Professional Documents
Culture Documents
01 Position ฉบับเต็ม
01 Position ฉบับเต็ม
กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข
ที่ปรึกษา
นายแพทย์ลือชา วนรัตน์ แพทย์หญิงวิลาวัณย์ จึงประเสริฐ
นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ นายแพทย์ปราโมทย์ เสถียรรัตน์
บรรณาธิการบริหาร
นายแพทย์สรรพงศ์ ฤทธิรักษา ดร.เภสัชกรหญิงอัญชลี จูฑะพุทธิ
บรรณาธิการ
นายแพทย์สุริยะ วงศ์คงคาเทพ ดร.เภสัชกรหญิงดวงแก้ว ปัญญาภู
ดร.รัชนี จันทร์เกษ
กองบรรณาธิการ
สุภาพร ยอดโต วัชราภรณ์ นิลเพ็ชร์ ศรัณยา คงยิ่ง
สุนิสา หลีหมุด ประดิษฐา ดวงเดช ศตพร สมเลศ
กุลธนิต วนรัตน์ บุญใจ ลิ่มศิลา ขวัญเรือน สมพิมาย
เมธาวุธ ธนพัฒน์ศิริ วิทูรย์ ยวงสะอาด ณัฐวุฒิ ปราบภัย
ข้อมูลทางบรรณานุกรมของส�ำนักหอสมุดแห่งชาติ
National Library of Thailand Cataloging in Publication Data
สมุนไพร นวดไทย อนาคตไทย สาระการประชุมวิชาการประจ�ำปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พนื้ บ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ
ครัง้ ที่ 16. -- นนทบุร:ี กลุม่ งานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
กระทรวงสาธารณสุข, 2562.
156 หน้า
1. สมุนไพร. 2. การนวด. 3. การแพทย์แผนไทย. I. ชื่อเรื่อง.
615.321
ISBN : 978-616-11-4069-4
สารจากอธิบดี
หนั ง สื อ เล่ ม นี้ จั ด ท� ำ ขึ้ น เพื่ อ รวบรวมสาระส� ำ คั ญ ของประเด็ น วิ ช าการที่ มี ก ารอภิ ป รายและเสวนา
ในการประชุ ม วิ ช าการประจ� ำ ปี ก ารแพทย์ แ ผนไทย การแพทย์ พื้ น บ้ า น และการแพทย์ ท างเลื อ กแห่ ง ชาติ
ครั้งที่ 16 ซึ่งปีนี้ชูประเด็นการนวดไทยและสมุนไพรไทยเป็นประเด็นหลัก เนื่องด้วยการนวดไทยถือว่าเป็น
ภูมิปัญญาที่ควรอนุรักษ์ และเป็นศาสตร์ในการดูแลสุขภาพที่ส�ำคัญของคนไทยมากว่า 600 ปี และในปีนี้
เป็นโอกาสอันดีที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม ได้มีโอกาสเสนอ
ให้การนวดไทยเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมต่อองค์การยูเนสโก้ด้วย ดังนั้น เพื่อให้มรดกภูมิปัญญาทาง
วัฒนธรรมอันทรงคุณค่าได้สืบทอดไปถึงลูกหลาน ตลอดจนสามารถสร้างงาน และสร้างเศรษฐกิจของชาติได้
จึ ง เป็ น ที่ ม าของการเสวนา เรื่ อ ง มาตรฐานของการนวดไทย การพั ฒ นามาตรฐานผู ้ ใ ห้ บ ริ ก ารด้ า นการ
นวดไทย รวมทั้ ง มี ป ระเด็ น เกี่ ย วกั บ การจั ด การเรี ย นการสอนการนวดไทยในหลั ก สู ต รการแพทย์ แ ผนไทย
ในการประชุมครั้งนี้ด้วย
ส�ำหรับสมุนไพรไทย การประชุมวิชาการในครั้งนี้ ได้มีการเสวนาในหลายประเด็น อาทิ สถานการณ์
การค้า รสนิยมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย และการพัฒนาสมุนไพรในตลาดจีน อินเดีย เมียนมาร์ และเวียดนาม
การพัฒนาเมืองสมุนไพร ผลิตภัณฑ์สมุนไพรต้นแบบ การจัดการทรัพย์สินทางปัญญาฯ ซึ่งเป็นการถ่ายทอดมุมมอง
จากผู้ที่มีประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาเกี่ยวกับสมุนไพรที่อยู่ในกระแสความสนใจ
ของประชาชนทั่วไป เช่น กัญชา และเห็ดที่เป็นยาและอาหาร
ในนามของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ขอขอบคุณคณะอนุกรรมการวิชาการ
และคณะท�ำงาน ที่ได้ก�ำหนดแนวทาง ประเด็นหลัก รูปแบบ รวมถึงการติดตาม ก�ำกับ จัดประชุมวิชาการ
จนส�ำเร็จลุล่วง ขอขอบคุณนักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน ที่ได้กรุณาสละเวลาในการศึกษาประเด็นหลัก
แต่ละหัวข้อจนได้ผลการศึกษาที่สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ และขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ท�ำให้การจัดงานประชุม
วิ ช าการฯ ในครั้ ง นี้ ส� ำ เร็ จ ไปด้ ว ยดี หวั ง ว่ า หนั ง สื อ เล่ ม นี้ จ ะเป็ น ประโยชน์ ใ นการพั ฒ นาการแพทย์ แ ผนไทย
การแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือก และสมุนไพร และเป็นแหล่งอ้างอิงทางวิชาการในระดับชาติต่อไป
นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ
อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
บรรณาธิการแถลง
รายนามผู้จัดท�ำเฉพาะบท
กลุ่มที่ 1 ประเด็นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ
1.1 สถานการณ์การค้า รสนิยมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย และการพัฒนาสมุนไพรในตลาดจีน อินเดีย
เมียนมาร์ และเวียดนาม
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
1.2 อุตสาหกรรมสารสกัดสมุนไพรสู่ตลาดโลก
ดร.บังอร เกียรติธนากร บริษัท อุตสาหกรรมเครื่องหอมไทย-จีน จ�ำกัด (TCFF)
1.3 เมืองสมุนไพร: โอกาสและการพัฒนา
ดร.ภญ.มณฑกา ธีรชัยสกุล, ภก.ณัฐวุฒิ ปราบภัย, อัปสร บุตรดา
กองสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข
วัฒนศักดิ์ ศรรุ่ง ส�ำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข
นพ.สรรพงศ์ ฤทธิรักษา กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข
1.4 ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ: โอกาสและการพัฒนา
รศ.ดร.ภญ.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์ ส�ำนักงานข้อมูลสมุนไพร
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
กลุ่มที่ 2 ประเด็นการพัฒนาเพื่อยกระดับการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
2.1 การพัฒนามาตรฐานผู้ให้บริการด้านการนวดไทยของประเทศไทย
ดร.ภก.ยงศักดิ์ ตันติปิฎก หน่วยวิจัยระบบภูมิปัญญาสุขภาพ
2.2 หมอพื้นบ้านกับอนาคตสุขภาพชุมชนไทย
ภราดร สามสูงเนิน, สมัคร สมแวง, อังคณา บุญทวี, อิศรา พงพานิชย์
กองคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและแพทย์พื้นบ้านไทย
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข
เสาวณีย์ กุลสมบูรณ์ ส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
2.3 อนาคตการวิจัยต�ำรับยาแผนไทย
ดร.ภญ.มณฑกา ธีรชัยสกุล กองสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
กระทรวงสาธารณสุข
ผศ.ดร.นพ.กฤษณ์ พงศ์พิรุฬห์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2.4 ทิศทางการศึกษาเพื่อพัฒนาการแพทย์แผนไทยอย่างยั่งยืน (ในระดับอุดมศึกษา)
ดร.ปราวรี ภูนีรับ, สมเด็จ กาติ๊บ, ผศ.ดร.รวิวรรณ์ เจริญทรัพย์
สาขาวิชาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ส�ำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
2.5 ผลกระทบของกรอบการเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับทรัพยากร
พันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม ต่อกฎหมายคุ้มครองและ
ส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
ดร.ปวริศร เลิศธรรมเทวี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง
กลุ่มที่ 3 ประเด็นการจัดการเพื่อน�ำการแพทย์แผนไทยไปใช้ประโยชน์
3.1 กลไกการเฝ้าระวังความปลอดภัยในการใช้สมุนไพรโดยมีประชาชนเป็นส่วนร่วม
ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี
นส.ภ.พงศธร วายโสกา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นศ.ภ.ภาวนา วัฒนกูล คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
3.2 การบูรณาการแพทย์แผนไทยเข้าสู่ระบบบริการสุขภาพในอนาคต
เกษม เผียดสูงเนิน สาธารณสุขอ�ำเภอล�ำสนธิ จังหวัดลพบุรี
3.3 บูรณาการคลังข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ
ชัชชัย ศิลปสุนทร ส�ำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กลุ่มที่ 4 ประเด็นวิชาการร่วมสมัย
4.1 กัญชา: แนวทางการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และการควบคุมการน�ำไปใช้ประโยชน์
ส�ำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
4.2 เห็ดเป็นยาและอาหาร
ศ.ดร.สายสมร ล�ำยอง, ดร.นครินทร์ สุวรรณราช คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ธิติยา บุญประเทือง ศูนย์พนั ธุวศิ วกรรมและเทคโนโลยีชวี ภาพแห่งชาติ
สารบัญ
สารจากอธิบดี (3)
บรรณาธิการแถลง (4)
รายนามผู้จัดท�ำเฉพาะบท (5)
กลุ่มที่ 1 ประเด็นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ
1.1 สถานการณ์การค้า รสนิยมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยและการพัฒนาสมุนไพรในตลาดจีน
อินเดีย เมียนมาร์ และเวียดนาม 2
1.2 อุตสาหกรรมสารสกัดสมุนไพรสู่ตลาดโลก 13
1.3 เมืองสมุนไพร: โอกาสและการพัฒนา 19
1.4 ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ: โอกาสและการพัฒนา 30
กลุ่มที่ 2 ประเด็นการพัฒนาเพื่อยกระดับการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
2.1 การพัฒนามาตรฐานผู้ให้บริการด้านการนวดไทยของประเทศไทย 42
2.2 หมอพื้นบ้านกับอนาคตสุขภาพชุมชนไทย 48
2.3 อนาคตการวิจัยต�ำรับยาแผนไทย 61
2.4 ทิศทางการศึกษาเพื่อพัฒนาการแพทย์แผนไทยอย่างยั่งยืน (ในระดับอุดมศึกษา) 72
2.5 ผลกระทบของกรอบการเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับ
ทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม
ต่อกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย 81
กลุ่มที่ 3 ประเด็นการจัดการเพื่อน�ำการแพทย์แผนไทยไปใช้ประโยชน์
3.1 กลไกการเฝ้าระวังความปลอดภัยในการใช้สมุนไพรโดยมีประชาชนเป็นส่วนร่วม 103
3.2 การบูรณาการการแพทย์แผนไทยเข้าสู่ระบบสุขภาพในอนาคต 110
3.3 บูรณาการคลังข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ 116
กลุ่มที่ 4 ประเด็นวิชาการร่วมสมัย
4.1 กัญชา: แนวทางการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และการควบคุมการน�ำไปใช้ประโยชน์ 125
4.2 เห็ดเป็นยาและอาหาร 136
สารบัญตาราง
ตารางที่ 1.1 มูลค่าการส่งออกขมิ้นชันของจีนไปตลาดส�ำคัญ 3
ตารางที่ 1.2 มูลค่าการน�ำเข้าขมิ้นชันของจีนจากตลาดส�ำคัญ 3
ตารางที่ 1.3 ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตั้งแต่ปี 2555-2559 7
ตารางที่ 1.4 ตัวชี้วัดในการประเมินผลลัพธ์ตามปีงบประมาณ 23
ตารางที่ 2.1 สรุปการควบคุมก�ำกับการนวดไทยในระดับต่าง ๆ 46
ตารางที่ 2.2 เปรียบเทียบล�ำดับการตั้งค�ำถามทางการวิจัยของการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์ดั้งเดิม 65
ตารางที่ 2.3 เสนอล�ำดับขั้นตอนการวิจัยทางคลินิกของการแพทย์ดั้งเดิม 66
ตารางที่ 3.1 ระบบการรายงานอาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาของผู้ป่วยโดยตรง 105
ตารางที่ 4.1 ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ และถิ่นที่พบของกัญชาชนิดต่าง ๆ 125
ตารางที่ 4.2 การก�ำกับดูแลการใช้กัญชาในทางการแพทย์เพื่อการศึกษาวิจัยและอุตสาหกรรม
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้กัญชาในการศึกษาวิจัยและการใช้ในทางการแพทย์ 130
ตารางที่ 4.3 ต�ำรับยาน�ำร่อง 16 ต�ำรับ ที่มีกัญชาเป็นองค์ประกอบ 131
สารบัญภาพ
ภาพที่ 1.1 สัดส่วนมูลค่าการส่งออกขมิ้นชันของจีนไปยังประเทศส�ำคัญปี 2559 3
ภาพที่ 1.2 สามอันดับแรกของประเทศที่น�ำเข้าสมุนไพรในปริมาณมากระดับโลก, กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 14
ภาพที่ 1.3 ข้อมูลมูลค่าการน�ำเข้าและส่งออกจากพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ (Harmonized System) 15
ภาพที่ 1.4 การพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรในอนาคต และสมุนไพรเป้าหมาย 16
ภาพที่ 1.5 กลไกการขับเคลื่อนเมืองสมุนไพร 20
ภาพที่ 1.6 แนวโน้มมูลค่าผลิตภัณฑ์สมุนไพร 4 กลุ่ม 25
ภาพที่ 1.7 แสดงมูลค่าการจ่ายยาสมุนไพรเปรียบเทียบระหว่างของ (ก) เมืองสมุนไพรทั้ง 13 จังหวัด และ
(ข) ภาพรวมของประเทศ 26
ภาพที่ 2.1 งานศึกษาระบบการแพทย์พหุลักษณ์ของ Kleinman, 1980 49
ภาพที่ 2.2 การขับเคลื่อนงานการแพทย์พื้นบ้านที่ผ่านมาได้ ก�ำหนดการท�ำงาน ด้วยกระบวนการการจัดการความรู้
แนวคิดเชิงปฏิบัติ 3 ประเด็นหลัก และ 10 ประเด็นย่อย 50
ภาพที่ 2.3 แนวทางการประเมินและรับรองสถานภาพ หมอพื้นบ้านเพื่อส่งเสริมและพัฒนาในระบบ 52
ภาพที่ 2.4 จ�ำนวนหมอพื้นบ้านที่ได้การรับรองในระดับวิชาชีพและระดับจังหวัด 56
ภาพที่ 2.5 สถานการณ์แนวทางการประเมินและรับรองหมอพื้นบ้านเพื่อส่งเสริมและพัฒนาในระบบ 56
ภาพที่ 2.6 การน�ำการวินิจฉัยทางการแพทย์แคมโป (ยกตัวอย่าง ภาวะหมดประจ�ำเดือน) เป็นเกณฑ์การวินิจฉัย
เพื่อคัดอาสาสมัครเข้าสู่การทดลอง จากนั้นจึงค่อยสุ่มแบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง 64
ภาพที่ 2.7 ขั้นตอนกระบวนการวิจัยส�ำหรับยาจากสมุนไพรทั้งรูปแบบสมุนไพรเดี่ยวและสมุนไพรต�ำรับ 66
ภาพที่ 2.8 แสดงข้อเสนอกรอบขั้นตอนการวิจัยการแพทย์แผนไทย 68
ภาพที่ 2.9 ห่วงโซ่การวิจัยการแพทย์แผนไทยและการวิจัยยาจากสมุนไพร (กฤษณ์และมณฑกา, 2559) 69
ภาพที่ 3.1 แผนด�ำเนินงานบูรณาการข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพในเบื้องต้น ระยะ 5 ปี 123
กลุ่มที่ 1
ประเด็นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ
1.1 สถานการณ์การค้า รสนิยมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย
และการพัฒนาสมุนไพรในตลาดจีน อินเดีย เมียนมาร์ และเวียดนาม
1.2 อุตสาหกรรมสารสกัดสมุนไพรสู่ตลาดโลก
1.3 เมืองสมุนไพร: โอกาสและการพัฒนา
1.4 ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ: โอกาสและการพัฒนา
สถานการณ์การค้า รสนิยมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย
และการพัฒนาสมุนไพรในตลาดจีน อินเดีย เมียนมาร์ และเวียดนาม
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช
ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
2. นโยบายและมาตรการที่ด�ำเนินการในปัจจุบัน
2.1 ผลิตภัณฑ์ขมิ้นชัน
สถานการณ์การค้า ประเทศจีนเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคขมิ้นชันที่ส�ำคัญอีกประเทศหนึ่ง โดยในปี
2559 ส่งออกขมิ้นชันแห้ง เป็นมูลค่า 96,407,654,002 บาท ซึ่งส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน
ร้อยละ 65.6 ของการส่งออกขมิ้นชันแห้งของจีนทั้งหมด รองลงมาเป็นการส่งออกไปฮ่องกง มาเลเซีย และ
สหรัฐอเมริกา คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 11.0, 10.7 และ 3.8 ตามล�ำดับ (ตารางที่ 1)
เมื่อพิจารณาในด้านการน�ำเข้าขมิ้นชันแห้งเข้ามาในประเทศจีน พบว่า มีการน�ำเข้าจากประเทศอินเดีย
เป็นส่วนใหญ่นับตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา โดยในปี 2559 มีปริมาณการน�ำเข้าขมิ้นชัน ทั้งหมด 20,494,807 บาท
ซึ่งเป็นการน�ำเข้ามาจากอินเดียเกือบทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 99.61 ของมูลค่าการน�ำเข้าทั้งหมด
อื่นๆ
สหรัฐอเมริกา เนเธอรแลนด 6.4%
3.8% 2.4%
มาเลเซีย
10.7%
ฮองกง
11.1% ญี่ปุน
65.6%
2.2 ไพล
สถานการณ์การค้าในจีน ไพลและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากไพลของไทย มีโอกาสขยายตัวได้มากในจีน
และญี่ปุ่น โดยส�ำหรับจีนนั้น พบว่าเป็นที่นิยมมากเนื่องจากผู้บริโภคชาวจีนมีความนิยมในธุรกิจสปา ส่งผลให้
ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นที่นิยมตามไปด้วย โดยส�ำหรับตลาดจีนแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมมาก คือ
น�้ำมันเหลืองไพลและยาหม่องไพล เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีราคาไม่แพงมากนัก สามารถบรรเทาอาการปวดเมื่อย
ได้ดี อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าดังกล่าวไปในจีนยังพบอุปสรรคด้านการขึ้นทะเบียน อย. ในจีนที่มีกระบวนการ
ขั้นตอน และระยะเวลาในการขอขึ้นทะเบียนนาน กระทบต่อต้นทุนของผู้ส่งออกที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการจ�ำเป็นต้อง
ร่วมมือกับบริษัทผู้น�ำเข้าชาวจีน เพื่อร่วมมือกันยื่นขอขึ้นทะเบียน อย. ที่จะท�ำให้การส่งออกสินค้าไปจีนสะดวก
มากขึน้ แต่เนือ่ งจากการแสวงหาบริษทั ร่วมทุนชาวจีนทีม่ คี วามซือ่ ตรงและเชือ่ ถือได้เป็นเรือ่ งยาก ผูส้ ง่ ออกหลายราย
จึงส่งออกผ่านระบบ E-Commerce ที่ยังไม่มีการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าและปริมาณจ�ำหน่ายไม่มากนัก
รวมถึงการขายในรูปของฝากให้แก่นกั ท่องเทีย่ วทีเ่ ข้ามาเทีย่ วในไทย ส�ำหรับคูแ่ ข่งของไพลและผลิตภัณฑ์แปรรูปจาก
ไพลในตลาดจีน มีคู่แข่งจากประเทศอื่น ๆ ไม่มากนัก หากแต่คู่แข่งหลัก คือ ผลิตภัณฑ์ของจีนเอง เนื่องจากจีนเป็น
ตลาดที่มีความนิยมสินค้าสมุนไพรเป็นอย่างมาก มีโรงงานและบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรหลากหลายรูปแบบ
และราคาไม่แพง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรของจีนเป็นทีน่ ยิ มของตลาด อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ของจีนยังมีจดุ อ่อน
ในด้านความน่าเชือ่ ถือของสรรพคุณทีร่ ะบุไว้ทผี่ ลิตภัณฑ์ เนือ่ งจากสินค้าของจีนหลากหลายยีห่ อ้ ไม่มมี าตรฐาน ท�ำให้
ความนิยมบริโภคสินค้าจีนมีแนวโน้มหันไปบริโภคสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าสมุนไพรไทย นอกจากนี้
ผลิตภัณฑ์ที่วางขายอยู่ในตลาดจีน มีความเสี่ยงในการถูกลอกเลียนแบบอีกด้วย
2.3 บัวบก
รสนิยมและแนวโน้มของผู้บริโภคในจีน ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีความคุ้นเคยกับบัวบกและรู้
ถึงสรรพคุณของบัวบกดีอยู่แล้ว แต่ด้วยปริมาณความต้องการที่มีมากของจีน ท�ำให้ด้านการผลิตบัวบกออกมา
ตอบสนองตลาดนั้นยังไม่เพียงพอ จึงเป็นโอกาสที่ส�ำคัญที่จะน�ำบัวบกของไทยที่มีสรรพคุณทางยาและการบ�ำรุง
สุขภาพไปท�ำตลาดยังประเทศจีน และด้วยการสืบค้นข้อมูล เชิงลึกจากกลุม่ เกษตรกรผูป้ ลูกใบบัวบก พบว่า นักธุรกิจ
จีนได้เข้ามาติดต่อขอซื้อใบบัวบกเป็นจ�ำนวนมาก ท�ำให้บัวบกเป็นสมุนไพรที่มีแนวโน้มเติบโตได้ในตลาดจีน
นอกจากนี้ จากการสืบค้นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของบัวบก พบว่า มีการน�ำบัวบกไปผลิตเป็นชาเพื่อชงดื่มบ�ำรุง
ร่างกาย ขณะเดียวกันประเทศจีนเองเป็นประเทศทีน่ ยิ มการบริโภคชาเป็นอย่างมาก หรือนับได้วา่ เป็นเครือ่ งดืม่ หลัก
ของคนจีนก็ว่าได้ โดยในแต่ละปีจีนต้องน�ำเข้าผลิตภัณฑ์ชาจากต่างประเทศเป็นจ�ำนวนมาก จากการสืบค้นพบว่า
ตั้งแต่ปี 2555-2559 ผลิตภัณฑ์ชาเฉลี่ย 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเฉลี่ย ร้อยละ 13.59 ท�ำให้ประเทศจีน
มีแนวโน้มที่น่าสนใจที่จะน�ำมาเป็นตลาดหลักของการจัดท�ำยุทธศาสตร์บัวบกในครั้งนี้
ในด้านรูปแบบการบริโภคเครื่องดื่มของชาวจีนนั้น มีความแตกต่างจากผู้บริโภคชาวไทยเล็กน้อย โดยชา
หรือชาสมุนไพรเป็นเครื่องดื่มที่คู่กับประเทศจีนมาอย่างยาวนาน เพราะชาวจีนเชื่อว่าชาหรือชาสมุนไพรช่วยในเรื่อง
ของการย่อยอาหารและคลายร้อน ท�ำให้ผู้บริโภคในทุกกลุ่มของจีน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น วัยท�ำงาน หรือวัยชรา
ยังคงนิยมและมีนิสัยชอบดื่มชาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลส�ำคัญ ๆ ที่มีการรวมญาติ หรือแม้กระทั่งการซื้อชา
เป็นของขวัญของที่ระลึก
2.4 กระชายด�ำ
สถานการณ์การค้าในจีน สถานการณ์การค้าในประเทศเป้าหมายของกระชายด�ำ จ�ำแนกตามตลาดหลัก
คือ จีน และตลาดรอง คือ เวียดนาม พบว่า จีนมีการน�ำเข้ากระชายด�ำจากประเทศไทยบ้างแต่เป็นส่วนน้อยมาก
กระชายด�ำที่จีนต้องการ คือ มีสีด�ำสนิท โดยน�ำเข้าในรูปของสารสกัดและอบแห้ง เพื่อน�ำไปเป็นส่วนประกอบของ
การผลิตสมุนไพร ส�ำหรับเวียดนามก็เช่นกัน อาจมีการน�ำเข้าบ้างแต่ยิ่งมีสัดส่วนที่น้อยมาก และไม่ได้มีสม�่ำเสมอ
ส�ำหรับคูแ่ ข่งของผลิตภัณฑ์กระชายด�ำไทยในจีน ไม่ใช่คแู่ ข่งทีส่ ง่ ออกผลิตภัณฑ์กระชายด�ำโดยตรง แต่เป็น
คูแ่ ข่งโดยอ้อมจากสมุนไพรน�ำเข้าประเภทอืน่ รวมไปถึงการแข่งขันจากการผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรภายในประเทศของ
จีนเองด้วย เนือ่ งจากจีนเป็นประเทศทีม่ กี ารปลูกพืชสมุนไพรหลากหลายชนิดและมีการพัฒนาศักยภาพสินค้าสมุนไพร
ที่ขึ้นชื่อในโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากมูลค่าการน�ำเข้าสมุนไพรของจีน ในปี 2559 จีนน�ำเข้าสมุนไพรจาก
ไทยเป็นอันดับที่ 9 ใกล้เคียงกับเกาหลีที่อยู่ในอันดับที่ 8 แต่กระนั้น ยังมีมูลค่าห่างไกลมากกับสหรัฐอเมริกาที่อยู่ใน
ล�ำดับที่ 1 เมือ่ กล่าวเฉพาะคูแ่ ข่งในกลุม่ อาเซียนด้วยกันพบว่ายังมีมลู ค่าสูงกว่าอินโดนีเซียและเวียดนามอยูพ่ อสมควร
เช่นเดียวกันกับคู่แข่งของผลิตภัณฑ์กระชายด�ำไทยในเวียดนาม ซึ่งไม่ใช่คู่แข่งโดยตรง แต่เป็นผลิตภัณฑ์
สมุนไพรน�ำเข้าประเภทอืน่ เมือ่ พิจารณาจากมูลค่าการน�ำเข้าสมุนไพรของเวียดนามในปี 2559 มีการน�ำเข้าสมุนไพร
จากไทยเป็นอันดับที่ 5 และยังมีมูลค่าห่างไกลมากกับจีนที่อยู่ในล�ำดับที่ 1 และอินเดียที่อยู่ในล�ำดับที่ 2 กล่าว
เฉพาะคู่แข่งในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน พบว่ามีคู่แข่งคือสิงคโปร์ที่อยู่ในล�ำหับที่ 6 และอินโดนีเซียที่อยู่ในล�ำดับที่ 7
รสนิยมและแนวโน้มของผู้บริโภคในจีน ด้วยสมญานามของกระชายด�ำ คือ ไวอากร้าธรรมชาติ และ
กระชายด�ำไทยมีชื่อเสียงโดดเด่นระดับโลก ยากจะหากระชายด�ำจากประเทศอื่นเสมอเสมือน คุณสมบัตินี้ของ
กระชายด�ำ จึงค่อนข้างดึงดูดใจผู้บริโภคในประเทศจีน ซึ่งมีรสนิยมและแนวโน้มในการบริโภคอาหารที่ให้พลัง
2.5 ข้อเสนอแนะในการน�ำผลิตภัณฑ์สมุนไพรสู่ตลาดจีน
(1) ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยควรมีพื้นที่วางขายให้ท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาเที่ยวเมืองไทยได้เห็นและได้ทดลอง
ใช้ตามร้านค้าต่าง ๆ ในเมืองไทย
(2) ไทยควรมีตลาดนัด แผ่นเห็ด สมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อให้เกิดการพบกันระหว่างผู้ซื้อและ
ผู้ขายทุกระดับ แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ต้องสร้างความมั่นใจให้เกิดกับผู้ใช้คนไทยก่อนว่าผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยใช้แล้ว
ดีจริง
(3) ไทยควรมีการเจรจากับจีนเรื่องการเปิดตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยในตลาดจีน เพราะปัจจุบันยาจีน
เข้ามาขายในไทยเยอะมาก แต่ในขณะที่ผลิตภัณฑ์สมุนไพรของไทยไม่สามารถเข้าไปขายในประเทศจีนได้เนื่องจาก
ติดปัญหาเรื่องกฎระเบียบที่เข้มงวดมากของจีน
(4) หากไทยต้องการยกระดับอุตสาหกรรมสมุนไพรเพื่อสร้างมูลค่าให้เพิ่มขึ้นนั้นต้องปรับโครงสร้าง
การผลิตทั้งระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภค โดยแบ่งออกเป็น 5 ระดับคือ ระดับตลาดสมุนไพร
ทีม่ กี ารซือ้ ขายกันทุกวัน เช่น ตลาดสมุนไพร Qingping ทีใ่ หญ่ทสี่ ดุ ในกว่างโจว ระดับร้านค้าตามท้องถนนทีผ่ บู้ ริโภค
สามารถหาซื้อและดื่มกินบ�ำรุงสุขภาพได้เลย เช่น กรณีร้านขายชื่อว่า “Liang Cha” ในกว่างโจว ระดับร้าน
ยาสมุนไพรไทยที่ขายผลิตภัณฑ์สมุนไพรหลากหลายมาก ระดับห้างสรรพสินค้าที่สามารถสู้กับแบรนด์ดัง ร้านขาย
เครื่องดื่มสมุนไพร
(5) ในโรงพยาบาลต้องสนับสนุนให้มีการใช้ยาสมุนไพรให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบัน เหมือนกับที่จีน
ท�ำในขณะนี้ที่มีโรงพยาบาลรักษาด้วยยาสมุนไพร และโรงพยาบาลที่มีการรักษาทั้งแผนปัจจุบันและสมุนไพร
(6) ตัง้ มหาวิทยาลัยแพทย์แผนไทยเพือ่ ผลิตบุคคลกรทีเ่ ชีย่ วชาญเกีย่ วกับสมุนไพรไทยเหมือนมหาวิทยาลัย
“Guangzhou University of Chinese Medicine” ของจีน
(7) ติดต่อเว็บไซต์จนี ทีข่ ายสินค้าเฉพาะ เช่น เว็บไซต์อาหาร ได้แก่ www.yhd.com และ www.jmall.com
ส่วนเครื่องส�ำอางและเสื้อผ้า คือ www.vip.com, www.lefeng.com, www.jumei.com และ www.jd.com
(8) เอาร้านสปาไทยในจีนเป็นตัวน�ำเพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคจีนมีโอกาสได้เห็นและทดสอบใช้ผลิตภัณฑ์
สมุนไพรไทย ตั้งศูนย์หรือสถาบันฝึกอบรมเทอราปิส (Therapist: หมอนวดแผนโบราณ) ในประเทศจีน
(9) เจรจาจีนให้อนุญาตเทอราปิสเข้ามาท�ำงานในจีน (ปัจจุบันไม่อนุญาตให้ท�ำ)
(10) ตั้งศูนย์หรือสถาบันฝึกอบรมเทอราปิส (Therapist: หมอนวดแผนโบราณ) ในจีน
(11) การน�ำเข้าสมุนไพรในจีน ต้องเน้นสินค้าที่มีความแตกต่าง แปลกใหม่ จะมีโอกาสสูง
(12) สินค้าประเภทเครื่องส�ำอางที่จะน�ำเข้ามาขายในจีน ห้ามโฆษณาสรรพคุณเกินจริง
(13) จะระบุว่าขาวขึ้น แก้สิว แก้ฝ้าไม่ได้ แต่ระบุส่วนประกอบ ระบุสิ่งที่ได้รับได้ เช่น วิตามิน A B C
3. ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเมียนมาร์
3.1 การพัฒนาสมุนไพรเมียนมาร์
รัฐบาลเมียนมาร์ก�ำลังผลักดันสมุนไพรเพื่อสร้างรายได้จากต่างประเทศที่น่าสนใจมาก การแพทย์
แผนโบราณของเมียนมาร์ มีมาตัง้ แต่ยคุ สมัยอาณานิคม (1885) โดยมีพนื้ ฐานมาจาก 2 ความคิด คือ พุทธศาสนากับ
อายุรเวดะ (Ayurvedic Concept) แบ่งเป็น 4 ระบบ คือ The Desana system อาศัยหลักพุทธศาสนาใน
การอบรมสั่งสอน ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ ความร้อนและความเย็น The Bhesijja system ใช้หลักการ
แพทย์อายุรเวทของอินเดีย The Netkhatta system เป็นการแพทย์แบบโหราศาสตร์ ระบบจักรวาล เวลาของ
การเกิดและอายุและ The Vijjadhara system เป็นระบบการแพทย์เกี่ยวกับภาวะทางจิตบ�ำบัด และฝึกสมาธิ
ส่วนประเทศไทยมีการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์แผนจีน
ในขณะที่ระบบการแพทย์โบราณของอินเดียมี 5 ระบบ อายุรเวท (Ayurveda มาจากภาษาสันสกฤต
ayur คือ ชีวิต veda คือ ความรู้) สิทธา ยูนานิ โยคะ และ โฮมีโอพาธีย์ และที่ส�ำคัญอินเดียเป็นประเทศที่
มีพืชสมุนไพรที่ขึ้นทะเบียนมากที่สุดในโลกถึง 250,000 ชนิด โดยมีการใช้สมุนไพรในอายุรเวท 2,000 ชนิด
สิทธา 1,300 ชนิด ยูนานิ 1,000 ชนิดและ โฮมีโอพาธีย์ 800 ชนิด (ข้อมูลบางแหล่งบอกว่าอายุรเวทอินเดียเกิดเมื่อ
2,200 ปีมาแล้ว ตั้งแต่ 2nd Century B.C. แต่ข้อมูล University of Cambodia 2014 บอกว่าเกิดมา 5,000 ปี
แล้ว) อินเดียมีการใช้สูตรต�ำรับยาเพื่อรักษาโรคมากถึง 25,000 สูตร (ที่มา: Evidence-Based Complementary
and Alternative Medicine Volume 2013) จีนใช้แพทย์แผนโบราณว่า “Traditional Chinese Medicine:
TCM สมัย Huang Di Nei Jing หมอโบราณของจีน ในปี 475 B.C. หรือ 2,491 ปีมาแล้ว ต่อมาเรียกว่า
Yin-Yang สปป.ลาวเรียกการแพทย์แผนโบราณว่า “ยาภูมิเมืองลาว (Ya Phurn Meuang Lao)” มีพื้นฐานมา
จากพุทธศาสนาและอินเดีย
ในขณะทีก่ ารแพทย์โบราณของกัมพูชาเริม่ มาตัง้ แต่สมันยุคอังกอร์ (Angkor Era, 800-1431 A.D.) 1,200 ปี
เรียกว่า “Kru Khmer” มีอิทธิพลมาจากจีนและอินเดีย ประเทศไทยมีพืชสมุนไพร 800-1,500 ชนิด ในขณะที่พืช
สมุนไพรของเมียนมาร์ที่รวบรวมโดย กระทรวงสาธารณสุขมี 59 ชนิด ได้แก่ ส้มป่อย หอมหัวใหญ่ ว่านหางจระเข้
ข่า ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร น้อยหน่า หมาก มะเฟือง และสะเดา เป็นต้น
3.2 การค้าสมุนไพรเมียนมาร์
ตั้งแต่ปี 2553-2559 ส่งออกเพิ่มขึ้นทุกปีจนไปถึง 400 ล้านบาทสูงกว่าการส่งออกขมิ้นชันของไทยอยู่
ที่ 13 ล้านบาท ปี 2559 บริษัท “Shinihonseiyaku” ที่ผลิตเครื่องส�ำอาง อาหารสุขภาพและยาของญี่ปุ่นได้มา
เช่าพื้นที่ปลูกสมุนไพรที่เมืองผาอัน (Hpa-An) เมืองเอกของรัฐกะเหรี่ยง (Kayin State) และเมือง Pin O Lwin
เพื่อลดการน�ำเข้าสมุนไพรจากจีนรวม 30 ชนิด ได้แก่ ขิง และอบเชย เป็นต้น คาดว่าจะส่งออกไปญี่ปุ่นปีละ
2,000 ตัน นอกจากสมุนไพรเมียนมาร์ ถูกผลักดันจากรัฐบาลแล้ว ปกติเราจะรู้สึกผลิตภัณฑ์สมุนไพรของเมียนมาร์
คือ “Tanaka” แต่แรงผลักส�ำคัญที่ท�ำให้อุตสาหกรรมสมุนไพรเมียนมาร์ไปสู่ตลาดโลก คือ บริษัท FAME
Pharmaceuticals Industry ตั้งโดย Dr.Khin Maung Lwin ตั้งมา 23 ปีที่แล้ว เป็นบริษัทผลิตภัณฑ์สมุนไพร
แห่งแรกและแห่งเดียวของเมียนมาร์ที่ได้มาตรฐานตั้งแต่การปลูกและผลิตภัณฑ์ ในระดับการปลูกนั้นผ่าน FAME
Organic Pham ที่ตั้งอยู่ที่เมือง Pin O Lwin เขตมัณฑะเลย์ ซึ่งได้มาตรฐาน USDA Organic, IFOAM, Organic
Myanmar และ Australia Certificate Organic
นอกจากนี้ยังมีพืชสมุนไพรที่ไม่เป็นออร์แกนิกอีกด้วย ส่วนระดับการแปรรูปเป็นโรงงานที่ผลิตภัณฑ์ก็ได้
มาตรฐานมากมาย เช่น ISO, GMP, Solar Cell Award เป็นต้น ตั้งที่เขตอุตสาหกรรม “Hlaing Tha Yar” เป็น
อุตสาหกรรมทีใ่ หญ่และเก่าแก่ทสี่ ดุ ของเมียนมาร์ เพราะมีพนื้ ทีม่ ากทีส่ ดุ จ�ำนวน 4,000 ไร่ โดยเป็นพืน้ ทีอ่ ตุ สาหกรรม
2,717 ไร่ และยังเป็นเขตอุตสาหกรรมให้ยคุ แรกทีไ่ ด้กอ่ สร้างขึน้ เมือ่ ปี 1995 ปัจจุบนั มีโรงงาน 600 โรงงาน ส่วนใหญ่
เป็นโรงงานเสือ้ ผ้า อาหาร และสินค้าอุปโภคบริโภค มีจา้ งคนงานทัง้ หมด 60,000 คน และห่างจากตัวใจกลางสนามบิน
ย่างกุ้ง 15 กิโลเมตร บริษัท FAME ส่งออก สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และก�ำลังส่งออกไปสหรัฐฯ
เพราะผ่านมาตรฐาน FDA ของสหรัฐฯ แล้ว นอกจากนี้ยังมี FAME Clinic คลินิกรักษาผสมผสานระหว่างสมัยใหม่
กับแผนแพทย์โบราณ และมี Organic Tour Program เพื่อพาไปชมการจัดการสวน พืชสมุนไพร ค่าเข้าชมคนละ
5,000 จัต หรือ 120 บาท ส�ำหรับผลิตภัณฑ์มีหลากหลายและมากมายและ บอกสรรพคุณชัดเจนว่าแก้อะไร เช่น
ต่อต้านโรคมะเร็ง เบาหวาน ความดัน บ�ำรุงกระดูก สมอง ตา ช่วยย่อยอาหาร และครีมรักษาผิว เป็นต้น
4. อุตสาหกรรมสมุนไพรอินเดีย
4.1 อินเดียต้นต�ำรับสมุนไพร
อินเดียก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรที่หลากหลายและยาวนานพอ ๆ กับจีน
เลยทีเดียว และอินเดียก็เป็นประเทศที่มีการใช้แพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) ในการรักษาโรคอย่าง
กว้างขวาง ซึ่งก็มีมานานหลายพันปี ได้แก่ การแพทย์อายุรเวท (Ayurveda Medicine) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือ
อินเดีย การแพทย์สิทธา (Siddha Medicine) อยู่ทางตอนใต้ของประเทศ รวมทั้งการแพทย์ที่ได้รับมาจาก
ต่างประเทศ เช่น Unani medicine ที่เป็นของชาวมุสลิม และโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) ที่ก�ำเนิดมาจาก
ประเทศเยอรมัน และโยคะ เป็นต้น และที่ส�ำคัญอินเดียเป็นประเทศที่มีพืชสมุนไพรที่ขึ้นทะเบียนมากที่สุดในโลก
ถึง 250,000 ชนิด โดยมีการใช้สมุนไพรในอายุรเวท 2,000 ชนิด สิทธา 1,300 ชนิด อูนานิ 1,000 ชนิด และ
โฮมีโอพาธีย์ 800 ชนิด และอินเดียมีการใช้สตู รต�ำรับยาเพือ่ รักษาโรคมากถึง 25,000 สูตร (ทีม่ า: Evidence-Based
Complementary and Alternative Medicine Volume 2013)
เหตุผลดังกล่าวท�ำให้อุตสาหกรรมสมุนไพรอินเดีย จึงได้รับความนิยมทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
อินเดียปลูกสมุนไพรมากบริเวณเทือกเขาหิมาลัย (Himalayas) โดยเฉพาะรัฐอุตตราขัณฑ์ (Uttaranchal) ที่ถูกวาง
ให้เป็น “รัฐสมุนไพรของอินเดีย (Herb State)” เพราะมีสถาบันพัฒนาและวิจัยสมุนไพร (The Herbal Research
4.2 การค้าสมุนไพรอินเดีย
ในปี 2559 อินเดียน�ำเข้าสมุนไพรจากออสเตรเลียสัดส่วน ร้อยละ 23.7 เนเธอร์แลนด์ ร้อยละ 10.5
และอัฟกานิสถาน ร้อยละ 9.1 ตามล�ำดับ น�ำเข้าจากไทย 45,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือร้อยละ 0.06 ส่วนสารสกัด
จากสมุนไพร ปี 2559 อินเดียน�ำเข้าจากจีนคิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 25.3 สหรัฐอเมริกา ร้อยละ 22.5 และบราซิล
ร้อยละ 12.5 ตามล�ำดับ ส่วนไทยน�ำเข้าเพียง 66,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็น ร้อยละ 0.09 ของมูลค่าการ
น�ำเข้าสารสกัดของอินเดียจากทั่วโลก ส่วนการส่งออกนั้นอินเดียส่งออกสมุนไพรมูลค่า 270.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 9.1 (เพิ่มขึ้นจากปี 2012 ร้อยละ 37.1) โดยส่งออกไปยังประเทศ สหรัฐอเมริกา เยอรมัน
และปากีสถาน ตามล�ำดับ ส่วนไทยสัดส่วนร้อยละ 0.9
ในขณะที่สารสกัดจากสมุนไพรอินเดียส่งออกไปทั่วโลกเป็นอันดับที่ 2 รองจากจีนเช่นกัน โดยส่งออกไป
สหรัฐอเมริกามากที่สุดคิดเป็น ร้อยละ 47.7 จีน ร้อยละ 9.5 และเยอรมันนี ร้อยละ 4.8 ตามล�ำดับ ส่วนไทย
อยู่ล�ำดับที่ 21 คิดเป็น ร้อยละ 0.5 ของมูลค่าการส่งออกสารสกัดของอินเดียไปทั่วโลก บริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์
สมุนไพรมี 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มที่ 1 กลุ่มยอดขายเกิน 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ได้แก่ บริษัท Biotique,
บริษัท Himalaya Drug Company, บริษัท Shahnaz Hussain, และบริษัท VLCC กลุ่มที่ 2 มียอดขายอยู่
ระหว่าง 10-80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี โดยผลิตและจ�ำหน่ายสินค้าเครือ่ งส�ำอางธรรมชาติระดับกลางถึงระดับสูง
จ�ำหน่ายผ่านสปาและร้านเสริมสวย ได้แก่ บริษัท Lotus, บริษัท Blossom Kochhar, บริษัท Fab India,
บริษัท Forest Essentials, บริษัท The Body Shop เป็นต้น และกลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มบริษัทขนาดเล็ก มียอดขาย
ต�่ำกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี เป็นผู้ผลิตรายเล็กแต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้น�ำเข้า มีอยู่ 40 บริษัท ตลาด
สหภาพยุโรปได้กลายเป็นตลาดส่งออกส�ำคัญของอินเดีย เพราะเป็นตลาดที่ผู้บริโภคให้ความส�ำคัญกับผลิตภัณฑ์
จากธรรมชาติมากที่สุด โดยบริษัท Shanaz กับบริษัท Himalaya เป็น 2 บริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด
ในการส่ ง ออกจากอิ น เดี ย ส่ ว นสิ น ค้ า เครื่ อ งส� ำ อางธรรมชาติ ข องอิ น เดี ย ที่ ไ ด้ รั บ ความนิ ย มมากที่ สุ ด คื อ
เครื่องส�ำอางที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาผิวพรรณหรือที่เราเรียกว่า “Skin Care” ทั้งนี้ ในด้านการจัดจ�ำหน่าย
ส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 80 เป็นการจัดจ�ำหน่ายโดยผ่านช่องทางค้าปลีก ส่วนที่เหลือเป็นการจัดจ�ำหน่ายในระบบ
ขายตรงถึงผู้บริโภค
อุตสาหกรรมสารสกัดสมุนไพรสู่ตลาดโลก
ดร.บังอร เกียรติธนากร
บริษัท อุตสาหกรรมเครื่องหอมไทย-จีน จ�ำกัด (TCFF)
1. ความเป็นมา หลักการและเหตุผล
ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุด 8 อันดับแรกของโลก
รองจากประเทศเอกวาดอร์และอินโดนีเซีย ประเทศไทยมีพืชสมุนไพรที่นามาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ประมาณ
1,800 ชนิด (species) หรือประมาณ 10% ของโลก
แนวโน้มการตลาดของผลิตภัณฑ์สมุนไพร
สภาพการณ์ปัจจุบัน
• มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ ผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย
• มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยการรักษาคุณสมบัติและคุณลักษณะเฉพาะของสมุนไพรไว้
• ปรับปรุงรูปแบบให้มีความหลากหลายและเหมาะสมกับการบริโภคสมัยใหม่มากขึ้น
• มูลค่าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มขึ้น 13% ในปี 2559 โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่า
39.2 พันล้านบาท
การคาดการณ์แนวโน้ม
• ตระหนักรู้ถึงประโยชน์เพิ่มขึ้น
• ใช้อย่างแพร่หลายในประเทศ
• ให้ความสนใจผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติมากขึ้น
• มูลค่าทางการตลาดเพิ่มขึ้น 8% ต่อปี
กระแสเสริมสุขภาพ
• กระแสสุขภาพ (Health Conscious)
• โครงสร้างประชากรโลกเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
• พฤติกรรมการบริโภคที่มากเกินต้องการและอาหารที่อร่อยมักไม่ดีต่อสุขภาพ
• วิถีชีวิตที่เป็นไปด้วยความเร่งรีบท�ำให้ต้องการความสะดวกในการบริโภคและอุปโภค
• มลภาวะจากสิ่งแวดล้อมส่งผลให้ร่างกายมนุษย์ได้รับสารพิษมากขึ้น
• ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ท�ำให้ค้นพบว่าอาหารเครื่องส�ำอางสามารถป้องกันโรค ชะลอวัยหรือลด
ความเสี่ยงจากการเกิดโรคได้
อุตสาหกรรมสมุนไพรในปัจจุบัน
1. วัตถุดิบ 5. ยา
2. สารสกัด 6. การเกษตร
3. เครื่องส�ำอาง 7. ผลิตภัณฑ์สัตว์
4. อาหารและอาหารเสริม 8. สปา
การแปรรูปสมุนไพร
1. น�้ำมันหอมระเหย ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องส�ำอางและสปา
2. สมุนไพรบดผง ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารส�ำเร็จรูปและยา
3. สารสกัด ได้แก่ อุตสาหกรรมเสริมอาหารและเครื่องส�ำอาง
การสร้างมูลค่าเพิ่มสามารถท�ำได้ในหลายอุตสาหกรรม โดยประเทศไทยมีเกษตรกร 12,028 ราย
พบว่ามีโรงงานแปรรูปเบื้องต้น 158 โรงงาน และโรงงานระดับอุตสาหกรรม 9 โรงงาน
มูลค่าทางการตลาด ของตลาดเครื่องส�ำอางมีมูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยมีผู้ผลิต 303 ราย วิสาหกิจ
ชุมชน 522 ราย และไม่เข้าข่าย จ�ำนวน 1,000 ราย ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 80,000 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ผลิต
21 ราย และยาสมุนไพร 4,731 ล้านบาท ผู้ผลิต 21 ราย
การน�ำเข้าสมุนไพรทั่วโลก พบว่า มีหลาย ๆ ประเทศน�ำเข้าสมุนไพรจากนอก อาทิ ประเทศสหรัฐอเมริกา
น�ำเข้าสมุนไพรจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ อินเดียและเม็กซิโกตามล�ำดับ โดย
ประเทศไทยส่งออกให้กับสหรัฐอเมริกาเป็นอับดับที่ 51 ประเทศญี่ปุ่น น�ำเข้าสมุนไพรจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
เป็นอันดับหนึ่ง รองมาเป็นสหรัฐอเมริกา และอินเดีย ตามล�ำดับ ดังจะเห็นได้ว่า สหรัฐอเมริกา น�ำเข้าสมุนไพรเป็น
อันหนึ่งของโลก แต่ก็ส่งออกสมุนไพรให้กับประเทศต่าง ๆ ติดหนึ่งในสามอันดับแรกของประเทศที่น�ำเข้าสมุนไพรใน
ปริมาณมากทั้งสิ้น
ข้อมูลการน�ำเข้าสมุนไพรของโลก
2. นโยบายและมาตรการที่ด�ำเนินการปัจจุบัน
ข้อสัง่ การของนายกรัฐมนตรี ในแผนแม่บทสมุนไพร ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2560-2564) “ให้กระทรวงสาธารณสุข
ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยงข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ พัฒนาพืชสมุนไพรให้สามารถใช้
ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรไทย”
รัฐบาลส่งเสริมการพัฒนาพืชสมุนไพร สนับสนุนให้เข้าสู่ระบบสุขภาพและระบบเศรษฐกิจ แบบครบวงจร
ในระดับจังหวัด มาตรการส�ำคัญ
1. พัฒนาคุณภาพวัตถุดิบให้ได้คุณภาพมาตรฐาน Good Agricultural Practice (GAP)/Good
Agricultural and Collection Practices (GACP)/Organic
2. พัฒนาคุณภาพโรงงานผลิตยา/ผลิตภัณฑ์สู่มาตรฐาน GMP
3. สนับสนุนงานวิจัยด้านสมุนไพร
4. ขยายช่องทางการตลาด
5. สร้างความเข้มแข็งก�ำลังคน/เครือข่าย
6. พัฒนาระบบฐานข้อมูลสมุนไพร
7. ผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
การพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรในอนาคต ต้องวางแผนการพัฒนาให้ครอบคลุมกับผลิตภัณฑ์แต่ละ
ประเภท โดยอาจสามารถจัดได้เป็น 5 กลุ่ม คือ น�้ำหอม เภสัชภัณฑ์ อาหารเพื่อสุขภาพ สารชีวภัณฑ์ก�ำจัดแมลง
และอาหารสัตว์
3. การด�ำเนินการมาตรฐานสารสกัดในประเทศไทย
แผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2560-2564) ก�ำหนดให้มีการ
ส่งเสริมการใช้สมุนไพรเพือ่ การรักษาโรคและการสร้างเสริมสุขภาพ และเสริมสร้างพืน้ ฐานการพัฒนาการแพทย์แผนไทย
และสมุนไพรไทยให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพของประเทศในระยะยาว รัฐบาลได้ให้ความส�ำคัญของการพัฒนา
สมุนไพรไทยซึ่งเป็นภูมิปัญญาและทรัพยากรที่ส�ำคัญของประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อการส่งเสริม และอนุรักษ์
ภูมิปัญญาและเพื่อพัฒนาการผลิตและการใช้สมุนไพรอย่างมีคุณภาพเต็มประสิทธิภาพและครบวงจร
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้ท�ำความร่วมมือกับส�ำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์
อุตสาหกรรม (สมอ.) จัดท�ำร่างมาตรฐานสารสกัดสมุนไพรและน�้ำมันหอมระเหยให้เป็นมาตรฐานกลาง เพื่อส่งเสริม
ให้เกิดการน�ำไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมต่อไป โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมผลิตผลของสมุนไพรไทยให้มี
ศักยภาพและได้มาตรฐานตามความต้องการของตลาดทัง้ ในประเทศและต่างประเทศ การก�ำหนดมาตรฐานสมุนไพร
จึงเป็นสิ่งส�ำคัญที่ต้องเร่งด�ำเนินการเพื่อพัฒนาสมุนไพรให้มีประสิทธิภาพ สร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์แปรรูปจาก
สมุนไพรไทย โดยได้ด�ำเนินการจ�ำนวน 10 ชนิด ได้แก่
1. มาตรฐานสารสกัดขมิ้นชันผง ที่มีสารเคอร์คูมินอยด์รวมไม่น้อยกว่า 80% โดยมวล
2. มาตรฐานสารสกัดโอลีโอเรซินของขมิ้นชัน ที่มีสารเคอร์คูมินอยด์รวมไม่น้อยกว่า 20% โดยมวล
3. มาตรฐานสารสกัดฟ้าทะลายโจร
4. มาตรฐานน�้ำมันตะไคร้บ้าน
5. มาตรฐานน�้ำมันตะไคร้หอม
6. มาตรฐานน�้ำมันผิวมะกรูด
7. มาตรฐานน�้ำมันใบมะกรูด
8. มาตรฐานน�้ำมันดอกกานพลู
9. มาตรฐานน�้ำมันไพล
10. มาตรฐานน�้ำมันโหระพา
4. สภาพปัญหา/ข้อจ�ำกัดและโอกาสในการพัฒนา
4.1 สถานภาพปัญหา & ทางแก้: การผลิตสมุนไพรในประเทศ
ปัญหาด้านต้นน�้ำ
• ขาดแคลนพันธุ์ดี (ผลผลิตสูง/สารส�ำคัญมาก)
• ขาดแคลนหัวพันธุ์/ส่วนขยายพันธุ์
• ราคาหัวพันธุ์/ส่วนขยายพันธุ์ มีราคาสูง
• ผลผลิตต�่ำ
• คุณภาพผลผลิตไม่สม�่ำเสมอ
• ปริมาณสารออกฤทธิ์ต�่ำ
• การปนเปื้อนจุลินทรีย์/โลหะหนัก
ปัญหาด้านกลางน�้ำ
• การสูญเสียในกระบวนการ เก็บเกี่ยว
• ปริมาณสารส�ำคัญไม่สม�่ำเสมอ/ต�่ำกว่ามาตรฐาน
• ขาดเทคโนโลยี องค์ความรู้ในการแปรรูป พัฒนากระบวนการผลิตให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้ในระดับ
โลก
ปัญหาด้านปลายน�้ำ
• ขาดข้อมูลวิทยาศาสตร์สนับสนุน การตรวจสอบคุณภาพและประสิทธิภาพของสมุนไพร แต่ละชนิด
• ขาดการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ๆ
• ผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐาน
การแก้ปัญหาด้านต้นน�้ำ
• การปรับปรุงพันธุ์ดี
• ขยายพันธุ์ดีด้วย tissue Culture
• ก�ำหนดเขตส่งเสริมการปลูก ที่เหมาะสม (G X E)
• ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่
• ส่งเสริมการปลูกด้วยระบบ GAP/โรงเรือน/Plant Factory
การแก้ปัญหาด้านกลางน�้ำ
• การเก็บเกี่ยวในระยะที่เหมาะสม
• วิธีการเก็บรักษาที่เหมาะสมเพื่อควบคุมคุณภาพให้สม�่ำเสมอ
การแก้ปัญหาด้านปลายน�้ำ
• จัดให้มีข้อมูลวิทยาศาสตร์ รองรับสรรพคุณของสมุนไพร
• ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์
• สร้างโรงงานกลาง เพื่อรับจ้างพัฒนานวัตกรรม/ผลิตผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน
บรรณานุกรม
คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิตบิ ญ ั ญัตแิ ห่งชาติ. ปัญหาของพืชสมุนไพร. [อินเตอร์เน็ต]. 2554 [5 มกราคม
62]; ที่มา: http://www.senate.go.th/ w3c/senate/pictures/comm/55/ปัญหาของพืชสมุนไพร.PDF.
Formula Botanica. Natural and Organic Beauty Market to reach $22bn by 2024. [อินเตอร์เน็ต]. 2560
[10 มกราคม 62]; ที่มา: https://formulabotanica.com/ global-organic-beauty-market-22bn-2024/
เมืองสมุนไพร: โอกาสและการพัฒนา
1. ความเป็นมาและความส�ำคัญ
รัฐบาลให้ความส�ำคัญและก�ำหนดให้การพัฒนาสมุนไพรเป็นวาระแห่งชาติโดยเห็นชอบให้มีการพัฒนา
สมุนไพรอย่างครบวงจรตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย พ.ศ. 2560-2564 ฉบับที่ 1
พ.ศ. 2560-2564 ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์หลักซึ่งในยุทธศาสตร์ที่ 4 ของแผนแม่บทฯ กล่าวถึง การสร้าง
ความเข้มแข็งของการบริหารและนโยบายของภาครัฐเพื่อการขับเคลื่อนสมุนไพรไทยอย่างยั่งยืน ได้ก�ำหนดให้การ
พัฒนาเมืองสมุนไพร (Herbal City) เป็น 1 ใน 6 มาตรการส�ำคัญและเปนการถ่ายทอดมาตรการและแผนงาน
จากแผนแม่บทแหงชาติฯ ลงไปสู่การพัฒนาในระดับภูมิภาค โดยมุ่งเนนใหเกิดการพัฒนาสมุนไพรอย่างครบวงจร
ตั้งแต่ตนทาง กลางทาง และปลายทาง ทั้งการปลูกสมุนไพร การแปรรูป และการท�ำเปนผลิตภัณฑที่สามารถ
น�ำไปใชประโยชนได้หลากหลาย สร้างมูลคาทางเศรษฐกิจ และสร้างการเติบโตของชุมชนอย่างยั่งยืนโดยอาศัยกลไก
ประชารัฐและความร่วมมือจากทุกภาคสวนอันเป็นกลไกส�ำคัญในการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองสมุนไพร (Herbal
City) ในพื้นที่จังหวัด โดยคัดเลือกจังหวัดที่มีความพรอมเพื่อพัฒนาให้เป็นเมืองสมุนไพร (Herbal City) และ
สงเสริมการพัฒนาเมืองสมุนไพร (Herbal City) ใหเป็นบริบทของประเทศ ซึ่งในมาตรการตามแผนแม่บทฯ
เน้นการพัฒนาของจังหวัดที่/กลุ่มจังหวัดที่มีความพรอม ใหเป็นเมืองสมุนไพร (Herbal City) โดยเริ่มจากการ
พัฒนาระยะที่ 1 (ปี 2560) คือ การพัฒนา 4 จังหวัด น�ำร่องเป็นต้นแบบเมืองสมุนไพรทั้ง 4 ภูมิภาค (จังหวัด
เชียงราย จังหวัดสกลนคร จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดสุราษฎร์ธานี) ต่อมาจึงเป็นการพัฒนาระยะที่ 2
(ปี 2561) คือ การพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่มีความพร้อมอีก 9 จังหวัดส่วนขยาย (จังหวัดพิษณุโลก จังหวัด
อุทัยธานี จังหวัดสระบุรี จังหวัดนครปฐม จังหวัดจันทบุรี จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดอํานาจเจริญ
และจังหวัดสงขลา) และสุดท้าย การพัฒนาในระยะที่ 3 (ปี 2562) คือ การพัฒนาจังหวัดส่วนขยายเพิ่มขึ้นอีก 1
จังหวัด (จังหวัดอุดรธานี)
2. กลไกการด�ำเนินงานและการประเมินผลลัพธ์
โดยภาพรวมการพั ฒ นาเมื อ งสมุ น ไพรจะมี อ งค์ ป ระกอบหลั ก ทั้ ง สิ้ น 5 องค์ ป ระกอบ (ภู มิ ป ั ญ ญา
สู่อัตลักษณ์ ประชารัฐสามัคคี ลดความเหลื่อมล�้ำ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และผลกระทบทางธุรกิจ) และมีล�ำดับ
ขั้นตอนของความส�ำเร็จในการพัฒนาทั้งหมด 4 ขั้นตอน (รู้จักตนเอง, ร่วมวางแผนด�ำเนินการ, เร่งรีบสร้างโอกาส
และรุ่งเรืองยั่งยืน) มีกลไกการขับเคลื่อนในรูปของคณะอนุกรรมการ/คณะท�ำงานดังแสดงในแผนภาพที่ 1 กล่าว
คือ ภายใต้คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานด�ำเนินการตามข้อสั่งการด้วย
คณะอนุกรรมการทั้งสิ้น 6 คณะ โดย 1 ใน 6 คณะนั้น มีคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเมืองสมุนไพรซึ่งมี
ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานและปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานร่วม จากนั้นจึงมีค�ำสั่งแต่งตั้ง
กลไกการขับเคลื่อนเมืองสมุนไพร
คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแหงชาติ
คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเมืองสมุนไพร
คณะทํางานขับเคลื่อนโครงการพัฒนา
เมืองสมุนไพร
คณะกรรมการโครงการพัฒนาเมืองสมุนไพร
ระดับจังหวัด
ภาพที่ 1.5 กลไกการขับเคลื่อนเมืองสมุนไพร
2.1 หน่วยงานส่วนกลาง
1) ศึกษา ทบทวน และวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อจัดทําโครงการพัฒนาเมืองสมุนไพรเสนอผู้บริหารระดับสูง
ของกระทรวงสาธารณสุขเห็นชอบ
2) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเมืองสมุนไพร โดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน และ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานร่วม และมีรองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกที่ได้รับ
มอบหมาย เป็นเลขานุการ มีองค์ประกอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน
คณะอนุกรรมการ และคณะทํางานที่เกี่ยวข้อง โดยมีอ�ำนาจหน้าที่ ดังนี้
(1) ขับเคลื่อนเมืองสมุนไพร (Herbal City) ให้เป็นเมืองแห่งการพัฒนาสมุนไพรไทยอย่างครบวงจร
(2) ด�ำเนินโครงการพัฒนาเมืองสมุนไพรสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ
2.2 หน่วยงานสวนภูมิภาค
1) แตงตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเมืองสมุนไพรระดับจังหวัดมีองคประกอบจาก
หน่ ว ยงานที่ เ กี่ ย วข อ งทั้ ง ภาครั ฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยผู ว า ราชการจั ง หวั ด เป น ประธาน
นายแพทยสาธารณสุขจังหวัด หรือบุคคลที่ผูวาราชการจังหวัดมอบหมายเปนเลขานุการ
2) จัดทําแผนยุทธศาสตรพฒ ั นาเมืองสมุนไพรระดับจังหวัด แผนงบลงทุนและแผนปฏิบตั กิ ารตามแนวทาง
เป้าหมาย ผลลัพธท่ีสําคัญของโครงการที่สอดคลองกับบริบทของพื้นที่ และผลักดันเพื่อบรรจุเขาเปนแผนพัฒนา
จังหวัด
3) จัดทํากิจกรรมพัฒนาคุณภาพวัตถุดิบสมุนไพร
(1) กําหนดชนิดวัตถุดิบสมุนไพรที่มีคุณภาพ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับวิสาหกิจชุมชน (SMEs)
เครือข่ายหมอพื้นบาน ถิ่นกําเนิดสมุนไพร และภาคเอกชนได
(2) สงเสริมสนับสนุนกลุมผูเพาะปลูกและผูแปรรูปวัตถุดิบสมุนไพร จัดการฝกอบรมการเพาะปลูก
สมุนไพรใหไดตามเกณฑมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practice)
(3) จัดตั้งศูนยเพาะชําและพัฒนาตนกลาพันธุสมุนไพร
(4) จัดตั้งตลาดกลางวัตถุดิบสมุนไพรเพื่อประสานขอมูลการผลิตวัตถุดิบสมุนไพร
(5) จัดตั้งศูนย์แปรรูปวัตถุดิบสมุนไพร
(6) สงเสริมและสนับสนุนการจัดการความรู การอนุรักษ คุมครองภูมิปญญา การผลิตและพัฒนา
บุคลากรด้านต่าง ๆ
4) จัดทํากิจกรรมขยายชองทางการใชประโยชน เพิ่มมูลคา และนําสมุนไพรไปใชทุกภาคสวน
(1) สงเสริม สนับสนุนกลุมวิสาหกิจชุมชนในการผลิต แปรรูปวัตถุดิบสมุนไพร เปนผลิตภัณฑ
สมุนไพรชุมชน (OTOP สมุนไพร)
(2) สงเสริม สนับสนุนกลุม วิสาหกิจชุมชนในการผลิต แปรรูปวัตถุดบิ สมุนไพร เปน ผลิตภัณฑอาหาร
สัตวหรือยาสัตว หรือเปนวัตถุดิบสมุนไพรเขาสูระบบหวงโซอุปทานในอุตสาหกรรมอื่น ๆ
(3) จัดตั้งศูนยสาธิตจําหนายและกระจายสินคาผลิตภัณฑสมุนไพรชุมชน
5) สงเสริมการใชสมุนไพรในระบบบริการสุขภาพ
(1) เพิม่ มูลคา การใชย าสมุนไพรในโรงพยาบาลและหนว ยบริการ สาธารณสุขใหม คี วามสอดคล้องกับ
แผนการพัฒนาบริการการแพทยแผนไทยและการแพทยผสมผสาน (Service Plan สาขาการแพทยแผนไทยฯ
ของจังหวัด)
(2) พั ฒ นาปรั บ ปรุ ง ระบบการผลิ ต และกระจายยาสมุ น ไพรให มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ มี ร าคาต้ น ทุ น
ต่อหน่วย (Unit Cost) ทีเ่ หมาะสม โดยการผลิตยาสมุนไพรแบบรวมศูนยเพือ่ ใหเกิดประสิทธิภาพการผลิตเชิงปริมาณ
(Economy of Scale)
6) ส ง เสริ ม การวิ จั ย และพั ฒ นาบุ ค ลากร โดยร ว มมื อ กั บ มหาวิ ท ยาลั ย และสถาบั น การศึ ก ษาทํ า
การศึกษาวิจัยเพื่อ
(1) พัฒนาผลิตภัณฑเพิ่มมูลคา พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ บรรจุภัณฑ
3. นโยบายและมาตรการที่ด�ำเนินการปัจจุบัน
จากผลการประเมินแนวโน้มมูลค่าผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศไทยเปรียบเทียบตั้งแต่ปี 2559 ถึง
ปี 2564 (รายละเอียดดังแสดงในภาพที่ 1.6 แสดงแนวโน้มมูลค่าผลิตภัณฑ์สมุนไพร 4 กลุ่ม) พบว่า มูลค่า
ของผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นทุกปีโดยอาหารเสริมจะมีอัตราการเติบโตมากที่สุดคือร้อยละ 11.5 ขณะที่
เครื่องส�ำอางจะเป็นกลุ่มที่มีอัตราโตน้อยที่สุดคือ ร้อยละ 7 ซึ่งสะท้อนให้เห็นโอกาสในการพัฒนาสมุนไพร
ทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากสมุนไพรเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ยังมีโอกาสขยายตัวทาง
เศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง
ภาพที่ 1.7 แสดงให้เห็นมูลค่าการจ่ายยาสมุนไพรเปรียบเทียบระหว่างของ (ก) เมืองสมุนไพรทั้ง 13
จังหวัด และ (ข) ภาพรวมของประเทศ โดยมูลค่าการจ่ายยาสมุนไพรใน 13 จังหวัดเมืองสมุนไพรเปรียบเทียบ
ระหว่างปีงบประมาณ 2560 และปีงบประมาณ 2561 ของภาพรวมเมืองสมุนไพร 13 จังหวัด และแบบเปรียบเทียบ
ข้อมูลระหว่าง 4 จังหวัดเมืองสมุนไพรน�ำร่อง และ 9 จังหวัดส่วนขยาย สะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมของการสั่งจ่าย
สมุนไพรใน 13 จังหวัดนั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 3.94 (จาก 249.50 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2560 เป็น
259.74 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2561) โดยมูลค่าการสั่งจ่ายยาสมุนไพรเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในกลุ่ม 9 จังหวัด
ส่วนขยาย กล่าวคือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.68 (จาก 151.27 ล้านบาทในปี 2560 ปรับสูงขึ้นเป็น 171.97 ล้านบาท
ในปี 2561) ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับร้อยละของมูลค่าการสั่งจ่ายยาสมุนไพรที่เพิ่มขึ้นในภาพรวมของประเทศ คือ
ร้อยละ 1.79 (จาก 1,221.53 ล้านบาทในปี 2560 ปรับสูงขึ้นเป็น 1,243.77 ล้านบาทในปี 2561) จะเห็นได้ว่า
มูลค่าการสัง่ จ่ายยาสมุนไพรในจังหวัดทีถ่ กู ก�ำหนดเป็นเมืองสมุนไพรมีอตั ราเพิม่ ของมูลค่าการสัง่ จ่ายยาสมุนไพรอย่าง
ชัดเจน
ปัญหาด้านปลายทาง
1. มูลค่าการใช้ยาสมุนไพรในสถานบริการสาธารณสุขลดลง เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีปัญหาในระบบ
การสนับสนุนยาสมุนไพรให้แก่หน่วยบริการท�ำให้การด�ำเนินงานไม่ต่อเนื่องกัน
2. สหกรณ์สมุนไพรขาดการด�ำเนินงานต่อเนื่องและการบริหารวัตถุดิบสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพ
3. ไม่มีข้อมูลมูลค่าการตลาดของผลิตภัณฑ์สมุนไพรรวมของจังหวัดพิษณุโลก ของปีงบประมาณ 2560
ในการน�ำมาเปรียบเทียบผลงานกับปีงบประมาณ 2561 และไม่ได้เขียนโครงการของบประมาณจากงบภาคเหนือใน
ปีงบประมาณ 2561 ให้สถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดพิษณุโลก ส�ำรวจข้อมูลทางการตลาดและพฤติกรรมการบริโภค
ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อใช้วางแผนในการพัฒนาการผลิต
4. นโยบายด้านการพัฒนางานแพทย์แผนไทยจากหน่วยงานผู้ก�ำหนดนโยบายยังขาดความชัดเจน
และต่อเนื่อง รวมถึงการจัดสรรงบประมาณที่เร่งรัดและทยอยจัดสรรหาให้วางแผนการปฏิบัติงานได้ประสิทธิภาพ
ค่อนข้างน้อย
5. การสื่อสารด้านแผนธุรกิจ (Business Plan) จากกรมการแพทย์แผนไทยฯ ล่าช้า และขาดความ
ชัดเจนจากกรมฯ ในเรื่องฐานมูลค่าการตลาดของผลิตภัณฑ์สมุนไพร
ปัญหาอื่นๆ
1. ผู้ปฏิบัติของแต่ละเขตสุขภาพขาดประสบการณ์ ขาดความรู้ความเข้าใจในนโยบายหรือกิจกรรม
ดังกล่าว เนื่องจากไม่ใช่ภารกิจหลักของหน่วยงาน
2. การด�ำเนินงานในระดับพื้นที่ด้านการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการด�ำเนินงานเมือง
สมุนไพร Herbal City มีความส�ำเร็จแตกต่างกันเนื่องจากบริบท หรือความสนใจในงานมีความแตกต่างกัน
3. หน่วยงานที่ปฏิบัติขาดบุคลกรในการด�ำเนินงานกิจกรรมดังกล่าว เนื่องจากเป็นภาระงานที่นอกเหนือ
จากงานประจ�ำ
4. ขาดการบูรณาการของหน่วยงานในการขับเคลื่อนโครงการเมืองสมุนไพร
5. หน่วยงานอื่น ๆ ยังไม่ได้รับการถ่ายทอดโครงการเมืองสมุนไพรจากหน่วยงานต้นสังกัด ส่งผลให้
5.1 บางหน่วยงานไม่มีแผนงาน/โครงการ ไม่ได้ของบประมาณ
5.2 บางหน่วยงานมีการท�ำแผนงาน/โครงการ แต่ต้นสังกัดไม่ทราบเกี่ยวกับโครงการพัฒนาเมือง
สมุนไพร ไม่มียุทธศาสตร์รองรับ ท�ำให้ไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุน
บรรณานุกรม
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. รายงานการใช้สมุนไพรในสถานบริการสาธารณสุข. เอกสารประกอบการ
ประชุมคณะอนุกรรมการการใช้ยาสมุนไพรในประเทศ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2561. นนทบุรี.
กระทรวงสาธารณสุข. แบบรายงานการตรวจราชการระดับจังหวัด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561. [สืบค้น 25 ตุลาคม 2561].
ที่มา http://bie.moph.go.th/cockpit/
กระทรวงสาธารณสุข. มูลค่าการจ่ายยาสมุนไพร รายปีงบประมาณ ปีงบประมาณ 2561. [สืบค้น 30 ตุลาคม 61];
ที่มา https://hdcservice.moph.go.th.
กระทรวงสาธารณสุข. ร้อยละของผู้ป่วยนอกได้รับบริการการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ปีงบประมาณ
พ.ศ. 2561. [สืบค้น 30 ตุลาคม 61]; ที่มา https://hdcservice.moph.go.th.
ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. โครงการจัดท�ำยุทธศาสตร์และฐานข้อมูลสมุนไพรภาย
ใต้โครงการเพิ่มศักยภาพการตลาดสมุนไพร และผลิตภัณฑ์สมุนไพรแปรรูปสู่สากลผลการส�ำรวจ. กรุงเทพฯ:
ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ; 2561.
ส�ำนักงานคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ. ยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองสมุนไพร. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ:
พุ่มทอง; 2559.
ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ: โอกาสและการพัฒนา
รศ.ดร.ภญ.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์
ส�ำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
1. ความเป็นมา หลักการและเหตุผล
จากกระแสความนิยมผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติมากขึ้น ท�ำให้คนจ�ำนวนไม่น้อยที่เจ็บป่วยได้หันมา
นิยมใช้ยาจากธรรมชาติหรือสมุนไพรทดแทนยาแผนตะวันตกที่มาจากการสังเคราะห์ทางเคมีซึ่งมีราคาแพง และมี
ผลข้างเคียงมากกว่ายาจากสมุนไพร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ดีที่คนไทยจะหันมาใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพจาก
สมุนไพรกันมากขึ้น แทนการพึ่งพายาแผนปัจจุบันเพียงอย่างเดียว เพราะจะช่วยลดการน�ำเข้าจากต่างประเทศ
และลดการเสียดุลการค้าของประเทศ นอกจากนีต้ ลาดโลกมีความต้องการผลิตภัณฑ์สขุ ภาพจากสมุนไพรในปริมาณ
มาก จึงเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยซึ่งมีทรัพยากรสมุนไพรที่มีคุณภาพดีอยู่เป็นจ�ำนวนมาก จะได้วิจัยและพัฒนา
ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรของไทยให้มีคุณภาพทัดเทียมกับของต่างประเทศ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
แทนการส่งออกแต่วัตถุดิบสมุนไพรซึ่งมีมูลค่าการตลาดต�่ำ เพื่อช่วยน�ำรายได้เข้าประเทศอีกทางหนึ่งด้วย[1]
ประเทศไทยถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากโดยเฉพาะพืช จากข้อมูลของ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่าพันธุ์พืชในประเทศไทยที่ทราบชื่อวิทยาศาสตร์แล้วกว่า 2 หมื่นชนิด ในจ�ำนวน
นี้ถูกน�ำมาใช้ประโยชน์เป็นสมุนไพรเพียงแค่ 1,800 ชนิด ที่กระจายอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ เพราะฉะนั้น
ประเทศไทยยังมีโอกาสอีกมากที่จะน�ำพืชสมุนไพรมาพัฒนาเป็นยารักษาโรคหรือส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ
เช่น เวชส�ำอาง หรือผสมในเครื่องดื่มให้เป็นเครื่องดื่มดูแลสุขภาพ เป็นต้น[2]
จากงานวิจัยของ “โครงการยุทธศาสตร์การพัฒนาห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยเพื่อลด
ผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า AFTA ด้วยสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ” ในปี 2552 ได้มีข้อสรุปว่า
ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีศักยภาพที่จะรุกสู่ตลาดส่งออก ได้แก่ เครื่องส�ำอางสมุนไพร ผลิตภัณฑ์สปาฯ และผลิตภัณฑ์
เสริมอาหารจากสมุนไพร ซึ่งเป็นสาขาที่มีศักยภาพค่อนข้างสูง ผู้ประกอบการมีความเข้มแข็งพอสมควร และ
เป็นผลิตภัณฑ์ได้รับการยอมรับจากตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันแนวโน้มของผลิตภัณฑ์สมุนไพรก็ยังเป็นแนวทาง
เดียวกัน ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ตลาดเครื่องส�ำอางในประเทศไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
จากแรงหนุนทั้งฝั่งอุปสงค์และอุปทาน หลังจากที่ในปี 2560 ตลาดเครื่องส�ำอางไทยมีมูลค่าประมาณ 2.51
แสนล้านบาท แยกเป็นตลาดในประเทศ 1.68 แสนล้านบาท เติบโตร้อยละ 7.8 (YoY) โดยมีผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
(Skincare) ครองส่วนแบ่งตลาดเครื่องส�ำอางมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 46.8 ขณะเดียวกันการส่งออก
เครื่องส�ำอางไทยไปยังตลาดโลกมีมูลค่าประมาณ 0.83 แสนล้านบาท โดยมีตลาดส่งออกหลักที่ส�ำคัญ ได้แก่
อาเซียน ญี่ปุ่น และจีน ตลาดเครื่องส�ำอางที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะต่อไป จะมีความหลากหลายและซับซ้อน
มากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสทางธุรกิจส�ำหรับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ อาทิ ตลาดเครื่องส�ำอางที่เจาะกลุ่ม
เป้าหมายโดยเฉพาะ เช่น กลุ่มเด็ก กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มเพศชาย หรือเครื่องส�ำอางที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ
หรือออร์แกนิก และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เครื่องส�ำอางของไทยได้รับความนิยมใน
ต่างประเทศ เนื่องจากความเชื่อมั่นในคุณภาพมาตรฐานการผลิตและความปลอดภัย ประกอบกับการมีวัตถุดิบผลิต
2. นโยบายและมาตรการที่ด�ำเนินการปัจจุบัน
วั น ที่ 7 กุ ม ภาพั น ธ์ พ.ศ. 2562 ที่ ป ระชุ ม สภานิ ติ บั ญ ญั ติ แ ห่ ง ชาติ (สนช.) ลงมติ เ ห็ น ชอบร่ า ง
พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.... ใช้เป็นกฎหมาย ด้วยเสียงเอกฉันท์ และให้ร่างกฎหมาย
มีผลใช้บังคับ หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 60 วัน โดยเนื้อหามีสาระส�ำคัญคือ การก�ำหนดให้ผู้ผลิต
จ�ำหน่าย หรือ น�ำเข้า ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ซึ่งรวมถึงยาแผนไทย ยาพัฒนาจากสมุนไพร ยาแผนโบราณ เพื่อ
บ�ำบัด รักษาและบรรเทาอาการเจ็บป่วยของมนุษย์ ต้องขอใบอนุญาตผลิต จ�ำหน่าย และน�ำเข้า จากหน่วยงาน
ราชการที่เกี่ยวข้องตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีก�ำหนด ทั้งนี้ยังก�ำหนดให้มีคณะกรรมการก�ำกับ จ�ำนวน 2 คณะ ได้แก่
คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ (เพื่อก�ำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพรแห่งชาติ)
และคณะกรรมการผลิตภัณฑ์สมุนไพร ซึ่งเมื่อ พ.ร.บ.นี้มีผลบังคับใช้จะเกิดประโยชน์กับการส่งเสริมอนุรักษ์
สมุนไพรไทย ส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาแผนไทยและผลิตภัณฑ์สมุนไพรอย่างกว้างขวาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย
ทั้งที่เป็นยาแผนไทย ยาพัฒนาจากสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ จะมีคุณภาพ มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับ
ประเทศและระดับสากล เพือ่ ความมัน่ คงและการพึง่ พาตนเอง และเกิดการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศอย่างยัง่ ยืน
ตามแนวนโยบายของรัฐบาลและแผนยุทธศาสตร์ชาติ[5]
รัฐบาลปัจจุบันมีนโยบายสนับสนุนและส่งเสริมผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร โดยได้มีข้อสั่งการให้กระทรวง
สาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาพืชสมุนไพรไทยให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็น
ที่ยอมรับ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพร จึงเป็นที่มาของแผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการ
พัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560-2564 ประกอบวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย สถานการณ์ ยุทธศาสตร์
มาตรการ และแผนงานต่าง ๆ ที่ครอบคลุมการพัฒนาสมุนไพรไทยตั้งแต่ ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง เพื่อ
จากนโยบายและมาตรการที่ด�ำเนินการปัจจุบันข้างต้น จะเป็นการส่งเสริมสมุนไพรไทยให้เป็นที่รู้จักของ
คนในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสมุนไพร Champion Products ทั้งที่ได้น�ำร่องไปแล้ว คือ
สมุนไพร 4 ชนิด กระชายด�ำ ไพล บัวบก และขมิ้น และสมุนไพรที่จะก�ำหนดต่อไปที่จะเป็น Next Champion
Products ได้แก่ กระเจี๊ยบแดง หญ้าหวาน ว่านหางจระเข้ กระชาย ฟ้าทะลายโจร มะขามป้อม กวาวเครือขาว
และพริก ซึง่ สมุนไพรแต่ละชนิดจะมีคณุ สมบัตแิ ละคุณค่าทีจ่ ะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ตา่ ง ๆ กัน ไม่วา่ จะเป็นผลิตภัณฑ์
เครื่องส�ำอางสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องดื่มสมุนไพร หรือยารักษาโรค
3. สภาพปัญหา/ข้อจ�ำกัดและโอกาสในการพัฒนา
กระเจี๊ยบแดง Rosella, sour tea, Jamaican sorel, roselle, sorrel, red sorrel
ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa L. วงศ์ MALVACEAE
ส่วนที่ใช้ กลีบเลี้ยงของดอกหรือกลีบที่เหลือที่ผล ใบ
สรรพคุณ ใช้เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือดและช่วยลดน�้ำหนัก ลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ
สารประกอบ 15%-30% ประกอบด้วยกรดต่าง ๆ ได้แก่ กรด citric, malic, tartaric และ allo-
hydroxycitric acid lactone สารอื่น ๆ ได้แก่ alkaloids, L-ascorbic acid, anthocyanins (delphinidin-3-
sambubioside, cyaniding-3-sambubioside), beta-carotene, beta-sitosterol, polysaccharides (arabins
และ arabinogalactans), quercetin, gossypetin และน�้ำตาล galactose, arabinose, glucose, xylose,
mannose และ rhamnose[8-9]
มิติการพัฒนา กระเจี๊ยบมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องส�ำอาง
สมุนไพร และเป็นยารักษาโรค
มิตกิ ารพัฒนาเป็นเครือ่ งดืม่ กระเจีย๊ บทุกส่วน ไม่วา่ เป็นกลีบเลีย้ ง ใบ ผล หรือราก มีสารทีเ่ ป็นประโยชน์
กับร่างกายมากมาย เช่น กรดต่าง ๆ วิตามิน เกลือแร่ และสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้การรับประทาน
เครื่องดื่มกระเจี๊ยบมีความปลอดภัย[9]
มิตกิ ารพัฒนาเป็นเครือ่ งส�ำอางสมุนไพร คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้พฒ ั นาผลิตภัณฑ์
เครื่องส�ำอางของกระเจี๊ยบ (กลีบเลี้ยง) ในรูปแบบของ เจลอาบน�้ำ ครีม โลชั่น[10] นักวิจัยประเทศญี่ปุ่นได้ศึกษาพบ
ว่า สารสกัดจากใบกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ซึ่งจะน�ำไปพัฒนาเป็นเครื่องส�ำอางแก้ฝ้าได้[11]
มิติการพัฒนาเป็นยารักษาโรค จากงานวิจัยในคนพบว่าชาชงกระเจี๊ยบมีผลในการลดความดันโลหิตได้ดี
กว่าชาด�ำ แต่มีฤทธิ์น้อยกว่ายากลุ่ม ACE-inhibitors[8,12] นอกจากนี้กระเจี๊ยบยังมีฤทธิ์ลดไขมันและน�้ำตาลในเลือด
ขับพยาธิและต้านจุลชีพ[9,13]
หญ้าหวาน Stevia, candyleaf, sweet leaf, sugarleaf
ชื่อวิทยาศาสตร์ Stevia rebaudiana วงศ์ ASTERACEAE
ส่วนที่ใช้ ใบ
สรรพคุณ สารให้ความหวานที่ไม่ก่อให้เกิดพลังงาน ใบหญ้าหวานนั้นมีความหวานมากกว่าน�้ำตาลถึง
10-15 เท่า สาร Stevioside ให้ความหวานมากกว่าน�้ำตาลถึง 200-300 เท่า สามารถน�ำไปใช้ในด้านอุตสาหกรรม
ต่าง ๆ เช่น เครื่องดื่ม ยาสมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ
กวาวเครือขาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pueraria candollei var. mirifica (Airy Shaw & Suvat.) Niyomdham
วงศ์ FABACEAE
ส่วนที่ใช้ ราก
สารประกอบ สารกลุ่ม isoflavone aglycones (miroestrol, deoxymiroestrol, daidzein,
genistein, และ kwakfurin), สารกลุ่ม isoflavone glycosides (daidzin, genistin, และ puerarin), และ
สารกลุ่ม coumestans (coumestrol, mirificoumestan, mirificoumestan hydrate, และ mirificoumestan
glycol) และน�้ำมันหอมระเหย[26-28]
มิตกิ ารพัฒนา กวาวเครือขาวมีศกั ยภาพในการจะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครือ่ งส�ำอาง และยารักษาโรค ทัง้ นี้
เนือ่ งจากกวาวเครือขาวมีสารส�ำคัญทีม่ ฤี ทธิค์ ล้ายฮอร์โมนเพศหญิง จึงมีผลิตภัณฑ์เครือ่ งส�ำอางทีใ่ ส่สารสกัดกวาวเครือ
ขาวเพื่อท�ำให้ผิวพรรณเต่งตึง หน้าอกเต่งตึง หรือการใช้เป็นยาอายุวัฒนะทั้งผู้ชายและผู้หญิง
มิติการพัฒนาเป็นเครื่องส�ำอางสมุนไพร ครีมสารสกัดแอลกอฮอล์กวาวเครือขาวมีผลลดรอยเหี่ยวย่นใน
ผู้หญิงวัยหมดประจ�ำเดือนหลังจากการทา 1-2 สัปดาห์[29] การศึกษาในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดแอลกอฮอล์
กวาวเครือขาวมีฤทธิ์ anti-elastase, anti-collagenase และ antioxidant[30-31] สนับสนุนการพัฒนาเป็น
เครื่องส�ำอางต้านรอยเหี่ยวย่น
มิตกิ ารพัฒนาเป็นยารักษาโรค มีการศึกษาในผูห้ ญิงวัยหมดประจ�ำเดือนทีม่ อี าการร้อนวูบวาบ เหงือ่ ออก
กลางคืน พบว่าการรับประทานผงกวาวเครือ 50, 100 มิลลิกรัม มีส่วนช่วยให้อาการดังกล่าวดีขึ้น และไม่ก่อเกิด
พิษ[27] การป้อนสารสกัดแอลกอฮอล์ของกวาวเครือขาวขนาด 50 and 500 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน�้ำหนักตัว ในหนู
ที่ตัดรังไข่พบว่า มีฤทธิ์คล้าย estrogen ในการช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น[32] การศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลัน
พบว่ามีค่า LD50 มีค่ามากกว่า 16 กรัม/กิโลกรัมน�้ำหนักตัว และการศึกษาความเป็นพากึ่งเรื้อรังพบว่า ขนาดของ
กวาวเครือ 100 และ 1,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน�้ำหนักตัว/วัน มีผลท�ำให้หนูมีอัตราการเจริญเติบโตและการกิน
อาหารลดลง ส่วนขนาดที่ป้อนให้หนู 10 และ 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน�้ำหนักตัว ไม่มีผลต่อระบบเลือดหรือค่าทาง
ชีวเคมี ส่วนการศึกษาความปลอดภัยในอาสาสมัครผู้หญิงในวัยที่ยังมีประจ�ำเดือนการรับประทานผงกวาวเครือขาว
ขนาด 100-600 มิลลิกรัม เป็นเวลา 7 วัน หลังจากมีประจ�ำเดือนแล้ว 2 อาทิตย์ ไม่พบความผิดปกติของระดับ
ฮอร์โมน การท�ำงานของไต ค่าเคมีของเลือด เม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ยังพบว่าการรับประทาน
ผงกวาวเครือขาวขนาด 100-600 มิลลิกรัม มีผลท�ำให้หน้าอกมีขนาดใหญ่ขึ้น[28] จากการศึกษาในอาสาสมัครหญิง
วัยหมดประจ�ำเดือนรับประทานยาเม็ดกวาวเครือผงปริมาณ 100 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลา 2 เดือน พบว่ามีค่า
HDL cholesterol เพิ่มขึ้น และค่า LDL cholesterol ลดลงเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม[33]
พริก
ชือ่ วิทยาศาสตร์ Capsicum annuum L. (ชือ่ พ้อง Capsicum frutescens L., Capsicum frutescens
var. frutescens, Capsicum minimum Mill.) วงศ์ SOLANACEAE
ส่วนที่ใช้ ผล
สารประกอบ สารกลุ่ม capsaicinoids [capsaicin (trans-8-methyl-N-vanillyl-6-nonenamide),
dihydrocapsaicin, และ nordihydrocapsaicin), flavonoids[34-35], สารสี red-colored (carotenoids:
xanthophylls, capsanthin, และ capsorubin)[34-36]
มิติการพัฒนา
มิติการพัฒนาเป็นยารักษาโรค ขี้ผึ้งสารสกัดพริกมีผลช่วยผู้ป่วยที่เป็น rheumatoid arthritis ที่ปวด
และมือไม่มีแรง[34] พริกและสาร capsaicinoids ปรับสมดุลระบบ metabolism และ hormone function,
ปรับระดับ blood glucose, ลดการดื้อของ insulin และ leptin, ต้าน LDL-cholesterol oxidation และ
ป้องกันมะเร็ง (เนื่องจากมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ) สาร capsaicinoids มีฤทธิ์ช่วยลดน�้ำหนัก โดยมีกลไก ลด
ad libitum energy intake เพิ่ม thermogenesis และ energy expenditure และการรับประทานสาร
capsaicinoids ขนาด 10 mg เป็นเวลา 7 วัน ไม่ก่อความผิดปกติของค่าเคมีเลือด[36] พริกและสาร capsaicinoids
มีฤทธิ์ต้านการปวดผ่านกลไกที่มีผลต่อ receptor TRPV1 ผลิตภัณฑ์พริก (capsaicin (0.025-0.1% wt/wt)
มีการน�ำมาใช้เป็นยารักษา neuropathic pain[37]
มิติการพัฒนาเป็นสีจากสมุนไพร สารสีแดง-ส้มจากพริกถือได้ว่าเป็นสารสีที่ได้จากธรรมชาติ มีความ
ปลอดภัย สามารถสกัดได้จากส่วนเนื้อผลของพริก สารสีเหล่านี้เป็น precursor ของวิตามินเอ และเป็นสารที่มี
ฤทธิต์ า้ นอนุมลู อิสระ เป็นสารสีทสี่ ามารถน�ำมาใช้ในอุตสาหกรรมเครือ่ งส�ำอางและอาหาร สารสีเหล่านีส้ ามารถใช้ตวั
ท�ำลายทีไ่ ม่มขี วั้ สกัดได้ แต่ไม่คอ่ ยปลอดภัยถ้ามีตวั ท�ำละลายตกค้าง ซึง่ วิธที ดี่ ใี นการสกัดคือการใช้ CO2 supercritical
fluid extraction ซึ่งมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม[36]
บทสรุป
จากข้อมูลของสมุนไพรทัง้ 8 ชนิด ได้แก่ กระเจีย๊ บแดง หญ้าหวาน ว่านหางจระเข้ กระชาย ฟ้าทะลายโจร
มะขามป้อม กวาวเครือขาว และพริก ซึ่งสมุนไพรแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติและคุณค่าที่จะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์
ต่าง ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องส�ำอางสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องดื่มสมุนไพร หรือยารักษาโรค
จึงน่าที่จะสนับสนุนให้เป็นสมุนไพร Next Champion Products ส�ำหรับประเทศไทยในปีถัดไป โดยจะต้องสร้าง
ความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการผลักดันให้เป็น Next Champion Products โดย
เอกสารอ้างอิง
กลุ่มที่ 2
ประเด็นการพัฒนาเพื่อยกระดับ
การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
2.1 การพัฒนามาตรฐานผู้ให้บริการด้านการนวดไทยของประเทศไทย
2.2 หมอพื้นบ้านกับอนาคตสุขภาพชุมชนไทย
2.3 อนาคตการวิจัยต�ำรับยาแผนไทย
2.4 ทิศทางการศึกษาเพื่อพัฒนาการแพทย์แผนไทยอย่างยั่งยืน (ในระดับอุดมศึกษา)
2.5 ผลกระทบของกรอบการเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา
ที่เกี่ยวกับทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทาง
วัฒนธรรมดั้งเดิม ต่อกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
การพัฒนามาตรฐานผู้ ให้บริการด้านการนวดไทยของประเทศไทย
ดร.ภก.ยงศักดิ์ ตันติปิฎก
หน่วยวิจัยระบบภูมิปัญญาสุขภาพ
1. ความเป็นมา หลักการและเหตุผล
บทความนี้ ต ้ อ งการน� ำเสนอสภาพปั ญ หาที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ มาตรฐานผู ้ ใ ห้ บ ริ ก ารด้ า นการนวดไทยของ
ประเทศไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนวดไทยและการนวดเพื่อสุขภาพซึ่งมีความเป็นมาที่แตกต่างกัน มีกฎระเบียบที่
ใช้ในการควบคุมแตกต่างกัน มีปัญหามาตรฐานหลักสูตรที่แตกต่างกัน เกิดความซ้อนทับและคลุมเครือเกี่ยวกับ
ขอบเขตของการปฏิบัติงาน เกิดความสับสนในการรับรู้ของประชาชน และความลักลั่นในการควบคุมก�ำกับ โอกาส
ในปี พ.ศ. 2562 นี้ นวดไทย (Nuad Thai) ได้รับการเสนอเพื่อขอขึ้นทะเบียนจารึกในรายการตัวแทนมรดก
ทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage)
คณะอนุกรรมการวิชาการ งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครัง้ ที่ 16 จึงเห็นสมควรให้มหี อ้ งการประชุมวิชาการประจ�ำปี
เพื่อให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้มีโอกาสในการก�ำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวร่วมกัน โดยมอบหมายให้
ผู้เขียนเป็นผู้น�ำเสนอบทความนี้เพื่อเป็นข้อมูลน�ำเข้าสู่การอภิปรายในการประชุมดังกล่าว
โดยทีก่ อ่ นการประชุมวิชาการประจ�ำปี ได้มกี ารจัดประชุมย่อยเพือ่ ปรึกษาหารือในระดับผูป้ ฏิบตั งิ านเกีย่ วกับ
แนวทางในการแก้ไขปัญหาและพัฒนามาตรฐานผู้ให้บริการด้านการนวดไทยของประเทศไทย ผู้เขียนได้นำ� ประเด็น
ที่มีปรึกษาหารือเหล่านั้นมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการเขียนบทความนี้ด้วยแล้ว
ความเป็นมาและสภาพปัญหา
ก่อนจะท�ำความเข้าใจสภาพปัญหาเกีย่ วกับมาตรฐานผูใ้ ห้บริการด้านการนวดไทยของประเทศไทย จ�ำเป็น
ต้องกล่าวถึงความเป็นมาเกีย่ วกับผูใ้ ห้บริการด้านการนวดไทยตามทีม่ กี ฎหมายรับรองในประเทศ ซึง่ เกีย่ วข้องกับความ
เป็นมาของ “การนวดไทย” และ “การนวดเพื่อสุขภาพ”
การนวดไทย
การนวดไทย เป็ น ผลผลิ ต จากการฟื ้ น ฟู ก ารนวดไทยในทศวรรษ 2530 ซึ่ ง ด� ำ เนิ น การโดยองค์ ก ร
ภาคประชาสังคมด้านสุขภาพ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และองค์กรวิชาชีพ ซึ่งเริ่มด้วยการฟื้นฟูพัฒนาการนวด
แผนโบราณ เพื่อใช้ในการดูแลสุขภาพตนเองของประชาชนในงานสาธารณสุขมูลฐาน แล้วขยายไปสู่การพัฒนาใน
ด้านต่าง ๆ ได้แก่ การศึกษาวิจัยประสิทธิผลของการนวดไทย การพัฒนารูปแบบการน�ำการนวดไทยไปใช้ในระบบ
บริการสาธารณสุขของรัฐ การน�ำการนวดไทยไปใช้ในการฟืน้ ฟูเด็กพิการ การพัฒนาผูน้ วด ซึง่ เป็นผูพ้ กิ ารทางสายตา
การพัฒนากฎหมายเพือ่ ให้การนวดไทยเป็นสาขาหนึง่ ของการประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย การสังคายนาและ
พัฒนาต�ำราการนวดไทย การจัดท�ำมาตรฐานวิชาชีพด้านการนวดไทย เป็นต้น ปัจจุบัน การนวดไทยมีนิยามปรากฏ
ในกฎหมายว่าด้วยการประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย การให้บริการต้องกระท�ำโดยผูป้ ระกอบวิชาชีพการแพทย์
แผนไทยหรื อ การแพทย์ แ ผนไทยประยุ ก ต์ ในคลิ นิ ก การแพทย์ แ ผนไทยตามกฎหมายว่ า ด้ ว ยสถานพยาบาล
การขับเคลื่อนการพัฒนาการนวดไทยจึงเป็นแรงขับที่มาจากความต้องการพัฒนาทางเลือกในการดูแลรักษาสุขภาพ
จากภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาติ[1]
การนวดเพื่อสุขภาพ
การนวดเพือ่ สุขภาพ เป็นผลผลิตของการน�ำการนวดไปใช้ในภาคธุรกิจบริการ ซึง่ แตกแขนงมาจากการนวด
ในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ หรือที่รู้จักกันในชื่อสถานอาบอบนวด ซึ่งมีภาพลักษณ์เกี่ยวข้อง
กับการค้าบริการทางเพศ การขับเคลื่อนการนวดเพื่อสุขภาพมีแรงขับมาจากการมองเห็นศักยภาพของบริการนวด
ที่สามารถสร้างรายได้และเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเติบโตเป็นอย่างมากในภาคบริการและการท่องเที่ยว ปัจจุบัน
การนวดเพื่อสุขภาพมีนิยามปรากฏในกฎหมายว่าด้วยสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ การให้บริการต้องกระท�ำโดย
ผู้ให้บริการนวด (ไม่ใช่ผู้ประกอบวิชาชีพ) แต่เป็นผู้ที่ได้รับวุฒิบัตรหรือประกาศนียบัตรผ่านการอบรมตามหลักสูตร
ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพรับรอง ซึ่งมีหลักสูตรนวดไทยเพื่อสุขภาพเป็นหนึ่งในหลักสูตรด้านการบริการเพื่อ
สุขภาพที่มีการรับรอง[1]
2. นโยบายและมาตรการที่ด�ำเนินการปัจจุบัน
ประเภทของผู้ให้บริการด้านการนวดไทย
ประเภทของผู้ให้บริการด้านการนวดไทยของประเทศไทยเกี่ยวข้องกับการนวดไทยในระดับวิชาชีพ และ
การนวดเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นการนวดในภาคธุรกิจบริการ ดังนี้
1. ผู้ให้บริการด้านการนวดไทยในระดับวิชาชีพ ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ.
2556 ผู้ที่สามารถประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ด้านการนวดไทย ประกอบด้วย
1.1 ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ด้านการนวดไทย
1.2 ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ด้านเวชกรรมไทย
1.3 ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์
1.4 ผู ้ ช ่ ว ยแพทย์ แ ผนไทย ซึ่ ง เป็ น ผู ้ ที่ ไ ด้ รั บ การยกเว้ น ตามมาตรา 31(5) และ 31(6) แห่ ง
พระราชบัญญัติวิชาชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2556[2-4]
2. ผู้ให้บริการนวดเพื่อสุขภาพในสถานประกอบกิจการนวดเพื่อสุขภาพ ตามพระราชบัญญัติสถาน
ประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. 2559 ซึ่งผ่านการอบรมนวดไทยเพื่อสุขภาพ 150 ชม. หรือหลักสูตรนวดไทยเพื่อ
สุขภาพส�ำหรับผู้พิการทางสายตา 255 ชม. หรือ หลักสูตรนวดไทยเพื่อสุขภาพ 100 ชม. ต่อยอด 60/80 ชม.
(เทียบเท่าหลักสูตรนวดไทยเพื่อสุขภาพ 150 ชม.)
หลักสูตรการนวดไทย
ปัจจุบัน หลักสูตรการนวดไทยที่ได้รับการรับรองจากสภาการแพทย์แผนไทย ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพ
การแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2556 มี 2 หลักสูตร คือ
1. หลักสูตรวิชาชีพการนวดไทย 800 ชม.
2. หลักสูตรผู้ช่วยแพทย์แผนไทย 330 ชม.
ส่วนหลักสูตรการนวดไทยที่ได้รับการรับรองตามประกาศคณะกรรมการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ
เรื่อง หลักเกณฑ์การรับรองวุฒิบัตรหรือประกาศนียบัตรที่ผู้ด�ำเนินการหรือผู้ให้บริการได้รับจากสถาบันการศึกษา
หน่วยงาน หรือองค์กรต่าง ๆ พ.ศ. 2559 ตามพระราชบัญญัตสิ ถานประกอบการเพือ่ สุขภาพ พ.ศ. 2559 มีหลักสูตร
มาตรฐาน 3 หลักสูตร คือ
1. หลักสูตรนวดไทยเพื่อสุขภาพ 150 ชม.
2. หลักสูตรนวดไทยเพื่อสุขภาพส�ำหรับผู้พิการทางสายตา 255 ชม.
3. หลักสูตรนวดไทยเพื่อสุขภาพ 100 ชม. ต่อยอด 60/80 ชม. (เทียบเท่าหลักสูตรนวดไทยเพื่อสุขภาพ
150 ชม.)
3. สภาพปัญหา/ข้อจ�ำกัดและโอกาสในการพัฒนา
วิเคราะห์ปัญหา
1. ความซ้อนทับและสับสนระหว่างการนวดไทยกับนวดเพื่อสุขภาพ
1.1 ในด้านการรับรู้ของสาธารณะ
ยังไม่มีงานวิจัยที่ศึกษาถึงการรับรู้ของสาธารณะต่อการนวดไทยและนวดเพื่อสุขภาพ แต่จากข่าวสารใน
สื่อสารมวลชน พออนุมานได้ว่ายังมีความสับสนและคลุมเครือระหว่างการนวดไทยกับนวดเพื่อสุขภาพ การนวด
ประเภทต่าง ๆ ที่มีให้บริการในสถานประกอบการโดยเฉพาะนวดฝ่าเท้า ซึ่งมักปรากฏเป็นเมนูนวด ในร้านนวด
แผนไทยด้วย และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพก็ถอื ว่าเป็นส่วนหนึง่ ของ “นวดแบบไทย” อีกทัง้ ป้ายสถานประกอบการ
นวดต่าง ๆ มักระบุว่าเป็นนวดแผนไทย และบางแห่งยังรับนวดแก้อาการต่าง ๆ เป็นการเฉพาะด้วย ท�ำให้ขอบเขต
ของการนวดซ้อนทับกับการประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย เพราะเป็นการนวดเพื่อการแก้ไขอาการความ
เจ็บป่วยหรือบ�ำบัดโรค เช่นเดียวกับคลินิกการแพทย์แผนไทยของผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย
1.2 ในด้านหลักสูตรการอบรม
การมีหลักสูตรการนวดไทยเพื่อสุขภาพ 150 ชม. อยู่ในการนวดเพื่อสุขภาพ โดยหัวข้อวิชาการอบรมใน
หลักสูตรการเรียนการสอนส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับหลักสูตรการนวดไทยในระดับวิชาชีพ เช่น วิชาทฤษฎีการแพทย์
แผนไทย วิชาเภสัชกรรมไทยเบื้องต้น วิชาประวัติ องค์ความรู้ และการประยุกต์ใช้การนวดไทย วิชาเส้นประธาน
วิชาการนวดไทยเพื่อส่งเสริมสุขภาพ เป็นต้น แต่จ�ำนวนชั่วโมงเรียนมีน้อยกว่า และมีบางวิชาที่เกี่ยวข้องกับการ
ตรวจรักษาเพิ่มเติมเข้ามาอีก เช่น การตรวจร่างกายเบื้องต้น การนวดไทยแก้ไขอาการที่พบบ่อย ซึ่งท�ำให้มีความ
สับสนได้ว่า ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรนวดไทยเพื่อสุขภาพ สามารถตรวจร่างกายผู้รับบริการ และนวดบ�ำบัดอาการ
ซึ่งเป็นการกระท�ำที่เข้าข่ายการประกอบวิชาชีพได้หรือไม่เพียงใด หรือ การเรียนวิชาเส้นประธาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับ
หลักวิชาในการตรวจและบ�ำบัดโรคลม ซึ่งมีเส้นประธานทั้งสิบเป็นแนวทางในการตรวจวินิจฉัยและบ�ำบัด เป็น
การเรียนการสอนเพื่ออะไร เป็นต้น
2. มาตรฐานหลักสูตรที่แตกต่างและไม่เชื่อมโยงกัน
การที่กฎหมายรับรองให้มีหลักสูตรการนวดทั้งในระดับอาชีพและวิชาชีพ ท�ำให้มีหน่วยงานที่ท�ำหน้าที่
รับรองหลักสูตรหรือสถาบันการฝึกอบรมที่ขออนุญาตจัดการฝึกอบรมเป็นคนละหน่วยงานกัน ดังนี้
4. ข้อเสนอเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติ
จากการวิเคราะห์ปัญหาข้างต้น บทความมีข้อเสนอเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติเพื่อพัฒนามาตรฐานผู้ให้
บริการนวดไทยของประเทศดังต่อไปนี้
1. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรร่วมกันก�ำหนดสมรรถนะ (competency) ของผู้ให้บริการนวดไทย ทั้ง 3
ประเภทให้สอดคล้องกัน โดยผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยควรมีสมรรถนะทั้งในด้านการบ�ำบัดรักษา ฟื้นฟู
สุขภาพ ป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ ระดับผู้ช่วยแพทย์แผนไทยควรมีสมรรถนะด้านการส่งเสริมสุขภาพและฟื้นฟู
สุขภาพในบางโรค ส่วนระดับผู้ให้บริการนวดเพื่อสุขภาพควรมีสมรรถนะด้านการส่งเสริมสุขภาพเท่านั้น เมื่อมี
การก�ำหนดสมรรถนะ ของผูใ้ ห้บริการนวดไทยของประเทศแบบขัน้ บันไดแล้ว ผูท้ มี่ สี มรรถนะในขัน้ ทีส่ งู กว่าจะสามารถ
ปฏิบตั งิ านด้านการนวดไทยทีต่ อ้ งการผูม้ สี มรรถนะต�ำ่ กว่าได้ โดยไม่จำ� เป็นต้องฝึกอบรมซ�ำ้ และผูท้ มี่ สี มรรถนะในขัน้
ที่ต�่ำสามารถศึกษาอบรมเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มสมรรถนะให้สูงขึ้นได้ โดยไม่ต้องฝึกอบรมซ�้ำในส่วนที่ได้ผ่านการฝึกอบรม
มาแล้ว
2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรร่วมกันปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนและการฝึกอบรมผู้ให้บริการ
ด้านการนวดไทยของประเทศ คือผู้ให้บริการนวดเพื่อสุขภาพ ผู้ช่วยแพทย์แผนไทย และผู้ประกอบวิชาชีพ
การแพทย์แผนไทย ให้มีความเชื่อมโยงและสามารถศึกษาอบรมต่อเนื่องได้ เพื่อเพิ่มสมรรถนะให้สูงขึ้นตามข้อ 1
3. สภาการแพทย์แผนไทย ควรเร่งรัดการจัดท�ำข้อบังคับว่าด้วยข้อจ�ำกัดและเงื่อนไขในการประกอบ
วิชาชีพการแพทย์แผนไทยด้านการนวดไทย จัดท�ำมาตรฐานการประกอบวิชาชีพด้านการนวดไทยของผู้ประกอบ
วิชาชีพการแพทย์แผนไทยด้านการนวดไทย และจัดท�ำมาตรฐานการปฏิบัติงานของผู้ช่วยแพทย์แผนไทยให้มีความ
ชัดเจน และก�ำหนดกรรมวิธกี ารนวดทีอ่ นุญาตให้ผชู้ ว่ ยแพทย์แผนไทยใช้ในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐหรือคลินกิ
การแพทย์แผนไทย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพควรจัดท�ำมาตรฐานการปฏิบัติงานของผู้ให้บริการนวดเพื่อสุขภาพ
และก�ำหนดกรรมวิธีการนวดที่อนุญาตให้ผู้ให้บริการนวดเพื่อสุขภาพใช้ในสถานประกอบการนวดเพื่อสุขภาพ
4. สภาการแพทย์แผนไทยควรจัดท�ำมารยาทของผู้ช่วยแพทย์แผนไทย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
ควรจัดท�ำมารยาทของผู้ให้บริการนวดเพื่อสุขภาพ และพัฒนากลไกในการควบคุมดูแลให้มีการรักษามารยาทอย่าง
เคร่งครัด
5. สภาการแพทย์แผนไทย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์
ทางเลือก ควรร่วมกันพัฒนาระบบการก�ำกับดูแลผูใ้ ห้บริการด้านการนวดไทย โดยเฉพาะผูใ้ ห้บริการนวดเพือ่ สุขภาพ
ซึ่งยังไม่มีการควบคุมโดยผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง และผู้ช่วยแพทย์แผนไทย ซึ่งยังไม่มีการจัดท�ำทะเบียนและ
ยังไม่มีข้อมูลรายชื่อผู้ประกอบวิชาชีพที่ควบคุมการประกอบวิชาชีพของผู้ช่วยแพทย์แผนไทยในสถานบริการ
สาธารณสุขของรัฐหรือคลินิกการแพทย์แผนไทย
เอกสารอ้างอิง
1. ยงศักดิ์ ตันติปิฎก และส�ำลี ใจดี. (บรรณาธิการ). ต�ำราการนวดไทย เล่ม 1. ปรับปรุงครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: มูลนิธิ
สาธารณสุขกับการพัฒนา; 2559.
2. ระเบียบกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยบุคคลซึ่งกระทรวง ทบวง กรม เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การ
บริหารส่วนต�ำบลกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษอื่นตามที่มีกฎหมายก�ำหนด
หรือสภากาชาดไทย มอบหมายให้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นผู้ประกอบ
วิชาชีพการแพทย์แผนไทยหรือผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ หรือผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.
2560, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 134, ตอนพิเศษ 65 ง, 1-2.
3. ระเบียบกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยบุคคลซึ่งปฏิบัติงานในสถานพยาบาล ตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลกระท�ำ
การประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยหรือการประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ในความควบคุมของ
ผูป้ ระกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยหรือผูป้ ระกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ พ.ศ. 2560, ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม 134, ตอนพิเศษ 65 ง, 3-4.
4. ข้อบังคับสภาการแพทย์แผนไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการรับรองหลักสูตรผู้ช่วยแพทย์แผนไทย
พ.ศ. 2561, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 135, ตอนพิเศษ 35 ง, 16-23.
หมอพื้นบ้านกับอนาคตสุขภาพชุมชนไทย
1. ความเป็นมา หลักการและเหตุผล
1.1 ความส�ำคัญและความจ�ำเป็น
การแพทย์ดั้งเดิมเป็นองค์ประกอบที่ส�ำคัญของระบบสุขภาพ แต่มักจะได้รับการประเมินคุณประโยชน์
ต�่ำกว่าที่ควร องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ได้จัดท�ำยุทธศาสตร์การแพทย์ดั้งเดิม
มาอย่างต่อเนื่อง ตามมติของสมัชชาอนามัยโลกว่าด้วยการแพทย์ดั้งเดิม (WHA62.31)(13) ได้จัดท�ำยุทธศาสตร์
การแพทย์ดั้งเดิมขององค์การอนามัยโลก พ.ศ. 2557-2566 โดยมีเป้าหมายส�ำคัญ 2 ประการคือ (1) สนับสนุน
ให้ประเทศสมาชิกน�ำศักยภาพของการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริมมาใช้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ การอยู่ดี
มีสุขและการบริการสุขภาพที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง (2) ส่งเสริมการใช้การแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริม
อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิผล โดยมีการควบคุมก�ำกับดูแลผลิตภัณฑ์เวชปฏิบตั ิ และผูป้ ระกอบวิชาชีพ การจะบรรลุ
เป้าหมาย 2 ประการ จ�ำเป็นต้องด�ำเนินงานยุทธศาสตร์ 3 เรื่อง ได้แก่ (1) สร้างฐานความรู้และก�ำหนดนโยบาย
ระดับชาติ (2) สร้างเสริมความปลอดภัยและคุณภาพประสิทธิผล โดยพัฒนากฎระเบียบในการก�ำกับดูแล (3) ส่งเสริม
ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยการบูรณาการการบริการการแพทย์ดงั้ เดิมและการแพทย์เสริม และการดูแล
สุขภาพด้วยตนเองเข้าสู่ระบบสุขภาพแห่งชาติ
กรณีสังคมไทยถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่รัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 55
“รัฐต้องด�ำเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง เสริมสร้างให้ประชาชนมี
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และส่งเสริมสนับสนุนให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาด้าน
การแพทย์แผนไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด” ประกอบกับพระราชบัญญัติวิชาชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2556
ระบุสาระส�ำคัญของกฎหมายไว้ถึงการรับรองการแพทย์พื้นบ้านไทย และหมอพื้นบ้าน ซึ่งสอดคล้องกับการ
ขับเคลื่อนภารกิจของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
2.2 สถานการณ์และบทเรียนการฟื้นฟูภูมิปัญญาพื้นบ้านในการดูแลสุขภาพชุมชน
บทน�ำ
ภูมปิ ญ
ั ญาพืน้ บ้านด้านสุขภาพนับเป็นวัฒนธรรมการดูแลสุขภาพ และความเจ็บป่วยของประชาชน มีความ
หลากหลายทั้งชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมย่อยในสังคมไทยเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ตกผลึกจากการสังเกต ทดลองใช้
คัดเลือก กลั่นกรอง และสั่งสมสืบทอดจากคนรุ่นก่อนสู่คนรุ่นหลัง เป็นสิ่งสะท้อนระบบความคิด ความเชื่อ และ
แนวทางการดูแลชีวิตและสุขภาพ เป็นความรู้และเทคโนโลยีที่เรียบง่าย สามารถเข้าถึง ใช้ประโยชน์ สามารถ
พึ่งตนเอง อันเป็นแบบแผนการดูแลสุขภาพของตนเองบนฐานแนวคิดแบบเศรษฐกิจพอเพียง
กระแสแนวคิดการฟื้นฟูเรื่องภูมิปัญญาด้านสุขภาพ กลับมาสู่ระบบการดูแลสุขภาพของสังคมไทยอย่าง
เป็นทางการ โดยกระทรวงสาธารณสุขและองค์กรพัฒนาเอกชนในช่วงกว่าสามทศวรรษ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ส�ำคัญ
ที่การจัดการระบบการดูแลสุขภาพได้เปิดโอกาสให้ความรู้แบบอื่นที่ไม่ใช่ความรู้แบบวิทยาศาสตร์การแพทย์หรือ
ความรู้แบบการแพทย์ชีวภาพ (Biomedicine) ในที่นี้คือภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านสุขภาพที่เป็นระบบการดูแลระบบ
สุขภาพของประชาชน ด้วยการส่งเสริมงานสาธารณสุขมูลฐาน (Primary Health Care: PHC) การฟื้นฟูภูมิปัญญา
พื้นบ้านด้านสุขภาพเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาสุขภาพชุมชน โดยการส่งเสริมการใช้สมุนไพรในการสาธารณสุข
มูลฐานในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 4 จากการขับเคลื่อนงานดังกล่าว และงานวิจัย “การศึกษา
ศักยภาพหมอพืน้ บ้านในงานสาธารณสุขมูลฐาน” มีขอ้ ค้นพบทีส่ ำ� คัญ คือภูมปิ ญ ั ญาพืน้ บ้านด้านสุขภาพ ไม่ใช่เฉพาะ
“สมุนไพร” เท่านัน้ แต่ได้เรียนรูถ้ งึ หมอพืน้ บ้าน องค์ความรูก้ ารแพทย์พนื้ บ้านทีม่ กี ารใช้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพ
ใน 3 ลักษณะ คือ
(1) การดูแลสุขภาพยามปกติ (Indigenous system of health/wellness) ความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาที่
ใช้ประโยชน์ในการดูแลชีวิตด�ำเนินไปได้อย่างปกติและสมดุล เช่น การบริโภคพืชผักพื้นบ้าน อาหารพื้นบ้าน
(2) การรักษาสุขภาพ/ความเจ็บป่วยด้วยตนเอง (Indigenous self-care) องค์ความรู้ที่เป็นการรักษา
สุขภาพตนเอง และการดูแลความเจ็บป่วยในครอบครัวและญาติ โดยมิได้พึ่งพาผู้อื่น เช่น การดูแลสตรีหลังคลอด
การใช้ยากลางบ้าน (มีห่อยา ร่วมยา หรือต�ำรับยาประจ�ำครอบครัว)
(3) การแพทย์พื้นบ้าน (Indigenous or Folk Medicine) องค์ความรู้ และเทคโนโลยีส่วนนี้ “หมอ
พื้นบ้าน” เป็นผู้ปฏิบัติการส�ำคัญ และท�ำงานเชื่อมโยงกับระบบนิเวศน์ ภูมิปัญญาท้องถิ่นมีลักษณะเป็นการผสม
ผสานการเรียนรู้ของความรู้ที่หลากหลายไม่ยึดติดอยู่กับความรู้ชนิดใดชนิดหนึ่งอย่างเดียว เป็นความรู้ที่ขึ้นกับการ
เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ (Situated knowledge) การสะสมบทเรียน กระบวนการเรียนรู้ วิธีการในการ
ดูแลสุขภาพเชื่อมโยงกับบริบทเฉพาะท้องถิ่นที่ได้ถูกหล่อหลอมและพัฒนาเป็นวัฒนธรรมสุขภาพของแต่ละท้องถิ่น
ที่มีความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะวัฒนธรรม (Identify) ท�ำให้เราเรียนรู้ว่าในแต่ละสังคมจะมีรูปแบบและวิธีการดูแล
สุขภาพที่หลายกหลาย และทับซ้อนกันมากกว่าหนึ่งวิธีการเสมอ ดังนั้น การท�ำความเข้าใจการดูแลสุขภาพ และ
การดูแลความเจ็บป่วยในแต่ละสังคมจึงต้องมองเงื่อนไขปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกอย่างวิเคราะห์ให้เห็น
ความเชื่อมโยงบนฐานความคิดแบบองค์รวม
ระบบการแพทย
พื้นบาน
(Folk sector)
ระบบการแพทย ระบบการแพทย
แบบวิชาชีพ ของประชาชน
(Professional (Popular sector)
sector)
กรอบแนวคิดการทํางาน 10
การสงเสริมและการพัฒนาการใชประโยชน
การสงเสริมและพัฒนา
การวิจัยประสิทธิผล และประสิทธิภาพตอยอด
9 8
การบูรณาการการแพทยพื้นบาน ระบบการสงตอ การฟนฟูและการสงเสริม
ในระบบบริการสุขภาพภาพรัฐ การดูแลสุขภาพในระดับชุมชน
• งานวิจัยในงานประจํา (R to R) • การวิจัยการปฏิบัติการเพื่อทองถิ่น
• การศึกษาวิจัย การวิจัยและพัฒนา (Community-based Action
research)
5
กระบวนการ
7 6
การจัดการ
การรับรองสิทธิ กระบวนการสืบทอด
• การรวบรวม
หมอพื้นบาน ความรู/การเรียนรู
• การจัดการระบบ
• การสังคายนา
2 3
1
ความสัมพันธของหมอ
ความสัมพันธทางสังคม สถานะองคความรู
หมอพื้นบาน • เการแพทยพื้นบาน
• ประเพณี
• วัฒนธรรม ประสบการณเชิงปฏิบัติ
• ผูรูทองถิ่นดานตาง ๆ • การแพทยพื้นบาน
4 แบบพิธีกรรม/ศาสนธรรม
ปา/ระบบนิเวศ
2. ผลของการด�ำเนินการขับเคลื่อนงานภูมิปัญญาพื้นบ้านในการดูแลสุขภาพชุมชน
ส่วนที่ 1 การขับเคลื่อนด้านนโยบาย
ด้วยการแพทย์พื้นบ้าน เป็นระบบการแพทย์ภาคประชาชน การฟื้นฟูส่งเสริม การใช้ประโยชน์ในการ
ดูแลสุขภาพชุมชนโดยอาศัยกรอบแนวคิดที่ได้กล่าวข้างต้น ผลการท�ำงานที่ผ่านมาจ�ำแนกได้ 4 ด้าน ประกอบด้วย
(1) การพัฒนาด้านนโยบาย (2) การจัดการความรู้และการวิจัย: บทเรียนการรวบรวมศึกษาองค์ความรู้เชิงปฏิบัติ
ด้านภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน (3) การจัดการความรู้และการวิจัยการแพทย์พื้นบ้าน: บทเรียนด้านกระบวนการ
และวิธีการ และ (4) เครือข่ายการแพทย์พื้นบ้าน 6 ประเทศลุ่มน�้ำโขง: ความร่วมมือนานาชาติ เพื่อการขับเคลื่อน
ทิศทางการพัฒนา
165 คน
** ที่ไดรับใบประกอบโรคศิลปะตาม
กระบวนการประเมินรับรอง พรบ. 2542 ม.33 (1)(ค)**
การสงเสริมและพัฒนาการแพทยพื้นบานในระบบสุขภาพชุมชน
สถานภาพ และสมาชิกสภาการแพทยแผนไทย
ตามมาตรา 12(2)(ค)***
และพัฒนาตอยอดในระบบบริการสุขภาพ
องคความรูและผลการรักษาเชิงลึก
หมอพื้นบาน 2,742 คน
รับรองหมอพื้นบานตามระเบียบ
59,414 คน
ประเมินผล
พระราชบัญญัติระเบียบ กรมพัฒนาการแพทยแผนไทยและ
สํานักทะเบียนกลาง
บริหารราชการแผนดิน การแพทยทางเลือกวาดวยการออก
(27 มี.ค. 2561)
พ.ศ. 2535 มาตรา 32 หนังสือรับรองหมอพื้นบาน
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555
*** (จํานวน 44 จังหวัด; ณ 14 ก.ค. 2558)
จัดทํา (ราง) ระเบียบ
กระทรวงสาธารณสุข วาดวยการอนุญาตใหบุคคล
ทางการประกอบโรคศิลปะโดยอาศัย
* พระราชบัญญัติคุมครองและสงเสริมภูมิปญญาการแพทยแผนไทย พ.ศ. 2542 ความรูการแพทยพื้นบานไทย ****
** พระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 มาตรา 33(1) (ค)
*** พระราชบัญญัติวิชาชีพการแพทยแผนไทย พ.ศ. 2556
**** พระราชบัญญัติสุขภาพแหงชาติ พ.ศ. 2550 การสงเสริมและพัฒนาการแพทย
***** พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแหงชาติ พ.ศ. 2545 พื้นบานระดับสาธารณสุขมูลฐาน
(PHC ➡ กองทุนสุขภาพตําบล)*****
ภาพที่ 2.3 แนวทางการประเมินและรับรองสถานภาพ หมอพื้นบ้านเพื่อส่งเสริมและพัฒนาในระบบ
การขับเคลื่อนงานแต่ละด้าน ประกอบด้วยประเด็นย่อยที่มีความส�ำคัญต่อการพัฒนางานการแพทย์
พื้นบ้านดังนี้
1. การพัฒนาด้านนโยบาย มีการขับเคลื่อนใน 6 ประเด็น ที่เกิดความรู้เชิงประจักษ์ ที่มีความส�ำคัญต่อ
การสร้างและพัฒนากลไก รองรับการฟื้นฟูและส่งเสริมการแพทย์พื้นบ้านในระบบสุขภาพชุมชนดังนี้
ประเด็น 1.1 การพัฒนากฎหมายและกฎระเบียบทีเ่ กีย่ วข้อง การรับรองการแพทย์พนื้ บ้านในระดับวิชาชีพ
ตามพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 มาตรา 33 (1)(ค) โดยใช้การประเมินจากความรู้ความ
สามารถและการอุทิศตนในการดูแลสุขภาพในชุมชน ปัจจุบันมีจ�ำนวน 165 คน และการรับรองหมอพื้นของแต่ละ
จังหวัด โดยอาศัยระเบียบกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2555 ปัจจุบันมี
จ�ำนวน 2,742 คน ในพื้นที่ 44 จังหวัด ดังภาพที่ 2.3
ประเด็น 1.2 การจัดการความรู้หมอพื้นบ้านโดยความร่วมมือของสถานบันอุดมศึกษาที่มีการเรียน
การสอนแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้ประสานความร่วมมือกับ 19 สถาบัน
รวบรวมองค์ความรู้หมอพื้นบ้าน 1,550 คน ในพื้นที่ 35 จังหวัด 5 ภูมิภาค สนับสนุนงบประมาณโดย กองทุน
ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยจัดกลุ่มหมอพื้นบ้านตามความช�ำนาญได้ 7 กลุ่ม คือ (1) หมอนวดพื้นบ้าน (2) หมอ
รักษาอัมพฤกษ์ อัมพาต (3) หมอรักษากระดูกหัก (4) หมอเด็กและสตรี (5) หมอยาสมุนไพร (6) หมอรักษา
อาการทางผิวหนัง และ (7) หมอรักษาสัตว์พิษกัดและงูกัดจากการท�ำงานดังกล่าว ท�ำให้สถาบันการศึกษาได้พัฒนา
แผนงานด้านการจัดการเรียนรูต้ อ่ เนือ่ ง เช่น การน�ำต�ำรับยาหมอพืน้ บ้านในการดูแลแผลเบาหวานโดยมีหมอพืน้ บ้าน
รักษาร่วมกัน และการส่งข้อมูลให้นายทะเบียนจังหวัด เพื่อใช้ประโยชน์ในการรับรองหมอพื้นบ้าน เป็นต้น
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้ด�ำเนินการและสนับสนุนการรับรองสิทธิหมอพื้นบ้าน
2 รูปแบบ คือ
รูปแบบที่ 1 การรับรองสิทธิทางกฎหมายของหมอพื้นบ้านแบบวิชาชีพโดยคณะกรรมการวิชาชีพสาขา
การแพทย์แผนไทย
รูปแบบที่ 2 การรับรองสิทธิหมอพื้นบ้านแบบมีส่วนร่วมของชุมชนภายใต้ ระเบียบกรมพัฒนาการ
แพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกว่าด้วยการออกหนังสือรับรองหมอพื้นบ้าน ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2555 โดย
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก หรือส�ำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติ
หมอพื้นบ้านที่ดี มีคุณธรรมและยังให้การดูแลรักษาจนเป็นที่ยอมรับของคนในชุมชนภายใต้หลักการการกระจาย
อ�ำนาจ และการมีส่วนร่วม รายละเอียดจะได้กล่าวต่อไป
สรุปการขับเคลื่อนงานด้านนโยบายทั้ง 5 ประเด็นข้างต้นมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันเพื่อให้เกิดความรู้
และข้อมูลเชิงประจักษ์ที่จะผลักดันงานต่อไปด้วยฐานความรู้
2.1 ผลการจัดการความรู้
(1) เกิดนวัตกรรมด้านวิธีวิทยาการวิจัยทางคลินิก กรณีหมอพื้นบ้านรักษากระดูกหัก โดยความร่วมมือ
ของอาจารย์ที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและเครือข่ายนักวิจัย 14 กรณี 9 จังหวัด พัฒนาเครื่องมือ
และวิธีการประเมินผลการรักษาของหมอพื้นบ้าน
(2) เกิดชุดความรู้ ส�ำหรับการขับเคลื่อน ด้านนโยบายการแพทย์พื้นบ้าน 5 ชุด เช่น การรับรอง
สถานภาพหมอพื้นบ้าน พัฒนากฎหมายและกฎระเบียบ เกณฑ์การประเมินและการรับรองสถานภาพ หมอพื้นบ้าน
การพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาในการจัดการความรู้หมอพื้นบ้าน พัฒนารูปแบบศูนย์เรียนรู้
การแพทย์พื้นบ้านไทย
(3) เกิดชุดความรู้ “การแพทย์พื้นบ้าน” จากการจัดการความรู้และการวิจัย 8 ชุด พัฒนาและจัดท�ำคู่มือ
แนวทางปฏิบัติงานการแพทย์พื้นบ้าน ส�ำหรับเจ้าหน้าที่ 8 ชุด และจัดท�ำคู่มือส�ำหรับประชาชน เกี่ยวกับสมุนไพร
และผักพื้นบ้าน ส�ำหรับดูแลสุขภาพ 8 ชุด
(4) พัฒนาฐานข้อมูลองค์ความรู้ หมอพื้นบ้านในระบบดิจิทัลภายใต้โครงการพัฒนาระบบสารสนเทศ
องค์ความรู้ดิจิทัลภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยของประเทศไทย (Thai Traditional Digital Knowledge Library:
TTDKL) จ�ำนวน 4,000 ราย
2.2 การน�ำไปใช้
(1) การออกแบบการท�ำงาน การจัดการความรู้แบบมีส่วนร่วม เช่น การวิจัยปฏิบัติการเพื่อท้องถิ่น
(Community-based Action research) การวิจัยและพัฒนา (Research and Development) การวิจัย
การวิจัยในงานประจ�ำ (Routine to Research: R to R) ทุกการท�ำงานให้เกิดการเรียนรู้ระหว่างทีมวิจัย ทีมงาน
สหวิชาชีพกับหมอพื้นบ้าน มีผลการท�ำงานได้เรียนรู้ภูมิปัญญาหมอพื้นบ้านเชิงประจักษ์ เกิดความเข้าใจระหว่าง
กันหลายกรณี การพัฒนา การบูรณาการ การดูแลรักษาสุขภาพในพื้นที่ต่อเนื่อง เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ
ต�ำบลส�ำโรงโคกเพชร จังหวัดสุรินทร์ เทศบาลต�ำบลโคกม่วง จังหวัดพัทลุง มีการดูแลสุขภาพมารดาหลังคลอดร่วม
กับหมอพื้นบ้าน เป็นต้น
(2) ภาพลักษณ์ต่อตนเองของหมอพื้นบ้าน “มีความภูมิใจ” ที่เจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพให้การยอมรับ
การออกหนังสือรับรองหมอพื้นบ้านของเจ้าหน้าที่ ท�ำให้รู้สึกว่า “เขาไม่ใช่หมอเถื่อน”
(3) เกิดรูปแบบความร่วมมือ ระหว่างเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพกับหมอพื้นบ้านร่วมกันดูแลสุขภาพ ตาม
ศักยภาพของหมอพื้นบ้านหลายลักษณะ เช่น เชิญหมอพื้นบ้านร่วมรักษาในโรงพยาบาล โรงพยาบาลส่งเสริม
สุขภาพต�ำบล มีระบบส่งต่อผู้ป่วยระหว่างหมอพื้นบ้านกับโรงพยาบาล
2.3 การขับเคลื่อนภารกิจด้านนโยบาย
(1) สถานการณ์ด้านกฎหมายและกฎหมายว่าด้วยการรับรองสิทธิหมอพื้นบ้านทั้งระดับวิชาชีพและระดับ
ท้องถิ่น
(2) การด�ำเนินการเรือ่ งกองทุนสุขภาพพืน้ ที่ (กองทุนสุขภาพต�ำบล) ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
(3) ผลการรับรองหมอพืน้ บ้าน ระดับวิชาชีพ 165 คน และรับรองสถานภาพในระดับพืน้ ที่ จ�ำนวน 2,742
คน ในพื้นที่ 44 จังหวัด ดังภาพที่ 2.4
3. สรุปภาพรวม
3.1 การฟื้นฟูและส่งเสริมการใช้ประโยชน์ของการแพทย์ดั้งเดิมในระบบสุขภาพขององค์การอนามัยโลก
(World health Organization: WHO) จากการมีการจัดท�ำยุทศาสตร์การพัฒนาที่ชัดเจนพร้อมกับการเรียกร้อง
ให้ประเทศสมาชิกได้น�ำใช้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวในการท�ำงาน เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากความรู้ภูมิปัญญาของ
การแพทย์ดั้งเดิมในประเทศสมาชิก บูรณาการการดูแลสุขภาพประชาชนได้อย่างปลอดภัยด้วยแนวคิดสุขภาพแบบ
องค์รวม (Holistic Health) และมีผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง
3.2 บทเรียนและประสบการณ์การขับเคลื่อนงาน การแพทย์พื้นบ้านของไทย จากการท�ำงานที่กล่าวข้าง
ต้น ยืนยันให้เห็นถึง บทบาท การด�ำรงอยู่ของการแพทย์พื้นบ้าน ในการมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพชุมชน ทั้งใน
ระดับชุมชน (Community) และการบูรณาการดูแลสุขภาพในระบบสุขภาพระดับปฐมภูมิ และทุตยิ ภูมิ (Integration
with Primary Care and Secondary Care)
3.3 ประเด็นการด�ำเนินการทีผ่ า่ นมาของไทย ทัง้ ด้านนโยบาย และประเด็นสุขภาพ มีความส�ำคัญต่อการ
ขับเคลือ่ นภายใต้กรอบแนวความคิดการท�ำงาน มีความสัมพันธ์เชือ่ มโยงกันทัง้ ระบบ ตามแผนภาพที่ 2 ทีค่ รอบคลุม
3 ประเด็นหลักคือ (1) ทิศทางการใช้ประโยชน์ในระบบสุขภาพ (2) ความเข้าใจธรรมชาติหรือสภาวะของภูมิปัญญา
การแพทย์พื้นบ้าน และ (3) กระบวนการจัดการความรู้จากการปฏิบัติงาน
3.4 หมอพื้นบ้าน คือปัจจัยส�ำคัญ เพราะเป็นความรู้ในตัวบุคคล (Tacit knowledge) ที่ประกอบด้วย
วิถีคิด วิถีปฏิบัติการดูแลสุขภาพประชาชน ที่ต้องใช้กระบวนการจัดการความรู้ เพื่อรวบรวมจัดระบบ สร้างความรู้
ใหม่จากการปฏิบัติการให้แสดงผลเชิงประจักษ์ ดังนั้น การพัฒนาให้มีกฎระเบียบ กฎหมาย รองรับ “หมอพื้นบ้าน”
ทั้งในระดับ “วิชาชีพ” และ “ระดับพื้นที่” แบบมีส่วนร่วม จะเป็นกลไกให้หมอพื้นบ้านได้มีส่วนในการดูแลสุขภาพ
ประชาชนด้วยภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน ซึ่งรวมถึงทรัพยากรและเทคโนโลยีท้องถิ่นที่ง่าย ประหยัด ประชาชน
เข้าถึงได้ อันเป็นหัวใจส�ำคัญของการดูแลสุขภาพด้วยวิถีที่พอเพียง ชุมชนสามารถพึ่งตนเอง จัดการตนเองได้
อันเป็นหลักประกันของความมั่นคงของระบบสุขภาพชุมชน
เอกสารอ้างอิง
1. Jutthaphutti A. Health service system and education system of Traditional medicine in ASEAN.
Bangkok: Translate from Traditional Medicine and Health Care Coverage; 2012.
2. Jutthaphutti A. WHO congress on traditional medicine 6-9 November 2008 Beijing, China. Nonthaburi:
Department for Thai Traditional and Alternative Medicine, Ministry of Public Health; 2008.
3. Bureau of Sanatorium and of Healing, Department of Health Service Support, Ministry of Public
Health. The Practice of the art of Healing Act B.E. 2542 (1999). Bangkok: Royal Gazette: The war
Veterans Organization of Thailand Press; 2009.
4. Central Registrar’s office, Department of Health Service Support, Ministry of Public Health. Bureau
of protection of Thai traditional medicine wisdom and herb. [Internet]. 2010. [cited 2010 Dec
21]. Available from: http://ptmk.dtam.moph.go.th/reg/summary.
5. Gerard BK, Gemma BF. Traditional, complementary and alternative medicine: policy and public
health perspectives. London: Imperial College Press; 2007.
6. Legal Division, Department for Thai Traditional and Alternative Medicine, Ministry of Public Health.
The Protection and promotion of traditional Thai medicine wisdom Act B.E. 2542 (1999) and
Related Laws. Bangkok: The Agricultural Co-operative Federation of Thailand Press; 2009.
7. Office of the national Economics and Social Development Board. 2006. Estimated cost for
education and public health in five years’ time. [Internet]. 2006. [cited 2009 Jul 20]. Available
from http://www.ssnet.doae.go.th/ssnet2/knowledgebase/KB_NOK/Ex_Health/index.html.
8. Thai Traditional Medicine Working Group, Department for Development of Thai Traditional and
Alternative Medicine, Ministry of Public Health. Thai Traditional Medicine. Bangkok: the express
transportation organization of Thailand Press (ETO);…
9. Yu Yan Ren Ke. Medicine and health care among Chinese ethnic minorities. China: China
Intercontinental Press; 2006
10. กมลทิพย์ สุวรรณเดช. บันทึกภูมปิ ญ ั ญาหมอพืน้ บ้าน ภาคใต้. กรุงเทพฯ: กองการแพทย์พนื้ บ้าน กรมพัฒนาการแพทย์
แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข; 2555
11. ฉันทนา กระภูฤทธิ์, วนิดา ขุมแร่, ภัททิรา ทองศรี, มนตรี ด�ำรงศักดิ์, ธนิดา ขุนบุญจันทร์, สิริลดา พิมพา, และคณะ,
รายการการศึกษา เรื่อง ประสิทธิผลของหมอพื้นบ้านในการรักษาไหล่ติดทางคลินิก กรณีศึกษาหมอสุนทร นิ่มน้อม.
กรุงเทพฯ: กองการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข;
2557.
12. ชัชวาล ชูลา, วุฒิชัย พระจันทร์ และสุวิไล วงศ์ธีรสุต. ภูมิปัญญาพื้นบ้าน: ศักยภาพชุมชนบ้านโคกสวาย ในการ
คุ้มครองและประโยชน์เพื่อดูแลสุขภาพ. กรุงเทพฯ: กองการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและ
การแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข; 2552.
13. ดารณี อ่อนชมจันทร์ และเสาวณีย์ กุลสมบูรณ์. การนวดพื้นบ้านไทย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: กองการแพทย์
พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข; 2552.
14. ดารณี อ่อนชมจันทร์. แนวทางส�ำหรับผู้ปฏิบัติงานการดูแลสุขภาพแม่และเด็กด้วยภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน.
กรุงเทพฯ: กองการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข;
2554.
15. ดารณี อ่อนชมจันทร์. องค์ความรู้โต๊ะบิแด (หมอต�ำแย) ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้. กรุงเทพฯ: กองการแพทย์พื้นไทย
บ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข; 2550.
16. ธนิดา ขุนบุญจันทร์. สมุนไพรพื้นบ้านลดความเสี่ยง โรคเบาหวาน ตามภูมิปัญญาของหมอพื้นบ้าน. กรุงเทพฯ:
กองการแพทย์พื้นไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข; 2554
17. ธนิ ด า ขุ น บุ ญ จั น ทร์ . สมุ น ไพรพื้ น บ้ า นลดความเสี่ ย ง โรคมะเร็ ง ตามภู มิ ป ั ญ ญาของหมอพื้ น บ้ า นกรุ ง เทพฯ:
กองการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกระทรวงสาธารณสุข; 2554.
18. ธนิดา ขุนบุญจันทร์. สมุนไพรพื้นบ้านลดความเสี่ยง โรคหัวใจและหลอดเลือด ตามภูมิปัญญาของหมอพื้นบ้าน.
กรุงเทพฯ: กองการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข;
2554.
19. ธนิดา ขุนบุญจันทร์. เห็ดเป็นยา เพื่อสุขภาพ ตามภูมิปัญญาของหมอพื้นบ้าน. กรุงเทพฯ: กองการแพทย์พื้นบ้านไทย
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข; 2554.
20. ธนิดา ขุนบุญจันทร์. เห็ดเป็นอาหาร เพือ่ สุขภาพ ตามภูมปิ ญ ั ญาของหมอพืน้ บ้าน. กรุงเทพฯ: กองการแพทย์พนื้ บ้านไทย
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกระทรวงสาธารสุข; 2554.
21. ธนิดา ขุนบุญจันทร์. เห็ดเศรษฐกิจ เพือ่ สุขภาพ ตามภูมปิ ญ ั ญาของหมอพืน้ บ้าน. กรุงเทพฯ: กองการแพทย์พนื้ บ้านไทย
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกระทรวงสาธารสุข; 2554.
22. ธนิดา ขุนบุญจันทร์, ฉันทนา กระภูฤทธิ์, สิริลดา พิมพา, กฤษณะ คตสุข, อาภากร เตชรัตน์, ละเอียด ปานทอง,
และคณะ. คูม่ อื หมอพืน้ บ้านในการรักษาผูป้ ว่ ยกระดูกหักและการฟืน้ ฟูสภาพผูป้ ว่ ยหลังการรักษา. กรุงเทพฯ: กองการ
แพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข; 2557.
23. ธนิ ด า ขุ น บุ ญ จั น ทร์ , ฉั น ทนา กระภู ฤ ทธิ์ , สิ ริ ล ดา พิ ม พา, กฤษณะ คตสุ ข , นภั ส กร คงไทย, และคณะ.
รายงานการศึกษา เรื่อง ประสิทธิผลของหมอพื้นบ้านในการรักษาผู้ป่วยกระดูกหัก. กรุงเทพฯ: กองการแพทย์
พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข; 2557.
24. ธนิดา ขุนบุญจันทร์, ฉันทนา กระภูฤทธิ์, สิริลดา พิมพา, กฤษณะ คตสุข, นภัสกร คงไทย, และคณะ. ประสิทธิผล
ของหมอพื้นบ้านในการรักษาผู้ป่วยกระดูกหัก. นนทบุรี กองการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย
และการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข; 2557.
25. ธนิดา ขุนบุญจันทร์, สิริลดา พิมพา, ฉันทนา กระภูฤทธิ์, อาภากร เตชรัตน์, ละเอียด ปานทอง, อาทิตย์ กระออมแก้ว
และคณะ. รายงานการวิจัยการศึกษาสถานการณ์การใช้ภูมิปัญญาหมอพื้นบ้านในการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง. กรุงเทพฯ:
กองการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข; 2557.
26. ปัฐยาวดี แจงเชือ้ , และภราดร สามสูงเนิน. ภูมปิ ญ ั ญาพืน้ บ้าน: ศักยภาพชุมชนชากไทย ในการคุม้ ครองและประโยชน์
เพื่อดูแลสุขภาพ. กรุงเทพฯ: กองการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
กระทรวงสาธารณสุข; 2552.
27. ภราดร สามสูงเนิน และคณะ. ครอบครัวฉัน รู้ทันโรคเบาหวาน. กรุงเทพฯ: กองการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนา
การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข; 2553.
28. ภราดร สามสูงเนิน และวรพจน์ ภูจ่ นิ ดา. คูม่ อื ประกอบระเบียบกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
ว่าด้วยการออกหนังสือรับรองหมอพื้นบ้าน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555. กรุงเทพฯ: กองการแพทย์พื้นบ้านไทย
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข; 2555.
29. ภราดร สามสูงเนิน และสมัคร สมแวง. บันทึกภูมิปัญญาหมอพื้นบ้าน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. กรุงเทพฯ:
กองการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข; 2555.
30. รัชนี จันทร์เกษ, ปารณัฐ สุขสุทธิ์, มาลี สิทธิเกรียงไกร, วรรณา จารุสมบูรณ์, และสุพัตรา สันทนานุการ. เรียนรู้และ
เข้าใจหมอพืน้ บ้าน. กรุงเทพฯ: กลุม่ งานการแพทย์พนื้ บ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
กระทรวงสาธารณสุข; 2548.
31. รุจินาถ อรรถสิษฐ และคณะ. แนวทางการดูแลสุขภาพผู้ป่วยเบาหวาน ด้วยภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านส�ำหรับ
ผู้ปฏิบตั ิงาน. กรุงเทพฯ: กองการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวง
สาธารณสุข; 2553.
32. รุจินาถ อรรถสิษฐ, เสาวณีย์ กุลสมบูรณ์ และอรจิรา ทองสุกมาก. รูปแบบการใช้ภูมิปัญญาโต๊ะบิแด ในการดูแล
สุขภาพแม่และเด็กในชุมชนและภาครัฐ. กรุงเทพฯ: กองการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและ
การแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข; 2550.
33. รุจนิ าถ อรรถสิษฐ. การดูแลรักษาโรคเบาหวาน ด้วยภูมปิ ญ ั ญาการแพทย์พนื้ บ้าน. กรุงเทพฯ: กองการแพทย์พนื้ บ้านไทย
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข; 2553.
34. รุจินาถ อรรถสิษฐ. ผักพื้นบ้านและอาหารพื้นบ้าน มิติสุขภาพและเศรษฐกิจชุมชน. กรุงเทพฯ: กองการแพทย์
พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข; 2554.
35. วิชัย โชควิวัฒน และสันติสุข โสภณสิริ. พ่อหนานอินสม สิทธิตัน หมอไทยดีเด่นแห่งชาติ พ.ศ. 2557 กรุงเทพฯ:
คณะกรรมการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพแห่งชาติ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
กระทรวงสาธารณสุข; 2557.
อนาคตการวิจัยต�ำรับยาแผนไทย
1. ความเป็นมา หลักการและเหตุผล
ปัจจุบันกระแสของความนิยมด้านการใช้สมุนไพรและการแพทย์ดั้งเดิมมีแนวโน้มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลประเทศไทยได้ให้ความส�ำคัญด้านงานการแพทย์แผนไทย
และสมุนไพรไทยเพิ่มมากขึ้นมาโดยตลอด รวมทั้งการให้บริการแพทย์แผนไทยในระบบบริการของกระทรวง
สาธารณสุขทีส่ ามารถเบิกจ่ายจากระบบประกันสุขภาพตามสิทธิประโยชน์ของส�ำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 เป็นแรงสนับสนุนให้เกิดการจัดบริการแพทย์แผนไทยและการใช้ยาจากสมุนไพร เพิ่ม
มากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งไปกว่านั้นจากรายงานสมุนไพรไทย แพทย์แผนไทย ในชีวิตคนไทย ปี 2557 ส�ำรวจความเห็น
5,800 ครัวเรือนทั่วประเทศพบว่า ร้อยละ 80 ของกลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่งว่ายาแผนไทยสามารถน�ำมาใช้
รักษาอาการระยะแรกได้และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาได้อย่างมาก ในทางตรงกันข้ามงานวิจัยหลายชิ้น
แสดงให้เห็นว่า บุคลากรทางการแพทย์แผนปัจจุบนั กลับไม่มคี วามมัน่ ใจต่อการใช้ยาแผนไทยและเห็นว่าควรมีขอ้ มูล
การวิจัยทางคลินิกที่น่าเชื่อถือมากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยมองว่าความรู้ด้านสมุนไพรและการแพทย์แผนไทย
ยังคงกระจัดกระจาย อีกทัง้ ขาดข้อมูลยืนยันทางวิชาการถึงสรรพคุณของยาแผนไทยในการรักษาโรค สะท้อนให้เห็น
ถึงการส่งต่อข้อมูลและช่องว่างของการวิจัยของสมุนไพรและการแพทย์แผนไทย
ประเทศไทยมีการด�ำเนินการศึกษาสถานการณ์งานวิจัยด้านสมุนไพรและการแพทย์แผนไทยหลายระยะ
สะท้อนให้เห็นปริมาณงานวิจยั ทีเ่ กีย่ วข้องมีจำ� นวนเพิม่ มากขึน้ อย่างต่อเนือ่ ง ประเภทงานวิจยั ทีม่ ปี ริมาณการท�ำวิจยั
สูงสุดคือ งานวิจัยทางด้านสมุนไพรและต�ำรับยาคิดเป็นอัตราส่วนมากกว่าร้อยละ 50 ส่วนงานวิจัยด้านอื่น ๆ เช่น
งานวิจัยเชิงระบบ งานวิจัยด้านองค์ความรู้และการวินิจฉัยตามแนวการแพทย์แผนไทย ยังมีปริมาณน้อย อีกทั้งจาก
รายงานสถานการณ์งานวิจัยด้านสมุนไพรของ วัจนา ตั้งความเพียร และคณะปี 2559 ที่สรุปว่างานวิจัยสมุนไพร
ไทยกระจุกตัวอยู่ที่งานวิจัยพื้นฐาน แต่กลับไม่เอื้อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพสมุนไพร ขณะที่การวิจัยประยุกต์ที่มุ่ง
วิจัยสมุนไพรเพื่อใช้ประโยชน์ทางคลินิกยังมีปริมาณน้อยและกระจัดกระจายไม่เชื่อมต่อกับรายการสมุนไพรที่มีการ
ศึกษาฤทธิ์พื้นฐานไว้แล้ว ท�ำให้การพัฒนาสมุนไพรไม่สามารถสนับสนุนให้เกิดการส่งต่อไปถึงผู้บริโภค หรือใช้เพื่อ
การรักษาโรคทางคลินิกได้อย่างแท้จริง สะท้อนถึงภาพของใหญ่ของประเทศที่การวิจัยด้านสมุนไพรและแพทย์แผน
ไทยไม่ครบห่วงโซ่ ขาดการส่งต่อ และขาดการท�ำงานวิจยั แบบทีมทีบ่ รู ณาการความเชีย่ วชาญระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ
หากพิจารณาจากห่วงโซ่ของการพัฒนายาจากสมุนไพรอาจมีกระบวนการขัน้ ตอนทีเ่ กีย่ วข้องมากมายได้แก่
(1) การวิจัยพื้นฐาน (Ethnomedicinal research, Phytochemistry research, Physiochemistry
research, Pharmacognostic research) การวิจัยเพื่อจัดท�ำมาตรฐานวัตถุดิบและการวิจัยทางพรีคลินิก (งานวิจัย
ทางพิษวิทยาและงานวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา)
2. นโยบายและสถานการณ์ปัจจุบัน
จากการทีร่ ฐั บาลมีนโยบายผลักดันให้เกิดการพัฒนาสมุนไพรไทยและการแพทย์แผนไทย ซึง่ เป็นภูมปิ ญ ั ญา
และทรัพยากรที่ส�ำคัญของประเทศสามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัย และสามารถ
สร้างมูลค่าเพิม่ ให้แก่ยาและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร สร้างความสามารถในการแข่งขัน เป็นทีย่ อมรับในระดับชาติและ
ระดับสากล จึงเป็นที่มาของแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560-2564 เพื่อ
ให้เกิดการพัฒนาสมุนไพรไทยทั้งระยะต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ซึ่งจะน�ำไปสู่การส่งออกวัตถุดิบสมุนไพร
ที่มีคุณภาพ ตลอดจนยาและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรในระดับชั้นน�ำของภูมิภาคอาเซียน อันจะน�ำมาซึ่งรายได้แก่
ประเทศอย่างมหาศาลก่อให้เกิดความมั่นคง และความยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ การวิจัยและนวัตกรรมถือ
เป็นกลไกส�ำคัญในการขับเคลื่อนการด�ำเนินการดังกล่าวรวมถึงท�ำให้ประเทศสามารถปรับตัวรองรับผลกระทบที่
จะเกิดขึ้นจากกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก สอดคล้องกับกระทรวงสาธารณสุขมียุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี
ด้านสาธารณสุข ประกอบได้ด้วยยุทธศาสตร์ความเป็นเลิศ 4 ด้าน โดยมีแผนงานเรื่องการเน้นการพัฒนางาน
วิจัย และนวัตกรรมด้านสุขภาพตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกที่
ส�ำคัญ คือ จ�ำนวนต�ำรับยาแผนไทยแห่งชาติที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญา
การแพทย์แผนไทย และจ�ำนวนงานวิจยั สมุนไพร/งานวิจยั การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกทีน่ ำ� มาใช้จริง
ทางการแพทย์ หรือการตลาด
โดยภาพรวมของการวิจัยทางสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก
แสดงให้เห็นทิศทางการวิจัยกว่าร้อยละ 70 มุ่งเน้นไปที่ตัวผลิตภัณฑ์ อาทิเช่น ยา และเวชภัณฑ์ เป็นต้น โดยงาน
วิจยั ทางด้านสมุนไพรและต�ำรับยาคิดเป็นอัตราส่วนมากกว่าร้อยละ 50 งานวิจยั ทางการแพทย์แผนไทยก็มที ศิ ทางไป
ในแนวเดียวกันและมีงานวิจยั ทีเ่ กีย่ วข้องกับระบบบริการประมาณร้อยละ 18 โดยงานวิจยั ทีเ่ กีย่ วข้องกับการอภิบาล
ระบบ การเงินและค่าใช้จ่าย รวมไปถึงด้านก�ำลังคนยังมีปริมาณน้อยซึ่งไม่แตกต่างจากสถานการณ์เดิมที่รายงาน
การวิจัยอื่น ๆ ระบุไว้
ด้านกลุ่มอาการและโรคที่ได้รับความสนใจในการท�ำวิจัยทางการแพทย์แผนไทย อาการปวดโดยเฉพาะ
อย่างยิ่งกล้ามเนื้อและข้อเป็นอาการล�ำดับแรกที่มีการวิจัยยืนยันมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการนวดลดอาการ
ปวดกล้ามเนื้อในต�ำแหน่งต่าง ๆ และการใช้ยาสมุนไพรต�ำรับเพื่อบรรเทาอาการปวดข้อเข่า ขณะที่อาการ/โรค
ในระบบสืบพันธ์ได้รับความสนใจเป็นล�ำดับรองลงมา ซึ่งในกลุ่มนี้มีทั้งการนวดและประคบกระตุ้นน�้ำนม การ
นวดเพื่อให้มดลูกเข้าอู่ รวมไปถึงการใช้ยาสมุนไพรต�ำรับกระตุ้นน�้ำนม และการขับน�้ำคาวปลาในหญิงหลังคลอด
เป็นต้น ส่วนในล�ำดับ 3, 4 และ 5 มีสัดส่วนของการท�ำวิจัยไม่ต่างกันมากนัก ได้แก่ การวิจัยแพทย์แผนไทยกับ
อาการ/โรคในระบบประสาท อาทิเช่น การนวดฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง การนวดลดอาการชาในผู้ป่วย
เบาหวาน การวิจยั แพทย์แผนไทยกับโรคมะเร็งซึง่ เป็นการวิจยั ยาสมุนไพรต�ำรับเพือ่ ใช้รกั ษาผูป้ ว่ ยมะเร็งทัง้ หมด และ
ล�ำดับที่ห้าคือ การวิจัยแพทย์แผนไทยกับอาการ/โรคระบบต่อมไร้ท่อ เป็นการวิจัยยาสมุนไพรต�ำรับกับการรักษา
เบาหวาน อย่างไรก็ดี หัวข้อการวิจัยยังคงมีลักษณะกระจัดกระจาย ซึ่งอาจมีส่วนท�ำให้งานวิจัยแพทย์แผนไทยเกือบ
ทั้งหมดไม่มีผล (Impact) ในการเปลี่ยนแปลงสังคมมากนัก อีกทั้งถูกระบุจากบุคลากรทางการแพทย์ส่วนใหญ่ว่า
ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่มากพอ ทว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นปรากฏการณ์
ที่สอดคล้องกันในหลายประเทศทั่วโลก
ขั้นตอนการวิจัยการแพทย์แผนไทย
ขั้นตอนการวิจัยทางการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ดั้งเดิมเป็นสิ่งที่มีการถกเถียงมาโดยตลอด เนื่อง
ด้วยองค์ความรู้ทางการแพทย์ดั้งเดิมมีพื้นฐานปรัชญาของการรักษาบ�ำบัดผู้ป่วยที่แตกต่างจากปรัชญาและการ
วิเคราะห์ของการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างมาก กล่าวคือ การแพทย์ดั้งเดิมมักจะมุ่งเน้นการวิเคราะห์โรคและความ
เจ็บป่วยจากหลายระบบพร้อมกัน (องค์รวม) ขณะที่การแพทย์แผนปัจจุบันเน้นการแยกส่วนและการวิเคราะห์โรค
แบบเฉพาะเจาะจง เป็นผลให้เกิดการตั้งค�ำถามว่า ขั้นตอนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดของแพทย์แผน
ปัจจุบันจะสามารถน�ำมาใช้ในการวิจัยกับการแพทย์ดั้งเดิมได้ดีเพียงไร จ�ำเป็นต้องมีการสังเคราะห์ขั้นตอนการวิจัย
พร้อมล�ำดับขั้นตอนการวิจัยที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสามารถน�ำมาใช้ประโยชน์กับการวิจัยทาง
การแพทย์ดั้งเดิมได้
จากรายงานของ Kenji Watanabe และคณะ กล่าวถึงสถานการณ์และกระบวนการวิจัยทางการแพทย์
ดั้งเดิมของญี่ปุ่นหรือ“Kampo Medicine” ว่าด้วยกรอบกระบวนการวิจัยทางคลินิกในปัจจุบันท�ำให้การศึกษา
วิ จั ย ทางคลิ นิ ก ของยาแคมโปถู ก วิ เ คราะห์ ต ามกรอบความคิ ด ของการวิ นิ จ ฉั ย โรคตามแนวคิ ด ของการแพทย์
แผนปัจจุบนั ซึง่ เมือ่ น�ำผลการศึกษาวิจยั ยาแคมโประหว่างปี ค.ศ. 1986-2008 มีงานวิจยั ทางคลินกิ ของยาแคมโปทัง้
สิ้น 320 รายงาน จากฐาน Cochrane, PubMed และ ICHUSHI (Japan Medical Abstracts Society) เมื่อ
สกัดข้อจ�ำกัดต่าง ๆ ออกไปท�ำให้เหลืองานวิจยั ทางคลินกิ จ�ำนวน 135 รายงาน น�ำเข้าสูก่ ระบวนการวิเคราะห์ พบว่า
มีขนาดของกลุ่มตัวอย่างแตกต่างกันสูงมากคือ จาก 4 คน ถึง 2,069 คน ซึ่งมากกว่า 2 ใน 3 ของการวิจัย
ทางคลินิกมีจ�ำนวนอาสาสมัครน้อยกว่า 100 คน และคุณภาพของงานวิจัยเกือบทั้งหมดจัดอยู่ในระดับคุณภาพต�่ำ
อีกทั้งเมื่อแบ่งการวิจัยตามการวินิจฉัยโรคของการแพทย์แผนปัจจุบัน พบว่า โรคที่ได้รับการศึกษาวิจัยมีความ
กระจัดกระจายอย่างมาก และที่ส�ำคัญที่สุดคณะผู้วิจัยระบุว่า ไม่มีงานวิจัยชิ้นใดเลยที่ระบุการรักษาด้วยยาแคมโป
ตามหลักการวินิจฉัยโรคตามแนวคิดของการแพทย์แคมโป ทั้งหมดเป็นการวิจัยยาแคมโปตามแนววินิจฉัยโรคของ
การแพทย์แผนปัจจุบัน มีเพียงงานวิจัยชิ้นเดียวที่มีการใช้ยาแคมโป 7 สูตร ดังนั้นผู้วิจัยจึงสรุปว่า กระบวนการวิจัย
ทางคลินกิ ทีเ่ ป็นมาตรฐานของการวิจยั ในปัจจุบนั อาจไม่ใช่วธิ กี ารวิจยั ทีเ่ หมาะสมทีส่ ดุ กับการแพทย์แคมโป เนือ่ งจาก
การแพทย์แคมโปมีการวินิจฉัยผู้ป่วยที่เฉพาะรายและแตกต่างออกไป กล่าวคือ แม้ว่าผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่า
จากตารางที่ 2.2 จะเห็ น ว่ า ข้ อ เท็ จ จริ ง และสภาวะแวดล้ อ มของการแพทย์ ดั้ ง เดิ ม และการแพทย์
แผนปัจจุบันมีความแตกต่างกัน การแพทย์ดั้งเดิมมักเป็นสิ่งที่ใช้กันอยู่กว้างขวางและมีมานานในชุมชนหรือ
สังคมหนึ่ง ๆ ขณะที่การแพทย์แผนปัจจุบันเกิดขึ้นจากทฤษฎีและสมมติฐานซึ่งเป็นเหตุเป็นผลแสดงให้เห็นกลไก
ความสัมพันธ์ได้ ดังนั้นการตั้งค�ำถามเพื่อการประเมินการแพทย์ทั้งสองแบบจึงแตกต่างกัน กล่าวคือ การแพทย์แผน
ปัจจุบันจึงจัดการทดลองเพื่อทดสอบประสิทธิผลและความปลอดภัยตามทฤษฎีที่คิดขึ้น ขณะที่การแพทย์ดั้งเดิม
เป็นการประเมิน เพื่อบอกประสิทธิภาพและความปลอดภัยของเครื่องมือดังกล่าวในสถานการณ์ที่เป็นจริงมากกว่า
ในรายงานฉบับเดียวกันเสนอขั้นตอนการด�ำเนินการทางวิจัยทางคลินิกของการแพทย์ดั้งเดิมดังแสดงใน
ตารางที่ 2.3 คณะผู้วิจัยเสนอให้มีการเริ่มต้นกระบวนการวิจัยโดยรวบรวม ส�ำรวจข้อมูลและทบทวนวรรณกรรม
พื้นฐาน อาทิเช่น การศึกษาทางพฤกษศาสตร์พื้นบ้าน รายงานกรณีศึกษา ฯลฯ จากนั้นจึงด�ำเนินการประมวล
ข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพเบื้องต้นในกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดเล็กโดยมีข้อบ่งใช้ที่ชัดเจน ซึ่งอาจจะ
ใช้กระบวนการศึกษาแบบสังเกตการณ์และติดตามผลไปข้างหน้าหรือจะเป็นการศึกษาน�ำร่องและวิจัยทดลองแบบ
สุ่มและมีกลุ่มควบคุมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่เป็นไปได้ จากนั้นจึงเริ่มท�ำการศึกษาเปรียบเทียบทั้งประสิทธิภาพ ความ
ปลอดภัย และการถ่ายทอดเพื่อการน�ำไปใช้ประโยชน์โดยเสนอให้ศึกษาวิจัยในหลายสถานที่พร้อมกัน จากนั้นจึง
ค่อยเป็นการศึกษาวิจัยเพื่อลงลึกถึงการตอบค�ำถามเรื่องกลไกการออกฤทธิ์หรือเติมเต็มความรู้พื้นฐานอื่น ๆ หากยัง
ขาดอยู่และจึงมีการติดตามความปลอดภัยของการใช้การแพทย์ดั้งเดิมในระยะยาว
นอกจากนี้มีรายงานการสังเคราะห์แนวทางการวิจัยยาจากสมุนไพรในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการแพทย์
ดั้งเดิมจากประเทศสมาชิกในอาเซียน กล่าวคือ เสนอการศึกษาวิจัยเป็น 2 ขั้นตอนใหญ่ ๆ คือ
1) การศึกษาวิจัยการน�ำไปใช้ประโยชน์ (Study of use pattern) อาทิเช่น การศึกษาการใช้ประโยชน์
แบบพฤกษศาสตร์พนื้ บ้านหรือการศึกษาแนวระบาดวิทยาเพือ่ เห็นทีม่ าทีไ่ ปของการน�ำสมุนไพรดังกล่าวมารักษาโรค
เป็นต้น
2) การศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัย (Study of safety and efficacy) ซึ่งหากเป็นกลุ่มยา
สมุนไพรต�ำรับดั้งเดิม ควรเริ่มต้นการศึกษาจากการสังเกตการณ์ก่อนแล้วจึงตามด้วยการวิจัยทางคลินิกโดยสามารถ
เริ่มที่การวิจัยทางคลินิกระยะที่ 2 ได้เลย ขณะที่หากเป็นยาสมุนไพรเดี่ยวอาจจ�ำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่การวิจัยทางพรี
คลินิก ไปสู่การวิจัยทางคลินิกระยะที่ 1 และ 2 เรื่อยไปตามล�ำดับขั้น รายละเอียดในภาพที่ 2.7
การสังเคราะห์ขั้นตอนการวิจัยการแพทย์แผนไทย
การแพทย์แผนไทยจัดเป็นการแพทย์ดงั้ เดิมของประเทศไทย ซึง่ มีแนวคิดและปรัชญาในการรักษาคล้ายคลึง
กับการแพทย์ดงั้ เดิมของประเทศอืน่ ๆ กล่าวคือ เป็นการแพทย์ทมี งุ่ เน้นการรักษาเฉพาะราย มีแนวทางการวิเคราะห์
ความเจ็บป่วยแบบเฉพาะโดยแพทย์แผนไทยใช้สมุฏฐานวินิจฉัยเป็นที่ตั้งแห่งโรค ในการรักษา ทางการแพทย์
แผนไทยจะไม่ใช้ยาเดี่ยวในการรักษาโรคแต่มักจะใช้ยาในรูปของต�ำรับยา (มีสมุนไพรหลายตัวในหนึ่งต�ำรับ) โดย
ในทางเวชปฏิบัติแผนไทยจะมีการปรับยาและเครื่องยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน ดังนั้น จึงเผชิญปัญหาแบบ
เดียวกันกับการแพทย์ดั้งเดิมอื่นในกระบวนการและขั้นตอนการวิจัยทางคลินิก เพราะหากประเมินประสิทธิผลของ
ยาสมุนไพรต�ำรับตามกรอบวินิจฉัยโรคแบบแพทย์แผนปัจจุบัน อาจยังผลให้ไม่สามารถยืนยันประสิทธิผลของยา
สมุนไพรต�ำรับนั้น ๆ ครอบคลุมตามองค์ความรู้เดิมได้จริง
การสังเคราะห์ขั้นตอนการวิจัยทางการแพทย์แผนไทยโดยน�ำเอาข้อมูลจากการทบทวนวรรณกรรมร่วม
กับการอภิปรายจากผู้ทรงคุณวุฒิและการอภิปรายของทีมวิจัย และข้อมูลสถานการณ์เป็นปัจจัยน�ำเข้าหลักในการ
น�ำเสนอขั้นตอนการวิจัยทางการแพทย์แผนไทยพร้อมทดลองด�ำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลตามขั้นตอนที่ก�ำหนดขึ้น
จากนั้ น คณะผู้วิจัยจึงมีก ารอภิปรายและตกผลึ ก ข้ อ สรุ ปร่ วมกั นสาระที่ ส อดคล้ อ งกั นกั บรายงาน การวิ จั ย ใน
ต่างประเทศที่กล่าวถึงขั้นตอนการวิจัยทางการแพทย์ดั้งเดิมดังนี้
1. การแพทย์แผนไทยเป็นการแพทย์แบบองค์รวมที่มีการวิเคราะห์ผู้ป่วยแบบเฉพาะรายการจ่ายยา
สมุนไพรไทยในรูปของต�ำรับ เป็นการสั่งจ่ายรายบุคคลจึงจะมีประสิทธิผล ดังนั้นกระบวนการวิจัย จึงไม่ควรวัดแค่
ผลจากยาต�ำรับยา แต่ควรต้องมีกระบวนการทางเวชกรรมไทยประกอบอยู่ในหลักการด้วย
2. การวัดผลหรือปัจจัยที่ถูกวัด (Parameter) ซึ่งเป็นผลจากการรักษาด้วยการแพทย์แผนไทย อาจจะ
เป็นการรักษาด้วยยาสมุนไพรต�ำรับ การนวดไทย ฯลฯ ไม่ควรวัดแค่ตัวชี้วัดที่เป็นวัตถุวิสัย (Objective) ตามมาตร
วัดของการแพทย์แผนปัจจุบันเพียงอย่างเดียว ควรต้องมีมาตรวัดที่เป็นอัตวิสัย (Subjective) ด้วย
3. การแพทย์แผนไทยหรือการแพทย์พื้นบ้านเป็นการแพทย์ที่มีอยู่หรือคงอยู่ในสังคมมาและถูกน�ำมาใช้
ประโยชน์เป็นระยะเวลานานแล้ว ไม่ใช่สงิ่ ทีถ่ กู สร้างขึน้ มาใหม่ ดังนัน้ กระบวนการวิจยั ทีม่ งุ่ เน้นการอธิบายเพือ่ สือ่ สาร
ให้เกิดความเข้าใจทั้งต่อการแพทย์ดั้งเดิมนั้น ๆ ความเป็นอยู่ของชุมชน และวัฒนธรรมที่อิงอาศัยประโยชน์จากการ
รักษาดังกล่าว ยังเป็นสิ่งจ�ำเป็น
4. การท�ำงานวิจัยแค่มุ่งกระโดดไปวัดผลลัพธ์ของการรักษาที่เป็นวัตถุวิสัยภายใต้กรอบการวินิจฉัยโรค
ทางการแพทย์แผนปัจจุบัน อาจไม่ใช่ค�ำตอบที่ดีส�ำหรับการแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้านไทย
ดั ง นั้ น จากเวที อ ภิ ป รายของผู ้ ท รงคุ ณ วุ ฒิ ร ่ ว มกั บ การอภิ ป รายท� ำ ให้ เ กิ ด ข้ อ เสนอต่ อ กรอบแนวทาง
และขั้นตอนการด�ำเนินการวิจัยทางการแพทย์แผนไทย ดังแสดงในภาพที่ 2.8
Socio-cultural study
การวิจัยเชิงพรรณนาที่อธิบายถึงที่มาและที่ไปของการรักษา
Outcome assessment
การศึกษาที่เนนการวัดผลการรักษา เปนการประเมินผลลัพธจากการใหการรักษา
Post-marketing surveillance
การติดตามและรายงานความปลอดภัยของการรักษานั้น ๆ
ในระยะยาวอยางเปนระบบ
ห่วงโซ่อย่างง่ายของการวิจัยการแพทย์แผนไทยเปรียบเทียบกับการวิจัยสมุนไพรทั้งระบบจากข้อมูล
สถานการณ์งานวิจัยและขั้นตอนการวิจัยการแพทย์แผนไทย ข้อเสนอดังแสดงในภาพที่ 2.9
ภาพที่ 2.9 แสดงห่วงโซ่อย่างง่ายของการวิจัยทั้งการแพทย์แผนไทยและการวิจัยยาจากสมุนไพร โดย
แบ่งระยะของห่วงโซ่เป็น 4 ระยะ กล่าวคือ หากเป็นการวิจัยยาจากสมุนไพร ห่วงโซ่อย่างง่ายของการวิจัยยาจาก
สมุนไพรประกอบด้วย การวิจัยทางเกษตรและตัวสมุนไพร การวิจัยในมนุษย์ การวิจัยทางการตลาด และการวิจัย
ในกลุ่มผู้บริโภค กล่าวคือ การวิจัยต้นน�้ำที่เกี่ยวกับพืชตั้งแต่การปลูก การเก็บเกี่ยว จัดท�ำและการควบคุมคุณภาพ
และมาตรฐาน จนถึงการศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิผลในสัตว์ จากนั้นจึงเข้าสู่ระยะที่ 2 ที่เป็นการทดลอง
ทางคลินิกซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การท�ำวิจัยทางคลินิกระยะที่ 1 ถึง 3 จากนั้นจึงเป็นการน�ำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด
และมีการติดตามผลของการใช้ ซึ่งคือ การวิจัยทางคลินิกระยะที่ 4 จากนั้นจึงไปสู่การวิจัยที่สัมพันธ์กับความ
ต้องการทางการตลาด (การวิจัยระยะที่ 5) อาทิเช่น ความต้องการของกลุ่มอุตสาหกรรม, โรค/ความเจ็บป่วยใน
อนาคตที่สมุนไพรน่าจะช่วยได้ เป็นต้น ขณะที่หากเป็นการวิจัยทางการแพทย์แผนไทยหรือต�ำรับยา การวิจัยทั้ง 4
ระยะประกอบด้วยการวิจัยพื้นฐาน, การวิจัยทางคลินิก, การวิจัยบริการ และการวิจัยเชิงระบบโดยจุดเริ่มต้นของ
การวิจยั พืน้ ฐานทีก่ ล่าวถึงการวิจยั ทางสังคมและวัฒนธรรมทีเ่ ล่าถึงความเป็นมาของกระบวนการรักษาดัง้ เดิมนัน้ อัน
จะครอบคลุมทัง้ มิตขิ องความเชือ่ สุขภาพ ความเป็นอยูใ่ นชีวติ ประจ�ำวัน และการใช้ประโยชน์จากการรักษาดัง้ เดิมนัน้
จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการรายงานความปลอดภัยและประโยชน์ที่สังเกตเห็นจากการใช้จริงในชุมชนจัด
เป็นการบริการรูปแบบหนึง่ ซึง่ อาจอยูใ่ นสถานบริการทางการแพทย์หรือไม่กไ็ ด้ จากนัน้ จึงเข้าสูก่ ระบวนการประเมิน
ผลลัพธ์ทางคลินกิ ซึง่ ควรครอบคลุมทัง้ มิตทิ เี่ ป็นวัตถุวสิ ยั และอัตวิสยั ขัน้ ตอนต่อไป จึงเป็นการท�ำงานวิจยั ทีพ่ ฒ
ั นาการ
บูรณาการกระบวนการรักษาดั้งเดิมนั้นเข้าสู่ระบบริการของประเทศ ท้ายที่สุด จึงเป็นการศึกษาวิจัย เชิงระบบทั้ง
ด้านการเงิน ก�ำลังคน และระบบข้อมูลที่จ�ำเป็น ซึ่งหากวิเคราะห์ถึงการลงทุนด้านการวิจัย ในสภาพการณ์ปัจจุบัน
สะท้อนให้เห็นว่า หากเป็นการวิจยั ยาจากสมุนไพรเดีย่ วจะมีการลงทุนเยอะมากในส่วน ต้นทางของการวิจยั ในระยะ
ยกลางทางและปลายทางจะเริม่ ทยอยลดลงเรือ่ ย ๆ เนือ่ งจากโอกาสทีจ่ ะได้ยาใหม่จากกระบวนการวิจยั สมุนไพรนัน้ มี
3. สภาพปัญหา/ข้อจ�ำกัดและโอกาสในการพัฒนา
ประเด็นแรก อาจกล่าวถึง ปัญหามาตรฐานการด�ำเนินการศึกษาวิจัยต�ำรับยาแผนไทย ซึ่งเป็นผลเนื่อง
มาจากยังไม่มหี ลักเกณฑ์ทดี่ ใี นการวิจยั และการติดตามตรวจสอบการด�ำเนินการวิจยั ทีเ่ ป็นมาตรฐานเดียวกัน และส่ง
ผลต่อความน่าเชื่อถือของข้อมูลทั้งทางด้านประสิทธิผลและความปลอดภัยของต�ำรับยาไทย อันเนื่องมาจากปรัชญา
และการวิเคราะห์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ขั้นตอนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ตามแนวคิดของแพทย์แผน
ปัจจุบนั จึงอาจไม่สามารถน�ำมาใช้ในการวิจยั กับการแพทย์ดงั้ เดิมได้ อีกทัง้ รวมไปถึงงานวิจยั ด้านอืน่ ๆ เพือ่ ให้ครบห่วง
โซ่ทสี่ ามารถน�ำงานวิจยั ไปใช้ได้จริงมักไม่ได้ถกู ด�ำเนินการ ไม่วา่ จะเป็นการวิจยั เชิงระบบ บุคลากรหรือนโยบาย เป็นต้น
ประการทีส่ อง คือ ปัญหามาตรการทางกฎหมายทีใ่ ช้ในการควบคุมยา เนือ่ งจากการจัดประเภทของยาเป็น
แผนปัจจุบนั และแผนโบราณรวมทัง้ หลักเกณฑ์การขึน้ ทะเบียนต�ำรับยาไม่เอือ้ อ�ำนวยต่อการน�ำยาทีว่ จิ ยั และพัฒนาใน
ประเทศมาผลิตและจ�ำหน่ายเท่าทีค่ วร การขึน้ ทะเบียนต�ำรับยาแผนไทยหรือยาแผนโบราณยังท�ำได้ยากและใช้ระยะ
เวลาค่อนข้างนาน นอกจากนี้การน�ำยาแผนโบราณมาท�ำเป็นผลิตภัณฑ์แบบใหม่ ๆ เช่น สูตรยาน�้ำมันส�ำหรับนวด
ซึ่งเดิมวิธีใช้คือ นวด ชุบ หรือ พอก พอน�ำมาบรรจุขวดเป็นสเปรย์อัดแก๊ส ให้มีรูปแบบที่ทันสมัย ก็ไม่สามารถขึ้น
ทะเบียนยาแผนโบราณได้ ต้องขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนปัจจุบันที่มีส่วนผสมของสมุนไพร เป็นต้น
อย่างไรก็ดี โอกาสในการแก้ไขมีอยู่มากเนื่องจากทั้งกระแสสุขภาพของประชาชนในปัจจุบัน และรัฐบาล
มีนโยบายชัดเจนในการสนับสนุนการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรเต็มรูปแบบ ปัญหาประการแรก อาจต้องมีการ
น�ำเสนอหลักเกณฑ์ ขัน้ ตอนการด�ำเนินการส�ำหรับงานวิจยั ต�ำรับยาแผนไทย ดังทีก่ ล่าวมาแล้วข้างต้น ให้เป็นมาตรฐาน
เดียวกันและประกาศแก่คณะกรรมการที่พิจารณางานวิจัยซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่จบมาทางด้านแผนปัจจุบันจึงอาจไม่มี
ความเข้าใจในยาแผนไทยมากพอ ให้ได้รับทราบและมีแนวทางในการพิจารณาโครงการวิจัยต่าง ๆ เพื่อเอื้อต่อการ
พัฒนางานวิจัยที่มีคุณภาพตามหลักวิชาการ น�ำไปสู่ผลการศึกษาที่มีความน่าเชื่อถือ เห็นถึงประสิทธิผลและความ
ปลอดภัยของต�ำรับยาอย่างชัดเจน ก่อนส่งต่อไปยังฝ่ายรับขึน้ ทะเบียนยา เพือ่ ให้เป็นต�ำรับของชาติ สามารถขยายผลสู่
ระบบบริการสาธารณสุขได้อย่างกว้างขวาง ซึง่ ในประเด็นทีส่ องเอง ทางส�ำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
ที่เป็นหน่วยงานหลักในการรับขึ้นทะเบียนยา อาจจ�ำเป็นต้องมีการปรับแก้กฎหมายหรือ ผ่อนปรนการขึ้นทะเบียน
ต�ำรับยาแผนไทยและแผนโบราณให้มีความรวดเร็วขึ้น แต่กฎเกณฑ์การพิจารณาในเรื่องของความปลอดภัย ความ
คุม้ ครองต่อประชาชนก็ยงั ต้องมีอยูเ่ ช่นเดิม จึงจะสามารถท�ำให้งานวิจยั ต�ำรับยาแผนไทยมีอนาคตต่อไปได้อย่างยัง่ ยืน
เอกสารอ้างอิง
1. Bodeker G, Ong CK, Grundy C, Burford G, Shine K. WHO Global Atlas of Traditoional, Complementary
and Alternative Medicine. World Health Organization: Switzerland. 2005.
2. ส�ำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. คูม่ อื บริหารงบกองทุนพัฒนาระบบการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าปีงบประมาณ 2554. กฤช ลี่ทองอิน, บรรณาธิการ. กรุงเทพมหานคร: บริษัท
สหมิตรพริ้นติ้งแอนด์พับลิสชิ่ง จ�ำกัด; 2553.
3. มิ่งสรรพ์ ขาวสะอาด และ ณัฏฐาภรณ์ เลียมจรัสกุล. สมุนไพรไทย แพทย์แผนไทย ในชีวตคนไทย. ส�ำนักงานกองทุน
สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. เชียงใหม่: ล๊อคอินดีไซน์เวิร์ค; 2557.
4. อรุณพร อิฐรัตน์ และคณะ. ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจใช้สมุนไพรและการดูแลแพทย์แผนไทยของแพทย์
แผนปัจจุบนั ในโรงพยาบาล. เสนอต่อแผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะทีด่ ี (นสธ.) สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 2557.
5. คัคนางค์ โตสงวน และคณะ. ความเห็นของบุคลากรสาธารณสุขต่อยาจากสมุนไพรและนโยบายส่งเสริมการใช้ยาจาก
สมุนไพรในสถานบริการสาธารณสุข. วาสารวิจัยระบบสาธารณสุข. ปีที่ 5 ฉบับที่ 4 ต.ค.-ธ.ค. 2554.
6. วัจนา ตั้งความเพียร และคณะ. (ร่าง) รายงานสถานการณ์งานวิจัยด้านสมุนไพร: เอกสารประกอบการประชุมการ
จัดท�ำแผนกลยุทธ์งานวิจัยด้านการแพทย์แผนไทย 5 ปี ระหว่างวันที่ 28-29 กรกฎาคม 2559 ณ โรงแรมบางแสน
เฮอร์ริเทจ. เอกสารอัดส�ำเนา. สถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก:
กรุงเทพมหานคร.
7. Pathak N. Reverse pharmacology of Ayurvedic drugs includes mechanisms of molecular
actions. Journal of Ayurveda and Integrative Medicine 2011; 2(2): 49-50.
8. Joon SY. Reverse Pharmacology Applicable for Botanical Drug Development-Inspiration from the
Legacy of Traditional Wisdom. Journal of Traditional and Complementary Medicine 2011; 1(1):
5.
9. Langevin HM, Badger GJ, Povolny BK, et al. Yin scores and yang scores: a new method for
quantitative diagnostic evaluation in traditional Chinese medicine research. The Journal of
Alternative and Complementary Medicine 2004; 10(2): 389-395.
10. ส�ำนักข้อมูลและประเมินผล. รายงานการสาธารณสุขไทยด้านการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์
ทางเลือก 2554-2556. สมชัย นิจพานิช, บรรณาธิการ. พิมพ์ครั้งที่ 1. นนทบุรี: กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย.
2556.
11. Willow J.H.Liu, Editor. Traditional herbal medicine research methods.New Jersey: John & Sons;
2011.
12. Watanabe K, Matsuura K, Gao P, et al. Traditional Japanese Kampo Medicine: Clinical Research
between Modernity and Traditional Medicine-The State of Research and Methodological Suggestions
for the Future. Evidence-based Complementary and Alternative Medicine: eCAM. 2011; 2011:513842.
doi:10.1093/ecam/neq067.
13. Cardini F, Wade C, Regalia AL, et al. Clinical research in traditional medicine: Priorities and
methods. Complementary Therapies in Medicine 2006; 14 (4): 282-287..
14. มณฑกา ธีชัยสกุล, กฤษณ์ พงศ์พิรุฬห์ และคณะ. ขั้นตอนการวิจัยการแพทย์แผนไทย: ข้อเสนอและสถานการณ์
การวิจัยด้านการแพทย์แผนไทย, กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์พุ่มทอง; 2560.
ทิศทางการศึกษาเพื่อพัฒนาการแพทย์แผนไทยอย่างยั่งยืน
(ในระดับอุดมศึกษา)
1. ความเป็นมา หลักการและเหตุผล
อันด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้มีการก�ำหนดในมาตรา 55 “รัฐต้อง
ดําเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง เสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้
พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมคุณภาพ การป้องกันโรค ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาด้านแพทย์
แผนไทยให้เกิดประโยชน์สงู สุด” รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงได้มนี โยบายในการปฏิรปู
การแพทย์แผนไทย โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้เป็นหน่วยงานในการด�ำเนินการขับเคลือ่ น
การปฏิรูปใน 3 ประเด็น ประกอบด้วย ประเด็นด้านอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยเพื่อเศรษฐกิจ (herbal industry)
ระบบบริการการแพทย์แผนไทย (service) และระบบการศึกษาการแพทย์แผนไทย (education) ซึ่งประเด็นใน
การปฏิรปู การศึกษาการแพทย์แผนไทย มีแนวทางทีจ่ ะด�ำเนินการทัง้ หมด 5 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาปรับปรุงหลักสูตร
การแพทย์แผนไทยระดับปริญญาตรี การพัฒนาหลักสูตรเพิ่มพูนทักษะวิชาชีพแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนไทย
ประยุกต์ การพัฒนาแหล่งฝึกภาคปฏิบัติและประสบการณ์วิชาชีพ การพัฒนาต�ำราอ้างอิงมาตรฐาน (standard
textbook) ด้านการแพทย์แผนไทย และการพัฒนาระบบการศึกษาต่อเนื่อง
ในประเด็นด้านการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรการแพทย์แผนไทยระดับปริญญาตรี เป็นประเด็นที่ได้มี
การอภิปรายกันมาอย่างต่อเนื่องในกลุ่มเครือข่ายสถาบันการศึกษาทางการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนไทย
ประยุกต์ รวมถึงหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ยังคงมีหลายมุมมองในการหาแนวทางในการปรับปรุงหลักสูตร
การแพทย์แผนไทย ในสภาวะที่ระบบการศึกษานั้นเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์และสถานะของสังคมใน
ยุคปัจจุบนั ซึง่ มีการเปลีย่ นแบบพลวัต และสถาบันการศึกษาจะเดินหน้ายกระดับการจัดการศึกษาเพือ่ สร้างหมอไทย
4.0 ทีท่ นั โลก ทันสมัย และทันเทคโนโลยี ในทางการแพทย์แผนไทยนัน้ ได้อย่างไร อีกทัง้ จะเดินหน้ายกระดับหลักสูตร
การเรียนการสอนทางการแพทย์แผนไทยอย่างไร ให้ผลิตหมอไทยให้มีประสิทธิผลเชี่ยวชาญในศาสตร์บูรณาการ
องค์ความรู้สมัยใหม่ ท�ำงานในระบบสาธารณสุขอย่างมืออาชีพ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การปฏิรูปนั้นเกิดกระแสอย่าง
เป็นรูปธรรมและมีเวทีในการแลกเปลี่ยน รวมทั้งการรับฟังข้อคิดเห็นต่าง ๆ ดังนั้น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจึง
เห็นว่าควรมีการจัดประชุมวิชาการในประเด็นดังกล่าว เพื่อได้มีเวทีในการเสวนาแลกเปลี่ยนแนวความคิดจาก
หลากหลายภาคส่วนในวงกว้าง เพื่อได้มุมมองแนวความคิด ในการปฏิรูปการศึกษาทางการแพทย์แผนไทย
พร้อมทั้งเป็นการจุดประกายทางความคิดให้สถาบันการศึกษาได้แนวความคิดในการน�ำกลับไปพัฒนาหลักสูตรให้มี
คุณภาพทางวิชาการและวิชาชีพเพื่อสร้างหมอไทยที่มีคุณภาพสู่สังคม
2. นโยบายและมาตรการที่ด�ำเนินการปัจจุบัน
การด�ำเนินการโครงการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิต โดยกรมการแพทย์
แผนไทยและแพทย์ทางเลือก
ขั้นที่ 1 วันที่ 6 กรกฎาคม 2561
มีคำ� สัง่ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่ 883/2561 เรือ่ ง แต่งตัง้ คณะกรรมการและคณะ
ท�ำงานขับเคลื่อนการปฏิรูปการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ ปี 2561-2564 (คณะท�ำงาน โครงการ
พัฒนา ปรับปรุงหลักสูตรแพทย์แผนไทยบัณฑิต และเพิม่ พูนทักษะวิชาชีพแพทย์แผนไทย และโครงการพัฒนาแหล่ง
ฝึกภาคปฏิบัติของแพทย์แผนไทยฝึกหัด และแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพร่วมกับสถาบันอุดมศึกษา)
ขั้นที่ 2 วันที่ 22 มิถุนายน 2561
มีประชุมคณะท�ำงานโครงการพัฒนา ปรับปรุงหลักสูตรแพทย์แผนไทยบัณฑิตและเพิ่มพูนทักษะวิชาชีพ
แพทย์แผนไทย และโครงการพัฒนาแหล่งฝึกภาคปฏิบตั ขิ องแพทย์แผนไทยฝึกหัด และแหล่งฝึกประสบการณ์วชิ าชีพ
ร่วมกับสถาบันอุดมศึกษา ครั้งที่ 1/2561 มีข้อเสนอให้ขอข้อมูลสมรรถนะของบัณฑิตแพทย์แผนไทยที่ผู้ใช้บัณฑิต
ต้องการและให้สถาบันศึกษาร่วมระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางหรือร่างปรับปรุงโครงสร้างหลักสูตรที่เหมาะสม
ขั้นที่ 3 วันที่ 13 กรกฎาคม 2561
จัดประชุมหารือแนวทางการพัฒนาการจัดการศึกษาด้านการแพทย์แผนไทยเฉพาะกิจ ประเด็น “สมรรถนะ
แพทย์แผนไทยที่พึงประสงค์” ซึ่งมีผู้ใช้บัณฑิตในระบบสาธารณสุข เป็นตัวแทนจาก ผู้อ�ำนวยการโรงพยาบาลสอง
จังหวัดแพร่ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ส�ำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี ส�ำนักงานสาธารณสุข
จังหวัดสุราษฎร์ธานี โรงพยาบาลอู่ทอง โรงพยาบาลชลบุรี โรงพยาบาลสงขลา โรงพยาบาลวัฒนานคร มีข้อคิด
เห็นสรุปได้ดังนี้
1. แพทย์แผนไทยหลังจากจบการศึกษา และเข้าสู่การท�ำงานในสถานบริการสาธารณสุข พบว่ามีปัญหา
ในการสื่อสารเพื่อวางแผนการรักษาร่วมกันระหว่างแพทย์แผนไทยกับสหวิชาชีพอื่น เช่น ประสิทธิผลของหัตถาการ
และยาแผนไทยเพื่อใช้ดูแลผู้ป่วย
2. ปัญหาการขาดทักษะการดูแลผู้ป่วยใน (IPD) เนื่องจากหลักสูตรการศึกษาส่วนใหญ่มุ่งเน้นการ
ฝึกประสบการณ์วิชาชีพเฉพาะเวชปฏิบัติผู้ป่วยนอกเท่านั้น การเรียนการสอนแพทย์แผนไทยทั้ง 4 ยังไม่มีการ
พัฒนาแนวทางเวชปฏิบัติการแพทย์แผนไทยเกี่ยวกับผู้ป่วยในให้ชัดเจน ก่อนบรรจุเนื้อหาการดูแลผู้ป่วยในเข้าไป
ในหลักสูตรการแพทย์แผนไทย เนื่องจากการท�ำแนวทางเวชปฏิบัติในผู้ป่วยนอกที่ชัดเจนและน�ำร่องการดูแลรักษา
ผู้ป่วยอย่างมีระบบ รวมทั้งมีแนวทางการติดตามประเมินผลผู้ป่วยชัดเจน จะเป็นปัจจัยส�ำคัญในการจัดการเรียน
การสอนและการฝึกประสบการณ์การวิชาชีพในผู้ป่วยในได้
3. ปัญหาขาดองค์ความรู้ด้านยาแผนปัจจุบันและการอ่านผล การตรวจจากห้องปฏิบัติการ เนื่องจาก
ผู้ป่วยที่มีประวัติการรับยาแผนปัจจุบันบางตัวหรือมีโรคประจ�ำตัวอยู่ หากแพทย์แผนไทยจ�ำหน่ายยาแผนไทย
โดยมิทราบ Drug interaction ของยาแผนไทย และข้อห้าม/ข้อระวังของการใช้ยาแผนไทยในผูป้ ว่ ย ทีม่ โี รคประจ�ำตัว
จะท�ำให้เกิดปัญหาได้ เช่น การให้กลุ่มยารสร้อนในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง
4. การจัดบริการผดุงครรภ์แผนไทย พบว่าการดูแลมารดาระยะตั้งครรภ์ (ANC) ไม่สามารถประเมิน
มารดาและทารกในครรภ์ได้ และการดูแลระยะรอคลอดแพทย์แผนไทยไม่สามารถใช้ศกั ยภาพในการดูแลอาการปวด
ในระยะรอคลอดได้เต็มที่ เนื่องจากขาดประสบการณ์ในการบริบาล
5. เนื้อหาในหลักสูตรการแพทย์แผนไทยมีเนื้อหาการเรียนที่มีหลายส่วน แต่เรียนเฉพาะเนื้อหาพื้นฐาน
โดยไม่ได้ลงลึก จึงท�ำให้แพทย์แผนไทยมีองค์ความรู้ที่ไม่ลึกซึ้งตามไปด้วย
6. ด้านเวชกรรมไทย แพทย์แผนไทยส่วนใหญ่ขาดทักษะการตรวจ วินิจฉัย และรักษาโรคตามแนวทาง
การแพทย์แผนไทยอย่างแท้จริง แต่กลับใช้แนวทางการประเมินการรักษาด้วยแนวทางการแพทย์แผนปัจจุบัน เช่น
การดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง แพทย์แผนไทยไม่สามารถใช้ทฤษฎีการแพทย์แผนไทยในการประเมินอาการได้ แต่
กลับใช้การประเมิน ADL Index ในการประเมินผู้ป่วยซึ่งเป็นองค์ความรู้ในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน
7. แพทย์แผนไทยไม่ได้มคี วามรูเ้ กีย่ วกับ drug interaction ระหว่างยาแผนไทยและยาแผนปัจจุบนั มาก
พอจึงท�ำให้มีปัญหาในการจ่ายยาควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน
8. ขาดทักษะการบริการจัดการคลินิกและการบริหารโครงการพัฒนาแผนงานในชุมชน การดูแลสุขภาพ
ในชุมชน (community medicine) ซึ่งเป็นสิ่งส�ำคัญของแพทย์แผนไทยต้องน�ำไปใช้จริงในหน่วยบริการ
9. ประเด็นอาจารย์ผู้สอนด้านการแพทย์แผนไทยควรได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ ทักษะในการจัดการ
เรียนการสอน ในการเป็นอาจารย์เพื่อสามารถจัดการเรียนการสอนให้นักศึกษาแพทย์แผนไทยอย่างมีประสิทธิภาพ
สรุปสมรรถนะแพทย์แผนไทยที่พึงประสงค์ ดังนี้
ด้านเวชกรรมไทย
- ทักษะการตรวจประเมิน การรักษาผู้ป่วยนอก
- ความรู้ ทักษะการตรวจประเมินผู้ป่วยก่อนและหลังการรักษาด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย เช่น
การจับชีพจร
- ทักษะให้การรักษาด้วยการแพทย์แผนไทย
- ความรู้และทักษะการรักษาผู้ป่วยในร่วมกับสหวิชาชีพ
- ความรู้เกี่ยวกับระบบการท�ำงานในแผนกผู้ป่วยใน
- ความรู้ในการประเมินภาวะเสี่ยง ภาวะแทรกซ้อน ระดับความรุนแรงของโรคของผู้ป่วยใน เพื่อการ
ตัดสินใจในการรักษาด้านการแพทย์แผนไทยร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบัน
- ความรู้และทักษะการดูแลผู้ป่วยในด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย
- การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจประเมินผู้ป่วยและการให้การรักษาด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยแก่
สหวิชาชีพและผู้ป่วย เช่น หลักการและเหตุผลในการรักษาด้วยการนวด หรือจ่ายยาสมุนไพรแก่ผู้ป่วย
- ทักษะการวินิจฉัยแยกโรค
- การวินิจฉัยโรคโดยใช้ศาสตร์การแพทย์แผนไทย
- การเทียบเคียงโรคทางแผนปัจจุบัน
- ความรู้ ทักษะ เรื่องการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล
- ทักษะการประเมินผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อโรคติดต่อ เช่น โรคติดเชื้อ โรคติดต่อทางผิวหนัง ทางระบบ
หายใจ
- ความรู้และทักษะการอ่านผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการประเมินภาวะคนไข้
ใช้ประกอบการตัดสินใจในการให้การรักษาหรือส่งต่อผู้ป่วย
- ทักษะการคัดกรองภาวะความเสี่ยงทางคลินิก เพื่อการส่งต่อผู้ป่วย
- ทักษะการประเมินความรุนแรง/อาการ เพื่อส่งต่อผู้ป่วย
- ความรู้ ทักษะการใช้ความช่วยเหลือผู้ป่วยในภาวะวิกฤต (first aid)
กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก
- เสนอให้กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาแหล่งฝึก
ประสบการณ์วิชาชีพ
- เสนอให้กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกประสานความร่วมมือกับแหล่งฝึกประสบการณ์
วิชาชีพและสถาบันการศึกษาเพื่อก�ำหนดค่าตอบแทนแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพที่เป็นมาตรฐาน
เดียวกัน
อื่น ๆ
- สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของวิชาชีพแพทย์แผนไทยในระบบบริการสุขภาพของผู้ใช้บัณฑิต
ประเด็นการเพิ่มระยะเวลาหลักสูตรเป็น 5 ปี นั้น ที่ประชุมมีความเห็นว่าต้องมีความพร้อมก่อน ซึ่งจะ
ต้องพิจารณาปัจจัยอืน่ ๆ ให้รอบคอบว่าจะส่งผลกระทบอย่างไร และในการด�ำเนินการไม่ควรน�ำร่องใช้หลักสูตรเพียง
1-2 แห่งเท่านั้น แต่ควรได้รับความร่วมมือจากสถาบันทุกแห่ง โดยมีประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อนการตัดสินใจ เช่น
อัตราเงินเดือนจะเพิ่มขึ้นจากหลักสูตร 4 ปี หรือไม่ มีแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพที่มีความพร้อมจ�ำนวนเพียงพอ
ต่อการรับนักศึกษาหรือไม่ และการสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจะด�ำเนินการในช่วงปีการศึกษาที่ 4 หรือ 5
ทั้งนี้ เพื่อขับเคลื่อนงานในประเด็นการพัฒนาและปรังปรุงหลักสูตรการแพทย์แผนไทยระดับปริญญาตรี
ตามแผนการปฏิรูปการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทยเพื่อเศรษฐกิจด้านการแพทย์แผนไทยอย่างมีประสิทธิภาพ
ที่ประชุมมีความเห็นว่า ควรด�ำเนินการพัฒนาแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพและพัฒนาอาจารย์ผู้สอนเป็นอันดับ
แรกโดยขอให้กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกเป็นผู้ด�ำเนินการและเป็นผู้ประสานหลัก รวมถึงการสร้าง
ความเข้าใจเกีย่ วกับสมรรถนะวิชาชีพของแพทย์แผนไทยแก่ผใู้ ช้บณั ฑิต โดยสถาบันการศึกษาจะด�ำเนินการปรับสาระ
และวิธีการสอนให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ควบคู่กันไปด้วยเพื่อแก้ปัญหาการปฏิบัติงานของบัณฑิตแพทย์แผนไทย
ในเบื้องต้นและเตรียมความพร้อมส�ำหรับการพัฒนาหลักสูตรการแพทย์แผนไทยระดับปริญญาตรีในอนาคต
การแพทย์แผนไทย (service) และระบบการศึกษาการแพทย์แผนไทย (education) โดยประเด็นปฏิรูป
ด้านการศึกษาการแพทย์แผนไทย (education) เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงหลักสูตรการแพทย์แผนไทย การพัฒนา
ต�ำราอ้างอิงมาตรฐาน (standard textbook) ด้านการแพทย์แผนไทย ที่พัฒนาศูนย์การศึกษาต่อเนื่องด้านการ
แพทย์แผนไทย (CTME) และการพัฒนาแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพด้านการแพทย์แผนไทย และเนื่องจากใน
ระยะที่ผ่านมาผู้ใช้บัณฑิตสถานบริการสาธารณสุขทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ให้ข้อคิดเห็นถึงสมรรถนะของแพทย์
แผนไทยที่มีศักยภาพไม่เพียงพอ รวมถึงการฝึกประสบการณ์วิชาชีพด้านการแพทย์แผนไทยไม่มากเท่ากับวิชาชีพ
อื่นในระบบสุขภาพ เช่น แพทย์ และพยาบาลวิชาชีพ ท�ำให้บัณฑิตขาดทักษะในการท�ำงานร่วมกับวิชาชีพอื่น ๆ
ส่งผลให้แพทย์แผนไทย ขาดการยอมรับและเชื่อมั่นจากสหวิชาชีพ จึงเสนอแนวคิดในการจัดท�ำหลักสูตรการแพทย์
แผนไทยแนวใหม่ ก�ำหนดระยะเวลา 5 ปี ด�ำเนินการโดยมหาวิทยาลัย/สถาบันการศึกษา ซึ่งควรเพิ่มเติมเนื้อหาใน
ระดับ (Pre-Clinic) ได้แก่ การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ เช่น การตรวจเลือด (CBC, blood
sugar, LFT) การเอ็กซเรย์ การท�ำอัลตราซาวด์ และในระดับ clinic ได้แก่ การฝึกประสบการณ์วิชาชีพ การ
ตรวจวินิจฉัยสั่งการรักษาในแผนกผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน การดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วน การจัดบริการในคลินิก
ครอบครัว (primary care cluster) และการแพทย์พื้นบ้าน ซึ่งขึ้นอยู่กับที่ตั้งของมหาวิทยาลัย แต่อย่างไร
ก็ตามเห็นควรหารือกับคณะท�ำงานฯ เพื่อหาแนวทางพัฒนาหลักสูตรแพทย์แผนไทยที่มีคุณภาพ ส่งผลให้บุคลากร
การแพทย์แผนไทยสามารถปฏิบัติงานได้ตามสมรรถนะที่ต้องการ และเป็นที่ยอมรับของสหวิชาชีพโดยเน้นย�้ำ
ว่าการปรับปรุงหลักสูตรดังกล่าว มุ่งเน้นให้เกิดสมรรถนะทางการบริการเพิ่มมากขึ้น โดยเนื้อหาที่เพิ่มขึ้นมานั่น
อาจออกแบบหลักสูตรเพื่อสนองตอบการจัดการรูปแบบใหม่ เช่น primary care cluster หรือทักษะการดูแล
2. นโยบายและมาตรการที่ด�ำเนินการปัจจุบัน
จากการด�ำเนินการที่ผ่านมาของกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก รวบรวมประเด็นจากทั้ง
ผู้ใช้บัณฑิต และผู้ผลิตบัณฑิต ซึ่งเป็นข้อมูลในการปฏิรูปการศึกษาทางการแพทย์แผนไทย ซึ่งยังคงต้องด�ำเนินการ
การหาแนวทางในเชิงปฏิบตั นิ นั้ ต่อไป สถาบันการศึกษาจึงจ�ำเป็นอย่างยิง่ ทีจ่ ะต้องเข้ามาร่วมกันเสนอข้อคิดเห็นและ
แนวทางในการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรการแพทย์แผนไทย ซึง่ มหาวิทยาลัยแม่ฟา้ หลวงเห็นความส�ำคัญในการปฏิรปู
การศึกษาแพทย์แผนไทย จึงได้ร่วมในการจัดเสวนาในหัวข้อ ทิศทางการศึกษาเพื่อพัฒนาการแพทย์แผนไทยอย่าง
ยั่งยืน (ในระดับอุดมศึกษา) วันที่ 6 มีนาคม 2562 ณ ห้อง symposium 5 จะเป็นการร่วมเสวนาและแสดงความ
คิดเห็นจากผูเ้ ข้าร่วมประชุมในวงกว้างทีน่ อกเหนือจากคณะท�ำงาน ซึง่ จะเป็นประโยชน์ในการน�ำข้อมูลให้คณะท�ำงาน
ได้ใช้เป็นข้อมูลประกอบในการด�ำเนินงานต่อไป
3. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อการพัฒนาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนหลักสูตร
การแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ในระดับอุดมศึกษา
1. กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก มีพนั ธกิจในการพัฒนาวิชาการด้านการแพทย์แผนไทยและ
การแพทย์ทางเลือก โดยคุม้ ครอง อนุรกั ษ์และส่งเสริมภูมปิ ญั ญาการแพทย์แผนไทย ส่งเสริมและพัฒนาการจัดระบบ
ความรู้ และสร้างมาตรฐานด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกให้ทดั เทียมกับการแพทย์แผนปัจจุบนั และ
น�ำไปใช้ในระบบสุขภาพอย่างมีคณ ุ ภาพและปลอดภัย เพือ่ เป็นทางเลือกแก่ประชาชนในการดูแลสุขภาพ ซึง่ ในปี พ.ศ.
2561 มีคำ� สัง่ แต่งตัง้ คณะกรรมการและคณะท�ำงานขับเคลือ่ นการปฏิรปู การแพทย์แผนไทยและสมุนไพรเพือ่ เศรษฐกิจ
ปี 2561-2564 ซึ่งมีคณะท�ำงานโครงการพัฒนา ปรับปรุงหลักสูตรแพทย์แผนไทยบัณฑิต และเพิ่มพูนทักษะวิชาชีพ
แพทย์แผนไทย และโครงการพัฒนาแหล่งฝึกภาคปฏิบตั ขิ องแพทย์แผนไทยฝึกหัด และแหล่งฝึกประสบการณ์วชิ าชีพ
ร่วมกับสถาบันอุดมศึกษา
2. คณะกรรมการการอุดมศึกษา ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการส�ำนักงานคณะกรรมการการ
อุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 ข้อ 1 ก�ำหนดให้ส�ำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มีภารกิจ
เกี่ยวกับการจัดและส่งเสริมการศึกษาระดับอุดมศึกษาโดยค�ำนึงถึงความเป็นอิสระและความเป็นเลิศทางวิชาการ
ของสถานศึกษาระดับปริญญา โดยให้มีอ�ำนาจหน้าที่ในการจัดท�ำข้อเสนอนโยบายและมาตรฐานการอุดมศึกษาและ
แผนพัฒนาการอุดมศึกษารวมทัง้ ด�ำเนินงานด้านความสัมพันธ์ระดับอุดมศึกษากับต่างประเทศ จัดท�ำหลักเกณฑ์และ
แนวทางการสนับสนุนทรัพยากร และการจัดตั้ง จัดสรรงบประมาณอุดหนุนสถาบันอุดมศึกษาและวิทยาลัยชุมชน
ประสานและส่งเสริมการด�ำเนินงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และศักยภาพนักศึกษารวมทั้งผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส
และผู้มีความสามารถพิเศษในระบบอุดมศึกษาและประสาน ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่
และสนับสนุนการพัฒนาประเทศ เสนอแนะเกี่ยวกับการจัดตั้ง ยุบ รวม ปรับปรุง และยกเลิกสถาบันอุดมศึกษา
และวิทยาลัยชุมชน รวมถึงด�ำเนินการเกี่ยวกับการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการอุดมศึกษาตามที่
คณะกรรมการการอุดมศึกษามอบหมาย รวมทั้งการรวบรวมข้อมูลและจัดท�ำสารสนเทศด้านการอุดมศึกษา
3. สภาการแพทย์แผนไทย มีอ�ำนาจหน้าที่ ขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ขอเป็นผู้ประกอบ
วิชาชีพการแพทย์แผนไทย และผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ รับรองปริญญา ประกาศนียบัตร
หรือวุฒิบัตรในวิชาชีพการแพทย์แผนไทยของสถาบันต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการสมัครเป็นสมาชิก รับรองหลักสูตร
ส�ำหรับการฝึกอบรมเป็นผู้ช�ำนาญการในด้านต่าง ๆ ของวิชาชีพการแพทย์แผนไทยของสถาบันที่ท�ำการฝึกอบรม
ดังกล่าว เป็นต้น ซึง่ ในปัจจุบนั มีสถาบันทีผ่ า่ นการรับรองหลักสูตรแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนไทยประยุกต์ใน
ระดับอุดมศึกษา จ�ำนวนทั้งสิ้น 29 สถาบัน ประกอบด้วยสถาบันที่จัดการศึกษาระดับปริญญาหรือประกาศนียบัตร
เทียบเท่าปริญญา สาขาการแพทย์แผนไทย 19 สถาบัน และสถาบันทีจ่ ดั การศึกษาระดับปริญญาหรือประกาศนียบัตร
เทียบเท่าปริญญาสาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ 10 สถาบัน
ล�ำดับ สถาบันที่จัดการศึกษาระดับปริญญาสาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์
1 สถานการณ์แพทย์แผนไทยประยุกต์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
2 สถานการณ์แพทย์แผนไทยประยุกต์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
3 วิทยาลัยการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
4 คณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร มหาวิทยาลัยบูรพา
5 วิทยาลัยสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
6 ส�ำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
7 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
8 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
9 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
10 วิทยาลัยนานาชาติพระนคร มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
ล�ำดับ สถาบันที่จัดการศึกษาระดับปริญญาสาขาการแพทย์แผนไทย
1 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
2 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
3 คณะแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
4 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดยะลา สถาบันสมทบ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
5 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดชลบุรี สถาบันรวมผลิต มหาวิทยาลัยบูรพา
6 วิทยาลัยการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
7 คณะวิทยาการสุขภาพและการกีฬา มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง
8 คณะสาธารณสุขศาสตร์และสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยปทุมธานี
9 คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร
ล�ำดับ สถาบันที่จัดการศึกษาระดับปริญญาสาขาการแพทย์แผนไทย
10 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
11 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง
12 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรนิ ธร จังหวัดพิษณุโลก สถาบันสมทบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร
13 วิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุขกาญจนาภิเษก จังหวัดนนทบุรี สถาบันสมทบ มหาวิทยาลัย
เทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร
14 วิทยาลัยการแพทย์บูรณาการ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต
15 วิทยาลัยมวยไทยศึกษาและการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง
16 หลักสูตรการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
17 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
18 คณะแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
19 คณะแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
เอกสารอ้างอิง
1. สํานักงานศาลรัฐธรรมนูญ. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560. กรุงเทพฯ: บริษัท ธนาเพรส จํากัด;
2560.
2. ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่
10 (พ.ศ. 2550-2554). [ออนไลน์]. 2549 [6 มกราคม 2562]; ที่มา: http://www.nesdb.go.th/download/
article/article_20160323112418.pdf.
3. สภาการแพทย์แผนไทย. รายชื่อสถาบันที่จัดการศึกษาระดับปริญญาหรือประกาศนียบัตรเทียบเท่าปริญญา สาขา
การแพทย์แผนไทยทีส่ ภาการแพทย์แผนไทยรับรองตามพระราชบัญญัตวิ ชิ าชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2556. นนทบุร:ี
สภาการแพทย์แผนไทย; 2556.
4. สภาแพทย์แผนไทย. รายชือ่ สถาบันทีจ่ ดั การศึกษาระดับปริญญาหรือประกาศนียบัตรเทียบเท่าปริญญา สาขาการแพทย์
แผนไทยที่สภาการแพทย์แผนไทยรับรองตามพระราชบัญญัติวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ พ.ศ. 2556. นนทบุรี:
สภาการแพทย์แผนไทย; 2556.
5. กรมการแพทย์ แ ผนไทยและการแพทย์ ท างเลื อ ก. แต่ ง ตั้ ง คณะกรรมการและคณะท� ำ งานขั บ เคลื่ อ นการปฏิ รู ป
การแพทย์แผนไทยและสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ ปี 2561-2564. นนทบุรี: กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์
ทางเลือก; 2560.
6. กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. รายงานการประชุมหารือแนวทางการพัฒนาการจัดการศึกษาด้าน
การแพทย์แผนไทยเฉพาะกิจ “สมรรถนะแพทย์แผนไทยที่พึงประสงค์” ครั้งที่ 1/2561. 13 กรกฎาคม 2561; ห้อง
ประชุมกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. นนทบุรี: กรมการแพทย์แผนไทย
และการแพทย์ทางเลือก; 2561.
7. กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. รายงานการประชุมจัดประชุมหารือแนวทางการพัฒนาการจัดการศึกษา
ด้านการแพทย์แผนไทยเฉพาะกิจ ประเด็น “ร่าง แนวทางการพัฒนาหลักสูตรการแพทย์แผนไทยระดับปริญญาตรี
แนวใหม่” ครั้งที่ 1/2561. 24 กรกฎาคม 2561; ห้องประชุมสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและ
การแพทย์ทางเลือก; 2561.
8. กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. รายงานการประชุมจัดประชุมหารือแนวทางการพัฒนาการจัดการ
ศึกษาด้านการแพทย์แผนไทยเฉพาะกิจ ประเด็น “ร่าง แนวทางการพัฒนาหลักสูตรการแพทย์แผนไทยระดับปริญญาตรี
แนวใหม่” ครั้งที่ 2/2561. 27-28 สิงหาคม 2561; ห้องประชุมตักศิลา สถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ชั้น 7
อาคารปิยมหาราชการุณย์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
ผลกระทบของกรอบการเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วย
ทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับทรัพยากรพันธุกรรม
ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม
ต่อกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
ดร.ปวริศร เลิศธรรมเทวี
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง
การวางกรอบนโยบายทั้งสามประเด็นดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทยทั้งในเรื่องการเตรียม
ความพร้อม การก�ำหนดนโยบายและปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ตลอดจนการวางระบบบริหารจัดการภายในประเทศ
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกในฐานะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงมีความประสงค์ให้ท�ำ
การศึกษาวิจัยเพื่อศึกษากรอบการเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับทรัพยากร
พันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นและการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม เพื่อน�ำผลการศึกษามาใช้ประโยชน์ใน
การเตรียมความพร้อม การก�ำหนดนโยบายและมาตรการต่าง ๆ รวมทัง้ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายทีเ่ กีย่ วข้องรองรับ
ประเด็นดังกล่าว และในการศึกษาจ�ำเป็นต้องมีที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านกฎหมาย โดยเฉพาะ
กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา กฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายสิ่งแวดล้อม เข้ามาร่วมด�ำเนินการจึงจะท�ำให้
การด�ำเนินงานของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกบรรลุผลต่อไป จึงเป็นที่มาและความส�ำคัญของ
การศึกษาในครั้งนี้
2. กรอบกติการะหว่างประเทศที่ส�ำคัญ
2.1 กฎหมายสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ (International Environmental Law)
ความตกลงระหว่างประเทศที่ถือได้ว่ามีความส�ำคัญที่สุดเมื่อกล่าวถึงประเด็นเรื่องทรัพยากรพันธุกรรม
ภูมิปัญญาท้องถิ่นและการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิมคือ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยความหลากหลายทาง
ชีวภาพ ค.ศ. 1992 (United Nations Convention on Biological Diversity: CBD)[12] และเอกสารกฎหมาย
สิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศอีก 3 ฉบับ ได้แก่ พิธีสารนาโกยาว่าด้วยการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมและการแบ่ง
ปันผลประโยชน์ที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมที่เป็นธรรมและเท่าเทียม ค.ศ. 2010 (Nagoya Protocol on
Access to Genetic Resources and the Fair and Equitable Sharing of Benefits Arising from their
Utilization: Nagoya Protocol) สนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยทรัพยากรชีวภาพด้านพืชเพื่อการเกษตรและ
การอาหาร (International Treaty on Plant Genetic Resources for Food and Agriculture: ITPGRFA)[13]
และอนุสัญญาเพื่อต่อต้านการเกิดทะเลทรายในประเทศที่ประสบภัยแล้งรุนแรงและ/หรือการเกิดทะเลทราย
โดยเฉพาะในแอฟริกา ค.ศ. 1994 (United Nations Convention to Combat Desertification in Those
Countries Experiencing Serious Drought and/or Desertification, Particularly in Africa: UNCCD)[14]
2.1.1 อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ
อนุสญ ั ญา CBD มีบอ่ เกิดจากการประชุมสหประชาชาติวา่ ด้วยสิง่ แวดล้อมและการพัฒนา (United Nations
Conference on Environment and Development: UNCED) ในปี ค.ศ. 1992 ที่นครริโอ เดอ จาเนโร
ประเทศบราซิล[15] CBD ตราขึน้ เพือ่ ไปสูเ่ ป้าประสงค์ทสี่ ำ� คัญในการพัฒนาอย่างยัง่ ยืน (Sustainable Development)[16]
โดย CBD เป็นเอกสารกฎหมายระหว่างประเทศฉบับแรกของโลกที่มีสภาพบังคับ ที่ให้การรับรองสิทธิของชุมชน
ในส่วนที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ การสงวน การรักษาและการคุ้มครองทรัพยากรพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ
อาจกล่าวได้ว่า อนุสัญญา CBD จึงเปรียบเสมือนกับรัฐธรรมนูญของกฎหมายทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญา
ท้องถิ่นและการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม
สาระส�ำคัญของ CBD คือมีการรับรองหลักการเรื่องอ�ำนาจอธิปไตยแห่งรัฐเหนือทรัพยากรธรรมชาติ[17]
รัฐประชาคมจึงมีอ�ำนาจโดยชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศในการที่จะใช้ประโยชน์หรือจัดการทรัพยากร
ธรรมชาติภายในรัฐตนได้อย่างอิสระ หลักการดังกล่าวได้กลายมาเป็นจารีตประเพณีของกฎหมายระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม อ�ำนาจอธิปไตยเช่นว่านั้น อาจถูกจ�ำกัดในกรณีที่เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมในระดับรัฐประชาคมตาม
หลักการว่าด้วย “ความเป็นห่วงของมวลมนุษยชาติ”
ยิ่งกว่านั้น CBD ได้ให้การรับรองสิทธิของชุมชนเป็นครั้งแรก การรับรองสิทธิดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความ
ส�ำคัญแห่งสิทธิของชุมชนในฐานะเป็นผู้ใช้ทรัพยากรพันธุกรรม โดย CBD ได้รับรองและให้การคุ้มครองว่าชุมชน
พื้นเมืองและชุมชนในฐานะเป็นเจ้าของภูมิปัญญาท้องถิ่น เอกชนผู้ใดผู้หนึ่งจะเป็นเจ้าของมิได้ตามหลักการว่าด้วย
มรดกของมวลมนุษยชาติ CBD[18] ก�ำหนดหลักการส�ำคัญไว้หลายประเด็นเกี่ยวกับทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญา
ท้องถิ่นและการแสดงออกทางวัฒนธรรม ได้แก่ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยส�ำคัญ
ทีช่ ว่ ยส่งเสริมและรักษาสิง่ แวดล้อมอย่างยัง่ ยืน[19] การสนับสนุนเพือ่ ให้มกี ารใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและ
ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยัง่ ยืน โดยรัฐสมาชิกจะต้องด�ำเนินการก�ำหนดแนวนโยบายดังกล่าวตามพันธกรณี
ที่ CBD ได้วางไว้ และจะต้องเป็นไปในลักษณะที่ก่อให้เกิดการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง มาตรา 8(j) แห่งอนุสัญญาดังกล่าวได้บัญญัติไว้ว่า
ภาคีสมาชิก จะต้องให้ความเคารพ สงวนและรักษาภูมิปัญญา นวัตกรรม และ
แนวปฏิบัติของชนพื้นเมืองและชุมชนด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น วิถีชีวิตที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์และ
ใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน และสนับสนุนการต่อยอดองค์ความรู้ดังกล่าว เพื่อเกิดการแบ่งปัน
ผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม
ขอบเขตและสาระส�ำคัญการคุ้มครองดังกล่าวมีความเกี่ยวพันกับประเด็นเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น[20] และ
กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา อาทิ กฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช[21] กฎหมายคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์[22] อย่าง
ใกล้ชิด ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าวในวันที่ 29 มกราคม 2004 (พ.ศ. 2547) มีพันธกรณีภายใต้ CBD
ที่จะต้องปฏิบัติตามกรอบอนุสัญญา CBD โดยมีพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติ
คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 ตราขึ้นเพื่อรองรับพันธกรณีภายใต้ CBD
2.1.2 พิธีสารนาโกยา (Nagoya Protocol)
พิธีสารนาโกยาว่าด้วยการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพและการแบ่งปันผลประโยชน์จากความหลากหลายทาง
ชีวภาพอย่างเป็นธรรมและเที่ยงธรรม หรือ “พิธีสารนาโกยา” (Nagoya Protocol on Access to Genetic
Resources and the Fair and Equitable Sharing of Benefits Arising from the Biological Diversity:
Nagoya Protocol)[23] เป็นเอกสารอีกฉบับที่มีความส�ำคัญกับประเด็นการวิจัย โดยพิธีสารนาโกยาเป็นเอกสารที่
ก�ำหนดแนวทางในการปรับใช้หลักการของอนุสัญญา CBD ในภาคปฏิบัติในเรื่อง “การแบ่งปันผลประโยชน์จาก
ทรัพยากรชีวภาพ อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม” ซึ่งเป็น 1 ใน 3 หลักการและวัตถุประสงค์ส�ำคัญของ CBD
พิธีสารดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2014 และมีรัฐประชาคมให้สัตยาบัน 50 ประเทศ รวม
ทั้งประเทศไทยซึ่งร่วมลงนามตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ความส�ำคัญของพิธีสารนาโกยา คือการสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับแนวปฏิบัติว่าด้วยการ “เข้าถึงและ
แบ่งปันผลประโยชน์” เกี่ยวกับทรัพยากรชีวภาพอันเป็นหลักการที่รองรับใน CBD และ ITPGRFA ดังกล่าว
ข้างต้น พิธีสารดังกล่าวก�ำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่มีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยก�ำหนดให้รัฐสมาชิกด�ำเนินการใน
3 ประเด็นดังต่อไปนี้
ได้เคยให้การรับรองไว้ รวมตลอดทั้งให้ความส�ำคัญกับการแบ่งปันผลประโยชน์อันอาจจะเกิดจากการใช้ประโยชน์
จากทรัพยากรชีวภาพทั้งปวง สนับสนุนการมีส่วนร่วมของเกษตรกรและชุมชนการเกษตรในการตัดสินของภาครัฐ
ซึ่งหลักการดังกล่าวเป็นการด�ำเนินการตามหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนตามครรลองของหลักประชาธิปไตยใน
สิ่งแวดล้อม[26] ยิ่งกว่านั้น ITPGRFA ให้ความส�ำคัญกับการคุ้มครองสิทธิของเกษตรกร (Farmers’ Rights) ตามที่
ปรากฏในมาตรา 9 ซึ่งบัญญัติให้รัฐสมาชิกก�ำหนดมาตรการดังต่อไปนี้
1. คุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือองค์ความรู้ดั้งเดิมที่เกี่ยวกับทรัพยากรชีวภาพพืชเพื่อการเกษตรและ
การอาหาร
2. รับรองสิทธิในการมีส่วนร่วมของชุมชนการเกษตรในการได้รับการแบ่งปันประโยชน์จากการใช้
ทรัพยากรชีวภาพอย่างเท่าเทียม
3. สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ ในประเด็นที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ และการใช้
ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพพืชอย่างยั่งยืน เพื่อการอาหารและการเกษตร
จากบทบัญญัตมิ าตรา 9 ของสนธิสญ ั ญา ITPGRFA จะเห็นได้วา่ เป็นเอกสารฉบับแรกทีก่ ล่าวถึงการเกษตร
อย่างยัง่ ยืน มีการผสมผสานหลักการของ CBD ในเอกสารดังกล่าว และยิง่ กว่านัน้ ITPGRFA ให้ความส�ำคัญกับประเด็น
เรื่อง “สิทธิของเกษตรกร” อย่างเป็นรูปธรรม กล่าวคือ สนธิสัญญา ITPGRFA ให้การรับรองสิทธิของเกษตรกรใน
การเก็บ เพาะปลูก แลกเปลี่ยน การขายเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการเพาะปลูกมาก่อน จะเห็นได้ว่า ITPGRFA มีการกล่าว
ถึงประเด็นเรื่องสิทธิของเกษตรกรว่าเกี่ยวข้องกับทรัพยากรชีวภาพ เพิ่มเติมครอบคลุมยิ่งกว่าอนุสัญญา CBD
ท่าทีของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เสนอให้มีการก�ำหนดข้อยกเว้นและข้อจ�ำกัดในการเปิดเผยแหล่งที่มาให้มาก
ที่สุด เพื่อสร้างความยืดหยุ่นของกรอบความตกลงระหว่างประเทศ
ท่าทีของกลุม่ ประเทศพัฒนาแล้ว เห็นด้วยว่าควรมีการก�ำหนดข้อยกเว้นและข้อจ�ำกัดเรือ่ งการเปิดเผยแหล่งทีม่ า
แต่อยากให้เพิ่มเติมประเด็นเรื่อง “ประโยชน์สาธารณะ” (Public Interests) เข้าไว้ในข้อยกเว้นดังกล่าว
กรอบการเจรจาในประเด็นนี้จึงเกี่ยวกับ การก�ำหนดข้อยกเว้นและข้อจ�ำกัดของการเปิดเผยแหล่งที่มา
และเรือ่ งข้อยกเว้นเพือ่ คุม้ ครองประโยชน์สาธารณะ และเป็นอีกประเด็นทีป่ ระเทศไทยควรทบทวนท่าทีวา่ จะด�ำเนิน
มาตรการรองรับเชิงนโยบายในเรื่องนี้อย่างไรอันจะได้วิเคราะห์ต่อไป
3.2.6 มาตรการทางกฎหมายกรณีไม่ปฏิบัติตามข้อก�ำหนดเรื่องการเปิดเผยแหล่งที่มา
ท่าทีของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ต้องการให้มีมาตรการบังคับทางกฎหมายกรณีไม่ปฏิบัติตามข้อก�ำหนด
เรื่องการเปิดเผยแหล่งที่มา เนื่องจากเห็นว่าเรื่องดังกล่าวควรเป็นการสมัครใจ (Voluntary Disclosure) อยู่แล้ว
ท่าทีของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในทวีปแอฟริกา อาทิ ไนจีเรีย นามิเบีย และกาน่า
ต้องการให้มีการก�ำหนดบทลงโทษ (Criminal Sanctions) เพื่อป้องปรามมิได้เกิดกรณีไม่ปฏิบัตติ าม และควรมีมาตรการ
เยียวยาผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริง (เจ้าของ TK หรือ TCE) และควรก�ำหนดแนวทางการเพิกถอนสิทธิบัตรที่มีการรับจด
ทะเบียนผิดพลาด
4.2 การวิเคราะห์กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
การเจรจากรอบกติกาภายใต้ WIPO IGC เกี่ยวข้องกับประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับทรัพยากร
พันธุกรรม (IP-GR) ภูมิปัญญาท้องถิ่น (TK) และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม (TCEs) มีผลกระทบที่โดยตรง
ต่อพระราชบัญญัตคิ มุ้ ครองและส่งเสริมภูมปิ ญ ั ญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 กฎหมายทีอ่ ยูภ่ ายใต้กรมการแพทย์
แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวเป็นกฎหมายเพียงไม่กฉี่ บับในโลกทีใ่ ห้การคุม้ ครอง และ
ส่งเสริมเรือ่ งเกีย่ วกับองค์ความรูด้ า้ นการแพทย์[34] ซึง่ บรรดานักวิชาการอ้างว่าการตรากฎหมายดังกล่าว มีวตั ถุประสงค์
ส�ำคัญเพือ่ ให้ความคุม้ ครองภูมปิ ญ ั ญาท้องถิน่ และองค์ความรูด้ งั้ เดิมของชุมชนภายในประเทศเป็นตัวอย่างของระบบ
กฎหมายที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติตามแนวทางและกรอบพันธกรณีที่อนุสัญญา CBD ได้วางหลักไว้ สรุปสาระ
ส�ำคัญพระราชบัญญัตคิ มุ้ ครองและส่งเสริมภูมปิ ญ ั ญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 และผลกระทบทีจ่ ะเกิดขึน้ จาก
กรอบเจรจาภายใต้ WIPO IGC ได้ดังต่อไปนี้
4.2.1 การขึ้นทะเบียนต�ำรับและต�ำรายาแผนไทย
หมวด 2 แห่ง พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 เป็น
บทบัญญัติ ที่เกี่ยวกับการรับรองและการขึ้นทะเบียนต�ำรับหรือต�ำรายาแผนไทย โดยภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
ที่ได้รับการคุ้มครองจะเกี่ยวข้องกับสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย หรือเกี่ยวกับต�ำรับยาแผนไทยหรือต�ำรา
ยาแผนไทย ซึ่งแบ่งระดับการคุ้มครองออกเป็น 3 ระดับ ตั้งแต่
1) ภูมิปัญญาของชาติ
2) ภูมิปัญญาทั่วไป และ
3) ภูมิปัญญาส่วนบุคคล
จะเห็นได้วา่ กฎหมายดังกล่าวให้สทิ ธิการคุม้ ครอง (Property Rights) เป็นสามระดับตัง้ แต่ระดับปัจเจกชน
(Individual) ระดับชุมชน (Communities) และระดับชาติ (State) และก่อให้เกิดระบบการคุ้มครองสิทธิ ใน
ทางทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่ง กล่าวได้ว่ากฎหมายฉบับดังกล่าวมีความสอดคล้องรองรับแนวปฏิบัติของ
อนุสัญญา CBD และกรอบเจรจาภายใต้ WIPO IGC อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องการก�ำหนดให้สมาชิก
ประเด็นเรื่องหลักการต่างตอบแทนซึ่งอนุญาตให้เจ้าของภูมิปัญญาของต่างประเทศสามารถเข้ามา
จดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาดังกล่าวได้เป็นประเด็นที่ไทยควรทบทวนออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องรองรับต่อไป
4.2.3 การคุ้มครองสมุนไพรไทย
นอกเหนือจากการคุ้มครองสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริม
ภูมปิ ญ
ั ญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 ยังมีบทบัญญัตทิ ใี่ ห้ความคุม้ ครองในเรือ่ งสมุนไพรไทยเป็นการเฉพาะ โดย
ปรากฏในหมวด 3 “การคุ้มครองสมุนไพร” (มาตรา 44-65) ประเด็นเรื่องการคุ้มครองสมุนไพรมีความเชื่อมโยง
กับกรอบการเจรจาของ WIPO IGC ในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับทรัพยากรพันธุกรรม (IP-GR) โดยตรง
ในการคุม้ ครองสมุนไพร รัฐมนตรีโดยค�ำแนะน�ำของคณะกรรมการตามพระราชบัญญัตนิ มี้ อี ำ� นาจประกาศ
ก�ำหนด ประเภท ลักษณะ ชนิด และชื่อของสมุนไพรที่มีค่าต่อการศึกษา หรือวิจัย หรือมีความส�ำคัญทางเศรษฐกิจ
หรืออาจจะสูญพันธุ์ให้เป็นสมุนไพรควบคุมได้ ฉะนั้น การใช้ประโยชน์จากสมุนไพรควบคุมจะต้องได้รับอนุญาตก่อน
การด�ำเนินการ การบัญญัตกิ ฎหมายในลักษณะดังกล่าวเป็นการป้องกันการฉกฉวยทรัพยากรพันธุกรรมไปใช้ประโยชน์
โดยเฉพาะการน�ำไปจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา เป็นมาตรการที่รองรับสาระส�ำคัญของกรอบการเจรจา WIPO
IGC เป็นอย่างดี
ส�ำหรับกรณีเพือ่ ประโยชน์ในการอนุรกั ษ์ และบริเวณทีถ่ นิ่ ก�ำเนิดของสมุนไพรทีม่ รี ะบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ
หรือมีความหลากหลายทางชีวภาพ หรืออาจได้รับผลกระทบจากการกระท�ำของมนุษย์ได้โดยง่าย รัฐมนตรี โดย
ค�ำแนะน�ำจากคณะกรรมการจัดท�ำแผนปฏิบัติการ สามารถเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีจัดท�ำ “แผน
จัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพร” การจัดท�ำแผนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ส�ำคัญเพื่อควบคุมการเข้าถึงแหล่งสมุนไพรอัน
เป็นการสงวนรักษาและอนุรักษ์ไว้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ ฉะนั้น กฎหมายจึงมีบทบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใด ยึดถือ หรือ
ครอบครองทีด่ นิ หรือปลูกสร้างหรือก่อสร้างสิง่ หนึง่ สิง่ ใด หรือตัดโค่น แผ้วถาง เผา หรือท�ำลายต้นไม้ หรือพฤกษชาติ
อื่น หรือท�ำลายความหลากหลายทางชีวภาพ หรือระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ หรือการกระท�ำอื่นที่ส่งผลเสียต่อ
ทรัพยากรในพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรดังกล่าว
จะเห็นได้ว่า สาระส�ำคัญของกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยมีความครบถ้วน
และรองรับกรอบพันธกรณีภายใต้ CBD และรวมถึงกรอบกติกา WIPO IGC ที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจาเป็นอย่างดี
ทั้งประเด็นเรื่องการก�ำหนดสิทธิเฉพาะ (Sui Generis Rights) ให้แก่เจ้าของ TK และ TCEs การสร้างข้อมูลเพื่อ
เป็นฐาน (Check Point) ในการตรวจสอบค�ำขอจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะเรื่องสิทธิบัตร และการ
ส่งเสริมให้เกิดการน�ำภูมปิ ญั ญาไปใช้ประโยชน์ ภายหลังทีไ่ ด้รบั การขึน้ ทะเบียนตามกฎหมาย ฉะนัน้ ประเด็นส�ำคัญที่
จ�ำเป็นต้องพิจารณามิใช่สาระส�ำคัญของกฎหมายแต่เกีย่ วข้องกับมาตรการทางการบริหาร (Administrative Action)
และมาตรการจัดการทางกฎหมาย (Legal Management) ขององค์กรบังคับใช้กฎหมายกรณีนี้จึงต้องพิจารณา
ผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
4.3 ประเด็นเกี่ยวกับองค์กรบังคับใช้กฎหมาย
ผลกระทบที่เกิดจากกรอบเจรจา WIPO IGC เกี่ยวข้องโดยตรงกับการปฏิบัติหน้าที่ของกรมการแพทย์
แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ซึ่งมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างน้อยสี่ประการ กล่าวคือ
4.3.1 การจัดท�ำฐานข้อมูลที่เกี่ยวกับภูมิปัญญา (TK Database)
4.3.2 บทบาทของกรมฯ ในการเป็น Check Point
4.3.3 การเพิ่มขีดความสามารถของบุคคลากรภายในกรมฯ
4.3.4 การสร้างความเข้าใจแก่ภาคประชาชนในเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น
5. บทสรุป
บทความนี้กล่าวถึง กรอบการเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับทรัพยากร
พันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นและการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิมภายใต้ WIPO IGC ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจา
เพื่อหาข้อยุติระหว่างประเทศสมาชิกในการจัดท�ำเอกสารกฎหมายระหว่างประเทศที่มีความเป็นเอกภาพในเรื่อง
การคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยลักษณะของภูมิปัญญาท้องถิ่นดังกล่าวมีความคาบเกี่ยวหลายประเด็นตั้งแต่
ทรัพยากรพันธุกรรม องค์ความรู้ดั้งเดิมที่เปลี่ยนผ่านจากรุ่นสู่รุ่น หรือการแสดงออกทางความรู้ (วัฒนธรรม)
ดังกล่าว และประเด็นเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ส่งผลให้การคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวพันกับเอกสารกฎหมาย
ระหว่างประเทศมากมายหลายฉบับ
6. ข้อเสนอแนะที่ ได้จากการวิจัย
ส�ำหรับข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัยเกี่ยวข้องกับผลกระทบที่อาจเกิดจากกรอบการเจรจาภายใต้ WIPO
IGC ต่อระบบกฎหมายไทยและมาตรการทางการบริหารที่ควรเตรียมการรองรับ โดยกรอบกติกา WIPO IGC
ดังกล่าวมีความเกี่ยวพันและส่งผลกระทบต่อระบบกฎหมายไทยหลายฉบับ โดยเฉพาะพระราชบัญญัติคุ้มครองและ
ส่งเสริม ภูมปิ ญ
ั ญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 ซึง่ เป็นกฎหมายทีป่ ระเทศไทยตราขึน้ เพือ่ ป้องกันปัญหาการฉกฉวย
ภูมปิ ญ
ั ญาและทรัพยากรพันธุกรรม ดังตัวอย่างทีเ่ คยปรากฏมาก่อนในอดีต อาทิ กรณีการจดทะเบียนสิทธิกวาวเครือ
หรือเปล้าน้อย เป็นต้น โดยผลกระทบที่เกิดจากกรอบกติกา WIPO IGC ต่อกฎหมายฉบับดังกล่าวเกี่ยวข้อง ทั้งด้าน
บทบัญญัตแิ ห่งกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย ซึง่ เกีย่ วข้องโดยตรงกับการปฏิบตั หิ น้าทีข่ องกรมการแพทย์แผนไทย
และการแพทย์ทางเลือก กล่าวคือ
บรรณานุกรม
1. ปวริศร เลิศธรรมเทวี, การปรับปรุงกฎหมายทรัพยากรชีวภาพเพื่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน. กรุงเทพฯ: ส�ำนักงาน
พัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน), 2558.
2. Halewood M. ‘Indigenous and Local Knowledge in International Law: A Preface to Sui Generis
Intellectual Property Protection’ (1999) 44 McGill Law Journal, 953.
3. Robinson D, Kuanpoth J, ‘The Traditional Medicines Predicament: A Case Study of Thailand’
Journal of World Intellectual Property 2009; 11(5): 375.
4. Lertdhamtewe P. Plant variety protection in Thailand: the need for a new coherent framework.
Journal of Intellectual Property Law and Practice 2013; 8(1): 33-42.
5. World Intellectual Property Organization (WIPO). [internet]. Available at: http://www. wipo.int/tk/
en/igc/
6. Panizzon M. Legal Perspectives on Traditional Knowledge: The Case for Intellectual Property
Protection. Journal of International Economic Law 2004; 7(2): 371, 385.
7. Gervais D. Traditional Knowledge & Intellectual Property: A TRIPS Compatible Approach. Michigan
State Law Review (2005: 137.
8. Gervais D. Spiritual But Not Intellectual? The Protection of Sacred Intangible Traditional Knowledge.
Cardozo Journal of International and Comparative Law 2003; 11: 467.
9. Girsberger M. The Protection of Traditional Plant Genetic Resources for Food and Agriculture and
the Related Know-How by Intellectual Property Rights in International Law: The Current Legal
Environment. Journal of World Intellectual Property 1998; 1(6): 1017.
10. United Nations Convention on Biological Diversity, opened for signature 5 June 1992, 31 UNTS
818 (entered into force 29 December 1993).
11. International Treaty on Plant Genetic Resources for Food and Agriculture, Rome 3 November
2001, Doc. Y3159/E.
12. United Nations Convention on Biological Diversity, opened for signature 5 June 1992, 31 UNTS
818 (entered into force 29 December 1993) (CBD).
13. International Treaty on Plant Genetic Resources for Food and Agriculture, Rome, 3 November
2001, Doc. Y3159/E (ITPGRFA).
14. United Nations Convention to Combat Desertification in Those Countries Experiencing Serious
Drought and/or Desertification, Particularly in Africa, opened for signature 17 June 1994, 1954
UNTS 3; 33 ILM 1328 (entered into force December 1996).
15. Connelly J Smith G. Politics and the Environment: From Theory to Practice. London and New
York: Routledge 2003: 65-68.
16. ปวริศร เลิศธรรมเทวี. หลักและทฤษฎีสิ่งแวดล้อมในกฎหมายระหว่างประเทศ. วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ 2558; 44(3): 442-467.
17. ธนิต ชังถาวร และคณะ. โครงการศึกษาสถานภาพเรื่องการจัดการการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์จากการ
ใช้ทรัพยากรชีวภาพในองค์กรวิจัย และพัฒนาในประเทศไทย: กรณีศึกษาทรัพยากรชีวภาพพืช. โครงการพัฒนา
องค์ความรู้และศึกษานโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย. สิงหาคม 2552: 1-3.
18. Cullet P. Plant Variety Protection in Africa: Towards Compliance with the TRIPS Agreement Journal
of African Law 2001; 45: 97, 118.
19. Manley R. Developmental Perspectives on the TRIPs and Traditional Knowledge Debate Macquarie
Journal of International and Comparative Environmental Law 2006; 3: 113, 121.
20. ธนิต ชังถาวร และคณะ. รายงานการศึกษากรอบความคิดการคุม้ ครองภูมปิ ญ ั ญาท้องถิน่ ไทย. กรมทรัพย์สนิ ทางปัญญา
กระทรวงพาณิชย์. เมษายน 2550: 82.
21. Lertdhamtewe P. Thailand’s plant protection regime: a case study in implementing TRIPS. Journal
of Intellectual Property Law and Practice 2012; 7(3): 186-189.
22. Lertdhamtewe P. The Protection of Geographical Indications in Thailand. Journal of World
Intellectual Property 2014; 17(3): 114-115.
23. Nagoya Protocol on Access to Genetic Resources and the Fair and Equitable Sharing of Benefits
Arising from their Utilization to the Convention on Biological Diversity, (Nagoya, 29 October 2010)
(Nagoya Protocol).
24. International Undertaking for Plant Genetic Resources, Res. 8/83, Report of the Conference of
Food and Agriculture Organization, 22nd Sess., 5-23 November 1983, Doc. C83/REP (1983).
25. Chiarolla C. Plant Patenting, Benefit Sharing and the Law Applicable to the Food and Agriculture
Organisation Standard Material Transfer Agreement. Journal of World Intellectual Property 2008;
11(1): 1, 3-5.
26. ปวริศร เลิศธรรมเทวี. การรับรองสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย. ดุลพาห 2557;
65(3): 1-45.
27. Manley R. Developmental Perspectives on the TRIPs and Traditional Knowledge Debate. Macquarie
Journal of International and Comparative Environmental Law 2006; 3(1): 113-115.
28. Robinson D, Kuanpoth J. The Traditional Medicines Predicament: A Case Study of Thailand
Journal of World Intellectual Property 2009; 11(5): 375.
29. Vivas-Eugui D. Bridging the Gap on Intellectual Property and Genetic Resources in WIPO’s
Intergovernmental Committee (IGC) (ICTSD Programme on Innovation, Technology and Intellectual
Property, January 2012: 9.
30. Thathong S. Lost in Fragmentation: The Traditional Knowledge Debate Revisited Asian Journal
of International Law 2014; 4(2): 359-389.
31. ปวริศร เลิศธรรมเทวี และ อัครวัฒน์ เลาวัณย์ศิริ. ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนกับระบบกฎหมายไทย. กรุงเทพฯ:
ส�ำนักพิมพ์วิญญูชน. 2557.
32. สุรวุธ กิจกุศล และปวริศร เลิศธรรมเทวี. บทวิเคราะห์ความตกลงทางการค้าในระดับภูมิภาคว่าด้วยการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา: ประโยชน์และผลกระทบต่อระบบกฎหมายไทย วารสารรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย
กาฬสินธุ์ 2559; 5(1): 207-233.
33. Thathong S. Rethinking Strategies in Legal Protection of Traditional Knowledge-A Case Study of
Thailand. Journal of the Thai Justice System 2009; 2(2): 97.
34. ปวริศร เลิศธรรมเทวี. ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา. กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์วิญญูชน. 2559. บทที่ 6
สหวิชากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา.
35. Robinson D, Kuanpoth J. The Traditional Medicines Predicament: A Case Study of Thailand.
Journal of World Intellectual Property 2009; 11(5): 375-392.
36. Kuanpoth J. Legal protection of traditional knowledge: A Thai perspective. Tech Monitor 2007;
34-40.
กลุ่มที่ 3
ประเด็นการจัดการเพือ่ น�ำการแพทย์แผนไทย
ไปใช้ประโยชน์
3.1 กลไกการเฝ้าระวังความปลอดภัยในการใช้สมุนไพรโดยมีประชาชนเป็นส่วนร่วม
3.2 การบูรณาการการแพทย์แผนไทยเข้าสู่ระบบสุขภาพในอนาคต
3.3 บูรณาการคลังข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ
กลไกการเฝ้าระวังความปลอดภัยในการใช้สมุนไพร
โดยมีประชาชนเป็นส่วนร่วม
2. ทัศนคติต่อการใช้สมุนไพรรักษาโรคมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการใช้สมุนไพรรักษาโรค
กล่าวคือ กลุ่มตัวอย่างมีความเห็นว่าการรับประทานพืชสมุนไพรเป็นประจ�ำช่วยท�ำให้มีสุขภาพดี มีความเชื่อมั่นว่า
การรักษาด้วยสมุนไพรท�ำให้หายจากโรคทีเ่ ป็นอยู่ สมุนไพรเหมาะในการน�ำมารักษาโรคเมือ่ เจ็บป่วยและรูส้ กึ สบายใจ
ผ่อนคลายเมื่อเลือกรักษาโรคด้วยสมุนไพร
3. การใช้สมุนไพรในชีวิตประจ�ำวันมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการใช้สมุนไพร เพราะการใช้
บ่อย ๆ ท�ำให้เกิดการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ถึงประโยชน์ของสมุนไพร แหล่งสมุนไพรที่น�ำมาใช้ได้สะดวก มีความ
สัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการใช้สมุนไพรรักษาโรค จากการศึกษาพบว่าร้านขายสมุนไพร คือ สถานที่สะดวก
ที่สุดในการน�ำสมุนไพรมาใช้ รองลงมา คือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�ำบล เนื่องจากมีความสะดวกในการ
เข้าถึงแหล่งขายยาสมุนไพร
4. การสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการใช้สมุนไพรรักษาโรค โดยกลุม่ ตัวอย่าง
ได้รับการสนับสนุนจากบุคคลในครอบครัวให้ใช้สมุนไพรรักษาโรคมากที่สุด
2. นโยบายและมาตรการที่ด�ำเนินการปัจจุบัน
ระบบการเฝ้าระวังความปลอดภัยในการใช้สมุนไพร
ระบบการเฝ้าระวังความปลอดภัยในการใช้สมุนไพร เป็นส่วนหนึ่งของระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย
ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ในประเทศไทยระบบการเฝ้าระวังอยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัย
ด้านผลิตภัณฑ์สขุ ภาพ (Health Product Vigilance Center; HPVC) ส�ำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา HPVC
ได้รับข้อมูลจากสถานพยาบาลภาครัฐและเอกชนทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รายงานที่ได้รับจะถูกส่งต่อไปยังฐาน
ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกด้วย โดย HPVC มีขอบเขตการด�ำเนินงานที่ส�ำคัญ ได้แก่ รวบรวม วิเคราะห์ และ
ประเมินรายงานเหตุการณ์ไม่พงึ ประสงค์ ตรวจจับสัญญาณและประเมินความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างเหตุการณ์ไม่
พึงประสงค์ที่พบกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัย สนับสนุนข้อมูลความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง และ
ส่งเสริม สนับสนุนการด�ำเนินงานของเครือข่ายเฝ้าระวังผ่านกลไกต่าง ๆ[8] แต่ถึงแม้จะมีระบบการเฝ้าระวังของ
ส�ำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาที่เชื่อมต่อกับสถานพยาบาลต่าง ๆ แต่ก็ยังพบว่าอาการไม่พึงประสงค์
ของผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรหรือสมุนไพรมักไม่ค่อยได้ถูกรายงาน ตามที่เห็นเป็นข่าวปรากฏในสื่อต่าง ๆ จึงท�ำให้
กระบวนการวิเคราะห์ ประเมินและแก้ไขปัญหาไม่สามารถท�ำได้อย่างเป็นระบบ
ปัจจุบันในหลายประเทศ ได้แก่ เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ ราชอาณาจักรสวีเดน สหราชอาณาจักร
สหรัฐอเมริกา แคนานดา และออสเตรเลีย รวมทัง้ มีมาเลเซีย ประเทศเพือ่ นบ้านได้รเิ ริม่ น�ำระบบ Patient Reporting
หรือ Consumer Reporting มาใช้ในการเฝ้าระวังความปลอดภัยจากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยระบบดังกล่าว
เป็นระบบทีผ่ ใู้ ช้ยาหรือผลิตภัณฑ์สขุ ภาพ หรือในบางกรณีอาจรวมถึงผูด้ แู ลผูป้ ว่ ยหรือผูป้ กครองของเด็ก เป็นผูร้ ายงาน
การเกิดอาการอันไม่พงึ ประสงค์ไปยังหน่วยงานทีด่ แู ลระบบติดตามความปลอดภัยจากการใช้ยา โดยมีระบบรายงาน
ที่แตกต่างกันดังแสดงในตารางที่ 3.1[9]
โดยในประเทศเหล่านี้หลังจากน�ำระบบดังกล่าวมาใช้ พบว่าผู้ป่วยให้ความร่วมมืออย่างดีต่อการรายงาน
และมีแนวโน้มการรายงานที่สูงขึ้น ส่วนปริมาณและคุณภาพของรายงานจากผู้ป่วยนั้นมีความหลากหลาย ซึ่งอาจ
เป็นผลมาจากวิธีการศึกษาหรือประชากรที่แตกต่างกันไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือในการรายงานอาการ
ไม่พึงประสงค์ที่ตนเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับการใช้ยา ซึ่งมีทั้งที่สอดคล้องและแตกต่างกับรายงานจากบุคลากร
ทางสุขภาพ ซึ่งจากมุมมองของผู้ป่วยช่วยให้สามารถค้นพบอาการไม่พึงประสงค์บางอย่างที่บุคลากรทางสุขภาพ
มองข้ามไป เช่น อาการอันไม่พึงประสงค์ชนิดไม่รุนแรงแต่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย อันอาจน�ำไปสู่ปัญหา
ความไม่ร่วมมือในการใช้ยา รวมทั้งการค้นพบอาการไม่พึงประสงค์จากยาใหม่ได้รวดเร็วกว่าบุคลากรทางการแพทย์
แต่อย่างไรก็ตามการรายงานโดยผู้ป่วยยังมีข้อจ�ำกัด ได้แก่ ผู้ป่วยที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ไม่รุนแรงอาจขาดแรง
จูงใจในการรายงาน ในกรณีทเี่ กิดอาการไม่พงึ ประสงค์รนุ แรงก็อาจจะไม่สามารถรายงานได้ดว้ ยตนเอง รวมทัง้ ความ
รู้ของประชาชนก็มีผลต่อการรายงาน กล่าวคือ ผู้ป่วยอาจคิดว่าอาการไม่พึงประสงค์ ที่เกิดขึ้นเป็นอาการที่เกิดจาก
โรคและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็อาจจะไม่รายงานเข้ามา[9]
มีตัวอย่างของการศึกษาเพื่อพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อการรายงานอาการไม่พึงประสงค์ของ
ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติในประเทศแคนาดา เนื่องจากประชาชนมีความสนใจในการใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เพิ่มขึ้น แต่ยังพบ
รายงานอาการไม่พึงประสงค์ค่อนข้างต�่ำ โดยมีข้อเสนอให้ร้านจ�ำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพเป็นแหล่งในการรายงาน
อาการไม่พึงประสงค์ เนื่องจากในประเทศแคนาดานั้นบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ธรรมชาติมีกลยุทธ์ในการสร้างความ
ภักดีต่อสินค้า โดยให้ผู้บริโภคสามารถคืนผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ตนเองใช้แล้วไม่พอใจแก่บริษัทผู้ผลิตได้โดยผ่าน
ร้านจ�ำหน่าย ซึ่งปกติเองนั้นพนักงานขายจะต้องแนบเหตุผลของการขอคืนสินค้าและที่อยู่ของลูกค้าไปให้กับบริษัท
ด้วยจึงจะได้รับเงินคืน นักวิจัยจึงมีข้อเสนอให้ขยายกระบวนการนี้ไปสู่การรายงานอาการไม่พึงประสงค์ ด้วยการให้
พนักงานขายเพิ่มข้อมูลบางประเด็น เช่น ยาและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในขณะนั้น โดยอาจจะจ�ำเป็นต้องมีการอบรมความรู้
พืน้ ฐานทีเ่ กีย่ วข้องกับการรายงานอาการไม่พงึ ประสงค์ เพือ่ เพิม่ ประสิทธิภาพในการรายงาน นอกจากนัน้ ยังมีขอ้ เสนอ
ตัวอย่างระบบการจัดการความไม่ปลอดภัยจากการใช้สมุนไพร
1. ขี้เหล็ก
จากทีม่ รี ายงานภาวะตับอักเสบจากผลิตภัณฑ์ขเ้ี หล็ก โดยผูป้ ว่ ยมีทงั้ ทีแ่ สดงและไม่แสดงอาการ แต่ทงั้ สอง
กรณีมีค่าการท�ำงานของตับที่ผิดปกติมาที่ HPVC และได้มีการสืบค้นข้อมูลพบว่ามีความสัมพันธ์กับการรับประทาน
ยาสมุนไพรขี้เหล็ก โดยมีจ�ำนวน 5 ราย ที่เกิดภาวะตับอักเสบเฉียบพลันจากการรายงานของแพทย์ระบบทางเดิน
อาหาร หลังจากหยุดยาสมุนไพรขี้เหล็กเม็ด พบว่าภาวะตับอักเสบดังกล่าวหายเป็นปกติภายใน 2-4 สัปดาห์ และมี
ผู้ป่วย 1 ราย ได้กลับไปรับประทานสมุนไพรดังกล่าวอีกครั้ง พบว่าท�ำให้เกิดภาวะตับอักเสบขึ้นอีก ส�ำนักงานคณะ
กรรมการอาหารและยาได้มมี ติให้แจ้งข้อมูลแก่บคุ ลากรทางการแพทย์และเฝ้าระวังการใช้สมุนไพรขีเ้ หล็กอย่างใกล้ชดิ
และเมือ่ มีการศึกษาเพิม่ ด้านความเป็นพิษเรือ้ รัง ในสัตว์ทดลองของผลิตภัณฑ์ทมี่ สี ว่ นประกอบของใบขีเ้ หล็กและสาร
barakol พบว่าท�ำให้เกิดความเป็นพิษต่อตับแม้ใช้ในขนาดที่ใช้ในคน ความรุนแรงสัมพันธ์กับขนาดที่ใช้ เมื่อหยุดยา
มีแนวโน้มหายเป็นปกติ การรับประทานยาขี้เหล็กในรูปแบบสารสกัดหรือแคปซูลท�ำให้เกิดพิษแตกต่างจากการรับ
ประทานเป็นอาหารเนื่องจากพบว่าการต้มใบขี้เหล็กทิ้งน�้ำหลายครั้งท�ำให้สาร anhydrobarakol ลดลงได้ แต่การ
ผลิตยาดังกล่าวไม่ได้มีการต้มน�้ำทิ้งตามที่เคยมีการใช้มาแต่ภูมิปัญญาไทยดั้งเดิมจึงท�ำให้เกิดความเป็นพิษต่อตับได้
จากข้อมูลดังกล่าวได้น�ำไปสู่การยกเลิกทะเบียนยาขี้เหล็กโดยสมัครใจ ในปี 2545[8]
2. ไคร้เครือ
ไคร้เครือมีสาร aristolochic acid ซึ่ง HPVC ได้รับรายงานการเกิดภาวะไตอักเสบ[12] โดยมีการศึกษา
ความเป็นพิษของ aristolochic acid ในหนูทดลอง หนูไมซ์ (mice) พบว่า aristolochic acid สามารถท�ำให้
เกิดความเป็นพิษต่อไตในหนูไมซ์แบบเฉียบพลันอย่างรุนแรงได้[13] เนื่องจากมีความเป็นพิษต่อไตและท�ำให้เกิด
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะในมนุษย์ได้ (urothelial malignancy) ทั้งนี้ aristolochic acid ซึ่งเป็นสารที่สามารถ
พบได้ ในพืชสกุล Aristolochia ถูกจัดให้เป็นสารก่อมะเร็ง human (class I) carcinogen ตาม World Health
Organization International Agency for Research on Cancer, 2002[14] ปัจจุบันไคร้เครือได้ถูกตัดออกจาก
3. สภาพปัญหา/ข้อจ�ำกัดและโอกาสในการพัฒนา
ข้อเสนอเพื่อพัฒนากลไกการเฝ้าระวังความปลอดภัยในการใช้สมุนไพร โดยมีประชาชนเป็นส่วนร่วม
จากการทบทวนสถานการณ์การเฝ้าระวังความปลอดภัยของสมุนไพรทัง้ ในและต่างประเทศอาจจะสามารถ
น�ำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนากลไกการเฝ้าระวังความปลอดภัยของการใช้สมุนไพรที่เหมาะสมในประเทศไทยได้
แต่อย่างไรก็ตามการใช้สมุนไพรในประเทศไทยมีความแตกต่างจากประเทศอื่น คือ มีการใช้สมุนไพรในรูปแบบที่
เตรียมด้วยตนเองค่อนข้างมาก นอกเหนือจากการใช้ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ส�ำเร็จรูป โดยการใช้เหล่านี้เกิดจากญาติ
และเพื่อนสนิทที่แนะน�ำมา ดังนั้นระบบการเฝ้าระวังที่พัฒนาขึ้นควรครอบคลุมการใช้สมุนไพรในลักษณะนี้ด้วย
โดยอาจก�ำหนดมาตรการที่ส�ำคัญ ดังต่อไปนี้
1. เป็นกลไกทีเ่ กิดจากการท�ำงานร่วมกันของภาครัฐ บุคลากรทางการแพทย์ ประชาชน นักวิชาการ และ
องค์กรสาธารณประโยชน์
2. การสร้างความรอบรู้ด้านสมุนไพรให้กับประชาชน การควบคุมก�ำกับการให้ข้อมูลทางสุขภาพให้เป็น
ไปอย่างเหมาะสม เพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกใช้สมุนไพรได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมมากขึ้น
3. การควบคุมและก�ำกับให้มีผลิตภัณฑ์ส�ำเร็จรูปที่มีคุณภาพในท้องตลาด ตั้งแต่การก�ำหนดมาตรฐาน
วัตถุดิบ การผลิต เนื่องจากคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ไม่ดีอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ผลิตภัณฑ์
4. การเพิ่มพูนทักษะการจ�ำแนกและรายงานอาการไม่พึงประสงค์ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ได้แก่
แพทย์ เภสัชกร พยาบาล (โดยอาจมีทักษะความช�ำนาญที่แตกต่างกัน)
5. การพัฒนาช่องทางทีส่ ะดวกและง่ายแก่ประชาชนทีส่ ามารถรายงานอาการไม่พงึ ประสงค์ได้ดว้ ยตนเอง
6. การสนับสนุนการศึกษาวิจยั เพือ่ ส่งเสริมข้อมูลในการเฝ้าระวังความปลอดภัยของสมุนไพร ยกตัวอย่าง
เช่น การศึกษาวิจยั แบบ cohort study ในการติดตามอาการไม่พงึ ประสงค์ของสมุนไพรชนิดหนึง่ ซึง่ อาจเป็นสมุนไพร
ที่มีการน�ำมาใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย หรือ การศึกษาวิจัยถึงอันตรกิริยาระหว่างยาแผนปัจจุบันกับยาสมุนไพร
ซึ่งอาจส่งผลต่อการเกิดความเสี่ยงที่ไม่พึงประสงค์ของผู้ป่วยได้
เอกสารอ้างอิง
1. พนิดา โนนทิง, สุวิชชา เจริญพร, น้องเล็ก คุณวราดิศัย, แสวง วัชระธนกิจ, อนุวัฒน์ วัฒนพิชญากูล. สถานการณ์
และปัญหาอุปสรรคการใช้สมุนไพร ในโรงพยาบาลของรัฐ. The 5th Annual Northeast Pharmacy Research
Conference of 2013 “Pharmacy Profession Moving Forward to ASEAN Harmonization”. Faculty
of Pharmaceutical Sciences, Khon Kaen University, Thailand. 2013 February 16-17.
2. รวงทิพย์ ตันติปิฏก, ยงศักดิ์ ตันติปิฎก, ผกากรอง ขวัญข้าว, พินิต ชินสร้อย, ปิยะนุช ทิมคร, วสันต์ ชูชัยมงคล
และคณะ. รายงานการศึกษาบทบาทและสมรรถนะเภสัชกรด้านสมุนไพรในโรงพยาบาลและส�ำนักงานสาธารณสุข
จังหวัดในกระทรวงสาธารณสุข. 2561.
3. Necyk C, Tsuyuki RT, Boon H, Foster BC, LeGatt D, Cembrowski G, et al. Pharmacy study of
natural health product adverse reactions (SONAR): a cross-sectional study using active surveillance
in community pharmacies to detect adverse events associated with natural health products and
assess causality. BMJ Open 2014; 4:e003431.
4. Walji R. Reporting Adverse Drug Reactions Associated with Herbal Products: Consumer, Health
Food Store Personnel and Pharmacist Perspectives. Thesis: University of Toronto. 2008.
5. Eisenberg DM, Davis RB, Ettner SL, Appel S, Wilkey S, Van Rompay M, et al. Trends in alternative
medicine use in the United States, 1990-1997: results of a follow-up national survey. JAMA.
1998; 280: 1569-75.
6. Tsen LC, Segal S, Pothier M, Bader AM. Alternative medicine use in presurgical patients.
Anesthesiology. 2000; 93: 148-51.
7. สุกิจ ไชยชมภู, พูนสุข ช่วยทอง, วิราสิริริ์ วสีวีรสิว์, สุนันท์ ศลโกสุม. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้
สมุนไพรรักษาโรคของประชาชน ในเขต 11 กระทรวงสาธารณสุข. วารสารเกื้อการุณย์; 2555; 19(2): 60-73.
8. ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ, วิมล สุวรรณเกศาวงษ์. ระบบการเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพประเทศไทย
Health Product Vigilance System in Thailand. นนทบุรี: ส�ำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. 2559.
9. นทพร ชัยพิชิต, นฤมล เจริญศิริพรกุล. ระบบการรายงานอาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาของผู้ป่วยโดยตรง:
การด�ำเนินงานนานาชาติ, วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข 2554; 2: 257-66.
10. Walji R, Boon H, Barnes J, Austin Z. Adverse Event Reporting for Herbal Medicines: A Result of
Market Forces. Healthcare Policy. 2009; 4(4): 77-90.
11. ส�ำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. ตาไว รูท้ นั สุขภาพ (Tawai for Health Application) เครือ่ งมือและระบบการ
จัดการความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สขุ ภาพและการโฆษณา. ข่าวสารด้านยาและผลิตภัณฑ์สขุ ภาพ. 2561; 21(3):3-6.
12. กฤษณา กองทรัพย์. โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร การแก้ปัญหาการใช้ยากลุ่มเสี่ยงที่เป็นภัยคุกคามสุขภาพใน
ชุมชน; วันที่ 21 มิถุนายน 2561; ห้องประชุมศรีหริภุญชัย ชั้น 4 อาคารผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลล�ำพูน. ล�ำพูน
2561.
13. Sato N, Takahashi D, Chen S, Tsuchiya R, Mukoyama T, Yamagata S, et al. Acute nephrotoxicity
of aristolochic acids in mice. Journal of Pharmacy and Pharmacology. 2004; 56(2): 221-9.
14. World Health Organization International agency for research on cancer. IARC monographs on the
evaluation of carcinogenic risks to humans. Lyon: IARCPress. 2002.
15. ส�ำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. การพัฒนาเครื่องมืออัตโนมัติเพื่อตรวจจับสัญญาณ (Automatic Signal
Detection Tool). การประชุมวิชาการงานเฝ้าระวังความปลอดภัยจากการใช้ยาเรื่อง Pharmacovigilance:
partnership for patient safety. 2-3 กรกฎาคม 2551.
การบูรณาการการแพทย์แผนไทยเข้าสู่ระบบสุขภาพในอนาคต
เกษม เผียดสูงเนิน
สาธารณสุขอ�ำเภอล�ำสนธิ จังหวัดลพบุรี
1. ความเป็นมา หลักการและเหตุผล
การแพทย์พื้นบ้านของไทย เป็นการดูแลสุขภาพที่มีมาแต่ดั้งเดิมพร้อม ๆ กับการก�ำเนิดของชาติไทย เกิด
จากการเรียนรู้ธรรมชาติ ลองผิดลองถูก และจดจ�ำบอกเล่าสืบต่อกันมา มีความแตกต่างกันไปตามสิ่งแวดล้อมทาง
ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความเชื่อต่าง ๆ การแพทย์แผนไทยเป็นระบบการดูแลสุขภาพแบบ
องค์รวมทัง้ กาย จิต สังคม และสิง่ แวดล้อม ประกอบด้วย 5 สาขา ได้แก่ เภสัชกรรมไทย เวชกรรมไทย การนวดไทย
การผดุงครรภ์ไทย และการแพทย์พื้นบ้านไทย ครอบคลุม 4 มิติ คือ การสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค
การบ�ำบัดรักษาโรคและการฟื้นฟูสมรรถภาพ
อ�ำเภอล�ำสนธิ จังหวัดลพบุรี เป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขตติดต่อกับภาคอีสาน โดยทิศตะวันออกติดกับอ�ำเภอ
เทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ และอ�ำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ประชาชนส่วนใหญ่ย้ายถิ่นฐานมาจากจังหวัด
ชัยภูมิ และจังหวัดนครราชสีมา โดยเฉพาะจังหวัดนครราชสีมา ท�ำให้มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับทางภาคอีสาน
รวมทั้งเรื่องของการแพทย์พื้นบ้าน โดยชาวอีสานจะเชื่อเรื่องผี เชื่อว่าผู้มีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ คือ ผีแถน หรือผีฟ้า
พญาแถน เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งให้ก�ำเนิดดิน น�้ำ ลม ไฟ โลกและมนุษย์ และผีที่ใกล้ชิดชาวอีสานมากที่สุด คือ ผีปู่
ตา หรือนิยมเรียกอีกอย่างว่า ผีตาปู่ ซึ่งถือว่าเป็นผีบรรพบุรุษที่คอยปกปักรักษาลูกหลาน คอยช่วยเหลือชาวบ้าน
ที่มีความทุกข์ร้อน ชาวบ้านจะสร้างศาลปู่ตาไว้ที่ป่าใกล้บ้าน เรียกว่า ป่าปู่ตา เป็นป่าที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ในปัจจุบัน
นิยมสร้างไว้กลางหมู่บ้าน เป็นศูนย์รวมให้ชาวบ้านได้มีกิจกรรม บูชากราบไหว้ สักการะได้สะดวก ทั้งเป็นกิจกรรม
ที่ท�ำร่วมกันประจ�ำปี และบนบานศาลกล่าวส่วนบุคคล นอกจากนี้ชาวอีสานยังเชื่อเรื่องขวัญ ว่าเป็นศูนย์รวมชีวิต
แต่มองไม่เห็น สัมผัสได้ มีการท�ำพิธีสู่ขวัญหรือเรียกขวัญ เพื่อสร้างก�ำลังใจในการด�ำเนินชีวิต ในพิธีชาวบ้านจะ
รวมกันส่งพลังให้ถึงบุคคลที่พวกเขาช่วยกันเรียกขวัญกลับมา เป็นสัญลักษณ์ว่า ชุมชนระดมจิตใจมาช่วยส่งเสริมให้
ผู้ที่เจ็บป่วย หรือที่มีปัญหา กลับมาสมบูรณ์หรือมีความสุขอีกครั้ง หมอพื้นบ้านอีสาน สามารถจ�ำแนกตามลักษณะ
ของการรักษาอันเนื่องมาจากสาเหตุของโรค แบ่งได้ดังนี้ 1) หมอที่รักษาผู้ป่วยอันเนื่องมาจากสาเหตุของโรคที่เป็น
ธรรมชาติ ได้แก่ หมอรากไม้ หมอเป่า หมอน�้ำมนต์ หมอน�้ำมัน เป็นต้น 2) หมอที่รักษาด้วยพิธีกรรมหรือสาเหตุ
ของโรคเนื่องจากสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ได้แก่ โรคจากผีต่าง ๆ เจ้าที่เจ้าทาง หรือการปฏิบัติตนที่ละเมิดฝ่าฝืน
ท�ำนองคลองธรรมของครอบครัว ชุมชน การรักษาจะต้องมีพิธีกรรม หมอเหล่านี้ได้แก่ หมอพระ หมอผีฟ้า
หมอสู่ขวัญ เป็นต้น 3) หมอต�ำแย ซึ่งจะท�ำหน้าที่เกี่ยวกับดูแลเกี่ยวกับการคลอดลูกและดูแลหลังการคลอด
ปัจจุบัน ได้มีการฟื้นฟูการแพทย์แผนไทยอย่างกว้างขวาง หลังจากที่การแพทย์แผนไทยถูกปล่อยปะ
ละเลยมานาน จนกลายเป็นเพียงการรักษาคนไข้แบบนอกระบบ เพราะพระราชบัญญัติการแพทย์เพื่อควบคุม
การด�ำเนินงานแพทย์แผนไทยของอ�ำเภอล�ำสนธิในปัจจุบันนั้น ได้ร่วมมือและประสานงานกับหลาย
หน่วยงานด้วยกัน ได้แก่ ส�ำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรีได้มีบทบาทในการมอบนโยบาย และสนับสนุนบุคลากร
งบประมาณบางส่วน สนับสนุนวิชาการและแนวทางการด�ำเนินงานที่ชัดเจน การนิเทศติดตามเพื่อการพัฒนา
การสนับสนุนจากส�ำนักงานสาธารณสุขอ�ำเภอล�ำสนธิและโรงพยาบาลล�ำสนธิ ในเรื่องวิชาการ เวชภัณฑ์ การนิเทศ
ติดตาม สนับสนุนการจัดบริการ สถานบริการในเขตอ�ำเภอล�ำสนธิ (รพ. และ รพ.สต.) ในการจัดบริการ
แพทย์แผนไทยตามเกณฑ์มาตรฐาน การประสานงานกับเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา ต�ำบลกุดตาเพชร
อ�ำเภอล�ำสนธิ จังหวัดลพบุรี เพื่อเปิดเส้นทางในการศึกษาและอนุรักษ์สมุนไพร การประสานกลุ่มเกษตรกรผู้สนใจ
ในการปลูกสมุนไพรคุณภาพ เป็นต้น
2. นโยบายและมาตรการที่ด�ำเนินการปัจจุบัน
ส�ำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี ได้น�ำนโยบายการพัฒนาและสนับสนุนการจัดบริการแพทย์แผนไทยสู่
สถานบริการสาธารณสุขในจังหวัด เพือ่ ให้ประชาชนมีทางเลือกในการดูแลสุขภาพ โดยให้บริการทัง้ นวดเพือ่ การรักษา
การส่งเสริมสุขภาพ การอบสมุนไพร การประคบสมุนไพร และการดูแลสุขภาพหญิงหลังคลอด ท�ำให้สถานบริการ
สาธารณสุขมีการพัฒนาทั้งทางด้านบุคลากรและด้านการบริการ เพื่อให้ตอบสนองกับความต้องการและเกิดความ
พึงพอใจมากที่สุด (ส�ำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี, 2556) โดยมี รพ.สต.ในจังหวัดลพบุรี จ�ำนวน 133 แห่ง
เปิดให้บริการนวดไทยจ�ำนวน 76 แห่ง (ร้อยละ 57.2) และให้บริการโดยการใช้ยาแผนไทย จ�ำนวน 133 แห่ง
(ร้อยละ 100) โดยมีการประเมินมาตรฐานงานบริการแพทย์แผนไทย 3 ระดับ คือ 1) รพ.สต.ประเมินตนเอง
ทุกปี 2) การประเมินจากส�ำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี 2 ปีต่อครั้ง 3) การประเมินมาตรฐานงานบริการ
แพทย์แผนไทยจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยการสุม่ ประเมิน 2 ปีตอ่ ครัง้ และพบว่า รพ.สต.
ในจังหวัดลพบุรที เี่ ปิดให้บริการแพทย์แผนไทย 133 แห่ง ได้รบั การประเมินมาตรฐานของหน่วยบริการ โดยส�ำนักงาน
สาธารณสุขจังหวัดลพบุรี จ�ำนวน 93 แห่ง (ร้อยละ 69.9) อยู่ในระดับดีเยี่ยม (คะแนน 90-100) จ�ำนวน 2 แห่ง
(ร้อยละ 2.2) ระดับดีมาก (คะแนน 80-89.9) จ�ำนวน 20 แห่ง (ร้อยละ 21.5) ระดับดี (คะแนน 70-79.9) จ�ำนวน 23 แห่ง
(ร้อยละ 24.7) ผ่านเกณฑ์มาตรฐานระดับพื้นฐาน (คะแนน 60-69.9) จ�ำนวน 48 แห่ง (ร้อยละ 51.6) และ รพ.สต.
ไม่ได้ประเมินตนเอง จ�ำนวน 40 แห่ง (สุกัญญา คุ้มโพธิ์, 2558) นอกจากนี้ ส�ำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี
ยังมีนโยบายด้านอืน่ ๆ ในการด�ำเนินงานแพทย์แผนไทย ได้แก่ การส่งเสริมการเข้าถึงยาสมุนไพรและบริการด้านแพทย์
แผนไทย โดยการกระตุน้ ให้สถานบริการได้มกี ารจ่ายยาสมุนไพร มีการเพิม่ กรอบบัญชียาสมุนไพรให้สถานบริการทีม่ ี
แพทย์แผนไทยต้องมียาสมุนไพรอย่างน้อย 30 รายการ และในสถานบริการทีไ่ ม่มแี พทย์แผนไทยต้องมียาสมุนไพรใช้
อย่างน้อย 10 รายการ ให้สถานบริการมีการเพิม่ การสัง่ จ่ายยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบนั ในการพัฒนาศักยภาพ
บริการ ได้มกี ารอบรมหลักสูตรแพทย์แผนไทยเวชปฏิบตั ิ (5 วัน) การพัฒนาศักยภาพการใช้ยาสมุนไพรและการรักษา
โรค NCDs (2 วัน) จัดท�ำ CPG ด้านการแพทย์แผนไทย พัฒนาการแพทย์แผนไทยใน Intermediate care ward
พัฒนาคลินิก OPD คู่ขนาน มีการจัดท�ำโครงการสืบสานภูมิปัญญาโอสถพระนารายณ์สู่ลพบุรีเมืองแห่งสมุนไพร
ส�ำหรับส�ำนักงานสาธารณสุขอ�ำเภอล�ำสนธิ มีการด�ำเนินงานด้านการแพทย์แผนไทยเพื่อตอบสนองต่อ
นโยบายของกระทรวงสาธารณสุขและส�ำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี ดังนี้
1. ส่งเสริมให้มกี ารด�ำเนินงานด้านแพทย์แผนไทย โดยจัดให้มบี ริการแบบผสมผสานด้านการแพทย์แผนไทย
ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบันในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�ำบล จัดให้มีระบบการเยี่ยมบ้านโดยผู้ช่วยนักแพทย์
แผนไทยร่วมกับสหสาขาวิชาชีพ และบริการเชิงรุกในชุมชน ตามสภาพปัญหาของพื้นที่
2. ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงบริการแพทย์แผนไทย สามารถดูแลสุขภาพตนเองด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น
เพื่อให้ประชาชนมีการพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ
3. มีการพัฒนายาสมุนไพรที่มีอยู่ในชุมชนมาปรับใช้ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�ำบล เช่น การท�ำ
ลูกประคบสมุนไพร
4. สนับสนุนให้มีการอบรมเพิ่มทักษะทางวิชาการให้กับเจ้าหน้าที่รับผิดชอบงานแพทย์แผนไทยตาม
สมรรถนะ
5. สนั บ สนุ น อบรมเพิ่ ม เติ ม เพื่ อ ฟื ้ น ฟู ค วามรู ้ ใ ห้ กั บ ผู ้ ช ่ ว ยนั ก แพทย์ แ ผนไทยให้ ไ ด้ ม าตรฐานตามที่
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกก�ำหนดไว้
จากการที่ส�ำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรีได้มีการส�ำรวจ พบว่า ขมิ้นชันของจังหวัดลพบุรีมีสารส�ำคัญ
ทีอ่ อกฤทธิท์ างยา คือ สารเคอร์ควิ มินอยด์ (curcuminoid) สูงถึงร้อยละ 10 ซึง่ หาได้ยากในประเทศไทยและในโลก
ส�ำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรีได้ร่วมกับส�ำนักงานเกษตรจังหวัดลพบุรี และองค์การเภสัชกรรม ท�ำการส่งเสริม
เกษตรกรในพืน้ ทีอ่ ำ� เภอเมือง อ�ำเภอพัฒนานิคม และอ�ำเภอล�ำสนธิ ในการปลูกขมิน้ ชันในรูปแบบการท�ำสัญญาซือ้ ขาย
ล่วงหน้า และปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการปลูกมันส�ำปะหลัง ข้าวโพด ที่มีการใช้ยาฆ่าแมลงเป็นส่วนใหญ่ เป็นการ
ปลูกสมุนไพรอินทรีย์ ส่งผลให้ประชาชน มีสขุ ภาพดี ปลอดภัยจากการใช้ยาฆ่าแมลง สร้างรายได้และความมัน่ คงแก่
เกษตรกรน�ำรายได้เข้าสู่จังหวัดลพบุรีจ�ำนวนกว่า 12 ล้านบาท และเตรียมขยายผลในการปลูกขมิ้นชันและสมุนไพร
อื่น ๆ อาทิ มะแว้งต้น มะแว้งเครือ ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นอ้อย อัญชัน กะเพราแดง พญายอ บัวบก ฯลฯ ในพื้นที่
จังหวัดลพบุรีต่อไป ส�ำนักงานสาธารณสุขอ�ำเภอล�ำสนธิจึงด�ำเนินการส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรที่มีความสนใจปลูก
พืชสมุนไพร ได้แก่ ขมิ้นชัน โดยมีการส่งเสริมการปลูกขมิ้นชันแบบเกษตรอินทรีย์ ในพื้นที่อ�ำเภอล�ำสนธิ มีการแบ่ง
กลุ่มผู้ปลูกเป็น 2 ต�ำบล คือ ต�ำบลกุดตาเพชร และต�ำบลล�ำสนธิ มี 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มวังเชื่อม กลุ่มหนองพรม
กลุ่มกุดตาเพชร และกลุ่มล�ำสนธิ รวมผู้ปลูกทั้งสิ้น 40 ราย เริ่มด�ำเนินการปลูกขมิ้นชันในปี 2561 และจะเก็บ
ผลผลิตในปี 2563 ส่งผลผลิตให้กับองค์การเภสัชกรรม จ�ำนวน 24 ตันแห้ง เป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้
จากการขายขมิ้นชันอีกทางหนึ่ง
พัฒนางานแพทย์แผนไทย เพื่อรองรับการประเมินโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�ำบลติดดาว (รพ.สต.
ติดดาว) ในเรื่อง
- การจ่ายยาสมุนไพร อย่างน้อย 10 รายการ
- จัดให้มีบริการนวดไทย โดยผู้ช่วยแพทย์แผนไทยที่ผ่านการอบรมอย่างน้อย 330 ชั่วโมง
- จัดให้มีเครื่องมือ อุปกรณ์ด้านการแพทย์แผนไทยให้ครบถ้วนตามเกณฑ์มาตรฐาน รพ.สต. ติดดาว
- จัดท�ำ CPG การแพทย์แผนไทย โรคทีเ่ ป็นปัญหาส�ำคัญอย่างน้อย 3 เรือ่ ง (ส�ำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
เป็นผู้จัดท�ำและใช้เป็นแนวทางเดียวกันทั้งจังหวัด)
- ส�ำหรับ รพ.สต. size L ต้องจัดให้มีแพทย์แผนไทยและให้บริการ เวชกรรมไทย เภสัชกรรมไทย
นวดไทย และผดุงครรภ์ไทย
3. สภาพปัญหา/ข้อจ�ำกัดและโอกาสในการพัฒนา
จากการด�ำเนินงานด้านแพทย์แผนไทยทีผ่ า่ นมาหลายปีในเขตอ�ำเภอล�ำสนธิ ได้มคี วามพยายามด�ำเนินงาน
ให้ตอบสนองต่อนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขและส�ำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี พบว่า ในอ�ำเภอล�ำสนธิมี
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�ำบลในความรับผิดชอบของส�ำนักงานสาธารณสุขอ�ำเภอล�ำสนธิ จ�ำนวน 7 แห่ง และ
มีโรงพยาบาลชุมชน 1 แห่ง มีการจัดบริการแพทย์แผนไทยในสถานบริการเพียง 3 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 37.5
(โรงพยาบาล 1 แห่ง รพ.สต. 2 แห่ง) ใน 3 แห่งนี้มีนักแพทย์แผนไทยเพียง 1 คน ซึ่งประจ�ำอยู่ที่โรงพยาบาล
ชุมชน (โรงพยาบาลล�ำสนธิ) ส�ำหรับ รพ.สต. อีก 2 แห่ง เป็นผู้ช่วยนักแพทย์แผนไทยที่ผ่านการอบรม 372 ชั่วโมง
ตามมาตรฐานที่กรมการแพทย์แผนไทยก�ำหนดไว้ จะเห็นได้ว่าอ�ำเภอล�ำสนธินั้นมีข้อจ�ำกัดทางด้านบุคลากรที่มี
อยู่น้อยไม่เพียงพอต่อการด�ำเนินงาน ถึงแม้จะมีความพยายามสรรหาบุคคลที่มีความพร้อมและเหมาะสมเข้ารับ
การอบรมตามหลักสูตรอยู่เสมอ แต่ก็มีปัญหาที่บุคลากรปฏิบัติงานได้ไม่นานก็มักจะลาออกเพื่อไปหางานท�ำใหม่ที่มี
ค่าตอบแทนที่มากกว่า ท�ำให้การด�ำเนินงานด้านการแพทย์แผนไทยในสถานบริการหลายแห่งต้องสะดุด ไม่ต่อเนื่อง
การเริ่มต้นใหม่นั่นหมายถึงต้องสรรหาบุคคลและส่งเข้ารับการอบรมใหม่ และเมื่อเกิดเหตุการณ์ซ�้ำอีก จึงท�ำให้
เจ้าหน้าที่ รพ.สต. หมดความพยายาม งานด้านแพทย์แผนไทยจึงไม่เกิดในสถานบริการบางแห่ง และส่งผลท�ำให้ขาด
โอกาสในการพัฒนางานด้านแพทย์แผนไทย ทางด้านโครงสร้างของสถานบริการ (ไม่มีห้องที่เหมาะสม) ตลอดจน
เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ไม่พร้อม ประกอบกับการขาดงบประมาณ หรือมีงบประมาณไม่เพียงพอต่อการน�ำมาพัฒนา
และจัดบริการทางด้านแพทย์แผนไทยก็เป็นอีกหนึ่งข้อจ�ำกัดที่ท�ำให้งานแพทย์แผนไทยไม่ก้าวหน้า ประเด็นการใช้
ยาสมุนไพรในเครือข่ายบริการสาธารณสุขอ�ำเภอล�ำสนธินั้น ยังมีการใช้ยาสมุนไพรไม่ครบ 10 ชนิด จึงท�ำให้ไม่
ผ่านเกณฑ์ตัวชี้วัดในเรื่อง ร้อยละมูลค่าการใช้ยาสมุนไพรต่อยาแผนปัจจุบันเพิ่มขึ้น ซึ่งในเรื่องการจัดหายาสมุนไพร
สนับสนุน รพ.สต. นั้นได้มีการพูดคุยในการประชุม คปสอ.ล�ำสนธิและได้มีข้อตกลงในการจัดหายาสมุนไพรให้เพียง
พอและครบถ้วนแล้ว
ส�ำหรับข้อเสนอแนะในการด�ำเนินงาน ผู้บริหารควรให้ความส�ำคัญกับการพัฒนาการแพทย์แผนไทย
โดยเน้นการบูรณาการเข้ากับการแพทย์แผนปัจจุบัน และก�ำหนดนโยบายอย่างชัดเจน ควรมีการสรรหาบุคลากร
ด้ า นการแพทย์แผนไทยไปปฏิบัติงานในโรงพยาบาลทุ ก ระดั บ มี ก ารก� ำ หนดกรอบอั ต ราก� ำ ลั ง และภาระงาน
แพทย์แผนไทยและก�ำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานด้านการแพทย์แผนไทยอย่างชัดเจน มีการพัฒนาบุคลากร
ด้านการแพทย์แผนไทยอย่างต่อเนื่อง ก�ำหนดนโยบายและสนับสนุนการใช้ยาสมุนไพรในสถานบริการอย่างจริงจัง
ตลอดจนมีการสนับสนุนงบประมาณเพื่อใช้ในการพัฒนางานแพทย์แผนไทยให้มากขึ้น จึงจะสามารถพัฒนางาน
ด้านการแพทย์แผนไทยให้เทียบเท่าแพทย์แผนปัจจุบันและด�ำเนินการร่วมกันได้อย่างเหมาะสม
เอกสารอ้างอิง
1. เสวย อุค�ำพันธ์. แนวทางการพัฒนาการให้บริการการแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ต�ำบล กรณีศึกษา
รพ.สต. อ�ำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์, มหาวิทยาลัยราชภัฎกาฬสินธุ์. 2556.
2. สุกัญญา คุ้มโพธิ์. ความพร้อมของการให้บริการแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�ำบล จังหวัดลพบุรี.
วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 2558.
3. ส�ำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุร.ี รายงานผลการประเมินมาตรฐานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพและสนับสนุนการแพทย์
แผนไทยและการแพทย์ผสมผสานส�ำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556, ลพบุรี. 2556.
ภาคผนวก
ส่งเสริมภูมิปัญญาและอนุรักษ์
พัฒนาระบบบริการ พัฒนาระบบข้อมูล
งานแพทย์แผนไทย
1. ส่งเสริมให้สถานบริการจัดบริการ 1. พัฒนาและปรับปรุงการลงข้อมูล 1. สนับสนุนการเปิดเส้นทางศึกษา
แพทย์แผนไทยผสมผสานแพทย์แผน HDC โดย สมุนไพรในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
ปัจจุบัน - mapping รหัสยาสมุนไพรให้ถูก ซับลังกา อ.ล�ำสนธิ จ.ลพบุรี
2. สนับสนุนให้สถานบริการได้รับการ ต้อง 2. พัฒนาทีม “เจ้าบ้านน้อย”
ประเมินมาตรฐานงานบริการแพทย์ - บันทึก Diagnosis ให้ตรงกับยา (มัคคุเทศก์) โดยการอบรมเพิ่มความรู้
แผนไทยและผ่านเกณฑ์อย่างน้อยใน สมุนไพรทีจ่ ่าย และทักษะเรื่องสมุนไพรอย่างต่อเนื่อง
ระดับ “ดีมาก” ในปี 2562 - Update program HosXp ให้ 3. ส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรอินทรีย์
3. ส่งเสริมการเข้าถึงยาสมุนไพรและ เป็น version ปัจจุบัน “ขมิ้นชัน” แก่กลุ่มเกษตรกรผู้สนใจ
จัดหายาสมุนไพรใช้ในสถานบริการ ในพื้นที่อ�ำเภอล�ำสนธิอย่างต่อเนื่อง
ให้เพียงพอ และครบตามเกณฑ์ที่ 4. ขยายและส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพร
ก�ำหนด ในปี 2562 คุณภาพชนิดอื่นตามที่ตลาดต้องการ
4. เพิ่มการประชาสัมพันธ์ และสร้าง 5. ส่งเสริมการใช้และอนุรักษ์สมุนไพร
ความตระหนักในงานบริการแพทย์
แผนไทย ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่
สาธารณสุขและประชาชน
บูรณาการคลังข้อมูลทรัพยากรชีวภาพของประเทศไทย
ชัชชัย ศิลปสุนทร
ส�ำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2. นโยบายและมาตรการที่ด�ำเนินการในปัจจุบัน
ยุ ท ธศาสตร์ นโยบาย และแผนระดั บ ชาติ ที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ เรื่ อ งข้ อ มู ล ความหลากหลายทางชี ว ภาพ
มีสาระส�ำคัญสรุปได้ดังนี้
1. ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2561 เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ที่ก�ำหนดกรอบ และแนวทางการพัฒนาประเทศให้หน่วยงานของรัฐทุกภาคส่วนใช้เป็นกรอบการด�ำเนินงาน เพื่อ
บรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลัก
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ตามที่ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
เสนอ ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง 2) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความ
สามารถในการแข่งขัน 3) ยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ (4) ยุทธศาสตร์ด้านการ
สร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม (5) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับ
สิ่งแวดล้อม และ (6) ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ โดยในยุทธศาสตร์
ที่ 1 ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงในเรื่องการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติทั้งทาง
บกและทางทะเล โดยการสร้างความตระหนักรูใ้ ห้แก่ประชาชนในเรือ่ งการให้ความส�ำคัญกับฐานทรัพยากรธรรมชาติ
และแนวพระราชด�ำริในการอนุรักษ์ พัฒนา ฟื้นฟูท้องถิ่นและดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและมีส่วนร่วมในการ
ด�ำเนินการอย่างแท้จริง และยุทธศาสตร์ที่ 5 ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อ
สิ่งแวดล้อมในเรื่องการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียวมุ่งเน้นการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจให้
เติบโตและมีความเป็นธรรมบนความสมดุลของฐานทรัพยากรธรรมชาติดว้ ยเศรษฐกิจชีวภาพ โดยมีเป้าหมายสูส่ งั คม
ที่มีระดับคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้น[1]
3. โอกาสในการพัฒนา
การบูรณาการข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศจากหน่วยงานหลักและหน่วยงานสนับสนุน
ที่เกี่ยวข้อง จะท�ำให้มีข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อการสนับสนุนการวางแผน การตัดสินใจในระดับนโยบายทั้งเชิงเศรษฐกิจ
สังคม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงของรัฐ การคุ้มครอง ฟื้นฟูแหล่งที่อยู่อาศัย ลดภัยคุกคามและจัดการชนิดพันธุ์
ต่างถิน่ การแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมและยุตธิ รรม การบริหารจัดการอย่างยัง่ ยืน การปกป้องทรัพย์สนิ ของ
ประเทศในเชิงทรัพย์สนิ ทางปัญญา โดย ผูบ้ ริหาร สามารถจัดท�ำนโยบายและแผนการบริหารจัดการความหลากหลาย
ทางชีวภาพของประเทศไทยด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ นักอนุรักษ์ และผู้ดูแลกฎหมาย มีข้อมูลเพื่อพิทักษ์ ปกป้อง
คุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ จัดการทรัพย์สินทางปัญญา เกษตรกร มีข้อมูลสนับสนุนการเพิ่มผลผลิต
ทางด้านการเกษตร นักวิจัย สามารถติดตามข้อมูลงานวิจัย เพื่อพัฒนาต่อยอดงานวิจัยในอนาคต ผู้ประกอบการ
มีข้อมูลเพื่อพัฒนาเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจจากความหลากหลายทางชีวภาพ ชุมชน มีเครื่องมือในการจัดเก็บ ดูแล
ปกปักรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ เข้าถึงข้อมูลองค์ความรู้ เพือ่ สร้างเศรษฐกิจและรายได้ แบ่งปันผลประโยชน์
ที่เป็นธรรม
ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของ
หน่วยงานต่าง ๆ ให้เป็นศูนย์กลางข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพระดับประเทศอย่างเป็นเอกภาพ ได้ก�ำหนด
แผนด�ำเนินงานในเบื้องต้น (ระยะ 5 ปี) ประกอบด้วย
1) จัดท�ำสถาปัตยกรรมองค์กรระบบนิเวศให้เป็นแบบส�ำหรับบูรณาการระบบสารสนเทศที่ต่างกันให้
ท�ำงานร่วมกันได้ โดยค�ำนึงถึงการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และความมั่นคงทางไซเบอร์
2) จัดท�ำมาตรฐานรายการข้อมูลร่วมที่ครอบคลุม และรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลส�ำหรับการบูรณาการ
ตามสถาปัตยกรรมองค์กรฯ ตามที่ก�ำหนด
3) พัฒนาบุคลากรที่มีความรู้เชิงบูรณาการและทักษะเชิงปฏิบัติ ด้านสถาปนิก ISE Information
Modeling มาตรฐานข้อมูล และนักวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนการบริหารจัดการโครงการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
ขนาดใหญ่ที่ยืดหยุ่นรวดเร็ว
4) พัฒนาเครื่องมือในการติดตาม ก�ำกับ และประเมินผล ตลอดจนควบคุมคุณภาพของข้อมูล
5) พัฒนาคลังข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพและการให้บริการ
เอกสารอ้างอิง
1. วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร. ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี พ.ศ. 2561-2580 (ฉบับส�ำหรับเผยแพร่). กรุงเทพฯ.
2560.
2. ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12.
กรุงเทพฯ. 2560.
3. ส�ำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. แผนแม่บทบูรณาการจัดการความหลากหลายทาง
ชีวภาพ พ.ศ. 2558-2564. กรุงเทพฯ. 2558.
4. ส�ำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. แผนปฏิบัติการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ
พ.ศ. 2560-2564. กรุงเทพฯ. 2560.
5. ส�ำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2560-2564.
กรุงเทพฯ. 2560.
6. คณะอนุกรรมการด้านนโยบายและยุทธศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม. (ร่าง) ยุทธศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ
20 ปี (พ.ศ. 2560-2579). กรุงเทพฯ. 2561.
7. ส�ำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา
สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เรื่อง ปฏิรูปการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
(ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ. 2560.
8. ส�ำนักงานเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. แผนการปฏิรูปประเทศ
ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พ.ศ. 2561-2565). กรุงเทพฯ. 2561.
ภาคผนวก
กลุ่มที่ 4
ประเด็นวิชาการร่วมสมัย
4.1 กัญชา: แนวทางการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์
และการควบคุมการน�ำไปใช้ประโยชน์
4.2 เห็ดเป็นยาและอาหาร
กัญชา: แนวทางการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์
และการควบคุมการน�ำไปใช้ประโยชน์
ส�ำนักงานข้อมูลสมุนไพร
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
1. ความเป็นมา หลักการและเหตุผล
กัญชาเป็นพืชในวงศ์ Canabaceae เป็นไม้ล้มลุก ต้นตั้งตรง ล�ำต้นเป็นเหลี่ยมเล็กน้อย มีขน มีทั้งต้นแยก
เพศ เป็นต้นดอกเพศผู้ ต้นดอกเพศเมีย และต้นดอกสมบูรณ์เพศ ใบที่อยู่ใกล้ยอดเรียงแบบบันไดเวียน มีหูใบ 2 อัน
เป็นรูปเส้นด้ายติดอยู่ที่โคนก้านใบยาวประมาณ 0.5 ซม. ตั้งตรง ไม่ร่วงง่าย แผ่นใบเป็นแฉก 5-7 แฉก แต่ละแฉก
เป็นรูปหอก ปลายแฉกแหลมเป็นติ่ง ขอบหยัก ก้านใบมีขน ดอกตัวผู้ออกเป็นช่อตามง่ามใบและยอด ดอกมีกลีบ
เพียงชั้นเดียว จ�ำนวน 5 กลีบ ไม่ติดกัน กลีบรูปขอบขนาน ดอกตัวเมีย ออกเดี่ยว ๆ ตามง่ามใบและยอด แต่ละ
ดอกมีใบประดับสีเขียวเข้ม คล้ายกาบและมีขนเป็นต่อมหุ้มอยู่ ไม่มีกลีบดอก ผลรูปไข่ หรือรูปรี เกลี้ยง มีใบประดับ
หุ้มอยู่ 2 ใบ กัญชาที่น�ำไปใช้ทางการแพทย์ คือ ต้นกัญชาเพศเมีย เนื่องจากสารส�ำคัญของกัญชาพบมากในส่วน
ของ trichome หรือขนที่ท�ำหน้าที่สะสมสารบริเวณช่อดอกเพศเมีย
กัญชามีทั้งหมด 3 ชนิดได้แก่ Cannabis sativa L., C. indica Lam., C. rudralis Janisch ซึ่งมี
ความแตกต่างกันในเรื่องลักษณะทางพฤกษศาสตร์ และถิ่นที่พบดังตารางที่ 4.1
นอกจากกัญชาแต่ละชนิดและสายพันธุ์มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ (phynotype) แตกต่างกันแล้ว ยังมี
ความแตกต่างในเรือ่ งสารเคมีทเี่ ป็นองค์ประกอบ (chemotype) โดยเฉพาะชนิดและปริมาณสารกลุม่ แคนนาบินอยด์
(cannabinoids) ซึง่ พบหลายชนิดในกัญชาและมีฤทธิท์ างชีวภาพมากมาย แต่สารแคนนาบินอยด์ทมี่ คี วามส�ำคัญและ
มีบทบาททางการแพทย์มากที่สุด คือ delta-9-tetrahydrocannabinol (THC) และ cannabidiol (CBD) โดย
พบว่า กัญชาชนิด C. sativa L. มีปริมาณ THC สูงกว่า CBD ส่วนชนิด C. indica Lam. มีปริมาณ CBD
สูงกว่า THC โดยสาร THC เป็นส่วนประกอบหลักที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ท�ำให้เกิดอารมณ์เคลิ้มสุข คลายกังวล
สงบประสาท เซื่องซึม และมีฤทธิ์เป็นยาแก้ปวด ต้านอาเจียน ลดการอักเสบ ในขณะที่ CBD มีฤทธิ์ระงับอาการวิตก
กังวลต้านการชัก และเป็นสารที่ไม่มีฤทธิ์เสพติด จากความแตกต่างของชนิดและปริมาณสาร cannabinoid ท�ำให้
2. นโยบายและมาตรการที่ด�ำเนินการปัจจุบัน
ปัจจุบันการน�ำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างกว้างขวาง ท�ำให้
เกิดกระแสและการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการน�ำมาใช้ เนื่องจากกัญชาเป็นพืชที่มีทั้งประโยชน์และ
โทษ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการน�ำกัญชามาใช้ประโยชน์ทาง
การแพทย์ เพื่อเสนอแนะนโยบายและแผนการพัฒนาการน�ำกัญชามาใช้ประโยชน์ฯ และการศึกษาวิจัยพัฒนา/
วางระบบการน�ำกัญชามาใช้ประโยชน์ให้ครบวงจร การปลูก-ปรับปรุงสายพันธุ์-ผลิตสารส�ำคัญ-พัฒนาผลิตภัณฑ์-
การใช้ประโยชน์-การควบคุมการใช้ โดยมีหลักการเบื้องต้นการน�ำกัญชามาใช้ประโยชน์ในยุคปัจจุบัน (1) ตาม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 หมวด 5 หน้าที่ของรัฐมาตรา 55 รัฐต้องด�ำเนินการให้ประชาชน
ได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง เสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พ้ืนฐานเกี่ยวกับการส่งเสริม
สุขภาพและการป้องกันโรค และส่งเสริม และสนับสนุนให้มกี ารพัฒนาภูมปิ ญ ั ญาด้านแพทย์แผนไทยให้เกิดประโยชน์
สูงสุด บริการสาธารณสุขตามวรรคหนึ่ง ต้องครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ การควบคุม และป้องกันโรค การรักษา
พยาบาล และการฟื้นฟูสุขภาพด้วยรัฐต้องพัฒนาการบริการสาธารณสุขให้มีคุณภาพและมีมาตรฐานสูงขึ้นอย่าง
ต่อเนื่อง (2) การวิจัยพัฒนายืนยันประสิทธิผลความปลอดภัยของต�ำรับยา (2.1) การวิจัยทางปริคลินิก (พิษวิทยา
เพือ่ ยืนยันความปลอดภัย) (2.2) การวิจยั ระดับคลินกิ ตามมาตรฐานจริยธรรมการวิจยั ในมนุษย์ดา้ นการแพทย์ดงั้ เดิม
ที่องค์การอนามัยโลกก�ำหนด (การวิจัยทั้งสูตรต�ำรับ การน�ำหลักฐานบันทึก หรือประสบการณ์การใช้มาอ้างอิง)
เพื่อยืนยันประสิทธิผลการใช้ในผู้ป่วย และ (3) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพมาตรฐาน เพื่อสนับสนุนการใช้
ทางการแพทย์ ตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์ การปลูก การเก็บเกี่ยว การแปรรูปเบื้องต้น เช่น บดเป็นผง การสกัด
เช่น สกัดเป็นน�้ำมัน การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลา
นานและมีบทบัญญัติบางประการที่ไม่ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งในปัจจุบันปรากฏผลวิจัยว่าสารสกัดจากกัญชา
มีประโยชน์ทางการแพทย์มากมาย ท�ำให้มีผู้ป่วยบางส่วนลักลอบใช้กัญชาเพื่อการรักษาโรคมานานหลายปีแล้ว
ทั้งผลิตใช้เองและผลิตในเชิงพาณิชย์ เป็นผลให้มีราคาแพง และอาจไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการแพทย์และต�ำรับยา
จึงได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เพื่อเปิดโอกาสให้สามารถน�ำกัญชาไปท�ำการศึกษา
วิจัยเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และสามารถน�ำไปใช้ในการรักษาภายใต้การดูแลและควบคุมของแพทย์ได้ โดยใน
พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ ฉบับแก้ไขนี้เป็นฉบับที่ 7 และประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.
2562 กัญชายังจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 แต่มีสาระส�ำคัญที่แก้ไข คือ
1. ห้ามมิให้ผลิต น�ำเข้า หรือส่งออก เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากผู้อนุญาตเฉพาะกรณีจ�ำเป็นเพื่อประโยชน์
ของทางราชการ การแพทย์ การรักษาผู้ป่วย การศึกษาวิจัยและพัฒนา ทั้งนี้รวมถึงการเกษตรกรรม พาณิชยกรรม
วิทยาศาสตร์ หรืออุตสาหกรรมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์
- (ร่าง) แนวทางการพิจารณาอนุญาตให้ปลูกกัญชา
- (ร่าง) แนวทางการปฏิบัติด้านการจัดเตรียมสถานที่ การเก็บรักษา และการควบคุมการใช้ส�ำหรับ
ผู้ขอรับอนุญาตปลูก
- (ร่าง) แนวทางการปฏิบัติด้านการจัดเตรียมสถานที่ การเก็บรักษา และการควบคุมการใช้ส�ำหรับ
ผู้ขอรับอนุญาตผลิต น�ำเข้า จ�ำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง
- (ร่าง) หลักเกณฑ์เพื่อศึกษาวิจัยทางคลินิกของกัญชาทางการแพทย์
นอกจากนี้ยังมีการก�ำหนดแนวทางและขั้นตอนการน�ำสารสกัดจากกัญชามาใช้ทางการแพทย์ ได้แก่
แนวทางการควบคุมการสั่งใช้สารสกัดจากกัญชา
1. การใช้กัญชาทางการแพทย์ของผู้ป่วย
- การรักษาปกติ (standard pathway: approved drugs)
- การศึกษาวิจัย (clinical trials: unapproved drugs)
- การรักษากรณีจ�ำเป็นส�ำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย (ช่องทางพิเศษ) (special access scheme:
unapproved drugs)
2. ใช้ในโรค/ภาวะ ที่มีข้อบ่งใช้ เพื่อเสริมจากการรักษาด้วยวิธีตามมาตรฐาน
3. สถานบริการสุขภาพต้องขึน้ ทะเบียนกับหน่วยงานทีก่ ำ� กับดูแล เพือ่ ควบคุม ก�ำกับการใช้สารสกัดจาก
กัญชาให้มีประสิทธิภาพ
4. ต้องคัดกรอง วินจิ ฉัย และประเมินทางคลินกิ ผูป้ ว่ ย ว่ามีขอ้ บ่งใช้ และจ�ำเป็นต้องใช้สารสกัดจากกัญชา
ในการรักษา
5. มีระบบติดตามผลการรักษา และเฝ้าระวังอาการข้างเคียงของสารสกัดจากกัญชา รวมถึง การน�ำสาร
สกัดจากกัญชาไปใช้ที่ไม่ตรงวัตถุประสงค์ในการรักษา
6. แพทย์ผู้สั่งใช้
- ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม และที่ได้รับวุฒิบัตร/อนุมัติบัตรแพทย์เฉพาะทางใน
โรคที่มีข้อบ่งใช้
- ผ่านหลักสูตรการอบรมการใช้สารสกัดจากกัญชาในทางการแพทย์
- ขึ้นทะเบียน และได้รับอนุญาตให้เป็นผู้สั่งใช้สารสกัดจากกัญชาได้
- บันทึกการสัง่ ใช้สารสกัดจากกัญชา โดยระบุรายละเอียดสถานบริการสุขภาพ แพทย์ผสู้ งั่ ค�ำสัง่ การ
ใช้ยา รายละเอียดผู้ป่วย
7. ผู้ป่วยต้องขึ้นทะเบียน รับทราบผลดี/ผลเสียก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษาด้วยความสมัครใจ โดยให้
ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร
8. จัดตั้งศูนย์การควบคุมการใช้ทางการแพทย์ เพื่อติดตามผลทางคลินิก โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ได้แก่ กรมการแพทย์ (สถาบันประสาทวิทยา สถาบันมะเร็งแห่งชาติ) กรมสุขภาพจิต กรมการแพทย์แผนไทยและ
การแพทย์ทางเลือก ฯลฯ
9. จัดท�ำแนวทางและประเด็นการก�ำกับ/ติดตามการใช้ โดยส�ำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาท�ำ
หน้าที่ก�ำกับการเบิก-จ่าย ติดตาม ควบคุมการน�ำสารสกัดจากกัญชาไปใช้
2 แปรรูป วัตถุดิบสมุนไพร: วั ต ถุ ดิ บ สมุ น ไพรพร้ อ มใช้ ผลิตหรือน�ำเข้า อย. ศอ.ปส.(จ)/คกก. ที่ อย./กรมศุลกากร อย./สสจ/ต�ำรวจ/
การสกัด ส่วนต่าง ๆ สารสกัด/น�้ำมันกัญชา ซึ่ง - ผู้รับอนุญาต ผจว.มอบหมาย ปปส/กรมวิทย์ฯ
ผ่านการตรวจ วิเคราะห์
3 ศึกษาวิจัยใน สารสกัด/น�้ำมันกัญชา ข้อมูลด้านเภสัชวิทยาและ ครอบครอง อย./คกก.จริยธรรม ศอ.ปส.(จ)/คกก. ที่ อย./ อย./สสจ
สัตว์ทดลอง* พิษวิทยา - ผู้รับอนุญาต (EC) ผจว.มอบหมาย คณะกรรมการ
จริยธรรม
4 พัฒนาต�ำรับ/ สารสกัด/น�้ำมันกัญชา ผลิตภัณฑ์ส�ำเร็จรูปต้นแบบ ผลิตหรือน�ำเข้า อย./กรมศุลกากร ศอ.ปส.(จ)/คกก. ที่ อย./กรมศุลกากร อย./สสจ/ต�ำรวจ/
ผลิตภัณฑ์ ขนาดการใช้ วิธีใช้ และ - ผู้รับอนุญาต ผจว.มอบหมาย ปปส/กรมวิทย์ฯ
ส�ำเร็จรูป ข้อบ่งใช้
5 ศึกษาวิจัย ผลิตภัณฑ์ส�ำเร็จรูปต้นแบบ ข้อมูลด้านประสิทธิภาพ ผลิต/น�ำเข้า/ครอบครอง อย./คกก. อย. อย./สสจ.
ด้านคลินิก* และความปลอดภัย เพื่อการศึกษาวิจัยทาง จริยธรรม (EC)
คลินิก
- ผู้รับอนุญาต/สถาบันวิจัย
6 การรับรอง ข้อมูลด้านคุณภาพ ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพ ขอรับรองต�ำรับ อย.
ต�ำรับ** ประสิทธิภาพและความ ประสิทธิภาพและความ - ผู้รับอนุญาต
ปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ปลอดภัยได้รับการรับรอง
ส�ำเร็จรูป ต�ำรับ
7 ใช้ประโยชน์ ผลิตภัณฑ์ส�ำเร็จรูปที่ได้รับ ประกาศกระทรวงฯ จ�ำหน่าย อย. อย. อย./สสจ.
ทางการแพทย์ การอนุมัติต�ำรับ ยาเสพติดให้โทษ ประเภท - ผูป้ ระกอบวิชาชีพ
5 ที่ให้เสพ เวชกรรมหรือแพทย์แผน
ไทยที่มีใบอนุญาตเพื่อ
บ�ำบัดรักษาผู้ป่วยของตน
หมายเหตุ: ศอ.ปอ. (จ) คือ ศูนย์อ�ำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ รองผู้ว่าราชการจังหวัดที่รับผิดชอบด้านยาเสพติดเป็นผู้อ�ำนวยการศูนย์ฯ
9/13/19 16:05
กลุ่มที่ 4 ประเด็นวิชาการร่วมสมัย 131
แนวทางการด�ำเนินงานการน�ำภูมิปัญญากัญชามาใช้ประโยชน์
ด�ำเนินการ 2 แนวทาง ควบคู่กันดังนี้ แนวทาง 1 การน�ำภูมิปัญญามาใช้ควบคู่กับการวิจัย AUR (Actual
Use Research) ภายใต้เงื่อนไข:
1. สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยฯ ก�ำหนดรายชื่อต�ำรับยาและจัดท�ำแนวทาง
เวชปฏิบัติ
2. ให้กระท�ำโดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแผนไทยหรือแผนไทยประยุกต์
3. ให้ด�ำเนินการในสถานพยาบาลประเภทโรงพยาบาลและคลินิก ของรัฐและเอกชน
4. กองวิชาการและแผนงาน กรมการแพทย์แผนไทยฯ จัดท�ำรายงานผลการใช้ส�ำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
ต่อส�ำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมการแพทย์แผนไทยฯ
5. กองพัฒนายาแผนไทยและสมุนไพร กรมการแพทย์แผนไทยฯ พัฒนาผลิตภัณฑ์กญ ั ชาในรูปแบบต�ำรับ
ยาแผนไทยส�ำเร็จรูป (ยาลูกกลอน ยาเม็ด ยาน�้ำ ยาทา ยาน�้ำมัน ยาผง)
โดยกรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้คัดเลือกกลุ่มยาน�ำร่อง 16 ต�ำรับ ที่มีหลักฐานการใช้และระบุส่วน
ประกอบแน่ชัด เสนอต่อกระทรวงสาธารณสุขเพื่อพิจารณาและประกาศใช้ โดยยา 16 ต�ำรับ มีรายละเอียด
ดังตารางที่ 4.3
แนวทางการใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อการวิจัย
สารสกัดจากกัญชาในทุกรูปแบบ
1. ต้องปราศจากสารอันตรายที่อาจปะปน อาทิ สารโลหะหนัก เชื้อรา
2. เป็นผลิตภัณฑ์จากการผลิตครั้งเดียวกันทั้งหมด
3. ทราบปริมาณ และอัตราส่วนที่แน่นอนของสารส�ำคัญ
4. ผู้วิจัยหลักต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรค/ภาวะที่ท�ำการศึกษาวิจัย
5. มีความพร้อมในการดูแลอาสาสมัคร หากเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์
6. ผู้วิจัยต้องขึ้นทะเบียนการใช้สารสกัดจากกัญชา
7. มีระบบควบคุมสารสกัดจากกัญชาเป็นอย่างดี
องค์การเภสัชกรรมเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ได้ท�ำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์
โดยจัดท�ำโครงการผลิตสารสกัดต้นแบบกัญชาทางการแพทย์เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข
ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระยะ
- ระยะที่ 1 R&D Phase วิจัยและพัฒนาวิธีการสกัดและผลิตภัณฑ์ยาส�ำหรับการศึกษาทางคลินิก
เบื้องต้น (กันยายน 2561-ต่อเนื่อง)
- ระยะที่ 2 Pilot Phase การผลิตสารสกัดกัญชาทางการแพทย์ในระดับกึง่ อุตสาหกรรม (ตุลาคม 2561-
ต่อเนื่อง)
- ระยะที่ 3 Industrial Phase การผลิตสารกัญชาทางการแพทย์ในระดับอุตสาหกรรม (มกราคม 2562-
ต่อเนื่อง)
โดยเริ่มจากศึกษาวิจัยการปลูกกัญชา เพื่อลดการปนเปื้อนยาฆ่าแมลงและโลหะหนัก และได้คัดเลือกมา
3 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ที่มี THC สูง สายพันธุ์ที่มี CBD สูง และสายพันธุ์ที่มี THC:CBD ในอัตราส่วน 1:1 เลือก
การปลูกในอาคาร และใช้ระบบปลูกแบบรากลอย (aeroponics) ใช้เวลาปลูกจนเก็บเกี่ยวเป็นระยะเวลาประมาณ
4 เดือน และด�ำเนินการตามหลัก 7 G เพื่อควบคุมคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐานสากล ดังนี้
1. GAP: Good Agricultural Practices หลักเกณฑ์มาตรฐานการปฏิบัติด้านการเพาะปลูกที่ดี
2. GLP: Good Laboratory Practices หลักเกณฑ์มาตรฐานการปฏิบัติด้านห้องปฏิบัติการที่ดี
3. GMP: Good Manufacturing Practice หลักเกณฑ์และวิธีการในการผลิตยาที่ดี
4. GCP: Good Clinical Practices หลักเกณฑ์มาตรฐานการปฏิบัติด้านการวิจัยทางคลินิกที่ดี
5. GDP: Good Distribution Practices หลักเกณฑ์มาตรฐานการปฏิบัติด้านการจัดส่งยาที่ดี
6. GSP: Good Security Practices หลักเกณฑ์มาตรฐานด้านการปฏิบัติด้านความปลอดภัยที่ดี
7. GIP: Good Information Practices หลักเกณฑ์มาตรฐานการปฏิบัติข้อมูลสารสนเทศที่ดี
ขณะนี้โครงการอยู่ระหว่างการศึกษาในระยะที่ 1 ซึ่งเริ่มมีการเพาะปลูกไปเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2562
โดยคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์จากสารสกัดต้นแบบกัญชาทางการแพทย์ในรูปของ sublingual drop (น�้ำมันหยด
ใต้ลิ้น) จ�ำนวนประมาณ 2,500 ขวดแรกที่เตรียมจากกัญชาปลูกเอง จะพร้อมใช้ในเดือนกรกฏาคม 2562 เพื่อ
ใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับความคงสภาพของผลิตภัณฑ์ และการศึกษาทางคลินิกน�ำร่องในผู้ป่วยที่เป็นโรคบางชนิด
และในระยะถัดไปทางองค์การเภสัชกรรมยังได้มีโครงการปลูกกัญชาทางการแพทย์ในระดับกึ่งอุตสาหกรรม (Pilot
Phase) ระยะที่ 2 ที่ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี จะมีทงั้ ปลูกในอาคารและแบบโรงเรือน เพือ่ วิจยั และพัฒนาสายพันธุท์ ใี่ ห้
สารส� ำ คั ญ สู ง และทนต่ อ โรคต่ า ง ๆ และในระยะที่ 3 เป็ น การผลิ ต สารสกั ด กั ญ ชาทางการแพทย์ ใ นระดั บ
อุตสาหกรรม (Industrial Phase) โดยเริ่มปลูกและผลิตสารสกัดระดับอุตสาหกรรมแบบครบวงจรในพื้นที่
อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี
3. สภาพปัญหา/ข้อจ�ำกัดและโอกาสในการพัฒนา
ปัจจุบันประชาชนมีความสนใจเรื่องของการน�ำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เนื่องจากการให้รับ
ข้อมูลข่าวสารจากแหล่งต่าง ๆ ว่ากัญชาสามารถรักษาโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็งให้หายได้ซึ่งจริง ๆ แล้วยังไม่มี
ข้อมูลสนับสนุนการรักษามะเร็งที่เพียงพอ ดังนั้นควรมีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ทางการแพทย์ที่ถูกต้อง
เพื่อให้ประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์และโทษของกัญชา สายพันธุ์กัญชา ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับ
การปลูก ผลิต น�ำเข้า จ�ำหน่าย ครอบครอง และการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ เนื่องจากปัจจุบัน
ประเทศไทยได้มีการปรับแก้ไข พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ ซึ่งกัญชายังจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 แต่
อนุญาตให้มีการปลูก ผลิต จ�ำหน่าย และครอบครองเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เท่านั้น และต้องได้รับอนุญาตจาก
คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษเป็นรายกรณีไป
นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีปัญหาเรื่องของวัตถุดิบกัญชาที่น�ำมาใช้ในการวิจัย และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์
ดังนั้นการใช้กัญชาส�ำหรับรักษาโรคต่าง ๆ ส�ำหรับการแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทย ในประเทศไทยยังต้อง
ได้รับการศึกษาเพิ่มเติม โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ส�ำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมการแพทย์
แผนไทยฯ องค์การเภสัชกรรม สถานศึกษาที่มีการศึกษาวิจัยและการเรียนการสอนทางการแพทย์ เภสัชกรรม และ
เกษตรกรรม ได้ร่วมกันศึกษาวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชาทั้งที่เป็นยาเดี่ยวและต�ำรับเพื่อใช้ในการรักษา
โรค โดยด�ำเนินการศึกษาตั้งแต่การปลูก คัดเลือกพันธุ์ การศึกษาประสิทธิภาพในการรักษาหรือบรรเทาอาการ
ของยาในผู้ป่วย เป็นต้น
ดังนัน้ โอกาสของการน�ำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์อาจจะต้องใช้เวลาในการวิจยั และพัฒนาอีกสัก
ระยะ ประกอบกับหน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เช่น คณะกรรมการพิจารณาการน�ำกัญชามาใช้
ประโยชน์ทางการแพทย์ คณะกรรมการขับเคลือ่ นการใช้ประโยชน์จากกัญชา ส�ำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
กรมการแพทย์แผนไทยฯ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพื่อด�ำเนินการสร้างเครื่องมือหรือ
กฎเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ รวมถึงยกร่างกฎกระทรวงต่าง ๆ เพื่อรองรับ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ ฉบับใหม่
เพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด
ในอนาคตไม่ช้านี้ผู้ป่วย โรคภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบ�ำบัด โรคลมชักรักษายากในเด็กและโรคลมชัก
ที่ดื้อต่อยารักษา ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง อาการปวดประสาทที่รักษาด้วยวิธีต่าง ๆ
ไม่ได้ผล โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ โรคปลอกประสาทอักเสบ โรควิตกกังวล ผู้ป่วยที่ดูแลแบบประคับประคอง
ผู้ป่วยมะเร็ง จะสามารถได้รับการรักษาเสริมด้วยผลิตภัณฑ์ยากัญชา ทั้งนี้แพทย์ผู้ท�ำการรักษาเห็นชอบ และเร่งเห็น
ว่าผู้ป่วยจะได้รับประโยชน์ เพิ่มคุณภาพชีวิต และปลอดภัยจากการใช้ยาดังกล่าว รวมถึงการใช้ยาต�ำรับที่มีกัญชา
เป็นส่วนประกอบในการแพทย์แผนไทย 16 ต�ำรับ ที่กรมการแพทย์แผนไทยฯ ก�ำหนดให้เป็นยาน�ำร่อง โดยแพทย์
แผนไทยหรือแพทย์แผนไทยประยุกต์ที่ได้รับอนุญาต สามารถสั่งจ่ายและน�ำกัญชาไปปรุงยาเฉพาะบุคคลได้
ในการสัมมนา กัญชา: โอกาสและความท้าทายของประเทศไทย วันที่ 7 มีนาคม 2562 มีประเด็นปัญหา
ที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับกัญชาแต่ประชาชน และผู้ที่สนใจทราบดังนี้
- การใช้ประโยชน์กัญชาทางการแพทย์ที่มีงานวิจัยรองรับ ใช้รักษาโรคหรือบรรเทาอาการใดบ้าง
- สายพันธุ์กัญชา สารส�ำคัญและกลไกการออกฤทธิ์ในการรักษาโรค
- ข้อควรระวังในการใช้ และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- ต� ำ รั บ ยาของการแพทย์ แ ผนไทยมี กั ญ ชาเป็ น องค์ ป ระกอบ ต� ำ รั บ ยาที่ ไ ด้ รั บ การสนั บ สนุ น โดย
กรมการแพทย์แผนไทยฯ
- ความก้าวหน้าในการด�ำเนินการเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนายาหรือต�ำรับยาที่มีกัญชาในประเทศไทย
- ปัญหาและอุปสรรคในด�ำเนินการวิจัยการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์
- สาระส�ำคัญของ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 เกี่ยวกับการใช้กัญชา
- นโยบายหรือแนวทางการควบคุมกัญชาในทางการวิจัยและการแพทย์
- หน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการขออนุญาตการปลูก การท�ำวิจัย และการใช้กัญชา รวมถึงแนวทาง
ปฏิบัติในการขออนุญาต
- คุณสมบัติของผู้ที่สามารถสั่งจ่ายและได้รับการรักษาด้วยยาที่มีกัญชาเป็นองค์ประกอบ
เอกสารอ้างอิง
1. พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562. เล่ม 136 ตอนที่ 19 ก ราชกิจจานุเบกษา 18 กุมภาพันธ์
2562.
2. ลีนา ผู้พัฒนพงศ์. สมุนไพรไทย ตอนที่ 2. กรุงเทพฯ: หจก. นิวธรรมดาการพิมพ์, 2522:180 หน้า.
3. ระพีพงศ์ สุพรรณไชยมาตย์ และ โชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ. ประโยชน์และโทษที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้กัญชาในทาง
การแพทย์และการเปิดเสรีการใช้กัญชา. วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข. 2561;12(1):71-94.
4. วีรยา ถาอุปชิค และนุศราพร เกษสมบูรณ์. การใช้กัญชาทางการแพทย์. วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน 2560;13
(supplement): 228-40.
5. ส�ำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุตธิ รรม และส�ำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
กระทรวงสาธารณสุข. สรุปการสัมมนา โครงการสร้างการรับรู้และความเข้าใจในการใช้ประโยชน์กัญชาทางการแพทย์.
กระทรวงสาธารณสุข, นนทบุรี, 14 พฤศจิยายน 2561.
6. ชาญชัย เอื้อชัยกุล. พืชกัญชา: ประโยชน์ โทษและข้อเสนอการพัฒนาการก�ำกับดูแล [อินเตอร์เนต]. เข้าถึงเมื่อ
17 ธันวาคม 2561. เข้าถึงได้จาก http://ccpe.pharmacycouncil.org/index.php? option=article_detail
&subpage=article_detail&id=354
7. อนันต์ชัย อัศวเมฆิน. จะปลดล็อคกัญชาทางการแพทย์ได้อย่างไร. เอกสารประกอบการสัมมนาโครงการสร้างการรับรู้
และความเข้าใจในการใช้ประโยชน์กัญชาทางการแพทย์. กระทรวงสาธารณสุข, นนทบุรี, 14 พฤศจิกายน 2561.
8. ชยันต์ พิเชียรสุนทร แม้นมาส ชวลิต วิเชียร จีรวงส์. ค�ำอธิบายต�ำราพระโอสถพระนารายณ์. กรุงเทพฯ: บริษัท
อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จ�ำกัด, 2544: 777 หน้า.
9. ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง. ต�ำรายารักษาโรคแผนโบราณ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อักษรเจริญทัศน์ 2484: 68 หน้า.
เห็ดเป็นยาและอาหาร
ศ.ดร.สายสมร ล�ำยอง และคณะ
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
1. ความเป็นมา หลักการและเหตุผล
เห็ด (mushroom) จัดอยูใ่ นอาณาจักรฟังไจ ในความหมายทางจุลชีววิทยาเป็นเชือ้ ราชัน้ สูง ซึง่ จัดจ�ำแนก
อยู่ในไฟลัมเบสิดิโอมายโคตา (phylum basidiomycota) และไฟลัมแอสโคมายโคตา (phylum ascomycota)
ดอกเห็ด มีรูปร่างหลากหลายซึ่งมาจากการรวมของเส้นใยราขนาดเล็กเกิดเป็นโครงสร้าง เพื่อสร้างโครงสร้างในการ
สืบพันธุ์ โครงสร้างเห็ดประกอบด้วย ก้านดอกเห็ด หมวกเห็ดโดยภายใต้หมวกอาจเป็น ครีบ ท่อ หรือฟันเลื่อย
อันเป็นแหล่งก�ำเนิดของสปอร์ ซึ่งเส้นใยและสปอร์มีขนาดเล็กมากต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ช่วยในการมองเห็น
ค�ำนิยามของ เห็ด ไม่ใช่พืช เห็ดอยู่ในอาณาจักร Fungi เนื่องจากไม่มีคลอโรฟีลช่วยในการสังเคราะห์แสงจึงต้อง
อาศัยอาหารจากการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุพบได้ในเห็ดกลุ่มย่อยสลาย เช่น เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู เป็นต้น
หรืออาศัยสารอาหารจากพืชอาจเป็นเห็ดกลุม่ เอกโตไมคอไรซาทีอ่ าศัยพึง่ พากันระหว่างเห็ดและพืช ส่วนใหญ่เป็นเห็ด
ที่พบบนดินในฤดูฝน เช่น เห็ดระโงก เห็ดแดง เห็ดตับเต่าด�ำ เห็ดขมิ้น เห็ดเผาะ เป็นต้น รวมถึงเห็ดที่อาศัยอยู่กับ
แมลง เช่น เห็ดโคนอาศัยอยู่กับปลวก ซึ่งเป็นการแบ่งกลุ่มเห็ดตามสถานะและแหล่งอาหารของเห็ด
ประเทศไทยตั้งที่อยู่ในเขตร้อนชื้น มีภูมิอากาศเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเห็ดรา ถือได้ว่าเป็นแหล่ง
ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพของเห็ดราที่ดีที่สุดของโลกจากการรายงานของ Royal Botanical Garden, Kew
พบว่าประเทศไทยเป็นอันดับสามของโลกจากรายงานการค้นพบราชนิดใหม่ของโลก[1] รวมถึงการรายงานการค้นพบ
เห็ดราจากภาคเหนือของประเทศไทยปรากฎถึงร้อยละ 96 ของชนิดที่ค้นพบเป็นชนิดใหม่ของโลก[2] จากการค้นพบ
ดังกล่าวทั้งหมดคิดเป็นเพียงแค่ร้อยละ 6-10 ของเห็ดราที่คาดว่าจะพบจากประเทศไทย[3,4] จากการที่ประเทศไทย
มีความหลากชนิดของเห็ดสูงมาก[5] เห็ดป่าที่พบในประเทศไทยจึงมีทั้งชนิดที่รับประทานได้ และชนิดที่รับประทาน
ไม่ได้ โดยจะแบงตามคุณสมบัติ 1. เห็ดที่รับประทานได้ มีกลิ่น รส และสีแตกต่างกัน ซึ่งมีทั้งชนิดที่เพาะเลี้ยงได้
และเพาะเลี้ยงไม่ได้ 2. เห็ดพิษ สารพิษจากเห็ด เป็นสารที่เกิดจากกระบวนการทางสรีรวิทยาของเห็ด เมื่อคน
หรือสัตว์ได้รับสารเข้าไปในร่างกายจะก่อให้เกิดพยาธิสภาพ ท�ำให้เจ็บป่วยจนกระทั่งถึงแก่ชีวิตได้ เห็ดพิษบางชนิด
สามารถรับประทานได้หากรูจักวิธีการบริโภคที่ถูกตอง เนื่องจากมีพิษอ่อนโดยสารพิษจะถูกสลายด้วยความร้อน
เช่น เห็ดแดง หน้าม่อย เห็ดตีนแรด เป็นต้น รวมถึงการเกิดพิษเมื่อบริโภคเห็ดร่วมกับแอลกอฮอล์ และบางชนิด
ไม่อาจจะรับประทานได้เนื่องจากมีพิษรุนแรงซึ่งไม่สามารถใช้ความร้อนท�ำลายพิษได้ อาการที่เกิดจากการบริโภค
เห็ดพิษมีหลากกลุ่มอาการขึ้นอยูกับชนิดของเห็ด เห็ดพิษที่ท�ำให้เกิดอาการป่วยและรายงานการเสียชีวิตมากที่สุด
ไดแก เห็ดในสกุล Amanita ซึ่งพบว่ามีความหลายชนิดมากในประเทศไทย เชน เห็ดระโงกหิน เห็ดไขตายซาก
เห็ดสะเกล็ดดาว เป็นตน ดังนั้นในการรับประทานเห็ดต้องพึงระมัดระวังในการรับประทานเห็ดที่ไม่รู้จัก และไม่
แน่ใจจึงไม่ควรรับประทาน หรือเห็ดที่สามารถรับประทานได้ควรรับประทานแต่น้อย 3. เห็ดที่ใชประโยชนทางยา
เชน เห็ดหลินจือ เห็ดหอม กลุ่มถั่งเช่า เป็นต้น การน�ำมาใช้ได้ในหลายรูปแบบ เช่น รับประทานไดโดยตรง
เห็ดเหล่านีม้ คี ณ
ุ สมบัตทิ าํ ใหร า งกายแข็งแรง เชน เห็ดหลินจือ และเห็ดหอม มีรายงานพบว่าดอกเห็ดและสปอรม สี าร
ยับยั้งการเจริญของเชื้อไวรัสที่ทําใหเกิดโรคไขหวัดใหญ เนื้องอก (ในหนูทดลอง) รวมถึงยับยั้งการเพิ่มตัวของเซลล์
มะเร็งในห้องปฏิบัติการ 4. เห็ดที่มีคุณสมบัติอื่น เชน การน�ำมาท�ำสียอมของเห็ด กลุ่มเห็ดก้อนกรวด[6-8]
2. ภาพรวมความส�ำคัญของประเด็นนั้น ๆ ที่ต้องด�ำเนินการท�ำ
เห็ดเป็นอาหารและยานั้นมีการน�ำมาใช้หลายรูปแบบ ยกตัวอย่างการน�ำมาใช้โดยตรงเช่น การบริโภค
ดอกเห็ดในรูปแบบต่าง ๆ โดยไม่มีการแปรรูป เช่น ต้ม ย�ำ ผัด ทอด นึ่ง ร่วมกับเนื้อสัตว์หรือผักเป็นต้น เห็ด
ในกลุ่มนี้รู้จักดีในนามของเห็ดจากฟาร์ม หรือ เห็ดป่า เห็ดจากฟาร์มในประเทศไทยมีจ�ำหน่ายไม่หลากชนิดใน
ท้องตลาด เกือบทั้งหมดเป็นสายพันธุ์ที่น�ำเข้าจากต่างประเทศ เช่น เห็ดนางฟ้า เห็ดนางรม เห็ดหูหนู เห็ดหอม
เป็นต้น ส่วนที่ไม่มีขายในตลาดและต้องเก็บเองโดยตรงจากป่า หรือ เห็ดป่า เช่น เห็ดไคล เห็ดผึ้ง เห็ดระโงก
เห็ดนกยูง เห็ดขิง เห็ดข่า เห็ดขมิ้น เห็ดตาโล่ เห็ดโคน และอีกมากมาย เห็ดป่าเป็นแหล่งรายได้และแหล่งอาหาร
ที่ส�ำคัญส�ำหรับผู้อาศัยโดยรอบป่า พบเฉพาะหน้าฝน ดอกเห็ดจะเปลี่ยนสกุลการขึ้นทุก 2-3 วัน ดอกเห็ดมีล�ำดับ
3. ปัญหาและอุปสรรคที่ส่งผลท�ำให้ประเทศไม่พัฒนา
เห็ดป่าจากประไทยไม่ใช่ไม่มีศักยภาพในการพัฒนาทางทั้งทางการแพทย์ สารเสริมอาหาร หรือ
เครื่องส�ำอาง ความจริงเห็ดป่าของไทยที่สามารถแยกเชื้อเพื่อเลี้ยงต่อได้หรือไม่สามารถแยกเชื้อได้นั้นมีศักยภาพ
จ�ำนวนมากสะท้อนจากผลการศึกษาคุณสมบัติทางเคมีที่ศึกษาทั้งจากเชื้อบริสุทธิ์เลี้ยงในระบบปิด และจากดอก
ที่น�ำมาเพาะและท�ำการเปิดดอกในโรงเรือนของเห็ดป่าไทย พบการสร้างสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพชนิดใหม่ของ
โลกและสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์จ�ำนวนมาก การพบสารออกฤทธิ์ชนิดใหม่นั้นไม่เพียงแต่พบจากเส้นใยที่น�ำ
มาเพาะเลี้ยงแต่กลับพบจากดอกเห็ดที่เพาะเลี้ยงในโรงเรือนเพื่อเปิดดอก ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิจัยไม่ได้คาดคิด เช่น
เห็ดกลุ่มหลินจือป่า Ganoderma austral และ G. orbiforme พบการสร้างสารออกฤทธิ์ชนิดใหม่จากดอกที่
น�ำเชื้อมาเปิดในโรงเรือน คือ 3,4-seco-27-norlanostane triterpene, ganoboninketal D, (24S)-3-oxo-
7α,24,25-trihydroxylanosta-8-ene[11,12] เป็นต้น สารที่นักวิจัยพบจากเห็ดป่าเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดทั้งสารชนิดใหม่
และสารออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์คือ สารกลุ่ม Triterpenoids
เมื่อน�ำสารออกฤทธิ์ที่พบจากเห็ดป่าเหล่านี้มาทดสอบทางด้าน biological assay พบคุณสมบัติ
มากมาย ตัวอย่างสารออกฤทธิ์จากเห็ดป่าไทยที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งมะเร็งปากมดลูกที่มีสาเหตุมาจาก herpes
simplex virus type 1 เช่น เห็ดสกุล Inonotus พบสาร inonoalliacane B[13] สารใหม่ Fomitopsin D
(IC50 17 µg/mL) เห็ดกระด้าง Fomitopsis feei[14,15] และ Pinicolic acid A (IC50 15 µg/mL) จากเห็ด
กระด้างรูเหลี่ยม เช่น Flavodon flavus[16] เป็นต้น ตัวอย่างสารออกฤทธิ์จากเห็ดป่าไทยที่มีฤทธิ์ในการยับยั้ง
เชื้อเซลล์มะเร็งชนิด cancer cell-lines (KB, MCF-7, และ NCI-H187) ได้แก่ เห็ดดอกนิ่ม หรือเห็ดร่ม
เนื้อเจลลี่อย่างสกุล Resupinatus ในอดีตถูกรายงานเป็นเห็ดในสกุล Marasmiellus ในขณะนั้นพบว่าสร้างสาร
ใหม่ คือ marasmiellins A และ B (ที่ความเข้มข้น 50 µg/mL)[17] สาร russulanigrins A-C และสารใหม่
russulanigrin D จาก Russula nigricans หรือเห็ดถ่าน[18] และสารใหม่ Mycenadiols A-D จากเห็ดร่มดอก
ขนาดเล็ก เช่น Mycena pruinosoviscida ที่พบเมือกบนก้านและเรืองแสงขึ้นบนขอนไม้ ส่วน astraeusins
A-L และสารสกัดจากเห็ดเผาะหนัง A. ordoratus ที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งแต่ไม่ได้ระบุเรื่องของชนิด
เซลล์มะเร็งและปริมาณทีย่ บั ยัง้ ได้[19] ตัวอย่างสารออกฤทธิจ์ ากเห็ดป่าไทยทีม่ ฤี ทธิใ์ นการยับยัง้ เชือ้ mycobacterial
(Mycobacterium tuberculosis H37Ra) ที่เป็นสาเหตุของโรควัณโรค เช่น Ganoderma lanostanoids
จากเห็ดกลุ่มหลินจือ Ganoderma sp. สายพันธุ์ BCC 16642 มีคุณสมบัติในการต้านวัณโรค [20,21] สาร
porialbocin A ชนิดใหม่กลุ่ม cryptoporic acid derivative จากเห็ดกระด้างที่เคลือบบนกิ่งไม้ เช่น Poria
albocincta[22] และสาร russulanigrins A-D จาก Russula nigricans หรือเห็ดถ่าน[18] ตัวอย่างสารออกฤทธิ์
จากเห็ดป่าไทยทีม่ ฤี ทธิใ์ นการยับยัง้ เชือ้ Plasmodium falciparum K1 เป็นสาเหตุของโรคมาเลเรีย เช่น สาร
ออกฤทธิ์ชนิดใหม่คือ astraeusins M-Q (ที่ความเข้มข้น 3.0 µg/mL) จากเห็ดเผาะ Astraeus asiaticus[23] เช่น
เดียวกับ porialbocin A จากเห็ดกระด้างที่เคลือบบนกิ่งไม้ เช่น Poria albocincta[22] และสาร russulanigrins
A-C และสารใหม่ russulanigrin D จาก Russula nigricans หรือเห็ดถ่าน[18] และ tremulenediol A
การค้นพบที่เป็นทรัพยากรชีวภาพของประเทศไทยเป็นสิ่งส�ำคัญที่ต้องมีไว้เป็นหลักฐาน และอ้างอิงในงานวิจัย
พืน้ ฐาน หรืองานวิจยั ใด ๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง สถานทีส่ ามารถฝากตัวอย่างอ้างอิงในปัจจุบนั มีหลายที่ เช่น BIOTEC Bangkok
Herbarium (BBH) ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ, ส�ำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ
พิพิธภัณฑ์เห็ดที่มีฤทธิ์ทางยา ของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นต้น
5. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนั้น แต่ละหน่วยงานด�ำเนินการอะไร
หน่วยงานทีเ่ กีย่ วข้องกับเห็ดเป็นอาหารและยานัน้ มีมากมายจากประเด็นทีก่ ล่าวมาข้างต้นทัง้ หมด โดยขอ
แบ่งออกเป็นประเด็นที่ส�ำคัญ 3 ประเด็นดังต่อไปนี้
ประเด็นเรื่องการศึกษาเกี่ยวกับเห็ดรา หน่วยงานภาครัฐทางด้านการศึกษาหากมีการเพิ่มเติมความรู้
ที่ถูกต้องและมีหลักสูตรที่ด้านราวิทยา Mycology หรือเห็ด Mushroom จะช่วยให้ประชาชน เกิดความเข้าใจ
พื้นฐานของเห็ด โดยเฉพาะบางเรื่องไม่ควรใช้เพียงความเชื่อที่ไม่มีการพิสูจน์อย่างแท้จริงทางวิทยาศาสตร์ เช่น
การรักษาคนที่บริโภคเห็ดพิษ เนื่องจากความรู้ด้านนี้เสี่ยงต่อชีวิตเป็นอย่างมาก หากได้รับพิษที่รุนแรงจะไม่สามารถ
ใช้ความรู้แบบดั้งเดิมรักษาได้เป็นต้น เสี่ยงต่อการสูญเสีย ความรู้ในมิติอย่างอื่น เช่น บทบาทของเห็ดราในธรรมชาติ
ในชีวิตประจ�ำวัน และการให้ชื่อของเห็ดรา วิธีการจ�ำแนกที่ถูกเป็นที่มาของชื่อ ต้องมีการตรวจสอบชนิดที่ชัดเจน
อย่างไร สิ่งเหล่านี้ควรแทรกในบทเรียนที่แยกออกต่างหากเพราะเนื้อหามีความละเอียดและซับซ้อน ไม่ควรแทรก
อยู่ในจุลชีววิทยาอีกต่อไป ควรแยกออกมาเป็นวิชาเดี่ยว คือ ราวิทยา Mycology เป็นต้น แต่ในปัจจุบันมีน้อยมาก
ที่บรรจุเป็นหลักสูตรในวิชาบังคับ ซึ่งท�ำให้ยากต่อการพัฒนาอนาคตของชาติในด้านนี้ เนื่องจากเด็กไม่เห็นภาพและ
ไม่เข้าใจศักยภาพของเห็ด จึงไม่สนใจน�ำมาเป็นอาชีพ หรือเป็นหัวข้อเรียนต่อ ท�ำให้ขาดก�ำลังคนในอนาคตที่จะน�ำ
วิชาความรู้ด้านเห็ดกลับมาพัฒนาประเทศ
ประเด็ น งานวิ จั ย งานวิ จั ย ในปั จ จุ บั น กระจายอยู ่ ใ นหน่ ว ยงานภาครั ฐ สถาบั น วิ จั ย และสถาบั น
อุดมศึกษา บางครั้งเป็นโครงการขนาดเล็กในโรงเรียน ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดีแล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีจ�ำนวนมาก
แต่ไม่มีมาตรการที่ชัดเจนจากภาครัฐในการสนับสนุนงานวิจัยด้านเห็ดราอย่างต่อเนื่อง มีทิศทางและชัดเจน ทั้งที่
ประเทศไทยมีความหลากหลายเป็นอันดับสามของโลก แต่งานวิจัยผลิตออกมาจากคนไทยและจากประเทศไทย
น้อยมาก โดยเฉพาะงานวิจัยตั้งแต่ระดับพื้นฐาน คือ ส�ำรวจ รวบรวม แยกเชื้อ จ�ำแนกชนิด เก็บรักษาสายพันธุ์
คัดเลือกพันธุ์ที่มีศักยภาพ พัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ที่ต้องการ การค้นหาคุณสมบัติประจ�ำตัวของสายพันธุ์นั้น ๆ
เช่น คุณสมบัติทางเคมี เอ็นไซม์ สารออกฤทธิ์ต่าง ๆ การเพาะเลี้ยง การปรับเพาะเลี้ยง (optimization) เพื่อ
ให้สายพันธุ์นั้น ๆ สร้างสิ่งที่ต้องการ การวิจัยพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ถนอมคุณสมบัติของเห็ด และยืดอายุในการเก็บ
รักษาเห็ดให้สด การแปรรูปเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มาตรฐานการผลิตและความสะอาดของทุกๆกระบวนการที่
เกีย่ วข้อง เป็นต้น สิง่ เหล่านีเ้ ป็นโจทย์วจิ ยั ทีต่ อ้ งน�ำมาคิดและท�ำให้เกิดการบูรณาการวิจยั ไปพร้อมกันเพือ่ ประหยัดเวลา
ยกตัวอย่างการพัฒนาข้าวของประเทศญีป่ นุ่ ซึง่ เริม่ ต้นจากข้าวเหนียวญีป่ นุ่ เป็นตัวตัง้ ในเชิงของวัตถุดบิ จากธรรมชาติ
ต่อจากนั้นเป็นการพัฒนาและวิจัยรอบด้านของข้าวญี่ปุ่น เกิดเป็นสายพันธุ์ต่าง ๆ เช่น สายพันธุ์ส�ำหรับคนที่เป็น
เบาหวาน และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ข้าวเป็นองค์ประกอบหลักไม่ต�่ำกว่า 100 ชนิด บรรจุภัณฑ์ที่มีความสวยงาม
ประกอบด้วย เรื่องราวของข้าวในแต่ละท้องถิ่นที่ท�ำให้เกิดความสมบูรณ์เชิงการตลาดและเติมเต็มข้อมูลบน
บรรจุภัณฑ์อย่างสวยงาม เป็นต้น เห็ดไทยจะเป็นเช่นนี้ได้หากมีการวางแผนบูรณาการงานด้านเห็ด หาจุดอ่อน
จุดแข็งและแก้ไขจุดต่าง ๆ จะท�ำให้เห็นอนาคตงานวิจัยเห็ดไทย ส่งผลต่อการพัฒนาองค์ความรู้ ผลิตภัณฑ์ สินค้า
ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตสร้างเสริม ศักยภาพทางเศรษฐกิจ สุขภาพและสังคมของประเทศได้
6. นโยบายและมาตรการที่ด�ำเนินการปัจจุบัน
ภาครัฐต้องให้ข้อมูลครบถ้วนที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน รวมถึงกฎระเบียบต่าง ๆ เช่น ข้อกฎหมาย
ในประเทศ ข้อกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาที่มีผลตามกฎหมาย กฎกระทรวง พระราชบัญญัติ สิ่งเหล่านี้
เป็นเรื่องส�ำคัญจะต้องให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลอย่างละเอียด หรือโดยย่อได้ เพื่อให้เกิดการวางแผนในการท�ำงาน
ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการเรียน งานวิจัย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างของภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น
อย่าคิดว่าการกระท�ำเพียงเล็กน้อยที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรเห็ดนั้นไม่เกี่ยวข้องกับใคร ในยุคปัจจุบันที่มีการ
เรียกร้องสิทธิ์น้ันทุกพื้นที่มีผู้ครอบครอง ดังนั้นต้องหาที่มาของผู้ครอบครองและท�ำการขออนุญาตการใช้ทรัพยากร
เห็ดนัน้ รวมถึงการแบ่งปันผลประโยชน์ทอี่ าจเกิดขึน้ ในอนาคตในรูปแบบต่าง ๆ ไม่วา่ จะเป็นรูปแบบของผลประโยชน์
แบบเม็ดเงิน หรือองค์ความรู้ นโยบายหนึ่งที่รัฐต้องบังคับให้ด�ำเนินการคือ การถ่ายทอดองค์ความรู้จากงาน
วิจัยกลับสู่ท้องถิ่นในรูปแบบที่ท้องถิ่นต้องการ บังคับให้เกิดการประสานงานมากขึ้นระหว่างทีมวิจัยและ
ท้องถิ่น ท�ำให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน จะท�ำให้งานวิจัยที่ยังไม่เป็นผลิตภัณฑ์นั้นจับต้องได้มากขึ้น องค์ความรู้ที่
จับต้องได้ ต้องถูกบันทึกและถ่ายทอดในแบบที่ควรถ่ายทอดเหมาะสมกับผู้รับการถ่ายทอด ไม่ใช่ต้องการแต่ระดับ
ขัน้ การตีพมิ พ์ทที่ ำ� ให้ยกระดับผลงานวิจยั ซึง่ คนในประเทศไทยได้ประโยชน์จากงานตีพมิ พ์ชนิ้ นัน้ น้อยมาก เนือ่ งจาก
เอกสารอ้างอิง
1. Willis KJe. State of the World’s Fungi 2018: Kew Garden; 2018 Contract No.: Document Number.
2. Hyde KD, Norphanphoun C, Chen J, Dissanayake AJ, Doilom M, Hongsanan S, et al. Thailand’s
amazing diversity: up to 96% of fungi in northern Thailand may be novel. Fungal Diversity.
2018;93:215-39
3. Hawksworth DL. The fungal dimension of biodiversity; magnitude, sigificance, and conservation.
Mycological Research. 1991;95:641-55.
4. Baimai V. Biodiversity in Thailand. The Journal of the Royal Institute of Thailand. 2010;II:107-18.
5. Chandrasikul A, Suwanarit P, Sangwanit U, Lumyong S, Payapanon A, Sanoamuang N, et al. Checklist
of mushrooms (Basidiomycetes) in Thailand. Bangkok: Office of Naturall Resources and Environment
Policy and Planning; 2011.
6. Chandrasrikul A, Phanichapol D, Boonthavikoon T, Chalermpong A. Mushrooms in Thailand.
Thailand: The Royal Institute press; 2007. (in Thai).
7. Chandrasrikul A, Suwanarit P, Sangwanit U, Morinaga T, Nishizawa Y, Murakami Y. Diversity of
Mushrooms and Macrofungi in Thailand. 1st ed. Bangkok: Kasetsart University; 2008.
8. Boonpratuang T, Choeyklin R, Promkiam-on P, Teeyapan P. The identification of poisonous
mushrooms in Thailand during 2008-2012. In: Hed Thai. 2012. p. 6-13.
9. Boonpratuang T, Pobkwamsuk M, Anaphon S, Srikitkulchai P, Wongkanoun S, Wiriyathanawudhiwong
N, et al. Report on cytotoxic activity from wide mushroom from Sakon Nakorn Family Forest.
(unpublished). Bagkok: Biodiversity-Based Economy Development Office (Public Organization), (BBH)
BBH; 2018 September 15. Report No. 3.
10. Klinhom V, Klinhom O. 57 Medicinal Mushrooms of the Mortheast of Thailand (in Thai). Thai
Holistic Heath Foundation; 2005.