Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 282

 

 
 

ห้า
มจ
ําห
น่า

 
ห้า
มจ
ําห
น่า

 

คํานํา
สําหรับการอบรมและทดสอบความพร้อมในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม จะมี
หนังสือคู่มือประกอบการอบรมซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาหลัก 4 เรื่อง คือ กฎหมาย จรรยาบรรณ สิ่งแวดล้อม
และความปลอดภัยในงานวิศวกรรม เพื่อให้หนังสือคู่มือมีความทันสมัยจึงจัดตั้งคณะทํางานปรับปรุงเนื้อหา
หนังสือคู่มือฯ เพื่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เข้ารับการอบรมฯ และเพื่อให้วิศวกรใช้ในการประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรมควบคุมต่อไป
คณะอนุ กรรมการอบรมและทดสอบความรู้ เกี่ ยวกั บความพร้ อมในการประกอบวิ ชาชี พ
วิศวกรรมควบคุม และคณะทํางานปรับปรุงหนังสือคู่มือ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือคู่มือฯ เล่มนี้จะสามารถ
อํานวยประโยชน์แก่ผู้เข้าอบรมได้ใช้เป็นแนวทางในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ประกอบความรู้
ความชํานาญที่ใช้ปฏิบัติงานต่อไป


น่า
ําห
นายมานิตย์ กู้ธนพัฒน์
ประธานคณะอนุกรรมการอบรมและทดสอบความรู้
มจ

เกี่ยวกับความพร้อมในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
พฤศจิกายน 2561
ห้า

 
ห้า
มจ
ําห
น่า

 

สารบัญ
หมวดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม หน้า
บทที่ 1 ความรูเ้ บื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย 3
 ความหมาย 3
 ประเภทและการจัดทํากฎหมาย 3
 คําจํากัดความ 4
บทที่ 2 กฎหมายวิศวกร 9
 วัตถุประสงค์ 9
 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 9
 สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 9
 บทกําหนดโทษ 15
 กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 15
บทที่ 3 กฎหมายว่าด้วยความปลอดภัยและการคุ้มครองแรงงาน 17
 วัตถุประสงค์ 17


 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
น่า 17
 สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 17
 คําจํากัดความ 19
 การใช้แรงงานทั่วไป 20
ําห
 การใช้แรงงานหญิง 21
 การใช้แรงงานเด็ก 22
มจ

 บทกําหนดโทษ 24
 กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 24
บทที่ 4 กฎหมายโรงงาน 25
ห้า

 วัตถุประสงค์ 25
 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 25
 สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 25
 บทกําหนดโทษ 28
 กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 29

 
 
 

หน้า
บทที่ 5 กฎหมายควบคุมอาคาร 31
 วัตถุประสงค์ 31
 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 31
 สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 31
 พื้นที่บังคับใช้ 32
 คําจํากัดความทีส่ ําคัญในกฎหมายควบคุมอาคาร 32
 การยื่นขออนุญาตและการพิจารณาของเจ้าพนักงานท้องถิ่น 35
 การดําเนินการหลังได้รับอนุญาตแล้ว 36
 การแจ้งความประสงค์จะก่อสร้างอาคารโดยไม่ยื่นคําขอรับ 36
ใบอนุญาตตามมาตรา 39 ทวิ
 การต่ออายุใบอนุญาต 37
 กฎกระทรวง 37
 บทกําหนดโทษ 40
 กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 42


บทที่ 6 กฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่ายงานของรัฐ
น่า 43
 วัตถุประสงค์ 43
 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 43
 สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 43
ําห
 อํานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. 47
 อํานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ท. 48

มจ

บทกําหนดโทษ 48
 กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 51
บทที่ 7 กฎหมายแพ่ง-พาณิชย์และกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับ
ห้า

วิชาชีพวิศวกรรม 53
 วัตถุประสงค์ 53
 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 53
 สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 53
 กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 55

 
 
 

หน้า
บทที่ 8 กฎหมายผังเมือง 57
 วัตถุประสงค์ 57
 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 57
 สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 57
 บทสรุป 62
 บทกําหนดโทษ 63
 กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 63
บทที่ 9 กฎหมายสิ่งแวดล้อม 65
 วัตถุประสงค์ 65
 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 65
 สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 65
 บทกําหนดโทษ 67
 กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 67
บทที่ 10 กฎหมายส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 69


 วัตถุประสงค์ 69
น่า
 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
 สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
69
69
 บทกําหนดโทษ
ําห
72
 กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 73
บทที่ 11 กฎหมายคอมพิวเตอร์ 75
มจ

 วัตถุประสงค์ 75
 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 75
ห้า

 สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 75
 บทกําหนดโทษ 76
 บทสรุป 81
 กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 81

 
 
 

หน้า
หมวดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม  
บทที่ 12 จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม 85
 ลักษณะพิเศษของวิชาชีพวิศวกรรม 85
 ความสําคัญของจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม 86
 จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมของสภาวิศวกร 86
- หมวดที่ 1 จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม 87
- หมวดที่ 2 การประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนํามาซึ่งความเสื่อมเสีย 93
เกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
 กรณีศกึ ษา 94
 วิธีพิจารณาและวินิจฉัยจรรยาบรรณ 98
 การประกอบวิชาชีพต้องถูกต้องตามกฎหมายและจรรยาบรรณ 100
 ประกอบวิชาชีพอย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย 101
 บทสรุป 108
 บรรณานุกรม 109
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร


บทที่ 13 สิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
น่า 113
 บทนํา 113
 มลพิษสิ่งแวดล้อม 115
 มลพิษน้ําและผลกระทบ 115
ําห
 มลพิษอากาศและผลกระทบ 116
 มลพิษด้านขยะมูลฝอย 117
มจ

 ปัญหาภาวะโลกร้อน 118
 ระดับความรุนแรงและอันตรายของมลพิษ 119
 แนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษและลดผลกระทบ 122
ห้า

 การจัดการสิ่งแวดล้อม 122
 โครงสร้างของ ISO 14000 127
 หลักการของมาตรฐาน ISO 14001 128
 ประโยชน์ของการจัดทําระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม 130
 ประเด็นสิ่งแวดล้อมในการจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ 132
สิ่งแวดล้อม
 ตารางสรุปประเภท ขนาดของโครงการทีต่ ้องจัดทํารายงานการ 133
วิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
 
 
 

หน้า
 เงื่อนไขการจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ 142
 การประเมินผลกระทบสิง่ แวดล้อมเบื้องต้น 143
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
บทที่ 14 ความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 147
 แนวคิด 147
 ความรู้เกีย่ วกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัย 147
o อุบัติเหตุและความสูญเสีย 147
o การเจ็บป่วยจากสิ่งแวดล้อมในการทํางาน 157
o การจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเพือ ่ ลดอุบัติเหตุและ 158
ความสูญเสีย
o ระบบการจัดการความปลอดภัย 163
o การกําหนดนโยบายความปลอดภัย 164
o การมอบหมายความรับผิดชอบด้านความปลอดภัย 165
o หน้าที่และความรับผิดชอบของคณะกรรมการความปลอดภัย 167


 การป้องกันและการควบคุมอันตราย 169
o การป้องกันและควบคุมอันตรายจากเครื่องจักร 169
น่า
- ความปลอดภัยเกี่ยวกับหม้อน้ํา
- อุปกรณ์ความปลอดภัยของหม้อน้ํา
174
175
- การตรวจสอบและการทดสอบ 175
ําห
- สรุปสาเหตุทที่ ําให้หม้อน้ําระเบิด 176
o การป้องกันและควบคุมอันตรายจากไฟฟ้า 178
มจ

- อันตรายจากไฟฟ้าและการป้องกัน 178
- หลักการป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด 179
- หลักการป้องกันอันตรายจากอาร์กและการระเบิด 182
ห้า

- แนวทางการเลือกการป้องกันเมื่อทํางานกับไฟฟ้า 183
- การปฐมพยาบาล 194
o การป้องกันและระงับอัคคีภัย 195
- แนวคิด 195
- กรณีศกึ ษา 195
- นโยบายและเป้าหมายความปลอดภัยด้านอัคคีภัย 198
- อันตรายจากอัคคีภัย 199
- สาเหตุของการเกิดและแหล่งกําเนิดอัคคีภัย 201
- การป้องกันอัคคีภัย 202
 
 
 

หน้า
- อุปกรณ์แจ้งเหตุเพลิงไหม้ 204
- ข้อปฏิบัติตนเมื่อเกิดไฟไหม้ 218
o การป้องกันและควบคุมอันตรายในงานก่อสร้าง 220
- อันตรายในงานก่อสร้าง 220
- อันตรายจากงานตอกเสาเข็ม 220
- อันตรายจากการทํารูเจาะขนาดใหญ่ 222
- อันตรายจากปัน้ จั่นสําหรับยกของ 223
- อันตรายจากลิฟต์ชั่วคราว 225
- อันตรายจากนัง่ ร้านและค้ํายัน 226
- อันตรายจากไฟฟ้าและไฟไหม้ 227
- อันตรายจากการก่อสร้างและการรื้อถอนที่ผิดวิธีและหลักวิชา 227
- ความปลอดภัยของปั้นจั่น 228
- ความปลอดภัยสําหรับโครงสร้างชั่วคราว 235
o การป้องกันและควบคุมอันตรายจากสิ่งแวดล้อมการทํางาน 242
- การป้องกันและควบคุมอันตรายจากเสียงดัง 243
- หลักการป้องกันและควบคุมอันตรายจากเสียง 243


- หลักการป้องกันและควบคุมอันตรายจากความร้อน
น่า 244
- การป้องกันและควบคุมอันตรายจากการสั่นสะเทือน 246
- การป้องกันและควบคุมอันตรายจากรังสี 248
o การป้องกันและควบคุมอันตรายจากสารเคมี 252
ําห
o การป้องกันและควบคุมอันตรายจากการเคลื่อนย้ายและจัดเก็บวัสดุ 255
- ปัญหาจากการเคลื่อนย้ายวัสดุ 255
- ความปลอดภัยในการเคลื่อนย้ายและการจัดเก็บวัสดุ 256
มจ

o การป้องกันและควบคุมปัญหาการยศาสตร์ 259
- สถานีงาน 259
- เก้าอี้นงั่ 261
ห้า

- สถานีงานสําหรับการยืนปฏิบัตงิ าน 261
- หน้าจอแสดงภาพและอุปกรณ์ควบคุม 262
- เครื่องมือ 263
- การยกเคลื่อนย้ายด้วยแรงคน 263
- สิ่งแวดล้อมในการทํางาน 265
- ตารางการทํางาน 266
o การใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล 266
 กฎหมายและมาตรฐานที่เกีย่ วข้อง 267
 
 
 

คณะผู้จัดทํา

หมวดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
1. นายอุทัย คําเสนาะ

หมวดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม
1. ศ.ดร.อมร พิมานมาศ

หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
1. รศ.ยุทธนา มหัจฉริยวงศ์
2. ดร.เกรียงศักดิ์ อุดมสินโรจน์
3. รศ.ดร.ชวลิต รัตนธรรมสกุล
4. รศ.ดร.สุเทพ สิริวิทยาปกรณ์
5. ผศ.พิพัฒน์ ภูริปัญญาคุณ
6. นายสุพจน์ โล่ห์วัชรินทร์


หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
1. นายสมบูรณ์
น่า ธนาภรณ์
2. ศ.ดร.อมร พิมานมาศ
3. นายพิชญะ จันทรานุวัฒน์
4. นายลือชัย ทองนิล
ําห
มจ
ห้า

 
 
ห้า
มจ
ําห
น่า

หมวด
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ

น่า
วิชาชีพวิศวกรรม
ําห
มจ
ห้า
ห้า
มจ
ําห
น่า

บทที่ 1
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย
ความหมาย
กฎหมาย คื อ บรรดาข้อบังคับของรัฐหรือประเทศที่ใช้บังคับความประพฤติ
ทั้งหลายของบุคคลอันเกี่ยวด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกัน ถ้าใครฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม
ก็จะต้องมีความผิดและถูกลงโทษ
กฎหมายจะอยู่ในลําดับเดียวกับศาสนาและจรรยา คือเป็นปรากฏการณ์ทาง
ชุมชน ซึ่งหมายถึงชุมชนหรือกลุ่มชนที่รวมกันเป็นสังคมหนึ่งๆ นั่นเอง เป็นผู้ที่ทําให้เกิด
กฎหมายซึ่งตรงกับสุภาษิตลาตินที่ว่า “ubi societas, ibi ius” คือ ที่ใดมีสังคมเกิดขึ้น
ที่นั่นย่อมมีกฎหมายเกิดขึ้นมา เช่นกัน
ประเภทและการจัดทํากฎหมาย
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้ระบบ civil law กฎหมายที่ใช้อยู่เป็นกฎหมาย
ลายลั ก ษณ์ อั ก ษร ตามความเห็ น ของนั ก กฎหมายไทยนั้ น ถื อ ว่ า กฎหมายมาจาก
รัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งในปัจจุบัน ก็คือ รัฐสภาถือว่าเป็นองค์กรที่มีอํานาจสูงสุดของรัฐ


โดยหลักทั่วไปฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ในการจัดทํากฎหมายออกมาบังคับความ
น่า
ประพฤติของพลเมือง แต่ในบางครั้งอาจมอบอํานาจให้องค์กรฝ่ายบริหารเป็นผู้บัญญัติ
กฎหมายแทนได้ เพื่อความสะดวกรวดเร็วและความคล่องตัวในการบริหารประเทศ หรือ
อาจมอบอํานาจให้แก่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สามารถออกกฎหมายมาใช้
ําห
บริหารราชการในท้องถิ่นของตนได้
เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
กฎหมายลายลักษณ์อักษรสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
มจ

1. กฎหมายลายลักษณ์อักษร ซึ่งบัญญัติขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่


 รัฐธรรมนูญ
ห้า

 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
 พระราชบัญญัติ
 พระราชกําหนด
2. กฎหมายลายลักษณ์อักษร ซึ่งบัญญัติขึ้นโดยฝ่ายบริหาร ได้แก่
 พระราชกฤษฎีกา
 กฎกระทรวง
 ประกาศกฎกระทรวง
หมวดกฎหมาย 3
 
3. กฎหมายลายลักษณ์อักษร ซึ่งบัญญัติขึ้นโดยองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น
ได้แก่
 ข้อบัญญัติจังหวัด
 เทศบัญญัติ
 ข้อบังคับตําบล
 ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร
 ข้อบัญญัติเมืองพัทยา
คําจํากัดความ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย คือ กฎหมายสูงสุดว่าด้วยการปกครอง
ประเทศมีบทบัญญัติที่กล่าวถึงอํานาจอธิปไตยอันเป็นอํานาจสูงสุดในรัฐ การใช้อํานาจ
อธิปไตยและความสัมพันธ์ระหว่างอํานาจเหล่านั้นตลอดจนบัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่
ขององค์พระประมุขของประเทศ รวมทั้งบัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่ของราษฎรอันเป็น
หลักประกันความเสมอภาคของบุคคลตามกฎหมาย
ประมวลกฎหมาย หมายถึ ง การรวบรวมกฎหมายที่ เ ป็ น เรื่ อ งเกี่ ย วกั บ ที่


กระจายอยู่มาจัดไว้ที่เดียวกัน เช่น ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์
น่า
พระราชบัญญัติ คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคําแนะนําและ
ยินยอมของรัฐสภา
ําห
 ผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติ ได้แก่คณะรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎร (เมื่อพรรคการเมืองที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นสังกัดมีมติให้เสนอได้ และ
มจ

ต้ อ งมี ส มาชิ ก สภาผู้ แ ทนราษฎรไม่ น้ อ ยกว่ า 20 คนรั บ รอง) แต่ ถ้ า หากเป็ น ร่ า ง


พระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน (เช่น พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ซึ่งเป็นการ
กําหนดงบประมาณของรัฐ) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเสนอได้ต่อเมื่อมีคํารับรองของ
ห้า

นายกรัฐมนตรี
 ผู้ พิ จ ารณาร่ า งพระราชบั ญ ญั ติ ได้ แ ก่ รั ฐ สภา โดยการเสนอร่ า ง
พระราชบั ญ ญั ติ ใ ห้ ส ภาผู้ แ ทนราษฎรและวุ ฒิ ส ภา ได้ พิ จ ารณาและลงมติ เ ห็ น ชอบ
ตามลําดับ
 ผู้ ต ราพระราชบั ญ ญั ติ ได้ แ ก่ พระมหากษั ต ริ ย์ (ในกรณี ที่ ร่ า ง
พระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญใดที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรง
เห็ น ชอบด้ ว ยและ พระราชทานคื น มายั ง รั ฐ สภา รั ฐ สภาจะต้ อ งลงมติ ว่ า จะยื น ยั น
  4 หมวดกฎหมาย
 
เห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัตินั้นอีกหรือไม่ ถ้ารัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วย
คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ให้นายกรัฐมนตรีนําร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้น
ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายอีกครั้งหนึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธย
พระราชทานคื น มาภายใน 310 วั น ให้ น ายกรั ฐ มนตรี นํ า พระราชบั ญ ญั ติ ห รื อ
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนู ญนั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็น
กฎหมายได้ต่อไป)
พระราชกําหนด คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคําแนะนํา
ของ คณะรัฐมนตรี การออกพระราชกําหนดได้นั้นจะมีเงื่อนไขในการออก กล่าวคือ
จะต้องเป็นกรณีที่มีความจําเป็นรีบด่วนในอันจะรักษาความปลอดภัยของประเทศ หรือ
ความปลอดภัยของสาธารณะ หรือเพื่อจะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
หรือเพื่อจะป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ หรือมีความจําเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษี
อากรหรือเงินตรา
 ผู้เสนอร่างพระราชกําหนด ได้แก่ รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเกี่ยวข้อง
กับกรณีฉุกเฉินหรือความจําเป็นรีบด่วนนั้น
 ผู้พิจารณาร่างพระราชกําหนด ได้แก่ คณะรัฐมนตรี


 ผู้ตราพระราชกําหนด ได้แก่ พระมหากษัตริย์

กฎหมายได้
น่า
 การประกาศใช้ เมื่อได้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ก็ใช้บังคับเป็น

ประกาศพระบรมราชโองการ รั ฐธรรมนู ญฉบั บปั จจุ บั นไม่ ได้ มอบอํ านาจให้


ําห
พระมหากษัตริย์ทรงออกกฎหมายในรูปพระบรมราชโองการได้ แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับ
ก่อนๆ ได้ให้พระราชอํานาจไว้ โดยให้ออกเป็นประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้บังคับ
มจ

ดังเช่น พระราชบัญญัติ ปกติประกาศพระบรมราชโองการฯ มีลักษณะคล้ายคลึงกับ


พระราชกําหนด กล่าวคือในยามที่มีสถานะสงคราม หรือในภาวะคับขันถึงขนาดอันอาจ
เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และการใช้อํานาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา อาจขัดข้อง
ห้า

หรือไม่เหมาะกับสถานการณ์ รัฐธรรมนูญบางฉบับจะมีบทบัญญัติให้คณะรัฐมนตรีนํา
ความขึ้นกราบทูลต่อพระมหากษัตริย์เพื่อให้พระองค์ทรงใช้อํานาจโดยประกาศพระบรม
ราชโองการให้ใช้บังคับดังเช่น พระราชบัญญัติ จึงทําให้ประกาศพระบรมราชโองการฯ
มีศักดิ์เทียบเท่ากับพระราชบัญญัติ เช่นเดียวกับพระราชกําหนด แต่ประกาศพระบรม
ราชโองการฯ ไม่เป็นกฎหมายที่ใช้ชั่วคราวดังเช่นพระราชกําหนด ที่จะต้องรีบให้รัฐสภา
อนุมัติโดยด่วน ประกาศพระบรมราชโองการฯ จึงเป็นกฎหมายที่ถาวรจนกว่าจะมีการ
ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติหรือกฎหมายอื่น

หมวดกฎหมาย 5
 
ประกาศคณะปฏิวัติ (บางครั้งเรียกว่า คําสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน)
ออกโดยหัวหน้าคณะปฏิวัติและไม่มีการลงพระปรมาภิไธย เช่นได้มี ฎ.1662/2505
รับรองได้ว่า ประกาศของคณะปฏิวัติเป็นกฎหมาย ส่วนที่ว่าประกาศของคณะปฏิวัติจะ
มีศักดิ์เท่ากับกฎหมายใดก็ต้องพิจารณาจากเนื้อความของประกาศของคณะปฏิวัติฉบับ
นั้นเอง เช่น ประกาศของคณะปฏิวัติที่ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญย่อมมีศักดิ์เท่ากับรัฐธรรมนูญ
ประกาศของคณะปฏิวัติที่แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกพระราชบัญญัติหรือวางข้อกําหนดซึ่ง
ปกติแล้วเรื่องเช่นนี้ย่อมออกเป็นพระราชบัญญัติย่อม มีศักดิ์เท่ากับพระราชบัญญัติ
ประกาศของคณะปฏิวัติที่แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกพระราชกฤษฎีกาหรือวางข้อกําหนด
ซึ่งปกติแ ล้ว เรื่ องเช่นนี้ย่ อมออกเป็น พระราชกฤษฎีกาย่ อมมีศั กดิ์เท่ากับพระราช
กฤษฎีกา เช่นตามพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พุทธศักราช 2486 (แก้ไข
เพิ่มเติม พ.ศ. 2497) การจัดตั้งคณะขึ้นใหม่ให้ทําเป็นพระราชกฤษฎีกา แต่เมื่อมีการ
ออกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 164 ลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2515 ให้ยกฐานะ
แผนกวิชานิติศาสตร์ขึ้นเป็นคณะนิติศาสตร์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกาศของคณะ
ปฏิวัติฉบับดังกล่าวย่อมมีศักดิ์เท่ากับพระราชกฤษฎีกา


พระราชกฤษฎีกา คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคําแนะนํา
ของคณะรัฐมนตรี เป็นกฎหมายที่ฝ่ายบริหารได้จัดทําขึ้นโดยไม่ต้องผ่านการพิจารณา
เห็นชอบจากรัฐสภา
น่า
ประเภทของพระราชกฤษฎีกา แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
ําห
1. พระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยอาศัยอํานาจแห่งกฎหมาย คือ มีกฎหมาย
แม่บท เช่น พระราชบัญญัติหรือพระราชกําหนดฉบับใดฉบับหนึ่ง ได้ให้อํานาจฝ่าย
บริหารไปออก พระราชกฤษฎีกากําหนดรายละเอียด เพื่อดําเนินการให้เป็นไปตาม
มจ

กฎหมายนั้น ๆ
2. พระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย เป็นการที่ฝ่ายบริหารออก
พระราชกฤษฎีกาในเรื่องใดๆ ก็ได้ ตามที่เห็นว่าจําเป็นและสมควรโดยไม่ต้องอาศัย
ห้า

กฎหมายแม่บท
 ผู้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกา ได้แก่ รัฐมนตรีที่รับผิดชอบเกี่ยวข้องกับ
พระราชกฤษฎีกานั้น
 ผู้พิจารณา ได้แก่ คณะรัฐมนตรี
 ผู้ตรา ได้แก่ พระมหากษัตริย์

  6 หมวดกฎหมาย
 
 การประกาศใช้ เมื่อได้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จึงบังคับ
เป็นกฎหมายได้
กฎกระทรวง คือ กฎหมายซึ่งรัฐมนตรีเป็นผู้ออกโดยอาศัยอํ านาจตามกฎหมาย
แม่บท คือ พระราชบัญญัติหรือพระราชกําหนดฉบับใดฉบับหนึ่ง เพื่อดําเนินการให้
เป็นไปตามกฎหมายแม่บท ดังนั้นกฎกระทรวงจึงขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติหรือ
พระราชกําหนดไม่ได้
 ผู้เสนอร่างกฎกระทรวง ได้แก่ รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ
 ผู้พิจารณา ได้แก่ คณะรัฐมนตรี
 ผู้ ต รา ได้ แ ก่ รั ฐ มนตรี ผู้ รั ก ษาการตามพระราชบั ญ ญั ติ ห รื อ
พระราชกําหนด
 การประกาศใช้ เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วก็ใช้บังคับ
เป็นกฎหมายได้ โดยเริ่มมีผลตามที่ระบุในราชกิจจานุเบกษา
เทศบัญญัติ คือ กฎหมายที่เทศบาลตราขึ้นใช้บังคับในเขตเทศบาลของ
 ผู้เสนอร่างเทศบัญ ญัติ ได้แก่ คณะเทศมนตรี สมาชิกสภาเทศบาล


หรือราษฎร ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในท้องถิ่นเข้าชื่อกันเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด
 ผู้พิจารณา ได้แก่ สภาเทศบาล
น่า
 ผู้ตรา ได้แก่ นายกเทศมนตรี
 ผู้อนุมัติ ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด
ําห
 เมื่อประกาศโดยเปิดเผย ณ สํานักงานเทศบาลครบ 7 วัน จึงใช้บังคับ
เป็น กฎหมายได้เว้นแต่ถ้ามีเหตุฉุกเฉิน คณะเทศมนตรีอาจออกเทศบัญญัติชั่วคราวได้
โดยต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วไปประกาศใช้ได้ทันที
มจ

 เทศบัญญัติ กําหนดโทษปรับได้ไม่เกิน 1,000 บาทเท่านั้น จะกําหนด


โทษจําคุกไม่ได้
ห้า

ข้อบัญญัติจังหวัด คือ กฎหมายที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ตราขึ้น


เพื่อใช้บังคับในเขตจังหวัด
 ผู้เสนอร่างข้อบัญญัติจังหวัด ได้แก่ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด
สมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งในท้องถิ่นเข้าชื่อกันเกินกึ่ง
หนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด
 ผู้พิจารณา ได้แก่ สภาจังหวัด
 ผู้ตรา ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด

หมวดกฎหมาย 7
 
 ประกาศใช้ เมื่อได้ประกาศโดยเปิดเผยที่ศาลากลางจังหวัดแล้ว 15 วัน
ก็มีผลบังคับใช้ได้
 ข้อบัญญัติจังหวัดจะกําหนดโทษไว้ก็ได้แต่ไม่ให้จําคุกเกิน 6 ปี หรือ
ปรับเกิน 1 หมื่นบาท
ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร คือ กฎหมายที่กรุงเทพมหานครตราขึ้นเพื่อใช้
บังคับในกรุงเทพมหานคร
 ผู้ เ สนอร่ า งข้ อ บั ญ ญั ติ ก รุ ง เทพมหานคร ได้ แ ก่ ผู้ ว่ า ราชการ
กรุงเทพมหานคร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร หรือราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในท้องถิ่น
เข้าชื่อกันเกินกึ่งหนึ่งของ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด
 ผู้พิจารณา ได้แก่ สภากรุงเทพมหานคร
 ผู้ตรา ได้แก่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
 เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ก็ใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไปได้
 ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครกําหนดโทษจําคุกได้ไม่เกิน 6 เดือน ปรับ
ไม่เกิน 1 หมื่นบาท


ข้อบัญญัติเมืองพัทยา คือ กฎหมายที่เมืองพัทยาตราขึ้นเพื่อใช้บังคับในเขตเมือง
พัทยา
น่า
 ผู้เสนอร่างข้อบัญญัติเมืองพัทยา ได้แก่ นายกเมืองพัทยา สมาชิกสภา
เมืองพัทยา หรือราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในท้องถิ่นเข้าชื่อกันเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ําห
ทั้งหมด
 ผู้พิจารณา ได้แก่ สภาเมืองพัทยา
ข้อบังคับองค์การบริหารส่วนตําบล คือ กฎหมายที่องค์การบริหารส่วนตําบล
มจ

(อบต.) ตราขึ้นใช้บังคับในเขตองค์การบริหารส่วนตําบล
 ผู้เสนอร่างข้อบังคับองค์การบริหารส่วนตําบล ได้แก่ คณะกรรมการ
ห้า

บริหารองค์การบริหารส่วน ตําบล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตําบล หรือราษฎร


ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในท้องถิ่นเข้าชื่อกันเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด
 ผู้พิจารณา ได้แก่ สภาองค์การบริหารส่วนตําบล
 ผู้ตรา ได้แก่ นายกองค์การบริหารส่วนตําบล
 ผู้อนุมัติ ได้แก่ นายอําเภอ
 ข้อบังคับตําบลจะกําหนดโทษปรับได้ไม่เกิน 500 บาท จะกําหนดโทษ
จําคุกไม่ได้
  8 หมวดกฎหมาย
 
บทที่ 2
กฎหมายวิศวกร
วัตถุประสงค์
วิชาชีพวิศวกรรม เป็นวิชาชีพที่ต้องใช้ดุลยพินิจซึ่งอาศัยความรู้ความสามารถทาง
วิชาการอย่างสู ง ประกอบกั บ การใช้ดุล ยพินิจนี้หากมีความผิดพลาดหรือพลั้ ง เผลอ
เกิดขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็อาจก่อให้เกิดภยันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของ
ประชาชนอย่างร้ายแรงได้ อีกทั้งผู้ประกอบวิชาชีพนี้จําเป็นจะต้องเป็นผู้ที่มีศีลธรรม
อันดี ประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบของจริยธรรมที่ดี ดังนั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองและ
รักษาผลประโยชน์ของสาธารณชน จึงจําเป็นต้องควบคุมการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542 เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อควบคุมการประกอบ
วิชาชีพวิศวกรรม ซึ่งมีผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง คือ วิศวกรที่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรมควบคุมจากสภาวิศวกร และผู้ที่ปฏิบัติงานสนับสนุนงานวิศวกรรมควบคุม เช่น
นายช่างเทคนิคที่ได้รับใบอนุญาตระดับภาคีวิศวกรพิเศษ เป็นต้น


สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
น่า
พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542 มีสาระสําคัญประกอบด้วย สภาวิศวกร สมาชิก
คณะกรรมการ การดํ า เนิ น การของคณะกรรมการ ข้ อ บั ง คั บ สภาวิ ศ วกร
ําห
การควบคุมการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม การกํากับดูแล และบทกําหนดโทษ ซึ่งมี
รายละเอียด ดังนี้
1. สภาวิศวกร
มจ

พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542 กําหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม


กันเอง ในรูปแบบของสภา โดยมี “สภาวิศวกร” ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย
เพื่อทําหน้าที่ ควบคุมและพัฒนาการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม รวมทั้งการส่งเสริมและ
ห้า

พัฒนาความรู้ความสามารถของมวลสมาชิก มีการกําหนดเป้าหมายและทิศทางของสภา
วิศวกรอย่างชัดเจนโดยกําหนดเป็นวัตถุประสงค์ ในมาตรา 7 ดังนี้
 ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย และการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
 ส่งเสริมความสามัคคีและไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของสมาชิก
 ส่งเสริมสวัสดิการและผดุงเกียรติของสมาชิก
 ควบคุ ม ความประพฤติ แ ละการดํ า เนิ น งานของผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ
วิศวกรรมควบคุม ให้ถูกต้องตามมาตรฐานและจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม
หมวดกฎหมาย 9
 
 ช่วยเหลื อ แนะนํ า เผยแพร่ และให้บริการทางด้านวิชาการต่างๆ แก่
ประชาชน และ องค์กรอื่นในเรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาการและเทคโนโลยีทางวิศวกรรม
 ให้คําปรึกษา หรือข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายและปัญหาด้าน
วิศวกรรม รวมทั้งด้านเทคโนโลยี
 เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมของประเทศไทย
 ดําเนินการอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
จะเห็ น ได้ ว่ า วั ต ถุ ป ระสงค์ ข องสภาวิ ศ วกรนั้ น มุ่ ง เน้ น ที่ ก ารส่ ง เสริ ม และ
การพัฒนามวลสมาชิกมากกว่าการควบคุม โดยจะควบคุมเฉพาะการดําเนินงานให้
เป็นไปตามมาตรฐานและควบคุมความประพฤติให้เป็นไปตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
วิศวกรรมเท่านั้น
พระราชบัญญัตินี้ยังได้กําหนดให้สภาวิศวกรมีอํานาจและหน้าที่ตามมาตรา 8
ดังต่อไปนี้
 ออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
 พักใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาต


 รับรองปริญญา ประกาศนียบัตรหรือวุฒิบัตรในการประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรม
น่า
 รับรองความรู้ความชํานาญในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
 เสนอแนะรั ฐ มนตรี เ กี่ ย วกั บ การกํ า หนดและยกเลิ ก สาขาวิ ช าชี พ
ําห
วิศวกรรมควบคุม
 ออกข้อบังคับสภาวิศวกร
มจ

2. สมาชิก
โครงสร้างของสภาวิศวกรประกอบด้วยสมาชิก 3 ประเภท คือ สมาชิกสามัญ
สมาชิกวิสามัญ และสมาชิกกิตติมศักดิ์ โดยกําหนดคุณสมบัติของสมาชิกตามมาตรา 12
ห้า

ไว้ดังนี้
2.1 สมาชิกสามัญ ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิ์มีเสียงในการกําหนดทิศทางและอนาคตของ
สภาวิศวกร โดยตรง สมควรที่จะต้องมีวุฒิภาวะ คุณวุฒิ และจริยธรรมที่ดี จึงได้กําหนด
คุณสมบัติไว้ 6 ข้อ ดังนี้
 มีอายุไม่ต่ํากว่า 18 ปีบริบูรณ์
 มีสัญชาติไทย

  10 หมวดกฎหมาย
 
 ได้รับปริญญาหรือเทียบเท่าปริญญาในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ที่
ที่สภาวิศวกรรับรอง
 ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจรรยาบรรณ
 ไม่เคยต้องโทษจําคุกในคดีที่เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณ
 ไม่ เป็ นผู้ มี จิต ฟั่นเฟือน ไม่ สมประกอบ หรื อไม่เป็น โรคที่กํ าหนดใน
ข้อบังคับสภาวิศวกร
2.2 สมาชิกวิสามัญ เป็นสมาชิกที่มีคุณสมบัติไม่เทียบเท่าสมาชิกสามัญ และ
ไม่มีสิทธิ์ในการออกเสียงลงคะแนน เลือก รับเลือกตั้ง หรือแต่งตั้งเป็นกรรมการ
2.3 สมาชิกกิตติมศักดิ์ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งที่ประชุมใหญ่สภาวิศวกร แต่งตั้ง
อํานาจของสมาชิกสามัญสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้
 ให้ความเห็นชอบต่อแผนการดําเนินงานประจําปี นโยบาย งบดุลและ
ข้อบั งคั บสภาวิ ศ วกร ที่ ค ณะกรรมการสภาวิ ศ วกร เสนอต่ อ ที่ป ระชุ ม ใหญ่ป ระจํ า ปี
(มาตรา 19)
 ออกเสียงเลือกผู้ตรวจ เพื่อทําหน้าที่ตรวจสอบการทํางานของสภาวิศวกร
(มาตรา 20)


น่า
 สมาชิกตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป มีสิทธิ์เสนอให้คณะกรรมการพิจารณาเรื่องที่
เกี่ยวกับกิจกรรมของสภาวิศวกร และคณะกรรมการ ต้องชี้แจง (มาตรา 13)
ําห
 ขอให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญตามที่จําเป็น ตามหลักเกณฑ์ วิธีการที่
กําหนดในข้อบังคับสภาวิศวกร (มาตรา 16)
 สมาชิ กจํ า นวนมากกว่า 100 คน เสนอร่า งข้อบั งคับ สภาวิ ศ วกรได้
มจ

(มาตรา 43)
 ลงคะแนนปลดกรรมการด้วยคะแนนเสียง 2 ใน 3 ของที่ประชุมใหญ่
ห้า

(มาตรา 29)
3. คณะกรรมการสภาวิศวกร
ความแตกต่ างสํ าคั ญระหว่ างพระราชบั ญญั ติ วิ ชาชี พวิ ศวกร พ.ศ. 2505 และ
พระราชบั ญ ญั ติ วิ ศ วกร พ.ศ. 2542 อยู่ ที่ พ ระราชบั ญ ญั ติ เ ดิ ม ได้ กํ า หนดให้ มี
คณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม ซึ่งประกอบด้วย กรรมการที่มา
จากการเลื อ กตั้ ง ทั้ ง หมด 15 คน แต่ สํ า หรั บ พระราชบั ญ ญั ติ ใ หม่ ไ ด้ กํ า หนดให้ มี
คณะกรรมการสภาวิศวกร ประกอบด้วย

หมวดกฎหมาย 11
 
 กรรมการซึ่งจะทําหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพส่วนใหญ่ โดย
เลือกตั้งจากสมาชิกสามัญ ซึ่งไม่ได้ดํารงตําแหน่งคณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาระดับ
ปริญญา จํานวน 10 คน
 กรรมการซึ่งจะทําหน้าที่เป็นตัวแทนของสถาบันการศึกษาต่างๆ ในฐานะเป็น
ผู้ ผ ลิ ต วิ ศ วกร โดยเลื อ กตั้ ง จากสมาชิ ก สามั ญ ซึ่ ง ดํ า รงตํ า แหน่ ง คณาจารย์ ใ น
สถาบันอุดมศึกษา ระดับปริญญา จํานวน 5 คน
 กรรมการซึ่ งคณะรัฐมนตรี แต่ งตั้ งจากสมาชิ กสามั ญโดยการเสนอชื่ อของ
รัฐมนตรี เพื่อให้สามารถคัดผู้ที่มีความรู้ความสามารถสูงมาดําเนินงานของสภาวิศวกร และ
เพื่อให้มีกรรมการกระจายครอบคลุมสาขาต่าง ๆ ที่ไม่ได้รับเลือกตั้ง จํานวน 5 คน โดยให้
กรรมการมีวาระ 3 ปี และดํารงตําแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระ (มาตรา 28)
นอกจากนี้ มาตรา 27 ยังกําหนดให้กรรมการต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
 ได้รับใบอนุญาตสามัญวิศวกรมาไม่น้อยกว่า 10 ปี หรือ เป็นวุฒิวิศวกร
 ไม่เคยถูกสั่งพักหรือเพิกถอนใบอนุญาต
 ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย โดยให้คณะกรรมการ มีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้


(มาตรา 33)
- บริหารและดําเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสภาวิศวกร
น่า
- สอดส่องดูแลและดําเนินการทางกฎหมายกับผู้ฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้
- ออกระเบียบคณะกรรมการ
ําห
- กําหนดแผนการดําเนินงานและงบประมาณประจําปีของสภาวิศวกร
- วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์คําวินิจฉัยของคณะกรรมการจรรยาบรรณ
เมื่ อได้ มี การเลือกตั้ งกรรมการ จํ านวน 15 คน และได้ มี การแต่ งตั้ งกรรมการ
มจ

จํานวน 5 คนแล้ว คณะกรรมการต้องประชุมเพื่อเลือกนายกสภาวิศวกร อุปนายกคนที่


หนึ่งและอุปนายกคนที่สอง และให้นายกสภาวิศวกร เลือกกรรมการเพื่อดํารงตําแหน่ง
เลขาธิการและเหรัญญิกหรือตําแหน่งอื่น ตามความจําเป็น (มาตรา 26)
ห้า

4. การดําเนินงานของคณะกรรมการ
การดํ า เนิ น งานของคณะกรรมการ จะกระทํ า โดยพลการไม่ ไ ด้ โดย
คณะกรรมการต้ อ งจั ด ทํ า แผนการดํ า เนิ น งาน และงบประมาณประจํ า ปี เสนอต่ อ
ที่ประชุมใหญ่สภาวิศวกร เพื่อขอความเห็นชอบจากสมาชิก เมื่อที่ประชุมใหญ่มีมติ
เห็นชอบแล้วจึงจะดําเนินงานได้ (มาตรา 37)

  12 หมวดกฎหมาย
 
5. ข้อบังคับสภาวิศวกร
กฎระเบี ย บต่ า งๆ ที่ จํ า เป็ น ในการดํ า เนิ น งานของสภาวิ ศ วกร จะออกเป็ น
กฎหมายในรูปของ “ข้อบังคับสภาวิศวกร” การเสนอร่างข้อบังคับสภาวิศวกรจะกระทํา
ได้เพียง 2 กรณี (มาตรา 43) คือ
 โดยคณะกรรมการ เป็นผู้เสนอ
 โดยสมาชิกสามัญ จํานวนไม่น้อยกว่า 100 คนรับรอง
เมื่อมีการเสนอร่างข้อบังคับสภาวิศวกร คณะกรรมการต้องจัดให้มีการประชุม
ใหญ่สภาวิศวกรเพื่อพิจารณา หากที่ประชุมใหญ่สภาวิศวกรเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง
ไม่น้อยกว่าครึ่งของสมาชิกที่เข้าประชุม ก็ให้สภาวิศวกรเสนอร่างข้อบังคับต่อสภานายก
พิเศษ ถ้าสภานายกพิเศษไม่ยับยั้งภายใน 30 วัน ให้ถือว่าสภานายกพิเศษให้ความ
เห็นชอบ แต่หากสภานายกพิเศษยับยั้ง ก็ให้คณะกรรมการประชุมพิจารณาภายใน
30 วัน ถ้าคณะกรรมการมีคะแนนเสียงยืนยันไม่น้อยกว่าสองในสามของกรรมการทั้ง
คณะ ก็ให้ถือว่าร่างข้อบังคับนั้นได้รับความเห็นชอบจากสภานายกพิเศษแล้ว (มาตรา
44)


6. การควบคุมการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ พระราชบัญญัติวิศวกรบังคับให้ผู้ที่จะประกอบ
น่า
วิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจากสภาวิศวกรเท่านั้น (มาตรา 45)
แต่ มิ ใช่ ว่ าผู้ ที่ เรี ยนจบหลั กสู ตรปริ ญญาตรี ทางด้ า นวิ ศ วกรรมศาสตร์ จ ะสามารถขอ
ําห
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจากสภาวิศวกรได้ทันทีเช่นที่เคยปฏิบัติ กฎหมายกําหนดให้
ผู้ มี สิ ท ธิข อรับ ใบอนุ ญ าตต้ อ งเป็นสมาชิ ก สามัญ หรือ สมาชิกวิ สามั ญ ของสภาวิศ วกร
เสียก่อน (มาตรา 49 วรรคสอง)
มจ

ดังนั้น ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมจะมีสองสถานะในบุคคลเดียวกัน คือสถานะ


ที่ เป็ นสมาชิ กของสภาวิ ศวกร และสถานะที่ เป็ นผู้ ได้ รั บใบอนุ ญาตประกอบวิ ชาชี พ
วิศวกรรมควบคุม ซึ่งพระราชบัญญัตินี้ได้กําหนดระดับของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ห้า

ควบคุมในแต่ละสาขาไว้ 4 ระดับ (มาตรา 46) ดังนี้


 วุฒิวิศวกร
 สามัญวิศวกร
 ภาคีวิศวกร
 ภาคีวิศวกรพิเศษ
โดยคุ ณ สมบั ติ ข องผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ แต่ ล ะระดั บ จะกํ า หนดไว้ ใ นข้ อ บั ง คั บ
สภาวิศวกร
หมวดกฎหมาย 13
 
คณะกรรมการจรรยาบรรณ การประกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมจะประสบ
ความสําเร็จได้ วิศวกรต้องถึงพร้อมในปัจจัย 2 ประการ คือ ต้องมีความรู้ความสามารถ
ในหลักปฏิบัติและวิชาการ กับจะต้องประกอบวิชาชีพให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมอันดี
ความรู้ความสามารถทางวิชาการนั้น สามารถแสวงหามาได้จากการพัฒนาทักษะทาง
วิศวกรรม เช่น จากการศึกษา ค้นคว้า การฝึกอบรม เป็นต้น แต่การประกอบอาชีพ ให้
อยู่ใ นกรอบของศีล ธรรมนั้น ต้อ งมีก ารควบคุม ความประพฤติด้ว ย “จรรยาบรรณ
วิศวกร” หรือประมวลความประพฤติของวิศวกร
พระราชบั ญ ญั ติ วิ ศ วกรได้ ใ ห้ ค วามสํ า คั ญ แก่ จ รรยาบรรณวิ ศ วกรมาก โดย
กําหนดให้มี คณะกรรมการจรรยาบรรณ ซึ่งกรรมการจะต้องมาจากการแต่งตั้งของ
ที่ประชุมใหญ่สภาวิศวกร (มาตรา 53) และยังกําหนดให้การปฏิบัติหน้าที่กรรมการ
จรรยาบรรณ เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา (มาตรา 59 วรรคสอง) ซึ่ง
เป็นการให้ความคุ้มครองทางกฎหมายกับกรรมการจรรยาบรรณ ผู้เกี่ยวข้องต้องให้
ความร่วมมือและการขัดขวางหรือประทุษร้ายต่อกรรมการจรรยาบรรณจะต้องได้รับ
โทษอย่างรุนแรง
บุคคลใดที่ได้รับความเสียหายหรือพบการประพฤติผิดจรรยาบรรณของผู้ได้รับ


ใบอนุ ญ าต มี สิ ท ธิ ก ล่ า วหาผู้ ไ ด้ รั บ ใบอนุ ญ าตนั้ น ต่ อ สภาวิ ศ วกร (มาตรา 51) ซึ่ ง
น่า
สภาวิศวกรจะต้องเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะกรรมการจรรยาบรรณโดยไม่ชักช้า หาก
คณะกรรมการจรรยาบรรณพิจารณาแล้ว เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหากระทําผิดอย่างร้ายแรง
อาจวินิจฉัยให้พักใบอนุญาต ภายในกําหนด 5 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้
ําห
7. การกํากับดูแล
มาตรา 66 ได้มอบอํานาจให้รัฐมนตรีในฐานะผู้กํากับดูแลดังต่อไปนี้
มจ

 กํากับดูแลการดําเนินงานของสภาวิศวกรและการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ควบคุม
 สั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่สอบสวนข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการดําเนินงานของ
ห้า

สภาวิศวกรและการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
 สั่งเป็นหนังสือให้กรรมการ ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกิจการของสภาวิศวกร
 สั่ ง ให้ ส ภาวิ ศ วกร ระงั บ หรื อ แก้ ไ ขการกระทํ า ที่ ขั ด ต่ อ วั ต ถุ ป ระสงค์ ข อง
สภาวิศวกร นอกจากนี้ รัฐมนตรีโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรียังมีอํานาจปลดคณะกรรมการ
นายกสภาวิศวกร หรือกรรมการคนใดคนหนึ่งพ้นจากตําแหน่ง หากพบพฤติการณ์ที่
แสดงให้เห็นว่าบุคคลดังกล่าว กระทําผิดวัตถุประสงค์ของสภาวิศวกร หรือกระทําการอัน
เป็นการเสื่อมเสียอย่างร้ายแรงแก่สภาวิศวกร (มาตรา 69)
  14 หมวดกฎหมาย
 
บทกําหนดโทษ
การฝ่าฝืนพระราชบัญญัติวิศวกรเป็นความผิดต่อแผ่นดิน ผู้กระทําการฝ่าฝืน
ย่อมต้องได้รับโทษทางอาญา ซึ่งมีโทษทั้งปรับและจํา ดังต่อไปนี้
 การประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตหรือแอบอ้าง
ว่าตนพร้อมจะประกอบวิชาชีพวิศวกรรมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ต้องระวางโทษจําคุก
ไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งปรับทั้งจํา (มาตรา 71)
 การโฆษณาว่าเป็นผู้มีความรู้ความชํานาญในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นผู้ได้รับใบอนุญาต ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน
2 หมื่นบาทหรือทั้งปรับทั้งจํา (มาตรา 72)
 ผู้ไ ด้ รั บ คํ า สั่ ง เป็ น หนั ง สื อ จากคณะกรรมการจรรยาบรรณหรื อ พนั ก งาน
เจ้าหน้าที่ ให้มาให้ถ้อยคําแต่ไม่ปฏิบัติตาม ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือ
ปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งปรับทั้งจํา (มาตรา 73)
 ในกรณี ที่ผู้กระทําความผิดเป็นนิติบุ คคล ผู้เป็นหุ้ นส่วนของห้างหุ้นส่วน
กรรมการของบริษัท ต้องระวางโทษตามที่กําหนด ค่าปรับสําหรับนิติบุคคลต้องระวาง
โทษ ไม่เกิน 10 เท่าของอัตราค่าปรับสําหรับความผิดนั้น (มาตรา 74)


กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
น่า
1. พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542
2. กฎกระทรวงกํ าหนดสาขาวิช าชีพวิศวกรรมและสาขาวิช าชี พวิศ วกรรม
ําห
ควบคุม พ.ศ. 2550
3. ข้อบังคับสภาวิศวกรว่าด้วยหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้ประกอบวิชาชีพ
มจ

วิศวกรรมควบคุมแต่ละระดับ สาขา (7 สาขา รวม 7 ฉบับ) พ.ศ. 2551


4. ข้ อ บั ง คั บ สภาวิ ศ วกรว่ า ด้ ว ยการรั บ รองปริ ญ ญา ประกาศนี ย บั ต ร และ
วุฒิบัตรเทียบเท่าปริญญาในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ พ.ศ. 2543
ห้า

5. ข้ อ บั ง คั บ สภาวิ ศ วกรว่ า ด้ ว ยการออกใบอนุ ญ าตเป็ น ผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ


วิศวกรรมควบคุม ระดับภาคีวิศวกร พ.ศ. 2549
6. ข้ อ บั ง คั บ สภาวิ ศ วกรว่ า ด้ ว ยการออกใบอนุ ญ าตเป็ น ผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ
วิศวกรรมควบคุม ระดับสามัญวิศวกร และระดับวุฒิวิศวกร พ.ศ.2547
7. ข้ อบั งคั บสภาวิ ศวกรว่ าด้ วยจรรยาบรรณแห่ งวิ ชาชี พวิ ศวกรรมและการ
ประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนํามาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ พ.ศ.
2559

หมวดกฎหมาย 15
 
ห้า
มจ
ําห
น่า

บทที่ 3
กฎหมายว่าด้วยความปลอดภัยและการคุ้มครองแรงงาน
วัตถุประสงค์
เพื่อให้การใช้แรงงานเป็นไปอย่างเป็นธรรม และเหมาะสมยิ่งขึ้นกับสภาพสังคม
ในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนให้ความคุ้มครองแก่การใช้แรงงานบางประเภท
เป็นพิเศษกว่าการใช้แรงงานทั่วไป การห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะ
เหตุมีครรภ์ การให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กมีสิทธิลาเพื่อศึกษาอบรม การให้นายจ้างจ่ายเงิน
ทดแทนการขาดรายได้ของลูกจ้างในกรณีที่นายจ้างหยุดประกอบกิจการ การกําหนด
เงื่อนไขในการนําหนี้บางประเภทมาหักจากค่าตอบแทนการทํางานของลูกจ้าง การจัดตั้ง
กองทุนเพื่อสงเคราะห์ลูกจ้างหรือบุคคลซึ่งลูกจ้างระบุให้ได้รับประโยชน์หรือในกรณีที่
มิได้ระบุ ให้ทายาทได้รับประโยชน์จากกองทุนเพื่อสงเคราะห์ลูกจ้างของลูกจ้างที่ถึงแก่
ความตาย ตลอดจนการปรับปรุงอัตราโทษให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย


พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อคุ้มครอง
แรงงาน การจ้างงาน และการใช้แรงงานให้เป็นไปอย่างเป็นธรรม โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับ
น่า
กฎหมายนี้ ได้แก่ นายจ้างหรือผู้ทําหน้าที่แทนนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ว่าจ้าง และผู้ถูกว่าจ้าง
พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน พ.ศ. 2554
ําห
เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อกําหนดมาตรการควบคุม กํากับ ดูแล และบริหารจัดการด้าน
ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานของลูกจ้างโดยมีผู้ที่เกี่ยวข้อง
กับกฎหมายนี้ได้แก่ นายจ้าง ลูกจ้าง
มจ

สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
1. พระราชบั ญ ญั ติ ค วามปลอดภั ย อาชี ว อนามั ย และสภาพแวดล้ อ มใน
ห้า

การทํางาน มีสาระสําคัญประกอบด้วย การบริหาร การจัดการ และการดําเนินการ


ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน คณะกรรมการ
ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน การควบคุม กํากับ ดูแล
การดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน
พนักงานตรวจความปลอดภัย กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม

หมวดกฎหมาย 17
 
ในการทํางาน สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ
ทํางาน และบทกําหนดโทษ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
“ความปลอดภั ย อาชี ว อนามั ย และสภาพแวดล้ อ มในการทํ า งาน”
หมายความว่า การกระทําหรือสภาพการทํางานซึ่งปลอดจากเหตุอันจะทําให้เกิดการ
ประสบอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพอนามัยอันเนื่องจากการทํางานหรือ
เกี่ยวกับการทํางาน
“นายจ้ า ง” หมายความว่ า นายจ้ า งตามกฎหมายว่ า ด้ ว ยการคุ้ ม ครอง
แรงงานและให้ ห มายความรวมถึ ง ผู้ ป ระกอบกิจ การซึ่ ง ยอมให้ บุค คลหนึ่งบุ ค คลใด
มาทํางานหรือผลประโยชน์ให้แก่หรือในสถานประกอบกิจการ ไม่ว่าการทํางานหรือการ
ทําผลประโยชน์นั้นจะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจใน
ความรับผิดชอบของผู้ประกอบกิจการนั้นหรือไม่ก็ตาม
“ลูกจ้าง” หมายความว่า ลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน


และให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับความยินยอมให้ทํางานหรือทําผลประโยชน์ให้แก่
น่า
หรือในสถานประกอบกิจการของนายจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม
“ผู้บริหาร” หมายความว่า ลูกจ้างตั้งแต่ระดับผู้จัดการในหน่วยงานขึ้นไป
ําห
“หัวหน้างาน” หมายความว่า ลูกจ้างซึ่งทําหน้าที่ควบคุม ดูแล บังคับบัญชา
หรือสั่งให้ลูกจ้างทํางานตามหน้าที่ของหน่วยงาน
มจ

“เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน” หมายความว่า ลูกจ้างซึ่งนายจ้าง


ห้า

แต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ


ทํางานตามพระราชบัญญัตินี้
“สถานประกอบกิจการ” หมายความว่า หน่วยงานแต่ละแห่งของนายจ้าง
ที่มีลูกจ้างทํางานอยู่ในหน่วยงาน

2. พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มีสาระสําคัญประกอบด้วย


การใช้ แ รงงานทั่ ว ไป การใช้ แ รงงานหญิ ง การใช้ แ รงงานเด็ ก ค่ า จ้ า ง ค่ า ล่ ว งเวลา
  18 หมวดกฎหมาย
 
ค่าทํางานในวันหยุด ค่าล่วงเวลาในวันหยุด คณะกรรมการ ค่าจ้าง สวัสดิการ การพัก
งาน ค่าทดแทน ค่าชดเชย การยื่นคําร้องและการพิจารณาคําร้อง กองทุนสงเคราะห์
ลูกจ้าง พนักงาน ตรวจแรงงาน การส่งหนังสือ บทกําหนดโทษ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
คําจํากัดความ
“นายจ้าง” หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทํางานโดยจ่ายค่าจ้างให้
และหมายความรวมถึง
 ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทํางานแทนนายจ้าง
 กรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคลให้หมายความรวมถึงผู้มีอํานาจกระทําการ
แทนนิติบุคคล และผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอํานาจกระทําการแทนนิติบุคคลให้ทํา
การแทนด้วย
ในกรณีที่ผู้ประกอบการกิจการได้ว่าจ้างด้วยวิธีเหมาค่าแรง โดยมอบให้บุคคล
หนึ่งบุคคลใดรับช่วงไปควบคุมดูแลการทํางานและรับผิดชอบจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง
อีกทอดหนึ่งก็ดี มอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้จัดหาลูกจ้างมาทํางานอันมิใช่
การประกอบธุรกิจจัดหางานก็ดี โดยการทํางานนั้นเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดใน


กระบวนการผลิ ต หรื อ ธุ ร กิ จ ในความรั บ ผิ ด ชอบของผู้ ป ระกอบกิ จ การ ให้ ถื อ ว่ า
ผู้ประกอบกิจการเป็นนายจ้างของลูกจ้างดังกล่าวด้วย
น่า
“ลูกจ้าง” หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทํางานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะ
เรียกชื่ออย่างไร
ําห
“ผู้ว่าจ้าง” หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงว่าจ้างบุคคลอีกบุคคลหนึ่งให้ดําเนินงาน
ทั้งหมด หรื อแต่บางส่ วนของงานใดเพื่อประโยชน์แก่ตน โดยจะจ่ายสินจ้ างตอบแทน
ผลสําเร็จแห่งการงานที่ทํานั้น
มจ

“ผู้รับเหมาชั้นต้น” หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงรับจะดําเนินงานทั้งหมดหรือแต่


บางส่วนของงานใดจนสําเร็จประโยชน์ของผู้ว่าจ้าง
“ผู้รับเหมาช่วง” หมายความว่า ผู้ซึ่งทําสัญญากับผู้รับเหมาชั้นต้นโดยรับจะ
ห้า

ดําเนินงานทั้งหมดหรือแต่บางส่วนของงานใดในความรับผิดชอบของผู้รับเหมาชั้นต้น
เพื่อประโยชน์แก่ ผู้ว่าจ้าง และหมายความรวมถึงผู้ซึ่งทําสัญญากับผู้รับเหมาช่วงเพื่อรับ
ช่วงงานในความรับผิดชอบ ของผู้รับเหมาช่วง ทั้งนี้ ไม่ว่าจะรับเหมาช่วงกันกี่ช่วงก็ตาม
“สัญญาจ้าง” หมายความว่า สัญญาไม่ว่าเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาระบุชัดเจน
หรือเป็นที่เข้าใจโดยปริยายซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทํางานให้แก่บุคคลอีกบุคคล
หนึ่ง เรียกว่า นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้ค่าจ้างตลอดเวลาที่ทํางานได้

หมวดกฎหมาย 19
 
“ค่ า จ้ า ง” หมายความว่ า เงิ น ที่ น ายจ้ า งและลู ก จ้ า งตกลงกั น จ่ า ยเป็ น
ค่าตอบแทนในการทํางานตามสัญญาจ้างสําหรับระยะเวลาการทํางานปกติเป็นรายชั่วโมง
รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือระยะเวลาอื่น หรือจ่ายให้โดยคํานวณตามผลงานที่
ลูกจ้างทําได้ในเวลาทํางานปกติของวันทํางาน และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่าย
ให้ แก่ ลู กจ้ างในวั นหยุ ดและวั นลา ที่ ลู กจ้ าง มิ ได้ ทํ างาน แต่ ลู กจ้ า งมี สิ ท ธิ ไ ด้ รั บ ตาม
พระราชบัญญัตินี้

“อัต ราค่ า จ้ า งขั้น ต่ํ า ” หมายความว่ า อั ต ราค่ าจ้ า งที่ค ณะกรรมการค่ า จ้า ง
กําหนดตามพระราชบัญญัตินี้ (มาตรา 5)
การใช้แรงงานทั่วไป
 ให้นายจ้างประกาศเวลาทํางานปกติให้ลูกจ้างทราบ โดยกําหนดเวลาเริ่มต้น
และเวลาสิ้นสุ ดของการทํ างานแต่ละวันของลูกจ้างได้ไม่ เกินเวลาทํ างานของแต่ล ะ
ประเภทงาน ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง แต่วันหนึ่งต้องไม่เกิน 8 ชั่วโมงและเมื่อรวม
เวลาทํางานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมง เว้นแต่งานที่อาจเป็นอันตราย


ต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างตามที่กําหนดในกฎกระทรวง จะมีเวลาทํางาน
ปกติวันหนึ่งต้องไม่เกิน 7 ชั่วโมง แต่เมื่อรวมเวลาทํางานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งไม่เกิน 42
น่า
ชั่วโมง ในกรณีที่นายจ้างไม่อาจประกาศกําหนดเวลา เริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของ
การทํางานแต่ละวันได้เนื่องจากลักษณะหรือสภาพของงาน ให้นายจ้างและลูกจ้างตกลง
ําห
กันกําหนดชั่วโมงทํางานแต่ละวันไม่เกิน 8 ชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทํางานทั้งสิ้นแล้ว
สัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมง (มาตรา 23)
 ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทํางานในวันหยุด เว้นแต่ในกรณีที่ลักษณะหรือ
มจ

สภาพของงานต้ อ งทํ า ติ ด ต่ อ กั น ไป ถ้ า หยุ ด จะเสี ย หายแก่ ง าน หรื อ เป็ น งานฉุ ก เฉิ น


นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทํางานในวันหยุดได้เท่าที่จําเป็น นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทํางานใน
วันหยุดได้สําหรับกิจการโรงแรม สถานมหรสพ งานขนส่ง ร้านขายอาหาร ร้ายขาย
ห้า

เครื่องดื่ม สโมสร สมาคม สถานพยาบาล หรือกิจการอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง


เพื่อประโยชน์แก่การผลิต การจําหน่าย และการบริการ นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทํางาน
นอกจากที่ กําหนดตามวรรคหนึ่งและวรรคสองในวันหยุ ดเท่าที่จําเป็นโดยได้รั บความ
ยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราวๆ ไป (มาตรา 25)
 ในวันที่มีการทํางาน ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักระหว่างการทํางาน
วันหนึ่งไม่น้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ลูกจ้างทํางานมาแล้วไม่เกิน 5 ชั่วโมงติดต่อกัน
นายจ้ างและลู กจ้างอาจตกลงกันล่ วงหน้าให้มีเวลาพักครั้งหนึ่งน้อยกว่า 1 ชั่ วโมงได้
  20 หมวดกฎหมาย
 
แต่เมื่อรวมกันแล้ววันหนึ่งต้องไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง ในกรณีที่นายจ้างและลูกจ้างตกลง
กันกําหนดเวลาพักระหว่างการทํางานตามวรรคหนึ่งเป็นอย่างอื่น ถ้าข้อตกลงนั้นเป็น
ประโยชน์แก่ลูกจ้างให้ข้อตกลงนั้นใช้บังคับได้ เวลาพักระหว่างการทํางาน ไม่ให้นับรวม
เป็นเวลาทํางาน เว้นแต่เวลาพักที่รวมกันแล้ว ในวันหนึ่งเกิน 2 ชั่วโมง ให้นับเวลาที่เกิน
2 ชั่วโมงนั้นเป็นเวลาทํางานปกติ ในกรณีที่มีการทํางานล่วงเวลาต่อจากเวลาทํางานปกติ
ไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมงนายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักไม่น้อยกว่า 20 นาทีก่อนที่
ลูกจ้างเริ่มทํางานล่วงเวลา ความในวรรคหนึ่งและวรรคสี่มิให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ลูกจ้าง
ทํางานที่มีลักษณะ หรือสภาพของงานต้องทําติดต่อกันไปโดยได้รับความยินยอมจาก
ลูกจ้างหรือเป็นงานฉุกเฉิน (มาตรา 27)
 ให้นายจ้างจัดให้ ลูกจ้างมีวันหยุดประจําสัปดาห์สัปดาห์หนึ่งไม่น้อยกว่า
1 วัน โดยวันหยุดประจําสัปดาห์ต้องมีระยะห่างกันไม่เกิน 6 วัน นายจ้างและลูกจ้างอาจ
ตกลงกันล่วงหน้า กําหนดให้มีวันหยุดประจําสัปดาห์วันใดก็ได้ ในกรณีที่ลูกจ้างทํางาน
โรงแรม งานขนส่ ง งานในป่ า งานในที่ ทุ ร กั น ดาร หรื อ งานอื่ น ตามที่ กํ า หนดใน
กฎกระทรวง นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้าสะสมวันหยุดประจําสัปดาห์และ
เลื่อนไปหยุดเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องอยู่ในระยะเวลา 4 สัปดาห์ติดต่อกัน (มาตรา 28)


 ให้นายจ้างประกาศกํ าหนดวันหยุดตามประเพณี ให้ ลูกจ้ างทราบเป็นการ
น่า
ล่วงหน้าปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 13 วัน โดยรวมวันแรงงานแห่งชาติตามที่รัฐมนตรีประกาศ
กําหนดให้นายจ้างพิจารณากําหนดวันหยุดตามประเพณีจากวันหยุดราชการประจําปี
วันหยุดทางศาสนา หรือขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งท้องถิ่น ในกรณีที่วันหยุดตาม
ําห
ประเพณีวันใดตรงกับวันหยุดประจําสัปดาห์ของลูกจ้าง ให้ลูกจ้างได้หยุดชดเชยวันหยุด
ตามประเพณีในวันทํางานถัดไป ในกรณีที่นายจ้างไม่อาจให้ลูกจ้างหยุดตามประเพณีได้
มจ

เนื่องจากลูกจ้างทํางานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานตามที่กําหนดในกฎกระทรวง ให้
นายจ้างตกลงกับลูกจ้างว่า จะหยุดในวันอื่นชดเชยวันหยุดตามประเพณี หรือนายจ้างจะ
จ่ายค่าทํางานในวันหยุดให้ก็ได้ (มาตรา 29)
ห้า

 ให้ ลูกจ้างมี สิทธิลาเพื่อการฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้ความสามารถตาม


หลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดในกฎกระทรวง (มาตรา 36)
การใช้แรงงานหญิง
ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงทํางานอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
 งานเหมืองแร่หรืองานก่อสร้างที่ต้องทําใต้ดิน ใต้น้ํา ในถ้ํา ในอุโมงค์ หรือ
ปล่องในภูเขา เว้นแต่ลักษณะของงานไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือร่างกายของลูกจ้าง
นั้น
หมวดกฎหมาย 21
 
 งานที่ต้องทําบนนั่งร้านที่สูงกว่าพื้นดินตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป
 งานผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิดหรือวัตถุไวไฟ
 งานอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง (มาตรา 38)
ห้ ามมิ ให้ นายจ้ างให้ ลู กจ้ างซึ่ งเป็ นหญิ งมี ครรภ์ทํ างานในระหว่ างเวลา 22.00
นาฬิกา ถึงเวลา 06.00 นาฬิกา ทํางานล่วงเวลา ทํางานในวันหยุด หรือทํางานอย่าง
หนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
 งานเกี่ยวกับเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ที่มีความสั่นสะเทือน
 งานขับเคลื่อนหรือติดไปกับยานพาหนะ
 งานยก แบก หาม หาบ ทูน ลาก หรือเข็นของหนักเกิน 15 กิโลกรัม
 งานที่ทําในเรือ
 งานอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง (มาตรา 39)
ให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตรครรภ์หนึ่งไม่เกิน 90 วัน
วันลาตามวรรคหนึ่ง ให้นับรวมวันหยุดที่มีในระหว่างวันลาด้วย (มาตรา 41)
ในกรณีที่ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ มีใบรับรองแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง


มาแสดงว่าไม่อาจทํางานในหน้าที่เดิมต่อไปได้ให้ลูกจ้างนั้นมีสิทธิขอให้นายจ้างเปลี่ยน
น่า
งานในหน้าที่เดิมเป็นการชั่วคราวหรือหลังคลอดได้ และให้นายจ้างพิจารณาเปลี่ยนงานที่
เหมาะสมให้แก่ ลูกจ้างนั้น (มาตรา 42)
ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์ (มาตรา 43)
ําห
การใช้แรงงานเด็ก
ห้ามมิให้นายจ้างจ้างเด็กอายุต่ํากว่า 15 ปีเป็นลูกจ้าง (มาตรา 44)
มจ

ในกรณีที่มีการจ้างเด็กอายุต่ํากว่า 18 ปีเป็นลูกจ้างให้นายจ้างปฏิบัติดังนี้
 แจ้งการจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กนั้นต่อพนักงานตรวจแรงงานภายใน 15 วัน
นับแต่วันที่เด็กเข้าทํางาน
ห้า

 จัดทําบันทึกสภาพการจ้างกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเก็บไว้ ณ
สถานประกอบกิจการ หรือสํานักงานของนายจ้าง พร้อมที่จะให้พนักงานตรวจแรงงาน
ตรวจได้ ในเวลาทําการ
 แจ้ ง การสิ้ น สุ ด การจ้ า งลู ก จ้ า งซึ่ ง เป็ น เด็ ก นั้ น ต่ อ พนั ก งานตรวจแรงงาน
ภายใน 7 วันนับแต่วันที่เด็กออกจากงาน การแจ้งหรือการจัดทําบันทึกตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีกําหนด (มาตรา 45)

  22 หมวดกฎหมาย
 
ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ํากว่า 18 ปีทํางานในระหว่างเวลา
22.00 นาฬิกา ถึงเวลา 06.00 นาฬิกา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดี
หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย นายจ้างอาจให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ํากว่า 18 ปีและเป็นผู้
แสดงภาพยนตร์ ละคร หรือการแสดงอย่างอื่นที่คล้ายคลึงกันทํางานในระหว่างเวลา
ดังกล่าวได้ ทั้งนี้ให้นายจ้าง จัดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กนั้นได้พักผ่อนตามสมควร (มาตรา
47)
ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ํากว่า 18 ปีทํางานล่วงเวลาหรือ
ทํางานในวันหยุด (มาตรา 48)
ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ํากว่า 18 ปีทํางานอย่างหนึ่งอย่างใด
ดังต่อไปนี้
 งานหลอม เป่า หล่อ หรือรีดโลหะ
 งานปั๊มโลหะ
 งานเกี่ยวกับความร้อน ความเย็น ความสัน่ สะเทือน เสียง และแสงที่มีระดับ
แตกต่างจากปกติ อันอาจเป็นอันตรายตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
 งานเกี่ยวกับสารเคมีที่เป็นอันตรายตามที่กําหนดในกฎกระทรวง


 งานเกี่ยวกับจุลชีวันเป็นพิษซึ่งอาจเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย รา หรือเชื้ออื่น
น่า
ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
 งานเกี่ยวกับวัตถุมีพิษ วัตถุระเบิด หรือวัตถุไวไฟ เว้นแต่งานในสถานีบริการ
ําห
น้ํามันเชื้อเพลิงตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
 งานขับหรือบังคับรถยกหรือปั้นจั่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
 งานใช้เลื่อยเดินด้วยพลังไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์
มจ

 งานที่ต้องทําใต้ดิน ใต้น้ํา ในถ้ํา อุโมงค์ หรือปล่องในภูเขา


 งานเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสีตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
ห้า

 งานทําความสะอาดเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ขณะที่เครื่องจักร หรือ
เครื่องยนต์กําลังทํางาน
 งานที่ต้องทําบนนั่งร้านที่สูงกว่าพื้นดินตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป
 งานอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง (มาตรา 49)
ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ํากว่าสิบแปดปีทํางานในสถานที่ดังต่อไปนี้
 โรงฆ่าสัตว์
 สถานที่เล่นการพนัน
หมวดกฎหมาย 23
 
 สถานเต้นรํา รําวง หรือรองเง็ง
 สถานที่ที่มีอาหาร สุรา น้ําชา หรือเครื่องดื่มอย่างอื่นจําหน่ายและบริการ
โดยมีผู้บําเรอสําหรับปรนนิบัติลูกค้า หรือ โดยมีที่สําหรับพักผ่อนหลับนอน หรือมีบริการ
นวดให้แก่ลูกค้า
 สถานที่อื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง (มาตรา 50)
บทกําหนดโทษ
นายจ้างผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติในการใช้แรงงานทั่วไป ต้องระวางโทษจําคุก
ไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ในกรณีที่นายจ้างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติในเรื่องการใช้แรงงานหญิง เป็นเหตุให้
ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ หรือถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน
หนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ (มาตรา 144)
นายจ้ า งผู้ ใ ดฝ่ าฝื น ให้ ลู ก จ้ า งทํ า งานล่ ว งเวลาที่อ าจเป็ น อั น ตรายต่ อ สุข ภาพ
มาตรา 31 หรือใช้แรงงานเด็ก มาตรา 44 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับ
ไม่เกินสองแสนบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ (มาตรา 148)
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง


น่า
1. พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
2. กฎกระทรวง ออกตามความในพระราชบั ญ ญั ติ คุ้ ม ครองแรงงาน
ําห
พ.ศ. 2541
3. ประกาศ คําสั่ง ระเบียบกระทรวงแรงงาน
มจ
ห้า

  24 หมวดกฎหมาย
 
บทที่ 4
กฎหมายโรงงาน
วัตถุประสงค์
พระราชบัญญัติโรงงาน เป็นกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิ์ของประชาชนตามที่ระบุไว้
ในมาตรา 29, 43, 45 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 แต่จําเป็น
ต้องตรากฎหมายนี้ขึ้นเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
และคนงาน รวมทั้งป้องกันเหตุเดือดร้อนรําคาญ และการรักษาสภาพแวดล้อม
แต่เดิมมีกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมโรงงานมาแล้วหลายฉบับ แต่เนื่องจาก
กฎหมายฉบับก่อนๆ มีบทบัญญัติที่ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในยุค
ปัจจุ บัน และไม่เอื้อต่อการส่ งเสริมการประกอบกิจการโรงงาน เช่น การกํ าหนดให้
โรงงานทุกลักษณะต้ องขออนุญ าตเช่ นเดี ยวกันทั้งหมด ทั้งๆ ที่ตามสภาพที่เป็นจริง
โรงงานต่างๆ มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปบางประเภทไม่จําเป็นต้องควบคุมดูแล
การตั้งโรงงาน เพียงแต่ดูแลการดําเนินงานเท่านั้นบางประเภทที่อาจเกิดอันตรายใน
การประกอบกิจการได้ ก็ควรควบคุมการจัดตั้งอย่างเคร่งครัด เป็นต้น จึงปรับปรุงระบบ
การควบคุมกํากับดูแลโรงงานให้สอดคล้องกับสภาพของการประกอบกิจการของโรงงาน
ต่างๆ


น่า
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เป็นกฎหมายที่ออกมาควบคุมการประกอบ
ําห
กิจการโรงงาน โดยผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนี้คือ เจ้าของโรงงานหรือผู้ประกอบกิจการ
โรงงาน และผู้ที่ปฏิบัติงานในโรงงาน ซึ่งได้แก่ วิศวกรหรือสถาปนิกประจําโรงงาน และ
คนงานที่ปฏิบัติงานในโรงงาน
มจ

สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 มี 68 มาตรา เป็นบทเฉพาะกาล 3 มาตรา
ห้า

แบ่งออกเป็น 3 หมวด คือ หมวดบังคับการประกอบกิจการโรงงาน หมวดการกํากับดูแล


โรงงาน และหมวดบทกําหนดโทษ โดยมีสาระสําคัญในประเด็นที่วิศวกรควรทราบ แยก
ตามมาตรา ดังนี้
มาตรา 5 คื อ “โรงงาน หมายถึ ง อาคาร สถานที่ หรื อ ยานพาหนะ ที่ ใ ช้
เครื่องจักรที่มีกําลังรวมตั้งแต่ 5 แรงม้า หรือกําลังเทียบเท่าตั้งแต่ 5 แรงม้าขึ้นไป หรือ
ใช้คนงานตั้งแต่ 7 คนขึ้นไป โดยใช้เครื่องจักรหรือไม่ก็ตาม สําหรับทํา ผลิต ประกอบ

หมวดกฎหมาย 25
 
บรรจุ ซ่อม ซ่ อมบํารุง ทดสอบ ปรับปรุงแปรสภาพ ลําเลียง เก็ บรักษาหรือทําลาย
สิ่งใด ๆ ทั้งนี้ ตามประเภทหรือชนิดของโรงงานที่กําหนดในกฎกระทรวง”
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่ามีข้อแม้สําคัญคือ
 อาคาร สถานที่ หรือยานพาหนะ
 เครื่องจักร 5 แรงม้า หรือ คนงาน 7 คน
 ทํา ผลิต ประกอบ ฯลฯ
 ประเภทที่กําหนดตามกฎกระทรวง
กล่าวคือจะต้องครอบคลุมทั้ง 4 ลักษณะจึงเข้าข่ายเป็นโรงงานที่ถูกควบคุมตาม
กฎหมายและปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม หรือผู้ที่ปลัดกระทรวงมอบหมายเป็นผู้อนุญาต
มาตรา 7 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มีอํานาจออกกฎกระทรวง
กําหนดให้โรงงานประเภท ชนิด หรือขนาดใด เป็นโรงงานจําพวกที่ 1 โรงงานจําพวกที่ 2
หรือโรงงานจําพวกที่ 3
 โรงงานจําพวกที่ 1 คือ โรงงานประเภท ชนิด หรือขนาดที่สามารถ
ประกอบกิจการได้ทันที โดยไม่ต้องแจ้งหรือขออนุญาต


 โรงงานจําพวกที่ 2 คือ โรงงานประเภท ชนิด หรือขนาดที่เมื่อประกอบ
กิจการโรงงาน ต้องแจ้งให้ผู้อนุญาตทราบก่อน
น่า
 โรงงานจําพวกที่ 3 คือ โรงงานประเภท ชนิด หรือขนาด ที่การตั้งโรงงาน
ต้องได้รับใบอนุญาตก่อนจึงดําเนินการได้
ําห
โรงงานจําพวกที่ 3 เท่านั้นที่ต้องขออนุญาตตั้งโรงงาน ส่วนจําพวก 1 หรือ 2
ไม่ต้ อ งขออนุ ญ าตในขั้น ตอนการขอตั้ งโรงงาน แต่ต้ องถู กต้ อ งตามหลั ก เกณฑ์ หรื อ
กฎกระทรวง เป็นการลดการควบคุมตามแนวทางเดิม เป็นการกํากับตามนโยบายของ
มจ

รัฐบาลในขณะนั้น
มาตรา 8 ให้รัฐมนตรีมีอํานาจออกกฎกระทรวง เพื่อให้โรงงานต้องปฏิบัติตาม
ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น
ห้า

 กํ า หนดหลั ก เกณฑ์ เ กี่ ย วกั บ ที่ ตั้ ง ของโรงงาน สภาพแวดล้ อ ม ลั ก ษณะ


อาคาร หรือลักษณะภายในของโรงงาน
 กําหนดลักษณะ ประเภท หรือชนิด ของเครื่องจักร อุปกรณ์ที่ต้องนํามาใช้
ในการประกอบกิจการโรงงาน
 กําหนดให้มีคนงานที่มีความรู้เฉพาะตามประเภท หรือ ขนาดของโรงงาน

  26 หมวดกฎหมาย
 
 กําหนดหลักเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติ กรรมวิธีการผลิต หรือจัดให้มีอุปกรณ์
หรือเครื่องมือเพื่อระงับ หรือ บรรเทาอันตราย ความเสียหาย หรือความเดือดร้อนที่อาจ
เกิดขึ้น
 กํ า หนดมาตรฐาน และวิ ธี ก ารควบคุ ม การปล่ อ ยของเสี ย มลพิ ษ หรื อ
สิ่งใดๆ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
จะกําหนดยกเว้นโรงงานประเภท ชนิด หรือ ขนาดใดจากการต้องปฏิบัติในเรื่อง
หนึ่งเรื่องใดก็ได้
มาตรา 9 การตรวจสอบโรงงานตามพระราชบัญญัตินี้ อาจกําหนดให้เอกชน
เป็นผู้ดําเนินการ และจัดทํารายงานผลการตรวจสอบแทนพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ก็ได้
ทั้งนี้ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
จะเห็ น ได้ ว่ า กฎหมายนี้ ไ ด้ เ ปิ ด โอกาสอั น หนึ่ ง ของวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรม ที่ จ ะ
ประกอบธุ ร กิ จ เกี่ ย วกั บ การตรวจสอบอาคารตามกฎหมายควบคุ ม อาคาร หาก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมออกระเบียบดังกล่าว
มาตรา 10 และ มาตรา 11 รัฐมนตรีอาศัยอํานาจตาม มาตรา 8 ออก
กฎกระทรวงและประกาศหลักเกณฑ์สําหรับโรงงานจําพวกที่ 1 และ 2 ซึ่งไม่ต้องขอ


อนุ ญ าตตั้ ง โรงงาน แต่ ต้ อ งทํ า ตามหลั ก เกณฑ์ เช่ น ต้ อ งไม่ ตั้ ง อยู่ ใ นที่ ชุ ม ชน ต้ อ งมี
น่า
ระยะห่างขั้นต่ําจากสถานที่สาธารณะ ฯลฯ ดังนั้นเมื่ออนุโลมลดการควบคุมด้วยการ
ละเว้นไม่ ต้องขออนุ ญาตแล้ ว จึงจําเป็นต้องมีหลักเกณฑ์เพื่อป้ องกั นและกํากั บมิ ใ ห้
สาธารณชนได้รับอันตราย
ําห
มาตรา 12 ผู้ ป ระกอบกิ จ การโรงงานจํ า พวก 3 ต้ อ งได้ รั บ อนุ ญ าตก่ อ น
ห้ามมิให้ผู้ใดตั้งโรงงานจําพวก 3 ก่อนได้รับอนุญาต
มจ

ในการออกใบอนุ ญ าต ให้ ผู้ อ นุ ญ าตพิ จ ารณาตามหลั ก เกณฑ์ ที่ กํ า หนดใน


กฎกระทรวงที่ อ อกตามมาตรา 8 (เช่ น ห้ า มตั้ ง โรงงานในบริ เ วณที่ กํ า หนด ต้ อ งมี
ระยะห่างขั้นต่ําจากที่กําหนด ต้องมีอุปกรณ์ป้องกันเหตุเดือดร้อนรําคาญ ฯลฯ) แต่หาก
ห้า

เห็นว่าหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ยังไม่เพียงพอ หรือไม่ครอบคลุมสําหรับสภาพของโรงงาน
ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ผู้อนุญาตจะกําหนดเงื่อนไขที่ผู้ประกอบกิจการจะต้องปฏิบัติ
เป็นพิเศษไว้ในใบอนุญาตก็ได้ นอกจากนั้น จะกําหนดเงื่อนไขพิเศษไว้ในใบอนุญาต
เฉพาะรายก็ได้ หากบริเวณที่ตั้งโรงงานนั้นจําเป็นต้องใช้มาตรการเสริมนอกเหนือจาก
มาตรการทั่วไป
มาตรา 13 ผู้รับอนุญาตตามมาตรา 12 จะขอเริ่มประกอบกิจการโรงงานเป็น
บางส่วนก่อนก็ได้ จัดว่ากฎหมายเปิดโอกาสให้มีการทดลองเดินเครื่องจักรก่อนเริ่ม
ประกอบกิจการจริงได้
หมวดกฎหมาย 27
 
มาตรา 18 ห้ามมิให้ผู้รับใบอนุญาตขยายโรงงานเว้นแต่ได้รับอนุญาตการขยาย
โรงงานคือ
 การเพิ่ ม เปลี่ ย น หรื อ เปลี่ ย นแปลงเครื่ อ งจั ก รให้ มี กํ า ลั ง รวมกั น ตั้ ง แต่
ร้อยละ 50 ขึ้นไป ในกรณีที่เครื่องจักรเดิมมีกําลังรวมไม่ถึง 100 แรงม้า แต่ถ้ากรณี
เครื่องจักรเดิม มีกําลังรวมเกินกว่า 100 แรงม้า หากเพิ่มหรือเปลี่ยนเครื่องจักรเพิ่มมาก
ขึ้น ตั้งแต่ 50 แรงม้าขึ้นไป ถือเป็นการขยายโรงงาน
หมายเหตุ การขยายโรงงาน หมายถึง
- เครื่องจักรเดิม น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100 แรงม้า เพิ่มขึ้น มากกว่า
หรือเท่ากับ 50 %
- เครื่องจักรเดิม มากกว่าหรือเท่ากับ 100 แรงม้า เพิ่มขึ้น มากกว่า
หรือเท่ากับ 50 แรงม้า
 การเพิ่มหรือแก้ไขอาคารโรงงาน ทําให้รากฐานเดิมของโรงงานฐานใดฐาน
หนึ่งต้องรับน้ําหนักเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 500 กิโลกรัมขึ้นไป
มาตรา 19 ไม่ เ ข้ า ข่ า ยขยายโรงงาน แต่ ต้ อ งแจ้ ง เป็ น หนั ง สื อ ต่ อ พนั ก งาน
เจ้าหน้าที่


 เครื่องจักรเพิ่มไม่เข้าข่ายขยายโรงงาน
น่า
 พื้นที่อาคารเดิม น้อยกว่าหรือเท่ากับ 200 ตารางเมตร เพิ่มพื้นที่มากกว่า
หรือเท่ากับ 50 %
 พื้นที่อาคารเดิม มากกว่าหรือเท่ากับ 200 ตารางเมตร เพิ่มพื้นที่มากกว่า
ําห
หรือเท่ากับ 100 ตารางเมตร
ต้องแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 7 วัน นับแต่วันเพิ่มเครื่องจักร หรือ ขยาย
มจ

พื้นที่อาคาร
มาตรา 27 ผู้รับใบอนุญาตประสงค์จะย้ายโรงงานไปที่อื่น ให้ดําเนินการเหมือน
การตั้งโรงงานใหม่
ห้า

บทกําหนดโทษ
มาตรา 48 ผู้ใดประกอบกิจการโรงงานจําพวก 2 โดยไม่ได้แจ้ง ต้องโทษจําคุก
ไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา 49 ผู้ใดประกอบกิจการโรงงานจําพวก 3 โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือตั้ง
โรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท
หรือทั้งจําทั้งปรับ
  28 หมวดกฎหมาย
 
มาตรา 52 ผู้รับใบอนุญาตใด ขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องโทษเหมือน
มาตรา 49
มาตรา 55 ผู้ใดประกอบกิจการระหว่างถูกสั่งหยุด หรือถูกสั่งปิดโรงงาน มีโทษ
จําคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ปรับอีก
วันละ 5,000 บาท จนกว่าจะหยุดประกอบกิจการ
สถาปนิก หรือวิศวกร ผู้ใดยังฝ่าฝืนทํางานในโรงงานที่ถูกสั่งหยุด หรือถูกสั่งปิด
ต้องระวางโทษ เช่นเดียวกับผู้ประกอบกิจการตามวรรคหนึ่ง
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า กฎหมายกําหนดโทษสําหรับผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง
กับการอุตสาหกรรมด้วย
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
2. กฎกระทรวง (พ.ศ. 2535) ออกตามในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
3. กฎกระทรวงฉบั บที่ 2 (พ.ศ. 2535) ออกตามในพระราชบั ญ ญั ติโรงงาน
พ.ศ. 2535


4. กฎกระทรวงฉบั บที่ 3 (พ.ศ. 2535) ออกตามในพระราชบั ญ ญั ติโรงงาน
พ.ศ. 2535
น่า
5. กฎกระทรวงฉบั บที่ 7 (พ.ศ. 2535) ออกตามในพระราชบั ญ ญั ติโรงงาน
พ.ศ. 2535
ําห
6. กฎกระทรวงฉบั บที่ 8 (พ.ศ. 2535) ออกตามในพระราชบั ญ ญั ติโรงงาน
พ.ศ. 2535
7. ประกาศกระทรวงอุ ต สาหกรรมฉบั บ ที่ 6 (พ.ศ. 2540) เรื่ อ งการกํ า จั ด
มจ

สิ่ ง ปฏิ กู ล หรื อ วั ส ดุ ที่ ไ ม่ ใ ช้ แ ล้ ว กล่ า วคื อ กํ า หนดของเสี ย จากการอุ ต สาหกรรม


(Industrial waste) หรือของเสียอันตราย (Hazardous waste) และการกําจัดที่
เหมาะสม
ห้า

หมวดกฎหมาย 29
 
ห้า
มจ
ําห
น่า

บทที่ 5
กฎหมายควบคุมอาคาร
วัตถุประสงค์
กฎหมายควบคุม อาคาร มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการก่อสร้างอาคารให้มี
ความมั่นคง แข็งแรงและปลอดภัย มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงามและมีการ
จัดการด้านการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดให้มีระบบบําบัดน้ําเสียก่อนปล่อย
ลงสู่ทางระบายน้ําสาธารณะ เป็นต้น
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายควบคุมอาคาร ได้แก่ เจ้าของอาคาร ผู้ครอบครอง
อาคาร สถาปนิกผู้ออกแบบและสถาปนิกผู้ควบคุมงาน วิศวกรผู้ออกแบบและวิศวกร
ผู้ควบคุมงานโครงสร้างอาคาร วิศวกรผู้ออกแบบและวิศวกรผู้ควบคุมงานระบบต่างๆ
ของอาคาร
สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม


กฎหมายควบคุมอาคารที่เกี่ยวข้องกับวิศวกร ประกอบด้วย
- พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร
น่า
(ฉบั บ ที่ 2) พ.ศ. 2535 พระราชบั ญ ญั ติ ค วบคุ ม อาคาร (ฉบั บ ที่ 31) พ.ศ. 2543
พระราชบั ญ ญั ติค วบคุ ม อาคาร (ฉบับ ที่ 4) พ.ศ. 2550 และพระราชบัญ ญั ติควบคุ ม
ําห
อาคาร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นกฎหมายหลักหรือกฎหมายแม่บท
- กฎกระทรวงซึ่งเป็นกฎหมายรองที่กําหนดรายละเอียด เช่น รายละเอียด
วิ ธีก ารปฏิ บั ติใ นการขออนุญ าต รายละเอีย ดข้ อกํา หนดงานทางด้า นวิ ศ วกรรมและ
มจ

สถาปัตยกรรม เป็นต้น
- ข้อบัญญัติท้องถิ่นซึ่งเป็นกฎหมายที่กําหนดรายละเอียด เนื่องจากมีความ
จําเป็นหรือ มีเหตุผลพิเศษเฉพาะท้องถิ่น เช่น ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เทศบัญญัติ
ห้า

ของเทศบาล ข้อบังคับองค์การบริหารส่วนตําบลขององค์การบริหารส่วนตําบล เป็นต้น


ซึ่งแต่ละท้องถิ่นจะเป็นผู้พิจารณาดําเนินการออกข้อบัญญัติท้องถิ่นนี้เองได้ในกรณี ดังนี้
 กําหนดรายละเอียดเพิ่มเติมจากกฎกระทรวง
 ออกขัดหรือแย้งกับกฎกระทรวงในกรณีที่มีความจําเป็นหรือเหตุผลพิเศษ
เฉพาะท้องถิ่น (มาตรา 10)

หมวดกฎหมาย 31
 
- ประกาศกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะสําหรับกําหนดบริเวณห้าม
ก่ อ สร้ า งอาคารบางชนิ ด หรื อ บางประเภท มี อ ายุ ใ ช้ บั ง คั บ เพี ย ง 1 ปี นั บ จากวั น
ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา (มาตรา 13)
นอกจากนี้กฎหมายควบคุมอาคารยังมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่นอีกหลาย
ฉบับ เช่น กฎหมายผังเมือง กฎหมายวิศวกร กฎหมายสิ่งแวดล้อม เป็นต้น การใช้
กฎหมายอาคาร จึงจะดูแลเฉพาะกฎหมายแม่บทอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องศึกษากฎหมาย
รองและกฎหมายอื่น ที่เกี่ยวข้องควบคู่ไปด้วย
พื้นทีบ่ ังคับใช้
กฎหมายควบคุมอาคารเป็นกฎหมายที่โดยทั่วไปจะใช้บังคับในท้องที่ที่มีความ
เจริญ มีการก่อสร้างอาคารค่อนข้างหนาแน่น หากท้องที่ใดต้องการควบคุมการก่อสร้าง
อาคารให้มี ความสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยมีความมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัย
จะต้องประกาศพระราชกฤษฎีกาบังคับใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
ในท้องที่นั้น ๆ เสียก่อน (มาตรา 2)
เมื่อมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.


2522 ในท้องที่ใดก็ตาม การก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน เคลื่อนย้าย ใช้หรือเปลี่ยน
การใช้อาคารในท้องที่นั้นต้องได้รับใบอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารหรือแจ้งต่อเจ้าพนักงาน
น่า
ท้ อ งถิ่ น และได้ ใ บรั บ แจ้ ง ก่ อ นจึ ง จะเริ่ ม ดํ า เนิ น การก่ อ สร้ า งอาคารได้ ท้ อ งที่
ที่ได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 นั้น
ําห
มักเรียกท้องที่นั้นว่าเป็นเขตควบคุมอาคาร
นอกจากนี้ในเขตผังเมืองรวมหรือเคยประกาศเป็นเขตผังเมืองรวมให้เป็นเขต
ควบคุมอาคารโดยไม่ต้องตราพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญ ญัติควบคุมอาคาร
มจ

พ.ศ. 2522
คําจํากัดความที่สําคัญในกฎหมายควบคุมอาคาร
ห้า

“อาคาร” หมายความว่า ตึก บ้าน เรือน โรง ร้าน แพ คลังสินค้า สํานักงาน


และสิ่งที่สร้างขึ้นอย่างอื่นซึ่งบุคคลอาจเข้าอยู่หรือเข้าใช้สอยได้ และหมายความรวมถึง
1. อัฒจันทร์ หรือสิ่งที่สร้างขึ้นอย่างอื่นเพื่อใช้เป็นที่ชุมนุมของประชาชน
2. เขื่ อ น สะพาน อุ โ มงค์ ท่ อ หรื อ ทางระบายน้ํ า อู่ เ รื อ คานเรื อ ท่ า น้ํ า
ท่าจอดเรือ รั้ว กําแพงหรือประตู ที่สร้างติดต่อหรือใกล้เคียงกับที่สาธารณะหรือสิ่งที่
สร้างขึ้นให้บุคคลทั่วไปใช้สอย
3. ป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสําหรับติดหรือป้าย ที่มีลักษณะดังนี้

  32 หมวดกฎหมาย
 
 ที่ติดหรือตั้งไว้เหนือที่สาธารณะและมีขนาดเกินหนึ่งตารางเมตร หรือ
น้ําหนักรวมทั้งโครงสร้างเกินสิบกิโลกรัม หรือ
 ที่ติดหรือตั้งห่างจากที่สาธารณะ ซึ่งเมื่อวัดในทางราบแล้วมีระยะห่าง
จากที่สาธารณะน้อยกว่าความสูงของป้ายนั้นเมื่อวัดจากพื้นดิน และต้องมีขนาดพื้นที่
หรือน้ําหนักอยู่ใน 4 ลักษณะ คือ
- ขนาดความกว้างของป้ายเกิน 50 เซนติเมตร หรือ
- ยาวเกิน 1 เมตร หรือ
- เนื้อที่ของป้ายเกิน 5,000 ตารางเซนติเมตร หรือ
- มีน้ําหนักของป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสําหรับติดหรือตั้งป้ายอย่างใด
อย่างหนึ่ง หรือ ทั้งสองอย่างรวมกันเกิน 10 กิโลกรัม
4. พื้นที่หรือสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่จอดรถ ที่กลับรถ และทางเข้าออก
ของรถ สําหรับอาคารดังต่อไปนี้
 โรงมหรสพที่ มี พื้ น ที่ สํ า หรั บ จั ด ที่ นั่ ง สํ า หรั บ คนดู ตั้ ง แต่ 500 ที่
ขึ้นไป
 โรงแรมที่ มี พื้ น ที่ ห้ อ งโถงหรื อ พื้ น ที่ ที่ ใ ช้ เ พื่ อ กิ จ การพาณิ ช ยกรรม


ในหลังเดียวกันหรือหลายหลังรวมกัน ตั้งแต่ 300 ตารางเมตรขึ้นไป
น่า
 อาคารชุดที่มีพื้นที่แต่ละครอบครัวตั้งแต่ 60 ตารางเมตรขึ้นไป
 ภัตตาคารที่มีพื้นที่สําหรับตั้งโต๊ะอาคารตั้งแต่ 150 ตารางเมตรขึ้นไป
ําห
 ห้างสรรพสินค้าที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 300 ตารางเมตรขึ้นไป
 อาคารขนาดใหญ่ (อาคารที่มีพื้นที่อาคารเกิน 2,000 ตารางเมตร
หรือมีพื้นที่อาคารเกิน 1,000 ตารางเมตร โดยมีความสูงอาคารตั้งแต่ 15 เมตรขึ้นไป)
มจ

5. สิ่งที่สร้างขึ้นอย่างอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวงฯ
“เจ้าพนักงานท้องถิ่น” คือ
ห้า

 ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สําหรับในเขตกรุงเทพมหานคร
 นายกเทศมนตรี สําหรับในเขตเทศบาล
 นายกเมืองพัทยา สําหรับในเขตเมืองพัทยา
 นายกองค์การบริหารส่วนตําบล สําหรับในเขตองค์การบริหารส่วน
ตําบล

หมวดกฎหมาย 33
 
“ดั ด แปลง” หมายความว่ า เปลี่ ย นแปลง ต่ อ เติ ม เพิ่ ม ลด หรื อ ขยาย
ซึ่งลักษณะขอบเขต แบบ รูปทรง สัดส่วน น้ําหนัก เนื้อที่ของโครงสร้างของอาคารหรือ
ส่วนต่าง ๆ ของอาคารซึ่งได้ก่อสร้างไว้แล้วให้ผิดไปจากเดิม
ยกตัวอย่างเช่น การต่อเติมหลังคาด้านหลังตึกแถว หรือทาวน์เฮาส์ การต่อเติม
หลังคาคลุมชั้นดาดฟ้า เป็นการดัดแปลงอาคาร เพราะมีการเปลี่ยนแปลง ต่อเติม เพิ่ม
รูปทรงและเนื้อที่ของอาคาร หรือการติดตั้งเสาสูง ซึ่งเป็นโครงเหล็ก เพื่อรับสัญญาณ
โทรศัพท์เคลื่อนที่บนชั้นดาดฟ้า ก็ถือว่าเป็นการดัดแปลงอาคาร เพราะเป็นการเพิ่ม
น้ําหนักให้กับโครงสร้างของอาคาร เป็นต้น
“รื้อถอน” หมายความว่า รื้อส่วนอันเป็นโครงสร้างของอาคารออกไป เช่น
เสา คาน ตง ของอาคาร หรือส่วนอื่นของโครงสร้างของอาคาร
1. อาคารที่ต้องขออนุญาตรื้อถอน คือ อาคารดังต่อไปนี้
 อาคารที่ มี ส่ ว นสู ง เกิ น สิ บ ห้ า เมตร ซึ่ ง อยู่ ห่ า งจากอาคารอื่ น หรื อ ที่
สาธารณะน้อยกว่าความสูงของอาคาร
 อาคารที่อยู่ห่างจากอาคารอื่นหรือที่สาธารณะน้อยกว่าสองเมตร
2. ส่วนอื่นของโครงสร้างของอาคารที่ต้องขออนุญาตรื้อถอน ได้แก่


 กันสาดคอนกรีตเสริมเหล็ก

เหล็ก
น่า
 ผนังหรือฝาที่เป็นโครงสร้างของอาคารหรือผนังหรือฝาคอนกรีตเสริม

 บันไดคอนกรีตเสริมเหล็ก
ําห
 พื้นคอนกรีตเสริมเหล็กตั้งแต่พื้นชั้นที่สองของอาคารขึ้นไป
“การใช้” หมายความว่า การเข้าไปใช้ประโยชน์ภายในอาคาร
มจ

“การเปลี่ยนการใช้” หมายความว่า การเปลี่ยนการใช้จากเดิมที่ได้รับอนุญาต


ยกตัวอย่างเช่น อาคารเดิมได้รับอนุญาตเป็นอาคารชุด ต่อมาต้องการทําเป็นโรงแรม
ต้องยื่นขออนุญาตเปลี่ยนการใช้อาคารจากอาคารชุดเป็นโรงแรมต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
ห้า

ก่อน
อาคารบางประเภทเมื่อก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนเข้าไปใช้อาคารต้อง
ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเสียก่อน หรือหากเปลี่ยนการใช้มาเป็นอาคาร
ประเภทตามที่กฎหมายกําหนด ก็ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเช่นเดียวกัน
เราเรียกอาคารที่ถูกควบคุมเช่นนี้ว่า “อาคารควบคุมการใช้”

  34 หมวดกฎหมาย
 
“อาคารควบคุมการใช้” แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 ไม่กําหนดขนาดพื้นที่ ได้แก่ อาคารดังต่อไปนี้
 คลังสินค้า
 โรงแรม
 อาคารชุด
 สถานพยาบาล
 อาคารที่ใช้เป็นโรงงาน
 อาคารที่ใช้เป็นสถานศึกษา
 อาคารที่ใช้เก็บวัตถุอันตราย
ประเภทที่ 2 กําหนดพื้นที่ ได้แก่อาคารดังต่อไปนี้
 อาคารที่ใช้เพื่อกิจการพาณิชยกรรมที่มีพื้นที่สําหรับประกอบกิจการ
ตั้งแต่ 300 ตารางเมตรขึ้นไป
 อาคารที่ใช้เพื่อกิจการพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่ง ที่มีพื้นที่


สําหรับประกอบกิจการตั้งแต่ 300 ตารางเมตรขึ้นไป
 อาคารที่ใช้เป็นที่ชุมนุม หรือประชุมที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 300 ตารางเมตร
ขึ้นไป
น่า
 อาคารที่ใช้เป็นสํานักงานหรือที่ทําการที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 300 ตารางเมตร
ําห
ขึ้นไป
 อาคารที่ใช้เป็นหอพัก ที่มีลักษณะเป็นอาคารขนาดใหญ่
 อาคารที่ใช้เป็นอาคารอยู่อาศัยรวม ที่มีลักษณะเป็นอาคารขนาดใหญ่
มจ

เมื่อได้รับใบอนุญาตให้ใช้อาคาร (ซึ่งในทางกฎหมายเรียกว่า ใบรับรองการ


ก่อสร้างอาคาร หรือ ใบ อ. 6) แล้ว จะต้องแสดงใบอนุญาตนี้ไว้ยังที่เปิดเผย ณ อาคาร
ห้า

นั้น
การยื่นขออนุญาตและการพิจารณาของเจ้าพนักงานท้องถิ่น
ในการยื่นขออนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน เคลื่อนย้าย ใช้หรือเปลี่ยนการ
ใช้อาคารหากแบบแปลนและเอกสารของผู้ขออนุญาตครบถ้วนและถูกต้อง เจ้าพนักงาน
ท้องถิ่นต้องตรวจพิจารณา และออกใบอนุญาต หรือมีหนังสือแจ้งคําสั่งไม่อนุญาตพร้อม
ด้วยเหตุผลให้ผู้ยื่นขออนุญาตทราบภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ได้รับคําขอ (มาตรา 25)

หมวดกฎหมาย 35
 
ในกรณีที่มีความจําเป็นที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นไม่อาจออกใบอนุญาต หรือยังไม่มี
คําสั่งไม่อนุญาตภายใน 45 วัน เจ้าพนักงานท้องถิ่นสามารถขยายเวลาออกไปได้อีก
ไม่เกิน 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 45 วัน แต่ต้องมีหนังสือแจ้งการขยายเวลาพร้อมด้วย
เหตุผล ให้ผู้ยื่นขออนุญาตได้ทราบและปฏิบัติโดยเร็ว
เมื่อผู้ยื่นขออนุญาตได้ดําเนินการแก้ไขแบบแปลน รายการประกอบแบบแปลน
หรือรายการคํานวณตามคําสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นแล้ว เจ้าพนักงานท้องถิ่นต้อง
ตรวจพิจารณาและออกใบอนุญาตให้ผู้ยื่นขออนุญาตภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับ
แบบที่ ไ ด้ แ ก้ ไ ข แต่ ถ้ า ผู้ ยื่ น ขออนุ ญ าตได้ แ ก้ ไ ขเปลี่ ย นแปลงผิ ด ไปจากคํ า สั่ ง ของ
เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ถือว่าการกระทําดังกล่าวเป็นการยื่นคําขออนุญาตใหม่
การดําเนินการหลังได้รบั อนุญาตแล้ว
กฎหมายควบคุมอาคารได้บังคับไว้ว่า การก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือ
เคลื่อนย้ายอาคารต้องมีผู้ควบคุมงานอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อได้รับใบอนุญาตให้
ดําเนินการดังกล่าวแล้ว ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องมีหนังสือแจ้งชื่อผู้ควบคุมงาน กับวัน
เริ่มต้นและวันสิ้นสุดการดําเนินการตามที่ได้รับอนุญาต ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ


พร้อมทั้งแนบหนังสือแสดงความยินยอมของผู้ควบคุมงานด้วย (มาตรา 29)
ผู้ควบคุมงานจะเป็นใครก็ได้ เป็นเจ้าของอาคารก็ได้ แต่ถ้าอาคารนั้นเป็นอาคาร
น่า
ที่กฎหมายวิชาชีพวิศวกรรม (พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542) กําหนดว่า เป็นงาน
วิศวกรรมควบคุม ผู้ควบคุมงานก็จะต้องเป็นวิศวกร
ําห
ในกรณีที่มีการก่อสร้างผิดจากแบบที่ได้รับใบอนุญาตให้ถือว่าเป็นการกระทํา
ของผู้ควบคุมงาน เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นเป็นการกระทําของผู้อื่น
ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงผู้ควบคุมงานต้องแจ้งบอกยกเลิกการเป็นผู้ควบคุมงาน
มจ

คนเดิมและแจ้งชื่อผู้ควบคุมงานคนใหม่
การแจ้งความประสงค์จะก่อสร้างอาคารโดยไม่ยื่นคําขอรับใบอนุญาตตามมาตรา
ห้า

39 ทวิ
การขออนุญาตตามกฎหมายควบคุมอาคาร เป็นการขออนุญาตต่อเจ้าพนักงาน
ท้องถิ่นเพื่อพิจารณาออกใบอนุญาต โดยเจ้าพนักงานท้องถิ่นต้องใช้ระยะเวลาในการ
ตรวจพิจารณา บางกรณีเจ้าของอาคารอาจมีความจําเป็นเร่งด่วนที่ต้องการก่อสร้าง
อาคารทันที หรือ ไม่อาจรอการพิจารณาของเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ เช่น มีการลงทุน
หรือกู้ยืม เงินในการทําโครงการ หากใช้ระยะเวลาในการรอใบอนุญาตอาจไม่คุ้มค่า
การลงทุน เป็นต้น ดังนั้น กฎหมายควบคุมอาคารจึงได้กําหนดให้เจ้าของอาคารที่จะ

  36 หมวดกฎหมาย
 
ก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน และเคลื่อนย้ายอาคาร สามารถใช้วิธีแจ้งต่อเจ้าพนักงาน
ท้องถิ่น โดยไม่ต้องขอใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นก็ได้
ขั้นตอนในการแจ้งมีรายละเอียด ดังนี้
1. แจ้งให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ โดยยื่นแบบฟอร์มตามที่เจ้าพนักงาน
ท้ อ งถิ่ น กํ า หนด และเอกสารประกอบการขออนุ ญ าต พร้ อ มทั้ ง แจ้ ง วั น เริ่ ม ต้ น และ
วันสิ้นสุดการดําเนินการดังกล่าว
2. ชําระค่าธรรมเนียม
เมื่อดําเนินการตาม (1) และ (2) เรียบร้อยแล้ว เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะออกใบ
รับแจ้งเพื่อเป็นหลักฐานการแจ้งภายใน 3 วันทําการนับแต่วันที่ได้รับชําระค่าธรรมเนียม
เมื่อเจ้าของอาคารได้ใบรับแจ้งแล้ว สามารถดําเนินการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือ
เคลื่อนย้ายอาคารได้ทันที
ข้ อ ดี ข องการแจ้ ง ความประสงค์ จ ะก่ อ สร้ า งอาคารโดยไม่ ยื่ น คํ า ขอรั บ ใบ
อนุญาตฯ คือ สะดวก รวดเร็ว แต่ก็มีข้อเสีย คือ หากดําเนินการก่อสร้างไปแล้ว และ
เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจสอบแบบแปลนแล้วพบว่าแบบแปลนที่ยื่นแจ้งฯ ไม่ถูกต้อง
ตามกฎหมาย เจ้าพนักงานท้องถิ่นก็สามารถออกคําสั่งให้เจ้าของอาคารแก้ไขให้ถูกต้อง


ซึ่งอาจต้องรื้อถอนอาคารส่วนที่ก่อสร้างไม่ถูกต้องตามกฎหมายออกให้หมด ทําให้เสีย
น่า
ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น การออกแบบจึงต้องระมัดระวังและต้อง
ศึกษาข้อกฎหมายให้ถ่องแท้เสียก่อน
ําห
การต่ออายุใบอนุญาต
ใบอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคาร จะมีอายุตามที่
กํ า หนดไว้ ใ นใบอนุ ญ าตเท่ า นั้ น ถ้ า ผู้ ไ ด้ รั บ ใบอนุ ญ าตมี ค วามประสงค์ จ ะขอต่ อ อายุ
มจ

ใบอนุญาตจะต้องยื่นคําขอต่ออายุใบอนุญาตต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อนใบอนุญาตนั้น
สิ้นอายุ
ห้า

กฎกระทรวง
กฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร ในส่วน
ที่เกี่ยวข้องกับวิศวกรมีหลายฉบับ โดยตัวอย่างกฎกระทรวงฉบับที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพ
วิศวกรรม มีดังนี้
 กฎกระทรวงฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2526) ว่าด้วยการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีและ
เงื่อนไขในการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน เคลื่อนย้าย ใช้หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร

หมวดกฎหมาย 37
 
 กฎกระทรวงฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2527) ว่าด้วยการกําหนดรับน้ําหนัก ความ
ต้านทานความคงทน ลักษณะและคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือ
ซ่อมแซมอาคารและการรับน้ําหนัก ความต้านทานและความคงทนของอาคารหรือ
พื้นดินที่รองรับอาคาร
- เป็นเรื่องกําหนดมาตรฐานและค่าหน่วยแรงต่าง ๆ ที่ใช้ในการคํานวณ
เช่น กําลังอัดของคอนกรีต หน่วยแรงดึงของเหล็ก เป็นต้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- การคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารที่ประกอบด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก
ตามทฤษฎีอีลาสติก หรือหน่วยแรงปลอดภัยให้ใช้ค่าหน่วยแรงอัดของคอนกรีตไม่เกิน
ร้อยละ 37.5 ของหน่วยแรงอัดประลัยของคอนกรีต แต่ต้องไม่เกิน 6.5 เมกาปาสกาล
(65 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร)
 กฎกระทรวงฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ว่าด้วยข้อกําหนดควบคุมอาคารสูง
และอาคารขนาดใหญ่พิเศษ (มีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงฉบับที่ 42 (พ.ศ.
2537) และกฎกระทรวงฉบับที่ 50 (พ.ศ. 2540) โดยมีรายละเอียดแยกเป็นหมวด ๆ
ดังนี้
หมวด 1 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับลักษณะของอาคาร เนื้อที่ว่างของ


ภายนอกอาคารและแนวอาคาร เช่นดังตัวอย่างต่อไปนี้
น่า
- ที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษที่มีพื้นที่อาคาร
รวมกันทุกชั้นไม่เกิน 30,000 ตารางเมตร ต้องมีด้านหนึ่งด้านใดของที่ดินนั้นยาวไม่น้อย
กว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร ยาวต่อเนื่องกัน
ําห
โดยตลอดไปเชื่อมต่อกับถนนสาธารณะอื่นที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร
หมวด 2 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับระบบระบายอากาศ ระบบไฟฟ้าและ
มจ

ระบบป้องกันเพลิงไหม้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- ในอาคารสู ง หรื อ อาคารขนาดใหญ่ พิ เ ศษต้ อ งมี ร ะบบสั ญ ญาณเตื อ น
เพลิงไหม้ ทุกชั้นและต้องจัดให้มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ เช่น SPRINKLE SYSTEM หรือ
ห้า

ระบบอื่นๆ ที่เทียบเท่าที่ทํางานได้ด้วยตัวเองทันทีเมื่อมีเพลิงไหม้
หมวด 3 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับระบบบําบัดน้ําเสียและการระบายน้ํา
ทิ้ง ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- การออกแบบและการคํานวณรายการระบบบําบัดน้ําเสียและการระบาย
น้ําทิ้งของอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษต้องดําเนินการโดยผู้ได้รับใบอนุญาตเป็น
ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมตั้ งแต่ประเภทสามัญ วิศวกรขึ้นไปตามกฎหมาย
ว่าด้วยวิชาชีพวิศวกรรม

  38 หมวดกฎหมาย
 
หมวด 4 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับระบบประปา ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- ในอาคารสูงหรืออาคารใหญ่พิเศษต้องมีที่เก็บน้ําใช้สํารองที่สามารถจ่าย
น้ําในชั่วโมงการใช้น้ําสูงสุดได้ไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง
หมวด 5 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับระบบกําจัดขยะมูลฝอย ดังตัวอย่าง
ต่อไปนี้
- ในอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษต้องมีการจัดเก็บขยะมูลฝอยโดย
วิธีขนลําเลียง หรือทิ้งลงปล่องทิ้งมูลฝอย
หมวด 6 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับระบบลิฟต์ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- ลิฟต์โดยสารและลิฟต์ดับเพลิงแต่ละชุดที่ใช้กับอาคารสูง ให้มีขนาดมวล
บรรทุก ไม่น้อยกว่า 630 กิโลกรัม โดยลิฟต์ดับเพลิงต้องมีระบบควบคุมพิเศษสําหรับ
พนักงานดับเพลิงและบริเวณห้องโถงหน้าลิฟต์ดับเพลิงต้องมีผนังและประตูที่ทําด้วย
วัสดุทนไฟปิดกั้นมิให้เปลวไฟหรือควันเข้าได้พร้อมติดตั้งตู้สายฉีดน้ําดับเพลิงหรือหัวต่อ
สายฉีดน้ําดับเพลิงและอุปกรณ์ดับเพลิง อื่นๆ ทั้งนี้ ในเวลาปกติลิฟต์ดับเพลิงสามารถใช้
เป็นลิฟต์โดยสารได้
 กฎกระทรวงฉบับที่ 39 (พ.ศ. 2537) ว่าด้วยการกําหนดแบบและวิธีการ


เกี่ยวกับการติดตั้งระบบการป้องกันอัคคีภัย แบบและจํานวนห้องน้ําและห้องส้วม ระบบ
น่า
การจัดแสงสว่างและการระบาย และระบบจ่ายกําลังไฟฟ้าสํารองสําหรับกรณีฉุกเฉิน
 กฎกระทรวงฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ว่าด้วยการกําหนดลักษณะ แบบ
รูปทรงสัดส่วน เนื้อที่ที่ตั้งของอาคาร ระดับ เนื้อที่ของที่ว่างภายนอกอาคารหรือแนว
ําห
อาคารและระยะหรือระดับระหว่างอาคารกับอาคารหรือเขตที่ดินของผู้อื่นหรือระหว่าง
อาคารกับถนน ทางเท้า หรือที่สาธารณะ โดยได้แยกเป็นหมวด ๆ ดังนี้
มจ

หมวด 1 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับลักษณะของอาคาร ดังตัวอย่าง


ต่อไปนี้
- ห้องแถวหรือตึกแถวแต่ละคูหาต้องมีความกว้างโดยวัดระยะตั้งฉากจาก
ห้า

แนวศู นย์กลางของเสาด้านหนึ่งไปยังแนวศูนย์กลางของเสาอีกด้านหนึ่งไม่น้อยกว่า
4 เมตร
หมวด 2 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับส่วนต่าง ๆ ของอาคาร เช่น วัสดุ
อาคาร พื้นที่ภายในอาคาร บันได เป็นต้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- เสา คาน พื้น บันได และผนังของอาคารที่สูงตั้งแต่สามชั้นขึ้นไป
โรงมหรสพ ฯลฯ ต้องทําด้วยวัสดุถาวรที่เป็นวัสดุทนไฟ
- อาคารที่ สูงตั้ งแต่สี่ชั้นขึ้นไปและสู งไม่เกิน 23 เมตร หรืออาคารที่สู ง
สามชั้นและมีดาดฟ้าเหนือชั้นที่สามที่มีพ้ืนที่เกิน 16 ตารางเมตร นอกจากมีบันไดของ
หมวดกฎหมาย 39
 
อาคารตามปกติแล้วต้องมีบันไดหนีไฟที่ทําด้วยวัสดุทนไฟอย่างน้อยหนึ่งแห่งและต้องมี
ทางเดินไปยังบันไดหนีไฟนั้นได้โดยไม่สิ่งกีดขวาง
หมวด 3 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับที่ว่างภายในอาคาร ดังตัวอย่างดัง
ต่อไปนี้
- อาคารแต่ละหลังต้องมีที่ว่างตามที่กําหนดไว้ดังต่อไปนี้
1. อาคารอยู่อาศัยและอาคารอยู่อาศัยรวมต้องมีที่ว่างไม่น้อยกว่า 30 ใน
100 ส่วนของพื้นที่ชั้นใดชั้นหนึ่งที่มากที่สุดของอาคาร
2. ห้องแถว ตึกแถว อาคารพาณิชย์ โรงงาน อาคารสาธารณะและอาคาร
อื่น ซึ่งไม่ได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ต้องมีที่ว่างไม่น้อยกว่า 10 ใน 100 ส่วน ของพื้นที่ชั้นใด
ชั้นหนึ่งที่มากที่สุดของอาคาร
หมวด 4 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับแนวอาคารและระยะต่าง ๆ ของ
อาคาร ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- อาคารที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงใกล้ถนนสาธารณะที่มีความกว้างน้อยกว่า
6 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนสาธารณะอย่างน้อย 3 เมตร
 กฎกระทรวงกําหนดสิ่งที่สร้างขึ้นอย่างอื่นเป็นอาคารตามกฎหมายว่าด้วย


การควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544 ได้กําหนดไว้ ให้สิ่งที่สร้างขึ้นดังต่อไปนี้เป็นอาคารตาม
น่า
พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
- ถังเก็บของที่มีความจุตั้งแต่ 100 ลูกบาศก์เมตรขึ้นไป
- สระว่ายน้ําภายนอกอาคารที่มีความจุตั้งแต่ 100 ลูกบาศก์เมตรขึ้นไป
ําห
- กํ า แพงกั น ดิ น หรื อกํ า แพงกั้ นน้ํ า ที่ ต้อ งรั บ ความดั น ของดิน หรื อน้ํ า ที่ มี
ความสูงตั้งแต่ 1.50 เมตรขึ้นไป
- โครงสร้างสําหรับใช้ในการรับส่งวิทยุหรือโทรทัศน์ที่มีความสูงจากระดับ
มจ

ฐานของโครงสร้างนั้นตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป และมีน้ําหนักรวม ตั้งแต่ 40 กิโลกรัมขึ้นไป


- สิ่งที่สร้างขึ้นอย่างอื่นนอกจากอาคารข้างต้น ที่มีความสูงจากระดับฐาน
ห้า

ตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป

บทกําหนดโทษ
กฎหมายควบคุ ม อาคารมี บ ทกํ า หนดโทษ กรณี ที่ มี ก ารกระทํ า ที่ ฝ่ า ฝื น ต่ อ
กฎหมาย เช่น การก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น ซึ่งมีทั้งการปรับและจําคุก
กฎหมายได้กําหนดโทษไว้หลายระดับขึ้นอยู่กับว่าเป็นการฝ่าฝืนอะไร โดยมี
ตัวอย่างดังนี้

  40 หมวดกฎหมาย
 
ประเภทของการฝ่าฝืน โทษสูงสุด
ทําการก่อสร้าง ดัดแปลง เคลื่อนย้าย ใช้หรือ จําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่น
เปลี่ยนการใช้อาคาร โดยไม่ได้รับอนุญาต บาทหรือทัง้ จําทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่
(มาตรา 21) เกินหนึง่ หมื่นบาทตลอดเวลาทีย่ ังมีการกระทํา
การฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
(มาตรา 65)
ทําการรื้อถอนอาคาร โดยไม่ได้รับอนุญาต จําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่น
(มาตรา 22) บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ (มาตรา 65)
ทําการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือ จําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่น
เคลื่ อ นย้ า ยอาคารให้ ผิ ด ไปจากแบบแปลน บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่
แผนผั ง ที่ ไ ด้ รั บ อนุ ญ าต และอาคารที่ ไ ด้ เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังมีการกระทํา
กระทํ า การฝ่ า ฝื น นั้ น ขั ด ต่ อ บทบั ญ ญั ติ ข อง การฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
กฎหมาย (มาตรา 31) (มาตรา 65)
ใช้หรือยินยอมให้บุคคลใดใช้อาคารซึ่งไม่เป็น จําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่น
อาคารประเภทควบคุมการใช้ เพื่อประกอบ บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ (มาตรา 65)


กิจการเป็นอาคารที่ควบคุมการใช้โดยไม่ได้
รับอนุญาต (มาตรา 32)
น่า
การฝ่ า ฝื น ไม่ รื้ อ ถอนอาคารตามคํ า สั่ ง ของ จําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่ง
เจ้าพนักงานท้องถิ่น เนื่องจากมีการกระทํา แสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ และปรับอีกวันละ
อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย และมิได้อยู่ใน ไม่ เ กิ น สามหมื่ น บาทตลอดเวลาที่ ยั ง มี ก าร
ําห
ระหว่างการอุทธรณ์คํ าสั่ง ดัง กล่า ว (มาตรา กระทําการฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้
42) ถูกต้อง (มาตรา 66 ทวิ)
มจ

นอกจากนี้หากผู้ดําเนินการ ได้แก่ เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารซึ่งกระทํา


การก่ อ สร้ า ง ดั ด แปลง รื้ อ ถอน หรื อ เคลื่ อ นย้ า ยอาคารด้ ว ยตนเอง หรื อ
ห้า

ผู้ซึ่งตกลงรับกระทําการดังกล่าวไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม หรือผู้รับจ้างช่วง
เป็ น ผู้ ก ระทํ า การฝ่ า ฝื น จะต้ อ งระวางโทษเป็ น สองเท่ า ของโทษที่ บั ญ ญั ติ ไ ว้ สํ า หรั บ
ความผิดนั้น ๆ หรือเป็นการกระทําฝ่าฝืนที่เกี่ยวกับอาคารพาณิชยกรรม อุตสาหกรรม
การศึกษาหรือการสาธารณสุขหรือเป็นการกระทําในทางการค้าเพื่อให้เช่า ให้เช่าซื้อ
ขายหรือจําหน่ายโดยมีค่าตอบแทน ผู้กระทําต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่
บัญญัติไว้สําหรับความผิดนั้นๆ เช่นเดียวกัน

หมวดกฎหมาย 41
 
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
2. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535
3. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2543
4. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2550
5. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558
6. กฎกระทรวงกําหนดอาคารประเภทควบคุมการใช้ พ.ศ. 2552
7. กฎกระทรวง ฉบั บที่ 4 (พ.ศ. 2526) ออกตามความในพระราชบั ญญั ติ
ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
8. กฎกระทรวงฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2527) ออกตามความในพระราชบัญญัติ
ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
9. กฎกระทรวงฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติ
ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
10. กฎกระทรวงฉบับที่ 39 (พ.ศ.2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติ
ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522


11. กฎกระทรวง ฉบั บที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบั ญญั ติ
น่า
ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
12. กฎกระทรวง กําหนดสิ่งที่สร้างขึ้นอย่างอื่นเป็นอาคารตามกฎหมายว่า
ด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544
ําห
มจ
ห้า

  42 หมวดกฎหมาย
 
บทที่ 6
กฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา
ต่อหน่วยงานของรัฐ
วัตถุประสงค์
ในการจัดหาสินค้าและบริการไม่ว่าด้วยวิธีการจัดซื้อหรือการจัดจ้างหรือวิธีอื่น
ใดของหน่ ว ยงานของรั ฐ ทุ ก แห่ ง นั้น เป็ น การดํ า เนิ น การโดยใช้ เ งิ น งบประมาณเงิ น กู้
ช่วยเหลือหรือรายได้ของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นเงินของแผ่นดิน รวมทั้งการที่รัฐให้
สิ ท ธิ ใ นการดํ า เนิ น กิ จ การบางอย่ า งโดยการให้ สั ม ปทานอนุ ญ าตหรื อ กรณี อื่ น ใดใน
ลักษณะเดียวกันก็เป็นการดํ าเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะอันเป็นกิจการของรัฐ
ฉะนั้น การจัดหาสินค้าและบริการรวมทั้งการให้สิทธิดังกล่าวจึงต้องกระทําอย่างบริสุทธิ์
ยุติธรรมและมีการแข่งขันกันอย่างเสรีเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่รัฐ แต่เนื่องจาก
การดําเนินการที่ผ่านมามีการกระทําในลักษณะการสมยอมในการเสนอราคาและมี
พฤติการณ์ต่าง ๆ อันทําให้มิได้มีการแข่งขันกันเสนอประโยชน์สูงสุดให้แก่หน่วยงานของ
รัฐอย่างแท้จริงและเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ นอกจากนั้น ในบางกรณี ผู้ดํารง
ตําแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็มีส่วนร่วมหรือมีส่วนสนับสนุนในการทํา


ความผิด หรือละเว้นไม่ ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ อั นมีผ ลทําให้ปัญหาในเรื่องนี้
น่า
ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จึงสมควรกําหนดให้การกระทําดังกล่าวเป็นความผิดเพื่อเป็น
การปราบปรามการกระทําให้ลักษณะดังกล่าว รวมทั้งกําหนดลักษณะความผิดและ
กลไกในการดําเนินการเอาผิดกับผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ําห
เพื่อให้การปราบปรามดังกล่าวมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
มจ

ผู้ ที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ กฎหมายนี้ ได้ แ ก่ เจ้ า หน้ า ที่ ข องหน่ ว ยงานรั ฐ ที่ มี ห น้ า ที่
รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดซื้อหรือจัดจ้างในโครงการต่างๆ ของราชการ รวมถึงเจ้าหน้าที่
ห้า

ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการทําสัญญาการจัดซื้อหรือจัดจ้างกับหน่วยงานของรัฐ

สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
1. พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของ
รัฐ พ.ศ. 2542 และพระราชบั ญ ญั ติ ม าตรการของฝ่ า ยบริ ห ารในการป้ อ งกั น และ
ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 มีสาระสําคัญดังนี้

หมวดกฎหมาย 43
 
1. คําจํากัดความ
การเสนอราคา หมายความว่า การยื่นข้อเสนอเพื่อเป็นผู้มีสิทธิทําสัญญากับ
หน่วยงานของรัฐ อันเกี่ยวกับการซื้อ การจ้าง การแลกเปลี่ยน การเช่า การจําหน่าย
ทรัพย์สิน การได้รับสัมปทาน หรือการได้รับสิทธิใดๆ
หน่ ว ยงานของรั ฐ หมายความว่ า กระทรวง ทบวง กรม ราชการส่ ว น
ภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ หรือหน่วยงานอื่นใด
ที่ดําเนินกิจการของรัฐตามกฎหมายและได้รับเงินอุดหนุนหรือเงิน หรือทรัพย์สินลงทุน
จากรัฐ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. หมายความว่ า คณะกรรมการป้ อ งกั น และ
ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (มาตรา 3)
ทุจ ริ ต ในภาครั ฐ หมายความว่า ทุ จ ริ ตต่ อ หน้ าที่ ห รื อ ประพฤติมิ ช อบใน
ภาครัฐ
ทุจริ ตต่ อหน้ า ที่ หมายความว่า ปฏิบัติหรือละเว้ นการปฏิบัติอย่างใดใน
ตําแหน่ง หรือหน้าที่ หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทําให้
ผู้อื่นเชื่อว่ามีตําแหน่งหรือหน้าที่ทั้งที่ตนมิได้มีตําแหน่งหรือหน้าที่นั้น หรือใช้อํานาจใน


ตําแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสําหรับตนเองหรือ
น่า
ผู้อื่น หรือกระทําการอันเป็นความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดต่อ
ตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญาหรือตามกฎหมายอื่น
ประพฤติมิชอบ หมายความว่า ใช้อํานาจในตําแหน่งหรือหน้าที่อันเป็น
ําห
การฝ่าฝืนกฎหมาย ระเบียบ คําสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีที่มุ่งหมายจะควบคุมดูแลการ
รับ การเก็บรักษา หรือการใช้เงินหรือทรัพย์สินของแผ่นดิน
เจ้ า หน้ า ที่ ข องรั ฐ หมายความว่ า เจ้ า หน้ า ที่ ของรั ฐ ตามพระราชบัญ ญั ติ
มจ

ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แต่ไม่รวมถึงเจ้าหน้าที่
ของรัฐดังต่อไปนี้
ห้า

 ผู้ บ ริ ห ารระดั บ สู ง ตามพระราชบั ญ ญั ติ ป ระกอบรั ฐ ธรรมนู ญ ว่ า ด้ ว ย


การป้องกันและปราบปรามการทุจริต
 ผู้พิพากษาและตุลาการ
 พนักงานอัยการ
 ผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิก
สภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

  44 หมวดกฎหมาย
 
 เจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานของศาล รัฐสภา องค์กรตามรัฐธรรมนูญ
และองค์กรอิสระจากการควบคุมหรือกํากับของฝ่ายบริหารที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ
 เจ้ าหน้าที่ ของรัฐในสํานักงานคณะกรรมการป้องกั นและปราบปราม
การทุจริตในภาครัฐ
 เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งกระทําความผิดในลักษณะที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.
เห็นสมควรดําเนินการ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด
 เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งร่วมกระทําความผิดกับบุคคลข้างต้น
ผู้กล่าวหา หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับความเสียหายจากการกระทําการทุจริต
ในภาครัฐของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือได้พบเห็นการทุจริตในภาครัฐของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
และได้กล่าวหาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายนี้
ผู้ถูกกล่าวหา หมายความว่า ผู้ซึ่งถูกกล่าวหาหรือมีพฤติการณ์ปรากฏแก่
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐว่าได้กระทําการทุจริตใน
ภาครั ฐ อั น เป็ น มู ล ที่ จ ะนํ า ไปสู่ ก ารไต่ ส วนข้ อ เท็ จ จริ ง ตามพระราชบั ญ ญั ติ นี้ และให้
หมายความรวมถึงตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนในการกระทําดังกล่าวด้วย
2. การร่วมกันกระทําความผิด


 ผู้ใดตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่
น่า
ผู้ใด ผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทําสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคา
อย่างเป็นธรรม หรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงาน
ําห
ของรัฐ หรือ โดยการเอาเปรีย บแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบ
ธุรกิจปกติ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปี และปรับร้อยละห้าสิบของจํานวน
เงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดในระหว่างผู้ร่วมกระทําความผิดนั้นหรือของจํานวนเงินที่มี
มจ

การทําสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จํานวนใดจะสูงกว่า
ผู้ใดเป็นธุระในการชักชวนให้ผู้อื่นร่วมตกลงกันในการกระทําความผิดตามที่
บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งผู้นั้นต้องระวางโทษตามวรรคหนึ่ง (มาตรา 4)
ห้า

 ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่
ผู้ อื่ น เพื ่อ ประโยชน์ใ นการเสนอราคา โดยมีว ัต ถุป ระสงค์ที ่จ ะจูง ใจให้ผู ้นั ้น ร่ว ม
ดํ า เนิน การใดๆ อัน เป็น การให้ ป ระโยชน์ แ ก่ ผู้ ใ ดผู้ ห นึ่ ง เป็ น ผู้ มี สิ ท ธิ ทํ า สั ญ ญากั บ
หน่วยงานของรัฐ หรือเพื่อจูงใจให้ผู้นั้นทําการเสนอราคาสูงหรือต่ําจนเห็นได้ชัดว่าไม่
เป็นไปตามลักษณะสินค้า บริการ หรือสิทธิที่จะได้รับหรือเพื่อจูงใจให้ผู้นั้นไม่เข้าร่วมใน
การเสนอราคาหรือถอนการเสนอราคาต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และ
ปรั บ ร้ อ ยละห้ า สิ บ ของจํ า นวนเงิ น ที่ มี ก ารเสนอราคาสู ง สุ ด ในระหว่ า งผู้ ร่ ว มกระทํ า
หมวดกฎหมาย 45
 
ความผิดนั้น หรือของจํานวนเงินที่มีการทําสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จํานวนใด
จะสูงกว่า
ผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อกระทํา
การตามวรรคหนึ่งให้ถือว่าเป็นผู้ร่วมกระทําความผิดด้วย (มาตรา 5)
 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้จํายอมร่วมดําเนินการใดๆ ในการเสนอราคาหรือ
ไม่เข้าร่วมในการเสนอราคา หรือถอนการเสนอราคา หรือต้องทําการเสนอราคาตามที่
กําหนด โดยใช้กําลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญด้วยประการใดๆ ให้กลัวว่าจะเกิดอันตราย
ต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สาม จนผู้
ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจําคุก ตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับร้อยละ
ห้าสิบของจํานวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดในระหว่างผู้ร่วมกระทําความผิดนั้น หรือ
ของจํ า นวนเงิ น ที่ มี ก ารทํ า สั ญ ญากั บ หน่ ว ยงานของรั ฐ แล้ ว แต่ จํ า นวนใดจะสู ง กว่ า
(มาตรา 6)
 ผู้ใดใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทําการโดยวิธีอื่นใดเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มี
โอกาส เข้าทําการเสนอราคาอย่างเป็นธรรมหรือให้มีการเสนอราคาโดยหลงผิด ต้องระวาง
โทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับร้อยละห้าสิบของจํานวนเงินที่มีการเสนอราคา


สู ง สุ ด ระหว่ า งผู้ ร่ ว มกระทํ า ความผิ ด นั้ น หรื อ ของจํ า นวนเงิ น ที่ มี ก ารทํ า สั ญ ญากั บ
น่า
หน่วยงานของรัฐแล้วแต่จํานวนใดจะสูงกว่า (มาตรา 7)
 ผู้ใดโดยทุจริตทําการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐโดยรู้ว่าราคาที่เสนอ
นั้นต่ํามากเกินกว่าปกติจนเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นไปตามลักษณะสินค้าหรือบริการหรือเสนอ
ําห
ผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่หน่วยงานของรัฐสูงกว่าความเป็นจริงตามสิทธิที่จะได้รับโดยมี
วัตถุประสงค์เป็นการกีดกันการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมและการกระทําเช่นว่านั้นเป็น
มจ

เหตุให้ไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาได้ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปี
และปรับร้อยละห้าสิบของจํานวนเงินที่มีการเสนอราคา หรือของจํานวนเงินที่มีการทํา
สัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จํานวนใดจะสูงกว่า
ห้า

ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาได้ตามวรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้
หน่ วยงานของรั ฐ ต้ อ งรั บ ภาระค่ า ใช้ จ่ า ยเพิ่ ม ขึ้ น ในการดํ า เนิ น การให้ แ ล้ ว เสร็ จ ตาม
วัตถุประสงค์ของสัญญาดังกล่าว ผู้กระทําผิดต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายให้แก่หน่วยงานของรัฐ
นั้นด้วย
ในการพิจารณาคดี ความผิ ดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐถ้ามี
การร้องขอให้ศาลพิจารณากําหนดค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องรับภาระเพิ่มขึ้นให้แก่หน่วยงานของรัฐ
ตามวรรคสองด้วย (มาตรา 8)

  46 หมวดกฎหมาย
 
 ในกรณีที่การกระทําความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นไปเพื่อประโยชน์
ของนิติบุคคลใด ให้ถือว่าหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารหรือผู้มีอํานาจใน
การดําเนินงาน ในกิจการของนิติบุคคลนั้น หรือผู้ซึ่งรับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติ
บุคคลในเรื่องนั้นเป็นตัวการร่วมในการกระทําความผิดด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้
มีส่วนรู้เห็นในการกระทําความผิดนั้น (มาตรา 9)
อํานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ในการสอบสวนเพื่อดําเนินคดีอาญาแก่ผู้กระทําความผิดตามพระราชบัญญัติ
ว่า ด้ว ยความผิด เกี ่ย วกับ การเสนอราคาต่อ หน่ว ยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ให้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอํานาจดังต่อไปนี้ (มาตรา 15)
 แสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริง
หรือพิสูจน์ความผิด และเพื่อจะเอาตัวผู้กระทําผิดมาฟ้องลงโทษ
 มี คํ า สั่ ง ให้ ข้ า ราชการ พนั ก งานหรื อ ลู ก จ้ า งของหน่ ว ยงานของรั ฐ
ปฏิบัติการทั้งหลาย อันจําเป็นแก่การรวบรวมพยานหลักฐานของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
หรือเรียกเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคํา


เพื่อประโยชน์ในการสอบสวน
น่า
 ดําเนินการขอให้ศาลที่มีเขตอํานาจออกหมายเพื่อเข้าไปในเคหสถานที่
ทํ า การหรื อ สถานที่ อื่ น ใด รวมทั้ ง ยานพาหนะของบุ ค คลใดๆ ในเวลาระหว่ า ง
พระอาทิตย์ ขึ้ นและพระอาทิ ตย์ตกหรือในระหว่างเวลาที่มี การประกอบกิจการเพื่อ
ําห
ตรวจสอบ ค้น ยึด หรืออายัด เอกสาร ทรัพย์สิน หรือพยานหลักฐานอื่นใดซึ่งเกี่ยวข้อง
กับเรื่องที่ไต่สวน ข้อเท็จจริง และหากยังดําเนินการไม่แล้วเสร็จในเวลาดังกล่าวให้
สามารถดําเนินการต่อไปได้จนกว่าจะแล้วเสร็จ
มจ

 ดํ า เนิ น การขอให้ ศ าลที่ มี เ ขตอํ า นาจออกหมายเพื่ อ ให้ มี ก ารจั บ และ


ควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวหาซึ่งระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นผู้กระทําความผิด
ห้า

หรือ เป็นผู้ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติว่าข้อกล่าวหามีมูลเพื่อส่งตัวไปยังสํานักงาน


อัยการสูงสุด เพื่อดําเนินการต่อไป
 ขอให้เจ้าพนักงานตํารวจหรือพนักงานสอบสวนดําเนินการตามหมาย
ศาล
 กําหนดระเบียบโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเกี่ยวกับการสืบสวน
และสอบสวนการกระทําความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ และการประสานงานในการ
ดําเนินคดีระหว่างคณะกรรมการ ป.ป.ช. พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ

หมวดกฎหมาย 47
 
อํานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ท.
ในการสอบสวนเพื่อดําเนินคดีอาญาแก่ผู้กระทําความผิดตามพระราชบัญญัติ
มาตรการของฝ่ายบริ ห ารในการป้ องกั น และปราบปรามการทุ จริต พ.ศ. 2551 ให้
คณะกรรมการ ป.ป.ท. มีอํานาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (มาตรา 17)
 เสนอนโยบาย มาตรการ และแผนพัฒนาการป้องกันและปราบปราม
การทุจริตในภาครัฐต่อคณะรัฐมนตรี
 เสนอแนะและให้ คํ า ปรึ ก ษาแก่ ค ณะรั ฐ มนตรี เ กี่ ย วกั บ การปรั บ ปรุ ง
กฎหมาย กฎข้อบังคับ หรือมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตใน
ภาครัฐ
 เสนอแนะต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการกําหนดตําแหน่งของเจ้าหน้าที่
ของรัฐ ซึ่งต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตาม
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
 ไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลเกี่ยวกับการกระทําการทุจริตในภาครัฐของ
เจ้าหน้าที่ของรัฐ
 ไต่สวนข้อเท็จจริงและสรุปสํานวนพร้อมทั้งความเห็นส่งพนักงานอัยการ


เพื่อฟ้องคดีอาญาต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ
น่า
 จัดทํารายงานผลการปฏิบัติงานประจําปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอ
ต่อสภาผู้แทนราษฎรวุฒิสภา และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบด้วย
ําห
 แต่งตั้ งคณะอนุ กรรมการเพื่ อดําเนิ นการตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ท.
มอบหมาย
 ปฏิบัติการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้ หรือการอื่นใดเกี่ยวกับการป้องกัน
มจ

และปราบปรามการทุ จริ ตในภาครั ฐตามที่ คณะรั ฐมนตรี หรื อคณะกรรมการ ป.ป.ช.


มอบหมาย
ห้า

บทกําหนดโทษ
 เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใด ซึ่งมีอํานาจหรือหน้าที่ในการอนุมัติ
การพิจารณา หรือการดําเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคาครั้งใด รู้หรือมี
พฤติการณ์ปรากฏแจ้งชัดว่าควรรู้ว่าการเสนอราคาในครั้งนั้นมีการกระทําความผิดตาม
พระราชบั ญ ญั ติ นี้ ละเว้ น ไม่ ดํา เนิ น การเพื่อ ให้ มีก ารยกเลิก การดํ า เนิ น การเกี่ ย วกั บ
การเสนอราคาในครั้งนั้น มีความผิดฐานกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ ต้องระวาง
โทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท (มาตรา 10)
  48 หมวดกฎหมาย
 
 เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใดหรือผู้ได้รับมอบหมายจากหน่วยงาน
ของรั ฐ ผู้ ใ ดโดยทุ จ ริ ต ทํ า การออกแบบ กํ า หนดราคา กํ า หนดเงื่ อ นไข หรื อ กํ า หนด
ผลประโยชน์ตอบแทนอันเป็นมาตรฐานในการเสนอราคา โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขัน
ในการเสนอราคาอย่างเป็ นธรรม หรื อเพื่อช่ว ยเหลือ ให้ผู้ เสนอราคารายใดได้มีสิทธิ
เข้ า ทํ า สั ญ ญากั บ หน่ ว ยงานของรั ฐ โดยไม่ เ ป็ น ธรรม หรื อ เพื่ อ กี ด กั น ผู้ เ สนอราคา
รายใดมิให้มีโอกาสเข้าแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม ต้องระวางโทษจําคุก
ตั้งแต่ ห้าปี ถึ งยี่สิ บปีหรือจํ าคุกตลอดชีวิตและปรับตั้ งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
(มาตรา 11)
 เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใดกระทําความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หรือ
กระทํ าการใดๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้ออํานวยแก่
ผู้เข้าทําการเสนอราคา รายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทําสัญญากับหน่วยงานของรัฐ มีความผิด
ฐานกระทําผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจําคุก
ตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท (มาตรา 12)
 ผู้ ดํ า รงตํ า แหน่ ง ทางการเมื อ งหรื อ กรรมการหรื อ อนุ ก รรมการใน
หน่วยงานของรัฐซึ่ง มิใช่เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใด กระทําความผิดตาม


พระราชบัญ ญัตินี้ หรือ กระทํา ใดๆ ต่อเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐซึ่งมีอํานาจหรือ
น่า
หน้าที่ในการอนุมัติ การพิจารณา หรือ การดําเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคา
เพื่ อจู งใจ หรื อทํ าให้ จํ ายอมต้ องยอมรั บการเสนอราคาที่ มี การกระทํ าความผิ ดตาม
พระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําความผิดฐานกระทําผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ ต้อง
ําห
ระวางโทษจําคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึ งยี่สิบปี หรือจําคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่หนึ่งแสน
สี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท (มาตรา 13)
มจ

สาระสําคัญทีเ่ กี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
ห้า

2. พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มี


สาระสําคัญประกอบด้วย การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและผู้ประกอบการในการ
ป้ อ งกั นทุ จริ ต คณะกรรมการนโยบายการจั ดซื้ อจั ดจ้ า งและการบริ ห ารพั ส ดุ ภ าครั ฐ
คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ คณะกรรมการ
ราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ คณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต
คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และข้อร้องเรียนองค์กรสนับสนุนดูแลการจัดซื้อจัดจ้าง
และการบริหารพัสดุภาครัฐ การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการการจัดซื้อจัดจ้าง งานจ้างที่
หมวดกฎหมาย 49
 
ปรึกษา งานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง การทําสัญญา การบริหารสัญญา และ
การตรวจรับพัสดุ การประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ประกอบการ การทิ้งงาน การบริหาร
พัสดุ การอุทธรณ์ และบทกําหนดโทษ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
“การจัดซื้อจัดจ้าง” หมายความว่า การดําเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งพัสดุโดยการ
ซื้อ จ้าง เช่า แลกเปลี่ยน หรือโดยนิติกรรมอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
“พัสดุ” หมายความว่า สินค้า งานบริการ งานก่อสร้าง งานจ้างที่ปรึกษาและ
งานจ้างออกแบบหรื อควบคุมงานก่อสร้าง รวมทั้งการดําเนิ นการอื่นตามที่กําหนดใน
กฎกระทรวง
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค
ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ องค์การมหาชน
องค์กรอิสระ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ หน่วยธุรการของศาล มหาวิทยาลัยในกํากับของรัฐ
หน่วยงานสังกัดรัฐสภาหรือในกํากับของรัฐสภา หน่วยงานอิสระของรัฐ และหน่วยงานอื่น
ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง


น่า
“เจ้าหน้ าที่” หมายความว่า ผู้มี หน้ าที่เกี่ ยวกั บการจั ดซื้ อจัดจ้างหรื อการ
บริหารพัสดุ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้มีอํานาจให้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัด
ําห
จ้างหรือการบริหารพัสดุของหน่วยงานของรัฐ
“งานบริการ” หมายความว่า งานจ้างบริการ งานจ้างเหมาบริการ งานจ้างทํา
มจ

ของและการรับขน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จากบุคคลธรรมดาหรือนิติ
บุคคล แต่หมายความรวมถึงการจ้างลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ การับขนในการเดินทาง
ห้า

ไปราชการหรือไปปฏิบัติงานหน่วยงานของรัฐ งานจ้างที่ปรึกษา งานจ้างออกแบบหรือ


ควบคุมงานก่อสร้าง และการจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
“งานก่อสร้าง” หมายความว่า งานก่อสร้างอาคาร งานก่อสร้างสาธารณูปโภค
หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นใดและการซ่อมแซม ต่อเติม ปรับปรุง รื้อถอน หรือการกระทําอื่นที่มี
ลักษณะทํานองเดียวกันต่ออาคารสาธารณูปโภค หรือสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว รวมทั้งงาน

  50 หมวดกฎหมาย
 
บริการที่รวมอยู่ในงานก่อสร้างนั้นด้วย แต่มูลค่าของงานบริการต้องไม่สูงกว่ามูลค่าของ
งานก่อสร้าง นั้น
“อาคาร” หมายความว่า สิ่งปลูกสร้างถาวรที่บุคคลอาจเข้าอยู่หรือใช้สอยได้ เช่น
อาคาร ที่ทําการ โรงพยาบาล โรงเรียน สถานกีฬา หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นที่มีลักษณะ
ทํานองเดียวกัน รวมทั้งสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยสําหรับอาคารนั้น
ๆ เช่ น เสาธง รั้ ว ท่ อระบายน้ํ า หอถั งน้ํ า ถนน ประปา ไฟฟ้ า หรื อสิ่ งอื่ น ๆ ซึ่ งเป็ น
ส่วนประกอบของตัวอาคาร เช่น เครื่องปรับอากาศ ลิฟต์ หรือเครื่องเรือน
“สาธารณู ป โภค” หมายความว่ า งานอั น เกี่ ย วกั บ การประปา การไฟฟ้ า
การสื่อสาร การโทรคมนาคม การระบายน้ํา การขนส่งทางท่อ ทางน้ํา ทางบก ทางอากาศ
หรือทางราง หรือการอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งดําเนินการในระดับพื้นดิน ใต้พื้นดิน หรือเหนือ
พื้นดิน
“งานจ้ างที่ ปรึ กษา” หมายความว่ า งานจ้ างบริ การจากบุ คคลธรรมดาหรื อ


นิ ติ บุ ค คลเพื่ อ เป็ น ผู้ ใ ห้ คํ า ปรึ ก ษาหรื อ แนะนํ าแก่ หน่ ว ยงานของรั ฐ ในด้ า นวิ ศ วกรรม
น่า
สถาปั ต ยกรรม ผั ง เมื อ ง กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การเงิ น การคลั ง สิ่ ง แวดล้ อ ม
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สาธารณสุข ศิลปวัฒนธรรม การศึกษาวิจัย หรือด้านอื่นที่อยู่ใน
ําห
ภารกิจของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ
“งานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง” หมายความว่า งานจ้างบริการจาก
มจ

บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเพื่อออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง
ห้า

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. พระราชบั ญ ญั ติ ว่ า ด้ ว ยความผิ ด เกี่ ย วกั บ การเสนอราคาต่ อ หน่ ว ยงาน
ของรัฐ พ.ศ. 2542
2. พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปราม
การทุจริต พ.ศ. 2551
3. ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
4. พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560

หมวดกฎหมาย 51
 
ห้า
มจ
ําห
น่า

บทที่ 7
กฎหมายแพ่ง-พาณิชย์และกฎหมายอาญา
ที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
วัตถุประสงค์
ในการประกอบอาชีพวิศวกรรม ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ควบคุมต้องเรียนรู้ในเรื่องของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายอาญา บางมาตรา
ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมในชีวิตประจําวัน
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนี้ ได้แก่ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวกับการทําสัญญาจะซื้อ
จะขาย สัญญาการจัดซื้อจัดจ้าง สัญญาจ้างงาน การทําสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวกับธุรกรรม
ทางการเงิน และวิศวกรหรือสถาปนิกผู้มีหน้าที่ ออกแบบ ควบคุม หรือ ก่อสร้างอาคาร
หรือสิ่งก่อสร้างใดๆ
สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม


กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายอาญา
น่า
ประกอบด้วย พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 พระราชบัญญัติ
แก้ ไ ขเพิ่ ม เติ ม ประมวลกฎหมายอาญา ซึ่ งมี ก ฎหมายบางมาตราที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ การ
ําห
ประกอบวิชาชีพวิศวกรรม ดังนี้
1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
 มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิด
มจ

กฎหมายให้เขาเสียหายถึงชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือ


สิทธิอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิดจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
 มาตรา 538 เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่าง
ห้า

หนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดี
หาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า
ไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้นจะ
ฟ้องร้องและบังคับคดีได้แต่เพียงสามปี
 มาตรา 1343 ห้ามมิให้ขุดดินหรือบรรทุกน้ําหนักบนที่ดินเกินควรจน
อาจเป็ น เหตุ อั น ตรายแก่ค วามอยู่มั่น แห่ งที่ดิ นติ ดต่อ เว้ น แต่จ ะจั ด การเพี ย งพอเพื่ อ
ป้องกันความเสียหาย
หมวดกฎหมาย 53
 
2. ประมวลกฎหมายอาญา
 มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
โดยมิ ชอบ เพื่ อให้ เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรื อปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ
หน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึง
สองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
 มาตรา 227 ผู้ใดเป็นผู้มีวิชาชีพในการออกแบบ ควบคุม หรือทําการ
ก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือรื้อถอน อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
หรือวิธีการอันพึงกระทําการนั้นๆ โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคล
อื่น ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
 มาตรา 234 ผู้ใดกระทําด้วยประการใดๆ แก่สิ่งที่ใช้ในการผลิต ในการ
ส่งพลังงานไฟฟ้าหรือในการส่งน้ํา จนเป็นเหตุให้ประชาชนขาดความสะดวก หรือน่าจะ
เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ประชาชน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน
หนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
 มาตรา 238 ถ้าการกระทําความผิดตามมาตรา 226 ถึงมาตรา 237
เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุกตลอดชีวิต หรือจําคุก


ตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
น่า
ถ้าเป็นเหตุให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่
หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท
 มาตรา 264 ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
ําห
เติ ม หรื อ ตั ด ทอนข้ อ ความ หรื อ แก้ ไ ขด้ ว ยประการใดๆ ในเอกสารที่ แ ท้ จ ริ ง หรื อ
ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความ
มจ

เสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่


แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือ
ปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ห้า

ผู้ใดกรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษหรือวัตถุอื่นใด ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่น
โดยไม่ได้รั บความยินยอม หรือโดยฝ่าฝืนคําสั่งของผู้อื่นนั้น ถ้าได้กระทํ าเพื่ อนําเอา
เอกสารนั้นไปใช้ในกิจการที่อาจเกิดเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชนให้ถือว่าผู้นั้น
ปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
 มาตรา 269 ผู้ใดในการประกอบการงานในวิชาชีพแพทย์ กฎหมาย
บัญชีหรือวิชาชีพอื่นใด ทําคํารับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิด

  54 หมวดกฎหมาย
 
ความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกิน
สี่พันบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ผู้ใดโดยทุจริตใช้หรืออ้างคํารับรองอันเกิดจากการกระทําความผิดตามวรรค
แรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
2. พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
3. พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499
4. พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา


น่า
ําห
มจ
ห้า

หมวดกฎหมาย 55
 
ห้า
มจ
ําห
น่า

บทที่ 8
กฎหมายผังเมือง
วัตถุประสงค์
กฎหมายผังเมือง เป็นกฎหมายที่กําหนดให้การดําเนินการที่เกี่ยวกับการใช้
ประโยชน์ในที่ดิน ให้เป็นไปตามผังเมืองรวมและผังเมืองเฉพาะ เพื่อสร้างหรือพัฒนา
เมือง ให้มีหรือทําให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสุขลักษณะความสะดวกสบาย ความเป็นระเบียบ
ความสวยงาม การใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน ความปลอดภัยของประชาชน และสวัสดิภาพ
ของสังคม เพื่อส่งเสริมการเศรษฐกิจ สังคม และสภาพแวดล้อม เพื่อดํารงรักษาหรือ
บู ร ณะสถานที่ แ ละวั ต ถุ ที่ มี ป ระโยชน์ ห รื อ คุ ณ ค่ า ในทางศิ ล ปกรรม สถาปั ต ยกรรม
ประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี หรือเพื่อบํารุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิประเทศที่
งดงามหรือมีคุณค่าในทางธรรมชาติ
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ผู้ ที่เกี่ ยวข้ องกั บ กฎหมายนี้ ได้แ ก่ เจ้ า ของโครงการพั ฒ นาอสังหาริม ทรั พ ย์
เจ้าของที่ดิน สถาปนิกหรือวิศวกรที่ทํางานเกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ


เจ้าหน้าที่ภาครัฐที่ทํางานเกี่ยวกับการควบคุมดูแลด้านผังเมือง
น่า
สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
กฎหมายผังเมือง ประกอบด้วย พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518
ําห
พระราชบัญญัติการผังเมือง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2525 พระราชบัญญัติการผังเมือง (ฉบับที่
3) พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติการผังเมือง (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2558 และกฎกระทรวงที่
ออกตามความในพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518 ซึ่งกล่าวถึง คณะกรรมการ
มจ

ผังเมือง การสํารวจเพื่อวางและจัดทําผังเมืองรวมหรือผังเมืองเฉพาะ การวางและจัดทํา


ผังเมืองรวม การใช้บังคับผังเมืองรวม การวางและจัดทําผังเมืองเฉพาะการบังคับใช้ผัง
เมืองเฉพาะ คณะกรรมการบริหารการผังเมืองส่วนท้องถิ่น การรื้อย้ายหรือดัดแปลง
ห้า

อาคารอุทธรณ์ และ บทกําหนดโทษ โดยมีสาระสําคัญดังนี้


1. การควบคุมทางผังเมือง จะต้องดําเนินการจัดให้มีแผนผัง นโยบาย และ
โครงการรวมทั้งมาตรการควบคุม ซึ่งประกอบด้วย 2 ระดับ คือ
- ผังเมืองรวม คือ แผนผัง นโยบายและโครงการรวมทั้งมาตรการควบคุม
ทั่วไปเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและดํารงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือ
ชนบทในด้ า นการใช้ ป ระโยชน์ ใ นทรั พ ย์ สิ น การคมนาคมและการขนส่ ง
การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม

หมวดกฎหมาย 57
 
- ผังเมืองเฉพาะ คือ แผนผังและโครงการดําเนินการเพื่อพัฒนาหรือดํารง
รักษาบริ เวณเฉพาะแห่งหรือกิจการที่ เกี่ยวข้ อง ในเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือ
ชนบท
2. คณะกรรมการผังเมือง มีอํานาจหน้าที่เกี่ยวกับการผังเมืองรวมที่บัญญัติใน
พระราชบัญญัตินี้ และมีหน้าที่แนะนําเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับการผังเมืองแก่หน่วยงานที่มี
หน้าที่เกี่ยวข้องกับการผังเมือง และมีอํานาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทําการหรือ
วินิจฉัยเรื่องที่อยู่ในอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามที่ได้มอบหมาย แล้วรายงาน
คณะกรรมการผังเมืองให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ดําเนินการให้เป็นไปตามมติของ
คณะกรรมการผังเมือง ในกรณีที่เป็นกิจการตามอํานาจหน้าที่ของหน่วยงานหรือบุคคล
อื่นให้กรมโยธาธิการและผังเมือง แจ้งมติของคณะกรรมการให้หน่วยงานหรือบุคคลนั้น
ทราบโดยเร็ว และติดตามผลการปฏิบัติกิจการของหน่วยงานหรือบุคคลนั้นแล้วรายงาน
ให้คณะกรรมการผังเมืองทราบ
3. การสํ า รวจเพื่ อ วางและจั ด ทํ า ผั ง เมื อ งรวมหรื อ ผั ง เมื อ งเฉพาะ จะ
ตราพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดินที่จะทําการสํารวจเพื่อการวางและจัดทําผังเมือง
รวม หรือผังเมืองเฉพาะไว้ก็ได้ และให้พระราชกฤษฎีกาดังกล่าว หมดอายุการใช้บังคับ


เมื่อได้มีกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมหรือเมื่อใช้บังคับพระราชบัญญัติให้ใช้บังคับ
น่า
ผังเมืองเฉพาะแล้วแต่กรณีในเขตแห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
4. การวางและจัดทําผังเมืองรวม
 เมื่อเห็นควรวางและจัดทําผังเมืองรวม ณ ท้องที่ใด ให้กรมโยธาธิการ
ําห
และผังเมือง วางและจัดทําผังเมืองรวมของท้องที่ หรือเจ้าพนักงานท้องถิ่นของท้องที่นั้น
จะวางและจั ด ทํ า ผั ง เมื อ งรวมในท้ อ งที่ ข องตนขึ้ น ก็ ไ ด้ แต่ ต้ อ งได้ รั บ อนุ มั ติ จ าก
คณะกรรมการผั งเมื อ งก่อน และให้ก รมโยธาธิการและผังเมื อง ให้ ความร่ วมมื อแก่
มจ

เจ้าพนักงานท้องถิ่นกรณีที่ขอคําแนะนําในการวางและจัดทําผังเมืองรวมด้วย
 เมื่อกรมโยธาธิการและผังเมือง จะวางหรือจัดทําผังเมืองรวมของท้องที่
ห้า

ใดให้แจ้งให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นนั้นทราบและให้มาแสดงความคิดเห็น และจัดให้มีการ
โฆษณาให้ ป ระชาชนทราบ แล้ ว จั ด ให้ มี ก ารประชุ ม ไม่ น้ อ ยกว่ า หนึ่ ง ครั้ ง เพื่ อ รั บ ฟั ง
ข้อคิดเห็นของประชาชนโดยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการโฆษณา การประชุม
การแสดงความคิ ด เห็นให้ เป็ น ไปตามที่ กฎกระทรวงกํ า หนด (กฎกระทรวง กํ า หนด
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการโฆษณา การประชุม และการแสดงข้อคิดเห็นของ
ประชาชนในการวางและจัดทําผังเมืองรวม พ.ศ. 2552)

  58 หมวดกฎหมาย
 
 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดท้องที่ที่มีการวางและจัดทําผังเมืองรวมแต่งตั้ง
คณะที่ ป รึ ก ษา ผั ง เมื อ งรวมขึ้ น คณะหนึ่ ง ประกอบด้ ว ย ผู้ แ ทนองค์ ก ารบริ ห ารส่ ว น
ท้องถิ่น ผู้แทนกรมโยธาธิการและผังเมือง ผู้แทนส่วนราชการต่าง ๆ ในท้องที่ที่วางผัง
เมืองรวมนั้น และบุคคลอื่นที่เห็นสมควร จํานวนไม่น้อยกว่า 15 คน และไม่เกิน 21 คน
มีหน้าที่ให้คําปรึกษาและความคิดเห็นเกี่ยวกับผังเมืองรวมที่วางและจัดทําขึ้น โดยให้
เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการแต่งตั้งและการปฏิบัติหน้าที่ของคณะที่
ปรึกษาผังเมืองรวม พ.ศ. 2540
5. การใช้บงั คับผังเมืองรวม
5.1 การใช้บังคับผังเมืองรวม ให้กระทําโดยกฎกระทรวง ซึ่งกฎกระทรวงผัง
เมืองรวม ต้องมีสาระสําคัญ ดังนี้
(1) วัตถุประสงค์ในการวางและจัดทําผังเมืองรวมให้กําหนดโดยคํานึงถึงความ
เป็นระเบียบความสวยงาม การใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน ความปลอดภัยของประชาชน
การเศรษฐกิ จ ทรั พ ยากรธรรมชาติ การดํา รงรัก ษาสถานที่ที่ มีคุ ณค่ าทางศิล ปกรรม
สถาปั ตยกรรม ประวั ติศาสตร์ หรือ โบราณคดี และการจั ดสภาพแวดล้อมที่ทุกคน
สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างเท่าเทียมกัน


(2) แผนที่แสดงเขตของผังเมืองรวมโดยแสดงข้อมูลภูมิประเทศและระดับชั้น
น่า
ความสูง
(3) แผนผังซึ่งทําขึ้นเป็นฉบับเดียวหรือหลายฉบับโดยมีสาระสําคัญทุกประการ
หรือบางประการดังต่อไปนี้
ําห
- แผนผังกําหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามที่ได้จําแนกประเภท
- แผนผังแสดงที่โล่ง
- แผนผังแสดงโครงการคมนาคมและขนส่ง
มจ

- แผนผังแสดงโครงการกิจการสาธารณูปโภค
(4) รายการประกอบแผนผัง
ห้า

(5) ข้อกําหนดที่จะให้ปฏิบัติหรือไม่ให้ปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์
ของผังเมืองรวมทุกประการ ดังต่อไปนี้
(ก) ประเภทและขนาดกิจการที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ดําเนินการ
(ข) ประเภท ชนิด ขนาด ความสูง และลักษณะของอาคารที่จะอนุญาต
หรือไม่อนุญาตให้สร้าง
(ค) อั ต ราส่ วนพื้ นที่ อาคารรวมกั นทุกชั้ นของอาคารทุก หลังต่ อพื้น ที่
แปลงที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งอาคาร

หมวดกฎหมาย 59
 
(ง) อัตราส่วนพื้นที่อาคารปกคลุมดินต่อพื้นที่แปลงที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้ง
อาคาร
(จ) อัตราส่วนพื้นที่ว่างอันปราศจากสิ่งปกคลุมของแปลงที่ดินที่อาคาร
ตั้งอยู่ต่อพื้นที่ใช้สอยรวมของอาคาร
(ฉ) ระยะถอยร่นจากแนวธรรมชาติ ถนน แนวเขตที่ดิน อาคารหรือ
สถานที่อื่น ๆ ที่จําเป็น
(ช) ขนาดของแปลงที่ดินที่จะอนุญาตให้สร้างอาคาร
(ซ) ข้อกําหนดอื่นที่จําเป็นโดยรัฐมนตรีประกาศกําหนดตามคําแนะนํา
ของคณะกรรมการผังเมือง
ในกรณีที่ผังเมืองรวมไม่มีข้อกําหนดบางประการตาม (ก) (ข) (ค) (ง) (จ) (ฉ) (ช)
และ (ซ) จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผังเมือง โดยมีเหตุผลอันสมควร
(6) นโยบาย มาตรการ และวิธีดําเนินการเพื่อปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของ
ผังเมืองรวม
5.2 ให้กรมโยธาธิการและผังเมือง หรือเจ้าพนักงานท้องถิ่น แล้วแต่กรณี จัดทํา
รายงานการประเมิ น ผลการเปลี่ ย นแปลงสภาพการณ์แ ละสิ่ งแวดล้อมการใช้บั งคั บ


ผังเมืองรวมตามระยะเวลาที่คณะกรรมการผังเมืองกําหนด แต่ไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่
น่า
กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมใช้บังคับ หรือนับแต่วันที่คณะกรรมการผังเมือง
พิจารณารายงานการประเมินผลครั้งที่ผ่านมาเสร็จสิ้น แล้วเสนอคณะกรรมการผังเมือง
พิ จ ารณา หากคณะกรรมการผั ง เมื อ งเห็ น ว่ า สภาพการณ์ แ ละสิ่ ง แวดล้ อ มมี ก าร
ําห
เปลี่ยนแปลงไปในสาระสําคัญทําให้ผังเมืองรวมนั้นไม่เหมาะสมที่จะรองรับการพัฒนา
หรือดํารงรักษาเมืองต่อไปหรือจําเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพื่อประโยชน์ในการพัฒนา
เมืองทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองหรือ
มจ

เจ้าพนักงานท้องถิ่นดําเนินการปรับปรุงโดยการวางและจัดทําผังเมืองรวมขึ้นใหม่ให้
เหมาะสมได้
ห้า

การจัดทํารายงานการประเมินผลการเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อม
การใช้บังคับผังเมืองรวม ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการผังเมืองกําหนด ซึ่งต้อง
มีการแสดงข้อเท็จจริงให้ปรากฏทั้งในเรื่องการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน ความ
หนาแน่นของประชากร นโยบายหรือโครงการของรัฐบาล สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ
สังคม และสิ่งแวดล้อม การคมนาคมและขนส่ง การป้องกันการเกิดภัยพิบัติ ความมั่นคง
ของประเทศ และปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับการผังเมืองโดยให้คํานึงถึงการมีส่วนร่วมของ
ประชาชนประกอบด้วย

  60 หมวดกฎหมาย
 
 ห้ า มบุ ค คลใดใช้ ป ระโยชน์ ที่ ดิ น ผิ ด ไปจากที่ กํ า หนดไว้ ใ นผั ง เมื อ งรวม
เว้นแต่เจ้าของที่ดินที่ได้ใช้ประโยชน์ที่ดินมาก่อนที่จะมีกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมือง
รวมและจะใช้ประโยชน์ที่ดินเช่นนั้นต่อไป แต่ถ้าคณะกรรมการผังเมืองเห็นว่าการใช้
ประโยชน์ ที่ ดิน เช่ นนั้ นต่ อ ไปเป็ นการขั ดต่อนโยบายของผังเมืองรวมในสาระสํ าคัญที่
เกี่ ย วกั บ สุ ข ลั ก ษณะ ความปลอดภั ย ของประชาชน และสวั ส ดิ ภ าพของสั ง คม
คณะกรรมการผังเมืองมีอํานาจกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่เจ้าของที่ดินต้อง
แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือระงับการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อไปภายในระยะเวลาที่เห็นสมควร
โดยจะต้องเชิญเจ้าของที่ดินมาแสดงข้อเท็จจริงและความคิดเห็นประกอบด้วย เมื่อได้
กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ให้มีหนังสือแจ้งเจ้าของที่ดินทราบ เจ้าของที่ดิน
มีสิทธิ์อุทธรณ์ได้ (มาตรา 70)
6. การวางและจัดทําผังเมืองเฉพาะ
 เมื่อมีกฎกระทรวงใช้บังคับผังเมืองรวมท้องที่ใด เจ้าพนักงานท้องถิ่น
เห็นสมควรให้มีการวางและจัดทําผังเมืองเฉพาะขึ้นได้ แต่จะต้องสอดคล้องกับผังเมืองรวม
กรณีเจ้าพนักงานท้องถิ่นวางและจัดทําผังเมืองเฉพาะ จะต้องเสนอหลักการที่จะวางและ
จัดทําผังเมืองเฉพาะให้คณะกรรมการผังเมืองพิจารณาเห็นชอบก่อน


 กรณีเจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือกรมโยธาธิการและผังเมือง จะวางและ
น่า
จัดทําผังเมืองเฉพาะให้ปิดประกาศแสดงเขตที่จะวางและจัดทําผังเมืองเฉพาะไว้ในที่
เปิดเผย และให้มีคําประกาศเชิญชวนให้ เจ้าของที่ดินให้เสนอความคิดเห็นตลอดจน
ความประสงค์ในการใช้ที่ดินที่ได้แสดงไว้ โดยทําเป็นหนังสือเสนอต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
ําห
หรือกรมโยธาธิการและผังเมือง ภายใน 45 วัน นับแต่วันปิดประกาศหรืออาจให้ผู้มี
หนังสือแสดงความคิดเห็นมาชี้แจงแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกก็ได้
มจ

 การวางและจั ด ทํ า ผั ง เมื อ งเฉพาะ กรมโยธาธิ ก ารและผั ง เมื อ ง หรื อ


เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะต้องจัดให้มีการโฆษณาให้ประชาชนทราบ แล้วจัดประชุมไม่น้อย
กว่า 2 ครั้ง เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นของประชาชนในท้องที่ที่จะมีการวางและจัดทําผังเมือง
ห้า

เฉพาะ หลั ก เกณฑ์ วิ ธี ก ารและเงื่ อ นไขในการโฆษณา การประชุ ม และการแสดง


ข้อคิดเห็นให้กําหนดโดยกฎกระทรวง (กฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และ
เงื่อนไขในการโฆษณา การประชุม และการแสดงข้อคิดเห็นของประชาชนในการวาง
และจัดทําผังเมืองเฉพาะ พ.ศ. 2552)
7. การใช้บังคับผังเมืองเฉพาะ
 การใช้ บั ง คั บ ผั ง เมื อ งเฉพาะในท้ อ งที่ ใ ดให้ ต ราเป็ น พระราชบั ญ ญั ติ
ถ้าพระราชบัญญัติใช้บังคับผังเมืองเฉพาะมิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นให้มีผลใช้บังคับไม่

หมวดกฎหมาย 61
 
เกิน 5 ปี เมื่อเห็นสมควรขยายระยะเวลาการใช้บังคับพระราชบัญญัติให้เสนอความเห็น
ต่ อ คณะกรรมการผั ง เมื อ ง เพื่ อ พิ จ ารณาดํ า เนิ น การตราเป็ น พระราชบั ญ ญั ติ ข ยาย
ระยะเวลาการใช้บังคับผังเมืองเฉพาะต่อไป หรืออาจแก้ไขปรับปรุงผังเมืองเฉพาะให้
เหมาะสมกับสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปก็ได้
 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอํานาจออกกฎกระทรวงกําหนด
- รายละเอียดแห่งข้อกําหนดต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติให้ใช้บังคับ
ผังเมืองเฉพาะ
- หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติให้ใช้บังคับ
ผังเมืองเฉพาะ
 บรรดาข้อบัญญัติ หรือเทศบัญญัติที่อาศัยอํานาจตามกฎหมายว่าด้วย
การควบคุม การก่อสร้างอาคาร การสาธารณสุข การรักษาความสะอาดและความเป็น
ระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง การควบคุมสุสานและฌาปนสถาน หรือกฎหมายอื่นที่
เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตท้องที่ที่ใช้บังคับพระราชบัญญัติผังเมืองเฉพาะ หาก
ข้อบั ญญั ติ หรื อเทศบัญญั ติ ขั ดหรื อแย้ งกั บกฎกระทรวงมหาดไทย ให้ ใช้กฎกระทรวง
มหาดไทยบังคับใช้แทน


 ห้ามบุคคลใช้ประโยชน์ที่ดินหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงอสังหาริมทรัพย์ให้
น่า
ผิดจากกําหนดในพระราชบัญญัติให้ใช้บังคับผังเมืองเฉพาะหรือกฎกระทรวง
8. การอุทธรณ์
1. ผู้มีสิทธิอุทธรณ์อาจอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับคําสั่งหรือ
ําห
หนังสือแจ้งตามรายละเอียด มาตรา 70 เมื่อผู้อุทธรณ์ไม่พอใจในคําวินิจฉัยอุทธรณ์
ผู้อุทธรณ์มีสิทธิยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ภายในกําหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ได้ทราบ
มจ

คําวินิจฉัย นั้น
2. ในระหว่างอุทธรณ์ห้ามทุกฝ่ายมิให้ดําเนินการหรือกระทําการใด ๆ
อันเป็นกรณีแห่งการอุทธรณ์
ห้า

บทสรุป
พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518 เป็นกฎหมายการผังเมือง ที่อาศัย
เครื่อ งมื อ ที่ สํ าคั ญ คื อ ผั ง เมื อ งรวม และผั ง เมื อ งเฉพาะ เพื่ อ ให้ บ รรลุวั ต ถุ ป ระสงค์
นโยบาย หรือแนวทางในการสร้างหรือพัฒนาเมืองตามหลักวิชาการผังเมือง โดยการใช้
บังคับผังเมืองรวม ต้องดําเนินการโดยกฎกระทรวง และการใช้บังคับผังเมืองเฉพาะ
ต้องดําเนินการโดยพระราชบัญญัติ ส่วนองค์กรสําคัญที่เป็นผู้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ

  62 หมวดกฎหมาย
 
การผั ง เมื อ ง คื อ กรมโยธาธิ ก ารและผั ง เมื อ ง และ เจ้ า พนั ก งานท้ อ งถิ่ น และมี
คณะกรรมการผังเมือง เป็นคณะกรรมการที่ทําหน้าที่พิจารณาอนุมัติผังเมืองรวมและ
ผั ง เมื อ งเฉพาะ และหน้ า ที่ อื่ น ที่ เ กี่ ย วข้ อ งตามที่ ก ฎหมายกํ า หนด ขณะเดี ย วกั น ก็ มี
คณะกรรมการบริหารการผังเมืองส่วนท้องถิ่น ทําหน้าที่ บริหารจัดการเกี่ยวกับผังเมือง
เฉพาะเพื่อให้การบริหารท้องถิ่นเป็นไปตามผังเมืองเฉพาะที่ใช้บังคับในท้องถิ่น หาก
เจ้าของที่ดินได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้ผังเมืองรวมหรือผังเมืองเฉพาะสามารถ
อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ และหากไม่พอใจคําวินิจฉัยอุทธรณ์ มีสิทธิ์ยื่นฟ้องต่อ
ศาลปกครองได้ ขณะเดียวกันการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518
ในส่วนการบังคับใช้ผังเมืองรวม ผังเมืองเฉพาะ มีบทกําหนดโทษทั้งจําทั้งปรับ รวมถึง
การไม่ ใ ห้ ค วามร่ ว มมื อ ในการส่ ง เอกสาร การชี้ แ จง ขั ด ขวางการปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ข อง
เจ้าหน้าที่ และการฝ่าฝืนคําสั่งรื้อย้ายอาคาร มีบทกําหนดโทษทั้งจํา ทั้งปรับเช่นกัน

บทกําหนดโทษ
1. ผู้ใดไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามผังเมืองรวม และผังเมืองเฉพาะมีความผิดต้อง
ระวางโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ


เมื่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นร้องขอ ศาลอาจสั่งให้ผู้กระทําผิดแก้ไขให้ถูกต้องตามที่
น่า
กําหนดในผังเมืองรวมหรือในผังเมืองเฉพาะ ภายในระยะเวลากําหนด หรือเจ้าพนักงาน
ท้องถิ่นมีอํานาจ จัดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามผังเมืองรวม หรือผังเมืองเฉพาะ
นั้น และคิดค่าใช้จ่ายจากเจ้าของตามที่จ่ายจริงโดยประหยัด (มาตรา 83)
ําห
2. ผู้ใด
 ไม่ไปชี้แจงหรือไม่ส่งเอกสารหลักฐานตามหนังสือเรียกของเจ้าพนักงาน
ท้องถิ่น ฯลฯ หรือ ชี้แจงข้อความอันเป็นเท็จ
มจ

 ขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่น เจ้าพนักงาน
การผัง เจ้าหน้าที่ของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ฯลฯ
ห้า

 ฝ่าฝืนคําสั่งให้รื้อ หรือย้ายอาคาร หรือคําวินิจฉัยอุทธรณ์การรื้อย้าย


อาคารมีความผิดต้องโทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกินสามพันบาท หรือทั้งจํา
ทั้งปรับ (มาตรา 84)

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518
2. พระราชบัญญัติการผังเมือง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2525
3. พระราชบัญญัติการผังเมือง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535
หมวดกฎหมาย 63
 
4. พระราชบัญญัติการผังเมือง (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2558
5. กฎกระทรวงฉบั บที่ 4 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญ ญั ติ
การผังเมือง พ.ศ. 2518
6. กฎกระทรวง กํ า หนด หลั ก เกณฑ์ วิ ธี ก าร และเงื่ อ นไขในการโฆษณา
การประชุม และการแสดงข้อคิดเห็นของประชาชนในการวางและจัดทําผังเมืองรวม
พ.ศ. 2552
7. กฎกระทรวงกํ า หนดหลั ก เกณฑ์ วิ ธี ก าร และเงื่ อ นไขในการโฆษณา
การประชุม และการแสดงข้อคิดเห็นของประชาชนในการวางและจัดทําผังเมืองเฉพาะ
พ.ศ. 2552
8. ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการแต่งตั้งและการปฏิบัติหน้าที่ของ
คณะที่ปรึกษาผังเมืองรวม พ.ศ. 2540
9. ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยวิธีการประกาศเชิญชวนให้ผู้มีส่วนได้
เสียไปตรวจดูแผนผัง พ.ศ. 2540


น่า
ําห
มจ
ห้า

  64 หมวดกฎหมาย
 
บทที่ 9
กฎหมายสิ่งแวดล้อม
วัตถุประสงค์
ประเทศไทย มี ก ฎหมายที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ สิ่ ง แวดล้ อ มหลายฉบั บ และได้ มี
การปรั บ ปรุ ง เนื้ อ หาของกฎหมายแต่ ล ะฉบั บ ให้ ทั น สมั ย และสอดคล้ อ งกั บ ปั ญ หา
สิ่ ง แวดล้ อ มอยู่ เ สมอมา ในปั จ จุ บั น กฎหมายว่ า ด้ ว ยการส่ ง เสริ ม และรั ก ษาคุ ณ ภาพ
สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มุ่งเน้นในเรื่องของการส่งเสริมประชาชนและองค์กรภาคเอกชนให้มี
ส่วนร่วมในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และมีการกําหนดอํานาจหน้าที่ของ
ส่ วนราชการ รั ฐ วิ สาหกิ จ และราชการส่ วนท้องถิ่น ให้เกิดการประสานและทําหน้า ที่
ร่วมกันในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม มีการจัดระบบการบริหารงานด้าน
สิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามหลักการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตลอดจนกําหนดมาตรการ
ควบคุมมลพิษในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับมลพิษ เช่น ระบบบําบัดน้ําเสีย
ระบบกําจัดของเสีย ระบบบําบัดอากาศเสีย เป็นต้น
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย


ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนี้ ได้แก่ เจ้าของโครงการหรือกิจการทั้งภาครัฐหรือ
น่า
เอกชน วิ ศ วกรผู้ อ อกแบบโครงสร้ า งและวิ ศ วกรผู้อ อกแบบงานระบบของโครงการ
สถาปนิกผู้ออกแบบโครงการ รวมไปถึงวิศวกรและเจ้ าหน้าที่ของบริษัทเอกชนหรือ
ําห
หน่วยงานภาครัฐที่จดทะเบียนเป็นผู้จัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
มจ

สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับวิศวกร คือ พระราชบัญญัติส่งเสริมและ
รั ก ษาคุ ณ ภาพสิ่ ง แวดล้ อ มแห่ ง ชาติ พ.ศ.2535 มี ส าระสํ า คั ญ ประกอบด้ ว ย
ห้า

คณะกรรมการสิ่ ง แวดล้ อ มแห่ ง ชาติ กองทุ น สิ่ ง แวดล้ อ ม การคุ้ ม ครองสิ่ ง แวดล้ อ ม
มาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม การวางแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม เขตอนุรักษ์และ
พื้ น ที่ คุ้ ม ครองสิ่ ง แวดล้ อ ม การทํ า รายงานการวิ เ คราะห์ ผ ลกระทบสิ่ ง แวดล้ อ ม
การควบคุ ม มลพิ ษ คณะกรรมการควบคุ ม มลพิ ษ มาตรฐานควบคุ ม มลพิ ษ จาก
แหล่งกําเนิด เขตควบคุมมลพิษ มลพิษทางอากาศและเสียง มลพิษทางน้ํา มลพิษอื่น
และของเสี ยอั น ตราย การตรวจสอบและควบคุ ม ค่า บริก ารและค่ า ปรับ มาตรการ

หมวดกฎหมาย 65
 
ส่งเสริมความรับผิดทางแพ่งและบทกําหนดโทษ โดยมีรายละเอียดที่วิศวกรควรทราบ
ดังนี้
“สิ่งแวดล้อม” หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่มีลักษณะทางกายภาพและชีวภาพ
ที่อยู่รอบตัวมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์ได้ทําขึ้น
“คุณภาพสิ่งแวดล้อม” หมายถึง ดุลยภาพของธรรมชาติ ได้แก่ สัตว์ พืช
และทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ และสิ่งที่มนุษย์ได้ทําขึ้น ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ต่อการดํารง
ชีพของประชาชน และความสมบูรณ์สืบไปของมนุษย์ชาติ
“มาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม” หมายถึง ค่ามาตรฐานคุณภาพน้ํา อากาศ เสียง
และสภาวะอื่น ๆ ของสิ่งแวดล้อม ซึ่งกําหนดเป็นเกณฑ์ทั่วไปสําหรับการส่งเสริมและ
รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
“มลพิ ษ ” หมายถึ ง ของเสีย วั ตถุอันตราย และมลสารอื่น ๆ รวมทั้ง กาก
ตะกอน หรือสิ่งตกค้างจากสิ่งเหล่านั้น ที่ถูกปล่อยทิ้งจากแหล่งกําเนิดมลพิษ หรือที่มีอยู่
ในสิ่ง แวดล้อ มตามธรรมชาติ ซึ่ ง ก่ อ ให้ เ กิ ดหรืออาจก่อ ให้ เกิดผลกระทบต่ อคุณ ภาพ
สิ่งแวดล้อม หรือภาวะที่เป็นพิษภัยอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนได้ และให้
หมายความรวมถึง รังสี ความร้อน แสง เสียง กลิ่น ความสั่นสะเทือน หรือเหตุรําคาญ


อื่น ๆ ที่เกิดหรือถูกปล่อยออกจากแหล่งกําเนิดมลพิษด้วย
น่า
“ภาวะมลพิ ษ” หมายถึง สภาวะที่สิ่งแวดล้ อมเปลี่ ยนแปลงหรือปนเปื้อน
โดยมลพิษซึ่งทําให้คุณภาพของสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลง เช่น มลพิษทางน้ํา มลพิษ
ทางอากาศ มลพิษในดิน
ําห
“แหล่ ง กํ า เนิ ด มลพิ ษ ” หมายถึ ง ชุ ม ชน โรงงานอุ ต สาหกรรม อาคาร
สิ่งก่อสร้าง ยานพาหนะ สถานที่ประกอบกิจการใด ๆ หรือสิ่งอื่นใด ซึ่งเป็นแหล่งที่มา
ของมลพิษ
มจ

“ของเสีย” หมายถึง ขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล น้ําเสีย อากาศเสีย มลสาร หรือ


วั ต ถุ อั น ตรายอื่ น ใด ซึ่ ง ถู ก ปล่ อ ยทิ้ ง หรื อ มี ที่ ม าจากแหล่ ง กํ า เนิ ด มลพิ ษ รวมทั้ ง กาก
ห้า

ตะกอน หรืออสิ่งตกค้างจากสิ่งเหล่านั้น ที่อยู่ในสภาพของแข็ง ของเหลวหรือก๊าซ


“น้ํ า เสี ย” หมายถึ ง ของเสี ยที่ อยู่ ใ นสภาพเป็ น ของเหลว รวมทั้งมลสารที่
ปะปนหรือปนเปื้อนอยู่ในของเหลวนั้น
“อากาศเสีย” หมายถึง ของเสียที่อยู่ในสภาพเป็นไอเสีย กลิ่นควัน ก๊าซ
เขม่า ฝุ่นละออง เถ้าถ่าน หรือมลสารอื่นที่มีสภาพละเอียดบางเบาจนสามารถรวมตัวอยู่
ในบรรยากาศได้
“ผู้ควบคุม” หมายถึง ผู้ได้รับใบอนุญาตให้ทําการควบคุม ตรวจสอบวิเคราะห์
ดําเนินการ และบํารุงรักษาระบบบําบัดน้ําเสีย ระบบกําจัดของเสียหรืออุปกรณ์ เครื่องมือ
  66 หมวดกฎหมาย
 
เครื่องใช้สําหรับการควบคุม บําบัด หรือกําจัดมลพิษอื่นใด ซึ่งเจ้าของหรือผู้ครอบครอง
แหล่งกําเนิดมลพิษจัดสร้างให้มีขึ้นเพื่อการบําบัดน้ําเสียกําจัดของเสียหรือมลพิษอื่นใด
ด้วยการลงทุนและเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง
“ผู้รับจ้างให้บริการ” หมายถึง ผู้ได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้รับจ้างทําการบําบัด
น้ําเสียหรือกําจัดของเสีย หรือตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม
บทกําหนดโทษ
ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535
ได้กําหนดบทลงโทษสําหรับผู้ฝ่าฝืนไว้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องของเขตอนุรักษ์ พื้นที่
คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการควบคุมมลพิษ โดยมีบทลงโทษ ดังนี้
มาตรา 99 ผู้ใดบุกรุกหรือครอบครองที่ดินของรัฐโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หรือเข้าไปกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทําลาย ทําให้สูญหาย หรือเสียหายแก่
ทรัพยากรธรรมชาติหรือศิลปกรรมอันควรแก่การอนุรักษ์ หรือก่อให้เกิดมลพิษอันมี
ผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่กําหนดตามมาตรา
43 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ


มาตรา 104 เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกําเนิดมลพิษ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม
มาตรา 71 หรือผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 72 หรือข้อกําหนดของเจ้าพนักงานท้องถิ่น
น่า
ตามมาตรา 74 หรือมาตรา 75 วรรคหนึ่ง หรือกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 80 ต้อง
ระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ําห
มาตรา 105 ผู้ใดรับจ้างเป็นผู้ควบคุมหรือรับจ้างให้บริการบําบัดน้ําเสีย หรือ
กําจัดของเสียโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 73 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มจ

มาตรา 106 เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกําเนิดมลพิษ ผู้ควบคุม หรือผู้รับ


จ้างให้บริการบําบัดน้ําเสียหรือกําจัดของเสียผู้ใดไม่จัดเก็บสถิติ ข้อมูล หรือไม่ทําบันทึก
หรือรายงานตามมาตรา 80 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกิน
ห้า

หนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535
2. กฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพ
สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535

หมวดกฎหมาย 67
 
3. ประกาศกระทรวงทรั พ ยากรธรรมชาติ แ ละสิ่ ง แวดล้ อ ม เรื่ อ ง กํ า หนด
ประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการ ซึ่งต้องจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ
สิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางของการจัดทํารายงาน
การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม


น่า
ําห
มจ
ห้า

  68 หมวดกฎหมาย
 
บทที่ 10
กฎหมายการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
วัตถุประสงค์
เนื่องจากเหตุการณ์วิกฤตทางด้านพลังงานที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหา
การนําเข้าน้ํามัน การก่อสร้างเขื่อน การก่อสร้างโรงไฟฟ้า ผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม
ทําให้รัฐบาลต้องออกกฎหมายเพื่อการอนุรักษ์พลังงานขึ้น โดยมีข้อกําหนดให้เจ้าของ
อาคารและโรงงานควบคุมดําเนินการตามแผนการอนุรักษ์พลังงาน และกําหนดเกณฑ์
การอนุรักษ์พลังงาน

ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ผู้ที่ เกี่ยวข้ องกั บกฎหมายนี้ ได้แ ก่ เจ้าของอาคารควบคุม เจ้าของโรงงาน
ควบคุม วิศวกรผู้รับผิดชอบด้านพลังงานในอาคารควบคุมหรือโรงงานควบคุม


สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
น่า
กฎหมายการส่ ง เสริ ม การอนุ รั ก ษ์ พ ลั ง งานประกอบด้ ว ย พระราชบั ญ ญั ติ
การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์
พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 พระราชกฤษฎีกากําหนดอาคารควบคุม พ.ศ. 2538
ําห
พระราชกฤษฎีกากําหนดโรงงานควบคุม พ.ศ. 2540 และกฎกระทรวงที่ออกตามความ
ในพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ซึ่งกล่าวถึง การอนุรักษ์
มจ

พลั ง งานในโรงงาน การอนุ รั ก ษ์ พ ลั ง งานในอาคาร อาคารควบคุ ม โรงงานควบคุ ม


การอนุรักษ์พลังงานในเครื่องจักรหรืออุปกรณ์และส่งเสริมการใช้วัสดุหรืออุปกรณ์เพื่อ
การอนุรักษ์พลังงาน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน มาตรการส่งเสริมและ
ห้า

ช่วยเหลือโรงงานควบคุม หรืออาคารควบคุมที่ต้องจัดให้มีการอนุรักษ์พลังงาน และ


บทกําหนดโทษ ซึ่งมีสาระสําคัญดังนี้
อาคารควบคุม หมายถึง อาคารหลังเดียวหรือหลายหลัง ภายใต้เลขที่บ้าน
เดียวกัน ที่มีการใช้พลังงานโดยใช้เครื่องวัดไฟฟ้า หรือติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าชุดเดียว
หรือหลายชุดรวมกัน มีขนาดตั้งแต่ 1,000 กิโลวัตต์ หรือ 1,175 กิโลโวลต์แอมแปร์
ขึ้นไป หรือ อาคารที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้า รวมกันในรอบปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ 20 ล้าน
เมกะจูลขึ้นไป

หมวดกฎหมาย 69
 
โรงงานควบคุม หมายถึง โรงงานหลังเดียวหรือหลายโรงงาน ภายใต้เลขที่
บ้านเดียวกันที่มีการใช้พลังงานโดยใช้เครื่องวัดไฟฟ้า หรือติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าชุดเดียว
หรือหลายชุดรวมกัน มีขนาดตั้งแต่ 1,000 กิโลวัตต์ หรือ 1,175 กิโลโวลต์แอมแปร์
ขึ้ น ไป หรื อ โรงงานที่ มี ก ารใช้ พ ลั ง งานไฟฟ้ า รวมกั น ในรอบปี ที่ ผ่ า นมาตั้ ง แต่
20 ล้านเมกะจูลขึ้นไป
การอนุ รักษ์พ ลั ง งานในโรงงาน ได้ แ ก่ การดํา เนินการอย่างใดอย่ างหนึ่ ง
ดังต่อไปนี้
 การปรับปรุงประสิทธิภาพของการเผาไหม้เชื้อเพลิง
 การป้องกันการสูญเสียพลังงาน
 การนําพลังงานที่เหลือจากการใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่
 การเปลี่ยนไปใช้พลังงานอีกประเภทหนึ่ง
 การปรับปรุงการใช้ไฟฟ้าด้วยวิธีปรับปรุงตัวประกอบกําลังไฟฟ้า การลด
ความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุดในช่วงความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของ
ระบบการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าให้เหมาะสมกับภาระและวิธีการอื่น


 การใช้เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงตลอดจนระบบควบคุม
น่า
การทํางานและวัสดุที่ช่วยในการอนุรักษ์พลังงาน
 การอนุรักษ์พลังงานโดยวิธีอื่น ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
ําห
การอนุ รั ก ษ์ พ ลั ง งานในอาคาร ได้ แ ก่ การดํ า เนิ น การอย่ า งใดอย่ า งหนึ่ ง
ดังต่อไปนี้
มจ

 การลดความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่เข้ามาในอาคาร
 การปรับอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการรักษาอุณหภูมิภายใน
อาคารให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ห้า

 การใช้วัสดุก่อสร้างอาคารที่จะช่วยอนุรักษ์พลังงาน ตลอดจนการแสดง
คุณภาพของวัสดุก่อสร้างนั้น ๆ
 การใช้แสงสว่างในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ
 การใช้และการติดตั้งเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุที่ก่อให้เกิดการอนุรักษ์
พลังงานในอาคาร
 การใช้ระบบควบคุมการทํางานของเครื่องจักรและอุปกรณ์
 การอนุรักษ์พลังงานโดยวิธีอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
  70 หมวดกฎหมาย
 
ประเภทและขนาดของอาคารที่ต้องมีการออกแบบเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
ได้แก่ การก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคาร ที่มีพื้นที่รวมกันทุกชั้นในหลังเดียวกัน ตั้งแต่
2,000 ตารางเมตรขึ้นไป ในอาคารดังต่อไปนี้
 สถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล
 สถานศึกษา
 สํานักงาน
 อาคารชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
 อาคารชุมนุมคนตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
 อาคารโรงมหรสพตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
 อาคารโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
 อาคารสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ
 อาคารห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้า
การจัดการพลังงาน เจ้าของอาคารต้องจัดให้มีการจัดการพลังงานในโรงงาน


ควบคุมและอาคารควบคุม โดยต้องดําเนินการจัดการพลังงาน 8 ขั้นตอน ดังนี้
 การแต่งตั้งคณะทํางานด้านการจัดการพลังงาน
น่า
 การประเมินสถานภาพการจัดการพลังงานเบื้องต้น
 การกําหนดนโยบายอนุรักษ์พลังงานและประชาสัมพันธ์
ําห
 การประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงาน
 การกําหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน
มจ

 การควบคุม ดูแล การตรวจสอบและวิเคราะห์การปฏิบัติตามเป้าหมาย


และแผนอนุรักษ์พลังงาน
 การตรวจติดตามและประเมินการจัดการพลังงาน
ห้า

 การทบทวน วิเคราะห์ และแก้ไขข้อบกพร่อง ของการจัดการพลังงาน

กําหนดค่าการถ่ายเทความร้อนรวมของอาคาร หรือส่วนของอาคารที่มีการ
ปรับอากาศ
 ค่าการถ่ายเทความร้อนรวมของหลังคาอาคาร ทั้งอาคารใหม่และอาคาร
เก่าจะต้องมีค่าไม่เกิน 25 วัตต์ต่อตารางเมตรของหลังคา

หมวดกฎหมาย 71
 
 ค่าการถ่ายเทความร้อนรวมของผนังด้านนอกของอาคาร หรือส่วนของ
อาคารที่มีการปรับอากาศจะต้องมีค่าดังต่อไปนี้
- สํ า หรั บ อาคารใหม่ ไม่ เ กิ น กว่ า 45 วั ต ต์ ต่ อ ตารางเมตรของผนั ง
ด้านนอก
- สําหรับอาคารเก่า ไม่เกินกว่า 55 วัตต์ต่อตารางเมตรของผนังด้านนอก

กําหนดค่าการใช้ไฟฟ้าส่องสว่างในอาคาร โดยไม่รวมพื้นที่ที่จอดรถ
 ในกรณีที่มีการส่องสว่างด้วยไฟฟ้าภายในอาคาร จะต้องให้ได้ระดับความ
ส่องสว่างสําหรับงานแต่ละประเภทอย่างเพียงพอตามหลักและวิธีการที่ยอมรับได้ทาง
วิศวกรรม
 อุปกรณ์ไฟฟ้าสําหรับใช้ส่องสว่างภายในอาคารโดยไม่รวมพื้นที่จอดรถ
จะต้องใช้กําลังไฟฟ้าไม่เกินค่าดังต่อไปนี้
- สํานักงาน โรงแรม สถานศึกษาและโรงพยาบาล สถานพักฟื้น ให้มีค่า
กําลังไฟฟ้าส่องสว่างสูงสุดไม่เกิน 16 วั ตต์ต่อตารางเมตรของพื้ นที่
ใช้งาน


- ร้านขายของ ซุปเปอร์มาเก็ต หรือศูนย์การค้าให้มีค่ากําลังไฟฟ้าส่อง
น่า
สว่างสูงสุดไม่เกิน 23 วัตต์ต่อตารางเมตรของพื้นที่ใช้งาน
กําหนดมาตรฐานการปรับอากาศในอาคาร
ําห
ระบบปรับอากาศที่ติดตั้งในอาคารจะต้องมีค่าพลังไฟฟ้าต่อตันความเย็น ที่
ภาระเต็มพิกัด (full load) หรือที่ภาระใช้งานจริง (actual load) ไม่เกินกว่าค่าที่
กําหนดไว้ สําหรับ
มจ

1. เครื่องทําความเย็นชนิดระบายความร้อนด้วยน้ํา
2. เครื่องทําความเย็นชนิดระบายความร้อนด้วยอากาศ
ห้า

บทกําหนดโทษ
- เจ้ า ของโรงงานควบคุ ม เจ้ า ของอาคารควบคุ ม หรื อ ผู้ รั บ ผิ ด ชอบด้ า น
พลังงาน ผู้ใดไม่ดําเนินการจัดให้มีการจัดการในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ต้อง
ระวางโทษปรับไม่เกิน 2 แสนบาท
(มาตรา 55 พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550)

  72 หมวดกฎหมาย
 
- ผู้รับใบอนุญาตตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน การใช้พลังงานใน
เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ และคุณภาพวัสดุหรืออุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ผู้ใด
รายงานผลการตรวจสอบและรั บรองอั นเป็นเท็จ หรือไม่ตรงตามความเป็นจริงต้อง
ระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
(มาตรา 56 พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550)

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
2. พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550
3. พระราชกฤษฎีกากําหนดอาคารควบคุม พ.ศ. 2538
4. พระราชกฤษฎีกากําหนดโรงงานควบคุม พ.ศ. 2540
5. กฎกระทรวง (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติการส่งเสริม
การอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
6. กฎกระทรวงกํ า หนดประเภทหรื อ ขนาดของอาคาร และมาตรฐาน


หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2552
น่า
7. กฎกระทรวงกําหนดกระจกเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2552
8. กฎกระทรวงกําหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการพลังงานใน
โรงงานควบคุมและอาคารควบคุม พ.ศ. 2552
ําห
9. กฎกระทรวงกําหนดคุณสมบัติ หน้าที่ และจํานวนของผู้รับผิดชอบด้าน
พลังงาน พ.ศ. 2552
มจ
ห้า

หมวดกฎหมาย 73
 
ห้า
มจ
ําห
น่า

บทที่ 11
กฎหมายคอมพิวเตอร์
วัตถุประสงค์
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 เป็น
พระราชบัญญัติที่ถือได้ว่าให้ประโยชน์กับผู้ใช้งานระบบสารสนเทศโดยรวมเป็นอย่าง
มาก แต่ก็ เป็นพระราชบัญญั ติที่ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ กับผู้ที่มี
อาชี พ ด้ า นระบบสารสนเทศเป็ น อย่ า งมากเช่ น กั น เนื่ อ งจากพระราชบั ญ ญั ติ นี้
มีรายละเอียดเกี่ยวกับฐานความผิดของการกระทําผิดในการใช้งานระบบสารสนเทศและ
บทลงโทษของผู้ที่กระทําผิด ทําให้ผู้ที่จะกระทําผิดต้องคํานึงถึงผลที่จะตามมา ทําให้
ผู้ใช้งานระบบสารสนเทศมีความอุ่นใจในการใช้งานมากขึ้น นอกจากนี้พระราชบัญญัติ
ดังกล่าวยังกําหนดให้ผู้ดูแลระบบสารสนเทศจะต้องดําเนินการปรับปรุงระบบ หรือ
เพิ่มเติมการทํางานบางอย่างในระบบเพื่อให้ถูกต้องตามข้อกําหนดของพระราชบัญญัติ
ด้วย


ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
น่า
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนี้ ได้แก่ ผู้ประกอบการที่ให้บริการระบบคอมพิวเตอร์
และผู้ใช้บริการระบบคอมพิวเตอร์
ําห
สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
โครงสร้างกฎหมาย
โครงสร้ า งของพระราชบั ญ ญั ติ ฉ บั บ นี้ แ บ่ ง ออกเป็ น มาตราและหมวดต่ า งๆ
มจ

ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 ชื่อกฎหมาย
ห้า

มาตรา 2 วันบังคับใช้กฎหมาย
มาตรา 3 คํานิยาม
มาตรา 4 ผูร้ ักษาการ
หมวด 1 ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (มาตรา 5 - 17)
หมวด 2 พนักงานเจ้าหน้าที่ (มาตรา 18 - 30)
รายละเอี ย ดของพระราชบั ญ ญั ติ ที่ เ ป็ น ส่ ว นสํ า คั ญ จึ ง เริ่ ม ต้ น ที่ ม าตรา 3
ซึ่ ง เป็ น ส่ ว นของคํ า นิ ย ามต่ า งๆ โดยมาตรานี้ จ ะเป็ น รายละเอี ย ดที่ จ ะระบุ ถึ ง กรอบ

หมวดกฎหมาย 75
 
การบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งสามารถบ่งบอกได้ว่าผู้เกี่ยวข้องในกฎหมายนี้จะมีใครบ้าง โดย
รายละเอียดของมาตรา 3 ดังนี้

ระบบคอมพิวเตอร์ หมายความว่า อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมการ


ทํา งานเข้ า ด้ ว ยกั น โดยได้ มี ก ารกํ า หนดคํ าสั่ ง ชุ ด คํ า สั่ ง หรื อ สิ่ง อื่ น ใด และแนวทาง
ปฏิบัติงานให้อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ทําหน้าที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หมายความว่า ข้อมูล ข้อความ คําสั่ง ชุดคําสั่ง หรือสิ่งอื่นใดบรรดา
ที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้ และให้
หมายความรวมถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
ด้วย
ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของ
ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแสดงถึงแหล่งกําเนิด ต้นทาง ปลายทาง เส้นทาง เวลา วันที่
ปริมาณ ระยะเวลาชนิดของบริการ หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารของ
ระบบคอมพิวเตอร์นั้น
ผู้ให้บริการ หมายความว่า
(1) ผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดย


ประการอื่น โดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการในนาม
น่า
ของตนเอง หรือในนามหรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
(2) ผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
ผู้ใช้บริการ หมายความว่า ผู้ใช้บริการของผู้ให้บริการไม่ว่าต้องเสียค่าใช้บริการหรือไม่
ําห
ก็ตาม
พนั ก งานเจ้ า หน้ า ที่ หมายความว่ า ผู้ ซึ่ ง รั ฐ มนตรี แ ต่ ง ตั้ ง ให้ ป ฏิ บั ติ ก ารตาม
พระราชบัญญัตินี้
มจ

รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

บทกําหนดโทษ
ห้า

หมวด 1 ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (มาตรา 5 - 17)


ส่ ว นของพระราชบั ญ ญั ติ ที่ เ ป็ น รายละเอี ย ดสํ า คั ญ ที่ ทํ า ให้ ใ ช้ ง านระบบ
สารสนเทศมีค วามปลอดภั ย มากขึ้นคือ ในหมวดที่ 1 ได้ แ ก่ มาตรา 5 ถึ งมาตรา 17
โดยในหมวดนี้จะมีรายละเอียดของฐานความผิดและบทลงโทษต่างๆ ซึ่งสรุปได้ดังตาราง
ต่อไปนี้

  76 หมวดกฎหมาย
 
ฐานความผิด โทษจําคุก โทษปรับ
มาตรา 5 เข้าถึงคอมพิวเตอร์โดยมิ ไม่เกิน 6 เดือน ไม่เกิน 10,000 บาท
ชอบ
มาตรา 6 ล่วงรูม้ าตรการป้องกัน ไม่เกิน 1 ปี ไม่เกิน 20,000 บาท
มาตรา 7 เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ ไม่เกิน 2 ปี ไม่เกิน 40,000 บาท
โดยมิชอบ
มาตรา 8 การดักข้อมูลคอมพิวเตอร์ ไม่เกิน 3 ปี ไม่เกิน 60,000 บาท
มาตรา 9 ทําให้เสียหาย ทําลาย แก้ไข ไม่เกิน 5 ปี ไม่เกิน 100,000 บาท
เปลี่ยนแปลง
มาตรา 10 ทําให้ระบบไม่สามารถ ไม่เกิน 5 ปี ไม่เกิน 100,000 บาท
ทํางานได้ตามปกติ
มาตรา 11 ส่งข้อมูลโดยปกปิด ไม่มี ไม่เกิน 100,000 บาท
แหล่งที่มา รบกวนบุคคลอื่น
มาตรา 12 กระทําผิดมาตรา 9 หรือ
มาตรา 10


(1) ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ไม่เกิน 10 ปี ไม่เกิน 200,000 บาท
ประชาชน
น่า
(2) กระทบต่อความมั่นคงปลอดภัย 3 ปี ถึง 15 ปี 60,000-300,000 บาท
ของประเทศ/เศรษฐกิจ
ําห
วรรคท้าย เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต 10 ปี ถึง 20 ปี ไม่มี
มาตรา 13 การจําหน่าย/เผยแพร่ ไม่เกิน 1 ปี ไม่เกิน 20,000 บาท
มจ

ชุดคําสั่ง
มาตรา 14 การเผยแพร่เนื้อหาอันไม่ ไม่เกิน 5 ปี ไม่เกิน 100,000 บาท
เหมาะสม
ห้า

มาตรา 15 ความรับผิดชอบของ ISP ไม่เกิน 5 ปี ไม่เกิน 100,000 บาท


มาตร 16 การตัดต่อภาพผู้อื่น ไม่เกิน 3 ปี ไม่เกิน 60,000 บาท

หมวดกฎหมาย 77
 
หมวด 2 พนักงานเจ้าหน้าที่ (มาตรา 18 - 30)
จากการกําหนดฐานความผิดและบทลงโทษต่างๆ ทําให้เมื่อมีเหตุที่คาดว่าจะ
ตรงตามฐานความผิดที่กําหนดตามพระราชบัญญัติเกิดขึ้น จะต้องมีกระบวนการสืบสวน
จนได้ ผ ลลั พ ธ์ แ ละการบั ง คั บ ใช้ ต ามบทลงโทษต่ า งๆ ซึ่ ง คนที่ จ ะดํ า เนิ น การตาม
พระราชบัญญัติดังกล่าวคือ พนักงานเจ้าหน้าที่โดยพนักงานเจ้าหน้าที่จะถูกกําหนด
รายละเอียดเกี่ยวกับ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ความผิด และบทลงโทษของพนักงาน
เจ้าหน้าที่ในหมวดที่ 2 ได้แก่มาตรา 18 ถึงมาตรา 30 โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับอํานาจ
หน้าที่ตามตารางสรุปดังนี้
ตัวอย่างการกระทําความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
อํานาจหน้าที่ โทษจําคุก โทษปรับ
มาตรา 18 อํานาจในการขอทําสําเนาตรวจสอบ หรือ


เข้าถึง
มาตรา 19 การขอคําสั่งศาลทําสําเนา ยึด หรืออายัด
น่า
มาตรา 20 การขอคําสั่งศาลระงับการแพร่ข้อมูล
มาตรา 21 การขอคําสั่งศาลเพื่อระงับการเผยแพร่หรือ
จําหน่ายชุดคําสั่งไม่พึงประสงค์
ําห
มาตรา 22 ห้ามมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลที่ ไม่เกิน 3 ปี ไม่เกิน 60,000 บาท
ได้มาตาม มาตรา 18
มาตรา 23 ห้ามมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประมาทเป็นเหตุ ไม่เกิน 1 ปี ไม่เกิน 20,000 บาท
มจ

ให้ผู้อื่นล่วงรู้ข้อมูล
มาตรา 24 ความรับผิดของผู้ล่วงรู้ข้อมูลของผู้ใช้บริการที่ ไม่เกิน 2 ปี ไม่เกิน 40,000 บาท
พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตามมาตรา 18
ห้า

มาตรา 25 ห้ามมิให้รับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดย
มิชอบ
มาตรา 27 ผู้ไม่ปฏิบัติตามคําสั่งศาลมาตรา 21 หรือ ไม่เกิน 200,000 บาท
พนักงานเจ้าหน้าที่มาตรา 18, 20
มาตรา 28 การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา 29 การรับคําร้องทุกข์กล่าวโทษ จับ ควบคุม ค้น
และการกําหนดระเบียบแนวทางและวิธีปฏิบัติ
มาตรา 30 พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตร
  78 หมวดกฎหมาย
 
 ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง โพสข้อความในอินเตอร์เน็ตสร้างข่าวว่า บริษัท
แห่งหนึ่งกําลังมีปัญหาด้านการเงินและบริหารงานผิดพลาดซึ่งส่งผลให้บริษัทดังกล่าว
ขาดทุนมหาศาลจนอาจล้มละลายในอนาคต ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายกับบริษัททั้ง
ทางภาพลั ก ษณ์ แ ละการบริ ห ารงาน การกระทํ า ดั ง กล่ า วเป็ น การกระทํ า ผิ ด ตาม
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หากบริษัทผู้เสียหาย
แจ้ ง ความดํ า เนิ น คดี กั บ ผู้ ใ ช้ ง านอิ น เตอร์ เ น็ ต คนดั ง กล่ า ว ผู้ ใ ช้ ง านอิ น เตอร์ เ น็ ต จะมี
ความผิดในมาตรา 14 (1) ระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจําทั้งปรับ
 นักศึกษาคนหนึ่ง ทําการตัดต่อภาพของดาราคนหนึ่งให้มีลักษณะยืนเปลือย
กาย แล้วส่ง E-mail ให้เพื่อนนักศึกษากลุ่มหนึ่ง ซึ่งเพื่อนนักศึกษากลุ่มนั้นบางส่วนทํา
การ Forward E-mail ฉบับดังกล่าวไปยังเพื่อนของตน ซึ่งยังมีการ Forward ต่อเนื่อง
ไปเรื่ อ ยๆ รวมถึ ง มี บ างคนนํ า ภาพดั ง กล่ า วไปโพสในเว็ บ บอร์ ด สาธารณะ สํ า หรั บ
นักศึกษาที่ตัดต่อและนําเข้าภาพตัดต่อดังกล่าวมีความผิดในมาตรา 16 ระวางโทษจําคุก
ไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ นอกจากนี้ นักศึกษาคน
ดั ง กล่ า วและคนอื่ น ๆ ที่ ทํ า การ Forward ต่ อ คนทํ า ให้ ภ าพดั ง กล่ า วอยู่ ใ นเว็ บ บอร์ ด


สาธารณะ เป็นการกระทําผิดในมาตรา 14 (4) ระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่
น่า
เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
 ที่ระบบ E-Services ของธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดบริการให้ลูกค้าที่เปิดบัญชี
กั บ ธนาคารเข้ า ใช้ ง านเพื่ อ ตรวจสอบบั ญ ชี เ งิ น ฝาก และสามารถโอนเงิ น ผ่ า นระบบ
ําห
อินเตอร์เน็ตได้ โดยลูกค้าจะป้อนข้อมูล Username และ Password เพื่อเข้าใช้งาน
วันหนึ่งมีลูกค้าของธนาคารแจ้งว่าอยากให้ธนาคารช่วยตรวจสอบเนื่องจากมีการโอนเงิน
มจ

ออกจากบัญชีของตน โดยที่ตนเองไม่ทราบ ผู้ดูแลระบบสารสนเทศของธนาคารจึงเข้า


ตรวจสอบระบบ และพบว่ามีความพยายามในการป้อน Username และ Password
หลายครั้งจากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง จนสามารถเข้าใช้งานระบบได้ ผู้ใช้งาน
ห้า

คนดังกล่าวมีการโอนเงินจํานวนหนึ่งออกจากบัญชีไปยังบัญชีอื่นในต่างธนาคาร เจ้าของ
บั ญ ชี แ ละผู้ ดู แ ลระบบสารสนเทศของธนาคารจึ ง แจ้ ง ความต่ อ พนั ก งานเจ้ า หน้ า ที่
เพื่อติดตามจับกุมผู้บุกรุกต่อไป ซึ่งผู้บุกรุกจะมีความผิดตามมาตรา 7 ระวางโทษจําคุก
ไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ นอกจากนี้จากพฤติกรรมการ
ลักลอบโอนเงินของบุคคลอื่นไปยังบัญชีของตนเองในลักษณะนี้ยังเข้าข่ายการกระทําผิด
ในข้อหาลักทรัพย์ด้วย

หมวดกฎหมาย 79
 
 นักศึกษาคนหนึ่งเข้าใช้บริการใน Internet Café แห่งหนึ่ง และนักศึกษาคน
ดังกล่าวได้ติดตั้งโปรแกรมเพื่อดักจับข้อมูลที่วิ่งผ่านไปมาในเครือข่ายภายใน Internet
Café เพื่อค้นหาข้อมูล Username และ Password ของผู้ใช้งานใน Internet Café
แห่งนั้น รวมถึงข้อมูลการพูดคุย ไฟล์ที่รับส่ง และข้อมูลความลับอื่นๆ ของผู้ใช้งาน หาก
มีผู้เสียหายแจ้งความและนักศึกษาคนนี้ถูกจับกุม จะมีความผิดตามมาตรา 8 ระวางโทษ
จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
 เจ้าของกิจการค้าขายเสื้อผ้ารายหนึ่ง ใช้ช่องทาง E-mail ในการโฆษณาสินค้า
ของตนเอง โดยมี ก ารรวบรวม E-mail Address ของบุ ค คลอื่ น ๆ ในอิ น เตอร์ เ น็ ต
ซึ่ งเจ้าของกิ จการรายนี้ ได้ ใ ช้ ซอฟต์ แวร์ ในการส่ ง E-mail ไปยั งรายการของ E-mail
Address ที่ได้รวบรวมไว้โดยอัตโนมัติ ซึ่งซอฟต์แวร์ดังกล่าวยังสามารถปกปิดที่มาของ
E-mail ที่ส่งได้ ทําให้ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตหลายคนได้รับ E-mail โฆษณาดังกล่าวมาก
จนส่งผลกระทบต่อการทํางาน เจ้าของกิจการคนดังกล่าวจะมีความผิดตามมาตรา 11
ระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
 แฮกเกอร์คนหนึ่ง ทําการเจาะระบบเว็บเซิร์ฟเวอร์ของหน่วยงานราชการแห่ง
หนึ่ง แล้วเปลี่ยนเว็บเพจหน้าแรกของหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง (Deface) โดยแจ้ง


ข่าวสารปลอมให้กับประชาชนว่าหน่วยงานราชการแห่งนั้นจะระงับการให้บริการเป็น
น่า
เวลา 1 เดือน ซึ่งส่งผลให้ประชนชนที่ทราบข่าวดังกล่าวมีความเดือดร้อน นอกจากนี้
แฮกเกอร์คนดังกล่าวยังนําวิธีการเจาะระบบ โพสในเครือข่าย Social Network ของ
ตนเอง เพื่อให้แฮกเกอร์ คนอื่นๆ ได้ทราบ ภายหลังแฮกเกอร์ถูกพนั กงานเจ้ าหน้าที่
ําห
ติดตามและจับกุมได้ แฮกเกอร์คนดังกล่าวจะมีความผิดตามมาตราต่างๆ ดังนี้
- มาตรา 5 ระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
มจ

หรือทั้งจําทั้งปรับ
- มาตรา 6 ระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
หรือ ทั้งจําทั้งปรับ
ห้า

- มาตรา 9 ระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือ


ทั้งจําทั้งปรับ
- มาตรา 12 (1) ระวางโทษจําคุกไม่เกินสิบปี หรือ ปรับไม่เกินสองแสนบาท
- มาตรา 12 (2) ระวางโทษจําคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และ ปรับตั้งแต่
หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาท
- มาตรา 14 (1) (2) ระวางโทษจํ า คุ ก ไม่ เ กิ น ห้ า ปี หรื อ ปรั บ ไม่ เ กิ น
หนึ่งแสนบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ

  80 หมวดกฎหมาย
 
บทสรุป
จากรายละเอียดของพระราชบัญญัติ เราพบว่ามีการกําหนดกรอบการทํางาน
สําหรับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ ของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะ
เป็นการระบุว่าใช้งานลักษณะใดถือว่าเป็นความผิด และเมื่อการกระทําผิดเกิดขึ้น ใครมี
อํานาจในการสืบสวนสอบสวน และมีอํานาจในการดําเนินการมากน้อยเพียงใด และ
ส่วนของผู้ดูแลระบบสารสนเทศต่างๆ ต้องจัดเตรียมข้อมูลใดเพื่อใช้ในการสืบสวนบ้าง
เมื่อมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว ทําให้อาชญากรรมคอมพิวเตอร์มีแนวโน้ม
ลดลง ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลทางตรงคือผู้ดูแลระบบถูกบังคับโดยกฎหมายให้มีการเก็บ
ข้อมูลทําให้การดูแลความปลอดภัยระบบสารสนเทศทําได้ดีมากขึ้น การโจมตีระบบและ
การทํางานที่ผิดปกติจะลดลง และเหตุผลทางอ้อมคือการกําหนดโทษของการกระทําผิด
ทําให้คนไม่กล้าที่จะก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. พระราชบัญ ญัติว่าด้วยการกระทํ าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.
2550


2. พระราชบั ญ ญั ติ ว่ า ด้ ว ยการกระทํ า ความผิ ด เกี่ ย วกั บ คอมพิ ว เตอร์
น่า
(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560
3. กฎกระทรวงกํ า หนดแบบหนั ง สื อ แสดงการยึ ด และอายั ด ระบบ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2551
ําห
4. ประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง หลักเกณฑ์
การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ. 2550
5. ระเบียบว่าด้วยการจับ ควบคุม ค้น การทําสํานวนสอบสวนและดําเนินคดี
มจ

กั บ ผู้ ก ระทํ า ความผิ ด ตามพระราชบั ญ ญั ติ ว่ า ด้ ว ยการกระทํ า ความผิ ด เกี่ ย วกั บ


คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
ห้า

หมวดกฎหมาย 81
 
ห้า
มจ
ําห
น่า

หมวด
จรรยาบรรณ

น่า
แห่งวิชาชีพวิศวกรรม
ําห
มจ
ห้า
ห้า
มจ
ําห
น่า

บทที่ 12
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม
ลักษณะพิเศษของวิชาชีพวิศวกรรม
1. วิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมเป็ น วิ ช าชี พ ที่ ส่ ง ผลโดยตรงต่ อ คุ ณ ภาพชี วิ ต ของ
สาธารณชน ยกตั วอย่าง ถ้ างานสาธารณูปโภคสําหรับประชาชน เช่น ถนนหนทาง
ระบบประปา ระบบไฟฟ้า ระบบบําบัดน้ําเสีย ได้รับการออกแบบและก่อสร้างมาอย่าง
ถู ก ต้ อ ง มี คุ ณ ภาพ ประชาชนก็ จ ะสามารถดํ า รงชี พ อย่ า งเป็ น สุ ข ปลอดภั ย และ
สะดวกสบาย แต่ถ้าหากการออกแบบหรือก่อสร้างไม่ถูกต้อง ไม่มีคุณภาพ ถนนหนทางที่
เราใช้อาจไม่ราบเรียบหรือทนทานต่อการใช้งานตามปกติ ไม่สามารถระบายยวดยานได้
ตามต้ องการ น้ํ าประปาที่ ประชาชนใช้ อาจไม่สะอาดเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค
ระบบไฟฟ้าอาจไม่มีเสถียรภาพ แรงดันไม่สม่ําเสมอทําให้อุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหาย หรือ
ไฟฟ้าดับบ่อย เกิดความสูญเสียต่ออุตสาหกรรมต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้ และหากระบบ
บําบัดน้ําเสียไม่สามารถทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจก่อให้เกิดโรคระบาดร้ายแรง
กระจายออกไปได้ ทํานองเดียวกันหากวิศวกรทํางานผิดพลาดผลเสียหายที่ตามมาอาจ


รุ น แรง และมั ก จะรุ น แรงยิ่ ง กว่ า ความผิ ด พลาดที่ เ กิ ด จากการประกอบวิ ช าชี พ อื่ น
น่า
ตัวอย่างเช่น สิ่งร้ายแรงที่สุดที่อาจเกิดกับผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (แพทย์) ได้แก่
การวินิจฉัยโรคผิดพลาดหรือการรักษาผิดพลาด ซึ่งอาจมีผลให้ผู้ป่วยต้องเสียชีวิตโดยไม่
ควรจะเป็น แต่หากวิศวกรทํางานผิดพลาด จํานวนคนบริสุทธิ์ที่อาจได้รับผลกระทบอาจ
ําห
ไม่ใช่เพียง 1 คน ยกตัวอย่าง ห้างสรรพสินค้าซัมปุงที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี ซึ่งถล่ม
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2538 เป็นเหตุให้ลูกค้าที่เข้าไปซื้อสินค้าต้องเสียชีวิต 501 คน
และบาดเจ็บสาหัสอีก 937 คน เป็นต้น
มจ

2. วิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมเป็ น วิ ช าชี พ ที่ ผู้ ป ฏิ บั ติ ต้ อ งเป็ น ผู้ ที่ เ รี ย นรู้ เ กี่ ย วกั บ
วิชาชีพนี้โดยตรงอีกทั้งความรู้ต่างๆ ของวิชาชีพนี้ยุ่งยากซับซ้อน ผู้ที่สามารถเรียนรู้ต้อง
ห้า

เป็นคนที่มีมันสมองดี และเก่งในทางคํานวณ จึงเป็นวิชาชีพที่ประชาชนทั่วไปไม่สามารถ


เข้าใจได้ง่าย สังคมจึงให้เกียรติผู้ประกอบวิชาชีพนี้ว่าเป็นคนสมองดี ขณะเดียวกันก็มี
ความคาดหวังกับวิศวกรอย่างสูงยิ่ง
การประกอบวิชาชีพวิศวกรรมจึงต้องเป็นไปด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และ
ยุติธรรมและต้องให้ความสําคัญอย่างยิ่งยวดในการปกป้องสุขภาพ สวัสดิภาพและความ
ปลอดภัยของสาธารณชน

หมวดจรรยาบรรณ 85
 
ความสําคัญของจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
จรรยาบรรณแห่ ง วิ ช าชี พ วิ ศ วกรรม หมายถึ ง กรอบหรื อ แนวทางในการ
ประพฤติ ป ฏิ บั ติ วิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมที่ ม วลผู้ ร่ ว มประกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมโดย
สภาวิศวกรกําหนดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อธํารงไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ ให้เป็นที่
ยอมรับและเชื่อถือของสังคม
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมยังหมายความถึงหลักในการประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรม ที่มวลผู้ร่วมประกอบวิชาชีพวิศวกรรมเชื่อมั่นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม
เป็นหลักปฏิบัติวิชาชีพวิศวกรรมที่จะต้องธํารงไว้ให้อยู่เคียงคู่กับวิชาชีพตลอดไป เพื่อ
รั ก ษาไว้ ซึ่ งศ รั ทธา ความเชื่ อมั่ น แ ล ะ ค ว า ม ไ ว้ ว างใจซึ่ งส า ธ าร ณ ชน มี ต่ อ
ผู้ประกอบวิชาชีพนี้
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมยังถือได้ว่าเป็นกติกาในการประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรม ที่สังคมของวิศวกรผู้ร่วมวิชาชีพต้องยึดถือปฏิบัติเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็น
สุ ข ส่ ง เสริ ม และสนั บ สนุ น ให้ วิ ช าชี พ มี ก ารพั ฒ นาต่ อ เนื่ อ งให้ ทั น กั บ การพั ฒ นาทาง
วิชาการ รวมทั้งสามารถถ่ายทอดและเสริมสร้างประสบการณ์ในการประกอบวิชาชีพแก่
กันและกัน ตลอดจนการรั กษาระดับมาตรฐานและคุ ณภาพในการประกอบวิชาชีพ


วิศวกรรม น่า
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมของสภาวิศวกร
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม เป็นแนวทางให้ผู้ประกอบวิชาชีพยึดถือและ
ําห
ปฏิบัติอย่างถูกต้อง โดยยึดคุณธรรมเป็นหลักสําคัญ ซึ่งหากวิศวกรได้ปฏิบัติตามแล้ว จะ
ทําให้วิชาชีพนี้เป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นจากสังคมและเป็นการผดุงรักษาไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์
และศักดิ์ศรีของวิชาชีพวิศวกรรม
มจ

สภาวิ ศวกรได้บัญญัติข้ อบังคับสภาวิศวกรว่ าด้วย จรรยาบรรณแห่งวิ ชาชี พ


วิศวกรรมและการประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนํามาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่ง
ห้า

วิ ช าชี พ พ.ศ.2559 โดยได้ กํ า หนดจรรยาบรรณแห่ ง วิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมออกไว้ เ ป็ น


2 หมวดได้แก่ หมวด 1 จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม และ หมวด 2 การประพฤติ
ผิดจรรยาบรรณอันจะนํามาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ

86 หมวดจรรยาบรรณ
หมวด 1 จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม
แบ่งออกเป็น 4 ส่วนได้แก่
ส่วนที่ 1 จรรยาบรรณต่อสาธารณะ
เป็นจรรยาบรรณที่ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมจะต้องยึดถือเพื่อรักษา
ไว้ซึ่งประโยชน์ต่อสาธารณะหรือไม่ทําให้เกิดความเสียหายต่อสาธารณะอันเนื่องมาจาก
การประกอบวิชาชีพ ดังนี้
ข้ อ 5 ผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมควบคุ ม ต้ อ งประกอบวิ ช าชี พ โดยให้
ความสําคัญต่อความปลอดภัยสุขอนามัยและสวัสดิภาพของสาธารณชนตลอดจน
ทรัพย์สินและสิ่งแวดล้อมอันเป็นสาธารณะด้วย
บทบัญญัติในข้อนี้เป็นกฎเกณฑ์ที่กําหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
ต้ อ งประกอบวิ ช าชี พ โดยคํ า นึ ง ถึ ง ความปลอดภั ย สุ ข อนามั ย และสวั ส ดิ ภ าพของ
สาธารณชน ตลอดจนทรั พ ย์ สิ น และสิ่ ง แวดล้ อ มอั น เป็ น สาธารณะด้ วย ทั้ ง นี้ เ พื่ อ ให้
สาธารณชนได้เกิดความมั่นใจในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ที่ไม่ได้คํานึงถึง
แต่เฉพาะผลสําเร็จของงานเท่านั้น แต่ยังได้ให้ความใส่ใจระมัดระวังในความปลอดภัย


และสุขอนามัยของสาธารณชน ซึ่งหมายถึงประชาชนทั่วไป ก็จะต้องได้รับความคุ้มครอง
น่า
จากการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมเช่นกัน
ข้ อ 6 ผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมควบคุ ม ต้ อ งละเว้ น จากการให้ ก าร
ําห
สนับ สนุ น ส่ ง เสริ มหรื อ เป็น ตั ว การเกี่ยวกั บ การทุจริต ในโครงการของภาครั ฐหรื อ
เอกชน
บทบัญญัติในข้อนี้เป็นกฎเกณฑ์ที่กําหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
มจ

ต้องละเว้นจากความเกี่ยวข้องกับการทุจริตในโครงการของภาครัฐหรือเอกชน ไม่ว่าจะ
อยู่ในฐานะผู้สนับสนุน หรือ เป็นตัวการในการส่งเสริมให้เกิดการทุจริต บทบัญญัตินี้จึงมี
วัตถุประสงค์ที่จะส่งให้การดําเนินการในโครงของภาครัฐหรือเอกชน เป็นไปด้วยความ
ห้า

สุ จ ริ ต โปร่ งใ ส ตร วจ สอบได้ แ ล ะ ป้ อ งกั นมิ ให้ มี วิ ศวกรเข้ าไปเกี่ ย วข้ อง


กั บ การทุ จ ริ ต ในการดํ า เนิ น การโครงการอั น จะทํ า ให้ สั ง คมเกิ ด การติ เ ตี ย นวิ ช าชี พ
วิศวกรรมได้
ส่วนที่ 2 จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ
เป็นจรรยาบรรณที่ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมจะต้องยึดถือต่อวิชาชีพของ
ตนเอง กล่าวคือต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติวิชาชีพอย่างมีจรรยาบรรณเพื่อรักษาความสง่างามของ

หมวดจรรยาบรรณ 87
 
วิชาชีพให้คงอยู่ตลอดไป ดังนี้
ข้อ 7 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบและระมัดระวัง
บทบัญญัติในข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
ต้องประกอบวิชาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบและใช้ความระมัดระวัง
เพื่อเป็ นการส่ งเสริม มิใ ห้เกิ ดความเสียหายแก่ผู้อื่นหากเป็นกรณีที่มิใช่เรื่ องเกี่ยวกับ
การประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม แต่ผู้ประกอบวิชาชีพได้กระทําการใดๆ อย่างไม่
ซื่ อ สั ต ย์ สุ จ ริ ต ต่ อ ผู้ อื่ น และไต่ ส วนแล้ ว เห็ น ว่ า มี ค วามผิ ด จริ ง อาจลงโทษโดยไม่ ใ ช้
บทบัญญัตินี้ แต่ไปใช้หมวด 2 ตามข้อบังคับฯ คือกระทําการใดๆ อันอาจนํามาซึ่งความ
เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพแทนได้
ข้อ 8 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องปฏิบัติงานตามหลักปฏิบัติ
และวิชาการ
บทบัญญัติในข้อนี้มีวัตถุประสงค์ในการควบคุม ให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ควบคุ ม ที่ ได้ รับใบอนุ ญาตจากสภาวิศวกร ต้ องรับผิดชอบในผลการปฏิบัติหน้ าที่ใ ห้


ถูกต้องตามหลักปฏิบัติและวิชาการ โดยจะต้องศึกษาถึงหลักเกณฑ์ของงานวิศวกรรม
น่า
และหลักเกณฑ์ของกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพ เช่น กฎหมาย
ควบคุมอาคาร กฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมความปลอดภัยในการทํางานสาขาต่างๆ
เป็นต้น
ําห
วิศวกรผู้กระทําผิดจรรยาบรรณส่วนใหญ่ มักจะประพฤติผิดจรรยาบรรณข้อนี้
และโดยทั่วไปมักจะเกิดจากการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมโดยที่ตนไม่มีความรู้หรือ
มจ

ประสบการณ์ในงานที่รับทําอย่างเพียงพอ แล้วฝืนทําไปโดยเสี่ยงเดา และคาดหวังว่าคง


ไม่มีอะไรที่ร้ายแรงเกิดขึ้น หากไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ก็จะผิดจรรยาบรรณข้อนี้ วิศวกร
จึงควร ตระหนักไว้ว่าในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม หากเป็นเรื่องที่ตนไม่มีความรู้
ห้า

หรือประสบการณ์ ควรศึกษาหรือหาข้อมูลความรู้ให้ถ่องแท้เสียก่อน อย่าได้เสี่ยงด้วย


การคาดเดาอย่างเด็ดขาด
ข้อ 9 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่ประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
เกินความสามารถและความเชี่ยวชาญที่ตนเองจะกระทําได้
บทบัญญัติข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้ผู้ได้รับอนุญาตประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรมควบคุมรับงานโดยไม่คํานึงถึงความสามารถและความเชี่ยวชาญที่ตนเองมีอยู่
ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนและสังคมได้ อนึ่ง การประกอบวิชาชีพ
88 หมวดจรรยาบรรณ
วิศวกรรมควบคุมเกินความสามารถและความเชี่ยวชาญที่ตนเองจะทําได้นั้น หมายถึง
การประกอบวิชาชี พวิศวกรรมควบคุมเกินความสามารถและความเชี่ยวชาญตามที่
กฎหมายกําหนด และรวมถึงความสามารถและความเชี่ยวชาญที่ตนเองจะทําได้ตาม
ความเป็นจริงด้วย
ข้ อ 10 ผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมควบคุ ม ต้ อ งไม่ ล งลายมื อ ชื่ อ เป็ น
ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมในงานที่ตนไม่ได้ทํา
บทบัญญัติข้อนี้มีวัตถุประสงค์มุ่งควบคุมให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น หากไม่สามารถรับปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับการประกอบ
วิชาชีพวิศวกรรมควบคุมได้แล้ว ก็ไม่ควรลงลายมือชื่อเป็นผู้รับทํางานนั้น เพราะจะ
ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ว่าจ้าง และบุคคลภายนอกได้
ข้อ 11 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่โฆษณาหรือยอมให้ผู้อื่น
โฆษณาซึ่งการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมเกินความเป็นจริง
บทบั ญ ญั ติ ข้ อ นี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เ พื่ อ ป้ อ งกั น มิ ใ ห้ ผู้ ไ ด้ รั บ ใบอนุ ญ าตประกอบ
วิชาชีพวิศวกรรมควบคุมแข่งขันกันรับงานโดยการโฆษณา ซึ่งอาจก่อให้เกิดการแตกแยก


เนื่องจากการแย่งงานกันทํา และส่งผลให้เกิดการแตกความสามัคคีในกลุ่มผู้ประกอบ
วิชาชีพเดียวกัน
น่า
ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมในประเทศไทย นับว่าโชคดีที่จรรยาบรรณของสภา
วิศวกรอนุญาตให้โฆษณาการประกอบวิชาชีพได้ เพียงห้ามโฆษณาเกินความเป็นจริง
ําห
โดยแท้จริงแล้ววัตถุประสงค์ของจรรยาบรรณข้อนี้ต้องการส่งเสริมให้ผู้ประกอบวิชาชีพ
นี้แ ข่งขันกั นเองด้วยผลงาน ไม่ใ ช่โดยการโอ้อวดด้วยการโฆษณา จรรยาบรรณของ
มจ

วิศวกรในหลายประเทศก็ไม่อนุญาตให้วิศวกรของตนโฆษณา แม้ในประเทศไทยเองผู้
ประกอบวิชาชีพอื่น เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ สถาปนิก เภสัชกร ก็ไม่สามารถโฆษณาการ
ประกอบวิชาชีพของตนได้
ห้า

ข้อ 12 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่เรียกรับยอมจะรับหรือให้
ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อย่างใดสําหรับตนเองหรือผูอ้ ื่นโดยมิชอบในการประกอบ
วิชาชีพวิศวกรรม
บทบั ญ ญั ติ ข้ อ นี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เ พื่ อ ให้ ผู้ ไ ด้ รั บ ใบอนุ ญ าตประกอบวิ ช าชี พ
วิศวกรรมควบคุมเมื่อได้รับงานจากผู้ว่าจ้างแล้ว ต้องรักษาผลประโยชน์ของผู้ว่าจ้าง
เสมือนกับที่วิญญูชนทั่วไปพึงรักษาผลประโยชน์ของตนเอง จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพใน
ข้อนี้ มีเจตนารมณ์เพื่อควบคุมให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมประกอบวิชาชีพ
หมวดจรรยาบรรณ 89
 
ของตนเองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่รับผลประโยชน์อื่นที่มิควรได้ นอกจากค่าจ้างที่
ได้รับทํางานให้กับผู้ว่าจ้าง เพราะหากปล่อยให้ผู้ประกอบวิ ชาชี พวิศวกรรมควบคุม
เอารั ด เอาเปรี ย บผู้ ว่ า จ้ า งแล้ ว ความเสื่ อ มศรั ท ธาต่ อ บุ ค คลและสถาบั น แห่ ง วิ ช าชี พ
จะเกิดขึ้น บทบัญญัติในข้อนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของบุคคลทั่วไป
ด้วย
ข้อ 13 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่ใช้อํานาจหน้าที่โดยไม่
ชอบธรรมหรือใช้อิทธิพลหรือให้ผลประโยชน์แก่บุคคลใดเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับ
หรือไม่ได้รับงาน
บทบัญญัติข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรมที่มีอํานาจหน้าที่ในตําแหน่งที่สามารถให้คุณให้โทษแก่ผู้อื่น ในด้านต่างๆ มิให้
ใช้อํานาจหน้าที่อันเป็นการบีบบังคับ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับงาน หรือบังคับผู้อื่น
ไม่ ใ ห้ ง านนั้ น แก่ ฝ่ า ยตรงกั น ข้ า ม ทั้ ง นี้ ง านนั้ น ไม่ จํ า เป็ น จะต้ อ งเป็ น งานเกี่ ย วกั บ
การประกอบวิชาชี พ วิ ศวกรรมควบคุม และบุค คลทั่วไปหากต้ องเสียประโยชน์ จ าก
การกระทํ า ของผู้ ไ ด้ รั บ ใบอนุ ญ าตประกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมดั ง กล่ า ว ก็ ถื อ ว่ า เป็ น


ผู้เสียหาย สามารถร้องเรียนกล่าวหาผู้ได้รับอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
นั้น เพื่อให้คณะกรรมการจรรยาบรรณพิจารณาความผิดทางจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพได้
น่า
ส่วนที่ 3 จรรยาบรรณต่อผู้ว่าจ้าง
เป็ น จรรยาบรรณที่ ผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมควบคุ ม จะต้ อ งยึ ด ถื อ ต่ อ
ําห
ผู้ว่าจ้างของตน กล่าวคือต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติวิชาชีพอย่างซื่อสัตย์ต่อนายจ้าง ซึ่งจะทําให้
ผู้ประกอบวิชาชีพได้รับความไว้วางใจจากผู้ว่าจ้าง
มจ

ข้อ 14 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่ละทิ้งงานโดยไม่มีเหตุ
อันควร
บทบัญญัติในข้อนี้มีวัตถุประสงค์เป็นการควบคุมให้ผู้ประกอบวิชาชีพ เมื่อรับ
ห้า

ปฏิบัติงานแล้ว ต้องมีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับทําเพราะหากปล่อยให้มีการละทิ้ง
งานอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้

90 หมวดจรรยาบรรณ
ข้อ 15 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่เปิดเผยความลับของงาน
ที่ตนทํา เว้นแต่ได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ว่าจ้างหรือเป็นการ
เปิดเผยข้อมูลตามกฎหมาย
บทบั ญ ญั ติ ข้ อ นี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เ พื่ อ คุ้ ม ครองวงการของผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ
วิ ศ วกรรมให้ เ ป็ น ที่ ไ ว้ ว างใจของบุ ค คลทั่ ว ไป เนื่ อ งจากหากบุ ค คลทั่ ว ไปไม่ เ ชื่ อ ถื อ
ผู้ประกอบวิชาชีพแล้ว ก็จะเกิดความเสื่อมศรัทธาต่อผู้ประกอบวิชาชีพและสถาบันแห่ง
วิชาชีพได้ ผู้ประกอบวิชาชีพอยู่ในฐานะที่รู้ความลับของผู้ว่าจ้าง ซึ่งถือว่าเป็นเอกสิทธิ์
และมี ห น้ า ที่ ที่ จ ะไม่ เ ปิ ด เผยความลั บ นั้ น ถ้ า เปิ ด เผยความลั บ โดยประการที่ น่ า จะ
ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ว่าจ้างถือว่าเป็นการผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ ยกเว้นว่า
เป็นการเปิดเผยข้อมูลตามกฎหมาย จะไม่ถือว่าเป็นการผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
ข้อ 16 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่รับดําเนินงานชิ้นเดียวกัน
ให้แก่ผู้ว่าจ้างรายอื่นเพื่อการแข่งขันด้านเทคนิคหรือราคาเว้นแต่ได้แจ้งให้แก่ผู้ว่า
จ้างรายแรกทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรหรือได้รับความยินยอมเป็นลาย
ลักษณ์อักษรจากผู้ว่าจ้างรายแรกและได้แจ้งให้ผู้ว่าจ้างรายอื่นนั้นทราบล่วงหน้าแล้ว


บทบัญญัติข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมความประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรมควบคุมให้มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อผู้ว่าจ้าง ในกรณีที่มีการแข่งขัน เป็นการ
น่า
รักษาข้อมูล และความลับของผู้ว่าจ้าง
ส่วนที่ 4 จรรยาบรรณต่อผู้ร่วมวิชาชีพ
ําห
เป็นจรรยาบรรณที่ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมจะต้องยึดถือต่อผู้ร่วม
วิชาชีพของตน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดสามัคคีและความไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างผู้ร่วม
มจ

วิชาชีพ
ข้อ 17 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่แย่งงานจากผู้ประกอบ
วิชาชีพวิศวกรรมควบคุมอื่นเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ
ห้า

บทบัญญัติข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้เกิดความแตกแยก ไม่มีความ
สามัคคี โดยมุ่งให้เกิดความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมด้วยกัน
ทั้งนี้ไม่นับรวมถึงการแข่งขันกันอย่างสุจริตเพื่อให้ได้งาน เช่น การประมูลงานแข่งขันกัน
โดยชอบ

หมวดจรรยาบรรณ 91
 
ข้อ 18 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่รับทํางาน หรือตรวจสอบ
งานชิ้ น เดี ย วกั น กั บ ผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมควบคุ ม อื่ น ทํ า อยู่ เว้ น แต่ เ ป็ น
การปฏิบัติตามหน้าที่ หรือเป็นความประสงค์ของเจ้าของงานและได้แจ้งเป็นลาย
ลักษณ์อักษรให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมอื่นนั้นทราบล่วงหน้าแล้ว
บทบัญญัติข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดความแตกแยกความ
สามัคคีในกลุ่มของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมด้วยกัน เว้นแต่เป็นการปฏิบัติ
หน้าที่ที่มีหน้าที่ต้องตรวจสอบงาน หรือ เป็นความประสงค์ของเจ้าของงานที่ต้องการให้
มีผู้ตรวจสอบการทํางาน และได้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ควบคุมอื่นนั้นทราบล่วงหน้าแล้ว จึงถือว่าการทํางานดังกล่าวเป็นการทํางานโดยเปิดเผย
จึงไม่ถือว่าผิดจรรยาบรรณ
ข้อ 19 ผู้ ประกอบวิช าชีพ วิศ วกรรมควบคุมต้ องไม่ ใ ช้ห รื อกระทํ า การใน
ลักษณะคัดลอกแบบรูปแผนผังหรือเอกสารที่เกี่ยวกับงานของผู้ประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรมควบคุมอื่นเว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ประกอบ
วิชาชีพวิศวกรรมควบคุมนั้น


บทบัญญัติข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมความประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรมควบคุมให้มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพเดียวกัน มิให้เอารัดเอา
น่า
เปรียบซึ่งกันและเนื่องจากผลงานของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมผู้หนึ่ง ย่อม
เป็นเอกสิทธิ์ของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมผู้นั้น
ําห
ข้อ 20 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่อ้างผลงานของผูป้ ระกอบ
วิชาชีพวิศวกรรมควบคุมอื่นมาเป็นของตนในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
มจ

บทบัญญัติในข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ควบคุมแอบอ้างเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่น่าละอายและ
เข้าข่ายผิดจรรยาบรรณ ทําให้เกิดความเสื่อมเสียต่อวิชาชีพ
ห้า

ข้อ 21 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่กระทําการใดๆ โดยจงใจ


ให้เป็นทีเ่ สื่อมเสียแก่ชื่อเสียงหรืองานของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมอื่น
บทบั ญ ญั ติ ข้ อ นี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค์ ที่ จ ะเสริ ม สร้ า งความสามั ค คี ข องกลุ่ ม
ผู้มีวิชาชีพเดียวกัน คือ ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพ โดยไม่กระทําการใดๆ
ให้เป็นที่เสื่อมเสียชื่อเสียง หรืองานของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมอื่น

92 หมวดจรรยาบรรณ
ส่วนที่ 5 เรื่องอื่นๆ
ข้อ 22 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่กระทําความผิดในการ
ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 227 หรือมาตรา 269
จนศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิด
บทบัญญัติข้อนี้กําหนดว่า หากผู้ประกอบวิชาชีพกระทําความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญามาตรา 227 หรือ มาตรา 269 จนศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิด
ให้ถือว่ามีความผิดจรรยาบรรณตามข้อ 22 ของข้อบังคับฯ ด้วย ซึ่งถือเป็นบทบัญญัติที่
กํ า หนดให้ ก ารกระทํ า ความผิ ด ตามประมวลกฎหมายอาญาเข้ า ข่ า ยเป็ น ความผิ ด
จรรยาบรรณด้วย และเพื่อให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหลีกเลี่ยงไม่กระทําผิด
ตามประมวลกฎหมายอาญาในมาตราดังกล่าว

หมวด 2
การประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนํามาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ


ข้อ 23 กรณีทจี่ ะถือเป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนํามาซึ่งความ
เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพมีดังต่อไปนี้
น่า
(1) ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมตามข้อบังคับนี้
และเป็นการกระทํา โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจนเป็นเหตุให้บุคคลอื่น
ําห
ต้องได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สิน
(2) เคยถูกลงโทษโดยคําสั่งถึงที่สุดเนื่องจากประพฤติผิดจรรยาบรรณตาม
มาตรา๖๑ แห่งพระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542 แต่ยังประพฤติผิดซ้ําหรือไม่หลาบจํา
มจ

หรือไม่มีความเกรงกลัวต่อการประพฤติผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม
(3) กระทําความผิดในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมตามประมวลกฎหมาย
อาญามาตรา227 หรือมาตรา 269 โดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก
ห้า

(4) กรณี อื่ น ที่ ค ณะกรรมการจรรยาบรรณเห็ น ว่ า เป็ น การประพฤติ ผิ ด


จรรยาบรรณอันจะนํามาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
บทบั ญ ญั ติ ใ นข้ อ นี้ เ ป็ น กฎเกณฑ์ ที่ มี ลั ก ษณะกว้ า งเพื่ อ ให้ ค รอบคลุ ม
พฤติ ก รรมหรื อ ลั ก ษณะการประกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมควบคุ ม ของวิ ศ วกรผู้ ไ ด้ รั บ
ใบอนุ ญ าตให้ ตั้ ง อยู่ บ นพื้ น ฐานของความซื่ อ สั ต ย์ สุ จ ริ ต ยึ ด มั่ น อยู่ ใ นหลั ก ศี ล ธรรม
อันดี มีความภาคภูมิใจในเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพของตนเอง

หมวดจรรยาบรรณ 93
 
จรรยาบรรณข้อนี้เป็นอันตรายอย่างมากต่อการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ของวิศวกรผู้กระทําผิด เนื่องจากวิศวกรผู้ใดที่กระทําผิดจรรยาบรรณข้อนี้ จะมีผลให้
ต้ อ งขาดคุ ณ สมบั ติ ก ารเป็ น สมาชิ ก ของสภาวิ ศ วกร ตามมาตรา 12(4) แห่ ง
พระราชบัญญัติวิศวกรพ.ศ. 2542 และจะมีผลต่อเนื่องให้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ของผู้นั้นสิ้นสุดลงโดยปริยายตามมาตรา 49 วรรคสอง วิศวกรจึงต้องระมัดระวังไม่
ประพฤติผิดจรรยาบรรณข้อนี้
ส่วนการกระทําในลักษณะใดซึ่งอาจถือได้ว่านํามาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติ
ศักดิ์แห่งวิชาชีพนั้นไม่ได้มีการระบุไว้อย่างชัดเจนในที่ใด จึงเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับการ
วิ นิ จ ฉั ย ของคณะกรรมการจรรยาบรรณเป็ น กรณี ๆ ไป แต่ โ ดยทั่ ว ไปสามารถวาง
หลักเกณฑ์อย่างคร่าวๆ ได้ดังนี้
- เป็นการประกอบวิชาชีพที่ทําให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชีวิต
และทรัพย์สินของสาธารณชน
- เป็นการกระทําผิดที่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของวิชาชีพ และความ
ไว้วางใจของสังคมต่อวิชาชีพ
- เป็นการประกอบวิชาชีพในลักษณะที่ผิดศีลธรรมหรือประพฤติชั่วอย่าง


ร้ายแรง น่า
- เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณในฐานความผิดอย่างเดียวกันซ้ําซาก
ไม่หลาบจํา
- เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณในลักษณะเป็นเหตุฉกรรจ์
ําห
- กระทํ า ความผิ ด ในการประกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมตามประมวล
กฎหมายอาญามาตรา 227 หรือมาตรา 269 โดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก
มจ

กรณีศึกษา
จรรยาบรรณข้อ 8 ตามข้อบังคับฯ ปี 2559: ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้อง
ห้า

ปฏิบัติงานตามหลักปฏิบัติและวิชาการ (ตรงกับจรรยาบรรณข้อ 2 ตามข้อบังคับฯ ปี


2543)
วิศวกร ส ได้รับใบอนุญาตระดับสามัญวิศวกร สาขาวิศวกรรมเครื่องกลได้รับ
การว่าจ้างให้ทําการตรวจทดสอบหม้อไอน้ําของโรงงานบริษัท ท โดยได้ลงลายมือชื่อ
รับรองความปลอดภัยในการใช้หม้อไอน้ํา แต่เมื่อเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้
ทําการตรวจสอบความถูกต้องของการตรวจทดสอบความปลอดภัยในการใช้หม้อไอน้ํา
พบว่าวิศวกร ส ไม่ได้ทําการตรวจทดสอบสภาพหม้อไอน้ําด้วยการอัดน้ํา (Hydrostatic

94 หมวดจรรยาบรรณ
Test) จริงตามที่รับรองมาแต่อย่างใด ซึ่งวิศวกร ส ได้รับสารภาพกับคณะกรรมการ
จรรยาบรรณว่าไม่ ได้ ทําการตรวจทดสอบสภาพหม้อไอน้ําด้ วยการอั ดน้ํา เนื่องจาก
เจ้ า หน้ า ที่ โ รงงานไม่ ไ ด้ ห ยุ ด การใช้ ห ม้ อ ไอน้ํ า และถ่ า ยเทความร้ อ นไว้ ก่ อ นล่ ว งหน้ า
24 ชั่วโมง ขณะไปตรวจหม้อไอน้ําจึงยังคงร้อนอยู่ ทําให้ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบ
ภายในได้ การกระทําของวิศวกร ส เป็นการปฏิบัติงานที่ไม่ถูกต้องตามหลักปฏิบัติและ
วิชาการ แต่ได้รับการลดโทษกึ่งหนึ่ง เนื่องจากให้การรับสารภาพอันเป็นประโยชน์ต่อ
การไต่สวนจรรยาบรรณ ประกอบกับหม้อไอน้ําดังกล่าว ยังไม่ได้เกิดความเสียหายอัน
จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสาธารณชนได้ วิศวกร ส จึงถูกลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบ
วิชาชีพวิศวกรรมควบคุม มีกําหนดเวลา 1 ปี
(คําวินิจฉัยคณะกรรมการจรรยาบรรณที่ 4/2546 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2546)
จรรยาบรรณข้อ 7 ตามข้อบังคับฯ ปี 2559: ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้อง
ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบและระมัดระวัง
(ตรงกับจรรยาบรรณข้อ 3 ตามข้อบังคับฯ ปี 2543)
วิศวกร ป ได้รับใบอนุญาตระดับภาคีวิศวกร สาขาวิศวกรรมโยธา ได้ลงลายมือ


ชื่อรับรองสําเนาความถูกต้องของเอกสารใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
น่า
แทนวิ ศ วกรอื่ น ซึ่ ง ทํ า งานร่ ว มกั น โดยพลการ และได้ นํ า เอกสารดั ง กล่ า วไปยื่ น
ประกอบการประมูลงานของหน่วยงานราชการ การกระทํ าของวิศวกร ป เป็ นการ
ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมโดยไม่สุจริต แต่เนื่องจากวิศวกร ป ให้การรับสารภาพ
ําห
และให้ ก ารอัน เป็ น ประโยชน์ ต่ อ การพิ จ ารณาไต่ ส วน จรรยาบรรณ คณะกรรมการ
จรรยาบรรณจึงลดหย่อนโทษให้วิศวกร ป ถูกลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
มจ

วิศวกรรมควบคุม มีกําหนดเวลา 2 ปี
(คําวินิจฉัยคณะกรรมการจรรยาบรรณที่ 12/2547 ลงวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2547)
ห้า

จรรยาบรรณข้อ 11 ตามข้อบังคับฯ ปี 2559: ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม


ต้องไม่โฆษณา หรือยอมให้ผู้อื่นโฆษณา ซึ่งการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
เกินความเป็นจริง (ตรงกับจรรยาบรรณข้อ 6 ตามข้อบังคับฯ ปี 2543)
วิ ศ วกร จ ได้ รั บ ใบอนุ ญ าตระดั บ ภาคี วิ ศ วกร สาขาวิ ศ วกรรมโยธา
ได้ ทํ า ใบปลิ ว โฆษณา โดยระบุ ว่ า รั บ เหมา – ต่ อ เติ ม ทุ ก ชนิ ด ทุ ก ขนาด ด้ ว ยที ม งาน
มืออาชีพ เช่น แก้ปัญหารอยแตกร้าวของโครงสร้าง การทรุดตัวของโครงสร้าง งานปลูก
สร้ างอพาร์ท เม้ นท์ หอพั ก ควบคุม การก่ อ สร้า งด้ วยที ม งานวิศ วกรฯลฯ ซึ่ง เป็ น การ

หมวดจรรยาบรรณ 95
 
โฆษณาให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนมีความรู้ความสามารถที่จะประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
จนเป็นเหตุให้บุคคลภายนอกหลงเชื่อตามข้อความที่ปรากฏในใบโฆษณานั้นและได้
ติดต่อตกลงทําสัญญากับวิศวกร จ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว วิศวกร จ ไม่สามารถทํางาน
วิ ศ วกรรมควบคุ ม บางประเภทตามข้ อ ความที่ ไ ด้ โ ฆษณาไว้ เ นื่ อ งจากเกิ น ความรู้
ความสามารถ และไม่มีทีมงานประจํา บางครั้งต้องไปจ้างวิศวกรผู้อื่นเข้ามาดําเนินการ
แทน กรณีนี้ถือว่าวิศวกร จ ทําการโฆษณาเกินความเป็นจริง แต่เมื่อดูจากเจตนาและ
ประสบการณ์แล้วเห็นว่า วิศวกร จ ได้กระทําไปโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เนื่องจากอายุ
ยังน้อย จึงเห็นสมควรให้ลงโทษสถานเบา โดยการภาคทัณฑ์ วิศวกร จ ไว้ มีกําหนด
ระยะเวลา 1 ปี
(คําวินิจฉัยคณะกรรมการจรรยาบรรณที่ 11/2546 ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546)
จรรยาบรรณข้อ 9 ตามข้อบังคับฯ ปี 2559: ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้อง
ไม่ป ระกอบวิช าชี พ วิ ศ วกรรมเกิน ความสามารถและความเชี่ ย วชาญที่ ต นเองจะ
กระทําได้ (ตรงกับจรรยาบรรณข้อ 7 ตามข้อบังคับฯ ปี 2543)
วิศวกร ส และวิศวกร ม ได้รับใบอนุญาตระดับภาคีวิศวกร สาขาวิศวกรรมโยธา


ได้ทําสัญญารับเหมาซ่อมแซมปรับปรุงอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้น โดยทราบว่าเจ้าของ
น่า
อาคารมิ ไ ด้ ยื่ น ขอรั บ ใบอนุ ญ าตต่ อ เติ ม หรื อ ดั ด แปลงอาคารต่ อ เจ้ า พนั ก งานท้ อ งถิ่ น
ให้ถูกต้องตามกฎหมาย คณะกรรมการจรรยาบรรณพิจารณาแล้วเห็นว่าวิศวกรทั้งสอง
ไม่สามารถออกแบบอาคารพาณิชย์สูงเกิน 3 ชั้นได้ จึงเป็นการประกอบวิชาชีพเกิน
ําห
ความรู้ ค วามสามารถที่ ก ฎหมายกํ า หนด ประกอบกั บ มิ ไ ด้ แ จ้ ง ให้ เ จ้ า ของอาคาร
ดํ า เนิ น การขออนุ ญ าตก่ อ สร้ า งให้ ถู ก ต้ อ งตามกฎหมายเสี ย ก่ อ น จึ ง ให้ ล งโทษพั ก ใช้
มจ

ใบอนุญาตของวิศวกรทั้งสอง มีกําหนดระยะเวลา 1 ปี
(คําวินิจฉัยคณะกรรมการจรรยาบรรณที่ 13/2547 ลงวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2547)
ห้า

จรรยาบรรณข้อ 14 ตามข้อบังคับฯ ปี 2559: ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม


ต้องไม่ละทิ้งงานโดยไม่มีเหตุอันควร (ตรงกับจรรยาบรรณข้อ 8 ตามข้อบังคับฯ ปี
2543)
วิศวกร ข ได้รับใบอนุญาตระดับภาคี สาขาวิศวกรรมโยธา ได้รับควบคุมงาน
ก่อสร้างอาคารสูง 6 ชั้น ขณะก่อสร้างถึงโครงสร้างชั้นที่ 6 โดยได้ทํานั่งร้าน และแบบ
ชั้นหลังคา แล้วเสร็จ โดยขณะเริ่มเทคอนกรีตชั้นหลังคาซึ่งเป็นคานยื่น 6 เมตร และพื้น
อัดแรง (Post Tension) วิศวกร ข มิได้อยู่ควบคุมงานโดยมอบหมายให้หัวหน้าคนงาน

96 หมวดจรรยาบรรณ
เป็นผู้ดูแลแทน ปรากฏว่า นั่งร้านรับน้ําหนักไม่ไหวจึงยุบตัว ทําให้แบบแตกพังลงมา
และคนงานพลัดตกลงมาเสียชีวิตหนึ่งราย ได้รับบาดเจ็บอีกสองราย คณะกรรมการ
จรรยาบรรณพิจารณาแล้วเห็นว่าในวันเกิดเหตุ วิศวกร ข ได้เข้าไปตรวจสอบความ
เรียบร้อยก่อนเทคอนกรีต และอยู่ดูแลจนถึงประมาณเที่ยงวัน วิศวกร ข รู้สึกไม่สบายจึง
ได้กลับไปพักผ่อนที่บ้าน โดยมอบหมายให้หัวหน้าคนงานดูแลแทนนั้น ยังไม่มีน้ําหนัก
เพียงพอที่จะรับฟังได้ เนื่องจากหากวิศวกร ข ไม่สามารถที่จะทําการควบคุมงาน หรือ
จัดให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถในระดับเดียวกัน เข้าควบคุมการก่อสร้างแทน
ตัวเองได้ จะต้องสั่งให้มีการหยุดการก่อสร้างในส่วนโครงการที่สําคัญไว้ก่อน กรณีนี้ถือ
ว่าวิศวกร ข ในฐานะผู้ควบคุมงานได้ละทิ้งงานโครงสร้างที่สําคัญในความรับผิดชอบของ
ตนโดยไม่มีเหตุอันสมควร ประกอบกับมาตรการป้องกันวัตถุตกหล่นและฝุ่นละอองที่
จัดทําไว้นั้นไม่สมบูรณ์ เนื่องจากตามกฎหมายแรงงานและประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่ อง ความปลอดภัย ในการทํางานในสถานที่ที่มีอันตรายจากการตกจากที่สูง วั ส ดุ
กระเด็น ตกหล่นและการพังทลาย กําหนดให้มีการจัดหาตาข่ายและวัสดุที่ช่วยป้องกัน
ความปลอดภัยไว้ตลอดเวลา ซึ่งหากสถานที่เกิดเหตุยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ วิศวกร ข
ก็ไม่อาจที่จะละเลยความปลอดภัยในการทํางานโดยการถอดอุปกรณ์ป้องกันความ


ปลอดภัยออก เพื่อตระเตรียมการก่อสร้างถนนชั้นล่าง ตามที่กล่าวอ้างได้แต่อย่างใด จึง
น่า
เห็ น สมควรให้ ล งโทษพั ก ใช้ ใ บอนุ ญ าตของวิ ศ วกร ข โดยมี กํ า หนดระยะเวลา 1 ปี
6 เดือน
ําห
(คําวินิจฉัยคณะกรรมการจรรยาบรรณที่ 2/2548 ลงวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2548)
จรรยาบรรณข้อ 18: ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่รับทํางาน หรือ
มจ

ตรวจสอบงานชิ้นเดียวกันกับที่ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมอื่นทําอยู่ เว้นแต่
เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ หรือเป็นความประสงค์ของเจ้าของงานและได้แจ้งเป็นลาย
ลั ก ษณ์ อั ก ษรให้ ผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมควบคุ ม อื่ น นั้ น ทราบล่ ว งหน้ า แล้ ว
ห้า

(ตรงกับจรรยาบรรณข้อ 12 ตามข้อบังคับฯ ปี 2543)


วิศวกร จ ได้รับใบอนุญาตระดับสามัญวิศวกร สาขาวิศวกรรมโยธา ได้รับงาน
ออกแบบโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ให้กับบริษัทแห่งหนึ่ง โดยก่อนรับงานได้เดินทางไปดู
สถานที่ก่อสร้างและพบว่าได้มีการตอกเสาเข็มไปบางส่วนแล้วประมาณร้อยละ 40 ซึ่ง
ส่วนใหญ่จะเป็นเข็มกลุ่ม จึงคาดว่าน่าจะมีผู้ออกแบบก่อนแล้ว และได้แจ้งให้ผู้ว่าจ้าง
ดําเนินการแจ้งให้ผู้ออกแบบเดิมทราบก่อน ต่อมาได้รับใบสั่งงานจากผู้ว่าจ้าง จึงเข้าใจ
ว่าผู้ว่าจ้างได้แจ้งให้ผู้ออกแบบเดิมทราบแล้ว วิศวกร จ จึงได้ทําการออกแบบตามที่
ได้รับการว่าจ้าง โดยมิได้ติดตามทวงถามว่าผู้ว่าจ้างได้แจ้งให้ผู้ออกแบบเดิมทราบก่อน
หมวดจรรยาบรรณ 97
 
แล้วหรือไม่ จึงเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เพราะวิศวกร จ ยังคงมีหน้าที่ต้องติดต่อ
ประสานงานไปยังวิศวกรผู้ออกแบบเดิมก่อน เพื่อให้รับทราบล่วงหน้าถึงการเข้ามารับ
งานของตน คณะกรรมการจรรยาบรรณจึงเห็นควรให้ลงโทษตักเตือนวิศวกร จ ให้ใช้
ความระมัดระวังในการประกอบวิชาชีพให้มากกว่าเดิม
(คําวินิจฉัยคณะกรรมการจรรยาบรรณที่ 7/2547 ลงวันที่ 12กรกฎาคม พ.ศ. 2547)
วิธีพิจารณาและวินิจฉัยจรรยาบรรณ
1. ขั้นตอนการดําเนินคดีจรรยาบรรณ
มาตรา 51 แห่ง พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542 ระบุให้บุคคล
ดังต่อไปนี้
- ผู้ได้รับความเสียหายหรือพบการประพฤติผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
วิ ศ วกรรมของผู้ ไ ด้ รั บ ใบอนุ ญ าตมี สิ ท ธิ ก ล่ า วหาโดยทํ า เรื่ อ งยื่ น ต่ อ
สภาวิศวกร
- กรรมการสภาวิศวกรหรือบุคคลอื่นมีสิทธิกล่าวโทษผู้ประกอบวิชาชีพ


วิศวกรรมควบคุมโดยแจ้งเรื่องต่อสภาวิศวกร
น่า
กระบวนการด้านจรรยาบรรณ สามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้
 เมื่อสภาวิศวกรโดยเลขาธิการสภาวิศวกร ได้รับเรื่องการกล่าวหาหรือ
ําห
กล่าวโทษแล้ว เลขาธิการสภาวิศวกรจะส่ งเรื่องให้ คณะกรรมการจรรยาบรรณเพื่อ
พิจารณาและวินิจฉัย
 เมื่อคณะกรรมการจรรยาบรรณได้รับเรื่องการกล่าวหาหรือกล่าวโทษ
มจ

จากเลขาธิ ก ารสภาวิ ศ วกรแล้ ว จะส่ ง เรื่ อ งให้ ค ณะอนุ ก รรมการกลั่ น กรองเพื่ อ หา


ข้อเท็จจริงรวมทั้งพยานหลักฐานเพิ่มเติมที่จําเป็นต่อการพิจารณา
- หากคณะอนุ กรรมการกลั่นกรองเห็นว่าข้อกล่าวหาใดเข้าข่ าย
ห้า

การประพฤติผิดจรรยาบรรณจะเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการจรรยาบรรณเพื่อ
พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน และ
- หากเห็นว่าข้อกล่าวหาใดไม่เข้าข่ายการประพฤติผิดจรรยาบรรณ
หรือไม่มีมูลอันควรได้รับการพิจารณา จะเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการจรรยาบรรณ
เพื่อพิจารณา
 ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร จ ร ร ย า บ ร ร ณ จ ะ พิ จ า ร ณ า ค ว า ม เ ห็ น ข อ ง
คณะอนุกรรมการกลั่นกรองโดย
98 หมวดจรรยาบรรณ
- ข้อกล่าวหาใดที่เห็นว่าไม่เข้าข่ายการประพฤติผิดจรรยาบรรณ
หรื อ ไม่ มี มู ล อั น ควรได้ รั บ การพิ จ ารณา ก็ จ ะยุ ติ เ รื่ อ งและมี ห นั ง สื อ แจ้ ง เลขาธิ ก าร
สภาวิศวกร
- ข้อกล่าวหาใดที่เข้าข่ายการประพฤติผิดจรรยาบรรณหรือมีมูล
อันควรได้รับการพิจารณา จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง
และทําความเห็นเสนอต่อคณะกรรมการจรรยาบรรณเพื่อวินิจฉัย
 ข้ อ กล่ า วหาใดที่ ค ณะกรรมการจรรยาบรรณ พิ จ ารณาแล้ ว เห็ น ว่ า
ไม่เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณจะวินิจฉัยให้ยกข้อกล่าวหา ส่วนข้อกล่าวหาใดที่
เข้าข่ายเป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณจะวินิจฉัยชี้ขาดให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ตาม
ความหนักเบาของการกระทําผิดดังนี้
- ตักเตือน
- ภาคทัณฑ์
- พักใช้ใบอนุญาตฯ ไม่เกิน 5 ปี
- เพิกถอนใบอนุญาตฯ


คําวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการจรรยาบรรณ มีผลใช้บังคับนับแต่วันที่
ผู้ถูกกล่าวหาได้รับแจ้งคําวินิจฉัยชี้ขาด
น่า
2. อายุความในการกล่าวหาหรือกล่าวโทษ
ําห
มาตรา 51 วรรค 3 แห่ง พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ.2542 ได้ระบุให้สิทธิ
การกล่าวหาของผู้ได้รับความเสียหายหรือสิทธิในการกล่าวโทษ ของกรรมการหรือ
บุคคลอื่นสิ้นสุดเมื่อพ้นกําหนด 1 ปี นับแต่
มจ

 วันที่รู้เรื่องการประพฤติผิดจรรยาบรรณและ
 รู้ตัวผู้ประพฤติผิด
ห้า

3. สิทธิของผู้ถูกกล่าวหา
ในกระบวนการพิจารณาและวินิจฉัยจรรยาบรรณ ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิที่จะ
ได้รับการพิจารณาอย่างยุติธรรมโดย
 มี สิ ทธิ ในการคั ดค้ านการแต่ งตั้ ง อนุ กรรมการไต่ สวน หากเห็ นว่ า
อนุกรรมการฯ ผู้นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างหนึ่งอย่างใดในกรณีดังนี้
- เป็นผู้มีส่วนได้เสียในข้อกล่าวหา
- เป็นผู้มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ถูกกล่าวหา
หมวดจรรยาบรรณ 99
 
 มีสิทธิในการนําทนายความหรือที่ปรึกษามาร่วมในการไต่สวน
 มีสทิ ธิในการอุทธรณ์คําวินิจฉัยของคณะกรรมการจรรยาบรรณ

 การอุทธรณ์คําวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการจรรยาบรรณ
ผู้ ถู ก กล่ า วหาที่ ค ณะกรรมการจรรยาบรรณมี คํ า วิ นิ จ ฉั ย ชี้ ข าดว่ า
ประพฤติ ผิ ด จรรยาบรรณฯ หากไม่ เ ห็ น ด้ ว ยกั บ คํ า วิ นิ จ ฉั ย ชี้ ข าดมี สิ ท ธิ อุ ท ธรณ์ ต่ อ
คณะกรรมการสภาวิศวกร ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคําวินิจฉัยอุทธรณ์ แต่การ
อุ ท ธรณ์ จ ะไม่ เ ป็ น การทุ เ ลาการบั ง คั บ ตามคํ า วิ นิ จ ฉั ย ชี้ ข าดของคณะกรรมการ
จรรยาบรรณ เว้นแต่คณะกรรมการสภาวิศวกรจะมีมติให้ทุเลา
คํ า วิ นิ จ ฉั ย ชี้ ข าดของคณะกรรมการสภาวิ ศ วกรถื อ เป็ น ที่ สุ ด ตาม
พระราชบัญญั ติวิศวกร พ.ศ.2542 แต่หากผู้ถูกกล่าวหายังไม่เห็นด้วยกับคําวินิจฉัย
อุทธรณ์ของคณะกรรมการสภาวิศวกรยังสามารถฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ภายใน 90 วัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคําสั่งของคณะกรรมการสภาวิศวกร
การประกอบวิชาชีพต้องถูกต้องตามกฎหมายและจรรยาบรรณ


วิศวกรนั้น ในสถานะหนึ่งเป็นบุคคลธรรมดา เป็นวิญญูชน ดังนั้นในสถานะที่
น่า
เป็นประชาชนคนหนึ่ง วิศวกรต้องปฏิบัติตนอย่างถูกต้องตามกฎหมายเช่นเดียวกับวิญญู
ชนทั่วไป แต่ในการประกอบวิชาชีพหากเกิดความผิดพลาดเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
กระบวนการยุติธรรมจะถือว่าผู้ประกอบวิชาชีพย่อมต้องมีความรู้ ความสามารถที่ได้รับ
ําห
การอบรมมาเป็นพิเศษเป็นการเฉพาะ จึงมีความรู้ความสามารถสูงยิ่งกว่าวิญญูชนทั่วไป
ระดับของความระมัดระวังในการประกอบวิชาชีพ จึงต้องสูงกว่าวิญญูชนทั่วไปด้วย
ดังนั้นการกระทําผิดพลาดในลักษณะหนึ่ง ประชาชนทั่วไปที่ทําผิดย่อมต้องได้รับโทษใน
มจ

ระดับที่เหมาะสม แต่ในความผิดพลาดอย่างเดียวกัน หากกระทําโดยผู้ประกอบวิชาชีพ


ผู้ประกอบวิชาชีพอาจต้องถูกลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรงกว่าวิญญูชนทั่วไป รวมทั้ง
ห้า

โอกาสที่จะได้รับการลดหย่อนโทษย่อมต้องน้อยกว่าวิญญูชนทั่วไปด้วย
ในสถานะที่ เ ป็ น วิ ศ วกร ผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ ยั ง ต้ อ งถู ก บั ง คั บ เพิ่ ม เติ ม กว่ า
ประชาชนทั่ ว ไป ด้ ว ยจรรยาบรรณแห่ ง วิ ช าชี พ สํ า หรั บ วิ ศ วกรหากกระทํ า ผิ ด
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม อาจถูกลงโทษทางจรรยาบรรณ โดยความผิดขั้น
ร้ายแรง อาจถูกลงโทษพักใช้ใบอนุญาตสูงสุดถึง 5 ปี หรือร้ายแรงที่สุด อาจถูกเพิกถอน
ใบอนุญาตได้

100 หมวดจรรยาบรรณ
ประกอบวิชาชีพอย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย
1. ประมวลกฎหมายอาญาที่เกีย่ วกับการประกอบวิชาชีพ
ประมวลกฎหมายอาญาได้ระบุความผิดเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพไว้หลาย
มาตรา การประกอบวิชาชีพวิศวกรรมก็อยู่ในบังคับของมาตราต่างๆ เหล่านี้เช่นเดียวกับ
วิชาชี พอื่ น ผู้ก ระทํ า ความผิ ดย่ อมอาจได้ รับโทษปรั บหรือ จํา หรือทั้ งปรั บ และจํ า ได้
ในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม วิศวกรจึงต้องระมัดระวังมิให้ประพฤติผิดกฎหมาย
อาญาในมาตราต่างๆ ดังนี้
มาตรา 227 ผู้ใ ดมี วิช าชี พ ในการออกแบบ ควบคุ ม หรื อทํ า การก่ อสร้ า ง
ซ่อมแซมหรือรื้อถอน อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการ
อันพึงกระทําการนั้นๆ โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่น ต้อง
ระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ความผิ ด ตามมาตรา 227 นี้ ไ ม่ จํ า เป็ น ต้ อ งรอให้ อั น ตรายเกิ ด ขึ้ น ก่ อ น
แค่ปรากฏ น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นถือว่าผิดแล้ว ยกตัวอย่าง
 วิศวกรที่ออกแบบอาคารโดยมุ่งเน้นให้มีราคาค่าก่อสร้างถูกที่สุด โดย


ไม่คํานึงถึงอันตรายหรือความปลอดภัยของอาคารที่อาจเกิดแก่ผู้ใช้อาคาร
 วิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้างที่ไม่ควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตาม
น่า
มาตรฐานลดคุณภาพของวัสดุหรือลดขนาดขององค์อาคาร
 วิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้างที่ก่อสร้างผิดไปจากแบบ
ําห
 วิศวกรผู้ควบคุมงานที่ไม่ใส่ใจในการตรวจตราความมั่นคงแข็งแรงของ
นั่งร้านและค้ํายันจน “น่าจะเป็นเหตุ” ให้การก่อสร้างหรืออาคารไม่ปลอดภัย อาจถูก
ลงโทษสูงสุดถึงจําคุกเป็นเวลา 5 ปี
มจ

มาตรา 238 ถ้าการกระทําความผิดตามมาตรา 226 – 237 เป็นเหตุให้บุคคล


อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุกตลอดชีวิต หรือจําคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี
ห้า

และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
ถ้าเป็นเหตุให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่
หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท
ดังนั้น หากเป็นกรณีที่ผู้ประกอบวิชาชีพไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ หรือวิธีการ
อันพึงกระทํา และการกระทํานั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่น ได้รับอันตรายสาหัส อาจต้อง
ระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี ยิ่งหากการกระทํานั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่น ถึงแก่
ความตาย ต้องระวางโทษจําคุกตลอดชีวิต หรือจําคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปี และปรับ
10,000 ถึง 40,000 บาท
หมวดจรรยาบรรณ 101
 
มาตรา 269 ผู้ใดในการประกอบการงานในวิชาชีพแพทย์ กฎหมาย บัญชี
หรือวิชาชีพอื่นใด ทําคํารับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความ
เสี ย หายแก่ ผู้ อื่ น หรื อ ประชาชน ต้ อ งระวางโทษจํ า คุก ไม่ เกิ น สองปี หรื อ ปรั บ ไม่ เ กิ น
สี่พันบาทหรือทั้งจําทั้งปรับผู้ใดโดยทุจริตใช้หรืออ้างคํารับรองอันเกิดจากการกระทํา
ความผิดตามวรรคแรกต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
ผู้ประกอบวิชาชีพหากไปรับรองเรื่องใดโดยทําเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ โดยที่
น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ก็อาจต้องได้รับโทษสูงสุดจําคุกไม่เกิน
2 ปี ตามมาตรา 269
วิศวกร จึงต้องประกอบวิชาชีพด้วยความระมัดระวังยิ่งกว่าวิญญูชนทั่วไป
หรืออาชีพอื่น โดยทั่วไปหากวิศวกรระมัดระวังปฏิบัติวิชาชีพอย่างถูกหลักปฏิบัติและ
วิชาการ และประพฤติตัวเป็นคนดี มีศีลธรรม มีอริยธรรม ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการ
กระทําผิดทางอาญาได้

2. ข้อสันนิษฐานของกฎหมาย
กฎหมายบางฉบั บ ได้ ร ะบุ ข้ อ สั น นิ ษ ฐานว่ า ในการกระทํ า ผิ ด กฎหมายของ


ผู้ประกอบการหรือผู้ดําเนินงาน ให้ถือว่าวิศวกรที่เกี่ยวข้องกระทําผิดด้วย และต้องได้รับ
น่า
โทษทางอาญาเช่นเดียวกับผู้ประกอบการหรือผู้ดําเนินการ ยกตัวอย่าง
 พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
มาตรา 61 ในกรณี ที่ ผู้ ป ระกอบกิ จ การโรงงานกระทํ า ความผิ ด ตาม
ําห
พระราชบั ญ ญั ติ นี้ ใ ห้ ถื อ ว่ า สถาปนิ ก หรื อ วิ ศ วกรที่ ทํ า งานในโรงงานและมี ห น้ า ที่
รับผิดชอบในการงานส่วนที่มีกรณีการกระทําความผิดนั้นเกิดขึ้น มีส่วนร่วมหรือ
มจ

รู้เห็นในการกระทําความผิดกับผู้ประกอบกิจการโรงงานและต้องรับโทษเช่นเดียวกับผู้
ประกอบกิ จการโรงงาน เว้ นแต่ จะพิสู จน์ได้ว่าตนมิได้รู้ เห็นหรื อยินยอมด้วยกับการ
กระทําความผิดนั้นนอกจากต้องรับโทษตามวรรคหนึ่งแล้วให้ปลัดกระทรวงแจ้งชื่อและ
ห้า

การกระทําของบุคคลเช่นว่านั้นให้แก่สภาวิศวกร และสภาสถาปนิกทราบเพื่อพิจารณา
ดํ า เนิ น การตามกฎหมายว่ า ด้ ว ยวิ ช าชี พ สถาปั ต ยกรรมหรื อ กฎหมายว่ า ด้ ว ยวิ ช าชี พ
วิศวกรรมตามควรแก่กรณีต่อไป
ดังนั้น วิศวกรที่ทํางานในโรงงาน จึงต้องระมัดระวังศึกษาข้อห้ามต่างๆ ทาง
กฎหมาย หากพบเห็นการกระทําผิดกฎหมายของโรงงานในงานที่คนมีหน้าที่รับผิดชอบ
อยู่ ต้ องรีบแจ้งอย่ างเป็นหลักฐานให้ผู้ประกอบกิจการแก้ไข หากผู้ประกอบกิจการ
ไม่แก้ไข เพื่อความปลอดภัยของตัววิศวกรเองควรหางานใหม่

102 หมวดจรรยาบรรณ
 พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522
มาตรา 31 ห้ามมิให้ผู้ใดจัดให้มีหรือดําเนินการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน
หรือเคลื่อนย้ายอาคารให้ผิดไปจากแผนผังบริเวณ แบบแปลน และรายการประกอบ
แบบแปลนที่ได้รับอนุญาต ตลอดจนวิธีการหรือเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นกําหนดไว้
ในใบอนุญาต หรือให้ผิดไปจากที่ได้แจ้งไว้ตามมาตรา 39 ทวิ เว้นแต่
1. เจ้ า ของอาคารนั้ น ได้ ยื่ น คํ า ขออนุ ญ าตและได้รั บ ใบอนุญ าตจาก
เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
2. เจ้ า ของอาคารนั้ น ได้แ จ้ งการแก้ไ ขเปลี่ ยนแปลงให้ เจ้ า พนั ก งาน
ท้องถิ่นทราบแล้ว หรือ
3. การดําเนินการดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎกระทรวงหรือข้อบัญญัติท้องถิ่น
ที่เกี่ยวข้อง หรือเป็นกรณีตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
ให้นํามาตรา 25 หรือมาตรา 39 ทวิ มาใช้บังคับแก่การดําเนินการตาม
1. หรือ 2. แล้วแต่กรณี โดยอนุโลม
ในกรณีที่มีการก่อสร้าง ดัดแปลงรื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคาร เป็น
การฝ่าฝืนความในวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นการกระทําของผู้ควบคุมงาน เว้นแต่ผู้ควบคุม


งานจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทําของผู้อื่นซึ่งผู้ควบคุมงานได้มีหนังสือแจ้งข้อทักท้วง
น่า
การกระทําดั งกล่าวให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร และผู้ดําเนินการทราบแล้ว
แต่บุคคลดังกล่าวไม่ยอมปฏิบัติตาม
ําห
วิ ศ วกรผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ สาขาวิ ศ วกรรมโยธาจํ า นวนมาก จะทํ า งานใน
ลักษณะของผู้ควบคุมงานก่อสร้าง และงานก่อสร้างโดยมากเมื่อตัวอาคารปรากฏเป็นรูป
เป็ นร่างขึ้นมา เจ้ าของและผู้ ดําเนินการจะมองเห็นการใช้งานอาคารในอนาคตเมื่อ
มจ

อาคารก่อสร้างเสร็จได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ชัดเจนกว่าในขณะออกแบบซึ่งดูรูปร่างอาคารได้แต่
เฉพาะจากแบบแปลน จึงมักเกิดความประสงค์ที่จะดัดแปลง ต่อเติม ฯลฯ ให้ผิดไปจาก
ที่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้าง แต่มาตรา 31 ของกฎหมายอาคารระบุห้ามก่อสร้างให้ผิดไป
ห้า

จากแบบ และในวรรคสองยังระบุใ ห้การก่ อสร้างที่ผิดไปจากแบบเป็นความผิดของ


ผู้ควบคุมงานด้วย วิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้างจึงต้องระมัดระวัง ด้วยการอยู่หน้างาน
ควบคุมการก่อสร้างของผู้รับเหมาอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา หากพบเห็นการก่อสร้างที่ผิด
ไปจากแบบต้องสั่ง ห้า มและแนะนํ าให้แ ก้ ไขแบบพร้ อมขออนุ ญาตจากเจ้ าพนัก งาน
ท้องถิ่นให้ถูกต้องเสียก่อน โดยสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน

หมวดจรรยาบรรณ 103
 
3. ประกอบวิชาชีพอย่างไรไม่ให้ผิดจรรยาบรรณ
วิศวกรซึ่งเพิ่งจะเข้าสู่วิชาชีพวิศวกรรม หากไม่ระมัดระวังในการประกอบ
วิชาชีพมีโอกาสที่จะพลาดพลั้งกระทําผิดจรรยาบรรณอย่างไม่ตั้งใจและอาจต้องรับโทษ
โดยไม่สมควรจะต้องรับโทษ แต่อาจหลีกเลี่ยงได้หากระมัดระวัง เนื้อหาต่อไปนี้จึงได้
รวบรวมข้อพึงระวังในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม ซึ่งคณะกรรมการจรรยาบรรณ
สภาวิศวกรพบเห็นอย่างเสมอ สมควรที่วิศวกรซึ่งเพิ่งจะก้าวเข้าสู่วิชาชีพนี้ได้ระมัดระวัง
เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทําผิด
3.1 ข้อควรระวังสําหรับวิศวกรผู้ประกอบวิชาชีพด้านควบคุมงาน
ผู้ควบคุมงานต้องอยู่หน้างานตลอดเวลาที่มีการก่อสร้างนอกเหนือจากการ
ที่ผู้ควบคุมงานต้องคุมงานใกล้ชิด เพื่อควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบ หลีกเลี่ยง
โอกาสที่ อ าจถู ก ลงโทษตามกฎหมายจากข้ อ สั น นิ ษ ฐานของกฎหมายแล้ ว สถานที่
ก่อสร้างยังเป็นสถานที่อันตราย อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ตั้งแต่อุบัติเหตุเล็กน้อย
เช่น คนงานถูกตะปูตําเท้า ถูกของมีคมบาด ไปจนถึงงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ
ผู้ควบคุมงาน เช่น การพังทลายของนั่งร้าน การพังทลายของโครงสร้างที่มีการค้ํายัน
ไม่เพียงพอ หากอุบัติเหตุเหล่านี้เกิดในขณะที่ผู้ควบคุมงานไม่อยู่หน้างาน อาจเป็น


ความผิดด้านจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพในฐานละทิ้งงานที่ได้รับทําโดยไม่มีเหตุ
น่า
อันควรได้
วิศวกรที่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมงานจึงควรระมัดระวังในเรื่องต่อไปนี้
 ต้องอยู่ควบคุมงานที่หน้างานตลอดเวลาที่มีการก่อสร้าง หากมีเหตุ
ําห
จําเป็นที่ไม่สามารถอยู่ควบคุมงานต้องหาผู้มีคุณสมบัติเทียบเท่ามาทําหน้าที่ควบคุมงาน
แทน
 วิศวกรที่รับงานควบคุมการก่อสร้างหลายแห่งในขณะเดียวกัน ย่อม
มจ

เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ควบคุมงานที่ใดที่หนึ่งตลอดเวลาได้ หากต้องการรับงานหลายแห่ง
ในขณะเดียวกัน ต้องหาผู้ช่วยที่มีคุณสมบัติเทียบเท่าอยู่ประจําในแต่ละแห่งตลอดเวลา
ห้า

 วิ ศ วกรที่ เ ป็ น ข้ า ราชการประจํ า ไม่ ส ามารถไปรั บ งานควบคุ ม การ


ก่อสร้างเป็นงานอดิเรกได้ เพราะหากต้องไปควบคุมงานก่อสร้างนอกที่ทําการจะเป็น
การเบี ย ดบั ง เวลาการทํ า งานของราชการ ซึ่ ง เป็น การประพฤติผิ ด ระเบี ย บของทาง
ราชการ แต่หากไม่สามารถไปควบคุมงาน ณ สถานที่ก่อสร้าง ก็อาจเป็นการประพฤติผิด
จรรยาบรรณวิศวกร รวมทั้งอาจเป็นการผิดกฎหมายตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้
 การลาออกจากการเป็ น ผู้ ค วบคุ ม งานต้ อ งแจ้ ง ต่ อ เจ้ า พนั ก งาน
ท้องถิ่นเสมอ

104 หมวดจรรยาบรรณ
เมื่อเจ้าของอาคารได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อน
เริ่มลงมือก่อสร้างต้องแจ้งชื่อผู้ควบคุมงานและยื่นหนังสือยินยอมของผู้ควบคุมงานต่อ
เจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงจะเริ่มลงมือก่อสร้างได้ และในระหว่างก่อสร้างหากผู้ควบคุมงาน
ต้องการลาออกจากการควบคุมงาน ต้องแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ
และการก่อสร้างต้องหยุดจนกว่าจะได้มีหนังสือแจ้งชื่อและหนังสือแสดงความยินยอม
ของผู้ควบคุมงานคนใหม่ให้แก่เจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงจะเริ่มลงมือก่อสร้างต่อไปได้
วิศ วกรโดยมากมั ก ไม่ท ราบข้อ กฎหมายนี้ หากจะลาออกจากการเป็ น
ผู้ควบคุมงาน มักจะทําแค่แจ้งเจ้าของอาคารแล้วออกจากงานไปปฏิบัติงานอื่นเลย โดย
ไม่ ไ ด้ ต ระหนั ก ว่ า ความผู ก พั น ในฐานะผู้ ค วบคุ ม งานตามกฎหมายยั ง คงอยู่
ความรับผิดชอบในฐานะผู้ควบคุมงานจะยังคงอยู่จนกว่าจะได้แจ้งเป็นหนังสือบอกเลิก
การเป็นผู้ควบคุมงานกับเจ้าพนักงานท้องถิ่นเท่านั้น

3.2 ข้อควรระวังสําหรับวิศวกรใหม่
วิศวกรจบใหม่ซึ่ งเพิ่งจะเข้าสู่วิชาชีพวิศวกรรม ต้ องมีความระมั ดระวัง
ในการประกอบวิชาชีพมากเป็นพิเศษ เพราะยังไม่รู้กฎ ระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ


ประกอบวิชาชีพ ทําให้ขาดความระมัดระวังอย่างเพียงพอ หรืออาจผิดพลาดอย่างไม่
น่า
ตั้งใจ จึงขอสรุปข้อควรระวังสําหรับวิศวกรใหม่ดังต่อไปนี้
 ไม่ประกอบวิชาชีพเกินความสามารถและความเชี่ยวชาญที่ตนเอง
ําห
จะกระทําได้
วิชาชีพวิศวกรรมเป็นวิชาชีพที่ต้องพึ่งประสบการณ์มากยิ่งกว่าวิชาชีพอื่น
การขาดประสบการณ์ ยั ง อาจทํ า ให้ ก ารทํ า งานผิ ด พลาด ก่ อ ให้ เ กิ ด อั น ตรายต่ อ
มจ

สาธารณชนได้ พระราชบัญญัติวิศวกรจึงควบคุมระดับความสามารถที่วิศวกรจะทําได้
โดยควบคุ ม ตามประสบการณ์ โดยปกติ วิ ศ วกรที่ เ พิ่ ง จบการศึ ก ษามาใหม่ ยั ง มี
ห้า

ประสบการณ์ในการประกอบวิชาชีพไม่มากก็จะให้ปฏิบัติวิชาชีพในระดับภาคีวิศวกรที่
หากผิ ด พลาดจะไม่ ก่ อ ให้ เ กิด อั น ตรายร้า ยแรงต่ อ สาธารณชนมาก ต่ อ เมื่ อ ประกอบ
วิชาชีพจนมีประสบการณ์มากพอก็จะให้เลื่อนระดับเป็นสามัญวิศวกร สามารถประกอบ
วิชาชีพได้ทุกงานทุกขนาดยกเว้นงานให้คําปรึกษา ซึ่งเป็นระดับที่ต้องอาศัยความรู้ความ
เชี่ ยวชาญและประสบการณ์สูงมากเป็นพิเศษ ในการให้ความเห็ นหรือรับรองความ
ปลอดภัย จะสงวนไว้เฉพาะสําหรับระดับวุฒิวิศวกร
ดังนั้นวิศวกรจะต้องศึกษา “ข้อบังคับสภาวิศวกร ว่าด้วยหลักเกณฑ์และ
คุณสมบัติของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมแต่ละระดับ พ.ศ.2551 ควบคู่กับ
หมวดจรรยาบรรณ 105
 
กฎกระทรวงกําหนดสาขาวิชาชีพวิศวกรรมและวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม พ.ศ.2550”
ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงงานและระดับของงานที่กฎหมายกําหนดให้ทําได้ การทํางานที่
เกิ น กว่ า กฎหมายอนุ ญ าตเป็ น การประพฤติ ผิ ด จรรยาบรรณและอาจถู ก ลงโทษได้
โดยทั่วไปสามารถสรุปข้อผิดพลาดที่พบเสมอๆ ได้ดังต่อไปนี้
 ภาคี วิ ศ วกร สาขาวิ ศ วกรรมโยธา ไม่ ส ามารถออกแบบอาคาร
สาธารณะได้
ข้ อ บั ง คั บ สภาวิ ศ วกร ว่ า ด้ ว ยหลั ก เกณฑ์ แ ละคุ ณ สมบั ติ ข องผู้ ป ระกอบ
วิชาชีพวิศวกรรมควบคุมแต่ละระดับ สาขาวิศวกรรมโยธา พ.ศ.2551 ข้อ 6(1) ก. ระบุ
ให้ ภ าคี วิศ วกรโยธาสามารถออกแบบคํ า นวณอาคารที่มี ค วามสู งไม่เกิ น 4 ชั้ น หรื อ
โครงสร้างของอาคารที่ชั้นใดชั้นหนึ่งมีความสูงไม่เกิน5 เมตรฯลฯ ทําให้วิศวกรจํานวน
มากเข้าใจผิดหลงไปว่า อาคารอะไรก็ตามหากมีความสูงไม่เกิน 4 ชั้นแล้ว ภาคีวิศวกร
สามารถจะออกแบบได้ ซึ่ ง เป็ น การเข้ า ใจผิ ด เนื่ อ งจากคํ า ว่ า อาคารในข้ อ บั ง คั บ ฯ
ดังกล่าว อ้างอิงตามกฎกระทรวงกําหนดสาขาวิชาชีพวิศวกรรมและวิชาชีพวิศวกรรม
ควบคุม พ.ศ. 2550 ซึ่งไม่ได้หมายความรวมถึงอาคารสาธารณะ ดังนั้น ภาคีวิศวกรสาขา
วิศวกรรมโยธาจึงไม่สามารถออกแบบอาคารสาธารณะได้ ไม่ว่าอาคารสาธารณะนั้นจะมี


ความสูงแค่ 1 ชั้น, 2 ชั้น, 3 ชั้น หรือ 4 ชั้นก็ตาม สําหรับคําว่า “อาคารสาธารณะ” นั้น
น่า
อ้างอิงตามกฎกระทรวงฉบับที่ 22 (พ.ศ.2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุม
อาคาร พ.ศ. 2522
อาคารสาธารณะ หมายความว่ า อาคารที่ ใ ช้ เ พื่ อ ประโยชน์ ใ น
ําห
การชุมนุมคนได้โดยทั่วไป เพื่อกิจกรรมทางราชการ การเมือง การศึกษา การศาสนา
การสังคม การนันทนาการ หรือการพณิชยกรรม เช่น โรงมหรสพ หอประชุม โรงแรม
โรงพยาบาล สถานศึ ก ษา หอสมุ ด สนามกี ฬ ากลางแจ้ ง สนามกี ฬ าในร่ ม ตลาด
มจ

ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า สถานบริการ ท่าอากาศยาน อุโมงค์ สะพาน อาคารจอดรถ


สถานีรถ ท่าจอดเรือ โป๊ะจอดเรือ สุสาน ฌาปนสถาน ศาสนสถาน เป็นต้น จะเห็นได้ว่า
ห้า

อาคารสาธารณะมี ค วามหมายที่กว้ า งขวางมาก และหมายความรวมถึง อาคารเพื่ อ


กิจกรรมทางพาณิชยกรรมรวมทั้งสถานบริการ ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปใช้งาน
ได้
 ภาคีวิศวกรสาขาวิศวกรรมเครื่องกลกับการตรวจสอบปั้นจั่น
ภาคี วิ ศ วกรสาขาวิ ศ วกรรมเครื่ อ งกลสามารถพิ จ ารณาตรวจสอบ
เครื่ อ งจั ก รกลที่ มี ข นาดรวมกั น ไม่ เ กิ น 100 กิ โ ลวั ต ต์ ต่ อ เครื่ อ ง ดั ง นั้ น ก่ อ นทํ า การ
ตรวจสอบจึงต้องรู้ให้ได้เสียก่อนว่าปั้นจั่นที่จะทําการตรวจสอบมีขนาดเท่าใด โดยทั่วไป

106 หมวดจรรยาบรรณ
ปั้นจั่นมักจะใช้เพื่อการยกวัสดุขนาดใหญ่จึงมีกําลังมาก หากไม่ตรวจสอบให้แน่ชัดอาจ
เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณเนื่องจากประกอบวิชาชีพเกินความสามารถได้
 ภา คี วิ ศ ว ก ร ส า ข า วิ ศ ว ก ร ร ม เ ค รื่ อ ง ก ล กั บ ก า ร ต ร ว จ ส อ บ
การติดตั้งถังก๊าซ CNG / LPG
ปั จ จุ บั น รั ฐ บาลสนั บ สนุ น ให้ ป ระชาชนใช้ ก๊ า ซเป็ น เชื้ อ เพลิ ง กั บ รถยนต์
ซึ่งก๊าซเชื้อเพลิงเหล่านี้ต้องอยู่ภายใต้ความดันสูงมากจนอยู่ในสถานะที่เป็นของเหลว
การรั่วไหลของก๊าซเป็นอันตรายเพราะอาจเกิดการลุกไหม้ได้ง่าย กรมการขนส่งทางบก
ได้กําหนดให้ผู้ตรวจสอบการติดตั้งถังก๊าซ CNG / LPG ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
- ต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม สาขา
วิศวกรรมเครื่องกลระดับสามัญวิศวกรขึ้นไป และ
- ได้รับความเห็นชอบการเป็นผู้ตรวจและทดสอบ การติดตั้งส่วนควบ
และเครื่องอุปกรณ์สําหรับรถที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงจากกรมการขนส่งทางบก
ภาคีวิศวกรสาขาวิศวกรรมเครื่องกลส่วนใหญ่ไม่ทราบข้อบังคับนี้ หากไป
เซ็นรับการตรวจสอบการติดตั้งถังก๊าซให้กับร้านติดตั้งถังก๊าซ จะเป็นการประพฤติผิด


จรรยาบรรณในข้อประกอบวิชาชีพเกินความสามารถที่ตนเองจะกระทําได้

วิศวกรรม
น่า
 การใช้คําที่อาจเข้าข่ายการประพฤติผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
ําห
งานให้คําปรึกษา เป็นงานที่ข้อบังคับสภาวิศวกรว่าด้วยหลักเกณฑ์และ
คุณสมบัติของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมแต่ละระดับสาขาวิศวกรรมส่วนใหญ่
เกื อ บทั้ ง หมดกํ า หนดให้ เ ป็ น งานที่ ทํ า ได้ เ ฉพาะผู้ ไ ด้ รั บ ใบอนุ ญ าตประกอบวิ ช าชี พ
มจ

วิศวกรรมควบคุมระดับวุฒิวิศวกร แต่เนื่องจากคําจํากัดความของงานให้คําปรึกษา นั้น


ไม่ชัดเจนจนสามารถแยกแยะได้อย่างเด็ดขาดว่างานใดเป็นงานให้คําปรึกษา วิศวกร
ระดับภาคีวิศวกรและระดับสามัญวิศวกรจึงต้องระมัดระวัง ดังต่อไปนี้
ห้า

- ในการรับทํางานในลักษณะการให้ข้อแนะนํา การเสนอแนวทางใน
การแก้ไขปัญหา หรือสรุปสาเหตุความเสียหายของงานที่รับตรวจสอบ อาจเข้าข่ายเป็น
งานให้คําปรึกษาซึ่งต้องดําเนินการโดยวุฒิวิศวกร
- การโฆษณาโดยระบุว่า สามารถทํางานวิศวกรรมควบคุมได้ทุกงาน
ทุ ก ประเภทและทุ ก ขนาด อาจถื อ เป็ น การโฆษณาหรื อ ยอมให้ ผู้ อื่ น โฆษณา ซึ่ ง การ
ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมเกินความเป็นจริงได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นวิศวกรระดับ
ภาคีวิศวกร หรือระดับสามัญวิศวกร ย่อมสามารถประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมได้

หมวดจรรยาบรรณ 107
 
เฉพาะตามที่ข้อบังคับสภาวิศวกรกําหนด ไม่สามารถทําได้ทุกงาน ทุกประเภท และ
ทุกขนาดได้
 ระมัดระวังการใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ อาจถูกถ่ายสําเนา หรือแก้ไข ปลอมแปลงได้
โดยเฉพาะในยุคดิจิตอล ซึ่งเครื่องมือในการปลอมแปลงหาได้ทั่วไป และอาจถูกนําไปใช้
ในทางที่ผิด โดยเจ้าของใบอนุญาตไม่รู้ตัว วิศวกรจึงควรใช้ใบอนุญาตอย่างหวงแหน
ไม่ให้ใบอนุญาตหรือแม้แต่สําเนาแก่บุคคลอื่นที่รู้จักอย่างผิวเผิน หากจําเป็นต้องยื่น
สําเนาใบอนุญาตในทุกกรณี ควรขีดคร่อมและเขียนระบุกํากับการใช้ประโยชน์อย่าง
ชัดเจนทับอนุญาตได้ เพื่อให้การปลอมแปลงทําได้ยากขึ้น แม้จะไม่สามารถป้องกัน
การปลอมแปลงได้ 100% ก็ตาม
บทสรุป
เพื่ อ ให้ เ ส้ น ทางในชี วิ ต ของการประกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมควบคุ ม ราบรื่ น
ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและประสบความสําเร็จสมดังความมุ่งหมาย วิศวกรต้องใช้ความ
ระมัดระวังในการประกอบวิชาชีพดังต่อไปนี้


 วิ ศ วกรในฐานะที่ เ ป็ น สามั ญ ชน ต้ อ งอยู่ ภ ายใต้ บั ง คั บ ของกฎหมาย
น่า
เช่นเดียวกันกับประชาชนทั่วไป แต่ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้
ความเชี่ยวชาญซึ่งได้เรียนรู้มาเป็นการเฉพาะ มากยิ่งกว่าประชาชนทั่วไป วิศวกรต้องใช้
ความระมัดระวังต่อเหตุอันควรคาดหมายได้โดยระดับของความระมัดระวังต้องสูงกว่า
ําห
สามัญชนทั่วไป
 วิศวกรในฐานะที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรม ต้องประกอบวิชาชีพ
มจ

วิศวกรรมตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม
 ต้องตระหนักถึงระดับความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ของตนเอง
ตามที่กฎหมายกําหนด (ระดับภาคีวิศวกร, สามัญวิศวกร, วุฒิวิศวกร) และแม้ในงานที่
ห้า

กฎหมายกําหนดให้ทําได้ ก็ไม่ควรรับทํางานในงานที่ตนไม่มีความรู้ความชํานาญอย่าง
เพียงพอ โดยไม่ฝืนทําสิ่งใดที่ไม่รู้ห้ามเดาอย่างเด็ดขาด
 หากพบเห็นสิ่งไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และอยู่นอกเหนือความสามารถที่
ตนเองจะแก้ไขได้ ให้หลีกเลี่ยง อย่ามีส่วนร่วมหรือทําเสียเองโดยเด็ดขาด

108 หมวดจรรยาบรรณ
บรรณานุกรม
1. พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542
2. ข้อบังคับสภาวิศวกร ว่าด้วยจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมและการ
ประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนํามาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ พ.ศ.
2559
3. ระเบี ย บสภาวิ ศ วกร ว่ าด้ ว ยวิธี พิ จ ารณาและวิ นิ จฉั ย จรรยาบรรณแห่ ง
วิชาชีพวิศวกรรม พ.ศ.2546
4. ระเบีย บสภาวิ ศ วกร ว่ าด้ ว ยวิธี พิ จ ารณาและวิ นิ จฉั ย จรรยาบรรณแห่ ง
วิชาชีพวิศวกรรม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551
5. จรรยาบรรณหนังสือประกอบการอบรมและทดสอบความพร้อมในการ
ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม มิถุนายน พ.ศ. 2549 ของสภาวิศวกร


น่า
ําห
มจ
ห้า

หมวดจรรยาบรรณ 109
 
ห้า
มจ
ําห
น่า

หมวด
สิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร

น่า
ําห
มจ
ห้า
ห้า
มจ
ําห
น่า

บทที่ 13
สิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
บทนํา
การพัฒนาอย่างรวดเร็วในด้านต่างๆ เพื่อสนองตอบความต้องการของมนุษย์
ทําให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกินความสมดุลของ
ธรรมชาติ ส่ ง ผลให้ เ กิ ด มลพิ ษ และภั ย พิ บั ติ ต่ า งๆ กลั บ มายั ง มนุ ษ ย์ ทรั พ ยากรที่ มี
ความสําคัญและมีผลต่อการดําเนินชีวิตของมนุษย์นั้น ได้แก่ ทรัพยากรดิน แร่ พลังงาน
ต่างๆ ระบบนิเวศซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพต่างๆ ทั้งสัตว์และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่
ในป่าทรัพยากรอากาศซึ่ งก็ประกอบไปด้วยก๊า ซต่างๆ ไอน้ําฝุ่นละอองที่ อยู่รอบโลก
ทรั พ ยากรน้ํ า ประกอบด้ ว ยน้ํ า ที่ ค รอบคลุ ม ทั้ ง ระบบนิ เ วศในน้ํ า จื ด และน้ํ า เค็ ม การ
เปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมเหล่านี้มีทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ความเปลี่ยนแปลงของ
สิ่ ง แวดล้ อ มด้านปริ ม าณที่ มั ก จะเผชิญ คื อความขาดแคลน ความไม่พอเพี ยง อั นเกิ ด
เนื่องมาจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวันในขณะที่ธรรมชาติไม่สามารถผลิตทดแทนได้
ทัน ในส่วนคุณภาพนั้น คือ ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ ทําให้มีผลกระทบกับ


การดํารงอยู่ของระบบนิเวศและชีวิตมนุษย์ในที่สุด
น่า
ปั ญ หาด้ า นของเสี ย ทั้ ง ที่ เ ป็ น อั น ตรายและไม่ เ ป็ น อั น ตรายที่ เ กิ ด ขึ้ น จาก
กระบวนการผลิตและการบริโภคส่งผลต่อปัญหาด้านแหล่งทรัพยากรในโลกกําลังใกล้จะ
หมดลงในอนาคตอันใกล้ ทําให้โลกกําลังพบกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการอยู่รอด
ําห
ของมนุษย์ที่สําคัญหลายประการ อาทิ มลพิษแพร่กระจายเพิ่มขึ้นก่อความเดือดร้อน
รําคาญ ลดความสวยงามพืชและสัตว์เป็นอันตราย เสียสุขภาพและทําลายระบบรองรับ
มจ

ชีวิตตามธรรมชาติ เกิดก๊าซเรือนกระจกทําให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจากการเสียสมดุล
ของก๊าซคาร์ บอนไดออกไซด์และจะทวีความรุนแรงจนถึงขั้นการมีความขัดแย้งและ
สงครามจากการแย่งชิงทรัพยากรทั้งอาหารและพลังงาน ดังนั้นงานทางด้านวิศวกรรม
ห้า

จําเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงแนวทางการดําเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น
เพื่อลดปัญหามลพิษที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดําเนินโครงการต่างๆ
ปรากฏการณ์ ก๊ า ซเรื อ นกระจกและความเสี่ ย งต่ อ การเปลี่ ย นแปลงสภาพ
ภู มิ อ ากาศมี แ นวโน้ ม รุ น แรงมากขึ้ น ในทุ ก ภู มิ ภ าคของโลก เช่ น อุ ณ หภู มิ เ พิ่ ม สู ง ขึ้ น
ปริมาณน้ําฝนเพิ่มขึ้นในฤดูน้ําหลาก และน้อยลงในฤดูน้ําแล้ง อากาศร้อนเพิ่มขึ้น อากาศ
เย็นลดลง ส่งผลให้เกิดอุทกภัย ภัยแล้ง และวาตภัย ที่รุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น ซึ่งกระทบ
ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในหลายสาขา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ

หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 113
 
ส่ง ผลให้ เกิ ด ความร่ ว มมื อ ของประชาคมโลกเพื่ อแก้ ไ ขปั ญ หาดั ง กล่ า ว ภายใต้ ก รอบ
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations
Framework Convention on Climate Change) หรืออนุสัญญา UNFCCC ซึ่งได้รับ
การรับรองเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2535 และเปิดให้รัฐภาคีลงนามในอีกหนึ่งเดือนต่อมา
ระหว่างการประชุม Earth Summit ณ นครริโอ เดอจาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล
มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2537 ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเพื่อเข้าร่วมเป็น
ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2537
มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2538 และต่อมาได้ให้สัตยาบันเพื่อเข้าร่วมเป็นภาคี
พิธีสารเกียวโต เมื่ อวันที่ 28 สิงหาคม 2545 ในฐานะภาคีสมาชิ กกลุ่มประเทศกําลัง
พั ฒ นา ซึ่ ง ไม่ มี พัน ธกรณี ที่ จ ะต้ อ งลดก๊ า ซเรื อ นกระจกโดยตรง แต่ ส ามารถพิ จ ารณา
ดําเนินการลดก๊าซเรือนกระจกได้ตามความสมัครใจ
ประเทศไทยได้มีการกล่าวถ้อยแถลงจุดยืนของประเทศไทย ในการมีส่วนร่วม
แก้ ไ ขปั ญ หาการเปลี่ ย นแปลงสภาพภู มิ อ ากาศ ต่ อ ที่ ป ระชุ ม รั ฐ ภาคี อ นุ สั ญ ญา
สหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 21 (The 21st session of
the Conference of the Parties to the UNFCCC : COP21) ณ ก รุ ง ป า รี ส


สาธารณรั ฐ ฝรั่ ง เศส เมื่ อ เดื อ นธั น วาคม 2558 โดยพลเอกประยุ ท ธ์ จั น ทร์ โ อชา
น่า
นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้กล่าวแสดงเจตจํานงของประเทศไทย
ในการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 20-25 ภายในปี พ.ศ. 2573 โดยนําหลักปรัชญา
ําห
เศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ พร้อมทั้งลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล และส่งเสริมการใช้
พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผู้นําทั่วโลกให้ความสําคัญกับการให้สัตยาบัน
มจ

เข้าเป็นภาคีต่อความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งผู้แทนจาก 196 ประเทศได้


เห็นชอบความตกลงเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกันในการ
ประชุมฯ ดังกล่าว สําหรับประเทศไทยได้ร่วมลงนามในความตกลงปารีส ซึ่งมีเป้าหมาย
ห้า

ในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ํากว่า 2 องศาเซลเซียส โดย


กํ า หนดกรอบการดํ า เนิ น งานในระยะยาว ทั้ ง ในด้ า นการลดก๊ า ซเรื อ นกระจก และ
การปรั บ ตั ว ต่ อ ผลกระทบ มี ค วามจํ า เป็ น จะต้ อ งเร่ ง เตรีย มความพร้ อ มของประเทศ
ในทุกด้าน โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การพัฒนา
เศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืน

114 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
 
มลพิษสิ่งแวดล้อม
มลพิษสามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ ตามลักษณะของแหล่งกําเนิดมลพิษ
และแหล่งการปนเปื้อนได้ดังนี้
1. มลพิษทางน้ํา เช่น สารอินทรีย์ ของแข็งสารอนินทรีย์ โลหะหนัก เชื้อโรค
เป็นต้น
2. มลพิ ษ ทางอากาศ เช่ น ปริ ม าณของฝุ่ น ละออง ซั ล เฟอร์ ไ ดออกไซด์
คาร์บอนไดออกไซด์ ไนตรัสออกไซด์ คาร์บอนมอนนอกไซด์ เป็นต้น
3. มลพิ ษ ด้ า นขยะและของเสี ย อั น ตราย เช่ น เศษอาหาร ถุ ง พลาสติ ก
ซากเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
4. มลพิ ษ ทางดิ น และน้ํ า ใต้ ดิ น เช่ น ปั ญ หาดิ น ปนเปื้ อ น น้ํ า ใต้ ดิ น ปนเปื้ อ น
เป็นต้น
5. มลพิ ษ ทางเสี ย งและการได้ ยิ น เช่ น ปั ญ หาเสี ย งดั ง จากเครื่ อ งจั ก รภายใน
โรงงาน เสียงดังจากการจราจรในท้องถนนเป็นต้น
6. ปั ญ หาภาวะโลกร้ อนจากกิ จ กรรมของมนุ ษ ย์ เช่ น การเผาไหม้เ ชื้อเพลิ ง
การเผา เป็นต้น
มลพิษน้ําและผลกระทบ


น่า
มลพิษทางน้ําส่งผลกระทบหลายด้าน ทั้งในด้านการท่องเที่ยว การสูญเสียทาง
ระบบนิ เ วศ ซึ่ ง มี ผ ลให้ พื ช และสั ต ว์ น้ํ า บางชนิ ด สู ญ พั น ธ์ แ ละลดจํ า นวนลง และยั ง
ําห
ผลกระทบด้านอนามัยและสาธารณสุขอีกด้วย ความเสื่อมโทรมเน่าเสียของน้ําในลํา
คลองต่ า งๆ และแม่ น้ํ า ย่ อ มทํ า ให้ เ กิ ด ทั ศ นี ย ภาพที่ ไ ม่ น่ า ดู (ดั ง แสดงในรู ป ที่ 13.1)
สําหรับผลกระทบด้านอนามัยและสาธารณสุขนั้น น้ําจากแหล่งน้ําที่มีมลพิษเป็นอันตราย
มจ

ต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในการใช้สําหรับการอุปโภคบริโภค อาจทําให้เกิดโรค
ระบาด เช่ น อหิ ว าตกโรค ไข้ ร ากสาด บิ ด ฯลฯ ทํ า ให้ ต้ อ งหยุ ด งาน และเสี ย เงิ น
ค่ารักษาพยาบาล ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดผลกระทบ
ห้า

ด้านการพักผ่อนหย่อนใจ และสุนทรียภาพอีกด้วย

หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 115
 
รูปที่ 13.1 มลลพิษทางน้ําทีเกิ
่ ดขึ้นในเมืองใหญ่

มลพิษอาากาศและผลกกระทบ


น่า
ม ษทางอากาศ คือภาวะะอากาศที่มีสารเจื
มลพิ า อปนอยู่ในปริ
ใ มาณที่มากกว่
ม าระดับ
ปกติเป็นเวลานานพอที่จะทําให้เกิดอันตรายแกก่มนุษย์ สัตว์ พืช หรือทรััพย์สินต่าง ๆ
ําห
อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ฝุ่นละอองจาากลมพายุ ภูเขาไฟระเบิ
เ ด แผ่นดินไหว
ไฟไหม้ป่า กรณีที่เกิดจากการกระทํ
จ ทําของมนุษย์ ได้แก่ มลพิษจากท่
ษ อไอเสียของรถยนต์์
จากสถานนประกอบการรต่างๆ ได้แก่ โรงงานอุ
โ ตสาหกรรม ซึ่งเกิดจากกระบวนนการผลิตที่มี
มจ

การปล่อยอากาศเสียและกลิ่น วัด โรงแรมและะรีสอร์ทที่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ


(ดังแสดงใในรูปที่ 13.2) จากกิจกรรรมด้านการเกษตร และจากกการระเหยขของก๊าซมีเทนน
และคาร์บอนไดออกไซ
บ ซด์ซึ่งเกิดจากหหมักขยะมูลฝออยและของเสีสีย เป็นต้น
ห้า

116 หมวดสิ่งแวดล้อมสํ
ม าหรับวิศวกรร
 
รูปที
ป ่ 13.2 มลพิพิษอากาศจาากสถานประกกอบการต่างๆๆ

ผลกรระทบที่เกิดตามมามีดังนี้
1. เป็นอันตรายต่
ต อสุขภาาพของมนุษย์ โดยเฉพาะระะบบทางเดินหายใจ ห


2. ทํา ให้ เกิดฝนกรด โดดยก๊า ซซั ล เฟออร์ไดออกไซดด์ซึ่ง เกิด จากการเผาไหม้ ขของ
น่า
เชื้อเพลิงที
ง ่มีสารกํามะะถันเจือปน เมืมื่อทําปฏิกิริยารวมตั
า วกับน้ําและกลั
ฝน จะมีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งเป็นอันตรรายต่อสิ่งมีชีวตและสิ


่งก่อสรร้าง
่นตัวเป็น

3. ทําให้เกิดปรากฏการรณ์เรือนกระจจก ซึ่งเกิดกาารสะสมความมร้อนของผิวโโลก
ําห
ทําให้อุณหภู
ณ มิของโลกกสูงขึ้น
มจ

มลพิษด้ ษ านขยะมูลฝอย

ในปัจจุบับันขยะมูลฝอยยที่มีปริมาณเเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุสํสาคัญที่ก่อให้ห้เกิด
ปัญหาสิ่งแวดล้อมใในด้านต่าง ๆ เช่น ปัญหากกลิ่นเหม็น กาารปนเปื้อนต่อคุ อ ณภาพน้ํา เป็น
ห้า

แหล่งแพร่
ง กระจายยของเชื้อโรค การก่อให้เกิดก๊ ด าซเรือนกระะจก เหตุรําคาญ และความมไม่
น่าดู เป็
เ นต้น
ขยะมูลฝอยของกรุ
ฝ งเททพมหานครในปัจจุบันมีมากกว่
า า 9,0000 ตันต่อวัน ถถ้ามี
การคััดแยกอย่างมีมีประสิทธิภาพพก็จะสามารถถลดปริมาณขขยะมูลฝอยที่จะไปฝังกลบโโดย
การนํนํามาใช้ประโยยชน์ได้มากกว่ว่า 80% หรือประมาณ อ 7,000 ตันต่อวันจากข้อมูลขของ
สํ า นั กรั
ก ก ษาความมสะอาด กรุรุ ง เทพมหานนครที่ เ คยศึ กษาไว้ ก พ บว่ า ขยะมู ล ฝออยที่
กรุงเททพมหานคร เก็บรวบรวมไได้ประกอบด้ด้วย เศษอาหหาร ใบไม้ กิ่ งไม้ ง มากที่สุ ดดถึง
ไ ล 30% ขยะทั่ ว ไป 17% และขยยะอั น ตราย 3%
ร้ อ ยลละ 50 ที่ เ หลืลื อ เป็ น วั ส ดุ รี ไซเคิ
หมวดสิสิ่งแวดล้อมสําหรั
ห บวิศวกร 117
 
ซึ่งจากองงค์ประกอบดังกล่
ง าวดังแสดดงในรูปที่ 13.3 แสดงให้เห็นว่าขยะอินทรี ท ย์ส่วนใหญ่

ม บขยะชุมชนนทําให้เกิดการเน่าเหม็นแลละเป็นแหล่งเพพาะพันธุ์เชื้อโรค
ถูกทิ้งร่วมกั โ

รูปที
ป ่ 13.3 ส่วนประกอบของ
น งขยะมูลฝอยชชุมชน


น่า
ขยะอินทรีย์ที่ถูกฝังกลบไไว้ใต้ดินจะเกิดการหมั
ด กแบบไร้อากาศปลลดปล่อยก๊าซ
มี เ ทนที่ ส่ส่ ง ผลกระทบ ต่ อ ภาวะโลกกร้ อ นมากกว่ าก๊ า ซคาร์ บอนไดออกไซ
อ ด์ ถึ ง 21 เท่ า
นอกจากนนั้นการเผาทําลายขยะในที
า ที่โล่งไม่มีระบบบควบคุมมลพิพิษอากาศจะปปล่อยก๊าซพิษ
ําห
ที่ทําลายสสุขภาพของเรราเอง รวมถึงขยะอั ง นตรายยและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่เพิ่มขึ้นอย่าง
ห กฝังกลบบหรือทําลายไไม่ถูกวิธีจะส่งผลเสียอย่างร้ร้ายแรงต่อมนุษย์ทีเดียว
ต่อเนื่อง หากถู
มจ

ปัญหาภาาวะโลกร้อน
ภาวะโลกร้อนอ (Global Warming)
W ที่เรามั
เ กพูดถึงในนปัจจุบันเป็นส่น วนหนึ่งของ
ห้า

การเปลี่ยนแปลงด้
ย านสสภาพภูมิอากาาศ (Climatee Change) คือ การที่อุณหภู ห มิเฉลี่ยของ
โลกเพิ่ม ขึ้น จากผลขอองภาวะเรือนกระจกน หรือที
อ ่เรารู้จักกันดี
น ใ นชื่อว่า Greenhouse
G e
Effect
สาเหตุ ห ลั กของปั
ก ญ หาโโลกร้ อ น เกิ ดจากปริ
ด ม าณ
ณก๊ า ซเรื อ นก ระจก ได้ แ ก่
ก๊าซคาร์บอนไดออกไ
บ ไซด์ ก๊า ซมีเทน
ท ไนตรัส ออกไซด์ ก๊าซไฮโดรฟลูซ ออโรคาร์
อ บอนน
มีปริมาณณเพิ่ม ขึ้นเนื่องจากการเผา
ง าไหม้เชื้อเพลิลิง การขนส่ง และ การผลิลิ ตในโรงงานน
อุตสาหกรรรม ก๊าซเรือนกระจกเหล่
น านี้ส่งผลให้ชั้นบรรยากาศกักเก็
ก บรังสีความมร้อนมากขึ้น
เรื่อยๆ จนนเกิดเป็นภาววะโลกร้อน ปรระเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นลําดับที่ 4
118 หมวดสิ่งแวดล้อมสํ
ม าหรับวิศวกรร
 
ของอาเซียนและเป็นลําดับที่ 31 ของโลก โดยภาคพลังงานมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
มากที่สุด คิดเป็น 69.6% รองลงมาเป็นภาคเกษตรกรรม คิดเป็น 22.6%
ผลกระทบที่เกิดตามมามีดังนี้
1. ระดับน้ําทะเลเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากธารน้ําแข็งที่กําลังละลาย และอุณหภูมิ
ทั่วโลกที่กํ าลังสูงขึ้นจากการขยายตัวทางความร้อนของน้ําในมหาสมุทร ธารน้ําแข็ง
ละลายส่งผลให้ระดับน้ําทะเลทั่วโลกขยับสูงขึ้น 1 นิ้ว ภายในระยะเวลา 10 ปี
2. มี ค วามเสี่ ย งมากขึ้ น ที่ จ ะเกิ ด สภาพอากาศรุ น แรง เช่ น คลื่ น ความร้ อ น
ความแห้งแล้ง และ น้ําท่วม ในปัจจุบันความแห้งแล้งทั่วโลกได้เพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต
30 ปีที่ผ่านมาประมาณ 2 เท่า
3. ภั ย ธรรมชาติ ที่ รุ น แรงและเกิ ด ขึ้ น อยู่ ต่ อ เนื่ อ งในระดั บ ภู มิ ภ าค และ
มีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต ตัวอย่างเช่น ในยุโรปจะเกิดน้ําท่วม
จากแม่น้ําเพิ่มขึ้นในพื้นที่ส่วนมากของทวีป และตามพื้นที่ชายฝั่งเสี่ยงต่อน้ําท่วม การกัด
เซาะและการสูญเสียพื้นที่ชายฝั่งทะเลเพิ่มขึ้นอย่างมาก
4. ระบบทางธรรมชาติ ได้แก่ ธารน้ําแข็ง ปะการัง ป่าชายเลน ระบบนิเวศป่า
เขตร้อน เขตลุ่มน้ําและเขตทุ่งหญ้าในท้องถิ่น จะถูกคุกคามอย่างรุนแรง


5. สัตว์สายพันธุ์ต่าง ๆ เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากขึ้นและเกิดการสูญเสียความ
น่า
หลากหลายทางชีวภาพ
6. โรคติดต่อในเขตร้อนก็มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น และจะคร่าชีวิตผู้คนเป็น
จํานวนมากเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ ไข้มาลาเรีย ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะ เนื่องจากการ
ําห
ขยายพันธุ์ของยุงจะมากขึ้นในสภาวะแวดล้อมที่ร้อนขึ้นและฤดูกาลที่ไม่แน่นอน
7. แนวโน้มของผลผลิตทางการเกษตรที่ลดลงจากภัยธรรมชาติ อาจนําไปสู่
ภาวะขาดแคลนอาหาร และความอดอยาก ทํ า ให้ เ กิ ด ภาวะขาดสารอาหาร และ
มจ

ภูมิต้านทานร่างกายต่ํา โดยเฉพาะในเด็กและคนชรา
การคาดการณ์ว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2533-2643 อุณหภูมิของโลกจะเพิ่มสูงขึ้นจาก
ห้า

เดิมประมาณ 1.4-5.8 องศาเซลเซียส สําหรับผลกระทบโดยรวมไม่เพียงทําให้เกิดความ


แห้งแล้ง แต่ยังเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของมนุษย์อีกด้วย

ระดับความรุนแรงและอันตรายของมลพิษ
ในปัจจุบัน ปัญหาทรัพยากรน้ําเริ่มมีปัญหาขาดแคลนอย่างรุนแรงโดยเฉพาะ
ในช่ ว งฤดู แ ล้ ง สภาวะมลพิ ษ ในน้ํา นั บ วั น จะมี เ พิ่ ม สูง ขึ้ น เนื่ อ งจากการระบายน้ํ า ทิ้ ง
ทั้งจากภาคครัวเรือน ภาคพาณิชยกรรม ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรม รวมทั้ง
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 119
 
การทําเหมืองแร่ซึ่งทําให้เกิดสารพิษเจือปนไปในน้ํา คุณภาพอากาศเสื่อมโทรมลงเพราะ
การปล่ อ ยควั น พิ ษ ของโรงงานอุ ต สาหกรรม การปล่ อ ยควั น จากเครื่ อ งยนต์ ที่ ไ ม่ ไ ด้
มาตรฐานโดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ๆรวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมทาง
เศรษฐกิจต่างๆ ที่ทําให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น
ระดับความรุนแรงของความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ
นั้ น มี ค วามสั ม พั น ธ์ โ ดยตรงกั บ ปริ ม าณและประเภทของสารมลพิ ษ ที่ ป นเปื้ อ นใน
สิ่ ง แวดล้ อ มโดยปกติ แ ล้ ว ระบบสิ่ ง แวดล้ อ มไม่ ว่ า จะเป็ น ทางน้ํ า ดิ น และอากาศ
มีความสามารถในการรับมลพิษ ในระดับที่แตกต่างกัน ถ้าหากระดับของการปนเปื้อน
ทางสิ่งแวดล้อมมีค่าสูงกว่าค่า Assimilative capacity แล้วจะก่อให้เกิดปัญหามลพิษ
ตามมา
ความสามารถของระบบนิเวศในการทําให้มลพิษบางประเภทย่อยสลายหรือมี
ความเข้ ม ข้นลดลงได้ในระดั บหนึ่ งเรี ยกว่า Self Purification แต่ความสามารถนี้ก็มี
ขีดจํากัดเมื่ออัตราการเกิดหรือสะสมของมลพิษอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่า Assimilative
Capacity มลพิษเหล่านั้นก็จะสะสมในสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ อาจสูงจนถึงระดับที่


ก่อให้เกิดอันตรายกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อยู่ในระบบนิเวศได้
น่า
ดัชนีวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อม
การศึ ก ษาและพั ฒ นาดั ช นี บ่ ง ชี้ ส ภาวะสิ่ ง แวดล้ อ มหรื อ ดั ช นี วั ด คุ ณ ภาพ
ําห
สิ่งแวดล้อมได้มีการเริ่มต้นอย่างเป็นระบบที่ประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกาเพื่อสามารถ
ใช้เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ทราบถึงสภาวะของสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่และผลกระทบจาก
กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ที่มีต่อสภาวะแวดล้อมนั้นว่ามีมากน้อยเพียงใด กล่าวอีกนัยหนึ่ง
มจ

ก็คือเป็นเครื่องบ่งชี้ในการบ่งบอกถึงระดับการปนเปื้อนด้านคุณภาพของสิ่งแวดล้อม
ได้แก่ การปนเปื้อนของมลสารในสิ่งแวดล้อมน้ํา ดิน อากาศ ของเสียที่เป็นพิษและอื่นๆ
นอกจากนี้ยังสามารถนําดัชนีวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมมากําหนดเป็นค่าอ้างอิงของเกณฑ์
ห้า

มาตรฐานทางสิ่งแวดล้อมในการบังคับใช้ทางกฎหมายต่อไป รวมทั้งเป็นการช่วยกระตุ้น
ให้ทั้งผู้บริหารประเทศและประชาชนทั่วโลกเกิดการตื่นตัว และหันมาให้ความใส่ใจกับ
เรื่องสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น

1.ดัชนีคุณภาพน้ํา
เป็ น ค่ า ที่ ใ ช้ ต รวจสอบคุ ณ ภาพน้ํ า ของแหล่ ง น้ํ า โดยเปรี ย บเที ย บกั บ
ค่ามาตรฐานของคุณภาพน้ําประเภทต่างๆ หรือลักษณะเฉพาะของน้ําทิ้งที่จะปล่อยทิ้งสู่
120 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
 
สิ่งแวดล้อมโดยเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานน้ําทิ้งจากแหล่งต่างๆ ที่กําหนดไว้ ได้แก่
มาตรฐานคุ ณ ภาพน้ํ า ดื่ ม มาตรฐานคุ ณ ภาพน้ํ า ผิ ว ดิ น มาตรฐานคุ ณ ภาพน้ํ า ใต้ ดิ น
มาตรฐานคุณภาพน้ําทะเล มาตรฐานคุณภาพน้ําทิ้งจากอาคารมาตรฐานคุณภาพน้ําทิ้ง
จากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น สําหรับดัชนีคุณภาพน้ําสามารถแบ่งประเภทดังนี้
 ดั ช นี ท างกายภาพ ได้ แ ก่ ลั ก ษณะเฉพาะของน้ํ า ด้ า นสี กลิ่ น รส
ความขุ่นของน้ํา เป็นต้น
 ดัชนีทางเคมี ได้แก่ ลักษณะเฉพาะของน้ําด้านปริมาณของแข็งทั้งหมด
ความเป็ น กรด-ด่ า งบี โ อดี ซี โ อดี ปริ ม าณออกซิ เ จนละลายในน้ํ า
ฟอสฟอรั ส ไนโตรเจนไขมั น และน้ํ า มั น โลหะหนั ก และสารพิ ษ เช่ น
เหล็ก แมงกานีส ทองแดงสังกะสี ปรอท ตะกั่ว แคดเมียม โครเมียม
เป็นต้น
 ดัชนีทางชีววิทยา ได้แก่ ลักษณะเฉพาะของน้ําด้านแบคทีเรีย ไวรัส
สาหร่าย เป็นต้น

2. ดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index, AQI)


เป็นค่าที่ใช้ตรวจสอบคุณภาพอากาศ โดยเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน
น่า
คุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไปของพารามิเตอร์ที่ตรวจวัด ได้แก่ ก๊าซซัลเฟอร์ได
ออกไซด์ (SO2) ก๊ า ซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) ก๊ า ซคาร์ บ อนมอนอกไซด์ (CO)
ก๊าซโอโซน (O3) ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10)
ําห
3. ดัชนีวัดคุณภาพดิน
มจ

จะใช้ในการกําหนดมาตรฐานปริมาณการปนเปื้อนของสารเคมีต่างๆ ในดิน
และประเมินระดับความเสี่ยงต่อสุขภาพของคนและสิ่งแวดล้อมเมื่อทํากิจกรรมบริเวณ
ที่ดินนั้น สําหรับพารามิเตอร์ในการตรวจวัดปริมาณการปนเปื้อนของสารเคมีต่างๆ ในดิน
ห้า

ได้แก่
 ปริมาณสารอินทรีย์ระเหยง่าย ได้แก่ โทลูอีน ไซลีน เบนซีน คาร์บอน
เตตระคลอไรด์ เป็นต้น
 โลหะหนัก ได้แก่ ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม โครเมียม ทองแดง เป็นต้น
 สารป้องกันกําจัดศัตรูพืช ได้แก่ ดีดีที อะทราซิน ดิลดริน เป็นต้น
 สารพิษอื่นๆ ได้แก่ พีซีบี ไซยาไนด์ ไวนิลคลอไรด์ เป็นต้น

หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 121
 
แนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษและลดผลกระทบ
ปั ญ หามลพิ ษ เป็ น ปั ญ หาสํ า คั ญ ที่ เ กิ ด จากการพั ฒ นาด้ า นอุ ต สาหกรรม
เกษตรกรรม และชุมชนอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย และ
ความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศ ประกอบกับนโยบายและมาตรการต่างๆ ของ
ประเทศไทย ที่ผ่านมามุ่งเน้นไปที่การควบคุมมลพิษด้วยการบําบัดมลพิษหรือการบําบัด
ที่ปลายท่อ (End-of-Pipe Treatment) ก่อนปล่อยทิ้ง ซึ่งเป็นการบําบัดที่ปลายเหตุ
ดั ง นั้ น การป้ อ งกั น ไม่ ใ ห้ เ กิ ด มลพิ ษ (Pollution Prevention) หรื อ การลดมลพิ ษ ที่
แหล่งกําเนิด (Source Reduction) จึงเป็นแนวทางไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนโครงการที่
ส่ ง ผลกระทบต่ อ สิ่ ง แวดล้ อ ม ให้ มี ก ารศึ ก ษาจั ด ทํ า รายงานวิ เ คราะห์ ผ ลกระทบต่ อ
สิ่งแวดล้อม (EIA) เพื่อหามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้
มีการติดตามตรวจสอบและประเมินผลการดําเนินการของโครงการต่อไป
การจัดการสิง่ แวดล้อม
ประชากรเพิ่มมากขึ้น ทําให้เกิดความต้องการด้านอุปโภคบริโภคและสิ่งอื่นๆ


เพิ่มขึ้นตามไปด้วย จึงมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและ
น่า
อุตสาหกรรมด้วยอัตราที่รวดเร็ว โดยไม่คํานึงถึงปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เกิดจาก
การพัฒนา ทําให้เกิดปัญหาความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงในปัจจุบัน ทําให้
ประเทศไทยและทั่วโลกต่างมีมุมมองเดียวกันว่า ต้องหาทางแก้ไขปัญหาและป้องกัน
ําห
ปัญหาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น ซึ่งต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้ความชํานาญและประสบการณ์ในการ
จัดการสิ่งแวดล้อมอย่างถูกต้องมีขั้นตอน ต้องสร้างรูปแบบการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
มจ

และสิ่ ง แวดล้ อ มที่ ห ลากหลายในระบบโดยไม่ เ กิ ด ผลกระทบ รวมทั้ ง ด้ า นความรู้


ความเข้ าใจในการบํ าบั ดหรื อกํ าจัดของเสียและการฟื้น ฟูแ หล่งเสื่ อมโทรม จึงควรมี
การเปลี่ยนแปลงแนวคิดใหม่ทั้งนโยบายของภาครัฐ ภาคเอกชน รวมทั้งพฤติกรรมของ
ห้า

ผู้ประกอบการและประชาชนให้มีจิตสํานึกของด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยจัดลําดับ
ความสํ าคั ญ ของการป้ องกั น มลพิ ษ ด้า นการลดที่แ หล่ง กํ าเนิ ด การใช้ซ้ํา หรือ การใช้
หมุนเวียน ก่อนการบําบัด และการกําจัดหรือการนําไปทิ้ง สําหรับโครงการที่มีขนาดใหญ่
หรืออาจก่อปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ
ต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) รวมทั้งมีมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีการบริหาร
จัดการในองค์กรที่มีการคํานึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

122 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
 
1. เทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology)
หมายถึง การพัฒนา ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตหรือผลิตภัณฑ์
อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้วัตถุดิบ พลังงาน และทรัพยากรธรรมชาติเป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยการลดมลพิษที่แหล่งกําเนิด
และมีของเสียเกิดขึ้นน้อยที่สุด ด้วยการเปลี่ยนวัตถุดิบ การใช้ซ้ําและการนํากลับมาใช้
ใหม่เพื่อให้มีของเสียที่ต้องทําการบําบัดและการกําจัดหรือทิ้งทําลายเหลืออยู่น้อยที่สุด
หรือไม่มีเลย โดยได้รับความร่วมมือจากทุกคนในองค์กร บ้าน และชุมชน

การลดที่แ่แหล่
การลดที หล่งงกํกําาเนิเนิดด
CT
การนํากลับมาใช้ใหม่/การใช้ซ้ํา

การบําบัด


น่า การกําจัด
ําห
รูปที่ 13.4 การจัดการสิ่งแวดล้อม
1.1 เทคนิคของเทคโนโลยีสะอาด
มจ

การลดมลพิษที่แหล่งกําเนิดนั้น ต้องมีการค้นหาแหล่งกําเนิดของของเสีย
หรื อ มลพิ ษ และวิ เ คราะห์ห าสาเหตุ ว่า ของเสี ย หรื อ มลพิ ษ เหล่ า นั้ น เกิ ด ขึ้น ได้ อย่ า งไร
ห้า

การลดมลพิ ษ อาจทํ า ได้ โ ดยการเปลี่ ย นแปลงกระบวนการผลิ ต การเปลี่ ย นแปลง


กระบวนการผลิตนั้น อาจต้องมีการเปลี่ยนวัตถุดิบที่เกี่ยวข้อง เปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี
หรืออาจต้องเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการ ส่วนการนํากลับมาใช้ใหม่/การใช้ซ้ํานั้น
อาจทําได้โดยการนํากลับมาใช้ใหม่โดยตรง เช่น นํากลับมาใช้ในกระบวนการเดิมหรือ
กระบวนการอื่น หรืออาจต้องนําของเสียเหล่านั้นไปผ่านกระบวนการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ก่อน จึงสามารถนํากลับมาใช้ใหม่ได้

หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 123
 
รูปที่ 13.5 เทคนิคของเทคโนโลยีสะอาด
1.2 ขั้นตอนการทําเทคโนโลยีสะอาด
1) วางแผนและจัดองค์กร กําหนดนโยบาย วัตถุประสงค์ เป้าหมาย
และตั้งคณะทํางาน


2) ทําการประเมินเบื้องต้น เพื่อเลือกบริเวณที่จะทําการประเมิน
น่า
3) ทําการประเมินโดยละเอียด จัดทําสมดุลมวล และพลังงาน เพื่อทํา
ให้ทราบสาเหตุ และแหล่งกําเนิดของเสียหรือมลพิษ
4) ศึกษาความเป็นไปได้ ศึกษาในแต่ละทางเลือก และความพร้อม
ําห
ของข้อมูล ประเมินความคุ้มค่าในการลงทุน
5) ลงมือปฏิบัติตามแผนปฏิบัติงานที่ได้วางแผนไว้
มจ

6) ติดตามประเมินผลเพื่อให้แน่ใจว่าปฏิบัติตามแผนงานที่กําหนดไว้

ปัจจัยสําคัญสูค่ วามสําเร็จในการทําเทคโนโลยีสะอาด
ห้า

1. ความมุ่งมั่นของผู้บริหาร
2. ความมั่นคงในนโยบาย
3. การได้รับการฝึกอบรมในทุกระดับ
4. ทุกคนมีศรัทธา และเห็นคุณค่าของเทคโนโลยีสะอาดอย่างแท้จริง
5. สร้างแรงจูงใจที่เหมาะสม
6. การมีส่วนร่วมของพนักงานทุกระดับอย่างสม่ําเสมอ

124 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
 
7. มีแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่ทันสมัย
8. ทีมงานที่มีประสิทธิภาพ
9. ทําเทคโนโลยีสะอาดอย่างต่อเนื่อง

2. การบําบัดและการกําจัดมลพิษ
ก่อนการบําบัดหรือกําจัดมลพิษจะต้ องทราบชนิดหรือประเภทของมลพิษ ที่
ศึ ก ษาหรื อ แก้ ไ ข ต้ อ งหาแหล่ ง กํ า เนิ ด มลพิ ษ ในกระบวนการผลิ ต ตั้ ง แต่ ต้ น จนถึ ง
กระบวนการสุดท้าย ค่ามาตรฐานหรือความต้องการของสังคมหรือรัฐ เทคโนโลยีที่จะใช้
ในการบําบัดหรือการกําจัดมลพิษ รวมทั้งการวางแผนงาน ติดตามตรวจการดําเนินการ
ของโครงการ เพื่อติดตามประสิทธิภาพของระบบบําบัดหรือการกําจัดมลพิษ
เทคโนโลยี ก ารบํ า บั ด หรื อ กํ า จั ด มลพิ ษ อาจจะเป็ น การใช้ เ ครื่ อ งยนต์ ก ลไก
กระบวนการ หรือผลิตภัณฑ์มาประยุกต์ใช้ แล้วทําให้ปริมาณ ความเข้มข้น หรือคุณภาพ
ของมลพิษลดลง เจือจาง หรือลดความเป็นพิษ จนไม่เกิดอันตรายต่อคน สัตว์ พืช และ


สิ่งแวดล้อมอื่นๆ ซึ่งสามารถแบ่งวิธีการออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1. วิธีการทางกายภาพ (Physical method)
น่า
เป็ น วิ ธี ก ารที่ ใ ช้ เ ทคโนโลยี ก ารกวาด (skimming) การดั ก ด้ ว ยตะแกรง
(screening) การทําให้ลอย (floatation) การทําให้เป็นตะกอน (precipitation) การตก
ําห
ตอน (sedimentation) ก า ร แ ย ก ด้ ว ย แ ร ง เ ห วี่ ย ง (centrifugation) ก า ร ก ร อ ง
(filtration) ก า ร ดู ด ซึ ม (absorption) ก า ร ดู ด ซั บ (adsorption) ก า ร ส ะ ท้ อ น
มจ

(reflection) ก า ร พ่ น (spraying) ก า ร เ ป่ า (blowing) ก า ร ดู ด (sucking)


การดู ด ด้ ว ยไฟฟ้ า (electromagnetic ducking) การดู ด ให้ ต กตะกอนด้ ว ยไฟฟ้ า
(electromagnetic precipitator) การแยกส่ ว น (separation) การเผา (burning)
ห้า

การกดไม่ให้ฟุ้งกระจาย (dust suppressant)


2. วิธีการทางเคมี (Chemical method)
เป็นวิธีการที่ใช้เทคโนโลยี การทําเป็นกลาง (stabilization/neutralization)
การทํ า ให้ ต กตะกอน (precipitation) การเติ ม และลดออกซิ เ จน (oxidation-
reduction) การช่วยการตกตะกอน (chemical coagulation) การใช้สารเคมีไม่ให้ฝุ่น
ฟุ้งกระจาย (chemical suppressant) การเผา (incineration)
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 125
 
3. วิธีการทางชีวภาพ (Biological method)
เ ป็ น วิ ธี ก า ร ที่ ใ ช้ เ ท ค โ น โ ล ยี ก า ร กํ า จั ด แ บ บ ใ ช้ อ อ ก ซิ เ จ น
(aerobic processes) การกําจัดแบบไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic processes)
การเติมคลอรี (chlorination) การฆ่าเชื้อด้วยโอโซน (ozonation) การใช้พืชควบคุม
(controlled plants) การใช้สัตว์ควบคุม (controlled animals)
4. วิธีการทางกายภาพและทางเคมี (Physical-chemical method)
เป็นวิธีการที่ใช้กับการบําบัดน้ําเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น วิธีการใช้ถ่านดูดซึม
(carbon absorption) การแลกเปลี่ ย นประจุ (ion exchange) วิ ธี ซึ ม ย้ อ นกลั บ
(reverse osmosis) ฯลฯ เป็นต้น

มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม
มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมเป็นมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดระบบงาน
ในองค์กร รวมถึงโครงสร้างองค์กร การรับผิดชอบ การปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอน และ
ตามกระบวนการเพื่อให้บรรลุผลตามนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมพร้อมทั้งทําให้เกิดการ


ปรับปรุงระบบการจัดการให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีวัตถุประสงค์ให้เป็น
น่า
เครื่ อ งกี ดกั น ทางการค้ า โดยให้ มี ก ารคํ านึ ง ถึง สภาพแวดล้ อ มอย่ า งชั ด เจน เนื่ อ งจาก
ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นจะต้องแก้ปัญหา
สิ่ ง แวดล้ อ มทั้ ง ด้ า นเชิ ง รั บ และเชิ ง รุ ก การแก้ ปั ญ หาด้ า นเชิ ง รั บ ได้ แ ก่ การควบคุ ม
ําห
การปล่อยน้ําทิ้งการควบคุมการปล่อยอากาศเสียการควบคุมการจัดการของเสียอันตราย
เป็นต้นการแก้ปัญหาด้านเชิงรุก ได้แก่ การป้องกันและการลดมลพิษจากกระบวนการ
ผลิ ต การจั ด ทํ า ระบบการจั ด การสิ่ ง แวดล้ อ ม เป็ น ต้ น การจั ด ทํ า ระบบการจั ด การ
มจ

สิ่งแวดล้อมที่นิยมใช้กันทั่วโลก คือ การจัดการสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐาน ISO 14000 ซึ่ง


ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นกลไกในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
ห้า

ทั้งยังมีผลต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและช่วยในการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ก่อนที่จะกล่าวต่อไปเกี่ยวกับ ISO 14000 จะขออธิบายความหมายให้ชัดเจน
ก่ อ นว่ า ISO 14000 คื อ อะไร ISO 14000 เป็ น มาตรฐานในการจั ด การธุ ร กิ จ ที่ มี
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นระบบ โดยให้พิจารณาตั้งแต่การออกแบบ การวิจัย
พั ฒ นา การผลิ ต การส่ ง มอบ การนํ า ไปใช้ ง าน การนํ า กลั บ มาใช้ ใ หม่ จนสิ้ น สุ ด ที่
การกําจัดขั้นสุดท้าย ISO 14000 เป็นชุดของมาตรฐานที่ประกอบไปด้วยมาตรฐานหลาย
เล่ ม เริ่ ม ต้ น ตั้ ง แต่ ห มายเลข 14001 จนถึ ง 14100 (ปั จ จุ บั น ISO กํ า หนดเลขสํ า หรั บ
มาตรฐานในอนุ ก รมนี้ ไ ว้ 100 หมายเลข) โดยแต่ ล ะเล่ ม เป็ น เรื่ อ งของมาตรฐานที่
126 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
 
เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้นในการกล่าวถึง ISO 14000 จะเรียกว่าอนุกรม
มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม "ISO 14000 Series"

โครงสร้างของ ISO 14000


โครงสร้างของอนุกรมมาตรฐาน ISO 14000 ได้แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้
3 กลุ่ม คือ กลุ่มระบบการจัดการ กลุ่มการตรวจประเมินและวัดผล และกลุ่มผลิตภัณฑ์
1. ระบบการจัดการ (Environmental Management Systems (EMS)) เป็น
ชุดมาตรฐานว่าด้วยระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมประกอบด้วย 2 มาตรฐาน ได้แก่
ISO 14001 เป็นข้อกําหนดของระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ใช้รายการ
ช่วยในการตรวจสอบขอใบรับรอง
ISO 14004 เป็ น การอธิ บ ายขยายเพิ่ ม เติ ม จาก ISO 14001 โดยมี ก าร
ยกตัวอย่างประกอบคําอธิบายเพื่อช่วย เป็นแนวทางในการ
ปฏิบัติ
2. การตรวจประเมินและการวัดผล เป็นชุดมาตรฐานหลักที่มีอยู่ 2 มาตรฐาน
ได้แก่


2.1 Environmental Auditing and Related1 Environmental
น่า
Investigations (EA) เป็นมาตรฐานว่าด้วยการตรวจประเมินสิ่งแวดล้อมซึ่งประกอบด้วย
3 มาตรฐาน ได้แก่
ําห
ISO 14010 เป็ น มาตรฐานของการกํ า หนดแนวทางและหลั ก การ
ในการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมทุกประเภท
มจ

ISO 14011 เป็ น มาตรฐานของการกํ า หนดขั้ น ตอนการตรวจสอบ


สิ่งแวดล้อม ซึ่งคลอบ คลุ ม ถึ ง การวางแผนและวิ ธี ก าร
ตรวจสอบการดําเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมของหน่วยงาน
ห้า

ISO 14012 เป็ น มาตรฐานของการกํ า หนดคุ ณ สมบั ติ ข องผู้ ต รวจ


ประเมิน และหั วหน้าผู้ ตรวจประเมิน ทั้งที่ เป็ นผู้ ตรวจ
ประเมินภายในหน่วยงานและผู้ตรวจประเมินที่เป็นบุคคล
ที่สาม
2.2 Environmental Performance Evaluation (EPE) เป็นมาตรฐาน
ว่าด้วยการวัดผลการดําเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม

หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 127
 
ISO 14031 เป็นมาตรฐานของการกําหนดแนวทางในการวัดผลการ
ดําเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและมาตรวัดปัจจัยที่มีผลต่อการดําเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม
3. ผลิตภัณฑ์ เป็นชุดมาตรฐานว่าด้วยผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย 2 มาตรฐาน
ชุดหลัก ได้แก่
3.1 Environmental Labeling (EL) เ ป็ น ม า ต ร ฐ า น ว่ า ด้ ว ย ฉ ล า ก
สิ่งแวดล้อมซึ่งประกอบด้วย 5 มาตรฐาน
3.2 Life Cycle Assessment (LCA) เป็นมาตรฐานว่าด้วยการประเมิน
วัฏจักรของผลิตภัณฑ์ซึ่งประกอบด้วย 4 มาตรฐาน


น่า
ําห
มจ
ห้า

รูปที่ 13.6 อนุกรมมาตรฐาน ISO 14000


หลักการของมาตรฐาน ISO 14001
มาตรฐาน ISO 14001 มีสาระสําคัญที่ควรทราบ เพื่อให้สามารถดําเนินการ
จัดทํามาตรฐานให้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ หลักการของมาตรฐาน ISO 14001 จะมี
ความคล้ายคลึงกับขั้นตอนของการบริหารจัดการที่ดีคือวางแผน(PLAN) ดําเนินการ(DO)

128 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
 
ตรวจสอบ(CHECK) แก้ไข(ACT) หรือที่เรียกกันว่า P D C A หลักการของมาตรฐาน
ISO 14001 สามารถสรุปได้ดังนี้
1. นโยบายสิ่งแวดล้อม (Environmental policy) การจัดการสิ่งแวดล้อม
เริ่มด้วยผู้บริหารสูงสุดขององค์กรต้องมีความมุ่งมั่นที่จะดําเนินการอย่างจริงจังและ
กําหนดนโยบายสิ่งแวดล้อมขององค์กรขึ้นเพื่อเป็นแนวทางสําหรับการดําเนินงานของ
พนักงานในองค์กรซึ่งควรที่จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมเข้ามาเป็นที่
ปรึกษาให้แก่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กร
2. การวางแผน (Planning) เพื่อให้บรรลุนโยบายสิ่งแวดล้อมองค์กรจึงต้อง
มีการวางแผนในการดําเนินงานโดยต้องครอบคลุมถึงองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้
 แจกแจงรายละเอียดของกิจกรรมต่างๆในองค์กรที่มี ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ
สิ่งแวดล้อมรวมถึงกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก
 แจกแจงข้อกําหนดทางกฎหมายและข้อกําหนดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ
องค์กร
 จั ด ทํ า วั ต ถุ ป ระสงค์ แ ละเป้ า หมายในการจั ด การกิ จ กรรมต่ า งๆ ที่ มี
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและ


 จัดทําโครงการการจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้างต้น
น่า
3. การดํ า เนิ น การ (Implementation) เพื่ อ ให้ ก ารดํ า เนิ น การด้ า นการ
จัดการสิ่งแวดล้อมเป็นไปตามแผนที่ได้วางไว้ องค์กรควรดําเนินการให้ครอบคลุมถึง
องค์ประกอบต่างๆ ดังนี้
ําห
 กํ า หนดโครงสร้า งและอํ า นาจหน้า ที่ ค วามรั บผิ ด ชอบในการจั ด การ
สิ่งแวดล้อม
มจ

 ดําเนินการเผยแพร่ให้พนักงานในองค์กรทราบถึงความสําคัญในการ
จั ด การสิ่ ง แวดล้ อ มพร้ อ มทั้ ง จั ด การฝึ ก อบรมตามความเหมาะสมเพื่ อ ให้ พ นั ก งานที่
เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อมได้มคี วามรู้และความชํานาญในการดําเนินงาน
ห้า

 จัดทําและควบคุมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อมให้เป็น
ระบบและมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
 ควบคุมการดําเนินงานต่างๆ ให้สามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์และ
เป้าหมายที่กําหนดไว้
 จัดทําแผนดําเนินการหากมีอุบัติเหตุต่างๆ เกิดขึ้นรวมทั้งมีการซักซ้อม
การดําเนินการอย่างสม่ําเสมอ

หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 129
 
4. การตรวจสอบและการแก้ไข (Checking & corrective action) เพื่อ
ให้การจัดการสิ่งแวดล้อมได้รับการตรวจสอบและแก้ไขการดําเนินการขององค์กรต้อง
ครอบคลุมถึงองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้
 ติดตามและวัดผลการดําเนินการโดยเปรียบเทียบกับแผนที่วางไว้
 แจกแจงสิ่งต่างๆ ที่ไม่เป็นไปตามแผนการจัดการสิ่งแวดล้อม
 ดําเนินการแก้ไข
 จัดทําบันทึกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อม
 ตรวจประเมินระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ําเสมออย่างต่อเนื่อง
5. การทบทวนและการพัฒนา (Management review) ผู้บริหารองค์กร
ต้องทบทวนระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมในระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้การจัดการ
สิ่งแวดล้อมได้มีการพัฒนาอย่างสม่ําเสมอ

ประโยชน์ของการจัดทําระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม
ประโยชน์ของการจัดทําระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมตามอนุกรมมาตรฐาน


ISO 14000 สามารถสรุปได้เป็นข้อ ๆ ดังนี้
1. ช่วยในการพัฒนาที่ยั่งยืน
น่า
2. เพิ่มในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากหลายประเทศที่
เป็นคู่ค้าได้คํานึงถึงคุณภาพสิ่งแวดล้อม และคํานึงถึงรายละเอียดของแหล่งกําเนิดของ
ําห
วัตถุดิบ กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผลผลิต ตลอดจนผลผลิตที่ถูกใช้แล้ว
ว่าไปไหน ได้ไปรบกวนสิ่งแวดล้อมหรือไม่
3. เกิดการลดการเกิดของเสียให้น้อยที่สุด (Waste Minimization)
มจ

4. มีการนําของเสียมาใช้ให้เกิดประโยชน์ (Waste Utilization)


5. ก่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร
6. ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ข ององค์ ก รได้ รั บ การยอมรั บ เป็ น ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ที่ เ ป็ น มิ ต รต่ อ
ห้า

สิ่งแวดล้อม (Environmental Friendly Product)


7. ผลิตภัณฑ์ขององค์กรเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในตลาด
8. ลดต้นทุนในการประกอบกิจการ
9. ลดการใช้ ปั จ จั ย ในการดํ า เนิ น กิ จ การ คื อ วั ต ถุ ดิ บ สารเคมี เ ชื้ อ เพลิ ง
พลังงาน บรรจุภัณฑ์
10. ใช้ปัจจัยในการดําเนินกิจการอย่างคุ้มค่า
11. ลดค่าใช้จ่ายในการจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น

130 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
 
การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)
การวิ เ คราะห์ ผ ลกระทบสิ่ ง แวดล้ อ ม (EIA) เป็ น การศึ ก ษาเพื่ อ คาดการณ์
ผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งในทางบวกและทางลบจากการพัฒนาโครงการและกิจการต่างๆ
ที่ สํ า คั ญ เพื่ อ จํ า แนกและคาดคะเนผลกระทบที่ ค าดว่ า จะเกิ ด ขึ้ น จากโครงการหรื อ
กิ จ กรรม ตลอดจนการเสนอแนะมาตรการในการแก้ ไ ขผลกระทบ (Mitigation
measure) และแผนการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม (Monitoring plan) ทั้ง
ในระหว่างการก่อสร้างและการดําเนินโครงการซึ่งเป็นการกําหนดมาตรการป้องกันและ
แก้ไขผลกระทบสิ่ งแวดล้อมและใช้ในการประกอบการตัดสินใจพัฒนาโครงการและ
กิ จ การนั้ น ๆ ผลการศึ ก ษานี้ จ ะจั ด ทํ า เป็ น เอกสาร เรี ย กว่ า รายงานการวิ เ คราะห์
ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ประเทศพัฒนาแล้ว
ต่างนํามาใช้ใ นงานการจัดการสิ่งแวดล้อมเนื่องจากการพัฒนาย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยง
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติได้ อย่างไรก็ตามการผนวก
การพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นโครงการหรือระยะวางแผนย่อมจะช่วย
ลดผลกระทบพร้อมกับส่งเสริมให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ประเทศมีจํากัดอย่าง


ระมัดระวังและมีประโยชน์สูงสุดในประเทศไทยได้มีการใช้ระบบการประเมินผลกระทบ
น่า
สิ่งแวดล้อมตั้งแต่ปีพ.ศ. 2524 ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
แห่งชาติ พ.ศ. 2535 ในปัจจุบันได้มีการกําหนดประเภทและขนาดของโครงการจํานวน
35 ประเภท (ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กําหนด
ําห
ประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ
สิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทํารายงาน
การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม) ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่หรือมีลักษณะที่อาจก่อ
มจ

ปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ต่อสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เพื่อพิจารณา
ห้า

ประกอบการอนุญาตหรืออนุมัติโครงการของหน่วยงานผู้อนุญาตหรือคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้
รายงานฯ จะต้องจัดทําโดยผู้มีสิทธิทํารายงานฯ ซึ่งจดทะเบียนกับสํานักงานนโยบายและ
แผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ประโยชน์ของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ประโยชน์ของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสามารถใช้ในการวางแผน
การใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยพิจารณาผลกระทบต่อคุณภาพ
สิ่งแวดล้อมและความรุนแรงจากการพัฒนาโครงการเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถหา
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 131
 
มาตรการในการป้ อ งกั น และแก้ ไ ขผลกระทบที่ อ าจเกิ ด ขึ้ น นั้ น อย่ า งเหมาะสมก่ อ น
ดําเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าได้คาดการณ์ประเด็นปัญหาสําคัญอันเกิดขึ้นจากการพัฒนา
โครงการเป็ นไปอย่างถู กต้องตามหลักวิชาการและเลือกมาตรการที่ เป็นไปได้ในทาง
ปฏิบัติและค่าใช้จ่ายน้อย ช่วยเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจในการลงทุนหรือพัฒนา
โครงการการเตรียมแผนงานแผนการเงินในการจัดการสิ่งแวดล้อม และเป็นแนวทาง
กํ า หนดแผนการติ ด ตามตรวจสอบผลกระทบต่ า งๆ ทั้ ง ที่เ กิ ด ขึ้ น ภายหลั ง ได้ โดยผล
การศึกษายังเป็นข้อมูลที่จะให้ความกระจ่างต่อสาธารณชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อป้องกันความขัดแย้งของการใช้ทรัพยากรได้และเป็นหลักประกันเพื่อให้โครงการได้มี
การคํานึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนในระยะยาว (Long - term sustainable)

ประเด็นสิ่งแวดล้อมในการจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
1. ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางกายภาพศึกษาถึงผลกระทบทางกายภาพว่ามีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างไร
2. ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพศึกษาการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อระบบนิเวศ


3. คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ศึกษาการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทั้ง
กายภาพและชีวภาพของมนุษย์ว่าได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด
น่า
4. คุณ ค่าต่อคุณภาพชี วิตศึกษาผลกระทบต่อมนุษย์ ชุ มชน ระบบเศรษฐกิจ
สั ง คมและการสาธารณสุ ข อาชี ว อนามั ย การประกอบอาชี พ วั ฒ นธรรมประเพณี
ําห
ทัศนียภาพ คุณค่าความสวยงาม
มจ
ห้า

132 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
 
ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเรื่องกําหนดประเภท
และขนาดของโครงการหรื อ กิ จ การที่ ต้ อ งจั ด ทํ า รายงานวิ เ คราะห์
ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (ประกาศเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2555)
ตารางที่ 13.1 สรุปประเภทขนาดของโครงการที่ต้องจัดทํารายงานการวิเคราะห์
ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
1. การทําเหมืองแร่ตามกฎหมายว่า
ด้วยแร่
1.1 โครงการเหมืองแร่ดังต่อไปนี้
 เหมืองแร่ถ่านหิน ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
 เหมืองแร่โพแทช ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
 เหมืองแร่เกลือหิน ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
 เหมือนแร่หินปูนเพื่อ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
 เหมืองแร่โลหะทุกชนิด ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร


1.2 โครงการเหมืองแร่ใต้ดิน
น่า ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
1.3 โครงการเหมืองแร่ทุกชนิดที่ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่อไปนี้
 พื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มแม่น้ําชั้น ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
ําห
1 ตามมติคณะรัฐมนตรี
 ป่าอนุรักษ์เพิ่มเติมตามมติ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
คณะรัฐมนตรี
มจ

 พื้นที่ชุ่มน้ําที่มีความสําคัญ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร


ระหว่างประเทศ
 พื้นที่ที่อยู่ใกล้โบราณสถาน ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
แหล่งโบราณคดี แหล่ง
ห้า

ประวัติศาสตร์ หรืออุทยาน
ประวัติศาสตร์ตามกฎหมายว่า
ด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ
ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์
สถานแห่งชาติ แหล่งมรดก
โลกที่ขึ้นบัญชีแหล่งมรดกโลก
ตามอนุสัญญาระหว่าง

หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 133
 
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
ประเทศในระยะทาง 2
กิโลเมตร
1.4 โครงการเหมืองแร่ที่มีการใช้ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
วัตถุระเบิด
1.5 โครงการเหมืองแร่ชนิดอื่นๆ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
ตามกฎหมายว่าด้วยแร่ ยกเว้น
ตามข้อ1.1 ข้อ 1.2 ข้อ 1.3 และ
ข้อ 1.4
2 การพัฒนาปิโตรเลียม
2.1 การสํารวจปิโตรเลียม โดย ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอรับความ
วิธีการเจาะสํารวจ เห็นชอบจากหน่วยงาน
ผู้รับผิดชอบหรือหน่วยงานผู้
อนุญาตตามกฎหมายว่าด้วย
ปิโตรเลียม


2.2 การผลิตปิโตรเลียม ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอรับความ
เห็นชอบจากหน่วยงาน
น่า ผู้รับผิดชอบหรือหน่วยงานผู้
อนุญาตตามกฎหมายว่าด้วย
ปิโตรเลียม
ําห
3 โครงการระบบขนส่งปิโตรเลียม ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอใบอนุญาต
และน้ํามันเชื้อเพลิงทางท่อ หรือขั้นขอรับความเห็นชอบ
จากหน่วยงานที่รับผิดชอบ
มจ

4 นิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมาย ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ


ว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรม ขออนุญาตโครงการ
หรือโครงการที่มีลักษณะ
ห้า

เช่นเดียวกับนิคมอุตสาหกรรม
หรือโครงการจัดสรรที่ดินเพื่อการ
อุตสาหกรรม
5 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่มี ที่มีกําลังผลิต ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
กระบวนการผลิตทางเคมี ตั้งแต่ 100 ตัน ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ต่อวันขึ้นไป หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี

134 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
 
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
6 อุตสาหกรรมกลั่นน้ํามัน ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ปิโตรเลียม ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
7 อุตสาหกรรมแยกหรือแปรสภาพ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ก๊าซธรรมชาติ ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
8 อุตสาหกรรมคลอแอลคาไลน์ ที่มีกําลังผลิตสาร ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
(Chlor alkali industry) ดังกล่าว แต่ละ ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ที่ใช้โซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ชนิดหรือรวมกัน หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
เป็นวัตถุดิบในการผลิต โซเดียม ตั้งแต่ 100 ตัน กิจการแล้วแต่กรณี
คาร์บอเนต (Na2CO3) ต่อวันขึ้นไป
โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH)
กรดไฮโดรคลอริก (HCl) คลอรีน


(Cl2) โซเดียมไฮโพคลอไรด์
น่า
(NaOCl ) และปูนคลอรีน
(Bleaching Powder)
9 อุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ําห
ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการ แล้วแต่กรณี
มจ

10 อุตสาหกรรมผลิตเยื่อกระดาษ ที่มีกําลังผลิต ให้เสนอในขั้นขออนุญาต


ตั้งแต่ 50 ตันต่อ ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
วันขึ้นไป หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
ห้า

กิจการ แล้วแต่กรณี
11 อุตสาหกรรมที่ผลิตสารออกฤทธิ์ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
หรือสารที่ใช้ป้องกันหรือกําจัด ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ศัตรูพืชหรือสัตว์เลี้ยงโดยใช้ หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กระบวนการทางเคมี กิจการแล้วแต่กรณี

หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 135
 
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
12 อุตสาหกรรมผลิตปุ๋ยทางเคมีโดย ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
กระบวนการทางเคมี ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
13 อุตสาหกรรมประกอบกิจการ
เกี่ยวกับน้ําตาล
ดังต่อไปนี้
13.1 การทําน้ําตาลทรายดิบ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
น้ําตาลทรายขาวน้ําตาล ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ทรายขาวบริสุทธิ์ หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการ แล้วแต่กรณี
13.2 การทํากลูโคส เดกซ์โทรส ที่มีกําลังผลิต ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ฟรักโทส หรือผลิตภัณฑ์อื่นที่ ตั้งแต่ 20 ตันต่อ ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
คล้ายคลึงกัน วันขึ้นไป หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี


14 อุตสาหกรรมเหล็กหรือเหล็กกล้า
น่า ที่มีกําลังผลิต ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ตั้งแต่ 100 ตัน ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ต่อวันขึ้นไป หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
ําห
15 อุตสาหกรรมถลุงแร่ หรือแต่งแร่ ที่มีกําลังผลิต ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
หรือหลอมโลหะซึ่งมิใช่ ตั้งแต่ 50 ตันต่อ ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
อุตสาหกรรมเหล็กหรือเหล็กกล้า วันขึ้นไป หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
มจ

16 อุตสาหกรรมผลิตสุรา
แอลกอฮอล์รวมทั้งผลิตเบียร์และ
ไวน์
ห้า

16.1 อุตสาหกรรมผลิตสุรา ที่มีกําลังผลิต ให้เสนอในขั้นขออนุญาต


แอลกอฮอล์ ตั้งแต่ 40,000 ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ลิตรต่อเดือน หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
( คิดเทียบที่ ๒๘ กิจการ แล้วแต่กรณี
ดีกรี )

136 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
 
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
16.2 อุตสาหกรรมผลิตไวน์ ที่มีกําลังผลิต ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ตั้งแต่ 600,000 ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ลิตรต่อเดือน หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
16.3 อุตสาหกรรมผลิตเบียร์ ที่มีกําลังผลิต ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ตั้งแต่ 600,000 ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ลิตรต่อเดือน หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
17 โรงงานปรับคุณภาพของเสียรวม ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
เฉพาะสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้ ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
แล้วตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
18 โรงงานไฟฟ้าพลังความร้อน ที่มีกําลังผลิต ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
กระแสไฟฟ้า ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ตั้งแต่10 เมกะ หรือขั้นขออนุญาตประกอบ


น่า วัตต์ขึ้นไป กิจการแล้วแต่กรณี
19 ระบบทางพิเศษตามกฎหมายว่า ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ด้วยทางพิเศษหรือโครงการที่มี ขออนุญาตโครงการ
ลักษณะเช่นเดียวกับทางพิเศษ
ําห
20 ทางหลวงหรือถนน ซึ่งมี
ความหมายตามกฎหมายว่าด้วย
ทางหลวง ที่ตัดผ่านพื้นที่
ดังต่อไปนี้
มจ

20.1 พื้นที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ


และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าตาม ขออนุญาตโครงการ
กฎหมายว่าด้วยการสงวนและ
ห้า

คุ้มครองสัตว์ป่า
20.2 พื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ตามกฎหมายว่าด้วยอุทยาน ขออนุญาตโครงการ
แห่งชาติ
20.3 พื้นที่เขตลุ่มแม่น้ําชั้นที่ 2 ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ขออนุญาตโครงการ
แล้ว

หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 137
 
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
20.4 พื้นที่เขตป่าชายเลนที่เป็น ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ป่าสงวนแห่งชาติ ขออนุญาตโครงการ
20.5 พื้นที่ชายฝั่งทะเลในระยะ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
50 เมตร ห่างจากระดับน้ําทะเล ขออนุญาตโครงการ
ขึ้นสูงสุดตามปกติทางธรรมชาติ
20.6 พื้นที่ที่อยู่ในหรือใกล้พื้นที่ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ชุ่มน้ําที่มีความสําคัญระหว่าง ขออนุญาตโครงการ
ประเทศ หรือแหล่งมรดกโลกที่
ขึ้นบัญชีแหล่งมรดกโลกตาม
อนุสัญญาระหว่างประเทศใน
ระยะทาง 2 กิโลเมตร
20.7 พื้นที่ที่ตั้งอยู่ใกล้ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
โบราณสถาน แหล่งโบราณคดี ขออนุญาตโครงการ
แหล่งประวัติศาสตร์ หรือ
อุทยานประวัติศาสตร์ตาม


กฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน
โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและ
น่า
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในระยะ
2 กิโลเมตร
21 ระบบขนส่งมวลชนที่ใช้ราง ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ําห
ขออนุญาตโครงการ
22 ท่าเทียบเรือ รับเรือขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ตั้งแต่ 500 ตัน ขออนุญาตโครงการ
มจ

กรอส หรือ
ความยาวหน้า
ท่า ตั้งแต่ 100
ห้า

เมตร หรือมี
พื้นที่ท่าเทียบ
เรือรวมตั้งแต่
1,000 ตาราง
เมตรขึ้นไป

138 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
 
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
23 ท่าเทียบเรือสําราญกีฬา ที่รองรับเรือได้ ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ตั้งแต่ 50 ลํา ขออนุญาตโครงการ
หรือ 1,000
ตารางเมตรขึ้นไป
24 การถมที่ดินในทะเล ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ขออนุญาตโครงการ
25 การก่อสร้าง หรือขยาย
สิ่งก่อสร้างบริเวณหรือในทะเล
25.1กําแพงริมชายฝั่งติดแนว ความยาวตั้งแต่ ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ชายฝั่ง 200 เมตรขึ้นไป ขออนุญาตโครงการ

25.2 รอดักทรายเขื่อนกั้นทราย ทุกขนาด ให้เสนอขั้นขออนุมัติหรือขอ


และคลื่นรอบังคับกระแสน้ํา อนุญาตโครงการ
25.3 แนวเขื่อนกันคลื่นนอกฝั่ง ทุกขนาด ให้เสนอขั้นขออนุมัติหรือขอ
ทะเล อนุญาตโครงการ


26 โครงการระบบขนส่งทางอากาศ
น่า
26.1 ก่อสร้างหรือขยายสนามบิน ที่มีขนาดความยาว ให้เสนอขั้นขออนุมัติหรือขอ
หรือที่ขึ้นลงชั่วคราว เพื่อการ ของทางวิ่งตั้งแต่ อนุญาตโครงการ
พาณิชย์ 1,100 เมตร
ําห
26.2 สนามบินน้ํา ทุกขนาด ให้เสนอขั้นขออนุมัติหรือขอ
อนุญาตโครงการ
27 อาคารว่าด้วยตามกฎหมายว่า
ด้วยการควบคุมอาคาร ซึ่งมี
มจ

ลักษณะที่ตั้งหรือการใช้ประโยชน์
ในอาคารอย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้
27.1 อาคารที่ตั้งริมแม่น้ํา ฝั่ง ความสูงตั้งแต่ ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ห้า

ทะเล ทะเลสาบหรือชายหาด 23.00 เมตรขึ้น ก่อสร้าง หรือหากใช้วิธีการ


หรือที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติ ไป หรือมีพื้นที่ แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
หรืออุทยานประวัติศาสตร์ ซึ่ง รวมกันทุกชั้น ตามกฎหมายที่ว่าด้วยการ
เป็นบริเวณที่อาจจะก่อให้เกิด หรือชั้นหนึ่งชั้นใด ควบคุมอาคารโดยไม่ยื่น
ผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในหลังเดียวกัน
ตั้งแต่ 10,000
ตารางเมตรขึ้นไป

หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 139
 
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
27.2 อาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจ ความสูงตั้งแต่ ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
การค้าปลีกหรือค้าส่ง 23.00 เมตรขึ้น ก่อสร้าง หรือหากใช้วิธีการ
ไป หรือมีพื้นที่ แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
รวมกันทุกชั้น ตามกฎหมายที่ว่าด้วยการ
หรือชั้นหนึ่งชั้นใด ควบคุมอาคารโดยไม่ยื่น
ในหลังเดียวกัน
ตั้งแต่ 10,000
ตารางเมตรขึ้นไป
27.3 อาคารที่ใช้เป็นสํานักงาน ความสูงตั้งแต่ ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
หรือที่ทําการของเอกชน 23.00 เมตรขึ้น ก่อสร้าง หรือหากใช้วิธีการ
ไป หรือมีพื้นที่ แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
รวมกันทุกชั้น ตามกฎหมายที่ว่าด้วยการ
หรือชั้นหนึ่งชั้น ควบคุมอาคารโดยไม่ยื่น
ใดในหลัง ขอรับอนุญาตให้เสนอรายงาน
เดียวกันตั้งแต่ ในขั้นการแจ้งต่อเจ้าพนักงาน


10,000 ตาราง ท้องถิ่น
เมตรขึ้นไป
28
น่า
การจัดสรรที่ดินเพื่อเป็นที่อยู่
อาศัยหรือเพื่อประกอบการ
จํานวนที่ดิน ให้เสนอในขั้นจัดสรรที่ดินตาม
แปลงย่อยตั้งแต่ กฎหมายว่าด้วยการจัดสรร
พาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการ 500 แปลงหรือ ที่ดิน
ําห
จัดสรรที่ดิน เนื้อที่เกินกว่า
100 ไร่
29 โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล
มจ

ตามกฎหมายว่าด้วย
สถานพยาบาล
29.1 กรณีตั้งอยู่ใกล้แม่น้ํา ฝั่ง ที่มีเตียงสําหรับ ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ห้า

ทะเล ทะเลสาบ หรือชายหาด ใน ผู้ป่วยไว้ค้างคืน ก่อสร้าง หรือหากใช้วิธีการ


ระยะ 50 เมตร ตั้งแต่ 30 เตียง แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
ขึ้นไป ตามกฎหมายที่ว่าด้วยการ
ควบคุมอาคารโดยไม่ยื่นขอรับ
อนุญาตให้เสนอรายงานในขั้น
การแจ้งต่อเจ้าพนักงาน
ท้องถิ่น

140 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
 
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
29.2 กรณีโครงการที่ไม่อยู่ในข้อ ที่มีเตียงสําหรับ ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
29.1 ผู้ป่วยไว้ค้างคืน ก่อสร้าง หรือหากใช้วิธีการ
ตั้งแต่ 60 เตียง แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
ขึ้นไป ตามกฎหมายที่ว่าด้วยการ
ควบคุมอาคารโดยไม่ยื่น
ขอรับอนุญาตให้เสนอรายงาน
ในขั้นการแจ้งต่อเจ้าพนักงาน
ท้องถิ่น
30 โรงแรมหรือสถานที่พักตาก ที่มีจํานวน ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
อากาศตามกฎหมายว่าด้วย ห้องพักตั้งแต่ 80 ก่อสร้าง หรือหากใช้วิธีการ
โรงแรม ห้องขึ้นไป หรือมี แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ ตามกฎหมายที่ว่าด้วยการ
4,000 ตาราง ควบคุมอาคารโดยไม่ยื่นขอรับ
เมตรข้นไป อนุญาตให้เสนอรายงานในขั้น
การแจ้งต่อเจ้าพนักงาน


น่า ท้องถิ่น
31 อาคารอยู่อาศัยรวมตามกฎหมาย ที่มีจํานวน ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ว่าด้วยการควบคุมอาคาร ห้องพักตั้งแต่ ก่อสร้าง หรือหากใช้วิธีการ
80 ห้อง ขึ้นไป แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
หรือมี พื้นที่ใช้ ตามกฎหมายที่ว่าด้วยการ
ําห
สอยตั้งแต่ ควบคุมอาคารโดยไม่ยื่น
4,000 ตาราง ขอรับอนุญาตให้เสนอรายงาน
เมตรข้นไป ในขั้นการแจ้งต่อเจ้าพนักงาน
มจ

ท้องถิ่น
32 การชลประทาน ที่มีพื้นที่ ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ชลประทานตั้งแต่ ขออนุญาตโครงการ
ห้า

80,000 ไร่ ขึ้นไป


33 โครงการทุกประเทที่อยู่ในพื้นที่ที่ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ ขออนุญาตโครงการ
กําหนดให้เป็นพื้นที่ชั้นคุณภาพ
ลุ่มแม่น้ําชั้น 1

หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 141
 
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
34 การผันน้ําข้ามลุ่มแม่น้ํา
ดังต่อไปนี้
34.1 การผันน้ําข้ามลุ่มน้ําหลัก ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ยกเว้นกรณีภัยพิบัติ หรือมี ขออนุญาตโครงการ
ผลกระทบต่อความมั่นคงของ
ประเทศที่เป็นการดําเนินการ
ชั่วคราว
34.2 การผันน้ําระหว่างประเทศ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ยกเว้นกรณีภัยพิบัติ หรือมี ขออนุญาตโครงการ
ผลกระทบต่อความมั่นคงประเทศ
ที่เป็นการดําเนินการชั่วคราว
35 ประตูระบายน้ําในแม่น้ําสายหลัก ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ขออนุญาตโครงการ

เงื่อนไขการจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ


กระทรวงทรั พ ยากรธรรมชาติ แ ละสิ่ ง แวดล้ อ มได้ มี ป ระกาศกํ า หนด
น่า
ประเภทและขนาดโครงการ และกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่าง
รุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ จะต้อง
จัดทํารายงาน EHIA จํานวน 11 ประเภทกิจการ ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา
ําห
31 สิงหาคม 2553 และ 29 พฤศจิกายน 2553
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ผลกระทบด้านสุขภาพจากการพัฒนาโครงการ
มจ

ในโครงการ 35 ประเภท ขนาดและกิจการนั้น มีการกระทําอยู่แล้วในองค์ประกอบ


สิ่งแวดล้อมด้านคุ ณค่าต่อคุณ ภาพชีวิต ภายใต้หัวข้ อการสาธารณสุขและอาชีว
อนามัย ซึ่งต้องให้ความสําคัญในการศึกษาด้านผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิด
ห้า

ขึ้นกับประชาชนในชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบที่ตั้งโครงการมากขึ้น รวมทั้งประชาชน
กลุ่มเสี่ยงอื่น ไม่ว่าจะเป็นคนงานก่อสร้าง พนักงานหรือผู้ปฏิบัติงานในโครงการก็
ตาม

142 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
 
การประเมิ น ผลกระทบสิ่ ง แวดล้ อ มเบื้ อ งต้ น (Initial Environmental
Evaluation: IEE)
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้ อมเบื้องต้น (IEE) เป็นการตรวจสอบ
เบื้องต้นถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการที่เสนอ มักใช้ข้อมูล
เบื้องต้นที่มีอยู่หรือข้อมูลที่สามารถหาได้ทันที โดยทั่วไป IEE เป็นการศึกษาเพื่อให้
ทราบว่าจะต้องทํารายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ต่อหรือไม่ สําหรับ
ประเทศไทยได้นํามาใช้ในการกําหนดให้โครงการที่คาดว่ามีผลกระทบสิ่งแวดล้อม
บางประเภทที่มีขนาดเล็กหรือมีผลกระทบไม่มากจัดทําเป็นรายงานผลกระทบ
สิ่งแวดล้อมเบื้องต้น


น่า
ําห
มจ
ห้า

หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 143
 
ห้า
มจ
ําห
น่า

หมวด
ความปลอดภัยสําหรับวิศวกร

น่า
ําห
มจ
ห้า
ห้า
มจ
ําห
น่า

บทที่ 14
ความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ความรูพื้นฐานในเรื่องความปลอดภัย
แนวคิด
ความปลอดภั ย ในการทํ า งานมี ค วามหมายตรงกั บ ภาษาอั ง กฤษว า
"Occupation Safety and Health" หมายความรวมถึง ความปลอดภัยและสุขภาพ
อนามัยของผูประกอบอาชีพทั้งหลาย อาจทํางานโรงงานอุต สาหกรรมกอสราง ขนสง
เหมืองแร หรืออื่นๆ
ในอีกมุมมองหนึ่ง ความปลอดภัย หมายถึง ปลอดจากอุบัติเหตุและการเจ็บปวย
หรือโรคจากการทํางานนั่นเอง


อุบัติเหตุและการเจ็บปวยจากการทํางาน เมื่อเกิดขึ้นแลวอาจมีผลทําใหเกิดการ
บาดเจ็บ พิการ เจ็บปวย เกิดโรคจากการทํางานหรือเสียชีวิต และอาจทําใหทรัพยสิน
น่า
เสีย หาย อุบัติเหตุและการเจ็บปวยมีส าเหตุที่ทําใหเกิด และสามารถปองกันไดเสมอ
การจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเปนแนวทางในการปองกันอุบัติเหตุและ
ําห
การเจ็บปวยจากการทํางาน โรงงานหรือสถานประกอบการ หนวยงานตองดําเนินการ
คน หาอัน ตรายและความเสี่ย งตออั น ตรายนั้ น ตลอดจนหาสาเหตุ ของอุบัติ เหตุ และ
มจ

การเจ็บปวยที่เกิดขึ้นกับผูปฏิบัติงานและผูเกี่ยวของ และกําหนดมาตรการควบคุมที่มี
ประสิทธิผล
ห้า

ความรูเกี่ยวกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
อุบัติเหตุจากการทํางานมีหลายประเภท สามารถอธิบายสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ
ได ระบุปญหาความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุได จําแนกกลุมของสิ่งแวดลอมการ
ทํางานที่อาจทําใหผูปฏิบัติงานเกิดการเจ็บปวย หรือเกิดโรคจากการทํางาน สามารถ
จัดหาแนวทางการจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเพื่อลดอุบัติเหตุและความ
สูญเสียในสถานประกอบกิจการได
อุบัติเหตุและความสูญเสีย
ปญหาการเกิดอุบัติเหตุจากการทํางานยังมีความรุนแรงและเปนปญหาที่สําคัญ
นํามาซึ่งการบาดเจ็บ พิการ สูญเสียอวัยวะ และสูญเสียทรัพยสิน จึงตองศึกษาถึงปญหา
อุบัติเ หตุและความสูญเสีย และแนวทางการดํา เนิน งานดา นความปลอดภัย ในสถาน
ประกอบกิจการ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 147
1. อุบัติเหตุจากการทํางาน
สถาบันมาตรฐานของอเมริกา (ANSI) ไดจําแนกประเภทอุบัติเหตุไว ดังนี้
 ถูกกระแทก (struck by)
 ถูกหนีบหรือดึง (caught in, under or between)
 ตกจากที่สูง (fall)
 หกลม ลื่นลม
 ถูกชน
 สัมผัสไฟฟา (contact with electric current)
 สัมผัสรังสี
 อุบัติเหตุจากการขนสงคมนาคม


สําหรับประเทศไทยการเกิดอุบัติเหตุจากการทํางานในแตละปมีจํานวนมาก ซึ่ง
น่า
แสดงใหเห็นไดวาการจายเงินคาทดแทนในแตละปก็มีจํานวนมากเชนกัน ประเภทกิจการ
ที่ประสบอันตรายมากที่สุด ก็ยังคงเปนกิจการกอสรางเชนเคย ตัวอยางเชนในป 2552
ําห
ตามรูปที่ 14.1
16,000
มจ

14,000
12,000
10,000
จํานวน (ราย)

ห้า

8,000
6,000
4,000
2,000
0
0203 การผลิต 1501 การคา 0615 การผลิต 0804 การหลอ
1301 การ
เครื่องดื่ม เครื่องไฟฟา ผลิตภัณฑ หลอม การกลึง
กอสราง
อาหาร ฯลฯ ยานพาหนะฯ พลาสติก โลหะ
13,396 9,241 8,381 6,510 6,176

รูปที่ 14.1 แผนผังแสดงประเภทกิจการ


ที่มีจํานวนการประสบอันตรายสูงสุด 5 อันดับแรก ป 2552
ที่มา : สํานักงานกองทุนเงินทดแทน สํานักงานประกันสังคม (นับ ณ จุดวินิจฉัย)

148 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
2. สาเหตุของอุบัติเหตุ
H.W. Heinrich เปนบุคคลหนึ่งที่ไดศึกษาถึงสาเหตุที่กอใหเกิดอุบัติเหตุ
อยางจริงจังในโรงงานอุตสาหกรรมตางๆ ในป ค.ศ. 1920 ผลจากการศึกษาวิจัย สรุปได
ดังนี้
สาเหตุของอุบัติเหตุที่สําคัญ ไดแก
 สาเหตุที่เกิดจากคน (Human Causes) มีจํานวนสูงที่สุดคือประมาณ
88 % ของการเกิดอุบัติเหตุทุกครั้ง
 สาเหตุ ที่ เ กิ ด จากความผิ ด พลาดของเครื่ อ งจั ก ร (Mechanical
Failure) มีประมาณ 10% ของการเกิดอุบัติเหตุทุกครั้ง
 สาเหตุที่เกิดจากดวงชะตา (Acts of God) มีประมาณ 2% เปน
สาเหตุ ที่ เ กิ ด ขึ้ น โดยธรรมชาติ นอกเหนื อ การควบคุ ม ได เช น พายุ น้ํ า ท ว ม ฟ า ผ า


แผนดินไหว เปนตน น่า
สาเหตุข องการเกิ ดอุ บัติ เหตุส ามารถอธิ บายไดด ว ยทฤษฎีโ ดมิ โ น (Domino
Theory) ว า การบาดเจ็บ และความเสีย หายต า งๆ เปน ผลที่ สื บ เนื่ อ งโดยตรงมาจาก
ําห
อุบัติเหตุ และอุบัติเหตุเปนผลมาจากการกระทําที่ไมปลอดภัย หรือสภาพการณที่ไม
ปลอดภัย ซึ่งเปรียบไดเหมือนตัวโดมิโนที่เรียงกันอยู 5 ตัวใกลกัน เมื่อตัวที่หนึ่งลมยอมมี
มจ

ผลทําใหตัวโดมิโนถัดไปลมตามกันไปดวยเปนลูกโซ ตัวโดมิโนทั้ง 5 ตัว ไดแก


 สภาพแวดล อ มหรื อ ภู มิ ห ลั ง ของบุ ค คล (Social Environment or
ห้า

Background)
 ความบกพรองของบุคคล (Defects of Person)
 การกระทํ า หรื อ สภาพแวดล อ มที่ ไ ม ป ลอดภั ย (Unsafe Acts/Unsafe
Conditions)
 อุบัติเหตุ (Accident)
 การบาดเจ็บหรือความเสียหาย (Injury/Damage)

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 149
รูปที่ 14.2 ลูกโซของอุบัติเหตุ
ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ

ทฤษฎีโดมิโนนี้มีผูเรียกชื่อใหมเปน “ลูกโซของอุบัติเหตุ (Accident Chain)”


อธิบายไดวาสภาพแวดลอมของสังคมหรือภูมิหลังของคนใดคนหนึ่ง (สภาพครอบครัว


ฐานะความเป น อยู การศึ ก ษาอบรม) ก อ ให เ กิ ด ความบกพร อ งผิ ด ปกติ ข องคนนั้ น
น่า
(มีทัศนคติตอความปลอดภัย ไมถูกตอง ชอบเสี่ย ง มักงาย) กอใหเกิดการกระทําที่ไม
ปลอดภัยหรือสภาพการณที่ไมปลอดภัยกอใหเกิดอุบัติเหตุ เปนผลใหเกิดการบาดเจ็บ
ําห
หรือความเสียหาย ซึ่งอาจสรุปเปนแผนภูมิ ดังรูปที่ 14.2
อยางไรก็ดี นอกจากการอธิบายสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุดวยทฤษฎีโดมิโน
มจ

แลว ตอมานักวิชาการความปลอดภัยไดมีการนําเสนอแนวคิดของสาเหตุของอุบัติเหตุใน
อีกมุมมองหนึ่ง โดยอธิบายวา สาเหตุของอุบัติเหตุโ ดยทั่วไปจะมีสาเหตุนําอันเกิดจาก
ความผิดพลาดของการจัดการ และสภาวะทางดานรางกายและจิตใจของคนงานที่ไม
ห้า

เหมาะสม แลวกอใหเกิดสาเหตุโดยตรง คือ การปฏิบัติงานที่ไมปลอดภัยและสภาพของ


งานที่ไมปลอดภัย อันนําไปสู การเกิดอุบัติเหตุ และผลของอุบัติเหตุนั้น อาจทําใหเกิด
ความเสียหายของทรัพยสินและผลผลิตหยุดชะงัก หรือคนงานไดรับบาดเจ็บที่รักษาให
หายเปนปกติได บางรายอาจพิการ หรือบางรายอาจเสียชีวิต ดังรูปที่ 14.3

150 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร

น่า
รูปที่ 14.3 แสดงสาเหตุและผลของอุบัติเหตุ
ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ
ําห
สาเหตุนําของการเกิดอุบัติเหตุจากการทํางานเกิดขึ้นจาก
มจ

2.1 ความผิดพลาดของการจัดการ เชน


 ไมมีการสอบหรืออบรมเกี่ยวกับความปลอดภัย
 ไมมีการบังคับใหปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัย
ห้า

 ไมมีการวางแผนและเตรียมงานดวยความปลอดภัยไว
 ไมมีการแกไขจุดอันตรายตางๆ
 ไมมีการจัดหาอุปกรณความปลอดภัยให เปนตน
2.2 สภาวะทางดานจิตใจของคนงานไมเหมาะสม เชน
 ขาดความระมัดระวัง
 มีทัศนคติไมถูกตอง
 มีปฏิกิริยาในการสั่งงานชา
 ขาดความตั้งอกตั้งใจ
 อารมณออนไหวงาย และขี้โมโห
 เกิดความรูสึกหวาดกลัว ขวัญออน ตกใจงาย เปนตน
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 151
2.3 สภาวะทางดานรางกายของคนงานไมเหมาะสม เชน
 ออนเพลียมาก
 หูหนวก
 สายตาไมดี
 มีรางกายไมเหมาะสมกับงานที่ทํา
 เปนโรคหัวใจ
 รางกายมีความพิการ เปนตน
สาเหตุนําของการเกิดอุบั ติเหตุดังกลา วนั้น จะเปน ตัว เหตุสําคัญ ที่จ ะโยงหรื อ
นําไปสูการเกิดสาเหตุโดยตรงของการเกิดอุบัติเหตุ
สาเหตุโดยตรงของการเกิด อุบัติเ หตุจากการทํา งาน มีอยู 2 สาเหตุใหญ คือ


การปฏิบัติงานที่ไมปลอดภัยของผูปฏิบัติงาน และสภาพของงานที่ไมปลอดภัย
น่า
ก. การปฏิ บั ติ ง านที่ ไ ม ป ลอดภั ย เป น การกระทํ า ที่ ไ ม ป ลอดภั ย ของ
ผูปฏิบัติงานในขณะที่ทํางาน ซึ่งอาจจะกอใหเกิดอุบัติเหตุได ตัวอยางเชน
 การใชเครื่องจักร เครื่องกล เครื่องมือ หรืออุปกรณตางๆ โดยพลการ
ําห
หรือโดยไมไดรับมอบหมาย
 การทํ า งานเร็ ว เกิ น สมควรและใช เ ครื่ อ งจั ก รในอั ต ราที่ เ ร็ ว เกิ น
มจ

กําหนด
 ซอมแซมหรือบํารุงรักษาเครื่องในขณะที่เครื่องยนตกําลังหมุน
ห้า

 ถอดอุปกรณความปลอดภัยจากเครื่องจักรโดยไมมีเหตุอันควร
 เลนตลกคะนองในขณะทํางาน
 ยืนทํางานในที่ที่ไมปลอดภัย
 ใชเครื่องมือที่ชํารุด และการใชเครื่องมือไมถูกวิธี
 ทําการยกหรือเคลื่อนยายวัสดุดวยทาทางหรือวิธีการที่ไมปลอดภัย
 ไมสวมใสอุปกรณคุมครองความปลอดภัยบุคคลที่จัดให

ข. สภาพของงานที่ไมปลอดภัย เปนสภาพแวดลอมที่ไมปลอดภัยที่อยูรอบๆ
ตัวผูปฏิบัติงานในขณะทํางานซึ่งอาจเปนเหตุใหเกิดอุบัติเหตุได ตัวอยางเชน

152 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
 ไม มี ครอบหรื อ เซฟการ ดส ว นของเครื่ อ งจั ก รหรื อส ว นอื่น ใดที่ เ ป น
อันตราย
 เครื่ อ งจั ก รอาจมี ค รอบหรื อ เซฟการ ด แต ไ ม เ หมาะสม เช น
ไมแข็งแรง หรือรูตะแกรงของเซฟการดนั้นโตเกินไป
 เครื่องจักร เครื่องมือที่ใชอาจออกแบบไมเหมาะสม
 บริเวณพื้นที่ทํางานลื่น ขรุขระ
 สถานที่ทํางานสกปรก รกรุงรัง การวางของไมเปนระเบียบ เกะกะ
มีสิ่งกีดขวางทางเดิน
 การกองวัสดุสูงเกินไป และการซอนวัสดุไมถูกวิธี
 การจัดเก็บสารเคมี สารไวไฟตางๆ ไมเหมาะสม
 แสงสวางไมเหมาะสม เชน แสงอาจไมเพียงพอ หรือแสงจาเกินไป
 ไมมีระบบเตือนภัยที่เหมาะสม เปนตน


น่า
เมื่อไมกี่ปมานี่ มีการแนะนําแบบจําลองสาเหตุที่ทําใหเกิดอุบัติเหตุและความ
สูญเสียหลายรูปแบบแตแบบที่งายและใชกันในการควบคุมอุบัติเหตุอยางกวางขวาง คือ
ําห
แบบจําลองเกี่ยวกับการคนหาสาเหตุของอุบัติเหตุและความสูญเสีย (Loss Causation
Model) ของ Frank E. Bird ซึ่งมีรูปลักษณะคลายโดมิโนของ H.W. Heinrich
มจ
ห้า

รูปที่ 14.4 แบบจําลองสาเหตุของอุบัติเหตุและความสูญเสีย


(Loss Causation Model)
ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ

แบบจําลองเกี่ยวกับการคนหาสาเหตุของอุบัติเหตุและความสูญเสีย (Loss
Causation Model) อธิบายถึงผลหรือความสูญเสียเปนผลมาจากเหตุการณผิดปกติที่
เกิดขึ้น (Incident) ซึ่งเกิดมาจากสาเหตุในขณะนั้น (Immediate Causes) แตที่จริงแลว
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 153
เกิดมาจากสาเหตุพื้นฐานหรือสาเหตุตนตอ (Basic Causes) ที่เกิดขึ้นมาจากการขาดการ
ควบคุมที่ดี (Lack of Control)
การขาดการควบคุม (Lack of Control) การขาดการควบคุมการจัดการ
อยางเพียงพอยอมนําไปสูความสูญเสีย การขาดการควบคุม ไดแก
 โครงการไมเพียงพอกับความตองการ
 มาตรฐานของโครงการไมเพียงพอหรือไมชัดเจน
 การปฏิบัติตามมาตรฐานไมเพียงพอ
สาเหตุพื้นฐาน (Basic Causes) คือ สาเหตุที่แทจริงที่อยูเบื้องหลังอาการ ที่
แสดงออกมาเปนเหตุผลวาทําไมการกระทําหรือสภาพการณที่ต่ํากวามาตรฐานจึงเกิดขึ้น
สาเหตุพื้นฐานแบงออกเปน 2 กลุม ไดแก
 ปจจัยจากบุคคล เชน ขาดความรู ขาดความสามารถทั้งทางกายและ
ทางจิตใจ มีความเครียด


น่า
 ปจจัยจากงาน หรือสภาพแวดลอมในการทํางาน เชน การออกแบบ
ทางวิศวกรรมไมดี การควบคุมการจัดซื้อไมเพียงพอ เครื่องมือ อุปกรณ วัสดุไมเพียงพอ
ําห
ส า เ ห ตุ ใ น ข ณ ะ นั้ น (Immediate Causes) คื อ ส ภ า ว ะ ที่ เ กิ ด ขึ้ น
อย า งเฉี ย บพลั น ทั น ที ก อ นที่ จ ะมี ก ารสั ม ผั ส เป น สภาวะที่ ม องเห็ น หรื อ รั บ รู ไ ด
มจ

ซึ่งเกี่ยวของกับ
 การปฏิบัติที่ต่ํากวามาตรฐาน (Sub-standard Acts) และสภาพการณ
ห้า

ที่ต่ํากวามาตรฐาน (Sub-standard Conditions)


เหตุ ก ารณ ผิ ด ปกติ ห รื อ อุ บั ติ ก ารณ /การสั ม ผั ส (Incident/ Contact) คื อ
เหตุการณที่เกิดขึ้น กอนความสูญเสีย เมื่อสาเหตุซึ่งจะกอใหเกิดอุบั ติเหตุปรากฏขึ้ น
ยอมเปนชองทางที่ทําใหมีการสัมผัสกับแหลงของพลังงานซึ่งสูงกวาคาขีดจํากัดของราย
กายหรื อ โครงสร า ง ตั ว อย า งของการถ า ยทอดพลั ง งาน เช น การชน การกระแทก
ถูกหนีบ ถูกตัด การสัมผัสกับพลังงานไฟฟา ความรอน ความเย็น
ความสูญเสีย (Loss) เปนผลที่เกิดขึ้นเมื่อมีเหตุการณผิดปกติหรือการสัมผัส
ผลที่เกิดขึ้นอาจเปนเรื่องเล็กนอยไปจนถึงขั้นเสียชีวิตหรือเสียหายทั้งโรงงานก็ได

154 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
3. ความสูญเสียจากการเกิดอุบัติเหตุ
ความสูญเสียหรือคาใชจายอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุจากการทํางานนั้นอาจแบง
ออกไดเปน 2 ประเภทใหญๆ ดังนี้คือ
3.1 ความสูญเสียทางตรง หมายถึง จํานวนเงินที่ตองจายไป อันเกี่ยวเนื่อง
กับผูไดรับบาดเจ็บโดยตรง จากการเกิดอุบัติเหตุนั้น ไดแก คารักษาพยาบาล คาทดแทน
คาทําขวัญ คาทําศพ คาประกันชีวิต เปนตน
3.2 ความสู ญ เสี ย ทางอ อ ม หมายถึ ง ค า ใช จ า ยอื่ น ๆ (ซึ่ ง ส ว นใหญ จ ะ
คํานวณเปนตัวเงินได) นอกเหนือจากคาใชจายทางตรงสําหรับการเกิดอุบัติเหตุแตละครั้ง
ไดแก
 การสูญเสียเวลาทํางานของคนงานหรือผูบาดเจ็บ เพื่อรักษาพยาบาล
- การสู ญ เสี ย เวลาของคนงานอื่ น หรื อ เพื่ อ นร ว มงานที่ ต อ ง
หยุ ด ชะงั ก ชั่ ว คราว เนื่ อ งจากช ว ยเหลื อ ผู บ าดเจ็ บ โดยการ


ปฐมพยาบาล หรือนําสงโรงพยาบาล
- การสูญเสียเวลาความอยากรูอยากเห็น ประเภท “ไทยมุง ”
น่า
การวิพากษวิจารณ
- การสูญเสียเวลาความตื่นตกใจ (ตื่นตระหนกและเสียขวัญ)
ําห
 การสูญเสียเวลาของหัวหนางานหรือผูบังคับบัญชา เนื่องจาก
- ชวยเหลือผูบาดเจ็บ
มจ

- สอบสวนหาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ
- บั น ทึ ก และจั ด ทํ า รายงานการเกิ ด อุ บั ติ เ หตุ เพื่ อ เสนอ
ห้า

ตามลําดับชั้น และสงแจงไปยังหนวยที่เกี่ยวของ
- จัดหาคนงานอื่นและฝกสอนใหเขาทํางานแทนผูบาดเจ็บ
- หาวิธีการแกไขและปองกันอุบัติเหตุไมใหเกิดซ้ําอีก
 ค า ใช จ า ยในการซ อ มแซม เครื่ อ งจั ก ร เครื่ อ งมื อ อุ ป กรณ ที่ ไ ด รั บ
ความเสียหาย
 วัตถุดิบหรือสินคาที่ไดรับความเสียหาย ตองทิ้ง ทําลาย หรือขายทิ้ง
 ผลผลิตลดลง เนื่องจากกระบวนการผลิตขัดของ ตองหยุดชะงัก
 คาสวัสดิการตาง ๆ ของผูบาดเจ็บ
 คา จ า งแรงงานของผู บาดเจ็ บ ซึ่ ง สถานประกอบกิ จ การ ต อ งจ า ย
ตามปกติ แมวาผูบาดเจ็บจะทํางานยังไมไดเต็มที่ หรือตองหยุดงาน

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 155
 การสู ญ เสี ย โอกาสในการทํ า กํ า ไร เพราะผลผลิ ต ลดลงจากการ
หยุดชะงักของกระบวนการการผลิตและความเปลี่ยนแปลงความตองการของทองตลาด
 คา เช า ค า ไฟฟ า น้ํ า ประปา และค า โสหุ ย ตา งๆ ที่ ส ถานประกอบ
กิจการยังคงตองจายตามปกติ แมวาจะตองหยุด หรือปดกิจการหลายวันในกรณีเกิด
อุบัติเหตุรายแรง
 การเสียชื่อเสียง และภาพพจนของสถานประกอบกิจการ
นอกจากนี้ผูบาดเจ็บจนถึงขั้นพิการหรือทุพพลภาพจะกลายเปนภาระของ
สังคม ซึ่งทุกคนมีสวนรวมรับผิดชอบดวย ความสูญเสียทางออม จึงมีคามหาศาลกวา
ความสู ญ เสี ย ทางตรงมาก ซึ่ ง ปกติ เ รามั ก จะคิ ด กั น ไม ถึ ง จึ ง มี ผู เ ปรี ย บเที ย บว า
ความสูญเสียหรือคาใชจาย ของการเกิดอุบัติเหตุเปรียบเสมือน “ภูเขาน้ําแข็ง” สวนที่
โผลพนน้ําใหมองเห็นไดมีเพียงเล็กนอย เมื่อเทียบกับสวนที่จมอยูใตน้ํา ในทํานองเดียวกัน
คาใชจายทางตรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุจะเปนเพียงสวนนอยของคาใชจายที่เกิดขึ้นทั้งหมดซึ่ง


ผูบริหารจะมองขามมิได Heinrich ไดคํานวณอัตราสวนของคาความสูญเสียทางออมและ
น่า
ความสูญเสียทางตรงนั้น ประมาณ 4:1 ตอมาในป 1980 De Reame อางถึงการศึกษา
ของนักวิช าการทั้งหลายวา อัตราสว นนั้น จะอยูร ะหวาง 2.3:1 ถึง 101:1 ซึ่งอาจ
ําห
เปรียบเทียบเหมือนภูเขาน้ําแข็งในมหาสมุทร
มจ
ห้า

รูปที่ 14.5 แสดงความสูญเสียของอุบัติเหตุเปรียบเทียบกับภูเขาน้ําแข็ง


ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ

156 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
การเจ็บปวยจากสิ่งแวดลอมในการทํางาน
"สิ่งแวดลอมในการทํางานที่เปนอันตรายตอสุขภาพ" หมายถึง สิ่งตางๆที่อยู
ล อ มรอบตั ว ผู ป ระกอบอาชี พ หรื อ คนงานในขณะทํ า งาน อั น อาจจะรวมถึ ง อากาศ
ที่หายใจ แสงสวาง ความสั่นสะเทือน รังสี ความรอน ความเย็น กาซ ไอสาร ฝุน ฟูม
ละออง และสารเคมีอื่นๆ เชื้อโรคและสัตวตางๆ นอกจากนี้ ยังรวมถึงสภาพการทํางานที่
ซ้ําซาก การเรงรีบทํางาน การทํางานเปนผลัดหมุนเวียนเรื่อยไป สัมพันธภาพระหวาง
เพื่ อ นร ว มงาน ค า ตอบแทนและชั่ ว โมงการทํ า งาน เป น ต น ความไม เ หมาะสมของ
สิ่งแวดลอมการทํางานนับวาเปนปจจัยที่มีสวนเกี่ยวของในการกอใหเกิดการเจ็บปวยจาก
การทํางานเชนเดียวกัน
สิ่งแวดลอมในการทํางานที่อยูรอบๆ ตัวผูปฏิบัติงานในขณะทํางานนั้น แบงได
เปน 4 ประเภท คือ สิ่งแวดลอมทางกายภาพ สิ่งแวดลอ มทางเคมี สิ่งแวดลอมทาง
ชีวภาพ และสิ่งแวดลอมทางจิตวิทยาสังคม


น่า
ําห
มจ
ห้า

รูปภาพที่ 14.6 สิ่งแวดลอมในการทํางานที่เปนอันตรายตอสุขภาพ


ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ

1. สิ่งแวดลอมทางกายภาพ มีหลายชนิด เชน เสียงดัง ความสั่นสะเทือน


ความรอน ความเย็น รังสี แสงสวาง ความกดดันบรรยากาศ รังสีชนิดแตกตัว และบริเวณ
สถานที่ทํางาน เปนตน สิ่งแวดลอมทางกายภาพนี้จําเปนจะตองมีเกณฑเพื่อพิจารณาถึง
ระดับของการเสี่ยงอันตรายของคนงานที่ทํางานเกี่ยวของ

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 157
2. สิ่งแวดลอมทางเคมี ไดแก สารเคมีชนิดตางๆ ที่ใชเปนวัตถุดิบ หรือผลผลิต
หรือของเสียที่ตองจํากัด โดยทั่วไปสารเคมีดังกลาวอาจจะอยูในรูป กาซ ไอ ฝุน ฟูม ควัน
ละออง หรืออยูในรูปของเหลว เชน สารตัวทําละลาย (Solvents) ตัวอยางสิ่งแวดลอม
ทางเคมี เชน กาซคารบอนมอนนอกไซด ตะกั่ว แมงกานีส ปรอท เบนซิน คารบอน
เตตระคลอไรด แอสเบสตอส ฯลฯ สิ่งแวดลอมทางเคมีเหลานี้อาจเขาสูรางกายโดย การ
สูดหายใจ การกิน หรือการดูดซึมผานทางผิวหนังของผูปฏิบัติงาน ปริมาณของสารเคมี
นับวามีบทบาทอยางมากที่จะสงผลใหเกิดโรคจากการทํางานชาหรือเร็ว ถาหากคนงาน
ไดรับปริมาณสูงมาก การเกิดโรคก็จะใชระยะเวลายาวนาน ดังนั้น จึงมีความจําเปนที่
ตอ งมี เ กณฑที่ จ ะตั ดสิ น วา ปริ ม าณของสารเคมีข นาดไหนจึง อาจจะทํา ใหเ กิด โรคขึ้ น
ในปจจุบันไดมีการกําหนดมาตรฐานของสารเคมีในอากาศขึ้นซึ่งเรียกกันวา คาขอบเขต
การทนได (Threshold Limit Values หรือเรียกโดยยอวา TLV) ซึ่งไดมีหลาย
ประเทศในโลกรวมทั้ ง ประเทศไทยได พิ จ ารณานํ า มากํ า หนดมาตรฐานสารเคมี ใ น


บรรยากาศของการทํางาน
3. สิ่งแวดลอมทางชีวภาพ มีทั้งชนิดที่มีชีวิตและไมมีชีวิต เชน ไวรัส แบคทีเรีย
น่า
เชื้อรา พยาธิ และสัตวอื่นๆ เชน งู เปนตน นอกจากนี้ ยังอาจรวมถึงฝุนเสนใยพืช ฝุนไม
ฝุนฝาย และฝุนเมล็ดพืชตางๆ ดวย
ําห
4. สิ่งแวดลอมทางจิตวิทยาสังคม หมายถึง สิ่งแวดลอมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับ
จิตวิทยาสังคมและเศรษฐกิจ ในการทํางาน เชน งานที่ตองเรงรัดทํางานแขงกับเวลา
มจ

การทํางานลวงเวลา คาจางที่ ไมเหมาะสม การทํางานที่ซ้ําซากจําเจ การอยูหรือรว ม


ทํางานกับเพื่อนรวมงานที่แปลกหนา เปนตน
จากการที่คนงานตองทํางานในสิ่งแวดลอมการทํางานที่เหมาะสม อาจเปนผล
ห้า

ทําใหเกิดการเจ็บปวยหรือเกิดโรคจากการทํางานขึ้น เมื่อเกิดการเจ็บปวยผูปฏิบัติงานนั้น
อาจไดรับการตรวจวินิจฉัย การรักษาพยาบาลใหหายได แตเมื่อบุคคลนั้นกลับเขาทํางาน
ในสภาพแวดลอมการทํางานที่ไมเหมาะสมเชนเดิมอีก บุคคลนั้นก็อาจไดรับอันตราย
ทํานองเดียวกับที่เกิดขึ้นแลวไมมีที่สิ้นสุด
การจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเพื่อลดอุบัติเหตุและความสูญเสีย
การดําเนินงานใหบุคลากรในหนวยงานมีความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดีเปน
เรื่องที่องคกรตองใหความสําคัญเพราะการจัดการดานความปลอดภัยในการทํางานที่ดี
จะต อ งลดความสู ญ เสี ย ต า งๆที่ อ าจเกิ ด ขึ้ น ได ดั ง นั้ น จึ ง ต อ งมี ค วามเข า ใจถึ ง ระบบ
การจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยดวย

158 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
แนวคิดระบบการจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
ระบบการจั ด การความปลอดภั ย และอาชี ว อนามั ย มี ขั้ น ตอนหลั ก ในการ
ดําเนินการดังนี้
1. การทบทวนสถานะเริ่ ม ต น โดยผู บ ริ ห ารของสถานประกอบกิ จ การ
ควรทบทวนสถานะเริ่มตนในการดําเนินการดานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ไดแก
ขอกําหนดตามกฎหมายที่เกี่ยวของกับความปลอดภัยในการทํางาน ประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผลของทรัพยากรที่มีอยู แนวทางการดําเนินการ ที่มีอยูในองคกรกับขอปฏิบัติ
และการดําเนินงานที่ดี ซึ่งองคกรหรือหนวยงานไดจัดทําเอาไว (Best Practice) เพื่อใช
ในการพิจารณากําหนดนโยบายเกี่ยวกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
2. การกําหนดนโยบายดานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ที่สอดคลองตาม
ธุรกิจ ขนาด และปญหาที่มีอยูจริงขององคกร ซึ่งรวมถึงขอกําหนดทางกฎหมายที่องคกร
จําเปนตองปฏิบัติตามดวย นโยบายจะเปนเครื่องชี้เจตนารมณของฝายบริหารเกี่ยวกับ


ความปลอดภั ย และอาชี ว อนามั ย เป น การแสดงเจตจํ า นงที่ จ ะจั ด สรรทรั พ ยากร
ให พ อเหมาะและเป น เสมื อ นทิ ศ ทางที่ ผู ปฏิ บั ติ งานทุ กคนทุ กระดั บในองค ก รจะต อ ง
ปฏิบัติตาม
น่า
เมื่อมีการกําหนดนโยบายแลวตองทําใหทุกคนในองคกรไดรับทราบและเขาใจถึง
ําห
นโยบายดัง กลา วอย า งทั่ว ถึ ง อั น จะนํา ไปสูก ารปฏิ บัติ อ ยา งจริ ง จั ง ซึ่ งอาจใช วิธี ก าร
ถายทอดโดยผูบริหารชี้แจงในที่ประชุมคณะกรรมการความปลอดภัยอาชีวอนามัย และ
มจ

สภาพแวดลอมในการทํางาน หรือใหหัว หนา งานชี้แจงให ผูปฏิบัติงานทราบ หรือติด


ประกาศใหลูกจางทุกคนทราบ
3. การวางแผน รวมถึงการประเมินความเสี่ยงซึ่งเปนขั้นตอนที่ตองชี้บงอันตราย
ห้า

ทั้งหมดที่เกี่ยวของกับกิจกรรมของงานที่ครอบคลุมสถานที่ เครื่องจักร อุปกรณ บุคลากร


และขั้น ตอนการทํางาน ที่อาจกอใหเกิด การบาดเจ็บ เจ็บปวยหรือความเสีย หายตอ
ทรัพยสิน สิ่งแวดลอมและอื่นๆ แลวนําขอมูลที่ไดมาพิจารณาตั้งวัตถุประสงคของแผนวา
ตองเพิ่มหรือปรับปรุง ตองลดหรือขจัดความเสี่ยง ตองเปลี่ยนแปลงหรือนํากิจกรรมใหม
มาใชไดมากนอยเพีย งใด ตอจากนั้น พิจ ารณาวาจะมีเปาหมายและวิธี การที่จ ะบรรลุ
วัตถุประสงคอยางไร ใครตองมีสวนรวมและงบประมาณที่จะใชในการควบคุมอันตราย
นั้น
4. การนําไปใชและการนําไปปฏิบัติ สถานประกอบกิจการจะตองมีการกําหนด
ขั้นตอนการดําเนินการ วิธีการปฏิบัติงาน การฝกอบรม การสรางจิตสํานึก การสื่อสาร
การจัดซื้อและการจัดจาง การควบคุมการปฏิบัติงาน การเตรียมพรอมสําหรับภาวะ
ฉุกเฉินและการเตือนอันตรายที่เกี่ยวกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 159
5. การตรวจสอบและแกไข สถานประกอบกิจการตองมีการติดตามและวัดผล
การปฏิบัติตามวัตถุประสงคที่ไดตั้งไว ตรวจประเมิน และดําเนินการแกไขสิ่งที่บกพร อง
เพื่อลดความเสี่ยงตางๆ ไมใหเกิดความสูญเสียขึ้น
6. การทบทวนการจัดการ ผูบริหารระดับสูงขององคกรจะตองมีการทบทวนการ
จัดการเพื่อใหแนใจวาระบบการจัดการและกิจกรรมในโครงการตางๆ มีความเหมาะสม
และเพียงพอ มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล รวมไปถึงการประเมินปจจัย ภายนอก
องค ก ร เช น เมื่ อ มี ก ารเปลี่ ย นแปลงข อ กํ า หนดกฎหมายหรื อ แนวทางปฏิ บั ติ ใ น
อุตสาหกรรมซึ่งสงผลใหตองปรับเปลี่ยนกลยุทธการจัดการ หรือการเพิ่มกิจกรรมตางๆ
หรือขั้นตอนอื่นๆ ในวงจรการจัดการหรือไม
การจั ด การความปลอดภั ย และอาชี ว อนามั ย เพื่ อ ลดอุ บั ติ เ หตุ แ ละความสู ญ เสี ย
การดํ า เนิ น งานด า นความปลอดภั ย และอาชี ว อนามั ย เพื่ อ ลดอุ บั ติ เ หตุ แ ละ
ความสู ญ เสี ย ในสถานประกอบกิ จ การเป น ความรั บ ผิ ด ชอบของทุ ก คนในองค ก ร


โดยเฉพาะนายจางหรือฝายบริหารตองมีความมุงมั่นและเปนผูนําที่ตองการใหสถาน
น่า
ประกอบกิจการของตนปลอดภัย ผูบริหารตองมอบหมายความรับผิดชอบดานความ
ปลอดภัยในการทํางานไปสูผูปฏิบัติงานทุกระดับและดูแลใหมีการดําเนินงานอยางจริงจัง
ําห
และตอเนื่อง
แนวทางการจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเพื่อลดอุบัติเหตุและความ
มจ

สูญเสีย มีดังนี้
1. การปองกันและควบคุมอุบัติเหตุและความสูญเสียกอนเกิดเหตุ
ห้า

สถานประกอบกิจ การสามารถดํ าเนิ น การปองกัน และควบคุ มอุบั ติเหตุและ


ความสูญเสีย ไดโ ดยกําหนดกิจ กรรมการปองกัน และควบคุมกอนที่จ ะเกิดเหตุการณ
ผิดปกติหรืออุบัติเหตุ ดังนี้
 การกําหนดนโยบายความปลอดภัยในการทํางาน ผู บริห ารของสถาน
ประกอบกิจการตองมีภาวะผูนําและมีความมุงมั่นที่จะปองกันและควบคุมอุบัติเหตุและ
ความสูญเสีย โดยจัดใหมีผูรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัย มีการกําหนดเปาหมายและ
มีการดําเนินการใหบรรลุเปาหมาย มีการจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอและเหมาะสม มี
การระบุความรับผิดชอบดานความปลอดภัยในการทํางานไวในทุกตําแหนงงาน มีการ
ติดตามผลการดําเนินการและปรับปรุงแกไขใหบรรลุตามเปาหมายที่กําหนดไว
 การฝกอบรมผูบริห ารในสถานประกอบกิจ การ เพื่อใหมีความรูความ
เขาใจดานความปลอดภัยในการทํางาน และบทบาทหนาที่ความรับผิดชอบ พรอมทั้ง

160 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
วิ ธี ก ารบริ ห ารจั ด การด า นความปลอดภั ย และอาชี ว อนามั ย รวมทั้ ง วิ ธี ก ารจู ง ใจ
ผูใตบังคับบัญชาใหมีสวนรวมดวย
 การวางแผนการตรวจความปลอดภัย การจัดการความปลอดภัยและ
อาชีวอนามัยที่มีประสิทธิภาพจะตองมีการวางแผนในการตรวจความปลอดภัยเพื่อคนหา
สาเหตุที่จะทําใหเกิดอุบัติเหตุและความสูญเสีย มีการดําเนินการตามแผนที่กําหนดไว
อยางสม่ําเสมอ และนําขอบกพรองที่พบจากการตรวจมาปรับปรุงแกไข โดยกําหนด
ผูรับ ผิดชอบในการตรวจ ฝ กอบรมวิ ธีการตรวจ ดํา เนิ น การตรวจความปลอดภั ย ซึ่ ง
ครอบคลุมทั้งอาคาร สถานที่ เครื่องมือ อุปกรณในการทํางาน และการปฏิบัติงานของ
พนักงาน จัดทํารายงานการตรวจ และติดตามผลการแกไขปรับปรุง
 การวิเคราะหงานและการจัดทํามาตรฐานการปฏิบัติงาน การวิเคราะห
งานเปนการดําเนินการเพื่อชี้บงอันตรายโดยคนหาแหลงอันตรายในสถานที่ทํางานโดย
วิ ธี ก ารต า งๆ แล ว ประเมิ น ความเสี่ ย งต อ อั น ตรายจากการปฏิ บั ติ ง านนั้ น จั ด ลํ า ดั บ


ความสําคัญและกําหนดวิธีการควบคุมความเสี่ยงตออันตราย โดยการจัดทํามาตรฐาน
น่า
การปฏิบัติงาน กําหนดขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติงานที่ปลอดภัย
 การสังเกตการปฏิบัติงาน เปนการติดตามการทํางานตามมาตรฐานการ
ปฏิบัติงาน ที่กําหนดไวเพื่อคนหาและกําจัดพฤติกรรมของผูปฏิบัติงานที่อาจทําใหเกิด
ําห
อุบัติเหตุและความสูญเสีย รวมทั้งเปนการตรวจสอบวาวิธีการทํางานและขั้นตอนตางๆที่
กําหนดขึ้นเพียงพอ เหมาะสม มีประสิทธิภาพหรือไม
มจ

 กําหนดกฎระเบีย บด านความปลอดภัย ในการทํางาน สถานประกอบ


กิจการตองมีกฎ ระเบียบขอบังคับ คูมือวาดวยความปลอดภัยในการทํางาน รวมถึงมี
ห้า

ขอมูล ดานความปลอดภัยในการทํางานที่เกี่ยวของกับลักษณะงาน เชน ขอมูล ความ


ปลอดภัยของสารเคมีที่ใชในสถานประกอบกิจการที่กําหนดไวเปนลายลักษณอักษร และ
มีการอบรมและชี้แจงใหผูปฏิบัติงานไดทราบ
 การฝกอบรมพนักงานทุกระดับ เพื่อสรางความรูความเขาใจและทักษะใน
การปฏิบัติงานตามความตองการ รวมถึงการนิเทศงาน การสอนงาน และการแนะนํางาน
 การปองกันและควบคุมดานสุขภาพอนามัย ของผูปฏิบัติงาน โดยการ
วิเคราะหสภาพแวดลอมการทํางานเพื่อหาปจจัยเสี่ยงตอสุขภาพ กําหนดมาตรการและ
วิธีการปองกันและควบคุมสิ่งแวดลอมการทํางานที่เปนอันตรายตอสุขภาพ มีการตรวจ
สุขภาพ การสงเสริมสุขภาพ และการเฝาระวังสุขภาพของผูปฏิบัติงาน
 การประเมิ น ผลโครงการป อ งกั น และควบคุ ม โดยจั ด ให มี ร ะบบ
การประเมิ น ผลและการติ ด ตามผลเพื่ อ ให ท ราบว า โครงการด า นความปลอดภั ย ใน
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 161
การทํางานที่ดําเนินการสอดคลองกับเปาหมายหรือมาตรฐานที่ตั้งไวหรือไม ซึ่งรวมถึง
การประเมินสภาพพื้นที่ปฏิบัติงาน การประเมินผลระบบควบคุมและปองกันอัคคีภัย
การประเมินผลการดําเนินงานที่เกี่ยวกับสุขภาพอนามัย และการประเมินผลระบบการ
จัดเก็บขอมูล
 การปองกันและควบคุมทางดานวิศวกรรม ผูบริหารจะตองพิจารณาถึง
การออกแบบวางผัง โรงงานและสถานที่ ป ฏิบั ติ งานและทบทวนผลกระทบที่ เกิ ด ขึ้ น
ตลอดจนปญหาสิ่งแวดลอมในการทํางาน พื้น ที่ปฏิบัติงาน อุปกรณปองกัน อัน ตราย
จัดใหมีเครื่องหมายสัญลักษณและการทาสีตีเสน ตลอดจนการปองกันและควบคุมปญหา
ที่เกี่ยวของกับการยุทธศาสตร การยกยายและการเก็บรักษาวัสดุ และระบบการปองกัน
และระงับอัคคีภัย
 การสื่ อ สารระหว า งบุ ค คลในองค ก ร โดยมี ก ารสื่ อ สารนโยบายด า น
ความปลอดภัยในการทํางานลงสูการปฏิบัติ และกําหนดใหมีกิจกรรมความปลอดภัยที่


สอดรับกับนโยบาย มีการฝกอบรม การสอนงาน การประเมินผลการปฏิบัติงาน และ
น่า
มีระบบการเก็บขอมูลรายงานตางๆเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทํางาน
 การประชุมกลุม เปนวิธีการหนึ่งที่จะทําใหเกิดความเขาใจอันดีระหวาง
ผูบังคับบัญชาและผูปฏิบัติงาน รวมถึงเปนการสรางบรรยากาศการทํางานเปนทีมอีกดวย
ําห
 การสงเสริมดานความปลอดภัยในการทํางาน เปนการสงเสริมและสราง
จิตสํานึกดานความปลอดภัยในการทํางานดวยสื่อการประชาสัมพันธรูปแบบตางๆ และ
มจ

กิจกรรมเพื่อสรางจิตสํานึกความปลอดภัย
 การจางและการบรรจุเขาตําแหนงงาน การรั บพนักงานเขาทํางานใหม
ห้า

อาจจะตองคํานึงถึงทัศนคติดานความปลอดภัย สภาพรางกายที่เหมาะสมกับงาน มีการ


ตรวจสุขภาพกอนเขาทํางาน มีการปฐมนิเทศและการฝกอบรมพนักงานใหม
 การควบคุมการจัดซื้อ สถานประกอบกิจการตองวางระบบ ขั้นตอน และ
ระเบียบปฏิบัติในการจัดซื้อวัสดุอุปกรณโดยคํานึงถึงความปลอดภัยและสุขภาพอนามัย
ของผูปฏิบัติงาน
 ความปลอดภัยนอกเวลาการทํางาน ผูปฏิบัติงานรวมทั้งครอบครัวควร
ได รั บ การกระตุ น ให มี จิ ต สํ า นึ ก ด า นความปลอดภั ย อยู ต ลอดเวลา ไม ว า จะเป น
ความปลอดภัยภายในบาน ความปลอดภัยในการจราจร การทองเที่ยวและสถานที่อื่น
2. การปองกัน และควบคุมอุบัติเหตุและความสูญเสีย ขณะเกิดการสัมผัสกับ
อันตราย

162 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
กิ จ กรรมการป อ งกั น และควบคุ ม อุ บั ติ เ หตุ แ ละความสู ญ เสี ย ขณะเกิ ด
การสัมผัสกับอันตราย ไดแก การจัดอุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล ดังนั้น
เมื่อผูปฏิบัติงานตองปฏิบัติงานและตองสัมผัสกับอันตรายจําเปนตองใชอุปกรณคุมครอง
ความปลอดภัยสวนบุคคล เพื่อลดการสัมผัสกับพลังงานใหนอยที่สุดอันเปนการลดความ
เสี่ยงหรือความรุนแรงของการสัมผัสกับพลังงานนั้นจะไดเกิดอันตรายนอยที่สุด และควร
จัดหาใหเพียงพอ เหมาะสมกับอันตรายแตละประเภท ตลอดจนมีขอปฏิบั ติในการใช
มีการบํารุงรักษาและมาตรการจูงใจใหผูปฏิบัติงานสวมใส
3. การปองกันและควบคุมอุบัติเหตุและความสูญเสียภายหลังอันตรายที่เกิดขึ้น
 การสอบสวนอุบัติเหตุและเหตุการณผิดปกติ ซึ่งเปนการคนหาสาเหตุ
ที่แทจริงของการเกิดอุบัติเหตุและเหตุการณผิดปกติเพื่อปองกันการเกิดซ้ําอีก
 การโต ต อบเหตุ ฉุ ก เฉิ น ต อ งมี แ ผนฉุ ก เฉิ น และจั ด ให มี ผู รั บ ผิ ด ชอบ
ในกรณีที่เกิดภาวะฉุกเฉิน มีการฝกอบรมขั้น ตอนการปฏิบัติ มีการฝกซอมแผนและ


ทบทวนบทบาทหนา ที่ ของผูรั บผิ ด ชอบตามแผน อั น รวมถึ ง การอพยพคน การปฐม
น่า
พยาบาล การเคลื่อนยายวัสดุอุปกรณ การคนหาและชวยชีวิต
 การวิเคราะหอุบัติเหตุและอุบัติการณ เปนการนําขอมูลจากการสอบสวน
อุบัติเหตุมาวิเคราะหหาสาเหตุ มีการกําหนดวิธีการแกไขปญหาและการดําเนินการแกไข
ําห
ปญหา แลวนําเสนอตอผูบริหารเพื่อดําเนินการแกไขปญหา
มจ

ระบบการจัดการความปลอดภัย
การบริ ห ารงานความปลอดภั ย นั้ น โดยทั่ ว ไปแล ว จะยึ ด ถื อ หลั ก การหรื อ
กระบวนการบริหารงานทั่ว ไปนั่น เอง ซึ่งประกอบดว ย การวางแผนงาน (Planning)
ห้า

การจั ดการ (Organizing) การจั ด หาและพั ฒ นาบุค ลากร (Staffing) การอํา นวยการ
(Leading) และการควบคุมประเมินผล (Controlling) โดยอาจสรุปพอสังเขป ดังนี้
การวางแผนงาน (Planning) เปน การคิ ด หรื อ เตรี ย มการลว งหน า ว าจะทํ า
อะไรบางในอนาคต ทั้งนี้จะตองคํานึงถึงนโยบายของหนวยงานเปนหลัก เพื่อวาแผนงาน
ที่วางขึ้นไวนั้นจะไดมีความสอดคลองตองกันในการดําเนินงานและใหการดําเนินงาน
เปนไปโดยถูกตองและสมบูรณ หรืออาจกลาวไดวา การวางแผนนั้นเปนการตัดสินใจวา
จะทําอะไร ทําอยางไร ทําเมื่อไร และใครเปนผูทํานั่นเอง
การจัดการ (Organizing) เปนการจัดแบงสวนงาน บางครั้งก็อาจพิจารณารวม
กับ การปฏิ บัติ ง านหรื อวิ ธีก ารจั ดการดว ย การจัด แบง สว นงานนี้ จ ะตอ งพิจ ารณาให
เหมาะสมกับการปฏิบัติงาน เชน การจัดแบงงานเปนฝาย สวน กรม กอง หรือแผนก โดย
อาศั ย ปริ ม าณงาน คุ ณ ภาพของงาน หรื อ จั ด ตามลั ก ษณะของงานเฉพาะอย า งก็ ไ ด
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 163
นอกจากนี้อาจพิจารณาในแงของการควบคุม และอาจพิจารณาในแงของหนวยงานและ
ความรับผิดชอบ เชน หนวยงานหลักหรือสายงานบังคับบัญชา (Line) และหนวยงานที่
ปรึกษา หรือสายงานชวย (Staff) ทั้งนี้ตองใหมีการรวมมือประสานงานทุกระดับทั้งใน
ดานแนวนอนและแนวตั้งของหนวยอยางเหมาะสม
การจัดหาและพัฒนาบุคลากร (Staffing) เปนการจัดหาบุคคลหรือเจาหนาที่
ปฏิบัติงานใหสอดคลองกับการจัดแบงหนว ยงานที่แบงไว โดยอาจรวมถึงการคัดเลือก
การประเมิ น ความสามารถ และการพั ฒ นาบุ ค ลากร ทั้ ง นี้ เพื่ อ ให บุ ค คลที่ มี ค วามรู
ความสามารถปฏิบัติงานใหเหมาะสม รวมถึงการที่จะเสริมสรางและธํารงสัมพันธภาพใน
การทํางานของพนักงานอีกดวย
การอํานวยการ (Leading) จะรวมถึงการควบคุมงานนิเทศ งานศิลปะในการ
บริหารงาน เชน ภาวะผูนํา (Leadership) มนุษยสัมพันธ (Human relations) การจูง
ใ จ ( Motivation) แ ล ะ ก า ร สื่ อ ส า ร ( Communication) เ ป น ต น อ ย า ง ไ ร ก็ ดี


การอํ า นวยการนี้ ยั ง รวมถึ ง การวิ นิ จ ฉัย สั่ ง การที่ เ ป น หลั ก อั น สํ า คั ญ ยิ่ง อย า งหนึ่ ง ของ
การบริหารงาน และขึ้นอยูกับความสามารถของผูบังคับบัญชา
น่า
การควบคุม (Controlling) เปนการปฏิบัติงานใหเปนไปตามแผนที่กําหนดไว
ผูบริหารหรือผูจัดการจะตองคอยสอดสองดูแลอยูเสมอวา ผลการปฏิบัติงานเปนเชนไร
ําห
กาวหนาไปสูเปาหมายที่กําหนดไวมากนอยเพียงไร และจะตองทราบการปฏิบัติงานทุก
ขั้นตอน เพื่อที่จะสามารถแกไขสถานการณหรือปญหาตางๆ ที่เกิดขึ้น และจะไมเปนผล
มจ

ทําใหการปฏิบัติงานตองเบี่ยงเบนไปจากเดิมที่กําหนดไว
การกําหนดนโยบายความปลอดภัย
ห้า

ความพยายามที่จะหยุดยั้งการประสบอันตราย ทั้งของบริษัทใหญและบริษัท
เล็กจะไมบังเกิดผลอยางเต็มที่ หากปราศจากนโยบายความปลอดภัยที่เดนชัด แตกลับ
จะมีอุปสรรคที่จ ะขัดขวางการดําเนินงาน ดังนั้น หากฝายบริห ารปรารถนาที่จ ะเห็น
ความสําเร็จของการดําเนินงานดานความปลอดภัย จึงจําเปนจะตองกําหนดนโยบาย
ความปลอดภั ย ขึ้ น ซึ่ ง นโยบายจะเป น เครื่ อ งชี้ เ จตนารมณ ข องฝ า ยบริ ห ารเกี่ ย วกั บ
ความปลอดภัย และสุ ขภาพอนามัย ในการทํ างาน ในกรณีที่ ส ถานประกอบกิจ การมี
คณะกรรมการความปลอดภัย ผู บริ ห ารก็ ค วรได นํา นโยบายดัง กลา วเขา สู ที่ ประชุ ม
คณะกรรมการความปลอดภัย เพื่อพิจารณารวมกัน นโยบาย ที่เห็นชอบรวมกันแลว
ผูบริหารสูงสุดจะตองลงนามกอนเผยแพรไปสูแตละหนวยงานในองคกรตอไปโดยทั่วไป
นโยบายความปลอดภัย จะประกอบดวยขอความที่ (1) เปนปรัชญาของบริษัทเกี่ยวกับ

164 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ความปลอดภัย (2) ระบุความรับผิดชอบของบุคลากรทุกระดั บของบริษัท และ (3)
กําหนดหรือชี้แนวทางการดําเนินงานเพื่อใหบรรลุเปาหมาย
นโยบายความปลอดภัย จะตองกะทัดรัด ใชภาษาที่เขาใจงาย มีความชัดเจน
และสามารถนําไปปฏิบัติได นอกจากนี้ควรไดมีการปรับปรุงใหเหมาะสมกับสถานการณ
อยูเสมอ
การมอบหมายความรับผิดชอบดานความปลอดภัย
ผูบริหารระดับสูงเปนผูที่มีความรับผิดชอบสูงสุด โดยปกติแลวจะตองมอบหมาย
อํานาจและความรับผิดชอบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทํางานลงไปยังผูบริหารทุก
ระดั บ อย า งเป น ลายลั ก ษณ อั ก ษรโดยเฉพาะอย า งยิ่ ง ผู บ ริ ห ารระดั บ ล า งหรื อ ระดั บ
ปฏิบัติการ เชน หัวหนาผูควบคุมงานหรือหัวหนาแผนก เปนตน หัวหนาผูควบคุมงาน
เปนกุญแจสําคัญของโครงการความปลอดภัย เพราะหัวหนาผูควบคุมงานเปนผูที่ใกลชิด
กับพนักงานมากที่สุด สําหรับเจาหนาที่ความปลอดภัยจะปฏิบัติงานอยูในลักษณะชวยใน


การบริหารนโยบาย เปนที่ปรึกษา สนับสนุน และชวยเหลือทางวิชาการ รวมทั้งชวยใน
น่า
การฝกอบรม และสนับสนุนทางดานเครื่องมือ และวัสดุอุปกรณที่เหมาะสม
การมอบหมายอํานาจและความรับผิดชอบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทํางาน
ําห
ในระดับตางๆ มีดังนี้
มจ

1. ผูจัดการระดับสูงและวิศวกร (โรงงาน/ฝาย) มีหนาที่และความรับผิดชอบ


ดังนี้
 เปนประธานคณะกรรมการความปลอดภัยของโรงงาน/ฝาย
ห้า

 รับผิดชอบในความปลอดภัยของผูปฏิบัติงานทุกคน
 วางแผนและกําหนดเปาหมายความปลอดภัย
 สงเสริมและสนับสนุนการดําเนินงานดานความปลอดภัย
 ดูแลใหมีการปฏิบัติตามกฎระเบียบดานความปลอดภัย
 สั่งการและมอบหมายใหผูใตบังคับบัญชาเอาใจใสเรื่ องความปลอดภัย
ในการทํางานและติดตามผลการดําเนินงานอยูต ลอดเวลา
 ปฏิบัติตนใหเปนตัวอยางที่ดีในเรื่องความปลอดภัยในการทํางาน
2. ผูจัดการระดับกลางและเจาหนาที่ความปลอดภัย มีหนาที่ความรับผิดชอบ
ดังนี้

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 165
 นํานโยบายไปสูการปฏิบัติใหเปนรูปธรรม
 วางแผนดําเนินงานดานความปลอดภัยในสวนงานที่รับผิดชอบ
 กําหนดวิธีการทํางานที่ปลอดภัย
 สั่งการใหผูใตบังคับบัญชาสอดสองดูแลใหพนักงานปฏิบัติงานอยาง
ปลอดภัย
 จั ด ให มี ก ารฝ ก อบรมแก พ นั ก งาน เพื่ อ ให เ กิ ด ความรู แ ละทั ศ นคติ ที่
ถูกตองในเรื่องความปลอดภัยในการทํางาน
 วิเคราะหสาเหตุที่เกิดขึ้นและสั่งการแกไขทันที
 จั ด หาอุ ป กรณ ป อ งกั น อั น ตรายส ว นบุ ค คลตามลั ก ษณะงานให แ ก
พนักงาน


 ปฏิบัติตนใหเปนตัวอยางที่ดีในเรื่องความปลอดภัยในการทํางาน
น่า
3. พนักงานทั่วไป
ําห
พนักงานทุกคนในสถานประกอบการ เปนผูที่เกี่ยวของโดยตรงกับการเกิด
อุบัติภัย และได รับผลจากอุบัติภัย นั้น ดังนั้น พนักงานแตล ะคนจึงตองมีห นาที่ความ
มจ

รับผิดชอบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทํางานดังนี้
 พนักงานระดับปฏิบัติการ ควรใหความสนใจในการเขามีสวนรวมในงาน
ความปลอดภัย โดยสมัครเพื่อเขารับการคัดเลือกเปนผูแทนลูกจางระดับปฏิบัติการใน
ห้า

คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดลอมในการทํางานที่กฎหมาย


กําหนด
 พนักงานทุกคนตองทํางานดวยความสํานึกถึงความปลอดภัยอยูเสมอ
ทั้งของตนเองและผูอื่น
 พนั ก งานทุ ก คนต อ งรายงานสภาพการทํ า งานที่ ไ ม ป ลอดภั ย และ
อุปกรณปอ งกันภัยชํารุดเสียหาย ตอผูบังคับบัญชาหรือผูที่เกี่ยวของ
 พนักงานทุกคนตองเอาใจใส สนใจและปฏิบัติตามกฎขอบังคับในการ
ทํางานอยางปลอดภัยอยูเสมอ
 พนักงานทุกคนตองใหความรวมมือกับบริษัทเกี่ยวกับขอปฏิบัติใหเกิด
ความปลอดภัยในการทํางาน

166 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
 เมื่อพนักงานมีขอคิดเห็นเกี่ยวกับความปลอดภัยใหเสนอผูบังคับบัญชา
หรือผูเกี่ยวของ
 พนั ก งานทุ กคนตอ งไมเ สี่ ย งต อ งานที่ยั ง ไมเ ข าใจหรือ ไมแ น ใ จว า ทํ า
อยางไร จึงจะปลอดภัย
 พนักงานทุกคนตองใชอุปกรณปองกันภัยที่บริษัทจัดใหและแตงกายให
รัดกุมเหมาะสมกับงานตลอดระยะเวลาปฏิบัติงาน

4. คณะกรรมการความปลอดภัย
กระทรวงแรงงาน ไดออกประกาศเรื่อง คณะกรรมการความปลอดภั ย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดลอมในการทํางาน บังคับใหสถานประกอบกิจการที่ มี
ลูกจางตั้งแต 50 คนขึ้นไป แตงตั้งคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ
สภาพแวดลอมในการทํางานขึ้น โดยใหมีองคประกอบของคณะกรรมการเปนทวิภาคี


คื อ มี ผู แ ทนระดั บ บั ง คั บ บั ญ ชา (ฝ า ยบริ ห าร) และผู แ ทนลู ก จ า งระดั บ ปฏิ บั ติ ก าร
น่า
(พนั ก งาน) ในสั ด ส ว นที่ เ ท า กั น โดยให น ายจ า งหรื อ ผู แ ทนนายจ า งเป น ประธาน
คณะกรรมการ และเจาหน าที่ความปลอดภัยในการทํางาน (จป.) เปนกรรมการและ
เลขานุการของคณะกรรมการ
ําห
หนาที่และความรับผิดชอบของคณะกรรมการความปลอดภัย
มจ

 ประชุมคณะกรรมการอยางนอยเดือนละ 1 ครั้ง
 รั บ ฟ ง นโยบาย แนวทางการดํ า เนิ น งานหน า ที่ ค วามรั บ ผิ ด ชอบ และ
ห้า

ขอกําหนด ที่จักตองปฏิบัติจากนายจางในการประชุมคณะกรรมการครั้งแรก
 องคประชุมตองมีกรรมการมาประชุมไมนอยกวากึ่งหนึ่ง โดยตองมีกรรมการ
ซึ่งเป น ผู แทนลูก จางระดั บบั งคับ บัญชา และผูแทนลูก จา งระดับปฏิบัติ การ เขา รว ม
ประชุมดวยทุกครั้ง
 เสนอมติ รายงานการประชุ มหรือขอเสนอของคณะกรรมการตอ นายจาง
ภายใน 7 วัน นับแตวันที่ประชุมมีมติ เพื่อใหนายจางดําเนินการแกไข
 สํารวจความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดลอมในการทํางานอยาง
นอย เดือนละ 1 ครั้ง
 ส ง เสริ ม และสนั บ สนุ น กิ จ กรรมด า นความปลอดภั ย อาชี ว อนามั ย และ
สภาพแวดลอมในการทํางานของสถานประกอบกิจการ

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 167
 รายงาน เสนอแนะตอนายจางเกี่ยวกับมาตรการหรือแนวทางแกไขปรับปรุง
เพื่อให มีการปฏิบัติต ามกฎหมายความปลอดภั ย ในการทํางานอย างถูกต อง รวมทั้ ง
มาตรการทํ า งานที่ ป ลอดภั ย สํ า หรั บ ลู ก จ า ง ผู รั บ เหมา และบุ ค คลภายนอกที่ เ ข า มา
ปฏิบัติงานหรือเขามาใชบริการในสถานประกอบกิจการ
 กําหนดระเบียบดานความปลอดภัย มาตรฐานความปลอดภัยในการทํางาน
ของสถานประกอบกิจการเพื่อเสนอตอนายจาง
 จัดทํานโยบาย แผนงานประจําป โครงการ หรื อกิจ กรรมความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดลอมในการทํางาน รวมทั้งความปลอดภัยนอกงาน เพื่อ
ปองกันและลดการเกิดอุบัติเหตุ การประสบอันตราย หรือการเจ็บปวยอันเนื่องจากการ
ทํางาน หรือความไมปลอดภัยในการทํางาน เพื่อนําเสนอตอนายจาง
 จัดทําโครงการหรือแผนการฝกอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยอาชีว อนามัย
และสภาพแวดล อ มในการทํ า งาน รวมถึ ง การอบรมเกี่ ย วกั บ บทบาทหน า ที่ ค วาม


รับผิดชอบในดานความปลอดภัยของลูกจาง หัวหนางาน ผูบริหาร นายจางและบุคลากร
น่า
ทุกระดับ เพื่อนําเสนอตอนายจาง
 ติดตามผลความคืบหนาเรื่องที่เสนอนายจาง
ําห
 รายงานผลการปฏิบัติงานประจําป ปญหาและอุปสรรคและเสนอแนะในการ
ปฏิบัติหนาที่ของคณะกรรมการ เมื่อปฏิบัติหนาที่ครบหนึ่งป เพื่อนําเสนอตอนายจาง
 ปฏิบัติหนาที่เกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดลอมใน
มจ

การทํางานอื่น ตามที่นายจางมอบหมาย
 ประชุมคณะกรรมการ ตามที่นายจางเรียกประชุม กรณีที่มอี ุบัติเหตุ อัคคีภัย
ห้า

การระเบิด หรือการรั่วไหลของสารเคมีที่เกิดขึ้น เพื่อดําเนินการชวยเหลือ และเสนอ


แนวทางปองกันแกไขตอนายจางโดยไมชักชา

168 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
การปองกันและการควบคุมอันตราย
o การปองกันและควบคุมอันตรายจากเครื่องจักร
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากเครื่องจักรนั้นสวนใหญคอนขางรายแรง อาจถึงขั้นสูญเสีย
อวัยวะ การหาสาเหตุหลักๆของการเกิดอุบัติเหตุจากเครื่องจักร และดําเนินการปองกันที่
ตน เหตุ ข องอั น ตรายควบคู ไ ปกั บ การปฏิ บัติ ง านที่ ป ลอดภั ย จะป อ งกั น อุ บั ติ เ หตุ แ ละ
ความสูญเสียได
สาเหตุของอุบัติเหตุจากเครื่องจักร
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากเครื่องจักรนั้นสวนใหญคอนขางรายแรง อาจถึงขั้นสูญเสีย
นิ้ว มือ หรือแขน อัน เปน ผลใหผูบาดเจ็บตองพิการไปตลอดชีวิต สาเหตุห ลักๆ ของ
การเกิดอุบัติเหตุ ไดแก


 เครื่องจักรไมมีเซฟการดที่เหมาะสม เครื่องจักรบางเครื่องมีจุดที่นาจะ
น่า
เกิดอันตราย แตนายจางก็มิไดมีการติดตั้งเซฟการด ใหเหมาะสม เชน เครื่องปมโลหะ
เครื่องจักรบางเครื่องไดมีการติดตั้งเซฟการดเฉพาะดานที่คิดวาพนักงานหรือผูเกี่ยวของ
จะไปสัมผัสหรือทํางานใกล แตอีกดานหนึ่งไมมีเซฟการดทําใหชางซอมบํารุงที่เขาไปซอม
ําห
ไดรับอันตรายอยูเสมอ นอกจากนี้เครื่องจักรบางเครื่องไดติดตั้งเซฟการดไวเรียบรอย แต
ปรากฏวารูตะแกรงของเซฟการดนัน้ โตเกินไปบางทําใหนิ้วมือลอดผานเขาไปได
มจ

 มีการถอดเซฟการดออกเพื่อซอมบํารุงเมื่อเสร็จแลวมิไดใสการดกลับเขา
ที่เดิม
ห้า

 มี ก ารปล อ ยปละละเลยให ส ว นอั น ตรายของเครื่ อ งจั ก รที่ อ ยู ใ นที่ สู ง


ไมจําเปนตองมีเซฟการด ซึ่งนับไดวาเปนความคิดและความเขาใจที่ไมถูกตอง
 พนักงานขาดทัศนคติความปลอดภัย ไมปฏิบัติตามกฎระเบียบในเรื่อง
ที่เกี่ยวกับการทํางานกับเครื่องจักร มีการกระทําที่เสี่ยงอันตราย
 พนักงานขาดการฝกอบรมการทํางานกับเครื่องจักรอยางเหมาะสมและ
ปลอดภัย กอใหเกิดการทํางานแบบลองผิดลองถูก
การป อ งกั น อั น ตรายจากเครื่ อ งจั ก ร หรื อ เรี ย กว า การทํ า เซฟการ ด ของ
เครื่ อ งจั ก ร ก็ คื อ การออกแบบหรื อ หามาตรการป อ งกั น ไม ใ ห มี อั น ตรายเกิ ด ขึ้ น
การออกแบบ การสราง การติดตั้ง และการบํารุงรักษาการดที่ดีจะปองกันจุดอันตราย
ของเครื่องจักรได แตอยา งไรก็ตามเครื่องจักรที่ไมมีการดหรือมีแตไมเหมาะสมหรือไม
เพียงพอ แมวาจะมีการใชมาเปนเวลานานแลวแตยังไมเคยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเลย ก็ไมได
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 169
หมายความวาเครื่องจักรนั้นจะไมเปนอันตราย เพียงแตผูปฏิบัติงานอาศัยความชํานาญ
หรือทํางานดวยความระมัดระวังเทานั้น นับวาเปนการกระทําที่เสี่ยงอันตรายมาก เพราะ
แมวาผูปฏิบัติงานมีความระมัดระวังมากเพียงใดก็ตาม บางครั้งก็อาจผิดพลาดได ดังนั้น
จึงตองมีการทําการด เครื่องจัก รใหถูกตอ งและเหมาะสมที่สุด ลักษณะของการดที่ ดี
ควรจะมีลักษณะ ดังนี้
 เปนการปองกันอันตรายที่ตนเหตุ
 เปน การปองกัน มิใหสว นของรางกายเขาใกลเขตอันตราย ในบางครั้ง
การควบคุมหรือตัดการสงกําลังของเครื่องจักรในทันทีทันใด อาจทําไมไดหรืออาจกอ
ความเสียหายแกระบบการทํางานของเครื่องจักรโดยสวนรวม ดังนั้น การตอเติมบางสวน
เขาไปแลวปองกันอันตรายได จึงเปนทางเลือกที่ดีสําหรับการปองกันอันตราย
 ใหความสะดวกแกผูทํางานไดเชนเดียวกับที่ไมไดใสการดปองกัน การดที่
ดี ไมควรรบกวนตอการทํางานของผูปฏิบัติงาน ไมวาจะเปนการมอง การจับชิ้น งาน


การควบคุมการทํางาน และการตรวจสอบขนาดงาน น่า
 การดที่ดีตองไมขัดขวางการผลิต
 การดควรเหมาะสมกับงานและเครื่องจักร
ําห
 การดควรมีลักษณะติดมากับเครื่อง
 การดที่ติดตั้งแลวควรงายตอการตรวจและการซอมเครื่องจักร
 การดควรทนทานตอการใชงานปกติไดดีและงายตอการบํารุงรักษา
มจ

การจัดทําเซฟการดของกลไกที่กอใหเกิดอันตราย
ห้า

กลไกการทํางานของเครื่องจักรที่เปนเหตุใหเกิดอันตรายและจําเปนตองมีเซฟ
การดนั้นอาจแบงไดดังนี้
1. กลไกประเภทที่มีการหมุน การทํางานกับเครื่องมือประเภทที่มีสวนหมุน
ตั้งแตสองสวนขึ้นไป ไมวาจะสัมผัสกันหรือหางกัน หรือหมุนสวนทางกันก็ตามจะมีจุด
อั น ตรายเกิ ด ขึ้ น ได จ ากการหนี บ ตั ว อย า งที่ เ ห็ น ได ง า ยๆ คื อ เครื่ อ งรี ด โซ แ ละเฟ อ ง
สายพานและมูเล (pulley) รอกตางๆ และเฟองขับตางๆ เพลา เปน ตน ไมวาอยูใน
แนวตั้งหรือแนวนอนสวนที่โผลออกมาเพียงเล็กนอยอาจพันและดึงเอาเสนผม ผากัน
เปอน แขนเสื้อ ชายเสื้อของผูเขาใกลและกอใหเกิดอันตรายได ดังนั้น สวนที่หมุนของ
เครื่องจักร เชน เพลา มูเ ล ลอชวยแรง (flywheel) เกียร สายพาน คลัทช หรือระบบการ
สงถายพลังงานแบบหนึ่งแบบใดก็ตาม จึงควรจะติดตั้งอยูในที่ที่ซึ่งไมควรมีคนผานเขาไป

170 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ในบริเวณนั้นบอยๆ ยกเวนผูที่จะเขาไปบํารุงรักษาหรือตรวจตราตามความจําเปน และ
ควรจะมีการติดตั้งเซฟการดไวดวย

รูปที่ 14.7 การดของสวนที่มีการหมุน


ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ
น่า
ําห
มจ
ห้า

รูปที่ 14.8 การดของสวนที่มีการหมุน


ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 171
2. กลไกประเภทที่มีการตัดหรือเฉือน เชน เครื่องตัดแบบกิโยติน เครื่องเลื่อย
เครื่องบด เครื่องปาด เครื่องเจียระไน ฯลฯ


น่า
รูปที่ 14.9 เซฟการดสําหรับเครื่องตัด
ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ
ําห
 เลื่อยวงกลมติดตั้งกับที่ ควรมีเซฟการดแบบฝาครอบใบเลื่อยซึ่งคลุม
ฟนเลื่อยอยูตลอดเวลา และสามารถปรับระยะเปด-ปด ที่ชองใหวัตถุที่ตองการเลื่อยผาน
มจ

ไดตามความหนาบางโดยอัตโนมัติ และควรออกแบบใหสามารถปองกันวัตถุกระเด็นยอน
มาสูผูใชเครื่องไดดวย
 เลื่อยวงกลมประเภทที่เปลี่ยนมุมตัดและเลื่อยขึ้น-ลงไปมาได จะตอง
ห้า

มีเซฟการดปดสวนบนทั้งหมดของเลื่อยไวตลอดเวลา สวนฝาครอบใบเลื่อยนั้นควรปรับ
ระยะเปด-ปดไดเองเชนเดียวกัน
 เลื่อยเสน ควรมี เซฟการดป ดดา นฟน เลื่อย และควรเป น ประเภทที่
สามารถปองกันวัตถุกระเด็นยอนมาสูผูใชเครื่อง
 เครื่องตัด หรือ เครื่องบด หรือเครื่องเฉือนประเภทตางๆ ตองมีเซฟ
การดประเภทที่สามารถปดฟนหรือคมมีด ไมใหมือผูใชเครื่องมีโอกาสเขาใกลสวนนั้นได
โดยเด็ดขาด ในขณะที่เครื่องกําลังทํางาน ซึ่งเครื่องปองกันนี้จะตองสามารถปรับระยะ
เปด-ปดไดตามความหนาของวัตถุที่ตัดโดยอัตโนมัติ และควรจะเปนประเภทโปรงที่ให
ผูใชเครื่องมองเห็นการตัดไดชัดเจนดวย

172 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
 เครื่องเจียระไน จะตองมีเซฟการดที่แข็งแรง เพราะไมเพียงแตปองกัน
มือของผูใชเครื่องและปองกันเศษวัสดุกระเด็นเทานั้น ยังตองสามารถปองกันอันตราย
จากสวนของเครื่องเจียระไนบิ่น แตก กระเด็นไดดวย เนื่องจากเครื่องเจียระไนนี้เ ปน
เครื่องที่มักจะมีผูซึ่งใชไมเปนมาใชงานเสมอๆ อันตรายจึงเกิดขึ้นไดบอยมาก การติดตั้ง
เครื่องเจีย ระไนตองแข็ งแรงแนน หนา ฝาครอบจานเจีย ระไนควรเปน เหล็กสามารถ
ปองกัน การกระเด็น ของเศษวัส ดุไดอยางมีประสิทธิภ าพ ผูใชควรมีอุปกรณคุมครอง
ความปลอดภัยที่เหมาะสม เชน แวนตานิรภัย หรือหนากาก หรืออุปกรณปองกันฝุน
 เครื่องขัด จะตองมีฝาครอบสําหรับดูดฝุนและเศษวัสดุที่ขัดออกมาได
อยางมีประสิทธิภาพเพราะนอกจากเปนการปองกันผูใชแลว ยังปองกันฝุน หรือเศษวัสดุ
ดังกลาวกระจายออกสูบรรยากาศไดดวย
3. กลไกประเภทที่ มี ก ารบี บ หรื อ หนี บ เซฟการ ด สํ า หรั บ เครื่ อ งมื อ
ประเภทนี้ บางชนิดอาจใชแบบฝาครอบปองกันได แตบางชนิดไมอาจทําเชนนั้นได เชน


เครื่องรีดตางๆ ซึ่งจะมีเครื่องกั้นปองกันเฉพาะจุดที่สัมผัสเพื่อไมใหนิ้วมือของผูใชเขาไป
น่า
ได และควรมีระบบบังคับใหเครื่องหยุดทันทีโดยอัตโนมัติเมื่อมีสิ่งอื่นเขาในจุดที่สัมผัส
หรือหนีบนั้นๆ
ําห
มจ
ห้า

รูปที่ 14.10 การดของจุดหนีบ


ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 173
4. กลไกประเภทสกรู อันตรายของกลไกประเภทสกรูก็คลายคลึงกับประเภทที่
มีการหนีบ ตางกันก็เพียงแตประเภท สกรูนั้นมีชิ้นสวนหมุนกับชิ้นสวนที่ไมหมุนหรือติด
ตั้งอยูกับที่ เชน เครื่องบดตางๆ เครื่องผสมตางๆ หรือเครื่องสงวัตถุโดยใชสกรู เปนตน
เซฟการดสําหรับเครื่องสงวัตถุดวยสกรูนั้นอาจออกแบบใหสามารถปองกันสวน
ใดสวนหนึ่งของรางกายเขาใกลเครื่องจักรที่มีการเคลื่อนหรือหมุน เชน แบบฝาครอบ
หรือแบบตะแกรงกั้น หรือถาหากตองมีชองสําหรับปอนวัตถุก็ควรใหสามารถปรับขนาด
ของชองไดตามลักษณะ รูปราง และขนาดของวัตถุที่ปอนนั้นได
สําหรับเครื่องบดหรือเครื่องผสม โดยปกติมักจะใชฝาปดหรือฝาครอบ แบบที่
เมื่อเปดฝาครอบเครื่องจะหยุดทํางานทันทีโดยอัตโนมัติและเครื่องจะไมทํางานจนกวาจะ
ผิดฝาครอบใหเรียบรอย


น่า
ําห
มจ
ห้า

รูปที่ 14.11 การดของกลไกประเภทสกรู


ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ

ความปลอดภัยเกี่ยวกับหมอน้ํา (Steam boiler)


หมอน้ํา หมายถึง ภาชนะปด (closed vessel) ที่ใชผลิตไอน้ําที่มีความดันสูง
กวาบรรยากาศโดยใชความรอนจากเชื้อเพลิง หรือไฟฟา หรือแมแตพลังงานนิวเคลียร
ประโยชนของไอน้ํา
เราใชประโยชนของไอน้ําในการทําความรอนใหแกบานในฤดูหนาวในหลายทวีป
รวมทั้งใชในอุตสาหกรรมการผลิตตางๆ เราสามารถแบงประโยชนได 2 ลักษณะ คือ

174 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
1. ใชความรอน โดยใชไอน้ําที่มีอุณหภูมิสูงในการทําอาหารใหสุก นึ่งฆา
เชื้อ อบไม ซักผา
2. ใชความดัน สวนมากจะใชไอรอนยิ่งยวด (superheated steam) ไป
ขับกังหันเพื่อผลิตไฟฟา (steam turbines) แตในสมัยกอนใชความดันจากไอไมสูงมาก
นักขับลูกสูบในเครื่องจักรไอน้ํา ในโรงสี โรงเลื่อยไม ฯลฯ
อุปกรณความปลอดภัยของหมอน้ํา
ตามมาตรฐานโดยทั่ว ไป หมอน้ํ าทุกเครื่อ งตองมีอุป กรณประกอบพื้น ฐานที่
สําคัญเพื่อชวยควบคุมความปลอดภัย ไดแก
1. ลิ้นนิรภัย (safety valve) ถือเปนอุปกรณความปลอดภัยที่สําคัญ
ชิ้นหนึ่ง ทําหนาที่ระบายหรือลดความดันไอน้ําที่สูงเกินกําหนด เพื่อปองกันไมใหหมอน้ํา
ระเบิด ติดตั้งบริเวณสวนบนสุดของตัวหมอน้ําตรงสวนที่เปนไอเทานั้น
2. มาตรวัดความดัน (pressure gauge) ทําหนาที่บอกหรือแสดงระดับ
ความดันของไอน้ําภายในหมอน้ํา


น่า
3. มาตรวัดระดับน้ํา เปนตัวบอกระดับน้ําภายในหมอน้ํา ทําใหผูควบคุม
สามารถทราบระดับน้ําที่ถูกตองวาปกติหรือแหง ซึ่งหากผิดพลาดอาจเกิดการระเบิดได
ําห
4. ชุดควบคุมระดับน้ํา (water level control) ทําหนาที่ควบคุมระดับน้ํา
ภายในหมอน้ําใหคงที่สม่ําเสมอ โดยทํางานในการควบคุมตัดตอวงจรไฟฟาอัตโนมัติ ใหมี
การสูบน้ําเขาหมอน้ําใหอยูในระดับที่เหมาะสมตลอดเวลา รวมทั้งตัดระบบจายเชื้อเพลิง
มจ

ในกรณีน้ําแหงเพื่อปองกันการระเบิด
5. สวิทชควบคุมความดัน ทําหนาที่ตัดตอเชื้อเพลิงเพื่อรักษาความดันใหได
ห้า

ตามตองการ
6. เครื่องสูบน้ํา (feed water pump) ทําหนาที่สูบน้ําสงเขาหมอน้ําโดย
รับสัญญาณไฟฟาจากชุดควบคุมระดับ เพื่อรักษาระดับน้ําใหอยูในภาวะปกติในการใช
งานไดตามที่ตองการ
7. ลิ้นระบายน้ํากนหมอ (bottom blow down valve) ทําหนาที่เปน
ทางระบายความเขมขน หรือสิ่งสกปรก ตะกอน ออกไปจากภายในหมอน้ํา ในกรณี
ฉุกเฉินสามารถเปดระบายความดันในกรณีลิ้นนิรภัยไมทํางาน
การตรวจสอบและการทดสอบ
 การตรวจสอบรายวัน เปนหนาที่ของผูควบคุมตองดําเนินการ ทั้งกอน
เดินเครื่อง ระหวางเดินเครื่อง และหลังจากการใชงาน โดยมีแบบฟอรมเปนหลักฐาน

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 175
รายวัน เวลา บุคคล ระบบตางๆ เชน ความดัน เชื้อเพลิง อากาศเผาไหม ระบบควบคุม
อัตโนมัติ ฯลฯ
 การตรวจสอบรายเดือน อาจรวมถึงการบํารุงรักษาและทําความสะอาด
ในหมอน้ําดวย
 การตรวจสอบรายปตองมีก ารตรวจทดสอบทุกป โดยเฉพาะอุปกรณ
สําคัญตางๆ ตลอดจนสภาพภายใน ภายนอก พรอมอัดน้ําทดสอบเพื่อดูความแข็งแรง
ทั้งหมดนี้ตองมีวิศวกรเครื่องกลรับรองผลดวย
สรุปสาเหตุที่ทําใหหมอน้ําระเบิด
1) สาเหตุจากการสราง
 ใช เ หล็ ก ผิ ด ประเภท ไม ไ ด ม าตรฐานตามหลั ก วิ ศ วกรรมกํ า หนด
เชน ถาเปนมาตรฐานอเมริกาตองใช Carbon-Silicon No. ASTM A212


 ขนาดความหนาของเหล็กไมเพีย งพอ ทําใหไมส ามารถทนความดันได
ตามที่คํานวณออกแบบได
น่า
 ชนิดของลวดเชื่ อมที่ ใชเ กรดต่ํ าไป ไม เหมาะสมกับเหล็กที่ ทําหมอน้ํ า
ําห
ทําใหประสิทธิภาพรอยตอแนวเชื่อมต่ํา
 การเชื่อมตอไมดีผูเชื่อมไมมีประสบการณเพียงพอ ทําใหเกิดจุดออนตาม
แนวเชื่อม ทั้งยังไมมีการตรวจสอบความแข็งแรงแนวเชื่อมและโพรงอากาศจากแนวเชื่อม
มจ

เชน ใชเครื่องเอ็กซเรยแนวเชื่อม
 เกิ ด รอยร า วระหว า งแนวเชื่ อ มหรื อ ตามเนื้ อ เหล็ ก อั น เนื่ อ งมาจาก
ห้า

ความเครี ย ด (Stress) ระหว า งการเชื่ อ ม เพราะหลั ง จากการเชื่ อ มแล ว ไม ไ ด ทํ า


การอบเพื่อลดคลายความเครียดของเนื้อเหล็กหรือแนวเชื่อมตอ
 ผูผลิตไมมีความรู ไมไดมีการออกแบบคํานวณตามหลักวิศวกรรม และ
ขาดเทคนิคในการสรางหมอน้ํา
2) สาเหตุจากการใชงาน
 ปลอยใหน้ําภายในหมอน้ํามีความเขมขนของสารละลายที่เจือปนอยูใน
หมอน้ํา สูงเกินไป
 มี ก า ซเจื อ ปนเข า ไปในหม อ น้ํ า มากเกิ น ไป เช น ก า ซออกซิ เ จนและ
คารบอนไดออกไซด เปนตน ทําใหเหล็กเกิดการผุกรอน
 สภาพน้ําที่ปอนเขาหมอน้ํามีคา พีเอช (pH) ต่ําเกินไป น้ําจะเปนกรดทํา
ใหเกิดการกัดกรอนเนื้อเหล็ก
176 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
 ลิ้นนิรภัยใชไมถูกขนาด เล็กเกินไป ทําใหไอน้ําระบายออกไมทัน และไม
เคยมีการทดสอบหรือปรับระดับ ความดันเปดสูงเกินกําหนด
 เครื่องสูบน้ําเขาหมอน้ําชํารุด หรือความดันของเครื่องสูบน้ําต่ําเกินไป
น้ําไมสามารถเขาหมอน้ําไดทําใหน้ําแหง
 อุปกรณควบคุมความปลอดภัยชํารุด เชน ชุดควบคุมระดับน้ํา ลิ้นนิรภัย
และชุดควบคุมความดัน เปนตน
 สภาพภายในหม อ น้ํ า มี ต ะกรั น หนามาก และเหล็ ก เกิ ด การผุ ก ร อ น
เนื่องจากการใชงานมากเกินกําลัง หรือไมมีการบํารุงรักษา
 เกิ ด กรณี น้ํ า แห ง หรื อ ความดั น สู ง มาก แล ว แก ไ ขไม ไ ด หรื อ แก ไ ข
ไมถูกตอง
3) สาเหตุจากผูควบคุม
 ไมมีความรูและประสบการณในการควบคุมหรือแกไขปญหาในกรณีเกิด


ปญหาฉุกเฉินขึ้น เชน น้ําแหง และความดันฉุกเฉิน เปนตน
น่า
 ไมไดมีการตรวจสอบระบบควบคุมความปลอดภัยของหมอน้ําเลย
 ไมเอาใจใสดูแลสภาพน้ําที่ปอนเขาหมอน้ํา โดยไมไดปรับสภาพน้ําใหได
ําห
ตามกําหนดสม่ําเสมอ เชน การลางเครื่องกรองน้ํา และการเติมสารเคมีที่เหมาะสมใหได
มาตรฐานกําหนด
มจ

 ละเลยไม เ อาใจใส ดูแ ลหม อน้ํ า ในขณะที่ กํา ลั ง เดิน เครื่ อง และไม ไ ด มี
การตรวจสอบกอนเดินเครื่องใชงานหรือการตรวจสอบตามระยะเวลา เชน ตรวจสอบ
ห้า

รายวัน รายสัปดาห เปนตน หรือตรวจสอบตามที่บริษัทผูสรางกําหนดให


4) สาเหตุจากนายจาง
 จ า งผู ค วบคุ ม ที่ มี คุ ณ สมบั ติ ไ ม ถู ก ต อ งตามกฎหมายกํ า หนดหรื อ
ไมมีประสบการณ เนื่องจากเสียคาแรงถูกกวา
 ไมยอมใหมีการหยุดเพื่อการตรวจสอบความปลอดภัยในการใชงานตาม
กําหนดระยะเวลาเนื่องจากเกรงจะทําใหผลผลิตนอยลง
 ไมยอมใหเปลี่ยนหรือซอมแซมอุปกรณหมอน้ําในกรณีที่ผูควบคุมหมอน้ํา
แจงใหทราบถึงอาการผิดปกติ
 ซื้อหมอน้ําเกามีอายุการใชงานมานาน หรือชนิดราคาถูก ไมไดมาตรฐาน
มาใชงาน

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 177
5) สาเหตุจากวิศวกรผูตรวจสอบ
 ขาดความรูความชํานาญเฉพาะดานหมอน้ํา หรือระบบถังความดัน ที่
เกี่ยวของ
 มิไดทําการตรวจสอบอยางถูกตองตามมาตรฐานทางวิศวกรรมกําหนด
 วิศวกรผูตรวจสอบคํานึงถึงผลประโยชนทางธุรกิจมากกวาความปลอดภัย
และจรรยาบรรณในวิ ช าชี พ ของตั ว เอง โดยมิ ไ ด ล งมื อ ทํ า การตรวจสอบจริ ง หรื อ
เกิดความผิดพลาด

o การปองกันและควบคุมอันตรายจากไฟฟา
อั น ตรายจากไฟฟ า อาจก อ ให เ กิ ด ความสู ญ เสี ย ได ทั้ ง ชี วิ ต และทรั พ ย สิ น
ทั้งจากการใชไฟฟาและการทํางานกับไฟฟา จึงตองมีความระมัดระวังและมีความรูที่จะ


ปองกัน อันตรายที่อาจเกิดขึ้น การปองกันอันตรายจะตองทราบลักษณะของการเกิด
น่า
อันตรายและแนวทางการปองกัน จึงจะสามารถปองกันไดอยางเหมาะสม
ในบทนี้ มี จุ ด ประสงค ใ ห ท ราบในหลั ก การของอั น ตรายจากไฟฟ า และ
แนวทางการปองกันที่เหมาะสมสําหรับวิศวกรทุกสาขารวมทั้งผูที่ทํางานเกี่ยวของกับ
ําห
ไฟฟาเพื่อใชเปน แนวทางในการบริห ารจั ดการใหงานที่เกี่ย วข องกับวิศวกรรมไฟฟ า
มีความปลอดภัย แตเนื่องจากไฟฟามีอันตรายสูงและมองไมเห็น ดังนั้นในการปฏิบัติงาน
มจ

และการประยุกตใชแนวทางการปองกัน จะตองดําเนินการโดยบุคคลที่มีความรูความ
ชํานาญอยางแทจริงเทานั้น
ห้า

1. อันตรายจากไฟฟาและการปองกัน
ลักษณะของอันตรายจากไฟฟาแบงไดดังนี้
1. ไฟฟาดูด (electric shock)
2. ประกายไฟจากอารก (arc flash)
3. การระเบิดจากอารก (arc blast)
1.1 ไฟฟาดูด (Electric Shock)
ไฟฟาดูด เกิดกับบุคคลหรือสิ่งมีชีวิตอื่น ไฟฟาดูดคือการที่กระแสไฟฟาไหลผาน
รางกายซึ่งเปนอันตราย กระแสไฟฟาจะไหลผานรางกายไดจะตองเปนการไหลครบวงจร
นั่นคือกระแสไฟฟาจะไหลเขารางกายและไหลกลับไปยังแหลงกําเนิดได สวนของรางกาย
ที่กระแสไฟฟาไหลเขาและออกจะเปนแผลหรือจุดที่มองเห็นได ขนาดของแผลหรือจุดที่
178 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
กระแสไหลเข าและออกนั้ น ขึ้ น อยู กับ ขนาดของแรงดั น และกระแสที่ ไ หลผา นจุด นั้ น
รวมทั้งระยะเวลาที่กระแสไฟฟาไหลผานรางกายดวย แผลจากไฟฟาจะมีลักษณะไหม
เซลลตาย และรักษาใหหายไดยาก
ผูที่ถูกไฟดูดจะมีอาการอยางใดอยางหนึ่งหรือหลายอยาง คื อหัวใจเตนผิดปกติ
จนถึงหยุดเตนระบบประสาทและกลามเนื้อทํางานผิดปกติ เชน เกิดการกระตุก หรือ
สะบัดอยางแรง อาการที่เรียกวาไฟฟาดูดนี้มาจากอาการที่ระบบประสาทไมสามารถ
สั่งงานใหกลามเนื้อทํางานได เชน ไมสามารถสั่งใหมือปลอยหรือคลายออกจากการจับ
ตองสวนที่มีกระแสไฟฟา หรือไมสามารถสั่งใหกาวเทาหนีจากพื้นบริเวณที่มีกระแสไฟฟา
รั่วไหล เปนตน อาการเหลานี้เปนอาการที่คลายกับถูกไฟฟาดูดใหอยูกับที่ เราจึงเรียก
อาการนี้วา “ไฟฟาดูดหรือไฟดูด” ปจจัยความรุนแรงประกอบดวยปริมาณกระแสที่ไหล
ผานรางกาย ระยะเวลาที่กระแสไหลผาน และเสนทางการไหลของกระแสที่ผานรางกาย


หลักการปองกันอันตรายจากไฟฟาดูด น่า
เนื่องจากไฟฟาดูดเกิดจากรางกายสัมผัสสวนที่มีไฟฟา แบงลักษณะการสัมผัสได
เปน 2 แบบ การปองกันจึงปองกันตามลักษณะการสัมผัสดังนี้
ก. การสัมผัสโดยตรง (direct contact) คือการที่รางกายสัมผัสกับสวนที่
ําห
ในสภาพปกติมีแรงดันไฟฟาอยูแลวเชน สัมผัสบัสบารที่เปดโลง โดยเทายืนบนดินทําใหมี
กระแสไฟฟาไหลผานรางกาย เปนการไหลครบวงจรทางไฟฟา อันตรายลักษณะนี้มักเกิด
มจ

จากการทํางานกับไฟฟา หรือทํางานใกลสวนที่มีไฟฟาแตก็อาจเกิดกับผูที่ใชไฟฟาได เชน


สัมผัสกับสายไฟฟาที่ฉนวนชํารุด เปนตน ผูที่มีหนาที่เกี่ยวของจะตองคนหาวาในสภาพ
ห้า

ของการใชไฟฟาหรือการทํางานกับไฟฟานั้น มีโอกาสที่จะเกิดอันตรายไดในลักษณะใด
หรือไม ซึ่งจะตองปองกันไวกอนดวยวิธีการที่เหมาะสม

หมายเหตุ ผูที่มีหนาที่เกี่ยวของปกติคือบุคคลที่มีคุณสมบัติ ซึ่งก็คือบุคคลที่มี


ความรูเปนอยางดีถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นและรูถึงวิธีการปองกันที่เหมาะสม

ตามตัวอยางในรูปที่ 14.12 เปนการสัมผัสกับบัสบารเปลือยซึ่งเปนสวนที่โดย


ปกติมีไฟฟาอยูแลว การปองกัน จึงเปน การปองกันไมให สัมผัส กับสว นที่มีไฟฟา เชน
การหุมฉนวน หรือมีที่กั้น เปนตน

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 179
รูปที่ 14.12 ตัวอยางการสัมผัสโดยตรง
ที่มา: หนังสือคูมือความปลอดภัยในการทํางานกับไฟฟา: ลือชัย ทองนิล


หลักการปองกันอันตรายจากการสัมผัสโดยตรง การปองกันการสัมผัส
โดยตรงเปนการปองกันเบื้องตนที่จะตองปฏิบัติซึ่งทําไดหลายวิธีโดยอาจจะเลือกวิธีใดวิธี
น่า
หนึ่งหรือหลายวิธีประกอบกันก็ไดตามความเหมาะสม ตัวอยางการปองกันมีดังนี้
- หุมฉนวนสวนที่มีไฟฟา เชน การหุมฉนวนสายไฟฟา
ําห
- ปองกันโดยมีสิ่งกั้นหรือตู เชน ตูหรือแผงสวิตช
- ปองกันโดยมีสิ่งที่กีดขวาง เหมาะสําหรับอุปกรณไฟฟาขนาดใหญ
มจ

เชน รั้วของลานหมอแปลง
- ปองกันดวยระยะหาง เชน ยกใหอยูในระยะที่เอื้อมไมถึง หรือติดตั้ง
สายบนเสาไฟฟา เปนตน
ห้า

- ใช อุ ป กรณ คุ ม ครองคว ามปลอดภั ย ส ว นบุ ค คล (personnel


protective equipment, PPE) เมื่อตองทํางานกับไฟฟา ขณะที่มีไฟ เชน อุปกรณหุม
ฉนวนยางรวมทั้งถุงมือยางที่ใช รวมกับถุงมือหนัง แขนเสื้อยาง ผาหมยาง และเครื่องมือ
หุมฉนวน เปนตน
- ใชเครื่องตัดไฟรั่วเปนการปองกันเสริม
- ใชเครื่องใชที่มีแรงดันต่ําที่ไมเกิน 50 V. โดยตอผานหมอแปลงชนิด
แยกขดลวด
หมายเหตุ เครื่องตัดไฟรั่วใหใชเปนอุปกรณปองกันเสริมเทานั้น (เพิ่มเติมจากวิธี
ปองกันหลัก) ซึ่งตองมีการปองกันหลักกอนเนื่องจากเครื่องตัดไฟรั่วอาจชํารุดไดระหวาง
การใชงาน เมื่อชํารุดก็จะไมสามารถปองกันได
180 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ข. การสั ม ผั ส โดยอ อ ม (indirect contact) คื อ การสั ม ผั ส ส ว นของอุ ป กรณ
ไฟฟาที่ปกติจะไมมีไฟสามารถสัมผัสไดโดยไมมีอันตราย แตอาจมีไฟไดเมื่อเครื่องใชไฟฟา
รั่วหรือชํารุด เชน สวนโครงโลหะของมอเตอรไฟฟา โครงโลหะของหมอ หุงขาวไฟฟา
และตูเย็น เปนตน เมื่อสัมผัสจะมีกระแสไฟฟาไหลผานรางกายลงดินครบวงจรทางไฟฟา
อันตรายลักษณะนี้มักเกิดจากการสัมผัสกับอุปกรณไฟฟาที่ปกติสัมผัสเปนประจํา เชน
เครื่องจักร มอเตอร ตูเย็น และเครื่องซักผา เปนตนและเนื่องจากปกติสามารถสัมผัสได
โดยไมมีอันตราย ผูสัมผัสจะขาดความระมัดระวังจึงมีอันตรายสูง


น่า
ําห
รูปที่ 14.13 ตัวอยางการสัมผัสโดยออมเนื่องจากไฟรั่วที่ตูเย็น
ที่มา: หนังสือคูมือความปลอดภัยในการทํางานกับไฟฟา: ลือชัย ทองนิล
มจ

ผูที่มีหนาที่เกี่ยวของ (ปกติคือบุคคลที่มีคุณสมบัติ) จะตองคนหาวาในสภาพ


ห้า

ของการใชไฟฟาหรือการทํางานกับไฟฟานั้น มีโอกาสที่จะเกิดอันตรายไดในลักษณะใด
ซึ่งจะตองปองกันไวกอนดวยวิธีการที่เหมาะสม
หลักการปองกันอันตรายจากการสัมผัสโดยออมตัวอยางการปองกันมีดังนี้
- มีการตอลงดินเปลือกหุมที่เปนตัวนําและมีเครื่องปลดวงจรอัตโนมัติ ซึ่ง
จะเลือกใชเปนวิธีแรก(ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องระบบสายดิน)
- เลื อ กใช เ ครื่ อ งใช ไ ฟฟ า ชนิ ด ฉนวน 2 ชั้ น หรื อ ประเภท II (double
insulation)
- ใชเครื่องตัดไฟรั่วเปนการปองกันเสริม
- ใชเครื่องใชที่มีแรงดันต่ําที่ไมเกิน 50 V. โดยตอผานหมอแปลงชนิดแยก
ขดลวด

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 181
การปองกันแตละวิธีมีรายละเอียดมาก ผูใชงานจะตองศึกษารายละเอีย ดให
เขาใจอยางชัดเจนและปฏิบัติใหถูกตองจึงตองดําเนินการโดยผูที่ความรูความชํานาญ
เทานั้น มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายมากกวาผลการปองกันที่จะไดรับ
ในการใชไฟฟาและการทํางานกับไฟฟานั้น มีโอกาสที่จะเกิดอันตรายไดทั้งจาก
การสัมผัสโดยตรงและสัมผัสโดยออม ผูที่มีหนาที่เกี่ยวของจะตองคนหาวาอันตรายจะ
เกิดไดอยางไรซึ่งตองหาวิธีปองกันไวกอนตามที่กลาวขางตน
1.2 ประกายไฟจากอารก (Arc Blast)
อารกมีพลังงานสูงพอที่จะทําอันตรายตอชีวิตและทรัพยสินไดเชนกัน อารก มี
ความรอนสูงมากจนละลายวัตถุได ความรอน ไอของโลหะที่หลอมละลาย และแสงจา
เปนอันตรายตอทั้งบุคคลและทรัพยสิน
อารก อารกหรือประกายไฟเกิดขึ้น เมื่อมีกระแสและกําลังไฟฟาสูง เปนการ


ปล อ ยไฟฟ า ออกสู อ ากาศออกมาเป น แสง ซึ่ ง เกิ ด ขึ้ น เมื่ อ มี แ รงดั น ไฟฟ า สู ง ตกคร อ ม
น่า
ชองวางระหวางตัวนํามีคาสูงเกินคาความคงทนของไดอิเล็กทริก (dielectric strength)
ของอากาศ และมีกระแสไฟฟาไหลผานอากาศ แรงดันสูงเกินอาจเกิดจากฟาผา จากการ
สับ-ปลดสวิตชและจากการชํารุดของอุปกรณเนื่องจากการใชงานไมถูกตอง เปนตน
ําห
1.3 การระเบิดจากอารก (Arc Blast)
มจ

การเกิดระเบิดมีสาเหตุหลักมาจากการเกิดอารกไฟฟาในปริมาตรที่จํากัด เมื่อ
อากาศไดรับความรอนสูงจากอารกก็จะขยายตัวอยางรวดเร็วจนอุปกรณไฟฟาเกิดระเบิด
ได การเกิดระเบิดจากอารกมีอุณหภูมิสูงมาก และแรงจากการระเบิดนี้ก็สูงมากจนเปน
ห้า

อันตรายตอบุคคลและทรัพยสินได
ผูที่มีหนาที่เกี่ยวของ (ปกติคือบุคคลที่มีคุณสมบัติ) จะตองคนหาวาในสภาพของ
การใชไฟฟาหรื อการทํา งานกั บไฟฟานั้ น มีโ อกาสที่จ ะเกิด อัน ตรายไดในลักษณะใด
ซึ่งจะตองปองกันไวกอน
หลักการปองกันอันตรายจากอารกและการระเบิด
เนื่องจากอันตรายเกิดไดกับทั้งทรัพยสินและบุคคล การปองกันจึงแยกจากกัน
ดังนี้

182 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
 การปองกันทรัพยสิน
เนื่องจากอารกและการระเบิดมีความรอนสูง ดังนั้นอันตรายสวนใหญจึงเปนการ
เกิดเพลิงไหม หลักการปองกัน มีดังนี้
- เลือกใชอุปกรณปองกันวงจรและอุปกรณไฟฟาที่เหมาะสม เชน ปองกัน
กระแสเกินดวยเซอรกิตเบรกเกอรหรือฟวสพิกัดที่เหมาะสม เปนตน
- เลือกใชอุปกรณไฟฟาที่มีคุณภาพอาจดูจากเครื่องหมายรับรองคุณภาพ
เชน มีเครื่องหมาย มอก. เปนตน
- ใชเครื่องใชไฟฟาอยางถูกวิธี เชน ศึกษาวิธีใชงานจากคูมือ เปนตน
- เดินสายและติดตั้งอุปกรณไฟฟาตามมาตรฐานฯ (ปองกันการเกิดอารก
หรือเมื่อเกิดแลวตองปองกันไมใหสัมผัสกับเชื้อเพลิง)
- ออกแบบและติดตั้งโดยผูที่มีความรูความชํานาญ
- ตรวจสอบและบํารุงรักษาอยางสม่ําเสมอ

 การปองกันบุคคล


น่า
อันตรายเกิดไดกับทั้งบุคคลทั่วไปและผูที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับไฟฟา สําหรับบุคคล
ทั่วไปจะตองใหความรูเกี่ยวกับอันตรายและการหลีกเลี่ยง แตสําหรับผูที่ปฏิบัติงานกับ
ําห
ไฟฟานั้น สว นใหญเปน อัน ตรายที่เกิด จากการทํางานกับไฟฟาหรือใกลสว นที่มีไฟฟา
โดยปกติผูปฏิบัติงานตองพยายามหลีกเลี่ยงการทํางานในขณะที่มีไฟฟาแตถาไมสามารถ
มจ

หลี ก เลี่ ย งได การป อ งกั น จะต อ งเลื อ กใช อุ ป กรณ ค วามปลอดภั ย ที่ เ หมาะสม และมี
มาตรการความปลอดภัยที่ดีดวย ซึ่งตองดําเนินการโดยบุคคลที่มีคุณสมบัติ (qualified
person)
ห้า

หมายเหตุ ผูที่ปฏิบัติงานกับไฟฟาจะตองเปนผูที่มีความรูเปนอยางดีถึงอันตราย
ที่อาจเกิดจากไฟฟา และรูวิธีการปองกันที่เหมาะสมดวย

แนวทางการเลือกการปองกันเมื่อทํางานกับไฟฟา
ในการทํางานกับไฟฟา ควรเลือกการปองกันอันตรายใหเหมาะสมโดยเลือก
เรียงตามลําดับ ดังนี้
- ปองกันด วยวงจรไฟฟา โดยการปลดวงจรไฟฟา (หรือดับ ไฟ) วงจรที่จ ะ
ทํางาน
- ปองกันดวยเครื่องหอหุม เปนการปดกั้นสวนที่มีไฟฟาดวยฉนวนไฟฟา เชน
การหุมสายไฟฟา การใชผาหมยาง หรือมีแผงกั้น เปนตน
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 183
- ปองกันดวยระยะหาง คือการอยูในระยะหางที่เหมาะสมซึ่งการหาระยะหาง
ตองทําโดยบุคคลที่มคี ุณสมบัติ (qualified person)
- ป อ ง กั น ด ว ย อุ ป ก ร ณ คุ ม ค ร อ ง ค ว า ม ป ล อ ด ภั ย ส ว น บุ ค ค ล (PPE)
ทีเ่ หมาะสมกับงาน
ในการทํา งานกับไฟฟา ควรเลือ กการปองกัน ด ว ยการปลดวงจรไฟฟ าเป น
วิธีแรกถาไมสามารถทําไดคอยเลือกวิธีลําดับถัดไป การเลือกใชอุปกรณคุมครองความ
ปลอดภัยสวนบุคคลจึงควรใชเปนวิธีสุดทายหลังจากที่การปองกันดวยวิธีกอนหนานี้ทํา
ไมไดหรือแกปญหาไมหมด หรือเปนการใชเพิ่มเติมจากวิธีขางตนเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
2. อุปกรณความปลอดภัยในการทํางานกับไฟฟา
อุป กรณ ค วามปลอดภั ย ในการทํ างานกั บ ไฟฟ า เช น ชุ ด ต อ ลงดิน เพื่ อ ความ
ปลอดภัย เครื่องกั้น การล็ อกและแขวนป า ยเครื่องหมายเตือ น และอุป กรณท ดสอบ


แรงดันเปนอุปกรณความปลอดภัยเพิ่มเติมที่ใชประกอบกับการทํางานเพื่อเตือน ขัดขวาง
น่า
หรื อ ลดอั น ตรายหากเกิ ด อุ บั ติ เ หตุ หั ว หน า งานหรื อ ผู ป ฏิ บั ติ ง านจะต อ งเลื อ กใช ใ ห
เหมาะสมกับสภาพการทํางานดวย
2.1 อุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล
ําห
หมายถึง สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่นํามาสวมใสอวัยวะสวนหนึ่งสวนใดของรางกายหรือ
หลายสวนรวมกัน โดยมีจุดมุงหมายเพื่อปองกั นอวัยวะของรางกายสวนที่สวมใสไมให
มจ

ไดรั บ อั น ตรายจากสิ่ งที่ ตอ งการป องกั น หรื ออาจกลา วไดวา เป น อุ ปกรณที่ ใช ในการ
ปองกัน อัน ตรายอัน เกิดจากสภาพสิ่งแวดลอมในการทํางานใหแกพนักงาน ตัว อยาง
ห้า

อุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล (สําหรับงานทางไฟฟา) ไดแก


 หมวกแข็ง
 รองเทาฉนวนยาง
 อุปกรณปองกันใบหนา
 อุปกรณฉนวนยาง เชน ถุงมือยาง เสื่อยาง ผาหมยาง ครอบยาง แขนเสื้อยาง
ยางหุมสาย เครื่องมือฉนวน
2.2 อุปกรณความปลอดภัยอื่น
เปนอุปกรณที่น อกเหนือจากอุปกรณคุมครองความปลอดภัย สวนบุคคลแตมี
ความจําเปนเพื่อปองกันการเกิดอันตราย เลือกใชตามสภาพและความจําเปน ตัวอยาง
สวนหนึ่งของอุปกรณความปลอดภัยมีดังนี้

184 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ก. เครื่องกั้นและเครื่องหมาย ในการทํางานที่ตองมีการถอดบางชิ้นสวนที่ทํา
หนาที่กั้นออกเปนการชั่วคราว เชน ฝา หรือ ประตูตู ดังนั้น เมื่อทําการถอดชิ้นสวนออก
แลว ควรมีการกั้นและติดตั้งเครื่องหมายเตือนบุคคลทั้งที่เกี่ยวของและไมเกี่ยวของให
ทราบถึงอันตรายดวย
ข. ปาย กุญแจ และอุปกรณล็อก ปายเพื่อความปลอดภัย กุญแจ และอุปกรณ
ล็อก ใชเพื่อใหเกิดความมั่นคงและทําเครื่องหมายวาอุปกรณนั้นหยุดการใชงาน การใช
ปายเพื่อความปลอดภัย กุญแจ และอุปกรณล็อกก็เพื่อใหอุปกรณไมสามารถใชงานหรือ
จายไฟไดอีกจนกวาจะถอดออก
ปายเพื่อความปลอดภัย ใชติดตั้งกับอุปกรณเพื่อแสดงวา งดใชงาน วัสดุที่ใชทํา
ปายตองคงทน และไมชํารุดจากสภาพแวดลอม ปายควรทําเปนมาตรฐานมีขอความใน
ลักษณะของการเตือน เชน หามเดินเครื่อง หามเปด หามปด หรือหามใชงาน เปนตน
ปายตองบอกชื่อผูติดตั้งและปญหาของอุปกรณที่ติดตั้ง พนักงานทั้งหมดตองทราบถึง


จุดประสงคและความสําคัญของการติดตั้ง (แขวน) ปายดวย การถอดปายตองทําโดยผูที่
แขวนปายเทานั้น
น่า
กุญแจ การล็อก เปนการปองกันการใชงานอุปกรณ เชน ปองกันการสับเซอรกิต
ําห
เบรกเกอรที่ไดปลดวงจรไฟฟาไวแลว กุญแจจึงตองมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะทนตอ
การไขออกได นอกจากจะใชลู กกุญ แจหรื อใชแ รงอยา งมาก กรณีไ มใ ชลู กกุ ญแจจะ
สามารถถอดออกไดก็ตอเมื่อตัดดวยเครื่องมือเทานั้น
มจ

โดยปกติ ในการล็อกกุญแจผูปฏิบัติงานแตละคนควรมีลูกกุญแจของตนเองที่
บุคคลอื่นไมสามารถไขได แตอาจมีแมกุญแจ (master key) เก็บไวใชในกรณีฉุกเฉินก็ได
ห้า

แมกุญแจฉุกเฉินอาจใชเปดโดยบุคคลอื่นนอกเหนือจากผูที่ทําการล็อกเอง แตตองปฏิบัติ
ตามขั้นตอนที่กําหนดอยางเครงคัด

รูปที่ 14.14 ตัวอยางกุญแจและอุปกรณล็อกเซอรกิตเบรกเกอร


ที่มา: ลือชัย ทองนิล
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 185
ในการปฏิบัติงานกับวงจรหรืออุปกรณไฟฟาที่ปลดวงจรแลว จะตองมีการล็อก
กุญแจและ/หรือแขวนปา ยเพื่อปองกั น วงจรไฟฟ าที่ดับไฟแล ว กลับมามีไ ฟอีกโดยไม
คาดคิด หรือจากอุบัติเหตุ การใชงานจะทําในลักษณะที่อุปกรณจะไมสามารถกลับมา
จายไฟไดอีกถาไมมีการถอดกุญแจและปายออก แตในบางลักษณะงาน อาจแขวนปาย
อยางเดียวโดยไมตองล็อกกุญแจก็ได ซึ่งตองกําหนดไวใหชัดเจน
3. ความปลอดภัยในการทํางานใกลสายไฟฟาแรงสูง
อันตรายจากไฟฟาเกิดไดกับงานทุกประเภทที่เกี่ยวของหรืออยูปฏิบัติงานใกล
สายไฟฟา เชน งานกอสรางใกลสายไฟฟาแรงสูง ตัวอยางงานที่เปนสาเหตุของการเกิด
อุบัติเหตุจากการทํางานใกลสายไฟฟาแรงสูง มีดังนี้
- การชักรอก หรือขนสงสิ่งของตางๆ ขึ้นที่สูง เชน เหล็กกอสราง เสาอากาศ
โทรทัศน และทอน้ํา และสิ่งกอสรางอื่น เปนตน
- ผาใบคลุมฝุนหรือแผงกั้นตางๆ หลุดหรือปลิวไปถูกสายไฟฟา ทําใหเกิดไฟฟา
ลัดวงจร หรือสายไฟฟาขาด ซึ่งเปนอันตราย


บนพื้น
น่า
- การใช ป น จั่ น ในงานก อ สร า ง ทั้ ง ชนิ ด ที่ ติ ด ตั้ ง บนรถ และชนิ ด ติ ด ตั้ ง
ําห
- การใชรถเครื่องมือกล เชน รถบูม และรถบรรทุก
- การทํางานบนนั่งราน เชน การทาสี ฉาบปูนและงานกอสรางอื่น ๆ
- การปรับปรุงอาคาร
มจ

แนวทางปองกันอันตราย
ห้า

การปองกันอันตรายที่ไดผลนอกจากจะไมสัมผัสสวนที่มีไฟฟาแลว จําเปนตองมี
มาตรการอื่ น ควบคู ไ ปด ว ย การป อ งกั น จะแตกต า งกั น ออกไปตามลั ก ษณะงาน แต
แนวทางการปองกันจะไมแตกตางกันนัก แนวทางการปองกันอาจใชวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือ
หลายวิธีประกอบกัน พอสรุปไดดังนี้
- ควบคุมดูแลใหปฏิบัติตามกฎระเบียบ และขอบังคับตางๆ
- อยูในระยะหางที่เหมาะสมจากสายไฟฟา
- ใหความรูแกผูปฏิบัติงาน และมีปายเตือนที่ชัดเจนเหมาะสม
- ทําแผงกั้นตรงจุดที่อาจเกิดอันตราย
- หุมสายไฟฟาเปนการชั่วคราว (โดยการไฟฟาฯ)
- ขอดับไฟฟาเปนการชั่วคราว
- ตอลงดินรถที่ใชปฏิบัติงาน
- จัดใหมีเจาหนาที่ควบคุม ดูแล และตรวจสอบการทํางานเปนประจํา
186 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
จุดที่หุมสายไฟฟา

รูปที่ 14.15 ตัวอยางการหุมสายไฟฟาแรงสูง


ที่มา: ลือชัย ทองนิล


น่า
ําห
มจ
ห้า

รูปที่ 14.16 ตัวอยางการตอลงดินรถที่ปฏิบัติงานใกลสายไฟฟาแรงสูง


ที่มา: ลือชัย ทองนิล

4. การตอลงดิน (ระบบสายดิน)
การตอลงดินในตอนนี้มีจุดประสงคเพื่อความปลอดภัยในการใชไฟฟาของบุคคล
ที่ใชงานทั้งในภาวะปกติและเมื่อเกิดกระแสรั่ว และยังชวยใหระบบไฟฟามีความมั่นคงอีก
ดวย

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 187
หมอแปลงไฟฟา สายแรงต่าํ ตอลงดินที่หมอแปลงไฟฟา
สายเมนแรงต่ํา
แผงเมนสวิตช
เมนเซอรกติ
เบรกเกอร
สายนิวทรัล
สายตอฝากลงดิน
ตัวถังหมอแปลง นิวทรัลบาร
ตอลงดิน สายตอฝาก อุปกรณไฟฟา
สายตอหลักดิน สายดินของอุปกรณ
กราวดบาร ไฟฟา
รูปที่ 14.17 วงจรการตอลงดินของระบบไฟฟาภายในอาคาร
ที่มา: ลือชัย ทองนิล


บริ ภั ณ ฑ ห รื อ อุ ป กรณ ไ ฟฟ า ที่ มี เ ครื่ อ งห อ หุ ม เป น โลหะ (ตั ว นํ า ไฟฟ า ) เช น
น่า
เครื่ อ งใช ไ ฟฟ า ในบ า น และอุ ป กรณ ก ารเดิ น สายไฟฟ า จะต อ งต อ ลงดิ น เพื่ อ ความ
ําห
ปลอดภัย

4.1 บริภัณฑไฟฟา (หรืออุปกรณไฟฟา) ที่ตองตอลงดิน


มจ

บริภัณฑไฟฟา หรืออุปกรณไฟฟา ที่ตองตอลงดิน สรุป ไดดังนี้ (ดูรายละเอีย ด


เพิ่มเติมในมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟาสําหรับประเทศไทยฯ ของ วสท. )
ห้า

4.1.1. บริภัณฑไฟฟาที่มีเปลือกเปนโลหะและอยูในตําแหนงที่บุคคลอาจ
สัมผัสได (สูงไมเกิน 2.40 ม. หรือหางในแนวระดับไมเกิน 1.50 ม.) ตองตอลงดิน เชน
ตูเย็น เครื่องซักผา เครื่องทําน้ําอุน เครื่องจักรในโรงงาน มอเตอรไฟฟา และเครื่อง
คอมพิวเตอร เปนตน อุปกรณไฟฟาบางชนิดอยูในตําแหนงสูงสัมผัสไมถึงไมบังคับใหตอง
ตอลงดิน (แตจะตอลงดินก็ได) แตถึงแมวาสัมผัสไมถึงถาติดตั้งบนโครงสรางโลหะที่บุคคล
สัมผัสได หรือเดินสายดวยทอ หรือรางเดินสายโลหะก็จะตองตอลงดินดวย เชน ดวงโคม
ไฟฟาที่ติดตั้งกับโครงสรางเหล็กของอาคาร เปนตน
4.1.2. อุปกรณเดินสายโลหะ เชน ทอรอยสาย รางเดินสาย และรางเคเบิล
ตองตอลงดิน
4.1.3. รั้วโลหะหรือสิ่งกีดกั้นอุปกรณไฟฟาที่เปนโลหะ รวมทั้งเครื่องหอหุม
อุปกรณไฟฟาในระบบแรงสูง

188 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
โดยปกติ บริภัณฑไฟฟาที่ตองตอลงดินจะมีเครื่องหมายแสดงใหเห็นวาตองตอ
ลงดิน
4.2 บริภัณฑไฟฟาที่ไมตองตอลงดิน
บริภัณฑไฟฟาที่ยกเวนไมตองตอลงดิน ไดแก บริภัณฑไฟฟาชนิดใชเตาเสียบที่
ระบุวาเปนชนิดฉนวน 2 ชั้น (ปกติจะระบุไวบน name plate) บริภัณฑไฟฟาที่ใชไฟฟา
แรงดันไมเกิน 50 โวลต ที่ตอใชไฟจากวงจรไฟฟาปกติโดยตอผานหมอแปลงนิรภัย (ชนิด
แยกขดลวด) และบริภัณฑไฟฟาที่ติดตั้งในที่สูงหรือมีการกั้นปองกันการสัมผัส
4.3 วิธีการตอลงดินของบริภัณฑไฟฟาหรืออุปกรณไฟฟา
บริภัณฑไฟฟาที่กําหนดใหตองตอลงดิน การตอลงดินทําไดโดยการเดินสายดิน
จากบริภัณฑไฟฟามาตอลงดินที่เมนสวิตชโดยตอเขากับนิวทรัลบาร สําหรับแผงสวิตช
ขนาดใหญจะมีบัสบารอีกแทงหนึ่งเรียกวากราวดบาร สายดินทั้งหมดจากบริภัณฑไฟฟา


จะต อ เข า กั บ กราวด บ าร นี้ และระหว า งกราวด บ าร กั บ นิ ว ทรั ล บาร จ ะต อ ถึ ง กั น ด ว ย
สายไฟฟา (ดูรูปที่ 14.18)
น่า
บริภัณฑไฟฟาที่ตองตอลงดินบางชนิดผูผลิตไดเดินสายดินมารอที่เตาเสียบแลว
ําห
สังเกตไดจากเตาเสียบจะเปนชนิดมีขั้วดินเมื่อเสียบเขากับเตารับชนิดที่มีสายดินดวยก็จะ
ทําใหระบบสายดินใชงานไดตามตองการ
เตารับและเตาเสียบจะตองเปนแบบที่สามารถใชกันได โดยเมื่อเสียบแลวทั้งสาม
มจ

ขั้ว จะตองตอถึงกัน เพราะถาสายดิน ไมตอถึงกัน ก็ จ ะทําใหร ะบบสายดิน ใชงานไมได


จึงตองเลือกใหเหมาะสม
ห้า

รูปที่ 14.18 ตัวอยางเตารับและเตาเสียบชนิดมีขั้วดิน


ที่มา: ลือชัย ทองนิล
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 189
บริ ภั ณ ฑ ไ ฟฟ า บางรายการที่ ต องต อ ลงดิ น แต ผูผ ลิ ต ไม เ ดิ น สายดิ น มาให ซึ่ ง
เตาเสียบที่ใชจะเปนชนิด 2 ขา เชน หมอหุงขาวและกะทะไฟฟา กรณีนี้จะตองปรับปรุง
โดยการเดินสายดินเพิ่มเติม แตควรดําเนินการโดยผูที่มีความรูความชํานาญเทานั้น
4.4 ความสําคัญของวงจรการตอลงดิน
การตอลงดินจะตองใหความสําคัญกับวงจรการตอลงดิน ซึ่งตองทําใหถูกตอง
ตามที่กํา หนดในมาตรฐานการติดตั้ งทางไฟฟาฯ การตอ ลงดิ น ที่ถู กตอ งนั้น เมื่ อเกิ ด
กระแสรั่ ว ลงดิ น เครื่ อ งป อ งกัน กระแสเกิ น ของวงจรนั้ น จะต อ งปลดวงจร เพื่ อ ความ
ปลอดภัยของบุคคลที่สัมผัส วงจรที่ถูกตองแสดงในรูปที่ 14.19


น่า
ําห
มจ

รูปที่ 14.19 วงจรการตอลงดินที่ถูกตอง (เดินสายดิน)


ที่มา: ลือชัย ทองนิล
ห้า

รูปที่ 14.19 แสดงวงจรการตอลงดินที่ถูกตอง ในรูปนี้แสดงเฉพาะสวนที่สําคัญ


เทานั้นเพื่อใหดูงายขึน้ วงจรการตอลงดินที่ถูกตองคือจะตองเดินสายดิน (สายเขียว) จาก
อุปกรณไฟฟาที่จะตอลงดินยอนกลับไปจนถึงแผงเมนสวิตช และทําการตอลงดินโดยการ
ตอลงหลักดินที่แผงเมนสวิตชเทานั้น
ในสภาพการใชงานปกติในสายดินจะไมมีกระแสไฟฟาไหล กรณีที่เครื่องใชไฟฟา
(ในที่นี้แสดงเปนตูเย็น) มีไฟรั่ว กระแสไฟฟาที่รั่วนี้จะไหลกลับไปครบวงจรที่เมนสวิตช
โดยผานทางสายดิน ปริมาณกระแสไฟฟานี้จะสูงเพราะสายดินมีความตานทานต่ํา เครื่อง
ปองกันกระแสเกิน (เซอรกิตเบรกเกอร) ที่แผงยอยจะปลดวงจรไดรวดเร็ว ผูที่สัมผัส
เครื่องใชไฟฟาก็จะปลอดภัย ถาผูใชไฟฟาพยายามที่จะสับเซอรกิตเบรกเกอรเขาไปอีกก็
จะปลดวงจรอีก จนกวาจะซอมใหเปนปกติแลวเทานั้นจึงจะสามารถสับวงจรใชงานตอได
190 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
จึงมีความปลอดภัย “สายดิน จึงตองใชงานรวมกับเครื่องปลดวงจรอัตโนมัติ ” จึงจะมี
ความปลอดภัย
หมายเหตุ นอกจากวงจรการตอลงดินตองถูกตองแลว ขนาดสายดินจะตองมี
ขนาดทีเ่ หมาะสมดวย จึงตองดําเนินการโดยผูที่มีความรูความรูชํานาญ เทานั้น


น่า
ําห
รูปที่ 14.20 วงจรการตอลงดินที่ไมถูกตอง (ไมเดินสายดิน)
ที่มา: ลือชัย ทองนิล
มจ

รูปที่ 14.20 เปนวงจรการตอลงดินที่ไมถูกตองเพราะไมมีการเดินสายดินไปตอ


ลงดินที่แผงเมนสวิตช แตเปนการตอเครื่องใชไฟฟาลงดินโดยการตอลงดินโดยตรงเขากับ
ห้า

หลักดินที่ปกอยูใกลเครื่องใชไฟฟาหรือเครื่องจักรนั้น (พบทั้งในโรงงานอุตสาหกรรมและ
บานอยูอาศัย หลายแหง) การตอลงดินลักษณะนี้เมื่อเครื่องใชไฟฟามีไฟรั่วกระแสที่รั่วนี้
จะไหลกลับไปครบวงจรโดยไหลลงหลักดินที่เครื่องใชไฟฟาและไปครบวงจรโดยผานหลัก
ดินที่แผงเมนสวิตช (หรือหมอแปลง) กระแสไฟฟาที่รั่วนี้จะไหลผานลงดินกอนจึงเปนการ
ไหลผานความตานทานสูง ดังนั้นปริมาณกระแสไฟฟาจึงไหลนอย กรณีนี้เซอรกิตเบรก
เกอรอาจไมปลดวงจรหรือถาปลดวงจรก็ใชเวลาในการปลดวงจรนานมากจึงไมปลอดภัย
การตอลงดินลักษณะนี้ถือวาไมถูกตองตามมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟาฯ
5. เครื่องตัดไฟรั่ว
เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD, RCCB หรือ ELCB) มีชื่อเรียกหลายชื่อตามมาตรฐานที่
อางอิง เปนอุปกรณทสี่ ามารถปองกันอันตรายจากไฟดูดไดทั้งจากการสัมผัสโดยตรง และ

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 191
การสัมผัสโดยออม ในขณะที่ระบบสายดินสามารถปองกันไดเฉพาะการสัมผัสโดยออม
เทานั้น แตในการใชงานจะตองมั่นใจวาเครื่องตัดไฟรั่วติดตั้งอยางถูกตองและทํางานเปน
ปกติตามที่ไดออกแบบไว เนื่องจากเครื่องตัดไฟรั่วเปนอุปกรณไฟฟาเชนกัน จึงอาจชํารุด
ได ในการใชงานตองมีการทดสอบเปนประจําตามที่ผูผลิตแนะนํา เครื่องตัดไฟรั่วจึงใช
เปนอุปกรณปองกันเสริมเทานั้น ในการใชงานจําเปนตองมีระบบสายดินดวย จึงจะ
มั่นใจไดวาปลอดภัย
เครื่องตัดไฟรั่วใชปองกันอันตรายตอบุคคลจากไฟฟาดูด โดยเฉพาะบริเวณที่มี
ความชื้นสูง หรือที่มีโอกาสเปยกน้ํา ปกติในการติดตั้งใชงานควรแยกออกจากวงจรอื่น
เพื่อความสะดวกในการใชงานและการซอมแซมเมื่อเกิดไฟรั่วจากสาเหตุอื่น วงจรไฟฟา
สําหรับหองน้ํา หองใตดิน หองครัว เครื่องทําน้ํารอน อางน้ําวน และวงจรสําหรับการใช
ไฟชั่วคราว ตองตอผานเครือ่ งตัดไฟรั่ว และเครื่องตัดไฟรั่วยังสามารถปองกันอันตรายตอ
ทรัพยสินไดดวย เพราะเมื่อเกิดกระแสรั่วลงดินเครื่องจะปลดวงจร เปนการหยุดการเกิด


ประกายไฟที่เปนสาเหตุของเพลิงไหมได น่า
6. เพลิงไหมจากไฟฟาและการปองกัน
เพลิงไหมเกิดจาก 3 ปจจัยดวยกันคือ เชื้อเพลิงออกซิเจนในอากาศ และความ
ําห
รอนหรือประกายไฟ สาเหตุเพลิงไหมจากไฟฟาคือการเกิดความรอนหรือประกายไฟจาก
ไฟฟาในบริเวณที่มีเชื้อเพลิงและออกซิเจน ตัวอยางสาเหตุการเกิดเพลิงไหมจากไฟฟา
ไดแก
มจ

- ความรอนที่จุดตอสาย สาเหตุหลักเกิดจากจุดตอสายหลวม
- ความรอนและประกายไฟจากการระเบิด
ห้า

- ความรอนจากกระแสเกินในสายไฟฟา
- ประกายไฟจากกระแสลัดวงจร
- ความรอนและประกายไฟจากกระแสรั่วลงดิน
- ความรอนจากการใชงานอุปกรณไฟฟาเกินกําลัง
- ความรอนจากการใชงานปกติของอุปกรณที่มีความรอน
แนวทางปองกันอันตราย
การปองกันการเกิดเพลิงไหมจากไฟฟา คือ การปองกันการเกิดความรอนหรือ
ประกายไฟที่อยูใกลเชื้อเพลิง หรือบริเวณที่มีสารไวไฟ ที่มีสาเหตุมาจากไฟฟา ตัวอยาง
แนวทางการปองกันคือ
- ออกแบบและติดตั้งอุปกรณไฟฟาตามมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟาฯ โดย
ผูที่มีความรูความชํานาญ
192 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
- เลือกใชอุปกรณปองกันที่เหมาะสม เชน เซอรกิตเบรกเกอรหรือฟวส
- เลือกใชอุปกรณไฟฟาที่มีคุณภาพ
- ใชเครื่องใชไฟฟาอยางถูกวิธี ตามที่ผูผลิตแนะนํา
- ตรวจสอบระบบไฟฟาและอุปกรณไฟฟาอยางสม่ําเสมอ
- ดูแลปองกันไมใหมีเชื้อเพลิงหรือวัสดุที่ติดไฟงายอยูใกลบริเวณที่อาจเกิด
ประกายไฟ
- บํารุงรักษาระบบและอุปกรณไฟฟาเปนประจํา
7. ไฟฟาชั่วคราว
ไฟฟาชั่วคราวโดยปกติจะเปนไฟฟาที่ใชเพื่อการกอสราง หรือไฟประดับตาม
เทศกาลตาง ๆ การติดตั้งจึงไมไดมาตรฐาน อุปกรณไฟฟามักจะใชงานมานานหรือรื้อถอน
มาจากสถานที่อื่น ขาดการตรวจสอบ ผูใชงานและผูที่เกี่ยวของขาดความรู จึงมีโอกาส
เกิดอันตรายไดสูง ตัวอยางที่พบคือ


แผงไฟฟา ซึ่งมักจะเปนแผงเมน มีพิกัดไมถูกตอง ติดตั้งในสถานที่มีความเสี่ยงที่
น่า
จะเกิดอันตราย เชน อยูในบริเวณที่ชื้นแฉะ อุปกรณมีสภาพแตกหัก ชํารุด หรือไมมีการ
ปองกันการสัมผัสที่ดี กรณีที่ติดตั้งกลางแจงก็ไมใชชนิดที่กันฝนได
ําห
สายไฟฟาและการเดินสาย มักพบเสมอวาขนาดสายไฟฟาไมถูกตอง ชนิดไม
เหมาะสม มีสภาพชํารุด ฉนวนขาด หลุด หรือฉนวนสวนที่ปลอกเพื่อทําการตอสายใน
ครั้งกอนไมไดซอมใหเรียบรอยกอนนํามาใชใหม การตอสายไมถูกตองตามวิธีการตอสาย
มจ

และ/หรือ ไมหุมดวยเทป พีวีซี เพื่อปองกันการสัมผัสกับสวนที่มีไฟฟา


สายไฟฟ า เดิ น มัด ไปกั บโครงเหล็ ก นั่ งร า น หรื อ วางบนพื้ น ซึ่ ง เป น อั น ตราย
ห้า

เนื่องจากฉนวนอาจชํารุดจากการเสียดสี หรือการกระแทกดวยของแข็ง
การติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว พบวาในวงจรที่ตองมีการติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่วเพื่อ
ปองกันอันตรายจากไฟฟาดูด ไมมีการติดตั้งตามที่กําหนดในมาตรฐานฯ
การตอลงดิน บริภัณฑไฟฟาไมมีการตอลงดินตามที่กําหนดในมาตรฐานฯ
อุปกรณไฟฟา มีสภาพชํารุดไมพรอมใชงาน เชน สวิตช เตารับ เตาเสีย บ มี
สภาพแตกจนอาจเกิดอันตรายจากการสัมผัสสวนที่มีไฟฟา
แนวทางการปองกัน
- ออกแบบและติดตั้งอุปกรณไฟฟาตามมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟาฯ โดย
ผูที่มีความรูความชํานาญ
- เลือกใชอุปกรณปองกันที่เหมาะสม เชน เซอรกิตเบรกเกอรหรือฟวส

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 193
- เลือกใชอุปกรณไฟฟาที่มีคุณภาพ
- อบรม ใหความรูกับผูที่เกี่ยวของ
- ตรวจสอบระบบไฟฟาและอุปกรณไฟฟาอยางสม่ําเสมอ
- บํารุงรักษาเปนประจํา

8. การชวยเหลือผูที่ประสบอันตรายจากไฟฟา
ผูที่จะชวยเหลือผูที่ประสบภัยอันตรายจากไฟฟาตองรู จักวิธีที่ถูกตองในการ
ชวยเหลือผูที่เกี่ยวของตองศึกษาและฝกปฏิบัติจนชํานาญจึงจะสามารถชวยเหลืออยาง
ไดผ ล โดยเฉพาะการชว ยใหห ายใจถากระทําโดยขาดความรู ความชํานาญอาจเป น
อันตรายเพิ่มขึ้นอีก ขั้นตอนตอไปนี้เปนเพียงหลักการเทานั้น
 หากเป น สายไฟฟ า แรงสู ง ให พ ยายามหลี ก เลี่ ย งแล ว รี บ แจ ง การไฟฟ า ฯ
ทองถิ่นโดยเร็วที่สุด


 หามใชมือเปลาแตะตองตัวผูที่ติดอยูกับไฟฟาหรือตัวนําไฟฟาที่เปนตนเหตุ
น่า
ใหเกิดอันตรายเปนอันขาด เพื่อปองกันมิใหถูกกระแสไฟฟาจนไดรับอันตรายไปดวย
 รีบหาทางตัดกระแสไฟฟาโดยเร็ว ดวยการปลดวงจรไฟฟา ถอดเตาเสียบ
หรืออาสวิตชออกก็ได ตามความเหมาะสม
ําห
 กรณีที่ไมสามารถตัดกระแสไฟฟาได ใหใชวัตถุที่เปนฉนวนไฟฟา เชน ผา
ไมแหง เชือกแหง สายยาง หรือพลาสติกที่แหงสนิท เขี่ย สายไฟใหห ลุดออกจากตัว
มจ

ผูประสบอันตราย หรือใชถุงมือยาง หรือผาแหงพันมือใหหนา แลวถึงผลักหรือฉุดตัว


ผูประสบอันตรายใหหลุดออกมาโดยเร็ว
ห้า

 กรณีที่มีกระแสไฟฟาอยูในบริเวณที่มีน้ําขังอยาลงไปในน้ําตองหาทางเขี่ย
สายไฟออกใหพนแลวจึงคอยไปชวยผูประสบอันตราย
การชวยผูประสบอันตรายจากไฟฟาดังที่กลาวมาแลว จําเปนอยางยิ่งที่จะตอง
กระทําดวยความรวดเร็ว รอบคอบและระมัดระวังเปนพิเศษดว ย เพราะถาปลอยให
ไฟฟาดูดเปนเวลานานจะมีโอกาสเสียชีวิตสูง
การปฐมพยาบาล
เมื่อไดทําการชว ยเหลือผูประสบอันตรายมาไดแลว จะโดยวิธีใดก็ตาม หาก
ปรากฏวาผูเคราะหรายที่ชวยออกมานั้นหมดสติไมรูสึกตัว หัวใจหยุดเตนและไมหายใจ
ซึ่ ง สั ง เกตได จ ากอาการที่ เ กิ ด ขึ้ น ดั ง นี้ ริ ม ฝ ป ากเขี ย ว สี ห น า ซี ด เขี ย วคล้ํ า ทรวงอก
เคลื่อนไหวนอยมากหรือไมเคลื่อนไหว ชีพจรบริเวณคอเตนชาและเบามาก ถาหัวใจหยุด

194 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
เตนและคลําชีพจรไมพบ มานตาขยายคางไมหดเล็กลง หมดสติไมรูสึกตัว ตองรีบทําการ
ปฐมพยาบาลทันทีเพื่อใหปอดและหัวใจทํางาน การนวดหัวใจและผายปอดตองมั่นใจวาผู
ประสบอันตรายหัวใจหยุดเตนและหยุดหายใจแลวเทานั้น ซึ่งผูที่ทําการชวยเหลือจึงตอง
มีค วามรู ใ นเรื่ อ งการช ว ยเหลื อ และฝ ก ฝนมาแล ว เป น อย า งดี ด ว ย หลั ง จากผู ที่ ไ ด รั บ
อันตรายรูสึกตัวดีและหายใจไดเองแลวจึงคอยนําสงโรงพยาบาลตอไป
o การปองกันและระงับอัคคีภัย
แนวคิด
อัคคีภัยเปนอุบัติภัยประเภทหนึ่งซึ่งสวนใหญเกิดจากการกระทําของมนุษย ทั้ง
ไฟไหมอาคารบานเรือน หรือไฟไหมปา สรางความเสียหายทั้งตอชีวิต ทรัพยสิน ธุรกิจ
และสิ่งแวดลอม วิศวกรรมปองกันอัคคีภัยเปนสาขาวิศวกรรมใหมที่หลายประเทศไดเปด
การเรีย นการสอนแลว ผลิตบุคลากรดานนี้มาแลว หลายพัน คน ซึ่งตองอาศัย ความรู


พื้นฐานในดานตางๆ เชน เคมี ฟสิกส เพื่อความรูความเขาใจอยางลึกซึ้งในการพัฒนา
น่า
และการลุกลามของเพลิงไหม จนสงผลกระทบตอคนที่กําลังอพยพ รวมทั้งตองมีความรู
งานสถาปตยกรรมและวิศวกรรมระบบประกอบอาคารและสภาพการทํางาน ปจจุบัน
งานออกแบบและคํานวณ ควบคุมการสราง ตรวจสอบ หรืออํานวยการใชระบบปองกัน
ําห
อัคคีภัยเปนงานวิศวกรรมควบคุม ดังนั้น จะตองรับผิดชอบโดยวิศวกรที่มีใบอนุญาต
ประกอบวิชาชีพทางวิศวกรรมเทานั้น
มจ

กรณีศึกษาที่ 1
ห้า

เหตุ ก ารณ เ พลิ ง ไหม ค รั้ ง ร า ยแรงที่ สุ ด ของประเทศไทยเกิ ด ขึ้ น เมื่ อ วั น ที่
10 พฤษภาคม 2536 คื อ เหตุ เ พลิ ง ไหม ที่ โ รงงานเคเดอร จั ง หวั ด นครปฐม เป น
โรงงานผลิตตุกตาที่มีเศษผาและเสนใยจํานวนมากที่ใชในกระบวนการผลิตสินคาชนิดนี้
เพลิงไหมเกิดขึ้น เวลาประมาณ 16.00 น. เปน เหตุทําใหมีผูเสีย ชีวิตถึง 188 คน และ
โรงงานไดรับความเสียหายเกือบทั้งหมดและปดกิจการไป ทั้งนี้โรงงานแหงนี้เคยเกิดเพลิง
ไหมมา 3 ครั้งแลว (16 ส.ค. 2532, 2 พ.ย. 2534, 13 ก.พ. 2536) เพราะอุปกรณไฟฟา
เสื่อมและไฟฟาลัดวงจร สําหรับเหตุการณในครั้งนี้ มีพยานเห็นมีผูสูบบุหรี่ในบริเวณที่
เกิดเหตุซึ่งเปนที่เก็บของชั้นที่ 1 ของอาคาร 1 สาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากการชะลอการ
อพยพควบคุมการเขาออก จากพื้นที่ทํางานเพื่อปองกันการลักทรัพย และความประมาท
ที่ประเมินสถานการณผิดคิดวาเพลิงไดดับแลวเหลือแตควันไฟ ภายหลังเหตุการณครั้งนี้
ไดเกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเปนอยางมาก เชน จัดตั้ง คณะกรรมการรณรงคเพื่อ
สุขภาพและความปลอดภัยของคนงาน เกิดกฎหมายคุมครองเพื่อความปลอดภัยแรงงาน
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 195
รวมทั้งพระราชบัญญัติคุมครองแรงงาน คณะกรรมการความปลอดภัยอาชีวอนามัย และ
สภาพแวดลอมในการทํางาน และกําหนดใหวันที่ 10 พฤษภาคม ของทุกปเปนวันความ
ปลอดภัยในการทํางานแหงชาติ เปนตน
กรณีศึกษาที่ 2
เหตุการณเพลิงไหมครั้งรุนแรงที่โรงแรม รอยัล จอมเทียน พัทยา เปนอาคาร
คอนกรีตเสริมเหล็กที่มีความสูง 16 ชั้น เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2540 เวลาประมาณ
9.30 น. เปนเหตุใหมีผูเสียชีวิตถึง 91 ราย และทําใหอาคารไดรับความเสียหายจากเพลิง
ไหมเกือบทั้งหลัง จุดตนเพลิงอยูที่บริเวณจัดเตรียมอาหารที่ชั้นที่ 1 ซึ่งอยูใกลกับชอง
บันไดหลักที่มีลักษณะเปนปลองตั้งแตชั้นที่ 1 จนถึงชั้นบนสุด จากกาซหุงตมที่ลุกติดไฟ
ขณะจัดเตรียมอาหารแลวลุกลามออกไปติดวัสดุติดไฟจํานวนมากในบริเวณนั้น สาเหตุ
ของความสูญเสียเกิดจากความลมเหลวของการจัดการและวิธีการดับเพลิงขั้นตน ระบบ
แจงเหตุเพลิงไหมใชการไมได และชองบันไดหลักไมถูกปดลอมดวยผนังและประตูทนไฟ


ทําใหควันไฟ ความรอน และไอเชื้อเพลิงที่ยังไมติดไฟ ลอยขึ้นเขาสูชองบันไดหลักได
น่า
โดยงายแลวแพรกระจายไปทุกชั้นโดยเฉพาะชั้นบนสุดอยางรวดเร็ว
กรณีศึกษาที่ 3
ําห
เหตุการณเพลิงไหมที่คอนโดมิเนีย มยานสี่พระยา เปน อาคารคอนกรีตเสริม
เหล็ก ที่มีความสูง 30 ชั้น เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2551 เวลาประมาณ 04.50 น. เปน
มจ

เหตุใหมีผูเสีย ชีวิตในหองชุ ดหองหนึ่งจํา นวน 3 ราย หองชุดนั้น มีพื้ น ที่ประมาณ 60


ตารางเมตร ไดรับความเสียหายจากเพลิงไหมทั้งหอง จุดตนเพลิงอยูที่บริเวณหองนั่งเลน
ห้า

หนาหองนอนใหญ และหองนอนเล็ก แตไมสามารถระบุไดชัดวาแหลงความรอนมาจาก


อะไร และลุกลามไปติดวัสดุติดไฟจํานวนมากในบริเวณนั้น ที่มีกลองใสหนังสืออานเลน
จํานวนหลายกลองและเฟอรนิเจอร มีรายงานวาอุปกรณตรวจจับเพลิงไหม และแผง
ควบคุมแจงเหตุเพลิงไหมทํางานไดตามปกติ สาเหตุของความสูญเสียเกิดจากอุปกรณ
ตรวจจับความรอนที่ทํางานไดแตใชเวลานาน ทําใหไมมีเวลาพอในการหนีไฟออกจาก
หองนอน หรือควันพิษอาจทําใหคนที่กําลังนอนหลับอยูหมดสติไปกอน จึงไมไดยินเสียง
สัญญาณเตือนภัย ซึ่งตอมาเจาของโครงการรับทราบปญหา จึงไดติดตั้งอุปกรณตรวจจับ
ควันใหกับทุกหองชุดแลว

196 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
กรณีศึกษาที่ 4
เหตุการณเพลิงไหมครั้งรุนแรงที่ซานติกาผับ เปนอาคารชั้นเดียวและมีชั้นลอย
มีพื้น ที่ร วมทั้งอาคารประมาณ 1,300 ตารางเมตร เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2552 เวลา
ประมาณ 00.15 น. เปนเหตุใหมีผูเสีย ชีวิตถึง 66 ราย และทําใหอาคารไดรับความ
เสียหายจากเพลิงไหมทั้งหลัง จุดตนเพลิงอยูที่เพดานเหนือเวทีเนื่องจากการยิงดอกไม
เพลิงขึ้นไปติดฉนวนกันความรอน ที่เปนวัสดุติดไฟไดงายที่ติดตั้งอยูกับแผนหลังคาโลหะ
ทําใหวัสดุดังกลาวลวงลงมาเปนลูกไฟที่พื้นจนเปนเสมือนทะเลเพลิงยิ่งทําใหสถานการณ
เลวรายลงไปอีก ในขณะที่คนจํานวนกวา 1,200 คนกําลังดิ้นรน เพื่อหาทางออกจาก
อาคาร


น่า
ําห
มจ

รูปที่ 14.21 แสดงขี้เถาฉนวนที่เปนวัสดุติดไฟใตหลังคา


ที่มา : นายพิชญะ จันทรานุวัฒน
ห้า

สาเหตุของความสูญเสียเกิดจากการฝาฝนเลนดอกไมเพลิงในอาคาร ไมควบคุม
จํานวนคนเขาไปใชบริการ ตกแตงดวยวัสดุติดไฟงายจํานวนมาก ทั้งโฟมโพลีสตรัยรีน
ฟองน้ํา ยูรีเทน และแผนโพลีเอทิลีนเสริมใยแกว นอกจากนี้ ในบริเวณพื้นที่บริการยังไม
มีโคมไฟฉุกเฉิน ไมมีปายทางหนีไฟ และไมมีระบบแจงเหตุเพลิงไหม เพื่อความปลอดภัย
ขณะเกิดเหตุขึ้น ยังพบขอบกพรองอื่นๆ เชน มีพื้นตางระดับหลายแหง ทําใหมีบันได
หลายแห งติ ดๆ กัน ทํา ใหส ะดุด ลม ไดง าย มีก ระจกแตกและแหลมคม มีเ หล็ก ดัด ที่
หนาตาง มีการขับรถออกจากสถานที่จํานวนมากเปนเหตุทําใหจราจรติดขัด และทําให
รถดับเพลิงและหนวยแพทยฉุกเฉินเขาถึงสถานที่เกิดเหตุลาชา และพบวามีการแจงเหตุ
ลาชาดวยเชนกัน ดวยเหตุการณมีผูบาดเจ็บจํานวนมากถึง 229 คน สถาบันการแพทย
ฉุกเฉิน หมายเลข 1669 ไดปฏิ บัติงานรักษาพยาบาลเบื้องตน และประสานงานเพื่อ

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 197
นําสงผูบาดเจ็บจํานวนมากสงโรงพยาบาลอยางปลอดภัย เปนสวนหนึ่งที่ทําใหเหตุการณ
นี้มีผูเสียชีวิต เพียง 66 คน ทั้งๆ ที่อาจมีผูเสียชีวิตจํานวนหลายรอยคน เชน เหตุการณ
แบบเดียวกันในป พ.ศ.2546 ที่สเตชั่นไนตคลับที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผูเสียชีวิตถึง
100 คนจากคนทั้งหมดที่อยูในอาคารเพียง 430 คน ตอมาในป พ.ศ. 2552 ที่แลมฮอส
ไนตคลับประเทศรัสเซีย มีผูเสียชีวิตถึง 150 คนจากคนทั้งหมดประมาณ 300 คน และ
เมื่อตนป พ.ศ. 2556 เกิดเหตุแบบเดียวกันคือ การเลนดอกไมเพลิงในอาคารแบบผิด
กฎหมายที่คิสส (KISS) ไนตคลับที่ประเทศบราซิลมีผูเสียชีวิตถึง 235 คน

กรณีศึกษาที่ 5
เหตุการณเพลิงไหมในค่ําคืนวันอาทิตยที่ 22 พฤษภาคม 2559 ประมาณเวลา
23.00 น. ในอาคารหอพักเด็กผูหญิงของสถานสงเคราะหบานเด็กรวมใจ ซึ่งเปนอาคาร
กึ่งคอนกรีตและไมสูงเพียง 2 ชั้น มีพื้นที่ประมาณ 400 ตารางเมตร ตั้งอยูเขตเทศบาล


ตํ า บลเวี ย งป า เป า ที่ เ ป น ชุ ม ชนเมื อ งใกล ส ถานี ดั บ เพลิ ง และสถานี ตํ า รวจ ขณะนั้ น
เด็กผูห ญิงมีอ ายุตั้งแต 5-12 ขวบ กํา ลังพัก ผอนนอนหลับ อยูเป น เหตุทํ าใหเ สีย ชีวิ ต
17 รายและอีก 1 รายพิการทางสมอง
น่า
การลุกไหมเชื้อเพลิงในบานเรือนในชวงเริ่มตน จะมีกาซคารบอนมอนอกไซด
ําห
ซึ่งมาพรอมกับควัน ไฟ จากหลายเหตุการณร วมทั้งเหตุเพลิงไหมครั้งนี้ ก็พบวากาซ
คารบอนมอนอกไซดทําใหคนนอนหลับจะหลับลึกลงไปอีกจนหมดสติไปและไมรูสึกตัว
มจ

จากหลั ก ฐานที่ ผ า นมาก็ มั ก พบศพผู เ สี ย ชี วิ ต ยั ง อยู ที่ เ ตี ย งนอนตั ว เอง รวมทั้ ง ครั้ ง นี้
เจาหนาที่อาสาสมัครปองกันภัยฝายพลเรือนไดใหขอมูลวาไดชวยเหลือเด็กๆ หลายคนที่
นอนหมดสติจากเตียงนอน ดังนั้น อาคารพักอาศัยขนาดเล็กๆ ไมวาจะเปนเรือนพักนอน
ห้า

หอพั ก ห อ งเช า แฟลต อพาร ต เมนท และโรงแรม รวมถึ ง บ า นเรื อ นประชาชน


ควรสงเสริมใหติดตั้งอุปกรณเตือนควันไฟ (Smoke Alarm) ดวย

นโยบายและเป า หมายความปลอดภั ย ด า นอั ค คี ภั ย (Fire Safety Policy and


Goals)
ผู บ ริ ห ารอาคารสถานที่ จํ า เป น ต อ งกํ า หนดนโยบายและเป า หมาย
ความปลอดภั ย ด า นอั ค คี ภั ย ให ชั ด เจน เพื่ อ ใช เ ป น คํ า มั่ น สั ญ ญาและเป น แนวทาง
ในการปฏิบัติงานทุกระดับในองคกร สวนการกําหนดเปาหมายจะตองสอดคลองกับ
นโยบาย และจัดทําตัวชี้วัดเพื่อการประเมินผลสําเร็จ เปาหมายสามารถแบงออกเปน
4 เรื่อง ดังนี้

198 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
 ความปลอดภัยตอชีวิต (Life Safety)
 การปองกันทรัพยสิน (Property Protection)
 การหยุดชะงักทางธุรกิจ (Business Interruption)
 การปองกันสิ่งแวดลอม (Environmental Protection)
หลายครั้งพบว า ผู บริ ห ารมัก จะพยายามลงทุน เฉพาะมาตรการที่ กฎหมาย
กํ า หนด โดยไม ไ ด คิ ด ถึ ง ความเสี่ ย งอั น ตรายที่ อ าจเกิ ด จากอั ค คี ภั ย เมื่ อ เกิ ด
เพลิ ง ไหม แ ล ว สร า งความเสี ย หายต อ ทรั พ ย สิ น และทํ า ให ธุ ร กิ จ ต อ งหยุ ด ชะงั ก ลง
เปนระยะเวลานานๆ ตัวอยางอาคารที่สามารถสรางผลเสียหายตอธุรกิจอยางมาก เชน
คลังเก็บสิน คา , โรงงาน, Data Center เปน ตน ซึ่งมาตรการปองกัน ตามที่กฎหมาย
ตองการใหทําจะเนนเรื่องความปลอดภัยตอชีวิตและสิ่งแวดลอมเปนหลั ก เพราะเปน
ขอกําหนดขั้นต่ําสุดที่จะใชบังคับทั่วประเทศไทย ดังนั้น หากผูบริหาร มีเปาหมายในการ
ปองกันทรัพยสินและผลกระทบตอการประกอบธุรกิจ ผูออกแบบอาจจําเปนตองเพิ่ม


มาตรการเพื่อ ให ครอบคลุม การป องกัน ทรัพ ยสิ น และการหยุด ชะงั กทางธุร กิจ เช น
น่า
การติดตั้งระบบหัวกระจายน้ําดับเพลิงอัตโนมัติ (Sprinkler) ระบบดับเพลิงดวยสาร
สะอาด ระบบควบคุมควันไฟ เพื่อควบคุมการแพรกระจายควันไฟ หรือการปองกันการ
ําห
ลุกลามเปนเพลิงไหมขนาดใหญ
อันตรายจากอัคคีภัย
มจ

เมื่อพิจารณาถึงความปลอดภัยจากอัคคีภัยนั้น สิ่งสําคัญที่สุดก็คื อ การรักษา


ชีวิตของผูประสบภัย สวนเรื่องการรักษาทรัพยสินและอื่นๆ เปนเรื่องลําดับรองลงมา
ห้า

ดังนั้น เราควรเขาใจกอนวาไฟทําใหคนเสียชีวิตไดอยางไร เพื่อจะไดหามาตรการใน


การปองกันที่ตนเหตุของการบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งโดยทั่วไปแลวไฟจะทําอันตรายแก
ผูประสบภัยไดในสามรูปแบบคือ
ความรอน ไฟไหมทําใหเกิดความรอนไดอยางรุนแรง โดยที่อุณหภูมิในพื้นที่ที่
เกิดไฟไหมอาจสูงถึง 500-1100 องศาเซลเซียส ซึ่งความรอนที่อุณหภูมิเพียง 100 องศา
เซลเซียส จะสามารถทําลายเนื้อเยื่อของรางกายไดแลว การสูดอากาศที่มีความรอน
ขนาดนี้เขาไป สามารถลวกและทําลายเนื้อเยื่อของปอดไดในทันที และอาจทําใหเกิด
การหมดสติไดอยางรวดเร็ว อยางไรก็ตาม ความรอนก็เปนเพียงสวนอันตรายสวนหนึ่ง
ของไฟไหม และจากสถิติของประเทศสหรัฐอเมริกา การเสียชีวิตจากเพลิงไหมบานนั้น
หนึ่งในสี่เทานั้นที่เกิดจากความรอน สวนอีก สามในสี่นั้น การเสียชีวิตเกิดจากควันและ
กาซพิษ และ การขาดอากาศหายใจ

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 199
การขาดอากาศหายใจ การเกิดไฟไหม ออกซิเจนในบริเวณนั้นจะถูกใชไปใน
กระบวนการเผาไหม ทําใหปริมาณออกซิเจนในอากาศลดลงอยางรวดเร็ว โดยทั่วไป
อากาศที่เราหายใจมีออกซิเจนอยูประมาณ 21% ถาระดับออกซิเจนลดลงเหลือ 17%
สมองจะเริ่ม ตื้อ และการควบคุ มกล ามเนื้อ จะทํ าได ลํา บากขึ้น ซึ่งทํ าใหการคิด และ
การหนีไฟทําไดยากลําบากมากขึ้น ถาระดับออกซิเจนลดลงเหลือ 15% ไมเพียงพอตอ
การหายใจ หลังจากเราขาดออกซิเจนเพียง 4-5 นาที ก็อาจจะเกิดสมองตายได ดังนั้น
จึ ง เห็ น ได ว า ระยะเวลาที่ เ รามี สํ า หรั บ การหนี ไ ฟนั้ น จํ า กั ด และเป น เวลาที่ มี ค า มาก
จึงจําเปนอยางยิ่งที่เราตองมีการเตรียมตัวใหพรอมและใชเวลาที่มีจํากัดนั้นใหคุมคาที่สุด
กาซพิษและควัน เปนสาเหตุหลักของการเสียชีวิตที่เกิดจากเพลิงไหม ประการแรกควัน
ไฟเปนอนุภาคเล็กๆ ที่สามารถบดบังแสงทําใหมองเห็นเสนทางหนีไฟไมชัดเจน หรือหาก
ควันมีความหนาแนนมากจะทึบแสงจนมองไมเห็นอะไรเลย ซึ่งอาจทําใหหลงทางอยูใน
อาคารจนไมสามารถหนีรอดออกมาได ประการที่สอง กรณีที่ไฟไหมตอนกลางคืนขณะที่


คนสวนใหญกําลังนอนหลับ อาจสูดเอากาซพิษเขาไป มีผลตอการทํางานของสมองอาจ
ไมตื่น ขึ้ น มา หรืออาจจะหมดสติทั น ทีที่ลุ กขึ้น เพื่ อจะพยายามหนีไฟกาซพิษ ที่มักจะ
เกิดขึ้นในเพลิงไหมอาคารทั่วไปมี 4 ประเภท ไดแก
น่า
1. กาซคารบอนมอนอกไซด เปนกาซที่มีพิษและจะเขาไปแทนที่ออกซิเจน
ําห
ในเลือด จะเกิดในเหตุการณไฟไหมทุกครั้ง เพราะการสันดาปที่ไมสมบูรณ ซึ่งเกิดจากมี
ออกซิเจนในบริเวณเพลิงไหมไมเพียงพอ
มจ

2. กาซไฮโดรเจนไซยาไนด เปนกาซพิษที่เกิดจากการไหมของผาไหม ผาขน


สัตว ผาไนลอน และพลาสติกบางประเภท ที่มักจะพบในวัสดุทําผาหม เฟอรนิเจอร
ห้า

ผามาน และเสื้อผา
3. กาซไฮโดรเจนคลอไรด เปนกาซที่เกิดจากพลาสติกที่มีคลอรีนเปนสวนผสม
ทําใหเกิดการระคายเคืองในตา และระบบทางเดินหายใจ ทําใหเปนอุปสรรคตอการหนี
ไฟ
4. กาซคารบอนไดออกไซด เปนกาซที่จะทําใหคนที่สูดเขาไปแลว กลไกของ
รางกายมนุษยจะทําใหหายใจเร็วขึ้น จึงสูดเอากาซพิษชนิดอื่นเขาสูรางกายมากขึ้นดวย
ชนิดและปริมาณของกาซพิษ และควัน ขึ้นอยูกับวัสดุที่เปนเชื้อเพลิง ดังนั้น
การเลือกใชวัสดุที่ไมกอใหเกิดควัน และกาซพิษ นับวาเปนแนวทางที่สําคัญที่ชวยลด
อันตรายที่เกิดจากควันและกาซพิษได

200 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
สาเหตุของการเกิดและแหลงกําเนิดอัคคีภัย
การเขาใจธรรมชาติของการเกิดเพลิงไหม หรือสามเหลี่ยมการเกิดไฟ เพื่อชวย
ใหเขาใจวิธีการดับเพลิงหรือควบคุมการลุกลาม เมื่อองคประกอบมีครบ 3 อยาง คือ
เชื้อเพลิง ความรอน และออกซิเจน ภายใตสถานการณหนึ่ง เชื้อเพลิงก็สามารถลุ กไหม
ได
การแยกองคประกอบอยางใดอยางหนึ่งออก เพลิงไหมก็สามารถดับได วิธีที่ดี
ที่สุด ในการบริหารจัดการความปลอดภัยดานอัคคีภัย คือการปองกันดวยการตรวจตรา
และกําจัดไมใหมีหรือควบคุมแหลงกําเนิดความรอนสูง และการควบคุมหรือจํากัดแหลง
เชื้อเพลิง ซึ่งกระทําไดโดยการดูแลอาคารสถานที่ใหสะอาด เปนระเบียบเรียบรอย และ
ปฏิบัติตามกฎหมาย และคําแนะนําของผูเชี่ยวชาญในการเก็บรักษาสารที่ไวไฟ อยางไรก็
ตาม แหลงกําเนิดความรอนที่พบเห็นอยูเสมอๆ คือ
 อุปกรณไฟฟา ขณะทํางานอาจมีความรอนผิดปกติเกิดขึ้นเนื่องมาจาก


หนาสัมผัสที่จุดตอสายไฟหลวม หรือเกิดประกายไฟซึ่งมีความรอนสูง เนื่องจากสายไฟ
เกาที่มีฉนวนหุมเปอยหรือชํารุด นอกจากนี้อุปกรณไฟฟาไมเหมาะสมที่ติดตั้งในบริเวณ
น่า
อันตราย เมื่อสัมผัสกับฝุนละออง กาซ ไอของสารไวไฟ หรือเชื้อเพลิงอื่นๆ ก็อาจเกิด
การลุกไหมได
ําห
 ความเสียดทาน สวนประกอบของเครื่องจักรกลที่อาจกอใหเกิดความรอน
ผิดปกติ เชน ตลับลูกปน เพลา ซึ่งอาจทําใหเกิดความรอนสูงเมื่ออยูใกลหรือสัมผัสกับ
มจ

เชื้อเพลิงหรือวัสดุที่ติดไฟงาย เชน ฝุน ผง ใยผา พลาสติก เปลือกแหงของเมล็ดพืช


สารเคมีบางชนิด ขี้เลื่อย ฯลฯ อาจเกิดการลุกไหมได
ห้า

 สารไวไฟพิเศษ เชน โซเดียม โปรแตสเซียม ซึ่งสามารถลุกไหมไดเองในน้ํา


ฟอสฟอรัส ซึ่งลุกไหมไดเองเมื่อสัมผัสกับอากาศ หรือวัสดุอื่นๆ
 งานที่ ทํ า ให เ กิ ด ประกายไฟ การเชื่ อ มหรื อ การตั ด มั ก จะทํ า ให เ กิ ด
ประกายไฟหรือสะเก็ดไฟขณะทํางาน เมื่อกระเด็น ออกไปแล ว ไปสัมผัส กับเชื้อเพลิง
ก็สามารถเกิดการลุกไหมได
 เตาเผาที่ไมมีฝาปดหรือเปลวไฟที่ไมมีสิ่งปดคลุม ถาในบริเวณใกลเคียงมี
เชื้อเพลิงซึ่งไมไดรับการระมัดระวังดูแล เมื่อเกิดการสัมผัสระหวางเปลวไฟกับเชื้อเพลิง
ก็จะเกิดการลุกไหม
 การสูบบุหรี่หรือการจุดไฟ บริเวณที่มีไอของสารไวไฟ เชน น้ํามันเบนซิน
ถาไมระมัดระวัง อาจเกิดการจุดระเบิดและอันตรายถึงชีวิต นอกจากนี้ความรอนจาก

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 201
กนบุหรี่ที่ติดไฟและไมขีดที่ใชจุดไฟแลว แตยังไมดับอาจทําใหเชื้อเพลิงบางชนิดใกลๆ
เกิดการลุกไหมไดโดยงาย
 วัตถุที่ผิวรอนจัด เชน เหล็กที่ถูกเผา ทอไอน้ํา ฯลฯ เมื่อมีการกระทบ
ระหวางผิวที่รอนจัดกับเชื้อเพลิงอาจเกิดการลุกไหม
 ไฟฟาสถิต เกิดจากการเสียดสีระหวางวัตถุสองชนิดทําใหเกิดประจุไฟฟา
สถิตขึ้นเปนตามธรรมชาติ แลวเกิดการสะสมจนมีความตางศักยสูงขึ้นจนเกิดการถายเท
ประจุไฟฟาสถิตเปนประกายไฟแลวไปสัมผัสกับเชื้อเพลิงบริเวณใกลเคียงจนทําใหเกิด
การลุกไหม
 เครื่องทํา ความรอ น เนื่อ งจากเครื่องทําความรอนจะมีทั้งเปลวไฟซึ่ ง
เกิดขึ้นจากการเผาไหมของเชื้อเพลิงที่ใชทําความรอนและความรอนสะสมไวที่ตัวเครื่อง
ถาเกิดการสัมผัส เปลวไฟหรือความรอนจากเครื่องทําความรอนกับเชื้อเพลิงบริเวณ
ใกลเคียงก็ยอมเกิดการลุกไหมได


 การลุ ก ไหม ด ว ยตั ว เอง เช น Bacteria Oxidation ในกองขยะ
น่า
การสะสมของสารบางชนิดจะกอใหเกิดความรอนขึ้นในตัวของมันเองจนกระทั่งอุณหภูมิ
สูงขึ้นจนถึงจุดติดไฟ เมื่ออยูรวมกับเชื้อเพลิงก็ยอมเกิดการลุกไหม
 การวางเพลิง สามารถปองกันไดดวยการไมทําใหอาคารมีจุดออนดวย
ําห
การจัดเก็บของในหองหรือสถานที่ที่จัดเตรียมไวตามมาตรฐาน เพราะผูวางเพลิงมักจะ
วางเพลิงในจุ ดที่ไ มมี ร ะบบป องกั น อั คคีภั ย โดยเฉพาะบริ เวณรอบนอกอาคาร เช น
มจ

ที่กองของ หองขยะ จุดพักสินคา เปนตน


 ฟาผา เมื่อฟาผาอุปกรณไฟฟาอาจลัดวงจรเนื่องจากสายไฟฟามีกระแส
ห้า

และแรงดันไฟฟาที่สูงผิดปกติ อาจทําใหเกิดประกายไฟแลวไปติดเชื้อเพลิงในบริเวณนั้น
ได ดังนั้น อาคารจะตองติดตั้งระบบปองกันฟาผา โดยมีตัวนําลอฟาติดตั้งอยูภายนอก
อาคาร และมีสายนําลงดินเชื่อมกันเปนระบบลงมายังหลักดินตามมาตรฐานที่เชื่อถือได
เชน มาตรฐานการปองกันฟาผาของ วสท.
การปองกันอัคคีภัย
ผูบริหารอาคาร จะตองนํานโยบายความปลอดภัยมาพิจารณาใหดี เพื่อกําหนด
เป า หมาย วางแผนดํ า เนิ น งานให ส อดคล อ งอย า งเป น รู ป ธรรม กํ า หนดตั ว ชี้ วั ด
ความสําเร็จ ตรวจสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแกไขใหดีขึ้นอยางตอเนื่อง
ในการก อ สร า งอาคาร ผู บ ริ ห ารอาคาร จะต อ งมั่ น ใจว า วิ ศ วกรที่ เ กี่ ย วข อ ง
ทุกสวน ตั้งแตวิศวกรหรือเจาหนาที่ฝายจัดซื้อจัดจาง สถาปนิกหรือวิศวกรที่ปรึกษา

202 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
โครงการ ผูออกแบบ ผูควบคุมงาน มีความเขาใจเรื่องมาตรการและวิธีการปองกัน
อัคคีภัยเปนอยางดี
ในการดูแลและใชอาคารผูบริหารอาคาร จะตองมั่นใจเชนเดียวกันวา วิศวกร
หรือเจาหนาที่ฝายจัดซื้อจัดจาง วิศวกรหรือชางประจําอาคาร ดูแลรักษา ตรวจตรา
ทดสอบ และซอมบํารุงอุปกรณและระบบประกอบอาคารรวมทั้งระบบปองกันอัคคีภัย
ตามแผนที่ไดวางไวอยางตอเนื่อง และมีความเขาใจเรื่องมาตรการและวิธีการปองกัน
อัคคีภัยเปนอยางดี นอกจากนี้ทุกอาคารจะตองมีแผนรองรับภาวะฉุกเฉิน เพื่อตอบโต
เหตุเพลิงไหมที่อาจเกิดขึ้น ไดตลอดเวลา ครอบคลุมการแจงหรือรายงานเหตุก ารณ
การอพยพ การดับเพลิงและกูภัย และการกลับคืนสูภาวะปกติ ผูบริหารอาคารจะตอง
มั่นใจวาทุกคนในอาคารและผูมีหนาที่ในแผนรองรับภาวะฉุกเฉิน มีความรูและเขาใจ
บทบาทของตนเองขณะเกิดเหตุฉุกเฉินเพื่อปฏิบัติตัวใหเกิดความปลอดภัยตอตนเองและ
ผูอื่น การปฏิบัติเรื่องอื่นๆ โดยบุคคลภายนอก เชน การตรวจสอบอาคารตามกฎหมาย


การตรวจประเมินหรือการสํารวจความเสี่ยงอันตรายจากอัคคีภัย และการฝกอบรม
ความปลอดภัย เปนตน
น่า
การปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรกล พื้นที่อาคาร สารเคมี พนักงานใหม
จะตองมีระบบจัดการรองรับเพื่อใหเกิดมีการปรับเปลี่ยนแผนรองรับภาวะฉุกเฉิน แบบ
ําห
แปลนอาคาร ปายเตือน การอบรมเรื่องใหมๆ ใหพนักงานเดิม และอบรมพนักงานใหม
เชน พื้นฐานความปลอดภัย ความเสี่ยงอันตรายในโรงงาน และการเขาใจความจําเปน
มจ

และวิธีใชอุปกรณปลอดภัยสวนบุคคล เปนตน
ไมวาจะบริหารจัดการความปลอดภัยใหดีอยางไร อุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นไดเสมอ
เมื่อเกิดเพลิงไหมผูพบเห็นเพลิงไหมจะตองกระทําที่สําคัญสองสิ่งแรกที่จะตองระลึกถึง
ห้า

เสมอ คือ
 กดปุมหรือดึงอุปกรณแจงเหตุเพลิงไหมทันที ไมวาขนาดของเพลิงนั้นจะ
เล็กหรือใหญ (แมคิดวาจะดับไฟไดก็ตาม)
 พยายามดับเพลิงหรือควบคุมเพลิง ดวยเครื่องมือดับเพลิงที่เหมาะสมเพื่อ
ลดภัย อันเกิดจากเพลิงไหมใหเร็วที่สุด
 หากไมสามารถควบคุมเพลิงได ใหหนีไฟทันที
ไมควรประมาทหรือใชดุลยพินิจสวนตัว เชน ดับไฟกอนแลวหากดับไมไดแลว
คอยดึงอุปกรณแจงเหตุเพลิงไหม หรือยังไมตองแจงสถานีดับเพลิงดับไฟกันเองกอน
เพราะกลัวเสียชื่อเสียง

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 203
มาตรการการปองกันอัคคีภัยที่จะกลาวถึงนี้ มีสาระสําคัญตางๆ ที่คัดยอมาจาก
มาตรฐานการประกอบวิชาชีพที่มีอยู ซึ่งวิศวกรทุกคนควรศึกษาและเรียนรูเพิ่มเติมเมื่อ
ตองปฏิบัติงานจริงไดจากสมาคมประกอบวิชาชีพ เชน วิศวกรรมสถานแหงประเทศไทย
ในพระบรมราชู ป ถั ม ภ ฯลฯ และให เ ป น ไปตามกรอบของ NFPA 550 ที่ อ ธิ บ ายถึ ง
องคประกอบสําคัญของเรื่องความปลอดภัยดานอัคคีภัย ทําใหสามารถแบงการปองกัน
อัคคีภัยออกเปน 6 มาตรการ ดังรูปที่ 14.22


น่า
ําห
รูปภาพที่ 14.22 ภาพแสดงตนไมแหงความปลอดภัยดานอัคคีภัย
(Fire Safety Tree)
มจ

ที่มา : นายพิชญะ จันทรานุวัฒน

อุปกรณแจงเหตุเพลิงไหม
ห้า

อุปกรณแจงเหตุเพลิงไหมในสถานประกอบการ ตองตอเชื่อมกันเปนระบบ
อย า งน อ ยต อ งประกอบด ว ย แผงควบคุ ม ระบบ อุ ป กรณ แ จ ง เหตุ ด ว ยมื อ อุ ป กรณ
ตรวจจับเพลิงไหม และอุปกรณเตือนภัย โดยอุปกรณหรือระบบแจงเหตุเพลิงไหมจะตอง
ออกแบบ ติดตั้ง ตรวจตรา บํารุง รักษา ใหอยูในสภาพดี และเปน ไปตามมาตรฐาน
นอกจากนี้พนักงานทุกคนควรไดรับการแนะนําและฝกซอมตามกฎหมาย การโทรศัพท
แจงเหตุเพลิงไหมหากตื่นตกใจ และไมคุนเคย วิธีการรายงานจะทําใหเสียเวลา รวมทั้ง
การรายงานการเกิดเพลิงไหมวาควรทํารายงานวาเหตุเกิดขึ้น อยางไร เมื่อไร ที่ ไหน
มีผลกระทบและความสูญเสียอะไรบาง
อุปกรณแจงเหตุดวยมือจะตองติดตั้งอยางนอยบริเวณทางออกของแตละชั้น
และมีระยะหางไมเกินที่กฎหมายกําหนด อุปกรณเตือนภัยจะตองติดตั้งใหคนในอาคาร
ไดยินทั่วทุกพื้นที่ และเสียงเตือนภัย ตองดังกวาเสียงรบกวนเฉลี่ย ไมนอยกวา 15 dB
204 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
และสําหรับหองนอน ความดังของเสียงเตือนเมื่อวัด ที่หัวเตียงนอนตองดังไมต่ํากวา
65 dB หรือ 75 dB และหากสถานประกอบการมีคนพิการตามกฎหมายใหเพิ่มอุปกรณ
เตือนภัยดวยแสงทํางานรวมกับอุปกรณเตือนภัยดวยเสียงดวย กรณีมีเสียงดังเกินกวา
110 dB ใหใชอุปกรณเตือนภัยดวยแสงแทนอุปกรณเตือนภัยดวยเสียง
อุปกรณตรวจจับเพลิงไหม จะเปนอุปกรณที่ทํางานอัตโนมัติ เมื่อตรวจจับควัน
ความรอน หรือเปลวไฟได โดยมาตรฐานระบบแจงเหตุเพลิงไหมของวิศวกรรมสถาน
แหงประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ (วสท.) กําหนดใหติดตั้งอุปกรณตรวจจับควันใน
พื้นที่ดังตอไปนี้
 หองนอน ทุกประเภทรวมทั้งหองนอนรวมในหอพัก
 หองหรือพื้นที่กั้นระหวางหองที่มีผูใชสอยกับบันไดหนีไฟหรือทางออกนอก
อาคาร
 หองที่ใชงานขณะเกิดเหตุฉุกเฉินหรือเพลิงไหม


 หองเก็บของที่เพลิงไหมลุกลามรุนแรง
น่า
อุปกรณตรวจจับเพลิงไหม สวิตชตรวจจับการไหลของน้ําดับเพลิง และสวิตช
ตรวจสอบสถานะเปด-ปดวาลวในระบบดับเพลิงทุกชุด ตองทดสอบภายหลังการติดตั้ง
ําห
เสร็จ และทดสอบเปนประจําทุกป ระหวางการทดสอบใหทดสอบอุปกรณเตือนภัยและ
อุปกรณควบคุมทุกชุด พรอมทั้งตรวจการแสดงผลการทํางานที่แผงควบคุมระบบ และ
มจ

การทํางานของระบบอุปกรณประกอบอาคารที่เกี่ยวของ ไดแก ลิฟตโดยสาร เครื่องสง


ลม พัดลมอัดอากาศ ปลดล็อกประตู เปนตน พรอมทั้งใหจับเวลาแตละขั้นตอน สวิตช
ตรวจจับการไหลของน้ําดับเพลิงใหทดสอบทุกๆ 3 เดือน และสวิตชตรวจสอบสถานะ
ห้า

เปดปดวาลวในระบบดับเพลิงใหทดสอบทุกๆ เดือน
สายสัญญาณที่ใชในการสั่งควบคุมจากแผงควบคุมเชื่อมตอไปยังอุปกรณ ไดแก
อุปกรณเตือนภัย อุปกรณประกอบอาคารที่เกี่ยวของ ในกรณีฉุกเฉินใหใชสายไฟฟาชนิด
ทนไฟ สายสัญญาณทั้งหมดในระบบแจงเหตุเพลิงไหมจะตองติดตั้งในทอรอยสายไฟ
เทานั้น และตองแยกออกจากระบบอื่นๆ
เครื่องดับเพลิงแบบมือถือ
เครื่อ งดับ เพลิ งแบบมือถื อจะตองออกแบบและติ ดตั้ง ใหครอบคลุมพื้ น ที่ทั้ ง
อาคาร โดยมีระยะทางเขาถึงและพื้นที่ครอบคลุมไมเกินกวาที่กฎหมายกําหนด ชนิดของ
เครื่องดับเพลิงที่ติดตั้งในแตละพื้นที่จะตองเหมาะกับประเภทของเพลิงไหม อาจแบงได
โดยสังเขปดังนี้
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 205
 ประเภท A (Class A) เป น เพลิ ง ที่เ กิ ด ขึ้ น จากการลุ ก ไหม ของสารที่ เ ป น
เชื้อเพลิงธรรมดา เชน ไมกระดาษ หรือเสื้อผา เครื่องดับเพลิงสําหรับเพลิงชนิดนี้คือ น้ํา
หรือสารผสม ซึ่งมีน้ําเปนสวนประกอบสําคัญ
 ประเภท B (Class B) เป น เพลิ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น จากการลุ ก ไหม ข องเชื้ อ เพลิ ง
ประเภทที่เปนของเหลว ยางเหนียว น้ํามัน สําหรับการดับเพลิงประเภทนี้ ทําใหโดยการ
ปองกันไมให มีอากาศเขาไปชวยในการลุกไหม ดังนั้นเครื่องดับเพลิงจึงเปนประเภท
สารเคมีที่หนักกวาอากาศ เมื่อฉีดเขาไปในเพลิงจะเปนตัวขัดขวางไมใหอากาศเขาไป
สัมผัสกับตนเพลิงอีก เชน กาซคารบอนไดออกไซดเหลว
 ประเภท C (Class C) เป น เพลิ ง ที่ เ ริ่ ม ต น จากอุ ป กรณ ไ ฟฟ า สารที่ จ ะ
นํามาใชดับเพลิงตองเปนสารที่ไมเปนตัวนําไฟฟา และเนื่องจากเมื่อเกิดเพลิงแลว ตัวที่
ทําหนาที่เปนเชื้อเพลิงมักจะเปนเชื้อเพลิงประเภท A หรือ B ดังนั้นสารที่จะใชดับเพลิง
จะตองสามารถดับเพลิงสารประเภทอื่นไดดวย


 ประเภท D (Class D) เป น เพลิง ที่ เกิ ดขึ้ น จากเชื้ อเพลิง ที่เ ป น โลหะ เช น
น่า
แมกนีเซียม, ลิเทียม, และโซเดียม เครื่องดับเพลิงและวิธีใชจะตองเปนชนิดพิเศษ
 ประเภท K (Class K) เปนเพลิงที่เกิดจากไขมันจากพืชหรือสัตวใชดับเพลิง
ําห
ในครัว และทอระบายควันในครัว
เสนทางหนีไฟ
มจ

เสนทางหนีไฟ แบงออกเปน 3 สวน คือ ทางไปสูทางหนีไฟ ทางหนีไฟ และทาง


ปลอยออก ตลอดเสน ทางจากจุดใดจุดหนึ่งภายในอาคารถึงทางสาธารณะภายนอก
ห้า

อาคารที่มีความปลอดภัยจะตองมีความตอเนื่องและไมมีสิ่งกีดขวางหรืออุปสรรคใดๆ
หรือตองใชอุปกรณหรือเครื่องมือพิเศษใดๆ รวมทัง้ กุญแจ
1) ทางไปสูทางหนีไฟ
คือ เสนทางจากจุดใดๆ ในแตละชั้นถึงทางหนีไฟหรือบันไดหนีไฟของชั้นนั้น ซึ่ง
นับวาเสนทางนี้เปนสวนที่มีอันตรายมากที่สุดของการหนีไฟ เพราะตามหลักการในการ
ปองกันอัคคีภัยนั้น เมื่อทานไดเขาไปสูบันไดหนีไฟหรือทางหนีไฟแลว ถือวาทานไดเขาสู
พื้นที่ปลอดภัยและสามารถหนีออกสูภายนอกอาคารได โดยมีหลักเกณฑในการพิจารณา
เสนทางไปสูทางหนีไฟ ดังนี้
ทุกจุดในหองตองมีเ สนทางไปสูทางหนีไ ฟอยางนอยสองทาง ยกเวน การ
อนุโลมทางบังคับ หรือทางตัน เพราะในกรณีที่เสนทางใดเสนทางหนึ่งเกิดถูกปกคลุม
ดวยไฟหรือควัน ผูใชอาคารยังมีเสนทางเหลืออีกอยางนอย 1 เสนทาง เพื่อที่จะหนีไปสู
ทางหนีไฟได
206 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ในการออกแบบอาคารเพื่ อ ความปลอดภั ย จากอั ค คี ภั ย ที่ ถู ก ต อ งนั้ น ต อ ง
พยายามให แตละจุดในพื้นที่มีเสนทางสูทางหนีไฟที่สั้นที่สุดเพื่อลดอันตรายที่อาจจะ
เกิดขึ้นขณะหนีไฟ ดังนั้นบันไดหนีไฟตองกระจายอยูในตําแหนงที่เหมาะสมและไมอยู
ใกลกันเกินไป โดยหลักในการพิจารณาอยางงายนั้น คือ ตองหางกันไมนอยกวาครึ่งหนึ่ง
ของความยาวเสนทางทแยงมุมสูงสุดของหองหรือพื้นที่นั้นๆ นอกจากนี้บนเสนทางไปสู
ทางหนีไฟนี้จะตองมีระยะสัญจร ระยะทางบังคับ และระยะทางตันไมเกินที่มาตรฐาน
หรือกฎหมายกําหนด
เสนทางหนีไฟ ตองมีปายบอกทางหนีไฟใหชัดเจน ติดตั้งบริเวณทางแยกและ
เหนือประตูบนเสนทางหนีไฟ และตองแยกออกจากปายบอกเสนทางสัญจรในเวลาปกติ
โดยปายบอกทางหนีไฟนี้ตองมีแสงสวางตลอดเวลาขณะใชงานหรือเมื่อไฟดับ
2) ทางหนีไฟหรือบันไดหนีไฟ
บันไดหนีไฟเปนหัวใจหลักของเสนทางหนีไฟในอาคาร โดยมีหลักการที่สําคัญ


คือ เมื่อผูใชเขามาสูบันไดหนีไฟถือวาปลอดภัยแลว ดังนั้นบันไดหนีไฟจึงตองมีระบบ
องคประกอบที่สําคัญหลายประการดังตอไปนี้
น่า
การปดลอมดวยผนังและประตูทนไฟ บันไดหนีไฟตองอยูในพื้นที่ที่สามารถ
ปองกันไฟที่ไหมอยูในบริเวณอื่นของอาคารได ดังนั้นผนังของปลองบันไดหนีไฟตองทํา
ําห
ดวยวัสดุ ที่สามารถทนไฟได เชน คอนกรีต ผนังอิฐ ผนังคอนกรีตบล็อก โดยตองแยก
จากสวนอื่นของอาคารอยางเด็ดขาด และประตูที่ผนังทนไฟนั้นตองสามารถทนไฟได
มจ

การควบคุ ม ควั น ควั น และก า ซพิ ษ ถื อ ว า เป น สาเหตุ ห ลั ก ของการตายจาก


อัคคีภัย ดังนั้นตองมีการปองกันไมใหควันและกาซพิษเขามาทําอันตรายผูที่กําลังหนีไฟ
อยูได กรณีเปนบันไดหนีไฟนอกตัวอาคารมีลักษณะเปนบันไดเปดโลงที่อยูหางจากตัว
ห้า

อาคารหรือติดกับผนังภายนอกอาคารบริเวณนั้นเปนวัสดุทนไฟ บันไดหนีไฟดังกลาวเปน
บันไดที่มีความปลอดภัยได เพราะมีการระบายอากาศตามธรรมชาติผานชองเปดไมนอย
กวา 1.4 ตารางเมตร กรณีเปนบันไดหนีไฟภายในตัวอาคาร มีลักษณะเหมือนเปนปลอง
บันได ซึ่งบันไดประเภทนี้ถาไมมีระบบอัดอากาศที่ดีและควันสามารถเขาสูปลองบันไดได
ก็จะเปนเหมือนปลองควันที่จะแพรกระจายความรอนและควันไฟไปสูสวนตางๆ ของ
อาคารดานบน และกอใหเกิดอันตรายแกผูใชอาคารเปนอยางมาก
3) ประตูหนีไฟ เสนทางเขาสูบันไดหนีไฟนั้น ตองปดกั้นดวยประตูหนีไฟที่มี
อัตราการทนไฟที่สอดคลองกับการทนไฟของผนังนั้นๆ และตองผานการทดสอบตาม
มาตรฐาน โดยสวนประกอบที่สําคัญของประตูหนีไฟ ไดแก

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 207
 บานประตู อาจทําจากเหล็กหรือไมที่มีฉนวนกั้น ความรอนและทนไฟได
เปนแกนกลาง
 Door Closer หรือตัวปดบานประตูอัตโนมัติ เพื่อทําหนาที่ดึงบานประตูให
ปดสนิทอยูตลอดเวลาเพื่อปองกันไมใหควันไฟสามารถเขาไปสูปลองบันไดหนีไฟหรือ
ผานผนังทนไฟได และชวยในการรักษาความดันในกรณีที่ปลองบันไดมีการอัดอากาศ
ขณะเกิดไฟไหม ประตูหนีไฟที่ไมมี Door Closer อาจถูกเปดคางไว ทําใหควันไหลเขา
ปลองบันไดได หรืออาจทําใหระบบอัดอากาศไมสามารถรักษาความดันตามที่ออกแบบ
ไวได
 Panic Bar หรือ Push Bar เปนอุปกรณที่ใชผลักประตูใหเปดออก โดย
สามารถใชทอนแขนหรือลําตัวในการผลักใหประตูเปดออก โดยประตูหนีไฟไมควรเปน
ระบบลูกบิดธรรมดา เพราะอาจจะไมสะดวกในการหนีไฟเนื่องจากผูที่หนีไฟอาจไดรับ
บาดเจ็บที่มือจนไมสามารถเปดประตูได อาจมีการถือของ หรืออุมเด็กไว ทําใหการบิด


ลูกบิดทําไดยาก หรืออาจมีคนที่หนีไฟอีกเปนจํานวนมากดันตอเนื่องมาจากดานหลังทํา
น่า
ใหไมสามารถบิดลูกบิดประตูได หากใชกับประตูทนไฟจะตองเปนชนิด Fire Exit Bar or
Hardware
 ทิศทางในการเปดประตูหนีไฟนั้น จะตองเปนไปตามทิศทางการหนีไฟ เพื่อ
ําห
ทําใหสามารถเปดไดสะดวกในกรณีที่มีคนหนีไฟจํานวนมาก โดยในชั้นบนบานประตูตอง
เปดเขาสูปลองบันไดและขณะที่ในชั้นลางสุดบานประตูตองมีทิศทางเปดออกจากปลอง
มจ

บันไดออกสูพื้นที่ปลอดภัยภายนอกอาคาร สวนตัวเปดล็อกที่ประตูหนีไฟดานภายใน
ปลองบันไดจะตองมีดวย เพื่อการบรรเทาสาธารณภัยใหพนักงานดับเพลิงเปดเขามาชวย
ห้า

ผูประสพภัยและดับเพลิง เพราะพนักงานดับเพลิงจะขึ้นลิฟตพนักงานดับเพลิงมาชั้น
ใกลๆ แลวใชบันไดในการขึ้นไปยังชั้นที่เกิดเหตุเพลิงไหมแลวเปดประตูหนีไฟออกไป
ปฏิบัติงาน
ระบบโคมไฟฉุกเฉิน ในปลองบันได จะตองติดตั้งระบบโคมไฟฉุกเฉินเพื่อให
แสงสวางในกรณีที่เกิดไฟดับ โดยระบบไฟฉุกเฉินดังกลาวตองไดรับการดูแลใหอยูใน
สภาพดีและพรอมที่จะทํางานตลอดเวลา
ปายแสดงขอมูลของบันได ในปลองบันได จะตองมี ชื่อบันได เลขชั้นหนีขึ้น
หรือหนีลง และใชสัญจรไดตั้งแตชั้นใดถึงชั้นใด เปนตน
สวนประกอบอื่นๆ ภายในบันไดหนีไฟตองมีขั้นบันไดที่มีขนาดลูกตั้งลูกนอน ที่
สม่ําเสมอทุกขั้นและมีขนาดตามมาตรฐาน ตองมีราวจับตลอดทางควรมีทั้งสองดาน ตอง
มีราวกันตกหากบริเวณนั้นมีพื้นตางระดับ ตองมีชานพักขนาดตามมาตรฐาน ภายใน

208 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
บันไดหนีไฟตองมีที่เปดบานประตูทุกชั้นเพื่อหนีออกจากบันไดไดกรณีมีควันไฟเขาบันได
หนีไฟ และทิศทางเปดบานประตูตามทิศทางการหนีออกภายนอกอาคาร

หมายเหตุ ตามมาตรฐานไดกําหนดใหบันไดทุกแหงในอาคารใชในการหนีไฟได ดังนั้น


บันไดของอาคาร หรือบันไดหลักควรมีสวนประกอบตางๆ เหมือนกับบันไดหนีไฟที่กลาว
มาขางตน


น่า
ําห
มุมมองด้
รูปที่ 14.23 แสดงส านข้าง (บันไดตรง)นได
วนประกอบของบั
มจ

ที่มา : นายพิชญะ จันทรานุวัฒน


ห้า

4) ทางปลอยออก
เมื่อหนีไฟลงมาตามปลองบันไดหนีไฟ เสนทางนั้นตองนําไปสูภายนอกอาคารได
ท า ง ล ง
โดยทางปลอยออกที่ปลอดภัยนั้น จะตองมีลักษณะดังตอไปนี้
 ปลองบันไดหนีไฟ จะตองเปดออกสูพื้นที่ปลอดภัยภายนอกอาคารโดยตรง
โดยผูที่หนีไฟตองสามารถออกจากบันไดหนีไฟสูพื้นที่ปลอดภัยภายนอกอาคารไดอยาง
ตอเนื่องและ ไมมีการล็อกประตูจากดานในหรือดานทิศทางการหนีไฟ กรณีจําเปนตอง
ท า ง ล ง
ปลอยออกจากปลองบันไดหนีไฟภายในอาคารไมอนุญาตใหเปดสูพื้นที่ภายในอาคารเกิน
รอยละ 50 ของทั
วกราวบั นได้ งจํานวนและขนาดของบันไดหนี ไฟทั้ง หมด และจะตอ งเปน พื้นที่ ที่
ติดตั้งหัวกลั
กระจายน้
บเข้าหาผนัํางดับเพลิงอัตโนมัติและตองไมเปนที่มีอันตราย เชน ตองมีการเดิน
ผานหองเก็บของ หรือ หองครัว

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร มุมมองด้านบน (บันไดวน) 209


 ทางปลอยออกจะตองมีขนาดความกวางไมนอยกวา 5 มิลลิเมตรตอคนที่
อพยพ สามารถนําไปสูจุดรวมพลไดอยางปลอดภัย และจุดรวมพลจะตองมีพื้นที่เพียงพอ
สําหรับจํานวนคนทั้งหมดที่อพยพออกจากอาคารไมนอยกวา 0.25 ตารางเมตรตอคน
 การหนีขึ้น ทางหลังคาควรเปนทางเลือกสุดทาย สําหรับการหนีไฟขึ้น ไป
สูดาดฟานั้น ตามหลักการแลว ไมถือวาเปนเสนทางในการหนีไฟที่ปลอดภัย เพราะ
การนําคนลงจากดาดฟาโดยอาศัยเฮลิคอปเตอรหรือรอกโรยตัวนั้น ยังเปนวิธีการที่ไมมี
ความแนนอนและขึ้นอยูกับหลายปจจัย เชน สภาพภูมิอากาศ และความสามารถของ
บุคคลที่ทําการหนีไฟ และในกรณีที่จะอพยพคนขึ้นดาดฟาโครงสรางของพื้นดาดฟา
จะตองทนไฟไดไมนอยกวา 2 ชั่วโมง และแข็งแรงพอที่จะรับน้ําหนักของผูที่กําลังหนี
ไฟได
 ประตูทางออกบนเสนทางหนีไฟ จะตองเปดไดจากดานภายในหรือดานทิศ
ทางการหนีตลอดเวลา ประตูที่เปดออกสูภายนอกตองสามารถเปดจากดานภายในปลอง


บันไดไดตลอดเวลา และไมมีการติดตั้งกลอนทั้งดานในและดานนอก อาคารสูงหลาย
น่า
แหง มีการลอกประตูที่เปดออกจากปลองบันไดหนีไฟเนื่องจากกลัวเกี่ยวกับการรักษา
ความปลอดภัย ซึ่งการกระทําดังกลาวเปนอันตรายตอชีวิตของผูที่กําลังหนีไฟเปนอยาง
มาก
ําห
 จุดรวมพล ขณะเกิดเพลิงไหมอาคารจะตองเปนพื้นที่ที่มีความปลอดภัยจาก
เศษกระจก หรือการวิบัติของโครงสรางอาคาร รวมทั้งเศษซากวัสดุกอสรางที่อาจตกลง
มจ

มาสูพื้นดิน ดังนั้น ควรกําหนดใหอยูหางจากอาคารไมนอยกวาความสูงของอาคารนั้น


แตหางไมนอยกวา 20 เมตร อาจเปนสถานที่หรืออาคารอื่นในบริเวณใกลเคียงได ไมควร
ห้า

ใหคนกําลังอพยพตองขามถนนเพราะอาจทําใหเกิดจราจรติดขัด แลวสงผลกระทบตอ
การบรรเทาสาธารณภัยจากหนวยงานภายนอก หรืออาจเกิดอุบัติเหตุไดงาย
ระบบหัวกระจายน้ําดับเพลิงอัตโนมัติ
การออกแบบและคํานวณ ติดตั้งระบบหัวกระจายน้ําดับเพลิงอัตโนมัติ หรือ
ระบบสปริงเกลอรนั้น จะตองทําโดยวิศวกรที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางวิศวกรรม
เทานั้น โดยจะตองออกแบบและคํานวณ ติดตั้ง ทดสอบ และบํารุงรักษา ใหเปนไปตาม
มาตรฐาน

210 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
รูปที่ 14.24 แสดงระบบหัวกระจายน้ําดับเพลิงอัตโนมัติ ชนิดทอเปยก
ที่มา : มาตรฐาน NFPA 13, NATIONAL FIRE PROTECTION ASSOCIATION


พื้นฐานการออกแบบที่สําคัญของระบบนี้ มีดังนี้
น่า
 ใหติดตั้งหัวกระจายน้ําดับเพลิงทั่วทั้งอาคาร ยกเวนบางพื้นที่ที่กําหนดไวใน
มาตรฐาน
ําห
 ใหติดตั้งระบบนี้ในอาคารสูง (สูงตั้งแต 23 เมตรขึ้นไป) หรืออาคารขนาด
ใหญพิเศษ (พื้นที่ตั้งแต 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป) และสถานบริการที่มีพื้นที่ใหบริการ
มจ

ตั้งแต 500 ตารางเมตรขึ้นไป


 ควรติดตั้งในอาคารโรงแรมที่มีความสูงตั้งแต 4 ชั้นขึ้นไป
 การออกแบบควรทํ า Hydraulic Calculation เพื่ อ หาขนาดท อ ส ง น้ํ า
ห้า

ทอยอย และเครื่องสูบน้ําดับเพลิงที่เหมาะสม เพื่อการจายน้ําดับเพลิงดวยความดันและ


อัตราการไหลของน้ําไมต่ํากวาที่ตองการทุกจุด
 หากในทอสงน้ําเมนและทอยอยมีน้ําในทอ จะเรียกระบบนี้วาเปนระบบทอ
เปยก ซึ่งเปนระบบที่อาคารสวนใหญติดตั้ง สวนระบบทอแหงจะใชกับสถานที่ที่ อาจ
เสียหายรุนแรงหากอุปกรณเปยกน้ําหรือหองเย็นที่ทําใหน้ําแข็งได และอีกระบบหนึ่ง
เปนระบบหัวเปดทั้งหมด วาลวจะเปดใหน้ําดับเพลิงฉีดออกทุกหัวพรอมๆ กันจะใชกับ
สถานที่ที่อาจเกิดไฟไหมรุนแรงหรือระเบิดได
 การเลือกหัวกระจายน้ําตองพิจารณาถึง Temperature Rating, K-factor
(อัตราการไหลของน้ํา), ความดันน้ํา, และสภาพแวดลอม

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 211
 ระยะหางของหัว กระจายน้ํ าดับ เพลิ งกับหั ว ขา งเคี ย ง ผนัง เพดาน หรื อ
สิ่งกีดขวาง จะตองออกแบบใหเปนไปตามมาตรฐาน
 จุดปลายสุดของระบบนี้จะตองมีสถานีทดสอบและระบายน้ําออกจากระบบ
ได
 แต ล ะโซนของระบบนี้ จ ะต อ งติ ด ตั้ ง อุ ป กรณ ต รวจจั บ การไหลของน้ํ า
(Water Flow Switch) เพื่อเตือนภัยและแสดงผลใหคนในอาคารทราบวาหัวกระจายน้ํา
หัวใดหัวหนึ่ง ไดทํางานแลว และขนาดแตละโซนตองมีขนาดพื้นที่ไมเกินคากําหนดไวใน
มาตรฐาน
 วาลวทุกชุดในระบบสงน้ําดับเพลิงจะตองเปนชนิดบอกตําแหนงได และ
ติดตั้งอุปกรณตรวจสอบสถานะวาลวเปดหรือปด เรียกวา Supervisory Switch และ
สามารถเปดปดไดสะดวกจากพื้นและเขาถึงไดทันทีเมื่อเกิดเพลิงไหม


น่า
ําห
มจ
ห้า

รูปที่ 14.25 แสดงชนิดวาลวและระดับที่เขาถึงไดทันที


ที่มา : นายพิชญะ จันทรานุวัฒน

ระบบสงน้ํา ระบบทอยืน และสายฉีดน้ําดับเพลิง


ระบบสงน้ําประกอบดวย ถังสํารองน้ําดับเพลิง เครื่องสูบน้ําดับเพลิง ทอยืน
จายไปยังแตล ะโซนหรือแตล ะชั้น เพื่อจายน้ําดับเพลิงใหส ายฉีดน้ําดับเพลิงและหัว
กระจายน้ํ า ดั บ เพลิ ง อั ต โนมั ติ ปริ ม าณน้ํ า สํ า รองจะต อ งเป น ไปปริ ม าณอย า งน อ ยที่
กฎหมายกํ า หนดหรื อ ตามมาตรฐานวิ ศ วกรรมสถานแห ง ประเทศไทยในพระบรม
ราชูปถัมภ โดยมีหลักพื้นฐานมาจากระยะเวลาในการดับเพลิงเองกอนที่รถดับเพลิงจาก
หนวยงานบรรเทาสาธารณภัยมาถึงสถานที่เกิดเหตุ อาคารจะตองมีหัวรับน้ําดับเพลิง
212 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
เพื่อตอน้ําจากรถดับเพลิง เพื่อจายน้ําดับเพลิงไป ในระบบดับเพลิงของอาคารและหรือ
ตอลงถังเก็บน้ําดับเพลิง
รถดับเพลิงมีขอจํากัดในการฉีดน้ําอาคารสูงตั้งแต 23 เมตรขึ้นไป และอาคาร
ขนาดใหญ พิ เศษที่มี พื้ น ที่ ตั้ งแต 10,000 ตารางเมตรขึ้น ไป ดั งนั้ น อาคารเหล านี้ จึ ง
จําเปนตองมีเครื่องสูบน้ําดับเพลิงที่มีขนาดความดันที่เพียงพอสําหรับดับเพลิงไดในทุก
ชั้นทุกพื้นที่รวมถึงชั้นดาดฟา ทําใหสามารถฉีดน้ําดับเพลิงไดทั้งปริมาณและความดัน
ตามที่กฎหมายกําหนด ในบางกรณีทั้งขนาดทอดับเพลิง ปริมาณน้ําดับเพลิงที่ตองการ
ในจุดไกลสุดและใชปริมาณน้ําดับเพลิงสูงสุด จําเปนตองใชหลักคํานวณแบบ Hydraulic
Calculation เพื่อทําใหเกิดความมั่นใจวามีปริมาณน้ําและความดันน้ําเพียงพอในการ
ดับเพลิง ซึ่งขึ้นอยูปริมาณ ชนิดวัสดุที่ติดไฟไดความสูงอาคาร และวิธีการจัดเก็บวัสดุ
ทั้งนี้ การคํา นวณดัง กล าวจะช ว ยทําใหเ ลือกใช ขนาดท อและเครื่ องสู บน้ํ าดับ เพลิง ที่
เหมาะสมไดโดยไมทําใหมีขนาดใหญจนเกินความจําเปน


ระบบทอยืนเปนระบบที่ใชจายน้ําดับเพลิงไปยังสวนตางๆ ในอาคาร เพื่อให
พนักงานดับเพลิงหรือผูใชอาคารสามารถใชอุปกรณที่ติดตั้งในระบบทอยืน เชน หัวและ
น่า
สายฉีดน้ําดับเพลิงในการดั บเพลิงได ตําแหนงที่ติดตั้ง วาลว สายฉีดน้ําดับเพลิงหรื อ
ตูดับเพลิงนี้ตองอยูในตําแหนงที่ปลอดภัยตอผูใชและสามารถใชสายฉีดน้ําดับเพลิงเขาไป
ําห
ยังพื้นที่เพลิงไหมได
ทอ ยื น ต อ งต อ ทอ เขา กั บระบบส ง น้ํา ดั บเพลิง ที่ เชื่ อ ถื อได เช น เครื่ อ งสู บ น้ํ า
มจ

ดับเพลิงและถังเก็บน้ําดับเพลิง เพื่อใหมีความดัน และอัตราการไหลของน้ําดับเพลิง


เพียงพอในชวงเวลาที่ตองการได โดยความดันสูงสุดของทอยืนแตละโซนจะตองไมเกิน
2,400 กิโลปาสกาล
ห้า

ประเภทของการใชงาน แบงออกเปน 3 ประเภท แตในประเทศไทยสวนใหญ


จะเป น ประเภทที่ 3 ซึ่ ง จะติ ด ตั้ ง ชุ ด สายฉี ด น้ํ า ดั บ เพลิ ง ขนาดเส น ผ า นศู น ย ก ลาง
25 มิลลิเมตรพรอมหัวฉีด เปนแบบสายยางฉีดน้ําชนิดแข็ง (Hose Reel) มีลักษณะเปน
ทอแข็งมวนอยูในลูกลอ สามารถดึงออกมาใชงานตามความยาวที่ตองการ หรือสายสง
น้ําแบบพับ (Hose Rack) ที่มีขนาดเสนผานศูนยกลาง 40 มิลลิเมตร สําหรับผูใชอาคาร
และวาลวสําหรับตอสายฉีดน้ําดับเพลิงขนาดเสนผานศูนยกลาง 65 มิลลิเมตร สําหรับ
พนักงานดับเพลิงหรือผูที่ไดรับการฝกซอมดับเพลิงขนาดใหญมาแลว
สถานที่ ตั้ ง สายฉี ด น้ํ า ดั บ เพลิ ง และวาล ว ทุ ก ชุ ด จะต อ งใช ง านได ป ลอดภั ย
สะดวก และเขาถึงไดงาย (ไมตองใชบันได) โดยแตละแหงมีระยะหางกันไมเกิน 64 เมตร
วั ด ตามเส น ทางเดิ น และวาล ว ทุ ก ชุ ด ในระบบส ง น้ํ า ดั บ เพลิ ง จะต อ งเป น ชนิ ด บอก
ตําแหนงได
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 213
ความดันใชงานที่หัวฉีดน้ําดับเพลิงเพื่อใชในการดับเพลิง จะตองไมนอยกวา
450 กิโลปาสกาล แตไมเกิน 700 กิโลปาสกาล โดยวาลวและสายฉีดน้ําดับเพลิงจะตอง
ทนความดัน ไม นอยกว า ความดัน ใชง านจริ งแตตอ งไมนอ ยกวา 1,200 กิโ ลปาสกาล
หัวรับน้ําดับเพลิงจะตองมีอยางนอย 1 หัว เพื่อใชตอน้ําจากรถดับเพลิงหรือหัวจายน้ํา
ดับเพลิงหรือแหลงน้ําจากภายนอกอาคาร จะตองไมมีวาลวปด -เปดระหวางหัวรับน้ํา
ดับเพลิงกับระบบทอยืน แตตองมีเช็ควาลว ที่จุดตอเขากับระบบทอยืน และใหติดตั้ง
ขอตอสวมเร็วตัวผูพรอมฝาปดที่หัวรับน้ําดับเพลิงทุกหัว รวมทั้งมีปายแสดงวาหัวรับน้ํา
ดับเพลิงของระบบใด
ระบบควบคุมควันไฟ
การระบายควันไฟออกนอกบริเวณขณะเกิดเพลิงไหมในอาคาร เปนการลดหรือ
ควบคุมปริมาณควันไฟที่เกิดขึ้นไมใหแพรกระจายไปยังเสนทางหนีไฟ ที่กําลังมีคนอพยพ
อยู ทําใหมองเห็นเสนทางหนีไฟไดชัดเจน และปองกันการสําลักควันหรือสูดควันไฟเขา


รางกาย เพื่อความปลอดภัยตอชีวิตของผูใชอาคาร และยังชวยทําใหพนักงานดับเพลิง
น่า
สามารถเห็นฐานไฟและผูประสบที่อาจนอนหมดสติอยู ทําใหสามารถควบคุมเพลิงไหม
และชวยเหลือผูประสบภัยไดอยางรวดเร็ว นอกจากชวยลดความหนาแนนของควั นไฟ
ําห
แลวยังชวยลดอุณหภูมิลงเพื่อความเปนอันตรายตอโครงสรางหลักของอาคาร
การอัดอากาศเปนระบบควบคุมควันไฟอยางหนึ่งสําหรับอาคารสูง (สูงตั้งแต
23 เมตรขึ้นไป) เพื่อปองกันไมใหควันไฟเขาไปภายในชองบันไดขณะมีคนกําลังเปดบาน
มจ

ประตูเพื่อหนีไฟ หรือหองปลอดควันไฟสําหรับโถงลิฟตพนักงานดับเพลิง โดยการเพิ่ม


ความดันอากาศภายในชองบันไดใหสูงกวาเมื่อเทียบกับบรรยากาศบริเวณรอบๆ ชอง
ห้า

บัน ไดไมนอยกวา 38.6 ปาสกาล เมื่อบานประตูปดทั้งหมด ไดกําหนดใหมีร ะบบอัด


อากาศสําหรับชองบันได หรือหองปลอดควันไฟที่ตั้งอยูกลางอาคารที่ไม มีสวนใดสวน
หนึ่งติดกับผนังภายนอกอาคาร ปกติจะตองออกแบบ มีปริมาณลมอัดอากาศและรักษา
ความดันอากาศใหเพียงพอในการเปดบานประตูพรอมๆ กันประมาณ 1 หรือ 2 บาน
รวมทั้งชองวางรอบประตูหรือผนังที่อาจทําใหอากาศรั่วออกไปได ขณะที่ประตูทุกบาน
ยังคงปดอยูความดันภายในจะสูงขึ้น ระบบอัดอากาศจะตองมีอุปกรณควบคุมความดัน
ไมใหสูงเกินไปจนคนทั่วไปไมสามารถผลักบานประตูใหเปดออกได โดยกําหนดตองออก
แรงไมเกิน 132 นิวตัน และตองพิจารณาแรงดึงของ Door Closer ดวย การอัดอากาศ
ไมจําเปนหากชองบันไดหรือหองปลอดภัยตั้งอยูติดกับผนังภายนอกอากาศที่สามารถทํา
ชองระบายควันไฟไดไมนอยกวา 1.4 ตารางเมตรทุกชั้น เพราะสามารถระบายควันไฟได
ตามธรรมชาติ
214 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
โถงเอเทรียม เชน ชองเปดพื้นหลายชั้นกลางอาคารขนาดใหญในศูนยการคา
เปนตน ขณะเกิดเพลิงไหมภายในอาคารจําเปนตองมีระบบควบคุมการแพรกระจายควัน
ไฟ โดยการเรงระบายควันไฟออกจากอาคารที่เพดานของโถงเอเทรียม และเติมอากาศ
เขามาแทนที่ในระดับลางของโถงนั้น เพื่อปองกันมิใหควันไฟแพรกระจายออกไปในชั้น
ตางๆ และสงผลกระทบตอการอพยพ นอกจากนั้นระบบนี้ยังชวยระบายควันไฟและ
กลิ่นออกจากอาคารภายหลังการเกิดเพลิงไหม เพื่อลดความสูญเสียจากการหยุดชะงัก
ทางธุรกิจ ไดดว ย ขนาดพัดลมสําหรับระบายควัน ไฟออกจากอาคารขึ้น อยูกับปจ จัย
สําคัญ คือ ความสูงของโถงเอเทรียม แหลงเชื้อเพลิงหรือขนาดเพลิงไหม และความลึก
ของบอกักเก็บควัน สวนประสิทธิภาพของระบบระบายควันไฟ ขึ้นอยูกับปริมาณการ
เติมอากาศจากดานลาง และความลึกและอุณหภูมิของชั้นควันไฟที่สะสมอยูใตเพดาน

การสั่ งใหร ะบบพั ดลมควบคุ มควัน ไฟทํา งานทั้ งระบบอัด อากาศหรือ ระบบ


ระบายควันไฟ มีความสําคัญมากเชนกัน โดยพื้นฐานตองสามารถสั่งให ทํางานไดอยาง
อัตโนมัติ (Automatic) และแบบใช มือ (Manual) การสั่ง ทํางานอยางอัตโนมัติ ตอ ง
น่า
พิจารณาอยางระมัดระวังเพราะอาจเปนการเติมออกซิเจนเขามาในอาคารโดยไมจําเปน
ทําใหอาจมีผลกระทบกับคนที่กําลังอพยพได และอาจสงผลกระทบตอการทํางานของ
ําห
ระบบหัวกระจายน้ําดับเพลิงอั ตโนมัติไดเชนกัน การสั่งใหระบบควบคุมทํางานอยาง
อัตโนมัตินั้น มาตรฐานหรือการปฏิบัติทั่วไปจะใชอุปกรณตรวจจับควัน ไฟที่ติดตั้งใน
มจ

ตําแหนงที่คาดวาควันไฟจะสงผลตอการอพยพ หรือเขาไปในชองบันไดหรือหองปลอด
ควันไฟ สวนการทํางานแบบใชมือไมวาจะเปนการเปดหรือปดพัดลม ควรจะติดตั้งสวิตช
ไฟฟาไวในศูนยสั่งการดับเพลิงหรือหองควบคุมอาคารที่ชั้นลาง
ห้า

การแบงสวนอาคาร (Compartment)
การแบงสวนอาคารสรางขึ้น เพื่อปองกัน มิใหอาคารมีขนาดพื้น ที่ใหญเกินไป
ทําใหควันไฟแพรกระจายออกไปเปนวงกวาง รวมทั้งการลุกลามของเพลิงไหม ทําใหยาก
ตอการควบคุมเพลิงไหมและใชดับเพลิงเปนเวลานานแลว รวมทั้งมีเวลาในการอพยพ
ออกจากพื้นที่หรือชั้นตนเพลิงนอยลงดวย การแบงสวนอาคารจะกั้นแยกจุดตนเพลิง
ออกจากสวนอื่นๆ ของอาคาร กรณีเปนพื้นทนไฟก็จะเปนการกั้นแยกพื้นที่แตละชั้นออก
จากกัน กรณีเปนผนังทนไฟ ก็จะเปนการกั้นแยกพื้นที่ในชั้นเดียวกัน ผนังทนไฟจะเปน
การปดกั้นตั้งแตพื้นถึงเพดาน และตั้งแตผนังภายนอกจนถึงผนังภายนอกอาคาร หรือ
จนถึงผนังทนไฟ และชวงเวลาในการทนไฟอาจเปน 1, 2, 3 หรือ 4 ชั่วโมงแลวแตกรณี
ชองเปดบนผนังทนไฟ เชน ประตู ชองทอ ทอลม จะตองไดรับการปองกันดวยวัสดุหรือ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 215
อุปกรณใหมีความสามารถในการทนไฟไดในระดับเดียวกับสวนทนไฟนั้นๆ เชน ประตู
ทนไฟ, ลิ้นกันไฟ, วัสดุอุดทนไฟ ฯลฯ
การแบงสวนอาคารมี 4 ลักษณะ ดังนี้
1. การแบงสวนตามกิจกรรมการใชงาน
2. การแบงสวนตามพื้นที่อันตราย
3. การแบงสวนเพื่อความปลอดภัยตอการหนีไฟ
4. การแบงสวนปองกันชองเปดแนวดิ่ง

การแบงสวนตามกิจกรรมการใชงาน เพื่อแยกพื้นที่ที่มีความเสี่ยงอันตรายที่มี
ลั ก ษณะแตกต า งกั น ทั้ ง ประเภทเชื้ อ เพลิ ง ประเภทคน และทางกายภาพ เช น
โรงภาพยนตร ในศูนยการคา และโรงแรมกับหองจัดเลี้ยง โรงงานกับโรงเก็บวัตถุดิบ
เปนตน ปกติจะกั้นแยกดวยชวงเวลาการทนไฟประมาณ 1, 2 หรือ 3 ชั่วโมงแลวแต


กรณี แตมาตรฐานยอมใหเปดรวมปนกันได แตตองออกแบบโดยใชมาตรการที่เขมงวด
ที่สุดทั่วทั้งสองพื้นที่
น่า
การแบงสวนตามพื้นที่อันตราย เพื่อแยกพื้นที่เสี่ยงอันตรายออกจากสวนอื่นๆ
ในอาคาร เชนหองเครื่องหมอน้ํา หองเครื่องเมนไฟฟา หองเก็บสินคา และหองครัว เปน
ําห
ตน ปกติจะกั้นแยกดวยชวงเวลาการทนไฟประมาณ 1 ชั่วโมง
การแบงสวนเพื่อความปลอดภัยตอการหนีไฟ ไดแก ปดลอมบันไดหนีไฟดวย
มจ

ผนั ง ทนไฟ และผนั ง ทนไฟทั้ ง สองข า งของช อ งทางเดิ น (Corridor) หน า ห อ งพั ก ใน
คอนโดมิเนียมหรือโรงแรม เปนตน หรือการแบงสวนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอพยพ
ดว ยการกั้น แยกพื้ น ที่ ใ นชั้ น ที่ต อ งการให มีเ วลาในการอพยพนานขึ้ น โดยแบง พื้ น ที่
ห้า

ออกเป น อย า งน อ ย 2 ส ว น เพื่ อ ทํ า ให เ กิ ด การอพยพในแนวราบได (Horizontal


Evacuation) หรือหากตองการทําเปนทางหนีไฟที่ปลอดภัยเสมือนบันไดหนีไฟดวยผนัง
ทนไฟอยางนอย 2 ชั่วโมงก็จะเปนทางหนีไฟแนวราบ (Horizontal Exit) ตามนิยามได
ชองเปดพื้น เชน ชองทอ จะตองปดชองวางใหส มบูร ณตามมาตรฐาน เพื่อ
ปองกันควันไฟและความรอนแพรกระจายขึ้นไปชั้นบนถัดไป ดวยวัสดุอุดที่มีคุณสมบัติ
ทนไฟที่ทนไฟไดเทากับพื้นนั้นๆ หรือการปดลอมชองเปดแนวดิ่ง เชน ชองบันได ชอง
ลิฟต ชองเอเทรียม เปนตน

216 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
รูปที่ 14.26 แสดงชองเปดพื้นทําใหเกิดชองแนวดิ่ง


ที่สามารถแพรกระจายควันไฟไดงาย
น่า
ที่มา : หนังสือ FIRE SAFETY MANAGEMANT

หากไม ต อ งการผนั ง หรื อ บานประตู ป ด ล อ มช อ งเป ด แนวดิ่ ง แบบถาวร


ําห
การออกแบบอาจใชบานประตูหรือมานทนไฟที่เปดคางไวสภาวะการใชงานอาคารอยาง
ปกติได แตเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินแลวมีอุปกรณสั่งใหบานประตูหรือมานเคลื่อนลงมาปดได
มจ

อยางอัตโนมัติหรือแบบใชมือก็ได
ห้า

รูปที่ 14.27 แสดงการใชมานทนไฟแทนผนัง ซึ่งมานจะเคลื่อนลงมา


ปดชองบันไดได
ที่มา : นายพิชญะ จันทรานุวัฒน

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 217
การควบคุมวัสดุ
ด ว ยเหตุ ก ารณ เ พลิ ง ไหม ที่ ผ า นมา จะพบว า วั ส ดุ ต กแต ง ภายในอาคาร
ที่ผนัง เพดาน ผามาน วัสดุปูพื้น และเฟอรนิเจอร สงผลกระทบตอความปลอดภัยตอ
ชีวิตมนุษยอยางมาก โดยเฉพาะวัสดุที่ทําจากโฟมพลาสติก ที่มักจะนํามาทําเปนฉนวน
กั้นความรอนหรือเสียงรบกวน กลุมวัสดุนี้สามารถผลิตพลังงานความรอนไดสูงเทียบเทา
น้ํามัน เบนซิน เลย รวมทั้งผลิตควัน ไฟออกมามากกวาวัสดุอื่น ๆ ดว ย ตามมาตรฐาน
ไมยอมใชวัสดุชนิดนี้โดยไมปดผิวดานในอาคารที่มีคุณสมบัติทนไฟไดระดับหนึ่ง และ
โฟมพลาสติกตองเปนวัสดุที่เติมสารหนวงไฟเพื่อทําใหดัชนีการลามไฟไมเกิน 25 และ
ดัชนีการเกิดควันไฟไมเกิน 450 ดวย
ผิวผนังหรือเพดานของหองหรือพื้นที่ที่สําคัญ จะตองใชวัสดุที่มีดัชนีการลามไฟ
และดัชนีการเกิดควันไฟต่ํา เชน บันไดหนีไฟ ชองทางเดิน เปนตน หลังคาที่บุฉนวนควร
เลือกใชวัสดุที่ไมติดไฟ เพราะมีพื้นที่ผิวขนาดใหญและเปนที่ที่ความรอนมารวมตัวสะสม


ในบริเวณนี้ เมื่อติดไฟไดจะทําใหเกิดความสูญเสียคอนขางรุนแรงหรือทั้งหมดได สวนผิว
พื้นจะตองเลือกใชวัสดุ ที่ลุกติดไฟไดยาก
น่า
ขอปฏิบัติตนเมื่อเกิดไฟไหม
ําห
กรณีที่ทานตองอยูในเหตุการณไฟไหม เวลาทุกวินาทีมีคาและการตัดสินใจของ
ทานในเสี้ยววินาทีนั้นอาจมีผลตอชีวิตของทานและบุคคลอื่นอยางใหญหลวง ดังนั้นทาน
ควรมีการเตรียมตัวใหพรอมอยูเสมอ โดยมีแนวทางในการปฏิบัติตนดังนี้
มจ

 เมื่อทราบวาเกิดไฟไหม ตองมีสติและประเมินสถานการณวาจะใชเสนทางใด
หนีไฟ
ห้า

 ถาคิดวาเพลิงไหมมีขนาดเล็ก และทานมั่นใจวาสามารถดับเองได ตองทํา


การแจงเหตุเพลิงไหมหรือใหคนแจงเหตุเพลิงไหม และเริ่มการอพยพผูคนกอนที่จะเริ่ม
ดับไฟ ไฟที่จะทําการดับเองนั้นตองมีขนาดเล็กและอยูในพื้นที่จํากัด ทานตองอยูใน
ตําแหนงที่สามารถหนีไฟไดอยางทันที ในกรณีที่ไมสามารถดับไฟได และตองแนใจวา
ขณะที่ดับไฟตองไมมีควันเกิดขึ้นมาก เพราะขณะดับเพลิงนั้นทานจะไมมีอุปกรณชวยใน
การปองกันควันเลย
 การเปดประตูเขาไปในหองที่มีไฟไหมอยูจะเปนการเติมออกซิเจนเขาไปชวย
ในการสันดาปได ซึ่งอาจทําใหเกิดเปลวไฟหรือการระเบิดของควันที่รุนแรงพุงเขามาหา
ทานทําใหเปนอันตรายแกทานและผูอื่นได ดังนั้นกอนที่จะเปดประตูใดๆ ตองตรวจกอน
วาประตูนั้นรอนหรือไม โดยใชหลังมือสัมผัสลูกบิดที่บานประตูวาอุณหภูมิสูงกวาปกติ
หรือไม ถาอุณหภูมิไมสูงกวาปกติใหเปดประตูดวยความระมัดระวัง เพราะไฟที่ดับไป
218 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
แลวอาจลุกติดขึ้นมาอีกจากการไดรับออกซิเจนจากการเปดประตู ถาอุณหภูมิของประตู
สูงกวาปกติ ใหใชเสนทางหนีไฟเสนทางอื่น
 หามใช ลิฟตใ นขณะเกิดเพลิงไหม ยกเวน อาคารที่มี การออกแบบไวเป น
การเฉพาะ เชน โรงพยาบาล
 ปดประตูในเสนทางที่ทานผานใหสนิท เพื่อลดการลามของไฟและควันไปยัง
สวนอื่นของอาคาร
 กรณีที่ทานอยูในอาคารสูงไมเกิน 23 เมตร กรณีจําเปนทานอาจใชหนาตาง
เปน ที่แจงตําแหนงเพื่อขอความชวยเหลือหรือเปนทางหนีไฟได แตกอนที่เปดหนาตาง
ทานตองปดประตูทั้งหมดในหองใหเรียบรอยกอน เพราะเมื่อเปดหนาตางอาจเกิดลมดูด
ทําใหควันไฟหรือเปลวไฟพุงเขามาตามชองวางเขามาในหองที่ทานอยูไ ด
 ถาทางที่ทานหนีไฟปกคลุมดวยควันใหใชเสนทางอื่น แตถาไมมีเสนทางอื่น
ใหคลานต่ําๆ ในระดับ 30-60 เซนติเมตร เหนือระดับพื้น


 กรณีที่ทานติดอยูในหองและไมสามารถหนีออกมาได ใหปดประตูทุกบานให
น่า
สนิท และใชผาเช็ดตัว ผาหม หรือเทปกาว ปดรอยแยกตามประตูและผนังทุกจุด ใน
กรณีที่ทานอยูในอาคารสูงอยากระโดดออกทางหนาตางโดยเด็ดขาด ใหพยายามแจงให
ําห
เจ า หน า ที่ ดั บ เพลิ ง ทราบว า ท า นติ ด อยู ใ นห อ งโดยทางโทรศั พ ท หรื อ ให ผ า โบกทาง
หนาตาง
 ถาเสื้อ ผาของทานติดไฟ อยา วิ่งเพราะจะทําให ไฟลุก มากขึ้ น เพราะเป น
มจ

การเพิ่มออกซิเจนใหกับไฟ ใหหยุดเคลื่อนที่ลมตัวนอนลงกับพื้น เอามือคลุมหนาไว และ


กลิ้งตัว เพื่อดับไฟ ในกรณีที่คนอื่นเสื้อผาติดไฟ จับใหเขาลมลงและกลิ้งตัว หรือใชผาหม
ห้า

ผืนใหญคลุมตัวเพื่อดับไฟ
 กรณีที่มีบาดแผลไฟลวก ไมใหใชวัสดุที่มีลักษณะเปนน้ํามันทาแผล เพราะ
จะทําใหความรอนไมสามารถระบายออกและทําการบาดเจ็บเพิ่มมากขึ้น ควรทําให
บาดแผลเย็นลงดวยการปลอยใหน้ําเย็นไปผานแผลประมาณ 10-15 นาที และรีบไปพบ
แพทยทันที
 กรณี ที่ ท านอาศั ย อยู ใ นอาคารสู ง แต ล ะอาคารอาจจะมี ขั้ น ตอนในการ
ปฏิบัติ เมื่อสัญญาณเตือนอัคคีภัยดังขึ้นที่แตกตางกัน ใหปรึกษาเจาหนาที่ผูรับผิดชอบ
ของอาคารใหเขาใจถึงขั้นตอนในการปฏิบัติที่ถูกตอง

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 219
o การปองกันและควบคุมอันตรายในงานกอสราง
1) อันตรายในงานกอสราง
อุบัติเหตุปองกันได ถาไมประมาท ยังเปนคํากลาวเตือนใจไดดีในกิจการแทบทุก
อยางที่เกี่ยวเนื่องกับอันตรายที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้น อันจะยังความเสียหายไมวา
ดานชีวิตและทรัพยสินมายังบุคคลที่เกี่ยวของโดยตรง หรือโดยออม หรือไมเกี่ยวของเลย
ก็เปนได เอกสารทางวิชาการเรื่อง อันตรายจากการกอสรางนี้ ไดรวบรวม สรุป และ
ถายทอดถึงอัน ตรายตางๆ จากการกอสราง รวมถึงชี้แนะถึงแนวทางในการป องกัน
อัน ตรายเหล านั้ น จุ ดมุ งหมายที่สํ าคั ญของเอกสารชุ ด นี้ก็ คือ การใหบุ ค คลทั่ว ๆ ไป
โดยเฉพาะบุ ค คลที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ วงการก อ สร า งได หั น มาตระหนั ก ถึ ง อั น ตรายและ
ความสําคัญในการปองกันอันตรายที่เกิดขึ้นในการกอสรางรวมทั้งการนํามาเปนหลัก
ปฏิบัติในภาคสนามอยางแทจริง การปองกันอุบัติเหตุรอยเปอรเซ็นตนั้นเปนไปไมได แต
การลดอุบัติเหตุใหนอยลงที่สุด งานที่ กาวหนาไปไดอยางรวดเร็ว ที่สุด และหมายถึง


ผลตอบแทนที่ดีที่สุดตอทุกๆ คนในกิจกรรมการกอสรางนั้น
2) อันตรายจากงานตอกเสาเข็ม
น่า
งานฐานรากโดยเฉพาะงานตอกเสาเข็มจัดเปนงานกอสรางสวนที่สําคัญยิ่งอยาง
ําห
หนึ่ง ที่พึงตองใหความระมัดระวังอยางสูง งานตอกเสาเข็มหากทําดวยความประมาท
อาจจะสงผลใหงานอื่นๆ ลาชา และเกิดความสูญเสียตองานกอสร างสวนใหญไดมาก
มจ

คํากลาวที่วา การวางฐานรากที่ดี เสมือนงานไดเสร็จไปเกือบครึ่ง นั้น หากนํามาใชกับ


งานตอกเสาเข็มแลว งานกอสรางทั้งหมดจะสามารถรุดหนาไปไดอยางรวดเร็ว ในที่นี้จะ
ห้า

กลาวถึงความปลอดภัยที่เกี่ยวกับงานฐานรากเสาเข็มและเครื่องตอกเสาเข็ม
2.1 เสาเข็ม นับแตการตั้งศูนยเสาเข็ม ควรไดแนวดิ่ง ยกเวนกําหนดเปน
อย า งอื่ น การตั้ ง เสาเข็ ม เอี ย งอาจมี ผ ลต อ การเสี ย สมดุ ล ของโครงสร า งทั้ ง หมด
นอกจากนั้น หากตอกเสาเข็มที่เอียงมากๆ เสาเข็มอาจหักทับคนงานได รูที่เกิดจาก
การตอกเสาเข็มเสร็จแลว (โดยทั่วๆ ไป จะมีความกวางประมาณ 30 - 40 ซม.) ตอง
กลบหรือปดทันทีเพื่อกันคนตกลงไป โดยเฉพาะในเวลากลางคืน การปองกันเด็กเล็กๆ ที่
รวมครอบครัวกับคนงานไมใหเขาไปในบริเวณดังกลาวนั้น ควรทําดวยความเขมงวด การ
ยืนบนเสาเข็มขณะชักลากเพื่อหาทางลัดในการขึ้นปนจั่นตองละเวนเด็ดขาด คนขั บ
ปนจั่นที่ไมชํานาญอาจสวิงเสาเข็ม ตีหรือสะบัดคนรวงลงมาได นอกจากนั้นหวงยกที่ฝง
ในเสาเข็มอาจหลุดทําใหเสาเข็มลมลงมาทับเปนอันตรายตอชีวิตได
2.2 เครื่ องตอกเสาเข็ ม นับ แต การปน ไต ดว ยตั ว เปล าโดยปราศจากสิ่ ง
อํานวยความปลอดภัย การตระเตรียมหมอนรองรับการกระแทกของตุม เชน ไมบน
220 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ครอบเหล็ก การใชสลักแทนนอตเสียบตุม ตองกระทําใหเรียบรอยและปลอดภัยกอนเริ่ม
ทํางาน แมแตเครื่องตอกเอง ตองกําลังตอกที่ดี รวมทั้งการทรงตัวขณะตอกและหลัง
ตอก ตองหามใชเครื่องตอกที่เกามากและเสียสมดุลในขณะใชงาน เนื่องจากอาจลมลงได
ลวดสลิงหอยตุมที่หมดสภาพการใชงาน จะตองเปลี่ยนทันที อันตรายจากการที่ลวดสลิง
ขาดขณะรับแรงดึงอยางสูงนั้นรายแรงมาก แมสะบัดถูกใครอาจเสียชีวิตไดในทันที
นอกเหนือจากความปลอดภัยที่เกี่ยวกับงานตอกเสาเข็มแลว ปจจัยอื่นที่ตอง
คํานึงถึงคือ ควัน เสียงรบกวน ความสั่นสะเทือนและการเคลื่อนตัวของดิน
2.3 ควัน เครื่องตอกชนิดดีเซล (Diesel Hammer) ที่ใชกันโดยมากกับงาน
ตอกเสาเข็มเหล็ก ควรเลือกชนิดใหเหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นอยูกับชนิดของเสาเข็มและระดับ
ดินที่ตอกลงไป เครื่องขับตุมตอกไมควรเกาจนกอใหเกิดควันดําอยางมากมาย สถานที่
ตอกนั้ นไมควรอยูใกลกัน เกิน ไป ซึ่งอาจจะทําใหควัน รวมตัว กัน มากขึ้น โดยปกติแลว
เครื่องจะทํางานเต็มที่มีการสันดาปสมบูรณ ควันนอย เมื่อเสาถูกตอกลงไปถึงชั้นดินแข็ง


การใชเทคนิคผสม เชน ใชเครื่องตอกแบบไอน้ํา (Steam Hammer) หรือเครื่องตอก
ธรรมดา (Drop Hammer) ตอกเสาเข็มทอนแรกๆ จนถึงชั้นดินแข็ง กอนใชเครื่องตอก
น่า
ชนิดดีเซล สามารถชว ยลดควันลงไปไดมาก อีกทั้งยังเปน การถนอมรักษาเครื่องตอก
อีกดว ย การกั้น ผ าใบขึงกั้น รอบบริเวณใหสูงพอก็ส ามารถปองกัน ควัน และไอน้ํามิใ ห
ําห
รบกวนผูอาศัยในบริเวณใกลเคียงได ตามมาตรฐานสากล ควรจํากัดคาควันดําเฉลี่ยมิให
เกิน 0.140 มก./ม3 ตอ 24 ชั่วโมง
มจ

2.4 เสียงรบกวน เสีย งดังจากการตอกเสาเข็มมี ความเขมสูงเปนจังหวะ


สม่ําเสมอ สามารถทําลายสุขภาพจิตของผูอาศัยใกลเคียง การสะทอนกองของเสียงใน
ซอกของอาคารสูงๆ กอใหเกิดความรําคาญมากขึ้นไปอีก การใชเครื่องตอกชนิดเสียงเบา
ห้า

ทําปลอกหุมเครื่องตอกลดแรงกระแทกหรือการใชเครื่องอัดอากาศ (Air compressor)


เปาลมระบายความรอนของเครื่องหรือใชผาใบหรือผากระสอบขึงกั้นจะลดการสงผาน
ของคลื่นเสียงเปนวิธีการที่ดีในการชวยลดความดังของเสียงใหนอยลง พยายามอยาใช
เครื่องตอกหลายๆ เครื่องในขณะเดียวกัน เลือกเวลาในการตอกใหเหมาะสม ไมควรตอก
ในเวลากลางคืนขณะที่ผูคนกําลังพักผอน คนงานที่ทํางานใกลเครื่องตอกควรมีอุปกรณ
อุด หู เชน ปลั๊ ก ลดเสี ย ง (Ear plug) หรื อครอบหู เพื่ อ ลดเสีย งดั ง การได ยิ น เสี ย งดั ง
ตลอดเวลาอาจทําใหสูญเสียการไดยิน หรือหูหนวกได
2.5 การสั่ น สะเทื อ นและการเคลื่ อ นตั ว ของดิ น ผลที่ เ กิ ด จากการ
สั่นสะเทือนและการเคลื่อนตัวของดินขณะตอกเสาเข็มที่เห็นไดชัดเจนก็คือการแตกร าว
และการชํารุดของอาคารใกลเคียง ผลจากการเคลื่อนตัวของดินที่ถูกแทนที่โดยเสาเข็ม

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 221
สามารถดันใหพื้นชั้นลางของอาคารขางเคียงโกงขึ้นมาได และเรงการทรุดตัวของชั้นดิน
ออนไดเร็วขึ้น
3) อันตรายจากการทํารูเจาะขนาดใหญ
การทํารูเจาะขนาดใหญในงานกอสราง มักจะเปนงานที่ขุดลึกลงไปเปนปลอง
เพื่ อ เชื่ อ มกั บ อุ โ มงค ห รื อ งานใต ดิ น อื่ น ๆ รวมทั้ ง งานเสาเข็ ม การขุ ด เพื่ อ ซ อ มแซม
หัวเสาเข็มและเตรียมงานสําหรับทําฐานรากอาคาร เหลานี้มักมีจุดที่ทําใหเกิดอันตราย
ได มาก ฉะนั้น ควรมีม าตรการป องกัน อัน ตรายตา งๆ เพื่ อให เ กิด ความปลอดภัย ใน
การปฏิบัติงาน และสิ่งแรกที่ตองระมัดระวังก็คือ การควบคุมงานอยางใกลชิดตลอดเวลา
ที่มีคนงานทํางานอยู ผูควบคุมงานจะตองเปนผูที่รอบรูและมีประสบการณสูง สามารถ
ตัดสินใจไดรวดเร็ว แกปญหาเฉพาะหนาไดอยางทันทวงที หากจะใชผูควบคุมงานใหม
จะตองมีผทู ี่มีประสบการณและมีความชํานาญ คอยใหความชวยเหลือและคําแนะนําอยู
ดวยเสมอ


ประการตอ มาในบริ เ วณที่ ไ มค อ ยมั่ น คง เช น ดิ น เหลวหรื อ มี น้ํ า ไหลเข า มา
น่า
ตลอดเวลาควรใชปลอกเหล็กชั่วคราวใหลึกพนชั้นดินออนเพื่อปองกันดินทับผนังรูเจาะ
พังทลายในกรณีที่ มีน้ําไหลเขาสว นลางของรูเจาะ ถาจะใหคนลงไปทํางานจะตองมี
ําห
เครื่องสูบน้ําที่มีประสิทธิภ าพสูงประจําตลอดเวลา ปกติ คนงานไมควรเสี่ยงลงไปใน
รูเจาะ เมื่อเห็นว าผนังรูเจาะอาจจะพังทลายลงมาได โดยเฉพาะถาไมใชปลอกเหล็ก
ชั่วคราวปองกัน แตในกรณีที่วิศวกรเห็นวาผนังรูเจาะจะสามารถคงสภาพอยูไดโดยไม
มจ

พังทลายเปนระยะเวลาพอสมควรและดินแข็งพอที่จะไมตองใชปลอกเหล็ก หรืออาจใช
เพียงทอนสั้นๆ ไวตรงปากรูเจาะ วิศวกรผูเชี่ยวชาญจะตองศึกษาและใหคํารับรองถึง
ห้า

ความมั่นคงของผนังรูเจาะ ซึ่งคนงานจะสามารถลงไปทํางานไดดวยความปลอดภัย
อยางไรก็ดี ไมควรใหคนลงไปทํางานในรูเจาะที่ปราศจากการปองกันดินพังเกิน
12 ชั่วโมง นับจากการเริ่มเจาะ หรือเกิน 3 ชั่วโมง หลังจากที่เจาะเสร็จ การดําเนินการ
จะตองควบคุมโดยผูเชี่ยวชาญที่มีประสบการณดานนี้โดยเฉพาะ และตองระมัดระวังให
เกิดความปลอดภัยทุกขั้นตอน เชน เตรียมอุปกรณสําหรับชวยเหลือทุกชนิดใหพรอมใน
กรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และไมควรปลอยทิ้งรูเจาะที่มีผนังไมแข็งแรงเหลานี้ไวนานจนเกินไป
เพราะอาจพังทลายไดทุกเวลา ควรเตรียมปลอกเหล็กที่มีขนาดและความยาวใหมากพอ
เพื่อเตรียมไวใชทันทีที่ตองการ
โดยทั่วไป เสาเข็มชนิดเจาะหลอในที่จะตองมีระยะหางระหวางตนไมนอยกวา
3 เทา ของเสน ผานศูนยกลางของเสาเข็ม ในทางปฏิบัติแลว จะไมยอมใหทําเสาเข็ม
ดังกลาวสองตนติดตอกัน โดยมีระยะหางกันนอยกวา 6 เทาของเสนผานศูนยกลางของ

222 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
เสาเข็ม แตในบางกรณีอาจมีความจําเปน ที่ จ ะตองทํารูเจาะสองรูติดตอกัน ในกรณี
เชนนั้น ไมควรอนุญาตใหคนลงไปในรูเจาะหนึ่งในขณะที่รูเจาะอีกรูหนึ่งยังมีน้ําหรือ
สารละลายเบนโทไนทหรือน้ําโคลนที่เกิดจากการเจาะหรือคอนกรีตที่ยังไมกอตัว
สําหรับขนาดรูเจาะที่ยอมใหคนลงไป ควรมีเสนผาศู นยกลางมากกวา 0.75
เมตรขึ้นไป และระยะเวลาทํางานในรู เจาะนั้นไมควรเกินหนึ่งชั่วโมง การสงคนลงไป
ทํางานในรูเจาะจะตองกระทําดวยความรอบคอบโดยทําเปนกรงเหล็กหรือเครื่องหิ้วตัว
และใชอุปกรณที่มีประสิทธิภาพสูง เชนปนจั่นกวานหรืออุปกรณอยางอื่นที่เหมาะสม
ขณะที่คนยังอยูในรูเจาะก็จะตองเตรียมอุปกรณดังกลาวไวใหพรอมตลอดเวลา โดย
ผูควบคุมที่มีความชํานาญ
การชวยเหลือคนที่อยูในรูเจาะเปนสิ่งสําคัญที่สุด ที่จะตองมีผูรับผิดชอบในดาน
ความปลอดภัยคอยประจําอยูตลอดเวลาบนพื้นดินบริเวณที่มีคนลงไปทํางานเพื่อดูวาคน
ที่อยูใน รูเจาะยังเปน ปกติดีห รือหมดสติไปแลว หากวาคนงานหมดสติ หรือเปน ลม


หรื อ บาดเจ็ บ จะต อ งนํ า ออกมาจากรู เ จาะให เ ร็ ว ที่ สุ ด แต ต อ งกระทํ า อย า งนุ ม นวล
ขณะเดียวกันก็เรียกหนวยพยาบาลและหนวยฉุกเฉินตามความจําเปน เมื่อนําคนปวย
น่า
ขึ้น มาจากรูเจาะแลว ควรจะนําทุกคนที่อยูในนั้น ขึ้น มาใหห มดจนกวาจะตรวจสอบ
จนเปนที่แนใจวาปลอดภัยดีแลวจึงอนุญาตใหลงไปทํางานตอได
ําห
ในสถานที่กอสรางแตละแหง ควรมีหนวยพยาบาลและหนวยฉุกเฉิ น รวมทั้ง
หมายเลขโทรศัพทฉุกเฉิน สายตรงถึงโรงพยาบาลที่รับคนไขฉุกเฉินที่อยูใกลส ถานที่
มจ

กอสรางมากที่สุด ชื่อนายแพทยที่ติดตอไดพรอมทั้งคําแนะนําตางๆ ในการปฐมพยาบาล


หมายเลขโทรศัพทของหนวยดับเพลิงที่อาจขอความชวยเหลือได ควรจะพิมพติดไวใน
ที่ๆ เห็นไดงาย
ห้า

4) อันตรายจากปนจั่นสําหรับยกของ
อั น ตรายจากป น จั่ น ที่ ใ ช สํ า หรั บ ยกของนั้ น ส ว นใหญ เ นื่ อ งมาจากความ
รูเทาไมถึงการณและความประมาทของผูที่ทํางานเกี่ยวของกับปนจั่นนั้นๆ อุบัติเหตุที่พบ
มากคือ อุบัติเหตุจากของที่ยกตกหลนมาจากปนจั่น กระแทกถูกโครงสรางของอาคาร
หรือสิ่งกอสรางเสีย หายและบางครั้งก็ห ลน ลงมาทับบุคคลซึ่ง กําลังปฏิบัติงานอยูใ น
บริเวณกอสรางหรือผูซึ่งไมมีสวนเกี่ยวของกับการทํางานของปนจั่นยกของนั้นเลย มีอยู
บางที่ตัวปนจั่นเองไมสามารถรับน้ําหนักของที่ยกขึ้นไปเกินกวาที่ตัวเองจะยกได ทําให
โครงหรือตัวปนจั่นหักลงมาทําความเสียหายใหแกทรัพยสินและชีวิตของบุคคลผูไมมี
สวนเกี่ยวของ รวมทั้งชิ้นสวนประกอบตัวปนจั่นที่ขาดการดูแลเอาใจใสหลวมหลุดและ
หลนลงไปสรางความเสียหายเปนอันตรายแกชีวิตและทรัพยสิน

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 223
สําหรับในกรณีที่ผูปฏิบัติง านเกี่ย วกับปน จั่น ยกของประสบอุบัติเหตุ เองนั้ น
มักจะเกิดจากความประมาท และขาดการดูแลเอาใจใสตอสวนประกอบตางๆทําใหพลัด
ตกลงมาถึงแกชีวิต แมแตปนจั่นลมลงมาทับตัวบุคคลที่ปฏิบัติงานอยูนั้นเสียชีวิตไปก็มี
อยูบางเชนกัน
โดยทั่ ว ๆ ไปในขณะนี้ ป น จั่ น ยกของที่ นิ ย มใช กั น อยู คื อ ป น จั่ น ชนิ ด หอสู ง
(Tower Crane) และรถปนจั่น (Mobile Crane) ซึ่งลักษณะในการปองกันอันตรายจาก
ปนจั่นยกของทั้งสองชนิดนี้ มีลักษณะคลายคลึงกัน นับแตการประกอบติดตั้งชิ้นสวน
ตางๆ เขาดวยกัน ลักษณะการใชงาน การตรวจสอบสภาพของชิ้นสวนหรือสวนประกอบ
ตา งๆ นั บแต ตัว โครง ตั ว ถว งน้ํา หนัก ลวดสลิ ง ที่ใ ช สํา หรับ ผูก ดึง ยกสิ่ งของต า งๆ
จนกระทั่งวิธีติดตั้งและวิธีรื้อถอนปนจั่น
ในการติดตั้ง รื้อถอน ปนจั่นยกของทั้งสองชนิดที่กลาวถึงนับวาเปนสวนสําคัญ
ประการที่ควรคํานึงถึงเปนอยางยิ่ง ทั้งนี้เพราะเปนปญหาแรกที่จะกอใหเกิดอุบัติเหตุ


อันตรายในการใชปนจั่นที่ติดตั้งอยางไมมั่นคงแข็งแรงถูกตองตามลักษณะของการใชงาน
ฉะนั้นจึงจําเปนอยางยิ่งที่จะตองปฏิบัติตามคําแนะนําของผูผลิตอยางเครงครัด อานคูมือ
น่า
การใชใหเขาใจอยางถองแท การสรางฐานรองรับปนจั่นตองแข็งแรงและไดระดับ หรือ
การปรับพื้นบริเวณที่จ ะนํา ปนจั่นขับเคลื่อนเขาไปใชงาน การตรวจสอบชิ้นสวนหรือ
ําห
สวนประกอบตางๆของปนจั่นใหอยูในสภาพเรียบรอยแข็งแรงกอนจะนํามาประกอบ
ติดตั้ง
มจ

ประการสําคัญๆ ผูบังคับปนจั่นจะตองรายงานทันทีที่พบขอบกพรองแมเพียง
เล็ ก น อ ยในระหว า งการตรวจสอบก อ นเริ่ ม ปฏิ บั ติ ง าน เพื่ อ ให วิ ศ วกรที่ เ กี่ ย วข อ ง
ดําเนิน การตรวจสอบและแกไขอันจะเปน ประโยชนในการปองกันอันตรายที่อาจจะ
ห้า

เกิดขึ้นจากขอบกพรองนั้น
นอกจากนี้ สิ่งที่ตองระมัดระวังเพิ่มเติมสําหรับปนจั่นชนิดขับเคลื่อน ก็คือกอน
จะเคลื่อนปน จั่นควรจะล็อ คโครงสรางขางบนเสีย กอนเพื่อปองกัน การหมุน ตัว ขณะ
ปนจั่นเคลื่อนที่จะตองยึดน้ําหนักบรรทุกที่แขวนไวกับตัวปนจั่นใหแนนเพื่อปองกันมิให
แกวงได จะตองหิ้วน้ําหนักบรรทุกใหแนนหนากอนจะยกขึ้นควรจะทดลองยกน้ําหนัก
นอยๆ เสียกอนหากไมแนนจะไดผูกใหมจะตองไมใชลวดสลิงยาวกวาที่ผูผลิตกําหนดไว
เพราะจะทําพัน ไขวกัน และชํารุดเสีย หายไดโดยงาย และควรมีการตรวจสอบพื้น ที่
บริเวณที่จะเคลื่อนปนจั่นเขาไปทํางาน ถาเปนบริเวณดินออนอาจใชวิธีบดอัดใหแนนวาง
ลูกระนาดไม ปูแผนเหล็กทั่วบริเวณ หรือวิธีอื่นที่เหมาะสม และจําเปนอยางยิ่งที่จะตอง
จัดที่วางใหรอบปนจั่นไมนอยกวา 0.60 เมตรเพื่อไวใหคนหลบหลีกอันตรายจากการ
หมุนตัวของปนจั่นขับเคลื่อน
224 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
5) อันตรายจากลิฟตชั่วคราว
ในสถานที่กอสรางที่เปนอาคารสูง การยกยายสิ่งของวัสดุที่ใชงานกอสรางจาก
ชั้นลางขึ้นไปปฏิบัติงานบนชั้นสูงๆ นั้น นอกจากจะใชกําลังคนแบกหามหรือใชปนจั่น
ยกของแลวอาจใชลิฟตขนสงแทนก็ได ลิฟตที่ใชในงานกอสราง ควรแยกออกเปนลิฟต
สําหรับขนสงวัสดุอุปกรณโดยเฉพาะ และลิฟตที่ใชสําหรับคนงานขึ้นลงระหวางชั้นในตัว
อาคาร ลิฟตที่ใชสําหรับขนสงวัสดุไมควรใหคนงานใชโดยสารขึ้นลง เวนแตผูที่มีหนาที่
ควบคุมดูแลวัสดุที่ขนสงนี้เปนการเฉพาะคราว อันตรายที่เกิดจากลิฟตสวนใหญเกิดจาก
การบรรทุกน้ําหนักที่มากเกินอัตราที่จะรับได ขาดการดูแลเอาใจใสสภาพของชิ้นสวน
และอุปกรณของตัวลิฟต เช น นอตยืดตามขอตอตางๆ ของโครงลิฟ ต ลวดสลิงฉุดดึง
กะบะลิฟต เปนตน รวมทั้งความประมาทของผูขับลิฟต
การติดตั้งหอลิฟต ทั้งภายนอกอาคารและภายในอาคารควรใหผูชํานาญการ
ในการติดตั้งเปนผูดําเนินการติดตั้ง และมีวิศวกรควบคุมการติดตั้งอยางใกลชิด ฐานของ


หอลิฟตจะตองใหกวางพอที่จะรับน้ําหนักของหอลิฟตและน้ําหนักบรรทุกในการขนสง
คนงานหรือวัสดุ ที่จะนําไปใชงานและควรกําหนดน้ําหนักที่แนนอนสําหรับการบรรทุก
น่า
น้ําหนักที่ ลิฟต สามารถรับไดไวอยางชัดเจน เพราะจะเปน การปองกัน อันตรายจาก
การบรรทุกน้ําหนักที่เกินอัตราไดในเบื้องตน
ําห
ตัวหอลิฟตจะตองยึดใหแข็งแรงกับตัวอาคารหรือยึดโยงดวยลวดสลิงกับแทน
ตอมอกันการแกวงตัวขณะมีการใชงานสวนบนสุดของหอลิฟต จะตองมีความแข็งแรง
มจ

พอที่จะรับน้ําหนักของรอกน้ําหนักหองบรรทุกหรือกะบะและน้ําหนักของที่จะยกในการ
สรางหอลิฟตที่สูงมากควรสรางเปนสวนๆ โดยการสรางสวนลางใหสูงพอเหมาะกับการ
ใชงานเมื่อสร างอาคารสูงขึ้ น จึงคอยสรา งหอลิฟต ใหสูง ขึ้น ตามเพื่อจะไดเสริมความ
ห้า

แข็งแรงใหกับตัวหอลิฟตมากขึ้น ทางเดิน ซึ่งเชื่อมระหวางอาคารที่กําลังกอสรางกับ


หอลิฟตควรสรางราวกั้นหรือขอบกันตกไวดวยเพื่อปองกันอันตรายจากการพลัดตกของ
คนงานที่เดินเขาออกระหวางหอลิฟตกับตัวอาคาร สําหรับลิฟตที่ใหคนงานโดยสารขึ้น
ลง จะตองปดกั้นหองโดยสารทุกดานยกเวนทางเขาออก ซึ่งอาจทําเปนประตูสําหรับปด
ในขณะที่ลิฟตกําลังเคลื่อนที่ เครื่องยนตและเครื่องควบคุมลิฟต ก็ควรที่จะทําเปนหอง
มีห ลั งคาป ดเพื่ อป องกัน อุ บัติ เหตุของตกใส และประตูห องสามารถใสกุ ญแจได เพื่ อ
ปองกันผูไมมีหนาที่เกี่ยวของเขาไป
ผูขับลิฟตเปนหัวใจในการใชลิฟตเปนอยางมาก เพราะเปนผูกุมชะตาชีวิตของ
คนโดยสารลิฟตทั้งหมด ฉะนั้นจึงตองใหมีคนขับ ลิฟตโ ดยเฉพาะประจําสําหรับลิฟต
แตละตัวตองเปนผูชํานาญในการบังคับลิฟตดวย ผูขับลิฟตจะตองเปนผูตรวจสภาพของ
เครื่องบังคับ เบรค ลวดสลิงและตรวจสอบสภาพของหอลิฟตกอนการใชงานในแตละวัน
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 225
หากพบขอบกพรองใดๆ ตองรีบแจงใหวิศวกรผูเกี่ยวของทราบโดยดวนเพื่อหาทางแกไข
และควรงดการใชลิฟตจนกวาจะทําการแกไขซอมแซม จนอยูในสภาพที่ดีพรอมแลว
จึงใหมีการใชลิฟตตอไป
6) อันตรายจากนั่งรานและค้ํายัน
สวนใหญมักมาจากความรูเทาไมถึงการณของผูสราง ไมรูถึงความแข็งแรงที่
เพียงพอในการรับน้ําหนัก จึงปรากฏอยูเสมอถึงการพังของนั่งรานและค้ํายันลงมาทับ
ผูคนถึงแกชีวิตฉะนั้นในการสรางนั่งรานหรือค้ํายัน จึงตองมีวิศวกรที่เกี่ยวของคอยให
คําแนะนํา ออกแบบและควบคุมการสรางเพื่อใหเกิดความปลอดภัยแกคนงานผูขึ้นไป
ปฏิบัติงานบนนั่งรานหรือค้ํายันนั้นๆและจําเปนอยางยิ่งที่จะตองมีการตรวจสอบสภาพ
ของนั่งรานหรือค้ํายันอยางสม่ําเสมอถาพบวานั่งรานสวนใดเกิดการชํารุดเสียหายหรือ
เกิ ด จุ ด อ อ นเนื่ อ งจากเหตุ ใ ดก็ ต ามจะต อ งได รั บ การซ อ มแซมทั น ที และห า มไม ใ ห
ผูปฏิบัติงานใชนั่งรานนั้นจนกวาจะไดซอมแซมเสร็จเรียบรอยแลว


ในการสรางนั่งรานไมวาจะเปนแบบแขวนลอยจากสิ่งมั่นคงเบื้องบนหรือรองรับ
น่า
จากพื้นจะตองรับน้ําหนักไดโดยปลอดภัยตามที่วิศวกรไดคํานวณออกแบบไว มีราวกัน
ตกตามแนวยาวดานนอกนั่งรานตลอดไปจนสุดปลายทางเดินบนนั่งราน เวนไวแตชองที่
ําห
จําเปนตองเปดเพื่อขนถายสิ่งของ เสานั่งรานตองตั้งใหอยูในแนวดิ่ง และมีค้ํายันรับ
ตามลําดับเพือ่ ใหเสามั่นคงและรักษาแนวดิ่งไวตงนัง่ รานจะตองวางอยูบนคานนั่งรานโดย
วางชิดแนบกับเสา ที่ใดซึ่งมีตงนั่งรานวางรับพื้นอยูไมตรงกับเสาจะตองเสริมไมคานชวย
มจ

รองรับตามความจําเปน
สําหรับนั่งรานแขวน เหล็กแขวนรับจะตองเปนแบบมาตรฐาน โดยมีฐานรับ
ห้า

ดานลางเพื่อยึดนั่งรานที่พับขึ้นเพื่อยึดรั้วกันตกมีหวงเพื่อรอยเชือกทําเปนราวกลาง ดาน
ปลายบนทําเปนขอหรือหวงไวแขวนกับขอเกี่ยว ซึ่งยึดไวกับสวนอาคารบนที่สูงที่แข็งแรง
ซึ่งยื่น ล้ําออกมานอกผนัง นั่ งรานทุกชนิด ควรมี ตาขายขึ งไวเพื่อดักวั ตถุที่ห ลน ลงมา
ตาขายนี้จะตองขึงใหระยะเลยแนวนั่งรานออกไป เพื่อปองวัตถุที่หลนลงมาจากขอบ
นั่งราน และติดตัวตะแกรงดานขางทางเดินบนนั่งรานเพื่อปองกันวัตถุหลนลงไป จนเปน
อันตรายตอผูปฏิบัติงานขางลาง และไมควรกองวัสดุหรือเก็บกองสิ่งของไวบนนั่งราน
เพราะจะเปนการเพิ่มน้ําหนักใหแกนั่งราน และไมเปนการปลอดภัยหากวัสดุหรือสิ่งของ
นั้น ตกลงไปถูกผู ปฏิบัติง านที่อยู ในชั้น ล าง วั ส ดุและเครื่องมือซึ่งกองบนพื้ น นั่งรา น
ควรเก็บใหเรียบรอยเมื่อเสร็จงานในแตละวัน

226 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
7) อันตรายจากไฟฟาและไฟไหม
อันตรายจากไฟฟา ไฟฟาชอต จากเครื่องมือหรืออุปกรณไฟฟาที่นํามาใชในงาน
กอสรางแลวเกิดชํารุดเสียหายทําใหเกิดไฟรั่วจากเครื่องมือเหลานี้ อาจทําใหผูใชอุปกรณ
นั้นถูกไฟดูดตายได ฉะนั้นอุปกรณไฟฟาตางๆ เชน สวานไฟฟาเครื่องสูบน้ําชนิดจุมลงไป
ในน้ําที่นิยมใชกันอยูอยางแพรหลาย กบไฟฟา เครื่องเชื่อมไฟฟา เหลานี้เปนตน หาก
อุปกรณไฟฟาที่นํามาใชงานนั้นเกาหรือชํารุด สายไฟฟาอาจรั่วอยูภายในหรือภายนอก
เขาสูรางกายของคนงาน ผลก็คือพิการหรือไมก็ถึงตายได
ฉะนั้นอุปกรณไฟฟาทุกชนิดที่จะนํามาใชงาน ควรจะไดมีการตรวจสอบสภาพ
ซอมแซมแกไขโดยผูรูหรือชางผูชํานาญโดยเฉพาะ ในบางกรณีที่ไมสามารถซอมแซม
ใหอยูในสภาพที่ดีไดก็ควรจะเปลี่ยนใหม ไมควรใชวิธีซอมหรือแกไขแบบชั่วคราวหรือขอ
ไปทีเชน ไฟรั่วที่สวานไฟฟาก็เอาผาเทปพันรอบมือจับอยางนี้เปนตน เพราะเปนการแกที่
ปลายเหตุควรจะตองหาสาเหตุของไฟฟารั่วนั้นใหพบ แลวแกไขจนกระทั่งไมรั่วอีกจึงจะ


นําไปใชงานไดการเลือกใชอุปกรณไฟฟาจึงควรเลือกแตอุปกรณเครื่องมือที่ไดมาตรฐาน
และผานการทดสอบรับรองความปลอดภัยในการใชงานจากสถาบันที่ไดรับความเชื่อถือ
น่า
8) อันตรายจากการกอสรางและการรื้อถอนที่ผิดวิธีและหลักวิชา
ําห
การกอสรางที่ผิดวิธีและหลักวิชานั้น สวนมากมักเปนการกอสรางที่มีลักษณะ
โครงสรางพิเศษ เชน โครงสรางที่ใชระบบคอนกรีตอัดแรง โครงสรางสะพานโคง หรือ
โครงสรางหลังคาเปลือกบาง เปนตน ซึ่งการกอสรางจําเปนจะตองใชความระมัดระวัง
มจ

เป น พิ เ ศษ และต อ งปรึ ก ษาวิ ศ วกรผู อ อกแบบอย า งใกล ชิ ด เนื่ อ งจากการดึ ง ลวด
คอนกรีตอัดแรงมักจะไมมีการปองกันอันตรายในกรณีที่ลวดเกิดขาดขึ้นมาและถาลวดที่
ห้า

ดึงไวเต็มที่ขาด ความแรงของลวดที่สะบัดออก สามารถทําอันตรายแกคนที่อยูใกลๆ ถึง


แกชีวิตได การเทคอนกรีตหลังคาเปลือกบางก็เชนกัน จะตองเทคอนกรีตเสร็จหมดทั้ง
หลังคา และคอนกรี ตมีกําลังสู งพอตามกํ าหนดเวลาเสีย กอนจึงจะถอดแบบหลอได
ถาถอดแบบหลอขณะที่คอนกรีตบางสวนยังไมไดเทหรือ เทเสร็จใหมๆ หลังคานั้นอาจ
พังลงมาได
ในการกอสรางอาคารโครงสรางทั่วไปที่ใชอยูนั้น อันตรายที่เกิดขึ้นมักจะมาจาก
การรื้อถอน ค้ํายัน และแบบหลอคอนกรีตกอนกํา หนดเวลาที่คอนกรีตมีกําลังสูงพอ
ทําใหโครงสรางอาคารสวนนั้นพังทลายลงมา การตั้งแบบหลอค้ํายันที่ถูกตองตามวิธีการ
และไมแข็งแรงพอก็สามารถที่จะทําใหเกิดอันตรายจากการพังทลายลงมาทั้งที่เพิ่งจะเท
คอนกรีตเสร็จก็เปนได เพราะไมสามารถรับน้ําหนักของโครงสรางนั้นได

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 227
การรื้อถอนอาคารก็นับวามีอันตรายไมนอยกวาการกอสราง อาจจะมากกวา
ดวยซ้ํา เพราะผูที่รื้อมักจะไมทราบลักษณะที่แทจริงของโครงสรางอาคารที่ตนกําลังรื้อ
ทําใหเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นทั้งผูเกี่ยวของและผูที่ไมเกี่ยวของกับการรื้อถอนอยูบอยครั้ง
เชน การรื้อสะพานโคงที่ทําดวยคอนกรีต ถาคนงานเริ่มรื้อดวยการทุบสวนโคงกอน เมื่อ
สวนโคงถูกทุบออกเพียงบางสวน โครงสรางทั้งหมดก็จะพังทลายลงมาทันทีเปนเหตุให
คนงานตอ งบาดเจ็ บและถึงแกชีวิตได ทั้งนี้เพราะคนงานไมเขาใจถึงพฤติ กรรมของ
โครงสรางของสะพานนั้นแมในโครงสรางอาคารทั่วไป หากรื้อถอนไมถูกวิธีก็จะมีผ ล
เชนเดียวกัน
ความปลอดภัยของปนจั่น
1) ปนจั่นชนิดหอสูง (TOWER CRANE) เปนปนจั่นประเภทหนึ่งที่ตั้งอยูกับที่
ใชในการยกและยายของที่มีน้ําหนักมากๆ ภายในหนวยงานกอสรางทั่วไป การทํางาน
ของปนจั่นจะผานสลิงซึ่งทําดวยลวดเหล็กเสนเล็กๆ ถักสานเปนโครง ตัวปนจั่นเองมี


โครงสรา งเป น เหล็ ก ถั ก (Steel truss) เพื่ อให ส ามารถรั บ น้ํ าหนั ก (Load) ได ต ามที่
น่า
ออกแบบ ทั้งนี้ในการยกวัสดุอุปกรณหรือสิ่งของใดๆ ก็ตามจําเปนตองรูขอมูลเบื้องตน
ของวัสดุอุปกรณหรือสิ่งของนั้น เพื่อใหเกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน
ําห
2) รถปนจั่น (MOBILE CRANE) ป จ จุ บั น ใ น ง า น ก อ ส ร า ง โ ร ง ง า น
อุตสาหกรรมขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ หรืองานกอสรางอื่นๆ มีความจําเปนในการใช
มจ

รถปนจั่น หรือบางครั้งเรียกวารถยก ไดเขามามี บทบาทในงานกอสรางอยางมากมาย


ซึ่งปนจั่นเหลานี้จะมีแบบขนาดที่แตกตางกันไป สําหรับในบทนี้จะกลาวถึงการใชงานรถ
ห้า

ปนจั่นที่ผูรับผิดชอบและผูปฏิบัติงานควรจะมีความรูและความเขาใจที่ถูกตอง
พิกัดน้ําหนักกับฐานของปนจั่น (CONFIGURATION OF CRANE BASE)
ความสามารถในการยกของป น จั่ น แต ล ะชนิ ด ที่ แ สดงอยู ใ นโหลดชาร ท นั้ น
จะต อ งดู ว า ฐานของป น จั่ น นั้ น ตั้ ง อยู ใ นลั ก ษณะอย า งไร สามารถแบ ง ออกได เ ป น
3 ลักษณะ

228 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร

น่า
ําห
มจ
ห้า

รูปที่ 14.28 การยกของปนจั่นแตละชนิด

ขอกําหนดทั่วไปในการใชปนจั่นในงานกอสราง
 แผนงานกอนการปฏิบัติงานและวิธีปฏิบัติงานจะตองไดรับการตรวจสอบวา
มีความปลอดภัยจากหัวหนางาน
 จะตองติดปายเตือน อันตราย หามเขาเขตกอสรางกอนไดรับอนุญาต และ
ทําการลอมรั้ว หรือการขึงเชือกโดยมีขอความใหเห็นเดนชัด

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 229
 ทําการตรวจสอบสภาพความแข็งแรงของถนน และจะตองไมมีสิ่งกีดขวาง
ในกรณีที่สภาพความแข็งแรงของพื้นถนนไมเพียงพอ จะตองทําการเสริมพื้นใหสามารถ
รับน้ําหนักและมีขนาดความกวางเพียงพอสําหรับรถปนจั่น
 รถปนจั่นและกวาน จะตองทําการล็อคหรือใสเบรคไวใหมั่นคง ในกรณีที่
ไมไดใชงาน
 รถปน จั่น จะตองไดรับการตรวจสอบสภาพตามระยะเวลาตามกฎหมาย
ความปลอดภัย โดยมีวิศวกรเครื่องกลที่ไดรับอนุญาตระดับสามัญวิศวกร
 รถปนจั่นและกวาน จะตองไดรับการตรวจสภาพทั่วไปเปนประจําเดือน
 งานยกของจะเริม่ งานไดจะตองไดรับการตรวจสอบ และยืนยันถึงสภาพของ
ความปลอดภัยอยางเพียงพอโดยหัวหนางาน หรือวิศวกรควบคุมงาน
 รถปน จั่น จะตองอยูในตําแหนงแนวราบและมั่น คง จะตองมีแผ นเหล็กที่
แข็ ง แรงเพี ย งพอรองรั บ Outrigger ของรถเครน Outrigger จะต อ งอยู ใ นตํ า แหน ง
ปลอดภัยและ Knob pins จะตองอยูในตําแหนงนิรภัย


น่า
 ผู ค วบคุ ม รถป น จั่ น จะต อ งอยู ป ระจํ า ที่ เ ครื่ อ งกว า นตลอดระยะเวลาที่
ปฏิบัติงาน
ําห
 มุมยกของ Boom จะตองอยูในชว ง 30º - 80º นอกจากกําหนดไวตาม
คุณลักษณะของแตละบริษัทผูผลิต และในกรณีที่ตองใช Jib จะตองใหสั้นที่สุด
มจ

 เครื่องบอกตําแหนงมุมยก (Angle Indicator) จะตองติดตั้งไวในตําแหนงที่


ผูควบคุมรถเครนสามารถมองเห็นไดอยางชัดเจน เพื่อตรวจสอบมุมของการยก Boom
ของรถเครนจะตองอยูในตําแหนงต่ําสุด และ Hook จะตองอยูในตําแหนงที่ปลอดภัย
ห้า

เมื่อเครนไมมีการใชงาน
 ขณะขับเคลื่อนปนจั่น Boom จะตองอยูในตําแหนงต่ําสุดและจะตองจัดหา
ผูชวยผูควบคุมรถปนจั่นเพิ่มอีก 1 คน
 ระยะหางปลอดภัยจากสายสงไฟฟาแรงสูง จะตองไมนอยกวา 3.00 เมตร
 ในกรณีมีความจําเปนตองทํางานบริเวณสายสงไฟฟาแรงสู ง จะตองไดรับ
อนุญาตจากวิศวกร โดยสมควรจะใชระบบใบอนุญาต และดูแลเรื่องความปลอดภัยโดย
วิศวกรไฟฟา และจะตองทําการปองกันสายสงแรงสูงหรือทําการปลดวงจรไฟฟา
 ทําการตรวจสอบความแข็ งแรงของพื้น ที่ที่ป น จั่ น จะทํ าการยกหรือ จอด
ถามีความแข็งแรงไมเพียงพอจะตองทําการเสริมพื้นหรือการใชแผนเหล็กเสริม

230 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
 ผูควบคุมรถปนจั่นจะตองผานการฝกอบรม และไดรับอนุญาตจากวิศวกร
ควบคุมงานของบริษัทฯ
 ในขณะยกของโดยรถปนจั่นจะตองมีผูควบคุมงานและผูใหสัญญาณที่ไดรับ
มอบหมายใหปฏิบัติหนาที่ โดยวิศวกรควบคุมงานที่ทราบขั้นตอนของการปฏิบัติงาน
และจะต อ งยื น อยู ใ นตํา แหนง ที่ ส ามารถเห็ น ความเคลื่ อนไหวของสิ่ งของที่ ย ก และ
ผูควบคุมปนจั่นไดอยางชัดเจน
 พิกัดของปน จั่นที่จ ะใชยกของจะตองไดรับการพิจารณาวาปลอดภัยโดย
วิศวกรควบคุมงาน
 ขนาดน้ําหนักและจุดศูนยถวงของการยก จะตองไดรับการพิจารณาอยาง
รอบคอบและตองไดรับการตรวจสอบวาถูกตอง โดยผูควบคุมงานหรือวิศวกร
 สัญญาณเตือนเมื่อยกน้ําหนักเกิน (Overload Alarm) และสัญญาณเตือน
ของระยะการยกจะตองมีประจํารถปนจั่นและใชงานได


 กอนลงมือปฏิบัติงานทุกครั้ง จะตองมีการตรวจสอบสภาพของการใชงาน
น่า
เกี่ ย วกั บระบบเบรค Limit Switch สลิ ง เชื อ ก อุ ปกรณ ก ารยก และจะต องทดลอง
ควบคุมรถปนจั่นโดยไมมี Load
ําห
 ขณะทําการยกของจะตองทดสอบการยก โดยใชปนจั่นยกของขึ้นและคางไว
ที่ร ะยะประมาณ 10 ซม.จากพื้น แล วตรวจสอบสภาพตางๆ ของปน จั่น และอุปกรณ
เพื่อใหแนใจวาปลอดภัย
มจ

 ขณะปฏิ บั ติ ง านเมื่ อ พบว า มี ค วามเสี่ ย งเกิ ด ขึ้ น ให ห ยุ ด งานและแจ ง ให


ผูควบคุมงานหรือวิศวกรทราบเพื่อทําการแกไข
ห้า

 หามปฏิบัติการยกของโดยใชปนจั่น ในกรณีที่สภาพอากาศไมเอื้ออํานวย
เชน ในขณะที่ฝนตก ลมแรง ในเวลากลางคืน และถาจําเปนตองปฏิบัติงานภายใตภาวะ
ดังกลาวจะตองไดรับอนุญาต จากผูจัดการควบคุมโครงการ โดยใชระบบใบอนุญาต
ในการทํางานและจะตองจัดหามาตรการความปลอดภั ยเพิ่มเติมเชน ระบบแสงสวาง
ฯลฯ
 จะตองไมใชงานเกินพิกัดน้ํา หนักที่ระบุไว และจะตองควบคุมการยกของ
ไมเกิน 90% ของพิกัดการยก ซึ่งอานไดจากเข็มบอกพิกัดน้ําหนักที่ปลอดภั ยจะตอง
คํานึงถึงน้ําหนักของสลิง ตะขอภายใตภาวะน้ําหนักตางๆ
 หัวหนางานหรือวิศวกร จะตองควบคุมการยกของ ควบคุมของ ใหเคลื่อนที่
อยางชาๆ ราบเรียบและสม่ําเสมอ การคางน้ําหนักเกินควรหรือการยกของเกินพิกัดเปน
การทํางานผิด
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 231
 ห า มทํ า การยกของในลั ก ษณะเยื้ อ งศู น ย ห รื อ ไม อ ยู ใ นแนวดิ่ ง พร อ มกั บ
การเคลื่อนที่ของสิ่งที่ยก
 การเคลื่อนตัวของ Boom จะตองกระทําอยางชาๆ (Slow Rotation) เพื่อ
ปองกัน แรงหนีศูนย ที่จะทําใหปนจั่นเสียการทรงตัว
 หามคนงานติดไปกับสิ่งของที่จะยกโดยปนจั่น
 สลิงของปนจั่นจะตองทําการมวนกลับเขาที่จนหมด เมื่อเลิกปฏิบัติงาน

มาตรฐานของงานยก
 งานยกของทุกชนิดจะกระทําไดก็ตอเมื่อไดรับอนุญาตจากหัวหนางานหรือ
ผูควบคุมงานที่เกี่ยวของเทานั้น
 น้ําหนักสิ่งของที่จะทําการยกจะตองทําการรวมน้ําหนักของที่เกี่ยวของเปน
น้ําหนักรวม (Total Weight)


 สลิงที่จะใชงานจะตองไดรับการตรวจสอบเปนประจําทุกเดือน
น่า
 สลิงและเชือกที่เกี่ยวของกับงานยกจะตองมีคุณภาพดี ปราศจากสนิมหรือ
สภาพของเสนลวดฉีกขาด และผลิตจากวัสดุที่มีความแข็งแรงและไดมาตรฐาน
ําห
 สลิงหรือเชือก จะตองทําการเปลี่ยนใหมทันที เมื่อพบสภาพวิกฤตจํานวน
ของเสนลวดเกินกวา 10% ของทั้งหมด เสนผาศูนยกลางของสลิงหรือเชือกลดลง 5%
มจ

 จะตองยกของโดยใชสลิงอยางนอย 2 เสนและมุมของสลิงตองไมเกิน 60º


 Safety Factor ของสลิงจะตองมากกวา 5 เทา
ห้า

 จะตองมีเชือก Guy Rope เพื่อชวยประคองวัสดุขณะทําการยกโดยเฉพาะ


วัสดุที่มีขนาดความยาวหรือสภาพที่ไมสมดุล
 ตะขอ (Hook) จะตองอยูในตําแหนงกึ่งกลางของจุดศูนยถวงของวัสดุที่จะ
ทําการยกในกรณีที่จุดศูนยถวงไมไดอยูกึ่งกลางของวัสดุ จะตองไดรับการควบคุมและ
กําหนดวิธีการยกใหปลอดภัยเพื่อปองกันไมใหเกิดการสวิงการพลิกตัว หรือตกลงมาของ
วัสดุโดยวิศวกรควบคุม
 หามคนงานปฏิบัติงานอยูใตวัสดุที่กําลังยกของโดยรถปนจั่น
 สลิงและอุปกรณการยกจะตองทําการปลดออกหลังจากวัสดุที่ทําการยกเขา
สูตําแหนงที่สมดุลและปลอดภัยแลว

232 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
การตรวจสอบและการซอมบํารุง
 การดูแลระบบหลอลื่นของอุปกรณที่มีการหมุนเวีย น หรือขอตอบานพับ
ตางๆ เปนประจํากอนลงมือปฏิบัตงิ านทุกวัน
 ตรวจสอบทั่วไป เพื่อหาจุดบกพรอง หรือเสีย หายของระบบควบคุมเปน
ประจํากอนลงมือปฏิบัติงานทุกวัน
 ตรวจสอบความปลอดภัยของปนจั่น ใชวิธีการดูดวยสายตาและการตรวจ
สภาพทางเครื่องกล ซึ่งจะตองอาศัยคูมือของปนจั่นจากบริษัทผูผลิตตางๆ เชน ระบบ
ควบคุมการใชไฮโดรลิกสและขอบังคับระบบเบรค อุปกรณนิรภัย ตุมน้ําหนัก สลัก หูหิ้ว
ตะขอ ระบบกระจายเสียง การตรวจสอบรอยแตกราวของอุปกรณการยก แทนหมุน
ประจํารถเครน อุปกรณควบคุมระบบไฟฟาระบบสงกําลัง โครงสรางที่รับน้ําหนักของรถ
ปนจั่นอุปกรณครอบเพื่อความปลอดภัยตางๆ อุปกรณดับเพลิงประจํารถปนจั่น เปนตน
 เมื่อพบขอบกพรองตางๆ ในระหวางการตรวจสอบประจํา ผูที่ทําหนาที่ใน


การตรวจสอบจะตองจัดทํารายงานใหแกผูควบคุมงานหรือวิศวกรผูควบคุม และจะตอง
น่า
ไดรับการแกไขใหอยูในสภาพที่สมบูรณจึงจะไดรับอนุ ญาตใหนํารถปนจั่นไปใชงานได
โดยจะติดใบอนุญาตการตรวจสอบและลงนามโดยวิศวกรทุกครั้ง การตรวจสอบจะ
กระทําทุกๆ 3 เดือน
ําห
 การบํารุงรักษาทั่วๆ ไป เชน การเปลี่ยนถายน้ํามันเครื่อง น้ํามันใชไฮโดร
ลิกส ไสกรองตางๆ ใหเปนไปตามคูมือปฏิบัติประจํารถปนจั่นของแตละบริษัท และ
มจ

จะตองมีบันทึกไวที่รถปนจั่นสามารถตรวจสอบไดตลอดเวลา
 เมื่อพบขอบกพรองตางๆ ขณะใชงาน ผูบังคับรถปนจั่นจะตองทํารายงานถึง
ห้า

ผูควบคุมทุกครั้งเพื่อแกไข
อุปกรณความปลอดภัยของรถปนจั่น
 เพื่อความปลอดภัยและเปนการปองกัน การสูญเสีย ที่จะเกิดขึ้น อุปกรณ
ความปลอดภัยเปนสิ่งจําเปนและจะตองจัดหาตามสภาพของงานและวิศวกรผูควบคุม
งานจะตองกําหนดขึ้นนอกเหนือจากอุปกรณความปลอดภัยที่มีอยูในระบบการยก
 ระบบควบคุมรถปนจั่น และพิกัดน้ําหนักจะตองทําการควบคุมดวยระบบ
Power Up และ Power Down
 หามปลอยใหน้ําหนักตกลงเองดวยแรงโนมถวงของโลก
 Boom และระบบ Swing Gear จะตองมีอุปกรณนิรภัย DOG ที่ปองกัน
มิใหน้ําหนักของที่จะยกเคลื่อนตัว
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 233
 ระบบสงกําลังและระบบขับเคลื่อนตางๆ จะตองมีครอบนิรภัย
 หามทําการปรับแตงเครื่องยนตหรือซอมบํารุงขณะที่รถปนจั่นทํางาน
 อุ ป กรณ ค วามปลอดภั ย ประจํ า รถป น จั่ น ที่ จ ะต อ งจั ด ให มี Load Chart
Radius Chart พิกัดน้ําหนัก และเครื่องแสดงผลเข็มบอกรัศมีระยะทํางานอุปกรณนิรภัย
เมื่อ Boom เลื่อนขึ้นตําแหนงสูงสุด (Boom Up) และเมื่อ Boom อยูในตําแหนงต่ําสุด
(Boom Down)

ขอควรปฏิบัติขณะยกของโดยรถปนจั่น
 Side Load เปนลักษณะของการลาก Load ขณะอยูบนพื้น และทําการยก
ของขึ้นทันที ลักษณะนี้จะเปนอันตรายอยางมาก ซึ่งตองไดรับการควบคุมการทํางาน
อยางใกลชิดจากวิศวกรควบคุมการทํางาน
 Load Movement การเคลื่อน Load อยางรวดเร็วขณะทําการยก จะเกิด


แรงอยางมากที่ตะขอยก โดยเฉพาะขณะที่เคลื่อน Load แลวเบรคกะทันหัน ซึ่งแรงอาจ
มากพอที่จะทําใหรถปนจั่นเสียการทรงตัว
น่า
 มุมของการยกเปลี่ยนไป (Change in Load Radius) มุมหรือรัศมีของ
ําห
การยกอาจเปลี่ยนไปขณะทําการยก ซึ่งอาจจะเกินพิกัดของการยก หรืออาจทําใหเสีย
การสมดุลของจุดศูนยถวง การเปลี่ยนแปลงของมุมการยกอาจเกิดเนื่องจากในขณะ
เริ่มตนการยก เนื่องจาก Boom คดงอ หรือเสียรูปไป ขอควรระวังอีกเรื่องคือ ระหวาง
มจ

Swing Load จากดานหลังมาดานขางของตัวรถเครน


 Swinging การแกวงตัวของระบบการยกอาจกอปญหารายแรงได เนื่องจาก
ห้า

จะทํ า ให เ กิ ด การเพิ่ ม ขึ้ น ของรั ศ มี ก ารยกซึ่ ง ทํ า ให Boom ได รั บ ความเสี ย หายได
อันเนื่องมาจาก Side Load ได และบางครั้งอาจทําใหปนจั่นเกิดพลิกคว่ําได
 แรงลม มีผลตอพิกัดการยก เชน ทําให Load ถูกผลักออกจากระยะการยก
ซึ่งอาจจะเลยระยะของ Load Radius หรือบางครั้ง Load อาจถูกแรงลมทําใหวิ่งเขาหา
ตัวรถปนจั่นหรือ Boom ซึ่งจะมีผลโดยตรงกับตะขอ
 ระยะเวลาของการใชง านรถปน จั่น รถปน จั่น ที่ใ ชงานหนัก เชน ทํางาน
ติดตอกัน หลายชั่ ว โมง ในทางปฏิบั ติจ ะกําหนดใหพิกัดการยกสูงสุ ดประมาณ 80%
เนื่ อ งจากระบบไฮโดรลิ ก การหล อ ลื่ น หรื อ การหล อ เย็ น อาจทํ า งานได ไ ม เ ต็ ม
ประสิทธิภาพ

ขอควรปฏิบัติในการทํางานของปนจั่นใกลระบบไฟฟา
234 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
 ติดตอขอหุมสายไฟฟาชั่วคราว หรือขอยายสายชั่วคาว โดยประสานกับเขต
พื้นที่ของการไฟฟาทีป่ ฏิบัติงาน
 จัดทํ าแผงกั้น ที่มี ความแข็ง แรงไมใ หบุค คลหรื อสิ่ งของไปสั มผั ส เกี่ย วกั บ
สายไฟฟา
 จัดทําปายเตือนสําหรับผูปฏิบัติงานและผูที่เกี่ยวของ
 จัด ฝ กอบรมให ความรู แ กพ นั ก งานและผูที่ เ กี่ ย วข องก อนปฏิ บัติ ง านใกล
สายไฟฟา
 ระยะหางที่ปลอดภัยสําหรับตัวปนจั่นหรือวัสดุที่ยกคือ
- กําลังไฟฟาแรงดันไมเกิน 50,000 โวลต ตองหางไมนอยกวา 3.00 เมตร
- กําลังไฟฟาแรงดันไมเกิน 69,000 โวลต ตองหางไมนอยกวา 3.20 เมตร
- กําลังไฟฟาแรงดัน ไมเกิน 115,000 โวลต ตองหางไมนอยกวา 3.65
เมตร


- กําลังไฟฟาแรงดัน ไมเกิน 230,000 โวลต ตองหางไมนอยกวา 4.80
เมตร
น่า
ความปลอดภัยสําหรับโครงสรางชั่วคราว
ําห
อันตรายจากนั่งราน มักจะพบเสมอในหนวยงานกอสราง เพราะมีการใชงาน
ตลอดเวลา ตั้งแตเริ่มตนจนสิ้นสุดงานกอสราง กลาวคือเมื่อเริ่มกอสรางชั้นที่สองขึ้นไป
มจ

ตองทํานั่งราน และค้ํายันจนกระทั่งโครงสรางทั้งหมดเสร็จจึงเริ่มงานตกแตงภายในและ
ภายนอกการตกแต ง ภายนอกต อ งตั้ ง นั่ ง ร า นจากชั้ น ล า งสุ ด จนกระทั่ ง ถึ ง ชั้ น บนสุ ด
ห้า

ถาโครงสรางสูงมากอาจใชนั่งรานชนิดแขวนเขาชวย เพื่อใหการตั้งนั่งรานจากขางลางไม
ตองตอชั้นไปสูงมากนัก อันตรายที่มักเกิดขึ้นกับผูปฏิบัติงานในการใชนั่งราน ไดแก
1). การพังของนั่งรานเปนสาเหตุที่ทําใหคนไดรับอันตรายอยางมาก การพัง
ของนั่งรานมีสาเหตุมากมาย เชน
 รับน้ําหนักการบรรทุกมากเกินไป เปนเพราะคนงานขึ้นไปมากเกินไป
หรือกองวัสดุไวมากเกินไป
 วัสดุที่นํามาใชไมสมบูรณ เชน ใชไมเกาจนเนื้อไมยุย หรือเปนเหล็กที่
คดงอเปนสนิม
 การประกอบหรือติดตั้งไมถูกตอง ถาเปนนั่งรานไมมีการยึดดวยตะปู
นอยหรือไมถูกวิธี หรือนั่งรานเหล็กใชสวนประกอบไมครบ

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 235
 ฐานของนั่งรานไมมั่นคงแข็งแรง วางบนดินออน บนเศษไมผุ หรือวัสดุ
ที่ไมแข็งแรงพอที่จะรับน้ําหนักวัสดุได
 จากการทํางานไมถูกวิธี เชน การเทพืน้ คอนกรีต โดยใชปมคอนกรีตจะ
ไมไหลตามทอและจะสุมเปนกอง ถาคนงานไมขยับปลายทอ เพื่อเปลี่ยนที่กองคอนกรีต
ใหม หรือเกิดจากคนงานโกยคอนกรีตไมทันก็จะมีคอนกรีตกองใหญ ซึ่งคอนกรีตนี้จะมี
น้ําหนักมาก (1 ลูกบาศกเมตรหนักประมาณ 2,400 กิโลกรัม) ถาคิดรวมกับน้ําหนักของ
คนงานที่ขึ้นไปปฏิบัติงานแลว จะทําใหค้ํายันบริเวณนั้นรับน้ําหนักเกินกวาที่ออกแบบไว
เปนสาเหตุใหค้ํายันพังทลาย
2) คนงานตกลงมาจากนั่งรา น ไมใชมีส าเหตุจ ากนั่งรานพังเทานั้นที่ ทําให
คนงานตกลงมา แตยังมีสาเหตุอื่นๆ อีก ที่ทําใหคนงานตกลงมาจากนั่งราน เชน
 คนงานประมาทเลิ น เล อ เดิ น สะดุ ด วั ส ดุ บ นนั่ ง ร า นแล ว พลั ด
ตกลงมา


 คนงานทํางานเพลิน ทําใหกาวผิดเพราะไมทันสังเกตมองพื้นทางเดิน
น่า
บนนั่งราน เชน ถอยหลังเพื่อใหทํางานถนัดโดยไมดูวาตอนนี้ยืนอยูริมนั่งรานแลว
 อาจจะเปนโรคปจจุบันทันดวน เชน เปนลม หนามืด ก็อาจจะทําใหตก
ําห
ลงมาได
 เกิ ด จากการพั ด ของลมอย า งแรง เช น ขณะทํ า งานเกิ ด มี ฝ นตก
กะทั น หั น และลมพั ด แรง พั ด เอาคนงานตกลงมา กรณี เ ช น นี้ มี ค นงานก อ อิ ฐ
มจ

โดนลมพัดทัง้ คนทั้งกําแพงอิฐที่ยังกอไมเสร็จตกลงมาเสียชีวิต
3) การพังทลายของนั่งรานตกลงมาโดนอาคารที่อยูรอบขาง หรือบานพัก
ห้า

คนงานที่สรางอยูติดอาคารที่กําลังกอสราง เหตุการณเชนนี้พบในเขตชุมชนที่ตองสราง
อาคารสูงในพื้นที่ที่จํากัด โดยหลีกเลี่ยงไมได
4) คนงานไดรับอันตรายจากการเดินผานนั่งราน ในการทํางานคนงานตอง
เดินผานนั่งรานที่ตั้งอยูรอบอาคาร เพื่อเขาไปทํางานแลวตองเดินผานค้ํายันของชั้นที่เท
คอนกรีตเสร็จใหมๆ หรือขึ้นไปตั้งนั่งรานชั้นตอไป ถาหากการตั้งนั่งรานไมเปนระเบียบ
ระเกะระกะ มีปลายของชิ้นสวนนั่งรานโผลยื่นออกมา คนงานอาจจะโดนทิ่ม หรือเดิน
ชนสวนอันตรายเหลานั้น ทําใหไดรับบาดเจ็บได

236 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ประเภทของนั่งราน
1) นั่งรานไมไผ หมายถึง พื้นปฏิบัติงานที่วางบนตง รองรับดวยคานไมไผ ซึ่ง
ยึดแนนกับเสาไมไผเรียงสอง โดยไมไผเรียงสอง โดยมีไมค้ํายันทั้งแนวนอนและแนวขวาง
นั่งรานไมไผ อาจผูกติดกับอาคาร หรือใชไมค้ํายันดานนอก
2) นั่งรานเสาเรียงเดี่ยว (Single Pole Scaffold) หมายถึง พื้นที่ปฏิบัติงาน
ซึ่งรองรับดวยตงปลายดานนอกของตงรองรับดวยคาน ซึ่งยึดติดกับเสาลูกตั้งแถวเดียว
สวนปลายดานในของคานขวางวางไวดานบนผนัง หรือในรูผนัง
3) นั่งรานแบบใชทอเหล็ก หรือนั่งรานสําเร็จรูป หมายถึง นั่งรานที่ใชเหล็ก
ทําเปนโครงสรางนั่งราน เปนนั่งรานสําเร็จรูปที่นํามาตอกันเปนชั้นๆ โดยมากนิยมใชใน
งานกอสรางขนาดใหญ เชน งานอาคารสูง

มาตรฐานนั่งรานทอเหล็ก


ขนาดทอเหล็ก วัดเสนผานศูนยกลางนอก
ต่ําสุด = 4.80 เซนติเมตร
น่า สูงสุด = 5.00 เซนติเมตร
ําห
ความหนาของทอเหล็ก ไมนอยกวา 4 มิลลิเมตร
น้ําหนักของทอเหล็ก ไมนอยกวา 4.46 กิโลกรัมตอเมตร
มจ

นั่งรานจะตองรับน้ําหนักได 2 เทาของน้ําหนักการใชงาน
ห้า

นั่งรานที่ถูกกฎหมายกําหนดไว แบงการสรางนั่งรานเปน 3 ลักษณะ ไดแก


 นั่งรานที่ออกแบบโดยวิศ วกรโยธา สภาวิ ศวกรกําหนดกฎหมายไว
ไดใหอํานาจแกวิศวกรผูนั้น ไวเปนผูออกแบบนั่งราน เพื่อใชในการปฏิบัติงาน เพื่อการ
กอสรางไดอยางนอยวิศวกรผูนั้น จะตองมีรูปแบบนั่งราน และรายการคํานวณไวให
เจาพนักงานตรวจความปลอดภัยเพื่อการตรวจสอบได
 สําหรับนั่งรานที่ไมมีวิศวกรเปนผูออกแบบ กฎหมายไดกําหนดใหใช
วัส ดุตลอดจนกรรมวิ ธีตางๆ ใหน ายจางปฏิบัติเพื่อการสรางนั่งร านและใหใชไดตาม
กฎหมาย
 สํ า หรั บ นั่ ง ร า นที่ ใ ช ง านสู ง เกิ น 21.00 เมตรขึ้ น ไป เป น หน า ที่ ข อง
นายจ างจะตองใหวิศวกรโยธา สภาวิ ศวกรไดกํา หนดออกแบบนั่ง รานใหอยา งนอ ย

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 237
จะตองมีรูปแบบและรายละเอียดคํา นวณการรับน้ําหนักของนั่งราน และรายละเอียด
ประกอบแบบนั่งราน เพื่อใหเจาพนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได

4) นั่งรานแบบแขวน (Suspended Scaffold) หมายถึง นั่งรานซึ่งแขวนรับ


จากดานบน พื้นที่ปฏิบัติงานของนั่งรานถูกแขวนดวยสลิง ตั้งแต 2 ตําแหนงขึ้นไปจาก
คานพื้นเบื้องบน ซึ่งยึดแนนกับโครงเหล็ก หรือโครงคอนกรีตตัวอาคาร มีกวาน หรือ
เครื่องจักรกลเพื่อยกหรือลดระดับพื้นที่ปฏิบัติงาน
ขอกําหนดทั่วไปของนั่งรานแบบแขวน
 นั่งรานแบบแขวนสวนใหญใชสําหรับตั้งแตอาคาร 5 ชั้นขึ้นไป โดย
อาคารนั้นจะตองมีโครงสรางยื่นออกมา เพื่อยึดสลิงแขวนนั่งรานได โครงสรางนี้จะตอง
ไดรับการตรวจสอบวา มีความแข็งแรงพอที่จะรับน้ําหนักนั่งรานไดอยางปลอดภัย
 นั่งรานแขวนจะตองรับน้ําหนักไดไมนอยกวา 195 กิโลกรัมตอตาราง


เมตร (40 ปอนดตอตารางฟุต) โดยมีอัตราสวนความปลอดภัยมากกวาหรือเทากับ 4
น่า
 หามกองหิน อิฐ หรือวัสดุหนักๆ บนนั่งราน
 นั่งรานแบบแขวนทุกแบบจะตองมีกวานไมเปนแบบติดกับนั่งราน หรือ
ําห
ติดอยูเบื้องบน
 กวานที่นํามาติดกับนั่งรานแบบแขวนจะตองไดรับการตรวจสอบอนุมัติ
มจ

จากกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
 พื้นนั่งรานตองแขวนดวยลวดสลิง โดยยึดติดกับคานตอยื่นหรือคานยื่น
ห้า

ของตัวอาคาร
 คานตอยื่นหรือคานยื่นดังกลาว จะตองเปนรูปตัว I ซึ่งยึดติดกับโครง
อาคารดวยสลักรูปตัว U ลอดผานรูแผนประกับและขันแนนดวยแหวนสปริงและสลัก
เกลียว
 ถาไมสามารถใชเหล็กรูปตัว U ได ใหใชเหล็กประกับตอคาน (Beam
Clamp Connection) แทน
 ถาใชเหล็กรางน้ํา (Channel) แทนเหล็กรูปตัว I จะตองใชรางคู โดย
วางขนานกัน หันปกรางออกดานนอก ยึดติดเขาดวยกัน ดวยการใชเศษทอเล็กๆ แทรก
ตรงกลางและสอดสลัดเกลียวผานรู แลวขันใหแนน

238 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
 คานตอยื่นจะตองมีความแข็งแรงเทากับเหล็กรูปตัว I มาตรฐานขนาด
กวาง 17.80 เซนติเมตร หนัก 6.90 กิโลกรัมและจะตองมีความยาวอยางนอย 4.60
เมตร
 พื้นของสวนยกพื้นตองมีราวกันตกปองกันสูง 90-110 เซนติเมตร และ
ขอบกันตก (Toe Board) อยูโดยรอบ
 นั่งรานแบบแขวนจะตองถูกตรึงไวอยางมั่นคง เพื่อปองกันการเคลื่อน
ตัวในแนวราบ
5) นั่ง ร า นชนิ ด เคลื่ อนที่ ไ ด เป น นั่ ง ร านท อ เหล็ ก ที่ ป ระกอบเป น ชุ ด นั่ ง ร า น
สําหรับปฏิบัติงานเคลื่อนที่ไดส ะดวกและคลองตัว โดยมีลอรองรับชุดนั่งรานพรอม
อุปกรณหามลอติดอยูดวย
ขอกําหนดทั่วไปของนั่งรานชนิดเคลื่อนที่ได
 โครงนั่งร านควรได รับการค้ํา ยึดทแยงและเสริม ความแข็ ง แรง เพื่ อ
ปองกันการกระดกเอียงหรือการบิดตัวในขณะใชงาน

น่า
 หอนั่งรานจะตองมียกพื้นเพียงชั้นเดียวเทานั้น
 ทุกครั้งที่มีการเคลื่อนยายจะตองไมมีคนหรือสิ่งของใชงานใดๆ อยูเลย
ําห
และเคลื่อนยายโดยการดันหรือดึงที่สวนฐานหอเทานั้น
 ขณะใชงานจะตองผูกตรึงหอนั่งรานไวกับโครงสรางของสิ่งกอสรางที่
มจ

มั่นคง
 ความสูงของยกพื้นของหอไมควรเกิน 3 เทาของขนาดของฐานที่เล็ก
ห้า

ที่สุด
 บันไดที่ใชปนขึ้นไปยังยกพื้น ควรจะตรึงไวกับนั่งรานอยางมั่นคงและ
ตองจัดวางอยูในตําแหนงที่จะไมกอใหเกิดผลเสียตอความมั่นคงของนั่งราน

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 239

น่า
รูปที่ 14.29 ภาพแสดงหอนั่งรานชนิดเคลื่อนที่ได
ําห
หลักการในการออกแบบนั่งราน
 เลือกชนิดของนั่งรานใหเหมาะสมกับอาคาร และความสะดวกในการ
มจ

ทํางาน เชน อาคารสูงๆ ควรใชนั่งรานเหล็กเสาเรียงคูอาคารเตี้ยๆ การใชงานอยูในชวง


ระยะสั้นๆ ควรใชไมไผเสาเรียงเดี่ยว หรืออาจจะผสมดัดแปลง เพื่อความสะดวกในการ
สราง หรือประหยัดคาใชจาย ทั้งนี้ ควรอยูในดุลยพินิจของวิศวกร
ห้า

 คิด หน ว ยแรงที่ เกิ ด ขึ้น ในชั้ น ต า งๆ ของนั่ ง รา น โดยคิ ดน้ํ าหนั กของ
นั่งรานใหเปนไปตามกฎกระทรวงมหาดไทย เชน 150 กิโลกรัมตอตารางเมตร
 การออกแบบฐานรองรับ สมมุติวากําลังรับแรงแบกทานของพื้นดินใน
กรุงเทพมหานคร ใช 2 ตันตอตารางเมตร ในกรณีฐานแผ ไมสามารถรับน้ําหนักนั่งราน
เสาตองออกแบบเปนตั้งบนเข็ม คาแรงเสียดทาน C = 600 กิโลเมตรตอตารางเมตร
สําหรับดินในกรุงเทพมหานคร
การสรางฐานนั่งราน
ฐานรองรับนั่งรานควรพิจารณาถึงความมั่นคงแข็งแรงของดินที่จะรองรับนั่งราน
วา แข็งแรงเพียงพอที่จะรองรับน้ําหนักบรรทุกที่ถายลงมาจากเสานั่งราน โดยมีสวน
ความปลอดภัยเพียงพอหรือไม ขนาดของฐานควรออกแบบใหสัมพันธกับความสามารถ
240 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ของดิน ที่จ ะรับน้ําหนัก เชน ดินเหนีย วที่มีความสามารถในการรับน้ําหนัก 2 ตัน ตอ
ตารางเมตร โดยมีสวนความปลอดภัยเทากับ 2 หากน้ําหนักจากเสานั่งรานรวมกันแลว
ได 1 ตัน ก็ควรจัดขนาดฐานใหมีพื้นที่รวม 1 ตารางเมตรเปนอยางนอย เพื่อใหไดสวน
ความปลอดภัยในการรับน้ําหนักเทากับ 2 เปนตน หากไมสามารถทําไดเนื่องจากเหตุผล
ใด เชน สถานที่ ไม อํา นวย หรื อสภาพดิ น อ อนก็ค วรตอกเสาเข็ มรองรับ ให มี จํ านวน
เพียงพอวัสดุที่ใชรองรับเปนฐานนั่งรานควรออกแบบใหแข็งแรง และไมแอนตัวเมื่อรับ
น้ําหนัก ในกรณีที่ใชฐานแผวางบนดิน ควรลอกหนาดินออกเสียกอน ความแข็งแรงของ
ฐานรองรับ ควรออกแบบใหมีความแข็งแรงเทาๆ กัน หากจุดใดจุดหนึ่งมีความแข็งแรง
ดอยกวา อาจทําใหเกิดการทรุดตัวไมเทากัน จนอาจเกิดการวิบัติได
อุปกรณยึดเชื่อมตอของนั่งรานเหล็ก
อุปกรณเชื่อมตอสําหรับสวนตอเชื่อมตางๆ ของนั่งรานที่ทําดวยทอโลหะนั้น
ควรจะทํามาจากโลหะที่ผานการขึ้นรูป หรือวัสดุเทียบเทากัน มีลักษณะที่สวนตอเชื่อม


ตางๆ ของนั่งรานที่อุปกรณยึดเชื่อมตอรองรับอยูนั้นจะตองสวมลง หรือวางลงไปพอดี
น่า
เต็มบนพื้นที่ของผิวหนา ที่ทําหนาที่รองรับอุปกรณยึดเชื่อมไมควรบิดงอเมื่อรับแรงขณะ
ใชงาน และเมื่อลักษณะการยึดเชื่อมตอของอุปกรณเกิดขึ้นจากแรงเสียดทานในการ
ําห
หนีบจับ แลวไมควรนําไปใชในการถายทอดแรงดึงอุปกรณยึดเชื่อมตอที่มีการใชสลัก
เกลียว และเปน เกลีย วนั้น ไมควรนํามาใช เวน เสีย แตวาแปน เกลีย วแตละตัวนั้น จะ
สามารถขับหมุนเขาไปในเกลียวของสลักเกลียวไดอยางสมบูรณเทานั้น
มจ

การตรวจสอบนั่งราน
ห้า

การสร า งนั่ ง ร า น นอกจากการปฏิ บั ติ ใ ห ถู ก ต อ งตามมาตรฐานที่ ก ฎหมาย


ได กํ า หนดไว ขั้ น ต่ํ า แล ว และให เ ป น ไปตามข อ กํ า หนดของวิ ศ วกรผู รั บ ผิ ด ชอบ
ยังจะตองคํานึงถึงการตรวจสอบอยางถี่ถว นจากผูชํานาญการดานนี้โดยเฉพาะ กอนที่จะ
ใชงานนั่งราน
รายการตรวจสอบนั่งราน
1. ตรวจสอบดูวาทอดิ่งทั้งหลาย มีแผนฐานยึดติดอยูดวยและตรวจสอบดูวาทอ
ตั้งอยูในแนวดิ่งจริงๆ
2. ตรวจสอบระยะหางระหวางแนวดิ่งทั้งหลาย และระยะหางทอนอนทั้งหลาย
3. ตรวจสอบดูวาการผูกตรึงที่มั่นคงพอกับใครที่จะกาวหรือไม อีกทั้งมีจํานวน
เพียงพอหรือไม
4. ตรวจสอบดูวาขอตอจะตองอยูเยื้องเหลี่ยมกันในแนวดิ่งและทอนอน
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 241
5. ตรวจสอบดูวามีการใชอุปกรณประกอบของนั่งรานอยางถูกตองไดถูกติดตั้ง
ไวใกลกับขอตอมากที่สุด
6. ตรวจสอบดูการค้ํายึดตามแนวขวางที่ทางดานหนาและทางดานขางของแต
ละชวงในแนวดิ่งของนั่งราน
7. ตรวจสอบดูความกวางของทางเดิน บริเวณพื้นที่ทํางาน และบริเวณที่เก็บ
ของใช และตรวจสอบดูวาแผนพื้นกระดานถูกรองรับและผูกยึดไวอยางแนนหนามั่นคง
แลว
8. ตรวจสอบอุปกรณเครื่องมือยกทั้งหลาย วามีความมั่นคงปลอดภัยและอยูใน
สภาพดีหรือไม
9. ตรวจสอบดูวานั่งรานรับน้ําหนักเกินกวาความสามารถของนั่งรานหรือไม
10. บันไดถูกยึดตรึงไวอยางมั่นคงหรือไม โดยมีความสูงที่เพียงพอและดวยมุม
เอียงที่ถูกตองหรือไม


11. นั่งรานอยูในสภาพที่สมบูรณหรือไม ซึ่งถายังไมสมบูรณแลว ควรจะมีการ
จัดการปองกันคนผานไปมาและแสดงปายบอกเตือนไดหรือยัง
น่า
อุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคลและอุปกรณใชประกอบนั่งราน
ําห
เข็มขัดนิรภัยและสายชวยชีวิต (Safety Belt & Life Line) เปนอุปกรณ
ปองกันอันตรายที่จําเปนสําหรับผูที่ทํางานบนนั่งราน และผูที่มีความเสี่ยงตอการที่จะตก
มจ

ลงมาจากที่สูง ผูปฏิบัติงานบนที่สูงจะตองสวมใสสายรั้งนิรภัยหรือเข็มขัดนิรภัย และ


สายชวยชีวิตหรือสายชูชีพ สายรั้งนิรภัยควรจะยึดติดกับจุดยึดที่มั่นคงอยูกับที่ ในระดับ
ที่อยูเหนือขึ้นไปจากพื้นที่ที่ทํางาน สายชวยชีวิตไมควรมีความยาวเกิน 2.00 เมตร และ
ห้า

เปนอิสระจากชุดลูกรอก และเชือกสําหรับแขวนรับภาระอื่นๆ สายชวยชีวิตที่ยึดติดกับ


เข็มขัดจะตองมีความยาวไมเกินกวา 1.20 เมตร จุดทําการยึดที่เหมาะสมจะถูกทําขึ้นมา
พรอมกับสว นโครงสรางของการติดตั้งนั้น อันจะทําใหใชงานสายชวยชีวิต เชือกและ
ชิ้นสวนรั้งสวนยึดอื่นๆ ไดอยางปลอดภัย

o การปองกันและควบคุมอันตรายจากสิ่งแวดลอมการทํางาน
การทํ า งานในสิ่ ง แวดล อ มที่ ไ ม เ หมาะสม เช น ความร อ น เสี ย งดั ง
การสั่นสะเทือน และรังสีเปนปจจัยที่มีสวนเกี่ยวของที่กอใหเกิดผลตอสุขภาพ ดังนั้น
จึงควรมีมาตรการปองกันและควบคุมที่เหมาะสม

242 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
การปองกันและควบคุมอันตรายจากเสียงดัง
เสียงดัง หมายถึง เสียงที่ไมพึงปรารถนาหรือเสียงที่กอใหเกิดการรบกวน
เสียงดังที่เกิดจากสิ่งแวดลอมในการทํางาน แบงไดเปน 4 ประเภท คือ
 เสียงที่ดังสม่ําเสมอ เปนเสียงที่คอนขางคงที่ ไดแก เสียงเครื่องทอผา
เสียงเครื่องจักร เสียงพัดลม เสียงเครื่องยนต เปนตน
 เสียงที่เปลี่ยนแปลงระดับเสมอ เปนเสียงที่มีความดังสูงๆ ต่ําๆ
ไดแก เสียงเลื่อยวงเดือน กบไสไมไฟฟา เสียงไซเรน เปนตน
 เสียงที่ดังเปนระยะ เปนเสียงที่ดังไมตอเนื่อง รูปแบบที่เกิดไมแนชัด
ไดแก เสียงจากเครื่องอัดลม เสียงการจราจร เสียงเครื่องบินที่บินผานไปมา เปนตน
 เสียงกระทบ เปนเสียงดังที่เกิดขึ้นแลวคอยๆ หายไป เสียงนี้อาจเกิด
ติดๆกัน หรืออาจเกิดขึ้นนานๆ ครั้งก็ได ไดแก เสียงตอกเสาเข็มในการกอสราง เสียงจาก
การตี หรือทุบโลหะ เสียงเครื่องย้ําหมุด เสียงระเบิด เปนตน


อันตรายจากเสียงดัง เสียงดังมีผลตอสุขภาพ ดังนี้
น่า
 ทําใหสูญเสียการไดยิน ไดแก
- สูญเสียการไดยินแบบชั่วคราว
ําห
- สูญเสียการไดยินแบบถาวร
 ผลตอสุขภาพ เชน ทําใหคลื่นไส หัวใจเตนเร็วและแรงความดัน
มจ

โลหิตสูง ทางเดินอาหารเคลื่อนไหวไดนอยลง
 ผลตอความปลอดภัย ไดแก
ห้า

- เกิดการรบกวนการพูดสนทนาการสื่อสารตางๆ ทําใหไดรับ
ข อ มู ล ที่ ไ ม ชั ด เจนหรื อ ไม ถู ก ต อ งเป น ผลให ก ารทํ า งาน
ผิดพลาด
- กลบเสียงสัญญาณตางๆ เชน สัญญาณเตือนภัย อาจทําให
ผูปฏิบัติงานไดรับอันตรายได
หลักการปองกันและควบคุมอันตรายจากเสียง
การปอ งกัน และควบคุม อั น ตรายจากเสี ย งนั้ น โดยทั่ว ไป จะมุ ง ดํา เนิน การ
ปองกันและควบคุม ที่แหลง หรือตนตอของเสียง และทางที่เสียงผานไปยังพนักงาน
และสุดทายคือที่ตัวพนักงานเอง
1) การควบคุมที่แหลงกําเนิดเสียงหรือตนตอของเสียง อาจทําไดโดย
การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและบํารุงรักษาเครื่องจักร เครื่องมือ ที่เปนตนกําเนิดเสียง
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 243
เพื่อใหมีความดังนอยที่สุด เชน จัดหาวัสดุรองเครื่องจักรใหมีสภาพดีอยูเสมอ ขันน็อต
หรือสกรูสวนที่หลวมใหแนนหรืออาจทํากลองครอบแหลงเสียง
2) การควบคุมทางผานของเสียง อาจทําไดโดยใชวัสดุกั้นระหวางแหลง
เสียงกับตัวพนักงาน หรือจัดใหพนักงานอยูหางแหลงเสียงใหมากที่สุด หรือใชวัสดุดูดซับ
เสีย ง บุผ นัง ปองกัน การสะทอนของเสีย ง หรือ ใหมีหองพิเ ศษกั้น แยกเฉพาะสําหรั บ
คนงานทํางาน
3) ควบคุมและปองกันที่ตัวผูปฏิบัติงาน อาจทําไดโดยการใชปลั๊กอุดหู
หรือที่ครอบหู แตมาตรการนี้ควรจะใชเปนมาตรการสุดทาย เวนเสียแตวาไมสามารถ
แกไข หรือควบคุมโดยวิธีการอื่น ใด อยางไรก็ตามหากจําเปนตองให ผูปฏิบัติงานใช
อุปกรณดังกลาว จะตองใหการอบรมแกผูปฏิบัติงานกอนเสมอ นอกจากนี้ ควรจัดใหมี
การทดสอบสมรรถภาพการได ยิน ของหู ในผู ปฏิ บัติ งานที่เ กี่ย วข องกับเสีย งดั งอยา ง
เหมาะสม นับตั้งแตการทดสอบตั้งแตเริ่มเขาทํางาน และทดสอบเปนระยะๆ เพื่อทราบ


ภาวการณเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการไดยิน ที่เกิดขึ้นในผูปฏิบัติงาน
น่า
หลักการปองกันและควบคุมอันตรายจากความรอน
ความรอน เปนพลังงานรูปหนึ่งที่สามารถทําใหมนุษยรับรูไดโดยประสาทสัมผัส
ําห
ความร อ นที่ เ กิ ด ขึ้ น ในสิ่ ง แวดล อ มการทํ า งานในสถานประกอบกิ จ การ แบ ง เป น
2 ประเภท คือ
- ความรอนแหง เปนความรอนที่สัมผัสไดโดยความรอนเล็ดลอดจาก
มจ

อุปกรณในกรรมวิธีการผลิตที่รอนเขามาอยูรอบๆ บริเวณการทํางาน รวมทั้งการแผรังสี


ความรอนและการพาความรอน ผูปฏิบัติงานที่เกี่ย วของ เชน ปฏิบัติงานในโรงงาน
ห้า

ถลุงเหล็ก โรงงานตีเหล็ก โรงงานทําแกว เปนตน


- ความรอนชื้น เปนสภาพความรอนทีม่ ีไอน้ําชวยเพิ่มความชื้นในอากาศ
โดยความชื้ น เกิ ด จากกรรมวิ ธี ก ารผลิ ต แบบเป ย ก ผู ป ฏิ บั ติ ง านที่ เ กี่ ย วข อ ง เช น
ปฏิบัติงานในโรงงานทํากระดาษ ซักรีด ทําสียอม การทําเหมืองที่อยูลึกๆ
ผลของความรอนตอสุขภาพ
 การเป น ตะคริ ว จากความร อ น เนื่ อ งจากได รั บ ความร อ นมาก
เกินไป ทําใหรางกายสูญเสียเกลือแรไปกับเหงื่อ กลามเนื้อเสียการควบคุม เกิดอาการ
เปนตะคริว ผูปฏิบัติงานจะมีอาการ ปวดศีรษะ เวียนศีร ษะ กลามเนื้อเกร็ง อาจเกิด
อาการชัก ช็อค และตายได

244 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
 การออนเพลีย จากความรอน เกิดเนื่องจากระบบหมุนเวียนของ
เลือดไมพอ เลือดไปเลี้ยงสมองไดไมเต็มที่ ผูปฏิบัติงานจะมีอาการ รูสึกออนเพลีย ปวด
ศีรษะ เปนลม หนามืด ชีพจรเตนออนลง คลื่นไส อาเจียน ตัวซีด
 การเปนลม เกิดจากรางกายไดรับความรอนสูงทําใหอุณหภูมิใน
รางกายสูงมาก และระบบควบคุมของรางกายที่ส มองไมส ามารถทํางานไดเปนปกติ
ผูปฏิบัติงานจะมีอาการ คลื่นไส ตาพรา หมดสติ อุณหภูมิในรางกายสูงขึ้น มีอาการชัก
กระตุกและชีพจรเตนเบา
 ผดผื่นคัน ตามบริเวณผิวหนัง เกิดจากความผิดปกติของระบบตอม
ขับเหงื่อทําใหมีผื่นขึ้น ผูปฏิบัติงานจะมีอาการคัน ทอซับเหงื่อมีการอุดตัน
 ขาดน้ํา ผูปฏิบัติงานจะมีอาการกระหายน้ํา ผิวหนังแหง น้ําหนัก
ลด อุณหภูมิของรางกายจะสูงขึ้น ทําใหชีพจรเตนเร็ว รูสึกไมสบาย
 เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ


 เกิดการเจ็บปวยมากขึ้นเมื่อมีสิ่งแวดลอมอื่นในการทํางานรวม
น่า
ดวย เชน ทํางานในที่มีอุณหภูมิสูงและไดรับกาซคารบอนมอนอกไซด พบวาจะมีอาการ
ปวดศีรษะรุนแรงและไมสามารถทํางานไดนาน
ําห
 มีผลกระทบตอจิตใจของผูปฏิบัติงาน อาการเหลานี้ประกอบดวย
ความวิตกกังวลไมสามารถที่จะตั้งใจอยางแนวแน ขาดสมาธิในการทํางาน ประสิทธิภาพ
ในการทํางานลดลง
มจ

การปองกันและควบคุมอันตรายจากความรอน มีดังนี้
ห้า

 ป อ งกั น ที่ แ หล ง กํ า เนิ ด และทางผ า นของความร อ นสู


ผูปฏิบัติงาน ไดแก
- การใชฉนวนกั้น เพื่อลดการแผรังสีและการพาความรอน
- การใชฉากปองกันรังสี เชน ฉากอลูมิเนียมบางๆกั้น
- การใช ร ะบบระบายอากาศแบบธรรมชาติ เช น เป ด
ชองวางบนหลังคาใหมากที่สุด เปดประตูหนาตางใหล ม
เย็นพัดเขามาแทนที่
- การระบายอากาศเฉพาะที่ หรือเฉพาะจุดที่ทํางาน พรอม
กับเปาอากาศ ที่เย็นใหเขามาแทนที่
- การติดตั้งระบบระบายอากาศที่จุดกําเนิด เชน ที่เตาเผา
หรือเตาหลอมโลหะ

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 245
 การปองกันที่ตัวผูปฏิบัติงาน ไดแก
- คัดเลือกคนที่เหมาะสม ปรับตัวเขากับความรอนไดดี
- จั ด ให มี ก ารดู แ ลทางการแพทย ตรวจสุ ข ภาพก อ นเข า
ทํางานและตรวจรางกายเปนระยะๆ
- การกํ าหนดมาตรฐานความปลอดภั ย ในการปฏิบั ติง าน
เชน มาตรฐานการปฏิบัติงานในที่รอน จํากัดระยะเวลา
ทํา งานและเวลาหยุ ด พั ก ไม ค วรใหผู ป ฏิ บั ติ งานทํ า งาน
ติ ด ต อ กั น โดยไม มี ก ารหยุ ด พั ก กํ า หนดระยะเวลา
การทํางานที่เหมาะสมกับความรอนที่ไดรับ
- การใชอุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล เชน เสื้อ
ถุงมือ หมวกแวนตา ชุดเสื้อคลุมปองกันความรอน
- สวัสดิการอื่นๆ ที่จําเปน เชน หองอาบน้ํา น้ําดื่มผสมเกลือ


ที่เย็น น่า
การปองกันและควบคุมอันตรายจากการสั่นสะเทือน
การทํ างานที่ ผูป ฏิ บั ติง านต องสั ม ผั ส กั บ การสั่ น สะเทื อ นที่ อ าจเกิ ด จาก
ําห
เครื่องจักรกล เครื่องมือและอุปกรณ ตางๆ เชน ขับรถแทรกเตอร รถงา รถบรรทุ ก
ใชเครื่องเจาะถนน เลื่อยไฟฟา เครื่องย้ําหมุด เครื่องเจาะ เครื่องตัด เปนตน
มจ

การสั่นสะเทือนแบงไดเปน 2 ประเภท คือ


1. การสั่นสะเทือนทั่วรางกาย เปนลักษณะของการสั่นสะเทือนที่สงผาน
ห้า

มาจากพื้นหรือโครงสรางของวัตถุมายังสว นตางๆ ของรางกาย เชน พนักงานขับรถ


ยก รถแทรกเตอร รถบรรทุกและปนจั่น
2. การสั่นสะเทือนเฉพาะบางสวนของรางกาย โดยเฉพาะที่มือและแขน
เชน การใชเครื่องเจาะถนน เครื่องย้ําหมุด เครื่องเจียร เครื่องเจาะ เครื่องเลื่อยไฟฟา
ผลของการสั่นสะเทือนตอสุขภาพ
 อันตรายที่เกิดจากการสั่นสะเทือนทั่วรางกาย ไดแก
- เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสรางของกระดูก
- กระดูกสันหลังอักเสบ
- ระดับน้ําตาลในเลือดต่ํา
- ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดต่ํา
- ระดับของกรดแอสคอรบิกต่ํา
246 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
- ปวดทองบริเวณชองทองสวนบน
- คลื่ น ไส น้ํ า หนั ก ลด มองไม ชั ด นอนไม ห ลั บ เกิ ด ความ
ผิดปกติของหูชั้นใน
 อันตรายที่เกิดจากการสัน่ สะเทือนเฉพาะบางสวนของรางกาย
โดยเฉพาะอยางยิ่งนิ้วมือ ทําใหเกิดอาการ ไดแก
- กระดูกขาดแคลเซียมหรือเกลือแร
- ทําใหเนื้อเยื่อของมือดานและแข็ง
- ทําใหปวดขอ ขอตอตางๆ ขอศอก
- ความผิ ด ปกติ ข องหลอดเลื อ ด ที่ เ รี ย กว า มื อ ตาย หรื อ
นิ้วซีด
การปองกันและควบคุมอันตรายจากการสั่นสะเทือน มีดังนี้
 ปองกันและควบคุมที่แหลงตนเหตุของการสั่นสะเทือน เชน


- ใชวัสดุที่เหมาะสมหรือเทคนิคในการออกแบบเหมาะสม
น่า
- ปองกันไมใหผูปฏิบัติงานไดรับการสั่นสะเทือนที่สงผานมา
ทางพื้นที่ยืนทํางาน
ําห
- ใชวัสดุปองกันการสั่นสะเทือนรองไวใตเครื่องจักร
- ใชวัสดุปองกันและดูดซับการสั่นสะเทือนหุมดามเครื่องมือ
มจ

หรือ อุปกรณ เชน เครื่องเจียร เครื่องเจาะ เครื่องเลื่อย


ไฟฟา เปนตน
- ดูแลและบํารุงรักษาเครื่องจักรอยางสม่ําเสมอ
ห้า

 การปองกันที่ตัวบุคคล เชน
- ใชถุงมือสองชั้น
- ใชรองเทาชนิดพิเศษ
- ที่นั่งควรมีการบุดวยวัสดุที่ปองกันการสั่นสะเทือน
- ตรวจตราการทํางานของผูปฏิบัติงานที่ใชเครื่องมืออยาง
ใกลชิด
 จํากัดเวลาทํางาน โดยยึดหลักเชน
- พัก 20 นาที ทุกๆ ระยะเวลาทํางาน 2 ชั่วโมง
- ไมทํางานที่ใชเครื่องสั่นสะเทือนเกินกวา 2-4 ชั่วโมงตอวัน
 การควบคุมทางการแพทย โดยการตรวจสุขภาพกอนเขาทํางาน
และตรวจเปนระยะๆ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 247
การปองกันและควบคุมอันตรายจากรังสี
รั ง สี เป น พลั ง งานในรู ป ของคลื่ น แม เ หล็ ก ไฟฟ า หรื อ อนุ ภ าคที่ มี
พลังงานสะสมอยู รังสีแบงเปน 2 ประเภท ตามคุณสมบัติทางกายภาพ คือ
1. รังสีที่ไมกอไอออน (Non Ionizing Radiation) เปนพลังงานในรูป
ของคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีพลังงานและความถี่ต่ํา ไมทําใหอากาศหรือตัวกลางที่รังสีผาน
ไปแตกตัวเปนไอออน ไดแก รังสีอัลตราไวโอเลต แสงสวาง หรือ แสงในชวงคลื่นที่ตา
มองเห็นได เลเซอร รังสีอินฟราเรด ไมโครเวฟ คลื่นวิทยุโทรทัศน
2. รังสีที่กอไอออน (Ionizing Radiation) เปนพลังงานในรูปของคลื่น
แมเหล็กไฟฟาที่สามารถกอใหเกิดการแตกตัวใหไอออนไดทั้งทางตรงหรือทางออมใน
ตัวกลางที่รังสีผานไป รังสีที่แตกตัวเปนไอออน ไดแก รังสีแอลฟา รังสีบีตา รังสีแกมมา
รังสีเอกซ อนุภาคนิวตรอน อิเล็กตรอน หรือโปรตอนที่มีความเร็วสูง
อันตรายจากรังสีที่ไมกอไอออน


 อันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลต หรือแสงเหนือมวง กลุม
น่า
ผูปฏิบัติงานที่เสี่ยงอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลต ไดแก การปฏิบัติงานเชื่อมโลหะ
กระบวนการผลิ ตที่ ใ ช รั ง สีอั ล ตราไวโอเลตฆ า เชื้ อโรค เกษตรกรที่ทํ า งานกลางแจ ง
ําห
คนงานก อ สร า งที่ ทํ า งานกลางแจ ง และชาวประมง อั น ตรายที่ เ กิ ด จากรั ง สี
อัลตราไวโอเลต ไดแก
- นัยนตาบวมอักเสบ อาการที่ปรากฏคือ นัยนตาจะแดง เยื่อบุใน
มจ

ชั้นตาดําอาจถูกทําลายทําใหเกิดการขุนมัวและมองเห็นไมชัด
ถาผูปฏิบัติงานไดสัมผัสตั้งแต 30 นาที ขึ้นไป จะมีความรูสึก
ห้า

คลายกลับมีทรายอยูในตา ถามีการสัมผัสบอยๆ เปนประจําโดย


ไมมีการปองกัน จะทําใหเกิดอาการในลักษณะกลัวแสง มีน้ําตา
คลอ หรื อ ซึ ม ตลอดเวลา มี อ าการกระตุ ก ตามขอบตาและ
กลามเนื้อของนัยนตา
- ผิวหนังอักเสบ โดยเสนเลือดใตผิวหนังจะเกิดการขยายตัวทําให
เกิดอาหารคันและอักเสบ ในปจจุบันยังไมมีทฤษฎีใดที่สามารถ
บอกไดเดนชัดวาแสงนี้ทําใหเกิดมะเร็ง บนผิวหนัง
 อันตรายจากรังสีอินฟราเรด หรือ แสงใตแดง รังสีอินฟราเรด
หรือ แสงใตแดง มักจะเกิดรวมกับ รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ แสงเหนือมวง อาชีพที่
เกี่ยวของ เชน อุตสาหกรรมประเภทเปาแกว หลอหลอมโลหะ งานเชื่อชนิดตางๆ และ

248 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
การทํางานในแสงแดด ที่จา ผูปฏิบัติงานมักไดรับแสงใตแดงพรอมๆ กันกับแสงเหนือ
มวงและแสงสวางที่สามารถมองเห็นได
อันตรายที่เห็นไดชัดคือ อันตรายเกี่ยวกับผิวหนัง ผูปฏิบัติงานที่ทํางานในสภาพ
ที่มีจุดกําเนิดที่รอนจัดของแสงใตแดง ทําใหเกิดผิวหนังไหมอยางเฉียบพลัน เกิดการ
ขยายตั ว ของเส น เลื อ ดฝอยที่ อ ยู บ นผิ ว หนั ง และอาจทํ า ให เ ส น เลื อ ดฝอยนั้ น แตก
สีของผิวหนังอาจมีการเปลี่ยนแปลงไป ในกรณีที่มีการสัมผัสอยางตอเนื่องจะเกิดอาการ
คันและอักเสบเห็นไดชัด
 อันตรายจากแสงสวางหรือแสงในชวงคลื่นที่ตามองเห็นได
แสงสวางหรือแสงในชวงคลื่นที่ตาสามารถมองเห็นได เปนสวนของคลื่นแมเหล็กไฟฟา
แสงที่เราเห็นเกิดจากอิเล็กตรอนในอะตอม หรือโมเลกุลเปลี่ยนสถานะของพลังงาน และ
สีตางๆ ที่เรามองเห็นนั้นเกิดจากคลื่น แมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่ตางกัน แสงสวางนี้มี
ความสําคัญมาก เพราะอาจทําใหเกิดผลกระทบตอทั้งคุณภาพและความแมนยําของงาน


ได สภาพเสียงสวางที่ดีนั้นปกติแลวจะสงผลใหมีการเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ โดยมีของ
เสียนอยและเพิ่มผลผลิต ดังนั้น แสงสวางควรจะมีแสงสวางเพียงพอเพื่อชวยใหมองเห็น
งาย และไมกอใหเกิด "แสงจา"
น่า
อัน ตรายของแสงสวา งนั้น มีผ ลกระทบตอคนทํางาน ในกรณีแสงสวา งนอ ย
ําห
เกินไป จะมีผลเสียตอนัยนตาทําใหกลามเนื้อตาทํางานมากเกินไป เพราะตองบังคับให
รู ม า นตาเป ด กว า งขึ้ น เนื่ อ งจากการมองเห็ น นั้ น ไม ชั ด เจน ต อ งใช เ วลาในการมอง
มจ

รายละเอียดนานขึ้น ทําใหเกิดความเมื่อยลาของนัยนตาที่ตองเพงชิ้นงาน เกิดอาการ


ปวดตา มึนศีรษะ การหยิบจับเครื่องมืออุปกรณอาจผิดพลาดทําใหเกิดอุบัติเหตุขึ้นได
หรือ ไปสั มผั ส ถูก สว นที่เ ปน อั น ตราย และในกรณีแสงสว างที่มากเกิ น ไปหรื อแสงจ า
ห้า

ซึ่งเปนความสวางจาที่ทําใหเกิดความรูสึก ไมสบายตา รบกวนการมองเห็น ความสวางนี้


อาจเกิดจากแสงสวางโดยตรงหรือแสงสะทอน ก็ได ดังนั้น เพื่อปองกันปญหา “แสงจา”
ดังกลาว จึงควรที่จะใหแหลงของแสงนี้อยูเหนือระดับของสายตา หรืออาจหอหุมแหลง
แสงดวยวัตถุทึบแสง หรือกรองแสง ผูปฏิบัติงานที่มีโ อกาสไดรับแสงจา เชน แผนก
ตรวจสอบ งานประกอบชิ้นสวนอิเล็กทรอนิกส งานสองกลองจุลทรรศนเพื่อตรวจสอบ
และประกอบชิ้นสวนเล็กๆ งานหนาเตาหลอมโลหะ แสงสวางที่มากเกินไป หรือ แสงจา
ทําใหผูทํางานเกิดความไมสบาย เมื่อยลา ปวดตา มึนศีรษะ กลามเนื้อหนังตากระตุก
วิงเวีย น นอนไมห ลับ การมองเห็น แยล ง ซึ่งทั้งแสงสวางนอยเกิน ไปและมากเกิน ไป
นอกจากจะกอใหเกิดผลทางจิตใจ คือ เบื่อหนายในการทํางาน ขวัญและกําลังใจในการ
ทํางานลดลงแลว ยังทําใหเกิดอุบัติเหตุในงานได

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 249
 อัน ตรายจากแสงในชวงคลื่น ของวิทยุโทรทัศ น แสงในชว ง
คลื่นของวิทยุโทรทัศนรวมถึงคลื่นเรดารและไมโครเวฟดวย คนงานที่ทําอาชีพเกี่ยวกับ
คลื่ น ประเภทนี้ ได แ ก ช า งโทรเลข โทรพิ ม พ ผู ค วบคุ มเครื่ อ งส ง วิ ท ยุ และเทเลกซ
(Telex) ผูปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับไมโครเวฟ และเรดารทํางานเกี่ยวกับการสื่อสารบริเวณ
ทาอากาศยาน ทํางานเกี่ยวกับเตาอบขนาดใหญที่ใชไมโครเวฟ
ผลกระทบของรังสีในชวงคลื่นวิทยุที่มีตอระบบชีวภาพของมนุษย เมื่อทดลอง
ในสัตว พบวาการดูดกลืน ของรังสีในชว งคลื่น วิทยุส ามารถทําใหเกิดความรอนสูงใน
เนื้อเยื่อ ดังนั้น อวัยวะของรางกายที่ไมมีการบังคับการไหลเวียนของความรอนที่ดีก็จะ
เกิดอันตราย ไดมาก เชน ปอด อัณฑะ ถุงน้ําดี ทางเดินปสสาวะ และบางสวนของระบบ
ทางเดินอาหาร
การปองกันและควบคุมอันตรายจากรังสีที่ไมกอไอออน
ควรสํ า รวจสภาพการทํ า งานว า มี รั ง สี ป ระเภทนี้ ห รื อ ไม ถ า มี เ ป น


ประเภทอะไรมีปริมาณเทาไร แลวจึงดําเนินการปองกันและควบคุม ดังนี้
น่า
 การควบคุ ม ที่ จุ ด กํ า เนิ ด โดยพิ จ ารณาถึ ง ปริ ม าณของรั ง สี ที่
แพรกระจายออกมา ถามีการรั่วไหลถึงขีดอันตรายก็ตองจัดใหมีการควบคุมจุดกําเนิดนั้น
ําห
ปดกั้นหรืออาจจะสรางเปนหองพิเศษ และแยกกระบวนการนั้นออกไปใหหางจากกลุม
คนงาน หรือผูที่เกี่ยวของ
มจ

 การเลือกที่กั้น สะทอน เชน อาจใชแผน อลูมิเนีย มบางๆ เปน


ฉากกั้นในการแผรังสี และฉากนี้สามารถเลื่อนไปมาได
 การใชอุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล เชน เสื้อผา
ห้า

หมวก แวนตา ถุงมือ และรองเทาใหเหมาะสม


 การเลื อ กแว น ตากั น แสง และรั ง สี เนื่ อ งจากการแผ รั ง สี นี้ มี
ผลกระทบตอนัยนตาโดยตรง ดังนั้น การเลือกและจัดหาแวนตาที่เหมาะสมและถูกตอง
กับสภาพอันตราย จึงมีความจําเปน
 ผูปฏิ บัติ งานที่ ทํางานเกี่ ย วกับ แสงและคลื่น วิทยุ ควรจะได มี
การตรวจเช็คสายตาและสมรรถภาพของการมองเห็นเปนระยะๆ เชน อาจทุก 6 เดือน
หรือ 1 ป พรอมทั้งมีการจดบันทึกขอมูลเกี่ยวกับสุขภาพอยางจริงจัง เพื่อประโยชนของ
การตรวจครั้งตอๆ ไป

250 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
 การเฝาควบคุมสิ่งแวดลอมในสถานประกอบการที่มีการใชรังสี
หรือคลื่นวิทยุ ควรจะมีการตรวจสภาพสิ่งแวดลอม ตรวจสอบบริเวณที่เสี่ยงตออันตราย
มากที่สุด และเฝาคุมเปนประจํา รวมถึงกําหนดชั่วโมงการทํางานที่เหมาะสม
 การใหความรูดานความปลอดภัยในการทํางานเปนสิ่งที่สําคัญที่
ตองทําอยางตอเนื่อง
อันตรายจากรังสีที่กอไอออน
 เกิดความผิดปกติของเซลลและอันตรายตอระบบอวัยวะตางๆ
ผลที่เกิดขึ้นจะเกิด 2 ลักษณะ คือ การเกิดผลแบบเฉียบพลัน คือ จะเกิดขึ้นอยางรวดเร็ว
ภายหลังไดรับรังสีซึ่งขึ้นกับปริมาณรังสีและอวัยวะที่ไดรับและการเกิดผลกระทบแบบที่
อาศัยระยะเวลาหนึ่งกอนปรากฏอาการซึ่งอาจใชเวลานานหลายป
 เกิด ความผิด ปกติทางพัน ธุกรรม และรัง สียัง กอ ใหเ กิดความ


ผิดปกติตอทารกในครรภถามารดาไดรับปริมาณรังสีสูงในขณะตั้งครรภ
 ผลกระทบในการเกิดมะเร็ง ซึ่งจากการศึกษาวิจัยการเกิดมะเร็ง
น่า
ซึ่งเปนผลมาจากรังสีนั้น มักเกิดขึ้น 2 ลักษณะ คือ การเกิดมะเร็งของเม็ดเลือดขาว และ
เกิดมะเร็งของผิวหนังหรือเนื้องอกเปนไตแข็งที่เนื้อเยื่อตางๆ
ําห
การปองกันและควบคุมอันตรายจากรังสีที่กอไอออน
มจ

เนื่องจากอันตรายที่จะเกิดจากรังสีนั้นขึ้นกับเวลาที่ไดรับรังสี ปริมาณ
รังสี และระยะทางระหวางแหลงกําเนิดกับผูปฏิบัติงาน ดังนั้น สถานประกอบกิจการที่มี
การใชรังสีจึงควรดําเนินการบริหารจัดการเพื่อใหเกิดความปลอดภัยตอผูปฏิบัติงาน
ห้า

ไดแก
 การกําหนดพื้นที่ควบคุมบริเวณที่มีอันตรายจาการใชรังสี
 มีการติดเครื่องหมาย สัญลักษณ ปายเตือนอันตราย
 กําหนดวิธีการทํางานและเวลาการทํางานรวมถึงจัดใหมีเครื่อง
บันทึกปริมาณรังสีสะสมเพื่อปองกันมิใหผูปฏิบัติงานไดรับปริมาณรังสีสะสมเกินเกณฑ
มาตรฐาน
 หามหญิงมีครรภเขาไปในพื้นที่ควบคุม
 มีแผนปองกันและระงับอันตรายจากรังสีในภาวะปกติและเมื่อ
เกิดเหตุฉุกเฉินและจัดใหมีการฝกซอมแผน

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 251
 จัดอุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคลตามสภาพและ
ลักษณะงาน
 จัดใหผูปฏิบัติงานไดรับการอบรมถึงอันตรายและวิธีการปองกัน
อันตรายจากรังสี
 จัดใหมีกฎระเบียบ วาดวยความปลอดภัยในการทํางานเกี่ยวกับ
รังสี
ทั้งนี้ สถานประกอบกิจการที่มีการใชรังสีชนิดกอไอออนจะศึกษาเพิ่มเติมได
จากกฎหมายและมาตรฐานของหนวยงานที่เกี่ยวของ ไดแก พระราชบัญญัติพลังงาน
ปรมาณู เ พื่ อ สั น ติ พ.ศ. 2504 กฎกระทรวงกํ า หนดมาตรฐานในการบริ ห ารและ
การจัดการดานความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดลอมในการทํางานเกี่ยวกับ
รังสีชนิดกอไอออน พ.ศ. 2547 ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 27 (พ.ศ. 2535)


มาตรฐานความปลอดภัยที่กําหนดโดย OSHA (Occupational Safety and Health
Association) มาตรฐานความปลอดภัยที่กําหนดโดย NIOSH (National Institute of
น่า
Occupational Safety and Health) และหนวยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวของ
ําห
o การปองกันและควบคุมอันตรายจากสารเคมี
สถานประกอบกิจการมีโอกาสที่จะสัมผัสกับสารเคมีในสิ่งแวดลอมการทํางาน
มจ

ซึ่งสารเคมีอาจอยูในรูปของเหลว ไอ ฝุนละออง กาซ สารเคมีสามารถเขาสูรางกายได


และมีอั น ตรายต อผู ป ฏิ บัติ ง าน ดั ง นั้น จํ าเป น ตอ งรู ห ลั ก ในการปอ งกั น และควบคุ ม
ห้า

อันตรายจากสารเคมี
อันตรายจากสารเคมี
สารเคมีชนิดตางๆ ที่มีอยูในสถานประกอบกิจ การมีทั้งเปนวัตถุดิบ ผลผลิต
หรื อ เป น ของเสี ย ที่ ต อ งกํ า จั ด ออก สามารถก อ ให เ กิ ด ป ญ หาสุ ข ภาพอนามั ย ต อ
ผูปฏิบัติงานหรือผูที่เกี่ยวของในสถานประกอบกิจการได สารเคมีอาจจะอยูในรูปของ
กาซ ไอ ฝุนฟูม ควัน ละออง หรืออยูในรูปของเหลว เชน สารตัวทําละลาย (Solvents)
ตางๆ เปนตน
1) ทางเขาสูรางกายของสารเคมี
 ทางการหายใจ การทํางานในสถานประกอบการทั่วๆ ไป ผูปฏิบัติงาน
สวนใหญจะไดรับสารเคมีเขาสูรางกายมากที่สุดโดยวิธีการหายใจ เมื่อสารเคมีผานเขาสู
ระบบทางเดินหายใจ สารเคมีเหลานั้นบางชนิดจะถูกละลายกลายเปนของเหลวแลวถูก

252 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ดูดซึมเขาสูกระแสโลหิต แตส ารเคมีบางชนิดจะไมถูกละลายและไมถูกดูดซึม แตจ ะ
ตกคางอยูในปอด ซึ่งจะทําใหเกิดการระคายเคืองตอปอด เชน ฝุนทราย เปนตน
 ทางการกิน โอกาสไดรับสารเคมีเขารางกายโดยวิธีการนั้นนอยมาก
นอกจากเป น อุ บั ติ เ หตุ การตั้ ง ใจฆ า ตั ว ตาย หรื อ การมี สุ ข วิ ท ยาส ว นบุ ค คลไม ดี คื อ
ปฏิบัติตน ผิดหลักความปลอดภัยในการทํางานเกี่ยวกับสารเคมี เชน กินอาหารหรือสูบ
บุหรี่ ขณะปฏิบัติงาน หรือไมลา งมือกอนรับประทานอาหาร เปนตน
 ทางผิวหนัง การเขาสูรางกายของสารเคมีโดยวิธีการดูดซึมทางผิวหนัง
นับวาสําคัญรองลงมาจากการหายใจ ปกติผิวหนังจะมีชั้นไขมันทําหนาที่ปองกันการดูด
ซึมของสารเคมีเขาสูรางกาย แตมีสารเคมีบางชนิดสามารถที่จะทําลายชั้นไขมันเหลานั้น
ได เชน สารพวกตัวทําละลายทั้งหมด ตะกั่วอินทรีย ไซยาไนด สารฆาแมลง เปนตน
2) ความเปนพิษของสารเคมี อาจจําแนกสารเคมีเปนกลุมๆ ตามความเปน
พิษ ไดดังนี้


 สารที่ทําใหเกิดการระคายเคือง คัน แสบ รอน พุพอง เชน กรดตางๆ
น่า
กาซคลอรีน แอมโมเนีย ซัลเฟอรไดออกไซด
 สารที่ทําใหหมดสติได เชน คารบอนไดออกไซด คารบอนมอนอกไซด
ไนโตรเจนไซยาไนด เนื่องจากสารเคมีนี้ไปแทนที่ออกซิเจนทําใหผูปฏิบัติงานขาดอากาศ
ําห
หายใจ
 สารที่ทําอันตรายตอระบบประสาทและจัดเปนสารเสพติด เชน สาร
มจ

ที่ระเหยไดงาย ไดแก แอลกอฮอล เบนซิน อะซิโตน อีเทอร คลอโรฟอรม ทําใหปวด


ศีรษะ เวียนศีรษะ มึนงง
ห้า

 สารที่เปนอันตรายตอระบบการสรางโลหิต เชน ตะกั่วจะไปกดไข


กระดูก ซึ่งทําหนาที่สรางเม็ดเลือดแดง ทําใหเม็ดเลือดแดงนอยกวาปกติ เกิดโลหิตจาง
 สารที่ เ ป น อั น ตรายต อ กระดู ก ทํ า ให ก ระดู ก เสี ย รู ป ร า งหรื อ ทํ า ให
กระดูกเปราะ เชน ฟอสฟอรัส แคดเมี่ยม
 สารที่เปนอันตรายตอระบบการหายใจ เชน ฝุนทราย ฝุนถานหิน
แอสเบสตอส ทําใหเกิดเยื่อพังผืดในปอด ไมสามารถแลกเปลี่ยนกับออกซิเจนได ความจุ
อากาศในปอดจะนอยลงเมื่อมีเยื่อพังผืดมาก ทําใหเหนื่อยหอบงาย
 สารกอกลายพันธุ ทําอันตรายตอโครโมโซม เชน สารกัมมันตรังสี สาร
ฆาแมลงบางชนิด โลหะบางชนิด ยาบางชนิด ซึ่งความผิดปกติจะปรากฏออกมาใหเห็น
ในชั้นลูกหรือชั้นหลาน

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 253
 สารกอมะเร็ง ทําใหส รางเซลลใหมขึ้ น มาเรื่อยๆ จนมากเกิน ความ
จําเปน ทําใหเกิดเนื้องอกชนิดไมรายแรงหรือรายแรง ตัวอยางสารที่ทําใหเกิดมะเร็ งได
เชน สารกัมมันตรังสี สารหนู แอสเบสตอส นิเกิล ไวนิลคลอไรด เบนซิน เปนตน
 สารเคมีที่ทําใหทารกเกิดความพิการ คลอดออกมาแลวมีอวัยวะไม
ครบ เชน ปากแหวงเพดานโหว แขนดวน ขาดวน ตัวอยางของสารเคมีในกลุมนี้ ไดแก
ยาธาลิโดไมด สารตัวทําละลายบางชนิด ยาปราบศัตรูพืชบางชนิด
การปองกันและควบคุมอันตรายจากสารเคมี
 ปองกันและควบคุมที่แหลงกําเนิดของสารเคมี ดังนี้
- ใชสารเคมีที่มีพิษนอยกวาแทน
- เปลี่ยนกระบวนการผลิตใหม เชน ใชระบบเปยกแทนระบบแหง
เพื่อมิใหเกิดฝุนฟุงกระจาย
- แยกกระบวนการผลิตที่มีอันตรายออกหางจากผูปฏิบัติงาน


- สรางที่ปกปดกระบวนการผลิตใหมิดชิด เพื่อมิใหสารเคมีฟุงหรือ
ระเหยออกไป
น่า
ําห
 ปองกันและควบคุมที่ทางผานของสารเคมี ดังนี้
- การดูแลรักษาสถานที่ทํางานใหสะอาดเรียบรอย
มจ

- การติดตั้งระบบระบายอากาศทั่วไป
- เพิ่มระยะหางระหวางผูปฏิบัติงานกับแหลงสารเคมี
- การตรวจวัดปริมาณสารเคมี และควบคุมไมใหเกิน คามาตรฐาน
ห้า

ความปลอดภั ย และจะต อ งปรั บ ปรุ ง แก ไ ขหากพบว า มี ป ริ ม าณ


สารเคมีคาสูงเกินกวาคามาตรฐานความปลอดภัย

 ปองกันและควบคุมที่ผูปฏิบัติงาน ดังนี้
- การใหการศึกษาและฝกอบรมใหผูปฏิบัติงานทราบถึงอันตรายและ
การปองกัน
- การลดชั่ว โมงการทํางานที่ผูปฏิบัติงานตองสัมผัส สารเคมีที่เปน
อันตรายใหนอยลง
- จัดใหมีการหมุนเวียนหรือสับเปลี่ยนหนาที่การปฏิบัติงาน
- จัดใหผูปฏิบัติงานทํางานอยูในหองควบคุมเปนพิเศษ

254 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
- จั ด ให มี ก ารตรวจสุ ข ภาพร า งกายก อ นรั บ เข า ทํ า งานและตรวจ
สุขภาพเปนระยะๆ
- จั ด อุ ป กรณ คุ ม ครองความปลอดภั ย ส ว นบุ ค คลให พ นั ก งาน
สวมใส

นอกจากนี้ สถานประกอบกิ จ การจะตอ งมี ข อ มู ล รายละเอี ย ดของสารเคมี


อันตรายที่อยูในครอบครองซึ่งจะตองแจงจามกฎหมาย ประกอบดวย
- รายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ เชน ชื่อทางเคมี ผูผลิต ผูนําเขา
- การจําแนกสารเคมีอันตราย
- สารประกอบเคมีที่เปนอันตราย คามาตรฐานความปลอดภัยของ
สารเคมีนั้น
- ขอมูลทางกายภาพและขอมูลทางเคมี
- ขอมูลดานอัคคีภัยและการระเบิด
- ขอมูลเกี่ยวกับอันตรายตอสุขภาพ

น่า
- มาตรการดานความปลอดภัย เชน การควบคุมความปลอดภัยใน
การปฏิบัติงาน การปฐมพยาบาล
ําห
- ขอปฏิบัติที่สําคัญ เชน การขนยาย การจัดเก็บ การปองกันการกัด
กรอน การกําจัด เปนตัน
มจ

o การปองกันและควบคุมอันตรายจากการเคลื่อนยายและจัดเก็บวัสดุ
การเคลื่อนยายวัสดุที่ไมถูกวิธีและการจัดเก็บที่ไมเปนระเบียบอาจทําให
ห้า

เกิ ด ป ญ หาการบาดเจ็ บ และความเสี ย หายของวั ส ดุ เ หลา นั้ น ดั ง นั้ น จึง ควรทราบถึ ง


แนวทางที่ปลอดภัยในการเคลื่อนยายและการจัดเก็บวัสดุ

ปญหาจากการเคลื่อนยายวัสดุ
การเคลื่ อ นย า ยและจั ด เก็ บ วั ส ดุ ที่ ไ ม ถู ก วิ ธี อาจทํ า ให ผู ป ฏิ บั ติ ง านเกิ ด การ
บาดเจ็บ ไดแก การปวดหลัง เคล็ด ขัดยอก ฟกช้ํา และกระดูกหัก การกระแทกหรือ
การชนกั บ วัส ดุ ที่ ยื่ น ออกมา การร ว งหล น หรื อ การล มของกองวัส ดุ การรั่ว ไหลของ
ของเหลวหรือสารเคมีที่ทําใหผูปฏิบัติงานไดรับอันตราย เปนตน สาเหตุจากการบาดเจ็บ
เหลานี้พบวาเนื่องมาจาก "การปฏิบัติงานที่ไมปลอดภัย" เปนตนวา การยกของที่ไมถูก
วิธี การยกของที่หนักเกินไป การจับวัส ดุที่ไมถูกตอง และไมสวมใสอุปกรณคุมครอง
ความปลอดภัยสวนบุคคล
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 255
อยางไรก็ดี เพื่อใหทราบถึงปญหาจากการเคลื่อนยายและเก็บรักษาวัสดุไดอยาง
ชัดเจน ผู รับผิ ดชอบดา นความปลอดภัย ในการทํา งานควรพิจ ารณาและทบทวนถึ ง
คําถามตอไปนี้ในเชิงการปฏิบัติและนโยบาย ซึ่งจะเปนจุดเริ่มตนของการประเมินสภาพ
ของปญหาและการแกไข ดังตอไปนี้
 สามารถปรับปรุงดัดแปลงงานนั้นในเชิงวิศวกรรม เพื่อขจัดการยกยาย
วัสดุดวยมือเปลาไดหรือไม
 การบาดเจ็ บ ที่ พ นั ก งานได รั บ จากการเคลื่ อ นย า ยวั ส ดุ นั้ น เกิ ด ขึ้ น
อยางไร และเกิดจากอะไร เชน วัสดุที่แหลมคม สารเคมี ฝุน ฯลฯ
 สามารถจัดหาสิ่งอํานวยความสะดวกในการยกเพื่อชวยใหงานยกยาย
นั้นปลอดภัยขึ้นไดหรือไม เชน ทําถุงหิ้ว จัดหารถเข็นหรือตะขอ เปนตน
 สามารถเคลื่อนยายวัสดุโดยการใชสายสะพาน หรืออุปกรณเครื่องมือ
กลอื่นๆ เพื่อลดการยกยายวัสดุดวยมือเปลาใหนอยลงไดหรือไม


 อุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคลจะชวยปองกันการบาดเจ็บ
จากการยกยายนั้นๆ ไดหรือไม
น่า
 สามารถจัดการอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยในการยกยายวัสดุใหแก
ําห
พนักงานตางๆ เพื่อปองกันการบาดเจ็บไดหรือไม
 มี ก ารควบคุ ม ดู แ ลในการยกย า ยวั ส ดุ ข องพนั ก งานอย า งเหมาะสม
หรือไม
มจ

 มีก ารกํา หนดสถานที่ เก็ บ และระบบการจั ด เก็ บวั ส ดุแ ตล ะประเภท
หรือไม
ห้า

 มีขอปฏิบัติในการจัดเก็บวัสดุที่มีรูปรางตางๆ หรือไม เชน ทอ ถังที่มี


ความดันสูง กลอง ถุง โลหะแผน เปนตน
ความปลอดภัยในการเคลื่อนยายและการจัดเก็บวัสดุ
1. ความปลอดภัยในการเคลื่อนยายวัสดุดวยมือขอปฏิบัติบางประการในการ
เคลื่อนยายวัสดุดวยมือ เพื่อปองกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น มีดังนี้
 ถา วัส ดุข นาดใหญ เกิ น ไปหรื อหนัก เกิ น ไปซึ่ ง เกิ น ความสามารถของ
ผูปฏิบัติงานคนเดียวจะตองหาคนมาชวยเหลือ
 พิ จ ารณาระยะทางที่ จ ะเคลื่ อ นย า ยวั ส ดุ ก อ นการยกวั ส ดุ ขึ้ น และ
ระยะเวลา ที่ตนเองจะสามารถรับน้ําหนักวัสดุนั้นได โดยจะตองทราบวามือที่รับน้ําหนัก

256 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
วัส ดุนั้ น จะล า ถา หากระยะทางที่ต องยกยา ยวั ส ดุ นั้น ไกลเกิน ไปโดยเฉพาะอย างยิ่ ง
ถาตองขึ้นบันไดหรือทางเอียงลาด ความลาจะยิ่งเกิดเร็วขึ้น
 การวางวัสดุบนโตะ ควรจะคอยๆ วางวัสดุลงที่ขอบโตะเสียกอน แลว
จึงผลักใหเขาไปขางในเพื่อใหแนใจวาวัสดุนั้นจะไมรวงหลน วิธีการนี้จะชวยปองกันมิให
นิ้วมือถูกหนีบหรือถูกทับได
 ที่รองรับวัสดุตองแข็งแรงที่สามารถรับน้ําหนักของวัสดุได และมีความ
มั่นคงจะไมลมหรือพังลงมา มีหลักวาควรจะใหวางอยูในความสูงระดับเอวเสมอ
 การยกวัสดุขึ้นไหล ขั้นแรกจะตองยกวัสดุขึ้นมาที่ระดับเอวกอน แลว
พักวัสดุที่ขอบโตะ หรือชั้นวางของ หรือที่เอวหรือสะโพก หลังจากนั้นก็ตองจัดตําแหนง
มือใหเหมาะสมแลวยอตัวเล็กนอย เพื่อยกวัสดุขึ้นไหล พรอมกับยืดเขาใหตรง
 การเปลี่ยนทิศทางขณะยกวัสดุ จะตองระลึกไวเสมอวา “อยาเอี้ยวหรือ
บิดตัว” เพราะจะทําใหเกิดการบาดเจ็บที่หลังได ในการเปลี่ยนทิศทางในขณะยกยาย


วัสดุนั้น ทั้งรางกายและวัสดุที่ยกจะตองเปลี่ยนตําแหนงไปในทิศทางที่ตองการพรอมๆ
น่า
กันเสมอ

2. ความปลอดภั ย ในการขนย า ยวั ส ดุ ด ว ยเครื่ อ งมื อ หรื อ อุ ป กรณ ใ นการ


ําห
เคลื่อนยาย
 รถฟอรคลิฟต (Forglift) หลักการทั่วไปในการใชรถ มีดังนี้
มจ

- ควรติดตั้งอุปกรณที่ทําใหตองใชคนบังคับตลอดเวลาจึงเคลื่อนหรือ
ทํางานได
ห้า

- ควรมีที่คลุมเหนือศีรษะผูขับ เชน ผาคลุม หรือ หลังคา


- รถที่ อ อกแบบมาสํ า หรั บ งานใด ก็ ค วรใช กั บ งานนั้ น โดยเฉพาะ
เทานั้น
- รถยกควรมี ส วิ ท ช ค วบคุ ม จํ า กั ด สู ง สุ ด และต่ํ า สุ ด ของการยก
เพื่อไมใหยกสูงหรือต่ําเกินไป
- ไม ค วรใช ร ถยกเป น ลิ ฟ ต ย กคน เว น เสี ย แต ว า จะมี แ ป น ที่
ปลอดภั ย ติ ด กั บ งานที่ ย กของรถ และที่ แ ป น นี้ จ ะต อ งมี ร าวกั น
ตกดวย
- ถ า ใช ร ถซึ่ ง ขั บ เคลื่ อ นด ว ยน้ํ า มั น เชื้ อ เพลิ ง ในที่ อั บ ปริ ม าณของ
คารบอนมอนอกไซด ตองมีไมมากกวา 50 สวนตอลานส วนโดย

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 257
ปริมาตร ในเวลาการทํางาน 8 ชั่วโมงตอเนื่อง และอากาศ จะต อ ง
มีออกซิเจนอยูไมนอยกวา 19 %
- ในบริ เ วณที่ มี ก า ซหรื อ ไอที่ ติ ด ไฟได หรื อ บริ เ วณที่ มี ฝุ น เส น ใย
หรือสะเก็ดของสารตางๆคลุงอยูมากจนทําใหติ ดไฟไดงาย ควร
ใชรถที่ออกแบบมาเพื่อใชไดกับบริเวณดังกลาวเทานั้น
 สายพานลําเลียง ขอกําหนดการใชสายพานลําเลียง มีดังนี้
- ไมปน นั่ง หรือยืน บนสายพานลําเลียง
- ตองไมลําเลียงสินคาหนักเกินไป
- ไมถอดฝาปดเฟองหรือโซออกในขณะเดินเครื่อง
- ตองรูจ ุดที่ติดตั้งระบบควบคุมสายพาน
- ตูระบบควบคุมสายพานตั้งอยูในตําแหนงที่เขาถึงไดสะดวก
- กอ นเริ่ ม เดิ น สายพาน พนั กงานทุ ก คนต องอยูห า งในตํา แหน ง ที่


ปลอดภัย
- ผูควบคุมสายพานลําเลียงควรผานการอบรมมาแลว
น่า
- เมื่อพบเห็นสิ่งที่จะกอใหเกิดอันตรายใหรีบรายงานทันที
- บริเวณขางๆ สายพานลําเลียงตองไมวางของเกะกะ
ําห
- กอนซอมแซมตองแนใจวาระบบควบคุมไดล็อคไวแลว
- ระวังสวนของรางกายและเสื้อผาใหหางจากสายพานลําเลียง
มจ

- ชางซอมจะตองมีความชํานาญ
- ต อ งมี ส วิ ท ช ห ยุ ด ฉุ ก เฉิ น ไว ห ลายๆ จุ ด และต อ งติ ด ตั้ ง สั ญ ญาณ
เตือนเมื่อเกินพิกัด
ห้า

 ปนจั่น ขอกําหนดเกี่ยวกับการใชปนจั่น มีดังนี้


- ให ติ ด ป า ยบอกน้ํ า หนั ก ที่ ย กได แ ละติ ด สั ญ ญาณเตื อ นในขณะ
ทํางาน
- ตองใหมีผูสงสัญญาณใหปนจั่นทํางาน
- ต อ งมี ก ารตรวจสอบส ว นประกอบของป น จั่ น และอุ ป กรณ ทุ ก
3 เดือน โดยมีวิศวกรรับรอง
- ในขณะทํางานตองมีสลิงเหลืออยูในมวนไมนอยกวา 2 รอบ
- ค า ความปลอดภั ย ของสลิ ง สํ า หรั บ รอกวิ่ ง ไม น อ ยกว า 6 และ
ลวดยึดโยงไมนอยกวา 3.5
- ต อ งมี เ ครื่ อ งหมายแสดงเขตอั น ตรายในขณะที่ ป น จั่ น ทํ า งาน
และมีที่ครอบเพลาหรือมูเล
258 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
- ถ า ห อ งควบคุ ม อยู สู ง ต อ งมี ร าวกั น ตก พื้ น เดิ น ที่ ป ลอดภั ย และ
รัดสายชูชีพตลอดเวลาทํางาน
- ถามีสายไฟแรงสูงตองอยูหาง 3 เมตรขึ้นไป
- การติดตั้งปนจั่นชนิดอยูกับที่จะตองมีวิศวกรเปนผูรับรอง
- ผู ป ฏิ บั ติ ง านเกี่ ย วกั บ ป น จั่ น ต อ งสวมหมวกแข็ ง ถุ ง มื อ รองเท า
หัวโลหะ
o การปองกันและควบคุมปญหาการยศาสตร
การยศาสตร เ ป น การศึ ก ษาสภาพการทํ า งานที่ มี ค วามสั ม พั น ธ ร ะหว า ง
ผูปฏิบัติงานและสิ่งแวดลอมการทํางาน เปนการพิจารณาวาสถานที่ทํางานดังกลาว ไดมี
การออกแบบหรือปรับปรุงใหมีความเหมาะสมกับผูปฏิบัติง านอยางไร เพื่อปองกั น
ปญหาตางๆ ที่อาจมีผลกระทบตอความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยในการทํางาน และ


สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานไดดวย น่า
การปองกันและควบคุมปญหาการยศาสตร (Ergonomics) ในสถานที่ทํางาน
นั้นอาจพิจารณาที่ปจจัยตอไปนี้
ําห
สถานีงาน (Work Station)
เลือกและปรับสถานีงานใหเหมาะสมตอผูปฏิบัติงานแตละคน อาทิ
มจ

 ระดับความสูงของศีรษะ เชน จัดใหมีเนื้อที่วางสําหรับพนักงานที่สูง


ที่สุด
ห้า

 ระดับความสูงของไหล เชน จัดใหอุปกรณและปุมควบคุมอยูในระดับ


ความสูงระหวางไหลและเอว หลีกเลี่ยงการจัดวางวัสดุสิ่งของใหอยูสูงเกินกวาระดับไหล
 ระยะการเอื้อมของแขน เชน จัดวางวัสดุสิ่งของเพื่อใหผูที่ มีแขนสั้น
ที่สุดสามารถหยิบจับไดโดยไมตองเอื้อมไหลสุดแขน จัดวางวัสดุสิ่งของเพื่อใหผูที่สูงที่สุด
ไมตองกมตัวเพื่อหยิบจับชิ้นงาน จัดวางวัสดุสิ่งของและอุปกรณเครื่องมือไวทางดานหนา
และใกลลําตัว
 ระดับความสูงของขอศอก เชน ระดับความสูงของพื้นหนางานใหอยูใน
ระดับขอศอกหรือต่ํากวาเล็กนอย
 ความยาวของขา เชน ปรับระดับความสูงของเกาอี้ใหเหมาะสมกับ
ความยาวของขาและพื้นหนางาน จัดใหมีที่วางสําหรับวางขา จัดใหมีที่วางพักเทาเพื่อขา
จะไดไมหอยลง และยังชวยใหสามารถปรับเปลี่ยนอิริยาบถทาทางได
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 259
 ขนาดของมือ เชน เลือกใชเครื่องมือที่มีดามหรือที่จับเหมาะกับผูที่มีมือ
ขนาดเล็ก จัดใหมีเนื้อที่วางมากพอสําหรับผูที่มีมือขนาดใหญใหสามารถสอดเขาไปหยิบ
ชิ้นงานได
 ขนาดความหนาของรางกาย เชน จัดใหมีเนื้อที่วางมากพอสําหรับผูที่มี
รูปรางใหญทสี่ ุด
 อื่นๆ เชน จัดใหมีวัสดุสิ่งของที่พนักงานไมตองบิดงอขอมือ หรือยก
แขนสูงเพื่อหยิบจับวัส ดุสิ่งของที่อยูภ ายในหรือมีสัน ขอบคม จัดใหมีเครื่องมือหรือ
การทํางานที่ไมวาคนถนัดมือขวาหรือมือซายก็สามารถทํางานได จัดใหมีอุปกรณปุ ม
ควบคุมที่สามารถอานเขาใจงาย และอยูในตําแหนงที่รางกายไมฝนธรรมชาติ จัดใหมี
สถานีงานที่ตองยืนทํางานมีเกาอี้เพื่อนั่งพักและเปลี่ยนอิริยาบถทาทางเพื่อลดปญหาที่
อาจเกิดขึ้นจากการยืนทํางานเปนเวลานาน หลีกเลี่ยงการทํางานที่เกิดเงาและแสงจา
ฯลฯ


 การทํางานกับอุปกรณที่ใชสําหรับการจัดการประมวลผล และแสดง
น่า
ขอมูลตางๆ (Visual Display Terminals) เชน งานปอนขอมูล งานตอโทรศัพท งานใน
หองควบคุม งานหนังสือพิมพ งานออกแบบ หรือควบคุมการผลิตโดยใชคอมพิวเตอร
ควรจั ด ให ไ ม มี ป ญ หาเรื่ อ งของแสงสะท อ นจากวั ต ถุ อื่ น มาเข า ตา มุ ม ในการมอง
ําห
จอคอมพิวเตอร ความสูงของจอคอมพิวเตอร เกาอี้ แปน พิมพใหเหมาะสมกับขนาด
ร า งกายผู ใ ช จั ด แสงสว า งของวั ต ถุ ที่ ม องขณะทํ า งานควรมี ค วามสว า งพอๆ กั น
มจ

จอคอมพิวเตอรตองไมอยูในตําแหนงที่สะทอนหลอดไฟหรือแสงสวางอื่นเขาตา เพราะ
จะทํ า ให เ กิ ด ป ญ หาแสงจ า ได อาจใช แ ผ น กรองแสงติ ด ที่ ห น า จอเพื่ อ ลดป ญ หา
ห้า

แสงจา จัดระยะหางจากตาถึงวัตถุที่ตองมอง การหยุดพักงานเปนระยะ หรือสับเปลี่ยน


หมุนเวียนกับงานอื่นบางจะชวยลดปญหาความเครียดของกลามเนื้อและจิตใจได

260 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
รูปที่ 14.30 การจัดสถานีงานสําหรับงานคอมพิวเตอร
ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ


เกาอี้นั่ง (Chair)
น่า
เกาอี้นั่งที่ดี จะสามารถทําใหนั่งทํางานในอิริยาบถทาทางที่สะดวกสบายและ
ปรับเปลี่ยนอิริยาบถทาทางของรางกายไดโดยงาย โดยใหผูนั่งสามารถโนมตัวไปขางหนา
ําห
หรื อ หลั ง ได และลุ ก ขึ้ น ยื น หรื อ นั่ งลงได อ ย า งง า ยดาย ซึ่ ง เก า อี้ นั่ง ที่ ดี ค วรมี ลั ก ษณะ
ดังตอไปนี้
มจ

- มีพนักพิงหลังที่สามารถรองรับหลังสวนลางได
- ที่นั่งควรไมกอใหเกิดแรงกดที่ดานหลังของตนขาหรือหัวเขา
ห้า

- มีฐานที่มั่นคงแข็งแรง
- มีกลไกที่สามารถปรับระดับไดงาย
- มี ท า วแขนหรื อ ที่ ร องรั บ แขนส ว นล า ง ซึ่ ง ไม เ ป น อุ ป สรรคต อ การ
ทํางาน
- ใชวัสดุที่เหมาะสมสําหรับบุเกาอี้
สถานีงานสําหรับการยืนปฏิบัติงาน (Standing Work Station)
การยืนทํางานเปนระยะเวลานาน อาจทําใหขาบวม การไหลเวียนของโลหิต
ไมสะดวก เทาเปน แผลช้ําระบม กลามเนื้ อออนลา และเกิดอาการปวดหลัง เปนตน
ควรจัดใหมีเนื้อที่วางสําหรับขาและเขาอยางเพียงพอ เพื่อใหสามารถปรับเปลี่ยนระดับ
ความสูงของพื้นหนางานใหเหมาะสมกับงานที่ตองปฏิบัติ ทั้งนี้ขึ้นอยูกับ

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 261
- ระดับความสูงของขอศอกแตละคน
- ลั ก ษณะของงาน (งานปกติ ทั่ ว ไป งานละเอี ย ดที่ ต อ งใช ส ายตา
งานหนักที่ตองออกแรง)
- ขนาดของชิ้นงาน
- เครื่องมือและอุปกรณที่ใช
หากไมสามารถปรับระดับความสูงของพื้นหนางานไดควรจัดใหมียกพื้นสําหรับ
คนตัวเตี้ยและที่รองรับชิ้นงานใหสูงขึ้นสําหรับคนตัวสูง
การจัดใหมีที่วางพักเทา จะทําใหพนักงานสามารถสลับน้ําหนักตัวลงที่ขาขางใด
ขางหนึ่ง ซึ่งจะชวยลดอาการปวดเมื่อยที่มีตอระบบกลามเนื้อ กระดูกและขอตอที่ขา
และหลัง
การจั ด ให มี ที่ นั่ ง สํ า หรั บ ผู ที่ ต อ งยื น ทํ า งาน เพื่ อ ให ผู ป ฏิ บั ติ ง านสามารถ
ปรั บ เปลี่ ย นอิ ริ ย าบถท า ทางเป น การนั่ ง ได บ า ง ควรจั ด ระดั บ ความสู ง ของที่ นั่ ง ให


เหมาะสมกับความยาวของขา ระดับความสูงของพื้นที่หนางาน และลักษณะงานที่ทํา
(งานปกติทั่วไป งานละเอียดที่ตองใชสายตา งานหนักที่ตองออกแรง)
น่า
รองเทาควรเปนแบบที่สวมใสสบาย และมีสนเตี้ย พื้นควรสะอาด ไมลื่นและ
เสมอไดระดับเทากัน
ําห
จงแนใจวาผูปฏิบัติงานอยูในอิริยาบถทาทางที่ดีดวย อาทิ หันหนาเขาหางานให
ลําตัวอยูใกลงานที่ตองปฏิบัติ หมุนเทาไปในทิศทางที่ตองการแทนการบิดเอี้ยวตัว
มจ

หนาจอแสดงภาพและอุปกรณควบคุม (Displays and Controls)


ผูปฏิบัติงานที่ใชอุปกรณควบคุมเพื่อควบคุมการทํางานของอุปกรณเครื่องจักร
ห้า

ตางๆ และหนาจอแสดงภาพเพื่อดูผ ลการควบคุม จึงตองมีปฏิสัมพัน ธกันอยางดีกับ


ผูปฏิบัติงานนั้นๆ
 จัด อุ ป กรณ ปุม ควบคุ ม ให เ หมาะกั บข อ จํ า กั ด ในเรื่ อ งขนาดร า งกาย
การออกแรง และการมองเห็น เชน เลือกใชอุปกรณควบคุมที่เหมาะสมตอการบังคับ
ดวยมือหรือเทา แนใจวามีที่วางมากพอที่จะจับอุปกรณควบคุมนั้นได
 จัดวางอุปกรณควบคุมที่สําคัญไวในตําแหนงที่จับถึงไดงายและสะดวก
ซึ่งรวมถึงอุปกรณปุมควบคุมที่ตองบังคับอยางรวดเร็ว ใชบอย และเปนงานที่ตองการ
ความละเอียดถูกตองแมนยําสูง
 จัดวางอุปกรณควบคุม ใหมีทิศทางการบังคับใหสอดคลองกับสามัญ
สํานึกของผูปฏิบัติงาน เชน เลื่อนจากซายไปขวา หมุนตามเข็มนาฬิกา หรือดันออกนอก
ลําตัว
262 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
 จั ด วางอุ ป กรณ ค วบคุ ม ตามมาตรฐานที่ กํ า หนด มิ ฉ ะนั้ น อาจเกิ ด
ความผิดพลาดในการใชงาน โดยเฉพาะอยางยิ่งในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น
 จงแนใจวา ไดจัดใหหนาจอแสดงภาพสามารถอานไดงาย เชน มีการ
จัดใหมีแสงสวางอยางเพียงพอ ไมมีแสงสะทอนเขาตา มีการใชสีที่เหมาะสม
 จั ด หน า จอแสดงภาพประเภทเดี ย วกั น ให อ ยู ใ นกลุ ม เดี ย วกั น เพื่ อ
สะดวกในการแยกแยะ
เครื่องมือ (Tools)
เครื่ อ งมื อ ที่ ไ ด รั บ การออกแบบมาเป น อย า งดี จะช ว ยทํ า ให มี ตํ า แหน ง ของ
รางกายและการเคลื่อนไหวที่ดี ในกรณีที่ใชเครื่องมือรวมกัน จงแนใจวาผูที่มีรูปรางเล็ก
สามารถใชเครื่องมือดังกลาวไดอยางปลอดภัยและสะดวกสบาย
 เลื อกใชเ ครื่ อ งมื อที่ มี ดา มจั บ ยาวมากพอดี กั บฝ ามื อ เพื่อ หลีก เลี่ ย ง


แรงกดที่อาจเกิดขึ้นบริเวณฝามือ
 เลือกใชเครื่องมือที่มีระยะหางระหวางดามไมมากเกินไป
น่า
 อยาเลือกใชเครื่องมือที่มีดามเหมาะสําหรับมือเพียงขนาดเดียว
 จงแนใจวามีการใชฉนวนหุมดาม เพื่อปองกันอันตรายจากไฟฟาและ
ําห
ความรอน
 อยาเลือกใชเครื่องมือที่มีดามเปนสันของคม และลื่นตอการจับมือ
มจ

 เลือกใชเครื่องมือที่ไมทําใหสวนของรางกายอยูในอิริยาบถทาทางที่ฝน
ธรรมชาติ เชน กางขอศอก บิดงอขอมือ
ห้า

 เลื อ กใช เ ครื่อ งมื อที่ ส ามารถใช ก ล ามเนื้ อมั ด ใหญ ๆ ที่ไ หล และแขน
แทนที่จะใชกลามเนื้อมัดเล็กๆ ที่ขอมือและนิ้วมือ
การยกเคลื่อนยายดวยแรงคน (Manual Material Handling)
ควรมีการออกแบบงานที่ตองมีการยกเคลื่อนยายดวยแรงคน เพื่อใหมีการออก
แรงนอยที่สุด โดยเฉพาะอยางยิ่ง กลามเนื้อหลัง ปจจัยที่ควรพิจารณา ไดแก น้ําหนัก
ของวั ส ดุ สิ่ ง ของ ความถี่ ระยะในแนวดิ่ งและแนวนอน อิ ริ ย าบถ ท า ทางในการยก
เคลื่อนยาย ฯลฯ การลดความเสี่ยงตอการบาดเจ็บจากการยกเคลื่อนยายดวยแรงคน
อาจทําไดโดย

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 263
 ลดน้ําหนักของวัสดุสิ่งของ เชน ลดขนาดของภาชนะบรรจุ ลดจํานวน
สิ่งของที่จะตองยกเคลื่อนยายในแตละครั้งมอบหมายใหมีจํานวนผูชวยยกเคลื่อนยาย
มากขึ้น
 ทํา ให วัส ดุ สิ่ ง ของง ายต อ การจั บ ถื อ ยกเคลื่ อ นยา ย เช น ทํ าให วั ส ดุ
สิ่งของหรือภาชนะบรรจุมีที่จับหรือหูหิ้ว จัดวางวัส ดุสิ่งของใหอยูในระดับไมต่ํากวา
สะโพก เพื่อจะไดไมตองกมตัว ใชคนมากกวา 1 คนในการยกเคลื่อนยายของหนัก หรือ
ใชอุปกรณเครื่องกลชวยในการยกเคลื่อนยาย
 ใชระบบการจัดเก็บที่งายตอการยกเคลื่อนยาย เชน จัดทําชั้นวางของ
ที่มีระดับความสูงที่เหมาะสมสําหรับจัดวางวัสดุสิ่งของ เพื่อจะไดไมตองกมตัว
 ลดระยะทางในการยกเคลื่อนยาย เชน ปรับเปลี่ยนผังสถานที่ทํางาน
หนวยผลิต และสถานที่จัดเก็บ
 ลดจํานวนครั้งในการยกเคลื่อนยาย เชน เพิ่มจํานวนคนที่ทําหนาที่ใน


การยกเคลื่อนยายใหมากขึ้น ใชอุปกรณเครื่องกลชวยในการยกเคลื่อนยาย
น่า
 ลดการบิดเอี้ยวตัวของรางกาย เชน จัดวางวัสดุสิ่งของใหอยูทางดาน
หนาของลําตัว ใหมีเนื้อที่วางมากพอ เพื่อใหสามารถหมุนไดทั้งตัว โดยใหวางเทาไปใน
ําห
ทิศทางที่ตองการแทนการบิดเอี้ยวเฉพาะลําตัวเทานั้น

อยางไรก็ตามหากมีการยกเคลื่อนยายของหนักดวยแรงคน จะตองคํานึงถึง
มจ

มาตรการความปลอดภัย ที่ ก ฎหมายกํ า หนดไว ดว ย โดยพิ จ ารณาจากกฎกระทรวง


กําหนดอัตราน้ําหนักที่นายจางใหลูกจางทํางานได พ.ศ. 2547 ซึ่งกําหนดใหนายจางที่ใช
ห้า

ลูกจางทํางาน ยก แบก หาบ หาม ทูน ลาก หรือเข็นของหนัก ที่ไมเกินอัตราน้ําหนักโดย


เฉลี่ยตอลูกจางหนึ่งคนดังตอไปนี้

55 กิโลกรัม สําหรับลูกจางซึ่งเปนชาย
25 กิโลกรัม สําหรับลูกจางซึ่งเปนหญิง และลูกจางซึ่งเปน
เด็กชายอายุตั้งแต 15 ป แตยังไมถึง 18 ป
20 กิโลกรัม สําหรับลูกจางซึ่งเปนเด็กหญิง อายุตั้งแต 15 ปแตยัง
ไมถึง 18 ป

264 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
หลักการเคลื่อนยายวัสดุดวยมืออยางปลอดภัย

พิจารณาเลือกวิธีการยกวัสดุที่จะเคลื่อนยาย

หลีกเลี่ยงการกม การบิด การยืดตัว โดยไมจําเปน


ควรยกของอยางถูกตอง และมีจังหวะ มีการทํางานเปนระบบ
ตองลดการกมหลังโดยใชการยอเขาแทน


น่า
ําห
มจ

การจับหรืออุมของขณะยก ตองจับโดยใชมือทั้งสองขาง ดึงวัสดุใหอยูใกลตัวมากที่สุด


การยกวัสดุควรยกในจังหวะพอดี คอย ๆ ทําไมกระตุก หรือกระชาก
ห้า

รูปที่ 14.31 การเคลื่อนยายวัสดุดวยมืออยางปลอดภัย


ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ

สิ่งแวดลอมในการทํางาน
ได แ ก แสงสว า งที่ น อ ยเกิ น ไป หรื อ แสงจ า อุ ณ หภู มิ ที่ ร อ นหรื อ เย็ น เกิ น ไป
เสียงดัง ความสั่นสะเทือน สิ่งแวดลอม ในการทํางานเหลานี้มีผลตอสุขภาพรางกายของ
ผูปฏิบัติงาน ดังนั้น จึงตองมีการปรับปรุงสิ่งแวดลอมในการทํางานที่ไมเหมาะสมเพื่อ
การปองกันและลดปญหาสุขภาพอนามัยของผูปฏิบัติงาน

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 265
ตารางการทํางาน (Work Schedules)
ชั่วโมงการทํางาน มีผลกระทบที่สําคัญตอสุขภาพอนามัย และพึงพอใจในงาน
ที่ปฏิบัติ รวมไปถึงการทํางานกะ (Shift Work) ทั้งนี้เนื่องจากการทํางานกะ จะทําให
เกิดการเปลี่ย นแปลงจังหวะวงจรชีวิตในแตล ะวัน เชน อุณหภูมิของรางกาย อัตรา
การเตน ของหัว ใจและฮอรโ มน เปน ตน การทํางานกะจึง เปน การปรับเปลี่ ย นกลไก
ธรรมชาติของมนุษยซึ่งอาจกอใหเกิดผลกระทบตางๆ ตอรางกายได เชน เกิดความ
เหนื่อยลา เปน โรคกระเพาะอาหารและนอนไมห ลับ รวมทั้งยังสงผลกระทบตอการ
ดําเนินชีวิตในครอบครัวและสังคมอีกดวย ปญหาดังกลาวอาจลดลงไดโดย
- ลดจํานวนพนักงานที่ตองทํางานกะกลางคืน ใหมีจํานวนเทาที่จําเปน
เทานั้น
- แจงใหพนักงานทราบลวงหนาถึงกําหนดตารางเวลาการทํางานกะ
- จัดใหมีสวัสดิการตางๆ เชน บริการรถรับสงพนักงาน อาหาร
- ในชวงออกกะ พนักงานควรหลับใหเต็มที่ ในสถานที่เงียบและหลับได
สบาย

น่า
- พนักงานควรใสใจรับประทานอาหารที่มีคุณคาทางโภชนาการ ออกกําลัง
กาย พอเหมาะเพื่อใหมีสุขภาพอนามัยที่ดี
ําห
o การใชอุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล
มจ

อุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล หมายถึง อุปกรณหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด


ที่จะนํามาสวมใสลงบนสวนใดสวนหนึ่งหรือหลายสวนของบุคคลนั้นๆ เพื่อปองกันไมให
ไดรับอันตรายจากการทํางานหรือลดความรุนแรงของการประสบอันตราย
ห้า

อุ ป กรณ คุ ม ครองความปลอดภั ย ส ว นบุ ค คลมี ห ลายประเภท แบ ง ตาม


การปองกันอวัยวะที่สําคัญของรางกายได 9 ประเภท ดังนี้
1. อุปกรณปองกันศีรษะ (Head Protection) ไดแก หมวกแข็ง (Safety
Helmet) ใชปองกัน ศีร ษะ ใบหนา และคอดานหลัง ลดความรุนแรงในกรณีที่ถูก
ของแข็งฟาดหรือตกใส อุปกรณปองกันศีรษะบางประเภทสามารถตานทานไฟฟาได
2. อุปกรณปองกันผม (Hair Protection) ไดแก ตาขายคลุมผม (Hair Net)
ใชปองกันผมไมใหถูกจับดึงโดยชิ้นสวนของเครื่องจักรที่กําลังเคลื่อนไหวหรือใชปองกัน
ฝุนละอองสิ่งสกปรกตางๆ
3. อุปกรณปองกันตา (Eye Protection) ไดแก แวนตา แวนกรองแสง และ
หนากาก ใชปองกันอันตรายเนื่องจากเศษผงกระเด็นเขาตา ปองกันสารเคมีกระเด็น
เขาตา หรือปองกันรังสีที่เปนอันตรายตอดวงตา
266 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
4. อุปกรณปองกันหู (Ear Protection) ไดแก ที่อุดหู (Ear Plugs) และที่
ครอบหู (Ear Muffs) เพื่อลดอันตรายจากเสียงดัง การที่จะใหคนงานใชเครื่องปองกันหู
ก็ตอเมื่อไมสามารถจะลดเสียงหรือกําจัดเสียงได
5. อุปกรณปองกันลําตัวและขา (Body and Legs Protection) ไดแก
ชุดกันสารเคมี ชุดกันความรอน ชุดกันสะเก็ดไฟ
6. อุปกรณปองกันเทา (Foot Protection) ไดแก รองเทาหัวโลหะ รองเทา
ยาง ฯลฯ ตองเปนรองเทาชนิดพิเศษที่มีแผนเหล็กรองไวทางสวนหนาของรองเทา เพื่อ
กันของหนักตกทับนิ้วเทา
7. อุ ป กรณ ป อ งกั น ระบบทางเดิ น หายใจ (Respiratory Protection
Devices) ไดแก หนากาก ที่ครอบปากและจมูก ที่กรองอากาศชนิดตางๆ ตามประเภท
ของสารเคมี
8. อุปกรณปองกันมือและแขน (Hand Protection) ไดแก ถุงมือ ถุงมือยาง


ปลอกแขน งานที่ตองใชมือจับของหนัก ของแข็ง ของมีคม ของที่มีแงมุม ของที่รอนหรือ
ของที่ เ ป น พิษ ต อ ผิ ว หนัง งานที่ ตอ งใช มี ด ตัด เฉื อ น เจาะด ว ยของแข็ ง คม และงาน
เกี่ยวกับไฟฟา
น่า
9. อุ ป กรณ ป อ งกั น อื่ น ๆ ได แ ก ครี ม ป อ งกั น อั น ตรายต อ ผิ ว หนั ง (Barrier
ําห
Cream) เข็มขัดนิรภัย (Safety Belt) เชือกนิรภัย (Life Line)
 ครีมปองกันอันตรายตอผิวหนัง (Barrier Cream) ลักษณะอาจเปน
มจ

ขี้ผึ้ง หรือครีม หรือน้ํายา สําหรับทาบนผิวหนัง เพื่อปองกันอันตรายจากการเสียดสี


สารเคมี หรือจากเชื้อแบคทีเรีย
 เข็มขัดนิรภัย (Safety Belt) และ เชือกนิรภัย (Life Line) เมื่อ
ห้า

ทํางานอยูบนที่สูง เชน เสา นั่งราน หรือสิ่งกอสราง ซึ่งมีทางไมกวางนัก หรือเปนที่ลาด


เอียงและไมมีราว หรือขอบกั้น

กฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวของ
1. พ.ร.บ. ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดลอมในการทํางาน พ.ศ.
2554
2. กฎกระทรวง กําหนดมาตรฐานความปลอดภัย เกี่ยวกับรังสีกอไอออน พ.ศ.
2547
3. กฎกระทรวง กําหนดมาตรฐานความปลอดภัย เกี่ยวกับการทํางานในที่อับ
อากาศ พ.ศ. 2547

หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 267
4. กฎกระทรวง กําหนดหลักเกณฑและวิธีการตรวจสุขภาพของลูกจาง พ.ศ.
2547
5. กฎกระทรวง กําหนดมาตรฐานความปลอดภัยเกี่ยวกับ ความรอน แสงสวาง
และเสียง พ.ศ. 2549
6. กฎกระทรวง กํ าหนดมาตรฐานความปลอดภัย เกี่ย วกับ เจ าหน าที่ค วาม
ปลอดภัย คณะกรรมการความปลอดภัยฯและหนวยงานความปลอดภัยฯ
7. กฎกระทรวง กํ า หนดมาตรฐานความปลอดภั ย ในการทํ า งานเกี่ ย วกั บ
เครื่องจักร ปนจั่น และหมอน้ํา
8. กฎกระทรวง กําหนดมาตรฐานความปลอดภัยในการทํางานเกี่ยวกับงาน
กอสราง พ.ศ. 2551
9. มาตรฐานการป อ งกั น อั ค คี ภั ย วิ ศ วกรรมสถานแห ง ประเทศไทย
ในพระบรมราชูปถัมภ


10. มาตรฐานระบบแจ ง เหตุ เ พลิ ง ไหม วิ ศ วกรรมสถานแห ง ประเทศไทย
ในพระบรมราชูปถัมภ
น่า
11. มาตรฐานระบบหัวกระจายน้ําดับเพลิงของ NFPA 13, National Fire
Protection Association, USA.
ําห
12. มาตรฐานความปลอดภัยตอชีวิต NFPA 101 (Life Safety Code),
National Fire Protection Association, USA.
มจ

13. การไฟฟานครหลวง, คูมือการใชไฟฟาอยางมีประสิทธิภาพและปลอดภัย,


พิมพครั้งที่ 1, วิสมา เอเซีย จก., กรุงเทพมหานคร : 2551
14. ลือชัย ทองนิล, คูมือความปลอดภัยทางไฟฟา ในสถานประกอบการ, พิมพ
ห้า

ครั้งที่ 3, สมาคมสงเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุน), กรุงเทพมหานคร : 2555


15. คูมือการฝก อบรมหลักสู ตรเจาหนา ที่ความปลอดภัย ในการทํางาน กรม
สวัสดิการและคุมครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน

268 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร

You might also like