในตัวอย างเหลานี้ ไดมีโอกาสปฏิบั ติวิปสสนา
กัมมัฏฐานจนมีประสบการณ รูเทาทันวิปสสนูปกิเลส ไดรับการเรียนรูมา
กอนแลวคงจะเกิดภูมิคุมกัน ไมหลงประพฤติตนไปในทางเสื่อมเสีย ในอีก
มุมมอง ถามองยอนกลับไปในการปฏิบัติ จะเห็นวากอนจะเกิดวิปสสนูปกิ
เลสจะตองผานความยากลําบากในการกาวขามนิวรณมากอน สามารถพูดได
วา เมื่อผานความยากลําบาก(จากนิวรณ) แลว ก็จะไดรับรางวัล (อุปกิเลส
๑๐) คือ วิปสสนูปกิเลส ถามองในแงมุมของการดําเนินในชีวิตประจําวัน ก็
สามารถเห็นวงจรนี้ได เชน เมื่อเราทํางานสักชิ้นหนึ่ง อยางทุมเท ไมกลั ว
ความยากลําบาก เมื่อสามารถทํางานนั้นสําเร็จ ก็จะเกิดความภูมิใจ ปลาบ
ปลื้ม ปติ เกิดความสุขเปนรางวัลภายใน บวกกับรางวัลภายนอก คือผลงาน
ถึ ง ตรงนี้ ก็ เ กิ ด เป น จุ ด อ อ นได ถ า มั ว หลงเพลิ น ในความสํ า เร็ จ เกิ ด ความ
ประมาท อาจจะทํ าให เ กิด ป ญ หา หรื อความทุก ขขึ้น มาได ถึ งตรงนี้ ทําให
เห็นชัดวา มนุษยเกิดมาพรอมกับอวิชชา มีวิปลาส ๔ ติดตัว ซอนตัวอยูพรอม
ที่จะแสดงออกมาไดทุกขณะ ที่ขาดสติ และแสดงออกอยางเดนชัดรุนแรง
เมื่อเกิดความทะยานอยากและอุปาทานยึดติดอยางรุนแรงทั้งในขณะที่ลืมตา
ดําเนินชีวิตในปจจุบัน หรือ แมกระทั่งนั่งหลับตาปฏิบัติวิปสสนากัมมัฏฐาน
ตัวอยางที่ ๔ เรื่องทานพระมหานาคเถระผูอยูในอุจจังกวาลิก เรื่อง
มีอ ยู ว า พระเถระพระนามว า พระธั ม มทิ น นเถระ เป น พระขี ณาสพ ผู มี
ปฏิสัมภิทาแตกฉาน มีญาณหยั่งรูวา พระอาจารยที่สอนตนพระนามวาพระ
มหานาคเถระ ยั งเป น ปุถุช น ยั งไมบ รรลุ เ ป น พระอรหั น ต จึ งคิด ช ว ยพระ
อาจารยของตน วันหนึ่งจึงไดเหาะไปหาพระอาจารยของตน ทําความเคารพ
แลงนั่งลงดานขางกลาวกับอาจารยวา “นิมนตเนรมิตชางขึ้นสักเชือกขอรับ“
เมื่ออาจารยเนรมิตชางมาแลว ทานก็กลาวกับอาจารยวา “ทานขอรับ คราว
นี้ โปรดทําให ช างตัว นี้นั้ นหู กาง หางเหยีย ด เอางวงใสไวในปาก ทําเสี ย ง
โกญจนาทอยางนากลัว หันหนาเดินตรงมาหาทานอาจารย“ เมื่อพระเถระ
ทําดังนั้น ครั้นเห็นอาการอันนากลัวของชางซึ้งเดินมาโดยเร็ ก็ลุกขึ้นเริ่มจะ
เดิ น หนี ไ ป พระลู กศิ ษ ย จึ ง ยื่ น มือ เหนี่ ย วชายจี ว รไว แล ว กราบเรี ย นท า น
๒๕๕
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
อาจารยวา “ทานขอรับ ชื่อวาความหวาดกลัวยังมีอยูแกพระขีณาสพหรือ”
พระเถระนั้นจึงมีสติรูในเวลานั้นวา ตนยังเปนปุถุชน๗๙
ตัวอยางนี้แสดงใหเห็นวา จําเปนอยางยิ่งที่จะตองมี กัลยาณมิตร
เมื่อมีทิฏฐิวิปลาสไปแลวก็ยากมากที่จะสามารถรูตัวเอง ไมสารถอานตัวออก
บอกตัวไดแมแตคนที่เปนระดับอาจารยก็ยังหลงได
ตั ว อย า งที่ ๕ เกิ ด ความขยั น ขึ้ น อย า งผิ ด ปกติ พยายามปฏิ บั ติ
วิ ป ส สนาอย า งไม รู จั ก เหน็ ด เหนื่ อ ย แต ก อ นแม อ าจารย จ ะคอยเตื อ นให
พยายามทําความเพียร ก็รูสึกวายาก เหน็ดเหนื่อยออนเพลีย จนเกือบจะตาย
อยู แ ล ว ซึ่ ง ไม มี ใ ครในโลกนี้ อี ก แล ว จะเหมื อ นกั บ ตน อาจารย ก็ ค อยจู จี้
เคี่ย วเข็ญตลอดเวลา แต บั ด นี้ความคิดเช น นั้น หายไป เกิดความขยัน เป น
พิเศษ จนทําใหตนเองแปลกใจว า เหตุใดตนจึ งมีวิ ริยะ มาก ไมรูจักเหน็ ด
เหนื่อยในการปฏิบัติเชนนี้ และเมื่อมนสิการไมดี ก็จะเขาใจตนเองผิดไปวา
ไดมรรค ผล นิพพานแลวจึงเปนวิปสสนูปกิเลส
ตัวอยางที่ ๖ วิปสสนูเปกขา เกิดความวางเฉยในสังขารอารมณทั้ง
ปวง ไมยินดียินราย เหมือนคนไมมีกิเลส ไมสะดุงสะเทือนตออารมณทุกชนิด
เปนอุเปกขาที่มีกําลังแรงกลา แมจะมีอารมณใดมากระทบก็ไมหวั่นไหว วาง
เฉยเสียไดทุกประการ จนตนเองก็แปลกใจ ในภาวะที่เปลี่ยนแปรไปเชนนี้
เปนยิ่งนัก ถามนสิการไมดี ก็ทําใหเขาใจผิดคิดวาตนเองเปนพระอรหันตแลว
เพราะวางเฉยได ไมยินดียินรายอะไรเลย หมดกิเลส ไดมรรค ผล นิพพาน
เปนอยางนี้เองหนอ นี้เนื่องจากมีทิฏฐิเขามาแทรก และยังคิดตอไปอีกวาตน
มีบุญวาสนามาก ปฏิบัติไมนานเทาใดก็ไดมรรค ผลงายๆ ไมมีใครจะเหมือน
ตน นี้เนื่องจากมีมานะเขาแทรก ตอไปก็มีความคิดวา ตนสบายแลว ไมตอง
ยินดียินรายอะไรทั้งหมดอีกตอไป ถึงออกจากกัมมัฏฐานแลวก็จะอยูในโลกนี้
อยางสงบสบายไมตองรัก ไมตองชังไมตองดีใจเสียใจใหวุนวาย เหมือนคน
ทั้งหลายที่กําลังเปนกันอยู ขอใหตนไดเปนอยูอยางนี้ตลอดไปเถิด นี้เรียกวา
๗๙
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๖๓
๒๕๖
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
มีตัณหาเขาแทรก รวมความวา อุเปกขานี้แทจริงเปนของดี แตถามนสิการไม
ดี มีตัณหามานะ ทิฏฐิเขามาแทรก ก็จะกลายเปนวิปสสนูปกิเลสไปเลย๘๐
อุ เ บกขา หรื อ ความวางเฉย เมื่ อ เกิ ด ขึ้ น แล ว ก็ ยั ง ต อ งเรี ย นรู
โดยเฉพาะการเกิดขึ้นในครั้งแรกๆ มีกําลังมาก ไมเคยไดพบเจอมากอน ก็
สามารถเปนสิ่งเรา ใหหลงเพลิน จนขาดสติ หลุดจากการปฏิบัติ หยุดการ
เจริ ญ สติ แ ต ก็ ส ามารถทํ า ให เ กิ ด ประโยชน ไ ด เมื่ อ ผู ป ฏิ บั ติ มี ส ติ กลั บ มา
กําหนดก็จะทําใหสามารถเห็นความแตกตางของรูปนามระหวางความปกติ
กับความพิเศษ ไมวาจะเห็นในขณะที่เกิดความพิเศษนั้น หรือเห็นหลังจาก
ความพิเศษนั้นเปลี่ยนแปรไป สิ่งเหลานี้เปนองคประกอบทําใหเกิดปญญา
เกิดปญญาขึ้นไดอยางไร
๕. วิธีปฏิบัติเมื่อเกิดวิปสสนูปกิเลส
เมื่อเกิดวิ ปส สนู ปกิเลส ในคัมภีรพุทธศาสนาเถรวาททานได บอก
วิธีการปฏิบัติไว วาจะตองปฏิบัติอยางไร เพื่อปองกันไมใหเกิดผลเสีย จนถึง
ขั้น สติ วิป ลาส เป นบ า ไมส ามารถดํ าเนิ น ชีวิ ต เปน ปกติป ระการหนึ่ง และ
สามารถกาวขามวิปสสนูปกิเลส มีความกาวหนาในการปฏิบัติอีกประการ
หนึ่งดังนี้
พระสารีบุตรเถระไดแสดงวิธีปฏิบัติเมื่อเกิดวิปสสนูปกิเลสไวดังนี้จิต
ยอมกวัดแกวง หวั่นไหว เพราะโอภาส เพราะญาณ เพราะปติ เพราะปสสัทธิ
เพราะสุ ขเพราะอธิ โมกข เพราะปคคหะ เพราะอุป ฏฐาน เพราะอุเ บกขา
เพราะนอมนึกถึงอุเบกขาและนิกันติ ภิกษุนั้นกําหนดฐานะ ๑๐ ประการนี้
ดวยปญญาแลว ยอมเปนผูฉลาด ในอุทธัจจะในธรรม และยอมไมถึงความ
หลงใหล จิตกวัดแกวง เศราหมอง จิตภาวนายอมเคลื่อน จิตกวัดแกวง ไม
เศราหมอง จิตภาวนายอมเสื่อมไป จิตบริสุทธิ์ ไมเศราหมอง จิตภาวนายอม
ไมเสื่อมไปจิตไมฟุงซาน ไมเศราหมอง จิตภาวนายอมไมเคลื่อน ดวยฐานะ ๔
๘๐
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๔๕.
๒๕๗
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ประการนี้ ภิกษุยอมรูชัดความที่จิตกวัดแกวง ฟุงซาน ถูกโอภาสเปนตนกั้นไว
ดวยฐานะ ๑๐ ประการนี้ ฉะนี้แล๘๑
แสดงใหเห็นวา จิตภาวนากอนที่จะเกิดวิปสสนูปกิเลส จะเปนจิต
ภาวนาที่ตั้งมั่น สงบบริสุทธิ์ ผองใส เปนสมาธิ สามารถกาวขามนิวรณ ๕ มา
ได หลังจากนั้นเมื่อวิปสสนูปกิเลสเกิดขึ้นจิตจึงกวัดแกวง ฟุงซาน หวั่นไหว
เศร าหมอง เมื่ อผู ป ฏิ บั ติ พ ยายามตั้ งมั่ น มีส ติ กําหนด อุ ป กิ เ ลส ๑๐และ
วิปสสนูปกิเลส ที่เกิดขึ้นปจจุบันขณะตามความเปนจริง โดยเห็นเปนพระไตร
ลักษณเกิดประสบการณ เกิดปญญา ทําใหเห็นฐานะ ๔ ประการ คือ ๑. จิต
กวัดแกวง เศราหมอง จิตภาวนายอมเคลื่อน ๒. จิตกวัดแกวง ไมเศราหมอง
จิตภาวนายอมเสื่อมไป ๓. จิตบริสุทธิ์ ไมเศราหมอง จิตภาวนายอมไมเสื่อม
ไป ๔. จิตไมฟุงซาน ไมเศราหมอง จิตภาวนายอมไมเคลื่อน ดวยเห็นฐานะ ๔
ประการนี้ ด วยปญญา เปนผูฉลาดในธรรม ทําใหไมหลงใหล ขาดสติ จิ ต
ภาวนาก็จะไมเคลื่อน ไมเสื่อม
พระพุทธโฆสเถระไดแสดงไว เปนไปในทางเดียวกันกับพระไตรปฎก
โดยการกําหนดอุปกิเลส ๑๐ และวิปสสนูปกิเลส ตามความเปนจริง คือเห็น
เปนพระไตรลักษณ ไดแสดงไวดังนี้
“แต โ ยคาวจรผู ฉ ลาด ผู เ ป น บั ณ ฑิ ต เฉี ย บแหลม ถึ ง พร อ มด ว ย
ความรู ใครครวญเห็นมันดวยปญญาดังนี้วา “โอภาสนี้แลเกิดขึ้นแกเราแลว
แตโอภาสนี้นั้นแล ไมเที่ยง ปจจัยปรุงแตงไว อาศัยปจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้น
ไปเปนธรรมดา” ดวยประการฉะนี้บาง”๘๒ แลวแสดงรายละเอียดเพิ่มเติมใน
สวนที่วา เห็นเปนพระไตรลักษณ เห็นในแงมุมไหน อยางไร โดยแสดงไวดังนี้
“ก็หรือวาโยคาวจรนั้นมีความคิดในลักษณะอยางนี้วา ‘ถาโอภาสนี้
พึงเปนอัตตาไซร การถือโอภาสวาเปนอัตตาก็ควร แตโอภาสนี้มิใชอัตตาเลย
ถือวาเปนอนัตตา เพราะฉะนั้น โอภาสนั้นเปนอนัตตา โดยความหมายวา ไม
เปนไปในอํานาจ เปนอนิจจังโดยความหมายวา มีแลวหามีไม เปนทุกขังโดย
๘๑
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๗/๔๒๖–๔๒๗.
๘๒
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๖๘.
๒๕๘
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ความหมายวา เบียดเบียนเฉพาะหนาดวยความเกิดและดับ๘๓’”และไดขยาย
ความทั้ ง ปวงให ล ะเอี ย ด พิ ส ดาร โดยแสดงไว ในเรื่ อ ง “ยกขึ้ น สู พ ระไตร
ลักษณทางอรูปสัตตกะ๘๔” นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขเพิ่มเติมวา จะตองเห็นอยู
อยางเสมอเนืองๆ ดังไดแสดงไวดังนี้
“โยคาวจรทานนั้นใครครวญเห็นอยางนี้แลว ก็เห็นอยูเสมอเนืองๆ
ซึ่งโอภาสวา ‘นี้มิใชของฉัน ฉันมิใชสิ่งนี้ นี้มิใชอัตตาของฉัน’ ดังนี้ เห็นอยู
เสมอเนืองๆ ซึ่งญาณ..ฯลฯ...ซึ่งนิกันติวา ‘มิใชของฉัน ฉันมิใชสิ่งนี้ นี้มิใช
อัตตาของฉัน’ ดังนี้ เมื่อโยคาวจรนั้นเห็นอยูเสมอเนืองๆ อยางนี้ ทานก็ไม
หวั่ น ไหว ไม สั่ น คลอนในเพราะอุ ป กิ เ ลสทั้ ง หลาย มี โ อภาสเป น ต น
เพราะฉะนั้น ทานโบราณาจารยทั้งหลายจึงกลาวไววา
อิมานิ ทส ฐานานิ ปฺญา ยสฺส ปริจฺจิตา
ธมฺมุทฺธจฺจกุสโล โหติ น จ วิกฺเขป คจฺฉติ.๘๕
โยคีใดมีฐานะ ๑๐ (มีโอภาส เปนตน) เหลานี้อบรมดวยปญญาแลว
โยคีนั้น เปนผูฉลาดในธัมมุทธัจจะ และไมถึงความฟุงซาน”๘๖
ขยายความรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง ยกขึ้นสูพระไตรลักษณทาง
อรู ป สั ต ตกะ แสดงได ดั ง นี้ ย กขึ้ น สู พ ระไตรลั ก ษณ แ ล ว กํ า หนดรู สั ง ขาร
ทั้งหลาย โดยทางอรูปสัตตกะ ในคํานั้นมีมาติกาดังนี้ คือ
๑. กลาปโต โดยความเปนกลุม แสดงไววา “เมื่อโยคีกําหนดรูอยูซึ่ง
จิตที่เปนไปอยูวา รูปใน ๗ ฐานะในรูปสัตตกะ๘๗ เปนของไมเที่ยง เปนทุกข
เปนอนัตตา ดวยจิตอีกดวงหนึ่งวา จิตดวง (ที่เปนไปอยู)นั้น ก็ไมเที่ยง เปน
ทุกข เปนอนัตตา ดังนี้ชื่อวา กําหนดรูโดยความเปนกลุม”๘๘
๘๓
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๐๖๘-๑๐๖๙.
๘๔
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๐๔๗.
๘๕
ขุ.ป.(บาลี) ๓๑/๗/๓๑๗.
๘๖
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๖๙.
๘๗
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๐๓๒.
๘๘
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๐๔๘.
๒๕๙
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
๒. ยมกโต โดยความเปนคู แสดงไววา “พระภิกษุในพระศาสนานี้
กําหนดรูรูประหวางความยึดถือ (ปฏิสนธิ) และ ความปลอยวาง (จุติ) วาไม
เที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา แลวกําหนดรูจิตแมดวงนั้นเอง ดวยจิตอีกดวง
หนึ่งวา (แมจิตดวงนั้น)ก็ไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา ดังนี้ พระภิกษุนั้นชื่อ
วา กําหนดรู(นามธรรมและรูปธรรม) โดยความเปนคูกัน ดวยอาการดังนี”้ ๘๙
๓. ขณิกโต โดยความเปนไปในขณะจิต แสดงไววา “ภิกษุกําหนดรู
รูปที่ถึงความแตกดับ ดวยการเติบโตขึ้นตามวัย ๑ รูปเกิดดวยอาหาร ๑ รูป
เกิดดวยฤดู ๑ รูปเกิดจากกรรม ๑ รูปมีจิตเปนสมุฏฐาน ๑ รูปธรรมดา ๑ วา
ไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา ดังนี้แลว ควรกําหนดรูจิตดวงที่๑ นั้นดวยจิต
ดวงที่ ๒ กําหนดรูจิตดวงที่ ๒ ดวยจิตดวงที่ ๓ กําหนดรูจิตดวงที่ ๓ ดวยจิต
ดวงที่ ๔กําหนดรูจิตดวงที่ ๔ ดวยจิตดวงที่ ๕ วา แมจิตดวงนี้แตละดวงก็ไม
เที่ยง เปน ทุกข เปน อนัตตาพระภิกษุเมื่อกําหนดรูจิต ที่ละ ๔ ดวง เริ่มต น
ตั้งแตจิ ตที่กําหนดรูรู ป(กอน)อยางนี่ ชื่อวา กําหนดรูโ ดยความเปน ไปโดย
ขณะ(จิต)”๙๐
๔. ปฏิ ป าฏิ โ ต โดยลํ า ดั บ ได แ สดงไว ว า “พระภิ ก ษุ กํ า หนดรู รู ป
ระหวางความยึดถือไวและความปลอยวาง วา ไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา
ดังนี้ กําหนดรูรูปที่ถึงความแตกดับ ดวยการเติบโตขึ้นตามวัย ๑ รูปเกิดดวย
อาหาร ๑ รูปเกิดดวยฤดู ๑ รูปเกิดจากกรรม ๑ รูปมีจิตเปนสมุฏฐาน ๑ รูป
ธรรมดา ๑ วา ไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา ดังนี้แลว ควรกําหนดรูจิตดวง
ที่ ๑ นั้นดวยจิตดวงที่ ๒กําหนดรูจิตดวงที่ ๒ ดวยจิตดวงที่ ๓ กําหนดรูจิต
ดวงที่ ๓ ดวยจิตดวงที่ ๔ ...ฯลฯ กําหนดรูจิตดวงที่๑๐ ดวยจิตดวงที่ ๑๑ วา
แมจิตดวงนี้ก็ไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา ดังนี้ แตวา ทั้งรูปกัมมัฏฐาน๙๑
ทั้งอรู ป กัมมัฏ ฐาน ๙๒ เพีย งกําหนดรู รู ถึงจิ ต ดวงที่ ๑๐ ก็เ ป น การเพีย งพอ
๘๙
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๐๔๘–๑๐๔๙.
๙๐
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๐๔๙.
๙๑
รูปกัมมัฏฐาน = กัมมัฏฐานมีรูปเปนอารมณ.
๙๒
อรูปกัมมัฏฐาน = กัมมัฏฐานมีอรูปเปนอารมณ.
๒๖๐
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
เพราะฉะนั้น ทานจึงกลาวไว(ในอริยวังสกถา) วา ควรพักไวแคในจิตดวงที่
๑๐ เทานั้น กําหนดรูดวยอาการดังกลาวนี้ ชื่อวากําหนดรูโดยลําดับ”๙๓
๕. ทิฏฐิอุคฆาฏนโต โดยเพิกความเห็นผิด
๖. มานสมุคฆาฏนโต โดยเพิกถอนมานะ และ
๗. นิกันติปริยาทานโต โดยความสิ้นไปแหงความใคร แสดงรวมกัน
ไมสามารถแยกออกจากกัน แสดงไวดังนี้ “ในอาการ ๓ อยางคือ โดยเพิก
ถอนความเห็นผิด ๑ โดยเพิกถอนมานะ ๑ โดยความสิ้นไปแหงความใคร ๑
เหลานี้ชื่อวา นัยแหงการกําหนดรูแยกกันหามีไม (ตองกําหนดรูรวมกัน)”๙๔
อนึ่ง พระภิกษุผูเห็นอยูซึ่งรูป (ที่กําหนดรูแลว) ขางตนนั้นก็ดีและ
อรูปที่กําหนดรูในที่นี้ก็ดี นี้นั้น จะไมเห็นสิ่งอื่นที่เรียกวา สัตว นอกไปจากรูป
และอรูป จําเดิมแตไมเห็นสัตว ก็เปนอันเพิกถอน สัตตสัญญา (ความสําคัญ
วามีสัตว) ไดแลว เมื่อพระภิกษุกําหนดรูสังขารทั้งหลายดวยจิตที่ถอนสัตต
สั ญ ญาได แ ล ว ทิ ฏ ฐิ ก็ ไ ม เ กิ ด ขึ้ น เมื่ อ ทิ ฏ ฐิ ไ ม เ กิ ด ขึ้ น ก็ ชื่ อ ว า เป น อั น เพิ ก
ถอนทิ ฏ ฐิ ไ ด แ ล ว เมื่ อ พระภิ ก ษุ กํ า หนดรู สั ง ขารทั้ ง หลาย ด ว ยจิ ต ที่ เ พิ ก
ถอนทิฏ ฐิ ได แล ว มานะก็ไมเ กิด เมื่อมานะไมเ กิด ขึ้ น ก็ชื่ อว า เป น อัน ถอน
มานะไดแลว เมื่อภิกษุกําหนดรูสังขารทั้งหลาย ดวยจิตที่เพิกถอนมานะได
แลว ตัณหาก็ไมเกิดขึ้น เมื่อตัณหาไมเกิดขึ้น นิกันติ (ความใคร) ก็ชื่อวาเปน
อันสิ้นไปฉะนี้แล ทานกลาวไวในสุทธิกถากอน”๙๕
พระโสภณมหาเถระได แ สดงให เ ห็ น ว า ผู ป ฏิ บั ติ ต อ งรู เ ท า ทั น
สภาวธรรมที่เกิดขึ้น โดยมีครูอาจารยคอยใหคําแนะนํา ตองมีสติกําหนดรู
สภาวธรรมใหทันปจจุบันตามเปนจริง เห็นเปนพระไตรลักษณ แสดงไวดังนี้
“อนึ่ ง สํ าหรั บ โยคี ที่ได รั บ การชี้ แนะจากอาจารย ผู ป ฏิ บั ติ กัมมัฏ ฐานโดย
ถูกตองนั้น เวลาที่โอภาส ปติ ญาณ เปนตนเกิดขึ้น ก็จะสามารถตัดสินใจได
ทันที่วา นี่เปนเพียงสิ่งลอลวงใหจิตใจเราหลงเทานั้น หากสนใจแลวจะเปน
๙๓
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๔๙–๑๐๕๐.
๙๔
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๐๕๐.
๙๕
เรื่องเดียวกัน.
๒๖๑
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
อันตรายตอวิปสสนาเปนอยางยิ่ง นี้มิใชทางดําเนินที่ถูกตอง สิ่งเหลานี้เปน
เพียงสภาวธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู แลวก็ดับไป ไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตน
อยางใด เปนธรรมที่บุคคลจะตองกําหนดใหทัน อยาไดหลงใหลเปนอันขาด
เพราะจะไมทําใหคุณธรรมวิเศษใดๆเกิดขึ้น ครั้นพิจารณาตัดสินไดอยางนี้
แลว ก็จะสามารถกําหนดอาการของรูปนามทุกอยางที่เกิดขึ้น ถาสามารถ
กําหนดไดอยางนี้โดยตอเนื่อง ก็จะเห็นความเกิดดับของรูปนามอยางชัดเจน
และไตรลักษณก็จะปรากฏชัดเจน ที่เปนเชนนี้ เพราะอุทยัพพยญาณนั้นได
หลุดพนจากอุปกิเลสแลวนั่นเอง”๙๖
พระภัททันตะอาสภมหาเถระธัมมาจริยะไดแสดงวิธีปฏิบัติเมื่อเกิด
วิ ป ส สนู ป กิ เ ลสไปในแนวทางเดี ย วกัน กับ หนั ง สื อ วิ ป ส สนาชุ นี ในกรณี ที่
จะตองมีครูอาจารย คอยกํากับ ดูแล อยางเขมงวด ดังไดแสดงไวดังนี้
วิป สสนูป กิเ ลสทั้ง ๑๐ ประการนี้ ยอมเกิด แกโยคีผู ปฏิ บัติ ทุกคน
เมื่อบรรลุถึงอุทยัพพยญาณอยางออน ฉะนั้น พอถึงระยะนี้วิปสสนาจารยพึง
คอยตักเตือน คอยใหสติ อยาใหโยคีหลงผิด อยูในวิปสสนูปกิเลสเปนอันขาด
ควรดุก็ตองดุ ควรวาก็ตองวา อยาไดเกรงใจเลย ตองมุงประโยชนเบื้องหนา
ของโยคีบุคคลเปนสําคัญ๙๗
แลวยังมีขอควรทราบ ใหระวัง ในกรณีพระวิปสสนาจารย อาจจะ
เกิดความเขาใจผิด ดูอาการลักษณะ สภาวธรรมของโยคีผูเปนศิษยผิดพลาด
ดังไดแสดงไวดังนี้มีขอควรทราบอีกอยางหนึ่งก็คือ วิปสสนูปกิเลสบางขอมี
สภาวะคลายๆ กับ โคตรภูญาณมรรคญาณ ผลญาณ ความคลายๆ กันนี้ เปน
เหตุใหเขาใจผิด มิใชแตโยคีเทานั้นที่เขาใจผิด แมแตอาจารยเองก็อาจเขาใจ
ผิดไปดวย คือเมื่อโยคีเลาใหฟงถึงสภาวะที่เกิดขึ้นกับตน ซึ่งคลายกับสภาวะ
ของโคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณเปนอยางยิ่ง อาจารยมิไดพิจารณาใหดี
๙๖
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสสนาชุนี หลักการปฏิบัติวิปสสนา
(ฉบับสมบรูณ) ,หนา ๕๓๐.
๙๗
พระอาจารย ดร. ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะ อัคคมหากัมมัฏฐา
นาจริยะ, ปฐมวิปสสนาวงศ ในประเทศไทย, หนา ๑๔๕.
๒๖๒
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ไมรอบคอบ ยินดีวาศิษยของตนไดบรรลุถึงผลสูงสุดของการปฏิบัติแลว จึง
ตัดสินใจใหโยคีบุคคลผูนั้นเลิกปฏิบัติ โดยไมคํานึงถึง
ว าระยะที่แล ว มาศิษย ของตนได ผ านญาณอะไรมาบ างแล ว และ
จะตองผานญาณใดตอไปอีก ไมไดสอบสวนผลลําดับญาณใหถูกตอง ดวน
ตัดสินงายๆ เชนนี้เปนอันตรายแกโยคีผูปฏิบัติเปนอยางยิ่งเพราะเปนการดับ
มรรค ดับผล โดยตรงทีเดียว ฉะนั้น วิปสสนาจารยพึงระวังวิปสสนูปกิเลสนี้
ไวใหมาก เพราะเคยทําใหทั้งศิษยทั้งอาจารยพากันกอดคอตกลงไปในหวง
เหวแหงความเขาใจผิดมามากตอมากแลว รวมความวาญาณที่ ๔ อุทยัพพย
ญาณนี้ มีวิปสสนูปกิเลสเกิดขึ้นอยางประหลาดมหัศจรรยโยคีมากคนก็พูด
มากอย างตามอาการตางๆ ของวิป สสนู ปกิเลสนั้น แต ขอสําคัญต องใหได
ลักษณะ คือรูปนามเกิดดับเร็วๆ ก็เปนอันวาใช อุทยัพพยญาณแนนอน๙๘
และใหรายละเอียดในการปฏิบัติเพิ่มเติม ผูปฏิบัติตองกําหนดรูวา
วิปสสนูปกิเลสเหลานี้เปนทางแหงวิปสสนา เรียกวา มรรค หรือไมเปนทาง
แหงวิปสสนาเรียกวา อมรรค ดวยการกําหนดขันธ ๕ ใน ๔ ลักษณะ จนเห็น
พระไตรลักษณ โดยไดแสดงไวดังนี้
วิปสสนูปกิเลสทั้ง ๑๐ นี้ ยอมเกิดขึ้นแกโยคาวจรบุคคลผูปรารภนัย
ของวิปสสนาภูมิ มีขันธ ๕ เปนตน ในสังขารอันเปนไปในภูมิ ๓ อันแตกตาง
ดวยขันธที่เปนอดีต เปนตน พรอมทั้งปจจัยอันตนไดกําหนดรูแลวตามเปน
จริงตอจากกังขาวิตรณวิสุทธินั้น แลวประมวลพิจารณาดวย สามารถกลาป
(กลาปสั ม มสนะ คื อ พิ จ ารณาแต ล ะขั น ธ โ ดยไม แ ยกกาล) ด ว ยสามารถ
อัทธาน คือ กาลไกลก็ได(อัทธานสัมมสนะ คือ พิจารณาแตละขันธแยกตาม
กาลไกล คือ อดีตภพ ปจจุบันภพ อนาคตภพ) ดวยสามารถสันตติ คือ ความ
สืบตอของรูปนามก็ได (สันตติสัมมสนะ คือ พิจารณาแตละขันธที่ตอเนื่องกัน
ในภพเดียวกัน เชน ความเย็นตั้งแตเริ่มตนจนถึงที่สุด หรือความทุกขใจตั้งแต
เริ่ ม ต น จนถึ ง ที่ สุ ด เป น ต น ) ด ว ยสามารถขณะ คื อ อุ ป ปาทะ ฐี ติ ภั ง คะ
(ขณสัมมสนะ คือ พิจารณาแตละขันธดวยขณะทั้ง ๓คือ ขณะเกิดขึ้น ตั้งอยู
๙๘
เรื่องเดียวกัน
๒๖๓
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
และดับไป) จนเห็นพระไตรลักษณ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังนี้ ชื่อวา
อนิ จ จะ เพราะอรรถว าสิ้ นไป ชื่อว า ทุกขะ เพราะอรรถว าน ากลั ว ชื่ อว า
อนัตตะ เพราะอรรถวาไมมีสาระแกนสาร ดวยสัมมสนญาณ แลวพิจารณา
เห็นความเกิดดับ ของรู ปนามเหลานั้น ดวยสามารถปจจั ย ๑ขณะ ๑ ดว ย
อุทยัพพยญาณอธิบายคําวา มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ แยกออกเปน ๕
บท คือ มัคฺค แปลวา หนทาง
อมคฺค แปลวา ไมใชหนทาง ญาณ แปลวา ความรู ทสฺสน แปลวา
ความเห็น วิสุทฺธิ แปลวา ความบริสุทธิ์ รวมทั้ง ๕ บท แปลวา เปนวิสุทธิ์
องคหนึ่งที่มีความรูความเห็นหนทางของพระนิพพาน และ ความรูความเห็น
วาไมใชห นทางของพระนิพพาน หมายความวา เปน ญาณที่รูห นทางและ
ไมใชหนทางของวิปสสนา คือ รูปนามซึ่งเปนสังขารที่อยูในไตรภพ ที่ไดรูมา
จากทิฏฐิวิสุทธิ์และกังขาวิตรณวิสุทธิ์ที่อธิบายมาแลว กําหนดโดยเปนกลาป
เปนหมวดวา อนิจฺจํขยฏเฐน เพราะดับสูญฉิบหายจึงเปนอนิจจัง ทุกฺขํ ภยฏ
เฐน เพราะเปนภัยจึงเปนทุกข อนตฺตาอสารกฏเฐน เพราะปราศจากแกนสาร
จึงเปนอนัตตา หรือกําหนดโดย อัทธานนัย สันตตินัย ขณนัย ก็ดี ผูที่เห็นการ
เกิ ด ดั บ ของรู ป นามทั้ ง สองโดยอุ ท ยั พ พยญาณ แล ว ย อ มจะต อ งพบกั บ
วิปสสนูปกิเลสเหลานี้อยางแนนอน โยคาวจรกําหนดรูวา เปนทางแหง
วิปสสนา หรือ ไมเปนทางแหงวิปสสนา
อีกนัยหนึ่ง อภิธัมมัตถวิภาวนีฎีกาจารย ไดกลาวไววา
อิเม โอภาสาทโย ตณฺหามานวตฺถตาย น มคฺโค.
แปลวา วิปสสนูปกิเลส ๑๐ ประการ มีโอภาส เปนตน เปนที่อาศัย
ของตัณหา มานะ ทิฏฐินั่นเอง โยคาวจรตองมีความรูวา อมรรค หรือไมใช
หนทาง เปนเรื่องของกิเลส เพียงแตเปนอุปกิเลสของวิปสสนาเทานั้น
ตพฺพิวิมุตฺตํ ปน วีถิปปนฺนํ วิปสฺสนาญาณํ มคฺโคติ เอวํ
มคฺคามคฺคสฺส ชานนโต ทสฺสนโต อมคฺโค
มคฺคสญญาวิโสธนโต จ มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิ นาม.
๒๖๔
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
เมื่ อพ น จากวิ ป ส สนู ป กิ เ ลส ๑๐ ซึ่ง เป น หนทางปฏิ ป ทา เรี ย กว า
มรรค ดังนี้ และปญญาที่ส ามารถรูมรรค อมรรค และประหาณสัญญาใน
มรรค เรียกวา มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ๙๙
วิ ธี ป ฏิ บั ติ เ มื่ อ เกิ ด วิ ป ส สนู ป กิ เ ลสตามคั ม ภี ร พุ ท ธศาสนาเถรวาท
สามารถกลาวโดยสรุปไดดังนี้ เมื่อเกิดอุปกิเลส ๑๐ ขึ้นมาแลว ตองรูวาไมใช
ทางแหงวิปสสนา ถาไมสามารถรูไดดวยตนเอง ก็ตองอาศัยครูอาจารยคอย
ให คํ าชี้ แ นะ เมื่ อรู ว า ไม ใ ช ทาง ก็มี ใ ห ส ติ พยายามกํ า หนดขั น ธ ๕ ให ทั น
ปจจุบัน จนเห็นพระไตรลักษณ ก็จะสามารถกาวขามวิปสสนูปกิเลสไปได
กิเลสในวิปสสนาญาณระดับอุทยัพพยญาณอยางออน เมื่อผูปฏิบัติ
สามารถกา วข ามนิ ว รณ ๕ ผู ป ฏิ บั ติ จ ะมี จิ ต ผ อ งใส มี ส มาธิ และสามารถ
กําหนดรูปนามไดตอเนื่อง ผูปฏิบัติก็จะกาวขามญาณเบื้องตน สูอุทยัพยา
นุปสสนาญาณอยางออน อุปกิเลส ๑๐ ก็จะเกิดขึ้น ซึ่งเปนการพบเจอครั้ง
แรก ทําใหผูปฏิบัติรูไมเทาทัน ทั้งๆ ที่อุปกิเลส๑๐ (ยกเวน นิกันติ) เปนสิ่งที่ดี
แตถาผูปฏิบัติมีสติและปญญาไมแกกลาพอ อุปกิเลส ๑๐ ก็จะเปนสิ่งเราทํา
ใหผูปฏิบัติเกิดตัณหา หลงเพลินในอุปกิเลส ๑๐ เกิดเปนวิปสสนูปกิเลส และ
ลักษณะการเกิดของวิปสสนูกิเลส อาจจะเกิดขึ้นทีละอยางๆ หรืออาจเกิด
หลายๆ อยางพรอมๆ กันก็ได
วิธีปฏิบัติเมื่อเกิดวิปสสนูปกิเลส ตามคัมภีรพุทธศาสนาเถรวาท มี
ดังนี้ คือ เมื่อเกิด อุปกิเ ลส ๑๐ ขึ้น มาแล ว ผู ปฏิ บั ติ ตองรู วาไมใช ทางแห ง
วิป สสนา ถาไมสามารถรูไดด ว ยตนเอง ก็ต องอาศัยครู อาจารย คอยให คํา
ชี้แนะ เมื่อรูวาไมใชทาง ก็มีใหสติ พยายามกําหนดขันธ๕ ใหทันปจจุบันจน
เห็นพระไตรลักษณ ผูปฏิบัติก็จะสามารถกาวขามวิปสสนูปกิเลส ไปได
๙๙
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๔๙–๑๕๐.
๒๖๕
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
๑๐๐
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๖๑.
๑๐๑
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสสนาชุนี หลักการปฏิบัติวิปสสนา
(ฉบับสมบูรณ),หนา ๕๑๖.
๒๖๖
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ศรัทธาอาจเกิดขึ้นไดตามสมควร ทั้งนี้ขึ้นอยูกับประสิทธิภาพของสมาธิจิต
ของแตละบุคคล๑๐๒
และยังแสดงเพิ่มเติมวา โอภาส และนิมิต ก็สามารถเกิดขึ้นในญาณ
ทั้งสามนี้ เกิด ขึ้น โดยอํานาจของสมาธิ ในนามรู ป ปริ จ เฉทญาณ เริ่ มเห็ น
โอภาสในลั ก ษณะ เป น แสงสว า งแวบๆ แวมๆ หรื อ บางคนเริ่ ม เห็ น ตั้ ง
แตปจจยปริคคหญาณ โดยเห็นเปนแสงสีตางๆ เชน สีเขียว สีแดง สีน้ําเงิน สี
เหลืองเปนตน สวนนิมิตนั้น ก็จะเริ่มเห็น รูปทรงสัณฐานตางๆ นานาเชน
เห็ น เป น รู ป ทรงพระพุ ทธเจ า รู ป ทรงพระอรหั น ต เป น ต น โดยในนามรู ป
ปริ เ ฉทญาณ ไมส ามารถเห็ น ความเกิด ดั บ ของรู ป ทรงสั ณฐานเหล านั้ น ได
ชัดเจน สวนในปจจยปริคคหญาณ เห็นความเกิดไดชัด แตเห็นความดับของ
รูปทรงสัณฐานเหลานั้นไมชัด และในสัมมสนญาณ สามารถมองเห็นรูปทรง
สัณฐานเหลานั้นไดอยางชัดเจน๑๐๓
พระอาจารย ดร. ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะ อัคคมหา
กัมมัฏฐานาจริยะ ไดแสดงอาการนิมิตในปจจยปริคคหญาณ ไวดังนี้นิมิตที่
ปรากฏในญาณนี้ที่กลาวมานี้ เปนการแสดงออกของญาณนี้โดยอัชฌัตติกา
รมณ คืออารมณภายในเทานั้น ยังมีอาการที่ญาณนี้ แสดงออกภายนอกที่
เรียกวา พหิทธารมณ อีกดวยเชน บางโยคีจะบอกวา เวลานี้เมื่อกําหนดไป
เรื่อยๆ ก็เห็นภาพตางๆ นานา เชนเห็นสีเขียวของตนไม ภูเขา พระพุทธรูป
เจดีย วัดวาอาราม ภู ต ผี ปศาจ ฯลฯ ปรากฏขึ้น เมื่อกําหนดก็หายไปไม
ปรากฏมาอีก เกิดความรูสึกวาเมื่ออารมณมีอยูก็กําหนดได ถาอารมณไม
ปรากฏก็ กํ าหนดไมไ ด อย า งนี้ ก็แ สดงว า รู ป (นิ มิต ต า งๆ) เป น เหตุ นาม
(ความรูสึก) เปนผล เมื่อกลาวตามสภาวะแลว พอบรรลุหรือถึงญาณนี้ ยอมมี
นิ มิ ต เกิ ด ขึ้ น แต อ าการที่ เ กิ ด ขึ้ น ไม เ หมื อ นกั น ต า งคนก็ ต า งกั น ไป เป น
สวนมากเมื่อเห็นนิมิตแลวมักหลงใหลเพลิดเพลินชอบใจอยากดูอยากเห็นไม
๑๐๒
เรื่องเดียวกัน, หนา ๕๑๙.
๑๐๓
เรื่องเดียวกัน,หนา ๕๑๘-๕๑๙.
๒๖๗
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
หยุดหยอนเมื่อนิมิตไมเกิดขึ้น ก็คอยจองอยู เมื่อไมเกิดตามใจปรารถนาก็
เสียใจ๑๐๔
พระธรรมธี ร ราชมหามุนี ได แสดงลั ก ษณะอาการนิ มิ ต ในป จ จย
ปริคคหญาณ ไวดังนี้ มีนิมิตเกิดขึ้นแตปรากฏไมชัดเจน ลักษณะของนิมิตที่
ปรากฏ เชนเปนเหมือนฝุนละอองขาวนวล แผกระจายลอยเคลื่อนไหวไปมา
อยูขางหนา คลายกลุมควัน หรือหมอกบางๆ หรือกลุมไอน้ําแผกระจายลอย
อยู ถาสมาธิไมมั่นคง กลุมควันหรือหมอกก็จะลอยไปมาแตถาสมาธิมั่นคงดีก็
จะปรากฏเหมือนเคลื่อนไหวชาๆ หรือมีอาการปรากฏวานิ่งอยู บางคนมีนิมิต
มารบกวนมาก เชน เห็นเปนรูปสัตว ปา ภูเขา แมน้ํา ลําธาร ตนไม สถานที่
คนที่ตายไปแลว ทองฟากอนเมฆ ดวงดาว ดวงจันทร ดวงอาทิตย เม็ดทราย
ทอง เพชร แกวสี รุง เทวดา นรก สวรรค เจดียพระพุทธรูป และนิมิตอื่นๆ
อีกมากมาย เกิดขึ้นดวยอํานาจของสมาธิ ที่มีเหตุมาจากสัญญาของจิตและมี
ทุกขเวทนา อาการปวดขา ชา เหน็บ หิว รอน เย็น เปนตน บางครั้งเวทนาก็
มาก บางครั้งเวทนาก็นอย๑๐๕
พระอาจารยดร. ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะ อัคคมหา
กัมมัฏฐานาจริ ยะ ไดแสดงไววา มีลักษณะของนิมิตที่ปรากฏวา นิมิตของ
ญาณนี้คอยๆ เกิด ขึ้น แล วก็ตั้ งอยูน าน เมื่อหายไปก็คอยๆ หายไปเห็ นได
ชัดเจน เชนเห็นนิมิตที่เปนแสงสวางดวงใหญเกิดตรงหนาใกลๆ แลวคอยๆ
ลอยหางออกไปๆ จนเห็นดวงเล็กลงๆ แลวหายไป เห็นแสงสวางปรากฏในที่
ไกลแลวคอยๆ ลอยใกลๆ เขามาๆ แลวหายไป ดังนี้เปนตน ซึ่งตรงขามกับ
นิมิตของปจจยปริคคหญาณ เพราะในปจจยปริคคหญาณนั้น เมื่อเกิดนิมิต
๑๐๔
ดร.ภัททันตะอาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะอัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ, ๑๐๐
ป อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ, หนา ๑๓๕–๑๓๖, อางใน พระมหาบุญเลิศ ธมฺมทสฺสี
(โอฐสู), “การสรางตัวชี้วัดเพื่อวิเคราะหอินทรีย ๕เปรียบเทียบกับญาณ ๑๖ ในผูปฏิบัติ
วิปสสนากัมมัฏฐาน”, วิทยานิพนธพุทธศาสตรดุษฎีบัณทิต, (บัณฑิตวิทยาลัย:
มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕), หนา ๗๗.
๑๐๕
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ.๙), คูมือสอบอารมณ
กัมมัฏฐาน, หนา ๕, อางในเรื่องเดียวกัน, หนา ๗๘-๗๙.
๒๖๘
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ขึ้นมาอยางหนึ่ง ยังไมทันจะหายไปหมด นิมิตอยางใหมก็เกิดซอนขึ้นมาอีก
แลว๑๐๖
พระธรรมธีรราชมหามุนีแสดงไววา สวนเวทนาในสัมมสนญาณ จะ
ปรากฏทุ ก ขเ วทนาเกิด ขึ้ น ตามร า งกายอย า งมากมาย หรื อ บางส ว นของ
รางกาย มีอาการรอนตามสวนตางๆ ของรางกาย เชน รอนตามผิวหนัง ตาม
เนื้อตัว ตามมือ ขา แขน เทา เหมือนถูกน้ํารอนลวก รอนเหมือนอยูใกลเตา
ไฟ ในขณะนั่งปรากฏอาการปวดขา ปวดเขา ปวดลําแขง หรือปวดขอเทา
อยางแรงกลาจนเกือบทนไมได๑๐๗
ขอทําความเขาใจเรื่องที่กลาวถึงเวทนาไวในที่นี้ เนื่องจากผูปฏิบัติ
จะตองเกิดเวทนา ไมอยางใดอยางหนึ่ง และรับรูเวทนาไดที่ละอยาง จาก
เวทนา ๓ อยางคือ ทุกขเวทนา สุขเวทนา และอุเบกขาเวทนา ในยอหนา
ขางบนแสดงใหเห็นทุกขเวทนาโดยตรง เมื่อทุกขเวทนาดับ ก็จะเปลี่ยนเปน
สุขเวทนา หรืออุเบกขาเวทนา ซึ่งสภาวธรรมของสุขเวทนา หรือ อุเบกขา
เวทนาจะทําใหโยคีผูปฏิบัติรูสึกวาเปนสุข หรือเปนกลาง คือเฉยๆ
ญาณที่ ๑ ญาณที่ ๒ และญาณที่ ๓ ในญาณ ๑๖ คื อ นามรู ป
ปริจเฉทญาณ ปจจยปริคคหญาณ และสัมมสนญาณ ญาณทั้งสามระดับนี้ ไม
เกิดวิปสสนูปกิเลส เนื่องจากอุปกิเลส ๑๐ ที่เกิดขึ้น มีกําลังไมรุนแรงมาก
โยคีผูปฏิบัติยังสามารถประคับประคองสติสามารถกําหนดรูรูปนามไดอยาง
ตอเนื่องเปนสว นใหญ อุปกิเลส ๑๐ ที่เกิดขึ้น สวนใหญจะเปนโอภาส ซึ่ง
แสดงออกเป น นิมิต คือเห็ นเปน รู ปร างสั ณฐาน เนื่ องจากยั งมีบัญญัติเ ป น
อารมณ และมีปติปสสัทธิ สุข ศรัทธา เกิดขึ้นบาง ยังไมเปนอารมณเดนชัดให
๑๐๖
พระอาจารย ดร.ภัททันตะอาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะอัคคมหากัมมัฏฐานาจ
ริยะ, ๑๐๐ ป อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ, หนา ๑๔๐–๑๔๑, อางใน พระมหาบุญเลิศ
ธมฺมทสฺสี(โอฐสู), “การสรางตัวชี้วัดเพื่อวิเคราะหอินทรีย ๕ เปรียบเทียบกับญาณ ๑๖
ในผู ปฏิ บัติวิ ปส สนากัม มัฏฐาน”, วิทยานิ พนธ พุท ธศาสตรดุษ ฎีบั ณทิต ,(บั ณฑิ ต
วิทยาลัย: มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕), หนา ๘๐.
๑๐๗
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ.๙), คูมือสอบอารมณ
กัมมัฏฐาน, หนา ๙.
๒๖๙
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
โยคี ผู ป ฏิ บั ติ หั น มากํ า หนดเป น อารมณ ห ลั ก โดยอุ ป กิ เ ลสที่ เ กิ ด ขึ้ น จะมี
แนวโนม คอยๆเดนชัดขึ้น คอยๆมีกําลังมากขึ้น เรียงจากญาณที่ ๑ ไปญาณ
ที่ ๒ และ ญาณที่ ๓ กลาวคือ โยคีผูปฏิบัติ จะคอยๆ ตกอยูในอํานาจการ
ครอบงําของอุปกิเลส๑๐ เพิ่มมากขึ้นๆ เรียงจากญาณที่ ๑ ไป ๒ และ ๓
๒) อุทยพยญาณ กับวิปสสนูปกิเลส
ในอุ ท ยพยญาณ ถื อ เป น จุ ด หั ว เลี้ ย วหั ว ต อ ของโยคี ผู ป ฏิ บั ติ
เนื่ อ งจากอุ ป กิ เ ลส ๑๐ ที่ เ กิ ด ขึ้ น ในญาณนี้ มี กํ า ลั ง แรง ส ง ผลร ว มกั น
แสดงออกในภาวะปรมัตถ เปนธรรมารมณ โดยไดแสดงรายละเอียดไวในบท
ที่ ๒สามารถสงผลใหโยคีผูปฏิบัติ เกิดวิปลาสออกนอกเสนทางการปฏิบัติได
โดยแสดงออกทางพฤติกรรมที่ไมพึงประสงคตางๆ จึงถือเปนจุด เปลี่ยนที่
สําคัญสรุปไดวา อุทยพยญาณแบงออกเปนสองชวง ชวงแรก คือ อุทยพย
ญาณอยางออน เปนตรุณวิปสสนาญาณ เปนวิปสสนาญาณอยางออน ใจที่
ผองใสของโยคีผูปฏิบัติเกิดดวอํานาจสมาธิ ทําใหเกิดวิปสสนูกิเลส ในชวงนี้
ถือเปนการเรียนรูเพื่อรูจัก วิปสสนูปกิเลส คือรูรสชาติที่ทําใหเกิดความพึง
พอใจ (อสฺ ส ารท) รู โ ทษของการที่ ยึ ด ติ ด กั บ ความพึ ง พอใจในรสชาติ นั้ น
(อาทีนว) รูเทาทันสามารถหลุดพนจากการยึดติดที่เกิดจากความพึงพอใจใน
รสชาตินั้น (นิสฺสรน) โยคีผูปฏิบัติไดปฏิบัติจนเกิดทักษะ เกิดความชํานาญ
ทั้ ง อิ น ทรี ย ๕ พละ ๕ และวิ ป ส สนาญาณจะแก ก ล า ขึ้ น เรื่ อ ยๆ จนเป น
อุทยัพพยญาณอยางแก เปนพลววิปสสนาญาณ เปนวิปสสนาญาณอยางแก
เกิด ป ญ ญารู ว า เมื่ อพ น จากการครอบงํ าของวิ ป ส สนู ป กิเ ลส ๑๐ ซึ่ง เป น
หนทางปฏิปทา เรียกวา มรรค และปญญาที่สามารถรูมรรค อมรรค และ
ประหารสัญญาในมรรค เรียกวา มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
๓) ภังคญาณ กับวิปสสนูปกิเลส
ในภั งคญาณ ยั ง มี ป ติ แ ละป ส สั ท ธิ ดั ง ที่พ ระโสภณหมาเถระ ได
แสดงไวในหนังสือวิปสสนาชุนีวาความยินดีในสภาวธรรมนั้น ยอมเหนือกวา
ความยินดีใดๆ โยคีสามารถสังเกตเห็นไดวา ในทุกเวลานั้นดีอยูเสมอ จิตดีอยู
ในทุ ก ขณะนั้ น เอง เพราะเนื่ อ งจากว า มี สุ ข เวทนาในทุ ก กิ ริ ย าอาการทั้ ง
๒๗๐
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ทางดานกายและจิต ไมวาจะเปนการเดิน การยืน การนั่ง การนอน การคูเขา
การเหยียดออก และการกําหนดรู ก็ลวนแตมีสุขเวทนาปรากฏอยู จึงทําใหมี
ความรูสึกดีในทุกเวลาทุกที่ ทุกสถาน ดวยอํานาจของปตินั้น จึงทําใหโยคี
เปนราวกับวา ไดนั่งอยูบนเปลหรือชิงชารูสึกซาบซานไปทั่ว และดวยอํานาจ
ของปสสัทธินั้น โยคีจะรูสึกเปนเหมือนกับนิ่งอึ้งราวกับวาไมไดทําการกําหนด
อะไรเลย เป น ความสงบ เป น ความร มเย็ น แต จ ะอย า งไรก็ต ามในช ว งที่
เขาถึงภั งคญาณ เป น ต นนั้ น ทั้งป ติ และป สสั ทธิ จะปรากฏในบางครั้ งบาง
คราวเทานั้น ไมเหมือนกับในตอนที่อยูในขั้นของอุทยพยญาณตน๑๐๘ๆ
จากคํากล าวขางบน ยังแสดงใหเห็นว า มีสุข เกิดขึ้นดว ย โดยสุ ข
เกิ ด ขึ้ น จากการที่ มี ป ติ แ ละป ส สั ท ธิ เป น ป จ จั ย ส ง เสริ ม ให เ กิ ด คื อ ป ติ
และป ส สั ท ธิ เ ป น ป จ จั ย ให เ กิ ด สุ ข เวทนา แต อุ ป กิ เ ลสเหล านี้ ไ ม ก อ ให เ กิ ด
วิปสสนูปกิเลส แตโยคีผูปฏิบัติยังตกอยูภายใตอิทธิพลของอุปกิเลส ๑๐ อยู
ยังขาดสติกําหนดเปนบางขณะ เปนชวงๆ ทําใหสมาธิเคลื่อนขึ้นๆ ลงๆ
๔) ภยญาณ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ กับวิปสสนูปกิเลส
ญาณทั้ง ๓ นี้ ไมปรากฏวามี อุปกิเลส ๑๐ และวิปสสนูปกิเลส แต
โยคีผูปฏิบัติจะมีความรูสึกวาเปนทุกข ไมยินดี ฟุงซาน เบื่อหนาย ทอแท ซึ่ง
เปนสภาวธรรมที่ตรงขามกับอุปกิเลส ๑๐ ดังสามารถแสดงการอางอิงไดดังนี้
พระโสภณมหาเถระไดแสดง สภาวะจิ ตใจของโยคีผูปฏิ บัติในภย
ญาณ ไว ดังนี้อีกอยางหนึ่ งบางทีอาจไตร ตรองในลักษณะเปนเชิงตําหนิใน
ระหวางที่กําหนดอยูก็ได เชนตําหนิวา “นามรูปที่เกิดแลว ดับไปนี้ไมดีเอา
เสียเลย คือเริ่มตั้งแตเกิดก็ไมดี เกิดอยูอยางไมมีการจบสิ้นก็ไมดี ความคิด
ที่วามีตัวมีตนในสิ่งที่ไมมีตัวมีตนก็ไมดี การพยายามทําใหสิ่งเหลานี้มีอายุยืน
ยาวไปก็ไมดี การได เ กิดในภพใหมก็ไมดี มีแต กองทุกขไมมีความสงบเอา
เสียเลย”ดังนี้เปนตน ในภาวะที่เกิดความคิดเชนนี้ จิตของโยคีผูปฏิบัติถึงแม
จะกําหนดรู ป นามตามลํ าดั บ ของความเกิด ดั บ ได ก็จ ริ ง แต ก็จ ะไมมีความ
๑๐๘
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสสนาชุนี หลักการปฏิบัติวิปสสนา
(ฉบับสมบูรณ), หนา๓๓๑.
๒๗๑
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
เพลิดเพลินยินดีในรูปนามเหลานั้น ถึงแมจะสามารถกําหนดรูปนามไดอยาง
ดี แตกําลังใจจะไมคอยมีปรากฏเหมือนอยางแตกอน คงมีแตความเบื่อหนาย
เทานั้นที่เหลืออยู๑๐๙
พระธรรมธีร ราชมหามุนี ได แสดงลักษณะและสภาวะของอาทีน ว
ญาณ ดังนี้ “เปนทุกขทางทวาร ๖ คือ
- ทวารตามีอาการ ตาเจ็บ ปวดที่ตา คันที่ตา แสบรอน ออนลา ขี้ตา
มีมากกวาปกติ
- ทวารหู มีอาการ ในหู เ หมือนมีน้ํ าอะไร คัน บ าง อะไรไต อยู บ าง
รอนในหู ปวดเปนพักๆเหมือนหูตึง หูอื้อ เหมือนมีลมเขาออก เหมือนมีอะไร
ไตตามใบหูเปนตน
- ทวารจมูกมีอาการ จมูกเหมือนเปน หวัด แน นเหมือนหายใจไม
สะดวก ปวด มีกลิ่นเหม็นแปลกๆ เปนแผล บวมแดง เปนตน
- ทวารลิ้นมีอาการ ลิ้นเหมือนไมรูรสอาหาร บวมแดงเปนเม็ดในลิ้น
เหมือนรอนใน รอนในปาก เปนแผลที่มุมปาก เหงือกบวม ปวดฟน เปนตน
- ทวารกายมีอาการ กายเหมือนคนไมมีกําลัง ออนเพลียมาก ปวด
ตามเนื้อตัว เหมือนคนจะเปนไข ปสสาวะบอย แตไมคอยออก ปวดที่อวัยวะ
เพศ เปนเหมือนมีอะไรปกคาอยูในทวารหนักและทวารเบา มีอาการบวม
เหมือนเป น ริด สี ดวงทวารหนั ก เหมือนมีพยาธิ ไขอยู เหมือนมีอะไรคาอยู
เหมือนขับถายไมสุด หรือรูสึกวาถายไมหมด อะไรทํานองนี”้ ๑๑๐
สภาวะของจิตนิพพิทาญาณ มีลักษณะดังนี้ “เมื่อกอนไดยินวาเบื่อ
แตไมรูวาเบื่ออยางไรเดี๋ยวนี้รูวาเบื่ออยางไร เบื่อหนายในอารมณ เบื่อหนาย
ในโลกทั้งหลายยิ่งนัก เบื่อหนายในการปฏิบัติวิปสสนายิ่งนัก เหมือนอยูในที่
แลง ซึ่งมีแดดแผดเผาเรารอน รูสึกหงอยเหงาเศราๆ ไมเบิกบาน ไมราเริง
๑๐๙
เรื่องเดียวกัน, หนา ๔๑๙.
๑๑๐
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ.๙), คูมือสอบอารมณ
กัมมัฏฐาน, หนา ๓๖.
๒๗๒
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
และแสดงวา ภยญาณ อาทีนวญาณ และนิพพิทาญาณ ญาณทั้ง ๓ นี้ จะเกิด
ดวยกัน”๑๑๑
๕) มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ กับวิปสสนูปกิเลส
ลักษณะและสภาวะของ มุญจิตุกัมยตาญาณ มีดังนี้
- กําหนดไดไมดี อยากหนี อยากออก ไมอยากทํา ใจหงุดหงิด
- บางคนคิดกลับบาน นึกวาตนหมดบุญวาสนาบารมีแลว “ถึงญาณ
มวนเสื่อแลว”
- มีเวทนารบกวนมาก เห็นขาดหายเปนทอนๆเสี่ยงๆ
- คันยุบๆ ยิบๆ หลายที่ จนเหลือที่จะอดกลั้นได
- จิตอยากหนีอยากหลุด อยากพน เพราะมีทุกขมาคอยกอกวน
- ไดเห็นความเสื่อมกับไดรับเวทนา ที่เปนสังขารทุกข จนเปนเหตุให
จิตเริ่มนอมไป เอียงไปสูพระนิพพานทันที
- ไมตองการอยากไดรูปนามอีกตอไปแลว อยากจะออกไปจากภพ
๑๑๒
ภูมิ
ลักษณะและสภาวะของปฏิสังขาญาณ มีดังนี้มี
- อาการดุจเข็มแทง เหมือนมีเหล็กแหลมมาจี้ตามรางกาย
- มีอาการซึมๆ ตัวแข็งดุจเขาผลสมาบัติ แตใจยังรูอยู
- บางที่มีอาการตึงๆหนักๆรอนทั้งตัว อึดอัด เหมือนใจจะขาด
- ไมสามารถกําหนดไดอยางกระฉับกระเฉง
- ผูปฏิบัติตองมีจิตหนักแนนตอการกําหนด ยอมสูตาย มาทอถอย
จิตลังเลจะคอยๆคลายลง อารมณกับจิตก็จะคืนสูสภาพเดิม
- ต องย อ นกลั บ ไปพิจ ารณาพระไตรลั กษณอีก เพราะคื อหนทาง
เดียวที่จะเขาไปสูพระนิพพาน
- ตองใชวิริยะอุตสาหะอยางเครงครัดเพื่อปลุกตนใหปฏิบัติตอกันไป
ดุจดายสนเข็ม
๑๑๑
รื่องเดียวกัน, หนา ๔๐ – ๔๑, อางในเรื่องเดียวกัน, หนา ๑๐๑.
๑๑๒
เรื่องเดียวกัน, หนา ๔๒ – ๔๖, อางในเรื่องเดียวกัน, หนา ๑๐๒.
๒๗๓
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
- เมื่อถึงญาณนี้จะไมมีใจรวนเรคิดจะเลิกปฏิบัติเหมือนญาณที่ผาน
มา ตั้งใจจริง ปฏิบัติจริง สูตาย
- ผู ป ฏิ บั ติ ย อ มเห็ น ความว างเปล า โดยทาง ทวาร ๖ และ ขัน ธ
๑๑๓
๕
๖) สังขารุเปกขาญาณ กับวิปสสนูปกิเลส
พระธรรมธีรราชมหามุนี ไดแสดงลักษณะและสภาวะของสังขารุเปก
ขาญาณ มีดังนี้
– ไมยินดียินราย กําหนดรูปนามไดงายที่สุด สม่ําเสมอ ไมเผลอจาก
รูปนาม
– รูสึกเพลิดเพลิน จนลืมเวลาไปก็มี ไมอยากไปไหน หรือพบเห็น
ใคร และไมนึกคิดอะไรทั้งสิ้น นิวรณทั้งหลายสงบลง เพราะสมาธิดีใจสงบ
แนวแนไปไดนานๆ
– รูปนามไมคอยเห็นชัดแตกําหนดไดดี มีใจสงบดีเปนที่สุด ความ
เพียรไมถอยลดลง
– ไมฟุงซานรําคาญใจ แมจะมีเสียงมารบกวน
– เวทนาไมมารบกวน โรคภัยไขเจ็บตางๆก็หาย จะหายไปโดย
เด็ดขาดบาง เชนโรคอัมพาต โรคประสาท โรคหืด โรคกระเพาะ โรคความ
ดันโลหิ ตสูง เปน ตน บางโรคหายไปชั่วคราวก็มี หรือ บางโรคหายไปเลย
จริงๆก็มี
– จิตไมแลบไปหาอารมณอื่น แนวแนอยูกับรูปนาม ไมจําเปนตอง
เปลี่ยนอิริยาบถ นึกวานั่งครูเดียว แตที่แทนั่งไดนานอยู๑๑๔
จะเห็นวา จะมีความเปนกลางหรือเฉยตออารมณที่มากระทบ คือ
ไมยินดียินราย ไมเกิดทุกขเวทนา ไมฟุงซาน ไมมีนิวรณ ไมนึกคิด แตยังมี
ความเพลิ ดเพลิน ในหนังสื อวิป สสนาชุนี ไดแสดงวา ในญาณนี้ ก็ยังมี ป ติ
และปสสัทธิ โดยไดแสดงไวดังนี้ “โยคีจะรูสึกเหมือนกับนิ่งอึ้ง ราวกับวาไมได
๑๑๓
๐เรื่องเดียวกัน, หนา ๔๖–๔๙, อางในเรื่องเดียวกัน, หนา๑๐๓.
๑๑๔
เรื่องเดียวกัน, หนา ๕๒–๕๕, อางในเรื่องเดียวกัน, หนา๑๐๔.
๒๗๔
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ทําการกําหนดอะไรเลย เปนความสงบ เปนความรมเย็น แตจะอยางไรก็ตาม
ในชวงที่เ ขาถึงภังคญาณเป นตนนั้น ทั้งปติและปสสัทธิ นี้ จะปรากฏชัดใน
บางครั้งบางคราวเทานั้น ไมเหมือนกับตอนที่อยูในขั้นของอุทยพยญาณตนๆ
แตกระนั้นก็ตาม เมื่อโยคีเขาถึงสังขารุเปกขาญาณแลว ในบางครั้งอาจเกิด
อาการแหงปติและปสสัทธิ นี้อยูอยางตอเนื่องนานทีเดียว”๑๑๕
อีกหนึ่งตัวอยางที่แสดงไว ดังนี้
นั่นเปนเพราะการไดรูไดเห็นตามสภาพที่เปนจริงของรูปนามสังขาร
ทั้งหลาย ไม มีอ ะไรที่ น า เพลิ ด เพลิ น เลยแม แต น อ ย หรื อเป น เพราะยั งไม
สามารถกําหนดโดยอาการปลอยวางประดุจสังขารุเปกขาญาณ จึงทําใหเรา
ไมมีเรี่ยวแรงที่จะกําหนด ถึงแมจะกําหนดไดสมาธิดี แตก็ไมสมดังมโนรสของ
ตน....บางที่อารมณจ ะไมคอยปรากฏจนทําใหการกําหนดเปน ไปโดยสงบ
เยื อกเย็ น และบางครั้ งก็ เ ห็ น แต จิ ต ที่เ กิ ด ดั บ อยู เ หมือนกั บ อาการพองยุ บ
อาการนั่งไดยินเปนตน หายไปหมด บางครั้งก็เกิดปติเหมือนกับถูกพรมดวย
น้ําไปทั่ว ตั ว บางทีก็เ กิดป ส สั ทธิ ความสงบทั่ว ทั้งกายและใจ บางทีก็เ ห็ น
โอภาส แสงสวาง สวางไสวไปทั่ว แตถึงจะเห็นพิเศษอยางไร จิตก็จะไมมีการ
ดีใจมากเหมือนแตกอน จะเกิดก็เปนแตเพียงความยินดี โดยธรรมดาสามัญ
ทั่วๆไปเทานั้น ซึ่งหากเกิดความยินดีเชนนี้ก็ใหตามกําหนดความยินดีนี้ดวย
และใหตามกําหนดปติ ปสสัทธิ และโอภาสเหลานั้นดวย๑๑๖
ตัวอยางนี้แสดงใหเห็นวา ในสังขารุเปกขาญาณ ยังมี โอภาส ปติ
ปสสัทธิ สุข แตไมรุนแรงมีความละเอียด เบาบาง ไมสามารถทําใหหลงไป
นานๆ การเผลอสติเกิดความยินดี ก็ยังมีแตไมมากและสามารถกลับมามีสติ
กําหนดไดโดยงาย
พระอาจารย ดร. ภัททันตะ อาสภมหาเถระธัมมาจริยะ อัคคมหา
กัมมัฏฐานาจริยะไดแสดงไปในทํานองเดียวกันกับหนังสือวิปสสนาชุนี โดยได
๑๑๕
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสสนาชุนี หลักการปฏิบัติวิปสสนา
(ฉบับสมบูรณ),หนา ๓๓๑.
๑๑๖
เรื่องเดียวกัน, หนา ๔๒๑–๔๒๒.
๒๗๕
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
แสดงใหเห็นวา ในสังขารุเปกขาญาณ ก็ยังมี นิกันติ แสดงไวดังนี้
บางคนก็ยังขึ้นๆ ลงๆ อยูในญาณนี้เปนเวลาแรมอาทิตย หรือแรม
เดื อ นก็ มี มาเกิ ด ลุ ม ๆดอนๆ ขึ้ น ๆ ลงๆ อยู ใ นสั ง ขารุ เ ปกขาญาณนี้ ก็
เนื่องมาจากการกําหนดอารมณพองหนอ-ยุบหนอ ของเรานั่นเอง เชนขณะ
เมื่อเรารูสึกวาอาการของพอง-ยุบเกิดมีความไว หรือความประณีตละเอียด
สุขุมขึ้นมา ตอจากนั้น เมื่อเราเห็นความประณีตละเอียดสุขุมนั้นเอง ใจเรา
เริ่มนอมเอาไปคิดแลวมักพิจารณาวา เอะ พอง-ยุบ มีอาการชนิดนี้ ประเดี๋ยว
มัน จะเกิ ด อะไรขึ้ น มากระมั งหนอ แต พ อเรานึ ก ขึ้ น มาเท านั้ น เอง มั น ก็ มี
อาการวูบเขาไปเลย ตกเลย ตองทําสมาธิกันใหม แตบางทานก็ไมรูเรื่องพระ
อภิธรรม พอเห็นอาการพอง-ยุบไวขึ้นมาหนอยเทานั้นก็คิดวา เอะ จะเปน
อะไรตอไปอีกหนอ เพราะมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เพราะอาการผิดปกติของ
พอง-ยุบนี่เอง ทานก็นึกคิดวา เอะ นี่มันจะเกิดอะไรขึ้น ที่ทานคิดนึกวามันจะ
เปนอะไร นั่นคืออะไร? ขออธิบายวานั่นคือตัว “นิกันติ” อันเกิดจากความ
ยินดี ประกอบโลภะขึ้นแลวแกทาน หรืออีกประการหนึ่งที่ทานคิดวา เอะ นี่
มันเปนอะไร ถาเราจะไดมรรค-ผล-นิพพานแลวกระมัง หรืออาการจองดูและ
ระวังตัวนี้ก็คือตัว “นิกันติ”นั่นเอง เกิดจากการจองระวังนั้น จองแลวระวัง
อะไร? จองดูมรรค-ผล-นิพพานจะเกิดขึ้นแลวกระมัง? เมื่อทานไปจองเขา
เทานั้น อาการวูบก็เกิดขึ้นมาทันที๑๑๗
แตเมื่อปฏิบัติ จนอินทรียแกกลา วิปสสนาญาณแกกลา ก็จะไมเกิด
ความยินดี ยินรายสามารถกาวขามสังขารุเปกขาญาณไดโดยหนังสือ ปฐม
วิปสสนาวงศ ในประเทศไทย แสดงไวดังนี้เมื่อไมมีความกลัวในทางโลกและ
ทางธรรมเชนนี้แลว แตความยินดีเลาจะมีไหม ถาจะกลาวถึงความยินดีก็ไมมี
อีก ที่วาไมมีนั้น ไมมีอยางไร? ความยินดีทางโลกถาหากวาถูกล็อตเตอรี่ ทาน
จะรูสึกเปนอยางไร? ก็จะเกิดความสบายใจ นี่กลาวในดานคฤหัสถ เราจะ
กระโดดโลดเตนทันที แตถาเรามาปฏิบัติอยูแลว บังเอิญซื้อล็อตเตอรี่ทิ้งไว
๑๑๗
พระอาจารย ดร ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะ อุคคมหากัมมัฏฐา
นาจริยะ, ปฐมวิปสสนาวงศ ในประเทศไทย, หนา ๔๒๑–๔๒๒.
๒๗๖
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
สัก ๑ ใบ จะมีใครผูหนึ่งมาบอกวาตัวเรานั้นถูกล็อตเตอรี่ รางวัลที่ ๑ แลว
ถาเปนคนธรรมดาจะรูสึกอยางไร? กระโดดโลดเตน คิดจะซื้อของนั่นของนี่
ทีเดียว แตผูปฏิบัติไมรูสึกอยางนั้น ไมยินดีเลย ไมยินดีนั้น ทําไมจึงไมยินดี?
เพราะวาญาณของผูปฏิบัตินั้นไดกาวเขามาสูสังขารุเปกขาญาณนี้แลวนั่นเอง
ดังนั้นความยินดีจึงไมเกิด ก็เมื่อความยินดีทางโลกไมเกิดแลว ทางธรรมเลา
จะเกิดหรือไม? ความยินดีในทางธรรมเชนอุทยพยญาณที่ออน ความยินดีที่
เราเคยมีมา ถึงกับไมยอมผละออกไปงายๆ อาจารยตองหนักใจเปนพิเศษนั้น
พอมาถึงสังขารุเปกขาญาณนี้ ความยินดีทั้งหลายที่เราประสบมาตลอดเวลา
นั้นๆ ก็ไมไดกอความยินดีอะไรใหเราเลย ดังนั้น ความยินดี ไมวาจะเปนทาง
โลกซึ่งจะไดพบกันอยู หรือ ความยิ นดีทางธรรมที่ได พบมาจากการเจริ ญ
ภาวนา เราก็ไมมีแลว ในสังขารุเปกขาญาณนี้
ถึงตอนนี้ มีขอมูลมากพอ ที่จะกลาวสรุปทายหัวขอ ๓.๔.๖ ไดวา
ในสั ง ขารุ เ ปกขาญาณ มีอุ ป กิ เ ลสเกิ ด ขึ้ น แต ไ มส ามารถส ง ผล มี อิ ท ธิ พ ล
ครอบงําตอ โยคีผูปฏิบัติ จนเกิดเปนวิปสสนูปกิเลส จนเกิดวิปลาสออกนอก
เสนทางปฏิบัติ แตสามารถสงผลใหเกิดความหลง ขาดสติ หยุดกําหนดได
เปนระยะเวลาสั้นๆ เปนเหตุใหสมาธิเคลื่อน ขึ้นๆลงๆ แตก็สามารถประคอง
ตัว กลับมามีสติในการกําหนดได และปฏิบัติเจริญสติปฏฐาน ๔ ตอไปได
๗) อนุ โ ลมญาณ โคตรภู ญาณ มรรคญาณ ผลญาณ และปจ จ
เวกขณญาณ
พระโสภณมหาเระไดแสดงใหเห็นวา ในญาณที่ ๑๒ อนุโลมญาณยัง
มีอธิโมกขคือศรัทธาอยู เมื่อสังขารุเปกขาญาณแกกลาบริบรูณเต็มที่พอที่จะ
ยังอนุโลมญาณใหเกิดขึ้นได อธิโมกขคือศรัทธาก็มีกําลังดีขึ้น และดวยอํานาจ
ของศรัทธานี้แหละ ที่ทําใหจิตเกิดความผองใสเปนพิเศษ พรอมทั้งยังความ
เพียรใหดําเนินไปอยางสม่ําเสมอ สติที่กําหนดอยูมีความมั่นคง จิตใจเป น
สมาธิแนวแน”๑๑๘
๑๑๘
พระอาจารย ดร ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะ อุคคมหากัมมัฏฐา
นาจริยะ, ปฐมวิปสสนาวงศ ในประเทศไทย, หนา ๔๒๑–๔๒๒.
๒๗๗
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
พระอาจารยภัททันตะ อาสภมหาเถระธัมมาจริยะ ไดแสดงใหเห็น
ว า ในอนุ โ ลมญาณยั ง มี ป ติ ป ส สั ท ธิ อุ เ บกขาอยู โ ดยท า นได แ สดงไว ดั ง นี้
“ความรูครั้งสุดทายก็จะขาดพรึบลงไปทันที พอขาดเชนนี้แลว ความรูครั้ง
สุดทายนั้นคืออะไร? ความรูครั้งสุดทายนั้นคือ อนุโลมญาณ”๑๑๙และอธิบาย
เพิ่มเติมวา
ในไมชาโยคีผูปฏิบัติก็จะบรรลุถึงจุดหมายปลายทางอันยิ่งใหญ นั้น
คือการเขาสูความดับอันความดับนี้วิปสสนาจารยพึงเขาใจใหดี เพราะเปน
จุ ด สํ า คั ญ ที่ สุ ด ถ า รู เ ท า ไม ถึ งการณ ข าดความรอบครอบแล ว ทั้ ง ศิ ษ ย ทั้ ง
อาจารยอาจกอดคอกันตกลงไปในหวงเหวแหงการเขาใจผิดซึ่งเปนอันตราย
อยางหนักที่สุดของการปฏิบัติวิปสสนากัมมัฏฐาน เพราะความดับที่ไมแทนั้น
อาจเกิดขึ้นไดโดยเหตุหลายประการ คือ ๑. ดับดวยปติ ๒. ดับดวยปสสัทธิ
๓. ดับดวยสมาธิ๔. ดับดวยถีนมิทธะ ๕. ดับดวยอุเบกขา ทั้ง ๕ นี้เปนความ
ดับเทียม ใชไมได สวนมากเกิดขึ้นใน อุทยัพพยญาณอยางออน ๑ ในมุญจิ
ตุกัมยตาญาณ ๑ ในสังขารุเปกขาญาณ ๑ ถาเกิดขึ้นในญาณเหลานี้พึงตัดสิน
เลยวาเปนของเทียมใชไมได๑๒๐
พระสารีบุตรเถระไดแสดงใหเห็นวาในญาณที่ ๑๓ โคตรภูญาณ ยังมี
ปติ มีสุข โดยการวิเคราะหจากประโยคที่ไดแสดงไววา “๓ ญาณที่ครอบงํา
ปติ เพื่อไดตติยฌาน ชื่อวา โคตรภู และ ๔ ญาณที่ครอบงําสุขและทุกขเพื่อ
ไดจตุตถฌาณชื่อวา โคตรภู”๑๒๑
ในญาณที่ ๑๔ มรรคญาณ มีอุปกิเลส ๑๐ คือ ความสงบและเปน
กลาง หรือ อุเบกขาที่เกิดจากสมาธิ โดยสามารถวิเคราะหจากประโยคที่ได
แสดงไววา “ญาณที่ชื่อวาสัมมาสมาธิ เพราะมีสภาวะไมฟุงซาน ยอมออก
จากมิจฉาสมาธิ ออกจากเหลากิเลสที่เปนไปตามมิจฉาสมาธินั้น จากขันธ
๑๑๙
พระอาจารย ดรภัททันตะ อาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะ อุคคมหากัมมัฏฐา
นาจริยะ, ปฐมวิปสสนาวงศ ในประเทศไทย, หนา ๔๒๖.
๑๒๐
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๖๔.
๑๒๑
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๐/๙๖–๙๗.
๒๗๘
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ทั้งหลาย และออกจากสรรพนิมิตภายนอก เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา
ปญญาในการออกและหลีกไปทั้งจากกิเลสขันธ และจากนิมิตภายนอก ชื่อวา
มัคคญาณ”๑๒๒
ในญาณที่ ๑๕ ผลญาณ มีอุปกิเลส ๑๐ คือ ความสงบและเปนกลาง
หรือ อุเบกขา ที่เกิดจากสมาธิ โดยสามารถวิเคราะหจากประโยคที่ไดแสดง
ไว ว า “ญาณที่ชื่อว าสั มมาสมาธิ เพราะมีส ภาวะไมฟุงซาน ย อมออกจาก
มิ จ ฉาสมาธิ ออกจากเหล า กิ เ ลสที่ เ ป น ไปตามมิ จ ฉาสมาธิ นั้ น จากขั น ธ
ทั้งหลาย และออกจากสรรพนิมิตภายนอก สัมมาสมาธินั้นยอมเกิดขึ้นเพราะ
ยุดความพยายามนั้น การหยุดความพยายามนั้นเปนผลของมรรค”๑๒๓
และในญาณที่ ๑๖ ป จ จเวกขณญาณ มี อุ ป กิ เ ลส ๑๐ คื อ ป ติ
ปสสัทธิ อุเบกขา โดยสามารถวิเคราะหจากประโยคที่ไดแสดงไววา “ปญญา
ในการเห็นธรรมที่มารวมกันในขณะนั้น ชื่อวาปจจเวกขณญาณ คือ ญาณที่
ชื่อวา สติสัมโพชฌงค เพราะมีสภาวะตั้งมั่น มารวมกันในขณะนั้นญาณที่ชื่อ
วา ธั มมวิจ ยสั มโพชฌงค เพราะมีส ภาวะเลือกเฟน มารว มกันในขณะนั้ น
ญาณที่ชื่อวาวิริยสัมโพชฌงค เพราะมีสภาวะแผซาน มารวมขณะนั้น ญาณที่
ชื่อวา ปติสัมโพชฌงค เพราะมีสภาวะสงบระงับ มารวมในขณะนั้น ญาณที่
ชื่อวา สมาธิสัมโพชฌงค เพราะมีสภาวะไมฟุงซาน มารวมในขณะนั้น ญาณที่
ชื่อวา อุเบกขาสัมโพชฌงค เพราะวามีสภาวะพิจารณา มารวมในขณะนั้น๑๒๔
สรุปทายหัวขอจะเห็นวาโยคีผูปฏิบัติสามารถปลอยวางอุปกิเลส ๑๐
เชน โอภาสปติ ปสสัทธิ เปนตน ไดมากขึ้น จนเกิดเปนอุเบกขา ไดมากขึ้นๆ
และมีปญญาสามารถใชอุปกิเลส ๑๐เปนประโยชนใน๒ ระดับ คือ ๑. ใช
ครอบงํา นิ ว รณห รื อทุ กขเวทนา (ในอนุ โ ลมิก ญาณ โยคีส ามารถกํา หนด
ทุกขเวทนาดว ยความยิ นดี และสามารถครอบงําทุกขเวทนาได ในโคตรภู
ญาณ) และ ๒. ใชอยูอยางเปนสุข เพราะเปนผลของการปฏิบัติ (ในผลญาณ)
๑๒๒
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๑/๑๐๐.
๑๒๓
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๓/๑๐๓.
๑๒๔
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๕/๑๐๖.
๒๗๙
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
จะแสดงรายละเอียดการปฏิบัติการใชประโยชนจากอุปกิเลส ๑๐ เชน ปติ
ป ส สั ท ธิ สุ ข อุ เ บกขา เป น ต น การปรั บ อิน ทรี ย กั บ โพชฌงค ๗ ถึ ง ตรงนี้
วิปสสนูปกิเลสจะมีอยูในญาณสูงๆ เชน ภังคญาณ หรือสังขารุเปกขาญาณ
หรือไม เนื่องจากในพระไตรปฎกไมมีเรื่องวิปสสนูปกิเลสโดยตรง และคําภีรวิ
สุมธิมรรคไมไดกลาวถึงวิปสสนูปกิเลสอีกเลยเมื่อกาวขามอุทยพยณาณอยาง
ออนไปแลว แตในหนังสือวิปสนาชุนี ทานไดแสดงไวชัดเจนเลยวา จะไมเกิด
วิปสสนูปกิเลสอีกเลยตั้งแตนิพพิทาญาณเปนตนไป๑๒๕
จากขอมูลไดยืนยันเปนไปตามคัมภีร คือ วิปสสนูปกิเลสจะเกิดและ
เด น ชั ด ที่ สุ ด ในอุ ท ยั พ พพยญาณอย า งอ อ นเท า นั้ น หลั ง จากนั้ น จะไม เ กิ ด
วิปสสนูปกิเลสและสามารถปฏิบัติตอวิปสสนูปกิเลสไดถูกทาง ถูกวิธี เมื่อ
ปฏิบัติถึง อุทยัพพยญาณอยางแก
๗. การปฏิบัติตออุปกิเลส ๑๐
ตั้งแตอุทยัพพยญาณอยางแกเปนตนไป จะไมเกิดวิปสสนูปกิเลสอีก
เลย สภาวธรรมที่ เ รี ย กว า อุ ป กิ เ ลส จั ด เป น ธรรมารมณ สามารถใช เ ป น
อารมณในการเจริญสติปฏฐาน ๔ ได และเปนองคธรรมที่อยูในอินทรีย ๕
หรือกลายเปนสติสัมโพชฌงค
การเจริ ญสติ ป ฏ ฐาน ๔ เพื่ อเป น การปู พื้ น ฐานสร า งความเขา ใจ
เพื่อใหเห็นภาพรวมของการปฏิบัติเจริญสติปฏฐาน ๔ ในแงมุมตางๆ เพื่อทํา
ใหผูอานสามารถเขาใจกระบวนการปฏิบัติตออุปกิเลส หรือการบรรลุ มรรค
ผล นิพพาน นั่นเอง โดยแสดงรายละเอียดดังตอไปนี้
การเจริญสติปฏฐาน ๔ เปน หนทางปฏิบั ติ ที่ทําใหผู ปฏิบัติ บรรลุ
มรรค ผล นิพพานไดโดยไดแสดงไวในสวน อุทเทสของมหาสติปฏฐานสูตร
ว า “ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ทางนี้ เ ป น ทางสายเดี ย ว เป น ทางสายเอก เพื่ อ ความ
๑๒๕
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสสนาชุนีหลักการปฏิบัติวิปสสนา
(ฉบับสมบูรณ),หนา ๕๑๖.
๒๘๐
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
บริสุทธิ์ของเหลาสัตว เพื่อลวงโสกะและปริเทวะ เพื่อดับทุกขและโทมนัส
เพื่อบรรลุอริยมรรค เพื่อทําใหแจงนิพพาน ทางสายนี้คือสติปฏฐาน”๑๒๖
พระพุทธโฆสเถระอธิบาย สติปฏฐาน ไววาในโพธิปกขิยธรรม๑๒๗
ทั้งหลายนั้น ชื่อวา ปฏฐาน เพราะรุดแลนเขาไปตั้งอยูในอารมณทั้งหลายสติ
นั่นแหละเปนปฏฐาน ชื่อ สติปฏฐาน แตทวา สติ นั้น จําแนกโดย ๔ สวน
เพราะดําเนินไปดวยการถือโดยอาการวา ไมงาม เปนทุกข ไมเที่ยง และเปน
อนัตตา และดวยการทํากิจใหสําเร็จในการละเสีย ซึ่งความสําคัญ วางาม วา
เป น สุ ข ว า เที่ ย ง ว า มี อั ต ตา ในกาย ในเวทนา ในจิ ต และในธรรม
เพราะฉะนั้น ทานจึงกลาววา สติปฏฐาน ๔๑๒๘
สติปฏฐาน แปลวา ธรรมเปนที่ตั้งแหงสติ หรือการปฏิบัติสติเปน
ประธาน๕๑๒๙ หรือ อีกนัยหนึ่ง แปลวา ธรรมอันเปนอารมณของสติ๖๑๓๐
การเจริญสติปฏฐาน ๔ คือการปฏิบัติสมถะและวิปสสนากรรมฐาน
สามารถแยกยอยใหเห็นวา การปฏิบัติสมถะกรรมฐานก็เพื่อใหเกิดจิตตวิสุทธิ
และการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานก็เพื่อใหเกิดปญญาวิสุทธิ นั่นเอง
๑๒๖
ทางสายเอก หมายถึง เปนทางที่บุคคลผูละการเกี่ยวของกับหมูคณะ พึง
ประพฤติธรรมอยูแตผูเดียวเปนทางของบุคคลผูคนพบผูเดียว คือ พระพุทธเจาเทานั้น
เปนทางปฏิบัติในศาสนาเดียว คือ พระพุทธศาสนาเทานั้น และเปนทางสายเดียวที่
ดําเนินไปสูจุดหมายเดียว คือ พระนิพพาน ดูใน ที.ม.อ.(บาลี) ๑/๓๗๓/๓๕๙.
๑๒๗
ธรรมอันเปนฝกฝายแหงความตรัสรู คือ เกื้อกูลแกการตรัสรู ธรรมที่เกือ้ หนุน
แกอริยมรรค อางในพระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับ
ประมวลธรรม, พิมพครั้งที่ ๑๘,(กรุงเทพมหานคร: บริษัท เอส อาร พริ้นติ้ง แมส โปร
ดักส จํากัด, ๒๕๕๓), หนา ๒๗๓.
๑๒๘
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, แปลและเรียบเรียงโดย สมเด็จพระ
พุฒาจารย (อาจอาสภมหาเถระ), พิมพครั้งที่ ๖, (Taipae: The Corporate Body of
Buddha Education Foundation,๒๕๕๐), หนา ๑๑๔๒.
๑๒๙
ที.ม.อ.(บาลี) ๓๗๖–๓๗๘., ที.ม.ฎีกา (บาลี) ๓๕๗–๓๕๙.
๑๓๐
พระสัทธัมมโชติกะธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะปริเฉทที่ ๗, พิมพครั้งที่ ๕,
(กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิสัทธัมมโชติกะ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๓๘), หนา ๑๓๑.
๒๘๑
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
การเจริ ญ สติ ป ฏ ฐาน ๔ เป น รายละเอี ย ดวิ ธี ก ารปฏิ บั ติ ข อง
กระบวนการไตรสิกขา๑๓๑ คือ ศีลสมาธิ ปญญา การปฏิบัติเพื่อใหเกิดปญญา
สูงสุดเพื่อการพนทุกขนั้น พระพุทธเจาพระองคทรงวางรู ปแบบไวอยางดี
เพื่อให ส ามารถเรี ย นรู ฝ กหัด ขัดเกลาพัฒ นาจิ ต เพื่อการลด ละ เลิ ก กิเ ลส
ตัณหาและอุปาทากระบวนการไตรสิกขาใหมุมมอง ในรูปแบบที่กวางที่สุดทํา
ใหเห็นภาพรวมแบบกวางๆ
ส ว นรายละเอีย ดของวิ ธี ก าร และ ขั้ น ตอนการปฏิ บั ติ จ ะปรากฏ
แสดงไวในรูปแบบกระบวนการปฏิบัติแบบสติปฏฐาน ๔
มีประเด็นสําคัญ ๒ประเด็นที่ควรทราบเกี่ย วกับไตรสิกขา คือ ๑.
เปนการบําเพ็ญศีลสมาธิ ปญญา การที่ใชคําวาบําเพ็ญก็เพื่อตองการสื่อสาร
ใหเขาใจวาเปนวิถีชีวิต คือการใชสติสัมปชัญญะและความเพียรดวยความ
อดทน คือ ขันติในการดําเนินชีวิตตลอดเวลาตั้งแตตื่นจนกระทั่งถึงเวลานอน
อยูภายใตกรอบการปฏิบัติศีล สมาธิ ปญญา ปฏิบัติไปตลอดตอเนื่องกันไม
ขาดสาย เมื่อ เริ่ มต น ปฏิ บั ติ ใ หมๆ ก็ จ ะปฏิ บั ติ ได ไม ส มบรู ณ ต ลอดเวลา มี
ข อ บกพร อ งต า งๆ เช น ผิ ด ศี ล บางข อ บางเรื่ อ งบางเวลา สมาธิ ไ ม ตั้ ง มั่ น
โดยเฉพาะเวลาที่เผชิญกับปญหาตางๆ สูกําลังของกิเลสไมไหว ขาดสติขาด
ปญญาในการปฏิบัติตนใหถูกตองตามเหตุปจจัยเพื่อใหเกิดประโยชนทาน
และตน เปนตน
การปฏิบัติไตรสิกขาจนเปนวิถีชีวิตนั้น จะตองปฏิบัติมากนอยขนาด
ไหน มีโยนิโสมนสิการอยางไรสามารถเห็นไดจาก “คัทรภสูตร”๑๓๒ พระพุทธ
องคทรงตรัสไววา
ภิกษุทั้งหลาย ลาติดตามฝูงโคไปขางหลังรองวา แมตัวเราก็เปนโค
แมตัวเราก็เปนโค แตมันไมมีสี
๑๓๑
มรรคมีองค ๘ รวมอยูในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปญญา, องฺ.ติก.อ.
(บาลี) ๒/๓๐/๑๐๘., ดูในม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๐/๑๙๒.
๑๓๒
อง.ทุก.(ไทย) ๒๐/๘๓/๓๐๙.
๒๘๒
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
เหมือนโค ไมมีเสียงเหมือนโค ไมมีรอยเทาเหมือนโค มันเพียงแต
ติดตามไปขางหลังเทานั้น รองวา แม
ตัวเราก็เปนโค แมตัวเราก็เปนโค แมฉันใด ภิกษุบางรูปในธรรมวินัย
นี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ติดตามไป
ขางหลังหมูภิกษุประกาศตนวา แมเราก็เปนภิกษุ แมเราก็เปนภิกษุ
แตเธอไมมีความพอใจในการ
สมาทานอธิสีลสิกขาเหมือนภิกษุอื่น ไมมีความพอใจในการสมาทาน
อธิจิตตสิกขาเหมือนภิกษุอื่น ไมมี
ความพอใจในการสมาทานอธิปญญาสิกขาเหมือนภิกษุอื่นภิกษุนั้น
เพียงแตติดตามไปขางหลังหมูภิกษุ
ประกาศตนวาแมเราก็เปนภิกษุ แมเราก็เปนภิกษุเทานั้น เพราะเหตุ
นั้น แลเธอทั้งหลายพึงสําเหนียก
อยางนี้วา เราจักมีความพอใจอยางยิ่งในการสมาทานอธิสีลสิกขา
เราจักมีความพอใจอยางยิ่งในการ
สมาทานอธิจิตตสิกขา เราจักมีความพอใจอยางยิ่งในการสมาทาน
อธิปญญาสิกขา
ประเด็ น ที่ ๒ คือ การปฏิ บั ติ ศีล สมาธิ ป ญญา จะต องปฏิ บั ติ ไ ป
พรอมกันทั้งสามสวนเนื่องจากทั้งสามสวนจะสงผลถึงกัน คือเมื่อมีศีลที่มั่นคง
ก็จะสงเสริมใหเกิดสมาธิ เมื่อมีสมาธิที่ตั้งมั่นก็จะสงเสริมใหเกิดปญญา เมื่อมี
ปญญาก็จะสามารถรักษาศีลและมีสมาธิ เพราะฉะนั้นจะตองพยายามปฏิบัติ
ในแตละสวนใหถึงพรอมใหสมบรูณ และปฏิบัติใหครบทั้งสามสวนไปพรอมๆ
กัน สงเสริมกันและกัน เมื่อปฏิบัติตามนี้ก็จะทําใหเกิดพละ คือมีแรงสงทําให
สามารถปฏิบัติไดถูกตองมากขึ้นๆ ไปตามลําดับ
เมื่อศึกษาวิจัยความสัมพันธญาณ ๑๖ ที่เกี่ยวของกับวิปสสนูปกิเลส
ทั้งจากคัมภีร มีความสอดคลองไปในทิศทางเดียวกัน จะพบวา ญาณ ๑๖
หมายถึงภาวนามยปญญาที่เกิดจากการปฏิบัติวิปสสนากัมมัฏฐาน หรือเจริญ
สติปฏฐาน ๔ ญาณจะเกิดแกผูบําเพ็ญวิปสสนาเปน ๑๖ ขั้นโดยลําดับ ตั้งแต
ตนจนถึงจุดหมาย คือ มรรค ผล นิพพาน ซึ่งเริ่มจากนามรูปปริจเฉทญาณ
๒๘๓
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
ไปถึงปจจเวกขณญาณ ตามคัมภีรพุทธศาสนาเถรวาท ญาณ ๑๖ สามารถ
นํามาใชวัดผลของการปฏิบัติ โดยพระวิปสสนาจารย ผูซึ่งมีประสบการณ
ผานการปฏิบัติมากอนจึงสามารถรูไดวา โยคีผูปฏิบัติ ปฏิบัติอยูในขั้นตอน
ไหน และยังเปนการแสดงใหรูวา จิตของโยคีผูปฏิบัติบริสุทธิ์ ผองใส ระดับ
ไหน
ในญาณที่ ๑ ถึง ๓ คือ นามรูปปริจเฉทญาณ ปจจยปริคคหญาณ
และสั มมสนญาณ ผู ป ฏิ บั ติ กํ าหนดอารมณที่ เ ป น อารมณบั ญญั ติ มากกว า
อารมณปรมัตถ จึงไมจัดวาเปนวิปสสนาอยางเต็มที่ จึงไมเรียกวา วิปสสนูปกิ
เลส เพราะวิปสสนูปกิเลสจะเกิดในขณะที่เจริญวิปสสนา ในญาณที่ ๔ คือ
อุทยัพพยญาณอยางออน วิปสสนูปกิเลสเกิดเดนชัดที่สุด สงผลขัดขวางการ
เจริญสติของผูปฏิบัติ เรียกไดวาเปนจุดหัวเลี้ยวหัวตอ เมื่อพนมาไดจนถึง
อุทยัพพยญาณอยางแกผูปฏิบัติมีอินทรียแกกลามากขึ้น เกิดญาณที่เรียกวา
มัคคามัคคญาณทัส สนวิสุ ทธิ คือเกิด ปญญาสามารถรู ว า หนทางไหนเป น
หนทางที่ปฏิบัติไดถูกตอง ในญาณที่ ๕-๑๖ เกิดอุปกิเลส ๑๐ แตไมจัดเปน
วิปสสนูปกิเลส เพราะผูปฏิบัติรูจักหนทางปฏิบัติที่ถูกตองแลว ไมยึดติดและ
กา วข า มวิ ป ส สนู ป กิ เ ลสไปได แ ล ว เมื่ อผ า นอุ ท ยั พ พยญาณอย า งแก และ
เกิดมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิแลว หัวขอธรรมเรื่องวิปสสนูปกิเลส ก็หมด
ความสํ า คั ญ คื อ หมดเรื่ อ งที่ จ ะต อ งเรี ย นรู แ ล ว เพราะรู จั ก วิ ป ส สนู ป กิ เ ล
สเป น อย างดี แล ว ว าให โ ทษ ให คุณ อย างไร และสามารถรู เ ทาทัน จึ งไม
จําเป นต องพูดถึงอีกในมุมมองนี้ แต ถึงกระนั้ นอุป กิเ ลส ๑๐ ก็ยังสงผล มี
อิท ธิ พ ลครอบงํา โยคี ผู ป ฏิ บั ติ ไ ด เ ป น ระยะๆ เป น ช ว งๆ ทํ าให ส มาธิ ของผู
ปฏิ บั ติ เ คลื่ อนขึ้น ๆ ลงๆ ส งผลให อิน ทรี ย ๕ ไมส ม่ําเสมอ เพราะฉะนั้ น ผู
ปฏิบัติยังตองกําหนดสภาวธรรมเหลานี้ เมื่อสภาวธรรมเหลานี้เกิดขึ้นในปจ
จุบัณขณะ
ประเด็ น ที่ ๑. สภาวธรรมที่ เ รี ย กว า อุ ป กิ เ ลส ๑๐ จั ด เป น
ธรรมารมณ สามารถใชเปนอารมณในการเจริญสติปฏฐาน ๔ ได และเปน
องคธรรมในหัวขอธรรมที่มีชื่อเรียกตางออกไปเชน สติที่อยูในอุปกิเลส ๑๐
กลายเปน สติ ที่อยูในอินทรีย ๕ หรือสติที่อยูในโพชฌงค ๗ กลายเปนสติ
๒๘๔
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
สัมโพชฌงค เปนตนโดยจะมีวิธีการและรายละเอียดในการปฏิบัติตออารมณ
เหลานี้ดังนี้ คือ ผูปฏิบัติจะตองมีความเพียร มีสัมปชัญญะ และมีสติ ในการ
กําหนดอารมณที่เกิดขึ้นในปจจุบันขณะ อยางตอเนื่องไมขาดสายถือวาเปน
กุญแจไขสูความสําเร็จ (key Success) และยังตองเจริญอานาปานสติ ดวย
เหตุผลดังนี้ “อานาปานสติที่ภิกษุเจริญทําใหมาก ยอมมีผลอานิสงสมาก เมื่อ
เจริญทําใหมากแลว ยอมทําสติปฏฐาน ๔ ใหบริบูรณ สติปฏฐาน ๔ ที่เจริญ
ทําใหมากแลว ยอมทําใหโพชฌงค ๗ ใหบริบูรณโพชฌงค ๗ ที่เจริญทําให
มากแล ว ย อ มทํ า วิ ช ชาและวิ มุ ติ ใ ห บ ริ บู ร ณ ”โดยสามารถแสดงการเกิ ด
“ญาณ ๑๖” ในการปฏิบัติในขั้นที่ ๑๓ ถึง ๑๖ ของการเจริญอานาปานสติ
หรือ ธัมมานุปส สนาสติปฏ ฐาน ไดดั งนี้ คือผูป ฏิบัติ มีสติกําหนดรู ป ติ สุ ข
จิตตสังขาร วาไมเที่ยง มีความเกิดขึ้น เสื่อมไปและเปนอยางอื่นไป หรือวามี
แลวก็ไมมี ก็จะเห็นวาเปนทุกข เปนอนัตตา และเบื่อหนายไปดวย จัดเปน
อุทยัพพยญาณ ภังคานุปสสนาญาณ ภยญาณ อาทีนวญาณนิพพิทาญาณ
ตามขั้นที่ ๑๓ การที่ผูปฏิบัติมีสติเห็นความคลายออกได คลายความยินดีใน
ปติ สุขจิตตสังขาร ที่มีความเกิดขึ้น เสื่อมไป และเปนอยางอื่นไป หรือ วามี
แลวก็ไมมีจากผลที่กลาวแลวนั้นจัดเปน มุญจิตุกัมยตญาณ ปฏิสังขาญาณ สัง
ขารุเปกขาญาณ ตามขั้นที่ ๑๔ การที่ผูปฏิบัติมีสติเห็นปติ สุข จิตตสังขาร ที่
มีความดั บไป เพราะวามีความเกิดดับๆ อยูได ปลอยวางหลุดพน จัดเป น
อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ ตามขั้นที่ ๑๕ การที่ผูปฏิบัติมีสติเห็นความ สละ
คืน ละความยึดมั่นถือมั่น ใน ปติสุข และจิตตสังขาร แลนไปในนิพพาน มี
นิพพานเปนอารมณ จัดเปนมรรคญาณ ตามขั้นที่ ๑๖ เมื่อมรรคญาณเกิดขึ้น
ผลญาณ ปจจเวกขณญาณ ยอมเกิดตามลําดับ ก็จะบรรลุธรรมสําเร็จเปน
พระอริยบุคคล
ประเด็นที่ ๒.ความสําคัญของอินทรีย ๕ คือ สามารถใชเปนตัวชี้วัด
ตัวบงชี้ วาบุคคลใดสามารถจะบรรลุธรรมได อินทรีย ๕ ของผูปฏิบัติจะตอง
เสมอกัน และ กลาแข็ง ขึ้น ไปเปนลําดับๆถึงจะทําใหผูปฏิบัติ สามารถกาว
ขามวิปสสนาญาณ จากญาณที่ ๑...ไปญาณที่ ๒...ญาณที่ ๓...๔...๕...จนครบ
ญาณ ๑๖ หมายความว า อิน ทรี ย ๕ จะมีจุ ด ที่ เสี ย สมดุ ล และจะมีจุ ด ที่
๒๘๕
บทที่ ๔ วิธีพิจารณาอุปกิเลสในญาณ ๑๖
สมดุลกัน สลับกันไปไป ในการปฏิบัติ ทําใหผูปฏิบัติตองมีสติในการกําหนด
รูปนาม ตามความเปนจริง และวางทาทีใหถูกตองตามเหตุปจจัย ที่เกิดจาก
การเปลี่ยนแปลงไป ของอินทรีย ๕ประเด็นที่ ๓.การเจริญโพชฌงค ๗ ก็ถือ
วาเปนทั้งการเจริญอินทรียและเปนทั้งการปรับอินทรียไปในตัว โพชฌงค ๗
เปนหัวขอธรรมที่ใชอธิบายวา เมื่อผูปฏิบัติเจริญสติปฏฐาน ๔ และปฏิบัติ
ตามวิธี การปรั บอินทรีย ๕ แลวจะทําให อินทรีย ๕ สมดุลได อยางไร และ
ประเด็นที่ ๔. ผลของการเจริญสติปฏฐาน ๔ ไดบริบูรณ จะทําใหผูปฏิบัติ มี
สติสัมปชัญญะกําหนดอารมณไดเปนอัตโนมัติ ไมตองใชความเพียรพยายาม
เกิดมีปติ เกิดสมาธิ กายและใจ สงบ เบา ออน ควรแกงาน และเที่ยงตรง ทํา
ใหเกิดความเปนกลางตออารมณที่มากระทบ ไมหวั่นไหวเปนลําดับไป
๒๘๖
บทที่ ๕
สมาทานกรรมฐาน
กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏฐาน ๔
๑. วิธีสมาทานกรรมฐาน
ในวันที่จะเขาปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานนั้น ผูมีความประสงคจะ
สมาทานกรรมฐานพึงปฏิบัติดังตอไปนี้ คือ
๑.๑ จัดเตรียมดอกไมธูปเทียนไปทําวัตรพระเถระผูเปนประธานใน
สถานที่นั้นๆ คําขอขมาโทษแบบอุกาสะ วา
อุกาสะ วันทามิ ภันเต, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต,
มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อนุโมทิตัพพัง, สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง
ทาตัพพัง, สาธุ สาธุ อะนุโมทามิ.
ขาพเจาขอกราบไหว ขอทานจงอดโทษแกขาพเจา บุญที่ขาพเจาทํา
แลว ขอทานพึงอนุโมทนาเถิด บุญที่ทานทํา ทานก็พึงใหแกขาพเจาดวย สาธุ
สาธุ ขาพเจาขออนุโมทนา
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต, อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ
กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต, อุกาสะ ขะมามิ ภันเต (กราบ)
ขอทานจงอดโทษทั้งปวงใหแกขาพเจาดวยเถิด ขอทานจงอดโทษทั้ง
ปวงที่ขาพเจาทําดวยทวาร (กาย วาจา ใจ) ทั้งสามแกขาพเจาดวยเถิด
ขาพเจาก็อดโทษใหแกทานดวย
๒.๒ ถาเปนพระภิกษุใหแสดงอาบัติกอน ถาเปนสามเณร หรือ
อุบาสกอุบาสิกาใหสมาทานศีลเสียกอน
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
วิธีแสดงอาบัติ
หันหนาเขากัน พระภิกษุพรรษาออน กราบ ๑ หน
(พรรษาออนวา) สัพพา ตา อาปตติโย อาโรเจมิ (วา ๓ หน)
สัพพา คะรุละหุกา อาปตติโย อาโรเจมิ (วา ๓ หน)
อะหัง ภันเต สัมพะหุลา นานาวัตถุกาโย อาปตติโย
อาปชชิง ตา ตุมหะ มูเล ปะฏิเทเสมิ
(พรรษาแกรับวา) ปสสะสิ อาวุโส ตา อาปตติโย
(พรรษาออนวา) อุกาสะ อามะ ภันเต ปสสามิ
(พรรษาแกรับวา) อายะติง อาวุโส สังวะเรยยาสิ
(พรรษาออนวา) …….. สาธุ สุฏุ ภันเต สังวะริสสามิ
ทุติยัมป สาธุ สุฏุ ภันเต สังวะริสสามิ
ตะติยัมป สาธุ สุฎุ ภันเต สังวะริสสามิ
นะ ปุเนวัง กะริสสามิ
นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ
นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ (จบพรรษาออน)
(พรรษาแกวา) สัพพา ตา อาปตติโย อาโรเจมิ (วา ๓ หน)
สัพพา คะรุละหุกา อาปตติโย อาโรเจมิ (วา ๓ หน)
อะหัง อาวุโส สัมพะหุลา นานาวัตถุกาโย อาปตติโย
อาปชชิง ตา ตุยหะ มูเล ปะฏิเทเสมิ
(พรรษาแกออนรับวา) อุกาสะ ปสสะถะ ภันเต ตา อาปตติโย
(พรรษาแกวา) อามะ อาวุโส ปสสามิ
(พรรษาออนรับวา) อายะติง ภันเต สังวะเรยยาถะ
(พรรษาแกวา) สาธุ สุฎุ อาวุโส สังวะริสสามิ
ทุติยัมป สาธุ สุฏุ อาวุโส สังวะริสสามิ
ตะติยัมป สาธุ สุฏุ อาวุโส สังวะริสสามิ
นะ ปุเนวัง กะริสสามิ. ๓ หน (จบพรรษาแก)
(พรรษาออน) เริ่มตนวาอีก ๑ รอบ เสร็จแลว กราบ ๑ หน
๒๘๘
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
๑.๓ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย คฤหัสถพึงกลาวคําขอบวช
รักษาศีล ๘ ดังนี้
เอสาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมป, ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง
คัจฉามิ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ, ปพพัชชัง มัง ภันเต, สังโฆ ธาเรตุ,
อัชชะตัคเค ปาปุเณตัง สะระณัง คะตัง.
ขาแตทานผูเจริญ ขาพเจาขอถึงพระผูมีพระภาคเจา แมเสด็จดับ
ขันธปรินิพพานนานแลว กับทั้งพระธรรมและพระสงฆวาเปนที่พึ่งที่ระลึก
ขอพระสงฆจงจําขาพเจาไววา เปนผูบวชในพระธรรมวินัย ผูถึงพระรัตนตรัย
เปนสรณะตลอดชีวิต ตั้งแตบัดนี้เปนตนไป
คําอาราธนาศีล ๘
มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ, อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ. ทุติยัมป
...ตติยัมป...(ถาคนเดียววา อะหัง ภันเต ....สีลานิ ยาจามิ) (วา ๓ ครั้ง)
คํานอบนอมพระรัตนตรัย
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (วา ๓ ครั้ง)
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
(พระทานวา) ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง (รับวา) อามะ ภันเต
คําสมาทานศีล
๑. ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๒๘๙
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
ขาพเจาสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เวนจากฆาสัตวดวยตนเอง และ
ไมใชใหผูอื่นฆา
๒. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ขาพเจาสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เวนจากลัก ฉอ ของผูอื่นดวย
ตนเอง และไมใชใหผูอื่นลัก ฉอ
๓. อะพรหมจริยา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ขาพเจาขอสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เวนจากการเสพเมถุนธรรม
กรรมอันเปนขาศึกแกพรหมจรรย
๔. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ขาพเจาสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เวนจากพูดเท็จ คําไมเปนจริง
และคําลอลวง อําพรางผูอื่น
๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง
สะมาทิยามิ
ขาพเจาขอสมาทานซึ่งสิกขาบทคือ เวนจากการดื่มสุราและเมรัย
เครื่องดองของเมาทําใจใหคลั่งไคลตางๆ
๖. วิกาละโภชนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ขาพเจาขอสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เวนจากบริโภคอาหารใน
เวลาวิกาล
๗. นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนะ มาลาคันธะวิเลปะนะ ธา
ระณะมัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ขาพเจาสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เวนจากการดู ฟง ฟอนรํา ขับ
รองและประโคมเครื่องดนตรีตางๆ ดูการเลนที่เปนขาศึกแกกุศล และทัดทรง
ตบแตงรางกายดวยเครื่องประดับและดอกไมของหอมเครื่องทาเครื่องยอม
ผัดผิวใหงามตางๆ
๘. อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง
สะมาทิยามิ. ขาพเจาสมาทานซึ่งสิกขาบทคือ เวนจากนั่งนอนเหนือเตียงตั่ง
มีเทาสูงเกิน ประมาณ และที่นั่ง ที่น อนอันสูงใหญภายในใสนุน และสําลี
อาสนะอันวิจิตรไปดวยลวดลายงามดวยเงินทองตางๆ
๒๙๐
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
อิมานิ อัฏฐะสิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ (วา ๓ ครั้ง)
พระวิปสสนาจารยกลาวสรุปศีลวา
สีเลน สุคตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา
สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย.
สีเลน สุคตึ ยนฺติ ผูรั กษาศีล ยอมไปดี คือ ปราศจากโทษภัย มีคน
สรรเสริญตอนรับ และเปนที่อบอุนใจของผูพบเห็น
สีเลน โภคสมฺปทา ผูรักษาศีลจะไดโภคสมบัติ คนมีศีลเทานั้นจึงจะ
สามารถรักษาทรัพยไวได
สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ ผูมีศีลยอมเขาถึงความอยูเย็นเปนสุข เขาถึง
ความดับคือนิพพาน
ตสฺมา สีลํ วิโสธเย เพราะฉะนั้น ทานพึงชําระศีลใหหมดจด
(สิกฺขํ ปจฺจกฺขามิ คิหีติ มํ ธาเรถ. ขาพเจาขอบอกลาสิกขา ทานทั้งหลายจํา
ขาพเจาไววา เปนคฤหัสถ)
๑.๔ ปฏิญาณตนมอบกายถวายชีวิตตอพระพุทธเจา ขอปฏิบัติสติ
ปฏฐานเพื่อความพนทุกขอยางเต็มที่ เต็มเวลา ดวยการเอาชีวิตเขาแลก
ขอขมาพระรัตนตรัย นอมจิตขอขมาวา “หากแมนขาพเจา เคยสบ
ประมาทพลาดพลั้งลวงเกินตอพระพุทธเจา พระธรรมเจา พระสังฆเจา ดวย
กายกรรมก็ดี ดวยวจีกรรมก็ดี ดวยมโนกรรมก็ดี รูตัวก็ดี ไมรูตัวก็ดี ขอโทษ
ลวงเกินนั้นจงหมดสิ้นไปอยาไดเปนบาปกรรมขวางกั้นการปฏิบัติ และขอให
ขาพเจาสามารถปฏิบัติธรรมตามทางสติปฏฐาน ๔ ไดราบรื่น และบรรลุถึง
มรรคผลนิพพานโดยเร็ว ดวยเทอญ”
- ขอขมาครู อุปชฌาย อาจารย
- ขอขมาบิดามารดา (ภิกษุไมตองขอขมา) ตั้งอธิษฐานจิตวา
“ขาพเจา ขอขมาซึ่งโทษลวงเกินที่มีตอครูบาอาจารย บิดามารดา ที่
ได ก ระทํ า มาในอดี ต ชาติ นั บ ตั้ ง แต สั ง สารวั ฏ ที่ ห าเบื้ อ งต น มิ ไ ด ม าจนถึ ง
ปจจุบันชาติในปจจุบันขณะนี้ หากแมนขาพเจาไดเคยลวงเกินดวยกายก็ดี
๒๙๑
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
ดวยวาจาก็ดี ดวยใจก็ดี ขอทานเหลานั้นจงยกโทษลวงเกิน และอโหสิกรรม
ใหแกขาพเจา ขอโทษลวงเกินเหลานั้นจงหมดสิ้นไปดวยเถิด”
ขอขมาผู มีคุณศีล คุณธรรม หรือบุคคลอื่นๆ ที่รูตั วว าอาจจะเคย
ลวงเกินไว
หมายเหตุ หากเป น โทษล ว งเกิ น ที่ได กระทําต อครู อาจารย บิ ด า
มารดาในชาตินี้ หากบุคคลผูนั้นยังมีชีวิตอยูใหไปขอขมาตอหนาทานดว ย
ตนเอง หากไมมีชีวิตอยูแลวก็ใหขอขมา ณ ที่อยูของตนโดยนอมจิตสงไป
๑.๕ ถวายสักการะและขอขมาโทษตอพระอาจารยผูใหกรรมฐาน
การขอขมาโทษหรือเรียกอีกอยางหนึ่งวา ขมาปนกิจ คือการนํา
ดอกไม ธูป เทียน ตั้งจิตอธิฐานกลาวคําขอขมาโทษ พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ ที่ไดเคยประมาทลวงเกินไวในอดีต อนาคต หรือปจจุบัน เพื่อความ
บริสุทธิ์ทางกาย วาจา ใจ ของผูเจริญกรรมฐาน จะไดไมเปนอุปสรรคปดกั้น
กุศลธรรมในการเจริญกรรมฐาน ไมเปนกรรมเปนเวรแกผูเจริญกรรมฐาน
หรือปดกั้นไมใหเห็นพระนิพพาน
การขอขมาถือวามีความสําคัญมากอยางหนึ่งสําหรับนักปฏิบัติ จะ
หลีกเลี่ยงหรือคิดวาไมสําคัญไมไดเด็ดขาด เพราะจะทําใหพระวิปสสนาญาณ
ไมกาวหนาแลว อาจจะทําให ถอยลงอีกด วย ยิ่งกวานั้ นอาจจะลมเลิกการ
ปฏิบัติลง โดยคิดวาตนเองนั้นไมมีบุญไมมีวาสนาในการปฏิบัติ จึงหลีกหนีไป
เลยก็ได สาเหตุมาจากเราอาจเคยลวงเกินทานทั้งหลายเหลานั้นมาหลายภพ
หลายชาติแลว จึงจําเปนอยางยิ่งที่จะตองทํา เมื่อทําแลวจะรูสึกโลงใจ เบา
กาย เบาใจ การปฏิบัติธรรมมีสภาวะกาวหนาขึ้นเปนลําดับๆ จิตใจสงบเย็น
รูสึกมีความมั่นใจในความบริสุทธิ์แหงศีลของตนมากขึ้น ดวยการจัดเตรียม
พานดอกไม ธูปเทียนแพ โดยกลาววา
“อาจริเย ปมาเทน ทวฺารตฺตเยน กตํ สพฺพํ อปราธํ ขมตุ โน ภนฺเต”
ขาแตพระอาจารยผูเจริญ หากแมวาขาพเจาทั้งหลายไดพลาดพลั้ง
ลวงเกินทานทั้งหลาย ดวยกายก็ดี ดวยวาจาก็ดี ดวยใจก็ดี ทั้งเจตนาและไม
เจตนา ทั้งตอหนา และลับหลัง ขอพระอาจารย จงอโหสิกรรมนั้น แก
๒๙๒
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
ขาพเจาทั้งหลาย ขอใหขา พเจาทั้งหลายจงประสบแตความสุข ความเจริญใน
ชีวิต มีความเจริญงอกงามในพระธรรม ตามคําสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธ
เจา ตลอดกาลนานเทอญฯ (หลายคนเปลี่ยน เม เปน โน)
พระเถระรับ วา “อหํ ขมามิ ตยาป เม ขมิต พฺพํ” (ถาหลายคน
เปลี่ ย น ตยาป เป น ตุ ม เหหิ ป ) ผู ข อรั บ ว า “ขมามิ ภนฺ เ ต”(ถ า หลายคน
เปลี่ยน มิ เปน ม)
๑.๕ เจริ ญ จตุ ร ารั ก ขกรรมฐาน คื อ เจริ ญ พระพุ ท ธคุ ณ ๒ นาที
เจริญเมตตาภาวนา ๕ นาที เจริญอสุภะ (กายคตาสติ) ๒ นาที เจริญมรณา
นุสสติ ๒ นาที
แผเมตตาสงจิตออกไปวา “ขอเทพยดาที่ปกปกรักษาขาพเจา บิดา
มารดา ครูบาอาจารย ผูมีพระคุณทุกทาน ตลอดจนสรรพสัตวทั้งหลายจงพน
จากภัยอันตรายทั้งปวง ปราศจากความทุกขใจ ปราศจากความทุกขกาย ขอ
จงอยูเปนสุขๆ เถิด”
หมายเหตุ ใหนอมจิตแผเมตตาออกไปยังสัตวทั้งหลายทั้งหมด ทุก
ชั้ น ทุ ก ภพ ทุ ก ภู มิ ทั้ ง ที่ เ ป น ศั ต รู ที่ เ ป น มิ ต ร และที่ เ ป น กลางๆ อย า งไม
แบงแยก อยางไมมีจํากัด ไมมีประมาณ ดวยเมตตาจิต คือจิตปรารถนาให
เปนสุขอยางแทจริง
คําอธิษฐานตั้งจิตปรารถนา : “ดวยบุญกุศลที่ขาพเจาไดถวายทาน
รักษาศีล เจริญสมถะ และปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน ที่ไดกระทําแลวจนถึง
วันนี้ ขอจงเปนปจจัยอุดหนุนใหขาพเจาบรรลุมรรค ผล นิพพานดวยเทอญ”
๑.๖ วันแรก หลังจากการนั่งแตละบัลลังก หากตองการอุทิศสวน
กุศล/แผเมตตาก็ทําได อุทิศสวนกุศลวา : “ขาพเจา ขออุทิศสวนกุศลที่
ขาพเจาไดกระทํามาแลวทั้งหมดในวันนี้ ทั้งทานกุศล ศีลกุศล และภาวนา
กุศล ใหแกบิดามารดา ครูบาอาจารย เปนตน ตลอดจนสรรพสัตวทั้งหลาย
ขอจงมีสวนในกุศลนี้เสมอกัน เมื่อไดรับแลวขอจงมีความสุขกาย สุขใจ อยู
เปนสุขๆ เถิด สาธุ สาธุ สาธุ”
๒๙๓
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
หมายเหตุ ให อุ ทิศ ส ว นกุ ศ ลไปยั งสรรพสั ต ว ทั้ง หลายอย างไม มี
จํากัด ไมมีประมาณ ดวยเมตตาจิตปรารถนาใหสัตวทั้งหลาย เปนสุข พน
ทุกขอยางจริงใจพระพุทธเจาตรัสวา “บุคคลผูเจริญสติปฏฐาน ๔ ตลอด ๗
วัน พึงหวังไดผลอยางใดอยางหนึ่งใน ๒ อยาง คือ อรหัตตผล หรือจักเปน
อนาคามี”๑ และยิ่งไปกวานั้น ในคัมภีรพระไตรปฎกยังปรากฏอีกวา แคนั่ง
แอบฟงธรรม คนขอทานเปนโรคเรื้อน ก็สามารถบรรลุโสดาบันได๒
ภายใน ๓ วันแรก พึงปฏิบัติดังนี้
๑) กอนนั่งเจริญภาวนา ตั้งนะโม ๓ จบ ขอขมาพระรัตนตรัย และ
ขอขมาครู อุปชฌาย อาจารย บิดามารดา ตั้งอธิษฐานจิตวา
“ขาพเจา ขอขมาซึ่งโทษลวงเกินที่มีตอครูบาอาจารย บิดามารดา
ที่ได กระทํามาในอดี ต ชาติ นั บ ตั้ งแต สั งสารวั ฏ ที่ ห าเบื้ องต น มิได ม าจนถึ ง
ปจจุบันชาติในปจจุบันขณะนี้ หากแมนขาพเจาไดเคยลวงเกินดวยกายก็ดี
ดวยวาจาก็ดี ดวยใจก็ดี ขอทานเหลานั้นจงยกโทษลวงเกินอโหสิกรรมใหแก
ขาพเจา ขอโทษลวงเกินจงหมดสิ้นไปดวยเถิด”
๒) ในวันแรก กอนนั่งภาวนาทุกบัลลังก ตองเจริญจตุรารักข-
กรรมฐานกอน คือ เจริญพุทธคุณ ๕ นาที เจริญเมตตา ๕ นาที เจริญ อสุภะ
๕ นาที เจริญมรณานุสสติ ๕ นาที
๓) ในชวง ๓ วันแรก หลังจากการนั่งแตละบัลลังก หากตองการ
อุทิศสวนกุศล/แผเมตตาก็ทําได อุทิศสวนกุศล : “ขาพเจา ขออุทิศสวนกุศล
ที่ขาพเจาไดกระทํามาแลวทั้งหมดในวันนี้ ทั้งทานกุศล ศีลกุศล และภาวนา
กุศล ใหแกบิดามารดา ครูบาอาจารย เจากรรมนายเวร ตลอดจนสรรพสัตว
ทั้งหลาย ขอจงมีสวนในกุศลนี้เสมอกัน เมื่อไดรับแลวขอจงมีความสุขกาย
สุขใจ อยูเปนสุขๆ เถิด สาธุ สาธุ สาธุ”
๑
ดูใน ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๔/๓๔๐.
๒
ดูใน ขุ.อุ. (ไทย) ๒๕/๔๓/๒๕๕.
๒๙๔
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
๑.๗ บทสมาทานพระกรรมฐาน
๑. อิมาหํ ภควา อตฺตภาวํ ตุมฺหากํ ปริจฺจชามิ.
ขาแตองคสมเด็จพระผูมีพระภาคเจา ขาพเจาขอมอบกายถวาย
ชีวิตนี้แดพระพุทธเจา แดพระธรรมเจา แดพระสงฆเจา เพื่อเจริญพระ
กรรมฐาน ณ โอกาสตอไป
๒. อิมาหํ อาจริย อตฺตภาวํ ตุมฺหากํ ปริจฺจชามิ.
ขาแตพระอาจารย ขาพเจาขอมอบกายถวายชีวิตนี้แกทาน
เพื่อเจริญกรรมฐาน ณ โอกาสตอไป
๓. นิพฺพานสฺส เม ภนฺเต สจฺฉิกรณตฺถาย กมฺมฏานํ เทหิ.
ขาแตทานผูเจริญ ขอทานจงใหพระกรรมฐานแกขาพเจา เพื่อ
ประโยชนแกการทําใหแจงซึ่งมรรค ผล พระนิพพาน ณ โอกาสตอไปนี้
๔. แผเมตตาแกตนเอง อหํ สุขิโต โหมิ, นิทฺทุกฺโข โหมิ, อเวโร
โหมิ, อพฺยาปชฺโฌ โหมิ, อนีโฆ โหมิ, สุขี อตฺตานํ ปริหรามิ.
ขอใหขาพเจามีความสุข ปราศจากทุกข ไมมีเวร ไมมีภัย ไมมี
ความเบียดเบียน ไมมีความเดือดรอน ขอใหมีความสุข รักษาตนอยูเถิด
๕. แผเมตตาแกสรรพสัตว สพฺเพ สตฺตา อเวรา โหนฺต,ุ
อพฺยาปชฺฌา โหนฺตุ, อนีฆา โหนฺตุ, สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ.
ขอสัตวทั้งหลายทั้งปวง จงเปนผูไมมีเวร ไมมีความเบียดเบียน ไมมี
ความเดือดรอน มีความสุขรักษาตนอยูเถิด
๒) สพฺเพ สตฺตา สพฺพทุกฺขา ปมฺุจนฺตุ.
ขอสัตวทั้งปวง จงพนจากทุกขทั้งปวงเถิด
๓) สพฺเพ สตฺตา ลทฺธสมฺปตฺติโต มา วิคจฺฉนฺตุ.
ขอสัตวทั้งปวงจงอยาไดพลัดพรากจากสมบัติอันตนไดแลวเลย
๔) สพฺเพ สตฺตา กมฺมสฺสกา กมฺมทายาทา กมฺมโยนี กมฺมพนฺธู
กมฺมปฏิสรณา ยํ กมฺมํ กริสฺสนฺติ กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาทา
ภวิสฺสนฺติ. สัตวทั้งหลายทั้งปวงเปนผูมีกรรมเปนของของตน เปนผูมีกรรม
๒๙๕
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
เปนเครื่องใหผล เปนผูมีกรรมเปนเครื่องใหเกิด เปนผูมีกรรมเปนเผาพันธุ
เปนผูมีกรรมเปนที่พึ่งอาศัย เราจักทํากรรมใดไว กรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็
ตาม เราจะเปนทายาทรับผลของกรรมนั้นสืบไปฯ
๖. เจริญมรณานุสสติ
อธุวํ เม ชีวิตํ ชีวิตของเราเปนของไมยั่งยืน
ธุวํ มรณํ ความตายเปนของยั่งยืน
อวสฺสํ มยา มริตพฺพํ อันเราจะพึงตายเปนแท
มรณปริโยสานํ เม ชีวิตํ ชีวิตของเรามีความตายเปนที่สุดรอบ
ชีวิตํ เม อนิยตํ ชีวิตของเราเปนของไมเที่ยง
มรณํ เม นิยตํ ความตายของเราเปนของเที่ยง
เปนโชคอันดีของเราแลวหนอ ที่ไดมีโอกาสมาสมาทาน ปฏิบั ติ
พระ-กรรมฐาน ณ บัดนี้ ไมเสียทีที่เราไดเกิดเปนมนุษย พบพระพุทธศาสนา
๗. ตั้งสัจจาธิษฐาน
เยเนว ยนฺติ นิพฺพานํ พุทฺธา เตสฺจ สาวกา
เอกายเนน มคฺเคน สติปฏานสฺญินา.
พระพุทธเจาและเหลาพระอริยสาวก ยอมดําเนินไปสูพระนิพพาน
ดวยหนทางสายนี้ อันเปนทางสายเอก ซึ่งนักปราชญราชบัณฑิตทั้งหลายรู
ทั่วถึงกันแลววา ไดแก สติปฏฐาน ๔ ขาพเจาขอตั้งสัจจาธิษฐาน ปฏิญาณตน
ตอพระรัตนตรัย ตอครูอาจารย วาจะตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติจริงๆ เทาที่
ตนสามารถ เทาที่ตนมีโอกาสจะประพฤติปฏิบัติได เพื่อบูชาพระรัตนตรัย
๘) ตั้งความปรารถนา
อิมาย ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติยา รตนตฺตยํ ปูเชมิ.
ขาพเจาขอบูชา ซึ่งพระพุทธเจา ซึ่งพระธรรม ซึ่งพระสงฆ ดวยการ
ปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมนี้
อทฺธา อิมาย ปฏิปตฺติยา ชาติชราพฺยาธิมรณาทีหิ ปฏิมุจฺจิสฺสามิ.
ขาพเจาจักพนจากชาติทุกข ชราทุกข พยาธิทุกข และมรณ
ทุกข ดวยการปฏิบัติธรรมนี้แนนอน
๒๙๖
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
อุกาสะ อุกาสะ ณ โอกาสบั ดนี้ ขาพเจ า ขอสมาทานพระ
กรรมฐานขอขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ และวิปสสนาญาณ ขอ
จงบั ง เกิ ด ขึ้ น ในขั น ธสั น ดานของข าพเจ า ข าพเจ า จะตั้ ง สติ กํ าหนดรู ไ ว ที่
อาการพอง อาการยุบ สามหน และเจ็ดหน รอยหน และพันหน ดวยความ
ไมประมาท ตั้งแตบัดนี้เปนตนไป.
๑.๘ ตารางปฏิบัติในแตละวัน ดังนี้
เวลา ๐๓.๓๐น. ตื่นทําความสะอาดรางกาย ไมตองอาบน้ํา
๐๔.๐๐ น. (ปลงอาบัต)ิ ขอขมาโทษ นั่งเจริญภาวนา เดินจงกรม
๐๖.๓๐ น. รับประทานขาวยาคู
๐๗.๓๐ น. สวดมนต ๑๕-๒๐ นาที เดินจงกรม สลับนั่งภาวนา
๑๑.๐๐ น. รับประทานอาหาร
๑๒.๐๐ น. เดินคลายอิริยาบถ เอนกายนอนกําหนด อาบน้ํา
๑๓.๐๐ น. นั่งเจริญภาวนา สลับเดินจงกรม
๑๗.๐๐ น. พัก ดื่มน้ําปานะ
๑๘.๐๐ น. สวดมนต ฟงธรรม
๒๐.๐๐ น. เดินจงกรม นั่งภาวนา อุทิศสวนบุญ
๒๒.๐๐ น. กําหนดพักผอน นอนหลับ
วิถีแหงการเจริญสุทธวิปสสนา
ผูเจริญวิปสสนา จะไมกลัวกิเลส ผูกลัวกิเลสไมชื่อวาปฏิบัติวิปสสนา
สวนผูนั่งสมาธิ..มักกลัวกิเลส กลัวฟุง จึงตองเขาเงียบหลบอยูในฌานบอยๆ
วิปสสนากลัวอะไร? : ทหารที่กลัวขาศึก ไมชื่อวาทหาร!
ทหารกลัวอะไร? : “กลัวไมเห็นขาศึก” ..ผูปฏิบัติวิปสสนาก็เชนกัน
“กลัวไมเห็นกิเลส กลัวเห็นกิเลสไมชัด” ฉะนั้น ยิ่งปฏิบัติวิปสสนายิ่งรูสึกวา
ตนเองมีกิเลสมากขึ้น ก็เหมือนกับทหารหาญที่เห็นขาศึกอยูตรงหนา อยาง
ชัดเจน ถลมไดทันที! แตถาเขาฌานเสีย ก็เหมือนกับทหารที่หลบอยูในหลุม
หลายทานบอกวา “ยังสูไมได ตองหลบอยูในหลุมหลบภัยกอน” ก็
เหมือนกับนักกีฬาที่กลัว แพ เขาไมมีวันจะเอาชนะใครได เลย นักกีฬาที่
๒๙๗
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
แทจริง ไมกลัวความพายแพ แตหวังใหไดชนะสักครั้งหนึ่งในอนาคตอันใกล
แมตนเองกําลังพายแพอยูเรื่อยๆ ก็ตาม โยคีผูปฏิบัติวิปสสนาไมกลัวทุกข
แตหวังที่จะเผชิญหนากับทุกข แลวเอาชนะมันใหไดสักวัน
ถาเอาแตเขาสมาธิไมยอมกําหนดรูทุกข ก็เหมือนกับกองทัพที่มีแต
ปนใหญแตไมมีทหารราบ จะรูไดอยางไรวา ฐานปนใหญของขาศึกมีที่ตั้ง
ตรงไหน? หากอางวา “ใชดาวเทียมดูเอาก็ได” ก็เทากับวา คุณมีบุญบารมี
เพียบพรอมเกิดยุคเดียวกับพระพุทธเจา มีสาวกบารมีญาณ ...ซึ่งมันไมใช!
๒. วิธีกราบสติปฏฐาน
ทุกครั้งกอนที่จะปฏิบัติภาวนาก็ตองกราบเสียกอน เปนการนอมจิต
อยูกับอารมณปจจุบัน กราบอยางมีสติระลึกรูตามดูอาการซึ่งเปนการสํารวม
อิน ทรี ย สติ ร ะลึ กรู ถึงอาการของรู ป และนาม ในการเจริ ญสติ ซึ่ งเป น การ
กําหนดอิริยาบถใหญอิริยาบถยอยไดดี เปนการเพิ่มกําลังความเพียร เพิ่ม
กําลังสติ เพิ่มกําลังสมาธิ เมื่อมีการกําหนดอยางตอเนื่องเปนเวลานาน รูปนาม
(กายใจ) ได ปรากฏชั ดเจน และการพิจารณาไตรลั ก ษณ ก็จ ะปรากฏขึ้ น
ตามลําดับ จากนั้นก็สามารถเห็นแจงในอริยสัจ ๔ เกิดขึ้น ดังที่พระพุทธองค
ตรัสวา บุคคลใดเจริญสติปฏฐาน ๔ ยอมเขาถึงอริยสัจ ๔
วิ ธี การกราบสติ ป ฏ ฐาน คือ ผู ป ฏิ บั ติ จ ะต อ ง
นั่งคุกเขาทั้งสอง เตรีย มกราบ สน เทาราบกับ พื้น ทั้งชาย
และหญิง (เพราะใหเวลาในการกราบนาน) เอามือขวา-
ซายวางคว่ําไวที่เขาขวา-ซาย แลวคอยๆ พลิกฝามือขึ้นทีละ
ขาง โดยพลิกขางขวากอน พร อมทั้งกํา หนด๓ ดว ยสติว า
๓
กําหนดรูอารมณที่ปรากฏในขณะปจจุบันอยางใสใจ กอเกิดเปนไตรสิกขา (ศีล
สมาธิ ปญญา) อยางครบถวน คือ ความสํารวมของผูเพียรพยายามใสใจกําหนด จัดเปน
อธิสีลสิกขา ความตั้งใจมั่นของผูเพียรพยายามใสใจกําหนด จัดเปนอธิจิตตสิกขา
ความรูทั่วถึงของผูเพียรพยายามใสใจกํา หนด จัดเปนอธิปญญาสิกขา ดูใน วิสุทธิ .
(บาลี) ๑/๒๒๐/๒๙๘.
๒๙๘
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
“พลิกหนอๆๆ” โดยจะตองเอาจิตเขาไปรูดวยวากําลังพลิกฝามือ เสร็จแลว
ใหยกมือขางขวาขึ้นชาๆ พรอมกําหนดวา “ขึ้นหนอๆ” เมื่อยกมาถึงอกก็ให
กําหนดวา “ถูกหนอ” ตอจากนั้นเริ่มพลิกมือขางซาย ทําเชนเดียวกับขาง
ขวา ยกมือทั้งสองขึ้นพนมไวระหวางอก แลวยกขึ้นจรดที่หนาผากระหวางคิ้ว
ทั้งสอง เมื่อเวลาจรดที่ระหวางคิ้วแลว ตอจากนั้น โนมตัวลง (หัวแมมือยังติด
หนาผาก) พรอมกับกําหนดวา “กมหนอๆ” กําหนดวา “ลงหนอๆ” เมื่อถูกที่
พื้นกําหนดวา “ถูกหนอ” กําหนดเคลื่อนมือขวาไปทางขวา เคลื่อนมือซายไป
ทางซ า ย “เคลื่ อ นหนอๆ” พลิ ก ฝ า มื อ คว่ํ า ลงที ล ะข า ง กํ า หนดว า “คว่ํ า
หนอๆ” มือห างกัน ๔ นิ้ว แล ว กมศีร ษะลง กําหนดว า “กมหนอๆ” เมื่อ
ศี ร ษะจรดพื้ น กํ า หนดว า “ถู ก หนอ” โดยมี นิ้ ว หั ว แม มื อ ทั้ ง สองข า งอยู
ระหวางคิ้ว ตอจากนั้นนิ่งสงบอยูในอาการนั้น แลวนอมจิตเจริญพุทธคุณ ใช
เวลาประมาณ ๑-๓ นาที แล ว กํ า หนดจิ ต “อยากเงยหนอ” เวลาเงยก็
กําหนดวา “เงยหนอๆ” ต อจากนั้น ก็กราบแบบเดิมอีก ครั้งที่ ๒ นอมจิ ต
เจริญธรรมคุณ ครั้งที่ ๓ นอมจิตเจริญสังฆคุณ
การกราบแบบสติปฏฐาน๔ มีผลดีตอสุขภาพอยางไร? ตอบวา ขณะ
ศีรษะจรดพื้นนั้น...มีคุณประโยชน ดังนี้
๑. ชวยเพิ่มความยืดยุนของขอตอตางๆ ในรางกาย รักษาอาการ
ปวดหลังและสวนลาง ไสเลื่อน ริดสีดวงทวาร
๒. รักษาตอโรคเกี่ยวของกับความผิดปกติของระบบเสนประสาท
กลามเนื้อและโครงกระดูก
๓. เมื่อกมกราบ เลือดจะสูบฉีดไปยังสมองเพื่อเลี้ยงเสนประสาท
และบริเวณใบหนา ไดดีกวาขณะที่ยืน
รั ก ษาอาการมึ น ศี ร ษะ ไมเกรน ผ อนคลายสมอง ควบคุ ม ระบบ
หายใจ กระชับ มดลู ก ปรั บ ตําแหนงลู กในทองใหถูกตํ าแหนง ไซนัส แผล
น้ําเหลืองตามมือและเทา
๔. ตามปกติ คนเรามักจะหายใจเอาอากาศออกมาเพียง ๒ ใน ๓
ของปอด อีกสวนยังคงคางอยูในปอด แตเมื่อกมกราบอากาศทีค่ างอยูจ ะถูก
๒๙๙
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
ดันออกมา ทําใหปอดแข็งแรง มีโอกาสนอยที่จะเปนโรคปอด
๕. อัตราการเตนของหัวใจต่ําที่สุด เมื่อนอนราบและการกมกราบ
๖. คลื่นแมเหล็กไฟฟา จากโทรศัพท คอมพิวเตอร ทีวี หรือแสงไฟ
จากหลอดไฟฟา ถายเทประจุไฟฟา เปนการเพิ่มประจุไฟฟา+ ใหกับรางกาย
โดยไมรูสึกตัว การกมกราบศีรษะจรดพื้น เปนการถายเทประจุลงดิน
หมายเหตุ ขณะกราบควรจะหลับตากราบจะดีมาก และใหทําชาๆ
กําหนดถี่ๆ ตั้งแต ๕-๑๐ หนอขึ้นไปจึงจะดี สติตามรูอาการเคลื่อนไหวของ
มือและลําตัว ไมตองสนใจสิ่งรอบขาง ไมตองสนใจวาจะเสียเวลาไปเทาไร
เพราะขณะที่เรากราบพระอยู ก็ถือวาเปนการปฏิบัติธรรมเหมือนกัน ไดสติ
สมาธิ ปญญา และกั้นกิเลสไดเหมือนกัน
๓. วิธีฝกนั่งกําหนดรูพอง-ยุบ
เมื่อเดินครบเวลาที่กําหนดไว ก็กําหนดเดินไปยืนที่อาสนะสําหรับนั่ง
ใหมีสติกําหนดพิจารณารูรูปยืน แลวใหนั่งลง : โดยเวลานั่ง ใหขยับเทาขวา
ไปขางหนา คอยๆ ยอตัวลง เอาเขาซายลงถึงพื้นกอนตามดวยเขาขวา จะ
อยูในทาคุกเขา สําหรับภิกษุ สามเณรและอุบาสก ใหเอาสนเทาซายทับสน
เทาขวา แลวนั่งทับสนลงไป เอามือขวาจับขอเทาขวา ขึ้นมาวางทับเทาซาย
เอามือขวาวางทับมือซาย หัวแมมือชนกันหรือหัวแมมือขวาทับหัวแมมือซาย
ก็ได ตั้งกายใหตรง ดํารงสติใหมั่น ทอดสายตาลงต่ําประมาณ ๑ วา หนาของ
ผูปฏิบัติจะไมกม ไมเงยจนเกินไป จะพอดี และศีรษะ ลําคอไมควรใหเอียง
ซาย หรือเอียงขวา ควรตั้งใหตรง ถาเปนอุบาสิกาใหนั่งพับเพียบ สําหรับ
คนชรามาก และผูมีรางกายไมพรอมก็ใหนั่งเกาอี้ได
ขอสําคัญ : ตั้งแตเริ่มนั่ง ยอตัวลงจนกวาจะนั่งเสร็จนี้ ใหภาวนาวา
“ยอหนอ” “ลงหนอ” “นั่งหนอๆๆ” ไปเรื่อยๆ พรอมกับใหมีสติกําหนด
พิจารณา รูอาการนั่งนั้น ทุกขณะๆ ไปจนกวาจะนั่งเรียบรอย
เมื่อนั่งเรียบรอยแลว ใหหลับตาเอาสติมาจับอยูที่อาการเคลื่อนไหว
ภายในทอง ตรงที่รูสึกไดชัดที่สุด (เหนือสะดือประมาณ ๒ นิ้ว) เวลาหายใจ
๓๐๐
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
เขาทองพองใหภาวนาตามอาการของทองที่พองขึ้นวา “พองหนอ” ใจที่รูสึก
กับทองที่พองตองใหทันกัน ใหตรงกันพอดีอยาใหกอนหรือหลังกัน พรอมกับ
ใหมีสติกําหนดพิจารณารูอาการของทองพองวา ตนพอง กลางพอง สุดพอง
นั้น วามีอาการอยางไรพรอมกันไปในขณะเดียวกันดวย เวลาหายใจออกทอง
ยุบลง ใหภาวนาตามอาการของทองที่ยุบลงวา “ยุบหนอ” ใจที่รูสึกกับทองที่
ยุบนั้น ตองใหทันกัน ใหตรงกันพอดีอยาใหกอนหรือหลังกัน พรอมกับใหมี
สติกําหนดพิจารณารูอาการของทองยุบวา ตนยุบ กลางยุบ สุดยุบ นั้นมี
อาการอยางไรพรอมกันไปในขณะเดียวกันดวย
วิธีนั่ง
๑. นั่งขัดสมาธิ (ควรนั่งแบบเรียงขา) ตั้งกายตรง คอตรง แตไมเกร็ง
๒. เพงความรูส ึกไปที่อาการเคลื่อนไหวของทอง
๓. จิตใจจดจอและแนบชิดที่อาการขึ้นๆ ลงๆ ของทองพอง - ยุบ
๔. วางจิตกําหนดที่ตรงสะดือขณะที่กําหนดควรหลับตา
๕. ใชจิตเพียรดูอาการเคลื่อนไหวบริเวณทอง โดยปลอยใหทอง
เคลื่อนไหวไปเอง ตามธรรมชาติ ไมเกร็งทอง
๖. ขณะที่ทองพองขึ้นกําหนด บริกรรมในใจวา "พองหนอ"
๗. ขณะที่ทองแฟบลงกําหนด บริกรรมในใจ วา "ยุบหนอ"
๘. จิตที่รูอาการพอง-ยุบ กับคําบริกรรม และสติที่ระลึกรูควรให
พรอมกัน
สิ่งที่พึงเวนขณะนั่งกําหนด
๑. ไมนั่งตัวงอ เอนเอียง หรือกมศีรษะ (เวนแตมีรางกายเชนนั้น)
๒. ไมเปลงเสียงหรือบนพึมพําในขณะกําหนดอาการพอง - ยุบ
๓. ไมควรลืมตาเพื่อสอดสายหาอารมณภายนอก
๔. ไมควรพยายามเคลื่อนไหวรางกายบอยจนเกินไป
๕. ไมควรนั่งพิงเกาอี้ พนักพิง เสา (เวนแกสภาวะหรือที่จําเปน)
๖. ไมควรนําคําบริกรรมที่ไมตรงตามสภาวธรรมที่เปนจริงมาใช
๗. ไมควรบังคับลมหายใจเขา-ออก หวังใหเห็นอาการพอง-ยุบชัด
๓๐๑
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
ขอหามขณะนั่งกําหนด๔
๑. หามเคลื่อนไหวขณะที่นั่งสมาธิ (นั่งนิ่งๆ)
๒. หามลืมตา เพื่อสอดสายสายตา หาอารมณภายนอก
๓. หามนั่งตัวงอ ตัวเอียง พิงฝา-เสา นั่งทาวแขนหรือกมศีรษะ
๔. หามเปลงเสียงหรือบนพึมพําในขณะนั่งภาวนาพองหนอ-ยุบหนอ
๕. หามบังคับลมหายใจเขา–ออกแรงๆ หรือยาว, (ซึ่งผิดธรรมชาติ)
ผูปฏิบัติที่กําหนดรูอาการพอง - ยุบไดยาก ควรกระทํา ดังนี้
กอนนั่งภาวนา ควรเดินจงกรมกอนทุกครั้ง เพราะการเดินจงกรม
สงผลใหเกิดสมาธิเร็ว สมาธิอตั้งยูไดนานกวาการนั่งภาวนา ในขณะยอตัวลง
นั่งพึงกําหนดรูส ภาวะยอตัวโดยบริกรรมวา ลงหนอๆ พึงกําหนดรูสภาวะการ
เคลื่อนไหวของกายทุกขณะๆ อิริยาบถที่มีการเคลื่อนไหว กําหนดจิตรูรูปนั่ง
ภาวนาว า นั่ ง หนอๆ จิ ต แนบแน น อยู กั บ อาการปรากฏทางกาย กํ าหนด
รูสึกตัวทั่วพรอมสม่ําเสมอ พรอมกับกําหนดวา “นั่งหนอ นั่งหนอ”
สําหรับผูกําหนดพอง/ยุบไมได มีวิธีปฏิบัติดังนี้
๑. นั่งขัดสมาธิตามแบบที่ตนชอบ
๒. กําหนด นั่งหนอ พรอมทําความรูสึกตัววา ตนกําลังนั่งอยู คือ รู
อาการที่ตัวนั่งอยู
๓. ขณะกําหนดรูปนั่ง ไมใหตามดูรูปพรรณสัณฐาน เชน ศีรษะ คอ
หรือขา สวนใดสวนหนึ่ง ใหกําหนดรูอาการนั่งเทานั้น
๔. กําหนดวา ถูกหนอ พรอมสงความรูสึกถูกตองไปที่กนยอย
ดานขวา (หรือตรงที่กายสัมผัสชัดเจนสวนใดสวนหนึ่ง)
๕. ไมตองสนใจลมหายใจ หรืออาการพอง-ยุบ เพราะนั่งหนอ ถูก
หนอไมเกี่ยวกับลมหายใจ หรืออาการพอง-ยุบ
๖. นั่งหนอ ถูกหนอ จะใชตอเมื่อกําหนดอาการพอง-ยุบไมชัดเจน
๔
พระมหาทองมั่น สุทฺธจิตฺโต. คูมือการเจริญสติปฏฐาน ๔. (ฉบับปรับปรุง
ใหม)., ๒๕๔๙,หนา ๗๓.
๓๐๒
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
หรือพอง-ยุบไมมี
๗. ขณะที่กําหนด "นั่งหนอ ถูกหนอ" คําบริกรรมและความรูสึกใน
อาการนั่งและอาการถูก ตองไปพรอมกัน ไมใชทองแตปาก ตองรูอาการดวย
๘. ตองกําหนดใหไดจังหวะพอดี ไมเร็วเกินไป ไมชาเกินไป ใหเปน
ธรรมชาติ
๙. สําหรับผูที่เคยทํา อานาปานสติ (กําหนดลมหายใจมากอน) ถา
กําหนดพอง-ยุบไมได ใหกําหนดนั่งหนอ ถูกหนอไปกอน แลวคอยกลับมา
กําหนดพอง-ยุบทีหลัง
๑๐. ถาพอง-ยุบปกติ ใหกําหนดวา พองหนอ ยุบหนอ ถาพอง-ยุบ
เร็วขึ้นมาใหกําหนดเพียงวา พอง-ยุบ ไมตองใส “หนอ” ถาพอง-ยุบ
เร็วมาก ใหกําหนดวา รูหนอๆ หรือ รูๆๆ เพียงแครูไมตองเรงคําบริกรรมตาม
อาการพอง/ยุบที่เร็วนั้น
เมื่อโยคีนั่งปฏิบัติไดครบ ๓๐ นาที ทุกบัลลังก พระวิปสสนาจารย
ผูใหกรรมฐานควรใหบทพระกรรมฐานเพิ่มเติม ดังนี้
ใหนั่งเพิ่มขึ้นบัลลังกละ ๑๐ นาที คือ ตั้งแต ๓๐ นาทีเพิ่มเปน ๔๐
– ๕๐ – ๖๐ นาที ตามลําดับ
การนั่ง ใหมีสติกําหนดพิจารณารูความเคลื่อนไหวทุกขณะของทอง
ตั้งแตตนพอง กลางพอง สุดพอง, ตนยุบ กลางยุบ สุดยุบ ของอาการ
เคลื่อนไหวของธาตุลมในชองทองในปจจุบันวา มีอาการที่แทจริงอยางไร
ใหมีสติกําหนดพิจารณารูอาการพอง อาการนูน อาการยุบ อาการแฟบ ของ
ทองเทานั้น อยาแกลงตะเบ็งทอง อยาไปดูลมหายใจเขา-ลมออก อยาบังคับ
ลมหายใจใหผิดจากอาการหายใจปกติ (คือ เรายืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทํา
พูด คิด ฯลฯ เรามีอาการหายใจเปนปกติอยางไร เราก็หายใจตามปกติอยาง
นั้น แตตองใหมีสติกําหนดพิจารณารูอาการที่เปนปจจุบันนั้นๆ) ใหภาวนา
อยางนี้ตลอดไปจนครบเวลาที่กําหนดไว อยางต่ําประมาณ ๓๐ นาที อยาง
กลาง ๑ ชั่วโมง อยางสูง ๒ ชั่วโมง หรือมากกวานั้น แลวแตความเหมาะสม
แกสติปญญา บุญวาสนาบารมี แกการทรมานกิเลสของบุคคลผูเขาปฏิบัติ
๓๐๓
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
โยคี บ างคน อาการพอง-ยุ บ สั้ น แผ ว เบา ให เ พิ่ ม สติ จ ดจ อ งไปที่
อาการพอง-ยุบนั้น บริกรรมเพียงวา “พอง-ยุบ” ไมตองใส “หนอ” ตอทาย
ถามีแคอาการเคลื่อนไหวภายใน จําแนกเปนพอง-ยุบไมได ก็ใหกําหนดรูรูป
นั่งใหญแทน คือกําหนดรูอาการนั่ง แตไมตองนึกถึงรูปนั่งวา “นั่งหนอ” รวด
เดียว จากนั้นสงจิตจี้ไปที่กนยอยขางขวาถูกพื้น “ถูกหนอ” แลวกลับมาดู
อาการนั่งอีก “นั่งหนอ” จากนั้นสงจิตจี้ไปที่กนยอยขางซายถูกพื้น “ถูก
หนอ” ทําอยางนี้สลับกันไปเรื่อยๆ จนกวาอาการพอง-ยุบจะชัดขึ้นตามปกติ
๔. คําบริกรรมวา “หนอ”
การกําหนดวา “หนอ” เปนการเพิ่มกําลังใหแก
ขณิกสมาธิ คือ ถากําหนดเพียงพอง-ยุบ คําบริกรรมกับ
อาการไมพรอมกัน ขณะกําหนดวาพอง อาการพองยังไม
หมดแตคําบริกรรมหมดแลว ทําใหจิตฟุงออกไปขางนอก ถา
ใสคําวา“หนอ”ตอทาย ก็จะพอดีกับอาการ สมาธิที่ไดก็จะมีกําลัง พระธรรม
ธีรราชมหามุนี (โชดก าณสิทฺธิ) วัดมหาธาตุฯ ทาพระจันทร กรุงเทพฯ ได
บัญญัติใชกอนและสอนศิษยยานุศิษยสืบตอมา ในภาษาพมาใชคําวา “พอง
แด-เปงแด” ซึ่งแปลเปนภาษาไทยวา “พองอยู-ยุบอยู” โดยเหตุที่ภาษาพมา
มักประกอบกิริยาคุมพากยเหมือนภาษาบาลี จึงใช แด (อยู) ควบคูไปกับ
คําวา พอง-เปง ดังนั้น คําบริกรรมนั้นจึงมีสองคําวา พองแด-เปงแด (พอง
อยู-ยุบอยู) อยางไรก็ตามคนไทยทั้งประเทศคุนเคยกับคําวา พองหนอ-ยุบ
หนอ คําบริกรรมนั้นมีประโยชนเพื่อใหจิตจดจอมากขึ้น เปนการเพิ่มวิริยะ
ทางใจเพื่อไมใหตามรูอยางผิวเผิน เปรียบเหมือนกอนดินเหนียวที่ขวางใส
ผนังดวยกําลังแรง ยอมกระทบถูกผนังและติดแนน ถาถูกขวางดวยกําลังไม
เพียงพอ ก็อาจพุงไปไมถึงผนัง หรือแมกระทบผนังก็ไมติดแนน๕
พระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก าณสิทฺธิ) ทานอธิบายวา คําวา
“หนอ” มาจากคําบาลีวา “วต” แปลวา “หนอ” ก็ได แปลวา ธรรมที่ทํา
๕
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสะยาดอ), วิปสสนานัย เลม ๑, หนา ๑๗๔.
๓๐๔
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
สรรพสัตวใหขามพนวัฏฏสงสาร ก็ได วิเคราะหวา วฏฏสํสารํ ตาเรตีติ วโต
(ธมฺโม) แปลวา ธรรมใด ยอมยังสรรพสัตวใหขามวัฏฏสงสาร ฉะนั้น ธรรม
นั้นชื่อวา “หนอ” หมายถึง สติปญญา๖
อนึ่ง ทานเคยอธิบายวา คําวา “หนอ” ที่นํามาประกอบคําภาวนา
นั้น หมายถึง “สักแตวา” เชน เห็นหนอ หมายถึง สักแตวาเห็น เมื่อเห็นแลว
ก็ไมไดมีจิตใจผูกพันเกาะเกี่ยว สิ่งที่เห็นเปนเพียงรูป การรูในใจเปนนาม แต
การกําหนดรูปนามนั้นยังชาไป หากใชคําวา หนอ จะเกิดสติรูไดเทาทันเร็ว
กวา หรืออยางคําวา เจ็บหนอ ก็หมายถึงสักแตวาเจ็ บ ทั้งนี้ยอมโยงไปถึง
ความเขาใจที่วา ความเจ็บยอมมีกับแตละบุคคลเปนธรรมดา จะไดไมถือมั่น
ไมใสใจ ความเจ็บจิตมุงจะเขาสูสภาวธรรมที่เกิดขึ้น จึงเปนวิถีทางที่จะทําให
มีความเจริญกาวหนาในการปฏิบัติขั้นสูงตอไปได๗
คําวา “หนอ”มีประโยชนอยางไร
เรื่อง “การกําหนดหนอ” นี้ถายอนกลับไปแหลงเดิม คือ ประเทศ
พมา ซึ่งเปนสถานที่พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙) ไป
ปฏิบัติวปิ สสนากัมมัฏฐานที่ประเทศพมา จะพบวา ใชคําวา “แด” เชน พอง
แด เบงแด เปนกิริยาที่กําลังกระทําอยู
พระธรรมธีรราชมหามุนี จะพยายามอธิบายดวยหลักเหตุผล ก็ไม
สามารถคลายความแคลงใจเกี่ยวกับเรื่อง หนอ หนอ ได และพองหนอ ยุบ
หนอ ก็ไมใชเปนภาษาพมา แตเปนภาษาไทยที่ทุกคนเขาใจความหมายของ
คํานี้ดี ดังนั้น ทานไดกลาวถึงประโยชนของ “หนอ” ไววา
๑. คําวา “หนอ” มีประโยชนสําหรับเพิ่มขณิกสมาธิ (สมาธิชั่วขณะ)
ใหมีกําลังกลาเพื่อจะใหผูปฏิบัติเห็นรูปนาม เห็นพระไตรลักษณ (อนิจจัง ทุก
ขัง อนัตตา) เห็นปจจุบันธรรมไดดีดุจไฟนีออน ตามธรรมดา ไฟนีออนก็มี
๖
พระครูประสาทสังวรกิจ, ธรรมะภาคปฏิบัติ, (กรุงเทพ : โรงพิมพมหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลัย , ๒๕๔๓), หนา ๔๓.
๗
วริยา ชินวรรโณและคณะ. วิวัฒนาการการตีความคําสอนเรื่องสมาธิในพุทธ
ศาสนาฝายเถรวาทในประเทศไทย. มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๓๗. หนา ๒๕๒.
๓๐๕
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
แสงสวางดีอยูแลว แตถาเพิ่มหมอไฟเขาไปอีกยิ่งมีแสงสวางมากขึ้นกวาเดิม
อีกหลายเทา การที่จะเพิ่มขณิกสมาธิก็เชนเดียวกัน ตามปกติเวลากําหนดยก
ยาง เหยียบ ก็มีขณิก สมาธิอยูแลว ถาเพิ่มหนอเขาไปอีกจะเปนการถวงเวลา
ใหชาลงอีก สมาธิจึงมีกําลังแรงขึ้นกวาเดิมอีกหลายเทา เมื่อสมาธิมีกําลังแรง
ขึ้นก็เปนเหตุใหเกิดปญญาไดงาย เพราะปญญามีสมาธิเปนบรรทัดฐาน หรือ
การมีสมาธิเปนเหตุใหไดใกลชิดที่จะใหปญญาเกิดขึ้น
๒. คําวา “หนอ” มีประโยชนสําหรับคั่นรูป คั่นนามใหขาดตอน ให
ขาดจังหวะ เพื่อจะใหผูปฏิบัติไดเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใหชัดเจนยิ่งขึ้น
๓. ขณะที่ผูปฏิบัติกําหนด “ยกหนอ ยางหนอ เหยียบหนอ” อยู
กายสุ จ ริ ต ความไม ป ระพฤติ ชั่ ว ทางกาย คื อ ไมฆ า สั ต ว ไม ลั ก ทรั พ ย ไม
ประพฤติ ผิ ด ประเวณี วจี สุ จ ริ ต ความไม ป ระพฤติ ชั่ ว ทางวาจา คือ ไม พู ด
สอเสียด ไมพูดคําหยาบ ไมพูดเพอเจอ มโนสุจริต ความไมประพฤติชั่วทางใจ
คือ จิตไมมีความโลภ จิตไมมีความพยาบาท จิตไมมีความเห็นผิด มีความ
บริ สุ ทธิ์ ดี ทั้ งไตรทวาร อั น นี้ จั ด เป น ศี ล ใจไมเ ผลอจากขณะเดิ น ยก ย า ง
เหยียบ เปนสมาธิ เห็นรูปนามเปนสิ่งที่ตกอยูในไตรลักษณ เปนปญญา
๕. วิปสสนาจารยสอบอารมณ
๕.๑ วิปสสนาจารย
ปุคคลสัปปาย คือ บุคคลที่เกื้อกูลที่เหมาะสมในการแนะนําสั่งสอน
และคอยช ว ยเหลื อผู เ จริ ญวิ ป ส สนาภาวนาให ได ผ ลดี ช ว ยให ส มาธิ ตั้ งมั่ น
ปญญาเพิ่มพูนไมเสื่อมถอย เรียกวา วิปสสนาจารย๘
วิปสสนาจารยเปนบุคคลที่ถึงพรอมดวยสีลคุณ สมาธิคุณ ปญญาธิ
คุณ โยคีสมควรเขาไปสนทนาปราศรัยในขณะที่กําลังปฏิบัติอยู เมื่อไดอาศัย
แลวเปนเหตุทําใหจิตทีย่ ังไมเปนสมาธิเปนสมาธิ จิตที่เปนสมาธิแลวจะตั้งมั่น
ยิ่งขึ้น พรอมในการพิจารณาธรรมใหเกิดปญญาตอไป
๘
ธนิต อยูโ พธิ,วิปสสนานัย.ครั้งที่ ๗, (โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๔๐), ๑๑-๑๖.
๓๐๖
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
๕.๒ สิ่งที่วิปสสนาจารยควรคํานึงในการสอน
๑) รูถึงความแตกตางระหวางบุคคลและคํานึงถึงวิธีสอนที่เหมาะสม
แกบุคคล รูลักษณะความแตกตางของบุคคล โดยคํานึงถึงจริต ๖ ประการ
ไดแก ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต สัทธาจริต พุทธิจริต และวิตักกจริต
และรูระดับความสามารถของบุคคล
๒) การปรับวิธีสอนใหเหมาะสมกับบุคคล แมสอนเรื่องเดียวกัน แต
ตางบุคคล ก็ทรงใชวิธีที่ตางกัน โดยพิจารณาดูจากจริต บุคลิกลักษณะ
อัธยาศัยและประเภทของบุคคลเปนที่ตั้ง
๓) ตองคํานึงถึงความพรอม ความสุกงอม บาลีใชคําวา “ปริปากะ”
(ความแกรอบแหงอินทรีย) ของผูเรียน แตละบุคคลเปนรายๆ ไป ถายังไม
พรอมก็ตองรอจนกวาจะพรอม
๔) สอนดวยการใหลงมือปฏิบัติดวยตนเอง คือ การใหไดรั บ
ประสบการณตรง ซึ่งจะทําใหผูเรียนรูเขาใจชัดเจน ดวยประสบการณของ
ตนเอง เชน ทรงสอนพระจูฬปนถกผูโงเขลา โดยการใหนําผาขาวไปลูบคลํา
๕) การสอนโดยใหผูเรียนมีสวนรวม โดยมีการแสดงขอคิดความเห็น
โตตอบกันไดอยางเสรี ซึ่งหลักการอยางนี้เปนวิถีแหงปญญา วิธีการนี้ทรงใช
เปนประจําซึ่งเปนลักษณะของการถามตอบมี ๒ ลักษณะ คือ
๕.๑. ใชอุบายใหผูเรียนแสดงความคิดเห็นออกมาแลวชี้ชองทาง
เขาสูความรูที่ตองการจะสอน
๕.๒. โตตอบกันแบบเสรีโดยมุงแสวงหาความรูรวมกัน
๖) เอาใจใสบุคคลผูที่ควรไดรับความสนใจเปนพิเศษ เปนรายๆ ไป
ตามสมควรแกกาละเทศะ และเหตุการณเชน เรื่องของธิดาชางหูก เปนตน
๗) ชวยเหลือเอาใจใสคนที่ดอยกวา เชนเรื่อง พระปูติคัตตะติสสะ
เถระ ผูมีกายเปอยเนา จนภิกษุทั้งหลายพากันรังเกียจและไมยอมดู แล แต
พระองคเสด็จไปดูแล และสอนดวยพระองคเอง หรือกรณีที่ทรงสงเคราะห
พระจูฬปนถก เปนตน
๓๐๗
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
๕.๓ วิปสสนาจารยทําหนาที่ “ชวยปรับอินทรีย”
กอนปฏิบัติ โยคีมักพูดวา “ที่มาปฏิบัตินี้ไมไดหวังอะไรมาก ขอใหใจ
สงบ อยูปฏิบัติไดครบกําหนดเวลาก็พอแลว” แตเมื่อไดลงมือปฏิบัติไป ๓-๔
วัน จะมีคําถามเกิดขึ้นในใจแทบทุกคนวา “ทําอยางไร จึงจะมีความกาวหนา
ในการปฏิบัติ วิปสสนาญาณจะเกิดขึ้นไดอยางไร?”
พระวิปสสนาจารยพึงใหคําตอบวา “ความกาวหนาในการปฏิบัติ
วิปสสนาขึ้นอยูกับการพัฒนาอินทรีย ๕ ใหสมดุลและเพิ่มกําลังพละทั้ง ๕
ใหแกกลาขึ้นตามลําดับ” ซึ่งนั่นหมายความวา พระวิปสสนาจารยจะตอง
อธิบายใหผูป ฏิบัติเขาใจความหมายและความสํ าคัญของการปรับอินทรี ย
พรอมทั้งมีกระบวนการบมเพาะอินทรีย และพอกพูนกําลังพละใหเกิดขึ้นใน
ขันธสันดานของโยคีผูปฏิบัติใหแกกลาขึ้นตามลําดับ ตามจํานวนระยะเวลาที่
ปฏิบัติเพิ่มขึ้น ดังที่พระพุทธเจาตรัสวา “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุอาศัยศีล
ตั้งอยูในศีลแลว เจริญทําใหมากซึ่งอินทรีย ๕ ยอมถึงความเจริญงอกงาม
ไพบูลยในธรรมทั้งหลาย”๙
๕.๔ วิธีปรับอินทรีย
การปรับอินทรียเปนการนําเอากุศลธรรมที่มีพลังและสมรรถนะที่อยู
ภายในกายใจ มาปรับใหบรรลุผลที่พึงปรารถนาขั้นสูงสุด ในการปฏิบัติสนั้น
กุศลธรรมที่มีสมรรถนะความเปนใหญเรียกวา อินทรีย กุศลที่กอใหเกิดกําลัง
เรียกวาพละ ซึ่งจําแนกไวอยางละ ๕ เทากัน คือ การปรับศรัทธาใหเสมอกับ
ปญญา การปรับวิริยะใหเสมอกับสมาธิ สติตองเจริญใหมาก ซึ่งมีวิธีการดังนี้
๑. การปรั บ อิน ทรี ย โ ดยการกํ าหนดให เ ท า ทัน อารมณป จ จุ บั น ที่
เกิดขึ้น ภายในกาย ใจ ณ ป จจุบันขณะนั้น ดังเมื่อสันตติอํามาตย ฟงธรรม
พรอมทั้งเจริญสติปฏฐานโดยกําหนดรูปนามปจจุบันที่ปรากฏชัด จึงไมเกิด
กิเลสที่หวนคิดถึงอดีต หรือใฝฝนอนาคต และหยั่งเห็นสภาวธรรมรูปนามที่
เกิดดับตามความเปนจริง จนกระทั่งบรรลุมรรคญาณทั้ง ๔ ตามลําดับ ใน
๙
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/๗๑๓/๓๔๔.
๓๐๘
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
ที่สุดไดบรรลุอรหัตตผล ไมยึดมั่นดวยตัณหาและทิฏฐิ ดังนั้น พระพุทธองค
จึงตรัสขอความวา “อุปสนฺโต จริสฺสสิ (ก็จักเปนผูสงบไปได)”๑๐
๒. การปรับอินทรียโดยการกําหนดเวลา ในการเดินจงกรม และการ
นั่งสมาธิ เชน การเพิ่มเวลาในการเดินจงกรม และการนั่งสมาธิ จาก ๑๕
นาที เปน ๒๐ นาที ๒๕ นาที ๓๐ นาที ไปจนถึง ๖๐ นาที เปนตน
๓. การปรับอินทรียโดยการเพิ่มระยะในการเดินจงกรม และการ
กําหนดจุดในขณะนั่งสมาธิ เชน การเดินจงกรมตั้งแตระยะที่ ๑ ระยะที่ ๒
ระยะที่ ๓ ไปจนถึงระยะที่ ๖ หรือการเพิ่มการกําหนดถี่ๆๆ ในการกาวแตละ
ระยะ เปนตน
๔. การปรับอินทรียโดยการเพิ่มการกําหนดอิริยาบถยอย เชน การคู
กําหนดวา คูหนอๆๆ การเหยียดกําหนดวา เหยียดหนอๆๆ การเหลียวหนา
แลหลัง กําหนดวา เหลียวหนอๆๆ เปนตน
๕. การปรับอินทรียโดยเพิ่มการกําหนดตนจิต หมายถึง การกําหนด
อารมณตางที่เกิดขึ้นที่ใจ เชน กอนเดินจงกรมกําหนดวา อยากเดินหนอๆๆ
ถาฟุงซาน กําหนดวา ฟุงหนอๆๆ ถางวงกําหนดวา งวงหนอๆๆ เปนตน
๖. การปรับอินทรียโดยการสํารวมอินทรีย ๖ หมายถึง การกําหนด
อารมณตางๆ ที่กระทบทางทวารทั้ง ๖ อันไดแก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
เชน ถาเห็นกําหนดวา “เห็นหนอ” ถาไดยินกําหนดวา “ไดยินหนอ” ถาได
กลิ่นกําหนดวา “กลิ่นหนอ” ถารูรสกําหนดวา “รสหนอ” ถาถูกตองสัมผัส
กําหนดวา “ถูกหนอ” ถารับสิ่งตางๆ กําหนดวา “รูหนอ” เปนตน
๗. เพิ่มความถี่ในการกําหนดสภาวะรูป สภาวะนามใหมากขึ้น
การปรับอินทรียและพละใหเสมอกัน คือ การปรับศรัทธาใหเสมอ
กับปญญา อย าใหอยางหนึ่งอย างใดมากน อยกว ากัน ถาศรั ทธายิ่ งปญญา
หยอน ความโลภจะเขาครอบงํา ถาปญญายิ่ง ศรัทธาหยอน ความลังเลสงสัย
จะเขาครอบงํา และจะตองปรับวิริย ะใหเสมอกับสมาธิ ถาวิริยะยิ่ง สมาธิ
๑๐
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), มหาสติปฏฐานสูตร ทางสูพระ
นิพพาน, (กรุงเทพฯ : หางหุนสวนจํากัด ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๙), หนา ๑๕.
๓๐๙
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
หยอน ความฟุงซานจะเขาครอบงํา ถาสมาธิยิ่ง วิริยะหยอน ความงวงจะเขา
ครอบงํา ดังนั้น ถาอยางหนึ่งอยางใดนอยเกินไป ก็ตองเพิ่มเขาไปใหเสมอกัน
โดยมีสติคอยควบคุมอยูตลอดเวลา การปฏิบัติจะไดผลเร็วหรือชา ก็ขึ้นอยู
กับการปรับอินทรียและพละนี้เปนประการสําคัญ
วิธีเพิ่มปญญา รูรูปนาม รูปจจุบัน รูไตรลักษณ รูวิปสสนา ปญญา
รูมรรคผล นิพพาน
วิธีเพิ่มวิริยะ เพียรตั้งใจทําจริง กินนอย นอนนอย พูดนอย
วิธีเพิ่มสมาธิ ผูกจิตไวกับองคคุณ ๓ จิตจับในอารมณใดใหกําหนดมั่น
ในอารมณ จิตหลุดในอาการใดใหกําหนดรูในอาการนั้น
วิธีเพิ่มสติ ระลึกรูอยูที่รูปนามและการกําหนดตลอดเวลา
วิธีเพิ่มศรัทธา ทรงใจใหอยูกับรูปนาม ศีล สมาธิ ปญญา
เหตุป จ จั ย ที่ทําให อิน ทรี ย แกกล า ๙ ประการ คื อ “นวหากาเรหิ
อินฺทฺริยานิ ติกฺขานิ ภวนฺติ อุปฺปนฺนุปฺปนฺนานํ สงฺขารานํ ขยเมว ปสฺสติ, ตตฺถ
จ สกฺกจฺจกิริยาย สมฺปาเทติ, สาตจฺจกิริยาย สมฺปาเทติ, สปฺปายกิริยาย
สมฺปาเทติ, สมาธิสฺส จ นิมิตฺตคฺคาเหน, โพชฺฌงฺคานฺจ อนุปวตฺตนตาย,
กาเย จ ชีวิเต จ อนฺตรา จ อโพฺยสาเนนาติ.”
อินทรีย ๕ ยอมแกกลาเพราะเหตุ ๙ ประการ ผูปฏิบัติตองปฏิบัติ
ดังนี้
๑. กําหนดเห็นแตความสิ้นไป หมดไปของรูปนาม ซึ่งเกิดขึ้นในทุกๆ
ขณะ ถึงแมบางครั้งอาการดับจะไมปรากฏ ก็ตองพยายามกําหนดใหได มอง
ใหเห็น แตอยาพยายามหาเหตุผลในทางที่จะทําใหเห็น วาเปนของเที่ยง
๒. ยังวิปสสนาญาณใหถึงพรอม โดยการกําหนดอยางเอื้อเฟอตอ
กรรมฐานเพื่อใหเห็นความดับไปของรูป นามนั้น
๓. เจริญวิปสสนาญาณใหบริบูรณโดยการทําอยางตอเนื่อง ทําอยาง
คงเสนคงวา อยาหยุดในระหวางการปฏิบัติ
๔. เจริญวิปสสนาญาณใหบริบูรณ โดยการทําแตสิ่งที่เปนสัปปายะ
ตอการกําหนดเทานั้น สัปปายะ ๗ คือ ๑. อาวาส ที่อยูเหมาะสม ๒. โคจร ที่
๓๑๐
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
เที่ยวไปมาหมูบานเหมาะสม ๓. ภัสสะ ถอยคําเหมาะสม ๔. ปุคคละ บุคคล
ผูคบหาเหมาะสม ๕. โภชนะ อาหารเหมาะสม ๖. อุตุ บรรยากาศเหมาะสม
๗. อิริยาปถะ อิริยาบถเหมาะสม
๕. เจริญวิปสสนาญาณใหบริบูรณโดยการกําหนดเหตุของวิปสสนา
สมาธิ คือ การกําหนดรูปนามจนทําใหสมาธิตั้งมั่นอยางแนวแน
๖. เจริญวิปสสนาญาณใหบริบูรณโดยการเจริญโพชฌงคใหถูกตอง
คือ อารมณในการเจริญภาวนาตก ใหเจริญปติ วิริยะ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค
๗. กลาสละทั้งกายและชีวิตของตน หมายถึง ขณะเจริญภาวนาอยู
นั้นมีอารมณฟุงซานขึน้ มา ใหเจริญปสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา
๘. เจริญภาวนาใหบริบูรณ ดวยความอดทนอยางไมยอทอกับทุกข
ซึ่งเกิดขึ้นในทุกขณะ โดยพรอมที่จะอุทิศทั้งกายและใจ หมายถึง ตองมีใจ
มั่นคงไมหวั่นไหวตอความทุกขยากลําบาก ไมคํานึงแมกระทั่งความตาย
๙. ไมเลิกเจริญวิปสสนาญาณกลางคัน คือ ทําใหถึงที่สุด๑๑
๕.๖ การสง-สอบอารมณ
ในมหาปุณณมสูตร เมื่อพระพุทธองคทรงแสดงเรื่องรูปนามเปนไตร
ลักษณแลว ทรงสอบถามความเขาใจของภิกษุเหลานั้นวา “รูปและนามเปน
สิ่งที่เที่ยงหรื อไมเที่ยง” ภิกษุทั้งหลายตอบดวยความเขาใจวา “ไมเที่ยง”
พระองคจึงตรั สถามต อไปวา “สิ่งใดไมเ ที่ย ง สิ่ งนั้ นเป นทุกขห รือเปน สุข”
ภิ ก ษุ ทั้ ง หลายทู ล ตอบตรงกั น ว า “เป น ทุ ก ข ” เมื่ อ จบพระสู ต รนี้ ภิ ก ษุ
ประมาณ ๖๐ รูป ไดบรรลุอรหัตตผล๑๒
ในจู ฬ ราหุ โ ลวาทสู ต ร พระพุ ท ธองค ท รงตรั ส ถามพระราหุ ล ว า
“อายตนะทั้งหลายมี ตา หู เปนตน เที่ยงหรือไมเที่ยง พระราหุลทูลตอบดวย
ความเขาใจวา “ไมเที่ยง” พระองคจึงตรัสถามตอไปวา “สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้น
เปนทุกขหรือเปนสุข” พระราหุลทูลตอบวา “เปนทุกข” สุดทายพระองค
๑๑
วิสุทฺธิ (บาลี) ๒/๒๘๐-๑, โสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), พระพรหมโมลี
ตรวจชําระ, วิปสสนานัย ๒, หนา ๑๖๓-๑๖๕.
๑๒
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๘๕-๙๐/๙๖-๑๐๔.
๓๑๑
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
ทรงสรุปวา “อายตนะและขันธ ๕ ไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา ไมควรถือ
วาเป นเรา เป นของเรา” เมื่อจบพระสูตรนี้ พระราหุลได บรรลุอรหั ตตผล
พรอมกับเทวดาอีกหลายพันองค๑๓ ซึ่งแสดงใหเห็นวา การสอบอารมณของ
พระพุทธเจา นอกจากจะเปนประโยชนกับคูสนทนาแลว ยังเปนประโยชน
กับผูที่ไดยินอีกดวย
ในคัมภีรพุทธศาสนาไมปรากฏคํานี้ แตปรากฏคําที่ใกลเคียง คือ คํา
วา แกอารมณ ซึ่งปรากฏในคัมภีรอรรถกถาอธิบายพุทธพจน วา ปฺตฺเต
อาสเนติ ปธานิกภิกฺขู อตฺตโน วสนฏาเน โอวทิตุ อาคตสฺส พุทฺธสฺส ภควโต
นิสีทนตฺถ ยถาลาเภน อาสน ปฺาเปตฺวาว ปธาน กโรนฺติ, อฺ อลภมา
นาปุราณปณฺณานิป สนฺถริตฺวา อุปริ สงฺฆาฏึ ปฺาเปนฺติ.๑๔
พุทธอาสนที่ปูลาดไว หมายถึง ตั่ง เตียง แผนกระดาน แผนหิน หรือ
กองทรายที่ภิกษุผูบําเพ็ญเพียรปูลาดไวเพื่อเปนที่ประทับของพระผูมีพระ
ภาคที่จ ะเสด็ จ มาให โ อวาท แก อารมณ กั ม มัฏ ฐานถึง ที่อยู ของตน ถ าหา
อาสนะนั้ นไมได จะใชใบไมเ กาๆ ปู ลาดก็ได โดยลาดสังฆาฏิไวบ น นี้เ ป น
ธรรมเนียมสําหรับภิกษุนักปฏิบัติ
ในการสอบอารมณแตละครั้ง พระวิปสสนาจารยจะใหเวลาสําหรับ
การสอบอารมณอยางเต็มที่ ผูปฏิบัติทานใดที่ปฏิบัติถูกตอง ทานจะใหเพียร
กําหนดตอไป ผูปฏิบัติทานใดที่ปฏิบัติผิดทาง ทานจะแนะนําแกไขใหทันที
บางครั้งผูปฏิบัติมีความดื้อดึง ตองการปฏิบัติตามความชอบใจของตนเอง
พระวิปสสนาจารยจําเปนตองใชความแข็งกราว ก็เพื่อใหผูปฏิบัติเกิดความ
สลดใจ ละทิ้งการปฏิบัติที่ผิดทาง ดวยการดุหรือพูดดวยเสียงดัง สอดคลอง
กับเรื่องของพระวักกลิที่ถูกพระพุทธเจาขับไลออกจากสํานักเพื่อใหเกิดความ
สลดใจ สุดทายเมื่อทานยอมลดทิฏฐิ แลวปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธเจา
จึงบรรลุอรหัตตผล๑๕
๑๓
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๔๑๖-๔๑๙/๔๐๗-๔๗๕.
๑๔
องฺ.ฉกฺก.อ.(บาลี) ๓/๕๕/๑๓๕, อ.ฉกฺก.ฏีกา (บาลี) ๓/๕๕/๑๔๗
๑๕
ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๔๓/๓๙๒-๓๙๔.
๓๑๒
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
เมื่อผูปฏิบัติไดฝกเดินจงกรมระยะที่หนึ่ง ไดนั่งสมาธิตามที่กําหนด
ไว และไดเจริญสติใหทันอารมณปจจุบัน ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถหลังจากนั่ง
สมาธิแลว ครูผูฝกจะเปนผูติดตามผลที่เกิดขึ้นแกผูปฏิบัติ ใหผูปฏิบัติเลาถึง
ผลการปฏิบัติที่ทําไปแลวใหกันและกันฟง เมื่ออาจารยผูสอนไดทราบแลว
จะไดชแี้ นะสิ่งที่ควรแกไข หรือสั่งที่ควรจะทําตอไป
๕.๗ วิธีรายงานอารมณ
การทดสอบผลของผู ป ฏิ บั ติ อาจารย ผู ส อนจะสอบอารมณ ใ น
ประเด็นตางๆ เชน
- สามารถกําหนดการเคลื่อนไหวอิริยาบถยอยทั้งวันที่ผานมาได
อยางตอเนื่องหรือไม
- จับสภาวะอาการ พอง-ยุบ อาการเดินไดหรือไม
- รักษาทวารทางตาไดหรือไม
- กําหนดสภาวะทางจิตและความนึกคิดไดหรือไม
- กําหนดเวทนาไดอยางไร
- กําหนดอาการทางทวารทั้ง ๖ ไดทันหรือไม และไดประสบการณ
อะไรจากการกําหนด
- ใหรายงานประสบการณตามความเปนจริง ไมใชคิดเดาขึ้นเอง
รายงานอารมณเทาที่จําไดและปรากฏชัด อาจารยจะไดชวยแกไขไดตรงจุด
- การสงอารมณควรพูดเฉพาะเนื้อหาสาระประเด็นสําคัญๆ เทานั้น
เพื่อจะไดมีเวลาชี้แนะขอควรปฏิบัติขั้นตอไป
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก าณสิทฺธิ) เคยเลาเหตุการณการ
สอบอารมณระหวางพระอาจารยกับโยคีผูปฏิบัติวิปสสนา ไววา
พระอาจารย “เมื่อนิมิตมา วิธีถูกตองใหกําหนดเห็นหนอๆๆ ถา ๓
หนหาย แสดงวาสติสมาธิดีขึ้น ถากําหนดเห็นหนอๆๆ นิมิตหายชา แสดงวา
สติสมาธิออนใชไมได จะแกอยางไร ใหลุกขึ้นเดินจงกรมใหม สมาธิไมพอ”
“หลวงพอทํามากี่ป”
พระโยคี “๔๓ ป”
๓๑๓
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
พระอาจารย “ไปถึงไหน”
พระโยคี “ถึงธรรมกาย”
พระอาจารย “ดี ดีแลวหลวงพอ ตอไปใหเดิน ๓๐ นั่ง ๓๐ ”
เมื่อไปสอบอารมณใหม
พระอาจารย “เปนอยางไรบางหลวงพอ นั่งเห็นอะไรบาง”
พระโยคี “เห็นพระพุทธเจา จับมือถือแขนกันไดพูดคุยกันได”
นี่ญาณ ๓ (สัมมสนญาณ) เราก็รูแลวทานตอบไป
ตามเรื่อง นั่นเปนอารมณของสมถะ
พระอาจารย “ดี ห ลวงพ อ ให ห ลวงพ อ กํ า หนด เห็ น หนอๆๆ นี้ จ ะ
ยกขึ้นสูวิปสสนา” เห็นหนอๆๆ ๘ หนหายนี้สมาธิออนใชไมได ตองเพิ่มให
เดิน ๔๐ นั่ง ๔๐ (นาที)” พอเดิน ๔๐ นั่ง ๔๐ เวลาสอบอารมณวันหลัง
พระอาจารย “เปนอยางไรหลวงพอ”
โยคี “เห็นพระสงฆเยอะ”
พระอาจารย “หลวงพออยูที่ไหน”
โยคี “ผมก็นั่งอยูกับทาน”
นี่กรรมฐานรั่ว เราก็ไมวา
พระอาจารย “ดีหลวงพอ แตใหกําหนด เห็นหนอๆๆ”
๖ หนหาย ดีขึ้นกวาวานนี้หนวยหนึ่ง แตยังใชไมได
สมาธิยังไมพอ ใหเดิน ๕๐ นั่ง ๕๐ นาที
พระอาจารย “เปนอยางไรหลวงพอ (เดิน ๕๐ นั่ง ๕๐)”
พระโยคี “ธรรมกายมาบอยๆ”
พระอาจารย “ดี ในประเทศไทยหลวงพอทําไดดี มาก แตให หลวง
พอกําหนดครับ เห็นหนอๆ”
พระโยคี “เวลากําหนดเห็นหนอๆ พอเห็นหนอหนที่ ๓ นี่
ขาดวับ ตกใจเลย จึงคิดไดวา โอ เรานี้เปนขี้ขาคนมา
หลายสิบปแลว ไมเทาไหรก็จะตาย”
พระอาจารย“ตรงที่มันขาดวับ ก็คือญาณที่ ๔ นั่นแหละอุทยัพพย
ญาณ เห็นรูปนามเกิดดับจริงๆ ที่พิจารณาวา เรานี้เปนขี้ขาของคนมาหลาย
๓๑๔
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
สิ บ ป นี้ เ ป น ญาณที่ ๓ ยั ง ใช จิ น ตาญาณ ส ว นที่ มั น ขาดวั บ นั่ น ญาณ ๔
สภาวะธรรมที่หลงทาง ก็หลงทางอยูตรงนี”้
การที่ผูปฏิบัติกลาววา ตนไดเห็นพระพุทธเจาพรอมทั้งพระสาวก
สถิตยอยูในอายตนะนิพพาน หรือไดเห็นกายอรูปพรหม กายพระอริยบุคคล
ก็ดี จึงเปนเพียงนิมิตที่เกิดจากสมาธิ ดวยการนึกไป โนมไป เปนเพียงอารมณ
ของสมถะ มิใชอารมณของวิปสสนา เพราะในวิปสสนาญาณ ตั้งแตอุทยัพพย
ญาณอย างแก จนถึงป จ จเวกขณญาณไมมีนิ มิต มีแต รู ป -นามล ว นๆ เป น
อารมณปรมัตถ มิใชอารมณบัญญัติ จึงเปนบทพิสูจนใหเห็นถึงขอแตกตาง
ระหวางอารมณของสมถกรรมฐานและวิปสสนากรรมฐาน ในสมถกรรมฐาน
มีบัญญัติเปนอารมณ ในวิปสสนากรรมฐานมีปรมัตถเปนอารมณ เรื่องของ
นิ มิ ต เป น เพี ย งผลระดั บ ขั้ น พื้ น ฐานของการเจริ ญ ทั้ ง สมถกรรมฐานและ
วิปสสนากรรมฐาน เปนอุปกิเลสที่เกิดขึ้น หากไมนอมใจพิจารณาใหดีจะเกิด
การหลงไหลหลงทาง เขาใจวาถึงเปาหมายแลว แตแทที่จริงยังหางไกลนัก๑๖
๖. วินิจฉัย : ทองพอง-ยุบไมใชวิปสสนา
การทองวา “พองหนอ-ยุบหนอ” ไมใชวิปสสนา? ถูกตองแลว!
ทองพอง-ยุบ ทองปอง-ทองแฟบ ไมใชวิปสสนา? ถูกตองแลว!
พระพุทธเจาไมเคยสอนวา“พอง-ยุบเปนวิปสสนา”? ถูกตองแลว!
หลวงพอโชดก (พระธรรมธีรราชมหามุนี) อธิบายวา
ถาทองพอง-ทองยุบเปนวิปสสนา? วัว ควาย มันก็มีทองพอง ทอง
ยุบ มันก็ทํากรรมฐานอยูนะซิ เด็กเกิดมาใหมๆ ก็มีทองพอง-ยุบ แตเด็กก็
ไมไดปฏิบัติวิปสสนา!เพราะวิปสสนาเปนชื่อของปญญา เปนปญญาที่เกิดขึ้น
จากการกําหนดพอง-ยุบอีกทีหนึง่ .ถูกตองแลวที่พอง-ยุบไมใชวิปสสนา แต
๑๖
มาลี อาณากุล. "การศึกษาเปรียบเทียบกรรมฐานในคัมภีรพระอภิธัมมัตถ
สังคหะ กับคัมภีรวิสุทธิมรรค และวิธีปฏิบัติกรรมฐานของสํานักวิปสสนาออมนอย กับ
วั ด มหาธาตุ ยุ ว ราชรั ง สฤษฎิ์ " . วิ ท ยานิ พ นธ ป ริ ญ ญาอั ก ษรศาสตรมหาบั ณ ฑิ ต
สาขาวิชาศาสนาบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๓๙.
๓๑๕
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
เปนอารมณของวิปสสนาได
“แลวจะทําอยางไรพองหนอ-ยุบหนอ จึงจะเปนวิปสสนา?”
วิปสสนาคืออะไร วิ แปลวา แจง ปสสนา แปลวา เห็น เห็นอะไร?
๑) เห็นรูป เห็นนาม ๒) เห็นปจจุบันธรรม ๓) เห็นพระไตรลักษณ
วิปส สนานั้น มีอะไรเป นอารมณ? มีขันธ ๕ คือ รูป กับ นามเป น
อารมณ ไดแก ๑) รูปทองที่พอง-ที่ยุบ นี้เปนรูปขันธ ๒) เวทนาเวลาหายใจ
เขาแลวรูสึกสบาย นี้เปนสุขเวทนา รูสึกไมสบาย นี้เปนทุกขเวทนา รูสึกเฉยๆ
นี้เปนอุเบกขาเวทนา ๓) จําไดวา อาการนี้พองหนอ อาการนี้ยุบหนอ นี้เปน
สัญญาขันธ ๔) อาการแตงใหพองสั้น พองยาว ชัด ไมชัด นี้เปนสังขารขันธ
๕) ใจที่รูแจงอารมณ นี้เปนวิญญาณขันธ
ถามวา กิเลสเกิดที่ไหน เวลาหายใจเขาแลวรูสึกสบายนี้โลภะเกิด
เวลารูสึกไมสบายนี้โทสะเกิด เวลารูสึกเฉยๆ นี้โมหะเกิด ทําอยางไรจึงจะ
ระงับกิเลสได ก็ตองกําหนดรูทันอารมณปจจุบัน เชน ภาวนาวาพองหนอ
แลวทองยังไมพอง นี้ก็ถือวาไมทันปจจุบัน หรือทองพองกอนแลวมาภาวนาที่
หลัง นี้ก็ถือวาใชไมได ตองไปพรอมๆ กัน
ถามวาตรงไหนเปนศีล? ขณะที่กําหนดรูทันอารมณปจจุบันนี้เปน
ศีลในองคมรรค เพราะในขณะที่กําหนดรูพองหนอ-ยุบหนอ นี้กายกรรม ๓
วจีกรรม ๔ บริสุทธิ์
ตรงไหนเปนสมาธิ? ขณะที่กําหนดรูทัน ตั้งสติมั่นอยูที่อารมณ นี้เปน
สมาธิ คือขณะที่กําหนดพองหนอ-ยุบหนอ ใจไมเผลอนี้เปนสมาธิ
ตรงไหนเป น ป ญ ญา? รู รู ป รู น าม รู ส ภาวธรรมที่ กํ า หนด นี้ เ ป น
ปญญา มัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) กลางอยูที่ไหน? กลางอยูที่การ
กําหนดรูทันอารมณปจจุบัน กลางอยูที่ปจจุบันคือทันกัน ขันธ ๕ เกิดที่ไหน
กิเลสเกิดที่นั้น เมื่อสติกําหนดรูทันแลว นั้นคือมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง
กลางอยูที่ขันธ ๕ ขันธ ๕ เปนสนามรบของกิเลส เมื่อใดไมกําหนดเผลอ
กิเลสมันเขา เมื่อใดที่เรามีสติกิเลสเขาไมได
พระพุทธเจาบอกวา “การเห็นแจงขันธ ๕ โดยความไมเที่ยง เปน
๓๑๖
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
ทุกข ไมใชตัวตน เปนวิปสสนา”๑๗ พอง-ยุบเปนอาการของของวาโยธาตุอัน
เปนรูปขันธ แลวการกําหนดพอง-ยุบจะไมเปนวิปสสนาไดอยางไร?
๗. อาการพอง-ยุบเปนธาตุปรมัตถ
นายแพทย ว รวุ ฒิ เจริญศิริ
อธิบายวา “ในการหายใจดวยกระบัง
ลม : กระบังลมเปนกลามเนื้อหลักที่ใช
ในการหายใจ คนที่มีปญหาโรคปอด
มักจะมีรูปแบบการหายใจที่ผิดจากคน
ปกติทั่วไป คือมีแนวโนมที่จะใชกลามเนื้อหนาอก คอและไหลในการหายใจ
ซึ่งจะสิน้ เปลืองแรงมาก และทําใหอาการหอบทุเลาชายิ่งขึ้น หากทานสังเกต
ดูเด็กทารกหรือคนปกติเวลาหลับสนิท จะพบวาทองจะปองออกขณะหายใจ
เขา เพราะวากระบังลมหดตัวลงมา ทําใหกระเพาะอาหารและสําไสถูกดัน
ออกมา ขณะหายใจออก กระบังลมจะคลายตัวกลับขึ้นไปทําใหทองยุบลง
การหายใจดวยกระบังลม จะเปนเชนนี้โดยธรรมชาติ”
ศาสตราจารยเกียรติคุณ นายแพทยจําลอง ดิษยวณิช อธิบายวา
“กระบวนการหายใจ ซึ่ง
เปนกระบวนการตามธรรมชาติ แต
คนส ว นใหญ มั ก เข า ใจไขว เ ขวว า
เมื่ อหายใจเข า ลมหายใจจะผ า น
ปลายจมู ก เข า ไปในปอด แล ว
เคลื่ อนลงไปในทองจึ งส งผลให ทองพอง แต ความจริ งไมเ ปน เช น นั้น การ
หายใจเปนกระบวนการที่เกิดจากการทํางานของกลามเนื้อกระบังลม ทรวง
อก และกระดูกซี่โครง กระบังลมกั้นอยูในระหวางชองทอง โดยอยูดานลาง
ของปอด ตามปกติเมื่อเราหายใจเขา กระบังลมจะหดตัว กดอวัยวะในชอง
ทอง สงผลใหลมในชองทองพองออกมา และเมื่อหายใจออก กระบังลมจะ
๑๗
ดูรายละเอียดใน ม.อุปริ. (ไทย) ๑๔/๓๐๖/๓๗๒.
๓๑๗
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
ยืดขึ้น สงผลใหลมในทองยุบลง พรอมกับการดันลมออกมาทางปาก” และ
ไดอธิบายถึงวิธีการกําหนดวา “พองหนอ-ยุบหนอนั้น เปนเพียงคําภาวนา ซึ่ง
เปนอารมณบัญญัติ เพื่อกอใหเกิดสมาธิเทานั้น ไมใชเปนอารมณปรมัต ถ
การกําหนดในใจวา “พองหนอ-ยุบหนอ” จะตองพยายามสังเกตดู “อาการ
พอง-อาการยุ บ” ซึ่งเป น อารมณป รมัต ถ แน น อนในระยะเริ่ มต น มักจะ
กําหนดไดเพียงอารมณบัญญัติกอน ตอไปเมื่อวิริยะ(ความเพียร) สติ (ความ
ระลึกได) สมาธิ (ความสงบและความตั้งมั่นของจิต) และปญญา (ความรูแจง)
พัฒนามากขึ้นๆ ก็จะคอยๆ เห็นอารมณปรมัตถ คือ อาการยุบ-อาการพอง
ชั ด ขึ้ น ๆ เป น ลํ า ดั บ การกํ า หนดอารมณ ข องพองหนอ-ยุ บ หนอ คื อ การ
กําหนดวาโยโผฏฐัพพรูป (รูปตามที่ลมถูกตอง)”๑๘
อาการพอง-ยุ บ เป น ธาตุ ล มที่ อ ยู ใ นท อ ง ซึ่ ง เป น ธาตุ ป รมั ต ถ ๑๙มี
อาการเคลื่อนไหวตึงหยอนไปตามการหดตัวและขยายตัวของกระบังลม ดังที่
พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา “อชฺฌตฺติกา วาโยธาตุ ย อชฺฌตฺต ปจฺจตฺต
วาโย วาโยคต ถมฺภิตตฺต รูปสฺส อชฺฌตฺต อุปาทินฺน เสยฺยถีท อุทฺธงฺคมา
วาตา อโธคมา วาตา กุจฺฉิสยา วาตา โกฏสยา วาตา.”๒๐
วาโยธาตุ ที่ เ ป น ภายใน คื อ ลมพั ด ไปมา ธรรมชาติ ที่ เ คลื่ อ นไหว
เครื่องค้ําจุนรูปภายในตน มีเฉพาะตน ที่กรรมยึดถือซึ่งเปนภายในตน เชน
ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ํา ลมในทอง ลมในไส.
คัมภีรวิสุทธิมรรค อธิบายวา “อิมสฺมึ กาเย ..โย วิตฺถมฺภนภาโว วา
สมุทีรณภาโว อยํ วาโยธาตุ”๒๑ ในรางกายนี้ สิ่งใดทําใหอิริยาบถใหญนอย
เครงตึงตั้งมั่นก็ดี ทําใหเคลื่อนไหวไปมาก็ดี นี้เปน วาโยธาตุ” คัมภีรอรรถ
๑๘
จําลอง ดิษยวณิช, วิปสสนากรรมฐานและเชาวนอารมณ,จ.เชียงใหม : หาง
หุนสวนจํากัด เชียงใหมโรงพิมพแสงศิลป, ๒๕๔๙), หนา ๓๙.
๑๙
ปรมัตถ แปลวา ความเปนจริงอันถองแท อันเปนเนื้อแท เพราะไมมี
ความผิดแผกในความเปนไปอยางอื่น ดูใน ขุ.เถร.อ. (ไทย) ๒/๓/๓/๑๐๕.
๒๐
ม.มู. (บาลี) ๑๒/๓๐๕/๒๖๗, วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๑/๓๘๗.
๒๑
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๑/๓๘๙.
๓๑๘
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
กถาอธิบายวา “วาโยธาตุ ไดแก ธาตุทําหนาที่ใหเคลื่อนไหว”๒๒
คัมภีรอรรถกถาอธิบายลักษณะของธาตุปรมัตถ ไววา “วาโยธาตุ
วิตฺถมฺภนลกฺขณา สมุทีรณรสา อภินีหารปจฺจุปฏานา”.๒๓
สภาวะตึงหยอนของธาตุลมที่เปนโผฏัพพารมณเปนลักษณะพิเศษ
ของวาโยธาตุ (วิตฺถมฺภนลกฺขณา)
การทําใหเคลื่อนไหวจากระยะหนึ่งไปสูอีกระยะหนึ่ง เปนลักษณะ
ของวาโยธาตุ (สมุทีรณรสา)
การผลักดัน เปนอาการของวาโยธาตุ (อภินีหารปจฺจุปฏานา)
นอกจากนี้ อาการพอง-ยุบอันเปนวาโยธาตุในทอง จัดเปนวิปสสนา
ภูมิ คือ เปนรูปขันธ โผฏฐัพพายตนะ โผฏฐัพพธาตุ และ ทุกขสัจในธรรมา
นุป สสนาสติ ปฏ ฐานอีกด วย ทั้งเปน สภาวะทางกายที่ส อดคล องกับ หมวด
อิริยาบถในกายานุปสสนาสติปฏฐาน ดังพระบาลีวา “ยถา ยถา วา ปนสฺส
กาโย ปณิหิโต โหติ,ตถา ตถา นํ ปชานาติ”๒๔ เธอตั้งกายไวดวยกิริยาทาทาง
อยางใดๆ ก็รูชัดกิริยาทาทางอยางนั้นๆทองพองก็รูอาการวา “พอง” ทอง
ยุบก็รูอาการวา “ยุบ”
วิปสสนามีรูป-นามปรมัตถเปนอารมณ
การเจริญวิปสสนาตองกําหนดรูป–นามเปนอารมณ ถาผิดจากการ
กําหนดรูป–นามเสียแลว ก็หาใชวิปสสนาภาวนาไม๒๕ ดังคัมภีรอรรถกถา
อธิบายวา “ภิกษุยอมเห็นขันธ ๕ เปนเพียงรูป-นาม ในรูป-นามนั้น ธรรม
ทั้งหลายมี (วาโยธาตุ) ธาตุเปนตน จัดเปนรูป ธรรมทั้งหลายมีผัสสะเปนตน
๒๒
องฺ.ติก.อ. (ไทย) ๑/๓/-/๒๘๔.
๒๓
อภิ.สงฺ. อ. (บาลี) ๑/๖๕๐/๓๙๑.
๒๔
ที.มหา. (บาลี) ๑๐/๓๕/๒๖๐-๑.
๒๕
วิปสสนาวิญญาณกลับเวียนมาแตอารมณ. ..ไมพนนามรูป อื่นจากนามรูป
ยอมไปไมได. ดูใน ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๑/-/๑๓๖.
ผูมีศีลบริสุทธิ์ดี ตั้งมั่นอยูในความสันโดษดวยปจจัย ๔ กําหนดนามรูปพรอม
ปจจัย ฯลฯ บําเพ็ญวิปสสนา. ดูใน ขุ.อุ.อ. (ไทย) ๑/๓/-/๓๕๘.
๓๑๙
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
จัดเปนนาม ขันธ ๕ เปนลักษณะของรูป-นาม อวิชชาเปนตนเปนปจจัยของ
รูป-นาม และดวยอนิจจานุปสสนาเปนตน อยางนี้วา ธรรมทั้งหมด ไมมีแลว
เกิดมี มีแลวเสื่อมไป เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายจึงไมเที่ยง เพราะไมเที่ยง
จึงเปนทุกข เพราะเปนทุกข จึงเปนอนัตตา นี้เปนการแสดงวิปสสนาภูมิ”๒๖
รูป ไดแก สิ่งที่ผุกรอนหรือเสื่อมสลายอยูเสมอ ไดแก ประสาท
สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และอารมณที่ถูกรับรูคือ สี เสียง กลิ่น รส
สัมผัสตางๆ คัมภีรอรรถกถาอธิบายวา ธรรมชาติใดยอมแตกสลายเพราะ
ความรอนบาง ความเย็นบาง เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นเรียกวา รูป๒๗
นาม คือ สภาวะที่รูอารมณทางใจและความรูสึกนึกคิดตางๆ มี
ลักษณะนอมไปสูอารมณ มีหนาที่ประกอบกับจิตและเจตสิก มีวิญญาณเปน
เหตุใหเกิด ไดแก นามขันธ ๔ คือ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ และ
วิญญาณขันธ คัมภีรอรรถกถาอธิบายวา ธรรมชาติใดยอมรูอารมณ ฉะนั้น
ธรรมชาตินั้น ชื่อวานาม คือ นอมไปสูอารมณ๒๘
เฉพาะการกําหนดรูป ถากําหนดรูปใหญ (รูปที่ยืน เดิน นั่ง นอน)ไม
ไดผล ก็ใหกําหนดรูปละเอียด ไดแกลมหายใจเขา-ออกตรงจุดกระทบ แต
ครั้นนานเขา เมื่อลมละเอียดลง จะปรากฏไมชัดเจน สวนที่บริเวณทองที่มี
อาการพอง–ยุบนั้นกําหนดไดชัดเจนสม่ําเสมอ และแสดงสภาวะเกิด-ดับได
ชัดแจง เพราะเมื่อพองแลวก็ดับไป ยุบจึงเกิด ยุบแลวก็ดับไป พองจึงเกิด
ฉะนั้น รูปที่ลมเคลื่อนไหวถูกตองบริเวณทอง คืออาการพองขึ้นและยุบลง
เหมาะอยางยิ่งแกการตั้งสติกําหนดเพื่อเจริญวิปสสนา
บริเวณทองนั้น พองก็ดี ยุบก็ดี ที่มีอาการเคลื่อนไหวชัดเจนอยูนั้น
เรียกวา “วาโยโผฏฐัพพรูป” การตามรูอยูแตปรมัตถสภาวะของวาโยธาตุที่มี
อาการเคลื่อนไหว จนเห็นแจงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เปนการเจริญวิปสสนา
ดังพระบาลีวา “รูป ภิกฺขเว โยนิโส มนสิกโรถ รูป านิจฺจตฺจ ยถาภูตํ สม
๒๖
ขุ.อิติ.อ. (ไทย) ๑/๔/-/๓๓๕.
๒๗
ดูใน องฺ.เอก.อ. (ไทย) ๑/๑/-/๓๓.
๒๘
ดูใน ขุ.ป.อ.(ไทย) ๗/๑/-/๒๔๘.
๓๒๐
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
๒๙
นุ ป สฺ ส ถ ดู กอนภิ กษุทั้งหลาย เธอจงตั้ งสติ กําหนดที่ รู ป อย างแยบคาย
พิจารณาเห็นรูปนั้น วาไมเที่ยงตามความเปนจริง”
อนึ่ง พระพุทธองคทรงเทศนาไวในสังยุตตนิกายวา “โผฏฐพฺเพ
อนิจฺจโต ชานโต ปสฺสโต อวิชฺชา ปหียติ วิชฺชา อุปฺปชฺชติ”๓๐
เมื่ อตั้ งสติ กํ า หนดรู เห็ น โผฏฐั พ พรู ป ว าไมเ ที่ย ง (เป น ทุ กข เป น
อนัตตา) อวิชชายอมหายไป วิชชาญาณยอมปรากฏ”
พระโสภณมหาเถระอธิบายวา “อถวา ปน นิสินฺนสฺส โยคิโน อุทเร
อสฺ ส าสปสฺ ส าสปจฺ จ ยา ปวตฺ ตํ วาโยโผฏ ฐ พฺพรู ป อุนฺ น มนโอนมนากาเรน
นิ ร นฺ ต รํ ปากฏํ โหติ ตมฺป อุ ป นิ สฺ ส าย อุ นฺ น มติ โอนมตี ติ อาทิ น า สลฺ ล กฺ
เขตพฺพํ” เมื่อโยคีนั่งภาวนา ในบริเวณทองนั้น วาโยโผฏฐัพพรูปที่มีลม
หายใจเขาออกเปนปจจัย ยอมปรากฏชัดเจนอยูเสมอ ในขณะนั้นพึงตั้งสติ
กําหนดวา พองหนอ-ยุบหนอ, พองหนอ- ยุบหนอ ดังนี้๓๑
อนึ่ง พระศาสดาทรงเทศนาไวในมหาสติปฏฐานสูตรวา
“ยถา ยถา วา ปนสฺส กาโย ปณิหิโต โหติ ตถา ตถา นํ ปชานาติ”๓๒
รางกายของโยคีบุคคลนั้นตั้งอยูในอาการใดๆ ก็ตามตั้งสติกําหนดรูอาการ
นั้นๆ คือ รางกายนี้เปนไปอยางไร ก็ตั้งสติกําหนดรูไปอยางนั้น เดินอยูก็ตั้ง
สติกําหนดวา ซายยางหนอ ขวายางหนอ ถายืนอยูก็ดี นั่งอยูก็ดี นอนอยูก็ดี
ก็ตั้งสติกําหนดรูวา ยืนหนอ นั่งหนอ นอนหนอ ตามอาการที่ดํารงอยูอยาง
นั้น ถามีอาการทองพองอยู-ยุบอยู ก็ตั้งสติกําหนดรูอาการวา พองหนอ ยุบ
หนอ ตามอาการที่ตั้งอยูอยางนั้น เหลานี้ถาไมกําหนดก็จะเขาใจผิด ยึดถือวา
เป น ของเที่ ย ง เป น สุ ข เป น ตั ว เป น ตน ถ ากํ า หนดก็ ไ ด เ ห็ น อนิ จ จั ง ทุ ก ขั ง
อนัตตา อันเปนอาการของรูป–นามตามความเปนจริง
๒๙
สํ.ข.(บาลี)๑๗/๑๐๔/๖๔
๓๐
สํ.สฬ. (บาลี)๑๘/๕๓/๒๘
๓๑
ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ, วิปสสนาทีปนี
ฎีกา : พิมพครั้งที่ ๙ สํานักพิมพเลี่ยงเซียง เขตทุงครุ กรุงเทพฯ.
๓๒
ที.ม.(ไทย) ๑๐/๓๗๕/๒๔๙ , ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๘/๗๙
๓๒๑
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
๘. กําหนดพอง-ยุบเปนวาโยธาตุกรรมฐาน
การกําหนดรูลักษณะอาการของธาตุ ๔ คือ
๑. ธาตุดิน (ปฐวีธาตุ) มีลักษณะแข็งและออน
๒. ธาตุน้ํา (อาโปธาตุ) มีลักษณะไหลและเกาะกุม
๓. ธาตุไฟ (เตโชธาตุ) มีลักษณะรอนและเย็น
๔. ธาตุลม (วาโยธาตุ) มีลักษณะเคลื่อนไหวและหยอนตึง
ธาตุที่เห็นอาการไดงาย คือธาตุลม เพราะมีลักษณะเคลื่อนไหว และ
เมื่อกําหนดไดชัดเจนแลว จะรูลักษณะเฉพาะของธาตุอื่นๆ ไปดวย ดวยเหตุ
นี้บางคนจึงเรียกกรรมฐานแบบนี้ วา “วาโยธาตุกรรมฐาน” ๓๓ ดังพระพุทธ
องคไดตรัสไววา
ภิกษุยอมพิจารณาเห็นกาย ซึ่งตั้งอยูตามที่ตั้งอยูตามปกติ โดยความ
เปนธาตุวา มีอยูในกายนี้
ภิกษุ ยอมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบาง เฝาตามดูกายใน
กายภายนอกอยูบาง เฝาตามดูกายในกายภายในหรือภายนอกอยูบาง ดวย
ประการฉะนี้ หรือเฝาตามดูสิ่งที่เกิดขึ้นในกายอยูบาง เฝาตามดูสิ่งที่ดับไปใน
กายอยูบาง เฝาตามดูสิ่งที่เกิด-ดับในกายอยูบาง
ภิกษุนั้นเขาไปตั้งสติอยูวา กายมีอยู เพียงเพื่อรูเทานั้น เพียงเพื่อ
ระลึกรูเทานั้น ตัณหาและทิฏฐิอาศัยไมได ทั้งไมยึดถืออะไรในโลก๓๔
สภาวะอาการพอง-ยุบนั้นเปนหนึ่งในลม ๖ ประเภท คือ
๑. ธาตุลมที่พัดขึ้นสูเบื้องบน (อุทธังคมวาโย) ทําใหเกิดอาการเรอ
คลื่นไส อาเจียน หนามืด ตาลาย ปวดศีรษะและความดันโลหิตสูง
๒. ธาตุลมที่พัดลงเบื้องลาง (อโธคมวาโย) ทําใหเกิดอาการผายลม
การถายอุจจาระปสสาวะและการคลอดบุตร
๓๓
จํา ลอง ดิ ษยวณิช , วิ ปส สนากรรมฐานและเชาวน อ ารมณ ฉบั บ
ปรับปรุง,(เชียงใหม:หางหุนสวนจํากัด เชียงใหมโรงพิมพแสงศิลป, หนา ๕๒-๕๔.
๓๔
ม.มู. (บาลี) ๑๒/๑๓๗/๑๐๖.
๓๒๒
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
๓. ธาตุลมที่อยูในชองทอง (กุจฉิสยวาโย) ทําใหเกิดอาการพองและ
อาการยุบของทอง
๔. ธาตุลมที่อยูในลําไส (โกฏฐาสยวาโย) ทําใหเกิดกาซและอาการ
แนน อึดอัดในทอง เชน ทองอึด แนนทอง ทองเฟอ เปนตน
๕. ธาตุลมที่แลนไปทั่วรางกาย (อังคมังคานุสารีวาโย) ทําใหเกิดการ
เคลื่อนไหวสวนตางๆ ของรางกาย เชน ยืน นั่ง กม เงย เปนตน
๖. ธาตุลมหายใจเขาออก (อัสสาสปสสาสวาโย) คือ ลมหายใจ
เขาออก ธาตุลมชนิดนี้ใชเปนอารมณกําหนดในอานาปานสติ๓๕
หลายคนคัด คานการปฏิบั ติตามแนวนี้ วา “พอง-ยุ บไมปรากฏใน
พระไตรปฎก” แตความจริงแลวพอง-ยุบจัดเปนธาตุลม โดยเปนลมในทอง
เรียกวา กุจฉิสยวาโย ดังนั้น วิธีปฎิบัติโดยการกําหนดอาการทอง-พอง-ยุบ
จึงเปนวิธีที่ถูกตอง เพราะเปนธรรมชาติที่มีอยูจริง และในการกําหนดครั้ง
หนึ่งๆ นั้นตองประกอบดวยความเพียร ความรูชัด ระลึกรูเทาทันปจจุบัน
และเปนการปฏิบัติศีล สมาธิ ปญญา เพราะจิตที่คอยระมัดระวังในอาการ
พอง-อาการยุ บ เป น ศี ล จิ ต ที่แนบแน น อยู กับ อาการพอง-อาการยุ บ เป น
สมาธิ การเขาไปรูแจงเกิด-ดับ เปนปญญา.
๙. กําหนดพอง-ยุบเจริญวิปสสนา
ปญญาที่พอกพูนขึ้นด วยธรรมอันเปนฝกฝายแห งการตรัสรู (โพธิ
ปกขิยธรรม ๓๗ ประการ) จนเห็นแจงความเปนจริงของรูป-นาม ทําใหมรรค
มีองค ๘ สมบูรณ ดังที่พระพุทธเจาตรัสวา
“ภิกษุ เมื่อรูวาจิตเปนเอกัคคตารมณ ไมฟุงซาน ดวยการกําหนด
กายในกาย ..ยอมทําอินทรียทั้งหลายใหสมบูรณ รูชัดโคจร๓๖ และรูแจงธรรม
อัน มี ความสงบเป น ประโยชน ย อมทํ าพละทั้ง หลายให ส มบู ร ณ . .ย อ มทํ า
๓๕
วิปสสนากรรมฐานและเชาวนอารมณ ฉบับปรับปรุง, จําลอง ดิษยวณิช.
เชียงใหม: พิมพที่เชียงใหมโรงพิมพแสงศิลป, ๒๕๔๙: หนา ๕๑.
๓๖
รูชัดโคจร คือ รูจักอารมณอันเปนรูป-นาม คือ ขันธ ๕ นั่นเอง
๓๒๓
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
โพชฌงค ทั้ ง หลายให ส มบู ร ณ . ..ย อ มทํ า มรรคให ส มบู ร ณ . .ย อ มทํ า ธรรม
ทั้งหลายใหสมบูรณ”๓๗
พระสารีบุตรเถระอธิบายวา “ยอมทําอินทรียทั้งหลายใหสมบูรณ
คือ ทําสัทธินทรียทั้งหลายใหสมบูรณดวยการนอมใจเชื่อ ทําวิริยินทรียให
สมบูรณดวยการประคองจิตไว ทําสตินทรียใหสมบูรณดวยการเขาไปตั้งไวใน
อารมณ ทําสมาธิน ทรีย ใหสมบูรณดวยความไมฟุงซาน ทําปญญินทรียให
สมบูรณดวยความเห็นแจง
บทว า ย อ มทํ า พละทั้ ง หลายให ส มบู ร ณ คื อ ทํ า สั ท ธาพละให
สมบูรณดวยความไมหวั่นไหวในความไมมีศรัทธา ทําวิริยพละใหสมบูรณดวย
ความไมห วั่น ไหวในความเกีย จคราน ทําสติ พละใหส มบู รณดว ยความไม
หวั่นไหวในความประมาท ทําสมาธิพละใหสมบูรณดวยความ ไมหวั่นไหวใน
ความฟุงซาน ทําปญญาพละใหสมบูรณดวยความไมหวั่นไหวในความไมรูชัด
บทวา ยอมทําโพชฌงคทั้งหลายใหสมบูรณ คือ ทําสติสัมโพชฌงค
ใหสมบูรณดวยความเขาไปตั้งไว ทําธรรมวิจยสัมโพชฌงคใหสมบูรณดวย
ความเลือกเฟน ทําวิริยสัมโพชฌงคใหสมบูรณดวยความประคองไว ทํา
ปติสัมโพชฌงคใหสมบูรณดวยความแผซานไป ทําปสสัทธิใหสมบูรณดวย
ความสงบ ทําสมาธิสัมโพชฌงคใหสมบูรณดวยความไมฟุงซาน ทําอุเบกขา-
สัมโพชฌงคใหสมบูรณดวยความเพงพิจารณา
บทวา ยอมทํามรรคใหสมบูรณ คือ ทําสัมมาทิฏฐิใหสมบูรณดวย
ความเห็นถูก ทําสัมมาสังกัปปะใหสมบูรณดวยความยกขึ้นสูอารมณ ทํา
สัมมาวาจาใหสมบูรณดวยการกําหนด๓๘ ทําสัมมากัมมันตะใหสมบูรณ ดวย
ความใหเกิดขึ้น ทําสัมมาอาชีวะใหสมบูรณดวยความผองแผว ทํา
๓๗
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๑๖๘/๑๙๓.
๓๘
“มนสา สชฺฌาโย ลกฺขณปฏิเวธสฺส ปจฺจโย โหติ. ลกฺขณปฏิเวโธ มคฺคผล-
ปฏิเวธสฺส ปจฺจโย โหติ.” (อภิ.วิ.อ. (บาลี) ๒/๒๔๓, วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๑/๒๖๕.)
๓๒๔
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
สัมมาวายามะใหสมบูรณดวยความประคองไว ทําสัมมาสติใหสมบูรณดวย
ความเขาไปตั้งไว ทําสัมมาสมาธิ..ดวยความไมฟุงซาน๓๙
บทวา ยอมทําธรรมทั้งหลาย (โพธิปกขิยธรรม ๓๗ ประการ๔๐) ให
สมบูรณ คือ ทําอินทรียใหสมบูรณดวยความเปนใหญ ฯลฯ ทําสีลวิสุทธิให
สมบูรณดวยความสํารวม ทําจิตตวิสุทธิใหสมบูรณดวยความไมฟุงซาน ทํา
ทิฏฐิวิสุทธิใหสมบูรณดวยความเห็นถูก ทําวิโมกขใหสมบูรณดวยความหลุด
พน ทําวิชชาใหสมบูรณดวยความแทงตลอด ทําวิมุตติใหสมบูรณดวยความ
สละรอบ ทําญาณในความสิ้นไปใหสมบูรณดวยความตัดขาด ฯลฯ ทํา
วิมุตติใหสมบูรณดวยความเปนสาระ ทํานิพพานอันหยั่งลงในอมตะ ให
สมบูรณดวยความเปนที่สุดแหงทุกข”๔๑
สรุปวา วิปสสนา คือ ปญญาเห็นความไมเที่ยง เห็นความบีบคั้น
คงทนสภาพอยู ไ ม ไ ด เห็ น ความไม ใ ช ตั ว ตนในทุ ก ๆ รู ป -นามที่ รั บ รู ด ว ย
สัมมาสติ เมื่อเห็น ครั้งแลวครั้งเลาในทุกๆ อาการของรูป-นาม อินทรีย ๕
ส ง เสริ ม ให ป ญญาญาณแกก ล า ขึ้ น ตามลํ า ดั บ เข าสู ค วามเป น “วิ ป ส สนา
ญาณ”
แลว! การเพงรูไปในอาการพอง-อาการยุบ อาการคิด อาการเจ็บ
อาการปวด จนเห็นอาการเปลี่ยนแปลงตั้งแตตนพอง กลางพอง สุดพอง แลว
ดับหายไป ตั้งแตตนยุบ กลางยุบ สุดยุบ แลวดับหายไป เห็นความบีบคั้นใน
อาการพอง-ยุบที่คงสภาพเดิมอยูไมได เห็นอาการที่เกิด-ดับเคลื่อนไหวของ
พอง-ยุบ ที่เปนไปตามลักษณะอาการของวาโยธาตุ ไมใชเกิดขึ้นตามความ
ตองการของใครผูใดผูหนึ่ง จะไปยึดวาใหพองอยูตลอดเวลาก็ไมได จะไปยึด
วาใหยุบอยูตลอดเวลาก็ไมได จะยึดวาใหพอง-ยุบชัดอยูตลอดเวลาก็ไมได
จะยึดใหพอง-ยุบเปนอยางนั้นอยางนี้ตามที่ใจตองการ ก็ไมได การเห็นพอง-
ยุบเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเชนนี้ จัดเปนการเจริญวิปสสนา
๓๙
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๖๘/๒๖๑.
๔๐
ธรรมอันเปนฝกฝายแหงการตรัสรู ดูใน ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๕๐/๑๗๔.
๔๑
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๑๖๘/๑๙๔.
๓๒๕
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
๑๐. กําหนดรูพอง-ยุบเจริญสติปฏฐาน ๔
ปมาทํ สรติ หึสตีติ สติ. สติ แปลวา ความระลึกรูอารมณ ทําหนาที่
กําจัดความประมาท๔๒ เปนธรรมเครื่องปดกั้นกระแสกิเลสตัณหา๔๓
สติยา ปฏานํ สติปฏานํ.๔๔ ธรรมเปนที่ตั้งแหงการระลึกรูอารมณ
๔ ประการ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม องคธรรมไดแก สติเจตสิก๔๕
ผู เ จริ ญ สติ ป ฏ ฐาน ๔ เท านั้ น จึ งจะทํ าองค แห งการตรั ส รู พร อมทั้ ง
ความรูแจงความหลุดพนใหบริบูรณได ดังพระพุทธพจนวา “สติปฏฐาน ๔ ที่
บริบูรณยอมทําใหโพชฌงค ๗ บริบูรณ โพชฌงค ๗ ที่บริบูรณ ยอมทําให
วิชชาและวิมุตติบริบูรณ”๔๖
สติปฏฐาน แปลวา ธรรมเปนที่ตั้งแหงการเจริญสติระลึกรูอารมณ
๔ ประการ๔๗คือ กายเวทนา จิต ธรรม๔๘หรือการปฏิบัติมีสติเปนประธาน
องคธรรมไดแก สติเจตสิก๔๙สาระสําคัญของสติปฏฐาน พระพุทธองคทรง
ตรัส วา “ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เ ปน ทางสายเดีย ว เปน ทางสายเอก เพื่อ
ความบริสุท ธิ์ของเหลาสัต วเ พื่อลว งโสกะและปริเ ทวะ เพื่อ ดับ ทุกขแ ละ
โทมนัส เพื่อบรรลุอริย มรรค เพื่อทําใหแจงนิพ พาน ทางสายนี้คือสติปฏ
ฐาน ๔ ไดแก ๑) กายานุปสสนาสติปฏฐาน ๒) เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน
๓) จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน ๔) ธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน”
ผูเจริญสติปฏฐาน ๔ เทานั้นจึงจะทําองคแหงการตรัสรู พรอมทั้ง
ความรูแจง และความหลุด พนใหบริบูรณได ดังพระพุทธพจนวา “สติปฏ
๔๒
ดูรายละเอียดใน ขุ.ม.อ. (ไทย) ๕/๑/-/๑๐๗.
๔๓
ดูรายละเอียดใน ขุ.จู. (ไทย) ๓๐/๕/๕๕.
๔๔
ที.ม.ฏีกา (บาลี) ๓/๗๓๓๕๗.
๔๕
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ,ปรมัตถโชติกะปริจเฉทที่ ๗.หนา ๑๓๑.
๔๖
องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๖๑/๑๓๖.
๔๗
ที.ม.อ. ๒/๓๖๗-๖๘.
๔๘
สํ.ส.อ. (ไทย) ๑/๑/-/๑๓๐.
๔๙
พระสัทธัมมโชติกะธัมมาจริยะ,ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที,่ หนา ๑๓๑
๓๒๖
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
ฐาน ๔ ที่บ ริบ ูร ณแ ลว ยอ มทํา ใหโ พชฌงค ๗ บริบ ูร ณ โพชฌงค ๗ ที่
บริบูรณแลว ยอมทําใหวิชชาและวิมุตติบริบูรณ”๕๐
การเจริญสติปฏฐาน คือ การตั้งสติระลึกรูอารมณที่มากระทบทาง
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (ขันธ ๕) รูไปตามอาการที่เห็น ตามที่ไดยิน ที่ได
กลิ่น ที่ไดสัมผัส ที่ไดนึก ที่ไดรูสึก ที่ไดรับรู ไมตัดสิน ดี-ชั่ว ชอบหรือไมชอบ
คือ ระลึกรูดวยสติอยางจดจอตอเนื่องในอาการใดๆ ตามลักษณะอาการของ
อารมณนั้นๆ ไมใชรูตามความรูสึกของเราผูเขาไปรู
เชนนั้น! การเจริญสติตามรูอาการพอง-อาการยุบอันเปนลักษณะ
ของกุจฉิวิสยวาโยธาตุ เปนการเจริญสติปฏฐานไดหรือไม? ..มีวินิจฉัยดังนี้
๑) อาการพอง-ยุบของทองที่มีลักษณะตึง-หยอน เคลื่อนไหวไปมา
จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งเปนลักษณะของวาโยธาตุ การกําหนดจดจออยูที่
อาการพอง-ยุบ จนเห็นอาการดับหายไป เปนการเจริญธาตุมนสิการปพพะ
นอกจากนี้ ยังเปนการกําหนดความเคลื่อนไหวของลมที่ดันทองออกมา และ
หดยุบลง จึงเทากับเปนการกําหนดในสวนของสัมปชัญญปพพะอีกดวย
อนึ่ง ขณะนั่งภาวนาหรือเดินจงกรม หากเสียงแทรกเขามาชัดเจนก็
ใหรูอาการไดยินนั้น พรอมกับกําหนดวา “ไดยินหนอๆ” ลมพัดมาถูกที่ผิว
กายกําหนดวา “ถูกหนอๆ” หรือ “เย็นหนอๆ”จนอาการดับไป สติกําหนดรู
อาการตึง-หยอน อาการกระทบ เย็น รอน ออน แข็ง ฯลฯ ขณะลุก ขณะ
กราบ ขณะเคี้ยว นี้เปนการเจริญกายานุปสสนาสติปฏฐาน
๒) ในขณะกําหนดพอง-ยุบอยูนั้น หากมีมดหรือยุงกัด รูสึกเจ็บ สง
จิตไปกําหนดอาการนั้น “เจ็บหนอๆ” จนกวาจะดับไป นั่งนานปวดหลังปวด
ขา กําหนด “ปวดหนอๆ” (เพียงเพื่อรูอาการไมใชเพื่อใหหาย) เมื่อสภาวะ
ญาณสูงขึ้นรูสึกเบาสบาย กําหนด “สบายหนอๆ” เกิดปติปราโมทยกําหนด
“รูหนอๆ” นี้เปนการเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน
๓) ในขณะกําหนดพอง-ยุบอยูนั้น หากเกิดความคิดขึ้น ถาคิดโกรธ
กําหนดวา “โกรธหนอๆ” คิดเรื่องราคะ กําหนดวา “ราคะหนอๆ” ถา
๕๐
องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๖๑/๑๓๖.
๓๒๗
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
ความคิดนั้นปรากฏเฉยๆ ไมอาจจําแนกเปนราคะ โทสะ โมหะได กําหนด
เพียงวา “คิดหนอๆ” จนเห็นอาการจางหายดับไป ของอาการนั้น นี้เปนการ
เจริญจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน
๔) ในขณะกําหนดพอง-ยุบอยูนั้น เผลอบอยรูสึกหงุดหงิด กําหนด
อาการวา “หงุดหงิดหนอๆ” งวงซึมกําหนดอาการวา “ ซึมหนอๆ” หรือมีสิ่ง
มารบกวนรูสึกรําคาญ กําหนดอาการวา “รําคาญหนอๆ” ขณะกําหนดพอง-
ยุบอยูนั้น รูความเปนไปของธาตุ หรือรูอาการปติ สุข เยือกเย็น กําหนดตรง
อาการรู วา “รูหนอๆ” เมื่อญาณสูงขึ้นสภาวธรรมละเอียดนิ่มนวล เบาบาง
ก็กําหนดวา “รูหนอๆ” หรือ “รูๆๆๆๆ” จนกวาอารมณทั้งรูปทั้งนามดับไป
หมดสิ้น อยางสิ้นเชื้อ (เชื้อที่ทําใหตองเกิดรูป-นามในภพใหมอีก) นี้เปนการ
เจริญธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน
๑๑. อริยสัจ ๔ ในการกําหนดรูพอง-ยุบ
การเจริญสติปฏฐาน๕๑กําหนดรูอาการพอง-ยุบวินิจฉัย ดังนี้
สติกําหนดรูอาการ พอง-ยุบ เปนอารมณเปนทุกขสัจ
ตัณหาที่มีในกอน อันยังสติกําหนดรูอาการ พอง – ยุบ เปนอารมณ
นั้นใหตั้งขึ้น เปนสมุทัยสัจ
การหยุดทุกขสัจ และสมุทัยสัจทั้งสอง เปนนิโรธสัจ
อริยมรรคที่กําหนดรูทุกขละสมุทัยสัจมีนิโรธเปนอารมณเปนมรรคสัจ
ภิกษุโยคาวจร ขวนขวายโดยทางสัจจะ ๔ อยางนี้ ยอมบรรลุนิพพาน
ดับทุกขไดแล๕๒ซึ่งเปนการแสดงเรียงลําดับ ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค เปนการ
ดับลงทีละขณะของการกําหนดรูจัดเปน ตทังคนิโรธ โดยขณะกําหนดรูอาการ
พอง – ยุบ มีองค ๘ ของอริยมรรคอยูครบถวน ไดแก
เมื่อจะแยกใหละเอียดลงไปยิ่งกวานั้น ขณะเจริญภาวนากําหนดรู
อาการพอง-อาการยุบอยูนั้น องคมรรค ๘ ประการมีอยูพรอม๕๓ คือ
๕๑
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๒/๓๐๑
๕๒
ที.ม.อ.(ไทย)๑๔/๓๐๐/๓๑๖.
๕๓
ดูอธิบายใน ที.สี.อ. (ไทย) ๑/๒/-/๑๐๙, ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑/-/๑๑๒.
๓๒๘
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
๑. ขณะทองพอง-ยุบ มีปญญาเห็นชัดในอาการนั้น โดยความเปน
รูป สวนจิตที่รูพอง-ยุบเปนนาม ซึ่งเกิด-ดับตามเหตุปจจัย จัดเปนสัมมาทิฏฐิ
๒. เมื่อมีอาการพอง-ยุบ ปรากฏกอยูที่ทอง ดําริยกจิตขึ้นสูอารมณ
สงไปกําหนดรูอาการพอง-ยุบนั้น ใหประจักษ จัดเปนสัมมาสังกัปปะ
๓. กําหนดรูอาการพอง-ยุบ ตามลักษณะอาการ ดวยการนอมจิต
พรอมกับบริกรรมภาวนาวา “พองหนอ”-“ยุบหนอ” จัดเปนสัมมาวาจา๕๔
๔. กําหนดรูทุกครั้งที่เห็นอาการพอง กําหนดรูทุกครั้งที่เห็นอาการ
ยุบ กําหนด “คิดหนอ” ทุกครั้งที่เห็นอาการคิด ฯลฯ จัดเปนสัมมากัมมันตะ
๕. เมื่อกําหนดอยางจดจอตอเนื่อง กายยอมผองแผว จิตยอมผองใส
ชวยใหสติจับอารมณไดถูกตรงตามความเปนจริง ยิ่งขึ้น จัดเปนสัมมาอาชีวะ
๖. การประคับประคองจิตใหระลึกรูอยูแตอารมณปจจุบันที่ปรากฏ
ไมปลอยใจใหหลงใหลไปตามอารมณอดีตหรืออนาคต จัดเปนสัมมาวายามะ
๗. การเขาไปตั้งความระลึกรูอยางจดจอตอเนื่อง ไวในอารมณรูป-
นามปจจุบัน ที่เปลี่ยนแปลงเกิด-ดับไปตามเหตุปจจัย จัดเปนสัมมาสติ
๘. ความไมฟุงซาน จิตตั้งมั่นในอารมณปจจุบันดวยอํานาจอุเบกขา-
สัมโพชฌงค เปนพื้นฐานในการเจริญสัมมาทิฏฐิในระดับวิปสสนาญาณตอไป
จัดเปนสัมมาสมาธิ๕๕
สรุปความสําคัญ สภาวะพอง-ยุบ จัดเปนธาตุกรรมฐาน โดยพอง-
ยุบ เปนลมในทองที่ดันใหพองออกและหดยุบลง มีลักษณะตึงบาง หยอน
บาง เคลื่อนไหวไปมาจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง การกําหนด “พองหนอ-ยุบ
หนอ” จึ ง เป น การสั ง เกตวาโยโผฏฐั พ พรู ป ด ว ยโยนิ โ สมนสิ ก าร อั น
ประกอบด ว ยอาตาป ห รื อวิ ริ ย ะ (ความเพี ย ร) สติ (ความระลึ กได ) สมาธิ
(ความตั้ ง มั่น แห ง จิ ต ) และสั ม ปชั ญญะ (ความรู ตั ว ทั่ ว พร อม) บางครั้ ง ไม
สม่ําเสมอบางครั้งมีความเจ็บปวด ความโกรธ ดีใจ เสียใจ นึกคิด ฟุงซาน
๕๔
“การสาธยายทางจิต เปนปจจัยแกการแทงตลอดไตรลักษณ การแทงตลอด
ไตรลักษณ เปนปจจัยแกการแทงตลอดมรรค ผล” ดูใน วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๑/๒๖๕.
๕๕
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓๖/๑๗๖, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๖๘/๒๖๑.
๓๒๙
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
ราคะมานะ ทิฐิ เขามาปะปน หากกําหนดรูสภาวะอยางถูกวิธี สภาวะอาการ
เหลานั้นก็จะเขาถึงความดับสิ้นไปอยางสิ้นเชิง มีหลักฐานยืนยันวาเปนคํา
สอนของพระพุทธองคที่ต รัส ไว ในมหาสติ ปฏฐานสูต ร เมื่อพลั งของป จจั ย
ดังกลาวแกกลาพอเพียงแลวผูปฏิบัติ (โยคี) จะเห็นความไมเที่ยง ความเปน
ทุกขและความไมใชตัวตนของรูปธรรมและนามธรรม มีสัมมาทิฏฐิและวิชชา
ญาณเกิดขึ้น จนสามารถบรรลุมรรค ผล นิพพานไดในที่สุด
๕๖
ที.ม. (บาลี)๑๐/๓๗๓/๒๔๘, ม.มู. (บาลี) ๑๒/๑๐๖/๗๗.
๕๗
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๕๘-๒๗๘/๑๘๑-๑๘๖.
๕๘
ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑/-/๖๗๑. ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๔๙๑.
๓๓๐
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
๒. ปหานปธาน เพียรละวิตกทั้ง ๓ คือ กามวิตก (คิดหมกมุนใน
กาม) พยาบาทวิตก (คิดปองราย) วิหิงสาวิตก (คิด เบียดเบียน) ในขณะที่
เจริญสติกําหนดพอง-ยุบ อยูนั้ น วิ ตกทั้ง ๓ ไมเ กิดขึ้น เพราะสติ เปน ธรรม
เครื่ องป ด กั้น อกุศลวิ ต กทั้ง ๓ นั้ น ๕๙ กุศลกับ อกุศลเกิด ขึ้น พร อมกั น ไมไ ด
อุปมาเหมือนสวางกับความมืด ฉะนั้น เพราะเหตุนั้น ขณะกําหนดพอง-ยุบ
จึงเปนความเพียรละอกุศลวิตกไปในตัว
๓. ภาวนาปธาน เพี ย รบํ า เพ็ญ โพชฌงค ๗ ให เ กิ ด ขึ้ น ในขณะ
กําหนดพอง-ยุบอยูนั้น สติกําหนดรูพอง-รูยุบ จัดเปนสติสัมโพชฌงค การ
พิจารณาใครครวญพอง-ยุบ จัดเปนธัมมวิจยสัมโพชฌงค ความตั้งใจ กําหนด
พอง-ยุ บ จั ด เป น วิ ริ ย สั มโพชฌงค ความเอิบ อิ่มไมกระวนกระวาย จั ด เป น
ปติ สัมโพชฌงค ความสงบใจ จั ด เป นป ส สัทธิ สัมโพชฌงค ใจตั้ งมั่น อยู กับ
พอง-ยุบ จัดเปนสมาธิ สัมโพชฌงค จิต เพงรูจนเห็น แจงในอาการพอง-ยุ บ
จัดเปนอุเปกขาสัมโพชฌงค ในขณะที่บําเพ็ญโพชฌงคอยูนั้น วิเวกทั้ง ๓ คือ
กายวิ เ วก จิ ต ตวิ เ วกและอุ ป ธิ วิ เ วก ก็ มี พ ร อ ม น อ มไปสู ก ารสละกิ เ ลส
เพราะฉะนั้น ในขณะกําหนดพอง-ยุบอยูนั้น จึงเปนภาวนาปธาน
๔. อนุรักขนาปธาน เพียรรักษาวิปสสนากุศลที่
เกิดขึ้นแลวใหคงอยู และพอกพูนใหมีมากขึ้น ดวยการ
หมั่นระลึกรูรูปนามอยูเนืองๆ ในขณะกําหนดพอง-ยุบอยู
นั้น ศีลก็มี สมาธิก็มี ปญญาก็มี กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มี
อยู บริ บูร ณในขณะนั้ น จัด เป น ศีล จิ ตตั้ งมั่นในอารมณ ไมฟุงซาน จั ดเป น
สมาธิ เห็นรูป-นามโดยความเปนพระไตรลักษณ จัดเปนปญญา ชื่อวาตาม
รั ก ษาใจให ตั้ ง มั่ น อยู ใ นศี ล สมาธิ ป ญ ญาอย า งแท จ ริ ง ตรงนี้ แ หละเป น
มัชฌิมาปฏิปทา เปนทางสายกลางอยางแทจริง จัดเปนอนุรักขนาปธาน คือ
เพียรตามรักษาไตรสิกขาอยางถูกตอง๖๐
๕๙
ดูรายละเอียดใน ขุ.จู. (ไทย) ๓๐/๕/๕๕.
๖๐
ดูรายละเอียดใน องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๓๕/๖๙/๒๑๙-๒๒๐.
๓๓๑
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
๖๑
ดูรายละเอียดใน ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๕/๓๒๒.
๓๓๒
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
๔. ปติสัมโพชฌงค ผูปฏิบัติมีสติจดจอในอาการพอง-ยุบ รูเทาทัน
ความเกิดดับของรูปและนามที่ปรากฏในการกําหนดนั้น เมื่อโยนิโสมนสิการ
อยูเชนนี้ ปราโมทยยอมเกิด เมื่อมีปราโมทย ปติยอมเกิดขึ้น
๕. ปสสัทธิสัมโพชฌงค ผูที่กําหนดรูพอง-ยุบจนเห็นไตรลักษณ
ยอมเกิดปญญารูแจง เมื่อรูแจงยอมเกิดปราโมทย เมื่อมีปราโมทย ปติยอม
เกิด เมื่อใจมีปติ กายยอมสงบ ผูมีกายสงบ ยอมเสวยสุข
๖. สมาธิสัมโพชฌงค ผูที่กําหนดรูพอง-ยุบจนมีกายสงบ ผูมีกาย
สงบ ยอมเสวยสุข เมื่อใจมีความสุข จิตยอมเปนสมาธิ
๗. อุเบกขาสัมโพชฌงค ผูมีจิตตั้งมั่นเปนสมาธิ ยอมพิจารณา๖๒
สภาพธรรมที่ปรากฏดวยจิตที่เปนกลาง๖๓ ตามความเปนจริงวา สภาพธรรม
ที่ปรากฏเปนเพียงรูป-นามที่เกิดดับตามเหตุปจจัยเทานั้น ไมใชสัตว บุคคล
ตัวตน๖๔ เรา เขา ยอมเกิดปญญารูแจงธรรม โดยมีมรรคมีองค ๘ เปนเหตุ๖๕
๖๒
ดูใน ที.สี.อ. (ไทย) ๑/๑/-/๑๗๗., ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑/-/๑๙๔.
๖๓
สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเปนไปโดยความเปนกลางตอสังขาร (องฺ.
จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๑๖๒/๓๘๗, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา (บาลี) ๒/๑๖๒/๔๒๕)
๖๔
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๗๔/๑๒๕.
๖๕
ดูใน องฺ.เอก. อ. (ไทย) ๑/๑/-/๒๐๒.
๖๖
ดูอธิบายใน ที.สี.อ. (ไทย) ๑/๒/-/๑๐๙., ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑/-/๑๑๒.
๓๓๓
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
๓. กําหนดรูอาการพอง-ยุบ ตามลักษณะอาการ ดวยการนอมจิต
พรอมกับบริกรรมภาวนาวา “พองหนอ”-“ยุบหนอ” จัดเปนสัมมาวาจา๖๗
๔. กําหนดรูทุกครั้งที่เห็นอาการพอง กําหนดรูทุกครั้งที่เห็นอาการ
ยุบ กําหนด “คิดหนอ” ทุกครั้งที่เห็นอาการคิด ฯลฯ จัดเปนสัมมากัมมันตะ
๕. เมื่อกําหนดอยางจดจอตอเนื่อง กายยอมผองแผว จิตยอมผองใส
ชวยใหสติจับอารมณไดถูกตรงตามความเปนจริงยิ่งขึ้น จัดเปนสัมมาอาชีวะ
๖. การประคับประคองจิตใหระลึกรูอยูแตอารมณปจจุบันที่ปรากฏ
ไมปลอยใจใหหลงใหลไปตามอารมณอดีตหรืออนาคต จัดเปนสัมมาวายามะ
๗. การเขาไปตั้งความระลึกรูอยางจดจอตอเนื่อง ไวในอารมณรูป-
นามปจจุบัน ที่เปลี่ยนแปลงเกิด-ดับไปตามเหตุปจจัย จัดเปนสัมมาสติ
๘. ความไมฟุงซาน จิตตั้งมั่นในอารมณปจจุบันดวยอํานาจอุเบกขา-
สัมโพชฌงค เปนพื้นฐานในการเจริญสัมมาทิฏฐิตอไป จัดเปนสัมมาสมาธิ๖๘
๑๔. หลักการปรับอินทรียใหสมดุลย
การนํ า เอากุ ศ ลธรรมที่ มี พ ลั ง ที่ เ รี ย กว า พละ และกุ ศ ลธรรมที่ มี
สมรรถนะความเปนใหญ ที่เรียกวา อินทรีย ที่อยูภายในกายใจของเรามา
ปรั บ ให ส อดคล อ งกั น เป น กํ า ลั ง ให บ รรลุ ผ ลที่ พึ ง ปรารถนาอั น สู ง สุ ด ที่
เรียกวา การปรับอินทรียใหเสมอกัน
การปรั บ อิ น ทรี ย หมายถึ ง การนํ า เอากุ ศ ลธรรมที่ มี พ ลั ง และ
สมรรถนะหลายประการที่ อ ยู ภ ายในกายใจ มาปรั บ ให บ รรลุ ผ ลที่ พึ ง
ปรารถนาอันสูงสุด ในการปฏิบัติวิปส สนาภาวนา กุศลธรรมที่มีสมรรถนะ
ความเปนใหญ เรียกวา อินทรีย สวนกุศลที่กอใหเกิดกําลัง เรียกวาพละ ซึ่ง
จําแนกไวอยางละ ๕ อยางเทากัน คือ การปรับศรัทธาใหเสมอกับปญญา
การปรับวิริยะใหเสมอกับสมาธิ สติตองเจริญใหมาก กลาวคือ
๖๗
“การสาธยายทางจิต เปนปจจัยแกการแทงตลอดไตรลักษณ การแทงตลอด
ไตรลักษณ เปนปจจัยแกการแทงตลอดมรรค ผล” ดูใน วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๑/๒๖๕.
๖๘
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓๖/๑๗๖., ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๖๘/๒๖๑.
๓๓๔
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
๑) ปรั บ ศรั ท ธากับ ป ญ ญาให เ สมอกัน เพราะถา ศรั ทธามากกว า
ปญญา บุคคลก็จะเลื่อมใสจนเกินไป หรือเลื่อมใสในเหตุที่ไมนาเลื่อมใส ถา
ปญญามากกวาศรัทธา บุคคลก็จะหนักไปขางอวดดี เปนเหมือนโรคดื้อยา
รั กษาให ห ายยาก ถาธรรมทั้ง สองเสมอกัน บุ คคลจะเลื่ อมใสในเหตุ ที่น า
เลื่อมใส
๒) ปรับสมาธิกับวิริยะใหเสมอกัน เพราะถาสมาธิมากกวา วิริยะ
ความเกียจครานจะครอบงํา เนื่องจากสมาธิเปนฝายเดียวกันกับความเกียจ
คราน ถาวิริยะมากกวาสมาธิ ความฟุงซานจะครอบงํา เนื่องจากวิริยะเปน
ฝายเดียวกันกับความกันฟุงซาน ดังนั้น สมาธิที่ประกอบควบคูกับวิริยะ จิต
จะไมตกไปในฝายความเกียจคราน วิริยะที่ประกอบควบคูกับสมาธิ จิตจะไม
ตกไปในฝายความฟุงซาน แตสําหรับ สติ นั้น พระผูบําเพ็ญกัมมัฏฐานควร
บําเพ็ญใหมีพลังทุกที่ทุกเวลาเพื่อใหทราบวา "ความบรรลุธรรมอันนี้ยอมมีได
ดวยภาวนาตอนั้นไป ก็แลครั้นธรรมอันนี้ พระโยคีไดบรรลุแลวก็ไมมีกิจที่
จะตองทํายิ่งขึ้นไปอะไรอีกเลย ดุจเกลือ จํ าตองมีในกับขาวทุกอยาง ดุ จ
อํามาตยผูชํานาญการ จําตองปรารถนาในราชการทุกอยาง๖๙
มีพุทธพจนรับรองคํากลาวของพระสารีบุตรวา อินทรีย ๕ อยางนี้
สงผลเป นป จจั ยต อเนื่องกัน กลาวคือ ศรั ทธาทําให เกิดความเพีย ร ความ
เพียรชวยใหสติมั่นคง เมื่อสติมั่นคงแลว กําหนดอารมณก็จะไดสมาธิ เมื่อมี
สมาธิดีแลว ก็จะเกิดความเขาใจมองเห็นซึ่งถึงโทษของอวิชชาตัณหาที่เปน
เหตุแหงสังสารวัฏ มองเห็นคุณคาของนิพพาน ซึ่งเปนภาวะปราศจากความ
มืดแหงอวิชชาและความทุรนทุรายแหงตัณหา สงบประณีตดีเยี่ยม ครั้นเมื่อรู
ชัดเขาใจแจมแจงดวยตนเองแลว ก็จะเกิดมีศรัทธาที่เปนศรัทธาอยางยิ่งหรือ
ยิ่งกวาศรัทธา หมุนเวียนกลับเปนสัทธินทรียอีก ดังพุทธพจนทอนสุดทายวา
"ดูกรสารีบุตร อริยสาวกนั้นแล เพียรพยายามอยางนี้ ครั้นเพียรพยายามแลว
ก็ร ะลึ กอย างนี้ ครั้ น ระลึ กแลว ก็ตั้ งจิต มั่น อยางนี้ ครั้ น ตั้ งจิต มัน แลว ก็รู ชั ด
๖๙
เทียบ วิ.ม.อ. (บาลี) ๓/๒๔๓/๑๖๔, องฺ. ฉกฺก.อ. (บาลี) ๓/๕๕/๑๓๖, วิสุทธิ.
(บาลี) ๑/๖๒/๑๔๐-๑๔๑, สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๒๔๓/๓๕๓.
๓๓๕
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
อยางนี้ ครั้นรูชัดแลวก็เชื่อยิ่งอยางนี้วา ธรรมทั้งหลายที่แตกอนนี้เราเพียงแต
ไดยินไดฟงเทานั้น ยอมเปนดังนี้แล ดังเราสัมผัสอยูดวยตัว และเห็นแจงแทง
ตลอดดวยปญญา อยูในบัดนี้"๗๐
ในคัมภีรมหาวรรคอรรถกถา ไดอธิบายการปรับอินทรียไววา อินฺทฺ
ริยานฺจ สมตํ ปฏิวิชฺฌาติ สทฺธาทีนํ อินฺทฺริยานํ สมตํ สมภาวํ. ตตฺถ
สทฺธํ ปฺาย ปฺฺจ สทฺธาย วิริยํ สมาธินา สมาธิฺจ วิริเยน โยชยมาโน
อินฺทฺริยานํ สมตํ ปฏิวิชฺฌ๗๑.
และสารัตถทีปนีฎีกาไดอธิบายไววา อินฺทฺริยานฺจ สมตํ อธิฏาหีติ
สทฺธาทีนํ อินฺทฺริยานํ สมตํ สมภาวํ อธิฏาหิ. ตตฺถ สทฺธํ ปฺาย, ปฺฺจ
สทฺธาย, วิริยํ สมาธินา, สมาธิฺจ วิริเยน โยชยตา อินฺทฺริยานํ สมตา อธิฏ ตา
นาม โหติ.สติ ปน สพฺพตฺถิกา,สา สทาป พลวตีเยว วฏฏติ๗๒.
การปรั บ อิ น ทรี ย ใ ห เ สมอกั น คื อ การปรั บ ศรั ท ธาให เ สมอกั บ
ปญญา และปรับปญญาใหเสมอกับศรัทธา ปรับวิริยะใหเสมอกับสมาธิ และ
ปรับสมาธิใหเสมอกับวิริยะ สวนสตินั้นยิ่งมีเทาไรก็ยิ่งดีไมมีคําวาเกิน๗๓
ในพุ ท ธพจน แ สดงปฏิ ป ทา ๔ ว า ด ว ยแนวการปฏิ บั ติ ธ รรมของ
บุคคลที่แตกตางกันไปเปน ๔ ประเภทคือ บางพวกปฏิบัติลําบากทั้งรูไดชา
บางพวกปฏิบัติลําบากแตรูไดเร็ว บางพวกปฏิบัติสะดวกแตรูไดชา บางพวก
ปฏิบัติสะดวกทั้งรูไดเร็ว พระพุทธองคทรงชี้แจงวา
ตั ว การที่ กํ า หนดให รู ช า หรื อ รู เ ร็ ว ก็ คื อ อิ น ทรี ย ๕ กล า วคื อ ถ า
อินทรีย ๕ ออนไปก็รูชา ถาอินทรีย ๕ แกกลาก็รูไดเร็ว๗๔ แมแตการที่พระ
อนาคามี แ ตกต า งกัน ออกไปเป น ประเภทต า งๆ ก็ เ พราะอิ น ทรี ย ๕ เป น
๗๐
สํ.มหา. (ไทย) ๑๙/๕๒๐/๓๓๓
๗๑
วิ.ม.อ. (บาลี) ๓/๒๔๓/๑๖๔.
๗๒
สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๒๔๓/๓๕๒-๓๕๓.
๗๓
วิ.ม.อ. (บาลี) ๓/๒๔๓/๑๖๔, สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๓/๒๔๓/๓๕๒-๓๕๓.
๗๔
ดู องฺ.จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/๑๖๒/๒๒๗
๓๓๖
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
๗๕
ตัวกําหนดดวย หรือกวางออกไปอีก ความพรั่งพรอมและความหยอนแหง
อินทรีย ๕ นี้แล เปนเครื่องวัดความสําเร็จ เปนอริยบุคคลขั้นตางๆ ทั้งหมด
กลาวคือ เพราะอินทรีย ๕ เต็มบริบูรณก็เปนพระอรหันต อินทรีย ๕ ออน
กวานั้นก็เปนพระอนาคามี ออนกวานั้นก็เปนพระสกทาคามี ออนกวานั้นก็
เป นพระโสดาบัน ประเภทธั มมานุ ส ารี ออนกว านั้ น อีกก็เป นพระโสดาบั น
ประเภทสัทธานุสารี ดังนี้เปนตน ตลอดจนวาถาไมมีอินทรีย ๕ เสียเลยโดย
ประการทั้งปวง ก็จัดเปนพวกปุถุชนคนภายนอก มีคําสรุปวา ความแตกตาง
แหงอินทรียทําใหมีความแตกตางแหงผล ความแตกตางแหงผลทําใหมีความ
แตกตางแหงบุคคล หรือวาอินทรียตางกัน ทําใหผลตางกัน ผลตางกันทําให
บุคคลตางกัน๗๖
วิปสสนาจารยทําหนาที่ “ชวยปรับอินทรีย”
กอนปฏิบัติ โยคีมักพูดวา “ที่มาปฏิบัตินี้ไมไดหวังอะไรมาก ขอใหใจ
สงบ อยูปฏิบัติไดครบกําหนดเวลาก็พอแลว” แตเมื่อไดลงมือปฏิบัติไป ๓-๔
วัน จะมีคําถามเกิดขึ้นในใจแทบทุกคนวา “ทําอยางไร จึงจะมีความกาวหนา
ในการปฏิบัติ วิปสสนาญาณจะเกิดขึ้นไดอยางไร?”
พระวิปสสนาจารย พึงใหคําตอบวา “ความกาวหนาในการปฏิบัติ
วิปสสนาขึ้นอยูกับการปรับอินทรีย ๕ ใหสมดุลและเพิ่มกําลังพละ ๕ ใหแก
กลาขึ้นตามลําดับ” ซึ่งนั้นหมายความวา พระวิปสสนาจารยจะตองอธิบาย
ใหผูปฏิบัติเขาใจความหมายและความสําคัญของการปรับอินทรียใหสมดุลย
กัน พรอมทั้งมีกระบวนการบมเพาะอินทรียและพอกพูนกําลังพละใหเกิดขึ้น
ในขั น ธสั น ดานของโยคี ผู ป ฏิ บั ติ ใ ห แ ก ก ล า ขึ้ น ตามลํ า ดั บ ตามจํ า นวน
ระยะเวลาที่ปฏิบัติเพิ่มขึ้น ดังที่พระพุทธเจาตรัสวา “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็
ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยูในศีลแลว เจริญ ทําใหมากซึ่งอินทรีย ๕ ยอมถึงความ
เจริญงอกงามไพบูลยในธรรมทั้งหลาย”๗๗
๗๕
องฺ.จตุกฺก.(ไทย)๒๑/๑๖๔/๒๓๖
๗๖
ดูที่มา ส.มหา.(ไทย)๑๙/๔๘๓/๒๙๔
๗๗
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/๗๑๓/๓๔๔.
๓๓๗
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
วิธีปรับอินทรีย
การนํ าเอากุ ศลธรรมที่มีพ ลั ง และสมรรถนะหลายประการที่อ ยู
ภายในกายใจมาปรั บ ให บ รรลุ ผ ลที่พึ งปรารถนาอัน สู ง สุ ด ในการปฏิ บั ติ
วิปสสนาสติปฏฐาน ๔ นั้น กุศลธรรมที่มีสมรรถนะความเปนใหญ เรียกวา
อินทรีย สวนกุศลที่กอใหเกิดกําลัง เรียกวาพละ ซึ่งจําแนกไวอยางละ ๕
อยางเทากัน คือ การปรับศรัทธาใหเสมอกับปญญา การปรับวิริยะใหเสมอ
กับสมาธิ สติตองเจริญใหมาก ซึ่งมีวิธีการดังนี้
๑. การปรั บ อิน ทรี ย โ ดยการกํ าหนดให เ ท า ทัน อารมณป จ จุ บั น ที่
เกิดขึ้น ภายในกาย ใจ ณ ป จจุบันขณะนั้น ดังเมื่อสันตติอํามาตย ฟงธรรม
พรอมทั้งเจริญสติปฏฐานโดยกําหนดรูปนามปจจุบันที่ปรากฏชัด จึงไมเกิด
กิเลสที่หวนคิดถึงอดีต หรือใฝฝนอนาคต และหยั่งเห็นสภาวธรรมรูปนามที่
เกิดดับตามความเปนจริง จนกระทั่งบรรลุมรรคญาณทั้ง ๔ ตามลําดับ ใน
ที่สุดไดบรรลุอรหัตตผล ไมยึดมั่นดวยตัณหาและทิฏฐิ ดังนั้น พระพุทธองค
จึงตรัสขอความวา “อุปสนฺโต จริสฺสสิ (ก็จักเปนผูสงบไปได)”๗๘
๒. การปรับอินทรียโดยการกําหนดเวลา ในการเดินจงกรม และการ
นั่งสมาธิ เชน การเพิ่มเวลาในการเดินจงกรม และการนั่งสมาธิ จาก ๑๕
นาที เปน ๒๐ นาที ๒๕ นาที ๓๐ นาที ไปจนถึง ๖๐ นาที เปนตน
๓. การปรับอินทรียโดยการเพิ่มระยะในการเดินจงกรม และการ
กําหนดจุดในขณะนั่งสมาธิ เชน การเดินจงกรมตั้งแตระยะที่ ๑ ระยะที่ ๒
ระยะที่ ๓ ไปจนถึงระยะที่ ๖ หรือการเพิ่มการกําหนดถี่ๆๆ ในการกาวแต
ละระยะ เปนตน
๔. การปรับอินทรียโดยการเพิ่มการกําหนดอิริยาบถยอย เชน การคู
กําหนดวา คูหนอๆๆ การเหยียดกําหนดวา เหยียดหนอๆๆ การเหลียวหนา
แลหลัง กําหนดวา เหลียวหนอๆๆ เปนตน
๕. การปรับอินทรียโดยการเพิ่มการกําหนดตนจิต หมายถึง การ
๗๘
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), มหาสติปฏฐานสูตร ทางสูพระ
นิพพาน, แปลโดยพระคันธสาราภิวงศ, พิมพครั้งที่ ๒,๒๕๔๙), หนา ๑๕.
๓๓๘
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
กําหนดอารมณตางๆ ที่เกิดขึ้นที่ใจ เชน กอนเดินจงกรมกําหนดวา อยากเดิน
หนอๆ ถาฟุงซาน กําหนดวา ฟุงหนอๆ ถางวงกําหนดวา งวงหนอๆๆ เปนตน
๖. การปรับอินทรียโดยการสํารวมอินทรีย ๖ หมายถึง การกําหนด
อารมณตางๆ ที่กระทบทางทวารทั้ง ๖ อันไดแก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ
ใจ เชน ถาเห็นกําหนดวา “เห็นหนอ” ถาไดยินกําหนดว า “ไดยินหนอ”
ถาไดกลิ่นกําหนดวา “กลิ่นหนอ” ถารูรสกําหนดวา “รสหนอ” ถาถูกตอง
สัมผัสกําหนดวา “ถูกหนอ” ถารับสิ่งตางๆ กําหนดวา “รูหนอ” เปนตน
๗. เพิ่มความถี่ในการกําหนดสภาวะรูป สภาวะนามใหมากขึ้น
การปรั บ อิน ทรีย และพละให เสมอกัน คือ การปรั บศรั ทธาให
เสมอกับปญญา อยาใหอยางหนึ่งอยางใดมากนอยกวากัน ถาศรัทธายิ่ง
ปญญาหยอน ความโลภจะเขาครอบงํา ถาปญญายิ่ง ศรัทธาหยอน ความ
ลังเลสงสัยจะเขาครอบงํา และจะตองปรับวิริยะใหเสมอกับสมาธิ ถาวิริยะ
ยิ่ง สมาธิหยอน ความฟุงซานจะเขาครอบงํา ถาสมาธิยิ่ ง วิริยะหยอน
ความงวงจะเขาครอบงํา ดังนั้น ถาอยางหนึ่งอยางใดนอยเกินไป ก็ตอง
เพิ่มเขาไปใหเสมอกัน โดยมีสติคอยควบคุมอยูตลอดเวลา การปฏิบัติจะ
ไดผลเร็วหรือชา ก็ขึ้นอยูกับการปรับอินทรียและพละนี้เปนประการสําคัญ
วิธีเพิ่มปญญา รูรูปนาม รูปจจุบัน รูไตรลักษณ รูวิปสสนา ปญญา
รูมรรค ผล นิพพาน
วิธีเพิ่มวิริยะ เพียรตั้งใจทําจริง กินนอย นอนนอย พูดนอย
วิธีเพิ่มสมาธิ ผูกจิตไวกับองคคุณ ๓ จิตจับในอารมณใดใหกําหนด
มั่นในอารมณ จิตหลุดในอาการใดใหกําหนดรูใน
อาการนั้น
วิธีเพิ่มสติ ระลึกรูอยูที่รูปนามและการกําหนดตลอดเวลา
วิธีเพิ่มศรัทธา ทรงใจใหอยูกับรูปนาม ศีล สมาธิ ปญญา
สาเหตุที่ทําใหอินทรียแกกลา ๙ ประการ มีพระบาลี วา “นวหา
กาเรหิ อินฺทฺริยานิ ติกฺขานิ ภวนฺติ อุปฺปนฺนุปฺปนฺนานํ สงฺขารานํ ขยเมว
ปสฺสติ, ตตฺถ จ สกฺกจฺจกิริยาย สมฺปาเทติ, สาตจฺจกิริยาย สมฺปาเทติ,
สปฺปายกิริยาย สมฺปาเทติ, สมาธิสฺส จ นิมิตฺตคฺคาเหน, โพชฺฌงฺคานฺจ
๓๓๙
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
อนุปวตฺตนตาย, กาเย จ ชีวิเต จ อนฺตรา จ อโพฺยสาเนนาติ.”
อินทรีย ๕ ยอมแกกลาเพราะเหตุ ๙ ประการ คือ ตองปฏิบัติดังนี้
๑. กําหนดเห็นแตความสิ้นไปหมดไปของรูปนาม ซึ่งเกิดขึ้นในทุกๆ
ขณะ ถึงแมบางครั้งอาการดับจะไมปรากฏ ก็ตองพยายามกําหนดใหได มอง
ใหเห็น แตอยาพยายามหาเหตุผลที่จะทําใหเห็นวา รูปนามเปนของเที่ยง
๒. ยังวิปสสนาญาณใหถึงพรอม โดยการกําหนดอยางเอื้อเฟอตอ
กรรมฐานเพื่อใหเห็นความดับไปของรูป นามนั้น
๓. เจริ ญวิป ส สนาญาณให บ ริ บู ร ณโ ดยการทําอย างต อเนื่ อง ทํา
อยางคงเสนคงวา อยาหยุดในระหวางการปฏิบัติ
๔. เจริญวิปสสนาญาณใหบริบูรณ โดยการทําแตสิ่งที่เปนสัปปายะ
ตอการกําหนดเทานั้น สัปปายะ ๗ คือ ๑. อาวาส ที่อยูเหมาะสม ๒. โคจร ที่
เที่ยวไปมาหมูบานเหมาะสม ๓. ภัสสะ ถอยคํา เหมาะสม ๔. ปุคคละ บุคคล
ผูคบหาเหมาะสม ๕. โภชนะ อาหารเหมาะสม ๖. อุตุ บรรยากาศเหมาะสม
๗. อิริยาปถะ อิริยาบถเหมาะสม
๕. เจริญวิปสสนาญาณใหบริบูรณโดยการกําหนดเหตุของวิปสสนา
สมาธิ คือ การกําหนดรูปนามจนทําใหสมาธิตั้งมั่นอยางแนวแน
๖. เจริญวิปสสนาญาณใหบริบูรณโดยการเจริญโพชฌงคใหถูกตอง
คือ อารมณในการเจริญภาวนาตก ใหเจริญปติ วิริยะ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค
๗. กลาสละทั้งกายและชีวิตของตน หมายถึง ขณะเจริญภาวนาอยู
นั้นมีอารมณฟุงซานขึ้นมา ใหเจริญปสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา
๘. เจริญภาวนาใหบริบูรณ ดวยความอดทนอยางไมยอทอกับทุกข
ซึ่งเกิด ขึ้นในทุกขณะ โดยพรอมที่จะอุทิศทั้งกายและใจหมายถึง ต องมีใจ
มั่นคงไมหวั่นไหวตอความทุกขยากลําบาก ไมคํานึงแมกระทั่งความตาย
๙. ไมเลิกเจริญวิปสสนาญาณกลางคัน คือ ทําใหถึงที่สุด๗๙
๗๙
วิสุทฺธิ (บาลี) ๒/๒๘๐-๑, โสภณมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต (มหาสีสยาดอ),
พระคันธสาราภิวงศ แปลและเรียบเรียง, วิปสสนานัย ๒, หนา ๑๖๓-๑๖๕.
๓๔๐
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
๑๕. ลําดับการสืบทอดวิปสสนาวงศอรหันต๘๐
ราวพุทธศักราช ๒๓๕ พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ พรอมดวยพระ
อรหันต ๑,๐๐๐ รูป ไดรวมกระทําตติยสังคายนาที่เมืองปาฏลีบุตร เมือง
หลวงของแคว น มคธ โดยมี พ ระเจ า อโศกมหาราชเป น องค ศ าสนู ป ถั ม ภ
หลังจากเสร็จสิ้นในการทําสังคายนาครั้งที่สามแลว พระผูเปนเจาก็มีจิตผอง
แผวคอยพิจารณาดูความเปนไปของพระพุทธศาสนา จึงเห็นแจงชัดดวยพระ
อานาคตั ง สญาณว า ในอนาคตกาล พระพุ ท ธศาสนาอั น มี คั น ถธุ ร ะและ
วิปสสนาธุ ระเปนหลั ก จั กประดิษฐานอยูได แตในปจ จันต ชนบทประเทศ
เทานั้น จึงเปนการสมควรที่เราจักสงพระอรหันตทั้งหลาย ใหไปประดิษฐาน
พระพุทธศาสนาในปจจันตชนบทสืบไป
พระมหาโมคคัลลีเถระ ซึ่งเปนพระอรหันตวัยชรา ๗๒ พรรษา ไดสง
สาวก คือพระโสณะอรหันต และพระอุตตระอรหันต นําพระพุทธศาสนามา
ประดิษฐานที่เมืองตะโทง (Thaton) หรือ สุธรรมนครในประเทศพมา ตาม
ประวัติไดมีการสืบทอดวิปสสนาวงศพระอรหันตเรื่อยมาไมขาดสาย จนถึง
สมัยของวิปสสนาจารย ติรงคะสะยาดอ พระมโนอรหันต พระมิงกุลโตญสะ
ยาดอ พระมิงกุลเชตะวันสะยาดอ และทานมหาสีสะยาดอ(พระโสภณมหา
เถระ) ตามลําดับ
เมื่อวิปสสนาวงศ ประดิษฐานมั่นคงในแผนดินสุวรรณภูมิ เปนเวลา
เกือบ ๒,๐๐๐ ป คือตั้งแตสองพระอรหันตทานพระโสณะอรหันต และพระ
อุตตระอรหันตนํามาประดิษฐาน ไวเปนเบื้องแรก เมื่อปพุทธศักราช ๒๓๕
เปนตนมา บรรดาพุทธบริษัทศิษยานุศิษยผูมีจิตหวั่นเกรงภัยในวัฏสงสาร
ปรารถนาจะไดบ รรลุ มรรคผลนิพพาน ก็พากัน อุต สาหะบํ าเพ็ญวิ ป ส สนา
กรรมฐานสื บ ต อ วิ ป ส สนาวงศ ต ลอดมาไม ข าดสาย จวบจนถึ ง สมั ย พระ
ธรรมทัสสีอรหันต ทําการยกยองปกปองพระพุทธศาสนาและขยายวิปสสนา
๘๐
พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ. ๙). วิปสสนาวงศ , สํานักพิมพดอก
หญา ๒๕๔๕. ซอยประชาอุทิศ ๘๙/๑ ถนนประชาอุทิศ, เขตทุงครุ, กรุงเทพฯ ๑๐๑๔๐
พ.ศ. ๒๕๔๖.
๓๔๑
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
วงศให กวางขวางออกไป ในปพุทธศักราช ๑๕๔๑ ซึ่งในตอนนี้นิ ย มเรี ย ก
วิปสสนาวงศดั้งเดิมเพิ่มเติมเปนวาวิปสสนาวงศอรหันตะ
สมัยนั้น ปรากฏมีพระภิกษุสองรูปเปนสหายกัน รูปหนึ่ง มีนามวา
พระเขมภิกขุ กับอีกรูปหนึ่งมีนามวา พระติรงคภิกขุ ตั้งแตเขามาบวชใน
พระพุทธศาสนา เธอทั้งสองก็ตั้งใจศึกษาพระบาลี ไตรปฎกอรรถกถาตลอด
ทั้งนานาพระคัมภีร จนมีความรูสูงสุดตามหลักสูตรการศึกษาในสมัยนั้น แลว
ปรึกษากันวาตอไปนี้ เราทั้งสองจะทําอะไรกันดี พระเขมภิกขุผูมีบุรพวาสนา
วา เราทั้งสองควรจะตั้งหนาบําเพ็ญวิปสสนาธุระตอไป เพื่อบรรลุมรรคผล
นิพพานในชาตินี้ใหจงได พระติรงคภิกขุไดฟงก็หัวเราะแลวคานวา อะไรกัน
มรรคผลนิพพานสมัยนี้จะมีที่ไหนกัน มรรคผลนิพพานเปนของไกลเกินฝน
หากจะมีอยูก็เห็นมีแตในพระคัมภีร ปจจุบันนี้ไมมีใครเขาสนใจเรื่องวิปสสนา
หรือมรรคผลนิพพานกันแลว เรามาเปนพระอาจารยดานคันถธุระบอกพระ
คัมภีรกันดีกวา ตอไปภายหนาจะไดเปนใหญ มีเกียรติยศชื่อเสียงเกรียงไกร
พระเขมภิกขุหนุมผูมีใจหนักแนนประดุจภูผา ไดฟงดังนั้นก็สายหนากลาวย้ํา
วา มรรคผลนิพพานในสมัยนี้ จะมีหรือไมมีใครเลาจะรูได หากวาไมมีการ
บําเพ็ญวิปสสนากรรมฐาน กลาวเทานั้นแลว ทานก็เดินทางออกจากมหา
วิหารบายหนาเขาปาไป
กาลตอมา พระติรงคมหาเถระผูเปนใหญ ซึ่งบัดนี้วัยเขาเกณฑชรา
๗๐ พรรษาเศษแลว ทานไดมีโอกาสตอนรับอาคันตุกภิกขุผูมีพรรษาเสมอกัน
รูปหนึ่ง ซึ่งเปนสหายจากกันไปนานหลายป ก็คือ พระเขมภิกขุที่บอกวาจะ
บําเพ็ญวิปสสนาแลวหายหนาเขาปาไปนั่นเอง เมื่อไดพบปะสนทนากัน ณ ที่
รโหฐานโดยลําพังตัวตอตัวแลว แทนที่จะสนทนากัน ใหสนุกสนานดวยเรื่อง
เกาๆ สมัยยังหนุมอยู แตกลับชวนใหเขาปฏิบัติวิปสสนาทาเดียว โดยอางวา
ตัวทานจะเปนพระอาจารยบอกพระกรรมฐานใหเอง พระติรงคมหาเถระ
คณาจารยใหญจะไดเลื่อมใสเชื่อฟงคําก็หาไม ครั้นจะปฏิเสธไปตรงๆ ก็เกรง
จะเสียน้ําใจกัน จึงกลาวอางวา ตนเองแกแลว เกิดมาชาตินี้ไดมีเกียรติยศ
ชื่ อ เสี ย งเทา นี้ ก็ เ ป น ที่พ อใจแล ว จะเอาอะไรกัน อีก เมื่ อเห็ น ว า สุ ด ที่ จ ะ
เคี่ย วเข็ญให ส หายปฏิบั ติ วิป ส สนากรรมฐานได แล ว พระเขมมหาเถระจึ ง
๓๔๒
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
กล าวว า ถาเช น นั้ น ก็ไมเ ป น ไรแต ข อร องให จ ดจํ า วิ ธี การปฏิ บั ติ วิ ป ส สนา
กรรมฐานไว จะได เ ป น ประโยชน แ ก พ ระพุ ท ธศาสนาต อ ไป จะเอาไว ใ ช
ประกอบการสอนในดานคันถธุระก็ได หรือเผื่อวาในวันขางหนา หากมีผูมี
วาสนามาขอเรียนวิธีการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน จะไดบอกเขาไดอยาง
ถูกตองโดยบอกเขาไป
พระเขมมหาเถระ บอกวิธีการบําเพ็ญวิปสสนากรรมฐานอยางยอ
แลว ก็อธิบายวิธีปฏิบัติตลอดจนสภาวะวิปสสนาญาณโดยพิสดาร เสร็จแลว
จึงถามขึ้นวา จําไดหรือไมเลาที่เราบอกมานี่ เมื่อเห็นสหายเการับคําดวยดี ก็
ลุกขึ้น จั ดแจงห มจี วรอันเกาคร่ําคราพร อมกับบอกว าจะขอลาจากไปแล ว
ตอไปคงไมไดพบกัน เพราะฉะนั้น จึงขอใหเดินไปสงที่ชายปาใกลมหาวิหาร
ดวย พระติรงคมหาเถระ เมื่อไดฟงสหายเกามาอางวา ตอไปภายหนาคงจะ
ไมไดพบกันเช นนั้ น ก็พยุงสั งขารอัน ชราเดิ นตามส งถึงบริเ วณชายปาแล ว
พระเขมมหาเถระก็ห ยุด เดิน หั นหลั งมามองหนา แล ว ถามขึ้น อีกว า จํ าได
แนนอนแลวหรือวิธีการปฏิบัติวิปสสนาที่เราบอกไวนั่นนะ พระติรงคมหา
เถระก็รับรองจําไดสิ เอาเถอะนาไมตองหวง ขอใหเดินทางไปโดยสวัสดีเถิด
พระเขมมหาเถระผูมาจากแดนไกลจึงกลาวเปนครั้งสุดทายวา จําได
ก็ดีแลว นั่ นเปนวิธี การปฏิบั ติวิปสสนากรรมฐาน เพื่อใหไดบรรลุมรรคผล
นิ พพาน เอาเถิด ต อจากนี้ เราจะแสดงผลดี ผ ลพลอยได เ ล็ กน อย ของผู
ปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานจนบรรลุมรรคผลนิพพานวาจะเปนประการใด ขอ
จงตั้งใจดูใหดีๆ วาเทานี้แลว พระเขมมหาเถระผูเชี่ยวชาญในอภิญญาญาณ
ก็อธิษฐานใหเกิดอิทธิวิธีอภิญญา เหาะทะยานขึ้นฟาหายวับไปตอหนา
กาลตอมา....ยังมีพระภิกษุผูมีบุญวาสนาอีกรูปหนึ่งนามวา พระนโม
ภิกขุ ผูมีจิตมุมานะไมทอถอย หลังจากศึกษาเลาเรียนคัมภีรจบแลว ออก
เดินทางจากวิหารปจจันตชนบทมุงหนาไปหาพระอาจารยติรงคมหาเถระ
เรียนบทพระกรรมฐานแลวจึงจรบายหนาไปยังวิหารปจจันตชนบท ที่ทาน
เคยพักอาศัย เป น สุ ขสบาย ด ว ยความตั้ งใจว า จะเขาถ้ํา บํ าเพ็ญวิ ป ส สนา
กรรมฐาน ใหสําเร็จผลจงได ครั้นเดินทางมาถึงวิหารนั้นแลว ก็แจงความให
พระมิงกุลโตญผูเปนศิษยและประชาชนชาวบานไดทราบทั่วกัน พรอมกับขอ
๓๔๓
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
ความกรุณาใหชวยอนุเคราะหในเรื่องอาหารบิณฑบาตเหมือนเชนเดิม แลวก็
รีบเขาถ้ําที่เคยอยูมา เริ่มปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานทันที
ลวงไปนับไดประมาณ ๗ ป วันนี้เปนวันธรรมสวนะ ที่วิหารปจจันต
ชนบทใกลถ้ํานั้น มีชาวบานทายกทายิกาพากันมาทําบุญถวายทานมากมาย
ในขณะที่เขาเหลานั้นกําลังจัดแจงภัตตาหารลวนแตประณีต เพื่อนําไปถวาย
พระนโมเถระผูเปนเจา ที่เขากรรมฐานอยูในถ้ํา อันเปนกิจวัตรประจําวันที่
ชวยกันทํามานานหลายป แลวอยูๆ พวกเขาก็ไดเห็นพระผูเปนเจา พระน
โมเถระนั้นเดินเขามายังวิหารดวยอาการผองใส ก็เกิดโกลาหลตื่นเตน ยินดี
ปรีดากันยกใหญ ตางพากันเขาไปกราบนมัสการทานอยางชุลมุนวุนวาย บาง
ก็ไตถามความเปนไปอยูอึงคะนึง เมื่อการถวายทานใหพระสงฆฉันภัตตาหาร
เสร็จสิ้นลงแลว ทานก็บอกวา ตอไปนี้ ทุกๆ วันธรรมสวนะ ทานจะออกจาก
ถ้ํามาแสดงธรรมแกชาวบาน เพื่อเปนการทดแทนบุญคุณที่เฝาผลัดเปลี่ยน
เวียนเวรสงภั ตตาหารไปให ทานเปน เวลานานหลายป และโดยเหตุ ที่พระ
ธรรมเทศนาที่ จ ะแสดงนี้ จะมีป ระโยชน แก ช าวโลกต อ ไปในวั น ข า งหน า
ฉะนั้น จึงขอใหพระมิงกุลโตญศิษยของทาน ชวยจดบันทึกขอความ สําคัญใน
พระธรรมเทศนาไวดวย
นับตั้งแตวันนี้เปนตนมา พอถึงวันธรรมสวนะ ทานพระอาจารยนโม
เถระก็ออกจากถ้ํามาแสดงพระธรรมเทศนาวาดวยเรื่องการปฎิบัติวิปสสนา
ตามวิปสสนาวงศพระอรหันตะ ซึ่งมีใจความที่เปนสาระสําคัญวา เมื่อโยคี
บุคคลผูเห็นภัยในวัฎสงสาร เขาปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานแลว พระวิปสสนา
ญาณจักเกิดขึ้น ในขัน ธสันดานตามลําดับ นับตั้งแตนามรู ปปริจเฉทญาณ
จนกระทั่งถึงมรรคญาณผลญาณและปจจเวกขณญาณเปนที่สุด และอธิบาย
สภาวะแหงวิ ป ส สนาญาณเหล านั้ น ออกไปอยางกว างขวางพิสดารยิ่ งนั ก
โดยยกเอาพระคัมภีรวิสุทธิมรรค และขอความที่ปรากฏมีในพระบาลีมหาสติ
ปฏฐานสูตร พรอมทั้งอรรถกถาฎีกา มาเปนหลักใหญ แลวก็ลงทายดวยคํา
วาพระปริยัติธรรมและพระปฏิบัติธรรมจะตองตรงกัน พระปฏิเวธธรรมคือ
มรรคผลนิ พพานจึงจะบั งเกิดขึ้นได ในวั นธรรมสวนะสุ ดทาย เมื่อจบการ
แสดงพระธรรมเทศนาแลว พระอาจารยนโมเถระก็กวักมือเรียกพระมิงกุล
๓๔๔
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
โตญผูเปนศิษยใหนําเอาบันทึกพระธรรมเทศนาเรื่องการปฏิบัติวิปสสนา ที่
ทานแสดงติดตอกันหลายวันธรรมสวนะนั้น มาพิจารณาตรวจตราแกไขจน
ถูกตองดีแลวก็บอกวา จงเก็บรักษาไวใหดี นี่คือวิธีการปฏิบัติวิปสสนาวงศ
พระอรหันตะ แลวก็หันมาถามชาวบานที่ประชุมกันอยูที่นั่นวา บรรดาทาน
ทั้งหลายเคยไดยินคําวา พระอรหันตกันบางหรือไมครั้นไดรับคําตอบวาเคย
ไดยิน ทานจึงถามตอไปวา แลวทานทั้งหลายมีใครเคยเห็นองคพระอรหันต
กันบางหรือไม เมื่อไดรับคําตอบ วาไมเคยเห็น ทานจึงถามตอไปวา ขณะนี้
อยากจะเห็นองคพระอรหันตหรือไม เขาเหลานั้นก็ตอบพรอมกันวาอยาก
เห็น ทานจึงบอกวา ถาเชนนั้น เพลาปฐมยามราตรีนี้ ขอใหทานทั้งหลายไป
ประชุมกันดู ที่ปากถ้ําก็คงจะไดเห็นองคพระอรหันต
ราตรี นั้ น ครั้ น ถึ ง เพลาปฐมยาม ท า นพระมิ ง กุ ล โตญพร อ มกั บ
ประชาชนชาวบานมากหลาย ไดพากันมายืนอออยูที่ปากถ้ํา สนทนาไตถาม
กันพึมพําอยูวา องคพระอรหันตที่ทานอาจารยพระนโมเถระบอกใหมาคอย
ดูนั้น จะเปนทานผูใด มาจากไหน รูปรางหนาตาเปนอยางไร บางคนก็วา คง
จะเปนพระอรหันตทานเหาะมาจากฟากฟาปาหิมพานต และบางคนก็วา
ไม ใ ช คงจะเป น ท า นอาจารย น โมเถระพระผู เ ป น เจ า ของเราเสี ย กระมั ง
เพราะวาเทาที่สังเกตุดูวันนี้เห็นเจากูมีกายินทรียผองใสนักในขณะที่ชาวบาน
กําลั งวิ พากษวิ จ ารณกัน อยู นั้ น ก็ให มีอัน เกิด โอภาสแสงสว างจ าขึ้น มาใน
บริเวณถ้ํา ในทามกลางแสงสวางนั้นก็พลันปรากฏรางของพระอาจารยนโม
เถระ กําลังนั่งตั้งกายตรงดํารงสติมั่น และหลับตาในทานั่งกรรมฐานอยูแล ดู
งามสงานาเคารพบูชาเลื่อมในยิ่งนัก ปรากฏเปนที่ประจักษแกตามหาชนอยู
ชั่วครูใหญ แลวก็เกิดเตโชธาตุ คือไฟลุกขึ้น ไหมชายจีวรและกายของทาน
อยางนาตกใจ ผูคนทั้งหลายเห็นเหตุรายเชนนั้น ก็พากันวิ่งถลันเขาไปเพื่อจะ
ชวยดับไฟ แตก็สายไปเสียแลวดวยวา เตโชธาตุนั้นเมื่อตั้งขึ้นไหมอยูชั่วอึดใจ
แล ว ก็ ไ พโรจน โ ชติ ช ว งชั ช วาลเข า สั ง หารเผาผลาญสรี ร ะกายของท า น
อาจารยนโมเถระ ใหยอยยับยุบลงโดยเร็วพลันทันใด เมื่อผูคนทั้งหลายวิ่งเขา
ไปถึงนั้นก็ไดเห็นแตเพียงอัฐิธาตุของทานเหลือเปนกองขาวโพลนอยู
พระมิงกุลโตญศิษยของทานเมื่อไดเห็นปาฏิหาริยมหัศจรรยเกิด
๓๔๕
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
ขึ้ น กั บ ตาเช น นั้ น ก็ ท ราบได ทั น ที ว า พระนโมเถระอาจารย ต นเป น พระ
อรหันต ก็เกิดโสมนัสยิ่งหนักหนา จึงประกาศแกประชาชนชาวบานเหลานั้น
ซึ่งลวนแตเปนญาติโยมของทานใหไดทราบโดยทั่วกัน ครั้นกลับมาถึงวิหาร
แลว ก็นําเอาบันทึกพระธรรมเทศนาวาดวยเรื่องการปฏิบัติวิปสสนาวงศพระ
อรหั น ตะ มาพิ จ ารณาศึ ก ษาจนเป น ที่ เ ข า ใจดี แ ล ว จึ ง บอกลาญาติ โ ยม
ชาวบาน เดินเขาถ้ําไปบําเพ็ญวิปสสนากรรมฐาน อันเปนการเจริญรอยตาม
พระอาจารยนโมเถระอรหันตทันที
การบําเพ็ญวิปสสนากรรมฐานของทานพระมิงกุลโตญนี้ปรากฏวา
ท า นอุ ต สาหะบํ า เพ็ ญ อยู น านหลายป โดยมี ญ าติ โ ยมทายกทายิ ก า
ผลัดเปลี่ยนเวียนเวรกัน นําเอาภัตตาหารไปถวายทานที่ถ้ําเชนเดียวกับที่เคย
นําไปถวายพระนโมเถระอรหันตทุกวัน เมื่อบําเพ็ญวิปสสนากรรมฐานอยู
นานจนไดผลเปนที่พอใจแลว ก็ออกจากถ้ํา ที่บําเพ็ญกรรมฐานมายังวิหาร
ตั้งสํานักปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานขึ้นโดยตัวทานเองเปนพระวิปสสนาจารย
บอกกรรมฐาน ตามวิธีการวิปสสนาวงศพระอรหันตะ ที่ทานบันทึกไวและ
เคยปฏิ บัติ มา ประชาชนชาวบ านตางพากัน ศรั ทธาเลื่ อมใส มาเขาปฏิบั ติ
วิปสสนากรรมฐานมากมาย ไมนานเทาใดชื่อเสียงสํานักวิปสสนากรรมฐาน
ของทานอาจารยพระมิงกุลโตญ ก็คอยขจรขจายแผกวางออกไป
สมัยนั้น ยังมีภิกษุหนุมรูปหนึ่งนามวา พระนารทภิกขุ เปนผูมีบุรพ
วาสนาควรแกการบําเพ็ญวิปสสนากรรมฐาน ครั้นบรรพชาในวิชาการทาง
พระพุ ท ธศาสนาเชี่ ย วชาญดี แต แ ทนที่ จ ะมี ค วามพอใจใฝ ห าเกี ย รติ ย ศ
ชื่อเสียงในดานคันถธุระ กลับมีความพอใจใครจะปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน
อันเปนการนําตนออกจากกองทุกขในวัฏฏสงสาร เพื่อไมใหเสียทีที่เกิดมา
เป น มนุ ษ ย พ บพระพุ ท ธศาสนา ก็ พ อดี ไ ด ส ดั บ ข า วอั น เป น มงคลว า พระ
อาจารยมิงกุลโตญตั้งสํานักปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานขึ้นแลว จึงเดินทางไป
พบกับ พระอาจารยมิงกุล โตญเพื่อสอบถามให แน ใจกอนว า สํ านั กปฏิ บั ติ
กรรมฐานที่ตั้งขึ้นมานี้ เปนสํานักปฏิบัติสมถกรรมฐาน หรือปฏิบัติวิปสสนา
กรรมฐาน ครั้นไดความแจงชัดวา เปนสํานักปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน ตาม
วิปสสนาวงศพระอรหันตะ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากพระโสณะอรหันตและพระ
๓๔๖
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
อุต ตระอรหั น ต พระนารทภิ ก ขุก็ ใ ห ดี อ กดี ใ จสุ ด ประมาณ รั บ อภิ วั น ท ข อ
กรรมฐานจากพระอาจารยแลวก็เริ่มบําเพ็ญ วิปสสนากรรมฐานทันที
พระนารถภิกขุผูมีบุรพวาสนา อุตสาหะปฏิบัติวิปสสนาอยูเปนเวลา
ชานานนับดวยจํานวนปโดยมีพระอาจารยมิงกุลโตญเปนพระวิปสสนาจารย
ผูบอกกรรมฐาน และเปนผูควบคุม ในขณะปฏิบัติอยางเขมงวดกวดขัน ใน
ที่สุด ก็ไดผลสมความมุงหมาย ทําใหทานหมดความสงสัยในวิธีการปฏิบัติ
วิปสสนากรรมฐาน เพราะวาพระวิปสสนาญาณตางๆ ปรากฏอยางชัดเจน
แจมแจง จนทานไดบรรลุอมตธรรมในพระพุทธศาสนา พระอาจารยมิงกุล
โตญพิจารณาเห็นวา พระนารทภิกขุผูเปนศิษยของทานรูปนี้ มีสติปญญามาก
ทั้งสภาวะพระวิปสสนาญาณก็ปรากฏขึ้นในขันธสันดานชัดเจนแจมใสควรจะ
เปน หลั กสํ าคัญในพระศาสนาด านวิป สสนาธุระตอไปภายหน า จึงมีคําสั่ ง
กําชับใหทานทบทวนพระวิปสสนาญาณ จนเชี่ยวชาญแมนยําในสภาวะพระ
วิปสสนาญาณอยูเปนเวลานาน เมื่อเปนที่พอใจทานแลว ก็ใหออกจากการ
ปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน เพื่อสอนวิชาวิปสสนาจารยใหตอไป
กาลต อ มา ปรากฏว า พระอาจารย น ารทเถระนั้ น ท า นเป น พระ
วิปสสนาจารยที่มีชื่อเสียงเปนหลักสําคัญในพระพุทธศาสนาดานวิปสสนา
ธุระ ตามที่พระอาจารยมิงกุลโตญคาดหวังไวทุกประการ มหาชนเรียกทาน
อีกนามหนึ่งวา พระมิงกุลเชตะวัน สะยาดอร ที่สํานักปฏิบัติวิปสสนาของ
ทาน มีศิษยานุศิษยทั้งบรรพชิตและคฤหัสถมากมาย ในบรรดาศิษยานุศิษย
จํานวนมากนั้น ปรากฏวามีศิษยบรรพชิตที่สําคัญที่มีชื่อเสียงโดงดังในสมัย
ปจจุบันอยูรูปหนึ่ง นามวา “พระโสภณมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต”๘๑
หลั กฐานที่ได กล าวมาแล ว จะเห็ น ได ชั ด ว าวิ ธี การสอนแบบนี้ มีมา
ตั้งแตโบราณกาลเปนแนวปฏิบัติที่นิยมแพรหลายในประเทศสหภาพพมา
๘๑
ดู ร ายละเอี ย ดในหนั ง สื อ “๑๐๐ ป อั ค คมหากั ม มั ฏ ฐานาจริ ย ะ” ,
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย , พิมพที่ บริษัทอมรินทรพริ้นติ้งแอนตพับ
ลิชชิ่ง จํากัด (มหาชน) , ถนนบรมราชชนนี ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐, ๒ กรกฏาคม
๒๕๕๔.
๓๔๗
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
เปนระยะเวลานานกอนที่พระอาจารยมหาสี สะยาดอ จะนํามาใชสอนโยคีผู
เปนศิษย ฉะนั้น การกําหนดในใจวา “พองหนอ-ยุบหนอ” ที่บริเวณทองคือ
การสังเกตธาตุลม (วาโยธาตุ) ที่มีสภาวะลักษณะคือการเคลื่อนไหวอยาง
ชัดเจน เปนแนวทางปฏิบัติวิปสสนา กรรมฐานที่สอดคลองกับหลักคําสอนใน
มหาสติปฏฐานสูตร ที่วาดวยการมีสติตามดูกาย (กายานุปสสนาสติปฏฐาน)
ในขอกําหนดเกี่ยวกับการพิจารณากายโดยความเปนธาตุทั้ง ๔ (ธาตุ
มนสิการปพพะ) อาการพอง-อาการยุบ คือรูปที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสของ
ธาตุลมนี้เรียกวา วาโยโผฏฐัพพรูป เปนรูปปรมัตถที่มีลักษณะของวาโยธาตุ
ชัดเจนคือการเคลื่อนไหว พระพุทธองคทรงเทศนาไวในบาลีสังยุตตนิกายวา
“ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เธอจงเปนผูมีโยนิโสมนสิการ ตั้งสติ กําหนดที่รูป ถามี
สมาธิแลว รูปนั้นอนิจจังก็ดี ทุกขังก็ดี อนัตตาก็ดี ยอมเห็นไดชัดเจน
แนนอน” ยังทรงเทศนอีกวา “โยคีบุคคลที่โผฏฐัพพารมณถูกตองสัมผัสนั้น
ตั้งสติกําหนดรูเห็นอยูวาไมเที่ยงบุคคลนั้นอวิชชาหายไปวิชชาญาณปรากฏ”
ดังนั้น การกําหนด “พองหนอ-ยุบหนอ” จึงเปนการสังเกตวาโยโผฏฐัพพรูป
ดวยโยนิโสมนสิการ อันประกอบดวยอาตาปหรือวิริยะ (ความเพียร) สติ
(ความระลึกได) สมาธิ (ความตั้งมั่นแหงจิต) และสัมปชัญญะ (ความรูตัวทั่ว
พรอม) มีหลักฐานยืนยันวาเปนคําสอนของพระพุทธองคที่ตรัสไวในมหาสติ
ปฏฐานสูตร เมื่อพลังของปจจัยดังกลาวแกกลาพอเพียงแลวผูปฏิบัติ (โยคี)
จะเห็นความไมเที่ยง ความเปนทุกขและความไมใชตัวตนของรูปธรรมและ
นามธรรม มีสัมมาทิฏฐิและวิชชาญาณเกิดขึ้น จนสามารถบรรลุมรรค ผล
นิพพานไดในที่สุด
๑๖. การปฏิบัติสุทธวิปสสนาแบบพอง-ยุบ
มหาสี ส ยาดอ หรื อ พระโสภณมหาเถระ ทา น
เชี่ยวชาญทั้งปริยัติและปฏิบัติ ในประวัติเลาวา ทานเปน
ผูเชี่ยวชาญในคัมภีรพระไตรปฎก อรรถกถาและฎีกามาก
มีศิษยมากมาย ตอมาทานตองการปฏิบัติวิปสสนา ซึ่งเปน
เนื้อแทของพระพุทธศาสนาที่แทจริง จึงเที่ยวสืบคนหา
๓๔๘
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
สํานักปฏิบัติวิปสสนาที่มีหลักการสอดคลองกับคัมภีรที่ไดศึกษามา ในที่สุดได
เลือกปฏิบัติแบบกําหนดทองพอง-ทองยุบกับอาจารยผูปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ทานหนึ่ง จนเห็นผลจริง วาวิปสสนามิใชมีอยูแตในตํารา การกําหนดดูอาการ
ทองพอง-ทองยุบอยางจดจอตอเนื่องนี่แหละ เปนการเจริญวิปสสนาใหบรรลุ
ถึงมรรคผลนิพพานไดจริง อีกวิธีหนึ่ง ความสอดคลองกันระหวางการกําหนด
อาการพอง-อาการยุบกับหลักปฏิบัติในพระคัมภีรพระไตรปฎก อรรถกถา
ฎีกา ผูสนใจหาอานไดจากหนังสือ “วิปสสนานัย”๘๒ อางอิงหลักฐานที่มา
ของแตละขอความไวอยางชัดเจน ระบุเชิงอรรถไวครบถวน
อนึ่ง ในการประชุมทําสังคายนาครั้งที่ ๖ ณ นครยางกุง ในป พ.ศ.
๒๕๐๐ นั้น ทานไดรับหนาที่สําคัญยิ่งในคราวครั้งนั้น คือ เปนผูตั้งปุจฉา ถาม
ขอความในพระไตรปฎก เพื่อใหพระเถระระดับทรงอภิญญาความจําเปนเลิศ
นามวา พระเถราจารยวิจิตตาสาราภิวังสะ เปนผูวิสัชนา เปรียบเทียบไดกับ
ทานพระมหากัสสปมหาเถระ ในการสังคายนาครั้งแรก
พระพุทธพจนวา “ภิกษุทั้งหลาย ขอปฏิบัติอยางหนึ่งคือ ภิกษุยอม
พิจารณาเห็นกายนี้ ตามที่ดํารงอยู ตามที่เปนไปอยูโดย ความเปนธาตุวา
ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ และธาตุลมมีอยูในกาย”๘๓
พระโสภณมหาเถระอธิบายวา การกําหนดรูสภาวะพอง-ยุบจัดเปน
ธาตุกรรมฐานตามพระบาลีขางตน โดยสภาวะพอง-ยุบเปนลมในทองที่ดันให
พองออกและหดยุบลงตามลักษณะของวาโยธาตุ
วิตฺถมฺภนลกฺขณา สภาวะตึงหยอนของธาตุลมที่เปนโผฏฐัพพารมณ
เปนลักษณะพิเศษของวาโยธาตุ
สมุทีรณรสา การทําใหเคลื่อนไหวจากระยะหนึ่งไปสูอีกระยะหนึ่ง
เปนหนาที่ของวาโยธาตุ
๘๒
พระโสภณมหาเถระ(มหาสีสยาดอ). วิปสสนานัย, พระพรหมโมลี ตรวจ
ชําระ.
๘๓
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๘/๓๐๗.
๓๔๙
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
อภินีหารปจฺจุปฏานํ๘๔ การผลักดันออก ขยายออก ตึงออก เปน
อาการปรากฏของวาโยธาตุ
และเปนการฝกปฏิบัติในหมวดอิริยาบถในกายานุปสสนาสติปฏฐาน
ซึ่งพระพุทธเจาตรัสไววา “ยถา ยถา วา ปนสฺส กาโย ปณิหิโต โหติ, ตถา
ตถา นํ ปชานาติ .” เธอตั้ ง กายไว ด ว ยกิริ ย าอาการอย างใดๆ ก็รู ชั ด กิริ ย า
อาการอยางนั้นๆ๘๕
ดั ง ที่พ ระโสภณมหาเถระ(มหาสี ส ยาดอ)อธิ บ าย
และประสบการณการปฏิบัติของผูเขียนเองยืนยันไดวา การ
เจริญสติกําหนดลักษณะอาการของวาโยธาตุ เปนการเจริญ
วิ ป ส สนาภาวนาที่ ถู ก ต อ งตามหลั ก สติ ป ฏ ฐาน ๔ อย า ง
แนน อน เพราะในขณะปฏิบั ติจริ งๆ นั้ น มิใชกําหนดรูแต
อาการของวาโยธาตุ (อาการพอง-ยุบ) แตเพียงอยางเดียว ถาหากมีอารมณ
อื่นๆ แทรกเขามาชัดเจนกวา หรือจิตเคลื่อนไปรับอารมณนั้นๆ ก็ใหกําหนด
อารมณนั้นๆ จนอาการนั้นๆ ดับไปจากจิต หรือจิตดับไปจากอารมณนั้นๆ
เสียกอน จึงจะกลับมากําหนดรูลักษณะอาการของวาโยธาตุไดอีก และเมื่อ
เจริญภาวนาจนสภาวะญาณสูงขึ้น สภาวะอาการของวาโยธาตุดับไปสิ้นแลว
ก็ใหตามกําหนดรูอารมณที่ยังเหลืออยางอื่นๆ ตอไป โดยเฉพาะสภาวธรรมา
รมณที่ป รากฏทางจิต อาการของจิ ต และตั วจิ ต เองที่รั บ รู ธ รรมารมณนั้ น
จนกวาสภาวะทั้งที่เปนธรรมารมณและจิตที่รับรูธรรมารมณนั้นๆ ดับจนหมด
สิ้นไป จากนั้นจะหนวงเอาพระนิพพาน มาเปนอารมณไดเองโดยอัตโนมัติ
การเขามาเผยแผในประเทศไทย๘๖
๘๔
ดูใน ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๘/๒๖๒, อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๑/๓๙๑.
๘๕
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๕/๒๖๐-๑.
๘๖
ดู ร ายละเอี ย ดในหนั ง สื อ : ๑๐๐ ป อั ค คมหากั ม มั ฏ ฐานาจริ ย ะ,
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย , พิมพที่ บริษัทอมรินทรพริ้นติ้งแอนตพับ
ลิชชิ่ง จํากัด (มหาชน) , ถนนบรมราชชนนี ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐, ๒ กรกฎาคม
๒๕๕๔.
๓๕๐
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
การปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานแบบพอง-ยุบ เขามาแพรหลายเปนที่
นิยมกันในประเทศไทย เริ่มจากความดําริ ริเริ่มของสมเด็จพระพุฒาจารย
(อาจ อาสภมหาเถร) อดีตอธิบดีสงฆวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เมื่อครั้ง
ดํ ารงสมณศัก ดิ์ ที่ “พระพิมลธรรม” ที่ได จั ด ส งพระมหาโชดก าณสิ ทฺ ธิ
(พระธรรมธีรราชมหามุน)ี และคณะไปศึกษาวิปสสนาธุระที่สหภาพเมียนมา
ปพุทธศักราช ๒๔๙๕ พระพิมลธรรมไดสงพระมหาโชดก าณสิทฺธิ
วัดมหาธาตุฯ ไปศึกษาการปฏิบั ติวิป สสนากรรมฐาน ที่สํานักสาสนยิสสา
นครแรงกูน ประเทศเมียนมา ซึ่งมีพระโสภณมหาเถระ (มหาสีสะยาดอ)
เปนเจาสํานัก พระมหาโชดกไดไปศึกษาฝกการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานที่
ประเทศเมียนมาเปนเวลา ๑ ปเศษ จึงคิดจะกลับประเทศไทย ในครั้งนั้น
พระพิมลธรรม (อาจ อาสภเถระ) ไดแสดงความจํานงไปยังสภาการศึกษา
พุทธศาสนาแหงประเทศเมียนมา ขอใหจัดสงพระวิปสสนาจารยผูมีความรู
เชี่ยวชาญมาสอนการปฏิบัติในประเทศไทยดวย ๒ รูป ทางสภาการศึกษา
ประเทศเมียนมายินดีสงพระภัททันตะอาสภมหาเถระ กัมมัฏฐานาจริยะ
และทานอินทวังสะ ภาวนาจริยะ มาพรอมกับพระมหาโชดก าณสิทฺธิ
ปพุทธศักราช ๒๔๙๖ พระพิมลธรรม ประกาศตั้งวัดมหาธาตุยุวราช
รังสฤษฎิ์ ใหเ ป น สํานั กปฏิ บั ติวิ ป ส สนากรรมฐานขึ้นแผนกหนึ่ ง ใช สถานที่
ภายในบริเวณพระอุโบสถเปนที่ปฏิบัติ เมื่อเปดสํานักกรรมฐานขึ้นแลวมีพระ
เถรานุเถระ พระภิกษุสามเณรสมัครเขาปฏิบัติเปนจํานวนมาก มีพระมหา
โชดก าณสิทฺธิ กับพระอาจารยชาวเมียนมา ๒ ทาน เปนอาจารยสอน
ประจําตั้งแตบัดนั้นมา
การปฏิบัติวิปสสนาไดเจริญกาวหนาขยายสาขาออกไปสูตางจังหวัด
อยางรวดเร็ว กลาวไดวาการปฏิบัติวิปสสนาในประเทศไทยเกิดขึ้นภายใต
การนําของเจาประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ อาสภเถระ) ภายใตการ
อบรมของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก าณสิทฺธิ)
ปพุทธศักราช ๒๔๙๘ เจ าประคุณสมเด็ จ พระพุฒ าจารย (ขณะ
ดํารงสมณศักดิ์ที่ พระพิมลธรรม) ไดนําการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานเสนอ
คณะสังฆมนตรี เพื่อตั้งเปนกองการวิปสสนาธุระขึ้นในคณะสงฆไทย ครั้ง
๓๕๑
บทที่ ๕ กําหนดรูพอง-ยุบ เจริญสติปฏ ฐาน ๔
ตอมาจึงจัดตั้งสํานักงานกลางกองการวิปสสนาธุระขึ้นที่วัดมหาธาตุ ฯ คณะ
๕ กรุงเทพมหานคร โดยมีเจาประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ อาสภ
เถระ) เปนผูอํานวยการใหญฝายวิปสสนาธุระ แตงตั้ง พระธรรมธีรราชมหา
มุนี (โชดก าณสิทฺธิ) เปนพระอาจารยใหญฝายวิปสสนาธุระ
ปพุทธศักราช ๒๕๒๔ เจาประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย ในฐานะ
สภานายกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อนุมัติตั้งสถาบันวิปสสนาธุระขึ้น
เป น หน ว ยงานหนึ่ ง ของมหาจุ ฬ าลงกรณราชวิ ทยาลั ย เรี ย กว า “สถาบั น
วิปสสนาธุระแหงมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” เพื่อใหนักศึกษาไดศึกษา
และปฏิบัติ ทั้งปริยัติศาสนาและปฏิบัติศาสนา ซึ่งเปนธุระในพระพุทธศาสนา
ใหเจริญรุงเรือง
ปพุทธศักราช ๒๕๔๘ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส โดยการนําของสมเด็จพระพุทธชินวงศ
(สมศักดิ์ อุปสมมหาเถระ) เมื่อครั้งเปนพระพรหมโมลี ไดเสนอหลักสูตรพุทธ
ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปสสนาภาวนา ระดับชั้นปริญญาโท เพื่อใหผู
ศึกษามีความรูที่ถูกตองในเรื่องการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน ทั้งภาคทฤษฎี
ในพระไตรปฎก อรรถกถา ฎีกา และภาคปฏิบัติที่มีความสอดคลองกัน คือ
เมื่อปฏิบัติจนเห็นรูป-เห็นนาม เห็นพระไตรลักษณ และเห็นอริยสัจ ๔ ดวย
ตนเองแลว ก็สามารถสอนผูอื่นใหรูอยางที่ตนรูไดดวย มิใชรูอยูแตผูเดียว แต
ไมสามารถสั่งสอน หรืออธิบายขยายความใหผูอื่นเขาใจได
สภามหาวิทยาลัยมีคําสั่งอนุมัติใหเปดดําเนินการไดในปพุทธศักราช
๒๕๔๘ เปนตนมา เมื่อศึกษาพระไตรปฎก อรรถกถา ฎีกา วิสุทธิมรรค ครบ
หนวยกิตรายวิชาแลว นิสิตตองเขาปฏิบัติวิปสสนาภาวนาติดตอกัน เปนเวลา
๗ เดือนเต็ม จึงจะมีสิทธิ์เสนอสอบวิทยานิพนธเพื่อจบหลักสูตรได
๓๕๒
บทที่ ๖
วิธีเดินจงกรม เจริญอริยสัจ ๔
พระพุทธองคตรัสไววา “ปุน จ ปรํ ภิกฺขเว ภิกฺขุ คจฺฉนฺโต วา คจฺฉา
มีติ ปชานาติ, ิโต วา ิโตมฺหีติ ปชานาติ นิสินฺโน วา นิสินฺโนมฺหีติ ปชานาติ,
สยาโน วา สยาโนมฺหีติ ปชานาติ, ยถา ยถา วา ปนสฺส กาโย ปณิหิโต โหติ
ตถา ตถา นํ ปชานาติ”๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ขอปฏิบัติอีกประการหนึ่ง คือ ภิกษุเมื่อเดินไป
อยู ยอมรูชัดวาเดินอยู เมื่อยืนอยูยอมรูชัดวายืนอยู เมื่อนั่งอยูยอมรูชัดวา
นั่งอยู เมื่อนอนอยูก็ยอมรูชัดวานอนอยู หรือวา ภิกษุตั้งกายไวดวยอาการ
อยางใดอยู ก็ยอมรูชัดดวยอาการอยางนั้น๒
พระองคตรัสสอนวิธีพิจารณา ยกขึ้นสูวิปสสนาตอไปอีกวา
ดวยวิธีนี้ ภิกษุยอมพิจารณาเห็นกายในกายภายในอยู พิจารณา
เห็ น กายในกายภายนอกอยู หรื อ พิ จ ารณาเห็ น กายในกายทั้ ง ภายในทั้ ง
ภายนอกอยู พิจารณาเห็นธรรมเปนเหตุเกิดในกายอยู พิจารณาเห็นธรรม
เปนเหตุดับในกายอยู หรือพิจารณาเห็นทั้งธรรมเปนเหตุเกิดทั้งธรรมเปนเหตุ
ดับในกายอยู หรือวา ภิกษุนั้นมีสติปรากฏอยูเฉพาะหนาวา กายมีอยูก็เพียง
เพื่ออาศัยเจริญญาณ เจริญสติเทานั้น ไมอาศัยตัณหาและทิฏฐิอยู และไมยึด
มั่น ถือมั่น อะไรๆ ในโลก ภิ กษุทั้งหลาย ภิ กษุพิจ ารณาเห็ น กายในกายอยู
อยางนี้แล๓
การพิจารณาเห็นทั้งธรรมเปนเหตุเกิดทั้งธรรมเปนเหตุดับในกายอยู
พระสารี บุ ต รเถระอธิ บ ายว า เมื่อ เห็ น ความเกิด ขึ้น แห งรู ป ขัน ธ ย อ มเห็ น
ลักษณะ ๕ ประการอะไรบาง คือ
๑
ที.ม.(บาลี) ๑๐/๓๗๕/๒๔๙, ที.ม.(ไทย) ๑๐/๓๗๕/๓๐๔.
๒
ที.ม. (ไทย)๑๐/๓๗๕/๓๐๔, ม.มู.(ไทย) ๑๒/๑๓๔/๗๔.
๓
ที.ม.(บาลี) ๑๐/๓๗๕/๒๔๙
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
๑. ยอมเห็นโดยความเกิดขึ้นแหงปจจัยวา เพราะอวิชชาเกิด รูปจึง
เกิด”
๒. ยอมเห็นโดยความเกิดขึ้นแหงปจจัยวา เพราะตัณหาเกิด รูปจึง
เกิด”
๓. ยอมเห็นโดยความเกิดขึ้นแหงปจจัยวา เพราะกรรมเกิด รูปจึง
เกิด”
๓. ยอมเห็นโดยความเกิดขึ้นแหงปจจัยวา เพราะอาหารเกิด รูปจึง
เกิด”
๕. แมเมื่อเห็นลักษณะแหงความบังเกิด ก็ยอมเห็นความเกิดขึ้นแหง
รูปขันธ
เมื่ อเห็ น ความเสื่ อ ม(แห ง รู ป ขั น ธ ) ย อ มเห็ น ลั ก ษณะ ๕ ประการ
อะไรบาง คือ
๑. ยอมเห็นโดยความดับแหงปจจัยวา เพราะอวิชชาดับ รูปจึงดับ”
๒. ยอมเห็นโดยความดับแหงปจจัยวา เพราะตัณหาดับ รูปจึงดับ”
๓. ยอมเห็นโดยความดับแหงปจจัยวา เพราะกรรมดับ รูปจึงดับ”
๓. ยอมเห็นโดยความดับแหงปจจัยว เพราะอาหารดับ รูปจึงดับ”
๕. แมเมื่อเห็นลักษณะแหงความแปรผัน ก็ยอมเห็นความเสื่อมแหง
๔
รูปขันธ
ในขณะเดิน ผูปฏิบัติพึงมีสติรูเทาทันอาการเคลื่อนไหวของเทาแต
ละยางกาว เมื่อสมาธิแกกลามากขึ้น จะสามารถรับรูจิตที่ตองการจะเดินได
อีกโดยรูวา จิตที่ตองการเดินจะเกิดขึ้นกอน แลวจึงเกิดอาการเคลื่อนไหว
ตอมา ลักษณะธาตุขณะเดิน การยกเกิดจากธาตุไฟและธาตุลม การยาง เกิด
จากธาตุไฟและธาตุลม การกาวไปขางหนาเกิดจากธาตุไฟและธาตุลม การ
เหยียบ เกิดจากธาตุดินและธาตุน้ํา การวางเกิดจากธาตุดินและธาตุน้ํา การ
กด เกิดจากธาตุดินและธาตุน้ํา
๔
ขุ.ป.(ไทย) ๓๑/๕๐/๗๗.
๓๕๔
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
คัมภีรฎีกาอธิบายวา “วาโยธาตุยา อนุคตา เตโชธาตุ อุทฺธรณสฺส
ปจฺจโย” ขณะเดิน การยก(อุทฺธรณ)เกิดจากธาตุไฟเปนหลัก ธาตุลมคลอย
ตาม เพราะธาตุไฟมีสภาพเบากวาธาตุลม ตามอาการปรากฏ (ปจจุปฏฐาน)
ของธาตุไฟวา มีการใหถึงความออน หรือการพุงขึ้นสูงเปนเครื่องปรากฏ(มทฺ
ทวานุปฺปาทนปจฺจุปฏฐานา)
เตโชธาตุยา อนุคตา วาโยธาตุ อติหรณวีติหรณานํ ปจฺจโย.
การย า ง (อติ ห รณ) เกิ ด จากธาตุ ล มเป น หลั ก ธาตุ ไ ฟคล อ ยตาม
เพราะมีสภาพผลักดันตามอาการปรากฏของธาตุลม วา มีการผลักดันเปน
เครื่องปรากฏ (อภินีหารปจฺจุปฏฐานา)๕
คัมภีรอรรถกถา๖อธิบายวา แมสัตวดิรัจฉานเมื่อเดินไป ก็รูวาตัว
เดินก็จริงอยู แตพระพุทธเจามิไดตรัสหมายเอาความรูเชนนั้น เพราะความรู
เชน นั้นละความเห็น วาสั ตวไมไดเพิกถอนความเขาใจว าสัต วไมได ไมเป น
ภาวนาหรือสติปฏฐานภาวนาสวนการรูของภิกษุผูเจริญกายานุปสสนานี้ยอ
มละความเห็นวาสัตว เพิกถอนความเขาใจวาสัตวได เปนทั้งภาวนาและเปน
สติปฏฐานภาวนา และคําที่ตรัสหมายถึงความรูชัดอยางนี้วา ใครเดิน การ
เดินของใคร เดินไดเพราะอะไร แมในอิริยาบถอื่นๆ ก็เหมือนกัน
ใครเดิน ตอบวา ไมใชสัตว หรือบุคคลไรๆ เดิน
การเดินของใคร ตอบวา ไมใชการเดินของสัตว หรือบุคคลไรๆ เดิน
เดินไดเพราะอะไร ตอบวา เดินไดเพราะการแผไปของวาโยธาตุอัน
เกิดจากจิตปรารถนา เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นยอมรูชัดวา จิตคิดวาจะเดิน จิต
นั้นก็ทําใหเกิดวาโยธาตุ ทําใหเกิดความเคลื่อนไหว การนําสกลกายใหกาวไป
ขางหนาดวยความไหวตัวแหงวาโยธาตุอันเกิดจากจิตปรารถนา เรียกวาเดิน
แมในอิริยาบถอื่นก็เหมือนกัน จิตเกิดขึ้นวาเราจะยืน จิตนั้นทําใหเกิดวาโย
ธาตุที่ทําใหเกิดความจงใจในความเคลื่อนไหว การทรงสกลกายใหตั้งขึ้นแต
๕
ที.ฎีกา (บาลี) ๑/๓๐๑-๒, ม.ฎีกา (บาลี) ๑/๔๔๖.
๖
ที.มหา.อ.(บาลี)๒/๓๗๕/๓๘๑
๓๕๕
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
พื้นเทา ดวยความไหวตัวแหงวาโยธาตุอันเกิดแตการทําของจิต เรียกวา ยืน
เกิดจิตปรารถนาขึ้นวาเราจะนั่ง จิตนั้นก็ทําใหเกิดวาโยธาตุๆ ก็ทํา
ใหเกิดความจงใจในความเคลื่อนไหว ความคู กายเบื้องลางลง ทรงกายเบื้อง
บนขึ้น ดวยความไหวตัวแหงวาโยธาตุอันเกิดแตการทําของจิต เรียกวานั่ง
เกิดจิตปรารถนาขึ้นวา เราจะนอน จิตนั้นก็ทําใหเกิดวาโยธาตุๆ ทํา
ใหเกิดความจงใจความเคลื่อนไหว การเหยียดกายทั้งสิ้นเปนทางยาว ดวย
ความไหวตัวแหงวาโยธาตุอันเกิดแตการทําของจิต เรียกวา นอน
เมื่อภิกษุนั้นรูชัดอยูอยางนี้ ยอมมีความคิดเห็นอยางนี้วา เขากลาว
กัน ว า สั ต ว เ ดิ น สั ต ว ยื น แต โ ดยแทจ ริ งแล ว สั ต ว ไรๆ ที่เ ดิ น ที่ยื น หามีไ ม
ประดุจคําที่กลาวกันวา เกวียนเดิน เกวียนหยุด แตธรรมดาวา เกวียนไรๆ ที่
เดินได หยุดไดเอง หามีไม ตอเมื่อนายสารถีผูฉลาด เทียมโค ๔ ตัวแลวขับไป
เกวียนจึงเดิน จึงหยุด
กายเปรียบเหมือนเกวียน เพราะอรรถวาไมรู ธาตุลมที่เกิดจากจิต
เปรียบเหมือนโค จิตเปรียบเหมือนสารถี เมื่อจิตเกิดขึ้นวา เราจะเดิน เราจะ
ยืน วาโยธาตุที่ทําใหเ กิด ความเคลื่อนไหวก็เกิด ขึ้น อิริ ยาบถมีเดิ นเป นต น
ยอมเปนไปเพราะความไหวตัว แหงวาโยธาตุอันเกิดแตการทําของจิต แตนั้น
สัตวก็เดิน สัตวก็ยืน เราเดิน เรายืน๗
พระพุทธเจาไดตรัสอานิสงสของการเดินจงกรมไว ๕ ประการดังนี้
“ดูกรภิ กษุทั้งหลาย อานิ สงสในการเดินจิ งกรมมี ๕ อยางเหลานี้
อานิสงส ๕ อยางเปนไฉน คือ
๑. อทฺธานกฺขโม โหติ. เปนผูอดทนตอการเดินทางไกล
๒. ปธานกฺขโม โหติ. เปนผูอดทนตอการบําเพ็ญเพียร
๓. อปฺปาพาโธ โหติ. เปนผูมีอาพาธนอย
๔. อสิตํ ปตํขายิตํสายิตํสมฺมาปริณามํ คจฺฉติ. อาหารที่กิน ดื่ม เคี้ยว
ลิ้มแลวยอมยอยงาย
๕. จงฺกมาธิคโต สมาธิ จิรฏฐิติโก โหติ.สมาธิที่ไดจากการเดินจงกรม
๗
ที.ม.อ.(บาลี) ๒/๓๗๕/๓๘๑
๓๕๖
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
๘
ตั้งอยูไดนาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงสในการเดินจงกรม มี ๕ อยางเหลานี้”
อานิสงสขอที่ ๕ คือ สมาธิที่ไดจากการเดินจงกรมยอมตั้งอยูนาน
หมายความวา สมาธิที่ไดจากการเดินจงกรมยอมกอใหเกิดสมาบัติ คือ รูป
ฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ อยางไรก็ตาม การบรรลุฌานหรือเขาฌานสมาบัติยอม
มีไดในอิริยาบถนิ่งเทานั้น เพราะฌานจิตทําหนาที่ค้ําจุนรูปไมใหเคลื่อนไหว๙
และหมวดอิริยาบถก็จัดเปนวิปสสนาเทานั้น๑๐ ขอความในคัมภีรอรรถกถานี้
จึงเปนการกลาวโดยออมเพื่อแสดงวา การเดินจงกรมตามหลักของสติปฏ
ฐานสู ตรสามารถเกื้อหนุ นใหนั กปฏิบั ติบ รรลุส มาบั ติ ๘ ได ในขณะนั่ ง ยื น
หรื อนอนที่เ ปน อิริย าบถนิ่ ง ทั้งนี้ เพราะวิ ปส สนาอาจเปน บาทเกื้อหนุน ให
สมถะกาวหนาอย างรวดเร็ว เหมือนกับการที่สมถะอาจเกื้อหนุนให สมถะ
กาวหนาไดเชนเดียวกัน ดังมีหลักฐานวา
จงฺ กมาธิ ค โต สมาธี ติ จงฺ กมํ อธิ ฏ ฐ หนฺ เ ตน อธิ คโต อฏ ฐ นฺ นํ
สมาปตฺตีนํ อฺญํตรสมาธิ.๑๑“คํากลาววา จงฺกมาธิคโต สมาธิ (สมาธิที่ได
จากการเดินจงกรม) คือ สมาธิในสมาบัติ ๘ อยางใดอยางหนึ่งที่บุคคลผูทํา
การเดินจงกรมไดรับแลว”
จิรฏฐิติโก โหตีติ จิรํ ติฏฐติ.ฺตเกน คหิตนิมิตฺตฺหิ นิสินฺนสฺส นสฺสติ,
นิสิ นฺ เ นน คหิ ต นิ มิตฺ ตํ นิ ป นฺ น สฺ ส . จงกมํ อธิ ฏ ฐ หนฺ เ ตน จลิ ต ารมฺมเณ
คหิตนิมิตฺตํ ปน ฐิตสฺสป นิสินฺนสฺสป นิปนฺนสฺสป น นสฺสตีติ.๑๒
“คํากลาววา ยอมตั้งอยูไดนาน ความจริงแลวอารมณที่บุคคลผูยืน
ไดรับยอมวิบัติไปในขณะนั่ง อารมณที่บุคคลผูนั่งไดรับยอมวิบัติไปในขณะ
๘
อง.ปฺจก. (บาลี) ๒๒/๒๙/๓๑.
๙
สงฺคห. หนา ๓๙.
๑๐
วิสุทฺธ.ิ ๑/๒๖๒.
๑๑
องฺ.อ. ๓/๑๒.
๑๒
องฺ.อ. ๓/๑๒.
๓๕๗
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
นอน ส ว นอารมณ ที่ บุ ค คลผู ก ระทํ า การเดิ น จงกรมได รั บ ในอารมณ ที่
เคลื่อนไหวยอมไมวิบัติไปในขณะยืน นั่ง และนอน ”
ปุน จปรํ อาวุโส ภิกฺขุ วิปสฺสนาปุพฺพงฺคมํ สมถํ ภาเวติ. ตสฺส
วิ ป สฺ ส นาปุ พฺพ งฺค มํ สมถํ ภาวยโต มคฺโ ค สฺ ช ายติ . โส ตํ มคฺคํ อาเสวติ
ภาเวติ พหุลีกโรติ. ตสฺส ตํ มคฺคํ อาเสวโต ภาวยโต พหุลีกโรโต สํโยชนานิ
ปหียนฺติ, อนุสยา พฺยนฺตีโหนฺติ.๑๓
“ผูมีอายุ อีกประการหนึ่ง ภิกษุยอมเจริญสมถะมีวิปสสนาเปนเบื้อง
หนา เมื่อเธอเจริญสมถะมีวิปสสนาเปนเบื้องหนา มรรคยอมเกิด เธอยอม
เสพ ย อ มเจริ ญ ย อ มกระทํ า มรรคนั้ น ให ม าก เมื่ อ เธอเสพอยู เจริ ญ อยู
กระทํามรรคนั้นใหมากอยูยอมละสังโยชนได อนุสัยยอมสิ้นสุด ”
พระดํารัสวา ยถา ยถา วา ปนสฺส กาโย ปณิหิโต โหติ, ตถา
ตถา นํ ปชานาติ (หรือเธอตั้งกายไวดวยกิริยาทาทางอยางใดๆ ก็รูกิริยา
ทาทางอยางนั้นๆ) เปนคําประมวลอิริยาบถทั้งหมด หมายความวา เมื่อ
รางกายตั้งอยูดวยกิริยาเดิน ก็พึงรูกิริยาเดิน เมื่อรางกายตั้งอยูดวยกิริยายืน
นั่ง หรือ นอน ก็พึงรูกิริยายืน นั่ง หรือนอน คนทั้วไปมิไดตามรูกิริยาเดิน
เปนตนวา เปนเพียงสภาวธรรมที่เกิดจากเหตุปจจัย จึงเกิดกิเลสจึดมั่นวาเปน
สิ่ ง เที่ ย ง เป น สุ ข บั ง คั บ บั ญ ชาได ต อ เมื่ อ เขาตามรู ด ว ยสติ ที มี วิ ป ส สนา
ปญญาประกอบรวมจึงทําลายกิเลสหยั่งเห็นสภาวธรรมตามความเปนจริง
๑. การเดินจงกรม
“จงกรม” ศัพทเดิมจากภาษาสันสกฤต แตศัพทภาษาบาลีจริงๆ มา
จากคําวา “จงฺกม” นิยมพูดติดรากศัพทในภาษาสันสกฤตวา “จงกรม” แต
คําวา “กรม” ในที่นี้ไมไดหมายความวาการเดินเวียนเปนวงกลม
“จงกรม” หมายถึงการกาวไป มาจาก กม ธาตุมีความหมายวา
ความกาวไป คือ การเดินไปกลับโดยมีสติกํากับอยูในขณะเดินนั้นๆ
๑๓
องฺ.จตุตก. ๑๗๐/๑๐/๑๗๘.
๓๕๘
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
ในพระไตรปฏก ไมไดใหความหมายของการเดินจงกรมไวมากนัก
หากแตตรัสวา เปนการกําหนดสติที่กาย อันเปนอิริยาบถหนึ่งในอิริยาบถทั้ง
๔ (อิริ ยาบถปพพะ) ก็คือการเดิ นธรรมดาอยางมี “สติ” หรื อมีสติ คอย
กําหนดอยูในเวลาเดินดังพระไตรปฎกที่วา “ภิขฺเว คจฺฉนฺโต วา คจฺฉามีติ
ปชานาติ” เมื่อภิกษุผูปฏิบัติเดินอยู ก็รูวากําลังเดินอยู”๑๔
ในคัมภีรวิสุทธิมรรค พระพุทธโฆสเถระ ไดกลาวเปรีย บเทีย บวิธี
ปฏิบ ัต ิใ นการเดิน จงกรมไว โดยทํ า การแบง สว นกา วเทา กา วหนึ ่ง ๆ
ออกเปน ๖ สวน หรือ ๖ ระยะ ดังนี้
ตโต เอกปทวารํ อุทฺธ รณ อติห รณ วีติห รณ โวสฺส ชฺช นสนฺนิกฺเ ข
ปนสนฺนิรุมฺภนวเสน ฉ โกฏฐาเน กโรติ. ขณะที่กาวเทาไป ทําการแบงกาว
เทากาวหนึ่ง ออกเปน ๖ สว น คือ อุทธรณะ อติหรณะ วีติหรณะ โวสสัช
ชนะ สันนิกเขปนะ สันนิรุมภนะ ดังนี้
๑.อุท ฺธ รณํ นาม ปาทสฺส ภูม ิโ ต อุก ฺข ิป นํ. ยกเทา ขึ ้น จากพื ้น
เรียกวา อุทธรณะ
๒. อติหรณํ นาม ปุรโต หรณํ. ยกหรือยื่นเทาไปขางหนา เรียกวา
อติหรณะ
๓. วีติหรณํ นาม ขาณุ กณฺฏก ทีฆชาติอาทีสุ กิฺจิเทว ทิสฺวา อิโต
จิโต จ ปาทสฺจารณํ. เมื่อเห็นตอเห็นหนามหรือเห็นทีฆชาติอยางใดอยาง
หนึ่งแลวยายเทาไปขางโนน (และ) ขางนี้ เรียกวา วีติหรณะ
๔. โวสฺสชฺชนํ นาม ปาทสฺส เหฏฐา โอโรปนํ. เมื่อลด (หยอน) เทา
ต่ําลงเบื้องลาง เรียกวา โวสสัชชนะ
๕. สนฺนิกฺเ ขปนํ นาม ปฐวีต เล ปฐนํ. วางเทาลงที่พื้น ดินเรีย กวา
สันนิกเขปนะ
๖. สนฺนิร มฺภ นํ นาม ปุน ปาทุทฺธ รณกาเล ปาทสฺส ปฐวิย า สทฺธึ
อภินิปฺปฬนํ. ขณะยกเทากาวไปขางหนาอีกกาวหนึ่ง กดเทาอีกขางหนึ่งไว
๑๔
ที. มหา. (บาลี) ๑๐/๒๗๕/๓๒๔.
๓๕๙
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
กับพื้น เรียกวา สันนิรุมภนะ๑๕
ในคัมภีรวิสุทธิมรรค พระพุทธโฆสเถระ ไดกลาวเปรีย บเทีย บวิธี
ปฏิบัติในการเดินจงกรมไวโดยทําการแบงสวนกาวเทากาวหนึ่งๆ ออกเปน
๖ สวน หรือ ๖ ระยะ ดังนี้
ตโตเอกปทวารํอ ุท ฺธ รณ อติห รณ วีต ิห รณโวสฺส ชฺช นสนฺน ิก ฺเ ข
ปนสนฺนิรุมฺภนวเสน ฉ โกฏฐาเนกโรติ. ขณะที่กาวเทาไป แบงกาวเทากาว
หนึ่ง ออกเปน ๖ สวน คือ อุทธรณะ อติหรณะ วีติห รณะโวสสัชชนะ สัน
นิกเขปนะ สันนิรุมภนะ แลวทานอธิบายความของแตละสวนไว ดังนี้
๑) อุท ฺธ รณํ นาม ปาทสฺส ภูม ิโ ต อุก ฺข ิป นํ. ยกเทา ขึ ้น จากพื ้น
เรียกวา อุทธรณะ (ยก) เทากับยกสนหนอ
๒) อติหรณํ นาม ปุรโต หรณํ. ยกหรือยื่นเทาไปขางหนา เรียกวา
อติหรณะ (ยาง) เทากับยกหนอ
๓) วีติหรณํ นาม ขาณุ กณฺฏก ทีฆชาติอาทีสุ กิฺจิเทวทิสฺวา อิโต
จิโต จ ปาทสฺจารณํ. เมื่อเห็นตอเห็นหนามหรือเห็นทีฆชาติอยางใดอยาง
หนึ่งแลวยายเทาไปขางโนน (และ) ขางนี้ เรียกวา วีติหรณะ ยายหรือยาง
เทากับ ยางหนอ
๔) โวสฺสชฺชนํ นาม ปาทสฺสเหฏฐา โอโรปนํ. เมื่อลด (หยอน) เทา
ต่ําลงเบื้องลาง เรียกวา โวสสัชชนะ (ลง) เทากับ ลงหนอ
๕) สนฺนิกฺเ ขปนํ นาม ปฐวีต เลปฐนํ. วางเทาลงที่พื้นดิน เรีย กวา
สันนิกเขปนะ (เหยียบ) เทากับถูกหนอ
๖) สนฺนิรมฺภนํ นาม ปุน ปาทุทฺธรณกาเลปาทสฺสปฐวิยา สทฺธึ อภิ
นิปฺปฬนํ. ขณะยกเทากาวไปขางหนาอีกกาวหนึ่ง กดเทาอีกขางหนึ่งไวกับ
พื้น เรียกวา สันนิรุมภนะ (กด) เทากับ กดหนอ๑๖
๑๕
พระพุทธโฆษเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค , สมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ อาสภ
มหาเถร, พิมพครั้งที่ ๖, กรุงเทพฯ, ๒๕๔๘) , หนา ๑๐๓๙-๑๐๔๐.
๑๖
พระพุทธโฆษเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, สมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ อาสภ
มหาเถร) แปลและเรียบเรียง,พิมพครั้งที่ ๖, ๒๕๔๘, หนา ๑๐๓๙-๑๐๔๐.
๓๖๐
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
๒. การจงกรมในการปฏิบัติวิปสสนา
คําวา จงกรม มาจากคําสันสกฤตวา จงฺกฺรม หมายถึง การเดินไป
มาในสถานที่แหงเดียว เพื่อผอนคลายความเมื่อยจากการนั่ง หรือเพื่อเจริญ
สติระลึกรูปจจุบัน พระพุทธองคทรงแสดงถึงการเดินจงกรมเปนเบื้องแรกใน
หมวดอิริยาบถนี้ เพื่อเนนการเดินจงกรมกอนจะนั่งกรรมฐานในการเจริญ
วิปสสนา แมในพระสูตรอื่นก็กลาวถึงการเดินจงกรมกอนการนั่งกรรมฐานวา
ชาคริยํ อนุยุตฺตา ภวิสฺสาม. ทิวสํ จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ ธมฺ
เมหิ จิตฺตํ ปริโสเธสฺสาม, รตฺติยา ปมํ ยามํ จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ
ธมฺเมหิ จิตฺตํ ปริโสเธสฺสาม. รตฺติยา มชฺฌิมํ ยามํ ทกฺขิเณน ปสฺเสน สีหเสยฺยํ
กปฺเปสฺสาม ปาเท ปาทํ อจฺจาธาย สโต สมฺปชาโน อุฏานสฺ มนสิกริตฺวา.
รตฺติยา ปจฺฉิมํ ยามํ ปจฺจุฏาย จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ ธมฺเมหิ จิตฺตํ
ปริโสเธสฺสามาติ เอวฺหิ โว ภิกฺขเว สิกฺขิตพฺพ.ํ ๑๗
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอควรศึกษาอยางนี้วา พวกเราจักเปนผู
ประกอบความเปนผูตื่นอยูเสมอ จักชําระจิตใหสะอาดจากธรรมเครื่องกั้น
[กุศล] ดวยการจงกรม ดวยการนั่ง ตลอดวัน ตอนตนปฐมยามแหงราตรี จัก
ชําระจิตใหสะอาดจากธรรมเครื่องกั้น [กุศล] ดวยการจงกรม และการนั่ง
ในมัชฌิมยามแหงราตรีสําเร็จสีหไสยาส โดยขางเบื้องขวา ซอนเทาเหลื่อม
เทา มีสติสัมปชัญญะ กระทําความหมายในอันลุกขึ้นไวในใจ ในปจฉิมยาม
แหงราตรี ลุกขึ้นแลวทําจิตใหสะอาดจากธรรมเครื่องกั้นจิต ดวยการจงกรม
ดวยการนั่ง”
อิธ ภิกฺขเว นนฺโท ทิวสํ จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ ธมฺเมหิ จิตฺตํ
ปริโสเธติ. รตฺติยา ปมํ ยามํ จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ ธมฺเมหิ จิตฺตํ ปริ
โสเธติ. รตฺติยา มฺชฌิมํ ยามํ ทกฺขิเณน ปสฺเสน สีหเสยฺยํ กปฺเปติ. ปาเท ปาทํ
อจฺจาธาย สโต สมฺปชาโน อุฏานสฺ มนสิกริตฺวา. รตฺติยา ปจฺฉิมํ ยามํ
ปจฺจุฏาย จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ ธมฺเมหิ จิตฺตํ ปริโสเธติ.๑๘
๑๗
ม. มู. (บาลี) ๑๒/๔๒๓/๓๗๘
๑๘
องฺ. อฏก. (บาลี) ๒๓/๙/๑๔๐
๓๖๑
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยนี้ ยามกลางวันนันทภิกษุยอม
ชําระจิตใหสะอาดจากธรรมเครื่องกั้นจิต ดวยการจงกรม ดวยการนั่ง ตลอด
วัน ตอนตนปฐมยามแหงราตรี ชําระจิตใหสะอาดจากธรรมเครื่องกั้นจิต
ดวยการจงกรม ดวยการนั่ง ในมัชฌิมยามแหงราตรีสําเร็จสีหไสยาส โดย
ขางเบื้องขวา ซอนเทาเหลื่อมเทา มีสติสัมปชัญญะ กระทําความหมายในอัน
ลุกขึ้นไวในใจ ในปจฉิมยามแหงราตรี ลุกขึ้นแลวทําจิตใหสะอาดจากธรรม
เครื่องกั้นจิต ดวยการจงกรม ดวยการนั่ง”
สาเหตุที่พระพุทธองคทรงเนนการเดินจงกรมกอนจะนั่งกรรมฐาน
ก็เ พราะว า การเดิ น จงกรมนั้ น ก อให เ กิด สมาธิ ได เ ร็ ว กว าการนั่ งกรรมฐาน
เนื่องจากสภาวะเดินที่ประกอบดวยการยก ยาง และเหยียบประจักษชัดกวา
สภาวะพองยุบ สภาวะนั่งที่เปนการคูเขาของรางกายสวนลาง และตั้งตรง
ของรางกายสวนบน และสภาวะสัมผัสของนิ้วมือหรือริมฝปากเปนตนที่นัก
ปฏิบัติกําหนดรูในขณะนั่ง ในสมัยพุทธกาลมีพระภิกษุบางรูปบรรลุธรรมดวย
การเดินจงกรมอยางเดียว เชน พระสุภัททะผูเปนสาวกรูปสุดทาย ผูบรรลุ
ธรรมด ว ยการสั่ งสอนของพระพุทธองค ในอรรถกถาของมหาปริ นิพพาน
สูต ร๑๙ กล าวว า ทานฟงธรรมจากพระพุทธองคแลว ไปเดิ นจงกรมในป า
สาละ ก็ไดบรรลุธรรมในขณะเดินจงกรมนั่นเอง
พระพุทธเจาสอนใหกําหนดรูอิริยาบถอันเกิดดวยกายนี้ นับแตเดิน
ยืน นั่ง ไปจนกระทั่งนอน ที่เคยสําคัญวา เรา ของเรา บุรุษ สตรี ในขั้น นี้
ต องรู ได ว าสั กแต เ ป น สภาวธรรมหนึ่ ง เช น การเดิ น เป น เพีย งสภาวะเบา
ผลักดัน หนัก และสัมผัสแข็งออนของเทาที่เคลื่อนไปขางหนา เกิดจากจิตที่
ตองการจะเดินซึ่งเกิดขึ้นกอนกิริยาเดิน และกิริยาเดินก็มีความเกิดขึ้นและ
ดั บ ไปเป น ธรรมดา เมื่อสภาวะยกสิ้ น สุ ด แล ว สภาวะย างย อมเกิด ขึ้น เมื่ อ
สภาวะยางสิ้นสุดแลวสภาวะเหยียบยอมเกิดขึ้น ในสภาวะยกไมมีสภาวะยาง
หรือเหยียบ แมในสภาวะยางไมมีสภาวะเหยียบเชนกัน ความเขาใจอยางนี้
จัดเปนการตามรูในกองรูปภายใน ชื่อวา ปจจักขญาณ คือ ปญญาหยั่งเห็น
๑๙
ที. อ. (บาลี) ๒/๑๙๗-๙๘
๓๖๒
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
โดยประจักษ โดยมีลําดับผลการปฏิบัติดังนี้
สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา กายสฺมึ วิหรติ.
วยธมฺมานุปสฺสี วา กายสฺมึ วิหรติ.
สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วา กายสฺมึ วิหรติ.
๑. ภิกษุยอมตามรูสภาวะคือความเกิดขึ้นในกองรูปอยูบาง
๒. ตามรูสภาวะคือความดับไปในกองรูปอยูบาง
๓. ตามรู ส ภาวะคือทั้งความเกิด ขึ้น และความดับ ไปในกองรูป อยู
บาง”
ความจริงเพียงการรูวาเปนกองรูปนั้นยังไมเพียงพอที่จะขจัดความ
หลงผิ ด นั กปฏิ บั ติ ต องเห็ น ประจั กษใ นความไมเ ที่ย งเสี ย กอนจึ งจะคลาย
ความเห็นผิดวาเที่ยงได ดังนั้น การเห็นประจักษในความเกิดดับจึงสําคัญมาก
จัดวาเปนพื้นฐานใหนักปฏิบัติหยั่งเห็นความเปนทุกขและความไมใชตัวตนใน
โอกาสต อ ไป และการเห็ น ประจั กษ ในไตรลั ก ษณดั งกล า วก็คื อ วิ ป ส สนา
แปลวา “การหยั่งเห็นโดยประการตางๆ คือ ความไมเที่ยงเปนทุกข ไมใช
ตัวตน” การปฏิบัติวิปสสนาก็คือการเจริญสติปฏฐานนั่นเอง
คัมภีรวิสุทธิมรรค๒๐อธิบายวา รูปยอมเกิดขึ้นดวยเหตุ ๔ อยาง คือ
อวิ ชชา ตัณหา กรรม และอาหาร เมื่อมีเ หตุ ๔ อยางนี้ รูป จึงเกิดขึ้นโดย
อวิชชา ตัณหา และกรรม เปนเหตุอดีต สวนอาหารเปนเหตุปจจุบัน อนึ่ง รูป
ยอมดับไปดวยการดับแหงเหตุ ๔ อยางนั้น เมื่อเหตุ ๔ อยางนี้ดับไป รูปจึง
ดับไป กลาวโดยประสบการณในการปฏิ บัติวา ในบางขณะนักปฏิบัติอาจ
เขาใจถึงเหตุเกิดของรูปวา “รูปเกิดขึ้นเพราะมีอวิชชาที่ไมรูรูปตามความเปน
จริง เพราะมีตัณหาพอใจในรูป เพราะมีกรรมที่ใหผลเปนรูปในปจจุบัน และ
เพราะมีอาหารที่รับประทาน” ในบางขณะอาจเขาใจวา “รูปเกิดขึ้นเพราะมี
จิตที่ตองการทําอากัปกิริยานั้นๆ เกิดขึ้นกอน” หรือเขาใจวา “รูปเย็นเกิดขึ้น
เพราะธาตุไฟที่มีความรอนนอย หรือรูปรอนเกิดขึ้นเพราะธาตุไฟที่มีความ
รอนมาก” ดังนี้เปนตน ความเขาใจดังกลาวเปนสิ่งที่เกิดขึ้นเองของแตละคน
๒๐
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๓๐๑
๓๖๓
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
สวนใหญนักปฏิบัติมักรับรู “จิตสั่ง” คือจิตที่ประกอบดวยฉันทะและเจตนา
ในการทําอากัปกิริยาทางกาย วาจา ใจ โดยกําหนดวา “อยากเดินหนอ”
“อยากเหยียดหนอ” “อยากคูหนอ” “อยากขึ้นหนอ” หรือ “อยากลงหนอ”
เปนตน การรูเห็นเหตุเกิดขึ้นและเหตุดับไปอยางนี้ เปนวิปสสนาญาณที่ ๒
ชื่อวา ปจจยปริคคหญาณ คือ ปญญารูเห็นเหตุปจจัย
ตอมานั กปฏิ บั ติย อมหยั่ งเห็ นความแปรปรวนของรูป ได โดยรั บ รู
ความเกิดขึ้น ตั้งอยู และดับไปของสภาวะยก ยาง เปนตน กลาวคือสภาวะ
ยกเกิดขึ้นแลวดําเนินตอไปชั่วขณะ แลวสิ้นสุดลง สภาวะยางจึงเกิดขึ้นแลว
ดําเนินไปจนกระทั่งสิ้นสุด ในที่สุดจึงเกิดสภาวะเหยียบที่เกิดขึ้น แลวดําเนิน
ต อไปแล ว สิ้ น สุ ด สภาวะยกไมมีในสภาวะย าง สภาวะย า งไมมีใ นสภาวะ
เหยียบ การรูเห็นความเกิดขึ้นและดับไปอยางนี้ เปนวิปสสนาญาณที่ ๓ ชื่อ
วา สัมมสนญาณ คือ ปญญารูเห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู และดับไป
หลังจากนั้นเขายอมบรรลุวิปสสนาญาณที่ ๔ ชื่อวา อุทยัพพยญาณ
คือ ปญญารูเห็นความเกิดดับ เขาสามารถหยั่งเห็นความเกิดดับอยางชัดเจน
วา สภาวะยก ยาง และเหยียบนั้น เกิดขึ้นและดับไปอยางรวดเร็วถี่ยิบ ไมคง
อยูแมเพียงเศษหนึ่งสวนลานวินาที ในบางขณะอาจรูเห็นความเกิดดับของรูป
กายได อี ก ด ว ย ต อ มาย อ มบรรลุ วิ ป ส สนาญาณที่ ๕ ชื่ อ ว า ภั ง คญาณ คื อ
ปญญารูเห็นความดับ โดยรับรูความดับไปของรูปนามหมายความวา สภาวะ
ยกเปนตนปรากฏเพียงความดับไปเหมือนเปนเงาดําๆ โดยปราศจากสภาวะ
เกิดขึ้นอยางชัดเจน
๓. พิจารณาธาตุ ๔ ในอิริยาบถเดิน
ในขณะเดิน นักปฏิบัติพึงเจริญสติรูเทาทันสภาวะเคลื่อนไหวทุกยาง
กาวดวยการกําหนดวา “เดินหนอๆ” หรือ “ยางหนอๆ” หรือ “ยกหนอ ยาง
หนอ เหยียบหนอ” เมื่อสมาธิแกกลามากขึ้น นักปฏิบัติจะสามารถรับรูจิตที่
ตองการจะเดินไดอีกดวยโดยรูวา จิตที่ตองการเดินจะเกิดขึ้นกอน แลวจึงเกิด
อาการเคลื่อนไหว ดังพระพุทธองคตรัสวา
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ขอปฏิบัติอีกอยางหนึ่ง คือ ภิกษุเมื่อเดินอยู
๓๖๔
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
ยอมรูชัดวาเดินอยู”
“เธอยอมรูชัดอยางนี้วา จิตที่คิดนึกวาจะเดิน ยอมเกิดขึ้น จิตนั้น
ยอมยังธาตุลมใหเกิดขึ้น ธาตุลมยอมยังวิญญัติรูปใหเกิดขึ้นการเคลื่อนไหว
ขางหนาของรางกายทั้งหมด ดวยการขับเคลื่อนของธาตุลมที่จิตกระทําขึ้น
เรียกวา เดิน”
ความจริ งคนทั่ ว ไปที่ มิไ ด เ จริ ญสติ ป ฏ ฐานก็รู ว า ตนเดิ น แต ใจมั ก
คิดถึงเรื่องอดีตหรืออนาคตโดยมิไดรับรูสภาวะเดินอยางแทจริง ในบางขณะ
แมจะรูถึงการเดินก็มีความสําคัญวาเปนอัตตา ตัวตน เปนเราที่เดินอยู การ
เดิ น มี ความเที่ ย งไมแปรปรวน เพราะกิริ ย าเดิ น ดํ า รงอยู เ หมือนเดิ น มิไ ด
ปรากฏสภาวะเกิ ด ดั บ ความรู สึ ก ของคนทั่ ว ไปจึ ง มี อั ต ตสั ญ ญา คื อ
ความสําคัญวาเปนตัวตน ไมใชสติปฏฐานหรือวิปสสนาภาวนา
นักปฏิบัติผูตามรูสภาวะเดินในปจจุบันขณะยอมจะมีสติและปญญา
แตกตางจากการรับรูของคนทั่วไป กลาวคือ เขายอมรับรูจิตที่ตองการจะเดิน
กอนโดย กําหนดวา “อยากเดินหนอ” แลวสามารถตามรูสภาวะเคลื่อนไหว
อยางตอเนื่องตั้งแตเบื้องตนจนถึงที่สุด เขารูวาสภาวะเคลื่อนไหวเกิดขึ้นจาก
จิตที่สั่งใหเคลื่อนไหว และสภาวะเคลื่อนไหวนั้นก็มีความขาดชวงระยะที่ยก
ยาง และเหยี ยบไมปะปนกัน หลังจากนั้นก็จะหยั่ งเห็ นความเกิดดับ อยาง
รวดเร็วของสภาวะเคลื่อนไหวโดยละเอียด นักปฏิบัติผูเกิดสภาวธรรมอยางนี้
ยอมจะเขาใจวาไมมีตัวเรา ของเรา ซึ่งเปนผูเดิน มีเพียงจิตที่สั่งงานและกลุม
รู ป ที่ เ คลื่ อ นไหวจากระยะหนึ่ ง ไปสู อี ก ระยะหนึ่ ง มี ส ภาพไม เ ที่ ย งเพราะ
เกิดขึ้นแลวดับไป เปนทุกขเพราะถูกบีบคั้นดวยความเกิดดับ และไมใชตัวตน
ที่ผูใดอาจบังคับบัญชาได เขายอมเพิกถอน ความเห็นผิดวามีบุคคล ตัวตน
เปนเรา ของเรา และละความยึดมั่นในตัวตน
“ความเขาใจของภิกษุนี้ ยอมละความเห็ นว าเปน บุคคล ย อมเพิก
ถอนความสําคัญวาเปนตัวตน จัดเปนกรรมฐานและการเจริญสติปฏฐาน”
ปญญาที่หยั่งเห็นในลักษณะดังกลาวนี้ ชื่อวา อสัมโมหสัมปชัญญะ
คือ ความหยั่งเห็นโดยไมหลงผิดสวนการเจริญสติที่กําหนดวา “อยากเดิน
หนอ” หรือ “เดินหนอ” เปนตน ชื่อวา โคจรสัมปชัญญะ คือ ความหยั่งเห็น
๓๖๕
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
อารมณของสติ สมาธิ และปญญา อนึ่ง โคจรสัมปชัญญะเปนเหตุ อสัมโมห
สัมปชัญญะเปนผล นักปฏิบัติจึงควรเจริญโคจรสัมปชัญญะแกกลามีกําลัง
แลว อสัมโมหสัมปชัญญะก็เกิดขึ้นแลวพัฒนาเรื่อยไปตามลําดับ
“การหยั่ ง เห็ น ไม ส งสั ย ในการก า วเป น ต น ชื่ อ ว า อสั ม โมห
สัมปชัญญะ คือ เมื่อกาวหรือถอยอยูยอมปราศจากความหลงผิด เหมือน
ปุถุชนคนบอดที่หลงผิดวา ในการกาวเปนต น อัต ตายอมกาว การกาวถูก
อัตตาทําใหเกิดขึ้น หรือหลงผิดวา เรากาวอยู การกาวถูกเราทําใหเกิดขึ้น
เมื่อจิตที่คิดวาจะกาวเกิดขึ้นอยูวาโยธาตุที่มีจิตเปนสมุฏฐานยังวิญญัติติรูปให
เกิดอยู ยอมเกิดรวมกับจิตนั้นเอง กองกระดูกที่สมมุติวารางกายนี้ยอมกาว
ดวยการแผไปแหงวาโยธาตุอันจิตกระทําขึ้น
เมื่อเขากาวอยู ในขณะยกเทาขางเทาขางหนึ่ ง ธาตุ ๒ อยาง คือ
ปฐมวีธ าตุ และอาโปธาตุ มีกําลังนอย ส วนธาตุ ๒ อยางอื่น คือ เตโชธาตุ
และ วาโยธาตุ มีกําลังมาก แมในขณะยางและยางไปขางหนาก็เชนเดียวกันนี้
แตในขณะเหยียบ เตโชธาตุและวาโยธาตุมีกําลังนอย สวนธาตุทั้ง ๒ ที่เหลือ
คือ ปฐวีธาตุ และอาโปธาตุ มีกําลังมาก ในขณะวางและกดก็เชนเดียวกันนี้
ในบรรดาขณะเหล านั้น รู ป-นามที่เปน ไปในขณะยกย อมไมไปถึง
ขณะยาง เชนเดียวกันนี้ รูป-นามที่เปนไปในขณะยางก็ไปไมถึงขณะกาวไป
ขางหน า ที่เ ป น ไปในขณะดั น ไปขา งหน า ก็ไ ปไมถึง ขณะเหยี ย บ ที่ เ ป น ไป
ในขณะเหยียบก็ไปไมถึงขณะวาง ที่เปนไปในขณะวางก็ไปไมถึงขณะนั้นๆ
เองเหมือนเมล็ดงาที่ใสในกระทะรอนฉี่สงเสียงอยู ในรูป-นามที่เกิดดับอยูนั้น
ใครคนหนึ่งกาวอยูหรือ หรือเปนการกาวของใครคนหนึ่ง หรือความจริงเปน
จริ งเป นเพีย งการเดิ น ยืน นั่ ง และนอนของธาตุทั้งหลายโดยสภาวธรรม
“โดยแทจริงแลวในขณะเดินและคิดเปนตนนั้น จิตดวงเกา ยอมดับไปพรอม
กับ รู ป จิ ต ดวงใหม ย อ มเกิ ด ขึ้ น ต อ กั น ไป กระแสจิ ต ดํ า เนิ น ไปไมข าดช ว ง
เหมือนกระแสน้ํา” ความหยั่งเห็นไมหลงผิดในการกาวเปนตนอยางนี้ ชื่อวา
อสัมโมหสัมปชัญญะ”
พระอรรถกถาจารยกลาวถึงลักษณะของธาตุในขณะยกเทาเปนตน
- การยก (อุทฺธรณ) เกิดจากธาตุไฟ และธาตุลม
๓๖๖
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
- การยาง (อติหรณ) เกิดจากธาตุไฟ และธาตุลม
- การกาวไปขางหนา (วีติหรณ) เกิดจากธาตุไฟ และธาตุลม
- การเหยียบ (โวสฺสชฺชน) เกิดจากธาตุดิน และธาตุน้ํา
- การวาง (สนฺนิกฺเขปน) เกิดจากธาตุดิน และธาตุน้ํา
- การกด (สนฺนิรุมฺภน) เกิดจากธาตุดิน และธาตุน้ํา
คั ม ภี ร ฎี ก าได ชี้ แ จงเพิ่ ม เติ ม ว า ธาตุ ไ ฟเบากว า ธาตุ ล ม และธาตุ
น้ําหนักกวาธาตุดิน จึงสรุปสภาวะของธาตุในขณะเดินไดวา
๑. การยก (อุทฺธรณ) เกิดจากธาตุไฟเปนหลัก ธาตุล มคลอยตาม
เพราะธาตุไฟมีสภาพเบากวาธาตุลม ตามอาการปรากฏ (ปจจุปฏฐาน) ของ
ธาตุไฟวา มทฺทวานุปฺปาทนปจฺจุปฏฐานา (มีการใหถึงความออน/การพุงขึ้น
สูงเปนเครื่องปรากฏ)
๒. การยาง (อติหรณ) เกิดจากธาตุลมเปนหลัก ธาตุไฟคลอยตาม
เพราะมี ส ภาพผลั ก ดั น ตามอาการปรากฏของธาตุ ล มว า อภิ นี ห ารปจฺ
จุปฏฐานา (มีการผลักดันเปนเครื่องปรากฏ)
๓. การกาวไปขางหนา (วีติหรณ) เกิดจากธาตุลมเปนหลัก ธาตุไฟ
คลอยตาม เพราะมีสภาพผลักดัน
๔. การเหยียบ (โวสฺสชฺชน) เกิดจากธาตุน้ําเปนหลัก ธาตุดินคลอย
ตามเพราะธาตุน้ํามีสภาพหนักกวาธาตุดิน ตามลักษณะของธาตุน้ําวา ปคฺ
ฆรณลกฺขณา (มีลักษณะไหลหรือเกาะกุม) เนื่องดวยธาตุน้ํามีลักษณะไหล
ไปสูที่ต่ําจึงหนักกวาธาตุดิน
๕. การวาง (สนฺนิกฺเขปน) เกิดจากธาตุดินเปนหลัก ธาตุน้ําคลอย
ตามเพราะมีส ภาพสั มผั ส ความแข็งหรื อออ น ตามลั กษณะของธาตุ ดิ น ว า
กกฺขฬตฺตลกฺขณา (มีลักษณะแข็งหรือออน) และตามหนาที่ของธาตุดินว า
ปติฏฐานรสา(มีหนาที่ตั้งไว)
๖. การกด (สนฺนิรุมฺภน) เกิดจากธาตุดินเปนหลัก ธาตุน้ําคลอยตาม
“ธาตุไฟที่มีธาตุลมตามไป ยอมเปนปจจัยแกการยก เพราะธาตุไฟมี
สภาวะพุงขึ้นสูง”
“ธาตุลมอันมีธาตุไฟตามไป ยอมเปนปจจัยแกการยางและกาวไป
๓๖๗
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
ขางหนา เพราะความขวนขวายยิ่งในการยางเทา และดันเทายอมมีแกธาตุ
ลมที่มีสภาวะไปทางขวาง”
“ธาตุน้ําอันมีธาตุดินตามไปยอมเปนปจจัยแกการเหยียบ เพราะธาตุ
น้ํามีสภาวะหนักกวาธาตุดิน”
๔. วิธีฝกเดินจงกรม ๖ ระยะ
เดิน จัด เปน อิร ิย าบถไหว แตก ารเคลื ่อ นไหวนี ้ต อ งอยู ที ่เ ทา
หมายถึงอาการกาวไป หรืออาการเหวี่ย งไปของเทาแตล ะกาวๆ ถาไหวที่
สว นอื่น นอกจากเทาแลวไมใชอิริย าบถเดิน ลักษณะของการเดิน นั้น อยูที่
กายสวนบนกับ กายสว นลางตั้งตรง แลว เทาขางหนึ่งยืน ตั้งตรงยันกายไว
เทาอีกขา งหนึ่ง กาวไปหรือเหวี่ย งไปขา งหนา เรีย กวายัน กายไวขา งหนึ่ง
และเหวี่ยงไปขางหนึ่งผลัดเปลี่ยนกันอยูอยางนี้ พระพุทธเจาทรงตรัสไววา
“คจฺฉนฺโตวา คจฺฉามีติ ปชานาติ” เมื่อเดินอยูก็รูวาเดินอยู๒๑
๑. ฝกเดินจงกรม กอนเดินจงกรม กําหนดยืนใหกายและใจพรอม
เต็มที่กอน เปนการฝกปฏิบัติสติปฏฐานในหมวดอิริยาบถซึ่งพระพุทธเจาตรัส
ไววา “ิโต วา ิโตมฺหีติ ปชานาติ”๒๒ ยืนอยู ก็มีสติกําหนดรูวายืนอยู
เมื่อยืนขึ้นแลวใหกําหนดยืนหนอ ใชสติพิจารณาดูรูปยืน ใหชัดเจน
วางเทาซายและเทาขวาชิด ปลายเทาเสมอกันหางกันเล็กนอย มือทั้งสองไขว
หลังหรือกุมไวดานหนา มือขวาจับมือซาย ศีรษะตั้งตรง ทอดสายตาไปเบื้อง
หน า ๑ วาหรื อ ๔ ศอก การยื น ตั วตรง เปน ลั กษณะของการตั้งตรงของ
รางกาย จัดเปนสภาวะตึงของวาโยธาตุ๒๓ การกําหนดอิริยาบถยืนนั้น เพราะ
อาศัยจิตเกิดขึ้นวา เราจะยืน จิตนั้นทําใหเกิดวาโย-ธาตุๆ ทําใหเกิดความ
เคลื่อนไหว การทรงตัวตั้งขึ้นตั้งแตพื้นเทาขึ้นมาถึงปลายผมเปนที่สุด อันเกิด
๒๑
ที. มหา. ๑๐/๒๗๕/๓๒๔.
๒๒
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๗๕/๓๒๓.
๒๓
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), มหาสติปฎฐานสูต ร ทางสูพระ
นิพพาน. พระคันธสาราภิวงศแปล, หนา ๗๗.
๓๖๘
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
จากจิตปรุงแตงจิต รูสึกถึงอาการยืน โดยกําหนดบริกรรมวา ยืนหนอๆ ใหรู
ลักษณะของสภาวะอาการของรูปยืนกับคําบริกรรมภาวนาตองพรอมกัน
วิธีปฏิบัติ
๑. ยืนตัวตรง ไมโยกตัว ศีรษะตรง ไมโยกศีรษะ
๒. ลําคอตรง หนาตรง ไมเงยหนาหรือกมหนาใหมากไป
๓. เทาทั้ง ๒ หางกันเล็กนอย ประมาณ ๒๐ เซนติเมตร
และใหเทาเสมอกัน
๔. ยืนใหขาทั้ง ๒ ขางตรงยืนอยางมั่นคงยืนอยางสํารวม
๕. กายสวนบนและสวนลางตั้งตรง และนิ่ง
๖. ทอดแขนหรือปลอยแขนทั้ง ๒ ลง โดยไมยกหรือชูขึ้น
๗. มือไขวกันไวดานหนาหรือดานหลัง มือขวาจับขอมือซายเบาๆ
๘. ทอดสายตาลงพื้นหางจากปลายเทาประมาณ ๔ ศอกหรือ ๑
วา จะหลับตาก็ได
๙. สําหรับผูปฏิบัติใหม เอาสติจับความรูสึกตั้งแตปลายผม ไลลงไป
(สแกน) จนถึงปลายเทา รวดเดียว พรอมกับบริ กรรมสําทับลงไปช าๆ ว า
“ยืน..หนอ” จากนั้นกําหนดจับความรูสึกกลับขึ้นมาจากปลายเทา ขึ้นไปถึง
ปลายผม พรอมกับบริกรรมวา “ยืน..หนอ” ปฏิบัติดังนี้อยางนอย ๓ เที่ยว
จนกวารางกายและจิตใจนิ่งสงบ ถายังไมสงบ ก็ใหภาวนาตอไปจนกวาจะ
สงบ จึงจะกําหนดรูจิตที่คิดจะเดิน “อยากเดินหนอ” ตอไป
ควรเดินจงกรมกอนนั่งเจริญภาวนาทุกครั้ง ใหเพิ่มการเดินจงกรม
เปน ๒ ระยะ คือระยะที่ ๑ ขวายางหนอ-ซายยางหนอ ๑๕ นาที ระยะที่ ๒
ยกหนอ-เหยียบหนอ ๑๕ นาที การเดินจงกรม ใหมีสติกําหนดพิจารณารู
อาการที่ยกเทาขึ้น เหวี่ยงลงถูกพื้น๒๔ กําหนดพิจารณารูอาการของเทาที่
๒๔
ในการปฏิบัติเบื้องตน หากประคองเทาใหเหยียบลงชาเกินไป ...จะเปนการ
ประคองสภาวะดวยอํานาจตัณหา และอุปาทาน..อยากใหเห็นชัดๆ..บางครั้งทําใหจติ ตก
จากอารมณปจจุบัน ทําใหฟุง หรือเบื่อเซ็งไปเลย แตหากเคยปฏิบัติมาเกิน ๕-๗ วัน
แลว ยิ่งชา..ยิ่งดี ยิ่งเห็นสภาวะชัด
๓๖๙
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
เคลื่อนไหวใหทันทุกขณะที่ยางกาว อยาเผลอ ถาเผลอก็ใหกําหนดตามความ
เปนจริงวา “เผลอหนอ” ดังนี้
เดินกลับไปกลับมาชาๆ เปนจังหวะตอเนื่อง ประมาณ ๓-
๕ เมตร กมหนาเล็กนอย สงจิตกําหนดรูอาการเคลื่อนไหวของเทา
แตละจังหวะที่เคลื่อนไปอยางจดจอ ตอเนื่อง รับรูถึงความรูสึกของ
เทาที่คอยๆ ยกขึ้น คอยๆ ยางลง และความรูสึกสัมผัสที่ฝาเทา
(เย็น รอน ออน แข็ง ตึง หยอน) สงจิตดูอาการแตละอาการอยาง
จรดแนบสนิทกับอาการนั้นๆ ไมวอกแวก พรอมกับบริกรรมสําทับ
อาการที่รับรูนั้นไปดวย จนรูสึกไดถึงอาการที่เปลี่ยนไป ดับไปของสภาวะ
นั้นๆ เชน ขณะยางเทาก็รูสึกถึงอาการลอยไปของเทา พอเหยียบลง อาการ
ลอยเบาๆ ก็ดับไป มีอาการตึงๆ แข็งๆ เขาแทนที่ พอยกเทาขึ้นอาการตึงๆ
ดับไป กลับมีอาการลอยเบาๆ เขาแทนที่
ยิ่งเคลื่อนไหวชายิ่งเห็นอาการชัด ในขณะที่กําลังเดินหากมีความคิด
เกิดขึ้น หรือเผลอคิด ใหหยุดเดินกอน แลวสงจิตไปดูอาการคิดนั้นโดยไมตอง
สนใจวาคิดเรื่องอะไร บริกรรมในใจวา “คิดหนอๆ” จนกวาความคิดจะเลือน
หายไปเอง หากมีคิดซอนคิดก็ใหตามดูอาการไปเรื่อยๆ จนกวาจะดับสนิท
กอน แลวจึงกลับไปกําหนดเดินตอ อยามองซายมองขวา พยายามใหใจอยู
กับเทาที่คอยๆ เคลื่อนไปเทานั้น ถาเผลอสติหรือหลุดกําหนด ใหเริ่มใหม
เผลอ..เริ่มใหมๆ ไมตองหงุดหงิด ..เปนธรรมดาของผูปฏิบัติใหม!
การเดินจงกรม คือ การเดินอยางมีสติ จะไดรับประโยชนอยางยิ่ง
คือ เดินอยางเรียบรอย เดินมีความสุข ไมมีอันตราย เดินไมพลาดการเดิน
วิธีนี้จะบริหารสุขภาพกายและสุขภาพทางจิต ไดตามที่ตองการ๒๕
ยืนตัวตรง เอามือขวาจับขอมือซาย สนเทาทั้ง ๒ ชิดเสมอกัน สวน
ปลายเทาแยกออกจากกันพอประมาณยืนถนัด(ประมาณ ๒-๓ นิ้ว) ศีรษะตั้ง
ตรงไมควรเอียงซาย หรือเอียงขวา ใหทอดสายตาไปประมาณ ๔ ศอก ศีรษะ
๒๕
พระธรรมโกศาจารย, พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท,
๒๕๔๒: ๕๖–๕๙
๓๗๐
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
ของผูปฏิบัติก็จะไมกมหรือเงยจนเกินไป พอดีแกการเดินจงกรมนานๆ เมื่อ
ทายืนเรียบรอยแลว ใหหลับตา เอาสติมาจับอยูที่ความรูสึกยืน ที่รางกาย
อยาใหสติออกไปจากรางกาย ภาวนาวา “ยืนหนอๆๆ” ๓ หน หรือจนกวา
จะพรอมที่จะเดิน พรอมกับมีสติกําหนดพิจารณารูอาการของรูปยืน ใหเห็น
รูปของตัว เองยืน อยู ตั้งแตพื้นเทาจนถึงปลายผม จากปลายผมถึงพื้น เทา
เห็นรูปยืนชัดคลายกับวามีกระจกใบใหญทั้ง ๔ ดานและทั้งขางบน –ขางลาง
เรียกวาใหมีสติ กําหนดพิจารณารูรูปยืนใหชัดเจนดีแลว ใหลืมตาประมาณกึ่ง
หนึ่ง(อยาหลับตาเดิน) จากนั้นใหเคลื่อนสติไปจับอยูเทาขวา เดินชาๆ พรอม
กับภาวนาอยูในใจวา “ขวายางหนอ” ขณะที่ภาวนาในใจวา “ขวา” ใหยก
เทาขวาขึ้นพรอมกัน ไมใหกอนไมใหหลังกัน ใหพรอมกันพอดีๆ และใหมีสติ
กําหนดพิจารณารูอาการของเทาขวา ที่ยกขึ้นพรอมกันไปดวย เรียกวาให
ครบองค ๓ คือ ๑) การยกเทา ๒) ใจนึกคําบริกรรมวา “ขวา” และ ๓) ใหมี
สติกําหนดพิจารณารูอาการของเทาที่ยกขึ้น ขณะวา “ยาง” ตองเคลื่อนเทา
ไปอยางชาๆ พรอมกับลากเสียงยาวๆ และใหมีสติกําหนดพิจารณารูอาการ
ของเทาที่ยางพรอมกันไปดวย ในขณะที่จะวา “หนอ” และขณะวา “หนอ”
เทาตองลงถึงพื้นพอดีกันกับคําบริกรรม สวนขางซายก็ปฏิบัติเชนเดียวกัน
๓๗๔
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
กํ า หนดรู อ าการเดิ น ให เ ดิ น กลั บ ไปกลั บ มาอย า งนี้ ๑ ชั่ ว โมงเป น ดี ที่ สุ ด
เพราะไดผลเร็ว สมาธิดี สติปญญาแกกลา)
- กําหนดรูอาการของตนจิต (อยากเดินหนอ ๓ ครั้ง)
- จดจอตั้งแตเริ่มกําหนดรูจนสิ้นสุดการกําหนดรูอาการ
- กําหนดรูอาการใหเปนธรรมชาติมากที่สุดไมเกร็งเกินไป
๔.๗ กําหนดเดินจงกรมระยะที่ ๖ “ยกสนหนอ ยกหนอ ยางหนอ
ลงหนอ ถูกหนอ กดหนอ” ใหเดินระยะที่ ๑-๕ กอน ดังนี้
(๑) กําหนดระยะที่ ๑ “ขวายางหนอ ซายยางหนอ”
(๒) กําหนดระยะที่ ๒ “ยกหนอ เหยียบหนอ”
(๓) กําหนดระยะที่ ๓ “ยกหนอ ยางหนอ เหยียบหนอ”
(๔) กําหนดระยะที่ ๔ “ยกสนหนอ ยกหนอ ยางหนอ เหยียบหนอ”
(๕) กําหนดระยะที่ ๕ “ยกสนหนอ ยกหนอ ยางหนอ ลงหนอ ถูก
หนอ”
(๖) กําหนดระยะที่ ๖ “ยกสนหนอ ยกหนอ ยางหนอ ลงหนอ ถูก
หนอ กดหนอ”ประมาณ
- ในขณะที่ กํ า หนดรู อ าการเดิ น ให มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะเข า ไปกํ า กั บ
อาการเคลื่อนไหวที่กําลังปรากฏอยูตามความเปนจริง วา ยกสนหนอ ยก
หนอ ย างหนอ ลงหนอ ถู ก หนอ กดหนอ แต ไ มใ ห ใ ส ใ จสั ณ ฐานของเท า
ในขณะเดิน การกําหนดตองไดหกระยะคํากําหนดตองไมขาดชวงในขณะ
กําหนดรูอาการเดินใหเดินกลับไปกลับมาอยางนี้ ๑ชั่วโมงเปนดีที่สุด เพราะ
ไดผลเร็ว สมาธิดี สติปญญาแกกลา
- กําหนดรูอาการตนจิต (อยากเดินหนอ ๓ ครั้ง)
- จดจอกับอาการเคลื่อนไหวในแตชวงใหชัดเจน (ทันปจจุบัน)
- การกําหนดรูอาการตองพรอมเพรียงกันกับอาการที่เคลื่อนไหว
- ใสใจกับการกําหนดรูใหเปนไปตามธรรมชาติ
- การกําหนดรูอาการตองเขาใกลอาการมากที่สุดแตไมใชทองเอา
๓๗๕
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
(๔) วิธีปฏิบัติขณะหันกลับตัว เมื่อเดินจงกรมไปสุดสถานที่แลว ให
หยุ ด ยื น วางเทา เคีย งคู กัน กําหนดว า “ยื น หนอ”๓ ครั้ ง เมื่อ จะกลั บ ตั ว ผู
ปฏิบัติจะกลับทางขวาหรือทางซายก็ได แลวคอยๆ หันตัวกลับชาๆ พรอมกับ
กําหนดวา “กลับหนอๆๆ” กลับ ๓ คู กําหนด ๖ ครั้ง (ประมาณ ๖๐ องศา)
เมื่อหันกลับเสร็จแลวกอนจะเดินก็กําหนดวา “ยืนหนอๆๆ” เหมือนครั้งแรก
แลวจึงเดินจงกรมและกําหนดตอไปวา (กรณีเดินจงกรมระยะที่ ๑ อยู) “ขวา
ยางหนอ” “ซายยางหนอ” การเดินจงกรมและกําหนดกลั บไปกลับมาอยู
อยางนี้ เพื่อใหจิตตั้งมั่นอยูกับ อิริยาบถเดิน จนกวาจะครบตามเวลาที่กะไว
เชน ๓๐ นาที หรือ ๔๐ นาที หรือ ๕๐ หรือ ๑ ชั่วโมง
๕. การเจริญสติปฏฐาน ๔ ในการเดินจงกรม
การเดินจงกรมและการมีสติกําหนดรูตัวอยูเสมอ เปนวิธีปฏิบัติตาม
มหาสติปฏฐานสูตรในอิริยาบถปพพะ กายานุปสสนาสติปฏฐานที่วา “เมื่อ
เดิน ก็รูชัดวา เราเดิน” (คจฺฉนฺโต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ) หรือวา “เมื่อยืน ก็
รูชัดวา เรายืน” (โต วา โตมฺหีติ ปชานาติ)๒๖
และเมื่อกลั บพรอมกับกําหนดรูตัวอยูเสมอ ก็เ ปนการปฏิบั ติตาม
สัมปชัญญปพพะ กายานุปสสนาสติปฏฐานแหงมหาสติปฏฐานสูตรที่วา “ทํา
ความรูตัวในการกาวไป การถอยกลับ” (อภิกฺกนฺเต ปฏิกฺกนฺเต สมฺปชานการี
โหติ)๒๗
เดินจงกรมแบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
ในการเดินจงกรมหลังจากโยคีกราบสติปฏฐาน ๔ แลวใหมีสติในการ
ยืน กําหนดยืนตัวตรง เอามือขวาจับ ขอมือซาย สนเทาทั้ง ๒ ชิดเสมอกัน
สวนปลายเทาแยกออกจากกันพอประมาณ (ประมาณ ๒-๓ นิ้ว) ยืนใหถนัด
ศีรษะตั้งตรง ไมควรเอียงซาย หรือเอียงขวา ใหทอดสายตาไปประมาณ ๔
๒๖
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๗๕/๒๔๙, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๕/๓๐๔.
๒๗
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๗๖/๒๕๐, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๖/๓๐๕.
๓๗๖
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
ศอก ศีรษะของผูปฏิบัติก็จะไมกมหรือเงยจนเกินไป พอดีแกการเดินจงกรม
นานๆ เมื่อจัดทายืนเรียบรอยแลว ใหหลับตา ดึงสติมาจับอยูที่รางกาย อยา
ปลอยสติออกไปจากรางกาย ใหภาวนาวา “ยืนหนอๆๆ” ๓ หน หรือจนกวา
พรอมที่จะเดิน แตถาความงวง ซึม คิด ฟุงมีอยูในจิตก็อยาเพิ่งเดิน ใหยืน
กําหนดรูอาการอยูอยางนั้นกอน พรอมกับมีสติกําหนดพิจารณารูอาการของ
รูปยืน การยืนตัวตรง เปนลักษณะของการตั้งตรงของรางกาย จัดเปนสภาวะ
ตึงของวาโยธาตุ๒๘ใหเ ห็น รูปของตัว เองยืน อยูตั้งแตพื้นเทาจนถึงปลายผม
จากปลายผมถึง พื้น เทา เห็น รูป ยืน ชัด คลา ยกับ วามีก ระจกใบใหญทั้ง ๔
ดา น รวมทั้งขางบนและขางลาง เรีย กว าใหมีสติ กําหนดพิจารณารู รูป ยื น
ชัดเจนดีแลวใหลืมตาประมาณกึ่งหนึ่ง (อยาหลับตาเดิน)
ใหโยคีกําหนดสติไปจับอยูเทาขวา เดินชาๆ พรอมกับภาวนาอยูใน
ใจวา “ขวายางหนอ” ขณะที่ภาวนาในใจวา “ขวา” ใหยกเทาขวาขึ้นพรอม
กัน ไมกอนไมหลังกัน ใหพรอมกันพอดีๆ และมีสติกําหนดพิจารณารูอาการ
ของเทาขวาที่ยกขึ้นพรอมกันไปดวย เรียกวาครบองค ๓ คือ ๑) การยกเทา
๒) ใจนึกคําบริกรรมวา “ขวา” และ ๓) ใหมีสติกําหนดพิจารณารูอาการของ
เทาที่ยกขึ้น ขณะวา “ยาง” ตองเคลื่อนเทาไปอยางชาๆ พรอมกับลากเสียง
ยาวๆ และมี ส ติ กํ าหนดพิ จ ารณารู อ าการของเท า ที่ ย างพร อ มกั น ไปด ว ย
ในขณะที่จะวา “หนอ” และขณะวา “หนอ” เทาตองลงถึงพื้นพอดีกันกับคํา
บริกรรม สวนขางซายก็ปฏิบัติเชนเดียวกันอยางนี้เปนการเจริญกายานุปสส
นาสติปฏฐาน
เดินจงกรมแบบเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน
ขณะที่โ ยคีเ ดิน จงกรม ๑ ชั่ว โมงอยูนั้น ถามีเวทนาอยางใดอยาง
หนึ ่ง เกิด ขึ ้น เชน สุข ทุก ข เหนื ่อ ย เวีย นศีร ษะ เจ็บ ปวด แสบรอ น
ซาบซาน หนาว เย็น คัน ชา หรือเฉยๆ เปน ตน ถาอาการเหลานี้ป รากฏ
ขึ้น มาชัด เจน ก็ใ หห ยุด เดิน แลว ใหเ อาสติไ ปกํา หนดพิจ ารณารูที่อาการ
ของเวทนานั้น ๆ โดยภาวนาวา “สุขหนอ ทุก ขห นอ เหนื่อ ยหนอ เวีย น
๒๘
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๗๕/๓๒๓.
๓๗๗
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
ศีรษะหนอ...คันหนอ ชาหนอ เฉยๆหนอ” เปนตน ตามอาการของเวทนา
นั้น ๆ สุด แตเ วทนาอยา งไหนจะปรากฏชัด เจน พรอ มกับ ใหมีส ติกําหนด
พิจ ารณารู อ าการของเวทนานั ้น ๆ วา มีอ าการอยา งไรพรอ มกัน ไปใน
ขณะเดียวกันดวย การกําหนดพิจารณารูเวทนา ไมใชกําหนดใหเวทนาดับ
ไป แตเปนเพียงใหโยคีผูปฏิบัติมีสติกําหนดพิจารณารูอาการของเวทนาที่
เกิดขึ้นในขณะนั้นใหทราบชัดตามความเปนจริงทุกขณะๆ ไปเทานั้นอยาง
นี้เปนการเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน
เดินจงกรมแบบจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน
ขณะที่โ ยคีเ ดิน จงกรม ๑ ชั่ว โมงอยูนั้น จิต คิด ถึง อดีต อนาคต
หรือฟุงซาน ก็ใหห ยุด เดิ น กอ น แลว กํา หนดไปที่อาการนั้น บริกรรมในใจ
วา“คิด หนอๆๆ”ฟุง หนอๆๆทัน ทีที่เ กิด รูทัน ไปตามอาการที่จิต เขาไปรู
อาการนั้นๆ เพราะถาเราเดินในขณะที่จิตคิดถึงอดีต อนาคต หรือฟุงซาน
ก็เปรียบเหมือนการเอาน้ําสกปรกไปลางจานๆก็ไมส ะอาด จะลางจานให
สะอาดน้ําตองสะอาดกอน ฉะนั้น เลยตองหยุดเดินเพื่อไปบําบัดที่จิตกอน
อาการคิด นึก มัน มีค วามซับ ซอ นหลายอยา ง เพราะอาการคิด กับ นึก มัน
ต างกัน คือ อาการคิด ที่ไมเ ปน เรื่องไมเ ปน ราวและไมไดมาจากเจตนาที่
จะคิด อยา งนี้เ รีย กวา คิด แตถา จิต มัน ไมไ ดอ ยากคิด แตมัน ไปคิด ของมัน
เองแบบสับสนเปนเรื่องเปนราวแบบนี้เรียกวาฟุง แต บ างครั้งจิต มัน ตั้ งใจ
คิดคือมีความเปน เราเขาไปตั้ งใจใหใชคํา วาตรึกหรือนึกเพราะมัน มาจาก
ความตั้ง ใจของเรา และบางทีโ ยคีเ ห็น เปน ภาพนิ่ง เปน หนา คนปรากฏ
ขึ้น มาใหใชคํา วาเห็น หนอ แต ถาเปน ภาพเคลื่อนไหวใหใชคํา วา คิด หนอ
โยคีกํ า หนดเห็น อาการของจิต ที ่ค ิด กํา หนดอาการนั ้น ไมใ ชกํ า หนด
เรื่อ งราวที่คิด สถานที่ บุค คล เพีย งรูวา กํา ลัง คิด อยู จนเห็น วา จิต รูกับ
ความคิด เปน คนละอัน ปราศจากความรูสึก วา เปน ผูคิด หรือ ความคิด
เปน เรา เมื่ออาการ คิด นึก หรือฟุง ดับ ไปก็ใ หกําหนดเดิ น จงกรมตอไป
ตามปกติอยางนี้เปนการเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน
๓๗๘
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
เดินจงกรมแบบแบบธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน
โยคีกําหนดรู เทาทัน อาการตามสภาพธรรมที่ชั ด เจน ในขณะนั้ น
ความรูสึกวาเราเปนผูรูเทา ไมปรากฏปราศจากภาวะแหงบุคคล ตัวตน เรา
เขา มีเ พีย งอารมณที่ป รากฏชั ด กับ จิ ต ที่เ ขาไปรู เ ทานั้ น ให เ ดิน จงกรมให
เทากับเวลานั่งภาวนา เดินใหครบทั้ง ๖ จังหวะ และเพิ่มอาการรูของจิต
ลงไปในอาการกา วยา งเปน ทวีค ูณ คือ เพิ ่ม ความถี ่ข องจิต รู ล งในการ
กําหนด และเพิ่มการกําหนดรูจิตอยากหัน อยากมอง อยากพูด อยากคุย
ใหจิตที่อยากมอง อยากคุยนั้นๆ ดับไป..โดยไม หันไปมองหรือเผลอพูดคุย
ใหไดทันกอนทุกครั้ง
และเจาะลึก สภาวะธัม มานุป ส สนา ใหม ากขึ ้น โดยเฉพาะ
“ตัณหาหนอ (อยากหนอ)” “มานะหนอ (ยึดหนอ)” “ทิฏ ฐิหนอ (หลง
หนอ)”ในขณะกําหนดเดินจงกรม เผลอบอยรูสึกหงุดหงิด กํา หนดงวงซึม
กําหนดอาการวา “ ซึมหนอๆ” หรือมีสิ่งมารบกวนรูสึกรําคาญ กําหนด
อาการวา “รําคาญหนอๆ” เมื่อญาณสูงขึ้น สภาวธรรมละเอียดนิ่มนวล
เบาบางก็กําหนดวา“รูหนอๆ” หรือ “รูๆๆๆ” จนกวาอารมณทั้งรูปทั้งนาม
ดับไปหมดสิ้นอยางสิ้นเชื้อ นี้เปนการเจริญธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน๒๙
๖. เห็นอริยสัจ ๔ ในการกําหนดจงกรม
อริยสัจ ความจริงอยางประเสริฐ ความจริงที่ทําคนใหเปนพระอริยะ
มี ๔ อยาง คือ ทุกข (หรื อ ทุกขสั จ จะ) สมุทัย (หรื อ สมุทัย สั จ จะ) นิ โ รธ
(หรือ นิโรธสัจจะ) มรรค (หรือ มัคคสัจจะ)๓๐ หรื อสัจจะที่พระอริย ะแทง
ตลอดอย างนี้ ก็ได คํ าว าอริ ย สั จ มาจากคําว า อริ ย +สั จ จะ สองคํา รวมกั น
๒๙
ดูรายละเอียดใน พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย, หลักสูตรพุทธศาสตร
มหาบัณ ฑิต สาขาวิ ชาวิป สสนาภาวนา รายวิชา ๖๐๖ ๓๐๗ สติป ฏฐานภาวนา
(ศูนยบัณฑิตศึกษา วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม) พ.ศ. ๒๕๕๖.
๓๐
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวล
ศัพท, พิมพครั้งที่ ๑๕,(กรุงเทพ: บริษัท สหธรรมิก จํากัด, ๒๕๕๓), หนา ๕๖๙.
๓๗๙
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
แปลวา เปนสัจจะที่พระอริยะแทงตลอด อริยสัจ๔ คือ ความจริงแทที่นําไปสู
ความสิ้นทุกขไดจริง๓๑ธรรมอันทําใหเปนพระอริยะ๓๒พระผูมีพระภาคเจา
ตรัสไว ๔ ประการ๓๓ พิจารณาอริยสัจ ๔ ในการเดินจงกรม ดังนี้
๑) การมีสติตามกําหนดรู รูปยก ยาง เหยียบ ขณะเดินจงกรมเปน
อารมณ จนเห็นรูปเห็นนาม นี้เปนขั้นกําหนดรูทุกข จัดเปน ทุกขอริยสัจ
การเจริญสติกําหนดรูอิริยาบถเดิน ขณะยก ยาง เหยียบ ปรากฏ
อาการของธาตุ ๔ เชน อาการมีไหล ไหว ตึง หย อน แข็ง ออน เย็ น ร อน
สภาพธรรมทั้งหลายที่ปรากฏชัดในขณะเดินจัดเปน รูป และจิตที่เขาไปรับรู
อาการของกายรวมถึงอาการของธาตุทั้งหลาย เชน จิตเขาไปรูอาการยก ยาง
เหยียบ เย็น รอน ออนแข็ง เปนตน จัดเปน นาม เมื่อเจริญสติมากขึ้น สมาธิ
ตั้งมั่น ปญญาแกกลาจนเห็นแจงเปนรูปเปนนาม แยกรูปแยกนาม เห็นรูป-
นามวาไมเที่ยง เปนทุกข ไมมีตัวตนบังคับบัญชาไมไดไมมีตัวตน บุคคล เรา
เขา นี้เปนกระบวนการขั้นกําหนดรูทุกข จัดเปน ทุกขอริยสัจ
๒) การมีสติตามกําหนดรูรูปยก ยาง เหยียบ ขณะเดินจงกรมเปน
อารมณ จนสติมีกําลังมากขึ้น สมาธิตั้งมั่นทําใหเกิดปญญาเห็นตัญหาที่ทําให
เกิดสติกําหนดละรูป-นามนั้น เปนขั้นกําหนดละสมุทัย จัดเปน สมุทยอริสัจ
จิ ต อยาก(ตั ณหา)ในการเดิ น จิ ต ที่อยากจะยก ย าง เหยี ย บ และ
เจตนาในการกําหนดรูในขณะเดินจงกรม จัดเปนสมุทยสัจและ การมีสติตาม
กําหนดรูรูป ขณะยก ยาง เหยียบ ขณะเดินจงกรมเปนอารมณ จนสติมีกําลัง
มากขึ้น สมาธิตั้งมั่น ทําใหเกิดปญญาเห็นตัณหาที่ทําใหเกิดสติขั้นกําหนดละ
รูป-นามนั้น เปนกระบวนการขั้นกําหนดละจัดเปน สมุทยอริยสัจ
๓) การมีสติกําหนดรูรูปยก ยา เหยียบ จนแจงรูป-นาม เห็นอาการ
เปลี่ ย นไปดั บ ไปของรู ป -นามและจิ ตตั ว รู เ ป น การแจ ง นิ โ รธ จั ด เป น นิ โ รธ
อริยสัจ
๓๑
อภิ.วิ.มูลฎีกา (บาลี) ๑/๑๘๙/๕๘.
๓๒
ขุ.เถร. (บาลี) ๒/๓๖/๑๕๘.
๓๓
สํ.สฬา.(ไทย) ๑๘/๖๗/๕๗., สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๘๔/๕๙๙
๓๘๐
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
การมีสติกําหนดรูรูป-นามในการเดินจงกรม ขณะยก ยาง เหยียบ
จนเกิ ด สติ สมาธิ ป ญ ญามากขึ้น มี กํ า ลั ง จนเห็ น แจ งรู ป และนาม คื อ เห็ น
อาการดับไปของอารมณและจิตตัวรูในขณะนั้นๆไดเปนการแจงนิโรธ จัดเปน
นิโรธอริยสัจ
๔) การมีสติกําหนดรูรูปยก ยาง เหยียบ จนเห็นรูป-นาม, เห็นเหตุ
ปจจัยและอาการเปลี่ยนแปลงไปของรูป-นามนั้น จนแจงอาการดับของรูป-
นามแจมชัดมากขึ้นๆ เปนการเจริญมรรค จัดเปน มรรคอริยสัจ
การมีสติกําหนดรูรูป-นามในอิริยาบถเดิน ในขณะยก ยาง เหยียบ
จนเห็ น รู ป -นามตามความเป น จริ ง เห็ น เหตุ ป จ จั ย และเห็ น อาการ
เปลี่ยนแปลงไปของรูป-นามนั้น จนแจงอาการดับของรูป-นามแจมชัดมาก
ขึ้นๆ เปนกระบวนการเจริญมรรค จัดเปน มรรคอริยสัจ
ขณะที่เจริญสติปฏฐาน ๔ กําหนดรูอาการในขณะเดินจงกรมอยูนั้น
องคมรรคทั้ง ๘ ประการมีอยูพรอม ดังนี้
๑. ปญญาเห็นแจงชัดอาการยก ยาง เหยียบ โดยความเปนรูป เห็น
แจงชัดจิต ที่รูยก ย าง เหยีย บ เปนนาม ซึ่งเกิด-ดับตามเหตุปจจั ย จัดเป น
สัมมาทิฏฐิ
๒. เมื่อมีอาการยก ยาง เหยียบ ปรากฏอยูในขณะเดิน ดําริยกจิต
ขึ้นสูอารมณ กําหนดรูอาการยก ยาง เหยียบนั้น ใหประจักษแกจิต จัดเปน
สัมมาสังกัปปะ
๓. การกําหนดรูอาการยก ยาง เหยียบ ตามลักษณะอาการ ดวย
การน อมจิ ตพร อมกับ บริกรรมภาวนาวา “ขวายางหนอ ซายยางหนอ ยก
หนอ เหยียบหนอ” จัดเปนสัมมาวาจา
๔. กําหนดรูทุกครั้งที่เห็นอาการยก (ยกหนอ), กําหนดรูทุกครั้งที่
เห็นอาการยาง (ยางหนอ), กําหนดรูทุกครั้งที่เห็นอาการเหยียบ (เหยียบ
หนอ), กําหนดวา“คิดหนอ” ทุกครั้ง ที่เ ห็ นอาการคิด ฯลฯ จั ดเป น
สัมมากัมมันตะ
๕. เมื่อกําหนดอยางจดจอตอเนื่อง กายยอมผองแผว จิตยอมผองใส
ชวยใหสติจับอารมณไดถูกตรงตามความเปนจริงยิ่งขึ้น จัดเปนสัมมาอาชีวะ
๓๘๑
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
๖. การประคับประคองจิตใหระลึกรูอยูแตอารมณปจจุบันที่ปรากฏ
ไมปลอยใจใหหลงใหลไปตามอารมณอดีตหรืออนาคต จัดเปนสัมมาวายามะ
๗. การเขาไปตั้งความระลึกรูอยางจดจอตอเนื่อง ไวในอารมณรูป-
นามปจจุบัน ที่เปลี่ยนแปลง เกิด-ดับไปตามเหตุปจจัย จัดเปนสัมมาสติ
๘. ความไมฟุงซาน จิตตั้งมั่นในอารมณรูป-นามอยางจดจอ ตอเนื่อง
ดวยอํานาจอุเ บกขาสั มโพชฌงค เปนบาทฐานในการเจริญสัมมาทิฏฐิ ใน
ระดับวิปสสนาญาณตอไป จัดเปนสัมมาสมาธิ
อริ ยสั จ ๔ ที่ป ระจักษแกผูป ฏิ บัติ ธรรมที่ระลึ กรู กิริ ย าเดิน เปน ต น
โดยไมองิ อาศัยตัณหาและทิฏฐิ คือ
การรูเห็นความเกิดดับของรูปที่เคลื่อนไหวในขณะเดิน จิตที่ตองการ
จะเดิน สติที่ระลึกรู และปญญาที่หยั่งเห็น เปนตน จัดเปนการกําหนดรูทุกข
สัจ ชื่อวา ปริญญากิจ คือ กิจกําหนดรู
การละความพอใจในสภาวธรรมที่กําหนดรูอยู จัดเปนการละสมุทย
สัจไดชั่วขณะเปนตทังคปหาน ชื่อวา ปหานกิจ คือ กิจละ
การบรรลุนิพพานชั่วขณะที่เรียกวาตทังคนิโรธ ดวยการใหสําเร็จ
ความดับวัฏฏทุกข คือ กิเลสที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมิไดเจริญสติตั้ งแตอวิชชาที่
ปกปดสภาวะเกิดดับที่เปนอนิจจลักษณะไว พรอมดวยกรรมและวิบากขันธ
จัดเปนการกระทําใหแจงนิพพาน ชื่อวา สัจฉิกิริยากิจ คือกิจกระทําใหแจง
(ในที่นี้หมายถึงการใหสําเร็จความดับวัฏฏทุกขโดยตรง ยังไมใชการรูเห็น
ความดับของรูปนามคือนิพพานอยางแทจริง)
การอบรมอริยมรรคมีองค ๘ มีสัมมาทิฏฐิเปนตน ที่เปนฝายโลกิยะ
ชื่อวา ภาวนากิจ คือ กิจอบรม
ทุกขณะที่นักปฏิบัติเจริญสติระลึกรูสภาวธรรมปจจุบันจนกระทั่ง
เกิดปญญาหยั่งเห็นความเกิดดับอยางชัดเจน อริยสัจ ๔ ยอมประจักษเสมอ
อย า งนี้ ต อ เมื่ อ นั ก ปฏิ บั ติ บ รรลุ วิ ป ส สนาญาณขั้ น ต า งๆ จนกระทั่ ง บรรลุ
นิพพานดวยมรรคญาณก็จะหยั่งเห็นความดับสนิทของรูปนามอยางชัดเจน
อริยสัจ ๔ ที่ปรากฏในขณะนั้น คือ
๓๘๒
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
การหยั่งเห็นความดับของรูปนามที่กําหนดรูอยูจัดเปนการกําหนดรู
ทุกขสัจ และปริญญาปฏิเวธะ คือ การแทงตลอดดวยการกําหนดรู
การละความพอใจในรูปนามทั้งหมด จัดเปนการละสมุทยสัจ และ
ปหานปฏิเวธะ คือ การแทงตลอดดวยการละ
การรูนิพพานที่เปนความดับรูปนามทั้งหมดเปนอารมณ เปนการ
กระทําใหแจงนิโรธสัจ และสัจฉิกิริยาปฏิเวธะ คือ การแทงตลอดดวยการ
กระทําใหแจง
การเจริญอริยมรรคมีองค ๘ ฝายโลกุตตระ เปนการอบรมมรรคสัจ
และภาวนาปฏิเวธะ คือ การแทงตลอดดวยการอบรม
โดยประการดังนี้ ในเวลาบรรลุนิพพานดวยมรรคญาณ นักปฏิบัติชื่อ
ว า เป น ผู แ ทงตลอดอริ ย สั จ ๔ คื อ ทุ ก ข สมุ ทั ย นิ โ รธและมรรคใน
ขณะเดียวกัน ดวยการกําหนดรู การละ การกระทําใหแจง และการอบรม
เปรียบเสมือนประทีปที่ทํากิจ ๔ อยางในขณะเดียวกัน คือ การใหแสงสวาง
การทําลายความมืด การเผาไส และการยังน้ํามันใหแหง
๗. ประวัติการบรรลุธรรม
การบรรลุธรรมในอิริยาบถของพระเถระแตละทานนั้นแตกตางกัน
ออกไปในอิริยาบถทั้งสี่ คือ การยืน การเดิน การนั่ง และการนอน ในการ
ปฏิบัติพระกัมมัฏฐานจะตองเปนไปตามหลักแนวเจริญสติปฏฐาน ๔ในที่นี้
จะขอกลาวถึงพระเถระผูบรรลุพระอรหันตดวยการเดินจงกรม เพื่อนําเอา
ปฏิป ทาของทา นมาเปน ตัว อยา งในการปฏิบ ัต ิ พระเถระที ่บ รรลุพ ระ
อรหันตดวยการเดินจงกรม คือ พระมหานาคเถระ มีดังนี้
ประวัติพระมหานาคเถระ
ปรากฏเรื่องราวในคัมภีรอรรถกถาวา มีพระขีณาสพผูมีปฏิสัมภิทา
แตกฉานรูปหนึ่ง ชื่อวา พระธัมมทินนเถระ ทานอยูที่ตลังครวิหาร เปนผูให
โอวาทแกภิกษุสงฆหมูใหญ วันหนึ่งทานปรารภถึงพระอาจารยของทานวา
๓๘๓
บทที่ ๖ วิธีเดินจงกรมพิจารณาอริยสัจ ๔
“เหตุแหงความเปนสมณะของพระมหานาคเถระผูอยู ณ อุจจุงกวา-ลิกวิหาร
อาจารยของเราถึงที่สุด(บรรลุ)แลวหรือยังหนอ” เมื่อทานพิจารณาดูก็เห็น
ความที่ พระมหานาคเถระนั้นยังเปนปุถุชนเปนอยู และทราบดวยวา “เมื่อ
ทานไมไปชวย พระมหานาคเถระจะทํากาลกิริยาทั้งที่เปนปุถุชนเปนแน”
จึ งรี บ เดิ น ทางไปเยี่ ย มพระมหานาคเถระผู พํ านั ก อยู ณ ที่นั่ ง พัก กลางวั น
กราบแลวแสดงอาจริยาวัตร พระมหานาคเถระทักวา “อาวุโสธัมมทินนะ
ทําไมมาตอนนี”้ ทานก็เรียนวา “ จะมาเรียนถามปญหาครับ”
เมื่อพระเถระอนุญาตวา “ถามเถิด อาวุโส เราจักลาวแกให” ทาน
จึงถามปญหาเสียตั้ง ๑,๐๐๐ ขอ พระมหานาคเถระก็กลาวแกปญหาที่ถาม
ได ไมขัดของเลย ทีนี้เ มื่อพระธั มมทินนเถระถามวา “ญาณของทานเฉีย บ
อยางยิ่ง ธรรมอันนี้ทานไดบรรลุเมื่อไร” พระมหานาคเถระก็บอกวา “เมื่อ
๖๐ ปที่แลว” พระธัมมทินนเถระจึงขอใหทานแสดงอภิญญาสมาธิใหดู ขอให
ทานนิรมิตชางขึ้นสักตัวหนึ่ง ทานก็สราง ชางเผือกผองขึ้นตัวหนึ่ง พระธัมม
ทินนเถระจึงกลาวตอไปอีกวา ขอใหทานทํามันใหเปนยังชางมีใบหูผึ่ง หางชี้
มวนงวงไวในปาก ทําเสียงแผดรองอยางนากลัว แลนมาตรงหนา พระมหา
นาคเถระก็ทําอยางที่ขอใหทํานั้น แตเมื่อเห็นอาการอันนากลัวของชางซึ่ง
แลนมาโดยเร็ว ก็เกิดอาการกลัวขึ้น ตั้งทาจะลุกหนี พระธัมมทินนเถระผู
ขีณาสพจึงเหยียดมือยึดชายของจีวรทานไว แลวเรียนวา “ทานอาจารย ขึ้น
ชื่อวาความขลาดของพระขีณาสพหามีไม”
ในกาลนั้น ทานจึงรูความที่ตนยังเปนปุถุชน แลวกลาววา “อาวุโส
ธัมมทินนะ ขอเธอจงเปนที่พึ่งของฉันดวยเถิด” แลวนั่งกระโหยง คุกเขาแทบ
เทาพระขีณาสพ พระเถระขีณาสพจึงวา “ ทานอาจารย กระผมมาก็ดวย
ตั้ ง ใจว า จะเป น ที่ พึ่ ง พิ ง ของท า นนั่ น แหละ ท า นอย า คิ ด ไปเลย”แล ว บอก
กรรมฐานให พระมหานาคเถระรับกรรมฐาน แลวขึ้นสูที่จงกรมในยางเทาที่
๓ ก็ไดบรรลุผลเลิศ คือพระอรหันต๓๔
๓๔
ม.มู.อ. (ไทย) ๑๗/๔๙๔.
๓๘๔
บทที่ ๗
วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
๑. สภาพธรรมของเวทนา
พระพุทธองคตรัสว า “ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อะไรเรียกว าเวทนา?
เพราะเสวยอารมณสุขบาง เสวยอารมณทุกขบาง เสวยอารมณไมใชสุขไมใช
ทุกขบาง จึงเรียกวาเวทนา”๑ ก็คือความรูสึกสบาย ความรูสึกไมสบาย และ
รู สึ ก เฉยๆ โดยรู ป ศั พทม าจาก วิ ท อนุ ภ วเน + ยุ + อา วุ ทธิ อิ เป น เอ,
อาเทศ ยุ เปน อน, ลบสระหนา สําเร็จรูปเปน เวทนา มีรูปวิเคราะหวา เวท
ยตีติ เวทนา. อารมณสุขและทุกขเปนตนที่บุคคลเสวย ชื่อวา เวทนา๒
เวทิยติ อาลมฺพนรสํ อนุภวตีติ เวทนา. ชื่อวาเวทนา เพราะอรรถ
วิเคราะหวา เสวยคือกินรสของอารมณ๓ มีลักขณาทิจุกะ ดังนี้
๑) เวทยิตลกฺขณา มีการเสวยอารมณเปนลักษณะ
๒) อนุภวนรสา มีการเสวยรสอารมณเปนกิจ
๓) อิฏฐาการสมฺโภครสา มีความเสวยอารมณที่ชอบเปนกิจ
๔) เจตสิกอสฺสาทปจฺจจุปฏฐานา มีความพอใจทางใจเปนปจจุปฏ
ฐาน
๕) ปสฺสทธิปทฐานา มีปสสัทธิเปนปทัฏฐาน๔
ในการเจริญวิปสสนาพระองคตรัสถึงการกาหนดรูรูป (รูปปริคฺคโห)
บาง การกําหนดรูอรูป(อรูปปริคฺคโห)บาง ในการกาหนดรูรูปนั้นตรัสถึงการ
๑
ส.ข. (ไทย) ๑๗/๗๙/๑๒๑.ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๐/๔๙๐.
๒
พระมหาสมปอง มุทิโต, คัมภีรอภิธานวรรณนา, พิมพครั้งที่ ๒,
(กรุงเทพมหานคร: บริษัทประยูรวงศพริ้นทติ้ง จํากัด, ๒๕๔๗), หนา ๒๑๒.
๓
พระสุมังคลเถระ, อภิธมฺมตฺถสงฺคหปาลิยา สห อภิธมฺมตฺถวิภาวินี นาม
อภิธมฺมตฺ ถสงฺคหฎีกา, พิ มพครั้ง ที่ ๘, (กรุง เทพมหานคร: โรงพิ มพมหามกุฎราช
วิทยาลัย, ๒๕๔๒), หนา ๙๙.
๔
อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/๓๑๑-๓๑๒.
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
กําหนดธาตุ ๔ สวนการกําหนดรูอรูป โดยมากตรัสถึงการกําหนดรูเวทนา๕
การกําหนดรูอ รูปมีหลักการสําคัญ ๓ ประการ คือ ดวยสามารถแหง
ผัสสะ ดวยสามารถแหงเวทนา และดวยสามารถแหงจิต คือ เมื่อผูปฏิบัติ
กําหนดรูรูปกรรมฐานแลว การที่จิตและเจตสิกตกไปในอารมณครั้งแรกนั้น
ผัสสะที่กระทบอารมณนั้นก็เกิดขึ้น ปรากฏแกผูปฏิบัติบางคน เมื่อจิตเสวย
อารมณนั้นเวทนาเมื่อเกิดขึ้นก็ยอมปรากฏแกผูปฏิบัติบางคน และวิญญาณ
อันเกิดขึ้นกําหนดรูอารมณนั้นอยู ก็ยอมปรากฏแกผูปฏิบัติบางคน
ในความถือมั่น ๓ อยางนั้น ผัสสะยอมปรากฏแกภิกษุใด แมภิกษุ
นั้น ยอมกําหนดรูสภาพธรรมวา มิใชผัสสะอยางเดียวเทานั้นยอมเกิดขึ้น แม
เวทนาอันเสวยอยูซึ่งอารมณนั่นก็เกิดขึ้นพรอมกับผัสสะนั้น แมสัญญาอันจํา
ซึ่ ง อารมณ นั้ น แม เ จตนาอั น คิ ด ซึ่ ง อารมณ นั้ น แม วิ ญ ญาณ อั น รู แ จ ง ซึ่ ง
อารมณนั้นก็ยอมเกิดขึ้นดวยผัสสะนั้น
เวทนายอมปรากฏแกภิกษุใด แมภิกษุนั้นก็ยอมกําหนดสภาพธรรม
วา มิใชเวทนาอยางเดียวเทานั้นเกิดขึ้น แมผัสสะอันกระทบอยูซึ่งอารมณ
นั้น นั่ น แหละยอมเกิด ขึ้น กับเวทนานั้ น แมสั ญญาอัน จําซึ่งอารมณนั้ น แม
เจตนาอันคิด ซึ่งอารมณนั้น แมวิ ญญาณอันรูแจ งซึ่งอารมณนั้ น ก็ย อมเกิด
ขึ้นกับเวทนานั้น
วิญญาณยอมปรากฏแกภิกษุใด แมภิกษุนั้นก็ยอมกําหนดรูสภาพ
ธรรมวา มิใชวิญญาณอยางเดียวเทานั้นเกิดขึ้น แมผัสสะอันกระทบอยูซึ่ง
อารมณนั้ นนั่ น แหละย อมเกิดขึ้น แมเวทนาอันเสวยอยูซึ่งอารมณนั้ น แม
สัญญาอันจําซึ่งอารมณนั้น แมเจตนาอันคิดซึ่งอารมณนั้น ก็ยอมเกิดขึ้นกับ
วิญญาณนั้น
เมื่อภิกษุนั้นใครครวญอยูวา ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา วิญญาณ
ธรรมทั้ง ๕ นี้อาศัยอยูกับอะไร ยอมทราบชัดวา อาศัยมหาภูตรูปและอุปาทา
รูป ดังนั้น จึงเห็นแจงชัดวาวา มหาภูตรูป(ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุลม)
๕
ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑/-/ ๗๐๖.
๓๘๖
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
เป น รู ป ธรรม ส ว นผั ส สะ เวทนา สั ญ ญา เจตนา วิ ญ ญาณ ทั้ ง ๕ นี้ เ ป น
นามธรรม เมื่อใครครวญอยูวาขันธทั้งหลายมีอะไรเปนเหตุ ยอมเห็นวา มี
อวิชชาเปนตนเปนเหตุ
ในลําดับนั้นจึงยกขึ้นสูไตรลักษณดวยสามารถนามรูป พรอมดว ย
ปจจัยวา นี้เปนปจจัย นี้เปนธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปจจัย สัตวหรือวาบุคคลอื่น
ไมมี มีแตเพียงกองแหงสังขารๆ เทานั้น พิจารณาเห็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา
โดยลําดับแหงวิปสสนา มุงหวังซึ่งการแทงตลอดวาในวันนี้ๆ ก็หรือวา เธอได
อุตุสปั ปายะ ปุคคลสัปปายะ โภชนสัปปายะ และธัมมัสสวนสัปปายะ แลวนั่ง
โดยบัลลังกเดียวนั่นแหละ ยังวิปสสนาใหถึงที่สุดแลวดํารงอยูในพระอรหัต
พระผูมพี ระภาคเจา เมื่อจะตรัสอรูปกรรมฐานก็ตรัสไวดวยสามารถ
แหงเวทนาเพราะเหตุไร เพราะความเกิดขึน้ แหงเวทนาทั้งหลาย ยอมปรากฏ
เพราะวาความเกิดขึ้นแหงสุขเวทนาและทุกขเวทนาทั้งหลายปรากฏอยู คือ
ในกาลใด สุ ข เวทนาเกิ ด ขึ้ น ทํ า ให ส รี ร ะทั้ ง สั่ น กระเพื่ อ มอยู สั่ น ไหวอยู
ซาบซานแผไปอยูเปนราวกะใหเคี้ยวกินเนยใสอันชําระแลวตั้งรอยครั้ง ราว
กะใหดับอยูซึ่งความเรารอนดวยน้ําตั้งพันหมอ ยอมใหเปลงวาจาวา สุขหนอ
สุขหนอ ในกาลใด ทุกขเวทนา เกิดขึ้น ก็ทําใหสรีระทั้งสิ้นกระเพื่อมอยู สั่น
ไหวอยู ซาบซานแผไปอยู เปนราวกะเขาไปสูกระเบื้องที่รอน ราวกะราดอยู
ดวยน้ําทองแดงที่ละลายแลว ราวกะกําคบเพลิงไมที่ใสเขาไปในหญาและ
ตนไมใหญที่แหงในปา ทําใหบนเพอรําพันอยูวา ทุกขจริง ทุกขจริง ความ
เกิดขึ้นแหงสุขเวทนา และทุกขเวทนา ยอมปรากฏ
สําหรับอทุกขมสุขเวทนานั้นชี้แจงใหเห็นไดโดยยาก ไมแจมแจงดัง
ความมืด แตยอมปรากฏแกผูปฏิบัติเองวา อทุกขมสุขเวทนานั้นเปนอาการ
ปานกลาง ดวยสามารถแหงการปฏิเสธความยินดีและยินราย เพราะความสุข
และความทุกขปราศจากไป
เปรี ย บเหมื อน นายพรานเนื้ อตามรอยเท าเนื้ อ ตั ว ที่ ห นี ขึ้น ไปบน
ระหว างแผ นหิ น ในเวลาอื่นพบรอยเทาเนื้ อที่ฝงนี้ของแผน หิน แมไมเ ห็ น
รอยเทาในทามกลาง ก็จะทราบไดโดยนัยวา เนื้อนี้ขึ้นไปจากที่ตรงนี้ลงมา
จากที่ตรงโนน ในทามกลาง มันจักไปบนแผนหินตรงนี้ ฉันใด ขอนี้ก็ฉันนั้น
๓๘๗
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
เพราะวา ความเกิดขึ้นแหงสุขเวทนายอมปรากฏ เปนราวกะวารอยเทาในที่
เปนที่ขึ้นไป ความเกิดขึ้นแหงทุกขเวทนายอมปรากฏเปนราวกะวา รอยเทา
ในที่เปนที่กาวลง
อทุกขมสุ ขเวทนานี้ ย อมปรากฏแกผู ถือเอาว า อทุกขมสุ ขเวทนา
เปนอาการปานกลางดวยสามารถแหงการปฏิเสธความยินดีและยินราย ใน
เพราะการปราศจากสุขและทุกขเวทนาราวกะ การถือเอาโดยนัยวา เนื้อที่
ขึ้นไปบนแผนหินตรงนี้ ลงไปตรงโนน ในทามกลางมันจะเดินไปตรงนี้
เวทนามีการเสวยอารมณเปนลักษณะ๖ เวทนานั่นเองเสวยสุข ไมใช
สัตวหรือบุคคลอื่น เพราะวาเวทนามีการเสวยอารมณเปนลักษณะ และ
เวทนาเสวยไดก็เพราะอาศัยวัตถุกับอารมณ๗
การเสวยอารมณ คือการเสวยวิบากทีเ่ กิดรวมกับผัสสะ ดวยปฏิสนธิ
วิญญาณบาง ดวยสฬายตนะเปนปจจัยบาง๘ ซึ่งมีลักขณาทิจตุกะดังนี้
มีการรูสึกอารมณเปนลักษณะ
มีการเสวยรสอารมณเปนกิจ หรือมีความเสวยอารมณที่ชอบเปนกิจ
มีความพอใจทางเปนปจจุปฏฐาน มีปสสัทธิเปนปทัฏฐาน.
สุขเวทนาก็ตาม ทุกขเวทนาก็ตาม อุเบกขาเวทนาก็ตาม ทั้งหมดมี
การเสวยอารมณเปนรส คือ ผัสสะก็เพียงกระทบอารมณเทานั้น สัญญามี
เพียงจําอารมณเทานั้น เจตนามีเพียงความตั้งใจเทานั้น วิญญาณมีการรูแจง
อารมณเทานั้น แตเวทนาเทานั้นที่เสวยรสแหงอารมณโดยสวนเดียว เพราะ
ความเปนเจาของโดยความเปนใหญ
เวทนานี่เปรียบเหมือนพระราชา สวนธรรมที่เหลือเหมือนพอครัว
พอครัวยังโภชนะมีรสอันเลิศตางๆ ใหเรียบรอยแลวใสสมุกประทับตรา ยก
ไปวางไวในสํานักพระราชา ทําลายตราแลวเปดสมุก แลวพนักงานก็ถือเอา
สวนขางบนจากกับแกงทั้งหลายใสภาชนะ เพื่อลองชิมดูวามีโทษหรือไมมี
๖
ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑/-/๗๐๖., ขุ.มหา.อ. (ไทย) ๕/๑/-/๓๙๒.
๗
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ ๑๙๖
๘
อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค เลม๗ ภาค๑ หนา ๖๔๙
๓๘๘
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
โทษ จากนั้นก็นอมโภชนะมีรสตางๆ ไปถวายพระราชา พระราชาเทานั้น
ทรงเปนเจาของเสวยไดตามปรารถนา เพราะทรงเปนใหญและทรงมีอํานาจ
สวนธรรมนอกนั้นเสวยรสอารมณบางสวน เหมือนพอครัวเพียงแต
ชิม และทดลองชิม พระกระยาหารเพียงบางสวนเทานั้น ฉันใด แมธรรมที่
เหลือก็ฉันนั้น ยอมเสวยรสอารมณเพียงบางสวนเทานั้น เหมือนอยางวา
พระราชาทรงเปนเจาของ เพราะพระองคทรงเปนใหญเปนผูสมควร ยอม
เสวยตามความพอพระทัย ฉันใด แมเวทนาก็ฉันนั้นยอมเสวยรสแหงอารมณ
โดยความเปนเจาของ เพราะความเปนใหญ เปนผูสมควร เพราะฉะนั้น
ทานจึงกลาววา เวทนามีการเสวยอารมณเปนรส.๙
๒. ความสําคัญของการกําหนดรูเ วทนา
พระสัมมาสัมพุทธเจาทรงแสดง เวทนา ในพระสูตรตางๆ มีมากมาย
หลายประเภท เชน เวทนา ๓, เวทนา ๕, เวทนา ๖ แมวาเวทนาเปนสภาวะ
นามธรรมชนิดหนึ่ง เมื่อวาโดยปรมัตถธรรม๑๐ เวทนาเปนเจตสิกดวงที่ ๒ ใน
บรรดาเจตสิกทั้งหมด ๕๒ ดวง กระบวนธรรมของเวทนาซึ่งเปนกระบวน
ธรรมการรับรูของผูมีชีวิต ที่เกิดขึ้นมาจากสหชาตธรรม คือ อายตนะภายใน
ทั้ง ๖, อายตนะภายนอกทั้ง ๖ และวิญญาณทั้ง ๖ มาประชุมรวมกัน เกิด
ผั ส สะการกระทบสั ม ผั ส อาศั ย การปรุ ง แต ง ของเหตุ ป จ จั ย ต า งๆ เป น
กระบวนการทางธรรมชาติเกิดการรับรู เรียกวา เวทนา เกิดเปนกระบวน
ธรรมที่ ส มบู ร ณ ค รบองค ของขั น ธ ๕ คื อ อายตนะภายใน และอายตนะ
ภายนอกเปนรูปขันธ มีวิญญาณเปนวิญญาณขันธ มีผัสสะเปนสังขารขันธ
เกิดเวทนา เปนเวทนาขันธ๑๑
๙
อภิ.สํ.อ. (ไทย) ๑/๑/-/๓๑๑.
๑๐
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวล
ศัพท, พิมพครั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพบริษัท เอส.อาร.พริ้นติ้ง แมส โปร
ดักส จํากัด, ๒๕๕๑), หนา ๒๐๑.
๑๑
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย, พิมพครั้งที่
๓๕, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพผลิธัมม, ๒๕๕๕), หนา ๓๗.
๓๘๙
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
การเจริญวิปสสนาภาวนาตองพิจารณาใหเห็นสภาวะจริงของเวทนา
ที่เปนจริงวา เวทนานั้นเกิดแตจิต ซึ่งเปนสวนหนึ่งของใจอันมีอวิชชา ความ
ไมรูสภาวะจริงนั้นเอง ทําหนาที่ปรุงแตงอารมณ เรียกวา จิตสังขาร อันเปน
เหตุใหเกิดการรับรูอารมณจากภายนอกที่สัมผัสกับทวารตางๆ ทั้ง ๖ ทวาร
แลวจิตนั้นเองก็เสวยอารมณสุข ทุกข หรือ อทุกขมสุขเวทนา แลวแตกรณี
เมื่อพิจารณาเห็นเวทนาวา “นั่นไมใชของเรา เราไมเปนนั่น นั่นไมใชอัตตา
ของเรา” เพราะเป นป จ จุบั น อารมณที่มีส ภาวธรรมที่ป รากฏชั ดเจน เป น
สภาวธรรมที่เปนบาทฐานในการเห็นพระไตรลักษณอยางชัดแจง และเวทนา
นี้ เ ป น สิ่ ง ที่ อ ยู กั บ เราตั้ ง แต เ กิ ด จนตาย โยคี ผู ป ฏิ บั ติ ส ามารถเห็ น ความ
เปลี่ยนแปลงของเวทนาอยูเนืองๆ แลว ก็มีโอกาสเขาถึงสภาวธรรมที่ประณีต
ยิ่งๆ ขึ้นไป
ผูที่สามารถเขาใจกระบวนธรรมของเวทนาตามเปนจริงวา เวทนา
ทั้ง ๓ คือ สุขก็ดี ทุกขก็ดี อทุกขมสุขก็ดี ลวนไมเที่ยง เปนสิ่งที่ปจจัยตางๆ
ปรุงแตงขึ้น เปนของอาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้น มีอันจะตองสิ้น ตองสลาย
ตองจางหาย ตองดับไปเปนธรรมดา แลวหมดใครหายติดในเวทนาทั้ง ๓ นั้น
จนจิตหลุดพนเปนอิสระไดแลว เมื่อนั้นจึงประสบสุขเหนือเวทนาหรือสุขที่ไม
เปนเวทนา ไมอาศัยการเสวยอารมณ ที่เปนขั้นสูงสุด
ในการปฏิ บั ติ วิ ป ส สนากรรมฐาน เวทนาจะเป น ตั ว การให เ กิ ด
ความรูสึกหลงใหลในรูปแบบตางๆ ดังนั้น จึงตองตัดตรงนี้ใหได มิฉะนั้นจะ
กลายเป น สายสั ม พั น ธ เ ชื่ อ มโยงแห ง ความโง ง มต อ ไป ขณะเมื่ อ เรารั บ
ความรู สึ ก สั ม ผั ส ก็ค วรจะพักและหยุ ด เพีย งเวทนา และใช การพิ จ ารณา
กําหนดเวทนานั้นตั้งแตระยะเริ่มแรก ถาทําไดอยางนั้นเวทนาก็ไมสามารถ
ก อ ให เ กิ ด ตั ณ หาหรื อ กิ เ ลสอย า งอื่ น ๆ ได อี ก มั น จะหยุ ด อยู แ ค เ พี ย งการ
กํ า หนดเฉยๆ ว า สุ ข สบาย ไม ส บาย หรื อ เฉยๆ และเป ด โอกาสให
สัมปชัญญะเขามามีบทบาทในการตัดสินใจเกี่ยวกับทาทีหรือการกระทําใน
อันดับตอไป และยิ่งกวานั้นเราอาจสังเกตเห็นจากการกําหนดถึงสภาวะแหง
การเกิดขึ้นของเวลาสภาวะของการคอยๆ จางหายไป และเกิดเวทนาอันอื่น
ขึ้นมาใหม และเราก็จะไดประสบการณดวยตนเองวา ไมมีความจําเปนอันใด
๓๙๐
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
เลย ที่จะตองปลอยตัวใหถูกพัดพาไปดวยปฏิกิริยาที่โงงมสะสมกิเลส ซึ่งจะ
กอให เ กิด สายโยงใยอัน ใหมข องความทุกข ต อไปอีกดั ง นั้ น การเฝ าตามดู
เวทนาไวเทาเทียมกับการพิจารณาธาตุ ๔ ในตอนวาดวยการเฝาตามดูกายใน
การปฏิบั ติสติปฏ ฐานตามระบบ เมื่อปฏิบั ติดําเนิ นมาถึงขึ้นกาวหนาไปได
อยางราบเรียบสม่ําเสมอในการเฝาตามดูกายแลว อาจารยผูฝกจะแนะนําให
สนใจในการเฝาตามดูความสุข และทุกขซึ่งอาจจะเกิดขึ้นขณะปฏิบัติหรือ
เกี่ย วเนื่องกับ การปฏิ บัติ ความสุข และทุกขเหล านี้ เป นสภาพที่คอนขาง
สลับซับซอนของจิต ไมใชความรูสึกลวนๆ เมื่อกําหนดความรูสึกเหลานั้น
การกํ าหนดจะลอกเปลื อกที่เ ป น องคป ระกอบของอารมณต างๆ ออกไป
รวมทั้งความคิดเห็นอันมุงเขาหาตนดวย จนปรากฏเหลือเพียงความสุขหรือ
ความทุกขลวนๆ ซึ่งจะไมสามารถชักพาผูปฏิบัติใหเตลิดออกไปสูภาวะของ
ความดีใจจัดหรือเสียใจจัดจนเกินขนาด อันจะพัดพาผูฝกใหหันเหออกไป
จากทางกาวหนาในการปฏิบัติ๑๒
การหยั่งเห็นความไมเที่ยงของเวทนาวาเปนสภาวะเกิดขึ้นและดับไป
นี้ไมใชเปนเพียงจินตนาการที่ตั้งอยูบนสมมุติฐานวาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นยอมเสื่อม
สลายไปเปนธรรมดา แตเปนการรูแจงเห็นประจักษดวยประสบการณอยาง
แทจ ริ ง ว า เวทนาเป น เพี ย งความรู สึ กที่ เ กิ ด ขึ้น แล ว ตั้ งอยู และดั บ ไปของ
เวทนาแลวปญญาก็จะประจักษชัดวาอาการตางๆ และจิตที่ตามรูเปนคนละ
สวนกัน หลังจากนั้นจะเกิดปญญาหยั่งเห็นความเกิดดับอยางรวดเร็วของ
อาการต า งๆ และจิ ต ที่ ต ามรู ป ญ ญาที่ เ กิ ด นี้ จั ด ว า หยั่ ง เห็ น ไตรลั ก ษณ
จนกระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด๑๓
๑๒
พระญาณโปนิกเถระ, พลตรีนายแพทชชาญ สุวรรณวิภัช (แปล), หัวใจ
กรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๘, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพศยาม, ๒๕๕๓), หนา ๗๖-๗๗.
๑๓
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), มหาสติปฏฐานสูตรทางสูพระนิพพาน
, พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโมป.ธ.๙, M.A, Ph.D.) ตรวจชําระ, พระคันธสาราภิวงศ
แปล, พิมพครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร: หางหุนสวนจํากัดประยูรสาสนไทย, ๒๕๕๒),
หนา ๒๕๘.
๓๙๑
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
ในขณะที่เรานั่งอยูนั้น (หรือในขณะกิน ดื่ม ทํา พูด คิด เดิน ยืน นั่ง
นอน) ถามีเวทนาอยางใดอยางหนึ่งเกิดขึ้น เชน สุข ทุกข เหนื่อย เวียนศีรษะ
เจ็บ ปวด แสบรอน ซาบซาน หนาว เย็น คัน ชา หรือเฉยๆ เปนตน ถา
อาการเหลานี้ปรากฏขึ้นมาชัดเจน เชน ถาเกิดความสุขก็สุขมาก ถาเกิด
ความทุกขก็ทุกขมาก เปนตน คือมากกวาอาการพอง-ยุบ และมากกวา
อาการเหลาอื่น ในลักษณะเชนนี้ใหปลอยอาการพอง-ยุบ แลวใหเอาสติไป
กําหนดพิจารณารูที่อาการของเวทนานั้นๆ โดยภาวนาวา “สุขหนอ ทุกข
หนอ เหนื่อยหนอ เวียนศีรษะหนอ...คันหนอ ชาหนอ เฉยๆหนอ” เปนตน
ตามอาการของเวทนานั้นๆ สุดแตเวทนาอยางไหนจะปรากฏชัดเจน พรอม
กับใหมีสติกําหนดพิจารณารูอาการของเวทนานั้นๆ วามีอาการอยางไรพรอม
กันไปในขณะเดียวกันดวย การกําหนดพิจารณารูเวทนา ไมใชกําหนดให
เวทนาดับไป แตเปนเพียงใหโยคีผูปฏิบัติ มีสติกําหนดพิจารณารูอาการของ
เวทนาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ใหทราบชัดตามความเปนจริงทุกขณะๆ ไป
เทานั้น และอยาใหความยินดี ชอบใจ หรือความยินรายไมชอบใจเกิดขึ้นมา
ใหจิตของโยคีนั้นดํารงอยูในความเปนกลาง ตลอดเวลา ในขณะที่พิจารณา
อยูนั้น แตเมื่อในขณะที่มีสติกําหนดพิจารณารูเวทนาอยูนั้น สมาธิของโยคีผู
ปฏิบัติคนใดมีมาก วิปสสนาญาณแกกลามีกําลังมาก อาการเวทนาอาจดับไป
ในขณะที่กําลังกําหนดรูอยูนั้นก็ได
๓. การกําหนดรูเ วทนาตามหลักสติปฏฐาน ๔
เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน คือ มีสติอยูพรอมดวยความรูชัดเวทนา
อันเปนสุขก็ดี ทุกขก็ดี เฉยๆก็ดี ทั้งที่เปนสามิส และนิรามิสตามที่เปนไปอยู
ในขณะนั้นๆ
จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน คือ มีสติอยูพรอมดวยความรูชัดจิตของ
ตนที่มีราคะ ไมมีราคะ มีโทสะ
ไมมีโทสะ มีโมหะ ไมมีโมหะ เศราหมองหรือผองแผว ฟุงซานหรือ
เปนสมาธิ ฯลฯ อยางไรๆ ตามที่เปนไปอยูในขณะนั้นๆ
๓๙๒
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
ธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน คือ มีสติอยูพรอมดวยความรูชัดธรรม
ทั้งหลายไดแก นิวรณ ๕ ขันธ ๕ อายตนะ ๖ โพชฌงค ๗ อริยสัจจ ๔ วาคือ
อะไร เปนอยางไร มีในตนหรือไม เกิดขึ้น เจริญบริบูรณ และดับไปไดอยางไร
เปนตน ตามที่เปนจริงของมันอยางนั้นๆ๑๔
นักปฏิบัติที่กําหนดรูวามีเพียงอาการปวด ไมมีสัณฐานของกายที่
ปวดจะรูสึกวาอาการปวดไมใชสวนหนึ่งของเรา ไมมีเราอยูในอาการนี้ อยาง
นี้จัดเปนเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน
การกําหนดรูเวทนาในเวทนานุปสสนาสติปฏฐานนั้น เมื่อมีสมาธิใน
ระดับหนึ่งแลวจะสามารถแยกรูปกับ นาม ดังที่ปรากฏในตําราวา “ผูที่มิได
กําหนดรูทุกขเวทนายอมสําคัญตนวาเจ็บอยู จัดวาเจ็บทั้งกายและใจ แตผูที่
กําหนดรูแลวเกิดสมาธิในระดับหนึ่งที่สามารถครอบงําทุกขเวทนาได โดยรู
เห็ น ว าทุกขเวทนาเป น เพีย งสภาวะทนได ย าก ส ว นจิ ต ที่กํ าหนดรู เ ป น
นามธรรมอีกสวนหนึ่ง ก็จะเจ็บกาย แตใจไมเจ็บ”๑๕ นี้เปนจิตตานุปสสนา
การกําหนดเวทนา รูสึกสุข ทุกข, เฉยๆ เมื่อมีการเกิดรูสึก ชอบเปน
โลภะ ไมชอบเปนโทสะ เฉยๆ หรือไมรูสึกอะไร๑๖เปนโมหะนี่คือเปนอาการ
ของจิตที่ผูปฏิบัติพึงกําหนดรู จัดเปนจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน สภาวะชอบ
,ไมชอบ,เฉยๆเปนอาการที่ปรากฏทางอายตนะใจในอายนะ ๖ อาการนี้เปน
ธรรมารมณ กําหนดรูดวยธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน ตามในพระสูตร๑๗ วา
รูชัดใจ รูชัดธรรมารมณ และสังโยชนใดอาศัยใจและธรรมารมณทั้ง
๒ นั้นเกิดขึ้นก็รูชัดสังโยชนนั้นการเกิดขึ้นแหงสังโยชนที่ยังไมเกิดขึ้นมีไดดวย
เหตุใด ก็รูชัดเหตุนั้น
๑๔
พระพรหมคุณาภรณ, พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม,
(มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗), หนา ๑๔๑.
๑๕
พระโสภณมหาเถระ,มหาสติปฏฐานสูตร, (กรุงเทพฯ,ประยูรสาสนไทย
การพิมพ,๒๕๕๗), หนา ๒๕๗.
๑๖
พระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทธิ), คูมือสอบอารมณกรรมฐาน
วิชาครู,(กรุงเทพฯ,โรงพิมพพิทักษอักษร,๒๕๓๓).
๑๗
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๑๘/๑๑๖.
๓๙๓
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
การละสังโยชนที่เกิดขึ้นแลวมีไดดวยเหตุใด ก็รูชัดเหตุนั้น และ
สั ง โยชน ที่ ล ะได แ ล ว จะไม เ กิ ด ขึ้ น ต อ ไปอี ก มี ไ ด ด ว ยเหตุ ใ ดก็ รู ชั ด เหตุ นั้ น
ดวยวิธี นี้ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายภายในอยู พิจารณาเห็น
ธรรมในธรรมทั้งหลายภายนอกอยู หรือพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย
ทั้งภายในทั้งภายนอกอยู พิจารณาเห็นธรรมเปนเหตุเกิดในธรรมทั้งหลายอยู
พิจารณาเห็นธรรมเปนเหตุดับในธรรมทั้งหลายอยู
หรือพิจารณาเห็นทั้งธรรมเปนเหตุเกิดทั้งธรรมเปนเหตุดับในธรรม
ทั้งหลายอยู หรือวา ภิกษุนั้นมีสติปรากฏอยูเฉพาะหนาวา ‘ธรรมมีอยู’ ก็
เพียงเพื่ออาศัยเจริญญาณเจริญสติเทานั้น ไมอาศัย(ตัณหาและทิฏฐิ) อยู ไม
ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆ ในโลก ภิกษุจึงชื่อวาพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย
คือ อายตนะภายใน ๖ และอายตนะภายนอก ๖ อยูอยางนี้แล
การตามรูเวทนา,จิต, หรือธรรมสลับกันนั้น นักปฏิบัติที่รับรูวามี
เพียงอาการ จะรูสึกวาอาการเหลานั้นไมใชสวนหนึ่งของเรา ไมมีเราอยูใน
อาการนี้ ความรูสึกเชนนี้จัดวากําจัดสักกายทิฏฐิเพราะรูวามีเพียงอาการสุข,
ทุกขและไมสุขไมทุกขและจิตที่กําหนดรูอยู ไมมีอัตตาตัวตนใดๆ หลังจากนั้น
ย อ มเกิ ด ป ญ ญารู แ จ ง ความเกิ ด ดั บ รวดเร็ ว ของอาการเหล า นั้ น และจิ ต ที่
กําหนดรู ปญญาที่เกิดนี้ไดหยั่งเห็นความไมเที่ยงของของอาการคือเวทนา ผู
ที่ห ยั่ ง เห็ น ความเกิ ด ดั บ ของจิ ต อย า งนี้ ย อ มปราศจากความยึ ด มั่น ในโลก
อุปาทานขันธ เขาไมทํากรรมอยางใดอยางหนึ่งเพื่อสรางภพชาติ จึงบรรลุ
ความพนทุกขดวยจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน เมื่อนักปฏิบัติเจริญสติระลึกรู
ตามหมวดอายตนะ ทางใจ กระบวนธรรมอยางเดียวกันยอมปรากฎคือ
อายตนะภายในและภายนอกนี้เปนเพียงสภาวะธรรมไมใชเราไมใชเขา บุรุษ
หรือสตรี เมื่อแยกแยะอายตนะทีละสวนออกไป บุคคลก็จะเปนเพียงกอง
สังขารที่เปนกระบวนการเชื่อมโยงกันของอายตนะทั้งหลายเหลานั้น ผูปฏิบัติ
ธรรมที่เ กิด ป ญญาหยั่ งเห็ น อย างนี้ ย อมไมยิ น ดี แ ละยึ ด มั่น กองสั งขารด ว ย
ประการใดๆ แมกองธรรมที่ใชเพื่อเจริญธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน อันไดแก
ขันธ,อายตนะ,โพชฌงคและอริยสัจ ที่ใชในการกําหนดรูเวทนาก็เชนเดียวกัน
นี้จัดเปนธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน
๓๙๔
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
การกําหนดเวทนาสามารถทําใหเปนเวทนานุปสสนา จิตตานุปสส
นา หรือธัมมานุปสสนา ก็ได แลวแตวาผูปฏิบัติจะกําหนด วิธีการตางกันแต
มีเปาหมายคือการเห็นพระไตรลักษณอันเปนสามัญลักษณะ เปนความจริง
เที่ยงแท สามารถกําจัดสันตติตัวปดบัง ทําใหเกิดปญญาญาณเหมือนกัน
๔. เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน
พระพุทธเจาตรัสสอนการปฏิบัติวิปสสนาดวยพระองคเอง ปรากฏ
ในมหาสติปฏฐานสูตร และมีปรากฏในพระสูตรตางๆ มากมาย ในหลักการ
ของสติปฏฐาน ๔ ที่กลาวไวในมหาสติปฏฐานสูตร สรุปไดวา“ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกําจัด
อภิ ช ฌาและโทมนั ส ในโลกได พิ จ ารณาเห็ น เวทนาในเวทนาทั้ ง หลาย ..
พิจารณาเห็นจิตในจิต ..พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย..” เปนตน๑๘
มหาสติปฏฐานสูตร พระพุทธองคทรงแสดงแกภิกษุทั้งหลาย ขณะ
ประทับอยู ณ นิคมของชาวกุรุ ชื่อกัมมาสธัมมะ ปจจุบันเรียกวา แควนกุรุ
ทรงแสดงธรรมแกพุทธบริษัท ชาวกัมมาสธัมมะ มีความสนใจในการเจริญสติ
ปฏฐานอยางมาก แมทาส กรรมกร ก็พูดกันแตเรื่องสติปฏฐาน การแสดง
พระสูตรนี้จัดวาเปนการประกาศแนวทางในการเจริญสติปฏฐาน ๔ อยาง
สมบูรณเปนครั้งแรก
การเจริญสติปฏฐาน ๔ ทําใหเกิดวิปสสนาปญญาเห็นแจงความจริง
ของรูป-นาม ในคัมภีรอรรถกถากลาววา สติปฏฐาน ๔ มุงแสดงการละหรือ
ทําลายวิ ป ลาสธรรมเป นหลั ก คือสุภ วิ ปลาส กําจัด ได ด วยการเจริญกายา
นุปสสนาสติปฏฐาน สุขวิปลาส กําจัดไดดวยการเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏ
ฐาน นิ จ จวิ ป ลาส กําจั ด ได ด ว ยการเจริ ญจิ ต ตานุ ป ส สนาสติ ป ฏ ฐาน อัต ต
วิ ป ลาส กํ า จั ด ได ด ว ยการเจริ ญ ธรรมานุ ป ส สนาสติ ป ฏ ฐาน ด ว ยเหตุ ผ ล
ดังกลาวนี้ จึงกลาวไดวาวิปสสนาและสติปฏฐานเปนสิ่งเดียวกันโดยความ
๑๘
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ., เอกสารประกอบการสอน รายวิชาสติปฏฐาน
ภาวนา,ศูนยบัณฑิตศึกษา, พ.ศ.๒๕๕๕, หนา ๒๕.
๓๙๕
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
เปนเหตุเปนผลกัน คือ วิปสสนาญาณจะมีขึ้นไมไดเลยหากขาดกระบวนการ
พิจารณาธรรมตามแนวสติปฏฐาน ๔ เพื่อความเขาใจในเรื่องสติปฏฐาน ๔
ตามที่กลาวมาขางตน จะไดทําการศึกษาในเรื่องของเวทนานุปสสนาสติปฏ
ฐาน ซึ่ ง มี ห ลั ก การให พิ จ ารณา เห็ น เวทนาในเวทนา ตามความหมายที่
ปรากฏอยูในมหาสติปฏฐานสูตรตอไป
เวทนา แปลวา ความเสวยอารมณ หมายถึง การรับรูอารมณ (สิ่ง
ที่มากระทบหรือสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไดแก เย็น รอน ออน แข็ง
เปนตน )๑๙ในมหาสติป ฏฐานสูตรหมายเอาเวทนาทางกาย เรี ยกวา กายิ ก
เวทนา มี ๓ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนาและอทุกขมสุขเวทนา ตามที่นิยมใช
คําวา เจ็บ ปวด สบายๆ และเฉยๆ
เวทนานุปสสนา๒๐แปลวา ปญญาตามพิจารณาเห็นเวทนาเนืองๆ
หมายความวา ผูปฏิบัติธรรมกําหนดเวทนา คือ เอาเวทนาเปนอารมณ จน
สามารถเห็ น ความเกิ ด ดั บ ของเวทนา และได บ รรลุ ม รรคผลนิ พพานเป น
ปริโยสาน
บาลีวา “เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี” แปลวา ตามกําหนดเห็นอาการ
ของเวทนาอยางหนึ่งในบรรดาอาการเวทนาทั้งหลายที่ปรากฏอยูที่เปนทุกข
สุข หรือุเบกขาทั้งทางกายทางใจ
การตามรูเวทนา หยั่งเห็นความเกิดดับของเวทนา ดังพระพุทธพจน
วา เธอตามรูสภาวะความเกิดขึ้นในเวทนาอยูบาง ความดับบาง ทั้งความเกิด
ความดับในเวทนาอยูบางเธอยอมเขาไปตั้งสติวาเวทนามี ก็เพียงสักวาเอาไวรู
เอาไวระลึกเทานั้น เธออยูอยางไมถูก ตัณหาทิฏฐิเขาอาศัย และไมถือมั่น
อะไรๆในโลก ในมหาสติปฏฐานสูตร พระพุทธองคตรัสไววา
๑๙
พระราชวรมุนี (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวลศัพท,
หนา ๗๓.
๒๐
พระธรรมธี ร ราชมุ นี (โชดก ญาณสิ ทฺ ธิ ป.ธ.๙), คํ า บรรยายวิ ป ส สนา
กรรมฐาน, (กรุงเทพ :บริษัทประยูรวงศพริ้นติ้ง จํากัด, ๒๕๕๐), หนา ๙๒๐-๙๒๔.
๓๙๖
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
“อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ สุ ขํ ว า เวทนํ เวทยมาโน สุ ขํ เวทนํ เวทยามีติ
ปชานาติ .ทุกฺขํ วา เวทนํ เวทยมาโน ทุกฺขํ เวทนํ เวทยามีติ ปชานาติ.อทุกฺ
ขมสุขํ วา เวทนํ เวทยมาโน อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทยามีติ ปชานาดิ.๒๑
ภิ ก ษุ ใ นพระศาสนานี้ เมื่ อ เสวยสุ ข เวทนา ย อ มรู ชั ด ว า เสวยสุ ข
เวทนาอยู เมื่อเสวยทุกขเวทนา ยอมรูชัดวาเสวยทุกขเวทนาอยู เมื่อเสวย
อุเบกขาเวทนา ยอมรูชัดวาเสวยอุเบกขาเวทนาอยู” ๒๒
การพิจารณาเวทนามี ๓ อยางคือ๒๓
๑) สุขเวทนา คือ ความรูสึกทางกาย ไดแก ความสบายกาย ความ
โลง เปนตน ผูปฏิบัติตามกําหนดรูสุขเวทนา ตามความเปนจริง ยอมรูชัดวา
มีเพียงสภาวธรรมที่เกิดขึ้นแลวก็ดับไป ไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตนไมมีเรา
ของเรา
๒) ทุกขเวทนา คือ ความรูสึกเปนทุกขทางกาย ไดแก ความเจ็บ
ปวด เมื่อย ชา คัน รอน เย็น จุกเสียดเหนื่อย เปนตน ผูปฏิบัติตามกําหนดรู
ทุกขเวทนา ตามความเปนจริงยอมรูชัดวา มีเพียงสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นแลวก็
ดับไป ไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตน ไมมีเรา ของเรา
๓) อุเ บกขาเวทนา คือ ความรูสึกเปน กลาง ไมสุขไมทุกข เมื่อ
อุเบกขาเวทนาเกิดขึ้นก็รูวาไมสุขไมทุกข คือ เฉยๆ
การพิจารณาเวทนาใหละเอียดออกอีก เปน ๕ อยาง คือ
๑) สุขเวทนา ไดแก ความรูสึกเปนสุขทางกาย
๒) ทุกขเวทนา ไดแก ความรูสึกเปนทุกขทางกาย
๓) โสมนัสเวทนา ไดแก ความรูสึกเปนสุขทางใจ
๔) โทมนัสเวทนา ไดแก ความรูสึกเปนทุกขทางใจ
๕) อุเบกขาเวทนา ไดแก ไมสุข ไมทุกข รูสึกเฉยๆ
๒๑
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๘๐/๒๖๕.
๒๒
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๐/๓๑๓.
๒๓
สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๗๐/๓๐๒-๓๐๓.
๓๙๗
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
คัม ภี ร พ ระอภิ ธ รรมอธิ บ าย การพิจ ารณาเวทนา ๙ อย าง คื อ๒๔
เวทนาอิงกามคุณ (อามิส) หมายถึง ความพอใจกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง
กลิ่น รส และสัมผัส ไดแก
๑) เสวยสุขเวทนาอยู มีสติระลึกรูชัดวา กําลังเสวยสุขเวทนา
๒) เสวยทุกขเวทนาอยู มีสติระลึกรูชัดวา กําลังเสวยทุกขเวทนา
๓) เสวยอุเบกขาเวทนาอยู มีสติระลึกรูชัดวา กําลังเสวยอุเบกขา
เวทนา
๔) เสวยสุขเวทนามีอามิสอยู มีสติระลึกรูชัดวา กําลังเสวยสุขเวทนา
มีอามิส
๕) เสวยทุกขฺเ วทนามีอามิส อยู มีส ติ ร ะลึ กรู ชั ด ว า กําลั งเสวย
ทุกขเวทนามีอามิส
๖) เสวยอุเบกขาเวทนามีอามิสอยู มีสติระลึกรูชัดวา กําลังเสวย
อุเบกขาเวทนามีอามิส
๗) เสวยสุขเวทนาไมมีอามิสอยู มีสติระลึกรูชัดวา กําลังเสวยสุข
เวทนาไมมีอามิส
๘) เสวยทุกขเวทนาไมมีอ ามิส มีส ติ ร ะลึ กรู ชั ด ว า กําลั งเสวย
ทุกขเวทนาไมมีอามิส
๙) เสวยอุเบกขาเวทนาไมมีอามิสอยู มีสติระลึกรูชัดวา กําลังเสวย
อุเบกขาเวทนาไมมีอามิส
พระองคตรัสสอนพิธีพิจารณา ยกขึ้นสูวิปสสนาตอไปอีกวา
ด ว ยวิ ธี นี้ ภิ ก ษุพิ จ ารณาเห็ น เวทนาในเวทนาทั้ง หลายภายในอยู
พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายภายนอกอยูหรือ พิจารณาเห็นเวทนา
ในเวทนาทั้งหลายทั้งภายในทั้งภายนอกอยู พิจารณาเห็นธรรมเปนเหตุเกิด
ในเวทนาทั้งหลายอยู พิจารณาเห็นธรรมเปนเหตุดับในเวทนาทั้งหลายอยู
หรือพิจารณาเห็นทั้งธรรมเปนเหตุเกิดทั้งธรรมเปนเหตุดับในเวทนาทั้งหลาย
อยูหรือวา ภิกษุนั้นมีสติปรากฏอยูเฉพาะหนาวาเวทนามีอยู ก็เพียงเพื่ออาศัย
๒๔
อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๓๖๓/๓๑๐.
๓๙๘
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
เจริญญาณ เจริญสติเทานั้น ไมอาศัยตัณหาและทิฏฐิอยูและไมยึดมั่นถือมั่น
อะไรๆ ในโลก ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู
อยางนี้แล
พระพุทธองคตรัสการพิจารณาเวทนาไวอีกวา
ดู ก อ นอั ค คิ เ วสนะ ในสมั ย ใดเสวยสุ ข เวทนา สมั ย นั้ น ไม เ สวย
ทุกขเวทนา ไมเสวยอทุกขมสุขเวทนาสมัยนั้นยอมเสวยแตสุขเวทนาเทานั้น
ดูกอนอัคคิเวสนะ ในสมัยใดเสวยทุกขเวทนา ฯลฯ เสวยอทุกขมสุขเวทนา
สมัยนั้น ไมเสวยสุขเวทนา ไมเสวย ทุกขเวทนา สมัยนั้น ยอมเสวยอทุกขม
สุขเวทนาเทานั้น ดูกอนอัคคิเวสนะ แมสุขเวทนาแล ก็ไมเที่ยง อันปจจัยปรุง
แตงแลว อาศัย กันเกิดขึ้น มีความสิ้ นไปเป นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป น
ธรรมดา มี ค วามคลายไปเป น ธรรมดามี ค วามดั บ ไปเป น ธรรมดาแม
ทุกขเวทนาและ ฯลฯ ดูกอนอัคคิเวสนะ แมอทุกขมสุขเวทนาแล ก็ไมเที่ยง มี
ปจจัย ปรุงแตงแลว ฯลฯ มีความดับไปเปนธรรมดา ดูกอนอัคคิเวสนะ อริย
สาวกสดับแลว เห็นอยูอยางนี้ ยอมเบื่อหนายในเวทนาอันเปนสุขบาง ยอม
เบื่อหนายในเวทนาอันเปน ทุกขบาง ยอมเบื่อหนายในเวทนาอันเปนอทุกขม
สุขบาง เมื่อเบื่อหนายยอมคลาย กําหนดเพราะคลายกําหนัด ยอมหลุดพน
เมื่อหลุดพนแลวยอมรูชัดวา เราหลุดพนแลว เธอยอมทราบชัดวาชาติสิ้นแลว
พรหมจรรยอยูจบแลว กิจที่พึงทําทําเสร็จแลวกิจอื่นเพื่อความเปนอยางนี้มี
ไดมีอีก
พระพุทธองคตรัสขันติสังวรวา กายนี้มีทุกขมาก มีโทษมาก โรคมาก
เกิดในกายนี๒๕ ้ เมื่อยังมีกายอยูก็จะมีเวทนาแนนอน เวทนานี้มักเกิดจากการ
กระทบกันระหวางรูปคือกายสวนลางที่กระทบกับพื้น หรือเกิดจากการคูขา
เป น เวลานาน แต นั ก ปฏิ บั ติ ไ ม ค วรกลั ว ต อ ทุ ก ขเวทนา เพราะขณะเกิ ด
ทุกขเวทนาความฟุงซานจะมีนอยลง เนื่องจากไมมีผูใดรักผูอื่นมากกวาตน
เวทนาจึงจัดวา เปนอารมณที่ดีในการกําหนดรู
๒๕
องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๖๐/๘๗.
๓๙๙
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
พระพุทธเจาตรัสสรรเสริญความอดทนตอเวทนา อาทิเชน ความ
เย็ น ความร อ น ความหิ ว กระหาย สั ม ผั ส ของยุ ง เหลื อ บ งู แดด ความ
เจ็บปวดที่รุนแรงทางกายที่อาจคราชีวิตได๒๖ฉะนั้น นักปฏิบัติจึงควรอดทน
กําหนดเวทนากอน พระพุทธองคยังตรัสสรรเสริญความอดทนวา
“ดูกรสารีบุตร ภิกษุในศาสนานี้ ฉันภัตตาหารแลวนั่งขัดสมาธิ ตั้ง
กายตรง ดํารงสติมั่นตั้งใจวา ตราบที่จิตของเรายังไมพนจากอาสวะ เราจักไม
ยกเลิกการนั่งคูบัลลังกนี้ ดูกรสารีบุตรภิกษุผูมีความอดทนเชนนี้ พึงยังปา
สาละใหงดงาม”๒๗
ในพระสู ต รบางสู ต ร คํ า ว า สุ ข เวทนา คื อ ความรู สึ ก สบายทาง
รางกาย ทุกขเวทนา คือ ความรูสึกไมสบายทางรางกาย ความจริงรางกายไม
อาจรูสึกไดดวยตัวเอง เพราะเปน รูปธรรมที่รูสิ่งตางๆ ไมได แตอาศัยจิตที่ทํา
หนาที่รูสึก จิตที่ประกอบดวยเวทนาเจตสิก แตมีรางกายเปนฐานใหรูสึกได
และในพระสู ต รเหล า นั้ น พบคํ า ว า โสมนั ส เวทนา และโทมนั ส เวทนาซึ่ ง
กลาวถึงความสบายใจและความไมสบายใจ อยางไรก็ตาม ในพระสูตรนี้สุข
เวทนาและ ทุกขเวทนาเปนความรูสึกทั้งทางกายและใจ
อุทาหรณวา การที่เด็กนอนหงายอยูบนเบาะเวลาดื่นน้ํานมของแม
ก็รูวาตนมีความสุขอยางนี้จะจัดเปนเวทนานุปสสนาไมได เพราะการรูอยางนี้
ยังไมละ ไมถอนความสําคัญผิดวาเปนสัตวบุคคลตัวตนเราเขาได และไมเปน
กรรมฐาน ไมเปนมหาสติปฏฐานภาวนา คําที่วา ไมมีใครเสวยเวทนา คือ ไม
มีสัตวบุคคลตัวตนเราเขาเสวยเวทนาและไมใชเวทนาของสัตวบุคคลตัวตน
เราเขาอะไรทั้งสิ้น แตเพราะเวทนากระทําวัต ถุแหงความสุ ขนั้นๆ ใหเป น
อารมณแลว เสวยเขาไปถือเอาความเปนไปแหงเวทนาเปนเหตุ จึงมีโวหารวา
เราเสวยเวทนา ดังตัวอยางตอไปนี้
พระเถระรูปหนึ่ง เวลาไมสบายมีเวทนากลา กลิ้งไปกลิ้งมาอยู ภิกษุ
หนุมรูปหนึ่งถามวาเจ็บตรงไหน เสียดแทงตรงไหน ทานตอบวาแยกไมได
๒๖
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๔/๑๔-๑๕.
๒๗
ม.มู.(ไทย) ๑๒/๔๕/๓๐๘.
๔๐๐
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
หรอกคุณ ชื่อวาเสียดแทงเฉพาะเปนแหงๆไปไมมีเลย เสียดแทงไปทั้งหมด
นั่นแหละ ภิกษุหนุมพูดปลอบใจวา “อธิวาสนา ภนฺเต เสยฺโย” การอดกลั้น
ไดเปนของประเสริฐแทขอรับ ทานไดพยายามอดกลั้นอยางเต็มที่ แลวเจริญ
กรรมฐานไปพรอมกัน จนไสไหลออกมากองอยูบนเตียง ทานถามภิกษุหนุม
วา ความอดกลั้น ขนาดนี้สมควรหรือยัง ภิกษุหนุมไดแตนิ่ง ไมตอบเลยซักคํา
เดียว เพราะเห็นแลววา ทานอดกลั้นอดทนอยางเต็มที่ไมชาไมนาน ทานก็ได
สําเร็จเปนพระอรหันต แลวก็ปรินิพพาน
เวทนานุปสสนาในมหาสติปฏิฐานนี้ จัดเขาในอรูปกรรมฐาน ดังที่
พระพุทธองคตรัส ไววา “กถฺจ ภิกฺขเว ภิกฺขุ เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรดิ
..เอวมฺป โข ภิกฺขเว ภิกฺขุ เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ”๒๘ ผูเห็นภัยในวัฏฏะ
สงสาร มีปกติพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยูอยางใดอยางหนึ่งใน
เวทนาทั้ง ๙ นั้น เชน สุขเวทนาเกิดขึ้น ก็พิจารณาเห็น สุขเวทนานั้นเปนตน
คําว า เวทนาสุ ได แกเวทนา ๙ คําว า เวทนานุปสฺ สี ไดแกเวทนา
อยางใดอยางหนึ่ง
“อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ สุขํ วา เวทนํ เวทยมาโน” หมายความวา เมื่อสุข
เวทนาเกิดขึ้นก็ใหมีสติกําหนดรู จนเห็นเวทนาเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เกิดนิพพิทา วิราคะ วิมุตติ
“ทุกฺขํ วา เวทนํ เวทยมาโน” หมายความวา เมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้น
ก็ให มี ส ติ กํา หนดรู จ นเห็ น ทุก ขเวทนานั้ น เป น อนิ จ จั ง ทุก ขัง อนั ต ตา เกิ ด
นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ
“อทุกฺขมสุขํ วา เวทนํ เวทยมาโน” หมายความวา เมื่ออุเบกขา
เวทนาเกิดขึ้น ก็ใหมีสติกําหนดรู จนเห็นอุเบกขาเวทนานั้นเปนอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา เกิดนิพพิทา วิราคะ วิมุตติ
เมื่อเวทนาขอที่ ๑-๙ เกิดขึ้น ก็ใหปฏิบัติเชนเดียวกัน คือ ใหกําหนด
รูจนเห็นเวทนาเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดนิพพิทา วิราคะ วิมุตติ หลุด
พนจากอาสวะกิเลส เปนสมุจเฉทประหาน
๒๘
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๘๐/๒๖๕, ที.ม.(ไทย) ๑๐/๓๘๐/๓๑๓.
๔๐๑
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
อามิส หมายความวา เหยื่อ หรือเครื่องหลอกลอใหสรรพสัตวติดอยู
ในโลกทั้งสามมีอยู ๔ อยางคือ
๑. วฏฏามิสํ อามิส คือ วัฏฏะ ที่เปนไปในภูมิ ๓ ทั้งหมด
๒. โลกามิสํ อามิส คือ โลก ไดแก กามคุณทั้ง ๕
๓. กิเลสามิสํ อามิส คือ กิเลส ไดแก กิเลสทั้งหมด
๔. มารามิสํ อามิส คือ มารทั้ง ๕ ไดแก ขันธมาร กิเลสมาร อภิ
สังขารมาร เทวบุตรมาร และมัจจุมาร
พิจารณาเห็นเวทนาภายใน เวทนาภายนอก และพิจารณาเห็นทั้ง
ภายในและภายนอกคือการพิจารณาเห็นเวทนาของตน เวทนาของคนอื่น
และพิจารณาเห็นทั้งของตนและของคนอื่นดวยเมื่อพิจารณาเห็นเวทนาของ
ตนเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดนิพพิทา วิราคะ วิมุตติ ไดแลวก็สามารถ
ทราบถึงเวทนาของคนอื่นทั่วทั้งหมดวา เปนดุจพิมพเดียวกันอยางนี้
พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น เห็นความเสื่อมและเห็นทั้งสองอยางนั้น
หมายความวาผูนั้นไดกําหนดเวทนานุปสสนามาดีแลว จึงสามารถเห็นความ
เกิดดับของเวทนาไดดี เพราะมีวิปสสนาญาณเกิดขึ้นมาโดยลําดับๆ จนถึง
ญาณที่ ๔ เปนตนไป
ขอวา เวทนามีอยู หมายความวา เวทนานั้นมีอยูจริง แตไมใชสัตว
บุคคลตัวตนเราเขาทั้งสิ้น เปนนามซึ่งอาศัยรูปเกิดขึ้นเทานั้น
ขอวา อยูอยางไมมีอะไรอาศัยนั้น หมายความวา ไมมีตัณหา มานะ
ทิฏฐิ อาศัยอยูเพราะผูนั้นไดเจริญวิปสสนา ละตัณหา มานะ ทิฏฐิไดแลว
ขอที่วา ไมถือมั่นอะไรๆในโลกนั้น หมายความวา ไมยึดมั่น ไมถือมั่น
เวทนา ว า เป น สั ต ว บุ ค คลตั ว ตนเราเขา เพราะละสั ก กายทิ ฏ ฐิ วิ จิ กิ จ ฉา
สีลัพพตปรามาส เปนตน ไดแลวหากปฏิบัติอยางที่กลาวมานี้ชื่อวา พิจารณา
เห็นเวทนาในเวทนาไดอยางเต็มที่แลว ดังพระพุทธพจนในมหาสติปฏฐาน
สูตรวา “เอวํ โข ภิกฺขุ เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ” ผูเห็นภัยในวัฏสงสาร
ยอมมีปกติพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยูเนืองๆ ดวยอาการดังที่
กลาวมาแลว
๔๐๒
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
๕. วิธีการกําหนดรูเ วทนา
เวทนาทางกายมีสมุฏฐานมาจากกายและเวทนาทางจิตมีสมุฏฐาน
มาจากจิ ต ทางกายมี สุ ข และทุ ก ข ทางจิ ต มี ดี ใ จ เสี ย ใจ เฉยๆ ซึ่ ง ทาง
ธรรมชาติไดมอบเวทนาเหลานี้มาใหเราตั้งแตแรกเกิดจะบอกวาเวทนามา
ปรากฏในเวลาปฏิบัติกรรมฐานเทานั้นไมได เพราะเวทนามาพรอมกับการ
เกิดของรูป-นาม มีสังขารขึ้นมาคราใด ก็มีเวทนาตามมาครานั้น
ทุกขเวทนา ที่มีอาการเจ็บปวด มึนชา ฯลฯ ซึ่งเปนสภาพบีบคั้นที่
ยากจะทนได ตามปกติเรามักจะไมเห็นทุกขเวทนาของรูปนามสังขารวามี
สภาพเป น อย างไรหรื อเห็ น ก็ไ มส นใจ เพราะการผลั ด เปลี่ ย นอิริ ย าบถมา
คลี่คลายจึงไมเห็นทุกข ในทางธรรมทานกลาววา “อิริยาบถเปนเครื่องปกปด
ทุกข” นั่งเมื่อยเปลี่ยนไปยืน ยืนเมื่อยเปลี่ยนไปเดิน เดินเมื่อยกลับมานั่ง นั่ง
เมื่อยพลิ กไปพลิกมาเมื่อมีการสับ เปลี่ ยนอยู อย างนี้ จึงไมเ ห็น ทุกขเวทนา
ครั้นมาปฏิบัตินั่งกําหนดมิใหพลิกเปลี่ยนอิริยาบถ ตองพบกับสหายทางธรรม
คือทุกขเวทนานี้แนนอน ซึ่งไมอยูที่ใด อยูในรูปนามอันสําคัญวาเปนของเรา
นี่เอง มิใชของคนอื่น บางคนกลัวทุกขเวทนาไมอยากเจอ เปนเหตุใหไมอยาก
ปฏิบัติ จนขยาดตอเวทนาและเลิกลมการปฏิบัติไป วิปสสนาจารยมักบอกวา
“หากกลัวเวทนาก็จะไมเห็นธรรม ไมเห็นพระธรรมจริง พระธรรมแท”
ทุกขเวทนามีอยูในอิริยาบถทั้ง ๔ ไมเฉพาะอิริยาบถนั่งเทานั้น ทุกข
มาพรอมกับสังขารตั้งแตแรกเกิดสังขารจึงมีทุกขเปนพื้นฐาน เหมือนโลกนี้มี
ความร อนเป น พื้น ฐาน ความร อนมาพร อมกับ โลกนี้ ที่มีความรู สึ กว าเย็ น
เพราะความรอนลดลง สังขารก็เปนทุกข ที่มีความสุขเพราะความทุกขลดลง
เพราะการบํ า บั ด ทุ ก ข ด ว ยการผลั ด เปลี่ ย นอิ ริ ย าบถนั่ น เองจึ ง มี ค วามสุ ข
แทจริงกองสังขารเต็มไปด วยความทุกข ดังพุทธคาถาวา “นตฺถิ ขนฺธสมา
ทุกฺขา ไมมีทุกขใดเสมอดวยขันธ ๕” เราเกิดมามีสังขาร มีกองทุกขเปน
สมบัติ อยาไดกลัวทุกขเลย ครั้ นเจอทุกขเวทนาก็อย ากลัว เพราะในขณะ
ปฏิบัติจะตองรับทุกขเวทนานี้เต็มๆ เสวยอารมณเดียวจึงมีความรูสึกวา ปวด
มาก
๔๐๓
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
เมื่อผูปฏิบัติประสบทุกขเวทนาก็จะกระสับกระสาย เพราะรูสึกวา
ถูกบีบคั้น ทุกขเวทนานี้ดีเหมือนไดมาเจอขุมทรัพยของวิปสสนาแลว ใหตั้งใจ
กําหนดทุกขเวทนาจะเกิดผลดังตอไปนี้
(๑) สภาวธรรมปรากฏชัด บรรดาอารมณหรืออาการทางกาย จิต
ธรรม ทุกขเวทนา จะปรากฏชัดกวาอาการอื่นๆ พอง-ยุบ บางครั้งชัดบางไม
ชัดบาง คิดก็กําหนดยากไมคอยทัน ขวายางซายยางบางทีก็เผลอไป เพราะ
สภาวะเหลานั้นยังไมชัดพอ แตทุกขเวทนาที่กอตัวตั้งขึ้นจะชัดมากความชัด
ของทุกขเวทนาจะเปนขุมพลังใหแกสมาธิ ใหกําหนดทันทีวา “ปวดหนอๆ”
สมาธิจะกอตัวแนนและพัฒนาไปไดเร็ว
(๒) นิวรณธรรมสงบลง ในขณะที่ทุกขเวทนาปรากฏชัดนั้น นิวรณ
จะหางออกไป คือ กามฉันทะ ความพึงพอใจในกามคุณ ๕ (รูป เสียง กลิ่น
รส สัมผัสถูกตอง) จะไมเขาหาความพยาบาท ความอาฆาตจะจางคลาย ถีน
มิทธะ ความโงกงวงจะหางหาย อุทธัจจกุกกุจจะความฟุงซานรําคาญใจจะ
สลายตัว วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ
ในเรื่องของกรรม ในเรื่องของผลการปฏิบัติ เปนตน ก็บางเบาลง
(๓) ชวยกําราบกิเลส จิตที่ยังไมไดรับการฝกอบรมก็มักจะเต็มไป
ดวยกิเลส หยาบกระดาง เวทนาจะกอตัวขึ้นแรงกลา จะมาชวยกําราบเผา
จิตใจใหออนตัว (มุทุตา) ทุกขเวทนาจึงเปรียบเปนไฟ มาเผาผลาญกิเลสที่
เกาะกรังจิตใหมอดไหม หากเจอทุกขเวทนาก็จงรูไดวา ไดเครื่องมือเผากิเลส
แลว
(๔) เปนขุมพลัง (พละ) ของสมาธิ อาการตางๆของรูป-นามจะเกิด
พลังงานขึ้นมาทุกครั้งที่ทําการกําหนด พองหนอ เกิดพลังงาน ๑ หนวย ยุบ
หนอ เกิดพลังงาน ๑ หนวย
ยุบ-หนอ หรืออาการอื่นๆ จะปรากฏดวยความชัดบาง ไมชัดบาง
พลังงานจากการกําหนดจึงไมเต็มเม็ดเต็มหนวย แตทุกขเวทนาที่ปรากฏชัด
จะเกิดพลังงานเต็มอัตรา พลังงานจากทุกขเวทนานี้ จะเปนพื้นฐานที่มั่นคง
ของกรรมฐาน และเปนแรงหนุนใหเกิดพัฒนาการทางการปฏิบัติสูงยิ่งขึ้นไป
ทุกขเวทนาจึงเปนขุมพลังงานใหเก็บสะสมสมาธิไดอยางยิ่ง
๔๐๔
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
(๕) เห็นทุกขโทษ รางกายกวางศอกวายาวหนาคืบนี้ ในกาลกอนเรา
สําคัญวาเปนสุขมีความยินดีพอใจไมเบื่อหนาย ครั้งเห็นทุกขเวทนาปรากฏ
ดวยสภาพบีบคั้นยากที่จะทนนี้กําหนดดูก็รูวาเปนกองทุกขเต็มไปดวยโทษที่
นาอิดหนาระอาใจ ก็เกิดความเบื่อหนายคลายกําหนัด ตองการออกไปจาก
รูป นามสั งขารนี้ การเห็ น ทุกขโ ทษเช น นี้ จ ะเป น ป จ จั ย ขั้ว ต อสํ าคัญให เ กิด
ความตองการขามพนสังสารวัฏ เขาสูมรรคผลนิพาน
ทั้ ง ๕ ประการเหล า นี้ เป น ผลดี ข องทุ ก ขเวทนา ซึ่ ง วิ ป ส สนา
กรรมฐาน ถือวาเปนขุมทรัพยและเปนแหลงกําเนิดพลังงานอยางมหาศาล
ถาใครมาปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานไมเกิดทุกขเวทนาหรือไมเจอทุกขเวทนา
เลย ถื อ ว า เดิ น ไม ถู ก ทาง ทุ ก ขเวทนาจึ ง เป น สภาวะที่ พึ ง ประสงค ข อง
กรรมฐานสายนี้ เปนตัวชี้วา ผลทางการปฏิบัติเกิดขึ้นหรือไม และจะพัฒนา
ไปอยางไร หากผูปฏิบัติมาเจอทุกขเวทนา ขอใหทําความเขาใจวา ตนไดเดิน
มาถูกทางและเกิดผลทางการปฏิบัติแลว
ในเวลาเสวยเวทนา คือ มีความรูสึกอยางใดอยางหนึ่งที่เปนสุข ทุกข
หรือวางเฉยพึงตามรูสภาวะนั้นโดยกําหนดวา “สุขหนอ” “ทุกขหนอ”หรือ
“เฉยหนอ”
สุขเวทนา คือความรูสึกเปนสุขทางกาย ไดแก ความโลง โปรง เบา
สบาย หรือความรูสึกเปนสุขทางใจ ไดแก ความดีใจ เบิกบาน โสมนัสยินดี
ใหกําหนดไปตามสภาวะที่เกิดขึ้น เชน “โลงหนอ” “โปรงหนอ” “เบาหนอ”
“สบายหนอ” “ดีใจหนอ” “ยินดีหนอ” เปนตน
นักปฏิบัติที่ตามรูเวทนาความเปนจริงยอมรูชัดวามีเพียงสภาวธรรม
ที่เกิด ขึ้นจากระยะหนึ่งไปสูอีกระยะหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นแลว ก็ดับไป ไมเที่ย ง
เปนทุกข ไมใชตัวตน ไมมีเราของเรา ผูเสวยเวทนานั้นๆอยู ดังคัมภีรอรรถ
กถาวา “วตฺถํ อารมฺมณํ กตฺวา เวทนา ว เวทยตีติ สลฺลกฺเชนฺโตเอส สุขํ เวทนํ
เวทยามีติ ปชานาตีติ เวทิตพฺโพ.”๒๙พึงทราบวาภิกษุผูกําหนดอยูวาเวทนา
๒๙
ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๘๘.
๔๐๕
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
เทานั้นยอมเสวยอารมณโดยรับเอาอารมณอันเปนเหตุแหงความสุข ยอมรูชัด
วาเสวยสุขเวทนาอยู
ทุกขเวทนา คือ ความรูสึกเปนทุกขทางกายอันไดแก ความเจ็บ ปวด
เมื่อย ชา เหน็บ รอน เย็น จุกเสียด เหนื่อย หรือความรูสึกเปนทุกขทางใจ
อันไดแก ความโศกเศรา เสียใจ กลัว ไมสบายใจ รอนใจ วิตกกังวล พึงตามรู
ทุกขเวทนาตามอาการนั้นๆวา “เจ็บหนอ” “ปวดหนอ” “เมื่อยหนอ” “ชา
หนอ” เปนตน
การเจริญวิปสสนา คือ การทองบนสาธยาย คําบัญญัติวา รูป นาม
ธาตุดิน ธาตุน้ํา ผัสสะ เวทนา สุข ทุกข ความเห็นดังกลาวไมถูกตอง เพราะ
การรับรูสภาวธรรมของรูปนามเปนหลักสําคัญในการปฏิบัติธรรมไมใชการ
รับรูคําบัญญัติ ผูที่อดทนตามรูทุกขเวทนาวา “ปวดหนอ” ยอมสามารถรับรู
ลักษณะพิเศษคือ ความอดทนไดยากของทุกขเวทนาและลักษณะทั่วไปคือ
ไตรลักษณแมจะไมทราบวาสิ่งนี้เรียกวา ทุกขเวทนา ก็จัดวาไดรับรูสภาวะที่
แทจริงของทุกขเวทนาแลว
อุ เ บกขาเวทนา คื อ ความรู สึ ก เป น กลาง ไม สุ ข ไม ทุ ก ข เวทนา
ประเภทนี้ไมประจักษชัดเจนเหมือนสุขเวทนาและทุกขเวทนา ในอรรถกถาที่
อธิบายในจูฬเวทัลลสูตร๓๐สังคีติสูตร๓๑และพหุธาตุกสูตร๓๒กลาววา อุเบกขา
เวทนาเป น สิ่ ง ที่ รู ไ ด ย ากเหมื อ นอวิ ช ชาที่ เ กิ ด พร อ มกั บ โลภะและโทสะ
หมายความวา ในเวลาเกิดโลภะและโทสะนั้น มีอวิชชาเกิดรวมดวยโดยทํา
หนาที่ปกปด โทษของความโลภและความโกรธ ทําใหบุคคลพอใจจะโลภและ
โกรธอุ เ บกขาก็ เ ช น เดี ย วกั น ไม ป ระจั ก ษ ใ นเวลาปกติ แต จ ะปรากฏขึ้ น
หลังจากทุกขเวทนาหรือสุขเวทนาหายไปแลว เมื่อนักปฏิบัติบรรลุวิปสสนา
ญาณขั้นที่ ๔ เปนตนไปแลว อุเบกขาเวทนาอาจปรากฏชัดในบางคราว นัก
ปฏิบัติพึงตามรูอุเบกขาเวทนาวา “เฉยหนอ”
๓๐
ม.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๗๗.
๓๑
ที.ม.อ. (บาลี) ๓/๑๘๗.
๓๒
ม.ม.อ. (บาลี) ๓/๗๒.
๔๐๖
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
ตอจากนี้ พระพุทธองคทรงจําแนกสุขเวทนาออกเปนสุขอิงกามคุณ
เปนตน
สุขอิงกามคุณ (สามิสสุข) หมายถึง ความพึงพอใจเกี่ยวกับกามคุณ
๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส อันไดแก สิ่งที่ตนรักพอใจซึ่งอยูภายใน
และภายนอกร างกายในบางแหงเรี ย กว า เคหสิ ต โสมนั ส อิงเรือน โสมนั ส
ประเภทนี้มีความเพลิดเพลินตอรูปที่พบเห็น ในเวลารับเอารูปที่สวยงามเปน
อารมณ หรือชอบใจเสียง ในเวลารับเอาเสียงที่ไพเราะเปนอารมณ นักปฏิบัติ
พึงตามรูความชอบใจนั้นโดยกําหนดวา “ชอบหนอ”
ผูเจริญวิปสสนา ตามรูสภาวธรรมที่มาปรากฏทางทวารทั้ง ๖ ยอม
เห็นประจักษความเกิดดับของอารมณปจจุบันเหลานั้น นับวาไดหยั่งรูความ
ไม เ ที่ ย ง คื อ อนิ จ จั ง เข า ย อ มอนุ ม านรู ว า แม อ ารมณ ๖ ที่ เ ป น อดี ต และ
ปจจุบันทั้งหมดก็มีสภาพไมเที่ยง เชนเดียวกัน
บุคคลดังกลาวยอมเกิดความปติโสมนัส ความปติโสมนัสนี้ชื่อวา สุข
ไมอิงกามสุข (นิรามิสสุข) ในบางแหงเรียกวา นกขัมมสิตโสมนัส คือ โสมนัส
อิงวิปสสนา ดังขอความในคัมภีรอุปริปณณาสก วา
“รูปานํ ตฺว อนิจฺจตํ วิทิตฺวา วิปริณามํ วิราคํ วิโรธํ ปุพฺเพ เจว รูปา
เอตรหิ จ ....ยํ เอว รูป โสมนสฺสํ, วุจฺจติ เนกฺขมฺมสฺสิตํ โสมนสฺสํ ๓๓
ความปติโสมนัสนี้มักปรากฏชัดเมื่อบรรลุวิปสสนาญาณที่ ๔ ชื่อวา
อุทยัพพยญาณคือ ปญญาหยั่งรูความเกิดดับ นักปฏิบัติพึงตามรู ความปติ
โสมนัส โดยกําหนดวา “ชอบหนอๆ” หรือ “สุขหนอ” ตอจากนั้นพระพุทธ
องคทรงจําแนกทุกขเวทนาออกเปนทุกขอิงกามคุณ เปนตน ดังพุทธพจนวา
“สามิสํ วาทุกขํ เวทนํ เวทยมาโน สามิสํ ทุกฺขํ เวทยามีติ ปชานาติ. นิรามิสํ
วา ทุกฺขํ เวทนํ เวทยมาโน นิรามิสํ ทุกฺขํ เวทนํ เวทยามีติ ปชานาติ.”๓๔
ผูเจริญวิปสสนา ตามรูสภาวธรรม เมื่อเสวยทุกขเวทนาอิงกามคุณ
ยอมรูชัดวาเสวยทุกขเวทนา อิงกามคุณอยู หรือ เมื่อเสวยทุกขเวทนาไมอิง
๓๓
ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๓๐๖/๒๘๔-๒๘๕.
๓๔
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๘๐/๒๖๕, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๐/๓๑๓.
๔๐๗
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
กามคุณ ยอมรูชัดวาเสวยทุกขเวทนาไมอิงกามคุณอยู ผูที่ประสบกับความ
ทุกขกายหรือทุกขใจเมื่อไมส มหวังกามคุณภายในหรือภายนอกหรื อหวน
คิดถึงทุกข ที่เคยประสบมากอน ยอมเกิดทุกขที่เรียกวา ทุกขอิงกามคุณ (สา
มิสทุกข) นักปฏิบัติพึงกําหนดวา “ทุกขหนอ” หรือ “เสียใจหนอ”
นักปฏิบัติผูบรรลุ อุทยัพพยญาณ เปนตนไป ยอมคาดหวังในการ
บรรลุ มรรคผลที่พระอริยะทั้งหลายหยั่งเห็นแลว บางทานปฏิบัติธรรมเปน
เวลานานก็ไมอาจบรรลุมรรคผลได หรือบางทานไมประสบความกาวหนา ใน
การปฏิบัติธรรมเทาที่ควร จึงเกิดความเสียใจเกี่ยวกับวิปสสนา ความเสียใจ
ประเภทนี้ เรีย กวาทุกขไมอิงกามคุณ (นิร ามิส ทุกข) ในบางแห งเรี ยกว า
เนกขัมมสิตโทมนัส คือ โทมนัสอิงวิปสสนา ในขณะนั้นพึงกําหนดวา “เสียใจ
หนอ” คัมภีรอรรถกถากลาวถึงเรื่องของพระมหาสิวะเถระ เปนผูแตกฉาน
ปริยัติธรรมสอนภิกษุ ๑๘ คณะ ศิษยของทานไดบรรลุเปนพระอรหันต ๓
หมื่นรูป แตทานเปนแคปุถุชนเทานั้น๓๕
จากนั้น พระพุทธองคทรงจําแนก อุเบกขาเวทนา ออกเปน อุเบกขา
เวทนาอิงกามคุณพระพุทธพจนวา “สามิสํ วา อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทยมาโน
สามิสํ อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทยามีติ ปชานาติ. นิรามิสํ วา อทุกฺขมสุขํ เวทนํ
เวทยมาโน นิรามิสํ อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทยามีติ ปชานาติ.”๓๖
ผูเจริญวิปสสนา ตามรูสภาวธรรม เมื่อเสวยอุเบกขาเวทนาอิงกาม
คุณ ยอมรูชัดวาเสวยอุเบกขาเวทนาอิงกามคุณอยู หรือเมื่อเสวยอุเบกขา
เวทนาอิงกามคุณ ยอมรูชัดวาเสวยอุเบกขาเวทนาไมอิงกามคุณอยู โดยทั่วไป
คนที่มิไดอบรมจิตดวยการเจริญวิปสสนา ในบางขณะอาจเกิดความรูสึกวาง
เฉยตอกามคุณภายในหรือภายนอก แตปลอยวางอารมณนั้นไมไดเพราะมี
ความยึดติดผูกพันดวยความโลภ อุเบกขา ประเภทนี้เรียกวาอุเบกขาอิงกาม
คุณ (สามิสอุเบกขา) บางแหงเรียกวา เคหสิตอุเบกขา คือ อุเบกขาอิงเรือน
หรือ อัญญาณุเปกขา คือ อุเบกขาที่เกิดพรอมกับโมหะ ในเวลาที่อุเบกขานี้
๓๕
ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๔๓.
๓๖
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๘๐/๒๖๕, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๐/๓๑๓.
๔๐๘
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
ปรากฏชัดเจน นักปฏิบัติพึงกําหนดวา “เฉยหนอ”
เมื่อนั กปฏิ บัติ บ รรลุอุทยัพพยญาณแลว ขามพน วิป ส สนุ ปกิเ ลสได
ความวางเฉยในขณะตามรูอารมณทางทวารทั้ง ๖ ยอมเกิดขึ้น ความวางเฉย
นี้เรียกวา อุเบกขาไมอิงกามคุณ (นิรามิสอุเบกขา) ยอมปรากฏชัดในภังค
ญาณและปรากฏชัดยิ่งขึ้นในสังขารุเปกขาญาณ ในบางแหงเรียกวา เนกขัม
มสิตอุเบกขา คือ อุเบกขาอิงวิปสสนา นักปฏิบัติพึงกําหนดวา “เฉยหนอ”
วิธีอดทนตอทุกขเวทนา
นั ก ปฏิ บั ติ ที่ พ ยายามทนกํ า หนดทุ ก ขเวทนา มี วิ ธี อ ดทนต อ
ทุกขเวทนา ๓ อยาง คือ
๑) สูแบบเผชิญหนา คือ จดจอที่อาการปวด จี้ลงไปในสถานที่ซึ่ง
ปวดมากที่สุด เหมือนการสูรบแบบเผชิญหนาไมยอมถอย วิธีนี้แมจะคอนขาง
เหน็ดเหนื่อย เพราะตองใชพลังจิตจดจอมาก แตก็มีประโยชนในการหยั่งเห็น
ลักษณะพิเศษของเวทนาไดเร็ว
๒) สูแบบกองโจร คือกําหนดเวทนาบาง เปลี่ยนไปกําหนดอารมณ
อื่นบาง เหมือนการสูรบแบบกองโจรในกรณีที่ขาศึกเขมแข็งกวาวิธีนี้ใชใน
ขณะที่เวทนารุนแรง ยากจะกําหนดได จึงเปลี่ยนไปกําหนดอารมณอื่นเชน
สภาวะพองยุ บ เมื่อมีส มาธิ มากขึ้น ก็กลั บ ไปกําหนดเวทนาเป น ครั้ งคราว
เปรียบดังคนเดินทางกลางแดดที่เหน็ดเหนื่อยไดเขาไปพักใตรมไมชั่วคราว
๓) สูแบบถอยทัพ คือ สักแตตามรูเวทนา ไมตองกําหนดจดจอโดย
คําบริกรรมเขากํากับเหมือนคนวายน้ําที่เกาะทอนไมลอยไปตามกระแสน้ํา
โดยไมใชกําลังวาย เมื่อทนตอเวทนาไมได ก็พึ่งเปลี่ยนอิริยาบถลุกขึ้นเดินจง
กลม เพื่อใหสมาธิมีกําลังมากขึ้น สามารถตอสูเวทนาไดในโอกาสตอไป
ขันติสังวร
พระพุทธองคตรัสวา กายนี้มีทุกขมาก มีโทษมาก โรคมากมายเกิด
๓๗
ในกายนี้ เมื่อยังมีกายอยูจะมีเวทนาแนนอน เวทนามักเกิดจากการกระทบ
๓๗
องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๖๐/๘๗
๔๐๙
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
กัน ระหว างรู ป คือกายส ว นล างที่กระทบกับพื้น หรื อเกิด จากการคูขาเป น
เวลานานแตนักปฏิบัติไมควรกลัวตอทุกขเวทนา เพราะขนาดเกิดทุกขเวทนา
ความฟุงซานจะมีนอยลง เนื่องจากไมมีผูใดรักผูอื่นมากกวาตน เวทนาจึงจัด
วาเปนอารมณที่ดีในการกําหนดรู
มีสุภาษิตกลาววา “ความอดทนเปนกุญแจไขประตูพระนิพพาน”
สุภาษิตบทนี้สอดคลองกับพระพุทธพจนที่ตรัสสรรเสริญการเจริญขันติสังวร
คือ ความอดทนตอเวทนา อาทิเชน ความเย็น ความรอน ความหิวกระหาย
สัมผัสของยุง เหลือบ งู ลม แดด ความเจ็บปวดที่รุนแรงทางกายที่อาจครา
ชีวิตได๓๘ฉะนั้น นักปฏิบัติจึงควรรอดทนกําหนดเวทนากอน อนึ่ง พระพุทธ
องคยังตรัสสรรเสริญความอดทนวา
อิธ สาริปุตฺต ภิกฺขุ ปจฺฉาภตฺตํ ปณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต นิสีทติ ปลฺลงฺกํ
อาภุชิตฺวา อุชุ กายํ ปณิธาย ปริมุขํ สตึ อุปฏฐเปตฺวา น ตาวาหํ อิมํ ปลฺลงฺกํ
ภินฺทิสฺสามิ ยาว เม นานุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุจฺจิสฺสตีติ. เอวรูเปน โข สา
ริปุตฺต ภิกฺขุนา โคสิงฺคสาลวนํ โสเภยฺย.๓๙
“ดูกรสารีบุตร ภิกษุในศาสนานี้ ฉันภัตตาหารแลวนั่งขัดสมาธิ ตั้ง
กายตรง ดํารงสติมั่น ตั้งใจวาตราบที่จิตของเรายังไมพนจากอาสวะเราจักไม
ยกเลิกการนั่งคูบัลลังกนี้ ดูกรสารีบุตร ภิกษุผูมีความอดทนเชนนี้ พึงยังปา
สาละใหงดงาม”
พระพุ ท ธองค ต รั ส ไว ใ นโพธิ ร าชกุ ม ารสู ต ร ๔๐ว า บุ ค คลจะบรรลุ
ความสุขดวยความสุขไมได แตจะบรรลุความสุขไดดวยความทุกข พระดํารัส
นี้แสดงถึงความอดทนโดยตรง และเมื่อพระองคทรงบําเพ็ญเพียรที่อุรุเวลา
เสนานิ ค มในวั น เพ็ ญ เดื อ นหก มหาศั ก ราช ๑๐๓ ได ป ระทั บ นั่ ง เหนื อ
โพธิบัลลังกตั้งแตปฐมยามถึงปจฉิมยาม คือ ตั้งแต ๖ โมงเย็น ถึง๖ โมงเชา
(ยามหนึ่งมี ๔ ชม. ราตรีหนึ่งมี ๓ ยาม คือ ปฐมยาม = ๑๘.๐๐-๒๒.๐๐ น.
๓๘
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๔/๑๔-๑๕
๓๙
ม.มู. (บาลี) ๑๒/๓๔๕/๓๐๘
๔๐
ม.ม. (ไทย) ๑๓/๕๑๕/๓๓๔-๓๕๗.
๔๑๐
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
มัชฌิมยาม = ๒๒.๐๐-๒.๐๐ น. ปจฉิมยาม = ๒.๐๐-๖.๐๐ น. ) ระยะเวลา
ดังกลาวนี้นานประมาณ ๑๒ ชั่วโมงจึงทรงตรัสรูอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณใน
ยามรุงอรุณแหงราตรีนั้นในปจจุบันมีการตําหนิวา การอดทนตอเวทนานี้เปน
อัตตกิลมถานุโยค คือ การเบียดเบียนตนใหลําบาก แลวสอนใหพิจารณาสาต
ถกสัมปชัญญะและสัปปายสัมปชัญญะ ทั้งยังแนะนําไมใหอดทนตอเวทนา
นั้น วิธีปฏิบัติดังกลาวไมสอดคลองกับขอความในมหาสติปฏฐานสูตรนี้ และ
ขัดแยงกับพระพุทธดํารัสที่สอนใหกําหนดรูเวทนาขันธวา
เวทนํ ภิกฺขเว โยนิโส มนสิ กโรถ. เวทนานิจฺจตฺจ ยถาภูตํ สม
นุปสฺสถ. เวทนํ ภิกฺขเว ภิกฺขุ โยนิโส มนสิกโรนฺโต เวทนานิจฺจตฺจ ยถาภูตํ
สมนุปสฺสนฺโต เวทนาย นิพฺพินฺทติ.๔๑
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงกําหนดรูเวทนาดวยปญญาพึงรูแจง
ความไมเที่ย งของเวทนาตามความเปนจริง เมื่อภิกษุกําหนดรูเวทนาดว ย
ปญญา รูแจงความไมเที่ยงของเวทนาตามความเปนจริงอยู ยอมเบื่อหนายใน
เวทนา”
อนิจฺจฺเญว ภิกฺขเว ภิกฺขุ เวทนํ อนิจฺจนฺติ ปสฺสติ. สาสฺส โหติ สมฺ
๔๒
มาทิฏฐิ.
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุยอมรูแจงเวทนาที่ไมเที่ยงนั่นเทียววาเปน
ของไมเที่ยง ปญญาที่รูแจงดังกลาวของภิกษุนั้นเปนสัมมาทิฏฐิ”
การกําหนดรู เ วทนามีป ระโยชน เ พื่อ ขจั ด ตั ณหาที่เ กิด จากเวทนา
ดังตอไปนี้
๑) สุขเวทนา กอใหเกิดความพอใจในสุขที่ไดรับอยู และทําใหอยาก
ไดรับความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป ไมพอใจกับสุขที่มีอยูวาดีเลิศ
๒) ทุกขเวทนา กอใหเกิดความอยากพนไปจากทุกขที่ประสบ อยู
เพราะทุกคนลวนรักสุขเกลียดทุกข
๔๑
สํ.ข. (บาลี) ๑๗/๕๒/๔๓
๔๒
สํ.ข. (บาลี) ๑๗/๕๑/๔๒
๔๑๑
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
๓) อุเบกขาเวทนา กอใหเกิดความอยากไดรับสิ่งที่ดีกวา ซึ่งตนเคย
ไดหรือคาดหวังไวดวยเหตุนี้ การกําหนดรูเวทนาตามหลักของเวทนานุปสส
นาจึงเปนการตัดวงจรของสังสารวัฏอยางแทจริง เมื่อตัณหาไมเกิด อุปาทาน
ภพชาติ ชราและมรณะเปนตนก็เกิดขึ้นไมได ครั้นบุคคลขจัดตัณหาไดอยางนี้
วนเวียนของสังสารวัฏที่เริ่มตนจากตัณหาก็ถูกขจัดไปได
อานิสงสของการตามรูเวทนา
การตามรูเวทนาสงผลใหนักปฏิบัติหยั่งเห็นความเกิดดับเวทนา ใน
บางขณะนักปฏิบัติอาจรับรูเหตุที่เกิดขึ้นและเหตุดับไปของเวทนาตามที่ได
สดับมาอีกดวย กลาวคือสุขเวทนาเกิดจากการประสบกับอารมณที่นาชอบใจ
ทุกขเวทนาเกิดจากการพบกับอารมณที่ไมชอบใจ อุเบกขาเวทนา เกิดจาก
การประสบกับอารมณเปนกลาง นอกจากนี้ เวทนายังมีเหตุเกิดคือกรรมใน
อดีต อวิชชาและตันหา
ผูที่หยั่งเห็นความเกิดดับของเวทนาอยางนี้ จะเกิดสติระลึกรูวามี
เพียงความรูสึกสุข ทุกข หรือวางเฉย ไมมีบุคคล เรา ของเรา บุรุษ สตรี ยอม
ปราศจากความยึ ดมั่นสิ่งใดสิ่งหนึ่ งในโลกคืออุปาทานขัน ธ สมจริ งดังพระ
พุทธพจนวา
“สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา เวทนาสุ วิหรติ.วยธมฺมา นุปสฺสี วา เวทนาสุ
วิหรติ. สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วา เวทนาสุ วิหรติ. อตฺถิ เวทนาติ วา ปนสฺส
สติ ปจฺจุปฏฐิตา โหติ ยาวเทว ญาณมตฺตาย ปฏิสฺสติมตฺตาย. อนิสฺสิโต จ วิ
หรติ. น จ กิญจิ โลเก อุปาทิยติ
ผูเจริญวิปสสนา ตามรูสภาวธรรม คือ ความเกิดขึ้นในเวทนาอยูบาง
ความดับในเวทนาอยูบาง ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความดับในเวทนาอยูบาง เธอ
ย อมเป น อยู อีกอย า งหนึ่ งคือเขาไปตั้ ง สติ ว าเวทนามี ก็เ พีย งสั กว าเอาไว รู
เพียงสักวาเอาไวระลึกไดเทานั้น เธอเปนผูอยูอยางไมถูกตัณหาและทิฏฐิ เขา
อิงอาศัย และไมถือมั่นอะไรๆในโลก
๔๑๒
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
๖. อริยสัจ ๔ ในการกําหนดรูเวทนา
อริยสัจ ความจริงอยางประเสริฐ, ความจริงของพระอริยะ, ความจริง
ที่ทําคนใหเปนพระอริยะ มี ๔ อยาง คือ ทุกข (หรือ ทุกขสัจจะ) สมุทัย (หรือ
สมุทัยสัจจะ) นิโรธ (หรือ นิโรธสัจจะ) มรรค (หรือ มัคคสัจจะ) สัจจะที่พระ
อริยะแทงตลอด อยางนี้ก็ได คําวา อริยสัจ มาจากคําวา อริย+สัจจะ สองคํา
รวมกัน แปลวา เปนสัจจะที่พระอริยะแทงตลอด อริยสัจ ๔ คือ ความจริงแทที่
นําไปสูความสิ้นทุกขไดจริง๔๓ ธรรมอันทําใหเปนพระอริยะ๔๔
กระบวนการของอริยสัจ ๔ ในการกําหนดเวทนา มีดังนี้
อชฺฌตฺตํ วา เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ ภิกษุยอมเห็นเวทนาในเวทนาภายในบาง
พหิทฺธา วา เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาภายนอกบาง
อชฺฌตฺตพหิทฺธา วา เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งภายใน
วิหรติ ทั้งภายนอกบาง
สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา เวทนาสุ วิหรติ พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในเวทนา
วยธมฺมานุปสฺสี วา เวทนาสุ วิหรติ พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในเวทนา
สมุทยวยธมฺมานุปสฺสีวา เวทนาสุ วิหรติ พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้ง
ความเสื่อมในเวทนาบาง
อตฺถิ เวทนาติ วา ปนสฺส สติ ปจฺจุปฏิตา โหติ อีกอยางหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยูวา
เวทนามี
ยาวเทว าณมตฺตาย ปฏิสฺสติมตฺตาย ก็เพียงสักวาความรู เพียงสักวาอาศัยระลึก
เทานั้น
อนิสฺสิโต จ วิหรติ เธอเปนผูอันตัณหาและทิฐิไมอาศัยอยูแลว
น จ กิฺจิ โลเก อุปาทิยติ . และไมถือมั่นอะไรๆ ในโลก
เอวํ โข ภิกฺขเว ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อยางนี้แล
ภิกฺขุ เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ. ภิกษุชื่อวาพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู
๑. ทุกอริยสัจ คือ ความทุกข หรือสภาพที่ทนไดอยากของมนุษย
กลาวใหลึกลงไปอีก หมายถึงสภาวะของสิ่งทั้งหลาย ที่ตกอยูในกฎธรรมดา
๔๓
อภิ.วิ.มูลฎีกา (บาลี) ๑/๑๘๙/๕๘.
๔๔
ขุ.เถร. (บาลี) ๒/๓๖/๑๕๘.
๔๑๓
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
แห งความไมเ ที่ย ง เปน ทุกข ซึ่งประกอบด ว ยภาวะบีบ คั้น กดดั น ขัดแย ง
ขัดของ มีความบกพรอง ไมสมบูรณในตัว ขาดแกนสาร และความเที่ยงแท
ไมอาจใหความพึงพอใจเต็มแทจริง สรุป คือ การที่กําหนดเห็นรูปนามเปน
ทุกข คือ เห็นอารมณชัด เพราะอารมณที่ปรากฏลวนเปนสิ่งที่ถูกปรุงแตง
สภาพที่ไมคงที่ เปลี่ยนแปลงอยูเสมอ
กระบวนการอริยสัจ ๔ ในการกําหนดเวทนาพิจารณาไดดงั นี้
๑) เวทนาปริคฺคาพิกา สติ ทุกฺขสจฺจํ. สติที่กําหนดรูเวทนา จัดเปน
ทุกขสัจกลาวคือ สติที่เขาไปกําหนดรูเวทนาที่เกิดขึ้นจากผัสสะ วาเปนสุข
เวทนา หรือทุกขเวทนา หรืออุเบกขาเวทนา ทั้งที่เกิดขึ้นโดยอามิส และไมอิง
อามิส เปนทุกขเพราะถูกปรุงแตงขึ้น
๒) ตสฺสา สมุฏฐาปกา ปุริมตณฺหา สมุทยสจฺจํ. ตัณหากอนๆ ที่ยังสติ
นั้นใหเกิดขึ้น จัดเปนสมุทยสัจ กลาวคือ ตัณหา คือเวทนาที่เกิดจากผัสสะ
คือการกระทบกันของอายตนะภายใน และภายนอก เกิดเปนสุขเวทนา หรือ
ทุกขเวทนา หรือ อุเบกขาเวทนา เปนสมุทยสัจ
๓) อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ. ความไมเปนไปแหงทุกขกับสมุทัย
คือ ทุกขกับสมุทัยดับลงไป จัดเปนนิโรธสัจ กลาวคือ เมื่อมีสติกําหนดรู ใน
เวทนาตางๆ เชนปวดหนอ ในขณะที่เกิดอาการทุกขเวทนา แลวสามารถหยั่ง
เห็นความไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตนของเวทนาที่เกิดขึ้น จัดวาละอวิชชา
ไดชั่วขณะเปนตทังคนิโรธ เมื่อละอวิชชาได ตัณหาที่ยินดีพอใจหรือไมพอใจ
ในขณะเกิดเวทนายอมไมเกิดขึ้น จัดวาละตัณหาไดชั่วขณะเชนเดียวกัน เมื่อ
ตัณหาไมมี ความยึดมั่นและการทํากรรมดีกรรมชั่วก็ไมมีและผลที่เกิดจาก
กรรมอันไดแก วิญญาณ นามรูป อายตนะ ๖ ผัสสะ และเวทนายอมดับไปใน
ขณะที่ตัณหาดับเมื่อประกอบดวยสติสัมปชัญญะ การละตัณหาดวยวิปสสนา
ที่ เป นตทังคนิโรธนี้ จะเป นปจจัย ใหผูปฏิ บัติธรรมไดบรรลุการละตัณหา
อยางเด็ดขาดเปนสมุจเฉทนิโรธ และสามารถดับทุกขที่เนื่องดวยตัณหานั้นๆ
๔) ทุ กฺ ข ปริ ช านโน สมุ ท ยปชหโน นิ โ รธารมฺ ม โณ อริ ย มคฺ โ ค
มคฺคสจฺจํ. อริยมรรคกําหนดรูทุกข ละสมุทัย นิโรธมีนิพพานเปนอารมณ จัด
เป น มั คคสั จ กล า วคื อ เมื่อ เจริ ญสติ กํ าหนดรู เ วทนาทั้ง หลายที่ เ กิด ขึ้น ใน
๔๑๔
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
ปจจุบันจนกระทั่งหยั่งเห็นความเกิดดับแลวยอมไดชื่อวาเปนผูเจริญอริยสัจ
ทั้ง ๔ กลาวคือ การกําหนดรูทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นคือการกําหนดรูทุกขสั จ
การละความเพลิดเพลินยินดีในสุขเวทนา หรือ ทุกขเวทนา ที่รับรูดวยสติอยู
คือการละสมุทยสัจ การไมเกิดขึ้น แหงตัณหา อุปาทาน ผัสสะ เวทนาที่เปน
ผลกรรม ดวยการกําหนดรูปจจุบันเปน การกระทํานิโรธสัจใหแจง การดับ
ตัณหาเปนตนดังกลาวจัดเปนการดับชั่วขณะดวยวิปสสนาซึ่งเรียกวา ตทังค
นิโรธ เมื่อบรรลุอริยมรรคอยางแทจริงจึงจะรับรูการดับของเวทนาทั้งปวง
โดยประจั ก ษได การหยั่ งเห็ น ลั ก ษณะพิเ ศษของรู ป นามแต ล ะอย า งและ
ลักษณะทั่วไปคือไตรลักษณ จัดเปนสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ เปนสัมมาวา
ยามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ การ
เจริญสติระลึกรูปจจุบันอันประกอบดวยอริยมรรคมีองค ๘ เหลานี้ จัดเปน
การเจริญมรรคสัจ
๗. อริยสัจ ๔ ในญาณ ๑๖
ในการเจริญสติกําหนดรูเวทนามีความรูสึกอยางใดอยางหนึ่งที่เปน
สุข ทุกข หรือวางเฉย พึงรูตามสภาวะนั้นโดยกําหนดสุขหนอ ทุกขหนอ หรือ
เฉยหนอ จัดเปนนามรูปปริจเฉทญาณ เปนทุกขเมื่อรูชัดถึงความเกี่ยวของ
ของสิ่ งที่ม ากระทบจากอายตนะภายนอกก็รู จั ด เป น ป จ จยปริ คคหญาณ
เปนสมุทยสัจ เมื่อเริ่มเห็นความเกิดดับ ของเวทนาเชนปวดมาก เปนสัมมสน
ญาณ มีทุกข สมุทัย นิโรธ เกิดขึ้น เมื่อความปติโสมนัสปรากฏชัดเมื่อบรรลุ
วิปสสนาญาณที่ ๔ ชื่อวา อุทยัพพยญาณ คือ ปญญาหยั่งรูความเกิด ความ
ดับ พึงตามรู ความปติโสมนัส โดยกําหนดวา “ชอบหนอๆ” หรือ “สุขหนอ”
ผูเจริญวิปสสนา ตามรูสภาวธรรม เมื่อเสวยทุกขเวทนาอิงกามคุณ ยอมรูชัด
วาเสวยทุกขเวทนา อิงกามคุณอยู หรือ เมื่อเสวยทุกขเวทนาไมอิงกามคุณ
ยอมรูชัดวาเสวยทุกขเวทนาไมอิงกามคุณอยู ผูที่ประสบกับความทุกขกาย
หรือทุกขใจเมื่อไมสมหวังกามคุณภายในหรือภายนอกหรือหวนคิดถึงทุกข ที่
เคยประสบมากอน ยอมเกิดทุกขที่เรียกวา ทุกขอิงกามคุณ (สามิสทุกข) นัก
ปฏิบัติพึงกําหนดวา “ทุกขหนอ” หรือ “เสียใจหนอ” เมื่อนักปฏิบัติบรรลุ
๔๑๕
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
อุทยั พพยญาณแล ว ขามพน วิ ป สสนู ป กิเลสได ความว างเฉยในขณะตามรู
อารมณทางทวารทั้ง ๖ ยอมเกิดขึ้น ความวางเฉยนี้เรียกวา อุเบกขาไมอิง
กามคุณ (นิรามิสอุเบกขา) ยอมปรากฏชัดในภังคญาณและปรากฏชัดยิ่งขึ้น
ในสังขารุเปกขาญาณ ในบางแหงเรียกวา เนกขัมมสิตอุเบกขา คือ อุเบกขา
อิงวิปสสนา นักปฏิบัติพึงกําหนดวา “เฉยหนอ” อริยสัจ ๔ จะเกิดครบ
สมบูรณ เมื่อ เขาสูภังคญาณ เห็นนิโรธชัดเจน ตอจากนั้นเมื่อเขาสูภยญาณ
อาทีนวญาณ และนิพพิทาญาณ อริยสัจ ๔ ก็จะเกิดครบสมบูรณแตเห็นทุกข
สัจชัด ญาณตั้งแตมุญจิตุกัมยตาญาณ ไปจนถึงสังขารุเบกขาญาณ อริยสัจ ๔
เกิดครบสมบูรณ อนุโลมญาณและโคตรภูญาณ อริยสัจ ๔ เกิดครบสมบูรณ
เมื่อเขาสูมัคคญาณ คืออริยสัจ ๔ กิจญาณสมบูรณ ผลญาณมีนิพพานเปน
อารมณ ปจจเวกขณญาณ คือพิจารณาอริยสัจ ๔ กตญาณ
สภาวะญาณที่ปรากฏ
ญาณที่ ๑ นามรูปปริเฉทญาณ กําหนดรูดูอาการทองพอง ทองยุบ
พองใหญ ยุบ ใจที่รูสึกกับทองพอง ทองยุบใหเทากันใหตรงกันพอดี อยาให
กอนหรือหลังกัน จิตที่รูพรอมกันเชนนี้ วินิจฉัยวา นามรูปปริเฉทญาณ จิต
กําหนดพรอมกันทีเดียว ความรูสึกถึงความมีอยูตัวตนขณะนั้นยอมไมปรากฏ
นี้ เรียกวานามรูปปริเฉทญาณ๔๕ จัดเปนอริยสัจ ๔ คือ“ทุกข (จินตาญาณ)”
๒. สมุทัยอริยสัจ ความจริงแทที่วาความทุกขทั้งมวลที่ส รรพสัตว
ประสบอยู หรือรับ รูทางอายตนะ ๖ อยูนั้น ลว นเกิดจากเหตุปจ จัยนั้น คือ
อวิชชา ตัณหาและอาสวะกิเลส ที่หมักดองอยูในขันธสันดานของสัตว ๔๖แต
ละตนนั่นเอง
๑) กามตั ณหา คือ ความไมได อยางโน นอย างนี้ ซึ่งเกิดจาก ตา หู
จมูก ลิ้น กายและ ใจ เชน ตาเห็นรูปสวยงาม ก็เกิดความอยากได อยากไดบาน
สวยๆ ราคาแพง อยากไดเสื้อผาสวยๆ เปนตน
๔๕
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ), คูมือสอบอารมณกรรมฐานวิชาครู,
พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท ช. โฆษิตพิพัฒน จํากัด, ๒๕๔๓.), หนา ๘๓.
๔๖
ขุ.อุ.อ.(ไทย)๔๔/๓๖๓.
๔๑๖
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
๒) ภวตัณหา คือ ความอยากเปนอยางโนนอยางนี้ เปนความอยาก
หลุดพน
๓) วิภวตัณหา คือ ความอยากไมเปน ความอยากไมมี จัดเปนความ
อยากที่ ประกอบกับความเบื่อหนายในสภาพที่เปนอยูในปจจุบัน อยากหนี
อยากพน เปนตน
สภาวะญาณที่ปรากฏ คือ ญาณที่ ๒ ปจจยปริคหญาณ เปนญาณที่
เกิดปญญารูแจง ในสภาวะของ รูปกับนาม ที่กําหนดอยูวาทั้งรูปและนาม
เปนเหตุ เปนผลซึ่งกันและกัน คือรูชัดในอาการตางๆ พรอมกับจิตที่เขารูทุก
อารมณที่กระทบจิต จัดเปน อริยสัจ ๔ คือ “สมุทัย (จินตาญาณ)”
๓. นิโรธอริยสัจ ความจริงที่แทวา เมื่อมีสติ สมาธิ และปญญาญาณ
สมบูรณ ยอมพนไปจากสังขารที่เปนทุกข (รูป-นามอันเปนสังขตธรรม) ได
และพนจากกิเลสตัณหาอยางสิ้นเชิง๔๗ ชนิดที่ไมอาจ เปนทุกขไดอีกเลย นั่น
คือ “พระนิพพาน๔๘”(อันเปนอสังขตธรรม, อกตัญูธรรม)
สภาวญาณที่ปรากฏ
ญาณที่ ๓ สั มมสนญาณ ป ญญาพิจารณาเห็ น อาการเกิด ตั้ ง ดั บ
ความเกิ ด เป น ตั ณ หา สภาวะที่ ท รงตั ว เป น ทุ ก ข สภาวะที่ ดั บ ไป จั ด เป น
อริยสัจ ๔ คือ “นิโรธ (ตทังคนิโรธ)”
ญาณที่ ๔ อุทยัพพยญาณ ปญญาที่เห็นเนื่องๆ ในความแปรผันของ
ปจจุบันธรรมทั้งหลาย คือ รูปที่เกิดแลวเปนปจจุบันลักษณะแหงความเกิดของ
รูปนั้นเปน อุทยัพ๔๙(ความเกิดขึน้ ) ลักษณะแหงความแปรผันเปน วยะ๕๐ (ความ
ดับไป) สภาวะนิ มิตต างๆ หายไปเร็ ว กําหนดวาเห็ นหนอๆๆ สั ก ๒-๓ ครั้ งก็
หายไป แสงสวางแจมใสคลายไฟฟา จัดเปน อริยสัจ ๔ คือ “สมุทัย (ตทังค
นิโรธ)”
๔๗
ที.ม.(ไทย) ๑๐/๔๐๑/๓๓๔.
๔๘
วิ.ม.(ไทย) ๔/๑๔/๒๑.
๔๙
ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๙๒๒-๙๒๔/๗๒๒.
๕๐
องฺ.ปญจก.(ไทย) ๒๒/๓๐๗/๔๐๙.
๔๑๗
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
๔. มัค คอริ ย สัจ ความจริ งที่ แท ว า ทางปฏิ บั ติ เ พื่อให เ ขา ถึง พระ
นิพพาน มีอยู จริง สามารถปฏิ บัติให รูแจงไดในปจจุบั นขณะนี้ นั่น คืออาจ
เจริญภาวนาแนวทางศีล สมาธิ ปญญา ทํามรรคใหมีองค ๘ ใหสมบูรณ
มรรคสั จ จ ได แ ก ป ญ ญาที่ เ ห็ น พอง ยุ บ เป น ต น ตั้ ง แต เ ริ่ ม แรก
จนกระทั่งดับลงไป สิ้นไป หมดไป เปนมัคคสัจจ ดังบาลีวา “นิโรธปฺชานนา
มคฺคสจฺจํ” เปนที่ทราบชัดซึ่งทุกขสมุทัย วาดับลงไปตอนไหน เปน มัคคสัจจ
ทุกขนิ โรธอริยสัจ (อริ ยสั จคือความดั บทุกข) คือ ความสํ ารอกและ
ความดับโดยไมเหลือ ความปลอยวาง ความสละคืน ความพน ความไมติดอยู๕๑
๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ (อริยสัจคือขอปฏิบัติใหถึงความ
ดับทุกข) คือ อริยมรรคมีองค ๘ นี้นั่นแล๕๒ไดแก
สัมมาทิฏฐิ(เห็นชอบ) คือ ความรูในทุกข(ความทุกข) ความรูในทุกข
สมุทัย(เหตุเกิดแหงทุกข) ความรูในทุกขนิโรธ(ความดับทุกข) ความรูในทุกขนิ
โรธคามินีปฏิปทา(ขอปฏิบัติใหถึงความดับทุกข)
สัมมาสังกั ปปะ(ดําริชอบ) คือ ความดําริ ในการออกจากกาม ความ
ดําริในการไมพยาบาท ความดําริในการไมเบียดเบียน
สัมมาวาจา(เจรจาชอบ) คือ เจตนาเปนเหตุเวนจากการพูดเท็จ เจตนา
เป นเหตุ เว นจากการพู ด ส อเสี ยด เจตนาเป นเหตุ เว นจากการพู ดคํ าหยาบ
เจตนาเปนเหตุเวนจากการพูดเพอเจอ
สัมมากัมมันตะ (กระทําชอบ)คือ เจตนาเปนเหตุเวนจากการฆาสัตว
เจตนาเปนเหตุเวนจากการลักทรัพย เจตนาเปนเหตุเวนจากการประพฤติผิดใน
กาม
สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) คือ พระอริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ ละ
มิจฉาอาชีวะแลว เลี้ยงชีพดวยสัมมาอาชีวะ
สัมมาวายามะ(พยายามชอบ) คือ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ยังฉันทะให
เกิด พยายาม ปรารภความเพียรประคองจิต มุงมั่น (๑) เพื่อความไมเกิดขึ้น
๕๑
ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๗๔/๔๒๑.
๕๒
ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๗๕/๔๒๑, ๓๒๕/๓๙๒.
๔๑๘
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
แหงบาปอกุศลธรรมที่ยังไมเกิดขึ้น (๒) เพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแลว
(๓) เพื่อความเกิดขึ้นแหงกุศลธรรมที่ยังไมเกิดขึ้น (๔) เพื่อความดํารงอยู ไม
เลือนหาย ภิยโยภาพ ไพบูลย เจริญเต็มที่แหงกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแลว
สัมมาสติ(ระลึกชอบ) คือ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เปนผูมีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติพิจารณาเห็นกายในกายอยู พึงกําจัดอภิชฌาและโทมนัสใน
โลกได พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู ฯลฯ พิจารณาเห็นจิตในจิต
อยู ฯลฯ เป นผู มีความเพียร มีสั มปชั ญญะ มีสติ พิจารณาเห็ นธรรมในธรรม
ทั้งหลายอยู พึงกําจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได
สัมมาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นชอบ) คือ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม
และอกุศลธรรมทั้งหลายแลวบรรลุปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปติและสุขอันเกิด
จากวิเวกอยู เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป ภิกษุนั้นจึงบรรลุทุติยฌาน ที่มีความ
ผองใสภายใน มีภาวะที่จิตเปนหนึ่งผุดขึ้น ไมมีวิตก ไมมีวิจาร มีแตปติและสุข
อันเกิดจากสมาธิอยู... บรรลุตติยฌาน... บรรลุจตุตถฌานอยู๕๓
สภาวญาณที่ปรากฏ
ญาณที่ ๕-๑๓ อารมณและจิตที่กําหนดไดดับหายไปพรอมๆ กันทุก
ครั้งที่กําหนด นั้นคือ ปญญาที่พิจารณาเฉพาะความดับไปของรูปนามอยูเนืองๆ
กําหนดจิต ดับไปพรอมอารมณที่ปรากฏมี อาการเผลอบอยๆ แลวจิตเกาะกับ
นิวรณ เพราะความดับไปของจิตกับอารมณ จิตจึงไปเกาะอารมณที่เคยชินคือ
กิเลส พบแตการดับ นิมิต หรืออาการปรากฏรวดเร็ว ตามไมทัน สติตั้งมั่นอยู
ใน นิโรธ ความสิ้นไป เสื่อมไป เห็นวา “สังขารเกิดขึ้นอยางนี้ แลวดับไปอยางนี้
เปนธรรมดาเนืองๆ” คือ ทางอันประเสริฐ ที่ทําใหผูปฏิบัติพนทุกขได เมื่อทํา
มรรคมีองค ๘ ใหสมบูรณซึ่งเปนกระบวนการเกิดจากการกําหนดรู รูป-นาม ที่
ประกอบดวย ปชานาติ (ใสใจ) มรรคนี้เปนเบื้องตนซึ่งเปน โลกียะ๕๔ ไดแก สติ
ป ฏ ฐาน ๔ สั มมั บ ปทาน ๔ เป น ต น ที่ จะนํ าไปสู อริ ยมรรคที่ เ ป น โลกุ ต ระ
ประหารกิเลสอยางสิ้นเชิง โดยที่พัฒนาวิปสสนาญาณตามลําดับจนถึงมรรค
๕๓
ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๗๕/๔๒๒-๔๒๔.
๕๔
สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๒๕๓/๑๗๘.
๔๑๙
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
ญาณ องคมรรคทั้ง ๘๕๕ ยอมเกิดขึ้นพรอมกัน คือ สัมมาทิฏฐิ๕๖ สัมมาสังกับ
ปะ สั มมาวาจา สั มมากั มมั น ตะ สั มมาอาชี ว ะ สั ม มาวายามะ สั ม มาสติ
สัมมาสมาธิ ทําหนาที่ละสมุทัย ดับกิเลสโดยสมุจเฉทประหาร บรรลุเปนพระ
อริยบุคคลโดยลําดับของอริยมรรค จัดเปน อริยสัจ ๔ คือ “ในญาณที่ ๑๔, ๑๕,
๑๖ แจงนิโรธ อริยสัจ ๔ เกิดขึ้นตามลําดับจนสมบูรณ”
๕๕
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๖/๔๖๘.
๕๖
ที.ม.(ไทย) ๑๐/๒๙๐/๒๒๔.
๔๒๐
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
๑๒.
อนุโลม
ญาณ
๑๓.โคตรภูญาณ
๑๔.มรรคญาณ สมุจเฉทปหาน
๑๕.ผลญาณ ปฏิปสสัทธิปหาน
๑๖.ปจจเวกขณญาณ นิสสรณปหาน
๘. ประวัติการบรรลุธรรม
ประวัติของพระอริยสาวกในครั้งพุทธกาลที่ไดบรรลุธรรมดวยการ
กําหนดเวทนานุปสสนาสติปฏฐานมาแสดงโดยยอดังนี้
ประวัติการบรรลุธรรมของพระติสสเถระ
ในกรุงสาวัตถี มีบุตรของกุฏมพีชื่อติสสะ สละทรัพย ๔๐ โกฏิใหแก
นองชาย แลวออกบวชโดดเดี่ยวอยูในปาที่ไมมีบาน ภริยาของนองชายทาน
กลัววาทานจะสึกออกมาเอาสมบัติคืน จึงไดสงโจร ๕๐๐ ใหไปฆาทานเสีย
พวกโจรไปลอมทานไว ทานจึงถามวา อุบาสกมาทําไมกันหรือ พวกโจรตอบ
วามาฆาทานนะซิ ทานจึงพูดขอรองวา ทานอุบาสกทั้งหลาย โปรดรับประกัน
อาตมา ใหชีวิตอาตมาสักคืนหนึ่งเถิด พวกโจรกลาววา สมณะ ใครจักประกัน
ทานในฐานะอยางนี้ได พระเถระก็จับหินกอนใหญทุบกระดูกขาทั้งสองขาง
แลวกลาววา ประกันพอไหม เหลาโจรพวกนั้นก็ยังไมหลบไป กลับกอไฟนอน
เสียที่ใกลจงกรม พระเถระขมเวทนาพิจารณาศีล อาศัยศีลที่บริสุทธิ์ก็เกิดปติ
ลําดับตอจากนั้น ก็เจริญวิปสสนา ทําสมณธรรมตลอดคืน ในยามทั้งสาม พอ
อรุณขึ้น ก็บรรลุพระอรหันต๕๗
ประวัติการบรรลุธรรมของพระอรหันตในปากเสือ
ภิกษุ ๓๐ รูปอีกกลุมหนึ่ง เรียนกัมมัฏฐานในสํานักของพระผูมีพระ
ภาคเจ า แลว จําพรรษาในวั ด ปา ทํากติ กากัน วา ผู มีอายุ เราควรทําสมณ
๕๗
ดูรายละเอียดใน ที.ม.อ. (ไทย) ๑๔/๓๐๐/๒๖๗.
๔๒๑
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
ธรรมตลอดคืนในยามทั้งสาม เราไมควรมายังสํานักของกันและกัน แลวตาง
คนตางอยู เมื่อภิกษุเหลานั้นทําสมณธรรม ตอนใกลรุงก็งวงหลับเสือตัวหนึ่งก็
มาจับภิกษุไปกินทีละรูปๆ ภิกษุรูปที่ถูกเสือคาบไปกินนั้น ก็มิไดเปลงแมวาจา
ว าเสื อ คาบผมแล ว ภิ กษุ ถูกเสื อ กิน ไป ๑๕ รู ป ด ว ยอาการอย างนี้ ถึ งวั น
อุโบสถ ภิกษุที่เหลือก็ถามวาทานอยูที่ไหน และรูเรื่องแลวก็กลาววา เมื่อตน
ถูกเสือคาบควรบอกวา บัดนี้เราถูกเสือคาบไปๆ แลวก็อยูกันตอไป ตอมา
เสือก็จับภิกษุหนุมรูปหนึ่งโดยนัยกอน ภิกษุหนุมก็รองวา เสือขอรับ ภิกษุ
ทั้งหลายก็ถือไมเทา และคบเพลิงติดตามหมายวาจะใหมันปลอย เสือก็ขึ้นไป
ยังเขาขาด ทางที่ภิกษุทั้งหลายไปไมได เสือเริ่มกินภิกษุนั้นตั้งแตนิ้วเทา ภิกษุ
ทั้งหลายนอกนั้นก็ไดแตกลาววา สัตบุรุษ บัดนี้ กิจที่พวกเราจะตองทําไมมี
ขึ้นชื่อวาความวิเศษของภิกษุทั้งหลาย ยอมปรากฏในฐานะเชนนี้ภิกษุหนุม
นั้นนอนอยูในปากเสือ ขมเวทนาความเจ็บปวดแลวเจริญวิปสสนา ตอนเสือ
กินถึงขอเทาเปนพระโสดาบัน ตอนเสือกินไปถึงหัวเขาเปนพระสกทาคามี
ตอนเสือกินไปถึงทองเปนพระอนาคามี ตอนเสือกินไปเกือบถึงหัวใจ ก็บรรลุ
พระอรหัตพรอมดวยปฏิสัมภิทา๕๘
ประวัติการบรรลุธรรมของพระปติมัลลเถระ
ภิกษุอีกรูป หนึ่ง ชื่อ ปติ มัลลเถระ ครั้ งเป นคฤหัส ถ ทานถือธงมา
เกาะลังกา ถึง ๓ รัชกาล เขาเฝาพระราชาแลว ไดรับพระราชานุเคราะห วัน
หนึ่ ง เดิ น ทางไปประตู ศาลาที่ มีที่ นั่ งปู ด ว ยเสื่ อลํ า แพน ฟง ธรรมเทศนาว า
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย รูปไมใชของทาน ทานจงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นทานละได
แลว จักมีเพื่อประโยชนเกื้อกูล เพื่อความสุขตลอดกาลนาน ดังนี้แลวก็คิดวา
มิใชรูปเทานั้น เวทนาก็ไมใชของตน เขาทําพระบาลีนั้นใหเปนหัวขอ แลว
ออกไปยั งมหาวิ ห ารขอบรรพชาอุ ป สมบท แล ว กระทํ า มาติ ก าให ทั้ง สอง
คลองแคลวทั้งสองบท พาภิกษุ ๓๐ รูปไปยังลาน ณ ตําบลควปรปาลี กระทํา
สมณธรรมเมื่อเทาเดินไมไหว ก็คุกเขาเดินจงกรม ในคืนนั้นพรานเนื้อผูหนึ่ง
สําคัญวาเนื้อ ก็พุงหอกออกไป หอกก็แลนถูกทานถึงอก ทานก็ใหเขาชักหอก
๕๘
ดูรายละเอียดใน ที.ม.อ. (ไทย) ๑๔/๓๐๐/๒๖๘.
๔๒๒
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
ออก เอาเกลียวหญาอุดปากแผลใหเขาจับตัวนั่งบนหลังแผนหิน ใหเขาเปด
โอกาสเจริญวิปสสนา ก็บรรลุพระอรหัตพรอมดวยปฏิสัมภิทา พระพุทธเจาผู
ประเสริฐสุด ที่สรรเสริญกันวาเลิศทุกแหลงหลา ทรงภาษิตไว วา ดูกอนภิกษุ
ทั้งหลาย รูปนี้มิใชของทาน ทานทั้งหลายพึงละรูปนั้นเสีย สังขารทั้งหลายไม
เที่ยงหนอมีเกิดและเสื่อมไปเปนธรรมดาเกิดแลวก็ดับ ความสงบระงับแหง
สังขารเหลานั้นเปนสุข ดังนี้ มรรคนี้ ยอมเปนไปเพื่อดับทุกขเหมือนอยาง
ทุกขของพระติสสเถระ๕๙
ประวัติการบรรลุธรรมของนางปฏาจาราเถรี
นางปฏาจารานี้ เป นธิ ด าเศรษฐี ในกรุ งสาวั ตถี เมื่ออายุ ๑๖ เกิด
ความรักใคร ในเด็ กหนุมคนรั บใช จึ งใหเ ขาพาหนีบิ ดามารดาไปอยู ชนบท
ตอมานางไดตั้งครรภขึ้น ในเวลาใกลคลอดจึงชวนสามีกลับไปหาบิดามารดา
แตสามีไมกลาพากลับไป เพราะกลัวบิดาของนางจะฆาที่พาลูกสาวเขาหนี
เมื่อเวลาสามีออกไปทํางานในปา จึงหนีสามีกลับไป เวลาสามีกลับจากปารู
เรื่องก็รีบออกติดตามไปในระหวางทาง เปนเวลาเดียวกันกับที่นางไดคลอด
บุตรกลางทางในปา จึงพากันกลับบานเดิม ตอมานางก็ตั้งครรภบุตรคนที่ ๒
อีก จึงหนีสามีไปอีก สามีของนางก็ตามไปเจอกลางทาง ในขณะนั้นเกิดฟา
คะนอง และนางก็เจ็บทองจะคลอดบุตรดวย สามีของนางจึงถือมีดไปที่จอม
ปลวกใหญเพื่อจะตัดกิ่งไมมาทําซุมอาศัยกันฝน สามีนั้นจึงถูกงูเหากัดตาย
ตรงนั้นเอง นางปฏาจาราก็ทนคลอดบุตรอยูคนเดียวทามกลางสายฝน รุง
เชาขึ้นจึงเที่ยวตามหาสามี ไปพบสามีนอนตายอยูบนจอมปลวก เกิดความ
เศราโศกเสียใจที่สามีตายเพราะตนเอง จึงอุมลูกทั้งสองออกเดินทางตอไป
ระหวางที่นางเดินทางกลับบาน บุตรของนางคนหนึ่งถูกน้ําพัดพําไปอีกคน
หนึ่งถูกเหยี่ยวโฉบเอาไป นางก็เสียใจอยางยิ่ง รองไหรําพันไปวาลูกคนหนึ่งก็
ถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป อีกคนหนึ่งก็ถูกน้ําพัดจมหายไป ผัวก็ตายในกลางทาง เมื่อ
รองไหรําพันไป ก็พบชายคนหนึ่งเดินสวนทางมาจากกรุงสาวัตถี ไดทราบ
ขาววา เมื่อคืนนี้ฝนตกตลอดทั้งคืน เรือนไดพังทับบิดามารดาของตนตาย พอ
๕๙
ดูรายละเอียดใน ที.ม.อ. (ไทย) ๑๔/๓๐๐/๒๖๙.
๔๒๓
บทที่ ๗ วิธีกําหนดรูเวทนาพิจารณาอริยสัจ ๔
นางไดฟงดังนี้ ก็เสียสติกลายเปนบาทันที มีผานุงหลุด วิ่งรองไหคร่ําครวญไป
แลวไดวิ่งเขาไปในวัดพระเชตะวัน
พระพุทธเจากําลังแสดงธรรมอยูคนทั้งหลายไดเห็นตางก็พากันหาม
วา อยาใหมาทางนี้ๆ พระพุทธเจาทรงเล็งเห็นวา นางนี้ไดสรางบารมีมาเต็มที่
แลว จึงตรัสสั่งวา อยาหามนางจงปลอยใหเขามา พอนางวิ่งฝาฝูงชนเขาไปถึง
ที่ใกลพระพุทธเจา พระพุทธองคจึงตรัสวา จงมีสติเถิดนองหญิง ขณะนั้นนาง
ก็ไดสติทันที แลวนั่งคุกเขาลง มีชายคนหนึ่งไดโยนผาขาวใหนุงหม เมื่อนาง
นุงหมแลวก็กราบทูลตอพระพุทธองควา ขอใหไดเปนที่พึ่งของขาพระองค
เถิด พระพุทธองคก็ทรงแสดงธรรมใหฟงแลว ไดสําเร็จเปนพระโสดาบัน แลว
ทู ล ขอบรรพชา เมื่ อ ได บ รรพชาแล ว ก็ ไ ด ชื่ อ ว า “ปฏาจารา”แปลว า ผู
ปราศจากผา ตอมาไมชานานก็ไดสําเร็จเปนพระอรหันตพรอมทั้งปฏิสัมภิทา
เปนผูเลิศทางพระวินัย๖๐
เรื่ อ งโทมนั ส เวทนาของนางปฏาจารานี้ แม จ ะไม เ กี่ ย วข อ งกั บ
ทุกขเวทนาโดยตรง แตพระอรรถกถาจารยก็ไดกลาววาเปนอานิสงสของการ
เจริญสติปฏฐาน ดังปรากฏขอความในอรรถกถามหาสติปฏฐานสูตร วา
เพื่อกาวลวงโสกะและปริเทวะ หมายความวา เพื่อกาวลวง คือ ละโสกะและ
ปริเทวะ จริงอยู มรรคนี้ อันบุคคลเจริญแลวยอมเปนไปเพื่อกาวลวงโสกะ
เหมือนอย า งโสกะของสั น ตติ มหาอํามาตย เ ป น ต น เพื่อกาวล ว ง ปริ เ ทวะ
เหมือนอยางปริเทวะของนางปฏาจาราเปนตน เพราะเหตุนั้น พระผูมีพระ
ภาคเจาจึงตรัสวา เพื่อกาวลวงโสกะและปริเทวะ๖๑
ดังนั้น ทุกขเวทนานั้นเมื่อสามารถกําหนดรูไดมีสติและความเพียร
อย างตอเนื่ องแล ว ย อมนํ าไปสู ความดั บทุกขในวั ฏ ฏะสงสารอย างสิ้ น เชิ ง
บรรลุความเปนพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดเขาถึงพระนิพพานอันเปนอานิสงสที่
สําคัญที่สุด
๖๐
ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๔๑/๑๘/๔๘๙.
๖๑
ดูรายละเอียดใน ที.ม.อ. (ไทย) ๑๔/๓๐๐/๒๖๖.
๔๒๔
บทที่ ๘
๑
ที.ม.ฏีกา (บาลี) ๑/๓๗๕/๓๗๙
๒
ในคัมภีรสีลักขันธวัคค อภินวฎีกา ไดอธิบายความหมายของ อิริยาบถ ไววา
อิริยนํ ปวตฺตนํ อิริยากายิกกิริยา, ตสฺสา ปวตฺตนุปายภาวโต ปโถติ อิริยาปโถ, าน
นิสชฺชาทโย. น หิ านนิสชฺชาทิอวตฺถาหิ วินา กฺจิ กายิกํ กิริยํ ปวตฺเตตุ สกฺกา, ตสฺมา
โส ตาย ปวตฺตนุปาโยดิ วุจฺจติ.
๓
สารตฺถ. ๑/๒๐๓, องฺ. ฏีกา ๑/๑๐๗.
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
กายิกกิริยา ที่ชื่อวาอิริยาบถ เพราะเปนเหตุแหงความเปนไปของอากัปกิริยา
ทางกายนั้น คือ ยืน เดิน นั่ง นอน
ผูปฏิบัติธรรมตองมีโยนิโสมนสิการ ในการกําหนดรูอยูกับรูปนาม
ตามธรรมชาติที่มีอยูเป นอยู ตามความเป นจริงอยางตอเนื่ อง ไมขาดสาย
ต องมีส ติ กํ าหนดรู จ นกระทั่งเห็ น แจ งด ว ยป ญญา ใช โ ยนิ โ สมนสิ การใส ใ จ
กําหนดรูจนเห็นความเกิด-ดับของอารมณที่กําหนดรูอยู
เมื่อจิตเขาไปรูอยูที่อารมณใดก็ใหตามกําหนดรูอารมณที่จิตเขาไปรู
โดยกําหนดรูใหเปนธรรมชาติสบายๆ และตรงกับความเปนจริงเทานั้นก็จะ
ทําใหวิปสสนาญาณเกิดขึ้นและกาวหนาไปตามลําดับ และจะสามารถแยก
รูปแยกนาม รูเหตุรูผล เห็นความเกิดดับของรูปนามขึ้นมาในญาณปญญาได
โดยเร็ว และมีความรูในสภาวธรรมตามความเปนจริงวาเปนเพียงรูปกับนาม
เทานั้น หาใชสัตว บุคคล เรา เขา ไม
การที่กําหนดจนรูสภาวธรรมตามความเปนจริงเกิดญาณปญญาก็
ตอเมื่อกําหนดรูรูปนามที่มีอยูจริงในปจจุบันขณะไปอยางตอเนื่องเทานั้น คือ
ขณะที่ทองพอง กําหนดรูวา “พองหนอ” ขณะทองยุบ กําหนดรู วา “ยุ บ
หนอ” จึงจะรูธรรมตามความเปนจริงวา ทองที่พองและทองที่ยุบ อาการ
พองกับอาการยุบเปนรูปธรรม (ธรรมชาติที่ไมรูอารมณ เปน รูปธรรม) และ
จิตที่รูอาการพอง กับ อาการยุบเปนนามธรรม (ธรรมชาติที่รูอารมณ เปน
นามธรรม) ความรูจําแนกในรูปธรรมและนามธรรมนี้สามารถละสักกายทิฏฐิ
คือ ความเห็นผิด ความหมายมั่นผิดออกไปได และสภาพที่รูเห็นดวยญาณ
ปญญาวา ธรรมทั้งหลายไมเที่ยง เปนทุกข บังคับบัญชาไมได คือ ธรรมอัน
เปนเครื่องดับทุกข คือ พระนิพพาน
โยนิโสมนสิการ คือการทําอารมณโดยแยบคาย แยบคายอยางไร
แยบคายคือ ในอารมณเดี ยวกัน จะเป นรู ปารมณหรื อสั ททารมณอยางใด
อยางหนึ่ งก็ต ามเปน ปจจั ยให รักก็ได ให โกรธก็ได ใหเ ปนกุศลก็ได ให เป น
ปญญาก็ได ถาคนๆ นั้นมีโยนิโสมนสิการ คือถาทําอารมณโดยแยบคายแลวก็
จะเขาใจทําความรูสึกในอารมณนั้น กิเลสก็เขาไมไดในอารมณนั้น อารมณ
นั้นก็เปนอาหารของปญญาไปนี่คือ โยนิโสมนสิการ หรือโยนิโสมนสิการ คือ
๔๒๖
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
การทําเขาไว ในใจโดยถูกอุบ าย หรื อถูกวิ ธี การ ถูกทาง ถูกอุบ ายหรื อถู ก
วิธีการอะไร อุบายหรือวิธีการใหเกิดปญญานั้นเอง การรูถูกรูจริงก็คือปญญา
๒. การกําหนดรูดวยโยนิโสมนสิการ
โยนิโสมนสิการ แปลวา ทําไวในใจโดยอุบายอันแยบคาย๔
โยนิโสมนสิการ เปนธรรมอยางเอกที่เปนเหตุใหธรรมตางๆ ที่เปน
กุศลที่ยังไมเกิดขึ้น ไดเกิดขึ้น และทําใหละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแลวได ดังที่
พระพุทธเจาไดตรัสวา “โยนิโสมนสิการเปนธรรมอยางเอก กั้นวิจิกิจฉาไมให
เกิดขึ้น และละวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้น เปนเหตุใหเกิดกุศลธรรมและละอกุศลธรรม
เปนเหตุทําใหโพชฌงคเกิดขึ้นและเจริญบริบูรณ เปนไปเพื่อความดํารงมั่น
แหงพระสัทธรรม”๕
โยนิโสมนสิการเปนธรรมเครื่องละวิปลาส๖ ๔ ประการ คือ
๑. ทําไวในใจโดยแยบคายวา “สังขารรางกายเปนอสุภะ ลวนแตไม
สวย ไมงาม” เมื่อโยนิโสมนสิการในอสุภนิมิต๗เชนนี้ กามฉันทะที่ยัง
ไมเกิดขึ้นก็ไมเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแลวก็ละได๘ ยอมรูชัดตามความเปนจริงใน
สังขารรางกายที่เปนอสุภะวา “ไมงาม” ละสุภวิปลาส (สําคัญวา “เปนของ
สวยงาม”) ได
๒. ทําไว ในใจโดยแยบคายว า “รู ป -นามสั งขารทั้งปวง เป น ทุกข
ลวนแต ไมสุข ไมส บาย ไมคงสภาพ”๙ เมื่อโยนิโสมนสิการเช นนี้ ย อมเกิด
ปราโมทย เมื่อมีปราโมทยยอมเกิดปติ เมื่อใจมีปติ กายยอมสงบ จิตยอมเปน
๔
ดูใน ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๕/๗๑.
๕
องฺ.เอก. (ไทย) ๒๐/๒๑/๕, และ ๒๐/๖๘/๑๕, ๗๖/๑๗.
๖
วิปลาส ความคลาดเคลื่อนของการรับรู ความเขาใจ และความจําได เชน
การรับรูสิ่งที่ไมเที่ยงวา “เที่ยงแท” เปนตน (องฺ.จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๔๙/๓๔๖.)
๗
อสุภนิมิต คือ นิมิตที่ไมงาม เชน ซากศพที่เนาพองขึ้นอืด มีน้ําเหลืองไหลเยิ้ม
ฯลฯ ที่ยังเหลืออยูแตรางกระดูกหรือกระดูกทอน (วิสุทธิ. (บาลี) ๑/๑๐๒/๑๙๔)
๘
ละไดดวยปหาน ๕ อยาง (องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๑๖/๔๐)
๙
ดูรายละเอียดใน สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๑๒๒/๒๑๖.
๔๒๗
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
สมาธิ ผูมีจิตเปนสมาธิยอมรูชัดตามความเปนจริง ในสิ่งที่เปนทุกข
วา “เปนทุกข” ละสุขวิปลาส (สําคัญวา “เปนสุข”) ได
๓. ทําไวในใจโดยแยบคายวา “รูป-นามสังขารทั้งปวงเปนอนิจจัง
ลวนแตไมเที่ยง ไมยั่งยืน”๑๐ เมื่อโยนิโสมนสิการเชนนี้ ยอมเกิดปราโมทย
เมื่อมีปราโมทยยอมเกิดปติ เมื่อใจมีปติ กายยอมสงบ จิตยอมเปนสมาธิ ผูมี
จิตเปนสมาธิยอมรูชัดตามความเปนจริง ในสิ่งที่ไมเที่ยงวา “ไมเที่ยง
ไมยั่งยืน” ละนิจจวิปลาส (สําคัญวา “เที่ยงแท”) ได
๔. ทําไวในใจโดยแยบคายวา “รูปธรรม-นามธรรมเปนอนัตตา ลวน
แตไมใชตัว ไมใชตนที่จะบังคับบัญชาใหเปนไปตามใจปรารถนาได”๑๑ เมื่อ
โยนิโสมนสิการเชนนี้ ยอมเกิดปราโมทย เมื่อมีปราโมทยยอมเกิดปติ เมื่อใจมี
ปติ กายยอมสงบ จิตยอมเปนสมาธิ ผูมีจิตเปนสมาธิยอมรูชัดตามความเปน
จริงในสิ่งที่ไมใชตัวตนวา“ไมใชตัวตน” ละอัตตวิปลาส(วาเปนอัตตา) ได๑๒
โยนิโสมนสิการนี้ เปนปจจัยที่สําคัญที่สุดในกระบวนการพัฒนาสติ
และปญญา ในระดับลึกซึ้งยิ่งขึ้น เปนไปในภายในจิตใจ ชวยสงเสริมทําให
เกิดสติและสัมปชัญญะที่ยิ่งขึ้นไป
โยนิโสมนสิการกับปญญา
โยนิโสมนสิการ เปนเหตุใหเกิดปญญา แตการมีโยนิโสมนสิการก็ไม
จําเปนตองเกิดปญญาเสมอไป เพราะมีเหตุผลหลายอยางที่ทําใหเกิดปญญา
ถาทานไมมีสติ ปญญาจะเกิดไดอยางไร ถาทานไมมีสมาธิ ปญญาจะเกิดได
อยางไร ธรรมเหลานี้ก็เปนเหตุใหเกิดปญญาเหมือนกัน ไมเฉพาะแตโยนิโส
มนสิการเทานั้น แตโยนิโสมนสิการเปนเหตุพิเศษทีเดียวที่ตองสําเหนียกกอน
คือ ไมถือเอาอํานาจแหงอัตตา
ไมถือเอาอํานาจแหงทิฏฐิ
ปองกันความปรารถนา คือ ตัณหาที่จะเกิดในเวลานั้น
๑๐
ดูรายละเอียดใน สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๑๒๒/๒๑๖.
๑๑
ดูรายละเอียดใน สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๑๒๒/๒๑๖.
๑๒
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๗๔/๑๒๕
๔๒๘
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ไมนอมไปสู สภาวธรรมอารมณภ ายนอกคือใส ใจเฉพาะอารมณที่
ปองกันตัณหาและทิฏฐิเทานั้น
ตองปองกันกิเลส ไมใชตัวโยนิโสมนสิการโดยตรง ธรรมที่ปองกัน
กิเลสได คือ ตัวปญญานั่นเอง ปญญาเกิดขึ้นแลวจะปองกันกิเลสได
กิเลสที่ตองปองกันอันดับแรก คือ ตัณหาและทิฏฐิ ดังนั้นจึงตองทํา
ปญญาใหเกิดขึ้น เพื่อปองกันตัณหาและทิฏฐิกอน ปญญานี้ตองอาศัยโยนิโส
มนสิการเหมือนกัน
การป อ งกั น จะป อ งกั น ตั้ ง แต ว าระไหน การป อ งกั น ไม ใ ช ป อ งกั น
ในขณะเขากรรมฐานเทานั้น ตองปองกันกอนไปเลย จะตองโยนิโสมนสิการ
เสียกอน กอนไปใสใจอะไร กระทําอารมณอะไร ในการใสใจกอนไปปฏิบัติ
เชนนั้น เปนการปองกันตัณหาเปนอันดับแรก ตัณหาในที่นี้คือ ตัณหาอยาง
ละเอีย ด ไมใช ตั ณหาอย างหยาบ อยากได เห็ น รูป สวยๆ อยากไดยิ น เสี ย ง
เพราะๆ ฯลฯ แมตองการอยางอื่น ก็นอกเหนือจากการพนทุกขก็เปนตัณหา
แลว ความตองการอยางนั้น เปนเหตุใหเกิดทุกข ตอไปอีกจะพนทุกขไปไมได
โยนิโสมนสิการเพื่อความพนทุกข
อันนี้ใหนํามาสังเกตตอนปฏิ บัติว า ใจของเราน อมไปเพื่อพนทุกข
หรือเปลา ไมเชนนั้นใจก็จะนอมไปเพื่ออยางอื่น เชนตองการปญญา เปนตน
แมแตเพียงมีใจนอมไปวา การปฏิบัติคราวนี้แลว อยางนี้ยังเปนตัณหาเลย
แทจริ งการปฏิ บัติ ก็เ พื่อการถอนออกจากทุกข ไมใชการยึด ถือไว
แมธรรมที่เปนกุศลก็ตองละ ปวยการกลาวไปใยถึงธรรมที่เปนอกุศล เพราะ
เปนอันตองละแนๆ อยูแลว แมกุศลก็ตองละเหมือนกัน
คําวา ละกุศล ไมใชหมายความวาไมเจริญกุศล ละกุศล ก็คือ ไมให
ถือเปนสาระไมใชเมื่อเจริญกุศลแลวเกิดความพอใจทานอุปมาเหมือนเรือ
เรือมีประโยชนเพียงเพื่อชวยเราละจากฝงนี้ขามไปสูฝงโนนเทานั้นเอง คนไป
ถึงฝงโนนแลวไมมีใครเห็นสาระของเรือหรือแพ ยิ่งไปกวานั้นคือ เมื่อไปถึงฝง
โนนแลว คงไมมีใครชื่นชม ลูบๆ คลําๆ เรืออยู แลวแบกเรือไปไหนตอไหน
ศีล สมาธิ ปญญาก็เหมือนกัน จําตองเจริญใหเกิดขึ้นก็เพื่อประโยชน
๔๒๙
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
แกการละจากฝงนี้ คือ ทุกข ขามน้ํา คือตัณหาไปสูฝงโนนคือ พระนิพพานได
เทานั้น ดังนั้น การที่เรายังชื่นชมกับ กุศลอยู โดยเห็นว าเปนสาระ เปนสิ่ ง
ประเสริฐสูงยิ่งอยางนี้แลว จะพนทุกขไมได ความตองการนั้นเปนตัณหา โดย
เหตุนี้ก็ตองมีโยนิโสมนสิการ ซึ่งผูปฏิบัติยังขาดกันอยูมาก
โยนิโสมนสิการในอิริยาบถตางๆ
การที่จะพนทุกขไดหรือไมขึ้นอยูกับจิต ตองมีจิตใจนอมไปเพื่อความ
พน ทุกข ตั้ งแต กอ นที่จ ะไปปฏิ บั ติ นี่ แหละบทบาทของตั ณหา คราวนี้ ทํ า
อยางไรจึงจะทําใหใจนอมไปสูความพนทุกขอยูเรื่อยๆ ก็ตองทําใจใหนอมไป
อยูเสมอ แมจะยังไมไปปฏิบัติก็ตองนอมใจอยูเรื่อยๆ ไมใชไปใสใจตอนกอน
ไปปฏิบัติเทานั้น
การเปลี่ยนอิริยาบถ
การเปลี่ยนอิริยาบถมีได ๒ ประการ คือ เปลี่ยนเพราะมีทุกข หรือ
เปลี่ยนเพราะความไมสะดวก เชนนั่งอยูตอนแรกไมเปนไร แตตอมาแดดรอน
หรือนั่งแลวงวงก็เปลี่ยนได หรือขณะอยูในอิริยาบถเดิน ตอนแรกไมไดสังเกต
วาตนมะมวงมีลูก แตพอไปเห็นลูกมะมวง ตาก็คอยจะไปดู อยางนี้ก็เปลี่ยน
ได ห รื อ ขณะใช อิ ริ ย าบถใหญ อ ยู ยั ง ไม ป วดเมื่ อ ย แต จํ า เป น ต อ งเปลี่ ย น
เนื่องจากมีเสียงมารบกวนบาง ปนโตมาสงบาง กระหายน้ําบาง ปวดหนัก
ปวดเบาบางเชนนี้ ก็ตองมีโยนิโสมนสิการเหมือนกัน
ดังนั้นการเปลี่ยนอิริยาบถเพราะความจําเปนบางอยาง เชน การ
รับประทานอาหารหรือการอาบน้ํา ซึ่งเปนอิริยาบถที่จําเปนโดยมิไดเกิดจาก
การปวดเมื่อย เชนจําเปนตองรับประทานอาหาร หรือจําเปนตองอาบน้ํ า
จะตองมีโยนิโสมนสิการอยางไร
การเปลี่ยนอิริยาบถตามความจําเปนกับตามความตองการตางกัน
ตรงความรูสึก ถาเปลี่ยนตามความตองการคือ อยากเปลี่ยน อยากใหทุกข
หาย ทุกขเกิดขึ้นแลวก็อยากเปลี่ยน
ถาอยากเปลี่ยนตามความจําเปน คือตองดูกอนวาจําเปนหรือไม ถา
จําเปนจึงตองเปลี่ยนตองรูเหตุผลเสียกอน คือใสใจในทุกขตรงนั้นเสียกอน
๔๓๐
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
คือดูทุกขตรงนั้นเสียกอน จึงจะเปนโยนิโสมนสิการ ถาเปนการนึกละก็ทิ้ง
ทุกขเสียแลว เพียงแตคิดวาเปนการแกทุกข แสดงวายังไมมีโยนิโสมนสิการ
โยนิโสมนสิการจะตองใสใจทุกข
ใสใจทุกข คือ-ตองดูวาทุกขอะไร ทุกขเกิดตรงไหน ถาใสใจทุกข
ทุกอยางจะกันไดหมด ตอไปก็สํารวมในอาการนั้นไป เพราะการสํารวมเปน
เรื่องของสติ พอสติเกิดขึ้นก็ไมหลงลืม ก็มีสติตามไป การเปลี่ยนอิริยาบถจะ
เปลี่ยนไปในอิริยาบถใดจึงจะถูก
การเปลี่ยนอิริยาบถนั้น จะเปลี่ยนเปนอิริยาบถใดก็ได ที่แกเมื่อยได
ก็ใชได ไมตองลังเล วาจะยืนดีหรือจะนั่งดี เพราะตองรูตัวของตัวเองวาจะแก
อยางไร แกตรงไหนทุกขจะรายงานเอง ไมใชตองไปจัดแจงเอา
เราตองรูทุกขและติดตามทุกขตลอดเวลา สวนมากไมคอยกําหนดรู
ทุกข ทิ้งทุกขเสียเปนสวนมาก ไมไดติดตามดูทุกข เพราะดูแลวไมสบายใจ
ความจริ งจะพน จากทุกขก็ต องดู ทุกข เพราะดู ทุกขแล ว ละตัณหา ตั ณหา
อาศัยไมไดเลย ตัณหาไมชอบทุกข ตัณหาอยากไดแตความสุข ถาจะพนจาก
วัฏฏะก็ตองละตัณหา ตองกําหนดทุกข ทุกขเปนสิ่งสําคัญในการปฏิบัติ ยิ่ง
เห็นทุกขมากเทาไร ก็ยิ่งเสนอความจริงใหปญญามากเทานั้น
ป ญญาไมได รู ของดี ป ญญารู แต ของไม ดี คือทุ กข ทุ กขมีม ากมาย
เกลื่อนกลนเต็มไปดวยทุกข ขอใหคอยดูทุกขเถิดแลวตัณหาจะไมเกิด ตัณหา
ไมเกิดก็สรางขันธไมได เพราะปญญาคอยรูทุกข
ดังนั้น ถาจะเปลี่ยนไปในอิริยาบถใด ทุกขนั้นจะรายงานเองวา จะ
เดิน หรือจะนั่ง หรือจะนอน หรือยังคงอยูทาเดิมแตขยับเสียหนอย
การเปลี่ยนอิริยาบถ ตองทําความรูสึกวาเปลี่ยนเพื่อแกทุกข ไมใช
เปลี่ยนใหเกิดความสบาย ก็จะทําใหรูถูกมีสติมีปญญา ไมควรตั้งใจไวกอน วา
จะยืนแกทุกขหรือเดิน แกทุกข คือไมควรมีความตั้งใจไวกอนว าจะเปนผู มี
โยนิ โ สมนสิ การในการใช อิริ ยาบถ ผิด กับ กุศลธรรมดาทั่ว ๆ ไป ตองตั้ งใจ
ทั้งนั้น ตองจัดแจงตองปรุงแตงมาก แตในการปฏิบัติวิปสสนาไมใชอยางนั้น
ตองกําหนดอิริยาบถไปตามความเปนจริงที่มีอยูขณะนั้นเทานั้น อยาคะเน
ตั้งใจวามาปฏิบัติคราวนี้อยางนี้ คราวตอไปตองใหดีกวานี้ เชนนี้ไมไดอีก
๔๓๑
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
เพราะมีตัณหาหนุนหลังใหเปนความหวัง
การโยนิโสมนสิการในอิริยาบถใหญและในอิริยาบถยอย
การโยนิโสมนสิการในอิริยาบถใหญ และอิริยาบถยอยตองมีดวยกัน
ทั้งนั้น ทุกขของอิริยาบถใหญ คือปวดเมื่อย ทุกขของอิริยาบถยอยมีมากมา
นานาชนิด การเปลี่ยนระหวางอิริยาบถใหญดวยกัน ก็ตองมีอิริยาบถยอย
อยางนั่งอยูจะลุกขึ้นเดินก็ตองมีอิริยาบถยอยหรือนอนอยูจะพลิกตัวก็ตองมี
อิริย าบถยอย แตก็มีอิริยาบถยอยที่ไมเนื่ องกับอิริย าบถใหญก็มี เชน การ
รับประทานอาหาร การอาบน้ํา
ถา เป น อิ ริ ย าบถย อยระหว า งอิ ริ ย าบถใหญ ก็ ไม ต องทํา อะไร ให
สํารวมไปก็จะรูอิริยาบถยอย เชน นั่งแลวจะไปเดิน อิริยาบถยอยระหวาง
อิริยาบถนัง่ กอนที่จะเปนอิริยาบถเดิน เพียงใหสํารวมการเคลื่อนไหวนั้นก็พอ
โยนิโสมนสิการในขณะปฏิบัติ
ในขณะปฏิบัติ ผูปฏิบัติจะตองพิจารณาทุกขอยูเสมอ พิจารณาทุกข
ที่ไหน ก็พิจ ารณาทุกขในอิริ ยาบถยื น อิริย าบถเดิน อิริยาบถนั่ ง อิริย าบถ
นอน หรือพิจารณารูปหรือนามทางทวารตางๆ มีทางตา ทางหู ทางจมูก ทาง
ลิ้น ทางกาย และทางใจที่จรเขามา โยนิโสมนสิการในขณะปฏิบัติจะตองมี
อยูเสมอๆ ทุกอิริยาบถและทุกอารมณ
การโยนิโสมนสิการในอิริยาบถใหญ ในขณะที่อยูในอิริยาบถใด เชน
กําลังนั่งอยู เมื่อนั่งไปนานๆ และรูสึ กปวดเมื่อยขึ้น ใหใส ใจทุกขในทุกขที่
เกิดขึ้น พอใสใจทุกขแลวจึงเปลี่ยน จะเปนการเปลี่ยนเพื่อแกทุกข หรือถา
หากไมแกทุกขที่เกิดขึ้นก็ชางไมใชเรื่องของเรา อยาไปทําอะไรเพิ่มขึ้นมากไป
กวาความใสใจทุกข ทุกครั้งที่เปลี่ยนใหใสใจทุกขกอนเสมอ ถาทําอยางนั้นก็
ไมเปนการบริกรรมหรือไมเปนบัญญัติผุดขึ้นมาในใจวาเราตองเปลี่ยนเพื่อแก
ทุกข อันนี้เปนปรมัตถลวนๆ ที่เขาไปสัมผัสทุกขที่เกิดขึ้นนั้นจริงๆ ไมใชสัก
แตพูดตามคําของอาจารยวาเปลี่ยนเพื่อแกทุกข แตกตางกันมากนัก
ถาหากใสใจทุกขแลวเวลาเปลี่ยน จะเปลี่ยนไปเพื่อแกทุกขจริงๆ
แลวจิตใจจะไมเหมือนกันเลยกับการเปลี่ยนไปตามปกติธรรมดาอยางที่ไมมี
๔๓๒
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
การใสใจทุกข ไมเหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นตองใสใจทุกข ถาใสใจทุกขแลว
ความรูสึกจะเกิดขึ้นเองเปนความรูสึกจริงๆ ดวย ทานบอกแลววาใหรูสึกอยา
นึก ถาเอาคําของอาจารยมาใชแลวมันนึก นึกถึงคําของอาจารยตอนนี้ทาน
บอกวาตองใหมีความรูวาเปลี่ยนเพื่อแกทุกข เราก็เลยทําขึ้นมาวาเปลี่ยนเพื่อ
แกทุกข จึงเปนการนึกไป
ถาจะใหเ ป น ความรู สึ กจริ งๆ ก็ตองใส ใจทุกข พอใส ใจทุกขจ ริ งๆ
แลวจึงเปลี่ยน จะเปนการรูสึกจริงๆ วาเปลี่ยนแกทุกข ซึ่งจะไมเปนภาษาไม
เปนบัญญัติอะไรทั้งนั้น จะมีความรูสึกเหมือนกันหมด ไมวาผูปฏิบัติจะเปน
คนชาติใดภาษาใด
ถาหากใสใจทุกขในเวลาที่จะใชอิริยาบถทั้งหลายเสียกอน ก็จะเกิด
ปญญารูเองวาเปลี่ยนทําไม ใชอิริยาบถนั่ง ยืน เดิน นอน ในคราวนั้นๆ ทําไม
การใสใจทุกขนั่นแหละเปนโยนิโสมนสิการ ความรูวาจะใชอิริยาบถนั้นเพื่อ
แกทุกข กลาวคือการเดินเพื่อแกทุกข เปนตน เปนปญญาที่เกิดจากโยนิโส
มนสิการนั้น เปนเรื่องสําคัญในวาระเปลี่ยนอิริยาบถเปนอยางนี้
พอเกิดปญญารูวาจะเดินแกทุกข มันจะมีผลไปถึงตัณหาจะปองกัน
ตัณหาไดวาปญญาอยางนี้ทําเพื่อแกทุกข เพราะพอเห็นวาสักแตวาแกทุกข
เทานั้น ตัณหาจะไมอาศัยเลย มันจะไมเห็นสาระที่นาได
พอทุกขเวทนา คือความปวดเมื่อยเกิดขึ้นแลว ก็เปลี่ยนอิริยาบถ แม
การเปลี่ยนที่สักแตวาแกทุกขนั้น ก็เปนทุกขอีกอยางหนึ่งเหมือนกัน คือทุกข
ที่จําตองแก ตองบําบัด ตองรักษา ไมเปลี่ยนไมได มันปวดเมื่อย พอรูวาจะ
เปลี่ยนเพื่อแกทุกขก็จะไมเล็งเห็นสาระในการใชอิริยาบถกอน
ในปกติคนธรรมดา มักเปลี่ยนไปเลยโดยไมไดพิจารณาทุกข เพราะ
เล็งเห็นแตความสบาย และเกิดความพอใจจัดเปนตัณหานุสัย ไมใชตัณหา
หยาบๆ แตตัณหาตัวนี้สําคัญมากซึ่งถาละไมไดก็จะเปนทุกขกันอยูเรื่อยทุก
ภพทุกชาติไมอาจพนทุกขได
การโยนิโสมนสิการในอิริยาบถยอย
อิริยาบถยอยเชน อาบน้ํา ลางหนา ถายหนัก ถายเบา รับประทาน
๔๓๓
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
อาหาร ดื่มน้ํา เปนตน แมจ ะรูวาเปนทุกขแล วและใสใจในทุกขก็ตาม แต
เวลาที่จะทํากิจนั้นๆ ก็อดที่จะมีความสุข ความสบายมีความพอใจไมได เชน
การอาบน้ํ าก็อดชื่ น ใจไมได ทั้งที่มีโ ยนิ โ สมนสิ การแล ว ทําไมถึงยั งมีความ
พอใจอยูอีก แมแตอิริยาบถใหญจากนั่งเปนยืน ความรูสึกวาเปลี่ยนเพื่อแก
ทุกขมันหายไปฉับพลัน แมกอนหนานั้นก็มีการใสใจทุกขรูดวยปญญาดวยวา
เปลี่ยนเพื่อแกทุกข ผูปฏิบัติรูดีวามีความรูสึกอยางนั้น แตพอลุกขึ้นเทานั้น
ความรูสึกนั้นหายไปเลย อันนี้มีได ทั้งนี้เพราะในเวลาที่เปลี่ยนสงใจไปถึง
เรื่องอื่น กลาวคือทิ้งทุกขไปสนใจการเดินเสีย
ความจริงถึงทานไมสนใจการเดิน ทานก็เดินไดโดยไมตองสนใจอะไร
กัน ทีนี้ไปสนใจการเดิน จะเดินเพื่อแกทุกข มีเรื่องแทรกเขามาคือ สนใจวา
จะเดินตรงไหนดีอยางนี้ทุกขก็หายไปเลย ก็จะกลายเปนวาเดินเพื่อจะดูรูป
เดินจนได เพราะฉะนั้นตองมีอุบายรักษา
โยนิโสมนสิการในการกําหนดนามรูป
การโยนิโสมนสิการในการกําหนดนามรูป เปนการโยนิโสมนสิการ
หลั ง จากเปลี่ ย นอิ ริ ย าบถแล ว นั่ ง เปลี่ ย นเป น เดิ น แล ว ระหว างเดิ น มี การ
กําหนดรูปเดิน อยางนี้จะตองมีโยนิโสฯ อีกหรือไม
ในเวลาเดิน รูปเดินนั่นเองเปนอารมณที่ควรใสใจ เพราะถาใสใจแลว
สามารถปองกันทิฏฐิได ปองกันทิฏฐิที่เห็นวาเปนอัตตาคือเราเดินได การใส
ใจจะปองกันทิฏฐิอันนี้ได คือมีแตรูปเดินเทานั้น อยางนี้แลวการใสใจในรูป
เดินนี้ก็เปนโยนิโสมนสิการ
แคนี้ยังไมพอ ยังตองมีรายละเอียดอีก เพราะในขณะที่เดินอยูและ
กําหนดรูปเดินอยูนั้นเกิดมีเสียงดังมากระทบหู หรือจะเปนเสียงกระซิบก็ตาม
ทําใหผูปฏิบัติดูอิริยาบถไมสะดวกโดยเฉพาะเสียงกระซิบ จิตใจเรามักจะคอย
ไปสนใจอยูเรื่อย พอรูตัวกลับมามันก็ไปอีกเปนอยางนี้เอยูเรื่อยๆ ถาจะดูให
ไดก็ตองบังคับกัน พอตั้งใจเปนพิเศษก็ตองกําหนดแรง อาจจะเลยไปอยูที่
ส ว นนั้ น ส ว นนี้ ของร า งกายไป หรื อ ไม ก็ จ งใจจะทํ า กรรมฐาน กล า วคื อ
กําหนดเปนพิเศษไป ก็จะเกิดเปนสาระขึ้นมาก็ใชไมไดอีก
๔๓๔
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
เมื่ออยูในลักษณะเชนนี้ ผูปฏิบัติตองโยกยายอารมณไปตามสมควร
ถาขืนดึงดันกําหนดรูปเดินไปใหได อยางนี้อะไรจะเกิดขึ้น มันจะมองไมออก
เอาทีเดียว จริงๆ แลวจะมีทั้งตัณหา ทิฏฐิ และอัตตา คือจะใหเปนไปตาม
อํานาจ แลวมันก็จะไปอีก วาระนี้แหละสมควรกําหนดนามรูปอยางอื่น
เวลานั้นมีเสียงมารบกวนทางหู กําหนดนามไดยินเสียอาจจะสะดวก
หากกําหนดนามไดยินถึงแมจะยาก ก็กําหนดไปเถิด จะกําหนดไดหรือไมได
ก็ต องหั ด ดู บ างไมเ ช น นั้ น จะทํ าอย า งไร จะดู รู ป เดิ น ก็ เ ป น การบั งคับ การ
กําหนดนามไดยินผูปฏิบัติมักจะคิดวากําหนดไมได เรื่องดูไมไดนะไมมีหรอก
ดูไดนิดหนึ่งแลวทิ้งไป มันจะเลยไปหาเสียง ก็ดูใหมนิดหนึ่งผูปฏิบัติยังจั บ
ไมไดวาจะดูไดเหมือนกัน ก็เลยเขาใจวาดูไมไดเสียเลย ก็ทานกําหนดรูปเดิน
รูปนั่ง รูปนอน รูปยืน ก็ยังกําหนดไดเลย ดังนั้น การไปกําหนดรูปนามอยาง
อื่นก็ตองไดเหมือนกน เพียงแตวาจะดูไดนาน ชัดเจนเหมือนอิริยาบถ ยืน
เดิน นั่ง นอน หรือไมเทานั้นเอง เพราะนามไดยินเปนของละเอียดอาจจะไม
ถนัดถนี่ แตถามีสติสัมปชัญญะแข็งแรงดีแลวมันก็จะถนัดถนี่อยูไดนานเอง
แหละ อยางนี้เปนตน
แตถาขืนดึงดันจะดูรูปนั่งใหได อยางนี้เรียกวา ไมมีโยนิโสมนสิการ
เพราะรูปนั่งไมใชอารมณที่ควรจะใสใจ เกี่ยวกับวาไมมีประโยชนในการถอน
อัตตา เพราะการมนสิการรูปอะไร นามอะไรนั้นเกี่ยวกับการถอนอัตตา แต
ถาดึงดันจะดูใหได ความดึงดันนั้นมันบงถึงอัตตาอยูแลว ใหเปนไปในอํานาจ
อยูแลว เพราะฉะนั้นก็ตองไปดูนามไดยินเสียอยางนี้เปนตน
โยนิโสมนสิการขณะที่ทุกขเวทนาครอบงํา
เกี่ยวกับโรคภัยไขเจ็บ เชน ปวดฟน มันปวดราวไปหมดทั้งศีรษะ
อารมณที่ชัดเจนเวลานั้นก็คือทุกขเวทนา ก็ไปดูทุกขเวทนา แตมีผูปฏิบัติบาง
คนบอกวา ยิ่งดูทุกขเวทนาก็จะยิ่งปวดจนทนไมได ถาไมดูทุกขเวทนายังปวด
นอย แตถาไปดูอิริยาบถก็ดูไมไดอีก อยางนี้ถึงหัดดูก็ดูไมไดแลว เพราะจิตใจ
กระสับกระสายเนื่องจากทุกขเวทนารบกวน
อนึ่ง ที่ดูทุกขเวทนาแลวยิ่งปวดนั้น เรียกวาไมดูทุกขเวทนาอยาง
๔๓๕
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
รูสึกตัว มีแตสติอยางเดียวแลวก็อาจจะหมายไวในใจดวยวาดูไปเรื่อยๆ มัน
อาจจะหายปวดก็ได คือมีความคิดอยางนี้แอบแฝงอยูก็ได อยางไรก็ตามเอา
ความวา ไมมีความรูสึกตัวกลาวคือ มีแตสติสํารวมที่ความปวดเทานั้น อยาง
นี้เรียกวามีแตสติ สติเปนปจจัยแกสมาธิเปนพิเศษ
สติ เ กิ ด ขึ้ น อะไรๆ มั น จะชั ด เจน อารมณ นั้ น แหละจะชั ด เจน
เหมือนการทํากสิณนั่นเองนี่ก็เหมือนกันมีแตสติ เพงเอาๆ ในอาการปวดนั้น
ก็เหมือนกับสมาธิ อารมณที่เพงนั้นแหละที่จะเปนกสิณ กลับเปนทุกขเวทนา
คือเปนไปในอาการเดียวมันจะชัดขึ้น ทุกขเวทนาชัดขึ้นคืออยางไร คือปวด
มากขึ้น ในที่สุดก็ทนไมไหวเพราะไปทําใหมันชัดขึ้นมาเองจนทนไมไหว เปน
การทําอุบายที่ไมถูกตองคือไปจับอารมณนั้นแนน มันก็เลยชัด
ถาเชนนั้นจะทําอยางไร ก็ตองสําเหนียกตัวผูดูวาดูอารมณอะไร
อยู มันก็ไมจับอารมณนั้นแนน เพราะมาทางผูดู แตอารมณนั้นก็คอยรู ถา
พุงไปที่อารมณป วดเลยมัน ก็จะจั บ แน น เวลาดู ทุกขเวทนาก็เ ช น เดี ย วกัน
ไมใช พุงไปที่ทุ กขเวทนาเสี ย หมด ต องมาที่ ผู ดู ว ากําลั งดู อ ะไร ดู น ามปวด
อาจจะดูไดก็ได เวลานี้คือมันจะไมปวดมากขึ้นๆ ถารูถูกตองหรือรูอุบายตรง
นี้ละก็จะชวยใหการปฏิบัติสะดวกขึ้น นี่แหละคือเรื่องโยนิโสมนสิการทั้งนั้น
ขาดไมไ ด ถ าขาดป ญ ญาก็ จ ะไมเ กิ ด จะไม บ ริ สุ ทธิ์ ถาไมบ ริ สุ ทธิ์ จ ะไปละ
ตัณหาไดอย างไร ตัณหาก็ยังมีอยูอย างนั้น ก็ยั งพนทุกขไมได เรื่องโยนิโ ส
มนสิการนี้สําคัญมาก
๘.๓ อิริยาบถเปนอารมณวิปสสนา
อิริยาบถ ๔ คือ การยืน การเดิน การนั่ง การนอน จัดอยูในอิริยา-
ปถปพพะ หมวดกายานุปสสนาสติปฏฐาน ซึ่งเปนรูปขันธโดยตรง ดังนั้นจึง
จัดเปนอารมณของวิปสสนา เปนสิ่งที่มีอยูแลวเหมือนลมหายใจ ไมตองสราง
ขึ้นก็มีเอง หนาที่ของนักปฏิบัติ คือ เพียรตามรูใหตรงตามที่เปนจริงตรงตาม
ปจจุบันก็พอ และเปลี่ยนอิริยาบถสลับกันไปตามธรรมชาติ เมื่อเดินจงกรม
เมื่ อ ยแล ว ก็ นั่ ง เมื่ อ นั่ ง เมื่ อ ยแล ว ก็ เ ดิ น จงกรมต อ ไป ส ว นอิ ริ ย าบถยื น จะ
ปรากฏในขณะกอนจะหันกายกลับ.
๔๓๖
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
พระพุทธดํารัสวา คจฺฉนฺโต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ “เมื่อเดินอยู
ยอมรูวาเดินอยู” แสดงถึงการรับรูสภาวะเดิมที่เปนการยก ยาง และเหยียบ
ซึ่งเกิดในปจจุบันขณะ โดยปราศจากตัวตน เรา ของเรา ความจริงแลวคน
ทั่วไปที่มิไดเจริญสติปฏฐานหรือแมสัตวดิรัจฉาน เชน สุนัขบาน สุนัขปา เปน
ตน ก็รูตัววาเดิน แตรับรูในลักษณะของอัตตาตัวตนเปนเราที่เดินอยูการเดิน
มีความเที่ยงไมแปรปรวนเพราะกิริยาเดินดํารงอยูเหมือนเดิม มิไดปรากฏ
ความเปนสภาวธรรม คือ รูปที่กําลังเคลื่อนไหว จิตที่รับรูสภาวะเคลื่อนไหว
และสภาวะเกิดดับของรูปที่เคลื่อนไหวพรอมทั้งจิตที่กําหนดรู ความรูสึกของ
คนทั่ว ไปและสั ต ว ดิ รั จ ฉานจึ งมีอัต ตสัญญา คือ ความสํ าคัญวาเป น ตั ว ตน
ความรู สึ ก ดั งกล าวไมใช กรรมฐานในความหมายว า “ที่ตั้ งแห ง การเจริ ญ
ภาวนา” เพราะไมจัดเปนวิปสสนาที่หยั่งเห็นสภาวธรรมตามความเปนจริง๑๓
และไมใชกรรมฐานในความหมายวา “การเจริญภาวนาที่เปนเหตุใกลแหง
ภาวนายิ่งๆ ขึ้นไป”เพราะไมกอ ใหเกิดวิปสสนาญาณขั้นสูงขึ้นไปตามลําดับ๑๔
นักปฏิบัติผูตามรูสภาวะเดินในปจจุบันขณะยอมจะมีสติและปญญา
แตกตางจากการรับรูของคนทั่วไป กลาวคือ เขารับรูจิตที่ตองการจะเดินกอน
โดยกําหนดวา “อยากเดินหนอ” แลวสามารถตามรูสภาวะเคลื่อนไหวอยาง
ตอเนื่องตั้งแตเบื้องตนจนถึงที่สุด เขารูวาสภาวะเคลื่อนไหวเกิดขึ้นจากจิตที่
สั่งใหเคลื่อนไหว และสภาวะเคลื่อนไหวนั้นก็มีความขาดชวงในระยะที่ยก
ยาง และเหยียบ ไมปะปนกัน หลังจากนั้นก็จะหยั่งเห็นความเกิดดับอยาง
รวดเร็วของสภาวะเคลื่อนไหวโดยละเอียด นักปฏิบัติผูรับรูสภาวธรรมอยางนี้
ยอมจะเขาใจวาไมมีตัวเรา ของเรา ซึ่งเปนผูเดิน มีเพียงจิตที่สั่งงานและกลุม
รูปที่เคลื่อนไหวจากระยะหนึ่งไปสูอีกระยะหนึ่งมีสภาพไมเที่ยงเพราะเกิดขึ้น
๑๓
ดังรูปวิเคราะห วา กมฺมสฺส านํ กมฺมฏานํ = กรรมฐาน คือ ที่ตั้งแหงการ
เจริญภาวนา
๑๔
ดั ง รู ป วิ เ คราะห ว า กมฺ ม เมว อุ ตฺ ต รุ ตฺ ต รภาวนาย านํ กมฺ ม ฏ านํ =
กรรมฐาน คือ การเจริญภาวนาที่เปนเหตุใกลแหงภาวนายิง่ ๆ ขึ้นไป
๔๓๗
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
แลวดับไป เปนทุกขเพราะถูกบีบคั้นดวยความเกิดดับ และไมใชตัวตนที่ผูใด
จะบังคับบัญชาได เขายอมเพิกถอนความเห็นผิดวามีบุคคล ตัวตน เปนเรา
ของเรา และละความยึดมั่นในตัวตน ดังคัมภีรอรรถกถาอธิบายไววา
ในเรื่องนั้น แมสุนัขบานและสุนัขปาเปนตน เมื่อเดินอยู ยอมรูวา
เดินอยู, แตพระพุทธองคมิไดตรัสหมายถึงความเขาใจอยางนั้น เพราะความ
เขาใจอยางนั้นไมละความเห็นวาเปนบุคคล ไมเพิกพอนความสําคัญวาเปน
ตัวตน ทั้งไมใชกรรมฐานหรือการเจริญสติปฏฐาน สวนความเขาใจของภิกษุ
นี้ ย อมละความเห็ น ว า เป น บุ คคล ย อมเพิกถอนความสํ าคัญว าเป น ตั ว ตน
จัดเปน กรรมฐานและการเจริ ญสติป ฏฐาน พระพุทธดํ ารั สนี้ ตรั สหมายถึง
ความเขาใจอย างนี้ ว า “ใครเดิ น การเดิ น ของใคร บุ คคลย อมเดิน ด วยเหตุ
อะไร” ๑๕
คําอธิบายของพระอรรถกถาจารยในเรื่องนี้ มิไดเพิ่มเติมขอความ
นอกเหนือไปจากพระพุทธพจน เปนเพียงอธิบายความใหกระจางชัดเจนวา
นักปฏิบัติยอมเขาใจวามีเพียงสภาวะเดินและจิตที่ตองการจะเดินเกิดกอน
การเดิน ไมมีสัตวบุคคลผูเดิน และไมใชการเดินของสัตวหรือบุคคล การเดิน
เปนตนเกิดจากจิตที่ตองการจะทําอากัปกิริยานั้นๆ เปนเหตุ
อนึ่ ง แม พระสู ต รนี้ จ ะมิ ได ร ะบุ ว า นั ก ปฏิ บั ติ ค วรกําหนดอย า งไร
ในขณะเดิน ยืน นั่ง และนอน แตในคัมภีรอรรถกถาระบุไวชัดเจนวา การเดิน
คือ การเคลื่อนรางกายทั้งหมดไปขางหนา การยืน คือ การเหยียดทั้งตัวใน
แนวตั้ง ซึ่งเปนการตั้งตรงของรางกายอันจัดเปนสภาวะตึงของธาตุลม การ
นั่ง คือ การคูเขาของกายครึ่งลาง และการเหยียดตั้งของกายครึ่งบน อันเปน
สภาวะหยอนหรือตึงของธาตุลม การนอน คือ การเหยียดทางขวางโดยวาง
ราบทั้งตัว อันจัดเปนสภาวะตึงของธาตุลม ดังอธิบายในคัมภีรอรรถกถาวา
“ในคําถามนั้น คําวา โก คจฺฉติ (ใครเดิน) หมายความวาไมมีสัตว
บุคคลผูใดผูหนึ่งเดินอยู คําวา กสฺส คมนํ (การเดินของใคร) หมายความวา
การเดินของสัตวบุคคลผูใดผูหนึ่ง คําวา กึการณา คจฺฉติ (บุคคลยอมเดินดวย
๑๕
ที.อ. (บาลี) ๒/๓๘๑
๔๓๘
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
เหตุ อะไร) หมายความว า บุ คคลย อมเดิ น ด ว ยการแผ ไปแห งธาตุ ล มที่จิ ต
กระทําขึ้น ดังนั้น เธอยอมรูชัดอยางนี้วา จิตที่คิดนึกวา ‘จะเดิน’ ยอมเกิดขึ้น
จิต นั้ นย อมยังธาตุล มใหเ กิดขึ้น ธาตุ ล มย อมยังวิ ญญัต ติ รูป ให เกิด ขึ้น การ
เคลื่อนไหวขางหนาของรายกายทั้งหมดดวยการขับเคลื่อนของธาตุลมที่จิต
กระทําขึ้นเรียกวา ‘การเดิน’ แมการยืนเปนตนก็มีนัยเดียวกัน”๑๖
“โดยแทจริงแลว แมในการยืนเปนตนนั้น จิตที่คิดนึกวา ‘จะยืน’
ยอมเกิดขึ้น จิตนั้นยอมยังยอมยังธาตุลมใหเกิดขึ้น ธาตุลมยอมยังวิญญัตติรูป
ใหเกิดขึ้น การตั้งตรงของรางกายทั้งหมดตั้งแตสวนปลาย [เทา] ดวยการ
ขับเคลื่อนของธาตุลมที่จิตกระทําขึ้น เรียกวา ‘การยืน’ จิตที่คิดนึกวา ‘จะ
นั่ง’ ยอมเกิดขึ้น จิตนั้นยอมยังธาตุลมใหเกิดขึ้น ธาตุลมยอมยังวิญญัตติรูปให
เกิดขึ้น การคูของรายกายสวนลาง และการตั้งตรงของรางกายสวนบนดวย
การขับเคลื่อนของธาตุลมที่จิตกระทําขึ้น เรียกวา ‘การนั่ง’ จิตที่คิดนึกวา
‘จะนอน’ยอมเกิดขึ้น จิตนั้นยอมยังธาตุลมใหเกิดขึ้น ธาตุลมยอมยังวิญญัตติ
รูปใหเกิดขึ้น การเหยียดขวางของรางกายทั้งหมดดวยการขับเคลื่อนของธาตุ
ลมที่จิตกระทําขึน้ เรียกวา ‘การนอน’๑๗
“เมื่อภิกษุนั้นรูอยูอยางนี้ยอมเกิดความเขาใจวาชาวโลกกลาวกันวา
‘สัตวเดิน สัตวยืน’ แตโดยสภาวะไมมีสัตวผูเดินหรือยืน เหมือนคํากลาววา
‘เกวียนไป เกวียนหยุด’ ก็ไมมีเกวียนใดที่ไปหรือหยุด แตเมื่อสารถีผูฉลาด
เทียมโค ๔ ตัว แลวขับไป จึงมีเพียงคํากลาววา ‘เกวียนไป เกวียนหยุด’ ฉัน
ใด รางกายเหมือนเกวียน เพราะเปนสภาพไมรู ลมที่เกิดจากจิตเหมือนวัว
จิตเหมือนสารถี จิตที่คิดนึกวา ‘จะเดิน จะยืน’ เกิดขึ้นแลว ธาตุลมยอมยัง
วิญญัตติรูปใหเกิดขึ้น การเดินเปนตนยอมดําเนินไปดวยการขับเคลื่อนของ
ธาตุลมที่จิตกระทําขึ้น ดังนั้น จึงมีเพียงคํากลาววา ‘สัตวเดิน สัตวยืน เรา
เดิน เรายืน’ ดังพระโบราณาจารยกลาววา
‘เรือแลนไปไดดวยแรงลม ลูกธนูแลนไปไดดวยกําลังสายธนู ฉันใด
๑๖
ที. อ.(บาลี) ๒/๓๘๑
๑๗
ที.อ. (บาลี) ๒/๓๘๑-๘๒
๔๓๙
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
รางกายนี้ที่ถูกลมนําไป ยอมเดินไปได ฉันนั้น แมเครื่องยนตคือรางกายนี้ถูก
ประกอบไว [ดวยกิริยามีการเดินเปนตน] ยอมเดิน ยืน และนั่งดวยแรงสาย
ชักคือจิต เหมือนเครื่องยนตที่หมุนไปดวยกําลังสายชัก ฉะนั้น สัตวใดยืน
หรื อเดิน ได ดว ยความสามารถของตนโ ดยปราศจากเหตุ ปจ จัย [ธาตุ ล ม
และจิตที่ตองการจะทําอากัปกิริยา] สัตวนั้นพึงมีไดในโลกนี้หรือ”๑๘
ตสฺมา เอวํ เหตุปจฺจยวเสเนว ปวตฺตานิ คมนาทีนิ สลฺลกฺเขนฺโต เอส
“คจฺฉนฺโต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ, โต วา, นิสินฺโน วา, สยาโน วา สยาโนมฺหี
ติ ปชานาตี” ติ เวทิตพฺโพ.๑๙ “ดังนั้น พึงทราบวา ภิกษุนี้กําหนดรูอิริยาบถมี
การเดินเปนตน ซึ่งเปนไปดวยอํานาจของเหตุปจจัยอยางนี้ เมื่อเดินอยู ยอม
รูวาเดินอยู เมื่อยืนก็รูวายืนอยู เมื่อนั่งก็รูวานั่งอยู เมื่อนอนก็รูวานอนอยู”
ปจจุบันมีบางแหงสอนใหรับรูการโยกตัวของรางกายถานักปฏิบัติ
รับรูสภาวะเคลื่อนไหวดังกลาวจัดเปนการรับรูความเคลื่อนไหวของบัญญัติ
เพราะเท า หรื อ ร า งกายเป น บั ญ ญั ติ เหมื อ นนั ก มวยหรื อ นั ก วิ่ ง ที่ รั บ รู ก าร
เคลื่อนไหวของตน การปฏิบัติในลักษณะนี้ไมจัดเปนสติปฏฐาน แตนักปฏิบัติ
ควรรับรูสภาวะตอไปนี้ในขณะเดิน กลาวคือ เวลายกเทา สภาวะเบาปรากฏ
เพราะธาตุไฟที่มีสภาวะเบาเปนหลักในขณะนั้น จะเห็นไดวาไฟพุงขึ้นสูง ขอ
นี้คลอยตามอาการปรากฏของธาตุไฟวา มทฺทวานุปฺปาทนปจฺจุปฏฐานา (มี
การทําใหถึงความออน, การพุงขึ้นสูงเปนเครื่องปรากฏ) ความจริงการทําให
ออนก็คือความเบาเหมือนควันไฟนั่นเอง ดังคัมภีรอรรถกถาและฎีกาวา
ตสฺเสวํ อภิกฺกมโต เอเกกปาทุทฺธรเณ ปถวีธาตุ อาโปธาตูติ เทฺว ธาตุ
โย โอมตฺตา โหนฺติ มนฺทา, อิตรา เทฺว อธิมตฺตา โหนฺติ พลวติโย.๒๐ เมื่อเธอ
กาวไปอยางนี้ ในการยกเทาขางหนึ่งๆ ธาตุสองประการ คือ ธาตุดินและธาตุ
น้ํา มีความสามารถนอยออนกําลัง ธาตุสองประการอื่น [ธาตุไฟและธาตุลม]
มีความสามารถมาก มีกําลังกลา” วาโยธาตุยา อนุคตา เตโชธาตุ อุทฺธรณสฺส
๑๘
ที. อ. (บาลี) ๒/๓๘๒
๑๙
ที. อ. (บาลี) ๒/๓๘๒
๒๐
ที. อ. (บาลี) ๑/๑๗๓
๔๔๐
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ปจฺจโย. อุทธรณคติกา หิ เตโชธาตูติ.๒๑“ธาตุไฟที่มีธาตุลมตามไป ยอมเปน
ปจจัยแกการยก เพราะธาตุไฟมีสภาวะพุงขึ้นสูง”
เวลายางเทา สภาวะผลักดันปรากฏเพราะธาตุลมมีสภาวะผลักดัน
เป น หลั ก ในขณะนั้ น ข อ นี้ ค ล อ ยตามอาการปรากฏของธาตุ ล มว า อภิ นี
หารปจฺจุปฏฐานา (มีการผลักดันเปนเครื่องปรากฏ) ดังมีสาธกวา ตถา อติ
หรณวีติหรเณสุ.๒๒ “ในการยางและกาวไปขางหนา ก็เชนเดียวกันนี้ [ธาตุไฟ
และธาตุลมมีความสามารถมาก มีกําลังกลา]” เตโชธาตุยา อนุคตา วาโยธาตุ
อติหรณวีติหรณานํ ปจฺจโย. ติริยคติกาย หิ วาโยธาตุยา อติหรณวีติหรเณสุ
สาติสโย พฺยาปาโรติ.๒๓ ธาตุลมอันมีธาตุไฟตามไป ยอมเปนปจจัยแกการ
ยางและกาวไปขางหนา เพราะความขวนขวายยิ่งในการยางเทา และดันเทา
ยอมมีแกธาตุลมที่มีภาวะไปทางขวาง”
เวลาเหยียบเทา สภาวะหนักปรากฏ เพราะธาตุน้ําที่มีสภาวะหนัก
เปนหลักในขณะนั้น จะเห็นไดวาน้ําไหลลงต่ํา ขอนี้คลอยตามลักษณะของ
ธาตุน้ําวา ปคฺฆรณลกฺขณา (มีลักษณะไหลหรือเกาะกุม) เนื่องดวยธาตุน้ํามี
ลักษณะไหลไปสูที่ต่ําจึงหนักกวาธาตุดิน ดังมีสาธกวา “โวสฺสชฺชเน เตโชธาตุ
วาโยธาตูติ เทฺว ธาตุโย โอมตฺตา โหนฺติ มนฺทา, อิตรา เทฺว อธิมตฺตา พลวติ
โย. ๒๔“ในการเหยี ย บ ธาตุ ส องประการ คื อ ธาตุ ไ ฟและธาตุ ล ม มี
ความสามารถนอย ออนกําลัง ธาตุสองประการอื่น [ธาตุดินและธาตุน้ํา] มี
ความสามารถมาก มีกําลังกลา” ปถวีธาตุยา อนุคตา อาโปธาตุ โวสฺสชฺชนสฺส
ปจฺจโย. ครุตรสภาวา หิ อาโปธาตูติ.๒๕ “ธาตุน้ําอันมีธาตุดินตามไปยอมเปน
ปจจัยแกการเหยียบ เพราะธาตุน้ํามีสภาวะหนักกวา [ธาตุดิน]”
เวลาวางเทาเสมอพื้น สภาวะสัมผัสที่แข็งหรือออนปรากฏเพราะ
๒๑
ที. ฏี. (บาลี) ๑/๓๐๑, ม. ฏี. (บาลี) ๑/๔๔๖
๒๒
ที. อ. (บาลี) ๑/๑๗๓
๒๓
ที. ฏี.(บาลี) ๑/๓๐๑-๒, ม. ฏี.(บาลี) ๑/๔๔๖
๒๔
ที. อ. (บาลี) ๑/๑๗๓
๒๕
ที. ฏี. (บาลี) ๑/๓๐๒, ม. ฏี. (บาลี) ๑/๔๔๖
๔๔๑
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ธาตุดินที่มีสภาพสัมผัสความแข็งหรือออนเปนหลักในขณะนั้น ตามลักษณะ
ของธาตุดิน วา กกฺขฬตฺตลกฺขณา (มีลักษณะแข็งหรือออน) และตามหนาที่
ของธาตุดินวา ปติฏานรสา (มีหนาที่ตั้งไว) ดังมีสาธกวา ตถา สนฺนิกฺเข
ปนสนฺนิรุชฺฌเนสุ.๒๖ “ในการวางและกด ก็เชนเดียวกันนี้ [ธาตุดินและธาตุน้ํา
มีความสามารถมาก มีกําลังกลา]” อาโปธาตุยา อนุคตา ปถวีธาตุ สนฺนิกเข
ปนสฺ ส ปจฺ จ โย, ปติ ฏ าภาเว วิ ย ปติ ฏ าปเนป ตสฺ ส า สาติ ส ยกิ จฺ จ ตฺ ต า
อาโปธาตุยา ตสฺสา อนุคตภาโว, ตถา ฆฏฏนกิริยาย ปถวีธาตุยาวเสน สนฺนิ
รุชฺฌนสฺส สิชฺฌนโต ตตฺถาป ปถวีธาตุยา อาโปธาตุอนุคตภาโว.๒๗
“ธาตุดินอันมีธาตุน้ําตามไป ยอมเปนปจจัยแกการวางการที่ธาตุน้ํา
คลอยตามธาตุดินนั้น ยอมมีเพราะธาตุดินมีหนาที่ขวนขวายยิ่งแมในการให
ตั้งไวเหมือนในการตั้ง [สิ่งใดสิ่งหนึ่ง] ไว เชนเดียวกันนี้ การที่ธาตุน้ําคลอย
ตามธาตุดินแมในการกดนั้น ยอมมีเพราะการกดสําเร็จไดดวยอํานาจของ
ธาตุดินที่มีอาการกระทบ”
การทําสัมปชัญญะในการกาว ในการถอย
๒๙
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗ /๓๐.
๔๔๓
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
อภิกฺกนฺเต ปฏิกฺกนฺเต สมฺปชานการี โหติ๓๐ (ภิกษุยอมทําความรูสึกตัว
ในการกาว ในการถอย)
อภิกฺกนฺเต เวลารางกายกาวไปขางหนา มีสติกําหนดรู ภาวนาวา
“กาวหนอๆ”
ปฏิกฺกนฺเต เวลารางกายถอยมาขางหลัง มีสติกําหนดรู ภาวนาวา
“ถอยหนอๆ”
หมายความวา ในขณะกาวหรือถอยพึงตามรูสภาวะกาวหรือถอย
บริกรรมวา “กาวหนอ/ไปหนอ/ยางหนอ/ถอยหนอ” เมื่อวิปสสนาญาณมี
กําลังมากขึ้นจะรับรูจิตที่ตองการจะกาวจะถอย พรอมทั้งสภาวะกาวถอยที่
เป น สภาวะเคลื่ อ นไหวอย า งชั ด เจน ปราศจากตั ว ตน เรา ของเรา ย อ ม
กําหนดรูอยูอยางนี้ ดังมีพระพุทธดํารัสในมหาสติปฏฐานสูตรวา คจฺฉนฺโต
วา คจฺฉามีติ ปชานาติ๓๑ “เมื่อเดินอยู ยอมรูวาเดินอยู”
การทําสัมปชัญญะในการแล ในการเหลียว
อาโลกิเต วิโลกิเต สมฺปชานการี โหติ๓๒ (ภิกษุยอมทําความรูสึกตัว
ในการแลดู ในการเหลียวดู)
อาโลกิเต เวลาแลดูตรงๆ ก็มีสติกําหนดรู ภาวนาวา แลดูหนอๆ
วิโลกิเต เวลาแลดูตามทิศตางๆ ก็มีสติกําหนดรู ภาวนาวา “เหลียว
ดูหนอๆ”
หมายความวา ผูปฏิบัติพึงเจริญสติตามรูในขณะแลและเหลียววา
“เหลียวหนอ/อยากดูหนอ/ดูหนอ/เห็นหนอ” เปนตน การเจริญสติรับรู
สภาวะแลและเหลียวนี้ จัดเปนโคจรสัมปชัญญะ เมื่อโคจรสัมปชัญญะมีกําลัง
แกกลา อสัมโมหสัมปชัญญะก็จะปรากฏขึ้นเอง สงผลใหผูปฏิบัติหยั่งเห็นวา
สภาวธรรมทางกายและจิตที่เกี่ยวกับการเห็น คือ การลืมตา การกรอกตา
การขยับศีรษะและใบหนา การเหลียวดู การเห็น เกิดมาจากจิตที่ตองการจะ
๓๐
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๗๖/๓๒๗.
๓๑
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๗๕/๓๒๗.
๓๒
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๗๖ /๓๒๗.
๔๔๔
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ดู เมื่อเกิดขึ้นแลวยอมดับไปทันที ไมมีตัวเรา ของเรา อยูในสภาวธรรมทาง
กายและจิตเหลานี้
การทําสัมปชัญญะในการเหยียด การคู
สมฺมิฺชิ เ ต ปสาริ เ ต สมฺป ชานการี โหติ๓๓ (ย อมทํา ความรู สึ กตั ว
ในขณะคูเขา เหยียดออก)
สมฺมิฺชิเต เวลาคูแขน คูขาเขามา ก็มีสติกําหนดรู ภาวนาวา “คู
หนอๆ”
ปสาริเต เวลาเหยียดแขน เหยียดขาออกไป ก็มีสติกําหนดรู ภาวนา
วา “เหยียดหนอๆ”
หมายความวา ทุกขณะที่คูแขน คูขา เหยียดแขน เหยียดขา เหยียด
รางกายหรือคูรางกาย พึงกําหนดตามอากัปกิริยานั้นๆ วา “เหยียดหนอ/คู
หนอ/ดันหนอ/ดึงหนอ/เคลื่อนหนอ/สั่นหนอ” เปนตน เมื่อวิปสสนาญาณแก
กลาแลว ผูปฏิบัติจะสามารถรับรูถึงจิตที่ตองการจะเหยียดและคูไดอีกดวย
การรับรูถึงสภาวะคูเหยียดพรอมทั้งจิตที่ตองการจะทํากิริยาเหลานี้ ชื่อวา
โคจรสัมปชั ญญะ ตอเมื่อวิป สสนาญาณแกกล าขึ้น ผูปฏิ บัติจะรูชัดว าไมมี
ตัวตน ผูทําการเคลื่อนไหวมีเพียงสภาวะเคลื่อนไหวจากระยะหนึ่งไปสูอีก
ระยะหนึ่ง โดยเกิดจากจิตที่ตองการทํา ซึ่งเกิดขึ้นกอนแลวดับไป และยอม
เกิดปญญาหยั่งเห็นสภาวะเคลื่อนไหวในการคูเขาและเหยียดออกนั้น ปญญา
ดังกลาวยอมรูแจงในพระไตรลักษณ คือ ความไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตน
ชื่อวา อสัมโมหสัมปชัญญะ ในตอนเริ่มตนปฏิบัตินั้น การมีสติรูวา คู เหยียด
ชวยใหโยคีรูตัววากําลังตามรูปจจุบันอยู ในขณะนั้นจิตของโยคีจะรูบัญญัติ
เชน นามบัญญัติและสัณฐานบัญญัติสลับกันไปกับสภาวะการเคลื่อนไหว ซึ่ง
เรียกวา วาโยรูป แตเมื่อวิปสสนาญาณแกกลาคือสติ สมาธิ และปญญา แก
กลาแลว ก็จะมีเพียงวิปสสนาญาณเทานั้นเกิดขึ้น โดยจะทําใหโยคีรูซึ้งถึงจิต
ที่ตองการจะเคลื่อนไหวและรูสภาวะการเคลื่อนไหวที่เกิดดับอยางรวดเร็ว
๓๓
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๗๖ /๓๒๗.
๔๔๕
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ในขณะนั้นโยคีจะรูสภาวธรรมไดโดยไมจําเปนตองเอาใจใสบัญญัติแตอยาง
ใด๓๔
การทําสัมปชัญญะในการนุง การหม
สฺงฆาฏิ ป ตฺ ตจี ว รธารเณ สมฺปชานการี โหติ๓๕ (ภิ กษุทําการเจริ ญ
สติสัมปชัญญะในการพาดผาสังฆาฏิ อุมบาตร และหมจีวร)
สงฺฆาฏิธารเณ เวลาพาดสังฆาฏิ ก็มีสติกําหนดรู ภาวนาวา “พาด
หนอๆ”
ปตฺตธารเณ เวลาอุมบาตร ก็มีสติกําหนดรู ภาวนาวา “อุมหนอๆ”
จีวรธารเณ เวลาหมจีวรก็มีสติกําหนดรู ภาวนาวา“หมหนอๆ”
หมายความวา ในเวลาที่นุงหมจีวร หรือครองผาสังฆาฏิ ถือบาตร
พึงมีสติรูตามกิริยานั้นๆ กําหนดตามสภาวะนั้นๆ วา “นุงหนอ/หมหนอ/คลุม
หนอ” เปนตน ในเวลาถือภาชนะ เชน บาตร ถวย จาน ชอน พึงกําหนดวา
“จั บ หนอ/ถื อ หนอ/วางหนอ/ถู ก หนอ” เป น ต น เมื่ อ วิ ป ส สนาญาณ
แกกลาขึ้น ผูปฏิบัติจะรูจิตที่ตองการจะทําอากัปกิริยานั้นๆ พรอมทั้ง วาโย
รูป คืออากัปกิริยาเคลื่อนไหวและจะรูกายวิญญาณ เปนตน และโผฏฐัพพรูป
อันเปนสภาวะสัมผัสทางรางกายดวย
การทําสัมปชัญญะในการฉัน การดื่ม
อสิเต ปเต ขายิเต สายิเต สมฺปชานการี โหติ๓๖ ภิกษุเปนผูมีปกติทํา
กิจ เชน การฉัน การดื่ม การเคีย้ ว และการลิ้ม ดวยสติสัมปชัญญะ
อสิ เ ต เวลาบริ โ ภคอาหาร ก็ มี ส ติ กํ า หนดรู ภาวนาว า “บริ โ ภค
หนอๆ”
ปเต เวลาดื่ ม เชน ดื่ มขาวยาคู ดื่ มน้ํ า ก็มีสติ กําหนดรู ภาวนาว า
“ดื่มหนอๆ”
๓๔
ดูรายละเอียดในพระไตรปฎกนิสสยะ มหาสติปฏฐานสูตร, หนา ๓.
๓๕
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๗๖ /๓๒๗-๘.
๓๖
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๗๖ /๓๒๘.
๔๔๖
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ขายิเต เวลาเคี้ยว ก็มีสติกําหนดรู ภาวนาวา “เคี้ยวหนอๆ”
สายิเต เวลาลิ้มเลีย ก็มีสติกําหนดรู ภาวนาวา “ลิ้มเลียหนอๆ”
หมายความวา ในเวลาที่ภิกษุฉันอาหารและดื่มน้ํา เปนตน พึงมีสติ
กําหนดรูวา “ฉันหนอ/ดื่มหนอ/เคี้ยวหนอ/ลิ้มหนอ/กลืนหนอ” เมื่อวิปสสนา
ญาณแกกลาขึ้น ผูปฏิบัติจะรูจิตที่ตองการจะทําอากัปกิริยานั้นๆ พรอมทั้ง
สภาวะเคลื่อนไหวและการรับรูรสดวยชิวหาวิญญาณ เมื่อโคจรสัมปชัญญะ
แกกลาขึ้นดวยการกําหนดวา “ฉันหนอ/ดื่มหนอ/ เคี้ยวหนอ/ลิ้มหนอ” เปน
ตน ผูปฏิบัติอาจรูสึกรังเกียจอาหารวาเปนสิ่งปฏิกูล และเห็นวาเปนภาระใน
การเคี้ย วกิ น บางทา นรั บ ประทานอาหารไมอิ่ มเพราะรู สึ ก ว า น า รั ง เกี ย จ
ความสํ าคัญอาหารว าเป น สิ่ งปฏิ กูล นี้ เ กิด ขึ้น เมื่อโคจรสั มปชั ญญะมีกําลั ง
แก ก ล า แล ว ดั งนั้ น พระอรรถกถาจารย จึ ง กล า วถึ งเรื่ อ งนี้ ไ ว ใ นอสั ม โมห
สัมปชัญญะ๓๗
การทําสัมปชัญญะในการถายอุจจาระและปสสาวะ
อุจฺจารปสฺสาวกมฺเม สมฺปชานการี โหติ๓๘ (ยอมทําความรูสึกตัว
ในขณะถายอุจจาระ ปสสาวะ)
อุจฺจารกมฺเม เวลาถายอุจจาระ ก็มีสติกําหนดรู ภาวนาวา “ถาย
หนอๆ”
ปสฺ สาวกมฺเ ม เวลาถายปสสาวะ ก็มีสติ กําหนดรู ภาวนาวา “ถาย
หนอๆ”
หมายความวา ในการขับถายอุจจาระและป สสาวะพึงกําหนดว า
ถายหนอ เปน ตน ความจริงแล วการเจริญวิป สสนาเป นการรูรู ปนามตาม
ความเปนจริง ไมมีการเลือกอารมณที่ดีเลิศหรือต่ําทราม เพราะอารมณทุก
อยางเหมือนผาขาวที่มาปรากฏในจิต ถาเรารับรูอารมณดวยสติและปญญา
ก็เหมือนการจับผาขาวดวยมือที่สะอาด ถารับรูอารมณดวยความโลภ เปน
ตน ก็เหมือนการจับผาขาวดวยมือที่สกปรก เมื่อวิปสสนาญาณแกกลาขึ้น ผู
๓๗
รายละเอียดในพระไตรปฎกนิสสยะ มหาสติปฏฐานสูตร, หนา ๓๗-๓๘.
๓๘
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๗๖ /๓๒๘.
๔๔๗
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ปฏิบั ติจ ะรั บรู จิต ที่ต องการจะขับถายและสภาวะเคลื่อนไหวของรู ปธรรม
พรอมดวยทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เปนตน๓๙
การทําสัมปชัญญะในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น
การพูด และการนิ่ง
คเต ฐิเต นิสินฺเน สุตฺเต ชาคริเต ภาสิเต ตุณหีภาเว สมฺปชานการี
๔๐
โหติ (ภิ กษุย อมทํา ความรู สึ กตั ว ในขณะเดิ น ยื น นั่ ง หลั บ ตื่ น พูด นิ่ ง )
คเต เวลาเดินไป ก็มีสติกําหนดรู ภาวนาวา “เดินหนอๆ” หรือ “ขวายาง
หนอ ซายยางหนอ”
ฐิเต เวลายืน ก็มีสติกําหนดรู ภาวนาวา “ยืนหนอๆ”
นิสินฺเน เวลานั่ง ก็มีสติกําหนดรู ภาวนาวา “นั่งหนอๆ”
สุตฺเต เวลานอน ก็ใหส ติกําหนดรู ภาวนาวา “นอนหนอๆ” หรื อ
“พองหนอ ยุบหนอ”
ชาคริ เ ต เวลาตื่ น ก็ ใ ห มี ส ติ กํ า หนดรู ภาวนาว า “ตื่ น หนอๆ”
ภาสิ เต เวลาพูด ก็ให มี สติ กําหนดรู อยู ที่ความเคลื่ อนไหวของขากรรไกร
ขางลาง ภาวนาวา “พูดหนอๆ”
ตุณฺหีภาเว เวลานิ่งอยูเฉยๆ ก็มีสติกําหนดรู ภาวนาวา “นิ่งหนอๆ”
หมายความว า ผู ป ฏิ บั ติ ค วรกํ าหนดรู ใ นขณะเดิ น ยื น และนั่ ง
เหมือนกับหมวดอิริยาบถบรรพ ในขณะงวงนอนพึงกําหนดวา “งวงหนอ/งีบ
หนอ/สัปหงกหนอ/หนักหนอ” เปนตน เมื่องวงนอนมาก พึงเหยียดกายนอน
แลวกําหนดวา “นอนหนอๆๆ” เปนตน โดยรับรูรูปนามที่ปรากฏชัดในแตละ
ขณะนั้น ในขณะเริ่มตื่นพึงกําหนดจิตตื่น นั้นวา “ตื่นหนอ” จิตดังกลาวไม
ปรากฏชั ด ในเวลาเริ่ ม ปฏิ บั ติ ภายหลั ง เมื่ อสมาธิ มี กํา ลั งแล ว ผู ป ฏิ บั ติ จึ ง
สามารถกําหนดได ยอมเกิดปญญาหยั่งเห็นวา รูปนามที่เกิดขึ้นกอนจะหลับ
ได ดั บ ไปก อ นไม ต อ เนื่ อ งถึ ง ขณะหลั บ การหลั บ คื อ การเกิ ด ขึ้ น ของจิ ต ที่
ไม ส ามารถทํ า การคิ ด กํา หนด เห็ น ได ยิ น หรื อสั ม ผั ส เป น ต น รู ป นาม
๓๙
อางแลว, มหาสติปฏฐานสูตร ทางสูพระนิพพาน, หนา ๑๓๔.
๔๐
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๗๖ /๓๒๘.
๔๔๘
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ในขณะหลับก็ดับไปกอนที่จะถึงขณะตื่น การตื่น คือการเกิดขึ้นของจิตที่ทํา
การคิดเปนตนได ไมมีตัวตน ผูนอนหรือผูตื่นอยางแทจริงและไมมีสภาวะที่
เที่ยง เปนสุข บังคับบัญชาได การหยั่งเห็นอยางนี้ชื่อวา อสัมโมหสัมปชัญญะ
ในขณะพูดพึงกําหนดวา “อยากพูดหนอ/พูดหนอ” แตการพูดทําใหขาดสติ
และสงผลใหคิดฟุงซานในเรื่องราวที่ไดพูดภายหลัง ผูปฏิบัติจึงไมควรพูดกัน
ในระหวางปฏิบัติธรรม ยกเวนมีเหตุสําคัญจริงๆ เมื่อวิปสสนาญาณแกกลา
แลวยอมรับรูจิตที่อยากจะพูด และรูปเคลื่อนไหวกระทบกัน เมื่อพูดแลวหยุด
พูด ก็พึงกําหนดรูป นามที่ป ระจักษในขณะนั้น วา “อยากหยุด หนอ/หยุ ด
หนอ/นิ่งหนอ” เมื่อวิป สสนาญาณมีกําลังมาก ขึ้นก็จ ะรูชัด วารูป นามที่
เกิดขึ้นในขณะพูดไดดับไปกอนไมตอเนื่องถึงขณะนิ่ง แมจิตที่ตองการจะนิ่ง
และรู ป นิ่ งก็ เ กิ ด ขึ้ น แล ว ดั บ ทัน ทีใ นขณะนั้ น การหยั่ ง เห็ น อย า งนี้ จั ด เป น
อสัมโมหสัมปชัญญะ๔๑
๘.๕ การเจริญสติสัมปชัญญะตออารมณภายนอก
เมื่อโยคีตามรูกองรูปในรางกายของตนจนกระทั่งโคจรสัมปชัญญะ
แกกลาและเกิดอสัมโมหสัมปชัญญะที่เปนปญญาหยั่งเห็นไตรลักษณวา รูป
นามที่ตามรูในปจจุบันขณะนั้น ไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตน อยางนี้แลว ก็
อาจจะนอมจิตไปเปรียบเทียบอนุมานรูกองรูปภายนอกรางกาย กลาวคือรูป
นามของผูอื่นวา ไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตน ในบางขณะเมื่อตามรูกองรูป
ภายในวา “อยากเดินหนอ/เดินหนอ” อาจเกิดความเขาใจวาแมสภาวะเดิน
ของคนอื่นก็เหมือนกับสภาวะเดินของตน ในขณะนั้นจัดวาไดตามรูทั้งกอง
รูปภายในและกองรูปภายนอกสลับกัน
การกําหนดอิริยาบถนับตั้งแตเริ่มตื่นนอนในตอนเชา๔๒
ใหพยายามมีส ติกําหนดรูใหทัน ตั้งแตเริ่มตื่นวา “ตื่นหนอๆ” หรือ
กําหนดรูจิตแรกที่รูจากการตื่นวา “รูหนอๆ” เมื่ออยากจะลุกขึ้นจากที่นอน
๔๑
อางแลว, มหาสติปฏฐานสูตร ทางสูพระนิพพาน, หนา ๑๓๔-๑๓๕.
๔๒
อางแลว, วิธีเจริญมหาสติปฏฐาน เลม ๑, หนา ๑๕๖-๑๖๕.
๔๔๙
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ใหกําหนดรูจิตที่ตองการลุกหรือตนจิตวา “อยากลุกหนอๆ” เมื่ออยากจะยก
มือยันพื้นที่นอนเพื่อลุกขึ้น กําหนดรูตนจิตวา “อยากยกหนอๆ” เมื่อยกมือ
เพื่อจะยันพื้น กําหนดรูวา “ยกหนอๆ” เมื่อเอามือยันพื้น กําหนดรูวา “ยัน
หนอๆ” เมื่ออยากจะลุกขึ้นนั่ง กําหนดรูตนจิตวา “อยากลุกหนอๆ” แลว
คอยๆ ขยับลุกขึ้นเรื่อยๆ กําหนดรูวา “ลุกหนอๆ” เมื่อนั่งอยู กําหนดรูวา
“นั่งหนอๆ” เมื่ออยากจะยันกายลุกขึ้น กําหนดรูตนจิตวา “อยากยันหนอๆ”
เมื่อมือยันตัวขึ้น กําหนดรูวา “ยันหนอๆ” เมื่ออยากยืน กําหนดรูตนจิตวา
“อยากยืนหนอๆ” เมื่อยืนขึ้น กําหนดรูวา “ยืนหนอๆ” (กําหนดรูอาการของ
กายไปตามลําดับที่ขยับเคลื่อนไหวทุกอาการ)
เมื่อจะหยิบหรือจับสิ่งของเครื่องใชตางๆ เชน ผาเช็ดหนา ขันน้ํา ยา
สีฟน แปรงสีฟน เปนตน กําหนดรูวา “อยากหยิบหนอๆ/หยิบหนอๆ” แลว
หยุดยืน กําหนดรูวา “ยืนหนอๆ” เมื่อกลับตัว กําหนดรูวา “กลับหนอๆ”
เมื่อเทาขวากาวเดิ น กําหนดรูว า “ขวาย างหนอ” เมื่อเทาซายกาวเดิ น
กําหนดรูวา “ซายยางหนอ” เมื่อเดินไปถึงหนาประตู กําหนดหยุดยืนวา
“หยุดหนอๆ” เมื่อจะเปดประตู กําหนดรูวา “อยากเปดหนอๆ/เปดหนอๆ”
หรื อเมื่ อจะผลักประตู กําหนดรู ว า “อยากผลั กหนอๆ/ผลั กหนอๆ” หรื อ
“อยากดึงหนอๆ/ดึงหนอๆ”
เมื่อกําหนดเดินไปถึงประตูหองน้ํา ตองการจะเปด-ปดประตูหอง ให
กําหนดดังนี้ คือ เมื่อจะยื่นมือออกไปที่ประตู กําหนดรูวา “อยากยื่นหนอๆ/
ยื่นหนอๆ” มือจะจับประตู กําหนดรูวา “อยากจับหนอๆ/จับหนอๆ” เมื่อจะ
ผลักประตู กําหนดรูวา “อยากผลักหนอๆ/ ผลักหนอๆ” หรือเมื่อจะดึงประตู
กําหนดรูวา “อยากดึงหนอๆ/ดึงหนอๆ” แลวกาวเทาเดินออกไป กําหนดรู
วา “ขวายางหนอ/ซายยางหนอ” เมื่อวางขันน้ําลง กําหนดรูวา “อยากวาง
หนอๆ/วางหนอๆ” เมื่ อ ตั ก น้ํ า กํ า หนดรู ว า อยากตั ก หนอๆ/ตั ก หนอๆ”
ในขณะลางหนา แปรงฟน อาบน้ํา และทํากิจธุระสวนตัวตางๆ ใหกําหนดรู
สภาวะอยางละเอียดในทุกๆ อาการเคลื่อนไหวของกายและจิตอยางตอเนื่อง
๔๕๐
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
การดื่ม การกิน ทุกอิริยาบถ กําหนดรูใหหมด พรอมเติมตนจิต๔๓
หลังจากกําหนดรูสภาวธรรมตางๆ มีอาการพอง-อาการยุบ เปนตน
เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารหรือดื่มน้ํา ใหกําหนดเดินจงกรมอยางชาๆ ไป
ยังสถานที่สําหรับรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ําพรอมกับกําหนดรูอาการ
เดินวา “ขวายางหนอ/ซายยางหนอ”
เมื่อกําหนดเดินจงกรมไปจนถึงจุดที่นั่งของตนแลว กอนที่จะหยุด
เดินใหกําหนดรูตนจิตวา “อยากหยุดหนอๆ” แลวหยุดยืนกําหนดรูอาการยืน
วา “ยืน หนอๆ” (ให จิ ตระลึ กรู ป กายที่ยืน อยู ซึ่งมีลักษณะตึ งและตั้ งตรง)
กอนจะนั่งลง ใหกําหนดรูตนจิตวา “อยากนั่งหนอๆ” แลวคอยๆ หยอนกาย
คูตัวนั่งลง พรอมกับกําหนดรูอาการนั่งนั้นวา “นั่งหนอ” (ใหจิตรูอาการของ
รูปกายที่คอยๆ เคลื่อนหยอน หรือคูนั่งลง) ในขณะที่กําหนดรูอาการนั่งวา
“นั่งหนอๆ” อยูนั้น อาจจะยื่นมือขางหนึ่งขางใดยันไวที่พื้น ใหกําหนดรูวา
“อยากยันหนอๆ” เมื่อยื่นมือออกไปยันพื้น กําหนดรูวา “ยื่นหนอๆ”
เมื่อมือขางที่ยื่นถูกกับพื้นใหกําหนดรูวา “ถูกหนอๆ” เมื่อมือถูกกับ
พื้น รูสัมผัสที่มีลักษณะแข็ง ใหกําหนดรูวา “แข็งหนอๆ” รูสัมผัสที่หยาบ ให
กําหนดรูวา “หยาบหนอๆ” หรือรูสัมผัสที่นุม ใหกําหนดรูวา “นุมหนอๆ”
กําหนดรูตามลักษณะอาการที่รูสึกในขณะนั้นๆ
เมื่อนั่งลงสะโพกสัมผัสถูกกับพื้นกําหนดรูวา “ถูกหนอๆ” กําหนด
จัดทานั่งใหเรียบรอย ตองกําหนดรูอาการความเคลื่อนไหวของกายทุกอยาง
โดยละเอียด ตั้งแตตนจนจบ เมื่อนั่งนิ่งสงบเรียบรอยแลว อยากจะดูไปที่โตะ
อาหาร กําหนดรูวา “อยากดูหนอๆ” เมื่อดู กําหนดรูวา “ดูหนอๆ” เมื่อเห็น
กําหนดรูวา “เห็นหนอๆ” เมื่อเห็นแลวเกิดความชอบ กําหนดรูวา “ชอบ
หนอๆ” หากไมชอบกําหนดรูวา “ไมชอบหนอๆ” กําหนดตามอาการของจิต
ที่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้นๆ
เมื่ออยากจะเริ่มรับประทาน ใหกําหนดรูตนจิตกอนวา “อยากกิน
หนอๆ” เมื่อมองดูจาน ชอน สอม กําหนดรูวา “ดูหนอๆ” เมื่อเห็นกําหนดรู
๔๓
อางแลว, วิธีเจริญมหาสติปฏฐาน เลม ๑, หนา ๑๕๖-๑๖๕.
๔๕๑
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
วา “เห็นหนอๆ” เมื่ออยากจะหยิบจับจาน ชอน-สอม กําหนดรูวา “อยาก
จับหนอๆ” ขณะที่หยิบจับกําหนดรูวา “จับหนอๆ” (กําหนดรูอยางตอเนื่อง
ไปตามลําดับอาการของมือที่ยก ยื่น และเอื้อมไปหยิบจับ) เมื่อมองดูโถขาว
กําหนดรูวา “ดูหนอๆ” เมื่อเห็นกําหนดรูวา “เห็นหนอๆ” เมื่อยื่นมือออกไป(ยัง
โถขาว) กําหนดรูวา “ยื่นหนอๆ” เมื่อมือจับฝาเปดโถขาว กําหนดรูวา “จับ
หนอๆ/เปดหนอๆ” เมื่อยกฝาของโถขาววางลง กําหนดรูวา “ยกหนอๆ/วาง
หนอๆ” เมื่อยกมือเคลื่อนกลับมา กําหนดรูวา “มาหนอๆ” เมื่ออยากจะจับ
ชอนหรื อทัพพี กําหนดรู ว า “อยากจั บ หนอๆ” ขณะจั บ กําหนดรู ว า “จั บ
หนอๆ/ ถูกหนอๆ” กําหนดรูตามอาการของมือที่เคลื่อนไหวไปตามลําดับ
เมื่อตักขาว กําหนดรูวา “ตักหนอๆ” เมื่อยกกลับมาเพื่อใสจาน กําหนดรูวา
“มาหนอๆ” เมื่อเทขาวใสจาน กําหนดรูวา “ใสหนอๆ” (เมื่อตักเพิ่มอีกหรือ
เมื่อจะตักแกง ตักอาหารอื่นๆ ก็ใหกําหนดรูเชนเดียวกันอยางตอเนื่อง)
หลั ง จากนั้ น เมื่อ อยากจะจั บ ช อน-ส อ มเพื่ อ ตั ก ขา ว กํ า หนดรู ว า
“อยากจับหนอๆ” เมื่อจับ กําหนดรูวา “จับหนอๆ” เมื่ออยากจะตักอาหาร
กําหนดรูวา “อยากตักหนอๆ” เมื่อตัก กําหนดรูวา “ตักหนอๆ” หากใชสอม
เกลี่ย กําหนดรูวา “เกลี่ยหนอๆ” เมื่อตักอาหารแลวยกขึ้นมา กําหนดรูวา
“ยกหนอๆ/มาหนอๆ” เมื่ อ มาถึ ง ปาก กํ า หนดรู ว า “หยุ ด หนอๆ” เมื่ อ
อยากจะอาปาก กําหนดรูวา “อยากอาหนอๆ” แลวจึงอาปากขึ้น กําหนดรู
วา “อาหนอๆ” เมื่อใสชอนเขาปาก กําหนดรูวา “ใส หนอๆ” เมื่อดึงชอน
ออก กําหนดรูวา “ดึงหนอๆ” เมื่อปดปากลง กําหนดรูวา “ปดหนอๆ” เมื่อ
อยากวางชอนลง กําหนดรูวา “อยากวางหนอๆ” ขณะคอยๆ วางชอนลง
กํ า หนดรู ว า “วางหนอๆ” (กํ า หนดรู อ าการเคลื่ อ นไหวไปตามลํ า ดั บ )
หลังจากนั้น จึงจะเคี้ยวอาหาร กําหนดรูวา “เคี้ย วหนอๆ” เมื่อมีรสดีหรื อ
อรอย กําหนดรูวา “ดีหนอๆ” หากไมดี ก็กําหนดรูวา “ไมดีหนอๆ” เมื่อรูรส
ไมวาจะเปนรสเปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็ม ก็ตาม ใหกําหนดรูวา “รูรสหนอๆ”
เมื่อเคี้ยวละเอียดพอแลว กอนจะกลืน กําหนดรูวา “อยากกลืนหนอๆ” แลว
จึงคอยๆ กลืนลงไป กําหนดรูวา “กลืนหนอๆ” กําหนดรูตามความรูสึก ตาม
๔๕๒
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
อาการความเคลื่อนไหว และอาการตางๆ ที่จิตรับรูตามลําดับอยางละเอียด
และตอเนื่อง
วิธกี ารกําหนดฉัน (รับประทาน) ในสติปฏฐาน ๔
๑. กายานุปสสนาสติปฏฐาน ไดแก การพิจารณากาย เชน ในขณะ
ที่กําลังฉัน (รับประทาน) อยูนั้น กายที่กําลังเคลื่อนไหวในการเคี้ยวหรือกลืน
อาหาร ใหกําหนดวา “เคี้ยวหนอๆ” หรือ “กลืนหนอๆ” เปนตน
๒. เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน ไดแก การพิจารณาเวทนา เชน ขณะที่
กําลั งฉัน (รับประทาน) อยูนั้ น เกิด ความรูสึ กชอบหรือไมช อบในอาหาร
เหลานั้น ใหกําหนดวา “ชอบหนอๆ” หรือ “ไมชอบหนอๆ” เปนตน
๓. จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน ไดแก การพิจารณาจิต เชน ขณะที่
กําลังจะฉัน (รับประทาน) เห็นอาหารอยูตรงหนานั้น จิตเกิดความอยากกิน
อยากเคี้ยว อยากกลืน ใหกําหนดวา “อยากกินหนอๆ” “อยากเคี้ยวหนอๆ”
หรือ “อยากกลืนหนอๆ” เปนตน
๔. ธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน ไดแก การพิจารณาธรรม เชน ขณะที่
ฉัน (รับประทาน) แลวรูสึกวา เย็น รอน ออน แข็ง ใหกําหนดวา “เย็นหนอๆ”
“รอนหนอๆ” หรือ “รูหนอๆ” เปนตน
ฝกกําหนดนอน คอยๆ ยอตัวลงในสถานที่ ที่จัดเตรียมไว นั่งคุกเขา
แลวพับเพียบลง (จะนอนตะแคงเอาสีขางดานขวาลงแบบสีหไสยาสน หรือ
จะนอนหงายก็ได) จากนั้นใหเหยียดเทาขวาออกกอน ตามดวยเทาซาย โดย
ภาวนาวา “เหยียดหนอๆๆ” เสร็จแลวคอยๆ เอนตัวลงนอน พรอมกับ
ภาวนาวา “นอนหนอๆๆ” ในขณะที่ภาวนานั้น ใหมีสติกําหนดพิจารณารู
อาการความเคลื่อนไหวของรางกายใหทันปจจุบันตลอดเวลา จนกวาจะ
กําหนดจัดทานอนใหเรียบรอย จากนั้นใหเอาสติมากําหนดพิจารณารูอาการ
พอง-ยุบตอไป จนกวาจะหลับ ผูปฏิบัติใหมจะรูสึกกําหนดยาก แตเมื่อ
วิปสสนาญาณแกกลาแลว จะเห็นวาการกําหนดอิริยาบถนอย-ใหญ ทั้งปวง
นั้น สามารถกําหนดไดทันปจจุบันธรรม
๔๕๓
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ขอควรระวัง : การนอนกําหนดนั้น ไมควรใชสลับกับการกําหนดนั่ง
ปฏิบัติ ควรใชกําหนดเฉพาะเวลานอนเทานั้น เพราะโยคีกําหนดนอนแลว
โดยมากมักเผลอสติหลับไปเสีย
การโยนิโสมนสิการในการอาบน้ํา
ความจริ ง ก อ นอาบน้ํ า จะต อ งโยนิ โ สมนสิ ก ารว า รู ป สกปาก
จําเปนตองอาบน้ําและในขณะอาบน้ําก็ตองสํารวมอยูตลอดเวลา แตไมตอง
รูอยูตลอดเวลาวาทําแกทุกขเพราะถาทําเชนนั้นจะเปนการบริกรรมไป เมื่อ
ตักน้ํารดตัว หากไมโยนิโสมนสิการความสบายจะเกิดเพราะเย็นสบาย ถา
ขาดการสํารวมความพอใจจะเกิดในความสบาย เพราะหายรอน ถาสํารวม
อยูจะรูเหตุผลตลอด หรือถารีบไปหนอยไมสํารวมกิเลสก็เขาได ถาสํารวมอยู
จะรูวารูปเย็นไมตองไปบอก เพราะเย็นกระทบก็ตองรู
- ถาสํารวมจะไมรีบ ถาไมสํารวมอยูจะรีบและไมทราบเหตุผล
- ถาไมมีโยนิโสมนสิการ จะอยากอาบน้ํา แตถามีโยนิโสมนสิการจะ
ทราบวาอาบน้ําเพราะอะไร เพราะทุกขเกิดขึ้นใชไหม จึงตองอาบ คือตอง
พิจารณาเสียกอนวาไมไดทําตามความอยากหรอก แตเพราะทุกขเกิดขึ้น จึง
จําเปนตองอาบ เมื่อรูถูก รูผิดก็เลิกไปเอง
การอาบน้ําเปนภาระที่ผูปฏิบัติจะตองใชอยูเสมอในชีวิตประจําวัน
เมื่อทานนั่งอยู ตามปกติเกิดร อน เหนีย วตัว ขึ้น มาจะบํ าบัด ทุกขนี้ด วยการ
อาบน้ํา เมื่อรู วาจะอาบน้ําเพื่อแกทุกขแลว ในขณะที่ลุกขึ้นเดินไปหองน้ํ า
ระหวางที่กําลังเดินไปหองน้ํานั้น ถาไมมีสติสํารวมไปในอาการที่กําลังลุกขึ้น
เพราะเห็นวามีโยนิโสมนสิการแลวใชไดแลวมักจะไปนึกถึงบาน นึกถึงคนนั้น
ก็เดินไปอยางนี้จะไมมีเหลือหรอกวาจะอาบน้ําเพื่อแกทุกข ตองมีสติสํารวม
ไป สติจะตกไปบางในการสํารวมอาการนั้นก็ไมเปนไร ก็ขอใหมีการสําเหนียก
เอา พอรูสึกตัวขึ้นมาวาปลอยใจเสียแลวก็มาสํารวมอีก ก็เทานั้น เมื่อปฏิบัติ
ไปนานๆ สติก็เขมแข็งขึ้น ก็สามารถสํารวมไดตลอดรอดฝงไปเอง
เปนธรรมดาของผูปฏิบัติยังไมชํานาญ ก็จะตองมีขอบกพรอง สติก็
ยังไมเขมแข็ง สัมปชัญญะก็ยังไมแข็งแรง ก็ตองอาศัยเวลากันหนอย แตตองรู
๔๕๔
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
วาที่ถูกเปนอยางไร แลวก็พยายามทําอยางนั้น แลวก็จะถูกไปเอง ผูปฏิบัติ
ตองมีความสังเกตไปดวย การใสใจทุกขใหมๆ อาจมีบัญญัติบาง แตทําไป
สังเกตไป ก็จะทิ้งบัญญัติไปเอง
การรับประทานอาหาร
เมื่อความหิวเกิดขึ้น ก็ตองรูวาความหิวเปนทุกข ตองรับประทาน
อาหารเพื่ อ แก ทุ ก ข ขณะรั บ ประทานอาหารต อ งมี ค วามสํ า รวมในการ
รับประทาน ใหทําอะไรทีละอยาง จะทําใหสํารวมได เชน ตักอาหารเขาปาก
ก็ให มีความรูสึ กตั ว เวลาเคี้ยวก็ใหรู สึกตั ว คือใหสํ ารวมในอาการที่ใช คือ
หยิบอะไรทีละอยาง จะเคี้ยวก็เคี้ยวไปจนหมด แลว จึงหยิ บหรื อตัก ไมใช
เคี้ยวไปแลวตักเตรียมรอไวดวย
ในระหวางรับประทานอาหารก็สํารวมในอาการทุกอยางที่เกิดขึ้น
ไมวาจะยกมือเหยียดมือไปตักกับขาว หรือตักขาวในชามขาว อาการที่คูแขน
เขามานําอาหารใสป าก อาการที่เ คี้ยว อาการที่กลืน ให สํารวมในอาการ
เหลานี้ไปทุกอาการ ถาสํารวมในอาการเหลานี้ ผูปฏิบัติจะไมสนใจเลยวา
วันนี้กับขาวอะไร จะเปนแกงจืดหรืออะไรก็เทากับวาผูปฏิบัติไมถือนินิตอนุ
พยัญชนะในการกิน ความชอบใจไมชอบใจในอาหารจะเกิดขึ้นไมได
แตถาผูปฏิบัติไมสํารวมจะเปนอยางนี้คอื ถาไมชอบใจในอาหารก็จะ
รับประทานนอย พอหายหิวก็หยุด ตกบายๆ หนอยก็จะหิว แตถาเจออาหาร
ที่ถูกใจก็จะรับประทานมากไป นั่นเปนเพราะไปสนใจวัตถุ คือ อาหาร ก็จะ
เกิดความยินดียินรายขึ้นมาได
แตถาไมไปสนใจอาหาร แตไปสนใจในอาการ สํารวมอยูในอาการที่
ใช การรับประทานอาหารของผูปฏิบัติก็จะเปนไปอยางเหมาะสม อาหารนั้น
จะเปนอาหารที่ชอบใจ หรือไมชอบใจก็จะเปนไปตามปกติ
สรุป การใสใจทุกขยังไมพอ ตองมีสติสํารวมในอาการที่ใชเวลานั้น
ตั้งแตตนจนจบ ระหวางนี้สติจะตกหลน ฟุงซานไปในเรื่องอะไรบางก็ชาง
เพราะสติของเรายังไมเขมแข็งพอ นี่เปนโยนิโสมนสิการในการใชอิริยาบถ
ใหญและยอย
๔๕๕
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
การเปดพัดลม
เมื่ออากาศรอน ผูปฏิบัติก็ไปเปดพัดลมเปาตัว แลวก็กําหนดรูปนั่ง
ไป หรือกําหนดรูปนอนก็ตาม แลวเกิดการปวดศีรษะ แตพอปดพัดลมแลวก็
หาย แตพอเปดพัดลมอีกก็เปนอีกอยางนี้ ถาสังเกตจะทราบวา การเปดพัด
ลมเปาตัวนั้น ความรูสึกมันไปเกิดที่โผฏฐัพพารมณ เพราะมันเดนชัดไปที่นั่น
จิตก็ไปอยูโผฏฐัพพารมณหมด แตผูปฏิบัติตองการดูรูปนั่ง นอน ยืน เดินก็ไม
ยอมใหมันไป ก็คอยดึงกลับมาอยูที่รูปนั่งเรื่อยๆ แลวมันคอยไปอีก ทําอยาง
นี้มันก็เกิดเครียด ทําใหเกิดอาการมึนงงได ทําอยางนี้ก็เปนการฝน ไมอนุโลม
ตามสะดวก
วาระนั้ น ถาเป ด พัด ลมอยู รู ป อะไรที่ควรจะดู ก็คือรู ป กระทบนั่ น
แหละ ถาเห็นวาไมสะดวกก็ปดพัดลมเสียทนรอนไป ถาฝนจะดูใหได อยางนี้
เรียกวาไมมีโยนิโสมนสิการเหมือนกัน การใสใจในรูป เย็น รอน ออน แข็งก็
ตาม ที่เปนอยูในขณะนั้น จึงเปนโยนิโสมนสิการ ถาไมมีอารมณอื่นจรเขามา
ทําใหผิดแปลกแตกตางไป อิริยาบถนั่นแหละเปนประธานที่ควรใสใจ เพราะ
เราเจริ ญ กายานุ ป ส สนาสติ ป ฏ ฐานหมวดพิ จ ารณาอิ ริ ย าบถ จะไปใส ใ จ
อารมณอื่นบางเปนครั้งเปนคราว เกี่ยวกับอิริยาบถนั้นมันไมสะดวก
๔๕๗
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ทีเดียว สําหรับแรกกําหนดนั้นก็ยอมจะมีการพลั้งเผลอบาง เปนธรรมดา แต
จําตองมีสติกําชับอยาใหเกิดความเผลอไดบอยนัก
การกําหนดอิริยาบถยอย รจนาโดย สยาดอภัททันตวิโรจนะ๔๕ วัด
งุยเตาอูกัมมัฏฐาน
นับตั้งแตเริ่มตื่นนอน กําหนดอยางจดจอ ตอเนื่องไป ไมใหขาดตอน
สยาดอภัททันตวิโรจนะ ไดใหคําแนะนําเรื่องการกราบสติปฏฐาน
ดังนี้ สติเปนที่ตั้งแหงการทํางาน (กรรมฐาน) ทุกครั้งกอนที่มีการปฏิบัติตอง
กราบกรรมฐานเสียกอน เปนการนอมจิตอยูกับอารมณปจจุบันขณะในการ
กําหนดสติปฏฐาน ๔ กราบอยางมีสติระลึกรูตามดูอาการ ซึ่งเปนการสํารวม
อิน ทรี ย สติ ระลึกรูถึงอาการของรู ปและนาม ในการเจริ ญสติ ซึ่งเป นการ
กําหนดอิริยาบถใหญ อิริยาบถยอยไดดี เปนการเพิ่มกําลังความเพียร เพิ่ม
กําลังสติ เพิ่มกําลังสมาธิเมื่อมีการกําหนดอยางตอเนื่องเปนเวลานาน รูป
นาม (กายใจ) ไดปรากฏชัดเจนและพิจารณาไตรลักษณๆ ก็จะปรากฏขึ้น
ตามลําดับ จากนั้นก็สามารถเห็นแจงในอริยสัจ ๔ เกิดขึ้น ดังที่พระพุทธองค
ตรัสวา บุคคลใดเจริญสติปฏฐาน ๔ ยอมเขาถึงอริยสัจ ๔วิธีการปฏิบัติแบบนี้
เปนการปฏิบัติตามนัยพระไตรปฏกพระพุทธศาสนาเถรวาท
วิธีการกราบสติปฏฐานคือ ผูปฏิบัติจะตองนั่งคุกเขาทั้งสอง เอามือ
ขวา-ซายวางคว่ําไวที่เขาขวา-ซาย แลวคอยๆๆ พลิกฝามือขึ้นทีละขาง ขวา
กอน พรอมทั้งกําหนดดวยสติวา พลิกหนอๆ โดยจะตองเอาจิตเขาไปรูดวย
วากําลังพลิกฝามือ เสร็จแลวใหยกมือขางขวาขึ้นชาๆ พรอมกําหนดวา ขึ้น
หนอๆ ๆ เมื่อยกมาถึงอกก็ใหกําหนดวา ถูกหนอๆๆ ตอจากนั้นเริ่มพลิกมือ
ขางซาย ทําเชนเดียวกับขางขวา ยกมือทั้งสองขึ้นพนมกันไวระหวางอก แลว
ยกขึ้นจรดที่หนาผากระหวางคิ้วทั้งสอง พรอมทั้งกําหนดขึ้นหนอๆๆ เวลายก
และกําหนดถูกหนอๆๆ เมื่อเวลาจรดที่หวางคิ้ว แลวลดมือลงมาตั้งไวระหวาง
อก โดยกํ า หนดว า ลงหนอๆๆ เมื่ อ ถู ก ที่ อ กก็ กํ า หนดว า ถู ก หนอๆๆ
๔๕
สยาดอภัททันตวิโรจนะ รจนา,วัดงุยเตาอูกัมมัฏฐาน, วิธีเจริญมหาสติ
ปฏฐาน เลม ๑,พิมพครั้งที๑่ , (สํานักพิมพดีเอ็มจี), หนา ๑๕๖-๑๖๕.
๔๕๘
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ตอจากนั้นกมหลังลงเล็กนอยพรอมกับกําหนดวา กมหนอๆๆ แลวเอามือ
ขวาลงกอนกําหนดวา ลงหนอๆๆ เมื่อถูกที่พื้นกําหนดวา ถูกหนอๆๆพลิกฝา
มือคว่ําลงกําหนดวา คว่ําหนอๆๆ แลวเอามือซายตามกําหนดแบบเดียวกัน
ระดับมือหางกัน ๔ นิ้ว แลวกมศีรษะลง กําหนดวา กมหนอๆๆ เมื่อศีรษะ
จรดพื้น กําหนดวา ถูกหนอๆๆ โดยมีนิ้วหัวแมมือทั้งสองขางอยูระหวางคิ้ว
เวลาเงยก็กําหนดวา เงยหนอๆๆ ตอจากนั้นก็กราบแบบเดิมอีก ๒ ครั้ง โดย
กําหนดไปดวย
การกําหนดอิริย าบถนับตั้งแตเริ่มตื่นนอนในตอนเชา ใหพยายามมี
สติกําหนดรูใหทันตั้งแตเริ่มตื่น วา ตื่นหนอๆ หรือกําหนดรูจิต แรกที่รูจาก
การตื่นวา รูหนอๆ
เมื่ออยากจะลุกขึ้นจากที่นอน ใหกําหนดรูจิตที่ตองการลุกหรือตนจิต
วา อยากลุกหนอๆ เมื่ออยากจะยกมือยันพื้นที่นอนเพื่อลุกขึ้น กําหนดรูตน
จิตวา อยากยกหนอๆ เมื่อยกมือเพื่อจะยันพื้น กําหนดรูวา ยกหนอๆ เมื่อ
เอามือยันพื้นกําหนดรูวา ยันหนอๆ เมื่ออยากจะลุกขึ้นนั่งกําหนดรูตนจิตวา
อยากลุกหนอๆ แลวคอยๆ ขยับลุกขึ้นเรื่อยๆ กําหนดรูวา ลุกหนอๆ เมื่อนั่ง
อยู กํา หนดรู ว า นั่ ง หนอๆ เมื่ออยากจะยั น กายลุ กขึ้ น กําหนดรู ต น จิ ต ว า
อยากยันหนอๆ เมื่อมือยันตัวขึ้นกําหนดรูวา ยันหนอๆ เมื่ออยากยืน กําหนด
รู ต น จิ ต ว า อยากยื น หนอๆ เมื่ อยื น ขึ้ น กํา หนดรู ว า ยื น หนอๆ (กํ าหนดรู
อาการของกายไปตามลําดับที่ขยับเคลื่อนไหวทุกอาการ)
เมื่อจะหยิบหรือจับสิ่งของเครื่องใชตางๆ เชน ผาเช็ดหนา ขันน้ํา ยา
สีฟน แปรงสีฟน เปนตน กําหนดรูวา อยากหยิบหนอๆ หยิบหนอๆ แลวหยุด
ยืน กําหนดรูวา ยืนหนอๆ เมื่อกลับตัว กําหนดรูวา กลับหนอๆ เมื่อเทาขวา
กาวเดินกําหนดรูวา ขวายางหนอ เมื่อเทาซายกาวเดิน กําหนดรูวา ซายยาง
หนอ เมื่อเดิน ไปถึงหน าประตู กําหนดหยุด ยืน วา หยุ ดหนอๆ เมื่อจะเป ด
ประตู กํ าหนดรู ว า อยากเป ด หนอๆ –เป ด หนอๆ หรื อ เมื่ อจะผลั ก ประตู
กําหนดรูวา อยากผลักหนอๆ –ผลักหนอๆ หรือ อยากดึงหนอๆ ดึงหนอๆ
เมื่อกําหนดเดินไปถึงประตูหองน้ํา ตองการจะเปด-ปดประตูหอง ให
กําหนดดังนี้
๔๕๙
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
เมื่อจะยื่นมือออกไปที่ประตู กําหนดรูวา อยากยื่นหนอๆ –ยื่นหนอๆ
มือจะจั บประตู กําหนดรู วา อยากจั บหนอๆ จับ หนอๆ เมื่อจะผลั กประตู
กําหนดรูวา อยากผลักหนอๆ –ผลักหนอๆ หรือเมื่อจะดึงประตู กําหนดรูวา
อยากดึ งหนอๆ –ดึงหนอๆ แลว กาวเทาเดิ น ออกไป กําหนดรูว า ขวาย าง
หนอ-ซายย างหนอ เมื่อวางขัน น้ํ าลง กําหนดรู ว า อยากวางหนอๆ –วาง
หนอๆ เมื่อตักน้ํา กําหนดรูวา อยากตักหนอๆ –ตักหนอๆ ในขณะลางหนา
แปรงฟ น อาบน้ํ า และทํ า กิจ ธุ ร ะส ว นตั ว ต า งๆ ให กํ าหนดรู ส ภาวะอย า ง
ละเอียดในทุกๆ อาการเคลื่อนไหวของกายและจิตอยางตอเนื่อง
การไป-มา การเคลื่อนไหว จดจอกําหนดใหไดทุกอาการ
ในขณะทํ า กิ จ ต า งๆ ให มี ส ติ กํ า หนดรู ใ นทุ ก กิ ริ ย าอาการความ
เคลื่อนไหวไป-มาอยางตอเนื่องไมใหขาดตอน เมื่อเดินออกจากที่พักไปยัง
อาคารสถานที่ปฏิบัติธรรม ใหกําหนดเดินจงกรม หรือเดินกําหนดรูอาการ
เคลื่อนไหวของเทาอยูตลอดเวลา เมื่อจิตอยากจะกาว เทาขวาออกเดิน ใหสง
จิตรูไวที่เทาขวา แลวกําหนดรูจิตที่ตองการเดินหรือตนจิตกอนวา อยากยาง
หนอๆ แลวจึงคอยๆ ยกเทาขวากาวออกเดิน พรอมทั้งกําหนดรูในใจใหทัน
พอดีกันกับอาการเคลื่อนไหวของเทาวา ขวายางหนอ เมื่อจิตอยากจะกาว
เทาซายออกเดิน ใหสงจิตรูไวที่เทาซาย แลวกําหนดรูตนจิตกอนวา อยาก
ยางหนอๆ แลวจึงคอยๆ ยกเทาซายกาวออกเดิน พรอมทั้งกําหนดรูในใจให
ทันพอดีกันกับอาการเคลื่อนไหวของเทาวา ซายยางหนอ หรือจะเดินโดย
กําหนดรูใหละเอียดยิ่งขึ้นก็ได เชน กอนจะยกเทาขวาขึ้น ใหสงจิตรูไวที่เทา
ขวา แลวกําหนดรูตนจิตกอนวา อยากยกหนอๆ แลวจึงคอยๆ ยกเทาขวาขึ้น
ใหจิตจดจอรูอาการเคลื่อนไหวของเทาขวาที่คอยๆ ขยับยกขึ้นมา พรอมทั้ง
กําหนดรูในใจวา ยกหนอๆ กอนจะยางกาวไปขางหนา ใหกําหนดรูตนจิต
กอนวา อยากยางหนอๆ
แลวจึงคอยๆ เคลื่อนเทายางกาวไปขางหนาชาๆ ใหจิตจดจอรูอาการ
ของเทาที่คอยๆ เคลื่อนไปขางหน า พร อมทั้งกําหนดรู ในใจวา ยางหนอๆ
กอนจะเหยียบวางเทาลง ใหกําหนดรูตนจิตกอนวา อยากเหยียบหนอๆ แลว
๔๖๐
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
จึงคอยๆ เหยียบวางเทาลงที่พื้นชาๆ ใหจิตจดจอรูอาการของเทาที่คอยๆ
เหยียบลงไป พรอมทั้งกําหนดรูตามในใจวา เหยียบหนอๆ สําหรับเทาซายก็
เชนกัน กอนจะยกเทาซายขึ้น ใหสงจิตรูไวที่เทาซาย แลวกําหนดรูตนจิ ต
กอ นว า อยากยกหนอๆ แล ว จึ งค อ ยยกเท า ซา ยขึ้น ให จิ ต จดจ อ รู อาการ
เคลื่อนไหวของเทาที่คอยๆ ขยับยกขึ้น พรอมทั้งกําหนดรูในใจวา ยกหนอๆ
กอนจะยางกาวไปขางหนา ใหกําหนดรูตนจิตกอนวา อยากยาง
หนอๆ แลวจึงคอยๆ เคลื่อนเทายางกาวไปขางหนาชาๆ ใหจิตจดจอรูอาการ
ของเทาที่คอยๆ เคลื่ อนไปดานหนาพรอมทั้งกําหนดรูในใจว า ยางหนอๆ
กอนจะเหยียบวางเทาลง ใหกําหนดรูตนจิตกอนวา อยากเหยียบหนอๆ แลว
จึงคอยๆ เหยีย บวางเทาลงที่พื้น อย างชาๆ ให จิต จดจอรูอาการของเทาที่
คอยๆ เหยียบลงไป พรอมทั้งกําหนดรูในใจวา เหยียบหนอๆ ใหเพียรเดิน
จงกรมอยางจดจอและตอเนื่องดวยการกําหนดรูความเคลื่อนไหวและสภาวะ
ตางๆ ของเทาใหล ะเอียดมากขึ้นไปตามลําดั บ เชน ยกหนอ-ยางหนอ-ลง
หนอ-ถูกหนอ เปนตน
การดื่ม การกิน ทุกอิริยาบถ กําหนดรูใหหมด พรอมเติมตนจิต
หลังจากกําหนดรูสภาวธรรมตางๆ มีอาการพอง-อาการยุบ เมื่อถึง
เวลารับ ประทานอาหารหรือดื่มน้ํ า ใหกําหนดเดิ นจงกรมอยางชาๆ ไปยั ง
สถานที่สําหรับรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ําพรอมกับกําหนดรูอาการเดินวา
ขวายางหนอ-ซายยางหนอ
เมื่อกําหนดเดิน จงกรมไปจนถึงจุดที่นั่งของตนแลว กอนที่จะหยุ ด
เดินใหกําหนดรูตนจิตวา อยากหยุดหนอๆ แลวหยุดยืนกําหนดรูอาการยืนวา
ยืนหนอๆ (ใหจิตระลึกรูปกายที่ยืนอยู ซึ่งมีลักษณะตึงและตั้งตรง) กอนจะนั่ง
ลง ใหกําหนดรูตน จิตวา อยากนั่งหนอๆ แลว คอยๆ หยอนกายคูตัวนั่งลง
พรอมกับกําหนดรูอาการนั่งนั้นวา นั่งหนอ (ใหจิตรูอาการของรูปกายที่คอยๆ
เคลื่อนหยอน หรือคูนั่งลง) ในขณะที่กําหนดรูอาการนั่งวา นั่งหนอๆ อยูนั้น
อาจจะยื่นมือขางหนึ่งขางใดยันไวที่พื้น ใหกําหนดรูวา อยากยันหนอๆ เมื่อ
ยื่นมือออกไปยันพื้น กําหนดรูวา ยื่นหนอๆ
๔๖๑
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
เมื่อมือขางที่ยื่นถูกกับพื้นใหกําหนดรูวา ถูกหนอๆ เมื่อมือถูกกับพื้น
รูสัมผัสที่มีลักษณะแข็ง ใหกําหนดรูวา แข็งหนอๆ รูสัมผัสที่หยาบ ใหกําหนด
รูวา หยาบหนอๆ หรือรูสัมผัสที่นุม ใหกําหนดรูวา นุมหนอๆ กําหนดรูตาม
ลักษณะอาการที่รูสึกในขณะนั้นๆ
เมื่อนั่งลงสะโพกสัมผัสถูกกับพื้นกําหนดรูวา ถูกหนอๆ กําหนดจัดทา
นั่งใหเรียบรอย ตองกําหนดรูอาการความเคลื่อนไหวของกายทุกอยางโดย
ละเอียด ตั้งแต ตนจนจบ เมื่อนั่งนิ่ งสงบเรีย บรอยแลว อยากจะดูไปที่โต ะ
อาหาร กํา หนดรู ว า อยากดู ห นอๆ เมื่ อดู กํ าหนดรู ว า ดู ห นอๆ เมื่ อเห็ น
กําหนดรูวา เห็นหนอๆ เมื่อเห็นแลวเกิดความชอบ กําหนดรูวา ชอบหนอๆ
หากไมชอบกําหนดรูวา ไมชอบหนอๆ กําหนดตามอาการของจิตที่เกิดขึ้น
จริงในขณะนั้นๆ
เมื่ออยากจะเริ่ มรั บ ประทาน ให กําหนดรู ต น จิ ต กอนว า อยากกิน
หนอๆ เมื่อมองดูจาน ชอน สอม กําหนดรูวา ดูหนอๆ เมื่อเห็นกําหนดรูวา
เห็นหนอๆ เมื่ออยากจะหยิบจับจาน ชอน-สอม กําหนดรูวา อยากจับหนอๆ
ขณะที่หยิบจับกําหนดรูวา จับหนอๆ (กําหนดรูอยางตอเนื่องไปตามลําดับ
อาการของมือที่ยก ยื่น และเอื้อมไปหยิบจับ) เมื่อมองดูโถขาว กําหนดรูวา ดู
หนอๆ เมื่อเห็นกําหนดรูวา เห็นหนอๆ เมื่อยื่นมือออกไป(ยังโถขาว) กําหนดรู
วา ยื่นหนอๆ เมื่อมือจับฝาเปดโถขาว กําหนดรูวา จับหนอๆ –เปดหนอๆ
เมื่อยกฝาของโถขาววางลง กําหนดรูวา ยกหนอๆ –วางหนอๆ
เมื่อยกมือเคลื่อนกลับมา กําหนดรูวา มาหนอๆ เมื่ออยากจะจับชอน
หรือทัพพี กําหนดรูวา อยากจับหนอๆ ขณะจับกําหนดรูวา จับหนอๆ –ถูก
หนอๆ กําหนดรูตามอาการของมือที่เคลื่อนไหวไปตามลําดั บ เมื่อตั กขาว
กําหนดรูวา ตักหนอๆ เมื่อยกกลับมาเพื่อใสจาน กําหนดรูวา มาหนอๆ เมื่อ
เทขาวใสจาน กําหนดรูวา ใสหนอๆ (เมื่อตักเพิ่มอีก หรือเมื่อจะตักแกง ตัก
อาหารอื่ น ๆ ก็ ใ ห กํา หนดรู เ ช น เดี ย วกัน อย า งต อ เนื่ อ ง) หลั ง จากนั้ น เมื่ อ
อยากจะจั บ ช อ น-ส อ มเพื่ อ ตั ก ข า ว กํ า หนดรู ว า อยากจั บ หนอๆ เมื่ อ จั บ
กําหนดรูวา จับหนอๆ เมื่ออยากจะตักอาหาร กําหนดรูวา อยากตักหนอๆ
เมื่อตัก กําหนดรูว า ตักหนอๆ หากใชสอมเกลี่ย กําหนดรูวา เกลี่ยหนอๆ
๔๖๒
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
เมื่อตักอาหารแลวยกขึ้นมา กําหนดรูวา ยกหนอๆ มาหนอๆ เมื่อมาถึงปาก
กําหนดรูวา หยุด หนอๆ เมื่ออยากจะอาปาก กําหนดรูว า อยากอาหนอๆ
แลวจึงอาปากขึ้น กําหนดรูวา อาหนอๆ เมื่อใสชอนเขาปาก กําหนดรูวา ใส
หนอๆ เมื่อดึงชอนออก กําหนดรูวา ดึงหนอๆ เมื่อปดปากลง กําหนดรูวา
ปดหนอๆ เมื่ออยากวางชอนลง กําหนดรูวา อยากวางหนอๆ ขณะคอยๆ
วางชอนลง กําหนดรูวา วางหนอๆ (กําหนดรูอาการเคลื่อนไหวไปตามลําดับ)
หลังจากนั้นจึงจะเคี้ยวอาหาร กําหนดรูวา เคี้ยวหนอๆ เมื่อมีรสดีหรืออรอย
กําหนดรูวา ดีหนอๆ หากไมดี ก็กําหนดรูวา ไมดหี นอๆ เมื่อรูรส ไมวาจะเปน
รสเปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็ม ก็ตาม ใหกําหนดรูวา รูรสหนอๆ
เมื่อเคี้ยวละเอียดพอแลว กอนจะกลืน กําหนดรูวา อยากกลืนหนอๆ
แลวจึงคอยๆ กลืน ลงไป กําหนดรูว า กลืนหนอๆ กําหนดรูตามความรูสึ ก
ตามอาการความเคลื่ อนไหว และอาการต างๆ ที่จิ ต รั บ รู ต ามลํ าดั บ อย า ง
ละเอียดและตอเนื่อง จึงจะเกิดญาณปญญา เห็นความเกิด ความดับ ของรูป
นามทั้งสอง จนกระทั่งความเกิด ความดับนั้นหมดสิ้นไป สามารถบรรลุมรรค
ผล และพระนิพพานไดอยางแนนอน
พระมหาทองมั่น สุทฺธจิตโต เรียบเรียง๔๖
กําหนดเวลาตื่นนอน ขณะรูสึกตัวตื่นนอน กําหนดรูวา ตื่นหนอๆๆ
(กําหนดที่ความรูสึกที่เกิดขึ้น) หรือถาไดยินเสียงนาฬิกาปลุก หรือเสียงระฆัง
ก็กําหนดรูวา ไดยินหนอๆๆขณะลืมเปลือกตาขึ้น กําหนดรูวา ลืมหนอๆๆ
ขณะเห็นภาพตางๆ กําหนดรูวา เห็นหนอๆๆ ขณะกระพริบตา กําหนดรูวา
กระพริบหนอๆๆ ขณะขยับตัวลุกขึ้น กําหนดรูวา ขยับหนอๆๆ ขณะคอยๆ
ยันตั วลุกขึ้น กําหนดรูวา ลุกหนอๆๆ ขณะนั่ งอยู กําหนดรูว า นั่ งหนอๆๆ
ขณะลุกขึ้น กําหนดรู ว า ลุ กหนอๆๆ ขณะยืน อยู กําหนดรูว า ยื น หนอๆๆ
ขณะเดินไปเปดไฟ กําหนดรูวา ขวายางหนอ ซายยางหนอ เมื่อถึงที่เปดไฟ
๔๖
พระมหาทองมั่น สุทฺธจิตฺโต เรียบเรียง,“คูมือการเจริญสติปฏฐาน ๔
(ฉบับปรับปรุงใหม)”, พิมพครั้งที่ ๑๒,( บริษัท บุญศิริการพิมพ จํากัด,พ.ศ. ๒๕๕๔),
หนา ๙๙-๑๑๕.
๔๖๓
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
กําหนดรูวา ยืนหนอๆๆ ขณะยกมือขึ้น กําหนดรูวา ยกหนอๆๆ ขณะเคลื่อน
มือไป กําหนดรูวา ไปหนอๆๆ ขณะมือถูกสวิทชไฟ กําหนดรูวา ถูกหนอๆๆ
ขณะกดสวิทช กําหนดรูวา กดหนอๆๆ ขณะลดมือลงแนบลําตัว กําหนดรูวา
ลงหนอๆๆ ถาจะเก็บผาหม พับที่นอนก็ใหกําหนดรูตามอาการนั้นๆ เชน ยก
หนอ ไปหนอ จับหนอ (ผาหม) พับหนอๆๆ ยกหนอ ไปหนอ วางหนอ เปน
ตน
การเปด-ปดประตูหองน้ํา ขณะเดินไปหองน้ํา กําหนดรูวา ขวายาง
หนอ ซายย างหนอ ขณะยื น อยู ห น าประตู กําหนดรู ว า ยื น หนอๆๆ ขณะ
สายตาเห็นประตู กําหนดรูวา เห็นหนอๆๆ ขณะยกมือขึ้น กําหนดรูวา ยก
หนอๆๆ ขณะเคลื่อนมือไป กําหนดรูวา ไปหนอๆๆ ขณะที่มือถูกประตู หรือ
ลูกบิดประตู กําหนดรูวา ถูกหนอ (ถารูสึก เย็น รอน ออน แข็ง ก็กําหนดรู
ตามความรูสึกนั้นๆ) ขณะจับ กําหนดรูวา จับหนอ ขณะหมุนลูกบิด กําหนด
รูวา หมุนหนอๆๆ ขณะผลักบานประตู กําหนดรูวา ผลักหนอๆๆ ขณะปลอย
มือจากลูกบิด กําหนดรูวา ปลอยหนอๆๆ ขณะกาวเขาไปหองน้ํา กําหนดรูวา
ขวายางหนอ ซายยางหนอ ขณะยืนอยู กําหนดรูวา ยืนหนอๆ ขณะกลับตัว
เพื่อปดประตู กําหนดรูวา กลับหนอๆๆ (กําหนดปดประตู) ขณะเห็นประตู
กําหนดรูวา เห็นหนอๆ ขณะยกมือขึ้น กําหนดรูวา ยกหนอๆๆ ขณะเคลื่อน
มือไป กําหนดรูวา ไปหนอๆๆ ขณะที่มือถูกประตู หรือลูกบิดประตู กําหนดรู
วา ถูกหนอ, จับหนอ ขณะหมุนลูกบิ ด กําหนดรูวา หมุนหนอๆๆ ขณะดึ ง
บานประตูปด กําหนดรูวา ดึงหนอๆๆ ขณะกดลูกบิดประตู กําหนดรูวา กด
หนอ ขณะปลอยมือลง กําหนดรูวา ลงหนอๆๆ ขณะกลับตั ว กําหนดรูว า
กลับหนอๆๆ ขณะเดินไปทําอยางอื่น กําหนดรูวา ขวายางหนอ ซายยางหนอ
สภาพของห อ งน้ํ า ย อ มแตกต า งกั น ดั ง นั้ น ให กํ า หนดรู อ าการตาม
สภาพแวดลอม ใหละเอียดที่สุด ชาที่สุด เทาที่จะทําได
วิธีการถายปสสาวะและอุจจาระ เมื่อเขาหองน้ําเรียบรอยแลว ถาจะ
ทํากิจหนักเบา ก็ใหเริ่มตั้งแตการกําหนดรูตนจิตที่อยากทํา แลวเริ่มกําหนดรู
ตั้ ง แต ก ารถอดผ า การนั่ ง การเบ ง ความรู สึ ก ที่ ป ส สาวะหรื อ อุ จ จาระที่
เคลื่อนที่ การไดกลิ่น เปนตน พยายามกําหนดรูอาการตางๆ ใหได
๔๖๔
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
รายละเอียดมากที่สุดเทาที่ทําได
วิธีการแปรงฟน ขณะเห็นแปรงกําหนดรูวา เห็นหนอๆๆ (เห็นแปรงสี
ฟน) ขณะเคลื่อนมือซายไปจับ กําหนดรูวา ไปหนอๆๆ ขณะมือถูกแปรงสีฟน
กําหนดรูวา ถูกหนอๆๆ ขณะจับแปรง กําหนดรูวา จับหนอๆๆ ขณะนําแปรง
สีฟนมา กําหนดรูวา มาหนอๆๆ ตอไปกําหนดเอายาสีฟน ขณะเห็นยาสีฟน
กําหนดรูวา เห็นหนอๆๆ ขณะเคลื่อนมือไปจับ กําหนดรูวา ไปหนอๆๆ ขณะ
มือถูกยาสีฟน กําหนดรูวา ถูกหนอ ขณะจับยาสีฟน กําหนดรูวา จับหนอๆๆ
ขณะนํายาสีฟนมา กําหนดรูวา มาหนอๆๆ ขณะยกมือไปจับยาสีฟน กําหนด
รูวา ไปหนอๆๆ ขณะมือถูกฝาปดยาสีฟน กําหนดรูวา ถูกหนอๆๆ ขณะหมุน
ฝากําหนดรูวา หมุนหนอๆๆ ขณะวางฝายาสีฟนลง กําหนดรูวา ลงหนอๆๆ
ถูกหนอ ปลอยหนอ ขณะยกแปรงมา กําหนดรูวา ยกหนอๆๆ มาหนอๆๆ
ขณะบีบยาสีฟนใส กําหนดรูวา บีบหนอๆๆ ขณะใสยาสีฟน กําหนดรูวา ใส
หนอๆๆ ขณะยื่นมือไปจับขันน้ํา กําหนดรูวา ไปหนอๆๆ จับหนอๆๆ (ขันน้ํา)
มาหนอ อาหนอ ถูกหนอ (ถูกปาก) อมหนอ บวนหนอ ขณะใสแปรงสีฟนเขา
ปาก กําหนดรูวา ใสหนอๆๆ ขยับหนอๆๆ หรือ ขึ้นหนอๆ ลงหนอๆๆ ขณะ
อยากบวนปาก (ทําปากขมุบขมิบ) กําหนดรูวา ขยับหนอๆ บวนหนอ ขณะ
ยกขันน้ํามา กําหนดรูวา ยกหนอ มาหนอ ถูกหนอ อาหนอ ยกหนอ ถูกหนอ
ดูดหนอ เย็นหนอ อมหนอ บวนหนอ เงยหนอ เห็นหนอ (ใหกําหนดรูตาม
อาการเคลื่อนไหวตามที่เปนจริง)
การอาบน้ํา-ลางหนา ขณะเห็นขันน้ํา กําหนดรูวา เห็นหนอ ขณะยก
มือไป กําหนดรูวา ยกหนอ, ไปหนอ, ขณะมือถูกขัน กําหนดรูวา ถูกหนอ
ขณะจับ ขัน กําหนดรู วา จับ หนอ (ขันน้ํา ) ขณะยกขัน ขึ้น กําหนดรู วา ยก
หนอ ขณะเคลื่อนขันไป กําหนดรูวา ไปหนอ ขณะตักน้ํ า กําหนดรูวา ตั ก
หนอ ขณะนํามา กําหนดรูวา มาหนอ ขณะเทน้ํา กําหนดรูวา เทหนอ ขณะ
รูสึกเย็น กําหนดรูวา เย็นหนอ (ถาตักหลายขันก็กําหนดเหมือนเดิม) ขณะ
วางขันลง กําหนดรูวา วางหนอ ขณะเห็นสบู กําหนดรูวา เห็นหนอ (สบู)
ขณะยกมือไปจับกําหนดวา ยกหนอ ขณะเคลื่อนมือไปจะจับสบู กําหนดรูวา
ไปหนอ ขณะจับสบู กําหนดรูวา จับหนอ (สบู) ขณะนําสบูมา กําหนดรูวา
๔๖๕
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
มาหนอ ขณะถูตัวหรือใบหนา กําหนดรูวา ถูหนอ ถูเสร็จแลว เก็บสบูเขาที่
เดิม กําหนดรูวา ไปหนอ ขณะวางสบูลง กําหนดรูวา วางหนอ ขณะยกมือไป
หยิบขันน้ํา กําหนดรูวา ยกหนอ, ไปหนอ, จับหนอ (ขันน้ํา), ไปหนอ, ตัก
หนอ, มาหนอ, เทหนอ, เย็นหนอ, อาบเสร็จแลว ไปหยิบผาเช็ดตัว กําหนดรู
วา ยกหนอ, ไปหนอ, จับหนอ (ผาเช็ดตัว), มาหนอ, เช็ดหนอๆๆ ตอไปจะนุง
ผา หมผาก็ใหกําหนดรูตามอาการ ตามที่รูสึกจริงๆ เปนธรรมชาติ ใหชาๆ
เทาที่จ ะทําได (การกํา หนดรู กี่ครั้ งอยู ที่ร ะยะของการเคลื่ อนไหว ได มาก
เทาไรก็ดีเทานั้น)
ออกจากหองน้ํามาก็กําหนดรูการปดประตู ปดไฟ การหมผา การ
สวมใสเสื้อผา เชน ยกหนอ ไปหนอ จับหนอ มาหนอ ใสหนอ เปนตน ให
กําหนดรูตามอาการที่เปนจริง แตในการกําหนดที่หองเองนั้นจะตองมีสัจจะ
ใหทําความรูส ึกเหมือนมีครูอาจารยคอยดูอยูและในขณะที่กําหนดรูอิริยาบถ
ยอยอยูนั้นก็ถือวาไดปฏิบัติวิปสสนาเพราะไดศีล สมาธิ ปญญาเหมือนกัน
การเดินไปสูศาลาปฏิบัติธรรม เมื่อทํากิจสวนตัวเสร็จแลวใหกําหนดรู
ในอิริยาบถยอยใหละเอียดที่สุดเทาที่จะทําได เชนแตงตัวเรียบรอยแลวเปด
ปดประตู ใสกุญแจหอง ขณะลุกขึ้นยืนกําหนดรูวา ลุกหนอๆๆ ขณะยืนเต็มที่
กําหนดรูวา ยืนหนอๆ ขณะเดินไปที่ประตูกําหนดรูวา ขวายางหนอ ซายยาง
หนอ ขณะถึงประตูยืนอยูกําหนดรูวา ยืนหนอๆๆ ขณะเงยหนาขึ้นมองที่มือ
จับประตูกําหนดรูวา เห็นหนอๆๆ ขณะยกมือไปจับกําหนดรูวา ยกหนอๆๆ
ไปหนอๆๆ ถูกหนอ จับ หนอ ผลั กหนอๆๆ ขณะเอามือลงกําหนดรูว า ลง
หนอๆๆ เดิ น ออกไปกําหนดรู ว า ขวาย างหนอ ซายย างหนอ เมื่อเดิ น พน
ประตูเขาไปแลวกําหนดรูวา ยืนหนอๆๆ กําหนดรูกลับตัววา กลับหนอๆ ยก
หนอๆๆ ไปหนอๆๆ ถูกหนอ จับหนอ ดึงหนอๆๆ ขณะยกมือไปจับกุญแจ
คลองสายยู กําหนดรูวา ยกหนอ ไปหนอ จับหนอ ใสหนอ กดหนอ ขณะ
กลับตัว กําหนดรูวา กลับหนอๆๆ กอนจะเดินลงขางลางใหเก็บมือกอน โดย
เอามือไขวักันไวขางหนาหรือขางหลัง ไมปลอยแกวงไปมา เพื่อไมใหรบกวน
สมาธิเวลากาวเดิน ขณะที่เ คลื่อนมือซายมาไวที่หนาทองนอยกําหนดรูว า
เคลื่อนหนอๆๆ กําหนดชาๆ ใจตามรูอาการเคลื่อนไหวของมือตั้งแตยกขึ้น
๔๖๖
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
จนกระทั่งเคลื่อนมาแนบกับทองนอย ตาไมตองดูมือ เมื่อมือถูกทองกําหนดรู
วา ถูกหนอ มือขวาก็เชนเดียวกันวา เคลื่อนหนอๆๆ ถูกหนอ จับหนอ (จับที่
ขอมือดีกวาจับที่ฝามือ) เสร็จแลวกําหนดรูอาการยืนวา ยืนหนอๆ ใหรูสึกใน
อาการยืน คืออาการตั้งตรงของรางกายทั้งหมด ไมดูเฉพาะสวนใดสวนหนึ่ง
หรื อ ดู ไ ล ม าตั้ ง แต ศี ร ษะจรดเท า พอรู อ าการดี แ ล ว กํ า หนดรู ใ นใจว า ยื น
หนอๆๆ ชาๆ ใหกําหนดและรูอาการยืนควบคูกันไปดวย อยาทองแตปาก
เฉยๆ แตใจไมรูอาการ “ปากกําหนดและใจรูอาการ” ถาจะทําความเขาใจวา
ยืนเปนรูป จิตที่รูวายืนเปนนาม ก็จะดี ขณะเดินไปที่บันได กําหนดรูวา ขวา
ยางหนอ ซายยางหนอ คําบริกรรมกับอาการตองเริ่มและสิ้นสุดพรอมกัน ไม
กอนไมหลังกวากัน จึงจะเรียกวากําหนดรูไดปจจุบัน ขณะเดินอยูใหระวัง
สายตา อย า เหลี ย วซ ายแลขวา ให ทอดสายตาลงพื้ น ห า งจากปลายเท า
ประมาณ ๔ ศอก เมื่อเดิน มาถึงบัน ไดที่จ ะลง ให กําหนดรู วา ยืน หนอๆๆ
ขณะยกเทาขึ้นกําหนดรูวา ยกหนอ ขณะเคลื่อนเทาไปขางหนากําหนดรูวา
ยาง (เคลื่อน)หนอ ขณะหยอนเทาลงกับบันได กําหนดรูวา ลงหนอ ขณะเทา
ถูกพื้นบันได กําหนดรูวา ถูกหนอ เทาซายก็กําหนดเหมือนเทาขวา ยกหนอ
ยางหนอ ลงหนอ ถูกหนอ เมื่อเดินลงบันไดเรียบรอยแลวใหกําหนดรูอาการ
ยืน ว า ยื นหนอๆๆ ขณะกลั บตั ว บริ กรรมว า กลั บ หนอๆๆ พร อมกับ มีส ติ
กําหนดรูอาการที่เทายกขึ้น เคลื่อนไปและวางลง รูใหตรงกับอาการ แลวให
กําหนดรูอาการยืนวา ยืนหนอๆๆ ขณะยกเทาขึ้นกําหนดรูวา ยกหนอๆๆ
เคลื่อนเทาใสรองเทาพรอมกําหนดรูวา สวมหนอๆ หรือ เคลื่อนหนอๆๆ ก็ได
ขณะเทาถูกรองเทา กําหนดรู วา ถูกหนอ ขณะจะหัน ตั วกลั บ กําหนดรู ว า
กลับหนอๆๆ ขณะออกเดินไป กําหนดรูวา ขวายางหนอ ซายยางหนอ เดินสู
ศาลาปฏิ บั ติ ธ รรม ในระหว า งเดิ น ไปสู ศ าลาปฏิ บั ติ ธ รรม มั ก จะมี มารมา
ขัดขวางการปฏิบั ติธรรม เชนความอยากจะดูปายประกาศ ปายคํากลอน
ตางๆ อยากทราบวาใครเดินสวนทางมา ใหหยุดเดินแลวกําหนดรูอาการ
อยากของจิตวาอยากดูหนอๆๆ เมื่อความอยากหายแลวก็เดินตอไป หรือมี
คนเขามาทักทายก็ใหหยุดเดิน อยามองสบตาเขา ใหทอดสายตาลงต่ํา ถาได
ยิ น เสี ย งเขาพู ด ก็ ใ ห กํ า หนดรู ว า ได ยิ น หนอๆๆ ถ า จะพู ด โต ต อบเขาก็ ใ ห
๔๖๗
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
กําหนดรู อาการของจิ ตที่อยากจะพูดกอนว า อยากพูด หนอๆๆ ขณะพูด ก็
กําหนดรูอาการที่ปากขยับขึ้นลง พูดใหนอยและสั้น และบอกวา “ขอโทษ
ดวย พระอาจารยทานหามไมใหพูด มีอะไรคอยพูดเมื่อดิฉันออกกรรมฐาน
แลว ขอตัวไปปฏิบัติธรรมกอนนะคะ” พูดจบแลวก็กําหนดเดินตอไป การเขา
ไปพูดคุยจะทําใหเสียสมาธิ ขาดการกําหนดรูที่ตอเนื่อง
เมื่อเดินถึงชายคาของศาลาปฏิบัติธรรมแลวใหหยุดยืนที่ริมฟุตบาท
กํ า หนดรู อ าการยื น ว า ยื น หนอๆๆ ขณะถอดรองเท า กํ า หนดรู ว า ถอด
หนอๆๆ ทั้งขางซายและขางขวา เมื่อถอดเสร็จก็กําหนดรูอาการยืนอีกครั้ง
ขณะเดิ น กําหนดว า ขวายางหนอ ซายยางหนอ เหมือนที่เ คยกําหนดมา
ขณะเห็นผาเช็ดเทา กําหนดรูวา เห็นหนอๆๆ ขณะเช็ดเทา กําหนดรูวา เช็ด
หนอๆๆ เมื่อมาถึงประตูเขาใหหยุดกําหนดรูอาการยืนวา ยืนหนอๆๆ ขณะ
เงยหน าขึ้นมองที่มือจับประตู กําหนดรูวา เห็น หนอๆๆ ขณะยกมือไปจั บ
กําหนดรูวา ยกหนอๆๆ ไปหนอๆๆ ถูกหนอๆๆ จับหนอๆๆ เลื่อนหนอ ขณะ
เอามือลงกําหนดรูวา ลงหนอๆๆ กําหนดรูอาการเดินเขาไปวา ขวายางหนอ
ซายยางหนอ เมื่อเดินพนประตูเขาไปแลว กําหนดรูอาการยืนวา ยืนหนอๆๆ
กําหนดรูกลั บตั วว า กลั บหนอๆๆ ยกหนอๆๆ ไปหนอๆๆ ถูกหนอๆๆ จั บ
หนอๆๆ เลื่อนหนอๆๆ(เลื่อนปด) กลับหนอๆๆ ขวายางหนอ ซายยางหนอ
การหยิบอาสนะมานั่ง เมื่อถึงที่อาสนะวางไวให หยุดยื น กําหนดรู
อาการยืนวา ยืนหนอๆๆ เงยหนาขึ้นกําหนดรูวา เงยหนอๆๆ ขณะเห็นผา
อาสนะกําหนดรูวา เห็นหนอๆๆ ขณะยื่นมือไปจับอาสนะกําหนดรู วา ยก
หนอๆๆ ไปหนอๆๆ จับหนอๆๆ ขณะดึงอาสนะมากําหนดรูวา ดึงหนอๆๆ ลง
หนอๆๆ แลวเดินไปหาที่จะนั่งสมาธิ กําหนดรูเหมือนการเดินทั่วไปคือ ขวา
ยางหนอ ซายยางหนอ เมื่อไปถึงที่จะนั่งแลว ใหกําหนดการปูอาสนะวา ยืน
หนอๆๆ ขณะกมตัว ลงกําหนดรูวา กมหนอๆๆ เมื่อมือที่จั บอาสนะถูกพื้น
กําหนดรู วา ถูกหนอๆๆ ขณะปลอยมือจากอาสนะลง กําหนดรูว า ปลอย
หนอๆๆ ขณะยืดตัวขึ้นกําหนดรูวา ยืดหนอๆๆ เมื่อยืนเต็มที่แลวกําหนดรู
อาการยืนวา ยืนหนอๆๆ ขณะปลอยแขน กําหนดรูวา ปลอยหนอๆๆ ทีละ
ขาง ขณะยอตัวลง กําหนดรูวา ยอหนอๆๆ หรือ ลงหนอๆๆ ใหรูตามอาการ
๔๖๘
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
เครงตึงและอาการเคลื่อนไหวของกาย ขณะเคลื่อนมือยันพื้น กําหนดรูวา
ยันหนอ หรือ ถูกหนอ ขณะหัวเขาถูกพื้น กําหนดรูวา ถูกหนอ ขณะยกมือมา
วางที่ หั ว เข า ขวาซ า ยกํ า หนดรู ที ล ะข า งว า ยกหนอ มาหนอ วางหนอๆ
กําหนดรูอาการนั่ง นั่งหนอๆๆ คืออาการเครงตึงตั้งตรงของกายสวนบน
การถอดแวนตา ขณะเอื้อมมือไปกําหนดรูวา เคลื่อนหนอๆๆ ขณะมือ
ถู กขาแว นกํ าหนดรู ว า ถู กหนอ จั บหนอ ขณะดึ งแว นออกกํ าหนดรู ว า ดึ ง
หนอๆๆ ขณะวางแวนลงกําหนดรูวา ลงหนอๆๆ ขณะแวนถูกพื้นกําหนดรูวา
ถูกหนอๆๆ ขณะปลอยมือกําหนดรูวา ปลอยหนอๆ ขณะยกมือมาวางบนหัว
เขาเหมือนเดิมกําหนดรูวา มาหนอๆๆ คว่ําหนอๆๆ ลงหนอๆๆ ถูกหนอๆๆ
การสวมแว น ตา ขณะอยากใส แ ว น ตากํ า หนดรู อ าการของจิ ต ว า
อยากหนอๆๆ ขณะเอื้อมมือไปกําหนดรูวา เคลื่อนหนอๆๆ ขณะมือถูกขา
แวนกําหนดรูวา ถูกหนอ จับหนอขณะยกแวนขึ้นมากําหนดรูวา ยกหนอๆๆ
ขณะเคลื่อนแวนมากําหนดรูวา เคลื่อนหนอๆๆ ขณะขาแวนถูกหนา กําหนด
รูวา ถูกหนอ ขณะดันแวนเขาไป กําหนดรูวา ดันหนอๆๆ ขณะปลอยมือลง
กําหนดรูวา ปลอยหนอๆๆ ลงหนอๆๆ ขณะมือถูกหัวเขากําหนดรูวา คว่ํา
หนอๆๆ ถูกหนอ
การบิณฑบาต (สําหรับพระภิกษุ) พระภิกษุ กอนถึงเวลาบิณฑบาต
ให ครองผา สะพายบาตร ด วยการกําหนดรู อิริ ยาบถยอยใหล ะเอีย ดที่สุ ด
เทาที่ทําได ขณะออกเดินบิณฑบาต ใหสํารวมสายตา มองไกลเทาที่จําเปน
(ให ร ะวั ง รถ) เวลาเดิ น กํ า หนดรู ว า ขวาย า ง ซ า ยย า ง หรื อ ย า งหนอๆๆ
นอกนั้ น กํ า หนดรู ต ามสภาวะ ขณะยื น รั บ บาตรกํ า หนดรู ว า ยื น หนอๆๆ
ขณะที่เปดฝาบาตร กําหนดรูวา เปดหนอๆๆ ขณะที่โยมใสบาตรใหมองแตใน
บาตร อยามองหนาโยม ขณะเห็นมือ-อาหาร กําหนดรูวา เห็นหนอๆๆ ถา
รู สึ กชอบใจ กํา หนดรู ว า ชอบหนอๆๆ ขณะป ด ฝาบาตรกํา หนดรู ว า ป ด
หนอๆๆ แลวเดิน ตอไป ขณะเท-ถายอาหารใสถุง ใหกําหนดรูตามสภาวะ
ความเปนจริง อยาใหขาดสติ ขาดการกําหนดรู
เมื่อเดินกลับมาถึงแลว ใหเอาอาหารเทใสกะละมัง เลือกอาหารที่เรา
จะฉัน โดยกําหนดดังนี้ ขณะเห็นถุงอาหารกําหนดรูวา เห็นหนอๆ ขณะยื่น
๔๖๙
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
มื อ ไปหยิ บ อาหารหรื อ ข า ว กํ า หนดรู ว า ไปหนอๆๆ ขณะมื อ ถู ก ถุ ง ข า ว-
อาหาร-ผลไม-ขวดน้ํา กําหนดรู วา ถูกหนอ ขณะจับ กําหนดรูว า จั บหนอ
ขณะนําอาหารมากําหนดรูวา มาหนอๆๆ ขณะใสลงในบาตร หรือถุงกําหนด
รูวา ใสหนอๆๆ เปนตน ขณะเดินไปกําหนดรูวา ขวายางหนอ ซายยางหนอ
จนถึงหอง ตอจากนี้จะเปลื้องจีวรเตรียมอาหารและของใช หรือทํากิจอยาง
อื่นทุกๆ อยาง ตองกําหนดรูตามความจริง อยาปลอยใหขาดสติเปนอันขาด
การลางบาตร เมื่อฉันอิ่มแลว ขณะเก็บของใชตางๆ หรือเก็บกวาด
สถานที่ก็ตองมีสติกําหนดรูดวย อยาใหขาดสติกําหนดรู การล างบาตรให
กําหนดรูตามความเปนจริงของสถานที่ บางแหงอาจใชกอกน้ํา บางแหงอาจ
ใชตักมาจากโอง โดยการรูตามอาการเคลื่อนไหวของมือทุกขณะที่เคลื่อน
๔๗๐
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
๗. ประวัติผูบรรลุธรรม
ประวัติและการบรรลุธรรมของพระอานนทเถระ
พระอานนท เดิมเปนเจาชายชาวสักกะ เปนพระโอรสของเจาอมิโตท
นะ พระอนุ ชาในพระเจ าสุ ทโธทนะ แห ง แคว น สั ก กะ ท า นประสู ติ ที่ พ ระ
ตําหนักของพระบิด า คัมภี รมธุรัต ถวิ ลาสินีร ะบุ วาทานประสูติ วันเดีย วกับ
เจาชายสิทธัตถะ เมื่อพระพุทธเจาประทับที่อนุปยนิคมของพวกมัลลกษัตริย
เจ า อานนท ไ ด ต ามเสด็ จ พระเจ า ภั ท ทิ ย ะ เจ า อนุ รุ ท ธะ เจ า ภคุ เจ า กิ
มพิละ และเจาเทวทัต กับอุบาลีซึ่งเปนชางกัลบก ออกบวชพรอมกัน เมื่อได
เขาเฝาพระพุทธเจาแลว เจาชายทั้ง ๖ พระองค กราบทูลขอใหบวชอุบาลี
กอน เจาชายบวชภายหลังจะไดลุกตอนรับ ทําอัญชลีกรรม สามีจิกรรมแก
เขา เพื่อเปนการลดความถือตัววาเปนเจาศากยะ พระพุทธเจาทรงจัดการ
ตามพระประสงคของเจาศากยะ โดยใหพระเวลัฏฐสีสะเปนอุปชฌายของ
พระอานนท
ในอานันทสูตร พระอานนทกลาวกับภิกษุทั้งหลายวา เมื่อทานบวช
แลวไดไมนาน ก็ไดไปฟงพระธรรมเทศนาของพระปุณณมันตานีบุตร กลาว
สอนดวยโอวาท ดังนี้
ความคิ ด ว า "เรามี เราเป น " มี ไ ด เ พราะความยื ด ถื อ รู ป เวทนา
สัญญา สังขาร และวิญญาณ หามีเพราะความไมยึดไมถือ เปรียบเสมือนหญิง
สาวหรือชายหนุมผูรักสวยรักงาม เมื่อมองดูเงาหนาใน กระจกหรือภาชนะ
อันใส ก็มองดูดว ยความยึดถือ ไมใชมองเพราะความไมยึดถือ รูป เวทนา
สั ญ ญา สั ง ขารและวิ ญาณ นั้ น อย า งใดอย างหนึ่ งที่ มี ใ นอดี ต หรื อป จ จุ บั น
ภายในหรื อภายนอก หยาบหรื อละเอีย ด เลวหรื อประณีต ไกลหรื อ ใกล
เหลานั้นทั้งหมด ไมใชของเรา เราไมเปนเชนนั้น ภิกษุผูเห็นอยางนั้น ยอม
เบื่ อ หน า ย คลายความกํ า หนั ด หลุ ด พ น และย อ มรู ว า ชาติ สิ้ น แล ว
พรหมจรรย อยูจ บแล ว กิจที่ควรทําก็ได ทําเสร็ จแล ว กิจอื่นเพื่อความเป น
อยางนี้ไมมีอีกแลว๔๗ จากนั้น ทานพระปุณณมันตานีบุตรไดถามทานวา รูป
๔๗
ส.ข. (ไทย) ๑๗/๘๓/๑๔๒.
๔๗๑
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไมเที่ยงทานตอบวา ไมเที่ยง และ
ในตอนสุดทายของการสอนธรรมครั้งนี้ ทานก็ไดตรัสรูธรรม บรรลุโสดาปตติ
ผล สําเร็จเปนพระโสดาบัน
หลั ง จากบรรลุ โ สดาบั น แล ว พระอานนท ไ ด ม ารั บ หน า ที่ “พุ ท ธ
อุปฏฐาก” ปรนนิบัติพระพุทธเจาอยางดี จนไดรับการยกยองจากพระพุทธ
องควาเปนเอตทัคคะผูเลิศกวาพระภิกษุสาวกทั้งหลาย ๕ ประการ คือ เปน
พหูสูต (ทรงจําพุทธวจนะไดมากที่สุด) เปนผูมีสติ เปนผูมีคติ เปนผูมีมีธิติ
(ความเพียร) และเปนพุทธอุปฏฐากผูเลิศ๔๘
เมื่อพระพุทธเจ าปรินิพพาน ภายหลังจากพิธีถวายพระเพลิงพระ
พุทธสรีระแลว พระมหากัสสปเถระเจาไดดําริจะใหมีการทําปฐมสังคายนา
พระธรรมวินัย ขณะนั้นพระอานนทยังไมไดเปนพระอรหันต ครั้นจะเลือก
ทานพระอานนทก็เกรงจะถูกครหาวา “เห็ น แกห นา” เพราะทานรั กพระ
อานนทมาก แตครั้นจะเลือกภิกษุอื่นไมเลือกพระอานนท ก็เกรงวาการทํา
สั ง คายนาครั้ ง นี้ จั ก ไม สํ า เร็ จ ผลด ว ยดี เพราะพระอานนท เ ป น ธรรม
ภั ณ ฑาคาริ ก จึ ง ได ร ะบุ ชื่ อ พระเถระอื่ น ๆ ๔๙๙ รู ป แล ว นิ่ ง เสี ย ต อ เมื่ อ
พระสงฆลงมติวาพระอานนทควรจะเขารวมทําสังคายนาครั้งนี้ดวย ทานจึง
ไดรับเขาเปนคณะสงฆผูจะทําสังคายนา ครบจํานวน ๕๐๐ รูป
กอนถึงเวลาประชุมทําสังคายนาพระธรรมวินัย ๑ วันเทานั้น พระ
อานนทไดทําความเพียรอยางหนัก ดวยการเจริญกายคตาสติ มีกําหนดการ
เคลื่อนไหวแหงอิริยาบถเดินจงกรมอยูภายนอกวิหาร เมื่อไมสามารถที่จะ
บรรลุคุณวิเศษไดแลว จึงคิดถึงพระดํารัสที่พระพุทธเจาตรัสวา “อานนท เธอ
เปนผูที่ไดทําบุญไวดีแลว จงหมั่นประกอบทําความเพียรเถิด จักเปนผูหาอา
สวะมิได โ ดยฉับ พลั น ”๔๙ ธรรมดาว าโทษแห งพระดํ ารั ส ของพระพุทธเจ า
ทั้งหลายยอมไมมี เราคงปรารภความเพียรมากเกินไปกระมัง จึงเปนเหตุให
๔๘
เสถียรพงษ วรรณปก, พุทธสาวก พุ ทธสาวิกา, พิมพครั้งที่ ๒,
(กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพพระพุทธ ศาสนาของธรรมสภา, ๒๕๕๕), หนา ๕๑-๕๒.
๔๙
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๐๗/๑๕๕.
๔๗๒
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
จิตฟุงซาน ดังนั้น เราจึงควรประกอบความเพียรใหสม่ําเสมอ ครั้นดําริอยาง
นี้ แลวจึงลงจากที่จงกรมเดินไปลางเทา แลวเขาไปสูวิหารนั่งบนเตียง ดวย
ความคิดวาจักพักผอนสักหนอยหนึ่งกอน จึงไดเอนกายลงบนเตียง เทาทั้ง
สองพนจากพื้น ศีรษะยังไมทันถึงหมอน เวนจากอิริยาบถ ๔ ไดแก ไมนั่ง ไม
ยืน ไมเดิน ไมนอน ในระหวางอิริยาบถ คือ ไดกําหนดอิริยาบถยอยดวยการ
เจริญสัมปชัญญะบรรพ ขณะนั้นเอง จิตก็หลุดพนจากอาสวะทั้งหลาย ดวย
การไมยึดมั่นในอุปาทาน เพราะมีการปรับอินทรียใหเสมอกัน จึงสําเร็จเปน
พระอรหันตพรอมดวยปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข ๘ และ อภิญญา ๖๕๐
ครั้นถึงเวลาประชุมทําสังคายนา พระมหาเถระรูปอื่นๆ ก็พากันไป
ยังธรรมสภา ณ ถ้ําสัตตบรรณคูหา เขตเมืองราชคฤหกันอยางพรอมเพรียง
และตางรูปตางก็นั่งอยู ณ อาสนะแหงตนๆ แตอาสนะของพระอานนทยังวาง
อยู เพราะทานพระอานนทคิดใครจะประกาศใหพระมหาเถระทั้งหลายได
ทราบวา ทานไดสําเร็จเปนพระอรหันตแลว จึงไมไดไปพรอมกับพระเถระ
อื่นๆ เมื่อกําหนดกาลเวลาพอเหมาะแลว ทานจึงแทรกดินลงไปและผุดขึ้น ณ
อาสนะแหงตน แตบางทานกลาววาทานเหาะไปทางอากาศตกลงบนอาสนะ
ของทาน
หลักธรรมที่สนับสนุนการบรรลุธรรมของพระอานนทเถระ
หลักธรรมที่ทําใหพระอานนทเถระไดสําเร็จเปนพระอรหันต ไดแก
องคธรรมที่มีสวนประกอบสําคัญ คือ ใหมีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ ได
ดวยเจริญกายคตาสติ ในหมวดกายา-นุปสสนาสติปฏฐาน ทานสําเร็จเปน
พระอรหันตดวยกําหนดอิริยาบถยอย ดวยการเจริญสัมปชัญญะบรรพ เวน
จากอิริยาบถ ๔ ไดแก ไมนั่ง ไมยืน ไมเดิน ไมนอน
๕๐
พระวีระพงษ วีรว โส (ภูงามดี), “ศึกษาการปฏิบัติวิปสสนาภาวนาตาม
แบบธัมมุทธัจจนัย: เฉพาะกรณีการบรรลุธรรมของพระอานนท”, วิทยานิพนธพุทธ
ศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๕๖), หนา ๗๙.
๔๗๓
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ประวัติและการบรรลุธรรมของพระปฏาจาราเถรี
ปฏาจาราเปนธิดาเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถี เปนที่รักเปนที่หวงแหน
ของบิดามารดามาก ไมยอมใหคบหาสมาคมกับบุรุษ ถึงกับสรางปราสาท ๗
ชั้นใหนางอยู จะไปไหนทีตองขออนุญาต ทําใหนางรูสึกอึดอัดมาก จนใน
ที่สุด นางเกิดความรักกับคนใชในบาน มีความสัมพันธ กันลั บๆ โดยที่บิด า
มารดาไมทราบ เมื่อทราบวามารดาบิดาจะใหแตงงานกับลูกชายเศรษฐีที่มี
ฐานะเทาเทียมกัน นางก็นัดแนะกับชายคนรักหนีออกจากบานไปอยูชนบท
หางไกล ทนอยูอยางอดๆ อยากๆ เพราะอานุภาพแหงความรัก ไมนานก็ตั้ง
ทองลูกคนแรก
เมื่ อ ใกล จ ะคลอดนางนึ ก ถึ งบิ ด ามารดา คิ ด ว า “ถา คลอดลู ก
ทามกลางบิดมารดาญาติพี่นอง คงจะอบอุนและปลอดภัย” จึงขอรองใหสามี
พากลับบาน สามีกลัวความผิดของตนเองเกรงวาจะถูกเศรษฐีทํารายไมยอม
ใหอภัย จึงบายเบี่ยงไมยอมพานางกลับ เมื่อสามีไมอยูบาน วันหนึ่งนางก็หนี
กลับบาน ระหวางทางเกิดปวดทองรุนแรงและคลอดลูกในระหวางทางนั้น
สามีตามมาทันจึงพากลับบานตามเดิม
ครั้งตั้งทองคนที่สอง นางก็ออนวอนสามีใหพากลับบานอีก สามีก็
บายเบี่ยงเชนเคย นางจึงพากลูกหนีสามีไปอีก สามีตามมาทัน บังเอิญวาวัน
นั้นเกิดพายุฝนกระหน่ํา สายน้ําหลากมาก สามีไปหาใบไมมาทําเพิงหลบฝน
แตเคราะหรายถูกงูกัดตาย ในขณะที่รอสามีมานางก็คลอดลูกคนที่สองใน
ทามกลางฝนตกหนัก นางตองทนทุกขทรมานตลอดคืน
เมื่อสวางแลวนางไดอุมลูกนอยที่พึ่งคลอดใหมและจูงลูกชายคนโต
เดินตามหาสามี เมื่อทราบวาสามีตายแลวก็เกิดรองไหเสียใจพาลูกกลับเมือง
สาวัตถี พบกระแสน้ําไหลเชี่ยวขวางทางอยู ครั้งจะพาลูกทั้งสองขามน้ําไป
พรอมกันก็ไมได จึงวางลูกชายคนโตใหรออยูฝงนี้ แลวอุมเอาลูกคนเล็กขาม
น้ําไปวางไวที่ฝงโนน กลับมาเพื่อจะรับลูกคนโตขามน้ํา พอไปถึงกลางลําธาร
ไดมีเหยี่ยวใหญตัวหนึ่งเห็นเด็กนอยพึ่งคลอดเขาใจวาเปนชิ้นเนื้อจึงโฉบลงมา
นางรีบยกมือทั้งสองขึ้นรองตะโกนไลเหยี่ยวเสียงดังลั่น สายเสียแลว เหยี่ยว
ไดโฉบเอาลูกนอยของนางไปตอหนาตอตา ฝายลูกชายคนโตเห็นแมยกมือ
๔๗๔
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ขึ้น ร อง นึ กว า แมร องเรี ย ก ก็กระโจนลงน้ํ าจะมาหาแม ถูกกระแสน้ํ าพั ด
หายไปในบัดดล ปฏาจาราไดสูญเสียทุกอยางหมดสิ้น สามีตายในระหวาง
ทาง ลูกชายคนหนึ่งถูกเยี่ยวโฉบไป อีกคนถูกน้ําพัดไป ชีวิตมันชางโหดราย
อะไรเชนนี้ นางรองไหคร่ําคราญอยางนาสงสารไปตลอดทาง
ระหวางเดินทางมุงหนาไปเมืองสาวัตถี พบชาวเมืองคนหนึ่งเดินสวน
ทางมา นางจึงถามถึงบิดามารดาของตน เมื่อไดรับคําตอบวาเมื่อคืนนี้ฝนตก
หนักไดพัดกระหน่ําบานเศรษฐีพังทับคนในบาน บิดามารดาและพี่ชายของ
ตนไดตายหมดแลว เทานั้น สติที่พอมีอยูบางก็ขาดผึ่งทันที นางลมลงสิ้นสติ
ไปทันที ฟนขึ้นมาอีกทีก็กลายเปนคนเสียสติเดินวนเวียนไปอยางไรจุดหมาย
จนผ าผ อนที่นุ งอยู ห ลุ ดหายไปไมรู สึ กตั ว ชาวเมืองเห็ น นางก็ไล ต ะเพิด ว า
“หญิงบาไปที่อื่นๆ ไป” ไมมีใครปรารถนาใหนางเขาใกล ถาใครสักคนรู
เบื้ อ งหลั ง ของนาง คงจะสงสารนางไม ก ล า ไล เ ป น แน แ ท นางเดิ น
สะเปะสะปะ หัวเราะบางรองไหบางเขาไปยังวัดเชตวัน
ขณะนั้นพระพุทธเจากําลังแสดงธรรมเทศนาอยู อุบาสกอุบาสิกา
ตางก็ออกปากไลนางใหหนีไป พระพุทธองคตรัสอนุญาตพวกเขาใหนางเขา
มา พรอมกับตรัสเตือนสติวา “นองหญิง จงกลับไดสติเถิด” นางไดสติคืนมา
เห็นตัวเองเปลือยกายลอนจอนตอหนาธารกํานัล ก็นั่งลงดวยความละอาย
อุบาสกคนหนึ่งไดโยนผาใหนางนุงห ม นางเขาไปกราบแทบพระยุคลบาท
กราบทูลพลางร่ําไหไปพลาง ถึงเหตุการณที่เกิดขึ้นกับนาง นางกลายเปนคน
ไรญาติขาดมิตรไปแลว
พระพุทธองคตรั สวา “อย าคิดมากเลยปฏาจารา สามี ลู กทั้งสอง
บิดา มารดา และพี่ชายของเธอก็ตายไปแลว ถึงเธอจะรองไหจนน้ําตาทวมตัว
เธอก็ชวยใหเขาเหลานั้นฟนขึ้นมาไมได น้ําตาของผูที่รองไหเพราะรักวิปโยค
ในสังสารวัฏอันยาวนานนี้ ถาจะวัดกันแลว มีมากกวาน้ําในมหาสมุทรทั้งสี่
เสียอีก เธออยาไดมัวประมาทอยูเลย จงทําที่พึ่งแกตัวเองเถอะ แลวเธอจะไม
ตองเสียน้ําตาอีกตอไป ปยชนคนที่เรารักทั้งหลาย มีบิดามารดาเปนตน ไม
อาจเปนที่พึ่งแกเราไดดอก นอกจากเราตองพึ่งตัวเราเอง” เมื่อไดฟงพระ
ดํ า รั ส ตรั ส ปลอบโยน นางก็ ค อ ยบรรเทาความเศร า โศกลง จิ ต ใจสงบ
๔๗๕
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ผ อ งใส ฟ งพระธรรมเทศนาจบได บ รรลุ โ สดาป ต ติ ผ ล จึ ง ทู ล ขอบวชเป น
ภิกษุณี พระพุทธองคไดสงเธอไปบวชในสํานักภิกษุณี
เมื่อบวชแลว ในวันหนึ่ง พระเถรีเทน้ําจากหมอดินลางเทา มองเห็น
น้ํ า ไหลไปหน อ ยหนึ่ ง แล ว ซึ มหายไปในดิ น เทลงครั้ ง ที่ส องน้ํ าไหลไปไกล
กว าเดิ มแลว ก็ซึมหายไป เทลงครั้ งสามน้ําไหลไปไกลกว านั้ นอีกแล ว ก็ซึม
หายไป นางไดคิดวา “ชีวิตคนเราก็เหมือนกับน้ําที่เทออกจากหมอน้ํา บาง
คนตายแตอายุยังนอย บางคนตายเมื่อเขาวัยกลางคน บางคนตายในวันแก
ชรา ชีวิตนี้ไมแนนอน” ทันใดนั้นก็มีแสงสวางวาบ พระพุทธองคปรากฏตอ
หนานางตรัสวา “ปฏาจารา เธอคิดถูกแลว การมีชีวิตอยูเพียงวันเดียวของ
คนที่พิจารณาเห็นความเกิดดับแหงเบญจขันธ ประเสริฐกวาการมีชีวิตอยูตั้ง
รอยปของคนที่มองไมเห็นสัจจะขอนี้” เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระปฏาจา
ราเถรีไดบรรลุพระอรหันตพรอมปฏิสัมภิทา (คือ ความรูแตกฉานในธรรม ๔
อยาง ไดแก ในเหตุ ๑ ในผล ๑ ในภาษา ๑ ในปฏิภาณ ๑)
พระเถรี ไ ด รั บ ยกย อ งจากพระพุ ท ธองค ใ นตํ า แหน ง เอตทั ค คะ
ทางดานเปนผูเครงครัดในพระวินัยอยางยิ่ง ประสบการณชีวิตเบื้องหลังชีวิต
ของนางกลายเปนประโยชนแกนางในการเผยแผพระพุทธศาสนา นางได
นําเอาประสบการณไปสอนภิกษุณีและสตรี ทั้งหลายไดเ ปนอยางดี จึ งมัก
ปรากฏวามีเหลาสตรีผูมีปญหาชีวิตมาขอคําแนะนําจากนางเปนจํานวนมาก
ชีวิ ต ของพระปฏาจาราเถรี จึ งเป น ชีวิ ต ที่น าศึกษาและเปน กําลั งใจแกผู ที่
กําลังประสบความทุกขอยางใดอยางหนึ่งใหยืนหยัดตอสูตอไป
หลักธรรมในการบรรลุธรรมของพระปฏาจาราเถรี
๑. คนเราโดยธรรมชาติเมื่อไดรับสิ่งสะเทือนใจอยางรุนแรง ไมวาจะ
เปนเหตุใด ยอมมีความทรงจําติดอยูในใจตลอดเวลา เมื่อมองสิ่งใดมักอด
หวนระลึกถึงเรื่องในอดีตนั้นไมได บางคนอดกลั้นน้ําตาไวไมอยูตองรองไห
ออกมา เชนเดียวกับภิกษุณีป าฏาจารา เมื่อนางเห็น น้ําที่ไหลก็ทําใหหวน
คิดถึงอดีตลูกๆ สามี พอแมและพี่ชายที่ตองมาตายจากไปในเวลาที่ไลเลี่ยกัน
เปนความสะเทือนใจที่ไมอาจลืมเลือนได แตนางเอาภาพการไหลของน้ําที่
เห็นนั้นมาพิจารณาเปนธรรมานุสติ โดยอาศัยอดีตที่เจ็บปวดมาเทียบเคียง
๔๗๖
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
๒. ลั ก ษณะการบรรลุ ธ รรมของภิ ก ษุ ณี ป ฏาจารา ใช วิ ป ส สนา
กรรมฐานเป น ตั วนํ า ในอิริ ยาบถเทน้ํ าจากหมอดิ นล างเทา แล ว พิจารณา
ธรรมารมณที่เกิดขึ้นเมื่อตากระทบรูป คือ น้ําที่ไหลออกไป เมื่อมีสติกําหนด
พิจ ารณาโดยอาศัย การพิจ ารณาใคร ครวญสภาวธรรมที่เ กิด ขึ้น องคแห ง
โพชฌงค ๗ จึงเกิดขึ้นและบริบูรณเต็มที่จนสามารถบรรลุอรหัตตผลในที่สุด
ประวัติและการบรรลุธรรมของสามเณรสังฆรักขิต
ป จ จยสั น นิ ส สิ ต ศีล นั้ น ชื่ อว า มีป ญญาเป น เหตุ ใ ห สํ าเร็ จ เพราะผู
ปญญาจึงจะสามารถมองเห็นโทษแลอานิสงสของปจจัยทั้งหลายได เพราะ
เหตุ นั้ น ภิ ก ษุ พึ ง ละความกํ า หนั ด ยิ น ดี ใ นป จ จั ย แล ว พึ ง พิ จ ารณาป จ จั ย
ทั้ง หลายอัน เกิด ขึ้ น โดยธรรมสม่ํา เสมอ ด ว ยวิ ธี ดั ง ได พ รรณนามาแล ว จึ ง
บริโภค พึงทําปจจยสันนิสสิตศีลใหสําเร็จดวยปญญาเถิด
การพิจาณาปจจัยทั้งหลายในปจจยสันนิสสิตศีลนั้นมี ๒ อยาง คือ
พิจารณาในเวลารับ ๑ พิจารณาในเวลาบริโภค ๑ อธิบายวา ปจจัยทั้งหลาย
มีจีวรเปนตน ที่ซึ่งไดพิจารณาดวยสามารถแหงความเปนธาตุหรือความเปน
ของปฏิกูลแมในเวลารับแลวเก็บไว เมื่อภิกษุบริโภคเลยเวลาจากการรับนั้น
ไปการบริโภคก็หาโทษมิไดเลย การบริโภคแมในการเวลาบริโภคก็หาโทษ
มิไดเหมือนกัน
การบริโภค ๔ ไดมีการแสดงถึงการบริโภคปจจัยทั้ง ๔ ไววามี ๔
อยาง คือ
๑. เถยยบริ โ ภค แปลว า การบริ โ ภคของผู ที่ ทุศีล ซึ่ งเป น เหมือ น
อยางวามา ขโมยของสงฆไปบริโภค ก็เพราะวาวัดวาอารามที่สรางขึ้น กุฏิ
วิหารที่สรางขึ้น ปจจัยทั้งหลายมีอาหาร ผานุงหม ยาแกไข และอื่นๆ ที่เขา
ถวายทั้ ง หมดนั้ น ผู มี ศ รั ท ธาต อ งการถวายผู ที่ มี ศี ล ตั้ ง ใจรั ก ษาศี ล
เพราะฉะนั้น เมื่อเปนคนทุศีล คือศีลชั่ว ศีลขาด ศีลดางพรอย ไมตั้งใจ
ปฏิบัติ ศีลใหดี มาครองผาเหลืองแลวมาอยูกุฏิที่เขาถวาย ฉันอาหารที่เขา
ถวาย อะไรเหลานี้เปนตน ก็เทากับวามาขโมยของสงฆบริโภค จึงชื่อวาเถยย
๔๗๗
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
บริโภค บริโภคโดยความเปน ขโมย หมายความวา ผูทุศีลมาบริโภค ใชสอย
ของสงฆของวัดของที่เขาถวายดวยศรัทธา
๒. อิณบริโภค บริโภคโดยเปนหนี้ ก็หมายความวาถึงแมวาไมใช
เปนผูที่ทุศีล เหมือนอยางนั้นปฏิบัติดีอยูในศีล แตวาในขณะที่รับก็ดี บริโภค
ก็ดี บริโภคแลวมิไดพิจารณาในสิ่งที่ไมไดพิจารณาในขณะที่บริโภคก็ดี ก็ชื่อ
วาบริโภคโดยความเปนหนี้ คือเหมือนอยางวากูยืมทรัพยสินเขามาบริโภค
๓. ทายัช ชบริโ ภค บริ โภคโดยความเปนทายาท ทานแกไว สูงว า
เปนการบริโภคของพระเสขะทั้ง ๗ คือ พระอริยบุคคล ๗ จําพวก ตั้งแต
พระผู ตั้งอยูในโสดาปต ติมรรค จนถึงพระผู ตั้งอยูในอรหัต ตมรรค แตเ มื่อ
พิจ ารณาดูแลว แมวาจะยังมิใชเ ปน พระเสขะ แตว าเป นผู ที่ตั้ งใจปฏิบั ติ ดี
ปฏิบัติชอบตามบทพระสังฆคุณ หรือปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน เพื่อ
ทําทุกขใหสิ้นไป ดังนี้ก็เปนทายัชชบริโภค บริโภคโดยความเปนทายาทได
คือพระเสขะ ดังกลาวก็ดี สรุปเอาทานที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คือบวชมาแลวก็
ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตั้งใจศึกษาเลาเรียน ตั้งใจปฏิบัติใน ศีล สมาธิ
ปญญา หรือไตรสิกขา อยูเพื่อความสิ้นทุกขตามกําลังสามารถ ก็ชื่อวาเปน
ทายาทของพระพุทธเจา เมื่อเปนทายาทของพระองคที่เปนสมณศากยบุตร
เปนบุตรของพระพุทธเจา ก็มีสิทธิ์ที่จะบริโภคใชสอยทรัพยสมบัติของบิดาได
๔. สามิบริโภค บริโภคโดยความเปนเจาของ ทานแสดงไวอยางสูง
ก็คือว า การบริ โ ภคของพระอรหั น ตขีณาสพผู สิ้ นอาสวะแล ว การบริ โ ภค
ปจจัยทั้ง ๔ ที่เขานํามาถวายนั้น เปนการบริโภคอยางเปนเจาของโดย
แท เพราะทานเปนผูที่บริสุทธิ์ดวยประการทั้งปวง
ทานแสดงการบริโภคไว ๔ ประการ ดั่งนี้ ก็เพื่อเปนเครื่องเตือนใจ
ของพระเณรทั้งหลายใหมีความสํานึกรูอยู เพื่อจะไดตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
และในขณะที่ บ ริ โ ภคก็ ใ ห พิ จ ารณาตามที่ พ ระพุท ธเจ า ทรงสั่ ง สอน ไม ไ ด
พิจารณาใจขณะนั้นก็ใหพิจารณายอนหลัง คือพิจารณาถึงสิ่งที่ได บริโภคไป
แลว รวมความก็เปนอยางเดียวกัน
เพราะเหตุนั้น จีวรจึงพิจารณาในทุกๆ ขณะที่บริโภค บิณฑบาตพึง
พิจารณาในทุกๆ คําขาว เมื่อภิกษุไมส ามารถปฏิบั ติอยางนั้นในเวลากอน
๔๗๘
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
อาหาร, หลั ง อาหาร, ในปุ ริ ม ยาม, มั ช ฌิ ม ยาม และป จ ฉิ ม ยาม ถ า ไม ไ ด
พิ จ ารณาเลย ปล อ ยให อ รุ ณ ขึ้ น ภิ ก ษุ นั้ น ชื่ อ ว า ย อ มตั้ ง อยู ใ นฐานะเป น
อิณบริโภค แมเสนาสนะก็พึงพิจารณาในทุกๆ ขณะที่บริโภค สําหรับเภสัช
เมื่อมีส ติ เ ป น ป จ จั ย ทั้งในขณะรั บ ทั้งในขณะบริ โ ภคจึ งจะควร แมเ มื่อเป น
เช น นี้ เมื่ อภิ ก ษุทํา สติ ใ นขณะรั บ แล ว บริ โ ภคไมได ทําอี กเป น อาบั ติ ไมทํ า
ในขณะรับแตทําในขณะบริโภคไมเปนอาบัติ
การบริ โภคป จ จัย ของพระเสกขบุ คคลทั้งหลาย ๗ จํ าพวก ชื่อว า
ทายัชชบริโภค จริ งอยู พระเสกขบุ คคลเหลานั้นเปนพระบุตรของพระผู มี
พระภาค เพราะเหตุนั้น พระเสกขบุคคลเหลานั้นยอมบริโภคปจจัยทั้งหลาย
โดยฐานะเปนทายาทแหงปจจัยทั้งหลาย อันเปนสมบัติของพระบิดา
ถาม – ก็พระเสกขบุคคลเหลานั้น บริโภคปจจัยทั้งหลายของพระผู
มีพระภาคหรือ? ไมใชบริโภคปจจัยทั้งหลายของคฤหัสถดอกหรือ?
ตอบ – แมปจจัยทั้งหลายอันพวกคฤหัสถถวายแลว ก็จัดเปนของ
แหงพระผูมีพระภาค เพราะเปนสิ่งอันพระผูมีพระภาคอนุญาตไว เพราะเหตุ
นั้ น นั ก ศึ ก ษาพึ ง ทราบว า พระเสกขบุ ค คลทั้ ง หลายย อ มบริ โ ภคป จ จั ย
ทั้งหลายของพระผูมีพระภาค อนึ่ง ธัมมทายาทสูตร๕๑ เปนเครื่องสาธกใน
อธิการนี้
การบริโภคของพระขีณาสพทั้งหลาย ชื่อวา สามิบริโภค จริงอยู
พระขีณาสพเหลานั้นชื่อวาบริโภคเปนนาย เพราะลวงพนความเปนทาสของ
ตัณหาไป
ในการบริโภคเหลานี้ สามิบริโภค ๑ ทายัชชบริโภค ๑ ยอมสมควร
แกพระอริยะและปุถุชนทั้งหมด อิณบริโภคไมสมควรทั้งหมด ในเถยยบริโภค
ไมจํามีอันพูดถึงกันละ อนึ่ง บริโภคที่ไดพิจารณาแลวของภิกษุผูมีศีลใด การ
บริโภคนั้นจัดเปนการบริโภคที่ไมเปนหนี้ เพราะเปนขาศึกแกการบริโภคเปน
หนี้ หรือจะจัดสงเคราะหเขาในทายัชชบริโภคนั้นแหละก็ดี จริงอยู แมภิกษุผู
มีศีลก็ยอมถึงซึ่งอันนับเปนเสกขะไดเหมือนกัน เพราะเปนผูประกอบดวยศีล
๕๑
ม.ม. (ไทย) ๑๒/๒๙-๓๓/๒๗/๓๓.
๔๗๙
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
สิ กขานี้ อนึ่ ง ในบรรดาบริ โ ภค ๔ อย างนี้ เพราะสามิ บ ริ โ ภคจั ด เป น การ
บริโภคชั้นยอด ฉะนั้น อันภิกษุเมื่อปรารถนาซึ่งสามิบริโภคนั้น พึงพิจารณา
ดวยวิธีพิจารณาอันมีประการดังกลาวมาแลวจึงบริโภค พึงยังปจจยสันนิสสิต
ศีลใหสําเร็จเถิด ก็แหละ เมื่อภิกษุกระทําใด ดังกลาวมานี้ ยอมจัดวาเปนกิจ
จการีผูมีปกติกระทํากิจ สมดวยนิพนธพจนอันบัณฑิตประพันธไววา:-
“พระสาวกผูมีปญญาอันประเสริฐไดสดับธรรมอันพระสุคตเจาทรง
แสดงแลว พึงพิจาณากอนถึงเสพ บิณฑบาต, วิหาร, ที่นอน, ที่นั่ง และน้ํา
สําหรับซักลางธุลีจับผาสังฆาฏิ เพราะเหตุนั้นแหละ ภิกษุจึงเปนผูไมติด
ในปจจยธรรมเหลานี้ คือ บิณฑบาต, ที่นอน, ที่นั่ง และน้ําสําหรับซักลางธุลี
จับผาสังฆาฏิ เหมือนหยาดน้ําไมติดในใบบัว ฉะนั้นภิกษุนั้น ครั้นไดอาหาร
โดยการอนุเคราะหจากคนอื่น ตามกาลแลวพึงเปนผูมีสติตั้งมั่นติดตอกันไป
รูจักประมาณในของเคี้ยว ของฉัน และของลิ้มเลียทั้งหลายเหมือนคนไขรูจัก
ประมาณในการทาแผลและพอกยา ฉะนั้ น ภิ ก ษุพึ งเป น ผู ไ มห ลงติ ด ฉั น
อาหารเพียงเพื่อยังอัตภาพและเหมือนพอคาเกวียนหยอดน้ํามันเพลาเกวียน
ฉะนั้น”
อนึ่ง ในความเปนผูกระทําปจจยสันนิสสิตศีลนี้ใหบริสุทธิ์ นักศึกษา
พึงเลาเรื่อง สามเณร สังฆรักขิตผูหลาน ประกอบดวย จริงอยู สามเณรนั้น
พิจ ารณาโดยชอบแล ว บริ โ ภค สมดังคําประพัน ธ ที่ส ามเณรนั้ นกลาวไว ว า
“พระอุ ป ช ฌายะได ส อนข า พเจ า ซึ่ ง กํ า ลั งฉั น ข า วสาลี อั น เย็ น สนิ ท ว า พ อ
สามเณร เจาจงอยาเปนคนไมสํารวม เผาลิ้นตัวเองเสียนะ ขาพเจาไดฟงคํา
สอนของพระอุปชฌาย ก็ไดความสังเวชในขณะนั้น นั่งอยูที่อาสนะเดียวได
บรรลุ พ ระอรหั ต แล ว ข า พเจ า นั้ น เป น ผู มี ค วามดํ า ริ เ ต็ ม สมบู ร ณ เหมื อ น
พระจันทรในวันเพ็ญ เปนผูมีอาสวะทั้งปวงหมดสิ้นแลวบัดนี้ภพไมมีอีกแลว
เพราะเหตุนั้น กุลบุตรแมอื่นปรารถนาความสิ้นไปแหงทุกข พึงพิจารณาโดย
แยบคายแลวจึงเสพปจจัยทั้งหลายเถิด”๕๒
หลักธรรมในการบรรลุธรรมของสามเณรสังฆรักขิต
๕๒
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค,๒๕๕๔), หนา ๖๑-๖๔.
๔๘๐
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
สามเณรสังฆรักขิตไดฟงคําสอนของพระอุปชฌายในขณะที่กําลังฉัน
ขาวสาลี สามารถมองเห็นโทษแลอานิสงสของคําขาวได พึงละความกําหนัด
ยินดีในคําขาวไดแลว พึงพิจารณาคําขาวทั้งหลายอันเกิดขึ้นโดยธรรมแลวจึง
บริ โ ภค สามเณรสั ง ฆรั ก ขิ ต จึ ง บรรลุ ธ รรมในขณะกํ า หนดอิ ริ ย าบถฉั น
(รับประทาน)
ผูบ รรลุธรรมขณะการกําหนดในอิริยาบถ
ในครั้ งพุทธกาลมีบุคคลที่ทําการเจริญสติกําหนดอิริย าบถปพพะ
แลวไดผลตางๆ กัน ซึ่งมีปรากฏในพระไตรปฎก อรรถกถา และธรรมบท มา
แสดงเพื่อเจริญศรัทธาปสาท เพิ่มพูนวิริยะ ปรับความเห็นตรงตอการปฏิบัติ
ธรรม ทําใหเกิดความมั่นใจ ปราศจากความลังเลสงสัย ไดรูผลที่ไดรับจริง จะ
แยกแสดงแตละอิริยาบถ คือ เดิน ยืน นั่ง นอน ตามลําดับ
ในอิริยาบถเดิน
พระจักขุปาลเถระ ทานเปนบุตรของคฤหบดีนามวามหาสุวรรณใน
เมืองสาวัตถี ญาติๆ ตั้งนามใหว า มหาปาละ มีนองชายนามวาจุ ลลปาละ
เพราะคฤหบดีไดไปบนบานตอรุกขเทวดา เมื่อเติบโตเจริญวัยแลวไดแตงงาน
จนกระทั่งตอมาผูเปนบิดามารดาชราภาพเสียชีวิตไป ทานไดสดับพระธรรม
เทศนาอนุปุพพีกถาจากพระศาสดา ซึ่งไดพรรณนาถึงทาน ศีล สวรรค โทษ
แหงกาม และอานิสงสแหงการออกบวช เมื่อฟงจบไดเกิดศรัทธาปสาทะใน
พระพุทธศาสนาจึงกราบทูลขอบวชแลวไดศึกษาวิปสสนาอยูในสํานักของ
พระพุทธองคเปนเวลา ๕ ป จากนั้นจึงกราบทูลลาไปปฏิบัติธรรมในปาพรอม
กับเพื่อนสหธรรมิก ๖๐ รูป โดยทานไดยึดหลักปฏิบัติอยางเครงครัดใน ๓
อิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง แตไมเอนกายนอนตลอดเวลา ๓ เดือนในพรรษา
จนไดบรรลุพระอรหัตตผลพรอมกับตาบอดทั้งสองขางในมัชฌิมยาม แลวเขา
สูหองไปนั่ง ทานจึงไดรับขนานนามวาพระจักขุปาลเถระ๕๓ มีความเห็นวา
๕๓
ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/-/๑-๒๕.
๔๘๑
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ทานนาจะบรรลุในอิริยาบถเดิน เพราะบรรลุนอกหองจึงนาจะเปนขณะที่อยู
ในอิริยาบถเดินจงกรม แลวจึงไดเขาไปในหองปฏิบัติตอไป
ในอิริยาบถยืน
พระสัปปทาส พระผูมีงูเปนทาส ทานไดฟงพระธรรมเทศนาแลวมี
ศรัทธาออกบวช ตอมาคิดจะลาสิกขา แตคิดวาความเปนคฤหัสถไมสมควร
และคิดจะตายในสมณเพศ จึงนั่งบนหมองูแลวเอามือเขาไปคนในหมองูนั้น
โดยอาปากงูเพื่อใหฉกกัด แตงูก็ไมยอมฉกกัด จึงไปที่วิหารหยิบเอามีดโกน
เตรี ย มจ อไว ที่ คอซึ่งยื น พาดไว บ นกิ่ งไม แต ขณะนั้ น ก็พิจ ารณาศีล ของตน
ตั้งแตอุปสมบทมาก็ไดเห็นวาตนนั้นมีศีลหมดจดปราศจากมลทิน ประหนึ่งวา
จันทรเพ็ญในราตรีที่ไมมีเมฆหมอกและประหนึ่งวาแกวมณีที่นายชางเจียรนัย
ไวอยางดี เมื่อขมปติไดแลวก็บรรลุอรหัตตผล เรื่องนี้อยูในธรรมบท อรรถ
กถา
ในอิริยาบถนั่ง
พระปญจวัคคีย เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจาตรัสรูแลวไดเสด็จไปโปรด
เหลาปญจวัคคีย โดยไดแสดงปฐมเทศนา “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ณ ปา
อิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี พระโกณฑัญญะไดดวงตาเห็นธรรม
พระพุทธองคไดทรงเปลงพระอุทานวา “โกณฑัญญะไดรูแลวหนอๆ” พระ
โกณฑัญญะไดกราบทูลขออุปสมบทเปนภิกษุดวยเอหิภิกขุอุปสัมปทา เมื่อ
ปฏิบัติจนอินทรียแกกลาควรอบรมเจริญวิปสสนาเพื่อความหลุดพนแลว พระ
พุทธองคจึงทรงแสดงเทศนา “อนัตตลักขณสูตร” จนทานไดสําเร็จเปนพระ
อรหันตพรอมกัน๕๔
ในอิริยาบถนอน
พระโคธิกะ (ชีวิตสมสีสี) การปรินิพพานของพระโคธิกะเถระ ทาน
อยูใกลถ้ํากาฬสิลาขางภูเขาอิสิคิลิ เปนผูไมประมาท มีความเพียร มีตนสงไป
๕๔
ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/-/๘๒-๘๓.
๔๘๒
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ถูกตองเจโตวิมุตติเปนครั้งคราว เมื่อเสื่อมจากเจโตวิมุตติดวยอํานาจแหงโรค
เรื้อรัง ทานยังฌานใหเกิดขึ้นแลวก็เสื่อมถึง ๖ ครั้ง ในวาระที่ ๗ คิดวา “เรา
เสื่อมจากฌานถึง ๖ ครั้ง คติของผูมีฌานเสื่อมไมแนนอน เราจักนําศัสตรามา
คิดฆาตนเพราะเสื่อมจากฌาน” จึงถือมีดสําหรับปลงผม นอนบนเตียงนอย
เพื่อจะตัดกานคอ มารรูจิตของทานแลว คิดวา “ทานเปนผูหมดความอาลัย
ในชีวิต” ทานก็เริ่มตั้งวิปสสนาแลวบรรลุพระอรหันต๕๕
เวนจากอิริยาบถ ๔
พระอานนท มีความดําริวา “ในวันพรุงนี้จะมีการประชุม เรายังเปน
เสขะอยู ไมสมควรจะไป” แลวยับยั้งอยูดวยกายคตาสติตลอดราตรี ในเวลา
ใกลรุง เดินจงกรมอยูภายนอกก็ไมยังคุณวิเศษใหเกิดขึ้น จึงคิดวา “พระผูมี
พระภาคเจาตรัสแกเราวา เปนผูไดทําบุญไวแลว จงหมั่นประกอบความเพียร
จักเปนผูหาอาสวะมิไดโดยฉับพลัน๕๖ โทษแหงพระดํารัสของพระพุทธเจา
ทั้งหลายยอมไมมี เราปรารภความเพียรมากเกินไป จิตของเราจึงฟุงซาน เรา
จะประกอบความเพียรใหสม่ําเสมอ”ดังนี้ ลงจากที่จงกรม ลางเทาเขาไปสู
วิหารนั่งบนเตียง จักพักผอนสักหนอยหนึ่ง พอไดเอนกายลงบนเตียง เทาทั้ง
สองพนจากพื้น ศีรษะยังไมถึงหมอน จิตก็พนจากอาสวะทั้งหลายไมถือมั่น
ดวยอุปาทาน เมื่อมีผูถามวา “ในพระศาสนานี้ ภิกษุรูปไหน ไมนอน ไมนั่ง
ไมยืน ไมจงกรม ไดบรรลุพระอรหันต จะตอบวา “พระอานนทเถระ” ก็ควร
เรื่องนี้พระอาจารย ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะ อัค
คมหากัมมัฏฐานาจริ ยะ ไดอธิ บ ายไวดั งนี้ ๕๗ “ภายหลั งที่ส มเด็ จ พระบรม
ศาสดาได เ สด็ จ ปริ นิ พ พานแล ว ๓-๔ เดื อ น ได มี ก ารประกอบพิ ธี ป ฐม
สังคายนา คือการชําระพระธรรมคําสั่งสอนของพระพุทธองค อันมีพระวินัย
๕๕
สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๑๕๙/๒๐๕-๒๐๗.
๕๖
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๐๗/๑๕๔-๑๕๖.
๕๗
พระอาจารย ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะ อัคคมหากัมมัฏฐา
นาจริยะ รจนา, ๑๐๐ ป อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ, พิมพครั้งที่ ๑, (บริษัทอมรินทรพ
ริ้นติ้งแอนดพับลิชชิ่ง,พ.ศ.๒๕๕๔), หนา ๒๔๐.
๔๘๓
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
เปนตน ในครั้งนั้นประกอบดวยพระสังคีติการกสงฆ ๕๐๐ องค ๔๙๙ องค
ลวนเปนพระอรหันตทั้งสิ้น สวนพระอานนทยังเปนพระโสดาบันอยู ดังนั้น
พระอานนท จึ ง ดํ า ริ จ ะทํ า วิ ป ส สนากรรมฐานให บ รรลุ เ พื่ อ เข า ร ว มการ
สังคายนาในฐานะพระอรหันต เวลาก็เหลือเพียงวันเดียว วันนั้นเปนวันแรม
๔ ค่ํา เดือน ๙ จึงไดเริ่มเจริญกายคตาสติ คือ กายานุปสสนาสติปฏฐาน ใช
จิตกําหนดกายวา ซายยางหนอ ขวายางหนอ จิตอยากกาว ในขณะกาวเปน
นามการกา วเป น รู ป ปรากฏเห็ น ชั ด ว า มี การ เกิ ด -ดั บ อยู ไม มีสิ้ น สุ ด ได
ปฏิ บัติ ตั้งแตกลางคืน จนเกือบจะรุงอรุ ณก็ห าไดเ กิดผลตอบสนองอะไรไม
พระอานนทจึงพิจารณาการเจริญวิปสสนาดวยความเพียรของตนวาไดเพียร
พยายามอยางเต็มที่แลว และสมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงมีพุทธพยากรณวา
จะไดถงึ พรอมดวยกุศลบารมีแลว จงหมั่นทําแตความเพียรเถิด จักสําเร็จเปน
พระอรหั น ต ในไมช าอย างแน นอน ทัน ใดก็นึ กได ว า แกความเพีย รเกิน ไป
สมาธิจึงออนอยู ทําใหเกิดความฟุงซาน (อุทธัจจะ) เมื่อระลึกไดอยางนั้น ก็
ใครจะปรุงวิริยะกับสมาธิใหเสมอกัน จึงตรงเขาหองนอนเพื่อพักผอน เปน
การคลายความเพียร พอลมตัวเทาพนพื้น ศีรษะไมถึงหมอนก็สําเร็จเปนพระ
อรหันตในขณะนั้น เปนมหัศจรรยยิ่งนัก ทานอรรถกถาจารยไดสดุดีความ
มหัศจรรยของพระอานนทในการสําเร็จเปนพระอรหันตวา ขณะนั้นเทาได
พนพื้นอยูในทาเอน จึงไมนับวาอยูในอิริยาบถยืน กายที่เอนเพื่อนอนนั้น ก็
นั บ ว า พน จากอิริ ย าบถนั่ ง และศีร ษะขณะเอนกายลงนั้ น ยั งไม ถึง หมอน
นั บ ว า พน จากอิ ริ ย าบถนอน ดั ง นั้ น นั บ ว า พระอานนท ไ ด สํ าเร็ จ เป น พระ
อรหันต โดยพนจากอิริยาบถ ๔ (คือ เดิน ยืน นั่ง นอน) และในฐานะที่ทาน
สํ า เร็ จ เป น พระโสดาบั น อยู แ ล ว ฉะนั้ น มรรคผลที่ เ หลื อ อี ก ๓ คื อ
สกทาคามิมรรคผล อนาคามิมรรคผล อรหัตตมรรคผล จึงสามารถบรรลุได
ในชั่วระยะเวลาอันสั้น”
บรรลุธรรมในขณะเวลากําลังปลงผม
พระสีวลีเถระเปนโอรสของพระนางสุปปวาสา ผูเปนพระราชธิดา
ของพระเจาโกลิยะ ทานอยูในครรภพระมารดาถึง ๗ ป ๗ เดือน ๗ วัน จึง
๔๘๔
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
ประสูติ เวลาประสูติก็งายดุจน้ําไหลออกจากหมอดวยอํานาจพุทธานุภาพ
คือ เมื่อครบกําหนดประสูติไดเสวยทุกขเวทนาลําบากมาก พระนางจึงให
พระสวามีไปกราบถวายบังคมทูลพระบรมศาสดา ซึ่งตรัสพระราชทานใหพร
วา
“สุขินี วต โหตุ สุปฺปวาสา โกฬิยธีตา,
สุขินี อโรคา อโรคํ ปุตฺตํ วิชายตุ”
ขอพระนางสุปปวาสา ผูเปนพระราชธิดาของพระเจากรุงโกลิยะ จง
เปนหญิงมีความสุข ปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติพระราชบุตรผูหาโรคมิได
เถิด”
เมื่อสีวลีกุมารเจริญวั ยขึ้นไดออกผนวชในสํ านักของทานพระสารี
บุตร ไดตั้งใจเจริญวิปสสนากรรมฐานบําเพ็ญสติสัมโพชฌงคอยางเต็มที่ จน
ไดรูแจงแทงตลอดอริยสัจ ๔ บรรลุ มรรค ผล นิพพาน สมความปรารถนา
คื อ สิ้ น อาสวกิ เ ลสทั้ ง ปวง เป น พระอรหั น ต เป น พระอเสขบุ ค คลใน
พระพุทธศาสนา นับวา ทานไดบรรลุมรรค ผล ในเวลากําลังปลงผม คังนี้ คือ
ครั้งที่ ๑ เวลามีดโกนจดลงที่ศีรษะ ไดบรรลุโสดาปตติผล
ครั้งที่ ๒ ไดบรรลุสกทาคามิผล
ครั้งที่ ๓ ไดบรรลุอนาคามิผล
ครั้งที่ ๔ พอปลงผมเสร็จ ทานก็ไดสําเร็จเปนพระอรหันต
ทั้ ง นี้ เ พราะได บํ า เพ็ ญ สติ สั ม โพชฌงค ม าอย า งเต็ ม ที่ โ ดยลํ า ดั บ
นับตั้งแตรับวิปสสนากรรมฐานมาจากพระอาจารย นับจากนั้นมาทานเปนผู
ที่ ส มบู ร ณ ด ว ยป จ จั ย ๔พระภิ ก ษุ ทั้ ง หลายก็ พ ลอยสมบู ร ณ ด ว ยป จ จั ย ๔
เชนกัน เพราะอาศัยบารมีทานดวย เหตุนี้ องคสมเด็จพระชินสีหจึงทรงยก
ยองวา เปนผูเลิศกวาภิกษุทั้งหลาย ฝายขางเปนผูมีลาภมาก
บรรลุธรรมขณะจรดมีดโกน
พระสัญชัยเถระ บุ ตรของพราหมณในนครราชคฤห เขาเจริ ญวั ย
แล ว เห็ น พราหมณ พ รหมายุ พ ราหมณ แ ละโปกขรสาติ พ ราหมณ มี ค วาม
๔๘๕
บทที่ ๘ วิธีกําหนดรูอิริยาบถ พิจารณาอริยสัจ ๔
เลื่อมใสในพระศาสนาไดเขาไปฟงธรรมไดเปนพระโสดาบัน บรรพชา พอ
ปลายมีดจรดก็ไดบรรลุพระอรหันตในเวลาที่มีดโกนจรด ๕๘
การกํ าหนดอิริ ย าบถย อ ย ถือ ว าเป น หั ว ใจสํ าคั ญยิ่ งสํ าหรั บ โยคี ผู
ปฏิบัติ เมื่อใดที่เราพลั้งเผลอ ไมกําหนดอิริยาบถยอย เมื่อนั้นเราไดสูญเสีย
ชีวิตของเรา เพราะนั่นหมายความวา เราไมไดเปนโยคีผูพากเพียรปฏิบัติ
แลว เพราะเราขาด สติ สมาธิ และปญญา
วิ ธี ป ฏิ บั ติ วิ ป ส สนาภาวนาในหมวดสั ม ปชั ญ ญะ ก็ เ พื่ อ ฝ ก ให มี
สติสัมปชัญญะ คอยกําหนดรูในการเคลื่อนไหวอิริยาบถยอยตางๆ เชน ใน
การกาว ในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการกิน ในการดื่ม เปนตน
หรือไมวาตนจะอยูในอิริยาบถใดๆ ก็ใหทําความรูตัวอยูเสมอ เห็นความเกิด
ความดับของรูปนามทั้งสอง จนเกิดปญญาหยั่งเห็นไตรลักษณวารูปนามที่
ตามรูในปจจุบันขณะนั้น ไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตน ละความยึดมั่นใน
รางกาย ตัวตน บุคคล เราเขา จิตขึ้นสูอารมณของวิปสสนาญาณ และ
สามารถจะบรรลุมรรคผลนิพพานไดในที่สุด
๕๘
ขุ.เถร.อ. (บาลี) ๑๐/-/๑๘๕-๑๘๖.
๔๘๖
ขั้นที่ ๑ เห็นรูปเห็นนาม
ขั้น นี้ เ ป น การกําหนดรู "ขั้น รู จั ก" คือกําหนดรู ต ามลั กษณะที่เ ป น
สภาวะอาการพอใหแยกออกจากสิ่งอื่นๆ ได การกําหนดรูผัสสะ คือรูเห็นวา
นี้ตาสัมผัส นี้หูสัมผัส ..นี้ใจสัมผัส นี้อธิวจนสัมผัส นี้ปฏิฆสัมผัส ..นี้สัมผัสเปน
ที่ตั้งแหงเวทนาที่เปนสุข นี้สัมผัสเปนที่ตั้งแหงเวทนาที่เปนทุกข นี้สัมผัสเปน
ที่ตั้งแหงเวทนาเปนอทุกขมสุข...นี้ผัสสะอันประกอบดวยกุศลจิต นี้ผัสสะอัน
ประกอบด ว ยอกุ ศลจิ ต นี้ ผั ส สะอัน ประกอบด ว ยอัพยากตจิ ต นี้ ผั ส สะอั น
ประกอบดวยกามาวจรจิต นี้ผัสสะอันประกอบดวยรูปาวจรจิต นี้ผัสสะอัน
ประกอบด วยอรู ป าวจรจิ ต...นี้ผั ส สะเป น ของว างเปล า นี้ ผั ส สะเป น ศีล นี้
ผัสสะเปนสมาธิ นี้ผัสสะเปนโลกิยะ นี้ผัสสะเปนโลกุตตระ นี้ผัสสะเปนอดีต
นี้ผัสสะเปนอนาคต นี้ผัสสะเปนปจจุบัน การรับรูเชนนี้เรียกวา ญาตปริญญา
วิธีปฏิบัติภาวนาในเบื้องตน โยคีพึงเจริญกายานุปสสนาสติปฏฐาน
เปนหลักกอน มีสติพิจารณารูป-นามตามลักษณะอาการ โดยเริ่มตนดวยการ
สมาทานศีล ๘ สําหรับฆราวาส สําหรับพระภิกษุตองปลงอาบัติกอน จากนั้น
รับบทกรรมฐานปฏิญาณตนมอบกายถวายชีวิตตอพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจา
เปนประธาน มีพระวิปสสนาจารยเปนผูนําพา เพื่อขอปฏิบัติสติปฏฐาน ๔
เพื่ อ ความรู แ จ ง เพื่ อพ น ทุ ก ข เป น ต น พระวิ ป ส สนาจารย ก็ จ ะให ค วามรู
เกี่ยวกับการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานตามแนวสติปฏฐาน ๔
การกําหนด คือ การใสใจเพงรูในอารมณที่จิตรับรูในปจจุบันขณะ
อยางจดจอ ตอเนื่อง โดยไมซัดสายไปหาอารมณอื่นๆ การกําหนดแบบสมถะ
เปนการทองภาวนาเพื่อควบคุมจิตไมใหซัดสายออกจากอารมณที่หมายรูอยู
นั้นเพียงอารมณเดียวอยูตลอดเวลา พรอมกับหาอุบายปดกั้นไมใหอารมณ
อื่นๆ เขามาในใจอีกดวย สวนการกําหนดรูแบบวิปสสนาเปนการพยายาม
เพงพิจารณาอาการของอารมณนั้นๆ โดยไมใหจิตซัดสายไปหาอารมณอื่นๆ
แตไมพยายามปดกั้นไมใหอารมณอื่นๆ แทรกเขามา และหากมีอารมณอื่นๆ
แทรกเขามาได ก็ใหเพงรูลงในอาการของอารมณใหมนั้นทันที พรอมๆ กับ
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
สังเกตอาการจิตที่จางคลายจากอารมณเกากอนหนานั้นไปดวย การกําหนดรู
แบบวิปสสนาแบงเปน ๓ ขั้น คือ ๑) ญาตปริญญา กําหนรูขั้นรูจัก ๒) ตีรณ
ปริญญา กําหนดรูขั้นพิจารณา ๓) ปหานปริญญา กําหนดรูขั้นละได
หลักการสําคัญในการบริกรรมภาวนาในขั้นนี้ ตองพยายามนอมจิต
เพงความรูสึกไปที่ตัวอารมณ ๙๐ % (ดูกาย ๖๐% +ดูทุกขเวทนา ๑๐% ดู
จิต ๑๐% พิจารณานิวรณธรรม ๑๐%) เพงความสนใจไปที่วิถีจิตที่บริกรรม
ภาวนาเพียง ๑๐ %
การกําหนดรู๑อารมณทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจนั้น อารมณ
ไหนปรากฏชัดเจนกวาก็ใหกําหนดอารมณนั้นๆ กอน เชน ในขณะที่เรานั่ง
ภาวนาอยูนั้น อารมณเกิดทางจมูกก็ไดกลิ่น ทางกายก็มีการกระทบ เชน เย็น
รอน ออน แข็ง หรือทุกขเวทนา เปนตน ที่เกิดรวม เมื่อสิ่งเหลานี้มาประสบ
และเกิดขึ้นพรอมกัน ก็ใหเรากําหนดอารมณที่ปรากฏชัดเจนที่สุดโดยเฉพาะ
อารมณที่เกิดโดยตรงภายในจิต
๑
การกําหนดรู คือ การนอมจิต (โนมจิต,สงจิต,สองจิต,จับจิต) เขาไปรับรู
อารมณ หรื อความรูสึ กต า งๆ ที่ เ กิด ขึ้น ในป จ จุ บั น ขณะอย า งแนบสนิ ท จดจ อ
ตอเนื่อง เฝาดูสภาวะปจจุบันอารมณอันเปนสภาพธรรมที่ปรากฏขึ้นตามความ
เปน จริ ง โดยปราศจากการคิดนึ ก ปรุง แต ง หรือเพิ่ม เติ มสิ่ง ใดๆ ลงไปในทุกๆ
ขณะที่มีการกําหนดรูอารมณนั้นๆเปนการจํากัดขอบเขตอารมณใหจิตรู ที่เรียกวา
โฟกัส (Focus) อารมณใหจิตรู ดวยสติที่ประกอบพรอมดวยความเชื่อมั่นในแนว
ปฏิบัติ อันสงผลใหมีวิริยะ สมาธิ และปญญาเพิ่มพูนขึ้นอยางตอเนื่อง
การบริ ก รรมภาวนาในการเจริ ญ วิ ป ส สนานั้ น ไม ใ ช ก ารท อ งบ น ,หรื อ
สาธยายเหมือนสมถะ แตเปนการบอกไปตามอาการที่จิตรูดวยสัมมาวาจา ชวย
ในการปรับจิตและสติใหโฟกัส(Focus)ตออารมณ รับรูอารมณที่ปรากฏอยางใส
ใจ กอเกิดเปนไตรสิกขาอยางครบถวน คือ ความสํารวมของผูเพียรพยายามใสใจ
กําหนดจัดเปนอธิสีลสิกขา ความตั้งใจมั่นของผูเพียรพยายามใสใจกําหนด จัดเปน
อธิจิตตสิกขา ความรูทั่วถึงของผูเพียรพยายามใสใจกําหนด จัดเปนอธิปญญา
สิกขา (วิสุทธิ. (บาลี) ๑/๒๒๐/๒๙๘.)
๔๘๘
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
๑. วิธีกราบและกําหนดรูอิริยาบถแบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
โยคีนั่งคุกเขา สนเทาราบกับพื้นทั้งชายและหญิง (เพราะใชเวลาใน
การกราบนาน) คว่ํามือไวที่เขาขวา-ซาย แลวคอยๆ พลิกฝามือขึ้นทีละขาง
โดยพลิกขางขวากอน พร อมทั้งกํ าหนดรู ดว ยสติว า “พลิกหนอๆๆ” โดย
จะต อ งแนบจิ ต เข าไปรู อ าการพลิ กฝ ามื อ เสร็ จ แล ว ยกมือ ขึ้น ช า ๆ พร อ ม
กําหนดวา“ขึ้นหนอๆ” เมื่อยกมาถึงอกก็ใหกําหนดวา “ถูกหนอ” ตอจากนั้น
เริ่ มพลิ กมือขางซาย ทําเช น เดี ย วกับขางขวา ยกมือทั้งสองขึ้น พนมกัน ไว
ระหวางอก แลวยกขึ้นจรดที่หนาผากระหวางคิ้วทั้งสอง เมื่อจรดที่ระหวาง
คิ้ ว แล ว โน ม ตั ว ลง (หั ว แม มื อ ยั ง ติ ด หน า ผาก) พร อ มกั บ กํ า หนดว า “ก ม
หนอ”“ลงหนอๆ” เมื่ อ ถู ก พื้ น กํ า หนดว า “ถู ก หนอ” เคลื่ อ นมื อ ขวาไป
ทางขวา เคลื่อนมือซายไปทางซาย “เคลื่อนหนอๆๆ” พลิกฝามือคว่ําลงทีละ
ขาง กําหนดวา “คว่ําหนอๆ” มือหางกัน ๔ นิ้ว แลวกมศีรษะลง กําหนดวา
“กมหนอๆ” เมื่อศีรษะจรดพื้น กําหนดวา “ถูกหนอ” ตอจากนั้นนิ่งสงบอยู
ในอาการนั้น แลวนอมจิตเจริญพุทธคุณ นอมนึกถึงคุณของพระพุทธเจาวามี
บุญคุณตอเราอยางไรบาง ใชเวลาประมาณ ๒-๕นาที แลวกําหนดจิต “อยาก
เงยหนอ” เวลาเงยก็กําหนดวา “เงยหนอๆ” ตอจากนั้นก็กราบแบบเดิมอีก
ครั้งที่ ๒ นอมจิตเจริญธรรมคุณ ครั้งที่ ๓ นอมจิตเจริญสังฆคุณ
หมายเหตุ ขณะกราบควรจะหลับตากราบ และใหทําชาๆ สติตามรู
อาการเคลื่อนไหวถี่ๆ ไมตองสนใจสิ่งรอบขาง ไมตองสนใจวาจะเสียเวลาไป
เทาไร จะกอใหเกิดสติ สมาธิ ปญญา และปดกั้นกิเลสไดเชนกัน
๒. วิธีเดินจงกรม แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
มีสติระลึกรูขณะเดินเปนการปฏิบัติวิปสสนาตามแนวสติปฏฐาน ๔
ในหมวดอิริยาบถบรรพ คือ เดิน ยืน นั่ง นอน พระพุทธองคตรัสวา “ภิกษุ
ทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อเดินก็รูชัดวา เดินอยู”๒ มีความเพียรใน
การกําหนดที่ประกอบดวยสติสัมปชัญญะในการระลึกรูอยูเนืองๆ ในการเดิน
๒
ดูรายละเอียดใน ที.ม. (ไทย)๑๐/๓๗๕/๓๐๔.
๔๘๙
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
หลังจากโยคีกราบสติปฏฐาน มีสติในการยืน กําหนดยืนตัวตรง มือ
ขวาจับขอมือซาย สนเทาทั้ง ๒ เสมอกัน ศีรษะตั้งตรงไมเอียงซาย หรือเอียง
ขวา ทอดสายตาลงต่ํา หางจากปลายเทาไปประมาณ ๔ ศอก ไมกมหรือเงย
ศีรษะจนเกินไป พอดีแกการเดินจงกรมนานๆ เมื่อจัดทายืนเรียบรอยแลว ให
หลับ ตา ดึงสติ มาจับอยูที่รางกาย อยาปล อยสติออกไปจากรางกาย มีส ติ
กําหนดรูอาการของรูปยืน ใหเห็นรูปของตัวเองยืนอยู ตั้งแตพื้นเทาจนถึง
ปลายผม จากปลายผมถึงพื้นเทา เห็นรูปยืนชัดคลายกับวามีกระจกใบใหญ
ทั้ง ๔ ดาน รวมทั้งขางบนและขางลาง เรียกวาใหมีสติ ภาวนาตามอาการวา
“ยืนหนอๆๆ”จนกวาพรอมที่จะเดิน ลืมตากึ่งหนึ่ง (อยาหลับตาเดิน)
กําหนดเดินจงกรมระยะที่ ๑ : ขวายางหนอ ซายยางหนอ
โยคีกําหนดสติไปจับอยูเทาขวา เดินชาๆ พรอมกับภาวนาตามอาการ
เคลื่อนไหวของเทาวา “ขวายางหนอ” “ซายยางหนอ”
ขณะที่ภาวนาในใจวา “ขวา” ใหตั้งจิตพรอมที่จะขยับเทาขวาพรอม
กันไปดวย ไมกอนไมหลังกัน ใหพรอมกันพอดีๆ และมีสติกําหนดพิจารณารู
อาการของเทาขวาพรอมกันไปดวย ครบองค ๓ คือ ๑) อาการที่เทา ๒) ใจ
นึกคําบริกรรมวา “ขวา” และ ๓) มีสติกําหนดพิจารณารูอาการของเทา
ขณะบริกรรมวา “ยาง” ตองเคลื่อนเทาไปขางหนาอยางชาๆ พรอมกับ
บริกรรมรูอาการไปพรอมๆ กัน และมีสติกําหนดพิจารณารูอาการของเทาที่
ยางพรอมกันไปดวย ในขณะที่วา “หนอ” เทาตองลงถึงพื้นพอดีกันกับคํา
บริกรรม และสุดลงพรอมๆ กันพอดีทั้ง ๓ อาการคือ เทานิ่ ง บริกรรมสุ ด
และจิตรูขาดจากอาการเทา สวนขางซายก็ปฏิบัติเชนเดียวกัน
กอนเดินจงกรม กําหนดยืนใหกายและใจพรอมเต็มที่กอน เปนการ
ฝกสติปฏฐานในหมวดอิริยาบถ ซึ่งพระพุทธเจาตรัสไววา “ิโต วา ิโตมฺหีติ
ปชานาติ”๓ ยืนอยู ก็มีสติกําหนดรูวา "ยืนอยู"
เมื่อยืนขึ้นแลวใหกําหนด "ยืนหนอ" เพื่อใชสติพิจารณาดูรูปยืนให
ชัดเจน วางเทาซายและเทาขวาชิด ปลายเทาเสมอกันหางกันเล็กนอย มือทั้ง
๓
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๗๔/๓๒๗.
๔๙๐
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
สองไขวหลังหรือกุมไวดานหนามือขวาจับมือซาย ศีรษะตั้งตรง ทอดสายตา
ไปเบื้องหนา ๑ วาหรือ ๔ ศอก การยืนตัวตรง เปนลักษณะของการตั้งตรง
ของรางกาย จัด เปน สภาวะตึ งของวาโยธาตุ๔ การกําหนดอิริยาบถยื นนั้ น
เพราะอาศัยจิตเกิดขึ้นวา เราจะยืน จิตนั้นทําใหเกิดวาโยธาตุ(จิตฺตชวาโย
ธาตุ)ๆ ทําใหเกิดความเคลื่อนไหว การทรงตัวตั้งขึ้นตั้งแตพื้นเทาขึ้นมาถึง
ปลายผมเปนที่สุด อันเกิดจากจิตปรุงแตงจิต รูสึกถึงอาการยืน โดยกําหนด
บริ ก รรมว า "ยื น หนอๆ" ให รู ลั กษณะของสภาวะอาการของรู ป ยื น กั บ คํ า
บริกรรมภาวนาตองพรอมกัน
ควรเดิน จงกรมกอนนั่งเจริญภาวนาทุกครั้ง ใหเ พิ่มการ
เดินจงกรมเปน ๒ ระยะ คือระยะที่ ๑ ขวายางหนอ-ซายยางหนอ
๑๕ นาที ระยะที่ ๒ ยกหนอ-เหยียบหนอ๑๕ นาที การเดินจงกรม
ให มีส ติ กํา หนดพิจ ารณารู อาการที่ย กเทา ขึ้น เหวี่ย งลงถู ก พื้ น๕
กําหนดพิจารณารูอาการของเทาที่เคลื่อนไหวใหทันทุกขณะที่ยาง
กาวอยาเผลอ ถาเผลอก็ใหกําหนดตามความเปนจริงวา “เผลอ
หนอ”มีรายละเอียด ดังนี้
เดินกลับไปกลับมา ชาๆ เปนจังหวะตอเนื่อง ประมาณ ๓- ๕ เมตร
กมหนาเล็ กน อย สงจิต กําหนดรู อาการเคลื่อนไหวของเทาแตล ะจั งหวะที่
เคลื่อนไปอยางจดจอตอเนื่องรับรูถึงความรูสึกของเทาที่คอยๆยกขึ้นคอยๆ
เหยียบลง และความรูสึกสัมผัสที่ฝาเทา (เย็นรอนออนแข็งตึงหยอน) สงจิตดู
อาการแตละอาการอยางจรดแนบสนิทกับอาการนั้นๆไมวอกแวก พรอมกับ
บริกรรมสําทับอาการที่รับรูนั้นไปดวย จนรูสึกไดถึงอาการที่เปลี่ยนไปดับไป
๔
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), มหาสติปฎฐานสูตร ทางสูพระนิพพาน.
พระคันธสาราภิวงศแปล, หนา ๗๗.
๕
ในการปฏิบั ติเ บื้อ งต น หากประคองเท าใหเ หยี ยบลงช าเกิน ไป ...จะเป นการ
ประคองสภาวะดวยอํานาจตัณหา และอุปาทาน..อยากใหเห็นชัดๆ..บางครั้งทําใหจติ ตก
จากอารมณปจจุบัน ทําใหฟุง หรือเบื่อเซ็งไปเลย แตหากเคยปฏิบัติมาเกิน ๕-๗ วัน
แลว ยิ่งชา..ยิ่งดี ยิ่งเห็นสภาวะชัด
๔๙๑
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
ของสภาวะนั้นๆเชนขณะยางเทาก็รูสึกถึงอาการลอยไปของเทาพอเหยียบลง
อาการลอย-เบาๆก็ดับไป..มีอาการตึงๆแข็งๆเขาแทนที่พอยกเทาขึ้นอาการ
ตึงๆดับไปกลับมีอาการลอยเบาๆเขาแทนที่เปนตน
ยิ่งเคลื่อนไหวชายิ่งเห็นอาการชัดในขณะที่กําลังเดินหากมีความคิด
เกิดขึ้น หรือเผลอคิด ใหหยุดเดินกอนแลวสงจิตไปดูอาการคิดนั้นโดยไมตอง
สนใจวาคิดเรื่องอะไรบริกรรมในใจวา “คิดหนอๆ”จนกวาความคิดจะเลือน
หายไปเองหากมีคดิ ซอนคิดก็ใหตามดูอาการไปเรื่อยๆจนกวาจะดับสนิทกอน
แลวจึงกลับไปกําหนดเดินตออยามองซายมองขวาพยายามใหใจอยูกับเทาที่
คอยๆเคลื่อนไปเทานั้น ถาเผลอสติหรือหลุดกําหนด ใหเริ่มใหมเผลอ..เริ่ม
ใหมๆไมตองหงุดหงิด ..เปนธรรมดาของผูปฏิบัติใหม!
เพิ่มบทพระกรรมฐานเมื่อนั่งไดครบ๑ ชั่วโมง
การปฏิบัติวิปสสนาตามแนวสติปฏฐาน ๔ ตองมีการสอบอารมณ
กับพระวิปสสนาจารย เพื่อปรับอินทรียใหถูกตองตามหลักอริยสัจ ๔ มรรคมี
องค ๘ ฉะนั้น เมื่อโยคีนั่งปฏิบัติไดครบ๑ ชั่วโมงทุกบัลลั งกพระวิป สสนา
จารยผูใหกรรมฐานควรใหบทพระกรรมฐานเพิ่มเติมในการเดินจงกรมดังนี้
๑) เพิ่มเทคนิคและระยะการกําหนดเดินจงกรม
กอนเดินจงกรมกําหนดยืนใหกายและใจพรอมเต็มที่กอนเมื่อยืนขึ้น
แลวใหกําหนดยืนหนอเพื่อใชสติพิจารณาดูรูปยืนใหชัดเจนมือทั้งสองไขวหลัง
หรือกุมไวดานหนามือขวาจับมือซายศีรษะตั้งตรงทอดสายตาไปเบื้องหนา๑
วา หรือ๔ศอกการยืนตัวตรงเปนลักษณะของการตั้งตรงของรางกายจัดเปน
สภาวะตึงของวาโยธาตุ๖การกําหนดอิริยาบถยืนนั้น เพราะอาศัยจิตเกิดขึ้นวา
เราจะยืนจิตนั้นทําใหเกิดวาโยธาตุ(จิตฺตชวาโยธาตุ) วาโยธาตุทําใหเกิดการ
เคลื่อนไหว การทรงตัวตั้งขึ้นตั้งแตพื้นเทาขึ้นมาถึงปลายผมเปนที่สุดอันเกิด
จากจิตปรุงแตงจิต รูสึกถึงอาการยืน โดยกําหนดบริกรรมวา“ยืนหนอๆ” ให
รูอาการของรูปยืนกับคําบริกรรมภาวนาตองพรอมกัน
๖
พระโสภณมหาเถระ (มหาสียาดอ), มหาสติปฎฐานสูตร. หนา๗๗.
๔๙๒
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
สําหรับผูปฏิบัติใหมเอาสติกําหนดใหรูชัด โดยจับความรูสึกตั้งแต
ปลายผมไลลงไป (สแกน) จนถึงปลายเทารวดเดียวพรอมกับบริกรรมสําทับ
ลงไปชาๆวา “ยืน...หนอ” จากนั้น กําหนดจับความรูสึกกลับขึ้นมาจากปลาย
เทาขึ้นไปถึงปลายผมพรอมกับบริกรรมวา “ยืน…หนอ” ปฏิบัติดังนี้อยาง
นอย ๓ หนจนกวารางกายและจิตใจนิ่งสงบถายังไมสงบก็ใหภาวนาตอไปจน
สงบจึงกําหนดรูจิตที่คิดจะเดิน“อยากเดินหนอ” ตอไป
เมื่ อ เข า ใจในหลั ก การปฏิ บั ติ เ บื้ อ งต น และสามารถเดิ น จงกรม
ระยะแรกอยางถูกตอง พระวิปสสนาจารยจะแนะนําใหเพิ่มกําลังความเพียร
โดยเพิ่มเวลาในการเดินจงกรม ๑ ชั่วโมงใหเทากับนั่งภาวนา และเพิ่มระยะ
การเดินจงกรมเปนระยะ ๒ และ ๓ ตามลําดับ ดังนี้
ระยะที่ ๑ ขวายางหนอ-ซายยางหนอ ๑๕ นาที
ระยะที่ ๒ ยกหนอ-เหยียบหนอ ๑๕ นาที
ระยะที่ ๓ ยกหนอ-ยางหนอ-เหยียบหนอ ๓๐ นาที
๒) เดินจงกรม แบบสันตติขาด
การเดินจงกรมใหมีสติกําหนดรูอาการ
ที่ยกเทาขึ้นเบาๆ เหวี่ยงเทาลงเหยียบพื้นชาๆ๗
ถ า เผลอก็ ใ ห กํ า หนดตามความเป น จริ ง ว า
“เผลอหนอ” เดินกลับไปกลับมา ประมาณ ๓-
๔ เมตร รั บรูถึงความรูสึก ที่เ ทาคอยๆ ยกขึ้น
คอยๆ ยางลง สงจิตดู อาการแตละอาการอย างจดจอแนบสนิทกับอาการ
นั้นๆ พรอมกับบริกรรมสําหรับอาการที่รับรูนั้นไปดวย จนรูสึกไดถึงอาการที่
เปลี่ยนไป ดับไปของสภาวะนั้นๆ วาจิตเกิดขึ้นวา เราจะเดิน จิตนั้นก็ทําให
เกิดวาโยธาตุ วาโยธาตุก็ทําใหเกิดวิญญัติ(ความเคลื่อนไหว) การนําสกลกาย
๗
แตในการปฏิบัติเบื้องตน หากประคองเทาใหกาว ใหเหยียบลง ชาเกินไป ...จะ
เปนการประคองสภาวะดวยอํานาจตัณหาและอุปาทาน อยากใหเห็นชัด ๆ อยากได
ธรรมะ อยากบรรลุเกินไป บางครั้งทําใหจิตตกจากอารมณปจจุบัน เปนโลภะไปเสีย
แตหากนั่งภาวนาจนกําหนดทุกขเวทนาดับไดแลว ยิ่งเดินชายิ่งเห็นเกิด-ดับ ชัด
๔๙๓
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
ใหกาวไปขางหนา ดวยความไหวตัวแหงวาโยธาตุอันเกิดแตการกระทําของ
จิตนี้เรียกวาเดิน๘ ขณะยางเทาก็รูสึกถึงอาการลอยไปของเทา พอเหยียบลง
อาการลอยก็ดับไป มีอาการตึงแข็งเขาแทนที่ เปนตน
อนึ่ง เมื่อนั่งภาวนาตอเนื่องเกิน ๑ ชั่วโมง กําหนดจี้ทุกขเวทนาตาม
รางกาย จนจิตไมทุกขไปกับเวทนานั้นๆ แลว เมื่อเดินระยะที่ ๒ และที่ ๓
ขณะที่ยกเทาเคลื่อนขึ้นพรอมกันทั้งเทา (โดยไมยกสนขึ้นกอน) จนสุดอาการ
ยกนั้น ใหเพิ่มโยนิโสมนสิการ (การใสใจพิจารณา) ใหมากขึ้น คือ ใหสังเกตดู
อาการสุ ด ลงของจิ ต ตั ว รู ที่ สุ ด ไป(ดั บ ขาด)พร อ มกั น กั บ อาการนั้ น ๆ ด ว ย
ในขณะยาง หรือขณะเหยีบบ ก็ดุจเดียวกัน
๓.วิธีนั่งกําหนดรูพอง-ยุบแบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
พระพุทธองคตรัสวา “ภิกษุในธรรมวินัยนี้ไปสูปาก็ดี ไปสูโคนไมก็ดี
ไปสูเรือนวางก็ดี นั่งคูบัลลังก ตั้งกายตรง ดํารงสติไวเฉพาะหนา มีสติหายใจ
เขา มีสติหายใจออก”๙
การปฏิบัติวิปสสนา โดยการนั่งเจริญกายานุปสสนาสติปฏฐานนั้น
พึงตั้งสติกําหนดดูอาการพองและอาการยุบของทองเปนอารมณหลัก อันเปน
วาโยโผฏฐัพพารมณ คือความหยอนหรือตึงภายในทอง ซึ่งจัดอยูในหมวด
ธาตุมนสิการบรรพ๑๐กําหนดรูตามอาการวา “พองหนอ ยุบหนอ” จนเห็น
สภาพความเคลื่อนไหวภายในทอง ซึ่งมีขั้นตอนปฏิบัติ ดังนี้
๑. นั่งคูบัลลังก (ควรนั่งแบบเรียงขา) ตั้งกายตรงคอตรงแตไมเกร็ง
๒. เพงความรูสึกไปที่อาการเคลื่อนไหวของทอง
๓. จิตใจจดจอ และแนบชิดที่อาการขึ้นๆลงๆของทอง
๔. วางจิตกําหนดบริเวณสะดือ ขณะที่กําหนดควรหลับตา
๕. ใชจิตเพียรพิจารณาดูอาการเคลื่อนไหวบริเวณทองโดยปลอยให
๘
ที.ม.อ. (ไทย)๒/๒/-/๒๙๙.
๙
สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๙๗๗/๔๕๓.
๑๐
ดูใน ม.มู. (ไทย)๑๒/๑๑๑/๑๐๗.
๔๙๔
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
ทองเคลื่อนไหวไปเองตามธรรมชาติไมเกร็งทอง
๖. ขณะที่ทองพองขึ้น กําหนดบริกรรมในใจวา “พองหนอ”
๗. ขณะที่ทองแฟบลง กําหนดบริกรรมในใจวา “ยุบหนอ”
๘. จิตที่รูอาการ “พอง-ยุบ” กับคําบริกรรมและสติที่ระลึกรูควรให
พรอมกัน
สิ่งที่พึงเวนขณะนั่งกําหนด
๑. ไมนั่งตัวงอหรือกมศีรษะ (เวนแตมีสภาพรางกายเปนเชนนั้น)
๒. ไมเปลงเสียง หรือบนพึมพํา ในขณะกําหนดอาการพอง-ยุบ
๓. ไมควรลืมตาเพื่อสอดสายหาอารมณภายนอก
๔. ไมควรพยายามเคลื่อนไหวรางกายบอยจนเกินไป
๕. ไมควรนั่งพิงเกาอี้พนักพิงหรือเสา (เวนกรณีแกสภาวะหรือ
สุขภาพ แตควรแกดวยการยืนจะดีกวา)
๖. ไมควรนําคําบริกรรมที่ไมตรงตามสภาวธรรมที่เปนจริงมาใช
๗. ไมควรบังคับลมหายใจเขา-ออกเพื่อหวังจะเห็นพอง-ยุบชัดๆ
เมื่อเดินจงกรมครบเวลาที่กําหนดไวแลว ใหกําหนดเดินไปยืนตรงที่
นั่ง มีสติกําหนดพิจารณารูรูปยืน แลวใหนั่งลง คอยๆ ยอตัวลงจนกวาจะนั่ง
เสร็จ ภาวนาตามอาการวา “นั่งหนอๆ” “ขยับหนอๆๆ” ไปเรื่อยๆ พรอมกับ
ใหมีสติกําหนดพิจารณารูอาการนั้นๆ ทุกขณะๆ ไปจนกวาจะนั่งเรียบรอย
เมื่อนั่งเรียบรอยแลวใหหลับตาเอาสติมาจับอยูที่อาการเคลื่อนไหว
ภายในทองตรงที่รูสึกไดชัดที่สุด (บริเวณสะดือ) เวลาหายใจเขาทองพองให
ภาวนาตามอาการของทองที่พองขึ้นวา “พองหนอ” ใจที่รูสึกกับทองที่พอง
ตองใหทันกันใหตรงกันพอดี อยาใหกอนหรือหลังกันพรอมกับใหมีสติกําหนด
พิจ ารณารูอาการของทองพองว าต นพอง กลางพอง สุ ดพองนั้น มีอาการ
อยางไรพรอมกันไปดวย เวลาหายใจออกทองยุบลงใหภาวนาตามอาการของ
ทองที่ยุบลงวา “ยุบหนอ” ใจที่รูสึกกับทองที่ยุบนั้นตองใหทันกันใหตรงกัน
พอดี อยาใหกอนหรือหลังกันพรอมกับใหมีสติกําหนดพิจารณารูอาการของ
ทอง ตนยุบ กลางยุบ สุดยุบนั้น มีอาการอยางไรพรอมกันไปดวย
๔๙๕
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
ผูที่กําหนดอาการพอง-ยุบไดยาก ควรปฏิบัติดังนี้
ควรเดินจงกรมกอนแลวกลับมานั่งทุกครั้งเพราะการเดินจงกรมสงผล
ใหเกิดสัมมาสติไดงายและสมาธิอยูไดนานกวาการนั่งภาวนา๑๑ขณะยอ
ตัวลงนั่ง พึงกําหนดรูสภาวะอาการนั้นๆ วา“ลงหนอๆ”พึงกําหนดรูสภาวะ
การเคลื่อนไหวของกายทุกขณะๆอิริยาบถที่มีการเคลื่อนไหวกําหนดจิตรูรูป
นั่งภาวนาวา “นั่งหนอๆ”จิตแนบแนนอยูกับอาการปรากฏทางกายกําหนด
รูสึกตัวทั่วพรอมสม่ําเสมอพรอมกับกําหนดวา “นั่งหนอนั่งหนอ” จากนั้น
๑. ตองนั่งตัวตรง หลังตรง หายใจตามธรรมชาติ ไมเบงทอง
๒. ใชฝามือทาบที่ทอง จะรูสึกถึงอาการขึ้น-ลงของทองชัดเจน
๓. ในตอนแรก ใหรูอาการพอง-ยุบก็พอ ยังไมตองบริกรรม
๔. ถาพอง-ยุบชัดดีแลว จึงใสคํากําหนดตามอาการ ถาใส“หนอ”
ไมทันพองขึ้นมากอน ก็ไมตองใส กําหนดเพียง “พอง-ยุบ” หรือ “รู-รู” ก็พอ
๕. ถายังหาพอง-ยุบไมพบอีก ใหเปลี่ยนฐานไปกําหนด “นั่งหนอ-
ถูกหนอ” แทน กําหนดรูปนั่ง ไมใชตามดูรูปสัณฐานศีรษะ คอ หรือขา แตให
กําหนดรูเ พียงอาการนั่ ง หรื อความรู สึกนั่ งเทานั้ น จากนั้ น สงจิ ตไปรูชั ด ที่
อาการสัมผัสถูก ที่กนยอยดานขวา-ซาย กําหนดวา “ถูกหนอ” สลับกันไป
๖. ขณะที่กําหนด “นั่งหนอ-ถูกหนอ” คําบริกรรม และความรูสึกใน
อาการนั่ง อาการถูก ตองพรอมกันไมใชทองแตปาก ตองรูอาการดวย
๗. ตองกําหนดใหไดจังหวะพอดีไมเร็วเกินไปไมชาเกินไปใหเปน
ธรรมชาติ
๘. สําหรับผูที่เคยทําอานาปานสติ๑๒ (กําหนดลมหายใจมากอน) ถา
กําหนดพอง-ยุบไมไดใหกําหนด “นั่งหนอ-ถูกหนอ” ไปกอนแลวคอยกลับมา
กําหนดพอง-ยุบทีหลัง
๙. ถาพอง-ยุบปกติใหกําหนด“พองหนอ-ยุบหนอ”ถาพอง-ยุบเร็ว
ขึ้นมาใหกําหนดเพียงวาพอง-ยุบไมตองใส “หนอ” ถาพอง-ยุบเร็วมากให
๑๑
ดูใน องฺ.ปฺจก. (ไทย) ๒๒/๒๙/๔๑.
๑๒
ดูรายละเอียดใน สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๙๘๒/๔๕๘.
๔๙๖
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
กําหนดวา “รูหนอๆ”หรือ “รูๆๆ” เพียงแครู ไมตองเรงคําบริกรรมตาม
อาการพอง-ยุบที่เร็วนั้น
การปฏิบัติเชนนี้ทําใหจิตจดจอมากขึ้น เปนการเพิ่มวิริยะทางใจเพื่อ
ไมใหตามรูอยางผิวเผิน เปรียบเหมือนกอนดินเหนียวที่ขวางใสผนังดวยกําลัง
แรง ยอมกระทบถูกผนังและติดแนน ถาถูกขวางดวยกําลังไมเพียงพอ ก็อาจ
พุงไปไมถึงผนัง หรือแมกระทบผนังก็ไมติดแนน๑๓
โยคีบางคนพอง-ยุบสั้น แผวเบา ใหเพิ่มสติจ ด
จองไปที่อาการพอง-ยุบนั้น โดยบริกรรมเพียงวา “พอง-
ยุบ” ไมตองใส“หนอ”ตอทาย ถามีแคอาการเคลื่อนไหว
จํ า แนกเป น พอง-เป น ยุ บ ไม ไ ด ก็ ใ ห กํ า หนดรู ป นั่ ง ใหญ
แทน คือ กําหนดรูอาการ (ความรูสึก) นั่ง แตไมตองนึก
ถึงรูปนั่ง “นั่งหนอ” รวดเดียว จากนั้นสงจิตจี้ไปที่กน
ยอยขางขวาถูกพืน้ “ถูกหนอ” แลวกลับมาดูอาการนั่งอีก “นั่งหนอ” จากนั้น
สงจิตจี้ไปที่กนยอยขางซายถูกพื้น “ถูกหนอ” ทําอยางนี้สลับกันไปเรื่อยๆ
จนกวาอาการพอง-ยุบจะชัดขึ้น แลวกลับมากําหนดอาการพอง-อาการยุบ
ตามปกติ
ถามีภาพนิมิตหรือเห็นแสงสี ใหกําหนดทันทีวา “เห็นหนอๆๆ”
กําหนดที่อาการเห็น ไมใชกําหนดภาพที่เห็น ถารูสึกชอบกําหนดวา “ชอบ
หนอๆ” ถารูสึกกลัวก็กําหนดวา “กลัวหนอๆ” จนกวาจะดับไป
นั่งภาวนา นั่งบัลลังกละ ๑ ชั่วโมง (จนทุกขเวทนาดับ) มีสติกําหนด
พิจารณารูอาการเคลื่อนไหวในทอง ตั้งแตตนพอง-กลางพอง-สุดพองตนยุบ-
กลางยุบ-สุดยุบ ของอาการเคลื่อนไหวของวาโยธาตุในชองทอง วามีอาการที่
แทจริงอยางไร ใหมีสติกําหนดพิจารณารูอาการพอง-อาการนูน รูอาการยุบ-
อาการแฟบของทองเทานั้น อยาแกลงเบงทอง อยาไปดูลมหายใจเขา-ออก
อยาบังคับลมหายใจใหผิดจากอาการปกติ เมื่อนั่งเรียบรอยแลว หลับตา สติ
มาจับอยูที่อาการเคลื่อนไหวภายในทอง ตรงที่รูสึกไดชัดที่สุด (บริเวณสะดือ)
๑๓
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสะยาดอ), วิปสสนานัย เลม ๑, หนา ๑๗๔.
๔๙๗
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
ภาวนาตามอาการของทองที่พองขึ้นวา “พองหนอ” ใจที่รูสึกกับทองที่พอง
ต องให ทัน กัน ให ต รงกัน พอดี อย าให กอ นหรื อ หลั งกั น พร อมกับ ให มีส ติ
กําหนดพิจารณารูอาการภาวนาตามอาการของทองที่ยุบลงวา “ยุบหนอ” ใจ
ที่รูสึกกับทองที่ยุบนั้นตองใหทันกัน ใหตรงกันพอดี อยาใหกอนหรือหลังกัน
๔.วิธีกําหนดรูอิริยาบถแบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
กําหนดนอน
คอยๆ ยอตัวลงนั่ง ในสถานที่ที่จัดเตรียม
ไวนั่งคุกเขาแลวพับเพียบลง (จะนอนตะแคงหรือ
จะนอนหงายก็ได) จากนั้นใหเหยียดเทาขวาออก
ก อ น ตามด ว ยเท า ซ า ยโดยภาวนาว า “เหยี ย ด
หนอๆ” คอยๆ เอนตัวลงนอน พรอมภาวนาวา
“นอนหนอๆ” ในขณะที่ภาวนานั้นใหมีสติกําหนดพิจารณารูอาการความ
เคลื่อนไหวของรางกายใหทันปจจุบันอยูตลอดเวลาจนกวาจะกําหนดจัดทา
นอนเรียบรอย จากนั้นใหเอาสติมากําหนดพิจารณารูอาการพอง-ยุบตอไป
จบกวาจะหลับ ผูปฏิบัติใหมจะรูสึกกําหนดยาก แตเมื่อเจริญวิปสสนาแกกลา
แลว จะเห็นวาการกําหนดอิริยาบถนอยใหญทั้งปวงนั้น สามารถกําหนดได
ทันปจจุบันธรรมดี
ขอควรระวัง การนอนกําหนดนั้น ไมควรใชกับการกําหนดนั่ง ควร
ใช กํา หนดเฉพาะเวลานอนเทา นั้ น เพราะโยคี กํา หนดอิริ ย าบถนอนแล ว
โดยมากมักจะเผลอสติหลับไปเสีย๑๔
การกําหนดรับประทานอาหาร
เมื่อ นั่ ง ที่โ ต ะ อาหารเห็ น อาหารที่อ ยู ต รงหน าให กํ าหนดว า "เห็ น
หนอๆ"
เห็นแลวมีจิตคิดวาเปนขาวมันไก, หมู, เนื้อ ใหกําหนดวา "คิดหนอๆ
๑๔
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ., เอกสารประกอบการสอน รายวิชาสัมมนา
วิปสสนา, ศูนยบัณฑิตวิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม, ๒๕๕๕), หนา ๓๑๘.
๔๙๘
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
รูหนอๆ" หากมีจิตอยากกินอาหาร ก็ใหกําหนดวา "อยากหนอๆ"
ขณะกําลังฉันหรือรับประทานอาหาร ใหกําหนดวา "เคี้ยวหนอๆๆ"
หรือ "กลืนหนอๆๆ" หากมีจิตชอบหรือไมชอบ ใหกําหนดวา "ชอบหนอๆๆ"
หรือ "ไมชอบหนอๆๆ" หากไดกลิ่นพรอมๆ กับรูรสของอาหารใหกําหนดวา
"รูหนอๆ"
๕. วิธีเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน๑๕
เวทนา ๓ ไดแก สุข ทุกข อุเบกขา พูดใหเขาใจงายๆ ก็คือ ความ
สบาย ความไมสบาย และเฉยๆ ในขณะที่เรากําหนดนั่งอยูนั้น (หรือขณะกิน
ดื่ม ทํา พูด คิด เดิน ยืน นั่ง นอน) ถามีเวทนาอยางใดอยางหนึ่งเกิดขึ้น เชน
สุข ทุกข เหนื่อย เวียนศีรษะ เจ็บปวด แสบรอน ซาบซาน หนาว เย็น คัน ชา
หรือเฉยๆ เปนตนถาอาการปรากฏขึ้นมาชัดเจน เชน ถาเกิดความสุขก็สุข
มาก ถาเกิดความทุกขก็ทุกขมาก เปนตน คือ มากกวาอาการพอง-ยุบ และ
มากกวาอาการอยางอื่น ในลักษณะเชนนี้ใหปลอยอาการพอง-ยุบ เอาสติไป
กําหนดพิจารณาอาการของเวทนานั้นโดยภาวนาวา “สุขหนอ ทุกขหนอ
เหมื่อยหนอ เวียนศีรษะหนอ..คันหนอ ชาหนอ เฉยๆ หนอ" เปนตน ตาม
อาการของเวทนานั้นๆ สุดแตเวทนาอยางไหนจะปรากฏชัดเจน พรอมกับให
มีสติพิจารณารูอ าการของเวทนานั้น วามีอาการอยางไร พรอมกันไปดวย
การกําหนดพิจารณารูเวทนาไมใชกําหนดใหเวทนาดับไป แตเปน
เพียงใหมีสติพิจารณารูอาการของเวทนาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ใหทราบชั ด
ตามความเปนจริงทุกขณะๆ ไปเทานั้น และอยาใหความยินดีชอบใจ หรือ
ความยินรายไมชอบใจเกิดขึ้นมา ใหจิตของโยคีดํารงอยูในความเปนกลาง
ตลอดเวลา ในขณะที่พิจ ารณาอยูนั้น เมื่อมีสติกําหนดพิจ ารณาเวทนาอยู
สมาธิของโยคีคนใดมีมากวิปสสนาญาณแกกลามีกําลังมาก อาการเวทนา
อาจดับไปในขณะที่กําลังกําหนดรูอยูนั้นก็ได
๑๕
ดูรายละเอียดใน ที.ม. (ไทย)๑๐/๓๘๐/๓๑๓.
๔๙๙
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
๖.วิธีเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน
ในขณะที่เดินจงกรม หรือนั่งภาวนาอยูนั้น ถาจิตคิดถึงอารมณที่เปน
อดี ต อารมณที่เ ปน อนาคต อารมณที่เป นบุ ญ อารมณที่เ ปน บาป เปน ต น
ในขณะนั้นใหปลอยอาการพอง-ยุบ เอาจิตและสติไปกําหนดที่อาการคิดนั้น
ภาวนาวา“คิดหนอๆ” พรอมกับพิจารณารูอาการของจิตไปในขณะเดียวกัน
ดวย ในขณะเดินจงกรม หรือนั่งภาวนาอยูแมเมื่อจิตมีความดีใจ เสียใจ โลภ
โกรธ หลง ราคะ มานะ เป น ต น เกิด ขึ้น ร ว มด ว ยก็ใ ห ป ล อ ยอาการพอง-
อาการยุบ แลวเอาสติไปกําหนดที่ความรูสึกนั้นๆ จนกวาจะดับไป โยคีควร
กําหนดรูอาการทางใจ โดยไมตองวิเคราะหตัดสิน หรือมีปฏิกิริยาใดๆ ตอ
สภาวธรรมที่เกิดขึ้น๑๖จนกวาสภาวะอาการของจิตนั้นสงบไป
วิธีกําหนดจิตคิด
การตามกําหนดรูจิ ต ผูป ฏิ บัติ ควรเอาใจใส เป น พิเ ศษ เพราะการ
กําหนดรูจิตนั้นเปนของละเอียดออนมาก ถากําหนดไมถูกวิธีบางครั้ง ทําให
สับสนและฟุงซานมากขึ้น เปนสาเหตุที่ทําใหเกิดความเครียดและอาการมึน
ตึงของศีรษะไดดวย อันเปนปญหาและอุปสรรคของนักปฏิบัติบางทาน ที่
ขาดความเขาใจในเรื่ องวิธี กําหนดรูแบบนี้ อยางถูกต อง กอนกําหนดต อง
วางใจใหเปนปกติเสมือนหนึ่งไมมีอะไรเกิดขึ้นมากอน เพราะเมื่อไมมีสภาวะ
ลักษณะอยางนี้ใจก็เปนปกติ ไมมีชอบหรือชัง แตพอสภาวะนี้เขามาทําใหใจ
เราเสียความเปนปกติไป ฉะนั้น การกําหนดตองดูดวยสติปญญา ใหรูตาม
ความจริงที่เกิดขึ้น ไมตองไปคิดปรุงแตงหรือใสขอมูล
๑. อาการคิ ด เป น ธรรมชาติ ข องจิ ต เรา(สติ ) มี ห น า ที่ กํ า หนดรู
กําหนดจนอาการคิดหาย ใหกําหนดเร็วๆ วา "คิดหนอๆๆ" "คิดถึงหนอๆๆ"
๒. ตองกําหนดเร็ว แรง ถี่ มีพลัง เหมือนหวดไม วา "คิดหนอๆๆ"
ไมใหมีชองวาง
๓. ไมควรหามจิตไมใหคิด ทางที่ถูกคือ ตองตามกําหนดรูอาการคิด
๑๖
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ., เอกสารประกอบการสอน รายวิชาสัมมนา
วิปสสนา, ศูนยบัณฑิตวิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม, ๒๕๕๕), หนา ๓๑๘.
๕๐๐
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
นั้นดวยสติที่มีพลังมาก สมาธิยอมเกิดขึ้น ความฟุงก็จะคอยนอยลง แลวหมด
ไปในที่สุด
๔. ในการกําหนดความคิด หามตามดูเรื่องราวที่คิด หนาตาคนที่เรา
คิด ใหเพียงแตกําหนดอาการของจิต ที่กําลังนึกคิดอยูเทานั้น
๕. เมื่ออินทรียแกกลา มีสมาธิตั้งมั่นแลว ใหตามรูถึงการดับลงของ
ความคิดนั้นๆ ดวย พรอมทั้งสังเกตรูถึงเยื่อใย(อุปาทาน)ที่ดับลงไปพรอมกับ
อาการคิดนั้นดวย
๖. เมื่อสมาธิตั้งมั่นเปนอุเบกขาไดแลว ใหเพิ่มการรูอาการดับของ
ความคิดนั้นๆ ที่ดับไปพรอมๆ กับจิตที่รูคิด เปนคูๆ นั้นดวยในการกําหนด
สภาวะจิตอื่นๆ ก็มีลําดับขั้นตอนการกําหนดอยางเดียวกัน
ดังนั้น ในขั้นนี้การกําหนดจะเนนไปที่รูอาการของตนจิตจนกวาจะ
ดับ ถึงสามารถขามไปจากสภาวญาณในขั้นนี้ และกําหนดสภาวะที่ปรากฏ
ตามอาการ หามดัดแปลงสภาวธรรม
วิธีกําหนดจิตมีราคะและจิตไมมีราคะ
พระพุทธเจาตรัสวา“ภิกฺขุสราคํวาจิตฺตํสราคํจิตฺตนฺติปชานาติ”ภิกษุ
จิตมีราคะก็รูชัดวา ‘จิตมีราคะ’ จิตปราศจากราคะก็รูชัดวา ‘จิตปราศจาก
ราคะ’๑๗คําวาราคะหมายถึงความกําหนัดความยินดีเกี่ยวกับเรื่องเพศแตใน
ที่นี้หมายถึงความยินดีพอใจสิ่งที่มาปรากฏทางทวารทั้ง๖โยคีพึงตามรูเทาทัน
จิตดังกลาวโดยกําหนดวา “ชอบหนอ โลภหนอ” ในบางขณะเมื่อกําหนด
เพียงครั้งเดียวจิตดังกลาวอาจสงบไปไดแตถาจิตยังไมสงบก็กําหนดสติตามรู
จนกวาจิตจะสงบระงับไปทั้งหมดเมื่อจิตนั้นสงบแลวก็พึงตามรูจิตที่ผองใส
ปราศจากราคะโดยกําหนดวา “รูหนอ” จิตดังกลาวชื่อวา จิตปราศจากราคะ
วิธีกําหนดจิตมีโทสะและจิตไมมีโทสะ
พระพุทธเจาตรัสวา“สโทสํ วา จิตฺตํ สโทสํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ
วีตโทสํ วา จิตฺตํ วีตโทสํจิตฺตนฺติปชานาติ”ภิกษุจิตมีโทสะก็รูชัดวา ‘จิตมี
๑๗
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๑/๓๑๔.
๕๐๑
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
โทสะ’ จิตปราศจากโทสะก็รูชัดวา ‘จิตปราศจากโทสะ’๑๘จิตที่หงุดหงิดไม
พอใจโกรธอาฆาตหรือปองร ายชื่อวาจิ ตที่มีโ ทสะโยคีพึงตามรูจิ ตดั งกลาว
จนกวาจะสงบไปโดยกําหนดวา “โกรธหนอ” เปนตนเมื่อจิตนั้นสงบแลวก็พึง
ตามรูจิตที่ผองใสปราศจากโทสะโดยกําหนดวา “รูหนอ” จิตดังกลาวชื่อวา
จิตปราศจากโทสะ
วิธีกําหนดจิตหดหูและจิตฟุงซาน
พระพุทธเจาตรัสวา“สงฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ ...ปชานาติวิกฺขิตฺตํวาจิตฺตํ ...
ปชานาติ สมาหิตํวาจิตฺตํ ...ปชานาติอสมาหิตํวาจิตฺตํ ...ปชานาติวิมุตฺตํวา
จิตฺตํ ..ปชานาติ อวิมุตฺตํวาจิตฺตํ ... ปชานาติ”ภิกษุจิตหดหูก็รูชัดวา ‘จิตหดหู’
จิตฟุงซานก็รูชัดวา ‘จิตฟุงซาน’ จิตเปนสมาธิก็รูชัดวา ‘จิตเปนสมาธิ’ จิตไม
เปนสมาธิก็รูชัดวา ‘จิตไมเปนสมาธิ’ จิตหลุดพนแลวก็รูชัดวา‘จิตหลุดพน
แลว’ จิตไมหลุดพนก็รูชัดวา ‘จิตไมหลุดพน’๑๙
ดังนั้น การปฏิบัติธรรมในขั้นที่ ๑ เห็นรูป-นาม ถาโยคีกําหนดถูก
ตรงตามคําสอนของพระวิปสสนาจารย ก็จะสามารถเกิดสภาวญาณได แตถา
ไมมีศรัทธาตอการปฏิบัติ ปญญาที่ควรจะเกิดก็ไมสามารถเกิดขึ้นได
๗. วิธีเจริญธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน
๑. การกําหนดตองกําหนดใหไดปจจุบันธรรม เชน เราจะกําหนด
พองหนอ ยุบหนอ คําที่กําหนดวาพองกับทองที่พอง ตองใหพรอมกัน อยาให
กอนหรือหลังกัน คําที่กําหนดวายุบกับทองที่ยุบ ก็ตองใหพรอมกัน อยาให
กอนหรือหลังกัน การเดินก็เชนเกัน ขณะที่เรากําหนดวา "ขวา" ตองยกเทา
ขวาขึ้นเรากําหนดวา "ยาง" ตองสื บเทายางไปทัน ที ขณะที่เรากําหนดว า
"หนอ" ตองใหเทาลงถึงพื้นพอดี อยางนี้จึงจะเรียกวาไดปจจุบันธรรม
๑๘
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๔๔/๑๑๑.
๑๙
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๑/๓๑๔-๓๑๕., ม.มู. (บาลี) ๑๒/๑๑๔/๘๓., ม.มู. (ไทย)
๑๒/๑๑๔/๑๑๑.
๕๐๒
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
ปจจุบันธรรมนี้มีความสําคัญตอการปฏิบัติมาก เพราะถากําหนดให
ไดปจจุบันธรรมแลว ขณิกสมาธิจะรวมตัว เมื่อขณิกสมาธิรวมตัวมากขึ้นๆ
จะทําใหอินทรียแ ละพละ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา๒๐ มีกําลังกลา
ขึ้น แข็งแรงขึ้น มีกําลังกายดีขึ้น เหมือนลับมีดไวคมดีแลว ยอมใชประโยชน
ไดทุกขณะ
เมื่อปฏิบัติไปจนถึงมรรคญาณ (วิปสสนาญาณที่ ๑๔) อินทรียที่กลา
แข็ง ก็จ ะกอ ให เ กิ ด พละที่ กล า แข็ ง พละที่ก ล าแข็ง นี้ แ หละจะไปทํ าหน า ที่
ประหารกิเลสโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไมตองไปยุงใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น
เราจึงจําเปนที่จะตองรวบรวมขณิกสมาธิใหมากที่สุดเทาที่จะมากไดดวยการ
กําหนดใหไดปจจุบันธรรม
๒. การทําใหตอเนื่องกัน เมื่อกราบกรรมฐานแลวเราจะตองมาเดิน
และนั่งตามระยะเวลาที่กําหนด การกราบกรรมฐาน การเดินและการนั่ง ๓
อยางนี้ ตองทําใหตอเนื่องกัน เมื่อนั่งแลวจึงคอยหยุดพัก ในขณะหยุดพักตอง
ใชสติกําหนดอิริยาบถยอยไปดวยเชนเมื่อจะอาบน้ําจะหยิบขันก็กําหนดวา
"เห็ น หนอ" "หยิ บ หนอๆๆ" "ตั ก หนอๆๆ" "รดหนอๆๆ" "ถู ห นอๆๆ" เมื่ อ
รับประทานอาหาร จะตักขาวใสปากก็กําหนดวา "เห็นหนอๆๆ" "ตักหนอๆๆ"
"ใสหนอๆๆ" "ถูกหนอๆๆ" "อมหนอๆๆ" "เคี้ยวหนอๆๆ" "กลืนหนอๆๆ" เมื่อ
เวลาจะนอนก็กําหนดวา "นอนหนอๆๆ"
เมื่อนอนแลวก็กําหนดที่หนาทองวา "พองหนอ ยุบหนอ" จนกวาจะ
หลั บ ไป หลั บ เมื่ อ ใดสติ ห ยุ ด ทํ า งานเมื่ อ นั้ น สติ ต อ งทํ า งานอยู โ ดยตลอด
นับตั้งแตตื่นจนกระทั่งนอนหลับ การที่ตองทําเชนนั้นก็เพราะวา เมื่อเรานั่ง
แลวเราจะหยุดพัก แตในระหวางหยุดพักนั้น เราทํางานอื่นเสียบาง คุยบาง
ไมไดใชสติกําหนดอิริยาบถเลย ในชวงนี้จะมีชองวางเกิดขึ้น เมื่อมีชองวางจิต
ที่เราไมไดใชเขาทํางานก็จะและนออกไปขางนอก ทําใหเราฟุงทําใหกิเลส
ไหลเข า สู จิ ต ได อี ก ประการหนึ่ ง ถ า เราไม กํ า หนดให ต อ เนื่ อ งกั น จะทํ า
๒๐
ดูรายละเอียดใน สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๕๑๓/๓๒๕-๓๒๖.
๕๐๓
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
ให ข ณิกสมาธิ ที่ร วมตั ว ไว แล ว จะเริ่ มคลายตั ว ออก ทํา ให ส มาธิ อ อนกํ าลั ง
ปญญาอินทรียบ ังเกิดไดยาก
๓. ต อ งมีองค คุณ ๓ คือ อาตาป (เพีย รตั้ งใจทํ าจริ ง )สติ มา (มีส ติ
ระลึ ก รู อ ยู ที่ รู ป นามที่ กํ า ลั ง เกิ ด ขึ้ น ) สั ม ปชาโน (รู ป ตั ว ทั่ ว พร อ มติ ด ตาม
อิริยาบถอยูท ุกขณะ)๒๑
๔. ปรับอินทรียใหเสมอกันศรัทธายิ่ง ปญญาหยอน โลภะจะครอบงํา
ปญญายิ่ง ศรัทธาหยอน วิจิกิจฉาจะครอบงําวิริยะยิ่ง สมาธิหยอน
อุทธัจจะจะครอบงําสมาธิยิ่ง วิริยะหยอน ถีนมิทธะจะครอบงํา๒๒
๘. สภาวะญาณที่เกิดขึ้นเมื่อปฏิบัติขั้นที่ ๑ สมบูรณ
การปฏิ บั ติ ตั้ งแต การรั บ พระกรรมฐานจนถึงการปฏิ บั ติ สภาว
ญาณที่ปรากฏ คือ ญาณที่ ๑ โยคีเห็นชัดในอารมณที่ปรากฏ เชน เห็นเทาที่
กาวยางโดยความเปนอาการธาตุ ไมใชสัตว บุคคล เรา เขา เห็นเวทนาโดย
เปนอาการคือความรูสึกปวด เปนตน ไมใชขาขวาหรือซายที่ปวด เห็นจิตโดย
อาการที่คิด ไมไดรูวาคิดเรื่องอะไร คิดถึงใคร ที่ไหน อยางไร ซึ่งเปนปจจัยให
เกิดญานที่สูงขึ้น เพราะฉะนั้น สภาวธรรมเหลานี้ยอมเกิดกับโยคีผูมีศรัทธา
และความเพียรในการกําหนดอยางตอเนื่อง
ญาณที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ
สภาวะของญาณนี้ เปนญาณที่รูความเปนจริงของธรรมชาติทั้งปวง
วา เปนเพียงรูปกับนามเทานั้น คือ มองเห็นความตางกันของธรรมชาติ ๒
อยาง คือเห็นรูปก็เปนลักษณะธรรมชาติอยางหนึ่ง เห็นนามก็เปนลักษณะ
ธรรมชาติอยางหนึ่ง เชนวาเห็นวาการเคลื่อนไหวก็เปนธรรมชาติอยางหนึ่งที่
ไม ส ามารถจะรั บ รู อ ะไรได ตั ว มั น เอง ไม ส ามารถจะรั บ รู อ ารมณ ไ ด เป น
เพียงแตธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาแลวก็สลายตัวไป จัดวาเปนรูปธรรมสวนตัวที่
๒๑
ดูใน ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑.
๒๒
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ., “เอกสารประกอบ : รายวิชา สัมมนาวิปส สนา
ภาวนา”, หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, ๒๕๕๑), หนา ๓๒๐-๓๒๑.
๕๐๔
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
เขาไปรูเปนธรรมชาติที่สามารถจะรับรูอะไรได จัดเปนนามธรรม สภาวะที่
เห็นความตางกันของธรรมชาติ ๒ อยางนี้คือ เห็นวารูปก็อยางหนึ่ง เห็นวา
นามก็อยางหนึ่ง อยางนี้เรียกวา สามารถแยกรูปแยกนามได เห็นรูปเห็นนาม
ตางกันไมวาจะเปนทวารอื่นก็ตาม ขณะที่เย็น รอน ออน แข็ง หยอน ตึงมา
กระทบกาย มีส ติ รู ทัน เห็ น ว าเย็ น ร อน ออนแข็ง หย อน ตึ งนั้ น ก็เ ป น แต
ธรรมชาติที่มากระทบแลวก็สลายไป ไมสามารถจะรับรูอะไรได สวนตัวจิตใจ
เปนตัวที่เขาไปรูได เปนธรรมชาติชนิดหนึ่ง เปนนามธรรม๒๓
พระพุ ท ธเจ า ตรั ส อธิ บ ายเปรี ย บเที ย บนามรู ป ปริ จ เฉทญาณ ใน
สามัญญผลสูตร และในที่อื่นๆ เชน มหาสกุลุทายิสูตร วิปสสนาญาณกําหนด
รูจําแนกรูรูปและนามตรัสเรียกวา “ญาณทัสสนะ” วา “ภิกษุนอมจิตไปเพื่อ
ญาณทัสสนะ รูชัดอยางนี้วา ‘กายของเรานี้คุมกันเปนรูปรางประกอบขึ้นจาก
มหาภูตรู ป ๔ เกิดจากบิ ดามารดา เจริญวั ยเพราะขาวสุกและขนมสด ไม
เที่ย งแท ต องอบ ต องนวดเฟน มีอัน แตกกระจั ด กระจายไปเป น ธรรมดา
วิญญาณของเราอาศัยและเนื่องอยูในกายนี้’๒๔
นามรูปปริจเฉทญาณ คือ การกําหนดรูรูปนาม สามารถกําหนดรูได
วามีเพียงรูป-นามโดยปราศจากสมมติบัญญัติที่เปนบุคคล เรา ของเรา บุรุษ
สตรีการกําหนดรูปนามนั้นเปนการรูเห็นลักษณะพิเศษ คือ สภาวะลักษณะ
ของรูป-นามอยางแทจริงกลาวคือ
๑) รูป เปนสภาวะแปรปรวนและไมรูอารมณ
๒) นาม เปนสภาวะนอมไปสูอารมณ คือ รูอารมณ
นอกจากนั้น วิปสสนาญาณนี้ยังเปนการรูเห็นลักษณะพิเศษของรูป
และนามแตละอยางเชน
๑) ความแข็งออน เปนลักษณะพิเศษของธาตุดิน
๒๓
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ., เอกสารประกอบการสอน รายวิชาสัมมนาวิปสสนา
,ศูนยบัณฑิตวิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม, ๒๕๕๕), หนา ๑๖๔-๑๖๕.
๒๔
ที.สี. (บาลี) ๙/๒๓๔-๒๓๕/๗๗, ที.สี. (ไทย) ๙/๒๓๔-๒๓๕/๗๗-๗๘.
๕๐๕
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
๒) การกระทบ เปนลักษณะพิเศษของผัสสะ
๓) การเสวยเปนลักษณะพิเศษของเวทนา
๔) จําไดหมายรู เปนลักษณะพิเศษของสัญญา
๕) การรูอารมณ เปนลักษณะพิเศษของวิญญาณ
อนึ่ง ลักษณะพิเศษของรูป-นามดังกลาวปรากฏในปจจุบันขณะที่
ประกอบด ว ยขณะจิ ต ๓ คื ออุ ป ปาทขณะ (ขณะเกิ ด ขึ้ น ) ฐิ ติ ขณะ (ขณะ
ตั้งอยู) ภังคขณะ (ขณะดับไป) ไมปรากฏในอดีตที่ดับไปแลวและอนาคตที่ยัง
มาไมถึง ดังนั้นจึงควรกําหนดรูปนามในขณะปจจุบันเทานั้น๒๕
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม
กําหนดเดิ นจงกรมใหครบ ๓ ระยะ เริ่ มกําหนดจากระยะที่ ๑-๓
ตามลํ า ดั บ ในการกํ า หนดเดิ น สติ ส ามารถกํ า หนดพอดี กั บ เท า ลงตั ว
เหมาะเจาะพอดี กับ การกํ าหนดรู สึ ก ได ถึง อาการที่เ ปลี่ ย นไป ดั บ ไป ของ
สภาวะนั้นๆ เชน ขณะยางเทาก็รูสึกถึงอาการลอยไปของเทา พอเหยียบลง
อาการลอยก็ดับไป มีอาการตึงแข็งเขาแทนที่
โยคีกําหนดรูเทาที่เหวี่ยงพรอมกัน ไมกอนไมหลัง โดยอาการ คือ
เทาที่กระทบพื้นมีความเย็นหรือรอน ออนหรือแข็ง ตึงหรือหยอน ตามสภาพ
ธรรมอยางใดอยางหนึ่งที่ชัดเจน ในขณะนั้นความรูสึกวาเรารูเทาไมปรากฏ
แกโยคี ปราศจากบุคคล เรา เขา มีเพียงอารมณที่ปรากฏชัดกับจิตที่เขาไปรู
เทานั้น ขณะเดินกําหนดที่เทา เมื่อเทาเคลื่อนไป ยก ยาง เหยียบ จิตหรือใจ
เปนผูรู ซายขวา จิตเปนผูรู
กําหนดเดิ น จงกรม ๑ ชั่ ว โมง จิ ต ใจผ องใสดี ไมมีความงว ง มีส ติ
ระลึกทันปจจุบันไดทันดีมาก แมกระทั่งลมพัดก็มีสติระลึกทันเกือบทุกครั้ง
เวทนาปวดแผวเบาสามารถกําหนดรักษาระดับของเวทนาปวดได เมื่อเวทนา
ปวดเบาแลว ใชระยะเวลานานกวาจะเกิดขึ้นมาใหม ลมพัดถูกตัวก็รูสึกวาชัด
๒๕
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสสนานัย เลม ๒, (นครปฐม: หาง
หุนสวนจํากัด ซีเอไอ เซ็นเตอร จํากัด, ๒๕๕๐), หนา ๙๒.
๕๐๖
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
มากกวาปกติหลายเทา จิตเห็นภาพนิมิตซอนขึ้นมาลักษณะแวบๆ ไมนาน มี
สติรูทันตลอด๒๖
อนึ่ง ช วงทายชั่ว โมงกอนหมดบัลลั งก จิ ตสามารถพิจารณาอยาง
ละเอียด รู อาการเกิด ดับ ของสั งขาร มัน ไมเที่ยง มันเกิด ขึ้น ตั้งอยู ดับ ไป๒๗
อาการเกิดดับ เปรียบรางกายเหมือนหุนยนตตองใชจิตสั่งงาน ถาจิตไมสั่งก็
ไมเคลื่อนไหว รูสึกวาสังขารบังคับไมไดเชน อาการสะดุงกระตุก เวลายืน
บังคับใหมันนิ่งไมได จิตเปนผูสั่งจึงจะเคลื่อนไหวได มีอาการปลื้มปติเร็ว ถา
พูดโดนใจ บางครั้งน้ําตาแทบรวง จิตตองพิจารณาใหรูเทาทัน บางขณะเห็น
กัลยาณมิตรทําอะไรตลกๆ ก็อยากหัวเราะ ก็ตองพิจารณาใหรูเทาทันจิต
การกําหนดนิมิต ขณะเดิน กําหนดที่เทา เมื่อเทาเคลื่อนไปยกสน
ยก ยาง เหยียบ ถูก กด จิตเปนผูรูซายขวา จิตเปนผูรู
เห็นรูปก็เปน ลักษณะธรรมชาติอยางหนึ่ง เห็นนามก็เปนลักษณะ
ธรรมชาติอยางหนึ่ง เชน วา เห็น วาการเคลื่อนไหวก็เ ปน ธรรมชาติอยา ง
หนึ่ง ที่ไมส ามารถจะรับ รูอะไรไดตัว มัน เอง ไมสามารถจะรับ รูอารมณได
เปน เพีย งแตธ รรมชาติที่เ กิด ขึ้น มาแลว ก็ส ลายตัว ไป จัด วา เปน รูป ธรรม
สวนตัวที่เขาไปรู เปนธรรมชาติที่สามารถจะรับรูอะไรได จัดเปนนามธรรม
สภาวะที่เห็นความตางกันของธรรมชาติ ๒ อยางนี้ คือ เห็นวารูปก็อยาง
หนึ่งเห็น วานามก็อยา งหนึ่ง อยางนี้เ รีย กวา สามารถแยกรูป แยกนามได
เห็นรูปเห็นนามตางกัน ไมวาจะเปนทวารอื่นก็ตาม ขณะที่เย็น รอน ออน
แข็ง หยอน ตึงมากระทบกายมีสติรูทันเห็นวาเย็น รอน ออน แข็ง หยอน
ตึงนั้นก็เปนแตธรรมชาติที่มากระทบแลวก็สลายไปไมสามารถจะรับรูอะไร
ได สวนตัวจิตใจเปนตัวที่เขาไปรูไดเปนธรรมชาติชนิดหนึ่งเปนนามธรรม๒๘
๒๖
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ., “เอกสาร ประกอบการสอนวิชา : สัมมนา
วิปสสนาภาวนา”, หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, ๒๕๕๑), หนา ๔๒๓.
๒๗
ดูใน ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑//๖๖๒.
๒๘
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ., “เอกสาร ประกอบการสอนวิชา : สัมมนา
วิปสสนาภาวนา”, หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, ๒๕๕๑, หนา ๓๙๖.
๕๐๗
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
สภาวธรรมขณะเดินจงกรม มีลักษณะดังนี้
๑. ขวายางกับซายยางเปนคนละอัน พองกับยุบเปนคนละอัน
๒. ขวายางกับรูวายางคนละอัน พองกับรูวาพองคนละอันยุบกับรูวา
ยุบคนละอันเห็นกับรูวาเห็นคนละอัน อายตนะอยางอื่นก็เหมือนกัน
๓. เดินเปนรูปใจที่กําหนดรูอาการเคลื่อนไหวที่เดินเปนนาม
การปฏิบัติขั้นนี้จะเปนการบริกรรมนําอาการอยูจัดอยูในเขตสมถะ
และจัดเขาในญาตปริญญา จัดเปนทุกขอริยสัจและมรรคอริยสัจซึ่งทั้งหมดนี้
เปนการปฏิบัติเบื้องตนที่กลาวถึงขั้นตอนตางๆ ตั้งแตการรับพระกรรมฐาน
จนถึงการปฏิบัติ ซึ่งสภาวะญาณที่ปรากฏ คือ ญาณที่ ๑ เห็นรูปเห็นนาม
โยคีเห็นชัดในอารมณที่ปรากฏ เชน เห็นเทาที่กาวยางโดยความเปนอาการ
ธาตุ ไมใชสัตว บุคคล เรา เขา ขณะเดินจงกรมเห็นเวทนาโดยเปนอาการ คือ
ความรูสึกปวด เปนตน ไมใชขาขวาหรือซายที่ปวด เห็นจิตโดยอาการที่คิด
ไมไดรูวาคิดเรื่องอะไร คิดถึงใคร ที่ไหน อยางไร ซึ่งเปนปจจัยใหเกิดญาณที่
สูงขึ้น๒๙ เพราะฉะนั้นสภาวธรรมเหลานี้ยอมเกิดกับโยคีผูมีศรัทธาและความ
เพียรในการกําหนดอยางตอเนื่องจัดเปนทิฏฐิวิสุทธิ และการกําหนดรูรูปนาม
นี้ก็จัดเปนทุกขอริยสัจ
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : นั่งกําหนดพอง-ยุบ
กํ า หนดดู อ าการท อ งพอง-ยุ บ และใจที่ รู สึ ก อาการให เ ท า กั น ให
ตรงกันพอดี อยาใหกอนหรือหลังกัน ความรูสึกถึงความเปนตัวตน วาเราเปน
ผูรูสึก ยอมไมปรากฏ ณ ขณะนั้นเลย สภาวะเชนนี้พระธรรมธีรราชมหามุนี
(โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙) วินิฉัยวาเปนนามรูปปริจเฉทญาณ ดังที่ทานอธิบาย
ว า บุ ค คลเช น นี้ รู ลั ก ษณะของนาม คื อ มี ค วามน อ มไปสู อ ารมณ เรี ย กว า
นมนลกฺขณํ คือ ใหกําหนดเอาที่รูปกอน ตามนัยวิปสสนายานิก ใหกําหนด
วาโยโผฏฐัพพรูปกอน คัมภีรบาลีวิสุทธิมรรคอธิบายวา “ยถา ยถา หิสฺสรูป
สุวิกฺขาลิตฺตํ โหติ นิชฺชฎํ สุปริสุทฺธํ ตถา ตถา ตทารมฺมณา อรูปธมฺมา สยเมว
ปากฏา โหนฺติ” ..
๒๙
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๗/๑/-/๕๐.
๕๐๘
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
รูป มีพอง ยุ บ เป นต น พินิ จ ดีแลว ไมมีความยุ ง ผองใสดีแลว โดย
ประการใดๆ นามธรรมที่รูซึ่งรูปนั้นๆ แจงชัดขึ้นมาเอง โดยประการนั้นๆ คือ
ชั้นตน กําหนดตัวรูปจนหมดจดขึ้นมากอนแลวตอนั้น นามจะหมดจดขึ้นมา
เอง เมื่อกําหนดไปๆ จนเกิดความรูสึกวา มันจะวิ่งเขาไปสูกัน นามรูป พอถึง
ตอนนี้ ถาโยคีพูดไดอยางนี้ ใหเขาใจวา เขารูจักจําแนกรูป-นามได เรียกไดวา
ผูรูไดอยางจะแจงทีเดียว (นาม-รูปปริจเฉทญาณ) โยคีมีความเพียรกําหนด
พรอมกันเชนนี้ สติ สมาธิ ปญญายอมปรากฏแกโยคีวา ทองพองยุบ เปน
เพียงอาการของวาโยโผฏฐัพธาตุที่กระทบกัน คือตึงหยอนหรือไหว จิตเปน
เพียงอาการเขาไปรู๓๐
สภาวธรรมขณะนั่งกําหนดพอง-ยุบ มีลักษณะดังนี้
- พองกับยุบเปนคนละอัน พองเปนรูป รูเปนนาม
- บางทีกําหนด อาการยุบทัน อาการพองไมทัน ฯลฯ
- มีสติกําหนดพิจารณารูอาการเคลื่อนไหวในทอง ตั้งแตตนพอง กลาง
พอง สุดพอง, ตนยุบ กลางยุบสุดยุบของอาการเคลื่อนไหวของวาโยธาตุในชอง
ทอง วามีอาการที่แทจริงเปนอยางไรหากมีสภาวะในอิริยาบถนั่ง เชน พองกับ
ยุบเปนคนละอัน พอง-ยุบ ไมชัดเจน
กําหนดรูดูอาการทองพอง ทองยุบ ใจที่รูสึกกับทองพอง ทองยุบให
เทากันใหตรงกันพอดี อยาใหกอนหรือหลังกัน จิตที่รูพรอมกันเชนนี้ วินิจฉัย
วา นามรูปปริเฉทญาณ จิตกําหนดพรอมกันทีเดียวความรูสึกถึงความมีอยู
ตัวตนขณะนั้นยอมไมปรากฏนี้เรียกวา นามรูปปริเฉทญาณ๓๑จัดเปนทุกขอ
ริยสัจ (จินตาญาณ)”
ค. สภาวธรรมที่ปรากฎ : รับประทานอาหาร
การกําหนดอารมณทั้งปวง คืออารมณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และ
ใจนั้น อารมณไหนปรากฏชัดเจน แจมชัดก็ใหกําหนดอารมณนั้นๆ กอน เชน
๓๐
พระธรรมธีรราชมหามุนี, คูมือสอบอารมณกรรมฐานวิชาครู, หนา ๘๓.
๓๑
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ), คูมือสอบอารมณกรรมฐานวิชาครู,
พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท ช. โฆษิตพิพัฒน จํากัด, ๒๕๔๓.), หนา ๘๓.
๕๐๙
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
ในขณะที่เรานั่งภาวนาอยูนั้น อารมณเกิดทางจมูกก็ไดกลิ่น ทางกายก็มีการ
กระทบ เชน เย็น รอน ออน แข็ง หรือทุกขเวทนา เปนตน ที่เกิดรวม เมื่อสิ่ง
เหล านี้ มาประสบ และเกิดขึ้น พรอมกัน ก็ใหเ รากําหนดอารมณที่ปรากฏ
ชัดเจนที่สุดโดยเฉพาะอารมณที่เกิดโดยตรงภายในจิต
เห็นความเปนจริงของธรรมชาติทั้งปวงวา..
ทวารตา : เมื่อมีภาพมากระทบจะเกิดการเห็นขึ้น เวลาตาเห็นรูป
ตากับสีเปนรูป เห็นเปนนาม
ทวารจมูก : เมื่อมีกลิ่นมากระทบจมูกจะเกิดการรูกลิ่นขึ้น (ดมกลิ่น)
เวลาจมูกไดกลิ่น จมูกกับกลิ่นเปนรูป ไดกลิ่นเปนนาม
ทวารลิ้น : เมื่อมีรสมากระทบลิ้นจะเกิดการรูรสขึ้น เวลาลิ้นไดรส
ลิ้นกับรสเปนรูป รูรสเปนนาม
โยคีเห็นชัดในอารมณที่ปรากฏ เชน เห็นเทาที่กาวยางโดยความเปน
อาการธาตุ ไมใชสัตว บุคคล เรา เขา เห็นเวทนาโดยเปนอาการคือความรูสึก
ปวด เปนตน ไมใชขาขวาหรือซายที่ปวด เห็นจิตโดยอาการที่คิด ไมไดรูวาคิด
เรื่ อ งอะไร คิ ด ถึ ง ใคร ที่ ไ หน อย า งไร ซึ่ ง เป น ป จ จั ย ให เ กิ ด ญาณที่ สู ง ขึ้ น
เพราะฉะนั้นสภาวธรรมเหลานี้ยอมเกิดกับโยคีผูมีศรัทธาและความเพียรใน
การกําหนดอยางตอเนื่อง
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เวทนา
ขณะที่โยคีนั่งภาวนา ๑ ชั่วโมง หรือเดินจงกรม ๑ ชั่วโมงอยูนั้น เมื่อ
กําหนดรูทันเวทนา(เจ็บ ปวด เมื่อย) สม่ําเสมอ สติกําหนดวา “ปวดหนอ”
ไดแคคงที่ ใหดับสนิทยังไมสามารถกระทําได ตอมาอาการเวทนาเริ่มจากเบา
ไปหาหนัก คือ เริ่มตนปวดเบาๆ ทามกลางปวดมาก ใกลหมดเวลาปวดมาก
ที่สุ ด จนแทบทนไม ไหว (รู สึ ก คล า ยกับ ว า จะตาย) สติ ร ะลึ กรู จิ ต ดี ม ากไม
ฟุงซาน ๓๒ จิ ตมีกําลั งดี กําหนด “ปวดหนอๆๆๆๆ” ระยะเวลาพอสมควร
ทุกขเวทนาปวดคอยๆ ลดลงเล็กนอย
บางคนพูด วา บางครั้ งเวทนามี บางครั้ งเวทนาไมมี อาจารย ตอง
๓๒
ดูใน ที.ม. (ไทย)๑๐/๓๘๑/๓๑๕.
๕๑๐
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
แนะนํา : ถารูสึกมีเวทนาใหหยุดกําหนดพอง-ยุบ แลวกําหนดเวทนาตอไป
เมื่อเวทนาจางหายไปแลว ใหกําหนดพอง-ยุบตอไปอีก ถาอาจารยมีความรู
เกี่ยวกับเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน ก็ควรแสดงเวทนาตามหลัก คนนั้นก็จะมี
กําลังใจอยากกําหนด ถาไมเทศนใหฟงเขาอาจจะกลัวไมกําหนด
กําหนดเวทนาโดยที่อาการปวด(ความรูสึกปวด) ไมใชเทาปวด ขา
ปวด ไหลปวด ฯลฯ เปนเพียงความรูสึกปวดเทานั้น และจิตเขาไปรูอาการก็
ไมใชความปวด แตวาญาณจิตยังมีความยินดียินรายในอาการที่ปวดนั้นอยู
เพราะสมาธิปญญายังไมมากพอที่จะตัดอารมณ เพียงเห็นวาความปวดนั้น
ปราศจากบุคคล เรา เขา เปนการรูชัดอาการของรูปนาม ไมมีตัวตนเราเขา
มีแตรูอาการของเวทนาที่ปรากฏซึ่งก็ไมใชรูปและจิต ความคิดตางๆ รวมถึง
นิมิตก็ไมใชเรา เปนเพียงอาการของจิตที่ปราฏขึ้นเทานั้น อันเปนสภาวญาณ
เริ่มแรกที่เรียกวา นามรูปปริจเฉทญาณนั่นเอง อันละตัวตน เรา เขา ของเรา
ของเขา เพราะเขาใจเห็นธรรมชาติตามจริงเปนทิฏฐิวิสุทธิ๓๓
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : จิต
ขณะทีน่ ั่งภาวนา ๑ ชั่วโมง หรือเดินจงกรม ๑ ชั่วโมงอยูนั้น หากจิต
คิดถึงอดีต อนาคต หรือฟุงซาน ถึงเรื่องที่เปนบุญบาง บาปบาง กําหนดวา
“คิ ด หนอๆ” โยคี กํ า หนดเห็ น อาการของจิ ต ที่ คิ ด กํ า หนดอาการนั้ น ไม
กําหนดเรื่องราวที่คิด สถานที่ บุคคล เพียงรูวากําลังคิดอยู จนเห็นวาจิตรูกับ
ความคิดเปนคนละอัน ปราศจากความรูสึกวาเปนผูคิด หรือความคิดเปนเรา
หรือเมื่อนั่งไดประมาณกลางชั่วโมง เกิดนิมิตเห็นแสงสวาง หรือแสง
สีเ ปน ตน กําหนดว า “เห็ นหนอๆๆ” แต อาจไมห ายไป การกําหนดชพอง
หนอ-ยุบหนอ กําหนดเห็นชัดเจนมาก จนกระทั่งพอง-ยุบหายไปเลย ก็เลย
กําหนดเวทนาตอบางคนอาจารยแนะนําวา การที่เราจะไปดูเฉยๆ เชนนั้น
ไม ไ ด ถ า ชอบใจนั่ น เป น โลภะ ถ า ไม ช อบใจนั่ น เป น โทสะ ถ า เห็ น แล ว ไม
กําหนดรู เปนโมหะ การปฏิบัติธรรมนี้เพื่อสละกิเลสเหลานี้ ถาเราไปพอใจสิ่ง
เหลานี้เทากับเราพากันแสวงหากิเลสเพิ่มขึ้นอีก โยคีกําหนดแสงโดยอาการ
๓๓
ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๕๙/๒๘๓.
๕๑๑
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
ของจิตวา “เห็นหนอๆ” เชนนี้ ยอมรูชัดวาแสงที่ปรากฏกับจิตที่รูเปนคนละ
อันกัน ปราศจากเรารู เปนเพียงอาการรูของจิตเอง
จิตที่ปรากฏอาการคิดเปนเรื่องที่รูเปนรูปบัญญัติที่ไดจากอารมณที่
เป น เวทนา สั ญญา สั ง ขาร และวิ ญ ญาณ ที่ เ ข ามาปรากฏแกจิ ต เป น รู ป
ปรมัตถ สติสัมปชัญญะที่เกิดจากการเจริญวิปสสนาในสติปฏฐานทั้ง ๔ ที่จิต
รับรู คือกาย เวทนา จิต ธรรม ในขณะนั้นเปนนาม เชน คิดถึงคนรูจักแลวจํา
ชื่อไดวา ชื่ออะไร เปนตน
๑) ความคิดปรากฏขึ้นเยอะเปนไปอยางรวดเร็วเหมือนฝนที่ตกลง
หนัก แตรูวาฝนตกทีละเม็ดเทานั้น
๒) บางครั้งกําหนดรูตนเรื่องที่คิดได บางครั้งกําหนดรูตอนปลาย
เรื่องที่คิดได แตกําหนดรูไมไดตลอดสายของความคิดที่เกิดขึ้น
๓) ตัวที่คิดถึงคนนั้นเปนบัญญัติที่เกิดจากจิตที่รับรูอารมณที่เปนรูป
๔) ตัวจิตที่รูจักและจําชื่อไดในขณะรับรูอาการคิดภายในเปนนาม
๕) ตัวที่รูสึกกับคนนั้นอยางไรเปนนาม
๖) ตัวจิตที่รูสึกในความพอใจ หรือไมพอใจที่รูอยูเปนนาม
ขั้นนี้เวทนายังไมเกิด หรือเกิดขึ้นแลวก็จางหายไป และมีความคิด
สับสนในขณะที่เวทนาเกิดอยูรวมดวย ในชวงแรกรูสึกหลงไปกับความคิดจน
รู สึ ก สั บ สน ต อ งคอยดู ค วามคิ ด ใหม ทํ า ให ไ ม สั บ สน และแยกแยะได ว า
ความคิดก็อยางหนึ่ง เวทนาที่เกิดขึ้นก็อยางหนึ่ง ในขณะที่ครบชั่วโมง ไมรูสึก
ดีใจหรือเสียใจ ไมอยากออกและไมอยากเขาเฉยๆ กับเวลาในการปฏิบัติ ไม
เหมือนวันแรกๆ ตัดสินใจออกจากสมาธิ ขณะนั้นเวทนาลดลงไปมาก
ดังนั้น นามรูปปริจเฉทญาณ ก็คือ การรูชัดอาการของรูป มีอาการ
เดิน อาการยืน อาการนั่ง อาการนอน อาการพอง อาการยุบ เปนตน โดยไม
มีตัวเรา มีแตอาการและจิตรู แมแตเวทนาที่ปรากฏก็ไมใชเรา ความคิดตางๆ
รวมถึงนิ มิต ก็ไมใชเ รา เปน เพีย งอาการของจิ ตที่ป ราฏขึ้น เทานั้ น อันเป น
สภาวญาณที่เรียกวา นามรูปปริจเฉทญาณนั่นเอง สามารถละตัวตน เรา เขา
ของเรา ของเขาเสียได เพราะเขาใจและเห็นแจงธรรมชาติตามจริงบางแลว
๕๑๒
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
๓๔
จัดเปน ทิฏฐิวิสุทธิ
เปนการปฏิบัติเบื้องตนที่กลาวถึงขั้นตอนตางๆ ตั้งแตการรับพระ
กรรมฐานจนถึงการปฏิบัติ ซึ่งสภาวญาณที่ปรากฏ คือ ญาณที่ ๑ เห็นรูปเห็น
นาม คือ โยคีเห็นชัดในอารมณที่ปรากฏ เชน เห็นเทาที่กาวยางโดยความ
เปนอาการธาตุ ไมใชสัตว บุคคล เรา เขา ที่เดิน เห็นทองพองยุบโดยความ
เปนอาการ วาโยธาตุที่ทําใหเคลื่อนไหว ไมใชรูปทอง เห็นเวทนาโดยเป น
อาการ คือ ความรูสึกปวด เปนตน ไมใชขาขวาหรือซายที่ปวด เห็นจิตโดย
อาการที่คิด ไมไดรูวาคิดเรื่องอะไร คิดถึงใคร ที่ไหน อยางไร ซึ่งเปนปจจัยให
เกิ ด ญานที่ สู ง ขึ้ น ๓๕ เพราะฉะนั้ น สภาวธรรมเหล า นี้ ย อ มเกิ ด กั บ โยคี ผู มี
ศรัทธาและความเพียรในการกําหนดอยางตอเนื่อง
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อายตนะ
๑) ทวารตา เมื่อมีภาพมากระทบจะเกิดการเห็นขึ้น เวลาตาเห็นรูป
ตากับสีเปนรูปเห็นเปนนาม
๒) ทวารหู เมื่อเสียงมากระทบจะเกิดการรูเสียง (ไดยิน) ขึ้น เวลา
หูไดยินเสียงหูกับเสียงเปนรูป ไดยินเปนนาม
๓) ทวารจมูก เมื่อมีกลิ่นมากระทบจมูกจะเกิดการรูกลิ่นขึ้น (ดม
กลิ่น) เวลาจมูกไดกลิ่นจมูกกับกลิ่นเปนรูป ไดกลิ่นเปนนาม
๔) ทวารลิ้น เมื่อมีรสมากระทบลิ้นจะเกิดการรูรสขึ้น เวลาลิ้นไดรส
ลิ้นกับรสเปนรูป รูรสเปนนาม
๕) ทวารกาย เมื่ อ มีอ ารมณ มากระทบกาย จะเกิ ด การรู อ ารมณ
(เย็น รอนออน แข็ง) เวลากายถูกตองเย็น รอนออน แข็งเปนรูป รูเปนนาม
รางกายทั้งหมดตั้งแตปลายผมถึงปลายเทาเปนรูป ใจเปนนาม มีเพียงรูปกับ
นามเทานั้น ไมมีสัตว บุคคล ตัว ตน เรา เขา มีแตสักวารูปกับนามเทานี้ เชน
นั่งเปนรูป รูวานั่งเปนนาม เดินเปนรูป รูวาเดินเปนนาม
๓๔
ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๕๙/๒๘๓.
๓๕
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๗/๑/-/๕๐.
๕๑๓
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
ปริญญา ๓ และอริยสัจ ๔ ในนามรูปปริจเฉทญาณ
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป-เห็นนามมีสติกําหนดพิจารณารูอาการเคลื่อนไหวใน
ทอง ตั้งแต ตนพอง กลางพอง สุดพอง, ตนยุบ กลางยุบ สุดยุบ ของอาการ
เคลื่ อนไหวของวาโยธาตุ ในช องทอง ว ามี อาการที่แทจริ งเป นอย างไรหากมี
สภาวะในอิริยาบถนั่ง เชน พองกับยุบเปนคนละอัน พอง-ยุบ ไมชัดเจน
ญาณที่ ป รากฏ คือ ญาณที่ ๑ นามรู ป ปริ จ เฉทญาณ ป ญญารู ว า
อะไรเปนรูป อะไรเปนนาม และสามารถแยกรูปแยกนามออกจากกันได เห็น
ปรมัตถอารมณไดอยางชัดเจน คือปญญารูแจงรูปนาม ปญญารูวา อะไรเปน
รูป อะไรเปนนาม รูปนามแทจริงเปนอยางไรและสามารถแยกรูปแยกนาม
ออกจากกันไดไมปะปนกันอยางชัดเจน ญาณนี้ กําหนดจนรูเห็นรูปเห็นนาม
วาเปนคนละสวนซึ่งไมไดปนกัน
เปนภูมิแหง ญาตปริญญา คือ เริ่มตั้งแตกําหนดสังขารจนถึงกําหนด
ป จ จั ย ปริ ญ ญานี้ ก็ คื อ การตามกํ า หนดอย า งจดจ อ ต อ เนื่ อ ง จนแจ ง
ลักษณะเฉพาะของอารมณที่กําหนด จัดเขาใน อริยสัจ ๔ คือ “ทุกข (จินตา
ญาณ ความรูที่เปนไปกับความดําริ หมายถึง วิปสสนาญาณขั้นตนที่ยังออน
ตรุณวิปสสนา)”
เปนภูมิของญาตปริญญา คือปญญาขั้นรูจักรูปนาม รูจักแยกแยะได
วาอะไรเปนรูป อะไรเปนนามมองเห็นความตางกันของธรรมชาติ ๒ อยาง
คื อ เห็ น รู ป ก็ เ ป น ลั ก ษณะธรรมชาติ อ ย า งหนึ่ ง เห็ น นามก็ เ ป น ลั ก ษณะ
ธรรมชาติอยางหนึ่ง จัดเปนทิฏฐิวิสุทธิ และการกําหนดรูนี้เปนทุกขอริยสัจ
๑) ญาตปริญญา กําหนดรูป -นาม ๘๐% เปนการกําหนดรูขั้นรูจัก
รูป -นามว าเป น ทุกขสั จ เห็ นอาการเกิดขึ้น และอาการที่ตั้ งอยูของรูป นาม
(ขันธ ๕) อันเปนตัวทุกข
๒) ตีรณปริญญา การพิจารณารูป-นาม ๑๕ %
๓) ปหานปริญ ญา การละอุป าทานในรูป -นามดว ยการกํา หนด
พิจารณารูป-นาม ขมนิวรณไวแบบวิกขัมพนปหาน ๕ %
๕๑๔
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
อัตราการการใสใจวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๑. นามรูป ๕ (จิตกุศล)
๖๐ ๑๐ (ทุกขเวทนา) ๑๐ (นิวรณ) ๑๐
ปริจเฉทญาณ ๕ (จิตอกุศล)
๑. กายานุปสสนา ๖๐ % การกําหนดรูอารมณฐานกายมากที่สุด
ชัดสุด พอง-ยุบชัด ,ยก– ยาง-เหยียบ. นั่ง-ถูกชัดเจน
๒. เวทนานุปสสนา ๑๐ % ทุกขเวทนาอาการปวดยังไมมาก พอๆ
กับนิวรณธรรมในธัมมานุปสสนา ๑๐ % คือ อาการเบื่อเซ็งพอๆกัน บางครั้ง
ก็หลับ บางครั้งก็ปวดนิดหนอย เพราะไมสนใจปวด ดูแตพอง-ยุบ
๓. จิตตานุปสสนา ๑๐ % (กุศลจิต ๕ % , อกุศล ๕ %) กุศลจิตคือ
ความตั้งใจ สวนอกุศลจิต คือ ความไมตั้งใจ ฟุงซาน งวงซึม บางครั้งก็หลับ
๔. ธัมมานุปสสนา ๑๐ % เปนนิวรณธรรม เชน งวง เบื่อเซ็ง เปน
ธรรมารมณ เปนอกุศลดวย แตเมื่ออกุศลเกิดก็ใชเปนอารมณของสติในการ
กําหนดรู ในจิตตานุปสสนาตามสภาพที่เปนจริง
เพงความสนใจไปที่วิถีจิตที่บริกรรมภาวนาเพียง ๑๐ % โดยใสใจ
เพงดูอารมณมากกวาใสใจทองบริกรรม เพราะขั้นนี้จิตยังไมตั้งมั่น มักถูก
นิวรณรบกวนอยูบอยๆ ตองพยามเพิ่มพูนสมาธิดวยการเพงรูรูปธรรมใหมาก
ความสมดุลของอินทรีย ๕
อินทรีย ๕ มีรูปวิเคราะหวา อินฺทสฺสกมฺมํอินฺทริยํ แปลวาการกระทํา
ของผูเปนใหญ ชื่อวาอินทรีย หมายถึงความเปนใหญตอหนาที่นั้นๆ เหมือน
การกระทํ า ของผู ใ หญ คื อ การกระทํ า ของผู ค วบคุ ม จิ ต ใจของตั ว เองได
ตัวอยางเชน ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา ธรรมทั้ง ๕ ประการเหลานี้
ยอมเกิดขึ้นแกผูที่สามารถควบคุมจิตหรือผูที่เปนใหญแกจิตของตน
๑. ศรัทธินทรีย ความเชื่อ ทําใหจิตใจผองใส จิตที่ไมศรัทธาจะไม
ผองใส
๕๑๕
ขั้นที่ ๑ เห็นรูป เห็นนาม
๒. วิริยินทรีย ความเพียร ที่เปนอินทรีย เรียกวา ภาวนาวิริยะ เปน
ความเพียรในการอบรมจิตใจ
๓. สตินทรีย การระลึกรูสภาวธรรมปจจุบันตามความเปนจริง
๔. สมาธินทรีย ความตั้งใจมั่นในสภาวธรรมปจจุบัน เราทั้งหลายมัก
ขาดความตั้งมั่นในสภาวธรรมปจจุบัน โดยจิตของเรามักซัดสายอยูเ สมอ
๕. ปญญินทรีย จิตที่มีคุณภาพขณิกสมาธิที่มีกําลัง เปรียบเสมือน
กระจกเงาที่บุคคลขัดสีอยูเสมอ
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา
๔๐ ๒๕ ๒๐ ๑๐ ๕
การปรั บ อิน ทรี ย ในอิ น ทรี ย ๕ เหล านั้ น ศรั ทธากับ ป ญญา และ
วิริยะกับสมาธิ ตองสมดุลกันในคัมภีรวิสุทธิมรรคกลาววา วิเสสโตปเนตฺถ
สทฺธาปฺานํ สมาธิวีริยานฺจ สมตํ ปสํสนฺติ. อนึ่ง พระพุทธเจาทั้งหลาย
ทรงสรรเสริญความสมดุลแหงศรัทธากับปญญาและความสมดุลแหงสมาธิกับ
วิริยะเปนพิเศษในเรื่องนี้
ศรัทธาความเชื่อและปญญาความเขาใจทั้งสองอยางตองสมดุลกัน
ถามีความเชื่อแตไมมีความเขาใจสิ่งที่ตนเองเชื่ออยางถูกตอง คือ ไมเขาใจใน
เหตุผลวาสิ่งนี้ควรเชื่อหรือไม ก็จะกลายเปนคนงมงาย เชื่อทุกสิ่งทุกอยางที่
ฟงมา บุคคลที่มีปญญาอันเปนการวิเคราะหวิจารณอยางมากโดยปราศจาก
ศรั ท ธาก็ มั ก เป น คนที่ ต รึ ก ตรองมากเกิ น ไป ส ง ผลให ไ ม เ ชื่ อ ถื อ สิ่ ง ใด
เพราะฉะนั้น ศรัทธากับปญญาจึงตองเทากัน
นอกจากนี้ วิริยะกับสมาธิก็ตองเทากันถาความเพียรมากกวาสมาธิ
ยอมสงผลใหฟุงซาน แตถาสมาธิมากกวาความเพียร ยอมสงผลใหเกิดความ
งวงเหงาหาวนอน ดังนั้นจึงมีการสอบอารมณในแตละวันเพื่อปรับอินทรีย
๕๑๖
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
การปฏิบัติในขั้นที่ ๒ พิจารณารูปนาม เปนหัวขอธรรมที่สืบตอจาก
ขั้น ที่ ๒ เป น การพิ จ ารณารู ป นามโดยเหตุ ป จ จั ย ซึ่ งเน น ไปที่ ก ารเพิ่ม สติ
กําหนดทางทวารทั้ง ๖ ขณะการเดิน จงกรม การนั่งสมาธิ ฯลฯ พรอม
สังเกตเห็นจิตที่เขาไปรูอารมณดวย ดังนั้นบันไดขั้นนี้ โยคีจะรูชัดทั้งอารมณ
และจิตที่เขาไปรูอารมณ๑
อารมณ ข องวิ ป ส สนาภาวนาเป น ไปได ทั้ ง อารมณ ภ ายใน และ
ภายนอก ดังความปรากฏใน “มหาสติปฏฐานสูตร” วา
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเดินก็รูชัดวาเราเดิน เมื่อยืนก็รูชัดวาเรายืน เมื่อ
นั่งก็รูชัดวาเรานั่งหรือเมื่อนอนก็รูชัดวาเรานอน ภิกษุนั้น เมื่อดํารงกาย
อยูโดยอาการใดๆ ก็รูชัดกายที่ดํารงอยูโดยอาการนั้นๆ ดวยวิธีนี้ ภิกษุ
ย อ มพิ จ ารณาเห็ น กายในกายภายในอยู พิ จ ารณาเห็ น กายในกาย
ภายนอกอยู หรือพิจารณากายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกอยู พิจารณา
เห็นธรรมเปนเหตุเกิดในกายอยู พิจารณาเห็นธรรมเปนเหตุดับในกายอยู
หรือพิจารณาเห็นทั้งธรรมเปนเหตุเกิดทั้งธรรมเปนเหตุดับในกายอยู หรือ
วาภิกษุนั้นมีสติปรากฏอยูเฉพาะหนาวา กายมีอยูก็เพียงเพื่ออาศัยเจริญ
ญาณ เจริญสติเทานั้น ไมอาศัยตัณหาและทิฏฐิอยู และไมยึดมั่นถือมั่น
อะไรๆ ในโลก ภิกษุทั้งหลาย พิจารณาเห็นกายในกายอยูอยางนี้แล๒
วิธีบริกรรมภาวนา :ใสใจเพงรูในอารมณที่จิตรับรูในปจจุบันขณะนั้น
อยางจดจอ ตอเนื่อง โดยไมซัดสายไปหาอารมณ การกําหนดรูแบบวิปสสนา
เปนการพยายามเพงพิจารณาอาการของอารมณนั้นๆ โดยไมใหจิตซัดสายไป
หาอารมณอื่นๆ แตไมพยายามปดกั้นไมใหอารมณอื่นๆ แทรกเขามา และ
หากมีอารมณอื่นๆ แทรกเขามาได ก็ใหเพงรูลงในอาการของอารมณใหมนั้น
๑
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) ลําดับโสฬสญาณ, หนา ๖๑.
๒
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๔/๓๐๔.
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
ทันที พรอมๆ กับสังเกตุเห็นอาการของจิตที่จากคลายจากอารมณเกากอน
หนานั้นไปดวย หลักการสําคัญในการบริกรรมภาวนาในขั้นนี้ ตองพยายาม
นอมจิตเพงความรูสึกไปที่ตัวอารมณ ๗๐ % (ดูกาย ๓๐ % +ดูเวทนา ๓๐
% ดูจิต ๑๐ % พิจารณานิวรณธรรมที่เกิด-ดับ) เพียรเพงความสนใจไปที่วิถี
จิตที่บริกรรมภาวนาเพิ่มขึ้น เปน ๓๐ % แตยังใสใจเพงดูอารมณมากกวาใส
ใจบริกรรม อนึ่ง ขั้นนี้จิตตั้งมั่งในอารมณรูปนามไดมากขึ้นแลว บางคนอาจ
ถึงขั้นฌานสมาธิไดเลย จึงแทบไมมีนิวรณเขารบกวนเลย
การพิจารณาธรรมในขั้นที่ ๒ คือ พิจารณารูป-นาม โดยเหตุปจจัย
ซึ่งเนนไปที่การเพิ่มสติกําหนดทางทวารทั้ง ๖ การเดินจงกรม การนั่งสมาธิ
ฯลฯ พรอมสังเกตเห็นจิตที่เขาไปรูอารมณดวย ดังนั้นบันไดขั้นนี้ โยคีจะรูชัด
ทั้งอารมณและจิตที่เขาไปรูอารมณ ซึ่งมีรายละเอียดในการปฏิบัติ ดังนี้
๑. กําหนดกราบ แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
การพลิกมือนั้น ตามปกติมือจะพลิ กเองไมได จะมีจิตเขาไปสั่งให
ขยั บ กอน ให พิจ ารณาเห็ นจิ ต ที่เ ขาไปสั่ ง กําหนดรู ตามอาการว า "อยาก
กราบหนอ" "พลิกหนอๆๆ ยกหนอๆๆ เคลื่อนหนอๆๆ" แลวคอยพลิกมือไป
ตามความอยาก และเห็นอาการดับเมื่อพลิกมือเสร็จแลว ใชเวลาประมาณ
๕-๗ นาที กอนเคลื่อนไหวรางกายสวนอื่นๆ ก็ใหสังเกตดูอาการ ดุจเดียวกัน
๒. วิธีเดินจงกรม แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
เดินจงกรมเหมือนขั้นที่ ๑ แตใหเพิ่มสติกําหนดใหมากขึ้น คือการ
เพิ่ ม ต น จิ ต และการตั ด คํ า บั ญ ญั ติ เ ท า ออกและการหยุ ด กํ า หนดจนเห็ น
อารมณที่กระทบทวาร ๖ ดับไป แลวเริ่มเดินตอ ดังนี้
ระยะที่ ๑ ขวายางหนอ-ซายยางหนอ ใหรูอาการของเทาที่ยกยาง
พรอมกับสังเกตจิตรูอาการเหลานั้น เชนเทาขวายางบริกรรมวา “ขวายาง”
แลวสังเกตจิตที่วิ่งสูเทา เห็นอาการยางไปขางหนาของเทาและเทากระทบ
พื้น รูพรอมบริกรรมวา “หนอ” จนหยุดนิ่งแลวจึงเริ่มกาวเทาซาย เดิน
กําหนดจนจิตสงบอยูกับอารมณ ความคิดนอยลง จึงเพิ่มเปนจังหวะที่ ๒
๕๑๘
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
ระยะที่ ๒ ยกหนอ-เหยี ย บหนอ เพิ่ ม เป น สั ง เกตจิ ต ที่ รู จ ะยก รู
เหยียบทุกครั้ง วา “ยกหนอ” “เหยียบหนอ” จนขามั่นคงไมเซ จึงเพิ่มเปน
จังหวะที่ ๓
ระยะที่ ๓ ยกหนอ-ยางหนอ-เหยียบหนอ เปลี่ยนเปนสังเกตจิตที่
ยก-ยาง-เหยียบทุกครั้ง จนขามั่นคงไมเซ จึงเพิ่มเปนจังหวะที่ ๔
กรณีที่เดินจงกรมอยูแลวเดินเซ มีมึนตึงที่ศีรษะ มีฟุงซานจนกําหนด
ไมไดใหลดระยะเดินลงมาจนกวาจะกําหนดไดดีเปนปกติ
๓. วิธีกําหนดรูพอง-ยุบ แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
พยายามนั่ งกําหนดใหได ๑ ชั่ว โมงทุกบั ล ลังก เพิ่มสติ พิจ ารณารู
ความเคลื่อนไหวทุกขณะของทอง ตั้งแตตนพอง-กลางพอง-สุดพอง..ตนยุบ-
กลางยุบ-สุดยุบ ระยะไหนชัด ระยะไหนไมชัด (ก็ใหจิตรูชัดวา “ไมชัด”)
อาการของทองมีอาการที่แทจ ริงอยางไรก็ใหรูชั ดลงไปในอาการนั้น จิต ที่
คิดถึงอารมณที่เปนอิฏฐารมณและอนิฏฐารมณทั้งปวง ที่เปนเหตุใหจิตใจไป
จากปจจุบันนั้น ใหมีสติกําหนดรูทุกขณะแหงความคิดที่ผุดขึ้น คือพยายาม
กําหนดใหทันมากเทาที่จะมากได จนกวาจะดับหายไป
ถาอาการพอง-ยุบนิ่ง ก็ใหตามดูอาการนิ่งนั้น “นิ่งหนอๆๆ” หรือ
“หายหนอๆๆ” จนกวาพอง-ยุบจะกลับมา แตถายิ่งกําหนดอาการยิ่งนิ่ง ..ก็
อยาสูดลมเขาชวยเด็ดขาด ใหกลับไปจับความรูสึกของรูปนั่งใหญ ตั้งแต
ศีรษะจนถึงเทา “นั่งหนอ” รวดเดียว (อยานึกแยกสวน) จากนั้นสงจิตจี้ไปที่
มือทับอยูบนตักกระทบกัน “ถูกหนอ” แลวกลับมาดูรูปนั่งอีก “นั่งหนอ”
จากนั้นสงจิตจี้ไปที่อาการตึงที่กนยอยขางขวาถูกพื้น “ถูกหนอ” แลวกลับมา
ดูรูปนั่งอีก “นั่งหนอ” จากนั้น สงจิตจี้ไปที่กนยอยขางซายถูกพื้น “ถูกหนอ”
ทําอยางนี้สลับกันไปเรื่อยๆ จนกวาอาการพอง- ยุบจะชัดขึ้น แลวกลับมา
กําหนดอาการพอง-ยุบตามปกติ
กําหนดเสียง จะมีเสียงเดียว หรือมากเสียงก็ตาม ถาเสียงนั้นไม
รบกวนผูปฏิบัติ จิตใจของผูปฏิบัติมุงตรงตอการกําหนดอาการพอง-ยุบทัน
๕๑๙
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
ปจ จุ บั นดี อยู ก็กําหนดพอง-ยุ บ ต อไป แตถาในขณะที่เ ดิ น จงกรม หรื อนั่ ง
กําหนดอยูนั้น มีเสียงดังมารบกวน ใหปลอยอาการพอง-ยุบ มีสติไปกําหนด
อาการไดยินนั้นวา “ไดยินหนอๆ” พรอมกับรูอาการกระทบของเสียงพรอม
กันไปดวย รูอาการกระทบของเสียง ไมใชกําหนดใหเสียงดับไป แตเปนเพียง
มีสติรูอาการกระทบของเสียงที่เกิดขึ้นในปจจุบันขณะนั้น ใหเห็นชัดตาม
ความเปนจริงเทานั้น และอยาใหเกิดความยินดีหรือไมยินดี ใหจิตของโยคี
ดํารงอยูในความเปนกลางตลอดเวลา ในขณะที่มีสติกําหนดพิจารณารูอาการ
กระทบของเสียงอยูนั้น ถาสมาธิของโยคีผูปฏิบัติคนใดมีมาก วิปสสนาญาณ
แกกลา อาการกระทบของเสียงจะปรากฏชัดเจนมาก แลวดับพรึบลงไปเลย
ก็ใหกําหนดพิจารณารูอ าการดับของจิตรูเสียงนั้นดวย
๔. วิธีกําหนดรูอิริยาบถ แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
การกําหนดฉันรับประทานอาหาร
ในขณะฉันพึงกําหนดรูอาการเคลื่อนไหวของมือในทุกๆ ระยะ ขยับ
มือทีละขาง ถามือยังขยับอยูใหอมคําขาวไวกอน อยาเพิ่งเคี้ยว ในขณะเคี้ยว
ใหสังเกตถึงความหนักเบาของแรงเคี้ยว พรอมกับกําหนดไปตามอาการนั้น
วา “เคี้ยวหนอๆๆ” “กลืนหนอๆ”
การกลืนครั้งหนึ่งก็จะเห็นเปน ๓ ระยะ ตนกลืน กลางกลืน สุดกลืน
แตยังไมเห็นอาการดับชัดเจน ใหกําหนดวา กลืนหนอๆ ลงหนอๆ ไหลหนอๆ
กําหนดยกมือขึ้นหรือลงครั้งหนึ่งก็จะเห็นเปน ๓ ระยะ ตนยก กลาง
ยก สุดยก ใหกําหนดวา ขึ้นหนอๆ หรือ ลงหนอๆ
กําหนดรูรสไดดีขึ้น แตยังไมเห็นอาการดับชัดเจนนัก ใหกําหนดวา
รสหนอ หรือ รูหนอๆ
อาการฟน บนหรือล างที่กําลั งเคี้ยวอยู หายไป บางคนหายไปนาน
บางคนไมนาน ใหกําหนดวา หายหนอๆ กําหนดสภาวะสม่ําเสมอบาง แผว
เบาบาง มีอึดอัดแนนขึ้นมาบาง ใหกําหนดไปตามอาการ
๕๒๐
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
๓
๕. วิธีเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน
การกําหนดในขั้นที่ ๒ เปนการเพิ่มพูนอินทรีย โดยเฉพาะสติในการ
รูเทาทันอารมณที่กระทบทวารทั้ง ๖ เรียกวา อินทรียสังวร โดยกําหนดจน
เห็น อารมณดั บไป ย อมทําให วิป สสนาญาณแกกล า เห็นสภาวธรรมต างๆ
ละเอียดขึ้น ดังตอไปนี้
กําหนดรูทุกขเวทนาเมื่อเพิ่มเวลานั่งภาวนา สภาวะทุกขเวทนาก็จะ
ปรากฏชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะที่บริเวณขา ในมหาสติปฏฐานสูตรที่กลาววา
“...เมื่อเสวยทุกขเวทนา ก็รูชัดวา เราเสวยทุกขเวทนา...”๔ ดังนั้นโยคีผูหวัง
ความเจริญกาวหนาในสภาวะญาณอยางรวดเร็ว พึงเรงความเพียรโดยการ
เดินจงกรมใหมากกวาหนึ่งชั่วโมง เพื่อใหกําลังอินทรียแกกลายิ่งขึ้น แลวใช
กําลังนั้นเพงจี้ไปที่ทุกขเวทนาตรงจุดหรือบริเวณที่ปรากฏชัดที่สุด เพงรูอยาง
จดจ อ ต อ เนื่ อ งจนกว า ทุ ก ขเวทนานั้ น จะดั บ หายไป เปลี่ ย นลั ก ษณะหรื อ
เปลี่ยนที่ไป เมื่อเรงกําหนดทุกขเวทนา อาการทุกขเวทนาจะปรากฏเปน ๓
ประการ ดังนี้
๑) ยิ่งกําหนด “ปวดหนอๆๆ” “ชาหนอๆๆๆ” “เจ็บหนอๆๆๆๆ”
อาการยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏแกจิตชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แสดงวากําลังสมาธิ
นทรียแกกลาขึ้นตามลําดับ แตกําลังปญญาอินทรียยังมีนอยอยู โยคีพึงรีบเรง
เพิ่มพูนปญญาอินทรียดังนี้
ก) เดินจงกรมเกิน ๑ ชั่วโมง หากมีอารมณภายนอกแทรกเขามา
ชัดเจน เชน เสียงดัง ลมพัดมาถูกตัว รูสึกเจ็บ หรือรูสึกเมื่อยตามรางกายเปน
ตน ใหหยุดเดินกอนแลวสงจิตไปกําหนดที่อาการนั้นๆ จนกวาจะจางหาย
ดับไป แลวจึงกําหนดเดินตอไป อนึ่ง ในขณะกําลังกําหนดอารมณแทรกซอน
อยูนั้น หากมีอารมณใหมแทรกเขามาใหมกวา ก็ใหกําหนดอารมณใหมกอน
จากนั้นพิจารณาดูวาอารมณใดปรากฏชัดกวากัน ก็ใหกําหนดแตอารมณที่
ชัดนั้นจนกวาจะจางหายไป แลวจึงกําหนดเดินตอไป
๓
ดูรายละเอียดใน ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๐/๓๑๓.
๔
ดูใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓/๔-๖.
๕๒๑
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
ข) ในขณะนั่งภาวนา รูสึกวาอาการทุกขเวทนาปรากฏชัดรุนแรง
ขึ้นเรื่อยๆ ก็พึงใสใจเพงกําหนดอยูที่อารมณนั้น อยางไมลดละ ...เพียงเพื่อรู
เทานั้น มิใชเพื่ออยากใหหาย แตถาเกิดจิตอยากใหหาย รูสึกเปนทุกขทรมาน
ร อ นวู บ วาบ แสดงว า อาการกิ เ ลสทางใจเกิ ด ชั ด เจนกว า ก็ ใ ห เ ปลี่ ย นมา
กําหนดรูอาการกิเลสที่ใจแทน “อยากหายหนอๆ” “ทุกขหนอๆ” จนกวาจิต
จะคลายอุปาทานจากอาการทุกขเวทนานั้น
ค) โยคีบางคนบนดวยความนอยใจวา “ปฏิบัติวันแรก ปวดสุดๆ
ตามแขงขายังพอทนได แตทําไมยิ่งตั้งใจกําหนด มันกลับเจ็บ แสบรอน ปวด
เมื่อยลุกลามไปทั้งตัว.. ทําไมคนอื่นเขาไมเ ห็นทุกขอยางเราเลย ...มันเวร
กรรมอะไรกันนี่ ?”
ทุกขเวทนาของแตละคนไมเหมือนกัน ขึ้นอยูกับการผิดศีลขอที่ ๑๕
ที่เคยทํามา แกไขไดดวยการขออโหสิกรรม คือ ใหอธิษฐานจิตขอขมาโทษ
กอนนั่งภาวนาวา
“ขาพเจา ขอขมาซึ่งโทษลวงเกินที่มีตอสัตวทั้งหลายที่ไดกระทํามา
ในอดีตชาติ นับตั้งแตสังสารวัฏที่หาเบื้องตนมิไดมาจนถึงปจจุบันชาติใน
ปจจุบันขณะนี้ หากแมนขาพเจาไดเคยลวงเกิน ดวยกายก็ดี ดวยวาจาก็ดี
ด ว ยใจก็ ดี ตั้ ง ใจก็ ดี ไม ตั้ ง ใจก็ ดี ขอสั ต ว เ หล า นั้ น จงยกโทษล ว งเกิ น
อโหสิกรรมใหแกขาพเจา ขอโทษลวงเกินจงหมดสิ้นไปดวยเถิด และดวย
บุญกุศลที่ขาพเจาไดทํามาแลว ขออุทิศใหแกสรรพสัตวทั้งหลายเหลานั้น
ขอใหสรรพสัตวทั้งหลายจงมีความสุขปราศจากทุกข ทุกตัวตนเทอญ”
จากนั้น เพิ่มสติสังเกตลักษณะปลีกยอยในอาการปวดนั้นใหมากขึ้น
เชน ตึงหนอ แนนหนอ แสบหนอ เคลื่อนหนอ กระตุกหนอ อึดอัดหนอไม
ชอบหนอ ทุกขหนอ เปนตน เจาะลึกลงในใจกลางสภาวะใหไดลึกที่สุด
๒) ยิ่งกําหนด “ปวดหนอๆๆ” “ชาหนอๆๆๆ” “เจ็บหนอๆๆๆ”
อาการทุกขเวทนาปรากฏชัดอยูระยะหนึ่งแลวคอยๆ เบาลงตามลําดับ หรือ
หายจากจุดหนึ่ง ไปปรากฏชัดอยูอีกจุดหนึ่ง ยายที่ไปเรื่อยๆ แสดงวา ทั้ง
๕
ดูใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓/๔-๖.
๕๒๒
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
กําลังสมาธิและกําลังปญญาแกกลาขึ้นตามลําดับ พรอมที่จะกาวเขาสูญาณที่
๔ (อุทยั พพยญาณ)๖ ต อไป โยคีพึงกําหนดอย างจดจ อช า ๆ แต ห นั กแน น
“ปวดดดดหนอ” รูใหไดวาดับลง ณ ขณะจิตใด
๓) กําหนดทุกขเวทนา “ปวดหนอๆ” “ชาหนอๆ” “เจ็บหนอๆ”
อาการทุกขเวทนาปรากฏชัดอยูระยะหนึ่งแลวคอยๆ เบาลง แตไมดับหายไป
หรือดับไปแลวแตกลับมาอีกเรื่อยๆ แสดงวากําลังสมาธินทรียออนกําลังลง
โยคีพึงเพิ่มการกําหนดโดยการกําหนดสลับกับพอง-ยุบ คือ “พองหนอ-ปวด
หนอ” “ยุบหนอปวดหนอ” ถาพอง-ยุบเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ใหกําหนดวา
“พอง-ยุบ-ปวดหนอ” สลับกัน
วิธีแกผูติดสภาวะทุกขเวทนา
ธรรมดาวาโยคีผู มีความเพีย รอย างไมลดละ มีอิน ทรี ยส มดุล และ
พอกพูนอยางตอเนื่อง จะสามารถกําหนดทุกขเวทนาดับไดภายใน ๗ วัน แต
ถากําหนดทุกขเวทนายังไมดับ หรือยังไมปรากฏอาการลดลง หรือยายที่ ยิ่ง
กําหนดยังยิ่งเจ็บยิ่งปวด ยิ่งชายิ่งทุกข มีอาการทุกขเวทนาคางๆ คาๆ เรื่อยๆ
ไมเพิ่ม ไมลด พระวิปสสนาจารยพึงวินิจฉัยสอบถาม ดังนี้
๑) เพราะอินทรียไมสมดุล ปลอยหลุดปลอยเผลอนอกบัลลังกบอย
แต โ ยคี ไ ม ย อมรั บ คื อ ไม ไ ด ร ายงานสอบอารมณ ต ามความเป น จริ ง พระ
วิปสสนาจารยพึงสอบถามใหแนใจวา
- เดินจงกรมกอนนั่งทุกบัลลังก และรักษาบัลลังกละ ๑ ชั่วโมงครบ
จริงๆ
- ขณะเดินจงกรม โยคีไมไดหยุดกําหนดเสียงที่ไดยินใหดับกอน ใช
หรือไม?
- ขณะเดินจงกรม โยคีไมไดหยุดกําหนดอาการคิด นึก ใหดับกอน
ใชหรือไม ? บางครั้งถึงจะกําหนดอาการคิด นึกอยูบาง แตมักดึง หรือทิ้ง
อาการคิดนึกๆ ไมไดกําหนดจนเห็นอาการดับจริงๆ ใชหรือไม
๖
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/๖๘๒.
๕๒๓
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
- ไมไดหยุดกําหนดอาการลมสัมผัสใหดับกอน ใชหรือไม?
- ไมไดหยุดกําหนดอาการคัน ปวด เมื่อย ใหดับกอน ใชหรือไม?
- สรุปคือสันตติไมขาด ปญญาอินทรียไมเกิด..(ขึ้นสูญาณที่ ๔ ไมได)
๒) เพราะปญหาสุขภาพ มีโรคติดตัว เคยประสบอุบัติเหตุมากอน
เปรียบเหมือนรถชํารุด ที่ตองซอมกอน จึงจะแลนตอไปได แตนั่นก็แสดงวา
ยังเปนรถที่ใชไดอยู แตตองใชเวลานานหนอย จึงจะกําหนดเวทนาดับได แต
มักจะไมหายขาด มักคางๆ คาๆ ทําใหรําคาญ โยคีบางคนรูสึกเบื่อซ้ําซากอยู
กับเวทนาจนทิ้งการกําหนดเวทนาไปเลย ก็มีพระวิปสสนาจารยพึงแนะนําให
โยคีกําหนดเพียงเพื่อรู ไมใชเพื่อใหหาย หากกําหนดจนสภาวะเวทนานิ่งสงบ
แลว ถึงแมจะไมหายขาด ก็ใหไปกําหนดอารมณหลัก คือ พอง-ยุบหรือ นั่ง
หนอ-ถูกหนอ สลับกับกําหนดเวทนา ไดเลย เมื่อเวทนาแรกขึ้นมาใหมจึ ง
กลับมากําหนดจี้เวทนาใหม
๓) เพราะอกุศลวิบากมาเบียดเบียน อาการทุกขเวทนาจะแตกตาง
จากคนทั่วไป คือจะเปนอยูที่จะเดียวเปนเวลานานๆ โดยมากจะเปนอาการ
ปวดแสบ ปวดร อนที่บ ริ เวณหลั ง แขน หรื อศีร ษะ หลั งจากตั้ งใจกําหนด
เวทนามา ๗ วันแลว ถาอาการเจ็บปวดที่หลัง หรือที่ศีรษะ ยังไมบรรเทาเบา
ลง ๗ พระวิ ป ส สนาจารย พึ ง ถามโยคี ว า เคยทํ า บาปอกุ ศ ล ผิ ด ศี ล ข อ ๑ ที่
รายแรง อยางไรบาง? แลวพึงแนะนําแนวทางแกไข ดังนี้
- กอนนั่งปฏิบัติทุกบัลลังก นั่งประนมมือขึ้น ตั้งนะโม ๓ จบ ตั้งใจ
ขออโหสิกรรมตอพระรัตนตรัย พระอริยเจา และเพื่อนผูปฏิบัติธรรม แลว
ตั้งใจขออโหสิกรรมตอสัตวทุกชีวิตที่เราเคยละเมิดลวงเกิน ทั้งที่ถึงแกชีวิต
และไมถึงแกชีวิต กอนนั่งปฏิบัติทุกๆ บัลลังก
- กอนออกจากการนั่งภาวนาทุกครั้ง กําหนดรูจิตที่เปนสมาธิ นอม
อุทิศสวนบุญสวนกุศลใหแกเจากรรมนายเวร โดยเฉพาะสัตวที่เราเคยทําราย
ใหถึงแกชีวิต ทุกๆบัลลังก จนกวาอาการทุกขเวทนาจะบรรเทาเบาบาง...
๗
ดูใน ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๒/๔๒๒.
๕๒๔
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
๖. วิธีเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน
ใหเพิ่มการกําหนดทางทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อัน
เปนชองทางและเปนบอเกิดของบาปธรรมทั้งหลาย คือ ราคะ โทสะ โมหะ
เปนตน และเปนบอเกิดของกุศลธรรม คือ ศีล สมาธิ ปญญา พรอมกับมีสติ
พิจารณาอาการของจิตที่มีอาการตางๆ กัน เชน เกิดความดีใจ เกิดความ
เสี ย ใจ เป น ต น พร อ มกั น ไปด ว ย การกํ า หนดพิ จ ารณารู อ าการของจิ ต
(เจตสิก) นั้น ไมใชกําหนดใหอาการของจิต (ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ)
ดับไป แตเปนเพียงใหพิจารณารูอาการของจิตที่เกิดขึ้นในปจจุบันขณะนั้น
ใหเห็นชัดเจนตามความเปนจริงเทานั้น และอยาใหความยินดี(ชอบใจ) หรือ
ความยิ น ร า ย(ไม ช อบใจ)เกิ ด ขึ้ น มา ให จิ ต ดํ า รงอยู ใ นความเป น กลาง
ตลอดเวลาในขณะที่พิจารณาอยูนั้น หากสมาธิของโยคีคนใดมีมาก วิปสสนา
ญาณแกกลามีกําลังมาก อาการของจิตจะดับไปในขณะที่กําลังกําหนดรูอยู
นั้น ดวยอํานาจปญญาประจักษแจงในพระไตรลักษณ
โยคีตองพยายามจําใหไดวา อาการของจิตดับไปในขณะที่กําหนดรู
อาการของจิตอยางใดอยู ถาสมาธินอยและวิปสสนามีกําลังออน อาการที่
กําหนดอยูนั้นจะเปนแตเพียงเบาลง ยังไมดับขาด ก็ใหกําหนดอาการพอง-
ยุบ ที่ปรากฏชัดอยูในขณะนั้นตอไปอีก จนกวาจะครบเวลาตามที่กําหนดไว
การกําหนดตนจิต : ถามวา “เปนไปไดหรือไมที่กายลุกขึ้นโดยที่ไม
มีจิตคิดจะลุกเกิดขึ้นกอน เปนไปไดหรือไมที่มือเปดประตูโดยที่ไมมีจิตคิดจะ
เปด เกิดขึ้น กอน เปน ไปไดห รือไมที่ขากาวเดิ นโดยที่ไมมีจิต คิด จะเดิน เกิด
กอน” ขากาวเดินก็เพราะมีจิตคิดจะเดินเกิดกอน มือจับแกวน้ําก็เพราะมีจิต
คิดจะดื่มเกิดกอน โยคีพึงกําหนดรูเทาทันจิตนั้นกอนเคลื่อนไหวอิริยาบถทุก
ครั้ง คือ “อยากลุกหนอ-ลุกหนอๆๆ” “อยากตักหนอ - ตักหนอๆๆ” เปน
ต น แต ถา รู สึ กว าเป น การทองบริ ก รรม ไมเ ห็ น สภาพจิ ต จริ งๆ ก็ไมต อ ง
บริกรรมภาวนาวา “อยาก...หนอ”
กอนจะทําอะไรทุกอย าง ให กํา หนดต น จิ ต ให ทัน ป จ จุ บั น อารมณ
และขณะนั้น ใหมีสติพิจารณารูอาการของจิต พรอมกับภาวนาตามอาการที่
๕๒๕
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
ปรากฏในปจจุบันนั้นๆ ใหพรอมกันพอดีๆ “อยากหนอ” “สนใจหนอ”
การกําหนดตนจิต
การกําหนดตนจิต เปนการกําหนดรูนามที่เปนใหญในกองสังขาร ซึ่ง
ทําหนาที่สั่งการควบคุมพฤติกรรมทั้งหมดของรูป เพื่อใหโยคีบุคคลรูเทาทัน
จิต ที่ต องการเปลี่ ย นจากอิริ ย าบถหนึ่ งไปสู อีกอิริ ย าบถหนึ่ ง ใจจะน อมว า
ตองการขึ้น มากอน เช น จิ ต อยากจะคูก็กําหนด“อยากคูห นอๆๆ” จิ ต
อยากจะเดินก็กําหนด “อยากเดินหนอๆๆ” เปนตน คําวา “อยาก” ในที่นี้
มิไดสื่อความหมายที่เปนตัณหา แตเปนความตองการที่ประกอบดวยกุศล
เปนความพอใจที่จะบําเพ็ญภาวนากุศลในการปฏิบัติธรรม แตอยางไรก็ตาม
ผูปฏิบัติจะเริ่มฝกการกําหนดตนจิตเมื่อสมาธิเริ่มแกกลาเห็นรูป– นามเริ่ม
ปรากฏชั ด กลาวคือ สามารถแยกรูป แยกนามได เมื่อโยคีมีจิต ที่ว องไวจึ ง
สามารถกําหนดตนจิตได
อานิสงสการกําหนดตนจิต
๑. กําหนดเพื่อละความอยาก คือ ไมใหความอยากเกิดขึ้น
๒. เพื่อตัดกําลังของราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ อวิชชาตัณหา
อุปาทาน เปนตน ไมใหกําเริบ ฟุงซาน รบกวนจิตใจในขณะปฏิบัติธรรม
๓. เพื่อละตัณหา คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา๘
๔. เพื่อคั่นรูปคั่นนาม แยกรูปนามออกจากกันใหปรากฏชัด
๕. เพื่อใหจิตเขาถึงสภาวะที่เปนธรรมชาติ เปนกลาง อันเปนฐาน ที่
ถูกตอง และแทจริงของการเจริญวิปสสนากรรมฐาน
๖. เพื่อตัดอารมณที่เปนอดีตและอนาคตใหหมดไป คงปจจุบันธรรม
ไวเทานั้น
๗. เพื่อละวิปลาสทัง้ หลาย มีทิฏฐิวิปลาส เปนตน
๘. เพื่อสนับสนุนอุปถัมภวิปสสนาใหสมบูรณไดเร็วยิ่งขึ้น
๙. ทําใหสติสมบูรณ เมื่อสติสมบูรณดีแลว อินทรียทั้ง ๕ ก็จะสมดุล
๘
ดูรายละเอียดใน อภิ.วิ. (ไทย)๓๕/๙๑๖/๙๑๖-๙๑๗.
๕๒๖
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
กันโดยอัตโนมัติ
๑๐. เพื่อทําองคของผูปฏิบัติใหครบองค ๓ คือ อาตาป สติมา สัมป
ชาโน
๑๑. เพื่อใหผูปฏิบัติรูทันกระบวนการรูอารมณของจิต๙
๗. วิธีเจริญธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน
ใหเพิ่มการกําหนดทางทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อัน
เปนชองทางและเปนบอเกิดของบาปธรรมทั้งหลาย คือ ราคะ โทสะ โมหะ
เปนตน และเปนบอเกิดของกุศลธรรม คือ ศีล สมาธิ ปญญา ดังนี้
๑. ขณะตาเห็นรูป ตั้งสติกําหนดรูอาการเห็นวา “เห็นหนอๆ”
๒. ขณะหูไดยินเสียง ตั้งสติกําหนดรูอาการวา “ไดยินหนอๆ”
๓. ขณะจมูกไดกลิ่น ตั้งสติกําหนดรูอาการวา “กลิ่นหนอๆ”
๔. ขณะลิ้นไดรส ตั้งสติกําหนดรูอาการวา “รสหนอๆ”
๕. ขณะกายสัมผัส เย็น รอน ออน แข็ง หยอน ตึง ตั้งสติกําหนด
รูอาการกระทบวา“ถูกหนอ” “เย็นหนอๆ” “รอนหนอๆ” “แข็งหนอๆ”ฯลฯ
๖. เวลาที่จิตเคลื่อนไหว (คือ มีความคิดนึกเกิดขึ้น) ใหตั้งสติ
กําหนดพิจารณา รูอาการคิดนึกนั้นๆ วา “คิดหนอๆๆ” “นึกหนอๆๆ”
โยคีบางคนจะมีสภาวะติดสมาธิ จนทําใหเสียจริต เซื่องซึมไปเลยก็มี
สาเหตุมาจากกําหนดสภาวะไมขาด สติและสัมปชัญญะนอย แตสมาธิมาก
เกิน เหมือนกับรถยนต ๔ ลอ แตสูบลมใสเพียงลอเดียว อีกสามลอแฟบ ถึง
จะไปตอได แตก็ไปตอชาๆ อืดๆ และชํารุดในที่สุด มีวิธีแกดังนี้
๑) เดินจงกรม ๑-๓ จังหวะ ๓๐ นาที หามเกิน ในจังหวะที่ ๓ เห็น
จังหวะขาดของอาการยก อาการยาง อาการเหยี ยบ ชัดเจน (สันตติขาด)
ขณะเดินหากมีลมสัมผัส เสียงที่ไดยิน ใจที่คิด ยืนกําหนดใหดับเสียกอน (ให
๙
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ., เอกสารประกอบการสอน รายวิชาสัมมนาวิปสสนา
, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ศูนยบัณฑิตวิทยาเขตบาฬี
ศึกษาพุทธโฆส นครปฐม,๒๕๕๕), หนา๓๗๓.
๕๒๗
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
ขาดกอน) จึงจะกําหนดเดินจงกรมตอไป อนึ่ง เดินไปที่ไหนๆ เชน ไปที่พัก
เขาหองน้ํา ไปรับประทานอาหาร กําหนด “ยาง-เหยียบๆๆๆ” ตลอดเวลา
นั่งเจริญภาวนา ๓๐ นาที กําหนดพองยุบตามอาการที่เห็น อยา
เสริมพอง-ยุบ และเพิ่มการหยุดกําหนดลมสัมผัส เสียงที่ไดยิน ใจที่คิดใหดับ
กอน จึงจะกําหนดพอง-ยุบตอ
๒) กอนออกจากบัลลังก หากมีเวทนาคางอยู เรงกําหนดจี้เวทนาให
ดับ หรือคลายตัว กอนออกจากบัลลังกทุกครั้ง อยาปลอยใหเวทนาคางตอน
ออกจากบัลลังก จะทําใหสภาวะอื่นๆ โดยเฉพาะนิมิตคางไปดวย
๓) ถาเห็นนิมิต ใหกําหนดจิตที่รูวาเห็น ไมใชกําหนดที่ภาพที่เห็น
“เห็นหนอๆๆๆ” หรือ
๔) กําหนดสภาวะแบบเร็ว เพียงแครูไมตองสนใจลักษณะอาการ ถา
นึกสงสัยใหกําหนด “สงสัยหนอๆ” อยาจี้ใหชัด แตจี้ใหดับได
พรอมกับมีสติพิจารณาอาการของจิตที่มีอาการตางๆ กัน เชน เกิด
ความดีใจ เกิดความเสียใจ เปนตน พรอมกันไปดวย การกําหนดพิจารณารู
อาการของจิต (เจตสิก) นั้นไมใชกําหนดใหอาการของจิต (ราคะ โทสะโมหะ
มานะ ทิ ฏ ฐิ ) ดั บ ไป แต เ ป น เพีย งให พิจ ารณารู อาการของจิ ต ที่เ กิด ขึ้ น ใน
ปจจุบันขณะนั้น ใหเห็นชัดเจนตามความเปนจริงเทานั้น และอยาใหความ
ยินดี (ชอบใจ) หรือความยินราย (ไมชอบใจ) เกิดขึ้นมา ใหจิตดํารงอยูใน
ความเปนกลางตลอดเวลา ในขณะที่พิจารณาอยูนั้น หากสมาธิของโยคีคนใด
มีมาก วิปส สนาญาณ แกกลามีกําลังมาก อาการของจิตจะดับไปในขณะที่กํา
ลงกําหนดรูอยูน ั้น ดวยอํานาจปญญาประจักษแจงในพระไตรลักษณ
โยคีตองพยายามจําใหไดวาอาการของจิตดับไปในขณะที่กําหนดรู
อาการของจิตอยางใดอยู ถาสมาธินอยและวิปสสนามีกําลังออน อาการที่
กําหนดอยูน ั้นจะเปนแตเพียงเบาลง ยังไมดับขาด ก็ใหกําหนดอาการพองยุบ
ที่ปรากฏชัดอยูใ นขณะนั้นตอไปอีกจนกวาจะครบเวลาตามทีก่ ําหนดไว๑๐
๑๐
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ.,บันได ๗ ขั้น บรรลุธรรมในชาติน,ี้ หนา ๑๙-๒๐.
๕๒๘
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
๘. สภาวะญาณที่เกิดขึ้นเมื่อปฏิบัติขั้นที่ ๒ สมบูรณ
การพิจารณารูป-นาม เปนการเพิ่มสติในการกําหนดรู คือ การเพิ่ม
ตนจิต และทวารทั้ง ๖ เพื่อใหเห็นสภาวธรรมใหชัดขึ้น ขั้นนี้บางครั้งกําหนด
เทาทันบาง ไมทันบาง เพราะเห็นอาการกอนนิ ดหนึ่งแลวบริ กรรม แมจ ะ
พยายามก็ตามใหทันก็ไดบางครั้ง ปญญาที่ปรากฏ คือ ญาณที่ ๒ และญาณที่
๓ ชวงตน สังเกตเห็นจิตที่เขาไปรูอารมณขณะกําหนดเดิน กําหนดเวทนา
กําหนดจิต จะเริ่มเห็นพระไตรลักษณดวยการอนุมานถึงความไมเที่ยง เปน
ทุกข บังคับ บั ญชาไมได วิ ปส สนู ปกิเ ลสยังไมปรากฏชัด จึ งจั ด เขาในญาต
ปริญญา และตีรณปริญญา จัดเปนทุกขอริยสัจ สมุทยอริยสัจ และ มรรค
อริยสัจ ยอมทําใหวิปสสนาญาณแกกลา เห็นสภาวธรรมตางๆ ละเอียดขึ้น
ญาณที่ ๒ ปจจยปริคคหญาณ
ญาณที่ ๒ ปจจยปริคคหญาณ ปญญาที่กําหนดรูเห็นในสภาวะของ
รูป กับนามเปนเหตุปจจัยซึ่งกันและกัน คือทั้งรูปและนามเปนเหตุ เปนผลซึ่ง
กันและกันอยูทุกขณะ และญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ (แบบออน) ป ญญาที่
กําหนดจนรูเห็นไตรลักษณ คือ ความเกิดดับของรูป-นามแตที่รูวารูป-นาม
ดับไปก็เพราะ เห็นรูป-นามใหมเกิดสืบตอแทนขึ้นมาแลว เห็นอยางนี้เรียกวา
สันตติยังไมขาดและยังอาศัยจินตามยปญญาอยู
เปนภูมิแหงญาตปริญญา คือ เริ่มตั้งแตกําหนดสังขารจนถึงกําหนด
ปจจัย ก็คือการตามกําหนดอยางจดจอตอเนื่อง จนแจงลักษณะเฉพาะของ
อารมณที่กําหนด และภูมิแหงตีรณปริญญา กําหนดรูขั้นพิจารณาคือ รูดวย
ปญญาที่หยั่งลึกซึ้งไปถึงสามัญญลักษณะ ไดแกรูถึงการที่สิ่งนั้นๆ เปนไปตาม
กฎธรรมดา โดยพิจารณาเห็นความไมเที่ยงเปนทุกข เปนอนัตตาภูมิแหงตีรณ
ปริญญา เริ่มตั้งแตการพิจารณากองสังขาร จนถึงอุทยัพพยานุปสสนา (การ
พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ) ปริญญานี้ ก็คือการตามกําหนดอยาง
จดจอตอเนื่องจนแจงสามัญลักษณะของอารมณที่กําหนดจัดเขาใน อริยสัจ
๔ คือ “สมุทัย(จินตาญาณความรูที่เปนไปกับความดําริ หมายถึง วิปสสนา
ญาณขั้นตนที่ยังออน ตรุณวิปสสนา)และนิโรธ (ตทังคนิโรธ ดับดวยองคนั้นๆ
๕๒๙
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
คือ ดับกิเลสดวยธรรมที่เปนคูปรับ หรือธรรมที่ตรงขาม เชน ดับสักกายทิฏฐิ
ดวยความรูที่กําหนดแยกรูปนามออกได เปนการดับชั่วคราวในกรณีนั้นๆ)”
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม
๑. การอยากเดินเปนเหตุ คือ จิตที่คิดอยากจะเกิดอาการเดินเปน
เหตุ รูปที่ปรากฏอาการเคลื่อนไหวในขณะเดินเปนผล อยางนี้เรียกวา นาม
เปนเหตุรูปเปนผล
๒. การกําหนดเดินเปนเหตุ คือ รูปที่ปรากฏอาการเคลื่อนไหวเปน
เหตุ นามทีเ่ ขาไปรูอาการเคลื่อนไหวเปนผล นี้เรียกวารูปเปนเหตุนามเปนผล
๓. ในอิริยาบถทั้ง ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน และตลอดอิริยาบถยอย
จะสามารถรูเหตุและผลของรูปนามที่เกิดขึ้นอยู
เห็ น เหตุ ป จ จัย ของรู ป -นาม คือ จะเห็น ว ารู ป-นามนี้เ ป น เหตุ เ ป น
ปจจัยซึ่งกันและกันมีความเกี่ยวของเปนปจจัยกัน เชน ขณะที่ การกาวไป
การคู การเหยียด การเคลื่อนไหวตางๆ เปนไปเพราะวามีธรรมชาติอยางหนึ่ง
เปนตัวเหตุปจจัย คือมีจิตปรารถนาจะใหกายเคลื่อนไหว กายก็เคลื่อนไหว
จิ ต ปรารถนาจะยื น กายก็ ยื น จิ ต ปรารถนาจะเดิ น กายก็ เ ดิ น คื อ ลมไป
ผลักดันใหกายนั้นเปนไป อยางนี้เรียกวา นามเปนปจจัยใหเกิดรูป คือ จิตใจ
เปนปจจัยใหเกิดรูปที่เคลื่อนไหว เกิดขึ้นมาไดเพราะวาจิตเปนปจจัย
สว นรู ป บางอย าง รู ป เป น ป จ จั ย ใหเ กิด นาม เช น เสี ย ง เสี ย งมีมา
กระทบประสาทหู เสียง เปนรูป เมื่อกระทบประสาทหู ซึ่งเปนรูปดวยกัน ก็
เกิดการไดยินขึ้น เกิดการรับรูทางหูขึ้น ก็จะมองเห็นวามันเปนเหตุ ปจจัยกัน
เสียงมากระทบจึงเกิดการไดยินขึ้น เรียกวา รูปเปนปจจัยใหเกิดนาม เย็น
รอน ออนแข็ง หย อนตึ ง เปน รู ปมากระทบกายก็เกิดการรั บ รู ซึ่งเป นนาม
เกิดขึ้น เมื่อผูปฏิบัติธรรมมีความเพียร ดูรูปนาม เห็นความเกิดดับ เห็นความ
เปนเหตุเปนปจจัยของรูปนามอยูเสมอก็จะ กาวขึ้นสูญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ
การหยั่งเห็นไตรลักษณในอิริยาบถนอยใหญ ในขณะกําหนดรู เชน
การยกก็มีสภาวะไมปะปนกับอาการยาง การยางก็ไมปะปนกับอาการเหยียบ
ลวนปรากฏเปนไตรลักษณในขณะปรากฏในลักษณะของตน คือ ในขณะเดิน
๕๓๐
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
ในขณะยืน ก็ปรากฏไตรลักษณตามนัยที่กลาวมาแลวนี้
๑) การเดินไมคอ ยสะดวก มีอาการคลายกับจะหลับ สั่น เกร็ง
๒) ในขณะเดินมีอาการพื้นที่เดินไมเสมอกัน
๓) พิจารณาเห็นรูปนามทางทวารทั้ง ๕ เปนไตรลักษณ คือ อนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา
๔) อารมณภายใน ไดแกการกําหนดรูถึงเบื้องตน ทามกลาง และที่สุด
ของอารมณกรรมฐานไดอยางชัดเจน หรือรูเห็นสภาวะของรูป-นามไดชัด
ตลอด คือเห็นตั้งแต ตน กลางปลาย
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ
สติพิจารณารูความเคลื่อนไหวทุกขณะของทอง ตั้งแตตนพอง-กลาง
พอง-สุดพอง.ตนยุบ-กลางยุบ-สุดยุบ ระยะไหนชัดระยะไหนไมชัด (ถาไมชัด
ก็ใหจิตรูชัดวา “ไมชัดหนอ”) ธาตุในทองมีอาการที่แทจริงอยางไรก็ใหรูชัดลง
ไปในอาการนั้น และจิตที่คิดนึกอันเปนเหตุใหจิตใจไปจากปจจุบันนั้น ใหมี
สติกําหนดรูทุกขณะแหงความคิดที่ผุดขึ้นดวย
บางครั้งรูปเปนเหตุ นามเปนผล เชน ทองพองขึ้นกอน แลวจิตจึงวิ่ง
ไปกําหนดทีหลัง
บางครั้งนามเปนเหตุ รูปเปนผล เชน จิตวิ่งไปคอยอยูกอนแลว ทอง
จึงพองขึ้นทีหลัง
พองยุบกับจิตที่กําหนดไปพรอมกัน พองครั้งหนึ่ง มี ๒ ระยะ คือ
ตนพอง สุดพอง สามารถรูตนพองและอาการตั้งอยูของอาการพองได หรือ
อาการเริ่มยุบไปถึงการตั้งอยูของอาการยุบได รูวาอาการพองเปนเหตุ การ
กําหนดรูอาการพองเปนผล
บางครั้งพองคางอยูไมสุดลงไปก็มี บางครั้งยุบลงไปลึกๆ แลวคางอยู
ก็มี บางครั้งพองยุบหายไป ผูปฏิบัติเอามือไปคลําดูก็มี บางครั้งพองยุบกับจิต
กําหนดไปพรอมกันก็มี พองครั้งหนึ่งกําหนดได ๒ ระยะคือตนพองสุดพอง๑๑
๑๑
พระเทพสิทธิมุนี (โชดก ป.๙), คูมือสอบอารมณกรรมฐาน, หนา ๔-๕.
๕๓๑
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
ค. สภาวธรรมที่ปรากฎ : รับประทานอาหาร
ปญญาที่กําหนดรูเห็นในสภาวะของรูปกับนามเปนเหตุปจจัยซึ่งกัน
และกัน คือ ทั้งรูปและนามเปนเหตุเปนผลซึ่งกันและกันอยูทุกขณะ
ในขณะฉัน /รั บประทานพึงกําหนดรู อาการเคลื่ อนไหวของมือใน
ทุกๆ ระยะ ขยับมือทีละขาง ถามือยังขยับอยูใหอมคําขาวไว อยาเพิ่งเคี้ยว
วางมือนิ่งกอนจึงเริ่มเคี้ยว ในขณะเคี้ยวใหสังเกตความหนักเบาของแรงเคี้ยว
พรอมกับกําหนดไปตามอาการนั้นวา “เคี้ยวหนอๆ” หรือ“กลืนหนอๆ”
บางครั้ง รูปเปนเหตุ นามเปนผล คือ ขณะที่กายกําลังเคี้ยวอาหาร
(รูป) แลวจิตจึงวิ่งมากําหนดรู(นาม) กําหนด “เคี้ยวหนอๆ” อยางนี้เรียกวา
รูปเห็นเหตุ นามเปนผล
แต บ างครั้ ง นามเป น เหตุ รู ป เป น ผล เช น จิ ต ที่ นึ ก อยากจะกิ น
อยากจะเคี้ยว อยากจะดื่ม กําหนดรูจิตกอนแลว ก็จึงกิน/เคี้ยว/ดื่ม กําหนด
“กิน/เคี้ยว/ดื่มหนอๆ” ที่หลัง อยางนี้เรียกวา นามเปนเหตุ รูปเปนผล
เห็นวารูป-นามเปนปจ จัยซึ่งกันและกัน มีความเกี่ยวของกัน เช น
ขณะที่กําลังเคี้ยวอาหาร มีจิตปรารถนาจะเคี้ยว ก็เคี้ยว อยางนี้เรียกวา นาม
เปนปจจัยใหเกิดรูป นามคือจิตใจเปนปจจัยใหเกิดรูป รูปที่เคี้ยว เกิดขึ้นมา
ไดเพราะวาจิตเปนปจจัย สวนรูปเปนปจจัยใหเกิดนาม เชน กลิ่นที่มากระทบ
ประสาทจมูก กลิ่นเปนรูป เมื่อกระทบประสาทจมูก ซึ่งเปนรูปดวยกัน ก็เกิด
การไดกลิ่นขึ้น เกิดการรับรูทางจมูกขึ้น เรียกวา รูปเปนปจจัยใหเกิดนาม
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการเวทนา
สภาวธรรมที่เกิดขึ้นในขั้นนี้ตรงกับญาณที่ ๒ กับญาณที่ ๓ ตอนตน
ซึ่งลักษณะของญาณทั้งสองมีวิถีเดียวกันคือ โยคีที่เห็นแจงในอารมณจาก
ญาณที่ ๑ ยอมสามารถเห็นแจงในอารมณและจิตที่เขาไปรูอารมณที่เปนเหตุ
ปจจัยซึ่งกันและกันในญาณขั้นที่ ๒ คือเห็นถึงอารมณที่เปนเหตุสวนจิตที่รู
อารมณเปนผล พระอาจารยจึงใหเพิ่มการกําหนดสติโดยเฉพาะการเพิ่มสติรู
ทวารทั้ง ๖ จนโยคีเห็นวาอารมณและจิตที่เขาไปรูนั้นมีความเปนไตรลักษณ
๖๐ เปอรเซ็นต จัดวาเขาอยูในญาณ ๓ ตอนตน สภาวธรรมมีดังนี้
๕๓๒
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
เวทนามีปรากฏเพิ่มมากขึ้น จิตที่กําหนดเห็นรายละเอียดของเวทนา
คือจากที่เห็นวามีอาการปวด ในญาณนี้เห็นเวทนาสวนรายละเอียด เชน ตึง
รัด รอน เปนตน พรอมกับจิตที่เขาไปรูเวทนานั้น
เกิดเวทนาปวดจึงกําหนดวา “ปวดหนอ” สลับกับการกําหนดไดยิน
หนอ ตามสภาวธรรมที่ชัดเจนที่สุดใชเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง เห็นอาการ
เวทนาที่ตึง กําหนดวา “ตึงหนอ” เปนตน
บางคนเวทนามีมากบาง นอยบาง ตัวเองเขาใจวาเคราะหรายก็มี ถา
เขาพูดอยางนี้ อาจารย ตองเขาใจว า “มีอวิช ชา ตัณหา อุปาทาน กรรม”
เปนตัวเหตุของเวทนา เขาจึงไดพูดอยางนี้
บางทีบางคน ก็มีความเห็นวา ภพนี้ ภพหนา ภพตอๆ ไปก็มีเพียง
เหตุเพียงผล มีเพียงรูปนามเทานี้
เวทนากําหนดยังไมหายก็มีอาการอื่นแทรกขึ้นมาทันที เมื่อกําหนด
หลายครั้งจึงกลับมาสูอารมณหลัก
เกิดความเย็นเหมือนเอาผาชุบน้ําเย็นมาทาบ
เกิดอาการรอนวูบวาบเหมือนชะโงกหนาเขากองไฟ ปวดชา คัน ยุบ
ยิบ ซูซา เสียดยอก แปลบปลาบ ตามรางกาย ตามอวัยวะตางๆ ของรางกาย
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการจิต
จิตรูอาการของจิตที่เกิดในขณะรับรู เชน อาการคิดเปนเหตุ เรื่องที่
คิด เป น ผล ความชอบไมช อบในขณะคิด เป น เหตุ การกําหนดอาการของ
ความคิดที่ชอบไมชอบเปนผล มีความคิดเยอะมากในขณะกําหนดไมเห็น
ความดั บ ของความคิด เห็ น การเกิ ด ขึ้ น อยู ข องความคิ ด แยกแยะไม ออก
ระหวางจิตกับเจตสิก รูวาเปนเหตุเปนผลกัน
บางคนพูดวา ในรางกายนี้ มีเวทนา มีคัน เปนตนเกิดขึ้นมา พออัน
นี้ยังไมหาย อันโนนก็เกิดขึ้นมาแลวตามกําหนดไปได
บางคนก็จะพูดวา การกําหนดไดดีอยางนี้ เพราะพบอาจารยอยางนี้
หรื อเพราะคนนั้ น ได ชั กชวนมาปฏิ บั ติอย างนี้ จึ งได พบอย างนี้ อาจนึ กถึง
๕๓๓
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
บุญคุณคนนั้นๆ ถาเขาพูดอยางนี้ วิธีสังเกตของอาจารย “สปฺปุริสูปนิสฺสย
สทฺธมฺมสฺสวน โยคีของเรามีความพอใจในสัปปุริสูปนิสสยะ คือ การคบหา
สัตบุรุษ และสัทธัมมัสสวนะ การไดฟงธรรมของสัตตบุรุษ๑๒
การกําหนดนิมิตในญาณที่ ๒ โยคีเกิดปญญารูแจงในสภาวะของรูป
กับนามที่กําหนดอยูนั้นวาทั้งรูปและนามเปนเหตุเปนผลซึ่งกัน คือ
- รูชัดในอาการตางๆ พรอมกับจิตที่เขาไปรูทุกอารมณที่กระทบจิต
- บางคนจะพูดวา อารมณ,นิมิตมีพระพุทธรูปเปนตน พอกําหนด
อันหนึ่งยังไมทันหายอันหนึ่งก็มาอีก กําหนดตามไปได เมื่อโยคีพูดอยางนี้
อาจารยตองสังเกตและเขาใจวา เพราะมีเหตุคืออารมณ แลวจึงมีผลตาม
กําหนดไป นิมิตเปนเหตุ จิตกําหนดเปนผล
- บางคนจะพู ด ว า มี นิ มิ ต อารมณ ต า งๆ แล ว ก็ กํ า หนดอารมณ
เหลานั้นไปก็มีบางคนพูดวา กําหนดนิมิตแลว กําหนดพอง-ยุบอีก ดังนี้ก็มี
ดั ง นั้ น ถ า ได ญ าณนี้ แ ล ว ให กํ า หนดต น จิ ต คื อ อยากคู เป น ต น
เพราะว า เข า เขตป จ จยปริ ค คหญาณแล ว เพื่ อ ให เ ห็ น ชั ด ถึ ง จิ ต ที่ เ ข า ไปรู
อารมณ สติในญาณนี้ชัดเจน สงผลใหสมาธิ ปญญา พัฒนาตามลําดับ ยอม
ทําใหโยคีเห็นลักษณะของอารมณและจิตคลายความเปนลักษณะธรรมชาติที่
ควรจะเปน ดังตอไปนี้
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : ธรรม
การกําหนดรูในอายตนะทั้งภายในภายนอกรูวา เปนเหตุเปนผลกัน
เชนมีตาที่เปนจักขุประสาท มีรูปารมณ แสงสวาง มีวัตถุที่มองดู จึงเปนเหตุ
ในสวนรูปใหเกิดจักขุวิญญาณขึ้นในสวนของการใสใจในการเห็นเปนนาม ใน
ทวารที่เหลือก็ตามนัยนี้
๑) มีนิมิตเกิดขึ้นแตปรากฏไมชัดเจน
๒) รั บ รู ได ถึ งอาการที่จิ ต สั่ ง (ต น จิ ต) ที่ ป ระกอบด ว ยฉั น นะและ
เจตนาในอากัปกิริยานั้นทางกายและใจที่แสดงออกมา เชน รูอาการของจิตที่
๑๒
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๐๕/๑๒๖.
๕๓๔
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
เกิด การอยากเดิน อยากนั่ง อยากเหยีย ด อยากคู ในอิริย าบถทั้ง ๔ และ
อิริยาบถยอย
๓) ลักษณะของนิมิตที่ปรากฏ เชน เปนเหมือนฝุนละอองขาวนวล
แผ กระจายลอยเคลื่ อนไหวไปมาอยู ขางหน า คล ายกลุ มควั น หรื อหมอก
บางๆหรือกลุมไอน้ําแผกระจายลอยอยูถาสมาธิไมมั่นคง กลุมควันหรือหมอก
ก็จะลอยไปมาแตถาสมาธิมั่นคงดีก็จะปรากฏเหมือนเคลื่อนไหวชาๆ หรือมี
อาการปรากฏวานิ่งอยู
๔) บางคนมีนิมิตมารบกวนมาก เชน เห็นรูปสัตว ปา ภูเขา แมน้ํา
ลําธาร ตนไม สถานที่ คนที่ตายไปแลว ทองฟา กอนเมฆ ดวงดาว ดวงจันทร
ดวงอาทิ ต ย เม็ ด ทรายทอง เพชร แก ว สี รุ ง เทวดา นรก สวรรค เจดี ย
พระพุทธรูปและนิมิตอื่นๆอีกมากมายเกิดขึ้นดวยอํานาจของสมาธิที่มีเหตุมา
จากสัญญาของจิต
๕) นิมิตที่เกิดขึ้นกําหนดไมทัน จิตที่สงออกไปขางนอกไดเร็วขึ้น ๑๓
หมายเหตุ ผูเขาถึงฌานนี้เรียกวา จูฬโสดาบัน ไดความเบาอกเบาใจ
ในพระพุทธศาสนามีคติที่เที่ยงแทแนนอนวา ในชาติที่ ๒ นับจากชาตินี้ไป
ถาญาณไมเสื่อมเขาจะไดไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรคไมเกิดอบายภูมิ
ปริญญา ๓ และอริยสัจ ๔ ในปจจยปริคคหญาณ
ปญญารูแจง ในสภาวะของ รูปกับนาม ที่กําหนดอยูวาทั้งรูปและ
นาม เปนเหตุ เปนผลซึ่งกันและกัน คือรูชัดในอาการตางๆ พรอมกับจิตที่เขา
รูทุกอารมณที่กระทบจิต จัดเปนสมุทัย (จินตาญาณ)”๑๔ รูเหตุปจจัยของรูป
นามคือรูวาอะไรเปนรูปเปนนามและการขามความสงสัยตางๆ ที่เปนรูปนาม
ได แ ก วิ สุ ท ธิ ขอ ที่ ๔ คื อ กั ง ขาวิ ต รณวิ สุ ท ธิ เ ป น วิ สุ ท ธิ ที่ ๔ คื อมี ค วามรู อั น
บริสุทธิ์ ที่ไดขามพนจากความสงสัยในรูปนามและขามพนจากความสงสัยใน
๑๓
พระมหาณัชพล นราวงษ(ผูเรียบเรียง),คูมือการสอบอารมณสําหรับพระ
วิปสสนาจารย สภาวะของวิปสสนาญาณ ๑๖, (๒๕๕๓), หนา ๒๘๗-๒๙๐.
๑๔
ขุ.อุ.อ.(ไทย)๔๔/๓๖๓.
๕๓๕
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
เหตุผลของรูปนามได
๑) ญาตปริญญา กําหนดรูป-นาม ๖๐% เปนการกําหนดรูขั้นรูจัก
รูป -นามว าเป น ทุกขสั จ เห็ นอาการเกิดขึ้น และอาการที่ตั้ งอยุของรูป นาม
(ขันธ ๕) อันเปนตัวทุกข
การกําหนดรูดวยการรู เปนปญญาที่กําหนดลักษณะเฉพาะของธรรม
ทั้งหลาย เชน รูป มีลักษณะเสื่อมสิ้นสลายไปมีลักษณะเสวยอารมณ๑๕
๒) ตีรณปริญญา การพิจารณาเหตุปจจัยของรูป-นาม ๓๕ % การ
กําหนดรู ด ว ยการไตร ต รองใคร ครวญ เป น ป ญญาที่ มีพระไตรลั ก ษณเ ป น
อารมณ เชน รูปไมเที่ยง เวทนาไมเที่ยง
๓) ปหานปริญ ญา การละอุป าทานในรูป -นามดว ยการกํา หนด
พิจารณารูป-นาม ขมนิวรณไวแบบวิกขัมพนปหาน ๕ %๑๖
การกําหนดรูดวยการละ เปนปญญาที่มีพระไตรลักษณ เปนอารมณ
และเปนไปพรอมกับการละวิปลลาสธรรม มีนิจจสัญญาความสําคัญวาเที่ยง
เปนตนในธรรมได
จัดเปนญาตปริญญา และเปนกังขาวิตรณวิสุทธิ คือปญญาขั้นรูเหตุ
และผลของรู ป นามหมดความสงสั ย ในรู ป นาม จั ด เป น สมุ ทยอริ ย สั จ ด ว ย
ในชวงที่เปนสัมมสนญาณตอนตน จัดเปนตีรณปริญญา คือเริ่มพิจารณาไตร
ลักษณของรูปนามเปนอารมณ และเริ่มเขาสูมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
อัตราการการใสใจวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๒. ปจจยปริคคห ๔๐ (ทุกขเวทนา) ๕ (จิตกุศล)
๒๐ ๕ (นิวรณ) ๒๐
ญาณ ๕ (สุขเวทนา) ๕ (จิตอกุศล)
๑๕
ปรมัตถโชตตกะ วิปส สนากรรมฐาน
๑๖
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ., “ศึกษาวิเคราะหสติปฏฐาน ๔ และหลักปฏิบัติ
วิปสสนา ๗ เดือน ในคัมภีรพุทธศาสนาเถรวาท, ๒๕๕๓), หนา ๒๙๒.
๕๓๖
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
๑. กายานุปสสนา ๒๐ % (จากเดิม ๖๐ % ) การกําหนดรูอารมณ
ฐานกายลดลง เนื่องจากมีทุกขเวทนามาแทรกเพิ่มอยางนาแปลกใจ
๒. เวทนานุปสสนา ๔๕% (ทุกขเวทนา ๔๐ % จากเดิม ๑๐ %) มี
ทุกขเวทนามากเพิ่มขึ้ น สั ด ส ว นอารมณจึ งลดลงจากกาย มาเพิ่ม ในฐาน
เวทนา เมื่อจิตจดจอเวทนามากขึ้นก็สงผลใหเกิดสมาธิและปติอยูบาง (๕ %)
๓. จิตตานุปสสนา ๑๐% (กุศลจิต ๑๐ % , อกุศล ๑๐ % เทาเดิม)
แมทุกขเวทนาเพิ่มขึ้นมาก แตความตั้งใจจดจอในการกําหนดรูทุกขเวทนา
ความตั้งใจจึงเปนกุศล ถาจิตเปนอกุศลก็จะลุกขึ้นทันที แตมีศรัทธาความ
เพียรก็ยังคงนั่งตอ ถาลุกขึ้นญาณนี้จะไมเกิด แตอกุศลจิตอาการเบื่อๆเซ็งๆ
กับทุกขเวทนาที่มีมากเกินประมาณก็ยังมีอยู แตก็ทนได
๔. ธัมมานุปสสนา ๕ % ( นิวรณ ๕ ลดลงจากเดิม ๑๐ % )
นิวรณธรรมลดลงแตยังไมหมด อาการปวดหนักขึ้น แตอาการเบื่อ
ฟุง เซ็งจะลดลง จะไมงวงหลับ จึงเหลือนิวรณธรรม ๕ % เพราะเวทนาชัด
ดูเวทนาแทนนิวรณ
เนื่องจากเปนญาณตนมีการปฎิบัติดวยการใชกาย อาการทองพอง
ยุบเกี่ยวกับกายเปนสวนมากและมีเวทนามากดวย เปนกายานุปสสนาดวย
อิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ดูการเคลื่อนไหวกายพอประมาณเพราะวาได
ผานญาณที่ ๑ มาแลว ญาณนี้ใหรูปจจัยหรือเหตุที่เกิดรูปนามไมเนนกายมาก
นักมีประมาณ ๒๐%
แตญาณนี้ มีเ วทนามากมีการเจ็ บปวดไปตามส วนตางๆของกายมี
ความทุกขเปนเวทนาขันธ เอาสติตามพิจารณาเฝาดูเวทนาที่ใหทันปจจุบัน
ญาณนี้มีเวทนา ที่เปนทุกขประมาณ ๔๐% ดับเย็นไปบางประมาณ ๕ %
จิตตานุปสสนาในญาณนี้ ใหใชสติพิจารณาความคิดตามดูจิตของตน
เมื่ อ มี กิ เ ลสคื อ ราคะ โทสะ โมหะ จิ ต สงบและไม ส งบบ า ง เนื่ อ งจากมี
ทุกขเวทนากลามาก จึงมีกุศลจิตที่ตั้งใจกําหนด ๕ % แตก็ฟุงบางขัดเคือง
บางเปนบางครั้ง ๕ %
สวนธรรมมานุปสสนา ใชสติพิจารณาธรรมเปนอารมณ ในญาณนี้
มีแตนิวรณ ๕ คือ สภาวะเปนธรรมแตไมใชธรรมมารมณจริงมี ๕ % คือไม
๕๓๗
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
ตองไปกําหนดใหผานไปสนใจในอารมณปจจุบัน
เพงความสนใจไปทีว่ ิถีจิตที่บริกรรมภาวนาเพิ่มขึ้น เปน ๒๐ % แต
ยังใสใจเพงดูอารมณมากกวาใสใจบริกรรม อนึ่ง ขั้นนี้จิตตั้งมั่งในอารมณรูป
นามไดมากขึ้น โดยเฉพาะทุกขเวทนาจะปรากฎชัดมากขึ้น แมจะทําใหเกิด
อารมณโทสะปรากฎบางเปนบางครั้ง แตนิวรณอื่นๆ แทบไมเขารบกวนเลย
ความสมดุลของอินทรีย ๕
ญาณนีเ้ ปนญาณตนจึงจําเปนตองมีศรัทธามากทําใหการปฎิบัติไปได
ดีราบลื่นและพรอมกับตองมีวิริยะเขามาดวยทําใหพรากเพียรปฏิบัติ และ ดัง
ไดกลาวมาแลว สวนสติตองมีมากถึงดี ในญาณนี้สมาธิและปญญามีนอยได
ศรัทธา ๔๐% วิริยะ ๓๐% สติ ๕๐% สมาธิ ๒๐% ปญญา ๑๐%
ญาณนี้ จะมีอาการนิ่งๆ ซึมๆ คิดปรุงแตงในสิ่งที่ตนศรัทธาไดงาย
เพราะศรั ทธามีกําลั งกว าป ญญามาก และจะมีอาการฟุงมากตามไปด ว ย
เพราะมีวิริยะมากวาสมาธิ
อนึ่ง ญาณนี้จะมีสติที่มีกําลังมากขึ้น ทําใหเห็นรูป-นาม และเห็น
เหตุป จจั ย ของรู ป -นามได ชัด ขึ้น สงผลให ห ายความสงสั ย ในรูป -นาม เกิด
ความหมดจดขามพนความสงสัยตางๆ เพราะโดยปกติแลว คนมักมีความ
สงสัยตางๆวาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆมีจริงหรือไม การสงสัยในการเกิด
การตาย เกิดแลวเกิดอีก หรือ ตายแลวไมเกิดอีก ในอดีตชาติ ชาติกอน ชาติ
หนา ความสงสัยทํานองนี้ยอมเกิดขึ้นไดแกคนที่ชางคิด ชางสงสัย แมแตทาน
ที่เปนนักปฏิบัติเองไมวาจะเปนสมถหรือวิปสสนา ก็อาจจะมีความสงสัยอยู
ตองพรากเพียรใหมาก แลวอาศัยการกําหนดรูปจจัยของรูปนาม ตอจากนั้น
ใหกําหนดดูปจจัยตางๆที่ทําใหเปนนามรูปโดยมีปจจัย
แตญาณนี้มีเวทนามาก ทําใหรูสึกวาเปนทุกขอยางมากถามีความ
อดทนและพรากเพียรกําหนดและตั้งใจปฏิบัติตอไปซักระยะหนึ่งเวทนาก็จะ
เบาและอดทนกับเวทนานั้นไดเวทนานี้เปนเวทนาขันธกําหนดเวทนาเป น
ทุกข ทุกขตองกําหนดรูดังที่เรียนมาเมื่อกําหนดรูทุกขมากเขาๆก็ทําใหละ คือ
ละสมุทัย แจงนิโรธและทํามรรคใหเจริญและก็จะทําใหญาณสูงขึ้นได
๕๓๘
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
ญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ
ปญญารูแจงในขณะกําหนดสภาวะลักษณะของรูป-นามโดยอาการ
อนิจจัง ทุกขังและอนัตตา เห็นความเกิดดับของรูปนามเห็นความไมเที่ยง
ของรูป-นาม เห็นความทนอยูในสภาพเดิมไมไดของรูป-นาม เห็นความบังคับ
บัญชาไมไดของรูป-นาม แตวาการเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในญาณที่ ๓ นี้
ยังเอาสมมุติบัญญัติ คือ ยังมีสุตมยปญญา (ปญญาที่เกิดจากการฟง) มาเอา
จินตามยปญญา (ปญญาที่เกิดจากความตรึกนึกคิด)๑๗ มาปนอยูดวย ยังไม
บริสุทธิ์ในความเห็น ก็ทําใหรูเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่ยังมีสมมุติบัญญัติ
เปนปญญาที่ไดจากการฟงจากการคิดพิจารณาขึ้นมา๑๘ เมื่อไดทําความเพียร
กําหนดดูรูป-นามเรื่อยไปก็จะกาวขึ้นสูญาณที่ ๔
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม
การหยั่งเห็นไตรลักษณในอิริยาบถนอยใหญในขณะกําหนดรู เชน
การยกก็มีสภาวะไมปะปนกับอาการยาง การยางก็ไมปะปนกับการเหยียบ
ลวนปรากฏเปนไตรลักษณในขณะปรากฏในลักษณะของตน คือ ในขณะเดิน
ในขณะยืน ในขณะนั่ง ในขณะนอน และอิริยาบถยอยก็ปรากฏไตรลักษณ
ตามนัยที่กลาวมาแลวนี้
๑. การเดินไมคอยสะดวก มีอาการคลายกับจะหลับ สั่น เกร็ง
๒. ในขณะเดินมีอาการเหมือนพื้นที่เดินไมเสมอกัน
๓. อิริยาบถยอยในขณะกําหนดจะปรากฏไตรลักษณใหกําหนดรู
อาการพอง-อาการยุ บ เป น หลั ก แต ถามีอาการอื่น ชั ด เจนกว าก็ให ย ายไป
กําหนดรูตามอาการนั้นๆ สวนใหญจะเปนเวทนา
๔. กําหนดเห็นเทาที่ยกยาง ๓ ระยะ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู และดับไป
เช น รู สึ กว าขณะยกเทา (เกิด )ขณะย างเทา (ตั่ งอยู ) ขณะเหยี ย บ (ดั บ ไป)
ความรูสึกขณะยก ขณะยาง ขณะเหยียบคนละสภาวะกัน
๑๗
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/-/๑/๓๘๐.
๑๘
ดูใน อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๗๖๘/๕๐๔.
๕๓๙
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ
ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นไตรลักษณคือ ความเกิดดับของรูปนาม แตที่
รูวารูปนามดับไปก็เพราะเห็นรูปนามใหมเกิดสืบตอแทนขึ้นมาแลวเห็นอยางนี้
เรียกวา สันตติยังไมขาด และยังอาศัยจินตามยปญญาอยู
กําหนดพองแตทองกลับยุบ กําหนดยุบแตทองกลับพอง คืออารมณ
เปนเหตุจิตที่กําหนดตามเปนผลคือจิตแลนเขาไปสูอารมณ๑๙
กําหนดพอง-ยุบเปน “พองหนอ ยุบหนอ”มีลักษณะขาดๆ หายๆ
กําหนดรูอาการพองครั้งหนึ่งเห็นเปน ๓ ระยะ คือตนพอง กลาง
พอง สุดพอง
การกําหนดรูยุบครั้งหนึ่งก็เห็นเปน ๓ ระยะ คือตนยุบ กลางยุบ สุด
ยุบ
การกําหนดรูพองยุบไดดีขึ้น แตไมเห็นอาการดับชัดเจน
อาการพอง-ยุบ หายไป บางคนหายไปนาน บางคนไมนาน
อาการพอง-ยุบไวบาง สม่ําเสมอบาง แผวเบาบาง อึดอัดแนนขึ้น
บาง
โยคีกําหนดเห็นอาการพองยุบ จากชาไปไวจนหายไปแสดงวาอยูใน
ญาณที่ ๓ (อนิจจัง) เปน “ญาณเริ่มตนของวิปสสนา” ถาพองยุบไวๆ แลววูบ
หายไปแสดงวาอยูในญาณที่ ๔ (เกิด-ดับ)
การรูชัดของอาการทอง คือตนพองกลางพองสุดพอง ตนยุบกลาง
ยุบสุดยุบ หรือทอง-พองยุบมีอาการขาดๆ หายๆ เปนตน
การรูชัดของอาการทอง คือ ตนพอง-กลางพอง-สุด พอง ตนยุบ-
กลางยุบ-สุดยุบ ระยะ หรือทองพองยุบมีอาการขาดๆ หายๆ เปน ตรงกับ
การอธิบายของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) ที่กลาววา การ
กําหนด กําหนดไดชัดเจนดี เชน เห็นพอง-ยุบ เปน ๒ – ๓ – ๔ – ๕ – ๖
ระยะที่ พอง-ยุบขาดๆ หายๆ เปนลําดับ
๑๙
ขุ.ป.อ. (ไทย)๗/๑/-/๕๐.
๕๔๐
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
ค. สภาวธรรมที่ปรากฎ : รับประทานอาหาร
ผูปฏิบัติรวู ารูปนามดับไปและเห็นรูปนามใหมเกิดขึ้นสืบตอกันไปแต
สันตติยังไมขาด เพราะเปนเพียงความรูดวยจินตาญาณ (ความนึกพิจารณา)
- การกลื นครั้งหนึ่งก็จ ะเห็ น เป น ๓ ระยะ ตน กลื น กลางกลื น สุ ด
กลืนแตยังไมเห็นอาการดับชัดเจนใหกําหนดวา กลืนหนอๆ ลงหนอๆ ไหล
หนอๆ
- กํ า หนดยกมื อขึ้ น หรื อลงครั้ ง หนึ่ ง ก็ จ ะเห็ น เป น ๓ ระยะ ต น ยก
กลางยก สุดยก ใหกําหนดวา ขึ้นหนอๆ หรือ ลงหนอๆ
- กําหนดรูรสไดดีขึ้น แตยังไมเห็นอาการดับชัดเจนนักใหกําหนดวา
รส/รูหนอๆ
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการเวทนา
ลักษณะของเวทนาที่ปรากฏใหรูในพระไตรลักษณทั้ง ๓ ลักษณะ
ดังนี้ เรียกตามหนาที่ ติลักษณปฏิเวธสัมมนญาณ แปลวา ญาณกําหนดรูดวย
การแทงตลอดโดยพระไตรลักษณ
- เวทนามีมากมายเหลือหลาย สวนมากเกิดในสวนที่เกี่ยวกับกาย
เชน ปวดตามรางกาย เจ็บ คัน ชา เมื่อย เปนตน
- เห็นได โดยลักษณะของเวทนา คือมีทุกขเวทนาเกิดขึ้น มากมาย
หลายอยางหลายประการและหนักกําหนดตั้ง ๗ – ๘ ครั้งจึงหาย เวทนาเปน
เวทนาที่รุนแรงมาก หายชา เชน วิงเวียนศีรษะบาง คันบาง อยากอาเจียน
บาง แนนหนาอกบาง เจ็บที่กนกบบาง หนักที่ขอเทาบาง เปนตน
อนึ่ง ญาณที่ ๓ กับญาณที่ ๔ มีสภาวะการกําหนดเวทนาตางกัน คือ
ในญาณที่ ๓ กําหนดเวทนาปวดปรากฏชัด แลวเบาลงแต ไมหายไป หรื อ
หายไปแลว เกิดใหม สว นในญาณที่ ๔ กําหนดเวทนาปรากฏชัดเจนแล ว
หายไปโดยการกําหนดไมกี่ครั้ง เปนการกําหนดเห็นความเกิดขึ้นแหงขันธ ๕
(นิพฺพตฺติลกฺขณํ)๒๐)
๒๐
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๔๙-๕๐/๕๖-๕๘, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔๙-
๕๐/๗๗-๘๑.
๕๔๑
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
โยคีกําหนดทุกขเวทนาไดชัดเจน ยิ่งกําหนดปวดมันยิ่งปวด แสดงวา
สภาวะยังอยูในญาณที่ ๓ อาจายจึงแนะนําใหโยคีเพิ่มเดินจงกรมมากกวา ๑
ชั่วโมง (๑. ๑๕ ชม.) เพื่อเพิ่มกําลังอินทรียแกกลา และในขณะเดินจงกรมให
โยคีกําหนดความดับของอารมณที่ปรากฏชัด เชน มีเสียงกระทบในระหวาง
เดิน ใหโยคีกําหนดเสียงจนดับกอนแลวคอยเดิน เปนการเพิ่มปญญินทรีย ถา
โยคีกําหนดทุกขเวทนา ๓ หนอ แลวดับ แสดงวาโยคีอยูในญาณที่ ๔ ในขั้น
ที่ ๒ นี้เปนการเพิ่มพูนกําลังสติและสมาธิ เพื่อพิจารณาเห็นถึงการดับของ
อารมณที่มากระทบ เชน จิตที่คิด เสียงที่กระทบ เวทนาที่ปรากฏ ถาโยคีเห็น
ถึงอาการดับของอารมณตางๆ ที่ปรากฏในปจจุบันแสดงวากําลังเขาถึงญาณ
ที่ ๔ อุทยัพพยญาณ ปญญาพิจารณาเห็นความเกิดดับของรูปนาม
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการจิต
สังเกตเห็นจิตที่เขาไปรูอารมณ ขณะกําหนดเดิน นั่ง กําหนดเวทนา
กําหนดจิต และญาณที่ ๓ ชวงตน คือจะมากไปดวยสติ โยคีจะเริ่มเห็นพระ
ไตรลักษณ คือการอนุมานถึงความไมเที่ยง เปนตน แตวิปสสนูปกิเลส ๑๐
ประการ ยังไมปรากฏชัด แตถาโยคีเขาถึงสัมมสนญาณชวงปลายและตรุณ
อุทยัพพยญาณ วิปสสนูปกิเลสยอมปรากฏชัด
นิมิตมีมาก เวลากําหนดวา เห็นหนอ จะหายไปชาๆ คอยๆ จางไป
ลักษณะนิมิต เชน แสงสวางและนิมิตตางๆ ปรากฏขึ้นและตั้งอยู
นานแลวคอยหายไป แสงสวางดวงใหญเกิดขึ้นตรงหนา ดวงเล็ก เห็นแสง
สวางที่อยูไกลแลวลอยใกลเขามา กระจายออกไปแลวหายไป ตัวเย็นวูบวาบ
เหมือนโดนละอองน้ํา ขนลุกหรือขนชูชัน มีอาการโยกโคลงหรือลมไป อยา
กลัวกําหนดตามอาการเพราะเกิดจากสมาธิ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นทางรางกายที่
เกี่ยวกับอาการตางๆใหกําหนดรู อยากังวลอะไร
นิมิตมีความชัดเจนมากขึ้น สวนมากเกิดจากการยินดีตามอุปนิสัย
หรือจริตของแตละคนรวมไปถึงนิมิตที่ถูกตองเปนไปตามลักษณะ อนิจจัง ทุก
ขัง อนัตตา แตบางคนไมมีอาการของนิมิตหรือสภาวะมากมายนัก
ใจฟุงซานนั้นแสดงใหเห็นวา จิตเปนพระไตรลักษณ
๕๔๒
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
กําหนดรูอาการตางๆ ไดดีขึ้น และเร็วขึ้น
บางครั้งสะบัดมือ สะบัดเทา อาการของอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
ปรากฏในจิต
กําหนดรูอาการตางๆ ทางกาย เวทนา จิต และธรรมในขณะเกิดขึ้น
ไดทั้ง ๓ ระยะ คือเกิดขึ้น ตั้งอยู และดับไป กําหนดรูอาการเกิดขึ้นไดเร็ว
และอาการดับไปไดเร็ว ถาสภาวะที่เกิดขึ้นกําหนดแลวไมดับก็อยากังวลให
กําหนดไปเรื่อยๆ
สภาวะของจิตตองเห็นอนิจจังกอน จากนั้นสภาวะทุกขและอนัตตา
จะปรากฏ
เมื่อกําหนดไปเรื่อยๆก็จะปรากฏทุกขเนื่องจากการกําหนดรูนั่นเอง
ถาการกําหนดแลวเห็นความเดือดรอนในสิ่งนั้น จิตเปนทุกขที่บอก
วากําหนดไมหาย (ทุกข) เพราะทุกขเกิดขึ้นตามเหตุปจจัยอยางนี้เรียกว า
(อนัตตา)
ใจฟุงซานบาง นั่นแสดงใหเห็นวาจิตเปนพระไตรลักษณ
อารมณนิมิต เห็นลอยมาแตไกล หรือเกิดใตตาแลวหางออกไปและ
จางหายไปในที่สุด
จิตมีอุปาทานนึกอยากเห็นสิ่งใด ก็มักเห็นสิ่งนั้น มีไดทั้งภาพที่นา
กลัวและภาพที่นาดู
นิมิตมาก กําหนดหายชาๆ คอยๆ จางหายไป
อารมณนิมิตที่เกิดขึ้นจากใกลไปหาที่ไกล หรือจากที่ไกลไปหาที่ใกล
และคอยๆ เล็กลงตามลําดับ หรือรูเห็นไดโดยลักษณะของนิมิตปรากฏวา
นิมิตคอยเกิดขึ้น, แลวตั้งอยูนาน,แลวก็ดับไป กําหนดหายชา คอยๆ จาง
หายไป เปนตน
-ขณะที่สัมมสนญาณ เกิด ความแกกล าขึ้น จะมีความรู สึ กว าเบื่ อ
หนายกับการปฏิบัติอยากจะออกจากการปฏิบัติ บางครั้งก็รองให บางครั้งก็
หัวเราะ บางครั้งรางกายโยกไปโยกมา บางครั้งจะหาวบอย บางครั้งรางกาย
เหมือนกับถูกทับดวยของหนัก
๕๔๓
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
เพิ่มเติม : แสงสวางในญาณที่ ๓ จะนอยกวาญาณที่ ๔ และการ
กําหนดหายไปในญาณที่ ๓ จะตองกําหนดหลายครั้งถึงหายไป สวนญาณที่
๔ กําหนดเพียงไมกี่ครั้งก็หายไปดังนี้
พิเศษ : ในญาณที่ ๔ วิปสสนูกิเลส ๑๐๒๑ ยอมปรากฏแกโยคี เชน
แสงสวางเหมือนไฟฉายวองหนา หรือเดินระยะที่ ๔ ในขณะที่เทา “เหยียบ
หนอ” ตรงจังหวะเหยียบ มีอาการขนลุกจากเทาซูไปถึงหัว วินิจฉัยวาเปน
ลักษณะของขณิกาปติ เปนตน
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : ธรรม
โยคีจ ะเริ่มเห็น พระไตรลั กษณ คืออนิจ ทุกขัง อนัต ตา โดยจิ ต ต
ญาณ หรือการคิดอนุมานเอาเทานั้นญาณนี้มีวิปสสนูปกิเลส ๑๐ ประการยัง
ไมปรากฏชัด เมื่อโยคีเขาถึงสัมมสนญาณชวงปลายและตรุณอุทยัพพยญาณ
วิปสสนูปกิเลสจะปรากฏชัด
สิ่งที่ปรากฏทางทวาร ๖ คือในขณะตาเห็นรูป หูฟงเสียง จมูกได
กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกตอง ใจนึกคิด ปรากฏเปนไตรลักษณ
การปฏิบัติในญาณนี้ตองใชความพอดี (สายกลาง) ความฟุงซานยังมี
อยูมากถือวาเปนธรรมชาติของจิต๒๒ และมีอาการตางๆ เกิดขึ้นมากมาย แต
ใหกําหนดตามอาการของปจจุบันที่ชัดเจนที่สุด
แสงสวางในญาณที่ ๓ จะนอยกวาญาณที่ ๔ และการกําหนดหายไป
ในญาณที่ ๓ จะตองกําหนดหลายครั้งถึงหายไป สวนญาณที่ ๔ กําหนดเพียง
ไมกี่ครั้งก็หายไปดังนี้
พิเศษ : ในญาณที่ ๔ วิปสสนูกิเลส ๑๐๒๓ ยอมปรากฏแกโยคี เชน
๒๑
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖-๗/๓๑๕-๓๑๗, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖-๗/
๔๒๕-๔๒๖.
๒๒
พระมหาณัชพล นราวงษ(ผูเรียบเรียง),คูมือการสอบอารมณสําหรับพระ
วิปสสนาจารย สภาวะของวิปสสนาญาณ ๑๖, (๒๕๕๓), หนา ๓๐๑-๓๐๓.
๒๓
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖-๗/๓๑๕-๓๑๗, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖-๗/
๔๒๕-๔๒๖.
๕๔๔
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
แสงสวางเหมือนไฟฉายวองหนา หรือเดินระยะที่ ๔ ในขณะที่เทา “เหยียบ
หนอ” ตรงจังหวะเหยียบ มีอาการขนลุกจากเทาซูไปถึงหัว วินิจฉัยวา เปน
ลักษณะของขณิกาปติ เปนตน
ปริญญา ๓ และอริยสัจ ๔ ในสัมมสนญาณ
ปญญารูแจง ในสภาวะของ รูปกับนาม ที่กําหนดอยูวาทั้งรูปและ
นาม เปนเหตุ เปนผลซึ่งกันและกัน คือรูชัดในอาการตางๆ พรอมกับจิตที่เขา
รูทุกอารมณที่กระทบจิต จัดเปนสมุทัย (จินตาญาณ)”๒๔
๑) ญาตปริญญา กําหนดรูป-นาม ๕๐% เปนการกําหนดรูขั้นรูจัก
รูป -นามว าเป น ทุกขสั จ เห็ นอาการเกิดขึ้น และอาการที่ตั้ งอยุของรูป นาม
(ขันธ ๕) อันเปนตัวทุกข
๒) ตีรณปริญญา การพิจารณาเหตุปจจัยของรูป-นาม ๓๐ % เปน
การกําหนดรูขั้นรูจั กและพิจ ารณาเห็ นในไตรลักษณ แตยังมีสุต มยปญญา
(ปญญาที่เกิดจากการฟง) มาเอาจินตามยปญญา (ปญญาที่เกิดจากความ
ตรึกนึกคิด)๒๕ มาปนอยูดวยจึงเปนนิโรธ (จินตาญาณ)
๓) ปหานปริญ ญา การละอุป าทานในรูป -นามดว ยการกํา หนด
พิจารณารูป-นาม ขมนิวรณไวแบบวิกขัมพนปหาน ๒๐ %๒๖
เปนภูมิแหงตีรณปริญญา กําหนดรูขั้นพิจารณาคือ รูดวยปญญาที่
หยั่ ง ลึ ก ซึ้ง ไปถึ งสามั ญญลั กษณะ ได แก รู ถึ งการที่สิ่ ง นั้ น ๆ เป น ไปตามกฎ
ธรรมดา โดยพิจารณาเห็นความไมเที่ยงเปนทุกข เปนอนัตตาภูมิแหงตีรณ
ปริญญา เริ่มตั้งแตการพิจารณากองสังขาร จนถึงอุทยัพพยานุปสสนา (การ
พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ) ปริญญานี้ ก็คือการตามกําหนดอยาง
จดจอตอเนื่องจนแจงสามัญลักษณะของอารมณที่กําหนดจัดเขาในสมุทัย(จิน
ตาญาณความรูที่เปนไปกับความดําริ หมายถึง วิปสสนาญาณขั้นตนที่ยังออน
๒๔
ขุ.อุ.อ.(ไทย)๔๔/๓๖๓.
๒๕
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/-/๑/๓๘๐.
๒๖
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ., “ศึกษาวิเคราะหสติปฏฐาน ๔ และหลักปฏิบัติ
วิปสสนา ๗ เดือน ในคัมภีรพุทธศาสนาเถรวาท, ๒๕๕๓), หนา ๒๙๒.
๕๔๕
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
ตรุณวิปสสนา) และนิโรธ (ตทังคนิโรธ ดับดวยองคนั้นๆ คือ ดับกิเลสดวย
ธรรมที่เปน คูปรั บ หรื อธรรมที่ต รงขาม เชน ดั บสักกายทิฏฐิด วยความรู ที่
กําหนดแยกรูปนามออกได เปนการดับชั่วคราวในกรณีนั้นๆ)”
นิโรธอริย สัจ ความจริงที่แทว า เมื่อมีส ติ สมาธิ และปญญาญาณ
สมบูรณ ยอมพนไปจากสังขารที่เปนทุกข (รูป-นามอันเปนสังขตธรรม) ได
ความไมเกิดอี กของทุกขสัจได แกสติที่เขาไปกําหนดรูอาการพอง-ยุบ ดั บไป
พรอมกั บอาการพอง-ยุ บ และสมุทยสั จถูกละ(ไดแกเจตนาที่ยกจิ ตขึ้ นสู การ
กําหนดรูอาการพอง-ยุบ )อันเปนการดับที่เรียกวา ตทังคนิโรธ
เมื่อตีรณปริญญาเปนไปอยู มัคคามัคคญาณจึงบังเกิดขึ้นและตีรณ
ปริญญาก็บังเกิดขึ้นในลําดับของญาตปริญญา เพราะฉะนั้น โยคีผูปรารถนา
บรรลุมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธินั้นจะตองทําโยคะในกลาปสัมมสนญาณ
(การกําหนดรูโดยความเปนหมวดเปนกอง) กอน๒๗
ในบันไดขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม เปนการเพิ่มสติในการกําหนด
คือ การเพิ่ม ต น จิ ต และทวารทั้ง ๖ เพื่ อให เ ห็ น สภาวธรรมให ชั ด ขึ้น โดย
สภาวธรรมที่ ป รากฏคื อญาณที่ ๒ สั งเกตเห็ น จิ ต ที่เ ข าไปรู อ ารมณ ขณะ
กําหนดเดิน นั่ง กําหนดเวทนา กําหนดจิต และญาณที่ ๓ ชวงตน คือจะมาก
ไปดวยสติโยคีจะเริ่มเห็นพระไตรลักษณ คือการอนุมานถึงความไมเที่ยง เปน
ตน แตวิปสสนูปกิเลส ๑๐ ประการ ยังไมปรากฏชัด แตถาโยคีเขาถึงสัมมสน
ญาณชวงปลายและตรุณอุทยัพพยญาณ วิปสสนูปกิเลสยอมปรากฏชัด ดังนี้
สัมมสนญาณดูกาย พอง-ยุบชัด ๓๐% สุขเพิ่ม ๓๐% แตทุกขลด
เหลื อ ๒๐% แสดงว า ตรงนี้ กํ า หนดปวด ดั บ เร็ ว ขึ้ น และมี สุ ข เพิ่ ม ขึ้ น
โดยเฉพาะ ปติ มีสุขเพิ่มขึ้น มีปสสัทธิเกิดดวย สวนของสภาวจิต ๑๙%
พอมีสุขเกิดขึ้น จิตก็สุขไปดวย พอมีเวทนาเปนสุข จิตก็เปนกุศลเปนสุขไป
ดวย แตเมื่อสภาวธรรมแกกกลาแลวการดูพองยุบจะเหลือแค ๐-๑ ๐-๑
๒๗
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, แปลโดย สมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ
อาสภมหาเถร), พิมพครั้งที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทธนาเพรส จํากัด, ๒๕๕๑),
หนา ๑๐๐๙.
๕๔๖
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
นิวรณเกิดดับๆ แตเปนปวดแบบดับเร็ว แลวมีสุขเพิ่มขึ้นเนนไปที่สุขกาย
แลวโสมนัสสุขทางใจก็มากขึ้น
อัตราการการใสใจวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๒. ปจจยปริคคห ๔๐ (ทุกขเวทนา) ๕ (จิตอกุศล)
๒๐ ๕ (นิวรณ) ๒๐
ญาณ ๕ (สุขเวทนา) ๕ (จิตกุศล)
๒๐ (ทุกขเวทนา)
๓. สัมมสนญาณ ๓๐ ๙ (จิตกุศล) ๐-๑ (นิวรณ) ๓๐
๑๐ (สุขเวทนา)
๕๔๗
ขั้นที่ ๒ พิจารณารูป-นาม
ความสมดุลของอินทรีย ๕
ญาณที่ ๑- ๒- ๓ ยังไมใชวิปสสนาญาณ เพราะโพชฌงคเปนธรรมะ
ที่สืบเนื่อง จากวิปสสนาโพธิปกขิยธรรม๓๗ เปนขบวนการในวิปสสนาญาณ
โพชฌงคเปน ๑ ในโพธิปกขิยธรรม โพชฌงคจะยังเกิดในญาณนี้ การกําหนด
สติรูอาการพอง-ยุบ อาการสุดพองจะไมเห็นสติตามระลึกรูอาการตั้งแตทอง
เริ่ ม พองก็ กํ า หนดว า พอง..หนอ รู ว า ดั บ สิ้ น สุ ด เพราะมี พ องเกิ ด ขึ้ น คํ า
บริกรรมวา “หนอ” ในญาณเห็นอาการเกิด ของพอง-ยุบรวดเร็วมากจนสติ
ตามอาการไมทันจะเห็นเพียงตนพองและปลายพอง โดยระหวางกลางพอง
สติตามจับไมทัน สติจึงตามระลึกรูกายไดแค ๓๐
ศรัทธากับปญญาสองอยางนี้จะตองมีความสมดุลกัน ถามีความเชื่อ
แตมีไมมีความเขาใจไมมีปญญาสิ่งที่ตนเองเชื่อถูกตอง ไมเขาใจในเหตุผลวา
สิ่งนี้ควรเชื่อหรือไม ก็จะกลายเปนคนงมงาย แตถามีปญญามากวิเคราะห
วิจารณโดยปราศจากศรัทธาก็มักเปนคนที่คิดมากเกินไปจนเกิดความลังเล
สงสัยไปหมด เพราะฉะนั้นศรัทธากับปญญาจึงตองเทากัน
วิริยะกับสมาธิ ตองเสมอกันถาความเพียรมากกวาสมาธิยอมสงผล
ใหฟุงซานแตถาสมาธิมากกวาความเพียร ยอมสงผลใหเกิดความงวงเหงา
หาวนอน ดังนั้นจึงมีการสอบอารมณในแตละวันเพื่อปรับอินทรีย
ญาณนี้เปนญาณตนจึงจําเปนตองมีศรัทธามากจึงทําใหการปฏิบัติ
ไปไดดี ราบรื่นและพรอมกับตองมีวิริยะเขามาดวยทําใหพากเพียรปฏิบัติ
และดังไดกลาวมาแลววาสวนสติตองมีมากถึงจะดีในญาณนี้ศรัทธามี ๗๐-
๘๐% หรือบางครั้งเกิน และวิริยะ ๔๐% สติ ๕๐% สมาธิ ๔๐% ปญญามี
๒๐%
๕๔๘
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูป-นาม
บันไดขั้นที่ ๓ นี้ ผูปฏิบัติจะเริ่มพิจารณาเห็นไตรลักษณในญาณที่ ๓
(ตอนปลาย) โดยการอนุมาน จัดเปนปญญาในจินตามยปญญา จนอินทรียแก
กลาเห็นรูปนามเกิด-ดับดวยญาณที่ ๔ คือ อุทยัพพยญาณ จัดเปนภาวนามย
ปญญา และเห็นรูปนาม พรอมทั้งจิตที่เขาไปรูนั้นดับไปพรอมกัน ดวยญาณที่
๕ คื อ ภั ง คญาณ การปฏิ บั ติ ใ นขั้ น นี้ จ ะมากไปด ว ยสมาธิ ซึ่ ง จะทํ า ให
วิปสสนูปกิเลส ๑๐ เกิดปรากฏแกผูปฏิบัติไดงายดังที่ไดกลาวไวแลวในขั้นที่
๒ สวนในขั้นที่ ๓ นี้จะกลาวถึงความตางของสภาวธรรมตอไป
ขั้นนี้เปนการพิจารณรูป-นามถึงขั้นละได คือ กําหนดรูสังขารวาเปน
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนถึงขั้นละนิจสัญญาเปนตน การกําหนดละจาก
กิเลสโดยการบรรเทา ทําฉันทราคะในผัสสะใหสิ้นไปดังที่พระผูมีพระภาค
ตรัสวา “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันทราคะในผัสสะใด ทานทั้งหลายจงละฉันทรา
คะนั้นฉันทราคะนั้นจักเปนของอันทานทั้งหลายละแลว มีมูลรากอันตัดขาด
แล ว ทํ าให ไ ม มีที่ ตั้ ง ดุ จ ตาลยอดด ว นถึ ง ความไมมี ใ นภายหลั ง มีค วามไม
เกิดขึ้นในอนาคตเปนธรรมดา โดยประการอยางนี”้
พิ จ ารณาอารมณ โ ดยไม ใ ห จิ ต ซั ด ส า ยไปหาอารมณ อื่ น ๆ แต ไ ม
พยายามปดกั้นไมใหอารมณอื่นๆ แทรกเขามา หากมีอารมณอื่นๆ แทรกเขา
มาได ก็ใหเพงรูลงในอาการของอารมณใหมนั้นทันที พรอมกับสังเกตุอาการ
ของจิตที่จากคลายจากอารมณเกากอนหนานั้นไปดวย หลักการสําคัญในการ
บริกรรมภาวนาในขั้นนี้ ตองพยายามนอมจิตเพงความรูสึกไปที่ตัวอารมณ
๕๐ % นิวรณธรรมระงับไป และเพงความสนใจไปที่วิถีจิตที่บริกรรมภาวนา
๕๐ % และใสใจพิจารณาตัวอารมณเทาๆ กับใสใจสติที่เพงพิจารณาอารมณ
ที่จิตรูกับจิต (ที่อินทรีย ๕ สมดุลย) ที่รูอารมณ ดับลงพรอมๆ กัน มากขึ้นๆ
เมื่อพิจารณารูปจจัยแหงรูป-นามทั้งหลายแลว สติและสมาธิแกกลา
ขึ้นจะเกิดญาณปญญา เห็นความไมเที่ยงของรูปนาม เห็นความเกิด เห็น
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
ความแปรไปของรู ป -นามในขณะป จ จุ บั น เมื่อญาณป ญญาพัฒ นาขึ้น จะ
พิจารณาเห็นความดับไปของรูป-นาม เห็นโดยความไมเที่ยง เปนทุกข เปน
อนัตตา เปนปญญาที่เห็นความไมเที่ยงของรูป-นาม ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
๑. กําหนดกราบ แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
กราบใหได ๑๐ นาทีเปนอยางนอย เพิ่มการรูตนจิตมากขึ้น เชน
ก อ นพลิ ก มื อ ให กํ า หนดรู จิ ต ก อ นว า “อยากพลิ ก หนอ” แล ว จึ ง กํ า หนด
“พลิกหนอๆ” ตอไป พยายามกําหนดใหละเอียด ไดแก อยากพลิก อยากยก
อยากขึ้น อยากกม อยากเคลื่ อน อยากขยับ อยากคว่ํ า อยากลง เปน ต น
และกําหนดรูอาการ “ถูกหนอ” ที่มือถูกหนาอก ถูกพื้น ที่หน าผากถูกพื้น
และเพิ่มจังหวะหยุดเมื่อมีอารมณอื่นแทรกเขามา กําหนดเทาที่เรารูสึกได
๒. วิธีเดินจงกรม แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
สําหรับผูปฏิบัติถึงญาณที่ ๔ แลว (อุทยัพพยญาณ) ใหแบงชวงการ
กําหนดยืนออกเปน ๓ ชวง ตั้งแตปลายผม ถึงราวนม ๑ ชวง ตั้งแตราวนม
ถึง ขาอ อ น ๑ ช ว ง ตั้ ง แต ข าอ อ น ถึง ปลายเท า ๑ ช ว ง ทุ ก ช ว งบริ ก รรม
เหมือนกันวา “ยืนหนอ” แลวกําหนดกลับขึ้นมาเชนเดิม และเมื่อกําหนดจน
ชํานาญแลว ใหเพิม่ การสังเกตอาการดับของจิตที่เพงรูอาการยืนในแตละชวง
ที่ดับไปพรอมๆ กับคําบริกรรมในแตละชวงนั้นดวย จึงจะกําหนดรูจิตที่คิดจะ
เดิน “อยากเดินหนอ” ตอไป
กอนลุกขึ้นยืนทุกครั้งและในขณะยืน หากมีสภาวะอื่นแทรกซอนเขา
มา เชน อาการเมื่อย อาการชา หรืออาการมึนงง เปนตน ก็ใหกําหนดอาการ
นั้นจนกวาจะดับไปเสียกอน แลวจึงเริ่มเดิน บางครั้งรูสึกปวด เมื่อย หรือมึน
งงอยูนาน ก็ใหยืนกําหนดเทาที่อาการนั้นยังคงอยู แมจะนานถึง ๓๐ นาที
หรือ ๑ ชั่วโมง ก็ตาม
พิเศษ : โยคีบางคนมีอาการปวยติดตัวมา มีอาการปวดตึง มึนงงที่
ศีรษะ ยิง่ ปฏิบัติยิ่งรูสึกอาการหนักขึ้น เพื่อบรรเทาอาการนี้ พึงยืนกําหนดให
ได ๓๐ นาทีเ ป นอย างน อย กําหนด สลับ กับ อาการมึน นั้ น “ยื นหนอ-มึน
๕๕๐
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
หนอ”เมื่อมีอาการรอนขึ้นตามตัวใหกําหนดจี้ชัดๆ ไปที่ อาการรอนนั้นวา
“ยืนหนอ-รอนหนอ”หรือ “รอนหนอ-มึนหนอ”
กําหนดเดินจงกรม ๔ จังหวะ
ผูที่นั่งกําหนดทุกขเวทนาจนดับกอนครบชั่วโมง ไดแลวใหเพิ่มการ
เดิ น จงกรมเป น ๔ จั ง หวะ และเพิ่ ม สติ รู จิ ต ที่ คิ ด จะย า ง คิ ด จะยก ใน ๓
ระยะแรก ดังนี้
ระยะที่ ๑ ขวายางหนอ-ซายยางหนอ เปลี่ยนเปน รูจิตที่คิดจะยาง
กอนวา “อยากยางหนอ” แลวกําหนดรูอาการยางไปของเทาวา “ยางหนอ”
ตัดคําบริกรรมวา “ขวา - ซาย” ซึ่งเปนสมมติบัญญัติออกไป เดินกําหนดจน
จิตสงบอยูกับอารมณ ความคิดนอยลง จึงเพิ่มเปนจังหวะที่ ๒
ระยะที่ ๒ ยกหนอ-เหยียบหนอ เพิ่มเปน รูจิตที่คิดจะยก-คิดจะ
เหยียบกอนยก กอนเหยียบ ทุกครั้ง วา “อยากยกหนอ - ยกหนอ” “อยาก
เหยียบหนอ - เหยียบหนอ” จนขามั่นคงไมเซ จึงเพิ่มเปนจังหวะที่ ๓
ระยะที่ ๓ ยกหนอ-ยางหนอ-เหยียบหนอ เปลี่ยนเปน รูจิตที่คิดจะ
ยก คิดจะยาง คิดจะเหยียบ กอนยก กอนยาง กอนเหยียบทุกครั้ง วา“อยาก
ยกหนอ-ยกหนอ” “อยากยางหนอ-ยางหนอ” “อยากเหยียบหนอ-เหยียบ
หนอ” จนขามั่นคงไมเซ จึงเพิ่มเปนจังหวะที่ ๔
ระยะที่ ๔ รูจิตที่คิดจะยกสน คิดจะยก คิดจะยาง คิดจะเหยียบ
กอนยกสน กอนยก กอนยาง กอนเหยียบ..ทุกครั้ง แตไมตองบริกรรมสําทับ
จิตนั้น เพียงแตใหรูชัดลงไปในจิตที่ปรารถนานั้นๆ แลวบริกรรมรูการยกสน
การยก การยาง การเหยียบอยางชาๆ ชาที่สุดเทาที่จะชาได คือ “ยกสน
หนอ” “ยกหนอ” “ยางหนอ” “เหยียบหนอ” ตรงจังหวะเหยียบใหชาเปน
พิเศษ และเปนการเหยียบถายเทน้ําหนักของรางกายลงที่เทาหนา(ประมาณ
๗๐ % จนกายที่เหยียบนิ่งสนิทกอน จึงจะกาวเทาอีกขางหนึ่งตอไป
เพิ่มการเดินจงกรมใหได ๑ ชั่วโมงหรือตามวิปสนาจารยที่ไดแนะนํา
ไว และเพิ่มจังหวะเดินจงกรมจนครบ ๖ จังหวะ ขณะเดินจงกรมถามีอารมณ
อื่นแทรกเขามา เปนอารมณที่ชัดเจนใหหยุดเดิน แลวตั้งสติกําหนดอารมณ
๕๕๑
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
นั้นๆ จนหายไป จึงกลับมากําหนดที่อาการเดินตอไป
ระยะที่ ๕ รูจิตที่คิดจะยกสน คิดจะยก คิดจะยาง คิดจะลงและ คิด
จะถูกพื้น กอนยกสน กอนยก กอนยาง กอนลง กอนถูก..ทุกครั้งแตไมตอง
บริกรรมสําทับ จิตนั้น เพียงแตใหรูชัดลงไปในจิตนั้น แลวบริกรรมรูจิตคือ
“ยกส น หนอ” “ยกหนอ” “ย า งหนอ” “ลงหนอ”“ถู ก หนอ” จนกายที่
เหยียบ นิ่งสนิทกอน จึงจะกาวเทาอีกขางหนึ่งตอไป
ระยะที่ ๖ รูจิตที่คิดจะยกสน คิดจะยก คิดจะยาง คิดจะลงคิดให
ปลายเทาถูกพื้น และ คิดกดสนเทาลงพื้น กอนยกสน กอนยก กอนยาง กอน
ลง กอนถูก กอนกด..ทุกครั้งแตไมตองบริกรรมสําทับ จิตนั้น เพียงแตใหรูชัด
ลงไปในจิตนั้นแลวบริกรรมรูจิตคือ “ยกสนหนอ” “ยกหนอ” “ยางหนอ”
“ลงหนอ”“ถูกหนอ”“กดหนอ” จังหวะกดฝาเทาแนบกับพื้น กายนิ่ง
ขณะเดินจงกรม ถามีอารมณอื่นแทรกเขามา ที่ชัดเจนใหหยุดเดิน
แลวตั้งสติกําหนดอารมณนั้นจนหายไป จึงกลับมากําหนดที่อาการเดินตอไป
อนึ่ง เมื่อกําหนดทุกขเวทนาดับไดแลว แสดงวาเขาอุทยัพพยญาณ
แลว ใหปรับอินทรียใหเทากัน คือ เดินจงกรมและนั่งเทากัน ๑ ชั่วโมง เดิน
จงกรมใหครบทั้ง ๖ จังหวะ ในการกาวเดินนอกบัลลังก เชน ไปหองน้ํา เดิน
กลับที่พัก ใหกําหนด“ยาง..เหยียบ” หรือ “ยก..เหยียบ” ในทุกๆ กาว ตอมา
เมื่อไมปรากฏทุกขเวทนา นั่นคืออยูในภังคญาณ ใหเดินจงกรมมากกวา ๑
ชั่ ว โมง ในขณะกําหนดจนเห็ น อาการดั บ ไปของเทาแต ล ะจั งหวะ ให เ พิ่ ม
สังเกตเห็นอาการดับ ไปของตัวจิตเองที่เขาไปกําหนดรูอาการดับในจังหวะ
ของเทานั้ น ๆด วย คือที่ดับ ไปพรอมกับ อารมณที่ถูกกําหนดนั้ น หากเห็ น
อาการดับของจิตนั้นชัดเจน ใหกําหนดรูวา“รูหนอ” ดวย
๓. วิธีนั่งกําหนดรูพอง-ยุบ แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
ขณะกําหนด “ยุบ หนอ” หากทอง..ยุ บ ลงไปจนถึงคําว า “หนอ”
แล ว ยังไมพองขึ้น มางายๆ มีจังหวะหยุด นิ่ งนิ ด หนึ่ ง ใหเ พิ่มจิ ต รูล งไปใน
อาการหยุดนิ่งนั้น พรอมกับบริกรรมวา “รูหนอ”
๕๕๒
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
แตถาหากมีจังหวะหยุดนิ่ง ๒-๓ วินาที กรณีเชนนี้ ในขณะหยุดนั้น
ใหสงจิตรูมาจับอยูที่อาการนั่ง พรอมกับบริกรรมวา “นั่งหนอ” แลวกลับไป
กําหนดอาการพองหรืออาการยุบตามที่ปรากฏตอไป คือ ในขณะทองยุบนั้น
กําหนด ๒ อาการ คือ “ยุบหนอ-นั่งหนอ” ทองจึงพองขึ้นมา
ถานั่งภาวนา ๑ ชั่วโมง ไมมีทุกขเวทนาเลย หามนั่งเกิน ๑ ชั่วโมง
เด็ดขาด ใหเพิ่มเดินจงกรมใหมากกวานั่ง ๑๕ นาที
สําหรับผูปฏิบัติถึงอุทยัพพยญาณกําหนดทุกขเวทนาดับไดแลว ให
กําหนดรูจิตที่คิดจะนั่ง กอนลงนั่งทุกครั้ง “อยากนั่งหนอ”แลวจึงคอยๆ ยอ
ตัวลงนั่ง พรอมกับบริกรรมวา “ลงหนอๆ”
บางคน พอง-ยุบยาวแผวเบา มีจังหวะหยุดระหวางพอง-ระหวาง
ยุบ จนเกิดอาการจิตวูบ สัปหงกหรือเผลอคิดบอย ปฏิบัติดังนี้
๑) จั งหวะหยุ ด ระหว างพอง-ยุ บ เพิ่มจิ ต รู ล งไปในอาการนั้ น คือ
บริกรรมไป ตามอาการวา “พองหนอ-รูหนอ”“ยุบหนอ-รูหนอ”
๒) จังหวะหยุดระหวางพอง-ยุบ นานขึ้น ระหวางที่หยุดใหสงจิตไป
กําหนดรู อาการนั่ ง ตั้งแตศีร ษะจนถึงเทา รวดเดี ยว คือ บริ กรรมไปตาม
อาการวา “พองหนอ-นั่งหนอ”ยุบหนอ-นั่งหนอ”
บางคน พอง-ยุบชัดเจนมาก เห็ นต น เห็ นปลายชั ด แตบ างครั้ ง
พอง-ยุบถี่ๆ เร็วๆ ขึ้นมา แลวนิ่งหายไปเปนพักๆ พึงปฏิบัติ ดังนี้
๑) ถาอาการพอง-ยุบเร็ว จนกําหนดไมทัน ใหกําหนดเพียง “พอง-
ยุบๆ” ไมตองมี “หนอ”
๒) ถาอาการพอง-ยุบถี่มาก จนจับพอง จับยุบไมทัน ใหกําหนดวา
“รูหนอๆ”
๓) ถาอาการพอง-ยุบถี่รัว จนกําหนดไมทัน ก็ใหเพงรูไปกับอาการ
นั้น ถารูสึกเสียว รูสึกกลัว กําหนดวา “เสียวหนอ “กลัวหนอ” ไปตามอาการ
นั้นดวย บางครั้งรูสึกงง เควงควาง กําหนดวา “งงหนอๆ” จนกวาจะหายงง
การกําหนด ให กําหนดทีละอย าง พยายามให เ ป น อิริ ย าบถเดี ย ว
จนกระทั่ง จิต+คําบริกรรม+อาการรูป-นามนั้นๆ กลมกลืนเปนอันเดียวกัน
๕๕๓
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
คือ เกิด-ดับพรอมกัน ก็จะเปนเหตุทําใหจิตดิ่ง นิ่ง มั่นคง แลวจะพิจารณารู
อาการของรูป-นามนั้นๆ จนเปนเหตุใหเกิดปญญาเห็นแจงพระไตรลักษณ
ขึ้นมา เมื่อไตรลักษณปรากฏขึ้นสมบูรณดีแลว ปญญาเห็นแจงก็จะนําพาจิต
ดําเนินเขาสูอนุโลมญาณ โคตรภูญาณ แลวดับลงไป ตรงมรรคญาณ ผลญาณ
พิเศษ : นั่งตัวคดตัวงอ เมื่อกําหนดทุกขเวทนาดับไดแลว ก็จะเห็น
พองยุ บ ชั ด ขึ้น รู สึ กกําหนดงาย สบาย เพลิ น วั น ต อ มาพอง-ยุ บ กลั บ นิ่ ง ๆ
เบาๆ โยคีบางคนเกิดนิกันติ อยากใหพอง-ยุบชัด กําหนดสบายๆ เหมือนวัน
กอนๆจึงสูดลม หายใจเสริมพอง-ยุบใหชัดขึ้น หรือแตง พอง-ยุบ ใหกําหนด
งายขึ้น การพยายาม เสริมหรือแตง เปนไปดวยอํานาจอัตตา บังคับบัญชา
สภาวะให เ ป น ไป ดั่ ง ใจต อ งการซึ่ ง ไม ถู ก ต อ ง เมื่ อ จิ ต เหนื่ อ ยล า จากการ
พยายามนั้น กายก็เหนื่อยลาไปดวยทําใหที่ทรงตัวหลุดไป ตัวคอยๆงอโคลง
ลงฉะนั้น ให กําหนดพอง-ยุบ ไป ตามความเปน จริงอย างแตงพองยุบใหผิ ด
ธรรมชาติ ถาพองยุบไมชัดก็กําหนดวา “ไมชัด หนอ-รูหนอ”
ตอมาเมื่อเขาถึงภังคญาณกําหนดเหมือนกับขั้นอุทยัพพยญาณ แต
ถาเห็นแสงสวาง (ที่ไมใชแสงสี) ใหกําหนดจนกวาจะดับ แตถากําหนดกวา
๑๐ นาทีแล วยั งไม ดั บ ให ทําเป น ไมใส ใจ แล ว ไป กําหนดอารมณอื่น ๆ ที่
ปรากฏชั ดตอไปตองกําหนดจนเห็น อาการดับของทุกสภาวะที่จิตเขาไปรู
และกําหนดเห็นการดับของตัวจิตเอง ที่เขาไปกําหนดรูอารมณตางๆ ได ๑
ขณะจิต กอนที่จะดับสิ้นลงทั้งของอารมณที่จิตเขาไปรูและของจิตที่เขาไปรู
อารมณและ อาการพอง-อาการยุบที่เปลี่ยนแปลงไป พึงกําหนดเพิ่มเติม คือ
บางคน พอง-ยุบยาวแผวเบา มีจังหวะหยุดระหวางพอง-ยุบ เกิดอาการวูบ
สัปหงกบอยเพิ่มการเดินจงกรมใหถึง ๖ จังหวะ และ เพิ่มรูรูปนั่ง เฉพาะที่มี
จังหวะหยุดเทานั้น (ถาไมมีจังหวะหยุดก็ไมตองเพิ่ม และเมื่อกําหนดรูปนั่ง
แลว อาการพอง-ยุบยังไมเกิดขึ้น ก็ใหเพิ่มจิตรู อาการถูกที่จุดตางๆ เขาไป
อีก คือ ที่มือถูกกัน, ที่กนกบขางขวา, ที่กนกบขางซาย สลับหมุนเวียนไป
เรื่อยๆ จนกวาอาการพอง-ยุบจะกลับมา
บางคนพอง-ยุบแผวเบามาก หรือพอง-ยุบเล็กๆ ถี่ๆ จนนิ่งหายไป
กําหนดอาการนิ่งหายนั้น “รูหนอๆ” หรือ “หายหนอๆ” จนกวาพอง-ยุบจะ
๕๕๔
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
กลั บ มาแต ถ า ยิ่ ง กํ า หนดอาการยิ่ ง นิ่ ง ก็ อ ย า สู ด ลมเข า ช ว ยเด็ ด ขาด ให
กลับไปจับความรูสึกของรูปนั่งใหญ บริกรรมวา “นั่งหนอ”“ถูกหนอ” แลว
สงจิตไปสํารวจรูทองที่ยังนิ่งอยู “รูหนอ”ถาทองยังนิ่งอยูอีก ก็ใหกลับมาดูรูป
นั่ง“นั่งหนอ”สงจิตจี้ไปที่กนกบขางขวาถูกพื้น “ถูกหนอ” แลวรูทองที่ยังนิ่ง
อยู “รูหนอ”ถาทองยังนิ่งอยูอีก ก็ใหกลับมาดูรูปนั่ง“นั่งหนอ”กนกบขางซาย
ถูกพื้น “ถูกหนอ” รูทองที่ยังนิ่งอยู “รูหนอ” ถาทองยังนิ่งอยูอีก ก็กลับมาดู
รูปนั่ง ทําอยางนี้สลับกันไปเรื่อยๆ จนกวาอาการพอง- ยุบจะชัดขึ้น แลวก
ลับมากําหนดอาการพอง-ยุบตามปกติ
พิเศษ :บางคน นั่งสั้น นั่งโยก จนรูสึกกลัวไมอยากปฏิบัติตอ ซึ่งมี
สาเหตุหลัก ๒ ประการคือ
๑. เพราะกําหนดไมตรงสภาวะ กําหนดเพลินจนพอง-ยุบนิ่งหายไป
แลว แตก็ยังนั่ง ทอง ”พองหนอ-ยุบหนอ”อยู (ทั้งๆที่ไมเห็นพองยุบ) จนกาย
สั่นไปตามอาการกําหนดนั้น พึงตักเตือนวา กําหนดใหตรงสภาวะ ใหเห็น
อาการพอง-อาการยุบกอนจึงคอยกําหนด ถาพองยุบไมมี หรือหายไปก็ให
กําหนดา หายหนอๆ ไมมีหนอๆ อยานั่งทองพอง-ยุบ
๒. เพราะอาการพอง-ยุบมีอาการเบาสบาย กําหนดจนเพลิน จนจิต
หลุดออกจาก อาการของรูป ทําใหกายไหวโยกโคลงไปตามจิตที่เลื่อนลอย
นั้นพึงเตือนใหกําหนดเพิ่มสภาวะ ธรรมารมณไปดวย ตามอาการที่ปรากฏวา
“พองหนอ-เพลินหนอ”“ยุบหนอ-เพลินหนอ”“พองหนอ-สบายหนอ”-“ยุบ
หนอ-สบายหนอ” ถามีอาการสั่นมากใหกําหนดตามอาการวา “สั่นหนอๆ”
“โยกหนอๆ” จนกวาจะหาย ถายังไมหายใหกําหนดสั่งวา“หยุดหนอ” ดังๆ
๔. วิธีกําหนดรูอิริยาบถ แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
ตื่นนอน : กําหนดอาการเคลื่อนไหวขณะลุกขึ้นนั่ง ใหไดทุกครั้ง
“พลิ กหนอๆ” “ลุ กหนอๆ” เดิน เขาห องน้ํ า “ยาง-เหยี ยบๆ” ตลอดเวลา
อิริยาบถกราบ : กราบใหชาลง ใหได ๗-๑๐ นาทีเปนอยางนอย
โดยใหเพิ่มการกําหนดตนจิตมากขึ้น เชน กอนพลิกมือ ใหกําหนดรูจิตกอน
วา “อยากพลิกหนอ” แลวจึงกําหนด “พลิกหนอๆ” ตอไป เปนตน
๕๕๕
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
เนนพิจารณาเห็นความไมเที่ยง คือ กอนยกมือ หรือขยับรายกาย
สวนใดสวนหนึ่ง ใหรูจิตอยากยกและพิจารณาเห็นจิตอยากนั้นจนสงบกอน
จึงพลิกมือหรือขยับรางกาย เปนการพยายามทําเพื่อใหเห็นอาการเกิด-ดับ
เมื่อเวทนามีอาการเปลี่ยนแปลง(สัมมสนญาณ) กราบใหชาลง ใหได
๗-๑๐ นาทีเปนอยางนอย โดยใหเพิ่มการกําหนดตนจิตมากขึ้นเชนกอนพลิก
มือ ใหกําหนดรู จิต กอน ว า “อยากพลิ กหนอ” จึ งกําหนด “พลิ กหนอๆ”
เปนตนเมื่อกําหนดทุกขเวทนาดับไดแลว (อุทยัพพยญาณ) ใหกราบใหชาลง
ใหได ๑๐–๑๕ นาที เปนอยางนอย เพิ่มการกําหนดตนจิตมากขึ้น เชน กอน
พลิ ก มื อ ให กํ า หนดรู จิ ต ก อ นว า “อยากพลิ ก หนอ”ก อ น แล ว จึ ง กํ า หนด
“พลิกหนอๆ” ตอไป เปนตน เมื่อไมปรากฏทุกขเวทนา (ภังคญาณ)ใหกราบ
ให ช า ลงให ได ๑๐–๒๐ นาที เป น อย า งน อ ย โดยเพิ่ม จั ง หวะหยุ ด เมื่ อ มี
อารมณแทรกเขามา เชน ขณะยกมือขึ้นกราบ ลมเย็น พัดเขามาก็ใหกําหนด
“ถูกหนอ” “เย็นหนอ” จนดับไปกอน แลวจึงกําหนดยกตอไป เปนตน
รับประทานอาหาร
ใหเคลื่อนไหวอิริยาบถในขณะฉันทีละ ๑ อิริยาบถ เชน ขยับมือทีละ
ขาง ถามือยังขยับอยู ใหอมคําขาวไวกอน อยาพึ่งเคี้ยว กายตองนิ่งสงบกอน
กําหนดรูทันจิต “อยากเคี้ยวหนอ” และในขณะเคี้ยวใหสังเกต ความหนัก
เบาของแรงเคี้ยว พรอมกับกําหนดตามอาการนั้นวา “เคี้ยวหนอๆ” กําหนด
เคี้ยวจนรสชาติจืดสนิทกอนจึงคอยกลืนทุกคํากลืน และกําหนดฉันใหได ๓๐-
๔๐ นาที เปนอยางนอย
ขณะเห็นอาหารจิตจะมีความอยากกินขึ้นมา ใหกําหนดวา “อยาก
กินหนอๆ” กําหนดจนจิตอยากนั้นหายไปกอน เมื่อจิตไมมีความอยาก จึงจะ
เริ่มกําหนดอาการอื่นตอไปอีกตามลําดับ
เมื่อรสชาติหายเร็วขึ้น กําหนดวา “หายหนอๆ” “รูหนอๆ”
อารมณที่กําหนดไมชัดแจง ลางๆ ไมแจมแจง คลายกับไมไดกําหนด
อะไรเลย ก็ใหมีความตั้งใจ(มีวิริยะใสใจ)ใหมากกวาเดิมในการกําหนด
จิตผูรูหายไปๆ แตผูปฏิบัติจะเห็นวารูปหายไปกอน จิตหายไปทีหลัง
๕๕๖
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
อันที่แทจริงนั้น หายไปพรอมกัน การที่เปนเชนนั้น เพราะจิตกอนหายไป จิต
หลังตามรูใหกําหนดวา “รูหนอๆ”
หากสภาวะหางๆ จางๆ ไมชัดเจนดี ใหกําหนดวา “หางหนอๆ” “รู
หนอๆ”“จางหนอๆ”
ไม เห็น รูป รางสัณฐานของรางกาย มีแต อาการตึงๆ ใหกําหนดว า
“ตึ ง หนอๆ” มั ก จะกํ า หนดไม ค อ ยได ดี เพราะล ว งบั ญ ญั ติ มี แ ต อ ารมณ
ปรมัตถ
อิริยาบถนอน
กําหนดพอง-ยุบ จนรู ใหไดวา หลับตอนพอง หรือตอนยุบ แตถ า
นอนกําหนดไป ๓๐ นาทีแลวยังไมหลับ ใหเพงรูไปที่อาการไมหลับ พรอมกับ
บริกรรมวา “ไมหลับหนอๆ” จนกวาจะหลับไปเอง
๕. วิธีเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน
ถานั่งภาวนา ๑ ชั่วโมง ไมมีทุกขเวทนาเลย หามนั่งเกิน ๑ ชั่วโมง
เด็ดขาด ใหเพิ่มเดินจงกรมใหมากกวานั่ง ๑๕ นาที การกําหนดใหกําหนดที
ละอยาง พยายามกําหนดใหเปนอิริยาบถเดียว จนกระทั่งจิต, คําบริกรรม,
และอาการแหงรูป-นามนั้นๆ กลมกลืนเปนอันเดียวกัน คือ เกิด-ดับพรอมกัน
ก็จะเปนเหตุทําใหจิต ดิ่ง นิ่ง มั่นคง แลวจะพิจารณารูอาการของรูป-นาม
นั้นๆ จนเปนเหตุใหเกิดปญญาเห็นแจงพระไตรลักษณอยางสมบูรณ
เมื่อโยคีมีความมุงมั่น ในการปฏิ บัติ มากขึ้น สภาวะของรู ป-นามก็
จะแจมชัดมากขึ้นเปนทวีคูณ โดยเฉพาะอยางยิ่ง “ทุกขเวทนา” และความ
ไมไดดั่งใจในการกําหนดพอง-ยุบและอาการเมื่อยชา ทําใหในบางขณะจิต
เกิ ด คํ า ถามผุ ด ขึ้ น มาว า “นี่ . .ใช ท างสู ม รรค ผล นิ พ พานแน แ ล ว หรื อ ”
“ศาสนานี้เปนศาสนาที่แทจริง..แนแลวหรือ?” “ขอมูลตางๆ ที่อางมาจาก
พระไตรปฎก แลวพระไตรปฎกเชื่อถือไดแคไหน?”๑ จึงเปนหนาที่ของพระ
๑
ดูใน ที.ม. (ไทย) ๑๙/๑๘๓/๑๑๑.
๕๕๗
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
วิ ป ส สนาจารย ที่จ ะต อ งคลายข อสงสั ย เหล านี้ และสร า งความเชื่ อ มั่น ให
กลับมาอีกครั้งดวยการแสดงพระธรรมเทศนาในเรื่องประวัติความเปนมา
ของพระไตรปฎก และหลักฐานยืนยันขอความในพระไตรปฎกที่ปรากฏอยู
จริงในยุคปจจุบัน ความสอดคลองกันระหวางทฤษฎีวิทยาศาสตร (ฟสิกส
ควอนตัม) กับคําสอนที่ปรากฏอยูในพระไตรปฎก เปนตน
๖. วิธีเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน
โยคีนั่งภาวนาเพียง ๑ ชั่วโมงเทานั้น หามเกิน ตองกําหนดรูจิตที่คิด
จะนั่ง กอนขยับตัวลงนั่งทุกครั้ง “อยากนั่งหนอ” แลวจึงคอยๆ ยอตัวนั่งลง
พรอมกับบริกรรมวา “ลงหนอๆๆๆ” บริกรรมภาวนาไปตามอาการที่เกิดขึ้น
จริ ง ในขณะป จ จุ บั น อยู ต ลอดเวลา ถา เห็ น แสงสว า ง (ที่ ไ ม ใ ช แ สงสี ) ให
กําหนดจนกวาจะดับ แตถากําหนดกวา ๑๐ นาทีแลวยังไมดับ ใหทําเปนไม
ใสใจแลวไปกําหนดอารมณอื่นๆ ที่ปรากฏชัดตอไป
ตองกําหนดจนเห็นอาการดับของทุกสภาวะที่จิตเขาไปรู บางครั้ง
อารมณดับไปจากจิต บางครั้งจิตดับไปจากอารมณ และกําหนดเห็นการดับ
ของตัวจิตเอง ที่เขาไปกําหนดรูอารมณตางๆ ได ๑ – ๓ ขณะจิต กอนที่จะ
ดับสิ้นลงทั้งของอารมณที่จิตเขาไปรูและของจิตที่เขาไปรูอารมณ
เมื่อญาณปญญาพัฒนาไปตามลําดับ อาการพอง-อาการยุบปรากฏ
นอยลง บางครั้งนิ่งหายไปเปนพักๆ และจะนิ่งหายไปนานขึ้นๆ หรือสําหรับ
บางคนปรากฏแตอาการพองอาการยุบไมปรากฏ บางคนปรากฏแตยุบ พอง
ไมปรากฏ ก็ใหกําหนดไปตามที่ปรากฏนั้ น หากพอง-ยุบยังไมปรากฏก็ให
กําหนดนั่งหนอ,ถูกหนอ สลับจุดไปเรื่อยๆ คือ ที่มือถูกกัน, ที่กนยอยขวา, ที่
กนยอยซาย จนกวาพอง-ยุบจะกลับมาเอง
๗. วิธีเจริญธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน
เพิ่มการกําหนดตนจิตมากขึ้นและตามกําหนดดูอารมณเหลานั้นที่
กระทบจิตจนดับ เพื่อขามพนสภาวะทุกขเวทนาและวิปสสนูปกิเลส ๑๐ ได
สวนสภาวธรรมยอมเขาสูวิปสสนานาญาณตามลําดับ
๕๕๘
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
การกําหนดรู ใหกําหนดทีละอยาง ใหเปนอิริยาบถเดียว จนกระทั่ง
จิต คําบริกรรม และอาการรูปนามนั้นๆ กลมกลืนเปนอันเดียวกัน ก็จะเปน
เหตุทําใหจิต ดิ่ง นิ่งมั่นคง๒ แลวจะพิจารณารูอาการของรูปนามนั้นๆ จนเปน
เหตุใหเกิดพระไตรลักษณขึ้นมา เมื่อพระไตรลักษณเกิดขึ้นมาและสมบูรณดี
แลว พระไตรลักษณก็จะพาจิตดําเนินเขาสูอนุโลมญาณ โคตรภูญาณ แลวก็
ดับลงไปตรงมรรคญาณ ผลญาณ อันเปนเหตุใหกิเลสดับลงไปดวย
สภาวญาณ : หากผูใดนั่งภาวนา ๑ ชั่วโมงแทบไมมีทุกขเวทนาเลย
ปรากฏป ติ และสุ ขเป น พักๆ กําหนดอาการคิด นึ กดั บ ได ภ ายใน ๑-๓ ครั้ ง
แสดงวาเขาภังคญาณแลว พึงอนุญาตใหโยคีผูนั้นไดฟงลําดับญาณทบทวน
๑-๒-๓ และเพิ่มญาณที่ ๔-๕ ที่เ ป นบทเทศน ของทานมหาสี สยาดอ หรื อ
หลวงพอโชดกญาณสิทธิ ในที่ลับหูเทานั้น
สภาวะญาณช ว งนี้ เ ป น เหมื อ นว า ได บ รรลุ ธ รรมแล ว สติ สมาธิ
ปญญา เพิ่มพูนแกกลาขึ้นเปนอยางมาก จนรูสึกวา อยากบอก อยากสอน
อยากเทศน อยากสรางสํานักวิปสสนา ขึ้นมาอยางจับใจ บางครั้งนั่งเผลอ
เทศนในใจไปตั้งหลายนาที บางครั้งทั้งๆ ที่รูวากําลังนึกคิดแสดงธรรมอยู ก็
ยังไมอยากที่จะหยุด โยคีบางคนที่ศึกษาปริยัติมากก็จะคิดพิจารณาธรรม ยก
ธรรมหัวขอตางๆ มานั่งคิดพิจารณ จนลืมที่จะกําหนดรูปนามปจจุบัน ดังนั้น
โยคีพึงกําหนดเทาทันจิตที่คิด “คิดหนอๆๆ”
บางทานเขาใจวา นั่งสบายแลวไมปวดเมื่อย จึงปลอยจิตเฉยเสพสุข
ที่บังเกิดขึ้น จนลืมกําหนดรูปนามปจจุบัน ดังนั้น โยคีตองกําหนดรูปนั่ง หรือ
สุขเวทนานั้น อยาปลอยใหจิตเสพความสุข เพราะเปนการสรางภพชาติ และ
ตองกําหนดอารมณพรอมกับสังเกตเห็นอาการดับลงของจิตทุกอิริยาบถ
พิจารณาโพชฌงค ๗
บุคคลไมอาจบรรลุธ รรมได โ ดยการนั่งหลั บ ตา โดยคิด นึ ก หรื อ
ปรารถนาเอาเอง วา สภาวธรรมจะปรากฏขึ้นเองในใจ แทจริงแลวมีเงื่อนไข
๒
ดูใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๑/๒๑.
๕๕๙
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
สําคัญๆ ที่เปนรากฐานของการบรรลุธรรม นั่นคือโพชฌงค (องคแหงธรรม
เปนเครื่องตรัสรู) ๗ ประการ๓ คือ
๑. สติสัมโพชฌงค มีอยู ไมมี ก็รูชัด, เกิดดวยเหตุใดก็รูชัด, สติ
ระลึกรูเทาทันเปน ปจจุบันดวยเหตุใดก็รูชัดเหตุนั้น, สติกําหนดจิตไมหลุด
ขาดเลื่อนลอย แนบแนนกับสภาวะ อารมณ กําหนดรูวา “รูหนอๆ”
๒. ธัมมวิจยสัมโพชฌงค มีอยู ไมมี ก็รูชัด, เกิดดวยเหตุใด ก็รูชัด,
สมบรูณบริบรูณ ดวยเหตุใดก็รูชัดเหตุนั้น, ปญญารูเห็นรูปนาม เห็นอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา กําหนดวา “รูหนอๆ”
๓. วิริยสัมโพชฌงค มีอยู ไมมี ก็รูชัด, เกิดดวยเหตุใด ก็รูชัด, ความ
เพียรที่พอดี ยอมเกิดขึ้นดวยเหตุใดก็รูชัดเหตุนั้น, ทุกขณะที่เจริญสติอยู
กําหนดวา “รูหนอๆ”
๔. ปติสัมโพชฌงค มีอยู ไมมีก็รูชัด, เกิดดวยเหตุใด ก็รูชัด, ความ
เอิบอิ่มใจตางๆ เกิดขึ้นดวยเหตุใด ก็รูชัดเหตุนั้น, ขณะปฏิบัติธรรมอยูให
กําหนดวา “ปติหนอๆ” “อิ่มเอิบหนอ” หรือ “รูหนอๆ”
๕. ปสสัทธิสัมโพชฌงค มีอยู ไมมี ก็รูชัด, เกิดดวยเหตุใดก็รูชัด,
บริบูรณดวยเหตุ ใดก็รูชัดเหตุนั้น, ความสงบทั้งกายและใจที่เกิดขึ้น กําหนด
วา “สงบหนอๆ” หรือ “รูหนอๆ”
๖. สมาธิสัมโพชฌงค มีอยู ไมมี ก็รูชัด, เกิดดวยเหตุใดก็รูชัด, สมาธิ
ชั่วขณะหรือ แนบแนนในสภาวธรรมปจจุบันปราศจากนิวรณดวยเหตุใด ก็รู
ชัดเหตุนั้น เห็นความจริงของ สภาวธรรมตามจริง กําหนดวา “รูหนอๆ”
๗. อุเบกขาสัมโพชฌงค มีอยู ไมมีก็รูชัด, เกิดดวยเหตุใดก็รู, การรู
ความสม่ําเสมอกันของความเพียร (วิริยะ) กับความตัง้ ใจมั่น (สมาธิ) และ
ความเชื่อ (ศรัทธา) เสมอกับความรูแจง (ปญญา) กําหนดวา “รูหนอๆ”๔
๓
ดูรายละเอียดใน ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๕/๓๒๑.
๔
ที.ม. (ไทย) ๑๐/ ๓๘๕/๓๒๐–๓๒๓.
๕๖๐
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
วิปสสนาญาณเห็นอริยสัจ ๔๕
อุทยัพยญาณเปนญาณที่เห็นไตรลักษณ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
ตามความเปนจริง
อริยสัจ ๔ เป นธรรมชาติที่ปรากฏภายในกระแสจิ ตของตน โดยการ
กําหนดรู ทุกขสั จ ละสมุทยสั จ กระทํ านิโรธสั จให แจ ง และเจริญมรรคสั จให
บังเกิดขึ้นภายในอัตภาพที่ยาววาหนาคืบกวางศอกนี้ ไมปรากฏในกระแสจิตของ
บุคคลอื่น
ผูที่เจริญสติตามรูรูปนามปจจุบันอยู เมื่อเกิดความเพลิดเพลินยินดีใน
สิ่งที่พบยอมจะกําหนดรูเทาทันได การรับรูอยางนี้เปนการรูประจักษสมทุยสัจ
ในปจจุบันภพ แตสมุทยสัจดังกลาวนั้นเปนเหตุใหเกิดรูปนามซึ่งเปนทุกขสัจใน
ภพตอไป ไมใชสมุทยสัจที่เปนเหตุเกิดของภพนี้ สมุทยสัจที่เปนเหตุเกิดของภพ
นี้นั้ น เป นสิ่ งที่เหล าสั ตว ไดกระทํ าไว ในภพก อน กลาวคือ บุ คคลต องการจะ
ไดรับอัตภาพ ที่ดีงามเพียบพรอมดวยความสุข จึงบําเพ็ญกุศลไว เขายอมไปเกิด
ในภพนั้นดวยผลบุญที่ทําไวซึ่งมีตัณหาเปนมูลเหตุ แตบุคคลไมอาจรูประจักษ
ตัณหาซึ่งดับไปแลวได อยางไรก็ตาม ตัณหาในอดีตก็มีสภาพเหมือนกับตัณหา
ในปจจุบัน และเกิดขึ้นในกระแสจิตของบุคคลเดียวกัน จึงไดกลาวเหมือนกัน
โดยเอกัตตนัย คือ นัยที่มีสภาพอยางเดียวกัน เหมือนการเห็นมหาสมุทรหรือ
ภูเขาบางสวน ก็อาจกลาววาเห็นมหาสมุทร เห็นภูเขา ดังนั้น การตามรูตัณหา
ในปจจุบันจึงจัดเปนการตามรูสมุทยสัจ
นักปฏิบัติผูหยั่งเห็นวิปสสนาญาณตั้งแตนามรูปปริจเฉทญาณเปน
ตนไป อาจอนุมานรูตัณหาในอดีตไดอีกดวย ตัวอยางเชน เมื่อเขาไดหยั่งเห็น
สภาวลักษณะของรูปนามอยางชัดเจนแลว ยอมรับรูความเปนเหตุผลของรูป
นามตอจากนั้น กลาวคือ
สภาวะการเหยียดเกิดขึ้นจากจิตที่คิดอยากจะเหยียด
๕
. พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.๙, M.A., Ph.D.) ตรวจชําระ. วิปส สนานัย
เลม ๑. แปลและเรียบเรียงโดย พระคันธสาราภิวงศ. นครปฐม : หางหุนสวนจํากัด ซี
เอไอ เซ็นเตอร จํากัด, ๒๕๕๐. หนา ๒๘๓.
๕๖๑
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
รูปที่มีลักษณะเย็นเกิดขึ้นจากธาตุไฟที่มีลักษณะเย็น
สภาวะเห็นเกิดขึ้นจากจักขุประสาทและรูปารมณ
การกําหนดรูหรือความคิดฟุงซานเกิดขึ้นจากการมีอารมณอยางใด
อยางหนึ่งใหจิตรับรูได
จิตที่เกิดขึ้นในภายหลังจากจิตที่เกิดขึ้นกอน
นักปฏิบัติผูรูเห็นความสีบเนื่องของเหตุผลอยางนี้แลวอนุมานรูวา
รูปนามในภพนี้ตั้งแตปฏิสนธิเปนตนมาควรมีเหตุสืบเนื่องกันเหมือนรูปนามที่
กําหนดรูในปจจุบันขณะ เขายอมอนุมานดวยสัมมาทิฏฐิที่เขาใจกรรมและ
ผลของกรรมวารูปนามดังกลาวเกิดจากกุศลกรรมที่กระทําไวในอดีต และ
อนุ ม านรู ต อ ไปว า กุ ศ ลกรรมเกิ ด จากตั ณ หาที่ ต อ งการไปเกิ ด ในภพที่ ดี มี
ความสุข ความจริงผูที่อนุมานรูอยางนี้มิไดครุนคิดเปนเวลานาน เขาเพียง
เกิดความเขาใจดวยการอนุมานรูแลวตามกําหนดสภาวธรรมปจจุบันตอไป
อนึ่ง ทกุขสัจและสมุทยสัจทั้งสองนี้เปนสภาพที่ประจักษแกเหลา
สัตวอยูแลว แตการจะเขาใจสภาวะและหนาที่ของสัจจะเหลานั้นโดยปรมัตถ
ลวนๆ ไมมีบัญญัติเจือปนเปนสิ่งที่ทําไดยาก ผูที่เจริญวิปสสนา ตามรูสัจจะ
เหล า นั้ น ตามความเป น จริ ง ย อ มเข า ใจสภาวะและหน า ที่ ไ ด ต ามสมควร
ตอเมื่อบรรลุมรรคญาณแลวจึงเขาใจไดอยางหนักแนนไมหวั่นไหว๖
สัจจะ ๒ อยางหลังนั้นเปนสภาพลุมลึกยากที่จะรับรูไดโดยประจักษ
ผูที่เริ่มเจริญวิปสสนาจึงไดแกนอมใจไปในสัจจะเหลานั้น ตอมาเมื่อปฏิบัติ
ตามลําดับ วิป สสนาญาณจนถึงญาณที่ ๔ ซึ่งเรี ยกวาอุทยั พพยญาณ คือ
ญาณหยั่งเห็นความเกิดดับ ในบางขณะอาจอนุมานรูเหตุผลทีสืบเนื่องกันวา
ขันธ ๕ ก็เกิดขึ้นไมได เมื่อบรรลุภยญาณคือญาณหยั่งเห็นสังขารวาเปน
ของนากลัวเปนตนไปแลวก็อาจอนุมานรูวา ทุกขณะที่มีการเห็น ไดยิน ฯลฯ
ก็ยังมีความเรารอนดวยทุกขในวัฏฏะ ความสงบอยางแทจริงยอมไมเกิดขึ้น
ตอเมื่อสภาวธรรมเหลานั้นหมดสิ้นไปความสงบจึงเกิดขึ้นได๗
๖
สํ.อ. (บาลี) ๑/๑๑๒, องฺ. อ. (บาลี) ๒/๓๔๕.
๗
ที.ฏีกา (บาลี) ๒/๔๓๗.
๕๖๒
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
นอกจากนี้ เมื่อบรรลุญาณที่ ๙ ซึ่งเรียกวา มุจจิกุกัมยตาญาณ คือ
ญาณรู เห็นที่ตองการจะพนไปจากสังขาร นักปฏิบัติบางทานอาจไมตองการ
จะตามรูปจจะบัน เพราะรูสึกวาสภาวธรรมทุกอยางไมใชสิ่งที่ดีงามนาพอใจ
แม เ ขาจะไม ไ ด กํ า หนดรู รู ป นามก็ ส ามารถรั บ รู รู ป นามได เ องด ว ยกํ า ลั ง
วิปสสนาที่สั่งสมมาจนถึงระดับนี้ ตอมาเขาจะอนุมานรูพระนิพพานวา รูป
นามมิไดดับไปดวยการไมใสใจตามรู แตดับไปอยางสิน้ เชิงดวยการรูเห็นพระ
นิพพานเปนอารมณ แลวเขาจะเพียรปฏิบัติเพื่อการบรรลุพระนิพพานตอไป
นักปฏิบัติยอมรับรูสัจจะทั้ง ๔ โดยประการดังนี้
โดยเหตุที่ทุกขสัจเปนธรรมที่ควรกําหนดรู (ปริญเญยยะ) สมุทยสัจ
เปนธรรมที่ควรละ (ปหาตัพพะ) นิโรธสัจเปนธรรมที่พึงกระทําใหแจง (สัจฉิ
กาตั พ พะ) และมรรคสั จ เป น ธรรมที่ ค วรให เ จริ ญ ในกระแสจิ ต ของตน
(ภาเวตัพพะ) เมื่อนักปฏิบัติเจริญสติระลึกรูรูปนามปจจุบันจนกระทั่งหยั่ง
เห็นความเกิดดับแลวยอมไดชื่อวาเปนผูเจริญอริยสัจทั้ง ๔ กลาวคือ
- การกําหนดรูรูปนาม เปนปริญญากิจ คือ การกําหนดรูทกุขสัจ
- การละความเพลิดเพลินยินดีในรูปนามที่รับรูดวยสติอยู เปนปหาน
กิจ คือ การละสมุทยสัจ
- การไมเกิดขึ้นแหงตั ณหา อุปาทาน กรรม และรูปนามที่เปนผล
กรรม ดวยการกําหนดรูปจจุบัน เปนสัจฉิกิริยากิจ คือ การกระทํานิโรธสัจให
แจง การดับตัณหาเปนตนดังกลาวจัดเปนการดับชั่วขณะดวยวิปสสนาซึ่ง
เรียกวา ตัทงคนิโรธ เมื่อบรรลุอริยมรรคอยางแทจริงจึงจะรับรูการดับของรูป
นามทั้งปวงโดยประจักษได
- การหยั่งเห็น ลักษณะพิเ ศษของรูป นามแตละอย างและลักษณะ
ทั่วไป คือ ไตรลักษณ จัดเปนสัมมาทิฏฐิ ความดําริชอบ เปนสัมมาสังกัปปะ
ความเพียรชอบ เปนสัมมาวายามะ การระลึกชอบ เปนสัมมาสติ ความตั้งมั่น
ชอบ เป น สั ม มาสมาธิ การไมล ว งละเมิ ด ทางวาจา มี ก ารพู ด เท็ จ เป น ต น
ในขณะปฏิบัติธรรม เปนสัมมาวาจา การไมละเมิดทางกายมีการฆาสัตวเปน
ตน เปนสัมมากัมมันตะ การไมลวงละเมิดทางกายและวาจาซึ่งเกี่ยวกับการ
เลี้ยงชีพ เปนสัมมาอาชีวะ การเจริญสติระลึกรูปจจุบันอันประกอบดวย
๕๖๓
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
อริยมรรคมีองค ๘ เหลานี้ จัดเปนภาวนากิจ คือ การเจริญมรรคสัจ
อนึ่ ง มรรคสั จ ที่ เ ป น โลกิ ย ะย อ มปรากฏแก นั ก ปฏิ บั ติ ผู บ รรลุ
อุทยัพพยญาณ เปนตนไปแลว สวนมรรคสัจที่เปนโลกุตตระ ยอมปรากฏ
แกผูบรรลุมรรคญาณดวยเหตุดังกลาวมานี้ นักปฏิบัติผูเจริญสติปฏฐานยอม
ไดชื่อวา เปนผูเจริญอริยสัจ ๔ ในทุกขณะที่ตามรูเทาทันรูปนามปจจุบัน๘
พิเศษ : พระวิปสสนาจารยพึงพิจารณาสภาวะญาณของโยคีแตละ
คน หากมีผูใดนั่งภาวนา ๑ ชั่วโมงแทบไมมีทุกขเวทนาเลย ปรากฏปติและ
สุขเปนพักๆ กําหนดอาการคิดนึกดับไดภายใน ๑-๓ ครั้ง แสดงวาเขาภังค
ญาณแลว พึงอนุญาตใหโยคีผูนั้นไดฟงลําดับญาณทบทวน ๑-๒-๓ และเพิ่ม
ญาณที่ ๔-๕ ที่เปนบทเทศนของทานมหาสีสยาดอ หรือหลวงพอโชดกญาณ
สิทธิ ในที่ลับหูเทานั้น
ดังนั้น ในขั้นนี้ โยคีเพิ่มการกําหนดตนจิตมากขึ้นและตามกําหนดดู
อารมณที่กระทบจิตจนดับ เพื่อขามพนสภาวะทุกขเวทนาและวิปสสนูปกิเลส
๑๐ ได สวนสภาวธรรมยอมเขาสูวิปสสนานาญาณ ตามลําดับ
๘. สภาวะญาณที่เกิดขึ้นเมื่อปฏิบัติขั้นที่ ๓ สมบูรณ
ขั้นนี้เปนการเห็นความไมเที่ยงของรูป-นาม เปนทั้งปญญาที่เปนจิต
ตามยปญญา คือ สัมมสนญาณ และภาวนามยปญญา คือ อุทยัพพยญาณ
การกํ า หนดในขั้ น นี้ จ ะมากไปด ว ยสมาธิ ซึ่ ง ทํ า ให วิ ป ส สนู ป กิ เ ลสทั้ ง ๑๐
อยาง๙ เกิดขึ้น และเห็นเวทนาชัดจึงทําใหรูสึกปวดมาก สวนสภาวธรรมนั้น
จะเห็นลักษณะของรูป-นามเกิด-ดับ ทั้งอารมณและจิตที่เขาไปรูอ ารมณ
ตั้งแตสัมมสนญาณ (ตอนปลาย) และตรุณอุทยัพพยญาณจัดเป น
ตีรณปริญญา เปนมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ คือ ปญญาที่รูวาใชหนทาง
และไมใชหนทาง สวนพลวอุทยัพพยญาณจัดเปนตีรณปริญญาเหมือนกันแต
เปนปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ
๘
อภิ.สํ. (บาลี) ๓๔/๒๐/๔.
๙
ขุ.จู.อ. (ไทย) ๖/๖๔๘.
๕๖๔
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
สวนภังคญาณจัด เป นปหานปริญญา (ตทังคปหาน) จั ดเปนนิ โรธ
อริยสัจ (ตทังคนิโรธ) คือญาณที่เห็นไตรลักษณชัดแจงทุกขณะกําหนด สันตติ
ไมสามารถปดบังอนิจจัง อิริยาบถไมสามารถปดบังความเปนทุกข ฆนสัญญา
ไมสามารถปดบังอนัตตาได
วิปสสนูปกิเลส ๑๐ ประการปรากฏขึ้นระหวางสัมมสนญาณและ
อุทยัพพยญาณอยางออน แตถาผานไดแลวก็จะเขาสูวิปสสนาญาณแท ตั้งที่
อุทยัพพยญาณอยางแกและภังคญาณ เปนตนไป
เปนภูมิแหง ตีรณปริญญา กําหนดรูขั้นพิจารณาคือ รูดวยปญญาที่
หยั่ ง ลึ ก ซึ้ง ไปถึ งสามั ญญลั กษณะ ได แก รู ถึ งการที่สิ่ ง นั้ น ๆ เป น ไปตามกฎ
ธรรมดา โดยพิจารณาเห็นความไมเที่ยงเปนทุกข เปนอนัตตาภูมิแหงตีรณ
ปริญญา เริ่มตั้งแตการพิจารณากองสังขาร จนถึงอุทยัพพยานุปสสนา (การ
พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ) ปริญญานี้ ก็คือการตามกําหนดอยาง
จดจ อ ต อ เนื่ อ งจนแจ ง สามั ญ ลั ก ษณะของอารมณ ที่ กํ า หนด และภู มิ แ ห ง
ปหานปริญญา กําหนดรูถึงขั้นละได คือ รูถึงขั้นที่ทําใหถอนความยึดติดเปน
อิสระจากสิ่งนั้นๆ ไดถูกตอง จัดเขาใน อริยสัจ ๔ คือ “นิโรธ (ตทังคนิโรธ
ดับดวยองคนั้นๆ คือ ดับกิเลสดวยธรรมที่เปนคูปรับ หรือธรรมที่ตรงขาม
เชน ดับสักกายทิฏฐิ ดวยความรูที่กําหนดแยกรูปนามออกได เปนการดับ
ชั่วคราวในกรณีนั้นๆ), สมุทัย (ตทังคนิโรธ ดับดวยองคนั้นๆ คือ ดับกิเลส
ดวยธรรมที่เปนคูปรับ หรือธรรมที่ตรงขาม เชน ดับสักกายทิฏฐิ ดวยความรู
ที่กําหนดแยกรูปนามออกได เปนการดับชั่วคราวในกรณีนั้นๆ), และเริ่ม แจง
นิโรธ (อริยสัจ ๔ เกิดโดยสมบูรณขึ้นตามลําดับ) ทุกข, สมุทัย, นิโรธ, มรรค”
ขั้นนี้จะตองเพิ่มตนจิตในการกําหนดใหไดมากๆ และมีวิปสสนูปกิ
เลส ๑๐ ประการ ปรากฏขึ้ น คื อ ระหว า งสั ม มสนญาณช ว งปลายและ
อุทยัพพยญาณอยางออน แตถาผานไดแลว โยคีก็จะเขาสูวิปสสนาญาณแท
ตั้งที่อุทยั พพยญาณอยางแกและภั งคญาณ ขั้น นี้ จั ดเขาตีร ณปริ ญญาและ
ปหานปริญญา จัดเปนสมุทยสัจ นิโรธอริยสัจ และมรรคอริยสัจ โดยที่ภังค
ญาณนั้นจิตกับอารมณจะดับไปพรอมกัน
๕๖๕
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
ญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ(ชวงปลาย)
ป ญ ญาที่เ ห็ น รู ป -นามเป น ไตรลั กษณเ กิด ขึ้น แก บุ ค คลผู ป ระกอบ
ความเพียรเจริญวิปสสนา องคธรรมไดแก ปญญาเจตสิกที่ในมหากุศลญาณ
สัมปยุตจิต ผูปฏิบัติวิปสสนาตองทําความเพียรกําหนดพิจารณาสภาพธรรม
ที่เปนหมวดเปนกอง (กลาปสัมมนะ) กอน เมื่อวิปสสนูปกิเลสมีโอภาส คือ
แสงสวาง เปนตน เกิดแกผูปฏิบัติก็แสดงวา มัคคามัคคญาณ ทัสสนวิสุทธิได
บังเกิดขึ้นแลว จึงจัดเปนญาณเริ่มตนของวิปสสนาญาณ๑๐
ดั งนั้ น ตั้ งแต สั มมสนญาณจนถึ งตรุ ณอุ ทยั พพยญาณจั ด เป น มั ค
คามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ และ เปนภูมิของตีรณปริญญา (การกําหนดรูดวย
การไตรตรองใครครวญ) เพราะในระหวางนี้เปนการแทงตลอดสามัญญลักษณะ
โดยเฉพาะ๑๑ การพิจารณาเพียงยอๆ โดยลักษณะสัมมสนญาณ มี ๔ อยางคือ
๑) กลาปสั ม มสนะ คื อ การพิ จ ารณารู ป ที่ เ ป น อดี ต อนาคต
ปจจุบัน ภายนอก ภายใน หยาบ ละเอียด เลว ประณีต ไกล ใกล ทั้งหมดนี้
เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะหมดไปสิ้นไปถายเดียว ไมมีกลับ ทนอยู
ไมได ไมมีแกนสาร ไมอยูในอํานาจบังบัญชา
๒) อัทธานสัมมสนะ คือ การพิจารณารูป-นามที่เกิด-ดับ ลวงลับ
ไปเปนเวลานาน คือ พิจารณารูป-นามในอดีตไมกลับมาปจจุบัน รูป-นาม
ปจ จุ บั นไมกลับ ไปเปน อนาคต แต มีเ หตุป จ จั ยสื บ ต อกัน อยู เมื่อปจ จุ บั น ดี
อนาคตก็ดี ดังนั้นรูป-นามจึงเปนของไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา
๓) สัน ตติสัมมสนะ คือ การพิจ ารณาเห็น ความสืบ ตอของรูป -
นาม เชน รูปรอนดับไป รูปเย็นเกิดขึ้น รูปเย็นดับ รูปรอนเกิด หมุนเวียน
เปลี่ยนแปลงอยูเสมออยางนี้ เรียกวา อุปปาทะ-ฐีติ-ภังคะ จะยืน เดิน นั่ง
นอนก็มีรูป-นามเกิด-ดับอยูอยางนี้เรื่อยไป(ไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา)
๑๐
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมั ตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๒
วิปสสนากรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : หจก. ทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๕๔),
หนา ๘๙-๙๐.
๑๑
เรื่องเดียวกัน หนา ๕-๖, ๙๐-๙๑.
๕๖๖
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
๔) ขณสัมมสนะ คือ การพิจารณาเห็นความเปนไปของรูป-นาม
ชั่วขณะหนึ่งๆ คือ พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป รูป-นามจึงเปน
อนิจจัง เปนทุกข เปนอนัตตา๑๒
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม
ระหวางเดินเห็นอาการของเทาที่ขาดไป เชน ยกหนอดับ ยางหนอ
เกิดแทน ยางหนอดับ เหยียบหนอเกิดแทน เหยียบหนอเหยียบพื้นดับ เปน
ตน คือรูอาการดับของเทาโดยการเทียบเคียง จัดเปนสัมมสนญาณ ญาณที่รู
ดวยจินตาญาณ หรือรูเทาที่สุดปลายจางๆ หรือความรูสึกตรงเหยียบออนๆ
แตไมถึงกับดับทันที การเดินไมคอยสะดวก มีอาการคลายกับจะหลับ สั่น
เกร็ง ในขณะเดินมีอาการพื้นที่เดินไมเสมอกัน ระหวางเหยียบพื้นรูสึกซูขึ้น
ตามรางกายเกือบทุกครั้ง แสดงวาอยูระหวางสัมมสนญาณตอนปลายและ
อุทยัพพญาณอยางออนคือมีวิปสสนูปกิเลส (ปติ) ปรากฏขึ้น
สํ าหรั บ ผู ได ญาณ ๔ แล ว แบ งการกําหนดยื น เป น ๓ ช ว ง ตั้ งแต
ปลายผมถึงราวนม ๑ ชวง ตั้งแตราวนมถึงขาออน ๑ ชวง ตั้งแตขาออนถึง
ปลายเทา ๑ ชวง บริกรรมเหมือนกันวา “ยืนหนอ”โยคีรูตามอาการเหลานั้น
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ
กําหนดเห็นอาการพองยุบ จากชาไปไวๆ จนหายไปแสดงวาอยูใน
ญาณที่ ๓ ถาพองยุบไวๆ แลววูปหายไปแสดงวาอยูในญาณที่ ๔ (เกิด-ดับ)
พองเปนพืดๆ ยุบลงเปนพืดๆ รูเปน ๓ ขณะ คือ ตน กลางและที่สุด
พอง-ยุบเตนเปนขั้นๆ ๒-๓ ขั้น พอง-ยุบไวบาง สม่ําเสมอบาง แผวเบาบาง
แนนอึดอัดบางสลับไปสลับมา
เห็นอาการแรกพอง-ยุบ คงอยู แลวสิ้นสุดลงชัดเจนขึ้นไปตามลําดับ
อาการพอง-ยุบอาจหายไปเฉยๆ แลวปรากฏขึ้นมาใหม ชาบาง เร็ว
บาง สม่ําเสมอบาง ไมสม่ําเสมอบาง๑๓
๑๒
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๑๕.
๑๓
พระธรรมธี ร ราชมหามุ นี (โชดก ญาณสิ ท ธิ ป.ธ.๙),คู มื อ สอบอารมณ
กรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๓, กรุงเทพมหานคร , ๒๕๔๑), หนา ๙.
๕๖๗
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
ค. สภาวธรรมที่ปรากฎ : รับประทานอาหาร
การกลืนครั้งหนึ่งก็จะเห็นเปน ๓ ระยะ ตนกลืน กลางกลืน สุดกลืน
แตยังไมเห็นอาการดับชัดเจนใหกําหนดวา กลืนหนอๆ ลงหนอๆ ไหลหนอๆ
กําหนดรูรสไดดีขึ้น แตยังไมเห็นอาการดับชัดเจนนักใหกําหนดวา
รส/รูหนอๆ
อาการฟน บนหรือล างที่กําลั งเคี้ยวอยู หายไป บางคนหายไปนาน
บางคนไมนาน ใหกําหนดวา หายหนอๆ
การกําหนดสภาวะสม่ําเสมอบาง แผวเบาบาง มีอึดอัดแนนขึ้นมาบางให
กําหนดไปตามอาการ
ง. สภาวธรรมทีป่ รากฏ : เวทนา
มีเวทนาเกิดขึ้นตามรางกายอยางมากมาย หรือบางสวนของรางกาย
มีอาการรอนตามสวนตางๆของรางกาย เชน รอน ตามผิวหนัง ตามเนื้อตัว
ตมมื อ ขา แขน เท า เหมื อ นถู ก น้ํ า ร อ นลวก ร อ นเหมื อ นอยู ใ กล เ ตาไฟ
ในขณะนั่งปรากฏอาการปวดขา ปวดเขา ปวดลําแขง หรือปวดขอเทาอยาง
แรงกลาจนเกือบทนไมได ถาปรากฏอาการอยางนี้แสดงวา สภาวญาณของ
ทานแกกลามาก ในญาณนี้เวทนาจะแรงกลามากนั้นแสดงวา พระไตรลักษณ
เริ่มสําแดงตัวออกมาใหเห็น ก็ใหมีโยนิโสมนสิการในการกําหนดรูอาการของ
พระไตรลั ก ษณ ใ ห ชั ด เจนตามความเป น จริ ง โดยเห็ น ชั ด ว า รู ป นามหรื อ
รางกายนี้เปนทุกขกอนเรียกวา ทุกขานุปสสนา ความปวดความรอนความคิด
ที่วิตกในสภาวะนั้น เมื่อกําหนดรูอยูนั้น ก็ไมเที่ยง เรียกวา อนิจจานุปสสนา
เมื่ อ กํ า หนดรู ต ามสภาวะที่ เ ป น จริ ง อยู นั้ น ก็ จ ะเห็ น ว า เป น สภาพที่ ไ ม น า
ปรารถนาเพราะมันเกิดขึ้นตามเหตุปจจัยและดับไปเองเปนอนัตตา ไมอยูใต
การบังคับบัญชาของใครจะใหมันเปนไปตามตองการไมไดเรียกวา อนัตตา
นุปสสนาลักษณะ
เวทนามีมากมายเหลือหลาย ส วนมากเกิดในส วนที่เกี่ย วกับ กาย
เชน ปวดตามรางกาย เจ็บ คัน ชา เมื่อย เปนตน เวทนามาก แตหายชาๆ
กําหนดตั้ง ๗-๘ ครั้ง จึงหาย หรือบางทีก็ไมหาย
๕๖๘
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
นั่งสะบัดมือสะบัดเทา ศีรษะโยกหรือสั่นเพราะกําลังปติ ขนลุกชัน
ตองกําหนดเวทนาโดยการรูแบบเจาะลึกลงไป เห็นอาการเวทนาที่
ละเอียด คือในความรูสึ กปวดนั้น มีอาการตึง รัด รอน เปนต น จิ ตไมชอบ
แสดงวาอยูในญาณที่ ๒ ถาโยคีเห็นอาการของเวทนาที่จิตกําหนด หลายครั้ง
แลวผอนเบาๆ แลวเกิดใหม หรือดับจากที่หนึ่งปรากฏอีกที่หนึ่ง เชน ดับจาก
หัวเขา ปวดที่ขอ ดับที่ขอ เกิดที่นอง เปนตน แสดงวาอยูในญาณที่ ๓ คือ
เห็นการเกิด-ดับ แตยังไมขาดไปทันที๑๔
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการจิต
ใจฟุงซานบาง นั่นแสดงใหเห็นวาจิตเปนพระไตรลักษณ
กําหนดรูอาการตางๆ ไดดีขึ้น และเร็วขึ้น
กําหนดรูอาการตางๆ ทางกาย เวทนา จิต และธรรมในขณะเกิดขึ้น
ไดทั้ง ๓ ระยะ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู และดับไป
กําหนดรูอาการเกิดขึ้นไดเร็วและอาการดับไปไดเร็ว มีอาการตางๆ
เกิดขึ้นมากมาย แตใหกําหนดตามอาการของปจจุบันที่ชัดเจนที่สุด
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : ธรรม
มีนิมิตมาก และกําหนดหายชาๆ คอยๆ จางๆ หายไป
วิปสสนูปกิเลสหรือธัมมุจทัจเกิดขึ้นในญาณนี้อยางใดอยางหนึ่ง คือ
โอภาส ปติ ปสสัทธิ สุขศรัทธา ปคคาหะ ญาณ อุเบกขา นิกันติ ยอมปรากฏ
ในระหวาญาณที่ ๓ กับ ๔ เชนเห็นแสง ในญาณที่ ๓ ลักษณะของแสงจะวง
เล็ก เทาแสงกนหิ่งหอย สวนญาณที่ ๔ แสงจะจา ดวงใหญ
ญาณที่ ๓ กําหนดนิมิตเห็นหนอๆๆ ๗-๘ ครั้งกวาจะหาย สวนญาณ
ที่ ๔ กําหนดเพียง ๓ ครั้ง หรือกําลังจะกําหนดนิมิตก็หายไป
การปฏิบัติในญาณนี้ตองใชความพอดี (สายกลาง) ความฟุงซานยังมี
อยูมากถือวาเปนธรรมชาติของจิต
๑๔
ดูใน ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๒/๖๕๘.
๕๖๙
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
ในสัมมสนญาณเบื้องปลาย ไมสามารถกําหนดรูปนามดับไดทีเดียว
และมีสภาวะติดสมาธิ บางคนจะมีสภาวะติดสมาธิ จนทําใหเสียจริต เซื่องซึม
ไปเลยก็มี สาเหตุมาจากกําหนดสภาวะไมขาด สติและสัมปชัญญะนอย แต
สมาธิมากเกิน เหมือนกับรถยนต ๔ ลอ แตสูบลมใสเพียงลอเดียว อีกสามลอ
แฟบ ถึงจะไปตอไดแตก็ไปตอชาๆ อืดๆ และชํารุดในที่สุด มีวิธีแกดังนี้
๑) เดินจงกรม ๑ - ๓ จังหวะ ๓๐ นาที หามเกิน ในจังหวะที่ ๓
เห็นจังหวะขาดของอาการยก อาการยาง อาการเหยียบ ชัดเจน(สันตติขาด)
ขณะเดินหากมีลมสัมผัส เสียงที่ไดยิน ใจที่คิด ยืนกําหนดใหดับเสียกอน (ให
ขาดกอน) จึงจะกําหนดพอง-ยุบตอเดินไปที่ไหนๆ เชน ไปที่พัก เขาหองน้ํา
กําหนด ยาง-เหยียบๆๆๆๆ ตลอดเวลา
๒) นั่งเจริญภาวนา ๓๐ นาที กําหนดพองยุบตามอาการที่เห็น อยา
เสริมพอง-ยุบหยุดกําหนดลมสัมผัส เสียงที่ไดยิน ใจที่คิดใหดับกอน จึงจะ
กําหนดพอง-ยุบตอกอนออกจากบัลลังค หากมีเวทนาคางอยู เรงกําหนดจี้
เวทนาใหดับ หรือคลายตัวกอนออกจากบัลลังกทุกครั้ง อยาปลอยใหเวทนา
คางตอนออกจากบัลลังก จะทําใหสภาวะอื่นๆโดยเฉพาะนิมิตคางไปดวย
๓) การคิดจะมีลักษณะแตกตางไปจากเดิม รูไมคอยทัน และกําหนด
ดับชา เพราะสติสัมปชัญญะออน แกโดยการหยุดกําหนดเสียงที่ดังชัด ลมที่
สัมผัส คันที่รูสึกกอนทุกครั้ง
๔) ถาเห็นนิมิต ใหกํา หนดจิตที่รูวาเห็น ไมใชกํา หนดที่ภาพที่เห็น
“เห็นหนอๆๆๆๆๆ”
๕) กําหนดสภาวะแบบเร็ว เพียงแครูไมตองสนใจลักษณะอาการ ถา
นึกสงสัยใหกําหนด “สงสัยหนอๆ” อยาจี้ใหชัด แตจี้ใหดับได
สรุปวาสภาวะญาณ ๓ ตอนปลาย จะมากไปดวยสมาธิและทําให
เกิดวิปสสนูปกิเลส ๑๐ ประการเกิดขึ้น ซึ่งจะไดอธิบายตอไป
ปริญญา ๓ และอริยสัจ ๔ สัมมสนญาณ (ชวงปลาย)
พิจารณารูป-นามเปนไตรลักษณโดยการอนุมาน จัดเปนจินตามย
ปญญา จนอินทรียแกกลา เห็นรูปนามเกิด-ดับดวยอุทยัพพยญาณ จัดเปน
๕๗๐
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
ภาวนามยปญญา และเห็นรูปนามพรอมจิตที่เขาไปรูนั้นดับไปพรอมกันดวย
ภังคญาณ อีกประการหนึ่งญาณในขั้นนี้จะมากไปดวยวิปสสนูปกิเลส ๑๐
๑) ญาตปริญญา กําหนดรูป-นาม ๕๐% เปนการกําหนดรูขั้นรูจัก
รูป -นามว าเป น ทุกขสั จ เห็ นอาการเกิดขึ้น และอาการที่ตั้ งอยุของรูป นาม
(ขันธ ๕) อันเปนตัวทุกข
๒) ตีรณปริญญา การพิจารณาเหตุปจจัยของรูป-นาม ๒๕ % เปน
การกํา หนดรู ขั้ น รู จั กและพิจ ารณาเห็ น ในไตรลั ก ษณโ ดยจิ น ตามยป ญญา
(ปญญาที่เกิดจากความตรึกนึกคิด)๑๕มาปนอยูดวย
๓) ปหานปริญ ญา การละอุป าทานในรูป -นามดว ยการกํา หนด
พิจารณารูป-นาม ขมนิวรณไวแบบวิกขัมพนปหาน ๒๕ %
พิจารณาเห็นไตรลักษณ คือ ความเกิด-ดับของรูป-นาม แตที่รูวา
รูป-นามดับไปก็เพราะเห็นรูป-นามใหมเกิดสืบตอแทนขึ้นมาแลว เห็นอยางนี้
เรียกวา สันตติยังไมขาดและยังอาศัยจินตามยปญญาอยู
ขณะพิจารณาเห็นอาการเกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไปของรูป-นาม ความ
เกิดเปนตัณหา สภาวะที่ทรงตัวเปนทุกข สภาวะที่ดับไปจัดเปนนิโรธ(ตทังค
นิโรธ) คือ ความไมเกิดอีกของทุกขสัจไดแกสติที่เขาไปกําหนดรูอาการพอง-ยุบ
ดับไปพรอมกับอาการพอง-ยุบ และสมุทยสัจถูกละ(ไดแกเจตนาที่ยกจิตขึ้นสู
การกําหนดรูอาการพอง-ยุบ) อันเปนการดับที่เรียกวา ตทังคนิโรธ
อัตราการการใสใจวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๒. ปจจยปริคคห ๔๐ (ทุกขเวทนา) ๕ (จิตกุศล)
๒๐ ๕ (นิวรณ) ๒๐
ญาณ ๕ (สุขเวทนา) ๕ (จิตอกุศล)
๒๐ (ทุกขเวทนา)
๓. สัมมสนญาณ ๓๐ ๙ (จิตกุศล) ๐-๑ (นิวรณ) ๓๐
๑๐ (สุขเวทนา)
๑๕
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/-/๑/๓๘๐.
๕๗๑
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
๑๗
พระพุทธโฆสเถระรจนา, สมเด็จพระพุฒาจารย แปล, วิสุทธิมรรค, หนา
๑๐๒๔.
๑๘
ม.ม.อ. (ไทย) ๒/-/๑/๒๘๔., สํ.ข.อ. (ไทย) ๓/-/-/๓๕๘.
๑๙
สํ.นิ.อ. (ไทย) ๒/-/-/๖๘๖.
๒๐
ดูใน วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๓๑๓., สํ.ข.อ. (ไทย) ๓/-/-/๙๕.
๕๗๓
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
เมื่อเห็ นความเกิดขึ้น และความเสื่อม (แหงเบญจขันธ) ย อมเห็ น
ลักษณะเทาไรพระโยคาวจรเมื่อเห็นความเกิดขึ้นแห งเบญจขัน ธยอมเห็ น
ลักษณะ๒๕ ประการ เมื่อเห็นความเสื่อม(แหงเบญจขันธ) ยอมเห็นลักษณะ
๒๕ ประการ เมื่อเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อม(แหงเบญจขันธ) ยอมเห็น
ลักษณะ ๕๐ ประการพระโยคาวจรเมื่อเห็นความเกิดขึ้นแหงรูปขันธ ยอม
เห็นลักษณะเทาไร เมื่อเห็นความเสื่อม (แหงรูปขันธ) ยอมเห็นลักษณะเทาไร
เมื่อเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อม (แหงรูปขันธ) ยอมเห็นลักษณะเทาไร
พระโยคาวจรเมื่อเห็นความเกิดขึ้นแหงเวทนาขันธฯลฯแหงสัญญาขันธ ฯลฯ
แหงสังขารขันธ ฯลฯ แห งวิญญาณขันธ ย อมเห็นลั กษณะเทาไรเมื่อเห็ น
ความเสื่อม(แหงเวทนาขันธ ฯลฯ แหงสัญญาขันธ ฯลฯ แหงสังขารขันธ ฯลฯ
แหงวิญญาณขันธ) ยอมเห็นลักษณะเทาไร เมื่อเห็นความเกิดขึ้นและความ
เสื่อม(แหงวิญญาณขันธ) ยอมเห็นลักษณะเทาไร
พระโยคาวจรเมื่อเห็นความเกิดขึ้นแหงรูปขันธยอมเห็นลักษณะ๕
ประการ เมื่อเห็ นความเสื่ อม(แห งรูป ขัน ธ) ย อมเห็ น ลักษณะ ๕ ประการ
เมื่อเห็ นความเกิดขึ้น และความเสื่ อม(แห งรูป ขัน ธ ) ยอมเห็ นลั กษณะ ๑๐
ประการ เมื่อเห็นความเกิดขึ้นแหงเวทนาขันธฯลฯแหงสัญญาขันธ ฯลฯ แหง
สังขารขันธ ฯลฯ แหงวิญญาณขันธ ยอมเห็นลักษณะ ๕ ประการ เมื่อเห็น
ความเสื่อ (แหงวิญญาณขันธ) ยอมเห็นลักษณะ ๕ ประการ เมื่อเห็นความ
เกิดขึ้นและความเสื่อม(แหงวิญญาณขันธ) ยอมเห็นลักษณะ ๑๐ ประการ
พระโยคาวจรเมื่อเห็นความเกิดขึ้นแหงรูปขันธยอมเห็นลักษณะ๕
ประการ อะไรบาง คือ
๑.พระโยคาวจรยอมเห็นความเกิดขึ้นแหงรูปขันธโดยความเกิดขึ้น
แหงปจจัยวา“เพราะอวิชชาเกิด รูปจึงเกิด”
๒. พระโยคาวจรยอมเห็นความเกิดขึ้นแหงรูปขันธ โดยความเกิดขึ้น
แหงปจจัยวา “เพราะตัณหาเกิด รูปจึงเกิด”
๓. พระโยคาวจรยอมเห็นความเกิดขึ้นแหงรูปขันธ โดยความเกิดขึ้น
แหงปจจัยวา “เพราะกรรมเกิดรูปจึงเกิด”
๕๗๔
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
๔. พระโยคาวจรยอมเห็นความเกิดขึ้นแหงรูปขันธโดยความเกิดขึ้น
แหงปจจัยวา “เพราะอาหารเกิด รูปจึงเกิด”
๕. พระโยคาวจรแมเ มื่อเห็ น ลั กษณะแห งความบังเกิด ก็ย อมเห็ น
ความเกิดขึ้นแหงรูปขันธพระโยคาวจรเมื่อเห็นความเกิดขึ้นแหงรูปขันธยอม
เห็นลักษณะ๕ ประการนี้
พระโยคาวจรเมื่อเห็นความเสื่อม(แหงรูปขันธ)ยอมเห็นลักษณะ๕
ประการ อะไรบาง คือ
๑. พระโยคาวจรยอมเห็นความเสื่อมแหงรูปขันธโดยความดับแหง
ปจจัยวา “เพราะอวิชชาดับ รูปจึงดับ”
๒. พระโยคาวจรยอมเห็นความเสื่อมแหงรูปขันธโดยความดับแหง
ปจจัยวา “เพราะตัณหาดับ รูปจึงดับ”
๓. พระโยคาวจรยอมเห็นความเสื่อมแหงรูปขันธโดยความดับแหง
ปจจัยวา “เพราะกรรมดับ รูปจึงดับ”
๔. พระโยคาวจรยอมเห็นความเสื่อมแหงรูปขันธ โดยความดับแหง
ปจจัยวา “เพราะอาหารดับ รูปจึงดับ”
พระโยคาวจรแมเมื่อเห็นลักษณะแหงความแปรผันก็ยอมเห็นความ
เสื่อมแหงรูปขันธพระโยคาวจรเมื่อเห็น ความเสื่อมแห งรูปขันธ ย อมเห็ น
ลักษณะ ๕ ประการนี้เมื่อเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อม(แหงรูปขันธ) ยอม
เห็นลักษณะ ๑๐ ประการนี้
พระโยคาวจรเมื่อเห็นความเกิดขึ้นแหงเวทนาขันธ ยอมเห็นลักษณะ
๕ประการ อะไรบาง คือ
๑. พระโยคาวจรยอมเห็นความเกิดขึ้นแหงเวทนาขันธ โดยความ
เกิดขึ้นแหงปจจัยวา“เพราะอวิชชาเกิด เวทนาจึงเกิด”
๒. พระโยคาวจรยอมเห็นความเกิดขึ้นแหงเวทนาขันธ โดยความ
เกิดขึ้นแหงปจจัยวา “เพราะตัณหาเกิด เวทนาจึงเกิด”
๓.พระโยคาวจรย อมเห็ น ความเกิด ขึ้ น แห งเวทนาขัน ธ โ ดยความ
เกิดขึ้นแหงปจจัยวา“เพราะกรรมเกิด เวทนาจึงเกิด”
๕๗๕
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
๔. พระโยคาวจรยอมเห็น ความเกิดขึ้นแหงเวทนาขัน ธโดยความ
เกิดขึ้นแหงปจจัยวา“เพราะผัสสะเกิด เวทนาจึงเกิด”
๕. พระโยคาวจรแมเ มื่อเห็ น ลั กษณะแห งความบังเกิด ก็ย อมเห็ น
ความ เกิดขึ้นแหงเวทนาขันธพระโยคาวจรเมื่อเห็นความเกิดขึ้นแหงเวทนา
ขันธยอมเห็นลักษณะ๕ ประการนี้พระโยคาวจรเมื่อเห็นความเสื่อม (แหง
เวทนาขันธ) ยอมเห็นลักษณะ ๕ ประการ อะไรบาง คือ
๑. พระโยคาวจรยอมเห็นความเสื่อมแหงเวทนาขันธ โดยความดับ
แหงปจจัยวา“เพราะอวิชชาดับ เวทนาจึงดับ”
๒. พระโยคาวจรยอมเห็นความเสื่อมแหงเวทนาขันธ โดยความดับ
แหงปจจัยวา“เพราะตัณหาดับ เวทนาจึงดับ”
๓. พระโยคาวจรยอมเห็นความเสื่อมแหงเวทนาขันธ โดยความดับ
แหงปจจัยวา “เพราะกรรมดับ เวทนาจึงดับ”
๔. พระโยคาวจรยอมเห็นความเสื่อมแหงเวทนาขันธ โดยความดับ
แหงปจจัยวา “เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ”
๕. พระโยคาวจรแมเมื่อเห็นลักษณะแหงความแปรผัน ก็ยอมเห็น
ความเสื่อมแหงเวทนาขันธพระโยคาวจรเมื่อเห็นความเสื่อมแหงเวทนาขันธ
ยอมเห็นลักษณะ ๕ ประการนี้เมื่อเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อม(แหง
เวทนาขันธ) ยอมเห็นลักษณะ ๑๐ ประการนี้
พระโยคาวจรเมื่ อ เห็ น ความเกิ ด ขึ้ น แห ง สั ญ ญาขั น ธ ฯลฯ แห ง
สังขารขันธ ฯลฯพระโยคาวจรเมื่อเห็นความเกิดขึ้นแหงวิญญาณขันธ ยอม
เห็นลักษณะ ๕ ประการ อะไรบาง คือ
๑.พระโยคาวจรยอมเห็นความเกิดขึ้นแหงวิญญาณขันธ โดยความ
เกิดขึ้นแหงปจจัยวา“เพราะอวิชชาเกิด วิญญาณจึงเกิด”
๒.พระโยคาวจรยอมเห็นความเกิดขึ้นแหงวิญญาณขันธ โดยความ
เกิดขึ้นแหงปจจัยวา“เพราะตัณหาเกิด วิญญาณจึงเกิด”
๓. พระโยคาวจรยอมเห็นความเกิดขึ้นแหงวิญญาณขันธ โดยความ
เกิดขึ้นแหงปจจัยวา “เพราะกรรมเกิด วิญญาณจึงเกิด”
๕๗๖
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
๔.พระโยคาวจรยอมเห็นความเกิดขึ้นแหงวิญญาณขันธ โดยความ
เกิดขึ้นแหงปจจัยวา“เพราะนามรูปเกิด วิญญาณจึงเกิด”
๕. พระโยคาวจรแมเ มื่อเห็ น ลั กษณะแห งความบังเกิด ก็ย อมเห็ น
ความเกิดขึ้นแหงวิญญาณขันธ
พระโยคาวจรเมื่ อ เห็ น ความเกิ ด ขึ้ น แห ง วิ ญ ญาณขั น ธ ย อ มเห็ น
ลักษณะ ๕ ประการนี้ พระโยคาวจรเมื่อเห็ นความเสื่อม (แหงสัญญาขัน ธ
ฯลฯ แหงสังขารขันธ ฯลฯ)พระโยคาวจรเมื่อเห็นความเสื่อม (แหงวิญญาณ
ขันธ) ยอมเห็นลักษณะ ๕ ประการ อะไรบาง คือ
๑. พระโยคาวจรยอมเห็นความเสื่อมแหงวิญญาณขันธ โดยความ
ดับแหงปจจัยวา “เพราะอวิชชาดับ วิญญาณจึงดับ”
๒.พระโยคาวจรยอมเห็นความเสื่อมแหงวิญญาณขันธ โดยความดับ
แหงปจจัยวา“เพราะตัณหาดับ วิญญาณจึงดับ”
๓.พระโยคาวจรยอมเห็นความเสื่อมแหงวิญญาณขันธ โดยความดับ
แหงปจจัยวา “เพราะกรรมดับ วิญญาณจึงดับ”
๔.พระโยคาวจรยอมเห็นความเสื่อมแหงวิญญาณขันธ โดยความดับ
แหงปจจัยวา “เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ”
๕.พระโยคาวจรแมเมื่อเห็นลักษณะแหงความแปรผัน ก็ยอมเห็ น
ความเสื่อมแหงวิญญาณขันธพระโยคาวจรเมื่อเห็นความเสื่อมแหงวิญญาณ
ขันธ ยอมเห็นลักษณะ ๕ ประการนี้เมื่อเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อม
(แหงวิญญาณขันธ) ยอมเห็นลักษณะ ๑๐ ประการนี้
พระโยคาวจรเมื่อเห็นความเกิดขึ้นแหงเบญจขันธ ยอมเห็นลักษณะ
๒๕ ประการนี้เมื่อเห็นความเสื่อม (แหงเบญจขันธ) ยอมเห็นลักษณะ ๒๕
ประการนี้ เมื่อเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อม (แหงเบญจขันธ) ยอมเห็น
ลักษณะ ๕๐ ประการนี้ รูปขันธมีอาหารเปนเหตุเกิด ขันธที่เหลือคือเวทนา
ขันธ สัญญาขันธ สังขาร ขันธมีผัสสะเปนเหตุเกิด วิญญาณขันธมีนามรูป
เปนเหตุเกิด๒๑ ปญญาในการพิจารณาเห็นความแปรผันแหงธรรมทั้งหลายที่
๒๑
ขุ. ปฏิ. มหาวรรค. ๓๑/๗๗ - ๘๑/๖๑๐.
๕๗๗
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
เปนปจจุบัน ชื่อวาอุทยัพพยานุปสสนาญาณ
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม
ขณะกาวเดิน กําหนดไดชัดเจนเพียง ๒ ขณะ ตนกับสุด ในระหวาง
เดินเพิ่มตนจิตและตัดคําบัญญัติออก ขวา- ซาย โยคีเห็นอาการดับชัด สุด
ปลายเท า คื อ รู ต น แต ดั บ ปลาย เช น ยกเท า รู แต สุ ด ยกตรงคํ า ว า หนอ
ความรูสึกดับหายไป แตใจที่รูยังไมดับ แสดงวาอยูในญาณที่ ๔ คือรูเกิด-ดับ
ขณะเดินจิตรูชัดในอาการของเทาอยางละเอียด เชนตึง หนัก เบา
เปนตน ตามรางกายในขณะเดินจะรูสึกเย็นเหมือนลมพัดมากระทบเบาๆ
ขณะเดิน อาการ ยก ยาง เหยียบ เบาสบาย คลอง ไมตองฝนเปน
ธรรมชาติ เมื่อกําหนดคูหนอก็ยอมรูสึกวา รูปคูนั้น ไดขาดหายวับไป ไมมี
การตอเนื่องกันเลย
มีความสุขกับการปฏิบัติ มีศรัทธา มีความเพียร สม่ําเสมอ ไมมากไม
นอยไป สติมั่นคง ไมหวั่นไหว เปนกลางในสังขารทั้งปวง๒๒
อารมณทั่วไป ในขณะเดิน นั่ง เหยียดแขน คูแขน เปนตน รูสึกมี
ความเบากําหนดได งายบางครั้ งคิด ว า มือและขาของตั ว เองหายไป และ
โรคภัยไขเจ็บ ที่เปนโรคประจําตัวมักหายไปในขณะเกิดอุทยัพพยญาณ
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ
กําหนดจนรูเห็นไตรลักษณชัดเจนโดยสันตติขาด คือ เห็นรูป-นาม
ดับไปในทันทีที่ดับ และเห็นรูป-นามเกิดขึ้นในขณะที่เกิด หมายความวา เห็น
ทันทั้งในขณะที่เกิดและขณะที่ดับ อุทยัพพยญาณนี้ยังจําแนกไดเปน ๒ คือ
ตรุณอุทยัพพยญาณ (ญาณที่ยังออนอยู) และพลวอุทยัพพยญาณ (ญาณที่แก
กลาแลว) รูวารูป-นามและปฏิกิริยาของจิตตอรูป-นามที่จิตไปรูเขา ลวนแต
เกิด-ดับตอเนื่องกันไป
พึงเนนย้ําใหโยคีเคลื่อนไหวอิริยาบถในขณะฉัน ทีละ ๑ อิริยาบถ
เช น ขยั บ มือทีล ะขาง ถามือยั งขยั บ อยู ให อมคําขาวไว กอ น อย า พึ่งเคี้ย ว
๒๒
เลมเดียวกัน, หนา ๓๒๑.
๕๗๘
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
ในขณะเคี้ยวใหสังเกตถึงความหนักเบาของแรงเคี้ยวดวย พรอมกับกําหนด
ไปตามอาการนั้นวา “เคี้ยวหนอๆ”
อาการกลืน อาจจะจางๆ ขาดๆ หายๆ เปนลําดับไป ใหกําหนดวา “จาง
หนอๆ” “ขาดหนอๆ” “หายหนอๆ” “รูหนอๆ”
กําหนดทํางาย ก็อยาปลอยใจ ใหใสใจในการกําหนดไปเรื่อยๆ ใส
ตนจิตใหไดทุกๆ อาการ
ตรุณอุทยัพพยญาณ ในอิริยาบถนั่ง มีดังนี้
พอง-ยุบเปลี่ยนแปลงเปนขั้นๆ เกิดขึ้นแลวก็หายไป เห็นแตอาการแรก
พอง-ยุบ และอาการที่พอง-ยุบ สิ้นสุดลงไดชัดเจน
อารมณนิมิต เชน ภาพตางๆ อาการคันเกิดขึ้นตามสวนตางๆ ของ
รางกาย เห็นเกิดขึ้นเปนสวนๆ และจะมีอาการปติปรากฏชัด๒๓ ดังนี้
ขุททกาปติ เปนลักษณะของปติเล็กนอย มีลักษณะดังนี้
๑. มีสีขาวตางๆ
๒. ขนลุก เยือกเย็น
๓. น้ําตาไหล หนังหัวพองสยองเกลา
๔. ตัวชา – พองขึ้น ตัวใหญ
๕. บางที่แขนยาว ขายาว ฟนยาวออกไปก็มี มีอาการคัน
๖. เหมือนมีแมลงไตตอม เปนตน
ขณิกาปติ เปนลักษณะของปต๒๔
ิ ที่เกิดขึ้นชั่วขณะ มีลักษณะดังนี้
๑. เหมือนมีสีแดงๆ ดางๆ
๒. เหมือนลมพัดผาน
๓. เหมือนนั่งอยูคนเดียว
๔. เหมือนกําลังขึ้นที่สูง
๒๓
ดูรายละเอียดใน ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๗๓-๓๗๔/๑๔๙
๒๔
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวล
ธรรม, พิมพครั้งที่ ๑๓,
๕๗๙
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
๕. เหมือนลอยอยูในน้ํา
๖. เกิดในจักขุทวารดุจสายฟาแลบ
๗. เปนประกายเหมือนตีเหล็กไฟ
๘. แสบทั่วตัว กายแข็ง
๙. เปนเหมือนมีแมลงจับ ไตตามตัว
๑๐. รอนตามตัว
๑๑. หัวใจสั่นไหว
๑๒. ขนลุกขนชันบอยๆ แตไมมากนัก
๑๓. คันยุบยิบคลายมดไตไรคลานตามหนาตามตัว
๑๔. เหมือนมีอะไรกัด
๑๕. เหมือนเสนเอ็นชัก เปนตน
๑๖. มีอาการคลายน้ํารอนที่กําลังเดือดพลาน
๑๗. เหมือนปลาผุดขึ้นเวลาเมื่อโยนเศษอาหารลงไป
โอกกันติกาปติ ปติที่เกิดขึ้นเปนระลอก มีลักษณะดังนี้
๑. กระตุก อาการสั่นๆ
๒. บางทีมีอาการสูงๆ ต่ําๆ
๓. คลายนั่งอยูในเรือตอนเจอคลื่น
๔. โยกโคลง รูสึกซาๆ
๕. ตัวไหว เอน สะบัดหนา สะบัดมือ สะบัดเทา
๖. คลื่นไสดุจจะอาเจียน และบางทีก็อาเจียนออกมาก็มี
๗. สั่นระรัวดุจไมปกในน้ําไหล
๘. มีสีเหลืองออน สีดอกผักตบ
๙. กายโยกไปโยกมา
๑๐. มีอาการสะบัดรอนสะบัดหนาว
๑๑. บางครั้งมีอาการวูบวาบมาจากขางลาง
๑๒. บางครั้งมีอาการวูบวาบมาจากขางบน
๑๓. บางครั้งคลายๆ แลนโตคลื่นอยูในน้ํา
๕๘๐
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
๑๔. บางทีจะรูสึกวารางกายเราผิดปกติ
อุพเพงคาปติ เปนลักษณะของปติที่โลดโผน มีลักษณะดังนี้
๑. กายสูงขึ้น ตัวเบา ตัวลอย
๒. คันยุบยิบดุจไรไตตามหนาตามตัว
๓. ลงทอง ทองเดิน เปนบิดตามรางกาย
๔. สัปหงกขางหนาบาง ขางหลังบาง
๕. คลายคนผลักหนาคะมําลงไป
๖. คลายคนจับศีรษะหมุนไปหมุนมา
๗. ปากงับบาง อาปากบาง หุบปากบาง
๘. ไหวโยกโคลง เหมือนลมพัดตนไม
๙. เหมือนตุกตาลมลุก
๑๐. กระโดดขึ้นกระโดดลง
๑๑. เดินเหมือนหุนยนต
๑๒. กายกระดุกกระดิก
๑๓. ยกแขนยกเทา
๑๔. มีสีเหมือนไขมุก ขี้เมฆ สีเหมือนนุน
๑๕. เดินเร็วมาก เดินเหมือนกระโดด
๑๖. หมุนเปนวงกลม
ผรณาปติ เปนลักษณะของปติที่ซาบซาน๒๕ไปทั้งตัว มีลักษณะดังนี้
๑. เหมือนตัวชาไปขณะหนึ่ง
๒. หรือเหมือนมีคนเอาอะไรมาครอบตัวไว
๓. สงบเปนพักๆ
๔. คันยุบยิบตามตัว
๕. ซึมๆ ตามตัวไมอยากลืมตา
๖. ไมอยากเคลื่อนไหวรางกาย
๒๕
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๐๖๔-๑๐๖๕.
๕๘๑
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
๗. จากปลายเทาถึงศีรษะจากศีรษะถึงปลายเทา
๘. กายเย็นดุจอาบน้ํา หรือดุจถูกน้ําแข็ง
๙. มีสีคราม สีเขียวใบตองออน สีแกวมรกต
๑๐. ทําใหเพลิดเพลินไมอยากกระดุกกระดิก
๑๑. เปลือกตาที่ปดอยูก็ไมอยากเปดขึ้นเลยเปนตน
อุปกิเลส ๑๐ นี้ จัดเปนอุปกิเลสเพราะเปนที่ตั้งของอุปกิเลส มิใช
เพราะเปนอกุศล ไมเกิดแกบุคคลเหลานี้ คือ พระอริยสาวก ผูปฏิบัติผิด ผู
ละทิ้งกรรมฐาน ผูเกียจคราน๒๖
อัตราการการใสใจวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๒๐ (ทุกขเวทนา)
๓. สัมมสนญาณ ๓๐ ๙ (จิตกุศล) ๐-๑ (นิวรณ) ๓๐
๑๐ (สุขเวทนา)
๕ (ทุกขเวทนา)
๔. ตรุณอุทยัพพย ๑๐ (สุขเวทนา)
๒๐ ๑๐ (จิตกุศล) ๕ (ฟุง-นิวรณ) ๓๕
ญาณ ๑๐ (โสมนัสส)
๕ (อุเบกขา)
๒๖
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๓๐๙.
วิปสสนา (ฉบับสมบรูณ), แปลโดย จํารูญ ธรรมดา, (กรุงเทพมหานคร: โรง
พิมพทิพยวิสุทธิ,์ ๒๕๕๓), หนา ๕๒๙.
๕๘๒
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
๓. จิตตานุปสสนา ๑๐ % (กุศลจิต ๑๐% [จากเดิม ๙%],)สุข
เวทนาทําใหเกิดกุศลจิตเพิ่มขึ้นไปดวย
๔.ธัมมานุปสสนา ๕ % ( นิวรณพิ่มขึ้น) เปนอาการฟุงในธรรม ที่
เรียกวา "ธัมมุทธัจจะ ๑๐ ประการ"
เพงความสนใจไปที่วิ ถีจิ ต ที่บริ กรรมภาวนา ๓๕ % มีส ติใส ใจ
บริกรรมเพิ่มขึ้น ๕ %
พลวอุทยัพพยญาณ (อยางแก)
ปญญาที่เห็นความเกิด-ดับของรูป-นามผานอุปสรรคอันตราย คือ
ผานวิปสสนูปกิเลสไปได ดําเนินไปตามมรรคปฏิปทาโดยตรงโดยพิจารณา
เห็นความเกิด-ดับตอไป๒๗ ลักษณะสภาวะในอิริยาบถนั่ง มีดังนี้
เห็นแตอาการแรกพอง-ยุบ และอาการที่พอง-ยุบสิ้นสุดลงไดชัดแจง
และงายยิ่งขึ้น เห็นพอง ยุบ เปน ๒-๓-๔-๕-๖ ระยะ พอง ยุบ ขาดๆ หายๆ
เปนลําดับไป กําหนดไดชัดเจนและสะดวกดี ตนพอง สุดพอง ตนยุบ สุดยุบ
ปรากฏชัดดี
มีอาการผงะไปดานหลังบาง ขางหนาบาง เบาบาง แรงบาง ทั้งนี้
แลวแตสมาธิคลายกับงวงนอน แตไมใชงวงนอน อยางนี้ทานเรียกวา สันตติ
ขาด พระไตรลักษณปรากฏชัด มีหลักสังเกตอยู ๓ ประการ คือ
อาการพอง ยุ บ เร็ ว เขาๆ แล ว สั ป หงกไปอยางนี้ เรี ย กว า อนิ จ จั ง
ปรากฏชัด แต ทุกขัง และอนัตตา ก็มีอยู
อาการพอง ยุบ แผวเบา หรือสม่ําเสมอกันแลว สัปหงกไป อยางนี้
เรียกวา อนัตตาปรากฏชัด แตอนิจจัง ทุกขัง ก็มีอยู
พองยุบ แนน อึดอัด หายใจฝดๆแลวสัปหงกไป อยางนี้เรียกวา ทุก
ขังปรากฏชัดแตอนิจจังและอนัตตาก็มีอยู
๒๗
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ. อานาปานสติภาวนา ลําดับการบรรลุธรรมของ
พระพุทธเจา, หนา ๓๒๓-๓๒๔.
๕๘๓
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
มีอาการเหมือนพอง –ยุบ ปรากฏในลักษณะตางๆ เชน หมุนเปน
วงกลม เปนเสนเคลื่อนไหวไปมา เปนเหมือนคลื่นของน้ํา มีอาการไหลขึ้น
ดานบนลงดานลาง เมื่อเขาไปกําหนดรูอาการเหลานั้นก็หายไปทันที
การกําหนดรู อาการพอง –ยุ บ จะปรากฏเร็ วขึ้นมากจะสามารถ
กําหนดไดเพียงสองระยะ คือ ขณะพองและขณะสุดพอง สวนกลางพองไม
ชัด หรือไมปรากฏชัด อาการยุบก็นัยนี้เชนกัน หรือมีลักษณะไหวตึงเพียง
เล็กนอยเทานั้น
รูสึกตัวมีอาการเตนตามรางกายเปนจุดๆ หรือบางทีเหมือนนั่งในเรือ
ที่มีคลื่นซัดไปมา
เหมือนปรากฏมีอะไรหมุนอยูในทอง๒๘
ค. สภาวธรรมที่ปรากฎ : รับประทานอาหาร
กําหนดรูรสไดดีขึ้น แตยังไมเห็นอาการดับชัดเจนนักใหกําหนดวา
รส/รูหนอๆ
การกําหนดสภาวะสม่ําเสมอบาง แผวเบาบาง มีอึดอัดแนนขึ้นมาบางให
กําหนดไปตามอาการ
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เวทนา
เวทนาตางๆ หายไปรวดเร็ว คือ กําหนดเพียงครั้งหรือสองครั้งก็หาย
เวทนาจะมีมากในชวงตน แตกําหนดเวทนาดับไปไดใน ๓ ครั้ง หรือ
กําลังจะกําหนดก็ดับไป หายไป แตในบัลลังกนั้นยังกลับมาอีกเรื่อยๆ เมื่อ
กําหนดผานเวทนาแลวจะปรากฏนิมิตโอภาส(แสง) เปนตน
ซูซาตามศรีษะเหมือนผมชูชันรูสึกชาตามหนา ตึงตามศรีษะ บางที
เหมือนรูสึกวาลอยอยูในอากาศคลายลูกโปงที่อัดแก็สแลวลอยลงมากระทบ
พื้น เหมือนนั่งบนฟูกยางที่ฟูขนึ้ นั่งอยูมีอาการใบหนาบิดขวาซาย หรือกมลง
บางทีก็เงยหนาขึ้นสลับกันไป
๒๘
พระมหาณัชพล นราวงษ(ผูเรียบเรียง),คูมือการสอบอารมณสําหรับพระ
วิปสสนาจารย สภาวะของวิปสสนาญาณ ๑๖, (๒๕๕๓), หนา ๓๒๐.
๕๘๔
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการจิต
การกําหนดตอเนื่องกันไปไมขาดสาย ดุจดายสนเข็มฉะนั้น จิตมัก
เพลินไปกับอารมณสมาธิ ทําใหเผลอคิด หรือดับวูบบอยๆ คลายตกเหว หรือ
ตกหลุมอากาศ แตตัวอยูเฉยๆ ไมสัปหงกลงไปดวย๒๙
ไมพยายามคํานึงถึงแสงสวาง ปติ ปสสัทธิ สุข สัทธา แตประการใด
ทั้งสิ้น
รูปปรมัตถไมมีการเคลื่อนยาย เกิดที่ใดก็ยอมดับลงไปที่นั้นทันที
การเกิดดับที่กําหนดอยูนั้น ก็เปนไปอยางแจมชัดยิ่งขึ้น
กําหนดไดสะดวก อารมณที่กําหนดก็ปรากฏเห็นชัด มีใจผองแผวขึ้น
อีกมาก กําหนดอะไรก็มีอาการดับไปอยางรวดเร็วมาก
จิต มีอาการวู บ สัป หงกไปขางหน า ไปขางหลั ง ไปขางๆ เบาบ าง
แรงบางแลวแตสมาธิคลายๆ งวงนอนแตไมใชงวงนอน เรียกวา สันตติขาด
พระไตรลักษณ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาปรากฏ เชน (๑) อาการพอง ยุบ
เร็ว เขา แล วสัป งกไปอย างนี้ เรีย กวา อนิ จจัง (๒) อาการพองยุบ แผ วเบา
หรือสม่ําเสมอกันแลวสัปงกไป อยางนี้เรียกวา อนัตตา (๓) พองยุบ แนนอึด
อัดหายใจฝดๆ แลวสัปงกไป อยางนี้เรียกวา ทุกขัง๓๐
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : ธรรม
วิ ป ส สนู ป กิ เ ลส ๑๐ ๓๑ กํ า หนดหายไปอย า งรวดเร็ ว นิ มิ ต ต า งๆ
หายไปเร็ว กําหนดวา เห็นหนอๆ สั ก ๒-๓ ครั้งก็ห ายไปแสงสวางแจ มใส
คลายไฟฟา
มีความเปนกลางในขณะรับรูอารมณทางทวารทั้ง ๖ ที่เกิดขึ้นจาการ
รับอารมณที่มากระทบที่เปนสันตติ ปจจุบันในรูปนามที่ไมปะปนกันที่ปรากฏ
ในลักษณะของขันธ ๕ ไดอยางชัดเจน ในอากัปกิริยาทางกายที่ตางกัน ใน
๒๙
พระธรรมธีร ราชมหามุ นี (โชดก ญาณสิ ทฺธิ ป.ธ.๙), คูมื อสอบอารมณ
กรรมฐาน, หนา ๖๘-๖๙.(อัดสําเนา).
๓๐
ดูในวิ.มหา. (ไทย) ๔/๒๑/๒๘.
๓๑
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, , ๒๕๕๑), หนา ๑๐๖๑.
๕๘๕
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
อิริยาบถใหญและอิริยาบถยอย อุปมาการเกิดดับเหมือนเมล็ดฝนที่ตกถูกพื้น
แล ว แตกออกจากกั น เวทนา ป จ จุ บั น ทุ กข สุ ข เฉยแตกต างกัน สั ญญา
ปจจุ บัน จํารูป –เสีย งทีละอยาง แตกต างกัน สังขารปจจุ บันเจตสิกที่เกิด
พรอมกับจิต แตกตางกัน เชน ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร ปติ ปสสัทธิ ศรัทธา
สติ วิริยะ สมาธิ ปญญา โลภะ โทสะ โมหะ มานะ อุทธัจจะทิฏฐิ วิจิกิจฉา
เปนตน วิญญาณปจจุบัน รูรูป –รูเสียงทีละอยาง วาแตกตางกัน๓๒
สภาวะญาณชวงนี้จะมากไปดวยสิ่งอัศจรรย แปลกประหลาด ไม
เคยพบ ไมเคยเห็น ทําใหเกิดความประมาทวา “แคนี้ก็พอแลว” หรือบางคน
เกิดจิตสบประมาทวิปสสนาจารยวา “อาจารยคงไมรู ไมเขาใจในสิ่งที่เราพบ
หรอก?” พระวิปสสนาจารยพึงสรางความมั่นใจใหกับโยคีในเรื่องนี้ ดวยการ
เลาประสบการณในการปฏิบัติตอนที่ไดประสบกับนิมิตแสงสีครั้งแรก และ
คําแนะนําที่ไดรับจากวิปสสนาจารย อธิบายความหมาย ของวิปสสนูปกิเลส
ทั้ง ๑๐ ประการ
นิมิตจะสวางกวาญาณที่ ๓ คือ มีแสงจาเหมือนคนเอาสปอรตไลค
มาสองหนา อารมณตางๆ ที่ปรากฏขึ้นมานั้นก็กําหนดไดทันทวงที ไมขาด
สาย รูสึกติดกันๆ ไปเลย สิ่งที่กําหนดนั้นติดกันไป พรอมกันไปทีเดียว และ
สิ่งที่ปรากฏแลวหายไปนั้น จะรูขึ้นตั้งแตเกิด คือขั้นตน จนหายไปเลย อยาง
ที่พูดมานี้เปนอุทยัพพยญาณอยางแก ฯ๓๓
การเจริ ญ ธั ม มานุ ป ส สนานี้ จะเจริ ญ ก็ ต อ เมื่ อ มี ส ภาวะรู ป นามที่
ปรากฏแจมชัดขึ้นมา๓๔ตามกําหนดรูแลว จึงกลับไปกําหนดกายานุปสสนา
อยางเดิม การพิจารณากําหนดรูส ภาวธรรม ตองกําหนดรู ไปตามลําดั บ
ตั้งแตอยางหยาบไป จนถึงอยางละเอียดที่สุด ซึ่งเปนขอปฏิบัติที่ลึกซึ้งกวา
๓๒
พระธรรมธี ร ราชมหามุ นี (โชดก ญาณสิ ท ธิ ป.ธ.๙),คู มื อ สอบอารมณ
กรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๓, กรุงเทพมหานคร , หนา ๓๒๑-๓๒๒.
๓๓
ดร. พระภัททันตอาสภมหาเถระ อัคคมหากรรมฐานาจริยะ บรรยาย, “การ
สอนวิชาครูครั้งแรกในเมืองไทย”, วิชาครู, หนา ๙๐-๙๔. (อัดสําเนา).
๓๔
ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๑๔/๑๑๑.
๕๘๖
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
การเห็นกาย เวทนา และจิตอยางใด อยางหนึ่งตามที่ไดปฏิบัติมา ใหรูความ
จริงแบบสัจจะคือ อริยสัจ การปฏิบัติไมใชแคใหกําหนด รูเรื่องสภาวธรรมอัน
เปนทุกขทั้งปวงเทานั้น แตตองมีการกําหนดรูทางดับทุกขรวมไวดวย ดังนั้น
สภาวธรรมทั้งปวงในหมวดของธัมมานุปสสนาสติปฏฐานนี้ จําแนกออกได
เปน ๕ หมวด คือ นิวรณ๕ ขันธ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค ๗ และอริยสัจจ
๔ ในตรุ ณ อุ ท ยั พ พยญาณจะมี นิ ว รณ ธ รรมณ เ กิ ด ขึ้ น และเมื่ อ มาถึ ง พลว
อุทยัพพยญาณก็จะบังเกิดนิวรณธรรม เกิดสภาวะของโพชฌงค๗ มาระงับ
นิวรณ และพบอริยสัจจ๔๓๕ตามความเปนจริง
ปริญญา ๓ และอริยสัจ ๔ ในอุทยัพพยญาณ ๓๖
พิจารณาเห็ นรูป -นามเป นไตรลั กษณโดยประจักษ จนอินทรี ยแก
กลา เห็นรูปนามเกิด-ดับเปนภาวนามยปญญา อีกประการหนึ่งญาณในขั้นนี้
จะมากไปดวยวิปสสนูปกิเลส ๑๐
๑) ญาตปริญญา กําหนดรูป-นาม ๓๐% เปนการกําหนดรูขั้นรูจัก
รูป -นามว าเป น ทุกขสั จ เห็ นอาการเกิดขึ้น และอาการที่ตั้ งอยุของรูป นาม
(ขันธ ๕) อันเปนตัวทุกข
๒) ตีรณปริญญา การพิจารณาเหตุปจจัยของรูป-นาม ๓๐ % เปน
การกําหนดรูขั้นรูจักและพิจารณาเห็นในไตรลักษณ โดยภาวนามยปญญา
(ป ญญาที่เ กิด จากการภาวนา)๓๗ ได แกรู ถึงการที่สิ่ งนั้ น ๆ เป นไปตามกฎ
ธรรมดา โดยพิจารณาเห็นความไมเที่ยงเปนทุกข เปนอนัตตาภูมิแหงตีรณ
ปริญญา เริ่มตั้งแตการพิจารณากองสังขาร จนถึงอุทยัพพยานุปสสนา (การ
พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ) ปริญญานี้ ก็คือการตามกําหนดอยาง
จดจอตอเนื่องจนแจงสามัญลักษณะของอารมณที่กําหนด เปนการกําหนด
ขั้นรูแจงขันธ ๕ ละจากขันธ ๕ และอริยสัจ ๔ คือ สมุทัย, ตทังคนิโรธ
๓๕
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๒/๓๑๖-๓๑๗.
๓๖
พระสั ทธัมมโชติ กะ ธั มมาจริ ยะ , ปรมั ตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เล ม ๒
วิปสสนากรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๖, ๒๕๕๔), หนา ๑๓๒.
๓๗
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/-/๑/๓๘๐.
๕๘๗
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
๓) ปหานปริญ ญา ละอุป าทานในรูป -นามดว ยการกํ า หนด
พิจ ารณารูป -นาม ๔๐ % เห็น ความดั บไปของสติกําหนดรู ดับไปพรอมกับ
อารมณ นั้ นๆ และสมุ ทยสั จ ถู กละ(ได แก เจตนาที่ ย กจิ ตขึ้ นสู การกํ าหนดรู
อารมณ) พิจารณษเห็นเนืองๆ ในความแปรผันของปจจุบันธรรมทั้งหลาย คือรูป
ที่เกิดแล วเป นป จจุ บันลั กษณะแห งความเกิดของรู ปนั้นเป น อุทยัพ๓๘(ความ
เกิดขึ้น) ลักษณะแหงความแปรผันเปน วยะ๓๙ (ความดับไป) สภาวะนิมิตตางๆ
หายไปเร็ว กําหนดวาเห็นหนอๆๆ สัก ๒-๓ ครั้งก็หายไป แสงสวางแจมใสคลาย
ไฟฟาจัดเปนตทังคนิโรธ
อัตราการการใสใจวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๕ (ทุกขเวทนา)
๔. ตรุณอุทยัพพย ๑๐ (สุขเวทนา)
๒๐ ๑๐ (จิตกุศล) ๕ (ฟุง-นิวรณ) ๓๕
ญาณ ๑๐ (โสมนัสส)
๕ (อุเบกขา)
๐-๑ (นิวรณ)
๐-๑ (ทุกขเวทนา)
๔ (ขันธ ๕)
๔. พลวอุทยัพพย ๔ (สุขเวทนา)
๒๐ ๑๐ (จิตกุศล) ๒ (อายตนะ) ๔๐
ญาณ ๕ (โสมนัสส)
๒ (โพชฌงค)
๑๐ (อุเบกขา)
๑ (อริยสัจ)
๑. กายานุปสสนา ๒๐% (จากเดิม ๒๐ % ) การกําหนดรูอารมณ
ฐานกาย ตามดูกายดับ ยังไมชัดมากนัก
๒. เวทนานุปสสนา ๒๐% (ทุกขกายแทบไมปรากฎเลย,สุขกายมี
บางนิดหนอย, สวนสุขใจยังคางอยูบานจากญาณกอน ๑๐ % , เห็นอาการ
ดับของรูปทําใหวางอุเบกขาไดมากขึ้น ๑๐ %) มีทุกขเวทนาลดลง ปวดเร็ว
แตดับเร็ว สุขกายมากขึ้น มีโสมนัสเกิดขึ้นบาง กายสบายๆ เฉยๆ มากขึ้น
๓๘
ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๙๒๒-๙๒๔/๗๒๒.
๓๙
องฺ.ปญจก. (ไทย) ๒๒/๓๐๗/๔๐๙.
๕๘๘
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
๓. จิตตานุปสสนา ๑๐ % (กุศลจิต ๑๐% [จากเดิม ๑๐%],) จิต
กุศลมีอาการปติ ซูซาเหมือนเดิม แตมีสติรูเทาทันมากขึ้น
๔.ธัมมานุปสสนา ๑๐ % ( นิวรณ ๕ เกิด-ดับ,มีญาณเห็นอาการ
ทางกายและสภาพเวทนาโดยความเปนขันธ ๕ และ อายตน ๑๒ ไดมากขึ้น
สวนโพชฌงค ๒ % , อริยสัจ ๑ % เริ่มปรากฏ
นิว รณธ รรมเกิดๆ ดั บๆ โพชฌงคเ พิ่งเกิด ๒ % อริย สั จ ๑%
เนื่องจากญาณนี้เริ่มเปนวิปสสนาญาณ จึงเกิดโพธิปกขิยธรรม และเพิ่มสติ
เพงความสนใจไปทีว่ ิถีจิตที่บริกรรมภาวนาเพิ่มขึ้นเปน ๔๐ %
ความสมดุลของพละ ๕ ในอุทยัพพยญาณ
พละทั้ง ๕ นี้ เปนหลักธรรมที่ผูเจริญวิปสสนาพึงรู ศรัทธาตองปรับ
ใหสมดุลกับปญญา วิริยะตองปรับใหสมดุลกับสมาธิ สวนสติพึงเจริญใหมาก
เนื่ อ งเป น หลั ก ที่ มี ส ภาวะปรั บ สมดุ ล ของจิ ต ภายในตั ว เองอยู แ ล ว เป น
หลักธรรมที่คูกับอินทรีย ๕ คือศรัทธินทรีย วิริยินทรีย สตินทรีย สมาธินทรีย
ปญญินทรีย โดยมีความเหมือนความแตกตางและความเกี่ยวเนื่อง คือ พละ
๕ เปนสภาวะที่เกิดขึ้นแกจิตในปจจุบันที่ทําใหเกิดมีขึ้น สวนอินทรีย ๕ ที่
สะสมจนตกผลึก เหมือนกับนิสัยหรือสันดาน เชนผูมีสมาธิทรียมากก็อาจทํา
สมาธิไดงายกวาผูมีนอยกวา ผูมีปญญินทรียมากก็มีปกติเปนคนฉลาด พละ๕
อาจเกิดขึน้ ไดดีและสั่งสมเปนอินทรียไ ว คือ ผูทีบวชประพฤติพรหมจรรย
ในญาณที่ ๔ นี้จะเปนความสมดุลของพละ ๕ คือ
๑) ศรัทธาพละ ความเชื่อ กําลังการควบคุมความสงสัย ความเชื่อ
ทําใหจิตใจผองใส
๒) วิริยะพละ ความเพียร กําลังการควบคุมความเกียจคราน เปน
ความเพียรในการอบรมจิต
๓) สติพละ ความระลึกได กําลังการควบคุมความประมาท การไม
ใสใจ ใจลอย ไรสติ รูสภาวธรรม ตามความเปนจริง
๔) สมาธิพละ กําลังการควบคุมการวอกแวก ฟุงซาน ขาดความตั้ง
มั่นในสภาวธรรมปจจุบัน
๕๘๙
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
๕) ปญญาพละ จิต ที่มีคุณภาพขณิกสมาธิที่มีกําลัง เปรีย บเสมอ
กระจกเงาที่บุคคลขัดสีอยูเสมอ
ศรั ทธาและความเชื่ อ ป ญ ญาความเขา ใจทั้ งสองอย า งนี้ จ ะต อ งมี
ความสมดุลกัน และถามีความเชื่อแตมีไมมีความเขาใจสิ่งที่ตนเองเชื่อถูกตอง
คือ ไมเขาใจในเหตุผลวาสิ่งนี้ควรเชื่อหรือไม ก็จะกลายเปนคนงมงายเชื่อทุก
สิ่งทุกอยางที่ฟงมา บุคคลที่มีปญญาอันเปนการวิเคราะหวิจารณ
อยางมากโดยปราศจากศรัทธาก็มักเปนคนที่ตรึกตรองมากเกินไป
สงผลใหไมเชื่อถือสิ่งใด เพราะฉะนั้นศรัทธากับปญญาจึงตองเทากัน
นอกจากนี้ วิริยะกับสมาธิ ตองเทากันถาความเพียรมากกวาสมาธิ
ยอมสงผลใหฟุงซานแตถาสมาธิมากกวาความเพียร ยอมสงผลใหเกิดความ
งวงเหงาหาวนอน ดังนั้นจึงมีการสอบอารมณในแตละวันเพื่อปรับอินทรีย
ญาณนี้เปนญาณตนจึงจําเปนตองมีศรัทธามากจึงทําใหการปฏิบัติ
ไปไดดี ราบรื่นและพรอมกับตองมีวิริยะเขามาดวยทําใหพากเพียรปฏิบัติ
และดังไดกลาวมาแลววาสวนสติตองมีมากถึงจะดีในญาณนี้ศรัทธามี ๙๐%
และวิริยะ ๙๐% สมาธิ ๘๐% สติ ๘๐%และปญญามี๘๐% และถาสติยิ่งมี
มากยิ่งดีครับสําหรับอุทยัพพยญาณ
ศรัทธากับปญญาสองอยางนี้จะตองมีความสมดุลกัน ถามีความเชื่อ
แตมีไมมีความเขาใจไมมีปญญาสิ่งที่ตนเองเชื่อถูกตอง ไมเขาใจในเหตุผลวา
สิ่งนี้ควรเชื่อหรือไม ก็จะกลายเปนคนงมงาย แตถามีปญญามากวิเคราะห
วิจารณโดยปราศจากศรัทธาก็มักเปนคนที่คิดมากเกินไปจนเกิดความลังเล
สงสัยไปหมด เพราะฉะนั้นศรัทธากับปญญาจึงตองเทากัน
วิริยะกับสมาธิ ตองเสมอกันถาความเพียรมากกวาสมาธิยอมสงผล
ใหฟุงซานแตถาสมาธิมากกวาความเพียร ยอมสงผลใหเกิดความงวงเหงา
หาวนอน ดังนั้นจึงมีการสอบอารมณในแตละวันเพื่อปรับอินทรีย
วิปสสนาญาณ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา
๑๐๐% ๑๐๐% ๑๐๐% ๑๐๐% ๑๐๐%
ภยญาณ
๕๙๐
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
ญาณนี้เปนญาณตนจึงจําเปนตองมีศรัทธามากจึงทําใหการปฏิบัติ
ไปไดดี ราบรื่นและพรอมกับตองมีวิริยะเขามาดวยทําใหพากเพียรปฏิบัติ
และดังไดกลาวมาแลววา สวนสติตองมีมากถึงจะดีในญาณนี้
ญาณที่ ๕ ภังคญาณ
ญาณรูวาอารมณและจิตที่กําหนดรู ไดดับหายไปพรอมๆ กัน ทุก
ครั้งที่กําหนดนั้น คือเห็นเฉพาะความดับไปของรูป-นามอยูเนื่องๆ โดยสวน
เดียว หรือ ญาณที่ปลอยความเกิดแลวเปนไปในความเสื่อม องคธรรมไดแก
ปญญาเจตสิกที่ในมหากุศลญาณสัมปยุตจิต เมื่อโยคาวจรกําหนดและชั่งใจ
ไตร ตรองในรูป-นามนั้นทั้งหลายว า ไมเ ที่ยงเปน ทุกข และเปนอนัตตาอยู
เสมอๆ วิปสสนาญาณแกกลาขึ้น สภาวะของสังขารทั้งหลายปรากฏรวดเร็ว
มาก ทําใหกําหนดไมทันความเกิดขึ้น ความตั้งอยู ความเปนไป หรือนิมิต
ของสังขารทั้งหลาย สติและวิปสสนาญาณคงกําหนดตั้งมั่นอยูเฉพาะตทังค
นิโรธ คือ ความสิ้นไป ความเสื่อมไป หรือความแตกทําลายไปของสังขารแต
เพียงอยางเดียว๔๐
คัมภี รเ นตติอรรถกถากล าววา “ปญญาที่ห ยั่งเห็น ไตรลักษณของ
วิป ส สนาจิ ตอีกทอดหนึ่ง เรี ย กว า ปฏิ วิ ป ส สนา” และอรรถกถาว า “รู
ปารมฺมณา จิตฺ ตํ อุปฺป ชฺชิ ตฺวา ภิ ชฺช ติ. ตํ อารมฺมณํ ปฏิส งฺขาตสฺส จิตฺ ตสฺ ส
ภงฺคํ อนุปสฺสติ” “จิตมีรูปเปนอารมณเกิดขึ้นแลวยอมดับไป พระโยคาวจร
พิจารณาอารมณนั้นแลว พิจารณาเห็นความดับไปแหงจิตนั้น”๔๑
พิจารณาเห็นการดับไปของรูป-นามโดยสวนเดียว ปลอยความเกิด
แลวเปนไปในความเสื่อม องคธรรมไดแก ปญญาเจตสิกที่ในมหากุศลญาณ
๔๐
พระสัทธัมมโชติ กะ ธั มมาจริยะ , ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๒
วิปสสนากรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๖, (กรุงเทพ : หจก. ทิพยวิสุทธิ,์ ๒๕๕๔), หนา ๑๓๒.
๔๑
ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๕๑-๕๒/๕๙-๖๐, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๑-๕๒/๘๒-๘๓, พระ
ธรรมบาลเถระ รจนา,คัมภีรเนตติอรรถกถา, ตรวจชําระโดย พระธัมมานันทมหาเถระ
อัครมหาบัณฑิต, แปลและอธิบายโดย พระคันธสาราภิวงศ, (กรุงเทพมหานคร : หาง
หุนสวนจํากัด ซี เอ ไอเซ็นเตอร, ๒๕๕๑), หนา ๕๙๖.
๕๙๑
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
สัมปยุตจิต เมื่อโยคาวจรกําหนดและชั่งใจไตรตรองในรูป-นามนั้นทั้งหลายวา
ไม เ ที่ ย งเป น ทุ ก ข และเป น อนั ต ตาอยู เ สมอๆ วิ ป ส สนาญาณแก ก ล า ขึ้ น
สภาวะของสั งขารทั้งหลายปรากฏรวดเร็ ว มาก ทําใหกําหนดไมทัน ความ
เกิด ขึ้น ความตั้ ง อยู ความเป น ไป หรื อ นิ มิต ของสั งขารทั้งหลาย สติ และ
วิปสสนาญาณคงกําหนดตั้งมั่นอยูเฉพาะนิโรธ คือ ความสิ้นไป ความเสื่อมไป
หรือความแตกทําลายไปของสังขารแตเพียงอยางเดียว๔๒
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม
การเดิ น กํ า หนดคล อ งแคล ว และชั ด เจนโดยเฉพาะตอนคํ า ว า
“หนอ” จะรูสึกเทาที่กาวกับจิตที่รู ดับหายไปพรอมกันทุกคําวาหนอ ถาโยคี
มีสมาธิพอประมาณจะเห็นวาอาการเชนนี้ชัดตอนจังหวะที่ ๔ คือ เหยียบ
หนอ บางคนมีอาการเสียวที่เทา หรือมีอาการวูบวาบที่เทาหรือพราๆ ซาๆ ที่
เทาเวลาลงหนอ เนื่องจากการขาดหายไปบอยๆ เชนนี้ จะทําใหโยคีมีอาการ
ตัวโคลงเคลง ขาสั่นกาวไมคอยออก บางครั้งคลายกับมองเห็นพื้นสูงๆ ต่ําๆ
เทาหวิวเบาแกวงเดินตัวลอยๆ เบาๆ ตรงคําวา หนอ จะรูสึกวาสิ่งที่กําหนด
อยูกบั จิตที่รู ดับหายไปพรอมกัน ทันทีทันใด
การเดินจงกรมรูสึกสติหลุดบอยๆ จับเทาไมคอยอยู เพลินไป เผลอ
คิดไป บอยๆ เพราะอาการที่จิตดับไปพรอมอารมณ จิตจึงเกาะอารมณที่เคย
ชิน คือนิวรณ
เพิ่มใหกําหนด ๔ ระยะ เพราะวากําหนดไมคอยจะแจงเหมือนกอน
ขอจําเปนที่สุดในญาณนี้คือ อารมณใดอารมณหนึ่งที่เรากําหนดจะพบหายไป
สิ้นไป เสื่อมไป ศูนยไป จิตที่รูกําหนดก็หายไปพรอมกับอารมณนั้นดวย ที่รู
อารมณและจิตที่กําหนดหายไปๆ พรอมกันอยางนี้เรียกวา ภังคญาณ
กําหนดจนเห็นอาการดับไปของเทาแตละจังหวะ และสังเกตเห็น
อาการดับไปของตัวจิตเองที่เขาไปกําหนดรูอาการดับในจังหวะของเทานั้นๆ
เชน กําหนดยกหนอ ตรงคําวาหนอเทากับจิตรูหายไป รูสึกอีกทีตอนเริ่มยาง
๔๒
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๒ วิปสสนา
กรรมฐาน, หนา ๑๓๒.
๕๙๒
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
เปนตน โยคีบางทานอาจมีความสงสัย กําหนด “สงสัยหนอๆๆ” หรือ “งง
หนอๆๆ” จัดอยูในญาณที่ ๕ เห็นความดับของจิตกับอารมณ
เดินจงกรมคลายกับเทาไมมีหรือการกาวยางไมมี มองดูสิ่งใดก็สลัว
ไมชัดเจนเหมือนมีหมอกหรือฝาบาง บดบังอยู
เวลาเดินเหมือนวาขายาวไมเทากันขางหนึ่งยาว ขางหนึ่งสั้น เปนตน
จะรูสึกวา รางกาย หรืออวัยวะหายไปบางสวน หรือทั้งหมด จะ
หายไปสวนใดก็ใหสังเกตดูไป (กําหนดวารูหนอ) หรือสวนใดที่ปรากฏอยูก็ให
กําหนดสวนนั้นอยากังวล
ไมไดใสใจในกระแสของรูปนามที่เกิดขึ้นและตั้งอยู เหมือนสายน้ํา
ไหลไปไมขาดชวง โดยไมใสใจในสัณฐาน เหมือนรูสึกวารางกาย มือเทาไมมี
ปรากฏ
จะรูสึกเหมือนมีขายหรือเสนอะไรเล็กๆ มากระทบตามใบหนา
เวลากําหนดเดินอาการของเทาเหมือนไหลไปเปนคลื่น
เวลากําหนดอาการตางๆ รูสึกวากําหนดไมคอยไดดี ไมมั่นคง ไม
กระชับ
ความกังวลและทอถอยจะเกิดขึ้น เพราะเขาใจวา เรากําหนดไมได
ไมไดใสใจในกระแสของรูปนามที่เกิดขึ้นและตั้งอยู เหมือนสายน้ํา
ไหลไปไมขาดชวง โดยไมใสใจในสัณฐาน เหมือนรูสึกวารางกาย มือเทาไม
ปรากฏมีอยู
จะรูสึกเหมือนมีขาย หรือรูสึกเหมือนเสนอะไรเล็กๆ มากระทบ
ตามใบหนา เหมือนขายแมลงมุมอยางนั้น
เวลากําหนดเดินอาการของเทาเหมือนไหลไปเปนคลื่น
เวลากําหนดอาการตางๆ รูสึกวากําหนดไมคอยไดดีไมมั่นคง ไม
หนักแนน ไมกระชับ เบาๆ บางๆ
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ
ญาณที่ ๔ กับ ๕ เปนวิถีญาณเดียวกันตางตรงสภาวะ คือโยคีกําหนด
พองยุบ เมื่อเห็นตนพอง สุดพอง และตนยุบ สุดยุบชัด แสดงวาอยูในญาณที่
๕๙๓
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
๔ คื อ เห็ น ความเกิ ด ดั บ ของรู ป นาม แต ถ า โยคี เ ห็ น พอง-ยุ บ ชั ด ในระยะ
สุดทายระยะเดียวแสดงวาอยูในญาณที่ ๕ คือเห็นเฉพาะความดับไป หรือ
พอง-ยุบมีอาการไว จนตองกําหนดเพียง “รูหนอๆๆ” เพราะอาการเกิดดับ
ของญาณนี้ไว
โยคีเห็นพอง-ยุบ แลวดับหายไป แตยังมีจิตรูอยู แสดงวาอยูในญาณที่
๔ แตถาโยคีเห็นพอง-ยุบ พรอมกับจิตดับหายไป วูปไป หายไป แสดงวาโยคี
อยูในญาณที่ ๕
พอง-ยุ บ ที่กํา หนดอยู จะเห็ น ได ชั ด เจนตรงคํ าว า หนอ ทองพองที่
กําหนดอยู กับจิตที่รูจะดับหายไปพรอมกันทันทีทันใดทุกคําวา หนอ
พองขึ้นครั้งหนึ่ง หรือยุบลงครั้งหนึ่งจะเห็นการดับการหายเปนหลาย
ตอน เป น ท อ นๆ ทุ ก ระยะที่ ๆ มี อ าการคล า ยสะอื้ น หรื อ พองเป น
กระทอนกระแทน หรือมีอาการวูบวาบเปนระยะๆ
พอง-ยุ บ รู สึ ก ว า ไวๆ ขึ้ น การกํ า หนดจะรู สึ ก วู บ ๆ ซาบไปตามตั ว
คลายๆ กับเอาแหมาครอบศีรษะลง หรือวูบชันขึ้นมาแตปลายเทาก็มี การ
กําหนดบางครั้งรูสึกเบาๆ หางๆ ไป จืดๆ ไป
บางคนวา ในขณะกําหนดดีๆ นั้น บั้นปลายรูสึกจางๆ เบาๆ ไป คลาย
กับวาการกําหนดนั้นไมคอยจะดี
อาการพอง-ยุบเห็นแตขณะที่กําลังหายไป
อาการพอง-ยุ บ หายไปครู ห นึ่ ง แล ว ก็ เ กิ ด ขึ้ น มาใหม แม จิ ต ที่ ค อย
กําหนดอาการพอง-ยุบก็พลอยหายตามไปดวย๔๓
อาการพอง-ยุบยังมีอยูแตตัวตนไมมี
อาการพอง-ยุบอาจหายไปนาน ๒-๓ วันกําหนดอยางไรก็ไมโผลขึ้นมา
บางคนจะพูดวา พองนั้น ตัวพองก็หายไป อารมณที่กําหนดก็หายไป
จิ ต ที่กําหนดก็ห ายไปพร อมกัน ตามลั กษณะของภั งคญาณ อารมณที่เ รา
กําหนด กับจิตที่กําหนดตองหายไปพรอมกัน คลายกับไมไดกําหนดอะไรเลย
อาการพอง–ยุบ กับจิตผูรูหายไปๆ แตผูปฏิบัติจะเห็นวา รูปหายไป
๔๓
ขุ.จู.อ. (ไทย)๖/-/๖๕๑.
๕๙๔
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
กอน จิตหายไปทีหลัง อันที่จริงหายไปพรอมกัน บางคนพอง–ยุบ หายไปไม
นาน บางคนหายไปนานจนเบื่อ ตองใหเดินจงกรมมากๆ๔๔
พอง-ยุบไมเห็นรูปรางสัณฐานทองมีแตอาการตึงๆ กําหนดไมคอยได
ดี เพราะลวงบัญญัติมีแตอารมณปรมัตถ บางครั้งมีแตอาการพอง-ยุบนั้น
หายไปคลายวาไมมี บางคนอาการพอง-ยุบ หายไปไมนาน บางคนหายไป
นาน จนเบื่อก็มีตองใหเดินจงกรมมากขึ้น อาการพอง-ยุบไมชัดเจนทั้ง
ภายนอกและภายใน มีอาการสั่นๆ อาการพอง-ยุบเดี่ยวหาย เดี่ยวเห็น
เวลานั่งกําหนดจะรูสึกวาเอียงๆ ไมตรง มีอาการมืดๆ มัวๆ เมื่อมอง
สิ่งตางๆ
ค. สภาวธรรมที่ปรากฎ : รับประทานอาหาร
ผู ป ฏิ บั ติ จ ะเห็ น ว ารู ป-นามนั้ น ดั บ ไป จิ ต ดั บ พร อ มกั บ อาการด ว ย
ดับไปอยางรวดเร็วเพราะรูป-นามเกิด-ดับรวดเร็ว ถี่มาก เมื่อญาณแกกล า
ความรู ส ติ ป ญญาแกก ล า เข า ไปทัน กับ รู ป -นามที่ ดั บ เร็ ว มั นก็ เลยเห็ นแต
ดับๆๆๆ เห็นแตฝายดับไป เปนที่นาหวาดกลัวและสะเทือนใจมีจักขุปสาทเปนตน
ซึ่งเปนธรรมภายใน นั้นก็ดับไปๆ นามคือ จิตเจตสิกที่ธรรมภายในอันเปนตัว
รูก็ดับไปๆ เชนเดียวกันปญญารูเห็นวารูป-นามนี้ไมเปนแกนสารหาสาระมิได
*หมายเหตุ มีอาการสัปหงกบอย แกดวยการเพิ่มตนจิต
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการเวทนา
โยคีนั่งปฏิบัติภายใน ๑ ชั่วโมงไมปรากฏทุกขเวทนาเลย ตลอด ๑ –
๒ วันติดตอกัน หรือกําหนดรูจิตคิดดับไดภายใน ๑-๓ ครั้ง
กําหนดทุกขเวทนาดับไปในบัลลั งกนั้นแลวไมปรากฏอีกเลย ตาง
จากอุทยัพพยญาณที่กําหนดเวทนาดับแตก็จะปรากฏขึ้นใหมในบัลลังก๔๕
๔๔
พระธรรมธี ร ราชมหามุ นี (โชดก ญาณสิ ท ธิ ป.ธ.๙),คู มื อ สอบอารมณ
กรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๔๑), หนา ๒๖-๒๗.
๕๙๕
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
จะรูสึกเหมือนวาอยูคนเดียวในสถานที่เปลี่ยว หรือนั่งอยูใกลเหว
เขาที่สูงชัน หรือที่สูงๆ
จะรูสึกเหมือนคนตาบอด ตาฟาง ไปชั่วขณะหนึ่ง หรือเหมือนอยูคน
เดียวในหองเล็กๆ มืดๆ เหมือนกลัวแตไมกลัว
จะรูสึกเหมือนอยากจะหนีไปใหพนๆ จากอาการที่เกิดขึ้นอยูที่ไมรู
จะไปไหนดี
จะรูสึกวาเหมือนมีอะไรมาคลุมลงที่ตัว
เมื่อหลับตาจะปรากฏเห็นเปนสีดําเต็มไปหมด
จะรูสึกเหมือนนั่งอยูบนอากาศ
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการจิต
กําหนดจิตดับไปพรอมอารมณที่ปรากฏ ผูปฏิบัติไมเห็นความเกิด
จึงเอาจิตเขาไปกําหนดรูอาการดับ ที่จริงความเกิดยังมีอยู แตผูปฏิบัติไปดูแต
ความดับ เพราะไมเคยเห็นมากอน
ญาณนี้ เรีย กวา ปหานปริญญา จัด เป นชั้น เอกเพราะสามารถละ
วิปลาสไดแลว คือ ละความเห็นวาเที่ยง วาเปนสุข วาเปนตัวเปนตน เห็นวา
สวยวางาม
มีอาการ ชาๆ มืดๆ ไปตามร างกาย เหมือนกับ เราเอาร างแห มา
ครอบ
อารมณกับจิต หายไปพรอมกัน มองดูอะไรคลายกับวาตอนหมอก
ลงในฤดูหนาวสลัวๆ มัวๆ ไมชัดเจนดี
หูอื้อ เหมือนมีอะไรไหลเขาออก ตามัว ๆ ตาเอีย ง มองเห็น ไมชั ด
มองดูอะไรก็ไมคอยมีชีวิตชีวา
มีอาการเผลอบอยๆแลวจิตเกาะกับนิวรณเพราะความดับไปของจิต
กับอารมณ จิตจึงไปเกาะอารมณที่เคยชินคือกิเลส
๔๕
ปฏิสังขาวิปสสนา ไดแก การพิจารณาอารมณแลวเห็นความดับ ; ขุ.ป.อ.
(บาลี) ๑/๕๒/๒๗๙.
๕๙๖
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
พบแตการดับ นิมิต หรืออาการปรากฏรวดเร็ว ตามไมทัน สติตั้งมั่น
อยูในนิโรธ ความสิ้นไป เสื่อมไป เห็นวา “สังขารเกิดขึ้นอยางนี้ แลวดับไป
อยางนี้ เปนธรรมดาเนื่องๆ”
เมื่อกําหนดรูทางทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
จะปรากฏความไมตอเนื่องเชน เมื่อกําหนดรูอาการของเสียงจะรูสึกความไม
ตอเนื่องที่ขาดไปเปนชวงๆ ทวารที่เหลือก็ตามนัยนี้
จะรู สึ กว าเหมือ นขาดความจํ า หรื อ คล ายกั บ ว าขาดสติ ชั่ ว ขณะ
เหมือนคนที่จําอะไรไมไดชั่วคราว
สภาวะญาณชวงนี้ เปนเหมือนวาไดบรรลุธรรมแลว สติ สมาธิ
ปญญา เพิ่มพูนแกกลาขึ้นเปนอยางมาก จนรูสึกวา อยากบอก อยากสอน
อยากเทศน อยากสรางสํานักวิปสสนา ขึ้นมาอยางจับใจ บางครั้งนั่งเผลอ
เทศนในใจไปตั้งหลายนาที บางครั้งทั้งๆ ที่รูวากําลังนึกคิดแสดงธรรมอยู ก็
ยังไมอยากที่จะหยุด โยคีบางคนที่ศึกษาปริยัติมากก็จะคิดพิจารณาธรรม ยก
ธรรมหัวขอตางๆ มานั่งคิดพิจารณา จนลืมที่จะกําหนดรูปนามปจจุบัน
-พอถึงตอนนี้ แสงสีเหลานั้น ไมคอยจะปรากฏ ถาหากมี แสงนั้นไม
จาเหมือนกอนๆคลายๆ กับวา เมฆฝนคลื้มมากอนที่ฝนจะตก พอมาถึงภังค
ญาณแลว เราตองแนะนําใหกําหนดใหไดครบถวนตามทวารทั้ง ๖
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : ธรรม
กําหนดไมคอยไดดี เพราะลวงบัญญัติมีแตอารมณปรมัตถ
เดินจงกรมคลายกับเทาไมมีหรือการกาวยางไมมี มองดูสิ่งใดก็สลัว
ไมชัดเจนเหมือนมีหมอกหรือฝาบาง บดบังอยู
บางคนจะพู ด ว า ขณะที่กํา หนดได ดี ไม มีอะไรเหลื อ หายไปหมด
คลายกับรางกายไมมีวางเปลาไป แตมีจิตผูกําหนดรูอยู
๕๙๗
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
บางคนพูดวา ที่กําหนดไปนั้น เกิดขึ้นมาแลวหายไป สิ้นไป เสื่อมไป
บางครั้งหางไป จนถึงรูสึกวาหายไปเลย วางๆ บางครั้งถึงกับคิดวา เอะ! เหตุ
ไฉนจึงหายไป และการกําหนดก็ไมคอยไดด๔๖ ี
บางคนจะพูดเปนอุปมาวา คลายๆ กับเอาหินกอนเล็กๆ ปาลงไปใน
น้ํ า เพราะที่กํ าหนดนั้ น ปรากฏแล ว หายไปๆ และการกํ าหนดก็ไ ด ดี เมื่ อ
กําหนดกําลังดีอยูเพราะที่มันหายไป เสื่อมไปนั้น รูสึกวาการกําหนดนั้น ไม
คอยไดคลองเทาไรนัก เมื่อการกําหนดจืดไป หางไป
บางที จ ะพู ด ว า กํ า หนดอะไรก็ ต าม รู ว า มี แต ไ ม ชั ด เหมื อ นก อ น
ความรูสึกมีอยูแตไมชัด รูสึกจืดๆ ลงไป การกําหนดดูเหมือนมีทีทาเบาๆ ไป
นั้น การกําหนดดูไมคอยไดเต็มที่ จึงขี้เกียจไปบาง บางทีพักผอนไปเลยก็มี
อยากพักก็มีอารมณที่กําหนดนั้น ใจก็มีอยูแ ตกําหนดไมไดเต็มที่
อารมณที่กําหนดปรากฏไวเหมือนคอยใหมากําหนดอยูกอนแลว
อารมณที่ปรากฏนั้นเลือนราง นับวาตรงกันขามกับเมื่อกอนมาก
การกําหนดรูสึกวาเปนไปอยางเรื่อยๆ เหมือนกับไมมีความหมาย
เสียเลย จนผูปฏิบัติคิดวาการปฏิบัติของตนนั้นเสื่อมถอยลง แตที่จริงสมาธิ
มั่นคงขึ้น
เมื่อกําหนดจนชํานาญและไวตออารมณ ผูปฏิบัติจึงเห็นการเกิดดับ
อารมณกับจิตที่กําหนดยอมดับไปพรอมกัน
การกําหนดไมเกิดการกระชับใจ เพราะระยะแรกของการเกิดนั้น
ชักจะเลือนรางไป สวนระยะสุดทาย อันเปนระยะเสื่อมนั้น ก็จางไป จึงรูสึก
ไมมีเหลือยูเปนชิ้นเปนอัน
บางครั้งอารมณที่กําหนด จิตที่กําหนดมีอยู แตไมชัดเจนเหมือนแต
กอน เลยเขาใจวาเอะ! การกําหนดนี้ไมดีกระมัง อาจจะนึกอยางนี้ก็ได๔๗
๔๖
ความปรากฏ ๓ ประการ ไดแก ความสิ้นไป, ความเสื่อมไป, ความวางเปลา ;
ขุ.ป.อ. (บาลี) ๑/๕๒/๒๘๐.
๔๗
พระธรรมธี ร ราชมหามุ นี (โชดก ญาณสิ ท ธิ ป.ธ.๙),คู มื อ สอบอารมณ
กรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๓, กรุงเทพมหานคร , ๒๕๔๑), หนา ๒๖-๒๗.
๕๙๘
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
บางครั้งรูสึกวา มีอาการตัวพองใหญเชน มือใหญ ตัวใหญ หนาใหญ
ขาใหญ
อาการพอง–ยุ บ และการั บ รู ทางทวารทั้ง ๖ เมื่อกําหนดมีอาการ
หายไปอย า งรวดเร็ ว เมื่ อ นั่ ง กํ า หนดรู อ ยู จ ะเห็ น อาการดั บ ติ ด ต อ กั น เป น
ระยะๆ บางครั้งเหมือนอยูคนเดียวในสถานที่เปลี่ยว หรือนั่งอยูใกลเหว เขาที่
สูงชัน หรือที่สูง
จะรูสึกเหมือนตาบอด ตาฟาง ไปชั่วขณะหนึ่ง หรือเหมือนอยูคน
เดียวในหองเล็กๆ มืดๆ เหมือนกลัวแตไมกลัว
จะรูสึกเหมือนอยากจะหนีไปใหพนๆ จากอาการที่เกิดขึ้นอยูที่ไมรู
จะไปไหน จะรูสึกวาเหมือนมีอะไรมาคลุมลงที่ตัว
เมื่อหลับตาจะปรากฏเห็นเปนสีดําเต็มไปหมด
มีอาการวูบๆ ไปตามตัว บางครั้งรูสึกวา มีอาการตัวพองใหญมากๆ
เชน มือใหญ ตัวใหญ หนาใหญ ขาใหญ แขนใหญ
อารมณที่เปนบัญญัติถูกเพิกถอนจนหายไปหมด ทําใหเห็นแตอารมณ
ที่เป นปรมั ตถ ล วนๆ ปรากฏขึ้ นมาแทน อี กทั้ งยั งตั ด นิ ว รณ ๕ (กามฉัน ทะ
พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา) ไดอยางสมบูรณ จิตเริ่มแสดง
อารมณปรมัตถแทๆ และเห็นความเปนอนัตตาของจิตชัดเจนขึ้น สติปฏฐาน
เริ่มทํางานไดคลองแคลว และกําหนดทันรูป-นามไดอยางเปนธรรมชาติ โดย
มีเพียงอารมณที่ดับและหายไป อยางไรก็ดีภังคญาณเปนอารมณดับที่มีการ
เกิดอยู ยังไมใชการดับของผลสมาบัติหรือนิโรธสมาบัติ
พิจารณาเห็นนิโรธ รูแจงชัดอริยสัจ ๔
ภังคานุปสสนาญาณ(ที่ ๕) พระสารีบุตรเถระระบุวาเปน "วิปสสนา
ญาณ" เพราะเปนญาณที่เกิดปญญาเห็นความดับที่เปนจุดจบสิ้นของอารมณ
และจิตรู เห็นแตอาการที่สิ่งทั้งหลายดับไป ๆ เห็นวาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงลวน
จะตองดับสลายไปทั้งหมด ดังที่ทานอธิบายวา
๕๙๙
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
จิตมีรูปเปนอารมณเกิดขึ้นแลวยอมดับไป พระโยคาวจรพิจารณา
อารมณ นั้นแลวพิจารณาเห็นความดับแหงจิตนั้น พิจารณาเห็นโดยความ
ไมเที่ยง ไมพิจารณาเห็นโดยความเที่ยง พิจารณาเห็น โดยความเปนทุกข
ไมพิจารณาเห็นโดยความเปนสุข พิจารณาเห็นโดยความ เปนอนัตตา ไม
พิ จ ารณาเห็ น โดยความเป น อั ต ตา ย อ มเบื่ อ หน า ย ไม ยิ น ดี ย อ มคลาย
กําหนัด ไมกําหนัด ยอมทําราคะใหดับ ไมใหเกิด ไมยึดถือ
เมื่ อ พิ จ ารณาเห็ น โดยความไม เ ที่ ย ง ย อ มละนิ จ จสั ญ ญาได เมื่ อ
พิจารณาเห็นโดยความเปนทุกข ยอมละสุขสัญญาได เมื่อพิจารณาเห็นโดย
ความเปนอนัต ตา ยอมละอัต ตสัญญาได เมื่อเบื่อหนาย ยอมละนันทิได
เมื่อคลายกําหนัด ยอมละ ราคะได เมื่อทําราคะใหดับ ยอมละสมุทัยได
เมื่อสละคืน ยอมละอาทานะได๔๘
ปริญญา ๓ และอริยสัจ ๔ ในภังคญาณ๔๙
พิจ ารณาเห็ น รู ป -นามเป น ไตรลั ก ษณ โ ดยประจั ก ษ เห็ น รู ป -นาม
พรอมจิตที่เขาไปรูนั้นดับไปพรอมกันดวยภังคญาณ
๑) ญาตปริญญา กําหนดรูป-นาม ๒๐% เปนการกําหนดรูขั้นรูจัก
รูป -นามว าเป น ทุกขสั จ เห็ นอาการเกิดขึ้น และอาการที่ตั้ งอยุของรูป นาม
(ขันธ ๕) อันเปนตัวทุกข
๒) ตีรณปริญญา การพิจารณาเหตุปจจัยของรูป-นาม ๓๐ % เปน
การกําหนดรูขั้นรูจักและพิจารณาเห็นในไตรลักษณ โดยภาวนามยปญญา
(ปญญาที่เกิดจากการภาวนา)๕๐ มาปนอยูดวยจึงเปนนิโรธ
๓) ปหานปริญ ญา กําหนดรูแจงความดับสังขารทั้งปวง ละตัณหา
และทิฏฐิ ได คือแจ งนิ โรธอริ ยสั จ ๕๐ % เห็ น ความไมเกิ ดอีกของทุกขสั จ
ไดแก สติที่เขาไปกําหนดรูดั บไปพรอมกับอารมณนั้ นๆ และสมุทยสัจถูกละ
๔๘
ขุ.ป.(บาลี) ๓๑/๑๑๒/๘๓.
๔๙
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๒ วิปสสนา
กรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : หจก. ทิพยวิสุทธิ,์ ๒๕๕๔), หนา ๑๓๒.
๕๐
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/-/๑/๓๘๐.
๖๐๐
ขั้นที่ ๓ พิจารณาเห็นความไมเที่ยงของรูปนาม
(ไดแกเจตนาที่ยกจิตขึ้นสูการกําหนดรูอารมณ) พิจารณษเห็นเนืองๆ ในความ
แปรผันของปจจุบันธรรมทั้งหลาย คือรูปที่เกิดแลวเป นปจจุ บันลักษณะแหง
ความเกิดของรูปนั้นเปน อุทยัพ๕๑(ความเกิดขึ้น) ลักษณะแหงความแปรผันเปน
วยะ๕๒ (ความดับไป) สภาวะนิมิตตางๆ หายไปเร็ว กําหนดวาเห็นหนอๆๆ สัก
๒-๓ ครั้งก็หายไป แสงสวางแจมใสคลายไฟฟาจัดเปนตทังคนิโรธ
อัตราการการใสใจวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๐-๑ (นิวรณ)
๐-๑ (ทุกขเวทนา)
๔ (ขันธ ๕)
๔. พลวอุทยัพพย ๔ (สุขเวทนา)
๒๐ ๑๐ (จิตกุศล) ๒ (อายตนะ) ๔๐
ญาณ ๕ (โสมนัสส)
๒ (โพชฌงค)
๑๐ (อุเบกขา)
๑ (อริยสัจ)
๕ (ขันธ ๕)
๐-๑ (สุขเวทนา)
๕ (อายตนะ)
๕.ภังคญาณ ๑๐ ๔ (โสมนัสส) ๑๐ (จิตกุศล)
๕ (โพชฌงค)
๕๐
๕ (อุเบกขา)
๕ (อริยสัจ)
๖๐๒
ขั้นที่ ๔ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูป-นาม
พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม เพิ่มการดูอาการของจิตให
เห็นอาการดับไปของจิตอยากนั้นๆ และเพิ่มการกําหนดอิริยาบถยอยมากๆ
ขั้นนี้เขาปหานปริญญา จัดเปนนิโรธอริยสัจและมรรคอริยสัจ กําหนดรูถึงขั้น
ละตัณหาและอุปาทานที่หยาบไดเปนขณะ เพื่อออกจากญาณที่ ๖, ๗, ๘
โดยการดูอาการของตนจิตจนดับ ซึ่งสภาวญาณในขั้นนี้เปนญาณที่เกิดจาก
ผลของภังคญาณ คือความดับไปของอารมณพรอมกับจิตที่รูอารมณ ทําให
เห็นโทษเห็นภัยของรูปนาม อุปมาเหมือนคนที่ไมปรารถนาในบาตรที่มีรูรั่ว
๓ รู ฉันใด การที่ปญญาญาณเห็นรอยรั่วของรูปนามโดยความเปนอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา ยอมสงผลใหเกิดความกลัว เห็นภัย เห็นโทษ และเบื่อหนาย
ในอัตภาพนั้น
การพิจารณาธรรมในขั้นนี้เปนผลจากภังคญาณ ทําใหเกิดปญญา
เห็นโทษเห็นภัยของรูป-นามซึ่ง คือ การที่รูปไมปรากฏชัดแกโยคีหรืออารมณ
ที่เคยกําหนดหายไป จนเห็นเปนภัย บางขณะรูปหายไปหมดเลยมีความรูสึก
ทุกขที่จิตมากเพราะอาการของจิตปรากฏชัดเจน กิเลสอนุสัยปรากฏชัด เห็น
รู ป -นามเป น โทษ เกิด อาการเบื่ อหน าย เซื่อ งๆ ซึม ๆ บางคนรู สึ ก ขี้เ กีย จ
กําหนดอารมณที่กระทบทางทวารทั้ง ๖ จัดเปนสภาวธรรมของบันไดขั้นนี้
วิธีบริกรรมภาวนา : พยายามเพงพิจารณาอาการของอารมณนั้นๆ
โดยไมใหจิตซัดสายไปหาอารมณอื่นๆ แตไมพยายามปดกั้นไมใหอารมณอื่นๆ
แทรกเขามา และหากมีอารมณอื่นๆ แทรกเขามาได ก็ใหเพงรูลงในอาการ
ของอารมณใหมนั้นทันที พรอมๆ กับสังเกตุเห็นอาการของจิตที่จากคลาย
จากอารมณเกากอนหนานั้นไปดวย หลักการสําคัญในการบริกรรมภาวนาใน
ขั้นนี้ ตองพยายามนอมจิตเพงความรูสึกไปที่ตัวอารมณ เพงความสนใจไปที่
วิถีจิตที่บริกรรมภาวนาลดลง ๔๐ % และใสใจพิจารณากาย เวทนา จิต
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
ธรรม ๖๐ % แตเนนไปที่สภาพนามธรรมที่เปนอารมณจิต มีนิวรณเกิดดับ
อันเนื่องจากมีจิตเปนอกุศลกับโทมนัสสเวทนา อันเกิดจากสภาพความเบื่อ
หนายในกองสังขาร
ในขั้นนีเ้ มื่อนั่งภาวนา ๑ ชั่วโมงไมมีทุกขเวทนาเลย(เวทนานุปสสนา
สติปฏฐาน) ใหเดินจงกรมและนั่งเทากัน คือ ๑ ชั่วโมง(กายานุปสสนาสติปฏ
ฐาน) ต องกําหนดตน จิตใหได ๗๐-๘๐ % เปนอยางนอย ได แก อยากลุ ก
อยากนั่ง อยากจับ อยากเปด อยากเคี้ยว อยากดื่ม อยากหัน อยากมอง(จิต
ตานุปสสนาสติปฏฐาน)อาการขี้เกียจ เบื่อ เซ็ง จึงจะหายไปได (ธัมมานุปสส
นาสติปฏฐาน) ซึ่งมีรายละเอียดการปฏิบัติ ดังนี้
๑. วิธีกําหนดกราบ แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
กราบใหได ๑๐-๑๕ นาทีเปนอยางนอย โดยให เพิ่มการรูตนจิตมาก
ขึ้น เชน กอนพลิกมือ ใหกําหนดรูจิตกอนวา “อยาก พลิกหนอ”กอนพรอม
กับ สังเกตเห็น อาการดั บลงของจิ ต ที่อยากพลิ กนั้น แล ว จึงกําหนด “พลิ ก
หนอๆ” ตอไป เปนตน ซึ่งการกําหนดตนจิตในการกราบสติปฏฐาน พยายาม
กําหนดใหล ะเอียด ได แก อยากพลิก อยากยก อยากขึ้น อยากกม อยาก
เคลื่อน อยากขยับ อยากคว่ํา อยากลง เปนตน และ กําหนดรูอาการ “ถูก
หนอ” ที่มือถูกหนาอก ที่มือถูกพื้น ที่หนาผากถูกพื้น เปนตนและเพิ่มจังหวะ
หยุดเมื่อมีอารมณ อื่นแทรกเขามา กําหนดเทาที่เรารูสึกได ไมตองบังคับจิต
หรือ ไปเพงจองใหเห็นอารมณชัด เพิ่มพูน “สตินทรีย”
มีสติกําหนดรูเพิ่ม ธาตุปรมัตถที่ปรากฏขณะกราบสติปฏฐาน โดย
การกราบควรหลั บ ตา จะสามารถรู อาการธาตุ ที่ ป รากฏกับ ร างกาย เช น
อาการหยอน ตึง ของตัวขณะกมตัวลง หรือ อาการเคลื่อน ไหวของมือขณะ
เคลื่อน บางทีก็รูสึกถึงการพลิ้วเปนระลอกของมือที่ยกขึ้นลง ใหกําหนดตาม
อาการตึงหนอ ไหวหนอ เคลื่อนหนอ เหลานี้เปนลักษณะของวาโยธาตุ(ธาตุ
ลม) ที่ปรากฏภายในรางกาย หรือ ขณะกราบหรือรูสึกมีลมพัดมากระทบ ให
กําหนด รูหนอ เย็น หนอ สบายหนอ เป นตน สวนการพิจารณาธาตุทั้ง ๔
ไดแก ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุลม ธาตุไฟ พระพุทธเจาใหพิจารณาเห็นวาโยธาตุ
๖๐๔
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
ทั้งภายในและภายนอกก็เปนแตสักวาวาโยธาตุเทานั้นนั่นไมใชของเรา เมื่อ
ปญญาเห็นตามความเปนจริงจิตยอมเบื่อหนายคลายกําหนัดในวาโยธาตุ๑
เพิ่มพูน“ปญญินทรีย”การกราบสติปฎฐาน ๔ ขณะที่กราบใหนอมระลึกคุณ
ของพระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ เปนการเพิ่ม “ศรัทธินทรีย”
หลั ก สํ า คั ญ คื อ ต อ งกํ า หนดเห็ น อาการจิ ต จริ ง ๆ ก อ น เห็ น จิ ต
ปรารถนากอน แลวบริกรรมตามอาการจิตนั้น หรือพรอมกัน (อยาก...หนอ)
๒. วิธีเดินจงกรม แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
ยืนกําหนด : กําหนดใหรูเทาทันจิตที่คิดจะยืน “อยากยืนหนอ”
หรือ “อยากลุกหนอ”กอนลุกขึ้นยืนทุกครั้ง ซึ่งการกําหนดตนจิตในบันไดขั้น
นี้ ไมใชการทอง แตจะตองตามดูรูจิตที่อยากลุกเกิดขึ้น โดยไมบังคับจิต แค
เพียงเฝาตามรูอยู จนเห็นอาการของจิตที่อยากลุกชัดเจนขึ้นแลวดับลง
จากนั้นจึงคอยตามรูกายที่ขยับตัวลุกขึ้น พรอมกําหนดตามอาการ โดยจิต
รับรูสภาวะของกายที่ หนัก เบา ในขณะที่ยืดตัวลุกขึ้นดวย พรอมกับกําหนด
ตาม “ลุกหนอ” “หนักหนอ”“ลุกหนอ”“ตึงหนอ”“ไหวหนอ” เปนตน
ในขณะยืน หากมีสภาวะอื่นแทรกซอนเขามา บางคนอาจมีอาการ
มึน หรือ โคลง ก็ใหกําหนด “ยืนหนอ”“มีนหนอ” หรือถามีเสียงมาปรากฏ
หรือลมพัดมาถูกกาย ก็กําหนด “ยืนหนอ” “ไดยินหนอ’ “เย็นหนอ”กําหนด
อาการนั้ น จนกว า จะดับ ไปเสี ย กอ น แล ว จึ งเริ่ ม เดิ น การมีส ติ กํ าหนดทั น
สภาวะที่แทรกมาจัดเปน “สตินทรีย” และการเห็นอาการดับไปของอารมณ
แทรก บางครัง้ จิตก็ดับไปจากอารมณ นี้เปน “ปญญินทรีย”
ในขณะกําหนดยืน เพิ่มการกําหนดเห็น อาการดับ ของจิตที่ดับไป
พรอมกับความรูสึกยืนดวย คือ จิตดับไปพรอมกับคําบริกรรมวา “ยืนหนอ”
นั้นๆ การเห็นจิตที่ดับไปพรอมความรูสึกนี้ เปนตัวปญญาบางครั้งรูสึกปวด
หรือมึนงง ก็ใหยนื กําหนดจนอาการเบาลงกอน
๑
องฺ.จตุกก. (ไทย) ๒๑/๑๗๗/๒๔๙.
๖๐๕
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
เดินจงกรม : จังหวะที่ ๑-๓ ใหเพิ่มตนจิตในทุกๆ กาว คือ ใหตัดคํา
บัญญัติ “ขวา-ซาย” ออกไป กําหนดรูจิตคิดจะยางกอนยางเทาทุกๆ กาว ไม
เดินยกสนเพราะจะเปนการพักสภาวะ ทําใหวิริยะออน ระยะการยางไมยาว
เกินไปใหพอดี วางแลวไมรูสึกวาเกร็ง
ระยะที่ ๑ ขวายางหนอ-ซายยางหนอ เปลี่ยนเปน รูจิตที่คิดจะยาง
กอนวา “อยากยางหนอ” แลวกําหนดรูอาการยางไปของเทาวา “ยางหนอ”
(กําหนดรู ๑ อาการ) ตัดคําบริกรรมวา “ขวา-ซาย” ขณะยางไปใหจิตตามรู
อาการเคลื่อนไปจนวางเทา ชวงตน-กลาง-ปลาย ของการเคลื่อนแตละกาว
ระยะที่ ๒ ยกหนอ-เหยียบหนอ (กําหนดรู ๒ อาการ)
เพิ่มการรูจิตที่คิดจะยก-คิดจะเหยียบ กอนยก กอนเหยียบ ทุกครั้ง
วา “อยากยกหนอ-ยกหนอ” ขณะ“ยกหนอ” ตองใหจิตรูที่อาการเคลื่อนไหว
ของเทาที่กําลังยกขึ้นจากลางขึ้นบน “อยากเหยียบหนอ-เหยียบหนอ” ขณะ
เหยียบหนอตองใหจิตรูที่อาการเคลื่อนไหวที่กําลังเหยียบลง จากบนลงลาง
จนกระทั่ ง เท า วางถู ก พื้ น เมื่ อ จิ ต จดจ อ อย า งต อ เนื่ อ งจะสามารถแยก
“บัญญัติ-ปรมัตถ” ไดชัดเจน
ระยะที่ ๓ ยกหนอ-ยางหนอ-เหยียบหนอ เปลี่ยนเปน
รูจิตที่คิดจะ ยก คิด จะยาง คิดจะเหยี ยบ กอนยก กอนยาง กอน
เหยี ย บทุกครั้ง ว า “อยากยกหนอ-ยกหนอ” “อยากยางหนอ-ย างหนอ”
ขณะ“ย างหนอ” ต องใหจิ ต รู ที่อาการเคลื่ อนไหวของเทาจากด านหลั งไป
ดานหนาแลวนิ่ง จึงกําหนด“อยากเหยียบหนอ- เหยียบหนอ”
ระยะที่ ๔ ยกสนหนอ-ยกหนอ-ยางหนอ-เหยียบหนอ
รูจิตที่คิดจะยกสน คิด จะยก คิดจะยาง คิด จะเหยียบ กอนยกส น
กอ นยก ก อ นย า ง ก อ นเหยี ย บ..ทุ ก ครั้ ง แต ไ ม ต อ งบริ ก รรมสํ า ทั บ จิ ต นั้ น
เพียงแตใหรูชัดลงไปในจิตที่ปรารถนานั้นๆแลวบริกรรมรูการยกสน การยก
การยาง การเหยียบ อยางชาๆ ชาที่สุดเทาที่จะชาได คือ “ยกสนหนอ” “ยก
หนอ” “ยางหนอ” “เหยียบหนอ” ตรงจังหวะเหยียบใหชาเปน พิเศษ และ
เปนการเหยียบเทน้ําหนักของรางกายลงทั้งตัว จนกายที่เหยียบ นิ่งสนิทกอน
จึงจะกาวเทาอีกขางหนึ่งตอไป
๖๐๖
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
ระยะที่ ๕ ยกสนหนอ-ยกหนอ-ยางหนอ-ลงหนอ-ถูกหนอ
รูจิตที่คิดจะยกสน คิดจะยก คิดจะยาง คิดจะลง ใหเคลื่อนเทาลงมา
เล็กนอยแตยังไมถูกพื้น และ คิดจะเคลื่อนเทาถูกพื้นทั้งฝาเทา กอนยกสน
กอนยก กอนยาง กอนลง กอนถูก..ทุกครั้งแตไมตองบริกรรมสําทับ จิตนั้น
เพีย งแต ให รู ชั ด ลงไปในจิ ต ที่ป รารถนานั้ น ๆแล ว บริ กรรมรู จิ ต คือ “ยกส น
หนอ” “ยกหนอ” “ยางหนอ”“ลงหนอ”“ถูกหนอ”จนกายที่เหยียบ นิ่งสนิท
กอน จึงจะกาวเทาอีกขางหนึ่งตอไป
ระยะที่ ๖ ยกสนหนอ-ยกหนอ-ยางหนอ-ลงหนอ-ถูกหนอ-กดหนอ
รูจิตที่คิดจะยกสน คิดจะยก คิดจะยาง คิดจะลงโดยใหเคลื่อนเทา
ลงมาเล็กนอยแตยังไมถูกพื้น คิดจะเคลื่อนปลายเทาถูกพื้น และ คิดจะกดสน
เทาลง ใหฝาเทาแนบกับพื้น กอนยกสน กอนยก กอนยาง กอนลง กอนถูก
กอนกด..ทุกครั้งแตไมตองบริกรรมสําทับ จิตนั้น เพียงแตใหรูชัดลงไปในจิตที่
ปรารถนานั้นๆแลวบริกรรมรูจิตคือ “ยกสนหนอ” “ยกหนอ” “ยางหนอ”
“ลงหนอ”“ถูกหนอ”“กดหนอ” จังหวะกดฝาเทาแนบกับพื้น กายนิ่ง สังเกต
อาการที่ปรากฏ เย็น รอน ออน แข็ง หยอน ตึง เหนียว ลื่น แลวกําหนดรู
ตามจริง ซึ่งเปนอาการธาตุ“แข็งหนอ”“เย็นหนอ”
จังหวะที่ ๔-๖ ไมตองใสตนจิต เพราะการบริกรรมยาวนานอาจทํา
ใหจิตรับรูแตคําบัญญัติตลอดเวลาไมอาจรับรูสภาวธรรมได เพราะในแตละ
ขณะจิตรับรูไดเพียงอารมณเดียว๒กําหนดจนเห็นอาการดับไปของเทาแตละ
จังหวะสังเกตจิตรูที่ดับไปพรอมกับอารมณที่ถูกกําหนดนั้น หากเห็นอาการ
ดับของจิตชัดเจน ใหกําหนดรูวา ”ดับหนอ”หรือ “รูหนอ” และ ในการกาว
เดิ น ไปห อ งน้ํ า เดิ น กลั บ ที่ พั ก ก็ ใ ห กํ า หนด “ย า ง..เหยี ย บ” หรื อ “ยก...
เหยียบ” ทัง้ วันเพิ่มพูน “วิริยินทรีย”นอกบัลลังก
ในขณะกําหนดจนเห็ นอาการดับ ไปของเทาแตล ะจังหวะ ให เพิ่ม
สังเกตุเห็นอาการดับไปของตัวจิตเองที่เขาไปกําหนดรูอาการดับในจังหวะ
๒
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปสสนานัย เลม ๒, (กรุงเทพมหานคร:
หจก. ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๕), หนา ๗.
๖๐๗
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
ของเทานั้ น ๆ ดว ย คือที่ดั บ ไปพร อมกับอารมณที่ถูกกําหนดนั้ น หากเห็ น
อาการดับของจิตนั้นชัดเจน ใหกําหนดรูวา “รูหนอ”ดวย๓
๓. วิธีกําหนดรูพอง-ยุบ แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
นั่งภาวนาเพียง ๑ ชั่วโมงเทานั้นหามเกิน เพราะจะทําใหสมาธิมาก
เกินกําหนดรูจิตที่คิดจะนั่ง กอนขยับตัวลงนั่งทุกครั้ง “อยากนั่งหนอ” แลว
จึงคอยๆ ยอตัวนั่งลง พรอมกับบริกรรมวา “ลงหนอ” ถาสังเกตเห็นอาการ
ธาตุที่ปรากฏขณะเคลื่อนตัวลงนั่ง เชน ตึง หนัก เคลื่อน ไหว ก็กําหนดรู"ลง
หนอ-ตึงหนอ" "ลงหนอ-หนักหนอ" ตามอาการถาเห็นแสงสวาง(ที่ไมใชแสงสี)
ใหกําหนดจนกวาจะดับ แตถากําหนด กวา ๑๐ นาทีแลวยังไมดับ ใหทําเปน
ไมใสใจ แลวไปกําหนดอารมณอื่นๆ ที่ปรากฏชัดตอไป ตองกําหนดจนเห็น
อาการดับของทุกสภาวะที่จิตเขาไปรูบ างครั้งอารมณดับไปจากจิต บางครั้ง
จิตดับไปจากอารมณและกําหนดเห็นการดับของตัวจิตเอง ที่เขาไปกําหนดรู
อารมณ ตางๆ ได ๑-๓ ขณะจิต กอนที่จะดับสิ้นลงทั้งของอารมณที่จิตเขาไป
รูและของจิตที่เขาไปรูอ ารมณ๔
โยคี บ างคน พอง-ยุ บ ยาวแผ ว เบา มี จั ง หวะหยุ ด ระหว า ง พอง-
ระหวางยุบ จนทําใหเกิดอาการจิตวูบ สัปหงกหรือเผลอคิดบอย จนเบื่อ และ
เซ็ง โยคีพึงปฏิบัติ ดังนี้
๑. จังหวะหยุดระหวางพองกับยุบ ใหเพิ่มจิตรูลงไปในอาการนั้น คือ
บริกรรมไปตามอาการวา “พองหนอ-รูหนอ” “ยุบหนอ-รูหนอ”
๒. จังหวะหยุดระหวางพอง-ยุบ นานขึ้นกวานั้น ในระหวางที่หยุด
ใหสงจิตไปกําหนดรูอาการนั่ง ตั้งแตศีรษะจนถึงเทารวดเดียว คือ บริกรรม
ตามอาการวา “พองหนอ-นั่งหนอ” “ยุบหนอ-นั่งหนอ”
๓
ปญญาในการพิจารณาอารมณแลวพิจารณาเห็นความดับ ชื่อวาวิปสสนาญาณ
(ญาณที่พิจารณาเห็นความดับ) ; ขุ.ป.(ไทย) ๓๑/๗/๒.
๔
พระภาวนาพิ ศ าลเมธี วิ . , เอกสารประกอบการสอน รายวิ ช าสั ม มนา
วิปสสนา, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ศูนยบัณฑิตวิทยา
เขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม,๒๕๕๕), หนา๓๖๘.
๖๐๘
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
โยคีบางคนพอง-ยุบชัดเจนมาก เห็นตน เห็นปลายชัด แตบางครั้ง
พอง-ยุบถี่ๆ เร็วๆ ขึ้นมา แลวนิ่งหายไปเปนพักๆ พึงปฏิบัติ ดังนี้
๑) ถาอาการพอง-ยุบเร็ว จนกําหนดไมทัน ใหกําหนดเพียงวา
“พอง-ยุบๆๆๆ”ไมตองมี “หนอ”ตอทาย
๒) ถาอาการพอง-ยุบถี่มาก จนจับพอง จับยุบไมทัน ใหกําหนดวา
“รูหนอๆๆๆ”
๓) ถาอาการพอง-ยุบถี่รัว จนกําหนดไมทัน ก็ใหตามรูไปกับอาการ
นั้น ถารูสึกเสียว รูสึกกลัวก็ใหกําหนด “เสียวหนอ “กลัวหนอ”ไปตามอาการ
นั้นดวย บางครั้งรูสึกงง เควงควาง ก็ใหกําหนด “งงหนอๆ”จนกวาจะหายงง
๔. วิธีกําหนดรูอิริยาบถ แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
อิริยาบถตื่นนอน : พยายามกําหนดจิตขณะตื่นใหไดทุกๆ ครั้ง
โดยเฉพาะจิตที่อยากเปดตา ,อยากพลิกตัวขณะตื่นนอน “อยากพลิกหนอ”
พรอมกับ สังเกตเห็นอาการดับลงของจิตที่อยากพลิก เปน“ปญญินทรีย ”
แลวจึงคอยพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง “พลิกหนอๆ” “ลุกหนอๆ”
เดินเขาหองน้ํา “ยก-ยาง-เหยียบ” ขณะเปดประตูหองน้ํา กําหนด
จิตคิดจะเปดกอน“อยากเปดหนอ” แลวกําหนดอาการเคลื่อนไหวของมือ
“ยกหนอๆถูกหนอ จับหนอ บิดหนอ เปดหนอ”
อิริยาบถฉัน : เคลื่อนไหวอิริยาบถในขณะฉัน ทีละ ๑ อิริยาบถ เชน
กําหนดรูทันจิตอยากจับทันกอนจับ และ ขยับมือทีละขาง ถามือยังขยับอยู
ใหอมคําขาวไวกอน อยาพึ่งเคี้ยวกายตองนิ่งกอน จึงกําหนด “อยากเคี้ยว”
ทันกอนเคี้ยวทุกครั้ง ในขณะเคี้ยวใหสังเกตถึงความหนักเบาของแรงเคี้ยว
ดวยกําหนดเคี้ยวจนจืดสนิทกอน จึงกําหนดกลืนใหไดทุกคํากลืนและกําหนด
ฉันใหได ๕๐-๖๐ นาที เปนอยางนอย
อิริยาบถนอน : กําหนดเพียงรูปนอนเทา นั้น “นอนหนอ” ถา
กําหนดกว า ๓๐ นาทีแล วยั งไมหลั บ ใหเ พงรู ไปที่อาการไมห ลั บ นั้น พร อม
บริกรรมวา “ไมหลับหนอ” จนกวาจะหลับไปเอง หรือเปลี่ยนบทกรรมฐาน
เปนเมตตาภาวนา โดยการ กําหนดตั้งแตศีรษะ คือ เสนผม ไลลงมาเรื่อยๆ
๖๐๙
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
ตั้งแตหนาผาก คิ้ว ตา จมูก ปาก คาง หนาอก หนาทอง ฝามือ แขงขา ฝา
เทา โดยการบริกรรมตามไปวา “ขอใหมีความสุข ขอใหพนจากทุกข” ทั้งขึ้น
ทั้งลง จนกวาจะหลับ และ กําหนดจนรูใหไดวาหลับตอนพอง หรือตอนยุบ
บัน ไดขั้น ที่ ๔ นี้ ต น จิ ต มีความสํ าคัญมากต องกําหนดให ได ๗๐-
๘๐% เนื่องจากชวยปรับสมดุลใหสติมีความวองไวเทาทันจิต สามารถกําหนด
รูอาการของจิตไดทัน โดยตนจิตที่ตองกําหนด สามารถแบงตาม หมวดกายา
นุปสสนาสติปฎฐาน ดังนี้
อิริ ย าบถใหญ ๔ ได แก อยากยื น อยากลุ ก อยากเดิ น อยากกลั บ
อยากนั่ง อยากนอน
อิริยาบถยอย ไดแก กาว-ถอย แล-เหลียว คู-เหยียด ทรงผา-บาตร-
จีวร ฉัน-ดื่ม-เคี้ยว-ลิ้ม ขับถาย๕ การกําหนด คือ อยากจับ อยากเปด อยาก
หัน อยากมอง อยากเคี้ยว อยากดื่ม
โดยเฉพาะตนจิตที่ตองทําใหได ๙๐-๑๐๐% ไดแก อยากลุก อยาก
นั่ง อยากจับ อยากเปด
๕. วิธีเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน
โยคีนั่งปฏิบัติภายใน ๑ ชั่วโมงไมปรากฏทุกขเวทนาเลย ปรากฏแต
สุขเวทนา ซ้ําๆ ซากๆ ใหเดินจงกรมและนั่งเทากัน ตองกําหนดตนจิตใหได
๗๐-๘๐ % เปนอยางนอย (อยากลุก อยากนั่ง อยากจับ อยากเปด อยาก
เคี้ยว อยากดื่ม อยากหัน อยากมอง) อาการขี้เกียจ เบื่อ เซ็ง จึงจะหายไปได
อนึ่ง ขณะกราบใหพิจารณาดูอาการเกิด-ดับของเวทนา ไปดวย
๖. วิธีเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน
ขณะเดินจงกรม กําหนดจนเห็นอาการดับไปของเทาแตละจังหวะ
ใหเพิ่มสังเกตเห็นอาการดับไปของตัวจิตเองที่เขาไปกําหนดรูอาการดับใน
๕
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), มหาสติปฏฐานสูตร ทางสูพระนิพพาน,
(กรุงเทพมหานคร: หจก. ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๕), หนา ๑๐๘.
๖๑๐
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
จังหวะของเทานั้นๆ ดวย คือที่ดับไปพรอมกับอารมณที่ถูกกําหนดนั้น หาก
เห็นอาการดับของจิตนั้นชัดเจน ใหกําหนดรูวา “รูหนอ”ดวย๖
หากนั่งตัวคดตัวงอ เมื่อกําหนดทุกขเวทนาดับไดแลว ก็จะเห็นพอง
ยุบชัดขึ้น รูสึกกําหนดงาย กําหนดสบาย จนเพลิน แตพอวันตอมาพอง-ยุบ
กลับนิ่งๆ เบาๆ โยคีบางคนเกิดนิกันติ อยากใหพอง-ยุบชัด เหมือนวันกอนๆ
จึงสูดลมหายใจเสริ มพอง-ยุ บใหชั ดขึ้น การพยายามเสริมหรือแตงอาการ
พอง-ยุบเปนไปดวยอํานาจอัตตา บังคับบัญชาสภาวะใหเปนไปดั่งใจตองการ
(ซึ่งไมถูกตอง) เมื่อจิตเหนื่อยลาจากการพยายามนั้น กายก็เหนื่อยลาไปดวย
ทําใหสติหลุดไป ลําตัวก็คอยๆ งอโคงลง รูสึกเบื่อเซ็ง ไมไดดั่งใจ ฉะนั้น ให
กําหนดพอง-ยุบไปตามความเปนจริง อยาแตงพองยุบใหผิดธรรมชาติ ถา
พองยุบไมชัดก็กําหนดวา “ไมชัดหนอ-รูหนอ” รูสึกเบื่อเซ็งก็กําหนด ตาม
อาการวา “เบื่อหนอๆ” “เซ็งหนอๆ” ตามความรูสึกที่เกิดขึ้น
โยคีนั่งภาวนาเพียง ๑ ชั่วโมงเทานั้น ...หามเกินกําหนดรูจิตที่คิดจะ
นั่ง กอนขยับตัวลงนั่งทุกครั้ง“อยากนั่งหนอ”แลวจึงคอยๆ ยอตัวนั่งลงพรอม
กับบริกรรมวา “ลงหนอๆๆๆ” บริกรรมภาวนาไปตามอาการที่เกิดขึ้นจริง
ในขณะปจจุบัน อยูตลอดเวลา ถาเห็นแสงสวาง(ที่ไมใชแสงสี) ใหกําหนด
จนกวาจะดับ แตถากําหนดกวา ๑๐ นาทีแลวยั งไมดับ ใหทําเปนไมใสใจ
แลวไปกําหนดอารมณอื่นๆ ที่ปรากฏชัดตอไปตองกําหนดจนเห็นอาการดับ
ของทุกสภาวะที่จิตเขาไปรู บางครั้งอารมณดับไปจากจิตบางครั้งจิตดับไป
จากอารมณ และกํา หนดเห็ น อาการดั บ ของตั ว จิ ต เอง ที่ เ ขา ไปกํา หนดรู
อารมณตางๆ ได ๑-๓ ขณะจิต กอนที่จะดับสิน้ ลงทั้งของอารมณที่จิตเขาไปรู
และของจิตที่เขาไปรูอารมณ
เมื่อญาณปญญาพัฒนาไปตามลําดับ อาการพอง-อาการยุบปรากฏ
นอยลง บางครั้งนิ่งหายไปเปนพักๆ และจะนิ่งหายไปนานขึ้นๆ หรือสําหรับ
บางคนปรากฏแตอาการพองอาการยุบไมปรากฏ บางคนปรากฏแตยุบ พอง
๖
ปญญาในการพิจารณาอารมณแลวพิจารณาเห็นความดับ ชื่อวาวิปสสนา
ญาณ (ญาณที่พิจารณาเห็นความดับ) ; ขุ.ป.(ไทย) ๓๑/๗/๒.
๖๑๑
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
ไมปรากฏ ก็ใหกําหนดไปตามที่ปรากฏนั้ น หากพอง-ยุบยังไมปรากฏก็ให
กําหนดนั่งหนอ,ถูกหนอ สลับจุดไปเรื่อยๆ คือ ที่มือถูกกัน, ที่กนยอยขวา, ที่
กนยอยซาย จนกวาพอง-ยุบจะกลับมาเอง
ดังนั้น การกําหนดในขั้นที่ ๔ เปนไปเพื่อการกาวพนสภาวธรรมที่
เบื่ อ หน า ยให ไ ด ไ วที่ สุ ด โดยการเน น กํ า หนดดู อ าการของต น จิ ต ซึ่ ง พระ
อาจารยจะแสดงเรื่องจิตตานุปสสนาสติปฏฐานแกโยคีเพื่อใหเขาใจและรู
กําหนด โดยการกําหนดในขั้นนี้จะมีสภาวธรรมปรากฏ ดังตอไปนี้
๗. วิธีเจริญธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน
ขั้น นี้ นอกจากจะไมป รากฏทุกขเวทนาแล ว บางคนพองยุ บ ก็ไ ม
ปรากฏ แตจะมีนิวรณกลับปรากฏชัดขึ้น นิวรณ คือ เครื่องกั้นศักยภาพของ
จิตไมใหบําเพ็ญกุศลขั้นสูง มี ๕ ประการ คือ
๑. กามฉัน ทะ คือ ความยิ นดีพอใจในกาม เชน เพลิน เพลิน เบา
สบาย สุข มีสภาพปรุงแตงดวยอารมณตางๆ เหมือนน้ําที่ผสมดวยสีตางๆ ให
กําหนดตามอาการ"เพลินหนอ" "ชอบหนอ" เมื่อตามเห็นอาการนั้นดับลง ให
กําหนด "รูหนอ"
๒. พยาบาท คือ ความไมพอใจ หงุดหงิด ขุนเคือง คิดราย เหมือน
น้ําที่กําลังเดือดพลานใหกําหนด "โกรธหนอ" "ขัดเคืองหนอ""หงุดหงิดหนอ"
เมื่อตามเห็นอาการนั้นดับลง ใหกําหนด "รูหนอ"
๓. ถีนมิทธะ คือ ความงวงซึมเซา หดหู เหมือนน้ําที่มีจอกแหนปก
คลุม ใหกําหนดวา "งวงหนอ" "ซึมหนอ" เมื่อตามเห็นอาการนั้นดับลง ให
กําหนด "รูหนอ"
๔. อุทธัจจกุกกุจจะ คือ ความฟุงซานเดือดรอนใจ เบื่อ เซ็ง เหมือน
น้ําที่ถูกลมพัดเปนระลอกคลื่น ใหกําหนดวา "ฟุงหนอๆ" "เบื่อหนอๆ" เห็น
อาการนั้นดับลง ใหกําหนด "รูหนอ"
๕. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ
แนวการปฏิ บั ติ ครู บ าอาจารย เหมื อนน้ํ าที่ ว างในที่มื ด ผสมโคลนตม ให
กําหนดวา "สงสัยหนอๆ" "ลังเลหนอๆ" เมื่อตามเห็นอาการนั้นดับลง ให
๖๑๒
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
๗
กําหนด "รูหนอ"
การกํ า หนดในขั้ น ที่ ๔ เป น ไปเพื่ อ การก า วพ น สภาวธรรมที่ เ บื่ อ
หนายใหไดไวที่สุด โดยการเนนกําหนดดูอาการของตนจิต ซึ่งพระอาจารยจะ
แสดงเรื่องจิตตานุปสสนาสติปฏฐานแกโยคีเพื่อใหเขาใจและรูกําหนด โดย
การกําหนดในขั้นนี้จะมีสภาวธรรมปรากฏ
กําหนดรูเห็นความทุกขของรูป-นาม ตองเพิ่มตนจิต ดูอาการของจิต
ใหเห็นอาการดับไปของจิตอยากนั้นๆ เพิ่มกําหนดอิริยาบถยอยมากๆ ขั้นนี้
เขาปหานปริญญา จัดเปนนิโรธอริยสัจและมรรคอริยสัจ กําหนดรูถึงขั้นละ
การกําหนดเพื่อออกจากญาณที่ ๖, ๗, ๘ โดยการดูอาการของตนจิตจนดับ
ซึ่งสภาวญาณในขั้นนี้เปนญาณที่เกิดจากผลของภังคญาณ คือความดับไป
ของอารมณพรอมกับจิตที่รูอารมณ ทําใหเห็นโทษเห็นภัยของรูป-นาม อุปมา
เหมือนคนที่ไมปรารถนาในบาตรที่มีรูรั่ว ๓ รู ฉันใด การที่ปญญาญาณเห็น
รอยรั่วของรูป-นามโดยความเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยอมสงผลใหเกิด
ความกลัว เห็นภัย เห็นโทษ และเบื่อหนายในอัตภาพนั้น
เมื่อวิปสสนาญานสูงขึ้น สภาวะรูปธรรมก็จะมีนอยลง และยิ่งสูงขึ้น
มากๆ ก็จะไมปรากฏให เห็น เลย แตนิว รณธ รรมตางๆ กลับ ปรากฏชั ดขึ้น
สภาวะชวงนี้จะมากไปดวยนามธรรม ซึ่งจัดอยูในหมวดธัมมานุปสสนาสติปฏ
ฐาน๘ มีวิธีการกําหนด ดังนี้
ก. เกิดความยินดีพอใจในกาม เกิดความนึกคิดที่เพลิดเพลิน เปนสุข
ขึ้นในระหวางนั่งปฏิบัติ กําหนดวา “ชอบหนอ” “เพลินหนอๆ” พออาการ
ยินดีพอใจนั้นดับลง กําหนดวา “รูหนอ”
อนึ่ง ขณะนั่งอยูแตอยากไดความสุขในการเดิน เกิดจิตอยากลุกขึ้น
ก็ให เ ขาใจว าเป นเพีย งนิ ว รณธ รรม เป น มารมาล อลวงให ห ลุ ด จากการนั่ ง
ปฏิบัติ ก็ใหกําหนดจี้ไปที่จิตอยากลุกนั้น “อยากออกหนอๆๆ” “อยากลุก
๗
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), มหาสติปฏฐานสูตร ทางสูพระนิพพาน,
(กรุงเทพมหานคร: หจก. ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๕), หนา ๒๘๑.
๘
ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๑๕/๑๑๒.
๖๑๓
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
หนอๆๆ” จนกวาจะดับไป แลวกําหนดนั่งเจริญภาวนาตอไป
ข. เกิดความอาฆาต พยาบาทจองเวร คิดราย คิดโกรธขึ้นในระหวาง
นั่งปฏิบัติกําหนดวา “โกรธหนอ เคืองหนอ” พออาการอาฆาต พยาบาทดับ
ลงกําหนดรูวา “รูหนอ”แลวกําหนดนั่งเจริญภาวนาตอไป
ค. เกิดความโงกงวง หดหู ขึ้นในระหวางนั่งปฏิบัติ กําหนดวา “งวง
หนอๆ” พอการงวงซึมดับลง กําหนดวา “รูหนอ” แลวกําหนดนั่งเจริญ
ภาวนาตอไป
ง. เกิด ความฟุงซาน เบื่อเซ็ง ขึ้นในระหว างนั่ งปฏิ บั ติ กําหนดว า
“ฟุงหนอๆ” “เบื่อหนอๆ” “เซ็งหนอๆๆ” พออาการเบือ่ เซ็งดับลงกําหนดวา
“รูหนอ” แลวกําหนดนั่งเจริญภาวนาตอไป
จ. เกิ ด ความคิด ลั ง เลสงสั ย ไม ต กลงใจ ขึ้ น ในระหว างนั่ งปฏิ บั ติ
กําหนดวา “คิดหนอๆ” “สงสัยหนอๆ” พออาการสงสัยดับลง กําหนดวา “รู
หนอ” แลวกําหนดนั่งเจริญภาวนาตอไป
เมื่ อสภาวะญาณสู ง ขึ้น มากๆ ก็จ ะไมป รากฏรู ป ธรรมให เ ห็ น เลย
ปรากฏแตอาการวาง ก็ใหกําหนดจิตรูอาการ “วาง” นั้นไปเรื่อยๆ จนกวา
รูปธรรมจะกลับมาอีก หรือจนกวาจิตรูนั้นจะดับหายไป เขาสูมรรค ผล
แกอาการนั่งตัวคดตัวงอ
เมื่ อ กํา หนดทุ กขเวทนาดั บ ได แ ล ว ก็ จ ะเห็ น พองยุ บ ชั ด ขึ้ น รู สึ ก
กําหนดงาย สบาย จนเพลิน แตพอวันตอมาพอง- ยุบกลับนิ่งๆ เบาๆ โยคี
บางคนเกิดนิกันติ อยากใหพอง-ยุบชัด เหมือนวัน กอนๆ จึงสูดลมหายใจ
เสริมพอง-ยุบใหชัดขึ้นการพยายามเสริมหรือแตง อาการพอง-ยุบเปนไปดวย
อํานาจอัตตา บังคับบัญชาสภาวะใหเปนไปดั่งใจตองการ (ซึ่งไมถูกตอง) เมื่อ
จิตเหนื่อยลาจากการพยายามนั้น กายก็เหนื่อย ลาไปดวย ทําใหสติหลุดไป
ลําตัวก็คอยๆ งอโคงลง รูสึกเบื่อเซ็ง ไมไดดั่งใจ ฉะนั้น ใหกําหนดพอง-ยุบไป
ตามความเป น จริ ง อย า แต ง พองยุ บ ให ผิ ด ธรรมชาติ ถ า พองยุ บ ไม ชั ด ก็
กําหนดวา “ไมชัดหนอ-รูหนอ” รูสึกเบื่อเซ็งก็กําหนด ตามอาการวา “เบื่อ
หนอๆ” “เซ็งหนอๆ” ตามความรูสึกที่เกิดขึ้น
๖๑๔
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
วิธีแกสภาวะติดธาตุ-ติดนิมิต
มี อ าการแปลกพิ ส ดารเข า ไปทุ ก วั น มี อ าการสั่ น อาการหมุ น
บางครั้งพอง-ยุบชัด มากแตเปลี่ยนสภาพพิสดารไปเรื่อยๆ ทุกขเวทนานอย
แตสุขเวทนามีมากสลับกับอุเบกขาเวทนา สาเหตุเพราะมีวิรยะมาก มีสมาธิ
มาก แตสตินอย มีไดในญาณ ๔-๘ วนไปวนมา โยคีเปนผูมีความเพียรมาก
เกิน อยากกําหนดใหชัด พยายาม กําหนดจี้ใหชัด หรือเพื่อใหดับชัดๆ ดวย
อํานาจตัณหาและทิฏฐิมีวิธีแกดังนี้
- พอง-ยุบไมชัด ใหกําหนดตามอาการวาพอง-ยุบ“ไมชัดหนอ”หรือ
“รูหนอ-กําหนดยากหนอ”
- อาการพองกับอาการยุบมีระยะ มีสติรูลงที่สุดพอง-สุดยุบนั้นวา
“รูหนอ” รูวาพองดับยุบดับ
- แตถาพอง-ยุบมีระยะหางมาก ใหกําหนดรูปนั่ง และอาการสัมผัส
ที่มือที่กนถูกพื้นแทรกเขาไปวา “พองหนอ-นั่งหนอ-ถูกหนอ” “ยุบ-หนอ-นั่ง
หนอ-ถูก”
โยคีบางคนพอง-ยุบนิ่งหายจึงกําหนด "นั่งหนอ-ถูกหนอ" นานๆ ไป
อาการถูกก็ไมชัด รู นั่งก็ไมรูสึก ก็ยังพยายามเพงจิตเพื่อใหรูชัดดวยอํานาจ
ตัณหาและอุป าทานจนทําให รู สึ กมืน งง ธาตุ แปรปรวน ร อนเย็ น ธาตุ ล ม
กระจายไปทั่วตัว จนรูสึกแปลกพิสดาร นาสนใจ นาติดมาก บางคนถึงกับ
หนวงองคฌาน(ปติ,สุข) ใหเกิดขึ้น ตกเขาขายสมถะไป นานเขาทําใหติดใน
วิปสสนูปกิเลสทําใหกลับมาทวนที่ญาณ ๔ ครั้งแลวครั้งเลา ซ้ําๆเดิมๆ จน
เขาใจผิดวาไมมีอะไรอีกแลว ถึงที่สุดแลว บรรลุมรรคผลแลว ใหกําหนดนั่ง
หนอ-ถูกหนอ เพียงแครู ไมใชใหชัด ใหรูชัดวาสภาวะไมชัด มีวิธีปฏิบัติดังนี้
ถาสภาวะไหนไมชัด ก็ใหรูชัดลงไปในสภาวะนั้นวา “ไมชัดหนอ”
ถาสภาวะไหนรับรูความรูสึกตอสภาวะนั้นไมไดคือรูปดับไปแลว ก็
ไมตองตามกําหนดสภาวะนั้นอีก ทิ้งไปเลย กําหนดเฉพาะสภาวะที่ยังพอรูสึก
ไดอยูเทานั้นโดยเฉพาะจุดสัมผัสที่แขง ขา ไหล หลัง เปนตน
- ถากําหนดไปแลวรูสึกนิ่งวาง จนรูสึกวาหมุนก็ใหกําหนดตามสัก
๖๑๕
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
ระยะหนึ่ง“หมุนหนอ-รูหนอ” ถายิ่งกําหนดยิ่งหมุนแรงขึ้น ก็ใหกําหนดสั่งให
หยุด “หยุดหนอ” แรงๆ แลวยายจิตไปกําหนดสภาวะสัมผัสตามรางกาย
อื่นๆ ที่ปรากฏชัด
๘. สภาวะญาณที่เกิดขึ้นเมื่อปฏิบัติขั้นที่ ๔ สมบูรณ
เมื่อผู ป ฏิ บั ติ เ จริ ญภั งคญาณให แ กกล ามากขึ้น ด ว ยการกําหนดรู
ความสิ้นไปเสื่อม หรือความแตกดับของสังขารเปนอารมณอยู ก็ยอมรูชัดวา
สังขารทั้งหลายที่เปนอดีตก็ดับไปแลว ที่เปนปจจุบันก็กําลังดับ แมจะเกิดใน
อนาคตก็จักดับไป จึงไมยึดเหนี่ยวในสังขาร ปญญาจะเห็นความเปนทุกขเปน
โทษของรูปนาม เห็นรูปนามโดยอาการเบื่อหนายไมอยากไดรูปนาม๙
ขั้นที่ ๔ นี้แทบจะไมปรากฏทุกขเวทนาทางกายแลว จิตจะวองไวขึ้น
มีอาการเผลอ เพลิน คิด ฟุงซาน งวง ซึ่งเปนเพราะ สมาธิมีมาก แตขาดสติ
จะทําใหควบคุมจิตไดยาก เกิดอาการเบื่อ เซ็ง และ ขี้เกียจในการปฏิบัติ
ภยญาณ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ โดยอรรถเปนญาณเดียวกัน๑๐
คัมภีรอรรถกถากลาวถึงปญญาในความปรากฏเปนของนากลัว เปนอันทาน
กลาวถึง ภยตุปฏฐานญาณ อาทีนวานุปสสนาญาณและนิพพิทานุปสสนา
ญาณ ดวยคํานั้นแล เพราะญาณทั้ง ๓ มีลักษณะอยางเดียวกัน และในคัมภีร
วิสุทธิมรรคก็กลาววา
อนึ่ ง นิ พ พิ ท าญาณนี้ โดยความหมายก็ เ ป น ญาณเดี ย วกั น กั บ ๒
ญาณขางตน (คือ ภยตุปฎฐานญาณและอาทีนวญาณ) เพราะเหตุนั้ น
ทานพระโบราณจารยทั้งหลายจึงกลาววา “ภยตุปฎฐานญาณเดียวนั่น
แล ไดชื่อ ๓ ชื่อ คือ ชื่อว าภยตุปฎ ฐาน เพราะเห็น สังขารทั้งปวงโดย
ความนากลัว ๑ ชื่อวาอาทีนวานุปสสนา เพราะใหเกิด (ความเห็น) โทษ
ร ายขึ้น ในสั งขารทั้งหลายเหล านั้ น นั่ น เอง ๑ ชื่ อว านิ พพิทานุ ป ส สนา
๙
พระสั ทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ , ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๒
วิปสสนากรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๖, ๒๕๕๔), หนา ๑๓๗-๑๔๔.
๑๐
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒๗/๒๘๑, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒๗/๓๘๓.
๖๑๖
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
เพราะบังเกิดเบื่อหนายขึ้นแลวในสังขารทั้งหลายเหลานั้นนั่นแล ๑” แม
ในพระบาลี ทานก็กลาวไววา “ปญญาใด ในภยตุปฎฐาน ๑ ญาณใดใน
อาที น วะ ๑ นิ พ พิ ท าใด ๑ ธรรมทั้ง หลายเหล านี้ มี ค วามหมายอย า ง
เดียวกัน พยัญชนะเทานั้นที่ตางกัน”๑๑
ทั้ง ๓ ญาณนี้เปนภูมิแหงปหานปริญญา กําหนดรูถึงขั้นละได คือ รู
ถึงขั้นที่ทําใหถอนความยึดติดเปนอิสระจากสิ่งนั้นๆ ได (ละวิปลาสได) และ
ปฏิบัติตอสิ่งตางๆ ไดถูกตองจัดเขาใน อริยสัจ ๔ คือ “แจงนิโรธ(อริยสัจ ๔
เกิดโดยสมบูรณขึ้นตามลําดับ)ทุกข, สมุทัย,นิโรธ, มรรค”
สภาวธรรมในขั้นนี้ โยคีจะเห็นโทษเห็นภัยของรูป-นาม ซึ่งเปนผล
จากภังคญาณ คือการที่รูปไมปรากฏชัดแกโยคี หรืออารมณที่เคยกําหนด
หายไปเปนญาณที่ ๖ คือเห็นเปนภัย และโยคีกําหนดแลวรูปหายไปหมดเลย
หรื อ มีความรู สึ ก ทุกข ที่จิ ต มากเพราะอาการของจิ ต ปรากฏชั ด เจน กิ เ ลส
อนุสัยปรากฏชัดคือโทษ จัดวาเปนญาณที่ ๗ เห็ นโทษของรูป-นาม โยคีมี
อาการเบื่อหนาย เซื่องๆ ซึมๆ ในชีวิต เปนตน จัดเปนญาณที่ ๘ นิพพิทา
ญาณ หรือมีสภาวะที่โยคีรูสึกขี้เกียจกําหนดอารมณที่กระทบทางทวารทั้ง ๖
เปนตน จัดเปนสภาวธรรมของบันไดขั้นนี้ มีรายละเอียดดังนี้
ญาณที่ ๖ ภยญาณ หรือ ภยตูปฏฐานญาณ
ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นวารูปนามนี้เปนภัย เปนที่นากลัวเหมือน
คนกลัวสัตวรายเชน เสือ เปนตน ผูปฏิบัติจะเห็นวา ภพชาติทั้งปวง (คือการ
ที่จิตเขาไปอิงอาศัยอารมณตางๆนั้น) เปนของไมปลอดภัย เนื่องจากอารมณ
ทั้งปวงลวนแตเกิดดับ
เมื่อโยคีนั้นเสพอยูเนืองๆ ทําใหมากซึ่งภังคานุปสสนา มีความสิ้นไป
ความเสื่อมไป และความแตกดับของสั งขารทั้งปวงเปน อารมณอยูอยางนี้
สังขารทั้งหลายซึ่งมีความแตกดับ (บรรดามีอยู) ในภพ (๓) กําเนิด (๔) คติ
(๕) วิญญาณฐิติ (๗) สัตตาวาส (๙) ทุกหนทุกแหงก็ปรากฏเปนที่นากลัวมาก
เชนเดียวกับสีหะ พยัคฆะ โคดุ สุนัขดุ ชางดุตกมัน อสรพิษราย สายฟา ปา
๑๑
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, ๒๕๕๑, หนา ๑๐๙๐.
๖๑๗
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
ชา สนามรบ และหลุมถานเพลิงที่ลุกโชติชวง เปนตน ปรากฏเปนที่นากลัว
มากแกบุรุษขลาด ผูปรารถนาดํารงชีวิตอยูโดยสุขสบาย
เปนญาณที่ไตรตรองวา “สังขารทั้งหลายที่เปนอดีตก็ดับไปแลว ที่เปน
ปจจุบันก็กําลังดับ ที่เปนอนาคตก็จักดับ” เปรียบเหมือนบุรุษที่เห็นหลุมถาน
เพลิ น ๓ หลุ มใกล ป ระตู เ มื อ ง ตั ว เขาเองไม รู สึ กกลั ว เพี ย งแต เ กิ ด ความ
หวาดเสียววา เมื่อมีคนตกลงไปคงไดรับความทุกขทรมานอยางแนนอน ญาณ
ชื่อวา ภยตุปฏฐานญาณ บังเกิดขึ้น๑๒
เมื่ อถึ งญาณนี้ ผู ปฏิ บั ติ จะเห็ นรู ป-นามที่ ดั บไปอย างรวดเร็ ว และ
ตอเนื่องจนเกิดความรูสึกวาเปนภัย กอนนั้นเคยหลงใหล แตตอนนี้รูสึกวาเปน
ภัย คือรูป-นามที่ประกอบเปนอัตภาพ เปนชีวิตจิตใจ ซึ่งดูไปแลวเปนแตรูป-
นาม จะเห็ นว าก็มันดั บอยู อยางนี้ สิ่ งที่ ปรากฏให รู ดั บไป ตั วผู รู ดับไป มีแต
อาการดับไป จนรูสึกวาเปนภัยไมใชสิ่งที่นาอภิรมยเสียแลว ในชีวิตนี้
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม
สภาวะของการเดินจงกรม มีลักษณะดังนี้
รู สึ กเสี ย วๆ คล ายจะเป น โรคประสาท จะเป น ทั้ ง อิริ ย าบถทั้ง ๔
บางครั้งเหมือนพื้นที่เดินไมเทากัน เปนคลื่นสูงบางต่ําบาง เหมือนเทาหายไป
ขณะเดินเหมือนอสุภะเกิดตามสวนตางๆ เชน ปรากฏเปนกระดูก
เปนแผลเหมือนไฟไหมดําๆ เหมือนคนแกชรามากๆ กําหนดรูอาการตางๆ
รวดเร็วมากขึ้นในการกําหนดรูอยูแลวเกิดอาการกลัวขึ้น
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ
กําหนดจนรูเห็นวารูป-นามนี้เปนภัย ผูปฏิบัติจะเห็นวาภพชาติทั้ง
ปวง (คือการที่จิ ต เขาไปอิงอาศัยอารมณต างๆ นั้น ) เป นของไมป ลอดภั ย
เนื่องจากอารมณทั้งปวงลวนแตเกิด-ดับ
- กําหนดพอง-ยุบ ปรากฏไมชัดเจนไมชัดเจน มัวๆ จางๆ หายๆ
- การปฏิบัติไมคอยดี บางครั้งหงุดหงิด ไมไดดั่งใจ
๑๒
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, ๒๕๕๑, หนา ๑๐๘๑.
๖๑๘
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
- กําหนดพองยุบไมได หยุดคั่นระหวางกลาง หรือหาพองยุบไมเจอ
กําหนดนั่งหนอ ลมหายใจติดขัด ไมคลอง รูสึกการปฏิบัติไมดีแตกําหนดอยู
หรือพองยุบวาง หรือหมุน
- อาการพองยุ บ ถี่ ขึ้ น กํ า หนดนั่ ง -ถู ก ไม ทั น ตั ด ถู ก ตั ด นั่ ง ทิ้ ง
ตามลําดับก็ยังไมทัน กําหนดเพียงรูหนอ หรือถาพองยุบหายไป ก็กําหนดนั่ง
หนอ จนอาการพองยุบจะปรากฏขึ้นอีก
- เมื่อถี่ขึ้น รูสึกหายใจแทบไมทัน ก็บังเกิความกลัว และเบื่อที่จะ
กําหนดตอไป
- มีอาการ แนนจุกเสียดมากขึ้นๆ กําหนดอาการพองยุบอยู แนนจุก
เสียดปวดราว ไปทั่วรางกาย ปวดศีรษะ ปวดฟน...
- อาการพองยุบนอยเบาลงไป ออนลงในที่สุดก็หายไป ไมมีอะไรจะ
ใหกําหนดเลย ..ลักษณะการเดินเดินวางๆ เซ ตัวโคลง ตาลืมไมขึ้น งวงจะ
พักผอนก็นอนไมหลับ เวทนา เจ็บปวด หลัง เอว ขา ขาหนัก กาวไมออก๑๓
- อาการพอง-ยุบดับหายไหวๆ ตลอดเวลา สิ่งที่กําหนดและจิตที่รูจะ
หายไปพรอมๆ กัน๑๔
- เห็นรางกายสูญหายไป เมื่อเห็นกําหนดหายไปตลอดเวลาเชนนั้น
ก็ทําใหรูสึกหวาดกลัวที่พบแตความเสื่อมสลายหายไป มีแตความแตกสลาย
หายไป และถูกบีบคั้นกดดันอยูตลอดเวลาทําใหหมดความเพลิดเพลิน และ
ไมรูสึกชื่นชมยินดีในอาการพอง-ยุบหรืออาการอื่นใด๑๕
ค. สภาวธรรมที่ปรากฎ : รับประทานอาหาร
กําหนดจนรูเห็นวารูป-นามนี้เปนภัย เปนที่นากลัว เหมือนคนกลัว
สัตวราย เชน เสือ เปนตน๑๖ ผูปฏิบัติจะเห็นวาภพชาติทั้งปวง (คือการที่จิต
๑๓
พระภาวนาวิสุทธิคุณ, คูมือวิปสสนาจารยสภาวธรรมของผูปฏิบัต,ิ หนา ๔๙.
๑๔
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, แปลโดย สมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ อาสภ
มหาเถร), พิมพครั้งที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท ธนาเพรส จํากัด, ๒๕๕๑), หนา ๑๐๘๓.
๑๕
เสวตร เปยมพงศสานต, พุทธวิปสสนา, หนา ๑๖๖-๑๖๗.
๑๖
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/-/๑/๕๗.
๖๑๙
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
เขาไปอิงอาศัยอารมณตางๆ นั้น) เปนของไมปลอดภัย เนื่องจากอารมณทั้ง
ปวงลวนแตเกิด-ดับ๑๗ผูปฏิบัติมักเห็น (ภาพนิมิต) สภาพของรางกายที่มีแต
เพียงกระดูกขาวโพลน กระบอกตากลวงโบ นาเกลียดนากลัวยิ่งนักจนเกิด
ความรูสึกวา ไมอยากได รูป-นามอีกตอไป เพราะถาไมมาอีก รูป-นามก็จะ
ตกอยูในสภาพเชนนี้อยูตอไป๑๘
พึงเนนย้ําใหโยคีเคลื่อนไหวอิริยาบถในขณะฉัน ทีละ ๑ อิริยาบถ เชน
ขยับ มือทีละขาง ถามือยังขยับอยูใหอมคําขาวไวกอน อยาพึ่งเคี้ยว ในขณะเคี้ยว
ใหสังเกตถึงความหนักเบาของแรงเคี้ยวดวย
- อารมณที่กําหนดกับจิตที่รูนั้นทันกัน ติดกัน หายไปพรอมกัน ให
กําหนดวา “รูหนอๆ”
- เห็นอาการยกมือขึ้นหรือลงกับจิตที่กําหนดรูดับพรอมกัน กําหนด
วา “รูหนอๆ”
- มี ค วามกลั ว ขึ้ น มาเฉยๆ แต ไ ม ใ ช ก ลั ว ผี ให กํ า หนดว า “กลั ว
หนอๆ”“รูหนอๆ”
- เห็ น อาการกลื น หายไป สู ญ ไปจึ ง น า กลั ว ให กํ า หนดว า “กลั ว
หนอๆ”“รูหนอๆ”
- รูสึกเสียวๆ ที่ฟน ที่ทองขึ้นมาเฉยๆ แตไมใชอาการเสียวฟนหรือ
ทอง ยืน เดิน นั่ง นอน ก็เชนกัน ก็ใหกําหนดวา “เสียวหนอๆ”“รูหนอๆ”
- ขณะฉัน(รับประทาน) ไมยินดี ไมเพลิดเพลิน ไมสนุกสนาน ให
กําหนดวา “รูหนอๆ”
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เวทนา
กําหนดจนรูเห็นวารูป-นามนี้เปนภัย เปนที่นากลัวเหมือนคนกลัว
สัตวรายเชน เสือ เปนตน ผูปฏิบัติจะเห็นวาภพชาติทั้งปวง (คือการที่จิตเขา
ไปอิงอาศัยอารมณตางๆ นั้น) เปนของไมปลอดภัย เนื่องจากอารมณทั้งปวง
ลวนแตเกิด-ดับ
๑๗
ขุ.จู.อ. (ไทย) ๖/-/-/๖๕๑.
๑๘
วิสุทธิ. (บาลี) ๒/๓๑๙.
๖๒๐
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
สภาวญาณนี้เปนผลจากภังคญาณ ซึ่งสภาวะญาณชวงนี้ปราฏไมชัด
จนกระทั่งหายไป แตในบางครั้งรูป-นามที่ปรากฏเบาบางไมชัด กลับปรากฏ
ชัดขึ้นเปนระยะๆ เวลาปรากฏชัดก็อยากนั่งกําหนดใหไดนานๆ เวลาปรากฏ
ไมชัดก็ไมอยากนั่ง อยากเดินจงกรมเสียมากกวา ตองบังคับใหโยคีนั่งภาวนา
และเดินจงกรมบัลลังกละ ๑ ชั่วโมงเทานั้น หามนอยและหามเกิน
อาการพองปรากฏรูสึกลักษณะของนิมิต เชน อาการพองใหญมาก
หรือ อาการยุบเหมือนลึก
เห็นรางกายแยกออกจากกันเปนสวนๆ แลวหายไป มีแตความวาง
เปลา
มีอสุภะเกิดขึ้นในขณะเดิน ยืน นั่ง นอน ปรากฏเหมือนตนเอง
ปรากฏดุจซากศพในลักษณะตางๆ เห็นรางกายแยกออกจากกันเปนสวนๆ
แลวหายไป มีแตความวางเปลา เห็นตัวเองมีแตหนังหุมกระดูกอยู เห็นเปน
กองกระดูกกองอยู
เห็ น ตั ว เองขาวใสเหมื อ นแก ว หรื อ เป น สี ต า งๆ สวยงามเหมื อ น
เทวดา หรือเปนดวงกลมๆ ลอยอยู
เห็นเหมือนโครงกระดูกนั่งสมาธิอยูดําทะมืนอยู เห็นเหมือนรูปในที่
มืดที่มีแสงสวางไมเพียงพอนั่งอยู บางครั้งมีอาการของรางกายขยายใหญขึ้น
เปนสอง-สามเทา เกิดขึ้นในตนเองและเห็นของผูอื่นก็เชนกัน
เวทนาในญาณนี้ปรากฏในลักษณะของความสูญเสีย หรือจิตของผู
ปฏิบัติปรากฏในเรื่องของความตายของตน และญาติผูใหญคนใกลชิดตาย
จากไป เชน บิดา มารดา ญาติสนิทคนใกลชิดทั้งหลาย ก็จะเกิดความรูสึก
เสียใจ จะรองไหในเรื่องเหลานั้น แตถาเปนเรื่องที่ดีใจก็อยากจะหัวเราะ
เมื่อเกิดอาการอย างนี้ให กําหนดรูทัน ที ถากําหนดไมทัน ก็จ ะรองไห จริ งๆ
หรือหัวเราะออกมาจริงๆ ตองกําหนดอยางเดียวจึงจะผานไปได
จิตสงออกขางนอกบอยตองกําหนดใหมากในจุดที่กําหนดให
ฟุ ง ซ า นบ อ ยและกั ง วลไปว า กํ า หนดไม ไ ด ต อ งบอกให อ ดทนให
กําลังใจ เห็นอะไรก็ใหกําหนดรูไป ถาไมกําหนดความคิดจะเยอะมากขึ้น
๖๒๑
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : จิต
กลัวอะไรก็ไมทราบ แตกลัว บางคนพูดวาเห็นพอง-ยุบหายไปจึ ง
กลัว บางคนจะพูดวา เพราะเมื่อกอนไมไดกําหนด ไมไดปฏิบัตินี้เอง กําหนด
ไปพบแตเสื่อมไป หายไปอยางนี้ กอนๆ ก็คงเปนอยางนี้ และตอๆ ไปก็คง
เปนเชนนี้ จึงเกิดความกลัว
หลังจากที่กําหนดเวทนาดับแลว อาการของจิตปรากฏจัดเจน กิเลส
ปรากฏเชน ฟุงซาน เปนตน
อารมณที่กําหนดและจิตที่รูกําหนดนั้นติดๆ กัน หายไปพรอมๆ กัน
ทุกครั้งที่อารมณและจิตนั้นหายๆ ไปรูสึกมีความกลัวเกิดขึ้น ที่กลัวนั้นไมใช
กลัว ผี สาง เปรต คน สัตว มีความกลัวอะไรนั้นบอกไมถูก กลัวที่กําหนด
หายไปๆ เห็นหายไปจึงกลัว เห็นพองยุบหายไปจึงกลัว พบแตความเสื่อมไป
หายไปอยางนี้ กอนๆ ก็คงเปนอยางนี้ และตอๆ ไปก็คงเปนเชนนี้จึงกลัว
เห็นรางกายสูญไป หายไป เกิดนึกถึงบิดา มารดา ญาติ มิตร ที่ยัง
ไมไดปฏิบัติแลวเกิดรองไหขึ้นมา เกิดความเขาใจวา ที่หายๆ ไปอยางนี้ คง
เปนเหมือนกกันทั้ง ๓๑ ภูมิ๑๙
เห็นรูปนามหายไป สูญไปจึงนากลัว รูสึกเสียวๆ คลายกับจะเปนโรค
เสนประสาท ยืน เดิน ก็เชนกัน
บางคนนึกถึงหมูเพื่อน ญาติมิตรแลวรองไห บางคนกลัวมากเห็ น
อะไรๆ ก็กลัว จนชั้นที่สุดเห็นตุมน้ําและเสาเตียงก็กลัว
เมื่อกอนเห็นวา รูปนามนี้ดี แตบัดนี้เห็นวารูปนามนี้ไมมีสาระแกน
สารอะไรเลย ไมยิ นดี ไมเพลิด เพลิน ไมสนุ กสนาน เปน เพียงพิจารณาว า
รูสึกนากลัวแตไมใชกลัวจริงๆ ก็ม๒๐
ี
๑๙
ดร. พระภัททันตอาสภมหาเถระ อัคคมหากรรมฐานาจริยะ บรรยาย, “การ
สอนวิชาครูครั้งแรกในเมืองไทย”, วิชาครู, หนา ๙๗-๙๘. (อัดสําเนา).
๒๐
พระธรรมธี ร ราชมหามุ นี (โชดก ญาณสิ ท ธิ ป.ธ.๙),คู มื อ สอบอารมณ
กรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๓,กรุงเทพมหานคร, หนา ๓๓-๓๔.
๖๒๒
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
เปนเพียงพิจารณาวา รูสึกนากลัว แตไมใชกลัวจริงๆ ก็มี ไมยินดี
ไมเพลิดเพลิน ไมสนุกสนาน
เกิดความกลัวตอความเปนไปของรูปนามอยางประหลาด โดยหา
เหตุผลไมได กําหนดไปที่ไหน มีแตการดับลงไปทุกแหง จึงเกิดความกลัวใน
รูปนามที่ยึดถือ
เห็นวารูปนามปจจุบันกําลังเกิดดับอยู รูปนามที่เปนอนาคตจักดับ
เชนเดียวกัน๒๑
ธรรมที่ปรากฏในความมั่นคงในพระพุทธศาสนาจะปรากฏขึ้นเปน
สวนใหญ เชน ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ขอวัตรปฏิบัติ เขาใจหลักธรรม
มากขึ้น เชน แตกอนปฏิบัติอานธรรมไมคอยเขาใจพอมาถึงญาณนี้ก็เขาใจใน
ความหมายของธรรมมากขึ้น
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : ธรรม
ขณะเดินบางครั้งปรากฏเหมือนพื้นที่เดินไมเสมอกัน เปนคลื่นสูง
บางต่ําบาง เหมือนเทาหายไป
ปรากฏในขณะเดินเหมือนอสุภะเกิดขึ้น ตามสวนตางๆ ของรางกาย
ในขณะเดิน เชน เห็นขาปรากฏเปนกระดูกในขณะเดิน เปนแผลเหมือนไฟ
ไหมดําๆ ปรากฏเหมือนคนแกชรามากๆ
เมื่อกอนเห็นวารูปนามนี้ดี แตบัดนี้เห็นวารูปนามนี้ไมมีสาระแกน
สารอะไรเลย
เมื่อกอนเห็นวา รูปนามนี้ดี แตบัดนี้เห็นวารูปนามนี้ไมมีสาระแกน
สารอะไรเลย
ไมยินดี ไมเพลิดเพลิน ไมสนุกสนาน
เกิดอาการกลัวตอความเปนไปแหงรูปนามอยางประหลาด โดยหา
เหตุผลใหแกตนเองไมได
๒๑
พระมหาณัชพล นราวงษ(ผูเรียบเรียง),คูมือการสอบอารมณสําหรับพระ
วิปสสนาจารย สภาวะของวิปสสนาญาณ ๑๖, (๒๕๕๓), หนา ๓๔๓.
๖๒๓
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
เมื่อเห็ น สิ่ งที่ต นเขาใจผิ ด เคยยึ ด ถือว าเป น ตั ว เป น ตนเช น นี้ เกิ ด
แสดงอาการและมีทาที่วาจะตายลงไปทีเดียว กําหนดลงไปที่ไหน ก็มีแตการ
แตกดั บลงไปทุกแหง เมื่อเป นอยางนี้จึ งเกิด ความกลั วในรู ปนามที่ต นเคย
ยึดถือมา
ผูปฏิบัติเห็นอยูวา รูปนามที่เปนปจจุบันกําลังเกิดดับอยู รูปนามที่
เปนอนาคตก็จักดับเชนเดียวกันมีอุปมาดังนี้
อุ ป มาที่ ๑ หญิ ง คนหนึ่ ง มี บุ ต ร ๓ คน เป น ขบถต อ พระราชา
พระราชาจึงบังคับใหตัดศีรษะของบุตรทั้ง ๓ นั้น หญิงนั้นจึงทอดอาลัยใน
บุตรเหลานั้นที่กําลังถูกตัดศีรษะอยูนั้น
อุปมาที่ ๒ หญิงคนหนึ่งคลอดลูก ๑๐ คน ใน ๑๐ คนนั้นตายไปแลว
๘ คน ตายคามืออยูอีกคน ๑ จึงทอดอาลัยในลูกคนที่ ๑๐ที่อยูในทองอุปมา
ที่ ๓ ดุจบุรุษผูมีตาดีแลเห็นหลุมถานเพลิง ๓ หลุม
อุปมาที่ ๔ ดุจบุรุษผูมีตาดีแลเห็นหลาว ๓ เลม ที่วางเรียงกันไว
ผูปฏิบัติจะเห็นวา รูปนามที่อยูในภูมิทั้ง ๓๑ ภูมิ ยอมมีความเกิดดับ
มีภัยเฉพาะหนา เปนของนากลัว เปนไปตามหลักของพระไตรลักษณ ญาณนี้
จึงไดชื่อวา ภยตูปฏฐานญาณ
การกําหนดรูในอาการตางๆ รวดเร็วมากขึ้นในการกําหนดรูอยูแลว
เกิดความกลัวขึ้น ผูปฏิบัติจะเห็นรูป-นามที่ดับไปอยางรวดเร็ว และตอเนื่อง
จนเกิดความรูสึกขึ้นในใจวาเปนภัยเสียแลว คือยอยยับตอหนาตอตา ไมวา
สวนไหนมันก็ดับไปหมด สิ่งที่ปรากฏใหรูดับไป ตัวที่รูดับไป ตัวผูรูดับไป มี
แตอาการดับไปดับไป จนรูสึกวาเปนภัยไมใชสิ่งที่นาอภิรมยเสียแลว
อารมณที่กําหนดและจิตที่รูกําหนดนั้นติดๆ กัน หายไปพรอมกันทุก
ครั้งที่อารมณและจิตนั้นหายๆ ไป จึงรูสึกมีความกลัวเกิดขึ้น ที่กลัวนั้นไมใช
กลัวผีสางเปรต คน สัตว อาวุธอะไร มีความกลัวอะไรนั้นบอกไมถูก โยคีที่
บอกวากลัวนั้น จะเปนภังคญาณเสมอไปก็มิใช เพราะที่กลัวนั้นเพราะฝ น
กลัวเพราะผีสาง อะไรก็มี เชนนี้ไมใช
๖๒๔
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
ปริญญา ๓ และอริยสัจ ๔ ในภยญาณ
พิจ ารณาเห็ น รู ป -นามเป น ไตรลั ก ษณ โ ดยประจั ก ษ เห็ น รู ป -นาม
พรอมจิตที่เขาไปรูนั้นดับไปพรอมกันดวยภังคญาณ
๑) ญาตปริญญา กําหนดรูป-นามเปนของนากลัว เปนการกําหนด
รูขั้นรูจักรูป-นามวาเปนทุกขสัจ ๒๐%
๒) ตีรณปริญญา การพิจารณาเห็นสังขารที่เปนไตรลักษณ เปนของ
นากลัว ๓๐ %
๓) ปหานปริญญา กําหนดรูพิจารณาสังขาร วาเปน ของไมนายิน ดี
ยอมละสุภวิปลาสและสุขวิปลาสเสียได (เกิดความกลัวจากการเห็นรูป-นาม
เกิด-ดับจากภังคญาณ) คือแจงนิโรธอริยสัจ ๕๐ %๒๒ (อริยสัจ ๔ สมบูรณ
ขึ้นตามลําดับ)
อัตราการการใสใจวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๐-๑ (นิวรณ)
๒ (ทุกขเวทนา)
๖. ภยญาณ ๕ (ขันธ ๕)
๑๐ (โทมัสสเวทนา) ๑๐ (จิตกุศล)
๑๐ ๕ (อายตนะ) ๔๐
0 (สุขเวทนา) ๓ (จิตอกุศล)
๕ (โพชฌงค)
๓ (อุเบกขา)
๖ (อริยสัจ)
๐-๑ (นิวรณ)
๒ (ทุกขเวทนา)
๕ (ขันธ ๕)
๑๐ (โทมัสสเวทนา) ๑๐ (จิตกุศล)
๗.อาทีนวญาณ ๑๐ ๕ (อายตนะ) ๔๐
0 (สุขเวทนา) ๓ (จิตอกุศล)
๕ (โพชฌงค)
๓ (อุเบกขา)
๖ (อริยสัจ)
๑. กายานุปสสนา ๑๐ % (เทาเดิม) พองยุบแทบไมมี แตนิวรณ
กลับมาแบบเกิดๆ ดับๆ ขัดๆ เคืองๆ ไมไดดั่งใจ
๒๒
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ., “ศึกษาวิเคราะหสติปฏฐาน ๔ และหลักปฏิบัติ
วิปสสนา ๗ เดือน ในคัมภีรพุทธศาสนาเถรวาท, ๒๕๕๓), หนา ๒๙๒.
๖๒๕
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
๒. เวทนานุปสสนา ๑๕% (โสมนัสสุขใจหดหายไป โทมนัสเพิ่มขึ้น
๑๐% ,สุขกาย ๒ % อุเบกขา ๓ % มีโทมนัสทุกขใจเพิ่ม จากการเห็น
สังขารเปนภัย สุขใจจึงหายไป
๓. จิตตานุปสสนา ๑๓ % (กุศลจิต ๑๐% [จากเดิม ๑๐%], อกุศล
จิต ๓ % [จากเดิม ๐%]) จิตกุศลเทาเดิม แตจิตอกุศลเพิ่มขึ้น เพราะรูสึก
กลัวๆ รูป-นาม(กายใจ)มีแตอาการดับหาย กําหนดนิ่งหนอ -ถูกหนอ ก็ยังไม
พอง จนนานมาก คิดปุบกําหนดดับทันทีจนรูสึกผวา กลัวๆ จิตจะหลับวูบ
หาย แตไมเปนอุเบกขาที่เปนโพชฌงค แจงชัดทุกขอริยสัจมากขึ้น
๔. ธัมมานุปสสนา ๒๒ % (ขันธ ๕ % ,อายตนะ ๕ %, โพชฌงค ๕
%, อริยสัจ ๖ % [รวมเปนโพธิปกขิยธรรม ๑๑ % จากเดิม ๓ %]) แตนิวรณ
กลับมาเกิดๆ ดับๆ เปนอารมณของธัมมานุปสสนา ไมใชงวง แตฟุงในธรรม
มีโพชฌงค ๕ % อริยสัจ ๖%
เพงความสนใจไปที่วิถีจิตที่บริกรรมภาวนาลดลง ๔๐ % และใสใจ
พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ๖๐ % แตเนนไปที่สภาพนามธรรมที่เปน
อารมณจิต
เมื่อผูปฏิบัติมาถึงภยญาณนี้แลวจะพบวามีสภาวะและการกําหนดรู
ทางกายานุปสสนาแค ๑๐ % แตจะมีภาวะโทมนัสทางจิตเพิ่มขึ้น และเปน
อุเบกขาบางเปนบางครั้ง แตเวลากําหนดรูก็ดับเร็ว สวนจิตตานุปสสนามี ๑๓
เปอร เ ซ็ น ต แบ ง เป น จิ ต กุ ศ ล ๒๐ เปอร เ ซ็ น ต และจิ ต ที่ เ ป น อกุ ศ ล ๓
เปอรเซ็นต หมวดธัมมานุปสสนา ๒๒ เปอรเซ็นต เห็นสภาพธรรมที่เปนทุก
ขอริย สัจ เพิ่มขึ้น ๖ เปอรเ ซ็น ต และมีนิ วรณเ กิด ดับ อัน เนื่องจากมีจิ ตเป น
อกุศล กับโทมนัสสเวทนา อันเกิดจากสภาพธรรมของ ภยญาณ คือ กําหนด
รูปนามเกิดดับมากๆ จนเกิดความนากลัวในสังขารทั้งหลาย
ความสมดุลของอินทรีย ๕
วิปสสนาญาณ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา
๑๐๐% ๑๐๐% ๑๐๐% ๑๐๐% ๑๐๐%
ภยญาณ ๖๐ ๕๐ ๖๐ ๕๐ ๖๐
๖๒๖
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
เมื่อผูปฏิบัติมาถึงภยญาณจะเห็นรูปนามที่เกิดดับมากๆ เร็วๆ จน
เกิดความรูสึกกลัวตอสังขารขึ้นมาทําใหมีศรัทธาในการปฏิบัติ ๖๐% เมื่อ
เกิดความกลัวขึ้นแตก็กําหนดรูรูปนามอยูจึงมีความเพียรหรือวิริยะ ๕๐%
สวนสติในญาณนี้ มีประมาณ ๖๐% สติ ยิ่งมากยิ่งดี แตสมาธิในช วงนี้ มีแค
ประมาณ ๔๐% เพราะมีนิวรณมาปะปนอยู ปญญาที่เกิดจากการกําหนดรู
สําหรับชวงนี้มีประมาณ ๖๐% เพราะเริ่มกลัวรูปนามที่มีความเกิดดับอยาง
ไมขาดสาย การปรับอินทรียถาวิริยะกับสมาธิไมเทากัน ถาวิริยะนอยกวา
สมาธิใหลดสมาธิลงเพื่อใหเสมอกับวิริยะ แตถาเพิ่มวิริยะมันจะทําใหสมาธิ
เพิ่มตามมาดวย สวนสติยิ่งมากยิ่งดี
ญาณที่ ๗ อาทีนวญาณ
ญาณที่เห็นรูป-นามเปนโทษ เห็นสังขารทั้งหลายมีแตทุกขโทษ ไมมี
รสชาติ ไมมีความอบอุนใจแตเพียงฝายเดียว พิจารณาเห็นโทษของสังขาร
ธรรม ๑๕ ประการ มีอุปปาทอาทีนวญาณ หมายถึง การพิจารณาเห็นทุกข
โทษในการเกิดของรูป-นาม เปนตน ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นวารูป-นามนี้
เปนโทษ เหมือนผูที่เห็นไฟกําลังไหมเรือนตนอยู จึงคิดหนีจากเรือนนั้น ใน
ระหวางที่อิง อาศัยอารมณนั้น จิตไมไดมีความสุขจริง เพราะภพชาติทั้งปวง
ลวนแตมีทุกขมีโทษในตัวเอง
อาทีนวญาณ ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นวารูปนามนี้เปนโทษ เหมือน
ผูที่เห็นไฟกําลังไหมเรือนตนอยูจึงคิดหนีจากเรือนนั้นในระหวางที่อิงอาศัย
อารมณนั้นจิตไมไดมีความสุขจริง เพราะภพชาติทั้งปวงลวนแตมีทุกขมีโทษ
ในตัวเอง๒๓ ผูปฏิบัติจะเกิดความรูสึกวา นาม-รูปนี้เปนโทษ ในขณะที่เห็น
รูป-นามดับไป จึงเห็นวาเปนภัยเปนโทษญาณนี้ไดอารมณตอเนื่องมาจาก ภย
ญาณ ที่เห็นรูป-นามเปนภัย จึงเกิดปญญาเห็นวา รูป-นาม คือ สังขารนี้เปน
โทษ ซึ่ ง สิ่ ง ใดที่ เ ป น ภั ย สิ่ ง นั้ น ย อ มเป น โทษ นี่ เ ป น ไปอย า งธรรมดาตาม
ธรรมชาติ การเห็นโทษในที่นี้เห็นถึง ๕ ประการ คือ
๒๓
พระภาวนาพิศาลเมธีวิ., เรื่องเดียวกัน, หนา ๔๖๕.
๖๒๗
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
๑. เห็นความเกิดขึ้นของสังขารที่ตนปฏิสนธิมา วาเปนโทษ
๒. เห็นความเปนไปของสังขารในระหวางที่ตั้งอยูในภพและคติที่
ตนไดวาลวนเปนโทษ
๓. เห็นกรรมที่เปนปจจัยใหเกิดขึ้นมานั้นเปนโทษ มิใชคุณ
๔. เห็นความเสื่อมความสิ้นไปของสังขาร วาเปนโทษ
๕. เห็นวาการที่จะตองไปเกิดอีกนั้น เปนโทษ๒๔
สภาวญาณนี้เปนผลจากภังคญาณ ปราฏไมชัดจนกระทั่งหายไป แต
ในบางครั้งรูป -นามที่ปรากฏเบาบางไมชัด กลับ ปรากฏชัด ขึ้น เป นระยะๆ
เวลาปรากฏชัดก็อยากนั่งกําหนดใหไดนานๆ เวลาปรากฏไมชัดก็ไมอยากนั่ง
อยากเดินจงกรมเสียมากกวา พระวิปสสนาจารยพึงบังคับใหโยคีนั่งภาวนา
และเดินจงกรมบัลลังกละ ๑ ชั่วโมงเทานั้น หามนอยและหามเกิน
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม
สภาวะของการเดินจงกรม มีลักษณะดังนี้
๑. หนักๆ เบาๆ เวลาเดินเหมือนมีอะไรติดอยูที่เทา
๒. อาการเดินเคลื่อนไหวชา ลง
๓. เหนื่อยงายในเวลาเดินเหมือนไมมีกําลัง
๔. เวทนามีมากมายในขณะเดิน
๕. การเดินจงกรมรูสึกไมดี นาเกลีย ด นาเบื่อ ในรางกายของตน
บางทีเขาจะพูดวา การกําหนดอะไรก็ตาม พบแตของไมดีทั้งนั้นฯ บางคนพูด
วา ที่ดีนั้นไมพบเห็นอะไรเลยฯ
๖. การกํ าหนดนั้ น รู สึ กมั น ติ ดๆ กัน ทีเ ดี ย ว แต ไ มเ ห็ น อะไรดี เ ลย
อารมณที่กําหนดไปนั้นพรอมกับจิตที่กําหนดไปนั้นก็ไมดีเสียเลย
๗. กําหนดเดี๋ยวนี้กําหนดหายไปไมเห็นมีอะไรดี และไมพบดี ดวย
เพราะขณะกําหนดนี้ไมเห็นมีอะไรดีและไมพบอะไรดี การกําหนดนี้ทุกสิ่งทุก
๒๔
พระภาวนาพิศ าลเมธี วิ ., เอกสารประกอบการสอน รายวิ ชาสั มมนา
วิปสสนา, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕, หนา๔๖๕.
๖๒๘
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
อยางไมมีอะไรดี และไมพบอะไรดี การกําหนดนี้ทุกสิ่งทุกอยางไมมีอะไรดี
นั้นถาไมมีเสียเลยจะดี๒๕
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ
สภาวะของอาทีนวญาณ อาการพอง-ยุบ หายไปทีละนิดๆ
เห็นวารูป-นามไมดี นาเบื่อหนาย กําหนดอะไร ก็ไมเห็นมีอะไรดี รูป-นาม
ปรากฏเร็ว แตกําหนดไดดีอยู แตบางครั้งรูสึกวาปฏิบัติไมดีเหมือนวันกอนๆ
ตั้งสติกําหนดลงไปที่ใดก็มีแตของไมดี ไมสวย เห็นแตทุกขโทษไป
เสียหมด เกิดตาสวางขึ้นมาวา รูป นาม เปนของไมนาชอบใจ บัดนี้รูความ
จริง ตาสวางขึ้นจากความเพียรในการเจริญวิปสสนานั่นเอง๒๖
อาการพอง-ยุบปรากฏขึ้นเร็ว และหายไปเร็ว ดูเปนสิ่งที่นาเบื่อไม
นาพึงพอใจ และเกิดความคิด ทุกสิ่งที่มีอยูนั้น ไมเห็นมีอะไรดีแตสักอยาง
เดียว ไมใชเปนสิ่งที่นาชมเทานั้น แตยังเปนสิ่งที่นาเกลียดไรประโยชนและมี
โทษ ไมนาปรารถนาเหมือนอยูในปาอันรกรางนาพรั่นพรึงจากภยันตรายที่
รูสึกวามีอยูรอบตัว
เปนทุกขทางทวาร ๖ คือ ตาเจ็บ ปวดที่ตา คันที่ตา แสบรอน ออน
ลา ขี้ตามีมากกวาปกติ
ในหูเหมือนมีอะไร คันบาง มีอะไรไตบาง รอนในหู ปวดเปนพักๆ หู
ตึง หูอื้อ เหมือนมีลมเขาออก เหมือนมีอะไรไตตามใบหู เปนตน
จมูก เหมื อนเป น หวั ด แน น เหมื อนหายใจไมส ะดวก ปวด มี กลิ่ น
เหม็นแปลกๆ เปนแผล บวมแดง เปนตน
ลิ้นเหมือนไมรูรสอาหาร บวมแดงเปนเม็ดในลิ้นเหมือนรอนใน รอน
ในปาก แผลมุมปาก เหงือกบวม ปวดฟน เปนตน
กายเหมือนคนไมมีกําลัง ปวดตามเนื้อตัว เหมือนเปนไข ปสสาวะ
บอย แตไมคอยออก ปวดที่อวัยวะเพศ เปนเหมือนมีอะไรปกคาอยูในทวาร
หนักและทวารเบา มีอาการบวมเหมือนเปนริดสีดวงทวารหนัก (เปนจริง)
๒๕
ดูใน ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๕๙.
๒๖
พระเทพสิทธิมุนี (โชดก ป.๙), คูมือสอบอารมณกรรมฐาน, หนา ๓๕-๓๗.
๖๒๙
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
เหมือนมีพยาธิไชอยู เหมือนมีอะไรคาอยู เหมือนขับถายไมสุด หรือรูสึกวา
ถายไมหมด เหมือนถายไมออกอะไรทํานองนี้
ค. สภาวธรรมที่ปรากฎ : รับประทานอาหาร
อาการกลืนหายไปทีละนิดๆ ปรากฏมัวๆ ลางๆ ไมชัดเจน ใหกําหนดวา
“ไมชัดหนอๆ”“รูหนอๆ” สลับกันไปจนกวาจะหมดอาการกลืน
จะมีความรูสึกวาการฉันหรือกินไมดี นาเกลียด นาเบื่อ ไมนากิน กิน
ไปก็แคนั้น ใหกําหนดวา “เกลียดหนอๆ”“ เบื่อหนอๆ”
สภาวะรับรูทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจปรากฏเร็ว แตกําหนดไดดีอยู
มีแตสภาพการณที่มีโทษ คือ เปนที่ตั้งแหงทุกขและโทษ เพราะความเกิดขึ้น
แหงรูป-นาม ความสลายแหงรูป-นาม รูป-นามเปนไตรลักษณ
กําหนดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไมไดดี สูวันกอนๆ ไมได ก็ใหมี
ความตั้งใจใหมากขึ้น ใหกําลังใจมากๆ
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เวทนา
ปรากฏทุกขเวทนาเปนหลักในภาวะของกายมีจิตเปนตัวสงเสริมให
เกิดความทุกขมากขึ้น เวทนาจะเกิด ขึ้นทางทวารทั้ง ๖ เปน สวนใหญ ทั้ง
ทุกข สุข และ เฉยๆ
กําหนดจนรูเ ห็ น ว า รู ป-นามนี้ เ ป น โทษ เหมือนผู ที่เ ห็ น ไฟกําลั งไหม
เรือนตนอยู จึงคิดหนีจากเรือนนั้นในระหวางที่อิงอาศัยอารมณนั้นจิตไมไดมี
ความสุขจริง เพราะภพชาติทั้งปวงลวนแตมีทุกขมีโทษในตัวเอง
เมื่อโยคีนั่งปฏิบัติภายใน ๑ ชั่วโมงไมปรากฏทุกขเวทนาเลย ปรากฏ
แตสุขเวทนาซ้ําๆ ซากๆ ตลอด ๑-๕ วันติดตอกัน จนรูสึกเบื่อเซ็ง อาการคิด
ฟุงกลับเพิ่มมากขึ้น
รูปนามเปนที่ตั้งแหงทุกขโทษ ไมจีรังยังยืนบังคับบัญชาไมได ทนอยู
ไมได เห็นรูปนามไมมี นาเบื่อหนาย ปฏิกูล เปนรังของโรคนานาชนิด
กําหนดทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ไมเห็นมีอะไรดี
รูสึกวา การปฏิบัติสําหรับวันนี้ สูวันกอนๆไมได
๖๓๐
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
มีอาการหงุดหงิดหวาดผวา แลเห็นรางกายนี้เต็มไปดวยเลือดหนอง
ขึ้นอืดเนา
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการจิต
จิตมีอาการแตกตางไปจากปกติปรากฏอยางชัดเจนแทรกซอนเขา
มา ก็ให กําหนดอารมณนั้ นทัน ทีวา มีอารมณอย างไร เช น เมื่อจิ ต มีร าคะ
โทสะ โมหะ ความหดหู ความฟุงซาน ความคิดนึก ความสงบ ความไมสงบ
ฯลฯ ก็รูชัดวา จิตมีอารมณอยางนั้นๆ ตามความเปนจริง
สภาวะจิตเกิดการใหเหตุใหผลแกตนเอง จิตเริ่มยอมรับความเปน
กลางมากขึ้นในการมองเห็นความผิดชอบชั่วดีที่ตนเองเปนเหตุมากขึ้นไมเพง
โทษคนอื่นวาเปนเหตุ เห็นความไมดีไมงามในความประพฤติที่ตนเคยปฏิบัติ
มาแต หนหลั งในเรื่ องต างๆ จิ ต เริ่มสํ านึกในบาปกรรมเหล านั้ น ว าเราเป น
ผูกระทําขึ้นมา
รูปนามปรากฏเร็วแตกําหนดไดดีอยู เห็นวาไมมีอะไรที่นาพิสมัยเลย
เห็นโทษของรูปนามที่กําหนดอยูนั้นประกอบดวยทุกขโทษตางๆ
ตั้งสติกําหนดลงไปในที่ใดก็มีแตของไมดี ไมสวยงาม เห็นแตทุกข
โทษไปเสียหมด เห็นรูปนามเปนของปฏิกูลนาเกลียด นาเบื่อ ไมนายินดีเลย
แตกอนเห็นวารูปนาม เปนของนาพอใจเคยติดใจหลงใหลมานาน
แลว ทั้งนี้เพราะไมรูความจริง บัดนี้ไดรูความจริงแลว เพราะตาคือวิปสสนา
ปญญานั่นเอง
ยอมเห็นวา สิ่งใดนากลัวสิ่งนั้นเปนทุกข สิ่งใดเปนทุกข สิ่งนั้นเปน
อามิส คือ เปนเหยื่อลอใหหลงติอยูสิ่งนั้น ยอมมีแตทุกขแตโทษทั้งนั้น
เห็นวาไมมีอะไรที่นาพิสมัยเลย เห็นโทษของรูปนามที่ตนกําหนดอยู
นั้นมากมาย ซ้ําประกอบดวยทุกขโทษตางๆ
เห็นรูปนามเปนของปฏิกูลนาเกลียด นาเบื่อ ไมนายินดีเลย กําหนด
ลงไปในที่ใดก็มีแตของไมดี ไมสวย ไมงาม เห็นแตทุกขโทษไปเสียหมด
แตกอนเห็นวา รูปนาม เปนของนาพอใจเคยติดใจหลงใหลมานาน
แลว ทั้งนี้เพราะไมรูความจริง บัดนี้ไดรูความจริงแลว เพราะตาคือวิปสสนา
๖๓๑
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
ปญญานั่นเอง
ยอมเห็นวา สิ่งใดนากลัวสิ่งนั้นเปนทุกข สิ่งใดเปนทุกข สิ่งนั้นเปน
อามิสคือเปนเหยื่อลอใหหลงติดอยูสิ่งนั้น ยอมมีแตทุกขแตโทษทั้งนั้น
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : ธรรม
ผูปฏิบัติจะเกิดความรูสึกวา นาม-รูปนี้เปนโทษ ในขณะที่เห็นรูป-
นามดับไปๆ เกิดความรูสึกวาเปนโทษ นอกจากจะเห็นภัยแลว ยังรูสึกวาเปน
โทษอีก ญาณนี้ไดอารมณตอเนื่องมาจากภยญาณ ที่เห็นรูป-นามเปนภัย จึง
เกิดปญญาเห็นวารูป-นามคือสังขารนี้เปนโทษ ซึ่งสิ่งใดที่เปนภัยสิ่งนั้นยอม
เปนโทษ นี่เปนไปอยางธรรมดาตามธรรมชาติ
เห็นวา ๓๑ ภูมิ ไมมีที่ตานทาน ไมมีที่หลีกเรน ไมมีทางไป ไมมีที่
พํานัก ไมนาปรารถนา ไมนาจับตอง ภพทั้ง ๓ ปรากฏดุจหลุมถานเพลิง อัน
เต็มไปดวยถานปราศจากเปลว
ขันธ ๕ ดุจนายเพชฌฆาต มหาภูตรูปทั้ง ๔ ปรากฏดุจอสรพิษทั้ง
รายกาจ อายตนะภายใน ๖ เปนดุจเปนบานราง อายตนะภายนอก ๖ เปน
ดุจโจรปลนบาน
วิญญาณฐีติ ๗ สัตตาวาส ๙ เปนดุจถูกไฟ ๑๑ ติดทั่วทั้งหมด
สังขารทั้งปวงเปนดุจผี เปนโรค เปนลูกศร เปนอาพาธ ปรากฏเปน
กองทุกขอันใหญหลวงไรความแชมชื่น เหมือนปาชาชัฏ แมจะตองอยูโดย
อาการอันนารื่นรมย ยอมเปนดุจสัตวราย ถ้ําเปนดุจมีเสือโครง น้ําเปนดุจมี
จระเขและผีเสื้อยักษ ขาศึกเปนดุจเงื้อดาบ โภชนะเปนดุจเจือยาพิษ ทางเปน
ดุจมีโจร เรือนเปนดุจไฟไหม สมรภูมิเปนดุจมีกองทัพที่เตรียมพรอมอยูแลว
ผูปฏิบัติยอมเห็นทุกขโทษของรูปนามอยางเดียวเปรียบเหมือนบุรุษ
อาศัยปาชัฏ มีสัตวรายมากมาย ยอมกลัว สลดใจ เห็นทุกขโทษโดยรอบดาน
ฉะนั้น๒๗
๒๗
พระธรรมธี ร ราชมหามุ นี (โชดก ญาณสิ ท ธิ ป.ธ.๙),คู มื อ สอบอารมณ
กรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๓, (: โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หนา ๓๗.
๖๓๒
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
ปริญญา ๓ และอริยสัจ ๔ ในอาทีนวญาณ
พิจ ารณาเห็ น รู ป -นามเป น ไตรลั ก ษณ โ ดยประจั ก ษ เห็ น รู ป -นาม
พรอมจิตที่เขาไปรูนั้นดับไปพรอมกันดวยภังคญาณ
๑) ญาตปริญญา กํา หนดเห็น สัง ขารที่นา กลัว เปน โทษ เปนการ
กําหนดรูขั้นรูจักรูป-นามวาเปนทุกขสัจ ๒๐%
๒) ตีรณปริญญา พิจ ารณาเห็น โทษของสัง ขารอยูใ นไตรลัก ษณ
๓๐ %
๓) ปหานปริญญา กําหนดรูสังขาระรรมถึงขั้นละอัสสารทสัญญา
(ความนาชื่นชมยินดี)ยอมละสุภวิปลาสและสุขวิปลาสเสียได คือแจงนิโรธ
อริยสัจ ๕๐ % (อริยสัจ ๔ สมบูรณขึ้นตามลําดับ)
อัตราการการใสใจวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๕ (ขันธ ๕)
๐-๑ (สุขเวทนา)
๕ (อายตนะ)
๕. ภังคญาณ ๑๐ ๔ (โสมนัสส) ๑๐ (จิตกุศล) ๕๐
๕ (โพชฌงค)
๕ (อุเบกขา)
๕ (อริยสัจ)
๐-๑ (นิวรณ)
๒ (ทุกขเวทนา)
๕ (ขันธ ๕)
๗. ๑๐ (โทมัสสเวทนา) ๑๐ (จิตกุศล)
๑๐ ๕ (อายตนะ) ๔๐
อาทีนวญาณ 0 (สุขเวทนา) ๓ (จิตอกุศล)
๕ (โพชฌงค)
๓ (อุเบกขา)
๖ (อริยสัจ)
๑. กายานุปสสนา ๑๐ % (เทาเดิม) พองยุบแทบไมมี แตนิวรณ
กลับมาแบบเกิดๆ ดับๆ ขัดๆ เคืองๆ ไมไดดั่งใจ
๒. เวทนานุปสสนา ๑๕% (โสมนัสสุขใจหดหายไป โทมนัสเพิ่มขึ้น
๑๐% ,สุขกาย ๒ % อุเบกขา ๓ % มีโทมนัสทุกขใจเพิ่ม จากการเห็น
สังขารเปนโทษ สุขใจหายไป
๖๓๓
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
๓. จิตตานุปสสนา ๑๓ % (กุศลจิต ๑๐% [จากเดิม ๑๐%], อกุศล
จิต ๓ % [จากเดิม ๐%]) จิตกุศลเทาเดิม แตจิตอกุศลเพิ่มขึ้น เพราะรูสึก
กลัวๆ รูป-นาม(กายใจ) มีแตอาการดับหาย กําหนดนิ่งหนอ -ถูกหนอ ก็ยัง
ไม พ องจนนานมาก กํ า หนดดั บ ทั น ที จ นรู สึ ก ผวา เพราะเห็ น โทษในกอง
สังขาร แจงชัดทุกขอริยสัจมากขึ้น
๔. ธัมมานุปสสนา ๒๒ % (ขันธ ๕ % ,อายตนะ ๕ %, โพชฌงค ๕
%, อริยสัจ ๖ % [รวมเปนโพธิปกขิยธรรม ๑๑ % จากเดิม ๓ %]) แตนิวรณ
กลับมาเกิดๆ ดับๆ เปนอารมณของธัมมานุปสสนา ไมใชงวง แตฟุงในธรรม
มีโพชฌงค ๕ % อริยสัจ ๖%
เพงความสนใจไปที่วิถีจิตที่บริกรรมภาวนาลดลง ๔๐ % และใสใจ
พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ๖๐ % แตเนนไปที่สภาพนามธรรมที่เปน
อารมณจิต
เมื่อผูปฏิบัติมาถึงภยญาณนี้แลวจะพบวามีสภาวะและการกําหนดรู
ทางกายานุปสสนาแค ๑๐ % แตจะมีภาวะโทมนัสทางจิตเพิ่มขึ้น และเปน
อุเบกขาบางเปนบางครั้ง แตเวลากําหนดรูก็ดับเร็ว สวนจิตตานุปสสนามี ๑๓
เปอร เ ซ็ น ต แบ ง เป น จิ ต กุ ศ ล ๒๐ เปอร เ ซ็ น ต และจิ ต ที่ เ ป น อกุ ศ ล ๓
เปอรเซ็นต หมวดธัมมานุปสสนา ๒๒ เปอรเซ็นต เห็นสภาพธรรมที่เปนทุก
ขอริย สัจ เพิ่มขึ้น ๖ เปอรเ ซ็น ต และมีนิ วรณเ กิด ดับ อัน เนื่องจากมีจิ ตเป น
อกุ ศล กับ โทมนั ส สเวทนา อัน เกิด จากสภาพธรรมของอาที น วญาณ คื อ
กําหนดรูปนามเกิดดับมากๆ จนเห็นโทษภัยในสังขารทั้งหลาย
ความสมดุลของอินทรีย ๕
วิปสสนาญาณ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา
๑๐๐% ๑๐๐% ๑๐๐% ๑๐๐% ๑๐๐%
อาทีนวญาณ ๖๐ ๔๐ ๖๕ ๕๐ ๖๕
เมื่อผูปฏิบัติมาถึงอาทีนวญาณจะเห็นรูปนามที่เกิดดับมากๆ เร็วๆ
จนเกิดความรูสึกกลัว เห็นทุกขโทษของสังขารขึ้นมา ทําใหมีศรัทธาในการ
ปฏิบัติ ๖๐% เมื่อเกิดความกลัวและเห็นทุกขโทษขึ้นแตก็กําหนดรูรูปนาม
๖๓๔
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
อยูจึงมีความเพียรหรือวิริยะ ๔๐% สวนสติในญาณนี้มีประมาณ ๖๕% สติ
ยิ่งมากยิ่งดี แตสมาธิในชวงนี้มีแค ๕๐% เพราะมีนิวรณมาปะปนอยู ปญญา
ที่เกิดจากการกําหนดรูสําหรั บชวงนี้มีประมาณ ๖๕ % เพราะเริ่มกลัวรู ป
นามที่มีความเกิดดับอยางไมขาดสาย เกิดเห็นทุกขโทษขึ้นในสังขารทั้งหลาย
ไมน ายิ น ดี การปรับ อินทรี ยถาวิริ ย ะกับ สมาธิ ไมเ ทากัน ถาวิ ริ ยะน อยกว า
สมาธิใหลดสมาธิลงเพื่อใหเสมอกับวิริยะ แตถาเพิ่มวิริยะมันจะทําใหสมาธิ
เพิ่มตามมาดวย สวนสติยิ่งมากยิ่งดี
ญาณที่ ๘ นิพพิทาญาณ
นิพ พิท าญาณ หมายความวา ญาณที่พิจ ารณาเห็น รูป -นามโดย
อาการเบื่อหนาย แยกบทเปนนิพพิทา(ความเบื่อหนาย) และญาณ(ปญญา
ความรู) นิพพิทาญาณ ปญญาที่พิจารณาเห็นรูป-นามเปนของไมเที่ยง เปน
ทุกข เปนอนัตตาเปนของนากลัว เต็มไปดวยความทุกขโทษนานาประการ
แลวเกิดความเบื่อหนายในรูป-นาม อยากเขาถึงพระนิพพานเสียโดยเร็ว
นิพพิทานญาณ ปญญาที่กําหนดจนรูเ ห็น วา เกิดเบื่อหนายในรู ป
นาม เบื่อหนายในปญจขันธจิ ตคลายความเพลิดเพลินพึงพอใจในภพชาติ
ตางๆ๒๘ ปญญานี้ห มายถึงเฉพาะภาวนามยปญญา คือ ปญญาที่เ กิด แกผู
เจริญวิปส สนา มิไดหมายถึง สุต มยปญญาและจิน ตามยปญญาเลย ๒๙ คํา
วา ความเบื่อหนาย ในที่นี้มิไดหมายถึงความเบื่อหนายอยางชาวโลก เชน
เบื่อหนายอยากฆาตัวตาย แตหมายถึง เบื่อหนายในรูป-นาม
ความเบื่อหนายในรูปนาม แบงออกเปน ๓ ลักษณะ ตามขั้นของ
การรูตามความแกกลาของญาณ ดังนี้
๑) ขั้นตนเปนภยญาณที่หยั่งเห็นในสังขารทั้งปวงวานากลัว
๒๘
พระภาวนาพิศาลเมธีวิ., เรื่องเดียวกัน, หนา ๔๖๘.
๒๙
พระสั ทธั มมโชติ กะ ธัมมาจริยะ , ปรมั ตถโชติ กะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๒
วิปสสนากรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๖,(กรุงเทพมหานคร : หจก. ทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๕๔), หนา
๑๓๗-๑๔๔.
๖๓๕
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
๒) ขั้นกลางเปนอาทีนวญาณที่หยั่งเห็นในสภาพของความไมเที่ยง
วา เพราะใหเห็นโทษในสังขาร (ที่เห็นวานากลัว )
๓) ขั้นปลายเปนนิพพิทาญาณที่หยั่งเห็นสังขารทั้งปวงเปนทุกขเปน
โทษวา เพราะบังเกิดความเบื่อหนายในสังขาร (ที่เห็นโทษแลวนั้น)
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม
เดินจงกรมรูสึกเบื่อ แตก็กําหนดไดดี รูสึกวานาเบื่อหนายขยะแขยง
ในอารมณเหลานั้นรูสึกวามันแหงแลง ในใจไมคอยเบิกบาน ชักเบื่อๆ เบื่อ
หนายในสังสารวัฏ เดิมรูวาอบายภูมินั้นเปนที่นาสะพรึงกลัว แตยังเห็นมนุษย
สวรรคเ ป น ที่น าพอใจอยู บั ด นี้ ไมว าภพไหนไมอยากได ทั้ง นั้ น อยากจะถึ ง
นิพพาน
การกําหนดไมเพลิดเพลิน ไมเห็นมีอะไรนายินดีเพลิดเพลิน รูสึกเบื่อ
หนายขยะแขยง สภาพทุกอยางที่เห็นนั้นเปนที่นาขยะแขยง ทุกสิ่งทุกอยาง
กําหนดเห็นรูสึกเปนสิ่งไมดี ไมเห็นวาสนุกเพลิดเพลิน จึงเกิดความเบื่อหนาย
และไมอยากพูดกับใคร ไมอยากพบเห็นใคร อยากอยูในหองของตนเทานั้น
เมื ่อ เห็น รูป -นามเปน ภัย และเปน โทษดว ยประการตา งๆ ทั ้ง
พิจ ารณาเห็น ซ้ํา เห็น ซากอยู อ ยา งนี ้ ก็ยิ ่ง เห็น ภัย เห็น โทษชัด ขึ ้น ก็เ ปน
ธรรมดาที ่จ ะตอ งเกิด ความเบื ่อ หนา ยตอ รูป -นามทั้ง ปวง อัน เกิด จาก
ปญญาที่เห็นแจงถึงภัยและโทษ ของสังขารรูป-นามทั้งปวง มิใชเบื่อหนาย
ในอารมณอัน ไมเ ปน ที่นาชื่น ชมยิน ดีอัน เนื่องดว ยโทสะ เพราะความเบื่อ
หนา ยอัน เนื่อ งจากโทสะนั้น เปน การเลือ กเบื่อหนายสิ่งใดที่ไมช อบก็เ บื่อ
หนาย แตสิ่งใดที่ยังชอบ อยูก็ไมเ บื่อหนาย เปน ตน แตวาการเบื่อหนา ย
ดว ยปญ ญาเปน การเบื่อหนายตอสิ่ง ทั้ง ปวงไมใ ชเ ลือ กเบื่อ เหมือ นอยา ง
เนื่องดวยโทสะ นิพพิทาญาณนี้เบื่อหนายตอสังขารรูป-นามในทุกๆ ภูมิ ที่
เบื่อหนายสังขารรูป-นามในทุกๆ ภูมิ ก็เพราะสังขารรูป-นามไมวาจะอยูใน
ภูมิไหนก็เปนภัยเปนโทษทั้งนั้น
๖๓๖
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ
กําหนดจนรูเห็นวา เกิดเบื่อหนายในรูป-นาม เบื่อหนายในปญจขันธ จิต
คลายความเพลิดเพลินพึงพอใจในภพชาติตางๆ๓๐ ปญญาที่พิจารณาเห็นรูป-นามเปน
ของไม เที่ ยง เป นทุ กข เป นอนั ตตา เป นของน ากลั ว เต็ มไปด วยความทุ กข โทษ
นานาประการ แลวเกิดความเบื่อหนายในรูป-นาม
ลักษณะสภาวะของนิพพิทาญาณในอิริยาบถนั่ง มีดังนี้
- การกําหนดอาการพอง-ยุบ อาการนึกคิดตางๆ ดีขึ้นชัดเจนขึ้นกวา
แตกอน แตจิตไมคอยเขาใจมากนักเพียง แตรูดูอาการไป
- พองยุบเบาลงไป ออนลงจนหายไป โคลง ตาลืมไมคอยขึ้น เดินๆ
ไปงวง เบื่อหนายเอือมระอา ไมอภิรมยในสังขารอันมีการแตกดับ๓๑
- โยคีบางคนจะมีอาการพอง-ยุบถี่ขึ้น กําหนดนั่ง ถูกไมทัน อาจารย
พึงแนะแกโยคีวา ถามีอาการพอง-ยุบ ถี่ขึ้น กําหนดถึงนั่งถูกไมทันก็ใหตัดถูก
และนั่งทิ้งเสียตามลําดับ กําหนดอยูเฉพาะพองหนอ ยุบหนอ และถาถี่ขึ้นจน
กําหนดพองหนอ ยุบหนอก็ไมทัน ก็ใหกําหนดเพียงรูหนอ คือรูอาการที่ถี่ขึ้น
นั้น หรือถาพอง-ยุบ หายไปก็ใหกําหนดนั่งหนอ ถูกหนอ เรื่อยไปจนอาการ
พอง-ยุบ จะปรากฏขึ้นใหกําหนดตอไปไดอีก
ขี้เกียจในการใสใจดูแลรางกาย เชน ชอบนอน ไมคอยสนใจใคร
อยากอยูคนเดียวเงียบๆ เก็บเนื้อเก็บตัว พูดนอย ขี้เกียจอาบน้ํา
เบื่ออาหาร กินก็ไมคอยออกรสชาติ
ทานอาหารนอย นอนนอย พูดนอย
ค. สภาวธรรมที่ปรากฎ : รับประทานอาหาร
ผูปฏิบัติจะรูสึกเบื่อหนายตอรูป-นาม เปนความรูสึกที่เกิดขึ้นจาก
การเจริญวิปสสนาลวนๆ มิใชเกิดขึ้นเพราะนึกคิดเอาเอง
การกําหนดฉันหรือกินจะมีความนาเบื่อหนาย ขยะแขยงในอารมณ
นั้นๆ ใหกําหนดวา “เบื่อหนอๆ”
๓๐
ขุ.จู.อ. (ไทย) ๖/-/-/๖๕๑.
๓๑
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๔๐๖.
๖๓๗
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
การได กลิ่ น การเห็ น การรู ร ส อาหารถึง จะดี ขนาดไหนใจก็ ไม มี
ความชอบเลย ใหกําหนดวา “เฉยหนอๆ”“รูหนอๆ”
อารมณที่กําหนดจะ รูสึกแหงแลง คลายกับขี้เกียจ แตยังกําหนดไดดี
กําหนดไดตอเนื่องอยู
ไมเบิกบาน เบื่อๆ เศราๆ โศกๆ ดุจพลัดพรากจากของรักของชอบ
ใจฉะนั้น ใหกําหนดวา “เบื่อหนอๆ”“เศราหนอๆ”“โศกหนอๆ”
เมือ่ กอนไดยินเขาพูดกันวา เบื่อ เดี๋ยวนี้รูแลววา เบื่อจริงๆ ใหกําหนด
วา “เบื่อหนอๆ”
ไมอยากพูดกับใคร ไมอยากเห็นใคร อยากอยูในหองเทานั้น
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เวทนา
เวทนาทางกาย : บางทานเกิดอาการคลื่นเหียนจะอาเจียนไปจนแม
เลิกกําหนดแลว สภาวะจิตแสดงความรูสึกรําคาญทอแทระอิดระอา” เกิด
สภาวะหรื อปรากฏการณบ างอย าง เช น “อาการคัน ยุ บ ยิ บ ซูซาตามส ว น
รางกาย อาบน้ําทายาก็ไมหายคัน อาการเข็มหรือหนามเล็กๆ ยาวๆ เสียบ
แทงเขาไปในอวัยวะสวนใดสวนหนึ่ง อาการทุกขเวทนาอื่นๆ เปน “อัตตปจ
จักขญาณ”เปนภาวนามยปญญา”
เวทนาทางใจ : มีความเบื่อหนาย ขยะแขยงตออารมณนั้นๆ จะหา
ความรื่นเริงยินดีสักนิดก็ไมมี รูสึกแหงแลงคลายกับขี้เกียจ แตก็ยังกําหนดได
ดีอยู การกําหนดรูปนามไมมีความเพลิดเพลินเลย เห็นทุกอยางเปนของไมดี
ทั้งนั้น และไมเห็นวาสนุกสนานตรงไหน
บางคนเห็นวา ลาภยศที่ตนตองการเมื่อกอนโนนไมมีอะไรที่นายินดี
เลยแลวก็เกิดเบื่อหนาย เห็นวา คนก็เกิดเสื่อมอยางนี้ ทุกชาติ ทุกภาษา แม
เทวดาพรหมก็เปนอยางนี้ ที่ไดลาภยศเปนเศรษฐี เจานาย คุณหญิง คุณนาย
ก็ไมเห็นแปลกอะไรเลย มีเกิดแก เจ็บ ตายเชนเดียวกัน สิ่งเหลานี้เปนทุกข
ไมไดอยูในอํานาจควบคุม๓๒ จึงไมรูสึกเพลิดเพลิน ไมทะเยอทะยาน เกิด
๓๒
อนุปสนา ๓ บริบูรณ ชื่อวา นิพพิทานุปสนา. ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๒๖๒.
๖๓๘
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
ความเบื่อหนาย เห็นวาถาถึงนิพพานไดเปนสุขแน ใจก็โนมโอนไปสูนิพพาน
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการจิต
บางคนจะพูดวา การกําหนดนั้น กําหนดไดดี แตรูสึกวามันแหงแลง
ชอบกล คลายๆขี้เกียจ แตก็ยังกําหนดไปอยู เบื่อหนายในตัวตน ไมอยากพบ
ใครอยากอยูคนเดียว รูสึกอางวางแหงแลง พบแตความกันดารและแหงแลง
สมาธิมากเกินควร วิ่งไปอยางรวดเร็วราวกับมาหอ มีอํานาจเรงเรา
ใหรีบวิ่งไปนั่งวิปสสนาเสียในทันที ตองเดินจงกรมแตนอย และนั่งวิปสสนา
ใหมากแลวใหลืมตากําหนด เมื่อสมาธิคลายลงแลว จึงใหเดินจงกรมตามปกติ
และหลับตากําหนดตอไป๓๓
อาการที่ปรากฏเปลี่ยนจากนาเกลียดมาเปนนาขยะแขยง แหงแลง
และนาเบื่อหนาย ทําใหจิตใจหงอยเหงาและเศราสรอย เดินออนระโหยโรย
แรง แขงขาออนจนแทบจะเดินไมไหว รูสึกในชีวิตนี้ไมเห็นมีอะไรเปนแกน
สารแต สั ก อย า งเดี ย ว มี แ ต ค วามผั น แปรเปลี่ ย นแปลงไม จิ รั ง ยั่ ง ยื น และ
สกปรกนาสะอิดสะเอียน ชีวิตเปนเสมือนของโพรง
บางคนพูดวา ที่กําหนดนั้นกําหนดไดดี แตในใจไมคอยเบิกบานเลย
บางคนพูด ว า ในอารมณที่ กํา หนดนั้ น ก็รู สึ กว าดี แต มัน ชั กเบื่ อ ๆ
ขึน้ มา
บางโยคีจะพูดวา ที่ไดยินเขาวา เบื่อหนายในสังสารวัฏนั้นก็ไดยิน
เหมือนกัน แตไมรูเดี๋ยวนี้ถึงจะรูวาเบื่อหนาย และการเบื่อหนายนั้นตองเบื่อ
หนายจริงๆ ดวย๓๔
บางโยคี จ ะพู ด ว า เดิ ม ที ก็ รู แ ต เ พี ย งว า อบายภู มิ เ ท า นั้ น เป น ที่
สะพรึงกลัว แตยังเห็นมนุษย สวรรคยังเปนที่พอใจอยู บัดนี้ ไมวาภพไหนไม
อยากไดทั้งนั้น อยากจะถึงนิพพานเทานั้น
๓๓
นิพเพธภาคิยา อันเปนสวนแหงความเบื่อหนาย ดูใน ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/
๑๗๐.
๓๔
นิพพิทานุปสนาญาณ ปรีชาคํานึงถึงดวยความเบื่อหนาย ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/
๑/-/๓๗๕.
๖๓๙
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
บางคนจะพูดวา อารมณที่กําหนดนั้นก็ไมเห็นเพลิดเพลินเลย จิตที่
กําหนดก็ไมเพลิดเพลิน เมืองมนุษยไมเห็นมีอะไรที่นายินดีเพลิดเพลินเลย
บางคนก็รูสึกเบื่อหนายขยะแขยงไปตามและเห็นผูอื่นก็เชนเดียวกัน
บางคนจะเขาใจวา สภาพทุกๆ อยางที่เห็นนั้นเปนที่นาสยะแสยง
ทั้งสิ้น
บางคนจะพูดวา ทุกสิ่งทุกอยางกําหนดเห็นนั้น รูสึกวากําหนดอะไร
ก็ตาม เปนสิ่งที่ไมดีทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอยางไมเห็นวาสนุกเพลิดเพลินเลย จึง
เกิดความเบื่อหนายขึ้น
บางคนพอกําหนดๆ ไป รูสึกเบื่อหนายขึ้นมาและไมอยากจะพูดกับ
ใคร และไมอยากจะพบเห็นใคร อยากจะอยูในหองของตนเทานั้น
เมื่อกอนไดยินวา เบื่อ แตยังไมรูวาเบื่ออยางไร เดี๋ยวนี้รูแลววาเบื่อ
อยางไร
ไมอยากเห็น ใคร ไมอยากพูดคุยกับใคร อยากอยู ในหองคนเดีย ว
เทานั้น
รูสึกแหงแลง เหมือนอยูกลางสนามหญา มีแดดมาแผดเผาใหหญา
เหี่ยวแหง
รูสึกหงอยเหงาเศราๆ ไมเบิกบาน ไมราเริง
ไมอยากแตงเนื้อแตงตัวหนาตาหมนหมอง ดุจลูกตาย ผัวตาย ของ
หายฉะนั้น๓๕
เมื่อกอนมีความเขาใจเรื่องภูมิทั้ง ๓๑ ตามปญญาของผูอยากเกิด
และไมอยากเกิด แตตอนนี้ไมมีความยินดีเลย เห็นวาพระนิพพานเทานั้นดี
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : ธรรม
เห็ น เรื่ อ ง ลาภ ยศ สรรเสริ ญ ที่ ต นเองเคยต อ งการเมื่ อ ก อ น ไม
นายินดี นึกถึงวาถาถึงพระนิพพานไดเปนสุขแน นอมไปสูพระนิพพาน
๓๕
พระธรรมธี ร ราชมหามุ นี (โชดก ญาณสิ ท ธิ ป.ธ.๙),คู มื อ สอบอารมณ
กรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๓, กรุงเทพมหานคร, ๒๕๔๑, หนา ๔๐-๔๑.
๖๔๐
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
เบื่อหนายในโลกทั้งหลายยิ่งนัก เบื่อหนายในอารมณแตก็ยังไมละ
การกําหนด ยังมั่นคงในกําหนดตอไปอยู
เบื่ อหนายในการปฏิ บัติ วิป ส สนายิ่ งอยากเลิ กปฏิ บัติ ก็มี และก็ยั ง
ปฏิบัติตอไปอยู
ขอสังเกตและสิ่งควรจํา คือ ภยญาณ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ
ทั้ง ๓ นี้ ผูปฏิบัติอาจบอกไดถูกตองครบถวนทั้ง ๓ ญาณ บางครั้งบอกได ๒
หรือ ญาณเดียวก็มี บอกไดชัดเจนเพียงญาณเดียวหรือสองญาณ ก็เปนอัน
ถูกตอง๓๖
สรุป หลักการปฏิบัติในญาณนี้
๑. ใหเดินจงกรมในระยะที่ ๕ คือ ยกสนหนอ ยกหนอ ยางหนอ
ลงหนอ เหยียบหนอ หรือ ถูกหนอ
๒. ใหกําหนดรูจุดในขณะนั่ง ๕ จุดคือ พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ
ถูกหนอกนยอยดานซายที่รับน้ําหนักตรงที่สัมผัส (ถูกหนอ) พองหนอ ยุบ
หนอ นั่งหนอ ถูกหนอกนยอยดานขวาที่รับน้ําหนักตรงที่สัมผัส (ถูกหนอ)
พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอหัวแมมือที่วางเรียงกันหรือชิดกัน (ถูก
หนอ)
๓. ใหกราบสติปฏฐาน ๔ ระยะที่ ๕
๔. ใหกําหนดรูในทวารทั้ง ๖ ใหมากขึ้น
๕. ใหกําหนดรูธรรมเรื่องธาตุกัมมัฏฐาน
๖. ใหกําหนดรูเรื่องเมตตาภาวนาใหมาก
๗. ใหกําหนดรูอิริยาบถยอยใหมากขึ้น
๘. ใหเดินจงกรมและนั่งกําหนดรูจุด ๑ - ๒ ชั่วโมงได
๓๖
พระมหาณัชพล นราวงษ(ผูเรียบเรียง),คูมือการสอบอารมณสําหรับพระ
วิปสสนาจารย สภาวะของวิปสสนาญาณ ๑๖, (๒๕๕๓), หนา ๓๖๕.
๖๔๑
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
ปริญญา ๓ และอริยสัจ ๔ ในนิพพิทาญาณ
พิจารณาเห็นรูป-นามเปนไตรลักษณโดยประจักษ เห็นรูป-นามพรอม
จิตที่เขาไปรูนั้นดับไปพรอมกันดวยภังคญาณ
๑) ญาตปริญญา กําหนดสังขารเปนสิ่งเบื่อหนายเปนการกําหนดรู
ขั้นรูจักรูป-นามวาเปนทุกขสัจ ๒๐%
๒) ตีรณปริญญา การพิจ ารณาเห็น ความเบื่อ หนายสังขารอยูใ น
ไตรลักษณ ๓๐ %
๓) ปหานปริญญา กําหนดรูถึงขั้นละได เปนขั้นเบื่อหนายตอสังขาร
รูป-นาม ละอภิรติสัญญา (ความทรงจําที่นาเพลิดเพลิน) เสีย คือแจงนิโรธ
อริยสัจ ๕๐ % (อริยสัจ ๔ สมบูรณขึ้นตามลําดับ)๓๗ จัดเปนปฏิปทาญาณทัส
สนวิสุทธิ
ปริญญา ๓ นี้เปนโลกิยะ มีขันธ ๕ เปนอารมณ เปนกิจในอริยสัจ
ขอที่ ๑ คือ ทุกขสัจ ในทางปฏิบัติจัดเขาในวิสุทธิ ขอ ๓-๖ คือ
๑. ตั้งแต นามรูปปริจเฉทญาณ ถึงปจจยปริคคหญาณ เปนภูมิแหง
ญาตปริญญา (ญาณที่รูสภาวะลักษณะของรูปนาม) โดยจัดเขาใน ทิฏฐิวิสุทธิ
และ กังขาวิตรณวิสุทธิ
๒. ตั้งแตสัมมสนญาณ ถึงอุทยัพพยญาณ เปนภูมิแหง ตีรณปริญญา
ญาณที่รู สามัญญลักษณะ โดยจัดเขาในมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
๓. ตั้งแต ภั งคญาณ ขึ้น ไปจนถึง มรรคญาณ เปนภู มิแห ง ปหาน
ปริญญา ญาณที่ทําหน าที่ล ะนิ จจสัญญา เป นต น๓๘ โดยจัด เขาในปฏิ ปทา
ญาณทัสสนวิสุทธิ
ญาณที่ ๕ - ๑๓ อารมณและจิตที่กําหนดไดดับหายไปพรอมๆ กันทุก
ครั้ งที่ กําหนด นั้ นคื อ ป ญญาที่พิ จารณาเฉพาะความดั บไปของรู ป-นามอยู
๓๗
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ , ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๒ วิปสสนา
กรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : หจก. ทิพยวิสุทธิ,์ ๒๕๕๔), หนา ๑๓๒.
๓๘
จํารูญ ธรรมดา, วิปสสนาชุนี หลักการปฏิบัติวิปสสนา (สมบูรณ), พิมครั้ง
ที่ ๑,กรุงเทพ : หางหุนสวนจํากัด ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๓, หนา ๒๕๖.
๖๔๒
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
เนืองๆ กําหนดจิต ดับไปพรอมอารมณที่ปรากฏมี อาการเผลอบอยๆ แลวจิต
เกาะกับนิวรณ เพราะความดับไปของจิตกับอารมณ จิตจึงไปเกาะอารมณที่เคย
ชินคือ กิเลส พบแตการดับ นิมิต หรืออาการปรากฏรวดเร็ว ตามไมทัน สติตั้ง
มั่นอยูในนิโรธ ความสิ้นไป เสื่อมไป เห็นวา “สังขารเกิดขึ้นอยางนี้ แลวดับไป
อยางนี้ เปนธรรมดาเนืองๆ”คือ ทางอันประเสริฐ ที่ทําใหผูปฏิบัติพนทุกขได
เมื่อทํามรรคมีองค ๘ ใหสมบูรณซึ่งเปนกระบวนการเกิดจากการกําหนดรู รูป-
นาม ที่ประกอบด วยปชานาติ (ใส ใจ) มรรคนี้ เป นเบื้ องต นซึ่งเป น โลกียะ๓๙
ได แก สติ ป ฏฐาน ๔ สั มมั ปปธาน ๔ เป นต น ที่ จะนํ าไปสู อริ ยมรรคที่ เป น
โลกุตระ ประหารกิเลสอยางสิ้นเชิง โดยที่พัฒนาวิปสสนาญาณตามลําดับจนถึง
มรรคญาณ องคมรรคทั้ง ๘๔๐ ยอมเกิดขึ้นพรอมกัน คือ สัมมาทิฏฐิ๔๑สัมมา
สังกัปปะ สัมมาวาจา สั มมากัมมันตะ สั มมาอาชี วะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ
สัมมาสมาธิ ทําหนาที่ละสมุทัย ดับกิเลสโดยสมุจเฉทประหาร บรรลุเปนพระ
อริยบุคคลโดยลําดับของอริยมรรคจัดเปน อริยสัจ ๔ คือ “ในญาณที่ ๑๔, ๑๕,
๑๖แจงนิโรธ อริยสัจ ๔ เกิดขึ้นตามลําดับจนสมบูรณ”
มัคคอริยสัจความจริงที่แทวา ทางปฏิบัติเพื่อใหเขาถึงพระนิพพาน
มีอยูจริง สามารถปฏิบัติใหรูแจงไดในปจจุบันขณะนี้ นั่นคืออาจเจริญภาวนา
แนวทางศีล สมาธิ ปญญา ทํามรรคใหมีองค ๘ ใหสมบูรณ
มรรคสัจจไดแก ปญญาที่เห็นสภาพธรรมตั้งแตเริ่มแรก จนกระทั่ง
ดับลงไป สิ้นไป หมดไป เปนมัคคสัจจ ดังบาลีวา “นิโรธปฺชานนา มคฺคสจฺจํ”
เปนที่ทราบชัดซึ่งทุกขสมุทัย วาดับลงไปตอนไหน เปน มัคคสัจจ
๓๙
สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๒๕๓/๑๗๘.
๔๐
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๖/๔๖๘.
๔๑
ที.ม.(ไทย) ๑๐/๒๙๐/๒๒๔.
๖๔๓
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
อัตราการการใสใจวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๕ (ขันธ ๕)
๐-๑ (สุขเวทนา)
๕ (อายตนะ)
๕.ภังคญาณ ๑๐ ๔ (โสมนัสส) ๑๐ (จิตกุศล) ๕๐
๕ (โพชฌงค)
๕ (อุเบกขา)
๕ (อริยสัจ)
๐-๑ (นิวรณ)
๒ (ทุกขเวทนา)
๘. ๕ (ขันธ ๕)
๑๐ (โทมัสสเวทนา) ๑๐ (จิตกุศล)
๑๐ ๕ (อายตนะ) ๔๐
นิพพิทาญาณ 0 (สุขเวทนา) ๓ (จิตอกุศล)
๕ (โพชฌงค)
๓ (อุเบกขา)
๖ (อริยสัจ)
๖๔๔
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
เมือ่ ผูปฏิบัติมาถึงญาณนี้แลวจะพบวามีสภาวะและการกําหนดรูทาง
กายานุปสสนาแค ๑๐ % แตจะมีภาวะโทมนัสทางจิตเพิ่มขึ้น และเปน
อุเบกขาบางเปนบางครั้ง แตเวลากําหนดรูก็ดับเร็ว สวนจิตตานุปสสนามี ๑๓
เปอร เ ซ็ น ต แบ ง เป น จิ ต กุ ศ ล ๒๐ เปอร เ ซ็ น ต และจิ ต ที่ เ ป น อกุ ศ ล ๓
เปอรเซ็นต หมวดธัมมานุปสสนา ๒๒ เปอรเซ็นต เห็นสภาพธรรมที่เปนทุกข
อริยสัจเพิ่มขึ้น ๖ เปอรเซ็นต และมีนิวรณเกิดดับอันเนื่องจากมีจิตเปนอกุศล
กับโทมนัสสเวทนา อันเกิดจากสภาพธรรมของนิพพิทาญาณ คือ กําหนดรูป
นามเกิดดับมากๆ จนรูสึกเบื่อหนายในกองสังขาร
ความสมดุลของอินทรีย ๕
วิปสสนาญาณ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา
๑๐๐% ๑๐๐% ๑๐๐% ๑๐๐% ๑๐๐%
นิพพิทาญาณ ๕๐ ๔๐ ๗๐ ๕๐ ๗๐
เมื่อผูปฏิบัติมาถึงนิพพิทาญาณจะเห็นรูปนามที่เกิดดับมากๆ เร็วๆ
จนเกิดความรูสึกกลัว เห็นทุกขโทษ เกิดความเบื่อหนายของสังขารขึ้นมา ทํา
ใหมีศรัทธาในการปฏิบัติ ๕๐% เมื่อเกิดความกลัวและเห็นทุกขโทษ เกิด
ความเบื่อหนายขึ้นแตก็กําหนดรูรูปนามอยูจึงมีความเพียรหรือวิริยะ ๔๐%
สวนสติในญาณนี้ มีประมาณ ๗๐% สติ ยิ่งมากยิ่งดี แตสมาธิในช วงนี้ มีแค
๕๐% เพราะมีนิวรณมาปะปนอยู ปญญาที่เกิดจากการกําหนดรูสําหรับชวง
นี้มีประมาณ ๗๐ % เพราะเริ่มกลัวรูปนามที่มีความเกิดดับอยางไมขาดสาย
เกิดเห็นทุกขโทษ เกิดเบื่อหนายขึ้นในสังขารทั้งหลายไมนายินดี การปรับ
อิน ทรี ย ถาวิ ริย ะกับ สมาธิ ไมเ ทากัน ถาวิ ริ ยะน อยกวาสมาธิ ให ล ดสมาธิ ล ง
เพื่อใหเสมอกับวิริยะ แตถาเพิ่มวิริยะมันจะทําใหสมาธิเพิ่มตามมาดวย สวน
สติยิ่งมากยิ่งดี
ในขั้นที่ ๔ นั้นเปนการกําหนดเพื่อออกจากญาณที่ ๖, ๗, ๘ โดย
การดูอาการของตนจิตจนดับ ซึ่งสภาวญาณในขั้นนี้เปนญาณที่เกิดจากผล
ของภังคญาณ คือความดับไปของอารมณพรอมกับจิตที่รูอารมณ ทําใหเห็น
โทษเห็นภัยของรูป-นาม อุปมาเหมือนคนที่ไมปรารถนาในบาตรที่มีรูรั่ว ๓ รู
๖๔๕
บทที่ ๑๒ พิจารณาเห็นความเปนทุกขของรูปนาม
ฉันใด การที่ปญญาญาณเห็นรอยรั่วของรูป-นามโดยความเปนอนิจจัง ทุกขัง
อนั ต ตา ย อมส งผลให เ กิด ความกลั ว เห็ น ภั ย เห็ น โทษ และเบื่ อหน ายใน
อัตภาพนั้น เชนกัน
สําหรับเทคนิคการปฏิบัติ เพื่อใหสามารถผานในบันใดขั้นนี้ไปได
อยางรวดเร็ว ก็คือ ใหเพิ่มในการรูอาการของจิตที่ปรารถนาจิตที่เริ่มตน ให
ได ๘๐ เปอรเซ็นตขึ้นไป ก็จะไดผานขั้นที่ ๔ ไดอยางรวดเร็ว
สรุปความวา ในขั้นที่ ๔ นั้นเปนการกําหนดเพื่อออกจากญาณที่ ๖,
๗, ๘ โดยการดูอาการของตนจิตจนดับ ซึ่งสภาวญาณในขั้นนี้เปนญาณที่เกิด
จากผลของภังคญาณ คือความดับไปของอารมณพรอมกับจิตที่รูอารมณทํา
ใหเห็นโทษเห็นภัยของรูปนาม อุปมาเหมือนคนที่ไมปรารถนาในบาตรที่มีรู
รั่ว ๓ รู ฉันใด การที่ปญญาญาณเห็นรอยรั่วของรูปนามโดยความเปนอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา ยอมสงผลใหเกิดความกลัว เห็นภัย เห็นโทษ และเบื่อหนาย
ในอาตภาพนั้น
๖๔๖
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูป-นาม
การพิจ ารณาเห็ น สั งขารทั้งหลายเป น อนั ตตา โดยเป น สิ่ งไมใช
ตัวตน โดยเปนฝายอื่น โดยเปนของวาง๑ โดยเปนของเปลา โดยเปนของสูญ
โดยเปนของไมมีใครเปนเจาของ โดยเปนของไมมีใครเปนใหญ โดยเปนของ
ไมอยูในอํานาจใคร ผูที่เห็นตามความเปนจริงดังกลาวมานั้น ไดยกขึ้นสูไตร
ลักษณแลว๒
เมื่อโยคีไดผานวิปสสนาญาณที่ ๖-๗-๘ เห็นภัย เห็นโทษ จนกระทั่ง
เกิดความเบื่อหนายในรูป-นามที่กําลังกําหนดอยูนั้นแลว จะเกิดความกลัด
กลุมรําคาญอยางยิ่ง จึงอยากใครที่จะไปใหพนเสียจากรูป-นามที่กําหนดอยู
นั้น จากนั้นจะเกิดปญญาพิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูป-นาม อาการ
พอง-ยุ บจะกลั บมาปรากฏชั ดอี กครั้ ง แต มี ความแปรปรวนของอารมณ ใน
ลักษณะของอนัตตา บังคับไมได๓เห็นความเปนอนัตตา คือความไมใชตัวตน
ของรูป-นาม จึงทําใหจิตอยากพน อยากหนี เพราะกะเกณฑในอารมณไมได
พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม ตองกําหนดใหเห็นอาการ
ดับของจิ ตอยาก ให ได กอนทุกครั้ ง จั ดเป นญาณที่ ๙ มุญจิ ตุ กั มยตาญาณ
และญาณที่ ๑๐ ปฏิสังขาญาณ ซึ่งเปนภูมิแหงปหานปริญญา จัดเปนนิโรธ
อริยสัจและมรรคอริยสัจ
พอถึงญาณนี้บางคนรูสึกเบื่อหนายไมอยากกําหนดก็มี บางคนเตรียม
หอของอยากจะออกหนีก็มี เพราะจิตไมถนัดในอารมณ จึงทําใหรูสึกวาการ
กําหนดไมกาวหนา และ จิตกําหนดเห็นอารมณเดิมๆ จนบางครั้งไมอยากมีรูป-
นาม อีกตอไป ปรารภนาจะไปนิพพาน เพราะเห็นวามีเพียงพระนิพพานเทานั้น
ที่สามารถทําใหพนจากสภาวะนี้ได
๑
วิสุทฺธ.ิ (ไทย) ๓/๒/๑๕๗.
๒
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๒/๘๒.
๓
สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๙๐/๑๗๑.
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
การปฏิ บั ติ ใ นขั้ น นี้ เ ป น การพิ จ ารณาเห็ น ความไม ใ ช ตั ว ตนของ
อารมณ เมื่อผานบันไดขั้นที่ ๕ มาแลว พองยุบจะกลับมาปรากฏชัด แตมี
ความแปรปรวนของอารมณในลักษณะของอนัตตา บังคับไมได๔จิตของโยคี
กําหนดไมถนัดเหมือนคนที่มีความรูอยางหนึ่ง แตกลับไดทํางานอีกอยางหนึ่ง
จึงทําใหจิตอยากพน อยากหนี เพราะกะเกณฑในอารมณไมได
วิธีบริกรรมภาวนา : ใส ใจเพงรูในอารมณที่จิ ตรับรูในปจจุบั น
ขณะนั้น อยางจดจอ ตอเนื่อง โดยไมซัดสายไปหาอารมณ การกําหนดรูแบบ
วิปสสนาเปนการพยายามเพงพิจารณาอาการของอารมณนั้นๆ โดยไมใหจิต
ซัดสายไปหาอารมณอื่นๆ แตไมพยายามปดกั้นไมใหอารมณอื่นๆ แทรกเขา
มา และหากมีอารมณอื่นๆ แทรกเขามาได ก็ใหเพงรูลงในอาการของอารมณ
ใหมนั้นทันที พรอมๆ กับสังเกตุเห็นอาการของจิตที่จากคลายจากอารมณ
เกากอนหนานั้นไปดวย หลักการสําคัญในการบริกรรมภาวนาในขั้นนี้ ตอง
พยายามน อ มจิ ต เพง ความรู สึ กไปที่ตั ว อารมณ ๙๐ % (ดู ก าย ๑๐% +ดู
เวทนา ๒๐%ดูจิต ๒๐+ดูธรรม ๔๐ %) ใสใจจิตที่เพงบริกรรมเพียง ๑๐ %
เมื่อโยคีนั่งปฏิบัติภายใน ๑ ชั่วโมง ไมปรากฏทุกขเวทนาเลย ตลอด
๓ วันที่ผานมา หรือกําหนดรูจิตคิดดับไดภายใน ๑-๓ ครั้ง ก็ใหปฏิบัติเหมือน
ขั้นที่ ๔ ใหครบบริบูรณ โดยเฉพาะจิตอยากจับ อยากหัน อยากมอง การ
กํ า หนดในขั้ น นี้ เ ป น การกํ า หนดเหมื อ นขั้ น ที่ ๔ ที่ แ ตกต า งคื อ การเพิ่ ม
รายละเอียดดูสภาวธรรมของรูปนามโดยมีรายละเอียดดังนี้
๑. วิธีกราบและกําหนดรูอริยาบถ แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
กราบใหชาลง ๑๕-๒๐ นาที เปนอยางนอย โดยเพิ่มตนจิตและเพิ่ม
จังหวะหยุด เมื่อมีอารมณอื่นเขามาแทรกซอนเช ามา เชน ขณะยกมือขึ้น
กราบ ลมเย็นพัดเขามากระทบรางกาย ใหกําหนด “ถูกหนอ” “เย็นหนอ”
จนดับไปกอน แลวจึงคอยกําหนดยกตอไป เปนตน
๔
...ธรรมทั้งปวงเปนอนัตตา ; ดูรายละเอียดใน สํ.ข. (ไทย)๑๗/๙๐/๑๗๑.
๖๔๘
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
เทคนิคการกราบใหได ๒๐ นาที โดยการกราบใหครบสติปฏฐาน ๔
พลิกเปนกาย, จิตอยากพลิก, ถามีงวงซึมใหหยุดแลวกําหนด งวงหนอรูธรรม
แลวพลิกตอ
๒. วิธีเดินจงกรม แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
ตองเดินจงกรมสลับกับยืนกําหนดรูใหได ๒ ชั่วโมง และในจังหวะที่
๑-๓ ใหเพิ่มตนจิตในทุกๆ กาว ขณะเดินจงกรม พึงใสใจกําหนดรูจิตอยาก
หัน อยากมอง อยากพูดอยากคุย โดยไมหันไปมองหรือพูดคุย ใหไดทันกอน
ทุกครั้ งอนึ่ ง หยุ ด กํ าหนดรู อ าการคัน ปวด เมื่ อย และอาการคิ ด จนเห็ น
อาการดับกอน ทุกครั้ง จึงจะกําหนดเดินตอไป
เดินจงกรมใหครบทั้ง ๖ จังหวะ และในจังหวะที่ ๑-๓ ใหเพิ่มตนจิต
ในทุกๆ กาว คือ ใหตัดคําบัญญัติ “ขวา-ซาย”ออกไป กําหนดรูจิตคิดจะยาง
กอนยางเทาทุกๆ กาว “อยากยางหนอ-ยางหนอ” “อยากยาง หนอ-ยาง
หนอ” ...ในการกาวเดินไปหองน้ํา เดินกลับที่พักก็ใหกําหนด “ยาง..เหยียบ”
หรือ “ยก...เหยียบ”ตลอดทั้งวัน
เพิ่มสติรูจิตที่คิดจะยาง คิดจะยกใน ๓ ระยะแรก ดังนี้
ระยะที่ ๑ ขวายางหนอ-ซายยางหนอเปลี่ยนเปนรูจิตที่คิดจะยาง
กอนวา “อยากยางหนอ” แลวกําหนดรูอาการยางไปของเทาวา “ยางหนอ”
ตัดคําบริกรรมวา “ขวา - ซาย” ซึ่งเปนสมมติบัญญัติออกไปเดินกําหนดจน
จิตสงบอยูกับอารมณความคิดนอยลงจึงเพิ่มเปนจังหวะที๒่
ระยะที่ ๒ ยกหนอ-เหยี ย บหนอเพิ่ ม เป น รู จิ ต ที่ คิ ด จะยก-คิ ด จะ
เหยียบกอนยกกอนเหยียบทุกครั้งวา “อยากยกหนอ - ยกหนอ” “อยาก
เหยียบหนอ-เหยียบหนอ” จนขามั่นคงไมเซจึงเพิ่มเปนจังหวะที๓่
ระยะที่ ๓ ยกหนอ-ยางหนอ-เหยียบหนอเปลี่ยนเปนรูจิตที่คิดจะยก
คิดจะยางคิดจะเหยียบกอนยกกอนยางกอนเหยียบทุกครั้งวา“อยากยกหนอ-
ยกหนอ” “อยากยางหนอ-ยางหนอ” “อยากเหยียบหนอ-เหยียบหนอ” จน
ขามั่นคงไมเซจึงเพิ่มเปนจังหวะที๔่
๖๔๙
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
ในขณะกําหนดจนเห็ นอาการดับ ไปของเทาแตล ะจังหวะ ให เพิ่ม
สังเกตเห็นอาการดับไปของตัวจิตเองที่เขาไปกําหนดรูอาการดับในจังหวะ
ของเทานั้ น ๆ ดว ย คือที่ดั บ ไปพร อมกับอารมณที่ถูกกําหนดนั้ น หากเห็ น
อาการดับของจิตนั้นชัดเจน ใหกําหนดรูวา “รูหนอ”ดวย
โยคีที่ถึงญาณที่ ๙,๑๐ จะตองเพิ่มเทคนิคการเดิน ใหซอยถี่ๆ ไมเกิน
๓ ครั้ง เชน เดินระยะ ๓ กําหนด “ยกหนอๆๆ- ยางหนอๆๆ - เหยียบหนอๆๆ”
สุดเดิน ใหมีจังหวะหยุดครูหนึ่ง
๓. วิธีนั่งกําหนดรูพอง-ยุบ แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
เมื่อโยคีนั่งปฏิบัติ ภายใน ๑ ชั่ วโมง ปรากฏแต สุขเวทนามาระยะ
หนึ่ง ตอมาทุกขเวทนากลับแรงขึ้นมาอีก เหมือนกับวาญาณเสื่อม ญาณถอย
ทั้ ง ๆ ที่ เ พี ย รตั้ ง ใจปฏิ บั ติ ม าตลอด พอง-ยุ บ จากที่ กํ า หนดง า ยกลายเป น
กําหนดยาก ลักษณะระหวางพองกับยุบไมสม่ําเสมอกัน บางครั้งสั้น บางครั้ง
ยาวบางครั้ งใกล เ ห็ น ชัด บางครั้ งอยูไกลแทบกําหนดไมเ ห็น อาการพอง-
อาการยุบที่เปลี่ยนแปลงไป พึงกําหนด ดังนี้
๑. โยคีบางคนพอง-ยุบสั้น แผวเบา ใหเพิ่มอาการจดจองไปที่อาการ
พอง-ยุบนั้น โดยบริกรรมเพียงวา “พอง-ยุบ” ไมตองใส “หนอ” ตอทาย
๒. โยคีบางคน พอง-ยุบยาว แผวเบา มีจังหวะหยุด ระหวางพอง-
ระหวางยุบ จนทําใหเกิดอาการจิตวูบ สัปหงกบอยๆ โยคีพึงปฏิบัติ ดังนี้
๒.๑ เพิ่มการเดินจงกรมใหถึง ๖ จังหวะ
๒.๒ จังหวะหยุดระหวางพอง-ยุบ ใหเพิ่มจิตรูลงไปในอาการนั้น
คือ บริกรรมไปตามอาการวา “พองหนอ-รูหนอ” “ยุบหนอ-รูหนอ”
๒.๓ จังหวะหยุดระหวางพอง-ยุบ นานขึ้นกวานั้น ในระหวางที่
หยุ ด ให ส ง จิ ต ไปกํา หนดรู อ าการนั่ ง ตั้ งแต ศี ร ษะจนถึง เทา รวดเดี ย ว คื อ
บริกรรมไปตามอาการวา “พองหนอ-นั่งหนอ”“ยุบหนอ-นั่งหนอ”
พิเศษ กํา หนดรู ร ูป นั ่ง เฉพาะที่มีจ ัง หวะหยุด เทา นั ้น ถา ไมมี
จังหวะหยุด ก็ไมต องเพิ่ม และถากํา หนดรูป นั่งแลว อาการพอง-ยุบ ยังไม
เกิด ขึ้น ก็ใหเ พิ่ม จิต รูอาการถูกที่จุด ต า งๆ เขา ไปอีก คือ ที่มือถูกกัน , ที่
๖๕๐
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
กน ยอ ยขา งขวา, ที่กน ยอ ยขา งซา ย สลับ หมุน เวีย นไปเรื่อ ยๆ จนกวา
อาการพอง-ยุบจะกลับมา
เมื่อญาณปญญาพัฒนาไปตามลําดับ อาการพอง-ยุบปรากฏนอยลง
บางครั้งนิ่งหายไปเปนพักๆ และจะนิ่งหายไปนานขึ้นๆ หรือสําหรับบางคน
ปรากฏแต อาการพอง อาการยุบ ไมปรากฏ บางคนปรากฏแตยุ บ พองไม
ปรากฏ ก็ใหกําหนดไปตามที่ปรากฏนั้น หากพอง-ยุบไมปรากฏ ก็ใหกําหนด
“นั่งหนอ-ถูกหนอ” สลับจุดไปเรื่อยๆ คือ ที่มือถูกกัน, ที่กนยอยขวา, ที่กน
ยอยซาย จนกวาพอง-ยุบจะกลับมาแตถาหากพอง-ยุบไมกลับมา ก็ใหสังเกต
อาการนั่ ง อาการถู ก ว าชั ด เจนหรื อ ไม ถา เห็ น ไมชั ด เจนให กํา หนดเพีย ง
อาการรูวา “รูหนอ” แทนหากสวนไหนหายไป สงจิตไปรับรูไมได ก็ไมตอง
สนใจสวนนั้นอีกตอไป ใหเพิ่มสติรูไปในรูปสัมผัสอื่นๆ ที่ปรากฏชัดแทน เชน
ตาตุมขวา ตาตุมซาย เขาขวาเขาซาย แขนขวา แขนซาย เปนตน
๔. วิธีกําหนดรูอิริยาบถ แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
โยคีตองกําหนดอิริยาบถยอยทั้งรูปธรรมและนามธรรม ตั้งแตจิต
แรกที่ ตื่ น จนถึ ง จิ ต สุ ด ท า ยที่ ห ลั บ ไป แม แ ต เ บ ง ถ า ยอุ จ จาระ ขมิ บ ก น ให
อุจจาระขาดออกจากกน ก็ตองกําหนด!
สภาวะชวงนี้เปรียบประดุจการทากิเลสขึ้นชกมวยสากลชิงแชมป
โลก คูตอสูก็คืออุปาทานขันธ ๕๕ ที่ผานการฝกซอมมานานหลายแสนโกฏิป
สวนเราผานการซอมมาเพียง ๒๐-๓๐ วันเทานั้น และในแตละวันก็ซอมเพียง
๕ -๗ ชั่งโมงเทานั้น แตมาบัดนี้กลาที่จะทาชิงแชมปวัฏฏะ ภายใน ๕ วัน ๗
วั น จึ ง ต อ งเปลี่ ย นแผนการซ อ มใหม เพิ่ ม เป น วั น ละ ๑๐-๑๕ ชั่ ว โมง
โดยเฉพาะตองซอมวิ่งใหมากขึ้น โยคีหลายคนสงสัยวา “ทําไมตองกําหนด
อิริยาบถยอยใหมากมาย ดูสับสนวุยวาย นารําคาญ” (ตอบวา : ก็เปรีย บ
เหมือนนักมวยสากล ตั้งคําถามวา “มวยสากลเขาใชมือตอยกันทําไมตอง
ซอมวิ่ง เหนื่ อยเปลาๆ สูเ อาเวลาไปซอมชก ซอมตอยอยางเดีย วไมดี กว า
๕
ดูรายละเอียดใน สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๔๘/๖๗.
๖๕๑
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
หรือ?” แลว ..ผลที่จะเกิดขึ้นกับนักมวยผูนี้..คือ?? ...ฝมือการตอยมีลูกเลน
แพรวพราว แต..หมดแรง! การซอมวิ่งเยอะๆ ของนักมวยสากล ก็ดุจเดียวกับ
การกําหนดอิริยาบถยอยอยูตลอดเวลา)
อิริยาบถฉัน : อมอาหารนานๆ กําหนดตนจิต “อยากเคี้ยวหนอๆ”
จนหายอยาก (จิตเปนอุเบกขา) กอนเคี้ยวทุกๆ คํา
กําหนดต น จิ ต ให ไดทุกๆ อาการ กําหนดรู ทัน จิ ต อยากจั บ อยาก
เคี้ยวทันกอนจับ กอนเคี้ยวทุกครั้ง กําหนดเคี้ยวจนรสชาติจืดสนิทกอน จึง
กลืนทุกคํากลืน เมื่อเคี้ยวเสร็จ ตองกําหนดจิตอยากกลืนใหไดกอนจึงกลืน
ทุกคํากลืน กําหนดใหได ๔๐-๕๐ นาที เปนอยางนอย๖
ในการฉั น หรื อ กิ น ให เ พิ่ ม การกํ า หนดต น จิ ต ถี่ ขึ้ น เช น ยกมื อ ตั ก
อาหารขึ้นใหกําหนดวา “ขึ้นหนอๆๆๆ” ถีๆ่ จนหมดอาการ
อาปากใหกําหนดวา “อาหนอๆๆๆ” ถีๆ่ จนหมดอาการ
ขณะกลืนใหกําหนดวา “ลงหนอๆๆๆ” หรือ “ไหลหนอๆๆๆ”
ใจคอหงุดหงิด เอือมๆ เบื่อๆ ใหกําหนดวา “หงุดหงิดหนอๆๆๆ”
“เบื่อหนอๆๆๆ”
หากมีจิตคิด อยากออก อยากหนี อยากหลุด อยากพน ก็ใหกําหนด
สภาวะจิตนั้นๆ จนกวาจะดับหายไปเอง
๕. วิธีเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน
แตเมื่อโยคีนั่งปฏิบัติภายใน ๑ ชั่วโมง ปรากฏแตสุขเวทนามาระยะ
หนึ่ง (๒-๗ วัน) ตอมาทุกขเวทนากลับแรงขึ้นมาอีก เหมือนกับวาญาณเสื่อม
ญาณถอย ทั้ งๆ ที่ เ พี ย รตั้ งใจปฏิ บั ติ ม าตลอด พอง-ยุ บ จากที่ กํ า หนดง า ย
กลายเปนกําหนดยากลักษณะระหวางพองกับยุบไมสม่ําเสมอกันบางครั้งสั้น
บางครั้งยาว บางครั้งใกลเห็นชัด บางครั้งอยูไกลแทบกําหนดไมเห็น โยคีนั่ง
ภาวนา ๑ ชั่วโมงครึ่ง เดินจงกรม ๒ ชั่วโมงขึ้นไป
สภาวญาณในขั้นนี้อาการพองยุบกลับมาปรากฏชัด แตมีลักษณะ
๖
“การลางบาปแกไขกรรม ตามคัมภีรพระพุทธศาสนา”, หนา 133.
๖๕๒
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
แปรปรวน ทุกขเวทนากลับมาแรงขึ้นมาอีก เหมือนกับวาญาณเสื่อม ญาณ
ถอย จักเปนญาณที่ ๙ มุญจิตุกัมยตาญาณ และเพราะวาโยคีตองการที่จะ
ออกจากสภาวธรรมจึงพยายามกะเกณฑอารมณต างๆ ที่ป รากฏ จั ดเป น
ญาณที่ ๑๐ ปฏิสังขาญาณ แตทําไมได เพราะสภาวธรรมทั้งหลายไมสามารถ
บังคับได เห็นความเปนอนัตตา คือความไมใชตัวตนของรูป-นาม๗
พอถึ ง ขั้ น นี้ บางคนรู สึ ก เบื่ อ หน า ยไม อ ยากกํ า หนดก็ มี บางคน
อยากจะออกหนีเตรียมหอของอยางนี้ก็มี เพราะจิตไมถนัดในอารมณ จึงทํา
ให รู สึ กว าการกําหนดไมกาวหน า และจิ ต กําหนดเห็ นอารมณเดิ มๆ จน
บางครั้งไมอยากมีรูป – นาม อีกตอไป ปรารภนาจะไปนิพพาน เพราะเห็นวา
มีเพียงพระนิพพานเทานั้นที่สามารถทําใหพนจากสภาวะนี้ได ดังนี้
เพิ่มเติ ม การกําหนดเวทนาในขั้น นี้ ถากําหนดไปแล ว ๔-๕ ครั้ ง
สภาวะ ไมเปลี่ยนแปลง ใหเปลี่ยนคําบริกรรม เพิ่มสติ กําหนดตนจิตใหมาก
กวาเดิม เชน อยากลุ ก อยากนั่ง อยากเดิน อยากจั บ อยากหัน เปนตน (
๙๐-๑๐๐ เปอรเซ็นต )
๖. วิธีเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน
ในขณะกําหนดจนเห็นอาการดับไปของอารมณนั้นๆ แตละจังหวะ
ใหเพิ่มสังเกตเห็นอาการดับไปของ "ตัวจิตเอง" ที่เขาไปกําหนดรูอาการดับใน
จังหวะของเทานั้นๆ ดวย คือที่ดับไปพรอมกับอารมณที่ถูกกําหนดนั้น หาก
เห็นอาการดับของจิตนั้นชัดเจน ใหกําหนดรูวา “รูหนอ”ดวย
การตามกําหนดรูจิต โยคีผูปฏิบัติควรเอาใจใสเปนพิเศษ เพราะการ
กําหนดรูจิตนั้นเปนของละเอียดออนมาก ถากําหนดไมถูกวิธีบางครั้ง ทําให
สับสนและฟุงซานมากขึ้น เปนสาเหตุที่ทําใหเกิดความเครียดและอาการมึน
ตึงของศีรษะไดดวย อันเปนปญหาและอุปสรรคของนักปฏิบัติบางทาน ที่
ขาดความเขาใจในเรื่ องวิธี กําหนดรูแบบนี้ อยางถูกต อง กอนกําหนดต อง
วางใจใหเปนปกติเสมือนหนึ่งไมมีอะไรเกิดขึ้นมากอน เพราะเมื่อไมมีสภาวะ
๗
ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๒๒๗/๒๘๑, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒๗/๓๘๔.
๖๕๓
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
ลักษณะอยางนี้ใจก็เปนปกติ ไมมีชอบหรือชัง แตพอสภาวะนี้เขามาทําใหใจ
เราเสีย ความเป น ปกติ ไป ฉะนั้ น การกําหนดต องดูด ว ยสติป ญญาให รู ต าม
ความจริงที่เกิดขึ้น ไมตองไปคิดปรุงแตงหรือใสขอมูลอื่นใดเขาไปอีก ขอให
กําหนดรูอยางเดียว มันเกิดอะไร คิดอะไรก็ใหกําหนดรูไปตามนั้น เพราะเรา
มีหนาที่กําหนดรูตามความเปนจริงที่เกิดขึ้น เพื่อใหรูเทาทันความเปนจริงที่
เกิดขึ้น จนสามารถถอนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นลงได เราไมมีหนาที่คิด
แตจิตมีหนาที่คิด สติมีหนาที่กําหนดรูก็ใหดูไปตามนั้น ดังนี้
๑. อาการคิ ด เป น ธรรมชาติ ข องจิ ต เรา(สติ ) มี ห น า ที่ กํ า หนดรู
กําหนดจนอาการคิดหาย ใหกําหนดเร็วๆ วา คิดหนอๆๆ , คิดถึงหนอๆๆ
๒. ตองกําหนดเร็ ว แรง ถี่ มีพลั ง เหมือนหวดไม ว า คิด หนอๆๆ
ไมใหมีชองวาง
๓. ไมควรหามจิตไมใหคิด ทางที่ถูกคือตองตามกําหนดรูอาการคิด
นั้นดวยสติที่มีพลังมาก สมาธิยอมเกิดขึ้น ความฟุงก็จะคอยนอยลง แลวหมด
ไปในที่สุด
๔. ในการกําหนดความคิด หามตามดูเรื่องราวที่คิด หนาตาคนที่เรา
คิด ใหเพียงแตกําหนดอาการของจิต ที่กําลังนึกคิดอยูเทานั้น
๕. เมื่ออินทรีย๘แกกลา มีสมาธิตั้งมั่นแลว ใหตามรูถึงการดับลงของ
ความคิดนั้นๆ นั้นดวย พรอมทั้งสังเกตรูถึงเยื่อใย(อุปาทาน)ที่ดับลงไปพรอม
กับอาการคิดนั้นดวย
๖. เมื่อสมาธิตั้งมั่นเปนอุเบกขาไดแลว ใหเพิ่มการรูอาการดับของ
ความคิดนั้นๆ ที่ดับไปพรอมๆ กับจิตที่รูคิด เปนคูๆ นั้นดวยในการกําหนด
สภาวะจิตอื่นๆ ก็มีลําดับขั้นตอนการกําหนดอยางเดียวกัน
๗. วิธีเจริญธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน
บางคนมีอ าการนั่ ง สั่ น นั่ ง โยก จนรู สึ กกลั ว ไม อยากปฏิ บั ติ ต อ มี
สาเหตุหลัก ๒ ประการ คือ
๘
ดูรายละเอียดใน สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๔๘๑/๒๙๒.
๖๕๔
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
๑) เพราะกําหนดไมตรงสภาวะ กําหนดเพลินจนอาการพอง-ยุบนิ่ง
หายไปแลว แตก็ยังนั่งทอง “พองหนอ-ยุบหนอ”อยู (ทั้งๆ ที่ไมเห็นพองยุบ)
จนกายสั่ นไปตามอาการกําหนดนั้น โยคีพึงกําหนดใหตรงสภาวะ ให เห็ น
อาการพอง-อาการยุบกอนจึงคอยกําหนด ถาพองยุบไมมี หรือหายไปก็ให
กําหนดวา “หายหนอ” “ไมมีหนอ” อยานั่งทองพอง-ยุบ
๒) เพราะอาการพอง-ยุบมีอาการเบาสบาย กําหนดจนเพลิน จนสติ
หลุดออกจากอาการของรูป ทําใหกายไหวโยกโคลงไปตามจิตที่เลื่อนลอยนั้น
ตองเพิ่มสติสังเกตสภาวธรรมารมณไปดวย ตามอาการที่ปรากฏชัดวา “พอง
หนอ-เพลินหนอ” “ยุบหนอ-เพลินหนอ” “พองหนอ-สบายหนอ” “ยุบหนอ-
สบายหนอ” ถามีอาการสั่นมากใหกําหนดตามอาการวา “สั่นหนอๆ” “โยก
หนอๆ” หรือ“อยากสั่นหนอๆ” “อยากโยกหนอๆ” จนกวาจะหาย ถายังไม
หายใหกําหนดสั่งวา “หยุดหนอ” ดังๆ
สภาวธรรมในชวงนี้จะไมเปนไปดั่งใจสภาวะอนัตตาจะปรากฏชัดขึ้น
เรื่อยๆทําใหเกิดขอสงสัยขึ้นในใจโยคีไดวา“นั่ง๒ชั่วโมงก็นั่งไดแลวนั่งไมมี
ทุกขเวทนาเลยก็เคยผานมาแลวแตทําไมวันนี้ปฏิบัติไมไดเลยเวลานั่งก็อยาก
เดินเวลาเดินก็อยากนั่งทุกขอยางไรก็พยายามอดทนแต๒-๓วันมานี้รูสึกวาไม
พัฒนาเลยเหมือนญานเสื่อม” พระวิปสสนาก็จะอธิบายวา “นั่นเปนเพราะ
เรามีอุปาทานในการกําหนดอยากใหเปนอยางนั้นอยากใหเปนอยางนี้อยาก
กําหนดใหชัดอยากนั่งใหสบายเหมือนวันกอนๆนั่นเปนการยึดมั่นเปนอัตตา
วาเปนตัวเปนตนอยากใหสภาวะเปน ไปดั่งใจผิดหรือถูก? สภาวะจะชั ด
หรือไมชัดเปนเรื่องของมันหรือเปนเรื่องของเรา??.. การที่เราไปกะ..เกณฑวา
ตองอยางนั้นต องอยางนี้ตองสงบตองอยาคิดอยามีเสียงรบกวนเพื่อนตอง
เงี ย บอย าพู ด อย า คุย ..เช น นี้ เ ป น การยึ ด เป น ตั ว เป น ตน ...เป น อั ต ตาหรื อ
อนัตตา? (เปนอัตตา) การกําหนดอยากใหเปนไปดั่งใจเปนตัณหาหรือเปน
สติ?...(เปนตัณหา)
พระพุทธเจาตรัสวาอะไร? “สพฺเพธมฺมาอนตฺตา” การที่กําหนดดวย
อํานาจความอยากใหชัดเปนอัตตาหรืออนัตตา?? “ถูกหรือผิด”?? สภาวะจะ
๖๕๕
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
ชัดหรือไมชัดเปนเรื่องของสภาวะขอใหสติรูชัดก็พอ.. แมสภาวะจะไมชัดแตมี
สติรูชัดวา“ไมชัดหนอ” “กําหนดยากหนอ” “งงหนอ” ..”ตามอาการ
เพราะสภาวะที่ เ ป น ปรมั ต ถ แ ท ๆ นั้ น ยิ่ ง อยากกํ า หนดให ชั ด ..ยิ่ ง
กําหนดไมไดยิ่งอยากบรรลุ..ยิ่งฟุงซานเปรียบเหมือนกับคนปลูกมะมวงหมั่น
รดน้ําใสปุยอยากใหออกดอกออกผลเร็วๆจึงไปฉีกกิ่งฉีกกานดูวาจะออกดอก
ออกผลแลวหรือยัง...สุดทายกิ่งกานเฉาตาย!
ในการปฏิ บั ติ วิ ป ส สนานั้ น ผู ป ฏิ บั ติ ทํา ได แต ร ดน้ํ า ใส ปุ ย พรวนดิ น
เทานั้นจะออกดอกออกผลเมื่อไหรไมใชกิจของเรา ..นั่นเปนกิจของตนไม ...
การบรรลุ ธ รรมก็ เ ช น กั น โยคี ผู ป ฏิ บั ติ ธ รรมมี ห น า ที่ เ พี ย งกํ า หนดอารมณ
ปจจุบันอยางตอเนื่องพอกพูนอินทรียใหแกกลาขึ้นตามลําดับ..ทํามรรคให
เจริญเทานั้นจะบรรลุเมื่อไหร...ไมใชกิจของโยคีแตเปนกิจของนิโรธ(นิพพาน)
ที่จะเกิดขึ้นเอง หรือเปรียบเหมือนกับการยิงจรวดทําลายขาศึกทหารทํา
หนาที่เพียงสงจรวดเขาสูเปาหมายเทานั้นจรวดจะระเบิดทําลายเปาหมาย
หรือไมเปนกิจของจรวดเอง ...ซี่งบางครั้งก็ไมระเบิดเพราะกลไกภายในไม
ทํ า งานอั น เนื่ อ งมาจากเกิ ด สนิ ม บ า งกลไกไม ส มบู ร ณ บ า ง ...โยคี ที่ ศี ล ไม
บริสุทธิ์บารมีไมบริบูรณก็ดุจเดียวกัน ..ศีลที่ไมบริสุทธิ์คือสนิมในใจของโยคี ?
ดังนั้น การกําหนดในขั้นนี้ใหกําหนดเหมือนขั้นที่ ๔ แตตองเพิ่มการ
สังเกตสภาวธรรมของรูป-นาม เชน หนัก เบา เล็ก ใหญ เปนตน ไมไปเพง
บริกรรมเพราะจะทําใหเกิดอาการเครียด และใหกําหนดจิตดับของทุกสภาว
วะที่จิตเขาไปรู บางครั้งอารมณดับจากจิต บางครั้งจิตดับไปจากอารมณ
๘. สภาวะญาณที่เกิดขึ้นเมื่อปฏิบัติขั้นที่ ๔ สมบูรณ
เมื่อโยคีไดผานวิปสสนาญาณที่ ๖-๗-๘ เห็นภัย เห็นโทษ ตลอดจน
กระทั่งเกิดความเบื่อหนายในรูป-นามที่กําลังกําหนดอยูนั้นแลว จะเกิดความ
กลัดกลุมรําคาญอยางยิ่ง จึงอยากใครที่จะไปใหพนเสียจากรูป-นามที่กําหนด
อยูนั้น โยคีบางคนเกิดความกลัดกลุมถึงกับหอบหมอนจะลาอาจารยกลับ
บานโบราณเรียกวา “ญาณมวนเสื่อ”บางคนอยากเลิกปฏิบัติ อยากพักผอน
เดินเที่ยวดูโนนดูนี่ แตจิตมักจะกําหนดอยูร่ําไป บางคนตอนนั่งกลางคืนกลัด
๖๕๖
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
กลุมขึ้นมา เลิกกําหนดจะนอนก็ไมหลับ ผลุดลุกผลุดนั่ง ตั้งใจวาเชาจะกลับ
บาน พอถึงเวลาเขาจริงก็หายไป
จากนั้ น จะเกิดป ญญาพิจารณาเห็ นความไมใช ตั วตนของรู ป-นาม
อาการพอง-ยุบจะกลับมาปรากฏชัดอีกครั้ง แตมีความแปรปรวนของอารมณ
ในลักษณะของอนัตตา บังคับไมได๙เห็นความเปนอนัตตา คือความไมใชตัวตน
ของรูป-นามจิตของโยคีกําหนดไมถนัดเหมือนคนที่มีความรูอยางหนึ่ง แตกลับ
ได ทํ างานอีกอย างหนึ่ ง จึ งทํ าให จิ ตอยากพ น อยากหนี เพราะกะเกณฑใน
อารมณ ไม ได ส วนการกํ าหนดในขั้ น นี้ เ ป นการกํ าหนดเหมื อนขั้ น ที่ ๔ ที่
แตกตางคือการเพิ่มรายละเอียดดูสภาวธรรมของรูป-นาม
สภาวะญาณในขั้นนี้อาการพองยุ บกลับมาปรากฏชัด แตมีลักษณะ
แปรปรวนทุกขเวทนากลับมาแรงขึ้นมาอีก เหมือนกับวาญาณเสื่อม ญาณ
ถอย จักเปนญาณที่ ๙ มุญจิตุกัมยตาญาณ และเพราะวาโยคีตองการที่จะ
ออกจากสภาวธรรมจึงพยายามกะเกณฑอารมณต างๆ ที่ป รากฏ จั ดเป น
ญาณที่ ๑๐ ปฏิสังขาญาณ แตทําไมได เพราะสภาวธรรมทั้งหลายไมสามารถ
บังคับได เห็นความเปนอนัตตา คือความไมใชตัวตนของรูปนาม
พึงทราบวา สภาวธรรม มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ สังขารุ
เปกขาญาณ โดยอรรถเปนอันเดียวกันตางกันแตพยัญชนะเทานั้น๑๐ แตใน
ที่นี้จะแยกรายละเอียดของแตละญาณ ดังนี้
ญาณที่ ๙ มุญจิตุกัมยตาญาณ
พอถึ งญาณนี้ บางคนรู สึ กเบื่ อ หน า ยไมอยากกําหนดก็มี บางคน
อยากจะออกหนีเตรียมหอของอยางนี้ก็มี เพราะจิตไมถนัดในอารมณ จึงทํา
ให รู สึ กว าการกําหนดไมกาวหน า และจิ ต กําหนดเห็ นอารมณเดิ มๆ จน
บางครั้งไมอยากมีรูป – นาม อีกตอไป ปรารภนาจะไปนิพพาน เพราะเห็นวา
มีเพียงพระนิพพานเทานั้นที่สามารถทําใหพนจากสภาวะนี้ได
๙
สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๙๐/๑๗๑.
๑๐
ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๒๒๗/๒๘๑, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒๗/๓๘๔.
๖๕๗
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
จิตของผูปฏิบัติธรรม เมิ่อดําเนินมาถึงญาณที่ ๙ นี้แลวก็อยากหลุด
อยากจะพนจากวัฏสงสาร เพราะนิพพาน เห็นแนชัดแลววา ความเกิดในภพ
นี้ก็ดี ความเปนไปของขันธที่เกิดแลวก็ดี ความไมเที่ยงของรูปนามก็ดี การสั่ง
สมกรรมที่จะใหเกิดอีกก็ดี การเกิดมาอีกก็ดี คติตางๆที่จะไปเกิด เชน ทุคติ
สุคติ ก็ดี ความบังเกิดขึ้นของขันธทั้งหลายก็ดี ความเปนไปแหงผลกรรมก็ดี
ชาติก็ดี ชราก็ดี พยาธิก็ดี มรณะก็ดี โสกะก็ดี ปริเทวะก็ดี อุปายาสก็ดี ลวน
แตเปนภัย เปนทุกขเปนโทษ เปนเหยื่อหลอกลอใหหลงติดอยูในภพ เปน
สังขารปรุงแตง ใหไดรับความเดือดรอนทั้งนั้น เกิดความเบื่อหนาย ไมยินดี
ไมช อบ ไมติ ด จิ ต อยากออก อยากหนี อยากหลุ ด อยากพน เพราะเห็ น
ประจักษชัดแลววา ถาไมมีรูปนามเสียได จะเกษม ปลอดภัย เปนสุข ไมมี
เหยื่อลอใหลุมหลง เปนนิพพาน จิตก็มีกําลังกลามุงหนาแตจะออกหนี จะ
หลุดจะพนไปจากสังขาร ธรรมและสังสารวัฏ
อุปมาเปรียบดัง
๑. ปลาติ ด อยู ภ ายในอวน ติ ดแห ติ ดตาข า ย ย อ มดิ้ น รนกระวน
กระวาย อยากหลุดออกไปจากตาขาย จากอวน ฉันใด ผูปฏิบัติก็ฉันนั้น
๒. กบอยูในปากงู อยากออก อยากกระโดหนีลงไปอยูในน้ําลึกๆ
เหลือกําลัง ทั้งดิ้น ทั้งรอง จนสุดความสามารถฉันใด ผูปฏิบัติก็ฉันนั้น
๓. ไกปาถูกขังไวในกรง โดยปกติไกปาเปนสัตวอยูปา ครั้นคนวาง
บวงดักจับได เอาขังไวในกรง ยอมดิ้นกระวนกระวาย ไมมีความสุข มีแต
ทุกขทรมาน อยากออก อยากบินหนีไปอยูปาอันแสนกวางแสนสบาย ตามที่
ตนเคยอยูอยางอิสระโนน ฉันใด ผูปฏิบัติก็ฉันนั้น,
๔. เนื้ออยูในบ วงบาศอันเหนียวแนน ยอมพยายามดิ้นรนจนสุ ด
ความสามารถ เพราะอยากออก อยากหลุด อยากพนไปจากบวง ฉันใด ผู
ปฏิบัติก็ฉันนั้น
๕. งูอ ยูใ นเงื้อ มมือ ของหมองู ย อมอยากออกไปให พ นมื อ อยาก
แลนหนีไปอยูในปาดงพงทึบ ตามความสบายใจของตน ฉันใด ผูปฏิบัติก็ฉัน
นั้น
๖. ชางกุญชรติดอยูในหลมลึก อยากจะถอนตนใหขึ้นจากหลม
๖๕๘
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
พยายามทุกวิถีทางที่จะชวยตัวเองใหพนจากหลม ฉันใด ผูปฏิบัติก็ฉันนั้น
๗. พญานาคอยูในปากครุฑ ยอมอยากออก อยากหลุดหนีไปให
พน ฉันใด ผูปฏิบัติก็ฉันนั้น
๘. พระจันทรเขาไปในปากราหู พระจันทรยอมรูสีกอึดอัด อยาก
หลุดพนจากปากของราหูฉันใด ผูปฏิบัติก็ฉันนั้น
๙. บุรุษถูกศัตรูลอมไว อยากหนจะออกหนีไปใหได ตองพยายาม
หาหนทางที่จะหนี ที่จะเอาตัวรอดเต็มที่ ฉันใด ผูปฏิบัติก็ฉันนั้น
เปนผูมีความปรารถนาจะพนไป มีความมุงมั่นจะออกไปเสียจากที่
นั้นๆ ฉันใด จิตของโยคีผูนั้นก็ฉันนั้น เปนจิตปรารถนาจะพนออกไปเสียจาก
สั ง ขารทั้ง ปวง จึ ง เป น ผู ป ราศจากความอาลั ย ในสั งขารทั้ งปวงแล ว เมื่ อ
ปรารถนาจะพ น ไปจากสั ง ขารทั้ ง ปวงอยู อ ย า งนี้ มุ ญ จิ ตุ กั ม ยตาญาณก็
เกิดขึ้น๑๑
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม
ในระยะตนการกําหนดรูสึกถอยๆ พอกําหนดถี่ๆ เห็นอาการขาด
ของอาการเทา ทําใหการกําหนดไวจนรูสึกวาเวลาผานไปไว
ในระหวางการกําหนดตอนเชา มีอาการโยกเวลาเดินเหมือนอยูบน
เรือ หยุดเดินกําหนด โยกหนอๆๆ หรือ โยกหนอ-รูหนอ
บางคนร อนรนกระวนกระวาย ตองอาบน้ํา บางคนแมแตอากาศ
หนาวจั ด ก็ยั งอาบน้ํ าสบาย แมจ ะมีอาการกลั ด กลุ มมากมายเพีย งใดก็ยั ง
อุตสาหกําหนดอยูเสมอ การกําหนดเทาชัดเจนดีทําใหมีกําลังสมาธิแนน รูสึก
วามีพละกําลังมากเทากับคน ๑๐ คน ไมมีอาการกลัวแตอยางใดเลย
ขณะเดินจงกรม เผลอมองบอย
กํา หนดพิ จ ารณารู ป นามสั ง ขารโดยไตรลั ก ษณ กล า วลํ า ดั บ และ
วิ ธี การกําหนด คื อ “พิจ ารณาเห็ น ว า ไมเ ที่ย ง เป น ทุกข เป น อสุ ภ ะ เป น
อนั ต ตา อุป มาด ว ยบุ รุ ษจับ ปลา แต จั บ ได งูพิษ ปรารถนาจะปล อย จึ งทํา
๑๑
พระพุทธโฆสเถระ รจนา. คัมภีรวิสุทธิมรรค.สมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ
อาสภเถระ) แปลและเรียบเรียง .กรุงเทพมหานคร ๒๕๕๔ .หนา ๑๐๙๒.
๖๕๙
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
อุบ ายปล อ ยงู นั้ น ปลดเปลื้ อ งแกว ง เหวี่ ย งงู ทิ้ งไป”๑๒ ในทางปฏิ บั ติ “จะ
ปรากฏสิ่งที่เคยพบเห็นมาในญาณตนๆ เชน ทุกขเวทนา นิมิต แสงสวาง เปน
ตน แตจะปรากฏชัดเจนรุรแรงแกกลามากกวาในญาณขางตน เพราะโยคี
ผานมาถึงญาณสูง มีสมาธิตั้งมั่นที่ดีขึ้น”๑๓
พอถึงมุญจิตุกัมยตาญาณ จิตกับอารมณจะเห็นหายเปนเสนสายไป
การกําหนดก็สะดวกดี บางคนพูดวา ในตัวของเขามีอะไรซูๆ ขึ้นมาคลายๆ
มดตอย คลายๆ รังมด ซูๆ ตามตัว มีอะไรไตตอม
บางคนเกิด การลุกลี้ ลุกลน บางทีเห็ น วานั่ งดี บางทีเ ห็ นว านอนดี
สับเปลี่ยนกันบอย ถึงอยางนั้นก็ไมเห็นดีขึ้นมา นอนขวาพลิกไปซาย ซาย
พลิกไปขวา บางทีนอนอยูก็อยากผุนผันลุกขึ้นมานั่ง โดยไมมีเหตุอะไร พอนั่ง
ก็อยากลุก ลุกแลวอยากนั่ง นั่งแลวอยากนอนลงไปอีก นั่งอยูก็ไมคอยสงบ
บางทีคูเหยียดสับเปลี่ยนกันไป ภายหลังไมอยากจะเขาไปในหองกรรมฐาน
แมหองตนเองก็ไมอยากเขา บางทีแมแตในมุงก็ไมอยากเขา ใจอยากเปดหนี
อยูเรื่อย การกําหนดนั้นไมอยากกําหนดแตก็กําหนดอยู ไมอยากจะใหพบ
เห็นอยางนี้ อยากจะใหหลุดพนไปเสีย ที่พบเห็นการเสื่อมอยางนี้ ไมเห็นเปน
ของดิบดีเลย อยากจะพักเสีย พอนอนลงก็ไมหลับ กําหนดไปก็รๆู ไป
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ
ลักษณะสภาวะในอิริยาบถนั่ง มีดังนี้
อาการพอง-อาการยุบปรากฏนิดหนอย เบาบาง นิ่งหายไปเปนพักๆ
พอง-ยุบจากที่กําหนดงายกลายเปนกําหนดยาก ลักษณะระหวาง
พองกับ ยุ บ ไมส ม่ําเสมอกัน บางครั้ ง สั้ น บางครั้ ง ยาว บางครั้ ง ใกล เ ห็ น ชั ด
บางครั้งไกลแทบกําหนดไมเห็น
การกําหนดอาการพอง-ยุบ อิริยาบถตางๆ รูสึกวาทําไดไมดี ลอง
เปลี่ยนอิริยาบถก็ไมอาจกําหนดไดดี บางครั้งรางกายหายไปทั้งหมด เหลือแต
ความรูสึก หรือนั่งอยูหัวสับไปโนนไปนี่ จนกระทั่งหมุนไปเลย
๑๒
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๘๑.
๑๓
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๘๓-๑๘๔.
๖๖๐
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
อาการพอง-ยุบ เปนไปอยางสั บสนอลเวง ไมเปนระเบียบเดี๋ยวช า
เดี๋ยวเร็ว เดี๋ยวหายไปกระแทกเขาออกแรงๆ หรือวกไปวกมา เดี๋ยวรูสึกสบาย
เดี๋ยวรูสึกอึดอัดในอก เดี๋ยวรูสึกหงุดหงิดและเบื่อหนาย เดี๋ยวรูสึกเปนสุขไมมี
ทางที่จะแกไขอยางไรไดเลย อยากจะใครหลุดพนไปเสีย ไมอยากไดอะไร
นอกจากนิพพาน
ค. สภาวธรรมที่ปรากฎ : รับประทานอาหาร
มีความรูสึกใครจะหนีใหพน เมื่อมันเบื่อแลวก็ใครจะหนี มีความรูสึก
อยากจะหนีไปตั้งหนาเจริญภาวนาตอไปโดยปราศจากความทอถอย มีความ
เบื่อหนายในรูป-นามยิ่งขึ้น ก็เกิดความมุงหมาย ที่จะใหพนสิ่งที่ไมดี สิ่งที่ชั่ว
เปนภัย เปนโทษ นาเบื่อหนาย คือสังขารรูป-นามที่มุงจะใหพนจากสังขาร
รูป-นามที่จะหนีจากสังขารรูป-นามนี่แหละเรียกวา มุญจิตุกมยตาญาณ การ
พน จากรู ป-นามการหนี จ ากรู ป -นามก็คือ การพน จากทุกขโ ทษภั ย นั่น เอง
เป น ความมุ ง มั่ น ที่ จ ะพ น อย า งแรงกล า อั น เกิ ด จากป ญ ญาที่ เ รี ย กว า
ภาวนามยปญญา ไมใชนึกจะพนอยางเลื่อนลอย โดยไมไดมีการเจริญภาวนา
แต อ ย า งใด มุ ญ จิ ตุ ก มยตาญาณ เป น ป ญ ญาที่ ใ คร จ ะหนี จ ากรู ป -นามนี้
สามารถละอมุญจิตุกามภาวะ (การติดการของอยูในกามภาวะ) ได
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการเวทนา
ทุกขเวทนาเกิดสลับกันไป จนทําใหโยคีรูสึกวาญาณเสื่อม อาการคือ
เดินอยากนั่ง นั่งแลวอยากเดิน เปนตน
๑. มีเวทนารบกวน เชน การขบเมื่อย ปวดชา จุกเสียด คัน เปนตน
เมื่อกําหนดก็จะเห็นเวทนาขาดออกเปนสวนๆ
๒. ทําใหรูสึกคันยุบๆ ยิบๆ ที่โนนบาง ที่นี่บาง จนเหลือที่จะอด
กลั้นได (แตอาการคันนั้นมีมากมายนักหนา)
๓. มีอาการคันตามตัวเหมือนมดกัด
๔. มีผืนแดงเปนเม็ดขึ้นตามตัว หรือเปนเม็ดใสขึ้นตามรางกาย มี
อาการรอนตามรางกาย
๕. มีอาการคันมากเหมือนแพอาหาร ถายทองเหมือนทองเสีย
๖๖๑
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
๖. แตอาการคันนั้นมากมายนักไมใชคันธรรมดา คันเขาไปในเนื้อ
หนัง กระดูก
๗. เวทนามี อ ยู ม ากมายในขณะเกิ ด ความรู สึ ก ทางทวาร เช น มี
อาการของฟนกระทบกัน เหมือนมีอะไรปกอยูที่ฟน หรือสว นตางๆของ
รางกาย ลิ้นชาเหมือนไมรูรสอะไร
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : จิต
โยคีจะมีจิตอยูอยางเดียววาใครจะพนไปแตอยางเดียว หมายความ
วาอยากจะไปอยูในที่ที่ไมมีสังขารรูป-นาม ผูควบคุมตองชี้แจงสั่งสอนใหมี
ความมานะพยายามกําหนดไป กําหนดอาการเบื่อรําคาญวุนวายลุกลี้ลุกลน
นั้น ใหหายไป ใหกําลังใจแกโยคีใหมากวาปฏิบัติมาจวนจะได จวนจะถึงแลว
จะละความพยายามเสียเปนที่นาเสียดาย
การปฏิบัติในบางบัลลังค ทอใจ เพราะกําหนดไมคอยดี เหนื่อยใจ
เปนอยางมาก อยากเลิกปฏิบัติธรรม คุมตัวเองไมได พระวิปสสนาตองให
กําลังใจ
จิตกับอารมณจะเห็นหายเปนเสนสายไป การกําหนดสะดวกดี
บางครั้งนั่งอยูนิ่งเฉย ปากนั้นงับ ๆ ขึ้น งับ ๆ ลง ขนลุ กชันขึ้นแล ว
รูสึกสบายดี บางครั้งพบแตสิ่งที่ปรากฏแลวหายๆ ไปเสื่อมไป จึงไมอยากอยู
ในมนุษย พรหมหรือภพไหนๆ พบวาสังขารอารมณทั้งหลายปรากฏเสื่อม
แลวหายไปเทานั้น ในใจรูสึกวาเปนสิ่งทุกขยากลําบากแสนเข็ญ จึงใครอยาก
หลุดพนไปเสีย๑๔
ญาณที่มีความรูเห็นอยางนี้ เรียกวาปจจักขมุญจิตุกัมยตาญาณ คือ
การรูกําหนดโดยเฉพาะญาณที่เกิดสืบตอญาณนี้ไป คือ ตอไปก็นึก ใครครวญ
เอง อยากลองเป น พรหม ฯลฯ ก็ไมเ ห็ น ดีอะไรอย างนี้ เ รี ย กวา ทนวยมุญ
จิตกัมยตาญาณ ฯ๑๕
๑๔
ดูใน ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๖๓.
๑๕
ดร. พระภัททันตอาสภมหาเถระ อัคคมหากรรมฐานาจริยะ บรรยาย, “การ
สอนวิชาครูครั้งแรกในเมืองไทย”, วิชาครู, หนา ๑๐๐-๑๐๑. (อัดสําเนา).
๖๖๒
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
บางคนคิดจะเปลี่ยนการกําหนดอยูร่ําไป ไมมั่นใจในการกําหนด
อยากออก อยากหนี อยากหลุด อยากพน อยากพบธรรมที่ไมมีความเสื่อม
กําหนดครั้งใดก็พบแตความเสื่อมอยูเสมอ ซ้ํายังตองเผชิญกับความ
ไมแนนอนของจิต
มีอาการแคบเขามาเมื่อกําหนดรูอาการตางๆ ความคิดฟุงซานมี
นอยลง การปฏิบัติเปนไปแบบสบาย
บางคนคิดกลับบาน นึกวาตนหมดบุญวาสนาบารมีเสียแลว เตรียม
เก็บเสื่อ เก็บหมอนกลับบาน โบราณเรียกวา “ญาณมวนเสื่อ” อยางนี้เปน
ลักษณะของปฏิจจสมุปบาท๑๖
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : ธรรม
จิตใครจะพนไปในที่ไมมีสังขารรูป-นาม๑๗ บางคน ถาอาการหนัก
มากอาจต องให พัก การปฏิ บั ติ ไ ว ก อน แต ถ า สติ ป ญ ญาดี ก็ กํ าหนดอาการ
หายไปโดยงาย - แตบางคนลุกลี้ลุกลนผุดลุกผุ ดนั่ง ยืน กําหนดไมไดดี นั่ ง
กําหนดไมไดดี นอนกําหนดไมไดดี
อยากเลิกปฏิบัติ อยากพักผอน เที่ยวดูโนนดูนี่ แตยังกําหนดอยูร่ํา
ไป ตกกลางคืนกลัดกลุมจะนอนก็ไมหลับ ผุดลุกผุดนั่งตั้งใจจะกลับบานตอน
เชา พอถึงเชาก็หายไป
- รอนกระวนกระวาย แมหนาวก็ยังอาบน้ําสบาย ในอกรอน ในทอง
มีอะไรวู บ ขึ้น มารู สึ ก ออนแอเกิ ด ความทอ ถอย คิด ว าตนหมดวาสนาที่จ ะ
ปฏิบัติธรรม ทําใหไมอยากปฏบัติตอไปอยากหนีไปเสีย
ปริญญา ๓ และอริยสัจ ๔ ในมุญจิตุกัมยตาญาณ
ปญญาหาอุบ ายที่จ ะเปลื้ องตนให พน จากขัน ธ ๕ คือ เห็ น สั งขาร
ทั้งหลายไมเที่ยง ไมเปนสิ่งมีอยูตลอดไป โดยเปนสิ่งมีชั่วคราว โดยเปนสิ่งถูก
๑๖
พระธรรมธีร ราชมหามุ นี (โชดก ญาณสิ ทฺธิ ป.ธ.๙), คูมื อสอบอารมณ
กรรมฐาน, หนา ๗๐.
๑๗
ดูใน ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๖๒.
๖๖๓
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
กําหนดลงไวดวยความเกิดและความเสื่อม โดยเปนสิ่งตองพังทลาย โดยเปน
สิ่งมีชั่วขณะ โดยเปนสิ่งไหว (ไปมา) โดยเปนสิ่งที่ตองการแตกสลายโดยเปน
สิ่งไมคงทน โดยเปนสิ่งมีความแปรปรวนไปเปนธรรมดา โดยเปนสิ่งไมมีแกน
สาร โดยเป น สิ่ งต องเสื่ อม โดยเป น สิ่ งถูกปรุ งขึ้น โดยเป น สิ่ งมีมรณะเป น
ธรรมดา๑๘
๑) ญาตปริญญา กําหนดทางหนีไปจากสังขาร รูจักรูป-นามวาเปน
ทุกขสัจ ๒๐%
๒) ตีรณปริญญา พิจารณาทางพนจากสังขารดวยไตรลักษณ ๒๐ %
๓) ปหานปริญญา กําหนดรูถึงขั้นละได ใครจะหนีจากรูป-นาม ละอ
มุญจิตุกามภาวะ (การติดการของอยูในกามภาวะ) และแจงนิ โรธ ๖๐ %
(อริยสัจ ๔ สมบูรณขึ้นตามลําดับ)๑๙ จัดเปนปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ
อัตราการการใสใจวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๐-๑ (นิวรณ)
๒ (ทุกขเวทนา)
๕ (ขันธ ๕)
๑๐ (โทมัสสเวทนา) ๑๐ (จิตกุศล)
๘.นิพพิทาญาณ ๑๐ ๕ (อายตนะ) ๔๐
0 (สุขเวทนา) ๓ (จิตอกุศล)
๕ (โพชฌงค)
๓ (อุเบกขา)
๖ (อริยสัจ)
๐-๑ (นิวรณ)
๒ (ทุกขเวทนา) ๕ (ขันธ ๕)
๙.มุญจิตุกัมยตา ๑๕ (จิตกุศล)
๑๕ ๑๐ (โทมัสสเวทนา) ๕ (อายตนะ) ๓๐
ญาณ ๓ (จิตอกุศล)
๓ (อุเบกขา) ๕ (โพชฌงค)
๖ (อริยสัจ)
๑๘
วิสุทฺธ.ิ (ไทย) ๓/๒/๑๕๕.
๑๙
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ , ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๒ วิปสสนา
กรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : หจก. ทิพยวิสุทธิ,์ ๒๕๕๔), หนา ๑๓๒.
๖๖๔
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
๑. กายานุปสสนา ๑๕ % (จากเดิม ๑๐ % ) ปรารถนาจะหลุดพน
จึงตั้งใจกลับไปเพงพิจารณาอาการพอง-ยุบใหมากขึ้นอีกครั้ง
๒. เวทนานุปสสนา ๒๐ % ความรูสึกทุกขโทมนัสยังมีอยูบาง แตไม
เพิ่มมากกวาเดิม
๓. จิตตานุปสสนา ๑๘ % (กุศลจิต ๑๕ % [จากเดิม ๑๐ %], จิต
กุศลเกิดขึ้นจากความมุงมั่นศรัทธาทีเ่ พิ่มขึ้นที่ การหลุดพนไปเสียจากกอง
สังขารที่นาเบื่อหนาย ไมเปนไปในอํานาจบังคับบัญชาของใครนี้ อกุศลจิต
มีบางเปนบางครั้งดวยอํานาจนิพพิทาที่ยังคางมา
๔. ธัมมานุปสสนา ๒๒ % (ขันธ ๕ % ,อายตนะ ๕ %, โพชฌงค ๕
%, อริยสัจ ๖ %) นิวรณยังมีฟุงๆ บางเกิดๆ ดับๆ เปนอารมณของธัมมา
นุปสสนา มีโพชฌงค ๕ % อริยสัจ ๖% นิวรณเปนจิตอกุศล ยังไมหายจาก
นิพพิทา เบื่อเซ็ง ยังมีอยู อยากหลุดพน
เพงความสนใจไปที่วิถีจิตที่บริกรรมภาวนาลดลง ๓๐ % และใสใจ
พิจ ารณากาย เวทนา จิ ต ธรรม ๗๐ % แต เ น น ไปที่ส ภาพของกุศ ลจิ ต ที่
เพิ่มขึ้น
ความสมดุลของอินทรีย ๕
อิ น ทรี ย ๕ ในญาณที่ ๙ นี้ มี ร ะดั บ สู ง ขึ้ น มากทุ ก ๆ องค ธ รรม
ประมาณได ดังนี้ สัทธินทรีย ๘๐-๙๐% วิริยินทรีย ๘๐-๙๐ % สตินทรีย
๘๐-๙๐ % สมาธินทรีย ๘๐-๙๐ % ปญญินทรีย ๘๐-๙๐ %
ในญาณนี้ ถามีวิ ริ ยิ น ทรี ย มากเกิน จะไปลดสมาธิ น ทรี ย มีความ
ขะมักเขมนในการปฏิบัติ ไมพักผอน แตเปนไปดวยความฟุง เปนสวนใหญ
๖๖๕
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
ญาณที่ ๑๐ ปฏิสังขาญาณ
ปญญาพิจารณาซ้ําอีก คือ ไตรตรองมองหาอุบายใหพนจากรูป-นาม
ซ้ําอีก เพื่อสละสังขารโดยยกเขาสูพระไตรลักษณดวยการรูเห็นลักษณะ ๔๐
อยางใดอยางหนึ่ง ที่ปรากฏชัดอันไดแก อนิจจลักษณะ ๑๐๒๐ ทุกขลักษณะ
๒๕๒๑ และอนัตตลักษณะ ๕๒๒ กลาวโดยยอเปนการเห็นประจักษพระไตร
ลักษณคือ ความไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตน๒๓
ปฏิสังขาญาณ คือ การเห็นสังขารทั้งหลายไมเที่ยง ไมเปนสิ่งมีอยู
ตลอดไป โดยเปนสิ่งถูกกําหนดลงไวดวยความเกิดและความเสื่อม โดยเปน
สิ่งที่ตองพังทลาย โดยเปนสิ่งมีชั่วขณะ โดยเปนสิ่งไหว (ไปมา) โดยเปนสิ่งที่
ตองการแตกสลาย โดยไมเปนสิ่งไมคงทน โดยเปนสิ่งที่ความแปรปรวนไป
เปนธรรมดา โดยเปนสิ่งไมมีแกนสาร โดยเปนสิ่งตองเสื่อม โดยเปนสิ่งถูก
ปรุงขึ้น โดยเปนสิ่งมีมรณะเปนธรรมดา ๒๔
มุญจิตุกัมยตาญาณเปนญาณที่ปรารถนาจะพนจากสังขารรูป-นาม
ส ว นญาณนี้ เ ป น ญาณที่ ห าอุ บ ายให พน จากรู ป -นามหาทางหนี ใ ห พ น จาก
สังขาร เมื่อปรารถนาจะพนจากสังขารรูป-นามก็พยายามเจริญภาวนาโดยไม
หยุดยั้งดวยการเพงไตรลักษณเพงความเกิดดับของรูป-นามก็จะเกิดปญญา
แจงขึ้นมาเองวาจะตองหาอุบายอยางใดอยางหนึ่งและดําเนินการตามอุบาย
นั้นจึงจะพนได ปญญานี่แหละเรียกวา ปฏิสังขาญาณ๒๕
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม
ปรากฏดุจเข็มแทง ดุจเอาไมเล็กๆ มาจี้ตามรางกาย
๒๐
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ ), วิปสสนานัย เลม ๒, พระพรหมโมลี
(สมศักดิ์ อุปสโม) ตรวจชําระ, พิมพครั้งที่ ๑, (นครปฐม, ๒๕๕๐), หนา ๓๑๐-๒.
๒๑
เรื่องเดียวกัน, หนา ๓๑๓-๕.
๒๒
เรื่องเดียวกัน, หนา ๓๑๖-๓๔๔.
๒๓
เรื่องเดียวกัน, หนา ๓๐๙.
๒๔
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒ / ๓๒๗
๒๕
วิสุทฺธ.ิ (ไทย) ๓/๒/๑๖๐.
๖๖๖
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
ในระยะตนการกําหนดรูสึกถอยๆ พอกําหนดถี่ๆ เห็นอาการขาด
ของอาการเทา ทําใหการกําหนดไวจนรูสึกวาเวลาผานไปไว ยิ่งกวาบัลลังก
กอนๆ สภาวตางๆ กําหนดไดงาย และดับไดเร็วกวาบัลลังกกอนๆ
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ
ลักษณะสภาวะของปฏิสังขาญาณ ในอิริยาบถนั่ง มีดังนี้
อาการพอง ยุบ นั่ง ถูก ปรากฏชัดเจนดี
การกําหนดรูจุดปรากฏชัดเจนดี
สภาวะธาตุปรากฏชัดเจนดี เชน รอน เย็น ตามรางกาย
มีอาการหนักเบาเหมือนถูกทับ หรือ เบาเหมือนลอยอยูในน้ํา
มีอาการเหมือนคนปวย เดี๋ยวรอน เดี๋ยวหนาว ปวดเมื่อยไปทั้งตัว
กายปรากฏเหมือนหายไปหมดเหลือตัวกําหนดกับผูรูเทานั้น
ตัวแข็งดุจเขาผลสมาบัติ แตใจยังรูอยู หูยังไดยินเสียงอยู
บางชวงพอง-ยุบ ไมชัด แตจิตรูชัด..ก็ใหรูชัดลงไปในอาการไมชัดนั้น
“พอง-ไมชัดหนอ” “ยุบ-ไมชัดหนอ” อยาพยายามทําใหชัด..ปลอยใหเปนไป
ตามความเปนจริง (ขอใหจิตรูชัด..ก็พอแลว)
อาการพอง-อาการยุบปรากฏนิดหนอย เบาบาง นิ่งหายไปเปนพักๆ
อาการที่พบมักพบอาการเดิมที่ผานมาแลว เปนอยางๆ หรือหลาย
อยางไมแนนอน
การกําหนดตองเพงและปกใจ จึงจะกําหนดไดดี ๑-๒ ครั้งจึงจะหาย
ใน ๓ ลักษณะ
อาการพองยุบเร็วถี่ บางทีมีเวทนาที่หนักผสม
อาการทุกข แนนเสียดทั้งที่กําหนดพองยุบ บางอันกําหนดไมหาย
ตั้งอยูติดกันเปนสาย
อาการพองยุบหาง จางหายไป เกิดความรําคาญในการกําหนดอยู
บอยๆ
การกําหนดอาการพอง-ยุบทําไดลําบากตองใชความขะมักเขมนมาก
จึงจะกําหนดได แตก็กําหนดไดไมดีนัก
๖๖๗
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
อารมณตางๆ ที่เกิดขึ้นกําหนดตามไปเพียง ๒-๓ ครั้ง ก็หายไปอยาง
รวดเร็วพรอมกับจิตที่กําหนดรู
๔) รูสึกคันตามรางกาย หนักตามตัวและมือเทาคลายมีของหนักๆ
มาถวงหรื อวางทับ รูสึกเซื่องซึม ไมอยากพูดจาหรือขยับ ตัว หูไดยิ นเสีย ง
หวิวๆ มารบกวน รูสึกเจ็บปวดในอกหรือตามรางกายเสมือนมีเหล็กแหลมมา
แทง หรือเข็มมาจี้ ขณะกําหนดอาการพอง-ยุบ เหมือนในอกเกิดหมุนมวนตัว
เปนวงขึ้นไปเหมือนตะไลที่พุงขึ้นสูฟาและพิจารณาตามไปก็รูสึกปวดราวใน
อกมากขึ้นตามลําดับ อาการเหลานี้อาจมี ๒-๓ วัน หรือหลายวันยอมแลวแต
อินทรีย
พอง-ยุบถี่เร็วเวทนาที่หนักๆ มาผสม ความรําคาญ กําหนดไดวองไว
ดี “เพื่อจะพนไปเสียจากสังขารทั้งหลาย๒๖ซึ่งมีแตความแตกดับจึ งยกเอา
สังขารทั้งหลายนั้นขึ้นสูพระไตรลักษณ”
เห็นความไมใชตัวตนของรูป-นาม พอง-ยุบยาวแผวเบา มีจังหวะ
หยุดระหวางพอง-ระหวางยุบ จนทําใหเกิดอาการจิตวูบ สัปหงก หรือเผลอ
คิดบอยบางครั้งมีอาการ ปติ แสงสวาง ภาพนิมิต เครื่องหมายตางๆ เกิดขึ้น
กําหนดสบายจนเพลิน แตพอวันตอมาพอง-ยุบกลับนิ่งๆ เบาๆ เปนตน
ค. สภาวธรรมที่ปรากฎ : รับประทานอาหาร
กําหนดฉัน(รับประทาน) อยูดีๆ ปรากฏดุจเข็มแทง ดุจเอาไมเล็กๆ
มาจี้ตามรางกาย เวทนามีมากแตหายเร็ว กําหนด ๒-๓ ครั้งก็หาย มีอาการ
ซึม ตั ว แข็ งดุ จ เข า ผลสมาบั ติ แต ใจรู อ ยู หู ยั ง ได ยิ น เสี ย งอยู ตึ งๆ หนั ก ๆ
เหมือนเอาหินหรือทอนไมมาทับลง รูสึกรอนทั่วสรรพางคกาย รูสึกอึดอัด
แนนๆ ใหตั้งใจกําหนดไปตามอาการ
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการเวทนา
การเห็นสังขารทั้งหลาย ไมเที่ยงไมเปนสิ่งมีอยูตลอดไปโดยเปนสิ่งมี
ชั่วคราว โดยเปนสิ่งถูกกําหนดลงไวดวยความเกิดและความเสื่อม โดยเปนสิ่ง
๒๖
ดูใน ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๓๐๙.
๖๖๘
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
ต องพังทลาย โดยเป น สิ่ งมีชั่ ว ขณะ โดยเป น สิ่ งไหว (ไปมา) โดยเป น สิ่ งที่
ตองการแตกสลาย โดยเปนสิ่งไมคงทน โดยเปนสิ่งมีความแปรปรวนไปเปน
ธรรมดา โดยเปนสิ่งไมมีแกนสารโดยเปนสิ่งตองเสื่อมโดยเปนสิ่งถูกปรุงขึ้น
โดยเปนสิ่งมีมรณะเปนธรรมดา๒๗
สภาวะที่เ ปนปรมัตถแทๆ นั้ น ยิ่งอยากกําหนดใหชั ด..ยิ่งกําหนด
ไมได ยิ่งอยากบรรลุ..ยิ่งฟุงซาน เปรียบเหมือนกับคนปลูกมะมวง หมั่นรดน้ํา
ใสปุย อยากใหออกดอก ออกผลเร็วๆ จึงไปฉีกกิ่งฉีกกานดูวา จะออกดอก
ออกผลแลวหรือยัง...สุดทาย กิ่งกานเฉาตาย!
กําหนดเวทนา: สภาวธรรมที่ปรากฏ
ปรากฏดุจเข็มแทง ดุจเอาไมเล็กๆ มาจี้ตามรางกาย
เวทนามีมากแตหายเร็ว กําหนด ๒-๓ ครั้งก็หาย
มีอาการซึมๆ ตัวแข็งดุจเขาผลสมาบัติ แตใจรูอยู หูยังไดยินเสียงอยู
ตึงๆ หนักๆ รูสึกรอนทั่วสรรพางคกาย รูสึกอึดอัดแนนๆ๒๘
บางคนพูดวา คลายมีแมลง มดตอม ถึงกับลุกสะบัดผาก็มี พอสะบัด
ดูแลวก็ไมเห็นมีอะไร พอกําหนดไปก็เห็นดีอยู ที่มันมีตามตัวนั้นก็ฝนกําหนด
ไปอย างนั้ น เอง บางครั้ งหายบางครั้ งไมห าย บางครั้ งก็ไมห ายไปหมดสิ้ น
บางครัง้ รูสึกซาลงและคอยๆ หายไปได
บางคนตามรางกาย ขา แขง รูสึกคันขยุกขยิก บางทีคลายกับเอา
เหล็กแหลมมาแทงเจ็บโนนเจ็บนี่ บางคนพูดวา บางครั้งบางคราวในอกของ
ตนรอนขึ้นมา คือตามในทองในไสมีอะไรวูบขึ้นมา บางทีนั่งอยูตัวนิ่งอยูเฉยๆ
ปากนั้นงับขึ้น งับลง บางคนพูดวาที่นั่งอยูนั้น หัวของเขาประเดี๋ยวสับไปโนน
สับไปนี่จนกระทั่งหมุนไปเลย และเปนอยางนี้บอยๆ เสียดวย
บางคนพูดวา รางกายทั้งหมดจางหายไปสิ้นเชิง เหลือแตความรูสึก
เทานั้น
๒๗
วิสุทฺธ.ิ (ไทย) ๓/๒/๑๕๕.
๒๘
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙), คูมือสอบอารมณ
กรรมฐาน, หนา ๗๐-๗๑. (อัดสําเนา).
๖๖๙
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
บางคนพูดวา ตามรางกายมีขนชันขึ้น แลวรูสึกสบายดี
บางคนก็จะพูดวา ความลําบากยากเย็นไมพบ พบแตสิ่งที่ปรากฏ
แลวหายไปเสื่อมไป ดังนั้นจึงไมอยากอยูในมนุษย และพรหมภพเหลานั้นไม
เห็นเปนของดีอะไร
บางคนวา ทุกๆ ครั้งที่รูนั้น พบแตสังขารอารมณทั้งหลายปรากฏ
เสื่อมๆ แลวหายไปเทานั้น ความรูสึกในใจวามันเปนสิ่งที่ทุกขยากลําบาก
แสนเข็ญจึงใครอยากหลุดพนไปเสีย
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : จิต
บางคนจะพบอารมณที่กํ าหนดและจิ ต ที่กํา หนดหายๆ ไป และไม
อยากพบสิ่งเหลานี้คิดวา สิ่งเหลานี้ไมมีจะดี สิ่งเหลานี้อยากจะเอาไปทิ้ง เอา
ไปขวางเสีย
ภายในจิตใจรูสึกอึดอัดคลายถูกบีบคั้นดวยประการตางๆ
มีอาการตึงๆ หนักๆ เหมือนเอากอนหินมาทับ หรือเหมือนเอาทอนไม
มาทับลงฉะนั้น
เหมือนเอาเลื่อยมาตัด เหมือนเอาตะปูมาตีลงที่รางฉะนั้น
บางทีก็เหมือนรอนทั้งตัว คือ รอนทั่วสรรพางคกาย
บางทีรูสึกอึดอัดแนนๆ ฝดๆ เหมือนใจจะขาด
บางทีรูสึกเย็นเหมือนถูกน้ําแข็ง หรือเหมือนอยูในหองเย็นฉะนั้น
บางคนจะคิดวาอยากจะใหหลุดพนเพียงอบายเทานั้น แตอยากจะติด
อยูในพรหมโลกสวนนิพพานไมอยากไดเทาไรนัก แตบัดนี้ไมอยากไดอะไร
นอกจากอยากถึงพระนิพพานเทานั้นอยากใหมันสงบนิ่งไปเสียเร็วๆ นี้คือ
อารมณที่กําหนดนั้ น ถาสิ่ งเหล านี้ ดั บ สงบไปคือนิ พพาน ที่สงบไปนั้ น คือ
นิ พพาน เมื่อเราอยากถึงคือทําการกําหนดอย างนี้ เ อง รู สึ กว าการปฏิ บั ติ
ดําเนินไปมากแลว การอนุมานพอจะคาดหมายไดวา ถาเราพยายามกําหนด
ไปอยางจริงจังแลว ในไมชาเราก็จะไดถึงมรรคผลญาณโดยปจจักขะฯ
๖๗๐
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : ธรรม
๑. ผูปฏิบัติตองหนักแนนตอการกําหนดโดยไมตองกําหนดถึงสิ่ง
ใดๆ ทั้งสิ้น ยอมสูตาย ไมทอถอย
๒. ตองยอนกลับไปพิจารณาไตรลักษณอีก
๓. พอบรรลุญาณนี้แลวการกําหนดมักสะดุด ตองพยายามใหมาก
๔. ผูปฏิบัติตองมีความวิริยะอุสาหะเครงครัดใหมาก ตองเพียรใน
การเดินจงกรม
๕. บางครั้งก็กําลัง ใจตกต่ํา นึกว าตนเองเปนคนกิเลสหนาปญญา
นอย
๖. เมื่อมาถึงญาณนี้จะไมมีใจรวนเรในการเลิกปฏิบัติ
๗. ยอมพิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงในหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
หาทางที่จะพนทุกข
๒๙
๘. มองไมเห็นสิ่งใดเปนสมบัติของตน โดยมีเงื่อนไข ๔ อยางคือ
- เราไมมีอยู ณ ที่ไหนๆ
- เราไมอยูในความกังวลของใครๆ
- บุคคลอื่นไมมีอยู ณ ที่ไหนๆ
- บุคคลอื่นไมอยูในความกังวลของเรา
กําหนดตามไปทุกๆ ขณะอารมณ จิตที่กําหนดนั้นหายไปพรอมกัน
อยางวองไวและรวดเร็วเปนพืด เปนสายกัน ตองปกใจลงไปจึ งกําหนดได
อารมณที่กําหนดนั้นหายไปอยางงายดายวองไว อารมณอะไรก็ตามกําหนด
เพียง ๒-๓ ครั้ง ก็ไมเห็นมีอะไรมั่นคงอยูและถึงแมการกําหนดจะนานๆ ไปก็
ตาม จิต ไมไดคิดอะไรเลย กําหนดเพียง ๑-๒ ครั้งก็หายไป ไมเห็ นมีอะไร
มั่นคงถาวรอยูได จึงพบแตสภาพไตรลักษณ คือปรากฏชัดขึ้นมา กําหนดนั้น
รูสึกวาหางๆ จางๆ ไปแตกําหนดไดดีอยู พบแตเสื่อมๆ หายไป ไมเห็นมีอะไร
ดี จะพบแตความทุกขยาก ตัวของเราจะพุๆ ขึ้นแลวคันๆ เปนอยางนี้ ๒-๓
วันแลว คันหรืออะไรตางๆ นั้นไมมีอะไรดีเสียเลย จึงนึกวาเปนของทุกข ๕)
๒๙
ม.อุ.๑๔/๗๐/๕๑.
๖๗๑
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
รูสึกตามตัวมือเทาหนักๆ และรูสึกพักๆ ดวย ทั้งตัว มือ เทา ตึง หนักไป ไม
อยากขยับเลย ตัวเองก็รูสึกซึมๆ ไป ก็กําหนดไปอยางซึมๆ เทานั้นไมมีอะไร
ดี มีแตความทุกขเทานั้น กําลังกําหนดก็ดีอยู แตหูก็ไดยินเสียงหวิวๆ ไป พอ
ชัดแลวกําหนดไปไมคอยไดดีและไมคอยจะหาย ไดยินมา ๒-๓ วันแลว แต
บัดนี้ก็ไดยินอยู กําหนดไมหาย ไมอยากไดยินเลยกําหนดก็ไมอยากกําหนด
รูสึกทุกขยากลําบากมาก รูสึกไมดีเลย เกิดการชักเบื่อขึ้น ใจอยากจะใหหลุด
พนจากเสียงเหลานี้เสีย๓๐
ปริญญา ๓ อริยสัจ ๔ ในปฏิสังขาญาณ
มุญจิตุกมยตาญาณเปนญาณที่ปรารถนาจะพนจากสังขารรูป-นามส
วนญาณนี้ เป น ญาณที่ ห าอุ บ ายให พ น จากรู ป -นามหาทางหนี ใ ห พ น จาก
สังขาร เมื่อปรารถนาจะพนจากสังขารรูป-นามก็พยายามเจริญภาวนาโดยไม
หยุดยั้ง จนเห็นรูป-นามเปนไตรลักษณโดยประจักษ เห็นรูป-นามพรอมจิตที่
เขาไปรูนั้นดับไปพรอมกันดวย
๑) ญาตปริญญา กําหนดทางหนีไปจากสังขาร รูจักรูป-นามวาเปน
ทุกขสัจ ๒๐%
๒) ตีรณปริญญา พิจารณาทางพนจากสังขารดวยไตรลักษณ ๒๐ %
๓) ปหานปริญญา กําหนดรูถึงขั้นละได ใครจะหนีจากรูป-นาม ละอ
มุญจิตุกามภาวะ (การติดการของอยูในกามภาวะ) และแจงนิ โรธ ๖๐ %
(อริยสัจ ๔ สมบูรณขึ้นตามลําดับ)๓๑ จัดเปนปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ๓๒
๓๐
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, แปลโดยสมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ
อาสภมหาเถร), พิมพครั้งที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร, ๒๕๕๑), หนา๑๐๙๒-๑๐๙๓.
๓๑
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ , ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๒ วิปสสนา
กรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : หจก. ทิพยวิสุทธิ,์ ๒๕๕๔), หนา ๑๓๒.
๓๒
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ., เอกสารประกอบการสอน รายวิชาสัมมนาวิปสสนา
, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ศูนยบัณฑิตวิทยาเขตบาฬี
ศึกษาพุทธโฆส นครปฐม,๒๕๕๕), หนา ๒๙๓.
๖๗๒
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
เปนภูมิแหง ปหานปริญญา กําหนดรูถึงขั้นละได คือ รูถึงขั้นที่ทํา
ใหถอนความยึดติดเปนอิสระจากสิ่งนั้น ๆ ได (ละวิปลาสได) และปฏิบัติตอ
สิ่งตาง ๆ ไดถูกตองจัดเขาใน อริยสัจ ๔ คือ “แจงนิโรธ(อริยสัจ ๔เกิดโดย
สมบูรณขึ้นตามลําดับ)ทุกข, สมุทัย,นิโรธ, มรรค”
ในขั้ น ที่ ๕ นี้ นั บ สงเคราะห เ ข า ในญาณที่ ๙ และ ๑๐ จั ด เป น
ปหานปริญญา ปหานกิเลสไดเปน ตทังคปหาน จัดเปนปฏิปทาญาณทัสสนวิ
สุทธิ และเปน นิโรธอริยสัจ เชนเดียวกับขั้นที่ ๔
อัตราการการใสใจวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๐-๑ (นิวรณ)
๒ (ทุกขเวทนา) ๕ (ขันธ ๕)
๙.มุญจิตุกัมยตา ๑๕ (จิตกุศล)
๑๕ ๑๐ (โทมัสส) ๕ (อายตนะ) ๓๐
ญาณ ๒ (จิตอกุศล)
๓ (อุเบกขา) ๕ (โพชฌงค)
๖ (อริยสัจ)
๐-๑ (นิวรณ)
๑๐ (ทุกขเวทนา) ๕ (ขันธ ๕)
๒๐ (จิตกุศล)
๑๐.ปฏิสังขาญาณ ๑๐ ๕ (โทมัสส) ๕ (อายตนะ) ๒๐
๐-๑ (จิตอกุศล)
๑๐ (อุเบกขา) ๖ (โพชฌงค)
๗ (อริยสัจ)
๖๗๓
ขั้นที่ ๕ พิจารณาเห็นความไมใชตัวตนของรูปนาม
ปวดตามลําตัวเกิดขึ้นมากมายหลายจุด แตดับเร็ว ดับแลวเปนอุเบกขานาน
ขึ้น
๓. จิตตานุปสสนา ๒๑ % (กุศลจิต ๒๐% [จากเดิม ๑๕%],) เมื่อ
สภาวธรรมเปนอุเบกขามากขึ้น เมื่อกําหนดพอง-ยุบและอาการปวดดับเร็ว
ขึ้น จึงเกิดจิตผองใสเปนกุศลจิตมากขึ้นๆ ไปดวย
๔.ธัมมานุปสสนา ๒๔ % ( ขันธ ๕ % , อายตนะ ๕ % โพชฌงค ๖
%[จากเดิม ๕%], อริยสัจ ๗ [จากเดิม ๖ %], กายเปลี่ยนเปนรูปขันธมากขึ้น
เมื่อจิตผองใสเปน กุศลจิตก็เกิดสภาพธรรมที่เปนโพชฌงค และอริยสัจ ๔
ตามไปดวย
เพงความสนใจไปที่วิถีจิตที่บริกรรมภาวนาเพียง ๒๐ % และใสใจ
พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมเพิ่มขึ้น ๘๐ % แตเนนไปที่สภาพของกุศลจิต
ที่เพิ่มขึ้น
ความสมดุลของอินทรีย ๕
อิน ทรี ย ๕ ในญาณที่ ๑๐ นี้ มีร ะดั บ สู งขึ้ น มากทุก ๆ องค
ธรรม ในระดับเดียวกับญาณที่ ๙. ประมาณได ดังนี้
สัทธินทรีย ๘๐ - ๙๐ %
วิริยินทรีย. ๘๐ - ๙๐ %
สตินทรีย ๘๐ - ๙๐ %
สมาธินทรีย. ๘๐ - ๙๐ %
ปญญินทรีย. ๘๐ - ๙๐ %
ในญาณนี้ ถา มีวิ ริ ยิ น ทรี ย มากเกิน จะไปลดสมาธิ น ทรี ย มี
ความขะมักเขมน ในการปฏิบั ติ ไมพักผอน แต เป นไปด วยความฟุง
เปนสวนใหญ
๖๗๔
ขั้นที่ ๖ วางเฉยตอรูป-นาม
การกําหนดรูปนามโดยความเปนอนัตตา ขั้นนี้ผูปฏิบัติของกําหนด
อิริยาบถยอยและตนจิตใหได ๑๐๐% กําหนดทุกครั้งตองใหเห็นอาการของ
จิตดับไปซึ่งสงผลใหจิตวางเฉยตอสังขารเรียกวา สภาวะของสังขารุเปกขา
ญาณเบื้องตน เปนญาณที่จะเขาสู วุฏฐานคามินีวิปสสนา คือสังขารุเปกขา
ญาณตอนปลาย อนุ โ ลมญาณ และโคตรภู ญ าณ ซึ่ ง เป น ภู มิ แ ห ง ปหาน
ปริญญา จัดเขานิโรธอริยสัจและมรรคอริยสัจ
ในชวงตนยังปรากฏความแปรปรวนของรูปนามอยูบาง แตจิตวาง
เฉย คือ เมื่อปรารถนาที่จะหนีใหพนจากรูปนาม ไตรตรองหาอุบายที่จะให
พนจากรูปนาม จนเกิดปญญารูเห็นขึ้นมาวา รูปนามนี้เปนวิบากที่เกิดมาจาก
เหตุปจจัย ตอเมื่อทําใหเหตุปจจัยหมดสิ้นไปกอนแลวรูปนามอันเปนวิบากก็
ไมเกิดขึ้นอีก แตวาบัดนี้รูปนามมีอยูแลวถึงเบื่อหนายอยากหนีอยากพนมาก
แคไหนก็หนีไมพน จําตองวางเฉย ไมยินดียินราย คือไมมีอภิชฌาและโทมนัส
ในสังขาร แตก็ไมละเลยในการพยายามเพงพิจารณาความเกิดดับเรื่อยไป
ความวางเฉยตอรูปนาม คือ มีปญญากําหนดจนรูวา หนีจากรูปนาม
ยังไงก็หนีไมพน จึงอยูเฉยๆ ไมยินดียินราย ดุจบุรุษที่เพิกเฉยในภริยาที่หยา
รางแลว จิตมีความเปนกลางตออารมณ เพราะวาเปนของเกิดดับ หนีไมได
ยิ่ ง ปฏิ เ สธ ยิ่ ง เป น ทุ ก ข จิ ต จึ ง ไม ป ฏิ เ สธอารมณ เป น กลางต อ อารมณ มี
ลั กษณะการวางเฉยของรู ป นาม สภาวะเขาสู ความเป น ปกติ ร ะดั บ สู ง ไม
เหมือนบุคคลทั่วไป เวลาเห็นทุกขเห็นโทษเห็นภัย สภาวะจิตใจจะดิ้นรนมาก
ไมตองการกระสับกระสายดิ้นรน แมแตในวิปสสนากอนหนาสังขารุเปกขา
ญาณ ก็มีลักษณะการดิ้นรนของจิต ยังมีความรูสึกอยากจะหนีอยากจะพน
แตยังหลุดพนไมได เมื่อดูจนกําลังแกกลาแลววาไมมีทางจึงวางเฉยได เห็น
ความเกิดดับเปนภัยเปนโทษนาเบื่อหนายอยูก็ยังวางเฉยได แมจะถูกบีบคั้น
อยางแสนสาหัสก็ยังวางเฉยอยูอยูได เปนความวางเฉยตอสังขารที่ประจักษ
แจงความเกิดดับของรูปนาม ในขณะเจริญวิปสสนา
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
การบริกรรมภาวนา ในขั้นนี้ แตกตางจากขั้นกอนๆ คือ ใสใจเพงรู
ในอารมณที่จิตรับรูในปจจุบันขณะนั้น อยางจดจอ ตอเนื่อง พยายามเพง
พิจารณาอาการของอารมณนั้นๆ โดยไมใหจิตซัดสายไปหาอารมณอื่นๆ และ
พยายามป ด กั้ น ไม ใ ห อ ารมณ อื่ น ๆ แทรกเข า มา แต ห ากมี อ ารมณ อื่ น ๆ
แทรกเขามาได หรือจิตเผลอสอดสายหาอารมณอื่นๆ ของเขาเอง (อันแสดง
ถึงภาวะอนัตตา) ก็ใหเพงรูลงในอาการของอารมณใหมนั้นทันที และเนน
สังเกตดูสภาพธรรมารมณภายในจิตนั้นๆ เปนพิเศษ หลักการสําคัญในการ
บริกรรมภาวนาในขั้นนี้ ตองพยายามเพงความสนใจไปที่วิถีจิตที่บริกรรม
ภาวนาเพียง ๑ % และใสใจพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เพิ่มขึ้น ๙๙ %
แตเนนไปทีพ่ ิจารณาสภาพธรรมของโพชฌงค ๗ มากขึ้น
การปฏิบัติ ธรรมโดยการกําหนดรูปนามโดยความเปนอนัตตา ซึ่ง
สงผลใหจิตวางเฉยตอสังขาร เรียกวาสภาวะของสังขารุเปกขาญาณเบื้องตน
เปนญาณที่จะเขาสูวุฏฐานคามินีวิปสสนา คือสังขารุเปกขาญาณตอนปลาย
อนุโลมญาณ และโคตรภูญาณ ตอไป
๑. วิธีกราบและกําหนดรูอริยาบถ แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
กราบสติปฏฐานใหชาลง ใหได ๒๐ นาทีเปนอยางนอย โดยเพิ่มตน
จิตใหมากขึ้น เชน กอนพลิกมือ ใหกําหนดรูจิตกอนวา “อยากพลิกหนอ”
พร อ มกับ สั ง เกตเห็ น อาการดั บ ลงของจิ ต ที่อยากพลิ ก นั้ น แล ว จึ งกํา หนด
“พลิกหนอๆๆ” ตอไป เปนตน และเพิ่มจังหวะหยุด เมื่อมีอารมณอื่นเขามา
แทรกซอน เชามาเชน ขณะยกมือขึ้นกราบ ลมเย็นพัดเขามากระทบรางกาย
ใหกําหนด “ถูกหนอ” “เย็ นหนอ” จนดับ ไปกอน แล วจึ งคอยกําหนดยก
ตอไป เปนตน
ตองกําหนดบริกรรมอยูตลอดเวลาในทุกๆ อิริยาบถ ตั้งแตจิตแรกที่
ตื่นจนถึงจิตสุดทายที่หลับแมแตขยับนัยนตา ขยับลิ้น ก็กําหนดทันทุกครั้ง
บริกรรมภาวนาไปตามอาการที่เกิดขึ้นจริงในขณะปจจุบันอยูตลอดเวลา
๖๗๖
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
๒. วิธีเดินจงกรม แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
อิริยาบถยืน : เน นย้ําให โยคีกําหนดใหรู เทาทัน จิตที่คิดจะยื น
“อยากยืนหนอ ”พรอมกับสังเกตเห็นอาการดับลงของจิตที่อยากยืนนั่นดวย
แลวลุกขึ้นยืน ในทุกครั้ง และเพิ่ม การกําหนดยืนเปน ๓ ชวง คือ
กําหนด “ยืนหนอ” ตั้งแตปลายผมจนถึงอก ๑ ชวง
กําหนด “ยืนหนอ” ตั้งแตอกจนถึงขา ๑ ชวง
กําหนด “ยืนหนอ” ตั้งแตขาจนถึงปลายเทา ๑ ชวง
และเพิ่ ม การกํ า หนดเห็ น อาการดั บ ของจิ ต ที่ ดั บ พร อ มไปกั บ
ความรูสึกยืนนั่นๆ ดวย
อิริยาบถเดิน : เดินจงกรมใหเทากับเวลานั่งภาวนา เดินใหครบทั้ง
๖ จั งหวะ และเพิ่ม อาการรู ล งไปในอาการก าวย า งเป น ทวี คู ณ เช น เดิ น
จังหวะที่ ๓ “ยกหนอๆๆๆๆ” “ยางหนอๆๆๆๆ” “เหยียบหนอๆๆๆๆ” คือ
เพิ่มความถี่ของจิ ตรู ลงในการกําหนด และเพิ่มการกําหนดรูจิ ตอยากหั น
อยากมอง อยากพูด อยากคุย ใหจิตที่อยากมอง อยากคุยนั้นๆ ดับไป..โดย
ไมหันไปมองหรือเผลอพูดคุย ใหไดทันกอนทุกครั้ง
หยุดกําหนดรูอาการคัน ปวด เมื่อย และอาการคิด จนเห็นอาการ
ดับ กอนทุกครั้ง ตองกําหนดจนเห็ นอาการดั บ ของทุกสภาวะที่จิ ตเขาไปรู
บางครั้งอารมณดับไปจากจิต บางครั้งจิตดับไปจากอารมณ คือกําหนดรู
อาการดับไป ของตัวจิตเอง ที่เขาไปกําหนดรูอารมณตางๆ ที่ดับไปพรอมกับ
อารมณที่ถูกกําหนดนั้นๆ หากเห็นอาการดับของจิต ชัดเจน ใหกําหนดรูวา
“ดับหนอ” หรือ “รูหนอ” ดวย
เดินจงกรมใหเทากับเวลานั่งภาวนา เดินใหครบทั้ง ๖ จังหวะ และ
เพิ่ ม จิ ต รู ล งไปใน อาการก า วย า งเป น ทวี คู ณ เช น เดิ น จั ง หวะที่ ๓ “ยก
หนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ’’ (แลวนิ่ง) “ยางหนอๆๆๆๆๆๆๆๆ” (แลวนิ่ง) “เหยียบ
หนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” (แลวนิ่ง) คือซอยสภาวะ เพิ่ม ความถี่ในการกําหนด
ในขณะเดินเพิ่มการกําหนดรูจิตอยากหัน อยากมอง อยากพูด อยากคุย ให
จิตที่อยากมอง,อยากคุยดับไป..โดยไมหันไปมองหรือพูดคุย ใหไดทันกอนทุก
๖๗๗
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
ครั้งหยุดกําหนดรูอาการคัน ปวด เมื่อย และอาการคิด จนเห็นอาการดับ
ก อ นทุ ก ครั้ ง ต อ งกํ า หนดจนเห็ น อาการดั บ ของทุ ก สภาวะที่ จิ ต เข า ไปรู
บางครั้งอารมณดับไปจากจิต บางครั้งจิตดับไปจากอารมณ คือกําหนดรู
การดับไปของตัวจิตเอง ที่เขาไปกําหนดรูอารมณ ตางๆ ที่ดับไปพรอมกับ
อารมณที่ถูกกําหนดนั่นๆ หากเห็นอาการดับของจิตชัดเจนให กําหนดรูวา
“ดับหนอ ”หรือ “รูหนอ ”ดวย
เพิ่มอาการรูลงไปในอาการกาวยางเปนทวีคูณดังนี้
จังหวะที่ ๑ เพิ่มความถี่ของจิตรูลงในการกําหนด “ยกหนอๆๆๆๆ”
“ยางหนอๆๆๆๆ”
จังหวะที่ ๒ เพิ่มความถี่ของจิตรูลงในการกําหนด “ยกหนอๆๆๆๆ”
“เหยียบหนอๆๆๆๆ”
จังหวะที่ ๓เพิ่มความถี่ของจิตรูลงในการกําหนด “ยกหนอๆๆๆๆ”
“ยางหนอๆๆๆๆ” “เหยียบหนอๆๆๆๆ”
จั ง หวะที่ ๔ เพิ่ ม ความถี่ ข องจิ ต รู ล งในการกํ า หนด “ยกส น
หนอๆๆๆๆ” “ยกหนอๆๆๆๆ” “ยางหนอๆๆๆๆ” “เหยียบหนอๆๆๆๆ”
จั ง หวะที่ ๕ เพิ่ ม ความถี่ ข องจิ ต รู ล งในการกํ า หนด “ยกส น
หนอๆๆๆๆ”“ยกหนอๆๆๆๆ” “ยางหนอๆๆๆๆ” “เหยียบหนอๆๆๆๆ”
จั ง หวะที่ ๖ เพิ่ ม ความถี่ ข องจิ ต รู ล งในการกํ า หนด “ยกส น
หนอๆๆๆๆ”“ยกหนอๆๆๆๆ” “ยางหนอๆๆๆๆ” “ลงหนอๆๆๆๆ” “ถูก
หนอๆๆๆๆ” “กดหนอๆๆๆๆ”
หยุดกําหนดรูอาการคัน ปวด เมื่อย และอาการคิด จนเห็นอาการ
ดั บ ก อนทุ กครั้ งต อ งกํ าหนดจนเห็ น อาการดั บ ของทุ กสภาวะที่ จิ ต เข าไปรู
บางครั้งอารมณดับไปจากจิตบางครั้งจิตดับไปจากอารมณคือกําหนดรู อาการ
ดับไป ของตัวจิตเอง ที่เขาไปกําหนดรูอารมณตางๆ ที่ดับไปพรอม อารมณที่
ถูกกําหนดนั้นๆ หากเห็นอาการดับของจิต ชัดเจนใหกําหนดรูวา “ดับหนอ”
หรือ“รูหนอ” ดวย
๓. วิธีนั่งกําหนดรูพอง-ยุบ แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
๖๗๘
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
ถาภายใน ๑ ชั่วโมง นั่งภาวนาไมมีทุกขเวทนาเลยติดตอกัน ๒-๓ วัน
ใหเดินและนั่งอยางละ ๑ ชั่วโมงครึ่ง โดยไมขยับอวัยวะสวนใดทั้งสิ้น หาก
เห็นอาการพอง-ยุบชัดเจนมาก เห็นตน-กลาง-ปลายชัดเจนใหเพิ่มความถี่ของ
จิตที่กําหนดอาการนั้นๆ คือ กําหนดซอยอาการพอง-ยุบ ตัด “หนอ”ออก
“พองๆๆ”“ยุบๆๆ” สังเกตใหไดวาพองหรือยุบนั้น ดับลงในการกําหนดครั้งใด
บางช วงพอง-ยุ บ ไมชัด แตจิ ตรู ชัดก็ใหรู ชัดลงไปในอาการไมชั ดนั้ น “พอง
หนอ-ไมชัดหนอ” “ยุบหนอ-ไมชัดหนอ” อยาพยายามทําใหชัด
หากเห็น อาการพอง-ยุ บชัด เจนมาก เห็ นตน -กลาง-ปลายชั ดเจน
เพิ่ ม ความถี่ ข องจิ ต ที่ กํ า หนดอาการนั้ น ๆ คื อ กํ า หนดซอยอาการ “พอง
หนอๆๆๆๆๆ” “ยุบหนอๆๆๆๆๆ” สังเกตใหไดวาพองหรือยุบดับลง ณ การ
กําหนดครั้งที่เทาไหร
บางชวงพอง-ยุบ ไมชัด แตจิตรูชัด..ก็ใหรูชัดลงไปในอาการไมชัด
นั้น “พองหนอ-ไมชัดหนอ” “ยุบหนอ-ไมชัดหนอ” อยาพยายามทําใหชัด
กําหนดรูอาการคัน ชา ปวด เมื่อย และอาการคิด จนเห็นอาการ
ดับกอน ทุกครั้ง จึงจะกลับมากําหนดพอง-ยุบตอไป
กําหนดเห็ น อาการดั บ ของจิ ต ที่ดั บ พร อมไปกับ อารมณที่ เ ขาไป
กําหนดรู ทุกครั้ง
บางขณะอาการพอง-อาการยุบแผวเบา นิ่มนวล ก็ใหทําอารมณ
แผว เบา กําหนดอยางแผวเบานิ่มนวลไปตามอาการนั้นๆ “พองหนอ” “ยุบ
หนอ” ถา รูสึกจิตแผวเบามากเหมือนจะหลับ ก็ตามดูจิต วาหลับอยางไร “รู
หนอๆๆๆ” (หากเปนสภาวะแท ตามดูอยางไรก็ไมหลับ)
กําหนดอยูดีๆ อาการพอง-ยุบกลับเร็วแรงขึ้นมาก ปรากฏอาการ
เกิด ดับอยางถี่ยิบ บางคนแรงมากเหมือนกับเครื่องจักร เหนื่อยหอบแทบ
ขาดใจ ก็ใหตามรูไปตาม อาการนั่นกําหนดเพียงวา“รูหนอๆๆๆๆ”ไปเรื่อยๆ
จนกวาจิตจะละคําบริกรรมไปเอง อยา ดัดแปลงแกไขสภาวะใดๆ เด็ดขาด
หลังจากนั่น เมื่ออาการพอง-ยุบกลับมาเปนปกติ ใหปรับการเดิน
และนั่งภาวนาเปน ๑ ชั่วโมงเทากัน แลวเพิ่มการกําหนดอิริยาบถยอย
เมื่อรูสึกวา ราคะ โทสะ โมหะ หรือนิวรณ ๕ กลับมาแรงขึ้น ให
๖๗๙
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
เพิ่มการนั่งเปน ๒ ชั่วโมงเปนอยางตํ่า โดยไมขยับอวัยวะสวนใดทั้งสิ้นและ
เจาะลึกสภาวะธัมมานุปสสนาใหมากขึ้น โดยเฉพาะตัณหา มานะและทิฏฐิ
“อยากหนอ" “ยึดถือหนอ" “คิดหนอ"
๔. วิธีกําหนดรูอิริยาบถ แบบกายานุปสสนาสติปฏฐาน
อิริยาบถตื่นนอน พึงเนนย้ํา ,สังเกตเห็นอาการดับลงของจิตที่อยาก
พลิกตัวกอน แลวจึงคอยพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง “พลิกหนอๆๆ“ ”ลุกหนอๆๆๆ”
เดิน เขาห องน้ํา “ยก-ยาง-เหยี ยบ“ ”ยก-ย าง-เหยีย บ ”ขณะเป ด
ประตูหองน้ํา กําหนด จิตคิดจะเปดกอน“อยากเปดหนอ”สังเกตเห็นอาการ
ดับ ลงของจิ ตที่อยากเป ด หนอกอน แลว กําหนดอาการเคลื่ อนไหวของมือ
“ยกหนอๆ ถูกหนอ จับหนอ บิดหนอ เปดหนอ”ตอไป
รับประทานอาหาร : กําหนดรูทันจิตอยากจับ อยากเคี้ยวทันกอน
จับ กอนเคี้ยวทุกครั้ง กําหนดเคี้ยวจนรสชาติจืดสนิทกอน จึงกลืนทุกคํากลืน
ขณะเคี้ยวเสร็จ ตองกําหนดจิตอยากกลืนใหไดกอน จึงกลืน ทุกๆ คํากลืน
กําหนดใหได ๕๐ นาที เปนอยางนอย
อมอาหารนานๆ กําหนดตนจิต “อยากเคี้ยวหนอๆ” จนหายอยาก
(จิ ต เป น อุเ บกขา) กอนจึ งจะเคี้ย ว ทุกๆ คํา ในการฉันหรื อกิน ให เ พิ่มการ
กําหนดใหถี่ๆมากขึ้นๆ เชน
- ยกมือตักอาหารขึ้นใหกําหนดวา “ขึ้นหนอๆๆๆๆ” ถี่ๆ จนหมด
อาการ
- อาปากใหกําหนดวา “อาหนอๆๆๆๆๆ” ถี่ๆ จนหมดอาการ
- ขณะกลืนใหกําหนดวา “ลงหนอๆๆๆๆ” หรือ “ไหลหนอๆๆๆๆ”
- การกําหนดฉันหรือกินยิ่งนานยิ่งละเอียดประณีต ดุจคนรอนแปง ยิ่ง
รอนมากก็ยิ่งละเอียดมาก
- การกําหนดฉันหรือกินไมฟุงซานไมรําคาญใจ รูป, เสียง, กลิ่น, รสไม
ปรากฏมารบกวนไดเลย
๖๘๐
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
- การกําหนดอิริยาบถใหญหรือยอย กําหนดสะดวกสบายดี
๑
ในเรื่องเดียวกัน, หนา ๓๙๕.
๖๘๑
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
- ขณะนั่งภาวนาตลอด ๑ ชั่วโมง มีทุกขเวทนาปรากฏบางหรือไม?
ถามีทุกขเวทนาใหนั่งกําหนดอยางนอย ๑ ชั่วโมงครึ่ง
- ใหสังเกตขณะกําหนดเห็นอาการทุกข/อาการสุขดับไป..มีอะไรดับ
พรอมกันไปดวย
- การกําหนดเวทนาใหสังเกตเหมือนกับการกําหนดเดินและนั่ง คือ
เวทนาดับไปตอนไหน หรือจิตดับไปจากเวทนาตอนไหน
– จิตดับจากเวทนา หมายถึงอารมณเวทนามีอยูแตจิตไมรับเอามา
เปนอารมณ คือจิตไปเกาะเอาอารมณใหมแลว
พิเศษ :โยคีแตละคน ถานั่งปฏิบัติ ๑ ชั่วโมงไมมีทุกขเวทนาเลย ๓-
๕ วันติดตอกันเปนอยางนอย หลังจากนั้นทุกขเวทนากลับแรงขึ้นมาอีกอยาง
นาแปลกใจ แตมีสติรูเทาทัน ไมสุข ไมทุกข จิตกลับรูสึกเฉยๆ
๖. วิธีเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน
กําหนดรูเทาทันจิต อยาก....หนอ (กอนลุก กอนนั่ง กอนจับ กอน
หัน กอนมอง กอนพูดกอนเคี้ยว กอนดื่ม กอนเปดประตูไดทันทุกครั้ง พรอม
กับเห็นอาการดับของจิตอยากเทานั้น
เน น ตั ว จิ ต อารมณ ดั บ ไปจากจิ ต หรื อ จิ ต ไปจากอารมณ พร อ ม
กําหนด “ดับหนอ“ ”รูหนอ ”กําหนดใหได ๙๐ – ๑๐๐ เปอรเซ็นต
กําหนดรูเทาทันจิต (อยาก...หนอ) กอนลุก กอนนั่ง กอนหัน กอนมอง
กอนพูด กอนเปดประตูไดทันทุกครั้ง พรอมกับเห็นอาการดับของจิตอยากนั้น
เมื่อมีสติรูเทาทันความแปรปรวนของรูป-นาม จิตกลับรูสึกเฉยๆ ไมยินดียินราย
ความไมยินดียินรายของจิตไมใชคิดปรุงแตงขึ้น แตเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
แมไดยินขาวรายวาพอแมตาย จิตก็เฉยๆ ราวกะวาไมเคยไดยินเรื่องนี้มากอน
มีสติรูเทาทันความแปรปรวนของรูปนาม ไมยินดียินราย ไมใชคิด
ปรุงแตงขึ้น เกิดเองตามธรรมชาติ แมไดยินขาวรายพอแมตาย บานไฟไหม
จิ ต ก็ เ ฉยๆ อย า งพระนางมั ล ลิ ก า ที่ สู ญ เสี ย สามี แ ละลู ก ๆ ทั้ ง ๓๒ คนใน
สงครามเดียวกัน พระนางก็เฉย ไมรูสึกเสียใจแตอยางใด เพราะเขาใจวาทุก
อยางมีเกิดและมีดับเปนธรรมดา ทีนี้ เฉยอยางไร
๖๘๒
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
- ญาณกอนนี้ จิตดิ้นรน อยากหลุดพน ดูไปจนแกกลา รูวาไมมีทาง
ก็วางเฉย แมถูกบีบคั้นสาหัสก็วางเฉยได เปนการวางเฉยตอสังขาร โดยแจง
ความเกิดดับของรูปนาม
- มีองคธรรม คือ ปญญาเจตสิก ซึ่งไมใชอุเบกขาเวทนาเจตสิก แต
อยางใด ดังนั้นในขั้นนี้ อาจเกิดเวทนาที่เปนโสมนัส(สุข) หรืออุเบกขา ก็ได
หลักสําคัญในการปฏิบัติ
๑. ตองกําหนดบริกรรมอยูตลอดเวลา ตั้งแตจิตแรกที่ตื่น จนถึงจิต
สุดทายที่หลับ แมแตขยับนัยนตา ขยับลิ้น ก็กําหนดทันทุกครั้ง
๒. บริกรรมภาวนาไปตามอาการที่เกิดขึ้นจริงในขณะปจจุบัน อยู
ตลอดเวลา
๓. ถาเห็นแสงสวาง ที่ไมใชแสงสี ใหกําหนดจนกวาจะดับ แตถา
กําหนดกวา ๑๐ นาทีแลวยังไมดับ ใหทําเปนไมใสใจ แลวไปกําหนดอารมณ
อื่นๆ ที่ปรากฏชัด ตอไป
๔. ต อ งกํ า หนดจนเห็ น อาการดั บ ของทุ ก สภาวะที่ จิ ต เข า ไปรู
บางครั้งอารมณดับไปจากจิต บางครั้งจิตดับไปจากอารมณ
๕. พิจารณาเห็นการดับของตัวจิต(ที่เขาไปกําหนดรู)เอง ใหได ๑-๓
ขณะจิต กอนที่จะดับสิ้นลงทั้งของอารมณที่จิตเขาไปรูและของจิตที่เขาไปรู
๗. วิธีเจริญธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน
ถาเห็นแสงสวางที่ไมใชแสงสี ใหกําหนดจนกวาจะดับ แตถากําหนด
กวา ๑๐ นาทีแลวยังไมดับ ใหทําเปนไมใสใจ แลวไปกําหนดอารมณอื่นๆ ที่
ปรากฏชัดตอไป
ตองกําหนดจนเห็นอาการดับของทุกสภาวะที่จิตเขาไปรู บางครั้ง
อารมณดับไปจากจิต บางครั้งจิตดับไปจากอารมณ
กําหนดเห็นการดับของตัวจิตเอง ที่เขาไปกําหนดรูอารมณตางๆ ได
๑ – ๓ ขณะจิต กอนที่จะดับสิ้นลงทั้งของอารมณที่จิตเขาไปรูและของจิตที่
เขาไปรูอารมณ
๖๘๓
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
ปญญารู เห็ นขึ้นมาว า รู ปนามนี้เปนวิ บากที่เกิดมาจากเหตุ ปจจั ย
ตอเมื่อทําใหเหตุปจจัยหมดสิ้นไปกอนแลวรูปนามอันเปนวิบากก็ไมเกิดขึ้นอีก
แตวาบัดนี้รูปนามมีอยูแลว จนเบื่อหนายอยากหนีอยากพนมากแคไหนก็หนี
ไมพน จําตองวางเฉย ไมยินดียินราย คือไมมีอภิชฌาและโทมนัส ในสังขารรูป
นาม แตก็ไมละเลยในการพยายามเพง ความเกิดดับของรูปนาม ในตอนนี้ไตร
ลักษณคือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ปรากฏมากขึ้น สภาวธรรมในขั้นนี้ปรากฏ
ความแปรปรวนของรูปนาม แตจิตวางเฉย
๘. สภาวะญาณที่เกิดขึ้นเมื่อปฏิบัติขั้นที่ ๖ สมบูรณ
บันไดขั้นที่ ๖ เปนผลจากการกําหนดสภาพธรรมตามจริง พรอมกับ
เห็นอาการดับของจิตรู มีสติรูเทาทันความแปรปรวนของรูป-นาม แตจิตกลับ
รูสึกเฉยๆ ไมยินดียินรายตาม ไมยินดียิน รายของจิตคิด ไมใชคิดปรุงแตงขึ้น
แตเกิดตามธรรมชาติ แมไดยินขาววาพอแมตาย บานไฟไหม จิตก็เฉย ราว
กะวาไมเคยไดยินเรื่องนี้มากอน เปนสภาวธรรมที่อยูในปฏิสังขาญาณ๒
สภาวธรรมปรากฏความแปรปรวนของรูปนาม แตจิตวางเฉย ซึ่ง
เปนสภาวธรรมของสังขารุเปกขาญาณเบื้องตน กลาวถึงความปรารถนาที่จะ
หนีใหพนจากรูปนาม ไตรตรองมองหาอุบายที่จะใหพนจากรูปนาม จนเกิด
ปญญารูเห็นขึ้นมาวา รูปนามนี้เปนวิบากที่เกิดมาจากเหตุปจจัย ตอเมื่อทํา
ใหเหตุปจจัยหมดสิ้นไปกอนแลวรูปนามอันเปนวิบากก็ไมเกิดขึ้นอีก แตวา
บัดนี้รูปนามมีอยูแลว จนเบื่อหนายอยากหนีอยากพนมากแคไหนก็หนีไมพน
จําตองวางเฉย ไมยินดียินราย คือไมมีอภิชฌาและโทมนัส ในสังขารรูปนาม
แตก็ไมละเลยในการพยายามเพง ตอนนี้ไตรลักษณปรากฏมากขึ้น
ญาณที่ ๑๑ สังขารุเปกขาญาณ
สภาวะของญาณนี้ : ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นวาจะหนีก็หนีไมพนจึง
เฉยอยู ไมยินดียินราย ดุจบุรุษเพิกเฉยในภริยาที่งหยารางกันแลว จิตเปน
กลางตออารมณ เพราะเห็นแลววามันเปนของเกิดดับและหนีมันไมได ยิ่ง
๒
ดูใน ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๒.
๖๘๔
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
พยายามไปปฏิเสธมันยิ่งเปนทุกขมากขึ้น จึงไมปฏิเสธอารมณ เปนกลางตอ
อารมณ มีลักษณะวางเฉยตอรูป-นาม คือ เมื่อกําหนดหาทางหนียังไงก็หนีไม
พน ก็ต องดู เ ฉยอยู การที่ดู เ ฉยนี้ จ ะทํ าให ส ภาวจิ ต เขา สู ค วามเป น ปกติ ใ น
ระดับสูง ไมเหมือนบุคคลทั่วไป บุคคลทั่วไปเวลาเห็นทุกขเห็นโทษเห็นภัยนี้
สภาวะของจิตใจจะดิ้น รน แมแต ในวิป สสนาญาณกอนหนาสังขารุเ ปกขา
ญาณก็ ยั ง มี ลั ก ษณะความดิ้ น รนของจิ ต คื อ ยั ง มี ค วามรู สึ ก อยากจะหนี
อยากจะพน ซึ่งในขณะที่เห็นความเกิดดับเปนภัยเปนโทษนาเบื่อหนายอยู
อยางนั้นก็ยังวางเฉยได แมจะถูกบีบคั้นอยางแสนสาหัสแทบจะขาดใจก็วาง
เฉยได เปนความวางเฉยตอสังขารโดยประจักษแจงในความเกิดดับของรูป
นามในขณะเจริญวิปสสนา
สังขารุเปกขาญาณนี้อาจเกิดพรอมกับเวทนาที่เปนโสมนัสก็ไดหรือ
เกิดพรอมกับเวทนาที่เปนอุเบกขาก็ได ที่วาญาณนี้วางเฉยตอสังขารรูปนาม
นั้นมีคําอธิบายเปน ๒ นัย นัยหนึ่งนั้นวา เพราะมีความปรารถนาที่จะหนีให
พนจากรูปนามไตรตรองมองหาอุบายที่จะใหพนจากรูปนาม ก็เกิดปญญารู
เห็นขึ้นมาวารูปนามนี้เปนวิบากที่เกิดมาจากเหตุจากปจจัย ตอเมื่อทําใหเหตุ
ปจจัยหมดสิ้นไปเสียกอน รูปนามอันเปนวิบากจึงจะไมเกิดขึ้น แตวา ณ บัดนี้
มีรูปนามอยูแลวจะเบื่อหนายอยากหนีสักเพียงใดก็ยังหนีไมพน จําตองวาง
เฉยไม ยิ น ดี ยิ น ร าย คื อไมมี อภิ ช ฌาและโทมนั ส ในสั งขารรู ป นาม แต ก็ไ ม
ละเลยในการพยายามตอการเพงความเกิดดับของรูปนามซึ่งมาถึงตอนนี้ ไตร
ลักษณคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏชัดมาก๓ อีกนัยหนึ่งคือ ปญญาที่
ไดพิจารณาเห็นความจริงมาแลวแตในญาณตนๆ นั้นมีกําลังแกกลาขึ้นเห็น
ความไมเปนสาระไมเปนแกนสารวางเปลาจากตัวตนโดยอาการ ๑๒
เปนญาณที่จิตปรารถนาจะพนไปจากความเกิด..ความเปนไป..นิมิต..
กรรม..ปฏิสนธิ...คติ...ความบังเกิด...ความอุบัติ...ความเกิด..แก..เจ็บ..ตาย...
เศราโศก...รําพัน...คับแคนใจ...พิจารณาและดํารงมั่นอยูวา สิ่งเหลานี้เปน
๓
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ., “เอกสารประกอบการสอนวิชา: สัมมนาวิปสสนา
ภาวนา”, บัณฑิตวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หนา ๕๐๐.
๖๘๕
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
ทุกข เปนภัย เปนอามิส เปนสังขาร และเพงเฉยสังขารเหลานั้น จึงชื่อวา สัง
ขารุเปกขาญาณ ญาณขอนี้จัดเปนสิขาปปตตวิปสสนา คือ วิปสสนาที่ถึงจุด
สุดยอด และเปนวุฏฐานคามินีวิปสสนา คือวิปสสนาที่เชื่อมถึงมรรค๔
ความวางเฉยของรูปนาม คือมีปญญากําหนดจนรูวา หนียังไงก็หนี
ไมพน จึงอยูเฉยๆ ไมยินดียินราย ดุจบุรุษที่เพิกเฉยในภริยาที่หยารางแลว
จิตมีความเปนกลางตออารมณ เพราะวาเปนของเกิดดับ หนีไมได ยิ่งปฏิเสธ
ยิ่งเปนทุกข จิตจึงไมปฏิเสธอารมณ เปนกลางตออารมณ มีลักษณะการวาง
เฉยของรูปนาม สภาวะเขาสูความเปนปกติระดับสูง ไมเหมือนบุคคลทั่วไป
เวลาเห็ น ทุ ก ข เ ห็ น โทษเห็ น ภั ย สภาวะจิ ต ใจจะดิ้ น รนมาก ไม ต อ งการ
กระสับกระสายดิ้นรน แมแตในวิปสสนากอนหนาสั งขารุเปกขาญาณ ก็มี
ลักษณะการดิ้นรนของจิต ยังมีความรูสึกอยากจะหนีอยากจะพน แตยังหลุด
พนไมได เมื่อดูจนกําลังแกกลาแลววา ไมมีทางจึงวางเฉยได เห็นความเกิด
ดับเปนภัยเปนโทษนาเบื่อหนายอยูก็ยังวางเฉยได แมจะถูกบีบคั้นอยางแสน
สาหัสก็ยังวางเฉยอยูอยูได เปนความวางเฉยตอสังขารที่ประจักษแจงความ
เกิดดับของรูปนาม ในขณะเจริญวิปสสนากรรมฐาน
องคธรรมไดแก ปญญาเจตสิกที่ในมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต ไมใช
อุเบกขาเวทนาเจตสิก สังขารุเปกขาญาณนี้อาจเกิดพรอมกับเวทนาที่เปน
โสมนัสก็ได หรือเกิดพรอมกับเวทนาที่เปนอุเบกขาก็ได๕
อนึ่ง มุญจิตุกมั ยตาญาณปญญาที่ใครหนีจากรูปนาม ปฏิสังขาญาณ
ป ญ ญาที่ ไ ตร ต รองมองหาอุ บ ายหนี จ ากรู ป นาม และสั ง ขารุ เ ปกขาญาณ
ปญญาที่วางเฉยตอรูปนาม รวม ๓ ญาณนี้พยัญชนะตางกันจริง แตวาอรรถ
เหมือนกัน คือจะหนีจ ากรูป นาม ดังมีบ าลี วา ยา จ มฺุจิตุ กมฺย ตา ยา จ
ปฏิสงฺขานุปสฺสนา ยาจ สงฺขารุเปกฺขา อิเม ธมฺมา เอกตฺถา พยฺชนเมวนานํ.
มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขาญาณและสังขารุเบกขาญาณ ทั้ง ๓
๔
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔๕/๘๖-๘๘.
๕
คูมือการศึกษากัมมัฏฐานสังคหวิภาค พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๙,
หนา ๑๖๙.
๖๘๖
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
ญาณนี้ มีอรรถเดี ย วกัน แต ชื่ อพยั ญชนะนั้ น ต างกัน เมื่อว าตามชื่ อ ญาณนี้
ปรากฏทั้ งในคั มภี ร ป ฏิ สั มภิ ทามรรค (ญาณที่ ๙) และคั มภี ร วิ สุ ท ธิ ม รรค
สาระสําคัญของญาณนี้ก็คือผูปฏิบัติจะมีจิตใจสงบวางเฉยไมมีทุกขเวทนา
รบกวนและสามารถกําหนดสภาวะตางๆ ไดดียิ่ง ผูปฏิบัติไดเห็นคุณคาของ
การเจริญวิปสสนากรรมฐานเปนอยางมาก
องค ๖ ประการของสังขารุเปกขาญาณ
เมื่อโยคีพยายามกําหนดตอไป สังขารุเปกขาญาณนี้ก็จะคอยๆ แก
กลาเขา จนในที่สุดก็จะแสดงสภาวะครบ ๖ ประการอยางบริบูรณ คือ
๑. ภยฺจนนฺทึ จ วิปฺปหาย. ในอารมณอะไรก็ตามที่นากลัว นายินดี
นาปลาบปลื้ม ไมมีเลย คือ ไมมีความกลัว ไมมีความยินดี ยินรายกําหนดได
สม่ําเสมอ เรียบรอย ปราศจากอุปสรรคความขัดของ กําหนดไดงายที่สุด
๒. เนว สุมโน โหติ น ทุมฺมโน อุเปกฺขโก วิหรติ สโต สมฺปชาโน. ที่วา
ดีนั้น คือระมัดระวังตั้งอกตั้งใจมากก็ไมมี คือ ดีใจก็ไมมี เสียใจก็ไมมี มีแตตั้ง
สติกําหนดรูเฉยๆ
๓. สพฺพสงฺขาเรสุ อุทาสิโน. ความทุกขยากลําบาก ทุกขเวทนาเปน
ต น ไม มี แ ล ว คื อ วางเฉยในอารมณสั ง ขารทั้ ง ปวง อุ ป มาเหมื อ นบุ ค คลผู
ชํานาญขับรถคันใหมเครื่องใหมไปในถนนที่เรียบดี ไมมียวดยานอื่นมาปะปน
ยอมจะขับไปไดโดยสะดวกเรียบรอย เกือบจะไมตองระมัดระวังหรือใชความ
พยายามอย า งไรเลย หรื อ มิ ฉ ะนั้ น ถ า เป น สมั ย โบราณ ก็ เ ปรี ย บเหมื อ น
คนขับรถเกวียนที่เทียมดวยโคคูตัวฉลาดรูหนทาง ทั้งยังหนุมปราศจากโรคมี
กําลังแข็งแรงควรแกการงาน ไดรับการฝกฝนมาเปนอยางดี ขับไปในหนทาง
ดีไมมีหลุมไมมีบอ ยอมกอใหเกิดความเบาใจ แกเจาของ จะนอนขับไปก็ยัง
ได ที่วากําหนดสบายนั้นก็คือสบายโดยไมตองระมัดระวังอยางที่เปรียบมานั้น
๔. สนฺติฏฐนา ปฺญา. ที่วาสับโนนสับนี้ เปลี่ยนอิริยาบถตางๆ นั้น
ไมมี คือ นั่งในอิริยาบถเดียวไดนาน คือ สมาธิตั้งอยูกําหนดอยูไดนานๆ ไม
อยากลุกขึ้น เพราะใจสงบ ความฟุงซานไมมี นิวรณธรรมก็ไมรบกวน
๕. สุ ปฺ ป คฺ เ คป ฏ ฐํ ว ฏ ฏิ ย มานํ วิ ย . จิ ต ไม วิ่ ง ไปสู ที่ ต า งๆ คื อ อยู ที่
๖๘๗
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
อารมณเ ดี ย วอารมณอื่น ที่จ ะย ายไปก็ ไมได คื อสงบอยู ที่เ ดิ ม คื อ กําหนด
อาการรูปนามสังขารสุขุมละเอียดลออ ยิ่งนานวันเขาก็ยิ่งละเอียดมาก เห็น
ไมคอยชัดเจน แตก็กําหนดไดอยางสบายใจสงบมาก อุปมาเหมือนคนรอน
ขาวสาร ตักขาวใส กระดงแลว ก็ร อนไปมา เพื่อใหกากขาวและสิ่งสกปรก
ตางๆ ลอยขึ้นขางบน แลวก็กวาดตะลอมเก็บทิ้งไป ยิ่งรอนนานเขาบอยครั้ง
เขาก็เหลือแตขาวที่สะอาดและยิง่ สะอาดเขาทุกที ขอนี้ฉันใด ลักษณะของสัง
ขารุเปกขาญาณนี้ เมื่อโยคีกําหนดไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งละเอียดสุขุม ฉะนั้น
๖. ปฏิ ลี ย ติ ปฏิ กุ ฏ ติ ปฏิ ว ตฺ ต ติ สมฺ ป สาริ ย ติ . อารมณ แ ละจิ ต ที่
กําหนดตางก็ละเอียดๆ ลงไป คือ จิตของโยคีบุคคลแคบเขามา คิดฟุงซาน
ออกไปขางนอกนอยที่สุด จนแทบจะไมมีในขณะกําหนดอยูนั้น แมอารมณ
ภายในก็ถอยลงมาก คือไมไดกําหนดนั่งหนอและถูกหนอ เพราะกําหนดแต
พองยุบเทานั้นก็พอที่จะทําใหสงบไดแลวระยะนี้บทกัมมัฏฐานที่แทจะสั้นเขา
เหมือนกับยางที่ยืดออกไปแลวกลับหดสั้นเขามา ฉะนั้น
วิป สสนาจารย ได สอบสวนพิจารณาเห็น วา โยคีผู ปฏิ บัติ มีส ภาวะ
บังเกิดองคคุณทั้ง ๖ ประการนี้แลว ก็พึงทราบเถิดวาบั ดนี้โยคีผู นั้นบรรลุ
ถึงสังขารุเปกขาญาณแนนอน
ถามวา เมื่อโยคีบรรลุถึงสังขารุเปกขาญาณอันประกอบไปดวยองค
คุณ ๖ ประการนี้อยางครบถวนบริบูรณแลว จะมีอะไรเกิดขึ้น
โรคภัยไขเจ็บตางๆ ก็หาย จะหายไปไดโดยเด็ดขาดบาง เชน โรค
อัมพาต โรคประสาท โรคหืด โรคกระเพาะ ความดันโลหิต ลมบาหมู เปนตน
ซึ่ ง เป น ผลพลอยได จุ ด มุ ง หมายคื อ กํ า จั ด กิ เ ลส การกํ า หนดคลายความ
ขะมักเขมน คลายความตึงเครียดไปบางสามารถกําหนดอารมณไดสม่ําเสมอ
,ความเพียรไมลดถอยลง,ไมตองจดจอในการกําหนดรูอาการพอง-ยุบ เห็น
ความดับหรือความไมเที่ยง เปนทุกขและอนัตตา
อุปมาเหมือน นกกาหาฝง (ฝงพระนิพพาน)
เหมือ นนกกาของพ อคา เดิ น ทะเล เมื่อพ อคา จะออกเดิ น ทางไป
คาขายทางทะเลพวกพอคาก็จะจับนกกาที่เรียกวา ทิสากากะ (นกกาผูรูทิศ)
๖๘๘
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
ไปดวยคราวใด เรือถูกพายุพัดไปยังประเทศตางถิ่น ฝงไมปรากฏคราวนั้น
พวกพอคาเหลานั้น ก็ปลอยการูทิศนั้นไป กานั้นก็โดดจากไมสลักเสากระโดง
เรือสูอากาศ แลวบินไปตามทิศใหญทิศนอย ทั่วทุกทิศ ถามันเห็นฝง มันก็บิน
มุง หน าไปยั งฝ ง นั้ น เลย หากมัน ไม เ ห็ น ฝ ง มั น ก็ บิ น กลั บ มาเกาะที่ไ มส ลั ก
เสากระโดงเรือนั้นเอง ครั้งแลวครั้งเลา๖
สังขารุเปกขาญาณก็เหมือนนกกาหาฝงนั้น ถาเห็นพระนิพพานอัน
เป น ทางสั น ติ โ ดยสงบ ก็ส ลั ด ทิ้งกระแสสั งขารทั้งหมดแล ว แล น เขาสู พระ
นิพพาน หากยังไมเห็ นก็มีสังขารเปนอารมณอยางนั้นแหละวนเวียนไป
ดวยกันเหมือนผงแปงที่ถูกฝดไวริมขอบกระดง และนุนที่ควานเมล็ดออกแลว
ฝดอยู ครั้นกําหนดรูสังขารทั้งปวงแลว ก็สลัดทิ้งความกลัวและความพอใจมี
ใจเปนกลางในการกําหนดรูสังขารโดยอนุปสสนา ๓ คือ
๑. อนิจจานุปสสนา คือ การตามรูวาไมเที่ยง
๒. ทุกขานุปสสนา คือ การตามรูวาเปนทุกข
๓. อนัตตานุปสสนา คือ การตามรูวาไมใชตัวตน
องคธรรม ไดแก ปญญาเจตสิก ในมหากุสลญาณสัมปยุตตจิต ไมใช
อุเบกขาเวทนาเจตสิก สังขารุเปกขาญาณนี้อาจเกิดพรอมกับเวทนาที่เปน
โสมนัสก็ได หรือเกิดพรอมกับเวทนาที่เปนอุเบกขาก็ได๗
จากนั้น ใหเพียรกําหนดทวารทั้ง ๖ เจริญธาตุกรรมฐานใหมากและ
เจริญเมตตา(นอน)ใหมากขึ้น จะทําใหการปฏิบัติกาวหนาอยางรวดเร็ว
ก. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม
กําหนดเดิ น จงกรม ๑ ชั่ ว โมง ๓๐ นาที โดยกําหนดเดิ น เริ่ มจาก
ระยะที่ ๑-๖ ตามลําดับ
๖
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) รจนา วิปสสนานัย เลม ๒, พระพรหม
โมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ. ๙, M.A.Ph.D.) พิมพครั้ง ๑ นครปฐม, หนา ๓๔๑.
๗
คูมือการศึกษากัมมัฏฐานสังคหวิภาค พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๙,
หนา ๑๖๙.
๖๘๙
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
๑) การเดินสติสามารถกําหนดพอดีกับเทาลงตัวเหมาะเจาะพอดี
กับการกําหนด
๒) สติสามารถกําหนดตามจิตไดวองไว รวดเร็ว
๓) มีอาการตึงๆ ใน กาวแรกที่กําหนดเดินจงกรมบริเวณใตฝาเทาขวา
หยุดเดินจงกรม สงจิตไปที่ บริเวณใตฝาเทา กําหนดวา “ตึงหนอๆ” กําหนด
แตละครั้งคอยสังเกตอาการ ตึง มีอาการคอยๆ จาง โดยรวมแลวแต ละครั้ ง
กําหนดประมาณ ๑-๓ ครั้งดับสนิท
บางขณะเห็นพื้น ยุบลงวูบ (๓ ครั้ง/บัลลั งก) สติกําหนดไมทันแต
กําหนด ตามไป ๑ ครั้งวา “ยุบหนอ” บางขณะเห็นพื้นเปนคลื่นๆ เปนลูกๆ
และเห็ น รายละเอียดของพื้น ชัด เจน เชน เม็ด ทรายเล็กๆ ลวดลายเล็กๆ
ขยะเล็กๆ ฝุนหยาบๆ
ข. สภาวธรรมที่ปรากฏ : นั่งกําหนดพอง-ยุบ
อาการทองพอง-ทองยุบ เห็นพองขนาดปาน ลาง ยุบเปนลูกเล็กๆ
แตสติเห็นชัดเจนมาก สติกําหนดวา “พองหนอ” “ยุบๆๆ” ตามอาการใน
เวลาตอมาประมาณ ๑๐ นาที อาการพองขนาดปาน กลาง แตอาการยุบ
เล็กๆ เริ่มจางไปๆ และพอง-ยุบเปนจุดเล็กๆ สติกําหนดรู วามีอาการตึงและ
หยอนภายในจุดเล็กๆซอนขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง
จนกระทั่ง ตอมาอาการพอง-ยุบหายไป สติกําหนดวา “พองหนอ”
“ยุบๆๆ” “จางหนอ” “ตึงหนอ” “หยอนหนอ” “รูหนอ” (รูวายุบหายไป)
“นั่งหนอ” (กําหนดใสแทนอาการวาง) สติกําหนดจดจอแบบเบาๆ ไปเรื่อยๆ
ตามอาการ ที่จิตรูอาการ หรือที่จิตสนใจขณะปจจุบันนั้นๆ บางขณะอาการ
พอง-ยุบ แบบหยิบๆๆๆๆ แลวคอยๆ จางหายไป บางขณะมีแตพองเปนลูก
เล็กๆ ขึ้น เปนแนวดิ่ง จนกระทั่งมีทุกขเวทนาปวดจึงทิ้งการกําหนดอาการ
ทองพอง - ทองยุบ ไปกําหนดอาการปวดตอไป
- อาการพอง-ยุบปรากฏนิดหนอยเบาบาง นิ่งหายไปเปนพักๆ
- ขณะจิ ต เห็ น รู ป พองดั บ ไป รู ป ยุ บ ดั บ ไป จิ ต รู ดั บ ไปพร อ มกั บ
อารมณ
๖๙๐
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
- โยคีบางคนสติดีมาก พอง-ยุบ เบาบาง สภาวะนุมนวล เห็นชัด ไม
เผลอ ไมงวง
โรคภัยไขเจ็บตางๆจะหาย จะหายไปไดโดยเด็ดขาดบาง เชนโรค
อัมพาต โรคประสาท โรคหืด โรคกระเพาะ ความดันโลหิต ลมบาหมู เปนตน
จุดมุงหมายของการปฏิบัติวิปสสนาไมไดมุงรักษาโรคอยางนี้ มุงรักษาภายใน
คือกิเลสและโรคภายนอกก็เปนผลพลอยได
การกําหนดคลายความขะมักเขมน คลายความตึงเครียดไปบาง
สามารถกําหนดอารมณไดสม่ําเสมอ ความเพียรไมลดถอยลง ไม
ตองจดจอในการกําหนดรูอาการพอง-ยุบ เห็นความดับหรือความไมเที่ยง
เปนทุกขและอนัตตา
การกําหนดรูเปนกลางไมมีดีหรือไมดี การกําหนดรูจุด ๕ ,๑๐ ,จะ
นอยลง การกําหนดจุด ๓, ๕, ๑๐จุด สุดทายจะเหลือเพียง ๔ จุด คือ พอง –
ยุบ นั่ง-ถูก
การกําหนดอาการพองยุบ มีอาการตอเนื่องกันไป ไมตองทําความ
พยายามในการกําหนดรูสภาวะตางๆ กําหนดไดเองเปนธรรมชาติ เหมือน
ไมไดกําหนดอะไร
การกําหนดรูพอง-ยุบ นั่ง-ถูก บางทีหายไป ตองกําหนดรูอาการที่
หายไปดวย พอลงนั่งกําหนดรูพองหนอ-ยุบหนอ-นั่งหนอ-ถูกหนอ(ทั้งยายถูก
และจี้ จุดสั ก๒-๓เที่ยวจะรูสึ กตัว หายเปนไอน้ํา หรือกลุมควันบางๆ สลาย
หายไปในอากาศ)
อาการพองโตมากและอาการยุบก็แฟบมากๆอาการพองขึ้นเรื่อยๆ
ไมยุบก็ใหกําหนดรูพองตามไปและอาการยุบลงๆ(ไมพองก็ใหกําหนดตามไป
วายุบๆ บางทีก็ไมพอง-ไมยุบ แตมีอาการตึงอยูก็ใหกําหนดวา ตึงหนอ หรือรู
หนอไป เมื่อทองไมพอง-ไมยุบจะปรากฏคลายวาเราไมไดหายใจและเย็นตาม
รู ขุมขนทั่ว บริ เ วณแขน ขาและทั่ว ร า งกายคล ายหายใจทางรู ขุมขน)(เป น
ลักษณะของลมละเอียดปรากฏ) เปนอาการของผรณาปติผสมเขามา
บางครั้งอาการพอง-ยุบมีอาการรวดเร็วมากใหกําหนดวา รูหนอไว
เปนหลัก
๖๙๑
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
ไมเห็นสิ่งที่ควรถือวาเปนเรา ของเรา ละความกลัวและความพอใจ
ไดแลวเปนผูวางเฉยมีใจเปนกลางในสังขารทั้งปวง๘
*** แตตราบใดที่อินทรียทั้ง ๕ ยังไมสม่ําเสมอ ตราบนั้นญาณจะเกิด
ขึ้นๆ ลงๆ กลับไปกลับมา ระหวางอุทยัพพยญาณกับสังขารุเปกขาญาณ ถาไดสวน
สมดุลกันเมื่อใด เมื่อนั้นก็จะบรรลุมรรคผลนิพพาน๙
ทุก ขเวทนาปวดบริ เ วณขาทั้ ง สองข า ง เริ่ ม ปวดแบบเบาๆ แล ว
คอยๆ เพิ่มความเจ็บปวดขึ้นเรื่อยๆ ตามลําดับ จนกระทั่งเวทนาปวดเกิดขึ้น
มาก เหลือเกินจนแทบทนไมไหว บางขณะรูสึกคลายกับวาจะสิ้นชีวิตเลย
ทีเดียว ลักษณะการปวดเปนบริเวณกวางเปนแผง แตสติตามรูจิตสมบูรณดี
มาก เห็น วาจิตสวนสึกไมมีความทุกขเลย ไมทุรนทุรายกับอาการปวด รูสึก
เฉยๆ สติ กํ า หนดรู โ ดยการสั ง เกตอย า งละเอี ย ดทุ ก ๆ “หนอ” มี ก าร
เปลี่ยนแปลง อยางไรบางวา “ปวดหนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ตอมาประมาณ ๓๐
นาที ทุกขเวทนาปวดคอยๆ ลดลงเล็กนอยจนกระทั่งสิ้นบัลลังก
ในชวงเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง เกิดความคิดอยากไปดูยอดเขา เห็น
นิมิตวาตนเองไปนั่งอยูบนยอดเขานั้นชัดเจนมากเหมือนภาพจริงๆ (งงๆ ลืม
กําหนด) แล วกมลงมองสูภาพเบื้ องล างเห็นหนาผาสู งขัน แล วเกิดอาการ
เสียววูบมุงเขาสูหัวใจ มีสติรูรีบกําหนดวา “เสียวหนอๆๆ” ประมาณ ๒-๓
ครั้งดับหายไปทิ้งอาการเสียวและภาพนิมิต บางขณะจิตเห็นกิ่งไมอยากเอื้อม
มือไปเกาะกุม เพราะคิดวาขณะยืนไมมีความนั่นคง เมื่อควากิ่งไมแลวตกลง
จากที่สูง สติกําหนดรูวามีอาการเสียวสุดประมาณ แตจิตรูสึกเฉยๆ เมื่อ ออก
จากสมาธิทดลองจับดูที่ไรฟนมีเลือดไหลออกทางไรฟนเล็กนอย] ตอมา จิตมี
ความนุมนวลเบาสบาย การกําหนดทําไดอยางงายดาย แมไมชัดเจน ขณะมี
ความคิด (นอยมาก) เขาแทรกจะเห็นความคิดซอนเกิดขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
*** เกิดพะวงอยูแตวาเมื่อใดจะบรรลุมรรคผล ทําใหสมาธิหยอนเกิดความ
๘
พระมหาณัชพล นราวงษ(ผูเรียบเรียง), คูมือการสอบอารมณสําหรับพระ
วิปสสนาจารย สภาวะของวิปสสนาญาณ ๑๖, (๒๕๕๓), หนา ๔๕๑.
๙
ดูใน ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๖๖.
๖๙๒
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
ฟุงซาน ทําสมาธิใหมากดวยการเดินจงกรม และกําหนด พองหนอ ยุบหนอ
นั่งหนอ ถูกหนอ กับเจริญสมาธิสัมโพชฌงค อยูในสังขารุเปกขาญาณเปนเวลานาน
โดยไมอาจผานพนไปสูมรรคผลนิพพานได เกิดความทอถอยคลายศรัทธาและเกิดเบื่อ
หน าย ต องเจริ ญวิ ริ ยสั มโพชฌงค และป ติ สั มโพชฌงค มีความพากเพียรในการ
ปฏิบัติมากเกินไปจนไมเปนอันกินอันนอน สมาธิตามไมทันจําตองใชสติลดความ
เพียรลง ถาสตินอยมักเผอเรอในการกําหนดตองเจริญสติสัมโพชฌงค
อารมณและจิ ตที่กําหนดไดดั บหายไปพร อมๆ กันทุกครั้ งที่ กําหนด
นั้นคือ ปญญาที่พิจารณาเฉพาะความดับไปของรูปนามอยูเนืองๆ กําหนดจิต
ดั บไปพร อมอารมณ ที่ ปรากฏมี อาการเผลอบ อยๆ แล วจิ ตเกาะกั บนิ วรณ
เพราะความดับไปของจิตกับอารมณ จิตจึงไปเกาะอารมณที่เคยชินคือ กิเลส
พบแตการดับ นิมิต หรืออาการปรากฏรวดเร็ว ตามไมทัน สติตั้งมั่นอยูในนิโรธ
ความสิ้นไป เสื่อมไป เห็ นวา “สั งขารเกิดขึ้นอยางนี้ แลวดับไปอย างนี้ เป น
ธรรมดาเนืองๆ”คือ ทางอันประเสริฐ ที่ทําใหผูปฏิบัติพนทุกขได เมื่อทํามรรคมี
องค ๘ ให ส มบู ร ณ ซึ่ งเป น กระบวนการเกิ ด จากการกํ าหนดรู รู ป -นาม ที่
ประกอบดวยปชานาติ(ใสใจ) มรรคนี้เปนเบื้องตนซึ่งเปน โลกียะ๑๐ ไดแก สติ
ป ฏ ฐาน ๔ สั มมั ป ปธาน ๔ เป น ต น ที่ จ ะนํ าไปสู อริ ย มรรคที่ เ ป น โลกุ ต ระ
ประหารกิเลสอยางสิ้นเชิง โดยที่พัฒนาวิปสสนาญาณตามลําดับจนถึงมรรค
ญาณ องคมรรคทั้ง ๘๑๑ ยอมเกิดขึ้นพรอมกัน คือ สัมมาทิฏฐิ๑๒สัมมาสังกัปปะ
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
ทําหนาที่ละสมุทัย ดับกิเลสโดยสมุจเฉทประหาร บรรลุเปนพระอริยบุคคลโดย
ลําดับของอริยมรรค
กําหนดรูเทาทันจิต มีสติรูเทาทันความแปรปรวนของรูป-นาม แต
จิตกลับรูสึกเฉยๆ ไมยินดียินราย ความไมยินดียินรายของจิต ไมใชคิดปรุง
๑๐
สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๒๕๓/๑๗๘.
๑๑
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๖/๔๖๘.
๑๒
ที.ม.(ไทย) ๑๐/๒๙๐/๒๒๔.
๖๙๓
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
แตงขึ้น แตเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แมไดยินขาวรายวา พอแมตาย บานไฟ
ไหม จิตก็เฉยๆ ราวกะวาไมเคยไดยินเรื่องนี้มากอน
ค. สภาวธรรมที่ปรากฎ : รับประทานอาหาร
ปญญาที่กําหนดจนรู เ ห็น ว าจะหนี ไมพน จึ งเฉยอยู ไมยิ นดี ยิ นร าย
เพราะเห็นแลววามันเปนของเกิดดับและหนี มันไมไดยิ่งพยายามไปปฏิเสธ
มันยิ่งเปนทุกขมากขึ้นจิตจึงไมปฏิเสธอารมณเปนกลางตออารมณ มีลักษณะ
วางเฉยตอรูป-นามคือเมื่อกําหนดรูหาทางหนียังไงก็หนีไมพนก็ตองดูเฉยอยู
การที่ดูเฉยอยูนี้ จะทําใหสภาวะจิตเขาสูความเปนปกติในระดับสูงไมเหมือน
บุคคลทั่วไป สภาวะของจิตยังไมอยูในลักษณะที่ปกติยังหลุดพนไมไดก็ตอง
วางเฉย ซึ่งในขณะที่เห็นความเกิดดับเปนภัย เปนโทษ นาเบื่อหนายอยูอยาง
นั้น ก็ยังวางเฉยไดแมจะถูกบีบคั้นอยางแสนสาหัสแทบจะขาดใจ ก็วางเฉยได
เป น ความวางเฉยต อ สั ง ขาร โดยประจั ก ษ แ จ ง ความเกิ ด ดั บ ของรู ป นาม
ในขณะเจริญวิปสสนากรรมฐาน องคธรรมไดแก ปญญาเจตสิกที่ในมหากุสล
ญาณสัมปยุตตจิต
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เวทนา
มีสติรูเทาทันความแปรปรวนของรูปนาม ไมยินดียินราย ไมใชคิด
ปรุงแตงขึ้น เกิดเองตามธรรมชาติอยางพระนางมัลลิกาที่สูญเสียสามีและ
ลูกๆ ทั้ง ๓๒ คนในสงครามเดียวกัน พระนางก็เฉยไมรูสึกเสียใจแตอยางใด
เพราะเขาใจวาทุกอยางมีเกิดและมีดับเปนธรรมดา ทีนี้เฉยอยางไร
- ญาณกอนนี้ จิตดิ้นรน อยากหลุดพน ดูไปจนแกกลา รูวาไมมีทาง
ก็วางเฉย
- แมถูกบีบคั้นสาหัสก็วางเฉยได เปนการวางเฉยตอสังขาร โดยแจง
ความเกิดดับของรูปนาม
๖๙๔
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
- ญาณนี้ มี องค ธ รรม คื อ ป ญ ญาเจตสิ ก ซึ่ งไม ใ ช อุ เ บกขาเวทนา
เจตสิก แต อยางใด ดังนั้ นในขั้น นี้ อาจเกิดเวทนาที่เ ป นโสมนั ส (สุ ข) หรื อ
อุเบกขา ก็ได๑๓
เวทนาไมร บกวนกําหนดได ดี ใจสงบยิ่ งนั ก ได รั บ ความอัศจรรย
อยางยิ่งในอนุสาสนีแหงองคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาที่คนเคยเชื่อบางไม
เชื่อบาง เห็นเหตุใหแนใจดวยตนเองวาคําสอนของพระองควิเศษแท
บางครั้งมีอาการชามากๆ ไปตามสวนตางๆ ของรางกายใหกําหนด
รูตามอาการไปเรื่อยๆ จิตจะเปนกลางในเวทนาที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและใจ
ทุกขเวทนามีอยูนอย สุขเวทนามีอยูนอย การปฏิบัติเปนปกติเฉยอยู
มีอาการขนลุกไปทั้งตัว กําลังสมาธิมีมากขึ้น มีอาการขนลุกแลวนิ่ง
เปนเวลานาน
มีอาการของสมาธิปรากฏชัด เชน อาการโยกไปขางหนา อาการ
โยกไปขางหลังกําหนดใหรูตามอาการไป หรือกําหนดรูหนอก็ได สําคัญอยา
กังวลหรือยินดียินรายกับอาการ วางใจใหเปนกลางก็พอ
รู สึ ก ว า อั ต ตภาพร า งกายของตนสลายไปจนหมดสิ้ น ไม มี อ ะไร
เหลืออยู ใหกําหนดวา หายหนอ หรือ รูหนอก็พอ
มีอาการสะทานขึ้นลงในขณะนั่งกําหนดอยู มีอาการเคลื่อนไหวไป
มาของมือแขนและเทาเหมือนเป น ไปเองโดยไมได ทําอะไรเพีย งแต รู ดู อยู
เฉยๆก็ พ อ ถ า เกิ ด ขึ้ น ใหม จ ะรู สึ ก แปลกใจอยู บ า ง จะเข า ใจมากขึ้ น เมื่ อ
วิปสสนาญาณแกกลามากขึ้น
อาการยุบลงเร็วและถี่มาก จนกําหนดอาการพอง-ยุบไมได จนรูสึก
วาพื้น ทองเคลื่ อนไหวหมุน วนไปด านขวาบ างด านซายบ าง หรือตามส ว น
ตางๆของรางกาย เชน ใบหนา หนาอก หรือหัวไหลและหลังเมื่อกําหนดรูก็
จะหายไปแลวกลับปรากฏขึ้นมาใหมอีก
๑๓
คูมือการศึกษากัมมัฏฐานสังคหวิภาค พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่๙ ,
หนา ๑๖๙.
๖๙๕
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
ไมตองจดจอในการกําหนดรูเห็นความดับ หรือไมเที่ยง เปนทุกข
ไมใชตัวตน
กําหนดไดเองตามธรรมชาติ โดยไมมีตัวตนของกําหนดรู
กําหนดเห็นความดับ ไมเที่ยงไดทุกขณะ มีขอความวา สงฺขาราว สงฺ
ขาเร วิปสฺสนฺติ.๑๔ สังขารนั้นแหละเห็นประจักษสังขาร
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : จิต
ปญญาที่กําหนดจนรู เ ห็น ว าจะหนี ไมพน จึ งเฉยอยู ไมยิ นดี ยิ นร าย
เพราะเห็นแลววามันเปนของเกิดดับและหนี มันไมไดยิ่งพยายามไปปฏิเสธ
มันยิ่งเปนทุกขมากขึ้นจิตจึงไมปฏิเสธอารมณเปนกลางตออารมณ มีลักษณะ
วางเฉยตอรูป-นามคือเมื่อกําหนดรูหาทางหนียังไงก็หนีไมพนก็ตองดูเฉยอยู
การที่ดูเฉยอยูนี้ จะทําใหสภาวะจิตเขาสูความเปนปกติในระดับสูงไมเหมือน
บุคคลทั่วไป สภาวะของจิตยังไมอยูในลักษณะที่ปกติยังหลุดพนไมไดก็ตอง
วางเฉย ซึ่งในขณะที่เห็นความเกิดดับเปนภัย เปนโทษ นาเบื่อหนายอยูอยาง
นั้น ก็ยังวางเฉยไดแมจะถูกบีบคั้นอยางแสนสาหัสแทบจะขาดใจ ก็วางเฉยได
เป น ความวางเฉยต อ สั ง ขาร โดยประจั ก ษ แ จ ง ความเกิ ด ดั บ ของรู ป นาม
ในขณะเจริญวิปสสนากรรมฐาน องคธรรมไดแก ปญญาเจตสิก ที่ในมหา
กุสลญาณสัมปยุตตจิต
จิตใจไมแลบออกไปหาอารมณ แนวแนอยูกับอารมณ จิตไมหวน
กลับไมวก ไมเวียน ไมนอมไปในภพในภูมิ คงเหลืออยูแตความวางเฉย
ละความหวาดหวั่น ละความยินดี วางเฉยในการพิจารณารูปนาม
ยอมตั้งอยูในอนุปสสนา ๓ อยาง คือ อนิจจานุปสสนา ทุกขานุปสสนา และ
อนัตตานุปสสนา
สมาธิดีสงบแนวแนไปไดนานๆ ดุจรถยนตวิ่งบนถนนลาดยางดี
ยิ่งนานยิ่งละเอียด ยิ่งประณีตดุจคนรอนแปง
ไม ฟุ ง ซ า น ไม รํ า คาญใจ ไม มี อ ะไรมารบกวนก็ ไ ม กั ง วล อุ ป มา
เหมือนบางทีดึงยืดออกไป พอวางก็หดเขามาฉะนั้น
๑๔
วิสุทธิ. (บาลี) ๒/๒๙๗.
๖๙๖
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
ไมรูเห็นความกลัวในรูปนาม เห็นรูปนามวาไมเปนโทษไมเบื่อหนาย
ในรูปนาม ไมมีความตองการพนไปจากรูปนาม ไมยินดีในรูปนาม จิตผองใส
หมดจด มีความสุขที่ไมเคยสุขมากอน ปราศจากความติดใจในสุข
การกําหนดรูสงบ ประณีตเปน ระยะเวลานาน ไมตองจดจ อมาก
ในขณะกําหนด สติสัมปชัญญะเทาทันไมขาดชวง
จิตบางทานพอใจแคนี้ จิตไมฟุงซาน จิตสงออกรับอารมณภายนอก
นอย ตองพูดธรรมใหฟงมากๆ ใหทําไปเรื่อยๆจะดีเอง
การกําหนดรูเปนไปอยางรวดเร็ว เหมือนสติไมทัน เหมือนหลับไป
เหมือนมีอาการหลุดออกไปจากรางกายก็มี
การกําหนดกับการรูก็หายไปหมด เมื่อถึงตรงนี้ใหพักการปฏิบัติ ๓
วัน หรือ ๗ วัน จากนั้นใหปฏิบัติตอ
อาการอยากไดอยากเปนจะดับไปในญาณนี้
นิมิตและแสงสีที่ปรากฏในขณะนั่งกําหนดมีลักษณะดังนี้ คือ มีกลุม
เมฆหรือควันปรากฏเปนสีมืด เชน สีนวล สีเทา สีมวงแก ครามแก น้ําตาล
ไหม เห็นแลวเกิดความเย็นใจ กลุมเมฆหรือควันปรากฏเคลื่อนไหวชาๆ หรือ
หยุดนิ่งเฉยเปนครั้งคราว (เรียกวา อุเบกขา) เกิดอาการชา เย็น ซาบซาน
สบายตามศรีษะ ใบหนา แขนขา เทา และสวนตางๆของรางกาย(เรียกวา
ปติ)รูสึกสมาธิแนนกระชับเขามา (เรียกวา สมาธิ) รูสึกวามีอาการหนักตึง
(เรียกวา ปสสัทธิ) รูสึกคลายกับงวงแตไมใชถีนมิทธะ กําหนดไดไมเบื่อ (เรียก
วิริยะ)
ไมไดสามารถกําหนดไดอยางกระฉับกระเฉงกวาจะกําหนดไดแตละ
อารมณก็ตองขะมักเขมนอยูนาน๑๕
ผูที่บรรลุสังขารุเปกขาญาณแลวยอมไมรูเห็นความกลัว โทษ ความ
เบื่อหนาย ความตองการจะพนออกไป หรือความรูสึกวาไมนายินดี เหมือน
ในวิ ป ส สนาญาณก อ น แต จ ะพบว า จิ ต ของตนผ อ งใสหมดจดและได รั บ
๑๕
พระมหาณัชพล นราวงษ(ผูเรียบเรียง), คูมือการสอบอารมณสําหรับพระ
วิปสสนาจารย สภาวะของวิปสสนาญาณ ๑๖, (๒๕๕๓), หนา ๔๕๒.
๖๙๗
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
ความสุขที่ไมเคยรูสึกมากอน และปราศจากความติดใจในสุขเหมือนในขณะ
เริ่ มเกิด อุทยั พพยญาณ มีเ พีย งสติ ที่กําหนดรู อัน สงบประณีตเกิดขึ้น อย าง
ตอเนื่องเปนเวลานาน และในขณะนั้นไมจําเปนตองจดจอมากนักก็สามารถ
เจริญสติรูเทาทันไดไมขาดชวง
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : ธรรม
ไมยินดียินราย กําหนดรูปนามไดงายที่สุด ไมมีอุปสรรคปญหาใน
การกําหนดรู ดูความเกิดดับเฉยๆ
ไมดีใจไมเสียใจ มีสติสัมปชัญญะอยู ไมเผลอจากรูปนามที่กําหนดรู
ตามความเปนจริง
วางเฉยอยูกับรูปนาม ทั้งจํางาย กําหนดสะดวกสบายดี ผูปฏิบัติไม
ถึงจะทราบไมได จะอนุมานเอาเองก็ไมได
เวทนาไมร บกวน กําหนดไดดี ใจสงบยิ่ งนั ก ได รั บความอัศจรรย
อยางยิ่งในอนุสาสนีแหงพระสัมมาสัมพุทธเจาที่ตนเคยเชื่อบาง ไมเชื่อบาง
เห็นเหตุใหแนใจดวยตนเองวาคําสอนของพระองควิเศษแท บางครั้งมีอาการ
ชาๆ มากไปตามสวนตางๆ ของรางกายใหกําหนดรูตามอาการไปเรื่อยๆ
จิตจะเปนกลางในเวทนาที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและใจ ทุกขเวทนามี
อยูนอย สุขเวทนามีอยูนอย การปฏิบัติเปนปกติเฉยอยู
จิตใจไมแลบออกไปหาอารมณ แนวแนอยูกับอารมณ ,จิตไมหวน
กลับ ไมวก ไมเวียน ไมนอมไปในภพในภูมิคงเหลืออยูแตความวางเฉย ,ละ
ความหวาดหวั่น ละความยินดี วางเฉยในการพิจารณารูปนาม ,สมาธิดีสงบ
แนวแนไปไดนานๆ ดุจรถยนตวิ่งบนถนนลาดยางดี ,ยิ่งนานยิ่งละเอียด ยิ่ง
ประณีตดุ จคนรอนแป ง ,ไมฟุงซาน ไมรําคาญใจ ไมมีอะไรมารบกวนก็ไม
กังวล ,ไมรูเห็นความกลัวในรูปนาม เห็นรูปนามวาไมเปนโทษ ไมเบื่อหนาย
ในรูปนาม ไมมีความตองการพนไปจากรูปนาม ไมยินดีในรูปนาม จิตผองใส
หมดจด มีความสุขที่ไมเคยสุขมากอน ปราศจากความติดใจในสุข
ไมยิน ดียินร ายกําหนดรู รูปนามไดงายที่สุ ดไมมีอุปสรรคปญหาใน
การกําหนดรู ดูความเกิดดับเฉยๆ ,ไมดีใจ ไมเสียใจ มีสติสัมปชัญญะอยู ไม
๖๙๘
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
เผลอจากรู ป นามที่ กํ า หนดรู , วางเฉยอยู กั บ รู ป นาม ทั้ ง จํ า ง า ย กํ า หนด
สะดวกสบายดี ผูปฏิบัติไมถึงจะทราบไมได จะอนุมานเอาเองก็ไมได
การปฏิบัติกรรมฐานกับอริยสัจ ๔
การเจริญวิปสสนากรรมฐาน อันเปนวิธีเขาถึงพระรัตนตรัยดวย
วิปสสนาวิธีนี้ แสดงใหเห็นถึงการไดเห็นอริยสัจ ๔ ไปในตัว กลาวคือ
๑. ขั น ธ ๕ อั น เป น อารมณ ข องวิ ป ส สนากรรมฐานที่ ผู ป ฏิ บั ติ
พิจารณามาตั้งแตตนจนถึงอนุโลมญาณเปนที่สุดนั้นเปนตัว ทุกขสัจ ผูบรรลุ
มรรคญาณนั้นจึงไดชื่อวาเปนผูเห็นแจงทุกขสัจ
๒. ตัณหาอันเปนเหตุใหเกิดขันธ ๕ นั้นเปน สมุทยสัจผูบรรลุมรรค
ญาณจึงไดชื่อวาเปนผูเห็นแจงสมุทยสัจ
๓. มรรคจิตที่ไดนิพพานเปนอารมณ นิพพานนั้นก็ไดแก นิโรธสัจ
นั่นเอง ผูบรรลุมรรคญาณจึงไดชอื่ วาเปนผูเห็นแจงนิโรธสัจ
๔. ปญญาเจตสิกที่เกิดรวมกับมรรคจิตนั้น เปนตัวสัมมาทิฏฐิเปน
องคธรรมของอริยมรรคที่ ๑ และในขณะมรรคจิตเดียวกันนั้นมีวิตกเจตสิก
อันเปนสัมมาสังกัปปะเปนองคอริยมรรคที่ ๒, มีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชี ว ะเจตสิ ก อัน เปน องคอริ ย มรรคที่ ๓-๔-๕, มีวิ ริ ย ะสติ และ
เอกัคคตาเจตสิก อันเปนตัวสัมมาวิริยะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ อันเปนองค
อริ ย มรรคที่ ๖-๗-๘ เกิ ด ร ว มกั น ประกอบพร อ มกั น โดยมี นิ พ พานเป น
อารมณอยางเดียวกัน องคอริยมรรค ๘ ประการนี้เปน มรรคสัจ ดังนั้นผูได
บรรลุมรรคญาณนั้น จึงไดชื่อวาเปนผูเห็นแจงมรรคสัจ
ผูป ฏิบั ติกรรมฐานจนได บรรลุ ถึงมรรคญาณแลว ชื่อวาได เห็ นแจ
งอริยสัจ ๔ คือทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค ดวยมรรคญาณหรือมรรคปญญา๑๖
๑๖
อางแลว, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๑๘๓.
๖๙๙
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
คัมภีรปฏิสัมภิทามรรค ไดกลาววา สังขารุเปกขาญาณนี้
ผูปฏิบัติจะมีจิตใจสงบจนวางเฉย ไมมีทุกขเวทนารบกวน สามารถ
กําหนดสภาวะการตางๆ ไดดี ผูปฏิบัติเห็นคุณคาของวิปสสนาเปนอยางมาก
เวทนาไมรบกวนกําหนดไดดี ใจสงบยิ่งนัก ไดรับความอัศจรรยอยาง
ยิ่งในอนุสาสนีแหงองคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาที่คนเคยเชื่อบางไมเชื่อ
บาง เห็นเหตุใหแนใจดวยตนเองวาคําสอนของพระองควิเศษแท
๑) บางครั้ ง มี อ าการชามากๆไปตามส ว นต า งๆของร า งกายให
กําหนดรูตามอาการไปเรื่อยๆ
๒) จิ ต จะเป น กลางในเวทนาที่ เ กิ ด ขึ้ น ทั้ ง ทางกายและใจ
ทุกขเวทนามีอยูนอย สุขเวทนามีอยูนอย การปฏิบัติเปนปกติเฉยอยู
๓) มีอ าการขนลุก ไปทั้ ง ตัว กํา ลั งสมาธิ มี มากขึ้น มีอ าการขนลุ ก
แลวนิ่งเปนเวลานาน
๔) มี อ าการของสมาธิ ป รากฏชั ด เช น อาการโยกไปข า งหน า
อาการโยกไปข า งหลั ง กํ า หนดให รู ต ามอาการไป หรื อ กํ าหนดรู ห นอก็ ไ ด
สําคัญอยากังวลหรือยินดียินรายกับอาการ วางใจใหเปนกลางก็พอ
๕) รูสึกวาอัตตภาพรางกายของตนสลายไปจนหมดสิ้นไมมีอะไร
เหลืออยู ใหกําหนดวา หายหนอ หรือ รูหนอก็พอ
๖) มีอาการสะทานขึ้นลงในขณะนั่งกําหนดอยู มีอาการเคลื่อนไหว
ไปมาของมือแขนและเทาเหมือนเปนไปเองโดยไมไดทําอะไร เพียงแตรูดูอยู
เฉยๆก็ พ อ ถ า เกิ ด ขึ้ น ใหม จ ะรู สึ ก แปลกใจอยู บ า ง จะเข า ใจมากขึ้ น เมื่ อ
วิปสสนาญาณแกกลามากขึ้น
๗) อาการยุบลงเร็วและถี่มาก จนกําหนดอาการพอง-ยุบไมได จน
รูสึกวาพื้นทองเคลื่อนไหวหมุนวนไปดานขวาบางดานซายบาง หรือตามสวน
ตางๆของรางกาย เชน ใบหนา หนาอก หรือหัวไหลและหลังเมื่อกําหนดรูก็
จะหายไปแลวกลับปรากฏขึ้นมาใหมอีก
๘) ไม ตอ งจดจ อในการกํา หนดรู เ ห็น ความดับ หรือ ไม เที่ ยง เป น
๗๐๐
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
ทุกข ไมใชตัวตน
๙) กําหนดไดเองตามธรรมชาติ
๑๐) โดยไมมีตัวตนของกําหนดรู
๑๑) กําหนดเห็นความดับ ไมเที่ยงไดทุกขณะ
๑๒) มีขอความวา สงฺขาราว สงฺขาเร วิปสฺสนฺติ .ความวา สังขารนั้น
แหละเห็นประจักษสังขาร๑๗
ปริญญา ๓ อริยสัจ ๔ ในสังขารุเปกขาญาณ(ชวงตน) ดังนี้
การกําหนดรูปนามโดยความเปนอนัตตา ซึ่งสงผลใหจิตวางเฉยตอ
สังขาร เรียกวาสภาวะของสังขารุเปกขาญาณเบื้องตน เปนญาณที่จะเขาสูวุฏ
ฐานคามินีวิปสสนา คือสังขารุเปกขาญาณตอนปลาย อนุโลมญาณ และโคตร
ภูญาณ ตอไป
๑) ญาตปริญญา กําหนดสังขารดวยความวางเฉย (๑๐๐%)
๒) ตีรณปริญญา การพิจารณาสังขารที่อยูในไตรลักษณดวยการเพงดู
อยู (๑๐๐%)
๓) ปหานปริญญา กําหนดรูถึงขั้นละได คือ รูถึงขั้นที่ทําใหถอนความ
ยึดติดเปนอิสระจากสิ่งนั้นๆ ได (ละวิปลาสได) และปฏิบัติตอสิ่งตางๆ ได
ถูกตองจัดเขาใน อริยสัจ ๔ คือ “แจงนิโรธ(อริยสัจ ๔เกิดโดยสมบูรณขึ้น
ตามลําดับ) ทุกข, สมุทัย,นิโรธ, มรรค” การละจากความวางเฉยในสังขาร
ดวยการมุงสูพระนิพพาน๑๘(๖๐%) การกําหนดรูปนามโดยความเปนอนัตตา
ขั้นนี้ผูปฏิบัติของกําหนดอิริยาบถยอยและตนจิตใหได ๑๐๐% กําหนดทุก
ครั้งตองใหเห็นอาการของจิตดับไปซึ่งสงผลใหจิตวางเฉยตอสังขารเรียกวา
สภาวะของสังขารุเปกขาญาณเบื้องตน
๑๗
เลมเดียวกัน, หนา ๔๕๒.
๑๘
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ., เอกสารประกอบการสอน รายวิชาสัมมนาวิปสสนา,
(บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ศูนยบัณฑิตวิทยาเขตบาฬี
ศึกษาพุทธโฆส นครปฐม, ๒๕๕๕), หนา ๒๙๓.
๗๐๑
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
ปหานปริญญาเปนการกําหนดรูจนกระทั่งละจากความวางเฉยใน
สังขารดวยการมุงสูพระนิพพาน จัดเปนปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ และแจง
นิโรธ (อริยสัจ ๔ สมบูรณขึ้นตามลําดับ) เพราะมีพระไตรลักษณของรูปนาม
เปนอารมณเหมือนกัน ตางกันตรงขั้นที่ ๖ สังขารุเปกขาญาณนี้ มีสติ สมาธิ
และปญญามากกวาเปนญาณที่จะเขาสูวุฏฐานคามินีวิปสสนา คือสังขารุเปก
ขาญาณตอนปลาย อนุ โ ลมญาณ และโคตรภู ญาณ ซึ่งเป น ภู มิแห งปหาน
ปริญญา จัดเขานิโรธอริยสัจและมรรคอริยสัจ
มรรคอริ ย สั จ ความจริ ง ที่ แ ท ว า ทางปฏิ บั ติ เ พื่ อ ให เ ข า ถึ ง พระ
นิพพาน มีอยู จริง สามารถปฏิ บัติให รูแจงไดในปจจุบั นขณะนี้ นั่น คืออาจ
เจริญภาวนาแนวทางศีล สมาธิ ปญญา ทํามรรคใหมีองค ๘ ใหสมบูรณ
มรรคสั จ จ ไ ด แ ก ป ญญาที่เ ห็ น พอง ยุ บ เป น ต น ตั้ ง แต เ ริ่ ม แรก
จนกระทั่งดับลงไป สิ้นไป หมดไป เปนมัคคสัจจ ดังบาลีวา “นิโรธปฺชานนา
มคฺคสจฺ จํ ” เป น ที่ทราบชั ด ซึ่งทุกขส มุทัย ว าดั บ ลงไปตอนไหน เป น มัคค
สัจจ๑๙
อัตราการการใสใจวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๐-๑ (นิวรณ)
๑๐ (ทุกขเวทนา) ๕ (ขันธ ๕)
๒๐ (จิตกุศล)
๑๐.ปฏิสังขาญาณ ๑๐ ๕ (โทมัสส) ๕ (อายตนะ) ๒๐
๐-๑ (จิตอกุศล)
๑๐ (อุเบกขา) ๖ (โพชฌงค)
๗ (อริยสัจ)
๑๑. ๐-๑ (นิวรณ)
สังขารุ ๕ (ทุกขเวทนา) ๑๐ (ขันธ ๕)
๒๕ (จิตกุศล)
เปกขา ตน ๗ ๒ (โทมัสส) ๑๐ (อายตนะ) ๑๐
๐-๑ (จิตอกุศล)
ญาณ ๑๐ (อุเบกขา) ๑๐ (โพชฌงค)
๙ (อริยสัจ)
๑๙
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป.(ไทย) ๓๑/๔๕/๘๖-๘๘.
๗๐๒
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
๗๐๓
ขั้นที่ ๖ พิจารณาวางเฉยตอรูป-นาม
ญาณ ๑๑ สังขารุเปกขาญาณ (กลาง)
อัตราการการใสใจวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๐-๑ (นิวรณ)
๕ (ทุกขเวทนา) ๑๐ (ขันธ ๕)
๒๕ (จิตกุศล)
ตน ๗ ๒ (โทมัสส) ๑๐ (อายตนะ) ๑๐
๐-๑ (จิตอกุศล)
๑๑. ๑๐ (อุเบกขา) ๑๐ (โพชฌงค)
สังขารุ ๙ (อริยสัจ)
เปกขา ๐-๑ (นิวรณ)
ญาณ ๙ (ขันธ ๕)
๐-๑ (ทุกขเวทนา) ๑๔ (จิตกุศล)
กลาง ๕ ๑๐ (อายตนะ) ๕
๔ (อุเบกขา) ๐-๑ (จิตอกุศล)
๓๐ (โพชฌงค)
๒๐ (อริยสัจ)
๗๐๖
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
บันไดขั้นที่ ๗ เปนการปฏิบัติภาวนาเพื่อบรรลุอริยมรรค อริยผล
โยคีตองสํารวมอินทรียใหมากๆ กําหนดทุกอยางๆ ดูอาการดับของอารมณ
และอาการดับของจิต ขั้นนี้ ก็เปน ปหานปริญญา จั ดเปน นิโรธอริยสั จและ
มรรคอริยสัจ ในสภาวธรรมนั้นคือการกําหนดรูอาการดับ ใหสังเกตวาจิตดับ
ไปจากอารมณต อนไหน แต โยคีพึงระวั งเพราะวามีส ภาวะปลอมอยู แต มี
ธรรมะจริงอยูเพียง ๑ อยางเทานั้น
กําหนดความสลัดคืนความยึดมั่นถือมั่นในรูป-นาม และขันธ ๕ ซึ่ง
เปนผลมาจากความดับลงแหงความยึดถือ กลาวคือ เมื่อกําหนดความดับลง
แหงความยึดมั่นถือมั่นจนจิตปลอยวางสิ่งที่เคยยึดมั่นถือมั่นไดแลว ก็ให
กําหนดความสลัดคืนนั้น การเจริญวิปสสนาภาวนาโดยมีสติกําหนดรูอาการ
พอง-ยุบจนเห็นความดับลงแหงความยึดมั่นถือมั่น จนจิตปลอยวางสิ่งที่เคย
ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ได แ ล ว ก็ ใ ห พิ จ ารณาความสลั ด คื น นั้ น ด ว ย ๑ จากนั้ น เพิ่ ม
สติสัมปชัญญะในการกําหนดอิริยาบถยอยอยางจดจอตอเนื่อง ดวยโยนิโส
มนสิ ก ารอย า งแยบคายตั้ ง แต จิ ต แรกที่ ตื่ น จนถึง จิ ต สุ ด ท า ยก อ นหลั บ ให
ละเอียดขึ้นกวาทุกๆ วั น เพิ่มสติ รูเ ทาทันจิ ตที่อยากหั น อยากมอง อยาก
พูดคุยใหทันอาการจิตกอนทุกๆ ครั้ง และเจาะลึกสภาวะธัมมานุปสสนาให
มากขึ้น โดยเฉพาะ “ตั ณหาหนอ (อยากหนอ)” “มานะหนอ (ยึด หนอ)”
“ทิฏฐิหนอ (หลงหนอ)”
เมื่ออารมณทั้งที่เปนรูปและนาม(ขันธทั้ง ๕) ดับขาดไปสิ้นแลว ก็จะ
หนวงเอานิพพานมาเปนอารมณไดเอง อยางเปนปจจัตตัง เขาสูภาวะที่เปน
“สันติ” ที่ไมขึ้นกับกาลเวลาและปจจัยปรุงแตง (สังขตธรรม) ใดๆ อีกตอไป
บันไดขั้นนี้ถือวาเปนขั้นสุดทายของการปฏิบัติวิปสสนา เปนวิถีของ
การออกเรี ย กว า “วุฏ ฐานคามินี วิ ปส สนา”๒ คือการออกจากรู ป นาม จน
๑
พุทธทาสภิกขุ, วิธีฝกสมาธิวิปสสนา ฉบับสมบูรณ, พิมพครั้งที่ ๘, (โอเอ็นจี
การพิมพ จํากัด สํานักพิมพสุนทรสาสน), หนา ๓๗๗-๔๐๗.
๒
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๑๐/๓๗๗.
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
หนวงนิพพานเปนอารมณ ซึ่งเปนชื่อของ ๓ ญาณ คือ สังขารุเปกขาญาณ
ตอนปลาย อนุโมญาณ และโคตรภูญาณ
วุ ฏ ฐานคามิ นี อีก ความหมายหนึ่ ง คื อ ส ว นสื บ ต อของอริ ย มรรค๓
อริยมรรคชื่อวาวุฏฐานะ คือการสลัดคืนรูปนาม
ปฏินิสสัคคานุปสสนา เปนชื่อแหงวิปสสนาและมรรคที่สละคืนเสีย
ซึ่งกิเ ลสพร อมทั้งขัน ธ (วิบ าก) และอภิ สั งขาร (กรรม) ด ว ยอํานาจตทังค
ปหาน(วิปสสนาญาณ) และนอมไปในพระนิพพานอันตรงกันขามกับกิเลส
โดยความที่นอมโนมไปทางนั้นเพราะเห็นโทษในสังขตธรรม พระผูมีพระภาค
เจาตรัสสอนการกําหนดพิจารณาเห็นความสละคืนซึ่งรูปนาม วา
“ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี
ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ.” เธอยอมสําเหนียกวา “เราจักพิจารณาเห็นความ
สละคืนหายใจเขา” เธอยอมสําเหนียกวา “เราจักพิจารณาเห็นความสละคืน
หายใจออก”
ความสละคืน มี ๒ อาการ คือ
๑) ปริจจาคปฏินิสสัคคะ (ความสละคืนดวยการสละเสีย) คือ สละ
เสียซึ่งกิเลสพรอมทั้งขันธคือวิปาก และอภิสังขารคือกรรม ดวยอํานาจตทังค
ปหาน
๒) ปกขันทนปฏินิสสัคคะ (ความสละคืนดวยการแลนเขาไป) คือ
ความแลนไปในพระนิพพาน อันตรงกันขามกับกิเลสโดยความนอมไปแหง
ปญญา เห็นโทษในสังขตธรรม
สภาวะญาณที่เกิดขึ้น ไดแก สังขารุเปกขาญาณชวงปลาย, อนุโลม
ญาณ โคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณ และปจจเวกขณญาณ
วิปสสนาญาณและมรรคญาณทั้ง ๒ นี้เรียกวาอนุปสสนา เพราะเห็น
พระนิพพานภายหลังญาณกอนๆ ภิกษุเปนผูประกอบดวยปฏินิสสัคคานุปสส
๓
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธิ. (บาลี) ๒/๗๘๒/๓๓๙. , พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิ
สุทธิมรรค, แปลโดย สมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ อาสภมหาเถร), พิมพครั้งที่ ๗,
(กรุงเทพมหานคร: บริษัท ธนาเพรส จํากัด, ๒๕๕๑), หนา ๑๑๑๐.
๗๐๘
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
นาทั้ง ๒ อยางนั้น ชื่อวาสําเหนียกวา “เราจักเปนผูพิจารณาเห็นความสละ
ทิ้งหายใจเขา หายใจออก”
การบริกรรมภาวนาในขั้น นี้ ตองใสใจเพงรูในอารมณที่จิตรับรูใน
ป จ จุ บั น ขณะนั้ น อย า งจดจ อ ต อ เนื่ อ งอย า งสมบู ร ณ แ บบ พยายามเพ ง
พิจารณาอาการของอารมณนั้นๆ โดยไมใหจิตซัดสายไปหาอารมณอื่นๆ และ
พยายามปดกั้นไมใหอารมณอื่นๆ แทรกเขามา แตหากมีอารมณอื่นแทรก
เข า มาได หรื อเผลอสอดส า ยหาอารมณ อื่ น ๆ ก็ ใ ห เ พ ง รู ล งในอาการของ
อารมณ ใ หม นั้ น แต เ น น สั ง เกตดู ส ภาพธรรมารมณ ภ ายในจิ ต เป น พิ เ ศษ
หลักการสําคัญในการบริกรรมภาวนาในขั้นนี้ ตองพยายามเพงความสนใจไป
ที่วิถีจิตที่บริกรรมภาวนาเพียง ๑ % แตใสใจพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม
เพิ่มขึ้น ๙๙ % โดยที่เนนไปทีพ่ ิจารณาสภาพธรรมของอริยสัจ ๔ เปนหลัก
บั น ไดขั้ น ที่ ๗ เป น วิ ถี ข องการออก ที่ เ รี ย กว า “วุ ฏ ฐานคามิ นี
วิปสสนา”๔ คือการออกจากรูปนาม จนหนวงนิพพานเปนอารมณ ซึ่งเปนชื่อ
ของ ๓ ญาณ คือสังขารุเปกขาญาณตอนปลาย อนุโมญาณ และโคตรภูญาณ
วุฏฐานคามินีอีกความหมายหนึ่งคือ สวนสืบตอของอริยมรรค๕อริยมรรคชื่อ
วาวุฏฐานะ คือการสลัดคืนรูปนามสวนการกําหนดในขั้นที่ ๗ นี้ ตองปฏิบัติ
เหมือนขั้นที่ ๖ ใหสบูรณ ถึงจะไดผล การกําหนดมีดังนี้
๑. พิจารณาสภาพธรรมขณะกราบและกําหนดรูอริยาบถ
กราบสติปฏฐานใหชาลง ๒๐ นาทีเปนอยางนอย โดยเพิ่มตนจิตให
มากขึ้น เชน กอนพลิกมือ ใหกําหนดรูจิตกอนวา “อยากพลิกหนอ” พรอม
กับ สังเกตเห็น อาการดั บลงของจิ ต ที่อยากพลิ กนั้น แล ว จึงกําหนด “พลิ ก
หนอๆ”ตอไป เปนตน และเพิ่มจังหวะหยุด เมื่อมีอารมณอื่น เขามาแทรก
๔
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๑๐/๓๗๗.
๕
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธิ. (บาลี) ๒/๗๘๒/๓๓๙. , พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิ
สุทธิมรรค, แปลโดยสมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ อาสภมหาเถร), พิมพครั้งที่ ๗,
(กรุงเทพมหานคร: บริษัท ธนาเพรส จํากัด, ๒๕๕๑), หนา ๑๑๑๐.
๗๐๙
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
ซอน เชน ขณะยกมือขึ้นกราบ ลมเย็นพัดเขามากระทบรางกาย ใหกําหนด
“ถูกหนอ” “เย็นหนอ” จนดับไปกอน แลวจึงคอยกําหนดยกตอไป เปนตน
โยคีบางคนสงสัยวา “ทําไมตองกําหนดอิริยาบถยอยใหมากมาย ดู
สับสนวุยวาย นารําคาญ” ตอบวา : ก็เปรียบเหมือนนักมวยสากล ตั้งคําถาม
วา “มวยสากลเขาใชมือตอยกัน ทําไมตองซอมวิ่งวันละหลายๆ กิโลเมตร
เหนื่อยเปลาๆ เอาเวลาไปซอมชก ซอมตอยอยางเดียว ไมดีกวาหรือ?”
อนึ่ง ผูที่ปฏิบัติมาถึงขั้นนี้แลว หากยังรูสึกสับสนวุยวายกับอารมณที่
กระทบหรือการกําหนดรูที่ละเอียดขึ้นก็ยอมแสดงวา ยังไมถึงขั้นที่ ๗ นี้จริง”
พยายามบริกรรมภาวนาไปตามอาการที่เกิดจริง ในขณะปจจุบันอยู
ตลอดเวลา แมแตในฝนก็กําหนด แตถารูสึกวาคําบริกรรมไปทับสภาวะ (จิต
เพงที่คําบริกรรมเกินไป) ถาเชนนั้น ไมตองบริกรรม ตามรูอยางเดียว
๗๑๐
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
๗๑๑
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
๗๑๒
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
๒. พิจารณาสภาพธรรมขณะจงกรม
กํ า หนดให รู เ ท า ทั น จิ ต ที่ คิ ด จะยื น “อยากยื น หนอ” พร อ มกั บ
สังเกตเห็นอาการดับลงของจิตที่อยากยืนนั้นดวย แลวลุกขึ้นยืน ในทุกครั้ง
และเพิ่มการกําหนดยืนเปน ๓ ชวง คือ
กําหนด “ยืนหนอ” ตั้งแตปลายผมจนถึงอก ๑ ชวง
กําหนด “ยืนหนอ” ตั้งแตอกจนถึงขา ๑ ชวง
กําหนด “ยืนหนอ” ตั้งแตขาจนถึงปลายเทา ๑ ชวง
และเพิ่ ม การกํ า หนดเห็ น อาการดั บ ของจิ ต ที่ ดั บ พร อ มไปกั บ
ความรูสึกยืนนั้นๆ ดวย
เดินจงกรมใหเทากับเวลานั่งภาวนา เดินใหครบทั้ง ๖ จังหวะ และ
เพิ่ ม จิ ต รู ล งไปในอาการก า วย า งเป น ทวี คู ณ เช น เดิ น จั ง หวะที่ ๓ “ยก
หนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” (แลวนิ่ง) “ยางหนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” (แลวนิ่ง)
“เหยียบหนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” (แลวนิ่ง) คือซอยสภาวะ เพิ่มความถี่ในการ
กําหนด ในขณะเดินเพิ่มการกําหนดรูจิตอยากหัน อยากมอง อยากพูด อยาก
คุยใหจิตที่อยากมอง,อยากคุยดับไป..โดยไมหันไปมองหรือพูดคุย ใหไดทัน
กอ นทุ กครั้ งหยุ ด กํ าหนดรู อาการคัน ปวด เมื่ อย และอาการคิ ด จนเห็ น
อาการดับกอนทุกครั้ง
พิ จ ารณาให รู อ าการเท า ที่ ย กขึ้ น มี อ าการตึ ง หย อ น เมื่ อ ย ล า
อยางไรกําหนดรูตามความรูสึกที่เกิดขึ้น และหยุด ใหเห็นอาการดับขาดของ
จิตและเทาที่เคลื่อนไหว แลวจึงยาง โดยกําหนดรูความรูสึกการเคลื่อนยาง
ของเทา และหยุด ลงเหยียบ ใหรูอาการที่กระทบฝาเทา แข็ง หยาบนุม รอน
เย็น ฯลฯ อยางไร พอทิ้งน้ําหนักตัวลงของเทาที่เหยียบมีอาการ ปวด เมื่อย
ตึง ลา จิตไปรับรูความรูสึกชวงไหน ใหกําหนดรูอาการนั้น จนกวาอารมณดับ
ไปจากจิ ต บางครั้งจิตดั บไปจากอารมณและจึงกําหนดรู อารมณที่จิต รับ รู
ตอไป
ขณะเดินบางครั้งเทาหลายไป กําหนดรูตามอาการปรมัตถที่จิตรับรู
ตามอาการ ถากําหนดไมได ใหจิตรูอาการนั้นๆ ที่กําหนดไมได
๗๑๓
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
กํา หนด และเพิ่ ม การกํ า หนดรู จิ ต อยากหั น อยากมอง อยากพู ด
อยากคุย ใหจิตที่อยากมอง อยากคุยนั้นๆดับไป..โดยไมหันไปมองหรือเผลอ
พูดคุย ใหไดทันกอนทุกครั้งหยุดกําหนดรูอาการคัน ปวด เมื่อย และอาการ
คิด จนเห็นอาการดับกอนทุกครั้ง
กําหนดรูอาการดับไป ของตัวจิตเอง ที่เขาไปกําหนดรูอารมณตางๆ
ที่ดับไปพรอมกับอารมณทถี่ ูกกําหนดนั้นๆ หากเห็นอาการดับของจิต ชัดเจน
ใหกําหนดรูวา“ดับหนอ” หรือ “รูหนอ” ดวย
เพิ่มอาการรูลงไปในอาการกาวยางเปนทวีคูณ
จั ง หวะที่ ๑ เพิ่ ม ความถี่ ข องจิ ต รู ล งในการกํ า หนด “ยก
หนอๆๆๆๆ” “ยางหนอๆๆๆๆ”
จั ง หวะที่ ๒ เพิ่ ม ความถี่ ข องจิ ต รู ล งในการกํ า หนด “ยก
หนอๆๆๆๆ” “เหยียบหนอๆๆๆๆ”
จั ง หวะที่ ๓เพิ่ ม ความถี่ ข องจิ ต รู ล งในการกํ า หนด “ยก
หนอๆๆๆๆ” “ยางหนอๆๆๆๆ” “เหยียบหนอๆๆๆๆ”
จั ง หวะที่ ๔ เพิ่ ม ความถี่ ข องจิ ต รู ล งในการกํ า หนด “ยกส น
หนอๆๆๆๆ” “ยกหนอๆๆๆๆ” “ยางหนอๆๆๆๆ” “เหยียบหนอๆๆๆๆ”
จั ง หวะที่ ๕ เพิ่ ม ความถี่ ข องจิ ต รู ล งในการกํ า หนด “ยกส น
หนอๆๆๆๆ”“ยกหนอๆๆๆๆ” “ยางหนอๆๆๆๆ” “เหยียบหนอๆๆๆๆ”
จั ง หวะที่ ๖ เพิ่ ม ความถี่ ข องจิ ต รู ล งในการกํ า หนด “ยกส น
หนอๆๆๆๆ”“ยกหนอๆๆๆๆ” “ยางหนอๆๆๆๆ” “ลงหนอๆๆๆๆ” “ถูก
หนอๆๆๆๆ” “กดหนอๆๆๆๆ”
หยุดกําหนดรูอาการคัน ปวด เมื่อย และอาการคิด จนเห็นอาการ ดับ
กอนทุกครั้งตองกําหนดจนเห็นอาการดับของทุกสภาวะที่จิตเขาไปรู บางครั้ง
อารมณดับไปจากจิตบางครั้งจิตดั บไปจากอารมณคือกําหนดรู อาการดับไป
ของตั ว จิ ตเอง ที่ เ ข าไปกํ าหนดรู อารมณ ต างๆ ที่ ดั บไปพร อมอารมณ ที่ ถู ก
กําหนดนั้นๆ หากเห็นอาการดับของจิต ชัดเจนใหกําหนดรูวา “ดับหนอ” หรือ
“รูหนอ”ดวย
๗๑๔
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
เมื่ออารมณที่เปนรูป-นามดับขาดไปสิ้นแลว ก็จะหนวงเอานิพพาน
มาเปนอารมณไดเอง อยางเปนปจจัตตัง เขาสูภาวะที่เปน “สันติ” ที่ไมขึ้นกับ
กาลเวลาอีกตอไป
พิเศษ : สํ าหรับโยคีบางทานอาจารยให เพิ่มตนจิต ในขณะเพิ่ม
ความถี่จิ ตรู ดวย แตไมบริ กรรมทับตน จิต เช น การยกเทา กําหนด “รูจิ ต
อยากยก ยกหนอ รูจิตอยากยก ยกหนอ รูจิตอยากยก ยกหนอ รูจิตอยากยก
ยกหนอ รูจิตอยากยก ยกหนอ” ถาโยคีถึงสภาวญาณจริง การเดินจะเบา
สบายไมปวดหัว หรือรูสึกติดคําบริกรรมอยูที่คอ
๓. พิจารณาสภาพธรรมขณะกําหนดรูพอง-ยุบ
นั่ง ๑ ชั่วโมงครึ่ง โดยไมขยับอวัยวะสวนใดทั้งสิ้น หากเห็นอาการ
พอง-ยุบชัดเจนมากเห็นตน-กลาง-ปลายชัดเจน เพิ่มความถี่ของจิตที่กําหนด
อาการนั้ น ๆ คือ กําหนดซอยอาการพอง-อาการยุ บ “พองหนอๆๆๆๆๆ”
“ยุบหนอๆๆๆๆๆ” สังเกตใหไดวาพองหรือยุบดับลง ณ จุดใดบางชวงพอง-
ยุบ ไมชัด แตจิตรูชัด..ก็ใหรูชัดลงไปในอาการไมชัดนั้น “พองหนอ-ไมชัด
หนอ” “ยุบหนอ-ไมชัดหนอ” อยาพยายามทําใหชัด..
- กําหนดรูอาการคัน ชา ปวด เมื่อย และอาการคิด จนเห็นอาการ
ดับกอนทุกครั้งจึงจะกลับมากําหนดพอง-ยุบตอไป
- กําหนดเห็นอาการดับของจิต ที่ดับพรอมไปกับอารมณที่จิตเขาไป
กําหนดรูแทบทุกครั้ง
- ถาเห็นแสง สี นิมิต หรือภาพแปลกๆ ใหเขาใจวา เห็นจริง แตสิ่งที่
เห็ น นั้ น ไม จ ริ ง ให รี บ กํา หนดให เ ห็ น อาการดั บ โดยเร็ ว อย า ไปยิ น ดี หรื อ
เพงมอง…
- ตองกําหนดจนเห็นอาการดับของทุกสภาวะที่จิตเขาไปรู บางครั้ง
อารมณดับไปจากจิต บางครั้งจิตดับไปจากอารมณ๖
๖
ทุภโต วุฏฐานวิวฏฏเน ปฺญา มคฺเค ญาณํ. ปญญาในการออกและหลีกจาก
ขันธและนิมิตทั้ง ๒ เปนมรรคญาณ... ; ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๗๐.
๗๑๕
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
- กําหนดเห็นการดับของตัวจิตเอง ที่ดับพรอมไปกับอารมณที่ถูก
กําหนดรู
-บางขณะอาการพอง-อาการยุบแผวเบา นิ่มนวล ก็ใหทําอารมณ
แผวเบา กําหนดอยางแผวเบานิ่มนวลไปตามอาการนั้นๆ “พองหนอ” “ยุบ
หนอ” ถารูสึกจิตแผวเบามากเหมือนจะหลับ ก็ตามดูจิต วาหลับอยางไร “รู
หนอๆๆๆ” (หากเปนสภาวะแท ตามดูอยางไรก็ไมหลับ)
โยคีบางคนกําหนดอยูดีๆ มีอาการพอง-ยุบถี่ๆ รัวเร็วขึ้นมา ปรากฏ
อาการเกิด-ดับอยางถี่ยิบ บางคนแรงมากเหมือนกับเครื่องจักร เหนื่อยหอบ
แทบขาดใจ ก็ใหตามรูไปตามอาการนั้น กําหนดเพียงวา “รูๆๆ” ไปเรื่อยๆ
จนกวาจิตจะละคําบริกรรมไปเอง อยาดัดแปลงแกไขสภาวะใดๆ เด็ดขาด ..
ขอย้ําวา “หามดัดแปลงแกไขสภาวะในชวงนี้ อยางเด็ดขาด” ถาพอง-ยุบเร็ว
แรงแทบขาดใจ ก็ใหตามรูไปตามนั้น จนกวาจะขาดใจตายไปเลย
บางครั้งอาการพอง-ยุบ อึดอัดแนนแทบขาดใจ เหมือนจะตายใหกําหนดรูถึง
อาการอึ ด อัด แน น ทรมาน จะตายนั้ น ตามความจริ ง ตั ด คําบริ กรรมว า
พอง-ยุบ นั้นไป
บางครั้ ง อาการพอง-ยุ บ มีอาการสม่ํ าเสมอ แผ ว เบา ก็ กําหนดรู
อาการ แผวเบา นุมนวล โดยเห็นอาการเปนปรมัตถ ถาบริกรรมไมไดก็แครู
ตามอาการเฉยๆ
เมื่ อ อาการพอง–ยุ บ กลั บ มาเป น ปกติ ให ป รั บ ระยะเวลาการนั่ ง
ภาวนาและเดินจงกรมเปน ๑ ชั่วโมงเทากัน ขณะนั่งภาวนาใหสนใจเฉพาะ
อารมณภายในเทานั้น สวนอารมณภายนอก เชน เสียง กลิ่น รสและอารมณ
สัมผัสตางๆ ไมตองสนใจมากนัก
บางครั้งอาจมีอาการจิตดับวูบหายลงไป
อนึ่ ง หากขณะนั่ งภาวนาอยู นั้ น อารมณภ ายในแช นิ่ งซ้ําๆ เดิ มๆ
ติดตอกันเกินหลายนาทีแลว ยังไมเปลี่ยนแปลง ใหโยคีเพิ่มการเดินจงกรมให
มากกวานั่งอีก ๑๕ นาที จนกวาอาการแชนิ่งซ้ําๆ เดิมๆ นั้น เปลี่ยนแปลงไป
จึงปรับการนั่งและเดินจงกรมเปน ๑ ชั่วโมงเทากัน
กําหนดรูอารมณตามที่จิตรู โดยใหจิตเลือกอารมณเอง แลวรูไปตาม
๗๑๖
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
อาการรูนั้นๆ จนดับ ตั้งแตจิตแรกที่ตื่น จนถึงจิตสุดทายที่หลับ ตองกําหนด
จนเห็นอาการดับของทุกๆ สภาวะ ที่จิตเขาไปรูบางครั้งอารมณดับไปจากจิต
บางครั้งจิตรูดับไปจากอารมณ
บริ กรรมภาวนาไปตามอาการที่ เ กิ ด ขึ้ น จริ ง ในขณะป จ จุ บั น อยู
ตลอดเวลา แมแตในฝนก็กําหนด แตถารูสึกวาคําบริกรรมไปทับสภาวะ (จิต
เพงที่คําบริกรรมเกินไป) ถาเชนนั้น ไมตองบริกรรม ตามรูอยางเดียว
ถาเห็นแสงสวาง (ไมใชแสงสี) ใหกําหนดจนกวาจะดับ แตถากําหนด
๒-๓ นาทีแลวยังไมดับ ใหทําเปนไมใสใจ แลวไปกําหนดอารมณที่ปรากฏชัด
ตอไป แตถาเห็นแสงสี หรือเห็นนิมิตเรื่องราว แสดงวาญาณตก (มาที่ญาณที่
๔) แกโดย เพิ่มการกําหนดตนจิตใหได ๙๐ % ขึ้นไป เพิ่มการสังเกตรู-เห็น
อาการดับของจิต (ตัวรู) ที่เขาไปกําหนดใหได ๑-๒ ขณะจิตกอนที่จะดับสิ้น
ลง คือ ดับไปทั้งอารมณ และจิต (ผูรู)
หลักสําคัญในการปฏิบัติ
๑. ตองกําหนดบริกรรมอยูตลอดเวลา ตั้งแตจิตแรกที่ตื่น จนถึงจิต
สุดทายที่หลับแมแตขยับนัยนตา ขยับลิ้น ก็กําหนดทันทุกครั้ง
๒. บริกรรมภาวนาไปตามอาการที่เกิดขึ้นจริงในขณะปจจุบัน อยู
ตลอดเวลา
๓. ถาเห็นแสงสวาง ที่ไมใช แสงสี ใหกําหนดจนกวาจะดั บ แตถา
กําหนดกวา ๑๐นาทีแลวยังไมดับ ใหทําเปนไมใสใจ แลวไปกําหนดอารมณ
อื่นๆ ที่ปรากฏชัดตอไป
๔. ต อ งกํ า หนดจนเห็ น อาการดั บ ของทุ ก สภาวะที่ จิ ต เข า ไปรู
บางครั้งอารมณดับไปจากจิต บางครั้งจิตดับไปจากอารมณ
๕. กําหนดเห็นการดับของตัวจิตเอง ที่เขาไปกําหนดรูอารมณตางๆ
ได ๑ – ๓ ขณะจิต กอนที่จะดับสิ้นลงทั้งของอารมณที่จิตเขาไปรูและของจิต
ที่เขาไปรู
เมื่ออารมณที่เปนรูป-นามดับไปสิ้นแลว ก็จะหนวงเอานิพพานมาเป
นอารมณไดเอง อยางเปน ปจจัตตัง ที่ไมขึ้นกับกาลเวลาอีกตอไป
๗๑๗
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
๔. พิจารณาสภาพธรรมขณะกําหนดรูอิริยาบถ
ขณะรับประทาน : ใหกําหนดรูการเคลื่อนไหวทีละอาการ กําหนดรู
อาการ คู เหยียด ตึง หยอนเมื่อย ลา ของแขนที่เคลื่อนไหว กําหนดรูอาการ
ของจิตที่ “อยาก” ตัก เคี้ยว กลืน ใหทันกอนทุกครั้ง และใหจิตที่อยากนั้น
ดับไป จึงจะตัก เคี้ยว กลืน กอนเคี้ยวใหเอามือวางลงกอนทุกครั้ง แลวจึง
กําหนดเคี้ยวเคี้ยวอาหารใหละเอียดจนจืดกอนทุกครั้ง แลวจึงกําหนดอยาก
กลืนแลวจึงกลืนอาหารนั้น พอกลืนแลวกําหนดรูอาการที่ไหลลง จิตที่ชอบ
หรือไมชอบอาหารนั้น ใหกําหนดรูดวยชอบหนอ ไมชอบหนอ ถูกใจหนอ
กําหนดรูทันจิตอยากจับ อยากเคี้ยวทันกอนจับ กอนเคี้ยวทุกครั้ง
กําหนดเคี้ยวจนรสชาติจืดสนิทกอน จึงกลืนทุกคํากลืน ขณะเคี้ยวเสร็จตอง
กําหนดจิตอยากกลืนใหไดกอน จึงกลืน ทุกๆ คํา กลืนกําหนดใหได ๕๐ นาที
เปนอยางนอย
- ขณะฉันใหเลือกกําหนดตามอาการความตองการของรางกาย(อยา
ทําตามจิต ใหทําตามรางกายอยาก) ระงับจิตใหเปนอุเบกขา
- ไมยินดี ใจเฉยๆ อยูกับรูปกับนาม คืออยูกับปจจุบันขณะของการ
กําหนดในทุกๆ อาการ
- สมาธิดี ใจสงบแนวแนไปไดนานๆ
- เห็นการกลืนเปนอาการธาตุ ใหกําหนดวา “รูหนอๆๆๆๆ”
- หากกําหนดเห็นการไหลของน้ําเปนเหมือนละอองควัน(เปนอาการ
สลัดของรูป แลวแตจะรูส ึกเพราะไมมีตัวแลว) ใหกําหนดวา “รูหนอๆๆๆ”
-ใหตัดอารมณที่เปนอกุศล ถาไมอยากกินใหระงับที่จิต แตถารูสึก
กายไมรับใหไปดูที่จิตกอนวากายไมอยากหรือจิตไมอยาก ถากายไมอยาก
ตองฝนบางเพราะสุขภาพจะเสีย
- บางคนกํา หนดอยู ดี ๆ ก็ มี อาการถี่ รั ว เร็ ว ขึ้น มา อาการเกิด -ดั บ
อยางถี่ยิบ ใหกําหนดวา “รูๆๆๆๆๆๆ” ไปจนกวาจิตจะละคําบริกรรมเอง
- บางคนอาการจะแรงมากเหมือนเครื่ องจั กร เหนื่ อยแทบขาดใจ
ใหตามกําหนดอาการนั้นๆ ไป เพียงวา “รูๆๆๆๆ” ไปจนกวาจิตจะละคํา
๗๑๘
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
บริกรรมเอง บางครั้งอาจมีอาการจิตดับวูบหายลงไป
นอน : โยคีกําหนดเพียงรูปนอนเทานั้น “นอนหนอๆๆๆ” แตถา
กําหนดกวา ๓๐ นาทีแลวยังไมหลับ ใหเพงรูไปที่อาการไมหลับนั้น พรอมกับ
บริกรรมวา “ไมหลับหนอๆๆๆ” จนกวาจะหลับไปเอง (หรือเปลี่ยนบท
กรรมฐานเปนเมตตาภาวนา โดยการกําหนดตั้งแตศีรษะ คือ เสนผม ไลลงมา
เรื่อยๆ ตั้งแต หนาผาก คิ้ว ตา จมูก ปาก คาง หนาอกหนาทอง ฝามือ แขง
ขา ฝาเทาโดยการบริกรรมตามไปวา “ขอใหมีความสุข ขอใหพนจากทุกข”
ทั้งขึ้น ทั้งลง จนกวาจะหลับ)
๕. พิจารณาสภาพธรรมขณะเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน
ถานั่งปฏิบัติ ๑ ชั่วโมงไมมีทุกขเวทนาเลย ๓-๕ วันติ ดตอกันเป น
อยางนอย หลังจากนั้นทุกขเวทนากลับแรงขึ้นมาอีกอยางนาแปลกใจ แตมี
สติ รู เ ท า ทั น ไม สุ ข ไม ทุ ก ข จิ ต กลั บ รู สึ กเฉยๆ จากนั้ น พึ ง ปฏิ บั ติ ดั ง นี้
กําหนดรูอาการ “อยาก” ใหทันกอนหัน มอง พูด คุย โดยที่ไมตอง
หัน ไปมอง ไปพูด ไปคุย
กําหนดรู อาการ “อยาก”หยิบ จั บ กลื น น้ํ าลาย กลื น อาหาร แม
อิริ ย าบถย อยที่ ล ะเอีย ดบางอย าง เช น การกระพริ บ ตา การขมิบ กน ขณะ
ขับถาย ขยับลิ้น ขยับนัยนตา ก็ตองกําหนดรูดวย
กําหนดจิตรูในการสัมผัสที่กระทบทางทวารทั้ง ๖ เชนกระทบทาง
กาย มีอาการแข็ง เย็น รอน อุน ฯลฯ อยางไรกําหนดรู พอรูอาการที่กระทบ
ทางกายแลวจิตชอบ ไมชอบ เบื่อ รําคาญ หงุดหงิด พอใจ ไมพอใจ ฯลฯ ให
กําหนดรูอาการนั้นดวย
สังเกตรู–เห็นอาการดับของจิต (ตัวรู) ที่เขาไปกําหนดใหได ๑–๒
ขณะจิต กอนที่จะดับสิ้นลง คือ ดับไปทั้งอารมณ และจิต (ผูรู)
- ขณะกําหนดทุกขเวทนาปรากฏ สังเกตดูวากําหนดกี่ครัง้ จึงดับ
- ขณะนั่งภาวนาตลอด ๑ ชั่วโมง มีทุกขเวทนาปรากฏบางหรือไม?
ถาไมมีทุกขเวทนาใหนั่งกําหนดอยางนอย ๑ ชั่วโมงครึ่ง
๗๑๙
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
- ใหสังเกตขณะกําหนดเห็นอาการทุกข/อาการสุขดับไป..มีอะไรดับ
พรอมกันไปดวย
- การกําหนดเวทนาใหสังเกตเหมือนกับการกําหนดเดินและนั่ง คือ
เวทนาดับไปตอนไหน หรือจิตดับไปจากเวทนาตอนไหน
จิตดับจากเวทนา หมายถึงอารมณเวทนามีอยูแตจิตไมรับเอามาเปน
อารมณ คือจิตไปเกาะเอาอารมณใหมแลว
ไมวาอิริยาบถใดที่จิตกําหนดรูอยู มีเวทนาเกิดขึ้นไมวาจะ สุข ทุกข
หรือเฉยๆ ถามีอาการปวด เมื่อย คัน จุก เสียด แนน ใหกําหนดรูตามความ
จริ งของจิ ต ที่เ ขาไปรู อารมณของเวทนานั้ น บาง ครั้ งหากกําหนดแล ว บั ง
สภาวะปรมัตถ ใหรูตามอาการเวทนา ปวด เมื่อย คัน จุก เสียด แนนนั้นโดย
ไมตองบริกรรมรู และใหเห็นอาการดับของจิตที่เขาไปรูอารมณทุกๆ ครั้ง
๖. พิจารณาสภาพธรรมขณะเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน
จิ ต เลื อกอารมณเ อง แล ว รู ไปตามอาการรู นั้ น ๆ จนดั บ กําหนดรู
อารมณตามที่จิตรู โดยใหจิตเลือกอารมณเอง แลวรูไปตามอาการรูนั้นๆ จน
ดั บ ทุ ก ๆ อารมณ ที่ จิ ต รู ตั้ ง แต จิ ต แรกที่ ตื่ น จนถึ ง จิ ต สุ ด ท า ยที่ ห ลั บ ต อ ง
กําหนดจนเห็นอาการดับของทุกๆ สภาวะที่จิตเขาไปรู ซึ่งบางครั้งอารมณ
ดับไปจากจิต บางครั้งจิตรูดับไปจากอารมณ
โยคีบ างคน กํ า หนดอยู ดี ๆ อาการพอง-ยุ บ รั ว เร็ ว ขึ้น มา ปรากฏ
อาการเกิดดับอยางถี่ยิบบางคนแรงมากเหมือนกับเครื่องจักร เหนื่อยหอบ
แทบขาดใจ ก็ใหตามรูไปตามอาการนั้น กําหนดเพียงวา “รูๆๆๆๆ” ไป
เรื่ อยๆ จนกวาจิ ตจะละคําบริ กรรมไปเอง อย าดัด แปลงแกไขสภาวะใดๆ
เด็ดขาด ..ขอย้ําวา “หามดัดแปลงแกไขสภาวะในชวงนี้ อยางเด็ดขาด” ถา
พอง-ยุบเร็วแรงแทบขาดใจก็ใหตามรูไปตามนั้นจนกวาจะขาดใจตายไปเลย
เมื่ออาการพอง-ยุบ กลับมาเปนปกติ ใหเพิ่มการกําหนดอิริยาบถ
ยอย และเจาะลึกสภาวะธัมมานุปสสนาใหมากขึ้น โดยเฉพาะ “ตัณหาหนอ”
(อยากหนอ) “มานะหนอ”(ยึดหนอ)“ทิฏฐิหนอ”(นึกหนอ อาการคิด-นึกชวง
๗๒๐
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
นี้ จะเปนเรื่องปจจุบัน เราเปนผูคิด-นึกเสียเอง เปนสวนมาก)เมื่ออารมณที่
เปนรูป-นามดับไปสิ้นแลว ก็จะหนวงเอานิพพานมาเปนอารมณไดเอง อยาง
เปนปจจัตตัง ที่ไมขึ้นกับกาลเวลาอีกตอไป๗
อาการที่เขาถึงพระนิพพานมี ๓ คือ
๑. บุคคลผูมนสิการโดยความไมเที่ยง ยอมนําจิตออกจากรูป-นาม
ไปสูนิพพานซึ่งเปนความดับดวยอํานาจแหงอนิมิตตวิโมกข การสงัดจากนิมิต
อารมณที่ใหเกิดกิเลส หรือชรา มรณะ เปนตน เรียกวา อนิมิตตนิพพาน
๒. ผูมนสิ การโดยความเปน ทุกขย อมนําจิตออกจากรู ป-นามไปสู
นิพพานซึ่งเปนความดับ ดวยอํานาจแหงอัปปณิหิตวิโมกข การสงัดจากความ
ดิ้นรนอันเปนเหตุใหเกิดสรรพทุกขนั้น เรียกวา อัปปณิหิตนิพพาน๘
๓. ผูมนสิการโดยความเปนอนัตตายอมนําจิตออกจากรูป-นามไปสู
นิพพานซึ่งเปนความดับ ดวยอํานาจแหงสุญญตวิโมกข๙การสงัดจากรูปนาม
ทั้งปวงอันเปนเหตุใหยึดเปนอัตตานั้น เรียกวา สุญญตนิพพาน
ผูเจริญวิปสสนาภาวนา จนเห็นไตรลักษณ คือ อนัตตา เห็นความ
ไมใช ตั วตนบั งคับบั ญชาไมได อันเป น ความว างเปล า เชน นี้ แล ว และเพง
อนัตตาตอไปจนบรรลุ
คัมภีรอภิธัมมัตถสังคหะ๑๐กลาวถึง “การบรรลุมรรคญาณ วา เปน
ประตูปากทางของวิโมกข หรือ วิมุตติ คือ การหลุดพนพิเศษ มี ๓ ประการ
๑) สุญญตวิโมกข ๒)อนิมิตตวิโมกข ๓) อัปปณิหิตวิโมกข”
๗
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ., (ประเสริฐ มนฺตฺเสวี) วิปสสนาภาวนา ที่ไมถูกเขียนไวใน
พระไตรปฎก, (กรุงเทพมหานคร: ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๘) หนา ๓๑๙.
๘
ดูรายละเอียดใน ขุ.ปฏิ. (บาลี) ๓๑/๒๒๓/๒๗๕, ขุ.ปฏิ. (ไทย) ๓๑/๒๒๔/
๓๗๗
๙
ขุ.ปฏิ. (บาลี) ๓๑/๒๒๘ /๒๗๔ ,ขุ.ปฏิ. (ไทย) ๓๑/๒๒๘/๓๘๖ , ขุ.ปฏิ.อ.
(บาลี) ๑/๗๘/๓๒๓.
๑๐
ขุ.ป.(บาลี) ๓๑/๒๒๙/๒๘๔-๒๘๖., ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒๙/๓๘๘-๓๘๙., พระ
อนุรุทธาจารย, อภิธมฺมตฺถสงฺคหปาลิ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหามกุฏราช
วิทยาลัย), หนา ๕๖-๕๗.
๗๒๑
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
๗. พิจารณาสภาพธรรมขณะเจริญธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน
๑. กําหนดรูอารมณตามที่จิตรู โดยใหจิตเลือกอารมณเอง แลวรูไป
ตามอาการรูนั้นๆ จนดับ ตั้งแตจิตแรกที่ตื่น จนถึงจิตสุดทายที่หลับ
๒. ต อ งกํ าหนดจนเห็ น อาการดั บ ของทุก ๆ สภาวะ ที่จิ ต เขา ไปรู
บางครั้งอารมณดับไปจากจิต บางครั้งจิตรูดับไปจากอารมณโยคีบางคนสงสัย
วา “ทําไมตองกําหนดอิริยาบถยอยใหมากมาย ดูสับสนวุยวาย นารําคาญ”
ตอบวา : ก็เปรียบเหมือนนักมวยสากล ตั้งคําถามวา “มวยสากลเขาใชมือ
ตอยกัน ทําไมตองซอมวิ่ง เหนื่อยเปลาๆ เอาเวลาไปซอมชก ซอมตอยอยาง
เดียว ไมดีกวาหรือ?”
๓. บริกรรมภาวนาไปตามอาการที่เกิดขึ้นจริง ในขณะปจจุบัน อยู
ตลอดเวลา แมแตในฝนก็กําหนด แตถารูสึกวาคําบริกรรมไปทับสภาวะ (จิต
เพงที่คําบริกรรมเกินไป) ถาเชนนั้น ไมตองบริกรรม ตามรูอยางเดียว
๔. ขณะนั่งหลับตาภาวนา ถาเห็นแสงสวาง (ไมใชแสงสี) ใหกําหนด
จนกวาจะดับ แตถากําหนด ๒ - ๓ นาทีแลวยังไมดับ ใหทําเปนไมใสใจ แลว
ไปกําหนดอารมณที่ปรากฏชัดตอไป แตถาเห็นแสงสี หรือเห็นนิมิตเรื่องราว
แสดงวาญาณตก (มาที่ญาณที่ ๔) แกโดยการเพิ่มการกําหนดตนจิตใหได
๑๐๐ % และเพิ่มการสังเกตรู–เห็นอาการดับของจิต (ตัวรู) ที่เขาไปกําหนด
ใหได ๑–๒ ขณะจิต กอนที่จะดับสิ้นลง คือ ดับไปทั้งอารมณ และจิต (ผูรู)
โยคีบ างคน กํ า หนดอยู ดี ๆ อาการพอง-ยุ บ รั ว เร็ ว ขึ้น มา ปรากฏ
อาการเกิดดับอยางถี่ยิบ บางคนแรงมากเหมือนกับเครื่องจักร เหนื่อยหอบ
แทบขาดใจ
โยคีก็ใหตามรูไปตามอาการนั้น กําหนดเพียงวา “รูๆๆๆๆ” ไป
เรื่ อยๆ จนกวาจิ ตจะละคําบริ กรรมไปเอง อย าดัด แปลงแกไขสภาวะใดๆ
เด็ดขาด ..ขอย้ําวา “หามดัดแปลงแกไขสภาวะในชวงนี้ อยางเด็ดขาด” ถา
พอง-ยุบเร็วแรงแทบขาดใจ ก็ใหตามรูไปตามนั้นจนกวาจะขาดใจตายไปเลย.
เมื่ออาการพอง-ยุบ กลับมาเปนปกติ ใหเพิ่มการกําหนดอิริยาบถยอย และ
เจาะลึกสภาวะธัมมานุปสสนาใหมากขึ้น โดยเฉพาะ “ตัณหาหนอ” (อยาก
๗๒๒
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
หนอ) “มานะหนอ”(ยึดหนอ) “ทิฏฐิหนอ”(นึกหนอ : อาการคิด-นึกชวงนี้
จะเปนเรื่องปจจุบัน เราเปนผูคิด-นึกเสียเอง เปนสวนมาก)
เมื่ออารมณที่เปนรูป-นามดับไปสิ้นแลว ก็จะหนวงเอานิพพานมา
เปนอารมณไดเอง อยางเปนปจจัตตัง ที่ไมขนึ้ กับกาลเวลาอีกตอไป
๘. สภาวะญาณที่เกิดขึ้นเมื่อปฏิบัติขั้นที่ ๗ สมบูรณ
พระสารีบุตรเถระอธิบายวา จิตสละรูปเปนความสละคืนดวยการ
สละเสีย จิตแลนไปในนิพพานซึ่งเปนความดับแหงรูป เปนความสละคืนดวย
ความแลนไป
ภิกษุสําเหนียกวา เราพิจารณาเห็นความสละคืนในรูปหายใจเขา
สําเหนียกวา “เราพิจารณาเห็นความสละคืนในรูปหายใจออก” จิตสละ
เวทนา ฯลฯ สัญญาฯลฯ สังขาร ฯลฯวิญญาณ ฯลฯ จักขุ ฯลฯ จิตสละชรา
และมรณะ เพราะฉะนั้น จึงเปนความสละคืนดวยการสละเสีย จิตแลนไปใน
นิพพานซึ่งเปนความดับแหงชราและมรณะ เพราะฉะนั้น จึงเปนความสละ
คืนดวยความแลนไป
ภิกษุสําเหนียกวา “เราพิจารณาเห็นความสละคืนในชราและมรณะ
หายใจเขา” สําเหนียกวา “เราพิจารณาเห็นความสละคืนในชราและมรณะ
หายใจออก” ธรรมทั้งหลายดวยอํานาจความเปนผูพิจารณาเห็นความสละ
คืนหายใจเขาหายใจออก ยอมปรากฏความปรากฏเปนสติ การพิจารณา
เห็นเปนญาณ ธรรมยอมปรากฏ ไมใชสติ สติปรากฏดวยเปนตัวระลึกดวย
ภิกษุพิจารณาเห็ น ธรรมเหล านั้ นด ว ยสติ นั้ น ดว ยญาณนั้ น เพราะเหตุ นั้ น
ทา นจึ ง กล าวว า “สติ ป ฏ ฐานภาวนา คื อ การพิ จ ารณาเห็ น ธรรมในธรรม
ทั้งหลาย๑๑
อธิบายวา อภินิเวส (การกําหนด) วุฏฐานะ (การสลัดออกไป) คือ
๑๑
พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย (ประเสริฐ มนฺตเสวี ป.ธ.๘), รวบรวม
เรียบเรียง, อานาปานสติภาวนา ลําดับการบรรลุธรรมของพระพุทธเจา, , (กรุงเทพ:
หางหุนสวนจํากัด ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๕), หนา ๓๐๑-๓๐๒.
๗๒๓
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
๑. โยคีกําหนดภายในแลวออกจากภายใน ๑ กําหนดภายในแลว
ออกจากภายนอก ๑ กําหนดจากภายนอกแลวออกจากภายนอก๑ กําหนด
จากภายนอกแลวออกจากภายใน ๑
๒. โยคีกําหนดในรูป แลออกจากรูป ๑ กําหนดในรูป แลวออกจาก
อรูป ๑ กําหนดในอรูปแลวออกจากอรูป ๑ กําหนดในอรูปแลวออกจากรูป
๑ ออกจากขันธทั้ง ๕ พรอมกัน ๑
๓. โยคีกําหนดโดยความไมเที่ยง ออกจากความไมเที่ยง ๑ กําหนด
โดยความไมเที่ยง ออกจากความเปนทุกข จากความไมมีอัตตา ๑ กําหนด
โดยความเปนทุกข จากความไมเที่ยง จากความไมมีอัตตา ๑ กําหนดโดย
ความไมมีอัตตา ออกจากความไมมีอัตตา จากความไมเที่ยง จากความเปน
ทุกข ๑
ถาม กําหนดอยางไร? ออกอยางไร ?
ตอบ ๑. โยคี ทานที่ ๑ กํ าหนดอยู ใ นสั งขารภายในทั้ งหลาย แต
เริ่มแรกมาเลย ครั้นกําหนดแลว ก็เห็นสังขารภายในเหลานั้น แตเพราะเหตุที่
วุฏ ฐานะ (การออกไป) คือมรรค หามีโ ดยเพีย งแต การเห็ น สังขารภายใน
ลวนๆ เทานั้นไม ตองเห็นแมสังขารภายนอกดวยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น
เขาจึงเห็นขันธทั้งหลายของผูอื่นบาง เห็นสังขารทั้งหลายที่เปนอนุปาทินนกะ
บาง วาเปนของไมเที่ยง เปนทุกข ไมมีอัตตา โยคีทานนั้นกําหนดรูภายใน
ตามกาลเวลา กํ าหนดรู ภ ายนอกตามกาลเวลา ในเวลากํา หนดรู ภ ายใน
วิปสสนาของโยคีทานนั้น ผูกําหนดรูอยูอยางนี้ ก็สืบตออยูกับมรรค โยคีทาน
นี้ชื่อวา กําหนดภายในแลวออกไปจากภายใน
แตถาวิปสสนาของโยคีทานนั้นสืบตออยูกับมรรคในเวลากําหนดรู
ภายนอก โยคีทานนี้ ชื่อวา กําหนดภายในแลวออกไปจากภายนอก แมใน
การกําหนดรูจากภายนอกแลวออกไปจากภายนอก และในการกําหนดรูจาก
ภายนอกแลวออกมาจากภายใน ก็มีนัยดังนี้๑๒
๑๒
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, แปลโดยสมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ
อาสภมหาเถร), พิมพครั้งที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร, ๒๕๕๑), หนา ๑๑๑๒.
๗๒๔
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
๒. โยคีอีกทานหนึ่ง (ทานที่ ๒) กําหนดอยูในรูป แตแรกเริ่มมาเลย
ครั้นกําหนดแลวก็เห็นภูตรูปและอุปาทายรวมกองเดียวกัน แตเพระเหตุที่วุฏ
ฐานะ (การออกไป) หามีโดยเพียงแตการเห็นรูปลวนๆเทานั้นไม แมอรูปก็
ตองเห็นดวยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นโยคีจึงทํารูปใหเปนอารมณ แลวเห็น
อรูป คือ เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ ที่เกิดขึ้นวา “นี้ เปนอรูป” โยคี
ทานนั้น กําหนดรูรูปตามกาลเวลา กําหนดรูอรูปตามกาลเวลา เมื่อโยคีนั้น
กําหนดรูอยางนี้ วิปสสนาในการกําหนดรูรูป ก็สืบตอกับมรรค โยคีผูนี้ชื่อวา
กําหนดอยู ในรูปแลวออกไปจากรูป
แตถาวิปสสนาของโยคีนั้น สืบตออยูกับมรรคในเวลากําหนดรูอรูป
โยคีผูนี้ชื่อวา กําหนดอยูในรูปแลวออกไปจากอรูป
แมใ นการกํ าหนดอยู ในอรู ป แล ว ออกไปจากอรู ป ก็ดี และในการ
กําหนดอยูในอรูปแลว ออกไปจากรูปก็ดี ก็มีนัยดังนี้ แตในการกําหนดอยาง
นี้วา “ยงฺกิฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ- สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้น
เปนธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเปนธรรมดา ดังนี้ แลวออกไปโดย
อาการอยางนั้นเชนกัน โยคี(ทานนี้) ชื่อวา ออกไปจากขันธทั้ง ๕ พรอมกัน
๓. โยคีทานหนึ่ง (ทานที่ ๓) กําหนดรูสังขารทั้งหลายโดยความไม
เที่ยง มาแตแรกเริ่มเลย แตเพราะเหตุที่วุฏฐานะ หามีโดยเพียงแตกําหนดรู
โดยความไมเที่ยงเทานั้นไมตองกําหนดรูโดยความเปนทุกขบาง โดยความ
เปนอนัตตาบาง ดวยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น โยคีจึงกําหนดรูโดยความเปน
ทุกขบาง โดยความเปนอนัตตาบาง เมื่อโยคีนั้นปฏิบัติแลวอยางนี้ วุฏฐานะก็
มีขึ้นในเวลากําหนดรูโดยความไมเที่ยง โยคีทานนี้ชื่อวากําหนดโดยความไม
เที่ยงแลวออกไปจากความไมเที่ยงแตถาวุฏฐานะมีแกโยคีนั้นในเวลากําหนด
รูโดยความเปนทุกข โดยความเปนอนัตตา โยคีทานนี้ชื่อวากําหนดโดยความ
ไมเที่ยงแลวออกไปจากทุกข จากอนัตตา
แมในการกําหนดโดยความเป น ทุกข โดยความเปน อนั ต ตา แล ว
ออกไปจากลักษณะที่เหลือนอกนี้ ก็มีนัยดังนี้๑๓
๑๓
เลมเดียวกัน, หนา ๑๑๑๓.
๗๒๕
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
มรรคมีองค ๘
๖.ภยญาณ
ขั้ น ที่ ๔ เห็ น ความเป น
๗.อาทีนวญาณ
ทุกขของรูป-นาม
๘.นิพพิทาญาณ ๓.ปหาน แจงนิโรธ
ขั้ น ที่ ๕ เห็ น ความไม ใ ช ๙.มุญจิตุกัมยตาญาณ ปริญญา
ตัวตนของรูป-นาม ๑๐.ปฏิสังขาญาณ
ขั้ น ที่ ๖ วางเฉยต อ รู ป - ตน
๑๑.สังขารุเปก
นาม
ขาญาณ
ปลาย วุฏฐานคา
๑๒.อนุโลมญาณ มินี
๑๓.โคตรภูญาณ
ขั้นที่ ๗ สลัดคืนรูป-นาม
๑๔.มรรคญาณ อริยสัจ ๔
๑๕.ผลญาณ
๑๖.ปจจเวกขณญาณ
๗๒๖
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
ญาณที่ ๑๑ ทีเ่ ปนวุฏฐานคามินีวิปสสนา (สังขารุเปกขาญาณ)
สังขารุเปกขาญาณตอนปลาย เปนการวางเฉยตอรูปนามที่อยูในวิถี
ของการออกจากรู ป นาม หรื อ เรี ย กว า สิ ข าป ต ตวิ ป ส สนา คื อ ยอดแห ง
วิปสสนา โดยเปนฐานของการออก ๓ ฐาน๑๔ คือ
๑. อนิ จ จานุ ป ส สนา ญาณพน จากนิ มิต ว า เที่ ย ง ชื่ อว า อนิ มิต ตา
นุปสสนา หลุดพนดวยการเห็นเนื่องๆ วาไมมีนิมิต๑๕
๒. ทุกขานุปสสนา ญาณพนจากนิมิตวาสุข ชื่อวา อัปปณิหิตานุปสส
นา หลุดพนดวยการเห็นเนื่องๆ วาไมมีตัณหาเปนที่ตั้ง
๓. อนั ต ตานุ ป ส สนา ญาณพน จากนิ มิต ว าอัต ตา ชื่ อว า สุ ญญตา
นุปสสนาหลุดพนดวยการเห็นเนื่องๆ โดยความวางเปลาจากอัตตา
๑) ละความกลั อนวเอาว
ละความยิ นดี วางเฉยในรู ป-นามวตน
เมื๒)
อ่ ผูปไม
๓) ไมฏิยหบึดวนไปยิ
ัตเอาถื
ิพิจารณาซ้ าําแล
ดีในภพ รูปว๓-นามเป ก ก็ดนจเรา
ซ้กํําอีาเนิ คติของเรา
๕ วิญตัญาณฐิ
๔ะปรากฏผล ดังนี้ ติ ๗ สัตตา
วาส ๙ อีกตอไป
๔)
๕) เมื ่อมีสติที่มปีกํารส
วางเฉยในรู ลังแก กลา กิเงลสครอบงํ
เปนตน าไมได
๖)
๗) ไม ใสสั่งใสมทุ
จอารมณ บัญกลิญั่นติ เสีดยรากถอนโคนทุ
๘) สภาวะของสังขารุเปกขาญาณยิ่งนานก็กยขิ่งอละเอี
ไม ก ข พยายามตั ยางเต็ยมดทีประณี
่ ต
๑๖
ยิ่งๆ ขึ้นไป และนอมไปอยูดวยอนุปสสนา ๓ จนกวาจะเขาถึงวิโมกขมุข ๓
ก. สภาพธรรมที่ปรากฏ : เดินจงกรม
ขณะเดินจงกรม ไมรูสึกวาเปนเทา รูสึกแตอาการที่คลื่นๆ ไป
บางครั้ งไม รู สึ กอะไรเลย เหมือ นกับ ว าเทา ขาด เทาหายไป ก็ใ ห
สังเกตตามที่จิตพอจะรูสึกได กําหนดไปตามสภาพธรรมที่พอจะรูสึกไดของ
จิตวา "รูหนอๆๆๆๆ" จนกวาสภาวอาการตางๆ จะกลับมาเปนปกติ
ข. สภาพธรรมที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ
พองยุบแผวเบา อาการพอง-ยุบละเอียดประณีตเห็นไดชัดเจนตั้งแต
เริ่มตนจนกระทั่งสิ้นสุดการกําหนดรูเปนกลางไมมีดีหรือไมดี การกําหนดรูจุด
๑๔
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๑๙/๓๖๕.
๑๕
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๑๙/๓๖๖.
๑๖
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๑๙/๓๖๕.
๗๒๗
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
๕, ๑๐, จะนอยลงการกําหนดรูจุด ๓, ๕, ๑๐, จุด สุดทายจะเหลือเพียง ๔
จุด คือ พอง-ยุบ นั่ง-ถูก ,
การกําหนดพอง-ยุบมีอาการตอเนื่องกันไป ไมตองทําความพยายาม
ในการกําหนดรูสภาวะ กําหนดไดเองเปนธรรมชาติเหมือนไมไดกําหนดอะไร
การกําหนดรูพอง-ยุบ-นั่ง-ถูก บางทีหายไป ตองกําหนดรูอาการที่
หายไปดวย พอลงนั่งกําหนดรูพองหนอ-ยุบหนอ-นั่งหนอ-ถูกหนอ (ทั้งยาย
ถูก และจี้ จุ ด สั ก ๒-๓ เที่ ย วจะรู สึ กตั ว หายเป น ไอน้ํ า หรื อกลุ มควั น บางๆ
สลายหายไปในอากาศ
อาการพองโตมากและอาการยุบก็แฟบมากๆ อาการพองขึ้นเรื่อยๆ
ไมยุบใหกําหนดรูพองตามไปและอาการยุบลงๆ (ไมพองก็ใหกําหนดตามไป
วายุบๆ บางทีก็ไมพอง-ไมยุบ แตมีอาการตึงอยูใหกําหนดวา ตึงหนอ หรือรู
หนอไป เมื่อทองไมพอง-ไมยุบจะปรากฏคลายวาเราไมไดหายใจและเย็นตาม
รูขุมขนทั่ว บริ เ วณแขน ขาและทั่ว ร างกายคล ายหายใจทางรู ขุมขน (เป น
ลักษณะของลมละเอียดปรากฏ)เปนอาการของผรณาปติผสมเขามา
บางครั้งอาการพอง-ยุบมีอาการรวดเร็วมากใหกําหนดวา รูหนอไว
เปนหลัก
ไมเห็นสิ่งที่ควรถือวาเปนเราของเรา ละความกลัวและความพอใจได
แลว เปนผูวางเฉยมีใจเปนกลางในสังขารทั้งปวง กําหนดพิจารณาอารมณ
เห็นความไมเที่ยง ในอาการพอง-ยุบ หมายความวา ขันธ ๕ มีความเกิดขึ้น
และความเสื่ อมไป ความที่มีแล วกลั บ ไมมีของขัน ธ ๕ ความไมตั้ งอยู ต าม
อาการนั้น ๆ สลายดั บไปทุกขณะ ในคัมภี รปฏิสัมภิทามรรค พระสารีบุต ร
อธิบายวิธีเจริญวิปสสนาวา
ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมเหลานั้นอยางไร คือพิจารณาเห็นโดยความ
ไมเที่ยง ไมพิจารณาเห็นโดยความเที่ยง พิจารณาเห็นโดยความเปนทุกข ไม
พิจารณาเห็นโดยความสุข พิจารณาเห็นโดยความเปนอนัตตา ไมพิจารณา
เห็ น โดยความเป น อั ต ตา ย อ มเบื่ อ หน า ย ไม ยิ น ดี ย อ มคลายกํ า หนั ด ไม
กําหนัดยอมทําราคะใหดับ ไมใหเกิด ยอมสละคืน ไมยึดถือ เมื่อพิจารณา
เห็นโดยความไมเที่ยง ยอมละนิจจสัญญาได เมื่อพิจารณาเห็นโดยความเปน
๗๒๘
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
ทุก ข ย อ มละสุ ข สั ญ ญาได เมื่อ พิ จ ารณาเห็ น โดยความเป น อนั ต ตา ย อ ม
ละอัตตสัญญาได เมื่อเบื่อหนายยอมละกําหนัดได เมื่อคลายกําหนัดยอมละ
ราคะได เมื่อทําราคะใหดับยอมละสมุทัย เมื่อสละคืนยอมละความยึดถือได
ค. สภาพธรรมที่ปรากฎ : รับประทานอาหาร
ขณะฉัน เลือกกําหนดตามอาการความตองการของรางกาย จิตเปน
อุเบกขา ไมยินดี ใจเฉยๆ อยูกับรูปกับนาม คืออยูกับปจจุบันขณะของการ
กําหนดในทุกๆ อาการ
สมาธิดี ใจสงบแนวแนไปไดนานๆ เห็นการกลืนเปนอาการธาตุ
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการเวทนา
๑. เวทนาไมรบกวน กําหนดไดดี ใจสงบยิ่งนัก ไดรับความอัศจรรย
อยางยิ่งในอนุสาสนีแหงองคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาที่ตนเคยเชื่อบาง
ไมเชื่อบาง เห็นเหตุใหแนใจดวยตนเองวาคําสอนของพระองควิเศษแท
๒. บางครั้ ง มีอาการชาๆ มากไปตามส ว นต างๆ ของร างกายให
กําหนดรูตามอาการไปเรื่อยๆ
๓. จิ ต จะเป น กลางในเวทนาที่ เ กิ ด ขึ้ น ทั้ ง ทางกายและใจ
ทุกขเวทนามีอยูนอย สุขเวทนามีอยูนอย การปฏิบัติเปนปกติเฉยอยู
๔. มีอาการขนลุกไปทั้งตัว กําลังสมาธิมีมากขึ้น มีอาการขนลุก
แลวนิ่งเปนเวลานาน
๕. มีอาการของสมาธิปรากฏชัด เชน อาการโยกไปขางหนาโยกไป
ขางหลังใหกําหนดรูตามอาการไป หรือกําหนดรูหนอก็ได สําคัญอยากังวล
หรือยินดียินรายกับอาการวางใจใหเปนกลางก็พอ
๖. รู สึ กว าอัต ภาพร างกายของตนสลายไปจนหมดสิ้ น ไมมี อะไร
เหลืออยู ใหกําหนดวา หายหนอ หรือรูหนอก็พอ
๗. มีอาการสะทานขึ้นลงในขณะนั่งกําหนดอยู มีอาการเคลื่อนไหว
ไปมาของมือแขนและเทาเหมือนเปนไปเองโดยไมไดทําอะไรเพียงแตรูดูอยู
เฉยๆ ก็ พ อ ถ า เกิ ด ขึ้ น ใหม จ ะรู สึ ก แปลกใจอยู บ า ง จะเข า ใจมากขึ้ น เมื่ อ
วิปสสนาญาณแกกลามากขึ้น
๗๒๙
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
๘. อาการยุบลงเร็วและถี่มาก จนกําหนดอาการพอง – ยุบไมไดก็
รูสึกวาพื้นทองเคลื่อนไหวหมุนวนไปดานขวาบางซายบาง หรือตามสวนตางๆ
ของรางกาย เชน ใบหนา หน าอก หรือหั วไหล และหลั งเมื่อกําหนดรู ก็จ ะ
หายไปแลวกลับปรากฏขึ้นมาใหมอีก
๙. ไมตองจดจ อในการกําหนดรู เ ห็น ความดับ หรือไมเที่ยง เป น
ทุกข ไมใชตัวตน
๑๐. กําหนดไดเองตามธรรมชาติ
๑๑. โดยไมมีตัวตนของผูกําหนดรู
๑๒.กําหนดเห็นความดับ ไมเที่ยงไดทุกขณะ
๑๓.มีขอความวา สงฺขาราว สงฺขาเร วิปสฺสนฺติ๑๗. สังขารนั้นแหละ
เห็นประจักษสังขาร”
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อาการจิต
จิตรูชัดเจนสภาพธรรมในอาการที่แผวเบา จิตรูอาการอยางละเอียด
ประณีต เห็นไดชัดเจนตั้งแตเริ่มตน จนกระทั่งสิ้นสุด
จิตรูสภาวะตางๆ ไดอยางสะดวกสบาย ไมตองขะมักเขมนในการ
กําหนด
๑. จิตใจไมแลบออกไปหาอารมณ แนวแนอยูกับอารมณ
๒. จิ ต ไม ห วนกลั บ ไม ว ก ไม เ วี ย น ไม น อ มไปในภพในภู มิ ค ง
เหลืออยูแตความวางเฉย
๓. ละความหวาดหวั่น ละความยินดี วางเฉยในการพิจารณารูป
นาม ยอมตั้งอยูในอนุปสสนา ๓ อยางคือ อนิจจานุปสสนา ทุกขานุปสสนา
และอนัตตานุปสสนา
๔. สมาธิดีสงบแนวแนไปไดนานๆ ดุจรถยนตวิ่งบนถนนลาดยางดี
๕. ยิ่งนานยิ่งละเอียด ยิ่งประณีตดุจคนรอนแปง
๖. ไมฟุงซาน ไมรํ าคาญใจ ไมมีอะไรมารบกวนก็ไมกังวล อุปมา
เหมือนบางทีดึงยืดออกไป พอวางก็หดเขามาฉะนั้น
๑๗
วิสุทธิ. (บาลี) ๒/๒๙๗.
๗๓๐
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
๗. ไมรูเห็นความกลัวในรูปนาม เห็นรูปนามวาไมเปนโทษ ไมเบื่อ
หนายในรูปนาม ไมมีความตองการพนไปจากรูปนาม ไมยินดีในรูปนาม จิต
ผองใสหมดจด มีความสุขที่ไมเคยสุขมากอน ปราศจากความติดใจในสุข
๘. การกําหนดรูสงบประณีตเปนระยะเวลานาน ไมตองจดจอมาก
ในขณะกําหนด สติสัมปชัญญะเทาทันไมขาดชวง
๙. จิ ต บางท า นพอใจแค นี้ จิ ต ไม ฟุ ง ซ า น จิ ต ส ง ออกรั บ อารมณ
ภายนอกนอย ตองพูดธรรมใหฟงมากๆ ใหทําไปเรื่อยๆ จะดีเอง
๑๐. การกําหนดรูเปนไปอยางรวดเร็ว เหมือนสติไมทัน เหมือนหลับ
ไป เหมือนมีอาการหลุดออกไปจากรางกายก็มี
๑๑. การกํ า หนดกั บ การรู ก็ ห ายไปหมด เมื่ อ ถึ ง ตรงนี้ ใ ห พั ก การ
ปฏิบัติ ๓ วัน หรือ ๗ วัน จากนั้นใหปฏิบัติตอ
๑๒. อาการอยากไดอยากเปนจะดับไปในญาณนี้
๑๓. นิมิต และแสงสี ที่ป รากฏ มีลั กษณะดังนี้ คือ มีกลุ มเมฆหรื อ
ควันปรากฏเปนสีมืด เชน สีนวล สีเทา มวงแก ครามแก น้ําตาลไหม เห็น
แลวเกิดความเย็นใจ กลุมเมฆหรือควันปรากฏเคลื่อนไหวชาๆ หรือหยุดนิ่ง
เฉยเปนครั้งคราว (อุเบกขา) เกิดอาการชา เย็น ซาบซาน สบายตามศีรษะ
ใบหนา แขน ขา เทา และสวนตางๆ ของรางกาย (ปติ) รูสึกนั่งสมาธิแนน
กระชับเขามา (สมาธิ) รูสึกวามีอาการหนักตึง (ปสสัทธิ) รูสึกคลายกับงวง
แตไมใชถีนมิทธะ กําหนดไดไมเบื่อ (วิริยะ)
๑๔. ไมสามารถจะกําหนดไดอยางกระฉับกระเฉงกวาจะกําหนดได
แตละอารมณก็ตองขะมักเขมนอยูนาน
ผูที่บรรลุสังขารุเปกขาญาณแลวยอมไมรูเห็นความกลัวโทษ ความ
เบื่อหนาย ความตองการจะพนออกไป หรือความรูสึกวาไมนายินดี เหมือน
ในวิ ป ส สนาญาณก อ น แต จ ะพบว า จิ ต ของตนผ อ งใสหมดจดและได รั บ
ความสุขที่ไมเคยรูสึกมากอน และปราศจากความติดใจในสุขเหมือนในขณะ
เริ่ มเกิด อุทยั พพยญาณ มีเ พีย งสติ ที่กําหนดรู อัน สงบประณีตเกิดขึ้น อย าง
ตอเนื่องเปนเวลานาน และในขณะนั้นไมจําเปนตองจดจอมากนักก็สามารถ
เจริญสติรูเทาทันไดไมขาดชวง
๗๓๑
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : ธรรม
โรคภัยไขเจ็บตางๆ ก็หาย จะหายไปไดโดยเด็ดขาดบาง เชน โรค
อัมพาต โรคประสาท โรคหืด โรคกระเพาะ ความดันโลหิต ลมบาหมู เปนตน
จุดมุงหมายของการปฏิบัติวิปสสนาไมไดมุงรักษาโรคอยางนี้ มุงรักษาโรค
ภายในคือกิเลสและโรคภายนอกก็เปนผลพลอยได
๑. การกําหนดคลายความขะมักเขมน คลายความตึงเครียดไปบาง
๒. สามารถกําหนดอารมณไดสม่ําเสมอ
๓. ความเพียรไมลดถอยลง
๔. ไมตองจดจอในการกําหนดรูอาการพอง-ยุบ เห็นความดับหรือ
ความไมเที่ยง เปนทุกขและอนัตตา
เมื่อผูปฏิบัติพิจารณาซ้ําแลวซ้ําอีก ก็จะปรากฏผล ดังนี้
๑) ละความกลัว ละความยินดี วางเฉยในรูป-นาม
๒) ไมยึดเอาถือเอาวา รูป-นามเปนเรา ของเรา ตัวตน
๓) ไมหวนไปยินดีในภพ ๓ กําเนิด ๔ คติ ๕ วิญญาณฐิติ ๗ สัตตา
วาส ๙ อีกตอไป
๔) เมื่อมีสติที่มีกําลังแกกลา กิเลสครอบงําไมได
๕) วางเฉยในรูป รส กลิ่น เสียง เปนตน
๖) ไมใสใจอารมณบัญญัติ
๗) ไมสั่งสมทุกข พยายามตัดรากถอนโคนทุกขอยางเต็มที่
๘) สภาวะของสังขารุเปกขาญาณยิ่งนานก็ยิ่งละเอียด ประณีตยิ่งๆ
ขึ้นไป และนอมไปอยูดวยอนุปสสนา ๓ จนกวาจะเขาถึงวิโมกขมุข ๓
๑.ไมยินดียินรายกําหนดรูรูปนามไดงายที่สุดไมมีอุปสรรคปญหาใน
การกําหนดรู ดูความเกิดดับเฉยๆ
๒. ไม ดี ใ จ ไม เ สี ย ใจ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะอยู ไม เ ผลอจากรู ป นามที่
กําหนดรูตามเปนจริง
๓. วางเฉยอยูกับรูปนาม ทั้งจํางาย กําหนดสะดวกสบายดี ผูปฏิบัติ
ไมถึงจะทราบไมได จะอนุมานเอาเองก็ไมได
๗๓๒
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
พิจารณาสภาพธรรมของโพชฌงค ๗ ดังนี้
๑) สติสัมโพชฌงค กําหนดรูอาการพอง-อาการยุบครั้งหนึ่งๆ เกิด
สติ รู พอง-ยุ บได ชัด ไมชั ด ชาหรือเร็ วเป น ตน เบื้ องแรก สติ ยั งไมอาจรั บ รู
สภาวธรรมไดทันปจจุบัน ผูปฏิบัติบางทานมักใสใจตอคําบริกรรมวา “พอง
หนอ-ยุบหนอ” โดยไมรูถึงสภาวะตึง-หยอนของทองอยางชัดเจน ทําใหไม
ประสบความกาวหนาในการปฏิบัติ อันที่จริงคําบริกรรมเปนเพียงเครื่องชวย
ในการปฏิบัติ เหมือนหวงยางที่ชวยในการวายน้ํา พยุงตัวใหลอยน้ํา ฉะนั้น
ในขณะบริกรรมอยูไมควรใสใจคําบริกรรม แตใหพึงนอมจิตจดตอสภาวธรรม
ทางกายและใจเทานั้น จิตของเขายอมรับรูเทาทันสภาวธรรมปจจุบันได ไม
วาทางทวารใดในทวารทั้ง ๖ หรือแมจะเกิดขึ้นอยางรวดเร็วเพียงใดก็ตาม
จัด เป นสติ สัมโพชฌงค เกิด ขึ้น ตั้งแตวิ ปส สนาญาณที่ ๔ (อุทยั พพยญาณ)
เปนตนไปเพราะเปนปญญาญาณที่หยั่งเห็นอาการเกิด-ดับไดแลว๑๘
๒) ธัมมวิจยสัมโพชฌงค ในการกําหนดพอง-ยุบแตละครั้ง เห็นรูป
คือเห็นอาการตึง-หยอนของโผฏฐัพพารมณบริเวณทอง เห็นนาม คือเห็นจิต
ที่เขาไปรูอาการของรูปนั้นๆ เกิดเปนสัมมาทิฏฐิ เกิดทิฏฐิวิสุทธิบริบูรณ เห็น
อริยสัจ ๔ คือเห็นอาการเกิด-ดับของรูป-นาม ที่เปนทุกขสภาวะ
๓) วิริยสัมโพชฌงค ผูปฏิบัติเพียรจดจออยางแรงกลา ตามสภาวะ
ปจจุบั นที่ป รากฏ พยายามตั้ งใจกําหนดพอง-ยุ บอย างจดจอ มีความใสใจ
กําหนดสภาวะตางๆ อยางถี่ถวน จนเห็นอาการเกิดดับของรูป-นามที่ปรากฏ
ไดชัดแจงขึ้น ตามลําดับ
๔) ปติสัมโพชฌงค ผูปฏิบัติมีสติจดจอในอาการพอง-ยุบ รูเทาทัน
ความเกิดดับของรูปและนามที่ปรากฏในการกําหนดนั้น เมื่อโยนิโสมนสิการ
อยูเชนนี้ ปราโมทยยอมเกิด เมื่อมีปราโมทย ปติยอมเกิดขึ้น
๕) ปสสัทธิสัมโพชฌงค ผูที่กําหนดรูพอง-ยุบ จนเห็นไตรลักษณยอม
เกิดปญญารูแจง เมื่อรูแจงยอมเกิดปราโมทย เมื่อมีปราโมทย ปติยอมเกิด
เมื่อใจมีปติ กายยอมสงบ ผูมีกายสงบยอมเสวยสุข
๑๘
ดูรายละเอียดใน ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๕/๓๒๒.
๗๓๓
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
๖) สมาธิสั มโพชฌงค ผูที่กําหนดรูพอง-ยุบ จนมีกายสงบ ผู มีกาย
สงบ ยอมเสวยสุข เมื่อใจมีความสุข จิตยอมเปนสมาธิ
๗) อุ เ บกขาสั ม โพชฌงค ผู มี จิ ต ตั้ ง มั่น เป น สมาธิ ย อ มพิจ ารณา๑๙
สภาพธรรมที่ปรากฏดวยจิตที่เปนกลาง๒๐ ตามความเปนจริงวา สภาพธรรม
ที่ปรากฏเปนเพียงรูป-นาม ที่เกิดดับตามเหตุปจจัยเทานั้น ไมใชสัตว บุคคล
ตัวตน เรา เขา ยอมเกิดปญญารูแจงธรรม โดยมีมรรคมีองค ๘ เปนเหตุ๒๑
ปริญญา ๓ เขาในสังขารุเปกขาญาณ(ชวงปลาย) ดังนี้
๑) ญาตปริญญา กําหนดสังขารดวยความวางเฉย (๑๐๐%)
๒) ตีรณปริญญา การพิจารณาสังขารที่อยูในไตรลักษณดวยการเพงดู
อยู (๑๐๐%)
๓) ปหานปริญญา กําหนดรูจนละความเขาใจผิด (วิปลาสธรรม) ในรูป
นาม (สังขารธรรม) ได ๑๐๐%๒๒
เปนการวางเฉยตอรูปนามที่อยูในวิถีของการออกจากรูปนาม หรือ
เรียกวา สิขาปตตวิปสสนา คือยอดแหงวิปสสนา โดยเปนฐานของการออก ๓
ฐาน๒๓ คือ
อนิจจานุปสสนา ญาณพนจากนิมิตวาเที่ยง ชื่อวา อนิมิตตานุปสส
นา หลุดพนดวยการเห็นเนื่องๆ วาไมมีนิมิต๒๔
ทุกขานุปสสนา ญาณพนจากนิมิตวาสุข ชื่อวา อัปปณิหิตานุปสสนา
หลุดพนดวยการเห็นเนืองๆ วาไมมีตัณหาเปนที่ตั้ง
๑๙
ดูใน ที.สี.อ. (ไทย) ๑/๑/-/๑๗๗., ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑/-/๑๙๔.
๒๐
สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเปนไปโดยความเปนกลางตอสังขาร (องฺ.
จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๑๖๒/๓๘๗, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา. (บาลี) ๒/๑๖๒/๔๒๕)
๒๑
ดูใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๗๔/๑๒๕., องฺ.เอก. อ. (ไทย) ๑/๑/-/๒๐๒.
๒๒
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ., เอกสารประกอบการสอน รายวิชาสัมมนา
วิปสสนา, บัณฑิตวิทยาลัย, ๒๕๕๕, หนา ๒๙๓.
๒๓
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๑๙/๓๖๕.
๒๔
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๑๙/๓๖๖.
๗๓๔
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
อนัตตานุปสสนา ญาณพนจากนิมิตวาอัตตา ชื่อวา สุญญตานุปสส
นาหลุดพนดวยการเห็นเนืองๆ โดยความวางเปลาจากอัตตา
อัตราการการใสใจวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๐-๑ (นิวรณ)
๙ (ขันธ ๕)
๐-๑ (ทุกขเวทนา) ๑๔ (จิตกุศล)
กลาง ๕ ๑๐ (อายตนะ) ๕
๑๑.สังขา ๔ (อุเบกขา) ๐-๑ (จิตอกุศล)
๓๐ (โพชฌงค)
รุเปกขา
๒๐ (อริยสัจ)
ญาณ
๕ (ขันธ ๕)
๕ (จิตกุศล) ๑๐ (อายตนะ)
ปลาย ๒ ๕ (อุเบกขา) ๓
๔๐ (โพชฌงค)
๓๐ (อริยสัจ)
๑. กายานุปสสนา ๒ % (จากเดิม ๕ % ) เพิ่มสติจดจอพอง-ยุบ
มากขึ้น แตกลับหายไปอยางฉับพลันทันที นานๆ จึงจะปรากฏสักครั้ง เมื่อ
เพงจองดูจุดสัมผัส นั่ง-ถูกตามรางกายก็กลับหายไปทีละจุดๆ จนหายเกลี้ยง
กายวางจากภาวะแหงรูปธรรมอยางชัดเจน
๒. เวทนานุปสสนา ๕ % (อุเบกขา ๕ % [จากเดิม ๔ %]) เวทนา
ทางกายปรากฏสภาพเปนอุเบกขามากขึ้น
๓. จิตตานุปสสนา ๕ % (กุศลจิต ๕ % [จากเดิม ๑๔ %],) จิตที่มี
ฌาน (มหัคคตจิต) เปลี่ยนสภาพเปนสัมโพชฌงค ๗ มากขึ้นเรื่อยๆ
๔. ธัมมานุปสสนา ๘๕% ( ขันธ ๕ % [จากเดิม ๙ %] เพราะ
สังขารขันธเปลี่ยนสภาพเปนสัมโพชฌงคมากขึ้น, อายตนะ ๑๐ %[เทาเดิม],
โพชฌงค ๔๐ % [จากเดิม ๓๐%], อริยสัจ ๓๐ [จากเดิม ๒๐ %], กาย
เปลี่ยนเปนสภาพธรรมเปนรูปขันธและอายตนะมากขึ้น เมื่อจิตผองใสเปน
กุศลจิตก็เกิดสภาพธรรมที่เปนโพชฌงคและอริยสัจ ๔ ตามไปดวย
๗๓๕
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
เพงความสนใจไปที่วิถีจิตที่บริกรรมภาวนาเพียง ๓ % และใสใจ
พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เพิ่มขึ้น ๙๗ % แตเนนไปที่การพิจาณสภาพ
ธรรมตามกระบวนกาอริยสัจ ๔ มากขึ้นเรื่อยๆ
ความสมดุลของอินทรีย ๕
อินทรีย ๕ ในญาณที่ ๑๑ นี้ มีระดับสูงขึ้นเต็มทุกๆ องคธรรม ดังนี้
สัทธินทรีย ๑๐๐ %
วิริยินทรีย ๑๐๐ %
สตินทรีย ๑๐๐ %
สมาธินทรีย ๑๐๐ %
ปญญินทรีย ๑๐๐ %
๗๓๖
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
ญาณที่ ๑๒ อนุโลมญาณ
ญาณที่เปนไปโดยอนุโลมแกการหยั่งรูอริยสัจ ๔ คือ เมื่อวางใจเปน
กลางตอสังขารทั้งหลายแลวโนมนอมแลนมุงตรงสูนิพพาน เมื่อผูปฏิบัติจะ
พิจารณารูปนามวาเปนไตรลักษณ ตั้งแตอุทยัพพยญาณ (ญาณที่ ๔) ถึงสังขา
รุเปกขาญาณ เหมือนพระมหากษัตริยทรงสดับการวินิจฉัยคดีของตุลาการ ๘
ทานแลว มีพระราชวินิจฉัยอนุโลมตามคําวินิจฉัยของตุลาการทั้ง ๘ ทานนั้น
ดังนั้ น สั จจานุ โ ลมิกญาณ จึงตรงกับขัน ติ ญาณ (ญาณที่ ๔๑) ใน
คัมภีร ปฏิสั มภิทามรรคดังที่ทานพระสารี บุตรนําธรรม ๒๐๑ ประการ มา
จําแนกเปนขันติญาณ เชนรูปที่รูชัดโดยความไมเที่ยงรูปที่รูชัดโดยความเปน
ทุกข รูปที่รูชัดโดยความเปนอนัตตา รูปใดๆที่พระโยคีรูชัดแลว รูปนั้นโยคี
ยอมพอใจ เพราะฉะนั้นปญญาที่รูชัด จึงชื่อวาขันติญาณ
ผูปฏิบัติจะพิจารณารูปนามวาเปนไตรลักษณ ตั้งแตอุทยัพพยญาณ
(ญาณที่ ๔) ถึง สั งขารุ เ ปกขาญาณ (ญาณที่ ๔๑) ดั งที่ทา นพระสารี บุ ต ร
อธิบายไวในขันติญาณ เชน รูปที่รูชัดโดยความไมเที่ยง รูปที่รูชัดโดยความ
เปนทุกข รูปที่รูชัดโดยความเปนอนัตตา รูปใด ๆ ที่พระโยคีรูชัดแลว รูปนั้น
โยคียอมพอใจ เพราะฉะนั้นปญญาที่รูชัดจึงชื่อวา ขันติญาณ๒๕
อนุโลมญาณนี้อนุโลมแกวิปสสนาญาณทั้ง ๘ ในสวนเบื้องตน และ
อนุโลมแกโพธิปกขิยธรรม ๓๗ ในสวนเบื้องปลาย เปนญาณสุดทายของวุฏ
ฐานคามิ นี วิ ป ส สนาซึ่ ง มี สั ง ขารเป น อารมณ แต ท ว า โคตรภู ญ าณ เป น
ปริโยสาน (ปริโยสาน) ของ วุฏฐานคามินีวิปสสนาทั้งหมด โดยประการทั้ง
ปวง๒๖ หากอนุโลมญาณไมเกิดขึ้น โคตรภูญาณก็ไมอาจจะหนวงเอานิพพาน
เป น อารมณ ได เมื่อ โคตรภู ญ าณไม เ กิด ขึ้ น มรรคญาณก็ เ กิด ขึ้ น ไม ไ ด ๒๗ ก็
เพราะอนุ โ ลมแก ม รรคสั จ ๒๘ อย า งนี้ จึ ง ได ชื่ อ ว า “สั จ จานุ โ ลมิ ก ญาณ”
๒๕
ขุ.ปฏิ. (ไทย) ๓๑/๙๒/๑๕๓.
๒๖
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค,๒๕๕๑, หนา ๑๑๒๘.
๒๗
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธ.ิ ฏีกา (บาลี) ๒/๘๐๔/๕๓๑.
๒๘
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๘๐๔-๘๐๕/๓๔๙-๓๕๑.
๗๓๗
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
อนุโลมญาณนี้เปนญาณสุดทายแหงวุฏฐานคามินิวิปสสนาอันมีสังขารเปน
อารมณ แตตามความเปนจริงแลวโคตรภูญาณเปนที่สุดแหงวุฏฐานคามินีวิป
สสนา๒๙ เพราะยังอยูในกระแสของวิปสสนา อนุโลมญาณมีหลายชื่อ เชน
ในสฬายตนวิภังคสูตร๓๐ ตรัสเรียกวา “อตัมมยตา”๓๑ เปนตน๓๒
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) อธิบายสภาวะลักษณะ
ที่สําคัญ ดังนี้
อนุโลมิกะ แปลวา เปนไปตามลําดับ ๒ ประการ คือ อนุโลมตาม
ญาณต่ํ า ไปหาญาณสู ง อย า งหนึ่ ง และอนุ โ ลมตามโพธิ ป ก ขิ ย ธรรม ๓๗
ประการหนึ่ง
(๑) อนุโลมตามญาณต่ําไปหาญาณสูง เริ่มตัง้ แตอุทัพพยญาณ ภังคา
ญาณ ภยญาณ เป น ต น จนกระทั่งถึ งสั ง ขารุ เ ปกขาญาณ รวมทั้งหมด ๘
ญาณดวยกันเรียกวาอนุโลมตามญาณตน และมีกิจพิจารณาพระไตรลักษณ
เปนอารมณ เหมือนกันกับญาณ ๘ ขางตน
(๒) อนุโลมตามโพธิปกขิยธรรม ๓๗ ประการ เมื่ออนุโลมตามญาณ
ต่ําไดกําลังพอ คือ อินทรีย ๕ แกกลาแลว ก็เขาเขตอนุโลมตามโพธิปกขิย
ธรรม ๓๗ ประการมี สติปฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย ๕
พละ ๕ โพชฌงค ๗ และอริยมรรคมีองค ๘
อนุโลมญาณ มีลักษณะที่จะพึงรูอยู ๓ ประการ คือ
๑. อนิจจัง ผูที่เคยใหทาน รักษาศีลมาก จะผานทางอนิจจัง โดยมี
อาการพอง-ยุบเร็วเขาๆ แลวก็ดับวูบลงไป ผูนั้นก็ทราบวา ดับลงไปตอนพอง
๒๙
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๓๐๔-๓๑๒/๒๗๘-๒๘๖, ม.อุ.(ไทย)๑๔/
๓๐๔-๓๑๒/๓๖๘-๓๘๐.
๓๐
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๓๐๔-๓๑๒/๒๗๘-๒๘๖, ม.อุ.(ไทย)๑๔/
๓๐๔-๓๑๒/๓๖๘-๓๘๐
๓๑
อตัมมยตา แปลวา ความไมมีตัณหา ในที่นี้หมายถึงวิปสสนาเปนเครื่องนํา
สัตวออกจากความยึดมั่น คือ ตัณหานั้น (ดูใน ม.อุ.อ. (บาลี) ๓/๓๑๐/๑๙๔).
๓๒
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๘๐๔-๘๐๕/๓๔๙-๓๕๒.
๗๓๘
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
หรือตอนยุบตอนนั่งหรือตอนถูก อาการที่พอง-ยุบเร็วๆ นั้น เปนอนิจจัง การ
ที่ทราบอยางแจมแจงวาดับลงไปตอนไหนนั้นเปนอนุโลมญาณ แตมิใชนึกเดา
หรือคาดคะเนเอาเอง ตองรูจริงเห็นจริง ในขณะปจจุบันเทานั้น
๒. ทุกขัง ผูที่เคยไดเจริญสมถกรรมฐานกอนจะผานทางทุกขัง คือ
เวลากําหนดพองยุบ หรือนั่ง-ถูกนั้น จะรูสึกวาแนนอึดอัด เมื่อกําหนดไปๆ ก็
จะดับวูบลงไปตอนพอง-ยุบ หรือตอนนั่ง-ถูกอาการ แนนอึดอัดฝดๆไมสบาย
นั้น เปนทุกขัง การที่ทราบชัดวา ดับลงไปตอนพองหรือตอนยุบ ตอนนั่งหรือ
ตอนถูกนั้น เปนอนุโลมญาณ
๓. อนัตตา ผูที่ไดเคยเจริญวิปสสนามากอน หรือไดสนใจใครตอวิป
สสนามาแตชาติกอนๆ จะผานทางอนัตตา คือพอง-ยุบมีอาการสม่ําเสมอบาง
มีอาการแผวเบาบาง แลวก็ดับวูบลงไป ผูปฏิบัติก็ทราบชัดเจนวา ดับลงไป
ตอนไหน ตอนพองหรือตอนยุบ ตอนนั่งหรือตอนถูก อาการที่ทองพอง-ยุบ
ปรากฏสม่ําเสมอหรือแผวเบานั้นเปนอนัตตา การที่ผูปฏิบัติสามารถทราบได
ชัดเจนวา ดับลงไปตอนไหนแน คือดับลงไปตอนพองหรือตอนยุบ ตอนนั่ง
หรือตอนถูกนั้นเปน อนุโลมญาณ
เมื่อไมมีเหตุขัดของประการใดประการหนึ่งตามที่กลาวมาแลว ในไม
ชาโยคีผูปฏิบัติก็บรรลุถึงจุดมุงหมายปลายทางอันยิ่งใหญ นั่นก็คือการกาวสู
ความดับ อันความดับนี้ วิปสสนาจารยพึงเขาใจใหดี เพราะเปนจุดสําคัญ
ที่สุด เปนจุดสุดยอดของการปฏิบัติวิปสสนากัมมัฏฐาน ถารูเทาไมถึงการณ
ขาดความรอบครอบแลวก็จะทําใหผิดพลาด ซึ่งเปนอันตรายอยางมากของ
การปฏิบัติวิปสสนา เพราะความดับไมแทนั้น อาจเกิดขึ้นไดโดยเหตุหลาย
ประการ คื อ ๑) ดั บ ด ว ยป ติ ๒) ดั บ ด ว ยป ส สั ท ธิ ๓) ดั บ ด ว ยสมาธิ
๔) ดับดวยถีนมิทธะ ๕) ดับดวยอุเปกขา
ทั้ง ๕ ประการนี้เปนความดับเทียม ใชไมได เปนการลอใหหลงเขาใจ
ผิด สวนมากเกิดขึ้นในอุทยัพพยญาณออน ๑ ในมุญจิตุกัมยตาญาณ ๑ ในสัง
ขารุเปกขาญาณ ๑ ถาเกิดขึน้ ในญาณเหลานี้ เปนของเทียมใชไมได
ส ว นความดั บ ที่ แ ท จ ริ ง ที่ พึ ง ประสงค ใ นการปฏิ บั ติ วิ ป ส สนา
กัมมัฏฐานนี้ ก็คือความดับโดยมรรค ขณะที่สังขารุเปกขาญาณถึงความแก
๗๓๙
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
กลาที่สุด สังขารอารมณซึ่งออนละเอียดมีอาการสม่ําเสมอเปนธรรมดานั้น
ก็จะคอยๆ เร็วขึ้นๆ (วิปสสนาจารยควรจะบอกไวลวงหนา เมื่อกําหนดรูป
นาม อารมณไมทัน ก็ใหกําหนด “รูหนอๆ”) แลวก็กลับชาลง เปนไปตาม
สภาวะของญาณ
ก. สภาพธรรมารมณที่ปรากฏ : เดินจงกรม
อริยสัจ ๔ ในการพิจารณาสภาพธรรมขณะเดินจงกรม
๑) การเจริญสติกําหนดรูอิริยาบถเดิน ขณะยก ยาง เหยียบ ปรากฏ
อาการของธาตุ ๔ เชน อาการมีไหล ไหว ตึง หย อน แข็ง ออน เย็ น ร อน
สภาพธรรมทั้งหลายที่ปรากฏชัดในขณะเดินจัดเปน รูป และจิตที่เขาไปรับรู
อาการของกายรวมถึงอาการของธาตุทั้งหลาย เชน จิตเขาไปรูอาการยก ยาง
เหยียบ เย็น รอน ออนแข็ง เปนตน จัดเปน นาม เมื่อเจริญสติมากขึ้น สมาธิ
ตั้งมั่น ปญญาแกกลาจนเห็นแจงเปนรูปเปนนาม แยกรูปแยกนาม เห็นรูป
นามวาไมเที่ยง เปนทุกข ไมมีตัวตนบังคับบัญชาไมไดไมมีตัวตน บุคคล เรา
เขา นี้เปนกระบวนการขั้นกําหนดรูทุกข จัดเปน ทุกขอริยสัจ
๒) สมุทัย คือ อาการอยาก(ตัณหา)ในการเดิน จิตที่อยากจะยก ยาง
เหยียบ และเจตนาในการกําหนดรูในขณะเดินจงกรม จัดเปนสมุทย และ
การมีสติตามกําหนดรูรูป ขณะยก ยาง เหยียบ ขณะเดินจงกรมเปนอารมณ
จนสติมีกําลังมากขึ้น สมาธิตั้งมั่น ทําใหเกิดปญญาเห็นตัณหาที่ทําใหเกิดสติ
ขั้นกําหนดละรูปนามนั้น เปนกระบวนการละ จัดเปน สมุทยอริยสัจ
๓) การมีสติกําหนดรูรูปนามในการเดินจงกรม ขณะยก ยาง เหยียบ
จนเกิด สติ สมาธิ ป ญญามากขึ้น มีกํา ลั งจนเห็ น แจ งรู ป และนาม คือ เห็ น
อาการดับไปของอารมณและจิตตัวรูในขณะนั้น ๆ ได เปนการเห็นแจงนิโรธ
จัดเปน นิโรธอริยสัจ
๔) การมีสติกําหนดรูรูปนามในอิริยาบถเดิน ในขณะยก ยาง เหยียบ
จนเห็นรูปนามตามความเปนจริง เห็นเหตุปจจัยและเห็นอาการเปลี่ยนแปลง
ไปของรู ป นามนั้ น จนแจ ง อาการดั บ ของรู ป นามแจ ม ชั ด มากขึ้ น ๆ เป น
กระบวนการเจริญมรรค จัดเปน มรรคอริยสัจ
๗๔๐
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
ขณะที่เจริญสติปฏฐาน ๔ กําหนดรูอาการในขณะเดินจงกรมอยูนั้น
องคมรรคทั้ง ๘ ประการมีอยูพรอม ดังนี้
๑. ปญญาเห็นแจงชัดอาการยก-ยาง-เหยียบโดยความเปนรูป เห็น
แจ งชั ด จิ ต ที่รู ย ก-ย าง-เหยี ย บเป น นาม ซึ่งเกิด -ดั บ ตามเหตุ ป จ จั ย จั ด เป น
สัมมาทิฏฐิ
๒. เมื่อมีอาการยก ยาง เหยียบ ปรากฏอยูในขณะเดิน ดําริยกจิต
ขึ้นสูอารมณ กําหนดรูอาการยก ยาง เหยียบนั้น ใหประจักษแกจิต จัดเปน
สัมมาสังกัปปะ
๓. การกําหนดรูอาการยก ยาง เหยียบ ตามลักษณะอาการ ดวย
การน อมจิ ตพร อมกับ บริกรรมภาวนาวา “ขวายางหนอ ซายยางหนอ ยก
หนอ เหยียบหนอ” จัดเปนสัมมาวาจา
๔. กําหนดรูทุกครั้งที่เห็นอาการยก (ยกหนอ), กําหนดรูทุกครั้งที่
เห็นอาการยาง (ยางหนอ), กําหนดรูทุกครั้งที่เห็นอาการเหยียบ (เหยียบ
หนอ) กําหนดวา “คิดหนอ” ทุกครั้งทีค่ ิด ฯลฯ จัดเปนสัมมากัมมันตะ
๕. เมื่อกําหนดอยางจดจอตอเนื่อง กายยอมผองแผว จิตยอมผองใส
ชวยใหสติจับอารมณไดถูกตรงตามความเปนจริงยิ่งขึ้น จัดเปนสัมมาอาชีวะ
๖. การประคับประคองจิตใหระลึกรูอยูแตอารมณปจจุบันที่ปรากฏ
ไมปลอยใจใหหลงใหลไปตามอารมณอดีตหรืออนาคต จัดเปนสัมมาวายามะ
๗. การเขาไปตั้งความระลึกรูอยางจดจอตอเนื่อง ไวในอารมณรูป-
นามปจจุบันที่เปลี่ยนแปลง เกิด-ดับไปตามเหตุปจจัย จัดเปนสัมมาสติ
๘. ความไมฟุงซาน จิตตั้งมั่นในอารมณรูป-นามอยางจดจอ ตอเนื่อง
ดวยอํานาจอุเบกขาสัมโพชฌงค เปนบาทฐานในการเจริญสัมมาทิฏฐิ ใน
ระดับวิปสสนาญาณตอไป จัดเปนสัมมาสมาธิ
บันไดขั้นที่ ๗ เปนการกําหนดเพื่อบรรลุอริยมรรค อริยผล ซึ่งเปน
สภาวญาณตั้งที่สังขารุเปกขา(ตอนปลาย) จนถึงปจจเวกขณญาณ โยคีตอง
สํ า รวมอิน ทรี ย ให ม ากๆ กํ าหนดทุ ก อย างๆ ดู อ าการดั บ ของอารมณแ ละ
อาการดับของจิต ขั้นนี้ก็เปนปหานปริญญา จัดเปนนิโรธอริยสัจและมรรค
๗๔๑
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
อริยสัจ ในสภาวธรรมนั้นคือการกําหนดรูอาการดับ ใหสังเกตวาจิตดับไป
จากอารมณตอนไหน แตโยคีพึงระวังเพราะวามีสภาวะปลอมอยู แตมีธรรมะ
จริงอยูเพียง ๑ อยางเทานั้น
ส ว นการดั บ ด ว ยอริ ย มรรคนั้ น ย อ มทํ าให ผู ป ฏิ บั ติ บ รรลุ เ ป น พระ
อริยบุคคลละยังโยชน ๑๐๓๓ ตามลําดับ คือ
๑. พระโสดาบันละสังโยชน ๓ ขอตนไดคือ ละสักกายทิฏฐิ,วิจิกิจฉา
และสีลัพพตปรามาส
๒. พระสกทาคามีละสังโยชน ๓ ขอตนและทําสังโยชนขอ ๔ และ ๕
คือ กามราคะและปฏิฆะ ใหเบาบางลงดวย
๓. พระอนาคามีละสังโยชน ๕ ขอแรกคือ ละสักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา,
สีลัพพตปรามาส, กามราคะและปฏิฆะ
๔. พระอรหันตละสังโยชนทั้ง ๑๐ ขอ
ข. สภาพธรรมารมณที่ปรากฏ : อาการพอง-ยุบ
อริยสัจ ๔ ยอมปรากฏชัดเจนแจมแจงดี คือ :-
อาการที่ทองเริ่มพอง เริ่มยุบ ในขณะเขาสูโคตรภูญาณนั้น เรียกวา
รูปชาติ-นามชาติ คือความเกิดขึ้นของรูปนาม ไดแก รูปพอง-รูปยุบนั่นเอง
ความเกิดขึ้นพอง-ยุบเปนสมุทัยสัจ มีบาลีรับรองวา “ชาติ สมุทยสจฺจํ” ชาติ
คือ ความเกิดขึ้นของรูปนาม เปนสมุทัยสัจ
ทุกขสัจ ไดแก อาการพอง-ยุบเปนตนนั้น ทนสภาพอยูไมได ดับลง
ไป หมดไป สิ้นไปดังบาลีวา “ชรามรณํ ทุกฺขสจฺจํ” ชรา คือ ความเสื่อมไป
ของรูป-นาม มรณะคือความตายของรูปนามเปนทุกขสัจ๓๔
นิโรธสัจ ไดแกอาการพอง-ยุบเปนตนนั้นดับลงไปพรอมกัน และจิตรู
ก็ดับลงไปพรอมกัน ไดแกนิพพานนั่นเอง ดังบาลีวา “อุภินฺนํป นิสฺสรณํ”
๓๓
สังโยชน คือกิเลสที่ผูกมัดใจสัตวมี ๑๐ อยาง คือ ๑. สักกายทิฏฐิ ๒. วิจิกิจฉา
๓. สีลัพพตปรามาส ๔. กามราคะ ๕. ปฏิฆะ ๖. รูปราคะ ๗. อรูปราคะ ๘. มานะ ๙.
อุทธัจจะ ๑๐.อวิชชา ; องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๒๑.
๓๔
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๓๓/๕๐-๕๓.
๗๔๒
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
อาการที่ทุกข สมุทัยทั้งสองนั้นดับลงไปเปนนิโรธสัจ
มรรคสั จ ได แ ก ป ญ ญาที่ เ ห็ น พอง-ยุ บ เป น ต น ตั้ ง แต เ ริ่ ม แรก
จนกระทั่งดับลงไป สิ้นไปหมดไป เปนมรรคสัจ ดังบาลีวา “นิโรธปฺปชานนา
มคฺคสจฺจํ” ปญญาทีเ่ ห็นชัดซึ่งทุกขสมุทัยวาดับลงไปตอนไหน เปนมรรคสัจจ
อนุโลมญาณ ญาณอันเปนไปโดยอนุโลมแกการหยั่งรู อริยสัจ คือ
เมื่อวางใจเปนกลางตอสังขารทั้งหลาย ไมพะวงแลวโนมนอม แลนมุงตรงสู
นิพพาน ลักษณะสภาวะของอนุโลมญาณ ในอิริยาบถนั่ง มีดังนี้
สมาธิ ดิ่ งลึ กแบบอนิ จจั ง ผู ที่ เคยให ทาน รั กษาศีลมาก จะผ านทาง
อนิ จจั งโดยมี อาการพอง-ยุ บเร็ วเขาๆ แล วก็ ดั บวู บลงไป ผู นั้ นก็ ทราบอย าง
ชัดเจนแจมแจงวา ดับลงไปตอนพองหรือตอนยุบ ตอนนั่งหรือตอนถูก อาการที่
พอง-ยุบเร็วๆ นั้น เปนอนิจจัง การที่ทราบอยางแจมแจงวาดับลงไปตอนไหนนั้น
เปน “อนุโลมญาณ” แตมิใชนึกเดาหรือคาดคะเนเอาเอง ตองเห็นจริงๆ
สมาธิดิ่งลึกแบบ ทุกขัง ผูที่เคยไดเจริญสมถกรรมฐานกอนจะผาน
ทางทุกขัง คือเวลากําหนดพองยุบ หรือนั่ง-ถูกนั้น จะรูสึกวาแนนอึดอัด เมื่อ
กําหนดไปๆ ก็จะดับวูบลงไปตอนพอง-ยุบ หรือตอนนั่ง-ถูก อาการแนนอึดอัด
ฝดๆไมสบายนั้น เปนทุกขัง การที่ทราบชัดวา ดับลงไปตอนพองหรือตอนยุบ
ตอนนั่งหรือตอนถูกนั้นเปน “อนุโลมญาณ”
สมาธิดิ่งลึกแบบ อนัตตา ผูที่ไดเคยเจริญวิปสสนามากอน หรือได
สนใจใคร ตอวิ ปสสนามาแตช าติกอนๆ จะผ านทางอนัตตา คือ พอง-ยุบ มี
อาการสม่ําเสมอบาง มีอาการแผวเบาบาง แลวก็ดับวูบลงไป ผูปฏิบัติก็ทราบ
ชั ด เจนว า ดั บ ลงไปตอนไหน ตอนพองหรื อ ตอนยุ บ ตอนนั่ งหรื อตอนถู ก
อาการที่ทองพอง-ยุบปรากฏสม่ําเสมอหรือแผวเบานั้นเปนอนัตตา การที่ผู
ปฏิบัติสามารถทราบไดชัดเจนวา ดับลงไปตอนไหนแน คือดับลงไปตอนพอง
หรือตอนยุบ ตอนนั่งหรือตอนถูก นั้นเปน “อนุโลมญาณ”
ค. สภาวธรรมที่ปรากฎ : รับประทานอาหาร
บางคนกําหนดอยูดีๆ ก็มีอาการถี่ รัวเร็วขึ้นมา อาการเกิด-ดับอยาง
ถี่ยิบ ใหกําหนดวา “รูๆๆๆๆๆๆๆๆ” ไปจนกวาจิตจะละคําบริกรรมเอง
๗๔๓
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
บางคนอาการจะแรงมากเหมือนเครื่องจักร เหนื่อยแทบขาดใจ ให
ตามกําหนดอาการนั้นๆ ไป เพียงว า “รูๆๆๆๆๆๆ” ไปจนกว าจิตจะละคํา
บริกรรมเอง บางครั้งอาจมีอาการจิตดับวูบหายลงไป
อนุโลมญาณ มีลักษณะที่จะพึงรูอยู ๓ ประการ คือ
๑. อนิจจัง ผูที่เคยใหทาน รักษาศีลมาก จะผานทางอนิจจังโดยมี
อาการฉันหรือกินจะมีสภาวะเร็วเขาๆ แลวก็ดับวูบลงไป ผูนั้นก็ทราบอยาง
ชัดเจนแจมแจงวาดับลงไปตอนเห็นหรือตอนไดกลิ่น ตอนรูรส หรือตอนกลืน
อาการที่กลืนถี่ๆ รัวๆ เร็วๆ นั้น เปนอนิจจัง การที่ทราบอยางแจมแจงวาดับ
ลงไปตอนไหนนั้นเปนอนุโลมญาณ แตมิใชนึกเดาหรือคาดคะเนเอาเอง ตองรู
จริงเห็นจริง ในขณะปจจุบันเทานั้น
๒. ทุกขัง ผูที่เคยไดเจริญสมถกรรมฐานกอนจะผานทางทุกขัง คือ
เวลากําหนดเคี้ยวหรือกลืน หรือนั่ง-ถูกนั้น จะรูสึกวาแนนอึดอัด เมื่อกําหนด
ไปๆ ก็จะดับวูบลงไปตอนเคี้ยวหรือกลืน อาการแนนอึดอัด ฝดๆ ไมสบายนั้น
เปนทุกขัง การที่ทราบชัดวาดับลงไปตอนเคี้ยวหรือตอนกลืน ตอนนั่งหรือ
ตอนถูกนั้น เปนอนุโลมญาณ
๓. อนัตตา ผูที่ไดเคยเจริญวิปสสนามากอน หรือ ไดเคยสนใจใครตอ
วิปสสนามามาแตชาติกอนๆ จะผานทางอนัตตา คือ มีอาการสม่ําเสมอบาง มี
อาการแผวเบาบาง แลวก็ดับวูบลงไป ผูปฏิบัติก็ทราบชัดเจนวาดับลงไปตอน
ไหน ตอนเคี้ยวหรือตอนกลืน อาการที่กลืนปรากฏสม่ําเสมอหรือแผวเบานั้น
เปนอนัตตา การที่ผูปฏิบัติสามารถทราบไดชัดเจนวาดับลงไปตอนไหนแน คือ
ดับลงไปตอนเคี้ยวหรือตอนกลืน นั้นเปนอนุโลมญาณ
การพิจารณาสภาพธรรมทางอายตนะ ๖ เห็นความเกิด ความดับ
ของรูปนามทั้งสอง จนเกิดป ญญาหยั่งเห็นไตรลักษณวารูป นามที่ตามรูใน
ปจจุบันขณะนั้น ไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตน ละความยึดมั่นในรางกาย
ตัวตน บุคคล เราเขา จิต ขึ้นสู อารมณของวิป สสนาญาณ และสามารถจะ
บรรลุมรรคผลนิพพานไดในที่สุด
การเจริญวิปสสนากรรมฐาน อันเปนวิธีเขาถึงพระรัตนตรัยดวย
๗๔๔
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
วิปสสนาวิธีนี้ แสดงใหเห็นถึงการไดเห็นอริยสัจ ๔ ไปในตัว กลาวคือ
๑. ขั น ธ ๕ อั น เป น อารมณ ข องวิ ป ส สนากรรมฐานที่ ผู ป ฏิ บั ติ
พิจารณามาตั้งแตตนจนถึงอนุโลมญาณเปนที่สุดนั้นเปนตัว ทุกขสัจ ผูบรรลุ
มรรคญาณนั้นจึงไดชื่อวาเปนผูเห็นแจงทุกขสัจ
๒. ตัณหาอันเปนเหตุใหเกิดขันธ ๕ นั้นเปน สมุทยสัจผูบรรลุมรรค
ญาณจึงไดชื่อวาเปนผูเห็นแจงสมุทยสัจ
๓. มรรคจิตที่ไดนิพพานเปนอารมณ นิพพานนั้นก็ไดแก นิโรธสัจ
นั่นเอง ผูบรรลุมรรคญาณจึงไดชื่อวาเปนผูเห็นแจงนิโรธสัจ
๔. ปญญาเจตสิกที่เกิดรวมกับมรรคจิตนั้น เปนตัวสัมมาทิฏฐิ เปน
องคธรรมของอริยมรรคที่ ๑ และในขณะมรรคจิตเดียวกันนั้น มีวิตกเจตสิก
อันเปนสัมมาสังกัปปะเปนองคอริยมรรคที่ ๒, มีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะเจตสิกอันเปนองคอริยมรรคที่ ๓-๔-๕ มีวิริยะ สติและเอกัคคตา
เจตสิกอันเปนตัวสัมมาวิริยะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ อันเปนองคอริยมรรคที่
๖-๗-๘ เกิ ด ร ว มกั น ประกอบพร อ มกั น โดยมี นิ พ พานเป น อารมณ อ ย า ง
เดียวกัน องคอริยมรรค ๘ ประการนี้เปน มรรคสัจ ดังนั้นผูไดบรรลุมรรค
ญาณนั้น จึงไดชื่อวาเปนผูเห็นแจงมรรคสัจ
ผูป ฏิบั ติกรรมฐานจนไดบรรลุ ถึงมรรคญาณแลว ชื่อวาได เห็ นแจ
งอริยสัจ ๔ คือทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค ดวยมรรคญาณหรือมรรคปญญา๓๕
ง. สภาวธรรมที่ปรากฏ : เวทนา
ผูที่เคยไดเจริญสมถะมากอนจะผานทางทุกขัง คือ เวลากําหนดพอง
ยุบ หรือนั่ง-ถูกนั้น จะรูสึกวาแนนอึดอัด เมื่อกําหนดไปๆ ก็จะดับวูบลงไป
ตอนพอง-ยุบ หรือตอนนั่ง-ถูก อาการแนนอึดอัดฝดๆ ไมสบายนั้นเปนทุกขัง
การที่ทราบชัด วา ดั บลงไปตอนพองหรื อตอนยุบ ตอนนั่งหรื อตอนถูกนั้ น
เป น อนุ โ ลมญาณ (อุ เ บกขาสั ม โพชฌงค ๓๖) ผู มี จิ ต ตั้ ง มั่ น เป น สมาธิ ย อ ม
๓๕
อางแลว, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๑๘๓.
๓๖
ดูใน ที.สี.อ. (ไทย) ๑/๑/-/๑๗๗., ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑/-/๑๙๔.
๗๔๕
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
พิจารณาสภาพธรรมที่ปรากฏดวยจิตที่เปนกลาง๓๗ วา สภาพธรรมที่ปรากฏ
เปนเพียงรูป-นามที่เกิดดับตามเหตุปจจัยเทานั้น ไมใชสัตว บุคคล ตัวตน เรา
เขา ยอมเกิดปญญารูแจงธรรม โดยมีมรรคมีองค ๘ เปนเหตุ๓๘
กระบวนการอริยสัจ ๔ ในการกําหนดเวทนาพิจารณาไดดังนี้
๑) เวทนาปริคฺคาพิกา สติ ทุกฺขสจฺจํ. สติที่กําหนดรูเวทนา จัดเปน
ทุกขสัจกลาวคือ สติที่เขาไปกําหนดรูเวทนาที่เกิดขึ้นจากผัสสะ วาเปนสุข
เวทนา หรือทุกขเวทนา หรืออุเบกขาเวทนา ทั้งที่เกิดขึ้นโดยอามิส และไมอิง
อามิส เปนทุกขเพราะถูกปรุงแตงขึ้น
๒) ตสฺสา สมุฏฐาปกา ปุริมตณฺหา สมุทยสจฺจํ. ตัณหากอนๆ ที่ยังสติ
นั้นใหเกิดขึ้น จัดเปนสมุทยสัจ กลาวคือตัณหา คือเวทนาที่เกิดจากผัสสะ คือ
การกระทบกันของอายตนะภายใน และภายนอก เกิดเปนสุขเวทนา หรือ
ทุกขเวทนา หรือ อุเบกขาเวทนา เปนสมุทยสัจ
๓) อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ. ความไมเปนไปแหงทุกขกับสมุทัย
คือ ทุกขกับสมุทัยดับลงไป จัดเปนนิโรธสัจ กลาวคือ เมื่อมีสติกําหนดรู ใน
เวทนาตางๆ เชนปวดหนอ ในขณะที่เกิดอาการทุกขเวทนา แลวสามารถหยั่ง
เห็นความไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตนของเวทนาที่เกิดขึ้น จัดวาละอวิชชา
ไดชั่วขณะเปนตทังคนิโรธ เมื่อละอวิชชาได ตัณหาที่ยินดีพอใจหรือไมพอใจ
ในขณะเกิดเวทนายอมไมเกิดขึ้น จัดวาละตัณหาไดชั่วขณะเชนเดียวกัน เมื่อ
ตัณหาไมมี ความยึดมั่นและการทํากรรมดีกรรมชั่วก็ไมมีและผลที่เกิดจาก
กรรมอันไดแก วิญญาณ นามรูป อายตนะ ๖ ผัสสะ และเวทนายอมดับไปใน
ขณะที่ตัณหาดับเมื่อประกอบดวยสติสัมปชัญญะ การละตัณหาดวยวิปสสนา
ที่ เป นตทังคนิโรธนี้ จะเป นปจจัย ใหผูปฏิ บัติธรรมไดบรรลุการละตัณหา
อยางเด็ดขาดเปนสมุจเฉทนิโรธ และสามารถดับทุกขที่เนื่องดวยตัณหานั้นๆ
๔) ทุกฺขปริชานโน สมุทยปชหโน นิโรธารมฺมโณ อริยมคฺโค
๓๗
สั ง ขารุ เ ปกขาญาณ ญาณอั น เป น ไปโดยความเป น กลางต อ สั ง ขาร (องฺ .
จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๑๖๒/๓๘๗, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา (บาลี) ๒/๑๖๒/๔๒๕)
๓๘
ดูใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๗๔/๑๒๕., องฺ.เอก. อ. (ไทย) ๑/๑/-/๒๐๒.
๗๔๖
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
มคฺคสจฺ จํ. อริ ย มรรคกําหนดรูทุกข ละสมุทัย นิ โ รธมีนิพพานเปน อารมณ
จัดเปนมรรคสัจ กลาวคือ เมื่อเจริญสติกําหนดรูเวทนาทั้งหลายที่เกิดขึ้นใน
ปจจุบันจนกระทั่งหยั่งเห็นความเกิดดับแลวยอมไดชื่อวาเปนผูเจริญอริยสัจ
ทั้ง ๔ กลาวคือ การกําหนดรูทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นคือการกําหนดรูทุกขสั จ
การละความเพลิดเพลินยินดีในสุขเวทนา หรือ ทุกขเวทนา ที่รับรูดวยสติอยู
คือการละสมุทยสัจ การไมเกิดขึ้น แหงตัณหา อุปาทาน ผัสสะ เวทนาที่เปน
ผลกรรม ดวยการกําหนดรูปจจุบันเปน การกระทํานิโรธสัจใหแจง การดับ
ตัณหาเปนตนดังกลาวจัดเปนการดับชั่วขณะดวยวิปสสนาซึ่งเรียกวา ตทังค
นิโรธ เมื่อบรรลุอริยมรรคอยางแทจริงจึงจะรับรูการดับของเวทนาทั้งปวง
โดยประจั ก ษได การหยั่ งเห็ น ลั ก ษณะพิเ ศษของรู ป นามแต ล ะอย า งและ
ลักษณะทั่วไปคือไตรลักษณ จัดเปนสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ เปนสัมมาวา
ยามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ การ
เจริญสติระลึกรูปจจุบันอันประกอบดวยอริยมรรคมีองค ๘ เหลานี้ จัดเปน
การเจริญมรรคสัจ
จ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : จิต
ผูที่เคยใหทาน รักษาศีลมาก จะผานทางอนิจจัง โดยมีอาการพอง-
ยุบเร็วเขาๆ แลวก็ดับวูบลงไป ผูนั้นก็ทราบอยางชัดเจนแจมแจงวาดับลงไป
ตอนพองหรือตอนยุบ ตอนนั่งหรือตอนถูก อาการที่พอง-ยุบเร็วๆ นั้น เปน
อนิจจัง การที่ทราบอยางแจมแจงวาดับลงไปตอนไหนนั้น เปนอนุโลมญาณ
แตมิใชนึกเดาหรือคาดคะเนเอาเอง ตองรูจริงเห็นจริงในขณะปจจุบันเทานั้น
ผูที่ไดเคยเจริญวิปสสนามากอน หรือไดสนใจใครตอวิปสสนามาแต
ชาติกอนๆ จะผานทางอนัตตา คือ พอง-ยุบมีอาการสม่ําเสมอบาง มีอาการ
แผวเบาบาง แลวก็ดับวูบลงไป ผูปฏิบัติก็ทราบชัดเจนวา ดับลงไปตอนไหน
ตอนพองหรื อตอนยุ บ ตอนนั่งหรื อตอนถูก อาการที่ทองพอง-ยุ บ ปรากฏ
สม่ําเสมอหรือแผวเบานั้นเปนอนัตตา การที่ผูปฏิบัติสามารถทราบไดชัดเจน
วาดับลงไปตอนไหนแน คือดับลงไปตอนพองหรือตอนยุบ ตอนนั่งหรือตอน
ถูกนั้น เปนอนุโลมญาณ
๗๔๗
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
ฉ. สภาวธรรมที่ปรากฏ : อริยสัจ ๔
พิจารณาอริ ยสัจ ๔ ขณะกําหนดรูพอง-ยุบ อาการที่ทองเริ่ มพอง
เริ่มยุบในเวลาจะเขาสูโคตรภูญาณนั้น เรียกวา “รูปชาติ นามชาติ” คือความ
เกิดขึ้นของรูปนามไดแก รูปพอง รูปยุบนั่นเอง
๑. ทุกขสัจ ไดแก อาการพอง ยุบเปนตนนั้น ทนอยูไมได ดับลงไป
สิ้ น ไปดั ง บาลี ว า “ชรามรณํ ทุกฺ ขสจฺ จํ ” ชราคื อความเสื่ อ มไปของรู ป นาม
มรณะคือความตายของรูปนาม นี้เปนทุกจสัจ
๒. สมุทัยสัจ ไดแก ความเกิดขึ้นของพองของยุบ เปนสมุทัยสัจ มี
บาลีรับรองวา ชาติ สมุทยสจฺจํ.ชาติคือความเกิดขึ้นของรูปนามเปนสมุทยสัจ
๓. นิโรธสัจ ไดแก อาการพอง-ยุบ เปนตนนั้น ดับลงไปพรอมกัน
และจิ ต ที่ กํ า หนดรู ก็ ดั บ ลงไปพร อ มกั น ได แ ก นิ พ พานนั่ น เอง ดั ง บาลี ว า
“อุภินฺนํปนิสฺสรณํ” อาการที่ทุกข สมุทัยทั้ง ๒ นั้นดับลงไปเปนนิโรธสัจ
๔. มรรคสัจ ไดแก ปญญาที่มองเห็นพอง-ยุบ เปนตน ตั้งแตเริ่มแรก
จนกระทั่งดับลงไป สิ้นไป เปนมรรคสัจ ดังบาลีวา “นิโรธปชานํ มคฺคสจฺจํ”
ปญญาที่ทราบชัดซึ่งทุกข,สมุทัย วาดับไปตอนไหน เปนมรรคสัจ
ในญาณนี้อริยสัจ ๔๓๙ ยอมปรากฏชัดเจนแจมแจงดี คือ :
ทุกขสัจ ไดแก อาการกลืน เปนตนนั้น ทนสภาพอยูไมได ดับลงไป
หมดไป สิ้นไป ดังบาลีวา “ชรามรณํ ทุกฺขสจฺจํ” ชรา คือ ความเสื่อมไปของ
รู ป -นาม มรณะคื อ ความตายของรู ป นาม ได แ ก สภาวะรู ป นามที่ เ ข า มา
กระทบในขณะฉัน (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) เปนทุกขสัจ
สมุทัยสัจ ไดแก ความเกิดขึ้นของการกลืน อาการที่กลืนอาหารใน
เวลาจะเขาสูโคตรภูญาณนั้น เรียกวา รูปชาติ-นามชาติ คือความ เกิดขึ้นของ
รูปนาม ไดแก รูปกลืนนั่นเอง มีบาลีรับรองวา “ชาติ สมุทยสจฺจํ” ชาติ คือ
ความเกิดขึ้นของรูปนาม เหตุปจจัยที่ทําใหเกิดการมากระทบทาง ตา หู จมูก
ลิ้น กาย ใจ เปนสมุทัยสัจ
๓๙
ดูรายละเอียดใน อภิ.วิ. (ไทย)๓๕/๒๐๖/๑๗๓.
๗๔๘
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
นิโรธสัจ ไดแก อาการกลืน เปนตนนั้นดับลงไปพรอมกัน และจิต
กําหนดรูก็ดับลงไปพรอมกัน ดังบาลีวา “อุภินฺนํป นิสฺสรณํ”อาการที่ทุกข
สมุทัยทั้งสองนั้นดับลงไป ไดแกอาการดับลงของทั้ง ทุกขสัจ และสมุทยสัจ
เปนนิโรธสัจ
มรรคสั จ ได แก ป ญญาที่ เ ห็ น อาการกลื น เป น ต น ตั้ งแต เ ริ่ มแรก
จนกระทั่งดับลงไปสิ้นไป หมดไป เปนมรรคสัจจ ดังบาลีวา “นิโรธปฺปชานนา
มคฺคสจฺจํ” ปญญาที่ทราบชัดซึ่งทุกข สมุทัยวาดับลงไปตอนไหน ปญญารู
อาการดับของทุกขสัจ และสมุทยสัจเปนมรรคสัจจ๔๐
อนุโลมญาณกับสังขารุเปกขาญาณ เปนเหตุใหสําเร็จโคตรภูญาณใน
เบื้องบน แมจะมิไดกลาวไวดวยญาณตนและญาณหลัง ก็พึงทราบวา ยอมเป
นอันกลาวไวแลวทีเดียว ดังพระดํารัสที่พระผูมีพระภาคเจาตรัสไววา ดูกอน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผูพิจารณาเห็นสังขารไรๆ โดยความเปนของเที่ยง จักเปน
ผูประกอบ ดวยขันติที่สมควร ขอนั้นยอมไมเปนฐานะที่จะมีได ไมประกอบด
วย ขันติที่สมควรจักกาวลงสูความเปนแหงความเห็นชอบและความแนนอน
ขอนั้นยอมไมเปนฐานะที่จะมีได เมื่อไมกาวลงสูความเปนแหงความเห็นชอบ
และความแน น อน จั ก กระทํ า ให แ จ ง ซึ่ ง โสดาป ต ติ ผ ล สกทาคามิ ผ ล
อนาคามิผล หรืออรหัตผล ขอนั้นยอมไมเปนฐานะที่จะมีได๔๑
ปริญญา ๓ และอริยสัจ ๔ ในอนุโลมญาณ ดังนี้
๑. ญาตปริญญา กําหนดรูสังขารดวยอริยสัจ ๔
๒. ตีรณปริญญา การพิจารณาอริยสัจ ๔ อยูในไตรลักษณ
๓. ปหานปริ ญญา การละสังขารในอริยสัจ มุงสูพระนิพพาน๔๒จะ
ปรากฎเฉพาะอริยสัจ ๔ (๑๐๐%) คือ การมีสติกําหนดรูปนาม (ขันธ ๕)
เป น การสกัด กั้น กระแสของกิเ ลสในทุกครั้ งที่กําหนดรู ซึ่งผู ปฏิ บั ติ จะเห็ น
๔๐
พระภาวนาพิศ าลเมธี.วิ , เอกสารประกอบการสอนรายวิ ชา สัม มนา
วิปสสนาภาวนา, ศูนยบัณฑิตศึกษา, ๒๕๖๐, หนา ๕๐๖.
๔๑
องฺ.ฉกก. (ไทย) ๒๒/๓๖๙.
๔๒
เรื่องเดียวกัน, หนา ๒๙๓.
๗๔๙
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
ศักยภาพของสติในขอนี้มาโดยตลอด พอมาถึงขั้นอนุโลมญาณ ความคมกลา
ของปญญา ก็จะเห็นมากกวาที่เคยเห็น คือแทนที่จะเห็นเพียงแตวาสติเปน
เครื่องกั้นกระแส (กิเลส) ในโลกเหมือนเมื่อกอน กลับเห็นไปถึงวา สติเกิดขึ้น
กําหนดรูรูปนามครั้งหนึ่ง อริยสัจ ๔ จะปรากฎพรอมกันในวาระนั้นครั้งหนึ่ง
คือ เห็นวา รูปนาม (ขันธ ๕) นี้เปนทุกข ดําหริและตัณหานีเ้ ปนสมุทัย ความ
ดับกิเลสในขณะหนึ่งๆ เปนนิโรธ สติ(ที่สกัดกั้นการปรุงแตงนั้น) เปนมรรค๔๓
ในอนุโลมญาณนี้เปนการสละคืนแบบปริจจาคปฏินิสสัคคะ (ความ
สละคืนดวยการสละเสีย) คือ สละเสียซึ่งกิเลสพรอมทั้งขันธคือวิปาก และอภิ
สังขารคือกรรม ดวยอํานาจตทังคปหาน
อนุ โลมญาณสามารถกําจั ดความมืด คือกิเลสอัน ปกป ด อริ ย สัจ ๔
ออกไป แตไมสามารถจะกระทําพระนิพพานใหเปนอารมณได
สวนโคตรภูญาณ สามารถกระทําพระนิพพานใหเปนอารมณได แต
ไมสามารถกําจัดความมืด คือ กิเลสอันปกปดอริยสัจ ๔ ได ในขอนั้นมีอุปมา
ดังนี้ คือมีบุรุษตาดีคนหนึ่งคือวาเราจักดูพระจันทร จึงแหงนหนาดูพระจันทร
บนทองฟาในยามกลางคืน แตพระจันทรไมปรากฏแกเขา เพราะมีเมฆปดบัง
ไว ในทันทีทันใดนั้นมีลมกองหนึ่งตั้งขึ้นมา ไดพัดเมฆที่เปนกอนหนาๆ นั้น
ใหกระจายไป ลมอีกกองหนึ่งพัดเมฆขนาดกลางใหกระจายออกไป ลมอีก
กองหนึ่งพัดเมฆละเอียดใหกระจายไป บุรุษคนนั้นจึงมองเห็นพระจันทรบน
ทองฟาได รูไดวานั่นคือพระจันทร
ความมืดคือกิเลสอยางหยาบ กิเลสอยางกลาง กิเลสอยางละเอียด
ซึ่งปกปดอริยสัจ ๔ ไวไมใหปรากฏแกนักปฏิบัติ เปรียบเหมือนเมฆ ๓ ชนิด
อนุโลมจิต ๓ ดวง เปรียบเหมือนลม ๓ กอง
โคตรภูญาณ เปรียบเหมือนพระจันทร
พระนิพพาน เปรียบเหมือนพระจันทร
๔๓
นวองคุลี : วิปสสนาญาณ, พิมพครั้งที่ ๑, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ เม็ด
ทราย, ๒๕๔๖, หนา ๑๖๘-๑๖๙
๗๕๐
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
การกําจัดความมืด คือ กิเลสที่ปกปดอริสัจ ๔ ไวของอนุโลมจิตแต
ละดวงๆ เปรียบเหมือนการกําจัดเมฆ ๓ ชนิด ตามลําดับของลมแตละกองๆ
ฉะนั้น การเห็นพระนิพพานอันบริสุทธิ์ของโคตรภูญาณ ในเมื่อความมืด คือ
กิเลสอันปกปดอริยสัจ ๔ ปราศจากไปแลว เปรียบเหมือนการเห็นพระจันทร
อันบริสุทธิ์ของคนตาดีคนนั้น ในเมื่อทองฟาปราศจากเมฆฉะนั้น๔๔
การปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานตามแนวสติปฏฐาน ๔ เปนทางปฏิบัติ
เดียวที่จะนําผูปฏิบัติใหพนทุกข อุปมาเหมือนการเดินขึ้นบันไดเพื่อกาวไปสู
เปาหมายคือพระนิพพาน ซึ่งบันไดแตละขั้นโยคีตองเพิ่มพูนอินทรียใหมาก
ขึ้นเพื่อความรูแจงในอารมณและจิตที่ปรากฏในปจจุบัน ปญญาญาณยอม
ปรากฏแกโยคีตามลําดับ คือญาณที่ ๑ จนถึงญาณที่ ๑๖ จนกระทั้งบรรลุ
เปนพระอริยบุคคล ๔ จําพวกตามลําดับ
รวมความแลวกลาวถึงธรรม ๒ ประเด็น คือ
๑. ความเปนไปของอารมณกับจิตที่เขาไปรูอารมณวามีความเปนไป
อยางไร คือการกําหนดในบันไดขันที่ ๑ ถึงขั้นที่ ๗ และสภาวธรรมที่ปรากฏ
๒. ความดั บของอารมณกับจิ ตที่เขาไปรู อารมณที่ดับ ไปพร อมกัน
คือผลของการกําหนดจากบันไดแตละขั้น ซึ่งขั้นสูงสุดคือการบรรลุธรรมเปน
ผล เปนภูมิแหงปหานปริญญา กําหนดรูถึงขั้นละได คือ รูถึงขั้นที่ทําใหถอน
ความยึดติดเปนอิสระจากสิ่งนั้นๆ ได (ละวิปลาสได) และปฏิบัติตอสิ่งตางๆ
ไดถูกตองภูมิแหงปหานปริญญาแบงเปนขั้นๆ
เริ่มตั้งแตพิจารณาเห็นโดยความเปนของไมเที่ยงยอมละนิจจสัญญา
เสียได พิจารณาเห็นโดยความเปนทุกขยอมละสุขสัญญา (ความสําคัญวาเปน
สุข) เสียได พิจารณาเห็นโดยความไมเปนตัวตนละอัตตสัญญา (สําคัญวาเปน
ตัวตน) เสียได เบื่อหนายความเพลิดเพลิน สํารอกราคะดับตัณหา สละคืน
ความยึดถือเสียไดจัดเขาใน อริยสัจ ๔ คือ “แจงนิโรธ(อริยสัจ ๔ เกิดโดย
สมบูรณขึ้นตามลําดับ) ทุกข, สมุทัย,นิโรธ, มรรค, ในญาณที่ ๑๔ เปน
๔๔
พระธรรมธีรราชมุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ):วิปสสนากรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๓,
(กรุงเทพมหานคร: บริษัท ประยูรวงศพริ้นทติ้ง จํากัด, ๒๕๕๔),หนา๖๓๒.
๗๕๑
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
สมุจเฉทประหาณคือ ดับดวยตัดขาด คือ ดับกิเลสเสร็จสิ้นเด็ดขาด ดวยโล
กุตตรมรรค ในขณะแหงมรรคนั้นสติ สมาธิปญญา และธรรมฝายการตรัสรู
ทั้งปวง รวมลงที่จิตดวงเดียวเปนมรรคสมังคี, ในญาณที่ ๑๕ เปนปฏิปสสัทธิ
นิโรธ ดับดวยสงบระงับ คือ อาศัยโลกุตตรมรรค ดับกิเลสเด็ดขาดไปแลว
บรรลุโลกุตตรผล กิเลสเปนอันสงบระงับไปหมดแลว ไมตองขวนขวายเพื่อ
ดับอีก ในขณะแหงผลนั้น, ในญาณที๑่ ๖ เปน นิสสรณนิโรธ ดับดวยสลัดออก
ได หรือดับดวยปลอดโปรงไป คือ ดับกิเลสเสร็จสิ้นแลว ดํารงอยูในภาวะที่
ดั บ กิเ ลสแล ว นั้ น ยั่ งยื น ตลอดไป ได แก อมตธาตุ คือ นิ พพาน”อริ ย สั จ ๔
สมบูรณ.
มรรคอริยสัจ ความจริงที่แทวาทางปฏิบัติเพื่อใหเขาถึงพระนิพพาน
มีอยูจริง สามารถปฏิบัติใหรูแจงไดในปจจุบันขณะนี้ นั่นคืออาจเจริญภาวนา
แนวทางศีล สมาธิ ปญญา ทํามรรคใหมีองค ๘ ใหสมบูรณ
มรรคสั จ ได แ ก ป ญ ญาที่ เ ห็ น พอง ยุ บ เป น ต น ตั้ ง แต เ ริ่ ม แรก
จนกระทั่งดับลงไป สิ้นไป หมดไป เปนมรรคสัจ ดังบาลีวา “นิโรธปฺชานนา
มคฺคสจฺจํ” เปนที่ทราบชัดซึ่งทุกขสมุทัย วาดับลงไปตอนไหน เปน มรรคสัจ
เปนภูมิแหงปหานปริญญา กําหนดรูถึงขั้นละได คือ รูถึงขั้นที่ทําให
ถอนความยึดติดเปนอิสระจากสิ่งนั้นๆ ได (ละวิปลาสได) และปฏิบัติตอสิ่ง
ตางๆ ไดถูกตองภูมิแหงปหานปริญญาแบงเปนขั้นๆ เริ่มตั้งแตพิจารณาเห็น
โดยความเปนของไมเที่ยงยอมละนิจจสัญญาเสียได พิจารณาเห็นโดยความ
เปนทุกขยอมละสุขสัญญา (ความสําคัญวาเปนสุข) เสียได พิจารณาเห็นโดย
ความไมเปนตัว ตนละอัตตสัญญา (สําคัญวาเปนตัวตน) เสี ยได เบื่อหนาย
ความเพลิดเพลิน สํารอกราคะดับตัณหา สละคืนความยึดถือเสียไดจัดเขาใน
อริ ย สั จ ๔ คือ แจ งนิ โ รธ (อริ ย สั จ ๔เกิด โดยสมบู ร ณขึ้น ตามลํ าดั บ ) ทุกข,
สมุทัย,นิโรธ, มรรค, ในญาณที่ ๑๔ เปนสมุจเฉทประหาณ คือ ดับดวยตัด
ขาด คือ ดับกิเลสเสร็จสิ้นเด็ดขาด ดวยโลกุตตรมรรค
ในขณะแห งมรรคนั้ น สติ สมาธิ ป ญญาและธรรมฝ ายการตรั ส รู
(โพธิปกขิยธรรม)ทั้งปวง รวมลงที่จิตดวงเดียวเปนมรรคสมังคี, ในญาณที่
๑๕ เปน ปฏิ ปส สัทธินิ โรธ ดับ ดว ยสงบระงับ คือ อาศัย โลกุต ตรมรรค ดั บ
๗๕๒
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
กิเลสเด็ดขาดไปแลว บรรลุโลกุตตรผล กิเลสเปนอันสงบระงับไปหมดแลว
ไมตองขวนขวายเพื่อดับอีก ในขณะแหงผลนั้น, ในญาณที่๑๖ เปน นิสสรณ
นิโรธ ดับดวยสลัดออกได หรือดับดวยปลอดโปรงไป คือ ดับกิเลสเสร็จสิ้น
แลว ดํารงอยูในภาวะที่ดับกิเลสแลวนั้น ยั่งยืนตลอดไป ไดแก อมตธาตุ คือ
นิพพาน”อริยสัจ ๔ สมบูรณ.
อัตราการใสใจวิถีจิตพิจารณาสติปฏฐาน ๔ (%)
อัตราการการใสใจวิถีจิตที่เพงพิจารณาสติปฏ ฐาน ๔ (%)
ญาณ ๑๖
(สุทธวิปสสนา) บริกรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม วิถีจิต
๐-๑ (นิวรณ)
๐-๑ (ขันธ ๕)
๑๒.
๐-๑ ๐-๑-๐ ๐-๑-๐ ๐-๑ (อายตนะ)
อนุโลมญาณ ๐-๑-๐
๓ (โพชฌงค)
๙๐ (อริยสัจ)
๐ (นิวรณ)
๐ (ขันธ ๕)
๑๓.
00 00 00 ๐ (อายตนะ) 00
โคตรภูญาณ
๐ (โพชฌงค)
๑๐๐ (อริยสัจ)
๗๕๓
ขั้นที่ ๗ พิจารณาสลัดคืนรูป-นาม
ขึ้นๆ เปนกระบวนการของมรรคมีองค ๘ อริยสัจสมบูรณ ๑๐๐ % เขาสู
โคตรภูญาณ
ความสมดุลของอินทรีย ๕
วิปสสนาญาณ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา
๑๐๐% ๑๐๐% ๑๐๐% ๑๐๐% ๑๐๐%
๕๐ ๔๐ ๗๐ ๕๐ ๗๐
ในขั้นที่ ๖ นั้นเปนการกําหนดเพื่อออกจากญาณที่ ๖, ๗, ๘ โดย
การดูอาการของตนจิตจนดับ ซึ่งสภาวญาณในขั้นนี้เปนญาณที่เกิดจากผล
ของภังคญาณ คือความดับไปของอารมณพรอมกับจิตที่รูอารมณ ทําใหเห็น
โทษเห็นภัยของรูป-นาม อุปมาเหมือนคนที่ไมปรารถนาในบาตรที่มีรูรั่ว ๓ รู
ฉันใด การที่ปญญาญาณเห็นรอยรั่วของรูป-นามโดยความเปนอนิจจัง ทุกขัง
อนั ต ตา ย อมส งผลให เ กิด ความกลั ว เห็ น ภั ย เห็ น โทษ และเบื่ อหน ายใน
อัตภาพนั้น เชนกัน
เหตุผลที่อนุโลมญาณ ตองมีอินทรีย (๑๐๐%) ภายหลังอนุโมญาณ
คลอยตามญาณตางๆ ตั้งแต อุทยัพพยญาณ จนถึงสังขารุเปกขาญาณ ตอง
มีอินทรีย ๕ แกกลากอน จึงคลอยตามโพธิปกขิยธรรม ๓๗ ได
๗๕๔
บทที่ ๑๖
พิจารณามรรค ผล
๑. ความปรากฏขึ้นของญาณ (ตองดูบทที่ ๓ ใหเขาใจกอนนะ)
ญาณ คือ ความรูสึกตัวดวยปญญา ความหยั่งรูดวยปญญาประจักษ
แจง ที่เกิดจากการเจริญวิปสสนาหรือสติปฏฐานเพียงเทานั้น๑
วิปสสนาญาณ คือ ปญญารูแจงที่บังเกิดขึ้นภายในจิตของผูกําหนดรู
รูป-นาม อันเปนผลจากการปฏิบัติใหสมบูรณในไตรสิกขา(ศีล สมาธิ ปญญา)
จนสภาพจิตของบุคคลตั้งมั่นไมหวั่นไหวเปนสมาธิ สงบปราศจากกิเลสนิวรณ
นอมไปเพื่อรูแจงชัดอริ ยสัจ ๔๒ และยังมีญาณที่ยิ่งใหญที่สุด อีกญาณหนึ่ ง
เรียกชื่อเฉพาะวา โพธิญาณ แปลวา ปญญาตรัสรูของพระพุทธเจาที่ทําให
เกิดพระพุทธศาสนา ญาณนี้เปนความรูแจงเห็นจริงในสภาพธรรมทั้งปวง
อยางแจมแจงชัดเจนแลว๓
พระสารีบุตรเถระอธิบายวิธีพิจารณาธรรมเพื่อใหเกิดวิปสสนาญาณ
ที่เห็นแจงชัดในอริยสัจ ๔๔ วา
“ปญญาในการพิจารณาอารมณ แลวพิจารณาเห็นความดับ ชื่อวา
วิปสสนาญาณ.. คือ จิตมีรูปเปนอารมณเกิดขึ้นแลวยอมดับไป พิจารณา
อารมณนั้น แลวพิจารณาเห็นความดับไปแหงจิตนั้นดวย
พิจารณาอยางไรชื่อวาพิจารณาเห็น คือ พิจารณาเห็นโดยความไม
เที่ยง ไมพิจารณาเห็นโดยความเที่ยง พิจารณาเห็นโดยความเปนทุกข ไม
๑
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๒๐๕.
๒
สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๖๗๐/๕๓๐.
๓
ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๗๒๘/๔๓๖.
๔
วิสุทธิ. (บาลี) ๑/๒๒๐/๒๙๘.
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
พิจ ารณาเห็ น โดยความเป น สุ ข พิจ ารณาเห็ น โดยความเป น อนั ต ตา ไม
พิ จ ารณาเห็ น โดยความเป น อั ต ตา ย อ มเบื่ อ หน า ย ไม ยิ น ดี ย อ มคลาย
กําหนัด ไมกําหนัด ยอมทําราคะใหดับ ไมใหเกิด ยอมสละคืน ไมยึดถือ
เมื่อพิจารณาเห็นโดยความไมเที่ยง ยอมละนิจจสัญญาได เมื่อพิจารณา
เห็นโดยความเปนทุกข ยอมละสุขสัญญาได เมื่อพิจารณาเห็นโดยความ
เปนอนัตตายอมละอัตตสัญญาได เมื่อเบื่อหนายยอมละความกําหนัดยินดี
ได เมื่อคลายกําหนัดยอมละราคะได เมื่อทําราคะใหดับยอมละสมุทัยได
เมื่อสละคืนยอมละความยึดถือได”๕
คัมภีรอรรถกถาธัมมสังคณี อธิบายการละกิเลสดวยวิปสสนาญาณ
เปนขั้นตางๆ๖ ดังนี้
ละสักกายทิฏฐิไดดวยกําหนดแยกนามรูป (นามรูปปริจเฉทญาณ)
ละทิฏฐิที่วานามรูปไมมีเหตุหรือมีเหตุไมเสมอกันไดดวยการกําหนด
รูปจจัย (ปจจยปริคคหญาณ)
ละความสงสัย ไดดวยกังขาวิ ตรณญาณ และละความยึดถือวาเรา
ของเราได ดวยกลาปสัมมสนญาณ
ละความสําคัญในสิ่งที่ไมใชทางวาเปนทางได ดวยการกําหนดทาง
และไมใชทาง (มัคคามรรคญาณทัสสนะ)
ละความเห็นวาตายแลวสูญ ดวยการเห็นความเกิด (อุทยัพพยญาณ)
ละความเห็นวาเที่ยง ดวยการเห็นความเสื่อม (ภังคญาณ)
ละความเห็นในสิ่งที่มีภัยวาไมมีภัยได ดวยความเห็นวามีภัย (ภย
ญาณ)
ละความสําคัญในสิ่งที่ชอบใจ ดวยการเห็นวาเปนสิ่งมีโทษ (อาทีนว)
ละความสําคัญวานาชอบใจยิ่งได ดวยนิพพิทานุปสสนาญาณ
ละความเป น ผู ไ ม ป รารถนาจะหลุ ด พ น ด ว ยมุ ญ จิ ตุ กัม ยตาญาณ
ละความไมวางเฉยในสังขารได ดวยสังขารุเปกขาญาณ
๕
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๑/๘๒.
๖
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป.(ไทย) ๓๑/๑/๔๑๓.
๗๕๖
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ละธรรมฐิติ (ปฏิจจสมุปบาท)ได ดวยอนุโลมญาณ
ละความเปนปฏิโลมได ดวยพระนิพพาน
และละความยึดถือนิมิตคือสังขารได ดวยโคตรภูญาณ นี้ชื่อวาการ
ละดวยองควิปสสนาญาณนั้นๆ๗
ญาณ คือ ความรู ซึ่งตรงขามตออวิชชา เมื่อญาณเกิดขึ้นอวิชชาก็
ดับไป นามรูปหรือสังขารทั้งปวงที่มีมูลมาจากอวิชชาก็ยอมดับไป เรียกวาดับ
ไปเพราะการเกิดขึ้นของญาณ เชน คนดับไป เพราะความรูที่เกิดขึ้นวา คนไม
มี มีแตขันธธาตุอายตนะเปนตน ..แมโดยปริยายนี้ ก็เปนอันกลาวไดวาดับไป
เพราะอํานาจแหงความเกิดขึ้นของญาณหรือวิชชา๘ หมายความวา ญาณที่
เปนวิ ปสสนาญาณแทตองเปน ความรูที่เ กิดจากการพิจารณาเห็ นพระไตร
ลั ก ษณ ที่ เ ป น ไปเพื่ อ ตั ด ละอวิ ช ชาเท า นั้ น ส ว นญาณนอกนั้ น เป น เพี ย ง
ความรูสึกระดับสัมปชัญญะ ยังไมจัดเปนวิปสสนาญาณ๙
วิปสสนาฌานในการเขาสมาบัติ
ลั ก ขณู ป นิ ช ฌาน คื อ วิ ป ส สนาฌานที่ เ พ ง พิ จ ารณาลั ก ษณะของ
สังขารอารมณ (ขัน ธ ๕)หรื อรูป -นามใหเห็ นไตรลักษณตามแบบวิป สสนา
ภาวนา๑๐ แมแตมรรคผลก็เรียกวาฌานได เพราะเพงลักษณะที่เปนสุญญตา
ของนิพพาน๑๑ ดังที่คัมภีรอรรถกถาอธิบายวา
วิปสฺ สนา อนิจฺ จาทิล กฺขณสฺ ส อุปนิ ชฺฌานโต ลกฺขณูปนิ ชฺฌานํ .
วิปสฺสนาย กิจฺจสฺส มคฺเคน อิชฺฌนโต มคฺโค ลกฺขณูปนิชฺฌานํ. ผลํ ปน
นิโรธสจฺจํ ตถลกฺขณํ อุปนิชฺฌายตีติ ลกฺขณูปนิชฺฌานํ นาม.๑๒
วิปสสนาญาณชื่อวาลักขณูปนิชฌาน เพราะเขาไปเพงรูไ ตรลักษณ
๗
ขุ.อิติ.อ.(ไทย) ๔๕/๖๔, อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๑/๑๑๘๔/๔๑๐.
๘
พุทธทาสภิกขุ, อานาปานสติภาวนา, หนา ๔๐๕.
๙
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๑/๒๙๘.,ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๑/๘๒.
๑๐
ที.ม.อ. (บาลี) ๑/๓๔๗/๓๑๕, ขุ.ธ.อ. (บาลี) ๒/๖๑-๖๕. ดูเพิ่มเติมบทที่ ๘.
๑๑
ขุ.อ.อ. (บาลี) ๑/๕๓๖, ขุ.ป.อ. (บาลี) ๒๒๑, อภิ.สํ. อ. (บาลี) ๒๗๓.
๑๒
ที.ม.อ. (บาลี) ๑/๓๔๗/๓๑๕, ขุ.ธ.อ. (บาลี) ๒/๖๑-๖๕.
๗๕๗
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
มีอนิจจลักษณะเปนตน มัคคญาณชื่อวาลักขณูปนิชฌาน เพราะเปนผูทํา
ใหกิจทีร่ ูแจงไตรลักษณของวิปสสนาญาณสําเร็จลง สวนผลญาณ ไดชื่อวา
ลักขณูปนิชฌาน เพราะเขาไปรูแจงลักษณะอันแทจริงของนิโรธสัจจะ
ลั กขณูป นิ ช ฌานนํ า มาซึ่งป ญญาที่เ รี ยกว า ภาวนามยป ญ ญา เป น
ความรูพิเศษที่คนทั่วไปไมมี พัฒนามาจากสุตมยปญญาและจินตามยปญญา
เรียกวา ญาณ เปนความรูทั้งเปนสวนโลกิยและโลกุตตร เมื่อผูปฏิบัติธรรมได
เจริญลักขณูปนิชฌานจนเกิดเปนญาณ ยอมเกิดประโยชนแกผูนั้นอยางนอย
๔ ประการ๑๓ คือ
๑) นานากิเลสวิทฺธํสนํ เปนญาณปญญาที่สามารถกําจัดกิเลสที่มีอยู
ในภายในของคนทั่วไป แบงออกเปน ๒ ระดับ คือ ญาณปญญาระดับที่จะเปน
โลกิยะ และระดับที่เปนโลกุตตระ
๑. ญาณปญญาระดับโลกิยะ เปนญาณปญญาสามารถทําลาย
กิเลสตางๆ ใหเบาบางลงตามลําดับ ทําลายสักกายทิฏฐิ เปนตน เริ่มตั้งแตรู
เห็นตามความเปนจริงของสังขารทั้งหลายเปนเพียงรูปนามเทานั้น เห็นดวย
ปญญาวารูปนามเปนของเนื่องกันอาศัยกันเปนไตรลักษณ มีความเกิดดั บ
สลับ กัน ไป เปน สังขารดั บสิ้ นไมมีเหลือ เปน ของน ากลัว เปน โทษ นาเบื่ อ
หนาย ควรที่จะหลีกหนี ไมควรเขาไปยึดถือวาเปนตัวตน เปนตน เปนญาณ
ปญญาระดับเห็นตามความเปนจริงกอนแตยังไมสามารถกําจัดสิ่งที่เห็นดวย
ปญญานั้นใหสิ้นไปได
๒. ญาณปญญาระดับโลกุตตระ เปนญาณปญญาที่สามารถจัด
สิ่งที่ปรากฏดวยปญญาที่ไดรูไดเห็นแลว เชน มีปญญาเห็นวา ขันธ ๕ หรือรูป
นามเปนบอเกิดของความทุกขทั้งปวง เมื่อเห็นดวยญาณปญญาอยางนั้นแลว
ก็กําจัดสิ่งเหลานั้น เรียกวาญาณปญญานั้น วามรรคญาณ ผลญาณ อันเปน
ปญญาฝายโลกุตตระ เปนญาณปญญาเหนือโลกหรือพนจากโลก ทําใหผูถึง
๑๓
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, แปลโดย สมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ อาสภ
มหาเถร), พิมพครั้งที่ ๑๐, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท ธนาเพลส จํากัด, ๒๕๕๔), หนา
๑๑๔๘.
๗๕๘
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ปญญาระดับนี้เปนผูสามารถดับทุกขไดอยางแทจริง ดวยปญญาอันเปนโลกุต
ตระนี้ วิปสสนาญาณที่โยคีทําใหเกิดมีขึ้นแลว สามารถทําลายขายกิเลสที่
ติดตามมาตลอดกาลนานใหพินาศไปได เปรียบเหมือนสายฟาทําลายภูเขา
ไฟปาทําลายป า ดวงอาทิตย กําจัด ความมืด ปญญาสว นนี้ เป นป ญญาเห็ น
ประจักษไดดวยตนเอง ฉะนั้น๑๔
๒) อริยผลรสานุภวนํ เปนญาณปญญาใหผูปฏิบัติไดเสวยรสของ
อริยผล คือ ผูที่ไดพัฒนาปญญาธรรมดาจนเปนญาณ สามารถทําลายกิเลส
ระดับตางๆ มีโสดาบัน เปนตนแลว ยังไดเสวยผลอันประเสริฐซึ่งเกิดจาก
มรรค ผลนั้นดวย ถาจะกลาวถึงอานิสงสอันเปนของพระอริยบุคคลผูไดบรรลุ
มรรคผลแลว ก็คือ เปนผูสามารถเขาสมาบัติไดตามมรรค ผลที่ตนไดบรรลุ
เพื่อประโยชนอยูเปนสุขในชีวิตปจจุบัน เรียกวาความสุขในทิฏฐธรรม ทาน
เปรี ย บพระอริ ย บุ คคลผู เ ขาสมาบั ติ เหมือนพระราชาทรงเสวยสุ ขในราช
สมบัติ เหมือนเทวดาเสวยสุขในทิพยสมบัติ ผูเปนอริยบุคคลทานตองการ
เสวยสมบัติ ของทานอันเป นโลกุต ตรสุขจึ งเขาสมาบั ติ เพื่อเสวยสุ ขนั้น ดั ง
ความปรากฏในคัมภีรวิสุทธิมรรค วา
สามัญ ญผลอัน ประเสริ ฐ สุ ด ยอดระงับ ความทุกข กระวนกระวาย
คลายกามารมณเครื่องลอใจออกไป มีอมตนิพพานเปนอารมณ สงบผองใส
ทวมทนด วยความสุข บริสุ ทธิ์ มีโอชะ แช มชื่ น ออนหวานเปน อย างยิ่ ง
ประดุ จ น้ํ าหวานที่เ จื อ ปนด ว ยน้ํ า อมฤต เพราะเหตุ ที่ ทา นบั ณ ฑิต ได ทํ า
วิปสสนาปญญาใหเกิดขึ้น จึงประสบความสุขอันประเสริฐยิ่ ซึ่งเปนรสของอริ
ยผลนั้น เพราะฉะนั้นทานจึงกลาววา การเสวยรสของอริยผลเปนอานิสงส
ของวิปสสนาภาวนา๑๕
๓) นิโรธสมาปตฺติสมาปชฺชนสมตฺถตา คือ ผูมีญาณปญญาสามารถ
เขานิโรธสมาบัติได ผูเกิดญาณปญญาจากการเจริญวิปสสนา ไมไดแตเพียงได
เสวยรสของอริยผลอยางเดียว รวมทั้งสามารถเขานิโรธสมาบัติ (ปญญาที่มี
๑๔
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๑๔๙.
๑๕
อางแลว, หนา ๑๑๕๔.
๗๕๙
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ความชํานาญ ในการระงับสังขาร ๓ ดวยญาณจริยา ๑๖ และดวยสมาธิจริยา
๙ เพราะประกอบดวยพละ ๒ อยาง ชื่อวา นิโรธสมาปตติญาณ)๑๖ อีกดวย
อันเปนอานิสงสของปญญาภาวนา
การเขานิโรธสมาบัติยอมมีไดเฉพาะอนาคามีบุคคลและพระอรหันต
เทานั้น เพราะทานทั้งหลายเหลานี้เปนผูชํานาญดวยญาณจริยา ๑๖ สมาธิ
จริยา ๙ เปนผูประกอบดวยพละ ๒ และเพราะความสงบไปแหงสังขาร ๓๑๗
ทานผูเปนพระอนาคามี และพระขีณาสพทั้งหลาย ยอมเขานิโรธสมาบัติเพื่อ
อยูเปนสุขในกาลปจจุบัน
๔) อาหุเนยฺยภาวาทิสิทฺธิ คือ ผูไดญาณปญญาไดรับความนับถือ
เปนอยางยิ่ง คือ เมื่อไดญาณปญญาอันเปนโลกุตตระแลว ไมใชแตเพียงอยู
เปนสุขโดยการเขานิโรธสมาบัติเทานั้น แตยังเปนที่ปรารถนาของผูตองการ
บุญ เปนผูควรนับถือ เปนผูควรตอนรับ เปนผูควรแกการทักษิณา เปนผูควร
แกการกราบไหว และเปนเนื้อนาบุญของเทวดา และมนุษยทั้งหลายดวยนั้น
เปนอานิสงสของโลกุตตรปญญา และสําหรับผูไดพัฒนาปญญาจนเกิดเปน
ญาณระดับโลกุตตระแลว ยอมไดอานิสงสตางๆ เชน
๑. ผูพัฒนาจิตใหไดญาณปญญาระดับโสดาบัน มี ๓ ประเภท ดังนี้
๑.๑ ผูบรรลุถึงโสดาบันดวยวิปสสนาอยางออน เปนผูไมตกต่ํา มี
ความแน น อนที่จ ะสํ าเร็ จ สั มโพธิ (สั ม โพธิ หมายถึง มรรคเบื้ องสู ง ๓ คื อ
สกทาคามิ ม รรค อนาคามิ ม รรค และอรหั ต ตมรรค) ๑๘ ในวั น ข า งหน า
ทองเที่ยวไปในภพของเทวดา และมนุษยเพียง ๗ ชาติก็จะทําที่สุด
แหงทุกขได เรียกวาสัตตักขัตตุปรมอริยบุคคล
๑.๒ ผูบรรลุถึงโสดาบันดวยวิปสสนาอยางกลาง เปนผูไมตกต่ํา มี
ความแนนอนที่จะสําเร็จสัมโพธิในวันขางหนา ทองเที่ยวเกิดในตระกูลอีก ๒
หรือ ๓ ตระกูล ก็จะทําที่สุดแหงทุกขได เรียกวาโกลังโกลอริยบุคคล
๑๖
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๓๔/๓.
๑๗
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๘๓-๘๔/๑๔๑ - ๑๔๓.
๑๘
สารตฺถ.ฎีกา. (ไทย) ๑/๒๑/๕๕๙.
๗๖๐
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
๑.๓ ผูบรรลุถึงโสดาบันดวยวิปสสนาอยางแก เปนผูไมตกต่ํา มี
ความแนนอนที่จะสําเร็จสัมโพธิในวันขางหนา ทองเที่ยวเกิดในตระกูลเพียง
ชาติเดียว ก็จะทําที่สุดแหงทุกขได เรียกวาเอกพีชีอริยบุคคล๑๙
นี้เปนอานิสงสของผูพัฒนาจิตใหเกิดญาณปญญาระดับอริยบุคคล
ชั้นโสดาบัน ถึงจะไมหมดกิเลสพนทุกขอยางสิ้นเชิง แตก็ไมตกไปสูอบายภูมิ
อยางแนนอน และยังจะไดถึงที่สุดแหงทุกขในไมชาอีกดวย
๒. ผู พั ฒ นาจิ ต ของตนจนได ญ าณป ญ ญาระดั บ สกทาคามี บุ ค คล
สามารถละสั งโยชน ๓ ประการเบื้ องต น ได อย า งสิ้ น เชิ ง และยั งทํา ราคะ
โทสะ โมหะใหเบาบางอีกดวย เปนผูมีคติอันแนนอน หมายถึง จะมาเกิดเปน
มนุษยอีกเพียงชาติเดียวเทานั้นก็จะทําที่สุดแหงทุกขได
๓. ผูพัฒนาจิตของตนจนไดญาณปญญาระดับอนาคามีบุคคล ละ
สังโยชนเบื้องต่ําทั้ง ๕ ประการไดอยางสิ้นเชิง เกิดเปนโอปปาติกะ (สัตวที่
เกิดและเติบโตทันที เมื่อตายก็หายวับไปไมทิ้งซากศพไว เชน เทวดา สัตว
นรก เปนตน) ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสไมกลับมาเกิดอีก ในคัมภีรวิ
สุทธิมรรคแบงเปนประเภทของผูปฏิบัติสมาธิวิปสสนาได ๕ ประเภท คือ
๓.๑ ทานผูไปเกิดในสุทธาวาสภพ ในภพใดภพหนึ่งอยูยังไมถึงครึ่ง
อายุก็ปรินิพพานในภพนั้น เรียกวาอันตราปรินิพพายีอริยบุคคล
๓.๒ ทานผูปรินิพพานเลยครึ่งอายุไปแลว เรียกวาอุปหัจจปรินิพ
พายีอริยบุคคล
๓.๓ ทานผูทํามรรคเบื้องบนใหเกิดโดยไมตองทําความเพียรมาก
โดยไมตองประกอบความเพียรมาก เรียกวาอสังขารปรินิพพายีอริยบุคคล
๓.๔ ทานผูทํามรรคเบื้องบนใหเกิดโดยมีการทําความเพียรมาก
โดยประกอบความเพียรมาก เรียกวาสสังขารปรินิพพานอริยบุคคล
๓.๕ ทานผูเกิดในภพใดแลวขึ้นสูภพสูงขึ้นไปจากภพนั้นจนถึงอก
นิฏฐภพแลวปรินิพพานในอกนิฏฐภพนั้น เรียกวาอุทธังโสโต อกนิฏฐคามี
อริยบุคคล อริยบุคคลผูพัฒนาจิตของตนใหถึงความเปนอริยบุคคลประเภท
๑๙
ดูรายละเอียดใน อภิ.ปุ. (ไทย) ๓๖/๓๑-๓๓/๑๕๔.
๗๖๑
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ตางๆ ไมตองถือเพศต่ํา หมายถึง ไมตองกลับมาเกิดเปนมนุษยอีก สิ้นอาสว
กิเลสในภพที่ตนเกิดนั้นเอง๒๐
๔. ผู พั ฒ นาจิ ต จนได ญ าณป ญ ญาระดั บ สิ้ น อาสวกิ เ ลส เป น พระ
อรหันต บางทานก็หลุดพนจากอาสวะกิเลสดวยปญญา ก็เรียกวา ปญญา
วิมุตติ บางทานก็หลุดพนพิเศษดวยภาคทั้งสอง เรียกวาอุภโตภาควิมุตติ บาง
ท า นก็ ห ลุ ด พ น แล ว มี วิ ช ชา ๓ เรี ย กว า เตวิ ช โช บางท า นก็ ห ลุ ด พ น แล ว มี
อภิ ญ ญา ๖ เรี ย กว า ฉฬภิ ญ โญ บางท า นก็ ห ลุ ด พ น แล ว เป น ผู ถึ ง ความ
แตกฉานในปฏิ สั มภิ ทา เรี ย กว าปฏิ สั มภิ ทัปปตโต
การเจริญลักขณูปนิชฌานสงผลใหเกิด อาหุเนยฺยภาวาทิสิทฺธิ เปน
ป ญ ญาอัน เป น โลกุ ต ตระ เป น บุ คคลควรนั บ ถื อ ควรต อ นรั บ ควรแกก าร
ทักษิณา ควรแกการกราบไหว และเปนเนื้อนาบุญของเทวดา และมนุษย
ทั้งหลาย โยคีผูมีความเพียรเจริญวิปสสนาภาวนาทั้งหลายเหลานี้ ทานไดรับ
ความพิเศษของจิตทั้งสวนที่เปนโลกิยะ และสวนที่เปนโลกุตตระอันเกิดจาก
การพัฒนาจิตดวยความเพียร มีสติสัมปชัญญะ เจริญตามมรรคมีองค ๘ ซึ่ง
เปนหนทางดับทุกข และเจริญตามขอปฏิบัติทั้งเปนแนวของสมถยานิก และ
วิปสสนายานิก หรือทั้ง ๒ สวน จุดหมายสูงสุดก็ปรากฏตามแนวปฏิบัตินั้น
ซึ่งเรียกวาอานิสงส หรือผลของการเจริญลักขณูปนิชฌาน ดังนั้น ผลของการ
เจริญลักขณูปนิชฌานนั้น ทําใหเกิดปญญาญาณทั้งในโลกิยะ และโลกุตตระ
ซึ่งสามารถเสวยผลของอริยผล เขานิโรธสมาบัติ เปนอาหุเนยยบุคคลในที่สุด
อัปปนาวิถีจิต
วิถีจิต คือ จิตพรอมดวยเจตสิกที่เกิดขึ้นโดยลําดับติดตอกันเปนแถว
เปนจิตที่กําลังเกิดขึ้นรับอารมณ๒๑ใหม๒๒ นับตั้งแตการปรากฏของอารมณ
(รูป เสียง..) ที่มากระทบทางทวาร (ตา หู..) ในทุกๆ ความรูสึกนึกคิดอันมี
๒๐
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๑๖๘.
๒๑
ไดแก สีตางๆ เสียงตางๆ กลิ่นตางๆ รสตางๆ เย็น รอน ออนแข็ง หยอน ตึง
และธัมมารมณ อันไดแก จิตเจตสิก ปสาทรูป สุขุมรูป ๑๖ นิพพาน และบัญญัติ
๒๒
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ,ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๓, ๗,หนา ๓๗.
๗๖๒
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ที่มาและที่ไป ที่มาของความรูสึกนึกคิดในเบื้องตน คือ อารมณหรือสิ่งเรา
เมื่อมีอารมณมากระทบทางทวารตางๆ (ประสาทสัมผัส) จะเกิดจิตชนิดตางๆ
เพื่อทําหนาที่รับรูและตอบสนองสิ่งเรานั้น
วิถีจิต จำแนกโดยประเภทใหญๆ มี ๒ ประเภท คือ (๑) ปญจทวาร
วิถี คือ ความเปน ไปของจิ ตและเจตสิก ที่เกิดทางทวารทั้ง ๕ ได แก จักขุ
ทวารวิถี โสตทวารวิถี ฆานทวารวิถี ชิวหาทวารวิถี กายทวารวิถี๒๓ ปญจ
ทวารวิถีเปนวิถีจิตในกามภูมิเทานั้น สวนมโนทวารวิถีเปนวิถีจิตในกามภูมิ
และในภูมิที่สูงขึ้นไปอีก คืออัปปนามโนทวารวิถี (จําแนกออกเปนโลกียอัปป
นาวิถี และโลกุตตรอัปปนาวิถี) (๒) มโนทวารวิถี คือ ความเปนไปของจิต
และเจตสิ ก ที่ เ กิ ด ขึ้ น ทางใจ เป น วิ ถี จิ ต ของอารมณ ท างใจ สื บ ต อ มาจาก
กระบวนการทางปญจทวารวิถีอีกทีหนึ่ง ทําใหจิตมีกระบวนการแหงความ
นึกคิดพิจารณา ทําใหเกิดจินตภาพ และมโนภาพตางๆ ขึ้นมา โดยมีการทํา
หนาที่รับรู เสพ เสวยผลแหงอารมณนั้นๆ ยอมเกิดและดับไปตามลําดับ๒๔
เมื่อนั บ ตลอดทั้งสองช ว ง คือ ตั้ งแต อดี ต ภวั งคจุ ด เริ่ ม มาจนจบวิ ถี จิ ตรวม
ทั้งหมดเปน ๑๗ ขณะจิต๒๕
จิตตุปปาทะ คือ จิตที่เกิดขึ้นพรอมกับเจตสิกที่ประกอบรวม
ขณะ คือ จิตเกิดขึ้นดวงหนึ่งก็นับเปนขณะหนึ่ง เรียกวา ขณะจิต
จิตที่เกิดขึ้นดวงหนึ่งๆ นั้นยังแบงไดเปน ๓ อนุขณะ คือ อุปาทขณะ
(ขณะที่จิตเกิดขึ้น) ฐีติขณะ(ขณะที่จิตตั้งอยู) ภังคขณะ(ขณะที่จิตนั้นดับไป)
อนึ่ง จิต ๑๗ ขณะเทากับอายุของรูปธรรม ๑ รูป คือ จิตเกิดดับไป
๑๗ ขณะ รู ปจึงดั บไปหนหนึ่ ง หรื อกลาวอีกนั ยหนึ่ งวา รูปแต ละรูป มีอายุ
เทากับจิตเกิดดับไป ๑๗ ขณะ ดังนั้ นรูปแตละรูปจึงมีอายุเทากับ ๕๑ อนุ
ขณะ คือ เปนอุปาทขณะ ๑ อนุขณะ เปนฐีติขณะ ๔๙ อนุขณะและเปนภังค
๒๓
พระสัทธัมมโชติกะธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๓, ๗, หนา ๑๗.
๒๔
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๗๖๔-๗๖๘.
๒๕
เรื่องเดียวกัน, หนา ๓๗๘. พระอนุรุทธะและพระญาณธชนะ, อภิธัมมัตถ
สังคหะและปรมัตถทีปนี, หนา ๓๙๖., ๓๘๕-๓๘๖.
๗๖๓
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ขณะ ๑ อนุขณะ ดังนั้นจึงเห็นไดวา อุปาทขณะของจิตกับอุปาทขณะของรูป
มี ๑ อนุขณะเทากัน ภังคขณะของจิตกับภังคขณะของรูปก็เทากันอีก
สวนฐีติขณะของจิตมี ๑ อนุขณะ แตฐีติขณะของรูปนั้นมีถึง ๔๙ อนุ
ขณะ รูปจึงมีอายุยืนยาวกวาจิตมาก รูปธรรมทั้งหมดมี ๒๘ รูป แตรูปที่มี
อายุ ๑๗ ขณะจิตมีเพียง ๒๒ รูป สวนอีก ๖ รูป คือ วิญญัติรูป ๒ ลักขณะรูป
๔ มีอายุไมถึง ๑๗ ขณะจิต เพราะวิญญัติรูป ๒ เกิดพรอมกับจิตและดับไป
พรอมกับจิต จึงมีอายุเทากับอายุของจิตดวงเดียว คือ ๓ อนุขณะเทานั้น
สวนลักขณะรูป ๔ อุปจยรูป และสันตติรูป เปนรูปที่อุปาทขณะ มี
อายุเพียง ๑ อนุขณะเทานั้น ไมถึง ๕๑ ขณะ
ชรตารูป เปนรูปที่ฐีติขณะมีอายุ ๔๙ อนุขณะเทานั้นไมถึง ๕๑ ขณะ
อนิจจตารูป เปนทีภ่ ังคขณะมีอายุเพียง ๑ อนุขณะ ไมถึง ๕๑ ขณะ
เป น อัน ว าลั กขณะรู ป ทั้ง ๔ นี้ แต ล ะรู ป มี อายุ ไมถึง ๕๑ อนุ ขณะ
แมแตสักรูปหนึ่ง
ปญจทวารวิถี กับ มโนทวารกามวิถี
ปญจทวารวิถี กับมโนทวารกามวิถี ตางก็เปนวิถีที่มีกามธรรมเปน
อารมณ เปนกามวิถีดวยกันทั้งคู แตวามีความแตกตางกันหลายประการ คือ
ปญจทวารวิถี มโนทวารกามวิถี
๑. ตองมีอตีตภวังคเสมอไป ไมมี
๒. มีวิสยัปปวัตติ ๔ คือ มีวสิ ยัปปวัตติเพียง ๒ คือ
ก. อติมหันตารมณ ข. มหันตารมณ ก. วิภูตารมณ
ค. ปริตตารมณ ง. อติปริตตารมณ ข. อวิภูตารมณ
๓. อาศัยเกิดได ๕ ทวาร เกิดไดเฉพาะแตมโนทวารทางเดียว
อาศัยเฉพาะหทยวัตถุเกิดแตอยาง
๔. อาศัยวัตถุ ๕ เกิด
เดียว หรือ มิฉะนั้นก็ เกิดโดยไมตอง
อาศัยวัตถุใดๆ เลย
๗๖๔
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
๗๖๕
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
อัปปนาวิถี
อัปปนา แปลวา ทําลาย คือ ทําลายกิเลส มีนิวรณเปนตน หมายถึง
จิตที่แนบแนนอยูในอารมณเดียว ถาเคยไดอัปปนาจิตในอารมณใด เมื่อจิต
ดวงนั้นเกิดขึ้นอีกขณะใดก็จะตองมีอารมณอยางนั้นเสมอไป ไมเปลี่ยนแปลง
เปนอารมณอยางอื่นเลย
อัปปนาจิต คือ จิตที่แนบแนนอยูในอารมณเดียวโดยเฉพาะ ไดแก
จิต ๓๕ ดวง (พิสดาร ๖๗) คือ มหัคคตจิต ๒๗ โลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐
ส ว น อัป ปนาวิ ถี คือ วิ ถีจิ ต ที่ มีอั ป ปนาจิ ต อยู ใ นวิ ถี นั้ น ได แก จิ ต
๒๖ ดวง (พิสดาร ๕๘) คือ มหัคคตกุสลจิต ๙ มหัคคตกิริยาจิต ๙ โลกุตตร
จิต ๘ หรือ ๔๐
อั ป ปนาชวนะ คื อ ชวนจิ ต ที่ แ นบแน น อยู ใ นอารมณ เ ดี ย ว
โดยเฉพาะ ไดแก จิต ๒๖ หรือ ๕๘ เทากัน และเหมือนกันกับอัปปนาวิถีจิต
นั่นเอง เพราะชวนะเปนจิตที่อยูในวิถี
อั ป ปนาวิ ถี หรื อ อั ป ปนาชวนะเกิ ด ได ท างมโนทวารวิ ถี ท างเดี ย ว
เทานั้น ไมเกิดทางปญจทวารวิถีเลย
อัปปนาวิถี เปนมโนทวารวิถีก็จริง แตไมจําแนกเปนวิภูตารมณวิถี
และอวิภูตารมณวิถี เหมือนอยางมโนทวารกามวิถี เพราะอัปปนาวิถีมีแตวิภู
ตารมณวิถอี ยางเดียว ดวยเหตุวา ถาอารมณนั้นไมชัดเจนแจมแจงจริงๆ แลว
อัปปนาชวนะจะเกิดไมไดเลย โยจําแนกไดเปน ๒ ประเภท คือ โลกียอัปปนา
วิถี โลกุตตรอัปปนาวิถี ดังนี้
โลกียอัปปนาวิถี
โลกี ย อัป ปนาจิ ต ได แก มหั ค คตจิ ต ทั้ง ๒๗ ดวง แต โ ลกีย อั ป ปนา
วิถี ไดแกมหัคคตชวนจิต ๑๘ ดวง (มหัคคตกุสลจิต ๙ มหัคคตกิริยาจิต ๙)
เทานั้น สวนมหัคคตวิบากจิตอีก ๙ ดวงนั้นไมนับเปนโลกียอัปปนาวิถี เพราะ
เปนจิตที่พนวิถแี ละไมนับเปนโลกียอัปปนาชวนะ เพราะไมไดทําชวนกิจ
๗๖๖
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
โลกียอัปปนาวิถีนี้ กลาวอีกนัยหนึ่งก็คือ วิถีจติ ที่ไดฌาน ที่ถึงฌาน ที่
ฌานจิตเกิด (ทั้งนี้ หมายเฉพาะฌานจิตที่เปนกุสลและกิริยาเทานั้น ยกเวน
ฌานจิตที่เปนวิบาก เพราะเปนจิตที่พนวิถ)ี
ผูที่ไดปฐมฌานเปนครั้งแรก ก็ดี ไดทุติยฌานเปนครั้งแรก ก็ดี ตลอด
จนถึงไดเนวสัญญานาสัญญายตนฌานเปนครั้งแรกก็ดี วิถีจิตที่ฌานจิตนั้นๆ
เกิดเปนครั้งแรก เรียกวา อาทิกัมมิกฌานวิถี ดังนี้
อาทิกัมมิกฌานวิถี ของมันทบุคคล (ผูรูชา)
กามชวนะ โลกียอัปปนาชวนะ
ภวังคจิต
มหากุสลญาณสัมปยุตต ๔ กุสลฌานจิต
น ท มโน ปริ อุป อนุ โค ฌ ภ
ชวนจิต ชวนจิต
ความหมายของอักษรยอ
ตี = อตีตภวังค, น = ภวังคจลนะ,
ท = ภวังคุ ปจเฉทะ, ป = ปญจทวาราวัชชนะ,
วิ = ปญจวิญญาณ, สํ = สัมปฏิจฉันนะ,
สัน = สันตีรณะ, ๆ วุ = โวฏฐัพพนะ,
ช = ชวนะ, ต = ตทาลัมพนะ,
ภ = ภวังค, มโน = มโนทวาราวัชชนะ
อาทิกัมมิกฌานวิถี ของติกขบุคคล(ผูรูเร็ว)
กามชวนะ โลกียอัปปนาชวนะ
ภวังคจิต
มหากุสลญาณสัมปยุตต ๔ กุสลฌานจิต
น ท มโน อุป อนุ โค ฌ ภ
ชวนจิต ชวนจิต
ความหมายของอักษรยอ น=ภวังคจลนะ,ท=ภวังคุปจเฉทะ,มโน=
มโนทวาราวัชชนะ,บริ=บริกรรม,อุป=อุปจาระ,อนุ=อนุโลม,โค=โคตรภู
ฌ= ฌานจิต
๗๖๗
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
โคตรภูในโลกียอัปปนาวิถีนี้ หมายถึงโอนโคตรหรือตัดจากโคตร
กาม ไปเปนโคตรพรหม อาทิกัมมิกฌานวิถีคือวิถีจิตที่ฌานจิตนั้นๆ เกิดเปน
ครั้งแรกนี้ ฌานจิตจะเกิดเพียงขณะเดียวหรือดวงเดียวเทานั้นเอง ตอเมื่อมี
วสี (มีความชํานาญ)แลว จึงจะเกิดไดหลายขณะ
โลกุตตรอัปปนาวิถี
โลกุตตรอัปปนาวิถี คือ วิถีจิตที่มีโลกุตตรจิตในวิถีนั้น โลกุตตรจิต
เปนจิตที่แนบแนนแนวแนในพระนิพพานเปนอารมณแตอยางเดียวเทานั้น
จะมีอารมณเปนอยางอื่นไมได
โลกุตตรอัปปนาวิถี ไดแก โลกุตตรจิต (มัคคจิต ๔ ผลจิต ๔)
ติเหตุกบุคคลเจริญวิปสสนาจนบรรลุมรรคผล วิถีจิตที่ถึงมรรค ถึง
ผลนั้นเรียกวา มรรควิถี ดังนี้
มัคควิถีของมันทบุคคล(ผูรูชา)
กามชวนะ อัปปนาชวนะ
มหากุสลญาณสัมปยุตต ๔ โลกุตตรจิต ๘
น ท มโน บริ อุป อนุ โค มัคค ผล ผล ภ
มโน บริ อุป อนุ มีไตรลักษณแหงรูปนามเปนอารมณ
โค มัคค ผล ผล มีนิพพานเปนอารมณ
มรรควิถีของติกขบุคคล(ผูรูเร็ว)
กามชวนะ อัปปนาชวนะ
มหากุสลญาณสัมปยุตต ๔ โลกุตตรจิต ๘
น ท มโน อุป อนุ โค มัคค ผล ผล ผล ภ
มโน อุป อนุ มีไตรลักษณแหงรูปนามเปนอารมณ
โค มัคค ผล ผล ผล มีนิพพานเปนอารมณ
ในมัคควิถี ไมวาจะเปนมันทบุคคล(ผูรูชา) หรือติกขบุคคล(ผูรูเร็ว)
มัคคจิตก็เกิดขณะเดียวเทานั้น
๗๖๘
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
มัน ทบุ ค คล อนุ โ ลมญาณเกิด ๓ ขณะ โคตรภู ญ าณเกิ ด ๑ ขณะ
มัคคญาณเกิด ๑ ขณะ, ผลญาณเกิด ๒ ขณะ รวมเปนชวนะ ๗ ขณะ
อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ มัคคญาณ ผลญาณ
น ท มโน บริ อุป อนุ โค มัคค ผล ผล
ติกขบุคคล อนุโลมญาณเกิด ๒ ขณะ โคตรภูญาณเกิด ๑ ขณะ มัคค
ญาณเกิด ๑ ขณะ ผลญาณเกิด ๓ ขณะ รวมชวนะ ๗ ขณะเหมือนกัน
อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ มัคคญาณ ผลญาณ
น ท มโน อุป อนุ โค มัคค ผล ผล ผล ภ
๗๖๙
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ข. กลาวโดยอารมณของแตละวิถี ในวิถีเดียวกันนั้นเอง อัปปนาวิถีมี
อารมณไดมากกวา ๑ เชน ในมัคควิถีวิถีจิตตอนตนๆ คือ มโนทวาราวัชชนะ
บริกรรม อุปจาระ อนุโลม มีไตรลักษณแหงรูปนามเปนอารมณ วิถีจิตตอน
หลังๆ คือ โคตรภู มัคคจิต ผลจิต มีนิพพานเปนอารมณ
กามวิถี กับ อัปปนาวิถี
กามวิถีกับอัปปนาวิถี มีความแตกตางกันหลายประการ
กามวิถี อัปปนาวิถี
๑. ไมไดแนบแนนอยูในอารมณ แนบแนนอยูในอารมณเดียว
เดียว โดยเฉพาะ โดยเฉพาะ
๒. เกิดไดทั้งทางปญจทวารวิถีและ เกิดไดทางมโนทวารวิถีทางเดียว
มโนทวารวิถี
๓. มีอารมณไดทั้ง ๖ มีไดเฉพาะธัมมารมณ คือ อากาสา
นัญจายตนกุสล ๑, -กิริยา ๑,
อากิญจัญญายตนกุสล ๑, -กิริย ๑,
บัญญัติและนิพพานเทานัน้
๔. มีไดทั้งอดีตอารมณ อนาคต มีเฉพาะอดีตอารมณ และกาลวิมุตติ
อารมณ ปจจุบนั อารมณ และกาล อารมณเทานั้น
วิมุตติอารมณ
๕. อาศัยวัตถุ ๖ เกิด (เฉพาะหทย อาศัยเฉพาะหทยวัตถุเกิดแตอยาง
วัตถุ บางทีกไ็ มตองอาศัย) เดียว หรือไมตองอาศัยวัตถุเลย
๖. แยกประเภทมโนทวารวิถีเปน ไมแยกเปน ๒ ประเภท เพราะมีแต
๒ คือ วิภูตารมณวิถี และอวิภูตา วิภูตารมณนั้นอยางเดียว ดวยเหตุ วา
รมณวิถี ถาอารมณนั้นไมชัดเจนแจมแจงจริงๆ
แลวอัปปนาชวนะก็เกิดไมไดเลย
๗. อาจมีถึงตทาลัมพนะได ไมมีตทาลัมพนะเลย
๘. มีชวนะอยางมากไดเพียง ๗ ชวนะเกิดไดตั้งแต ๑ ขณะขึ้นไปจน
๗๗๐
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
มากมายถึงนับประมาณไมได
๙. มีเวทนาไดทั้ง ๕ มีเวทนาไดเพียง ๒ คือ โสมนัส
กับ อุเบกขาเทานั้นเอง
๑๐. มีทั้ง อสังขาริก และสสังขาริก มีแต สสังขาริก อยางเดียว
๑๑. มีสัมปยุตตไดทั้ง ๕ คือ มีเฉพาะแต ญาณสัมปยุตต
ทิฏฐิ.. ปฏิฆ.. วิจิกิจฉา.. อุทธัจจ.. อยางเดียว เทานั้น
และ ญาณสัมปยุตต
๑๒. มีทั้ง โสภณะ และอโสภณะ มีโสภณะ แตอยางเดียว
๑๓. มีเฉพาะโลกีย แตอยางเดียว มีทั้งโลกีย และโลกุตตร
๑๔. ไมมีแมแต มหัคคตจิต มีทั้งมหัคคต และโลกุตตร
๑๕. มีทั้งจิตที่เปน กุสล อกุสล ไมมีจิตที่เปนอกุสลเลย
วิบาก และกิริยา
๑๖. มีทั้งการสั่งสมกิเลส และ ไมมีการสั่งสมกิเลสเลย มีแตการ
ทําลายกิเลส แตการทําลายกิเลส ก็ ทําลายกิเลสถายเดียว และทําลายอยาง
ทําลายเพียงชั่วขณะที่เรียกวา ตทังค วิกขัมภณะ ตลอดจนอยางสมุจเฉท ให
เทานั้น หมดสิ้นสูญเชื้อไปเลย
๑๗. เกิดไดแกบุคคลทั่วไป ไมวา เกิดไดเฉพาะ ติเหตุกบุคคล เทานั้น
จะเปนทุคคติบุคคล สุคติบุคคล ทวิ
เหตุกบุคคล ตลอดจน ติเหตุกบุคคล
๑๘. เกิดไดในภูมิทั้ง ๓๐ เว เกิดไดในภูมิเพียง ๒๖ ภูมิ
นอสัญญสัตตภูมิ ภูมิเดียวเทานัน้ (เวนอบายภูมิ ๔ อสัญญสัตตภูมิ ๑)
๑๙. มีวิถีจิตอยางมากไดถึง ๗ มีวิถีจิตเพียง ๒ อยางเทานั้น คือ
อยาง คือ อาวัชชนจิต ๑ ปญจ อาวัชชนจิต ๑ และชวนจิต ๑
วิญญาณจิต ๑ สัมปฏิจฉันนจิต ๑
สันตีรณจิต ๑ โวฏฐัพพนจิต ๑
ชวนจิต ๑ ตทาลัมพนจิต ๑
๒๐. เกิดจากภวังคจิตไดทั้ง ๑๙ เกิดจากภวังคจิตเพียง ๑๓ ดวง คือ
๗๗๑
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
อภิญญาวิถี
อภิญญา แปลวา รูยิ่ง รูพิเศษ เปนจิตที่มีความรูอันยิ่งใหญ มีอํานาจ
สามารถที่จะบันดาลใหเกิดสิ่งที่ตนปรารถนาได ตองใชรูปาวจรปญจมฌาน
กุสล หรือรูปาวจรปญจมฌานกิริยาที่ไดมาจากกสิณเปนบาทใหเกิดอภิญญา
จิต ดังนั้น อภิญญานี้จึงมีไดแตในภูมิที่มีขันธ ๕ เพราะตองทําดวยรูปฌาน
อภิญญาตองอาศัยรูปาวจรฌานเปนบาทใหเกิดขึ้น มี ๕ ประการคือ
๑. บุพเพนิวาสานุสสติ ระลึกชาติกอนที่เคยเกิดมาแลวได
๒. ทิพพจักขุ หรือจุตูปปาตญาณ (ตาทิพย) สามารถเห็นเหตุการณ
ไกลๆ ที่ไปไมถึงได และรูจุต-ิ ปฏิสนธิของสัตวทงั้ หลาย
๓. ปรจิ ต ตวิ ช ชานน หรื อ เจโตปริ ย ญาณ รู จั ก จิ ต ใจของผู อื่ น ได
๔. ทิพพโสต คือ หูทิพย สามารถฟงเสียงที่ไกลๆ ได
๕. อิทธิวิธ แสดงอิทธิฤทธิตางๆ ได
ผูจะทําอภิญญาได ตองเปนผูมีลักษณะดังตอไปนี้ คือ
๑. ไดสมาบัติทั้ง ๘ คือ ไดทั้งรูปฌานสมาบัติ และอรูปฌานสมาบัติ
โดยครบถวน
๗๗๒
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
๒. ต อ งได ทํ า การฝ ก ฝนอบรมเป น พิ เ ศษอี ก ๑๔ นั ย เพื่ อ ให ไ ด
อภิญญา และตองแคลวคลองวองไวดวย (กระบวนการอบรมเปนพิเศษ ๑๔
นั ย นั้ น แสดงไว ใ นปริ จ เฉทที่ ๙) เมื่ อฌานลาภี บุ ค คลผู มี ลั กษณะดั ง กล า ว
ปรารถนาจะทําอภิญญาอยางใดอยางหนึ่ง ตองกระทําดังนี้ คือ
๑. ตองเขารูปาวจรปญจมฌานกอน เพื่อเปนบาทใหจิตมีกําลังกลา
แข็ง ซึ่ง เรียกชื่อวา ปาทกฌานวิถี วิถีจิตเปนดังนี้
ภ น ท มโน ปริ อุป อนุ โค ฌ ฌ ฌ ฌ ฌ ภ
๒. แลวก็อธิษฐาน คือ ตั้งความปรารถนาอันแนวแนมั่นคง อยางแรง
กลาวาประสงคอภิญญาอยางใด ซึ่งเรียกชื่อวาอธิฏฐานวิถี (เปนกามวิถ)ี ดังนี้
ภ น ท มโน ช ช ช ช ช ช ช ภ
๓. ต อ จากนั้ น ก็เ ขา รู ป าวจรป ญจมฌานอีก เรี ย ก ปาทกฌานวิ ถี
เหมือนกัน วิถีจิตเปนดังนี้ ภ น ท มโน ปริ อุป อนุ โค ฌ ฌ ฌ ฌ ฌ ภ
๔. ลําดับสุดทาย อภิญญาจิตก็จะเกิดขึ้นตามความปรารถนาที่ได
อธิษฐานนั้น วิถนี ี้จะเกิดอภิญญาจิตขณะเดียวเทานั้น ดังนี้
ภ น ท มโน ปริ อุป อนุ โค อภิญญา ภ
ขณะที่อภิญญากําลังเกิดอยูนั้น มโนทวารวิถีที่เกิดตอจากอภิญญา
วิถีนั้น เปนมหากุสล หรือมหากิริยา ตามควรแกบุคคลที่แสดงอภิญญา และ
เปนกามชวน มโนทวารวิถี
หากกระทําดังกลาวแลวแตอภิญญายังไมเกิด ก็ตองตั้งตนเริ่มทํามา
ตั้งแตตนใหมอีก จนกวาอภิญญาจิตจะเกิด
อนึ่ ง จะเห็ น ไดว าบุ คคลที่แสดงอภิ ญญาไดก็ด ว ยอํานาจแห งการ
เจริญสมถภาวนาจนไดสมาบัติทั้ง ๘ เชนนี้เรียกวา ปฏิปทาสิทธิฌาน (สําเร็จ
ถึงซึ่งฌานดวยการปฏิบัติ) แตยังมีบุคคลอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งในชาตินั้นไมเคย
เจริญสมถภาวนา เปนแตเจริญวิปสสนาภาวนาอยางเดียว แตพอบรรลุมรรค
ผลก็ ถึ ง พร อ มซึ่ ง ฌานต า งๆ ด ว ย จนถึ ง แสดงอภิ ญ ญาได ก็ มี อย า งนี้
เรียกวา มัคคสิทธิฌาน (ไดฌานดวยอํานาจแหงมรรค)
๗๗๓
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
๒. โคตรภูญาณ
ปญญาในการออกและหลีกไปจากนิมิตภายนอก ชื่อวา โคตรภูญาณ
(ญาณครอบโคตร)๒๖ โดยตัดขาดจากโคตรปุถุชน เขาสูโคตรของพระอริยะ๒๗
ปญญาที่ทําลายโคตรปุถุชนแลวเขาสูโคตรพระอริยเจา๒๘ปญญาที่
ทําลายโคตรของปุถุชน เปนปญญาที่ไมแลนไปสูความเปนไปของรูปนาม แต
แลนไปสูญาณที่มีนิพพานเปนอารมณ คือ ยางเขาสูโคตรของพระอริยเจา๒๙
รูปนามพรอมทั้งจิตที่รูดับลงไป สงบเงียบไป หนวงพระนิพพานเปน
อารมณ ณ ตรงที่เริ่มขาดความรูสึกวินาทีแรก จัดเปนโคตรภูญาณ ทรงอยู
เพียง ๑ ขณะจิตเทานั้น มีพระบาลีรับรองไววา
๑. อุปฺปาทํ อภิภุยฺยตีติ โคตฺรภู ปญญาที่ครอบงําความเกิดเรียกวา
โคตรภูญาณ
๒. ปวตฺตํ อภิภุยฺยตีติ โคตฺรภู ปญญาที่ครอบงําความเปนไปของรู ป
นาม เรียกวา โคตรภูญาณ
๓. พหิทฺธาสงฺขารนิมิตฺตํ อภิภุยฺยตีติ โคตฺรภู ปญญาที่ครอบงํารูป
นามภายนอก เรียกวา โคตรภูญาณ
๔. อนุปฺปาทํ ปกฺขนฺทตีติ โคตฺร ภู ปญญาที่แลน ไปสูความเกิด ขึ้น
ของรูปนาม เรียกวา โคตรภูญาณ๓๐
อนุโลมญาณและโคตรภูญาณเกิดขึ้นติดตอสืบเนื่องในวิถีจิตเดียวกัน
อนุโลมญาณจะเกิดขึ้นกอน ๒ หรือ ๓ ครั้ง เพื่อใหจิตแข็งแกรงขับไลโมหะ
(ที่ปดบังปญญาไมใหรูเห็นอริยสัจ ๔) ออกไป ดวยการกําหนดรูสังขารโดย
๒๖
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑/[๑๖], ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๑๐/๖๘.
๒๗
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก าณสิทฺธิ ป.ธ.๙), คูมือสอบอารมณ
กรรมฐาน, หนา ๖๒.
๒๘
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ: วิปสสนากรรมฐาน,๒๕๕๙, หนา ๒๑๖.
๒๙
พระธรรมธีรราชมุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ): วิปสสนากรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๓,
(กรุงเทพมหานคร: บริษัท ประยูรวงศพริ้นทติ้ง จํากัด, ๒๕๕๔),หนา,หนา ๖๐๘.
๓๐
พระธรรมธีรราชมหามุนี , คูมือสอบอารมณกรรมฐาน, หนา ๖๒.
๗๗๔
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
พระไตรลักษณอยา งใดอยา งหนึ่งเปน อารมณ แลว ผา นไป จากนั้น โคตร
ภูญาณก็เกิดขึ้นทําพระนิพพานเปนอารมณ ครอบงําขามพนโคตรปุถุชน๓๑
ปุถุชน แปลวา ชนผูหนา มีความหมาย ๙ อยาง คือ
๑. ผูมีกิเลสหนาดวยประการตางๆ ไดแกมี สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาส เปนตน
๒. ผูหนาดวยคติทั้ง ๕ ผูไมออกจากคติทั้ง ๕ อันหนา
๓. ผูสรางสังขารขันธอันหนาทั้ง ๓
๔. ผูถูกโอฆะอันหนาทั้ง ๔ พัดไป
๕. ผูเรารอนดวยความเรารอนอันหนา
๖. ผูกําหนด ชอบใจ ติดใจ ของ จม หลง พัวพันอยูในกามคุณทั้ง ๕
อยางแนนหนา
๗. ผูถูกนิวรณ ๕ อันหนาครอบงําทวมทับหุมหอปกปดไวใหมิด
๘. ผูหยั่งลงสูธรรมอันต่ําสูมารยาทอันต่ํา ผูหันหลังใหอริยธรรม
๙. ผูปราศจากสารธรรมทั้ง ๕ ๓๒
คัมภีรอรรถกถาอธิบายไวหลายความหมาย เชน ชื่อวา ปุถุชนเพราะ
เปนผูที่ยังมีกิเลส เพราะเปนผูที่ไมเชื่อถือในพระศาสดา เพราะมีกําหนัดติด
ใจ ลุมหลง มัวเมาในกามคุณเปนอันมาก เพราะไมมีการศึกษาธรรมะและ
ปฏิบัติธรรมถึงการบรรลุมรรคผล และเพราะการเปนอยูที่แตกตางจากพระ
อริยะทั้งหลาย ดังขอความวา “ปุถุ นานาโอเฆหิ วุยฺหนฺตีติ ปุถุชฺชนา แปลวา
ชื่อวาปุถุชน เพราะถูกโอฆะกิเลสตางๆ เปนอันมากพัดพาไป”๓๓
ชื่อวา ปุถุชน เพราะอรรถวา ยังกิเลสอันหนาแนนใหเกิด
ชื่อวา ปุถุชน เพราะอรรถวา มีสักกายทิฏฐิที่ยังไมไดกําจัด ยังหนา
ชื่อวา ปุถุชน เพราะอรรถวา ปฏิญาณตอพระศาสดามาก
ชื่อวา ปุถุชน เพราะอรรถวา อันคติทั้งปวงรอยรัดไวมาก
๓๑
ธนิต อยูโพธิ,์ วิปสสนานิยม, หนา ๒๒๘.
๓๒
พระธรรมธีรราชมุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ):๒๕๕๔),หนา ๖๐๑-๖๐๒.
๓๓
ขุ.ม. (บาลี) ๒๙/๕๑/๑๒๓, ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๕๑/๑๗๙.
๗๗๕
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ชื่อวา ปุถุชน เพราะอรรถวา ผูอันอภิสังขารตางๆ ปรุงแตงไวมาก
ชื่อวา ปุถุชน เพราะอรรถวา ผูลอยไปตามโอฆกิเลสตางๆ มาก
ชื่อวา ปุถุชน เพราะอรรถวา ผูเดือดรอนดวยความเดือนรอนตางๆ
ชื่อวา ปุถุชน เพราะอรรถวา ผูเรารอนดวยความเรารอนตางๆ มาก
ชื่อวา ปุถุชน เพราะอรรถวา ผูกําหนัด ปรารถนา ยินดี ติดใจ ลุม
หลง ของเกียว เกียวพัน พัวพัน ในกามคุณ ๕ มาก
ชื่อวา ปุถุชน เพราะอรรถวา อันนิวรณ ๕ รอยรัด ปกคลุม หุมหอ
ปดบัง ปกปด ครอบงําไวมาก๓๔
คัมภีรอรรถกถาปฏิสัมภิทามรรคอธิบายวา ชื่อวาปุถุชน เพราะยัง
กิเลสหนาใหเกิดขึ้น เพราะกําจัดสักกายทิฏฐิอันหนาไมได เพราะเห็นแกหนา
ของศาสดาทั้งหลายเปนอันมาก เพราะรอยรัดไวดวยคติตางๆ เปนอันมาก
เพราะปรุงแตงอภิสังขารตางๆ มาก เพราะถูกหวงคือกิเลสตางๆ มากพัดพา
ไป เพราะเดือดรอนดวยความเดือดรอนตางๆ เปนอันมาก เพราะถูกความ
เรารอนตางๆ เปนอันมากเผาผลาญ เพราะกําหนัดอยากยินดี สยบ ซบ ติด
คลองพัวพันในกามคุณ ๕ เปนอันมาก เพราะกั้น ลอม ขัดขวาง ปด ปกปด
ครอบดวยนิวรณ ๕ เปนอันมาก
อีกอยางหนึ่ง ชื่อวา ปุถุชน เพราะเปนชนมีความประพฤติธรรมต่ํา
หยั่งลงในภายใน มีการเบือนหนาจากอริยธรรม จะเลยการนับครั้งที่หนึ่งเปน
อั น มาก หรื อ เพราะชนนี้ ม ากแยกพวกออกไปไม ส มาคมกั บ พระอริ ย ะผู
ประกอบด ว ยคุ ณ มี ศี ล และสุ ต ะเป น ต น พระพุ ท ธเจ า ตรั ส ถึ ง ปุ ถุ ช นไว ๒
จําพวก คือ อันธปุถุชน ๑ กัลยาณปุถุชน ๑๓๕ ดังนี.้
ชื่อวา ปุถุช น ดวยเหตุ วา ยังทํา กิเลสมากมายใหเกิด อยางที่พระ
ธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระกลาวไววา ปุถุชนยังกิเลสมากมายใหเกิด เพราะ
ยังกําจัดสักกายทิฏฐิมากมายไมได เพราะสวนมากออกไปจากคติทั้งปวงไมได
๓๔
http://www.dhammahome.com/webboard/topic/6646 [๑๙
ธันวาคม ๒๕๕๗].
๓๕
อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค ชื่อวาสัทธัมมปกาสินี ในขุททกนิกายภาคที่ ๒
๗๗๖
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
เพราะสวนมากสรางบุญบาปตางๆ เพราะสวนมากถูกโอฆะตางๆ พัดไป ถูก
ความเดือนรอนใหเดือนรอน ถูกความเรารอนใหเรารอน กําหนัดยินดี รักใคร
สยบ หมกมุน ของ ติด พัวพัน อยูในกามคุณ ๕ เพราะถูกนิวรณ ๕ กางกั้น
กําบัง เคลือบ ปกปด ครอบงําหยั่งลงภายในชนจํานวนมาก ซึ่งนับไมถวน
ลวนแตเบือนหนาหนีอริยธรรม มีแตประพฤติธรรมที่เลวทราม๓๖
ปุถุชน คือคนที่ยังไมรูจักสิ่งที่ควรรูจัก แมจะตําตาอยูเสมอ คือ ไม
รูจักนิวรณทั้งหา อันไดแก ความครุนคิดในกาม - พยาบาท - หดหู - ฟุงซาน
- ลังเลในชีวิต วา เปนสิ่งที่ทาลายความสงบสุข หรือไมรูวา ความโลภ - โกรธ
- หลง นั้น เปนสิ่งที่นามาซึ่งทุกข, แลวก็ไม กลัว, จึงไดชื่อวา ปุถุชน คือ คนมี
ความหนา แหงไฝฝาในดวงตา๓๗
ปุถุชนแบงออกเปน ๒ ประเภท ไดแก
๑. อันธปุถุชน คือ ชนผูหนา จนไดนามวาคนบอด หมายถึง ทั้งบอด
ทั้ง หนา ได แก บุ ค คลที่ไ มไ ด เ รี ย น ไม ไ ด ส อบถาม ไม ได ฟง ไมไ ด จํ า ไม ไ ด
พิจารณาวิปสสนาภูมิทั้ง ๖ เชน ขันธ ๕ เปนตน
๒. กั ล ยาณปุ ถุ ช น คื อ คนที่ มี กิ เ ลสหนา แต ไ ด น ามว า เป น คนดี
เพราะไดเรียนรูไดพิจารณาวิปสสนาภูมิ ๖ ตั้งตนในศีล ๕ กัลยาณธรรม ๕๓๘
๒.๑ สภาวะโคตรภูญาณ
ญาณนี้ปรากฏทั้งในคัมภีรปฏิสัมภิทามรรค (ญาณที่ ๑๐) และใน
คัมภีรวิสุทธิมรรค คือ สภาวะจิตของผูปฏิบัติไดมีนิพพานเปนอารมณ ขาม
พนโคตรปุถุชนบรรลุถึงอริยชนโดยไมหวนกลับมาอีก ความจริงญาณนี้แมมี
นิพพานเปนอารมณ แตก็ไมสามารถที่จะทําลายกิเลสได
คัมภีรวิสุทธิมรรคอธิบายวา ผูปฏิบัติที่มีอนุโลมญาณเกิดขึ้นแลว ได
ทําลายความกิเลสชนิ ด หนาๆ ที่ป ด บั งอริย สั จ จะอยู ให อันตรธานไป ตาม
สมควรแกกําลังของตน จิตของผูนั้นก็ไมแลนไปไมของ ไมติดในสังขารทั้งปวง
๓๖
สุมังคลวิลาสินี อรรถกถาทีฆนิกาย สีลขันธวรรควรรณนา
๓๗
พุทธทาสภิกขุ, มรดกที่ขอฝากไว , หนา ๔๗.
๓๘
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ: วิปสสนากรรมฐาน,๒๕๕๙, หนา ๒๑๗.
๗๗๗
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
แตถอยกลั บ วกกลั บ เหมือนหยาดน้ํ ากลอกกลิ้ งกลั บ จากใบบั ว นิ มิต (คื อ
สังขาร) ที่เปนอารมณทั้งปวงก็ดี ความเปนไป(ของสังขาร) ที่เปนอารมณทั้ง
ปวงก็ดี ยังปรากฏโดยเปนสิ่งขัดขวางอยูในทันที เมื่ออารมณ(นิมิตและความ
เปนไปของสั งขาร)ปรากฏขัดขวางอยูนั้น ณ ตอนทายสุดแหงอาเสวนะ๓๙
ของอนุโลมญาณ โคตรภูญาณที่เปนญาณถึงยอด (เปนที่สุดของวิปสสนา)ก็
เกิ ด ขึ้ น ทํ านิ โ รธ (คื อพระนิ พ พานอั น ปราศจากสั งขาร ไม มี นิ มิ ต)ให เ ป น
อารมณ ขามพนโคตรปุถุชน กาวลงสูภูมิพระอริยะ ซึ่งเปนการรําพึงถึงครั้ง
แรกในอารมณพระนิพพาน ทําใหสําเร็จความเปนปจจัยของอริยมรรค โดย
อาการไมหวนกลับมาอีก ซึ่งเปนญาณทีท่ านกลาวระบุถึง ไววา
“ปญญาในการหวนกกลับดวยการออกจากสังขารภายนอก เรียกวา
โคตรภูเพราะครอบงําความเกิดขึ้น ความเปนไป ความคับแคนใจ (ของ
สังขารทั้งหลาย) เพราะครอบงํานิมิตคือสังขารภายนอก เพราะแลนไปสู
ความไมเกิดขึ้น แลนไปสูความไมเปนไป ฯลฯ สูความไมคับแคนใจ สูนิโรธ
สูพระนิพพาน เรียกวา โคตรภู เพราะครอบงําความเกิดขึ้น (ของสังขาร)
แลวแลนไปสูความไมเกิดขึ้น (คือนิพพาน)”๔๐
โคตรภูญาณ เปนชื่อของปญญาที่เกิดในมรรควิถี โดยรับนิพพาน
อารมณเปนครั้งแรก และปญญานี้ยังเกิดในมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต ซึ่ง
เปนกุศลจิตฝายโลกียอยู กลาวคือ ยังเปนกามาวจรกุศลธรรมอยู
โคตรภูญาณ เปนวิปสสนาญาณที่ ๑๓ ซึ่งสามารถรับรูพระนิพพาน
เปนอารมณไดเปนครั้งแรก และสามารถทําลายโคตรแหงความเปนปุถุชนได
โดยสิ้นเชิง ปญญายอมนอมไปสูพระนิพพานฝายเดียว ไมมีการเหลียวแลไป
หาโลกี ย อ ารมณ คื อนามรู ป อี ก แต ป ระการใด โดยมี อ นุ โ ลมญาณเป น ตั ว
ทําลายหรือตัดขาดจากโลกียอารมณไดหมดสิ้นแลว แตอนุโลมญาณนั้นยังไม
สามารถรับรูพระนิพพานเปนอารมณไดเพียงแตเปนปจจัยสงตอใหโคตรภู
ญาณสามารถนอมไปรับรูพระนิพพานไดเทานั้น
๓๙
บริกรรม อุปจาร และอนุโลม
๔๐
พระพุทธโฆสเถระ รจนา: คัมภีรวิสุทธิมรรค,๒๕๖๐, หนา ๑๑๓๑-๑๑๓๒.
๗๗๘
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ถาปฏิบัติตอจนไดบรรลุถึงพระสกิทาคามี, พระอนาคามีและพระ
อรหันต เมื่อมาถึงญาณนี้ จะเรียกวา โวทานโคตร ไมเรียกวา โคตรภู เพราะ
ทานไดเคยปฏิบัติขามโคตรปุถุชนเปนอริยชนมากอนแลวในรอบแรก
อนึ่งโคตรภูญาณ ลักษณะการกําหนดนิพพานเปนอารมณของจิต
ดวงนี้ ไมเหมือนกับจิตดวงอื่นๆ เพราะวาจิตดวงอื่นๆนั้นอยูภายนอกอารมณ
แตจิตดวงนี้เมื่อปลอย (ละทิ้ง) อารมณที่เปนสังขารธรรมแลว ก็เหมือนกับ
แลนเขาสูนิพพานทันที๔๑ ดังตั ว อย างเช น คนที่ใช ไมค้ํายั น ลงไปในน้ํ าเพื่อ
ชวยพาตัวกระโดดจากเรือขามน้ําไปสูพื้นดิน โคตรภูญาณคือชวงขณะที่กําลัง
ลอยตัวอยูกลางอากาศ และกําลังทิ้งไมไผที่ใชค้ํายันกระโดด โดยที่ตัวเองยัง
ไมไดลงถึงพื้นดิน หากเปรียบเทียบกับการปฏิบัติ รูปนามคือไมค้ํายัน จิตคือ
คน สวนอารมณพระนิพพานคือฝงที่ลงไปถึง
ในโคตรภูญาณ อารมณที่ปรากฏกอนที่จะเคลื่อนเขาสูความดับของ
รูปนาม หรือ ทางเขาสูพระนิพพาน ๓ ประเภท มีดังนี้
(๑) รูปนามแสดงใหเห็นถึงความไมเที่ยง โดยการเกิดดับของรูปนาม
จะมีมาก, เร็ว และสั้นจนถึงที่สุด สําหรับผูที่เคยสะสมบารมีทางศีลมา
กอน เรียกวา เขาทางอนิจจัง ดวยการหลุดพนทาง อนิมิตตวิโมกข
(๒) รูปนามแสดงใหเห็นถึงความเปนทุกข โดยทุกขเวทนา(คัน แนน
หรือปวด) จะเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงที่สุด สําหรับผูที่เคยสะสมบารมี ทาง
สมาธิมากอน เรียกวา เขาทางทุกขัง ดวยการหลุดพนทาง อัปปณิหิตวิโมกข
(๓) รูปนามแสดงใหเห็นถึงความไมมีตัวตน โดยรูปนามจะแผวเบา
ละเอี ย ดจนถึ ง ที่ สุ ด สํ า หรั บ ผู ที่ เ คยสะสมบารมี ท างป ญ ญามาก อ น
เรียกวา เขาทางอนัตตาดวยการหลุดพนทาง สุญญตวิโมกข
ญาณนี้มีหนาที่โอนโคตรจากปุถุชนกาวสูความเปนอริยะ ทิ้งอารมณ
ที่เปนรูปนามไปรับนิพพานเปนอารมณ แตวาโคตรภูญาณยังเปนโลกิยะอยู
แตไปมีอารมณเปนนิพพาน จากนั้นก็จะเกิดมรรคญาณขึ้นมาเปนญาณที่ตัด
๔๑
พระโสภนมหาเถระ (มหาสี ส ยาดอ): วิ ป ส สนาชุ นี , พิ ม พ ค รั้ ง ที่ ๑,
กรุงเทพมหานคร: หางหุนสวนจํากัด ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๓, หนา ๕๗๑.
๗๗๙
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ขาดจากการรู ครั้งสุ ดทาย ไดแก อารมณและจิต ที่รู ทั้งหมดดับ ไป สงบไป
เงียบไปหมด สังขารทั้งหลายดับไป ดังที่พระสารีบุตรเถระอธิบายวา “เบื้อง
หนาแตนั้น โคตรภูจิตจึงหนวงเอาพระนิพพานเปนอารมณ ครอบงําเสียซึ่ง
โคตรปุถุชน บรรลุถึงความเปนพระอริยบุคคล อันนํามาซึ่งมรรคผล”๔๒
จิตเห็นพระนิพพาน ตัดขาดจากโคตรปุถุชนเปนโคตรอริยชน เมื่อจิต
หมดความอยาก (ไมมีตัณหา) จิตก็ปลอยวางอารมณทั้งปวง ถอยเขาหาจิตผูรู
อยางอัตโนมัติ เป นญาณที่รู เ ห็น พระนิ พพาน ตัด ขาดจากโคตรปุ ถุช นเป น
โคตรอริยชน เมื่อจิตหมดความอยาก(ไมมีตัณหา) จิตก็ปลอยวางอารมณทั้ง
ปวง ถอยเขาหาจิตผูรูอยางอัตโนมัติ มีความหมายวา เมื่อจิตของพระโยคี
ตั้งอยูแลวในอนุโลมญาณ ตอจากนั้นก็กาวขึ้นสูโคตรภูญาณ ทําหนาที่โอน
จากโคตรปุ ถุช น ที่ห นาแน นไปด วยกิเ ลส ไปสู โคตรอริ ยชนที่หางไกลจาก
กิเลส กลาวโดยวิถีจิต เมื่ออนุโลมชวนะ ซึ่งมีไตรลักษณคือความเกิดดับแหง
รูปนามเปนอารมณนั้นดับไปแลวก็เปนปจจัยใหเกิดโคตรภูจิต ยึดหนวงพระ
นิพพานเปนอารมณ นํามาซึ่งปญญาที่รูยิ่งในสันติลักษณะ คือพระนิพพาน
ตามลําดับแหงวิถีจิตที่ชื่อวามรรควิถี
สภาวะของญาณนี้ : มีหนาที่โอนโคตรจากปุถุชนกาวสูความเป น
อริยะ ในขณะนั้นจะทิ้งอารมณที่เปนรูป-นาม ไปรับนิพพานเปนอารมณ แต
วาโคตรภูญาณยังเปนโลกิยะอยู ตัวมันเองเปนโลกิยะ แตไปมีอารมณเปน
นิพพาน แลวจากนั้นก็จะเกิดมรรคญาณขึ้นมา เปนญาณที่ตัดขาดจากการรู
ครั้ ง สุ ด ท าย ได แก อารมณแ ละจิ ต ที่ รู ทั้ งหมดดั บ ไป สงบไป เงีย บไปหมด
สั งขารทั้ งหลายดั บ ไป เป น ป ญ ญาที่ รู เ ห็ น พระนิ พ พาน ตั ด ขาดจากโคตร
ปุถุชนเปนโคตรอริยชน เมื่อจิตหมดความอยาก (ไมมีตัณหา) จิตก็ปลอยวาง
อารมณทั้งปวง ถอยเขาหาวิญญาณขันธอยางอัตโนมัติ
คัมภีร อรรถกถาจูฬนิเทส อธิบายวา โคตรภูญาณเมื่อทํานิโ รธคือ
นิพพานใหเปนอารมณ กาวลวงโคตรปุถุชน หยั่งลงสูอริยโคตร เปนธรรมชาติ
นอมไปในนิพพานอารมณเปน ครั้งแรก เพราะญาณนี้ตกไปในกระแสแห ง
๔๒
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๙/๙๕.
๗๘๐
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
วิปส สนา จึงถึงการนับ วาเปน ปฏิ ปทาญาณทัสสนวิสุ ทธิ หรื อวิป สสนาเมื่อ
โคตรภูญาณกระทํานิพพานใหเปนอารมณดับไปแลว โสดาปตตมรรคซึ่งทํา
นิพพานใหเปนอารมณ โดยสัญญาที่โคตรภูญาณนั้นใหแลวกําจัดสังโยชนคือ
ทิฏ ฐิ สั งโยชน สี ลัพพตปรามาสสั งโยชน วิ จิ กิจ ฉาสั งโยชน ย อมเกิด ขึ้น ใน
ลําดับตอจากนั้น ผลจิตสองหรือสามขณะอันเปนผลแหงโสดาปตติมรรคนั้น
นั่นแหละยอมเกิดขึ้น เพราะผลจิตเปนวิบากในลําดับตอจากโลกุตรกุศล ใน
ที่สุดแหงผลจิต มโนทวาราวัชชนจิตยอมเกิดขึ้นเพื่อพิจารณามรรค
๒.๓ อํานาจของโคตรภูญาณ
๑) โคตรภูญาณเมื่อเกิดขึ้นแลว มีอํานาจในธรรม ๑๖ ประการ คือ
๑. ครอบงําความเกิดของรูปนามในภพนี้
๒. ครอบงําความเปนไปไมขาดสายของรูปนามที่เกิดขึ้นมาแลว
๓. ครอบงําสังขารนิมิต
๔. ครอบงํากรรมที่เปนเหตุใหถือในปฏิสนธิในภพตางๆ
๕. ครอบงําปฏิสนธิ
๖. ครอบงําคติทั้ง ๕
๗. ครอบงําความบังเกิดขึ้นแหงขันธทั้งหลาย
๘. ครอบงําอุปบัติ คือ ความเกิดเปนไปของวิบาก
๙. ครอบงําชาติ
๑๐. ครอบงําชรา
๑๑. ครอบงําพยาธิ
๑๒. ครอบงําความตาย
๑๓. ครอบงําความเศราโศก
๑๔. ครอบงําความพิไรรําพันบนเพอ
๑๕. ครอบงําความคับแคนใจ
๑๖. ครอบงําสังขารนิมิตในภายนอกที่เปนไปในสันดานตน๔๓
๔๓
พระสัทธัมมโชติก ะ ธัมมาจริยะ: วิปสสนากรรมฐาน, พิมพครั้งที่ ๗,
กรุงเทพมหานคร: หจก.ทิพยวิสุทธิ,์ ๒๕๕๙, หนา ๒๑๘-๒๒๐.
๗๘๑
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
อํานาจของโคตรภูญาณทั้ง ๑๖ ประการนี้ ยอมเปนไปเพื่ออุปการะ
ใหดําเนินเขาถึงพระนิพพาน และเปนปญญาที่ไดมาจากอนุโลมญาณ ซึ่งทํา
กิ จ ในสั ง ขารธรรม คื อ นามรู ป อั น เป น โลกี ย ะให ค ล อ ยตามสภาวะแห ง
อริยสัจจ ๔ เพื่อการปฏิบัติในอริยสัจจ ๔ นั้นไดถูกตอง โดยไมขัดแยงกัน
๒) การนําอํานาจของโคตรภูญาณมาจําแนกลักษณะไว ๓ นัย
นัยยะที่ ๑ ครอบงําการเกิด ทั้ง ๑๖ ขอ
นัยยะที่ ๒ ครอบงําการไมเกิด ทั้ง ๑๖ ขอ
นัยยะที่ ๓ ครอบงําการแลนไปสูความดับคือพระนิพพาน ทั้ง
๔๔
๑๖ ขอ
๓) โคตรภูเกิดขึ้นดวยอํานาจสมถะและวิปสสนา
๓.๑ โคตรภูเกิดขึ้นดวยอํานาจสมถะ ๘ ขอ
๑) เพราะครอบงํานิวรณ ๕เพื่อใหไดเฉพาะซึ่งปฐมญาณ
๒) เพราะครอบงําวิตกวิจารณ เพื่อใหไดเฉพาะซึ่งทุติยญาณ
๓) เพราะครอบงําปติ เพื่อใหไดเฉพาะซึ่งตติยญาณ
๔) เพราะครอบงําสุข เพื่อใหไดเฉพาะซึ่งจตุตถญาณ
๕)เพราะครอบงํ า รู ป สั ญ ญา ปฏิ ฆ สั ญ ญา มานั ต ตสั ญ ญา
เพื่อใหไดเฉพาะซึ่งอากาสานัญจายตนสมาบัติ
๖) เพราะครอบงําอากาสานัญจายตนสัญญา เพื่อใหไดเฉพาะ
ซึ่งวิญญานัญจายตนะสมาบัติ
๗) เพราะครอบงําวิญญานัญจายตนสัญญา เพื่อใหไดเฉพาะ
ซึ่งอากิญจัญญายตนสมาบัติ
๘) เพราะครอบงําอากิญจัยญายตนสัญญา เพื่อใหไดเฉพาะซึ่ง
เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ๔๕
๓.๒ โคตรภูเกิดดวยอํานาจวิปสสนา ๑๐ ขอ
๔๔
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ: วิปสสนากรรมฐาน,๒๕๕๙, หนา ๒๑๘-๒๓.
๔๕
พระธรรมธีรราชมุน,ี วิปสสนากรรมฐาน, ๒๕๕๔,หนา ๖๒๖.
๗๘๒
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
๑) ครอบงํ า รู ป นามที่ การเกิ ด การเป น ไปอยู นิ มิ ต กรรม
ปฏิสนธิ คติ นิพัตติ อุปบัติ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ ปริเทวะ อุปายาสะ
และสังขารนิมิตภายนอก เพื่อใหไดเฉพาะซึ่ง โสดาปตติมรรค
๒) ครอบงํารูปนามที่ การเกิด การเปนไปอยู....เพื่อใหไดเฉพาะ
ซึ่ง โสดาปตติผลสมาบัติ
๓) ครอบงํารูปนามที่ การเกิด การเปนไปอยู ...เพื่อใหไดเฉพาะ
ซึ่ง สกทาคามิมรรค
๔) ครอบงํารูปนามที่ การเกิด การเปนไปอยู. ....เพื่อใหไดเฉพาะ
ซึ่ง สกทาคามิผลสมาบัติ
๕) ครอบงํารูปนามที่ การเกิด การเปนไปอยู....เพื่อใหไดเฉพาะ
ซึ่ง อนาคามิมรรค
๖) ครอบงํารูปนามที่ การเกิด กานเปนไปอยู ...เพื่อใหไดเฉพาะ
ซึ่งอนาคามิผลสมาบัติ
๗) ครอบงํารูปนามที่ การเกิด การเปนไปอยู. ....เพื่อใหไดเฉพาะ
ซึ่ง อรหัตตมรรค
๘) ครอบงํารูปนามที่ การเกิด การเปนไปอยู. ....เพื่อใหไดเฉพาะ
ซึ่ง อรหัตตมรรคสมาบัติ
๙) ครอบงํารูปนามที่ การเกิด การเปนไปอยู. ....เพื่อใหไดเฉพาะ
ซึ่ง อนิมิตตวิหารสมาบัติ
๑๐) ครอบงํารูปนามที่ การเกิด การเปนไปอยู. .เพื่อใหไดเฉพาะ
ซึ่ง สุญญตวิหารสมาบัติ๔๖
๔๖
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ: วิปสสนากรรมฐาน,๒๕๕๙, หนา ๒๒๔-๒๖.
๗๘๓
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
๒.๔ โคตรภูธรรม แบงเปน ๒ ฝาย
ฝายกุศล ๑๕ ประการ ฝายอัพยากฤต ๓ ประการ ฝายอกุศล ไมมี
สมถะ วิปสสนา
ครอบงํา ผลลัพธ ครอบงํา ผลลัพธ
๑. นิวรณ ปฐมฌาน ๑. รูปนาม ๑๖ โสดาปตติมัค
๒. วิตก วิจารณ ทุติยฌาน ๒. “ โสดาปตติผลสมาบัติ
๓. ปติ ตติยฌาณ ๓. “ สกทาคามิมัค
๔. สุข จตุตถฌาน ๔. “ สกทาคามิผลสมาบัติ
๕.รูปสัญญา อากาสานัญจา ๕ “ อนาคามิมัค
ปฏิสัญญา ๖. “ อนาคามิผลสมาบัติ
นานัตตสัญญา ๗. “ อรหัตตมัค
๖.อากาสานัญจา วิญญานัญจา ๘. “ อรหัตตผลสมาบัติ
๗. วิญญาณัญจา อากิญจัญญา ๙. “ อนิมิตตวิหารสมาบัติ
๘. อากิญจัญญา เนวสัญญานา ๑๐. “ สุญญตาวิหารสมาบัติ
สัญญา
กุศล ขอ๑-๘ (๘ ขอ) กุศล ขอ๑-๗ (๗ ขอ)
๔๗
อัพยากฤติ ขอ๘-๑๐ (๓ ขอ)
๒.๕ โคตรภูญาณจัดเปนอัพโพหาริก
โคตรภูญาณนี้เปนอาวัชชนะของมรรคญาณ ฉะนั้น จะจัดเขาไปใน
ปฏิป ทาญาณทัสสนวิสุ ทธิ ก็เ ขาไมได และจะจั ดเขาในญาณทัส สนวิสุ ทธิ ก็
ไมได เพราะปราศจากลักษณะของวิสุทธิทั้ง ๒ อยางนี้ ฉะนั้น โคตรภูญาณ
จึงอยูในระหวางกลาง เปนอัพโพหาริก แตวาตกอยูในกระแสของวิปสสนา
จึงเรียกวา วิปสสนาญาณเชนกัน๔๘
๔๗
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ: วิปสสนากรรมฐาน,๒๕๕๙, หนา ๒๒๖.
๔๘
พระอาจารย ดร. ภัททันตะ อาสภมหาเถระ:วิปสสนาทีปนีฎีกา, พิมพครั้งที่
๑, วัดภัททันตะ อาสภาราม, ๒๕๑๓, หนา ๑๘๒.
๗๘๔
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
การปฏิบัติใหมรรคเกิดขึ้น
มรรค แปลวา ธรรมที่ฆากิเลส วิเคราะหวา กิเลเส มาเรนฺโต คจฺฉติ
นิพฺพานตฺถิเกหิ มคฺคิยตีติ วา มคฺโค, สมฺมาทิฏิอาทโย อฏ ธมฺมา.๔๙
ชื่อวา มรรค เพราะฆากิเลสทั้งหลายได หรือเพราะผูตองการพระ
นิพพานจะตองแสวงหา มรรคมีองคประกอบ ๘ ประการ ดังนี้
๑. สัมมาทิฏฐิ แปลวา ความรูชอบ คือ ความรูในทุกข ความรูใน
ทุกขสมุทัย ความรูในทุกขนิโรธ ความรูในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
๒. สัมมาสังกัปปะ แปลวา ความดําริชอบ คือ ความดําริในการออก
จากกาม ความดําริในความไมพยาบาท ความดําริในอันไมเบียดเบียน
๓. สัมมาวาจา แปลวา เจรจาชอบ คือ การงดเวนจากการพูดเท็จ
งดเวนจากการพูดสอเสียด งดเวนจากการพูดคําหยาบและการพูดเพอเจอ
๔. สัมมากัมมันตะ แปลวา การกระทําชอบหรือการงานชอบ คือ
การงดเวนจากการฆาสัตว งดเวนจากการถือเอาสิ่งของที่เขามิไดให งดเวน
จากการประพฤติผิดในกาม๕๐
๕. สัมมาอาชีวะ แปลวา เลี้ยงชีพชอบ คือ เวนจากการเลี้ยงชีพที่ผิด
เสีย ประกอบอาชีพที่สุจริต ไมผิดจากทํานองคลองธรรม ทําใหคนอื่นตอง
เดือดรอนดวยวิธีตางๆ หาเลี้ยงชีวิตโดยความขยันหมั่นเพียร ไมเบียดเบียน
ผูอื่นใหเดือดรอน
๕. สัมมาวายามะ แปลวา เพียรชอบ หรือพยายามชอบ คือ มีฉันทะ
ปรารภความเพี ย รประคองจิ ต ไว ตั้ ง จิ ต ไว เ พื่อ มิให อ กุศลธรรมที่ยั งไมเ กิ ด
บังเกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแลว เพื่อใหกุศลธรรมที่ยังไมเกิด
บังเกิดขึ้น เพื่อความตั้งอยูไมเลือนหาย เจริญยิ่งไพบูลยเต็มเปยมแหงกุศล
ธรรมที่บังเกิดขึ้นแลว๕๑
๔๙
ขุ.เถร.อ. (บาลี) ๒/๓๖/๑๕๘
๕๐
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๙๙/๓๔๘.
๕๑
ที.ม. (ไทย) ๑๔/๒๙๙/๓๔๘.
๗๘๕
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
๖. สัมมาสติ แปลวา ระลึกชอบ คือตั้งสติในทางที่ถูกตองตรงตอการ
บรรลุมรรคผล ได แก มีส ติ พิจารณาเห็น กายในกายอยู มีสติ พิจารณาเห็ น
เวทนาในเวทนาอยู มีสติพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู…มีสติพิจารณาเห็นธรรมใน
ธรรมอยู มีความเพียร มีสัมปชัญญะ กําจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได
๗. สัมมาสมาธิ แปลวา ตั้งใจมั่นชอบ คือ การฝกอบรมจิตใหสงัด
จากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปติและสุข
เกิดแตวิเวกอยู เปนตน๕๒
กุ ล บุ ต รผู ต อ งการพ น ทุ ก ข ต อ งเจริ ญ ให ม ากซึ่ ง มรรคมี อ งค ๘ นี้
เทานั้น จึงจะบรรลุปฏิเวธสัทธรรมได ดังที่พระพุทธเจาตรัสวา
“มรรคมีองค ๘ อัน ประเสริ ฐ เหลานี้ คือ สั มมาทิฏฐิ (เห็ น ชอบ),
สัมมาสังกัปปะ (ดําริชอบ), สัมมาวาจา (เจรจาชอบ), สัมมากัมมันตะ(กระทํา
ชอบ), สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ), สัมมาวายามะ(พยายามชอบ), สัมมาสติ
(ระลึกชอบ) และสัมมาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นชอบ) นี้แลคือทาง นี้แลคือขอปฏิบัติ
เพื่อบรรลุธรรม”๕๓
อนึ่ง มรรค หมายถึง ทางเดินของใจจากความทุกขไปสูความเปน
อิสระ(พระนิพพาน) หลุดพนจากทุกขที่หลงยึดถือและประกอบขึ้นใสตนดวย
อํานาจของอวิชชา มรรคมีองค ๘ ประการถึงพรอมเปนอันเดียวกันทั้งแปด
อยาง ดุจเชือกฟนแปดเกลียว พระสารีบุตรเถระอธิบายองคแหงมรรค ไววา
มรรคชื่อวา สัมมาทิฏฐิเพราะมีสภาวะเห็น
มรรคชื่อวา สัมมาสังกัปปะเพราะมีสภาวะตรึกตรอง
มรรคชื่อวา สัมมาวาจาเพราะมีสภาวะกําหนด
มรรคชื่อวา สัมมากัมมันตะเพราะมีสภาวะเปนสมุฏฐาน
มรรคชื่อวา สัมมาอาชีวะเพราะมีสภาวะผองแผว
มรรคชื่อวา สัมมาวายามะเพราะมีสภาวะประคองไว
มรรคชื่อวา สัมมาสติเพราะมีสภาวะตั้งมั่น
๕๒
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๙๙/๓๔๘, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓๖/๑๗๖.
๕๓
ที.สี. (ไทย) ๙/๓๗๕/๑๕๗.
๗๘๖
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
มรรคชื่อวา สัมมาสมาธิเพราะมีสภาวะไมฟุงซาน๕๔
มรรคญาณ คือ ปญญาที่กําหนดจนรูเห็นพระนิพพาน และตัดขาด
จากกิเลสเปนสมุจเฉทประหาณ สติ สมาธิ ปญญา และธรรมฝายการตรัสรู
ทั้งปวงยอมรวมลงที่จิตดวงเดียวเปนมรรคสมังคี กําลังของมรรคจะทําหนาที่
แหวกมโนวิญญาณ ซึ่งหอหุมปดบังธรรมชาติอันบริสุทธิ์ออก ตามกําลังของ
มรรคนั้นๆ
ปฏิบัติอยางไรใหมรรคเกิดขึ้น พระสารีบุตรเถระอธิบายวา ภิกษุนั้น
เมื่อนึกถึงชื่อวาปฏิบัติ เมื่อรูชื่อวาปฏิบัติ เมื่อเห็นชื่อวาปฏิบัติ เมื่อพิจารณา
ชื่อวาปฏิบัติ เมื่ออธิษฐานจิตชื่อวาปฏิบัติ เมื่อนอมใจเชื่อดวยศรัทธาชื่อวา
ปฏิบัติ เมื่อประคองความเพียรไวชื่อวาปฏิบัติ เมื่อตั้งสติไวมั่นชื่อวาปฏิบัติ
เมื่อตั้งจิตไวมั่นชื่อวาปฏิบัติ เมื่อรูชัดดวยปญญาชื่อวาปฏิบัติ เมื่อรูยิ่งธรรมที่
ควรรูยิ่งชื่อวาปฏิบัติ เมื่อกําหนดรูธรรมที่ควรกําหนดรูชื่อวาปฏิบัติ เมื่อละ
ธรรมที่ควรละชื่อวาปฏิบัติ เมื่อเจริญธรรมที่ควรเจริญชื่อวาปฏิบัติ เมื่อทําให
แจงธรรมที่ควรทําใหแจงชื่อวาปฏิบัติ ภิกษุปฏิบัติอยางนี้
ควรเจริญมรรคอยางไร พระสารีบุตรเถระอธิบายวา คือภิกษุนั้นเมื่อ
นึกถึง..ชื่อวาเจริญ เมื่อรู. .ชื่อวาเจริญ เมื่อเห็น..ชื่อวาเจริญ เมื่อพิจารณา..ชื่อ
วาเจริญ เมื่ออธิษฐานจิตชื่อวาเจริญ เมื่อนอมใจเชื่อดวยศรัทธาชื่อวาเจริญ
เมื่อประคองความเพียรไวชื่อวาเจริญ เมื่อตั้งสติไวมั่น ชื่อวาเจริญ เมื่อตั้งจิต
ไวมั่นชื่อวาเจริญ เมื่อรูชัดดวยปญญาชื่อวาเจริญ เมื่อรูยิ่งธรรมที่ควรรูยิ่งชื่อ
วาเจริญ เมื่อกําหนดรูธรรมที่ควรกําหนดรูชื่อวาเจริญ เมื่อละธรรมที่ควรละ
ชื่อวาเจริญ เมื่อเจริญธรรมที่ควรเจริญชื่อวาเจริญ เมื่อทําใหแจงธรรมที่ควร
ทําใหแจงชื่อวาเจริญ เจริญอยางนี๕๕ ้ และอธิบายมรรคที่เจริญทําใหมีขึ้นแลว
ยอมละสังโยชน และทําอนุสัยใหสิ้นไปได วา
ผูเ จริ ญวิ ป ส สนายอมละสั งโยชน ๓ นี้ คือ สั กกายทิฏ ฐิ วิ จิ กิจ ฉา
และสีลัพพตปรามาส อนุสัย ๒ นี้ คือ ทิฏฐานุสัยและวิจิกิจฉานุสัยยอมสิ้นไป
๕๔
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒/๔๑๕.
๕๕
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒/๔๑๔
๗๘๗
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ดวยโสดาปตติมรรค
ยอมละสังโยชน ๒ นี้ คือ กามราคสังโยชนและปฏิฆสังโยชนสวน
หยาบๆ อนุสัย ๒ นี้ คือ กามราคานุสัยและปฏิฆานุสัยสวนหยาบๆ ยอมสิ้น
ไปดวยสกทาคามิมรรค
ยอมละสังโยชน ๒ นี้ คือ กามราคสังโยชนและปฏิฆสังโยชนสวน
ละเอียด อนุสัย ๒ นี้ คือ กามราคานุสัยและปฏิฆานุสัย สวนละเอียดๆ ยอม
สิ้นไปดวยอนาคามิมรรค
ยอมละสังโยชน ๕ นี้ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และ
อวิชชา อนุสัย ๓ นี้ คือ มานานุสัย ภวราคานุสัยและอวิชชานุสัย ยอมสิ้นไป
ดวยอรหัตตมรรค๕๖
จิตของอริยบุคคล
คําวา อริยะ แปลวา เจริญ, ประเสริฐ อริยบุคคล หมายถึง บุคคลผู
ประเสริ ฐ บรรลุ ธ รรมวิ เ ศษมีโ สดาป ต ติ ม รรคเป น ต น หรื อ อี กนั ย หนึ ง
หมายความวาเปนผูไกลจากขาศึกคือกิเลสหรือละกิเลสไดเด็ดขาด(สมุจเฉท
ปหาน) ไมกําเริบอีกเปนอารยะในความหมายของพระพุทธศาสนา เปนผูรูชัด
ถึงสรรพสิงตามความเปนจริงวา นี้ทุกข นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิ
โรธคามินี้ปฏิปทา และที่เรียกวา พระอริยะนี้ หมายถึงพระพุทธเจา พระ
ปจเจกพุทธเจา และพุทธสาวก
ที่ชื่อวาพระอริยะเพราะไม ดําเนินไปในทางเสือมเสียดําเนินไปแต
ในทางเจริญ เปนผูทชี่ าวโลกและเทวโลกควรดําเนินตาม
ในพระพุทธศาสนาแบงพระอริยบุคคลเปน ๔ ชั้น คือ (๑) พระ
โสดาบัน ผูสัมผัสกระแสนิพพานครั้งแรก (๒) พระสกทาคามี ผูจะมาเกิดใน
โลกนี้อีกครั้งเดียว (๓) พระอนาคามี ผูไมเวียนกลับมาเกิดในโลกนี้อีก และ
(๔) พระอรหันต ผูไกลจากกิเลสโดยสิ้นเชิง ดังพุทธพจนวา
๕๖
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒/๔๑๕-๖.
๗๘๘
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
"มหาลิภิกษุในธรรมวินัยนี้เปนโสดาบันเพราะละสังโยชนได๓อยาง
ไมมีทางตกตํามีความแนนอนทีจ่ ะสําเร็จสัมโพธิในวันขางหนา...
ภิกษุเปนสกทาคามีเพราะละสังโยชนได ๓อยางบรรเทาราคะโทสะ
และโมหะใหเบาบางไดมาสูโลกนี้อีกเพียงครั้งเดียวก็จะทําทีส่ ุดแหงทุกข...
ภิกษุไปบังเกิดเปนโอปปาติกะ เพราะละสังโยชนเบืองตําได ๕ อยาง
ปรินิพพานในภพนั้นไมหวนกลับมาจากโลกนั้นอีก...
ภิกษุทําใหแจงเจโตวิมุตและปญญา วิมุตอันไมมีอาสวะ เพราะสิ้น
อาสวะไปดวยปญญาอันยิงเองเขาถึงอยูในปจจุบัน"๕๗
พระพุทธศาสนาถือวา พระอริยบุคคลเหลานี้เปนบุคคลผูประเสริฐ
ทีป่ ระสบความสําเร็จในชีวิตเขาใจสัจธรรมคืออริยสัจ๔ อันเกิดจากการศึกษา
อบรมไตรสิกขา และสามารถประพฤติปฏิบัติไตรสิกขาไดครบถวนสมบูรณ
จนสามารถละกิเลสคือสังโยชนที่ผูกมัดจิตใจมนุษยอยูกับความทุกขใหลดลง
หรื อหมดไปพัฒ นาจิ ต ของตนพน จากภาวะปุ ถุช นไปเป น อริ ย บุ คคล พระ
โสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามีนั้นแมจะยังมีกิเลสเหลืออยูบาง
แตมีเบาบางถาเปนพระอรหันตแลวดับกิเลสและความทุกขไดทั้งหมดขาม
พนจากวัฏสงสารคือการเวียนวายตายเกิดไดอยางสิ้นเชิงไดชื่อวาบรรลุถึง
ประโยชนสูงสุดคือพระนิพพานอันเปนจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา
จิตของอริยบุคคล เปนจิตทีพ่ นโลกหรือเหนือโลก คือไมทองเที่ยวใน
โลกทั้ง ๓ ภูมิทั้ง๓ คือไมทองเทีย่ วอยูในกามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ โลกุตตร
จิตมีพระนิพพานเปนอารมณ นิพพานเปนธรรมที่พนโลก เหนือโลกทั้ง ๓
อารมณพระนิพพานไมเกิด-ดับ ไมเปลียนแปลง ไมถูกปจจัยปรุงแตงเพราะ
เปนอสังขตธรรม แตตัวของจิตยังคงเกิด-ดับตามปกติทัวไปเพียงแตอารมณ
พระนิพพานไมเกิด-ดับ เพราะเปนอารมณพิเศษ ไมใชอารมณของปุถุชน
เรียกวาโลกุตตรจิต ๘ ประกอบดวย
๑.โลกุตตรกุศลจิต หรือมรรคจิต เปนกุศลจิตที่เกิดขึนรับนิพพาน
อารมณ ทําลายและดับกิเลสอยางสิ้นเชิง ไมกลับมาเกิดใหมไดอีกเลย มี ๔
๕๗
ที.่ สี. (บาลี) ๙/๓๗๓/๑๕๖, ที.่ สี. (ไทย) ๙/๓๗๓/๑๕๖.
๗๘๙
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ดวง คือ โสดาปตติมรรคจิต สกทาคามิมรรคจิต อนาคามิมรรคจิต และ
อรหันตตมรรคจิต (๔)
๒.โลกุตตรวิบากจิต หรือผลจิต เปนผลของมรรคจิต เมือมรรคจิต
พรอมทําลายกิเลสแลวผลจิตเกิดติดตอขึนทันที่ ไมมีระหวางคัน ไมตองรอ
เวลา เรียกวาเปน อกาลิโก ผลจิตมี ๔ ดวงเทากับมรรคจิต เรียกผูเขาถึงผล
จิตวาเปนพระอริยบุคคล
พนจากความเปนปุถุชน โดยมีชื่อเรียกผลจิต และพระอริยบุคคล
ดังตอไปนี้ ตามลําดับปตติมรรคจิต ทําใหเปนพระโสดาบัน สกทาคามิมรรค
จิต ทําใหเปนพระสกทาคามี อนาคามิมรรคจิต ทําใหเปน พระอนาคามี
อรหัตตมรรคจิต ทําใหเปนพระอรหันต๕๘
๓. มรรคญาณ
ป ญ ญาในการออกและหลี ก ไปทั้ ง จากกิ เ ลสขั น ธ แ ละจากนิ มิ ต
ภายนอก ชื่อวา มรรคญาณ๕๙ คือ ญาณที่หมุนกลับจากกิเลสและขันธ อัน
เปนไปตามกิเลสเหลานั้น กับทั้งจากสังขารนิมิตในภายนอกทั้งปวง จากการ
กระทําพระนิพพานใหเปนอารมณ เพราะตัดกิเลสทั้งหลายไดขาดแลว ชื่อวา
ปญญาในการออกและหลีกจากขันธและนิมิต๖๐ เปนปญญาที่ตัดกิเลสเปน
สมุจประหาน๖๑ เปนชื่อของปญญาที่เกิดขึ้นในมรรคจิต ตอจากโคตรภูญาณ
โดยไมมีระหวางกั้น เปนญาณที่ไดอาศัยอาเสวนปจจัยจากโคตรภูญาณ รับ
๕๘
พระมหารุง ปฺญาวุฑฺโฒ(แรกชํานาญ),"การศึกษาเชิงวิเคราะหสถานภาพ
คุณสมบัติ และบทบาทของพระโสดาบันในพระพุทธศาสนาเถรวาท",วิทยานิพนธพุทธ
ศาสตรมหาบัณฑิต,(บัณฑิตวิทยาลัย:มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
,๒๕๔๗)
๕๙
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๑/๙๙.
๖๐
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๑๑/๗๐.
๖๑
พระธรรมธี ร ราชมหามุ นี (โชดก าณสิ ทฺ ธิ ป.ธ. ๙). คู มื อ สอบอารมณ
กรรมฐาน.พิมพครั้งที่ ๕. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
,๒๕๕๐. หนา ๖๔.
๗๙๐
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
พระนิพพานเปนอารมณไดเต็มที่ พรอมกับทําการประหาณอนุสัยกิเลสได
เด็ดขาดเปนสมุจเฉทปหาน จึงจัดเปน ญาณทัสสนวิสุทธิอยางสมบูรณ
มรรคญาณนี้เปนโลกุตตรญาณ จิตเห็นพระนิพพานและตัดขาดจาก
กิเลสเปนสมุจเฉทประหาณ๖๒ สติ สมาธิปญญา และธรรมฝายการตรัสรูทั้ง
ปวง รวมลงที่จิตดวงเดียวเปนมรรคสมังคี กําลังของมรรคแหวกมโนวิญญาณ
ซึ่งหอหุมปดบังธรรมชาติอันบริสุทธิ์ออก ทําหนาที่ประหาณกิเลสระดับอนุสัย
กิเลสทําหนาที่รูทุกข ละเหตุแหงทุกข แจงนิโรธ ความดับทุกข เจริญตนเอง
เต็มที่ คือองคมรรค ๘ มีการประชุมพรอมกัน ทําหนาที่ละอนุสัยกิเลสแลวก็
ดับลง มีนิพพานเปนอารมณ๖๓ ขณะที่จิตเปนโคตรภูนั้น เปนเวลาที่เริ่มดับวับ
ลงไป เพราะไดนิพพานคือความดับเปนอารมณ จิตจึงดับวับไป ตอจากนั้น
มรรคจิตก็เกิดรับนิพพานที่โคตรภูจิตรับแลวนั้นเปนอารมณตอไปชั่วขณะจิต
หนึ่ง ญาณที่เกิดรวมกับมรรคจิตนั้นเรียกวา มรรคญาณ นับเปนญาณที่ ๑๔
ญาณนี้ปรากฏทั้งในคัมภีรปฏิสัมภิทามรรค (ญาณที่ ๑๖) และคัมภีร
วิสุทธิมรรค ผูปฏิบัติไดเสวยนิพพานเปนอารมณเปนครั้งแรก เห็นแจงนิโรธ
สัจดวยปญญาของตนเอง รูปนามดับไปในญาณนี้ หมดความสงสัยในพระ
รัตนตรัย มีศีล ๕ มั่นคงเปนนิจ สามารถปดอบายภูมิไดอยางเด็ดขาด
ในคั ม ภี ร วิ สุ ท ธิ ม รรคอธิ บ ายถึ ง ความแจ ม แจ ง ของอานุ ภ าพของ
มรรคญาณ ๔ คือ ญาณทัสสนวิสุทธิซึ่งประกอบไปดวยอนุโลมญาณ โคตรภู
ญาณ มรรคญาณ ผลญาณ และปจจเวกขณญาณ โดยยอวา ญาณทัศนวิสุทธิ
นั้นเปนญาณที่ม.ี ..
๑. ความมีมรรค (ที่มีโพธิปขิยธรรม ๓๗ ประการ) สมบูรณ เชน
“ญาณที่ชื่อวาสัมมาทิฏฐิเพราะมีสภาวะเห็นมารวมกันในขณะนั้นญาณที่ชื่อ
วาสัมมาสังกัปปะเพราะมีสภาวะตรึกตรองมารวมกันในขณะนั้นญาณที่ชื่อวา
๖๒
สํ.นิ.อ. (บาลี) ๒/๗๐/๑๔๓.
๖๓
สมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ อาสภมหาเถระ), คัมภีรวิสุทธิมรรค, พิมพครั้งที่
๑๒, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท ธนาเพรส จํากัด, ๒๕๖๐), หนา ๑๑๓๕.
๗๙๑
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
สัมมาวาจาเพราะมีสภาวะกําหนดไวมารวมกันในขณะนั้น”๖๔ เปนตน
๒. วุฏฐานะ ความออกไป เพราะวาโลกียวิปสสนายังไมออกไปจาก
นิมิตโดยแท เพราะมีนิมิตเปนอารมณ และยังมิไดออกจากความเปนไปของ
สังขาร โคตรภูญาณยังไมตัดความเปนไป เพราะยังมิไดตัดขาดสมุทัย แตตัด
ออกไปจากนิ มิต เนื่องจากมีพระนิพพานเปนอารมณ ดั่งพุทธพจนในพระ
ไตรป ฏ กที่ว า “ป ญญาในการถอยกลั บ ได แกการออกไปเสี ย จากอารมณ
ภายนอก คือ โคตรภูญาณ”๖๕ “ชื่อวา โคตรภู เพราะถอยออกกลับจากความ
เปนไปแลวแลนไปสูความไมเปนไป”๖๖
ญาณทั้ง ๔ เปนการตัดออกไปจาก ๒ สวนคือ ๑. ตัดออกจากนิมิต
เพราะมีนิพพานเปนอารมณ ๒. ตัดจาดออกจากสมุทัย เรียกการออกไปจาก
๒ สวนนี้วา ญาณในมรรค
๓. พลสมาโยคะ ความประกอบเสมอกันแหงพละในแวลาเจริญ
โลกียสมาบัติ ๘ กําลังสมถะก็จะมีมาก ในเวลาที่เจริญอนุปสสนา กําลังแหง
วิปสสนาก็จะมีมาก แตในขณะที่บรรลุ อริมรรค นั้น ธรรมทั้ง ๒ อยางนี้ คือ
สมถพละ กับ วิปสสนาพละ จะเสมอกัน
๔. การละธรรมทั้งหลายดวยมรรคญาณในบรรดาธรรมทั้งหลายนี้
พึงละไดดวยมรรคญาณใด
๔.๑ สังโยชน ๔.๑๑ โยคะ
๔.๒ กิเลส ๔.๑๒ นิวรณ
๔.๓ มิจฉัตตะ ๔.๑๓ ปรามาส
๔.๔ โลกธรรม ๔.๑๔ อุปาทาน
๔.๕ มัจฉริยะ ๔.๑๕ อนุสัย
๔.๖ วิปลาส ๔.๑๖ มละ
๖๔
ขุ.ป.(ไทย) ๓๑/๖๕/๑๐๖-๑๐๙
๖๕
ขุ.ป.(ไทย) ๓๑/ ๑๐/ ๒
๖๖
ขุ.ป.(ไทย) ๓๑/ ๕๙/ ๙๕
๗๙๒
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
๔.๗ คันถะ ๔.๑๗ อกุศลกรรมบถ
๔.๘ อคติ ๔.๑๘ จิตตุปบาท
๔.๙ อาสวะ
๔.๑๐ โอฆะ๖๗
๕. กิจทั้งหลายมีการกําหนดรูเปนตน ในเวลาตรัสรูซึ่งกลาวไว
แลวนั้น ตามสภาวะทุกประการ ในสวนนี้ไดกลางถึงประเภทของปริญญา
หมายถึง การกําหนดรู ปหาน หมายถึง ประหาณหรือ การละ สัจฉิกริย า
หมายถึง การทําใหแจง และภาวนา หมายถึง ทําใหเกิด ซึ่งสงเคราะหญาณ
ตางๆใน ญาณทัศนะวิสุทธิ
๖๗
พระพุทธโฆสเถระ รจนา, คัมภีรวิสุทธิมรรค, ๒๕๖๐, หนา ๑,๑๔๑
๗๙๓
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ภายหลังที่โคตรภูดับ พระอริยมรรคก็กําหนดรูทุกข ประหาณสมุทัย
เห็นพระนิพพาน ภาวนามรรคทั้ง ๘ ใหเกิดแลวถึงอัปปนาวิถ๖๘ ี
เมื่อวุฏฐานคามินีวิปสสนาดําเนินไปตามวิถี เพราะอินทรียเสมอกัน
บริ บู ร ณ ไมขัด ข อง จนหมดความรู สึ กครั้ งสุ ด ทายที่อนุ โ ลมญาณครั้ น ผ า น
อนุโลมญาณ ก็เขาเขตโคตรภูญาณดังกลาวมาแลว เมื่อพนจากโคตรภูญาณก็
เขาถึงญาณที่สําคัญที่สุดคือ มรรคญาณ ในการปฏิบัตินั้น พึงทราบวาโยคีผู
ปฏิบัติเริ่มกาวเขาสูความดับตั้งแตยาง เขาเขตโคตรภูแลว แมมาถึงมรรค
ญาณนี้ก็ยังอยูในความดับ และอาการที่เขาสูความดับนั้นก็ไมเหมือนกัน มี
ลักษณาการตางกันดังตอไปนี้
๑. ขณะที่วุฏฐานคามินีวิปสสนากําลังดําเนินไปอยู รูป, นาม สังขาร
มีอาการสุขุมละเอีย ดเปน อย างยิ่งเป นธรรมดาแลว คอยเร็ว เขาๆ จนถี่ยิ บ
และในที่สุดก็ดับไปเลย ลักษณาการอยางนี้เรียกวาอนิมิตตวิโมกข คือดับทาง
อนิจจัง หรือเขาสูมรรคทางอนิจจัง ฉะนั้น ทานอนุรุทธาจารยแสดงไววา :
ยทิวุฏฐานคามินีวิปสฺสนา ทุกฺขโต วิปสฺสติ อปฺปณิหิโต วิโมกฺโข นาม โหติ.
ถาวุฏฐานคามินีวิปสสนาเห็นพิเศษโดยความไมเที่ยง ชื่อวา อนิมิตตวิโมกข
๒. ขณะที่วุฏฐานคามินีวิปสสนากําลังดําเนินไปอยู เกิดทุกขเวทนา
ขึ้นมาอยางแสนสาหัส เชนเกิดแนนหนาอกเรื่อยขึ้นมาถึง ลําคอในที่สุดก็ดับ
ไป ลักษณาการอยางนี้เรียกวา อัปปณิหิตวิโมกข คือ ดับทางทุกขัง หรือเขาสู
มรรคทางทุก ขั ง ฉะนั้ น ท านอนุ รุ ท ธาจารย แสดงไว ว า ยทิ วุ ฏ ฐ านคามิ นี
วิปสฺสนา อนิจฺจโต วิปสฺสติ อนิมิตฺโต วิโมกฺโข นาม โหติ. ถาวุฏฐานคามินี
วิปสสนาเห็นพิเศษโดยความเปนทุกข ชื่อวา อัปปณิหิตวิโมกข
๓. ขณะที่วุฏฐานคามินีวิปสสนากําลังดําเนินไปอยู รูปนามมีอาการ
สุขุมละเอียดเปนอยางยิ่ง แลวก็คอยๆ นอยลงๆ เหมือนเสนดายที่เล็กที่สุด
แลวขาดหายไป อาการอยางนี้เรียกวา สุญญตวิโมกข คือ ดับทางอนัตตา
หรือเขาสูมรรคทางอนัตตา ดังทีท่ านอนุรุทธาจารยแสดงไววา ยทิ วุฏฐานคา
๖๘
พระภั ท ทั น ตะ อาสภมหาเถระ. วิ ป ส สนาที ป นี ฎี ก า. พิ ม พ ค รั้ ง ที่ ๙,
กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพเลี่ยงเชียง, หนา ๑๙๖ - ๒๐๐.
๗๙๔
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
มินีวิปสฺสนา อนตฺตโต วิปสฺสติ สฺุญโต วิโมกฺโข นาม โหติ.
ถาวุ ฏ ฐานคามินี วิ ป ส สนาเห็ น พิเ ศษโดยความเป น อนั้ น ตา ชื่ อว า
สุญญตวิโมกข
ถามีคําถามวา เหตุไฉนโยคีบุคคลจึงเขาสูความดับไปไมเหมือนกัน?
พึงตอบวา เพราะการสรางสมบารมีมาแตกตางกัน ผูใดสรางมาทาง
ใดก็ดับทางนั้น คือผูที่มีสัทธินทรียแกกลา มีศรัทธาเปนบุพพาธิการอันสูง คือ
ไดสรางสมมาแตชาติกอนเปนกําลัง สงใหขณะที่ปฏิบัติวิปสสนาภาวนาอยู
นั้น ผูนั้นยอมจะเห็นแจงชัดแตอนิจจลักษณะมากที่สุด ทั้งนี้จึงเขาใจวา พระ
ไตรลักษณอื่นๆ ก็เห็นเชนเดียวกัน แตไมแจมแจงชัดเจนเทาอนิจจลักษณะนี้
เพราะ อนิจจลักษณะมีกําลังแรงกลา ฉะนั้น เมื่อวุฏฐานคามินีวิปสสนาคือ
ตัววิ ปส สนาที่จะเขาสู มรรคกําลังเป นไปอยู นั้น ย อมจะทําให เห็ นรู ป นาม
แสดงความไมเที่ย งแลว ก็เขาสู มรรคเลย ลักษณะอย างนี้เรี ยกวา อนิ มิต ต
วิโมกข คือหลุดพนจากอนิจจัง
ผูที่มีสมาธินทรียแกกลา มีสมาธิเปนปุพพาธิการอันตนเอง สั่งสมมา
แตชาติกอนเปนกําลังแรงสงใหในขณะที่ปฏิบัติวิปสสนาอยูนั้น ผูนั้นยอมจะ
เห็นอยางแจมชัดในทุกขลักษณะมากที่สุด ชัดเจนกวาพระไตรลักษณอื่นๆ
เพราะทุกขลักษณะมีกําลังแรงกลา ฉะนั้น เมื่อวุฏฐานคามินีวิปสสนากําลัง
ดําเนินไปอยูนั้น ยอมจะเห็นรูป, นามแสดงความเปนทุกขใหปรากฎเห็น
อยางชัดเจนแลวเขาสูมรรคเลย ลักษณะอยางนี้เรียกวา อัปปณิหิตวิโมกข
คือ หลุดพนจากทางทุกขัง
สําหรับผูที่มีปญญินทรียแกกลา มีปญญาเปนปุพพาธิการอัน ตนเคย
สรางสมมาแตชาติกอนเปนกําลังแรงสงใหในขณะที่ปฏิบัติวิปสสนาภาวนา
อยูนั้น ผูนั้นยอมจะเห็นชัดเจนในอนัตตลักษณะมากที่สุด ชัดเจนกวาพระไตร
ลักษณอื่นๆ เพราะอนัตตลักษณะมีกําลังมากกวา ฉะนั้น เมื่อวุฏฐานคามินี
วิปสสนากําลังดําเนินไปอยู ยอมจะเห็นรูป, นามแสดงความเปนอนัตตาให
ปรากฏอยางชัดเจน เมื่อเห็นอนัตตาอยางชัดเจนแลว วุฏฐานคามินีวิปสสนา
ก็จะเขาสูมรรคเลย ลักษณะอยางนี้เรียกวา สุญญตวิโมกข คือ หลุดพนทาง
อนัตตา หรือเขาสูมรรคทางอนัตตลักษณะ
๗๙๕
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
มีขอพึงสังเกตวาการเขาสูมรรคทั้ง ๓ ทางนี้ ผูที่ดับดวย อัปปณิหิต
มรรคคื อ ดั บ ทางทุ ก ขั ง มี น อ ย ส ว นมากดั บ ด ว ยอนิ มิ ต ตมรรค และสุ ญ ญ
ตมรรค คือดับทางอนิจจังและอนัตตา
มรรคญาณนี้เสวยนิพพานอารมณ เปนฝายโลกุตตระ เห็นอริยสัจ
อยางแจงชัดคือเห็นนิโรธอริยสัจ เมื่อเห็นนิโรธก็ไมจําเปนตองกลาวถึงอริยสัจ
อีก ๓ ขอ เพราะจะตองพรอมกันอยูเอง เปรียบเสมือนคุณสมบัติของดวงไฟ
ทํากิจ ๔ อยางในขณะเดียวกัน คือ ๑) ทําใหไสไหม ๒) ขจัดความมืด ๓) เกิด
แสงสวาง ๔) ทําใหน้ํามันหมดไป ขอนี้ฉันใด มรรคญาณก็ฉันนั้น เมื่อเสวย
อารมณนิพพานก็ตองเห็นนิโรธเมื่อเห็นนิโรธเปนจุดสุดยอดก็ตองเห็นอีก ๓
คือทุกข, สมุทัย, มรรคพรอมกันทีเดียว ฉะนั้น ในวิสุทธิมรรคอรรถกถาแสดง
ไววา (นิโรธํ) ปฏิวิชฺมตีติ เอเตน นิโรธสจฺจเมกํ อารมฺมณปฏิเวเธนจตฺตาริ
สจฺจานิ อสมฺโมหปฏิเวเธนมคฺคญาณํ ปฏิวิชฺฌติ.
ปฏิเวธมี ๒ อยาง คือ อารัมมณปฏิเวธ และอสัมโมหปฏิเวธ มรรค
ญาณขณะนั้ น มี นิ พพานเป น อารมณ เรี ย กว า อารั ม มณปฏิ เ วธ ส ว นทุก ข
สมทัย มรรคสัจทั้ง ๓ นั้นไมมีความสงสัย ความรูความเห็นอันบริสุทธิ์อยูนั้น
เรียกวา อสัมโมหปฏิเวธ
ในมรรคขณะนั้ น ทุ ก ขสั จ ก็ ดี สมุ ทั ย สั จ ก็ ดี มรรคสั จ ก็ ดี ห าเป น
อารมณไม แตมีนิพพานเปนอารมณ สวนทุกขสัจ สมุทัยสัจ มรรคสัจ ไมมี
ความสงสัย คือ มีความรูความเห็ นบริสุ ทธิ์แล ว ฉะนั้น จึ งชื่อว า อสั มโมห
ปฏิเวธ มรรคญาณนี้ชื่อวา ญาณทัสสนวิสุทธิ
มรรคญาณนี้เปนญาณทัสสนวิสุทธิโดยแท ไมไดเปนออม การตั้งอยู
ในสภาพความดับสิ้นของปวงสังขารคือปญญาที่ตัดกิเลสเปนสมุจเฉทปหาน
คือ ในสภาพความดับของรูปนามเขาสูความตั้งมั่น ๑ ขณะในตอนตน๖๙
ในคัมภีรปฏิสัมภิทามรรค๗๐ พระสารีบุตรเถระอธิบายไววา
๖๙
พระอนุรุทธาจารย. คูมือการศึกษากัมมัฏฐานสังคหวิภาคพระอภิธัมมัตถ
สังคหะปริจเฉทที่ ๙ หนา ๑๑๘.
๗๐
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๑/๙๙ –๑๐๒.
๗๙๖
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ป ญ ญาในการออกและหลี ก ไปทั้ ง จากกิ เ ลสขั น ธ แ ละจากนิ มิ ต
ภายนอกชื่อวา มรรคญาณ คืออยางไร?
คือ ในขณะแหงโสดาปตติมรรค ญาณที่ชื่อวาสัมมาทิฏฐิ เพราะมี
สภาวะเห็ น ยอมออกจากมิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ ออกจากเหล า กิ เ ลสที่ เ ป น ไปตาม
มิจ ฉาทิฏ ฐิ นั้ น ออกจากขั น ธ ทั้ งหลายและออกจากนิ มิต ภายนอกทั้ งปวง
เพราะเหตุนั้น ปญญาในการออกและหลีกไปทั้งจากกิเลสขันธและจากนิมิต
ภายนอก ชื่อวามรรคญาณ
ญาณที่ชื่อวาสัมมาสังกัปปะ เพราะมีสภาวะตรึกตรอง ยอมออกจาก
มิจฉาสังกัปปะ ออกจากเหลากิเลสที่เปนไปตามมิจฉาสังกัปปะนั้น ออกจาก
ขันธทั้งหลาย และออกจากนิมิตภายนอกทั้วปวง เพราะเหตุนั้น ปญญาใน
การออกและหลีกไป ทั้งจากกิเลสและจากนิมิตภายนอก ชื่อวามรรคญาณ
ญาณที่ชื่อวาสัมมาวาจาเพราะมีสภาวะกําหนดรูไว ยอมออกจาก
มิจฉาวาจา ออกจากเหลากิเลสที่เปนไปตามมิจฉาวาจานั้น จากขันธทั้งหลาย
และออกจาก สรรพนิมิตภายนอก เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา ปญญาใน
การออกและหลีกไป ทั้งจากกิเลสและจากนิมิตภายนอก ชื่อวามรรคญาณ
ญาณที่ชื่อวาสัมมากัมมันตะ เพราะมีสภาวะเปนสมุฏฐาน ยอมออก
จากมิจฉากัมมันตะ ออกจากเหลากิเลสที่เปนไปตามมิจฉากัมมันตะนั้น ออก
จากขันธทั้งหลาย และออกจากนิมิตภายนอกทั้งปวง เพราะเหตุนั้น ปญญา
ในการออกและหลีกไป ทั้งจากกิเลสและจากนิมิตภายนอก ชื่อวามรรคญาณ
ญาณที่ชื่อวาสัมมาอาชีวะ เพราะมีสภาวะผองแผว ยอมออกจาก
มิจฉาอาชีวะ ออกจากเหลากิเลสที่เปนไปตามมิจฉาอาชีวะนั้น ออกจากขันธ
ทั้งหลาย และออกจากนิมิตภายนอกทั้งปวก เพราะเหตุนั้น ปญญาในการ
ออกและหลีกไป ทั้งจากกิเลสและจากนิมิตภายนอก ชื่อวา มรรคญาณ
ญาณที่ชื่อวาสั มมาวายามะ เพราะมีสภาวะประคองไว ยอมออก
จากมิจฉาวายามะ ออกจากเหลากิเลสที่เปนไปตามมิจฉาวายามะนั้น จาก
ขันธทั้งหลายและ ออกจากสรรพนิมิตภายนอกเพราะเหตุนั้น
ทานจึงกลาววา ปญญาในการออกจากสรรพนิมิตภายนอก เพราะ
เหตุนั้น และหลีกไปทั้งจากกิเลสขันธและจากนิมิตภายนอก ชื่อวามรรคญาณ
๗๙๗
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ญาณที่ชื่อวาสัมมาสติ เพราะมีสภาวะตั้งมั่น ยอมออกจากมิจฉาสติ
ออกจากเหลากิเลสที่เปนไปตามมิจฉาสตินั้น จากขันธทั้งหลาย และออกจาก
สรรพนิมิตภายนอก เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา ปญญาในการออกและ
หลีกไปทั้งจากกิเลสขันธและจากนิมิตภายนอก ชื่อวามรรคญาณ
ญาณที่ชื่อวาสัมมาสมาธิ เพราะมีสภาวะไมฟุงซาน ยอมออกจาก
มิจฉาสมาธิ ออกจากเหลากิเลสที่เปนไปตามมิจฉาสมาธินั้น ออกจากขันธ
ทั้งหลายและออกจากนิมิตภายนอกทั้งหมด เพราะเหตุนั้น ปญญาในการ
ออกและหลีกไป ทั้งจากกิเลสขันธและจากนิมิตภายนอก ชื่อวามรรคญาณ
ในขณะแห ง สกทาคามิ ม รรค ญาณที่ ชื่ อ ว า สั ม มาทิ ฏ ฐิ เพราะมี
สภาวะเห็น ฯลฯ ญาณที่ชื่อวาสัมมาสมาธิ เพราะมีสภาวะไมฟุงซาน ยอม
ออกจากกามราคสังโยชน (กิเลสเครื่องประกอบสัตวไวในภพคือกามราคะ)
จากปฏิฆสังโยชน (กิเลสเครื่อง ประกอบสัตวไวในภพคือปฏิฆะ) จากกาม
ราคานุ สั ย (กิเ ลสที่น อนเนื่ องอยู ในสัน ดานคือกามราคะ) จากปฏิ ฆานุ สั ย
(กิเลสที่นอนเนื่องอยูในสันดานคือปฏิฆะ) สวนหยาบๆ ออกจากเหลากิเลสที่
เปนไปตามมิจฉาสมาธินั้น จากขันธทั้งหลาย และออกจากนิมิตภายนอกทั้ง
ปวง เพราะเหตุนั้น ปญญาในการออกและหลีก ไปทั้งจากกิเลสขันธ และ
จากนิมิตภายนอก ชื่อวามรรคญาณ
ในขณะแหงอนาคามิมรรค ญาณที่ชื่อวาสัมมาทิฏฐิเพราะมีสภาวะ
เห็น ฯลฯ ญาณที่ชื่อวาสัมมาสมาธิ เพราะมีสภาวะไมฟุงซาน ยอมออกจาก
กามราคสังโยชน จากปฏิฆสังโยชน กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัยที่ละเอียดๆ
ออกจากเหลากิเลสที่เปนไปตามมิจฉาสมาธินั้น จากขันธทั้งหลาย และออก
จากสรรพนิมิตภายนอก เพราะเหตุนั้น ปญญาในการออกและหลีกไปจาก
กิเลสขันธและจากนิมิตภายนอก ชื่อวามรรคญาณ
ในขณะแหงอรหัตตมรรค ญาณที่ชื่อวาสัมมาทิฏฐิ เพราะมีสภาวะ
เห็ น ฯลฯ ที่ชื่ อวาสั มมาสมาธิ เ พราะมีส ภาวะไมฟุงซาน ย อมออกจากรู ป
ราคะ (ความกําหนัดในรูป) จากอรูปราคะ (ความกําหนัดในอรูป) จากมานะ
(ความถือตัว) จาก อุทธัจจะ (ความฟุงซาน) จากอวิชชา (ความไมรู) จากมา
นานุสัย (กิเลสที่นอนเนื่อง อยูในสันดานคือมานะ) จากภวราคานุสัย (กิเลสที่
๗๙๘
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
นอนเนื่องอยูในสันดานคือภวราคะ) จากอวิชชานุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องอยูใน
สันดานคืออวิชชา) ออกจากเหลากิเลสที่เปนไปตามมิจฉาสมาธินั้น จากขันธ
ทั้งหลายและออกจากนิมิตภายนอกทั้งปวง เพราะเหตุนั้น ปญญาในการออก
และหลีกไปทั้งจากกิเลสขันธและ จากนิมิตภายนอก ชื่อวามรรคญาณ
บุคคลผูพรอมเพรี ยงดวยอริยมรรค ยอมเผากิเลสที่ยังไมเกิดดว ย
โลกุต ตรฌานที่เ กิด ขึ้น แล ว เพราะเหตุ นั้ น จึ งเรี ย กโลกุต ตระว าเป น ฌาน
บุคคลนั้นยอมไมหวั่นไหวเพราะทิฏฐิตางๆ เปนผูฉลาดในฌานและวิโมกข
พระโยคาวจรตั้งจิตมั่นแลวยอมเห็นแจงฉันใด เมื่อเห็นแจงก็พึงตั้ง
จิ ต มั่น ฉัน นั้ น ทั้ง สมถะและวิ ป ส สนาได เ กิด ขึ้น ในขณะนั้ น มีส ว นเสมอกั น
ดําเนินไปคูกันความเห็นวาสังขารทั้งหลายเปนทุกข นิโรธ๗๑ เปนสุขปญญาที่
ออกจากธรรมทั้งสองยอมถูกตองอมตบท๗๒
พระโยคาวจรผูฉลาดในความตางกัน และความเปนอันเดียวกันแหง
วิโมกขเหลานั้น ยอมรูวิโมกขจริยายอมไมหวั่นไหวเพราะทิฏฐิตางๆ เพราะ
เปนผูฉลาดในญาณทั้งสอง คัมภีรวิสุทธิมรรค๗๓อธิบายโสดาปตติมรรคญาณ
ดวยการแสดงอุปมา วา มีอุปมาแสดงถึงอาการที่อนุโลมญาณและโคตรภู
ญาณ แมดําเนินไปในวิถีเ ดียวกัน โดยอาวั ชชนะเดี ยวกัน แตดําเนิน ไปใน
อารมณตางๆ กัน ดังอุปมาดวยบุรุษโดดขามคูน้ํา
เหมือนหนึ่งวาบุรุษผู (อยูฝงขางนี้) ปรารถนาจะกระโดดขามคูน้ํา
กวางใหญแลวไป ยืนอยู ณ ฝงฟากขางโนน จึงวิ่งมาโดยเร็ว แลวยึดเสนเชือก
ที่ผูกหอยอยูกับกิ่งของตนไม หรือจับไมค้ํายัน ณ ฝงขางนี้ของคู แลวโดดขึ้น
(ขณะที)่ มีการโนมนอมเอียงโอนไปยังฝงโนน ถึงสวนเบื้องบนของฝงโนนแลว
จึงละเสนเชือกหรือไมค้ํายันนั้นซวนเซไปตกลง ณ ฝงโนนแลวจึงคอยๆ ทรง
ตัวยืนอยู ฉันใด แมโยคาวจรทานนี้ก็ฉันนั้น เหมือนกัน มีความปรารถนาเพื่อ
๗๑
นิโรธ ในที่นี้หมายถึงนิพพาน (ขุ.ป.อ. (บาลี) ๑/๑๗/๓๐๐)
๗๒
อมตบท ในที่นี้หมายถึง นิพพาน (ขุ.ป.อ. (บาลี) ๑/๑๗/๓๐๐)
๗๓
พระพุทธโฆสเถระ. คัมภีรวิสุทธิมรรค, ๒๕๖๐. หนา ๑๑๓๒– ๑๑๓๕.
๗๙๙
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ประดิษฐานอยูในพระนิพพานซึ่งเปนฝงโนนของภพ ๓ โยนิ ๔ คติ ๕ ฐิติ ๗
และ นิวาส ๙ จึงวิ่งมาโดยเร็วดวยญาณมี อุทยพยานุปสสนาเปนตน แลว
เหนียวเสนเชือกคือรูปที่ผูกหอยไวกับกิ่งของตนไมคืออัตภาพ (รางกาย) หรือ
วายึดไมค้ํายันคือขันธมีเ วทนาขัน ธเปนตน อยางใดอยางหนึ่ง โดยพึงของ
อนุโลมญาณวาไมเที่ยง หรือว าเป นทุกข หรื อวาเปนอนัตตา ยังไมล ะเส น
เชือกคือรูป หรือไมค้ํายัน คือเวทนาเปนตนนั้นกอน โลดขึ้นดวยอนุโลมจิต
ดวงที่ ๑ (บริ กรรม) แล วเปน ผูมีจิต ใจโน มน อมเอียงโอนไปสู พระนิ พพาน
ดวยอนุโลมจิตดวงที่ ๒ (อุปจาร) ดุจบุรุษผูมีกายโนมนอมเอียงโอนไปยังฝง
ชางโนน (ของคูน้ํา) เปนผูอยูใกลพระนิพพานที่ตนจะพึงถึง ณ บัดนี้ ดว ย
อนุ โ ลมจิ ต ดวงที่ ๓ ดุ จ บุ รุ ษ ผู (โดด) ถึ งส ว นเบื้ องบนของฝ งโน น แล ว ละ
อารมณคือสังขาร (รูปหรือเวทนาเปนตน) นั้นดวย ความดับของ (อนุโลม)
จิตนั้น แลวตกลงไปในพระนิพพานที่ปราศจากสังขารซึ่งเปนฝงขางโนน ดวย
โคตรภู จิ ต (มีพระนิพพานเป นอารมณ) แต เพราะเหตุที่ยั งไมไดอาเสวนะ
(ความคุนเคย) ในอารมณพระนิพพานเพียงครั้งเดียว จึงยังหวั่นไหว ไมตั้งมั่น
อยู ด ว ยดี ก อ นเหมื อ นบุ รุ ษ (โดดข า มคู น้ํ า ) ผู นั้ น ซวนเซอยู จากนั้ น ก็
ประดิษฐาน อยูดวย มรรคญาณ ดวยประการฉะนี้
ในญาณทั้งสองนั้น อนุโลมญาณสามารถกําจัดความมืดคือกิเลสที่
ปดบัง (อริย) สัจ จะออกไปได แตทําพระนิพพานใหเป นอารมณมิได สว น
โคตรภูญาณ เสามารถทําพระนิพพานนั้นแลใหเปนอารมณได แตมสามารถ
กําจัดความมืดที่ปด บัง (อริย) สัจจะไวออกไปได ในการทํากิจของอนุโลม
ญาณและโคตรภูญาณนั้น มีอุปมาดังนี้
อุปมาดวยบุรุษดูฤกษนักษัตรโยคะ สมมติวา บุรุษผูมีจักษุผูหนึ่ง คิด
จักรูฤกษรวมของดาวนักษัตร จึงออกมาใน เวลากลางคืน แลวแหงนขึ้นไป
ดูดวงจันทร ดวงจันทรก็ไมปรากฏเพราะดวงจันทรนั้น ถูกหมูเมฆทั้งหลายบัง
ไวทันใดนั้น ก็มีลมระลอกหนึ่งตั้งขึ้นพัดพาเอาหมูเมฆหนาๆ ออกไป ลมอีก
ระลอก ตั้งขึ้นแลวพัดพาเอาหมูเมฆชนิดกลางๆ ออกไป ลมอีกระลอกหนึ่ง
ตั้งขึ้นแลวพัดพาเอาหมูเมฆบางๆ ออกไป แตนั้น ครั้นทองฟาปราศจากเมฆ
แลว บุรุษผูนั้นก็เห็นดวงจันทร แลวรูฤกษรวมของดาวนักษัตรได
๘๐๐
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ในอุ ป มานั้ น ความมืด คือ กิเ ลสอย า งหนา อย า งกลาง และอย า ง
ละเอียด ที่ปดบังสัจจะไว เปนเหมือนเมฆทั้งหลายๆ ชนิด อนุโลมจิต ๓ ดวง
เปน เหมือนลม ๓ ระลอก โคตรภูญาณ เปรีย บบุ รุษผูมีจักษุ พระนิพพาน
เปรียบประดุจดวงจันทร การกําจัดความมืด (คือกิเลส) ที่ปดบัง (อริย) สัจจะ
ออกไป ของอนุโ ลมจิต ดวงหนึ่งๆ เปรีย บ เหมือนการพัด พาเอาหมูเ มฆ ๓
ชนิดออกไปโดยลําดับ ของลมระลอกหนึ่งๆ เมื่อ ปราศจากความมืดที่ปดบัง
(อริย) สัจจะแลวโคตรภูญาณก็เห็นพระนิพพานอันบริสุทธิ์ เปรียบเหมือน
เมื่อทองฟาปราศจากหมูเมฆแลว บุรุษผูนั้นก็เห็นดวงจันทรอันผองใส
จริงอยู อนุโลมจิตทั้งหลาย สามารถกําจัดความมืดที่ปดบัง (อริย)
สัจจะไดแต อยางเดียวเทานั้น ไมสามารถเห็นพระนิพพาน เปรียบเหมือนลม
๓ ระลอก สามารถพัดพาเอาหมูเมฆทั้งหลายที่บังดวงจันทรไวออกไปไดแต
อย า งเดี ย ว แต ไ มส ามารถเห็ น ดวงจั น ทร โคตรภู ญาณ สามารถเห็ น พระ
นิพพานไดอยางเดียว ไม สามารถกําจัดความมืดคือกิเลสได เปรียบเหมือน
บุรุษผูนั้น สามารถเห็นดวงจันทร ไดอยางเดียว ไมสามารถพัดพาเอาหมูเมฆ
ทั้งหลายออกไปได และดวยเหตุนั้นแล ทานจึงกลาววา โคตรภูญาณ นี้ เปน
อาวัชชนะของมรรค (คือหันมาสูมรรค)
ที่จริง โคตรภูญาณนั้น แมไมหันมา (แต) ที่ตั้งอยูในฐานะแหงการ
หันมา คลายกับวาใหสัญญา (นัดหมาย) แกมรรควา “ทานจงบังเกิดขึ้นอยาง
นี้” แลว (ตัวเอง) ก็ ดับไป ทั้งมรรคเองก็ไมละสัญญาที่โคตรภูญาณนั้นใหไว
บังเกิดขึ้นติดตาม (โคตรภู ญาณนั้นโดยสิ้นเนื่องไมมีระหวางคั่นทันทีนั้น ทั้ง
เจาะทะลุทั้งทุบทําลายกองโลภะ กองโทสะ กองโมหะ ที่ไมเคยเจาะทะลุ ไม
เคยทุบทําลายมากอน
อุปมาดวยนักยิงธนู
ในการเจาะทะลุทุบทําลายนั้น มีอุปมาดังนี้ เลากันมาวา นักยิงธนู
หนึ่ง สั่งใหเขาตั้งแผนกระดาน (แกนไมสน) ซอนกัน ๑๐๐ แผนไวในประเทศ
ห า ง ออกไปประมาณ ๘ อุ ส ภะ แล ว เอาผ าพั น ป ด หน า ตนเอง (ขึ้ น สาย)
ประทับลูกธนูไว (กับสาย) ยืนอยูบนจักรยนต (กระดานหมุน) บุรุษอีกผูหนึ่ง
๘๐๑
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
หมุนจักรยนตไป เมื่อใด เปนกระดานอยูตรงหนาของนักยิงธนู เมื่อนั้น บุรุษ
ผู ห มุน จั ก รยนต ให สั ญญาด ว ย (การเคาะ) ไม ณ ที่ นั้ น นั ก ยิ ง ธนู ก็ ไม ล ะ
สัญญาเคาะไม ยิงลูกธนูไปเจาะทะลุกระดาน๑๐๐ แผนทันที
ในอุปมานั้น โคตรภูญาณเปรียบเหมือนสัญญาณเคาะไม มรรคญาณ
เปรีย บเหมือนนั กยิงธนู การที่มรรคญาณไมล ะสั ญญาที่โ คตรภู ญาณให ไว
แลวทําพระนิพพานเปนอารมณ เจาะทะลุทําลายกองโลภะ โทสะ และโมหะ
ที่ไมเคยเจาะทะลุ มากอน ที่ไมเคยทุบทําลายมากอน เปรียบเหมือนนักยิงธนู
ไมละสัญญาเคาะไม ยิงลูกธนูเจาะทะลุแผนกระดาน ๑๐๐ ชั้นในทันที
อานิสงสโสดาปตติมรรค
อนึ่ง โสดาปตติมรรคนี้ มิใชแตทําการเจาะทะลุกองกิเลสอยางเดียว
เท า นั้ น แต ทํ า มหาสมุ ท รแห ง ความทุ ก ข ใ นสั ง สารวั ฏ ซึ่ ง ไม มี ใ ครรู ที่ สุ ด
เบื้องตน ใหเดือดแหงไปดวย ปดประตูอบายทั้งปวง ทําใหเปนผูมีอริยทรัพย
๗ ประการอยูพรอมพรั่ง ทางดําเนินผิด ๘ ประการเสียได ทําเวรและภัยทุก
ประการให ส งบลง นํ า เข า ถึ ง ความเป น บุ ต รผู เ กิ ด แต พ ระอุ ร ะของพระ
สัมมาสัมพุทธเจา และดําเนินไปเพื่อไดอานิสงสหลายรอยอยาง
อนึ่ง ในมรรคญาณนี้ เปนการสละคืนแบบปกขันทนปฏินิสสัคคะ
(ความสละคื น ด ว ยการแล น เข า ไป) คื อ ความแล น ไปในพระนิ พ พานอั น
ตรงกันขามกับกิเลส โดยความนอมไปแหงปญญา เห็น โทษในสั งขตธรรม
จัดเปนสัมมาวิมุต เปนโลกุตตรญาณ ทําหนาที่ประหาณกิเลส ระดับอนุสัย
กิเลส ทําหนาที่รูทุกข ละเหตุแหงทุกข แจงนิโรธ ความดับทุกข เจริญตนเอง
เต็มที่ คือองคมรรค ๘ มีการประชุมพรอมกัน ทําหนาที่ละอนุสัยกิเลสแลวก็
ดับลง มีนิพพานเปนอารมณ เปนญาณลําดับขั้นที่ ๑๔ ในวิปสสนาญาณ ๑๖
ที่ เ กิ ด แก ผู เ จริ ญ วิ ป ส สนาภาวนาเพื่ อ บรรลุ ม รรคผลนิ พ พาน ซึ่ ง แบ ง
ความสามารถในการประหาณกิเลสออกเปน ๔ ขั้น ดังนี้
๑) โสดาปตติมรรคญาณ ทําหนาที่ประหาณสักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาส (มิจฉาทิฏฐิ และวิจิกิจฉา) ไดอยางเด็ดขาด๗๔ ผูปฏิบัติ
๗๔
ดูรายละเอียดใน องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๒๑.
๘๐๒
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
วิปสสนาจนสําเร็จญาณนี้ ชื่อวาเปนพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน
โสดาบัน แปลวา ถึงกระแสพระนิพพาน๗๕ หมายความวาผูที่บรรลุ
ถึงความเปนพระโสดาบั นแลว จักมุงหน าไปตามกระแสนิ พพานจนบรรลุ
ความเปนพระอรหันต ไมมีวันตกต่ํา เปนผูไมตกไปในอบาย ๔ คือ นรก
กําเนิดสัตวดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย มีความแนนอนที่จะสําเร็จสัมโพธิ คือ
มรรค ๓ เบื้องสูง ไดแก สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรคในวัน
ขางหนา เมื่อเกิดในภพใหมเปนเทวดาหรือมนุษยก็เกิดไดไมเกิน ๗ ครั้ง๗๖
เพราะประหาณอกุศลกรรมบถ ๕ ประการ คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน
กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท และมิจฉาทิฏฐิไดโดยเด็ดขาดเปนสมุจเฉท๗๗
๒. สกทาคามิมรรคญาณ ทําหนาที่บรรเทาราคะ โทสะ และโมหะ
ให เ บาบางได แต ยั งกํ า จั ด ราคะและปฏิ ฆะอย า งเด็ ด ขาด ไมไ ด ผู ป ฏิ บั ติ
วิปสสนาจนสําเร็จญาณนี้ชื่อวาเปนพระสกทาคามี เปนผูไมตกไปในอบาย ๔
มีความแนนอนที่จะสําเร็จสัมโพธิ คือมรรคเบื้องสูง ไดแก อนาคามิมรรค
อรหัตตมรรคในวันขางหนา เมื่อเกิดในภพใหมก็เกิดไดเพียง ๑ ครั้ง๗๘
คําวา สกทาคามี แปลวา กลับมาอีกครั้งเดียวหรือครั้งหนึ่ง คือ ผูที่
บรรลุเปนพระสกทาคามีจะกลับมาเกิดในกามภูมิ ไดแกมนุษยโลกอีกครั้ง
เดียวเทานั้น๗๙พระสกทาคามีนี้ ละกิเลสไดเทากับพระโสดาบัน ไมไดละเพิ่ม
อีกแตประการใด เพียงแตทํากิเลสที่เหลือใหเบาบางลงเทานั้น
๓. อนาคามิมรรคญาณ ทําหนาที่ป ระหาณสักกายทิฏ ฐิ วิจิ กิจฉา
สีลัพพตปรามาส พรอมทั้งราคะโทสะ โมหะไดโดยเด็ดขาดสิ้นเชิง ผูปฏิบัติ
สําเร็จญาณนี้ชื่อวาเปนพระอนาคามี ๘๐
คําวา อนาคามี แปลวา ไมกลับมาอีก หมายความวา ผูที่บรรลุเปน
๗๕
องฺ.ทสก.อ. (บาลี) ๓/๖๓-๖๔/๓๕๓
๗๖
ดูใน อภิ.ปุ.(ไทย)๓๖/๓๑/๑๒๒, อภิ.ปฺจ.อ. (บาลี)(บาลี) ๓๑/๕๓.
๗๗
องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๘๗/๒๔๒
๗๘
ดูรายละเอียดใน ที.สี. (ไทย) ๙/๓๗๓/๑๕๖.
๗๙
ที.สี. (ไทย) ๙/๓๗๓/๑๕๖., ขุ.ป.อ. (บาลี) ๒/๑๕๑/๗๘.
๘๐
ดูรายละเอียดใน องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๘๘/๒๔๓.
๘๐๓
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
พระอนาคามีในมนุษยโลกหรือเทวโลก เมื่อหมดอายุขัยแลว จะไปเกิดใน
พรหมโลกชั้นสุทธาวาสและดับขันธปรินิพพานในพรหมโลกนั้น จักไมกลับมา
เกิดในมนุษยโลกหรือเทวโลกอีก๘๑
๔. อรหัตตมรรคญาณ สามารถประหาณสังโยชนกิเลสที่ผูกมัดใจ
ทั้ ง หมดได โ ดยเด็ ด ขาด ๘๒ ผู ป ฏิ บั ติ สํ า เร็ จ ญาณนี้ ชื่ อ ว า บรรลุ อ รหั น ต โ ดย
สมบูรณ นับวาเปนผูลางบาปไดแลว เพราะไมมีกิเลสอันเปนเหตุใหเกิดบาป
และไมมีกิเลสใหถือกําเนิดในภพใหมอีก๘๓ พระอรหันตนั้นไมมีการเวียนเกิด-
เวียนตายและภพใหมก็ไมมีอีก เมื่อไมเกิดอีกก็ไมแก ไมตายอีกตอไป๘๔
ในพระสุตตันตปฎก ทุติยโสเจยยสูตรปรากฏขอความวา “ผูมีกาย
สะอาด มีวาจาสะอาด มีใจสะอาด ไมมีอาสวะ เปนผูสะอาด ถึงพรอมดวย
ความสะอาด บัณฑิตทั้งหลายเรียกวาเปนผูลางบาปไดแลว”๘๕
คัมภีรอรรถกถาอธิบายบทวา บัณฑิตทั้งหลายกลาววา เปนผูมีบาป
อันลางเสียแลว เพราะเปนผูลางคือชําระบาปทั้งปวงที่เกิดขึ้นในอายตนะแม
ทั้งปวง ดวยมรรคญาณ๘๖
อรหันต แปลวา ผูควรแกการบูชาอันวิเศษ เพราะเปนผูควรแก
ทักษิณาอันเลิศ๘๗ ไดชื่อวา ขีณาสพ เพราะเปนผูที่หมดกิเลสอาสวะแลว๘๘
เปนผูสิ้นภพสิ้นชาติแลว เปนผูพนแลว ไมตองเวียนวายตายเกิดอีกตอไป
๘๑
องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๘๘/๓๑๖.
๘๒
กิเลสที่ผูกมัดใจสัตวไวกับทุกข ๑๐ ประการ คือ ๑) สักกายทิฏฐิ ๒)วิจิกิจฉา
๓) สีลัพพตปรามาส ๔) กามฉันทะหรือกามราคะ ๕) พยาบาทหรือปฏิฆะ ๖)รูปราคะ
๗) อรูปราคะ ๘) มานะ ๙) อุทธัจจะ ๑๐) อวิชชา ดูใน องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๒๑.
๘๓
ดูรายละเอียดใน ขุ.อิติ. (ไทย) ๒๕/๔๔/๓๙๔.
๘๔
ดูรายละเอียดใน ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๓๘/๑๓๘., ขุ.ธ.อ. (บาลี) ๒/๖๐.
๘๕
ดูรายละเอียดใน องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๑๒๒/๓๖๘.
๘๖
ดูรายละเอียดใน ขุ.ม.อ. (บาลี)๑๔/๑๗๓.
๘๗
วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๑/๑๐๓-๑๑๘.
๘๘
ที.ปา.อ.(บาลี) ๑/๑๑๖/๔๘.
๘๐๔
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
๔. ผลญาณ
ปญญาที่หยุดความพยายาม ชื่อวาผลญาณ๘๙ เปนญาณในอริยผล
เกิดขึ้นสืบตอจากมรรคญาณ
เมื่อมรรคญาณปรากฏขึ้นแลว ผลญาณก็ปรากฏตามมาทันทีไมมี
ระหวางกลางคันเลย มีขอที่พึงทราบไวในที่นี้คือ มัคคญาณนี้จะเปนมรรคชั้น
ใดก็ตามยอมปรากฏขึ้นครั้งเดียวเทานั้น เมื่อเกิดขึ้นแลวก็ทําการประหาณ
กิเ ลสต างๆ ตามอํ านาจของมรรค นั้ น ๆ เช น ปฐมมรรคเกิ ด ขึ้ น ก็ ทํ าการ
ประหาณกิเลสที่ปฐมมรรคมีอํานาจประหาณได เปนตน สําหรับในที่นี้ คือใน
การปฏิบัติวิปสสนากัมมัฏฐานที่กําลังกลาวถึงอยูนี้ มรรคญาณที่ปรากฏนี้
เรี ย กว า ปฐมมรรค หรื อ โสดาป ต ติมรรค ซึ่งทําการประหาณกิเ ลสได ๕
อยาง คือ สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑ อปายคมนียกาม
ราคะ ๑ อปายคมนียปฏิฆะ ๑
ผลญาณนี้เปนโลกุตตระเชนเดียวกับมรรคญาณ เพราะมรรคญาณ
เปนเหตุจึงเกิดผลญาณขึ้น อารมณเปนนิพพาน กิริยาที่เขาสูความดับครั้ง
แรกนี้ จึงแยกไดดังนี้ คือ ดับเงียบตอนแรกเปนโคตรภูญาณ ยังเปนโลกีย แต
อารมณเปนนิพพาน ดับเงียบตอนกลางเปนมัคคญาณเปนโลกุตตระ ดับ
เงียบตอนสุดทายเปนผลญาณเปนโลกุตตระ
ในที่ นี้ การประหาณกิ เ ลสมี ๒ อย า งคื อ สมุ จ เฉทปหาน และ
ปฏิปสสัมภนปหาน การประหาณกิเลสในมรรคญาณนั้นเรียกวา สมุจเฉท
ปหาน สวนในผลญาณนั้นเรียกวา ปฏิปสสัมภนปหาน มีอุปมาเหมือนไฟที่
กําลังลุกไหมติดฟนอยู บุคคลตองการจะดับไฟจึงเอาน้ําไปรดที่ฟนนั้น ไฟก็
จะดับไป แตเมื่อไฟดับแลวยังมีไอเหลืออยู ตอเมื่อเอาน้ํารดอีก ๒-๓ ครั้ง ไอ
ก็จะเงียบหายไป ขอนี้ฉันใด เมื่อกิเลสไดถูกประหาณโดยมรรคญาณแลว แต
อํานาจของกิเลสนั้นยังเหลืออยู เชนเดียวกับเอาน้ํารดไฟจนดับแลว แตยังมี
ไอเหลืออยู การเอาน้ํารดอีก ๒-๓ ครั้งจนไอเงียบหายไปนั้น เปรียบเหมือน
การประหาณอํานาจของกิเลสโดยผลญาณนั่นเอง ฉะนั้น จึงเรียกวา
๘๙
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๓/๑๐๒.
๘๐๕
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ปฏิปสสัมภนปหาน ผลญาณนี้จัดเขาในญาณทัสสนวิสุทธิ โดยอนุโลม๙๐
ในญาณนี้ จิตเห็นพระนิพพานโดยเสวยผลแหงสันติสุข คือ กิเลสจะ
ถูกประหาณไปได อย างเด็ ด ขาดด ว ยมรรคญาณ แต อํานาจของกิเลสก็ยั ง
เหลืออยู เชนเดียวกับการเอาน้ําไปรดถานไฟ ไอรอนยังเหลืออยูในฟน แต
ไฟดับสิ้นแลว ญาณนี้จิตเปนโลกุตตรญาณเกิดขึ้นมา ๒ ขณะ เปนผลของ
มรรคญาณ ทําหนาที่รับนิพพานเปนอารมณ ๒ ขณะแลวก็ดับลง จากนั้นจึง
ตกภวังค ผูนี้บรรลุซึ่งอริยผล เพราะความบังเกิดขึ้นแหงผลจิตใด ถัดจากนั้น
แผความบังเกิดขึ้นแหงผลจิตนั้น ปจจเวกขณญาณจึงตัดกระแสภวังคขาด
เป นไปตามควร เมื่อผลจิ ตเกิด ครบถว นตามจํ านวนที่ควรเกิด (๒ หรือ ๓
ขณะ) แลวก็เปนอันสิ้นสุดวิถีจิต ที่เรียกวา มรรควิถี ซึ่งวิถีนี้มีอนุโลมญาณ
โคตรภูญาณ มรรคญาณและผลญาณ รวม ๔ ญาณดวยกัน ครั้นจบมรรควิถี
แลวก็เปนภวังคตามควร จึงเปนปจจเวกขณญาณตอไป
คัมภีรอรรถกถาแสดงไววา
- โยคีทานใดมีอนุโลมจิต ๒ (อุปจาร และอนุโลม) ชวนจิตที่ ๓ ของ
โยคีทานนั้นเปนโคตรภู ชวนจิตที่ ๔ เปนมรรคจิต มีผลจิต ๓ ชวนะ
- โยคีทานใด มีอนุโลมจิต ๓ (บริกรรม อุปจารและอนุโลม) ชวนจิต
ที่ ๔ ของโยคีทานนั้นเปนโคตรภู ชวนจิตที่ ๕ เปนมรรคจิต มีผลจิต ๒ ชวนะ
ญาณนี้ปรากฏทั้งในคัมภีรปฏิสัมภิทามรรค(ญาณที่ ๑๒) และคัมภีร
วิสุ ทธิ มรรคสาระสําคัญของญาณนี้ก็คือ ผูป ฏิบั ติ ถึงญาณนี้แมกิเ ลสจะถูก
ประหาณไปไดอยางเด็ดขาดดวยมรรคญาณ แตอํานาจของกิเลสก็ยังเหลืออยู
เชนเดียวกับที่เอาน้ําไปรดไอรอนที่เหลืออยูในพื้นที่ไฟไหม แตไฟนั้นดับแลว
การประหาณกิเลสดวยผลญาณก็มีนัยเชนนี้
อนึ่ง ผลญาณนี้เปนการสละคืนแบบปกขันทนปฏินิสสัคคะ (สละคืน
ดว ยการแล นเขาไป) คือ ความแล นไปในพระนิพพาน อัน ตรงกันขามกับ
กิเลสโดยความนอมไปแหงปญญาเห็นโทษในสังขตธรรม จัดเปนสัมมาวิมุต
๙๐
ดร.ภั ท ทั น ตะ อาสภมหาเถระ. วิ ป ส สนาที ป นี ฎี ก า. พิ ม พ ค รั้ ง ที่ ๙,
กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพเลี่ยงเชียง, หนา ๒๐๐ - ๒๐๕.
๘๐๖
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ในคัมภีรปฏิสัมภิทามรรค๙๑ พระสารีบุตรเถระอธิบายวา
ปญญาที่หยุดความพยายามชื่อวาผลญาณ เปนอยางไร คือ ในขณะ
แหงโสดาปตติมรรค ญาณที่ชื่อวาสัมมาทิฏฐิ เพราะมีสภาวะเห็น ยอมออก
จากมิจ ฉาทิฏ ฐิ ออกจากเหล ากิเ ลสที่เ ป น ไปตามมิจ ฉาทิฏ ฐิ นั้ น จากขัน ธ
ทั้งหลาย และออกจากสรรพนิมิตภายนอก สัมมาทิฏฐิยอมเกิดขึ้นเพราะหยุด
ความ พยายามนั้น การหยุดความพยายามนั้นเปนผลของมรรค
ญาณที่ชื่อวาสัมมาสังกัปปะ เพราะมีสภาวะตรึกตรอง ยอมออกจาก
มิจฉาสังกัปปะ ออกจากเหลากิเลสที่เปนไปตามมิจฉาสังกัปปะนั้น จากขันธ
ทั้ง หลาย และ ออกจากสรรพนิ มิ ต ภายนอก สั มมาสั ง กัป ปะย อ มเกิด ขึ้ น
เพราะหยุดความพยายามนั้น การหยุดความพยายามนั้นเปนผลของมรรค
ญาณที่ชื่อวาสัมมาวาจา เพราะมีสภาวะกําหนดไว ย อมออกจาก
มิจฉาวาจา ออกจากเหลากิเลสที่เปนไปตามมิจฉาวาจานั้น จากขันธทั้งหลาย
และออกจากสรรพนิมิตภายนอก สัมมาวาจายอมเกิดขึ้นเพราะหยุดความ
พยายามนั้น การที่ ความพยายามนั้นเปนผลของมรรค
ญาณที่ชื่อวาสัมมากัมมันตะ เพราะมีสภาวะเปนสมุฏฐาน ยอมออก
จากมิจฉากัมมันตะ ออกจากเหลากิเลสที่เปนไปตามมิจฉากัมมันตะนั้น จาก
ขันธทั้งหลาย และออกจากสรรพนิมิตภายนอก สัมมากัมมันตะยอมเกิดขึ้น
เพราะหยุดความ พยายามนั้น การหยุดความพยายามนั้นเปนผลของมรรค
ญาณที่ชื่อวาสัมมาอาชีวะ เพราะมีสภาวะผองแผว ยอมออกจาก
มิจ ฉาอาชี ว ะ ออกจากเหล ากิเ ลสที่เ ป นไปตามมิจ ฉาอาชี ว ะนั้ น จากขัน ธ
ทั้งหลาย และออกจาก สรรพนิมิตภายนอก สัมมาอาชีวะยอมเกิดขึ้นเพราะ
หยุดความพยายามนั้น การหยุด ความพยายามนั้นเปนผลของมรรค
ญาณที่ชื่อวาสั มมาวายามะ เพราะมีสภาวะประคองไว ยอมออก
จากมิจฉาวายามะ ออกจากเหลากิเลสที่เปนไปตามมิจฉาวายามะนั้น จาก
ขัน ธ ทั้งหลายและออกจากสรรพนิมิต ภายนอกสั มมาวายามะยอมเกิด ขึ้น
เพราะหยุดความพยายามนั้นการหยุดความพยายามนั้นเปนผลของมรรค
๙๑
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๓/๑๐๒ – ๑๐๔.
๘๐๗
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ญาณที่ชื่อวาสัมมาสติ เพราะมีสภาวะตั้งมั่น ยอมออกจากมิจฉาสติ
ออกจาก เหลากิเลสที่เปนไปตามมิจฉาสตินั้น จากขันธทั้งหลาย และออก
จากสรรพนิมิต ภายนอก สัมมาสติยอมเกิดขึ้นเพราะหยุดความพยายามนั้น
การหยุดความพยายาม นั้นเปนผลของมรรค
ญาณที่ชื่อวาสัมมาสมาธิ เพราะมีสภาวะไมฟุงซาน ยอมออกจาก
มิ จ ฉาสมาธิ ออกจากเหล า กิ เ ลสที่ เ ป น ไปตามมิ จ ฉาสมาธิ นั้ น จากขั น ธ
ทั้งหลาย และออกจาก สรรพนิมิตภายนอก สัมมาสมาธิยอมเกิดขึ้นเพราะ
หยุดความพยายามนั้น การหยุด ความพยายามนั้นเปนผลของมรรค
ในขณะแห ง สกทาคามิ ม รรค ญาณที่ ชื่ อ ว า สั ม มาทิ ฏ ฐิ เพราะมี
สภาวะเห็น ฯลฯ ญาณที่ชื่อวาสัมมาสมาธิ เพราะมีสภาวะไมฟุงซาน ยอม
ออกจากกามราคสังโยชน จากปฏิฆสังโยชน จากกามราคานุสัย จากปฏิฆา
นุสัยสวนหยาบๆ ออกจากเหลา กิเลสที่เปนไปตามมิจฉาสมาธินั้น จากขันธ
ทั้งหลาย และออกจากสรรพนิมิตภายนอก สัมมาสมาธิยอมเกิดขึ้นเพราะ
หยุดความพยายามนั้น การหยุดความพยายามนั้น เปนผลของมรรค
ในขณะแหงอนาคามิมรรค ญาณที่ชื่อวาสัมมาทิฏฐิ เพราะมีสภาวะ
เห็น ฯลฯ ญาณที่ชื่อวาสัมมาสมาธิ เพราะมีสภาวะไมฟุงซาน ยอมออกจาก
กามราคสังโยชน จากปฏิมสังโยชน จากกามราคานุสัย จากปฏิฆานุสัย สวน
ละเอียดๆ ออกจาก เหลากิเลสที่เปนไปตามมิจฉาสมาธินั้นจากขันธทั้งหลาย
และออกจากสรรพนิมิต ภายนอก สัมมาสมาธิยอมเกิดขึ้นเพราะหยุดความ
พยายามนั้น การหยุดความ พยายามนั้นเปนผลของมรรค
ในขณะแหงอรหัตตมรรค ญาณที่ชื่อวาสัมมาทิฏฐิ เพราะมีสภาวะ
เห็น ฯลฯ ญาณที่ชื่อวาสัมมาสมาธิ เพราะมีสภาวะไมฟุงซาน ยอมออกจาก
รูปราคะ จาก อรูปราคะ จากมานะ จากอุทธัจจะ จากถีนมิทธะ จากอวิชชา
จากภวราคานุสั ย จาก มานานุสัย จากอวิช ชานุสัย ออกจากเหล ากิเลสที่
เป น ไปตามมิ จ ฉาสมาธิ นั้ น จากขั น ธ ทั้ ง หลายและออกจากสรรพนิ มิ ต
ภายนอก สัมมาสมาธิยอมเกิดขึ้นเพราะหยุด ความพยายามนั้น การหยุ ด
ความพยายามนั้นเปนผลของมรรคชื่อวาญาณ เพราะมีสภาวะรูธรรมนั้น ชื่อ
วาปญญา เพราะมีสภาวะรูชัด เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา ปญญาที่หยุด
๘๐๘
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ความพยายาม ชื่อวาผลญาณ
คัมภีรวิสุทธิมรรค๙๒ อธิบายวา
อนึ่ง ในลําดับแหงปฐมมรรค ญาณนี้ ผลจิต ๒ หรือ ๓ ดวงซึ่งเปน
วิบากของโสดาปตติมรรคจิตนั้นก็เกิดขึ้น วิปากจิตของโสดาปตติมรรคจิตนี้
พระผูมีพระภาคก็ไดตรัสไววา “ปราชญทั้งหลายเรียกกันวา อานั้นตริกสมาธิ
(คือ มรรคสมาธิซึ่งใหอริยผลในทันที) และตรัสไววาภวังค “...ทนฺธํ อานนฺ
ตริกํ ปาปุณาติ อาสวานํ. เพราะอินทรีย ๕ เหลานี้ออน บุคคลผูนั้นจึงบรรลุ
อานั้นตริกสมาธิ เพื่อความสิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลายชา”เปนตน เพราะโล
กุตตรกุศลทั้งหลายมีวิบาก (สืบเนื่องอยู) ในลําดับโดยแนนอน
ปญญาที่เ ป น ผลของมรรค คือ หลั งจากความตั้ งมั่น ๑ ขณะของ
มรรคไปแลว ผลจิตมีนิพพานเปนอารมณเกิดขึ้น ๒ ขณะจิตบาง ๓ ขณะจิต
บ า ง เมื่ อ มรรคญาณเกิ ด ผลญาณก็ เ กิ ด ตามมาทั น ที ไม มี อ ะไรมาคั่ น ใน
ระหวางไดเลย ผลญาณเปนโลกุตระเชนเดียวกันกับมรรคญาณ เพราะมรรค
ญาณเปนเหตุ จึงเกิดผลญาณขึ้น กิริยาทีเ่ ขาสูความดับมีลักษณะดังนี้ คือ
๑. ดับเงียบตอนแรกเปน โคตรภูญาณ มีนิพพานเปนอารมณ อยูใน
ระหวางโลกียะกับโลกุตระตอกัน
๒. ดับ เงียบตอนกลางเปน มัคคญาณ มีนิ พพานเป น อารมณ เป น
โลกุตระ ประหาณกิเลสตรงนี้
๓. ดับเงีย บตอนสุ ดทายเปนผลญาณ มีนิ พพานเปนอารมณ เป น
โลกุตระ
การประหาณกิเลสของมรรค เรีย กวา สมุจ เฉทประหาณ คือ ละ
กิเลสไดโดยเด็ดขาด ไมมีวันกลับคืนมาไดอีกเลย สวนในผลญาณนั้นเรียกวา
ปฏิ ป ส สั ม ภนประหาณ อุ ป มาเหมื อ นไฟที่ กํ า ลั ง ลุ ก ไหม ติ ด ฟ น อยู บุ ค คล
ตองการจะดับไฟ จึงเอาน้ําไปรดลงที่ฟนนั้น ไฟก็จะดับไป แตไฟดับแลว ไอ
อุนยังมีเหลืออยู ตอเมื่อเอาน้ํารดลงไปอีก ๒ หรือ ๓ ครั้ง ไออุนก็จะเงียบ
หายไป ขอนี้ฉันใดกิเลสก็ฉันนั้น เมื่อถูกประหาณโดยมัคคญาณเปนสมุจเฉท
๙๒
พระพุทธโฆสเถระ. คัมภีรวิสุทธิมรรค, ๒๕๖๐. หนา ๑๑๓๕-๑๑๓๗
๘๐๙
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
แลว แตอํานาจของกิเลสยังเหลืออยู ดั้งนั้นจึงตองประหาณดวยอํานาจของ
ผลญาณอีกซึ่งเรียกวา ปฏิปสสัมภนประหาณ แปลวา ละดวยอากรอันสงบ
การเขาผลสมาบัติ
ผลสมาบัติ คือ ความแนบอยูในนิโรธแหงอริยผล ผูที่เขาผลไดก็
เฉพาะผูที่บรรลุมรรคแลวเทานั้น ปุถุชนทั้งปวงเขาไมได แตวาพระอริยะ
ชั้นสูงยอมไมเขาผลสมาบัติชั้นต่ํา เพราะผลชั้นต่ําระงับไปแลวดวยการเขาถึง
ชั้ น ที่สู งกว า พระอริ ย ะชั้ น ต่ํ าระงับ ไปแล ว ด ว ยการเขาถึงความเป น อริ ย ะ
ชั้นสูง พระอริยะชั้นต่ําก็เขาผลสมาบัติชั้นสูง หาไดไมเพราะยังไมไดบรรลุ
พระอริยะทั้งหลายยอมเขาผลสมาบัติของตนๆ เทานั้น๙๓
บางคนกล าวว า "แมพระโสดาบั น และพระสกทาคามีก็ยั งเขาผล
สมาบัติไมได พระอริยะชั้นสูงเทานั้นจึงเขาไดเพราะพระอริยะชั้นสูง ๒ พวก
นั้นบริบูรณดวยสมาธิแลว" แกวา ที่กลาวอางเชนนั้นไมถูกตองเลย เพราะแม
ปุถุชนก็เขาโลกิยสมาธิที่ตนไดแลวได แตวาประโยชนอะไรดวยการคิดวาเปน
เหตุไมเปนเหตุในขอนี้เลา เพราะเหตุนั้น จึงควรเขาใจใหถองแทในปญหาขอ
นี้วา "พระอริยะทั้งปวงทุกชั้นยอมเขาผลสมาบัติของตนๆ ได"
ถาม : เขาผลสมาบัติเพื่ออะไร? ตอบ : เพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหาร (เพื่อ
ความพักอยูสําราญ) เหมือนอยางพระราชาเสวยสุขในราชสมบัติ เทวดาเสวย
สุขในทิพยวิมาน ฉันใด พระอริยะทั้งหลายคิดวา เราทั้งหลายจักเสวยอริย
โลกุตตรสุข กําหนดเวลาแลวก็เขาผลสมาบัติไดในทุกขณะที่ตองการ
ถาม : เขาผลสมาบัติอยางไร ยั้งอยูอยางไร ออกอยางไร?
ตอบ : การเขาผลสมาบั ติ นั้ น ต องประกอบด ว ยอาการ ๒ อย า ง
คือ เพราะไมมนสิการถึงอารมณอื่นจากพระนิพพาน และเพราะมนสิการถึง
แตพระนิพพาน ดังพระธัมมทินนาเถรีกลาวแกวิสาขอุบาสกวา “ดูกอน
อาวุโส ปจจัยแหงการเขาอนิมิตตเจโตวิมุตติมี ๒ ประการ คือ ไมมนสิการถึง
นิมิตทั้งปวง ๑ มนสิการถึงแตธาตุอันไมมีนมิ ิตคือนิพพาน ๑
๙๓
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๘๖๐/๓๘๖-๓๘๙.
๘๑๐
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
คัมภีรอภิธัมมัตถสังคหะไดแสดงไววา พระอริยบุคคลทั้งหมดยอม
เปนทั่วไปแกผลสมาบัติวิถี โดยอาศัยผลของตนเอง พระอริยบุคคลทั้งหมด
ทําใหผลสมาบัติวิถีเกิดขึ้นได คือเขาผลสมาบัติได พระโสดาบันยอมเขาโสดา
ปตติผลสมาบัติ พระสกทาคามียอมเขาสกทาคามิผลสมาบัติ พระอนาคามี
ยอมเขาอนาคามิผลสมาบัติ พระอรหันตยอมเขาอรหัตตผลสมาบัติ๙๔
บางพวกกลาวแยงวา “การเขาผลสมาบัตินั้น ตองเปนพระอนาคามี
หรือพระอรหันตเทานั้นจึงจะเขาได สวนพระโสดาบันและพระสกทาคามีไม
สามารถเขาได เนื่องจากยังมีสมาธิไมบริบูรณ”
มีวินิจฉัยวา “แมปุถุชนผูเปนเจาของทรัพยสมบัติของตนเอง คือ
โลกียฌาน ก็สามารถเขาฌานของตนได ฉะนั้น อริยบุคคลผูเปนเจาของ
ทรัพยสมบัติของตนคือผลสมาบัติ เหตุใดจะเขาไมได เขาไดแนนอน” ๙๕
๕. ปจจเวกขณญาณ
ปจจเวกขณญาณ ปญญาในการเห็นธรรมที่มารวมกันในขณะนั้น๙๖
เป น ญาณกํ า หนดรู ด ว ยการพิ จ ารณาทบทวนย อ นหลั ง หรื อ การสํ า รวจ
ทบทวน๙๗ มีอยู ๔ ประการ คือ
๑. พิจารณามรรควา เรามาแลวโดยมรรคนี้
๒. พิจารณาผลวา อานิสงสนี้เราไดแลว
๓. พิจารณากิเลสที่ละแลววา กิเลสเหลานี้เราละไดแลว
๔. พิ จ ารณานิ พ พานว า ธรรมวิ เ ศษนี้ เราแทงตลอดแล ว โดยมี
นิพพานเปนอารมณ๙๘
๙๔
ดูรายละเอียดใน สงฺคห. (บาลี) ๕๗.
๙๕
ดูรายละเอียดใน วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๓๘๙.
๙๖
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๕/๑๐๖.
๙๗
ธนิต อยูโพธิ,์ วิปสสนานิยม, หนา ๒๕๒.
๙๘
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก าณสิทฺธิ ป.ธ.๙), คูมือสอบอารมณ
กรรมฐาน, หนา ๖๘.
๘๑๑
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ญาณนี้เปนญาณที่เกิดขึ้นตอจากผลญาณ คือ เมื่อไดเขาสูความดับ
แลว ครั้งเมื่อรูสึกตัวก็มาพิจารณาวาตนเองนั้นเปนอะไรไป ขอมูลในคัมภีร
ปฏิสัมภิทามรรคอธิบายวา ตทา สมุทาคเต ธมฺเม ปสฺสเน ปฺญา. ปญญาใน
การพิจ ารณาเห็ น ธรรมที่เ ขามาประชุ มในขณะนั้ น ๙๙ เป นญาณรู ด ว ยการ
พิจารณาทบทวน คือสํารวจรูมรรคผลและกิเลสที่ละไดแลว กิเลสที่เหลืออยู
และนิพพาน(เวนพระอรหันต ไมมีการพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู) ๑๐๐
จิต เห็น ในมรรคจิต ,ผลจิต,นิพพาน, กิเ ลสที่ล ะแลว และกิเ ลสที่
ยัง คงเหลือ อยู คื อ พระอริ ย บุ ค คลท า นนั้ น สํ า รวจทบทวนดู ม รรคว า
“ข า พเจ า มาด ว ยมรรคนี้ แ น แ ล ว ”๑ จากนั้ น ก็ สํ า รวจทบทวนดู ผ ลว า
“อานิสงสดังนี้ขาพเจาไดรับแลว ๑ สํารวจทบทวนดูกิเลสทั้งหลายที่ละได
แลว ๑ จากนั้นสํารวจทบทวนดูกิเลสทั้งหลายที่ตองฆาดวยมรรค ๓ เบื้องสูง
วา “กิเลสทั้งหลายชื่อนี้ๆ ของขาพเจายังเหลืออยู”๑ และในที่สุด ก็สํารวจ
ทบทวนดูพระอมตนิพพานวา “พระธรรมนี้ ขาพเจาแทงตลอดโดยอารมณ
แลว”๑ พระโสดาบันอริยสาวกมีปจจเวกขณะ (คือ การสํารวจทบทวน) ๕
ประการดวยประการดังกลาวนี้ และพระโสดาบันมีปจจเวกขณะ ๕ ฉันใด
แมพระสกทาคามีและพระอนาคามีทั้งหลายก็มีปจจเวกขณะ ๕ ฉันนั้น แต
ของพระอรหั นต ไมมีการสํารวจทบทวนดู กิเ ลสที่เ หลื อแล (เพราะทานละ
กิเลสทั้งหลายหมดแลว) ๑๐๑
ญาณนี ้ป รากฏในคัม ภีรขุท ทกนิก าย ปฏิสัม ภิท ามรรค (ญาณที่
๑๔) และในคัม ภีรว ิสุท ธิม รรค สาระสํ า คัญ ของญาณนี ้ก็คือ ผูป ฏิบัติไ ด
พิจารณากิเลสที่ตนละไดและที่ตนยังละไมได สําหรับกิเลสที่ยังละไมได ผู
ปฏิบัติก็จ ะมุง หนาเจริญวิปส สนากรรมฐานเพื่อที่จ ะไดบ รรลุคุณ ธรรมที่
สูงขึ้นไป จนกวาจะสําเร็จเปนพระอรหันต
๙๙
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป.(ไทย) ๓๑/๖๕/๑๐๖-๑๐๙
๑๐๐
ขุ.ป.(ไทย) ๓๑/๖๕/๑๐๖-, วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๖๖๒-๘๐๔/๒๕๐-๓๕๐.
๑๐๑
สมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ อาสภมหาเถระ), คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา
๑๑๓๗.
๘๑๒
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
สภาวะของญาณนี้ : ญาณพิจารณา มรรค ผล นิพพาน เปนญาณ
พิจารณา เหมือนคนที่ผานเหตุการณอะไรมา ก็จะกลับพิจารณาสิ่งที่ผานมา
แตญาณนี้ พิจารณามรรคที่ตนเองได พิจารณาผลที่ตนเองไดพิจารณาพระ
นิพพาน และถาคนมีหลักปริยัติ ก็จะพิจารณากิเลสอันใด ที่ละ ไปไดแลว
กิเลสอันใดที่ยังเหลืออยูและถาคนไมมีหลักปริยัติก็พิจารณาแค มรรค ผล
นิพพาน ในระหวางที่ญาณ กาวขึ้นสูอนุโลมญาณ โคตรภูญาณ มรรคญาณ
ผลญาณ ปจจเวกขณญาณนี้ ทานก็อุปมาใหฟง เหมือนกับ บุคคลที่จะกาว
กระโดดขามฝง ฝงมันอยูไกล ก็โหนเถาวัลย ก็ตองอาศัยกําลังที่วิ่งมาอยาง
แรง วิ่งมาดวยความไว แลวก็เหนี่ยวเอาเถาวัลยโยนตัวขึ้นไป ในขณะที่โยน
ตัวขึ้นไป ก็เหมือนเปนอนุโลมญาณ คลอยไป พอขามไปถึงฝงหนึ่งก็ปลอย
เถาวัลยนั้นในขณะที่ปลอยนั้นเหมือนกับโคตรภูญาณ คือปลอยอารมณที่เปน
โลกิยะ ไดแกรูป-นาม ไปรับนิพพานซึ่งเปนโลกุตตระเปนอารมณ แลวก็ตก
ลงถึงพื้น ในขณะตกลงถึงพื้น เหมือนเปนมรรคญาณ แลวพอตั้งหลักไดก็เปน
ผลญาณเกิดขึ้น หลังจากนั้นก็พิจารณา
แตวาในสภาวธรรมของโลกุตตระ ผูปฏิบัติที่เขาถึงแลวก็ไมสามารถ
นํามาแสดงใหแจมแจงได เพราะเปนเรื่องที่รูไดเฉพาะตน บุคคลอื่นที่ยังเขา
ไมถึงจะไมสามารถจะทําความเขาใจไดอยางลึกซึ้ง เพราะวาความคิดความ
อานของปุถุชน ก็จะมีความรูสึกที่อยูในโลกเปนไปในโลกนี้ มันจะมีขอบเขต
ของการนึกคิด ความเขาใจอยูในโลก สวนสภาพโลกุตตรธรรมที่พนโลกนั้น
ปุถุชนจะคิดไปไมถึงเลย จะไมสามารถจะทํา ความเขาใจไดอยางถองแท
คัมภี ร วิ สุ ทธิ มรรคได อ ธิ บ ายว า๑๐๒ ป จ จเวกขณะ หมายถึง ขณะ
สุดทายของ (โสดาปตติ) ผลจิต ซึ่งพระอริยบุคคลจะสํารวจทบทวนดูมรรค
๑ สํ า รวจทบทวนดู ผ ล ๑ สํ า รวจทบทวนดู กิ เ ลสทั้ ง หลายที่ ล ะได แ ล ว ๑
สํารวจทบทวนดูกิเลสทั้งหลายที่ยังเหลืออยู ๑ สํารวจทบทวนดูพระนิพพาน
๑ ดวยการเกิดของชวนจิตเหลานั้น ซึ่งตรงกับความหมายในพระอภิธรรม
มัตถสังคหอรรถกถาดั่งที่ไดกลาวไววา อริยบั ณฑิตทั้งหลายยอมพิจารณา
๑๐๒
พระพุทธโฆสเถระ รจนา, คัมภีรวิสุทธิมรรค, ๒๕๖๐, หนา ๑,๑๓๗
๘๑๓
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
มรรค ผล นิพพาน เฉพาะทานที่เปนพหูสูตรคงแกเรียนยอมพิจารณากิเลสที่
ละได แลว และที่ยั งเหลื อ ส วนโยคีบุคคลนอกนั้ นไมได พิจารณา สอบสวน
เพราะไมรูปริยัติแตทําการกําหนดตอไป๑๐๓
ปญญาเปนเครื่องเพงรูในธรรมคือมรรคและผล กับทั้งในธรรม คือ
สัจจะ ๔ ที่เกิดขึ้นในมรรคขณะและผลขณะ ถึงพรอมแลว ประชุมกันในกาล
นั้ น ด ว ยสามารถแห ง การได เ ฉพาะและด ว ยสามารถแห งการแทงตลอด
หลังจากที่โสดาปตติผลในมรรควิถี เกิดขึ้น จิตของพระโสดาบันก็ลงภวังค
เมื่อตัดภวังคขาด มโนทวาราวัชชนะก็เกิดขึ้นเพื่อพิจารณามรรค เมื่อดับลง
ชวนจิตจึงพิจารณามรรคก็เกิดขึ้น ๗ ขณะโดยลําดับ เมื่อลงสูภวังคอีก อาวัช
ชนจิตเปนตนก็เกิดขึ้นเพื่อพิจารณาธรรมทั้งหลาย เชน ผลเปนตน เพราะ
ความเกิดแหงธรรมเหลาใดมีผลเปนตน พระโสดาบันนั้นก็พิจารณามรรค,
ผล, กิเลสที่ละแลว, กิเลสที่ยังเหลือ และพระนิพพาน พระอริยสาวกชั้น
โสดาบันมีปจจเวกขณะ ๕ อยางดวยประการนี้ ปจจเวกขณะของพระสทา
คามีและพระอนาคามีก็มีเหมือนพระโสดาบัน แตของพระอรหันตมีปจจเวก
ขณะ ๔ อยางคือ ไมมีการพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู
วิถีจิตของปจจเวกขณญาณ
ปจจเวกขณะ แปลวา พิจารณา หมายถึง การพิจารณาเพื่อใหทราบ
ตามสภาวะธรรมที่เปนจริง
ปจจเวกขณวิถี คือ ลําดับความเปนไปของจิตที่พิจารณาถึงสภาพ
แหงความเปนจริง เปนมหากุสลหรือมหากิริยาชวนมโนทวารวิถี อันเปนกาม
วิถี คือ เมื่อมัคควิถีสิ้นสุดลงแลวตองมีปจจเวกขณวิถีอยางแนนอน จะไม
มีปจจเวกขณวิถีเกิดภายหลังมัคควิถีนั้นไมได ในหนังสือวิปสสนากรรมฐาน
ทีปนี ปริเฉทที่ ๙ ไดอธิบายถึงวิถีของจิตในญาณตางๆ โดยอิงมาจากคัมภีร
พระอภิธรรม ปริเฉทที่ ๙ หนา ๒๔๔๑๐๔โดยในสวนนี้จะแสดงถึงมัคควิถีจิต
๑๐๓
สงฺคห. (บาลี) หนา ๖๒
๑๐๔
พระสั ท ธัม มโชติ กะ ธัม มาจริ ยะ, อภิธ รรมมั ตถสั งคหะ ปริเ ฉทที่ ๙,
กรุงเทพมหานคร: หจก. ทิพยวิสุทธิ,์ ๒๕๕๙ หนา ๒๔๔
๘๑๔
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
ซึ่งเป น วิถีแห งโลกุต ระซึ่งใช ระดับ สมาธิขั้น อัป ปนาสมาธิ ซึ่งตา งจากป จ จ
เวกขณวิถีที่เปนโลกียญาณ ใชสมาธิระดับขณิกสมาธิ ดังนี้
มัคควิถี
ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค โส มัค ผ ผ … ภ ปจจ
ภ น ท ม ปริ อุ นุ โว สก มัค ผ ผ .... ภ ปจจ
ปจจเวกขณวิถี
ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ......
จะเห็นไดวา ปจจเวกขณญาณนั้นเกิดหลังจากที่จิตเขาสูภวังคจิต
จากมัค ควิ ถี โดยป จ จเวกขณวิ ถีกั บ มัค ควิ ถี นั้ น เป น คนละวิ ถีแ ห งจิ ต โดย
ในป จ จเวกขณวิ ถี นั้ น จะพิ จ ารณามรรค ผลกิ เ ลสที่ ล ะ กิ เ ลสที่ เ หลื อ และ
นิพพาน ในมโนทวารวิถี ในสวนของ ชวนะทั้ง ๗ นี้ตัวอารมณมิไดปรากฏ
เฉพาะหน า แต เ ป น การตามดู กิเ ลสที่ล ะได แล ว ในอดี ต ในคัมภี ร วิ สุ ทธิ ไ ด
อุปมากระบวนการของญาณทัศนวิสุทธิ ไวประดุจดั่งคนขามคูน้ํา
ปจจเวกขณวิถีที่เกิดภายหลังมัคควิถี ก็เพื่อพิจารณาธรรม ๕
ประการ คือ ๑. พิจารณามัคค ๒. พิจารณาผล ๓. พิจารณานิพพาน ๔.
พิจารณากิเลสที่ไดละแลว ๕. พิจารณากิเลสที่คงเหลืออยู
ในป จ จเวกขณะ ๕ ประการนี้ เ ฉพาะ ๓ ประการแรกคื อ การ
พิจ ารณามัคค ๑ การพิจารณาผล ๑ และการพิจ ารณานิพพาน ๑ ตองมี
ตองพิจารณาอยางแนนอน ขาดไมได
สวนการพิจารณากิเลสที่ไดละแลว ๑ และการพิจารณากิเลสที่ยัง
เหลืออยู ๑ นั้น บางทีก็พิจารณา บางทีก็ไมพิจารณา กลาวคือ ถาผูนั้นได
ศึกษาทางปริยัติ จึงจะทราบเรื่องราวของกิเลส เมื่อทราบก็พิจารณาได แตถา
ไมไดศึกษามา ก็ไมทราบเรื่องจึงไมพิจารณา
ปจจเจกขณวิถีที่เกิดหลังจากโสดาปตติมัคควิถี สกทาคามีมัคควิถี
และอนาคามี มั ค ควิ ถี พิ จ ารณาทั้ ง ๕ ประการ ส ว นป จ จเวกขณวิ ถี ที่ เ กิ ด
ภายหลังอรหัตตมัคควิถีพิจารณาเพียง ๔ ประการ เวนการพิจารณากิเลสที่
คงเหลือ เพราะพระอรหันตละกิเลสไดหมดสิ้นแลว ไมมีกิเลสที่เหลืออยู
๘๑๕
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
รวมปจจเวกขณวิถีที่เกิดภายหลังมัคควิถี เปน ๑๙ ประการ คือ
ปจจเวกขณวิถี ที่เกิดภายหลัง โสดาปตติมัคควิถี ๕
ปจจเวกขณวิถี ที่เกิดภายหลัง สกทาคามิมัคควิถี ๕
ปจจเวกขณวิถี ที่เกิดภายหลัง อนาคามิมัคควิถี ๕
ปจจเวกขณวิถี ที่เกิดภายหลัง อรหัตตมัคควิถี ๔
ปจจเวกขณวิถีเกิดหลังจากอาทิกัมมิกฌานวิถี และฌานสมาบัติวิถี
ทํ า หน า ที่ พิ จ ารณาองค ฌ านนั้ น ก็ มี ไ ด แต ไ ม แ น น อนว า จะต อ งมี เ สมอไป
แตหลังจากอภิญญาวิถี ผลสมาบัติวิถี หรือนิโรธสมาบัติวิถีนั้น ปจจเวกขณ
วิถีไมเกิด
มีขอความสรุปวา๑๐๕ เสมือนบุคคลที่จะกาวกระโดดขามฝง ก็โหน
เอาเถาวั ล ย ก็ต อ งอาศั ย กํ า ลั ง โดยการวิ่ ง มาแต ไกล จากนั้ น ก็ เ หนี่ ย วเอา
เถาวัลยโยนตัวขามไปอยูอีกฝงหนึ่ง เมื่อถึงอีกฝงก็ปลอยเถาวัลยนั้น แลวตก
ลงพื้นแลวก็เริ่มที่จะตั้งหลักได ในหนังสือสัมมนาวิปสสนาไดสรุปขอความ
จากคั ม ภี ร วิ สุ ท ธิ ม รรคไว ว า ขณะที่ โ ยนตั ว คื อ อนุ โ ลมญาณ เมื่ อ ปล อ ย
เถาวัลย คือ โคตรภูญาณ การปลอยเสมือนการปลอยรูปนาม และรับเอา
อารมณโลกุตระเปนอารมณ เมื่อตกลงพื้น คือ มรรคญาณ ขณะตั้งหลักโงน
เงน คื อ ผลญาณ จากนั้ น พิ จ ารณาว า สภาวธรรมของโลกุ ต ระว า เป น
หลักธรรมที่พนโลกแตก็ไมสามารถแสดงใหแจมแจงได คือ ปจจเวกขณญาณ
กิเลสที่พระอริยบุคคลประหาร
พระอริยบุคคลและการละกิเลสแตละประเภท สามารถสรุปไดวา
๑. พระโสดาบัน คือ ผูยังโสดาปตติมรรคใหเกิดแลว ยอมละการ
ไปในอบายไดการละทิฏฐิและวิจิกิจฉา
๒. พระสกทาคามี คือ ผู ยั งสกทาคามีมรรคให เ กิด แล ว ย อมทํ า
ราคะ โทสะ และโมหะให เ บาบางลง จะมาสู โ ลกนี้ อี ก เพี ย งครั้ ง เดี ย ว
(ประหารใหเปนตนุกระ คือ เบาบางลง)
๑๐๕
พระพุทธโฆสเถระ รจนา, คัมภีรวิสุทธิมรรค, ๒๕๖๐, หนา ๑,๑๓๒
๘๑๖
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
๓. พระอนาคามี คือ ผูยังอนาคามิมรรคใหเกิดแลว ยอมละกาม
ราคะและพยาบาทไดโดยไมมีเหลือ ไมกลับมาสูความเปนสัตวในกามภพอีก
(ประหารแบบสมุจเฉท)
๔. พระอรหันตคือ ผูยังอรหัตมรรคใหเกิดแลว ยอมละกิเลสไมมี
สวนเหลือเปนพระขีณาสพเปนพระทักขิไณย ผูเลิศในโลก
ทิฏฐิและวิจิกิจฉา ๒ อยางนี้โสดาปตติมรรคประหาณไดโดยเด็ดขาด
โทสะนั้น อนาคามีมรรคประหาณไดโดยเด็ดขาด โลภะ โมหะ มานะ ถีนะ
อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ นั้นอรหัตตมรรคประหาณไดโดยเด็ดขาด”๑๐๖
พระภัททันตะ อาสภมหาเถระ ไดอธิบายปจจเวกขณญาณไววา
“ป จ จเวกขณญาณ หมายถึง ญาณที่ ผู เ ป น บั ณ ฑิ ต คื อ อริ ย บุ ค คล
ยอมปจจเวกขณะมรรคญาณ ผลญาณและพระนิพพานและยอมพิจารณา
กิเลสที่ประหาณแลวและกิเลสที่ยังไมไดประหาณ แตผูที่ไมพิจารณาก็มีบาง
อริยมรรค ๔ ประการที่เนื่องมาจากการเจริญวิสุทธิ ๖ เรียกวา ญาณทัสสนวิ
สุ ท ธิ ” ๑๐๗ เช น เดี ย วกั บ ในหนั ง สื อ วิ ป ส สนาชุ นี ที่ พ ระโสภณมหาเถระได
อธิบายเอาไววา “ปจจเวกขณญาณ หมายถึง เบื้องตนที่ผูบรรลุนิพพานดวย
มรรค-ผลญาณ ยอมนํามรรค ผล นิพพาน กลับมาพิจารณาดูใหม ยิ่งถาเปน
บุคคลผูมีความรูในพระปริยัติดวยแลว ก็ยิ่งสามารถ พิจารณาตอไปถึงขั้นที่รู
วา กิเลสไหนบางที่ตนละไดแลว และกิเลสเหลาใดบางที่ตนยังมิไดละ”๑๐๘
การละสังโยชนของพระอริยบุคคล
คัมภีรวิสุทธิมรรคไดอธิบายถึงการละสังโยชนของพระอริยบุคคลทั้ง
๔ ประเภท สรุปโดยยอดังนี้
สังโยชน ๑๐ ประการนี้ โสดาปตติมรรคประหาณได ๕ อยาง คือ
สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจ ฉา ๑ สีลั พพตปรามาส ๑ อปายคมนิยกามราคะ ๑
๑๐๖
พระพุทธโฆสเถระ รจนา, คัมภีรวิสุทธิมรรค, ๒๕๖๐, หนา ๑,๑๕๖
๑๐๗
ดร.ภัท ทัน ตะ อาสภมหาเถระ ธั ม มาจริ ยะ อั คคมหากั มมั ฏฐานาจริย ะ,
วิปสสนาธุระ, กรุงเทพมหานคร: 100 DESIGN CO.LTD, ๒๕๓๖, หนา ๓๐๘
๑๐๘
พระโสภณมหาเถระ, วิปสสนาชุน,ี ๒๕๕๙, หนา ๕๘๐
๘๑๗
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
อปายคมนี ย ปฏิ ฆ ะ ๑ ส ว นที่ ยั ง เหลื อ อยู นั้ น สกทาคามิ ม รรคสามารถ
ประหาณไดตามอํานาจของตน คือ กามราคะและปฏิฆะที่อยางหยาบ
อนาคามีมรรคสามารถประหาณกามราคะ ปฏิฆะ ที่ไมเปนอปาย
คมนียะชนิดประณีต อรหัต ตมรรคสามารถประหาณสังโยชนที่เป นอุทธั ม
ภาคียะ ๕ ประการไดโดยอํานาจของตน
พระโสดาบั น นั้ น สามารถทํ า ลายสั ง โยชน อ ย า งเด็ ด ขาดได ๓
ประการ คือ ๑.สักกายทิฏฐิ ๒.วิจิกิจฉา ๓. สีลัพพตปรามาส สวนสังโยชนที่
รุนแรงอีก ๘ ประการถูกทําลายลงไป คือ ๑. กามราคะชนิดรุนแรง ๒.ปฏิฆะ
ชนิดรุนแรง ๓. มานะชนิดรุนแรง ๔. ไมมีความตระหนี่ ๕. ไมมีความริษยา
๖. ไมมีความลบหลู ความยกตนเทียบทานและมายาสาไถย ๗. ไมมีอคติ ๔
๘. มีศีล ๕ ประจําใจเหลานี้คือความบริสุทธิ์แหงจิตของพระโสดาบัน
เมื่อ ปฏิ บั ติ ม ากเขา ๆ จิ ต ก็ จ ะมี ความบริ สุ ทธิ์ ม ากขึ้น จนเขาสู การ
บรรลุขั้นสกทาคามี จิตของพระสกทาคามีก็จะทําใหกามราคะ และความ
โกรธนั้น เบาบางลง ส ว นจิต ของพระอนาคามี นอกจากจะสามารถละสั ก
กายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ไดอยางเด็ดขาดแลวยังสามารถละ
กามระคะ และความโกธรไดอยางเด็ดขาดอีกดวย แตยังคงเหลือซึ่งกิเลสที่
ละเอียดอีก ๕ ประการคือ ๑. ความยินดีในรูปญาณ (รูปราคะ) ๒. ความ
ยิ น ดี ใ นอรู ป ญาณ (อรู ป ราคะ) ๓.ความถือ ตนตามจริ ง (มานะ) ๔.ความ
ฟุงซาน(อุทธัจจะ) ๕.ความไมรูแจง (อวิชชา) ไมรูแจงความจริงของชีวิตและ
สิ่งทั้งหลายโดยสมบูร ณ และสุด ทายจิ ตของพระอรหัน ต ก็จ ะสามารถละ
สั งโยชน อ ย างละเอีย ด ๕ ประการที่ได กล าวมากอนหน านี้ อย า งเด็ ด ขาด
สิ้นเชิง แมจะยังมีชีวิตอยูในโลกนี้ จิตของทานก็จะบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสทั้ง
มวลเมื่อดับขันธไปแลวก็จะเขาสูพระนิพพานพนจากการเวียนวายตายเกิด
ในหนังสือปฐมวิปสสนาวงศในประเทศไทย ไดอธิบายถึงกิเลสและ
๑๐๙
สังโยชน มีใจความโดยสรุปวา กิเลสคือสภาพธรรมที่ทําเศราหมองและ
๑๐๙
พระภัททันตะอาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ, ปฐม
วิปสสนาวงศในประเทศไทย, กรุงเทพมหานคร: ๒๕๕๔, หนา ๑๗๗ - ๑๗๘
๘๑๘
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
เรารอน เมื่อเกิดขึ้นนั้นตนเองก็เศราหมองเมื่อสัมปยุตกับสิ่งใดก็ทําใหสิ่งนั้น
เศราหมอง สวนสังโยชนนั้น คือ สภาพธรรมที่รอยรัดใหสัตวติดอยูในวัฏฏะ
ฉะนั้นสังโยชนและทิฏฐิจึงมีสภาพธรรมอันเดียวกัน คือ
สังโยชน กิเลส
ทิฏฐิสังโยชน ทิฏฐิกิเลส
วิจิกิจฉาสังโยชน วิจิกิจฉากิเลส
ปฏิฆะสังโยชน โทสะกิเลส
มานะสังโยชน มานะกิเลส
อุทธัจจะสังโยชน อุทธัจจะกิเลส
กามระคะ รูปราคะ อรูปราคะสังโยชน โลภกิเลส
อวิชชาสังโยชน โมหกิเลส
สวนกิเลสที่มีองคธรรมตางกับสังโยชนมี ๓ ประการ คือ ถีนกิเลส
อหิริกกิเลส อโนตัปปกิเลส
เนื่องจากปจจเวกขณญาณนั้นไมไดจัดอยูในวิปสสนาญาณ เปนปญา
พิจารณาทบทวนสิ่งตางๆ ที่ไดเกิดขึ้นกอนหนา จึงไมสามารถจัดอยูใน กาย
เวทนา จิต หรือ ธรรม ได ในญาณนี้แมจะเปนเพียงการพิจารณาธรรม แต
ธรรมที่ใชพิจารณานั้น เปนบัญญัติธรรม ซึ่งไมไดจัด วาเปน วิปสสนา ซึ่งใน
ศาสนาพุทธนั้นสามารถแบงคําสอนขององคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาได
๒ ประเภทคือบัญญัติธรรม หมายถึง ธรรมที่พระองคทรงแสดงตามภาษาที่
ชาวโลกเขาใจไดงายคือตามความสมมุติ ขึ้นของชาวโลกใช พูด กัน เพื่อให
เขาใจในการสื่อสาร และ ปรมัตถธรรม ไดแกธรรมที่พระพุทธองคทรงแสดง
ตามความเปนจริงที่มีอยู ของสภาพธรรมทั้งหลายพระพรหมคุณาภรณ ได
กลางถึง ความหมายของบัญญัติ เอาไววา บัญญัติ คือ การกําหนดเรียกหรือ
สิ่งที่ถูกกําหนดเรียกเพื่อใหเปนที่รูกัน๑๑๐ในปรมัตถทีปนี ไดอธิบายคําวา
๑๑๐
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตรฉบับ
ประมวลธรรม, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพสหธรรมิกจํากัด, ๒๕๕๓, หนา๖๖
๘๑๙
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
บัญญัติ มีความหมาย ๒ ประการ๑๑๑ คือ
๑. สิ่งที่ชาวโลกสมมุติขึ้น คือ สิ่งที่มหาชนในโลกบัญญัติไว ทั้งใชพูด
และยอมรับวาสิ่งนี้เปนความหมายหนึ่งของศัพท หมายถึง เนื้อความของ
ศัพทที่เปนสมมุติสัจจะอยางใดอยางหนึ่ง
๒. คํ า ที่ใ ช ส มมุติ ความหมาย คื อ คํ าที่ ใช ส มมุ ติ ค วามหมายที่ พึ ง
บัญญัติ หมายถึงคําบัญญัติที่แสดงความหมายของศัพท
โดยในปจจเวกขณญาณนี้เปนการพิจารณากิเลสทั้งหลาย จึงจัดอยู
ในนามบัญญัติ หรือ ที่เรียกอีกชื่อหนึ่งวา สัททบัญญัติ หมายถึง สิ่งที่มนุษย
สรางขึ้นเพื่อเปนสิ่งสังเกต เปนบัญญัติที่แสดงโดยชื่อ และชื่อบุคคลเปนตน
ซึ่งเมื่อแบงแยกยอยลงมาอีกก็จะเปนนามบัญญัติ ประเภท วิชชมานบัญญัติ
หมายถึง บัญญัติที่เปนไปทางเนื้อหาแหงปรมัต คือ บัญญัติที่มีสภาวะปรมัตถ
เชน จิต เจตสิก รูป และนิพพานนั่นเอง
๖. การปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรค/ผลสูงขึ้นไป
เมื่อผูปฏิบัติวิปสสนา ประสงคจะบรรลุอริยมรรคอริยผลเบื้องสูงขึ้น
ไป ก็ปฏิ บัติโ ดยทํานองเดียวกัน นี้ ต างแตเ ริ่มต นปฏิ บัติไปตั้ งแต อุทยั พพย
ญาณเทานั้น เพราะพระโสดาบันบุ คคลนั้น ไดรู แจงขันธ ๕ พรอมทั้งเหตุ
ปจจัย และเห็นขันธ ๕ เปนพระไตรลักษณมาโดยชอบอยางไมแปรผันแลว
จึงไมตองพิจารณานามรูปปริจเฉทญาณ ปจจยปริคคหญาณ และสัมมสน
ญาณ อันเปนญาณเบื้องตนของวิปสสนาญาณซ้ําอีก
ผูที่บรรลุโสดาบันแลวปรารถนาจะเจริญวิปสสนา เพื่อใหบรรลุมรรค
เบื้ องสู ง เป น พระสกทาคามีต อไปนั้ น ให เ ริ่ มกําหนดพิจ ารณาไตรลั กษณ
ความเกิด-ดับของรูปนามตามนัยแหงอุทยัพพยญาณ อันเปนวิปสสนาญาณ
ตนแหงวิป สสนาญาณ ๙ ตอจากนั้นก็กําหนดพิจารณาไปตามลําดับญาณ
๑๑๑
พระญาณธชเถระ (แลดีสยาดอ), อภิธัมมัตถสังคหะ และ ปรมัตถทีปนี, พระ
คันธสาราภิวงศ แปลและอธิบาย, พิมพครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร: หางหุนสวนจํากัด
ไทยรายวัน กราฟฟค จํากัด, ๒๕๔๖), หนา ๗๕๑.
๘๒๐
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
จนกวาจะบรรลุถึงมรรคญาณ ผลญาณ และปจจเวกขณญาณ อันเปนญาณ
สุดทาย ผูที่ผานทุติยมรรคเปนพระสกทาคามีแลวก็ดี หรือผูที่ผานตติยมรรค
เปนพระอนาคามีแลวก็เชนเดียวกัน หากปรารถนาจะเจริญวิปสสนาเพื่อให
บรรลุมรรคเบื้องบน ก็ใหถึงเริ่มตนที่อุทยัพพยญาณ เชนเดียวกัน
กลาวถึงวิถีจิต : มรรควิถีของพระโสดาบันที่บรรลุสกทาคามิมรรคก็
ดี มรรควิถีของพระสกทาคามีที่บรรลุถึงอนาคามิมรรคก็ดี และมรรควิถีของ
พระอนาคามี ที่บ รรลุ ถึ ง อรหั ต ตมรรคก็ดี เหมื อ นกั บ มรรควิ ถี ของติ เ หตุ ก
บุคคลที่บรรลุโสดาปตติมรรคทุกประการ ผิดกันเล็กนอย ตรงที่ไมเรียก โคตร
ภู แตเรียกวา “โวทาน” เทานั้นเอง สาเหตุที่ไมเรียกโคตรภู เพราะไมตอง
เปลี่ยนโคตรใหม ดวยวาเปนโคตรอริยเหมือนกันอยูแลว
โวทาน แปลว า บริ สุ ท ธิ์ หรื อ ผ อ งแผ ว ซึ่ ง มี ความหมายว า พระ
สกทาคามีมีธรรมที่บริสุทธิ์กวาผองแผวกวาพระโสดาบัน พระอนาคามีก็มี
ธรรมที่บริสุทธิ์ยิ่งกวา ผองแผวยิ่งกวาพระสกทาคามี สวนพระอรหันตนั้น
เปนผูที่ขาวสะอาดบริสุทธิ์หมดจดผองแผวดวยประการทั้งปวง
ขอความที่วา “ผูเจริญเพื่อใหบรรลุมรรคญาณผลญาณเบื้องบน ให
เริ่มที่อุทยั พพยญาณทีเดียว”นั้น เพราะเหตุวาเปนผู ที่ผานปฐมมรรคแล ว
เปนพระโสดาบันแลว เปนผูที่มั่นในศีล ๕ แนนอน จึงชื่อวาเปนผูมีสีลวิสุทธิ
แลว เปนผูมีสมาธิดีแลว จึงผานญาณตางๆ มาไดโดยตลอดรอดฝงจึงไดชื่อวา
มีจิตตวิสุทธิแลว เปนผูที่ไดผานนามรูปปริจเฉทญาณมาแลว เคยประจักษ
แจ ง ในรู ป นามมาแล ว จึ ง ได ชื่ อ ว า มี ทิ ฏ ฐิ วิ สุ ท ธิ แ ล ว เป น ผู ที่ ไ ด ผ า นป จ จย
ปริคคหญาณมาแลว รูแจงในปจจัยที่ใหเกิดรูปเกิดนามมาแลว หมดความ
สงสัยในรูป-นามหมดความสงสัยในพระรัตนตรัย จึงไดชื่อวากังขาวิตรณวิ
สุทธิ ทั้งยังไดผานสัมมสนญาณที่ยกรูปนามขึ้นสูไตรลักษณ เห็นความเกิด
ของรูป-นามซึ่งอาศัยจินตาญาณทําใหรูวารูปนามกอนนั้นดับไปแลว ซึ่งเปน
สวนเดียวในการเห็นทั้งความเกิดและความดับ
อุทยัพพยญาณนี้ไดชื่อวา มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ อันเปนญาณ
ที่ไตรตรองวาใชทางที่ชอบหรือมิใชกันแน ดังนั้นจึงใหเริ่มที่อุทยัพพยญาณ
อันเปนญาณตนที่ตัดสินไดเด็ดขาดแลววา นี่เปนปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ นี่
๘๒๑
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
เปนทางปฏิบัติอันถูกตองแลวที่จะใหถึงซึ่งความดับทุกข ที่ตัดสินไดเด็ดขาด
เชนนี้ เพราะอุทยัพพยญาณ..
๑. เปนญาณที่ปราศจากความวิปลาสคลาดเคลื่อนแลว
๒. เปนญาณที่ไมไดอาศัยปริยัติมาเปนเครื่องใหรู แตเปนความรูที่
เกิดขึ้นจากปฏิปทา คือ การปฏิบัติที่ถูกตองอยางแทจริง
๓. เปนญาณที่ประจักษในขณะเกิดขณะดับ อยางที่เราเรียก รูทัน
ปจจุบัน ไมไดอาศัยกาลเวลาอยางสัมมสนญาณมาเปนเครื่องใหรู
๔. เปนญาณที่รูแจงชัดจริงอยางที่เรียกวา ประจักขสิทธิ โดยไมได
อาศัยจินตาญาณอยางสัมมสนญาณ
๕. เปนญาณที่นับเขาในวิปสสนาญาณแท ในขั้นโลกีย๑๑๒
การที่ผูปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไป ตองกลับมาเจริ ญ
วิปสสนา เพื่อใหผานญาณไปตามลําดับเหมือนกับการปฏิบัติครั้งแรกก็จริง
แตลักษณะและคุณภาพของญาณนั้นๆ มีความละเอียดประณีต และสามารถ
กํ า จั ด กิ เ ลสได ดี แ ละมากขึ้ น ไปกว า กั น โดยลํ า ดั บ ของแต ล ะขั้ น เช น มี
สติสัมปชัญญะปรากฏชัด และสุขุมลึกซึ้งกวากัน โดยเฉพาะญาณใน ๔ มรรค
คือ โสดาปตติมรรคญาณ สกทาคามีมรรคญาณ อนาคามิมรรคญาณ และ
อรหัตมรรคญาณ มีกําลังประหานกิเลสไดมากกวากัน คือ
โสดาปตติมรรคที่ ๑ ละกิเลสชนิดที่เปนเหตุใหไปเกิดในอบายภูมิได
สิ้นเชิง หมายความวา พระโสดาบันบุคคลยอมไมไปเกิดในอบายภูมิอีกตอไป
สกทาคามิมรรคที่ ๒ ละกิเลสอยางหยาบ โดยเฉพาะที่แสดงออกมา
ทางกาย วาจา ไดสิ้นเชิง
อนาคามิมรรคที่ ๓ ละกิเลสชนิดเบาบางไดสิ้นเชิง
อรหัตมรรคที่ ๔ ชั้นสูงสุด ละกิเลสอยางละเอียด ซึ่งแทรกซึมอยูใน
จิตสันดานไดโดยสิ้นเชิง หมายความวาพระอรหันตทั้งหลาย เปนผูวิมุติหลุด
๑๑๒
ขุนสรรพกิจโกศล (โกวิท ปทมะสุนทร). คูมือการศึกษากรรมฐานสังคห-
วิภาค พระอภิธัมมัตถสังคหะปริจเฉทที่ ๙, พระนคร, ประพาสตนการพิมพ, ๒๕๐๙.
หนา ๑๘๘.
๘๒๒
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
พนจากกิเลสทุกประเภททุกชนิด เปนผูมีขันธสันดานบริสุทธิ์หมดจดอยาง
สมบูรณดังนั้น ทานจึงไมมีกิเลสอันเปนเชื้อใหตองเกิด แก เจ็บ ตายในภพ
ทั้งหลายอีก เมื่อดับขันธทั้ง ๕ อันเปนวิบากขันธครั้งสุดทายแลวก็ปรินิพพาน
ไมมีการเวียนวายตายเกิดในวัฏสงสารอีกตอไป
การเจริ ญวิ ป ส สนากรรมฐาน อัน เป น วิ ธี เ ขาถึงพระรั ต นตรั ย ด ว ย
วิปสสนาวิธีนี้ แสดงใหเห็นถึงการไดเห็นอริยสัจ ๔ ไปในตัว กลาวคือ เมื่อผู
ปฏิ บั ติ ไ ด บ รรลุ อ ริ ย มรรคแล ว นั้ น มรรคจิ ต ย อ มได นิ พ พานเป น อารมณ
นิพพานนั้นก็ไดแกนิโรธสัจนั่นเอง ดังนั้น ผูไดบรรลุมรรคญาณจึงไดชื่อวาเปน
ผูเห็นแจงนิโรธสัจดวยมรรคญาณ หรือมรรคปญญา
ปญญาเจตสิกที่เกิดรวมกับมรรคจิตนั้น เปนตัวสัมมาทิฏฐิเปนองค
ธรรมของอริยมรรคที่ ๑ และในขณะมรรคจิตเดียวกันนั้น มีวิตกเจตสิกอัน
เปน สัมมาสังกัปปะ เปนองคอริยมรรคที่ ๒ มีสั มมาวาจา สั มมากัมมันตะ
สั ม มาอาชี ว ะเจตสิ ก อั น เป น องค อ ริ ย มรรคที่ ๓-๔-๕, มี วิ ริ ย ะสติ และ
เอกัคคตาเจตสิก อันเปนตัวสัมมาวิริยะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ องคอริยมรรค
ที่ ๖-๗-๘ เกิด รว มกัน ประกอบพร อมกัน โดยมีนิ พพานเปน อารมณอย าง
เดียวกัน องคอริยมรรค ๘ ประการนี้เปน มรรคสัจ ดังนั้นผูไดบรรลุมรรค
ญาณนั้น จึงไดชื่อวาเปนผูเห็นแจงมรรคสัจ
ขันธ ๕ อันเปนอารมณของวิปสสนากรรมฐานที่ผูปฏิบัติพิจารณามา
ตั้งแตตนจนถึงอนุโลมญาณเปนที่สุดนั้นเปนตัวทุกขสัจ ผูบรรลุมรรคญาณนั้น
จึงไดชื่อวาเปนผูเห็นแจงทุกขสัจ
ตัณหาอัน เปน เหตุ ให เกิด ขัน ธ ๕ นั้ น เป น สมุทัยสัจ ผูบ รรลุ มรรค
ญาณจึงไดชื่อวาเปนผูเห็นแจงสมุทยสัจ
สรุปวา ผูปฏิบัติภาวนาจนไดบรรลุถึงมรรคญาณแลว ชื่อวาไดเห็นแจง
อริยสัจ ๔ คือ ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค ดวยมรรคญาณ หรือมรรคปญญา๑๑๓
๑๑๓
สมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ อาสภมหาเถระ) แปลและเรียบเรียง, คัมภีรวิ
สุทธิมรรค, หนา ๑๑๐๒.
๘๒๓
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
๗. ญาณในวิมุตติสุข
ในคัมภีรปฏิสัมภิทามรรค พระสารีบุตรเถระอธิบายการเกิดญาณ
ในวิมุตติสุข ที่เกิดจากการเจริญอานาปานสติภาวนาไว ๒๑ ประการ คือ
๑. ญาณในวิมุตติสุขเกิดขึ้น เพราะละ ตัดขาดสักกายทิฏฐิไดดวย
โสดาปตติมรรค
๒. ญาณในวิมุตติสุขเกิดขึ้น เพราะละ ตัดขาดวิจิกิจฉาไดดวยโสดา
ปตติมรรค
๓. ญาณในวิมุตติสุขเกิดขึ้น เพราะละ ตัดขาดสีลัพพตปรามาสได
ดวยโสดาปตติมรรค
๔. ญาณในวิมุต ติ สุ ขเกิด ขึ้น เพราะละ ตั ด ขาดทิฏ ฐานุ สั ยได ด ว ย
โสดาปตติมรรค
๕. ญาณในวิมุตติสุขเกิดขึ้น เพราะละ ตัดขาดวิจิกิจฉานุสัยไดดวย
โสดาปตติมรรค
๖. ญาณในวิมุตติสุขเกิดขึ้น เพราะละ ตัดขาดกามราคสังโยชนอยาง
หยาบไดดวยสกทาคามิมรรค
๗. ญาณในวิมุตติสุขเกิดขึ้น เพราะละ ตัดขาดปฏิฆสังโยชนอยาง
หยาบไดดวยสกทาคามิมรรค
๘. ญาณในวิมุตติสุขเกิดขึ้น เพราะละ ตัดขาดกามราคานุสัยอยาง
หยาบไดดวยสกทาคามิมรรค
๙. ญาณในวิ มุ ต ติ สุ ข เกิ ด ขึ้ น เพราะละ ตั ด ขาดปฏิ ฆ านุ สั ย อย า ง
หยาบไดดวยสกทาคามิมรรค
๑๐. ญาณในวิมุตติสุขเกิดขึ้น เพราะละ ตัดขาดกามราคสังโยชน
อยางละเอียดดวยอนาคามิมรรค
๑๑. ญาณในวิมุตติสุขเกิดขึ้น เพราะละ ตัดขาดปฏิฆสังโยชนอยาง
ละเอียดไดดวยอนาคามิมรรค
๑๒. ญาณในวิมุตติสุขเกิดขึ้น เพราะละ ตัดขาดกามราคานุสัยอยาง
ละเอียดไดดวยอนาคามิมรรค
๘๒๔
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
๑๓. ญาณในวิมุตติสุขเกิดขึ้น เพราะละ ตัดขาดปฏิฆานุสัยอยาง
ละเอียดไดดวยอนาคามิมรรค
๑๔. ญาณในวิ มุต ติ สุ ขเกิด ขึ้น เพราะละ ตั ด ขาดรู ป ราคะได ด ว ย
อรหัตตมรรค
๑๕. ญาณในวิมุตติสุขเกิดขึ้น เพราะละ ตัดขาดอรูปราคะไดดวย
อรหัตตมรรค
๑๖. ญาณในวิ มุ ต ติ สุ ข เกิ ด ขึ้ น เพราะละ ตั ด ขาดมานะได ด ว ย
อรหัตตมรรค
๑๗. ญาณในวิมุต ติ สุ ขเกิด ขึ้น เพราะละ ตัด ขาดอุทธั จ จะได ด ว ย
อรหัตตมรรค
๑๘. ญาณในวิ มุ ต ติ สุ ข เกิ ด ขึ้ น เพราะละ ตั ด ขาดอวิ ช ชาได ด ว ย
อรหัตตมรรค
๑๙. ญาณในวิมุตติสุขเกิดขึ้น เพราะละ ตัดขาดมานานุสัยไดดวย
อรหัตตมรรค
๒๐. ญาณในวิมุตติสุขเกิดขึ้น เพราะละ ตัดขาดภวราคานุสัยไดดวย
อรหัตตมรรค
๒๑. ญาณในวิมุตติสุขเกิดขึ้น เพราะละ ตัดขาดอวิชชานุสัยไดดวย
อรหัตตมรรค๑๑๔
ในเรื่องนี้ พุทธทาสภิกขุไดนําหลักการเรื่อง “วิมุตติสุข” อันเกิดจาก
การเจริญอานาปานสติภาวนา ดังที่ทานอธิบายวา สิ่ ง ที่ จ ะพึ ง ละจํ า แนก
เปน ๒ หมวด คือ หมวดสังโยชนและหมวดอนุสัย ในขอนั้น ขอที่ ๑-๒-๓-๖-
๗-๑๐-๑๑-๑๔-๑๕-๑๖-๑๗-๑๘ สิบสองขอนี้เปนพวกสังโยชน ขอที่ ๔-๕-๘-
๙-๑๒-๑๓-๑๙-๒๐-๒๑ เกาขอนี้เปนหมวดอนุสัย เมื่อเปนดังนี้เห็นไดสืบไป
วา เปนการจําแนกที่ซ้ํา กันอยู คือ ถาถือเอาหลักก็มีสังโยชนซ้ําหรือเกินเขา
มา ๑๐ นอกจากนั้น พึงสังเกตใหเห็นวาทานไดแยกสังโยชน หรืออุปนิสัย
บางอยางออกไปเปนชั้นหยาบและชั้นละเอียดอีก ตามควรแกอํานาจของ
๑๑๔
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๘๓/๒๘๙.
๘๒๕
บทที่ ๑๖ พิจารณามรรค ผล
อริยมรรคจะพึงตัด เชนจําแนกกามราคะและปฏิฆะ วามีเปนอยางหยาบและ
อยางละเอียด ทั้งที่เปนสังโยชนและอนุสัย ดวยการจําแนกออกไปเชนนี้ดวย
และดวยการรวมเขาดวยกัน ทั้งสังโยชนและอนุสัย จึงไดจําแนกออก เปน
๒๑ ประการ
เมื่อกลาวโดยยกเอาอนุสัยเปนหลัก พึงทราบวาอนุสัย(กิเลสที่นอน
เนื่องอยูในขันธสันดาน) มี ๗ คือ
๑. ทิฏฐานุสัย (ความเห็นผิดที่นอนอยู)
๒. วิจิกิจฉานุสัย (ความสงสัยที่นอนอยู)
๓. กามราคานุสัย (ความยินดีในกามที่นอนอยู)
๔. ปฏิฆานุสัย (ความโกรธที่นอนอยู)
๕. มานานุสัย (ความถือตัวที่นอนอยู)
๖. ภวราคานุสัย (ความยินดีในภพที่นอนอยู)
๗. อวิชชานุสัย (ความไมรูตามความเปนจริงที่นอนอยู)
เมื่อสังโยชน ๑๐ และอนุสัย ๗ มาเปรียบเทียบกันดู ยอมจะเห็นได
วา เพียงแตจํานวนตางกัน เพราะเล็งถึงกิริยาอาการที่ทําหนาที่เปนกิเลส
ตางกัน คือสัญโญชน หมายถึงเครื่องผูกพัน และอนุสัยหมายถึงเครื่องนอน
เนื่องอยูในสันดาน แตโดยเนื้อแทนั้นเปนของอยางเดียวกันไดโดยการปรับ
เขากัน ดังตอไปนี้
สักกายทิฏฐิและสีลัพพตปรามาส คือ ทิฏฐานุสัย
วิจิกิจฉา คือ วิจิกิจฉานุสัย
กามราคะ คือ กามราคานุสัย
รูปราคะ คือ ภวราคานุสัย
มานะและอุทธัจจะ คือ มานานุสัย
อวิชชา คือ อวิชชานุสัย
สังโยชน ๑๐ อยาง จึงลงตัวกันไดกับอนุสัย ๒ อยาง ดวยอาการ
ดังกลาวนี้๑๑๕
๑๑๕
พุทธทาสภิกขุ, อานาปานสติภาวนา, หนา ๔๔๖-๔๕๐.
๘๒๖
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
๑. สมาบัติ
สมาบัติ แปลวา เขาถึง คือ เขาถึงจุดของอารมณที่เปนสมาธิ เปน
สภาวะสงบประณี ต ที่ พึ ง เข า ถึ ง โดยทั่ ว ไปหมายถึ ง การบรรลุ ฌ าน การ
เขาฌาน๑ สวนอารมณสมาธิที่ยังไมเขาระดับฌานยังไมเรียกวา สมาบัติ
มีอยู ๓ ประเภท คือ ฌานสมาบัติ ผลสมาบั ติ และนิ โรธสมาบั ติ
โดยมีความตางกัน ดังนี้
ฌานสมาบัติ ผลสมาบัติ นิโรธสมาบัติ
ผูเจริญสมถกัมมัฏฐาน ผูเจริญวิปสสนา จนบรรลุมรรค พระอนาคามี
ไดฌานตั้งแตปฐมฌาน ผล นิพพาน เปนพระอริยบุคคล และพระอรหันต
ขึ้นไป ที่ไดสมาบัติ ๘
มีบัญญัติเปนอารมณ มีพระนิพพานเปนอารมณ จิตและเจตสิกที่
เขาถึงความดับ
โลกียสมาบัติ โลกุตรสมาบัติ โลกุตรสมาบัติ
๑
ดูรายละเอียดใน องฺ.ทุก.อ. (บาลี) ๒/๑๖๔/๗๑.
๒
ที.สี. (ไทย) ๙/๒๓๔-๒๔๘/๗๗-๘๔.
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
๒) ผลสมาบัติ คือ การเขาถึงซึ่งอริยผลจิต หรือการเขาอยูในอริยผล
จิต เปนโลกุตตระ เปนการเขาอยูในอารมณพระนิพพานที่ไดมาจากอริยผล
ฌาน อันบังเกิดแลวแกตน เพื่อเสวยโลกุตตรสุข ซึ่งเปนความสงบสุขที่พึง
เปนประจักษไดในปจจุบัน (วิปสสนา)
๓) นิโรธสมาบัติ คือ การเขาถึงซึ่งความดับของจิตและเจตสิก ไม
จัด เป น โลกีย ะหรื อโลกุต ระ เพราะไมมีจิ ต จะดั บ คือ การเขาถึงความดั บ
สัญญา (ความหมายรู) และเวทนา(ความเสวยอารมณ) ทั้งหมด ซึ่งรวมไปถึง
การดับจิตและเจตสิกอื่นๆ พรอมทั้งรูปที่เกิดจากจิตดวย แตรูปที่เกิดจาก
กรรม อุตุและอาหารยังคงเปนไปอยู เพราะฉะนั้นผูที่เขานิโรธสมาบัติจึงยังมี
ชีวิตอยู ซึ่งเขาไดถึง ๗ วัน เรียกวา เขาสัญญาเวทยิตนิโรธ เปรียบเหมือนฝก
นิพพาน เขาสูความดับสนิทแหงนามขันธ โดยปราศจากอันตรายใดๆ เปน
มหาสันติสุข อันยอดเยี่ยม ดังนั้น พระอริยเจาจึงนิยมเขาผลสมาบัติ และ
นิโรธสมาบัติดวยศรัทธา และฉันทะในอมตรสนั้น จนกวาจะนิพพาน (สมถ+
วิปสสนา)๓
เหตุใกลของสมาบัติ๔
๑) นิ โ รธสมาบั ติ นี้ เ ป น อานิ ส งค ข องฌานสมาบั ติ ประกอบด ว ย
วิปสสนาปญญา
๒) ผลสมาบัตินี้เปนอานิสงคของวิปสสนาภาวนา
๓) ฌานสมาบัตินี้เปนอานิสงคของโลกียฌานสมาธิ
การเขาผลสมาบัตินี้จะฝกหัดใหเกิดความชํานาญจนเปนวสีเหมือน
อยางในการเขาฌานสมาบัติวิถีไมได๕ เพราะอํานาจแหงมรรคจิตที่เกิดขึ้น
เพียงขณะจิตเดียวเทานั้น
สมาบัติวิถี หมายถึง วิถีจิตที่เขาถึงและอยูในที่นั้นแลว คือ เมื่อจะ
เขาสมาบัตินั้น ๆ ตองตั้งความปรารถนาโดยอธิษฐานวาจะอยูในสมาบัติ มี
๓
องฺ.ทุก.อ. (ไทย) ๑/๒/-/๗๑.
๔
ดูรายละเอียดใน อัฎฐสาลินี พรหมวิหารกถา ๒๕๑/๒๔๙-๒๕.
๕
ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๗/๑๑๔.
๘๒๘
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
กํ า หนดเวลานานเท า ใด ก็ ข อให จิ ต ที่ ป รากฏนั้ น จงบั ง เกิ ด ขึ้ น ตามความ
ปรารถนาเถิด๖
๑.๑ ฌานสมาบัติวิถี
การเขาฌานสมาบัติ เพื่อหนีทุกขเวทนา โดยปรารถนาจะเสวยฌาน
สุข ยังความอิ่มใจ หรื อความวางเฉย แน วแนอยู ในอารมณกัมมัฏ ฐานนั้ น
ตราบเทา เวลาที่ตนอธิษฐาน (คือตั้งความปรารถนาอันแนวแนมั่นคงอยาง
แรงกลา) ไว
ผู เ ขา ฌานสมาบั ติ ได ต อ งเป น ผู ที่ไ ด ฌ านและต องมีว สี คื อ ความ
ชํานาญความแคลวคลองทั้ง ๕ ประการ๗ ไดแก
๑. อาวัชชนวสี ความชํานาญในการ นึกที่จะเขาฌานตามที่ตนตั้งใจ
๒. สมาปชชนวสี ความชํานาญในการ เขาฌาน
๓. อธิฏฐานวสี ความชํานาญในการ ตั้งความปรารถนาที่จะให ฌาน
จิต ตั้งมั่นอยูเปนเวลาเทาใด
๔. วุฏฐานวสี ความชํานาญในการ ออกจากฌาน
๕. ปจจเวกขณวสี ความชํานาญในการ พิจารณาองคฌาน
เมื่อ ฌานลาภีบุคคล คือบุคคลผูไดฌาน มีความคลองแคลววองไว
ในวสี ทั้ ง ๕ แล ว เวลาจะเข า ฌานสมาบั ติ นั้ น กิ จ เบื้ อ งต น ต อ งตั้ ง ความ
ปรารถนา(อธิษฐาน) วา จะเขาฌานสมาบัติเปนเวลา.... (ตามความประสงค
ว าจะเข าอยู น านสั กกี่ชั่ ว โมง หรื อกี่วั น ) ขอให ฌ านจิ ต ที่ เ คยได แ ล ว นั้ น จง
บังเกิดขึ้นตามความปรารถนานี้เถิด
ขณะที่ตั้งความปรารถนา(อธิษฐาน)นี้ กามจิตอันเปนมหากุศลญาณ
สัมปยุตต สําหรับปุถุชนและพระเสกขบุคคล หรือกามจิตอันเปนมหากิริยา
ญาณสัมปยุตต สําหรับพระอรหันต ก็เกิดมีวิถีจิต (มโนทวารวิถ)ี ๘ ดังนี้
๖
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔๒/๖๐๘-๖๐๙.
๗
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๘๕/๑๔๓.
๘
พระสัทธัมมโชติกะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๔ วิถึสังคหะ, พิมพครั้งที่ ๘,
(กรุงเทพมหานคร: หจก.ทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๕๓), หนา ๕๙-๖๑.
๘๒๙
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
น--ท--มโน--ช--ช--ช--ช--ช--ช--ช
ความหมายของอักษรยอ
ภ = ภวังค,
ตี = อตีตภวังค,
น = ภวังคจลนะ,
ท = ภวังคุปจเฉทะ
ป = ปญจทวาราวัชชนะ,
วิ = ปญจวิญญาณ,
สํ = สัมปฏิจฉันนะ,
ณ = สันตีรณะ,
วุ = โวฏฐัพพนะ,
ช = ชวนะ,
ต = ตทาลัมพนะ,
มโน = มโนทวาราวัชชนะ
บริ = บริกรรม
อุป = อุปจาระ
อนุ = อนุโลม
โค = โคตรภู
ฌ = ฌานจิต
ตอจากนี้ก็เจริญสมถภาวนาเขาฌานสมาบัติ โดยเพงปฏิภาคนิมิตที่
ตนเคยได เคยผานมาแลวนั้น วิถีจิต (ฌานสมาปตติวิถี)๙ ก็จะเกิดดังนี้
ภ--ภ--น--ท--มโน--ปริ--อุป--อนุ--โค--ฌ--เกิดดับเรื่อยไป--ฌ--ภ...
(ถาเป น ติกขบุคคลก็ไมมีบริ กรรม) ตอจากโคตรภู ฌานจิ ต ก็เ กิด
เรื่อยไปตราบเทา เวลาที่ตนตั้งความปรารถนาไว ตอเมื่อครบกําหนดเวลาที่
ตนอธิษฐานไวแลว ฌานจิตจึงจะหยุดเกิด แลวก็เปนภวังคจิตตอไปตามปกติ
๙
พระสัทธัมมโชติกะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๔ วิถึสังคหะ, หนา ๑๐๖.
๘๓๐
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
อนึ่ง ฌานลาภีบุคคลผูไดเพียงปฐมฌานก็ตองเขาฌานสมาบัติในปฐมฌาน
เทาที่ตนได ที่เปนธรรมดาสามัญ แตถาไดฌานที่สูงขึ้นไป ก็เขาไดทั้งฌานสูง
เทาที่ตนได และเขาสมาบัติในฌานที่ต่ํากวาก็ไดดวย เชนผูที่ได ตติยฌาน
เขาตติยฌานสมาบัติได เขาทุติยฌานสมาบัติไดหรือจะเขาปฐมฌานสมาบัติ
ก็ได (ขอนี้ผิดกับ การเขาผลสมาบัติ ซึ่งจะไดกลาวตอไป)
๑.๒ ผลสมาปตติวิถี
โลกุตรวิบากจิตที่มีนิพพานเปนอารมณ เปนผลจากการดับกิเลสของ
มรรคเปนสมุจเฉทแลว โลกุตรวิบากจิต(ผลจิต) มี ๔ ประเภท ตามการดับ
กิเลสของมรรค คือ
๑. โสดาปตติผลจิต ทําใหบุคคลผูบรรลุไดชื่อวา พระโสดาบัน
๒. สกทาคามิผลจิต ทําใหบุคคลผูบรรลุไดชื่อวา พระสกทาคามี
๓. อนาคามิผลจิต ทําใหบุคคลผูบรรลุไดชื่อวา พระอนาคามี
๔. อรหัตผลจิต ทําใหบุคคลผูบรรลุไดชื่อวา พระอรหันต
มรรคจิตดวงหนึ่งๆ จะเกิดขึ้นเพียงครั้งดียวในสังสารวัฏ เพราะมีกิจ
ในการละกิเลสไดเปนสมุจเฉท ไมตองเกิดขึ้นมาเพื่อละกิเลสที่ดับไปแลวอีก
สวนผลจิตสามารถเกิดขึ้นไดหลายครั้ง ในมรรควิถีเกิดได ๒ หรือ ๓ ขณะ แต
ในขณะที่เขาผลสมาบัติมีผลจิตเกิดขึ้นนับไมถวน
การเขาผลสมาบัติ เปนการเขาอยูในอารมณพระนิพพาน ที่ไดมา
จากอริยผลญาณอันบังเกิดแลวแกตน เพื่อเสวยโลกุตรสุข ซึ่งเปนความสงบ
สุขที่พึงเห็นประจักษไดในปจจุบัน
พระนิพพานที่เปนอารมณของผลสมาบัตินั้นมี ๓ อาการ๑๐ คือ
๑. อนิมิตตนิพพาน หมายถึงวา ผูที่กาวขึ้นสูมรรคผลนั้น เพราะเห็น
ความไมเที่ยง อันปราศจากนิมิต, เครื่องหมาย คือ อนิจจัง โดยบุญญาธิการ
แตปางกอน แรงดวยศีล เมื่อเขาผลสมาบัติก็คงมีอนิมิตตนิพพานเปนอารมณ
๒. อัปปณิหิตนิพพาน หมายถึงวา ผูที่กาวขึ้นสูมรรคผลนั้น เพราะ
๑๐
ขุ.เถร.อ. (ไทย) ๒/๓/๔/๕๖๓.
๘๓๑
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
เห็นความทนอยูไมได ตองเปลี่ยนแปรไป อันหาเปนปณิธิที่ตั้งไมได คือทุกขัง
โดยบุญญาธิการแตปางกอนแรงดวยสมาธิ เมื่อเขาผลสมาบัติก็คงมีอัปปณิ
หิตนิพพานเปนอารมณ
๓. สุญญตนิพพาน หมายถึงวา ผูที่กาวขึ้นสูมรรคผลนั้น เพราะเห็น
ความไมใชตัวตน บังคับบัญชาไมได อันเปนความวางเปลา คืออนัตตา โดย
บุ ญญาธิ การแต ป างก อนแรงด ว ยป ญญา เมื่อเขาผลสมาบั ติ ก็ คงมีสุ ญญต
นิพพานเปนอารมณ๑๑
บุคคลที่เขาผลสมาบัติไดตองเปนพระอริยบุคคล สวนปุถุชนจะเขา
ผลสมาบัติไมไดเลย พระอริยเจาที่จะเขาผลสมาบัติก็เขาไดเฉพาะอริยผลที่
ตนไดที่ตนถึงครั้งสุดทายเทานั้น แมอริยผลที่ตนไดและผานพนมาแลวก็ไม
สามารถจะเขาได กล าวคือ พระโสดาบั นก็เขาผลสมาบัติ ได แต โ สดาป ต ติ
ผล พระสกทาคามีก็เขาผลสมาบัติไดแตสกทาคามีผลเทานั้น จะเขาโสดา
ปตติผล ซึ่งถึงแมวาตนจะเคยไดเคยผานเคยพนมาแลว ก็หาไดไม
พระอนาคามีก็เขาผลสมาบัติไดแตเฉพาะอนาคามีผล
พระอรหั น ต ก็ เ ข า ผลสมาบั ติ ไ ด แ ต อ รหั ต ตผลโดยเฉพาะเช น กั น
พระอริยบุคคลผูจะเขาผลสมาบัติ กิจเบื้องตนก็จะตองตั้งความปรารถนาวา
จะเขาผลสมาบัติเปนเวลากี่ชั่วโมง หรือกี่วัน ขอใหผลจิตที่เคยปรากฏมาแลว
นั้น จงบังเกิดขึ้นตามความปรารถนานี้เถิด
ขณะที่ตั้งความปรารถนา(อธิษฐาน) นี้ จิตปรารถนาอันเปนมหากุศล
ญาณสั มปยุ ต ตสํ าหรับ พระอริ ย เบื้ องต่ํา ๓ หรื อจิ ต ปรารถนาอัน เป น มหา
กิริยาญาณสัมปยุตตสําหรับพระอรหันตก็เกิด มีวิถีจิตซึ่งเรียกวา อธิษฐาน
วิถี (มโนทวารวิถ)ี คือ น--ท--มโน--ช--ช--ช--ช--ช--ช--ช
ตอจากอธิษฐานวิ ถี ก็เจริ ญวิป สสนาภาวนามีรู ปนามเป นอารมณ
เริ่มแตอุทยัพพยญาณเปนตนไป ผลจิตจะเกิดวิถีจิตนี้ชื่อวา ผลสมาปตติวิถ๑๒
ี
คือ ภ--น--ท--มโน--อนุ--อนุ--อนุ—อนุ-- ผล--เกิดดับเรื่อยไป--ผล --ภ...
๑๑
ที.ปา.อ. (ไทย) ๓/-/๒/๓๒๐.
๘๓๒
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
ผูที่กําลังเจริญวิปสสนาภาวนาอยูนั้น กอนที่เขาสูผลสมาบัติจะเห็น
อารมณรูป-นาม โดยความเปนพระไตรลักษณชัดเจน และในขณะนั้นภวัง
คจลนะและภวังคคุปจเฉทะเกิดขึ้น แลวก็ดับลง ตอจากนั้นมโนทวาราวัชช
จิต ก็เ กิด ขึ้น รั บ สภาพรู ป หรื อนามแลว ก็ดั บ ลง ในลํ าดับ นั้ น มหากุศลญาณ
สัมปยุตต ๔ ดวง หรือมหากิริยาญาณสัมปยุตตชวนจิต ๔ ดวงดวงใดดวง
หนึ่ ง เกิ ด ขึ้ น ๔ ขณะ ของมั น ทบุ ค คล หรื อ อนุ โ ลมจิ ต ๓ ขณะของติ ก ข
บุคคล๑๓
อนุโลมทั้ง ๔ มีสังขารธรรมที่เปนไตรลักษณเปนอารมณ
เมื่ออนุโลมจิตดวงสุดทายดับลง ตอจากนั้นผลจิตก็เกิดขึ้นติดตอกัน
เรื่อยๆ ผลจิตจะปรากฏขึ้นมามากมายตลอดเวลาที่ไดอธิษฐานไว เมื่อครบ
กําหนดเวลาตามที่ตนไดอธิษฐานไวแลว ภวังคจิตจะเกิดขึ้น เปนอันวาออก
จากผลสมาบัติ คือ สิ้นสุดผลสมาปตติวิถี
อนึ่ง จิตในผลสมาปตติวิถีนี้ ไมเรียกวา บริกรรม อุปจาระ อนุโลม
โคตรภู เหมือนอยางในมรรควิถี แตเรียก อนุโลมอยางเดียว ทั้ง ๔ ขณะ
เพราะผลสมาปตติวิถีนี้ ไมไดทําการประหาณกิเลส เหมือนอยางในมรรควิถี
เปนแตจิต ๔ ดวงนี้เกิดขึ้นเพื่ออนุโลมใหจิตถึงพระนิพพาน หรือใหแนบแนน
ในอารมณพระนิพพาน
เปรียบเทียบมรรควิถีและผลจิต ในระหวางกาลเปนผลของสมาบัติ
๑) ผลจิตชวนในมรรควิถี
๑๒
พระสัทธัมมโชติกะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๔ วิถึสังคหะ, หนา ๑๐๗.
๑๓
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๑๗.
๘๓๓
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
๒. ผลจิตชวนะ เกิดเพียง ๒-๓ ขณะเทานั้น๑๔
ผลจิตนี้ เกิดขึ้นในลําดับแหงมรรค หมายความวา ในขณะที่บรรลุ
มรรคผลนั้น มรรควิถีเกิดขึ้นตามลําดับ คือ บริกรรม อุปจาระ อนุโลม โคตร
ภู เมื่อมรรคญาณปรากฏขึ้นแลว มรรคจิตก็จะเกิดขึ้นเพื่อทําการประหาณ
กิเลสเปนสมุจเฉท หลังจากนั้น ผลจิตก็จะเกิดขึ้นทันที โดยไมมีระหวางคั่น๑๕
เรียกวา อกาลิโก ผลญาณนี้จัดเปนวิบากจิต เสวยวิมุตติสุขตามที่ไดทําไวแลว
ถาเปนผูตรัสรูชาที่เรียกวา มันทบุคคล ผลจิตก็จะเกิดขึ้น ๒ ขณะ แตถาเปน
ผูที่ตรัสรูเร็วที่เรียกวาติกขบุคคล ผลจิตก็จะเกิดขึ้นตอไปอีก ๓ ขณะ
๒) ผลจิตชวนในผลสมาบัติ
๑๙
พระภัททันตะ อาสภมหาเถระ, วิปสสนาทีปนีฎีกา, ม.ป.ป., หนา ๑๗๗.
๒๐
พระวินัยธรสมบูรณ สุธีโร (แตงทอง), “ศึกษาธรรมที่เปนปฏิปกษตอการ
บรรลุ ธ รรม ศึ ก ษาเฉพาะความดั บ ในคัม ภี ร วิ ป ส สนาที ป นี ฎีก า”,วิ ท ยานิ พ นธ พุ ท ธ
ศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย),
๒๕๕๘, หนา ๗๔-๗๖.
๘๓๖
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
๑.๔) ดับดวยถีนมิทธะ กําหนดสภาวะตางๆ ไมกระฉับกระเฉง
จิตใจหอเหี่ยวทอแท เซื่องซึม นั่งตัวไมตรง เอนขางนั้นเอนขางนี้ สัปหงกไป
ซ า ย-ขวาบ า ง ขึ้ น บนลงล า งบ า ง กํ า หนดไม ไ ด ป จ จุ บั น ธรรม กํ า หนดไป
สัปหงกวูบลงไป ลงสูภวังค เมื่อลงสูภวังครูสึกตัวขึ้นมาก็เลยหาย แตสักพักก็
จะเซื่องซึมตอ มักเกิดในมุญจิตุกัมมยตาญาณ
๑.๕) ดั บ ด ว ยอุ เ ปกขา จิ ต ใจเลื่ อ นลอยไปสู อ ารมณ ภ ายนอก
กําหนดไปเพลินไปๆ กําหนดไปคิดไป เพลินไปตามความคิดบาง เพลินไป
ตามรูปบาง เพลินไปตามเสียง บางทีเพลินไปตามกลิ่น เปนตน ขณะที่กําลัง
เพลินๆ อยู มีอาการสัปหงกวูบลงไป บางทีไปขางหนา บางทีไปขางหลัง บาง
ทีไปซาย บางทีทางขวา เปนลักษณะของอุเบกขามักเกิดในอุทยัพพยญาณ
๒) ความดับที่เปนมรรค เปนนิโรธสัจ
เมื่อปฏิบัตสิ มถะและวิปสสนาจนวิปสสนาญาณแกกลาสมบูรณแลว
ขณะที่สังขารุเปกขาญาณถึงความแกกลาที่สุด สังขารอารมณซึ่งละเอียดออน
มีอาการสม่ําเสมอแลวกาวเขาสูโคตรภูญาณ เมื่อมรรควิถีเกิดขึ้นแลวอาการ
ดับจะเกิดขึ้น หมายความวา หลังจากอนุโลมญาณเกิดขึ้น ๑ ขณะจิต ตาม
ดวยโคตรภูญาณ ๑ ขณะจิต หลังจากนั้นมรรคจิตผลจิตก็เกิดขึ้น เมื่อมรรค
จิตผลจิตเกิดขึ้น เรียกวาเปน ความดับที่แทจริง คือ ดับโดยมรรค๒๑
ลักษณะของนิโรธที่หมายถึงนิพพาน
นิพพาน แปลวา ดับ หรือ สภาวที่ดับเย็น หรือการพนจากปวงทุกข
และรูปนามที่เกิดดับอยู มีลักษณะพิเศษดังนี้
สนฺติ ลกฺขณํ นิพพานมีอาการสงบจากการแตกดับของรูปนามเปน
ลักษณะ
อจฺ จุติ รสํ นิ พพานย อมทรงไวซึ่งคุณที่พนจากการเสื่อมสลายดั บ
หายเปนรส
อนิ มิ ตฺ ตํ ปจฺ จุ ป ฏ ฐ นํ นิ พ พานย อ มพ น จากสั ณ ฐานนิ มิ ต เป น ผล
ปรากฎ คือไมอยูในวิสัยที่จะบอกได ซึ่งรูปพรรณสัณฐานของนิพพานวาเปน
๒๑
พระภัททันตะ อาสภมหาเถระ, วิปสสนาทีปนีฎีกา, ม.ป.ป., หนา ๑๗๘.
๘๓๗
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
อยางไร
ปทฏฐานํ น ลพฺภติ นิพพานไมมีเหตุใกลใหเกิด เพราะนิพพานเปน
ธรรมที่ พนจากเหตุจากปจจัยทั้งปวง๒๒
ผูที่เขานิโรธสมาบัติไดตองเปนผูที่เพียบพรอมดวยคุณสมบัติ ดังนี้
๑. ตองเปนพระอนาคามี หรือพระอรหันต
๒. ตองไดฌานสมาบัติทั้ง ๘ กลาวคือ ตองไดรูปฌานและอรูปฌาน
๓. ตองมีวสี ชํานาญคลองแคลวในสัมปทา ๔ ประการ ไดแก
๓.๑ มีสมถพละและวิปสสนาพละ คือ มีสมาธิและปญญาเปน
กําลังชํานาญ
๓.๒ ชํานาญในการระงับกายสังขาร (คือลมหายใจเขาออก)
ชํานาญในการระงับ วจีสังขาร (คือ วิตก วิจาร ที่ปรุงแตงวาจา) ชํานาญใน
การ ระงับจิตตสังขาร (คือสัญญาและเวทนาที่ทําใหเจตนาปรุงแตงจิต)
๓.๓ ชํานาญในโสฬสญาณ (คือ ญาณทั้ง ๑๖)
๓.๔ ชํานาญใน ฌานสมาบัติ ๘ มากอน
ดังนั้น การเขานิโรธสมาบัติจําเปนตองใชกําลังทั้ง ๒ ประการ คือ
กําลังสมถภาวนา ตองถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน และกําลังวิปสสนาก็
ตองถึงตติยมรรคเปนอยางต่ํา กลาวคือตองใชทั้งกําลังสมาธิและกําลังปญญา
ควบคูกันดวย
๔. ตองเปนบุคคลที่อยูใ นภูมิที่มีขันธ ๕ (คือ ปญจโวการภูมิ) เพราะ
ในอรูปภูมิเขานิโรธสมาบัติไมได ดวยเหตุวา ไมมีรูปฌาน
พระอนาคามี ห รื อ พระอรหั น ต ที่ ไ ด ส มาบั ติ ๘ อั น เพี ย บพร อ ม
ดังกลาวนี้ เมื่อจะเขานิโรธสมาบัติ ตองดําเนินการเขาสลับกันระหวางสมถะ
และวิปสสนา เรียกวา ยุคนัทธวิปสสนา๒๓ กระทําดังนี้
(๑) เขาปฐมฌานที่ตนไดมาแลวเปนอารมณ ปฐมฌานกุศลจิต
สําหรับพระอนาคามี หรือ ปฐมฌานกิริยาจิต สําหรับพระอรหันต เปน
๒๒
ขุ.จูฬ (ไทย) ๓๐/๖๗/๒๕๒.
๒๓
องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๑๗๐/๒๓๘.
๘๓๘
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
ปฐมฌานวิถี ดังนี้
ภ--น--ท--มโน--ปริ--อุป--อนุ--โค--ฌาน--ภ
(๒) เมื่อออกจากปฐมฌานแลว ตองพิจารณาองคฌาน โดยความ
เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งการพิจารณาเชนนี้ เรียกวา ปจจเวกขณวิถี
ภ--น--ท--มโน--ช--ช--ช--ช--ช--ช--ช--ภ
(๓) เขาทุติยฌาน
(๔) เขาปจจเวกขณวิถี (พิจารณาองคฌานโดยไตรลักษณ)
(๕) เขาตติยฌาน
(๖) เขาปจจเวกขณวิถี
(๗) เขาจตุตถฌาน
(๘) เขาปจจเวกขณวิถี
(๙) เขาอากาสานัญจายตนะ
(๑๐) เขาปจจเวกขณวิถี
(๑๑) เขาวิญญาณัญจายตนะ
(๑๒) เขาปจจเวกขณวิถี
(๑๓) เขาอากิญจัญญายตนะ
(๑๔) เมื่อออกจากอากิญจัญญายตนะแลว ไมตองเขาปจจเวกขณวิถี
แตเขาอธิษฐานวิถี โดยทําบุพพกิจ ๔ อยาง๒๔ ไดแก
ก. นานาพทฺธ อวิโกปน อธิษฐานวา บริขารตางๆ ตลอดจน
รางกายของขาพเจา ขออยาใหเปนอันตราย
ข. สงฺฆปฏิมานน อธิษฐานวา เมื่อสงฆประชุมกัน ตองการตัว
ขาพเจา ขอใหออกได โดยมิตองใหมาตาม
ค. สตฺถุปกฺโกสน อธิษฐานวา ถาพระพุทธองคมีพระประสงคตัว
ขาพเจา ก็ขอใหออกได โดยมิตองใหมีผูมาตาม
ง. อทฺธาน ปริจฺเฉท อธิษฐานกําหนดเวลาเขา วาจะเขาอยูนาน
๒๔
พระพุทธโฆสเถระ. คัมภีรวิสุทธิมรรค, ๒๕๖๐, หนา ๑๑๙๖ - ๑๑๙๙.
๘๓๙
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
สักเทาใด รวมทั้งพิจารณาอายุสังขารของตนดวยวาจะอยูถึง ๗ วันหรือไม
ถาจะตายภายใน ๗ วัน ก็ไมเขา หรือเขาใหนอยกวา ๗ วัน
(๑๕) อธิ ษฐานแล ว ก็เขาเนวสั ญญานาสั ญญายตนฌานวิ ถีนี้ เนว
สัญญานาสัญญายตนฌาน เกิดขึ้น ๒ ขณะ
(๑๖) ลําดับนั้น จิต เจตสิกและจิตตชรูปก็ดับไป ไมมีเกิดขึ้นอีกเลย
สวนกัมมชรูป อุตุชรูปและอาหารชรูป ยังคงดํารงอยู และดําเนินไปตามปกติ
หาได ดั บ ไปด ว ยไม จิ ต เจตสิ ก และจิ ต ตชรู ป คงดั บ อยู จ นกว า จะครบ
กําหนดเวลาที่ไดอธิษฐานไว
ภ--น--ท--มโน--ปริ --อุ ป--อนุ --โค--เนว--เนว--จิ ต +จิ ต ตชรู ป ดั บ --ผล-ภ
(๑๗) เมื่อครบกําหนดเวลาที่ไดอธิษฐานไว ซึ่งเรียกวา ออกจาก
นิโรธสมาบัตินั้น อนาคามิผลสําหรับอนาคามิบุคคล หรืออรหัตตผลสําหรับ
อรหัตตบุคคล ก็เกิดขึ้น ๑ ขณะกอน ตอจากนั้น จิต เจตสิกและจิตตชรูปจึง
จะเกิดตามปกติ ตอไปตามเดิม๒๕
๑.๔ วิมุตติวิถี
วิมุตติ หมายถึง ความหลุด แสดงถึงลักษณะการหลุดพนในลักษณะ
ตางๆ เชน วิมุตติสุข๒๖ วิมุตติขันธ๒๗ วิมุตติญาณทัศนะ๒๘ วิมุตตานุตตริยะ๒๙
เจโตวิ มุ ต ติ ป ญ ญาวิ มุ ต ติ ๓๐ วิ มุ ต ติ ร ส ๓๑ เป น ต น มี ค วามหมายที่ แ สดง
ลักษณะแหงความหลุดพนโดยประการตางๆ ในปรมัตถโชติกาอุทานอรรถ
กถา อธิบายความหมายของวิมุตติวา วิมุตติ ไดแก ภาวะที่จิตหลุดพนดวย
๒๕
วรรณสิทธิ ไวทยะเสวี (รวบรวม), คูมือการศึกษา พระอภิธัมมัตถสังคหะ
ปริจเฉทที่ ๔ วิถีสังคหวิภาค, มูลนิธิแนบมหานีรานนท, พิมพครั้งที่ ๗, (นครปฐม:
มูลนิธิแนบมหานีรานนท, ๒๕๕๙), หนา ๑๐๐-๑๐๓.
๒๖
วิ.ม. (ไทย) ๔/๑/๑.
๒๗
วิ.ม. (ไทย) ๔/๘๔/๑๔๕.
๒๘
วิ.ม. (ไทย) ๔/๘๔/๑๔๒.
๒๙
ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๗๓.
๓๐
ที.สี. (ไทย) ๙/๓๗๓/๑๕๖.
๓๑
วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๘๕/๒๘๔.
๘๔๐
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
อธิบายความหมายของวิมุตติวา วิมุตติ ไดแก ภาวะที่จิตหลุดพนดวยอํานาจ
สงบระงับอุปกิเลส และทุกขทั้งสิ้น๓๒
ในสัทธัมมปชโชติกาปฏิสัมภิทามรรคอรรถกถา อธิบายความหมาย
ของวิมุตติ วา “ชื่อวาวิมุตติ เพราะอรรถวาปลอย เพราะพนจากกิเลสนั้นดวย
การละกิเลสอันมรรคฆาแลว ไดแก อริยมรรคนั่นเอง”๓๓
คําวา “วิมุตฺติ” มาจาก วิ บทหนา มุจ ธาตุในความหมายวาหลุด,
พน ติ ปจจัย, ลบ จ ซอน ตฺ๓๔ คือ ความหลุดพนออกจากเครื่องผูกมัดเปน
อิสระเสรี เรียกวา เปนผล เมื่อแยกโดยละเอียดแลวเปน ๒ ตอน คือ เปนทั้ง
มรรคและทั้งผล กิริย าที่หลุด พน ออกไปขณะที่ห ลุด พน เปน มรรค ภาวะที่
หลุดพนออกไปแลวมีความเปนอิสระเสรีอยูเปนปกติ เรียกวา ผล ซึ่งวิมุตติ
เปนภาวะฝายผล กลาวอีกอยางหนึ่งวา เปนภาวะเสร็จงานและเปนภาวะที่
อํานวยแกการทํางานตอไป ไมใชเปนตัวการทํางานเอง วิมุตตินั้นเปนเครื่อง
แสดงถึงการเขาถึงนิพพาน เรียกวาเปนอาการสําแดงนิพพาน๓๕
วิมุตตินี้ เปนความหลุ ดพนจากอกุศลธรรมทั้งหลาย หลุดพนจาก
กิเ ลสอั น เป น เครื่ องผู ก จิ ต เป นสภาวะที่ มี ความเป นอิ สระจากความยึ ดมั่ น
ทั้งหลายเปนการพนจากอํานาจของวัฏฏะอยางสิ้นเชิง วิมุตตินี้เปนลักษณะของ
พระนิพพาน ซึ่งเปนจุดหมายปลายทางในการประพฤติพรหมจรรย อันมีวิมุตติ
เปนแกนเปนสาระสูงสุดในพระพุทธศาสนาดังที่ปรากฏในพระสุตตันตปฎก อัง
คุตตรนิกาย จตุกกนิบาตสิกขานิสังสสูตร ความวา
พรหมจรรยมีวิมุตติเปนแกน เปนอยางไร คือ ธรรมทั้งหลายเราแสดง
แก ส าวกทั้ ง หลายในธรรมวิ นั ย นี้ เ พื่ อ ความสิ้ น ไปแห ง ทุ กข โ ดยชอบทุ ก
๓๒
ขุ.อุ.อ. (ไทย) ๑/๓/-/๕๒.
๓๓
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๑๘๐-๑๘๑.
๓๔
พระมหาโพธิวงศาจารย (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙,ราชบัญฑิต),พจนานุกรมเพื่อ
การศึกษาพุทธศาสน ชุด ศัพทวิเคราะห, พิมพครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร:โรงพิพ
เลี่ยงเซียง, ๒๕๕๘), หนา ๘๒๙.
๓๕
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรมฉบับปรับขยาย, พิมพครั้งที่
๔๐, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท สํานักพิมพเพ็ทแอนดโฮม จํากัด, ๒๕๕๗), หนา๓๓๔.
๘๔๑
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
ประการ ธรรมทั้งหลายเราแสดงแลวแกสาวกทั้งหลาย เพื่อความสิ้นไปแหง
ทุกขโดยชอบทุกประการโดยวิธีใดๆ ธรรมทั้งหลายนั้นเปนธรรมอันวิมุตติ
ถูกตองแลวโดยวิธีนั้นๆ พรหมจรรยมีวิมุตติเปนแกน เปนอยางนี้แล๓๖
ในพระวินัยปฎกแสดงความสําคัญของวิมุตติที่เปนความหลุดพนใน
สิ่งทั้งปวง ซึ่งเปนหัวใจสําคัญอยางหนึ่งของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจา
อุป มาไว ว า ธรรมวิ นั ย นี้ มี ร สเดี ย ว คือ วิ มุ ต ติ ร ส(ความหลุ ด พ น ) เหมื อ น
มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม๓๗
ความสําคัญของวิมุตติ คือเปนที่สุดแหงทุกข เปนภาวะของนิพพาน
เรียกอีกอยางวา นิโรธสัจ ซึ่งคําวา นิโรธ เปนคําไวพจนของพระนิพพาน๓๘
ปรากฏในคัมภีรปฏิสัมภิทามรรควา ปหานะ ๕ คือ ๑. วิกขัมภนปหานะ (การละ
ดวยการขมไว) ๒. ตทังคปหานะ(การละดวยองคนั้นๆ) ๓. สมุจเฉทปหานะ
(การละด วยการตั ดขาด) ๔. ปฏิ ป สสั ทธิ ป หานะ (การละด ว ยสงบระงับ )
๕. นิสสรณปหานะ (การละดวยสลัดออกได)
การละนิ ว รณด ว ยการขมไว ย อมมีแกบุ คคลผู เจริ ญปฐมฌาน การ
ละทิฏฐิสังโยชนดวยองคนั้นๆ ยอมมีแกบุคคลผูเจริญสมาธิซึ่งเปนสวนแหงการ
ชําแรกกิเลสสมุจเฉทปหานะ ซึ่งเปนโลกุตรมรรค และปฏิปสสัทธิปหานะซึ่ง
เปนโลกุตรผลในขณะแหงผล ยอมมีแกบุคคลผูเจริญมรรคที่ใหถึงความสิ้นไป
และนิสสรณปหานะเปนนิโรธ คือ พระนิพพาน๓๙
วิมุตติ มี ๕ ลําดับ คือ (๑) วิ กขั มภนวิ มุตติ (๒) ตทั งควิมุตติ
(๓) สมุจเฉทวิมุตติ (๔) ปฏิปสสัทธิวิมุตติ (๕) นิสสรณวิมุตติ
วิมุตติ ๕ นี้ เปนเชนเดียวกันกับคําอธิบายของปหาน ๕ วิเวก ๕
๓๖
องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๒๔๕/๓๖๕.
๓๗
วิ.จู. (ไทย) ๗/๓๘๕/๒๘๔.
๓๘
พระพรหมคุณาภรณ(ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวล
ศัพท, พิมพครั้งที่ ๒๑, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท สํานักพิมพเพ็ทแอนดโฮม จากัด,
๒๕๕๖), หนา ๓๘๘.
๓๙
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๔/๓๔.
๘๔๒
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
วิราคะ ๕ และโวสัคคะ ๕ อันหมายถึง ความปลอย ความสละการละนิวรณ
ดวยการขมไว ยอมมีแกผูเจริญปฐมฌาน ชื่อวา วิกขัมภนวิมุตติ การละทิฏฐิ
ดวยองคนั้นๆ ยอมมีแกบุคคลผูเจริญสมาธิ อันเปนไปในสวนการชําแรกกิเลส
ชื่อวา ตทังควิมุตติ สวนสมุจเฉทปหานอันเปน โลกุตตรมรรค ชื่อวาสมุจเฉท
วิมุตติ ปฏิปสสัทธิปหานอันเปนโลกุตตรผล ในขณะแหงผล ยอมมีแกบุคคลผู
ที่เจริญมรรคเครื่องใหถึงความสิ้นไป ชื่อวา ปฏิปสสัทธิวิมุตติ และนิสรณปหาน
เปนนิโรธ คือ นิพพาน ชื่อวา นิสสรณวิมุตติ
คัมภีรปฏิสัมภิทามรรคอรรถกถาบอกวา วิกขัมภนปหานะ การขม
นิวรณเปนตน ไวดวยโลกิยสมาธินั้นๆ ดุจเอาหมอเหวี่ยงลงไปในน้ําที่มีแหน
ทํา ให แหนกระจายไปใกล การละนิ ว รณ ด ว ยการขม ไว ย อ มมี แ กผู เ จริ ญ
ปฐมฌาน เพราะนิวรณปรากฏ อันที่จริงนิวรณยังไมครอบงําจิตเร็วนักทั้งใน
สวนเบื้องตน ทั้งในสวนเบื้องหลังแหงฌาน เมื่อจิตถูกนิวรณครอบงํา ฌาน
ยอมเสื่อม แตวิตกเปนตนยังเปนไปได ไมเปนปฏิปกษทั้งกอนหลังตั้งแตทุติย
ฌานเปนตน เพราะฉะนัน้ การขมนิวรณจึงปรากฏ
การละธรรมที่ควรละนั้นๆ โดยเปนปฏิปกษกันดวยองคฌานอันเปน
สวนของวิปสสนานั้นๆ ดุจตามประทีปไวในตอนกลางคืน ละความมืดเสียได
ดวยตทังคปหานะ การละทิฏฐิดวยองคนั้นๆ ยอมมีแกผูเจริญสมาธิอันเปนไป
ในสวนแหงการชําแรกกิเลส การละทิฏฐิโดยเปนของหยาบ เพราะทิฏฐิเปน
ของหยาบ นิจสัญญาเปนตนละเอียด เพราะหยั่งลงภายในทิฏฐิ ๖๒ สมาธิ
อันเปนไปในสวนแหงการชําแรกกิเลส ไดแก สมาธิสัมปยุตดวยวิปสสนา การ
ละโดยอาการที่ตัดขาดธรรมอันเปนสังโยชน ดวยอริยมรรคญาณ ดุจตนไมที่
ถูกสายฟาฟาด นี้ชื่อวา สมุจเฉทปหานะ คือ นิพพาน กลาวคือ นิโรธ๔๐
ในคัมภีรสุมังคลวิลาสินี อธิบายวา “ตทังควิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ
ชื่อวา วิมุตติ สวนสมุจเฉทวิ มุตติ ปฏิ ปสสั ทธิ วิ มุตติ และนิ สสรณวิ มุตติ พึง
ทราบวาเปนปรมวิมุตติ”๔๑
๔๐
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/-/๓๕๓-๓๕๕.
๔๑
ที.สี.อ. (ไทย) ๒/๑/-/๑๔๘-๑๔๙.
๘๔๓
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
ในสุ มังคลวิ ลาสิ นี สรุ ปความว า วิ มุตติ มี ๕ อย าง คื อพนด วยขมไว
(วิกขัมภนวิมุตติ) พนชั่วคราว (ตทังควิมุตติ) พนเด็ดขาด(สมุจเฉทวิมุตติ) พน
อยางสงบ (ปฏิปสสัทธิวิมุตติ) พนออกไป (นิสสรณวิมุตติ) ในวิมุตติเหลานั้น
สมาบัติ ๘ จัดเปนวิกขัมภนวิมุตติ เพราะพนจากนิวรณเปนตนที่ขมไว
ไดเอง อนุปสสนา ๗ มีอนิจจานุปสัสนาเปนตน จัดเปน ตทังควิมุตติ เพราะ
กําหนดโดยเปนขาศึกของธรรมนั้นๆ เพราะพนจากนิจจสัญญาเปนตนเหลานั้น
อริยมรรค จัดเปนสมุจเฉทวิมุตติ เพราะพนจากกิเลสที่ตัดขาดแลวเอง
สามัญญผล ๔ จัดเปนปฏิปสสัทธิวิมุตติ เพราะเกิดขึ้นในที่สุดแหงการ
สงบของกิเลสดวยอานุภาพมรรค
นิ พพาน จั ดเป นนิ สสรณวิ มุ ตติ เพราะพ นคื อเพราะปราศจากคื อ
เพราะตั้งอยูไกลจากกิเลสทั้งปวง๔๒
จําแนกและแสดงลักษณะแตละลําดับ มีรายละเอียดดังนี้
๑) วิกขัมภนวิมุตติ
วิกขัมภนวิมุตติ หมายถึง ความพนดวยการขมไว เปนการหลุดพนที่
ขมอกุศลธรรมทั้งหลาย นอนเนื่องอยูในขันธสันดาน อกุศลธรรมเปนเหตุให
สัตวทองเที่ยวเวียนวายตายเกิดในวัฏฏะสงสารไมรูจบสิ้น ซึ่งมีชื่อเรียกอีก
อยางวา กิเลส อุปาทาน โอฆะ นิวรณ อนุสัย สังโยชน ทั้งหมดเหลานี้ เปน
อกุศลธรรมที่ขมไวได การขมในวิกขัมภนวิมุตติในปรมัตถโชติกา อุทานอรรถ
กถา อธิบายวา “ความหลุดพนที่หมายรูดวยการไมเกิดขึ้นแหงนิวรณมีกาม
ฉันทนิวรณเปนตน และปจจนิกธรรม ธรรมที่เปนขาศึกมีวิตกเปนตนดว ย
สมาธิอันตางดวยอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ ตราบเทาที่สมาธินั้นดําเนิน
ไปโดยไมเสื่อม นี้ชื่อวา วิกขัมภนวิมุตติ”๔๓
การขมธรรมที่เปนขาศึกทั้งหลายมีนิวรณเปนตน ไวดวยโลกียสมาธิ
นั้นๆ เหมือนกั้นสาหรายไวดวยหมอที่แกวงไปมาบนพื้นผิวน้ําซึ่งมีสาหราย นี้
๔๒
ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๑/-/๙๓-๙๔, สํ.ม.อ. (ไทย) ๕/๑/-/๔๑๘.
๔๓
ขุ.อุ.อ. (ไทย) ๑/๓/-/๕๑.
๘๔๔
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
เรี ย กว า วิ ขั มภนปหาน แต ในพระบาลี ทา นกล า วไว เ ฉพาะการข มนิ ว รณ
เทานั้นวา การละดวยการขมนิวรณนั้นทั้งหลายไวของโยคีผูทําปฐมฌานให
เกิด ทราบวาคําพระบาลีนั้นทานกลาวไวเพราะปหานปรากฏอยู เพราะวา
นิวรณทั้งหลายไดทวมทับจิตทันทีทันใด ทั้งในตอนตน ทั้งในตอนทายของ
ฌานได ธรรมทั้งหลายมีวิตกเปนตน ก็ถูกขมไวเฉพาะในขณะที่ฌานเปนอัปป
นาแลวเทานั้น๔๔
ความหลุ ด พน เพราะการข มกิเ ลสไว ด ว ยฌานสมาบั ติ ปรากฏใน
คั ม ภี ร สุ มั ง คลวิ ล าสิ นี ที ฆ นิ ก ายอรรถกถาว า สมาบั ติ ๘ ย อ มนั บ ว า เป น
วิขัมภนวิมุติ เพราะเหตุที่เปนความหลุดพนจากอกุศลธรรม มีนิวรณเปนตน
อันตนขมไวไดแลว มีวิธีการปฏิบัติเพื่อใหไดบรรลุถึงวิขัมภณวิมุตติ หรือฌาน
สมาบัตินั้นตองเจริญสมถกรรมฐาน มีกสิณภาวนาเปนตน เมื่อมีการเจริญ
สมถะกรรมฐานจนถึงขั้นแลว ก็ยอมมีจิตผองแผวจากกิเลสนิวรณทั้งหลาย
สงบระงับไปได บรรลุวิขัมภนวิมุตติ และอภิญญาสําเร็จเปนฌานลาภีบุคคล
ไดรับผลวิเศษสุด สามารถที่จะเขาฌานสมาบัติ และแสดงอภิญญาได เหนือ
มนุษยธรรมดาสามัญ ครั้นตายไปก็จะเกิดเปนพรหม สถิตเสวยพรมมาสมบัติ
เปนสุขวิเศษอยู ณ พรหมวิมานในพรหมาโลกตางๆ ตามอํานาจแหงวิขัมภนวิ
มุติ หรือฌานสมาบัติที่ตนไดบรรลุแลวนั้น ครั้นถึงการสิ้นอายุในพรหมโลกที่
ตนสถิตอยูอยางแสนสบายดวยวิขัมภนวิมุตติที่ตนได ก็จะคอยเสื่อมคลาย
หายสูญไปจากดวงใจทําใหตองจุติตายจากพรหมาโลกซึ่งเปนรูปาวจรภูมิและ
อรูปจรภูมิ กลับมาเกิดเปนเทวดาหรือมนุษย ซึ่งเปนกามาวจรภูมิอันเปนเหตุ
ใหกิเลสกําเริบ และเขาครอบงําดวงใจตอไปอีกตามเดิม ถาอยากจะใหกิเลส
รายสงบระงับไปก็ตองพยายามบําเพ็ญสถมถะเพื่อใหไดฌานสมาบัติขึ้นมา
ใหม ทั้งนี้ก็เพราะวาดวยวิขัมภนวิมุตติเปนวิมุตติขั้นโลกีย ซึ่งมีสภาพเสื่อมได
เจริญได เปนความหลุดพนที่ไมจีรังยั่งยืน ไมจริงแทแนนอนตลอดไป๔๕
๔๔
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, ๒๕๕๓, หนา ๑๑๗๓.
๔๕
พ ร ะ พ ร ห ม โ ม ลี ( วิ ล า ส า ณ ว โ ร ) , วิ มุ ต ติ รั ต น ม า ลี เ ล ม ๑ ,
(กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพมิตรสยาม, ๒๕๓๙), หนา ๒๖๓ - ๒๖๔.
๘๔๕
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
๒) ตทังควิมุตติ
ตทังควิมุตติ หมายถึง ความหลุดพนดวยองควิปสสนา ดังที่ปรากฏ
ในสารัตถปกาสินี มหาวรรคอรรถกถา วา “อนุปสสนา ๗ มีการตามเห็นวา
ไมเที่ยงเปนตน ถึงการนับวา ตทังควิมุตติ พนไดดวยองคนั้นๆ เพราะพนจาก
ความสําคัญวาเที่ยงเปนตน ที่ตนเองละไดดวยอํานาจเปนขาศึกตอนิวรณเปน
ตนนั้น”๔๖ โดยลักษณะที่ปรากฏเปนการบําเพ็ญวิปสสนากรรมฐาน บรรลุถึง
ลําดับญาณในขั้นตางๆ สงผลใหสามารถเขาถึงตทังควิมุตติอันเปนความหลุด
พนจากอกุศลธรรมไปได กลาวคือ เมื่อผูที่ประพฤติปฏิบัติวิปสสนากรมฐาน
จนเกิดปญญาที่เรียกวาวิปสสนาญาณ ยอมกลาวไดวาเปนการเขาถึงตทังค
วิมุตติไดในปรมัตถโชติกา อุทานอรรถกถา สรุปความวาองคแหงวิปสสนา มี
การกําหนดนามรูปเปนตน ดวยการกําหนดวามรรคและมิใชมรรคพนจาก
ภาวะมีสังขารเปนนิมิตดวยโคตรภูญาณ นี้ชื่อวา ตทังควิมุตติ๔๗
ความหลุดพนดวยทังควิมุตติแทๆ ก็ไดแก องควิปสสนาญาณตั้งแต
นามรูปปริจเฉทญาณ จนถึงญาณที่ ๑๓ คือ โคตรภูญาณ ซึ่งความหลุดพนที่
กลาวนี้มีวิธีการปฏิบัติเพื่อใหบรรลุถึงตทังควิมุตติ และความหลุดพนดวยองค
วิปสสนานั้น ก็คือ เกิดมาเปนมนุษยพบพระพุทธศาสนา แลวเปนผูมีศรัทธา
เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอยางแรงกลา มีอุสาหะบําเพ็ญวิปสสนากรรมฐาน
ตามวิธีการที่ถูกตอง หากมีวาสนาบารมีถึงที่แลว ก็อาจที่จะไดบรรลุตทังค
วิมุตติเปนขั้นๆ ไปไมหยุดยั้ง โดยสามารถที่จะยังองควิปสสนาญาณใหอุบัติ
ขึ้น ในขัน ธสั น ดานแห งตนตามลํ าดับ ดั งต อไปนี้ คือ นามรูป ปริจ เฉทญาณ
ป จ จยปริ ค หญาณ สั ม มสนญาณ อุ ท ยั พ พยญาณ ภั ง คญาณ ภยญาณ
อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ มุญจิตุกัมมตาญาณ ปฏิสังขาญาณ สังขารุเปก
ขาญาณ อนุโลมญาณ และโคตรภูญาณเปนตทังควิมุตติที่ ๑๓
องควิปสสนาญาณเหลานี้ ตั้งแตองควิปสสนาญาณที่ ๑ คือนามรูป
ปริจเฉทญาณ จนถึงองควิปสสนาญาณที่ ๑๑ สังขารุเปกขาญาณ เปนของ
๔๖
สํ.ม.อ. (ไทย) ๕/๑/-/๔๑๘.
๔๗
ขุ.อุ.อ. (ไทย) ๑/๓/-/๕๑.
๘๔๖
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
วิปสสนาญาณขั้นปฏิบัติ จะบรรลุไดดวยการบําเพ็ญวิปสสนาที่ถูกตองเทานั้น
ผูที่ไมบําเพ็ญวิปสสนาที่ถูกตองจะไมสามารถบรรลุถึงวิปสสนาญาณไดเลย
สวนองควิป สสนาญาณตอมาคืออนุโลมญาณและโคตรภู ญาณซึ่งเป นองค
วิปสสนาญาณที่ ๑๒ และ ๑๓ นั้นเปนวิปสสนาญาณที่เปนผล ไดจากองค
วิปสสนาญาณขั้นตนๆ หมายความวา เมื่อมีการปฏิบัติจนเกิดองควิปสสนา
ขั้นตนมาตามลําดับอยางถูกตองแลว และบุคคลผูปฏิบัติมีผองแผว ควรแก
การบรรลุมรรคผลนิพพาน อนุโลมญาณและโคตรภูญาณก็จะอุบัติขึ้นทันที
ตามนัยพระอภิธรรมอธิบายวาญาณที่ ๑๒ หรืออนุโลมญาณ และ
ญาณที่ ๑๓ หรือโครตรภูมญาณนั้นจัดเปนโลกิยญาณ ที่ดําเนินอยูในมรรค
วิถี โดยอนุโลมญาณมีไตรลักษณเปนอารมณครั้งสุดทาย (ปริ อุป อนุ) และ
โคตรภู (โค) หนวงนิพพานเปนอารมณ เรียกวา อัพโพหาริกะ คืออยูระหวาง
โลกียะกับโลกุตระ๔๘ ตอจากนั้นจึงเขาสูมรรคณาน (มัค) ไปตามลําดับ
ความหลุ ด พ น ที่ เ ป น ผลแหงวิ ป ส สนากรรมฐาน เป น องค แ ห ง
วิปสสนาญาณตั้งแตนามรูปปริจเฉทญาณซึ่งเปนญาณที่ ๑ จนถึงญาณที่ ๑๓
คือโคตรภูญาณ ซึ่งเปนขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อความรูแจงในความเปนจริงจน
เกิดปญญาตัดละ ปหานกิเลส อกุศลธรรมทั้งหลาย เขาถึงความหลุดพน ที่
เรียกวา ตทังควิมุตติ ความหลุดพนประเภทนี้จัดเปนโลกิยญาณอยู ยังเปนไป
ในอํานาจแหงพระไตรลักษณ สามารถเสื่อมคลายออกจากขันธสันดานได
๓) สมุจเฉทวิมุตติ
สมุจเฉทวิมุตติ คือ ความหลุดพนโดยเด็ดขาด หลุดพนโดยการละ
อกุศลธรรมทั้งหลายที่ฝงแนนอยูในขันธสันดานไดอยางเด็ดขาด อกุศลธรรม
ทั้งหลายนี้รวมเรียกวา สังโยชน สมุจเฉทวิมุตตินี้สามารถการปหานสังโยชน
ทั้งหลายใหหมดสิ้ นไปจากขันธสัน ดานได เรียกว า มรรคญาณ อันเปนตั ว
สมุจเฉทวิมุตติที่แทจริง มีอยูดวยกันตามระดับแหงอริยมรรค ๔ ประการ คือ
๔๘
พระสัทธัมมโชติกะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๒ วิปสสนากรรมฐาน,
พิมพครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร: หจก.ทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๕๔), หนา ๒๒๖-๒๒๗.
๘๔๗
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
พระโสดาปต ติ มรรคญาณ พระสกทาคามีมรรคญาณ พระอนาคามีมรรค
ญาณ พระอรหัตมรรคญาณ ดังที่ปรากฏในคัมภีรปรมัตถโชติกาวา “ความ
หลุดพนดวยอํานาจสมุจเฉทปหาน โดยภาวะที่เกิดขึ้นไมได โดยสิ้นเชิงอีก
แห ง การยึ ด ถื อ ด ว ยกิ เ ลสฝ า ยสมุ ทั ย ที่ ก ล า วไว โ ดยนั ย มี อ าทิ ว า ทิ ฏ ฐิ ค
ตานํปหาย เพราะละทิฏฐิ ตามสมควรในสันดานแหงพระอริยเจาผูดํารงอยู
ในมรรคนั้นๆ เพราะทานทําอริยมรรค ๔ ใหเกิด นี้ชื่อวา สมุจเฉทวิมุตติ”๔๙
สมุจเฉทปหานเปนสวนแหงการละสังโยชนเปนตน ดวยอริยมรรค
ญาณ โดยอาการที่ธรรมทั้งหลายมีสังโยชนเปนตนเหลานั้นไมเปนไปไดอีก
ตอไป เหมือนตนไมที่ถูกจักรวิเศษของสายฟาฟาด นี้เรียกวาสมุจเฉทปหาน
ซึ่งทานกลาวระบุถึงไวในพระบาลี วา อนึ่ง สมุจเฉทปหานของทานโยคีผูทํา
มรรคไปสูความดับ อันเปนโลกุตตระใหเกิด ในปหาน ๓ เหลานี้ดวยประการ
ดังกลาว ในญาณทัสสนวิสุทธินี้ประสงคเอา สมุจเฉทปหานอยางเดียว และ
โดยเหตุ ที่แมวิ ขัมภนปหาน และตทังคปหานในตอนต นๆ ของโยคีนั้ น ก็มี
สมุจเฉทปหานเปนเปาหมายโดยเฉพาะอยูแลว เพราะฉะนั้นโดยปริยายนี้พึง
ทราบวาปหานแม ๓ ก็เปนกิจของมรรคญาณดวยกัน๕๐
ความหลุ ด พน โดยเด็ ด ขาด ความหลุ ด พน โดยการละอกุศลธรรม
ทั้งหลาย เรี ย กอีกอย า งว า สั ง โยชน ที่ฝ งแน น อยู ในขัน ธสั น ดานได อ ย า ง
เด็ดขาด อันเปนสมุจเฉทวิมุตติที่แทจริง อยูดวยกันตามระดับแหงอริยมรรค
๔ ประการ คือ โสดาปตติมรรคญาณ สกทาคามีมรรคญาณอนาคามีมรรค
ญาณอรหัตมรรคญาณ เปนความหลุดพนโดยเด็ดขาดอยางแทจริง หยุดการ
ทองเที่ยววนเวียนใหไดรับความทุกขอีกตอไป๕๑
๔) ปฏิปสสัทธิวิมุตติ
ปฏิปสสัทธิวิมุตติ ความหลุดพนโดยสงบอยางยิ่ง หมายถึง ความ
หลุ ด พ น อั น มี ส ภาพสงบเย็ น เกิ ด ขึ้ น หลั ง จากสมุ จ เฉทวิ มุต ติ ไ ด ป ระหาณ
๔๙
ขุ.อุ.อ. (ไทย) ๑/๓/-/๕๒.
๕๐
พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีรวิสุทธิมรรค, หนา ๑๑๗๙.
๕๑
พระพรหมโมลี (วิลาศ าณวโร ป.ธ.๙), วิมุตติรัตนมาลี เลม ๒, หนา ๑๙๙-๒๐๐.
๘๔๘
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
สังโยชนใหออกจากขันธสันดานสิ้นไปได เปนความสุขวิเศษ ที่เรียกวา ผล
ญาณ มี อ ยู ๔ ประการ ตามลํ า ดั บ ขั้ น ผลญาณ คื อ โสดาป ต ติ ผ ลญาณ
สกทาคามีผลญาณ อนาคามีผลญาณ และอรหัตผลญาณ ดังที่ปรากฏในสา
รัต ถปกาสิ นี มหาวรรคอรรถกถา อธิ บายว า “สามัญญผล ๔ ย อมถึงการ
นับวา ปฏิปสสัทธิวิมุตติ พนไดดวยการสงบระงับ เพราะเกิดขึ้นในที่สุดแหง
การสงบระงับกิเลสทั้งหลาย ดวยอานุภาพมรรค”๕๒
คัมภีรปรมัตถโชติกา อุทานอรรถกถาอธิบายวา ภาวะที่กิเลสสงบ
ระงับ ไปในขณะแห ง ผลจิ ต นี้ ชื่ อ ว า ปฏิ ป ส สั ทธิ วิ มุต ติ ..การจํ า แนกความ
เปนไปของผลจิตคือ ในมรรควิถี ๑ ในกาลอื่น ๑ ผลจิต ๓ หรือ ๒ ขณะ ที่มี
พระนิพพานเปนอารมณ อันเปนผลของวิมุตติสุขนั้นๆ ยอมเกิดขึ้นในลําดับ
อริยมรรคแตละมรรค เพราะโลกุตตรกุศลมีวิบากในลําดับ ในคราวที่อนุโลม
จิต ๒ ดวงเกิดในชวนวารที่อริยมรรคเกิดขึ้น จิตดวงที่ ๓ จัดเปนโคตรภูจิต
ดวงที่ ๔ จัดเปนมรรคจิต ตอแตนั้นไปเปนผลจิต ๓ ดวง แตในคราวที่อนุโลม
จิตเกิดขึ้น ๓ ดวง จิตดวงที่ ๔ เปนโคตรภูจิต ดวงที่ ๕ เปนมรรคจิต ตอแต
นั้นไปเปนผลจิต ๒ ดวง จิตดวงที่ ๔ ที่ ๕ ยอมเปนไปดวยอํานาจอัปปนา
ดวยประการฉะนี้ ตอแตนั้นเปนไปไมได เพราะใกลตอภวังคจิต ผลจิตในกาล
อื่น ยอมเปนไปดวยผลสมาบัติและที่เกิดขึ้นแกทานผูออกจากนิโรธสมาบัติ
ทานสงเคราะหดวยผลสมาบัตินั้นเอง
ผลสมาบัตินี้นั้น วาโดยอรรถ เปนวิบากแหงโลกุตรกุศลจิต อันมีพระ
นิพพานเปนอารมณ พึงทราบวาเปนอัปปนา ถามวา ผลสมาบัตินั้นพวกไหน
เขาได พวกไหนเขาไมได ตอบวา ปุถุชนทั้งหมดเขาไมไดเพราะยังไมไดบรรลุ
อนึ่ง พระอริยเจาชั้นต่ําก็เขาผลสมาบัติขั้นสูงไมได แมพระอริยเจาชั้นสูงก็ไม
เขาผลสมาบัติชั้นต่ําเหมือนกันเพราะทานสงบระงับดวยการเขาถึงความเปน
บุคคลอื่น พระอริยเจานั้นๆ ยอมเขาผลสมบัติของตนๆ เทานั้น แตอาจารย
บางพวกกลาววา พระโสดาบันบุคคลและพระสกทาคามีบุคคล ยอมไมเขา
ผลสมาบัติ พระอริยบุคคลชั้นสูง ๒ พวกเทานั้นยอมเขาไดเพราะทานกระทํา
๕๒
สํ.ม.อ. (ไทย) ๕/๑/-/๔๑๘.
๘๔๙
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
ใหบริบูรณในสมาธิ ขอนั้นไมใชเหตุ เพราะแมปุถุชนก็เขาโลกิยสมาธิที่ตนได
อีกอยางหนึ่ง จะปวยกลาวไปไยดวยการคิดถึงเหตุในขอนี้ สมจริงดังที่ทาน
กล าวไว ใ นปฏิ สั มภิ ทาว า สั งขารุ เ บกขาญาณ ๑๐ เหล าไหน เกิด ขึ้น ด ว ย
วิปสสนา โคตรภูธรรม ๑๐ เหลาไหน เกิดขึ้นดวยวิปสสนา ในการแกปญหา
ดังกลาวนี้ ทานกลาวถึงการเขาผลสมาบัติของพระอริยเจาเหลานั้นวา เพื่อ
ประโยชน แก โสดาป ตติ ผลสมาบั ติ เพื่ อประโยชน แก สกทาคามิ ผลสมาบั ติ
เพราะฉะนั้น จึงตกลงกันในขอนี้วาพระอริยเจาแมทั้งปวง ยอมเขาผลสมาบัติ
ตามที่เปนของตนถามวา ก็เพราะเหตุไร พระอริยเจาเหลานั้นจึงเขาสมาบัติตอบ
วา เพื่ออยูเปนสุขในปจจุบัน เหมือนอยางวา พระราชาทั้งหลายเสวยสุขในราช
สมบัติ เทวดาทั้งหลายเสวยทิพยสุข ฉันใด พระอริยเจาทั้งหลายก็ฉันนั้น ยอม
กําหนดกาลวา จักเสวยโลกุตรสุข จึงเขาผลสมาบัติในขณะที่ตองการ๕๓
ความหลุดพนอันมีสภาพสงบเย็นเปนความหลุดพนโดยสงบอยางยิ่ง
เกิดขึ้นหลังจากสมุจเฉทวิมุตติไดประหาณสังโยชนออกไปจากขันธสันดาน
สิ้นได เปนความสุขวิเศษ ที่เรียกวา ผลญาณ มีอยู ๔ ประการ ตามลําดับขั้น
ผลญาณ คือ โสดาปตติผลญาณ สกทาคามีผลญาณ อนาคามีผลญาณ และ
อรหัตผลญาณ เปนผลที่เกิดจากการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน จนเกิดสภาวะ
แหงวิปสสนาญาณปรากฏตามลําดับ ตั้งแตนามรูปปริจเฉทญาณ ถึงโคตรภู
ญาณ เมื่อขามผ านโคตรภู ญาณ อันเปนตทังควิ มุตติ แลว โสดาปตติ มรรค
ญาณ ที่เปนสมุจเฉทวิมุตติ ก็เกิดขึ้น เมื่อโสดาปตติมรรคเกิดขึ้นยอมสามารถ
ละอกุศลธรรมทั้งหลายใหหายขาดอันเปนอํานาจหนาที่ของมรรคแลวดับไป
เกิดเปน ผลญาณ ติดตามมา ผลญาณนี้จึงเรียกวา ปฏิปสสัทธิวิมุตติ๕๔
๕) นิสสรณวิมุตติ
นิสสรณวิมุตติ ความหลุดพนโดยสลัดออก หมายถึง ความหลุดพน
โดยสลัดออกของพระอรหันต เปนไปในกาล ๒ คือ ๑ ปจจุบัน ๒ อนาคต คือ
เมื่อบรรลุอรหัตมรรค อรหัตผลแลวอันเปนนิสรณในปจจุบัน เพราะเปนการ
๕๓
ขุ.อุ.อ. (ไทย) ๑/๓/-/๕๒-๕๔.
๕๔
พระพรหมโมลี (วิลาศ าณวโร ป.ธ.๙), วิมุตติรัตนมาลี เลม ๒, หนา ๔๘๕-๔๘๖.
๘๕๐
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
หลุดพนจากกิเลส สังโยชนโดยประการทั้งปวง และการดับขันธเขาสูพระ
นิพพาน หลังจากที่สําเร็จพระอรหันต ซึ่งจะตองปรากฏอยางแนนอนในกาล
ตอมา จัดเปน นิสสรณวิมุตติในกาลอนาคต เพราะเปนความหลุดพนจากภพ
ชาติโดยสิ้นเชิง กลาวไดวา นิสสรณแทๆ เปนจุดมุงหมายปลายทาง อันเปน
ที่ สุ ด ในพระพุ ท ธศาสนา คื อ พระนิ พ พาน ดั ง ที่ ป รากฏสารั ต ถปกาสิ นี
มหาวรรคอรรถกถา ความวา “นิพพาน ถึงการนับวา นิสสรณวิมุตติ พนได
ดวยการสลัดออกเพราะสลัดจากกิเลสทั้งหลาย คือเพราะปราศจาก ไดแก
ตั้งอยูในที่ไกล”๕๕ ในปรมัตถโชติกา อุทานอรรถกถา อธิบายวา “จิตที่หลุด
พนจากสังขารทั้งปวง ชื่อวาพระนิพพาน เพราะสลัดสังขตธรรมทั้งปวง นี้ชื่อ
วา นิสสรณวิมุตติ”๕๖ อันเปนวิมุตติในลําดับที่ ๕ ซึ่งมีวิธีการปฏิบัติเพื่อใหได
บรรลุถึงพระนิพพานอันเปนนิสสรณวิ มุตตินี้ ในขั้นแรกตองเปนผูสงเสริ ม
อบรมบารมีมา ไดพบพระพุทธศาสนาแลวมีจิตศรัทธาเลื่อมใสอุตสาหะเจริญ
วิปสสนาญาณใหบังเกิดขึ้นโดยลําดับ เมื่อไดบรรลุพระอรหัตผลญาณสําเร็จ
เปนพระอรหันตอริยบุคคลขั้นสูงสุดแลวก็จะมีโอกาสเคลื่อนแคลวดับขันธเขา
สูอมตะมหานฤพานอันเปนการไดบรรลุถึงซึ่งนิสสรณวิมุติในพระพุทธศาสนา
อยางจริงแทแนนอน
ความหลุดพนโดยการสลัดออก เปนความรูแจงในลักษณะของพระ
นิพพาน และไดเ สวยอมตสุ ขอันเกิดจากพระนิพพาน อันเป นคุณลั กษณะ
พิเศษของพระอรหันต สามารถที่จะเห็นพระนิพพานไดอยางถูกตองชัดเจน
การที่บุคคลที่จะไดสัมผัสในพระนิพพานอันแทจริง อยางชัดแจงไดนั้น จะ
อาศัยเพียงสุ ตมยปญญา คือปญญาที่เ กิด จากการฟง หรื ออาศัย จิ นตามย
ปญญา คือ ปญญาที่เกิดจากจินตนาการตามอัธยาศัยนั้นไมได โดยแทจริง
แลวตองอาศัยปญญาที่เรียกวา ภาวนามยปญญา คือ ปญญาที่เกิดจากการ
เจริ ญวิ ป ส สนากรรมฐานเทานั้ น ซึ่ งพระนิ พานอัน เป น นิ ส สรณวิ มุต ติ นี้ มี
สภาพที่ดับกองทุกขแลว เป นภาวะที่สุขสู งสุด เพราะไรกิเลสไรทุกข เป น
๕๕
สํ.ม.อ. (ไทย) ๕/๑/-/๔๑๘.
๕๖
ขุ.อุ.อ. (ไทย) ๑/๓/-/๕๒.
๘๕๑
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
อิสระภาพสมบูรณเปนการเสวยสุขในพระนิพพพานอันเปนความสุขอันสงบ
เงียบและสิ้นสูญที่สุดในโลก เขาถึงพระนิพพานอันเปนแดนที่เปนบรมสุขโดย
ประการทั้งปวง
วิมุตติเปนผลอันเกษมสูงสุดที่สามารถหลุดจากเครื่องผูกจากอาสวะ
กิเลสทั้งปวง ไดปญญาอันนําไปสูการกําจัดอวิชชาไดแลว ทําใหผูนั้นหลุดพน
จากกิ เ ลสเครื่ องผู กมัด ทั้งปวง๕๗ วิ มุต ติ มี ๕ ขั้น คื อ ๑) ตทัง ควิ มุต ติ ๒)
วิกขัมภนวิมุตติ ๓) สมุทจเฉทวิมุตติ ๔) ปฏิปสสัทธิวิมุตติ ๕) นิสสรณวิมุตติ
แผนภาพแสดงลําดับของวิมุติ ๕ ขั้นดังนี้
๒. การเขาผลสมาบัติ
๒.๑ ผลสมาบัติ
ผล (ผลจิต) + สมาปตฺติ (การเขาถึง) ๕๙ หมายถึง การเขาถึงผลจิต
ของพระอริยบุคคล ที่เกิดขึ้นสืบตอกันทางมโนทวารโดยไมมีภวังคจิตเกิดคั่น
ตลอดเวลาที่อธิษฐานไว เปนการเขาอยูในอารมณพระนิพพาน ที่ไดมาจาก
๕๗
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธ)ิ , วิปส สนากรรมฐาน, หนา ๘๐๑.
๕๘
ขุ.อุ.อ. ๑/๓/๓๘/๕๒.
๕๙
ขุ.ป.อ (ไทย) ๗/๑/๕๕/๓๑๒.
๘๕๒
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
อริยผลญาณ ที่เกิดแกตน เพื่อเสวยเสวยวิมุตติสุข หรือ โลกุตตรสุข
คัมภีรมัชฌิมนิกาย มหาเวทัลลสูตรอธิยายวา ขณะที่กําหนดสังขาร
นิมิต อันไดแก รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณเปนอารมณ อยูดีๆก็
สลัดทิ้งอารมณเหลานั้นหมด ถัดจากนั้นชวงที่ขณะจิตเขานิพพานธาตุ อัน
สงบปราศจากอารมณตางๆ นั่นแหละ คือ การเขาผลสมาบัติ๖๐
คัมภีรอรรถกถาขุททกนิกายอธิบายวา ผลสมาบัติเปนโลกุตรฌาน
จิต เปนวิบากแหงโลกุตรกุศลจิต อันมีพระนิพพานเปนอารมณอยางเดียว๖๑
คัมภีรวิสุทธิมรรคอธิบายวา ผลสมาบั ติคือการเขาอยูในความดั บ
(นิโรธ) ของอริยผลจิต๖๒
ถาม : ผลสมาบัติคืออะไร? ตอบ : ผลสมาบัติ คือ ความแนบอยูใน
นิโรธแหงอริยผล๖๓
ถาม : ใครเขาผลสมาบัติได ใครเขาไมได? ตอบ : บุถุชนทั้งปวงเขา
ไมได เพราะยังไมไดบรรลุ อริยผล สวนพระอริยะทั้งปวงเขาได เพราะได
บรรลุอริยผลแลว แตวาพระอริยะชั้นสูง ยอมไมเขาผลสมาบัติชั้นต่ํา เพราะ
ผลชั้นต่ําระงับไปแลว ดวยการเขาถึงความเปนบุคคลอื่น พระอริยะชั้นต่ํา
ระงับไปแลว ดวยการเขาถึงความเปนบุคคลอื่น พระอริยะชั้นต่ําเลา ก็เขาผล
สมาบัติชั้นสูงหาไดไม เพราะยังไมไดบรรลุ อันพระอริยะทั้งหลาย ยอมเขา
ผลสมาบัติของตนๆ เทานั้น
บางคนกลาววา "แมพระโสดาบันและพระสกทาคามีก็เขาไมได พระ
อริยะชั้นสูงเทานั้นจึง เขาได เพราะพระอริยะชั้นสูง ๒ พวกนั้นบริบูรณดวย
สมาธิแลว" วินิจฉัยวา : ที่กลาวอางเชนนั้นไมถูกตองเลย เพราะแมปุถุชนก็
เขาโลกิยสมาธิที่ตนไดแลวได แตวาประโยชนอะไรดวยการคิดวาเปนเหตุไม
เปนเหตุในขอนี้เลา เพราะเหตุนั้น จึงควรถึงความตกลงในปญหากรรมขอนี้
๖๐
ดูรายละเอียดใน ม.มู (ไทย) ๑๒/๔๕๘/๔๐๗.
๖๑
ขุ.อุ.อ. (ไทย) ๑/๓/๓๘/๕๓.
๖๒
พระพุทธโฆสเถระ. คัมภีรวิสุทธิมรรค, ๒๕๖๐, หนา ๑๑๘๕ - ๑๑๘๙.
๖๓
วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๓ ตอน ๒ - หนาที่ 274
๘๕๓
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
ไดวา "พระอริยะทั้งปวงทุกชั้นยอมเขาผลสมาบัติของตนๆ ได"
ถาม : เขาผลสมาบัติเพื่ออะไร?
ตอบ : เพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหาร (ความพักอยูสําราญในปจจุบันชาติ)
เหมือนอยางพระราชาเสวยรัชสุข เทวดาทั้งหลายอริยโลกุตรสุข ฉันใด พระ
อริยะทั้งหลายคิดวา เราทั้งหลายจักเสวยอริยโลกุตรสุข ทําอัทธานปริเฉท
(กําหนดกาล) แลวก็เขาผลสมาบัติในทุกขณะที่ตองการ ฉันนั้น
ถาม : เขาผลสมาบัติอยางไร ยั้งอยูอยางไร ออกอยางไร?
ตอบ : อันดับแรก การเขาผลสมาบัตินั้นยอมมีดวยอาการ ๒ คือ
เพราะไมมนสิการถึงอารมณอื่นจากพระนิพพาน๑ เพราะมนสิการถึงแตพระ
นิพพาน๑ ดังพระธัมมทินนาเถรีกลาว (แกวิสาขอุบาสก) วา "ดูกรอาวุโส
ปจจัยแหงการเขาอนิมิตตาเจโตวิมุติมี ๒ คือ ไมมนสิการถึงนิมิตทั้งปวง ๑
มนสิการถึงแต ธาตุอันไมมีนิมิต คือ นิพพาน ๑
ในอภิธัมมัตถสังคหะ ไดแสดงไววา “สพฺเพสมฺป ยถาสกํ ผลวเสน
สาธารณาว”๖๔ พระอริยบุคคลทั้งหมดยอมเปนสาธารณแกผลสมาบัติวิถี
โดยอาศัยผลของตนเอง หมายถึง พระอริยบุคคลทั้งหมดทําใหผลสมาบัติวิถี
เกิดขึ้นได คือเขาผลสมาบัติได พระโสดาบันยอมเขาโสดาปตติผลสมาบัติ
พระสกทาคามี ย อ มเข า สกทาคามิ ผ ลสมาบั ติ พระอนาคามี ย อ มเข า
อนาคามิผลสมาบัติ พระอรหัตนยอมเขาอรหัตผลสมาบัติ
ในวิสุทธิมรรคไดแสดงถึงเกจิวาทะที่แยงไววา
“ในการเขาผลสมาบั ตินั้น ผูเขาตองเปน พระอนาคามีและพระ
อรหัตนเทานั้นจึงจะเขาได สวนพระโสดาบันและพระสกทาคามีเนื่องจากยัง
มีสมาธิไมบริบูรณจึงไมสามารถเขาได”
มีวินิจฉัย (ในคัมภีรวิสุทธิมรรค) วา “แมปุถุชนผูเปนเจาของทรัพย
สมบั ติ ข องตนเองคื อ โลกี ย ฌาน ก็ ส ามารถเข าฌานของตนได ฉะนั้ น
อริยบุคคลผูเปนเจาของทรัพยสมบัติของตนคือผลสมาบัติ เหตุใดจึงจะเขา
๖๔
ธรรมบท, อภิธมฺมตฺถสงฺคหปาลิยา สห อภิธรรมฺมภตฺวิภาวินีนาม
อภิธมฺมตฺถสงฺคหฏีกา, พิมพครั้งที่ ๗ (: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘), หนา ๕๗.
๘๕๔
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
ไมได ยอมเขาไดแนนอน” ในปฏิสัมภิทามรรคพระบาลี แสดงไววา “โสตา
ปตฺติผลสมาปตฺตตฺถาย สกทาคามิผลสมาปตฺตตฺถาย อุปฺปาทํ อภิภุยฺยตีติ
โคตฺ ร ภู ”๖๕ พระบาลี นี้ เ ป น การแสดงถึ ง โสตาป ต ติ ผ ลสมาบั ติ และ
สกทาคามิผลสมาบัติโดยตรง เพราะฉะนั้น พระโสดาบันและพระสกทาคามี
ยอมเขาผลสมาบัติของตนๆ ไดแนนอน (ซึ่งตรงกันกับที่วิสุทธิมรรควาไว)
ผลสมาบั ติ คื อ จิ ต ที่ เ ข า ถึ ง อริ ย ผล หรื อ จิ ต เข า อยู ใ นอริ ย ผล มี
นิพพานเปนอารมณ นับเปนโลกุตตรสมาบัติ๖๖ ดังที่พระธรรมธีรราชมหามุนี
อธิบายวา ผลสมาบัติ คือการเขาไปชมผลของมรรคที่ตนไดแลวนั้น อธิษฐาน
ใหจิตดับสงบเงียบ โดยไมรูสึกตัวเลย ประมาณ ๕ นาที จนถึง ๒๔ ชั่วโมง
หรือ ๗ วัน ๗ คืนก็ได แลวแตกําลังแหงสมาธิ ถาสมาธิดีก็อยูไดนาน๖๗
พระธรรมสิงหบุราจารย(จรัญ ฐิตธัมโม) อธิบายวา ผลสมาบัติ คือ
การทรงอยูในผล ผูที่ปฏิบัติจนไดถึงมรรคผล ผลญาณตอไปก็จะดํารงอยูใน
ผล โดยผลที่ไดรับคือ การปลอยวางซึ่งสังขารธรรมตางๆ ดับสงบนิ่งอยูโดย
ไมมีอารมณใดๆ มาเกาะเกี่ยวใหจิตไดรับรูทั้งสิ้น อันเปนอารมณพระนิพพาน
ที่ไมมีนิมิต ไมมีรูปพรรณสัณฐานใดๆ อันจะใหรูวาเปนอะไร อยูที่ไหน๖๘
พระบวรปริยัติวิธาน (บุญเรือง สารโท) บอกวา ผลสมาบัติ คือการ
เขาอยูในอารมณของพระนิพพาน ที่ไดจากอริยมรรคญาณที่เกิดขึ้นแลว ผล
สมาบัตินี้ ปุถุชนทั่วไปเขาไมได แมวาจะไดรูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ แลวก็ดี ก็
ไมอาจที่จะเขาผลสมาบัติได เขาไดเฉพาะพระอริยบุคคลเทานั้น๖๙
๖๕
ขุ.ปฏิ.(ไทย)๓๑/๖๐/๙๗
๖๖
วรรณสิทธิ ไวทยะเสวี, คูมือการศึกษา พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่
๔,พิมพครั้งที่ ๕, หนา ๙๗ – ๑๐๐.
๖๗
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ. ๙), คูมือสอบอารมณ
กรรมฐานวิชาครู.
๖๘
พระภาวนาวิ สุ ท ธิ คุ ณ (จรั ญ ฐิ ต ธั ม โม), คู มื อ วิ ป ส สนาจารย ,
(กรุงเทพมหานคร: หอรัตนชัยการพิมพ, ๒๕๓๓), หนา ๑๑๑ – ๑๑๕.
๖๙
พระบวรปริยัติวิธาน (บุญเรือง สารโท), แสงสวางทางปฏิบัติ เลม ๔, พิมพ
ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ บริษัท ธนาเพรส จํากัด, ๒๕๕๓), หนา ๘๖.
๘๕๕
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
สยาดอภัตทันตะวิโรจน บอกวา หลังจากการเขาสูความดับสังขาร
ครั้ งแรก ด ว ยอํานาจของมรรคญาณแล วการเขาสู ความดั บ สั งขารในครั้ ง
ต อๆไป ซึ่งเขาได โ ดยไมมีร ะยะเวลาจํ ากัด เฉพาะ สามารถเขาสู ความดั บ
สังขารไดหลายๆ ครั้งและเปนระยะเวลานานๆ เรียกวาการเขาผลสมาบัต๗๐ ิ
บุคคลที่สามารถเขาผลสมาบัติได
บุคคลที่เขาผลสมาบัติไดตองเปนผูเจริญวิปสสนา จนบรรลุมรรค
ผล นิพพาน เปนพระอริยบุคคล ดังเชน พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระ
อนาคามี หรือ พระอรหันต สวนปุถุชนจะเขาผลสมาบัติไมได แมวาจะไดรูป
ฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ แลวก็ดี ก็ไมอาจที่จะเขาผลสมาบัติได เหตุเพราะยังไม
เคยบรรลุมรรคผล ไมเคยพบเห็นอารมณนิพพานมากอน
สวนพระอริยอริยบุคคลนั้นๆ จะเขาผลสมาบัติไดก็เฉพาะอริยผลที่
ตนไดครั้งสุดทายเทานั้น๗๑ แมอริยผลที่เคยไดผานมาแลวก็ไมสามารถที่จะ
เขาผลสมาบัติดวยผลจิตที่ผานมาแลวนั้นได เชน ผูไดบรรลุเปนพระอรหันต
แล ว จะมาเข าผลสมาบั ติ ข องพระอนาคามี ไม ได เป น ต น กล าวคือ พระ
โสดาบั น ต อ งเข าผลสมาบั ติ ด ว ยโสดาป ต ติ ผ ลจิ ต พระสกทาคามี เ ข า ผล
สมาบัติดวยสกทาคามีผลจิต พระอนาคามีเขาผลสมาบัติดวยอนาคามีผลจิต
และพระอรหันตเขาผลสมาบัติไดดวยอรหัตผลโดยเฉพาะเชนกัน๗๒
ลําดับการเขาผลสมาบัติ
พระอริยสาวกผูมีความประสงคจะเขาผลสมาบัติ พึงไปในที่ลับคน
ปลีกตัวอยูผูเดียว ทําวิปสสนาเพงพิจารณาสังขารโดยวิปสสนาญาณ ตั้งแต
ญาณที่ ๔ อุทยัพพยญาณ เปนตนไป จิตของพระอริยสาวกผูมีวิปสสนาญาณ
ตามลําดับเปนไปแลว ยอมแนบแนนในนิโรธ โดยเปนผลสมาบัติ ในลําดับ
๗๐
สยาดอภัททันตวิโรจนะ, วิธีเจริญมหาสติปฏฐาน เลม ๒, พิมพครั้งที่ ๑,
(กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพดีเอ็มจี), หนา ๒๒๙.
๗๑
ดูรายละเอียดใน ขุ.อุ.อ.(ไทย) ๑/-/๓/๕๓.
๗๒
ที.ปา.อ. ๓/๙๓/๒๓๒.
๘๕๖
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
แหงโคตรภูญาณอันมีสังขารเปนอารมณ ในการเขาผลสมาบัตินี้ เพราะความ
ที่พระอริยสาวกนั้นนอมจิตไปเพื่อผลสมาบัติ จึงเกิดแตผลเทานั้นแมแกพระ
เสขะ มรรคหาเกิดขึ้นไม
บางคนกลาวา "พระโสดาบันประสงควาจักเขาผลสมาบัติ ทํา
วิปสสนาไปก็เปนพระสกทาคามี
พระสกทาคามีเลา...ตั้งใจทําวิปสนาไปก็เปนพระอนาคามี" คํา
กลาวเชนนี้ไมถูกตอง เพราะวา "เมื่อเปนอยางนั้น พระอนาคามีตั้งใจทํา
วิปสสนาไปก็จักเปนพระอรหันต พระอรหันต...ก็จักเปนพระปจเจกพุทธ
และพระปจเจกพุทธ...ก็จักเปนพระพุทธเจาไดละซิ" เพราะเหตุนั้น คําของ
อาจารยเหลานั้นนั่นจึงไมควรยึดถือ
เรื่องนี้มีอธิบายอยูแลวในเรื่องโคตรภูธรรม ๑๐ ซึ่งแยกวิปสสนา
สําหรับมรรคและสําหรับผลเปนคนละอยางดวย แมเพราะเหตุนี้ จึงไมควร
ถือเอาแตนี่เทานั้น คือ "ผลเทานั้นเกิดขึ้นแมแกพระเสขะ มรรคหาเกิดขึ้น
ไม ผลที่เกิดขึ้นเลา ถามรรคที่พระอริยบุคคลผูนั้นไดบรรลุเปนปฐมฌานิ
กมรรค (มรรคมีปฐมฌาน) ก็เปนปฐมฌานิกผลเหมือนกัน เกิดขึ้นแกพระ
อริยบุคคลผูนั้น ถามรรคเปนทุติยฌานิกะ ผลก็เปนทุติยฌานิกะเปนตน
มรรคเปนฌานิกะใดฌานิกะหนึ่ง ผลก็เปนฌานิกะใดฌานิกะหนึ่งเหมือนกัน"
๒.๒ วัตถุประสงคในการเขาผลสมาบัติ
การเขาผลสมาบั ติ เ ป น การเขาอยู ในอารมณพระนิพพานเป น ทิฏ
ธรรมสุขวิหาร๗๓ อันสืบเนื่องมาแตอารมณของผลจิต ที่ไดมาจากอริยผล
ญาณ ที่เกิดแลวแกตน เพื่อเสวยโลกุตรสุข หรือ เพื่อวิมุตติสุข ซึ่งเปนความ
สงบสุขที่พึงเห็นประจักษไดในปจจุบัน อันเปนความสงบสุขที่เนื่องมาจาก
ความดับของอาสวกิเลส เพราะอํานาจแหงมรรคจิตที่เกิดขึ้นเพียงขณะจิต
เดียวเทานั้นเอง และสามารถประหาณกิเลสเปนสมุจเฉทปหาน
การเขาผลสมาบัติ คือ การพักผอนแบบพระอริยะ ไมไดเจริญมรรค
เพื่อทําลายกิเลสในขณะนั้น แบบเดียวกับที่พระพุทธเจาทรงเสวยวิมุตติสุข
๗๓
สํ.นิ.อ (บาลี) ๒/๕๘๑/๖๗๒.
๘๕๗
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
๔๙ วัน หลังตรัสรูใหมๆ คือ พระองคทรงเขาผลสมาบัติ นั่นเอง
๒.๒ กระบวนการในการเขาผลสมาบัติ
ผูเจริญวิปสสนา จนบรรลุมรรค ผล นิพพาน เปนพระอริยบุคคล มี
พระโสดาบันเปนตน เมื่อประสงคจะกระทําจิตใหเขาอยูในอารมณนิพพานที่
ผลญาณ ก็ยกเอา รูป-นาม มาเปนอารมณ เปนตัวกําหนด โดยเมื่อจะเขาผล
สมาบั ติ นั้ น ต องตั้ งความปรารถนาโดยอธิ ษฐานว า จะอยู ใ นผลสมาบั ติ มี
กําหนดเวลานานสักเทาใด
๑) เริ่มตนอธิษฐาน
การเขาผลสมาบัติไดนั้น ตองตั้งจิตอธิษฐาน๗๔ วา ”โลกุตรธรรมที่
ขาพเจาได บ รรลุ แลว จงบั งเกิด ขึ้น และอารมณที่เ ป นสั งขตธรรมจงดั บ ไป
ตลอดเวลา ๑ ชั่วโมง” หรือ ขอใหจิตสงบตั้งอยูนาน ๕ นาที ๑๐ นาที หรือ
๑ ชั่ ว โมง เป น ต น ก็ ข อให ผ ลจิ ต ที่ ป รากฏแก ต นนั้ น เกิ ด ขึ้ น ตามความ
ปรารถนาเถิด แลวก็ปฏิบัติตามแนวสติปฏฐานทั้ง ๔ กลาวคือ กําหนดรูป
นามที่กําลังเกิดอยูภายในตน
๒) การเจริญวิปสสนาญาณ
พิจารณารูปนาม เห็นความเกิด-ดับของรูปนาม ดวยอุทยัพพยญาณ
ที่ ๔ ทันทีที่กําหนด เนื่องดวยพระอริยบุคคลนั้นไดรูแจงรูป-นาม พรอมดวย
เหตุปจจัย และเห็น รูป-นาม เปนพระไตรลักษณ ไมแปรผันแลว จึงไมตอง
พิจารณานามรูปปริจเฉทญาณ ปจจัยปริคคหญาณ และสัมมสนญาณ ซ้ําอีก
วิ ป ส สนาญาณจึ ง เริ่ ม ที่ อุท พยั พ พยญาณ และตามด ว ยวิ ป ส สนา
ญาณตางๆ เปนลําดับขึ้นไปถึงอนุโลมญาณ หลังจากนั้นจิตก็จะสลัดอารมณ
ที่เปนรูป-นาม อันเปนอารมณประเภทโลกียะทิ้ง ถัดจากนั้นจิตก็จะเขาถึง
นิโรธ ดับอารมณโลกิยะ นอมเขาสูผลสมาบัติ ไดพระนิพพานเปนอารมณ๗๕
อันเปนอารมณประเภทโลกุตระ
๗๔
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔๒/๖๐๘-๖๐๙.
๗๕
พระพุทธโฆสเถระ. คัมภีรวิสุทธิมรรค. ๒๕๕๔.หนา ๑๑๘๔ – ๑๑๘๙.
๘๕๘
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
๓) การเขาผลสมาบัติ
การเขาถึงผลสมาบัตินั้น มรรคจิตเกิดไมได แมจะไดอัปปนาสมาธิ
เพราะอํานาจของวิปสสนาแลวก็ตาม อัปปนาสมาธินั้นจะไมทําใหเกิดมรรค
วิถีเปนอันขาด อัปปนาสมาธิที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นในลําดับผลชวนวิถี คือเกิดใน
ลําดับแหงผล เมื่อเขาถึงที่แลวก็เปนผลสมาบัติ เหตุที่มรรคจิตไมเกิดขึ้นนั้น
เพราะวาอัชฌาสัยนอมไปในผลสมาบัติแลว๗๖
๔) สภาวะที่ตั้งอยูในผลสมาบัติ๗๗
สภาวะที่ตั้งอยูในผลสมาบัติ ตั้งอยูดวยหลัก ๓ ประการ คือ
๑) ไมเอา รูป นาม ขันธ ๕ เปนอารมณ
๒) นอมเอานิพพานมาเปนอารมณ
๓) เมื่อยังไมครบเวลาที่กําหนดไว ก็ยังอยูในผลสมาบัติ จนกวาจะ
ครบเวลา
๕) กระบวนการในการออกจากผลสมาบัติ
หลั ง จากเข า ผลสมาบั ติ ค รบตามเวลาที่ กํ า หนดไว ผลจิ ต ที่ เ กิ ด
ติดตอกันมาก็เกิด ขึ้นเปนครั้งสุดทายแลวดับลง ตอจากนั้นภวังคจิตเกิดขึ้น
ต อ กั น ทั น ที เมื่ อ จะออกจากผลสมาบั ติ จิ ต จะได อ ารมณ นิ มิ ต ได แ ก รู ป
เวทนา สั ญญา สั งขาร และวิ ญญาณ หรื อ รู ป นาม อัน ใดอัน หนึ่ ง ซึ่งเป น
อารมณแหงภวังคจิต เมื่อจิตไปยึดเอาอารมณนิมิตนั้นแลว ก็จะพรากจาก
อารมณพระนิพพาน ออกจากผลสมาบัติ ถอยมาสูอารมณปจจุบัน๗๘
๖) นิพพานที่เปนอารมณของผลสมาบัติ
นิพพานที่เปนอารมณของผลสมาบัตินี้ มีชื่อเรียกได ๓ อยาง ตาม
อาการที่เขาสูความดับนั้น มีลักษณะตางกัน๗๙ ดังนี้
๗๖
ขุ.อุ.อ. (ไทย) ๑/๓/๓๘/๕๕-๕๖.
๗๗
ดูรายละเอียดใน ม.มู ๑๒/๔๕๘/๔๐๗.
๗๘
ดูรายละเอียดใน ขุ.อุ.อ ๑/๓/๓๘/๕๗.
๗๙
พระสัทธัมมโชติกะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๒ วิปสสนากรรมฐาน,
หนา ๒๔๗-๒๕๑.
๘๕๙
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
๑) อนิ มิ ต ตนิ พ พาน หมายถึ ง นิ พ พานที่ เ ป น อารมณแ กผู ที่เ ห็ น
อนิ จ จั ง ผู ม นสิ ก ารโดยความไม เ ที่ ย ง ย อ มนํ า จิ ต ออกไปสู นิ พ พาน อั น
ปราศจากนิมิตเครื่องหมาย ซึ่งเปนความดับดวยอํานาจแหง อนิมิตตวิโมกข
สําหรับผูที่สะสมบุพกรรมดานศรัทธามาก คือมีสัทธินทรียแรงกลา
เมื่อเจริญวิปสสนาภาวนาไปตามลําดับ วุฏฐานคามินีวิปสสนากําลังดําเนิน
อยูนั้น(อนุโลมญาณ) ๘๐ เขาใกลสูความดับหรือเขาสูอารมณนิพพาน ผูปฏิบัติ
จะเห็นอนิจจลักษณของสังขารธรรม รูป-นาม โดยความเปน อนิจจัง เห็น
ความไมเที่ยง เห็นอาการ เกิด-ดับ ชัดเจนมากที่สุด
เพราะอนิจจลักษณะมีกําลังแรงมากกวาพระไตรลักษณอื่นๆ เปน
เหตุใหผูปฏิบัติสามารถเห็นรูปนามที่ปรากฏ เชน อาการ พอง-ยุบ จะแสดง
อาการสุขุมละเอียดเปนอยางยิ่ง นิ่มนวล พริ้วเบา แลว พอง-ยุบ คอยๆเร็ว
เขาๆ จนถี่ๆ และดั บ ไปในที่สุ ด เหมือนกับ ว าลื มตั ว ไปไมรู ตั ว เมื่อเขาผล
สมาบั ติ นิ พ พานที่ เ ป น อารมณ แ ก ผู ที่ เ ห็ น อนิ จ จั ง ชื่ อ ว า อนิ มิ ต ตนิ พ พาน
เพราะบุญญาธิการแตปางกอนเปนผูอบรมมามากดวย ศีล
๒) อัปปณิหิตนิพพาน หมายถึง นิพพานที่เปนอารมณแกผูที่เห็น
ทุกข ผูมนสิการโดยความเปนทุกข ยอมนําจิตออกไปสูนิพพาน คือ การสงัด
จากความดิ้นรนอันเปนเหตุใหเกิดสรรพทุกข ซึ่งเปนความดับดวยอํานาจแหง
อัปปณิหิตวิโมกข ๘๑
สําหรับผูที่สะสมบุพกรรมทางดานสมาธิมาก คือมีสมาธินทรียแรง
กลา เมื่อเจริญวิป สสนาภาวนาไปตามลําดั บ วุฏ ฐานคามินีวิ ปสสนากําลั ง
ดําเนินอยูนั้น เขาใกลสูความดับหรือเขาสูอารมณนิพพาน ทุกขลักษณะจะมี
กําลังมาก รูป-นาม จะแสดงอาการทุกขโดยเห็นความทนอยูไมไดของ รูป-
๘๐
พระโสภณมหาเถระ, วิปสสนาชุนี หลักการปฏิบัติวิปสสนา (ฉบับ
สมบูรณ), แปลโดย จํารูญ ธรรมดา, (กรุงเทพมหานคร: หจก.ประยูรสาสนไทย การ
พิมพ, ๒๕๕๓), หนา ๕๖๖.
๘๑
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒๓/๓๘๙.
๘๖๐
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
นามทั้งหลาย ไมมีอะไรเปน “ปณิธิ” อันหาเปนที่ตั้งไมได ตองเปลี่ยนแปรไป
ตองถูกบีบคั้นใหทําลายไปอยูเปนนิตย คือ ทุกขังชัดเจนมากที่สุด
เพราะทุกขลักษณมีกําลังแรงมากกวาพระไตรลักษณอื่นๆ เปนเหตุ
ใหผูปฏิบัติเห็นรูปนามแสดงความเปนทุกข โดยปรากฏอาการทุกขเวทนา
ขึ้นมาอยางแสนสาหัส แลวจิตดับขาดไป ทั้งๆที่มีสติติ่เนื่องดีอยู เชน เกิด
อาการ เจ็ บ ปวด แน น หน าอกจนถึงลําคอ กําหนดไป ไมรู สึ กตั ว ดั บ ไปใน
ที่สุด๘๒ นิพพานทีเ่ ปนอารมณแกผูที่เห็นทุกข ชื่อวาอัปปณิหิตนิพพาน เพราะ
บุญญาธิการแตปางกอนนั้น เปนผูอบรมมามากดวย สมาธิ
๓.) สุ ญ ญตนิ พ พาน หมายถึ ง นิ พ พานที่ เ ป น อารมณ แ ก ผู เ ห็ น
อนัตตา ผูมนสิการโดยความเปน อนัตตา ความไมใชตัวตนของสังขารธรรม
ย อ มนํ า จิ ต ออกไปสู นิ พ พาน ซึ่ ง เป น ความดั บ ด ว ยอํ า นาจแห ง สุ ญ ญต
วิโมกข๘๓
สําหรับผูที่สะสมปญญาบารมีมามาก เคยปฎิบัติวิปสสนามากอนใน
อดี ต ชาติ มี ป ญญิ น ทรี ย แ รงกล า เมื่ อเจริ ญวิ ป ส สนาภาวนาไปตามลํ าดั บ
เมื่อวุฏฐานคามินีวิปสสนากําลังดําเนินอยูนั้น เขาใกลสูความดับหรือเขาสู
อารมณนิพพาน ผูปฏิบัติจะเห็นรูป-นาม แสดงความเปนอนัตตา เห็นความ
ไมใชตัวตนบังคับบัญชาไมได ปรากฏอยางชัดเจน
เพราะอนัตตลักษณมีกําลังแรงกลากวาพระไตรลักษณอื่นๆ เปนเหตุ
ทําใหผูปฏิบัติสามารถเห็นรูปนาม มีอาการละเอียดสุขุมยิ่งขึ้น เชน อาการ
พอง-ยุบมีอาการนิ่มนวล นั่งถูกจางหาย เหลือแตจิตรู กําหนดจิตรูไป อาการ
จิตรูคอยๆ เล็กลงๆ เหมือนเสนดายที่เล็กที่สุด เบาบางแลวดับขาดหายไป๘๔
เมื่อเขาผลสมาบัติ นิพพานที่เปนอารมณแกผูเห็นอนัตตานั้นมีชื่อวา สุญญต
นิพพาน เพราะบุญญาธิการแตปางกอนนั้น เปนผูอบรมมากดวยปญญา
การเสวยวิมุตติสุข กับ การเขาผลสมาบัติ
๘๒
มหาสีสยาดอ เทปบรรยาย เทศนาลําดับญาณ.
๘๓
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒๘/๓๘๖.
๘๔
มหาสีสยาดอ เทปบรรยาย เทศนาลําดับญาณ.
๘๖๑
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
คัมภี ร อรรถกถา๘๕ อธิ บ ายว า วิ มุต ติ สุ ขนี้ นั้ น มี ๒ อย าง โดยการ
จําแนกความเปนไปของผลจิต คือ ในมรรควิถี ๑ ในกาลอื่น ๑ ผลจิต ๓
หรือ ๒ ขณะ ที่มีพระนิพพานเปนอารมณ อันเปนผลของวิมุตติสุขนั้นๆ ยอม
เกิดขึ้นในลําดับอริยมรรคแตละมรรค เพราะโลกุตรกุศลมีวิบากในลําดับ
ในคราวที่อนุโลมจิต ๒ ดวงเกิดในชวนวาระที่อริยมรรคเกิดขึ้น จิต
ดวงที่ ๓ จัดเปนโคตรภูจิต ดวงที่ ๔ จัดเปนมรรคจิต ตอแตนั้นไปเปนผลจิต
๓ ดวง แตในคราวที่อนุโลมจิตเกิดขึ้น ๓ ดวง จิตดวงที่ ๔ เปนโคตรภูจิต
ดวงที่ ๕ เปนมรรคจิต ตอแตนั้นไปเปนผลจิต ๒ ดวง จิตดวงที่ ๔ ที่ ๕ ยอม
เปนไปดวยอํานาจอัปปนา ตอแตนั้นเปนไปไมไดอีก เพราะใกลตอภวังคจิต
แตผลจิตในกาลอื่น ยอมเปนไปดวยผลสมาบัติ และที่เกิดขึ้นแก
ทานผู ออกจากนิโ รธสมาบั ติ ทานสงเคราะห ดว ยผลสมาบัติ นั้ นเอง ก็ผ ล
สมาบัตินี้วาโดยอรรถ เปนวิบากแหงโลกุตรกุศลจิต อันมีพระนิพพานเปน
อารมณ พึงทราบวาเปนอัปปนา
ถามวา ผลสมาบัตินั้น พวกไหนเขาได พวกไหนเขาไมได?
ตอบวา ปุถุชนทั้งหมดเขาไมไดเพราะยังไมไดบรรลุ อนึ่ง พระอริย
เจาชั้นต่ําก็เหมือนกัน เขาผลสมาบัติชั้นสูงไมได แมพระอริยเจาชั้นสูงก็ไม
เขาผลสมาบัติชั้นต่ําเหมือนกัน เพราะทานสงบระงับดวยการเขาถึงความเปน
บุคคลอื่น พระอริยเจานั้นๆ ยอมเขาผลสมาบัติของตนๆ เทานั้น แตอาจารย
บางพวกกลาววา พระโสดาบันบุคคลและพระสกทาคามีบุคคล ยอมไมเขา
ผลสมาบัติ พระอริยบุคคลชั้นสูง ๒ พวกเทานั้น ยอมเขาได เพราะทาน
กระทําใหบริบูรณในสมาธิ ขอนั้นไมใชเหตุ เพราะแมปุถุชนก็เขาโลกิยสมาธิ
ที่ต นได อี ก อย า งหนึ่ ง จะป ว ยกล า วไปไยด ว ยการคิ ด ถึ ง เหตุ ใ นข อ นี้ .
สมจริงดังที่ทานกลาวไวในปฏิสัมภิทาวา สังขารุเบกขาญาณ ๑๐
เหลาไหน เกิดขึ้นดว ยวิป สสนา โคตรภูธรรม ๑๐ เหล าไหน เกิดขึ้นดว ย
วิปสสนา ในการแกปญหาดังกลาวนี้ ทานกลาวถึงการเขาผลสมาบัติของพระ
อริยเจาเหลานั้นวา เพื่อประโยชนแก โสดาปตติผลสมาบัติ เพื่อประโยชน
๘๕
ขุทฺทกนิกายฏฐกถา อุทานวณฺณนา (ปรมตฺถทีปนี), หนา ๕๐.
๘๖๒
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
แกสกทาคามิผลสมาบัติ เพราะฉะนั้น จึงตกลงกันในขอนี้วา พระอริยเจาแม
ทั้งปวงยอมเขาผลสมาบัติตามที่เปนของตน.
ถามวา ก็เพราะเหตุไร พระอริยเจาเหลานั้นจึงเขาสมาบัติ?
ตอบว า เพื่ออยู เ ป นสุ ขในป จ จุ บั น. เหมือนอยางว า พระราชา
ทั้งหลายเสวยสุขในราชสมบัติ เทวดาทั้งหลายเสวยทิพยสุข ฉันใด พระอริย
เจาทั้งหลายก็ฉันนั้น ยอมกําหนดกาลวา จักเสวยโลกุตรสุข จึงเขาผลสมาบัติ
ในขณะที่ตองการ.
ถามวา ก็ผลสมาบัตินั้น เขาอยางไร หยุดอยางไร ออกอยางไร?
ตอบวา การเขาผลสมาบัตินั้นมี ๒ อยาง คือ ไมมนสิการอารมณอื่น
จากพระนิพพาน และมนสิการถึงพระนิพพาน เหมือนดังที่ทานกลาวไววา
ทานผูมีอายุ ปจจัยแหงการเขาเจโตวิมุตติสมาบัติ อันไมมีนิมิต มี ๒
อยาง คือการไมมนสิการถึงนิมิตทั้งปวง และการใสใจถึงธาตุที่หานิมิตมิได
มีลําดับการเขาผลสมาบัติ ดังนี้ พระอริยสาวกผูตองการผลสมาบัติ
ไปในที่ลับ หลีกเรนอยู พึงพิจารณาสังขารดวยอุทยัพพยญาณเปนตน เมื่อ
ทานมีวิปสสนาญาณโดยลําดับ อันดําเนินไปอยางนี้ จิตยอมเปนอัปปนาใน
นิโรธดวยอํานาจผลสมาบัติ ในลําดับโคตรภูญาณมีสังขารเปนอารมณ ก็ผล
จิตเทานั้นเกิด มรรคจิตไมเกิดแมแกพระเสกขบุคคล เพราะทานนอมไปใน
ผลสมาบัติ
สวนบางคนกลาววา พระโสดาบันคิดวาจักเขาผลสมาบัติของตน
แลวเจริญวิปสสนาเปนพระสกทาคามี และพระสกทาคามีคิดวาจักเขาผล
สมาบัติของตนแลวเจริญวิปสสนาไดเปนอนาคามี เชนนี้ไมถูกตอง..
เพราะเมื่อเปนเชนนั้น พระอนาคามีก็จักเปนพระอรหันต พระ
อรหั น ต ก็ จั ก เป น พระป จ เจกพุ ท ธเจ า พระป จ เจกพุ ท ธเจ า ก็ จั ก เป น
พระสัมพุทธเจา ฉะนั้น วิปสสนาจึงใหสําเร็จประโยชนตามความยินดีในจิต
สันดานตามอัธยาศัย ดวยเหตุนั้น แมสําหรับพระเสกขบุคคลก็เกิดแตผลจิต
เหมือนกัน มรรคจิตไมเกิด ถาทานบรรลุมรรคจิตที่สัมปยุตดวยปฐมฌานไซร
แมผลจิตที่สัมปยุตดวยปฐมฌานเทานั้น ก็เกิดแกทาน ถาทานบรรลุมรรคจิต
ที่สัมปยุตดวยฌานอยางใดอยางหนึ่ง ในบรรดาทุติยฌานเปนตนไซร ผลจิตที่
๘๖๓
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
สัมปยุตดวยฌานอยางใดอยางหนึ่ง ในบรรดาทุติยฌานเปนตน ก็ยอมเกิด
ถามวา ก็เ พราะเหตุ ไร ในที่นี้ โคตรภูญาณจึงไมมีนิพพานเป น
อารมณ เหมือนญาณที่เปนปุเรจาริกของมรรคญาณ?
ตอบวา เพราะผลญาณไมเปนนิยยานิกธรรม อริยมรรคเทานั้นเปน
นิยยานิกธรรม สมจริงดังคําที่ทานกลาวไววา ธรรมเหลาไหนเปนนิยยานิก
ธรรม? อริยมรรค ๔ ที่เปนอปริยาปนนะ เปนนิยยานิกธรรม.
เพราะฉะนั้น ญาณอันเปนอนันตรปจจัยแหงสภาวธรรมที่เปนนิยยา
นิกะโดยสวนเดียว ซึ่งดําเนินไปโดยสภาวะที่ออกจากทั้งสองฝาย พึงออกจาก
นิมิตไดเลย เพราะฉะนั้น โคตรภูญาณนั้น มีพระนิพพานเปนอารมณจึงจะถูก
แตวา ญาณที่เปนปุเรจาริกของผลญาณ ซึ่งมีสภาวะไมออกไป เพราะไมเปน
นิยยานิกธรรม เหตุที่ไมตัดขาดกิเลส ซึ่งกําลังเปนไปโดยเปนวิบากของ
อริยมรรคนั้น เพราะไดเจริญอริยมรรคไว แมบางคราวจะมีพระนิพพานเปน
อารมณ ก็ไมถูกไมควร เพราะอนุโลมญาณในทั้ง ๒ ฝาย มีอาการไมเสมอกัน.
จริงอยู อนุโลมญาณในอริยมรรควิถี อันถึงความบริบูรณอยางอุกฤษฏ
ดวยโลกิยญาณ อันเปนเครื่องทําลายกองโลภะเปนตนอันมากมาย ซึ่งไมเคย
แทงตลอดไดอยางดี เกิดขึ้นอนุโลมแกมรรคญาณ สวนในผลสมาบัติวิถี
อนุโลมญาณนั้นๆ ไมมีความขวนขวายในอริยมรรควิถีนั้น เพราะตัดกิเลส
นั้นๆ ไดเด็ดขาด เกิดเปนเพียงบริกรรมแหงความพรั่งพรอม ดวยสุขอันเกิด
แตผลสมาบัติของพระอริยเจาอยางเดียว เพราะฉะนั้น อนุโลมญานเหลานั้น
จึงไมมีการออกจากปจจัยไหนๆ เพราะญาณในที่สุดแหงอนุโลมญานเหลานั้น
(อันมีสังขารเปนนิมิต) พึงมีพระนิพพานเปนอารมณ จากการออกสมาบัต๘๖ ิ
โลกุตรอัปปนาวิถี ๒ อยาง
อัปปนาวิถีทั้ง ๒ คือ มรรควิถี และผลสมาบัติวิถี ฯ บรรดาวิถีทั้ง ๒
นั้น พระโยคาวจรเจริญวิปสสนา มีนามรูปเปนอารมณตั้งแตเบื้องตน เมื่อ
วิปส สนาญาณมีกําลัง (ไมห ลงทาง) แล วอุทยัพพยญาณ (ที่ ๔ ) ก็เกิดขึ้น
๘๖
ขุทฺทกนิกายฏฐกถา อุทานวณฺณนา (ปรมตฺถทีปนี) - หนาที่ 50
๘๖๔
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
ดําเนินไป จนถึง สังขารุเปกขาญาณ (ฌานที่ ๘) ถาวิปสสนาญาณไมอาจ
กาวขึ้นสู สัจจานุโลมิกญาณจิตก็จะกลับมาที่อุทยัพพยญาณอีก แลวดําเนิน
ไปจนถึงสังขารุ เ ปกขาญาณ กลับ ไปกลั บ มา จนกระทั่งญาณนั้ น แกกล า
แลวขึ้นสูสัจจานุโลมิกญาณ จนกระทั่งมรรคและผลเกิด นี้เรียกวา มรรควิถี
วิถีของมันทบุคคล
ภวังคจลนะ ไดแก วิปากวิญญาณ ๑๓ ดวง
จิตพนวิถี
ภวังคุปจเฉทะ ไดแก วิปากวิญญาณ ๑๓ ดวง
มโนทวาราวัชชนะ ไดแก กิริยาอเหตุกะ ๑ ดวง
บริกรรม ไดแก กามชวนะจิต
กามวิถี อุปจาระ ไดแก กามชวนะจิต
อนุโลม ไดแก กามชวนะจิต
โคตรภู ไดแก กามชวนะจิต
มรรค ไดแก โลกุตตรกุศลจิต
ผล ไดแก โลกุตตรวิปากจิต
โลกุตตรวิถี
ผล ไดแก โลกุตตรวิปากจิต
จิตพนวิถี ภวังค ไดแก วิปากจิตเปนไปตามปกติ
สวนติกขบุคคล มีวิถีที่ตางจาก มันทบุคคลบาง คือ ในกามชวนะ
ของติกขบุคคล ไมมีจิตชื่อวา “บริกรรม” และในขณะแหงผลจิตก็มี ๓ ขณะ
ก็ขณะที่บริกรรม อุปจาระ อนุโลมเกิดแลวโคตรภูก็เกิดขึ้น ทําลายปุถุชน
โคตรเพื่อกาวขึ้นสูอริยโคตรแลวมรรคจึงเกิด อนึ่ง มรรค ๓ เบื้องบน ไมมี
โคตรภู เพราะจิตบริสุทธิ์ทานจึงกลาว “โวทาน” (แทน) ทั้ง ๓ มรรคเบื้องบน
ผลสมาบัติวิถี มี ๔ ประเภท
๑. ผลสมาบัติวิถีของพระโสดาบัน เปนไปในรูปฌาน ๕
๒. ผลสมาบัติวิถขี องพระสกทาคามี เปนไปในรูปฌาน ๕
๓. ผลสมาบัติวิถีของพระอนาคามี เปนไปในรูปฌาน ๕
๔. ผลสมาบัติวิถีของพระอรหันต เปนไปในรูปฌาน ๕
ผลจิตในมรรควิถีไมเรียกวา ผลสมาบัติ เพราะไมมีบริกรรมและ
๘๖๕
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
เกิดขึ้น ๒-๓ ขณะจิตดวยอํานาจมรรค แตผลจิตในสมาบัตินี้ มีบริกรรม
โดยเฉพาะ จึงเกิดติดตอกันไปยาวนาน ตามที่ทานปรารถนา อีกอยางหนึ่ง
มรรควิถี เปนวิถีที่ทําใหสัตวพนจากทุกข สวนผลสมาบัติวิถีเปนวิถีของพระ
อริยะผู หลีกเรนเพื่ออยูเ ปนสุขในภพปจจุบั น อนึ่ งกอนที่จะเขาผลสมาบั ติ
ท า นอธิ ษ ฐานเพื่ อ ให จิ ต ตั้ ง อยู โดยกํ า หนดกาลแล ว จึ ง เข า ผลสมาบั ติ
ในวิสุทธิมรรคกลาววา พระอริยสาวก ผูปรารถนาเขาผลสมาบัติ
ไปสูที่ลับเรนอยู แลวพึงพิจารณาสังขารทั้งหลายดวยวิปสสนาญาณ ๙ มี
อุทยัพพยานุปสสนาเปนตน ในลําดับแหงโวทานอันมีสังขารเปนอารมณ จิต
ของพระอริยสาวกผูมีวิปสสนาญาณอันเปนไปโดยลําดับนั้น ก็ถึงนิโรธ คือ มี
นิพพานเปนอารมณดวยสามารถแหงผลสมาบัติ ดังนี้
ผลสมาบัติวิถี ของมันทบุคคล
ภวังคจลนะ ๑ ขณะ ไดแก ติเหตุกภวังคจิต ๑๓ ดวง
ภวังคุปจเฉทะ ๑ ขณะ ไดแก ติเหตุกภวังคจิต ๑๓ ดวง
มโนทวาราวัชชนะ ๑ ขณะ คือ กิริยาอเหตุกจิต
อนุโลม ๑ ขณะ
อนุโลม ๑ ขณะ
คือ อุปจารสมาธิ ๔ ขณะ
อนุโลม ๑ ขณะ
อนุโลม ๑ ขณะ
ผลจิต มีนิพพานเปนอารมณเกิดตอกันไปตามกําหนด ภวังคเกิด
ตามปกติ
อธิ บ ายว า ติ เ หตุ ก ภวั ง ค ๑๓ คื อ ติ เ หตุ ก กามาวจรวิ บ าก ๔
และมหัคคตวิบาก ๙ ก็อนุโลมญาณ ๔ ขณะมีไตรลักษณอยางใดอยางหนึ่ง
เปนอารมณ สวนผลจิต(ผลชวนะ) มีนิพพานเปนอารมณ เรียกวา ผลสมาบัติ
ของพระอริยบุคคล และเปนไปในรูปาวจรฌาน ๕ ฌานใดฌานหนึ่งที่บรรลุ
ตามสมควร สวนผลสมาบัติวิถีของติกขบุคคล ในวิถีมีอนุโลมเกิดขึ้นเพียง ๓
ขณะ แลวผลจิตก็เกิดขึ้น มีนิพพานเปนอารมณ
๘๖๖
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
นิ พ พาน ๓ คื อ อนิ มิ ต ตนิ พ พาน๑ อั ป ปณิ หิ ต นิ พ พาน ๑ และ
สุญญตนิพพาน ๑ ถาพิจารณาเห็นสังขตธรรมโดยเปนอนิจจังในขณะแหง
อนุโลมเกิด ผลจิตก็มีอนิมิตตนิพพานเปนอารมณ ถาพิจารณาเห็นสังขตธรรม
โดยเป นทุกขังในขณะแห งอนุโ ลมเกิด ผลจิ ตก็มีอัปปณิหิ ตนิ พพานเป น
อารมณ ถาพิจารณาเห็นสังขตธรรมโดยเปนอนัตตาในขณะแหงอนุโลมเกิด
แลว ผลจิตก็มีสุญญตนิพพานเปนอารมณ
อีกอยางหนึ่ง เพราะบุญบารมีที่สั่งสมมาในอดีตมากดวยศีล เมื่อเขา
ผลสมาบัติ ก็มีอนิมิตตนิพพานเปนอารมณ เมื่อบุญบารมีที่สั่งสมมาในอดีต
มากดวยสมาธิ เมื่อเขาผลสมาบัติก็มีอัปปณิหิตนิพพานเปนอารมณ เมื่อบุญ
บารมีที่สั่งสมมาในอดีตมากดวยปญญาเมื่อเขาผลสมาบัติก็มี สุญญตนิพพาน
เปนอารมณ
การเขาผลสมาบัตเิ พื่อบรรลุมรรคผลขั้นสูง
การที่มรรคผลขั้น สู งจะเกิด หรื อไมเ กิด ขึ้น นั้ น ขึ้น อยู กั บ ความมุ ง
หมายของอริยะบุคคลนั้นดวย คือขณะที่เจริญวิปสสนาไปจนถึงสังขารุเปกขา
ญาณจนแกกลาแลว ถามุงใหอริยมรรคเบื้องบนเกิดมรรคก็จะเกิด แตในการ
ที่จะบรรลุมรรคเบื้องบนนั้นคอนขางยากกวาการเขาผลสมาบัติ เพราะตราบ
ใดที่ญาณยังไมแกกลาพอที่จะทําใหอริยมรรคเบื้องสูงเกิด สังขารุเปกขาญาณ
ก็จะวนเวียนเกิดอยูอยางนั้น ดังนั้นพระเสขบุคคลผูที่จะมุงปฏิบัติเพื่อมรรค
ผลเบื้องสูงจะตองกําหนดจิตไววาในระยะเวลาประมาณเทานี้ เราจะไมยอม
เขาผลสมาบัติโดยเด็ดขาด แลวก็ตองคอยระวังไมใหจิตนอมไปหาอริยผลที่
ตนเคยได บ รรลุ มาแล ว ด ว ย มิฉะนั้ น แทนที่อ ริ ย มรรคเบื้ องสู งจะเกิด กลั บ
กลายเปนผลสมาบัติเกิดขึ้นแทน
หลังจากอธิษฐานแลว สภาวะธรรมจะเริ่มเปนปรากฎของใหมทันที
ดวยคําอธิษฐานวา “ธรรมะอันใดที่เกิดขึ้นในขันธสันดานของขาพเจา ขอ
อยาใหเกิดขึ้นอีก ธรรมะวิเศษเบื้องสูงอันใด ที่ขาพเจายังไมไดพบ ขอใหพบ
ใหถึงเทอญ” หรือ ขาพเจาไมปรารถนาที่จะเขาผลสมาบัติที่ตนไดแลว
๘๖๗
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
หมายความวา ผลที่เคยไดแลวจะไมปรากฎภายในเวลาที่กําหนดไว และถาผู
ที่มีสมาธิญาณบริบูรณก็จะเขาถึงมรรคผลขั้นสูงโดยตรงทันที
หากไมตัดเยื่อใยในผลที่ตนไดแลวอยางเด็ดขาด ญาณก็จะวกเขาหา
แตผลนั้นนั่นเอง โดยเขาไมถึงมรรคผลขั้นสูงเลย ดวยเหตุนี้ จะตองตัดเยื่อใย
ในผลที่ต นเคยได มาแต กอนออกให ห มด จึ งคอยเริ่ มกําหนดในชว งเวลาที่
กําหนดอยูนี้ วิปสสนาญาณทั้งหลายเริ่มตั้งแตอุทยัพพยญาณยังมีกําลังออน
อยู นิมิต ตางๆ มีแสงสว างเป น ตน สามารถเกิด ขึ้นมาได และ ทุกขเวทนา
ตางๆ ก็สามารถเกิดขึ้นไดเหมือนกัน ความเกิดดับของรูปนามทั้งหลายจะ
ปรากฎชัดและรุนแรง ความกลัว การมองเห็ นโทษ ความเบื่อหนายต อ
อารมณทางโลก หรือตอวัฏฏทุกขจะปรากฎขึ้นเปนพิเศษ ครั้นสมาธิญาณแก
กลาเต็มที่แลว จะขามไปสูอารมณนิพพานเหมือนกับตอนที่บรรลุเมื่อครั้ ง
กอน นี้คือความเกิดขึ้นของมรรคผลขั้นสูงขึ้นไป๘๗
๒.๒ วิธีเขาผลสมาบัติตามแนวทางครูบาอาจารย
๑) พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) ๘๘
อธิบายขั้นตอนการเขาผลสมาบัติ ทั้งอาการที่ปรากฏกอนการเขา
ผลสมาบัติ อาการในขณะที่จิตเขาถึงอารมณนิพพาน และอาการที่ปรากฎ
เมื่อออกจากผลสมาบัติ ดังนี้
๑) สภาวะกอนเขาผลสมาบัติ
ในขณะที่ใกลจะเขาถึงผลสมาบัติ การกําหนดทุกอยางจะปรากฎชัด
กวาแตกอนมาก ทายสุดเมื่อจิตสลัดอารมณทั้งปวงออกได จิตก็จะเขาสูผล
สมาบัติอันเปนแดนสงบจากสังขารทันที ผูที่เขาผลสมาบัติแลวจึงพูดเปนนัย
เดียวกันวา อารมณและจิตที่กําหนดทั้งหมดจะหยุดหายไปฉับพลันพรอมกัน
๘๗
พระโสภณมหาเถระ, วิปสสนาชุนี หลักการปฏิบัติวิปสสนา (ฉบับ
สมบูรณ), แปลโดย จํารูญ ธรรมดา, (กรุงเทพมหานคร: หจก.ประยูรสาสนไทย การ
พิมพ, ๒๕๕๓), หนา ๔๓๐-๔๓๑.
๘๘
พระโสภณมหาเถระ, วิปสสนาชุนี หลักการปฏิบัติวิปสสนา (ฉบับ
สมบูรณ), แปลโดย จํารูญ ธรรมดา, ๒๕๕๓, หนา ๖๑๕-๖๒๕.
๘๖๘
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
ก็มี ขาดหายไปเหมือนกับการเอามีดไปตัดเถาวัลยขาดก็มี จะดับไปรวดเร็ว
มากประดุจประกายไฟที่แตกออกเปนเสี่ยงๆ แลวดับไปก็มี
๒) สภาวะจิตขณะที่ตั้งอยูใ นผลสมาบัติ
ผลจิตสามารถดํารงอยูไดหลายชั่วโมงอยางนาพอใจ และในขณะนั้น
จะไมออกไปรับรูอารมณใดเลย ที่จริงแลว พระนิพพานเปนสภาพที่พนไป
จากสังขาร(รูปนามและบัญญัต)ิ ที่เนื่องดวยโลกนี้และโลกอื่น ดังนั้น ในขณะ
ที่เขาผลสมาบัติจะรับเอาพระนิพพานเปนอารมณ จิตจึงไมรูเรื่องราวของโลก
อีกทั้งปราศจากความซัดสายฟุงซาน แมอารมณอื่นผานเขามาทางทวาร เชน
รูป เสียง กลิ่น และสัมผัส หรือแมแตทุกขเวทนา เปนตน ก็ไมปรากฏแกเขา
๓) สภาวะหลังออกจากผลสมาบัติ
เมื่ออกจากผลสมาบัติทันทีที่กําหนดอารมณตอเนื่อง ความเกิดดับ
ของนามรูปจะเกิดขึ้นอยางหยาบๆ อาจทําใหคิดวา “ชวงของการกําหนดนั้น
หางกันไปหนอย หรืออารมณกําลังตกอยู” แตที่จริงแลว เนื่องจากกําลัง
เขาถึงอุทยัพพยญาณ
บางคนพอกลับไปเริ่มตนกําหนดใหม อารมณก็ไมดีเหมือนเกา คือ
กําหนดอารมณไมทันบาง เร็วเกินไปบาง ชาเกินไปบาง แตโดยสวนมากแลว
จิตจะเกิดอาการแจ มใสเปน พิเศษและเกิดติ ดตอกันเรื่อยๆ สภาพจิต จะมี
ความสุขมาก บริสุทธผุดผองเหมือนกับอยูคนเดียวในที่กลางแจง แตเราจะไม
สามารถกําหนดดูจิตเหลานี้ได แมจะพยายามกําหนดก็ไดไมเต็มที่ แตเมื่อจิต
อันแจมใสนี้หมดกําลังไปแลว พอหันกลับมากําหนดใหม ก็จะกําหนดรูความ
เกิดดับไดอยางชัดเจน เมื่อกําหนดนานเขาก็จะเห็นอารมณละเอียด ออน ถา
หากกําลังของญาณแกกลาพอ ก็จะเขาถึงสภาพที่ดับไปของสังขารไดบอยๆ
๒) พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ. ๙)
๑. การอธิษฐานจิตเขาผลสมาบัติ
ในคูมือสอบอารมณกรรมฐานวิชาครู๘๙ ไดอธิบายการอธิษฐานจิต
เขาผลสมาบัติมีอยู ๒ ประการดังนี้
๘๙
พระธรรมธีรราชมหามุนี , คูมือสอบอารมณกรรมฐานวิชาครู, หนา ๕๙-๘๑
๘๖๙
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
๑.๑ การถึ ง ความดั บ สงบบ อ ยๆ คื อ เข า ผลสมาบั ติ เริ่ ม ที่
อุทยัพพยญาณขึ้นไปจนถึงอนุโลมญาณ แลวดับไปอีก คือเขาผลสมาบัติได
ตามอธิ ษฐาน เช น ขอให ดั บ บ อยๆ อย า งน อ ยที่ สุ ด ๑ ชั่ ว โมงต อ ๓ ครั้ ง
อธิษฐานอีกอาจจะ ๕ นาที ตอ ๓-๔ ครั้ง
๑.๒ ดวยการอธิษฐานตั้งอยูไดนาน คืออธิษฐานตั้งแต ๕-๑๐
นาที ๑ ชั่วโมง หรือ ๒ ชั่วโมง เปนตน
การอธิษฐานจิต เพื่อใหบรรลุผลสมาบัติไดเร็วและดํารงอยูนาน ไม
ควรกังวลหรือคาดหวั งการอธิษฐานของตน เพราะบางทานก็คาดหวั งว า
กําลังจะเขาผลสมาบัติ กลับทําใหสติขาดชวงไมอาจบรรลุผลสมาบัติได ใน
กรณีนี้ ถาการคาดหวังเกิดขึ้นก็ควรกําหนดที่การคาดหวังนั้นดวย ที่จริงแลว
กําลังสมาธิและปญญาเปนหลักในการเขาผลสมาบัติ ถากําลังของธรรมทั้ง
สองมีไมมากก็จะทําใหบรรลุผลสมาบัติไดชาหรือดํารงอยูไดไมนาน
๒) สภาวะจิตขณะที่ตั้งอยูในผลสมาบัติ
ผู ที่ เ ข า ผลสมาบั ติ เรี ย กว า เข า ฌานก็ ไ ด ณานมี ๒ ประเภท คื อ
อารัมมณูปนิชฌาณ เปนฌาณโลกีย เพงบัญญัติเปนอารมณ และลักขณูปนิช
ฌาณ เปนโลกุตตระเพงพระไตรลักษณเปนอารมณ
ในขณะเขาผลสมาบัตินั้น เวทนา สัญญา สังขาร ๓ ขันธดับไปหมด
รูปดับก็มี เชน กายวิญญัติรูป วจีวิญญัติรูป หรือ รูปไมดับก็มี เชน ลมหายใจ
เขา-ออกยังมีอยู สวนวิญญาณนั้น มีพระนิพพานเปนอารมณ รูพระนิพพาน
ในเอกทสกนิบาต อังคุตตรนิกายรับรองวา อารมณใดที่เคยเห็น ได
ยิน ได กลิ่น รูรส ถูกสัมผัสและเคยเสวยมาแลว แมในอารมณนั้นๆ ก็ไมมี
ความรูสึกอยางหนึ่งอยางใดเลย แตวาในขณะนั้นจิตเกิดอยู แตไมมีความรูสึก
เพราะการเขาผลสมาบัตินั้นมีนิพพานเปนอารมณ เปนธรรมอันสุขุมประณีต
เปนธรรมที่พนจากโลก ไมมีสัขตธรรมใดๆ ในนิพพานนั้น นิพพานจึงไดชื่อวา
อนิ มิ ต ตะ คื อ ไม มี รู ป สั ณ ฐาน สี สั น วรรณะที่ เ กี่ ย วกับ รู ป นาม เมื่ อ ผลจิ ต
เกิดขึ้นจับนิพพานเปนอารมณจึงไมเกิดความรูสึก คือไมรูอารามณโลกียะ ไม
รูทางปญจทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย แตทางใจ รับอารมณนพิ พานอยู
๘๗๐
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
ในเวลาที่ เ ข า ผลสมาบั ติ อ ยู เมื่ อ เวลาผ า นไป ๑-๒ ชั่ ว โมง จิ ต ที่
พิจารณาอาจปรากฏขึ้นได ๔-๕ ขณะพึงกําหนดรูจิตนั้นแลวก็เขาผลสมาบัติ
ตอไปได
๓) พระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)
จากหนั งสื อคูมือปฏิ บั ติ พระกรรมฐาน ๙๐ ของหลวงพอฤาษีลิ งดํ า
กล าวถึง อานิ ส งศ ข องทาน ที่ผู บํ า เพ็ญ ทานกุ ศลแด ทา นที่ไ ด ส มาบั ติ ไว ว า
สมาบัตินี้ นอกจากจะใหผลแกทานที่ไดแลว ยังใหผลแกทานที่บําเพ็ญกุศล
ตอทานที่ไดสมาบัติดวย กอนบิณฑบาตรตอนเชามืดใหเจริญวิปสสนาและ
เขาสมาบัติ เพื่อเปนการสนองความดีของทายกทายิกาผูใสบาตรในตอนเชา
อานิสงสของสมาบัติมีอยางนี้
๑. นิโรธสมาบัติ สมาบัตินี้เขายาก ตองหาเวลาวางจริงๆ เพราะ
เขาคราวหนึ่งใชเวลาอยางนอย ๗ วัน อยางสูงไมเกิน ๑๕ วัน ใครไดทําบุญ
แกทานที่ออกจากนิโรธสมาบัตินี้ จะไดผลในวันนั้น หมายความวาคนจนก็จะ
ไดเปนมหาเศรษฐีในวันนั้น
๒. ผลสมาบั ติ เปน สมาบั ติเ ฉพาะพระอริ ย เจ า สมาบั ติ นี้เ ขา
ออกไดทุกวันและทุกเวลา ทานที่ทําบุญแดทานที่ออกจากผลสมาบัติ ทานผู
นั้นจะมีผลไพบูลยในความเปนอยู คือมีฐานะไมฝดเคือง
๓. ฌานสมาบั ติ ทา นที่ บํ า เพ็ญ กุ ศ ลแกท า นที่ อ อกจากฌาน
สมาบัติ จะทรงฐานะไวดวยดีไมยากจนกวาเดิม มีวันแตจะเจริญงอกงามขึ้น
เปนลําดับ
๔) พระพรหมมงคล (ทอง สิริมังคโล)๙๑
วัดพระธาตุศรีจอมทอง จังหวัดเชียงใหม ไดขอมูลวา การอธิษฐาน
เขาสูสภาวะดับสงบ (ผลสมาบัติ) ๒ วิธี ดังนี้
๙๐
พระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร), คูมือปฏิบัติพระกรรมฐาน.
๙๑
พระพรหมมงคล (ทอง สิริมังคโล), สอบถามระเบียบการปฏิบัติ.
๘๗๑
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
๑. อธิษฐานดับสงบ เมื่อเริ่มนั่งภาวนา ใหแผเมตตาแกตนเองและ
สรรพสั ต ว ทั้ ง หลาย จากนั้ น อธิ ษ ฐานกํ า หนดในใจเพื่ อ เข า ผลสมาบั ติ ว า
“ภายใน ๑ ชั่วโมงนี้ ขอใหถึงความดับสงบ ๕ นาที” ผูปฏิบัติเดินจงกรม ๑
ชั่วโมงเทากับเวลานั่งภาวนา
เมื่อดับได ๕ นาทีหรือใกลเคียง ตอไปใหขยับขึ้นเปน ๑๐, ๑๕,
หรือ ๓๐ นาที ขณะที่จิตเขาสูผลสมาบัติ โยคีจะไมสามารถรับรูอะไร แมวา
จะมีอารมณ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ปรากฏขึ้นรอบๆ ตัว จะดํารงอยูในทา
นั่งตามที่อธิษฐานไว ตอมาใหอธิษฐานดับนานขึ้น เชน ๔๕ นาที หรือ ๑, ๓,
๖ ชั่วโมง หรือมากกวาก็ได โดยจะทําใหจิตเกิดศรัทธา ไดรับสมาธิสุข และ
ยังทําใหผิวพรรณ อินทรีย บริสุทธิ์ผุดผอง
๒. อธิษฐานดับบอยๆ เมื่อเริ่มนั่งภาวนา วิปสสนาจารยใหอธิษฐาน
ดวยการกําหนดในใจใน วา “ขอใหภายใน ๑ ชั่วโมงนี้ อาการดับ จงเกิดขึ้น
บอยๆ” โดยใหกําหนดวารูหนอ ในขณะที่รูปนามดับไป และนับวามีจํานวนที่
ดับไปประมาณกี่ครั้ง บังลังคตอไปใหนั่งภาวนาอธิษฐานดับบอยๆ ลดลงเปน
๓๐, ๒๕, ๒๐, ๑๕ และ ๕ นาที โดยยังคงเดินจงกรม ๑ ชั่วโมงกอนนั่งทุก
ครั้ง
ในพระไตรป ฎ ก คั ม ภี ร วิ สุ ท ธิ ม รรค และอภิ ธั ม มั ต ถสั ง คหะ ได
อธิบายเรื่องผลสมาบัติ ดวยการอธิษฐานจิตดับนาน สวนเรื่องการอธิษฐาน
จิตใหดับบอยครั้ง เกิดจากประสบการณของบูรพาจารย ที่ถายทอดกันมาใน
เชิงปฏิบัติ เพื่อใหดํารงสติอยูในขณะปฏิบัติ เพื่อใหเห็นสันตติขาดหรือการ
ดับไปของรูปนาม
๕) พระธรรมสิงหบุราจารย (จรัญ ฐิตธัมโม)
จากหนังสือคูมือวิปสสนาจารย๙๒ ไดอธิบายสภาวะของผูที่เขาถึง
ผลสมาบัติวา เปนการดับจิตที่รับอารมณตางๆ จากทวารทั้ง ๖ แคจิตนั้น
๙๒
พระธรรมสิ ง หบุ ร าจารย (จรั ญ ฐิ ต ธั ม โม), คู มื อ วิ ป ส สนาจารย ,
(กรุงเทพมหานคร: หอรัตนชัยการพิมพ, พ.ศ. ๒๕๓๗), หนา ๑๑๑-๑๒๓.
๘๗๒
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
ไมไดดับจริงๆ เชนกับคนตาย แตเปนการดับจากอารมณทั้ง ๖ หรือที่กลาว
กันวารับอารมณนิพพาน ดังนี้
๑) การเขาผลสมาบัติ บุคคลผูเขาถึงสภาพนั้นยอมรูไดดวยตนเอง
จะเปรียบเทียบใหใครฟง ก็ยอมจะเปรียบกับอะไรไมไดทั้งสิ้นเปนสภาพที่
สงบจากสุข-ทุกขทั้งปวง เมื่อผูปฏิบัติไดถึงซึ่งอารมณชนิดนี้แลวยอมพึงใจที่
จะอยูในอารมณนั้นอีก
ผูเขาถึงความดับบอยๆ คือเปนผูที่ผานมรรคญาณมาโดยแทจริง
แลว ดังนั้นในคําอธิษฐานวาภายใน ๑ ชั่วโมงนี้ขอใหมีการเกิดดับบอยๆ ก็คือ
การพิสูจนขอเท็จจริงของการผานมรรคญาณ
๒) สภาวะการเข า ผลสมาบั ติ ขณะแรกที่ นั่ ง กํ า หนดพองยุ บ ได
ชัดเจน เปนปกติธรรมดา แลวตอไปจะถี่ขึ้นๆ ไปและดับวูบลงไป เผลอตัวไป
เร็วบาง ชาบาง อันโยคีไมสามารถจะกําหนดเวลาได นั่นคือเขาถึงผลสมาบัติ
เมื่อรูสึกตัวขึ้นจะจับพอง ยุบไดทันที และเปนปกติธรรมดาเหมือนแรกนั่ง
นั่นคือกลับตั้งตนดวยอุทยัพพยญาณ แลวตอไปอาการจะเขาสังขารุเบกขา
ญาณ คือ พองยุบถี่ขึ้นๆ แลวดับวูบลงไปอีกเปนเชนนี้บอยๆ เรื่อยๆ แลวแต
กําลังสมาธิของโยคีผูนั้น
การทรงอาการอยูในสมาบัติไดนานๆ และชํานาญในการออกจาก
สมาบัติไดตามกําหนดเวลา ดวยการอธิษฐานวาขอใหดับ ๕ นาที ๑๐ นาที
๓๐ นาที เรื่ อยๆ ไป จนสามารถกระทําได ตามกําหนดเวลาที่อธิ ษฐานไว
อยางแนนอน จึงจะเปนผลสมาบัติอยางแทจริง ผูที่ไดผลสมาบัติที่แนนอน
แลว จะสามารถเขาไดทุกขณะเวลา และจะทรงอาการนั้นได ตามกําหนด
เวลาที่ตั้งใจไดเสมอ
๓) อาการที่อยูในผลสมาบัติ ในการดับวูบลงไปครั้งหนึ่งนั้น ขณะที่
จิตกับอารมณที่กําหนดอยู ดับวูบ ลงไปนั้น ย อมไมมีความรูสึกอยางใดเลย
ทวารทั้ง ๖ ดับสนิท จิตไมรูอารมณจากทางใดทั้งสิ้น ขณะที่ดับลงไปนั้น ชา
นานเพียงใด โยคีจะมีความรูสึกอยูวาครูเดียวเสมอ แมจะนานประมาณ ๕
นาที ๑๐ นาที ๓๐ นาที ก็จะรูสึกวาครูเดียวเสมอ ผูที่เขาผลสมาบัติ ๒๔
ชั่วโมง ก็ยังกลาววาลืมตัวไปนานสัก ๕ นาที
๘๗๓
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
๔) อาการที่ปรากฎแกผูดูภายนอก เปนภาพคนนั่งเขาสมาธิหลับตา
อยูธรรมดานั่นเอง โดยไมสามารถรูไดเลยวานั่งหลับตาธรรมดา หรืออยูในผล
สมาบัติ ตองเขาไปกระทบจับตองจึงจะไดรู เพราะผูเขาผลสมาบัติมีลักษณะ
ตัวเย็นตัวแข็งผิดปกติจากบุคคลนั่งหลับธรรมดา มีลมหายใจออนรวยๆ
อาการตัวเกร็งแข็งนี้ จะเปนมากหรือนอย ขึ้นอยูกับการเขาถึงผล
อยางสนิทหรือไมสนิท ถายังเขาไมสนิทแท ตัวที่แข็งนั้น ยังงางมืองางเทา
ออกได แตผูที่เขาอยูอยางสนิทแท จะเอามือเอาเทาออกไดยาก เรียกวาตัว
แข็งเกือบเทาคนตายที่แข็ง ผลักใหลมลงก็ไมรูสึกตัว ผูที่นอนเขายกเอาตัวไป
พาดไวบนเกาอี้ ก็ยังคงแข็งอยูเชนเดิม อาการตางๆ เหลานี้ เปนอาการของผู
ที่อยูในผลสมาบัติที่จิตไมรับรูอารมณตางๆ ตามทวารทั้ง ๖
อาการที่เขาสูความดับ-สงบเพียงวับเดียว และบอยๆ นั้น เรียกวา
เขาถึงผล แตยังไมเปนสมาบัติ โดยมากผูปฏิบัติที่ผานมรรคญาณ-ผลญาณไป
แลว ยอมเขาสูผลไดบอยๆ ทุกคน ประมาณรอยละสิบคน ที่สามารถเขาผล
สมาบัติไดนานๆ
เฉพาะที่เขาไดนานๆ ในขณะที่อยูในระหวางปฏิบัติ เมื่อออกจาก
ปฏิบัติแลว การเขาไดนานๆ มักจะเสื่อมลง ไดนอยลง เมื่อหางการปฏิบัติ
อารมณอื่นๆ เขารบกวนจิตใจมากขึ้น ความดับสงบยอมเกิดขึ้นไดยาก แม
กระนั้นก็ยังคงไวซึ่งอาการดับบอยๆ แตไมนาน
ปญหาเกี่ยวกับสมาธิ ตามปกติผูปฏิบัติ เมื่อไดกําหนดรูปนามเปน
กรรมฐาน สมาธิ ยอมเจริญขึ้นจากขณิกสมาธิ เขาสู อัปปนาสมาธิจะเขาถึง
ความดั บ สนิ ท ผู ที่ เ ข ามรรคญาณ ผลญาณ เทีย บได กั บ ผู ที่เ ขา ปฐมญาณ
กลาวคือสมาธิที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเปนอัปปนาสมาธิ
๕) อาการที่ออกจากผลสมาบัติ ถาเปนการดับชั่วเวลาประเดี๋ยว
เดียว ความรูสึกอยางอื่นแทบจะไมมี กลาวคือพอดับวูบก็รูสึกเงยขึ้นทันที
และโยคีจะจับพอง-ยุบตอไปใหม โดยไมมีความรูสึกอะไรอื่นเกิดขึ้น แตถามี
อาการทรงอยูในผลสมาบัตินานกวาปกติ เชน ๕ นาที ๑๐ นาที ๓๐ นาที
๘๗๔
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
ขณะรูสึกตัวแมจะเขาใจวาเปนเวลาประเดี๋ยวเดียว แตความรูสึกจะมีผิดปกติ
ธรรมดาเกิดขึ้น เชน
๑. ความตกใจในอาการผิดปกติเกิดขึ้น
๒. รูสึกวามีอาการวูบวาบคลายๆ เลือดกําลังฉีดแรงทั่วรางกาย
๓. รูสึกวาสวนตางๆ ของรางกายยังแข็งอยู
๔. มีความรู สึ กลั ว ว าปฏิ บั ติ ต อไปอีกไมได คล ายกับ ว ามีการ
อิ่มตัว หรืออิ่มใจ
การมีสมาธิจนเปนอัปปนา คือจิตดับไมรับอารมณอื่นนั้น ก็มีอยู ๒
วิธี คือ ฌาณ กับ ผลสมาบัติ แตฌาณขึ้นดวยกรรมฐานอยางใดอยางหนึ่ง ใน
กรรมฐาน ๔๐ จิตจึงจะถึงอัปปนาสมาธิ จิตดับไปจากอารมณอื่นก็จริง แตยึด
อารมณสุขอยู แตผูขึ้นดวยกรรมฐานของวิปสสนานั้น ขึ้นดวยอารมณรูปนาม
อัน เป น ขณิ ก สมาธิ อ ยู จนกระทั่ ง จิ ต ดั บ จากอารมณ ทั้ ง ปวง จิ ต รู อ ารมณ
นิพพาน นั้นคือไมรูสึกอะไรเลย
๖) บั น ทึกประสบการณเ ขาผลสมาบัติ ของผู ปฏิ บั ติ ธ รรม ที่ส อบ
อารมณกับ หลวงพอจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จังหวัดสิงหบุรี
อุบาสิกาสุม ทองยิ่ง วัดอัมพวัน จังหวัด สิงหบุรี
๘๗๕
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
ประมาณสองทุมแมก็เดินจงกรมและนั่งสมาธิสลับกันไป พอประมาณตีสี่ ก็
เห็นแมนั่งและเดินอีก
แมเ ป น คนขยั น กลางวั น ทํ างาน ปลู ก ผั กถากหญา กลางคืน เดิ น
จงกรมและนั่งสมาธิทุกวันไมขาด ตั้งแตสองทุมถึงหาทุม และตีสี่ถึงหกโมง
เชา เป นเวลาสิ บกวาป ทุกวันพระแมต องไปสอบอารมณกับหลวงพอ แม
จดจําทุกขั้นตอนที่หลวงพอบอก แลวกลับมาปฏิบัติที่บาน จดบัญทึกสภาวะ
ไวทุกครั้ง แลวนําไปรายงานหลวงพอในวันพระถัดไป
เรื่องหนึ่งที่เห็นเปนเรื่องอัศจรรยคือ การกําหนดเวลานั่ง เชน ถา
ตองการจะนั่ง ๑ ชั่วโมง ๒ ชั่ว โมง หรือ ๓๐ ชั่ วโมง ก็ส ามารถกําหนดได
แนนอน โดยการอธิษฐานจิต เชน จะนั่ง ๒ ชั่วโมง ก็อธิษฐานวาจะนั่งสมาธิ
๒ ชั่วโมง เมื่อเริ่มนั่งสัก ๒-๓ นาที จะเกิดสมาธิแนบแนน และสมาธิจะคลาย
เองเมื่อครบเวลา ๒ ชั่วโมง
เมื่ อ พ.ศ. ๒๕๐๓ แม อ ายุ ๔๕ ป หลวงพ อ ให ฝ ก นั่ ง ที่ บ า น ๓๐
ชั่วโมง เริ่มนั่งตั้งแตหนึ่งทุม และออกจากสมาธิตีสองของวันรุงขึ้น ครบ ๓๐
ชั่วโมงพอดี โดยไมไดเคลื่อนไหวไปไหน แมบอกวาระหวางที่นั่งสมาธิไมรูสึก
หิวหรือตองการขับถาย ตอมา หลวงพอใหแมไปนั่งสมาธิที่วัดอัมพวันเพื่อ
เปนการทดสอบ แมนั่งไดครบตามกําหนดเวลา๙๓
โดยบันทึกคําบอกเลาของอุบาสิกาสุม ทองยิ่ง๙๔
ทํากรรมฐานที่บานตามคําสั่งหลวงพอ วันแรกนั่ง ๑ ชั่วโมง วันที่
สอง ๒ ชั่วโมง เรื่อยไปถึง ๑๐ ชั่วโมง แลวก็ยอนไป ๑ ชั่วโมงใหมอีก ทํา
แบบนี้อยู ๔ ป
๙๓
พระราชสุทธิญาณมงคล, กฏแหงกรรม ธรรมปฎิบัติ เลม ๖ , บันทึกโดย
คุณเมือง ทองยิ่ง, (กรุงเทพมหานคร: หจก หอรัตนชัยการพิมพ, พ.ศ. ๒๕๔๗), หนา
๖๐-๗๔.
๙๔
พระราชสุทธิญาณมงคล, กฏแหงกรรม ธรรมปฎิบัติ เลม ๖ เลาโดยคุณแม
สุม บันทึกโดย คุณสมพร แมลงภู, (กรุงเทพมหานคร: หจก. หอรัตนชัยการพิมพ , พ.ศ.
๒๕๔๗), หนา ๗๕-๙๐.
๘๗๖
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
ครั้งแรกที่เขาไดตอนที่ปวดเต็มที่ แลวเจ็บก็ดับปุบไป รูสึกตัวเหมือน
นั่งอยูใตตนโพธิ์ เย็นสบาย ครั้งตอมา ดับแบบดิ่งพสุธาเลย ไปโผลที่เมือง
บาดาล เห็ น เป น อุโ มงค และคูห าอยู ขางล าง มีพ ระบรมสารี ริ กธาตุ อ ยู ใ ต
พื้นดิน มีไฟสวางติดรอบทั้ง ๔ ทิศ ก็เดิ นไปนมัสการ พอกราบเสร็จ ก็เลิ ก
กรรมฐานพอดี
วันหนึ่งหลวงพอใหนั่งที่วัด กําหนดจิตที่พองยุบ จิตดับที่พองยุบ พอ
จิตเขาแลว ตัวแข็งหมด นั่งไป ๑๕ นาที หลวงพอให แมแพเอามือจับ กอน
แลวใหเอาเข็มแทง ปรากฏวาแทงไมเขา เลือดไมออก แข็งไปทั้งตัว ตอนนั้น
มีคนนั่งดูหลายคน หมอชลอก็อยูดวย เขานั่งสูบยา ที่เห็นเพราะแสงเขาตา
เขาเอาบุหรี่มาแหยที่รูจมูก ควันขึ้นเพดาน ก็อัดไวไมใหขึ้น ควันก็ออกมาขาง
นอก รูสึกรอนนิดหนอย แตไมสําลัก หลวงพอไมเห็นที่หมอชลอเอาบุหรี่แหย
รูจมูก วันนั้นนั่ง ๒๐ นาที
ตอมาหลวงพอให ปฏิ บั ติในโบสถ ให ยืน กําหนด ไมไดเ ดิน จงกรม
กําหนดยืนหนอ พอตั้งอธิษฐาน ขอใหสมาธิแนวแน จิตเขาผลสมาบัติกี่นาที
เขาก็ดับไปตามที่กําหนด กําหนดพองหนอ ยุบหนอ ๓-๔ ครั้ง จิตก็เขาเลย
เวลานั่งกรรมฐานที่บาน จะอธิษฐานคราวละ ๓๐ ชั่วโมง พอครบ
กําหนดจิต จะคลายออกเอง ขณะที่จิ ต เขาอยู ตอนนั้ น ไมเ ห็ น อะไร ไมรั บ
อารมณอะไรเลย แรกๆ จะไมไดยินเสียง แตตอนหลังไดยิน
ตอจากนั้นก็ปฏิบัติมาจนแก ลองนั่งโดยไมไดอธิษฐานจิต จิตคลาย
ออกเมื่อไรก็สุดแลวแต ปรากฏวานั่งไป ๓๖ ชั่วโมง ไมมีปติอะไร
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ อายุ ๗๕ ป นั่งไป ๔๘ ชั่วโมง โดยไมไดอธิษฐาน
จิต ขณะที่เขาผลสมาบัติ เห็นพระจุฬามณีมีดอกไมธูปเทียนเต็มไปหมด มีคน
เฝาคนหนึ่งคอยเข็นรถนําไปทิ้ง เปนดอกไมธูปเทียนที่ใสมือคนตาย เมื่อตาย
แลวจะไดนําไปไหวพระจุฬามณี
การเขาผลสมาบัติจะมีกําลัง ไมหิว ไมปวดเมื่อย ไมมีอะไรล้ํา ปติก็
ไมล้ํา สมาธิเสมอเทากันหมดเลย มีความสุข ไมยินดียินราย เปนอุเบกขา รู
แลวก็วาง จิตมีจิตเดียว ไมมีอะไรเขามากระทบเลย การเขาผลสมาบัติอยาง
หนึ่ง เขานิโรธสมาบัติเปนอีกอยางหนึ่ง เขานิโรธสมาบัตินั้นไมมีตัวตน
๘๗๗
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
วิเคราะหการเขาผลสมาบัติของอุบาสิกาสุม ทองยิ่ง เปรียบเทียบกับ
หลักการในคัมภีรพบวา
(๑) เวลาเขาผลสมาบัติ จะมีการอธิษฐานจิตกําหนดเวลาในการ
เขาออก
(๒) เมื่อเขาผลสมาบัติไป จิตจะไมรับรูอารมณใดๆ
(๓) ครบกําหนดเวลาจึงออกผลสมาบัติตามที่ไดอธิษฐานไว
(๔) อาการกอนเขาถึงมรรคผลจากบันทึกกลาววา “ครั้งแรกที่เขา
ไดตอนที่ปวดเต็มที่ แลวเจ็บก็ดับปุบไป รูสึกตัวเหมือนนั่งอยูใตตนโพธิ์ เย็น
สบาย” สภาวะที่อุบาสิกาสุม ทองยิ่ง รายงานนั้น เปนสภาวะที่แสดงอาการ
ไตรลักษณ โดยอาการทุกขังอยางชัดเจน จึงวิเคราะหไดวา ถึงความดับดวย
อํานาจแหง อัปปณิหิตวิโมกข ชื่อวาอัปปณิหิตนิพพาน เพราะบุญญาธิการ
แตปางกอนนั้น เปนผูอบรมมามากดวย สมาธิ
(๕) สําหรับสภาวะที่บางครั้งขณะที่กําลังเขาผลสมาบัติอยูนั้น ยัง
มีสภาวะที่รับอารมณจากทางอายตนะ หรือบางครั้งที่เกิดปรากฏนิมิตขึ้นนั้น
วิเคราะหวาอาจจะเปนความเขาใจผิดของอุบาสิกาสุม ทองยิ่ง วากําลังเขา
ผลสมาบัติอยู เพราะจากหนังสือคูมือสอบอารมณกรรมฐานวิชาครู ไดกลาว
ไววา “ขณะที่เขาในเวลาที่เขาผลสมาบัติอยู เมื่อเวลาผานไป ๑-๒ ชั่วโมง จิต
ที่พิจารณาอาจปรากฏขึ้นไดสี่หรื อหาขณะพึงกําหนดรูจิต นั้นแลว ก็เขาผล
สมาบัติตอไปได” และที่ปรากฏในหนังสือวิปสสนาชุนี โดยมหาสีสยาดอ มี
อรรถาธิบายดังนี้๙๕
ในขณะที่เขาผลสมาบัติอยูนั้น ถาภวังคจิตเขามาแทรก ก็ถือวาเปน
การออกจากสมาบัติ แตวาสําหรับพระอริยบุคคลทั่วไปนั้นยากที่จะกําหนดรู
ภวังคจิตดังกลาวได บางทานสามารถเขาออกผลสมาบัติไดอยางรวดเร็ว ทั้ง
ยังสามารถพลิ กกลับ ไปกลับ มาได อย างรวดเร็ ว ซึ่งถาเปน บุคคลที่ไมมีพื้น
๙๕
พระโสภณมหาเถระ, วิ ป ส สนาชุ นี หลั ก การปฏิ บั ติ วิ ป ส สนา (ฉบั บ
สมบูรณ), แปลโดย จํารูญ ธรรมดา, (กรุงเทพมหานคร: หจก.ประยูรสาสนไทย การ
พิมพ, ๒๕๕๓), หนา ๖๒๔- ๖๒๖.
๘๗๘
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
ความรูมากอน อาจทําใหคิดไปวาตนสามารถกําหนดพิจารณาอารมณนั้นๆ
ไดในขณะที่เขาผลสมาบัติ โดยตัวอยางในเรื่องนี้ไดแก พระมหาโมคคัลลาน
เถระ องคอัครสาวก คือทานไดเลาเรื่องของทานใหพวกภิกษุฟงวา “ทานได
ยินเสียงบันลืออันไพเราะของโขลงชางที่ขึ้นลงแมน้ํา” นี้เปนคํากลาวของ
ทานมหาโมคคัลลานเถระ ภิกษุเหลานั้นไมเชื่อ ทานตองนําเรื่องนี้ไปกราบทูล
พระพุทธองคเพื่อใหทรงตัดสิน พระพุทธองคไดทรงตัดสินอยางนี้วา “ภิกษุ
ทั้งหลาย สมาธิที่พระโมคคัลลานะไดนั้นเปนอาเนญชสมาธิจริง แตไมชัดเจน
ไมบริบูรณ เดี๋ยวก็เกิดวิถีสามัญ ผลัดเปลี่ยน สลับกันไป ดังนั้น เมื่อทานออก
จากจตุตถณานแลวไดยินเสียงรองของชาง จึงคิดวาไดยินในขณะที่กําลังเขา
สมาบัติอยู ซึ่งที่จริงแลวเปนการไดยินในขณะที่ออกจากณานแลว”
จะเห็นวา การที่ทานไดยินเสียงชางรองในขณะออกจากสมาบัติ แต
กลับสําคัญวาเปนการไดยินขณะเขาสมาบัตินั้น เปนความสําคัญผิด และดวย
คําพูดที่ยกมาเปนหลักฐานดังกลาวนี้ ทําใหเราสามารถทราบไดวา ในเวลาที่
ออกจากสมาบัตินั้น อาจมีการกําหนดรูอารมณอยางอื่นไดเชนกัน
ผลสมาบัติ ไมไดจัดอยูในลําดับโสฬสญาน หรือ ญาณ ๑๖ แตเปน
ผลที่เกิดจากการปฏิบัติจนไดมรรคผลนิพพาน โดยเริ่มจากโสดาปตติมรรค
และโสดาปตติผล เมื่อทําการเจริญวิปสสนาจะเริ่มจาก ญานที่ ๔ อุทยัพพย
ญาณแลว ญาณปญญาก็จะพัฒนาขึ้นเรื่อยไปจนถึงอนุโลมญาณ และเขาสู
การดับ หรือ เขาผลสมาบัติที่มีนิพพานเปนอารมณ
การจะเขาผลสมบัตินั้น มีทั้งที่ทําการอธิษฐานกําหนดระยะเวลาการ
เขาผลสมาบัติ โดยเมื่อครบกําหนดเวลา จิตจะตกสูภวังตและกลับมามีรูป
นามขันธ ๕ เปนอารมณอีกครั้ง แตถึงอยางไรก็ตาม แมวาจะไมไดทําการ
อธิษฐานกําหนดเวลาเขาผลสมาบัติ ก็ยังสามารถเจริญวิปสสนาจนอินทรีย
เกิด ความเหมาะสมก็จะเขาสูผ ลสมบั ติได เอง เพีย งแตระยะเวลาที่เขาผล
สมาบั ติ ไ ด นั้ น ขึ้ น อยู กั บ ป จ จั ย หลายๆ ประการ เช น ความสมบู ร ณ ข อง
อินทรีย ๕ และ การหมั่นเจริญวิปสสนาอยูเนืองๆ เปนตน
๘๗๙
บทที่ ๑๗ การเขาผลสมาบัติ
ผู เ จริ ญวิ ป ส สนาภาวนาจะรู ได ว าตนเองบรรลุ ม รรค ผล หรื อ ไม
สามารถนํ า การเข า ผลสมาบั ติ ม าเป น เกณฑ ท ดสอบได ป ระการหนึ่ ง แต
อยางไรก็ตาม ทานมหาสีสยาดอ ไดกลาวไววา “ไมวาโยคีจะผาน ญาณ ๑๖
หรือ เขาผลสมาบัติไดกี่รอยครั้งก็ตาม ก็ตองหมั่นตรวจสอบตนเองอยูเนืองๆ
ตามดูกิเลสในใจตน โดยเฉพาะเวลาที่ถูกอารมณภายนอกมากระทบ ทั้งๆที่
นายิ นดี พอใจ และไมน ายิ นดี” และ พระภาวนาภิ ศาลเมธี วิ. ไดกลาวว า
“เมื่อออกจากการเจริญกรรมฐาน แลวไปใชชีวิตตามปกติ ไมตองพยายาม
รักษาศีล เพราะผูที่ผานมรรคผลแรกอยางแทจริงนั้น ศีลจะเกิดขึ้นเองโดยไม
ตองพยายามรักษา”
การเขาผลสมาบัติ ถึงแมวาจะทําใหผูปฏิบัติไดรูจัก ถึงความสุขแบบ
โลกุตระ แตอยางไรก็ตาม การยึดติดแมกระทั่งความสุขในเบื้องตนนี้ อาจ
เปนสิ่งที่กีดขวางไมใหผูปฏิบัติไดพบเจอกับธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งขึ้นไป ดังนั้น
การเข า ผลสมาบั ติ ไ ด นั้ น ผู ป ฏิ บั ติ จึ ง ไม ค วรยึ ด ถื อ ว า เป น สิ่ ง อั ศ จรรย น า
หลงไหลแตประการใด แตควรเจริญวิปสสนากรรมฐานตอ เพื่อใหไดถึงที่สุด
แหงทุกข
๓. การเขานิโรธสมาบัติ
นิโรธสมาบัติ คือ สภาวะที่ดับสัญญาและเวทนาไดเด็ดขาดซึ่งเปน
สภาวะสูงสุดของสมาธิ พบไดเฉพาะในพระพุทธศาสนาเทานั้น เพราะเปน
การปฏิ บั ติ ส มาธิ ที่มี ความละเอีย ดขึ้น ไปโดยลํ าดั บ โดยผู ที่จ ะสามารถเข า
สมาบัตินี้ไดจะตองเปนพระอนาคามีและพระอรหันตประเภท เจโตวิมุตติผู
พรั่งพรอมดวยอภิญญา ๖ เทานั้น
อานรายละเอียดในบทที่ ๒๓
๘๘๐
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมตุ ติ
เรียบเรียงโดย แมชีนวพร ทองศรีเพชร๑
การเจริ ญ เมตตาเจโตวิ มุ ต ติ เ ป น ภาวะหลุ ด พ น ของจิ ต โดยอาศั ย
เมตตาฌานเป น บาทฐาน จนสามารถเข าสู ก ารหลุ ด พ น จากอาสวะกิเ สล
ทั้งหลาย อันเปนเจโตวิมุตติและเปนปญญาวิมุตติ๒ ซึ่งเมตตาเจโตวิมุตติมี
ปรากฏอยูหลายแหงในคัมภีรพุทธศาสนาเถรวาท ไดแกคัมภีรปฏิสัมภิทา
มรรค“เมตตากถา”๓ที่แสดงการแผแบบไมเจาะจง แผแบบเจาะจง แผไปสู
ทิศ แผอินทริยวาร เปนตนพระสูตรที่เกี่ยวกับเมตตา เชน “วัตถูปมสูตร”๔
แสดงขั้นตอนเจริญเมตตาจนบรรลุอรหัตตผล “เมตตาภาวนาสูตร”๕กลาวถึง
อานิสงสของเมตตาเจโตวิมุตติเหนือกวาบุญกิริยาวัตถุทั้งปวง ในคัมภีรวิสุทธิ
มรรค “พรหมวิหารนิเทศ”๖มีเนื้อหาดานสมถะและวิปสสนา รวมทั้งตํารา
ปรมัตถโชติกะ สมถกรรมฐานทีปนี“อัปปมัญญา ๔”๗ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการ
เจริญเมตตา กรุณา มุฑิตา และอุเบกขา เปนตน
จึงไดรวบรวมเนื้อหา นํามาประมวลเปนความรูเขาสูแนวทางการแผ
เมตตาเจโตวิมุตติเต็มรูปแบบ พรอมทั้งหลักการและขั้นตอนการปฏิบัติจาก
ประสบการณ มีดังนี้
๑
พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปสสนาภาวนารุนที่ ๑๒,มหาวิทยาลัยมหา
จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม.
๒
ที.ปา. (ไทย) ๑๐/๑๑๐/๘๒.
๓
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒-๒๗/๔๖๐-๔๗๔.
๔
ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๗๗-๗๘/๖๗.
๕
ดูรายละเอียดใน ขุ.อิต.ิ (ไทย) ๒๕/๒๗/๓๗๒.
๖
ดูรายละเอียดใน วิสุทธิ. (ไทย) ๒๔๐-๒๗๔/๔๘๑-๕๘๘.
๗
ดูรายละเอียดใน พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙
เลม ๑ สมถกรรมฐานทีปนี, พิมพครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิสัทธัมมโชติกะ,
๒๕๕๔), หนา ๑๗๘-๒๐๕.
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๑. ความสําคัญของเมตตาเจโตวิมุตติตอการเจริญวิปสสนาขั้นสูง
องคสมเด็จพระสั มมาสัมพุทธเจาทรงตรัส ถึงการเจริ ญเมตตา ส ง
ความปรารถนาดีดวยจิตไมมีเวร ไมเบียดเบียน และทําใหแจงเจโตวิมุตติอัน
สิ้นอาสวะดวยปญญาอันยิ่งแลว พึงเรียกบุคคลนั้นวา พราหมณ หมายถึง
พระอรหั น ต ผู สิ้ น อาสวะกิ เ ลส ๘ ซึ่ ง เป น จุ ด หมายสู ง สุ ด สํ า หรั บ การเจริ ญ
วิปสสนาขั้นสูง โดยมีเมตตาเจโตวิมุตติเปนบาทฐาน
ซึ่งการเจริญวิปสสนาขั้นสูงนั้น จะดําเนินไปเพื่อการตัดละสังโยชน
ไปตามลําดับ จนเขาสูมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไป จึงจําเปนตองมีแนวทางการ
ปฏิบัติที่ชัดเจน ถูกตอง และตรงตามที่พระพุทธเจาทรงตรัสไว มีกระบวน
และขั้นตอนการตรวจสอบผล ที่ผู ป ฏิบั ติ ส ามารถวั ด สอบตนเอง รูแจ งได
เฉพาะตน ซึ่งเปนสิ่งที่สําคัญมาก เพราะครูบาอาจารยไมอาจจะพยากรณ
ผูอื่นได ซึ่งการพยากรณเปนญาณที่มีเฉพาะพระพุทธเจาเทานั้น๙ แตทานจะ
คอยแนะนําผูปฏิบัติ ไมใหเห็นผิดไปจากทาง หรือหลงคิดวาตนบรรลุธรรม
แลว อันเปนเหตุทําใหเนิ่นชาได
กระบวนการทั้งหมดนี้เปนสิ่งที่ผูปฏิบัติจะไดประสบจากการเจริญ
เมตตาเจโตวิมุตติอันเปนบาทฐานต อวิปสสนาภาวนา เพื่อพัฒนาจิตเขาสู
มรรคผลขั้นสูง ที่ไดจากการเรียนรูตลอดโครงการ ๗ เดือน ณ ศูนยปฏิบัติ
ธรรม “ธรรมโมลี ” ต.หนองน้ํ าแดง อ.ปากชอง จ.นครราชสี มา สอนโดย
พระภาวนาพิศาลเมธี (พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี) ซึ่งการสอนทั้งหมด
เป น ขั้น ตอนจากพระไตรป ฏ ก ที่เ ป น คําของพระตถาคตและพระอรหั น ต
ทั้ ง หลาย รวมทั้ ง ประสบการณ ข องครู บ าอาจารย ต า งๆ ที่ ไ ด ร วบรวม
๘
ที.สี. (ไทย) ๙/๓๙๗/๑๖๖.
๙
อภิ.กถา.อ. (ไทย) ๑/๗๑๙/๕๘๗., เรียกวา อสาธารณญาณ ๖ ไดแก อินทริยป
โรปริยัตติญาณ มหากรุณาสมาบัติญาณ ยมกปาฏิหาริยญาณ สัพพัญุตญาณ อนาว
รณญาณ และอาสยานุสยญาณ
๘๘๒
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
กลั่นกรองผานบทคําเทศนสอนของพระภาวนาพิศาลเมธี ซึ่งมีการเทศนทุก
วันในชวง ๓-๔ เดือนแรก ชวงทายจะใหเวลากับการปฏิบัติมากขึ้น แตจะมี
การฟงธรรมในชวงเที่ยงตามสภาวะของแตละคน ซึ่งเปนสวนที่สําคัญมากตอ
การปรับทิฏฐิใหตรงตามหลักคําสอนของพระพุทธเจา สงผลใหพัฒนาญาณ
ไดอยางรวดเร็ว เปนไปเพื่อตัดละกิเลสอยางแทจริง ซึ่งเมตตาเจโตวิมุตตินั้น
จะสอนเฉพาะผูที่มีสัมมาทิฏฐิสมบูรณ๑๐แลวเทานั้น
ซึ่งการจะมีสัมมาทิฏฐิสมบูรณไดนั้น มักนิยมใชการเจริญวิปสสนา
ตามแนวทางสติปฏฐาน ๔ หรือสุทธวิปสสนา ซี่งเปนวิปสสนาลวน ดวยการ
กําหนดรูอารมณที่ปรากฏแกรูปนามในปจจุบันขณะ ตามความเปนจริงจะ
เกิดการพัฒนาวิปสสนาญาณไปตามลําดับจนกระทั้งเขาสูมรรคญาณตัดละ
สังโยชนเบื้องต่ํา ๓ เปนผูมีสัมมาทิฏฐิสมบูรณ เรียกวา โสดาปตติผล ซึ่งเปน
ผูมีศีลสมบูรณ สมาธิพอประมาณ และปญญาพอประมาณ๑๑
การปฏิ บั ติ เ พื่ อ ขึ้ น สู ม รรคผลขั้ น สู ง ขึ้ น ไปนั้ น จํ า เป น ต อ งมี ส มาธิ
ระดั บ สมบู ร ณ ด ว ยการปฏิ บั ติ ส มถกรรมฐานกองใดกองหนึ่ ง ที่ ต รงกั บ
อัธยาศัยของผูปฏิบัติ กองที่คนสวนมากนิยมใช ไดแก อานาปานสติ และ
กสิณ ๑๐ เพราะเปนกองที่สามารถทําใหสมาธิเจริญถึงขั้นสมาบัติ ๘ โดยไม
ตองเปลี่ยนอารมณกรรมฐาน ยังสามารถฝกไปในทางฤทธิ์ โดยเฉพาะกสิณ
ซึ่งจําเปนตองอาศัยเวลาและการฝกฝนอยางมาก ตองอยูในสํานักที่มีครูบา
อาจารยดูแลอยางใกลชิด เพื่อไมใหหลงผิดไปจากทางและเปนไปเพื่อมรรค
ผลขั้นสูง
แทจริงแลวการเจริญเมตตาเจโตวิมุตติเต็มรูปแบบ สามารถพัฒนา
ทั้งดานสมาธิและปญญาไปพรอมกัน คือพัฒนากําลังสมาธิถึงขั้นสมาบัติ ๙๑๒
๑๐
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๗/๔๗๓., ไดแก พระอริยเจา ขั้นโสดาปตติผลเปนตนไป
๑๑
องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๘๗/๓๑๓-๓๑๔.
๑๒
อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๘๐๘/๕๑๙.
๘๘๓
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๑๓
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒/๔๖๐., ขุ.อิต.ิ (ไทย) ๒๕/๒๗/๓๗๒.
๘๘๔
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
เมื่อขาพเจาไดเขาสูการเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ สิ่งที่ยิ่งทําใหมั่นใจ
วาเปนแนวทางที่ตรงและเขาสูมรรคผลขั้นสูงได คือสภาพธรรมที่ปรากฏของ
การใชเมตตาฌาน กลาวคือ สภาวะของสมาธิที่ดิ่งเจาะลึกไปยังภาวะจิตใต
สํานึก เห็นการขุดของอนุสัยกิเลสจํานวนมหาศาล สงจิตกระจายไปรอบทุก
ทิ ศ ทุ ก ทาง (๑๐ ทิ ศ ) เป น อานุ ภ าพของสมาธิ ที่ ห าประมาณมิ ไ ด มี
ประสิทธิภาพสูงมาก และเมื่อถึงอุเบกขาฌานแลว ทรงสภาวะความวาง จับ
ที่จิตตัวรูเห็นอาการเกิดดับแบบถี่ยิบ สงจิตทะลุผานความวาง ผานกําแพง
อากาศขึ้นสูอรูปสมาธิไปตามลําดับจนถึงสมาบัติ ๘ ดวยกําลังสมาธิที่ฝกมาดี
แลว สามารถสงจิตดิ่งลึกไปตัดละอนุสัยกิเลสไดรอบทิศ ในทุกอิริยาบถ ทุกที่
ทุกเวลา ยังสงผลใหเกิดอภิญญาจิตขึ้นมาเอง ตามเหตุปจจัย จิตไมหลง เปน
สักวาสภาวะ เพราะสุดทายตองละทั้งหมด ละฌาน ละญาณ ละสมาบัติ จน
ละนิพพานเปนที่สุด (อานเพิ่มเติมไดในบันทึกประสบการณการปฏิบัติ)
๒. วิธีการเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๒.๑ ความหมาย
เมตตา แปลวา มิตร ภาวะรวมประโยชน ความปรารถนาดีดอผูอื่น
อยางจริงใจเจโตวิมุตติ๑๔ แปลวา ความหลุดพนแหงจิต หลุดจากอํานาจของ
กิเลสดวยการฝกสมาธิเมตตาเจโตวิมุตติ แปลวา ภาวะหลุดพนแหงจิตอาศัย
เมตตาฌานเปนบาทฐานใหวิปสสนา แบงเปน ๓ ขั้น ไดแก
๑. เมตตาเที ย ม คื อ แผ ค วามปรารถนาดี ใ ห ผู อื่ น มี ค วามสุ ข
ปราศจากทุกข๑๕ ซึ่งเปนภาวะปรุงแตงจิตดวยการสงเมตตาใหกับบุคคลอัน
เป น ที่รั ก โดยยึด ว าเป น บิ ดา มารดา ญาติพี่น อง เพื่อน ผูกไวด ว ยอํานาจ
๑๔
ที.ปา. (ไทย) ๑๐/๑๑๐/๘๒., เจโตวิมุตติ หมายถึง หลุดพนดวยกําลังของการ
ฝก เชน สมาบัติ ๘ เปนเจโตวิมุตติอันละเอียดประณีต (ที.สี.อ. ๓๗๓/๒๘๑)
๑๕
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), พรหมวิหาร, แปลโดย พระคันธะสาราภิ
วงศ, (กรุงเทพมหานคร: หจก.ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๕),หนา ๔.
๘๘๕
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๑๖
สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๒๕/๓๑๔., เมตตาฌาน หรือ เมตตาเจโตวิมุตติในที่นี้
หมายถึงเมตตาที่เกิดจากตติยฌานและจตุตถฌาน เพราะพนจากปจจนีกธรรม (ธรรมที่
เปนขาศึก) กลาวคือนิวรณ ๕ ประการ ไดแก กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุก
กุจจะ และวิจิกิจฉา (ที.ปา.อ. ๓๒๖/๒๓๔, องฺ.เอกก.อ. ๑/๗/๔๒), องฺ.ฉกฺก.อ. ๓/๑๓/
๑๐๔)
๘๘๖
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
ภาพแสดงขั้นตอนการแผเมตตาเจโตวิมุตติ (เต็มรูปแบบ)
- บริกรรมนิมิต - อุคคหนิมิต - ปฏิภาคนิมิต
- ปยมนาปสัตวบัญญัติ - เริ่มทําลายสีมสัมเภท - อัปปนาสมาธิ
ผล คําแผเมตตาอินทรีย
พระนิพพาน “ขอ(บุคคล) (ทิศ)
นิโรธสมาบัติ จงเปนผูไมมีเวร
ผลสมาบัติ มีความปลอดโปรง
ฌานสมาบัติ มีสุขเถิด”
๘๘๗
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๒.๒ วิธีการเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ(เต็มรูปแบบ)
การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติที่มีขั้นของการพัฒนาจิตเต็มรูปแบบ
นั้น จะเจริญครอบคลุมทั้งเมตตา กรุณา มุฑิตา และอุเบกขา มีอารมณ
จิต ที่มีกําลังสมาธิ สามารถไปถึงขั้น สมาบั ติ ๘ และเกิดป ญญารู แจ งไป
ตามลําดับแหงญาณ ๑๖ ได ดวยการปฏิบัติไปตามขั้นตอนของการเจริญ
เมตตาทั้ง ๓ รูปแบบ ไดแก เมตตาภาวนา เมตตาเจโตวิมุตติ และเมตตา
อินทรียมีรายละเอียดดังนี้
๑) การแผเมตตาภาวนา
การแผเมตตาภาวนา คือ ภาวะที่สงความปรารถนาดีอยางจริงใจ
ใหแกมิตรโดยไมหวังผลตอบแทน เมตตาจึงเปนคุณธรรมที่ปรุงจิตใหมี
ความรักตอผูอื่น และเปนบาทฐานตอจิตที่เปนกรุณา มุฑิตา และอุเบกขา
การแผเมตตาภาวนาแบงเปน๒ คือ เมตตาเทียม และ เมตตาแท มีดังนี้
๑) เมตตาเทียม คือ ภาวะปรุงเมตตาจิตสงใหบุคคลอันเปนที่รัก
เรียกวา ปยมนาปสัตวบัญญัติ ตองมีคําบริกรรมประกอบเสมอ โดยนึกคํา
บริกรรมดวยใจ เรียกวา บริกรรมภาวนา แผไปตามลําดับบุคคลดังนี้
คําบริกรรมเมตตาภาวนา
“ขอให มีความสุขขอให ปราศจากกข”
เชน ขอให ขาพเจา มีความสุข ขอให ขาพเจา ปราศจากทุกข
๑. แผใหตัวเอง (ขาพเจา)
๒. ผูมีพระคุณที่มีชีวิตอยู(ใหระบุชื่อ พรอมระลึกใบหนาทีละคน
จนเห็นใบหนาชัดและยิ้มจึงเปลี่ยนคน ไมควรเกิน ๑๐ ทาน)
๓. เทวดารักษาตน (สงจิตไปเหนือศรีษะ ๑-๒ เมตรแลวระลึก)
๔. พระภิกษุสงฆ และโยคี ที่ศูนยปฏิบัติธรรม
๕. ญาติทั้งหลาย (ระลึกถึงแบบเปนกลุมของญาติ สถานที่)
๖. คนรูจักทั้งหลาย (ระลึกกลุมเพื่อนสมัยเรียน กลุมเพื่อน
ทํางาน กลุมเพื่อนที่วัด เปนตน)
๘๘๘
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๑๗
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒/๔๖๒.
๘๘๙
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๕. พรหมทั้งหลาย (สงจิตขึ้นเหนือศรีษะไปใหสูงที่สุด)
๖. เทวดาทั้งหลาย (สงจิตแผไลลงจากสวรรค ๖ ชั้นตามลําดับ)
๗. มนุษยทั้งหลาย (สงจิตแผกวางขวางไปทั่วทุกมุมโลก)
๘. สัตวเดรัจฉานทั้งหลาย (สงจิตแผไปทุกประเภทสัตว เชน
สัตวบก สัตวน้ํา สัตวในอากาศ หรือสัตวอาศัยตามธาตุ ๔)
๙. เปรตทั้งหลาย (สงจิตไปตามกลุมเปรตที่เราเห็นหรือรูสึก
เชน ตามปาชา หรือ ที่อยูของภพภูมิเปรต)
๑๐.อสุรกายทั้งหลาย (สงจิตไปตามที่เราเห็นหรือรูสึก เชน
ที่ที่มีคนตาย ริมทางเปลี่ยว เปนตน)
๑๑.สัตวนรกทั้งหลาย (จิตดิ่งลงไปในนรกภูมิ ถารูสึกวารอน
นากลัว ตองกําหนดใหดับกอน จึงถอยจิตกลับ)
ซึ่งการแผเมตตาภาวนาโดยสงจิตไปตามกลุมตางๆ เปนการสง
จิตระลึกไปตามความรูสึก หรือสัญญาจําที่เราเคยรูมา เปนสักวาจิตปรุงแตง
ขึ้นมาเทานั้นหาใชสัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา พยายามตั้งสติรักษาจิตใหตั้ง
มั่นเฉพาะสิ่งที่แผใหเทานั้น โดยสงความปรารถนาดีใหบุคคลเหลานั้นมีสุข
ปราศจากความทุกขรักษาอุเบกขาและไมหวั่นไหวตามสิ่งที่จิตปรุงแตงขึ้นมา
พระวิปสสนาจารยนิยมใหเจริญเมตตาภาวาในบัลลังกเชา โดย
แผ เมตตาตั้ งแต แผ ให ตนเอง จนถึงชนทั้งหลายเทานั้ น เพื่อใหจิ ตมีกําลั ง
สมาธิเพื่อเปนบาทฐานใหแกการเจริญวิปสสนา แตระหวางวันจะมุงเนนที่
วิปสสนาเปนสําคัญ จนกวาโยคีบุคคลจะมีญาณปญญาแกรอบเขาสูการตัด
ละสังโยชนเบื้องต่ํา ๓มีสัมมาทิฏฐิสมบูรณแลว เปนผูปดประตูอบายภูมิได
แนนอนแลวจึงจะเพิ่มการแผขึ้นชั้นพรหม จนถึงสัตวนรก และเขาสูการเจริญ
เมตตาเจโตวิมุตติตอไปได
๒) การแผเมตตาเจโตวิมตุ ติ
การแผเมตตตาเจโตวิมุตติ คือ ภาวะหลุดพนแหงจิตโดยอาศัย
เมตตาสมาธิระดับอัปปนาภาวนา ทําลายขอบเขตสีมสัมเภท มีความรักเสมอ
๘๙๐
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
คําบริกรรมเมตตาเจโตวิมุตติ
“ขอ (บุคคล)(ทิศ) จงเปนผูไมมีเวร ไมเบียดเบียนกัน
ไมมีทุกข มีสุข รักษาตนเถิด”
เชน ขอสัตวทั้งปวง ในทิศบูรพา จงเปนผูไมมีเวร ไมเบียดเบียนกัน
ไมมีทุกขมีสุข รักษาตนเถิด
๑๘
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒/๔๖๑.
๘๙๑
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๗. อีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ)
๘. หรดี (ตะวันตกเฉียงใต)
๙. เบื้องบน
๑๐. เบื้องลาง
วิธี แ ผ การแผ เ มตตาเจโตวิ มุ ต ติ จะแผ ต อจากเมตตาภาวนา
กลาวคือ แผ ใหต นเอง จนถึง สัต วนรก มีคําบริกรรมว า “ขอให ขาพเจามี
ความสุข ขอใหขาพเจาปราศจากทุกข” เปนตน จนจิตเปนเมตตาแทแลว
จึงเขาสูการแผเมตตาเจโตวิมุตติ เริ่มจากสัตวทั้งปวง (บุคคล)
และเริ่มที่ทิศบูรพา(ทิศ) คําบริกรรมวา“ขอสัตวทั้งปวงในทิศบูรพา จงเปนผู
ไมมีเวร ไมเบียดเบียนกัน ไมมีทุกข มีสุข รักษาตนเถิด” ขณะแผจะสนใจ
เฉพาะสิ่งที่เราแผให คือสัตวทั้งปวง จะไมสนใจอาการแทรกใดๆทั้งสิ้น เมื่อ
สงไปจนสุด อาจมีอาการตัด หรือแผไปตอไมไดแลว จึงเปลี่ยนทิศถัดไป เปน
ทิศปจฉิม ยังคงแผใหบุคคลเดิมอยู แผไปจนสุด จนกระทั่งครบ ๑๐ ทิศ (ทิศ
เบื้องลาง) จากนั้นใหจะเปลี่ยนเปนบุคคลที่ ๒ คือ“สิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจทั้ง
ปวง” ในทิศบูรพา ทําเชนเดิมจนครบ ๑๐ทิศ แลวจึงเปลี่ยนบุคคลจนครบ ๕
บุคคล บุคคลละ ๑๐ ทิศ
พระวิปสสนาจารยจะเปนผูพิจารณาวาในบัลลังกหนึ่งๆ อาจจะ
ใหแผไปทิศเดียวจนสุด หรือ บางบัลลังกใหแผทั้ง ๑๐ ทิศ ขึ้นอยูกับสภาวะ
ของโยคีบุ คคล ดั ง นั้ น ต อ งมีการสอบอารมณเ ป น ประจํ า และเมื่อ มีกําลั ง
อิน ทรี ย พัฒ นาอย างต อเนื่ องจนถึงระดั บ หนึ่ งแล ว พร อมทั้งมีส ภาพธรรม
ปรากฏชัดเจนตามเกณฑที่พระวิปสสนาจารยไดเห็นควร ไดแก สภาวะของ
ฌานสมาบัติ ความเปนวสี และสภาวะของโสฬสญาณเปนตน จึงจะใหโยคี
บุคคลแผเมตตาอินทรียตอไป
๓) การแผเมตตาอินทรีย
การแผ เ มตตตาอิ น ทรี ย คือ ภาวะของเมตตาฌานที่ส ง ความ
ปรารถนาดี แ ก ส รรพสั ต ว ไ ม มี ที่ สุ ด ไม มี ป ระมาณ จนสมาธิ พั ฒ นาไป
๘๙๒
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
คําบริกรรมเมตตาอินทรีย
“ขอ (บุคคล)(ทิศ)จงเปนผูไมมีเวร มีความปลอดโปรง มีสุขเถิด”
เชนขอสัตวทั้งปวง ในทิศบูรพา จงเปนผูไมมีเวร มีความปลอดโปรง มีสุขเถิด
๑๙
สํ . นิ . (ไทย) ๑๖/๒๒๕/๓๑๔., อุ ภ โตภาควิ มุ ต คื อ ผู ห ลุ ด พ น ทั้ ง ๒ ส ว น
หมายถึงพระอรหันตผูบําเพ็ญสมถะมามากจนไดสมาบัติ ๘ แลวจึงใชสมถะนั้นเปนฐาน
บําเพ็ญวิปสสนาตอไป ชื่อวาหลุดพน ๒ สวน คือหลุดพนจากรูปกายดวยอรูปสมาบัติ
(วิกขัมภนะ) และหลุดพนจากนามกายดวยอริยมรรค (สมุจเฉทะ) (ที.ม.อ. ๑๓๐/๑๑๓).
๒๐
ที.ปา. (ไทย) ๑๐/๑๑๐/๘๒., ปญญาวิมุ ตติ หมายถึง ความหลุดพนดว ย
ปญญา กําจัดอวิชชาได ทําใหสําเร็จอรหัตตผล และทําใหเจโตวิมุตติ เปนวิมุตติที่ไม
กําเริบคือ ไมกลับกลายไดอีกตอไป (ที.สี.อ. ๓๗๓/๒๘๑).
๒๑
สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๕/๑๗๗.
๒๒
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๓/๔๖๔.
๘๙๓
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๒๓
สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๕/๑๗๗.
๘๙๔
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
อุเบกขาฌานแลว ทรงอยู ในความว าง เห็นจิ ตผู รูเ กิด ดับ ในความว างและ
เคลื่อนตอไปนั่นคือเขาสูอรูปสมาธิไปตามลําดับ
การพัฒนาญาณปญญาในเมตตาอินทรียนั้น จะตองสงเมตตาจิต
ที่ระลึกถึงธรรมที่ทําใหพนจากพยาบาทและกิเลสตางๆ เพื่อใหจิตหลุดพน
จากกิเลสที่กลุมรุมจิตทั้งปวงเปน “เจโตวิมุตติ” ดวยอาการ ๘ อยาง๒๔ดังนี้
๑.ดวยเวนความบีบคั้นไมบีบคั้นสัตวทั้งปวง
๒.ดวยเวนการฆาไมฆาสัตวทั้งปวง
๓.ดวยเวนการทําใหเดือดรอนไมทําสัตวทั้งปวงใหเดือดรอน
๔.ดวยเวนความย่ํายีไมย่ํายีสัตวทั้งปวง
๕.ดวยเวนการเบียดเบียนไมเบียดเบียนสัตวทั้งปวง
๖.ขอสัตวทั้งปวงจงเปนผูไมมีเวรอยาไดมีเวรกัน
๗.จงเปนผูมีสุขอยามีทุกข
๘.จงมีตนเปนสุขอยามีตนเปนทุกข
การระลึกถึงธรรม ๘ ประการนี้ ถาสามารถกระทําตลอดทั้งวัน
ทั้งคืน ระลึกดวยสติทุกขณะจิตที่กระทบกับภาวะของสัตวทั้งหลายแลว จิต
จะสํารวมระวังทั้งภายในและภายนอก ทําใหการปฏิบัติพัฒนาอยางรวดเร็ว
จนแจงดวยภาวะแหงเหตุปจจัย จิตจะวางเปนกลางสักวาสภาวธรรม
เมื่อโยคีบุคคลแผเมตตาอินทรียจนมีความชํานาญ และพัฒนา
ไปตามลําดับของสมาบัติ ๘ ซึ่งเปนไปตามเหตุปจจัยที่ไดทําใหมาก เจริญให
มากแลว พระวิปสสนาจารยจะพิจารณาใหเจริญเมตตาอินทรียขั้นสูง
๔) การแผเมตตาอินทรียขั้นสูง
เมื่อผูปฏิบัติพัฒนาอินทรียแกรอบสมบูรณเปนปกติดีแลว พระ
วิปสสนาจารยจะพิจารณาใหขึ้นสูการแผเมตตาอินทรียขั้นสูง ขั้นตอนดังนี้
๑. แผเมตตาใหตนเองจนถึงสัตวนรก (แบบเจโตวิมุตติ ๔ กลุม)
๒๔
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๓/๔๖๓.
๘๙๕
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๒. แผเมตตาเจโตวิมุตติไปยังทิศทั้ง ๑๐
๓. แผ เ มตตาอิน ทรี ย แบบละเอีย ดไปในทิศ เดี ย ว เริ่ ม จากทิ ศ
ตะวันออกมีบริกรรมแบบสมถะ แตอารมณจิตพิจารณาธรรมแบบวิปสสนา
กล า วคื อ ตามดู ค วามเกิ ด ดั บ ของรู ป นามไปขณะที่ แ ผ ส ง จิ ต ไปปกติ แต
พิจารณาธรรมดวย (บางครั้งพระวิปสสนาจารยจะใหแผเมตตาอินทรียไป
๑๐ ทิศ กอน แลวจึงแผเมตตาอินทรียแบบละเอียดในทิศเดียวตอ)
การแผเมตตาอินทรียขั้นสูงนี้ จิตของผูปฏิบัติจะละเอียดมากทั้ง
สมาธิฌานจะสามารถไปถึงสมาบัติ ๘ ไดอยางชํานาญ รวมทั้งเกิดปญญาใน
การพิจารณาธรรมไปตามลําดับของสภาวะญาณ ๑๖ จะแจมชัดมาก เห็น
ความสัมพันธของสมถะและวิปสสนาอยางชัดเจน แจมแจง คลายความสงสัย
ที่เกิดจากความไมรู (อวิชชา) ไดอยางมาก เขาใจสภาวะรูปนาม ทุกแงมุม
ทุกประสบการณ ทุกมิติของจิต รูไดทุกอิริยาบท สุดทายจะคลายอุปาทาน
เพราะเห็ น ว า ทุกๆขณะ เป น สั กว าการทํ างานของขัน ธ ๕ ดู ร ายละเอีย ด
เพิ่มเติมในหัวขอ “การเจริญเมตตาเพื่อเปนบาทฐานขึ้นสูมรรคผลเบื้องสูง”
๒.๓ สมาธิ ๙ ระดับดวยการเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
สมาธิ หรือ ฌาน แปลวา เพงจนจิตแนวแนจนถึงอัปปนาสมาธิ ใน
สมถะ ๔๐ กองนั้นกองที่จัดเปนอัปปนาสมาธิ มี ๓๐ กอง ไดแก กสิณ ๑๐
อานาปานสติ ๑ อสุภะ ๑๐ กายคตาสติ ๑ อัปปมัญญา ๔ และ อารุปป ๔
สมาธิ ๙ ระดั บ คื อ ลํ า ดั บ ของการเพ ง จิ ต จนเป น ฌาน โดยมี
รู ป ธรรมและอรู ป ธรรมเป น อารมณ หรื อ เรี ย กว า สมาบั ติ ๙ ๒๕ ได แ ก รู ป
สมาบัติ ๔อรูปสมาบัติ ๔และสัญญาเวทยิตนิโรธ อธิบายดังนี้
๑. ปฐมฌาน มีองค ๕ คือ วิตก(ตรึก) วิจาร(ตรอง) ปติ(อิ่มใจ) สุข
(สบายใจ) และเอกัคคตา(จิตมีอารมณเปนหนึ่ง)
๒๕
อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๘๐๘/๕๑๙., อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ หรือ สมาบัติ ๙
๘๙๖
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๒๖
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวล
ศัพท,พิมพครั้งที่ ๒๑, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพผลิธัมม, ๒๕๕๖), หนา ๓๔๔,๕๑๓.
๒๗
อภิ.ปฺจ.อ. ๗๓๕/๒๘๒.
๒๘
สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๕/๑๗๘.
๒๙
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๒/๑๐๑.
๘๙๗
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๓๐
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เลม ๑ สมถกร
รมฐานทีปนี, หนา ๑๘๙., บริกรรมนิมิต คือ เริ่มแผเมตตาตนเองถึงเวรีบุคคล อุคคห
นิมิต คือ เมตตาจิตเกิดทั่วไปยังไมเขาถึงสีมสัมเภท ปฏิภาคนิมิติ คือ สําเร็จสีมสัมเภท
แลว, โดยปริยาย เพราะเปนกรรมฐานที่ใชใจ ไมไดอาศัยการเห็นหรือกระทบ
๓๑
องฺ.นวก.อ. ๓/๓๒-๓๓/๓๐๗
๓๒
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๘๕/๑๔๓.
๘๙๘
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๓๓
ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๓/๑๖.
๓๔
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๒๓/๓๕๕.
๘๙๙
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๑.กามสัญญาของผูเขาปฐมฌานดับไป
๒.วิตก วิจารของผูเขาทุติยฌานดับไป
๓.ปติของผูเขาตติยฌานดับไป
๔.ลมหายใจเขาลมหายใจออก(กาย) ของผูเขาจตุตถฌานดับไป
๕.รูปสัญญาของผูเขาอากาสานัญจายตนฌานดับไป
๖.อากาสานัญจายตนสัญญาของผูเขาวิญญาณัญจายตนฌานดับไป
๗.วิญญาณัญจายตนสัญญาของผูเขาอากิญจัญญายตนฌานดับไป
๘.อากิญจัญญายตนสัญญาของผูเขาเนวสัญญานาสัญญายตนดับไป
๙.สัญญาและเวทนาของผูเขาสัญญาเวทยิตนิโรธดับไป
การเขาสมาบัติ ๙ ตองเขาจนเปน “วสี” แปลวา ความชํานาญใน
ฌาน ทําฌานไดตามปรารถนา ณ ทีใ่ ด เมื่อไรก็ได มี ๕ อยาง๓๖ ดังนี้
๑.ชํานาญในการนึกถึงฌาน เชน นึกถึงปฐมฌาน นึกเมื่อไร ที่ใดก็ได
(อาวัชชนวสี)
๒.ชํานาญในการที่เขาฌาน รวดเร็ว ฉับพลัน (สมาปชชนวสี)
๓.ชํานาญในการทรงฌาน หรือรักษาภวังคจิต (อธิฏฐานวสี)
๔.ชํานาญในการจะออกจากฌาน ตรงเวลาที่กําหนด (วุฏฐานวสี)
๕.ชํานาญในการพิจารณาองคฌานแตละองค (ปจจเวกขณวสี)
๒) การแผเมตตาเจโตวิมุตติเขาสูสมาธิ ๙ ระดับ
การแผ เ มตตาเจโตวิ มุ ต ติ จั ด เป น โลกุ ต ตรฌาน เพราะบุ ค คลที่
สามารถปฏิ บั ติ เ มตตาเจโตวิ มุต ติ นั้ น จะต องเป น ผู มีสั มมาทิฎ ฐิ ที่ส มบู ร ณ
๓๕
องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๓๑/๔๙๓., สัญญาเวทยิตนิโรธ หมายถึง สมาบัติที่ดับ
สัญญาและเวทนา มี ๒ อยาง คือ (๑) อสัญญาสมาบัติ มีแกปุถุชน (๒) นิโรธสมาบัติ
เฉพาะพระอนาคามีและพระอรหันตผูชํานาญในสมาบัติ ๘ แลวเทานั้นจึงจะเขาได
(อภิ.ปฺจ.อ. ๗๓๕/๒๘๒)
๓๖
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๘๕/๑๔๓.
๙๐๐
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๐๑
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๐๓
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๔. มีความทรงตัวของจิตเปนปกติ (อุเบกขา)
๕. ไมมีภาพ มีแตสภาวะรู กําหนดแค รูหนอ หรือ รูๆๆ
๖. สัณฐานกายไมชัด สภาวะลอยๆ ถาสงสัยฌานจะเคลื่อนหลุด
วิธีแผ : เมื่อแผ จนจิตละความสุข กายยังคงทรงนิ่ งอยู จิตทรง
อารมณเปนหนึ่งไมเคลื่อน เหมือนไมหายใจ หูดับ ไมรับสัมผัสภายนอก รูชัด
โล ง ๆ ว างๆ จิ ต เฉย อาจมีม านหมอกบางๆหากสงสั ย หรื อนึ กคิ ด ฌานจะ
เคลื่อนออกมาทันที ครั้งแรกๆ ใหพยายามทรงสภาวะฌาน ๔ ไวกอนสัก ๕-
๑๐ นาที ในสภาวะโลง โปรง สบาย
เมื่อฝกจนชํานาญ (วสี)จะทรงไดนานขึ้น แลวใหสังเกตในความโลง
วาง จะมีภาวะรูอยูภายใน ถายังไมเห็นใหลองบริกรรม รูๆๆ เปนจังหวะ และ
เพิ่มสังเกตอาการสุด รูแตล ะครั้งดว ย เปรี ยบเหมือนปากอนดิน (ตัว รู) ใส
กําแพง (ภาวะวาง) ซึ่งกอนดินที่ปาถูกกําแพงอากาศ ยอมแตกไปทุกๆครั้งที่
เราปาไปถึง ก็คือเห็นอาการเกิดดับของจิตรูแตละขณะๆ ทําเชนนี้ไปเรื่อยๆ
จนจิตเรียนรู เห็นอาการเกิดดับของจิตรูไดละเอียดและถี่ขึ้น ตอมาเห็นจิตรู
เกิดดับในสภาวะหมอกหนาแนนทึบ นั่นคือเขาสูอากาสานัญจายตนะ
๒.๕) อากาสานัญจายตน
องคฌาน:มี ๒ ไดแก เอกัคคตา และอุเบกขา
อาการ:มีแตอาการสมาธิตั้งมั่น จิตวางเฉย มีอารมณเปน“อากาส
บัญญัติ” คือ กําหนดรูอ ากาสไมมีที่สิ้นสุด อาการมีดังนี้
๑. เห็นจิตตัวรูเกิดดับในความวางไดอยางชัดเจน
๒. เห็นจิตตัวรูเกิดดับไดละเอียดขึ้น จิตรูอาจเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ
๓. มีความวาง อากาศจางๆ หมอกขาวๆ และหนาแนนทึบ
๔. เห็นจิตพยายามจะเคลื่อนทะลุผานความวาง หรือ สภาวะตางๆ
๕. เห็นจิตหาทางลัดเลาะ กระโดดขามสภาวะที่กั้นอยู
๖. บางครั้งอาจมีแสงสวางเจิดจา จนมองไมเห็นทางไป
๙๐๔
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๐๗
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
หลังจากที่ผานสภาวะนี้มา สังเกตเห็นวาการเห็นเวทนาเกิดดับสลับ
กับจิตรูจะทําไดเปนปกติ เชน เดินจงกรม นั่งภาวนา อาบน้ํา จะสามารถ
แนบจิตลงตามดูการเกิด-ดับในเวทนาไดอยางรวดเร็ว เปนวสี
๒.๙) สัญญาเวทยิตนิโรธ
เมื่อฝกจิตจนชํานาญตามที่กลาวมาแลว จิตเขาไปสูชั้นละเอียด การ
เขาสัญญาเวทยิตนิโรธ จะเกิดขึ้นเอง ไมสามารถจัดแจงสภาวะได เพียงแต
ตามรูเทานั้น หรือเรียกวา เขานิโรธสมาบัติ ซึ่งครั้งแรกๆ จะเขาไดสั้นๆ แต
สังเกตเห็นอาการดับที่ตางจากการดับปกติ คือจิตตชรูปดับดวย ตอมาจิตเขา
ไดอีก เริ่มเห็นเสนทาง เห็นรายละเอียดเพิ่มขึ้น จึงเริ่มเขาสูขั้นตอนดังนี้
๑. อธิษฐานจิต : ตั้งนโม ๓ จบ
“ขอใหภายในบัลลังกนี้เขาสูนิโรธสมาบัติดวยเทอญ”
๒. แผเมตตาตนเองถึงสัตวนรกดวยพรมหวิหาร ๔ (ตามกลุม)
๓. ขยายจิตออกเปนอัปปมัญญา แลวแผเมตตาเจโตวิมุตติ ๑๐ ทิศ
๔. แผเมตตาอินทรียทิศเดียวแบบละเอียด เขาสมาบัติ ๘ ตามลําดับ
ดวยองควสี ๕โดยอธิษฐานเขาปฐมฌาน ทรงอยูสักครูแลวออกมาพิจารณา
องคฌาน จากนั้นอธิษฐานเขาทุติยฌาน (ระงับวจีสังขาร) ทรงอยู พิจารณา
องคฌานเขาตติยฌาน ทรงอยู พิจารณา เขาจตุตตถฌาน (ระงับกายสังขาร)
... อากาสานั ญ จายตนะ ... วิ ญ ญานั ญ จายตนะ... อากิ ญ จั ญ ยายตนะ
(อธิ ษฐานบุพพกิจ )๓๗และเนวสั ญญานาสัญญายตนะ(ส ว นจิ ต ตสั งขาร จะ
ระงับในสัญญาเวทยิตนิโรธ)๓๘
๓๗
วิสุทธิ (ไทย) ๑๑๙๖-๑๑๙๙., ออกจากอากิญจัญยายตนะเพื่อทํา บุพพกิจ ๔
กอนเขานิโรธสมาบัติ ไดแก ๑.อธิษฐานบริขารพนอันตราย ๒.อธิษฐานทันการเขา
ประชุมสงฆ ๓.พระพุทธเจารับสั่งหาใหออกเถิด และ ๔.อธิษฐานตรวจดูชีวิตตั้งอยูได
เกิน ๗ วัน (ขอ ๑-๓ ไมอธิษฐานก็ได แตขอ ๔ ถาเขา ๗ วัน ในมนุสสภูมิพึงกระทํา)
๓๘
ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๔/๖๙.
๙๐๘
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๓๙
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๔วิถีสังคหะ,
พิมพครั้งที่ ๘, (กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิสัทธัมมโชติกะ, ๒๕๕๓), หนา ๑๑๔-๑๑๖.,
มัคควิถี ไดแก ภวังคจิต(ภ) ภวังคจลนะ(น) ภวังคุปจเฉทะ(ท) มโนทวาราวัชชนจิต(ม)
บริกรรม(ปริ) อุปจาร(อุ) อนุโลม(นุ) โวทาน(โว) มัคคจิต(มัค) ผลจิต(ผล) ภวังคจิต(ภ),
นิโรธสมาปตติวิถี ไดแก โคตรภู(โค) เนวสัญญานาสัญญายตนกุศลจิต-กิริยาจิต(เนว)
๙๐๙
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๑. พระอนาคามี : หลังจิตเขาถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะสมบูรณ
แลว สภาวะกอนเขานิโรธสมาบัติจะเห็นอาการดับๆๆๆ จนรูสึกไดถึงการตัด
ดับของจิตตชรูป เมื่อขึ้นจากภวังครับอารมณจะเหมือนตื่นนอนแลว จึงรับ
อารมณภายนอกได
๒. พระอรหันต : หลังจิตเขาถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะสมบูรณ
แลว กอนเขานิโรธสมาบัติสภาวะรูจะละเอียดกวาเดิมมาก เหมือนแนบอยูใน
หทัยวัตถุ จนเห็นอาการดับไปของจิตตชรูป เมื่อขึ้นจากภวังคจิตรับอารมณ
จะเห็นอาการไหวในหทัยวัตถุ ๓ ขณะ แลวอารมณจิตจะคอยหยาบขึ้นๆ ใช
เวลาสักพักจึงจะสามารถรับอารมณภายนอกได
เมื่อผูปฏิบัติมีความรูแจงในญาณจริยา ๑๖ และสมาธิจริยา ๙๔๐ รู
ภาวะแหงเหตุปจจัยของรูปนาม รวมทั้งมีการสะสมอินทรียมาอยางสมบูรณ
แลว พระวิปสสนาจารยจะใหดําเนินขึ้นสูปฏิปทาขั้นสูง ไดแก ปฏิปทาเพิก
ถอนความพอใจในสิ่งทั้งปวงไดแก ละคําอธิษฐาน ละสมาบัติ ละปญญาญาณ
รูแจงในเอกภว นานาภว สัพพภวและดําเนินปฏิปทาละนิพพาน๔๑
๔๐
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๘๔-๘๕/๑๔๓., ไดแก ญาณ ๑๖ และ ฌาน ๙ (วสี)
๔๑
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๘/๑๑.
๙๑๐
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
ตารางสรุปรายละเอียดการแผเมตตาเจโตวิมุตติแยกสมาธิ ๙ ระดับ
ฌาน องคฌาน ละ อาการ
๑. ปฐมฌาน วิตก วิจาร นิวรณ มีคําบริกรรม (วิตก-วิจาร) นึกถึง
ปติ สุข (กามสัญญา) สิ่งที่แผ กายเบา ชุมชื่น สุขใจ ตั้ง
เอกัคคตา มั่น ไมรําคาญเสียง
๒. ทุติยฌาน ปติ สุข วิตก ไมมีบริกรรม ไมมีความคิด ไม
เอกัคคตา วิจาร วิจาร เอิบอิ่ม สุขใจ สงบสงัด เสียง
(ละวจีสังขาร) เบาลง
๓. ตติยฌาน สุข ปติ สุข จิตตั้งมั่น กายตั้งตรง ล็อค ลม
เอกัคคตา หายใจเบา ไดยินเบา อาจมี
ทุกขเวทนาแทรก
๔. จตุตถฌาน เอกัคคตา สุข ทรงอารมณเปนหนึ่ง เฉยไมรับ
อุเบกขา (ละกาย สัมผัส เหมือนตัวหาย ลมหายใจ
สังขาร) ระงับ หูดับ จิตสวาง
๙๑๑
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๓. วิธียกอารมณฌานขึ้นสูวิปสสนา
เมื่อเจริ ญเมตตาภาวนาจนบรรลุฌานแลว ก็ส ามารถใช ฌานเป น
บาทฐานในการเจริ ญ วิ ป ส สนาต อ ไปจนเขา ถึงป ญ ญาญาณขั้น ต างๆ โดย
ลําดับ การยกฌานขึ้นสูวิปสสนา แบงเปน ๒ แบบ ไดแก
๑.เมตตาฌานเปนบาทฐานใหวิปสสนา (วิปสสนาอันมีสมถะนํา)๔๒
คือ แผเมตตาจนจิตเขาถึงเมตตาฌานกอน จนจิตทรงสมาธิอยู โดยสภาวะที่
ชัดจะอยูที่จตุตถฌาน เปนตน หรือเขาสูอรูปสมาธิแลวจิตจะถอยออกจาก
ฌาน แลวพิจารณาองคฌานที่ถอยออกมาตามลําดับ จนเขาสูการพิจารณา
เห็นความเกิดดับของรูปนามเปนวิปสสนา ซึ่งจิตจะมีกําลังของสมาธิที่ตั้งมั่น
เปนบาทฐานใหการตัดละสังโยชน ละอนุสัยกิเลสที่ผุดขึ้นจํานวนมาก เห็น
ความเกิดดับของรูปนามไมขาดสาย และตัดกิเลสไดแบบถอนรากถอนโคน
วิธีการปฏิบัติ เริ่มจากแผใหตนเองจนถึงสัตวนรก โดยจิตที่แผแยก
ตามกลุ มทั้ง เมตตา กรุ ณา มุฑิต า และอุเ บกขาดั งที่ กล าวมาแล ว เมื่อแผ
ออกไปจนจิตละคําบริกรรม ละองคฌานไปจนจิตเปนอุเบกขาฌาน มีความ
ตั้งมั่น ทรงนิ่งอยู (จตตุถฌาน) ตอมาเห็นความเกิดดับของจิตรูในความวาง
คือเขาสูอรูปสมาธิ โดยจิตจะหนวงความวางเปนอารมณ (อากาสบัญญัติ)
ตอมาจิตเพิกความวางออก เห็นแตจิตรูเกิดดับนับไมถวน จนเขาสูความไมมี
อะไร ไมมีประมาณ (นัตถิบัญญัต)ิ ตอมาจิตเพิกความไมมีอะไรออก กลับมารู
ที่ภาวะรูสลับไมรู เขาออกจนชํานาญ (เนวสัญญานาสัญญายตนะ) ทรงอยู
ตามเห็นความเกิดดับของจิตรู จนเริ่มจิตถอยจากฌาณใหตามพิจารณาองค
ฌานที่เปลี่ยนแปลง จนจิตทรงอารมณปกติ แลวพิจารณารูปนามเกิดดับเปน
วิปสสนาตอไป นี้คือวิปสสนาอันมีสมถะที่เปนเมตตาฌานเปนบาทฐาน
๔๒
องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๑๗๐/๒๓๘.
๙๑๒
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๒. การเจริญสมถะและวิปสสนาควบคูกันไป(ยุคนัทธนัย)
ดวยการแผเมตตาโดยบริกรรม เชน "ขอใหสัตวทั้งปวง จงเปนผูไมมี
เวร ไม ทุ ก ข มี สุ ข รั ก ษาตนอยู เ ถิ ด " สลั บ กั บ การใช ส ติ พิ จ ารณาจิ ต ที่
ประกอบด วยเมตตา ภาวนาบริ กรรม อย างมีส ติ เห็ น จิต ที่รั บรู และจิ ต ที่
ภาวนา ตลอดจนอิริยาบถตางๆ และเสียงที่เปลงออกมาจะดับไปทันที นี้คือ
การบรรลุวิปสสนาปญญาที่รูเห็นอนิจจลักษณะไดอยางแทจริง
วิธีนี้ไมตางกับวิธีปฏิบัติของผูเจริญวิปสสนาโดยกําหนดรูการเห็น
การไดยิน การถูกตองสัมผัส หรือการคิดนึก ที่ปรากฏอยูในปจจุบันขณะ ผู
เขาเมตตาฌาน เมื่อออกจากฌานแลวจะตองกําหนดรูฌานจิตที่เพิ่งดับไป
เชนกัน ที่ตางกันก็มีเพียงผูที่ไดฌานจะกําหนดรูฌานจิต สวนผูที่ไมไดฌานก็
กําหนดรูจิตที่รับรูสภาวะเห็น ไดยิน เปนตน ผู ป ฏิ บั ติ ที่ ไ ม ไ ด ฌ าน พึ ง เจริ ญ
ยุคนัทธวิปสสนาดวยการแผเมตตาบริกรรม สลับกับการใชสติพิจารณาจิตที่
ประกอบดวยเมตตา๔๓
๔. ความแตกตางฌานสมาบัติ ผลสมาบัติ และนิโรธสมาบัติ
การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติในขั้นสูงนั้นจะมีสภาวะของการดับรูป
ดับนามเกิดขึ้นถี่และหลากหลายแบบ จนผูปฏิบัติเริ่มสังเกตและแยกแยะได
มีการดับเทียม ไดแก ถีนมิทธะ ปติ ปสสัทธิ และอุเบกขา สวนการดับดวย
สมาธิ เรีย ก ฌานสมาบัติ สําหรั บการดับ แท ได แก ผลสมาบัติ และนิ โรธ
สมาบัติถามีอินทรียแกกลา ใสใจสังเกต จะแยกความแตกตางได
สมาบัติ หมายถึง การเขาอยูในสมาธิ๔๔ หรือภาวะสงบประณีตซึ่ง
พึงเขาถึง แบงเปน ๓ ประเภท ไดแก
๔๓
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), พรหมวิหาร, แปลโดย พระคันธะสาราภิวงศ
, (กรุงเทพมหานคร: หจก.ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๕),หนา ๗๘.
๔๔
วิ.มหา. (ไทย) ๒/๑๕/๒๐๔.
๙๑๓
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๔.๑ ฌานสมาบัติ
ฌานสมาบัติ คือ การเขาอยูในฌาน มีบัญญัติเปนอารมณ ตองเปนผู
เจริญสมถะ ๓๐ กอง (จาก ๔๐) ไดแกกสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อานาปานสติ ๑
กายคตาสติ ๑ อัปปมัญญา ๔ และ อารุปป ๔ และไดฌานตั้งแตปฐมฌานขึ้น
ไป จนถึงจตุตถฌาน และชํานาญจนสามารถยกขึ้นสูอรูปสมาธิได
ผูไดฌานเมื่อจะเขาสมาบัตินั้น โดยนึกถึงความทุกขยากลําบากที่
จะตองรับรูอารมณเล็กๆนอยๆ(ปริตรตารมณ) เทียบไมไดเลยกับอารมณใน
ฌาน (มหัคคตารมณ) จึงนําเอาพระกัมมัฏฐานอยางใดอยางหนึ่งอันถูกกับ
อัธยาศัยของตนขึ้นมาบริกรรม จนเกิดอุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต เปนอุปจาร
สมาธิจนถึงอัปปนาสมาธิ ขมนิวรณ ๕ เสียได เปนไปตามฌานชวนวิถี คือ
บริกรรมแลวขึ้นสูอนุโลม (นุ) จากอนุโลมขึ้นสูโคตรภูฌาน (โค) ขามโคตร
กาม ถึงฌาน (ฌ) แลวแนวแนอยูในพระกัมมัฏฐาน๔๕
ติกขบุคคล๔๖
ภ ภ น ท ม อุ นุ โค ฌ ฌาณจิตเกิดดับเรื่อยไป ฌ ภ ภ ภ ภ
มันทบุคคล
ภ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌาณจิตเกิดดับเรื่อยไป ฌ ภ ภ ภ ภ
๔.๒ ผลสมาบัติ
ผลสมาบัติ คือ การเขาอยูในผลจิตที่ตนถึงแลว การที่จิตประกอบไป
ดวยองคฌาน มีพระนิพพานเปนอารมณผลสมาบัตินี้ ปุถุชนทั่วไปเขาไมได
๔๕
พระราชปริยัตยากร (บุญเรือง สารโท), สมาบัติ , [ออนไลน]. แหลงที่มา :
https://www.watpitch.com/dhamma-for-performing/2332/ วัดพิชโสภาราม : [๕ ก.ค.
๒๕๖๒].
๔๖
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๔วิถีสังคหะ,
หนา ๑๑๐., ภวังคจิต(ภ) ภวังคจลนะ(น) ภวังคุปจเฉทะ(ท) มโนทวาราวัชชนจิต(ม)
บริกรรม(ปริ) อุปจาร(อุ) อนุโลม(นุ) โคตรภู(โค) ฌาน(ฌ) ภวังคจิต(ภ)
๙๑๔
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๔๗
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๔วิถีสังคหะ,
หนา ๑๑๔.,คํายอ ไดแกภวังคจิต(ภ) ภวังคจลนะ(น) ภวังคุปจเฉทะ(ท) มโนทวาราวัชชน
จิต(ม) บริกรรม(ปริ) อุปจาร(อุ) อนุโลม(นุ) โวทาน(โว)-ใชสําหรับสกทาคามิมรรคขึ้น
ไปมัคคจิต(มัค) ผลจิต(ผล)ภวังคจิต(ภ)
๙๑๕
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
มันทบุคคล
ภ ภ น ท ม นุ นุ นุ นุ ผล ผลจิตเกิดดับเรื่อยไป ผล ภ ภ ภ ภ
๔.๓ นิโรธสมาบัติ
นิโรธสมาบัติ คือ การเขาอยู ในการดับของจิต เจตสิก และจิตตช
รูป (รูปที่เกิดจากจิต) หรือการดับวจีสังขาร กายสังขาร จิตตสังขาร๔๘ เปน
สภาพที่ปราศจากรูปนามโดยแท เปนการเขาสูพระนิพพานในปจจุบัน ตาง
จากผลสมาบัติ คือผลสมาบัตินั้นเปนเพียงจิต คือผลจิต มีพระนิพพานเปน
อารมณเทานั้น
การเขานิโรธสมาบัติเหมือนฝกอนุปาทิเสสนิพพาน เขาสูความดับ
สนิ ทแห งนามขัน ธ โดยปราศจากอันตรายใดๆ เป น มหาสมาบั ติ อัน เยี่ ย ม
ดังนั้นจึงนิยมเขานิโรธสมาบัติดวยศรัทธาและฉันทะในอมตะธรรมนั้น และ
เขาไดครั้งละไมเกิน ๗ วัน ผูที่จะเขานิโรธสมาบัติ มีคุณลักษณะดังนี้
๑) ตองเปนพระอนาคามี หรือพระอรหันต
๒) ตองไดฌานสมาบัติทั้ง ๘
๓) ตองมีวสี ชํานาญคลองแคลวในสัมปทา ๔ ถึงพรอมดวย
ก. ชํานาญสมาธิและปญญา คือ สมถพละและวิปสสนาพละ
ข. ชํานาญในการระงับสังขาร ๓ ไดแก
- กายสังขาร คือลมหายใจเขาออก กองธาตุทั้งหลาย
- วจีสังขาร คือ วิตก วิจาร ที่ปรุงแตงวาจา
- จิตตสังขารคือสัญญาและเวทนาที่ทําใหเจตนาปรุงจิต
ค. ชํานาญในโสฬสญาณ คือ ญาณ ๑๖
ง. ชํานาญในฌานสมาบัติ ๘
๔๘
สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๘/๓๘๑.
๙๑๖
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๔๙
ดูใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๘๓/๑๔๑.
๕๐
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๔วิถีสังคหะ,
หนา ๑๑๖., คํายอ ไดแก โคตรภู(โค) เนวสัญญานาสัญญายตนกุศลจิต-กิริยาจิต(เนว)
ผลจิต(ผล)
๙๑๗
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๕. การเจริญเมตตาเพื่อเปนบาทฐานขึ้นสูมรรคผลเบื้องสูง
การแผเมตตาเจโตวิมุตติจัดเปนโลกุตตรฌานที่เปนบาทฐานใหเจริญ
วิปสสนาเพื่อตัดละกิเลสขั้นสูงขึ้นไปได บุคคลที่เจริญเมตตาเจโตวิมุตตินั้น
ต อ งเป น ผู มี สั ม มาทิ ฎ ฐิ ส มบู ร ณ รั ก ษาสภาวะอิ น ทรี ย ๕ กํ า หนดจดจ อ
ต อเนื่ อ ง จนเกิด สภาพธรรมของมรรคผลขั้น สู ง กว าเดิ ม และทดสอบจน
สภาวะชั ดเจนแล ว พระวิ ปสสนาจารย จะใหอธิ ษฐานธรรม หรืออธิษฐาน
นิ โ รธสมาบั ติ จึ ง ต อ งมี ก ารสอบอารมณ เ ป น ประจํ า และต อ งอาศั ย พระ
วิปสสนาจารยที่มีประสบการณสูง มีความเขาใจแตกฉานในปริยัติ ปฏิบัติ
และมีประสบการณการสอบอารมณในสภาวะธรรมตางๆ ซึ่งการอธิษฐาน
ธรรมจะมีหลายขั้นตอนตามลําดับของพระอริยเจาแตละบุคคล
ดังนั้นผูปฏิบัติจําเปนตองรูถึงลําดับของการละเกิส หรือละสังโยชน
ของพระอริยเจาแตละขั้น เปรียบเสมือนมีแผนที่ในการเดินทางไปสูจุดหมาย
ซึ่งการดําเนินไปสูวิมุตติประกอบดวยองค ๕ ไดแก การแสดง สดับ สาธยาย
ใครครวญธรรม และอบรมจิต๕๒ โดยเฉพาะการฟงเปนพื้นฐานนําไปสูการ
ใครครวญธรรมและอบรมจิตไดถูกทาง สรุปลําดับและวิธีการปฏิบัติดังนี้
๕๑
วิสุทฺธิ (ไทย) ๓๗๔/๖๕๙.,เชน พระสารีบุตร ทานสัญชีวะ นางอุตตรา
๕๒
องฺ.ปฺจก. (ไทย) ๒๒/๒๖/๓๓.
๙๑๘
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๕๓
องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๑๐/๑๘.
๙๒๐
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๕๔
องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๒๑.
๙๒๑
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
กรรมจึงชื่อวาเปนไรนา (กุศลและอกุศล)วิญญาณจึงชื่อวาเปนพืช
(อภิสังขาร)ตัณหาจึงชื่อวาเปนยางเหนียว (เชื้อ)ดังนั้นวิญญาณตั้งอยูเพราะ
กามธาตุ (อารมณ ๖) ที่มีอวิชชากั้น ตัณหาผูก การเกิดในภพใหมจึงมี๕๕
การปฏิ บัติ :ขั้น นี้ ต องใช กําลั งสมาธิ จ ากแผ เ มตตาเจโตวิ มุ ต ติ เ ต็ ม
รูปแบบ (ถึงสมาบัติ ๘) เปนบาทฐานในการเจริญวิปสสนา เพื่อตัดละอนุสัย
กิเลสทุกขณะจิตเพราะสมาธิจากการแผเมตตาฯ จะชําระจิตใหสะอาด ขาว
รอบ สามารถพิจารณาธรรมไดแจมแจง รูชัดถึงสภาพธรรมที่หยาบ ประณีต
ธรรมเครื่องสลัดออก สัญญาอันยิ่งกวาทําใหจิตหลุดพนจากกามาสวะ ภวา
สวะ อวิชชาสวะ๕๖ โดยสวนของการพิจารณาธรรม สามารถสรุปไดดังนี้
๑. รูแจงอริยสัจ ๔ (รู-ละ-ดับ-ออก) ไดแก ขันธ ๕ เปนตัวทุกขมีไว
กําหนดรู (ทุกขสัจ) สวนตัณหาหรือกิเลสตองกําหนดละ เนนที่การเฝาดูจิตรู-
ธาตุรู (สมุทยสัจ) จนแจงอาการดับลงของธาตุรูในทุกขณะ (นิโรธสัจ) การ
เจริญภาวนาเห็นอาการเกิดดับของรูปนามทุกขณะ (มัคคสัจ)
๕๕
องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๗๗/๓๐๐.
๕๖
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๗๗-๗๘/๖๗.
๙๒๒
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๕๗
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๓/๑๖., เอกภว คือ สักกายะเปนอันเดียวกัน นานาภว คือ
เปนสักกายะตางกัน และสัพพภว คือ สักกายะทั้งปวง.
๙๒๓
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
พระวิปสสนาจารยจะพิจารณใหเขาสูปฏิปทาเพิกถอนความพอใจใน
สิ่งทั้งปวงและปฏิปทาละนิพพาน โดยพิจารณารูยิ่งนิพพานโดยความเปน
นิพพานไมกําหนดหมายในและนอกนิพพานไมกําหนดหมายนิพพานวาเปน
ของเราสุดทายคือ “การไมยินดีนิพพาน”๕๘
ภาวะอยูปจจุบันของพระอรหันต เรียกวา อนุปาทาปรินิพพานคือ
ปรินิพพานที่หาปจจัยปรุงแตงมิได เปนความพนพิเศษแหงจิตเพราะไมถือมั่น
เพราะกรรมไมมีแลว ยอมละเบญจขันธ ยอมไดอุเบกขา ไมติดใจในภพ เห็น
ทางที่สงบดวยปญญาอันชอบ ละมานานุสัย ละภวราคานุสัย ละอวิชชานุสัย
ทําใหแจงเจโตวิมุตติ ปญญาวิมุตติอันไมมีอาสวะเขาถึงอยูในปจจุบัน๕๙
๖. การรักษาสมดุลอินทรีย ๕ เพื่อพัฒนาญาณใหกาวหนา
การรั กษาสมดุล ของอินทรีย ๕ ถือเปนหั วใจสําคัญของการเจริ ญ
เมตตาเจโตวิมุตติเพื่อเปนบาทฐานในการเจริญวิปสสนา ซึ่งจะสงผลโดยตรง
ตอความกาวหนาทั้งส วนของสมาธิ (ฌาน) และป ญญา (ญาณ)การรักษา
สมดุลอินทรีย ๕ โดยศรัทธาคูกับปญญา วิริยะคูกับสมาธิ มีสติเปนประธาน
กํ า หนดรู ทุ ก ขณะ เทคนิ ค ที่ ข า พเจ า ปฏิ บั ติ แ ล ว ทํ า ให พั ฒ นา ได แ ก มี ส ติ
กํา หนดรู ต ามที่ เ ขาเป น ไม บั งคั บ สภาวะ ตามรู จิ ต (เจโตวิ มุ ต ติ ) ไม แ ก ไ ข
สภาวะ รูแลวละ ซื่อตอธรรมเปนตน สรุปตามหัวขออินทรีย ๕ ไดดังนี้
๑. ศรัทธา
- สํารวมศีล ๘ เปนปกติ และสํารวมอยางยิ่งในอินทรีย (อายตนะ ๖)
- ใสใจตอการกราบสติปฏฐาน (ระลึกคุณของพระรัตนตรัย)
- มั่นใจในการเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ เขาสูพระนิพพานไดจริง
- มั่นใจในการสอนของครูบาอาจารย และนําทุกคําแนะนํามาปฏิบัติ
- ใสใจกับกฎระเบียบของสวนรวม เชน ปดวาจา สํารวม (ศีล-วินัย)
๕๘
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๘/๑๑.
๕๙
องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๕๕/๙๙.,ม.มู.อ.๒/๒๕๘/๖๓-๖๔.
๙๒๔
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๒๕
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๗. ประสบการณการฏิบัติธรรมของแมชีนวพร ทองศรีเพชร
๗.๑ ประสบการณเจริญวิปสสนายานิก
ขาพเจามีประสบการณปฏิบัติวิปสสนาไมมากนัก กลาวคือ ปฏิบัติ
หลักสูตร ๗ วัน ณ ยุวพุทธิกสมาคมฯ กับพระภาวนาพิศาลเมธี รวม ๒ ครั้ง
แลวมาสมัครเรียนหลักสูตร ป.โท วิปสสนาภาวนา รุน ๑๒ ที่มีการปฏิบัติ
คัดเลือกนิสิต ๑ เดือน จากนั้นเขาศึกษาปริยัติ ๑ ปเศษ จึงเขาสูภาคปฏิบัติ
หลักสูตร ๗ เดือน แบงเปน ๓ สถานที่ ไดแก ศูนยธรรมโมลี (๔ เดือน) วัด
นาหลวง จ.อุดรธานี (๑ เดือน) และสํานักมหาสี ยางกุง เมียนมา (๒ เดือน)
ประสบการณการเจริญสุทธวิปสสนา (วิปสสนาลวน) รวม ๔ เดือน
ชวงเขาพรรษา พ.ศ. ๒๕๖๐ ณ ศูนยปฏิบัติธรรม ธรรมโมลี ต.หนองน้ําแดง
อ.ปากชอง จ.นครราชสีมา สอนโดยพระภาวนาพิศาลเมธี
ขาพเจาไดบวชเปนแมชีในวันที่ ๖ ก.ค. ๖๐ แลวก็เขาสูการปฏิบัติ
ดวยความศรัทธาในพระรัตนตรัย และรักษาศีล ๕ ตอเนื่องมาหลายป ไดตั้ง
สัจจอธิษฐานเจริญวิปสสนาภาวนาทุกวันติดตอกันกวา ๒ ป จึงเปนพื้นฐาน
ในการปฏิ บั ติ ธ รรม ตั้ งแต ขณะจิ ต ที่รั บ สมาทานกรรมฐาน ข าพเจ าตั้ งใจ
สํารวมกาย วาจา ใจ พยายามมีสติกําหนดรูในอาการปจจุบัน ตั้งแตตื่นจน
หลั บ เคร งครั ด ในกฎระเบี ย บของส ว นรวม และที่ สํ าคั ญคือ การป ด วาจา
ตลอดทั้ง ๔ เดือน จนดูจะเครงเครียดเกินปกติ
๙๒๖
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
ความพยายามและตั้งใจที่มากเกิน ประกอบกับมีขั้นตอนวัดผลการ
ปฏิ บั ติ ที่ชั ด เจน ได แก การไดเ ขาฟงลํ าดั บ ญาณ การอธิ ษฐานธรรม และ
ทดสอบการเขาผลสมาบั ติ ยิ่ งทําให เกิด ภาวะอยากได ต ามเพื่อนๆ ยิ่ งเร ง
ความเพียรทวีคูณ จนสุดทายจิตเกิดการเรียนรูวา ความตึงเกินไปก็เปนกิเลส
ละเอียด จิตจึงเริ่มปรับเขาสูความสมดุล เปนผูรู-ผูดูมากขึ้น จนแจงในสภาวะ
อนัตตา จิตลักษณะนี้เอง จึงจะทําใหเขาสูการบรรลุธรรมในที่สุด
สรุปสภาวะการเจริญวิปสสนาตามแนวสติปฎฐาน กําหนดรูสภาวะ
ในปจจุบัน โดยมีสติเปนประธาน จําแนกตามญาณ ๑๖ พอสังเขป ดังนี้
ญาณ ๑ – ๒ – ๓ ป ญ ญาตามกํ า หนดรู รู ป นามตามความจริ ง ที่
ปรากฏในปจจุบัน แยกรูปนามไดชัดเจน เห็นเปนเพียงอารมณกับจิตที่เขาไป
รู จึงละความเปนตัวตนลงได จิตประจักษในการอาศัยกันของรูปนาม เห็น
ความเกิดดับแตละขณะ ดวยภาวะแหงเหตุปจจัย จนปญญาเห็นรูปนามโดย
ความไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตน
ญาณ ๔ ชวงหั วเลี้ยวหัวตอของการปฏิบัติ มีสมาธิ เกิดมาก และ
พอใจในวิ ป ส สนู ป กิ เ ลส ๑๐ ข า พเจ าได พ บครบทุก อั น วนอยู ห ลายรอบ
โดยเฉพาะป ติ ๕ แบบ ส งผลต อกายเคลื่ อนอย างหนั ก จนรู สึ กอาย และ
พยายามจะแกไขบั งคั บ ให เ ป น อย า งต องการ กลั บ ทําให ติ ด นาน จนพระ
วิปสสนาจารยบอกวากําหนดรูถี่ๆ และกําหนด “ชั่งมัน!” “หามแก!” มันไมใช
เราจึงผานได อีกอันคือ “ญาณ” จิตพิจารณาธรรมพิสดารแตกฉานมาก จน
พระวิป สสนาจาย สั่ งหามพิจารณาธรรมเด็ดขาดถึง ๒ ครั้ง ซึ่งวิป สสนูป -
กิเลสทุกขอผานไดดวยการ “กําหนดดะ!” กําหนดรูตอเนื่องไมขาดสาย จน
จิตเขาใจชํานาญในอารมณ มีสัมมาทิฏฐิ เทาทันดวยสติ จะละความพอใจได
ญาณ ๕ อารมณและจิตที่กําหนดรูไดดับลงไปพรอมกันทุกขณะๆ
กายไมชัด เวทนานอย พองยุบไมชัด ตองใชการกําหนดรูปนั่งถูกมาชวย
ญาณ ๖ - ๗ - ๘ เห็นรูปนามเปนภัย เปนโทษ ไมมีแกนสาร มีแต
ความเสื่อมดับไป มีทุกขเวทนาทางทวาร ๖ เชน เจ็บตา ปวดฟน มุมปาก
เปอย ลิ้นไมคอยรูรส ปวดหู ออนเพลีย ไมมีกําลังกาย ปวดตัว การกําหนดก็
๙๒๗
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๒๘
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๓๐
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
เมื่อชํานาญในสมาบัติ ๘ แลวจิตจะมีกําลังสมาธิมหาศาลเพื่อเปน
บาทฐานใหปญญาสามารถดิ่งลึกลงไปในจิตใตสํานึก แลวตัดละอนุสัยกิเลส
สามารถใชงานไดทุกอิริยาบถ ทุกที่ ดวยโลกุตตรฌาน เชน ราคะ ปฏิฆะ จะ
ปรากฏชัดเจน เมื่อกําหนดละแลว อยาเพิ่งเปลี่ยนจิต ใหดิ่งจิตตามไปกําหนด
ตัดละแบบถอนรากถอนโคน ตัดละอยางเฉียบพลันทุกครั้ง โดยเฉพาะกาม
ราคะ เมื่อเพียรละจนถึงรากไปเรื่อยๆ จะเจอตัวแมของราคะ
เดือนที่ ๒ วันที่ ๒๔ ส.ค. ๖๒ ชวงบาย แผตนเองถึงสัตวนรกแบบ
รวดเร็วมาก พอตัดแลวเปลี่ยนจนครบ ใชเวลา ๓ นาที จิตหอเขามา ไมมีตัว
ดําหมด มีแตภาวะรูในความวาง ทรงนิ่งอยู ไมมีบริกรรม ทันใดนั้นจิตก็หา
ชองมุดลอดออกไป พุงแผสูทิศจนครบ ๑๐ ทิศ จิตทํางานเองหมด นั่งดูรูอยู
จากนั้นจิตดิ่งลงทิศลางลึกมาก มีตัดปติเปนระยะๆ ตอมาตัดปติอยางแรง ๑
ครั้ง ไมเกิน ๓ อึดใจ ตัดอยางแรงดับหายไป กลับมาจิตรูละเอียดถี่ยิบๆ ไมมี
บริกรรม จิตพิจารณาปจจเวกขณญาณ เกิดดับถี่ๆ ที่สัณฐานกามราคะ ทรง
ความเกิดดับละเอียดยิบไมขาดสาย ไมมีบริกรรม นาน ๔๕ นาที จึงปกติ
จุดสังเกต:อาการตัดดับของรูปนามครั้งนี้ จะมีลักษณะพิเศษเฉพาะเกิดขึ้น
คือ เห็นอาการดับของจิตตชรูป ซึ่งจะปรากฏตรงกับการดับเขานิโรธสมาบัติ
เดือนที่ ๓ แผเมตตาอินทรียและงดพักเที่ยง ปฏิบัติวันละ ๑๘ ชม.
การละราคะ ปฏิฆะที่จิตปรุงขึ้นตัดอยางรวดเร็ว มีเพียงกระแสของสัญญา
และความคิดที่มีกําลังเบาบางมาก (วันที่ ๒๐ ต.ค. ๖๒ อธิษฐานธรรม)
จิต เริ่มละความยิ นดี ในฌาน (รูป ราคะ อรู ปราคะ) พระวิ ป สสนา
จารย ใหกําหนดตามจิต หามแกไข ถาจิตจะเสพสภาวะ ก็ตามกําหนดรูดวย
สติ จนจิตเบื่อและคลายกําหนัด เห็นภาวะเหตุปจจัยตามสายปฏิจจสมุปบาท
ทุกขณะ ปญญารูละในภาวะมานะ ฟุงในธรรม ถีนมิทธะ สวนกามสัญญา
กามสังกัปปะ ปฏิฆะ ผุดดับอยางรวดเร็ว กิเลสละ กิเลสเหลือ ก็ทํางานไป
ตามปจจัยปรุงแตง เฝาตามกําหนดรู-ละ-ดับ สามารถเขาบุพเพนิวาสานุสติ-
ญาณ และ จุ ตู ป ปาตญาณ เมื่อ มีส ติ ร ะลึ ก รู อ ยู ต ลอด จิ ต จะไมห ลง มี แ ต
สังเวชในภพชาติ และเรงการปฏิบัติ จนเขาสูการตัดละสัญญากรรมที่เปน
๙๓๑
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
ฟางเสนสุดทายในจิตใตสํานึกได จิตจะเริ่มปลอยวางการปรุงแตงทุกชนิดที่
เกิดจากสัญญา ละการอธิษฐานจิต ละการปรารถนาในสิ่งใดๆ จะวางลงเห็น
เปนสักวาภาวะของขันธ ๕ ที่ทํางานอยู
เดือนที่ ๔ วันที่ ๑๕ พ.ย. ๖๒ ชวงเชามืดเดิน ๒ ชม. พอชวงสายนั่ง
แผเมตตาอินทรีย จิตเปนอุเบกขาตั้งแตเริ่มเห็นสภาวะเกิดดับเปนสักวารูป
นามทุกประการ จิตมุงนอมสูพระนิพพานโดยสวนเดียว กําหนดรูไปจนดิ่งลึก
ไมมีตัว ไมมบี ริกรรม มีแตรูแลวละ เปนกลาง จนเห็นจิตปรุงผุดขึ้น ๓ คํา ตัด
ดับขาดไป พอกลับมารู ภาวะละเอียดมาก มีอาการสั่นไหวในหทัยวัตถุ ๓
ขณะ แลวคอยๆ หยาบขึ้น เขาสูปจจเวกขณญาณตอ ไมมีจิตอยาก หลังจาก
บัลลังกนั้นจิตเปลี่ยนทันทีชัดเจน ไมยึด ไมเผลอ รูแลวปลอยทันที
เดือนที่ ๕ - ๖ ชวงแรกจิตละเอียดมาก ไมมีเผลอ จิตขยายถึงขีดสุด
จิตตัดละสัญญาและสังขารตางๆ นับไมถวน ตอมาพระวิปสสนาจารยใหบท
ทดสอบสภาวะเยอะมาก จิตตัดละอาสวะดวยญาณไปเรื่อยๆ ดวยการรูทัน
ผัสสะทั้ง ๖ จนถึงภาวะรูแจง จะตัดดับและสวางโพลงแบบหาประมาณไมได
เดือนที่ ๗ การเขานิโรธสมาบัติจะละเอียดขึ้นจากเดิมมากเขาไดทั้ง
๓ ลักษณะ และการตัดดับจะสัมพันธกับมรรคจิตที่ถึงแลว กลาวคือเห็นตัด
ดับในหทัยวัตถุ จากนั้นพระวิปสสนาจารยใหดําเนินปฏิปทาเพิกถอนความ
พอใจในสิ่งทั้งปวงและปฏิปทาละนิพพาน ซึ่งตองมีความเขาใจในปฏิจจสมุป
บาท ลําดับญาณ ๑๖ และสมาบัติ ๘ - ๙ โดยพิจารณาละอาเนญชาภิสังขาร
สรุ ปสมถะเป น บาทฐานให วิ ป ส สนา อัน ประกอบด ว ยสติ ตื่ น รู อยู
อาศัยสมาธิที่มีกําลังและฝกดีแลว ยอมมีผลมาก ชวยใหการละภาวะปรุงแตง
จิตไดอยางฉับพลัน รูตัวทั่วพรอมในปจจุบัน จะเปนรูลม รูกาย รูอิริยาบถ
เปนจิตที่มีสัมมาสมาธิสามารถตัดละความคิดเขาสูสุญญตา (จิตวาง) จึงเปน
บาทฐานในการรองรับขันธ ๕ ชุดใหม ที่เปนสัมมาทิฎฐิเกิดขึ้นในทุกขณะจิต
ทําใหการกระทบรูผัสสะทางทวาร ๖ ปราศจากอวิชชาเขาหอหุมจิต ไมใหผิด
ไปจากทาง เมื่อรูแลวละทันทีอันเปนอินทรียภาวนาชั้นเลิศ ยอมนําเขาสูที่สุด
แหงกองทุกข หลุดพนเปนเจโตวิมุตติ ปญญาวิมุตติ เสวยวิมุตติรสในปจจุบัน
๙๓๒
บทที่ ๑๘ การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๓๔
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมตุ ติ
เรียบเรียงโดย แมชีจันทรจิรา ชินศรี
การเจริ ญ เมตตาเจโตวิ มุ ต ติ เ ป น ภาวะหลุ ด พ น ของจิ ต โดยอาศั ย
เมตตาฌานเป น บาทฐาน จนสามารถเข าสู ก ารหลุ ด พ น จากอาสวะกิเ สล
ทั้งหลาย อันเปนเจโตวิมุตติและเปนปญญาวิมุตติ๑ ซึ่งเมตตาเจโตวิมุตติมี
ปรากฏอยูหลายแหงในคัมภีรพุทธศาสนาเถรวาท ไดแกคัมภีรปฏิสัมภิทา
มรรค“เมตตากถา”๒ที่แสดงการแผแบบไมเจาะจง แผแบบเจาะจง แผไปสู
ทิศ แผอินทริยวาร เปนตนพระสูตรที่เกี่ยวกับเมตตา เชน “วัตถูปมสูตร”๓
แสดงขั้นตอนเจริญเมตตาจนบรรลุอรหัตตผล “เมตตาภาวนาสูตร”๔กลาวถึง
อานิสงสของเมตตาเจโตวิมุตติเหนือกวาบุญกิริยาวัตถุทั้งปวง ในคัมภีรวิสุทธิ
มรรค “พรหมวิหารนิเทศ”๕มีเนื้อหาดานสมถะและวิปสสนา รวมทั้งตํารา
ปรมัตถโชติกะ สมถกรรมฐานทีปนี“อัปปมัญญา ๔”๖ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการ
เจริญเมตตา กรุณา มุฑิตา และอุเบกขา เปนตน
จึงไดรวบรวมเนื้อหา นํามาประมวลเปนความรูเขาสูแนวทางการแผ
เมตตาเจโตวิมุตติเต็มรูปแบบ พรอมทั้งหลักการและขั้นตอนการปฏิบัติจาก
ประสบการณ มีดังนี้
๑
ที.ปา. (ไทย) ๑๐/๑๑๐/๘๒.
๒
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒-๒๗/๔๖๐-๔๗๔.
๓
ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๗๗-๗๘/๖๗.
๔
ดูรายละเอียดใน ขุ.อิต.ิ (ไทย) ๒๕/๒๗/๓๗๒.
๕
ดูรายละเอียดใน วิสุทธิ. (ไทย) ๒๔๐-๒๗๔/๔๘๑-๕๘๘.
๖
ดูรายละเอียดใน พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙
เลม ๑ สมถกรรมฐานทีปนี, พิมพครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิสัทธัมมโชติกะ,
๒๕๕๔), หนา ๑๗๘-๒๐๕.
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๑. ประวัติการปฏิบัติสมถะและวิปสสนา
พ.ศ. ๒๕๓๘ - ๒๕๔๗ ปฏิบัติสมถกรรมฐาน คอรสละ ๓ วันหรือ ๗ วัน
ณ วัดปากน้ํา ภาษีเจริญ
บริกรรม “สัมมาอะระหัง”
พ.ศ. ๒๕๔๘ ปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน คอรส ๑๐ วัน
ณ ศูนยปฏิบัติ “ธรรมโมลี”
พ.ศ. ๒๕๔๘ - ๒๕๕๘ ปฏิ บั ติ ส มถกรรมฐาน (ยกจิ ต ขึ้ น สู วิ ป ส สนา)
บริกรรม “พุทโธ” กับหลวงพอปรีชา ธนวฑฺฒโก
อดีตเจาอาวาสวัดเขาอิติสุคโต หัวหิน
(และในช วงพ.ศ.ดั งกล าว ทุกๆป จะเขาปฏิบั ติ
วิปสสนากรรมฐาน คอรสละ ๓ วัน หรือ ๗ วันณ
วันอัมพวัน จ.สิงหบุรี)
พ.ศ. ๒๕๕๙ (เมษายน - มิถุนายน) (๓ เดือน) ปฏิบัติ
วิ ป ส สนากรรมฐาน ณ วั ด งุ ย เตาอู กั ม มั ฏ ฐาน
สาธารณรัฐแหงสหภาพเมียนมาร
พ.ศ. ๒๕๕๙ -๒๕๖๐ (กรกฎาคม ๒๕๕๙ -กุมภาพันธ ๒๕๖๐)
(๗ เดือน) ปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานณ ศูนย
ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” จ.นครราชสีมา
(พฤศจิกายน ๒๕๕๙ -กุมภาพันธ ๒๕๖๐
“เจริญเมตตาเจโตวิมุตติ”)
พ.ศ. ๒๕๖๐ (กรกฎาคม -ตุลาคม) (๓ เดือน) ปฏิบัติ
วิปสสนากรรมฐาน ณ บานเพชรบําเพ็ญ
อ.ชะอํา จ.เพชรบุรี
พ.ศ. ๒๕๖๒ (พฤษภาคม) (๑ เดือน) ปฏิบัติวิปสสนา
กรรมฐาน(เจริญเมตตาเจโตวิมุตติ/เมตตา
อินทรีย) ณ ศูนยปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี”
๙๓๖
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๒. ประสบการณการเจริญวิปสสนายานิก
ดวยประสบการณการปฏิ บัติ ทั้งดานสมถกรรมฐานและวิ ปส สนา
กรรมฐานที่ตอเนื่องนานกวา ๒๕ ป ซึ่งพอจะสรุปสภาวธรรมที่เกิดขึ้นในแต
ละสภาวญาณ และการปฏิบัติเกี่ยวกับการเจริญเมตตาเจโตวิมุติและเมตตา
อินทรีย พอสรุปไดดังนี้
ญาณ ๑ ขณะกําหนดพอง-ยุบ รูและแยกไดวาตอนหนึ่งเปน พอง
และตอนหนึ่งเปนยุบ และเมื่ออาการพอง-ยุบ เกิดขึ้น จิตก็รูอาการนั้น และรู
ชัดวาพอง-ยุบก็อยางหนึ่ง จิตที่รูพอง-ยุบก็อยางหนึ่ง โดยเห็นชวงกลางพอง
ชัดที่สุด หรือกลางยุบชัดที่สุด และรูไดวา ตึง หยอน เย็น รอน ออน แข็ง
ที่มากระทบกายนั้น มีตัวจิตที่เขาไปรู (กําหนดจนรูไดวา หลับตอนพองหรือ
ตอน“ยุบ” และตื่นตอน “พอง” หรือตอนยุบ ใน ๗ วันแรกของการปฏิบัติ
และเห็นการทํางานของฟนลางในขณะเคี้ยวอาหาร)
ญาน ๒ เห็นตนและกลาง (พอง - ยุบ) ชัดที่สุด เห็นตนจิตชัดเจนใน
ทุกสภาวะทั้งการเดินจงกรม หรืออิริยาบถยอยอื่นๆพรอมทั้งทดสอบสภาวะ
ตัวเอง จนเห็นจิตอยากเกิดขึ้นมากอน แลวกายจึงจะเคลื่อนไหวตามจิตนั้น
เมื่อมีเวทนาเกิดขึ้นกําหนดยังไมทันหายขาด เวทนาอื่นก็เกิดซอนขึ้นมาอีก
ญาณ ๓ เห็นชัดทั้งตน กลาง และสุด(พอง - ยุบ) และเริ่มเห็นวา
เมื่อสุดพองหรือยุบ จะมี “วาง” นิดหนึ่ง และเห็นพองหรือยุบดับไปพรอม
กับจิตที่เขาไปกําหนดรู มีเวทนาเกิดขึ้นมากมายหลายชนิด เมื่อกําหนดก็
หายไปทีละขณะ (เห็นสภาวะการเปลี่ยนแปลงของเวทนาชัด) จนกระทั่งดับ
๙๓๗
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๓๘
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๓๙
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๓. ประสบการณเจริญสมถยานิก
การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติและเมตตาอินทรีย พระภาวนาพิศาลเมธี
(ประเสิรฐ มนฺตเสวี) ไดเมตตาสอนการเจริญเมตตาเจโตวิมุตติใหกับขาพเจา
ครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙ โดยขาพเจาไดเรียนเต็มเดือนในชวง
เดือนแรก แตตอมาในเดือนธันวาคม พระนิสิต/นิสิต รุนที่ ๑๑ ตองเดินทาง
ไปปฏิ บั ติวิ ป สสนากรรมฐานต อ ณ สาธารณรั ฐแห งสหภาพเมีย นมาร ซึ่ง
ภาระหนาที่ในการสอน ณ ศูนยปฏิธรรม ธรรมโมลี ในคอรสนี้ ของทานก็
จะตองสิ้นสุดลง แตดวยความเมตตายิ่งของทานที่มีตอผูปฏิบัติภาคสมทบ
ทานใชวิธีเดินทางไปกลับจาก มจร.วข.บาฬีศึกษาพุทธโฆส– ศูนยปฏิบัติ
ธรรม ธรรมโมลี ทุ กสั ป ดาห (โดยใช เ วลาในการสอนข าพเจ า สั ป ดาห ล ะ
ประมาณ ๓ วัน) จนถึงวันปดคอรสในกลางเดือนกุมภาพันธ ๒๕๖๐ ซึ่งผล
การปฏิบัติของขาพเจาในครั้งนั้น ขาพเจาสามารถเจริญเมตตาเจโตวิมุตติได
จนถึงฌาน ๔ และหลังจากปดคอรส ขาพเจาก็ยังคงเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
อย างต อเนื่ องและสม่ําเสมอ จนกระทั่ง ในเดื อนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒
ข า พเจ า ได มี โ อกาสเข า ปฏิ บั ติ เ พื่ อ เรี ย นการเจริ ญ เมตตาฯ อี ก ครั้ ง เป น
ระยะเวลา ๑ เดื อ นเต็ ม ในคอร ส นี้ ข า พเจ า สามารถเจริ ญ เมตตาฯ จน
สามารถเขาสูอรูปฌาน๑และในกลางเดือนกรกฏาคม พ.ศ.๒๕๖๒ ถึงเดือน
กุมภาพันธ ๒๕๖๓ ซึ่งเปนคอรสการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน ๗ เดือน ของ
พระนิสิ ต/นิสิ ต รุนที่ ๑๔ และขาพเจ าไดเขาร วมปฏิบั ติ ในฐานะผูป ฏิบั ติ
สมทบอีกครั้ง เพื่อเรียนการเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ เปนระยะเวลา ๗ เดือน
เต็ม ซึ่งในคอรสนี้ ขาพเจาสามารถเจริญเมตตาเจโตวิมุตติและเมตตาอินทรีย
๙๔๐
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
จนสามารถเข าสู อรู ป ฌาน ๔ ได และไปจนถึ งสมาธิ ในระดั บ ๙ (สั ญญา
เวทยิตนิโรธ(สัญญาและเวทนาดับ))
การเจริญเมตตาภาวนาเบื้องตน
-เมตตาพรหมวิหาร(ปรารถนาใหผูอื่นเปนสุข)
๑. พึงเจริญเมตตาภาวนาในตนเองเปนอันดับแรก โดย บริกรรมวา
“ขอใหขาพเจามีความสุข ปราศจากทุกข”
หามเจริ ญเมตตาในบุ คคล ๔ จํ าพวกเปน อัน ดับ แรก คือ ๑.คนที่
เกลียดชัง ๒.คนที่รักกันมาก ๓.คนที่เปนกลางๆ ๔.คนที่เปนคูเวรกัน
อนึ่ง คนตางเพศกัน ก็ห ามมิใหเจริญเมตตาไปโดยเฉพาะเจาะจง
และแมคนที่ตายไปแลว ก็ไมควรเจริญเมตตาไป เพราะเหตุใด?
-หากเพงเอาคนที่เกลียดชังมาตั้งไวในฐานะเปนคนที่รักนั้น ยอมเปน
สิ่งที่ลําบากใจมาก (ทําไดยาก สําหรับผูเริ่มตน)
-เมื่อจะเพงเอาคนที่รักมากมาตั้งไวเปนคนกลางๆ ก็เปนสิ่งที่ทําได
ยาก เชนเดียวกัน
-เมื่อจะเพงเอาคนที่เปนกลางๆ มาตั้งไวในฐานะคนที่รัก ก็เปนการ
ทําไดยากเชนกัน
-เมื่ อ ระลึ ก ถึ ง คนที่ เ ป น คู เ วรกั น ความโกรธแค น ก็ จ ะเกิ ด ขึ้ น มา
เมตตาภาวนา ยอมบังเกิดขึ้นไมได
-สวนในกรณีคนตางเพศ เมื่อเจริญเมตตาไปโดยเจาะจง คือ เพงเอา
คนตางเพศนั้นมาเปนอารมณโดยเฉพาะ ราคะ คือ ความกําหนัดยินดีในเพศ
ก็จะเกิดขึ้นมาแทน เมตตาภาวนาไมอาจที่จะเกิดขึ้นได
๒.เจริญเมตตาในคนที่รักหรือคนที่เคารพเปนอันดับสอง
เมื่อเมตตาจิตในตนเองปรากฏเดนชัด ตอไปพึงเจริญเมตตาไปในคน
ที่รักหรือ
“ขอให ..หลวงพอ.. มีความสุข ปราศจากทุกข”
พึงบริกรรมหรือภาวนา แผออกไปๆ จนกวาเมตตาฌานจะเกิดขึ้น
๙๔๑
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๑
คูมือการศึกษาสัมมาปฏิบตั ิไตรสิกขา ศูนยประสานงานสํานักปฏิบตั ิธรรม
ประจําจังหวัดแหงประเทศไทย ?
๙๔๒
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
- อุเบกขาพรหมวิหาร(ความวางใจเปนกลาง)
คือ จิตตั้งมั่นวางเฉยในบุคคลและสัตวทั้งหลาย เสมอหนากัน เมื่อ
จิ ต ตั้ ง มั่ น เป น อุ เ บกขา สามารถแผ ไ ปได ใ นทุ ก กลุ ม (ใน ๓๑ ภู มิ ) ให แ ผ
อุเบกขารวมกันไปไมแยกประเภท รวมทั้งตัวเองดวย เมื่อแผออกไปๆ จิตจะ
ตั้งมั่นเปนอัปปนาสมาธิ จตุตถฌาน ที่มีอุเบกขาในสัตวทั้งหลายเปนอารมณ
ก็จะบังเกิดขึ้น
หมายเหตุ: ๓๑ ภูมิ ไดแก ตนเอง ผูมีพระคุณ ญาติทั้งหลาย หญิง
ทั้งหลาย, ชายทั้งหลาย, พระอริยเจาทั้งหลาย, ผูไมใชพระอริยเจาทั้งหลาย
คือปุถุชนหรือคนทั้งหลาย, พรหมทั้งหลาย, เทวดาทั้งหลาย, มนุษยทั้งหลาย,
สัตวเดรัจฉานทั้งหลาย, เปรตทั้งหลาย, อสุรกายทั้งหลาย, สัตวนรกทั้งหลาย)
การเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
มีวิธีการเจริญ (แผ) ๓ วิธี
๑.อโนธิโสผรณา เจริญเมตตาโดยไมเจาะจง โดยอาการ ๕
(คือ สัตวทั้งปวง, สิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจทั้งปวง, ภูติ (สิ่งมีวิญญาณ)
ทั้งปวง, บุคคลทั้งปวง, ผูที่นับเนื่องดวยอัตภาพทั้งปวง (แยกทั้งหมดเปน๕
บท)
๒.โอธิโสผรณา เจริญเมตตาโดยเจาะจง โดยอาการ ๗เปนการเจริญ
(แผ) เมตตาเจาะจงเฉพาะบุคคล/กลุม ๗ ประเภท(คือ หญิงทั้งหลาย, ชาย
ทั้งหลาย, พระอริยเจาทั้งหลาย, ผูไมใชพระอริยเจาทั้งหลาย คือ ปุถุชน,
เทวดาทั้งหลาย, มนุษยทั้งหลาย, อสุรกาย/สัตวนรกทั้งหลาย)
๓.ทิสาผรณา เจริญเมตตาไปในทิศตางๆ โดยอาการ ๑๐เปนการ
เจริญเมตตาไปในทิศทั้ง ๑๐
เมตตาเจโตวิมุตติ แผไปโดยไมเจาะจงใน ๑๐ ทิศ โดยอาการ ๕
อยางคือ
๑. ขอ“สัตวทั้งปวง (บทที่ ๑)” หรือ “สิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจทั้งปวง
(บทที่ ๒)” หรือ “ภูต (สิ่งมีวิญญาณ)ทั้งปวง (บทที่ ๓)” หรือ “บุคคลทั้งปวง
(บทที่ ๔)” หรือ “ผูที่นับเนื่องดวยอัตภาพทั้งปวง (บทที่ ๕)”ในทิศบูรพา
๙๔๓
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๔๖
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๔๗
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
กรณีแผไมออก
๑. หากจิตนิ่งแผไมออก (เปนอุเบกขา) สงจิตไมไป นึกหนาไมออก
เพราะเต็มที่ให “ฝนกอน” แลวใหสงจิตไป “ดูจิต” “รู” “วาง”ดูจิตที่เฉย
กําหนด “เฉยหนอ” “รูหนอ” “วางหนอ”
๒. ตามรู จนจิตไปจับอารมณ เชน อาการปวดพอง-ยุบโดยใหจิตไป
จับอารมณเอง
๒) แผเมตตาอัปปมัญญา (บทที่ ๑ – ๕)
กรณีแผออก
๑. ขยายออกไป ไมมีขอบเขต ไมมีหยุด ยกเวนหยุดเอง ถาหยุดเอง
(หรื อ ถ า หยุ ด นิ่ ง )ให สั ง เกต ให ดู จิ ต ว า เมตตายั ง อยู ไ หมดู จิ ต แล ว ยั ง มี
“เมตตา” ก็แผออกไป พรอมคําบริกรรม(แตใหขามกลุมเดิม ไปแผกลุมใหม
เลย)
๒. ถาหยุดนิ่ง แลวรู “เฉยๆ” ก็สงจิตรู “เฉยๆ” แผออกไป โดยไม
ตองบริกรรม(แตใหขามกลุมเดิม ไปแผกลุมใหมเลย)
๓. ขณะแผ แผ อ อกได มี ป วด มีฟุ ง มี ป ติ มีสุ ข ไม ส น ไมต องไป
กําหนด แผออกอยางเดียว
กรณีแผไมออก
๑. แผ ไมออก จํ าคํ าบริ ก รรมไม ได ให ย อนมาที่ตั ว เองกอ น จนมี
กําลังมากขึ้น
๒. ถาจิตนิ่ง ขณะแผ แผออกไมได ใหดู “จิต” เลย ดูจิตรูสึกอยางไร
ก็กําหนดตามนั้น
๓) เริ่มแผไปสูทิศ ๑๐ ทิศ
เมตตาเจโตวิ มุ ต ติ แ ผ ไ ปโดยไม เ จาะจงใน๑๐ ทิศ ด ว ยอาการ ๕
อยางหลักการปฏิบัติดังนี้
กรณีแผออก
๙๔๘
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๔) การกําหนดดู “จิต”
เมื่อปฏิบัติมาถึงจุดนี้การกําหนดดู “จิต” มีดังนี้
๑. ถา “นิ่ง” “วาง” ก็ใหกําหนด “รูหนอ นิ่งหนอวางหนอ”และ
เมื่อจิตนิ่งคาง แลวจะดับวุบๆ ใหกําหนด “รูๆๆ” “ชาๆๆ” “หางๆๆ”และ
หลังจากกําหนด “รูๆๆ” ดับวุบๆ แลวจะเขาสูสภาวะ “โลงวาง”ใหสังเกตวา
“รูๆๆ” แลว “วาง” ตัวรูยังอยูไหม
๒. ดูจิต “รูๆๆ” ยกเวน “จิตรวม” ใหมาดูจิตหนึ่งเดียว
๓. กรณี “ดับ” ไมขาด (ยังอยู) จะกําหนดอยางไร อยูที่สภาวะ
- ถา “แช” ใหกําหนดชาๆ(อยาใหเร็ว) คือ “รู รู รู… .”
- แตถาเปลี่ยนแปลง “เร็ว” ให “ตามดู”
๙๔๙
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๕๐
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๕๒
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๕๔
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๕๕
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๕๗
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๕๙
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๖๐
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๖๑
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
สภาวะละเอียดขึ้นๆ เขาสูสภาวะที่รับรูเฉพาะ“จิตตัวรูกระพริบเกิดดับ(ไม
ขาด)วุบๆรูๆๆ ติดตอกันไป” การกระพริ บดับถี่ขึ้นๆ สภาวะละเอียดขึ้น ๆ
จนกระทั่งเขาสูสภาวะที่เหมือนเปน “ศูนย” คือ ไมมีอะไรใหจับตอง มีเพียง
สภาวะ “รู” แผไกลออกไปๆ เริ่มเห็นจิตรูกระพริบดับวุบตัดขาด แลวเกิด
สภาวะ “ลื ม ” พร อ มกั บ การดั บ ตั ด ขาดนั้ น ๑ ครั้ ง แล ว เข า สู ส ภาวะ
ความรูสึกเหมือนเปนเสนประ (ไขปลา) คือ ขาดหายไปเปนชวงๆ (จิตตัวรู
เกิดดับ(ตัดขาดทุกขณะจิต) (รูแลวไมรู รูแลวไมรู สลับกันไป) แลวความรูสึก
ทั้ ง หมดก็ ร วมตั ว กั น ดั บ วุ บ ลงไปพร อ มกั บ จิ ต รู ที่ ดั บ ตั ด ขาดนั้ น (หมด
ความรูสึก) เมื่อรูสึกตัวขึ้นมา อยูในสภาวะ “โลงๆ วางๆ”แลวคอยๆ ถอย
ออกมาตามลําดับฌาน รับรูถึงความเปนกาย
๔) เดือนที่ ๔ – ๗ (เขาสูสมาธิระดับ ๙- สัญญาเวทยิตนิโรธ)
๑. เดือนที่ ๔ มีความชํานาญในการเขาและออกจากฌาน เชน เขา
และถอยออกจากฌานเดิม แลวเขาไปใหมในฌานเดิม (แตเปนการเขาฌาน
เดิ ม ที่ ล ะเอี ย ดลึ ก ลงไปกว า เดิ ม ) แล ว แผ ต อ ไป เข า สู ฌ านที่ สู ง ขึ้ น ไป
ตามลําดับ
๒. สามารถขามฌาน เชน เมื่อเริ่มแผ จิตรูดั บวุบตัดขาด รูสึกตั ว
ขึ้นมา ก็เขาอยูในฌาน ๘ (เดือนที่ ๔ – ๗ ของการปฏิบัติ ขามฌานบอยครั้ง
และหากเขาหรื ออกตามลํ าดับ ฌาน ก็จะเปนแบบจิ ตรูดับ ตัดขาด รู สึกตั ว
ขึ้นมา ก็เขาไปอยูในฌานใหมแลว)
๓. เดือนที่ ๔ และเดือนที่ ๕เมื่อแผไปจนสุดฌาน ๘จะเกิด “ภาพ
นิ มิ ต “ขึ้ น บ อยครั้ ง แล ว จะเกิด “อาการจิ ต ”ที่ รู สึ กต อภาพนิ มิ ต นั้ น หรื อ
พิจารณาสภาพธรรมในภาพนิมิตนั้นขึ้นโดยอัตโนมัติ เชน อาการรัก ชอบ ไม
ชอบ เปนตนในชวงแรกๆ ของการเกิดภาพนิมิต หลังเกิดอาการทางจิตแลวก็
จะถอยลงมาจากฌาน๘ (ทรงอยูไดไมนาน) และตนเดือนที่ ๖ ของการปฏิบัติ
หลังเกิด “ภาพนิมิต” มี “อาการจิต” เกิดขึ้นแลวดับไปพรอมกับจิตรูอาการ
จิตนั้นแลวจิต“ตัดละ” จะเกิดขึ้นทันทีโดยอัตโนมัติ ในขณะจิตตอมา แลวดับ
๙๖๔
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๖๖
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๖๘
บทที่ ๑๙ ประสบการณเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ
๙๗๐
บทที่ ๒๐
การเขานิโรธสมาบัต๑ิ
๑. นิโรธสมาบัติ
นิโรธสมาบัติ เปนสภาวะของความดับจิตและเจตสิก (สัญญาและ
เวทนา) ของผูเขานิโรธสมาบัติไดดับลงอยางสนิท โดยไมมีสวนเหลือ เปน
การที่จิตหยุดการทํางานลงชั่วคราวตราบเทาที่อยูในนิโรธสมาบัติ๒
วิเคราะหความหมายวา "นิรุชฺฌนํ นิโรโธ, สมาปชฺชนํ สมาปตฺติ,
นิโรธสฺส สมาปตฺติ นิโรธสมาปตฺติ. ความดับของจิตและเจตสิก เรียกวา นิโรธ
การทําความเพียรเพื่อเขาถึงนิโรธ เรียกวา สมาบัติ"๓
คัมภีรอรรถกถาอธิบายวา “สํสารจารกสงฺขาโต นตฺถิ เอตฺถ โรโธ,
เอตสฺมึ วา อธิคเต ปุคฺคลสฺส โรธาภาโว โหติ, นิรุชฺฌติ ทุกฺขเมตฺถาติ วา นิ
โรโธ, นิพฺพานํ.๔ ในพระนิพพานนั้น ไมมีสงสารเปนที่เที่ยวไป หรือวา เมื่อ
บุคคลบรรลุพระนิพพานนั้นแลว ยอมไมมีฝง เปนที่ดับทุกข จึงชื่อวา นิโรธ
ไดแก พระนิพพาน๕
๑
สวนใหญคัดลอกมาจากงานวิทยานิพนธของ พรชัย พันธไสว, "ศึกษาวิเคราะห
นิ โ รธสมาบั ติ ใ นพระพุ ท ธศาสนาเถรวาท", วิ ท ยานิ พ นธ พุ ท ธศาสตรมหาบั ณ ฑิ ต ,
(บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย), ๒๘ กรกฏาคม ๒๕๕๔.
๒
ที.สี. (ไทย) ๙/๔๑๔/๑๘๐.
๓
พระภัททันตะ อาสภะมหเถระ, วิปสสนาทีปนีฎีกา, (กรุงเทพมหานคร : ม.
ป.ท. : ม.ป.ป.), หนา ๒๕๐.
พระพุทธโฆสเถระ, วิสุทธิมรรค, แปลและเรียบเรียงโดย สมเด็จพระพุฒาจารย
(อาจ อาสภมหาเถร), พิมพครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร :บริษัท ธนาเพรส จํากัด ,
๒๕๔๘), หนา ๑๑๙๐.
๔
ขุ.เถร.อ. (บาลี) ๒/๓๖/๑๕๙.
๕
พระคันธสาราภิวงศ (แปล และเรียบเรียง), ปรมัตถทีปนี, (กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพไทยรายวันการพิมพ) ๒๕๔๙, หนา ๒๘๗ – ๒๘๘.
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
คัมภีรอรรถกถาปรมัตถทีปนี ใหความหมายวา สสารจารกสงฺขาโต
นตฺถิ เอตฺถ โรโธ, เอตสฺมึ วา อธิคเต ปุคฺคลสฺส โรธาภาโว โหติ, นิรุชฺฌติ
ทุกฺขเมตฺถาติ วา นิโรโธ, นิพฺพาน.๖
ชื่อวา นิโรธ เพราะในพระนิพพานนั้นไมมีฝง(สงสารเปนที่เที่ยวไป)
หรือวาเมื่อบุคคลบรรลุพระนิพพานนั้นแลว ยอมไมมีฝง หรือเปนที่ดับทุกข
ไดแกพรนิพพาน
วินิจฉัยโดยการจําแนก นิโรธ มีความหมายวา สลัดออก, สงัด, อัน
ปจจัยปรุงแตงไมได เปนอมตะ ฯลฯ
วินิจฉัยโดยการวิเคราะหศัพท นิ ในบทวา นิโรธ แสดงความไมมี
และศัพทวา โรธ แสดงถึงผูทองเที่ยว เพราะฉะนั้นจึงไดแก ความไมมีความ
ทองเที่ยวไปแหงทุกข(การทองเที่ยวไปในสังสาร) เพราะวางจากคติทั้งปวง
อีกอยางหนึ่ง เมื่อบรรลุอริยสัจที่สามนั้นแลว จึงความไมมีการทองเที่ยวไป
แหงทุกข(การทองเที่ยวไปในสังสาร) พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา ทุกฺขนิโรธ
(ทุกขนิโรธ) เพราะเปนปฏิปกษตอการทองเที่ยวไปนั้น อีกอยางหนึ่ง เรียกวา
ทุกขนิโรธ เพราะเปนปจจัยแกความไมเกิด คือ แหงความดับสนิทแหงทุกข
วินิจฉัยโดยประเภทลักษณะ นิโรธสัจจะ มีความสงบเปนลักษณะ
มีการไมจุติเปนรส มีการไมมีนิมิตเปนปจจุปฏฐาน.
วินิจฉัยโดยอรรถ
นาฺา นิพฺพานโต สนฺติ สนฺต น จ น ต ยโต
สนฺตภาวนิยาเมน ตโต สจฺจมิท มต
ความสงบอื่นนอกจากพระนิพพานแลวยอมไมมี และ
พระนิ พพานนั้น เวน จากความสงบก็ห ามีไม เพราะฉะนั้ น
พระนิพพานนี้ บัณฑิตจึงรูวาเปนสัจจะ โดยกําหนดอรรถวา
เปนความสงบ๗
๖
ขุ.เถร.อ. (บาลี) ๒/๓๖/๑๕๙.
๗
วิสุทฺธ.ิ (บาลี) ๒/๑๔๐-๑๔๓.
๙๗๐
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
พระสารี บุ ต รเถระระบุ ว า ป ญ ญาที่ มี ค วามชํ า นาญในการระงั บ
สังขาร ๓ ดวยญาณจริยา ๑๖ และดวยสมาธิจริยา ๙ เพราะประกอบดวย
พละ ๒ อยาง ปญญานั้นชื่อวา นิโรธสมาปตติญาณ๘
ลักษณะที่สังขาร ๓ (วจีสังขาร กายสังขาร จิตตสังขาร) สงบระงับ
ดับลงนี้ เปนเชนเดียวกันกับสภาวะของคนที่ตายแลว จะมีความตางกันเพียง
อายุ ไออุน และรางกายของคนที่ตายแลวจะเสื่อมสลายไป แตสําหรับผูเขา
นิโรธสมาบัติองคประกอบของชีวิตทั้ง ๓ สวนยังไมเสื่อมสลายไป๙
พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ใหความหมายวา นิโรธสมาบัติ หรือ
สัญญาเวทยิตนิโรธ เปนสมาบัติชั้นสูงสุด และเปนความสามารถเฉพาะของ
พระอริยบุคคลชั้ นพระอนาคามีและพระอรหันต ผูชํานาญในสมาบัติ ๘
เท า นั้ น คื อ ภาวะที่ จิ ต ดั บ สั ญ ญาและเวทนาได ส นิ ท ไม มี ส ว นเหลื อ เป น
สมาบัติขั้นสูงสุดที่มีความละเอียดประณีตมาก ซึ่งเปนผลรวมกันของสมถะ
และวิปสสนาที่มีกําลัง กลาวคือ เปนสมาบัติหนึ่งในอนุปุพพวิหารธรรม ๙
เปนสมาบัติชนิดเสวยผล เปนวิธีการพักผอนอยางเปนสุขในปจจุบันของพระ
อริยเจา นิโรธสมาบัตินี้มีองคธรรมที่ละเอียดเปนสภาพที่สัญญาและเวทนา
ดับสิ้นจึงไมสามารถใชเปนฐานเพื่อการทําวิปสสนาได"๑๐
เสถียร โพธินันทะ ไดแสดงทัศนะเกี่ยวกับนิโรธสมาบัติในกรณีการ
ตีความที่แตกตางกันระหวางนิกายเถรวาทและมหาสังฆิกะ สรุปไดวา นิโรธ
สมาบัติ คือ สภาวะที่ดับสัญญาและเวทนาไดเด็ดขาดซึ่งเปนสภาวะสูงสุด
ของสมาธิ พบไดเฉพาะในพระพุทธศาสนาเทานั้น เพราะเปนการปฏิบัติ
สมาธิ ที่มีความละเอีย ดขึ้น ไปโดยลําดับโดยผูที่จ ะสามารถเขาสมาบั ตินี้ได
จะตองเปนพระอนาคามีและพระอรหันตประเภท เจโตวิมุตติผูพรั่งพรอม
๘
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๓๔/๓.
๙
ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๗/๔๙๕., ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๔/๕๐๔.,
ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๖/๑๑๔., สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๘/๓๘๑.
๑๐
พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับขยายความ, พิมพครั้งที่
๑๑, (กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หนา ๓๖๘ -
๓๗๐.
๙๗๑
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ด ว ยอภิ ญ ญา ๖ เท า นั้ น ส ว นพระอนาคามี ห รื อ พระอรหั น ต ป ระเภทสุ ข
วิปสสกหรือเฉพาะปญญาวิมุตติ เขาสมาบัตินี้ไมได เพราะสมาบัตินี้จะตอง
เขาฌานตั้งแตรูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ พรอมกับมีวิปสสนากํากับทุกฌานไป
เมื่อออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน (อรูปฌาน ๔) ก็เขานิโรธสมาบัติ
คงเหลืออยูแตอายุรูปชีวิตินทรียและไออุนเทานั้นที่แตกตางจากคนตาย ซึ่ง
ฝายนิกายอันธกะถือวานิโรธสมาบัติเปนอสังขตะ แตฝายนิกายเถรวาทไม
เห็นดวยกับ มติดังกลาวเพราะนิโรธสมาบัติไมเปนทั้งสังขตะและอสังขตะ๑๑
๑.๑ ประเภทวิปสสนาเพื่อบรรลุสมาบัติ
วิปสสนานั้นพระอรรถกถาจารยกลาวขึ้นวา หมูเสือยอมแอบจับหมู
เนื้อเปนอาหารแมฉันใด พุทธบุตรผูประกอบความเพียร บําเพ็ญเฝาดูอยางมี
สติ เฝ ากําหนดจดจ อต อเนื่ องไปตามฐานของกาย เวทนา จิ ต และธรรม
อยางตอเนื่องดวยความอดทนไมยอมลดละ นี้ก็เหมือนกัน เมื่อเขาไปสูปา
แลว ยอมยึดไวไดซึ่งผลอันอุดม๑๒
ตามธรรมดา สัตวทั้งหลายมีความเขาใจผิดๆ ในขันธ ๕ (กาย+ใจ)
การเสวยอารมณ การจําอารมณ การจัดแจงปรุงแตงในอารมณ การรูอารมณ
เหลานี้วา เปนของเที่ยง เปนสุข เปนตัวตน อยูภายใตบังคับบัญชา สวยงาม
ซึ่งลวนแตเปนความเห็น ความเขาใจไปในฝายวิปลลาส ที่เปนอกุศล เกี่ยวกับ
วิปลลาสธรรมนี้หาใชประกอบดวยวิ ปสสนาปญญาแตประการใดไม สว น
กุศลญาณสัมปยุตตที่ประกอบกับวิปสสนาปญญานั้น ยอมเห็นแจงในขันธ ๕
วาเปนอนิจจะ ทุกขะ อนัตตะ อสุภะ ดังนั้นจึงมี วจนัตถะวา “ปฺจกฺขนฺเธสุ
วิวิเธน อนิจฺจาทิอากาเรน ปสฺสตีติ วิปสฺสนา”๑๓
๑๑
เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตรพระพุทธศาสนา,หนา ๒๗๘.
๑๒
วิ.ม.อ. (ไทย) ๓/๒๕.
๑๓
วรรณสิทธิ ไวทยะเสวี, พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๙ กัมมัฏฐาน
สังคหวิภาค, หนา ๑๑.
๙๗๒
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ปญญาทีเ่ ห็นนาม-รูปไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตานี้ ยอมมีไดใน ๓
๑๔
โอกาส คือ
๑) สงฺขาปริคคฺ ณฺหนกวิปสฺสนา คือ วิปสสนาญาณที่มีการกําหนดรู
ในสังขารธรรม รูป นาม
๒) ผลสมาปตฺ ติ วิ ป สฺ ส นา คือ วิ ป ส สนาญาณที่เ ป น เหตุ ให เ ขาผล
สมาบัติได
๓) นิโรธสมาปตฺติวิปสฺสนา คือ วิปสสนาญาณที่เปนเหตุใหเขานิโรธ
สมาบัติได๑๕
๑. สังขารปริคคัณหนกวิปสสนา วิปสสนาญาณที่มีการกําหนดรูใน
สังขารธรรม คือ รูปนามและสังขารปริคคัณหนกวิปสสนานั้น ไมวาจะเปน
ชนิด มัน ทะ๑๖ หรื อติ กขวิป สสนาก็ตาม เมื่อเขาถึงความเป นวุฏ ฐานคามินี
วิปสสนา๑๗แลว ก็ยอมเปนเหตุใกลที่จะใหไดมรรคทั้งนั้น ตางกันก็เพียงแตวา
ได สํ าเร็ จ มรรคช าหรื อเร็ ว คื อ ถาวิ ป ส สนาเป น มัน ทะก็ให สํ าเร็ จ มรรคช า
มรรคนั้นเรียกวา ทันธาภิญญามรรค ถาวิปสสนาเปนติกขะก็ใหสําเร็จมรรค
เร็ว มรรคนั้นเรียกวา ขิปปาภิญญามรรค
๒. ผลสมาปตติวิปสสนา วิปสสนาญาณที่เปนเหตุใหเขาผลสมาบัติ
ได และผลสมาปตติวิปสสนานั้น จะตองเปนติกขวิปสสนา(การกําหนดเห็น
สภาวอยางชัดแจง) จึงจะเขาถึงผลสมาบัติได ทั้งนี้ ก็เพราะวาติกขวิปสสนานี้
เปนปจจัยชวยอุปการะใหผลจิตตุปบาทเกิดขึ้นได โดยไมตองอาศัยมรรคจิต
ตุปบาท (จิตที่ตื่นรูเต็มที่) เชนเดียวกันกับมรรคจิตตุปบาทในมรรควิถี เปน
ปจจัยชวยอุปการะใหผลจิตตุปบาทเกิด ๒-๓ ขณะ มุงหมายเอาเฉพาะผูที่
๑๔
เรื่องเดียวกันหนาเดียวกัน.
๑๕
ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๘๘๙, พระเมธีกิตโยดม, ธนิต อยูโพธิ์, วิสุทธิมรรค เลม
๓, พิมพครั้งที่ ๑ (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพวิญญาณ, ๒๕๔๑), หนา ๔๕๖.
๑๖
อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๔๖๔/๓๕๔.
๑๗
ม.มู.อ. (ไทย) ๑๘/๑/๒/๒๘๘-๓๑๕.
๙๗๓
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
เริ่มเขาผลสมาบัติใหมๆ เทานั้น ถาผูนั้นชํานาญในการเขาผลสมาบัติแลว แม
ทวิปสสนา (การกําหนดเห็นสภาวะทีไ่ มคอยชัด) ก็ไดเชนเดียวกัน
๓. นิ โ รธสมาป ตติ วิ ป ส สนา วิ ป สสนาญาณที่เ ป น เหตุ ให เ ขานิ โ รธ
สมาบัติได สวนนิโรธสมาปตติวิปสสนานั้นจะตองเปนวิปสสนากลางๆ จะ
เปนมันทะหรือติกขวิปสสนาอยางใดอยางหนึ่งไปไมได เพราะวานิโรธสมา
ปตติวิปสสนานี้ เปนวิปสสนาที่เกิดขึ้นสลับกันไปกับสมถะเรื่อยๆ ฉะนั้น จึงมี
ชื่อเรียกอีกอยางหนึ่งวา ยุคนัทธวิปสสนา
การบรรลุธ รรมของพระอริ ยบุ คคลขั้นแรกไปตามลําดับ จนถึงขั้น
สูงสุดตองอาศัยการทําไวในใจโดยอุบายอันแยบคายในลักษณะเดียวกันไป
ตามขั้นตอนถึง ๔ ขั้นก็ไดบรรลุพระอริยมรรคญาณขั้นสูงสุด คือพระอรหัตต
แตจะนําเนื้อหาที่ทานนํามาเขียนลงไวมาใหดูเพียงขั้นตอนแรกขั้นตอนเดียว
เพราะขั้ น ตอนต อ ไปก็ มี ลั ก ษณาการที่ เ หมื อ นกั น ทุ ก ประการซึ่ ง เป น การ
สนทนากันระหวางพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ และ พระมหาโกฏฐิต
เถระ ที่ไดสนทนากัน เมื่อครั้งที่พํานักอยูที่ปาอิสิปนตมฤคทายวัน มีใจความ
วา๑๘ทานพระมหาโกฏฐิตเถรเจา ไตถามถึงการบรรลุอริยธรรมวา
“ขาแตทานพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ภิกษุผูเห็นภัยในวัฏสงสาร
ควรจะกระทําธรรมเหลาไหนไวในใจ โดยอุบายอันแยบคาย”
ทานพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรมหาเถรเจาไดสดับขอปุจฉานั้น จึง
พลันมีเถรวาทีวิสัชนาวา “ดูกรทานมหาโกฏฐิตะ ภิกษุผูเห็นภัยในวัฏสงสาร
ผูได สดั บ แลว ควรกระทําอุปาทานขัน ธ ๕ ไว ในใจโดยอุบ ายอัน แยบคาย
โดยความเปนอนิจจัง คือความไมเที่ยง เปนทุกขัง คือเปนทุกข เปนดังโรค
เปนดังหัวฝ เปนดังลูกศร เปนความคับแคน เปนอาพาธ เปนของแปรปรวน
เปนของทรุดโทรม เปนอนัตตา คือเปนของสูญ เปนของไมใชตัวตน
อุปาทานขันธ ๕ เปนไฉน? อุปาทานขันธ ๕ คือ
๑. อุปาทานขันธ คือ รูป
๒. อุปาทานขันธ คือ เวทนา
๑๘
กรรมทีปนี เลม ๒ หนา ๓๔๐–๓๔๑
๙๗๔
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๓. อุปาทานขันธ คือสัญญา
๔. อุปาทานขันธ คือสังขาร
๕. อุปาทานขันธคือวิญญาณ
ดูกรทานมหาโกฏฐิตะ ภิกษุผูไดสดับแลว ควรกระทําอุปาทานขันธ
๕ เหลานี้ ไวในใจโดยอุบายอันแยบคาย โดยความเปนอนิจจัง คือความไม
เที่ยง เปนทุกขังคือเปนทุกข เปนดังโรค เปนดังหัวฝ เปนดังลูกศร เปนความ
คับแคน เปนอาพาธ เปนของแปรปรวน เปนของทรุดโทรม เปนอนัตตา คือ
เปนของสูญ เปนของไมใชตัวตน
ดูกรทานมหาโกฏฐิตะ ก็ขอนี้เปนฐานะที่พึงมีไดโดยแท คือภิกษุผูได
สดับแลว กระทําอุปาทานขันธ ๕ เหลานี้ไวในใจโดยอุบายอันแยบคายแลว
…พึงทําใหเเจงซึ่ง พระโสตาปตติผล”
๑.๒ ผลสมาบัติ
พระอรหันตทุกประเภทสามารถเขาสมาบัติเสวยอรหัตตผล อันเปน
การเสวยผลนิพพานในปจจุบันชาติตามกาลที่ปรารถนา และพระอริยบุคคล
ทุกระดับตั้งแตขั้นโสดาบัน จนถึงขั้นอรหันต ก็มีความสามารถเขาเสวยผล
สมาบัติได แตจะเขาไดตามลําดับขั้น คือ ถาเปนพระโสดาบันก็จะเขาเสวย
พระนิพพานในผลสมาบัติไดเฉพาะในขั้นต่ําสุด ถาเปนพระสกิทาคามี ก็จะ
เขาผลสมาบัติไดเฉพาะในขั้นของตนจะหวนกลับมาเขาขั้นต่ําลงมาหรือขั้น
สู ง ขึ้ น ไปกว า ขั้ น ของตนก็ ไ ม ไ ด พระอนาคามี แ ละพระอรหั น ต ก็ เ ป น
เชนเดียวกันคือจะเขาเสวยพระนิพพานในปจจุบันดวยการเขาผลสมาบัตินั้น
ก็จะมีโอกาสเขาไดเฉพาะในขั้นของตนที่ไดบรรลุถึงเทานั้น
๑.๓ นิโรธสมาบัติ
การเขานิโรธสมาบัติกับการเขาเสวยผลพระนิพพานในปจจุบันนั้น
คนละประเภทกัน เพราะวา การเสวยผลสมาบัตินั้นมีนิพพานเปนอารมณ
๙๗๕
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
แตการเขานิโรธสมาบัติ นี้จิต เจตสิกดับ และพระอริยบุคคลผูจะเขานิโรธ
สมาบัติไดนั้นมีกฏเกณฑอยู ดังนี้๑๙
บุคคลที่เปนปุถุชนอยู ยอมไมสามารถที่จะเขานิโรธสมาบัติได
พระโสดาบันอริยบุคคล ก็ยอมไมสามารถที่จักเขานิโรธสมาบัติได
พระสกิทาคามีอริยบุคคล ก็ยอมไมสามารถที่จักเขานิโรธสมาบัติได
พระอนาคามีอริยบุคคลที่เปนสุกขวิปสสกะก็ยอมไมสามารถที่จัก
เขานิโรธสมาบัติได
พระอรหันตอริยบุคคลที่เปนสุกขวิปสสกะก็ยอมไมสามารถที่จักเขา
นิโรธสมาบัติได
พระพรหมอนาคามีอริยบุคคลและพระพรหมอรหันตอริยบุคคล ซึ่ง
สถิตอยูในอรูปภพพรหมโลก ก็ยอมไมสามารถที่จักเขา นิโรธสมาบัติได ?
วิสัชนาวา พระอนาคามีอริยบุคคล และพระอรหันตอริยบุคคล ผูได
อัฏฐฌานสมาบัติ พระอนาคามีและพระอรหันตมหาขีณาสพ ผูไดบรรลุฌาน
สมาบัติทั้ง ๘ ซึ่งเปนผูประกอบดวยกําลังทั้ง ๒ คือ กําลังแหงสมถะ ๑ กําลัง
แหงวิปสสนา ๑ จึงจะสามารถเขานิโรธสมาบัติอันแสนประเสริฐได เพราะ
การเขานิโรธสมาบัติ ย อมจักปรากฏมีแกพระอริยบุคคลผูบริบูรณอยูดว ย
กําลั งแห งสมถะและกําลั งแห งวิ ป ส สนาเทานั้ น สมจริ งดั งคําที่กล าวไว ใน
คัมภีรวิสุทธิมรรควา
“ก็ทานผูใด พยายามอยูดวยอํานาจแหงสมถะอยางเดียว ทานผูนั้น
ยอมบรรลุถึงเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ แลวก็ดํารงอยูไดเพียงแค
เนวสั ญญานาสัญญายตนสมาบั ติ เ ทานั้ น และทานผู ใดพยายามอยู ด ว ย
อํานาจแหงวิปสสนาอยางเดียว ทานผูนั้นยอมบรรลุถึงผลสมาบัติ แลวก็
ดํารงอยูไ ดเพียงแคผลสมาบัติเทานั้น สวนทานผูใดพยายามอยูดวยอํานาจ
แห งสมถะและวิ ป ส สนาพร อ มเพรี ย งกัน ทั้ง ๒ ประการ ทานผู นั้ น ย อ ม
บรรลุถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะแลวยัง เนวสัญญานาสัญญายตนะให
ดับและสามารถเขาถึงนิโรธสมาบัติไดในฉับพลันนั้น” ดังนี้
๑๙
พระพรหมโมลี (วิลาศญาณวโร ป.ธ. ๙ ), กรรมทีปนี ,หนา ๔๑๔–๔๑๕.
๙๗๖
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๑.๔ การดับขันธเขาสูปรินิพพาน
นิพพานนั้นมีความหมาย ๓ อยาง คือ
๑. กิเลสนิพพาน หมายถึง การบรรลุอรหัตตมรรคญาณของพระ
อรหันต กิเลสนิพพานมีชื่อเรียกอีกอยางหนึ่งวา สอุปาทิเสสนิพพาน แปลวา
พระนิพพานที่ยังมีขันธ ๕ เหลืออยู หมายถึงพระนิพพานของพระอรหันตที่
ยังมีชีวิตอยู
๒. ขันธนิพพาน มีชื่อเรียกอีกอยางหนึ่งวา อนุปาทิเสสนิพพาน
แปลว า พระนิ พ พานที่ ไ ม มี อุ ป าทานขั น ธ ๕ เหลื อ อยู หมายถึ ง เป น พระ
นิ พ พานของพระอรหั น ต ที่ ดั บ ขั น เข า สู อ มตมหานิ พ พานแล ว นั้ น เอง
(มรณภาพ) ดับขันธเขาสูปรินิพพาน
ในเรื่องขันธนิพพานนี้ ทานไดเขียนพรรณนาถึงการนิพพานของพระ
พรหมที่เปนพระอรหันต ทั้งอยูในรูปภูมิ ๑๖ ชั้น และอยูในอรูปภูมิ ๔ ชั้น
เมื่อถึงเวลาสิ้นอายุพรหมแลวก็จะดับขันธปรินิพพานที่ชั้นของตน สวนเทวดา
ที่เปนพระอรหันตก็เชนกัน คือ จะตองเขาถึงการดับปรินิพพานในวิมานของ
ตน แตมีเวลากําหนดนิพพานตางกัน คือ ถาเปนเทวดาทั้ง ๕ ชั้น ไมนับชั้น
แรกคือจาตุมหาราชิกาแลว เมื่อบรรลุเปนพระอรหันตแลวก็ยอมจะดับขันธ
เขาสูปรินิพพานในวันนั้น ก็มีแตเทวดาชั้นแรกเทานั้นที่เมื่อบรรลุธรรมเปน
พระอรหันตแลว สามารถที่จะอยูจ วบจนถึงกาลอวสานแหงอายุไขยได
ถามวา ทําไมเทวดาจึงดับขันธปรินิพพานเร็ว?
ตอบวา เพราะบนสวรรคนั้นมีแตความสุขทางกามารมณ ไมมีที่สงัด
อันเปนสัปปายะสําหรับพระอรหันต แตที่เทวดาอรหันตชั้นจาตุมหาราชิกา
อยูไดนาน เพราะภพภูมิของทานอยูที่เดียวกับมนุษย สามารถแสวงหาที่สงัด
อันเปนสัปปายะแกการดํารงชีพของพระอรหันตผูสิ้นอาสวะแลวได
สวนการปรินิพพานของฆราวาสผูไดสําเร็จเปนพระอรหันตนั้น ทาน
ก็ไดยกเอาการดับขันธปรินิพพานของพระพุทธบิดามาแสดงใหเห็น พระเจา
สุทโธทนะนั้นกอนที่จะสวรรคต พระพุทธเจาไดเสด็จไปเทศนาใหฟงจนได
บรรลุ เ ป น พระอรหั น ต ใ นวั น นั้ น แล ว ก็ ดั บ ขั น ธปริ นิ พ พานในวั น นั้ น ด ว ย
๙๗๗
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
เพราะเพศแห งฆราวาสไมสามารถจะรองรั บความเป นพระอรหัน ตได ถา
ฆราวาสบรรลุ ธ รรมเป น พระอรหั น ต แล ว ไมได บ วชภายในวั น นั้น ก็จ ะต อง
สิ้นสุดชีวิตในวันนั้น และการปรินิพพานของพระอรหันตนั้น ทานยกเอาการ
ดับขันธเขาสูปรินิพพานในหลายลักษณะ เชน พระอรหันตยืนนิพพานแลว
อธิษฐานใหศพยกมือพนมหันหนาไปทางที่พระพุทธเจาประทับอยู คือพระ
นาลกะ พระอรหันตนั่งนิพพานแลวอธิษฐานใหไฟลุกไหมธาตุขึ้นเอง โดยไมมี
สวนเหลือ คือ พระพากุละมหาสาวก พระอรหันตนิพพานบนนภากาศแลว
อธิ ษ ฐานให พ ระธาตุ ต กลงมายั ง ฝ ง แม น้ํ า ทั้ ง สองฝ ง ให พ ระญาติ ไ ด นํ า ไป
สักการะ คือ พระอานนทพุทธอนุชา และการนิพพานของพระติสสอรหันต
ในศาสนาของพระพุทธเจาพระนามวากัส สัป ปะ ทานปรินิ พพานโดยการ
อธิษฐานจิตวาไมใหใครสามารถเคลื่อนยายสรีระทานได นอกจากบุรุษเข็นใจ
ที่ถวายทานแกทานกอนที่ทานจะไดบรรลุอรหัตตมรรคญาณ ๗ วัน เพื่อเปน
การสงเคราะหบุรุษเข็นใจ
ในการดั บ ขั น ธปริ นิ พ พานของพระอรหั น ต นั้ น จะต อ งเกิ ด มี
ปาฏิหาริยอยางใดอยางหนึ่ง ถึงแมพระอรหันตองคนั้นจะไมมีอิทธิฤทธิ์ ไมได
อธิษฐานอะไรไวในเวลาดับขันธปรินิพพาน ก็จะตองมีมนุษยหรือเทวดาเปนผู
อธิษฐานใหเกิดปาฏิหาริยเอง
๓. ธาตุนิพพาน หมายถึง ความดับไปโดยไมเหลือแหงพระบรม
สารีริกธาตุทั้งปวง ขององคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา ในกาลเมื่อศาสนา
ของพระองคไดเสื่อมถอยลงไปจนหมดสิ้นแลวโดยแทจริง พระพุทธเจามี
การเขาสูนิพพานถึง ๓ ครั้ง คือ
๓.๑ ครั้งตรัสรูที่ตนพระศรีมหาโพธิ์ ในตอนนั้นพระองคทรง
เขาถึงกิเลสนิพพานซึ่งเรียกวาเปน สอุปาทิเสสนิพพาน
๓.๒ ครังเมื่อพระองคเสด็จดับขันธปรินิพพานที่ปาสาละ เมือง
กุสินารา ซึ่งในตอนนั้นเปนการเสด็จดับขันธปรินิพพาน ที่เรียกวา อนุปาทิ
เสสนิพพาน
๓.๓ การนิพพานแหงพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัม
พุทธเจาซึง่ ยังไมมาถึง แตจะมีขึ้นกอนที่ศาสนาจะถึงกาลอวสาน หมายความ
๙๗๘
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
วา ในอนาคตขางหนาศาสนาของพระโคดมพุทธเจาจะคอยอันตรธาน เพราะ
มนุษยมีกิเลสมากยิ่งขึ้น ขั้นแรกนั้น พระปริยัติธรรมจะอันตรธานกอน ดวย
จะหาผูศึกษาธรรมคําสอนของพระพุทธเจาไมมี เมื่อคําสอนของพระพุทธ
องคอันตรธานไป ผูที่บวชเขามาก็ไมรูวาจะปฏิบัติธรรมอยางไร เพราะหา
อาจารยผูบอกแนวทางปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธเจาไมได ผูที่จะบรรลุ
ธรรมเปนพระอริยบุคคลจึงหมดไป เมื่อไมมีผูปฏิบัติถูกทางตามอริยมรรคมี
องค ๘ ที่ พ ระพุ ท ธองค ไ ด ต รั ส ไว แ ล ว การบรรลุ คุ ณ วิ เ ศษก็ จ ะหมดไป
หลังจากนั้นก็จะเกิดมีโคตรภูสงฆขึ้น
โคตรภูสงฆ คือ พระภิกษุทั้งหลายในสมัยนั้น จะไมมีศีลาจารวัตร
อันดีงาม และเกิดความเบื่อหนายการนุงหมจีวรรุงรัง ก็จะตัดเฉพาะชิ้นสวน
ของจีวรมาผูกที่แขน เพื่อแสดงใหเห็นวาเปนพระในพระพุทธศาสนาเทานั้น
แลวก็จะมีเมียมีลูก และทํามาหากินเองดวยการทําไร ทํานา คาขาย ไมตาง
อะไรจากฆราวาส สมดังทีไ่ ดตรัสกับพระอานนทเถระวา
“ดูกรอานนทสืบไปในอนาคตกาล จะมีภิกษุสงฆซึ่งทรงสมณบริขาร
และไตรจี วร มิจ ะมีก็แต โคตรภู สงฆ ซึ่งทรงผากาสาวพัสตรแต เพียงนิ ด
หนอย โดยผูกพันไวที่ขอมือและที่คอ พอเปนเครื่องหมายใหรูวาตนเปน
ภิกษุเทานั้น ก็โ คตรภูส งฆนั้นเป นภิกษุที่มีอาจาระเลว มีความประพฤติ
หยาบชาลามก หาสีลาจารวัตรมิได หากบุคคลใดประกอบไปดวยศรัทธา
ปรารถนาจะกระทํากองการกุศลใหไดผลมาก ก็จงตั้งจิตอุทิศตอสงฆทําให
เปนสังฆทาน แลวจงใหซึ่งทักษิณาทานแกคนทั้งหลายซึ่งไดนามวา เปน
โคตรภูสงฆนั้น เชนนี้เราตถาคตสรรเสริญ วา ทานของบุคคลนั้นยอมเปน
ทานที่ ถ วายแก ส งฆ เ ป น สั ง ฆทานแท เ ที่ ย งที่ จ ะนํ า มาซึ่ ง ผลานิ ส งส เ ป น
อสงไขยเปนอัปไมย” ดังนี๒๐ ้
๒. นิโรธสมาบัติ ในตําราวิชาการยุคปจจุบัน
๒.๑ ทัศนะของพระภัททันตะ อาสภมหาเถระ
๒๐
พระพรหมโมลี, กรรมทีปนี, เลม ๒ หนา ๕๕๒–๕๕๓
๙๗๙
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
พระภัททันตะอาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริ
ยะ เป น พระภิ ก ษุ ช าวพม า ที่ มี ค วามรู ค วามชํ า นาญในหลั ก คํ า สอนของ
พระพุทธศาสนาเปนอยางดี
นิโรธสมาบัติมีอยูในหนังสือ "วิปสสนาทีปนีฎีกา" เปนหนังสือที่แตง
ขึ้นเพื่อประกอบการสอนวิปสสนากัมมัฏฐาน เนื้อหาเปนการอธิบาย "การ
ปฏิบัติวิปสสนากัมมัฏฐานตามแนวคัมภีรอภิธรรมมัตถสังคหะ"๒๑
เรื่อง "นิโรธสมาบัติ" ในหนังสือวิปสสนาทีปนีฎีกามีขอความที่ระบุ
ถึงขั้นตอนการเขานิโรธสมาบัติไว โดยแสดงเปนลําดับขั้นตอน เริ่มจาก
ปฐมฌาน พิจารณาในฌานนั้น ทําเชนนี้กับทุกฌาน จนถึงอากิญจัญญายตน-
สมาบัติ แลวออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติจึงกระทําบุพพกิจ มีการ
อธิษฐานเปนตน แลวจึงเขาสูเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เกิดการสืบตอ
ของจิตในอัปปนาชวนะ ๒ ขณะแลวดับลง ในขณะที่ออกจากนิโรธสมาบัติ
นั้น อนาคามิผลจิตของพระอนาคามีเกิด และอรหัตตผลจิตของพระอรหันต
เกิดขึ้นเพียง ๑ ขณะ
มีการวิเคราะหความหมายตามรากศัพท ปรากฏในคัมภีรวา "นิ
รุชฺฌนํ = นิโรธ, สมาปชฺชนํ = สมาปตฺติ, นิโรธสฺส สมาปตฺติ = นิโรธสมา
ปตฺติ"๒๒ความดับของจิตและเจตสิกเรียกวานิโรธ ในขณะที่มีนิโรธนี้จิตตชรูป
ไมเกิด การเขาหรือการลงมือทําความเพียรเพื่อวิถีดับเรียกวา สมาบัติ
การเขานิโรธ จิตใจหยุดทํางาน รูปนามใหมไมมีเกิด คือ จิต เจตสิก
และจิตตชรูปดับหมดสิ้น มีสภาพคลายๆ นิพพานชั่วคราว สามารถอยูใน
นิโรธสมาบัติไดนานถึง ๗ วัน "และมีการอางอิงคาถาจากธรรมบทในประเด็น
ของญาณเบื่ อหน ายรู ป นาม อัน เป น การเกิด ดั บ ของสั งขารธรรมของพระ
๒๑
พระภัททันตะ อาสภะมหาเถระ, วิปสสนาทีปนีฎีกา, (กรุงเทพมหานคร :
ม.ป.ป., ม.ป.ท.), หนา ๒๕๘.
๒๒
เรื่องเดียวกัน, หนา ๒๕๐. ๑๕๙
๙๘๐
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
อริยะในการเขานิโรธสมาบัติ คือ "อุทฺยพฺพยา สงฺขาเร อุกกณฺฐิตฺวาน
โยนิโส สุขํ วิหริสฺสามาติ สมาปชฺชนฺติ สุข"ํ ๒๓
มีการจําแนกวิถีจิตออกเปนขณะๆ เพื่อใหเห็นพฤติการณที่ดําเนิน
ไปของจิตตลอดกระบวนการในการเขานิโรธสมาบัติ โดยแสดงไววา ในขณะ
ที่จะเขานิโรธสมาบัตินั้น ฌานของพระอนาคามีที่เกิดจะเปนกุศลฌาน ผลก็
จะเปนอนาคามิผล สวนในพระอรหันตก็จะเปนกิริยาฌาน ผลก็จะเปน
อรหัตตผลจิต เหตุใกลของสมาบัติ คือ นิโรธสมาบัตินี้เปนผลของฌานและ
สมาบัติที่ประกอบดวยปญญา ซึ่งผลสมาบัตินี้เปนอานิสงสของวิปสสนา
ภาวนา และอภิญญานี้เปนผลของโลกียฌานสมาธิ
ในหนั ง สื อ วิ ป ส สนาที ป นี ฎี ก า ได แ สดงรายละเอี ย ดเรื่ อ งของ
ระยะเวลาในการเขานิโรธสมาบัติสําหรับมนุษยไววา เงื่อนใขอันเปนขอจํากัด
เรื่องระยะเวลาที่สามารถเขานิโรธสมาบัติไดเพียง ๗ วันนั้น เพราะในโลก
มนุษย อาหารที่กินเขาไปใน ๑ มื้อสามารถหลอเลี้ยงชีวิตไดนานที่สุดเพียง
เทานั้น หากในพรหมโลกผูเขานิโรธสมาบัติสามารถเขานิโรธสมาบัติไดนาน
ตราบเทาที่ปรารถนา ไมมีขอจํากัดของเวลา เพราะไมมีปญหาเรื่องอาหาร
หลอเลี้ยงรางกาย สวนประเด็นของนิโรธสมาบัติที่ไดมีการถกเถียงกันวาเปน
สังขตะหรืออสังขตะ เปนโลกียะหรือโลกุตตระนั้น คัมภีรวิสุทธิมรรคอธิบาย
วา เปนนิปผันนะ เปนการจําแนกไปตามลักษณะ สภาวะของแตละอยาง วา
จัดเขาพวกหรือไม เมื่อสิ่งใดไมเขาลักษณะก็ตกไปทีละอยาง แลวคงเหลือ
ลักษณะที่ไมชัดเจนไว ปรากฏอยูในความเปนนิปผันนะ"๒๔
๒.๒ ทัศนะของพระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ เปนพระภิกษุชาวพมาที่มีความรู
ความชํานาญในหลักธรรมคําสอนของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะความรูใน
พระอภิธรรม ทานปฏิบัติหนาที่เผยแผพระพุทธศาสนาดานการสอนพระ
อภิธรรมในประเทศไทย ไดแตงตําราเพื่อการศึกษาพระอภิธรรมไวครบทุก
๒๓
พระภัททันตะ อาสภะมหเถระ, วิปสสนาทีปนีฎีกา, หนา ๒๕๒.
๒๔
เรื่องเดียวกัน, หนา ๒๔๙ - ๒๕๘.
๙๘๑
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ระดับชั้นเรียน คือ "คัมภีรปรมัตถโชติกะ"๒๕ ทัศนะเรื่องนิโรธสมาบัติมี
ปรากฏอยู ในคัมภี ร ป รมัต ถโชติ กะปริ เฉทที่ ๔ วิถีสั งคหะ ซึ่งระบุ ถึงนิ โ รธ
สมาบัติในเรื่อง "รูปวิถีในนิโรธสมาบัติ" อธิบายความเปนไปในขั้นตอนการ
เขานิโรธสมาบัติและขั้นตอนการออกนิโรธสมาบัติไววา นิโรธสมาปติวิถีนั้น..
๑. วาโดยบุคลล เกิดแกบุคคล ๒ จําพวก คือ พระอนาคามีบุคคล
และ พระอรหันตบุคคลผูไดสมาบัติ ๘ หรือ ๙
๒. วาโดยภูมิ เกิดไดใน ๒๒ ภูมิ คือ กามสุคติภูมิ ๗ รูปภูมิ ๑๕ (เวน
อสัญญสัตตภูมิ)
๓. วาโดยองคธรรม ภวังคแรกและภวังคหลัง ไดแก ติเหตุกโวการ
ภวังคจิต ๙ สวนวิถีจิตเหลานั้นไดแก มโนทวาราวัชชนจิต ๑ มหากุศลญาณ
สัมปยุตตอุเบกขา ๒ มหากิริยาญาณสัมปยุตตอุเบกขา ๒ เนวสัญญานา
สัญญายตนกุศลจิต ๑ กิริยาจิต ๑ อนาคามิผลจิต ๑ และอรหัตตผลจิต ๑
ตามสมควรแกบุคคล
๔. วาโดยอารมณ ภวังคแรกและภวังคหลังที่เปนติเหตุกามภวังคจิต
๔ และ รูปภวังคจิต ๕ มีอารมณเชนเดียวกันกับปาทกฌานวิถี สําหรับวิถีจิต
ทั้งหมดที่อยูในวิถีนี้ มโนทวาราวัชชนจิต ๑ มหากุศลญาณสัมปยุตต อุเบกขา
๒ มหากิริยาญาณสัมปยุตตอุเบกขา ๒ เนวสัญญานาสัญญายตนกุศลจิต ๑
กิริยาจิต ๑ มีมหัคคตปฏิภาคนิมิตของอากิญจัญญายตนฌานเปนอารมณ
สวนอนาคามิผลจิต ๑ และอรหัตตผลจิต ๑ ที่เกิดขึ้นในขณะออก
จากนิโรธสมาบัติแลวนั้นมีพระนิพพานเปนอารมณ
บุพพกิจกอนการเขานิโรธสมาบัติ
พระอนาคามีบุคคลหรือพระอรหันตบุคคลกอนจะเขานิโรธสมาบัติ
ตองเขาปฐมฌานกอน เมื่อออกจากปฐมฌานแลว ก็พิจารณาปฐมฌานจิต
และเจตสิกที่ดับไปแลว โดยความเปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แลวจึงเขา
๒๕
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๔ วิถีสังคหะ,
พิมพครั้งที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร : หจก. ทิพยวิสุทธิ,์ ๒๕๔๗), หนา ง.
๙๘๒
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ทุติยฌานเปนตน จนถึงวิญญาณัญจายตนฌานตามลําดับโดยทํานองเดียวกัน
นี้ เมื่อออกจากทุติยฌานเปนตน จนถึงวิญญาณัญจายตนฌานตามลําดับแลว
ต อ งพิ จ ารณาฌานจิ ต และเจตสิ ก ที่ ดั บ ไปแล ว นั้ น โดยความเป น
อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาทุกๆ ฌานเสมอไปแลวจึงเขาอากิญจัญญายตน
ฌาน เมื่อออกจากอากิญจัญญายตนฌานแลว ไมตองเจริญวิปสสนา แตตอง
ทําบุพพกิจ ๓ อยางนี้ (ในสมัยนี้ ยกเวนสัตถุปกโกสนะ คือ การอธิษฐานจะ
ออก เมื่อเวลาที่พระพุทธองคตองการพบตัว) คือ
๑. นานาพัทธอวิโกปนะ คือ การอธิษฐานวาใหบริขารตางๆ พนจาก
อันตราย
๒. สังฆปฏิมานนะ คือ การอธิษฐานวาเมื่อสงฆประชุมกัน ขอให
ออกจากนิโรธสมาบัติทันเวลาประชุมสงฆ
๓. อัทธานปริเฉทะ คือ การอธิษฐานกําหนดตรวจดูชีวิตของตนวา
จะตั้งอยูไดนานกวา ๗ วันหรือหลายเดือนหลายปก็ไมมปี ญหาแตอยางใด แต
ถาหากวาชีวิตของตนไมอาจดํารงอยูไดตลอดไปจนครบกําหนด ๗ วันแลว
เมื่อบุคคลนั้นยังเปนพระอนาคามีอยู ก็จะพิจารณาวาไมควรเขานิโรธสมาบัติ
แต ควรเจริ ญวิ ป ส สนาเพื่อบรรลุ อ รหั ต ผลดี ก ว า แต ถา บุ คคลนั้ น เป น พระ
อรหันตก็ควรพิจารณาวาควรเขานิโรธสมาบัติ แตตองอธิษฐานกําหนดเวลา
เขานั้นใหนอยลง โดยออกกอนหนาจะปรินิพพาน ทั้งนี้เพื่อวาจะไดมีเวลา
กลาวอําลาแกเพื่อนสหธรรมิกดวยกัน
อนึ่งในบุพพกิจทั้ง ๓ อยางนั้น นานาพัทธอวิโกปนะและสังฆปฏิ
มานนะทั้ง ๒ นี้ไมตองอธิษฐานก็ได แตสําหรับอัทธานปริเฉทะจําเปนตองทํา
เมื่ออยูในมนุสสภูมิ แตในรูปภูมิไมตองทําเลยก็ได แตอัทธานปริเฉทะ(การ
อธิษฐานกําหนดเวลาเขา) เมื่อทําบุพพกิจ ๓ อยางเสร็จเรียบรอยแลวก็เขา
เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนฌานก็เกิดขึ้น ๒
ขณะ ตอจากนั้น จิต เจตสิก และจิตตชรูปก็ดับลง คงมีแตกัมมชรูป อุตุชรูป
และอาหารชรูปเกิดอยู เปนอันวาสําเร็จการเขานิโรธสมาบัติทุกประการ
บุคคลที่สามารถเขานิโรธสมาบัติได ไดแก พระอนาคามีบุคคลและพระ
อรหันตบุคคลที่ไดฌานสมาบัติ ๙ (ปญจกนัย) ในกามสุคติภูมิ ๗ และรูปภูมิ
๙๘๓
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๑๕ (เวนอสัญญสัตตภูมิ) ในขณะที่กําลังเขานิโรธสมาบัติอยู เมื่อมีอันตราย
เกิดขึ้น อันตรายตางๆ เหลานั้นมิอาจที่จะทําลายชีวิตของบุคคลเหลานี้ได
และการที่อันตรายตางๆ มิอาจทําลายชีวิตของบุคคลเหลานี้ไดนั้น ก็เพราะ
ดวยอํานาจแหงสมาธิวิปผาราฤทธิ สมาธิวิปผาราฤทธิ คือสมาธิที่แผซึม
ซาบทั่วไปในรางกายของบุคคลผูเที่เขานิโรธสมาบัติอยู
ความเปนไปของรูปวิถีในขณะเขานิโรธสมาบัติ..
๑. จิตตชรูป เมื่อพระอนาคามีบุคคลหรือพระอรหันตบุคคลได
เขาฌานสมาบัติ ๘ หรือ ๙ ตามลําดับ เนวสัญญานาสัญญายตนฌานจิต
เกิดขึ้น ๒ ขณะก็จะเขาถึงนิโรธสมาบัติ และนับตั้งแตขณะนั้นเปนตนไป จิต
เจตสิกดับลงหมด จิตตชรูปไมเกิดขึ้นอีกจนกระทั่งออกจากนิโรธสมาบัติ ซึ่ง
พฤติการณของจิตจําแนกออกไปได ๓ ขณะ คือ
๑) อุปปาทขณะ คือ ขณะที่กําลังเกิด
๒) ฐีติขณะ คือ ขณะที่ตั้งอยู
๓) ภังคขณะ คือ ขณะที่จิตกําลังดับ จิตตชรูปเดิมทั้ง ๑๗ กลาปก็
จะดับลงตามลําดับ
๒. จิ ต ตปจ จยอุตุชรู ป จิ ต ตป จ จยอุตุช รู ปมีพฤติ การณเป น ไป
เชนเดียวกับจิตตชรูปทุกประการ เพียงแตวาการเกิดขึ้นนั้นเหลื่อมกัน ๑
ขณะเทานั้น จิตตปจจัยอุตุชรูปก็ดับลงหมดจนกระทั่งออกจากนิโรธสมาบัติ
๓. อุตุปจจยอุตุชรูป อุตุปจจยอุตุชรูปเปนผลมาจากจิตตปจจยอุตุช
รูป เมื่อจิต ตปจ จยอุตุช รูปมีการเปลี่ย นแปลง อุตุ ปจจยอุตุชรู ปย อมมีการ
เปลี่ยนแปลงตามไปดวย อุตุปจจยชรูปจะลดจํานวนกลาปลงเมื่อถึงภังคะ
ขณะของจิตดวงที่ตอจากฌานจิตดวงที่ ๒ ซึ่งจะลดลงเหลือ ๔๕๙ กลาป ซึ่ง
เปนผลมาจากกัมมปจจยอุตุชรูป และอาหารปจจยอุตุชรูป และจะมีจํานาน
เทานี้เรื่อยไปจนกวาจะออกจากนิโรธสมาบัติ โดยที่กัมมชรูป อาหารชรูป
กัมมปจจยอุตุชรูป อาหารปจจยอุตุชรูปยังคงมีอยูตามเดิม ไมเปลี่ยนแปลง๒๖
๒๖
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริเฉทที่ ๔ วิถีสังคหะ,
พิมพครั้งที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร : หจก. ทิพยวิสุทธิ,์ ๒๕๔๗), หนา ๑๗๘ - ๑๗๙.
๙๘๔
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ความเปนไปของรูปวิถี ในขณะออกนิโรธสมาบัต.ิ .
๑. จิตตชรูป เมื่อพระอนาคามีบุคคลหรือพระอรหันตบุคคลออก
จากนิโรธสมาบัติ อนาคามิผลจิตหรืออรหัตตผลจิตเกิดขึ้นหนึ่งดวงแลวก็ดับ
ลง ตอจากนั้นจิตก็เปนภวังค ซึ่งภวังคนี้ไมสามารถระบุไดแนชัดวาเกิดมาก
นอยเพียงใด แตจะเปนอยูเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งแลวจิตก็จะขึ้นสูวิถีใน
ลําดับถัดไป ในขณะที่ผลจิตเกิดขึ้นในอุปปาทักขณะ จิตตชรูปก็เกิดขึ้นและ
ตั้งอยูจนครบอายุ คือ ๑๗ กลาป เปนเชนนี้เรื่อยไปทุกขณะของจิต
๒. จิตตปจจยอุตุชรูป จิตตปจจยอุตุชรูปมีพฤติการณ เปนไปเชน
เดียว กับจิตตชรูปทุกประการเพียงแตวาการเกิดขึ้นนั้นเหลื่อมกัน ๑ ขณะ
เทานั้น เมื่อจิตตปจจยอุตุชรูปเกิดขึ้นที่ อุปปาทักขณะของผลจิต จิตตปจจย
อุตุชรูปยอมจะเกิดขึ้นที่ฐีติขณะของผลจิตเชนเดียวกันและเพิ่มจํานวนขึ้นจน
ครบ ๑๗ กลาป และคงมีจํานวนเทานี้เรื่อยไป
๓. อุตุปจจยอุตุชรูป อุตุปจจยอุตุชรูปเปนผลมาจากจิตตปจจยอุตุช
รูป เมื่อจิตตปจจยอุตุชรูปเกิดขึ้นที่ฐีติขณะของผลจิต อุตุปจจยอุตุชรูปยอมมี
การเพิ่มขึ้นที่ภังคักขณะของผลจิต เรื่อยไปจนมีจํานวน ๔๗๖ กลาป และจะ
มีจํานานเทานี้เรื่อยไป จนกวาจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยกัมมชรูป อาหารชรูป
กัมมปจจยอุตุชรูป อาหารปจจยอุตุชรูปยังคงมีอยูตามเดิมไมเปลี่ยนแปลง๒๗
การแสดงทัศนะของพระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะนี้ ใชรูปแบบ
คําภี ร อภิ ธั มมั ต ถสั งคหะของพระอนุ รุ ทธาจารย เ ป น ต น แบบ" ๒๘ จํ า แนก
เนื้อหาในการเรียนรูใหเขาใจไดงาย
๒.๓ ทัศนะของพระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระพรหมคุ ณ าภรณ เ ป น พระภิ ก ษุ เ ถระชาวไทยที่ มี ผ ลงานด า น
ศาสนาเปนทีย่ อมรับทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ทานไดแสดงทัศนะ
เรื่องนิโรธสมาบัติไวในหนังสือพุทธธรรม ซึ่งไดแสดงขอมูล บทวิเคราะห
๒๗
ดูรายละเอียดใน พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริเฉทที่
๔ วิถีสังคหะ, หนา ๑๗๔ - ๑๗๕.
๒๘
ดูรายละเอียดใน เรื่องเดียวกัน, หนา ง - จ.
๙๘๕
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
เปรี ย บเที ย บเหตุ ก ารณ ใ นพระสู ต รที่ เ กี่ ย วข อ งไว อ ย า งน า สนใจในหลาย
ประเด็น ประเด็นหนึ่งที่เปนขอมูลสําคัญของการศึกษาเรื่องนิโรธสมาบัตินี้มา
จากการตั้ ง ข อ สั ง เกตในการวิ เ คราะห เ หตุ ก ารณ ใ นราตรี ต รั ส รู เ ป น
พระพุทธเจา"๒๙ แสดงใหเห็นถึงความสําคัญของนิโรธสมาบัติในฐานะเปน
พยานการตรัสรูของพระพุทธเจาดวย "การสัมผัสวิโมกขอันละเอียดของ
บุคคลผูเขานิโรธสมาบัติ"๓๐ เนื่องดวยสภาวะธรรมที่เปนการดับลงของนาม
ขันธ ๔ คือ วิญญาณ สังขาร สัญญา และเวทนานั้น เปนสภาพที่สงบปลอด
จากการรบกวนของกิเลสที่เกิดจากการเบียดเบียนของขันธ ๕ สภาวะนี้จึงดู
เหมือนจะเปนความสุขโดยปริยาย เพราะปราศจากความบีบคั้นทั้งปวง จึง
เปนสภาวะหนึ่งที่ทําใหผูบรรลุธรรมขั้นสูงใชเปนที่พักผอน หรือที่เรียกว า
ทิฏฐธรรมสุขวิหาร สภาวะเชนนี้พระพรหมคุณาภรณกลาววา "มีสภาพ
คลายนิพพานหรือเปนนิพพานในปจจุบัน"๓๑ ของผูที่ยังมีขันธ ๕ อยู เปนสอุ
ปาทิเสสนิพพาน
ในหนังสือพุทธธรรม เนื้อหาบางสวนมีความเกี่ยวของกับเรื่องนิโรธ
สมาบัติและขอบเขตของเนื้อหาที่ไดกลาวไว ๕ ประเด็น คือ
๑. นิโรธสมาบัติในเหตุการณราตรีตรัสรูเปนพระพุทธเจา
๒. สภาวะของนิ โรธสมาบัติ ที่มีสภาพแห งความดั บลงของสังขาร
ธรรม คลายกับพระนิพพาน
๓. การบรรลุธรรมที่เกี่ยวของกับนิโรธสมาบัติ ในกรณีพระสารีบุตร
๔. พระอรหันตประเภทตางๆ ที่บรรลุอรหัตผลตางกัน และพระ
อรหันตบางจําพวกมีความสัมพันธกับนิโรธสมาบัติ
๕. การใชนิโรธสมาบัติเปนที่พักผอนอันประเสริฐ คือ ทิฏฐสุขวิหาร
๒๙
พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับขยายความ, พิมพครั้งที่
๑๑, (กรุงเทพมหานคร : ๒๕๔๖), หนา ๓๓๒ - ๓๔๒.
๓๐
พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับขยายความ, หนา ๒๘๙.
๓๑
เรื่องเดียวกัน, หนา ๓๑๖.
๙๘๖
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
การแสดงทัศนะของพระพรหมคุณาภรณตอประเด็นเหลานี้ลวนเปน
เรื่องเกี่ยวกับหลักธรรมจากพุทธพจนทั้งสิ้น ผูวิจัยไมพบการอางอิงถึงมติของ
ความขัดแยงที่เปนความเห็นตางเนื่องจากการตีความที่คลาดเคลื่อนของภิกษุ
ฝายธรรมวาทีและฝายอธรรมวาที อยางกรณีที่มีปรากฏอยูในคัมภีรยุคของ
การจัดทําตติยสังคายนาเลย เนื้อหาหลักธรรมที่เกี่ยวกับเรื่องนิโรธสมาบัตินี้
พระพรหมคุณาภรณจะแสดงเพียงสวนที่มีปรากฏในชั้นของพุทธพจนและ
สาวกพจนเปนขอมูลหลักเทานั้น
๒.๔ ทัศนะของเสถียร โพธินันทะ
เสถียร โพธินันทะ เปนนักวิชาการพระพุทธศาสนาที่มีความชํานาญ
ในดานประวัติศาสตรของพระพุทธศาสนา ไดวิพากษประเด็นปญหาเกี่ยวกับ
เหตุการณในพระพุทธศาสนาเรื่องสภาวธรรมของนิโรธสมาบัติก็เปนประเด็น
หนึ่งทีเ่ กิดเปนปญหา และไดยุติลงในชวงสังคายนาครั้งที่ ๓
เสถียร โพธินันทะไดแสดงทัศนะวิพากษโดยอาศัยฐานขอมูลจาก
ฝายเถรวาทและฝายมหายาน ในหนังสือ "ประวัติศาสตรพระพุทธศาสนา"
แยกเปนกรณี ดังนี้
๑) กรณีเห็นขัดแยงเรื่อง "นิโรธสมาบัติเปนสังขตธรรมหรือไม?" มี
ทัศนะที่ไมตรงกันของฝายเถรวาทกับฝายอันธกะ ที่มีขอความระบุวา
นิโรธสมาบัติก็เปนอสังขตะ "นิโรธสมาปตฺติ อสงฺขตาติ" แตมติฝาย
เถรวาทไมยอมรับวา นิโรธสมาบัติเปนอสังขตะ
นิโรธสมาบัตินี้มีชื่อเรียกอีกอยางหนึ่งวา สัญญาเวทยิตนิโรธ คือ
เป น สมาบั ติ ซึ่ง ดั บ สั ญ ญาและเวทนาอย า งเด็ ด ขาด สู งกว า เนวสั ญญานา
สัญญายตนสมาบัติ ซึ่งดับสัญญาและเวทนาไมสนิท นิโรธสมาบัติเปนสมาบัติ
พิเศษมีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเทานั้น ผูที่จะเขาสมาบัตินี้ไดจะตองเปน
พระอนาคามีและพระอรหั นตประเภทอุภโตภาควิมุต ติ พรั่งพร อมดว ย
อภิญญา ๖ จึงเขาได พระอรหันตประเภทปญญาวิมุตติหาเขาไดไม ทั้งนี้
เพราะการเขานิโรธสมาบัติตองเขารูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ ตามลําดับ พรอม
กับ มีวิ ปส สนาญาณพิจ ารณากํากับ ทุกฌานไป เมื่อออกจากเนวสัญญานา
๙๘๗
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
สัญญายตนฌานแลวก็เขานิโรธสมาบัติ จิตถึงธรรมชาติความดับสนิท เจตสิก
มีเวทนา สัญญาเปนตนก็ดับ คงเหลือแตอายุ รูปชีวิตนทรีย และไออุนเทานั้น
ที่ตางจากคนตาย นอกนั้นเปนดุจคนตายทุกประการ ฝายเถรวาทถือวา
นิโรธสมาบัตินี้ดับสนิทไมมีการสืบสันตติ จึงบัญญัติไมไดวาเปนสังขตะ๓๒
๒) กรณีทเี่ ห็นขัดแยงกันประเด็น "นิโรธสมาบัติและอสัญญาสมาบัติ
เปนสภาวะหนึ่งที่เปนอยูอยางเอกเทศ" ของฝายสรวาสติวาทิน มีขอความ
ระบุวา
จิตตวิปยุตตสังขารธรรม ๑๔ ไดแกปตติ อปตติ สภาคตา ชีวิตินทรีย
ชาติ ฐิติ ชรา อนิจจา อสัญญีผล อสัญญีสมาบัติ นิโรธสมาบัติ นามกาย
พยัญชนกาย นิกายสรวาสติวาทิน ไดประดิษฐสภาพซึ่งเปนสังขาร แตก็ไมใช
จิตสัมปยุตต ทั้งไมใชรูปธรรม ขึ้น เรียกวา จิตตวิปยุตตสังขาร เชน สภาวะที่
ไดเรียกวาปตติ ในบาลีหรือเรียกวา ปฺราปฺติ ในสํสกฤต คือ สภาพที่เราได
ปญญา ไดกุศล ไดอกุศล ฯลฯ สภาพที่ไดจึงตองมีอยูโดยเอกเทศอันหนึ่ง
สวนสภาพใดที่ตรงกันขามกับสภาพได สภาพนั้นเรียกวา อปตติ (อปฺราปฺติ)
ฝายสรวาทติวาทินบอกวา มีสภาวะเอกเทศตางหากจากจิตใจและวัตถุ๓๓
๓) กรณีที่เห็นขัดแยงกันประเด็นวา "นิโรธสมาบัติและอสัญญา
สมาบัติปราศจากจิต" ระหวางฝายเถรวาทและฝายสรวาสติวาทิน มีขอความ
ระบุวา ถือวาในนิโรธสมาบัติและอสัญญีสมาบัติปราศจากจิต ฝายสรวาสติ
วาทินแถลงเหตุผลเชนเดียวกับฝายเถรวาท วา สมาบัติทั้งสองไมมีจิตเปนที่
ดับแหงเวทนาและสัญญา ตางกันแตฝายอสัญญีสมาบัติเปนของฝายปุถุชน
นิโรธสมาบัติเปนของพระอริยเจา ฝายอสัญญีสมาบัติยังเปนสาสวธรรม เปน
ธรรมเนื่องดวยภพ สวนนิโรธสมาบัติตรงกันขาม๓๔
๔) กรณีที่เห็นขัดแยงกันประเด็นวา "นิโรธสมาบัติและอสัญญา
สมาบัติวายังมีจิตอยู" ระหวางฝายเสาตรันติกวาทิน มีขอความระบุวา
๓๒
เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตรพระพุทธศาสนา, หนา ๒๗๘.
๓๓
เรื่องเดียวกัน, หนา ๓๑๔.
๓๔
อางแลว, หนา ๓๓๘.
๙๘๘
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ถือวาในนิโรธสมาบัติและอสัญญีสมาบัติก็มีจิตอยู ทั้งนี้เพราะเหตุผล
วา ไมมีสมาบัติใดที่ปราศจากจิตแลวเรียกสมาบัติ เชนเดียวกันกับไมมีสัตวใน
ภพภูมิใดที่ปราศจากรูป แลวเรียกวาสัตว อนึ่ง ถาถือตามมติของฝายเถรวาท
และฝายสรวาสติวาทินที่วา สมาบัติทั้ง ๒ ปราศจากจิตเลยไซร เวลาออก
จากสมาบัติ จิตปรากฏขึ้นจิตดวงนี้มีรากฐานมาจากไหน หรือวาจูๆ ก็โผล
ขึ้นมาเฉยๆ อยางไมมีปมีขลุย และในระหวางที่อยูในสมาบัติ ผลกรรมวิบาก
ตางๆ ที่ทําๆ ไวแตปางกอนๆ ไปอยูเสีย ณ ที่ใด โดยเหตุผลดังกลาวมาจึง
ตองถือวาในสมาบัติทั้ง ๒ จิตหาดับไม หากแตไมสําแดงพฤตติเทานั้น สิ่งที่
ดับไปก็เพียงเวทนา สัญญา สังขารเทานั้นเอง อนึ่ง ถาปราศจากจิตเสีย
ชีวิติ นทรียก็พึงถึงกาลสลายไปดว ย กลายเป นมรณะไป จักชื่อว าอยูใน
สมาบัติไมได คณาจารยเสาตฺรนฺติกวาทินรุนตอมา เชน พระศิริลัพธะถือวา
ในนิโรธสมาบัติยังมีพฤตติเปนไปอยู ในคัมภีรมหายานกรรมสิทธิ์ศาสตรของ
ฝายมหายานปรากฏขอความตอนหนึ่งวา จิตที่ยังมีพฤตติในนิโรธสมาบัติ คือ
มโนวิญญาณนั่นเอง คณาจารยฝายเสาตฺรนฺติกอีกรูปหนึ่ง ชื่อ พระสถวีระรา
ระผูเ ปนสานุศิษยของพระศิริลัพธะอรรถาธิบ ายว า ในนิ โรธสมาบัตินั้ น
มนายตนะไมวิบัติทําลาย ฉะนั้น จึงยังมีมโนวิยญาณไดแตเนื่องดวยขาด
ปจจัยจึงไมมีผัสสะ มติฝายเถรวาทและ สรวาสติวาทินคัดคานขอนี้ เพราะ
ทั้ง ๒ นิกายถือวา "ในนิโรธสมาบัติและอสัญญีสมาบัติ กายสังขารดับ วจี
สังขารดับ จิตตสังขารดับ ฉะนั้น จิตจึงตองดับไปดวย ชั่วกาลแหงสมาบัติ
และ จิตดวงสุดทายกอนเขาสมาบัติยอมเปนอนันตรปจจัยแกจิตดวงแรก
ที่ออกจากสมาบัตินั้นได"๓๕
๕) กรณีที่เห็นขัดแยงกันในประเด็นวา "นิโรธสมาบัติถึงความไมมีรูป
ชีวิตินทรีย" ของฝายสมิติยะมีขอความระบุวา
"นตฺถิ รูปชีวิตนฺทริยนฺติ ถือวาไมมีรูปชีวิตินทรีย" ฝายสมิติยะกลาว
วา รูปชีวิตินทรียไมมี มีแตความธํารงอยูแหงรูปธรรม แตความธํารงอยูแหง
รูปธรรมไมควรเรียกว า เปน รูปชีวิติ นทรีย แตมติฝายเถรวาทกลาววา
๓๕
เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตรพระพุทธศาสนา,หนา ๓๕๕ - ๓๕๖.
๙๘๙
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ชีวิตินทรียมี ๒ ชนิด คือ นามชีวิตินทรีย ๑ และรูปชีวิตินทรีย ๑ อายุความ
ตั้งอยู ความเจริญ การบํารุง การเคลื่อนไหว การเปนไปและการรักษามีแก
รูปธรรมทั้งหลาย ฉะนั้น จึงตองมีรูปชีวิตินทรีย อนึ่ง ผูเขาสัญญาเวทยิตนิโรธ
สมาบัติ นามธาตุยอมดับไป นามชีวิตินทรียก็ไมมี แตรูปกายก็หาไดแตก
ทําลายไปไม ทั้งนี้ เพราะมีรูปชีวิตินทรียรักษาหลอเลี้ยงอยู อสัญญีพรหมไมมี
จิตก็มีรูปชีวิตินทรียหลออยู ในคัมภีรอภิธรรมฎีกาแสดงอรรถไววา ชีวิตรูป
คือ รูปธรรมที่รักษาสหชาติของรูปในรางกายใหทรงอยู ฝายสมีติยะแยงวา
ถาชีวิตินทรียมี ๒ คือ ฝายนามและฝายรูปดังนี้ไซร บุคคลก็ตองตายดวย
มรณะ ๒ อยางซิ ฝายเถรวาทรับโดยปริยายวา เปนเชนนั้นจริง ในเรื่อนี้ เมื่อ
บุคคลปลงรูปแตกนามดับ ในบันทึกของจีนกลาววา ฝายสมิติยะก็ถือวามีรูป
ชีวิตินทรียเหมือนกัน ธํารงอยูชั่วระยะแหงอายุ ถือวาวิญญัติก็เปนสีล
(วิฺญตฺติ สีลนฺติ) แตฝายเถรวาทไมเห็นดวยเพราะถือวาวิญญัติเปนเพียง
อาการทางรางกายเทานั้น เจตนางดเวนจากบาปตางหากที่เปนตัวศีล๓๖
เสถียร โพธินันทะ ไดชี้ใหเห็นอยางชัดเจนจากคําภีรทีปวังสะของ
การไมนําพาไปซึ่งอรรถกถา "เรื่องการนําเอาไปเพียงเงาแหงพยัญชนะ ความ
เขาใจไมทั่วถึงเนื้อความแหงอรรถโดยปริยาย"๓๗ ตลอดชวงเวลากวารอยป
ดังกลาวกอนที่จะเกิดตติยสังคายนาในการชําระสิ่งที่เปนหลักคําสอนของ
ลัทธิอื่นที่ปนเปอนมาในพระพุทธศาสนานั้น เสถียร โพธินันทะ ไดชี้ใหเห็นถึง
ความเห็นที่แตกตางของภิกษุทั้งสองฝาย คือ ฝายธรรมวาทีและฝายอธรรม
วาที ซึ่งประกอบดวยกลุมภิกษุหลายๆ กลุมที่มีปรากฏในขณะนั้น คือ
๑. นิ ก ายอั น ธกะซึ่ ง มี ทิ ฏ ฐิ สํ า คั ญ ของกลุ ม นี้ ๒๒ ข อ ที่ มี ค วาม
แตกตางจากฝายเถรวาท และประเด็นที่เกี่ยวของกับเรื่องนิโรธสมาบัติ คือ
"นิโรธสมาบัติเปนอสังขตธรรม"๓๘
๓๖
เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตรพระพุทธศาสนา, หนา ๓๖๙.
๓๗
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๒๗.
๓๘
เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตรพระพุทธศาสนา, หนา ๒๗๘.
๙๙๐
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๒. นิกายสรวาสติวาทิน ไดประดิษฐศัพทเฉพาะขึ้นเพื่ออธิบาย
ลักษณะของสภาวะสังขารที่ปราศจากจิต ไดแก อสัญญีผล อสัญญีสมาบัติ
นิโรธสมาบัติ นามกาย พยัญชนะกาย โดยเรียกสภาวะเหลานี้วา "จิตตวิปป
ยุ ต ตสั ง ขาร(สภาพที่ ป ราศจากจิ ต แต ยั ง คงมี รู ป ที่ ยั ง เป น ไปอยู ) " และ มี
ความเห็นสอดคลองกับมติของฝายเถรวาทวา ในนิโรธสมาบัติและอสัญญี
สมาบัติ ปราศจากจิตซึ่งเปนที่ดับลงของสัญญาและเวทนา แตมีการจําแนก
กลุมบุคคลผูที่สามารถเขาสมาบัติไดวาเปนใครบาง เพิ่มเติมเขามา"๓๙
๓. นิกายสมิติยะ ไมเห็นดวยกับมติของฝายเถรวาทในประเด็นเรื่อง
ชีวิตินทรีย ที่ฝายเถรวาทแยกออกเปน รูปชีวิตินทรียและนามชีวิตินทรีย
เสถียร โพธินันทะระบุถึง "เหตุแหงความวุนวายและปญหาที่เกิดขึ้น
ในคัมภีรทีปวังสะ ซึง่ ประเด็นปญหาทั้งหมดเหลานี้ ลวนแสดงใหเห็นถึงความ
ไมปรองดองกัน จนกลายเปนความเห็นตางที่พัฒนาไปเปนความขัดแยงกัน
ในที่สุด ซึ่งก็รวมถึงความเห็นตางในเรื่องนิโรธสมาบัติอยางที่ไดเกิดขึ้นและมี
ปรากฏอยูในคัมภีรทางพระพุทธศาสนา"๔๐
๓. หลักธรรมที่เกี่ยวของกับนิโรธสมาบัติ
๓.๑ สัญญาเวทยิตนิโรธ
สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เรียกสั้นๆ กันวา นิโรธสมาบัติ ซึ่งเมื่อ
นับรวมกับฌานทั้ง ๘ ก็เรียกวาเปน อนุปุพพวิหาร ธรรมเปนเครื่องอยูโดย
ลําดับ, ธรรมเครื่องอยูที่ประณีต ตอกันไปโดยลําดับ อันมี ๙ คือ รูปฌาน ๔
อรูปฌาน ๔ และสัญญาเวทยิตนิโรธ เปนองคที่ ๙ ที่ประณีตสูงสุด
สั ญญาเวทยิ ต นิ โ รธสมาบั ติ นี้ มาจากคําว า สัญญา (ความจํ าได ,
ความหมายรู ) เวทนา(การเสวยอารมณ) นิ โ รธ(การดั บ ) และสมาบัติ
(ภาวะสงบประณีต) ทั้ง ๔ คําสมาสรวมกันเปน สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
๓๙
อางแลว, หนา ๓๑๔. และ หนา ๓๓๘.
๔๐
อางแลว, หนา ๑๒๗.
๙๙๑
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ที่หมายถึง สภาวะสงบประณีตที่เกิดจากสัญญาและเวทนาดับไป๔๑ พระสารี
บุตรไดอธิบายในไว ปรากฏในหลายสูตร เชน
๑) กลหวิวาทสูตร ระบุวา "บุคคลไมเปนผูมีสัญญาโดยสัญญา
ปกติ ไมเปนผูมีสัญญาโดยสัญญาผิดปกติ เปนผูไมมีสัญญาก็มิใช ปราศจาก
สัญญาก็มิใช เมื่อบุคคลดําเนินอยางนี้รูปจึงไมมี เพราะสวนแหงธรรมเปน
เครื่องเนิ่นชามีตนเหตุมาจากสัญญา"๔๒
๒) กลหวิวาทสุตตนิทเทส ระบุวา เปนผูไมมีสัญญาก็มิใช-
ปราศจากสัญญาก็มิใช อธิบายวา คนเหลาใดเขานิโรธสมาบัติไดแลว และ
เปนอสัญญีสัตวคนเหลานั้น ตรัสเรียกวาผูไมมีสัญญาบุคคลนั้นมิใชผูเขานิโรธ
สมาบัติไดแลว มิไดเปนอสัญญีสัตว คนเหลาใดไดอรูปสมาบัติ ๔ คนเหลานั้น
ตรัสเรียกวาผูปราศจากสัญญาบุคคลนั้นมิใชผูไดอรูปสมาบัติ ๔ รวมความวา
เปนผูไมมีสัญญาก็มิใชปราศจากสัญญาก็มิใช๔๓
คัมภีรปญจปกรณอรรถกถา๔๔ระบุวา บัดนี้ ชื่อวาเรื่องสัญญาเวทยิต
นิโรธสมาบัติ คือ สมาบัติที่ดับสัญญาและเวทนา ในเรื่องนั้น ธรรมอะไรๆ ชื่อ
วาสั ญญาเวทยิ ต นิ โรธสมาบั ติ ห ามีไม มีแต ความดั บ ขัน ธทั้ง ๔ เทานั้ น
เพราะฉะนั้น สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัตินั้นจึงไมใชโลกีย ไมใชโลกุตตระ
๔๑
ดูรายละเอียดใน อภิ.ปฺจ.อ. (ไทย) ๒๓/๗๓๕/๒๘๒.
๔๒
ขุ.สุ. (ไทย) ๒๕/๘๘๑/๗๑๒.
๔๓
ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๐๙/๓๓๑.
๔๔
คัมภีรปญจปกรณอรรถกถา พระพุทธโฆสเถระแปลจาก คัมภีรปจจรียอรรถ
กถา เรียบเรียงแลวรวบรวมจัดใวเปนคัมภีรอรรถกถาพระอภิธรรมปฏก ชื่อวา คัมภีร
ปรมัตถทีปนี อธิบายเนื้อความในพระอภิธรรมปฏก ๕ คัมภีร คือ ๑. คัมภีรธาตุกถา ๒.
คัมภีรปุคคลบัญญัติ ๓. คัมภีรกถาวัตถุ ๔. คัมภีรยมก ๕. คัมภีรปฏฐาน,
ดูรายละเอียดใน พระพุทธโฆสเถระ, วิสุทธิมรรค, หนา [๑๑],
สมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพน ในรัชกาลที่ ๑, สังคติยวงศ,พระปริยัติธรรม
ธาดา (แพ ตาลลักษมณ) แปล, พิมพครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : หางหุนสวนจํากัด
ศิวพร, ๒๕๒๑), หนา ๑๐๙,
๙๙๒
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ความเห็นดุจลัทธินิกายเหตุวาทวา สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติไมเปนโลกีย
เพราะเปนโลกุตตระ นั่นแหละผิด
บัดนี้ ชื่อวาเรื่องสมาบัติที่ใหเขาถึงภพอสัญญสัตว ในเรื่องนั้นภาวนา
ที่เปนไปดวยอํานาจแหงสัญญาวิราคะ เปนอสัญญาสมาบัติบาง เปนนิโรธ
สมาบัติบาง ชื่อวาสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เพราะฉะนั้น สัญญาเวทยิต
นิโรธสมาบัติจึงมี ๒ คือ เปนโลกิยะและโลกุตตระ บรรดาสมาบัติเหลานั้น
สมาบัติที่เปนเหตุใหเขาถึงอสัญญสัตวของปุถุชนเปนโลกิยะที่เปนของพระ
อริยะทั้งหลายเปนโลกุตตระ แตสมาบัติที่เปนของพระอริยะนั้นยอมไมเปน
สมาบัติที่เปนเหตุใหเขาถึงความเปนอสัญญสัตว ก็ชนเหลาใดมีความเห็นผิด
ดุจลัทธิของนิกายเหตุวาททั้งหลายวาสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติเปนสมาบัติ
ที่ใหเขาถึงความเปนอสัญญสัตวโดยไมแปลกกัน เพราะไมทําวิภาคอยางนี"้ ๔๕
หนังสือพุทธธรรมระบุวา สัญญาเวทยิตนิโรธ เปนผลของสมถะและ
วิปสสนารวมกัน เฉพาะอยางยิ่งตองอาศัยกําลังสมถะที่บริบูรณคือ สมาธิ ที่
บริสุทธิ์ มีกําลังเต็มที่ ไมมีเชื้อกามฉันทะที่จะรบกวนได กามฉันทะก็คือ กาม
ราคะ เปนสังโยชนที่พระอนาคามีขึ้นไปจึงจะละได ดังนั้น จึงมีแต พระ
อนาคามีและพระอรหันตผูไดสมาบัติ ๘ มากอนแลวเทานั้นที่จะเขาสัญญา
เวทยิตนิโรธได๔๖ และ"นิโรธสมาบัติ เปนภาวะที่สัญญาและเวทนาหยุดการ
ปฏิบัติหนาที่ และเปนความสุขขั้นสูงสุด"๔๗ . . "สัญญาเวทยิตนิโรธจัดไดวา
เปนสมาบัติ จําพวกเสวยผล มิใชประเภทสําหรับใชทํากิจ"๔๘
สรุป สัญญาเวทยิตนิโรธ หมายถึง การดับลงของสัญญา คือ สภาวะ
ความกําหนดไดหมายรู และการดับลงของเวทนา คือ ความรูสึกเสวยอารมณ
๔๕
อภิ.ปฺจ.อ. (บาลี) --/๗๒๘-๗๓๕/๒๘๐-๒๘๒.
๔๖
พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับขยายความ, พิมพครั้งที่
๑๑, (กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หนา ๓๓๓.
๔๗
เรื่องเดียวกัน, หนา ๘๖๘.
๔๘
อางแลว, หนา ๓๖๘.
๙๙๓
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ของผูเขาสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ซึ่ง จิตและเจตสิกของผูเขาสมาบัตินี้จะ
ดับลงตราบเทาที่อยูในสมาบัติ เปนผูไมมีจิตโดยสมาบัติที่ดับ
สัญญาและเวทนาสามารถจําแนกออกไดเปน ๒ ชนิดตามคุณสมบัติ
ของบุคคล คือ
๑.สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ หมายถึง การดับสัญญาและเวทนา
ของพระอริยบุคคลผูที่มีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไข โดยการใชกําลัง ๒ สวน
คือ กําลังของสมาธิและกําลังของวิปสสนาทํางานรวมกันแบบบูรณาการจน
บรรลุความดับของจิตสังขาร เรียกวา การเขานิโรธสมาบัติ [ศัพทนี้ใชเฉพาะ
กรณีที่เ ป น การกล าวถึงบุ คคลผู ที่เ ขาสั ญญาเวทยิ ต นิ โ รธสมาบั ติ ที่มีความ
เกี่ยวของกับพระพุทธศาสนาเทานั้น และภายใตเงื่อนไขในขอนี้ "ศัพทสัญญา
เวทยิตนิโรธสมาบัติจึงเปนคําไวพจนกับศัพทนิโรธสมาบัติ"๔๙]
๒. สัญญาสมาบัติ หมายถึง การดับสัญญาและเวทนาของปุถุชน
(กลุมคนนอกศาสนา) ที่ทําการดับสัญญาและเวทนาโดยการใชกําลังของ
สมาธิเพียงอยางเดียว ซึ่งสามารถพบไดกับคนนอกศาสนาบางพวกที่บําเพ็ญ
สมาธิจนบรรลุจตุตถฌาน เพราะเปนผูเห็นโทษของการมีสัญญาและเกิด
ความหลงผิดเนื่องจากปญญาไมรูชัดตามความเปนจริงจึงบริกรรมเพงการดับ
สัญญา การเขาถึงสมาบัติชนิดนี้ของปุถุชนเรียกวาการเขาอสัญญาสมาบัติ
ปุถุชนผูบรรลุอสัญญาสมาบัติ ถาอํานาจของฌานยังไมเสื่อมไป เมื่อสิ้นชีวิต
จากโลกนี้ก็จะไปเกิดในอสัญญสัตตาภูมิ เปนพรหมภูมิชั้นจตุตถฌาน
การจําแนกสัญญาเวทยิตนิโรธออกเปน ๒ ชนิดนั้น มีปรากฏตั้งแต
ในสมัยพุทธกาลแลว ดังปรากฏขอความในกลหวิวาทสูตร ที่พระพุทธเจาทรง
แสดงธรรมเกี่ยวกับสัญญาที่ปกติและสัญญาที่ผิดปกติ ในเรื่องนี้พระพุทธเจา
ทรงแยกสมาบัติที่มีสัญญาผิดปรกติไวตางหากจากนิโรธสมาบัติ แตเปน
สมาบัติที่มีการดับลงของสัญญาและเวทนาเชนเดียวกัน และเรื่องนี้พระสารี
๔๙
ดูรายละเอียดใน พระธรรมปฏก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน
ฉบับประมวลศัพท,พิมพครั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย, ๒๕๔๖), หนา ๒๖๙.
๙๙๔
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
บุต รได อธิ บายปรากฎในกลหวิ วาทสุ ต ตนิ ทเทส ความแตกต างจึ งอยู ที่ว า
ความดับสัญญาและเวทนานั้น เปนของพระอริยะหรือเปนของปุถุชน และ
เปนเหตุผลของสัญญาเวทยิตนิโรธวา เปนความดับลงของสัญญาและเวทนา
ซึ่งมี ๒ อยาง คือ นิโรธสมาบัติ และอสัญญาสมาบัติ
เรื่องสมาบัติที่ใหเขาถึงภพอสัญญสัตวนี้ ภาวนาที่เปนไปดวยอํานาจ
แหงสัญญาวิราคะ เปนอสัญญาสมาบัติบาง เปนนิโรธสมาบัติบาง จึงชื่อวา
สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เพราะฉะนั้น สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติจึงมี ๒
คือ เปนโลกิยะอยางหนึ่ง และโลกุตตระอยางหนึ่ง
สมาบัติที่เปนเหตุใหเขาถึงอสัญญสัตวของปุถุชน เปนโลกิยสมาบัติ
สวนที่เปนของพระอริยะทั้งหลายเปนโลกุตตระ และสมาบัติที่เปนของพระ
อริยะนั้นยอมไมเปนสมาบัติที่เปนเหตุใหเขาถึงความเปนอสัญญสัตว คือ ชน
เหลาใดมีความเห็นผิดวา สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติเปนสมาบัติที่ใหเขาถึง
ความเปนอสัญญสัตว โดยไมแปลกกัน เพราะไมไดจําแนกรายละเอียดอยาง
นี้๕๐ การแสดงอรรถาธิบายดังกลาวนั้ นไดปรากฏขึ้นในชวงหลังสังคายนา
ครั้งที่ ๓ เพราะเกิดความเขาใจในพระธรรมวินัยผิดเพี้ยนขึ้น เนื่องจากมี
นั ก บวชนอกศาสนาบางกลุ ม ได ป ลอมบวชเข า มา เพื่ อ ประโยชน ใ นลาภ
สักการะ และเพื่ออาศัยพระศาสนาในการยังชีพ นักบวชเหลานี้ไมไดละทิ้ง
ลัทธิความเชื่อเดิมของตน ทั้งยังไมไดศึกษาเรียนรูหลักคําสอนที่ถูกตอง ใช
ความประพฤติเดิมๆ ที่ตนคุนเคยแลวเที่ยวประกาศวาพระพุทธเจาทรงสอน
อยางนี้ เกิดความเสื่อมขึ้นแกพุทธศาสนา โดยเฉพาะประเด็นเรื่องนิโรธ
สมาบัตนิ ี้ เพราะ"ภิกษุบางพวกมีความเขาใจเพียงแคความหมายตามรูปศัพท
จึ ง เป น ป ญ หาภายในคณะสงฆ ที่ สั่ ง สมความเห็ น ที่ แ ตกต า งกั น มาอย า ง
ยาวนานในประวัติศาสตร"๕๑ ดังนี้ จึงเปนเหตุผลใหหยิบยกประเด็นปญหานี้
มาทําการอธิบายใหเกิดความชัดเจนถูกตอง เพื่อใหปญหายุติลง ในการสัง
๕๐
ดูรายละเอียดในอภิ.ปฺจ.อ. (บาลี) --/๗๓๕/๒๘๒.
๕๑
เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตรพระพุทธศาสนา, หนา ๑๒๗-๑๓๑.
๙๙๕
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
คายนครั้งที่ ๓ [กอนที่ พระพุทธโฆสเถระจะแปลคัมภีรอรรถกถาแลว
รวบรวมใวเปนคัมภีรปรมัตถทีปนีอรรถกถา (ปญจปกรณอรรถกถา)]
๓.๒ อภิสัญญานิโรธ
อภิสัญญานิโรธปรากฏในโปฏฐปาทสูตรเพียงแหงเดียวพระพุทธเจา
ทรงแสดงแกเหลาปริพาชกตาง ที่แสดงทัศนะของตนในเรื่องอภิสัญญานิโรธ
ตามพื้นฐานความรู ความเขาใจของแตละกลุม ซึ่งมีอยู ๔ ทัศนะ คือ
(๑) สมณพรามหณบางพวกเสนอวา "สัญญาของคนไมมีเหตุไมมี
ปจจัยเกิดดับไปเองเวลาที่เกิดสัญญาคนก็มีความจํา เมื่อสัญญาดับคนก็จํา
อะไรไมได"
(๒) สมณพรามหณบางพวกเสนอวา "สัญญาเปนอัตตา (ตัวตน) ของ
คนที่เวียนเขาเวียนออก เวลาที่สัญญาเปนอัตตาเวียนเขาคนก็มีความจํา เมื่อ
สัญญาเปนอัตตาเวียนออกคนก็จําอะไรไมได"
(๓) สมณพรามหณบางพวกเสนอวา"มีสมณพราหมณบางพวกมีฤทธิ์
มาก มีอานุภาพมากสามารถบันดาลสัญญาของคนใหเขาไปหรือออกไปได"
(๔) สมณพรามหณบางพวกเสนอวา"เทวดาผูมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพ
มาก สามารถบันดาลสัญญาของคนใหเขาไปหรือออกไปได"๕๒
เนื้อความของอภิสัญญานิโรธ๕๓ ในบริบทที่โปฏฐปริพาชกทูลถาม
พระพุทธเจานั้นหมายถึง อาการการดับลงของสัญญา เพราะจากทัศนะของ
เหลาเดียรถียที่มีการถกแถลงคางๆ กันไว ทั้ง ๔ ประเด็นนั้นเปนลักษณะของ
อาการสิ้นสัญญาของบุคคลทั้งสิ้น แตทวาสภาวะแหงความสิ้นสัญญานั้น
เปนไปตามพื้นฐานความรูที่แตกตางกัน ดังที่พระพุทธเจาทรงชี้แจงไวในพระ
สูตรนี้วา ทัศนะของปริพาชกแตละกลุมที่เขาใจในเรื่องนี้แตกตางกัน เพราะ
เหตุของการสนทนาที่หาขอสรุปรวมกันไมไดนี้เอง จึงไดมาทูลถามปญหานั้น
กับพระพุทธเจา และพระพุทธเจาก็ไดแสดงธรรมในประเด็นนั้นอยางแจม
แจงใหปรากฏแกผูทูลถามปญหา สาระสําคัญจากทัศนะของการถกแถลง
๕๒
ดูรายละเอียดใน ที.สี. (ไทย) ๙/๔๐๖/๑๗๕.
๕๓
ดูรายละเอียดใน ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๔๑๔/๓๐๘.
๙๙๖
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
รวมกันระหวางหมูปริพาชกทําใหเขาใจวา สัญญาที่กลาวถึงนั้น คือ สภาวะ
ความกําหนดไดหมายรู ซึ่งเปนธรรมชาติอยางหนึ่งของจิตที่ทําหนาที่ในการ
จัดเก็บและทรงจํารายละเอียดของขอมูลที่ไดรับรูมา ประเด็นการถกแถลง
เรื่องอภิสัญญานิโรธนี้ จึงเปนประเด็นที่ถกเถียงถึงการดับลงของสภาพความ
ไมมีปรากฏของความกําหนดไดหมายรูข องจิต
เนื้อความในพระสูตรเชื่อมโยงมาถึงการเจริญฌานของเดียรถียดวย
ความเห็ น โทษของความเป นไปในจิ ต จึงเจริญความดั บ ของจิ ตแล ว ไปเกิด
ในอสัญญสัตตาภูมิ"๕๔ พระสูตรเรื่องนี้จะตองแยกกออกเปน ๒ ประเด็น คือ
๑.การดั บ ลงของสั ญ ญาตามความเข า ใจของบุ ค คลภายนอก
พระพุทธศาสนาที่มี พื้นฐานความรูที่แตกตางกัน ซึ่งเปนความเเขาใจตาม
สํานวนโวหารและรูปพยัญชนะวาอภิสัญญานิโรธเปนสภาวะของการหมดสิ้น
ลงของสัญญา ซึ่งเปนความหลงผิดเพราะไมเขาใจสภาพธรรมตามความเปน
จริงเนื่ องจากมีคนนอกศาสนาบางกลุมสามารถเขาถึงสภาวะนั้ นด วยการ
บรรลุ อสัญญาสมาบัติ เพราะดวยอํานาจของสมาบัติเมื่อเปนผูไมเสื่อมจาก
ฌานในขณะสิ้นชีวิตจากโลกนี้ก็จะไปเกิดเปนอสัญญีพรหม
๒.การดั บ ลงของสั ญ ญาและเวทนาของพระอนาคามี แ ละพระ
อรหันตผูมีความชํานาญในสมาบัติ ๘ ซึ่งเปนความรูอยางอริยปญญาในพุทธ
ศาสนาเทานั้น จากพระสูตรนี้ถึงแมวาเหลานักบวชนอกศาสนาเหลานั้นจะมี
ความเขาใจตามมติ อันเปนความรูในหมูคณะเดิมของตนมาอยางไรก็ตาม
เมื่อมาเฝาทูลถามปญหากับพระพุทธเจาเพื่อใหทรงพยากรณปญหานั้นแลว
ยอมจะตองอนุวัตคลอยตามสิ่งที่พระพุทธเจาแสดงทั้งสิ้น
ทัศนะที่แตกตางของเหลาปริพาชกที่ไดนํามาเปนประเด็นปญหาใน
การถกเถียงกันเรื่อง อภิสัญญานิโรธ (ความสิ้นไปของสัญญา) ทั้ง ๔ ทัศนะ
ดังกลาวนั้นมีความสัมพันธเชื่อมโยงกับเรื่องทิฏฐิ ๖๒ ที่พระพุทธเจาทรง
แสดงไวอยางละเอียดเกี่ยวสาเหตุที่เหลาปริพาชกเหลานี้ เขาใจเนื้อความ
๕๔
ดูรายละเอียดใน ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๔๑๑/๓๐๔ - ๓๐๖.
๙๙๗
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ตามทัศนะของตนนั้น วามีมูลเหตุมาจากสิ่งใด ปรากฏในพรหมชาลสูตร
ทิฏฐิ ๖๒ สัสสตวาทะ ๔"๕๕
๓.๓ สัญญาเวทยิตนิโรธธาตุ
สัญญาเวทยิต นิโ รธธาตุป รากฏอยูในสัตตุ ธาตุ สูต รเพียงแหงเดีย ว
พระพุทธเจาทรงแสดงธาตุ ๗ ที่เกี่ยวของกับสัญญาเวทยิตนิโรธธาตุ วา
"ขาแตพระองคผูเจริญ อาภาธาตุ สุภธาตุ อากาสานัญจายตนธาตุ
วิญญาณัญจายตนธาตุ อากิญจัญญายตนธาตุ เนวสัญญานาสัญญายตนธาตุ
และสัญญาเวทยิตนิโรธธาตุ ธาตุเหลานี้อาศัยอะไรจึงปรากฏได""ภิกษุ อาภา
ธาตุอาศัยความมืดจึงปรากฏได สุภธาตุอาศัยความไมงามจึงปรากฏได อา
กาสานัญจายตนธาตุอาศัยรูปสมาบัติจึงปรากฏได วิญญาณัญจายตนธาตุ
อาศัย อากาสานัญจายตนสมาบัติจึงปรากฏได อากิญจัญญายตนธาตุอาศัย
วิญญาณัญจายตนสมาบัติจึงปรากฏได เนวสัญญานาสัญญายตนธาตุอาศัยอา
กิญจัญญายตนสมาบัติจึงปรากฏได สัญญาเวทยิตนิโรธธาตุอาศัยนิโรธ
สมาบัติจึงปรากฏได" "ขาแตพระองคผูเจริญ อาภาธาตุ สุภธาตุ อากาสานัญ
จายตนธาตุ วิญญาณัญจายตนธาตุ อากิญจัญญายตนธาตุ เนวสัญญานา
สัญญายตนธาตุ และสัญญาเวทยิตนิโรธธาตุ บุคคลจะเขาถึงธาตุเหลานี้ได
อยางไร" "ภิกษุ อาภาธาตุ สุภธาตุ อากาสานัญจายตนธาตุ วิญญาณัญจาย
ตนธาตุ อากิญจัญญายตนธาตุ ธาตุเหลานี้ เปนสัญญาสมาบัติที่บุคคลจะ
เขาถึงได เนวสัญญานาสัญญายตนธาตุ เปน สังขาราวิเสสสมาบัติที่บุคคลจะ
เขาถึงได สัญญาเวทยิตนิโรธธาตุเปนนิโรธสมาบัติที่บุคคลจะเขาถึงได"๕๖
สัญญาเวทยิตนิโรธธาตุ หมายถึง สภาวะที่เปนความดับลงของนาม
ขันธ ๔ อันไดแก วิญญาณขันธ สังขารขันธ สัญญาขันธ เวทนาขันธ ซึ่งเปน
สภาวธรรมที่ถือวาเปนความสงบ สงัดสูงสุด เพราะสัญญาเวทยิตนิโรธธาตุ
ตองอาศัยกระบวนธรรมที่เกิดขึ้นและดําเนินไปในฌานสมาบัติ ตามลําดับขั้น
ซึ่งในแตละขั้นของฌานสมาบัติจะมีการดับลงของสภาวธรรมบางอยาง ตาม
๕๕
ดูรายละเอียดใน ที.สี. (ไทย) ๙/๒๘-๓๗/๑๑-๑๖.
๕๖
สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๙๕/๑๖๑.
๙๙๘
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
อํานาจของฌานที่กําจัดสภาวธรรมใหตกไป เพื่อบรรลุฌานที่สูงกวา ดวย
สภาวะธรรมของการดับลงที่เปนไปตามลําดับในอนุปุพพนิโรธ อยางนี้ จนถึง
สภาวะความดั บ ลงของนามขัน ธสุ ด ทาย คือ สั ญญาและเวทนา ก็จ ะเป น
สภาวะธรรมชาติที่เรียกวา สัญญาเวทยิตนิโรธธาตุ เพราะเปนสภาวะที่
จะตองอาศัย เหตุ แห งการเขาถึงด ว ยกระบวนการในการเขานิโ รธสมาบั ติ
สัญญาเวทยิตนิโรธธาตุจะตองอาศัยนิโรธสมาบัติจึงจะสามารถปรากฏได"๕๗
๓.๔ อสัญญาสมาบัติ
สมาบัติที่ดับสัญญาและเวทนามี ๒ คือ อสัญญาสมาบัติและนิโรธ
สมาบัติ ที่เปนอสัญญาสมาบัติมีแกปุถุชน ที่เปนนิโรธสมาบัติมีเฉพาะแตพระ
อนาคามี และพระอรหันตผูชํานาญใน สมาบัติ ๘ แลวเทานั้น จึงจะเขาได๕๘
สัญญาสมาบัติปรากฏอยูในพระสูตรหลายแหง แตที่มีการอธิบาย
สภาวธรรมที่เกี่ยวกับอสัญญาสมาบัติ ปรากฏอยูในพรหมชาลสูตรวา
ภิกษุทั้งหลาย มีทวยเทพชื่ออสัญญีสัตวจ เคลื่อนจากชั้นนั้นเพราะ
เกิดสัญญาขึ้น ขอที่สัตวผูจุติจากชั้นนั้นแลวมาเปนอยางนี้ เปนสิ่งที่เปนไปได
เมื่อเขามาเปนอยางนี้แลวออกจากเรือนไปบวชเปนบรรพชิต เมื่อบวชแลว
อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส ความเพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ
ความไมประมาท และอาศัยการใชความคิดอยางถูกวิธีแลวบรรลุเจโตสมาธิที่
เปนเหตุทําจิตใหตั้งมั่น ตามระลึกถึงความเกิดสัญญา ถัดจากนั้นไประลึก
ไมได เขาจึงพูดอยางนี้วา `อัตตาและโลกเกิดขึ้นเองไมมีเหตุปจจัย เพราะ
เหตุไร เพราะเมื่อกอนเราไมไดมีแลวบัดนี้ก็ไมมี จึงนอมไปเพื่อเปนผูสงบ'๕๙
คัมภีรสุมังคลวิลาสินีอรรถกถาระบุวา อสัญญีสัตว คือ สัตวมีอัตต
ภาพสักแตวารูป ไมมีจิตเกิดขึ้น ความอุบัติของพวกอสัญญีสัตวอยางนี้ คือ
บุคคลบางคนบวชในลัทธิเดียรถียแลว ทําบริกรรมในวาโยกสิณ ยังจตุตถ
๕๗
ดูรายละเอียดใน สํ.นิ.อ. (ไทย) ๒/๙๕/๑๙๗ - ๑๙๘.
๕๘
ดูรายละเอียดใน อภิ.ปฺจ.อ. (ไทย) ๒๓/๗๓๕/๒๘๒.
๕๙
ดูรายละเอียดใน ที.สี. (ไทย) ๙/๖๘/๒๘.
๙๙๙
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ฌานใหบังเกิด ออกจากฌานแลว เห็นโทษในจิตวา เมื่อมีจิตยอมมีทุกข
เพราะถูกตัดมือเปนตน และมีภัยทั้งปวง พอกันทีดวยจิตนี้ ความไมมีจิตสงบ
แท ครั้นเห็นโทษในจิตอยางนี้แลว เปนผูมีฌานไมเสื่อมถอย ทํากาละแลว ไป
บังเกิดในพวกอสัญญีสัตว๖๐
อสัญญาสมาบัติมีความสัมพันธสัญญาเวทยิตนิโรธ คือ อสัญญา
สมาบัติ หมายถึงสมาบัติที่ทําการดับสัญญาและเวทนาของปุถุชน (นักบวช
นอกศาสนา) เมื่อเจริญวาโยกสิณ ฯลฯ เปนตน จนบรรลุจตุตถฌานแลว แต
เพราะเกิ ด ความเบื่ อ หน า ยในนามขัน ธ จึ งมนสิ การถึง ความดั บ สิ้ น ไปของ
สัญญา(ความกําหนดไดหมายรู) บรรลุความเปนผูไมมีสัญญา ["อสัญญา
สมาบัติ เปนสมาบัติชนิดเดียวที่จะไมสามารถเกิดขึ้นไดภายใตหลักคําสอนใน
พระพุทธศาสนา เพราะปญญาที่รูชัดตามความเปนจริงจะไมนําไปสูความ
หลงผิดในการเจริญฌานเพื่อการดับสัญญา"๖๑]
อนึ่ง เรื่องนี้ เคยเกิดเปนประเด็นขัดแยกระหวางศาสนาพุทธนิกาย
ตางๆ และไดยุติลงในชวงสังคายนาครั้งที่ ๓ ดังที่เสถียร โพธินันทะได
รวบรวมไวในหนังสือ "ประวัติศาสตรพระพุทธศาสนา" ดังนี้
๑) กรณีที่เห็นขัดแยงกันใน "นิโรธสมาบัติและอสัญญาสมาบั ติ
ปราศจากจิต" ระหวางฝายเถรวาทและฝายสรวาสติวาทิน มีขอความระบุวา
ถือวาในนิโรธสมาบัติและอสัญญีสมาบัติปราศจากจิต ฝายสรวาสติ
วาทินแถลงเหตุผลเชนเดียวกับฝายเถรวาทวา สมาบัติทั้งสองไมมีจิตเปนที่
ดั บ แห ง เวทนาและสั ญญา ต างแต ฝ ายอสั ญญี ส มาบั ติ เ ป น ของฝ า ยปุ ถุช น
นิโรธสมาบัติเปนของพระอริยเจา ฝายอสัญญีสมาบัติยังเปนสาสวธรรม เปน
ธรรมเนื่องดวยภพ สวนนิโรธสมาบัติตรงกันขาม๖๒
๒) กรณีที่เ ห็น ขัด แย งกัน ประเด็น "นิโ รธสมาบั ติและอสั ญญา
สมาบัติวายังมีจิตอยู" ระหวางฝายเสาตรันติกวาทิน มีขอความระบุวา
๖๐
ดูรายละเอียดใน ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๖๘ -- ๗๓/ ๑๐๘ -- ๑๐๙.
๖๑
ดูรายละเอียดใน ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๒๘/๗๔ - ๗๕.
๖๒
อางแลว, หนา ๓๓๘.
๑๐๐๐
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ถือวาในนิโรธสมาบัติและอสัญญีสมาบัติก็มีจิตอยู ทั้งนี้เพราะเหตุผล
วา ไมมีสมาบัติใดที่ปราศจากจิตแลวเรียกสมาบัติ เชนเดียวกันกับไมมีสัตวใน
ภพภูมิใดที่ปราศจากรูป แลวเรียกวาสัตว อนึ่งถาถือตามมติของฝายเถรวาท
และฝายสรวาสติวาทินที่วาสมาบัติที่ ๒ ปราศจากจิตเลยไซร เวลาออกจาก
สมาบัติ จิตปรากฏขึ้นจิตดวงนี้มีรากฐานมาจากไหน หรือวาจูๆ ก็โผลขึ้นมา
เฉยๆ อยางไมมีปมีขลุย และในระหวางที่อยูในสมาบัติ ผลกรรมวิบากตางๆ
ที่ทําๆ ไวแตปางกอนๆ ไปอยูเสีย ณ ที่ใด โดยเหตุผลดังกลาวมาจึงตองถือวา
ในสมาบัติทั้ง ๒ จิตหาดับไม หากแตไมสําแดงพฤตติเทานั้น สิ่งที่ดับไปก็
เพียงเวทนา สัญญา สังขารเทานั้นเอง อนึ่ง ถาปราศจากจิตเสียชีวิตินทรียก็
พึงถึงกาลสลายไปดวย กลายเปน มรณะไป จั กชื่อวาอยูในสมาบัติไมได
คณาจารยเสาตฺรนฺติกวาทินรุนตอมา เชน พระศิริลัพธะถือวาในนิโรธสมาบัติ
ยังมีพฤตติเปนไปอยู ในคัมภีรมหายานกรรมสิทธิ์ศาสตรของฝายมหายาน
ปรากฏขอความตอนหนึ่งวา จิตที่ยังมีพฤตติในนิโรธสมาบัติ คือมโนวิญญาณ
นั่นเอง คณาจารยฝายเสาตฺรนฺติกอีกรูปหนึ่ง ชื่อ พระสถวีระราระ ผูเปน
สานุศิษยของพระศิริลัพธะอรรถาธิบายวา ในนิโรธสมาบัตินั้น มนายตนะไม
วิบัติทําลาย ฉะนั้น จึงยังมีมโนวิยญาณไดแตเนื่องดวยขาดปจจัยจึงไมมีผัสสะ
มติฝายเถรวาทและ สรวาสติวาทินคัดคานขอนี้ เพราะทั้ง ๒ นิกายถือวา
"ในนิโรธสมาบัติและอสัญญีสมาบัติ กายสังขารดับ วจีสังขารดับ
จิตตสังขารดับ ฉะนั้น จิตจึงตองดับไปดวย ชั่วกาลแหงสมาบัติ และ จิต
ดวงสุดทายกอนเขาสมาบัติยอมเปนอนันตรปจจัยแกจิตดวงแรกที่ออกจาก
สมาบัตินั้นได"๖๓
๓.๖ โมเนยยธรรม
โมเนยยธรรมปรากฏอยูในพระสูตรหลายแหง แตพระสูตรที่มีการ
อธิบายไวอยางละเอียดโดยพระสารีบุตรในคุหัฏฐกสุตร ระบุวา
การละกายทุจริต ๓ อยาง ชื่อวาโมเนยยธรรมทางกาย
๖๓
ดูรายละเอียดใน เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตรพระพุทธศาสนา,หนา
๓๕๕ - ๓๕๖.
๑๐๐๑
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
กายสุจริต ๓ อยาง ชื่อวาโมเนยยธรรมทางกาย
ญาณมีกายเปนอารมณ ชื่อวาโมเนยยธรรมทางกาย
การกําหนดรูกาย ชื่อวาโมเนยยธรรมทางกาย มรรคที่สหรคตดวย
การกําหนดรูกาย ชื่อวา โมเนยยธรรมทางกาย การละความกําหนัดดวย
อํานาจความพอใจ ในกาย ชื่อวาโมเนยยธรรมทางกาย ความดับแหงกาย
สังขารการบรรลุจตุตถฌาน ชื่อวาโมเนยยธรรมทางกายนี้ชื่อวาโมเนยยธรรม
ทางกาย โมเนยยธรรมทางวาจา คือ การละวจีทุจริต ๔ อยาง ชื่อวาโมเนยย
ธรรมทางวาจา
วจีสุจริต ๔ อยางชื่อวาโมเนยยธรรมทางวาจา ญาณมีวาจาเปน
อารมณ ชื่อวาโมเนยยธรรมทางวาจา การกําหนดรูวาจา ชื่อวาโมเนยยธรรม
ทางวาจา มรรคที่สหรคตดวยการกําหนดรูวาจา ชื่อวาโมเนยยธรรมทางวาจา
การละความกําหนัดดวยอํานาจความพอใจในวาจา ชื่อวา โมเนยยธรรมทาง
วาจา ความดับแหงวจีสังขาร
การบรรลุทุติยฌาน ชื่อวา โมเนยยธรรมทางวาจานี้ชื่อวาโมเนยย
ธรรมทางวาจา โมเนยยธรรมทางใจ คือ การละมโนทุจริต ๓ อยางชื่อวาโม
เนยยธรรมทางใจ มโนสุจริต ๓ อยางชื่อวาโมเนยยธรรมทางใจ ญาณมีใจ
เปนอารมณชื่อวาโมเนยยธรรมทางใจ การกําหนดรูจิต ชื่อวาโมเนยยธรรม
ทางใจ มรรคที่สหรคตดวยการกําหนดรูจิต ชื่อวา โมเนยยธรรมทางใจ การ
ละความกําหนัดดวยอํานาจความพอใจในจิตชื่อวาโมเนยยธรรมทางใจ
ความดับแหงจิตตสังขาร การบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ชื่อวา
โมเนยยธรรมทางใจ นี้ชื่อวา โมเนยยธรรมทางใจ๖๔
โมเนยยธรรม หมายถึง คุณสมบัติและวิธีการปฏิบัติตนเพื่อความ
เปนมุนี ประกอบดวยคุณสมบัติ ใน ๓ ระดับ คือ ความเปนมุนี ทางกาย
ความเปนมุนีทางวาจา ความเปนมุนีทางใจ ซึ่งเปนผูบรรลุความสงบ ระงับ
ดับลงแหงสังขารตามกําลังปญญา คือ (๑) มุนีทางกาย เปนผูมีกายสังขารดับ
สงบ ระงับ (๒) มุนีทางวาจา เปนผูมีวจีสังขารดับ สงบ ระงับ (๓) มุนีทางใจ
๖๔
ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๔/๖๙.
๑๐๐๒
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
เปนผูมีจิตตสังขารดับสงบ ระงับโมเนยยธรรม พระพุทธเจาทรงใชในการ
นิย ามความหมายของบุ คคลผู เ ปน นั กบวช ซึ่งสภาวะนั้ น ประกอบด ว ย
คุณสมบัติทั้ง ๓ ระดับ คือ ความเปนมุนีทางกาย ความเปนมุนีทางวาจา
ความเปนมุนีทางใจ ตามลําดับของการบรรลุคุณธรรมแหงความเปนนักบวช
เมื่อคุณสมบัติทั้ง ๓ ประบริบูรณก็จะเปนนักบวชผูมีความสามารถ
ในการเขานิโรธสมาบัติได เนื่องจากคุณสมบัติขอสุดทาย คือ โมเนยยธรรม
ทางใจ (ความเปนมุนีทางใจ) ดังที่พระสารีบุตรเถระไดแสดงอรรถาธิบายไว
วา โมเนยยธรรมนั้นมีการดับลงของสังขาร ๓ ตามลําดับ คือ วจีสังขาร กาย
สังขาร จิตตสังขาร ดังนั้น โมเนยยธรรมทางใจ จึงหมายถึง มุนีผูมีความ
ชํานาญในการควบคุมจิตซึ่งเปนนามขันธใหสงบลง ซึ่งการดับลงของจิตต
สังขารเปนสภาวะธรรมของนิโรธสมาบัตินั่นเอง จากลักษณะธรรมชาติของ
สภาวธรรมที่ดําเนินไปในโมเนยยธรรมทางใจโดยเปนการกําจัดมโนทุจริต ๓
การมีปญญารูในมโนสุจริต ๓ ปญญาในการดับความเบียดเบียนที่เกิดขึ้นทาง
ใจใหสงบลงได ซึ่งเปน ธรรมชาติแห งความดั บลงของจิตสั งขาร จึ งเป น
สภาวธรรมเชนเดียวกับนิโรธสมาบัติ
๓.๖ สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติวิโมกข
สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติวิโมกข คัมภีรปฏิสัมภิทามรรคอธิบาย วา
"สั ญ ญาเวทยิ ต นิ โ รธสมาบั ติ วิ โ มกข เ ป น อย า งไร คื อ ภิ ก ษุ ใ นธรรมวิ นั ย นี้
เพราะลวงเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติโดยประการทั้งปวง บรรลุสัญญา
เวทยิตนิโรธสมาบัติ นี้ชื่อวาสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติวิโมกข๖๕
หนังสือพุทธธรรมระบุวา วิโมกข แปลวา ความหลุดพน หมายถึง
ภาวะที่จิตหลุดพนจากธรรมที่เปนปฏิปกษทั้งหลาย เพราะจิตนั้นยินดียิ่งใน
อารมณที่กําลั งกําหนด จึ งน อมดิ่ งเขาอยู ในอารมณนั้ น ในเวลานั้ น จิ ต
ปราศจากบาปอกุศลธรรมทั้งหลาย จึงเรียกวา เปนความหลุดพน (แตก็เปน
๖๕
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๑๓/๓๕๓.
๑๐๐๓
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
เพียงความหลุดพนดวยกําลังสมาธิในฌานสมาบัติ และเปนไปชั่วคราวตราบ
เทาที่อยูในฌานสมาบัติเหลานั้น ไมใชวิมุตติที่เปนความหลุดพนจากกิเลส)๖๖
สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติวิโมกข คือ สภาวะที่จิตนอมดิ่งไปใน
อารมณแหงความดับของจิตและเจตสิก เพราะการกําจัดลักษณะธรรมชาติ
ความกําหนดไดหมายรูในเนวสัญญานาสัญญายตนฌานลง ซึ่งเปนสภาวะ
ความสงบระงับ ดับลง ของนามขันธ ๔ อยางสิ้นเชิง และการบรรลุสัญญา
เวทยิตนิโรธจึงเปนสภาพแหงความหลุดพนจากการเบียดเบียนของสังขาร
ธรรมที่ละเอียด คือ สัญญาและเวทนา
๓.๗ สมถพละ
คัมภีรปฏิสัมภิทามรรค อธิบายวา สมถพละเปนอยางไร คือ ความที่
จิตเปนเอกัคคตารมณ ไมฟุงซานดวยอํานาจแหง เนกขัมมะ ชื่อวาสมถพละ
ความที่จิตเปนเอกัคคตารมณ ไมฟุงซานดวยอํานาจแหง อพยาบาท ชื่อวา
สมถพละ ความที่จิตเปน เอกัคคตารมณ ไมฟุงซานดวยอํานาจแหงอาโลก
สัญญาชื่อวา สมถพละ ความที่จิตเปนเอกัคคตารมณ ไมฟุงซานดวยอํานาจ
แหง อวิกเขปะชื่อวาสมถพละ ฯลฯ ความที่จิตเปนเอกัคคตารมณ ไมฟุงซาน
ดวยอํานาจแหงการพิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเขา ชื่อวาสมถพละ
ความที่จิตเปนเอกัคคตารมณ ไมฟุงซานดวยอํานาจแหงการพิจารณาเห็น
ความสละคืนหายใจออก ชื่อวาสมถพละ คําวา สมถพละ อธิบายวา ชื่อวา
สมถพละ เพราะมีความหมายวาอยางไร คือ ชื่ อวาสมถพละ เพราะไม
หวั่นไหวเพราะนิวรณดวยปฐมฌาน ชื่อวาสมถพละ เพราะไมหวั่นไหวเพราะ
วิตกวิจารดวยทุติยฌาน ชื่อวาสมถพละ เพราะไมหวั่นไหวเพราะปติดวยตติย
ฌาน ชื่อวาสมถพละเพราะไมหวั่นไหวเพราะสุขและทุกขดวยจตุตถฌาน ชื่อ
วาสมถพละ เพราะไมหวั่นไหวเพราะรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญา
ดวยอากาสานัญจายตน สมาบัติ ชื่อวาสมถพละ เพราะไมหวั่นไหวเพราะอา
กาสานัญจายตนสัญญาดวยวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ชื่อวาสมถพละ เพราะ
๖๖
พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับขยายความ, หนา ๒๘๙.
๑๐๐๔
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ไมหวั่นไหวเพราะวิญญาณัญจายตนสัญญาดวย อากิญจัญญายตนสมาบัติ
ชื่อวาสมถพละเพราะไมหวั่นไหวเพราะอากิญจัญญายตนสัญญา
ดวยเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ชื่อวาสมถพละ เพราะไม
หวั่นไหว ไมกวัดแกวง ไมเอนเอียง เพราะอุทธัจจะและกิเลสที่ประกอบดวย
อุทธัจจะและเพราะขันธ นี้ชื่อวาสมถพละ๖๗
คัมภีรวิสุทธิมรรคอธิบายวา ชื่อวา สมถพละ เพราะไมหวั่นไหวไปใน
เพราะนีวรณดวยปฐมฌาน ชื่อวาสมถพละ เพราะไมหวั่นไหวไปในวิตกวิจาร
ดวย ทุติยฌาน..ฯลฯ ..ชื่อวาสมถพละ เพราะอรรถคือไมหวั่นไหวในเพราะ
อากิญจัญญายตนสัญญาดวยเนวสัญญาสัญญายตนสมาบัติ ชื่อวาสมถพละ
เพราะไมหวั่นไหวไป ไมเคลื่อนไป ไมสั่นสะเทือนไปในเพราะอุทธัจจะ และ
เพราะกิเลสอันเปนไปกับดวยอุทธัจจะและขันธที่สัมปยุตกับอุทธัจจะ๖๘
สมถพละ หมายถึง กําลังของสมาธิที่เกิดจากปญญาในสมาธิซึ่งเปน
ความรู ความสามารถ ความชํานาญ ทางดาน สมาธิปฏิบัติในการควบคุม
อารมณใหตั้งมั่น ไมสั่นใหว มีความมั่นคง มีอํานาจครอบงํากิเลสไมให
สามารถรบกวนได เปนศักยภาพของสมาธิในขั้นสูงที่มีกําลังบริบูรณที่จะใช
ทํากิจและสามารถกําหนดใหเปนไปไดตามความปรารถนาในฌานทั้งหลาย
๓.๘ สมาธิจริยา ๙
สมาธิจริยา หมายถึง กระบวนการที่ดําเนินไปในวิถีของสมาธิ เพื่อ
สรางอารมณของสมาธิใหมีความชัดเจนเขมขน รวมเปนหนึ่งเดียว เพื่อการ
บรรลุฌานสมาบัติในแตละขั้น ประกอบดวย ๑.ปฐมฌาน ๒. ทุติยฌาน ๓.
ตติยฌาน ๔. จตุตถฌาน ๕. อากาสานัญญา-ยตนฌาน ๖. วิญญาณัญจาย
ตนฌาน ๗. อากิญจัญญายตนฌาน ๘. เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ๙.
อุปจาระขณะของแตละฌานอีก ๑ รวมเปน ๙ ประเภท จึงเรียกอาการที่
เกิดขึ้นทั้งหมดนี้วา "สมาธิจริยา ๙"
๖๗
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๘๓/๑๔๑ - ๑๔๒.
๖๘
พระพุทธโฆสเถระ, วิสุทธิมรรค, หนา ๑๑๙๑.๓๗
๑๐๐๕
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
คั ม ภี ร ป ฏิ สั ม ภิ ท ามรรคระบุ ว า สมาธิ จ ริ ย า ๙ เป น อย า งไร คื อ
ปฐมฌานชื่อวาสมาธิจริยา ทุติยฌานชื่อวาสมาธิจริยา ตติยฌานชื่อวาสมาธิ
จริ ย า จตุ ต ถฌานชื่ อว าสมาธิ จ ริ ย า อากาสานั ญจายตนสมาบั ติ ฯลฯ
วิญญาณัญจายตนสมาบัติ ฯลฯ อากิญจัญญายตน สมาบัติ ฯลฯ เนวสัญญา
นาสัญญายตนสมาบัติชื่อวาสมาธิจริยา วิตกวิจารปติสุข และเอกัคคตาจิต
เพื่อไดปฐมฌาน ฯลฯ วิตกวิจารปติสุขและเอกัคคตาจิต เพื่อไดเนวสัญญานา
สัญญายตนสมาบัติ ชื่อวาสมาธิจริยา ดวยสมาธิจริยา ๙ นี้๖๙
คัมภีรวิสุทธิมรรคระบุวา ถามวา ดวยสมาธิจริยา ๙ เหลาไหน
ตอบวา ปฐมฌานชื่อวาสมาธิจริยา ทุติยฌาน ฯลฯ เนวสัญญานา
สัญญาตยนสมาบัติชื่อวาสมาธิจริยา (เปน ๘) วิตกก็ดี วิจารก็ดี ปติก็ดี สุขก็ดี
จิตเตกัคคตาก็ดเี พื่อมุงหมายไดปฐมฌาน ฯลฯ วิตกก็ดี วิจารก็ดี ปติก็ดี สุขก็
ดี จิตเตกัคคตาก็ดีเพื่อมุงหมายไดเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ๑ (รวม
กับอุปจารสมาธิของสมาบัติ ๘ อีก ๑) ดวยสมาธิจริยา ๙ เหลานี้๗๐
๓.๘ ญาฌจริยา ๑๖
นิโรธสมาปตติญาณ คือ ปญญาที่รูชัด ปญญาที่เปนผลรวมแบบ
บูรณาการของปญญาทั้ง ๒ สวนอยางลงตัวของปญญาในสมาธิสมาธิและ
ปญญาในวิปสสนาที่มีความชํานาญในการระงับสังขาร ๓ คือ กายสังขาร วจี
สังขาร และจิตตสังขาร ดังนั้นนิโรธสมาปติญาณจึงเปนลักษณะของปญญาที่
เปนเครื่องหมายแสดงถึงนิโรธสมาบัติที่สามารถดับนามขันธอันละเอียด คือ
สัญญาและเวทนาใหสงบ ระงับ ดับลง ตราบเทาที่เขานิโรธสมาบัติ ดังที่
คัมภีรปฏิสัมภิทามรรคระบุวา "ปญญาที่มีความชํานาญในการระงับสังขาร ๓
ดวยญาณจริยา ๑๖ ดวยสมาธิจริยา ๙ เพราะปนผูประกอบดวยพละ ๒
อยาง ชื่อวานิโรธสมาปตติญาณ"๗๑
๖๙
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๘๕/๑๔๓
๗๐
พระพุทธโฆสเถระ, วิสุทธิมรรค, หนา ๑๑๘๓.
๗๑
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๘๓/๑๔๑.
๑๐๐๖
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ญาณจริยา ๑๖ เปนอยางไร คือ อนิจจานุปสสนาชื่อวาญาณจริยา
ทุกขานุปสสนาชื่อวาญาณจริยา อนัตตานุปสสนาชื่อวาญาณจริยา นิพพิทา
นุปสสนาชื่อวาญาณจริยา วิราคานุปสสนาชื่อวาญาณจริยา นิโรธานุปสสนา
ชื่อวาญาณจริยา ปฏินิสสัคคานุปสสนาชื่อวาญาณจริยา วิวัฏฏนานุปสสนา
ชื่อวาญาณจริยา โสดาปตติมรรคชื่อวา ญาณจริยา โสดาปตติผลสมาบัติชื่อ
วาญาณจริยา สกทาคามิมรรคชื่อวาญาณจริยา สกทาคามิผลสมาบัติชื่อวา
ญาณจริยา อนาคามิมรรคชื่อวาญาณจริยา อนาคามิผลสมาบัติชื่อวาญาณ
จริยา อรหัตตมรรคชื่อวาญาณจริยา อรหัตตผลสมาบัติชื่อวาญาณจริยา ดวย
ญาณจริยา ๑๖ นี้๗๒
คัมภีรวิสุทธิมรรคอธิบายวา ญาฌจริยา ๑๖ หมายถึง กระบวนการ
ที่ดําเนินไปในวิถีของปญญาในฝายวิปสสนา ดวยการพิจาณาอยางแยบคาย
ในลักษณะของธรรมที่มีสภาวะตรงขามกัน เปนปญญาที่เห็นแจงในไตร
ลักษณบนพื้นฐานการพิจารณาดวยหลักอริยสัจ ๔ โดยสามารถจําแนกออก
ได เ ป น ๑๖ ลั กษณะ ประกอบด ว ย อนิ จ จานุ ป ส สนา ทุ กขานุ ป ส สนา
อนัตตานุปสสนา นิพพิทานุปสสนา ราคานุปสสนา นิโรธานุปสสนา ปฏินิส
สัคคานุปสสนา วิวัฏฏนานุปสสนา โสดาปตติมรรค โสดาปตติผลสมาบัติ
สกทาคามิมรรค สกทาคามิผลสมาบัติ อนาคามิมรรค อนาคามิผลสมาบัติ
อรหัตตมรรค อรหัตตผลสมาบัติ๗๓
ดวยกริยาอาการที่เปนไปทั้ง ๑๖ ลักษณะนี้ จึงเรียกอาการที่เกิดขึ้น
นี้วาญาณจริยา ๑๖ ซึ่งเปนกระบวนการทางปญญาที่เปนอริยปญญา เปน
ความรูชัดตามความเปนจริงและเปนไปเพื่อการดับทุกข
ญาณจริยา ๑๖ เปนกระบวนการของวิปสสนา คือ กริยาอาการ ที่
แสดงใหเห็นพฤติการณที่ดําเนินไปในการพิจารณาสภาวธรรมโดยแยบคาย
ซึ่งเปนการเจริ ญปญญาเพื่อให เห็นแจ งในสภาพธรรมนั้นๆ จนสามารถ
ประหารกิเลสและบรรลุ อริยผลโดยลําดับตามสมควรแกบุคคล
๗๒
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๘๔/๑๔๓.
๗๓
พระพุทธโฆสเถระ, วิสุทธิมรรค, หนา ๑๑๙๓.
๑๐๐๗
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ปฏิสัมภิทามรรคอรรถกถาระบุวา "ญาณในนิโรธสมาบัติ คือญาณ
อันเปนนิมิตแหงนิโรธสมาบัติ อุปมาเหมือนเสือเหลือง จะถูกจับฆาก็เพราะ
ลายเสือ"๗๔
๓.๑๐ สุญญตผัสสะ อนิมิตตผัสสะ อัปปณิหิตผัสสะ
พระสารีบุตรอธิบายความหมาย ลักษณะ สภาวธรรมที่เกี่ยวกับ
ผัสสะวา ผูเห็นวิเวกในผัสสะทั้งหลาย คือ เห็นจักขุสัมผัสวา วางจากตน จาก
ธรรมที่เนื่องในตน จากความเที่ยง จากความยั่งยืน จากความสืบตอ หรือ
จากธรรมที่ไมแปรผัน เห็นโสตสัมผัส ...ฆานสัมผัส ...ชิวหาสัมผัส ...กาย
สัมผัส ...มโนสัมผัส ...อธิวจนสัมผัส ...ปฏิฆสัมผัส ...สุขเวทนียผัสสะ ...ทุกข
เวทนียผัสสะ ... อทุกขมสุขเวทนียผัสสะ ...ผัสสะที่เปนกุศล ...ผัสสะที่เปน
อกุศล ...ผัสสะที่เปนอัพยากฤต ...ผัสสะที่เปนกามาวจร ...ผัสสะที่เปนรูปาว
จร ...ผัสสะที่เปนอรูปาวจร ...ผัสสะที่เปนโลกิยะ ... เห็นผัสสะที่เปนโลกุต
ตระวา วางจากตน จากธรรมที่เนื่องในตน จากความเที่ยง จากความยั่งยืน
จากความสืบตอ หรือจากธรรมที่ไมแปรผัน
อีกนัยหนึ่ง เห็นผัสสะที่เปนอดีตวา วางจากผัสสะที่เปนอนาคตและ
ผัสสะที่เปนปจจุบัน เห็นผัสสะที่เปนอนาคตวา วางจากผัสสะที่เปนอดีตและ
ผัสสะที่เปนปจจุบัน เห็นผัสสะที่เปนปจจุบันวา วางจากผัสสะที่เปนอดีตและ
ผัสสะที่เปนอนาคต
อีกนัยหนึ่ง เห็นผัสสะที่เปนอริยะ ไมมีอาสวะ เปนโลกุตตระ ปฏิสัง
ยุต ดวยสุญญตธรรมวา วางจากราคะ โทสะ โมหะ โกธะ อุปนาหะ มักขะ
ปฬาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ
มทะ ปมาทะ กิเลสทุกชนิด ทุจริตทุกทาง ความกระวนกระวายทุกอยาง
ความเรารอนทุกสถาน ความเดือดรอนทุกประการ อกุสลาภิสังขารทุก
ประเภท ดวยประการอยางนี้ รวมความวา ผูเห็นวิเวกในผัสสะทั้งหลาย๗๕
๗๔
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป.อ. (บาลี)๑/๓๔/๔๕.
๗๕
ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๘๖/๒๖๐.
๑๐๐๘
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ผัสสะ หมายถึง ธรรมชาติของจิตที่เกิดขึ้น เปนไป ดําเนินไป มีการ
กระทบ แตะต อง สั มผั สซึ่งอาการกระทบสัมผั ส ของจิ ต ในขอบเขตที่มี
ความสัมพันธกับเรื่องนิโรธสมาบัติพบวา มี ๓ สักษณะคือ
๑.กระทบสัมผัสกับความวาง (สุญญตผัสสะ)
๒.กระทบสัมผัสกับความไมมีเครื่องหมาย (อนิมิตตผัสสะ)
๓.กระทบสัมผัสกับความไมมีที่ตั้ง (อัปปณิหิตตผัสสะ)
สุญญตผัสสะ อนิมิตตผัสสะ อัปปณิหิตผัสสะ ผัสสะทั้ง ๓ ประการ
ดังกล าวจึ งเป น สภาวะของจิ ต ที่มีส ภาวธรรมเป น ความวาง ความไมมี
เครื่องหมาย ความไมมีที่ตั้ง เปนอาการของความไมเกี่ยวของกับสภาพธรรม
ทั้งหลาย ซึ่งลักษณะของการกระทบสัมผัสทั้ง ๓ ประการนี้ เปนอารมณของ
นิพพาน เปนธรรมชาติที่โนมไปในนิพพานที่เปนการกระทบ ถูกตอง สัมผัส
ของจิตผูออกจากนิโรธสมาบัติ
นิพพานเปนสภาวธรรมที่มีความดับ ปราศจากการรบกวนของกิเลส
เปนธรรมอันสงบ นิโรธสมาบัติเปนสภาพแหงความดับของสัญญาและเวทนา
ซึ่งเปนสภาวธรรมที่ละเอียด สภาวะนั้นเปนสภาพที่ปราศจากการเบียดเบียน
ของธรรมทั้งหลาย พระสูตรหลายแหงมีขอความที่อธิบายความคลายคลึงกัน
ของความสงบระงับระหวางนิโรธสมาบัติกับนิพพานและผลสมาบัติวาเปน
การเขาถึงเพื่อเสวยความสงบสงัดที่มีความคลายนิพพาน ซึ่งนิพพานเปน
สภาวะแหงความวาง จิตของผูเขาสัญญาเวทยิตนิโรธดับลงดวยอารมณแหง
นิพพาน นิพพานเปนธรรมที่มีลักษณะของความวาง ลักษณะของความไมมี
เครื่ อ งหมาย ลั ก ษณะของความไม มี ที่ ตั้ ง ด ว ยลั ก ษณะที่ เ ป น ธรรมชาติ
ดังกลาวของนิพพานนี้ ขณะออกจากนิโรธสมาบัติจิตของผูออกจากนิโรธ
สมาบัติที่เกิดขึ้นจึงมีลักษณะของความวาง ความไมมีเครื่องหมาย ความไมมี
ที่ตั้งดังกลาว
๔. บุคคลทีเ่ ขานิโรธสมาบัติได
๑๐๐๙
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
นิโรธสมาบัติเปนอาการของสมาธิจริยา ๙ และญาณจริยา ๑๖ ซึ่ง
เปนกําลังของสมาธิและวิปสสนาที่ทํางานรวมกันอยางสมดุลย ทั้งสองสวน
โดยการทําสมาธิให เกิด ขึ้น และตั้งอยูดว ยกําลังของปญญาในสมาธิ คือ
ความสามารถในการกําหนดและควบคุมอารมณฌานให ตั่ งมั่น อยู ได ต าม
ความปรารถนาโดยไมสั่นใหวและกําลังของปญญา ในวิปสสนา คือ ปญญาที่
เขาใจสภาวธรรมของความไมเที่ยงในสิ่งทั้งปวงตามความเปนจริง คือ ไตร
ลักษณ แลวพิจารณาดวยหลักอริยสัจ ๔ ซึ่งเปนปญญาของพระอริยบุคคล
ชั้นพระอนาคามีบุคคลขึ้นไป กระบวนธรรมทั้งสองสวนดังกลาวเกิดขึ้นอยาง
เปนระบบดวยปญญาเห็นรูปและนามเปนสิ่งไมเที่ยงตั้งแตในฌานขั้นตน คือ
ปฐมฌานไปตามลําดับขั้นจนถึงอรูปฌาน ๔ แล วนามธรรมสุดทาย คือ
สัญญาและเวทนาก็ดับลงในนิโรธสมาบัติ ซึ่งเปนสมาบัติสูงสุดที่จะเกิดไดแต
เฉพาะกับพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาเทานั้น๗๖
๔.๑ พระอริยบุคคลที่สามารถเขานิโรธสมาบัติได
นิ โ รธสมาบั ติ เ ป น สมาบั ติ ที่ มี ค วามพิ เ ศษ ไม เ หมื อ นสมาบั ติ อื่ น ๆ
เพราะเปนเพียงสมาบัติชนิดเดียวที่ไมสามารถเกิดไดอยางสาธารณะทั่วไป
ขอกําหนดที่เปน คุณสมบัติ ของผูที่จะเขานิ โรธสมาบัติไดนั้ น ตองเปนพระ
อริยะบุคคล ๒ จําพวก คือ (๑) พระอนาคามี และ (๒) พระอรหันต ที่มี
ความชํานาญในสมาบัติ ๘ เทานั้น
พระอริยบุคคล ๒ จําพวกนี้จะตองเปนผูม ีความสามารถในการระงับ
สังขาร ๓ อันไดแก วจีสังขาร กายสังขาร จิตตสังขาร ดวยกําลังของสมาธิ
และกําลังของปญญา โดยกําลังความสามารถทั้ง ๒ สวน คือ สมถพละ อัน
ไดแก สมาธิจริยา ๙ และวิปสสนาพละ อันไดแก ญาณจริยา ๑๖
พละทั้ง ๒ ประการนี้จะตองทํางานรวมกันในฌานทุกขั้นจนเปน
ปญญาในการระงับสังขาร ๓ คือ ความสามารถในความเปนผูสงบระงับ ดวย
ความไมเปนไปแหงสังขารธรรมในสังขาร ๓ ประการ อันไดแก
๗๖
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๔๑/๘๓.
๑๐๑๐
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๑. วจีสังขารสงบระงับ คือ อาการตรึกนึกคิดสงบระงับดวยอํานาจ
ของทุติยฌาน เพราะวิตก วิจาร ตกไป
๒. กายสังขารสงบระงับ คือ ลมหายใจเขาและลมหายใจออกอัน
เนื่องดวยกายสงบระงับ ดวยอํานาจของจตุตถฌาน
๓. จิตตสังขารสงบระงับ คือ สัญญาและเวทนาอันเนื่องดวยจิตสงบ
ระงับ ในสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
สมถพละ(กําลังของสมาธิ) คือ ธรรมชาติที่จิตตั้งมั่นมีอารมณเดียว
ไมฟุงซานและไมหวั่นไหวดวยอํานาจแหงธรรมเหลานี้ คือ ไมฟุงซานดวย
อํานาจแหงเนกขัมมะ ไมฟุงซานดวยอํานาจแหงอพยาบาท ไมฟุงซานดวย
อํานาจแหงอาโลกสัญญา ไมฟุงซานดวยอํานาจแหงอวิกเขปะ ฯลฯ ไม
ฟุงซานดวยอํานาจแหงการพิจารณาเห็นความสละคืน ไมหวั่นไหวเพราะ
นิวรณ ๕ ดวยปฐมฌาน ไมหวั่นไหวเพราะวิตกวิจารดวยทุติยฌาน ไม
หวั่นไหวเพราะปติดวยตติยฌาน ไมหวั่นไหวเพราะสุขและทุกขดวยจตุตถ
ฌาน ไม ห วั่ น ไหวเพราะรู ป สั ญ ญา ปฏิ ฆ ะสั ญ ญา นานั ต ตสั ญ ญาด ว ยอา
กาสานัญจายตนสมาบัติ ไมหวั่นไหวเพราะอากาสานัญญายตนสัญญาดวยอา
กิญจัญญายตนสมาบัติ ไมหวั่นไหวเพราะอากิญจัญญายตนสัญญาดวยเนว
สั ญญานาสั ญญายตนสมาบั ติ ไมกวั ด แกว งไมห วั่ น ไหวไมเ อนเอีย งเพราะ
อํานาจของอุทธัจจะและกิเลสอันสหรคตดวยอุทธัจจะและเพราะขันธ ดวย
สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
สมาธิ จริยา ๙ คือ กิริยาที่เปน ความสามารถในการบรรลุฌาน
สมาบัติ อันไดแกสมาบัติ ๘ ประกอบดวยปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน
จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญ-
จัญญายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน และวิตก วิจาร ปติ สุข
เอกกัคคตาและอุปจาระขณะแหงสมาบัตินั้นๆ รวมกันเปนสมาธิจริยา ๙
วิปสสนาพละ คือ ปญญารูชัดในสภาพธรรมตามความเปนจริง โดย
เกิดจากการพิจารณาใหเห็นแจงอนิจจานุปสสนา ทุกขานุปสสนา อนัตตา
นุปสสนา วิราคะนุปสสนา นิพพิทานุปสสนา นิโรธานุปสสนา ปฏินิสสัคคา
นุปสสนา และเพราะความไมหวั่นไหวในอนิจจสัญญาดวยอนิจจานุปสสนา
๑๐๑๑
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
เพราะไมหวั่นไหวในสุขสัญญาดวยทุกขานุปสสนา เพราะไมหวั่นไหวในอัตตา
นุสัญญาดวยอนัตตานุปสสนา เพราะไมหวั่นไหวในนันทิดวยนิพพิทานุปสส
นา เพราะไมหวั่นไหวในราคะดวยวิราคานุปสสนา เพราะไมหวั่นไหวในอาทา
นะดวยปฏินิสสัคคานุปสสนา เพราะไมหวั่นไหว ไมกวัดแกวง ไมเอนเอียง
เพราะอวิชชาและกิเลสอันประกอบดวยอวิชชาและขันธ นี้คือ วิปสสนาพละ
ซึ่งประกอบดว ยญาณจริยา ๑๖ ดังนี้ อนิจ จานุปสสนา ทุกขานุปสสนา
อนัตตานุปสสนา นิพพิทานุปสสนา วิราคานุปสสนา นิโรธานุปสสนา ปฏินิส
สัคคานุปสสนา วิวัฏฏนานุปสสนา โสดาปตติมรรค โสดาปตติผลสมาบัติ
สกทาคามิมรรค สกทาคามิผลสมาบัติ อนาคามิมรรค อนาคามิผลสมาบัติ
อรหัตตมรรค อรหัตตผลสมาบัติ เหลานี้คือ วิปสสนาพละ
จะเห็นไดวาคุณสมบัติของบุคคลผูที่จะสามารถเขานิโรธสมาบัติได
นั้นจะตองเปนอริยฌานลาภีบุคคลเทานั้น คือ จะตองเปนบุคคลที่บรรลุอริ
ยผล ตั้งแตชั้นพระอนาคามีบุคคลขึ้นไป และมีความชํานาญในสมาบัติ ๘ ถึง
พรอมดวยวสี ๕๗๗ และพละ ๒ ซึ่งพละทั้ง ๒ สวนนั้นตองเสมอกัน คือ สมถ
พละที่เปนผลของสมถะจริยา ๙ จะตองมีความชํานาญคลองแคลวในฌาน
ทุกขั้น ดวยสามารถแหงวสี ๕ พรอมดวยวิปสสนาพละ คือ ญาณจริยา ๑๖
อันเปนวิปสสนาญาณของพระอริยะที่ไดบรรลุอริยผลแลว ("พระอนาคามี
บรรลุญาณจริยา ๑๔, พระอรหันตบรรลุญาณจริยา ๑๖"๗๘)
ดวยเงื่อนไขเหลานี้จึงเปนเครื่องบงชี้ที่สําคัญวา นิโรธสมาบัติจะไม
สามารถเกิดขึ้นกับบุคคลทั่วไปที่มิไดอยูภายใตหลักคําสอนของพุทธศาสนา
ไดเลย หรือแมแตบุคคลที่อยูภายใตหลักคําสอนของพระพุทธศาสนาเอง ก็ไม
สามารถที่จะเขาสมาบัติชนิดนี้ไดทุกคน เพราะมีเงื่อนไขที่เปนขอกําหนด
คุณสมบัติของความเปนผูที่มีความชํานาญทางดานสมาธิเปนพื้นฐาน
๗๗
พระพุทธโฆสเถระ, วิสุทธิมรรค, หนา ๑๑๙๓.
๗๘
เรื่องเดียวกัน หนา ๑๑๙๔.
๑๐๑๒
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
นอกจากคุณสมบัตดิ ังกลาวแลว ยังมีบุคคลอีก ๒ ประเภท คือ ภิกษุ
ผูเปนสาธุวิหารีและภิกษุผูบรรลุโมเนยยธรรมทางใจก็เปนผูที่สามารถเขา
นิโรธสมาบัติได เพราะมีคุณสมบัติทางดานสมาธิและปญญาเพียบพรอม
สวนพระโสดาบัน และพระสกทาคามียั งไมสามารถประหาณกาม
ฉันทนิวรณอนุสัยธาตุอันเปนอุปสรรคของสมาธิลงไดหมดสิ้น สมาธิจึงมีกําลัง
นอยทําใหเขานิโรธไมได สวนพระอนาคามีและพระอรหันตไดประหาณกาม
ฉันทนิวรณอนุสัยธาตุหมดสิ้น เด็ดขาดแลว ทําใหเขานิโรธสมาบัติได"๗๙
คุณสมบัติของพระอริยบุคคลผูที่สามารถเขานิโรธสมาบัติไดอีก ๒
ประเภท คือ (๑) ภิกษุผูเปนสาธุวิหารี๘๐ และ (๒) ภิกษุผูบรรลุโมเนยยธรรม
ทางใจ๘๑ เพราะมีคุณสมบัติของผูเขานิโรธสมาบัติดังที่พระสารีบุตรกลาวถึง
บุคคลที่สามารถเขานิโรธสมาบัติไดวา ถาไมบรรลุพระอรหันตในชาตินี้ เมื่อ
สิ้นชีวิตแลวจะไปเกิดในพรหมโลก"๘๒
"บุคคลที่จะสามารถไปเกิดในพรหมโลกไดนั้น มีได ๒ จําพวก คือ
(๑) พระอนาคามี และ (๒) ปุถุชนผูไดฌานสมาบัติ"๘๓
การบรรลุอรหัตตผลในพุทธศาสนามีอยู ๒ ลักษณะ คือ
(๑) การบรรลุธรรมที่มีฌานสมาบัติเปนพื้นฐานในการเจริญปญญา
จนถึงความสิ้นอาสวะแบบสมถยานิก
(๒) การบรรลุธรรมที่ใชความสงบของนิวรณ ๕ ในปฐมฌานเปน
ฐานในการใชปญญาพิจารณาใหเห็นถึงสภาพความเปนจริงแลวละจากกิเลส
นั้นจนถึงความสิ้นอาสวะแบบวิปสสนายานิก
๗๙
พระภัททันตะ อาสภะมหาเถระ, วิปสสนาทีปนีฎีกา, หนา ๒๕๕.
๘๐
ขุ.จู. (ไทย) ๓๐/๑๓๑/๔๓๓.,วิ.ม. (ไทย) ๕/ -- /๓๕๕, เชิงอรรถ.
๘๑
ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๔/๖๙., องฺ.ปฺจก. (ไทย) ๒๒/๑๖๖/๒๗๓.
๘๒
ดูรายละเอียดใน องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๓๖/๕๐๘., ผศ. ทวี ผลสมภพ,ความรู
เบื้องตนเกี่ยวกับ ปรัญาอภิธรรม PY 414 (PY440), พิมพครั้งที่ ๓,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาวิทยาลัยรามคําแหง, ๒๕๓๙). หนา ๕๒.
๘๓
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริเฉทที่ ๔ วิถีสังคหะ,
หนา ๑๒๐.
๑๐๑๓
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
พระอริยบุคคลประเภทสมถยานิกเทานั้น เพราะเปนพระอริยบุคคล
ที่มีความสัมพันธกับสมาธิในระดับฌานจนถึงนิโรธสมาบัติ ดังนี้
๑. กายสักขีสูตรระบุวาทานพระอุทายีถามวา "ผูมีอายุ พระผูมีพระ
ภาคตรัสวา `กายสักขี กายสักขี' ผูมีอายุ ดวยเหตุเพียงเทาไรหนอ พระผูมี
พระภาคจึงตรัสเรียกบุคคลวา กายสักขี" ทานพระอานนทตอบวา "ผูมีอายุ
ภิกษุในพระธรรมวิ นั ยนี้ ส งัดจากกาม ฯลฯ บรรลุ ป ฐมฌาน ฯลฯ และ
อายตนะคื อ ปฐมฌานนั้ น มี อ ยู โ ดยประการใดๆ เธอสั ม ผั ส อายตนะคื อ
ปฐมฌานนั้นดวยกายโดยประการนั้นๆ อยู ดวยเหตุเพียงเทานี้ พระผูมีพระ
ภาคจึงตรัสเรียก บุคคลวา `กายสักขี' โดยปริยายแลว (๑) ภิกษุบรรลุทุติย
ฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ และอายตนะคือ
จตุตถฌานนั้นมีอยูโดยประการใดๆ เธอสัมผัสอายตนะคือจตุตถฌานนั้นดวย
กายโดยประการนั้นๆ อยู ดวยเหตุเพียงเทานี้ พระผูมีพระภาคจึงตรัสเรียก
บุคคลวา `กายสักขี' โดยปริยายแลว (๒-๔)
ภิกษุบรรลุอากาสานัญจายตนฌานโดยกําหนดวา `อากาศหาที่สุด
มิได' อยูเพราะลวงรูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไมกําหนดนานัตตสัญญา และ
อายตนะคืออากาสานั ญจายตนฌานนั้ น มีอยู โ ดยประการใดๆ เธอสั มผั ส
อายตนะคืออากาสานัญจายตนฌานนั้นดวยกายโดยประการนั้นๆ อยู ดวย
เหตุเพียงเทานี้พระผูมีพระภาคจึงตรัสเรียกบุคคลวา `กายสักขี' โดยปริยาย
แลว (๕-๘) ภิกษุลวงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุ
สัญญาเวทยิตนิโรธอยู อาสวะทั้งหลายของเธอหมดสิ้นแลว เพราะเห็นดวย
ปญญา และอายตนะคือสัญญาเวทยิตนิโรธนั้นมีอยู โดยประการใดๆ เธอ
สัมผัสอายตนะคือสัญญาเวทยิตนิโรธนั้นดวยกาย โดยประการนั้นๆ ดวยเหตุ
เพียงเทานี้ พระผูมีพระภาคจึงตรัสเรียกบุคคลวา `กายสักขี'โดยนิปปริยาย
แลว" (๙)๘๔
๘๔
ดูรายละเอียดใน องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๔๓/๕๓๖ -- ๕๓๗.
๑๐๑๔
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
และพบขอความเชนเดียวกันในพระสูตรอื่นๆ อีก เชน ปญญาวิมุตต
สูตร อุภโตภาควิมุตตสูตร สันทิฏฐิกธรรมสูตร๘๕
หนังสือพุทธธรรมระบุวา "การบรรลุธรรมจนเปนเกณฑแบงประเภท
ทักขิไณยหรืออริยบุคคล มี ๓ อยาง คือ สัทธินทรีย (อินทรียคือศรัทธา)
สมาธินทรีย (อินทรียคือสมาธิ) และปญญินทรีย (อินทรียคือปญญา)"๘๖
การบรรลุธ รรมมีได หลายประเภท ขึ้นอยูกับเงื่อนไขและพื้น ฐาน
ปญญาของแตละบุคคล อุภโตภาควิมุต (ผูหลุดพนทั้งสองสวน) ไดแก ทานผู
ไดสัมผัสวิโมกข ๘ ดวยกายและอาสวะทั้งหลายก็สิ้นแลวเพราะเห็น อริยสัจ
ดวยปญญา (หมายถึงพระอรหันตผูบําเพ็ญสมถะมาเปนอยางมากกอนแลว
จึงใชสมถะนั้นเปนฐานบําเพ็ญวิปสสนาตอจนสําเร็จ)"๘๗ ลักษณะดังกลาวจึง
เปนเครื่องบงชี้ถึงการเจริญปญญาที่ไดใชฌานสมาบัติและแสดงใหเห็นถึง
ความแตกตางของพระอริยบุคคลผูเขานิโรธสมาบัติไดและเขานิโรธสมาบัติได
๔.๒ ภูมิที่สามารถเขานิโรธสมาบัติได
ภูมิอันเปนตั้งที่เปนที่อยูอาศัย ของสัตวที่จะเขานิโรธสมาบัติไดนั้น
จะตองเปนภูมิของสัตวที่มีองคประกอบของขันธ ๕ ครบ คือ รูป วิญญาณ
สังขาร สัญญา เวทนา ซึ่งไดแกสัตวใน "ปญจโวการภพที่เปนสุคติภูมิ ๒๒ ภูมิ
เทานั้น"๘๘ดังนี้ ๑. มนุษย ๒. จาตุมหาราชิกา ๓. ดาวดึงส ๔. ยามา ๕. ดุสิตา
๖. นิมมานนรดี ๗. ปรนิมมิต สวั ตตี ๘. ปาริสั ชชาพรหม ๙. ปุ โรหิต ตา
พรหม ๑๐. มหาพรหมมาพรหม ๑๑. ปริตตาภาพรหม ๑๒. อัปมาณา
พรหม ๑๓. อาภัสระพรหม ๑๔. ปริตตสุภาพรหม ๑๕. อัปมาณสุภาพรหม
๑๖. สุภกิณหพรหม ๑๗. เวหัปผลาพรหม ๑๘. อวิหาพรหม ๑๙. อตัปปา
พรหม ๒๐. สุทัสสาพรหม ๒๑. สุทัสสีพรหม ๒๒. อกนิษฐพรหม
๘๕
ดูรายละเอียดใน องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๔๔/๕๓๗ -- ๕๔๐.
๘๖
พระธรรมปฎก (ป.อ. ประยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับขยายความ, หนา ๒๘๙.
๘๗
เรื่องเดียวกัน,หนา ๒๙๒.
๘๘
๑๐๑๕
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
สั ต ว ในภู มิ เ หล านี้ ส ามารถบรรลุ ธ รรมเป น พระอนาคามีและพระ
อรหันตได สวนสัตวในภูมิอื่นไมสามารถเขานิโรธสมาบัติได ดังปรากฎของ
ความในนิโรธสูตร วา เปนไปไดที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ผูถึงพรอมดวยศีล ถึง
พรอมดวยสมาธิ ถึงพรอมดวยปญญา เขาสัญญาเวทยิตนิโรธบาง ออกสัญญา
เวทยิตนิโรธบาง หากเธอไมบรรลุอรหัตผลในปจจุบัน ก็เปนไปไดที่เธอจะลวง
ความเปนผูอยูรวมกับเทวดาผูมีคําขาวเปนภักษาแลวเขาถึงกายมโนมัยชั้นใด
ชั้นหนึ่ง เขาสัญญาเวทยิตนิโรธบาง ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบาง๘๙
พระสารีบุตรเถระไดกลาวถึงการเขานิโรธสมาบัติในพรหมโลกไววา
"เขาถึงกายมโนมัยชั้นใดชั้นหนึ่ง เขาสัญญาเวทยิตนิโรธบาง ออกจากสัญญา
เวทยิตนิโรธบาง"๙๐
หนังสือวิปสสนาทีปนีฎีการะบุวา "กามภูมินี้ไดแก มนุษยภูมิเทานั้น
เพราะ เทวภูมินั้นไมมีโอกาสเขานิโรธสมาบัติได เนื่องจากโลกียอารมณกาม
คุณมีมากมาย ฉะนั้น หาที่สงบไมได ถาเปนพระอนาคามีก็ยายไปพรหมโลก
ถาเปนพระอรหันตไมชาไมนานก็ปรินิพพาน"
๕. การเขานิโรธสมาบัติ
การเข า นิ โ รธสมาบั ติ ย อ มมี ไ ด เ ฉพาะอนาคามี บุ ค คล และพระ
อรหันตขีณาสพ เพราะทานทั้งหลายเหลานี้เปนผูชํานาญดวยญาณจริยา ๑๖
สมาธิจริยา ๙ เปนผูประกอบดวยพละ ๒ และเพราะความสงบไปแหงสังขาร
๓ ทานผูเปนพระอนาคามีและพระขีณาสพทั้งหลายเมื่อเบื่อหนายในความ
เปนไป และความแตกดับของสังขารทั้งหลาย จึงเขานิโรธสมาบัติเพื่อเปนสุข
ในทิฏฐธรรม๙๑
๕.๑ ทัศนะของนักวิชาการ
๘๙
องฺ.ปฺจก. (ไทย) ๒๒/๑๑๖/๒๗๓.
๙๐
ดูรายละเอียดในองฺ.ปฺจก. (ไทย) ๒๒/๑๑๖/๒๗๓.
๙๑
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๘๓-๘๔/๑๔๑ - ๑๔๓.
๑๐๑๖
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๑) Nyantiloka Mahathera (พระนยานติโลกะมหาเถระ) ไดแสดง
ทั ศ นะเกี่ ย วกั บ นิ โ รธสมาบั ติ ใ ว อ ย า งครอบคลุ ม ตามหลั ก การในคั ม ภี ร
พระพุทธศาสนาแถรวาท มีการแสดงแหลงที่มาของขอมูลดวยการอางอิงทุก
ประเด็นที่มีความเกี่ยวของกับเรื่องนิโรธสมาบัติใวอยางเปนระบบวา
นิโรธสมาบัติ หมายถึง การบรรลุความดับ เรียกอีกอยางหนึ่งวา
สัญญาเวทยิตนิโรธ ซึ่งเปนการดับลงของสัญญาและเวทนา เปนสภาวะความ
สงบระงับที่เกิดขึ้นชั่วคราวทางจิตทั้งหมด โดยจะเขาถึงทันทีหลังจากที่กาว
ลวงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน และมีเงื่อนใขวา บุคคลที่สามารถเขานิโรธ
สมาบัติไดนั้นจะตองเปนพระอนาคามีหรือพระอรหันตที่มีความชํานาญใน
สมาบัติ ๘ เทานั้น การเขาถึงสภาวะนิโรธสมาบัติตองอาศัยกําลังของความ
สงบที่เกิดจากสมาธิและผลของวิปสสนาที่ไดบรรลุแลว คือ อนาคามีผลและ
อรหัตตผล หากบรรลุเพียงสมาบัติ ๘ หรืออริยผลอยางใดอยางหนึ่งก็ไม
สามารถเขานิโรธสมาบัติไดเลย ผูที่มีคุณสมบัติครบตามเงื่อนใขดังกลาว
จะตองเขาฌานตามลําดับและมีวิปสสนากํากับทุกฌาน เมื่อกาวลวงเนว
สัญญานาสัญญายตนฌาน ก็จะบรรลุถึงความดับสนิทในนิโรธสมาบัติ โดยจะ
สามารถอยูได ๗ วัน การออกจากนิโรธสมาบัติจะมีความแตกตางกันตาม
ระดับชั้นของอริยผลที่ไดบรรลุ คือ พระอนาคามีจะออกจากนิโรธสมาบัติ
ดวยอนาคามิผลจิต พระอรหันตออกจากนิโรธสมาบัติดวยอรหัตตผลจิต
อนึ่ง บุคคลที่ตายแลว และผูที่เขานิโรธสมาบัติจะมีการดับลงของ
สังขารเชนเดียวกัน คือ กายสังขารดับ วจีสังขารดับ จิตสังขารดับ แตคนตาย
กับผูที่เขานิโรธสมาบัติจะมีความแตกตางกัน คือ ผูที่ตายแลวอายุหมดไป ไอ
อุนของรางกายหมดไป รางกายเสื่อมสลายไป แตบุคคลผูเขา นิโรธสมาบัติ
อายุยังไมหมดไป ไออุนของรางกายยังไมหมดไป รางกายยังไมถูกทําลาย๙๒
๙๒
Nyantiloka Mahathera, Buddhist DictionaryManual of Terms
and Doctrines, Fourth Revised Edition, (Kandy : Buddhist Publication
Society, 1997), pp. 127 -- 128.
๑๐๑๗
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๒) Henepola Gunaratana (เฮเนโปละ คุณรัตนะ) ไดแสดงทัศนะ
ในประเด็นเรื่องกระบวนการ ขั้นตอนในการเขา ขั้นตอนในการออก และ
คุณสมบัติของผูเขานิโรธสมาบัติตามขอมูลซึ่งประกอบดวย พระสุตตันตปฎก
คัมภีรวิสุทธิมรรค คัมภีรวิสุทธิมรรคมหาฎีกา ใวในดุษฎีนิพนธเรื่อง A
Critical Analysis of the Jhnas in Theravda Buddhist Meditation. วา
สัญญาเวทยิตนิโรธเปนอาการสงบ ระงับ ที่ไมเพียงแตสัญญาและ
เวทนาเทานั้นที่สงบ ระงับ ดับลง แตเปนกิจกรรมทั้งหมดของจิตที่สงบ ระงับ
ดับลง การบรรลุนิโรธสมาบัติมีเงื่อนใขที่เปนขอจํากัดเฉพาะ มีความแตกตาง
จากการเขาผลสมาบัติ การที่บุคคลจะสามารถเขานิโรธสมาบัติไดนั้นจะตอง
เปนพระอนาคามีและพระอรหันตผูไดสมาบัติ ๘ เทานั้น ซึ่งพระอริยบุคคล
ดังกลาวจะตองไดทั้งรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ สวนปุถุชน พระโสดาบัน
พระสกิทาคามี ไมสามารถเขานิโรธสมาบัตินี้ไดเพราะขาดคุณสมบัติสําคัญที่
เปนเงื่อนใขเฉพาะ เนื่องจากการเขานิโรธสมาบัติตองอาศัยกําลังของสมถะ
และวิปสสนาในการทํางานรวมกันอย างสมบูร ณ บุคคลทั้ง ๓ ประเภท
ดังกลาวยังไมสามารถละจากกามฉันทะได สมถะและวิปสสนาจึงยังไมมี
กําลังสมบูรณ เพียงพอที่จะบรรลุความดับของสัญญาและเวทนาได การเขา
นิโรธสมาบัติสามารถเขาไดเฉพาะในภูมิของสัตวที่มีองคประกอบของความ
เปนสิ่งมีชีวิตที่มีขันธ ๕ ครบเทานั้น สวนในภูมิอื่นที่สัตว มีองคประกอบของ
ความเปนสิ่งมีชีวิตเพียงขันธ ๔ ที่ปราศจากรูปธรรมไมสามารถเขา นิโรธ
สมาบัติไดเนื่องจากไมสามารถทําใหรูปฌานเกิดขึ้นได การที่พระอนาคามี
และพระอรหั น ต เ ข า นิ โ รธสมาบั ติ เ พื่ อ เป น การพั ก ผ อ นอย า งประเสริ ฐ
เนื่ องจากในนิ โ รธสมาบั ติ เ ป น สภาวะแห งความดั บ ที่คล ายกับ สภาวะของ
นิพพาน ขั้นตอนการเขานิโรธสมาบัติเริ่มดวยการเขาปฐมฌาน เมื่อออกจาก
ปฐมฌานแลวจะตองพิจารณาไตรลักษณ และทําซ้ําๆ อยางนี้ไปทุกฌาน
จนถึง อากิญจัญญายตนฌาน เมื่อออกจากอากิญจัญญายตนฌานจะตอง
กระทําปุพพกิจ ๔ อยาง คือ
๑. อธิษฐานไมใหขาวของที่เกี่ยวเนื่องกับตนตองเสียหายจาก ไฟ น้ํา
ลม ขโมย และหนูในหวางที่เขานิโรธสมาบัติ
๑๐๑๘
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๒. อธิษฐานวาหากมีการเรียกหาของสงฆในหวางที่เขานิโรธสมาบัติ
จะตองสามารถออกจากสมาบัติไดทันทีโดยมิตองใหผูใดมาตาม
๓. อธิ ษฐานว าหากมีก ารเรี ย กหาของพระพุ ทธเจ าในหว างที่เ ข า
นิโรธสมาบัติจะตองสามารถออกจากสมาบัติไดทันทีโดยมิตองใหผูใดมาตาม
๔. ตรวจสอบอายุที่เหลืออยูวาอายุมีอยูเกิน ๗ วันที่จะเขานิโรธ
สมาบัติหรือไม เมื่อไดทําปุพกิจ ๔ ครบตามขั้นตอนแลว หลังจากที่กาวลวง
เนวสัญญานาสัญญายตนฌานเพียง ๑ หรือ ๒ ขณะ จิตก็จะบรรลุสัญญา
เวทยิตนิโรธ การออกจากนิโรธสมาบัติก็จะตางกันตามระดับของอริยภาวะที่
ผูเขานิโรธสมาบัติไดบรรลุแลว กลาวคือ พระอนาคามีจะออกจาก นิโรธ
สมาบั ติ ด ว ยอนาคมี ผ ลจิ ต พระอรหั น ต จ ะออกจากนิ โ รธสมาบั ติ ด ว ย
อรหัตตผลจิต และจิตของผูออกจากนิโรธสมาบัติจะโนมไปในนิพพาน๙๓
วัตถุประสงคของการเขานิโรธสมาบัติ
นิโรธสมาบัติเปนการพักผอนอยางประเสริฐ โดยใชฌานสมาบัติเปน
เครื่องมือในการอยูอยางเปนสุขในวิหารธรรมของพระอริยบุคคล ดวยผล
สมาบัติ หรือนิโรธสมาบัติ ดังปรากฏขอความในคัมภีรตางๆ เชน
๑. มหาปทานสูตร๙๔ เปนพระสูตรที่เหลาภิกษุทั้งหลายไดสนทนา
กันเกี่ยวกับความอัศจรรยในพระปญญาคุณของพระพุทธเจาที่ทรงระลึกถึง
พระพุทธเจาทั้งหลายในอดีตและสรรเสริญถึงการที่พระพุทธเจาทั้งหลายทรง
มีธรรมเปนเครื่องอยู "ธรรมที่เปนเครื่องอยูในที่นี้หมายถึงทรงมีนิโรธสมาบัติ
เปนวิหารธรรม"๙๕
๒. จูฬโคสิงคสูตร เปนพระสูตรที่พระพุทธเจาทรงสรรเสริญพระอนุ
รุทธะ พระนันทิยะ พระกิมิละ วามีธรรมอันเปนเครื่องอยูอยางประเสริฐไมมี
๙๓
ดูรายละเอียดใน Henelopa Gunaratana, A Critical Analysis of the
Jhnas in Theravda Buddhist Meditation, Doctoral Dissertation, (The
Faculty of Art and Science of The American University,1980),pp. 203- 206.
๙๔
ดูรายละเอียดใน ที.ม. (ไทย). ๑๐/๑๓/๖.
๙๕
ดูรายละเอียดในที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๓/๑๘ - ๑๙ .
๑๐๑๙
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ธรรมใดยิ่งกวาดังนี้ พระผูมีพระภาคตรัสวา "ดีละ ดีละ อนุรุทธะ นันทิยะ
และกิมิละ ญาณทัสสนะที่ประเสริฐ อันสามารถ วิเศษยิ่งกวาธรรมของมนุษย
ซึ่งเปนเครื่องอยูอยางผาสุกที่เธอทั้งหลายผูไมประมาท มีความเพียร อุทิศ
กายและใจอยูอยางนี้ไดบรรลุแลว มีอยูหรือ"
ทานพระอนุรุทธะกราบทูลวา "จะไมมีไดอยางไร พระพุทธเจาขา
ข า พระองค ทั้ ง หลายสงั ด จากกามและอกุ ศ ลธรรมทั้ ง หลายแล ว บรรลุ
ปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปติ และสุขอันเกิดจากวิเวกอยูตามกําหนดเวลาที่
มุงหวัง นี้คือญาณทัสสนะที่ประเสริฐอันสามารถ วิเศษยิ่งกวาธรรมของ
มนุษย ซึ่งเปนเครื่องอยูอยางผาสุก ขาพระองคทั้งหลายเปนผูไมประมาท มี
ความเพียร อุทิศกายและใจอยู ไดบรรลุแลว พระพุทธเจาขา" ฯลฯ
"จะไมมีไดอยางไร พระพุทธเจาขา เพราะลวงเนวสัญญานาสัญญาย
ตนฌานโดยประการทั้งปวง ขาพระองคทั้งหลายบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู
เพราะเห็น ด วยป ญญา อาสวะของขาพระองคทั้งหลายย อมสิ้ น ไปตาม
กําหนดเวลาที่มุงหวัง นี้คือ ญาณทัสสนะที่ประเสริฐอันสามารถ วิเศษยิ่งกวา
ธรรมของมนุษยซึ่งเปนเครื่องอยูอยางผาสุกอยางอื่นที่ ขาพระองคทั้งหลาย
ไดบรรลุเพื่อกาวลวงและเพื่อระงับธรรมเปนเครื่องอยูนั้น พระพุทธเจาขา
อนึ่ง ขาพระองคทั้งหลายยังไมพิจารณาเห็นธรรมเปนเครื่องอยู
อยางผาสุกอยางอื่น ที่ยิ่งหรือประณีตกวาธรรมเปนเครื่องอยูอยางผาสุกนี้
พระพุทธเจาขา"
"ดีละ อนุรุทธะ นันทิยะ และกิมิละ ธรรมเปนเครื่องอยูอยางผาสุก
อยางอื่น ที่ยงิ่ หรือประณีตกวาธรรมเปนเครื่องอยูอยางผาสุกนี้ หามีไม"๙๖
๓. สารีปุตตเถรปาทานระบุวา "พระสารีบุตรไดสรรเสริญพระ
ปญญาของพระพุทธเจา ไดบรรลุ แลวตามคําสอนของพระพุทธเจาเป น
ผูสําเร็จสาวกบารมีญาณ ฉลาดในสมาธิ ฉลาดในสมาบัติ ฉลาดในอนุปุพพ
วิหารธรรม ๙ ฯลฯ และนิโรธสมาบัติเปนที่นอนของทาน"๙๗
๙๖
ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๒๘ - ๓๒๙/๓๖๐ - ๓๖๒.
๙๗
ดูรายละเอียดในขุ.อป. (ไทย) ๓๒/๓๕๖ -- ๓๖๐ /๕๕ -๕๖.
๑๐๒๐
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๔. คัมภีรวิมุตติมรรค ระบุวา "การเขานิโรธสมาบัติเพื่อความสุขใน
ปจจุบันและเปน อกุปปาสมาธิขั้นสุดทายของพระอริยบุคคล"๙๘
๕. คัมภีรวิสุทธิมรรค ระบุวา "พระอนาคามีและพระอรหันต
ขีณาสพผูไดสมาบัติ ๘ เบื่อหนายในความเปนไปและความแตกดับของ
สังขารทั้งหลายจึงคิดวา "เราจักเปนผูมีจิตบรรลุความดับคลายพระนิพพาน
อยูเปนสุขในทิฏฐธรรมนี้เสีย"๙๙
๖. คัมภีรสังคหะ ระบุวา "การเขานิโรธสมาบัติ เหมือนฝกนิพพาน
ในปจจุบันดวยเขาสูความดับสนิทแหงนามขันธโดยปราศจากอันตรายใดๆ
เปนสันติสุขอันยอดเยี่ยม ดังนั้นพระอริยเจา จึงนิยมเขานิโรธสมาบัติดวย
ศรัทธา และฉันทะในนิโรธสมาบัติขึ้น"๑๐๐
๗. หนังสือพุทธธรรมระบุวา อาศัยนิโรธสมาบัติบรรลุนิพพานเปนวิธี
หนึ่งในการเกี่ยวของกับนิพพานของพระอริยะ ซึ่งเปนธรรมดาของผูบรรลุ
นิพพานแลวที่ยอมจะตองมีความเกี่ยวของกับนิพพานอยูเรื่อยๆ แมเมื่อเขา
ผลสมาบัติพระอริยะทุกระดับก็ยอมกําหนดใจถึงนิพพานเปนอารมณ"๑๐๑
และสัญญาเวทยิตนิโรธจัดไดวาเปนสมาบัติจําพวกเสวยผล มิใชประเภท
สําหรับใชทํากิจ สมาบัติที่ต่ํากวานั้น คือ ตั้งแตอากิญจัญญายตนะลงไป จึง
จะใชไดทั้งสําหรับเสวยผลและสําหรับทํากิจ ทั้งนี้เพราะยังมีสัญญาและธรรม
อืน่ ๆ ที่ประกอบรวมอยูชัดเจนพอ๑๐๒
นิโรธสมาบัติเปนสมาบัติชนิดเสวยผลเทานั้น เปนสภาวะแหงความ
สงบสงัดของสังขารธรรมที่ระงับดับลงชั่วขณะของการตั้งอยูในนิโรธสมาบัติ
เปนสภาวะที่มีความคลายกับนิพพาน การเขานิโรธสมาบัติเปนการพักผอน
อยางประณีตสูงสุดที่จะสามารถเขาถึงได ดังที่พระพุทธเจาทรงแสดงคุณแหง
๙๘
พระอุปติสสเถระ, วิมุตติมรรค, หนา ๒๘๖.
๙๙
พระพุทธโฆสเถระ, วิสุทธิมรรค, หนา ๑๑๙๕.
๑๐๐
สังคหะ(๔) ,[ซีดี-รอม] สาระสังเขปจาก พระไตรปฎก ฉบับเรียน
พระไตรปฎก เวอรชั่น ๒.๑, (๕ ธันวาคม ๒๕๕๐) หนา ๕๓.
๑๐๑
พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับขยายความ, หนา ๓๒๒.
๑๐๒
เรื่องเดียวกัน หนา ๓๖๘-๓๖๙.
๑๐๒๑
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
อนุปุพพวิหารธรรม (ธรรมอันเปนเครื่องอยูอยางประเสริฐ) วาเปนความสงบ
สงัด เปนธรรมที่ควรแกการบรรลุ คือ วิโมกข ๘ อันเปนการดับลงตามลําดับ
ของอนุปุพพนิโรธ คือ สภาวธรรมอันละเอียดจะดับลงเปนลําดับตามขั้นของ
ฌานสมาบัติ ความเบียดเบียนทั้งหลายก็ดับลงสนิทในนิโรธสมาบัตินี้เพราะ
ไมมีความเกิดดับของรูปนาม ไมมีความเบี ยดเบียนของสังขารทั้งหลาย
สภาวธรรมนั้นเปนสมาธิที่ไมกําเริบ สงบ ไมสั่นไหวจึงใชเปนที่พักผอนอัน
ประเสริฐไมมีสิ่งใดเปรียบ
๕.๒ บุรพกิจแหงการเขานิโรธสมาบัติ
การเขานิโ รธสมาบัติต องเขาไปตามลําดับขั้น ของฌานสมาบัติคือ
ตั้งแต ป ฐมฌาน ทุติ ย ฌาน ตติ ยฌาน จตุต ถฌาน อากาสนัญจายตนฌาน
วิ ญ ญานั ญ จายตนฌาน อากิ ญ จั ญ ญายตนฌาน หลั ง จากออกจากอา
กิญจัญญายตนฌานแลวตองพิจารณาถึงบุรพกิจวาตนทําสมบูรณหรือยัง ถา
สมบูรณแลวจึงเขาฌานสมาบัติขั้นสูงสุด คือ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
บุรพกิจ ๔ อยาง คือ
๑. นานาพัทธอวิโกปนะ ไดแก การพิจารณาถึงวัตถุสิ่งของอันเปน
บริขาร หรืออารามที่อยูอาศัยภายใน ๗ วัน วาจะมีอะไรทําใหเกิดอันตราย
หรือไม ฉะนั้นกอนเขาสมาบัติตองอธิษฐานกอน หมายความวา ตองอธิษฐาน
วาไมใหไฟไหม ไมใหโจรลัก ไมใหน้ําพัดไป ไมใหผูใดนําไปได เปนตน
๒.สังฆปฏิมานะ ไดแก การพิจารณาถึงการรอคอยแหงสงฆ คือผูที่
จะเขานิโรธสมาบัติจะตองกําหนดพิจารณาถึงอนาคตกาลภายใน ๗ วันวา
จะมีสังฆกรรมที่จะตองเขารวมประชุมสงฆกับเขาหรือไม ถาเห็นในอนาคต
กาลวาไมมี จึงคอยเขานิโรธสมาบัติ เพราะถาไมไดพิจารณาดูกอนเกิดมีสังฆ
กรรมที่ตองใหทานเขารวมเกิดขึ้นพระสังฆเถระ ก็จะสงพระมานิมนตทานไป
รวม ก็จะตองออกจากสมาบัติ กอนถึงกําหนด ๗ วัน เพราะอาญาแหงสงฆ
ยอมเปนใหญกวาสิ่งใด
๓. สัตถุปกโกสนะ ไดแก การกําหนดพิจารณาถึงพุทธฎีการับสั่งให
หา หมายความวา พระอริยบุคคลที่จะเขานิโรธสมาบัติจะตองพิจารณาวา
๑๐๒๒
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ภายใน ๗ วันนี้ พระพุทธเจาจะมีรับสั่งใหตามหา เพื่อมีกิจหารือหรือไม ถา
พิจารณาเห็นวา ภายใน ๗ วันนี้ พระพุทธเจาจะไมใหผูหนึ่งผูใดมาตามหา
แลวจึงเขา แตถาไมได พิจารณากอน ถาเกิดในขณะนั้นพระพุทธเจามีกิจ
จําเปนที่จะตองประชุมสงฆทั้งหมด ก็ตองใหพระภิกษุมาตามไปประชุมสังฆ
กรรม ก็จะไมสามารถที่จะเขาสมาบัติเสวยนิพพานสุขในปจจุบันไดถึง ๗ วัน
เพราะพุทธอาญา ยอมมีอํานาจเหนือภิกษุทุกรูป
๔. อัทธานปริจเฉทะ ไดแก กําหนดพิจารณาถึงกาลเวลาวา ภายใน
๗ วันนี้ชีวิตของตนจะสิ้นสุดลงกอนกําหนดหรือไม ถาพิจารณาถึงอนาคต
แลวรูวา ชีวิตไมสามารถจะอยูไดตลอด จะตองถูกพญามัจจุราชคือความตาย
มานําไปอยางแนนอนแลว ก็ไมตองเขานิโรธสมาบัติเพราะ จะไมสามารถเขา
ไดถึงตามกําหนด คือ ๗ วัน เพราะการสิ้นสุดชีวิตตามกฏแหงกรรมยอมอยู
เหนือผลสมาบัติ
เมื่ อ พิ จ ารณาเห็ น ว า ไม มี บุ ร พกิ จ ทั้ ง ๔ อย า งต อ งกั ง วลแล ว ก็
อธิษฐานเขา เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ทันใดนั้น เมื่อลวงสมาปตติชว
นะ ๒ ครั้ง จิตสันดานทานก็ขาด คือเปนผูปราศจากจิต เขาในลักษณะที่วา
อจิตฺตโก โหติ นิโรธํ ผุสติ. เปนผูไมมีจิตถูกตองนิโรธอยู กลาวคือ
เปนผูปราศจากจิตสถิตอยูในนิโรธสมาบัติอันประเสริฐ
๕.๓ ขั้นตอนในการเขานิโรธสมาบัติ
พระสูตรหลายแหงที่มีการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการ
และขั้นตอนการเขานิโรธสมาบัติไวอยางละเอียดเชน แตละขั้น พบวาใน
อนุปทสูตร๑๐๓ มีการแสดงรายละเอียดและขั้นตอนกระบวนธรรมที่ดําเนินไป
ในการเขานิโรธสมาบัติ รวมถึงรายละเอียดของสภาวธรรมที่เกิดขึ้น ไวดังนี้
เบื้องตน ผูที่จะเขานิโรธสมาบัติตองเจริญกุศล เปนผูสงบจากอกุศล
ธรรม คือ นิวรณ ๕๑๐๔ แลวทําฌานใหเกิดขึ้นตามลําดับดังนี้
๑๐๓
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๖/๑๑๔., สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๕๒/๒๕๐.,
สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๘/๓๔๑., ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๐/๕๐๐.
๑๐๔
ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๒๕/๓๕๗.
๑๐๒๓
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๑. เจริ ญ กุ ศ ลสมาธิ ภ าวนาเพื่ อ ความสงั ด จากกามและอกุ ศ ล
ทั้งหลาย คือ การพิจารณาใหนิวรณ ๕ ตกไป บรรลุปฐมฌาน
๒. ปฐมฌาน จิตบรรลุความผองใสอยู องคธรรมในปฐมฌาน คือ
วิตก วิจาร ปติ สุข จิตเตกัคคตา ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตตนา วิญญาณ
ฉันทะ อธิโมกข วิริยะ สติ อุเบกขา มนสิการดวยปญญา กําหนดรูตามลําดับ
๓. ทุติยฌาน กําจัดวิตก วิจาร ใหดับไป จิตมีความผองใสภายใน
องคธ รรมในทุติยฌาน คือ ปติ สุข จิตเตกัคคตา ผัส สะ เวทนา สัญญา
เจตตนา วิญญาณ ฉันทะ อธิโมกข วิริยะ สติ อุเบกขา มนสิการดวยปญญา
กําหนดตามลําดับ
๔. ตติยฌาน กําจัดปติใหดับไป เสวยสุขดวยนามกาย องคธรรมใน
ตติยฌาน คือ สุข สติ สัมปชัญญะ จิตเตกัคคตา ผัสสะ เวทนา สัญญา
เจตตนา วิญญาณ ฉันทะ อธิโมกข วิริยะ สติ อุเบกขา มนสิการดวยปญญา
กําหนดรูตามลําดับ
๕. จตุตถฌาน กําจัดสุขและทุกขได โสมนัสและโทมนัสดับไป มีสติ
บริสุทธิ์เพราะอุเบกขา องคธรรมในจตุตถฌาน คือ อุเบกขา อทุกขมสุข สติ
บริสุทธิ์ จิตเตกัคคตา ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตตนา วิญญาณ ฉันทะ
อธิโมกข วิริยะ สติ อุเบกขา มนสิการดวยปญญา กําหนดรูตามลําดับ
๖. อากาสานัญจายตนฌาน กําจัดรูปสัญญาและดับปฏิฆสัญญาแลว
ก็บรรลุ อากาสานัญจายตนฌานดวยการกําหนดอากาศอันหาที่สุดมิได องค
ธรรมในอากาสานัญจายตนฌาน คือ อากาสานัญจายตนสัญญา จิตเตกัคค
ตา ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตตนา วิญญาณ ฉันทะ อธิโมกข วิริยะ สติ
อุเบกขา มนสิการดวยปญญา กําหนดรูตามลําดับ
๗. วิญญาณัญจายตนฌาน กําจัดอากาสานัญจายตนฌานดวยการ
กําหนดวิญญาณอันหาที่สุดมิได องคธรรมในวิญญาณัญจายนตฌาน คือ
วิญญาณัญจายนตนสัญญา จิตเตกัคคตา
ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตตนา วิญญาณ ฉันทะ อธิโมกข วิริยะ สติ
อุเบกขา มนสิการดวยปญญา กําหนดรูตามลําดับ
๘. อากิญจัญญายตนฌาน กําจัดวิญญาณัญจายตนฌานดวยการ
๑๐๒๔
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
กําหนดความไมมีอะไร องคธรรม คือ อากิญจัญญายตนสัญญา จิตเตกัคคตา
ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตตนา วิญญาณ ฉันทะ อธิโมกข วิริยะ สติ อุเบกขา
๙. เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน กําจัดอากิญจัญญายตนสัญญา
โดยประการ ทั้งปวง ก็บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ออกจากเนว
สัญญานาสัญญายตนฌานมนสิการดวยปญญา กําหนดรูตามลําดับ
๑๐. สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ กําจัดเนวสัญญานาสัญญายตน
ฌาน ก็บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ๑๐๕
คัมภีรสังคหะแสดงขั้นตอน และกระบวนธรรมที่ดําเนินไปในการเขา
นิโรธสมาบัติและมีวิธีการแสดงรายละเอียดของสภาวธรรมในขณะเขา นิโรธ
สมาบัติโดยการจําแนกจิตออกเปนขณะๆ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
๑. พระอนาคามี หรือ พระอรหันตที่ไดสมาบัติ ๘ ซึ่งเพียบพรอม
ดวยคุณสมบัติดังกลาวแลว เมื่อจะเขานิโรธสมาบัติ ตองปฏิบัติตามขั้นตอน
๒. เขาปฐมฌาน มีกัมมัฏฐานใดกรรมฐานหนึ่ง ที่ตนไดมาแลวเปน
อารมณแลว ปฐมฌานกุศลจิตสําหรับพระอนาคามี หรือปฐมฌานกิริยาจิต
สําหรับพระอรหันตก็เกิดขึ้น ๑ ขณะ
ดังแผนผังตอไปนี้ .
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ภนท มโน ปริ อุป อนุ โค ฌาน ภ
๓.เมื่อออกจากปฐมฌานแลว ตองพิจารณาองคฌาน โดยความเปน
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งการพิจารณาเชนนี้ เรียกวาปจจเวกขณวิถี ดัง
แผนผังตอไปนี้
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ภ น ท มโน ช ช ช ช ช ช ช ภ
๔. เขาทุติยฌาน ฌานจิตก็เกิด ๑ ขณะ
๕. เขาปจจเวกขณวิถี
๖. เขาตติยฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
๑๐๕
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๔/๑๑๑.
๑๐๒๕
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๗. เขาปจจเวกขณวิถี
๘. เขาจตุตถฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
๙. เขาปจจเวกขณวิถี
๑๐. เขาปญจมฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
๑๑. เขาปจจเวกขณวิถี
๑๒. เขาอรูปฌาน คืออากาสานัญจายตนฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
๑๓. เขาปจจเกขณวิถี
๑๔. เขาวิญญาณัญจายตนฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
๑๕. เขาปจจเวกขณวิถี
๑๖. เขาอากิญจัญญายตนฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
๑๗. เมื่อออกจากอากิญจัญญายตนฌานแลว ไมตองเขาปจจเวกขณ
วิถี แตเขาอธิฏฐานวิถี คือ ทําบุพพกิจ ๔ อยาง ไดแก
(๑) อธิษฐานวา บริขารตางๆ ตลอดจนรางกายของขาพเจา ขอ
อยาใหเปนอันตราย
(๒) อธิษฐานวา เมื่อสงฆประชุมกันตองการตัวขาพเจา ขอให
ออกไดโดย มิตองใหมาตาม
(๓) อธิษฐานวา ถาพระพุทธองคมีพระประสงคตัวขาพเจา ก็
ขอใหออกไดโดยมิตองใหมีผูมาตาม
(๔)อธิษฐานกําหนดเวลาเขา วาจะเขาอยูนานสักเทาใด รวมทั้ง
การพิจารณาอายุสังขารของตนดวยวาจะอยูถึง ๗ วันหรือไม ถาจะตาย
ภายใน ๗ วัน ก็ไมเขา หรือเขาใหนอยกวา ๗ วัน
๑๘. อธิษฐานแลวก็เขาเนวสัญญานาสัญญายตนฌานวิถีนี้ เนว
สัญญานาสัญญายตนฌานเกิดขึ้น ๒ ขณะ
๑๙. ลําดับนั้น จิต เจตสิกและจิตตชรูปก็ดับไป ไมมีเกิดขึ้นอีกเลย
สวนกัมมชรูป อุตุชรูปและอาหารชรูป ยังคงดํารงอยู และดําเนินไปตามปกติ
จิต เจตสิกและจิตตชรูป คงดับอยูจนกวาจะครบกําหนดเวลาที่ไดอธิษฐานไว
๒๐. เมื่อครบกําหนดเวลาที่ไดอธิษฐานไว ซึ่งเรียกวา ออกจากนิโรธ
สมาบัตินั้น อนาคามิผล สําหรับอนาคามิบุคคล หรือ อรหัตตผล สําหรับ
๑๐๒๖
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
อรหัตตบุคคล ก็เกิดขึ้น ๑ ขณะ กอน ตอจากนั้น จิต เจตสิก และ จิตตชรูป
จึงจะเกิดตามปกติตอไปตามเดิม๑๐๖
ขั้นตอนการเขาสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ การทําปุพพกิจแทรกเขา
มาในระหวางที่ออกจากอากิญจัญญายตนญาน ซึ่งปุพพกิจ ๔ อยางนั้น คือ
การอธิ ษ ฐานจิ ต ก อ นที่ จ ะเข า สู นิ โ รธสมาบั ติ เ พื่ อ ให อํ า นาจของสมาบั ติ
คุ ม ครองมิ ใ ห วั ต ถุ สิ่ ง ของที่ เ กี่ ย วเนื่ อ งกั บ ตนได รั บ อั น ตรายที่ อ าจเกิ ด ขึ้ น
ในขณะเขานิโรธสมาบัติ และเพื่อใหสามารถออกจากนิโรธสมาบัติไดในทันที
หากมีกิจของรอคอยหรือการเรียกหาพรอมทั้งทําการตรวจสอบเวลาของอายุ
ที่มีเหลืออยู คัมภีรปรมัตถโชติกะระบุวา กิจทั้ง ๔ ขอนั้นใน ๓ ขอแรกจะทํา
หรือไมทําก็ได (ในสมัยปจจุบันยกเวนสัตถุปกโกสนะ) แตขอที่ ๔ นั้นจะตอง
ทําเสมอถาอยูในมนุสสภูม"ิ ๑๐๗ กิจที่ตองทําทั้ง ๔ อยางนั้น ไดแก
๑.นานาพัทธอวิโกปนะ การไมทําใหสิ่งของเกี่ยวเนื่องดวยพระภิกษุ
ตางๆ ไดรับความเสียหาย อธิษฐานวา บริขารตางๆ ตลอดจนรางกายของ
ขาพเจาและสิ่งของที่เกี่ยวเนื่องดวยภิกษุตางๆ จงพนจากภัยอันตราย
๒. สังฆปฏิมานะ การรอคอยของสงฆ อธิษฐานวา เมื่อสงฆพรอม
เพรียงประชุมกันและตองการตัวขาพเจา ขอใหออกไดโดยมิตองใหมาตาม
๓. สัตตุปกโกสนะ การทรงมีรับสั่งหาของพระบรมศาสดา อธิษฐาน
วา ถาพระพุทธเจามีพระประสงค ขอใหออกไดโดยมิตองใหมาตาม
๔. อัทธานปริเฉท การอธิษฐานกําหนดเวลาเขา วาจะเขาอยูนานสัก
เทาใดรวมทั้งการพิจารณาอายุสังขารของตนวาจะสามารถอยูถึง ๗ วัน
หรือไม ถาอายุขัยเหลือนอยกวา ๗ วัน ก็จะตองออกจากนิโรธสมาบัติกอน ๗
วั น เท า กั บ อายุ ขั ย ที่ เ หลื อ อยู ๑๐๘ "หากพิ จ ารณาเห็ น ว า จะหมดอายุ ขั ย
๑๐๖
ดูรายละเอียดใน สังคหะ (๔ ), [ซีดี-รอม] สาระสังเขปจาก พระไตรปฎก
ฉบับเรียนพระไตรปฎก เวอรชั่น ๒.๑, (๕ ธันวาคม ๒๕๕๐) หนา ๕๓-๕๕.
๑๐๗
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริเฉทที่ ๔ วิถีสังคหะ,
หนา ๑๑๙.
๑๐๘
พระพุทธโฆสเถระ, วิสุทธิมรรค, หนา ๑๑๙๖.
๑๐๒๗
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ภายใน ๗ วันแลว ก็ไมควรจะเขานิโรธสมาบัติ เพราะถายังไมสําเร็จเปนพระ
อรหันตแลวยอมเสียประโยชนของตน ถาเปนพระอรหันตก็ยังไมไดโปรดสัตว
วาตนไดสําเร็จเปนพระอรหันตแลว ยังไมไดใหโอวาทานุศาสนแกผูอื่น ฉะนั้น
จึงตองพิจารณา"๑๐๙
จิตที่ทานอบรมไวในเบื้องตนอยางนั้น ยอมนําเขาไปในภาวะนั้นได
เอง เพราะสภาวะของอากิ ญ จั ญ ยายตนฌานเป น สภาวะฌานที่ มี ค วาม
ละเอียดที่สุดของฌานที่ยังมีสัญญา เปนสภาวะของความกําหนดไดหมายรูที่
ยังสามารถใชทํากิจได สวนเนวสัญญานาสัญญายตนฌานเปนสภาวะที่ความ
ละเอียดมากเกินไป เพราะมีสัญญาก็ไมใช ไมมีสัญญาก็ไมใช จึงไมใชสมาบัติ
ที่สามารถใชทํากิจได อากิญจัญญายตนฌานจึงไดชื่อวาสัญญัคคสมาบัติ หรือ
สมาบัติที่เปนยอดแหงสัญญา เนื่องจากยังมีสัญญาละเอียดและยังสามารถใช
ทํากิจได ดังนั้นกระบวนธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในระหวางที่เขานิโรธสมาบัติ
จะพบวาสังขารธรรมจะคอยๆ ดับลงโดยลําดับตามความละเอียดของฌานที่
บรรลุดังนี้ (๑) วจีสังขารดับ (๒) กายสังขารดับ (๓) จิตตสังขารดับ
ในกระบวนการที่เกิดขึ้นดําเนินไปจากฌานขั้นตนขึ้นไปตามลําดับนี้
เปนสภาวธรรมที่เกิดขึ้นเพราะจิตบรรลุอารมณที่ละเอียดประณีตตามลําดับ
เรียกวาอนุปุพพวิหารธรรมและ ในขณะเดียวกันก็มีสภาวธรรมบางอยางดับ
ลงเพราะถูกกําจัดใหตกไปตามลําดับเรียกวาอนุปุพพ-นิโรธและดับลงอยาง
สนิทไมมีสวนเหลือดังที่ พระพุทธเจาไดทรงแสดงไวในสุขินทรียวรรค ซึ่งเปน
พระสูตรที่วาดวยความสุขในขั้นตางๆ ที่ภิกษุไดบรรลุตามกําลังปญญาของ
ตน "อุเปกขินทรีย ก็ดับไมเหลือในนิโรธสมาบัติ"๑๑๐ อุเปกขินทรีย คือ สภาพ
ความเปนใหญของการเสวยอารมณที่เปนกลาง ไมสุขและไมทุกข ไมแสสาย
ไมเอนเอียงดว ยอํานาจของสิ่ งใดๆ เป นอารมณของ เอกัคคตาที่ตั้งมั่น
โดยนัยของพระสูตรจะแสดงกระบวนการเกิดขึ้นและดับลงของสภาวะตางๆ
ตามลําดับของฌานที่บรรลุ ดังนี้
๑๐๙
พระภัททันตะ อาสภะมหาเถระ, วิปสสนาทีปนีฎีกา, หนา ๒๕๑.
๑๑๐
ดูรายะเอียดใน สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๕๑๐/๓๒๑.
๑๐๒๘
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
การออกจากนิโรธสมาบัติจะเกิดขึ้น ๒ ลักษณะ ตามคุณสมบัติของ
บุคคลผูเขานิโรธสมาบัติ กลาว คือ บุคคลบรรลุอริยผล ชั้นใดก็จะออกดวย
ผลจิตชั้นที่ไดบรรลุนั้น ดังนี้ คือ
๑. พระอนาคามี จ ะออกจากนิ โ รธสมาบั ติ ด ว ยอนาคามี ผ ลจิ ต
อนาคามิผลจิตเกิดขึ้น ๑ ขณะ
๒. พระอรหันต จะออกจากนิโรธสมาบัติดวอรหัตตผล อรหัตตผล
จิตเกิดขึ้น ๑ ขณะ
ตอจากนั้ น จิ ต เจตสิก และจิต ตชรูป จึ งจะเกิดตามปกติต อไป
ตามเดิม ขณะที่ออกจากจากนิโรธสมาบัติ สังขาร ๓ ก็จะเกิดขึ้นตามลําดับ
ดังนี้ (๑) จิตตสังขาร (๒) กายสังขาร (๓) วจีสังขาร
โดยนั ย ของพระสู ต รจะแสดงกระบวนการเกิด ขึ้น และดั บ ลงของ
สภาวะตางๆ ตามลําดับของฌานดังนี้
สภาวธรรมที่มีการเกิดและดับตามลําดับ ตารางที่ ๑
๑๑๑ ๑๑๒ ๑๑๓
อนุปุพพวิหารธรรม อนุปุพพนิโรธ ความดับสังขาร
ปฐมฌาน กามสัญญาดับ
ทุติยฌาน → วิตก วิจารดับ → → วจีสังขารดับ
ตตยิฌาน ปติดับ
จตุตถฌาน → ลมหายใจเขา-ออกดับ → → กายสังขารดับ
อากาสานัญจายตนฌาน รูปสัญญาดับ
วิญญาณัญจายตนฌาน อากาสานัญจายตนสัญญาดับ
อากิญจัญญายตนฌาน อากิญจัญญายตนสัญญาดับ
เนวสัญญานาสัญญายตน เนวสัญญานาสัญญายตน
ฌาน สัญญาดับ
สัญญาเวทยิตนิโรธ→ สัญญาและเวทนาดับ → → จิตตสังขารดับ
๑๑๑
ดูรายละเอียดใน ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๓/๓๕๗.
๑๑๒
ดูรายละเอียดใน ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๔/๓๕๘.
๑๑๓
ดูรายละเอียดใน สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๘/๓๘๑ - ๓๘๓.
๑๐๒๙
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ตารางที่ ๑.๒ สภาวธรรมที่บรรลุความดับและการเขาถึงปสสัทธิ
๑๑๔ ๑๑๕
สภาวะธรรมที่บรรลุ ความดับอินทรีย ปสสัทธิ
ปฐมฌาน ทุกขขินทรียดับ วาจาสงบ
ทุติยฌาน โทมมนัสสินทรียดับ วิตก วิจารสงบ
ตติยฌาน สุขินทรียดับ ปติสงบ
จตุตถฌาน โสสมนัสสินทรียดับ ลมหายใจเขา - ออกสงบ
อากาสานัญจายตนฌาน ------ -------
วิญญาณัญจายตนฌาน ------ -------
อากิญจัญญายตนฌาน ------ -------
เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ------ -------
สัญญาเวทยิตนิโรธ อุเปกขินทรียดับ สัญญาและเวทนาสงบ
ผูสิ้นอาสวะ ------ ราคะ - โทสะ - โมหะสงบ
“เหตุที่ทําใหตองออกจากนิโรธสมาบัติกอนเวลามีอยู ๓ ประการ
คื อ ๑. อายุ สั ง ขารที่ เ หลื อ อยู ไ ม ถึ ง ๗ วั น ๒. พระพุ ท ธเจ า ทรงเรี ย กหา
๓. สงฆเรียกหา”๑๑๖
คุณสมบัติของผูเขานิโรธสมาบัติ บุคคลผูที่จะสามารถเขานิโรธ
สมาบัติไดนั้นจะตองเปนพระอริยะบุคคล ๒ จําพวกเทานั้น คือ พระอนาคามี
และพระอรหั น ต ที่ มี ค วามชํ า นาญในสมาบั ติ ๘ และจะต อ งเป น พระ
อริยบุคคลที่อยูในปญจโวการภพเทานั้น
ปญจโวการภพ หมายถึง ภพของสัตวที่มีองคประขอบของชีวิตที่มี
ขันธ ๕ ครบ (รูป วิญญาณ สัญญา สังขาร เวทนา) ซึ่งสัตวดังกลาวนี้มีอยูใน
“สุขคติภูมิ ๒๒” ประกอบดวยมนุสสภูมิ ๑ เทวภูมิ ๖ พรหมภูมิ ๑๕๑๑๗
๑๑๔
ดูรายละเอียดใน สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๕๙/๒๘๔.
๑๑๕
ดูรายละเอียดใน สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๕๑๐/๓๒๑.
๑๑๖
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริเฉทที่ ๔ วิถีสังคหะ,
พิมพครั้งที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร : หจก. ทิพยวิสุทธิ,์ ๒๕๔๗) หนา ๑๑๙.
๑๑๗
เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๒๐..
๑๐๓๐
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ขั้ น ตอนการเข า นิ โ รธสมาบั ติ ประกอบด ว ยการกระทํ า ฌานให
เกิดขึ้นตามลําดับดวยสมาธิจริยา ๙ (วสี ๕) และปญญาในวิปสสนา คือญาณ
จริยา ๑๖ (พระอรหันตบรรลุญาณจริยา ๑๖ สวนพระอนาคามีบรรลุญาณ
จริยา ๑๔) โดยปญญาฝายสมาธิและฝายวิปสสนาทํางานรวมกันแบบบูรณา
การ โดยการพิ จ ารณาในไตรลั ก ษณ ร ว มกั บ ป ญ ญาในอริ สั จ ๔ ทํ า การ
พิจารณาเชนนี้ในทุกฌานไดอยางชํานาญไมติดขัด๑๑๘
๕.๔ การตั้งอยูในนิโรธสมาบัติ
การตั้งอยูในนิโรธสมาบั ติ หมายถึง ระยะเวลาในการเขานิโรธ
สมาบัติตั้งแตจิตตสังขารดับลงอยางสนิทจนกระทั่งออกจากนิโรธสมาบัติแลว
จิตตสังขารเกิดขึ้น ซึ่งพบขอมูลเกี่ยวกับระยะเวลาในการเขานิโรธสมาบัติทั้ง
ในเอกสารชั้นปฐมภูมิและในเอกสารทุติยภูมิดังนี้
๑. จูฬเวทัลลสูตร ระบุวาวา "ที่แท จิตที่ทานอบรมไวในเบื้องตน
อยางนั้น ยอมนําเขาไปในภาวะนั้นไดเอง"๑๑๙
๒. ทุติยกามภูสูตร ระบุวา "ที่แทจิตที่นําบุคคลเขาไปเพื่อความเปน
อยางนั้น เธอไดอบรมไวในกาลกอนแลว"๑๒๐
๒. กุณฑธานเถราปทานระบุวา "ขาพเจามีจิตเลื่อมใส มีใจยินดีได
บํารุงพระพุทธเจาผูประเสริฐที่สุด เปนพระสยัมภู เปนบุคคลผูเลิศ เสด็จหลีก
เรนอยู ๗ วัน ขาพเจารูเวลาที่พระองคจะเสด็จออกจากสมาบัติ จึงไดถือ
กลวยหวีใหญเขาไปถวายแดพระผูมีพระภาคมหามุนี นามวาปทุมตุ ตระ"๑๒๑
๓. เรวตพุทธวงศ ระบุวา "พระองค..เสด็จออกจากนิโรธสมาบัติใน
วันที่ ๗ ทรงแนะนําเทวดาและมนุษยในอรหัตตผลจํานวน ๑๐๐ โกฏิ"๑๒๒
๑๑๘
สั ง คหะ(๔) , [ซี ดี -รอม] สาระสั ง เขปจาก พระไตรป ฎ ก ฉบั บ เรีย น
พระไตรปฎก เวอรชั่น ๒.๑, (๕ ธันวาคม ๒๕๕๐) หนา ๑๓.
๑๑๙
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๔/๕๐๔.
๑๒๐
สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๘/๓๘๓.
๑๒๑
ดูรายละเอียดใน ขุ.อป. (ไทย) ๓๒/๑ -- ๒/๑๕๐.
๑๒๒
ขุ.พุทฺธ. (ไทย) ๓๓/๕/๖๑๓.
๑๐๓๑
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๔. คัมภีรวิสุทธิมรรค ระบุวา "นิโรธสมาบัติตั้งอยูไดดวยมีกําหนดอยู
ดวยกําหนดกาลเวลา มีอยูดวยการไมสิ้นอายุขัย ไมมีการรอคอยของสงฆ ไม
ทรงมีรับสั่งหาของ พระบรมศาสดา"๑๒๓
๕. หนังสือวิปสสนาทีปนีฎีกา ระบุวา "อาหารของมนุษยที่กินเขาไป
นั้นสามารถ หลอเลี้ยงรางกายใหอยูได ๗ วันเพราะฉะนั้นนมนุษยภูมิจึง
สามารถเขานิโรธสมาบัติไดไมเกิน ๗ วัน แตในรูปภูมิสามารถเขาไดนาน
ตราบเทาที่ปรารถนาเพราะไมมีความกังวลในอาหาร"๑๒๔
นิโรธสมาบัติจะตั้งอยูไดนานตามระยะเวลาของการกําหนดปุพพกิจ
๔ คือ สามารถกําหนดเวลาที่ปรารถนาจะอยูในนิโรธสมาบัติไดตราบเทาที่
ตองการ ถาการเขานิโรธสมาบัตินั้นเกิดขึ้นในมนุสสภูมินิโรธสมาบัตินั้นจะ
ตั้งอยูไดนานที่สุดไมเกิน ๗ วัน เพราะวาขอจํากัดเรื่องอาหารและจะตองไมมี
เงื่อนไขอื่น จากการอธิ ษ ฐานทําปุ พพกิจ ที่จ ะเป น เหตุ ทําให ออกจากนิ โ รธ
สมาบัติกอนเวลาที่กําหนดไว คือ (๑) การเรียกหาของพระพุทธเจา (๒) การ
รอคอยของสงฆ (๓) อายุของสังขารที่เหลืออยู หากมีเงื่อนไขบางอยาง
เหลานี้เกิดขึ้นในระหวางที่เขานิโรธสมาบัติ คือ การเรียกหาของพระพุทธเจา
การรอคอยของสงฆ อายุ ขั ย หมดลง จะต อ งออกจากนิ โ รธสมาบั ติ ต าม
ขอจํากัดที่เปนเงื่อนไขนั้นๆ ในทันที สวนการเขานิโรธสมาบัติในรูปภู มิ
สามารถเขาไดนานเทาที่ปรารถนา
ขอความในพระไตรปฎกบางแหงที่มีการระบุถึงการเขานิโรธสมาบัติ
ของพระพุทธเจาในอดีต วาทรงเขานิโรธสมาบัติอยู ๗ วัน และไมพบขอมูลที่
แสดงวามีการเขานิโรธสมาบัติในระยะเวลาที่นานเกินกวา ๗ วันเลย
๕.๕ ขั้นตอนในการออกนิโรธสมาบัติ
อาการที่เ กิดขึ้นเมื่อครบกําหนดเวลาตามที่ไดอธิษฐานในการเขา
นิโรธสมาบัติไวในตอนแรก การออกจากนิโรธสมาบัติจะเกิดขึ้นในทันทีเมื่อ
สิ้นสุดเวลาตามเงื่อนไขที่ไดกําหนด ดวยการอธิษฐานปุพพกิจไว ซึ่งการออก
๑๒๓
พระพุทธโฆสเถระ, วิสุทธิมรรค, หนา ๑๒๐๐.
๑๒๔
พระภัททันตะ อาสภะมหาเถระ, วิปสสนาทีปนีฎีกา, หนา ๒๕๕.
๑๐๓๒
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
จากนิโ รธสมาบัติจะมีลักษณะอาการเชนเดี ยวกันกับการเขานิโรธสมาบั ติ
การออกจากนิโรธสมาบัติจะเกิดขึ้น ๒ ลักษณะตามคุณสมบัติของบุคคลผู
เขานิโรธสมาบัติ คือ บุคคลบรรลุอริยผลชั้นใดก็จะออกจากนิโรธสมาบัติดวย
ผลจิตชั้นที่ไดบรรลุนั้น ดังนี้
๑. พระอนาคามี จ ะออกจากนิ โ รธสมาบั ติ ด ว ยอนาคามี ผ ลจิ ต
อนาคามิผลจิตเกิดขึ้น ๑ ขณะ
๒. พระอรหันตจะออกจากนิโรธสมาบัติดวยอรหัตตผล อรหัตตผล
จิตเกิดขึ้น ๑ ขณะ
ตอจากนั้น จิตเจตสิกและจิตตชรูปจึงจะเกิดตามปกติตอไป ตามเดิม
ขณะที่ออกจากจากนิโรธสมาบัติ สังขาร ๓ ก็จะเกิดขึ้นตามลําดับดังนี้ (๑)
จิตตสังขาร (๒) กายสังขาร (๓) วจีสังขาร
"เมื่อออกจากนิโรธสมาบัติจิตของผูออกจากนิโรธจะนอมไปในวิเวก
โนมไปในวิเวก โอนไปในวิเวก และถูกตองผัสสะ ๓ อยาง คือ สุญญตะผัสสะ
อนิมิตตะผัสสะ อัปปณิหิตผัสสะ เพราะผูเขานิโรธสมาบัติมีนิพพานเปน
อารมณ"๑๒๕ จิตตสังขารเกิดขึ้นกอน หลังจากนั้นกายสังขาร วจีสังขาร จึง
เกิดขึ้นตามลําดับ เทียบเคียงกับเหตุการณการเขาฌานสมาบัติโดยลําดับใน
ขณะที่พระพุทธเจาจะเสด็จดับขันธปรินิพพานจะพบวาการออกจากนิโรธ
สมาบัติจะเกิดขึ้นแบบถอยออกจากฌานสมาบัติแบบปฏิโลม เพราะการ
เขาฌานสมาบัติแบบอนุโลม คือ การเขาฌานสมาบัติโดยการไลลําดับจาก
ฌานชั้นตนขึ้นไปจนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ สวนการออกจากสัญญา
เวทยิ ต นิ โ รธสมาบั ติ ก็ ย อ มจะต อ งเป น การถอยออกมาจากฌานสมาบั ติ
ตามลําดับ คือ สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน อา
กิญจัญจายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากาสานัญจายตนฌาน จตุตถ
ฌาน ตติยฌาน ทุติยฌาน ปฐมฌาน
เพราะดวยอํานาจของสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติที่ทําการดับสัญญา
๑๒๕
ดูรายละเอียดใน ม.มู.อ. (ไทย) ๒/๔๖๔/๓๖๕., สงฺ.สฬา.อ. (ไทย) ๓/๓๔๘/
๒๐๔ -- ๒๐๕.
๑๐๓๓
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
และเวทนาสิ้นสุดลงและสภาวธรรมในฌานสมาบัติจึงเปนการเกิดขึ้นและดับ
ลงตามเหตุและปจจัยของฌานสมาบัติแตละขั้นโดยไมขามขั้นตอน
๕.๖ ความแตกตางของคนตายกับคนเขานิโรธสมาบัติ
การเขานิโรธสมาบัติมีความสงบระงับ ดับลงของสังขาร ๓ อาการ
ปรากฏภายนอกเชนนี้มีความคลายคลึงกันระหวางความสงบนิ่งของคนตาย
และบุคคลผูเขานิโรธสมาบัติ สภาวะของคนทั้ง ๒ นั้นแทบจะไมมีความ
แตกตางกันในองคประกอบภายนอกที่ปรากฏแกสายตาของคนทั่วไป แต
รายละเอียดที่เปนองคประกอบของความมีชีวิตนั้นมีความตางกัน ซึ่งมีขอมูล
ปรากฏดังตอไปนี้
๑. มหาเวทัลลสูตร ปรากฏขอความที่พระสารีบุตรไดนิยามถึงตวาม
ตายไววา "เมื่อธรรม ๓ ประการ คือ (๑) อายุ (๒) ไออุน (๓) วิญญาณ ละ
กายนี้ไปกายนี้จึงถูกทอดทิ้งนอนนิ่งเหมือนทอนไมที่ปราศจากเจตนา"๑๒๖
๒. ศ.สมภาร พรมทา กลาววา "คนที่ตายแลวประสาททั้งหายอมไม
รับรูอะไร สมองยอมไมทํางาน เพราะคนตายแลวไมมีจิตที่จะคอยควบคุมสิ่ง
เหลานี้" และ "มนุษยในทัศนะของพุทธศาสนา คือ องครวมของขันธอัน
ประกอบดวยรูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ วิญญาณขันธ"๑๒๗
การตายของสัตวมีชีวิตโดยลักษณะสามัญ คือ อาการนิ่งของรางกาย
ปราศจากการตอบสนองตอการกระตุนเราที่รุนแรงจากภายนอก ภาวะการ
หยุดเตนของหัวใจ ปราศจากลมหายใจ๑๒๘ ตลอดจนรางกายก็ปราศจากไอ
อุน เพื่อเทียบเคียงกับขอมูลที่มีปรากฏในพระไตรปฎกกับลักษณะอาการ
ของความตายในทางการแพทย ป จจุ บั น ซึ่งพบว านิ ย ามของความตาย
ดังกลาวก็ทั้งในอดีตและปจจุบันนั้นแทบจะไมมีความแตกตางกับลักษณะ
๑๒๖
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๗/๔๙๕.
๑๒๗
สมภาร พรมทา, "กาลและอวกาศในพุทธปรัชญาเถรวาท", วิทยานิพนธ
อักษรศาสตร มหาบัณฑิต,(บัณฑิตวิทยาลัย:จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, ๒๕๓๑), หนา ๗.
๑๒๘
ดูรายละเอียดใน พระพุทธโฆสเถระ, วิสุทธิมรรค, หนา ๔๖๖.
๑๐๓๔
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
อาการของความตายที่มีปรากฏในพระสูตร เชน ทุติยกามภูสูตรที่พระกามภู
ไดอธิบายแกจิตตคฤหบดีเรื่องความแตกตางระหวางคนตายและภิกษุผูเขา
สัญญาเวทยิตนิโรธไว ดังนี้
คหบดี คนที่ตายแลว กายสังขารก็ดับระงับไป วจีสังขารก็ดับระงับ
ไปจิตตสังขารของเขาก็ดับระงับไป อายุสิ้นไป ไออุนหมดไป อินทรียแตก
สลายไป แมภิกษุผูเขาสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ กายสังขารก็ดับระงับไป
วจีสังขารก็ดับระงับไป จิตตสังขารก็ดับระงับไป (แต) อายุไมสิ้นไป ไออุนยัง
ไมหมด อินทรียก็ผองใส คหบดี คนที่ตายแลวกับภิกษุผูเขาสัญญาเวทยิต
นิโรธสมาบัติ ทั้งสองนั้นตางกันอยางนี้๑๒๙
ความแตกตางระหวางคนตายและผูเขานิโรธสมาบัติ
สภาวธรรมที่ปรากฏ ผูเขานิโรธสมาบัติ คนตาย
๑. กายสังขาร ดับ ดับ
๒. วจีสังขาร ดับ ดับ
๓. จิตสังขาร ดับ ดับ
๔. อายุ ยังไมหมด ดับ
๕. ไออุนของรางกาย ยังไมหมด หมดไป
๖. อินทรีย ผองใส แตกสลาย
บุคคลผูเขานิโรธสมาบัติจะมีสภาพภายนอกไมแตกตางจากคนตาย
มีเพียงกรรมชรูป คือ ไออุนเปนเครื่องรักษาสภาพแหงความมีชีวิตไว โดย
มหาภูตรูป ๔ ยังไมเสื่อมสลายไป “เพราะรางกายยังมีอาหารหลอเลี้ยงความ
มีชิวิตของผูเขานิโรธสมาบัติใหดํารงอยูตอไปไดถึง ๗ วัน แมวาจะไมมีการกิน
อาหารเขาไปเลย”๑๓๐ ในการเขานิ โ รธสมาบั ติ บุ คคลผู ที่เ ขานิ โ รธสมาบั ติ
สามารถอยูในสมาบัตินั้นไดนานที่สุด ๗ วันหากไมมีสิ่งใดมาเปนเงื่อนใขที่ทํา
๑๒๙
ดูรายละเอียดใน สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๘/๓๔๘. คัมภีรวิสุทธิมรรคระบุวา
มีบุคคล ๗ จําพวกที่ไมมีลมหายใจ คือ ๑. เด็กที่อยูในครรภมารดา ๒. คนดําน้ํา ๓. คน
สลบ ๔. คนตาย ๕. ผูเขาจตุตถฌาน ๖. รูปพรหมและอรูปพรหม ๗. ผูเขานิโรธสมาบัติ,
๑๓๐
พระภัททันตะ อาสภะมหเถระ,วิปสสนาทีปนีฎีกา, มปป, มปท,หนา ๒๕๕.
๑๐๓๕
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ใหตองออกจากสมาบัติเสียกอน
เหตุการณที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับบุคคลผูเขานิโรธสมาบัติแลวมีบุคคลอื่น
เขาใจว าเสี ย ชี วิ ต แล ว หรื อเพราะไมเ ห็ น สภาพแห งความมีชี วิ ต ปรากฏแก
บุคคลนั้นอยางเชนในคนทั่วไป ที่ยังมีชีวิตอยู มีเหตุการณลักษณะดังกลาว
ปรากฏอยูในพระสูตร อยางเชน เหตุการณในขณะพระพุทธเจาทรงดับ
ขันธปรินิพพาน๑๓๑ พระพุทธเจาทรงเขาฌานโดยลําดับแบบอนุโลมและ
ปฏิโลม จากปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตน
ฌานวิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌานเนวสัญญานาสัญญายตน
ฌานสั ญญาเวทยิ ต นิ โ รธสมาบั ติ เนวสั ญญานาสั ญญายตนฌาน อา
กิญจัญญายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากาสานัญจายตนฌาน จตุตถ
ฌาน ตติยฌาน ทุติยฌานปฐมฌานทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ออก
จากจตุตถฌานแลว จึงปรินิพพาน พระอานนทอุปฏฐากใกลชิดพระพุทธเจา
ผูอยูในเหตุการณ
ขณะปริ นิ พพานก็ไมส ามารถรู ไดว าพระพุทธเจ าเสด็จ ดั บ ขัน ธปริ
นิพพานแลวหรือยัง เพราะตั้งแตจตุตถฌานขึ้นไปบุคคลผูเขาจตุตถฌานจะ
ไมมีลมหายใจปรากฏ เนื่องจากกายสังขารดับลงดวยอํานาจของจตุตถฌาน
จุดนี้เองที่ผูวิจัยไดตั้งขอสังเกตจากการที่พระอานนทไดสอบถาม พระอนุ
รุทธะเปนระยะๆ วาพระพุทธเจาเสด็จดับขันธปรินิพพานแลวหรือยัง พระ
อนุ รุ ทธะเฝ าติ ด ตามดู เ หตุ ก ารณอย า งใกล ชิ ด ด ว ยทิพยจั กษุ จึ งรู ได ว า
พระพุทธเจาเขานิโรธสมาบัติยังไมปรินิพพานในขณะนั้น เหตุการณนี้พุทธ
เจ าทรงกระทํ า ฌานให เ กิ ด ขึ้น โดยลํ าดั บ แบบอนุ โ ลมและปฏิ โ ลมในก อ น
ขณะที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน
อีกเหตุการณหนึ่งที่มีสวนเกี่ยวของกับอาการของคนตายและนิโรธ
สมาบัติ เปนเหตุการณในอดีตชาติของพระมหาโมคคัลลานะสมัยที่เกิดเปน
มารชื่อทูสี เพราะเคยไดประกอบอกุศลกรรมกับพระสมณะผูมีกัลยาณศีล
กัลยาณธรรม จึงเลาเรื่องนั้นใหแกมารผูเปนหลานของทานฟง เพื่อที่มารจะ
๑๓๑
ดูรายละเอียดใน ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๙/๑๖๗.
๑๐๓๖
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ไดใหเห็นโทษของการเบียดเบียนภิกษุผเู ปนสาวกของพระพุทธเจา เรื่องนั้นมี
เหตุการณที่เกี่ยวของกับนิโรธสมาบัติ ดังนี้
พระสัญชีวะผูเปนอัคคสาวกของพระกกุสันธะพุทธเจาไดเขานิโรธ
สมาบัติอยูที่โคนตนไม พวกคนเลี้ยงวัว พวกคนเลี้ยงสัตว และผูคนที่เดินทาง
สั ญ จรในเส น ทางผ า นมาพบ และได มี ค วามเข า ใจว า พระสั ญ ชี ว ะได
มรณะภาพแลว เพื่อไมใหสัตวมากัดแทะรางกายของทานและมิใหเปนที่
อุจาดตาจึงไดชักชวนกันชวยกันทําการฌาปนกิจดวยการเอาเศษหญาเศษไม
มากองสุมรวมกัน ไวบนรางกายของพระสัญชี วะ แลวจุ ดไฟเผารางของ
พระสัญชีวะ ครั้นเมื่อราตรีผานไป พระสัญชีวะออกจากนิโรธสมาบัติแลว ก็
มิไดเปนอันตรายแตอยางใด
จากเหตุการณดังกลาวขางตนทั้งสองเหตุการณจึงเปนขอสังเกตได
ว าลั กษณะภายนอกที่ป รากฏของบุ ค คลผู เ ขาสั ญ ญาเวทยิ ต นิ โ ธสมาบั ติ มี
สภาพที่ไมตางจากคนที่เพิ่งจะเสียชีวิต เพราะปกติธรรมดาโดยทั่วไป การที่
บุคคลจะฌาปนกิจหรือทําการเผาศพ ผูที่จะกระทําการดั งกลาวจะต องมี
ความแนใจวาบุคคลนั้นไดเสียชีวิตแลวดวยการตรวจสอบอยางรอบคอบถึง
สัญญาณแหงความมีชีวิต อยางเชน ลมหายใจ การเตนของหัวใจ หรือการ
ตอบสนองของรางกายตอการกระตุนสัมผัสอยางแรง เพื่อใหแนใจวาเปน
บุ ค คลที่ เ สี ย ชี วิ ต แล ว จริ ง ๆ "ส ว นบุ ค คลผู เ ข า นิ โ รธสมาบั ติ นั้ น ยั ง มี
องคประกอบอย างอื่น ที่รั กษาความมีชีวิ ต ของรางกายไว ในระหว างอยู ใน
นิโรธสมาบัติ ไดแก ไออุนของรางกาย คือ เตโชธาตุที่เกิดจากกรรม"๑๓๒และ
รางกายยังคงผองใสอยูไมเสื่อมสลาย เนาเปอยไป นี่คือขอที่ทําใหบุคคลผูเขา
นิโรธสมาบัติแตกตางจากคนตายเพราะลักษณะดังกลาว คือ สภาพของการ
ดํารงรักษาไวซึ่งความมีชีวิตหรือรูปชีวิตินทรีย
๑๓๒
ม.มู.อ. (ไทย) ๒/๔๕๖ /๓๔๓ -- ๓๔๔.
๑๐๓๗
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๖. นิโรธสมาบัติกับการบรรลุธรรม
ประเภทของพระอริยบุคคลและการบรรลุอริยผลที่สัมพันธกับนิโรธ
สมาบัติ ในแนวทางการปฏิบัติเพื่อการกําจัดกิเลส ดังนี้
๖.๑ หลักธรรมที่สนับสนุนนิโรธสมาบัติ
นิ โ รธสมาบั ติ เ ป น สภาวะที่ เ กิ ด จากการบรรลุ ฌ านสมาบั ติ ไ ป
ตามลําดับ จนถึงการดับลงอยางไมมีเหลือของสัญญาและเวทนา มีขอความ
หลายแหงที่ระบุถึงธรรมที่เปนเครื่องสนับสนุนเพื่อการปฏิบัติใหบรรลุสัญญา
เวทยิตนิโรธสมาบัติ ดังนี้
๑) จุฬเวทัลลสูตร ระบุวา "ทานวิสาขะ ความที่จิตมีอารมณเปนหนึ่ง
เปนสมาธิ สติปฏฐาน ๔ เปนนิมิตของสมาธิ สัมมัปปธาน ๔ เปนเครื่อง
อุดหนุนสมาธิ การเสพ การเจริญการทําใหมากซึ่งธรรมเหลานั้นนั่นแล เปน
การเจริญสมาธิ"๑๓๓
๒) ทุติยกามภูสูตร ระบุวา "ทานผูเจริญ ธรรมเหลาไหนมีอุปการะ
มากแกสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ" "คหบดี ปญหาที่ควรจะถามกอนทาน
ถามชาไป แตเอาเถิด อาตมภาพจักตอบแกทาน ธรรม ๒ ประการ คือ (๑)
สมถะ (๒) วิปสสนา มีอุปการะมากแกสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ"๑๓๔
๓) ปฏิสัมภิทามรรค ระบุวา "ปญญาที่มีความชํานาญในการระงับ
สังขาร ๓ ดว ยญาณจริย า ๑๖ และด วยสมาธิ จ ริย า ๙ เพราะเป น ผู
ประกอบดวยพละ ๒ อยาง ชื่อวานิโรธสมาปตติญาณ เปนอยางไร คือ พละ
๒ อยาง ไดแก (๑) สมถพละ (๒) วิปสสนาพละ"๑๓๕
ธรรมที่สนับสนุนนิโรธสมาบัติในจุฬเวทัลลสูตร คือ สมาธิ สติปฏ
ฐาน ๔, สัมมัปปธาน ๔ สติปฏฐานเปนพื้นฐานแหงการเจริญสมาธิและ
วิปสสนาและสัมมัปปธาน ๔ คือ ความเพียรที่ประกอบดวยปญญาในกุศล
เปนธรรมที่สงเสริมสนับสนุนแกนิโรธสมาบัติ
๑๓๓
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๒/๕๐๓.
๑๓๔
สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๔๘/๓๘๔.
๑๓๕
ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๘๓/๑๔๑.
๑๐๓๘
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๖.๒ ฌานสมาบัติกับการบรรลุธรรม
นิโรธสมาบัติจะเขาถึงไดก็ดวยอาศัยฌานสมาบัติเปนพื้นฐาน ฌาน
สมาบัติมีความเกี่ยวของโดยตรงกับบุคคลผูที่มีความชํานาญในสมาธิ ดังมี
พระสูตรที่ไดทรงแสดงเรื่อง "ฌานสมาบัติกับการบรรลุธรรม" ดังนี้
๑) ตปุสสสูตรระบุวา.. อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ ประการนี้เราเขาก็
ได ออกก็ไดทั้งโดยอนุโลมและปฏิโลมอยางนี้ เมื่อนั้น เราจึงยืนยันไดวาเปนผู
ตรัสรูสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลกพรอมทั้ง เทวโลก มารโลก
พรหมโลก ในหมู สั ต ว พ ร อ มทั้ ง สมณพราหมณ เทวดาและมนุ ษ ย ก็ แ ล
ญาณทัสสนะไดเกิดขึ้นแกเราวา `เจโตวิมุตติของเราไมกําเริบ ชาตินี้เปนชาติ
สุดทาย บัดนี้ภพใหมไมมีอีก๑๓๖
๒) ฌานสูตร ระบุวา... ภิกษุทั้งหลาย เรากลาววา
๑. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปไดเพราะอาศัยปฐมฌาน
๒. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปไดเพราะอาศัยทุติยฌาน
๓. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปไดเพราะอาศัยตติยฌาน
๔. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปไดเพราะอาศัยจตุตถฌาน
๕. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปไดเพราะอาศัยอากาสานัญจายตนฌาน
๖. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปไดเพราะอาศัยวิญญาณัญจายตนฌาน
๗. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปไดเพราะอาศัยอากิญจัญญายตนฌาน
๘. อาสวะทั้งหลายสิ้นไปไดเพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตน
ฌาน
เรากล าวไว เชนนี้ แลวา `อาสวะทั้งหลายสิ้นไปได เพราะอาศัย
ปฐมฌาน' เพราะอาศัยเหตุอะไร เราจึงกลาวไวเชนนั้น เพราะอาศัยเหตุนี้วา
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน
ฯลฯ เธอยอมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ ที่มีอยูในปฐมฌานนั้น โดยเปนสภาวะไมเที่ยง เปนทุกข เปนดังโรค
เปนดัง หัวฝ เปนดังลูกศร เปนสิ่งคอยกอความเดือดรอน เปนที่ทําใหขัดของ
๑๓๖
องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๔๑/๕๓๒.
๑๐๓๙
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
เปนดังคนฝายอื่น เปนสิ่งที่ตองแตกสลาย เปนของวางเปลา เปนอนัตตา เธอ
ยอมทําจิตใหกลับจากธรรมเหลานั้น ครั้นแลว จึงนอมจิตไปเพื่ออมตธาตุ ๔
วา `ภาวะที่สงบ ประณีต คือ ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิ
กิเลสทั้งปวง ความสิ้นไปแหงตัณหา ความคลายกําหนัด ความดับ นิพพาน `
เธอดํารงอยูในปฐมฌานนั้น ยอมบรรลุความสิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลาย หาก
ยังไมบรรลุความสิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลาย ก็จะเปนโอปปาติกะ เพราะ
สังโยชนเบื้องต่ํา ๕ ประการสิ้นไปดวยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้น จัก
ปรินิพพานในภพนั้น ไมหวนกลับมาจากโลกนั้นอีก ฯลฯ ภิกษุทั้งหลาย ดัง
พรรณนามานี้แล สัญญาสมาบัติมีอยูเทาใด สัญญาปฏิเวธก็มีอยูเทานั้น
ภิกษุทั้งหลาย อายตนะ ๒ ประการนี้ คือ เนวสัญญานาสัญญายตน
สมาบัติและสัญญาเวทยิตนิโรธ ตางก็อาศัยกันและกัน เรากลาววา ภิกษุผูได
ฌาน ฉลาดในการเขาสมาบัติ ฉลาดในการออกจากสมาบัติ เขาออกแลว พึง
กลาวอายตนะ ๒ ประการนี้ไวโดยชอบ๑๓๗
การบรรลุธรรมเปนพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา จะตองอาศัย
ฌานสมาบัติเปนพื้นฐาน ดวยการกําจัดนิวรณ ๕ ใหตกไป เพื่อการเจริญ
ปญญาในลําดับที่สูงขึ้นไป เพราะอาศัยปญญาในฝายสมาธิเพียงอยางเดียว
โดยลําพังไมสามารถทําใหบรรลุอริยผลไดเลย ปญญาในฝายสมาธิทําให
บรรลุความสงบ สงัดเพียงชวงระยะเวลาที่อยูในสมาบัติเทานั้น แตเมื่อใช
ปญญาในฝายวิปสสนา(โยนิโสมนสิการ) พิจารณาโดยแยบคายในไตรลักษณ
และอริยสัจ ๔ คือ ดวยการพิจารณาองคฌานใหเห็นแจงในขันธ ๕ ดวย
ปญญา จึงจะสามารถเพิกถอนกิเลสกําจัดอวิชชาได
จากขอความในตปุ ส สสู ต รแสดงให เ ห็ น ว า ฌานสมาบั ติ เ ป น สิ่ ง ที่
พระพุทธเจ าเคยบรรลุ มาแล ว ในสมัย ที่ยั งเป น พระโพธิ สั ต ว อยู และฌาน
สมาบัติก็เปนสิ่งที่มีอยูกอนการตรัสรูของพระพุทธเจา แตสัญญาเวทยิตนิโรธ
ไดถูกคนพบดวยปญญาที่กระทําความเพียรทางจิตโดยแยบคาย บรรลุอนุ
ปุพพวิหารธรรม ๙ มาตามลําดับจนบรรลุความดับของสัญญาและเวทนาใน
๑๓๗
ดูรายละเอียดใน องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๓๖/๕๐๘ - ๕๑๓.
๑๐๔๐
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ พรอมกับการตรัสรูเปนพระพุทธเจา และจากการ
ที่พระพุทธเจาทรงใชอนุปุพพวิหารธรรม ๙ เปนเครื่องยืนยันการตรัสรูและ
ความเปนพระพุทธเจาในโลก แสดงใหเห็นถึงความสัมพันธของฌานสมาบัติ
กั บ การบรรลุ ธ รรมได เ ป น อย า งดี ว า ฌานสมาบั ติ ทั้ ง หมดที่ มี อ ยู ตั้ ง แต
ปฐมฌานจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน สามารถใชเปนเครื่องมือใน
การเจริญปญญาเพื่อความพนทุกขได ตามกําลังปญญาของผูที่ไดบําเพ็ญ
ฌานสมาบัติมาแลว และเปนผูที่ไดบรรลุสมาบัติใดสมาบัติหนึ่งอยู แมใน
สมาบัติขั้นสูงอยางในอรูปฌานที่มีความละเอียดมาก อยางเชนเนวสัญญานา
สัญญายตนฌาน เมื่อเจริญปญญาแลว สัญญาและเวทนาก็จะดับลงในสัญญา
เวทยิตนิโรธสมาบัติ และถึงความสิ้นอาสวะเพราะเนวสัญญานาสัญญายตน
ฌานและสัญญาเวทยิตนิโรธเปนสิ่งที่ตองอาศัยกันและกัน
๖.๓ การบรรลุอริยผลกับนิโรธสมาบัติ
พระอริ ย บุ ค คลผู ที่ มี อั ธ ยาศั ย ในสมาธิ ม าก อ นแล ว ใช ส มาธิ เ ป น
พื้นฐานในการเจริญปญญาดวยการพิจารณาฌานตอไปตามลําดับ จนสําเร็จ
ผลอันเปนที่สุด ลักษณะดังกลาวนี้เปนเครื่องบงชี้ถึงความแตกตางของพระ
อริยบุคคลที่เปนผูเขานิโรธสมาบัติได และพระอริยบุคคลที่ไมสามารถเขา
นิโรธสมาบัติได ซึ่งมีการบรรลุอริยะผลที่แตกตางกัน ผูที่ใชฌานสมาบัติเปน
ฐานในการบรรลุธรรมมีตัวอยางที่ชัดเจนซึ่งเห็นไดจากการบรรลุธรรมของ
พระสารีบุตรที่เกิดขึ้นตามลําดับ ดังที่พระพุทธเจาทรงแสดงไววา
"ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย สารี บุ ต รเป น บั ณ ฑิ ต มี ป ญ ญามาก มี ป ญ ญา
กวางขวาง มีปญญาราเริง มีปญญารวดเร็ว มีปญญาเฉียบแหลม มีปญญา
เพิ ก ถอนกิเ ลส ภิ ก ษุทั้ ง หลาย เพี ย งกึ่ งเดื อนสารี บุ ต รก็ เ ห็ น แจ งธรรม
ตามลําดับบทได"๑๓๘ "การเห็นแจงธรรมตามลําดับบทของพระสารีบุตรที่
พระพุทธเจาทรงแสดงนั้นหมายความวาเห็นแจงดวยอาศัยอํานาจสมาบัติ
และอํานาจองคฌาน"ซึ่งเกิดขึ้นตามลําดับตั้งแตตนโดยเริ่มจากกําจัดนิวรณ
๕ แลวบรรลุปฐมฌานพิจารณาฌานนั้นดวยปญญาเห็นไตรลักษณ มนสิการ
๑๓๘
ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๓/๑๑๐.
๑๐๔๑
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
โดยแยบคายดวยอริยสัจ ๔ ขั้นตอนทั้งหมดเกิดขึ้นและดําเนินไปในลักษณะ
อยางนี้เชนเดียวกันทุกฌานจนถึงอากิญจัญญายตนฌานแลวจึงบรรลุสัญญา
เวทยิตนิโรธ๑๓๙
เมื่อออกจากสั ญญาเวทยิ ตนิโ รธสมาบัติ ก็พิจ ารณาธรรมทั้งหลาย
แลวบรรลุอรหัตตผล
การบรรลุ ธ รรมดั ง กล า วจะเห็ น ได ว า ขั้ น ตอนทั้ ง หมดมี ฌ านเป น
พื้นฐานในการพิจารณาธรรมที่สูงขึ้นไป มีฌานสมาบัตินั้นๆ เปนพื้นฐานใน
การเจริญปญญาที่ดําเนินไปอยางเปนระบบและเปนขั้นตอน ดังในพระสูตรที่
พระพุทธเจาทรงแสดงการเกิดปญญาขึ้นตามลําดับแ ละการดับลงของสภาพ
ธรรมบางอยางเพราะการศึกษาไปตามลําดับ ดังพุทธพจนวา
เมื่อภิกษุนั้นพิจารณาเห็นนิวรณ ๕ ที่ตนละไดแลวยอมเกิดความ
เบิกบานใจ เมื่อเบิกบานใจก็ยอมเกิดปติ เมื่อใจมีปติกายยอมสงบ เธอมี
กายสงบยอมไดรับความสุข เมื่อมีความสุข จิตยอมตั้งมั่น ภิกษุนั้นสงัดจาก
กามและอกุศลธรรมทั้งหลายแลวบรรลุปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปติ และ
สุขอันเกิดจากวิเวกอยู กามสัญญา (ความจําไดหมายรูเรื่องกาม) ของเธอที่
มีอยูกอนจะดับไป สัจสัญญาอันละเอียดมีปติและสุขอันเกิดจากวิเวกจะ
เกิดขึ้นแทน สัญญาอยางหนึ่งเกิดเพราะการศึกษา สัญญาอีกอยางหนึ่งดับ
เพราะการศึกษาอยางนี้ นี้จัดเปนการศึกษาอยางหนึ่ง๑๔๐
จากที่กลาวมาแลวทั้งหมดในเบื้องตนจึงสรุปไดวาพระอริยะบุคคล
ประเภทกายสักขี ปญญาวิมุตต อุภโตภาควิมุตต และสันทิฏฐิกธรรมเปนพระ
อริยบุคคลที่มีพื้นฐานของสมาธิมาอยางดีแลวเจริญวิปสสนาดวยปญญาจน
บรรลุอริยผลพรอมดวยคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถเขานิโรธสมาบัติได
ลักษณะดังกลาวทั้งหมดจึงเปนการสะทอนภาพของความสัมพันธระหวาง
นิโรธสมาบัติกับการบรรลุธรรมของพระอริยบุคคลไดเปนอยางดี
๑๓๙
ดูรายละเอียดใน ม.อุ.อ. (ไทย) ๓/๙๒/๗๙.
๑๔๐
ดูรายละเอียดใน ที.สี. (ไทย) ๙/๔๑๓/๑๗๘.
๑๐๔๒
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๖.๔ ความแตกตางของนิโรธสมาบัตกิ ับการบรรลุอริยผล
ความแตกตางกันในรายละเอียดในขณะบรรลุธรรม สามารถจําแนก
ออกไดเปน ๒ ลักษณะ คือ
๑) นิโรธสมาบัติกับการบรรลุธรรมของพระพุทธเจา
เรื่องนี้มีรายละเอียดแตกตางจากการบรรลุของพระสาวก เพราะ
พระปญญาของพระพุทธเจาสามารถพิจารณาสภาวธรรมที่มีความละเอียดได
มากกวาพระสาวก วิเคราะหจากพระสูตรที่ทรงแสดงการบรรลุอนุปุพพวิหาร
ธรรม ๙ ดังนี้
"อานนท เราลวงอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุ
เนวสัญญานาสัญญายตนฌานอยู เมื่อเราอยูดวยวิ หารธรรมนี้สัญญา
มนสิการที่ประกอบดวยอากิญจัญญายตนฌาน ยังฟุงขึ้น ขอนั้นเปนความ
กดดันแกเรา ทุกขพึงเกิดขึ้นแกคนผูมีสุขเพียงเพื่อความกดดัน ฉันใด
สัญญามนสิการที่ประกอบดวยอากิญจัญญายตนฌานยอมฟุงขึ้น ขอนั้น
เปนความกดดันแกเรา ฉันนั้น
อานนท เราจึงมีความดําริดังนี้วา `ทางที่ดี เราควรลวงเนวสัญญานา
สัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู จิตของ
เราไมแลนไป ไมเลื่อมใส ไมตั้งมั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ ไมหลุดพน' เมื่อ
พิจารณาเห็นวา `สัญญาเวทยิตนิโรธนั่นสงบ' เราจึงมีความดําริดังนี้วา `
อะไรหนอแลเปนเหตุ เปนปจจัยใหจิตของเราไมแลนไป ไมเลื่อมใส ไมตั้ง
มั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ ไมหลุดพน' เมื่อพิจารณาเห็นวา `สัญญาเวทยิต
นิโรธนั่นสงบ' เราจึงมีความดําริดังนี้วา `โทษในเนวสัญญานาสัญญายตน
ฌานเรายังไมไดเห็นและไมไดทําใหมาก อานิสงสในสัญญาเวทยิตนิโรธเรา
ยังไมไดบรรลุและไมไดเสพ เพราะเหตุนั้น จิตของเราจึงไมแลนไป ไม
เลื่อมใสไมตั้งมั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ ไมหลุดพน' เมื่อพิจารณาเห็นวา `
สัญญาเวทยิตนิโรธนั่นสงบ' เราจึงมีความดําริดังนี้วา `ถาเราเห็นโทษในเนว
สัญญานาสัญญายตนฌานแลวทําใหมาก ไดบรรลุอานิสงสในสัญญาเวทยิต
นิโรธ แลวเสพอานิสงสนั้น เปนไปไดที่จิตของเราจะพึงแลนไป เลื่อมใส ตั้ง
มั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ หลุดพน เมื่อพิจารณาเห็นวา `สัญญาเวทยิต
๑๐๔๓
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
นิโรธนั่นสงบ' ตอมาเราไดเห็นโทษในเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแลวทํา
ใหมาก ไดบรรลุอานิสงสในสัญญาเวทยิตนิโรธแลวเสพอานิสงสนั้น จิตของ
เราจึงแลนไป เลื่อมใส ตั้งมั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ หลุดพนเมื่อพิจารณา
เห็นวา `สัญญาเวทยิตนิโรธนั่นสงบ'
อานนท เราลวงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง
บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู อาสวะทั้งหลายของเราไดถึงความหมดสิ้น
แลว เพราะเห็นดวยปญญา๑๔๑
ขอความในพระสูตรนี้แสดงใหเห็นไดอยางชัดเจนวากระบวนธรรมที่
เกิดขึ้นในราตรีที่ทรงตรัสรูเปนพระพุทธเจา เปนการพิจารณาสภาวธรรมใน
ฌานสมาบัติที่มีความละเอียดมาก ทรงกระทําความเพียรเพื่อการพิจารณา
สภาวธรรมแลวทรงบรรลุความสงบที่สูงขึ้นตามลําดับ ทรงเห็นสภาพความ
เป น ทุกข ทรงพิจ ารณาหาสาเหตุ ข องธรรมที่ทรงรู สึ กอึด อัด แล ว ทรง
พิจารณาหาทางกําจัดสภาวะที่ทรงอึดอัดนั้น ทรงพิจารณาอยางนี้ขึ้นไป
ตามลําดับในฌานขั้นตางๆ พบวามีความความแตกตางที่ไมเหมือนกับการ
พิจารณาสภาวธรรมของพระสาวกในขั้นตอนของการพิจารณาสภาวธรรมที่มี
ความละเอียดมาก อยางเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
จากพุทธพจนที่ทรงตรัสวา... `โทษในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
เรายังไมไดเห็นและไมไดทําใหมาก อานิสงสในสัญญาเวทยิตนิโรธเรายังไมได
บรรลุและไมไดเสพ เพราะเหตุนั้น จิตของเราจึงไมแลนไป ไมเลื่อมใส ไมตั้ง
มั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ ไมหลุดพน' เมื่อพิจารณาเห็นวา `สัญญาเวทยิต
นิโรธ นั่นสงบ' เราจึงมีความดําริดังนี้วา `ถาเราเห็นโทษในเนวสัญญานา
สัญญายตนฌานแลวทําใหมาก ไดบรรลุอานิสงสในสัญญาเวทยิตนิโรธ แลว
เสพอานิสงสนั้น เปนไปไดที่จิตของเราจะพึงแลนไป เลื่อมใส ตั้งมั่นในสัญญา
เวทยิตนิโรธ หลุดพน๑๔๒ พุทธพจนบทนี้แสดงใหเห็นวาพระปญญาของ
พระพุทธเจานั้นสามารถที่จะพิจารณาสภาวะความละเอียดของสภาวธรรม
๑๔๑
องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๔๑/๕๓๑.
๑๔๒
องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๔๑/๕๓๑.
๑๐๔๔
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน แลวทรงพยายามกําจัดสภาวะที่ทรงอึดอัด
นั้นเพื่อบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ในขณะที่ทรงกํากัดสภาวะความอึด
อัด นั้ นเพื่อบรรลุ สั ญญาเวทยิต นิ โรธสมาบัติ และทรงตรัส รู ในขณะที่บรรลุ
สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ จากพุทธพจนทรงตรัสที่วา....
จิตของเราจึงแลนไป เลื่อมใส ตั้งมั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ หลุดพน
เมื่อพิจารณาเห็นวา `สัญญาเวทยิตนิโรธนั่นสงบ'อานนท เราลวงเนวสัญญา
นาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู อาสวะ
ทั้งหลายของเราไดถึงความหมดสิ้นแลว เพราะเห็นดวยปญญา
๒) นิโรธสมาบัติกับการบรรลุธรรมของพระสาวก
การบรรลุ ธ รรมของพระสาวกนั้ น แมป ระกอบด ว ยนิ โ รธสมาบั ติ
อยางสมบูรณ เชน พระสารีบุตรเถระ ก็ไมสามารถพิจารณาสภาวธรรมที่มี
ความละเอียดมากอยางเนวสัญญานาสัญญายตนฌานไดอยางตลอด ในอนุ
ปาทสูตร๑๔๓ ระบุถึงการพิจารณาสภาวธรรมของพระสารี ไวดังนี้
"อีกประการหนึ่ง เพราะลวงอากิญจัญญายตนะไดโดยประการทั้ง
ปวง สารีบุตรบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะอยู เธอมีสติออกจากสมาบัติ
นั้นแลวพิจารณาเห็นธรรมที่ลวงลับดับ แปรผันไปแลววา `ไดยินวา ธรรม
เหลานี้ที่ยังไมมีก็มีขึ้น ที่มีแลวยอมดับไป' เธอจึงไมยินดี ไมยินราย อันกิเลส
อาศัยไมได อันกิเลสพัวพันไมได หลุดพนแลว พรากไดแลวในธรรมเหลานั้น
มีจิตที่ฝกใหปราศจากเขตแดนคือกิเลสไดแลวอยู สารีบุตรนั้นรูชัดวา `การ
สลัดทุกขที่สูงๆ ขึ้นไปยังมีอยู' เธอมีความเห็นวา การสลัดทุกขมีไดเพราะการ
กระทําธรรมนั้นใหมากขึ้น
อีกประการหนึ่ง เพราะล ว งเนวสั ญญานาสั ญญายตนะได โ ดย
ประการทั้งปวงสารีบุตรบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู เพราะเห็นดวยปญญา
อาสวะทั้งหลายของเธอจึงสิ้น ไป สารีบุ ตรนั้นมีสติ ออกจากสมาบัติแล ว
พิจารณาเห็นธรรมที่ลวงลับดับ แปรผันไปแลววา `ไดยินวา ธรรมเหลานี้ที่ยัง
ไมมีก็มีขึ้น ที่มีแลวยอมดับไป' เธอจึงไมยินดี ไมยินราย อันกิเลสอาศัยไมได
๑๔๓
องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๔๑/๕๓๑.
๑๐๔๕
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
อันกิเลสพัวพันไมไดหลุดพนแลว พรากไดแลวในธรรมเหลานั้น มีจิตที่ฝกให
ปราศจากเขตแดน คือ กิเลสไดแลวอยู สารีบุตรนั้นรูชัดวา `การสลัดทุกขที่
สูงๆ ขึ้นไปยังมีอยู' เธอมีความเห็นวาการสลัดทุกขมีไดเพราะการกระทํา
ธรรมนั้นใหมากขึ้น"๑๔๔
จากพระสูตรนี้จะพบวา ตั้งแตเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน จะมี
ความแตกตางของการพิจารณาสภาวธรรม โดยการพิจารณาของพระสารี
บุ ต รไม ส ามารถเกิ ด ขึ้ น ในขณะที่ อ ยู ใ นฌานสมาบั ติ แ บบเดี ย วกั บ ที่
พระพุทธเจาทรงพิจารณาสภาวธรรมของเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน แต
จะพบวาพระสารีบุตรจะตองออกจากเนวสัญญานาสัญญาเสียกอนแลวจึง
พิจารณาสภาวธรรมของเนวสัญญานาสัญญายตนฌานได ดังที่พระพุทธเจา
ตรัสวา "สารีบุตรนั้นมีสติออกจากสมาบัติแลว พิจารณาเห็นธรรมที่ลวงลับ
ดับ แปรผันไปแลววา `ไดยินวา ธรรมเหลานี้ที่ยังไมมีก็มีขึ้น ที่มีแลวยอมดับ
ไป' เธอจึงไมยินดี ไมยินราย อันกิเลสอาศัยไมได อันกิเลสพัวพันไมไดหลุด
พน แล ว พรากได แล ว ในธรรมเหล านั้ น "สารี บุ ต รบรรลุ เ นวสั ญญานา
สัญญายตนะอยู เธอมีสติออกจากสมาบัตินั้นแลวพิจารณาเห็นธรรมที่ลวงลับ
ดับแปรผันไปแลว๑๔๕
เมื่ อ พระสารี บุ ต รบรรลุ สั ญ ญาเวทยิ ต นิ โ รธสมาบั ติ แ ละออกจาก
สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ มีสติแลวจึงพิจารณาสภาวธรรมความดับของ
สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแลว พระสารีบุตรจึงบรรลุธรรม จากพุทธพจนที่
ทรงตรัสวา "บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยูเพราะเห็นดวยปญญา อาสวะ
ทั้งหลายของเธอจึงสิ้นไป สารีบุตรนั้นมีสติออกจากสมาบัติแลว พิจารณา
เห็นธรรมที่ลวงลับ ดับ แปรผันไป แลววา `ไดยินวา ธรรมเหลานี้ที่ยังไมมีก็มี
ขึ้น ที่มีแลวยอมดับไป' เธอจึงไมยินดี ไมยินราย อันกิเลสอาศัยไมได อัน
กิเลสพัวพันไมไดหลุดพนแลว พรากไดแลวในธรรมเหลานั้น"๑๔๖
๑๔๔
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๕-๙๖/๑๑๔.
๑๔๕
ดูรายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๕-๙๖/๑๑๔.
๑๔๖
ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๙๖๑/๑๑๔
๑๐๔๖
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๗. อานิสงสของนิโรธสมาบัติ
คุณประโยชนของนิโรธสมาบัติจําแนกออกไดเปน ๒ ลักษณะ ไดแก
อานิสงสที่ใหผลโดยตรงแกบุคคลผูเขานิโรธสมาบัติ และอานิสงสที่ใหผลแก
บุคคลอื่นที่มีสวนเกี่ยวของกับบุคคลผูเขานิโรธสมาบัติ ดังนี้
๗.๑ ผลโดยตรงแกบุคคลผูเขานิโรธสมาบัติ
ผลที่ เ กิ ด ขึ้ น โดยตรงแก บุ ค คลผู เ ข า นิ โ รธสมาบั ติ มี ใ นหลายๆ
ลักษณะ ดังนี้
๑) เปนผูถึงความสําเร็จ ๕ ประการ
อาหุเนยยสูตรและทักขิเณยยสูตรไดแสดงชนิดและประเภทของพระ
อริยบุคคลในระดับตางๆ ตามภูมิธรรมที่ไดบรรลุแลว และแสดงถึงความเปน
บุคคลผูมีคุณสมบัติของพระอริยะ บุคคลดังกลาวเปนกลุมบุคคลที่มีความ
พิเศษ อานิสงสในความเปนบุคคลผูถึงความสําเร็จ ๕ ประการ ของพระ
อริยบุคคล (ทั้งพระอริยบุคคลที่สามารถเขานิโรธสมาบัติไดและที่ไมสามารถ
เขานิโรธสมาบัติได) คือ
๑. อาหุไนย เปนผูควรแกของที่เขานํามาถวาย
๒. ปาหุไนย เปนผูควรแกของตอนรับ
๓. ทักขิไนย เปนผูควรแกทักษิณาของชาวโลกและเทวดา
๔. อัญชลีกรณียะ เปนผูควรทําการอัญชลี
๕. โลกานุตตรปุณยเขตตะ เปนเขตบุญอันยอดเยี่ยมแหงโลก
ตามที่พระพุทธเจาทรงแสดงใวในอาหุเนยยสูตรวา ภิกษุทั้งหลาย
บุคคล ๑๐ จําพวกนี้ เปนผูควรแกของที่เขานํามาถวาย ควรแกของตอนรับ
ควรแกทักษิณา ควรแกการทําอัญชลี เปนนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลกบุคคล
๑๐ จําพวกไหนบาง คือ ๑. พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา ๒. พระ
ปจเจกสัมพุทธเจา ๓. ทานผูเปนอุภโตภาควิมุต ๔. ทานผูเปนปญญาวิมุต ๕.
ทานผูเปนกายสักขี ๖. ทานผูเปนทิฏฐิปตตะ ๗. ทานผูเปนสัทธาวิมุต ๘.
ทานผูเปนธัมมานุสารี ๙. ทานผูเปนสัทธานุสารี ๑๐. ทานผูเปนโคตรภู
ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๑๐ จําพวกนี้ เปนผูควรแกของที่เขานํามาถวาย ฯลฯ
๑๐๔๗
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ปนนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก๑๔๗
และในทักขิเณยยสูตร วา ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๙ จําพวกนี้ เปนผู
ควรแกของที่เขานํามาถวายควรแกของตอนรับควรแกทักษิณาควรแกการทํา
อัญชลีเปนนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลกบุคคล ๙ จําพวกไหนบาง คือ
๑. พระอรหันต ๒. บุคคลผูปฏิบัติเพื่ออรหัตตผล
๓. พระอนาคามี ๔. บุคคลผูปฏิบัติเพื่อทําใหแจงอนาคามิผล
๕. พระสกทาคามี ๖. บุคคลผูปฏิบัติเพื่อทําใหแจงสกทาคามิผล
๗. พระโสดาบัน ๘. บุคคลผูปฏิบัติเพื่อทําใหแจงโสดาปตติผล
๙. โคตรภูบุคคล
ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๙ จําพวกนี้ เปนผูควรแกของที่เขานํามาถวาย
ฯลฯ เปนนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก๑๔๘
๒) เปนที่พักผอนอันประเสริฐ("ทิฎฐธรรมนิพพาน"๑๔๙ หรือ "ทิฏฐ
ธรรมสุขวิหาร")
อานิสงสของนิโรธสมาบัติในการใชเปนที่พักผอนอันประเสริฐพบวา
มีอยูในพระสูตรหลายแหงและมีการใชสํานวนภาษาที่แตกตางกัน อยางเชน
"พระพุทธเจาทรงมีธรรมเปนเครื่องอยู" ๑๕๐
"พระพุทธเจาทรงเขาอนุปุพพวิหารธรรม ๙"๑๕๑
"พระพุทธเจาเสด็จหลีกเรนอยู" ๑๕๒
"พระสารีบุตรใชนิโรธสมาบัติเปนที่นอน"๑๕๓
๑๔๗
ดูรายละเอียดใน องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๖/๒๙ -- ๓๐.
๑๔๘
ดูรายละเอียดใน องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๑๐/๔๔๙ -- ๔๕๐.
๑๔๙
สงฺ.สฬา.อ. (ไทย) ๓/๓๔๘/๒๐๓.ดูรายละเอียดใน พุทธธรรม ฉบับขยาย
ความ, หนา ๕๕๕.
๑๕๐
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓/๖., ดูรายละเอียดใน ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๓/๑๘ - ๑๙.
๑๕๑
ดูรายละเอียดใน องฺ.นวก. (ไทย) ๒๓/๔๑/๕๓๒.
๑๕๒
ขุ.อป. (ไทย) ๓๒/๑/๑๕๐., ดูรายละเอียดใน ขุ.อป.อ (บาลี) ๒/๓๓/๕๖.
๑๕๓
ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๒/๓๕๗/๒๖.
๑๐๔๘
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
"พระอนุ รุทธะ พระนันทิย ะ พระกิมิล ะ มีป ฐมฌานจนถึงนิโรธ
สมาบัติเปนเครื่องอยูอยางผาสุขในปจจุบัน"๑๕๔ ฯลฯ เหลานี้เปนตน
ทุติยกามภูสูตรอรรถกถาระบุวา ชื่อวานิโรธนี้อยางไร ตอบวา การ
พิจารณาขันธ ๔ แลวไมเปนไป ถามวา เมื่อเปนเชนนั้น พวกภิกษุยอมเขา
นิโรธนั้น เพื่อประโยชนอะไร ตอบวา ยอมเขาเพื่อประโยชนวา พวกเรา(เคย)
เปนผูกระสันในความเปนไปแหงสังขารทั้งหลาย (บัดนี้) จักเปนผูไมมีจิตอยู
เปนสุขตลอด ๗ วัน นิโรธนี้ชื่อวาทิฎฐธรรมนิพพานนิพพานในปจจุบัน๑๕๕
หนังสือพุทธธรรมระบุวา เทาที่ไดกลาวมาในเรื่องความสุขนี้ เห็น
ควรสรุปใหเห็นขั้นตอนและประเภทชัดเจนขึ้นอีกครั้งหนึ่งซึ่งจะไดดังนี้
ก. เวทยิตสุข (สุขที่เปนเวทนา หรือสุขที่มีการเสวยอารมณ)
๑. กามสุข สุขเนื่องดวยกามหรือสุขเกิดจากกามคุณ
๒. ฌานสุข สุขเนื่องดวยฌานหรือสุขที่เปนวิบากแหงฌาน (สุข
เนื่องดวยรูปฌาน ๔ ขั้น สุขเนื่องดวยอรูปฌาน ๔ ขั้น)
ข. อเวทยิตสุข (สุขที่ไมเปนเวทนา หรือสุขที่ไมมีการเสวยอารมณ)
๓) นิโรธสมาบัติสุข
สุขเนื่องดวยนิโรธสมาบัติคือการเขาสัญญาเวทยิตนิโรธ เรียกวา
นิพพานสุข สุขเนื่องดวยนิพพาน๑๕๖ เพราะสภาวะของนิโรธสมาบัติเปน
สภาพความดับของนามขันธ ๔ ที่มีความคลายกับสภาวะของนิพพาน ไมมี
สภาพความเกิด ความดับ ของสังขารธรรมที่เบียดเบียน เปนความสงบ สงัด
ที่พึงเขาถึงและเปนสภาวะของความสุขอันประณีตโดยปริยาย นิโรธสมาบัติ
เปนที่หลีกเรน เปนธรรมเครื่องอยูอยางผาสุข เปนวิหารธรรม เปนที่นอน จึง
เปนที่พักผอน อันประเสริฐของพระอริยบุคคลผูที่สามารถเขานิโรธสมาบัติได
๑๕๔
ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๒๕/๓๕๗.
๑๕๕
ดูรายละเอียดใน สงฺ.สฬา.อ. (ไทย) ๓/๓๔๘/๒๐๓.,ขุ.ป.อ. (บาลี) ๑/๘๒/
๓๒๗ -- ๓๒๘.
๑๕๖
ดูรายละเอียดใน พุทธธรรม ฉบับขยายความ, หนา ๕๕๕.
๑๐๔๙
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ทั้งหลาย ซึ่งเปนการพักผอนดวยการอาศัยอํานาจของฌานสมาบัติและ
วิปสสนาญาณเพื่อการเขาถึง
๔) สมาธิวิปผาราฤทธิ์
สมาธิวิปผาราฤทธิ์ หมายถึง อํานาจหรือคุณวิเศษที่เกิดจากฌาน
สมาบัติของบุคคลผูเขานิโรธสมาบัติได เปนคุณวิเศษที่เกิดดวยอํานาจสมถะ
ในกาลกอนหรือภายหลังสมาธิหรือในขณะแหงสมาธินั้น"๑๕๗ คือ อํานาจของ
ฌานสมาบัติที่แผซานไปทั่วรางกายของผูเขานิโรธสมาบัติ ซึ่งจะคุมครองมิให
ไดรับอันตรายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับรางกายและวัตถุสิ่งของที่เกี่ยวเนื่องกับผู
เขานิโรธสมาบัติ อยางเชน "กรณีของพระสัญชีวะที่มิไดรับอันตรายจากไฟที่
คนเลี้ยงโคที่ไดชวยกันทําฌาปนกิจรางกายของทาน เพราะคนเลี้ยงโคเขาใจ
วา ทานไดมรณะภาพ"๑๕๘ และกรณีของพระสารีบุตรที่ไมไดรับอันตรายใดๆ
จากการทํารายของ นันทะยักษที่ฟาดกระบองลงบนศีรษะของพระสารีบุตร
ในขณะที่ ท า นเข า ฌานสมาบั ติ ใ นที่ โ ล ง แจ ง และเป น ขณะที่ อ ยู ใ นนิ โ รธ
สมาบัติ๑๕๙
๕) อินทรียผองใส
อินทรียผองใส หมายถึง รางกายของผูเขาสมาบัติจะมีความผองใสที่
สามารถเห็นและรูสึกไดในเชิงประจักษ ปรากฏอยูในพระสูตรหลายแหงดังนี้
นิโรธสมาปตติสูตร ระบุวา.... ตอมาเวลาเย็น ทานพระสารีบุตรออก
จากที่หลีกเรนแลวเขาไปยังพระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ทาน
พระอานนทไดเห็นทานพระสารีบุตรกําลังเดินมาแตไกลจึงถามวา "ทานสารี
บุตรอินทรียของทานผองใสยิ่งนัก สีหนาก็บริสุทธิ์ผุดผอง วันนี้ ทานสารีบุตร
อยูดวยวิหารธรรมอะไร" ทานพระสารีบุตรตอบวา "ทานผูมีอายุ วันนี้ ผม
ลวงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวงเขาสัญญาเวทยิตนิโรธ
(สมาบัติที่ดับสัญญาและเวทนา) อยู ผมนั้นไมไดคิดวา `เราเขาสัญญาเวทยิต
๑๕๗
พระพุทธโฆสเถระ, วิสุทธิมรรค, หนา ๖๕๙.
๑๕๘
ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๖๐-๔๖๗/๕๐๐-๕๐๘.
๑๕๙
ขุ.อุ. (ไทย) ๒๔/๓๔/๒๓๙.
๑๐๕๐
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
นิโรธอยูหรือเขาสัญญาเวทยิตนิโรธแลวหรือวาออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธ
แลว"๑๖๐
มหาเวทัลลสูตร ระบุวา.... สัตวผูต ายคือทํากาละไปแลวมีกาย
สังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขารดับระงับไป มีอายุหมดสิ้นไป ไมมีไออุน มี
อินทรียแตกทําลาย สวนภิกษุผูเขาสัญญาเวทยิตนิโรธ มีกายสังขาร วจี
สังขาร และจิตตสังขารดับ ระงับไป แตอายุยังไมหมดสิ้นยังมีไออุนมีอินทรีย
ผองใส สัตวผูต าย คือ ทํากาละไปแลวกับ ภิกษุผูเขาสัญญาเวทยิตนิโรธ
ตางกันอยางนี๑๖๑
้
สุสิมสูตร ระบุวา ครั้งนั้น เทพบุตรบริษัทของสุสิมเทพบุตร เมื่อสุสิม
เทพบุตรกําลังกลาวสรรเสริญคุณของทานพระสารีบุตรอยู ตางปลื้มปติเบิก
บานใจ เกิดปติโสมนัสมีรัศมีวรรณะเปลงปลั่งปรากฏอยู ดุจแกวมณีและแกว
ไพฑูรยอันงดงามตามธรรมชาติถูกนายชางเจียระไนดีแลว แปดเหลี่ยม วาง
ไวบนผากัมพลสีเหลือง สองแสงแพรวพราวสุกสกาวอยู ฉะนั้น เทพบุตร
บริษัทของสุสิมเทพบุตร เมื่อสุสิมเทพบุตรกําลังกลาวสรรเสริญคุณของทาน
พระสารีบุตรอยู ตางปลื้มปติเบิกบานใจ เกิดปติโสมนัส มีรัศมีวรรณะเปลง
ปลั่งปรากฏอยู ดุจทองแทงชมพูนุทเปนของที่บุตรนายชางทองผูขยันใสเบา
หลอมไลมลทิน จนสิ้นราคีแลว วางไวบนผากัมพลสีเหลือง สองแสงแพรว
พราวสุกสกาวอยู ฉะนั้น เทพบุตรบริษัทของสุสิมเทพบุตร ฯลฯ มีรัศมี
วรรณะเปลงปลั่งปรากฏอยูดุจดาวศุกรเมื่ออากาศปลอดโปรงปราศจากหมู
เมฆในฤดูสารทกาล สองแสงแพรวพราวสุกสกาวอยูในเวลาใกลรุง ฉะนั้น
เทพบุตรบริษัทของสุสิมเทพบุ ตร เมื่อสุสิมเทพบุตรกําลังกลาว
สรรเสริญคุณของทานพระสารีบุตรอยู ตางปลื้มปติเบิกบานใจ เกิดปติ
โสมนัส มีรัศมีวรรณะเปลงปลั่งปรากฏอยู ดุจดวงอาทิตยเมื่ออากาศปลอด
๑๖๐
สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๓๔๐/๓๔๗.
๑๖๑
สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๓๔๐/๓๔๖.
๑๐๕๑
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
โปรงปราศจากหมูเมฆในฤดูสารทกาล พวยพุงขึ้นสูทองฟา ขจัดความมืดที่มี
อยูในอากาศทั้งปวง สองแสงแพรวพราวสุกสกาวอยู ฉะนั้น๑๖๒
๖) ทําใหมารตาบอด
พระอริ ย บุ ค คลผู บ รรลุ ฌ านสมาบั ติ ตั้ ง แต ป ฐมฌานจนถึ ง สั ญ ญา
เวทยิตนิ โรธสมาบัติ ยอมไดชื่อวาเปนผู ทําใหมารตาบอด ซึ่งมีขอความ
ปรากฏในพระสูตรดังตอไปนี้
(๑) นิวาปสูตร ระบุวา ที่ซึ่งมารและบริวารของมารไปไมถึง เปน
อยางไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแลว
บรรลุปฐมฌานทีม่ ีวิตก วิจาร ปติ และสุขอันเกิดจากวิเวกอยู เราเรียกภิกษุนี้
วา `ไดทํามารใหตาบอด คือ ทําลายดวงตาของมารเสียอยางไมมีรองรอย ถึง
การที่มารใจบาปมองไมเห็น'
ฯลฯ
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะลวงเนวสัญญานาสัญญายตน
ฌานโดยประการทั้งปวง ภิกษุบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู ก็เพราะเห็นดวย
ปญญา เธอยอมมีอาสวะสิ้นไป เราเรียกภิกษุนี้วา `ไดทํามารใหตาบอด คือ
ทําลายดวงตาของมารเสียอยางไมมีรองรอย ถึงการที่มารใจบาปมองไมเห็น
และขามพนตัณหาอันเปนเครื่องของอยูในโลกไดแลว"๑๖๓
(๒) ปาสราสิสูตร ระบุวา
อนึ่ง เนื้อปาเมื่อเที่ยวไปตามปาใหญ ยอมวางใจเดิน ยืน นั่ง นอน
ขอนั้นเพราะเหตุไร เพราะไมไดพบกับนายพรานเนื้อ แมฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น
เหมือนกัน สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแลวบรรลุปฐมฌานที่มีวิตก
วิจาร ปติและสุขอันเกิดจากวิเวกอยู เราเรียกภิกษุนี้ วา `ผูทําใหมาร ตาบอด
คือ ทําลายดวงตาของมารอยางไมมีรองรอย ถึงการที่มารใจบาปมองไมเห็น
ฯลฯ
๑๖๒
ดูรายละเอียดใน สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๑๑๐/๑๒๒.
๑๖๓
ดูรายละเอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๗๑/๒๙๓ - ๒๙๔.
๑๐๕๒
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะลวงเนวสัญญานาสัญญายตน
ฌานโดยประการทั้งปวง
ภิกษุบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู ก็เพราะเห็นดวยปญญา เธอยอมมี
อาสวะสิ้นไป เราเรียกภิกษุ นี้วา `ผูทําใหมารตาบอด คือ เปนผูที่มารใจบาป
มองไมเห็นเพราะทําลายดวงตาของมารอยางไมมีรองรอย' เปนผูขามพน
ตัณหาอันของอยูในอารมณตางๆ ในโลกได ยอมวางใจ เดิน ยืน นั่ง นอน ขอ
นั้นเพราะเหตุไร เพราะไมไดดําเนินอยูในทางของมารใจบาป๑๖๔
คําวา ไดทํามารใหตาบอด ความวา ภิกษุไมไดทําลายนัยนตาของ
มาร แตจิตของภิกษุ ผูเขาฌานมีวิปสสนาเปนบาทอาศัยอารมณชื่อนี้เปนไป
ดังนั้น มารจึงไมสามารถเห็นไดเพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา ไดทํามารให
ตาบอด คําวา คือทําลายดวงตาของมารเสียอยางไมมีรองรอย ความวาโดย
ปริยายนั้นนั่นเอง เธอจึงทําลายแลวโดยประการที่ดวงตาของมารจะไมมีทาง
คือ หมดทาง ไมมีที่ตั้ง ไมมีอารมณ คําวา ถึงการที่มารใจบาปมองไมเห็ น
ความวา โดยปริยายนั้นนั่นเอง มารผูมีบาปจึงมองไมเห็น แทจริง มารนั้นไม
สามารถเห็นรางกาย คือ ญาณของภิกษุผูเขาฌานมีวิปสสนาเปนบาทนั้น
ดวยตาเนื้อของตนได๑๖๕
พระอริยบุคคลทั้งหลายที่เจริญปญญาเพื่อความพนทุกข โดยใช
ฌานสมาบัติตั้งแตปฐมฌานจนถึงนิโรธสมาบัติเปนพื้นฐาน แหงการเจริญ
ปญญาในการเพิกถอนกิเลส และดวยอํานาจของปญญาในการพิจารณาไตร
ลักษณและอริยสัจ ๔ จึงเปนวิปสสนาญาณที่ทําใหมารตาบอด มารมองไม
เห็น เพราะวิปสสนาญาณที่เปนไปในการเพิกถอนกิเลสจนเปนผูบรรลุความ
สงบ สงัด กําจัดอาสวะไดตามกําลังปญญาของตน เปนอานิสงสของอริย
ปญญาในพระพุทธศาสนาซึ่งมีความสัมพันธเชื่อมโยงมาถึงพระอริยบุคคลผูที่
สามารถเขานิโรธสมาบัติได
๑๖๔
ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๘๗/๓๑๕ - ๓๑๖.
๑๖๕
ม.มู.อ. (ไทย) ๒/๒๗๑/๙๖.
๑๐๕๓
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๗.๒ ผลแกบุคคลอื่นที่มีสวนเกี่ยวของกับบุคคลผูเขานิโรธสมาบัติ
อานิสงสตอบุคคลอื่น หมายถึง ผลแหงบุญที่เกิดขึ้นกับผูที่ไดถวาย
ทานแกพระอริยบุคคลผูออกจากนิโรธสมาบัติใหมๆ เปนบุคคลแรก ปรากฎ
ขอความดังนี้
๑) กุณฑธานเถรปทาน ระบุวาเราจักพยากรณผูที่บํารุงพระพุทธเจา
ผูเปนดังพญาเนื้อชาติไกรสร ทานทั้งหลายจงฟงเรากลาวเถิด ผูนั้นจักเปน
เทวราช ๑๑ ชาติ และจักเปนพระเจาจักรพรรดิ ๓๔ ชาติ ในกัปที่
๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป) พระศาสดาพระนามวาโคดม ตามพระโคตร
ทรงสมภพในราชกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลกผูนั้นจักดาสมณะทั้งหลาย
ผูมีศีล ผูไมมีอาสวะ จักไดการขนานนามเพราะวิบากแหงบาปกรรม เขาจักมี
นามวากุณฑธานะ๑๖๖
สักกุทานสูตรอรรถกถา ระบุวา จริงอยู ในปฏิสัมภิทามรรค ทาน
หมายเอานิโรธสมาบัตินี้ ถามวา อยางไร ชื่อวาญาณในสัญญานิโรธสมาบัติ
เพราะประกอบดวยพละ ๒ เพราะสงบระงับสังขาร ๓ เพราะญาณจริยา
๑๖ เพราะสมาธิจริยา ๙ เพราะความเปนผูเชี่ยวชาญ ดังนี้แลว จึงกลาววา
บทวา ทฺวีหิ พเลหิไดแก พละ ๒ คือ สมถพละ วิปสสนาพละ. พึงทราบความ
พิสดารตอไป กถาวาดวยนิโรธสมาบัตินี้นั้น ทานพรรณนาไวแลวในวิสุทธิ
มรรคแล. ก็เพราะเหตุไร พระเถระนี้ไมเขาผลสมาบัติ แตเขานิโรธสมาบัติ ?
เพราะจะอนุเคราะหเหลาสัตว. จริงอยู พระมหาเถระนี้ ใชสมาบัติไดแม
ทั้งหมด แตโดยมากทานเขานิโรธสมาบัติ เพราะจะอนุเคราะหสัตว. เพราะ
เมื่อทานเขานิโ รธสมาบัตินั้นแล วออก สักการะแมมีประมาณนอยที่เขา
กระทํา ยอมมีผลมาก มีอานิสงสมากเปนพิเศษแล๑๖๗
อาจามทานอรรถกถา ระบุวา บทวา โมทิตา จามทายิกาความวา ก็
หญิงชื่อนั้นถวายทานเพียงขาวตัง ยังบันเทิงอยูดวยทิพยสมบัติในกามาวจร
สวรรคชั้นที่ ๕ ทานแสดงวา ขอทานจงดูผลของทานซึ่งพรั่งพรอมดวยเขต
๑๖๖
ดูรายละเอียดใน ขุ.อ. (ไทย) ๓๒/๖-๑๑/๑๕๐ ๒ ๑๕๑.
๑๖๗
ดูรายละเอียดใน ขุ.อุ.อ. (บาลี) --/๒๗/๒๐๗.
๑๐๕๔
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
สัมปทา [คือพระทักษิไณยบุคคลผูเปนปฏิคาหก] ทาวสักกะ สดับวาทานของ
หญิงนั้นมีผลใหญ และมีอานิสงสผลใหญแลว เมื่อทรงสรรเสริญทานนั้นอีก
จึงตรัสวา นาอัศจรรยจริงหนอ ทานที่หญิงผูยากไรตั้งไวดีแลว ในพระคุณ
เจากัสสปะ ดวยไทยทานที่นาง นํามาแตผูอื่น ทักษิณายังสําเร็จผลไดจริง
หนอ ขอที่นารีผูงามทั่วสรรพางค สามีมองไมจืด ไดรับอภิเษก เปนเอกอัคร
มเหสีของพระเจาจักรพรรดิ ก็ยังไมเทาเสี้ยวที่ ๑๖ ของอาจามทานนี้ [ถวาย
ขาวตัง] ทองคํารอยนิกขะ มารอยตัว รถเทียมมาอัสดรรอยคัน หญิงสาว ผู
สวมกุณฑลมณีจํานวนแสนนางก็ยัง ไมเทาเสี้ยวที่ ๑๖ ของอาจามหานนี้
พระยาชาง ตระกูลเหมวตะ มีงางอน มีกําลังและวองไว มีสายรัดทองคํา มี
ตัวใหญ มีเครื่องประดับเปนทองรอยเชือก ก็ยังไมเทาเสี้ยวที่ ๑๖ ของอาจาม
ทานนี้ ถึงแมพระเจาจักรพรรดิ ทรงครองความเปนเจา ทวีปใหญทั้งสี่ ก็ยังไม
เทาเสี้ยวที่ ๑๖ ของอาจามทานนี๑๖๘้
อานิสงสที่เกิดกับบุคคลผูที่ไดถวายทานแกพระอริยบุคคลที่ออกจาก
นิโรธสมาบัติ พบวา การปฏิบัติใดๆ หรือการถวายทานแกพระอริยบุคคลผู
ออกจากนิโรธสมาบัติใหมๆ พบวามีอานิสงสที่ยิ่งใหญและจัดเปนทิฏฐธรรม
เวทนียกรรม คือ กรรมที่ใหผลในทันทีหรือภายใน ๗ วันพระอริยบุคคลผูเขา
นิโรธสมาบัติจึงไดชื่อวาโลกานุตตรปุณยเขตตะ เปนเขตบุญอันยอดเยี่ยมแหง
โลกทานที่ไดถวายแกพระอริยบุคคลผูออกจากนิโรธสมาบัติจะใหผลในทันที
ดังนั้น การถวายทานหรือการกระทําใดๆ แกพระอริยบุคคลผูออก
จากนิโรธสมาบัติที่จัดเปน "ปริปกกทิฏฐธรรมเวทนียกรรมนั้นจะตองถึง
พรอมดวยสัมปทาทั้ง ๔"๑๖๙ คือ
๑. เจตนาสัมปทา มีเจตนาอันแรงกลายิ่งในการทํากุศลนั้น
๑๖๘
ดูรายละเอียดใน ขุ.วิ.อ. (บาลี) --/๑๘๙ - ๑๙๔/๑๑๑ - ๑๑๒.
๑๖๙
ดูรายละเอียดในสังคหะ ๓, [ซีดี-รอม] สาระสังเขปจาก พระไตรปฎก ฉบับ
เรียนพระไตรปฎก เวอรชั่น ๒.๑, (๕ ธันวาคม ๒๕๕๐) หนา ๑๓, แบบประกอบ
นักธรรมโท -- ธรรมปริทรรศน เลม ๒,[ซีดี-รอม]
สาระสังเขปจาก พระไตรปฎก ฉบับเรียนพระไตรปฎก เวอรชั่น ๒.๑, (๕
ธันวาคม ๒๕๕๐), หนา ๒๒๒ - ๒๒๔.
๑๐๕๕
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๒. ปจจยสัมปทา ปจจัยที่ทํากุศลนั้นไดมาดวยความบริสุทธิ์
๓. วัต ถุสั มปทา บุคคลผูรั บทานนั้ นเปนพระอนาคามีห รือพระ
อรหันต
๔. คุณาติเรกสัมปทา พระอนาคามี หรือพระอรหันตผูรับทานนั้นถึง
พรอมดวยคุณอันพิเศษ คือ ออกจากนิโรธสมาบัติใหมๆ
ดังนั้น การถวายทานจะตองบริบูรณพรอมทั้งสองสวน คือ (๑) ฝาย
ผูถวายทาน และ (๒) ฝายของผูรับทานนั้นจึงสงใหทานั้นมีผลมากมีอานิสงส
มาก
การตั้ งความปรารถนาเพื่อฐานะอัน ประเสริฐ ในพระพุทธศาสนา
ทั้งหลายลวนมีสวนเกี่ยวของกับนิโรธสมาบัติทั้งสิ้น โดยเปนผลจากการถวาย
ทานแกพระพุทธเจา พระปจเจกพุทธเจา และพระอริยบุคคลที่ออกจากนิโรธ
สมาบัติ เพราะมีจิตเลื่อมใส เกิดศรัทธา แลวตั้งความปรารถนาในฐานะนั้นๆ
หรือไดรับการพยากรณผลแหงทานเมื่อไดถวายทานแลว ซึ่งผลแหงทานนั้น
ไดสงผลใหประสพแตกุศลวิบากและใหผลตอเนื่องที่ยาวนานทั้งสิ้น จาก
ฐานขอมูลในพระพุทธศาสนาไมพบวามีอานิสงสของทานชนิดใดที่จะใหผล
มากและยิ่งใหญเทียบเทากับการถวายทานกับพระอริยบุคคลผูที่เพิ่งออกจาก
นิ โ รธสมาบั ติ เ ลย จากเหตุ ผ ลขอนี้ จึ งมีน้ํ าหนั ก เพีย งพอที่ จ ะสนั บ สนุ น
สมมติฐานที่วา อานิสงสของทานที่ไดถวายแกพระอริยบุคคลทั้งหลายที่เพิ่ง
ออกจากนิโรธสมาบัติใหผลที่ยิ่งใหญที่สุดในบรรดาทานทั้งหลาย
นิโรธสมาบัติมีลักษณะสภาวะที่เปนอาการดับลงของสังขาร ๓ ไมมี
จิตในขณะที่อยูในนิโรธสมาบัติ สภาวะนั้นไมแตกตางจากคนตาย มีเพียง
กรรมชรูป คือ ไออุนเปนเครื่องรักษาสภาพแหงความมีชีวิตไว โดยมหาภูตรูป
๔ ยังไมเสื่อมสลายไป เพราะรางกายยังมีอาหาร หลอเลี้ยงความมีชีวิตของผู
เขานิโรธสมาบัติตอไปไดถึง ๗ วัน แมไมมีการกินอาหารเขาไปเลย ในการเขา
นิโรธสมาบัติสามารถอยูในสมาบัตินั้นไดนานที่สุด ๗ วัน หากไมมีสิ่งใดมา
เปนเงื่อนไขที่ทําใหตองออกจากสมาบัติเสียกอน เหตุที่ทําใหตองออกจาก
นิโรธสมาบัติกอนเวลามีอยู ๓ ประการ คือ
๑. อายุสังขารที่เหลืออยูไมถึง ๗ วัน
๑๐๕๖
บทที่ ๒๐ การเขานิโรธสมาบัติ
๒. พระพุทธเจาทรงเรียกหา
๓. สงฆเรียกหา
คุณสมบัติของผูเขานิโรธสมาบัติ ผูที่จะสามารถเขานิโรธสมาบัติได
นั้นจะตองเปน พระอริยะบุคคล ๒ จําพวกเทานั้น คือ (๑) พระอนาคามี
และ (๒) พระอรหันต ที่มีความชํานาญในสมาบัติ ๘ และบุคคลดังกลาวนั้น
จะตองเปนพระอริยบุคคลที่อยูในปญจโวการภพเทานั้น หมายถึง ภพภูมิของ
สัตวที่มีองคประกอบของชีวิตที่มีขันธ ๕ ครบ ซึ่งสัตวดังกลาวนี้อยูในสุคติภูมิ
๒๒ ประกอบดวยภูมิตางๆ ดังนี้ มนุสสภูมิ ๑ เทวภูมิ ๖ พรหมภูมิ ๑๕
๑๐๕๗
บรรณานุกรม
ก. ขอมูลปฐมภูมิ
(๑) พระไตรปฎก :
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาเตปฏกํ,
๒๕๐๐.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕.
____ .พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. เนื่องใน
มหามงคลสมัยฉลองสิริราชสมบัติ ๕๐ ปของพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว
.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๓๙
มหามกุฏราชวิทยาลัย . พระไตรปฎกพรอมอรรถกถา แปล ชุด ๙๑ เลม,
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๔.
๑๐๖๑
____ . เนตติอฏฐกถา ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. รจนา โดย
พระมหากัจจายนเถระ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ หจก.ทิพยวิสุทธิ์,
๒๕๔๔.
มหามกุฏราชวิทยาลัย. อภิธมฺมตฺถวิภาวินิยา ปฺจิกา นาม อตฺถโยชนา.
โรงพิมพมหามกุฏราชวิทยาลัย หนาวัดบวรนิเวศวิหาร,กรุงเทพมหานคร
๒๕๓๗.
____ .อภิธมฺมตฺถสงฺคหปาลิยา สห อภิธมฺมตฺถวิภาวินีนามอภิธมฺมตฺถสงฺคหฏีกา.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหามกุฏราชวิทยาลัย หนาวัดบวรนิเวศวิหาร,
๒๕๓๘.
____ .พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๑. พิมพครั้งที่ ๑๗. กรุงเทพมหานคร : โรง
พิมพมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑.
____ .พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๓. พิมพครั้งที่ ๑๖. กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐.
_____ . พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๕. พิมพครั้งที่ ๑๕. กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๔.
_____ . พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๘. พิมพครั้งที่ ๑๔. กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒.
ข. ขอมูลทุติยภูมิ
๑. หนังสือทั่วไป
กรมศิลปากร. มิลินทปญหา พิมพครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร: พิมพที่โสภณการ
พิมพ, ๒๕๔๙.
กลฺยาณภิกฺขุ, พุทธการกธรรมทีปนี, ม.ป.ท., ๒๕๔๙.
ขุนสรรพกิจโกศล (โกวิท ปทมะสุนทร). คูมือการศึกษาพระอภิธรรมปริจเฉทที่ ๗
สมุจจยสังคหวิภาคหลักสูตรปริญญาธรรมชั้นเอก, สถาบันการศึกษาพระ
อภิธรรมมูลนิธิปริญญาธรรม กรุงเทพมหานคร พิมพครั้งที่ ๒.
โรงพิมพวิญญาณ. ๒๕๔๔.
๑๐๖๒
จําลอง ดิษยวณิช. วิปสสนากรรมฐาน และเชาวอารมณ (ฉบับปรับปรุง). พิมพ
ครั้งที่ ๓.เชียงใหม: หางหุนสวนจํากัด เชียงใหมโรงพิมพแสงศิลป, ๒๕๔๙.
ธนิต อยูโพธิ์, วิ ป ส สนานิ ย ม, พิมพครั้งที่ ๗, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหา
จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐.
บุญมี เมธางกูร และ วรรณสิทธิ์ ไวทยะเสวี. คูมือการศึกษาพระอภิธัมมัตถ
สังคหะปริจเฉทที่ ๑. กรุงเทพมหานคร : ดวงดีการพิมพ, ๒๕๓๐.
พินิจ รัตนกุล., รศ.ดร., สวดมนต สมาธิ วิปสสนา รักษาโรคได. พิมพครั้งที่ ๓
นนทบุรี. บริษัทเพชรรุงการพิมพจํากัด, ๒๕๔๗.
พระคันธสาราภิวังศ ,อภิธัมมัตถสังคหะ และปรมัตถทีปนี.พิมพครั้งที่ ๒ ,
กรุงเทพฯ : ไทยรายวันการพิมพ . พฤษภาคม ๒๕๔๖.
พระติสสทัตตเถร. อภิธมฺมตฺถวิภาวิน.ี มหามกุฏราชวิทยาลัย, พิมพครั้งที่ ๘.
กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒.
พระพุทธโฆส. วิสุทธิมัคค ปฐมภาค. มหามกุฏราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๔.
_____ . คัมภีรวิสุทธิมรรค. สมเด็จพระพุฒาจารย (อาจ อาสภมหาเถร) แปล
และ เรียบเรียง,พิมพครั้งที่ ๖. กรุงเทพ : บริษัท ธนาเพรส จํากัด, ๒๕๔๘.
พระญาณธชเถระ (แลดีสยาดอ). อานาปานทีปนี. พระคันธสาราภิวงศ แปลและ
เรียบเรียง. กรุงเทพมหานคร: ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๙.
_____ . ปรมัตถทีปนี. แปลโดย พระคันธสาราภิวงศ. กรุงเทพมหานคร : หาง
หุนสวนจํากัด ไทยรายวัน กราฟฟค เพลท, ๒๕๔๖.
พระญาณธชเถระ(แลดีสยาดอ), อานาปานทีปนี, พระคันธสาราภิวงศ แปล
และเรียบเรียง. โรงพิมพไทยรายวันการพิมพ,กรุงเทพฯ, ๒๕๔๙.
พระญาณโปนิกเถระ , หัวใจกรรมฐาน, ชาญ สุวรรณวิภัช แปล, (พิมพครั้งที่ ๕).
สํานักพิมพศยาม บริษัทเคล็ดไทยจํากัด. กรุงเทพฯ ๒๕๔๑
พระธัมมปาลมหาเถระ รจนา, อาจารยสิริ เพ็ชรไชย ป.ธ. ๙ แปล.
ปรมัตถมัญชุสา วิสุทธิมัคคมหาฎีกา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ บริษัท
ธนาเพรส แอนด กราฟฟค จํากัด , ๒๕๔๕.
_____ . สัทธรรมปกาสินี (บาลี-ไทย) ภาค ๓., สิริ เพ็ชรไชย (และคณะ) แปล,
๑๐๖๓
กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิภูมิพโลภิกขุ, ๒๕๔๕.
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก าณสิทฺธิ), คูมือสอบอารมณกรรมฐาน,
กรุงเทพมหานคร: พิมพที่ โรงพิมพพิทักษอักษร, ๒๕๓๓.
พระธรรมปฏก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวลศัพท.
กรุงเทพ : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย , ๒๕๓๘.
_____. พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, พิมพครัง้ ที่ ๖.
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘.
_____. เทคนิคการสอนของพระพุทธเจา. กรุงเทพมหานคร : อมรินทร พริ้นติ้ง
กรุฟ จํากัด. ๒๕๓๐.
พระภัททันตะอาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ, ดร.
วิปสสนาทีปนีฎีกา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย, ๒๕๓๙.
_____ . วิปสสนาวงศ ในประทศไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพบริษัท
อมรินทรพริ้นติ้งแอนดพับลิชชิ่ง จํากัด (มหาชน), ๒๕๕๔.
_____ . ๑๐๐ ปอัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ. กรุงเทพมหานคร: บริษัทอมรินทร
พริ้นติ้ง แอนด พับลิชชิ่ง จํากัด (มหาชน), ๒๕๕๔.
พระภาวนาพิศาลเมธี วิ. (ประเสริฐ มนฺตเสวี). การยกอารมณฌานขึ้นสูวิปสสนา
ตามแนวอานาปานสติภาวนา. สมเด็จพระพุทธชินวงศ
(สมศักดิ์ อุปสมมหาเถระป.ธ.๙, M.A., Ph.D.) ตรวจชําระ. กรุงเทพมหานคร
: หางหุนสวนจํากัด ประยูรสาสนไทย การพิมพ,๒๕๕๕.
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ. ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๑-๒-๖,พิมพครั้งที่ ๘.
กรุงเทพฯ: มูลนิธิสัทธัมมโชติกะ จัดพิมพ. โรงพิมพทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๔๐.
_____ . ปรมัตถโชติกะ (ปริเฉทที่ ๕) โรงพิมพทิพยวิสุทธิ์ กรุงเทพฯ. ๒๕๔๐
พระพรหมโมลี (วิลาศ าณวโร ป.ธ.๙). มุนีนาถทีปนี, สํานักพิมพดอกหญา,
กรุงเทพฯ. ๒๕๓๙.
๑๐๖๔
_____. ภูมิวิลาสินี , สํานักพิมพดอกหญา กรุงเทพฯ. ๒๕๔๐
_____. กรรมทีปน,ี สํานักพิมพดอกหญา กรุงเทพฯ. ๒๕๔๕
_____ . โลกทีปนี , สํานักพิมพดอกหญา กรุงเทพฯ. ๒๕๔๕
_____ . วิปสสนาทีปนี. พิมพครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพดอกหญา,
๒๕๔๓.
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), ธัมมจักกัปปวัตนสูตร, พระพรหมโมลี
ศาสตราจารยพิเศษ (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.๙, M.A., Ph.D.) ตรวจชําระ,
พระคันธสาราภิวงศ แปลและเรียบเรียง (กรุงเทพมหานคร : หางหุนสวน
จํากัด ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๒), หนา ๑๒๙-๑๓๑.
_____ . มหาสติปฏฐาน ทางสูพระนิพพาน. พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม
ป.ธ.๙, M.A., Ph.D.) ตรวจชําระ. แปลและเรียบเรียงโดย พระคันธสาราภิวงศ.
กรุงเทพมหานคร : หางหุนสวนจํากัด ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๙.
_____ . วิปสสนาชุนี หลักการวิปสสนาภาวนา (ฉบับสมบูรณ). แปลโดย
จํารูญ ธรรมดา. กรุงเทพมหานคร : หางหุนสวนจํากัด ประยูรสาสนไทย
การพิมพ, ๒๕๕๓.
_____ . วิปสสนานัย เลม ๑. พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.๙, M.A.,
Ph.D.) ตรวจชําระ. แปลและเรียบเรียงโดย พระคันธสาราภิวงศ. นครปฐม
: หางหุนสวนจํากัด ซีเอไอ เซ็นเตอร จํากัด, ๒๕๕๐.
_____ . วิปสสนานัย เลม ๒. พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.๙, M.A., Ph.D.)
ตรวจชําระ. แปลและเรียบเรียงโดย พระคันธสาราภิวงศ. นครปฐม :
หางหุนสวนจํากัด ซีเอไอ เซ็นเตอร จํากัด, ๒๕๕๐.
_____ . คําแนะนําในการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานเบื้องตน. (มหาวิทยาลัย
หอการคาไทย พิมพท:ี่ กองบริการคําสอนและสิ่งพิมพ, ม.ป.ป.).
_____ . นิพพานกถา. พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.๙, M.A., Ph.D)
ตรวจชําระ.แปลเรียบเรียงโดย พระคันธสาราภิวงศ. กรุงเทพมหานคร:
จัดพิมพโดยหางหุนสวนจํากัด ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๔.
_____ . มหาสติปฏฐานสูตร ทางสูพระนิพพาน. แปลโดย พระคันธสาราภิวงศ.
พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.๙, Ph.D.) ตรวจชําระ. พิมพครั้งที่ ๒.
๑๐๖๕
กรุงเทพมหานคร : หางหุนสวนจํากัด ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๙.
_____. หลักการปฏิบัติวิปสสนากัมมัฏฐาน, จํารูญ ธรรมดา แปล.
กรุงเทพมหานคร : หางหุนสวนจํากัด ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๖.
พระอัคควังสเถระ. สัททนีติธาตุมาลา. พระธรรมโมลี ตรวจชําระ. พระมหานิมิต
ธมฺมสาโร และจํารูญ ธรรมดา แปล, พิมพครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร: โรง
พิมพหางหุนสวนจํากัด ไทยรายวันการพิมพ, ๒๕๔๖.
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพทปรัชญา อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตย-
สถาน, พิมพครั้งที่ ๔,๒๕๔๘,
สมเด็จพระพุทธชินวงศ (สมศักดิ์ อุปสมมหาเถระ). อริยวังสปฏิปทา ปฏิปทาอัน
เปนวงศแหงพระอริยเจา, กรุงเทพมหานคร: พิมพที่ หางหุนสวนจํากัด
ประยูรสาสนไทย การพิมพ, ๒๕๕๔.
แสง จันทรงาม. วิธีสอนของพระพุทธเจา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหามกุฏ
ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐.
สุชีพ ปุญญานุภาพ. พระไตรปฎกฉบับประชาชน. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ
มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
๒. วิทยานิพนธ
พระครูประคุณสรกิจ (สุชาติ ชิโนรโส),. การศึกษาวิธีการสอนวิปสสนา
กัมมัฏฐานตามแนวของสํานักวิเวกอาศรม. วิทยานิพนธปริญญาพุทธ
ศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาพระพุทธศาสนา). บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๗.
พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี(พรหมจันทร).“ศึกษาวิเคราะหหลักปฏิบัติอานาปาน-
สติภาวนา เฉพาะกรณีคําสอนของพุทธทาสภิกขุ”. วิทยานิพนธพุทธ
ศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย, ๒๕๕๑.
พระมหาประพันธ ศุภษร. “ความสําคัญของบุคลิกภาพของพระพุทธเจาตอ
ความสําเร็จในการเผยแผพุทธศาสนา”. วิทยานิพนธศิลปศาสตรมหาบัณฑิต.
บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร, ๒๕๔๔.
๑๐๖๖
พระภูริวัทน ฐิตปฺุโญ (ดอกบัว), ศึกษาเปรียบเทียบวิธีการเขาถึงความจริงของ
พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร : ศึกษากรณีปฏิจจสมุปบาท, หลักสูตร
ศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา, บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยพุทธศักราช ๒๕๔๙
พระอธิการดิเรก ถิราโณ (สีหะ) ,ศึกษาการบรรลุธรรมของวิปสสนายานิกบุคคล
วิทยานิพนธพุทธศาสตรมหาบัณฑิต,มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ-
ราชวิทยาลัย, พุทธศักราช ๒๕๕๗,
พันตํารวจโทหญิง สุชาดา พระเขียนทอง,ศึกษาหลักวิปสสนาภาวนาในเจโตขีล
สูตร, วิทยานิพนธพุทธศาสตรมหาบัณฑิต,มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย, พุทธศักราช ๒๕๕๕.
ศิริรักษ ขาวสนิท. “บทบาทของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานในการเผยแพร
พระพุทธศาสนา”. วิทยานิพนธอักษรศาสตรมหาบัณฑิต. ภาควิชา
ตะวันออก. คณะอักษรศาสตร จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๒๒.
มาลี อาณากุล,การศึกษาเปรียบเทียบกรรมฐานในคัมภีรพระอภิธัมมัตถสังคหะ
กับ คัมภีรวิสุทธิมรรค และวิธีปฏิบัติกรรมฐานของสํา นักวิปสสนาออม
นอยกับวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ,์ วิทยานิพนธอักษรศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ,มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๓๙.
วริยา ชินวรรโณ และคณะ. รายงานวิจัยเรื่อง วิวัฒนาการการตีความคําสอน
เรื่องสมาธิในพระพุทธศาสนาฝายเถรวาทในประเทศไทย. คณะ
มนุษยศาสตร,มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๓๗.
๓. ภาษาอังกฤษ
Phra Sripariyattimoli.The Buddha in the Eyes of Eminent Scholars,
1999. ISBN 974-575-539-7.(May 19th, 1939, Albert Einstein’s
speech on "Science and Religion" in Princeton, New Jersey,
U.S.A.)
๑๐๖๗
ประวัติของผูเขียน
ชื่อ : พระภาวนาพิศาลเมธี วิ. (น.ธ.เอก, ป.ธ.๘)
[พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี (พรหมจันทร)]
การศึกษา : นักธรรมชั้นเอก (พ.ศ.๒๕๓๘) วัดราษฎรบํารุง อําเภอระโนด
จังหวัดสงขลา,
เปรียญธรรม ๘ ประโยค (พ.ศ. ๒๕๔๖) วัดมหาสวัสดิ์-
นาคพุฒาราม อําเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม,
ปริญญาตรี พุทธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ.บาลีพุทธศาสตร
เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย รุนที่ ๕๐ ปการศึกษา ๒๕๔๖
ปริญญาโท พุทธศาสตรมหาบัณฑิต (พธ.ม.วิปสสนาภาวนา
วิทยานิพนธ ระดับ ดี ) มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม พ.ศ. ๒๕๕๒
บรรพชา : วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๕ ณ วัดราษฎรบํารุง อ.ระโนด
จ.สงขลา โดยมีพระครูปกาศิตพุทธศาสตร เปนพระอุปชฌาย
อุปสมบท : วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๓ ณ วัดราษฎรบํารุง อ.ระโนด
จ.สงขลา โดยมี พระมหาพงศธร เขมจาโร เปนพระอุปชฌาย
ประสบการณ :
พ.ศ. ๒๕๔๗-๕๐ ครูสอนปริยัติธรรมแผนกบาลี วัดมหาสวัสดิ์ฯ
พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๔ อาจารยพิเศษสอนหลักสูตรประกาศนียบัตร “วิปสสนา
ภาวนา” ( ปว.ภ.)
พ.ศ. ๒๕๕๒ -ปจจุบัน พระวิปสสนาจารยโครงการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน
หลักสูตร ๑ เดือน, หลักสูตร ๔๕ วัน, หลักสูตร ๓ เดือน
หลักสูตร ๔ เดือน และหลักสูตร ๗ เดือน ณ สํานักปฏิบัติ
ธรรม “ธรรมโมลี” อ.ปากชอง จ.นครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๕๒ - ปจจุบัน เปนอาจารยบรรยาย รายวิชา สติปฏฐานภาวนา
๑๐๖๘
โสฬสญาณ และสัมมนาวิปสสนาภาวนา หลักสูตรพุทธ
ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปสสนาภาวนา
ศูนยบัณฑิตศึกษา วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม
พ.ศ. ๒๕๕๕ อาจารยบรรยายพิเศษปริญญาเอก หลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎี
บัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ และสาขาวิชารัฐ-
ประศาสนศาสตร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วังนอย พระนครศรีอยุธยา
พ.ศ. ๒๕๕๔-ปจจุบัน พระวิปสสนาจารย หลักสูตรปฏิบัติวิปส สนาภานา ๗
เดือน พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปสสนาภาวนา
ศูนยบัณฑิตศึกษา วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม
ที่อยูปจจุบัน
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลั ย วิทยาเขตบาฬีศึกษา
พุทธโฆส นครปฐม
ตั้งอยู ณ วัดมหาสวัสดิ์นาคพุฒาราม ถนนศาลายา - นครชัยศรี อ.
พุทธมณฑล จ.นครปฐม ๗๓๑๗๐ และ
สํานักปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” ถนนธนรัชต (กม.๔) ตําบลหนองน้ํา
แดง อําเภอปากชอง จังหวัดนครราชสีมา
Email : pm.montasavi@gmail.com
Web : www.facebook.com/pm.montasavi/
งานปกครอง
พ.ศ. ๒๕๕๖ – ปจจุบัน เปนผูชวยเจาอาวาสพระอารามหลวง วัด
พิชยญาติการามวรวิหาร ถนนสมเด็จ-เจาพระยา แขวงสมเด็จเจาพระยา
เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร
๑๐๖๙
Biography of Insight Meditation Master
Name : Phra Bhavanaphisanmethi Vi. (Prasert Promchan),
Date of Birth : March 28, 1979.
Place of Birth : Siriraj Hospital, Bangkok, Thailand.
Higher Ordination : July 14, 2000 at Rajbamrung Temple, Ranot,
Songkhla, Thailand.
By Phrakru Srikanabhirak as preceptor.
Education : 1995, Dhamma Scholar, Advanced Level,
Rajbamrung Temple, Ranot, Songkhla, Thailand.
: 2003, Pāli VIII, Wat Mahasawat Nak Phuttharam,
Phutthamonthon, Nakhon Pathom, Thailand.
: 2003, Bachelor of Arts in Pali Buddhism
(B.A. in Pali Buddhism,with a first-class honors)
Mahachulalongkornrajavidyalaya University,
Palisuksa Buddhagosa Campus, Nakhon Pathom.
: 2009, Master of Arts in Vipassana Meditation
(M.A. in Vipassana Meditation, with The Good
Thesis Award) Mahachulalongkornrajavidyalaya
University, Palisuksa Buddhagosa Campus.
Meditations Experience
: 2008, 7 Months, Advance Insight Meditation Course at Ngwe
Taung Oo Meditation Center, Tachilek, Shan State,
Myanmar. instructed by Sayadaw Bhaddantavirojana
Mahaganthavajakapundit.
Jobs Experience :
: 2015 - Currently, 7 Months Meditation Master of Program
Master of Arts in Vipassana Meditation, Mahachulalongkornrajavidyalaya
University, Palisuksa Buddhagosa Campus, Nakhon Pathom.
Contact : Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Palisuksa
Buddhagosa Campus, Wat Mahasawat Nak Phuttharam, Phutthamonthon,
Nakhon Pathom,Thailand, 73170 : www.facebook.com/pm.montasavi/
๑๐๗๐
ผูรวมบุญพิมพหนังสือ “วิปสสนาเพื่อความดับกรรม”
นอมถวายบุญกุศล แดหลวงพอสมเด็จพระพุทธชินวงศ
จํานวน ๓,๐๐๐ เลม
คุณเกียรติชัย- โยมเล็ก ศีลาเจริญธนกิจ และครอบครัว ๑๐๒,๐๐๐ บาท
มหาวิทยาลัยธนบุรี, วิทยาลัยเทคโนโลยีหมูบานครู
แมชีระเอิบ แยมชุติ, คุณนภวรรณ แยมชุติและครอบครัว ๓๐,๐๐๐ บาท
มหาบัณฑิตสาขาวิชาวิปสสนาภาวนา รุนที่ ๗ ๑๐,๐๐๐ บาท
มหาบัณฑิตสาขาวิชาวิปสสนาภาวนา รุนที่ ๘ , ญาติธรรมวัดหทัยนเรศวร
อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ๑๕,๐๐๐ บาท
มหาบัณฑิตสาขาวิชาวิปสสนาภาวนา รุนที่ ๙ ๑๖,๐๐๐ บาท
มหาบัณฑิตสาขาวิชาวิปสสนาภาวนา รุนที่ ๑๐ ๑๑,๗๐๐ บาท
มหาบัณฑิตสาขาวิชาวิปสสนาภาวนา รุนที่ ๑๑ ๕,๐๐๐ บาท
มหาบัณฑิตสาขาวิชาวิปสสนาภาวนา รุนที่ ๑๒ ๑๑,๐๐๐ บาท
มหาบัณฑิตสาขาวิชาวิปสสนาภาวนา รุนที่ ๑๓ ๑๑,๙๐๐ บาท
มหาบัณฑิตสาขาวิชาวิปสสนาภาวนา รุนที่ ๑๕ และคณะญาติธรรม
พลอากาศโท ธรรมพล พงศภักดีบริบาล (รองราชเลขานุการในพระองค)
ดร.โรศะนี ชัยพันธและครอบครัว คุณประยงค ยิ่งเจริญและครอบครัว
คุณประยูร จันแพทยรักษและครอบครัว ๒๐,๐๐๐ บาท
แมชีนนทพร โสภณ ชมพู- ทองเอก โสภณ ๑๐,๐๐๐ บาท
บานขนมนันทวัน อ.เมือง จ.เพชรบุรี ๑๐,๐๐๐ บาท
คุณภรณี ถนอมกุล และคุณนิธินารถ ภวภาคย ๑๐,๐๐๐ บาท
ผูรวมบุญทานละ ๕,๐๐๐ บาท
พระสมศักดิ์ กิตฺติธมฺโม พระมหาไกรศร สุลโภ
พระมหาบุญเลิศ อินฺทปฺโ คุณวดี รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
แมชีศมาภา ปญญานันที (เพชรมา)
คณะอุบาสก-อุบาสิกาวัดปริวาสราชสงคราม กรุงเทพฯ
คุณสุทธิชัย เต็มประเสริฐดี และครอบครัว
๑๐๗๑
พระปริชาโน (ณัฐวิชญ เรืองสุวรรณ) ๔,๒๐๐ บาท
ผูรวมบุญทานละ ๓,๐๐๐ บาท
พระประยงค สุวณฺโณ (คลายสุบรรณ) นายฐินวัน ตระกูลฮุน
แมชีอัมพาพัชร อัสนีพลเสนา โยมเปรมจิตร โทมล (โยมอี๋)
แมชีณัฐพร อาภรณศิริพงษ พล.ตรี ธงชัย คลายสุบรรณ
ดร.พิณจทอง แมนสุมิตรชัย (ฉัตรนะรัชต) และครอบครัว
คณะผูรวมบุญ ๒,๐๗๐ บาท
คุณกฤษดา ผลประสาร ๒ เลม คุณละมอม กิจปกรณสันติ (๕ เลม)
คุณวิศา เอ็บสูงเนิน ๒ เลม คุณปราณี แซเสี้ยก ๑ เลม
คุณเบญจวรรณ หนูทอง ๑๐ เลม คุณจุฆารัตน ตักเตือน ๒ เลม
คุณอรญา พรหมเพ็ญ ๑ เลม
ผูรวมบุญทานละ ๒,๐๐๐ บาท
พระมหาชิด วชิรญาโณ แมชีโมลี มุทิตา
นางสาวกชพรรณ รัตนเกษร นายเจษฎา ตั้งเขาทอง
โยมเปรมจิตร โทมลและญาติธรรม คุณสุวคนธ บุญเกิด
คณะลูกศิษยวัดชิโนรสาราม คุณนองนุช หงสสงา
นายมนูญ เรืองสุวรรณ และครอบครัว คุณสุทธภา วัฒนาเอี๊ยบพันธ
คุณสุภา-คุณสุณีย รัตนะชีวกุล และคุณบุณชญา วิวิธขจร (๒,๓๐๐ บาท)
คณะแมชี, อุบาสกอุบาสิกาวัดสามัคคีธรรม (ปาสาน) ๑,๘๐๐ บาท
นายเกริกเกียรติ แกวจําปา (๑,๘๐๐ บาท)
พระใบฎีกาณรงคฤทธิ์ ฐานวุฒฺโฑ (๑,๖๐๐ บาท)
คณะผูรวมบุญ ๑,๐๘๐ บาท
นางณัฐพร – ด.ช.ณัฐเวทย แซหลี
นายสัตยา – นางอมรศรี โพธิ์ทองคนอง
ผูรวมบุญทานละ ๑,๐๐๐ บาท
ที่พักสงฆวัดสมใจนึกสามัคคีธรรม ต.หนองตาคง อ.โปงน้ํารอน จ. จันทบุรี
พระศิวเมศวร วรมงฺคโล พระมหาคมกฤษณ พันธุคง
พระธนพัชร นิสฺสกฺโก พระปาณชัย ชยธมฺโม
๑๐๗๒
พระสามารถ สมาจาโรและญาติธรรม นายธนาวิทย-นางเขมขจี ลิ่นแกว
นายประสาท - นางพิมพร เนียมนาค คุณนปติ สิริยะบุญนภา
โยมจําป แซเล็ก นางนพวรรณ บุญชวย
ครอบครัวไทยวงษ คุณนิชาพัฒน ปราณีต
แมชีนวพร ทองศรีเพชร ครอบครัว มาลากุล ณ อยุธยา
น.ส.จุฑามาศ ไพรศรี และครอบครัว นางเยาวมาลย บุณยรัตกลิน
นายวิชัย - นางวิภาวรรณ สุขเจริญ น.ส. กติกา ศรีทอง
ผศ.ดร.เสริมศิริ อัครพุฒิพันธ น.ส.กวินธร พิเสฏฐศลาศัย
น.ส.รุงนภา อัศดรศักดิ์และครอบครัว แมชีนันทนัช อัศดรศักดิ์
คุณณัฏฐชยธร (ครูหงส) ติชิลาสุตนันท แมชีจันทรจิรา ชินศรี, ครอบครัว
คณะนักศึกษาเตปฎกสุตสี รุนที่ ๗ และพระพรธนวัจน ธนวจโน
นายอรรถพล มีเพียร และ น.ส.ศรัญญา ศิรินิรันดร (๙๐๐ บาท)
คุณหมอเปา (พ.จ.อ.สันติชัย ปญญาพาณิชย) และครอบครัว
คณะผูรวมบุญ ๙๐๐ บาท
นางศรีสุดา ถิ่นพังงา น.ส.อมลรดา-นายเศรษฐวัฒน ถิ่นพังงา
ด.ญ.พิมพญาดา จินพละ คุณโงวเตียง แซเบ
นางวิภาวี รามอินทรา (๗๒๐ บาท)
ผูรวมบุญทานละ ๕๐๐ บาท
นางเบญจมาภรณ ทองทวีวิวัฒน น.ส.สุรัชนี หงษคงคา
อุบาสิกาจริญญา ปลองเกิด อุบาสิกาปุณยาพร หลองเกิด
คุณฉวีวรรณ ศรีเชาว คุณมาลี จีนเอี่ยม
คุณกิตติศักดิ์ ศรีเชาว คุณประเทือง ตรีเพ็ชร
คุณกนกพร ปานฝกดี น.ส.ปาณิศา เอื้ออารี
คุณพัฒนา ตรีเพ็ชร คุณอภิรมย ลิ้มสกุล
คุณแสงทิพย อินทรสวัสดิ์ คุณเสวย เพชรสุวรรณ
นางณัฐธยาน ทองสง นายประยูร แทนบุญ
คุณละมอม กิจปกรณสันติ นางสุดารัตน จันทรเจริญ
คุณกาญจนา ชัยกุลเสรีวัฒน แมชีพัฒนาวรรณ โตไพบูลย
๑๐๗๓
แมชีวรรนรักษ ธนธรรมทิศ น.ส.วลัยรัตน จันทโชติ
คุณพรรณี วงศวรพฤกษ นายสุรพงษ รอดพลอย
คุณวรรณกร ธรรมกุลาเลิศ คุณสุดา ลิ้มสกุล
คุณวิมล ตั้งสมบัติวิสทิ ธิ์ คุณพิมนิภา รัตนพฤกษสกุล
นายสุนทร - นางอรพันธ ทองสะอาดและลูกๆ
คุณพวงทอง วิจิตรพันธ และคุณณัฏฐณิชา วิจิตรพันธ
นางทัศนา เหลืองศุภบูลย น.ส. สมจิต ภัสสัตยางกูร
ด.ญ.สาริศา- ด.ญ.เขมินทรา เกิดเกลี้ยง (๔๕๐ บาท)
ผูรวมบุญทานละ ๓๐๐ บาท
นายธีรพงศ แกวดอนโหนด น.ส.มนทิรา ลอยวัฒนะ
นายพิพัฒน มิตรสินพันธุ โยมญาณิศา ผลกาจ
น.ส.สุภิศรา บุญชวย นายวิทยา ตันสกุล
น.ส.สุภิศรา บุญชวยและครอบครัว คุณนวลฉวี ลินลาด
นางเจนิศา จันทสุวรรณ และครอบครัว (๒๙๙ บาท)
นายชาญณรงค บุญศรีจันทร และครอบครัว (๒๗๐ บาท)
ผูรวมบุญทานละ ๒๐๐ บาท
พระสมุหเอกนรินทร สิรินฺทโร พระมณี สํวโร
โยมพัฒนา ตรีเพ็ชร น.ส.อรอนงค อัฐิ
น.ส.ลัดดาวัลย จินพละ น.ส.ลัดดาวัลย บุญรักษ
นายเจษฏา ผลประสาร คุณวิศา เอ็บสูงเนิน
คุณจิรายุทธ – คุณธนกร ศรียาภัย คุณสุมาลี เรืองภักดี
คุณจิราพร ภูทองวัฒนวงศ
นายกุศล-นางสารภี วงศสุวรรณ และครอบครัว
ผูรวมบุญทานละ ๑๐๐ บาท
น.ส.พิมพพิศา พรมพันใจ ครอบครัว “อวมจันทร”
นายไพบูลย ผั้วผดุง ครอบครัว “ปริมานนท”
นายอนุพงษ เพชรพินิจ นายกฤษณะ มวงเมือง
ด.ช.ปุณณสิน สติปญ ด.ญ.ศุภิสรา คําเนตร
๑๐๗๔
คุณปราณี แซเสี่ยว คุณอรญา พรหมเพ็ญ
นายวัฒนา พูลสวัสดิ์ น.ส.วรรณรัตน แซโกย
น.ส.ณฐมนต ทวีนวกิจเจริญ น.ส.ธนัชญา นิลประดับแกว
น.ส.จุฑารัตน นิลประดับแกว ด.ญ.วรรณรดา อาญาเมือง
๑๐๗๕
หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต
ศึกษาคัมภีรพ
ระไตรปฎก ภาษาบาลี
อรรถกถาฎีกา
สถิติการวิจัย ภาษาอังกฤษ
ปฏิบัติวิปสสนาภาวนา 7 เดือนเต็ม
กอนจบหลักสูตร
เปดรับสมัครผูจบปริญญาตรีทุกสาขา
เขาศึกษา ทุกเดือนมีนาคมและเมษายน ทุกๆ ป