Professional Documents
Culture Documents
Training Manual 2561
Training Manual 2561
ห้า
มจ
ําห
น่า
ย
ห้า
มจ
ําห
น่า
ย
คํานํา
สําหรับการอบรมและทดสอบความพร้อมในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม จะมี
หนังสือคู่มือประกอบการอบรมซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาหลัก 4 เรื่อง คือ กฎหมาย จรรยาบรรณ สิ่งแวดล้อม
และความปลอดภัยในงานวิศวกรรม เพื่อให้หนังสือคู่มือมีความทันสมัยจึงจัดตั้งคณะทํางานปรับปรุงเนื้อหา
หนังสือคู่มือฯ เพื่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เข้ารับการอบรมฯ และเพื่อให้วิศวกรใช้ในการประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรมควบคุมต่อไป
คณะอนุ กรรมการอบรมและทดสอบความรู้ เกี่ ยวกั บความพร้ อมในการประกอบวิ ชาชี พ
วิศวกรรมควบคุม และคณะทํางานปรับปรุงหนังสือคู่มือ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือคู่มือฯ เล่มนี้จะสามารถ
อํานวยประโยชน์แก่ผู้เข้าอบรมได้ใช้เป็นแนวทางในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ประกอบความรู้
ความชํานาญที่ใช้ปฏิบัติงานต่อไป
ย
น่า
ําห
นายมานิตย์ กู้ธนพัฒน์
ประธานคณะอนุกรรมการอบรมและทดสอบความรู้
มจ
เกี่ยวกับความพร้อมในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
พฤศจิกายน 2561
ห้า
ห้า
มจ
ําห
น่า
ย
สารบัญ
หมวดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม หน้า
บทที่ 1 ความรูเ้ บื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย 3
ความหมาย 3
ประเภทและการจัดทํากฎหมาย 3
คําจํากัดความ 4
บทที่ 2 กฎหมายวิศวกร 9
วัตถุประสงค์ 9
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 9
สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 9
บทกําหนดโทษ 15
กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 15
บทที่ 3 กฎหมายว่าด้วยความปลอดภัยและการคุ้มครองแรงงาน 17
วัตถุประสงค์ 17
ย
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
น่า 17
สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 17
คําจํากัดความ 19
การใช้แรงงานทั่วไป 20
ําห
การใช้แรงงานหญิง 21
การใช้แรงงานเด็ก 22
มจ
บทกําหนดโทษ 24
กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 24
บทที่ 4 กฎหมายโรงงาน 25
ห้า
วัตถุประสงค์ 25
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 25
สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 25
บทกําหนดโทษ 28
กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 29
หน้า
บทที่ 5 กฎหมายควบคุมอาคาร 31
วัตถุประสงค์ 31
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 31
สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 31
พื้นที่บังคับใช้ 32
คําจํากัดความทีส่ ําคัญในกฎหมายควบคุมอาคาร 32
การยื่นขออนุญาตและการพิจารณาของเจ้าพนักงานท้องถิ่น 35
การดําเนินการหลังได้รับอนุญาตแล้ว 36
การแจ้งความประสงค์จะก่อสร้างอาคารโดยไม่ยื่นคําขอรับ 36
ใบอนุญาตตามมาตรา 39 ทวิ
การต่ออายุใบอนุญาต 37
กฎกระทรวง 37
บทกําหนดโทษ 40
กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 42
ย
บทที่ 6 กฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่ายงานของรัฐ
น่า 43
วัตถุประสงค์ 43
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 43
สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 43
ําห
อํานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. 47
อํานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ท. 48
มจ
บทกําหนดโทษ 48
กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 51
บทที่ 7 กฎหมายแพ่ง-พาณิชย์และกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับ
ห้า
วิชาชีพวิศวกรรม 53
วัตถุประสงค์ 53
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 53
สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 53
กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 55
หน้า
บทที่ 8 กฎหมายผังเมือง 57
วัตถุประสงค์ 57
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 57
สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 57
บทสรุป 62
บทกําหนดโทษ 63
กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 63
บทที่ 9 กฎหมายสิ่งแวดล้อม 65
วัตถุประสงค์ 65
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 65
สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 65
บทกําหนดโทษ 67
กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 67
บทที่ 10 กฎหมายส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 69
ย
วัตถุประสงค์ 69
น่า
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
69
69
บทกําหนดโทษ
ําห
72
กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 73
บทที่ 11 กฎหมายคอมพิวเตอร์ 75
มจ
วัตถุประสงค์ 75
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 75
ห้า
สาระสําคัญที่เกีย่ วข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม 75
บทกําหนดโทษ 76
บทสรุป 81
กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง 81
หน้า
หมวดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม
บทที่ 12 จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม 85
ลักษณะพิเศษของวิชาชีพวิศวกรรม 85
ความสําคัญของจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม 86
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมของสภาวิศวกร 86
- หมวดที่ 1 จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม 87
- หมวดที่ 2 การประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนํามาซึ่งความเสื่อมเสีย 93
เกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
กรณีศกึ ษา 94
วิธีพิจารณาและวินิจฉัยจรรยาบรรณ 98
การประกอบวิชาชีพต้องถูกต้องตามกฎหมายและจรรยาบรรณ 100
ประกอบวิชาชีพอย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย 101
บทสรุป 108
บรรณานุกรม 109
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
ย
บทที่ 13 สิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
น่า 113
บทนํา 113
มลพิษสิ่งแวดล้อม 115
มลพิษน้ําและผลกระทบ 115
ําห
มลพิษอากาศและผลกระทบ 116
มลพิษด้านขยะมูลฝอย 117
มจ
ปัญหาภาวะโลกร้อน 118
ระดับความรุนแรงและอันตรายของมลพิษ 119
แนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษและลดผลกระทบ 122
ห้า
การจัดการสิ่งแวดล้อม 122
โครงสร้างของ ISO 14000 127
หลักการของมาตรฐาน ISO 14001 128
ประโยชน์ของการจัดทําระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม 130
ประเด็นสิ่งแวดล้อมในการจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ 132
สิ่งแวดล้อม
ตารางสรุปประเภท ขนาดของโครงการทีต่ ้องจัดทํารายงานการ 133
วิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
หน้า
เงื่อนไขการจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ 142
การประเมินผลกระทบสิง่ แวดล้อมเบื้องต้น 143
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
บทที่ 14 ความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 147
แนวคิด 147
ความรู้เกีย่ วกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัย 147
o อุบัติเหตุและความสูญเสีย 147
o การเจ็บป่วยจากสิ่งแวดล้อมในการทํางาน 157
o การจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเพือ ่ ลดอุบัติเหตุและ 158
ความสูญเสีย
o ระบบการจัดการความปลอดภัย 163
o การกําหนดนโยบายความปลอดภัย 164
o การมอบหมายความรับผิดชอบด้านความปลอดภัย 165
o หน้าที่และความรับผิดชอบของคณะกรรมการความปลอดภัย 167
ย
การป้องกันและการควบคุมอันตราย 169
o การป้องกันและควบคุมอันตรายจากเครื่องจักร 169
น่า
- ความปลอดภัยเกี่ยวกับหม้อน้ํา
- อุปกรณ์ความปลอดภัยของหม้อน้ํา
174
175
- การตรวจสอบและการทดสอบ 175
ําห
- สรุปสาเหตุทที่ ําให้หม้อน้ําระเบิด 176
o การป้องกันและควบคุมอันตรายจากไฟฟ้า 178
มจ
- อันตรายจากไฟฟ้าและการป้องกัน 178
- หลักการป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด 179
- หลักการป้องกันอันตรายจากอาร์กและการระเบิด 182
ห้า
- แนวทางการเลือกการป้องกันเมื่อทํางานกับไฟฟ้า 183
- การปฐมพยาบาล 194
o การป้องกันและระงับอัคคีภัย 195
- แนวคิด 195
- กรณีศกึ ษา 195
- นโยบายและเป้าหมายความปลอดภัยด้านอัคคีภัย 198
- อันตรายจากอัคคีภัย 199
- สาเหตุของการเกิดและแหล่งกําเนิดอัคคีภัย 201
- การป้องกันอัคคีภัย 202
หน้า
- อุปกรณ์แจ้งเหตุเพลิงไหม้ 204
- ข้อปฏิบัติตนเมื่อเกิดไฟไหม้ 218
o การป้องกันและควบคุมอันตรายในงานก่อสร้าง 220
- อันตรายในงานก่อสร้าง 220
- อันตรายจากงานตอกเสาเข็ม 220
- อันตรายจากการทํารูเจาะขนาดใหญ่ 222
- อันตรายจากปัน้ จั่นสําหรับยกของ 223
- อันตรายจากลิฟต์ชั่วคราว 225
- อันตรายจากนัง่ ร้านและค้ํายัน 226
- อันตรายจากไฟฟ้าและไฟไหม้ 227
- อันตรายจากการก่อสร้างและการรื้อถอนที่ผิดวิธีและหลักวิชา 227
- ความปลอดภัยของปั้นจั่น 228
- ความปลอดภัยสําหรับโครงสร้างชั่วคราว 235
o การป้องกันและควบคุมอันตรายจากสิ่งแวดล้อมการทํางาน 242
- การป้องกันและควบคุมอันตรายจากเสียงดัง 243
- หลักการป้องกันและควบคุมอันตรายจากเสียง 243
ย
- หลักการป้องกันและควบคุมอันตรายจากความร้อน
น่า 244
- การป้องกันและควบคุมอันตรายจากการสั่นสะเทือน 246
- การป้องกันและควบคุมอันตรายจากรังสี 248
o การป้องกันและควบคุมอันตรายจากสารเคมี 252
ําห
o การป้องกันและควบคุมอันตรายจากการเคลื่อนย้ายและจัดเก็บวัสดุ 255
- ปัญหาจากการเคลื่อนย้ายวัสดุ 255
- ความปลอดภัยในการเคลื่อนย้ายและการจัดเก็บวัสดุ 256
มจ
o การป้องกันและควบคุมปัญหาการยศาสตร์ 259
- สถานีงาน 259
- เก้าอี้นงั่ 261
ห้า
- สถานีงานสําหรับการยืนปฏิบัตงิ าน 261
- หน้าจอแสดงภาพและอุปกรณ์ควบคุม 262
- เครื่องมือ 263
- การยกเคลื่อนย้ายด้วยแรงคน 263
- สิ่งแวดล้อมในการทํางาน 265
- ตารางการทํางาน 266
o การใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล 266
กฎหมายและมาตรฐานที่เกีย่ วข้อง 267
คณะผู้จัดทํา
หมวดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
1. นายอุทัย คําเสนาะ
หมวดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม
1. ศ.ดร.อมร พิมานมาศ
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
1. รศ.ยุทธนา มหัจฉริยวงศ์
2. ดร.เกรียงศักดิ์ อุดมสินโรจน์
3. รศ.ดร.ชวลิต รัตนธรรมสกุล
4. รศ.ดร.สุเทพ สิริวิทยาปกรณ์
5. ผศ.พิพัฒน์ ภูริปัญญาคุณ
6. นายสุพจน์ โล่ห์วัชรินทร์
ย
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
1. นายสมบูรณ์
น่า ธนาภรณ์
2. ศ.ดร.อมร พิมานมาศ
3. นายพิชญะ จันทรานุวัฒน์
4. นายลือชัย ทองนิล
ําห
มจ
ห้า
ห้า
มจ
ําห
น่า
ย
หมวด
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ
ย
น่า
วิชาชีพวิศวกรรม
ําห
มจ
ห้า
ห้า
มจ
ําห
น่า
ย
บทที่ 1
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย
ความหมาย
กฎหมาย คื อ บรรดาข้อบังคับของรัฐหรือประเทศที่ใช้บังคับความประพฤติ
ทั้งหลายของบุคคลอันเกี่ยวด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกัน ถ้าใครฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม
ก็จะต้องมีความผิดและถูกลงโทษ
กฎหมายจะอยู่ในลําดับเดียวกับศาสนาและจรรยา คือเป็นปรากฏการณ์ทาง
ชุมชน ซึ่งหมายถึงชุมชนหรือกลุ่มชนที่รวมกันเป็นสังคมหนึ่งๆ นั่นเอง เป็นผู้ที่ทําให้เกิด
กฎหมายซึ่งตรงกับสุภาษิตลาตินที่ว่า “ubi societas, ibi ius” คือ ที่ใดมีสังคมเกิดขึ้น
ที่นั่นย่อมมีกฎหมายเกิดขึ้นมา เช่นกัน
ประเภทและการจัดทํากฎหมาย
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้ระบบ civil law กฎหมายที่ใช้อยู่เป็นกฎหมาย
ลายลั ก ษณ์ อั ก ษร ตามความเห็ น ของนั ก กฎหมายไทยนั้ น ถื อ ว่ า กฎหมายมาจาก
รัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งในปัจจุบัน ก็คือ รัฐสภาถือว่าเป็นองค์กรที่มีอํานาจสูงสุดของรัฐ
ย
โดยหลักทั่วไปฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ในการจัดทํากฎหมายออกมาบังคับความ
น่า
ประพฤติของพลเมือง แต่ในบางครั้งอาจมอบอํานาจให้องค์กรฝ่ายบริหารเป็นผู้บัญญัติ
กฎหมายแทนได้ เพื่อความสะดวกรวดเร็วและความคล่องตัวในการบริหารประเทศ หรือ
อาจมอบอํานาจให้แก่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สามารถออกกฎหมายมาใช้
ําห
บริหารราชการในท้องถิ่นของตนได้
เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
กฎหมายลายลักษณ์อักษรสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
มจ
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
พระราชบัญญัติ
พระราชกําหนด
2. กฎหมายลายลักษณ์อักษร ซึ่งบัญญัติขึ้นโดยฝ่ายบริหาร ได้แก่
พระราชกฤษฎีกา
กฎกระทรวง
ประกาศกฎกระทรวง
หมวดกฎหมาย 3
3. กฎหมายลายลักษณ์อักษร ซึ่งบัญญัติขึ้นโดยองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น
ได้แก่
ข้อบัญญัติจังหวัด
เทศบัญญัติ
ข้อบังคับตําบล
ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร
ข้อบัญญัติเมืองพัทยา
คําจํากัดความ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย คือ กฎหมายสูงสุดว่าด้วยการปกครอง
ประเทศมีบทบัญญัติที่กล่าวถึงอํานาจอธิปไตยอันเป็นอํานาจสูงสุดในรัฐ การใช้อํานาจ
อธิปไตยและความสัมพันธ์ระหว่างอํานาจเหล่านั้นตลอดจนบัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่
ขององค์พระประมุขของประเทศ รวมทั้งบัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่ของราษฎรอันเป็น
หลักประกันความเสมอภาคของบุคคลตามกฎหมาย
ประมวลกฎหมาย หมายถึ ง การรวบรวมกฎหมายที่ เ ป็ น เรื่ อ งเกี่ ย วกั บ ที่
ย
กระจายอยู่มาจัดไว้ที่เดียวกัน เช่น ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์
น่า
พระราชบัญญัติ คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคําแนะนําและ
ยินยอมของรัฐสภา
ําห
ผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติ ได้แก่คณะรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎร (เมื่อพรรคการเมืองที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นสังกัดมีมติให้เสนอได้ และ
มจ
นายกรัฐมนตรี
ผู้ พิ จ ารณาร่ า งพระราชบั ญ ญั ติ ได้ แ ก่ รั ฐ สภา โดยการเสนอร่ า ง
พระราชบั ญ ญั ติ ใ ห้ ส ภาผู้ แ ทนราษฎรและวุ ฒิ ส ภา ได้ พิ จ ารณาและลงมติ เ ห็ น ชอบ
ตามลําดับ
ผู้ ต ราพระราชบั ญ ญั ติ ได้ แ ก่ พระมหากษั ต ริ ย์ (ในกรณี ที่ ร่ า ง
พระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญใดที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรง
เห็ น ชอบด้ ว ยและ พระราชทานคื น มายั ง รั ฐ สภา รั ฐ สภาจะต้ อ งลงมติ ว่ า จะยื น ยั น
4 หมวดกฎหมาย
เห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัตินั้นอีกหรือไม่ ถ้ารัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วย
คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ให้นายกรัฐมนตรีนําร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้น
ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายอีกครั้งหนึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธย
พระราชทานคื น มาภายใน 310 วั น ให้ น ายกรั ฐ มนตรี นํ า พระราชบั ญ ญั ติ ห รื อ
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนู ญนั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็น
กฎหมายได้ต่อไป)
พระราชกําหนด คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคําแนะนํา
ของ คณะรัฐมนตรี การออกพระราชกําหนดได้นั้นจะมีเงื่อนไขในการออก กล่าวคือ
จะต้องเป็นกรณีที่มีความจําเป็นรีบด่วนในอันจะรักษาความปลอดภัยของประเทศ หรือ
ความปลอดภัยของสาธารณะ หรือเพื่อจะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
หรือเพื่อจะป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ หรือมีความจําเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษี
อากรหรือเงินตรา
ผู้เสนอร่างพระราชกําหนด ได้แก่ รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเกี่ยวข้อง
กับกรณีฉุกเฉินหรือความจําเป็นรีบด่วนนั้น
ผู้พิจารณาร่างพระราชกําหนด ได้แก่ คณะรัฐมนตรี
ย
ผู้ตราพระราชกําหนด ได้แก่ พระมหากษัตริย์
กฎหมายได้
น่า
การประกาศใช้ เมื่อได้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ก็ใช้บังคับเป็น
หรือไม่เหมาะกับสถานการณ์ รัฐธรรมนูญบางฉบับจะมีบทบัญญัติให้คณะรัฐมนตรีนํา
ความขึ้นกราบทูลต่อพระมหากษัตริย์เพื่อให้พระองค์ทรงใช้อํานาจโดยประกาศพระบรม
ราชโองการให้ใช้บังคับดังเช่น พระราชบัญญัติ จึงทําให้ประกาศพระบรมราชโองการฯ
มีศักดิ์เทียบเท่ากับพระราชบัญญัติ เช่นเดียวกับพระราชกําหนด แต่ประกาศพระบรม
ราชโองการฯ ไม่เป็นกฎหมายที่ใช้ชั่วคราวดังเช่นพระราชกําหนด ที่จะต้องรีบให้รัฐสภา
อนุมัติโดยด่วน ประกาศพระบรมราชโองการฯ จึงเป็นกฎหมายที่ถาวรจนกว่าจะมีการ
ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติหรือกฎหมายอื่น
หมวดกฎหมาย 5
ประกาศคณะปฏิวัติ (บางครั้งเรียกว่า คําสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน)
ออกโดยหัวหน้าคณะปฏิวัติและไม่มีการลงพระปรมาภิไธย เช่นได้มี ฎ.1662/2505
รับรองได้ว่า ประกาศของคณะปฏิวัติเป็นกฎหมาย ส่วนที่ว่าประกาศของคณะปฏิวัติจะ
มีศักดิ์เท่ากับกฎหมายใดก็ต้องพิจารณาจากเนื้อความของประกาศของคณะปฏิวัติฉบับ
นั้นเอง เช่น ประกาศของคณะปฏิวัติที่ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญย่อมมีศักดิ์เท่ากับรัฐธรรมนูญ
ประกาศของคณะปฏิวัติที่แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกพระราชบัญญัติหรือวางข้อกําหนดซึ่ง
ปกติแล้วเรื่องเช่นนี้ย่อมออกเป็นพระราชบัญญัติย่อม มีศักดิ์เท่ากับพระราชบัญญัติ
ประกาศของคณะปฏิวัติที่แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกพระราชกฤษฎีกาหรือวางข้อกําหนด
ซึ่งปกติแ ล้ว เรื่ องเช่นนี้ย่ อมออกเป็น พระราชกฤษฎีกาย่ อมมีศั กดิ์เท่ากับพระราช
กฤษฎีกา เช่นตามพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พุทธศักราช 2486 (แก้ไข
เพิ่มเติม พ.ศ. 2497) การจัดตั้งคณะขึ้นใหม่ให้ทําเป็นพระราชกฤษฎีกา แต่เมื่อมีการ
ออกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 164 ลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2515 ให้ยกฐานะ
แผนกวิชานิติศาสตร์ขึ้นเป็นคณะนิติศาสตร์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกาศของคณะ
ปฏิวัติฉบับดังกล่าวย่อมมีศักดิ์เท่ากับพระราชกฤษฎีกา
ย
พระราชกฤษฎีกา คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคําแนะนํา
ของคณะรัฐมนตรี เป็นกฎหมายที่ฝ่ายบริหารได้จัดทําขึ้นโดยไม่ต้องผ่านการพิจารณา
เห็นชอบจากรัฐสภา
น่า
ประเภทของพระราชกฤษฎีกา แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
ําห
1. พระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยอาศัยอํานาจแห่งกฎหมาย คือ มีกฎหมาย
แม่บท เช่น พระราชบัญญัติหรือพระราชกําหนดฉบับใดฉบับหนึ่ง ได้ให้อํานาจฝ่าย
บริหารไปออก พระราชกฤษฎีกากําหนดรายละเอียด เพื่อดําเนินการให้เป็นไปตาม
มจ
กฎหมายนั้น ๆ
2. พระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย เป็นการที่ฝ่ายบริหารออก
พระราชกฤษฎีกาในเรื่องใดๆ ก็ได้ ตามที่เห็นว่าจําเป็นและสมควรโดยไม่ต้องอาศัย
ห้า
กฎหมายแม่บท
ผู้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกา ได้แก่ รัฐมนตรีที่รับผิดชอบเกี่ยวข้องกับ
พระราชกฤษฎีกานั้น
ผู้พิจารณา ได้แก่ คณะรัฐมนตรี
ผู้ตรา ได้แก่ พระมหากษัตริย์
6 หมวดกฎหมาย
การประกาศใช้ เมื่อได้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จึงบังคับ
เป็นกฎหมายได้
กฎกระทรวง คือ กฎหมายซึ่งรัฐมนตรีเป็นผู้ออกโดยอาศัยอํ านาจตามกฎหมาย
แม่บท คือ พระราชบัญญัติหรือพระราชกําหนดฉบับใดฉบับหนึ่ง เพื่อดําเนินการให้
เป็นไปตามกฎหมายแม่บท ดังนั้นกฎกระทรวงจึงขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติหรือ
พระราชกําหนดไม่ได้
ผู้เสนอร่างกฎกระทรวง ได้แก่ รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ
ผู้พิจารณา ได้แก่ คณะรัฐมนตรี
ผู้ ต รา ได้ แ ก่ รั ฐ มนตรี ผู้ รั ก ษาการตามพระราชบั ญ ญั ติ ห รื อ
พระราชกําหนด
การประกาศใช้ เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วก็ใช้บังคับ
เป็นกฎหมายได้ โดยเริ่มมีผลตามที่ระบุในราชกิจจานุเบกษา
เทศบัญญัติ คือ กฎหมายที่เทศบาลตราขึ้นใช้บังคับในเขตเทศบาลของ
ผู้เสนอร่างเทศบัญ ญัติ ได้แก่ คณะเทศมนตรี สมาชิกสภาเทศบาล
ย
หรือราษฎร ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในท้องถิ่นเข้าชื่อกันเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด
ผู้พิจารณา ได้แก่ สภาเทศบาล
น่า
ผู้ตรา ได้แก่ นายกเทศมนตรี
ผู้อนุมัติ ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด
ําห
เมื่อประกาศโดยเปิดเผย ณ สํานักงานเทศบาลครบ 7 วัน จึงใช้บังคับ
เป็น กฎหมายได้เว้นแต่ถ้ามีเหตุฉุกเฉิน คณะเทศมนตรีอาจออกเทศบัญญัติชั่วคราวได้
โดยต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วไปประกาศใช้ได้ทันที
มจ
หมวดกฎหมาย 7
ประกาศใช้ เมื่อได้ประกาศโดยเปิดเผยที่ศาลากลางจังหวัดแล้ว 15 วัน
ก็มีผลบังคับใช้ได้
ข้อบัญญัติจังหวัดจะกําหนดโทษไว้ก็ได้แต่ไม่ให้จําคุกเกิน 6 ปี หรือ
ปรับเกิน 1 หมื่นบาท
ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร คือ กฎหมายที่กรุงเทพมหานครตราขึ้นเพื่อใช้
บังคับในกรุงเทพมหานคร
ผู้ เ สนอร่ า งข้ อ บั ญ ญั ติ ก รุ ง เทพมหานคร ได้ แ ก่ ผู้ ว่ า ราชการ
กรุงเทพมหานคร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร หรือราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในท้องถิ่น
เข้าชื่อกันเกินกึ่งหนึ่งของ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด
ผู้พิจารณา ได้แก่ สภากรุงเทพมหานคร
ผู้ตรา ได้แก่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ก็ใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไปได้
ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครกําหนดโทษจําคุกได้ไม่เกิน 6 เดือน ปรับ
ไม่เกิน 1 หมื่นบาท
ย
ข้อบัญญัติเมืองพัทยา คือ กฎหมายที่เมืองพัทยาตราขึ้นเพื่อใช้บังคับในเขตเมือง
พัทยา
น่า
ผู้เสนอร่างข้อบัญญัติเมืองพัทยา ได้แก่ นายกเมืองพัทยา สมาชิกสภา
เมืองพัทยา หรือราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในท้องถิ่นเข้าชื่อกันเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ําห
ทั้งหมด
ผู้พิจารณา ได้แก่ สภาเมืองพัทยา
ข้อบังคับองค์การบริหารส่วนตําบล คือ กฎหมายที่องค์การบริหารส่วนตําบล
มจ
(อบต.) ตราขึ้นใช้บังคับในเขตองค์การบริหารส่วนตําบล
ผู้เสนอร่างข้อบังคับองค์การบริหารส่วนตําบล ได้แก่ คณะกรรมการ
ห้า
ย
สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
น่า
พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542 มีสาระสําคัญประกอบด้วย สภาวิศวกร สมาชิก
คณะกรรมการ การดํ า เนิ น การของคณะกรรมการ ข้ อ บั ง คั บ สภาวิ ศ วกร
ําห
การควบคุมการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม การกํากับดูแล และบทกําหนดโทษ ซึ่งมี
รายละเอียด ดังนี้
1. สภาวิศวกร
มจ
พัฒนาความรู้ความสามารถของมวลสมาชิก มีการกําหนดเป้าหมายและทิศทางของสภา
วิศวกรอย่างชัดเจนโดยกําหนดเป็นวัตถุประสงค์ ในมาตรา 7 ดังนี้
ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย และการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ส่งเสริมความสามัคคีและไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของสมาชิก
ส่งเสริมสวัสดิการและผดุงเกียรติของสมาชิก
ควบคุ ม ความประพฤติ แ ละการดํ า เนิ น งานของผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ
วิศวกรรมควบคุม ให้ถูกต้องตามมาตรฐานและจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม
หมวดกฎหมาย 9
ช่วยเหลื อ แนะนํ า เผยแพร่ และให้บริการทางด้านวิชาการต่างๆ แก่
ประชาชน และ องค์กรอื่นในเรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาการและเทคโนโลยีทางวิศวกรรม
ให้คําปรึกษา หรือข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายและปัญหาด้าน
วิศวกรรม รวมทั้งด้านเทคโนโลยี
เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมของประเทศไทย
ดําเนินการอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
จะเห็ น ได้ ว่ า วั ต ถุ ป ระสงค์ ข องสภาวิ ศ วกรนั้ น มุ่ ง เน้ น ที่ ก ารส่ ง เสริ ม และ
การพัฒนามวลสมาชิกมากกว่าการควบคุม โดยจะควบคุมเฉพาะการดําเนินงานให้
เป็นไปตามมาตรฐานและควบคุมความประพฤติให้เป็นไปตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
วิศวกรรมเท่านั้น
พระราชบัญญัตินี้ยังได้กําหนดให้สภาวิศวกรมีอํานาจและหน้าที่ตามมาตรา 8
ดังต่อไปนี้
ออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
พักใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาต
ย
รับรองปริญญา ประกาศนียบัตรหรือวุฒิบัตรในการประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรม
น่า
รับรองความรู้ความชํานาญในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
เสนอแนะรั ฐ มนตรี เ กี่ ย วกั บ การกํ า หนดและยกเลิ ก สาขาวิ ช าชี พ
ําห
วิศวกรรมควบคุม
ออกข้อบังคับสภาวิศวกร
มจ
2. สมาชิก
โครงสร้างของสภาวิศวกรประกอบด้วยสมาชิก 3 ประเภท คือ สมาชิกสามัญ
สมาชิกวิสามัญ และสมาชิกกิตติมศักดิ์ โดยกําหนดคุณสมบัติของสมาชิกตามมาตรา 12
ห้า
ไว้ดังนี้
2.1 สมาชิกสามัญ ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิ์มีเสียงในการกําหนดทิศทางและอนาคตของ
สภาวิศวกร โดยตรง สมควรที่จะต้องมีวุฒิภาวะ คุณวุฒิ และจริยธรรมที่ดี จึงได้กําหนด
คุณสมบัติไว้ 6 ข้อ ดังนี้
มีอายุไม่ต่ํากว่า 18 ปีบริบูรณ์
มีสัญชาติไทย
10 หมวดกฎหมาย
ได้รับปริญญาหรือเทียบเท่าปริญญาในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ที่
ที่สภาวิศวกรรับรอง
ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจรรยาบรรณ
ไม่เคยต้องโทษจําคุกในคดีที่เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณ
ไม่ เป็ นผู้ มี จิต ฟั่นเฟือน ไม่ สมประกอบ หรื อไม่เป็น โรคที่กํ าหนดใน
ข้อบังคับสภาวิศวกร
2.2 สมาชิกวิสามัญ เป็นสมาชิกที่มีคุณสมบัติไม่เทียบเท่าสมาชิกสามัญ และ
ไม่มีสิทธิ์ในการออกเสียงลงคะแนน เลือก รับเลือกตั้ง หรือแต่งตั้งเป็นกรรมการ
2.3 สมาชิกกิตติมศักดิ์ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งที่ประชุมใหญ่สภาวิศวกร แต่งตั้ง
อํานาจของสมาชิกสามัญสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้
ให้ความเห็นชอบต่อแผนการดําเนินงานประจําปี นโยบาย งบดุลและ
ข้อบั งคั บสภาวิ ศ วกร ที่ ค ณะกรรมการสภาวิ ศ วกร เสนอต่ อ ที่ป ระชุ ม ใหญ่ป ระจํ า ปี
(มาตรา 19)
ออกเสียงเลือกผู้ตรวจ เพื่อทําหน้าที่ตรวจสอบการทํางานของสภาวิศวกร
(มาตรา 20)
ย
น่า
สมาชิกตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป มีสิทธิ์เสนอให้คณะกรรมการพิจารณาเรื่องที่
เกี่ยวกับกิจกรรมของสภาวิศวกร และคณะกรรมการ ต้องชี้แจง (มาตรา 13)
ําห
ขอให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญตามที่จําเป็น ตามหลักเกณฑ์ วิธีการที่
กําหนดในข้อบังคับสภาวิศวกร (มาตรา 16)
สมาชิ กจํ า นวนมากกว่า 100 คน เสนอร่า งข้อบั งคับ สภาวิ ศ วกรได้
มจ
(มาตรา 43)
ลงคะแนนปลดกรรมการด้วยคะแนนเสียง 2 ใน 3 ของที่ประชุมใหญ่
ห้า
(มาตรา 29)
3. คณะกรรมการสภาวิศวกร
ความแตกต่ างสํ าคั ญระหว่ างพระราชบั ญญั ติ วิ ชาชี พวิ ศวกร พ.ศ. 2505 และ
พระราชบั ญ ญั ติ วิ ศ วกร พ.ศ. 2542 อยู่ ที่ พ ระราชบั ญ ญั ติ เ ดิ ม ได้ กํ า หนดให้ มี
คณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม ซึ่งประกอบด้วย กรรมการที่มา
จากการเลื อ กตั้ ง ทั้ ง หมด 15 คน แต่ สํ า หรั บ พระราชบั ญ ญั ติ ใ หม่ ไ ด้ กํ า หนดให้ มี
คณะกรรมการสภาวิศวกร ประกอบด้วย
หมวดกฎหมาย 11
กรรมการซึ่งจะทําหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพส่วนใหญ่ โดย
เลือกตั้งจากสมาชิกสามัญ ซึ่งไม่ได้ดํารงตําแหน่งคณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาระดับ
ปริญญา จํานวน 10 คน
กรรมการซึ่งจะทําหน้าที่เป็นตัวแทนของสถาบันการศึกษาต่างๆ ในฐานะเป็น
ผู้ ผ ลิ ต วิ ศ วกร โดยเลื อ กตั้ ง จากสมาชิ ก สามั ญ ซึ่ ง ดํ า รงตํ า แหน่ ง คณาจารย์ ใ น
สถาบันอุดมศึกษา ระดับปริญญา จํานวน 5 คน
กรรมการซึ่ งคณะรัฐมนตรี แต่ งตั้ งจากสมาชิ กสามั ญโดยการเสนอชื่ อของ
รัฐมนตรี เพื่อให้สามารถคัดผู้ที่มีความรู้ความสามารถสูงมาดําเนินงานของสภาวิศวกร และ
เพื่อให้มีกรรมการกระจายครอบคลุมสาขาต่าง ๆ ที่ไม่ได้รับเลือกตั้ง จํานวน 5 คน โดยให้
กรรมการมีวาระ 3 ปี และดํารงตําแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระ (มาตรา 28)
นอกจากนี้ มาตรา 27 ยังกําหนดให้กรรมการต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
ได้รับใบอนุญาตสามัญวิศวกรมาไม่น้อยกว่า 10 ปี หรือ เป็นวุฒิวิศวกร
ไม่เคยถูกสั่งพักหรือเพิกถอนใบอนุญาต
ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย โดยให้คณะกรรมการ มีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
ย
(มาตรา 33)
- บริหารและดําเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสภาวิศวกร
น่า
- สอดส่องดูแลและดําเนินการทางกฎหมายกับผู้ฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้
- ออกระเบียบคณะกรรมการ
ําห
- กําหนดแผนการดําเนินงานและงบประมาณประจําปีของสภาวิศวกร
- วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์คําวินิจฉัยของคณะกรรมการจรรยาบรรณ
เมื่ อได้ มี การเลือกตั้ งกรรมการ จํ านวน 15 คน และได้ มี การแต่ งตั้ งกรรมการ
มจ
4. การดําเนินงานของคณะกรรมการ
การดํ า เนิ น งานของคณะกรรมการ จะกระทํ า โดยพลการไม่ ไ ด้ โดย
คณะกรรมการต้ อ งจั ด ทํ า แผนการดํ า เนิ น งาน และงบประมาณประจํ า ปี เสนอต่ อ
ที่ประชุมใหญ่สภาวิศวกร เพื่อขอความเห็นชอบจากสมาชิก เมื่อที่ประชุมใหญ่มีมติ
เห็นชอบแล้วจึงจะดําเนินงานได้ (มาตรา 37)
12 หมวดกฎหมาย
5. ข้อบังคับสภาวิศวกร
กฎระเบี ย บต่ า งๆ ที่ จํ า เป็ น ในการดํ า เนิ น งานของสภาวิ ศ วกร จะออกเป็ น
กฎหมายในรูปของ “ข้อบังคับสภาวิศวกร” การเสนอร่างข้อบังคับสภาวิศวกรจะกระทํา
ได้เพียง 2 กรณี (มาตรา 43) คือ
โดยคณะกรรมการ เป็นผู้เสนอ
โดยสมาชิกสามัญ จํานวนไม่น้อยกว่า 100 คนรับรอง
เมื่อมีการเสนอร่างข้อบังคับสภาวิศวกร คณะกรรมการต้องจัดให้มีการประชุม
ใหญ่สภาวิศวกรเพื่อพิจารณา หากที่ประชุมใหญ่สภาวิศวกรเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง
ไม่น้อยกว่าครึ่งของสมาชิกที่เข้าประชุม ก็ให้สภาวิศวกรเสนอร่างข้อบังคับต่อสภานายก
พิเศษ ถ้าสภานายกพิเศษไม่ยับยั้งภายใน 30 วัน ให้ถือว่าสภานายกพิเศษให้ความ
เห็นชอบ แต่หากสภานายกพิเศษยับยั้ง ก็ให้คณะกรรมการประชุมพิจารณาภายใน
30 วัน ถ้าคณะกรรมการมีคะแนนเสียงยืนยันไม่น้อยกว่าสองในสามของกรรมการทั้ง
คณะ ก็ให้ถือว่าร่างข้อบังคับนั้นได้รับความเห็นชอบจากสภานายกพิเศษแล้ว (มาตรา
44)
ย
6. การควบคุมการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ พระราชบัญญัติวิศวกรบังคับให้ผู้ที่จะประกอบ
น่า
วิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจากสภาวิศวกรเท่านั้น (มาตรา 45)
แต่ มิ ใช่ ว่ าผู้ ที่ เรี ยนจบหลั กสู ตรปริ ญญาตรี ทางด้ า นวิ ศ วกรรมศาสตร์ จ ะสามารถขอ
ําห
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจากสภาวิศวกรได้ทันทีเช่นที่เคยปฏิบัติ กฎหมายกําหนดให้
ผู้ มี สิ ท ธิข อรับ ใบอนุ ญ าตต้ อ งเป็นสมาชิ ก สามัญ หรือ สมาชิกวิ สามั ญ ของสภาวิศ วกร
เสียก่อน (มาตรา 49 วรรคสอง)
มจ
ย
ใบอนุ ญ าต มี สิ ท ธิ ก ล่ า วหาผู้ ไ ด้ รั บ ใบอนุ ญ าตนั้ น ต่ อ สภาวิ ศ วกร (มาตรา 51) ซึ่ ง
น่า
สภาวิศวกรจะต้องเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะกรรมการจรรยาบรรณโดยไม่ชักช้า หาก
คณะกรรมการจรรยาบรรณพิจารณาแล้ว เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหากระทําผิดอย่างร้ายแรง
อาจวินิจฉัยให้พักใบอนุญาต ภายในกําหนด 5 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้
ําห
7. การกํากับดูแล
มาตรา 66 ได้มอบอํานาจให้รัฐมนตรีในฐานะผู้กํากับดูแลดังต่อไปนี้
มจ
กํากับดูแลการดําเนินงานของสภาวิศวกรและการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ควบคุม
สั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่สอบสวนข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการดําเนินงานของ
ห้า
สภาวิศวกรและการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
สั่งเป็นหนังสือให้กรรมการ ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกิจการของสภาวิศวกร
สั่ ง ให้ ส ภาวิ ศ วกร ระงั บ หรื อ แก้ ไ ขการกระทํ า ที่ ขั ด ต่ อ วั ต ถุ ป ระสงค์ ข อง
สภาวิศวกร นอกจากนี้ รัฐมนตรีโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรียังมีอํานาจปลดคณะกรรมการ
นายกสภาวิศวกร หรือกรรมการคนใดคนหนึ่งพ้นจากตําแหน่ง หากพบพฤติการณ์ที่
แสดงให้เห็นว่าบุคคลดังกล่าว กระทําผิดวัตถุประสงค์ของสภาวิศวกร หรือกระทําการอัน
เป็นการเสื่อมเสียอย่างร้ายแรงแก่สภาวิศวกร (มาตรา 69)
14 หมวดกฎหมาย
บทกําหนดโทษ
การฝ่าฝืนพระราชบัญญัติวิศวกรเป็นความผิดต่อแผ่นดิน ผู้กระทําการฝ่าฝืน
ย่อมต้องได้รับโทษทางอาญา ซึ่งมีโทษทั้งปรับและจํา ดังต่อไปนี้
การประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตหรือแอบอ้าง
ว่าตนพร้อมจะประกอบวิชาชีพวิศวกรรมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ต้องระวางโทษจําคุก
ไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งปรับทั้งจํา (มาตรา 71)
การโฆษณาว่าเป็นผู้มีความรู้ความชํานาญในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นผู้ได้รับใบอนุญาต ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน
2 หมื่นบาทหรือทั้งปรับทั้งจํา (มาตรา 72)
ผู้ไ ด้ รั บ คํ า สั่ ง เป็ น หนั ง สื อ จากคณะกรรมการจรรยาบรรณหรื อ พนั ก งาน
เจ้าหน้าที่ ให้มาให้ถ้อยคําแต่ไม่ปฏิบัติตาม ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือ
ปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งปรับทั้งจํา (มาตรา 73)
ในกรณี ที่ผู้กระทําความผิดเป็นนิติบุ คคล ผู้เป็นหุ้ นส่วนของห้างหุ้นส่วน
กรรมการของบริษัท ต้องระวางโทษตามที่กําหนด ค่าปรับสําหรับนิติบุคคลต้องระวาง
โทษ ไม่เกิน 10 เท่าของอัตราค่าปรับสําหรับความผิดนั้น (มาตรา 74)
ย
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
น่า
1. พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542
2. กฎกระทรวงกํ าหนดสาขาวิช าชีพวิศวกรรมและสาขาวิช าชี พวิศ วกรรม
ําห
ควบคุม พ.ศ. 2550
3. ข้อบังคับสภาวิศวกรว่าด้วยหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้ประกอบวิชาชีพ
มจ
หมวดกฎหมาย 15
ห้า
มจ
ําห
น่า
ย
บทที่ 3
กฎหมายว่าด้วยความปลอดภัยและการคุ้มครองแรงงาน
วัตถุประสงค์
เพื่อให้การใช้แรงงานเป็นไปอย่างเป็นธรรม และเหมาะสมยิ่งขึ้นกับสภาพสังคม
ในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนให้ความคุ้มครองแก่การใช้แรงงานบางประเภท
เป็นพิเศษกว่าการใช้แรงงานทั่วไป การห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะ
เหตุมีครรภ์ การให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กมีสิทธิลาเพื่อศึกษาอบรม การให้นายจ้างจ่ายเงิน
ทดแทนการขาดรายได้ของลูกจ้างในกรณีที่นายจ้างหยุดประกอบกิจการ การกําหนด
เงื่อนไขในการนําหนี้บางประเภทมาหักจากค่าตอบแทนการทํางานของลูกจ้าง การจัดตั้ง
กองทุนเพื่อสงเคราะห์ลูกจ้างหรือบุคคลซึ่งลูกจ้างระบุให้ได้รับประโยชน์หรือในกรณีที่
มิได้ระบุ ให้ทายาทได้รับประโยชน์จากกองทุนเพื่อสงเคราะห์ลูกจ้างของลูกจ้างที่ถึงแก่
ความตาย ตลอดจนการปรับปรุงอัตราโทษให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ย
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อคุ้มครอง
แรงงาน การจ้างงาน และการใช้แรงงานให้เป็นไปอย่างเป็นธรรม โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับ
น่า
กฎหมายนี้ ได้แก่ นายจ้างหรือผู้ทําหน้าที่แทนนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ว่าจ้าง และผู้ถูกว่าจ้าง
พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน พ.ศ. 2554
ําห
เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อกําหนดมาตรการควบคุม กํากับ ดูแล และบริหารจัดการด้าน
ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานของลูกจ้างโดยมีผู้ที่เกี่ยวข้อง
กับกฎหมายนี้ได้แก่ นายจ้าง ลูกจ้าง
มจ
สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
1. พระราชบั ญ ญั ติ ค วามปลอดภั ย อาชี ว อนามั ย และสภาพแวดล้ อ มใน
ห้า
หมวดกฎหมาย 17
ในการทํางาน สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ
ทํางาน และบทกําหนดโทษ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
“ความปลอดภั ย อาชี ว อนามั ย และสภาพแวดล้ อ มในการทํ า งาน”
หมายความว่า การกระทําหรือสภาพการทํางานซึ่งปลอดจากเหตุอันจะทําให้เกิดการ
ประสบอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพอนามัยอันเนื่องจากการทํางานหรือ
เกี่ยวกับการทํางาน
“นายจ้ า ง” หมายความว่ า นายจ้ า งตามกฎหมายว่ า ด้ ว ยการคุ้ ม ครอง
แรงงานและให้ ห มายความรวมถึ ง ผู้ ป ระกอบกิจ การซึ่ ง ยอมให้ บุค คลหนึ่งบุ ค คลใด
มาทํางานหรือผลประโยชน์ให้แก่หรือในสถานประกอบกิจการ ไม่ว่าการทํางานหรือการ
ทําผลประโยชน์นั้นจะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจใน
ความรับผิดชอบของผู้ประกอบกิจการนั้นหรือไม่ก็ตาม
“ลูกจ้าง” หมายความว่า ลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
ย
และให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับความยินยอมให้ทํางานหรือทําผลประโยชน์ให้แก่
น่า
หรือในสถานประกอบกิจการของนายจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม
“ผู้บริหาร” หมายความว่า ลูกจ้างตั้งแต่ระดับผู้จัดการในหน่วยงานขึ้นไป
ําห
“หัวหน้างาน” หมายความว่า ลูกจ้างซึ่งทําหน้าที่ควบคุม ดูแล บังคับบัญชา
หรือสั่งให้ลูกจ้างทํางานตามหน้าที่ของหน่วยงาน
มจ
ย
กระบวนการผลิ ต หรื อ ธุ ร กิ จ ในความรั บ ผิ ด ชอบของผู้ ป ระกอบกิ จ การ ให้ ถื อ ว่ า
ผู้ประกอบกิจการเป็นนายจ้างของลูกจ้างดังกล่าวด้วย
น่า
“ลูกจ้าง” หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทํางานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะ
เรียกชื่ออย่างไร
ําห
“ผู้ว่าจ้าง” หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงว่าจ้างบุคคลอีกบุคคลหนึ่งให้ดําเนินงาน
ทั้งหมด หรื อแต่บางส่ วนของงานใดเพื่อประโยชน์แก่ตน โดยจะจ่ายสินจ้ างตอบแทน
ผลสําเร็จแห่งการงานที่ทํานั้น
มจ
ดําเนินงานทั้งหมดหรือแต่บางส่วนของงานใดในความรับผิดชอบของผู้รับเหมาชั้นต้น
เพื่อประโยชน์แก่ ผู้ว่าจ้าง และหมายความรวมถึงผู้ซึ่งทําสัญญากับผู้รับเหมาช่วงเพื่อรับ
ช่วงงานในความรับผิดชอบ ของผู้รับเหมาช่วง ทั้งนี้ ไม่ว่าจะรับเหมาช่วงกันกี่ช่วงก็ตาม
“สัญญาจ้าง” หมายความว่า สัญญาไม่ว่าเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาระบุชัดเจน
หรือเป็นที่เข้าใจโดยปริยายซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทํางานให้แก่บุคคลอีกบุคคล
หนึ่ง เรียกว่า นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้ค่าจ้างตลอดเวลาที่ทํางานได้
หมวดกฎหมาย 19
“ค่ า จ้ า ง” หมายความว่ า เงิ น ที่ น ายจ้ า งและลู ก จ้ า งตกลงกั น จ่ า ยเป็ น
ค่าตอบแทนในการทํางานตามสัญญาจ้างสําหรับระยะเวลาการทํางานปกติเป็นรายชั่วโมง
รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือระยะเวลาอื่น หรือจ่ายให้โดยคํานวณตามผลงานที่
ลูกจ้างทําได้ในเวลาทํางานปกติของวันทํางาน และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่าย
ให้ แก่ ลู กจ้ างในวั นหยุ ดและวั นลา ที่ ลู กจ้ าง มิ ได้ ทํ างาน แต่ ลู กจ้ า งมี สิ ท ธิ ไ ด้ รั บ ตาม
พระราชบัญญัตินี้
“อัต ราค่ า จ้ า งขั้น ต่ํ า ” หมายความว่ า อั ต ราค่ าจ้ า งที่ค ณะกรรมการค่ า จ้า ง
กําหนดตามพระราชบัญญัตินี้ (มาตรา 5)
การใช้แรงงานทั่วไป
ให้นายจ้างประกาศเวลาทํางานปกติให้ลูกจ้างทราบ โดยกําหนดเวลาเริ่มต้น
และเวลาสิ้นสุ ดของการทํ างานแต่ละวันของลูกจ้างได้ไม่ เกินเวลาทํ างานของแต่ล ะ
ประเภทงาน ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง แต่วันหนึ่งต้องไม่เกิน 8 ชั่วโมงและเมื่อรวม
เวลาทํางานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมง เว้นแต่งานที่อาจเป็นอันตราย
ย
ต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างตามที่กําหนดในกฎกระทรวง จะมีเวลาทํางาน
ปกติวันหนึ่งต้องไม่เกิน 7 ชั่วโมง แต่เมื่อรวมเวลาทํางานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งไม่เกิน 42
น่า
ชั่วโมง ในกรณีที่นายจ้างไม่อาจประกาศกําหนดเวลา เริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของ
การทํางานแต่ละวันได้เนื่องจากลักษณะหรือสภาพของงาน ให้นายจ้างและลูกจ้างตกลง
ําห
กันกําหนดชั่วโมงทํางานแต่ละวันไม่เกิน 8 ชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทํางานทั้งสิ้นแล้ว
สัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมง (มาตรา 23)
ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทํางานในวันหยุด เว้นแต่ในกรณีที่ลักษณะหรือ
มจ
ย
ให้นายจ้างประกาศกํ าหนดวันหยุดตามประเพณี ให้ ลูกจ้ างทราบเป็นการ
น่า
ล่วงหน้าปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 13 วัน โดยรวมวันแรงงานแห่งชาติตามที่รัฐมนตรีประกาศ
กําหนดให้นายจ้างพิจารณากําหนดวันหยุดตามประเพณีจากวันหยุดราชการประจําปี
วันหยุดทางศาสนา หรือขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งท้องถิ่น ในกรณีที่วันหยุดตาม
ําห
ประเพณีวันใดตรงกับวันหยุดประจําสัปดาห์ของลูกจ้าง ให้ลูกจ้างได้หยุดชดเชยวันหยุด
ตามประเพณีในวันทํางานถัดไป ในกรณีที่นายจ้างไม่อาจให้ลูกจ้างหยุดตามประเพณีได้
มจ
เนื่องจากลูกจ้างทํางานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานตามที่กําหนดในกฎกระทรวง ให้
นายจ้างตกลงกับลูกจ้างว่า จะหยุดในวันอื่นชดเชยวันหยุดตามประเพณี หรือนายจ้างจะ
จ่ายค่าทํางานในวันหยุดให้ก็ได้ (มาตรา 29)
ห้า
ย
มาแสดงว่าไม่อาจทํางานในหน้าที่เดิมต่อไปได้ให้ลูกจ้างนั้นมีสิทธิขอให้นายจ้างเปลี่ยน
น่า
งานในหน้าที่เดิมเป็นการชั่วคราวหรือหลังคลอดได้ และให้นายจ้างพิจารณาเปลี่ยนงานที่
เหมาะสมให้แก่ ลูกจ้างนั้น (มาตรา 42)
ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์ (มาตรา 43)
ําห
การใช้แรงงานเด็ก
ห้ามมิให้นายจ้างจ้างเด็กอายุต่ํากว่า 15 ปีเป็นลูกจ้าง (มาตรา 44)
มจ
ในกรณีที่มีการจ้างเด็กอายุต่ํากว่า 18 ปีเป็นลูกจ้างให้นายจ้างปฏิบัติดังนี้
แจ้งการจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กนั้นต่อพนักงานตรวจแรงงานภายใน 15 วัน
นับแต่วันที่เด็กเข้าทํางาน
ห้า
จัดทําบันทึกสภาพการจ้างกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเก็บไว้ ณ
สถานประกอบกิจการ หรือสํานักงานของนายจ้าง พร้อมที่จะให้พนักงานตรวจแรงงาน
ตรวจได้ ในเวลาทําการ
แจ้ ง การสิ้ น สุ ด การจ้ า งลู ก จ้ า งซึ่ ง เป็ น เด็ ก นั้ น ต่ อ พนั ก งานตรวจแรงงาน
ภายใน 7 วันนับแต่วันที่เด็กออกจากงาน การแจ้งหรือการจัดทําบันทึกตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีกําหนด (มาตรา 45)
22 หมวดกฎหมาย
ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ํากว่า 18 ปีทํางานในระหว่างเวลา
22.00 นาฬิกา ถึงเวลา 06.00 นาฬิกา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดี
หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย นายจ้างอาจให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ํากว่า 18 ปีและเป็นผู้
แสดงภาพยนตร์ ละคร หรือการแสดงอย่างอื่นที่คล้ายคลึงกันทํางานในระหว่างเวลา
ดังกล่าวได้ ทั้งนี้ให้นายจ้าง จัดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กนั้นได้พักผ่อนตามสมควร (มาตรา
47)
ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ํากว่า 18 ปีทํางานล่วงเวลาหรือ
ทํางานในวันหยุด (มาตรา 48)
ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ํากว่า 18 ปีทํางานอย่างหนึ่งอย่างใด
ดังต่อไปนี้
งานหลอม เป่า หล่อ หรือรีดโลหะ
งานปั๊มโลหะ
งานเกี่ยวกับความร้อน ความเย็น ความสัน่ สะเทือน เสียง และแสงที่มีระดับ
แตกต่างจากปกติ อันอาจเป็นอันตรายตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
งานเกี่ยวกับสารเคมีที่เป็นอันตรายตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
ย
งานเกี่ยวกับจุลชีวันเป็นพิษซึ่งอาจเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย รา หรือเชื้ออื่น
น่า
ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
งานเกี่ยวกับวัตถุมีพิษ วัตถุระเบิด หรือวัตถุไวไฟ เว้นแต่งานในสถานีบริการ
ําห
น้ํามันเชื้อเพลิงตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
งานขับหรือบังคับรถยกหรือปั้นจั่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
งานใช้เลื่อยเดินด้วยพลังไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์
มจ
งานทําความสะอาดเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ขณะที่เครื่องจักร หรือ
เครื่องยนต์กําลังทํางาน
งานที่ต้องทําบนนั่งร้านที่สูงกว่าพื้นดินตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป
งานอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง (มาตรา 49)
ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ํากว่าสิบแปดปีทํางานในสถานที่ดังต่อไปนี้
โรงฆ่าสัตว์
สถานที่เล่นการพนัน
หมวดกฎหมาย 23
สถานเต้นรํา รําวง หรือรองเง็ง
สถานที่ที่มีอาหาร สุรา น้ําชา หรือเครื่องดื่มอย่างอื่นจําหน่ายและบริการ
โดยมีผู้บําเรอสําหรับปรนนิบัติลูกค้า หรือ โดยมีที่สําหรับพักผ่อนหลับนอน หรือมีบริการ
นวดให้แก่ลูกค้า
สถานที่อื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง (มาตรา 50)
บทกําหนดโทษ
นายจ้างผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติในการใช้แรงงานทั่วไป ต้องระวางโทษจําคุก
ไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ในกรณีที่นายจ้างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติในเรื่องการใช้แรงงานหญิง เป็นเหตุให้
ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ หรือถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน
หนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ (มาตรา 144)
นายจ้ า งผู้ ใ ดฝ่ าฝื น ให้ ลู ก จ้ า งทํ า งานล่ ว งเวลาที่อ าจเป็ น อั น ตรายต่ อ สุข ภาพ
มาตรา 31 หรือใช้แรงงานเด็ก มาตรา 44 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับ
ไม่เกินสองแสนบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ (มาตรา 148)
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ย
น่า
1. พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
2. กฎกระทรวง ออกตามความในพระราชบั ญ ญั ติ คุ้ ม ครองแรงงาน
ําห
พ.ศ. 2541
3. ประกาศ คําสั่ง ระเบียบกระทรวงแรงงาน
มจ
ห้า
24 หมวดกฎหมาย
บทที่ 4
กฎหมายโรงงาน
วัตถุประสงค์
พระราชบัญญัติโรงงาน เป็นกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิ์ของประชาชนตามที่ระบุไว้
ในมาตรา 29, 43, 45 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 แต่จําเป็น
ต้องตรากฎหมายนี้ขึ้นเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
และคนงาน รวมทั้งป้องกันเหตุเดือดร้อนรําคาญ และการรักษาสภาพแวดล้อม
แต่เดิมมีกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมโรงงานมาแล้วหลายฉบับ แต่เนื่องจาก
กฎหมายฉบับก่อนๆ มีบทบัญญัติที่ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในยุค
ปัจจุ บัน และไม่เอื้อต่อการส่ งเสริมการประกอบกิจการโรงงาน เช่น การกํ าหนดให้
โรงงานทุกลักษณะต้ องขออนุญ าตเช่ นเดี ยวกันทั้งหมด ทั้งๆ ที่ตามสภาพที่เป็นจริง
โรงงานต่างๆ มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปบางประเภทไม่จําเป็นต้องควบคุมดูแล
การตั้งโรงงาน เพียงแต่ดูแลการดําเนินงานเท่านั้นบางประเภทที่อาจเกิดอันตรายใน
การประกอบกิจการได้ ก็ควรควบคุมการจัดตั้งอย่างเคร่งครัด เป็นต้น จึงปรับปรุงระบบ
การควบคุมกํากับดูแลโรงงานให้สอดคล้องกับสภาพของการประกอบกิจการของโรงงาน
ต่างๆ
ย
น่า
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เป็นกฎหมายที่ออกมาควบคุมการประกอบ
ําห
กิจการโรงงาน โดยผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนี้คือ เจ้าของโรงงานหรือผู้ประกอบกิจการ
โรงงาน และผู้ที่ปฏิบัติงานในโรงงาน ซึ่งได้แก่ วิศวกรหรือสถาปนิกประจําโรงงาน และ
คนงานที่ปฏิบัติงานในโรงงาน
มจ
สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 มี 68 มาตรา เป็นบทเฉพาะกาล 3 มาตรา
ห้า
หมวดกฎหมาย 25
บรรจุ ซ่อม ซ่ อมบํารุง ทดสอบ ปรับปรุงแปรสภาพ ลําเลียง เก็ บรักษาหรือทําลาย
สิ่งใด ๆ ทั้งนี้ ตามประเภทหรือชนิดของโรงงานที่กําหนดในกฎกระทรวง”
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่ามีข้อแม้สําคัญคือ
อาคาร สถานที่ หรือยานพาหนะ
เครื่องจักร 5 แรงม้า หรือ คนงาน 7 คน
ทํา ผลิต ประกอบ ฯลฯ
ประเภทที่กําหนดตามกฎกระทรวง
กล่าวคือจะต้องครอบคลุมทั้ง 4 ลักษณะจึงเข้าข่ายเป็นโรงงานที่ถูกควบคุมตาม
กฎหมายและปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม หรือผู้ที่ปลัดกระทรวงมอบหมายเป็นผู้อนุญาต
มาตรา 7 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มีอํานาจออกกฎกระทรวง
กําหนดให้โรงงานประเภท ชนิด หรือขนาดใด เป็นโรงงานจําพวกที่ 1 โรงงานจําพวกที่ 2
หรือโรงงานจําพวกที่ 3
โรงงานจําพวกที่ 1 คือ โรงงานประเภท ชนิด หรือขนาดที่สามารถ
ประกอบกิจการได้ทันที โดยไม่ต้องแจ้งหรือขออนุญาต
ย
โรงงานจําพวกที่ 2 คือ โรงงานประเภท ชนิด หรือขนาดที่เมื่อประกอบ
กิจการโรงงาน ต้องแจ้งให้ผู้อนุญาตทราบก่อน
น่า
โรงงานจําพวกที่ 3 คือ โรงงานประเภท ชนิด หรือขนาด ที่การตั้งโรงงาน
ต้องได้รับใบอนุญาตก่อนจึงดําเนินการได้
ําห
โรงงานจําพวกที่ 3 เท่านั้นที่ต้องขออนุญาตตั้งโรงงาน ส่วนจําพวก 1 หรือ 2
ไม่ต้ อ งขออนุ ญ าตในขั้น ตอนการขอตั้ งโรงงาน แต่ต้ องถู กต้ อ งตามหลั ก เกณฑ์ หรื อ
กฎกระทรวง เป็นการลดการควบคุมตามแนวทางเดิม เป็นการกํากับตามนโยบายของ
มจ
รัฐบาลในขณะนั้น
มาตรา 8 ให้รัฐมนตรีมีอํานาจออกกฎกระทรวง เพื่อให้โรงงานต้องปฏิบัติตาม
ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น
ห้า
26 หมวดกฎหมาย
กําหนดหลักเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติ กรรมวิธีการผลิต หรือจัดให้มีอุปกรณ์
หรือเครื่องมือเพื่อระงับ หรือ บรรเทาอันตราย ความเสียหาย หรือความเดือดร้อนที่อาจ
เกิดขึ้น
กํ า หนดมาตรฐาน และวิ ธี ก ารควบคุ ม การปล่ อ ยของเสี ย มลพิ ษ หรื อ
สิ่งใดๆ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
จะกําหนดยกเว้นโรงงานประเภท ชนิด หรือ ขนาดใดจากการต้องปฏิบัติในเรื่อง
หนึ่งเรื่องใดก็ได้
มาตรา 9 การตรวจสอบโรงงานตามพระราชบัญญัตินี้ อาจกําหนดให้เอกชน
เป็นผู้ดําเนินการ และจัดทํารายงานผลการตรวจสอบแทนพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ก็ได้
ทั้งนี้ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
จะเห็ น ได้ ว่ า กฎหมายนี้ ไ ด้ เ ปิ ด โอกาสอั น หนึ่ ง ของวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรม ที่ จ ะ
ประกอบธุ ร กิ จ เกี่ ย วกั บ การตรวจสอบอาคารตามกฎหมายควบคุ ม อาคาร หาก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมออกระเบียบดังกล่าว
มาตรา 10 และ มาตรา 11 รัฐมนตรีอาศัยอํานาจตาม มาตรา 8 ออก
กฎกระทรวงและประกาศหลักเกณฑ์สําหรับโรงงานจําพวกที่ 1 และ 2 ซึ่งไม่ต้องขอ
ย
อนุ ญ าตตั้ ง โรงงาน แต่ ต้ อ งทํ า ตามหลั ก เกณฑ์ เช่ น ต้ อ งไม่ ตั้ ง อยู่ ใ นที่ ชุ ม ชน ต้ อ งมี
น่า
ระยะห่างขั้นต่ําจากสถานที่สาธารณะ ฯลฯ ดังนั้นเมื่ออนุโลมลดการควบคุมด้วยการ
ละเว้นไม่ ต้องขออนุ ญาตแล้ ว จึงจําเป็นต้องมีหลักเกณฑ์เพื่อป้ องกั นและกํากั บมิ ใ ห้
สาธารณชนได้รับอันตราย
ําห
มาตรา 12 ผู้ ป ระกอบกิ จ การโรงงานจํ า พวก 3 ต้ อ งได้ รั บ อนุ ญ าตก่ อ น
ห้ามมิให้ผู้ใดตั้งโรงงานจําพวก 3 ก่อนได้รับอนุญาต
มจ
เห็นว่าหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ยังไม่เพียงพอ หรือไม่ครอบคลุมสําหรับสภาพของโรงงาน
ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ผู้อนุญาตจะกําหนดเงื่อนไขที่ผู้ประกอบกิจการจะต้องปฏิบัติ
เป็นพิเศษไว้ในใบอนุญาตก็ได้ นอกจากนั้น จะกําหนดเงื่อนไขพิเศษไว้ในใบอนุญาต
เฉพาะรายก็ได้ หากบริเวณที่ตั้งโรงงานนั้นจําเป็นต้องใช้มาตรการเสริมนอกเหนือจาก
มาตรการทั่วไป
มาตรา 13 ผู้รับอนุญาตตามมาตรา 12 จะขอเริ่มประกอบกิจการโรงงานเป็น
บางส่วนก่อนก็ได้ จัดว่ากฎหมายเปิดโอกาสให้มีการทดลองเดินเครื่องจักรก่อนเริ่ม
ประกอบกิจการจริงได้
หมวดกฎหมาย 27
มาตรา 18 ห้ามมิให้ผู้รับใบอนุญาตขยายโรงงานเว้นแต่ได้รับอนุญาตการขยาย
โรงงานคือ
การเพิ่ ม เปลี่ ย น หรื อ เปลี่ ย นแปลงเครื่ อ งจั ก รให้ มี กํ า ลั ง รวมกั น ตั้ ง แต่
ร้อยละ 50 ขึ้นไป ในกรณีที่เครื่องจักรเดิมมีกําลังรวมไม่ถึง 100 แรงม้า แต่ถ้ากรณี
เครื่องจักรเดิม มีกําลังรวมเกินกว่า 100 แรงม้า หากเพิ่มหรือเปลี่ยนเครื่องจักรเพิ่มมาก
ขึ้น ตั้งแต่ 50 แรงม้าขึ้นไป ถือเป็นการขยายโรงงาน
หมายเหตุ การขยายโรงงาน หมายถึง
- เครื่องจักรเดิม น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100 แรงม้า เพิ่มขึ้น มากกว่า
หรือเท่ากับ 50 %
- เครื่องจักรเดิม มากกว่าหรือเท่ากับ 100 แรงม้า เพิ่มขึ้น มากกว่า
หรือเท่ากับ 50 แรงม้า
การเพิ่มหรือแก้ไขอาคารโรงงาน ทําให้รากฐานเดิมของโรงงานฐานใดฐาน
หนึ่งต้องรับน้ําหนักเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 500 กิโลกรัมขึ้นไป
มาตรา 19 ไม่ เ ข้ า ข่ า ยขยายโรงงาน แต่ ต้ อ งแจ้ ง เป็ น หนั ง สื อ ต่ อ พนั ก งาน
เจ้าหน้าที่
ย
เครื่องจักรเพิ่มไม่เข้าข่ายขยายโรงงาน
น่า
พื้นที่อาคารเดิม น้อยกว่าหรือเท่ากับ 200 ตารางเมตร เพิ่มพื้นที่มากกว่า
หรือเท่ากับ 50 %
พื้นที่อาคารเดิม มากกว่าหรือเท่ากับ 200 ตารางเมตร เพิ่มพื้นที่มากกว่า
ําห
หรือเท่ากับ 100 ตารางเมตร
ต้องแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 7 วัน นับแต่วันเพิ่มเครื่องจักร หรือ ขยาย
มจ
พื้นที่อาคาร
มาตรา 27 ผู้รับใบอนุญาตประสงค์จะย้ายโรงงานไปที่อื่น ให้ดําเนินการเหมือน
การตั้งโรงงานใหม่
ห้า
บทกําหนดโทษ
มาตรา 48 ผู้ใดประกอบกิจการโรงงานจําพวก 2 โดยไม่ได้แจ้ง ต้องโทษจําคุก
ไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา 49 ผู้ใดประกอบกิจการโรงงานจําพวก 3 โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือตั้ง
โรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท
หรือทั้งจําทั้งปรับ
28 หมวดกฎหมาย
มาตรา 52 ผู้รับใบอนุญาตใด ขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องโทษเหมือน
มาตรา 49
มาตรา 55 ผู้ใดประกอบกิจการระหว่างถูกสั่งหยุด หรือถูกสั่งปิดโรงงาน มีโทษ
จําคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ปรับอีก
วันละ 5,000 บาท จนกว่าจะหยุดประกอบกิจการ
สถาปนิก หรือวิศวกร ผู้ใดยังฝ่าฝืนทํางานในโรงงานที่ถูกสั่งหยุด หรือถูกสั่งปิด
ต้องระวางโทษ เช่นเดียวกับผู้ประกอบกิจการตามวรรคหนึ่ง
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า กฎหมายกําหนดโทษสําหรับผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง
กับการอุตสาหกรรมด้วย
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
2. กฎกระทรวง (พ.ศ. 2535) ออกตามในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
3. กฎกระทรวงฉบั บที่ 2 (พ.ศ. 2535) ออกตามในพระราชบั ญ ญั ติโรงงาน
พ.ศ. 2535
ย
4. กฎกระทรวงฉบั บที่ 3 (พ.ศ. 2535) ออกตามในพระราชบั ญ ญั ติโรงงาน
พ.ศ. 2535
น่า
5. กฎกระทรวงฉบั บที่ 7 (พ.ศ. 2535) ออกตามในพระราชบั ญ ญั ติโรงงาน
พ.ศ. 2535
ําห
6. กฎกระทรวงฉบั บที่ 8 (พ.ศ. 2535) ออกตามในพระราชบั ญ ญั ติโรงงาน
พ.ศ. 2535
7. ประกาศกระทรวงอุ ต สาหกรรมฉบั บ ที่ 6 (พ.ศ. 2540) เรื่ อ งการกํ า จั ด
มจ
หมวดกฎหมาย 29
ห้า
มจ
ําห
น่า
ย
บทที่ 5
กฎหมายควบคุมอาคาร
วัตถุประสงค์
กฎหมายควบคุม อาคาร มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการก่อสร้างอาคารให้มี
ความมั่นคง แข็งแรงและปลอดภัย มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงามและมีการ
จัดการด้านการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดให้มีระบบบําบัดน้ําเสียก่อนปล่อย
ลงสู่ทางระบายน้ําสาธารณะ เป็นต้น
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายควบคุมอาคาร ได้แก่ เจ้าของอาคาร ผู้ครอบครอง
อาคาร สถาปนิกผู้ออกแบบและสถาปนิกผู้ควบคุมงาน วิศวกรผู้ออกแบบและวิศวกร
ผู้ควบคุมงานโครงสร้างอาคาร วิศวกรผู้ออกแบบและวิศวกรผู้ควบคุมงานระบบต่างๆ
ของอาคาร
สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
ย
กฎหมายควบคุมอาคารที่เกี่ยวข้องกับวิศวกร ประกอบด้วย
- พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร
น่า
(ฉบั บ ที่ 2) พ.ศ. 2535 พระราชบั ญ ญั ติ ค วบคุ ม อาคาร (ฉบั บ ที่ 31) พ.ศ. 2543
พระราชบั ญ ญั ติค วบคุ ม อาคาร (ฉบับ ที่ 4) พ.ศ. 2550 และพระราชบัญ ญั ติควบคุ ม
ําห
อาคาร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นกฎหมายหลักหรือกฎหมายแม่บท
- กฎกระทรวงซึ่งเป็นกฎหมายรองที่กําหนดรายละเอียด เช่น รายละเอียด
วิ ธีก ารปฏิ บั ติใ นการขออนุญ าต รายละเอีย ดข้ อกํา หนดงานทางด้า นวิ ศ วกรรมและ
มจ
สถาปัตยกรรม เป็นต้น
- ข้อบัญญัติท้องถิ่นซึ่งเป็นกฎหมายที่กําหนดรายละเอียด เนื่องจากมีความ
จําเป็นหรือ มีเหตุผลพิเศษเฉพาะท้องถิ่น เช่น ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เทศบัญญัติ
ห้า
หมวดกฎหมาย 31
- ประกาศกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะสําหรับกําหนดบริเวณห้าม
ก่ อ สร้ า งอาคารบางชนิ ด หรื อ บางประเภท มี อ ายุ ใ ช้ บั ง คั บ เพี ย ง 1 ปี นั บ จากวั น
ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา (มาตรา 13)
นอกจากนี้กฎหมายควบคุมอาคารยังมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่นอีกหลาย
ฉบับ เช่น กฎหมายผังเมือง กฎหมายวิศวกร กฎหมายสิ่งแวดล้อม เป็นต้น การใช้
กฎหมายอาคาร จึงจะดูแลเฉพาะกฎหมายแม่บทอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องศึกษากฎหมาย
รองและกฎหมายอื่น ที่เกี่ยวข้องควบคู่ไปด้วย
พื้นทีบ่ ังคับใช้
กฎหมายควบคุมอาคารเป็นกฎหมายที่โดยทั่วไปจะใช้บังคับในท้องที่ที่มีความ
เจริญ มีการก่อสร้างอาคารค่อนข้างหนาแน่น หากท้องที่ใดต้องการควบคุมการก่อสร้าง
อาคารให้มี ความสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยมีความมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัย
จะต้องประกาศพระราชกฤษฎีกาบังคับใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
ในท้องที่นั้น ๆ เสียก่อน (มาตรา 2)
เมื่อมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.
ย
2522 ในท้องที่ใดก็ตาม การก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน เคลื่อนย้าย ใช้หรือเปลี่ยน
การใช้อาคารในท้องที่นั้นต้องได้รับใบอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารหรือแจ้งต่อเจ้าพนักงาน
น่า
ท้ อ งถิ่ น และได้ ใ บรั บ แจ้ ง ก่ อ นจึ ง จะเริ่ ม ดํ า เนิ น การก่ อ สร้ า งอาคารได้ ท้ อ งที่
ที่ได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 นั้น
ําห
มักเรียกท้องที่นั้นว่าเป็นเขตควบคุมอาคาร
นอกจากนี้ในเขตผังเมืองรวมหรือเคยประกาศเป็นเขตผังเมืองรวมให้เป็นเขต
ควบคุมอาคารโดยไม่ต้องตราพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญ ญัติควบคุมอาคาร
มจ
พ.ศ. 2522
คําจํากัดความที่สําคัญในกฎหมายควบคุมอาคาร
ห้า
32 หมวดกฎหมาย
ที่ติดหรือตั้งไว้เหนือที่สาธารณะและมีขนาดเกินหนึ่งตารางเมตร หรือ
น้ําหนักรวมทั้งโครงสร้างเกินสิบกิโลกรัม หรือ
ที่ติดหรือตั้งห่างจากที่สาธารณะ ซึ่งเมื่อวัดในทางราบแล้วมีระยะห่าง
จากที่สาธารณะน้อยกว่าความสูงของป้ายนั้นเมื่อวัดจากพื้นดิน และต้องมีขนาดพื้นที่
หรือน้ําหนักอยู่ใน 4 ลักษณะ คือ
- ขนาดความกว้างของป้ายเกิน 50 เซนติเมตร หรือ
- ยาวเกิน 1 เมตร หรือ
- เนื้อที่ของป้ายเกิน 5,000 ตารางเซนติเมตร หรือ
- มีน้ําหนักของป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสําหรับติดหรือตั้งป้ายอย่างใด
อย่างหนึ่ง หรือ ทั้งสองอย่างรวมกันเกิน 10 กิโลกรัม
4. พื้นที่หรือสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่จอดรถ ที่กลับรถ และทางเข้าออก
ของรถ สําหรับอาคารดังต่อไปนี้
โรงมหรสพที่ มี พื้ น ที่ สํ า หรั บ จั ด ที่ นั่ ง สํ า หรั บ คนดู ตั้ ง แต่ 500 ที่
ขึ้นไป
โรงแรมที่ มี พื้ น ที่ ห้ อ งโถงหรื อ พื้ น ที่ ที่ ใ ช้ เ พื่ อ กิ จ การพาณิ ช ยกรรม
ย
ในหลังเดียวกันหรือหลายหลังรวมกัน ตั้งแต่ 300 ตารางเมตรขึ้นไป
น่า
อาคารชุดที่มีพื้นที่แต่ละครอบครัวตั้งแต่ 60 ตารางเมตรขึ้นไป
ภัตตาคารที่มีพื้นที่สําหรับตั้งโต๊ะอาคารตั้งแต่ 150 ตารางเมตรขึ้นไป
ําห
ห้างสรรพสินค้าที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 300 ตารางเมตรขึ้นไป
อาคารขนาดใหญ่ (อาคารที่มีพื้นที่อาคารเกิน 2,000 ตารางเมตร
หรือมีพื้นที่อาคารเกิน 1,000 ตารางเมตร โดยมีความสูงอาคารตั้งแต่ 15 เมตรขึ้นไป)
มจ
5. สิ่งที่สร้างขึ้นอย่างอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวงฯ
“เจ้าพนักงานท้องถิ่น” คือ
ห้า
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สําหรับในเขตกรุงเทพมหานคร
นายกเทศมนตรี สําหรับในเขตเทศบาล
นายกเมืองพัทยา สําหรับในเขตเมืองพัทยา
นายกองค์การบริหารส่วนตําบล สําหรับในเขตองค์การบริหารส่วน
ตําบล
หมวดกฎหมาย 33
“ดั ด แปลง” หมายความว่ า เปลี่ ย นแปลง ต่ อ เติ ม เพิ่ ม ลด หรื อ ขยาย
ซึ่งลักษณะขอบเขต แบบ รูปทรง สัดส่วน น้ําหนัก เนื้อที่ของโครงสร้างของอาคารหรือ
ส่วนต่าง ๆ ของอาคารซึ่งได้ก่อสร้างไว้แล้วให้ผิดไปจากเดิม
ยกตัวอย่างเช่น การต่อเติมหลังคาด้านหลังตึกแถว หรือทาวน์เฮาส์ การต่อเติม
หลังคาคลุมชั้นดาดฟ้า เป็นการดัดแปลงอาคาร เพราะมีการเปลี่ยนแปลง ต่อเติม เพิ่ม
รูปทรงและเนื้อที่ของอาคาร หรือการติดตั้งเสาสูง ซึ่งเป็นโครงเหล็ก เพื่อรับสัญญาณ
โทรศัพท์เคลื่อนที่บนชั้นดาดฟ้า ก็ถือว่าเป็นการดัดแปลงอาคาร เพราะเป็นการเพิ่ม
น้ําหนักให้กับโครงสร้างของอาคาร เป็นต้น
“รื้อถอน” หมายความว่า รื้อส่วนอันเป็นโครงสร้างของอาคารออกไป เช่น
เสา คาน ตง ของอาคาร หรือส่วนอื่นของโครงสร้างของอาคาร
1. อาคารที่ต้องขออนุญาตรื้อถอน คือ อาคารดังต่อไปนี้
อาคารที่ มี ส่ ว นสู ง เกิ น สิ บ ห้ า เมตร ซึ่ ง อยู่ ห่ า งจากอาคารอื่ น หรื อ ที่
สาธารณะน้อยกว่าความสูงของอาคาร
อาคารที่อยู่ห่างจากอาคารอื่นหรือที่สาธารณะน้อยกว่าสองเมตร
2. ส่วนอื่นของโครงสร้างของอาคารที่ต้องขออนุญาตรื้อถอน ได้แก่
ย
กันสาดคอนกรีตเสริมเหล็ก
เหล็ก
น่า
ผนังหรือฝาที่เป็นโครงสร้างของอาคารหรือผนังหรือฝาคอนกรีตเสริม
บันไดคอนกรีตเสริมเหล็ก
ําห
พื้นคอนกรีตเสริมเหล็กตั้งแต่พื้นชั้นที่สองของอาคารขึ้นไป
“การใช้” หมายความว่า การเข้าไปใช้ประโยชน์ภายในอาคาร
มจ
ก่อน
อาคารบางประเภทเมื่อก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนเข้าไปใช้อาคารต้อง
ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเสียก่อน หรือหากเปลี่ยนการใช้มาเป็นอาคาร
ประเภทตามที่กฎหมายกําหนด ก็ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเช่นเดียวกัน
เราเรียกอาคารที่ถูกควบคุมเช่นนี้ว่า “อาคารควบคุมการใช้”
34 หมวดกฎหมาย
“อาคารควบคุมการใช้” แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 ไม่กําหนดขนาดพื้นที่ ได้แก่ อาคารดังต่อไปนี้
คลังสินค้า
โรงแรม
อาคารชุด
สถานพยาบาล
อาคารที่ใช้เป็นโรงงาน
อาคารที่ใช้เป็นสถานศึกษา
อาคารที่ใช้เก็บวัตถุอันตราย
ประเภทที่ 2 กําหนดพื้นที่ ได้แก่อาคารดังต่อไปนี้
อาคารที่ใช้เพื่อกิจการพาณิชยกรรมที่มีพื้นที่สําหรับประกอบกิจการ
ตั้งแต่ 300 ตารางเมตรขึ้นไป
อาคารที่ใช้เพื่อกิจการพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่ง ที่มีพื้นที่
ย
สําหรับประกอบกิจการตั้งแต่ 300 ตารางเมตรขึ้นไป
อาคารที่ใช้เป็นที่ชุมนุม หรือประชุมที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 300 ตารางเมตร
ขึ้นไป
น่า
อาคารที่ใช้เป็นสํานักงานหรือที่ทําการที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 300 ตารางเมตร
ําห
ขึ้นไป
อาคารที่ใช้เป็นหอพัก ที่มีลักษณะเป็นอาคารขนาดใหญ่
อาคารที่ใช้เป็นอาคารอยู่อาศัยรวม ที่มีลักษณะเป็นอาคารขนาดใหญ่
มจ
นั้น
การยื่นขออนุญาตและการพิจารณาของเจ้าพนักงานท้องถิ่น
ในการยื่นขออนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน เคลื่อนย้าย ใช้หรือเปลี่ยนการ
ใช้อาคารหากแบบแปลนและเอกสารของผู้ขออนุญาตครบถ้วนและถูกต้อง เจ้าพนักงาน
ท้องถิ่นต้องตรวจพิจารณา และออกใบอนุญาต หรือมีหนังสือแจ้งคําสั่งไม่อนุญาตพร้อม
ด้วยเหตุผลให้ผู้ยื่นขออนุญาตทราบภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ได้รับคําขอ (มาตรา 25)
หมวดกฎหมาย 35
ในกรณีที่มีความจําเป็นที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นไม่อาจออกใบอนุญาต หรือยังไม่มี
คําสั่งไม่อนุญาตภายใน 45 วัน เจ้าพนักงานท้องถิ่นสามารถขยายเวลาออกไปได้อีก
ไม่เกิน 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 45 วัน แต่ต้องมีหนังสือแจ้งการขยายเวลาพร้อมด้วย
เหตุผล ให้ผู้ยื่นขออนุญาตได้ทราบและปฏิบัติโดยเร็ว
เมื่อผู้ยื่นขออนุญาตได้ดําเนินการแก้ไขแบบแปลน รายการประกอบแบบแปลน
หรือรายการคํานวณตามคําสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นแล้ว เจ้าพนักงานท้องถิ่นต้อง
ตรวจพิจารณาและออกใบอนุญาตให้ผู้ยื่นขออนุญาตภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับ
แบบที่ ไ ด้ แ ก้ ไ ข แต่ ถ้ า ผู้ ยื่ น ขออนุ ญ าตได้ แ ก้ ไ ขเปลี่ ย นแปลงผิ ด ไปจากคํ า สั่ ง ของ
เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ถือว่าการกระทําดังกล่าวเป็นการยื่นคําขออนุญาตใหม่
การดําเนินการหลังได้รบั อนุญาตแล้ว
กฎหมายควบคุมอาคารได้บังคับไว้ว่า การก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือ
เคลื่อนย้ายอาคารต้องมีผู้ควบคุมงานอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อได้รับใบอนุญาตให้
ดําเนินการดังกล่าวแล้ว ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องมีหนังสือแจ้งชื่อผู้ควบคุมงาน กับวัน
เริ่มต้นและวันสิ้นสุดการดําเนินการตามที่ได้รับอนุญาต ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ
ย
พร้อมทั้งแนบหนังสือแสดงความยินยอมของผู้ควบคุมงานด้วย (มาตรา 29)
ผู้ควบคุมงานจะเป็นใครก็ได้ เป็นเจ้าของอาคารก็ได้ แต่ถ้าอาคารนั้นเป็นอาคาร
น่า
ที่กฎหมายวิชาชีพวิศวกรรม (พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542) กําหนดว่า เป็นงาน
วิศวกรรมควบคุม ผู้ควบคุมงานก็จะต้องเป็นวิศวกร
ําห
ในกรณีที่มีการก่อสร้างผิดจากแบบที่ได้รับใบอนุญาตให้ถือว่าเป็นการกระทํา
ของผู้ควบคุมงาน เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นเป็นการกระทําของผู้อื่น
ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงผู้ควบคุมงานต้องแจ้งบอกยกเลิกการเป็นผู้ควบคุมงาน
มจ
คนเดิมและแจ้งชื่อผู้ควบคุมงานคนใหม่
การแจ้งความประสงค์จะก่อสร้างอาคารโดยไม่ยื่นคําขอรับใบอนุญาตตามมาตรา
ห้า
39 ทวิ
การขออนุญาตตามกฎหมายควบคุมอาคาร เป็นการขออนุญาตต่อเจ้าพนักงาน
ท้องถิ่นเพื่อพิจารณาออกใบอนุญาต โดยเจ้าพนักงานท้องถิ่นต้องใช้ระยะเวลาในการ
ตรวจพิจารณา บางกรณีเจ้าของอาคารอาจมีความจําเป็นเร่งด่วนที่ต้องการก่อสร้าง
อาคารทันที หรือ ไม่อาจรอการพิจารณาของเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ เช่น มีการลงทุน
หรือกู้ยืม เงินในการทําโครงการ หากใช้ระยะเวลาในการรอใบอนุญาตอาจไม่คุ้มค่า
การลงทุน เป็นต้น ดังนั้น กฎหมายควบคุมอาคารจึงได้กําหนดให้เจ้าของอาคารที่จะ
36 หมวดกฎหมาย
ก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน และเคลื่อนย้ายอาคาร สามารถใช้วิธีแจ้งต่อเจ้าพนักงาน
ท้องถิ่น โดยไม่ต้องขอใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นก็ได้
ขั้นตอนในการแจ้งมีรายละเอียด ดังนี้
1. แจ้งให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ โดยยื่นแบบฟอร์มตามที่เจ้าพนักงาน
ท้ อ งถิ่ น กํ า หนด และเอกสารประกอบการขออนุ ญ าต พร้ อ มทั้ ง แจ้ ง วั น เริ่ ม ต้ น และ
วันสิ้นสุดการดําเนินการดังกล่าว
2. ชําระค่าธรรมเนียม
เมื่อดําเนินการตาม (1) และ (2) เรียบร้อยแล้ว เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะออกใบ
รับแจ้งเพื่อเป็นหลักฐานการแจ้งภายใน 3 วันทําการนับแต่วันที่ได้รับชําระค่าธรรมเนียม
เมื่อเจ้าของอาคารได้ใบรับแจ้งแล้ว สามารถดําเนินการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือ
เคลื่อนย้ายอาคารได้ทันที
ข้ อ ดี ข องการแจ้ ง ความประสงค์ จ ะก่ อ สร้ า งอาคารโดยไม่ ยื่ น คํ า ขอรั บ ใบ
อนุญาตฯ คือ สะดวก รวดเร็ว แต่ก็มีข้อเสีย คือ หากดําเนินการก่อสร้างไปแล้ว และ
เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจสอบแบบแปลนแล้วพบว่าแบบแปลนที่ยื่นแจ้งฯ ไม่ถูกต้อง
ตามกฎหมาย เจ้าพนักงานท้องถิ่นก็สามารถออกคําสั่งให้เจ้าของอาคารแก้ไขให้ถูกต้อง
ย
ซึ่งอาจต้องรื้อถอนอาคารส่วนที่ก่อสร้างไม่ถูกต้องตามกฎหมายออกให้หมด ทําให้เสีย
น่า
ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น การออกแบบจึงต้องระมัดระวังและต้อง
ศึกษาข้อกฎหมายให้ถ่องแท้เสียก่อน
ําห
การต่ออายุใบอนุญาต
ใบอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคาร จะมีอายุตามที่
กํ า หนดไว้ ใ นใบอนุ ญ าตเท่ า นั้ น ถ้ า ผู้ ไ ด้ รั บ ใบอนุ ญ าตมี ค วามประสงค์ จ ะขอต่ อ อายุ
มจ
ใบอนุญาตจะต้องยื่นคําขอต่ออายุใบอนุญาตต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อนใบอนุญาตนั้น
สิ้นอายุ
ห้า
กฎกระทรวง
กฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร ในส่วน
ที่เกี่ยวข้องกับวิศวกรมีหลายฉบับ โดยตัวอย่างกฎกระทรวงฉบับที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพ
วิศวกรรม มีดังนี้
กฎกระทรวงฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2526) ว่าด้วยการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีและ
เงื่อนไขในการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน เคลื่อนย้าย ใช้หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร
หมวดกฎหมาย 37
กฎกระทรวงฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2527) ว่าด้วยการกําหนดรับน้ําหนัก ความ
ต้านทานความคงทน ลักษณะและคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือ
ซ่อมแซมอาคารและการรับน้ําหนัก ความต้านทานและความคงทนของอาคารหรือ
พื้นดินที่รองรับอาคาร
- เป็นเรื่องกําหนดมาตรฐานและค่าหน่วยแรงต่าง ๆ ที่ใช้ในการคํานวณ
เช่น กําลังอัดของคอนกรีต หน่วยแรงดึงของเหล็ก เป็นต้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- การคํานวณส่วนต่างๆ ของอาคารที่ประกอบด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก
ตามทฤษฎีอีลาสติก หรือหน่วยแรงปลอดภัยให้ใช้ค่าหน่วยแรงอัดของคอนกรีตไม่เกิน
ร้อยละ 37.5 ของหน่วยแรงอัดประลัยของคอนกรีต แต่ต้องไม่เกิน 6.5 เมกาปาสกาล
(65 กิโลกรัมแรงต่อตารางเซนติเมตร)
กฎกระทรวงฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ว่าด้วยข้อกําหนดควบคุมอาคารสูง
และอาคารขนาดใหญ่พิเศษ (มีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงฉบับที่ 42 (พ.ศ.
2537) และกฎกระทรวงฉบับที่ 50 (พ.ศ. 2540) โดยมีรายละเอียดแยกเป็นหมวด ๆ
ดังนี้
หมวด 1 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับลักษณะของอาคาร เนื้อที่ว่างของ
ย
ภายนอกอาคารและแนวอาคาร เช่นดังตัวอย่างต่อไปนี้
น่า
- ที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษที่มีพื้นที่อาคาร
รวมกันทุกชั้นไม่เกิน 30,000 ตารางเมตร ต้องมีด้านหนึ่งด้านใดของที่ดินนั้นยาวไม่น้อย
กว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร ยาวต่อเนื่องกัน
ําห
โดยตลอดไปเชื่อมต่อกับถนนสาธารณะอื่นที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร
หมวด 2 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับระบบระบายอากาศ ระบบไฟฟ้าและ
มจ
ระบบป้องกันเพลิงไหม้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- ในอาคารสู ง หรื อ อาคารขนาดใหญ่ พิ เ ศษต้ อ งมี ร ะบบสั ญ ญาณเตื อ น
เพลิงไหม้ ทุกชั้นและต้องจัดให้มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ เช่น SPRINKLE SYSTEM หรือ
ห้า
ระบบอื่นๆ ที่เทียบเท่าที่ทํางานได้ด้วยตัวเองทันทีเมื่อมีเพลิงไหม้
หมวด 3 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับระบบบําบัดน้ําเสียและการระบายน้ํา
ทิ้ง ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- การออกแบบและการคํานวณรายการระบบบําบัดน้ําเสียและการระบาย
น้ําทิ้งของอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษต้องดําเนินการโดยผู้ได้รับใบอนุญาตเป็น
ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมตั้ งแต่ประเภทสามัญ วิศวกรขึ้นไปตามกฎหมาย
ว่าด้วยวิชาชีพวิศวกรรม
38 หมวดกฎหมาย
หมวด 4 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับระบบประปา ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- ในอาคารสูงหรืออาคารใหญ่พิเศษต้องมีที่เก็บน้ําใช้สํารองที่สามารถจ่าย
น้ําในชั่วโมงการใช้น้ําสูงสุดได้ไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง
หมวด 5 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับระบบกําจัดขยะมูลฝอย ดังตัวอย่าง
ต่อไปนี้
- ในอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษต้องมีการจัดเก็บขยะมูลฝอยโดย
วิธีขนลําเลียง หรือทิ้งลงปล่องทิ้งมูลฝอย
หมวด 6 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับระบบลิฟต์ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- ลิฟต์โดยสารและลิฟต์ดับเพลิงแต่ละชุดที่ใช้กับอาคารสูง ให้มีขนาดมวล
บรรทุก ไม่น้อยกว่า 630 กิโลกรัม โดยลิฟต์ดับเพลิงต้องมีระบบควบคุมพิเศษสําหรับ
พนักงานดับเพลิงและบริเวณห้องโถงหน้าลิฟต์ดับเพลิงต้องมีผนังและประตูที่ทําด้วย
วัสดุทนไฟปิดกั้นมิให้เปลวไฟหรือควันเข้าได้พร้อมติดตั้งตู้สายฉีดน้ําดับเพลิงหรือหัวต่อ
สายฉีดน้ําดับเพลิงและอุปกรณ์ดับเพลิง อื่นๆ ทั้งนี้ ในเวลาปกติลิฟต์ดับเพลิงสามารถใช้
เป็นลิฟต์โดยสารได้
กฎกระทรวงฉบับที่ 39 (พ.ศ. 2537) ว่าด้วยการกําหนดแบบและวิธีการ
ย
เกี่ยวกับการติดตั้งระบบการป้องกันอัคคีภัย แบบและจํานวนห้องน้ําและห้องส้วม ระบบ
น่า
การจัดแสงสว่างและการระบาย และระบบจ่ายกําลังไฟฟ้าสํารองสําหรับกรณีฉุกเฉิน
กฎกระทรวงฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ว่าด้วยการกําหนดลักษณะ แบบ
รูปทรงสัดส่วน เนื้อที่ที่ตั้งของอาคาร ระดับ เนื้อที่ของที่ว่างภายนอกอาคารหรือแนว
ําห
อาคารและระยะหรือระดับระหว่างอาคารกับอาคารหรือเขตที่ดินของผู้อื่นหรือระหว่าง
อาคารกับถนน ทางเท้า หรือที่สาธารณะ โดยได้แยกเป็นหมวด ๆ ดังนี้
มจ
แนวศู นย์กลางของเสาด้านหนึ่งไปยังแนวศูนย์กลางของเสาอีกด้านหนึ่งไม่น้อยกว่า
4 เมตร
หมวด 2 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับส่วนต่าง ๆ ของอาคาร เช่น วัสดุ
อาคาร พื้นที่ภายในอาคาร บันได เป็นต้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- เสา คาน พื้น บันได และผนังของอาคารที่สูงตั้งแต่สามชั้นขึ้นไป
โรงมหรสพ ฯลฯ ต้องทําด้วยวัสดุถาวรที่เป็นวัสดุทนไฟ
- อาคารที่ สูงตั้ งแต่สี่ชั้นขึ้นไปและสู งไม่เกิน 23 เมตร หรืออาคารที่สู ง
สามชั้นและมีดาดฟ้าเหนือชั้นที่สามที่มีพ้ืนที่เกิน 16 ตารางเมตร นอกจากมีบันไดของ
หมวดกฎหมาย 39
อาคารตามปกติแล้วต้องมีบันไดหนีไฟที่ทําด้วยวัสดุทนไฟอย่างน้อยหนึ่งแห่งและต้องมี
ทางเดินไปยังบันไดหนีไฟนั้นได้โดยไม่สิ่งกีดขวาง
หมวด 3 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับที่ว่างภายในอาคาร ดังตัวอย่างดัง
ต่อไปนี้
- อาคารแต่ละหลังต้องมีที่ว่างตามที่กําหนดไว้ดังต่อไปนี้
1. อาคารอยู่อาศัยและอาคารอยู่อาศัยรวมต้องมีที่ว่างไม่น้อยกว่า 30 ใน
100 ส่วนของพื้นที่ชั้นใดชั้นหนึ่งที่มากที่สุดของอาคาร
2. ห้องแถว ตึกแถว อาคารพาณิชย์ โรงงาน อาคารสาธารณะและอาคาร
อื่น ซึ่งไม่ได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ต้องมีที่ว่างไม่น้อยกว่า 10 ใน 100 ส่วน ของพื้นที่ชั้นใด
ชั้นหนึ่งที่มากที่สุดของอาคาร
หมวด 4 เป็นเรื่องการกําหนดเกี่ยวกับแนวอาคารและระยะต่าง ๆ ของ
อาคาร ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- อาคารที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงใกล้ถนนสาธารณะที่มีความกว้างน้อยกว่า
6 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนสาธารณะอย่างน้อย 3 เมตร
กฎกระทรวงกําหนดสิ่งที่สร้างขึ้นอย่างอื่นเป็นอาคารตามกฎหมายว่าด้วย
ย
การควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544 ได้กําหนดไว้ ให้สิ่งที่สร้างขึ้นดังต่อไปนี้เป็นอาคารตาม
น่า
พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
- ถังเก็บของที่มีความจุตั้งแต่ 100 ลูกบาศก์เมตรขึ้นไป
- สระว่ายน้ําภายนอกอาคารที่มีความจุตั้งแต่ 100 ลูกบาศก์เมตรขึ้นไป
ําห
- กํ า แพงกั น ดิ น หรื อกํ า แพงกั้ นน้ํ า ที่ ต้อ งรั บ ความดั น ของดิน หรื อน้ํ า ที่ มี
ความสูงตั้งแต่ 1.50 เมตรขึ้นไป
- โครงสร้างสําหรับใช้ในการรับส่งวิทยุหรือโทรทัศน์ที่มีความสูงจากระดับ
มจ
ตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป
บทกําหนดโทษ
กฎหมายควบคุ ม อาคารมี บ ทกํ า หนดโทษ กรณี ที่ มี ก ารกระทํ า ที่ ฝ่ า ฝื น ต่ อ
กฎหมาย เช่น การก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น ซึ่งมีทั้งการปรับและจําคุก
กฎหมายได้กําหนดโทษไว้หลายระดับขึ้นอยู่กับว่าเป็นการฝ่าฝืนอะไร โดยมี
ตัวอย่างดังนี้
40 หมวดกฎหมาย
ประเภทของการฝ่าฝืน โทษสูงสุด
ทําการก่อสร้าง ดัดแปลง เคลื่อนย้าย ใช้หรือ จําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่น
เปลี่ยนการใช้อาคาร โดยไม่ได้รับอนุญาต บาทหรือทัง้ จําทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่
(มาตรา 21) เกินหนึง่ หมื่นบาทตลอดเวลาทีย่ ังมีการกระทํา
การฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
(มาตรา 65)
ทําการรื้อถอนอาคาร โดยไม่ได้รับอนุญาต จําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่น
(มาตรา 22) บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ (มาตรา 65)
ทําการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือ จําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่น
เคลื่ อ นย้ า ยอาคารให้ ผิ ด ไปจากแบบแปลน บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่
แผนผั ง ที่ ไ ด้ รั บ อนุ ญ าต และอาคารที่ ไ ด้ เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังมีการกระทํา
กระทํ า การฝ่ า ฝื น นั้ น ขั ด ต่ อ บทบั ญ ญั ติ ข อง การฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
กฎหมาย (มาตรา 31) (มาตรา 65)
ใช้หรือยินยอมให้บุคคลใดใช้อาคารซึ่งไม่เป็น จําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่น
อาคารประเภทควบคุมการใช้ เพื่อประกอบ บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ (มาตรา 65)
ย
กิจการเป็นอาคารที่ควบคุมการใช้โดยไม่ได้
รับอนุญาต (มาตรา 32)
น่า
การฝ่ า ฝื น ไม่ รื้ อ ถอนอาคารตามคํ า สั่ ง ของ จําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่ง
เจ้าพนักงานท้องถิ่น เนื่องจากมีการกระทํา แสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ และปรับอีกวันละ
อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย และมิได้อยู่ใน ไม่ เ กิ น สามหมื่ น บาทตลอดเวลาที่ ยั ง มี ก าร
ําห
ระหว่างการอุทธรณ์คํ าสั่ง ดัง กล่า ว (มาตรา กระทําการฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้
42) ถูกต้อง (มาตรา 66 ทวิ)
มจ
ผู้ซึ่งตกลงรับกระทําการดังกล่าวไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม หรือผู้รับจ้างช่วง
เป็ น ผู้ ก ระทํ า การฝ่ า ฝื น จะต้ อ งระวางโทษเป็ น สองเท่ า ของโทษที่ บั ญ ญั ติ ไ ว้ สํ า หรั บ
ความผิดนั้น ๆ หรือเป็นการกระทําฝ่าฝืนที่เกี่ยวกับอาคารพาณิชยกรรม อุตสาหกรรม
การศึกษาหรือการสาธารณสุขหรือเป็นการกระทําในทางการค้าเพื่อให้เช่า ให้เช่าซื้อ
ขายหรือจําหน่ายโดยมีค่าตอบแทน ผู้กระทําต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่
บัญญัติไว้สําหรับความผิดนั้นๆ เช่นเดียวกัน
หมวดกฎหมาย 41
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
2. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535
3. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2543
4. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2550
5. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558
6. กฎกระทรวงกําหนดอาคารประเภทควบคุมการใช้ พ.ศ. 2552
7. กฎกระทรวง ฉบั บที่ 4 (พ.ศ. 2526) ออกตามความในพระราชบั ญญั ติ
ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
8. กฎกระทรวงฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2527) ออกตามความในพระราชบัญญัติ
ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
9. กฎกระทรวงฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติ
ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
10. กฎกระทรวงฉบับที่ 39 (พ.ศ.2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติ
ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
ย
11. กฎกระทรวง ฉบั บที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบั ญญั ติ
น่า
ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
12. กฎกระทรวง กําหนดสิ่งที่สร้างขึ้นอย่างอื่นเป็นอาคารตามกฎหมายว่า
ด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544
ําห
มจ
ห้า
42 หมวดกฎหมาย
บทที่ 6
กฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา
ต่อหน่วยงานของรัฐ
วัตถุประสงค์
ในการจัดหาสินค้าและบริการไม่ว่าด้วยวิธีการจัดซื้อหรือการจัดจ้างหรือวิธีอื่น
ใดของหน่ ว ยงานของรั ฐ ทุ ก แห่ ง นั้น เป็ น การดํ า เนิ น การโดยใช้ เ งิ น งบประมาณเงิ น กู้
ช่วยเหลือหรือรายได้ของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นเงินของแผ่นดิน รวมทั้งการที่รัฐให้
สิ ท ธิ ใ นการดํ า เนิ น กิ จ การบางอย่ า งโดยการให้ สั ม ปทานอนุ ญ าตหรื อ กรณี อื่ น ใดใน
ลักษณะเดียวกันก็เป็นการดํ าเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะอันเป็นกิจการของรัฐ
ฉะนั้น การจัดหาสินค้าและบริการรวมทั้งการให้สิทธิดังกล่าวจึงต้องกระทําอย่างบริสุทธิ์
ยุติธรรมและมีการแข่งขันกันอย่างเสรีเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่รัฐ แต่เนื่องจาก
การดําเนินการที่ผ่านมามีการกระทําในลักษณะการสมยอมในการเสนอราคาและมี
พฤติการณ์ต่าง ๆ อันทําให้มิได้มีการแข่งขันกันเสนอประโยชน์สูงสุดให้แก่หน่วยงานของ
รัฐอย่างแท้จริงและเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ นอกจากนั้น ในบางกรณี ผู้ดํารง
ตําแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็มีส่วนร่วมหรือมีส่วนสนับสนุนในการทํา
ย
ความผิด หรือละเว้นไม่ ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ อั นมีผ ลทําให้ปัญหาในเรื่องนี้
น่า
ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จึงสมควรกําหนดให้การกระทําดังกล่าวเป็นความผิดเพื่อเป็น
การปราบปรามการกระทําให้ลักษณะดังกล่าว รวมทั้งกําหนดลักษณะความผิดและ
กลไกในการดําเนินการเอาผิดกับผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ําห
เพื่อให้การปราบปรามดังกล่าวมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
มจ
ผู้ ที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ กฎหมายนี้ ได้ แ ก่ เจ้ า หน้ า ที่ ข องหน่ ว ยงานรั ฐ ที่ มี ห น้ า ที่
รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดซื้อหรือจัดจ้างในโครงการต่างๆ ของราชการ รวมถึงเจ้าหน้าที่
ห้า
ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการทําสัญญาการจัดซื้อหรือจัดจ้างกับหน่วยงานของรัฐ
สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
1. พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของ
รัฐ พ.ศ. 2542 และพระราชบั ญ ญั ติ ม าตรการของฝ่ า ยบริ ห ารในการป้ อ งกั น และ
ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 มีสาระสําคัญดังนี้
หมวดกฎหมาย 43
1. คําจํากัดความ
การเสนอราคา หมายความว่า การยื่นข้อเสนอเพื่อเป็นผู้มีสิทธิทําสัญญากับ
หน่วยงานของรัฐ อันเกี่ยวกับการซื้อ การจ้าง การแลกเปลี่ยน การเช่า การจําหน่าย
ทรัพย์สิน การได้รับสัมปทาน หรือการได้รับสิทธิใดๆ
หน่ ว ยงานของรั ฐ หมายความว่ า กระทรวง ทบวง กรม ราชการส่ ว น
ภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ หรือหน่วยงานอื่นใด
ที่ดําเนินกิจการของรัฐตามกฎหมายและได้รับเงินอุดหนุนหรือเงิน หรือทรัพย์สินลงทุน
จากรัฐ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. หมายความว่ า คณะกรรมการป้ อ งกั น และ
ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (มาตรา 3)
ทุจ ริ ต ในภาครั ฐ หมายความว่า ทุ จ ริ ตต่ อ หน้ าที่ ห รื อ ประพฤติมิ ช อบใน
ภาครัฐ
ทุจริ ตต่ อหน้ า ที่ หมายความว่า ปฏิบัติหรือละเว้ นการปฏิบัติอย่างใดใน
ตําแหน่ง หรือหน้าที่ หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทําให้
ผู้อื่นเชื่อว่ามีตําแหน่งหรือหน้าที่ทั้งที่ตนมิได้มีตําแหน่งหรือหน้าที่นั้น หรือใช้อํานาจใน
ย
ตําแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสําหรับตนเองหรือ
น่า
ผู้อื่น หรือกระทําการอันเป็นความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดต่อ
ตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญาหรือตามกฎหมายอื่น
ประพฤติมิชอบ หมายความว่า ใช้อํานาจในตําแหน่งหรือหน้าที่อันเป็น
ําห
การฝ่าฝืนกฎหมาย ระเบียบ คําสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีที่มุ่งหมายจะควบคุมดูแลการ
รับ การเก็บรักษา หรือการใช้เงินหรือทรัพย์สินของแผ่นดิน
เจ้ า หน้ า ที่ ข องรั ฐ หมายความว่ า เจ้ า หน้ า ที่ ของรั ฐ ตามพระราชบัญ ญั ติ
มจ
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แต่ไม่รวมถึงเจ้าหน้าที่
ของรัฐดังต่อไปนี้
ห้า
44 หมวดกฎหมาย
เจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานของศาล รัฐสภา องค์กรตามรัฐธรรมนูญ
และองค์กรอิสระจากการควบคุมหรือกํากับของฝ่ายบริหารที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ
เจ้ าหน้าที่ ของรัฐในสํานักงานคณะกรรมการป้องกั นและปราบปราม
การทุจริตในภาครัฐ
เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งกระทําความผิดในลักษณะที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.
เห็นสมควรดําเนินการ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด
เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งร่วมกระทําความผิดกับบุคคลข้างต้น
ผู้กล่าวหา หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับความเสียหายจากการกระทําการทุจริต
ในภาครัฐของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือได้พบเห็นการทุจริตในภาครัฐของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
และได้กล่าวหาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายนี้
ผู้ถูกกล่าวหา หมายความว่า ผู้ซึ่งถูกกล่าวหาหรือมีพฤติการณ์ปรากฏแก่
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐว่าได้กระทําการทุจริตใน
ภาครั ฐ อั น เป็ น มู ล ที่ จ ะนํ า ไปสู่ ก ารไต่ ส วนข้ อ เท็ จ จริ ง ตามพระราชบั ญ ญั ติ นี้ และให้
หมายความรวมถึงตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนในการกระทําดังกล่าวด้วย
2. การร่วมกันกระทําความผิด
ย
ผู้ใดตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่
น่า
ผู้ใด ผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทําสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคา
อย่างเป็นธรรม หรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงาน
ําห
ของรัฐ หรือ โดยการเอาเปรีย บแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบ
ธุรกิจปกติ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปี และปรับร้อยละห้าสิบของจํานวน
เงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดในระหว่างผู้ร่วมกระทําความผิดนั้นหรือของจํานวนเงินที่มี
มจ
การทําสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จํานวนใดจะสูงกว่า
ผู้ใดเป็นธุระในการชักชวนให้ผู้อื่นร่วมตกลงกันในการกระทําความผิดตามที่
บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งผู้นั้นต้องระวางโทษตามวรรคหนึ่ง (มาตรา 4)
ห้า
ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่
ผู้ อื่ น เพื ่อ ประโยชน์ใ นการเสนอราคา โดยมีว ัต ถุป ระสงค์ที ่จ ะจูง ใจให้ผู ้นั ้น ร่ว ม
ดํ า เนิน การใดๆ อัน เป็น การให้ ป ระโยชน์ แ ก่ ผู้ ใ ดผู้ ห นึ่ ง เป็ น ผู้ มี สิ ท ธิ ทํ า สั ญ ญากั บ
หน่วยงานของรัฐ หรือเพื่อจูงใจให้ผู้นั้นทําการเสนอราคาสูงหรือต่ําจนเห็นได้ชัดว่าไม่
เป็นไปตามลักษณะสินค้า บริการ หรือสิทธิที่จะได้รับหรือเพื่อจูงใจให้ผู้นั้นไม่เข้าร่วมใน
การเสนอราคาหรือถอนการเสนอราคาต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และ
ปรั บ ร้ อ ยละห้ า สิ บ ของจํ า นวนเงิ น ที่ มี ก ารเสนอราคาสู ง สุ ด ในระหว่ า งผู้ ร่ ว มกระทํ า
หมวดกฎหมาย 45
ความผิดนั้น หรือของจํานวนเงินที่มีการทําสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จํานวนใด
จะสูงกว่า
ผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อกระทํา
การตามวรรคหนึ่งให้ถือว่าเป็นผู้ร่วมกระทําความผิดด้วย (มาตรา 5)
ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้จํายอมร่วมดําเนินการใดๆ ในการเสนอราคาหรือ
ไม่เข้าร่วมในการเสนอราคา หรือถอนการเสนอราคา หรือต้องทําการเสนอราคาตามที่
กําหนด โดยใช้กําลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญด้วยประการใดๆ ให้กลัวว่าจะเกิดอันตราย
ต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สาม จนผู้
ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจําคุก ตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับร้อยละ
ห้าสิบของจํานวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดในระหว่างผู้ร่วมกระทําความผิดนั้น หรือ
ของจํ า นวนเงิ น ที่ มี ก ารทํ า สั ญ ญากั บ หน่ ว ยงานของรั ฐ แล้ ว แต่ จํ า นวนใดจะสู ง กว่ า
(มาตรา 6)
ผู้ใดใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทําการโดยวิธีอื่นใดเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มี
โอกาส เข้าทําการเสนอราคาอย่างเป็นธรรมหรือให้มีการเสนอราคาโดยหลงผิด ต้องระวาง
โทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับร้อยละห้าสิบของจํานวนเงินที่มีการเสนอราคา
ย
สู ง สุ ด ระหว่ า งผู้ ร่ ว มกระทํ า ความผิ ด นั้ น หรื อ ของจํ า นวนเงิ น ที่ มี ก ารทํ า สั ญ ญากั บ
น่า
หน่วยงานของรัฐแล้วแต่จํานวนใดจะสูงกว่า (มาตรา 7)
ผู้ใดโดยทุจริตทําการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐโดยรู้ว่าราคาที่เสนอ
นั้นต่ํามากเกินกว่าปกติจนเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นไปตามลักษณะสินค้าหรือบริการหรือเสนอ
ําห
ผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่หน่วยงานของรัฐสูงกว่าความเป็นจริงตามสิทธิที่จะได้รับโดยมี
วัตถุประสงค์เป็นการกีดกันการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมและการกระทําเช่นว่านั้นเป็น
มจ
เหตุให้ไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาได้ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปี
และปรับร้อยละห้าสิบของจํานวนเงินที่มีการเสนอราคา หรือของจํานวนเงินที่มีการทํา
สัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จํานวนใดจะสูงกว่า
ห้า
ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาได้ตามวรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้
หน่ วยงานของรั ฐ ต้ อ งรั บ ภาระค่ า ใช้ จ่ า ยเพิ่ ม ขึ้ น ในการดํ า เนิ น การให้ แ ล้ ว เสร็ จ ตาม
วัตถุประสงค์ของสัญญาดังกล่าว ผู้กระทําผิดต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายให้แก่หน่วยงานของรัฐ
นั้นด้วย
ในการพิจารณาคดี ความผิ ดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐถ้ามี
การร้องขอให้ศาลพิจารณากําหนดค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องรับภาระเพิ่มขึ้นให้แก่หน่วยงานของรัฐ
ตามวรรคสองด้วย (มาตรา 8)
46 หมวดกฎหมาย
ในกรณีที่การกระทําความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นไปเพื่อประโยชน์
ของนิติบุคคลใด ให้ถือว่าหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารหรือผู้มีอํานาจใน
การดําเนินงาน ในกิจการของนิติบุคคลนั้น หรือผู้ซึ่งรับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติ
บุคคลในเรื่องนั้นเป็นตัวการร่วมในการกระทําความผิดด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้
มีส่วนรู้เห็นในการกระทําความผิดนั้น (มาตรา 9)
อํานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ในการสอบสวนเพื่อดําเนินคดีอาญาแก่ผู้กระทําความผิดตามพระราชบัญญัติ
ว่า ด้ว ยความผิด เกี ่ย วกับ การเสนอราคาต่อ หน่ว ยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ให้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอํานาจดังต่อไปนี้ (มาตรา 15)
แสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริง
หรือพิสูจน์ความผิด และเพื่อจะเอาตัวผู้กระทําผิดมาฟ้องลงโทษ
มี คํ า สั่ ง ให้ ข้ า ราชการ พนั ก งานหรื อ ลู ก จ้ า งของหน่ ว ยงานของรั ฐ
ปฏิบัติการทั้งหลาย อันจําเป็นแก่การรวบรวมพยานหลักฐานของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
หรือเรียกเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคํา
ย
เพื่อประโยชน์ในการสอบสวน
น่า
ดําเนินการขอให้ศาลที่มีเขตอํานาจออกหมายเพื่อเข้าไปในเคหสถานที่
ทํ า การหรื อ สถานที่ อื่ น ใด รวมทั้ ง ยานพาหนะของบุ ค คลใดๆ ในเวลาระหว่ า ง
พระอาทิตย์ ขึ้ นและพระอาทิ ตย์ตกหรือในระหว่างเวลาที่มี การประกอบกิจการเพื่อ
ําห
ตรวจสอบ ค้น ยึด หรืออายัด เอกสาร ทรัพย์สิน หรือพยานหลักฐานอื่นใดซึ่งเกี่ยวข้อง
กับเรื่องที่ไต่สวน ข้อเท็จจริง และหากยังดําเนินการไม่แล้วเสร็จในเวลาดังกล่าวให้
สามารถดําเนินการต่อไปได้จนกว่าจะแล้วเสร็จ
มจ
หมวดกฎหมาย 47
อํานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ท.
ในการสอบสวนเพื่อดําเนินคดีอาญาแก่ผู้กระทําความผิดตามพระราชบัญญัติ
มาตรการของฝ่ายบริ ห ารในการป้ องกั น และปราบปรามการทุ จริต พ.ศ. 2551 ให้
คณะกรรมการ ป.ป.ท. มีอํานาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (มาตรา 17)
เสนอนโยบาย มาตรการ และแผนพัฒนาการป้องกันและปราบปราม
การทุจริตในภาครัฐต่อคณะรัฐมนตรี
เสนอแนะและให้ คํ า ปรึ ก ษาแก่ ค ณะรั ฐ มนตรี เ กี่ ย วกั บ การปรั บ ปรุ ง
กฎหมาย กฎข้อบังคับ หรือมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตใน
ภาครัฐ
เสนอแนะต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการกําหนดตําแหน่งของเจ้าหน้าที่
ของรัฐ ซึ่งต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตาม
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลเกี่ยวกับการกระทําการทุจริตในภาครัฐของ
เจ้าหน้าที่ของรัฐ
ไต่สวนข้อเท็จจริงและสรุปสํานวนพร้อมทั้งความเห็นส่งพนักงานอัยการ
ย
เพื่อฟ้องคดีอาญาต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ
น่า
จัดทํารายงานผลการปฏิบัติงานประจําปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอ
ต่อสภาผู้แทนราษฎรวุฒิสภา และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบด้วย
ําห
แต่งตั้ งคณะอนุ กรรมการเพื่ อดําเนิ นการตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ท.
มอบหมาย
ปฏิบัติการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้ หรือการอื่นใดเกี่ยวกับการป้องกัน
มจ
บทกําหนดโทษ
เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใด ซึ่งมีอํานาจหรือหน้าที่ในการอนุมัติ
การพิจารณา หรือการดําเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคาครั้งใด รู้หรือมี
พฤติการณ์ปรากฏแจ้งชัดว่าควรรู้ว่าการเสนอราคาในครั้งนั้นมีการกระทําความผิดตาม
พระราชบั ญ ญั ติ นี้ ละเว้ น ไม่ ดํา เนิ น การเพื่อ ให้ มีก ารยกเลิก การดํ า เนิ น การเกี่ ย วกั บ
การเสนอราคาในครั้งนั้น มีความผิดฐานกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ ต้องระวาง
โทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท (มาตรา 10)
48 หมวดกฎหมาย
เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใดหรือผู้ได้รับมอบหมายจากหน่วยงาน
ของรั ฐ ผู้ ใ ดโดยทุ จ ริ ต ทํ า การออกแบบ กํ า หนดราคา กํ า หนดเงื่ อ นไข หรื อ กํ า หนด
ผลประโยชน์ตอบแทนอันเป็นมาตรฐานในการเสนอราคา โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขัน
ในการเสนอราคาอย่างเป็ นธรรม หรื อเพื่อช่ว ยเหลือ ให้ผู้ เสนอราคารายใดได้มีสิทธิ
เข้ า ทํ า สั ญ ญากั บ หน่ ว ยงานของรั ฐ โดยไม่ เ ป็ น ธรรม หรื อ เพื่ อ กี ด กั น ผู้ เ สนอราคา
รายใดมิให้มีโอกาสเข้าแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม ต้องระวางโทษจําคุก
ตั้งแต่ ห้าปี ถึ งยี่สิ บปีหรือจํ าคุกตลอดชีวิตและปรับตั้ งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
(มาตรา 11)
เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใดกระทําความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หรือ
กระทํ าการใดๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้ออํานวยแก่
ผู้เข้าทําการเสนอราคา รายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทําสัญญากับหน่วยงานของรัฐ มีความผิด
ฐานกระทําผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจําคุก
ตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท (มาตรา 12)
ผู้ ดํ า รงตํ า แหน่ ง ทางการเมื อ งหรื อ กรรมการหรื อ อนุ ก รรมการใน
หน่วยงานของรัฐซึ่ง มิใช่เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใด กระทําความผิดตาม
ย
พระราชบัญ ญัตินี้ หรือ กระทํา ใดๆ ต่อเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐซึ่งมีอํานาจหรือ
น่า
หน้าที่ในการอนุมัติ การพิจารณา หรือ การดําเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคา
เพื่ อจู งใจ หรื อทํ าให้ จํ ายอมต้ องยอมรั บการเสนอราคาที่ มี การกระทํ าความผิ ดตาม
พระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําความผิดฐานกระทําผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ ต้อง
ําห
ระวางโทษจําคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึ งยี่สิบปี หรือจําคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่หนึ่งแสน
สี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท (มาตรา 13)
มจ
สาระสําคัญทีเ่ กี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
ห้า
ย
น่า
“เจ้าหน้ าที่” หมายความว่า ผู้มี หน้ าที่เกี่ ยวกั บการจั ดซื้ อจัดจ้างหรื อการ
บริหารพัสดุ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้มีอํานาจให้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัด
ําห
จ้างหรือการบริหารพัสดุของหน่วยงานของรัฐ
“งานบริการ” หมายความว่า งานจ้างบริการ งานจ้างเหมาบริการ งานจ้างทํา
มจ
ของและการรับขน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จากบุคคลธรรมดาหรือนิติ
บุคคล แต่หมายความรวมถึงการจ้างลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ การับขนในการเดินทาง
ห้า
50 หมวดกฎหมาย
บริการที่รวมอยู่ในงานก่อสร้างนั้นด้วย แต่มูลค่าของงานบริการต้องไม่สูงกว่ามูลค่าของ
งานก่อสร้าง นั้น
“อาคาร” หมายความว่า สิ่งปลูกสร้างถาวรที่บุคคลอาจเข้าอยู่หรือใช้สอยได้ เช่น
อาคาร ที่ทําการ โรงพยาบาล โรงเรียน สถานกีฬา หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นที่มีลักษณะ
ทํานองเดียวกัน รวมทั้งสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยสําหรับอาคารนั้น
ๆ เช่ น เสาธง รั้ ว ท่ อระบายน้ํ า หอถั งน้ํ า ถนน ประปา ไฟฟ้ า หรื อสิ่ งอื่ น ๆ ซึ่ งเป็ น
ส่วนประกอบของตัวอาคาร เช่น เครื่องปรับอากาศ ลิฟต์ หรือเครื่องเรือน
“สาธารณู ป โภค” หมายความว่ า งานอั น เกี่ ย วกั บ การประปา การไฟฟ้ า
การสื่อสาร การโทรคมนาคม การระบายน้ํา การขนส่งทางท่อ ทางน้ํา ทางบก ทางอากาศ
หรือทางราง หรือการอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งดําเนินการในระดับพื้นดิน ใต้พื้นดิน หรือเหนือ
พื้นดิน
“งานจ้ างที่ ปรึ กษา” หมายความว่ า งานจ้ างบริ การจากบุ คคลธรรมดาหรื อ
ย
นิ ติ บุ ค คลเพื่ อ เป็ น ผู้ ใ ห้ คํ า ปรึ ก ษาหรื อ แนะนํ าแก่ หน่ ว ยงานของรั ฐ ในด้ า นวิ ศ วกรรม
น่า
สถาปั ต ยกรรม ผั ง เมื อ ง กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การเงิ น การคลั ง สิ่ ง แวดล้ อ ม
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สาธารณสุข ศิลปวัฒนธรรม การศึกษาวิจัย หรือด้านอื่นที่อยู่ใน
ําห
ภารกิจของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ
“งานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง” หมายความว่า งานจ้างบริการจาก
มจ
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเพื่อออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง
ห้า
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. พระราชบั ญ ญั ติ ว่ า ด้ ว ยความผิ ด เกี่ ย วกั บ การเสนอราคาต่ อ หน่ ว ยงาน
ของรัฐ พ.ศ. 2542
2. พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปราม
การทุจริต พ.ศ. 2551
3. ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
4. พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
หมวดกฎหมาย 51
ห้า
มจ
ําห
น่า
ย
บทที่ 7
กฎหมายแพ่ง-พาณิชย์และกฎหมายอาญา
ที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
วัตถุประสงค์
ในการประกอบอาชีพวิศวกรรม ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ควบคุมต้องเรียนรู้ในเรื่องของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายอาญา บางมาตรา
ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมในชีวิตประจําวัน
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนี้ ได้แก่ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวกับการทําสัญญาจะซื้อ
จะขาย สัญญาการจัดซื้อจัดจ้าง สัญญาจ้างงาน การทําสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวกับธุรกรรม
ทางการเงิน และวิศวกรหรือสถาปนิกผู้มีหน้าที่ ออกแบบ ควบคุม หรือ ก่อสร้างอาคาร
หรือสิ่งก่อสร้างใดๆ
สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
ย
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายอาญา
น่า
ประกอบด้วย พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 พระราชบัญญัติ
แก้ ไ ขเพิ่ ม เติ ม ประมวลกฎหมายอาญา ซึ่ งมี ก ฎหมายบางมาตราที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ การ
ําห
ประกอบวิชาชีพวิศวกรรม ดังนี้
1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิด
มจ
หนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดี
หาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า
ไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้นจะ
ฟ้องร้องและบังคับคดีได้แต่เพียงสามปี
มาตรา 1343 ห้ามมิให้ขุดดินหรือบรรทุกน้ําหนักบนที่ดินเกินควรจน
อาจเป็ น เหตุ อั น ตรายแก่ค วามอยู่มั่น แห่ งที่ดิ นติ ดต่อ เว้ น แต่จ ะจั ด การเพี ย งพอเพื่ อ
ป้องกันความเสียหาย
หมวดกฎหมาย 53
2. ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
โดยมิ ชอบ เพื่ อให้ เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรื อปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ
หน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึง
สองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา 227 ผู้ใดเป็นผู้มีวิชาชีพในการออกแบบ ควบคุม หรือทําการ
ก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือรื้อถอน อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
หรือวิธีการอันพึงกระทําการนั้นๆ โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคล
อื่น ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา 234 ผู้ใดกระทําด้วยประการใดๆ แก่สิ่งที่ใช้ในการผลิต ในการ
ส่งพลังงานไฟฟ้าหรือในการส่งน้ํา จนเป็นเหตุให้ประชาชนขาดความสะดวก หรือน่าจะ
เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ประชาชน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน
หนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา 238 ถ้าการกระทําความผิดตามมาตรา 226 ถึงมาตรา 237
เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุกตลอดชีวิต หรือจําคุก
ย
ตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
น่า
ถ้าเป็นเหตุให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่
หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท
มาตรา 264 ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
ําห
เติ ม หรื อ ตั ด ทอนข้ อ ความ หรื อ แก้ ไ ขด้ ว ยประการใดๆ ในเอกสารที่ แ ท้ จ ริ ง หรื อ
ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความ
มจ
ผู้ใดกรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษหรือวัตถุอื่นใด ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่น
โดยไม่ได้รั บความยินยอม หรือโดยฝ่าฝืนคําสั่งของผู้อื่นนั้น ถ้าได้กระทํ าเพื่ อนําเอา
เอกสารนั้นไปใช้ในกิจการที่อาจเกิดเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชนให้ถือว่าผู้นั้น
ปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
มาตรา 269 ผู้ใดในการประกอบการงานในวิชาชีพแพทย์ กฎหมาย
บัญชีหรือวิชาชีพอื่นใด ทําคํารับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิด
54 หมวดกฎหมาย
ความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกิน
สี่พันบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ผู้ใดโดยทุจริตใช้หรืออ้างคํารับรองอันเกิดจากการกระทําความผิดตามวรรค
แรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
2. พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
3. พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499
4. พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา
ย
น่า
ําห
มจ
ห้า
หมวดกฎหมาย 55
ห้า
มจ
ําห
น่า
ย
บทที่ 8
กฎหมายผังเมือง
วัตถุประสงค์
กฎหมายผังเมือง เป็นกฎหมายที่กําหนดให้การดําเนินการที่เกี่ยวกับการใช้
ประโยชน์ในที่ดิน ให้เป็นไปตามผังเมืองรวมและผังเมืองเฉพาะ เพื่อสร้างหรือพัฒนา
เมือง ให้มีหรือทําให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสุขลักษณะความสะดวกสบาย ความเป็นระเบียบ
ความสวยงาม การใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน ความปลอดภัยของประชาชน และสวัสดิภาพ
ของสังคม เพื่อส่งเสริมการเศรษฐกิจ สังคม และสภาพแวดล้อม เพื่อดํารงรักษาหรือ
บู ร ณะสถานที่ แ ละวั ต ถุ ที่ มี ป ระโยชน์ ห รื อ คุ ณ ค่ า ในทางศิ ล ปกรรม สถาปั ต ยกรรม
ประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี หรือเพื่อบํารุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิประเทศที่
งดงามหรือมีคุณค่าในทางธรรมชาติ
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ผู้ ที่เกี่ ยวข้ องกั บ กฎหมายนี้ ได้แ ก่ เจ้ า ของโครงการพั ฒ นาอสังหาริม ทรั พ ย์
เจ้าของที่ดิน สถาปนิกหรือวิศวกรที่ทํางานเกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ
ย
เจ้าหน้าที่ภาครัฐที่ทํางานเกี่ยวกับการควบคุมดูแลด้านผังเมือง
น่า
สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
กฎหมายผังเมือง ประกอบด้วย พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518
ําห
พระราชบัญญัติการผังเมือง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2525 พระราชบัญญัติการผังเมือง (ฉบับที่
3) พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติการผังเมือง (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2558 และกฎกระทรวงที่
ออกตามความในพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518 ซึ่งกล่าวถึง คณะกรรมการ
มจ
หมวดกฎหมาย 57
- ผังเมืองเฉพาะ คือ แผนผังและโครงการดําเนินการเพื่อพัฒนาหรือดํารง
รักษาบริ เวณเฉพาะแห่งหรือกิจการที่ เกี่ยวข้ อง ในเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือ
ชนบท
2. คณะกรรมการผังเมือง มีอํานาจหน้าที่เกี่ยวกับการผังเมืองรวมที่บัญญัติใน
พระราชบัญญัตินี้ และมีหน้าที่แนะนําเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับการผังเมืองแก่หน่วยงานที่มี
หน้าที่เกี่ยวข้องกับการผังเมือง และมีอํานาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทําการหรือ
วินิจฉัยเรื่องที่อยู่ในอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามที่ได้มอบหมาย แล้วรายงาน
คณะกรรมการผังเมืองให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ดําเนินการให้เป็นไปตามมติของ
คณะกรรมการผังเมือง ในกรณีที่เป็นกิจการตามอํานาจหน้าที่ของหน่วยงานหรือบุคคล
อื่นให้กรมโยธาธิการและผังเมือง แจ้งมติของคณะกรรมการให้หน่วยงานหรือบุคคลนั้น
ทราบโดยเร็ว และติดตามผลการปฏิบัติกิจการของหน่วยงานหรือบุคคลนั้นแล้วรายงาน
ให้คณะกรรมการผังเมืองทราบ
3. การสํ า รวจเพื่ อ วางและจั ด ทํ า ผั ง เมื อ งรวมหรื อ ผั ง เมื อ งเฉพาะ จะ
ตราพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดินที่จะทําการสํารวจเพื่อการวางและจัดทําผังเมือง
รวม หรือผังเมืองเฉพาะไว้ก็ได้ และให้พระราชกฤษฎีกาดังกล่าว หมดอายุการใช้บังคับ
ย
เมื่อได้มีกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมหรือเมื่อใช้บังคับพระราชบัญญัติให้ใช้บังคับ
น่า
ผังเมืองเฉพาะแล้วแต่กรณีในเขตแห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
4. การวางและจัดทําผังเมืองรวม
เมื่อเห็นควรวางและจัดทําผังเมืองรวม ณ ท้องที่ใด ให้กรมโยธาธิการ
ําห
และผังเมือง วางและจัดทําผังเมืองรวมของท้องที่ หรือเจ้าพนักงานท้องถิ่นของท้องที่นั้น
จะวางและจั ด ทํ า ผั ง เมื อ งรวมในท้ อ งที่ ข องตนขึ้ น ก็ ไ ด้ แต่ ต้ อ งได้ รั บ อนุ มั ติ จ าก
คณะกรรมการผั งเมื อ งก่อน และให้ก รมโยธาธิการและผังเมื อง ให้ ความร่ วมมื อแก่
มจ
เจ้าพนักงานท้องถิ่นกรณีที่ขอคําแนะนําในการวางและจัดทําผังเมืองรวมด้วย
เมื่อกรมโยธาธิการและผังเมือง จะวางหรือจัดทําผังเมืองรวมของท้องที่
ห้า
ใดให้แจ้งให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นนั้นทราบและให้มาแสดงความคิดเห็น และจัดให้มีการ
โฆษณาให้ ป ระชาชนทราบ แล้ ว จั ด ให้ มี ก ารประชุ ม ไม่ น้ อ ยกว่ า หนึ่ ง ครั้ ง เพื่ อ รั บ ฟั ง
ข้อคิดเห็นของประชาชนโดยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการโฆษณา การประชุม
การแสดงความคิ ด เห็นให้ เป็ น ไปตามที่ กฎกระทรวงกํ า หนด (กฎกระทรวง กํ า หนด
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการโฆษณา การประชุม และการแสดงข้อคิดเห็นของ
ประชาชนในการวางและจัดทําผังเมืองรวม พ.ศ. 2552)
58 หมวดกฎหมาย
ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดท้องที่ที่มีการวางและจัดทําผังเมืองรวมแต่งตั้ง
คณะที่ ป รึ ก ษา ผั ง เมื อ งรวมขึ้ น คณะหนึ่ ง ประกอบด้ ว ย ผู้ แ ทนองค์ ก ารบริ ห ารส่ ว น
ท้องถิ่น ผู้แทนกรมโยธาธิการและผังเมือง ผู้แทนส่วนราชการต่าง ๆ ในท้องที่ที่วางผัง
เมืองรวมนั้น และบุคคลอื่นที่เห็นสมควร จํานวนไม่น้อยกว่า 15 คน และไม่เกิน 21 คน
มีหน้าที่ให้คําปรึกษาและความคิดเห็นเกี่ยวกับผังเมืองรวมที่วางและจัดทําขึ้น โดยให้
เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการแต่งตั้งและการปฏิบัติหน้าที่ของคณะที่
ปรึกษาผังเมืองรวม พ.ศ. 2540
5. การใช้บงั คับผังเมืองรวม
5.1 การใช้บังคับผังเมืองรวม ให้กระทําโดยกฎกระทรวง ซึ่งกฎกระทรวงผัง
เมืองรวม ต้องมีสาระสําคัญ ดังนี้
(1) วัตถุประสงค์ในการวางและจัดทําผังเมืองรวมให้กําหนดโดยคํานึงถึงความ
เป็นระเบียบความสวยงาม การใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน ความปลอดภัยของประชาชน
การเศรษฐกิ จ ทรั พ ยากรธรรมชาติ การดํา รงรัก ษาสถานที่ที่ มีคุ ณค่ าทางศิล ปกรรม
สถาปั ตยกรรม ประวั ติศาสตร์ หรือ โบราณคดี และการจั ดสภาพแวดล้อมที่ทุกคน
สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างเท่าเทียมกัน
ย
(2) แผนที่แสดงเขตของผังเมืองรวมโดยแสดงข้อมูลภูมิประเทศและระดับชั้น
น่า
ความสูง
(3) แผนผังซึ่งทําขึ้นเป็นฉบับเดียวหรือหลายฉบับโดยมีสาระสําคัญทุกประการ
หรือบางประการดังต่อไปนี้
ําห
- แผนผังกําหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามที่ได้จําแนกประเภท
- แผนผังแสดงที่โล่ง
- แผนผังแสดงโครงการคมนาคมและขนส่ง
มจ
- แผนผังแสดงโครงการกิจการสาธารณูปโภค
(4) รายการประกอบแผนผัง
ห้า
(5) ข้อกําหนดที่จะให้ปฏิบัติหรือไม่ให้ปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์
ของผังเมืองรวมทุกประการ ดังต่อไปนี้
(ก) ประเภทและขนาดกิจการที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ดําเนินการ
(ข) ประเภท ชนิด ขนาด ความสูง และลักษณะของอาคารที่จะอนุญาต
หรือไม่อนุญาตให้สร้าง
(ค) อั ต ราส่ วนพื้ นที่ อาคารรวมกั นทุกชั้ นของอาคารทุก หลังต่ อพื้น ที่
แปลงที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งอาคาร
หมวดกฎหมาย 59
(ง) อัตราส่วนพื้นที่อาคารปกคลุมดินต่อพื้นที่แปลงที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้ง
อาคาร
(จ) อัตราส่วนพื้นที่ว่างอันปราศจากสิ่งปกคลุมของแปลงที่ดินที่อาคาร
ตั้งอยู่ต่อพื้นที่ใช้สอยรวมของอาคาร
(ฉ) ระยะถอยร่นจากแนวธรรมชาติ ถนน แนวเขตที่ดิน อาคารหรือ
สถานที่อื่น ๆ ที่จําเป็น
(ช) ขนาดของแปลงที่ดินที่จะอนุญาตให้สร้างอาคาร
(ซ) ข้อกําหนดอื่นที่จําเป็นโดยรัฐมนตรีประกาศกําหนดตามคําแนะนํา
ของคณะกรรมการผังเมือง
ในกรณีที่ผังเมืองรวมไม่มีข้อกําหนดบางประการตาม (ก) (ข) (ค) (ง) (จ) (ฉ) (ช)
และ (ซ) จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผังเมือง โดยมีเหตุผลอันสมควร
(6) นโยบาย มาตรการ และวิธีดําเนินการเพื่อปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของ
ผังเมืองรวม
5.2 ให้กรมโยธาธิการและผังเมือง หรือเจ้าพนักงานท้องถิ่น แล้วแต่กรณี จัดทํา
รายงานการประเมิ น ผลการเปลี่ ย นแปลงสภาพการณ์แ ละสิ่ งแวดล้อมการใช้บั งคั บ
ย
ผังเมืองรวมตามระยะเวลาที่คณะกรรมการผังเมืองกําหนด แต่ไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่
น่า
กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมใช้บังคับ หรือนับแต่วันที่คณะกรรมการผังเมือง
พิจารณารายงานการประเมินผลครั้งที่ผ่านมาเสร็จสิ้น แล้วเสนอคณะกรรมการผังเมือง
พิ จ ารณา หากคณะกรรมการผั ง เมื อ งเห็ น ว่ า สภาพการณ์ แ ละสิ่ ง แวดล้ อ มมี ก าร
ําห
เปลี่ยนแปลงไปในสาระสําคัญทําให้ผังเมืองรวมนั้นไม่เหมาะสมที่จะรองรับการพัฒนา
หรือดํารงรักษาเมืองต่อไปหรือจําเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพื่อประโยชน์ในการพัฒนา
เมืองทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองหรือ
มจ
เจ้าพนักงานท้องถิ่นดําเนินการปรับปรุงโดยการวางและจัดทําผังเมืองรวมขึ้นใหม่ให้
เหมาะสมได้
ห้า
การจัดทํารายงานการประเมินผลการเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อม
การใช้บังคับผังเมืองรวม ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการผังเมืองกําหนด ซึ่งต้อง
มีการแสดงข้อเท็จจริงให้ปรากฏทั้งในเรื่องการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน ความ
หนาแน่นของประชากร นโยบายหรือโครงการของรัฐบาล สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ
สังคม และสิ่งแวดล้อม การคมนาคมและขนส่ง การป้องกันการเกิดภัยพิบัติ ความมั่นคง
ของประเทศ และปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับการผังเมืองโดยให้คํานึงถึงการมีส่วนร่วมของ
ประชาชนประกอบด้วย
60 หมวดกฎหมาย
ห้ า มบุ ค คลใดใช้ ป ระโยชน์ ที่ ดิ น ผิ ด ไปจากที่ กํ า หนดไว้ ใ นผั ง เมื อ งรวม
เว้นแต่เจ้าของที่ดินที่ได้ใช้ประโยชน์ที่ดินมาก่อนที่จะมีกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมือง
รวมและจะใช้ประโยชน์ที่ดินเช่นนั้นต่อไป แต่ถ้าคณะกรรมการผังเมืองเห็นว่าการใช้
ประโยชน์ ที่ ดิน เช่ นนั้ นต่ อ ไปเป็ นการขั ดต่อนโยบายของผังเมืองรวมในสาระสํ าคัญที่
เกี่ ย วกั บ สุ ข ลั ก ษณะ ความปลอดภั ย ของประชาชน และสวั ส ดิ ภ าพของสั ง คม
คณะกรรมการผังเมืองมีอํานาจกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่เจ้าของที่ดินต้อง
แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือระงับการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อไปภายในระยะเวลาที่เห็นสมควร
โดยจะต้องเชิญเจ้าของที่ดินมาแสดงข้อเท็จจริงและความคิดเห็นประกอบด้วย เมื่อได้
กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ให้มีหนังสือแจ้งเจ้าของที่ดินทราบ เจ้าของที่ดิน
มีสิทธิ์อุทธรณ์ได้ (มาตรา 70)
6. การวางและจัดทําผังเมืองเฉพาะ
เมื่อมีกฎกระทรวงใช้บังคับผังเมืองรวมท้องที่ใด เจ้าพนักงานท้องถิ่น
เห็นสมควรให้มีการวางและจัดทําผังเมืองเฉพาะขึ้นได้ แต่จะต้องสอดคล้องกับผังเมืองรวม
กรณีเจ้าพนักงานท้องถิ่นวางและจัดทําผังเมืองเฉพาะ จะต้องเสนอหลักการที่จะวางและ
จัดทําผังเมืองเฉพาะให้คณะกรรมการผังเมืองพิจารณาเห็นชอบก่อน
ย
กรณีเจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือกรมโยธาธิการและผังเมือง จะวางและ
น่า
จัดทําผังเมืองเฉพาะให้ปิดประกาศแสดงเขตที่จะวางและจัดทําผังเมืองเฉพาะไว้ในที่
เปิดเผย และให้มีคําประกาศเชิญชวนให้ เจ้าของที่ดินให้เสนอความคิดเห็นตลอดจน
ความประสงค์ในการใช้ที่ดินที่ได้แสดงไว้ โดยทําเป็นหนังสือเสนอต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
ําห
หรือกรมโยธาธิการและผังเมือง ภายใน 45 วัน นับแต่วันปิดประกาศหรืออาจให้ผู้มี
หนังสือแสดงความคิดเห็นมาชี้แจงแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกก็ได้
มจ
หมวดกฎหมาย 61
เกิน 5 ปี เมื่อเห็นสมควรขยายระยะเวลาการใช้บังคับพระราชบัญญัติให้เสนอความเห็น
ต่ อ คณะกรรมการผั ง เมื อ ง เพื่ อ พิ จ ารณาดํ า เนิ น การตราเป็ น พระราชบั ญ ญั ติ ข ยาย
ระยะเวลาการใช้บังคับผังเมืองเฉพาะต่อไป หรืออาจแก้ไขปรับปรุงผังเมืองเฉพาะให้
เหมาะสมกับสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปก็ได้
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอํานาจออกกฎกระทรวงกําหนด
- รายละเอียดแห่งข้อกําหนดต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติให้ใช้บังคับ
ผังเมืองเฉพาะ
- หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติให้ใช้บังคับ
ผังเมืองเฉพาะ
บรรดาข้อบัญญัติ หรือเทศบัญญัติที่อาศัยอํานาจตามกฎหมายว่าด้วย
การควบคุม การก่อสร้างอาคาร การสาธารณสุข การรักษาความสะอาดและความเป็น
ระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง การควบคุมสุสานและฌาปนสถาน หรือกฎหมายอื่นที่
เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตท้องที่ที่ใช้บังคับพระราชบัญญัติผังเมืองเฉพาะ หาก
ข้อบั ญญั ติ หรื อเทศบัญญั ติ ขั ดหรื อแย้ งกั บกฎกระทรวงมหาดไทย ให้ ใช้กฎกระทรวง
มหาดไทยบังคับใช้แทน
ย
ห้ามบุคคลใช้ประโยชน์ที่ดินหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงอสังหาริมทรัพย์ให้
น่า
ผิดจากกําหนดในพระราชบัญญัติให้ใช้บังคับผังเมืองเฉพาะหรือกฎกระทรวง
8. การอุทธรณ์
1. ผู้มีสิทธิอุทธรณ์อาจอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับคําสั่งหรือ
ําห
หนังสือแจ้งตามรายละเอียด มาตรา 70 เมื่อผู้อุทธรณ์ไม่พอใจในคําวินิจฉัยอุทธรณ์
ผู้อุทธรณ์มีสิทธิยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ภายในกําหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ได้ทราบ
มจ
คําวินิจฉัย นั้น
2. ในระหว่างอุทธรณ์ห้ามทุกฝ่ายมิให้ดําเนินการหรือกระทําการใด ๆ
อันเป็นกรณีแห่งการอุทธรณ์
ห้า
บทสรุป
พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518 เป็นกฎหมายการผังเมือง ที่อาศัย
เครื่อ งมื อ ที่ สํ าคั ญ คื อ ผั ง เมื อ งรวม และผั ง เมื อ งเฉพาะ เพื่ อ ให้ บ รรลุวั ต ถุ ป ระสงค์
นโยบาย หรือแนวทางในการสร้างหรือพัฒนาเมืองตามหลักวิชาการผังเมือง โดยการใช้
บังคับผังเมืองรวม ต้องดําเนินการโดยกฎกระทรวง และการใช้บังคับผังเมืองเฉพาะ
ต้องดําเนินการโดยพระราชบัญญัติ ส่วนองค์กรสําคัญที่เป็นผู้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ
62 หมวดกฎหมาย
การผั ง เมื อ ง คื อ กรมโยธาธิ ก ารและผั ง เมื อ ง และ เจ้ า พนั ก งานท้ อ งถิ่ น และมี
คณะกรรมการผังเมือง เป็นคณะกรรมการที่ทําหน้าที่พิจารณาอนุมัติผังเมืองรวมและ
ผั ง เมื อ งเฉพาะ และหน้ า ที่ อื่ น ที่ เ กี่ ย วข้ อ งตามที่ ก ฎหมายกํ า หนด ขณะเดี ย วกั น ก็ มี
คณะกรรมการบริหารการผังเมืองส่วนท้องถิ่น ทําหน้าที่ บริหารจัดการเกี่ยวกับผังเมือง
เฉพาะเพื่อให้การบริหารท้องถิ่นเป็นไปตามผังเมืองเฉพาะที่ใช้บังคับในท้องถิ่น หาก
เจ้าของที่ดินได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้ผังเมืองรวมหรือผังเมืองเฉพาะสามารถ
อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ และหากไม่พอใจคําวินิจฉัยอุทธรณ์ มีสิทธิ์ยื่นฟ้องต่อ
ศาลปกครองได้ ขณะเดียวกันการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518
ในส่วนการบังคับใช้ผังเมืองรวม ผังเมืองเฉพาะ มีบทกําหนดโทษทั้งจําทั้งปรับ รวมถึง
การไม่ ใ ห้ ค วามร่ ว มมื อ ในการส่ ง เอกสาร การชี้ แ จง ขั ด ขวางการปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ข อง
เจ้าหน้าที่ และการฝ่าฝืนคําสั่งรื้อย้ายอาคาร มีบทกําหนดโทษทั้งจํา ทั้งปรับเช่นกัน
บทกําหนดโทษ
1. ผู้ใดไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามผังเมืองรวม และผังเมืองเฉพาะมีความผิดต้อง
ระวางโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ย
เมื่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นร้องขอ ศาลอาจสั่งให้ผู้กระทําผิดแก้ไขให้ถูกต้องตามที่
น่า
กําหนดในผังเมืองรวมหรือในผังเมืองเฉพาะ ภายในระยะเวลากําหนด หรือเจ้าพนักงาน
ท้องถิ่นมีอํานาจ จัดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามผังเมืองรวม หรือผังเมืองเฉพาะ
นั้น และคิดค่าใช้จ่ายจากเจ้าของตามที่จ่ายจริงโดยประหยัด (มาตรา 83)
ําห
2. ผู้ใด
ไม่ไปชี้แจงหรือไม่ส่งเอกสารหลักฐานตามหนังสือเรียกของเจ้าพนักงาน
ท้องถิ่น ฯลฯ หรือ ชี้แจงข้อความอันเป็นเท็จ
มจ
ขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่น เจ้าพนักงาน
การผัง เจ้าหน้าที่ของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ฯลฯ
ห้า
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518
2. พระราชบัญญัติการผังเมือง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2525
3. พระราชบัญญัติการผังเมือง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535
หมวดกฎหมาย 63
4. พระราชบัญญัติการผังเมือง (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2558
5. กฎกระทรวงฉบั บที่ 4 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญ ญั ติ
การผังเมือง พ.ศ. 2518
6. กฎกระทรวง กํ า หนด หลั ก เกณฑ์ วิ ธี ก าร และเงื่ อ นไขในการโฆษณา
การประชุม และการแสดงข้อคิดเห็นของประชาชนในการวางและจัดทําผังเมืองรวม
พ.ศ. 2552
7. กฎกระทรวงกํ า หนดหลั ก เกณฑ์ วิ ธี ก าร และเงื่ อ นไขในการโฆษณา
การประชุม และการแสดงข้อคิดเห็นของประชาชนในการวางและจัดทําผังเมืองเฉพาะ
พ.ศ. 2552
8. ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการแต่งตั้งและการปฏิบัติหน้าที่ของ
คณะที่ปรึกษาผังเมืองรวม พ.ศ. 2540
9. ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยวิธีการประกาศเชิญชวนให้ผู้มีส่วนได้
เสียไปตรวจดูแผนผัง พ.ศ. 2540
ย
น่า
ําห
มจ
ห้า
64 หมวดกฎหมาย
บทที่ 9
กฎหมายสิ่งแวดล้อม
วัตถุประสงค์
ประเทศไทย มี ก ฎหมายที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ สิ่ ง แวดล้ อ มหลายฉบั บ และได้ มี
การปรั บ ปรุ ง เนื้ อ หาของกฎหมายแต่ ล ะฉบั บ ให้ ทั น สมั ย และสอดคล้ อ งกั บ ปั ญ หา
สิ่ ง แวดล้ อ มอยู่ เ สมอมา ในปั จ จุ บั น กฎหมายว่ า ด้ ว ยการส่ ง เสริ ม และรั ก ษาคุ ณ ภาพ
สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มุ่งเน้นในเรื่องของการส่งเสริมประชาชนและองค์กรภาคเอกชนให้มี
ส่วนร่วมในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และมีการกําหนดอํานาจหน้าที่ของ
ส่ วนราชการ รั ฐ วิ สาหกิ จ และราชการส่ วนท้องถิ่น ให้เกิดการประสานและทําหน้า ที่
ร่วมกันในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม มีการจัดระบบการบริหารงานด้าน
สิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามหลักการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตลอดจนกําหนดมาตรการ
ควบคุมมลพิษในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับมลพิษ เช่น ระบบบําบัดน้ําเสีย
ระบบกําจัดของเสีย ระบบบําบัดอากาศเสีย เป็นต้น
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ย
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนี้ ได้แก่ เจ้าของโครงการหรือกิจการทั้งภาครัฐหรือ
น่า
เอกชน วิ ศ วกรผู้ อ อกแบบโครงสร้ า งและวิ ศ วกรผู้อ อกแบบงานระบบของโครงการ
สถาปนิกผู้ออกแบบโครงการ รวมไปถึงวิศวกรและเจ้ าหน้าที่ของบริษัทเอกชนหรือ
ําห
หน่วยงานภาครัฐที่จดทะเบียนเป็นผู้จัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
มจ
สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับวิศวกร คือ พระราชบัญญัติส่งเสริมและ
รั ก ษาคุ ณ ภาพสิ่ ง แวดล้ อ มแห่ ง ชาติ พ.ศ.2535 มี ส าระสํ า คั ญ ประกอบด้ ว ย
ห้า
คณะกรรมการสิ่ ง แวดล้ อ มแห่ ง ชาติ กองทุ น สิ่ ง แวดล้ อ ม การคุ้ ม ครองสิ่ ง แวดล้ อ ม
มาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม การวางแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม เขตอนุรักษ์และ
พื้ น ที่ คุ้ ม ครองสิ่ ง แวดล้ อ ม การทํ า รายงานการวิ เ คราะห์ ผ ลกระทบสิ่ ง แวดล้ อ ม
การควบคุ ม มลพิ ษ คณะกรรมการควบคุ ม มลพิ ษ มาตรฐานควบคุ ม มลพิ ษ จาก
แหล่งกําเนิด เขตควบคุมมลพิษ มลพิษทางอากาศและเสียง มลพิษทางน้ํา มลพิษอื่น
และของเสี ยอั น ตราย การตรวจสอบและควบคุ ม ค่า บริก ารและค่ า ปรับ มาตรการ
หมวดกฎหมาย 65
ส่งเสริมความรับผิดทางแพ่งและบทกําหนดโทษ โดยมีรายละเอียดที่วิศวกรควรทราบ
ดังนี้
“สิ่งแวดล้อม” หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่มีลักษณะทางกายภาพและชีวภาพ
ที่อยู่รอบตัวมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์ได้ทําขึ้น
“คุณภาพสิ่งแวดล้อม” หมายถึง ดุลยภาพของธรรมชาติ ได้แก่ สัตว์ พืช
และทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ และสิ่งที่มนุษย์ได้ทําขึ้น ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ต่อการดํารง
ชีพของประชาชน และความสมบูรณ์สืบไปของมนุษย์ชาติ
“มาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม” หมายถึง ค่ามาตรฐานคุณภาพน้ํา อากาศ เสียง
และสภาวะอื่น ๆ ของสิ่งแวดล้อม ซึ่งกําหนดเป็นเกณฑ์ทั่วไปสําหรับการส่งเสริมและ
รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
“มลพิ ษ ” หมายถึ ง ของเสีย วั ตถุอันตราย และมลสารอื่น ๆ รวมทั้ง กาก
ตะกอน หรือสิ่งตกค้างจากสิ่งเหล่านั้น ที่ถูกปล่อยทิ้งจากแหล่งกําเนิดมลพิษ หรือที่มีอยู่
ในสิ่ง แวดล้อ มตามธรรมชาติ ซึ่ ง ก่ อ ให้ เ กิ ดหรืออาจก่อ ให้ เกิดผลกระทบต่ อคุณ ภาพ
สิ่งแวดล้อม หรือภาวะที่เป็นพิษภัยอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนได้ และให้
หมายความรวมถึง รังสี ความร้อน แสง เสียง กลิ่น ความสั่นสะเทือน หรือเหตุรําคาญ
ย
อื่น ๆ ที่เกิดหรือถูกปล่อยออกจากแหล่งกําเนิดมลพิษด้วย
น่า
“ภาวะมลพิ ษ” หมายถึง สภาวะที่สิ่งแวดล้ อมเปลี่ ยนแปลงหรือปนเปื้อน
โดยมลพิษซึ่งทําให้คุณภาพของสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลง เช่น มลพิษทางน้ํา มลพิษ
ทางอากาศ มลพิษในดิน
ําห
“แหล่ ง กํ า เนิ ด มลพิ ษ ” หมายถึ ง ชุ ม ชน โรงงานอุ ต สาหกรรม อาคาร
สิ่งก่อสร้าง ยานพาหนะ สถานที่ประกอบกิจการใด ๆ หรือสิ่งอื่นใด ซึ่งเป็นแหล่งที่มา
ของมลพิษ
มจ
ย
มาตรา 104 เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกําเนิดมลพิษ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม
มาตรา 71 หรือผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 72 หรือข้อกําหนดของเจ้าพนักงานท้องถิ่น
น่า
ตามมาตรา 74 หรือมาตรา 75 วรรคหนึ่ง หรือกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 80 ต้อง
ระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ําห
มาตรา 105 ผู้ใดรับจ้างเป็นผู้ควบคุมหรือรับจ้างให้บริการบําบัดน้ําเสีย หรือ
กําจัดของเสียโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 73 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มจ
หนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535
2. กฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพ
สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535
หมวดกฎหมาย 67
3. ประกาศกระทรวงทรั พ ยากรธรรมชาติ แ ละสิ่ ง แวดล้ อ ม เรื่ อ ง กํ า หนด
ประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการ ซึ่งต้องจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ
สิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางของการจัดทํารายงาน
การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ย
น่า
ําห
มจ
ห้า
68 หมวดกฎหมาย
บทที่ 10
กฎหมายการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
วัตถุประสงค์
เนื่องจากเหตุการณ์วิกฤตทางด้านพลังงานที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหา
การนําเข้าน้ํามัน การก่อสร้างเขื่อน การก่อสร้างโรงไฟฟ้า ผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม
ทําให้รัฐบาลต้องออกกฎหมายเพื่อการอนุรักษ์พลังงานขึ้น โดยมีข้อกําหนดให้เจ้าของ
อาคารและโรงงานควบคุมดําเนินการตามแผนการอนุรักษ์พลังงาน และกําหนดเกณฑ์
การอนุรักษ์พลังงาน
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ผู้ที่ เกี่ยวข้ องกั บกฎหมายนี้ ได้แ ก่ เจ้าของอาคารควบคุม เจ้าของโรงงาน
ควบคุม วิศวกรผู้รับผิดชอบด้านพลังงานในอาคารควบคุมหรือโรงงานควบคุม
ย
สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
น่า
กฎหมายการส่ ง เสริ ม การอนุ รั ก ษ์ พ ลั ง งานประกอบด้ ว ย พระราชบั ญ ญั ติ
การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์
พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 พระราชกฤษฎีกากําหนดอาคารควบคุม พ.ศ. 2538
ําห
พระราชกฤษฎีกากําหนดโรงงานควบคุม พ.ศ. 2540 และกฎกระทรวงที่ออกตามความ
ในพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ซึ่งกล่าวถึง การอนุรักษ์
มจ
หมวดกฎหมาย 69
โรงงานควบคุม หมายถึง โรงงานหลังเดียวหรือหลายโรงงาน ภายใต้เลขที่
บ้านเดียวกันที่มีการใช้พลังงานโดยใช้เครื่องวัดไฟฟ้า หรือติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าชุดเดียว
หรือหลายชุดรวมกัน มีขนาดตั้งแต่ 1,000 กิโลวัตต์ หรือ 1,175 กิโลโวลต์แอมแปร์
ขึ้ น ไป หรื อ โรงงานที่ มี ก ารใช้ พ ลั ง งานไฟฟ้ า รวมกั น ในรอบปี ที่ ผ่ า นมาตั้ ง แต่
20 ล้านเมกะจูลขึ้นไป
การอนุ รักษ์พ ลั ง งานในโรงงาน ได้ แ ก่ การดํา เนินการอย่างใดอย่ างหนึ่ ง
ดังต่อไปนี้
การปรับปรุงประสิทธิภาพของการเผาไหม้เชื้อเพลิง
การป้องกันการสูญเสียพลังงาน
การนําพลังงานที่เหลือจากการใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่
การเปลี่ยนไปใช้พลังงานอีกประเภทหนึ่ง
การปรับปรุงการใช้ไฟฟ้าด้วยวิธีปรับปรุงตัวประกอบกําลังไฟฟ้า การลด
ความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุดในช่วงความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของ
ระบบการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าให้เหมาะสมกับภาระและวิธีการอื่น
ย
การใช้เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงตลอดจนระบบควบคุม
น่า
การทํางานและวัสดุที่ช่วยในการอนุรักษ์พลังงาน
การอนุรักษ์พลังงานโดยวิธีอื่น ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
ําห
การอนุ รั ก ษ์ พ ลั ง งานในอาคาร ได้ แ ก่ การดํ า เนิ น การอย่ า งใดอย่ า งหนึ่ ง
ดังต่อไปนี้
มจ
การลดความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่เข้ามาในอาคาร
การปรับอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการรักษาอุณหภูมิภายใน
อาคารให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ห้า
การใช้วัสดุก่อสร้างอาคารที่จะช่วยอนุรักษ์พลังงาน ตลอดจนการแสดง
คุณภาพของวัสดุก่อสร้างนั้น ๆ
การใช้แสงสว่างในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้และการติดตั้งเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุที่ก่อให้เกิดการอนุรักษ์
พลังงานในอาคาร
การใช้ระบบควบคุมการทํางานของเครื่องจักรและอุปกรณ์
การอนุรักษ์พลังงานโดยวิธีอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
70 หมวดกฎหมาย
ประเภทและขนาดของอาคารที่ต้องมีการออกแบบเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
ได้แก่ การก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคาร ที่มีพื้นที่รวมกันทุกชั้นในหลังเดียวกัน ตั้งแต่
2,000 ตารางเมตรขึ้นไป ในอาคารดังต่อไปนี้
สถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล
สถานศึกษา
สํานักงาน
อาคารชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
อาคารชุมนุมคนตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
อาคารโรงมหรสพตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
อาคารโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
อาคารสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ
อาคารห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้า
การจัดการพลังงาน เจ้าของอาคารต้องจัดให้มีการจัดการพลังงานในโรงงาน
ย
ควบคุมและอาคารควบคุม โดยต้องดําเนินการจัดการพลังงาน 8 ขั้นตอน ดังนี้
การแต่งตั้งคณะทํางานด้านการจัดการพลังงาน
น่า
การประเมินสถานภาพการจัดการพลังงานเบื้องต้น
การกําหนดนโยบายอนุรักษ์พลังงานและประชาสัมพันธ์
ําห
การประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงาน
การกําหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน
มจ
กําหนดค่าการถ่ายเทความร้อนรวมของอาคาร หรือส่วนของอาคารที่มีการ
ปรับอากาศ
ค่าการถ่ายเทความร้อนรวมของหลังคาอาคาร ทั้งอาคารใหม่และอาคาร
เก่าจะต้องมีค่าไม่เกิน 25 วัตต์ต่อตารางเมตรของหลังคา
หมวดกฎหมาย 71
ค่าการถ่ายเทความร้อนรวมของผนังด้านนอกของอาคาร หรือส่วนของ
อาคารที่มีการปรับอากาศจะต้องมีค่าดังต่อไปนี้
- สํ า หรั บ อาคารใหม่ ไม่ เ กิ น กว่ า 45 วั ต ต์ ต่ อ ตารางเมตรของผนั ง
ด้านนอก
- สําหรับอาคารเก่า ไม่เกินกว่า 55 วัตต์ต่อตารางเมตรของผนังด้านนอก
กําหนดค่าการใช้ไฟฟ้าส่องสว่างในอาคาร โดยไม่รวมพื้นที่ที่จอดรถ
ในกรณีที่มีการส่องสว่างด้วยไฟฟ้าภายในอาคาร จะต้องให้ได้ระดับความ
ส่องสว่างสําหรับงานแต่ละประเภทอย่างเพียงพอตามหลักและวิธีการที่ยอมรับได้ทาง
วิศวกรรม
อุปกรณ์ไฟฟ้าสําหรับใช้ส่องสว่างภายในอาคารโดยไม่รวมพื้นที่จอดรถ
จะต้องใช้กําลังไฟฟ้าไม่เกินค่าดังต่อไปนี้
- สํานักงาน โรงแรม สถานศึกษาและโรงพยาบาล สถานพักฟื้น ให้มีค่า
กําลังไฟฟ้าส่องสว่างสูงสุดไม่เกิน 16 วั ตต์ต่อตารางเมตรของพื้ นที่
ใช้งาน
ย
- ร้านขายของ ซุปเปอร์มาเก็ต หรือศูนย์การค้าให้มีค่ากําลังไฟฟ้าส่อง
น่า
สว่างสูงสุดไม่เกิน 23 วัตต์ต่อตารางเมตรของพื้นที่ใช้งาน
กําหนดมาตรฐานการปรับอากาศในอาคาร
ําห
ระบบปรับอากาศที่ติดตั้งในอาคารจะต้องมีค่าพลังไฟฟ้าต่อตันความเย็น ที่
ภาระเต็มพิกัด (full load) หรือที่ภาระใช้งานจริง (actual load) ไม่เกินกว่าค่าที่
กําหนดไว้ สําหรับ
มจ
1. เครื่องทําความเย็นชนิดระบายความร้อนด้วยน้ํา
2. เครื่องทําความเย็นชนิดระบายความร้อนด้วยอากาศ
ห้า
บทกําหนดโทษ
- เจ้ า ของโรงงานควบคุ ม เจ้ า ของอาคารควบคุ ม หรื อ ผู้ รั บ ผิ ด ชอบด้ า น
พลังงาน ผู้ใดไม่ดําเนินการจัดให้มีการจัดการในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ต้อง
ระวางโทษปรับไม่เกิน 2 แสนบาท
(มาตรา 55 พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550)
72 หมวดกฎหมาย
- ผู้รับใบอนุญาตตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน การใช้พลังงานใน
เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ และคุณภาพวัสดุหรืออุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ผู้ใด
รายงานผลการตรวจสอบและรั บรองอั นเป็นเท็จ หรือไม่ตรงตามความเป็นจริงต้อง
ระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
(มาตรา 56 พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550)
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
2. พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550
3. พระราชกฤษฎีกากําหนดอาคารควบคุม พ.ศ. 2538
4. พระราชกฤษฎีกากําหนดโรงงานควบคุม พ.ศ. 2540
5. กฎกระทรวง (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติการส่งเสริม
การอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
6. กฎกระทรวงกํ า หนดประเภทหรื อ ขนาดของอาคาร และมาตรฐาน
ย
หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2552
น่า
7. กฎกระทรวงกําหนดกระจกเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2552
8. กฎกระทรวงกําหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการพลังงานใน
โรงงานควบคุมและอาคารควบคุม พ.ศ. 2552
ําห
9. กฎกระทรวงกําหนดคุณสมบัติ หน้าที่ และจํานวนของผู้รับผิดชอบด้าน
พลังงาน พ.ศ. 2552
มจ
ห้า
หมวดกฎหมาย 73
ห้า
มจ
ําห
น่า
ย
บทที่ 11
กฎหมายคอมพิวเตอร์
วัตถุประสงค์
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 เป็น
พระราชบัญญัติที่ถือได้ว่าให้ประโยชน์กับผู้ใช้งานระบบสารสนเทศโดยรวมเป็นอย่าง
มาก แต่ก็ เป็นพระราชบัญญั ติที่ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ กับผู้ที่มี
อาชี พ ด้ า นระบบสารสนเทศเป็ น อย่ า งมากเช่ น กั น เนื่ อ งจากพระราชบั ญ ญั ติ นี้
มีรายละเอียดเกี่ยวกับฐานความผิดของการกระทําผิดในการใช้งานระบบสารสนเทศและ
บทลงโทษของผู้ที่กระทําผิด ทําให้ผู้ที่จะกระทําผิดต้องคํานึงถึงผลที่จะตามมา ทําให้
ผู้ใช้งานระบบสารสนเทศมีความอุ่นใจในการใช้งานมากขึ้น นอกจากนี้พระราชบัญญัติ
ดังกล่าวยังกําหนดให้ผู้ดูแลระบบสารสนเทศจะต้องดําเนินการปรับปรุงระบบ หรือ
เพิ่มเติมการทํางานบางอย่างในระบบเพื่อให้ถูกต้องตามข้อกําหนดของพระราชบัญญัติ
ด้วย
ย
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
น่า
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนี้ ได้แก่ ผู้ประกอบการที่ให้บริการระบบคอมพิวเตอร์
และผู้ใช้บริการระบบคอมพิวเตอร์
ําห
สาระสําคัญที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพวิศวกรรม
โครงสร้างกฎหมาย
โครงสร้ า งของพระราชบั ญ ญั ติ ฉ บั บ นี้ แ บ่ ง ออกเป็ น มาตราและหมวดต่ า งๆ
มจ
ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 ชื่อกฎหมาย
ห้า
มาตรา 2 วันบังคับใช้กฎหมาย
มาตรา 3 คํานิยาม
มาตรา 4 ผูร้ ักษาการ
หมวด 1 ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (มาตรา 5 - 17)
หมวด 2 พนักงานเจ้าหน้าที่ (มาตรา 18 - 30)
รายละเอี ย ดของพระราชบั ญ ญั ติ ที่ เ ป็ น ส่ ว นสํ า คั ญ จึ ง เริ่ ม ต้ น ที่ ม าตรา 3
ซึ่ ง เป็ น ส่ ว นของคํ า นิ ย ามต่ า งๆ โดยมาตรานี้ จ ะเป็ น รายละเอี ย ดที่ จ ะระบุ ถึ ง กรอบ
หมวดกฎหมาย 75
การบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งสามารถบ่งบอกได้ว่าผู้เกี่ยวข้องในกฎหมายนี้จะมีใครบ้าง โดย
รายละเอียดของมาตรา 3 ดังนี้
ย
ประการอื่น โดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการในนาม
น่า
ของตนเอง หรือในนามหรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
(2) ผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
ผู้ใช้บริการ หมายความว่า ผู้ใช้บริการของผู้ให้บริการไม่ว่าต้องเสียค่าใช้บริการหรือไม่
ําห
ก็ตาม
พนั ก งานเจ้ า หน้ า ที่ หมายความว่ า ผู้ ซึ่ ง รั ฐ มนตรี แ ต่ ง ตั้ ง ให้ ป ฏิ บั ติ ก ารตาม
พระราชบัญญัตินี้
มจ
บทกําหนดโทษ
ห้า
76 หมวดกฎหมาย
ฐานความผิด โทษจําคุก โทษปรับ
มาตรา 5 เข้าถึงคอมพิวเตอร์โดยมิ ไม่เกิน 6 เดือน ไม่เกิน 10,000 บาท
ชอบ
มาตรา 6 ล่วงรูม้ าตรการป้องกัน ไม่เกิน 1 ปี ไม่เกิน 20,000 บาท
มาตรา 7 เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ ไม่เกิน 2 ปี ไม่เกิน 40,000 บาท
โดยมิชอบ
มาตรา 8 การดักข้อมูลคอมพิวเตอร์ ไม่เกิน 3 ปี ไม่เกิน 60,000 บาท
มาตรา 9 ทําให้เสียหาย ทําลาย แก้ไข ไม่เกิน 5 ปี ไม่เกิน 100,000 บาท
เปลี่ยนแปลง
มาตรา 10 ทําให้ระบบไม่สามารถ ไม่เกิน 5 ปี ไม่เกิน 100,000 บาท
ทํางานได้ตามปกติ
มาตรา 11 ส่งข้อมูลโดยปกปิด ไม่มี ไม่เกิน 100,000 บาท
แหล่งที่มา รบกวนบุคคลอื่น
มาตรา 12 กระทําผิดมาตรา 9 หรือ
มาตรา 10
ย
(1) ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ไม่เกิน 10 ปี ไม่เกิน 200,000 บาท
ประชาชน
น่า
(2) กระทบต่อความมั่นคงปลอดภัย 3 ปี ถึง 15 ปี 60,000-300,000 บาท
ของประเทศ/เศรษฐกิจ
ําห
วรรคท้าย เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต 10 ปี ถึง 20 ปี ไม่มี
มาตรา 13 การจําหน่าย/เผยแพร่ ไม่เกิน 1 ปี ไม่เกิน 20,000 บาท
มจ
ชุดคําสั่ง
มาตรา 14 การเผยแพร่เนื้อหาอันไม่ ไม่เกิน 5 ปี ไม่เกิน 100,000 บาท
เหมาะสม
ห้า
หมวดกฎหมาย 77
หมวด 2 พนักงานเจ้าหน้าที่ (มาตรา 18 - 30)
จากการกําหนดฐานความผิดและบทลงโทษต่างๆ ทําให้เมื่อมีเหตุที่คาดว่าจะ
ตรงตามฐานความผิดที่กําหนดตามพระราชบัญญัติเกิดขึ้น จะต้องมีกระบวนการสืบสวน
จนได้ ผ ลลั พ ธ์ แ ละการบั ง คั บ ใช้ ต ามบทลงโทษต่ า งๆ ซึ่ ง คนที่ จ ะดํ า เนิ น การตาม
พระราชบัญญัติดังกล่าวคือ พนักงานเจ้าหน้าที่โดยพนักงานเจ้าหน้าที่จะถูกกําหนด
รายละเอียดเกี่ยวกับ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ความผิด และบทลงโทษของพนักงาน
เจ้าหน้าที่ในหมวดที่ 2 ได้แก่มาตรา 18 ถึงมาตรา 30 โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับอํานาจ
หน้าที่ตามตารางสรุปดังนี้
ตัวอย่างการกระทําความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
อํานาจหน้าที่ โทษจําคุก โทษปรับ
มาตรา 18 อํานาจในการขอทําสําเนาตรวจสอบ หรือ
ย
เข้าถึง
มาตรา 19 การขอคําสั่งศาลทําสําเนา ยึด หรืออายัด
น่า
มาตรา 20 การขอคําสั่งศาลระงับการแพร่ข้อมูล
มาตรา 21 การขอคําสั่งศาลเพื่อระงับการเผยแพร่หรือ
จําหน่ายชุดคําสั่งไม่พึงประสงค์
ําห
มาตรา 22 ห้ามมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลที่ ไม่เกิน 3 ปี ไม่เกิน 60,000 บาท
ได้มาตาม มาตรา 18
มาตรา 23 ห้ามมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประมาทเป็นเหตุ ไม่เกิน 1 ปี ไม่เกิน 20,000 บาท
มจ
ให้ผู้อื่นล่วงรู้ข้อมูล
มาตรา 24 ความรับผิดของผู้ล่วงรู้ข้อมูลของผู้ใช้บริการที่ ไม่เกิน 2 ปี ไม่เกิน 40,000 บาท
พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตามมาตรา 18
ห้า
มาตรา 25 ห้ามมิให้รับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดย
มิชอบ
มาตรา 27 ผู้ไม่ปฏิบัติตามคําสั่งศาลมาตรา 21 หรือ ไม่เกิน 200,000 บาท
พนักงานเจ้าหน้าที่มาตรา 18, 20
มาตรา 28 การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา 29 การรับคําร้องทุกข์กล่าวโทษ จับ ควบคุม ค้น
และการกําหนดระเบียบแนวทางและวิธีปฏิบัติ
มาตรา 30 พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตร
78 หมวดกฎหมาย
ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง โพสข้อความในอินเตอร์เน็ตสร้างข่าวว่า บริษัท
แห่งหนึ่งกําลังมีปัญหาด้านการเงินและบริหารงานผิดพลาดซึ่งส่งผลให้บริษัทดังกล่าว
ขาดทุนมหาศาลจนอาจล้มละลายในอนาคต ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายกับบริษัททั้ง
ทางภาพลั ก ษณ์ แ ละการบริ ห ารงาน การกระทํ า ดั ง กล่ า วเป็ น การกระทํ า ผิ ด ตาม
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หากบริษัทผู้เสียหาย
แจ้ ง ความดํ า เนิ น คดี กั บ ผู้ ใ ช้ ง านอิ น เตอร์ เ น็ ต คนดั ง กล่ า ว ผู้ ใ ช้ ง านอิ น เตอร์ เ น็ ต จะมี
ความผิดในมาตรา 14 (1) ระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจําทั้งปรับ
นักศึกษาคนหนึ่ง ทําการตัดต่อภาพของดาราคนหนึ่งให้มีลักษณะยืนเปลือย
กาย แล้วส่ง E-mail ให้เพื่อนนักศึกษากลุ่มหนึ่ง ซึ่งเพื่อนนักศึกษากลุ่มนั้นบางส่วนทํา
การ Forward E-mail ฉบับดังกล่าวไปยังเพื่อนของตน ซึ่งยังมีการ Forward ต่อเนื่อง
ไปเรื่ อ ยๆ รวมถึ ง มี บ างคนนํ า ภาพดั ง กล่ า วไปโพสในเว็ บ บอร์ ด สาธารณะ สํ า หรั บ
นักศึกษาที่ตัดต่อและนําเข้าภาพตัดต่อดังกล่าวมีความผิดในมาตรา 16 ระวางโทษจําคุก
ไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ นอกจากนี้ นักศึกษาคน
ดั ง กล่ า วและคนอื่ น ๆ ที่ ทํ า การ Forward ต่ อ คนทํ า ให้ ภ าพดั ง กล่ า วอยู่ ใ นเว็ บ บอร์ ด
ย
สาธารณะ เป็นการกระทําผิดในมาตรา 14 (4) ระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่
น่า
เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ที่ระบบ E-Services ของธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดบริการให้ลูกค้าที่เปิดบัญชี
กั บ ธนาคารเข้ า ใช้ ง านเพื่ อ ตรวจสอบบั ญ ชี เ งิ น ฝาก และสามารถโอนเงิ น ผ่ า นระบบ
ําห
อินเตอร์เน็ตได้ โดยลูกค้าจะป้อนข้อมูล Username และ Password เพื่อเข้าใช้งาน
วันหนึ่งมีลูกค้าของธนาคารแจ้งว่าอยากให้ธนาคารช่วยตรวจสอบเนื่องจากมีการโอนเงิน
มจ
คนดังกล่าวมีการโอนเงินจํานวนหนึ่งออกจากบัญชีไปยังบัญชีอื่นในต่างธนาคาร เจ้าของ
บั ญ ชี แ ละผู้ ดู แ ลระบบสารสนเทศของธนาคารจึ ง แจ้ ง ความต่ อ พนั ก งานเจ้ า หน้ า ที่
เพื่อติดตามจับกุมผู้บุกรุกต่อไป ซึ่งผู้บุกรุกจะมีความผิดตามมาตรา 7 ระวางโทษจําคุก
ไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ นอกจากนี้จากพฤติกรรมการ
ลักลอบโอนเงินของบุคคลอื่นไปยังบัญชีของตนเองในลักษณะนี้ยังเข้าข่ายการกระทําผิด
ในข้อหาลักทรัพย์ด้วย
หมวดกฎหมาย 79
นักศึกษาคนหนึ่งเข้าใช้บริการใน Internet Café แห่งหนึ่ง และนักศึกษาคน
ดังกล่าวได้ติดตั้งโปรแกรมเพื่อดักจับข้อมูลที่วิ่งผ่านไปมาในเครือข่ายภายใน Internet
Café เพื่อค้นหาข้อมูล Username และ Password ของผู้ใช้งานใน Internet Café
แห่งนั้น รวมถึงข้อมูลการพูดคุย ไฟล์ที่รับส่ง และข้อมูลความลับอื่นๆ ของผู้ใช้งาน หาก
มีผู้เสียหายแจ้งความและนักศึกษาคนนี้ถูกจับกุม จะมีความผิดตามมาตรา 8 ระวางโทษ
จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
เจ้าของกิจการค้าขายเสื้อผ้ารายหนึ่ง ใช้ช่องทาง E-mail ในการโฆษณาสินค้า
ของตนเอง โดยมี ก ารรวบรวม E-mail Address ของบุ ค คลอื่ น ๆ ในอิ น เตอร์ เ น็ ต
ซึ่ งเจ้าของกิ จการรายนี้ ได้ ใ ช้ ซอฟต์ แวร์ ในการส่ ง E-mail ไปยั งรายการของ E-mail
Address ที่ได้รวบรวมไว้โดยอัตโนมัติ ซึ่งซอฟต์แวร์ดังกล่าวยังสามารถปกปิดที่มาของ
E-mail ที่ส่งได้ ทําให้ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตหลายคนได้รับ E-mail โฆษณาดังกล่าวมาก
จนส่งผลกระทบต่อการทํางาน เจ้าของกิจการคนดังกล่าวจะมีความผิดตามมาตรา 11
ระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
แฮกเกอร์คนหนึ่ง ทําการเจาะระบบเว็บเซิร์ฟเวอร์ของหน่วยงานราชการแห่ง
หนึ่ง แล้วเปลี่ยนเว็บเพจหน้าแรกของหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง (Deface) โดยแจ้ง
ย
ข่าวสารปลอมให้กับประชาชนว่าหน่วยงานราชการแห่งนั้นจะระงับการให้บริการเป็น
น่า
เวลา 1 เดือน ซึ่งส่งผลให้ประชนชนที่ทราบข่าวดังกล่าวมีความเดือดร้อน นอกจากนี้
แฮกเกอร์คนดังกล่าวยังนําวิธีการเจาะระบบ โพสในเครือข่าย Social Network ของ
ตนเอง เพื่อให้แฮกเกอร์ คนอื่นๆ ได้ทราบ ภายหลังแฮกเกอร์ถูกพนั กงานเจ้ าหน้าที่
ําห
ติดตามและจับกุมได้ แฮกเกอร์คนดังกล่าวจะมีความผิดตามมาตราต่างๆ ดังนี้
- มาตรา 5 ระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
มจ
หรือทั้งจําทั้งปรับ
- มาตรา 6 ระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
หรือ ทั้งจําทั้งปรับ
ห้า
80 หมวดกฎหมาย
บทสรุป
จากรายละเอียดของพระราชบัญญัติ เราพบว่ามีการกําหนดกรอบการทํางาน
สําหรับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ ของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะ
เป็นการระบุว่าใช้งานลักษณะใดถือว่าเป็นความผิด และเมื่อการกระทําผิดเกิดขึ้น ใครมี
อํานาจในการสืบสวนสอบสวน และมีอํานาจในการดําเนินการมากน้อยเพียงใด และ
ส่วนของผู้ดูแลระบบสารสนเทศต่างๆ ต้องจัดเตรียมข้อมูลใดเพื่อใช้ในการสืบสวนบ้าง
เมื่อมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว ทําให้อาชญากรรมคอมพิวเตอร์มีแนวโน้ม
ลดลง ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลทางตรงคือผู้ดูแลระบบถูกบังคับโดยกฎหมายให้มีการเก็บ
ข้อมูลทําให้การดูแลความปลอดภัยระบบสารสนเทศทําได้ดีมากขึ้น การโจมตีระบบและ
การทํางานที่ผิดปกติจะลดลง และเหตุผลทางอ้อมคือการกําหนดโทษของการกระทําผิด
ทําให้คนไม่กล้าที่จะก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. พระราชบัญ ญัติว่าด้วยการกระทํ าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.
2550
ย
2. พระราชบั ญ ญั ติ ว่ า ด้ ว ยการกระทํ า ความผิ ด เกี่ ย วกั บ คอมพิ ว เตอร์
น่า
(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560
3. กฎกระทรวงกํ า หนดแบบหนั ง สื อ แสดงการยึ ด และอายั ด ระบบ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2551
ําห
4. ประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง หลักเกณฑ์
การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ. 2550
5. ระเบียบว่าด้วยการจับ ควบคุม ค้น การทําสํานวนสอบสวนและดําเนินคดี
มจ
หมวดกฎหมาย 81
ห้า
มจ
ําห
น่า
ย
หมวด
จรรยาบรรณ
ย
น่า
แห่งวิชาชีพวิศวกรรม
ําห
มจ
ห้า
ห้า
มจ
ําห
น่า
ย
บทที่ 12
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม
ลักษณะพิเศษของวิชาชีพวิศวกรรม
1. วิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมเป็ น วิ ช าชี พ ที่ ส่ ง ผลโดยตรงต่ อ คุ ณ ภาพชี วิ ต ของ
สาธารณชน ยกตั วอย่าง ถ้ างานสาธารณูปโภคสําหรับประชาชน เช่น ถนนหนทาง
ระบบประปา ระบบไฟฟ้า ระบบบําบัดน้ําเสีย ได้รับการออกแบบและก่อสร้างมาอย่าง
ถู ก ต้ อ ง มี คุ ณ ภาพ ประชาชนก็ จ ะสามารถดํ า รงชี พ อย่ า งเป็ น สุ ข ปลอดภั ย และ
สะดวกสบาย แต่ถ้าหากการออกแบบหรือก่อสร้างไม่ถูกต้อง ไม่มีคุณภาพ ถนนหนทางที่
เราใช้อาจไม่ราบเรียบหรือทนทานต่อการใช้งานตามปกติ ไม่สามารถระบายยวดยานได้
ตามต้ องการ น้ํ าประปาที่ ประชาชนใช้ อาจไม่สะอาดเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค
ระบบไฟฟ้าอาจไม่มีเสถียรภาพ แรงดันไม่สม่ําเสมอทําให้อุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหาย หรือ
ไฟฟ้าดับบ่อย เกิดความสูญเสียต่ออุตสาหกรรมต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้ และหากระบบ
บําบัดน้ําเสียไม่สามารถทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจก่อให้เกิดโรคระบาดร้ายแรง
กระจายออกไปได้ ทํานองเดียวกันหากวิศวกรทํางานผิดพลาดผลเสียหายที่ตามมาอาจ
ย
รุ น แรง และมั ก จะรุ น แรงยิ่ ง กว่ า ความผิ ด พลาดที่ เ กิ ด จากการประกอบวิ ช าชี พ อื่ น
น่า
ตัวอย่างเช่น สิ่งร้ายแรงที่สุดที่อาจเกิดกับผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (แพทย์) ได้แก่
การวินิจฉัยโรคผิดพลาดหรือการรักษาผิดพลาด ซึ่งอาจมีผลให้ผู้ป่วยต้องเสียชีวิตโดยไม่
ควรจะเป็น แต่หากวิศวกรทํางานผิดพลาด จํานวนคนบริสุทธิ์ที่อาจได้รับผลกระทบอาจ
ําห
ไม่ใช่เพียง 1 คน ยกตัวอย่าง ห้างสรรพสินค้าซัมปุงที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี ซึ่งถล่ม
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2538 เป็นเหตุให้ลูกค้าที่เข้าไปซื้อสินค้าต้องเสียชีวิต 501 คน
และบาดเจ็บสาหัสอีก 937 คน เป็นต้น
มจ
2. วิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมเป็ น วิ ช าชี พ ที่ ผู้ ป ฏิ บั ติ ต้ อ งเป็ น ผู้ ที่ เ รี ย นรู้ เ กี่ ย วกั บ
วิชาชีพนี้โดยตรงอีกทั้งความรู้ต่างๆ ของวิชาชีพนี้ยุ่งยากซับซ้อน ผู้ที่สามารถเรียนรู้ต้อง
ห้า
หมวดจรรยาบรรณ 85
ความสําคัญของจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
จรรยาบรรณแห่ ง วิ ช าชี พ วิ ศ วกรรม หมายถึ ง กรอบหรื อ แนวทางในการ
ประพฤติ ป ฏิ บั ติ วิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมที่ ม วลผู้ ร่ ว มประกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมโดย
สภาวิศวกรกําหนดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อธํารงไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ ให้เป็นที่
ยอมรับและเชื่อถือของสังคม
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมยังหมายความถึงหลักในการประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรม ที่มวลผู้ร่วมประกอบวิชาชีพวิศวกรรมเชื่อมั่นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม
เป็นหลักปฏิบัติวิชาชีพวิศวกรรมที่จะต้องธํารงไว้ให้อยู่เคียงคู่กับวิชาชีพตลอดไป เพื่อ
รั ก ษาไว้ ซึ่ งศ รั ทธา ความเชื่ อมั่ น แ ล ะ ค ว า ม ไ ว้ ว างใจซึ่ งส า ธ าร ณ ชน มี ต่ อ
ผู้ประกอบวิชาชีพนี้
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมยังถือได้ว่าเป็นกติกาในการประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรม ที่สังคมของวิศวกรผู้ร่วมวิชาชีพต้องยึดถือปฏิบัติเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็น
สุ ข ส่ ง เสริ ม และสนั บ สนุ น ให้ วิ ช าชี พ มี ก ารพั ฒ นาต่ อ เนื่ อ งให้ ทั น กั บ การพั ฒ นาทาง
วิชาการ รวมทั้งสามารถถ่ายทอดและเสริมสร้างประสบการณ์ในการประกอบวิชาชีพแก่
กันและกัน ตลอดจนการรั กษาระดับมาตรฐานและคุ ณภาพในการประกอบวิชาชีพ
ย
วิศวกรรม น่า
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมของสภาวิศวกร
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม เป็นแนวทางให้ผู้ประกอบวิชาชีพยึดถือและ
ําห
ปฏิบัติอย่างถูกต้อง โดยยึดคุณธรรมเป็นหลักสําคัญ ซึ่งหากวิศวกรได้ปฏิบัติตามแล้ว จะ
ทําให้วิชาชีพนี้เป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นจากสังคมและเป็นการผดุงรักษาไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์
และศักดิ์ศรีของวิชาชีพวิศวกรรม
มจ
86 หมวดจรรยาบรรณ
หมวด 1 จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม
แบ่งออกเป็น 4 ส่วนได้แก่
ส่วนที่ 1 จรรยาบรรณต่อสาธารณะ
เป็นจรรยาบรรณที่ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมจะต้องยึดถือเพื่อรักษา
ไว้ซึ่งประโยชน์ต่อสาธารณะหรือไม่ทําให้เกิดความเสียหายต่อสาธารณะอันเนื่องมาจาก
การประกอบวิชาชีพ ดังนี้
ข้ อ 5 ผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมควบคุ ม ต้ อ งประกอบวิ ช าชี พ โดยให้
ความสําคัญต่อความปลอดภัยสุขอนามัยและสวัสดิภาพของสาธารณชนตลอดจน
ทรัพย์สินและสิ่งแวดล้อมอันเป็นสาธารณะด้วย
บทบัญญัติในข้อนี้เป็นกฎเกณฑ์ที่กําหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
ต้ อ งประกอบวิ ช าชี พ โดยคํ า นึ ง ถึ ง ความปลอดภั ย สุ ข อนามั ย และสวั ส ดิ ภ าพของ
สาธารณชน ตลอดจนทรั พ ย์ สิ น และสิ่ ง แวดล้ อ มอั น เป็ น สาธารณะด้ วย ทั้ ง นี้ เ พื่ อ ให้
สาธารณชนได้เกิดความมั่นใจในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ที่ไม่ได้คํานึงถึง
แต่เฉพาะผลสําเร็จของงานเท่านั้น แต่ยังได้ให้ความใส่ใจระมัดระวังในความปลอดภัย
ย
และสุขอนามัยของสาธารณชน ซึ่งหมายถึงประชาชนทั่วไป ก็จะต้องได้รับความคุ้มครอง
น่า
จากการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมเช่นกัน
ข้ อ 6 ผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมควบคุ ม ต้ อ งละเว้ น จากการให้ ก าร
ําห
สนับ สนุ น ส่ ง เสริ มหรื อ เป็น ตั ว การเกี่ยวกั บ การทุจริต ในโครงการของภาครั ฐหรื อ
เอกชน
บทบัญญัติในข้อนี้เป็นกฎเกณฑ์ที่กําหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
มจ
ต้องละเว้นจากความเกี่ยวข้องกับการทุจริตในโครงการของภาครัฐหรือเอกชน ไม่ว่าจะ
อยู่ในฐานะผู้สนับสนุน หรือ เป็นตัวการในการส่งเสริมให้เกิดการทุจริต บทบัญญัตินี้จึงมี
วัตถุประสงค์ที่จะส่งให้การดําเนินการในโครงของภาครัฐหรือเอกชน เป็นไปด้วยความ
ห้า
หมวดจรรยาบรรณ 87
วิชาชีพให้คงอยู่ตลอดไป ดังนี้
ข้อ 7 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบและระมัดระวัง
บทบัญญัติในข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
ต้องประกอบวิชาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบและใช้ความระมัดระวัง
เพื่อเป็ นการส่ งเสริม มิใ ห้เกิ ดความเสียหายแก่ผู้อื่นหากเป็นกรณีที่มิใช่เรื่ องเกี่ยวกับ
การประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม แต่ผู้ประกอบวิชาชีพได้กระทําการใดๆ อย่างไม่
ซื่ อ สั ต ย์ สุ จ ริ ต ต่ อ ผู้ อื่ น และไต่ ส วนแล้ ว เห็ น ว่ า มี ค วามผิ ด จริ ง อาจลงโทษโดยไม่ ใ ช้
บทบัญญัตินี้ แต่ไปใช้หมวด 2 ตามข้อบังคับฯ คือกระทําการใดๆ อันอาจนํามาซึ่งความ
เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพแทนได้
ข้อ 8 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องปฏิบัติงานตามหลักปฏิบัติ
และวิชาการ
บทบัญญัติในข้อนี้มีวัตถุประสงค์ในการควบคุม ให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ควบคุ ม ที่ ได้ รับใบอนุ ญาตจากสภาวิศวกร ต้ องรับผิดชอบในผลการปฏิบัติหน้ าที่ใ ห้
ย
ถูกต้องตามหลักปฏิบัติและวิชาการ โดยจะต้องศึกษาถึงหลักเกณฑ์ของงานวิศวกรรม
น่า
และหลักเกณฑ์ของกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพ เช่น กฎหมาย
ควบคุมอาคาร กฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมความปลอดภัยในการทํางานสาขาต่างๆ
เป็นต้น
ําห
วิศวกรผู้กระทําผิดจรรยาบรรณส่วนใหญ่ มักจะประพฤติผิดจรรยาบรรณข้อนี้
และโดยทั่วไปมักจะเกิดจากการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมโดยที่ตนไม่มีความรู้หรือ
มจ
ย
เนื่องจากการแย่งงานกันทํา และส่งผลให้เกิดการแตกความสามัคคีในกลุ่มผู้ประกอบ
วิชาชีพเดียวกัน
น่า
ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมในประเทศไทย นับว่าโชคดีที่จรรยาบรรณของสภา
วิศวกรอนุญาตให้โฆษณาการประกอบวิชาชีพได้ เพียงห้ามโฆษณาเกินความเป็นจริง
ําห
โดยแท้จริงแล้ววัตถุประสงค์ของจรรยาบรรณข้อนี้ต้องการส่งเสริมให้ผู้ประกอบวิชาชีพ
นี้แ ข่งขันกั นเองด้วยผลงาน ไม่ใ ช่โดยการโอ้อวดด้วยการโฆษณา จรรยาบรรณของ
มจ
วิศวกรในหลายประเทศก็ไม่อนุญาตให้วิศวกรของตนโฆษณา แม้ในประเทศไทยเองผู้
ประกอบวิชาชีพอื่น เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ สถาปนิก เภสัชกร ก็ไม่สามารถโฆษณาการ
ประกอบวิชาชีพของตนได้
ห้า
ข้อ 12 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่เรียกรับยอมจะรับหรือให้
ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อย่างใดสําหรับตนเองหรือผูอ้ ื่นโดยมิชอบในการประกอบ
วิชาชีพวิศวกรรม
บทบั ญ ญั ติ ข้ อ นี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เ พื่ อ ให้ ผู้ ไ ด้ รั บ ใบอนุ ญ าตประกอบวิ ช าชี พ
วิศวกรรมควบคุมเมื่อได้รับงานจากผู้ว่าจ้างแล้ว ต้องรักษาผลประโยชน์ของผู้ว่าจ้าง
เสมือนกับที่วิญญูชนทั่วไปพึงรักษาผลประโยชน์ของตนเอง จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพใน
ข้อนี้ มีเจตนารมณ์เพื่อควบคุมให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมประกอบวิชาชีพ
หมวดจรรยาบรรณ 89
ของตนเองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่รับผลประโยชน์อื่นที่มิควรได้ นอกจากค่าจ้างที่
ได้รับทํางานให้กับผู้ว่าจ้าง เพราะหากปล่อยให้ผู้ประกอบวิ ชาชี พวิศวกรรมควบคุม
เอารั ด เอาเปรี ย บผู้ ว่ า จ้ า งแล้ ว ความเสื่ อ มศรั ท ธาต่ อ บุ ค คลและสถาบั น แห่ ง วิ ช าชี พ
จะเกิดขึ้น บทบัญญัติในข้อนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของบุคคลทั่วไป
ด้วย
ข้อ 13 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่ใช้อํานาจหน้าที่โดยไม่
ชอบธรรมหรือใช้อิทธิพลหรือให้ผลประโยชน์แก่บุคคลใดเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับ
หรือไม่ได้รับงาน
บทบัญญัติข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรมที่มีอํานาจหน้าที่ในตําแหน่งที่สามารถให้คุณให้โทษแก่ผู้อื่น ในด้านต่างๆ มิให้
ใช้อํานาจหน้าที่อันเป็นการบีบบังคับ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับงาน หรือบังคับผู้อื่น
ไม่ ใ ห้ ง านนั้ น แก่ ฝ่ า ยตรงกั น ข้ า ม ทั้ ง นี้ ง านนั้ น ไม่ จํ า เป็ น จะต้ อ งเป็ น งานเกี่ ย วกั บ
การประกอบวิชาชี พ วิ ศวกรรมควบคุม และบุค คลทั่วไปหากต้ องเสียประโยชน์ จ าก
การกระทํ า ของผู้ ไ ด้ รั บ ใบอนุ ญ าตประกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมดั ง กล่ า ว ก็ ถื อ ว่ า เป็ น
ย
ผู้เสียหาย สามารถร้องเรียนกล่าวหาผู้ได้รับอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
นั้น เพื่อให้คณะกรรมการจรรยาบรรณพิจารณาความผิดทางจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพได้
น่า
ส่วนที่ 3 จรรยาบรรณต่อผู้ว่าจ้าง
เป็ น จรรยาบรรณที่ ผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมควบคุ ม จะต้ อ งยึ ด ถื อ ต่ อ
ําห
ผู้ว่าจ้างของตน กล่าวคือต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติวิชาชีพอย่างซื่อสัตย์ต่อนายจ้าง ซึ่งจะทําให้
ผู้ประกอบวิชาชีพได้รับความไว้วางใจจากผู้ว่าจ้าง
มจ
ข้อ 14 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่ละทิ้งงานโดยไม่มีเหตุ
อันควร
บทบัญญัติในข้อนี้มีวัตถุประสงค์เป็นการควบคุมให้ผู้ประกอบวิชาชีพ เมื่อรับ
ห้า
ปฏิบัติงานแล้ว ต้องมีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับทําเพราะหากปล่อยให้มีการละทิ้ง
งานอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้
90 หมวดจรรยาบรรณ
ข้อ 15 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่เปิดเผยความลับของงาน
ที่ตนทํา เว้นแต่ได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ว่าจ้างหรือเป็นการ
เปิดเผยข้อมูลตามกฎหมาย
บทบั ญ ญั ติ ข้ อ นี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เ พื่ อ คุ้ ม ครองวงการของผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ
วิ ศ วกรรมให้ เ ป็ น ที่ ไ ว้ ว างใจของบุ ค คลทั่ ว ไป เนื่ อ งจากหากบุ ค คลทั่ ว ไปไม่ เ ชื่ อ ถื อ
ผู้ประกอบวิชาชีพแล้ว ก็จะเกิดความเสื่อมศรัทธาต่อผู้ประกอบวิชาชีพและสถาบันแห่ง
วิชาชีพได้ ผู้ประกอบวิชาชีพอยู่ในฐานะที่รู้ความลับของผู้ว่าจ้าง ซึ่งถือว่าเป็นเอกสิทธิ์
และมี ห น้ า ที่ ที่ จ ะไม่ เ ปิ ด เผยความลั บ นั้ น ถ้ า เปิ ด เผยความลั บ โดยประการที่ น่ า จะ
ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ว่าจ้างถือว่าเป็นการผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ ยกเว้นว่า
เป็นการเปิดเผยข้อมูลตามกฎหมาย จะไม่ถือว่าเป็นการผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
ข้อ 16 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่รับดําเนินงานชิ้นเดียวกัน
ให้แก่ผู้ว่าจ้างรายอื่นเพื่อการแข่งขันด้านเทคนิคหรือราคาเว้นแต่ได้แจ้งให้แก่ผู้ว่า
จ้างรายแรกทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรหรือได้รับความยินยอมเป็นลาย
ลักษณ์อักษรจากผู้ว่าจ้างรายแรกและได้แจ้งให้ผู้ว่าจ้างรายอื่นนั้นทราบล่วงหน้าแล้ว
ย
บทบัญญัติข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมความประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรมควบคุมให้มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อผู้ว่าจ้าง ในกรณีที่มีการแข่งขัน เป็นการ
น่า
รักษาข้อมูล และความลับของผู้ว่าจ้าง
ส่วนที่ 4 จรรยาบรรณต่อผู้ร่วมวิชาชีพ
ําห
เป็นจรรยาบรรณที่ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมจะต้องยึดถือต่อผู้ร่วม
วิชาชีพของตน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดสามัคคีและความไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างผู้ร่วม
มจ
วิชาชีพ
ข้อ 17 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่แย่งงานจากผู้ประกอบ
วิชาชีพวิศวกรรมควบคุมอื่นเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ
ห้า
บทบัญญัติข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้เกิดความแตกแยก ไม่มีความ
สามัคคี โดยมุ่งให้เกิดความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมด้วยกัน
ทั้งนี้ไม่นับรวมถึงการแข่งขันกันอย่างสุจริตเพื่อให้ได้งาน เช่น การประมูลงานแข่งขันกัน
โดยชอบ
หมวดจรรยาบรรณ 91
ข้อ 18 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่รับทํางาน หรือตรวจสอบ
งานชิ้ น เดี ย วกั น กั บ ผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมควบคุ ม อื่ น ทํ า อยู่ เว้ น แต่ เ ป็ น
การปฏิบัติตามหน้าที่ หรือเป็นความประสงค์ของเจ้าของงานและได้แจ้งเป็นลาย
ลักษณ์อักษรให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมอื่นนั้นทราบล่วงหน้าแล้ว
บทบัญญัติข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดความแตกแยกความ
สามัคคีในกลุ่มของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมด้วยกัน เว้นแต่เป็นการปฏิบัติ
หน้าที่ที่มีหน้าที่ต้องตรวจสอบงาน หรือ เป็นความประสงค์ของเจ้าของงานที่ต้องการให้
มีผู้ตรวจสอบการทํางาน และได้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ควบคุมอื่นนั้นทราบล่วงหน้าแล้ว จึงถือว่าการทํางานดังกล่าวเป็นการทํางานโดยเปิดเผย
จึงไม่ถือว่าผิดจรรยาบรรณ
ข้อ 19 ผู้ ประกอบวิช าชีพ วิศ วกรรมควบคุมต้ องไม่ ใ ช้ห รื อกระทํ า การใน
ลักษณะคัดลอกแบบรูปแผนผังหรือเอกสารที่เกี่ยวกับงานของผู้ประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรมควบคุมอื่นเว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ประกอบ
วิชาชีพวิศวกรรมควบคุมนั้น
ย
บทบัญญัติข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมความประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรมควบคุมให้มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพเดียวกัน มิให้เอารัดเอา
น่า
เปรียบซึ่งกันและเนื่องจากผลงานของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมผู้หนึ่ง ย่อม
เป็นเอกสิทธิ์ของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมผู้นั้น
ําห
ข้อ 20 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่อ้างผลงานของผูป้ ระกอบ
วิชาชีพวิศวกรรมควบคุมอื่นมาเป็นของตนในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
มจ
บทบัญญัติในข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ควบคุมแอบอ้างเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่น่าละอายและ
เข้าข่ายผิดจรรยาบรรณ ทําให้เกิดความเสื่อมเสียต่อวิชาชีพ
ห้า
92 หมวดจรรยาบรรณ
ส่วนที่ 5 เรื่องอื่นๆ
ข้อ 22 ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่กระทําความผิดในการ
ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 227 หรือมาตรา 269
จนศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิด
บทบัญญัติข้อนี้กําหนดว่า หากผู้ประกอบวิชาชีพกระทําความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญามาตรา 227 หรือ มาตรา 269 จนศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิด
ให้ถือว่ามีความผิดจรรยาบรรณตามข้อ 22 ของข้อบังคับฯ ด้วย ซึ่งถือเป็นบทบัญญัติที่
กํ า หนดให้ ก ารกระทํ า ความผิ ด ตามประมวลกฎหมายอาญาเข้ า ข่ า ยเป็ น ความผิ ด
จรรยาบรรณด้วย และเพื่อให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหลีกเลี่ยงไม่กระทําผิด
ตามประมวลกฎหมายอาญาในมาตราดังกล่าว
หมวด 2
การประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนํามาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
ย
ข้อ 23 กรณีทจี่ ะถือเป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนํามาซึ่งความ
เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพมีดังต่อไปนี้
น่า
(1) ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมตามข้อบังคับนี้
และเป็นการกระทํา โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจนเป็นเหตุให้บุคคลอื่น
ําห
ต้องได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สิน
(2) เคยถูกลงโทษโดยคําสั่งถึงที่สุดเนื่องจากประพฤติผิดจรรยาบรรณตาม
มาตรา๖๑ แห่งพระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542 แต่ยังประพฤติผิดซ้ําหรือไม่หลาบจํา
มจ
หรือไม่มีความเกรงกลัวต่อการประพฤติผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม
(3) กระทําความผิดในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมตามประมวลกฎหมาย
อาญามาตรา227 หรือมาตรา 269 โดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก
ห้า
หมวดจรรยาบรรณ 93
จรรยาบรรณข้อนี้เป็นอันตรายอย่างมากต่อการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม
ของวิศวกรผู้กระทําผิด เนื่องจากวิศวกรผู้ใดที่กระทําผิดจรรยาบรรณข้อนี้ จะมีผลให้
ต้ อ งขาดคุ ณ สมบั ติ ก ารเป็ น สมาชิ ก ของสภาวิ ศ วกร ตามมาตรา 12(4) แห่ ง
พระราชบัญญัติวิศวกรพ.ศ. 2542 และจะมีผลต่อเนื่องให้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ของผู้นั้นสิ้นสุดลงโดยปริยายตามมาตรา 49 วรรคสอง วิศวกรจึงต้องระมัดระวังไม่
ประพฤติผิดจรรยาบรรณข้อนี้
ส่วนการกระทําในลักษณะใดซึ่งอาจถือได้ว่านํามาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติ
ศักดิ์แห่งวิชาชีพนั้นไม่ได้มีการระบุไว้อย่างชัดเจนในที่ใด จึงเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับการ
วิ นิ จ ฉั ย ของคณะกรรมการจรรยาบรรณเป็ น กรณี ๆ ไป แต่ โ ดยทั่ ว ไปสามารถวาง
หลักเกณฑ์อย่างคร่าวๆ ได้ดังนี้
- เป็นการประกอบวิชาชีพที่ทําให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชีวิต
และทรัพย์สินของสาธารณชน
- เป็นการกระทําผิดที่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของวิชาชีพ และความ
ไว้วางใจของสังคมต่อวิชาชีพ
- เป็นการประกอบวิชาชีพในลักษณะที่ผิดศีลธรรมหรือประพฤติชั่วอย่าง
ย
ร้ายแรง น่า
- เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณในฐานความผิดอย่างเดียวกันซ้ําซาก
ไม่หลาบจํา
- เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณในลักษณะเป็นเหตุฉกรรจ์
ําห
- กระทํ า ความผิ ด ในการประกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมตามประมวล
กฎหมายอาญามาตรา 227 หรือมาตรา 269 โดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก
มจ
กรณีศึกษา
จรรยาบรรณข้อ 8 ตามข้อบังคับฯ ปี 2559: ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้อง
ห้า
94 หมวดจรรยาบรรณ
Test) จริงตามที่รับรองมาแต่อย่างใด ซึ่งวิศวกร ส ได้รับสารภาพกับคณะกรรมการ
จรรยาบรรณว่าไม่ ได้ ทําการตรวจทดสอบสภาพหม้อไอน้ําด้ วยการอั ดน้ํา เนื่องจาก
เจ้ า หน้ า ที่ โ รงงานไม่ ไ ด้ ห ยุ ด การใช้ ห ม้ อ ไอน้ํ า และถ่ า ยเทความร้ อ นไว้ ก่ อ นล่ ว งหน้ า
24 ชั่วโมง ขณะไปตรวจหม้อไอน้ําจึงยังคงร้อนอยู่ ทําให้ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบ
ภายในได้ การกระทําของวิศวกร ส เป็นการปฏิบัติงานที่ไม่ถูกต้องตามหลักปฏิบัติและ
วิชาการ แต่ได้รับการลดโทษกึ่งหนึ่ง เนื่องจากให้การรับสารภาพอันเป็นประโยชน์ต่อ
การไต่สวนจรรยาบรรณ ประกอบกับหม้อไอน้ําดังกล่าว ยังไม่ได้เกิดความเสียหายอัน
จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสาธารณชนได้ วิศวกร ส จึงถูกลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบ
วิชาชีพวิศวกรรมควบคุม มีกําหนดเวลา 1 ปี
(คําวินิจฉัยคณะกรรมการจรรยาบรรณที่ 4/2546 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2546)
จรรยาบรรณข้อ 7 ตามข้อบังคับฯ ปี 2559: ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้อง
ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบและระมัดระวัง
(ตรงกับจรรยาบรรณข้อ 3 ตามข้อบังคับฯ ปี 2543)
วิศวกร ป ได้รับใบอนุญาตระดับภาคีวิศวกร สาขาวิศวกรรมโยธา ได้ลงลายมือ
ย
ชื่อรับรองสําเนาความถูกต้องของเอกสารใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
น่า
แทนวิ ศ วกรอื่ น ซึ่ ง ทํ า งานร่ ว มกั น โดยพลการ และได้ นํ า เอกสารดั ง กล่ า วไปยื่ น
ประกอบการประมูลงานของหน่วยงานราชการ การกระทํ าของวิศวกร ป เป็ นการ
ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมโดยไม่สุจริต แต่เนื่องจากวิศวกร ป ให้การรับสารภาพ
ําห
และให้ ก ารอัน เป็ น ประโยชน์ ต่ อ การพิ จ ารณาไต่ ส วน จรรยาบรรณ คณะกรรมการ
จรรยาบรรณจึงลดหย่อนโทษให้วิศวกร ป ถูกลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
มจ
วิศวกรรมควบคุม มีกําหนดเวลา 2 ปี
(คําวินิจฉัยคณะกรรมการจรรยาบรรณที่ 12/2547 ลงวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2547)
ห้า
หมวดจรรยาบรรณ 95
โฆษณาให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนมีความรู้ความสามารถที่จะประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
จนเป็นเหตุให้บุคคลภายนอกหลงเชื่อตามข้อความที่ปรากฏในใบโฆษณานั้นและได้
ติดต่อตกลงทําสัญญากับวิศวกร จ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว วิศวกร จ ไม่สามารถทํางาน
วิ ศ วกรรมควบคุ ม บางประเภทตามข้ อ ความที่ ไ ด้ โ ฆษณาไว้ เ นื่ อ งจากเกิ น ความรู้
ความสามารถ และไม่มีทีมงานประจํา บางครั้งต้องไปจ้างวิศวกรผู้อื่นเข้ามาดําเนินการ
แทน กรณีนี้ถือว่าวิศวกร จ ทําการโฆษณาเกินความเป็นจริง แต่เมื่อดูจากเจตนาและ
ประสบการณ์แล้วเห็นว่า วิศวกร จ ได้กระทําไปโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เนื่องจากอายุ
ยังน้อย จึงเห็นสมควรให้ลงโทษสถานเบา โดยการภาคทัณฑ์ วิศวกร จ ไว้ มีกําหนด
ระยะเวลา 1 ปี
(คําวินิจฉัยคณะกรรมการจรรยาบรรณที่ 11/2546 ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546)
จรรยาบรรณข้อ 9 ตามข้อบังคับฯ ปี 2559: ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้อง
ไม่ป ระกอบวิช าชี พ วิ ศ วกรรมเกิน ความสามารถและความเชี่ ย วชาญที่ ต นเองจะ
กระทําได้ (ตรงกับจรรยาบรรณข้อ 7 ตามข้อบังคับฯ ปี 2543)
วิศวกร ส และวิศวกร ม ได้รับใบอนุญาตระดับภาคีวิศวกร สาขาวิศวกรรมโยธา
ย
ได้ทําสัญญารับเหมาซ่อมแซมปรับปรุงอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้น โดยทราบว่าเจ้าของ
น่า
อาคารมิ ไ ด้ ยื่ น ขอรั บ ใบอนุ ญ าตต่ อ เติ ม หรื อ ดั ด แปลงอาคารต่ อ เจ้ า พนั ก งานท้ อ งถิ่ น
ให้ถูกต้องตามกฎหมาย คณะกรรมการจรรยาบรรณพิจารณาแล้วเห็นว่าวิศวกรทั้งสอง
ไม่สามารถออกแบบอาคารพาณิชย์สูงเกิน 3 ชั้นได้ จึงเป็นการประกอบวิชาชีพเกิน
ําห
ความรู้ ค วามสามารถที่ ก ฎหมายกํ า หนด ประกอบกั บ มิ ไ ด้ แ จ้ ง ให้ เ จ้ า ของอาคาร
ดํ า เนิ น การขออนุ ญ าตก่ อ สร้ า งให้ ถู ก ต้ อ งตามกฎหมายเสี ย ก่ อ น จึ ง ให้ ล งโทษพั ก ใช้
มจ
ใบอนุญาตของวิศวกรทั้งสอง มีกําหนดระยะเวลา 1 ปี
(คําวินิจฉัยคณะกรรมการจรรยาบรรณที่ 13/2547 ลงวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2547)
ห้า
96 หมวดจรรยาบรรณ
เป็นผู้ดูแลแทน ปรากฏว่า นั่งร้านรับน้ําหนักไม่ไหวจึงยุบตัว ทําให้แบบแตกพังลงมา
และคนงานพลัดตกลงมาเสียชีวิตหนึ่งราย ได้รับบาดเจ็บอีกสองราย คณะกรรมการ
จรรยาบรรณพิจารณาแล้วเห็นว่าในวันเกิดเหตุ วิศวกร ข ได้เข้าไปตรวจสอบความ
เรียบร้อยก่อนเทคอนกรีต และอยู่ดูแลจนถึงประมาณเที่ยงวัน วิศวกร ข รู้สึกไม่สบายจึง
ได้กลับไปพักผ่อนที่บ้าน โดยมอบหมายให้หัวหน้าคนงานดูแลแทนนั้น ยังไม่มีน้ําหนัก
เพียงพอที่จะรับฟังได้ เนื่องจากหากวิศวกร ข ไม่สามารถที่จะทําการควบคุมงาน หรือ
จัดให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถในระดับเดียวกัน เข้าควบคุมการก่อสร้างแทน
ตัวเองได้ จะต้องสั่งให้มีการหยุดการก่อสร้างในส่วนโครงการที่สําคัญไว้ก่อน กรณีนี้ถือ
ว่าวิศวกร ข ในฐานะผู้ควบคุมงานได้ละทิ้งงานโครงสร้างที่สําคัญในความรับผิดชอบของ
ตนโดยไม่มีเหตุอันสมควร ประกอบกับมาตรการป้องกันวัตถุตกหล่นและฝุ่นละอองที่
จัดทําไว้นั้นไม่สมบูรณ์ เนื่องจากตามกฎหมายแรงงานและประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่ อง ความปลอดภัย ในการทํางานในสถานที่ที่มีอันตรายจากการตกจากที่สูง วั ส ดุ
กระเด็น ตกหล่นและการพังทลาย กําหนดให้มีการจัดหาตาข่ายและวัสดุที่ช่วยป้องกัน
ความปลอดภัยไว้ตลอดเวลา ซึ่งหากสถานที่เกิดเหตุยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ วิศวกร ข
ก็ไม่อาจที่จะละเลยความปลอดภัยในการทํางานโดยการถอดอุปกรณ์ป้องกันความ
ย
ปลอดภัยออก เพื่อตระเตรียมการก่อสร้างถนนชั้นล่าง ตามที่กล่าวอ้างได้แต่อย่างใด จึง
น่า
เห็ น สมควรให้ ล งโทษพั ก ใช้ ใ บอนุ ญ าตของวิ ศ วกร ข โดยมี กํ า หนดระยะเวลา 1 ปี
6 เดือน
ําห
(คําวินิจฉัยคณะกรรมการจรรยาบรรณที่ 2/2548 ลงวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2548)
จรรยาบรรณข้อ 18: ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมต้องไม่รับทํางาน หรือ
มจ
ตรวจสอบงานชิ้นเดียวกันกับที่ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมอื่นทําอยู่ เว้นแต่
เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ หรือเป็นความประสงค์ของเจ้าของงานและได้แจ้งเป็นลาย
ลั ก ษณ์ อั ก ษรให้ ผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมควบคุ ม อื่ น นั้ น ทราบล่ ว งหน้ า แล้ ว
ห้า
ย
วิศวกรรมควบคุมโดยแจ้งเรื่องต่อสภาวิศวกร
น่า
กระบวนการด้านจรรยาบรรณ สามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้
เมื่อสภาวิศวกรโดยเลขาธิการสภาวิศวกร ได้รับเรื่องการกล่าวหาหรือ
ําห
กล่าวโทษแล้ว เลขาธิการสภาวิศวกรจะส่ งเรื่องให้ คณะกรรมการจรรยาบรรณเพื่อ
พิจารณาและวินิจฉัย
เมื่อคณะกรรมการจรรยาบรรณได้รับเรื่องการกล่าวหาหรือกล่าวโทษ
มจ
การประพฤติผิดจรรยาบรรณจะเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการจรรยาบรรณเพื่อ
พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน และ
- หากเห็นว่าข้อกล่าวหาใดไม่เข้าข่ายการประพฤติผิดจรรยาบรรณ
หรือไม่มีมูลอันควรได้รับการพิจารณา จะเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการจรรยาบรรณ
เพื่อพิจารณา
ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร จ ร ร ย า บ ร ร ณ จ ะ พิ จ า ร ณ า ค ว า ม เ ห็ น ข อ ง
คณะอนุกรรมการกลั่นกรองโดย
98 หมวดจรรยาบรรณ
- ข้อกล่าวหาใดที่เห็นว่าไม่เข้าข่ายการประพฤติผิดจรรยาบรรณ
หรื อ ไม่ มี มู ล อั น ควรได้ รั บ การพิ จ ารณา ก็ จ ะยุ ติ เ รื่ อ งและมี ห นั ง สื อ แจ้ ง เลขาธิ ก าร
สภาวิศวกร
- ข้อกล่าวหาใดที่เข้าข่ายการประพฤติผิดจรรยาบรรณหรือมีมูล
อันควรได้รับการพิจารณา จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง
และทําความเห็นเสนอต่อคณะกรรมการจรรยาบรรณเพื่อวินิจฉัย
ข้ อ กล่ า วหาใดที่ ค ณะกรรมการจรรยาบรรณ พิ จ ารณาแล้ ว เห็ น ว่ า
ไม่เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณจะวินิจฉัยให้ยกข้อกล่าวหา ส่วนข้อกล่าวหาใดที่
เข้าข่ายเป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณจะวินิจฉัยชี้ขาดให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ตาม
ความหนักเบาของการกระทําผิดดังนี้
- ตักเตือน
- ภาคทัณฑ์
- พักใช้ใบอนุญาตฯ ไม่เกิน 5 ปี
- เพิกถอนใบอนุญาตฯ
ย
คําวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการจรรยาบรรณ มีผลใช้บังคับนับแต่วันที่
ผู้ถูกกล่าวหาได้รับแจ้งคําวินิจฉัยชี้ขาด
น่า
2. อายุความในการกล่าวหาหรือกล่าวโทษ
ําห
มาตรา 51 วรรค 3 แห่ง พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ.2542 ได้ระบุให้สิทธิ
การกล่าวหาของผู้ได้รับความเสียหายหรือสิทธิในการกล่าวโทษ ของกรรมการหรือ
บุคคลอื่นสิ้นสุดเมื่อพ้นกําหนด 1 ปี นับแต่
มจ
วันที่รู้เรื่องการประพฤติผิดจรรยาบรรณและ
รู้ตัวผู้ประพฤติผิด
ห้า
3. สิทธิของผู้ถูกกล่าวหา
ในกระบวนการพิจารณาและวินิจฉัยจรรยาบรรณ ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิที่จะ
ได้รับการพิจารณาอย่างยุติธรรมโดย
มี สิ ทธิ ในการคั ดค้ านการแต่ งตั้ ง อนุ กรรมการไต่ สวน หากเห็ นว่ า
อนุกรรมการฯ ผู้นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างหนึ่งอย่างใดในกรณีดังนี้
- เป็นผู้มีส่วนได้เสียในข้อกล่าวหา
- เป็นผู้มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ถูกกล่าวหา
หมวดจรรยาบรรณ 99
มีสิทธิในการนําทนายความหรือที่ปรึกษามาร่วมในการไต่สวน
มีสทิ ธิในการอุทธรณ์คําวินิจฉัยของคณะกรรมการจรรยาบรรณ
การอุทธรณ์คําวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการจรรยาบรรณ
ผู้ ถู ก กล่ า วหาที่ ค ณะกรรมการจรรยาบรรณมี คํ า วิ นิ จ ฉั ย ชี้ ข าดว่ า
ประพฤติ ผิ ด จรรยาบรรณฯ หากไม่ เ ห็ น ด้ ว ยกั บ คํ า วิ นิ จ ฉั ย ชี้ ข าดมี สิ ท ธิ อุ ท ธรณ์ ต่ อ
คณะกรรมการสภาวิศวกร ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคําวินิจฉัยอุทธรณ์ แต่การ
อุ ท ธรณ์ จ ะไม่ เ ป็ น การทุ เ ลาการบั ง คั บ ตามคํ า วิ นิ จ ฉั ย ชี้ ข าดของคณะกรรมการ
จรรยาบรรณ เว้นแต่คณะกรรมการสภาวิศวกรจะมีมติให้ทุเลา
คํ า วิ นิ จ ฉั ย ชี้ ข าดของคณะกรรมการสภาวิ ศ วกรถื อ เป็ น ที่ สุ ด ตาม
พระราชบัญญั ติวิศวกร พ.ศ.2542 แต่หากผู้ถูกกล่าวหายังไม่เห็นด้วยกับคําวินิจฉัย
อุทธรณ์ของคณะกรรมการสภาวิศวกรยังสามารถฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ภายใน 90 วัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคําสั่งของคณะกรรมการสภาวิศวกร
การประกอบวิชาชีพต้องถูกต้องตามกฎหมายและจรรยาบรรณ
ย
วิศวกรนั้น ในสถานะหนึ่งเป็นบุคคลธรรมดา เป็นวิญญูชน ดังนั้นในสถานะที่
น่า
เป็นประชาชนคนหนึ่ง วิศวกรต้องปฏิบัติตนอย่างถูกต้องตามกฎหมายเช่นเดียวกับวิญญู
ชนทั่วไป แต่ในการประกอบวิชาชีพหากเกิดความผิดพลาดเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
กระบวนการยุติธรรมจะถือว่าผู้ประกอบวิชาชีพย่อมต้องมีความรู้ ความสามารถที่ได้รับ
ําห
การอบรมมาเป็นพิเศษเป็นการเฉพาะ จึงมีความรู้ความสามารถสูงยิ่งกว่าวิญญูชนทั่วไป
ระดับของความระมัดระวังในการประกอบวิชาชีพ จึงต้องสูงกว่าวิญญูชนทั่วไปด้วย
ดังนั้นการกระทําผิดพลาดในลักษณะหนึ่ง ประชาชนทั่วไปที่ทําผิดย่อมต้องได้รับโทษใน
มจ
โอกาสที่จะได้รับการลดหย่อนโทษย่อมต้องน้อยกว่าวิญญูชนทั่วไปด้วย
ในสถานะที่ เ ป็ น วิ ศ วกร ผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ ยั ง ต้ อ งถู ก บั ง คั บ เพิ่ ม เติ ม กว่ า
ประชาชนทั่ ว ไป ด้ ว ยจรรยาบรรณแห่ ง วิ ช าชี พ สํ า หรั บ วิ ศ วกรหากกระทํ า ผิ ด
จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม อาจถูกลงโทษทางจรรยาบรรณ โดยความผิดขั้น
ร้ายแรง อาจถูกลงโทษพักใช้ใบอนุญาตสูงสุดถึง 5 ปี หรือร้ายแรงที่สุด อาจถูกเพิกถอน
ใบอนุญาตได้
100 หมวดจรรยาบรรณ
ประกอบวิชาชีพอย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย
1. ประมวลกฎหมายอาญาที่เกีย่ วกับการประกอบวิชาชีพ
ประมวลกฎหมายอาญาได้ระบุความผิดเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพไว้หลาย
มาตรา การประกอบวิชาชีพวิศวกรรมก็อยู่ในบังคับของมาตราต่างๆ เหล่านี้เช่นเดียวกับ
วิชาชี พอื่ น ผู้ก ระทํ า ความผิ ดย่ อมอาจได้ รับโทษปรั บหรือ จํา หรือทั้ งปรั บ และจํ า ได้
ในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม วิศวกรจึงต้องระมัดระวังมิให้ประพฤติผิดกฎหมาย
อาญาในมาตราต่างๆ ดังนี้
มาตรา 227 ผู้ใ ดมี วิช าชี พ ในการออกแบบ ควบคุ ม หรื อทํ า การก่ อสร้ า ง
ซ่อมแซมหรือรื้อถอน อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการ
อันพึงกระทําการนั้นๆ โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่น ต้อง
ระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ความผิ ด ตามมาตรา 227 นี้ ไ ม่ จํ า เป็ น ต้ อ งรอให้ อั น ตรายเกิ ด ขึ้ น ก่ อ น
แค่ปรากฏ น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นถือว่าผิดแล้ว ยกตัวอย่าง
วิศวกรที่ออกแบบอาคารโดยมุ่งเน้นให้มีราคาค่าก่อสร้างถูกที่สุด โดย
ย
ไม่คํานึงถึงอันตรายหรือความปลอดภัยของอาคารที่อาจเกิดแก่ผู้ใช้อาคาร
วิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้างที่ไม่ควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตาม
น่า
มาตรฐานลดคุณภาพของวัสดุหรือลดขนาดขององค์อาคาร
วิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้างที่ก่อสร้างผิดไปจากแบบ
ําห
วิศวกรผู้ควบคุมงานที่ไม่ใส่ใจในการตรวจตราความมั่นคงแข็งแรงของ
นั่งร้านและค้ํายันจน “น่าจะเป็นเหตุ” ให้การก่อสร้างหรืออาคารไม่ปลอดภัย อาจถูก
ลงโทษสูงสุดถึงจําคุกเป็นเวลา 5 ปี
มจ
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
ถ้าเป็นเหตุให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่
หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท
ดังนั้น หากเป็นกรณีที่ผู้ประกอบวิชาชีพไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ หรือวิธีการ
อันพึงกระทํา และการกระทํานั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่น ได้รับอันตรายสาหัส อาจต้อง
ระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี ยิ่งหากการกระทํานั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่น ถึงแก่
ความตาย ต้องระวางโทษจําคุกตลอดชีวิต หรือจําคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปี และปรับ
10,000 ถึง 40,000 บาท
หมวดจรรยาบรรณ 101
มาตรา 269 ผู้ใดในการประกอบการงานในวิชาชีพแพทย์ กฎหมาย บัญชี
หรือวิชาชีพอื่นใด ทําคํารับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความ
เสี ย หายแก่ ผู้ อื่ น หรื อ ประชาชน ต้ อ งระวางโทษจํ า คุก ไม่ เกิ น สองปี หรื อ ปรั บ ไม่ เ กิ น
สี่พันบาทหรือทั้งจําทั้งปรับผู้ใดโดยทุจริตใช้หรืออ้างคํารับรองอันเกิดจากการกระทํา
ความผิดตามวรรคแรกต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
ผู้ประกอบวิชาชีพหากไปรับรองเรื่องใดโดยทําเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ โดยที่
น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ก็อาจต้องได้รับโทษสูงสุดจําคุกไม่เกิน
2 ปี ตามมาตรา 269
วิศวกร จึงต้องประกอบวิชาชีพด้วยความระมัดระวังยิ่งกว่าวิญญูชนทั่วไป
หรืออาชีพอื่น โดยทั่วไปหากวิศวกรระมัดระวังปฏิบัติวิชาชีพอย่างถูกหลักปฏิบัติและ
วิชาการ และประพฤติตัวเป็นคนดี มีศีลธรรม มีอริยธรรม ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการ
กระทําผิดทางอาญาได้
2. ข้อสันนิษฐานของกฎหมาย
กฎหมายบางฉบั บ ได้ ร ะบุ ข้ อ สั น นิ ษ ฐานว่ า ในการกระทํ า ผิ ด กฎหมายของ
ย
ผู้ประกอบการหรือผู้ดําเนินงาน ให้ถือว่าวิศวกรที่เกี่ยวข้องกระทําผิดด้วย และต้องได้รับ
น่า
โทษทางอาญาเช่นเดียวกับผู้ประกอบการหรือผู้ดําเนินการ ยกตัวอย่าง
พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
มาตรา 61 ในกรณี ที่ ผู้ ป ระกอบกิ จ การโรงงานกระทํ า ความผิ ด ตาม
ําห
พระราชบั ญ ญั ติ นี้ ใ ห้ ถื อ ว่ า สถาปนิ ก หรื อ วิ ศ วกรที่ ทํ า งานในโรงงานและมี ห น้ า ที่
รับผิดชอบในการงานส่วนที่มีกรณีการกระทําความผิดนั้นเกิดขึ้น มีส่วนร่วมหรือ
มจ
รู้เห็นในการกระทําความผิดกับผู้ประกอบกิจการโรงงานและต้องรับโทษเช่นเดียวกับผู้
ประกอบกิ จการโรงงาน เว้ นแต่ จะพิสู จน์ได้ว่าตนมิได้รู้ เห็นหรื อยินยอมด้วยกับการ
กระทําความผิดนั้นนอกจากต้องรับโทษตามวรรคหนึ่งแล้วให้ปลัดกระทรวงแจ้งชื่อและ
ห้า
การกระทําของบุคคลเช่นว่านั้นให้แก่สภาวิศวกร และสภาสถาปนิกทราบเพื่อพิจารณา
ดํ า เนิ น การตามกฎหมายว่ า ด้ ว ยวิ ช าชี พ สถาปั ต ยกรรมหรื อ กฎหมายว่ า ด้ ว ยวิ ช าชี พ
วิศวกรรมตามควรแก่กรณีต่อไป
ดังนั้น วิศวกรที่ทํางานในโรงงาน จึงต้องระมัดระวังศึกษาข้อห้ามต่างๆ ทาง
กฎหมาย หากพบเห็นการกระทําผิดกฎหมายของโรงงานในงานที่คนมีหน้าที่รับผิดชอบ
อยู่ ต้ องรีบแจ้งอย่ างเป็นหลักฐานให้ผู้ประกอบกิจการแก้ไข หากผู้ประกอบกิจการ
ไม่แก้ไข เพื่อความปลอดภัยของตัววิศวกรเองควรหางานใหม่
102 หมวดจรรยาบรรณ
พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522
มาตรา 31 ห้ามมิให้ผู้ใดจัดให้มีหรือดําเนินการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน
หรือเคลื่อนย้ายอาคารให้ผิดไปจากแผนผังบริเวณ แบบแปลน และรายการประกอบ
แบบแปลนที่ได้รับอนุญาต ตลอดจนวิธีการหรือเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นกําหนดไว้
ในใบอนุญาต หรือให้ผิดไปจากที่ได้แจ้งไว้ตามมาตรา 39 ทวิ เว้นแต่
1. เจ้ า ของอาคารนั้ น ได้ ยื่ น คํ า ขออนุ ญ าตและได้รั บ ใบอนุญ าตจาก
เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
2. เจ้ า ของอาคารนั้ น ได้แ จ้ งการแก้ไ ขเปลี่ ยนแปลงให้ เจ้ า พนั ก งาน
ท้องถิ่นทราบแล้ว หรือ
3. การดําเนินการดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎกระทรวงหรือข้อบัญญัติท้องถิ่น
ที่เกี่ยวข้อง หรือเป็นกรณีตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
ให้นํามาตรา 25 หรือมาตรา 39 ทวิ มาใช้บังคับแก่การดําเนินการตาม
1. หรือ 2. แล้วแต่กรณี โดยอนุโลม
ในกรณีที่มีการก่อสร้าง ดัดแปลงรื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคาร เป็น
การฝ่าฝืนความในวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นการกระทําของผู้ควบคุมงาน เว้นแต่ผู้ควบคุม
ย
งานจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทําของผู้อื่นซึ่งผู้ควบคุมงานได้มีหนังสือแจ้งข้อทักท้วง
น่า
การกระทําดั งกล่าวให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร และผู้ดําเนินการทราบแล้ว
แต่บุคคลดังกล่าวไม่ยอมปฏิบัติตาม
ําห
วิ ศ วกรผู้ ป ระกอบวิ ช าชี พ สาขาวิ ศ วกรรมโยธาจํ า นวนมาก จะทํ า งานใน
ลักษณะของผู้ควบคุมงานก่อสร้าง และงานก่อสร้างโดยมากเมื่อตัวอาคารปรากฏเป็นรูป
เป็ นร่างขึ้นมา เจ้ าของและผู้ ดําเนินการจะมองเห็นการใช้งานอาคารในอนาคตเมื่อ
มจ
อาคารก่อสร้างเสร็จได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ชัดเจนกว่าในขณะออกแบบซึ่งดูรูปร่างอาคารได้แต่
เฉพาะจากแบบแปลน จึงมักเกิดความประสงค์ที่จะดัดแปลง ต่อเติม ฯลฯ ให้ผิดไปจาก
ที่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้าง แต่มาตรา 31 ของกฎหมายอาคารระบุห้ามก่อสร้างให้ผิดไป
ห้า
หมวดจรรยาบรรณ 103
3. ประกอบวิชาชีพอย่างไรไม่ให้ผิดจรรยาบรรณ
วิศวกรซึ่งเพิ่งจะเข้าสู่วิชาชีพวิศวกรรม หากไม่ระมัดระวังในการประกอบ
วิชาชีพมีโอกาสที่จะพลาดพลั้งกระทําผิดจรรยาบรรณอย่างไม่ตั้งใจและอาจต้องรับโทษ
โดยไม่สมควรจะต้องรับโทษ แต่อาจหลีกเลี่ยงได้หากระมัดระวัง เนื้อหาต่อไปนี้จึงได้
รวบรวมข้อพึงระวังในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม ซึ่งคณะกรรมการจรรยาบรรณ
สภาวิศวกรพบเห็นอย่างเสมอ สมควรที่วิศวกรซึ่งเพิ่งจะก้าวเข้าสู่วิชาชีพนี้ได้ระมัดระวัง
เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทําผิด
3.1 ข้อควรระวังสําหรับวิศวกรผู้ประกอบวิชาชีพด้านควบคุมงาน
ผู้ควบคุมงานต้องอยู่หน้างานตลอดเวลาที่มีการก่อสร้างนอกเหนือจากการ
ที่ผู้ควบคุมงานต้องคุมงานใกล้ชิด เพื่อควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบ หลีกเลี่ยง
โอกาสที่ อ าจถู ก ลงโทษตามกฎหมายจากข้ อ สั น นิ ษ ฐานของกฎหมายแล้ ว สถานที่
ก่อสร้างยังเป็นสถานที่อันตราย อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ตั้งแต่อุบัติเหตุเล็กน้อย
เช่น คนงานถูกตะปูตําเท้า ถูกของมีคมบาด ไปจนถึงงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ
ผู้ควบคุมงาน เช่น การพังทลายของนั่งร้าน การพังทลายของโครงสร้างที่มีการค้ํายัน
ไม่เพียงพอ หากอุบัติเหตุเหล่านี้เกิดในขณะที่ผู้ควบคุมงานไม่อยู่หน้างาน อาจเป็น
ย
ความผิดด้านจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพในฐานละทิ้งงานที่ได้รับทําโดยไม่มีเหตุ
น่า
อันควรได้
วิศวกรที่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมงานจึงควรระมัดระวังในเรื่องต่อไปนี้
ต้องอยู่ควบคุมงานที่หน้างานตลอดเวลาที่มีการก่อสร้าง หากมีเหตุ
ําห
จําเป็นที่ไม่สามารถอยู่ควบคุมงานต้องหาผู้มีคุณสมบัติเทียบเท่ามาทําหน้าที่ควบคุมงาน
แทน
วิศวกรที่รับงานควบคุมการก่อสร้างหลายแห่งในขณะเดียวกัน ย่อม
มจ
เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ควบคุมงานที่ใดที่หนึ่งตลอดเวลาได้ หากต้องการรับงานหลายแห่ง
ในขณะเดียวกัน ต้องหาผู้ช่วยที่มีคุณสมบัติเทียบเท่าอยู่ประจําในแต่ละแห่งตลอดเวลา
ห้า
104 หมวดจรรยาบรรณ
เมื่อเจ้าของอาคารได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อน
เริ่มลงมือก่อสร้างต้องแจ้งชื่อผู้ควบคุมงานและยื่นหนังสือยินยอมของผู้ควบคุมงานต่อ
เจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงจะเริ่มลงมือก่อสร้างได้ และในระหว่างก่อสร้างหากผู้ควบคุมงาน
ต้องการลาออกจากการควบคุมงาน ต้องแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ
และการก่อสร้างต้องหยุดจนกว่าจะได้มีหนังสือแจ้งชื่อและหนังสือแสดงความยินยอม
ของผู้ควบคุมงานคนใหม่ให้แก่เจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงจะเริ่มลงมือก่อสร้างต่อไปได้
วิศ วกรโดยมากมั ก ไม่ท ราบข้อ กฎหมายนี้ หากจะลาออกจากการเป็ น
ผู้ควบคุมงาน มักจะทําแค่แจ้งเจ้าของอาคารแล้วออกจากงานไปปฏิบัติงานอื่นเลย โดย
ไม่ ไ ด้ ต ระหนั ก ว่ า ความผู ก พั น ในฐานะผู้ ค วบคุ ม งานตามกฎหมายยั ง คงอยู่
ความรับผิดชอบในฐานะผู้ควบคุมงานจะยังคงอยู่จนกว่าจะได้แจ้งเป็นหนังสือบอกเลิก
การเป็นผู้ควบคุมงานกับเจ้าพนักงานท้องถิ่นเท่านั้น
3.2 ข้อควรระวังสําหรับวิศวกรใหม่
วิศวกรจบใหม่ซึ่ งเพิ่งจะเข้าสู่วิชาชีพวิศวกรรม ต้ องมีความระมั ดระวัง
ในการประกอบวิชาชีพมากเป็นพิเศษ เพราะยังไม่รู้กฎ ระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ
ย
ประกอบวิชาชีพ ทําให้ขาดความระมัดระวังอย่างเพียงพอ หรืออาจผิดพลาดอย่างไม่
น่า
ตั้งใจ จึงขอสรุปข้อควรระวังสําหรับวิศวกรใหม่ดังต่อไปนี้
ไม่ประกอบวิชาชีพเกินความสามารถและความเชี่ยวชาญที่ตนเอง
ําห
จะกระทําได้
วิชาชีพวิศวกรรมเป็นวิชาชีพที่ต้องพึ่งประสบการณ์มากยิ่งกว่าวิชาชีพอื่น
การขาดประสบการณ์ ยั ง อาจทํ า ให้ ก ารทํ า งานผิ ด พลาด ก่ อ ให้ เ กิ ด อั น ตรายต่ อ
มจ
สาธารณชนได้ พระราชบัญญัติวิศวกรจึงควบคุมระดับความสามารถที่วิศวกรจะทําได้
โดยควบคุ ม ตามประสบการณ์ โดยปกติ วิ ศ วกรที่ เ พิ่ ง จบการศึ ก ษามาใหม่ ยั ง มี
ห้า
ประสบการณ์ในการประกอบวิชาชีพไม่มากก็จะให้ปฏิบัติวิชาชีพในระดับภาคีวิศวกรที่
หากผิ ด พลาดจะไม่ ก่ อ ให้ เ กิด อั น ตรายร้า ยแรงต่ อ สาธารณชนมาก ต่ อ เมื่ อ ประกอบ
วิชาชีพจนมีประสบการณ์มากพอก็จะให้เลื่อนระดับเป็นสามัญวิศวกร สามารถประกอบ
วิชาชีพได้ทุกงานทุกขนาดยกเว้นงานให้คําปรึกษา ซึ่งเป็นระดับที่ต้องอาศัยความรู้ความ
เชี่ ยวชาญและประสบการณ์สูงมากเป็นพิเศษ ในการให้ความเห็ นหรือรับรองความ
ปลอดภัย จะสงวนไว้เฉพาะสําหรับระดับวุฒิวิศวกร
ดังนั้นวิศวกรจะต้องศึกษา “ข้อบังคับสภาวิศวกร ว่าด้วยหลักเกณฑ์และ
คุณสมบัติของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมแต่ละระดับ พ.ศ.2551 ควบคู่กับ
หมวดจรรยาบรรณ 105
กฎกระทรวงกําหนดสาขาวิชาชีพวิศวกรรมและวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม พ.ศ.2550”
ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงงานและระดับของงานที่กฎหมายกําหนดให้ทําได้ การทํางานที่
เกิ น กว่ า กฎหมายอนุ ญ าตเป็ น การประพฤติ ผิ ด จรรยาบรรณและอาจถู ก ลงโทษได้
โดยทั่วไปสามารถสรุปข้อผิดพลาดที่พบเสมอๆ ได้ดังต่อไปนี้
ภาคี วิ ศ วกร สาขาวิ ศ วกรรมโยธา ไม่ ส ามารถออกแบบอาคาร
สาธารณะได้
ข้ อ บั ง คั บ สภาวิ ศ วกร ว่ า ด้ ว ยหลั ก เกณฑ์ แ ละคุ ณ สมบั ติ ข องผู้ ป ระกอบ
วิชาชีพวิศวกรรมควบคุมแต่ละระดับ สาขาวิศวกรรมโยธา พ.ศ.2551 ข้อ 6(1) ก. ระบุ
ให้ ภ าคี วิศ วกรโยธาสามารถออกแบบคํ า นวณอาคารที่มี ค วามสู งไม่เกิ น 4 ชั้ น หรื อ
โครงสร้างของอาคารที่ชั้นใดชั้นหนึ่งมีความสูงไม่เกิน5 เมตรฯลฯ ทําให้วิศวกรจํานวน
มากเข้าใจผิดหลงไปว่า อาคารอะไรก็ตามหากมีความสูงไม่เกิน 4 ชั้นแล้ว ภาคีวิศวกร
สามารถจะออกแบบได้ ซึ่ ง เป็ น การเข้ า ใจผิ ด เนื่ อ งจากคํ า ว่ า อาคารในข้ อ บั ง คั บ ฯ
ดังกล่าว อ้างอิงตามกฎกระทรวงกําหนดสาขาวิชาชีพวิศวกรรมและวิชาชีพวิศวกรรม
ควบคุม พ.ศ. 2550 ซึ่งไม่ได้หมายความรวมถึงอาคารสาธารณะ ดังนั้น ภาคีวิศวกรสาขา
วิศวกรรมโยธาจึงไม่สามารถออกแบบอาคารสาธารณะได้ ไม่ว่าอาคารสาธารณะนั้นจะมี
ย
ความสูงแค่ 1 ชั้น, 2 ชั้น, 3 ชั้น หรือ 4 ชั้นก็ตาม สําหรับคําว่า “อาคารสาธารณะ” นั้น
น่า
อ้างอิงตามกฎกระทรวงฉบับที่ 22 (พ.ศ.2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุม
อาคาร พ.ศ. 2522
อาคารสาธารณะ หมายความว่ า อาคารที่ ใ ช้ เ พื่ อ ประโยชน์ ใ น
ําห
การชุมนุมคนได้โดยทั่วไป เพื่อกิจกรรมทางราชการ การเมือง การศึกษา การศาสนา
การสังคม การนันทนาการ หรือการพณิชยกรรม เช่น โรงมหรสพ หอประชุม โรงแรม
โรงพยาบาล สถานศึ ก ษา หอสมุ ด สนามกี ฬ ากลางแจ้ ง สนามกี ฬ าในร่ ม ตลาด
มจ
106 หมวดจรรยาบรรณ
ปั้นจั่นมักจะใช้เพื่อการยกวัสดุขนาดใหญ่จึงมีกําลังมาก หากไม่ตรวจสอบให้แน่ชัดอาจ
เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณเนื่องจากประกอบวิชาชีพเกินความสามารถได้
ภา คี วิ ศ ว ก ร ส า ข า วิ ศ ว ก ร ร ม เ ค รื่ อ ง ก ล กั บ ก า ร ต ร ว จ ส อ บ
การติดตั้งถังก๊าซ CNG / LPG
ปั จ จุ บั น รั ฐ บาลสนั บ สนุ น ให้ ป ระชาชนใช้ ก๊ า ซเป็ น เชื้ อ เพลิ ง กั บ รถยนต์
ซึ่งก๊าซเชื้อเพลิงเหล่านี้ต้องอยู่ภายใต้ความดันสูงมากจนอยู่ในสถานะที่เป็นของเหลว
การรั่วไหลของก๊าซเป็นอันตรายเพราะอาจเกิดการลุกไหม้ได้ง่าย กรมการขนส่งทางบก
ได้กําหนดให้ผู้ตรวจสอบการติดตั้งถังก๊าซ CNG / LPG ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
- ต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม สาขา
วิศวกรรมเครื่องกลระดับสามัญวิศวกรขึ้นไป และ
- ได้รับความเห็นชอบการเป็นผู้ตรวจและทดสอบ การติดตั้งส่วนควบ
และเครื่องอุปกรณ์สําหรับรถที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงจากกรมการขนส่งทางบก
ภาคีวิศวกรสาขาวิศวกรรมเครื่องกลส่วนใหญ่ไม่ทราบข้อบังคับนี้ หากไป
เซ็นรับการตรวจสอบการติดตั้งถังก๊าซให้กับร้านติดตั้งถังก๊าซ จะเป็นการประพฤติผิด
ย
จรรยาบรรณในข้อประกอบวิชาชีพเกินความสามารถที่ตนเองจะกระทําได้
วิศวกรรม
น่า
การใช้คําที่อาจเข้าข่ายการประพฤติผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
ําห
งานให้คําปรึกษา เป็นงานที่ข้อบังคับสภาวิศวกรว่าด้วยหลักเกณฑ์และ
คุณสมบัติของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมแต่ละระดับสาขาวิศวกรรมส่วนใหญ่
เกื อ บทั้ ง หมดกํ า หนดให้ เ ป็ น งานที่ ทํ า ได้ เ ฉพาะผู้ ไ ด้ รั บ ใบอนุ ญ าตประกอบวิ ช าชี พ
มจ
- ในการรับทํางานในลักษณะการให้ข้อแนะนํา การเสนอแนวทางใน
การแก้ไขปัญหา หรือสรุปสาเหตุความเสียหายของงานที่รับตรวจสอบ อาจเข้าข่ายเป็น
งานให้คําปรึกษาซึ่งต้องดําเนินการโดยวุฒิวิศวกร
- การโฆษณาโดยระบุว่า สามารถทํางานวิศวกรรมควบคุมได้ทุกงาน
ทุ ก ประเภทและทุ ก ขนาด อาจถื อ เป็ น การโฆษณาหรื อ ยอมให้ ผู้ อื่ น โฆษณา ซึ่ ง การ
ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมเกินความเป็นจริงได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นวิศวกรระดับ
ภาคีวิศวกร หรือระดับสามัญวิศวกร ย่อมสามารถประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมได้
หมวดจรรยาบรรณ 107
เฉพาะตามที่ข้อบังคับสภาวิศวกรกําหนด ไม่สามารถทําได้ทุกงาน ทุกประเภท และ
ทุกขนาดได้
ระมัดระวังการใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ อาจถูกถ่ายสําเนา หรือแก้ไข ปลอมแปลงได้
โดยเฉพาะในยุคดิจิตอล ซึ่งเครื่องมือในการปลอมแปลงหาได้ทั่วไป และอาจถูกนําไปใช้
ในทางที่ผิด โดยเจ้าของใบอนุญาตไม่รู้ตัว วิศวกรจึงควรใช้ใบอนุญาตอย่างหวงแหน
ไม่ให้ใบอนุญาตหรือแม้แต่สําเนาแก่บุคคลอื่นที่รู้จักอย่างผิวเผิน หากจําเป็นต้องยื่น
สําเนาใบอนุญาตในทุกกรณี ควรขีดคร่อมและเขียนระบุกํากับการใช้ประโยชน์อย่าง
ชัดเจนทับอนุญาตได้ เพื่อให้การปลอมแปลงทําได้ยากขึ้น แม้จะไม่สามารถป้องกัน
การปลอมแปลงได้ 100% ก็ตาม
บทสรุป
เพื่ อ ให้ เ ส้ น ทางในชี วิ ต ของการประกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรมควบคุ ม ราบรื่ น
ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและประสบความสําเร็จสมดังความมุ่งหมาย วิศวกรต้องใช้ความ
ระมัดระวังในการประกอบวิชาชีพดังต่อไปนี้
ย
วิ ศ วกรในฐานะที่ เ ป็ น สามั ญ ชน ต้ อ งอยู่ ภ ายใต้ บั ง คั บ ของกฎหมาย
น่า
เช่นเดียวกันกับประชาชนทั่วไป แต่ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้
ความเชี่ยวชาญซึ่งได้เรียนรู้มาเป็นการเฉพาะ มากยิ่งกว่าประชาชนทั่วไป วิศวกรต้องใช้
ความระมัดระวังต่อเหตุอันควรคาดหมายได้โดยระดับของความระมัดระวังต้องสูงกว่า
ําห
สามัญชนทั่วไป
วิศวกรในฐานะที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรม ต้องประกอบวิชาชีพ
มจ
วิศวกรรมตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม
ต้องตระหนักถึงระดับความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ของตนเอง
ตามที่กฎหมายกําหนด (ระดับภาคีวิศวกร, สามัญวิศวกร, วุฒิวิศวกร) และแม้ในงานที่
ห้า
กฎหมายกําหนดให้ทําได้ ก็ไม่ควรรับทํางานในงานที่ตนไม่มีความรู้ความชํานาญอย่าง
เพียงพอ โดยไม่ฝืนทําสิ่งใดที่ไม่รู้ห้ามเดาอย่างเด็ดขาด
หากพบเห็นสิ่งไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และอยู่นอกเหนือความสามารถที่
ตนเองจะแก้ไขได้ ให้หลีกเลี่ยง อย่ามีส่วนร่วมหรือทําเสียเองโดยเด็ดขาด
108 หมวดจรรยาบรรณ
บรรณานุกรม
1. พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542
2. ข้อบังคับสภาวิศวกร ว่าด้วยจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรมและการ
ประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนํามาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ พ.ศ.
2559
3. ระเบี ย บสภาวิ ศ วกร ว่ าด้ ว ยวิธี พิ จ ารณาและวิ นิ จฉั ย จรรยาบรรณแห่ ง
วิชาชีพวิศวกรรม พ.ศ.2546
4. ระเบีย บสภาวิ ศ วกร ว่ าด้ ว ยวิธี พิ จ ารณาและวิ นิ จฉั ย จรรยาบรรณแห่ ง
วิชาชีพวิศวกรรม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551
5. จรรยาบรรณหนังสือประกอบการอบรมและทดสอบความพร้อมในการ
ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม มิถุนายน พ.ศ. 2549 ของสภาวิศวกร
ย
น่า
ําห
มจ
ห้า
หมวดจรรยาบรรณ 109
ห้า
มจ
ําห
น่า
ย
หมวด
สิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
ย
น่า
ําห
มจ
ห้า
ห้า
มจ
ําห
น่า
ย
บทที่ 13
สิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
บทนํา
การพัฒนาอย่างรวดเร็วในด้านต่างๆ เพื่อสนองตอบความต้องการของมนุษย์
ทําให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกินความสมดุลของ
ธรรมชาติ ส่ ง ผลให้ เ กิ ด มลพิ ษ และภั ย พิ บั ติ ต่ า งๆ กลั บ มายั ง มนุ ษ ย์ ทรั พ ยากรที่ มี
ความสําคัญและมีผลต่อการดําเนินชีวิตของมนุษย์นั้น ได้แก่ ทรัพยากรดิน แร่ พลังงาน
ต่างๆ ระบบนิเวศซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพต่างๆ ทั้งสัตว์และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่
ในป่าทรัพยากรอากาศซึ่ งก็ประกอบไปด้วยก๊า ซต่างๆ ไอน้ําฝุ่นละอองที่ อยู่รอบโลก
ทรั พ ยากรน้ํ า ประกอบด้ ว ยน้ํ า ที่ ค รอบคลุ ม ทั้ ง ระบบนิ เ วศในน้ํ า จื ด และน้ํ า เค็ ม การ
เปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมเหล่านี้มีทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ความเปลี่ยนแปลงของ
สิ่ ง แวดล้ อ มด้านปริ ม าณที่ มั ก จะเผชิญ คื อความขาดแคลน ความไม่พอเพี ยง อั นเกิ ด
เนื่องมาจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวันในขณะที่ธรรมชาติไม่สามารถผลิตทดแทนได้
ทัน ในส่วนคุณภาพนั้น คือ ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ ทําให้มีผลกระทบกับ
ย
การดํารงอยู่ของระบบนิเวศและชีวิตมนุษย์ในที่สุด
น่า
ปั ญ หาด้ า นของเสี ย ทั้ ง ที่ เ ป็ น อั น ตรายและไม่ เ ป็ น อั น ตรายที่ เ กิ ด ขึ้ น จาก
กระบวนการผลิตและการบริโภคส่งผลต่อปัญหาด้านแหล่งทรัพยากรในโลกกําลังใกล้จะ
หมดลงในอนาคตอันใกล้ ทําให้โลกกําลังพบกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการอยู่รอด
ําห
ของมนุษย์ที่สําคัญหลายประการ อาทิ มลพิษแพร่กระจายเพิ่มขึ้นก่อความเดือดร้อน
รําคาญ ลดความสวยงามพืชและสัตว์เป็นอันตราย เสียสุขภาพและทําลายระบบรองรับ
มจ
ชีวิตตามธรรมชาติ เกิดก๊าซเรือนกระจกทําให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจากการเสียสมดุล
ของก๊าซคาร์ บอนไดออกไซด์และจะทวีความรุนแรงจนถึงขั้นการมีความขัดแย้งและ
สงครามจากการแย่งชิงทรัพยากรทั้งอาหารและพลังงาน ดังนั้นงานทางด้านวิศวกรรม
ห้า
จําเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงแนวทางการดําเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น
เพื่อลดปัญหามลพิษที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดําเนินโครงการต่างๆ
ปรากฏการณ์ ก๊ า ซเรื อ นกระจกและความเสี่ ย งต่ อ การเปลี่ ย นแปลงสภาพ
ภู มิ อ ากาศมี แ นวโน้ ม รุ น แรงมากขึ้ น ในทุ ก ภู มิ ภ าคของโลก เช่ น อุ ณ หภู มิ เ พิ่ ม สู ง ขึ้ น
ปริมาณน้ําฝนเพิ่มขึ้นในฤดูน้ําหลาก และน้อยลงในฤดูน้ําแล้ง อากาศร้อนเพิ่มขึ้น อากาศ
เย็นลดลง ส่งผลให้เกิดอุทกภัย ภัยแล้ง และวาตภัย ที่รุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น ซึ่งกระทบ
ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในหลายสาขา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 113
ส่ง ผลให้ เกิ ด ความร่ ว มมื อ ของประชาคมโลกเพื่ อแก้ ไ ขปั ญ หาดั ง กล่ า ว ภายใต้ ก รอบ
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations
Framework Convention on Climate Change) หรืออนุสัญญา UNFCCC ซึ่งได้รับ
การรับรองเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2535 และเปิดให้รัฐภาคีลงนามในอีกหนึ่งเดือนต่อมา
ระหว่างการประชุม Earth Summit ณ นครริโอ เดอจาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล
มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2537 ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเพื่อเข้าร่วมเป็น
ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2537
มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2538 และต่อมาได้ให้สัตยาบันเพื่อเข้าร่วมเป็นภาคี
พิธีสารเกียวโต เมื่ อวันที่ 28 สิงหาคม 2545 ในฐานะภาคีสมาชิ กกลุ่มประเทศกําลัง
พั ฒ นา ซึ่ ง ไม่ มี พัน ธกรณี ที่ จ ะต้ อ งลดก๊ า ซเรื อ นกระจกโดยตรง แต่ ส ามารถพิ จ ารณา
ดําเนินการลดก๊าซเรือนกระจกได้ตามความสมัครใจ
ประเทศไทยได้มีการกล่าวถ้อยแถลงจุดยืนของประเทศไทย ในการมีส่วนร่วม
แก้ ไ ขปั ญ หาการเปลี่ ย นแปลงสภาพภู มิ อ ากาศ ต่ อ ที่ ป ระชุ ม รั ฐ ภาคี อ นุ สั ญ ญา
สหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 21 (The 21st session of
the Conference of the Parties to the UNFCCC : COP21) ณ ก รุ ง ป า รี ส
ย
สาธารณรั ฐ ฝรั่ ง เศส เมื่ อ เดื อ นธั น วาคม 2558 โดยพลเอกประยุ ท ธ์ จั น ทร์ โ อชา
น่า
นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้กล่าวแสดงเจตจํานงของประเทศไทย
ในการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 20-25 ภายในปี พ.ศ. 2573 โดยนําหลักปรัชญา
ําห
เศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ พร้อมทั้งลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล และส่งเสริมการใช้
พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผู้นําทั่วโลกให้ความสําคัญกับการให้สัตยาบัน
มจ
114 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
มลพิษสิ่งแวดล้อม
มลพิษสามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ ตามลักษณะของแหล่งกําเนิดมลพิษ
และแหล่งการปนเปื้อนได้ดังนี้
1. มลพิษทางน้ํา เช่น สารอินทรีย์ ของแข็งสารอนินทรีย์ โลหะหนัก เชื้อโรค
เป็นต้น
2. มลพิ ษ ทางอากาศ เช่ น ปริ ม าณของฝุ่ น ละออง ซั ล เฟอร์ ไ ดออกไซด์
คาร์บอนไดออกไซด์ ไนตรัสออกไซด์ คาร์บอนมอนนอกไซด์ เป็นต้น
3. มลพิ ษ ด้ า นขยะและของเสี ย อั น ตราย เช่ น เศษอาหาร ถุ ง พลาสติ ก
ซากเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
4. มลพิ ษ ทางดิ น และน้ํ า ใต้ ดิ น เช่ น ปั ญ หาดิ น ปนเปื้ อ น น้ํ า ใต้ ดิ น ปนเปื้ อ น
เป็นต้น
5. มลพิ ษ ทางเสี ย งและการได้ ยิ น เช่ น ปั ญ หาเสี ย งดั ง จากเครื่ อ งจั ก รภายใน
โรงงาน เสียงดังจากการจราจรในท้องถนนเป็นต้น
6. ปั ญ หาภาวะโลกร้ อนจากกิ จ กรรมของมนุ ษ ย์ เช่ น การเผาไหม้เ ชื้อเพลิ ง
การเผา เป็นต้น
มลพิษน้ําและผลกระทบ
ย
น่า
มลพิษทางน้ําส่งผลกระทบหลายด้าน ทั้งในด้านการท่องเที่ยว การสูญเสียทาง
ระบบนิ เ วศ ซึ่ ง มี ผ ลให้ พื ช และสั ต ว์ น้ํ า บางชนิ ด สู ญ พั น ธ์ แ ละลดจํ า นวนลง และยั ง
ําห
ผลกระทบด้านอนามัยและสาธารณสุขอีกด้วย ความเสื่อมโทรมเน่าเสียของน้ําในลํา
คลองต่ า งๆ และแม่ น้ํ า ย่ อ มทํ า ให้ เ กิ ด ทั ศ นี ย ภาพที่ ไ ม่ น่ า ดู (ดั ง แสดงในรู ป ที่ 13.1)
สําหรับผลกระทบด้านอนามัยและสาธารณสุขนั้น น้ําจากแหล่งน้ําที่มีมลพิษเป็นอันตราย
มจ
ต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในการใช้สําหรับการอุปโภคบริโภค อาจทําให้เกิดโรค
ระบาด เช่ น อหิ ว าตกโรค ไข้ ร ากสาด บิ ด ฯลฯ ทํ า ให้ ต้ อ งหยุ ด งาน และเสี ย เงิ น
ค่ารักษาพยาบาล ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดผลกระทบ
ห้า
ด้านการพักผ่อนหย่อนใจ และสุนทรียภาพอีกด้วย
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 115
รูปที่ 13.1 มลลพิษทางน้ําทีเกิ
่ ดขึ้นในเมืองใหญ่
อ
มลพิษอาากาศและผลกกระทบ
ย
น่า
ม ษทางอากาศ คือภาวะะอากาศที่มีสารเจื
มลพิ า อปนอยู่ในปริ
ใ มาณที่มากกว่
ม าระดับ
ปกติเป็นเวลานานพอที่จะทําให้เกิดอันตรายแกก่มนุษย์ สัตว์ พืช หรือทรััพย์สินต่าง ๆ
ําห
อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ฝุ่นละอองจาากลมพายุ ภูเขาไฟระเบิ
เ ด แผ่นดินไหว
ไฟไหม้ป่า กรณีที่เกิดจากการกระทํ
จ ทําของมนุษย์ ได้แก่ มลพิษจากท่
ษ อไอเสียของรถยนต์์
จากสถานนประกอบการรต่างๆ ได้แก่ โรงงานอุ
โ ตสาหกรรม ซึ่งเกิดจากกระบวนนการผลิตที่มี
มจ
116 หมวดสิ่งแวดล้อมสํ
ม าหรับวิศวกรร
รูปที
ป ่ 13.2 มลพิพิษอากาศจาากสถานประกกอบการต่างๆๆ
ผลกรระทบที่เกิดตามมามีดังนี้
1. เป็นอันตรายต่
ต อสุขภาาพของมนุษย์ โดยเฉพาะระะบบทางเดินหายใจ ห
ย
2. ทํา ให้ เกิดฝนกรด โดดยก๊า ซซั ล เฟออร์ไดออกไซดด์ซึ่ง เกิด จากการเผาไหม้ ขของ
น่า
เชื้อเพลิงที
ง ่มีสารกํามะะถันเจือปน เมืมื่อทําปฏิกิริยารวมตั
า วกับน้ําและกลั
ฝน จะมีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งเป็นอันตรรายต่อสิ่งมีชีวตและสิ
ิ
า
่งก่อสรร้าง
่นตัวเป็น
3. ทําให้เกิดปรากฏการรณ์เรือนกระจจก ซึ่งเกิดกาารสะสมความมร้อนของผิวโโลก
ําห
ทําให้อุณหภู
ณ มิของโลกกสูงขึ้น
มจ
มลพิษด้ ษ านขยะมูลฝอย
ล
ในปัจจุบับันขยะมูลฝอยยที่มีปริมาณเเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุสํสาคัญที่ก่อให้ห้เกิด
ปัญหาสิ่งแวดล้อมใในด้านต่าง ๆ เช่น ปัญหากกลิ่นเหม็น กาารปนเปื้อนต่อคุ อ ณภาพน้ํา เป็น
ห้า
แหล่งแพร่
ง กระจายยของเชื้อโรค การก่อให้เกิดก๊ ด าซเรือนกระะจก เหตุรําคาญ และความมไม่
น่าดู เป็
เ นต้น
ขยะมูลฝอยของกรุ
ฝ งเททพมหานครในปัจจุบันมีมากกว่
า า 9,0000 ตันต่อวัน ถถ้ามี
การคััดแยกอย่างมีมีประสิทธิภาพพก็จะสามารถถลดปริมาณขขยะมูลฝอยที่จะไปฝังกลบโโดย
การนํนํามาใช้ประโยยชน์ได้มากกว่ว่า 80% หรือประมาณ อ 7,000 ตันต่อวันจากข้อมูลขของ
สํ า นั กรั
ก ก ษาความมสะอาด กรุรุ ง เทพมหานนครที่ เ คยศึ กษาไว้ ก พ บว่ า ขยะมู ล ฝออยที่
กรุงเททพมหานคร เก็บรวบรวมไได้ประกอบด้ด้วย เศษอาหหาร ใบไม้ กิ่ งไม้ ง มากที่สุ ดดถึง
ไ ล 30% ขยะทั่ ว ไป 17% และขยยะอั น ตราย 3%
ร้ อ ยลละ 50 ที่ เ หลืลื อ เป็ น วั ส ดุ รี ไซเคิ
หมวดสิสิ่งแวดล้อมสําหรั
ห บวิศวกร 117
ซึ่งจากองงค์ประกอบดังกล่
ง าวดังแสดดงในรูปที่ 13.3 แสดงให้เห็นว่าขยะอินทรี ท ย์ส่วนใหญ่
ญ
ม บขยะชุมชนนทําให้เกิดการเน่าเหม็นแลละเป็นแหล่งเพพาะพันธุ์เชื้อโรค
ถูกทิ้งร่วมกั โ
รูปที
ป ่ 13.3 ส่วนประกอบของ
น งขยะมูลฝอยชชุมชน
ย
น่า
ขยะอินทรีย์ที่ถูกฝังกลบไไว้ใต้ดินจะเกิดการหมั
ด กแบบไร้อากาศปลลดปล่อยก๊าซ
มี เ ทนที่ ส่ส่ ง ผลกระทบ ต่ อ ภาวะโลกกร้ อ นมากกว่ าก๊ า ซคาร์ บอนไดออกไซ
อ ด์ ถึ ง 21 เท่ า
นอกจากนนั้นการเผาทําลายขยะในที
า ที่โล่งไม่มีระบบบควบคุมมลพิพิษอากาศจะปปล่อยก๊าซพิษ
ําห
ที่ทําลายสสุขภาพของเรราเอง รวมถึงขยะอั ง นตรายยและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่เพิ่มขึ้นอย่าง
ห กฝังกลบบหรือทําลายไไม่ถูกวิธีจะส่งผลเสียอย่างร้ร้ายแรงต่อมนุษย์ทีเดียว
ต่อเนื่อง หากถู
มจ
ปัญหาภาาวะโลกร้อน
ภาวะโลกร้อนอ (Global Warming)
W ที่เรามั
เ กพูดถึงในนปัจจุบันเป็นส่น วนหนึ่งของ
ห้า
การเปลี่ยนแปลงด้
ย านสสภาพภูมิอากาาศ (Climatee Change) คือ การที่อุณหภู ห มิเฉลี่ยของ
โลกเพิ่ม ขึ้น จากผลขอองภาวะเรือนกระจกน หรือที
อ ่เรารู้จักกันดี
น ใ นชื่อว่า Greenhouse
G e
Effect
สาเหตุ ห ลั กของปั
ก ญ หาโโลกร้ อ น เกิ ดจากปริ
ด ม าณ
ณก๊ า ซเรื อ นก ระจก ได้ แ ก่
ก๊าซคาร์บอนไดออกไ
บ ไซด์ ก๊า ซมีเทน
ท ไนตรัส ออกไซด์ ก๊าซไฮโดรฟลูซ ออโรคาร์
อ บอนน
มีปริมาณณเพิ่ม ขึ้นเนื่องจากการเผา
ง าไหม้เชื้อเพลิลิง การขนส่ง และ การผลิลิ ตในโรงงานน
อุตสาหกรรรม ก๊าซเรือนกระจกเหล่
น านี้ส่งผลให้ชั้นบรรยากาศกักเก็
ก บรังสีความมร้อนมากขึ้น
เรื่อยๆ จนนเกิดเป็นภาววะโลกร้อน ปรระเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นลําดับที่ 4
118 หมวดสิ่งแวดล้อมสํ
ม าหรับวิศวกรร
ของอาเซียนและเป็นลําดับที่ 31 ของโลก โดยภาคพลังงานมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
มากที่สุด คิดเป็น 69.6% รองลงมาเป็นภาคเกษตรกรรม คิดเป็น 22.6%
ผลกระทบที่เกิดตามมามีดังนี้
1. ระดับน้ําทะเลเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากธารน้ําแข็งที่กําลังละลาย และอุณหภูมิ
ทั่วโลกที่กํ าลังสูงขึ้นจากการขยายตัวทางความร้อนของน้ําในมหาสมุทร ธารน้ําแข็ง
ละลายส่งผลให้ระดับน้ําทะเลทั่วโลกขยับสูงขึ้น 1 นิ้ว ภายในระยะเวลา 10 ปี
2. มี ค วามเสี่ ย งมากขึ้ น ที่ จ ะเกิ ด สภาพอากาศรุ น แรง เช่ น คลื่ น ความร้ อ น
ความแห้งแล้ง และ น้ําท่วม ในปัจจุบันความแห้งแล้งทั่วโลกได้เพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต
30 ปีที่ผ่านมาประมาณ 2 เท่า
3. ภั ย ธรรมชาติ ที่ รุ น แรงและเกิ ด ขึ้ น อยู่ ต่ อ เนื่ อ งในระดั บ ภู มิ ภ าค และ
มีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต ตัวอย่างเช่น ในยุโรปจะเกิดน้ําท่วม
จากแม่น้ําเพิ่มขึ้นในพื้นที่ส่วนมากของทวีป และตามพื้นที่ชายฝั่งเสี่ยงต่อน้ําท่วม การกัด
เซาะและการสูญเสียพื้นที่ชายฝั่งทะเลเพิ่มขึ้นอย่างมาก
4. ระบบทางธรรมชาติ ได้แก่ ธารน้ําแข็ง ปะการัง ป่าชายเลน ระบบนิเวศป่า
เขตร้อน เขตลุ่มน้ําและเขตทุ่งหญ้าในท้องถิ่น จะถูกคุกคามอย่างรุนแรง
ย
5. สัตว์สายพันธุ์ต่าง ๆ เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากขึ้นและเกิดการสูญเสียความ
น่า
หลากหลายทางชีวภาพ
6. โรคติดต่อในเขตร้อนก็มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น และจะคร่าชีวิตผู้คนเป็น
จํานวนมากเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ ไข้มาลาเรีย ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะ เนื่องจากการ
ําห
ขยายพันธุ์ของยุงจะมากขึ้นในสภาวะแวดล้อมที่ร้อนขึ้นและฤดูกาลที่ไม่แน่นอน
7. แนวโน้มของผลผลิตทางการเกษตรที่ลดลงจากภัยธรรมชาติ อาจนําไปสู่
ภาวะขาดแคลนอาหาร และความอดอยาก ทํ า ให้ เ กิ ด ภาวะขาดสารอาหาร และ
มจ
ภูมิต้านทานร่างกายต่ํา โดยเฉพาะในเด็กและคนชรา
การคาดการณ์ว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2533-2643 อุณหภูมิของโลกจะเพิ่มสูงขึ้นจาก
ห้า
ระดับความรุนแรงและอันตรายของมลพิษ
ในปัจจุบัน ปัญหาทรัพยากรน้ําเริ่มมีปัญหาขาดแคลนอย่างรุนแรงโดยเฉพาะ
ในช่ ว งฤดู แ ล้ ง สภาวะมลพิ ษ ในน้ํา นั บ วั น จะมี เ พิ่ ม สูง ขึ้ น เนื่ อ งจากการระบายน้ํ า ทิ้ ง
ทั้งจากภาคครัวเรือน ภาคพาณิชยกรรม ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรม รวมทั้ง
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 119
การทําเหมืองแร่ซึ่งทําให้เกิดสารพิษเจือปนไปในน้ํา คุณภาพอากาศเสื่อมโทรมลงเพราะ
การปล่ อ ยควั น พิ ษ ของโรงงานอุ ต สาหกรรม การปล่ อ ยควั น จากเครื่ อ งยนต์ ที่ ไ ม่ ไ ด้
มาตรฐานโดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ๆรวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมทาง
เศรษฐกิจต่างๆ ที่ทําให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น
ระดับความรุนแรงของความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ
นั้ น มี ค วามสั ม พั น ธ์ โ ดยตรงกั บ ปริ ม าณและประเภทของสารมลพิ ษ ที่ ป นเปื้ อ นใน
สิ่ ง แวดล้ อ มโดยปกติ แ ล้ ว ระบบสิ่ ง แวดล้ อ มไม่ ว่ า จะเป็ น ทางน้ํ า ดิ น และอากาศ
มีความสามารถในการรับมลพิษ ในระดับที่แตกต่างกัน ถ้าหากระดับของการปนเปื้อน
ทางสิ่งแวดล้อมมีค่าสูงกว่าค่า Assimilative capacity แล้วจะก่อให้เกิดปัญหามลพิษ
ตามมา
ความสามารถของระบบนิเวศในการทําให้มลพิษบางประเภทย่อยสลายหรือมี
ความเข้ ม ข้นลดลงได้ในระดั บหนึ่ งเรี ยกว่า Self Purification แต่ความสามารถนี้ก็มี
ขีดจํากัดเมื่ออัตราการเกิดหรือสะสมของมลพิษอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่า Assimilative
Capacity มลพิษเหล่านั้นก็จะสะสมในสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ อาจสูงจนถึงระดับที่
ย
ก่อให้เกิดอันตรายกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อยู่ในระบบนิเวศได้
น่า
ดัชนีวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อม
การศึ ก ษาและพั ฒ นาดั ช นี บ่ ง ชี้ ส ภาวะสิ่ ง แวดล้ อ มหรื อ ดั ช นี วั ด คุ ณ ภาพ
ําห
สิ่งแวดล้อมได้มีการเริ่มต้นอย่างเป็นระบบที่ประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกาเพื่อสามารถ
ใช้เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ทราบถึงสภาวะของสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่และผลกระทบจาก
กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ที่มีต่อสภาวะแวดล้อมนั้นว่ามีมากน้อยเพียงใด กล่าวอีกนัยหนึ่ง
มจ
ก็คือเป็นเครื่องบ่งชี้ในการบ่งบอกถึงระดับการปนเปื้อนด้านคุณภาพของสิ่งแวดล้อม
ได้แก่ การปนเปื้อนของมลสารในสิ่งแวดล้อมน้ํา ดิน อากาศ ของเสียที่เป็นพิษและอื่นๆ
นอกจากนี้ยังสามารถนําดัชนีวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมมากําหนดเป็นค่าอ้างอิงของเกณฑ์
ห้า
มาตรฐานทางสิ่งแวดล้อมในการบังคับใช้ทางกฎหมายต่อไป รวมทั้งเป็นการช่วยกระตุ้น
ให้ทั้งผู้บริหารประเทศและประชาชนทั่วโลกเกิดการตื่นตัว และหันมาให้ความใส่ใจกับ
เรื่องสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น
1.ดัชนีคุณภาพน้ํา
เป็ น ค่ า ที่ ใ ช้ ต รวจสอบคุ ณ ภาพน้ํ า ของแหล่ ง น้ํ า โดยเปรี ย บเที ย บกั บ
ค่ามาตรฐานของคุณภาพน้ําประเภทต่างๆ หรือลักษณะเฉพาะของน้ําทิ้งที่จะปล่อยทิ้งสู่
120 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
สิ่งแวดล้อมโดยเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานน้ําทิ้งจากแหล่งต่างๆ ที่กําหนดไว้ ได้แก่
มาตรฐานคุ ณ ภาพน้ํ า ดื่ ม มาตรฐานคุ ณ ภาพน้ํ า ผิ ว ดิ น มาตรฐานคุ ณ ภาพน้ํ า ใต้ ดิ น
มาตรฐานคุณภาพน้ําทะเล มาตรฐานคุณภาพน้ําทิ้งจากอาคารมาตรฐานคุณภาพน้ําทิ้ง
จากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น สําหรับดัชนีคุณภาพน้ําสามารถแบ่งประเภทดังนี้
ดั ช นี ท างกายภาพ ได้ แ ก่ ลั ก ษณะเฉพาะของน้ํ า ด้ า นสี กลิ่ น รส
ความขุ่นของน้ํา เป็นต้น
ดัชนีทางเคมี ได้แก่ ลักษณะเฉพาะของน้ําด้านปริมาณของแข็งทั้งหมด
ความเป็ น กรด-ด่ า งบี โ อดี ซี โ อดี ปริ ม าณออกซิ เ จนละลายในน้ํ า
ฟอสฟอรั ส ไนโตรเจนไขมั น และน้ํ า มั น โลหะหนั ก และสารพิ ษ เช่ น
เหล็ก แมงกานีส ทองแดงสังกะสี ปรอท ตะกั่ว แคดเมียม โครเมียม
เป็นต้น
ดัชนีทางชีววิทยา ได้แก่ ลักษณะเฉพาะของน้ําด้านแบคทีเรีย ไวรัส
สาหร่าย เป็นต้น
ย
เป็นค่าที่ใช้ตรวจสอบคุณภาพอากาศ โดยเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน
น่า
คุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไปของพารามิเตอร์ที่ตรวจวัด ได้แก่ ก๊าซซัลเฟอร์ได
ออกไซด์ (SO2) ก๊ า ซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) ก๊ า ซคาร์ บ อนมอนอกไซด์ (CO)
ก๊าซโอโซน (O3) ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10)
ําห
3. ดัชนีวัดคุณภาพดิน
มจ
จะใช้ในการกําหนดมาตรฐานปริมาณการปนเปื้อนของสารเคมีต่างๆ ในดิน
และประเมินระดับความเสี่ยงต่อสุขภาพของคนและสิ่งแวดล้อมเมื่อทํากิจกรรมบริเวณ
ที่ดินนั้น สําหรับพารามิเตอร์ในการตรวจวัดปริมาณการปนเปื้อนของสารเคมีต่างๆ ในดิน
ห้า
ได้แก่
ปริมาณสารอินทรีย์ระเหยง่าย ได้แก่ โทลูอีน ไซลีน เบนซีน คาร์บอน
เตตระคลอไรด์ เป็นต้น
โลหะหนัก ได้แก่ ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม โครเมียม ทองแดง เป็นต้น
สารป้องกันกําจัดศัตรูพืช ได้แก่ ดีดีที อะทราซิน ดิลดริน เป็นต้น
สารพิษอื่นๆ ได้แก่ พีซีบี ไซยาไนด์ ไวนิลคลอไรด์ เป็นต้น
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 121
แนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษและลดผลกระทบ
ปั ญ หามลพิ ษ เป็ น ปั ญ หาสํ า คั ญ ที่ เ กิ ด จากการพั ฒ นาด้ า นอุ ต สาหกรรม
เกษตรกรรม และชุมชนอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย และ
ความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศ ประกอบกับนโยบายและมาตรการต่างๆ ของ
ประเทศไทย ที่ผ่านมามุ่งเน้นไปที่การควบคุมมลพิษด้วยการบําบัดมลพิษหรือการบําบัด
ที่ปลายท่อ (End-of-Pipe Treatment) ก่อนปล่อยทิ้ง ซึ่งเป็นการบําบัดที่ปลายเหตุ
ดั ง นั้ น การป้ อ งกั น ไม่ ใ ห้ เ กิ ด มลพิ ษ (Pollution Prevention) หรื อ การลดมลพิ ษ ที่
แหล่งกําเนิด (Source Reduction) จึงเป็นแนวทางไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนโครงการที่
ส่ ง ผลกระทบต่ อ สิ่ ง แวดล้ อ ม ให้ มี ก ารศึ ก ษาจั ด ทํ า รายงานวิ เ คราะห์ ผ ลกระทบต่ อ
สิ่งแวดล้อม (EIA) เพื่อหามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้
มีการติดตามตรวจสอบและประเมินผลการดําเนินการของโครงการต่อไป
การจัดการสิง่ แวดล้อม
ประชากรเพิ่มมากขึ้น ทําให้เกิดความต้องการด้านอุปโภคบริโภคและสิ่งอื่นๆ
ย
เพิ่มขึ้นตามไปด้วย จึงมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและ
น่า
อุตสาหกรรมด้วยอัตราที่รวดเร็ว โดยไม่คํานึงถึงปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เกิดจาก
การพัฒนา ทําให้เกิดปัญหาความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงในปัจจุบัน ทําให้
ประเทศไทยและทั่วโลกต่างมีมุมมองเดียวกันว่า ต้องหาทางแก้ไขปัญหาและป้องกัน
ําห
ปัญหาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น ซึ่งต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้ความชํานาญและประสบการณ์ในการ
จัดการสิ่งแวดล้อมอย่างถูกต้องมีขั้นตอน ต้องสร้างรูปแบบการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
มจ
ผู้ประกอบการและประชาชนให้มีจิตสํานึกของด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยจัดลําดับ
ความสํ าคั ญ ของการป้ องกั น มลพิ ษ ด้า นการลดที่แ หล่ง กํ าเนิ ด การใช้ซ้ํา หรือ การใช้
หมุนเวียน ก่อนการบําบัด และการกําจัดหรือการนําไปทิ้ง สําหรับโครงการที่มีขนาดใหญ่
หรืออาจก่อปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ
ต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) รวมทั้งมีมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีการบริหาร
จัดการในองค์กรที่มีการคํานึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
122 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
1. เทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology)
หมายถึง การพัฒนา ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตหรือผลิตภัณฑ์
อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้วัตถุดิบ พลังงาน และทรัพยากรธรรมชาติเป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยการลดมลพิษที่แหล่งกําเนิด
และมีของเสียเกิดขึ้นน้อยที่สุด ด้วยการเปลี่ยนวัตถุดิบ การใช้ซ้ําและการนํากลับมาใช้
ใหม่เพื่อให้มีของเสียที่ต้องทําการบําบัดและการกําจัดหรือทิ้งทําลายเหลืออยู่น้อยที่สุด
หรือไม่มีเลย โดยได้รับความร่วมมือจากทุกคนในองค์กร บ้าน และชุมชน
การลดที่แ่แหล่
การลดที หล่งงกํกําาเนิเนิดด
CT
การนํากลับมาใช้ใหม่/การใช้ซ้ํา
การบําบัด
ย
น่า การกําจัด
ําห
รูปที่ 13.4 การจัดการสิ่งแวดล้อม
1.1 เทคนิคของเทคโนโลยีสะอาด
มจ
การลดมลพิษที่แหล่งกําเนิดนั้น ต้องมีการค้นหาแหล่งกําเนิดของของเสีย
หรื อ มลพิ ษ และวิ เ คราะห์ห าสาเหตุ ว่า ของเสี ย หรื อ มลพิ ษ เหล่ า นั้ น เกิ ด ขึ้น ได้ อย่ า งไร
ห้า
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 123
รูปที่ 13.5 เทคนิคของเทคโนโลยีสะอาด
1.2 ขั้นตอนการทําเทคโนโลยีสะอาด
1) วางแผนและจัดองค์กร กําหนดนโยบาย วัตถุประสงค์ เป้าหมาย
และตั้งคณะทํางาน
ย
2) ทําการประเมินเบื้องต้น เพื่อเลือกบริเวณที่จะทําการประเมิน
น่า
3) ทําการประเมินโดยละเอียด จัดทําสมดุลมวล และพลังงาน เพื่อทํา
ให้ทราบสาเหตุ และแหล่งกําเนิดของเสียหรือมลพิษ
4) ศึกษาความเป็นไปได้ ศึกษาในแต่ละทางเลือก และความพร้อม
ําห
ของข้อมูล ประเมินความคุ้มค่าในการลงทุน
5) ลงมือปฏิบัติตามแผนปฏิบัติงานที่ได้วางแผนไว้
มจ
6) ติดตามประเมินผลเพื่อให้แน่ใจว่าปฏิบัติตามแผนงานที่กําหนดไว้
ปัจจัยสําคัญสูค่ วามสําเร็จในการทําเทคโนโลยีสะอาด
ห้า
1. ความมุ่งมั่นของผู้บริหาร
2. ความมั่นคงในนโยบาย
3. การได้รับการฝึกอบรมในทุกระดับ
4. ทุกคนมีศรัทธา และเห็นคุณค่าของเทคโนโลยีสะอาดอย่างแท้จริง
5. สร้างแรงจูงใจที่เหมาะสม
6. การมีส่วนร่วมของพนักงานทุกระดับอย่างสม่ําเสมอ
124 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
7. มีแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่ทันสมัย
8. ทีมงานที่มีประสิทธิภาพ
9. ทําเทคโนโลยีสะอาดอย่างต่อเนื่อง
2. การบําบัดและการกําจัดมลพิษ
ก่อนการบําบัดหรือกําจัดมลพิษจะต้ องทราบชนิดหรือประเภทของมลพิษ ที่
ศึ ก ษาหรื อ แก้ ไ ข ต้ อ งหาแหล่ ง กํ า เนิ ด มลพิ ษ ในกระบวนการผลิ ต ตั้ ง แต่ ต้ น จนถึ ง
กระบวนการสุดท้าย ค่ามาตรฐานหรือความต้องการของสังคมหรือรัฐ เทคโนโลยีที่จะใช้
ในการบําบัดหรือการกําจัดมลพิษ รวมทั้งการวางแผนงาน ติดตามตรวจการดําเนินการ
ของโครงการ เพื่อติดตามประสิทธิภาพของระบบบําบัดหรือการกําจัดมลพิษ
เทคโนโลยี ก ารบํ า บั ด หรื อ กํ า จั ด มลพิ ษ อาจจะเป็ น การใช้ เ ครื่ อ งยนต์ ก ลไก
กระบวนการ หรือผลิตภัณฑ์มาประยุกต์ใช้ แล้วทําให้ปริมาณ ความเข้มข้น หรือคุณภาพ
ของมลพิษลดลง เจือจาง หรือลดความเป็นพิษ จนไม่เกิดอันตรายต่อคน สัตว์ พืช และ
ย
สิ่งแวดล้อมอื่นๆ ซึ่งสามารถแบ่งวิธีการออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1. วิธีการทางกายภาพ (Physical method)
น่า
เป็ น วิ ธี ก ารที่ ใ ช้ เ ทคโนโลยี ก ารกวาด (skimming) การดั ก ด้ ว ยตะแกรง
(screening) การทําให้ลอย (floatation) การทําให้เป็นตะกอน (precipitation) การตก
ําห
ตอน (sedimentation) ก า ร แ ย ก ด้ ว ย แ ร ง เ ห วี่ ย ง (centrifugation) ก า ร ก ร อ ง
(filtration) ก า ร ดู ด ซึ ม (absorption) ก า ร ดู ด ซั บ (adsorption) ก า ร ส ะ ท้ อ น
มจ
มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม
มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมเป็นมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดระบบงาน
ในองค์กร รวมถึงโครงสร้างองค์กร การรับผิดชอบ การปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอน และ
ตามกระบวนการเพื่อให้บรรลุผลตามนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมพร้อมทั้งทําให้เกิดการ
ย
ปรับปรุงระบบการจัดการให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีวัตถุประสงค์ให้เป็น
น่า
เครื่ อ งกี ดกั น ทางการค้ า โดยให้ มี ก ารคํ านึ ง ถึง สภาพแวดล้ อ มอย่ า งชั ด เจน เนื่ อ งจาก
ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นจะต้องแก้ปัญหา
สิ่ ง แวดล้ อ มทั้ ง ด้ า นเชิ ง รั บ และเชิ ง รุ ก การแก้ ปั ญ หาด้ า นเชิ ง รั บ ได้ แ ก่ การควบคุ ม
ําห
การปล่อยน้ําทิ้งการควบคุมการปล่อยอากาศเสียการควบคุมการจัดการของเสียอันตราย
เป็นต้นการแก้ปัญหาด้านเชิงรุก ได้แก่ การป้องกันและการลดมลพิษจากกระบวนการ
ผลิ ต การจั ด ทํ า ระบบการจั ด การสิ่ ง แวดล้ อ ม เป็ น ต้ น การจั ด ทํ า ระบบการจั ด การ
มจ
ทั้งยังมีผลต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและช่วยในการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ก่อนที่จะกล่าวต่อไปเกี่ยวกับ ISO 14000 จะขออธิบายความหมายให้ชัดเจน
ก่ อ นว่ า ISO 14000 คื อ อะไร ISO 14000 เป็ น มาตรฐานในการจั ด การธุ ร กิ จ ที่ มี
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นระบบ โดยให้พิจารณาตั้งแต่การออกแบบ การวิจัย
พั ฒ นา การผลิ ต การส่ ง มอบ การนํ า ไปใช้ ง าน การนํ า กลั บ มาใช้ ใ หม่ จนสิ้ น สุ ด ที่
การกําจัดขั้นสุดท้าย ISO 14000 เป็นชุดของมาตรฐานที่ประกอบไปด้วยมาตรฐานหลาย
เล่ ม เริ่ ม ต้ น ตั้ ง แต่ ห มายเลข 14001 จนถึ ง 14100 (ปั จ จุ บั น ISO กํ า หนดเลขสํ า หรั บ
มาตรฐานในอนุ ก รมนี้ ไ ว้ 100 หมายเลข) โดยแต่ ล ะเล่ ม เป็ น เรื่ อ งของมาตรฐานที่
126 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้นในการกล่าวถึง ISO 14000 จะเรียกว่าอนุกรม
มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม "ISO 14000 Series"
ย
2.1 Environmental Auditing and Related1 Environmental
น่า
Investigations (EA) เป็นมาตรฐานว่าด้วยการตรวจประเมินสิ่งแวดล้อมซึ่งประกอบด้วย
3 มาตรฐาน ได้แก่
ําห
ISO 14010 เป็ น มาตรฐานของการกํ า หนดแนวทางและหลั ก การ
ในการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมทุกประเภท
มจ
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 127
ISO 14031 เป็นมาตรฐานของการกําหนดแนวทางในการวัดผลการ
ดําเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและมาตรวัดปัจจัยที่มีผลต่อการดําเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม
3. ผลิตภัณฑ์ เป็นชุดมาตรฐานว่าด้วยผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย 2 มาตรฐาน
ชุดหลัก ได้แก่
3.1 Environmental Labeling (EL) เ ป็ น ม า ต ร ฐ า น ว่ า ด้ ว ย ฉ ล า ก
สิ่งแวดล้อมซึ่งประกอบด้วย 5 มาตรฐาน
3.2 Life Cycle Assessment (LCA) เป็นมาตรฐานว่าด้วยการประเมิน
วัฏจักรของผลิตภัณฑ์ซึ่งประกอบด้วย 4 มาตรฐาน
ย
น่า
ําห
มจ
ห้า
128 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
ตรวจสอบ(CHECK) แก้ไข(ACT) หรือที่เรียกกันว่า P D C A หลักการของมาตรฐาน
ISO 14001 สามารถสรุปได้ดังนี้
1. นโยบายสิ่งแวดล้อม (Environmental policy) การจัดการสิ่งแวดล้อม
เริ่มด้วยผู้บริหารสูงสุดขององค์กรต้องมีความมุ่งมั่นที่จะดําเนินการอย่างจริงจังและ
กําหนดนโยบายสิ่งแวดล้อมขององค์กรขึ้นเพื่อเป็นแนวทางสําหรับการดําเนินงานของ
พนักงานในองค์กรซึ่งควรที่จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมเข้ามาเป็นที่
ปรึกษาให้แก่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กร
2. การวางแผน (Planning) เพื่อให้บรรลุนโยบายสิ่งแวดล้อมองค์กรจึงต้อง
มีการวางแผนในการดําเนินงานโดยต้องครอบคลุมถึงองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้
แจกแจงรายละเอียดของกิจกรรมต่างๆในองค์กรที่มี ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ
สิ่งแวดล้อมรวมถึงกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก
แจกแจงข้อกําหนดทางกฎหมายและข้อกําหนดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ
องค์กร
จั ด ทํ า วั ต ถุ ป ระสงค์ แ ละเป้ า หมายในการจั ด การกิ จ กรรมต่ า งๆ ที่ มี
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและ
ย
จัดทําโครงการการจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้างต้น
น่า
3. การดํ า เนิ น การ (Implementation) เพื่ อ ให้ ก ารดํ า เนิ น การด้ า นการ
จัดการสิ่งแวดล้อมเป็นไปตามแผนที่ได้วางไว้ องค์กรควรดําเนินการให้ครอบคลุมถึง
องค์ประกอบต่างๆ ดังนี้
ําห
กํ า หนดโครงสร้า งและอํ า นาจหน้า ที่ ค วามรั บผิ ด ชอบในการจั ด การ
สิ่งแวดล้อม
มจ
ดําเนินการเผยแพร่ให้พนักงานในองค์กรทราบถึงความสําคัญในการ
จั ด การสิ่ ง แวดล้ อ มพร้ อ มทั้ ง จั ด การฝึ ก อบรมตามความเหมาะสมเพื่ อ ให้ พ นั ก งานที่
เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อมได้มคี วามรู้และความชํานาญในการดําเนินงาน
ห้า
จัดทําและควบคุมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อมให้เป็น
ระบบและมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ควบคุมการดําเนินงานต่างๆ ให้สามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์และ
เป้าหมายที่กําหนดไว้
จัดทําแผนดําเนินการหากมีอุบัติเหตุต่างๆ เกิดขึ้นรวมทั้งมีการซักซ้อม
การดําเนินการอย่างสม่ําเสมอ
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 129
4. การตรวจสอบและการแก้ไข (Checking & corrective action) เพื่อ
ให้การจัดการสิ่งแวดล้อมได้รับการตรวจสอบและแก้ไขการดําเนินการขององค์กรต้อง
ครอบคลุมถึงองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้
ติดตามและวัดผลการดําเนินการโดยเปรียบเทียบกับแผนที่วางไว้
แจกแจงสิ่งต่างๆ ที่ไม่เป็นไปตามแผนการจัดการสิ่งแวดล้อม
ดําเนินการแก้ไข
จัดทําบันทึกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อม
ตรวจประเมินระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ําเสมออย่างต่อเนื่อง
5. การทบทวนและการพัฒนา (Management review) ผู้บริหารองค์กร
ต้องทบทวนระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมในระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้การจัดการ
สิ่งแวดล้อมได้มีการพัฒนาอย่างสม่ําเสมอ
ประโยชน์ของการจัดทําระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม
ประโยชน์ของการจัดทําระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมตามอนุกรมมาตรฐาน
ย
ISO 14000 สามารถสรุปได้เป็นข้อ ๆ ดังนี้
1. ช่วยในการพัฒนาที่ยั่งยืน
น่า
2. เพิ่มในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากหลายประเทศที่
เป็นคู่ค้าได้คํานึงถึงคุณภาพสิ่งแวดล้อม และคํานึงถึงรายละเอียดของแหล่งกําเนิดของ
ําห
วัตถุดิบ กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผลผลิต ตลอดจนผลผลิตที่ถูกใช้แล้ว
ว่าไปไหน ได้ไปรบกวนสิ่งแวดล้อมหรือไม่
3. เกิดการลดการเกิดของเสียให้น้อยที่สุด (Waste Minimization)
มจ
130 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)
การวิ เ คราะห์ ผ ลกระทบสิ่ ง แวดล้ อ ม (EIA) เป็ น การศึ ก ษาเพื่ อ คาดการณ์
ผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งในทางบวกและทางลบจากการพัฒนาโครงการและกิจการต่างๆ
ที่ สํ า คั ญ เพื่ อ จํ า แนกและคาดคะเนผลกระทบที่ ค าดว่ า จะเกิ ด ขึ้ น จากโครงการหรื อ
กิ จ กรรม ตลอดจนการเสนอแนะมาตรการในการแก้ ไ ขผลกระทบ (Mitigation
measure) และแผนการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม (Monitoring plan) ทั้ง
ในระหว่างการก่อสร้างและการดําเนินโครงการซึ่งเป็นการกําหนดมาตรการป้องกันและ
แก้ไขผลกระทบสิ่ งแวดล้อมและใช้ในการประกอบการตัดสินใจพัฒนาโครงการและ
กิ จ การนั้ น ๆ ผลการศึ ก ษานี้ จ ะจั ด ทํ า เป็ น เอกสาร เรี ย กว่ า รายงานการวิ เ คราะห์
ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ประเทศพัฒนาแล้ว
ต่างนํามาใช้ใ นงานการจัดการสิ่งแวดล้อมเนื่องจากการพัฒนาย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยง
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติได้ อย่างไรก็ตามการผนวก
การพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นโครงการหรือระยะวางแผนย่อมจะช่วย
ลดผลกระทบพร้อมกับส่งเสริมให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ประเทศมีจํากัดอย่าง
ย
ระมัดระวังและมีประโยชน์สูงสุดในประเทศไทยได้มีการใช้ระบบการประเมินผลกระทบ
น่า
สิ่งแวดล้อมตั้งแต่ปีพ.ศ. 2524 ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
แห่งชาติ พ.ศ. 2535 ในปัจจุบันได้มีการกําหนดประเภทและขนาดของโครงการจํานวน
35 ประเภท (ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กําหนด
ําห
ประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ
สิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทํารายงาน
การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม) ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่หรือมีลักษณะที่อาจก่อ
มจ
ปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ต่อสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เพื่อพิจารณา
ห้า
ประกอบการอนุญาตหรืออนุมัติโครงการของหน่วยงานผู้อนุญาตหรือคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้
รายงานฯ จะต้องจัดทําโดยผู้มีสิทธิทํารายงานฯ ซึ่งจดทะเบียนกับสํานักงานนโยบายและ
แผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ประโยชน์ของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ประโยชน์ของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสามารถใช้ในการวางแผน
การใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยพิจารณาผลกระทบต่อคุณภาพ
สิ่งแวดล้อมและความรุนแรงจากการพัฒนาโครงการเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถหา
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 131
มาตรการในการป้ อ งกั น และแก้ ไ ขผลกระทบที่ อ าจเกิ ด ขึ้ น นั้ น อย่ า งเหมาะสมก่ อ น
ดําเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าได้คาดการณ์ประเด็นปัญหาสําคัญอันเกิดขึ้นจากการพัฒนา
โครงการเป็ นไปอย่างถู กต้องตามหลักวิชาการและเลือกมาตรการที่ เป็นไปได้ในทาง
ปฏิบัติและค่าใช้จ่ายน้อย ช่วยเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจในการลงทุนหรือพัฒนา
โครงการการเตรียมแผนงานแผนการเงินในการจัดการสิ่งแวดล้อม และเป็นแนวทาง
กํ า หนดแผนการติ ด ตามตรวจสอบผลกระทบต่ า งๆ ทั้ ง ที่เ กิ ด ขึ้ น ภายหลั ง ได้ โดยผล
การศึกษายังเป็นข้อมูลที่จะให้ความกระจ่างต่อสาธารณชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อป้องกันความขัดแย้งของการใช้ทรัพยากรได้และเป็นหลักประกันเพื่อให้โครงการได้มี
การคํานึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนในระยะยาว (Long - term sustainable)
ประเด็นสิ่งแวดล้อมในการจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
1. ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางกายภาพศึกษาถึงผลกระทบทางกายภาพว่ามีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างไร
2. ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพศึกษาการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อระบบนิเวศ
ย
3. คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ศึกษาการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทั้ง
กายภาพและชีวภาพของมนุษย์ว่าได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด
น่า
4. คุณ ค่าต่อคุณภาพชี วิตศึกษาผลกระทบต่อมนุษย์ ชุ มชน ระบบเศรษฐกิจ
สั ง คมและการสาธารณสุ ข อาชี ว อนามั ย การประกอบอาชี พ วั ฒ นธรรมประเพณี
ําห
ทัศนียภาพ คุณค่าความสวยงาม
มจ
ห้า
132 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเรื่องกําหนดประเภท
และขนาดของโครงการหรื อ กิ จ การที่ ต้ อ งจั ด ทํ า รายงานวิ เ คราะห์
ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (ประกาศเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2555)
ตารางที่ 13.1 สรุปประเภทขนาดของโครงการที่ต้องจัดทํารายงานการวิเคราะห์
ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
1. การทําเหมืองแร่ตามกฎหมายว่า
ด้วยแร่
1.1 โครงการเหมืองแร่ดังต่อไปนี้
เหมืองแร่ถ่านหิน ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
เหมืองแร่โพแทช ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
เหมืองแร่เกลือหิน ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
เหมือนแร่หินปูนเพื่อ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
เหมืองแร่โลหะทุกชนิด ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
ย
1.2 โครงการเหมืองแร่ใต้ดิน
น่า ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
1.3 โครงการเหมืองแร่ทุกชนิดที่ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่อไปนี้
พื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มแม่น้ําชั้น ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
ําห
1 ตามมติคณะรัฐมนตรี
ป่าอนุรักษ์เพิ่มเติมตามมติ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
คณะรัฐมนตรี
มจ
ประวัติศาสตร์ หรืออุทยาน
ประวัติศาสตร์ตามกฎหมายว่า
ด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ
ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์
สถานแห่งชาติ แหล่งมรดก
โลกที่ขึ้นบัญชีแหล่งมรดกโลก
ตามอนุสัญญาระหว่าง
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 133
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
ประเทศในระยะทาง 2
กิโลเมตร
1.4 โครงการเหมืองแร่ที่มีการใช้ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
วัตถุระเบิด
1.5 โครงการเหมืองแร่ชนิดอื่นๆ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอประทานบัตร
ตามกฎหมายว่าด้วยแร่ ยกเว้น
ตามข้อ1.1 ข้อ 1.2 ข้อ 1.3 และ
ข้อ 1.4
2 การพัฒนาปิโตรเลียม
2.1 การสํารวจปิโตรเลียม โดย ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอรับความ
วิธีการเจาะสํารวจ เห็นชอบจากหน่วยงาน
ผู้รับผิดชอบหรือหน่วยงานผู้
อนุญาตตามกฎหมายว่าด้วย
ปิโตรเลียม
ย
2.2 การผลิตปิโตรเลียม ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอรับความ
เห็นชอบจากหน่วยงาน
น่า ผู้รับผิดชอบหรือหน่วยงานผู้
อนุญาตตามกฎหมายว่าด้วย
ปิโตรเลียม
ําห
3 โครงการระบบขนส่งปิโตรเลียม ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขอใบอนุญาต
และน้ํามันเชื้อเพลิงทางท่อ หรือขั้นขอรับความเห็นชอบ
จากหน่วยงานที่รับผิดชอบ
มจ
เช่นเดียวกับนิคมอุตสาหกรรม
หรือโครงการจัดสรรที่ดินเพื่อการ
อุตสาหกรรม
5 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่มี ที่มีกําลังผลิต ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
กระบวนการผลิตทางเคมี ตั้งแต่ 100 ตัน ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ต่อวันขึ้นไป หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
134 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
6 อุตสาหกรรมกลั่นน้ํามัน ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ปิโตรเลียม ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
7 อุตสาหกรรมแยกหรือแปรสภาพ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ก๊าซธรรมชาติ ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
8 อุตสาหกรรมคลอแอลคาไลน์ ที่มีกําลังผลิตสาร ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
(Chlor alkali industry) ดังกล่าว แต่ละ ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ที่ใช้โซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ชนิดหรือรวมกัน หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
เป็นวัตถุดิบในการผลิต โซเดียม ตั้งแต่ 100 ตัน กิจการแล้วแต่กรณี
คาร์บอเนต (Na2CO3) ต่อวันขึ้นไป
โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH)
กรดไฮโดรคลอริก (HCl) คลอรีน
ย
(Cl2) โซเดียมไฮโพคลอไรด์
น่า
(NaOCl ) และปูนคลอรีน
(Bleaching Powder)
9 อุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ําห
ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการ แล้วแต่กรณี
มจ
กิจการ แล้วแต่กรณี
11 อุตสาหกรรมที่ผลิตสารออกฤทธิ์ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
หรือสารที่ใช้ป้องกันหรือกําจัด ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ศัตรูพืชหรือสัตว์เลี้ยงโดยใช้ หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กระบวนการทางเคมี กิจการแล้วแต่กรณี
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 135
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
12 อุตสาหกรรมผลิตปุ๋ยทางเคมีโดย ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
กระบวนการทางเคมี ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
13 อุตสาหกรรมประกอบกิจการ
เกี่ยวกับน้ําตาล
ดังต่อไปนี้
13.1 การทําน้ําตาลทรายดิบ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
น้ําตาลทรายขาวน้ําตาล ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ทรายขาวบริสุทธิ์ หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการ แล้วแต่กรณี
13.2 การทํากลูโคส เดกซ์โทรส ที่มีกําลังผลิต ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ฟรักโทส หรือผลิตภัณฑ์อื่นที่ ตั้งแต่ 20 ตันต่อ ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
คล้ายคลึงกัน วันขึ้นไป หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
ย
14 อุตสาหกรรมเหล็กหรือเหล็กกล้า
น่า ที่มีกําลังผลิต ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ตั้งแต่ 100 ตัน ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ต่อวันขึ้นไป หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
ําห
15 อุตสาหกรรมถลุงแร่ หรือแต่งแร่ ที่มีกําลังผลิต ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
หรือหลอมโลหะซึ่งมิใช่ ตั้งแต่ 50 ตันต่อ ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
อุตสาหกรรมเหล็กหรือเหล็กกล้า วันขึ้นไป หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
มจ
16 อุตสาหกรรมผลิตสุรา
แอลกอฮอล์รวมทั้งผลิตเบียร์และ
ไวน์
ห้า
136 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
16.2 อุตสาหกรรมผลิตไวน์ ที่มีกําลังผลิต ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ตั้งแต่ 600,000 ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ลิตรต่อเดือน หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
16.3 อุตสาหกรรมผลิตเบียร์ ที่มีกําลังผลิต ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ตั้งแต่ 600,000 ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ลิตรต่อเดือน หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
17 โรงงานปรับคุณภาพของเสียรวม ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
เฉพาะสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้ ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
แล้วตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
กิจการแล้วแต่กรณี
18 โรงงานไฟฟ้าพลังความร้อน ที่มีกําลังผลิต ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
กระแสไฟฟ้า ก่อสร้างเพื่อประกอบกิจการ
ตั้งแต่10 เมกะ หรือขั้นขออนุญาตประกอบ
ย
น่า วัตต์ขึ้นไป กิจการแล้วแต่กรณี
19 ระบบทางพิเศษตามกฎหมายว่า ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ด้วยทางพิเศษหรือโครงการที่มี ขออนุญาตโครงการ
ลักษณะเช่นเดียวกับทางพิเศษ
ําห
20 ทางหลวงหรือถนน ซึ่งมี
ความหมายตามกฎหมายว่าด้วย
ทางหลวง ที่ตัดผ่านพื้นที่
ดังต่อไปนี้
มจ
คุ้มครองสัตว์ป่า
20.2 พื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ตามกฎหมายว่าด้วยอุทยาน ขออนุญาตโครงการ
แห่งชาติ
20.3 พื้นที่เขตลุ่มแม่น้ําชั้นที่ 2 ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ขออนุญาตโครงการ
แล้ว
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 137
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
20.4 พื้นที่เขตป่าชายเลนที่เป็น ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ป่าสงวนแห่งชาติ ขออนุญาตโครงการ
20.5 พื้นที่ชายฝั่งทะเลในระยะ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
50 เมตร ห่างจากระดับน้ําทะเล ขออนุญาตโครงการ
ขึ้นสูงสุดตามปกติทางธรรมชาติ
20.6 พื้นที่ที่อยู่ในหรือใกล้พื้นที่ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ชุ่มน้ําที่มีความสําคัญระหว่าง ขออนุญาตโครงการ
ประเทศ หรือแหล่งมรดกโลกที่
ขึ้นบัญชีแหล่งมรดกโลกตาม
อนุสัญญาระหว่างประเทศใน
ระยะทาง 2 กิโลเมตร
20.7 พื้นที่ที่ตั้งอยู่ใกล้ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
โบราณสถาน แหล่งโบราณคดี ขออนุญาตโครงการ
แหล่งประวัติศาสตร์ หรือ
อุทยานประวัติศาสตร์ตาม
ย
กฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน
โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและ
น่า
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในระยะ
2 กิโลเมตร
21 ระบบขนส่งมวลชนที่ใช้ราง ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ําห
ขออนุญาตโครงการ
22 ท่าเทียบเรือ รับเรือขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ตั้งแต่ 500 ตัน ขออนุญาตโครงการ
มจ
กรอส หรือ
ความยาวหน้า
ท่า ตั้งแต่ 100
ห้า
เมตร หรือมี
พื้นที่ท่าเทียบ
เรือรวมตั้งแต่
1,000 ตาราง
เมตรขึ้นไป
138 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
23 ท่าเทียบเรือสําราญกีฬา ที่รองรับเรือได้ ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ตั้งแต่ 50 ลํา ขออนุญาตโครงการ
หรือ 1,000
ตารางเมตรขึ้นไป
24 การถมที่ดินในทะเล ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ขออนุญาตโครงการ
25 การก่อสร้าง หรือขยาย
สิ่งก่อสร้างบริเวณหรือในทะเล
25.1กําแพงริมชายฝั่งติดแนว ความยาวตั้งแต่ ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ชายฝั่ง 200 เมตรขึ้นไป ขออนุญาตโครงการ
ย
26 โครงการระบบขนส่งทางอากาศ
น่า
26.1 ก่อสร้างหรือขยายสนามบิน ที่มีขนาดความยาว ให้เสนอขั้นขออนุมัติหรือขอ
หรือที่ขึ้นลงชั่วคราว เพื่อการ ของทางวิ่งตั้งแต่ อนุญาตโครงการ
พาณิชย์ 1,100 เมตร
ําห
26.2 สนามบินน้ํา ทุกขนาด ให้เสนอขั้นขออนุมัติหรือขอ
อนุญาตโครงการ
27 อาคารว่าด้วยตามกฎหมายว่า
ด้วยการควบคุมอาคาร ซึ่งมี
มจ
ลักษณะที่ตั้งหรือการใช้ประโยชน์
ในอาคารอย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้
27.1 อาคารที่ตั้งริมแม่น้ํา ฝั่ง ความสูงตั้งแต่ ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ห้า
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 139
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
27.2 อาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจ ความสูงตั้งแต่ ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
การค้าปลีกหรือค้าส่ง 23.00 เมตรขึ้น ก่อสร้าง หรือหากใช้วิธีการ
ไป หรือมีพื้นที่ แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
รวมกันทุกชั้น ตามกฎหมายที่ว่าด้วยการ
หรือชั้นหนึ่งชั้นใด ควบคุมอาคารโดยไม่ยื่น
ในหลังเดียวกัน
ตั้งแต่ 10,000
ตารางเมตรขึ้นไป
27.3 อาคารที่ใช้เป็นสํานักงาน ความสูงตั้งแต่ ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
หรือที่ทําการของเอกชน 23.00 เมตรขึ้น ก่อสร้าง หรือหากใช้วิธีการ
ไป หรือมีพื้นที่ แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
รวมกันทุกชั้น ตามกฎหมายที่ว่าด้วยการ
หรือชั้นหนึ่งชั้น ควบคุมอาคารโดยไม่ยื่น
ใดในหลัง ขอรับอนุญาตให้เสนอรายงาน
เดียวกันตั้งแต่ ในขั้นการแจ้งต่อเจ้าพนักงาน
ย
10,000 ตาราง ท้องถิ่น
เมตรขึ้นไป
28
น่า
การจัดสรรที่ดินเพื่อเป็นที่อยู่
อาศัยหรือเพื่อประกอบการ
จํานวนที่ดิน ให้เสนอในขั้นจัดสรรที่ดินตาม
แปลงย่อยตั้งแต่ กฎหมายว่าด้วยการจัดสรร
พาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการ 500 แปลงหรือ ที่ดิน
ําห
จัดสรรที่ดิน เนื้อที่เกินกว่า
100 ไร่
29 โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล
มจ
ตามกฎหมายว่าด้วย
สถานพยาบาล
29.1 กรณีตั้งอยู่ใกล้แม่น้ํา ฝั่ง ที่มีเตียงสําหรับ ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ห้า
140 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
29.2 กรณีโครงการที่ไม่อยู่ในข้อ ที่มีเตียงสําหรับ ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
29.1 ผู้ป่วยไว้ค้างคืน ก่อสร้าง หรือหากใช้วิธีการ
ตั้งแต่ 60 เตียง แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
ขึ้นไป ตามกฎหมายที่ว่าด้วยการ
ควบคุมอาคารโดยไม่ยื่น
ขอรับอนุญาตให้เสนอรายงาน
ในขั้นการแจ้งต่อเจ้าพนักงาน
ท้องถิ่น
30 โรงแรมหรือสถานที่พักตาก ที่มีจํานวน ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
อากาศตามกฎหมายว่าด้วย ห้องพักตั้งแต่ 80 ก่อสร้าง หรือหากใช้วิธีการ
โรงแรม ห้องขึ้นไป หรือมี แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ ตามกฎหมายที่ว่าด้วยการ
4,000 ตาราง ควบคุมอาคารโดยไม่ยื่นขอรับ
เมตรข้นไป อนุญาตให้เสนอรายงานในขั้น
การแจ้งต่อเจ้าพนักงาน
ย
น่า ท้องถิ่น
31 อาคารอยู่อาศัยรวมตามกฎหมาย ที่มีจํานวน ให้เสนอในขั้นขออนุญาต
ว่าด้วยการควบคุมอาคาร ห้องพักตั้งแต่ ก่อสร้าง หรือหากใช้วิธีการ
80 ห้อง ขึ้นไป แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
หรือมี พื้นที่ใช้ ตามกฎหมายที่ว่าด้วยการ
ําห
สอยตั้งแต่ ควบคุมอาคารโดยไม่ยื่น
4,000 ตาราง ขอรับอนุญาตให้เสนอรายงาน
เมตรข้นไป ในขั้นการแจ้งต่อเจ้าพนักงาน
มจ
ท้องถิ่น
32 การชลประทาน ที่มีพื้นที่ ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ชลประทานตั้งแต่ ขออนุญาตโครงการ
ห้า
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 141
หลักเกณฑ์ วิธีการ
ลําดับ ประเภทโครงการ หรือกิจการ ขนาด
ระเบียบปฏิบัติ
34 การผันน้ําข้ามลุ่มแม่น้ํา
ดังต่อไปนี้
34.1 การผันน้ําข้ามลุ่มน้ําหลัก ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ยกเว้นกรณีภัยพิบัติ หรือมี ขออนุญาตโครงการ
ผลกระทบต่อความมั่นคงของ
ประเทศที่เป็นการดําเนินการ
ชั่วคราว
34.2 การผันน้ําระหว่างประเทศ ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ยกเว้นกรณีภัยพิบัติ หรือมี ขออนุญาตโครงการ
ผลกระทบต่อความมั่นคงประเทศ
ที่เป็นการดําเนินการชั่วคราว
35 ประตูระบายน้ําในแม่น้ําสายหลัก ทุกขนาด ให้เสนอในขั้นขออนุมัติหรือ
ขออนุญาตโครงการ
เงื่อนไขการจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
ย
กระทรวงทรั พ ยากรธรรมชาติ แ ละสิ่ ง แวดล้ อ มได้ มี ป ระกาศกํ า หนด
น่า
ประเภทและขนาดโครงการ และกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่าง
รุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ จะต้อง
จัดทํารายงาน EHIA จํานวน 11 ประเภทกิจการ ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา
ําห
31 สิงหาคม 2553 และ 29 พฤศจิกายน 2553
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ผลกระทบด้านสุขภาพจากการพัฒนาโครงการ
มจ
ขึ้นกับประชาชนในชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบที่ตั้งโครงการมากขึ้น รวมทั้งประชาชน
กลุ่มเสี่ยงอื่น ไม่ว่าจะเป็นคนงานก่อสร้าง พนักงานหรือผู้ปฏิบัติงานในโครงการก็
ตาม
142 หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร
การประเมิ น ผลกระทบสิ่ ง แวดล้ อ มเบื้ อ งต้ น (Initial Environmental
Evaluation: IEE)
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้ อมเบื้องต้น (IEE) เป็นการตรวจสอบ
เบื้องต้นถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการที่เสนอ มักใช้ข้อมูล
เบื้องต้นที่มีอยู่หรือข้อมูลที่สามารถหาได้ทันที โดยทั่วไป IEE เป็นการศึกษาเพื่อให้
ทราบว่าจะต้องทํารายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ต่อหรือไม่ สําหรับ
ประเทศไทยได้นํามาใช้ในการกําหนดให้โครงการที่คาดว่ามีผลกระทบสิ่งแวดล้อม
บางประเภทที่มีขนาดเล็กหรือมีผลกระทบไม่มากจัดทําเป็นรายงานผลกระทบ
สิ่งแวดล้อมเบื้องต้น
ย
น่า
ําห
มจ
ห้า
หมวดสิ่งแวดล้อมสําหรับวิศวกร 143
ห้า
มจ
ําห
น่า
ย
หมวด
ความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ย
น่า
ําห
มจ
ห้า
ห้า
มจ
ําห
น่า
ย
บทที่ 14
ความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ความรูพื้นฐานในเรื่องความปลอดภัย
แนวคิด
ความปลอดภั ย ในการทํ า งานมี ค วามหมายตรงกั บ ภาษาอั ง กฤษว า
"Occupation Safety and Health" หมายความรวมถึง ความปลอดภัยและสุขภาพ
อนามัยของผูประกอบอาชีพทั้งหลาย อาจทํางานโรงงานอุต สาหกรรมกอสราง ขนสง
เหมืองแร หรืออื่นๆ
ในอีกมุมมองหนึ่ง ความปลอดภัย หมายถึง ปลอดจากอุบัติเหตุและการเจ็บปวย
หรือโรคจากการทํางานนั่นเอง
ย
อุบัติเหตุและการเจ็บปวยจากการทํางาน เมื่อเกิดขึ้นแลวอาจมีผลทําใหเกิดการ
บาดเจ็บ พิการ เจ็บปวย เกิดโรคจากการทํางานหรือเสียชีวิต และอาจทําใหทรัพยสิน
น่า
เสีย หาย อุบัติเหตุและการเจ็บปวยมีส าเหตุที่ทําใหเกิด และสามารถปองกันไดเสมอ
การจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเปนแนวทางในการปองกันอุบัติเหตุและ
ําห
การเจ็บปวยจากการทํางาน โรงงานหรือสถานประกอบการ หนวยงานตองดําเนินการ
คน หาอัน ตรายและความเสี่ย งตออั น ตรายนั้ น ตลอดจนหาสาเหตุ ของอุบัติ เหตุ และ
มจ
การเจ็บปวยที่เกิดขึ้นกับผูปฏิบัติงานและผูเกี่ยวของ และกําหนดมาตรการควบคุมที่มี
ประสิทธิผล
ห้า
ความรูเกี่ยวกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
อุบัติเหตุจากการทํางานมีหลายประเภท สามารถอธิบายสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ
ได ระบุปญหาความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุได จําแนกกลุมของสิ่งแวดลอมการ
ทํางานที่อาจทําใหผูปฏิบัติงานเกิดการเจ็บปวย หรือเกิดโรคจากการทํางาน สามารถ
จัดหาแนวทางการจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเพื่อลดอุบัติเหตุและความ
สูญเสียในสถานประกอบกิจการได
อุบัติเหตุและความสูญเสีย
ปญหาการเกิดอุบัติเหตุจากการทํางานยังมีความรุนแรงและเปนปญหาที่สําคัญ
นํามาซึ่งการบาดเจ็บ พิการ สูญเสียอวัยวะ และสูญเสียทรัพยสิน จึงตองศึกษาถึงปญหา
อุบัติเ หตุและความสูญเสีย และแนวทางการดํา เนิน งานดา นความปลอดภัย ในสถาน
ประกอบกิจการ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 147
1. อุบัติเหตุจากการทํางาน
สถาบันมาตรฐานของอเมริกา (ANSI) ไดจําแนกประเภทอุบัติเหตุไว ดังนี้
ถูกกระแทก (struck by)
ถูกหนีบหรือดึง (caught in, under or between)
ตกจากที่สูง (fall)
หกลม ลื่นลม
ถูกชน
สัมผัสไฟฟา (contact with electric current)
สัมผัสรังสี
อุบัติเหตุจากการขนสงคมนาคม
ย
สําหรับประเทศไทยการเกิดอุบัติเหตุจากการทํางานในแตละปมีจํานวนมาก ซึ่ง
น่า
แสดงใหเห็นไดวาการจายเงินคาทดแทนในแตละปก็มีจํานวนมากเชนกัน ประเภทกิจการ
ที่ประสบอันตรายมากที่สุด ก็ยังคงเปนกิจการกอสรางเชนเคย ตัวอยางเชนในป 2552
ําห
ตามรูปที่ 14.1
16,000
มจ
14,000
12,000
10,000
จํานวน (ราย)
ห้า
8,000
6,000
4,000
2,000
0
0203 การผลิต 1501 การคา 0615 การผลิต 0804 การหลอ
1301 การ
เครื่องดื่ม เครื่องไฟฟา ผลิตภัณฑ หลอม การกลึง
กอสราง
อาหาร ฯลฯ ยานพาหนะฯ พลาสติก โลหะ
13,396 9,241 8,381 6,510 6,176
148 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
2. สาเหตุของอุบัติเหตุ
H.W. Heinrich เปนบุคคลหนึ่งที่ไดศึกษาถึงสาเหตุที่กอใหเกิดอุบัติเหตุ
อยางจริงจังในโรงงานอุตสาหกรรมตางๆ ในป ค.ศ. 1920 ผลจากการศึกษาวิจัย สรุปได
ดังนี้
สาเหตุของอุบัติเหตุที่สําคัญ ไดแก
สาเหตุที่เกิดจากคน (Human Causes) มีจํานวนสูงที่สุดคือประมาณ
88 % ของการเกิดอุบัติเหตุทุกครั้ง
สาเหตุ ที่ เ กิ ด จากความผิ ด พลาดของเครื่ อ งจั ก ร (Mechanical
Failure) มีประมาณ 10% ของการเกิดอุบัติเหตุทุกครั้ง
สาเหตุที่เกิดจากดวงชะตา (Acts of God) มีประมาณ 2% เปน
สาเหตุ ที่ เ กิ ด ขึ้ น โดยธรรมชาติ นอกเหนื อ การควบคุ ม ได เช น พายุ น้ํ า ท ว ม ฟ า ผ า
ย
แผนดินไหว เปนตน น่า
สาเหตุข องการเกิ ดอุ บัติ เหตุส ามารถอธิ บายไดด ว ยทฤษฎีโ ดมิ โ น (Domino
Theory) ว า การบาดเจ็บ และความเสีย หายต า งๆ เปน ผลที่ สื บ เนื่ อ งโดยตรงมาจาก
ําห
อุบัติเหตุ และอุบัติเหตุเปนผลมาจากการกระทําที่ไมปลอดภัย หรือสภาพการณที่ไม
ปลอดภัย ซึ่งเปรียบไดเหมือนตัวโดมิโนที่เรียงกันอยู 5 ตัวใกลกัน เมื่อตัวที่หนึ่งลมยอมมี
มจ
Background)
ความบกพรองของบุคคล (Defects of Person)
การกระทํ า หรื อ สภาพแวดล อ มที่ ไ ม ป ลอดภั ย (Unsafe Acts/Unsafe
Conditions)
อุบัติเหตุ (Accident)
การบาดเจ็บหรือความเสียหาย (Injury/Damage)
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 149
รูปที่ 14.2 ลูกโซของอุบัติเหตุ
ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ
ย
ฐานะความเป น อยู การศึ ก ษาอบรม) ก อ ให เ กิ ด ความบกพร อ งผิ ด ปกติ ข องคนนั้ น
น่า
(มีทัศนคติตอความปลอดภัย ไมถูกตอง ชอบเสี่ย ง มักงาย) กอใหเกิดการกระทําที่ไม
ปลอดภัยหรือสภาพการณที่ไมปลอดภัยกอใหเกิดอุบัติเหตุ เปนผลใหเกิดการบาดเจ็บ
ําห
หรือความเสียหาย ซึ่งอาจสรุปเปนแผนภูมิ ดังรูปที่ 14.2
อยางไรก็ดี นอกจากการอธิบายสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุดวยทฤษฎีโดมิโน
มจ
แลว ตอมานักวิชาการความปลอดภัยไดมีการนําเสนอแนวคิดของสาเหตุของอุบัติเหตุใน
อีกมุมมองหนึ่ง โดยอธิบายวา สาเหตุของอุบัติเหตุโ ดยทั่วไปจะมีสาเหตุนําอันเกิดจาก
ความผิดพลาดของการจัดการ และสภาวะทางดานรางกายและจิตใจของคนงานที่ไม
ห้า
150 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ย
น่า
รูปที่ 14.3 แสดงสาเหตุและผลของอุบัติเหตุ
ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ
ําห
สาเหตุนําของการเกิดอุบัติเหตุจากการทํางานเกิดขึ้นจาก
มจ
ไมมีการวางแผนและเตรียมงานดวยความปลอดภัยไว
ไมมีการแกไขจุดอันตรายตางๆ
ไมมีการจัดหาอุปกรณความปลอดภัยให เปนตน
2.2 สภาวะทางดานจิตใจของคนงานไมเหมาะสม เชน
ขาดความระมัดระวัง
มีทัศนคติไมถูกตอง
มีปฏิกิริยาในการสั่งงานชา
ขาดความตั้งอกตั้งใจ
อารมณออนไหวงาย และขี้โมโห
เกิดความรูสึกหวาดกลัว ขวัญออน ตกใจงาย เปนตน
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 151
2.3 สภาวะทางดานรางกายของคนงานไมเหมาะสม เชน
ออนเพลียมาก
หูหนวก
สายตาไมดี
มีรางกายไมเหมาะสมกับงานที่ทํา
เปนโรคหัวใจ
รางกายมีความพิการ เปนตน
สาเหตุนําของการเกิดอุบั ติเหตุดังกลา วนั้น จะเปน ตัว เหตุสําคัญ ที่จ ะโยงหรื อ
นําไปสูการเกิดสาเหตุโดยตรงของการเกิดอุบัติเหตุ
สาเหตุโดยตรงของการเกิด อุบัติเ หตุจากการทํา งาน มีอยู 2 สาเหตุใหญ คือ
ย
การปฏิบัติงานที่ไมปลอดภัยของผูปฏิบัติงาน และสภาพของงานที่ไมปลอดภัย
น่า
ก. การปฏิ บั ติ ง านที่ ไ ม ป ลอดภั ย เป น การกระทํ า ที่ ไ ม ป ลอดภั ย ของ
ผูปฏิบัติงานในขณะที่ทํางาน ซึ่งอาจจะกอใหเกิดอุบัติเหตุได ตัวอยางเชน
การใชเครื่องจักร เครื่องกล เครื่องมือ หรืออุปกรณตางๆ โดยพลการ
ําห
หรือโดยไมไดรับมอบหมาย
การทํ า งานเร็ ว เกิ น สมควรและใช เ ครื่ อ งจั ก รในอั ต ราที่ เ ร็ ว เกิ น
มจ
กําหนด
ซอมแซมหรือบํารุงรักษาเครื่องในขณะที่เครื่องยนตกําลังหมุน
ห้า
ถอดอุปกรณความปลอดภัยจากเครื่องจักรโดยไมมีเหตุอันควร
เลนตลกคะนองในขณะทํางาน
ยืนทํางานในที่ที่ไมปลอดภัย
ใชเครื่องมือที่ชํารุด และการใชเครื่องมือไมถูกวิธี
ทําการยกหรือเคลื่อนยายวัสดุดวยทาทางหรือวิธีการที่ไมปลอดภัย
ไมสวมใสอุปกรณคุมครองความปลอดภัยบุคคลที่จัดให
ข. สภาพของงานที่ไมปลอดภัย เปนสภาพแวดลอมที่ไมปลอดภัยที่อยูรอบๆ
ตัวผูปฏิบัติงานในขณะทํางานซึ่งอาจเปนเหตุใหเกิดอุบัติเหตุได ตัวอยางเชน
152 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ไม มี ครอบหรื อ เซฟการ ดส ว นของเครื่ อ งจั ก รหรื อส ว นอื่น ใดที่ เ ป น
อันตราย
เครื่ อ งจั ก รอาจมี ค รอบหรื อ เซฟการ ด แต ไ ม เ หมาะสม เช น
ไมแข็งแรง หรือรูตะแกรงของเซฟการดนั้นโตเกินไป
เครื่องจักร เครื่องมือที่ใชอาจออกแบบไมเหมาะสม
บริเวณพื้นที่ทํางานลื่น ขรุขระ
สถานที่ทํางานสกปรก รกรุงรัง การวางของไมเปนระเบียบ เกะกะ
มีสิ่งกีดขวางทางเดิน
การกองวัสดุสูงเกินไป และการซอนวัสดุไมถูกวิธี
การจัดเก็บสารเคมี สารไวไฟตางๆ ไมเหมาะสม
แสงสวางไมเหมาะสม เชน แสงอาจไมเพียงพอ หรือแสงจาเกินไป
ไมมีระบบเตือนภัยที่เหมาะสม เปนตน
ย
น่า
เมื่อไมกี่ปมานี่ มีการแนะนําแบบจําลองสาเหตุที่ทําใหเกิดอุบัติเหตุและความ
สูญเสียหลายรูปแบบแตแบบที่งายและใชกันในการควบคุมอุบัติเหตุอยางกวางขวาง คือ
ําห
แบบจําลองเกี่ยวกับการคนหาสาเหตุของอุบัติเหตุและความสูญเสีย (Loss Causation
Model) ของ Frank E. Bird ซึ่งมีรูปลักษณะคลายโดมิโนของ H.W. Heinrich
มจ
ห้า
แบบจําลองเกี่ยวกับการคนหาสาเหตุของอุบัติเหตุและความสูญเสีย (Loss
Causation Model) อธิบายถึงผลหรือความสูญเสียเปนผลมาจากเหตุการณผิดปกติที่
เกิดขึ้น (Incident) ซึ่งเกิดมาจากสาเหตุในขณะนั้น (Immediate Causes) แตที่จริงแลว
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 153
เกิดมาจากสาเหตุพื้นฐานหรือสาเหตุตนตอ (Basic Causes) ที่เกิดขึ้นมาจากการขาดการ
ควบคุมที่ดี (Lack of Control)
การขาดการควบคุม (Lack of Control) การขาดการควบคุมการจัดการ
อยางเพียงพอยอมนําไปสูความสูญเสีย การขาดการควบคุม ไดแก
โครงการไมเพียงพอกับความตองการ
มาตรฐานของโครงการไมเพียงพอหรือไมชัดเจน
การปฏิบัติตามมาตรฐานไมเพียงพอ
สาเหตุพื้นฐาน (Basic Causes) คือ สาเหตุที่แทจริงที่อยูเบื้องหลังอาการ ที่
แสดงออกมาเปนเหตุผลวาทําไมการกระทําหรือสภาพการณที่ต่ํากวามาตรฐานจึงเกิดขึ้น
สาเหตุพื้นฐานแบงออกเปน 2 กลุม ไดแก
ปจจัยจากบุคคล เชน ขาดความรู ขาดความสามารถทั้งทางกายและ
ทางจิตใจ มีความเครียด
ย
น่า
ปจจัยจากงาน หรือสภาพแวดลอมในการทํางาน เชน การออกแบบ
ทางวิศวกรรมไมดี การควบคุมการจัดซื้อไมเพียงพอ เครื่องมือ อุปกรณ วัสดุไมเพียงพอ
ําห
ส า เ ห ตุ ใ น ข ณ ะ นั้ น (Immediate Causes) คื อ ส ภ า ว ะ ที่ เ กิ ด ขึ้ น
อย า งเฉี ย บพลั น ทั น ที ก อ นที่ จ ะมี ก ารสั ม ผั ส เป น สภาวะที่ ม องเห็ น หรื อ รั บ รู ไ ด
มจ
ซึ่งเกี่ยวของกับ
การปฏิบัติที่ต่ํากวามาตรฐาน (Sub-standard Acts) และสภาพการณ
ห้า
154 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
3. ความสูญเสียจากการเกิดอุบัติเหตุ
ความสูญเสียหรือคาใชจายอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุจากการทํางานนั้นอาจแบง
ออกไดเปน 2 ประเภทใหญๆ ดังนี้คือ
3.1 ความสูญเสียทางตรง หมายถึง จํานวนเงินที่ตองจายไป อันเกี่ยวเนื่อง
กับผูไดรับบาดเจ็บโดยตรง จากการเกิดอุบัติเหตุนั้น ไดแก คารักษาพยาบาล คาทดแทน
คาทําขวัญ คาทําศพ คาประกันชีวิต เปนตน
3.2 ความสู ญ เสี ย ทางอ อ ม หมายถึ ง ค า ใช จ า ยอื่ น ๆ (ซึ่ ง ส ว นใหญ จ ะ
คํานวณเปนตัวเงินได) นอกเหนือจากคาใชจายทางตรงสําหรับการเกิดอุบัติเหตุแตละครั้ง
ไดแก
การสูญเสียเวลาทํางานของคนงานหรือผูบาดเจ็บ เพื่อรักษาพยาบาล
- การสู ญ เสี ย เวลาของคนงานอื่ น หรื อ เพื่ อ นร ว มงานที่ ต อ ง
หยุ ด ชะงั ก ชั่ ว คราว เนื่ อ งจากช ว ยเหลื อ ผู บ าดเจ็ บ โดยการ
ย
ปฐมพยาบาล หรือนําสงโรงพยาบาล
- การสูญเสียเวลาความอยากรูอยากเห็น ประเภท “ไทยมุง ”
น่า
การวิพากษวิจารณ
- การสูญเสียเวลาความตื่นตกใจ (ตื่นตระหนกและเสียขวัญ)
ําห
การสูญเสียเวลาของหัวหนางานหรือผูบังคับบัญชา เนื่องจาก
- ชวยเหลือผูบาดเจ็บ
มจ
- สอบสวนหาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ
- บั น ทึ ก และจั ด ทํ า รายงานการเกิ ด อุ บั ติ เ หตุ เพื่ อ เสนอ
ห้า
ตามลําดับชั้น และสงแจงไปยังหนวยที่เกี่ยวของ
- จัดหาคนงานอื่นและฝกสอนใหเขาทํางานแทนผูบาดเจ็บ
- หาวิธีการแกไขและปองกันอุบัติเหตุไมใหเกิดซ้ําอีก
ค า ใช จ า ยในการซ อ มแซม เครื่ อ งจั ก ร เครื่ อ งมื อ อุ ป กรณ ที่ ไ ด รั บ
ความเสียหาย
วัตถุดิบหรือสินคาที่ไดรับความเสียหาย ตองทิ้ง ทําลาย หรือขายทิ้ง
ผลผลิตลดลง เนื่องจากกระบวนการผลิตขัดของ ตองหยุดชะงัก
คาสวัสดิการตาง ๆ ของผูบาดเจ็บ
คา จ า งแรงงานของผู บาดเจ็ บ ซึ่ ง สถานประกอบกิ จ การ ต อ งจ า ย
ตามปกติ แมวาผูบาดเจ็บจะทํางานยังไมไดเต็มที่ หรือตองหยุดงาน
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 155
การสู ญ เสี ย โอกาสในการทํ า กํ า ไร เพราะผลผลิ ต ลดลงจากการ
หยุดชะงักของกระบวนการการผลิตและความเปลี่ยนแปลงความตองการของทองตลาด
คา เช า ค า ไฟฟ า น้ํ า ประปา และค า โสหุ ย ตา งๆ ที่ ส ถานประกอบ
กิจการยังคงตองจายตามปกติ แมวาจะตองหยุด หรือปดกิจการหลายวันในกรณีเกิด
อุบัติเหตุรายแรง
การเสียชื่อเสียง และภาพพจนของสถานประกอบกิจการ
นอกจากนี้ผูบาดเจ็บจนถึงขั้นพิการหรือทุพพลภาพจะกลายเปนภาระของ
สังคม ซึ่งทุกคนมีสวนรวมรับผิดชอบดวย ความสูญเสียทางออม จึงมีคามหาศาลกวา
ความสู ญ เสี ย ทางตรงมาก ซึ่ ง ปกติ เ รามั ก จะคิ ด กั น ไม ถึ ง จึ ง มี ผู เ ปรี ย บเที ย บว า
ความสูญเสียหรือคาใชจาย ของการเกิดอุบัติเหตุเปรียบเสมือน “ภูเขาน้ําแข็ง” สวนที่
โผลพนน้ําใหมองเห็นไดมีเพียงเล็กนอย เมื่อเทียบกับสวนที่จมอยูใตน้ํา ในทํานองเดียวกัน
คาใชจายทางตรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุจะเปนเพียงสวนนอยของคาใชจายที่เกิดขึ้นทั้งหมดซึ่ง
ย
ผูบริหารจะมองขามมิได Heinrich ไดคํานวณอัตราสวนของคาความสูญเสียทางออมและ
น่า
ความสูญเสียทางตรงนั้น ประมาณ 4:1 ตอมาในป 1980 De Reame อางถึงการศึกษา
ของนักวิช าการทั้งหลายวา อัตราสว นนั้น จะอยูร ะหวาง 2.3:1 ถึง 101:1 ซึ่งอาจ
ําห
เปรียบเทียบเหมือนภูเขาน้ําแข็งในมหาสมุทร
มจ
ห้า
156 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
การเจ็บปวยจากสิ่งแวดลอมในการทํางาน
"สิ่งแวดลอมในการทํางานที่เปนอันตรายตอสุขภาพ" หมายถึง สิ่งตางๆที่อยู
ล อ มรอบตั ว ผู ป ระกอบอาชี พ หรื อ คนงานในขณะทํ า งาน อั น อาจจะรวมถึ ง อากาศ
ที่หายใจ แสงสวาง ความสั่นสะเทือน รังสี ความรอน ความเย็น กาซ ไอสาร ฝุน ฟูม
ละออง และสารเคมีอื่นๆ เชื้อโรคและสัตวตางๆ นอกจากนี้ ยังรวมถึงสภาพการทํางานที่
ซ้ําซาก การเรงรีบทํางาน การทํางานเปนผลัดหมุนเวียนเรื่อยไป สัมพันธภาพระหวาง
เพื่ อ นร ว มงาน ค า ตอบแทนและชั่ ว โมงการทํ า งาน เป น ต น ความไม เ หมาะสมของ
สิ่งแวดลอมการทํางานนับวาเปนปจจัยที่มีสวนเกี่ยวของในการกอใหเกิดการเจ็บปวยจาก
การทํางานเชนเดียวกัน
สิ่งแวดลอมในการทํางานที่อยูรอบๆ ตัวผูปฏิบัติงานในขณะทํางานนั้น แบงได
เปน 4 ประเภท คือ สิ่งแวดลอมทางกายภาพ สิ่งแวดลอ มทางเคมี สิ่งแวดลอมทาง
ชีวภาพ และสิ่งแวดลอมทางจิตวิทยาสังคม
ย
น่า
ําห
มจ
ห้า
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 157
2. สิ่งแวดลอมทางเคมี ไดแก สารเคมีชนิดตางๆ ที่ใชเปนวัตถุดิบ หรือผลผลิต
หรือของเสียที่ตองจํากัด โดยทั่วไปสารเคมีดังกลาวอาจจะอยูในรูป กาซ ไอ ฝุน ฟูม ควัน
ละออง หรืออยูในรูปของเหลว เชน สารตัวทําละลาย (Solvents) ตัวอยางสิ่งแวดลอม
ทางเคมี เชน กาซคารบอนมอนนอกไซด ตะกั่ว แมงกานีส ปรอท เบนซิน คารบอน
เตตระคลอไรด แอสเบสตอส ฯลฯ สิ่งแวดลอมทางเคมีเหลานี้อาจเขาสูรางกายโดย การ
สูดหายใจ การกิน หรือการดูดซึมผานทางผิวหนังของผูปฏิบัติงาน ปริมาณของสารเคมี
นับวามีบทบาทอยางมากที่จะสงผลใหเกิดโรคจากการทํางานชาหรือเร็ว ถาหากคนงาน
ไดรับปริมาณสูงมาก การเกิดโรคก็จะใชระยะเวลายาวนาน ดังนั้น จึงมีความจําเปนที่
ตอ งมี เ กณฑที่ จ ะตั ดสิ น วา ปริ ม าณของสารเคมีข นาดไหนจึง อาจจะทํา ใหเ กิด โรคขึ้ น
ในปจจุบันไดมีการกําหนดมาตรฐานของสารเคมีในอากาศขึ้นซึ่งเรียกกันวา คาขอบเขต
การทนได (Threshold Limit Values หรือเรียกโดยยอวา TLV) ซึ่งไดมีหลาย
ประเทศในโลกรวมทั้ ง ประเทศไทยได พิ จ ารณานํ า มากํ า หนดมาตรฐานสารเคมี ใ น
ย
บรรยากาศของการทํางาน
3. สิ่งแวดลอมทางชีวภาพ มีทั้งชนิดที่มีชีวิตและไมมีชีวิต เชน ไวรัส แบคทีเรีย
น่า
เชื้อรา พยาธิ และสัตวอื่นๆ เชน งู เปนตน นอกจากนี้ ยังอาจรวมถึงฝุนเสนใยพืช ฝุนไม
ฝุนฝาย และฝุนเมล็ดพืชตางๆ ดวย
ําห
4. สิ่งแวดลอมทางจิตวิทยาสังคม หมายถึง สิ่งแวดลอมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับ
จิตวิทยาสังคมและเศรษฐกิจ ในการทํางาน เชน งานที่ตองเรงรัดทํางานแขงกับเวลา
มจ
ทําใหเกิดการเจ็บปวยหรือเกิดโรคจากการทํางานขึ้น เมื่อเกิดการเจ็บปวยผูปฏิบัติงานนั้น
อาจไดรับการตรวจวินิจฉัย การรักษาพยาบาลใหหายได แตเมื่อบุคคลนั้นกลับเขาทํางาน
ในสภาพแวดลอมการทํางานที่ไมเหมาะสมเชนเดิมอีก บุคคลนั้นก็อาจไดรับอันตราย
ทํานองเดียวกับที่เกิดขึ้นแลวไมมีที่สิ้นสุด
การจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเพื่อลดอุบัติเหตุและความสูญเสีย
การดําเนินงานใหบุคลากรในหนวยงานมีความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดีเปน
เรื่องที่องคกรตองใหความสําคัญเพราะการจัดการดานความปลอดภัยในการทํางานที่ดี
จะต อ งลดความสู ญ เสี ย ต า งๆที่ อ าจเกิ ด ขึ้ น ได ดั ง นั้ น จึ ง ต อ งมี ค วามเข า ใจถึ ง ระบบ
การจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยดวย
158 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
แนวคิดระบบการจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
ระบบการจั ด การความปลอดภั ย และอาชี ว อนามั ย มี ขั้ น ตอนหลั ก ในการ
ดําเนินการดังนี้
1. การทบทวนสถานะเริ่ ม ต น โดยผู บ ริ ห ารของสถานประกอบกิ จ การ
ควรทบทวนสถานะเริ่มตนในการดําเนินการดานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ไดแก
ขอกําหนดตามกฎหมายที่เกี่ยวของกับความปลอดภัยในการทํางาน ประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผลของทรัพยากรที่มีอยู แนวทางการดําเนินการ ที่มีอยูในองคกรกับขอปฏิบัติ
และการดําเนินงานที่ดี ซึ่งองคกรหรือหนวยงานไดจัดทําเอาไว (Best Practice) เพื่อใช
ในการพิจารณากําหนดนโยบายเกี่ยวกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
2. การกําหนดนโยบายดานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ที่สอดคลองตาม
ธุรกิจ ขนาด และปญหาที่มีอยูจริงขององคกร ซึ่งรวมถึงขอกําหนดทางกฎหมายที่องคกร
จําเปนตองปฏิบัติตามดวย นโยบายจะเปนเครื่องชี้เจตนารมณของฝายบริหารเกี่ยวกับ
ย
ความปลอดภั ย และอาชี ว อนามั ย เป น การแสดงเจตจํ า นงที่ จ ะจั ด สรรทรั พ ยากร
ให พ อเหมาะและเป น เสมื อ นทิ ศ ทางที่ ผู ปฏิ บั ติ งานทุ กคนทุ กระดั บในองค ก รจะต อ ง
ปฏิบัติตาม
น่า
เมื่อมีการกําหนดนโยบายแลวตองทําใหทุกคนในองคกรไดรับทราบและเขาใจถึง
ําห
นโยบายดัง กลา วอย า งทั่ว ถึ ง อั น จะนํา ไปสูก ารปฏิ บัติ อ ยา งจริ ง จั ง ซึ่ งอาจใช วิธี ก าร
ถายทอดโดยผูบริหารชี้แจงในที่ประชุมคณะกรรมการความปลอดภัยอาชีวอนามัย และ
มจ
ย
โดยเฉพาะนายจางหรือฝายบริหารตองมีความมุงมั่นและเปนผูนําที่ตองการใหสถาน
น่า
ประกอบกิจการของตนปลอดภัย ผูบริหารตองมอบหมายความรับผิดชอบดานความ
ปลอดภัยในการทํางานไปสูผูปฏิบัติงานทุกระดับและดูแลใหมีการดําเนินงานอยางจริงจัง
ําห
และตอเนื่อง
แนวทางการจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเพื่อลดอุบัติเหตุและความ
มจ
สูญเสีย มีดังนี้
1. การปองกันและควบคุมอุบัติเหตุและความสูญเสียกอนเกิดเหตุ
ห้า
160 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
วิ ธี ก ารบริ ห ารจั ด การด า นความปลอดภั ย และอาชี ว อนามั ย รวมทั้ ง วิ ธี ก ารจู ง ใจ
ผูใตบังคับบัญชาใหมีสวนรวมดวย
การวางแผนการตรวจความปลอดภัย การจัดการความปลอดภัยและ
อาชีวอนามัยที่มีประสิทธิภาพจะตองมีการวางแผนในการตรวจความปลอดภัยเพื่อคนหา
สาเหตุที่จะทําใหเกิดอุบัติเหตุและความสูญเสีย มีการดําเนินการตามแผนที่กําหนดไว
อยางสม่ําเสมอ และนําขอบกพรองที่พบจากการตรวจมาปรับปรุงแกไข โดยกําหนด
ผูรับ ผิดชอบในการตรวจ ฝ กอบรมวิ ธีการตรวจ ดํา เนิ น การตรวจความปลอดภั ย ซึ่ ง
ครอบคลุมทั้งอาคาร สถานที่ เครื่องมือ อุปกรณในการทํางาน และการปฏิบัติงานของ
พนักงาน จัดทํารายงานการตรวจ และติดตามผลการแกไขปรับปรุง
การวิเคราะหงานและการจัดทํามาตรฐานการปฏิบัติงาน การวิเคราะห
งานเปนการดําเนินการเพื่อชี้บงอันตรายโดยคนหาแหลงอันตรายในสถานที่ทํางานโดย
วิ ธี ก ารต า งๆ แล ว ประเมิ น ความเสี่ ย งต อ อั น ตรายจากการปฏิ บั ติ ง านนั้ น จั ด ลํ า ดั บ
ย
ความสําคัญและกําหนดวิธีการควบคุมความเสี่ยงตออันตราย โดยการจัดทํามาตรฐาน
น่า
การปฏิบัติงาน กําหนดขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติงานที่ปลอดภัย
การสังเกตการปฏิบัติงาน เปนการติดตามการทํางานตามมาตรฐานการ
ปฏิบัติงาน ที่กําหนดไวเพื่อคนหาและกําจัดพฤติกรรมของผูปฏิบัติงานที่อาจทําใหเกิด
ําห
อุบัติเหตุและความสูญเสีย รวมทั้งเปนการตรวจสอบวาวิธีการทํางานและขั้นตอนตางๆที่
กําหนดขึ้นเพียงพอ เหมาะสม มีประสิทธิภาพหรือไม
มจ
ย
สอดรับกับนโยบาย มีการฝกอบรม การสอนงาน การประเมินผลการปฏิบัติงาน และ
น่า
มีระบบการเก็บขอมูลรายงานตางๆเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทํางาน
การประชุมกลุม เปนวิธีการหนึ่งที่จะทําใหเกิดความเขาใจอันดีระหวาง
ผูบังคับบัญชาและผูปฏิบัติงาน รวมถึงเปนการสรางบรรยากาศการทํางานเปนทีมอีกดวย
ําห
การสงเสริมดานความปลอดภัยในการทํางาน เปนการสงเสริมและสราง
จิตสํานึกดานความปลอดภัยในการทํางานดวยสื่อการประชาสัมพันธรูปแบบตางๆ และ
มจ
กิจกรรมเพื่อสรางจิตสํานึกความปลอดภัย
การจางและการบรรจุเขาตําแหนงงาน การรั บพนักงานเขาทํางานใหม
ห้า
162 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
กิ จ กรรมการป อ งกั น และควบคุ ม อุ บั ติ เ หตุ แ ละความสู ญ เสี ย ขณะเกิ ด
การสัมผัสกับอันตราย ไดแก การจัดอุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล ดังนั้น
เมื่อผูปฏิบัติงานตองปฏิบัติงานและตองสัมผัสกับอันตรายจําเปนตองใชอุปกรณคุมครอง
ความปลอดภัยสวนบุคคล เพื่อลดการสัมผัสกับพลังงานใหนอยที่สุดอันเปนการลดความ
เสี่ยงหรือความรุนแรงของการสัมผัสกับพลังงานนั้นจะไดเกิดอันตรายนอยที่สุด และควร
จัดหาใหเพียงพอ เหมาะสมกับอันตรายแตละประเภท ตลอดจนมีขอปฏิบั ติในการใช
มีการบํารุงรักษาและมาตรการจูงใจใหผูปฏิบัติงานสวมใส
3. การปองกันและควบคุมอุบัติเหตุและความสูญเสียภายหลังอันตรายที่เกิดขึ้น
การสอบสวนอุบัติเหตุและเหตุการณผิดปกติ ซึ่งเปนการคนหาสาเหตุ
ที่แทจริงของการเกิดอุบัติเหตุและเหตุการณผิดปกติเพื่อปองกันการเกิดซ้ําอีก
การโต ต อบเหตุ ฉุ ก เฉิ น ต อ งมี แ ผนฉุ ก เฉิ น และจั ด ให มี ผู รั บ ผิ ด ชอบ
ในกรณีที่เกิดภาวะฉุกเฉิน มีการฝกอบรมขั้น ตอนการปฏิบัติ มีการฝกซอมแผนและ
ย
ทบทวนบทบาทหนา ที่ ของผูรั บผิ ด ชอบตามแผน อั น รวมถึ ง การอพยพคน การปฐม
น่า
พยาบาล การเคลื่อนยายวัสดุอุปกรณ การคนหาและชวยชีวิต
การวิเคราะหอุบัติเหตุและอุบัติการณ เปนการนําขอมูลจากการสอบสวน
อุบัติเหตุมาวิเคราะหหาสาเหตุ มีการกําหนดวิธีการแกไขปญหาและการดําเนินการแกไข
ําห
ปญหา แลวนําเสนอตอผูบริหารเพื่อดําเนินการแกไขปญหา
มจ
ระบบการจัดการความปลอดภัย
การบริ ห ารงานความปลอดภั ย นั้ น โดยทั่ ว ไปแล ว จะยึ ด ถื อ หลั ก การหรื อ
กระบวนการบริหารงานทั่ว ไปนั่น เอง ซึ่งประกอบดว ย การวางแผนงาน (Planning)
ห้า
การจั ดการ (Organizing) การจั ด หาและพั ฒ นาบุค ลากร (Staffing) การอํา นวยการ
(Leading) และการควบคุมประเมินผล (Controlling) โดยอาจสรุปพอสังเขป ดังนี้
การวางแผนงาน (Planning) เปน การคิ ด หรื อ เตรี ย มการลว งหน า ว าจะทํ า
อะไรบางในอนาคต ทั้งนี้จะตองคํานึงถึงนโยบายของหนวยงานเปนหลัก เพื่อวาแผนงาน
ที่วางขึ้นไวนั้นจะไดมีความสอดคลองตองกันในการดําเนินงานและใหการดําเนินงาน
เปนไปโดยถูกตองและสมบูรณ หรืออาจกลาวไดวา การวางแผนนั้นเปนการตัดสินใจวา
จะทําอะไร ทําอยางไร ทําเมื่อไร และใครเปนผูทํานั่นเอง
การจัดการ (Organizing) เปนการจัดแบงสวนงาน บางครั้งก็อาจพิจารณารวม
กับ การปฏิ บัติ ง านหรื อวิ ธีก ารจั ดการดว ย การจัด แบง สว นงานนี้ จ ะตอ งพิจ ารณาให
เหมาะสมกับการปฏิบัติงาน เชน การจัดแบงงานเปนฝาย สวน กรม กอง หรือแผนก โดย
อาศั ย ปริ ม าณงาน คุ ณ ภาพของงาน หรื อ จั ด ตามลั ก ษณะของงานเฉพาะอย า งก็ ไ ด
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 163
นอกจากนี้อาจพิจารณาในแงของการควบคุม และอาจพิจารณาในแงของหนวยงานและ
ความรับผิดชอบ เชน หนวยงานหลักหรือสายงานบังคับบัญชา (Line) และหนวยงานที่
ปรึกษา หรือสายงานชวย (Staff) ทั้งนี้ตองใหมีการรวมมือประสานงานทุกระดับทั้งใน
ดานแนวนอนและแนวตั้งของหนวยอยางเหมาะสม
การจัดหาและพัฒนาบุคลากร (Staffing) เปนการจัดหาบุคคลหรือเจาหนาที่
ปฏิบัติงานใหสอดคลองกับการจัดแบงหนว ยงานที่แบงไว โดยอาจรวมถึงการคัดเลือก
การประเมิ น ความสามารถ และการพั ฒ นาบุ ค ลากร ทั้ ง นี้ เพื่ อ ให บุ ค คลที่ มี ค วามรู
ความสามารถปฏิบัติงานใหเหมาะสม รวมถึงการที่จะเสริมสรางและธํารงสัมพันธภาพใน
การทํางานของพนักงานอีกดวย
การอํานวยการ (Leading) จะรวมถึงการควบคุมงานนิเทศ งานศิลปะในการ
บริหารงาน เชน ภาวะผูนํา (Leadership) มนุษยสัมพันธ (Human relations) การจูง
ใ จ ( Motivation) แ ล ะ ก า ร สื่ อ ส า ร ( Communication) เ ป น ต น อ ย า ง ไ ร ก็ ดี
ย
การอํ า นวยการนี้ ยั ง รวมถึ ง การวิ นิ จ ฉัย สั่ ง การที่ เ ป น หลั ก อั น สํ า คั ญ ยิ่ง อย า งหนึ่ ง ของ
การบริหารงาน และขึ้นอยูกับความสามารถของผูบังคับบัญชา
น่า
การควบคุม (Controlling) เปนการปฏิบัติงานใหเปนไปตามแผนที่กําหนดไว
ผูบริหารหรือผูจัดการจะตองคอยสอดสองดูแลอยูเสมอวา ผลการปฏิบัติงานเปนเชนไร
ําห
กาวหนาไปสูเปาหมายที่กําหนดไวมากนอยเพียงไร และจะตองทราบการปฏิบัติงานทุก
ขั้นตอน เพื่อที่จะสามารถแกไขสถานการณหรือปญหาตางๆ ที่เกิดขึ้น และจะไมเปนผล
มจ
ทําใหการปฏิบัติงานตองเบี่ยงเบนไปจากเดิมที่กําหนดไว
การกําหนดนโยบายความปลอดภัย
ห้า
ความพยายามที่จะหยุดยั้งการประสบอันตราย ทั้งของบริษัทใหญและบริษัท
เล็กจะไมบังเกิดผลอยางเต็มที่ หากปราศจากนโยบายความปลอดภัยที่เดนชัด แตกลับ
จะมีอุปสรรคที่จ ะขัดขวางการดําเนินงาน ดังนั้น หากฝายบริห ารปรารถนาที่จ ะเห็น
ความสําเร็จของการดําเนินงานดานความปลอดภัย จึงจําเปนจะตองกําหนดนโยบาย
ความปลอดภั ย ขึ้ น ซึ่ ง นโยบายจะเป น เครื่ อ งชี้ เ จตนารมณ ข องฝ า ยบริ ห ารเกี่ ย วกั บ
ความปลอดภัย และสุ ขภาพอนามัย ในการทํ างาน ในกรณีที่ ส ถานประกอบกิจ การมี
คณะกรรมการความปลอดภัย ผู บริ ห ารก็ ค วรได นํา นโยบายดัง กลา วเขา สู ที่ ประชุ ม
คณะกรรมการความปลอดภัย เพื่อพิจารณารวมกัน นโยบาย ที่เห็นชอบรวมกันแลว
ผูบริหารสูงสุดจะตองลงนามกอนเผยแพรไปสูแตละหนวยงานในองคกรตอไปโดยทั่วไป
นโยบายความปลอดภัย จะประกอบดวยขอความที่ (1) เปนปรัชญาของบริษัทเกี่ยวกับ
164 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ความปลอดภัย (2) ระบุความรับผิดชอบของบุคลากรทุกระดั บของบริษัท และ (3)
กําหนดหรือชี้แนวทางการดําเนินงานเพื่อใหบรรลุเปาหมาย
นโยบายความปลอดภัย จะตองกะทัดรัด ใชภาษาที่เขาใจงาย มีความชัดเจน
และสามารถนําไปปฏิบัติได นอกจากนี้ควรไดมีการปรับปรุงใหเหมาะสมกับสถานการณ
อยูเสมอ
การมอบหมายความรับผิดชอบดานความปลอดภัย
ผูบริหารระดับสูงเปนผูที่มีความรับผิดชอบสูงสุด โดยปกติแลวจะตองมอบหมาย
อํานาจและความรับผิดชอบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทํางานลงไปยังผูบริหารทุก
ระดั บ อย า งเป น ลายลั ก ษณ อั ก ษรโดยเฉพาะอย า งยิ่ ง ผู บ ริ ห ารระดั บ ล า งหรื อ ระดั บ
ปฏิบัติการ เชน หัวหนาผูควบคุมงานหรือหัวหนาแผนก เปนตน หัวหนาผูควบคุมงาน
เปนกุญแจสําคัญของโครงการความปลอดภัย เพราะหัวหนาผูควบคุมงานเปนผูที่ใกลชิด
กับพนักงานมากที่สุด สําหรับเจาหนาที่ความปลอดภัยจะปฏิบัติงานอยูในลักษณะชวยใน
ย
การบริหารนโยบาย เปนที่ปรึกษา สนับสนุน และชวยเหลือทางวิชาการ รวมทั้งชวยใน
น่า
การฝกอบรม และสนับสนุนทางดานเครื่องมือ และวัสดุอุปกรณที่เหมาะสม
การมอบหมายอํานาจและความรับผิดชอบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทํางาน
ําห
ในระดับตางๆ มีดังนี้
มจ
รับผิดชอบในความปลอดภัยของผูปฏิบัติงานทุกคน
วางแผนและกําหนดเปาหมายความปลอดภัย
สงเสริมและสนับสนุนการดําเนินงานดานความปลอดภัย
ดูแลใหมีการปฏิบัติตามกฎระเบียบดานความปลอดภัย
สั่งการและมอบหมายใหผูใตบังคับบัญชาเอาใจใสเรื่ องความปลอดภัย
ในการทํางานและติดตามผลการดําเนินงานอยูต ลอดเวลา
ปฏิบัติตนใหเปนตัวอยางที่ดีในเรื่องความปลอดภัยในการทํางาน
2. ผูจัดการระดับกลางและเจาหนาที่ความปลอดภัย มีหนาที่ความรับผิดชอบ
ดังนี้
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 165
นํานโยบายไปสูการปฏิบัติใหเปนรูปธรรม
วางแผนดําเนินงานดานความปลอดภัยในสวนงานที่รับผิดชอบ
กําหนดวิธีการทํางานที่ปลอดภัย
สั่งการใหผูใตบังคับบัญชาสอดสองดูแลใหพนักงานปฏิบัติงานอยาง
ปลอดภัย
จั ด ให มี ก ารฝ ก อบรมแก พ นั ก งาน เพื่ อ ให เ กิ ด ความรู แ ละทั ศ นคติ ที่
ถูกตองในเรื่องความปลอดภัยในการทํางาน
วิเคราะหสาเหตุที่เกิดขึ้นและสั่งการแกไขทันที
จั ด หาอุ ป กรณ ป อ งกั น อั น ตรายส ว นบุ ค คลตามลั ก ษณะงานให แ ก
พนักงาน
ย
ปฏิบัติตนใหเปนตัวอยางที่ดีในเรื่องความปลอดภัยในการทํางาน
น่า
3. พนักงานทั่วไป
ําห
พนักงานทุกคนในสถานประกอบการ เปนผูที่เกี่ยวของโดยตรงกับการเกิด
อุบัติภัย และได รับผลจากอุบัติภัย นั้น ดังนั้น พนักงานแตล ะคนจึงตองมีห นาที่ความ
มจ
รับผิดชอบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทํางานดังนี้
พนักงานระดับปฏิบัติการ ควรใหความสนใจในการเขามีสวนรวมในงาน
ความปลอดภัย โดยสมัครเพื่อเขารับการคัดเลือกเปนผูแทนลูกจางระดับปฏิบัติการใน
ห้า
166 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
เมื่อพนักงานมีขอคิดเห็นเกี่ยวกับความปลอดภัยใหเสนอผูบังคับบัญชา
หรือผูเกี่ยวของ
พนั ก งานทุ กคนตอ งไมเ สี่ ย งต อ งานที่ยั ง ไมเ ข าใจหรือ ไมแ น ใ จว า ทํ า
อยางไร จึงจะปลอดภัย
พนักงานทุกคนตองใชอุปกรณปองกันภัยที่บริษัทจัดใหและแตงกายให
รัดกุมเหมาะสมกับงานตลอดระยะเวลาปฏิบัติงาน
4. คณะกรรมการความปลอดภัย
กระทรวงแรงงาน ไดออกประกาศเรื่อง คณะกรรมการความปลอดภั ย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดลอมในการทํางาน บังคับใหสถานประกอบกิจการที่ มี
ลูกจางตั้งแต 50 คนขึ้นไป แตงตั้งคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ
สภาพแวดลอมในการทํางานขึ้น โดยใหมีองคประกอบของคณะกรรมการเปนทวิภาคี
ย
คื อ มี ผู แ ทนระดั บ บั ง คั บ บั ญ ชา (ฝ า ยบริ ห าร) และผู แ ทนลู ก จ า งระดั บ ปฏิ บั ติ ก าร
น่า
(พนั ก งาน) ในสั ด ส ว นที่ เ ท า กั น โดยให น ายจ า งหรื อ ผู แ ทนนายจ า งเป น ประธาน
คณะกรรมการ และเจาหน าที่ความปลอดภัยในการทํางาน (จป.) เปนกรรมการและ
เลขานุการของคณะกรรมการ
ําห
หนาที่และความรับผิดชอบของคณะกรรมการความปลอดภัย
มจ
ประชุมคณะกรรมการอยางนอยเดือนละ 1 ครั้ง
รั บ ฟ ง นโยบาย แนวทางการดํ า เนิ น งานหน า ที่ ค วามรั บ ผิ ด ชอบ และ
ห้า
ขอกําหนด ที่จักตองปฏิบัติจากนายจางในการประชุมคณะกรรมการครั้งแรก
องคประชุมตองมีกรรมการมาประชุมไมนอยกวากึ่งหนึ่ง โดยตองมีกรรมการ
ซึ่งเป น ผู แทนลูก จางระดั บบั งคับ บัญชา และผูแทนลูก จา งระดับปฏิบัติ การ เขา รว ม
ประชุมดวยทุกครั้ง
เสนอมติ รายงานการประชุ มหรือขอเสนอของคณะกรรมการตอ นายจาง
ภายใน 7 วัน นับแตวันที่ประชุมมีมติ เพื่อใหนายจางดําเนินการแกไข
สํารวจความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดลอมในการทํางานอยาง
นอย เดือนละ 1 ครั้ง
ส ง เสริ ม และสนั บ สนุ น กิ จ กรรมด า นความปลอดภั ย อาชี ว อนามั ย และ
สภาพแวดลอมในการทํางานของสถานประกอบกิจการ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 167
รายงาน เสนอแนะตอนายจางเกี่ยวกับมาตรการหรือแนวทางแกไขปรับปรุง
เพื่อให มีการปฏิบัติต ามกฎหมายความปลอดภั ย ในการทํางานอย างถูกต อง รวมทั้ ง
มาตรการทํ า งานที่ ป ลอดภั ย สํ า หรั บ ลู ก จ า ง ผู รั บ เหมา และบุ ค คลภายนอกที่ เ ข า มา
ปฏิบัติงานหรือเขามาใชบริการในสถานประกอบกิจการ
กําหนดระเบียบดานความปลอดภัย มาตรฐานความปลอดภัยในการทํางาน
ของสถานประกอบกิจการเพื่อเสนอตอนายจาง
จัดทํานโยบาย แผนงานประจําป โครงการ หรื อกิจ กรรมความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดลอมในการทํางาน รวมทั้งความปลอดภัยนอกงาน เพื่อ
ปองกันและลดการเกิดอุบัติเหตุ การประสบอันตราย หรือการเจ็บปวยอันเนื่องจากการ
ทํางาน หรือความไมปลอดภัยในการทํางาน เพื่อนําเสนอตอนายจาง
จัดทําโครงการหรือแผนการฝกอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยอาชีว อนามัย
และสภาพแวดล อ มในการทํ า งาน รวมถึ ง การอบรมเกี่ ย วกั บ บทบาทหน า ที่ ค วาม
ย
รับผิดชอบในดานความปลอดภัยของลูกจาง หัวหนางาน ผูบริหาร นายจางและบุคลากร
น่า
ทุกระดับ เพื่อนําเสนอตอนายจาง
ติดตามผลความคืบหนาเรื่องที่เสนอนายจาง
ําห
รายงานผลการปฏิบัติงานประจําป ปญหาและอุปสรรคและเสนอแนะในการ
ปฏิบัติหนาที่ของคณะกรรมการ เมื่อปฏิบัติหนาที่ครบหนึ่งป เพื่อนําเสนอตอนายจาง
ปฏิบัติหนาที่เกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดลอมใน
มจ
การทํางานอื่น ตามที่นายจางมอบหมาย
ประชุมคณะกรรมการ ตามที่นายจางเรียกประชุม กรณีที่มอี ุบัติเหตุ อัคคีภัย
ห้า
168 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
การปองกันและการควบคุมอันตราย
o การปองกันและควบคุมอันตรายจากเครื่องจักร
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากเครื่องจักรนั้นสวนใหญคอนขางรายแรง อาจถึงขั้นสูญเสีย
อวัยวะ การหาสาเหตุหลักๆของการเกิดอุบัติเหตุจากเครื่องจักร และดําเนินการปองกันที่
ตน เหตุ ข องอั น ตรายควบคู ไ ปกั บ การปฏิ บัติ ง านที่ ป ลอดภั ย จะป อ งกั น อุ บั ติ เ หตุ แ ละ
ความสูญเสียได
สาเหตุของอุบัติเหตุจากเครื่องจักร
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากเครื่องจักรนั้นสวนใหญคอนขางรายแรง อาจถึงขั้นสูญเสีย
นิ้ว มือ หรือแขน อัน เปน ผลใหผูบาดเจ็บตองพิการไปตลอดชีวิต สาเหตุห ลักๆ ของ
การเกิดอุบัติเหตุ ไดแก
ย
เครื่องจักรไมมีเซฟการดที่เหมาะสม เครื่องจักรบางเครื่องมีจุดที่นาจะ
น่า
เกิดอันตราย แตนายจางก็มิไดมีการติดตั้งเซฟการด ใหเหมาะสม เชน เครื่องปมโลหะ
เครื่องจักรบางเครื่องไดมีการติดตั้งเซฟการดเฉพาะดานที่คิดวาพนักงานหรือผูเกี่ยวของ
จะไปสัมผัสหรือทํางานใกล แตอีกดานหนึ่งไมมีเซฟการดทําใหชางซอมบํารุงที่เขาไปซอม
ําห
ไดรับอันตรายอยูเสมอ นอกจากนี้เครื่องจักรบางเครื่องไดติดตั้งเซฟการดไวเรียบรอย แต
ปรากฏวารูตะแกรงของเซฟการดนัน้ โตเกินไปบางทําใหนิ้วมือลอดผานเขาไปได
มจ
มีการถอดเซฟการดออกเพื่อซอมบํารุงเมื่อเสร็จแลวมิไดใสการดกลับเขา
ที่เดิม
ห้า
ย
การควบคุมการทํางาน และการตรวจสอบขนาดงาน น่า
การดที่ดีตองไมขัดขวางการผลิต
การดควรเหมาะสมกับงานและเครื่องจักร
ําห
การดควรมีลักษณะติดมากับเครื่อง
การดที่ติดตั้งแลวควรงายตอการตรวจและการซอมเครื่องจักร
การดควรทนทานตอการใชงานปกติไดดีและงายตอการบํารุงรักษา
มจ
การจัดทําเซฟการดของกลไกที่กอใหเกิดอันตราย
ห้า
กลไกการทํางานของเครื่องจักรที่เปนเหตุใหเกิดอันตรายและจําเปนตองมีเซฟ
การดนั้นอาจแบงไดดังนี้
1. กลไกประเภทที่มีการหมุน การทํางานกับเครื่องมือประเภทที่มีสวนหมุน
ตั้งแตสองสวนขึ้นไป ไมวาจะสัมผัสกันหรือหางกัน หรือหมุนสวนทางกันก็ตามจะมีจุด
อั น ตรายเกิ ด ขึ้ น ได จ ากการหนี บ ตั ว อย า งที่ เ ห็ น ได ง า ยๆ คื อ เครื่ อ งรี ด โซ แ ละเฟ อ ง
สายพานและมูเล (pulley) รอกตางๆ และเฟองขับตางๆ เพลา เปน ตน ไมวาอยูใน
แนวตั้งหรือแนวนอนสวนที่โผลออกมาเพียงเล็กนอยอาจพันและดึงเอาเสนผม ผากัน
เปอน แขนเสื้อ ชายเสื้อของผูเขาใกลและกอใหเกิดอันตรายได ดังนั้น สวนที่หมุนของ
เครื่องจักร เชน เพลา มูเ ล ลอชวยแรง (flywheel) เกียร สายพาน คลัทช หรือระบบการ
สงถายพลังงานแบบหนึ่งแบบใดก็ตาม จึงควรจะติดตั้งอยูในที่ที่ซึ่งไมควรมีคนผานเขาไป
170 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ในบริเวณนั้นบอยๆ ยกเวนผูที่จะเขาไปบํารุงรักษาหรือตรวจตราตามความจําเปน และ
ควรจะมีการติดตั้งเซฟการดไวดวย
ย
ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ
น่า
ําห
มจ
ห้า
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 171
2. กลไกประเภทที่มีการตัดหรือเฉือน เชน เครื่องตัดแบบกิโยติน เครื่องเลื่อย
เครื่องบด เครื่องปาด เครื่องเจียระไน ฯลฯ
ย
น่า
รูปที่ 14.9 เซฟการดสําหรับเครื่องตัด
ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ
ําห
เลื่อยวงกลมติดตั้งกับที่ ควรมีเซฟการดแบบฝาครอบใบเลื่อยซึ่งคลุม
ฟนเลื่อยอยูตลอดเวลา และสามารถปรับระยะเปด-ปด ที่ชองใหวัตถุที่ตองการเลื่อยผาน
มจ
ไดตามความหนาบางโดยอัตโนมัติ และควรออกแบบใหสามารถปองกันวัตถุกระเด็นยอน
มาสูผูใชเครื่องไดดวย
เลื่อยวงกลมประเภทที่เปลี่ยนมุมตัดและเลื่อยขึ้น-ลงไปมาได จะตอง
ห้า
มีเซฟการดปดสวนบนทั้งหมดของเลื่อยไวตลอดเวลา สวนฝาครอบใบเลื่อยนั้นควรปรับ
ระยะเปด-ปดไดเองเชนเดียวกัน
เลื่อยเสน ควรมี เซฟการดป ดดา นฟน เลื่อย และควรเป น ประเภทที่
สามารถปองกันวัตถุกระเด็นยอนมาสูผูใชเครื่อง
เครื่องตัด หรือ เครื่องบด หรือเครื่องเฉือนประเภทตางๆ ตองมีเซฟ
การดประเภทที่สามารถปดฟนหรือคมมีด ไมใหมือผูใชเครื่องมีโอกาสเขาใกลสวนนั้นได
โดยเด็ดขาด ในขณะที่เครื่องกําลังทํางาน ซึ่งเครื่องปองกันนี้จะตองสามารถปรับระยะ
เปด-ปดไดตามความหนาของวัตถุที่ตัดโดยอัตโนมัติ และควรจะเปนประเภทโปรงที่ให
ผูใชเครื่องมองเห็นการตัดไดชัดเจนดวย
172 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
เครื่องเจียระไน จะตองมีเซฟการดที่แข็งแรง เพราะไมเพียงแตปองกัน
มือของผูใชเครื่องและปองกันเศษวัสดุกระเด็นเทานั้น ยังตองสามารถปองกันอันตราย
จากสวนของเครื่องเจียระไนบิ่น แตก กระเด็นไดดวย เนื่องจากเครื่องเจียระไนนี้เ ปน
เครื่องที่มักจะมีผูซึ่งใชไมเปนมาใชงานเสมอๆ อันตรายจึงเกิดขึ้นไดบอยมาก การติดตั้ง
เครื่องเจีย ระไนตองแข็ งแรงแนน หนา ฝาครอบจานเจีย ระไนควรเปน เหล็กสามารถ
ปองกัน การกระเด็น ของเศษวัส ดุไดอยางมีประสิทธิภ าพ ผูใชควรมีอุปกรณคุมครอง
ความปลอดภัยที่เหมาะสม เชน แวนตานิรภัย หรือหนากาก หรืออุปกรณปองกันฝุน
เครื่องขัด จะตองมีฝาครอบสําหรับดูดฝุนและเศษวัสดุที่ขัดออกมาได
อยางมีประสิทธิภาพเพราะนอกจากเปนการปองกันผูใชแลว ยังปองกันฝุน หรือเศษวัสดุ
ดังกลาวกระจายออกสูบรรยากาศไดดวย
3. กลไกประเภทที่ มี ก ารบี บ หรื อ หนี บ เซฟการ ด สํ า หรั บ เครื่ อ งมื อ
ประเภทนี้ บางชนิดอาจใชแบบฝาครอบปองกันได แตบางชนิดไมอาจทําเชนนั้นได เชน
ย
เครื่องรีดตางๆ ซึ่งจะมีเครื่องกั้นปองกันเฉพาะจุดที่สัมผัสเพื่อไมใหนิ้วมือของผูใชเขาไป
น่า
ได และควรมีระบบบังคับใหเครื่องหยุดทันทีโดยอัตโนมัติเมื่อมีสิ่งอื่นเขาในจุดที่สัมผัส
หรือหนีบนั้นๆ
ําห
มจ
ห้า
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 173
4. กลไกประเภทสกรู อันตรายของกลไกประเภทสกรูก็คลายคลึงกับประเภทที่
มีการหนีบ ตางกันก็เพียงแตประเภท สกรูนั้นมีชิ้นสวนหมุนกับชิ้นสวนที่ไมหมุนหรือติด
ตั้งอยูกับที่ เชน เครื่องบดตางๆ เครื่องผสมตางๆ หรือเครื่องสงวัตถุโดยใชสกรู เปนตน
เซฟการดสําหรับเครื่องสงวัตถุดวยสกรูนั้นอาจออกแบบใหสามารถปองกันสวน
ใดสวนหนึ่งของรางกายเขาใกลเครื่องจักรที่มีการเคลื่อนหรือหมุน เชน แบบฝาครอบ
หรือแบบตะแกรงกั้น หรือถาหากตองมีชองสําหรับปอนวัตถุก็ควรใหสามารถปรับขนาด
ของชองไดตามลักษณะ รูปราง และขนาดของวัตถุที่ปอนนั้นได
สําหรับเครื่องบดหรือเครื่องผสม โดยปกติมักจะใชฝาปดหรือฝาครอบ แบบที่
เมื่อเปดฝาครอบเครื่องจะหยุดทํางานทันทีโดยอัตโนมัติและเครื่องจะไมทํางานจนกวาจะ
ผิดฝาครอบใหเรียบรอย
ย
น่า
ําห
มจ
ห้า
174 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
1. ใชความรอน โดยใชไอน้ําที่มีอุณหภูมิสูงในการทําอาหารใหสุก นึ่งฆา
เชื้อ อบไม ซักผา
2. ใชความดัน สวนมากจะใชไอรอนยิ่งยวด (superheated steam) ไป
ขับกังหันเพื่อผลิตไฟฟา (steam turbines) แตในสมัยกอนใชความดันจากไอไมสูงมาก
นักขับลูกสูบในเครื่องจักรไอน้ํา ในโรงสี โรงเลื่อยไม ฯลฯ
อุปกรณความปลอดภัยของหมอน้ํา
ตามมาตรฐานโดยทั่ว ไป หมอน้ํ าทุกเครื่อ งตองมีอุป กรณประกอบพื้น ฐานที่
สําคัญเพื่อชวยควบคุมความปลอดภัย ไดแก
1. ลิ้นนิรภัย (safety valve) ถือเปนอุปกรณความปลอดภัยที่สําคัญ
ชิ้นหนึ่ง ทําหนาที่ระบายหรือลดความดันไอน้ําที่สูงเกินกําหนด เพื่อปองกันไมใหหมอน้ํา
ระเบิด ติดตั้งบริเวณสวนบนสุดของตัวหมอน้ําตรงสวนที่เปนไอเทานั้น
2. มาตรวัดความดัน (pressure gauge) ทําหนาที่บอกหรือแสดงระดับ
ความดันของไอน้ําภายในหมอน้ํา
ย
น่า
3. มาตรวัดระดับน้ํา เปนตัวบอกระดับน้ําภายในหมอน้ํา ทําใหผูควบคุม
สามารถทราบระดับน้ําที่ถูกตองวาปกติหรือแหง ซึ่งหากผิดพลาดอาจเกิดการระเบิดได
ําห
4. ชุดควบคุมระดับน้ํา (water level control) ทําหนาที่ควบคุมระดับน้ํา
ภายในหมอน้ําใหคงที่สม่ําเสมอ โดยทํางานในการควบคุมตัดตอวงจรไฟฟาอัตโนมัติ ใหมี
การสูบน้ําเขาหมอน้ําใหอยูในระดับที่เหมาะสมตลอดเวลา รวมทั้งตัดระบบจายเชื้อเพลิง
มจ
ในกรณีน้ําแหงเพื่อปองกันการระเบิด
5. สวิทชควบคุมความดัน ทําหนาที่ตัดตอเชื้อเพลิงเพื่อรักษาความดันใหได
ห้า
ตามตองการ
6. เครื่องสูบน้ํา (feed water pump) ทําหนาที่สูบน้ําสงเขาหมอน้ําโดย
รับสัญญาณไฟฟาจากชุดควบคุมระดับ เพื่อรักษาระดับน้ําใหอยูในภาวะปกติในการใช
งานไดตามที่ตองการ
7. ลิ้นระบายน้ํากนหมอ (bottom blow down valve) ทําหนาที่เปน
ทางระบายความเขมขน หรือสิ่งสกปรก ตะกอน ออกไปจากภายในหมอน้ํา ในกรณี
ฉุกเฉินสามารถเปดระบายความดันในกรณีลิ้นนิรภัยไมทํางาน
การตรวจสอบและการทดสอบ
การตรวจสอบรายวัน เปนหนาที่ของผูควบคุมตองดําเนินการ ทั้งกอน
เดินเครื่อง ระหวางเดินเครื่อง และหลังจากการใชงาน โดยมีแบบฟอรมเปนหลักฐาน
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 175
รายวัน เวลา บุคคล ระบบตางๆ เชน ความดัน เชื้อเพลิง อากาศเผาไหม ระบบควบคุม
อัตโนมัติ ฯลฯ
การตรวจสอบรายเดือน อาจรวมถึงการบํารุงรักษาและทําความสะอาด
ในหมอน้ําดวย
การตรวจสอบรายปตองมีก ารตรวจทดสอบทุกป โดยเฉพาะอุปกรณ
สําคัญตางๆ ตลอดจนสภาพภายใน ภายนอก พรอมอัดน้ําทดสอบเพื่อดูความแข็งแรง
ทั้งหมดนี้ตองมีวิศวกรเครื่องกลรับรองผลดวย
สรุปสาเหตุที่ทําใหหมอน้ําระเบิด
1) สาเหตุจากการสราง
ใช เ หล็ ก ผิ ด ประเภท ไม ไ ด ม าตรฐานตามหลั ก วิ ศ วกรรมกํ า หนด
เชน ถาเปนมาตรฐานอเมริกาตองใช Carbon-Silicon No. ASTM A212
ย
ขนาดความหนาของเหล็กไมเพีย งพอ ทําใหไมส ามารถทนความดันได
ตามที่คํานวณออกแบบได
น่า
ชนิดของลวดเชื่ อมที่ ใชเ กรดต่ํ าไป ไม เหมาะสมกับเหล็กที่ ทําหมอน้ํ า
ําห
ทําใหประสิทธิภาพรอยตอแนวเชื่อมต่ํา
การเชื่อมตอไมดีผูเชื่อมไมมีประสบการณเพียงพอ ทําใหเกิดจุดออนตาม
แนวเชื่อม ทั้งยังไมมีการตรวจสอบความแข็งแรงแนวเชื่อมและโพรงอากาศจากแนวเชื่อม
มจ
เชน ใชเครื่องเอ็กซเรยแนวเชื่อม
เกิ ด รอยร า วระหว า งแนวเชื่ อ มหรื อ ตามเนื้ อ เหล็ ก อั น เนื่ อ งมาจาก
ห้า
ย
ปญหาฉุกเฉินขึ้น เชน น้ําแหง และความดันฉุกเฉิน เปนตน
น่า
ไมไดมีการตรวจสอบระบบควบคุมความปลอดภัยของหมอน้ําเลย
ไมเอาใจใสดูแลสภาพน้ําที่ปอนเขาหมอน้ํา โดยไมไดปรับสภาพน้ําใหได
ําห
ตามกําหนดสม่ําเสมอ เชน การลางเครื่องกรองน้ํา และการเติมสารเคมีที่เหมาะสมใหได
มาตรฐานกําหนด
มจ
ละเลยไม เ อาใจใส ดูแ ลหม อน้ํ า ในขณะที่ กํา ลั ง เดิน เครื่ อง และไม ไ ด มี
การตรวจสอบกอนเดินเครื่องใชงานหรือการตรวจสอบตามระยะเวลา เชน ตรวจสอบ
ห้า
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 177
5) สาเหตุจากวิศวกรผูตรวจสอบ
ขาดความรูความชํานาญเฉพาะดานหมอน้ํา หรือระบบถังความดัน ที่
เกี่ยวของ
มิไดทําการตรวจสอบอยางถูกตองตามมาตรฐานทางวิศวกรรมกําหนด
วิศวกรผูตรวจสอบคํานึงถึงผลประโยชนทางธุรกิจมากกวาความปลอดภัย
และจรรยาบรรณในวิ ช าชี พ ของตั ว เอง โดยมิ ไ ด ล งมื อ ทํ า การตรวจสอบจริ ง หรื อ
เกิดความผิดพลาด
o การปองกันและควบคุมอันตรายจากไฟฟา
อั น ตรายจากไฟฟ า อาจก อ ให เ กิ ด ความสู ญ เสี ย ได ทั้ ง ชี วิ ต และทรั พ ย สิ น
ทั้งจากการใชไฟฟาและการทํางานกับไฟฟา จึงตองมีความระมัดระวังและมีความรูที่จะ
ย
ปองกัน อันตรายที่อาจเกิดขึ้น การปองกันอันตรายจะตองทราบลักษณะของการเกิด
น่า
อันตรายและแนวทางการปองกัน จึงจะสามารถปองกันไดอยางเหมาะสม
ในบทนี้ มี จุ ด ประสงค ใ ห ท ราบในหลั ก การของอั น ตรายจากไฟฟ า และ
แนวทางการปองกันที่เหมาะสมสําหรับวิศวกรทุกสาขารวมทั้งผูที่ทํางานเกี่ยวของกับ
ําห
ไฟฟาเพื่อใชเปน แนวทางในการบริห ารจั ดการใหงานที่เกี่ย วข องกับวิศวกรรมไฟฟ า
มีความปลอดภัย แตเนื่องจากไฟฟามีอันตรายสูงและมองไมเห็น ดังนั้นในการปฏิบัติงาน
มจ
และการประยุกตใชแนวทางการปองกัน จะตองดําเนินการโดยบุคคลที่มีความรูความ
ชํานาญอยางแทจริงเทานั้น
ห้า
1. อันตรายจากไฟฟาและการปองกัน
ลักษณะของอันตรายจากไฟฟาแบงไดดังนี้
1. ไฟฟาดูด (electric shock)
2. ประกายไฟจากอารก (arc flash)
3. การระเบิดจากอารก (arc blast)
1.1 ไฟฟาดูด (Electric Shock)
ไฟฟาดูด เกิดกับบุคคลหรือสิ่งมีชีวิตอื่น ไฟฟาดูดคือการที่กระแสไฟฟาไหลผาน
รางกายซึ่งเปนอันตราย กระแสไฟฟาจะไหลผานรางกายไดจะตองเปนการไหลครบวงจร
นั่นคือกระแสไฟฟาจะไหลเขารางกายและไหลกลับไปยังแหลงกําเนิดได สวนของรางกาย
ที่กระแสไฟฟาไหลเขาและออกจะเปนแผลหรือจุดที่มองเห็นได ขนาดของแผลหรือจุดที่
178 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
กระแสไหลเข าและออกนั้ น ขึ้ น อยู กับ ขนาดของแรงดั น และกระแสที่ ไ หลผา นจุด นั้ น
รวมทั้งระยะเวลาที่กระแสไฟฟาไหลผานรางกายดวย แผลจากไฟฟาจะมีลักษณะไหม
เซลลตาย และรักษาใหหายไดยาก
ผูที่ถูกไฟดูดจะมีอาการอยางใดอยางหนึ่งหรือหลายอยาง คื อหัวใจเตนผิดปกติ
จนถึงหยุดเตนระบบประสาทและกลามเนื้อทํางานผิดปกติ เชน เกิดการกระตุก หรือ
สะบัดอยางแรง อาการที่เรียกวาไฟฟาดูดนี้มาจากอาการที่ระบบประสาทไมสามารถ
สั่งงานใหกลามเนื้อทํางานได เชน ไมสามารถสั่งใหมือปลอยหรือคลายออกจากการจับ
ตองสวนที่มีกระแสไฟฟา หรือไมสามารถสั่งใหกาวเทาหนีจากพื้นบริเวณที่มีกระแสไฟฟา
รั่วไหล เปนตน อาการเหลานี้เปนอาการที่คลายกับถูกไฟฟาดูดใหอยูกับที่ เราจึงเรียก
อาการนี้วา “ไฟฟาดูดหรือไฟดูด” ปจจัยความรุนแรงประกอบดวยปริมาณกระแสที่ไหล
ผานรางกาย ระยะเวลาที่กระแสไหลผาน และเสนทางการไหลของกระแสที่ผานรางกาย
ย
หลักการปองกันอันตรายจากไฟฟาดูด น่า
เนื่องจากไฟฟาดูดเกิดจากรางกายสัมผัสสวนที่มีไฟฟา แบงลักษณะการสัมผัสได
เปน 2 แบบ การปองกันจึงปองกันตามลักษณะการสัมผัสดังนี้
ก. การสัมผัสโดยตรง (direct contact) คือการที่รางกายสัมผัสกับสวนที่
ําห
ในสภาพปกติมีแรงดันไฟฟาอยูแลวเชน สัมผัสบัสบารที่เปดโลง โดยเทายืนบนดินทําใหมี
กระแสไฟฟาไหลผานรางกาย เปนการไหลครบวงจรทางไฟฟา อันตรายลักษณะนี้มักเกิด
มจ
ของการใชไฟฟาหรือการทํางานกับไฟฟานั้น มีโอกาสที่จะเกิดอันตรายไดในลักษณะใด
หรือไม ซึ่งจะตองปองกันไวกอนดวยวิธีการที่เหมาะสม
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 179
รูปที่ 14.12 ตัวอยางการสัมผัสโดยตรง
ที่มา: หนังสือคูมือความปลอดภัยในการทํางานกับไฟฟา: ลือชัย ทองนิล
ย
หลักการปองกันอันตรายจากการสัมผัสโดยตรง การปองกันการสัมผัส
โดยตรงเปนการปองกันเบื้องตนที่จะตองปฏิบัติซึ่งทําไดหลายวิธีโดยอาจจะเลือกวิธีใดวิธี
น่า
หนึ่งหรือหลายวิธีประกอบกันก็ไดตามความเหมาะสม ตัวอยางการปองกันมีดังนี้
- หุมฉนวนสวนที่มีไฟฟา เชน การหุมฉนวนสายไฟฟา
ําห
- ปองกันโดยมีสิ่งกั้นหรือตู เชน ตูหรือแผงสวิตช
- ปองกันโดยมีสิ่งที่กีดขวาง เหมาะสําหรับอุปกรณไฟฟาขนาดใหญ
มจ
เชน รั้วของลานหมอแปลง
- ปองกันดวยระยะหาง เชน ยกใหอยูในระยะที่เอื้อมไมถึง หรือติดตั้ง
สายบนเสาไฟฟา เปนตน
ห้า
ย
น่า
ําห
รูปที่ 14.13 ตัวอยางการสัมผัสโดยออมเนื่องจากไฟรั่วที่ตูเย็น
ที่มา: หนังสือคูมือความปลอดภัยในการทํางานกับไฟฟา: ลือชัย ทองนิล
มจ
ของการใชไฟฟาหรือการทํางานกับไฟฟานั้น มีโอกาสที่จะเกิดอันตรายไดในลักษณะใด
ซึ่งจะตองปองกันไวกอนดวยวิธีการที่เหมาะสม
หลักการปองกันอันตรายจากการสัมผัสโดยออมตัวอยางการปองกันมีดังนี้
- มีการตอลงดินเปลือกหุมที่เปนตัวนําและมีเครื่องปลดวงจรอัตโนมัติ ซึ่ง
จะเลือกใชเปนวิธีแรก(ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องระบบสายดิน)
- เลื อ กใช เ ครื่ อ งใช ไ ฟฟ า ชนิ ด ฉนวน 2 ชั้ น หรื อ ประเภท II (double
insulation)
- ใชเครื่องตัดไฟรั่วเปนการปองกันเสริม
- ใชเครื่องใชที่มีแรงดันต่ําที่ไมเกิน 50 V. โดยตอผานหมอแปลงชนิดแยก
ขดลวด
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 181
การปองกันแตละวิธีมีรายละเอียดมาก ผูใชงานจะตองศึกษารายละเอีย ดให
เขาใจอยางชัดเจนและปฏิบัติใหถูกตองจึงตองดําเนินการโดยผูที่ความรูความชํานาญ
เทานั้น มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายมากกวาผลการปองกันที่จะไดรับ
ในการใชไฟฟาและการทํางานกับไฟฟานั้น มีโอกาสที่จะเกิดอันตรายไดทั้งจาก
การสัมผัสโดยตรงและสัมผัสโดยออม ผูที่มีหนาที่เกี่ยวของจะตองคนหาวาอันตรายจะ
เกิดไดอยางไรซึ่งตองหาวิธีปองกันไวกอนตามที่กลาวขางตน
1.2 ประกายไฟจากอารก (Arc Blast)
อารกมีพลังงานสูงพอที่จะทําอันตรายตอชีวิตและทรัพยสินไดเชนกัน อารก มี
ความรอนสูงมากจนละลายวัตถุได ความรอน ไอของโลหะที่หลอมละลาย และแสงจา
เปนอันตรายตอทั้งบุคคลและทรัพยสิน
อารก อารกหรือประกายไฟเกิดขึ้น เมื่อมีกระแสและกําลังไฟฟาสูง เปนการ
ย
ปล อ ยไฟฟ า ออกสู อ ากาศออกมาเป น แสง ซึ่ ง เกิ ด ขึ้ น เมื่ อ มี แ รงดั น ไฟฟ า สู ง ตกคร อ ม
น่า
ชองวางระหวางตัวนํามีคาสูงเกินคาความคงทนของไดอิเล็กทริก (dielectric strength)
ของอากาศ และมีกระแสไฟฟาไหลผานอากาศ แรงดันสูงเกินอาจเกิดจากฟาผา จากการ
สับ-ปลดสวิตชและจากการชํารุดของอุปกรณเนื่องจากการใชงานไมถูกตอง เปนตน
ําห
1.3 การระเบิดจากอารก (Arc Blast)
มจ
การเกิดระเบิดมีสาเหตุหลักมาจากการเกิดอารกไฟฟาในปริมาตรที่จํากัด เมื่อ
อากาศไดรับความรอนสูงจากอารกก็จะขยายตัวอยางรวดเร็วจนอุปกรณไฟฟาเกิดระเบิด
ได การเกิดระเบิดจากอารกมีอุณหภูมิสูงมาก และแรงจากการระเบิดนี้ก็สูงมากจนเปน
ห้า
อันตรายตอบุคคลและทรัพยสินได
ผูที่มีหนาที่เกี่ยวของ (ปกติคือบุคคลที่มีคุณสมบัติ) จะตองคนหาวาในสภาพของ
การใชไฟฟาหรื อการทํา งานกั บไฟฟานั้ น มีโ อกาสที่จ ะเกิด อัน ตรายไดในลักษณะใด
ซึ่งจะตองปองกันไวกอน
หลักการปองกันอันตรายจากอารกและการระเบิด
เนื่องจากอันตรายเกิดไดกับทั้งทรัพยสินและบุคคล การปองกันจึงแยกจากกัน
ดังนี้
182 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
การปองกันทรัพยสิน
เนื่องจากอารกและการระเบิดมีความรอนสูง ดังนั้นอันตรายสวนใหญจึงเปนการ
เกิดเพลิงไหม หลักการปองกัน มีดังนี้
- เลือกใชอุปกรณปองกันวงจรและอุปกรณไฟฟาที่เหมาะสม เชน ปองกัน
กระแสเกินดวยเซอรกิตเบรกเกอรหรือฟวสพิกัดที่เหมาะสม เปนตน
- เลือกใชอุปกรณไฟฟาที่มีคุณภาพอาจดูจากเครื่องหมายรับรองคุณภาพ
เชน มีเครื่องหมาย มอก. เปนตน
- ใชเครื่องใชไฟฟาอยางถูกวิธี เชน ศึกษาวิธีใชงานจากคูมือ เปนตน
- เดินสายและติดตั้งอุปกรณไฟฟาตามมาตรฐานฯ (ปองกันการเกิดอารก
หรือเมื่อเกิดแลวตองปองกันไมใหสัมผัสกับเชื้อเพลิง)
- ออกแบบและติดตั้งโดยผูที่มีความรูความชํานาญ
- ตรวจสอบและบํารุงรักษาอยางสม่ําเสมอ
การปองกันบุคคล
ย
น่า
อันตรายเกิดไดกับทั้งบุคคลทั่วไปและผูที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับไฟฟา สําหรับบุคคล
ทั่วไปจะตองใหความรูเกี่ยวกับอันตรายและการหลีกเลี่ยง แตสําหรับผูที่ปฏิบัติงานกับ
ําห
ไฟฟานั้น สว นใหญเปน อัน ตรายที่เกิด จากการทํางานกับไฟฟาหรือใกลสว นที่มีไฟฟา
โดยปกติผูปฏิบัติงานตองพยายามหลีกเลี่ยงการทํางานในขณะที่มีไฟฟาแตถาไมสามารถ
มจ
หลี ก เลี่ ย งได การป อ งกั น จะต อ งเลื อ กใช อุ ป กรณ ค วามปลอดภั ย ที่ เ หมาะสม และมี
มาตรการความปลอดภัยที่ดีดวย ซึ่งตองดําเนินการโดยบุคคลที่มีคุณสมบัติ (qualified
person)
ห้า
หมายเหตุ ผูที่ปฏิบัติงานกับไฟฟาจะตองเปนผูที่มีความรูเปนอยางดีถึงอันตราย
ที่อาจเกิดจากไฟฟา และรูวิธีการปองกันที่เหมาะสมดวย
แนวทางการเลือกการปองกันเมื่อทํางานกับไฟฟา
ในการทํางานกับไฟฟา ควรเลือกการปองกันอันตรายใหเหมาะสมโดยเลือก
เรียงตามลําดับ ดังนี้
- ปองกันด วยวงจรไฟฟา โดยการปลดวงจรไฟฟา (หรือดับ ไฟ) วงจรที่จ ะ
ทํางาน
- ปองกันดวยเครื่องหอหุม เปนการปดกั้นสวนที่มีไฟฟาดวยฉนวนไฟฟา เชน
การหุมสายไฟฟา การใชผาหมยาง หรือมีแผงกั้น เปนตน
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 183
- ปองกันดวยระยะหาง คือการอยูในระยะหางที่เหมาะสมซึ่งการหาระยะหาง
ตองทําโดยบุคคลที่มคี ุณสมบัติ (qualified person)
- ป อ ง กั น ด ว ย อุ ป ก ร ณ คุ ม ค ร อ ง ค ว า ม ป ล อ ด ภั ย ส ว น บุ ค ค ล (PPE)
ทีเ่ หมาะสมกับงาน
ในการทํา งานกับไฟฟา ควรเลือ กการปองกัน ด ว ยการปลดวงจรไฟฟ าเป น
วิธีแรกถาไมสามารถทําไดคอยเลือกวิธีลําดับถัดไป การเลือกใชอุปกรณคุมครองความ
ปลอดภัยสวนบุคคลจึงควรใชเปนวิธีสุดทายหลังจากที่การปองกันดวยวิธีกอนหนานี้ทํา
ไมไดหรือแกปญหาไมหมด หรือเปนการใชเพิ่มเติมจากวิธีขางตนเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
2. อุปกรณความปลอดภัยในการทํางานกับไฟฟา
อุป กรณ ค วามปลอดภั ย ในการทํ างานกั บ ไฟฟ า เช น ชุ ด ต อ ลงดิน เพื่ อ ความ
ปลอดภัย เครื่องกั้น การล็ อกและแขวนป า ยเครื่องหมายเตือ น และอุป กรณท ดสอบ
ย
แรงดันเปนอุปกรณความปลอดภัยเพิ่มเติมที่ใชประกอบกับการทํางานเพื่อเตือน ขัดขวาง
น่า
หรื อ ลดอั น ตรายหากเกิ ด อุ บั ติ เ หตุ หั ว หน า งานหรื อ ผู ป ฏิ บั ติ ง านจะต อ งเลื อ กใช ใ ห
เหมาะสมกับสภาพการทํางานดวย
2.1 อุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล
ําห
หมายถึง สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่นํามาสวมใสอวัยวะสวนหนึ่งสวนใดของรางกายหรือ
หลายสวนรวมกัน โดยมีจุดมุงหมายเพื่อปองกั นอวัยวะของรางกายสวนที่สวมใสไมให
มจ
ไดรั บ อั น ตรายจากสิ่ งที่ ตอ งการป องกั น หรื ออาจกลา วไดวา เป น อุ ปกรณที่ ใช ในการ
ปองกัน อัน ตรายอัน เกิดจากสภาพสิ่งแวดลอมในการทํางานใหแกพนักงาน ตัว อยาง
ห้า
184 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ก. เครื่องกั้นและเครื่องหมาย ในการทํางานที่ตองมีการถอดบางชิ้นสวนที่ทํา
หนาที่กั้นออกเปนการชั่วคราว เชน ฝา หรือ ประตูตู ดังนั้น เมื่อทําการถอดชิ้นสวนออก
แลว ควรมีการกั้นและติดตั้งเครื่องหมายเตือนบุคคลทั้งที่เกี่ยวของและไมเกี่ยวของให
ทราบถึงอันตรายดวย
ข. ปาย กุญแจ และอุปกรณล็อก ปายเพื่อความปลอดภัย กุญแจ และอุปกรณ
ล็อก ใชเพื่อใหเกิดความมั่นคงและทําเครื่องหมายวาอุปกรณนั้นหยุดการใชงาน การใช
ปายเพื่อความปลอดภัย กุญแจ และอุปกรณล็อกก็เพื่อใหอุปกรณไมสามารถใชงานหรือ
จายไฟไดอีกจนกวาจะถอดออก
ปายเพื่อความปลอดภัย ใชติดตั้งกับอุปกรณเพื่อแสดงวา งดใชงาน วัสดุที่ใชทํา
ปายตองคงทน และไมชํารุดจากสภาพแวดลอม ปายควรทําเปนมาตรฐานมีขอความใน
ลักษณะของการเตือน เชน หามเดินเครื่อง หามเปด หามปด หรือหามใชงาน เปนตน
ปายตองบอกชื่อผูติดตั้งและปญหาของอุปกรณที่ติดตั้ง พนักงานทั้งหมดตองทราบถึง
ย
จุดประสงคและความสําคัญของการติดตั้ง (แขวน) ปายดวย การถอดปายตองทําโดยผูที่
แขวนปายเทานั้น
น่า
กุญแจ การล็อก เปนการปองกันการใชงานอุปกรณ เชน ปองกันการสับเซอรกิต
ําห
เบรกเกอรที่ไดปลดวงจรไฟฟาไวแลว กุญแจจึงตองมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะทนตอ
การไขออกได นอกจากจะใชลู กกุญ แจหรื อใชแ รงอยา งมาก กรณีไ มใ ชลู กกุ ญแจจะ
สามารถถอดออกไดก็ตอเมื่อตัดดวยเครื่องมือเทานั้น
มจ
โดยปกติ ในการล็อกกุญแจผูปฏิบัติงานแตละคนควรมีลูกกุญแจของตนเองที่
บุคคลอื่นไมสามารถไขได แตอาจมีแมกุญแจ (master key) เก็บไวใชในกรณีฉุกเฉินก็ได
ห้า
แมกุญแจฉุกเฉินอาจใชเปดโดยบุคคลอื่นนอกเหนือจากผูที่ทําการล็อกเอง แตตองปฏิบัติ
ตามขั้นตอนที่กําหนดอยางเครงคัด
ย
บนพื้น
น่า
- การใช ป น จั่ น ในงานก อ สร า ง ทั้ ง ชนิ ด ที่ ติ ด ตั้ ง บนรถ และชนิ ด ติ ด ตั้ ง
ําห
- การใชรถเครื่องมือกล เชน รถบูม และรถบรรทุก
- การทํางานบนนั่งราน เชน การทาสี ฉาบปูนและงานกอสรางอื่น ๆ
- การปรับปรุงอาคาร
มจ
แนวทางปองกันอันตราย
ห้า
การปองกันอันตรายที่ไดผลนอกจากจะไมสัมผัสสวนที่มีไฟฟาแลว จําเปนตองมี
มาตรการอื่ น ควบคู ไ ปด ว ย การป อ งกั น จะแตกต า งกั น ออกไปตามลั ก ษณะงาน แต
แนวทางการปองกันจะไมแตกตางกันนัก แนวทางการปองกันอาจใชวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือ
หลายวิธีประกอบกัน พอสรุปไดดังนี้
- ควบคุมดูแลใหปฏิบัติตามกฎระเบียบ และขอบังคับตางๆ
- อยูในระยะหางที่เหมาะสมจากสายไฟฟา
- ใหความรูแกผูปฏิบัติงาน และมีปายเตือนที่ชัดเจนเหมาะสม
- ทําแผงกั้นตรงจุดที่อาจเกิดอันตราย
- หุมสายไฟฟาเปนการชั่วคราว (โดยการไฟฟาฯ)
- ขอดับไฟฟาเปนการชั่วคราว
- ตอลงดินรถที่ใชปฏิบัติงาน
- จัดใหมีเจาหนาที่ควบคุม ดูแล และตรวจสอบการทํางานเปนประจํา
186 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
จุดที่หุมสายไฟฟา
ย
น่า
ําห
มจ
ห้า
4. การตอลงดิน (ระบบสายดิน)
การตอลงดินในตอนนี้มีจุดประสงคเพื่อความปลอดภัยในการใชไฟฟาของบุคคล
ที่ใชงานทั้งในภาวะปกติและเมื่อเกิดกระแสรั่ว และยังชวยใหระบบไฟฟามีความมั่นคงอีก
ดวย
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 187
หมอแปลงไฟฟา สายแรงต่าํ ตอลงดินที่หมอแปลงไฟฟา
สายเมนแรงต่ํา
แผงเมนสวิตช
เมนเซอรกติ
เบรกเกอร
สายนิวทรัล
สายตอฝากลงดิน
ตัวถังหมอแปลง นิวทรัลบาร
ตอลงดิน สายตอฝาก อุปกรณไฟฟา
สายตอหลักดิน สายดินของอุปกรณ
กราวดบาร ไฟฟา
รูปที่ 14.17 วงจรการตอลงดินของระบบไฟฟาภายในอาคาร
ที่มา: ลือชัย ทองนิล
ย
บริ ภั ณ ฑ ห รื อ อุ ป กรณ ไ ฟฟ า ที่ มี เ ครื่ อ งห อ หุ ม เป น โลหะ (ตั ว นํ า ไฟฟ า ) เช น
น่า
เครื่ อ งใช ไ ฟฟ า ในบ า น และอุ ป กรณ ก ารเดิ น สายไฟฟ า จะต อ งต อ ลงดิ น เพื่ อ ความ
ําห
ปลอดภัย
4.1.1. บริภัณฑไฟฟาที่มีเปลือกเปนโลหะและอยูในตําแหนงที่บุคคลอาจ
สัมผัสได (สูงไมเกิน 2.40 ม. หรือหางในแนวระดับไมเกิน 1.50 ม.) ตองตอลงดิน เชน
ตูเย็น เครื่องซักผา เครื่องทําน้ําอุน เครื่องจักรในโรงงาน มอเตอรไฟฟา และเครื่อง
คอมพิวเตอร เปนตน อุปกรณไฟฟาบางชนิดอยูในตําแหนงสูงสัมผัสไมถึงไมบังคับใหตอง
ตอลงดิน (แตจะตอลงดินก็ได) แตถึงแมวาสัมผัสไมถึงถาติดตั้งบนโครงสรางโลหะที่บุคคล
สัมผัสได หรือเดินสายดวยทอ หรือรางเดินสายโลหะก็จะตองตอลงดินดวย เชน ดวงโคม
ไฟฟาที่ติดตั้งกับโครงสรางเหล็กของอาคาร เปนตน
4.1.2. อุปกรณเดินสายโลหะ เชน ทอรอยสาย รางเดินสาย และรางเคเบิล
ตองตอลงดิน
4.1.3. รั้วโลหะหรือสิ่งกีดกั้นอุปกรณไฟฟาที่เปนโลหะ รวมทั้งเครื่องหอหุม
อุปกรณไฟฟาในระบบแรงสูง
188 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
โดยปกติ บริภัณฑไฟฟาที่ตองตอลงดินจะมีเครื่องหมายแสดงใหเห็นวาตองตอ
ลงดิน
4.2 บริภัณฑไฟฟาที่ไมตองตอลงดิน
บริภัณฑไฟฟาที่ยกเวนไมตองตอลงดิน ไดแก บริภัณฑไฟฟาชนิดใชเตาเสียบที่
ระบุวาเปนชนิดฉนวน 2 ชั้น (ปกติจะระบุไวบน name plate) บริภัณฑไฟฟาที่ใชไฟฟา
แรงดันไมเกิน 50 โวลต ที่ตอใชไฟจากวงจรไฟฟาปกติโดยตอผานหมอแปลงนิรภัย (ชนิด
แยกขดลวด) และบริภัณฑไฟฟาที่ติดตั้งในที่สูงหรือมีการกั้นปองกันการสัมผัส
4.3 วิธีการตอลงดินของบริภัณฑไฟฟาหรืออุปกรณไฟฟา
บริภัณฑไฟฟาที่กําหนดใหตองตอลงดิน การตอลงดินทําไดโดยการเดินสายดิน
จากบริภัณฑไฟฟามาตอลงดินที่เมนสวิตชโดยตอเขากับนิวทรัลบาร สําหรับแผงสวิตช
ขนาดใหญจะมีบัสบารอีกแทงหนึ่งเรียกวากราวดบาร สายดินทั้งหมดจากบริภัณฑไฟฟา
ย
จะต อ เข า กั บ กราวด บ าร นี้ และระหว า งกราวด บ าร กั บ นิ ว ทรั ล บาร จ ะต อ ถึ ง กั น ด ว ย
สายไฟฟา (ดูรูปที่ 14.18)
น่า
บริภัณฑไฟฟาที่ตองตอลงดินบางชนิดผูผลิตไดเดินสายดินมารอที่เตาเสียบแลว
ําห
สังเกตไดจากเตาเสียบจะเปนชนิดมีขั้วดินเมื่อเสียบเขากับเตารับชนิดที่มีสายดินดวยก็จะ
ทําใหระบบสายดินใชงานไดตามตองการ
เตารับและเตาเสียบจะตองเปนแบบที่สามารถใชกันได โดยเมื่อเสียบแลวทั้งสาม
มจ
ย
น่า
ําห
มจ
ย
น่า
ําห
รูปที่ 14.20 วงจรการตอลงดินที่ไมถูกตอง (ไมเดินสายดิน)
ที่มา: ลือชัย ทองนิล
มจ
หลักดินที่ปกอยูใกลเครื่องใชไฟฟาหรือเครื่องจักรนั้น (พบทั้งในโรงงานอุตสาหกรรมและ
บานอยูอาศัย หลายแหง) การตอลงดินลักษณะนี้เมื่อเครื่องใชไฟฟามีไฟรั่วกระแสที่รั่วนี้
จะไหลกลับไปครบวงจรโดยไหลลงหลักดินที่เครื่องใชไฟฟาและไปครบวงจรโดยผานหลัก
ดินที่แผงเมนสวิตช (หรือหมอแปลง) กระแสไฟฟาที่รั่วนี้จะไหลผานลงดินกอนจึงเปนการ
ไหลผานความตานทานสูง ดังนั้นปริมาณกระแสไฟฟาจึงไหลนอย กรณีนี้เซอรกิตเบรก
เกอรอาจไมปลดวงจรหรือถาปลดวงจรก็ใชเวลาในการปลดวงจรนานมากจึงไมปลอดภัย
การตอลงดินลักษณะนี้ถือวาไมถูกตองตามมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟาฯ
5. เครื่องตัดไฟรั่ว
เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD, RCCB หรือ ELCB) มีชื่อเรียกหลายชื่อตามมาตรฐานที่
อางอิง เปนอุปกรณทสี่ ามารถปองกันอันตรายจากไฟดูดไดทั้งจากการสัมผัสโดยตรง และ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 191
การสัมผัสโดยออม ในขณะที่ระบบสายดินสามารถปองกันไดเฉพาะการสัมผัสโดยออม
เทานั้น แตในการใชงานจะตองมั่นใจวาเครื่องตัดไฟรั่วติดตั้งอยางถูกตองและทํางานเปน
ปกติตามที่ไดออกแบบไว เนื่องจากเครื่องตัดไฟรั่วเปนอุปกรณไฟฟาเชนกัน จึงอาจชํารุด
ได ในการใชงานตองมีการทดสอบเปนประจําตามที่ผูผลิตแนะนํา เครื่องตัดไฟรั่วจึงใช
เปนอุปกรณปองกันเสริมเทานั้น ในการใชงานจําเปนตองมีระบบสายดินดวย จึงจะ
มั่นใจไดวาปลอดภัย
เครื่องตัดไฟรั่วใชปองกันอันตรายตอบุคคลจากไฟฟาดูด โดยเฉพาะบริเวณที่มี
ความชื้นสูง หรือที่มีโอกาสเปยกน้ํา ปกติในการติดตั้งใชงานควรแยกออกจากวงจรอื่น
เพื่อความสะดวกในการใชงานและการซอมแซมเมื่อเกิดไฟรั่วจากสาเหตุอื่น วงจรไฟฟา
สําหรับหองน้ํา หองใตดิน หองครัว เครื่องทําน้ํารอน อางน้ําวน และวงจรสําหรับการใช
ไฟชั่วคราว ตองตอผานเครือ่ งตัดไฟรั่ว และเครื่องตัดไฟรั่วยังสามารถปองกันอันตรายตอ
ทรัพยสินไดดวย เพราะเมื่อเกิดกระแสรั่วลงดินเครื่องจะปลดวงจร เปนการหยุดการเกิด
ย
ประกายไฟที่เปนสาเหตุของเพลิงไหมได น่า
6. เพลิงไหมจากไฟฟาและการปองกัน
เพลิงไหมเกิดจาก 3 ปจจัยดวยกันคือ เชื้อเพลิงออกซิเจนในอากาศ และความ
ําห
รอนหรือประกายไฟ สาเหตุเพลิงไหมจากไฟฟาคือการเกิดความรอนหรือประกายไฟจาก
ไฟฟาในบริเวณที่มีเชื้อเพลิงและออกซิเจน ตัวอยางสาเหตุการเกิดเพลิงไหมจากไฟฟา
ไดแก
มจ
- ความรอนที่จุดตอสาย สาเหตุหลักเกิดจากจุดตอสายหลวม
- ความรอนและประกายไฟจากการระเบิด
ห้า
- ความรอนจากกระแสเกินในสายไฟฟา
- ประกายไฟจากกระแสลัดวงจร
- ความรอนและประกายไฟจากกระแสรั่วลงดิน
- ความรอนจากการใชงานอุปกรณไฟฟาเกินกําลัง
- ความรอนจากการใชงานปกติของอุปกรณที่มีความรอน
แนวทางปองกันอันตราย
การปองกันการเกิดเพลิงไหมจากไฟฟา คือ การปองกันการเกิดความรอนหรือ
ประกายไฟที่อยูใกลเชื้อเพลิง หรือบริเวณที่มีสารไวไฟ ที่มีสาเหตุมาจากไฟฟา ตัวอยาง
แนวทางการปองกันคือ
- ออกแบบและติดตั้งอุปกรณไฟฟาตามมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟาฯ โดย
ผูที่มีความรูความชํานาญ
192 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
- เลือกใชอุปกรณปองกันที่เหมาะสม เชน เซอรกิตเบรกเกอรหรือฟวส
- เลือกใชอุปกรณไฟฟาที่มีคุณภาพ
- ใชเครื่องใชไฟฟาอยางถูกวิธี ตามที่ผูผลิตแนะนํา
- ตรวจสอบระบบไฟฟาและอุปกรณไฟฟาอยางสม่ําเสมอ
- ดูแลปองกันไมใหมีเชื้อเพลิงหรือวัสดุที่ติดไฟงายอยูใกลบริเวณที่อาจเกิด
ประกายไฟ
- บํารุงรักษาระบบและอุปกรณไฟฟาเปนประจํา
7. ไฟฟาชั่วคราว
ไฟฟาชั่วคราวโดยปกติจะเปนไฟฟาที่ใชเพื่อการกอสราง หรือไฟประดับตาม
เทศกาลตาง ๆ การติดตั้งจึงไมไดมาตรฐาน อุปกรณไฟฟามักจะใชงานมานานหรือรื้อถอน
มาจากสถานที่อื่น ขาดการตรวจสอบ ผูใชงานและผูที่เกี่ยวของขาดความรู จึงมีโอกาส
เกิดอันตรายไดสูง ตัวอยางที่พบคือ
ย
แผงไฟฟา ซึ่งมักจะเปนแผงเมน มีพิกัดไมถูกตอง ติดตั้งในสถานที่มีความเสี่ยงที่
น่า
จะเกิดอันตราย เชน อยูในบริเวณที่ชื้นแฉะ อุปกรณมีสภาพแตกหัก ชํารุด หรือไมมีการ
ปองกันการสัมผัสที่ดี กรณีที่ติดตั้งกลางแจงก็ไมใชชนิดที่กันฝนได
ําห
สายไฟฟาและการเดินสาย มักพบเสมอวาขนาดสายไฟฟาไมถูกตอง ชนิดไม
เหมาะสม มีสภาพชํารุด ฉนวนขาด หลุด หรือฉนวนสวนที่ปลอกเพื่อทําการตอสายใน
ครั้งกอนไมไดซอมใหเรียบรอยกอนนํามาใชใหม การตอสายไมถูกตองตามวิธีการตอสาย
มจ
เนื่องจากฉนวนอาจชํารุดจากการเสียดสี หรือการกระแทกดวยของแข็ง
การติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว พบวาในวงจรที่ตองมีการติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่วเพื่อ
ปองกันอันตรายจากไฟฟาดูด ไมมีการติดตั้งตามที่กําหนดในมาตรฐานฯ
การตอลงดิน บริภัณฑไฟฟาไมมีการตอลงดินตามที่กําหนดในมาตรฐานฯ
อุปกรณไฟฟา มีสภาพชํารุดไมพรอมใชงาน เชน สวิตช เตารับ เตาเสีย บ มี
สภาพแตกจนอาจเกิดอันตรายจากการสัมผัสสวนที่มีไฟฟา
แนวทางการปองกัน
- ออกแบบและติดตั้งอุปกรณไฟฟาตามมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟาฯ โดย
ผูที่มีความรูความชํานาญ
- เลือกใชอุปกรณปองกันที่เหมาะสม เชน เซอรกิตเบรกเกอรหรือฟวส
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 193
- เลือกใชอุปกรณไฟฟาที่มีคุณภาพ
- อบรม ใหความรูกับผูที่เกี่ยวของ
- ตรวจสอบระบบไฟฟาและอุปกรณไฟฟาอยางสม่ําเสมอ
- บํารุงรักษาเปนประจํา
8. การชวยเหลือผูที่ประสบอันตรายจากไฟฟา
ผูที่จะชวยเหลือผูที่ประสบภัยอันตรายจากไฟฟาตองรู จักวิธีที่ถูกตองในการ
ชวยเหลือผูที่เกี่ยวของตองศึกษาและฝกปฏิบัติจนชํานาญจึงจะสามารถชวยเหลืออยาง
ไดผ ล โดยเฉพาะการชว ยใหห ายใจถากระทําโดยขาดความรู ความชํานาญอาจเป น
อันตรายเพิ่มขึ้นอีก ขั้นตอนตอไปนี้เปนเพียงหลักการเทานั้น
หากเป น สายไฟฟ า แรงสู ง ให พ ยายามหลี ก เลี่ ย งแล ว รี บ แจ ง การไฟฟ า ฯ
ทองถิ่นโดยเร็วที่สุด
ย
หามใชมือเปลาแตะตองตัวผูที่ติดอยูกับไฟฟาหรือตัวนําไฟฟาที่เปนตนเหตุ
น่า
ใหเกิดอันตรายเปนอันขาด เพื่อปองกันมิใหถูกกระแสไฟฟาจนไดรับอันตรายไปดวย
รีบหาทางตัดกระแสไฟฟาโดยเร็ว ดวยการปลดวงจรไฟฟา ถอดเตาเสียบ
หรืออาสวิตชออกก็ได ตามความเหมาะสม
ําห
กรณีที่ไมสามารถตัดกระแสไฟฟาได ใหใชวัตถุที่เปนฉนวนไฟฟา เชน ผา
ไมแหง เชือกแหง สายยาง หรือพลาสติกที่แหงสนิท เขี่ย สายไฟใหห ลุดออกจากตัว
มจ
กรณีที่มีกระแสไฟฟาอยูในบริเวณที่มีน้ําขังอยาลงไปในน้ําตองหาทางเขี่ย
สายไฟออกใหพนแลวจึงคอยไปชวยผูประสบอันตราย
การชวยผูประสบอันตรายจากไฟฟาดังที่กลาวมาแลว จําเปนอยางยิ่งที่จะตอง
กระทําดวยความรวดเร็ว รอบคอบและระมัดระวังเปนพิเศษดว ย เพราะถาปลอยให
ไฟฟาดูดเปนเวลานานจะมีโอกาสเสียชีวิตสูง
การปฐมพยาบาล
เมื่อไดทําการชว ยเหลือผูประสบอันตรายมาไดแลว จะโดยวิธีใดก็ตาม หาก
ปรากฏวาผูเคราะหรายที่ชวยออกมานั้นหมดสติไมรูสึกตัว หัวใจหยุดเตนและไมหายใจ
ซึ่ ง สั ง เกตได จ ากอาการที่ เ กิ ด ขึ้ น ดั ง นี้ ริ ม ฝ ป ากเขี ย ว สี ห น า ซี ด เขี ย วคล้ํ า ทรวงอก
เคลื่อนไหวนอยมากหรือไมเคลื่อนไหว ชีพจรบริเวณคอเตนชาและเบามาก ถาหัวใจหยุด
194 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
เตนและคลําชีพจรไมพบ มานตาขยายคางไมหดเล็กลง หมดสติไมรูสึกตัว ตองรีบทําการ
ปฐมพยาบาลทันทีเพื่อใหปอดและหัวใจทํางาน การนวดหัวใจและผายปอดตองมั่นใจวาผู
ประสบอันตรายหัวใจหยุดเตนและหยุดหายใจแลวเทานั้น ซึ่งผูที่ทําการชวยเหลือจึงตอง
มีค วามรู ใ นเรื่ อ งการช ว ยเหลื อ และฝ ก ฝนมาแล ว เป น อย า งดี ด ว ย หลั ง จากผู ที่ ไ ด รั บ
อันตรายรูสึกตัวดีและหายใจไดเองแลวจึงคอยนําสงโรงพยาบาลตอไป
o การปองกันและระงับอัคคีภัย
แนวคิด
อัคคีภัยเปนอุบัติภัยประเภทหนึ่งซึ่งสวนใหญเกิดจากการกระทําของมนุษย ทั้ง
ไฟไหมอาคารบานเรือน หรือไฟไหมปา สรางความเสียหายทั้งตอชีวิต ทรัพยสิน ธุรกิจ
และสิ่งแวดลอม วิศวกรรมปองกันอัคคีภัยเปนสาขาวิศวกรรมใหมที่หลายประเทศไดเปด
การเรีย นการสอนแลว ผลิตบุคลากรดานนี้มาแลว หลายพัน คน ซึ่งตองอาศัย ความรู
ย
พื้นฐานในดานตางๆ เชน เคมี ฟสิกส เพื่อความรูความเขาใจอยางลึกซึ้งในการพัฒนา
น่า
และการลุกลามของเพลิงไหม จนสงผลกระทบตอคนที่กําลังอพยพ รวมทั้งตองมีความรู
งานสถาปตยกรรมและวิศวกรรมระบบประกอบอาคารและสภาพการทํางาน ปจจุบัน
งานออกแบบและคํานวณ ควบคุมการสราง ตรวจสอบ หรืออํานวยการใชระบบปองกัน
ําห
อัคคีภัยเปนงานวิศวกรรมควบคุม ดังนั้น จะตองรับผิดชอบโดยวิศวกรที่มีใบอนุญาต
ประกอบวิชาชีพทางวิศวกรรมเทานั้น
มจ
กรณีศึกษาที่ 1
ห้า
เหตุ ก ารณ เ พลิ ง ไหม ค รั้ ง ร า ยแรงที่ สุ ด ของประเทศไทยเกิ ด ขึ้ น เมื่ อ วั น ที่
10 พฤษภาคม 2536 คื อ เหตุ เ พลิ ง ไหม ที่ โ รงงานเคเดอร จั ง หวั ด นครปฐม เป น
โรงงานผลิตตุกตาที่มีเศษผาและเสนใยจํานวนมากที่ใชในกระบวนการผลิตสินคาชนิดนี้
เพลิงไหมเกิดขึ้น เวลาประมาณ 16.00 น. เปน เหตุทําใหมีผูเสีย ชีวิตถึง 188 คน และ
โรงงานไดรับความเสียหายเกือบทั้งหมดและปดกิจการไป ทั้งนี้โรงงานแหงนี้เคยเกิดเพลิง
ไหมมา 3 ครั้งแลว (16 ส.ค. 2532, 2 พ.ย. 2534, 13 ก.พ. 2536) เพราะอุปกรณไฟฟา
เสื่อมและไฟฟาลัดวงจร สําหรับเหตุการณในครั้งนี้ มีพยานเห็นมีผูสูบบุหรี่ในบริเวณที่
เกิดเหตุซึ่งเปนที่เก็บของชั้นที่ 1 ของอาคาร 1 สาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากการชะลอการ
อพยพควบคุมการเขาออก จากพื้นที่ทํางานเพื่อปองกันการลักทรัพย และความประมาท
ที่ประเมินสถานการณผิดคิดวาเพลิงไดดับแลวเหลือแตควันไฟ ภายหลังเหตุการณครั้งนี้
ไดเกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเปนอยางมาก เชน จัดตั้ง คณะกรรมการรณรงคเพื่อ
สุขภาพและความปลอดภัยของคนงาน เกิดกฎหมายคุมครองเพื่อความปลอดภัยแรงงาน
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 195
รวมทั้งพระราชบัญญัติคุมครองแรงงาน คณะกรรมการความปลอดภัยอาชีวอนามัย และ
สภาพแวดลอมในการทํางาน และกําหนดใหวันที่ 10 พฤษภาคม ของทุกปเปนวันความ
ปลอดภัยในการทํางานแหงชาติ เปนตน
กรณีศึกษาที่ 2
เหตุการณเพลิงไหมครั้งรุนแรงที่โรงแรม รอยัล จอมเทียน พัทยา เปนอาคาร
คอนกรีตเสริมเหล็กที่มีความสูง 16 ชั้น เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2540 เวลาประมาณ
9.30 น. เปนเหตุใหมีผูเสียชีวิตถึง 91 ราย และทําใหอาคารไดรับความเสียหายจากเพลิง
ไหมเกือบทั้งหลัง จุดตนเพลิงอยูที่บริเวณจัดเตรียมอาหารที่ชั้นที่ 1 ซึ่งอยูใกลกับชอง
บันไดหลักที่มีลักษณะเปนปลองตั้งแตชั้นที่ 1 จนถึงชั้นบนสุด จากกาซหุงตมที่ลุกติดไฟ
ขณะจัดเตรียมอาหารแลวลุกลามออกไปติดวัสดุติดไฟจํานวนมากในบริเวณนั้น สาเหตุ
ของความสูญเสียเกิดจากความลมเหลวของการจัดการและวิธีการดับเพลิงขั้นตน ระบบ
แจงเหตุเพลิงไหมใชการไมได และชองบันไดหลักไมถูกปดลอมดวยผนังและประตูทนไฟ
ย
ทําใหควันไฟ ความรอน และไอเชื้อเพลิงที่ยังไมติดไฟ ลอยขึ้นเขาสูชองบันไดหลักได
น่า
โดยงายแลวแพรกระจายไปทุกชั้นโดยเฉพาะชั้นบนสุดอยางรวดเร็ว
กรณีศึกษาที่ 3
ําห
เหตุการณเพลิงไหมที่คอนโดมิเนีย มยานสี่พระยา เปน อาคารคอนกรีตเสริม
เหล็ก ที่มีความสูง 30 ชั้น เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2551 เวลาประมาณ 04.50 น. เปน
มจ
196 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
กรณีศึกษาที่ 4
เหตุการณเพลิงไหมครั้งรุนแรงที่ซานติกาผับ เปนอาคารชั้นเดียวและมีชั้นลอย
มีพื้น ที่ร วมทั้งอาคารประมาณ 1,300 ตารางเมตร เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2552 เวลา
ประมาณ 00.15 น. เปนเหตุใหมีผูเสีย ชีวิตถึง 66 ราย และทําใหอาคารไดรับความ
เสียหายจากเพลิงไหมทั้งหลัง จุดตนเพลิงอยูที่เพดานเหนือเวทีเนื่องจากการยิงดอกไม
เพลิงขึ้นไปติดฉนวนกันความรอน ที่เปนวัสดุติดไฟไดงายที่ติดตั้งอยูกับแผนหลังคาโลหะ
ทําใหวัสดุดังกลาวลวงลงมาเปนลูกไฟที่พื้นจนเปนเสมือนทะเลเพลิงยิ่งทําใหสถานการณ
เลวรายลงไปอีก ในขณะที่คนจํานวนกวา 1,200 คนกําลังดิ้นรน เพื่อหาทางออกจาก
อาคาร
ย
น่า
ําห
มจ
สาเหตุของความสูญเสียเกิดจากการฝาฝนเลนดอกไมเพลิงในอาคาร ไมควบคุม
จํานวนคนเขาไปใชบริการ ตกแตงดวยวัสดุติดไฟงายจํานวนมาก ทั้งโฟมโพลีสตรัยรีน
ฟองน้ํา ยูรีเทน และแผนโพลีเอทิลีนเสริมใยแกว นอกจากนี้ ในบริเวณพื้นที่บริการยังไม
มีโคมไฟฉุกเฉิน ไมมีปายทางหนีไฟ และไมมีระบบแจงเหตุเพลิงไหม เพื่อความปลอดภัย
ขณะเกิดเหตุขึ้น ยังพบขอบกพรองอื่นๆ เชน มีพื้นตางระดับหลายแหง ทําใหมีบันได
หลายแห งติ ดๆ กัน ทํา ใหส ะดุด ลม ไดง าย มีก ระจกแตกและแหลมคม มีเ หล็ก ดัด ที่
หนาตาง มีการขับรถออกจากสถานที่จํานวนมากเปนเหตุทําใหจราจรติดขัด และทําให
รถดับเพลิงและหนวยแพทยฉุกเฉินเขาถึงสถานที่เกิดเหตุลาชา และพบวามีการแจงเหตุ
ลาชาดวยเชนกัน ดวยเหตุการณมีผูบาดเจ็บจํานวนมากถึง 229 คน สถาบันการแพทย
ฉุกเฉิน หมายเลข 1669 ไดปฏิ บัติงานรักษาพยาบาลเบื้องตน และประสานงานเพื่อ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 197
นําสงผูบาดเจ็บจํานวนมากสงโรงพยาบาลอยางปลอดภัย เปนสวนหนึ่งที่ทําใหเหตุการณ
นี้มีผูเสียชีวิต เพียง 66 คน ทั้งๆ ที่อาจมีผูเสียชีวิตจํานวนหลายรอยคน เชน เหตุการณ
แบบเดียวกันในป พ.ศ.2546 ที่สเตชั่นไนตคลับที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผูเสียชีวิตถึง
100 คนจากคนทั้งหมดที่อยูในอาคารเพียง 430 คน ตอมาในป พ.ศ. 2552 ที่แลมฮอส
ไนตคลับประเทศรัสเซีย มีผูเสียชีวิตถึง 150 คนจากคนทั้งหมดประมาณ 300 คน และ
เมื่อตนป พ.ศ. 2556 เกิดเหตุแบบเดียวกันคือ การเลนดอกไมเพลิงในอาคารแบบผิด
กฎหมายที่คิสส (KISS) ไนตคลับที่ประเทศบราซิลมีผูเสียชีวิตถึง 235 คน
กรณีศึกษาที่ 5
เหตุการณเพลิงไหมในค่ําคืนวันอาทิตยที่ 22 พฤษภาคม 2559 ประมาณเวลา
23.00 น. ในอาคารหอพักเด็กผูหญิงของสถานสงเคราะหบานเด็กรวมใจ ซึ่งเปนอาคาร
กึ่งคอนกรีตและไมสูงเพียง 2 ชั้น มีพื้นที่ประมาณ 400 ตารางเมตร ตั้งอยูเขตเทศบาล
ย
ตํ า บลเวี ย งป า เป า ที่ เ ป น ชุ ม ชนเมื อ งใกล ส ถานี ดั บ เพลิ ง และสถานี ตํ า รวจ ขณะนั้ น
เด็กผูห ญิงมีอ ายุตั้งแต 5-12 ขวบ กํา ลังพัก ผอนนอนหลับ อยูเป น เหตุทํ าใหเ สีย ชีวิ ต
17 รายและอีก 1 รายพิการทางสมอง
น่า
การลุกไหมเชื้อเพลิงในบานเรือนในชวงเริ่มตน จะมีกาซคารบอนมอนอกไซด
ําห
ซึ่งมาพรอมกับควัน ไฟ จากหลายเหตุการณร วมทั้งเหตุเพลิงไหมครั้งนี้ ก็พบวากาซ
คารบอนมอนอกไซดทําใหคนนอนหลับจะหลับลึกลงไปอีกจนหมดสติไปและไมรูสึกตัว
มจ
จากหลั ก ฐานที่ ผ า นมาก็ มั ก พบศพผู เ สี ย ชี วิ ต ยั ง อยู ที่ เ ตี ย งนอนตั ว เอง รวมทั้ ง ครั้ ง นี้
เจาหนาที่อาสาสมัครปองกันภัยฝายพลเรือนไดใหขอมูลวาไดชวยเหลือเด็กๆ หลายคนที่
นอนหมดสติจากเตียงนอน ดังนั้น อาคารพักอาศัยขนาดเล็กๆ ไมวาจะเปนเรือนพักนอน
ห้า
198 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ความปลอดภัยตอชีวิต (Life Safety)
การปองกันทรัพยสิน (Property Protection)
การหยุดชะงักทางธุรกิจ (Business Interruption)
การปองกันสิ่งแวดลอม (Environmental Protection)
หลายครั้งพบว า ผู บริ ห ารมัก จะพยายามลงทุน เฉพาะมาตรการที่ กฎหมาย
กํ า หนด โดยไม ไ ด คิ ด ถึ ง ความเสี่ ย งอั น ตรายที่ อ าจเกิ ด จากอั ค คี ภั ย เมื่ อ เกิ ด
เพลิ ง ไหม แ ล ว สร า งความเสี ย หายต อ ทรั พ ย สิ น และทํ า ให ธุ ร กิ จ ต อ งหยุ ด ชะงั ก ลง
เปนระยะเวลานานๆ ตัวอยางอาคารที่สามารถสรางผลเสียหายตอธุรกิจอยางมาก เชน
คลังเก็บสิน คา , โรงงาน, Data Center เปน ตน ซึ่งมาตรการปองกัน ตามที่กฎหมาย
ตองการใหทําจะเนนเรื่องความปลอดภัยตอชีวิตและสิ่งแวดลอมเปนหลั ก เพราะเปน
ขอกําหนดขั้นต่ําสุดที่จะใชบังคับทั่วประเทศไทย ดังนั้น หากผูบริหาร มีเปาหมายในการ
ปองกันทรัพยสินและผลกระทบตอการประกอบธุรกิจ ผูออกแบบอาจจําเปนตองเพิ่ม
ย
มาตรการเพื่อ ให ครอบคลุม การป องกัน ทรัพ ยสิ น และการหยุด ชะงั กทางธุร กิจ เช น
น่า
การติดตั้งระบบหัวกระจายน้ําดับเพลิงอัตโนมัติ (Sprinkler) ระบบดับเพลิงดวยสาร
สะอาด ระบบควบคุมควันไฟ เพื่อควบคุมการแพรกระจายควันไฟ หรือการปองกันการ
ําห
ลุกลามเปนเพลิงไหมขนาดใหญ
อันตรายจากอัคคีภัย
มจ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 199
การขาดอากาศหายใจ การเกิดไฟไหม ออกซิเจนในบริเวณนั้นจะถูกใชไปใน
กระบวนการเผาไหม ทําใหปริมาณออกซิเจนในอากาศลดลงอยางรวดเร็ว โดยทั่วไป
อากาศที่เราหายใจมีออกซิเจนอยูประมาณ 21% ถาระดับออกซิเจนลดลงเหลือ 17%
สมองจะเริ่ม ตื้อ และการควบคุ มกล ามเนื้อ จะทํ าได ลํา บากขึ้น ซึ่งทํ าใหการคิด และ
การหนีไฟทําไดยากลําบากมากขึ้น ถาระดับออกซิเจนลดลงเหลือ 15% ไมเพียงพอตอ
การหายใจ หลังจากเราขาดออกซิเจนเพียง 4-5 นาที ก็อาจจะเกิดสมองตายได ดังนั้น
จึ ง เห็ น ได ว า ระยะเวลาที่ เ รามี สํ า หรั บ การหนี ไ ฟนั้ น จํ า กั ด และเป น เวลาที่ มี ค า มาก
จึงจําเปนอยางยิ่งที่เราตองมีการเตรียมตัวใหพรอมและใชเวลาที่มีจํากัดนั้นใหคุมคาที่สุด
กาซพิษและควัน เปนสาเหตุหลักของการเสียชีวิตที่เกิดจากเพลิงไหม ประการแรกควัน
ไฟเปนอนุภาคเล็กๆ ที่สามารถบดบังแสงทําใหมองเห็นเสนทางหนีไฟไมชัดเจน หรือหาก
ควันมีความหนาแนนมากจะทึบแสงจนมองไมเห็นอะไรเลย ซึ่งอาจทําใหหลงทางอยูใน
อาคารจนไมสามารถหนีรอดออกมาได ประการที่สอง กรณีที่ไฟไหมตอนกลางคืนขณะที่
ย
คนสวนใหญกําลังนอนหลับ อาจสูดเอากาซพิษเขาไป มีผลตอการทํางานของสมองอาจ
ไมตื่น ขึ้ น มา หรืออาจจะหมดสติทั น ทีที่ลุ กขึ้น เพื่ อจะพยายามหนีไฟกาซพิษ ที่มักจะ
เกิดขึ้นในเพลิงไหมอาคารทั่วไปมี 4 ประเภท ไดแก
น่า
1. กาซคารบอนมอนอกไซด เปนกาซที่มีพิษและจะเขาไปแทนที่ออกซิเจน
ําห
ในเลือด จะเกิดในเหตุการณไฟไหมทุกครั้ง เพราะการสันดาปที่ไมสมบูรณ ซึ่งเกิดจากมี
ออกซิเจนในบริเวณเพลิงไหมไมเพียงพอ
มจ
ผามาน และเสื้อผา
3. กาซไฮโดรเจนคลอไรด เปนกาซที่เกิดจากพลาสติกที่มีคลอรีนเปนสวนผสม
ทําใหเกิดการระคายเคืองในตา และระบบทางเดินหายใจ ทําใหเปนอุปสรรคตอการหนี
ไฟ
4. กาซคารบอนไดออกไซด เปนกาซที่จะทําใหคนที่สูดเขาไปแลว กลไกของ
รางกายมนุษยจะทําใหหายใจเร็วขึ้น จึงสูดเอากาซพิษชนิดอื่นเขาสูรางกายมากขึ้นดวย
ชนิดและปริมาณของกาซพิษ และควัน ขึ้นอยูกับวัสดุที่เปนเชื้อเพลิง ดังนั้น
การเลือกใชวัสดุที่ไมกอใหเกิดควัน และกาซพิษ นับวาเปนแนวทางที่สําคัญที่ชวยลด
อันตรายที่เกิดจากควันและกาซพิษได
200 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
สาเหตุของการเกิดและแหลงกําเนิดอัคคีภัย
การเขาใจธรรมชาติของการเกิดเพลิงไหม หรือสามเหลี่ยมการเกิดไฟ เพื่อชวย
ใหเขาใจวิธีการดับเพลิงหรือควบคุมการลุกลาม เมื่อองคประกอบมีครบ 3 อยาง คือ
เชื้อเพลิง ความรอน และออกซิเจน ภายใตสถานการณหนึ่ง เชื้อเพลิงก็สามารถลุ กไหม
ได
การแยกองคประกอบอยางใดอยางหนึ่งออก เพลิงไหมก็สามารถดับได วิธีที่ดี
ที่สุด ในการบริหารจัดการความปลอดภัยดานอัคคีภัย คือการปองกันดวยการตรวจตรา
และกําจัดไมใหมีหรือควบคุมแหลงกําเนิดความรอนสูง และการควบคุมหรือจํากัดแหลง
เชื้อเพลิง ซึ่งกระทําไดโดยการดูแลอาคารสถานที่ใหสะอาด เปนระเบียบเรียบรอย และ
ปฏิบัติตามกฎหมาย และคําแนะนําของผูเชี่ยวชาญในการเก็บรักษาสารที่ไวไฟ อยางไรก็
ตาม แหลงกําเนิดความรอนที่พบเห็นอยูเสมอๆ คือ
อุปกรณไฟฟา ขณะทํางานอาจมีความรอนผิดปกติเกิดขึ้นเนื่องมาจาก
ย
หนาสัมผัสที่จุดตอสายไฟหลวม หรือเกิดประกายไฟซึ่งมีความรอนสูง เนื่องจากสายไฟ
เกาที่มีฉนวนหุมเปอยหรือชํารุด นอกจากนี้อุปกรณไฟฟาไมเหมาะสมที่ติดตั้งในบริเวณ
น่า
อันตราย เมื่อสัมผัสกับฝุนละออง กาซ ไอของสารไวไฟ หรือเชื้อเพลิงอื่นๆ ก็อาจเกิด
การลุกไหมได
ําห
ความเสียดทาน สวนประกอบของเครื่องจักรกลที่อาจกอใหเกิดความรอน
ผิดปกติ เชน ตลับลูกปน เพลา ซึ่งอาจทําใหเกิดความรอนสูงเมื่ออยูใกลหรือสัมผัสกับ
มจ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 201
กนบุหรี่ที่ติดไฟและไมขีดที่ใชจุดไฟแลว แตยังไมดับอาจทําใหเชื้อเพลิงบางชนิดใกลๆ
เกิดการลุกไหมไดโดยงาย
วัตถุที่ผิวรอนจัด เชน เหล็กที่ถูกเผา ทอไอน้ํา ฯลฯ เมื่อมีการกระทบ
ระหวางผิวที่รอนจัดกับเชื้อเพลิงอาจเกิดการลุกไหม
ไฟฟาสถิต เกิดจากการเสียดสีระหวางวัตถุสองชนิดทําใหเกิดประจุไฟฟา
สถิตขึ้นเปนตามธรรมชาติ แลวเกิดการสะสมจนมีความตางศักยสูงขึ้นจนเกิดการถายเท
ประจุไฟฟาสถิตเปนประกายไฟแลวไปสัมผัสกับเชื้อเพลิงบริเวณใกลเคียงจนทําใหเกิด
การลุกไหม
เครื่องทํา ความรอ น เนื่อ งจากเครื่องทําความรอนจะมีทั้งเปลวไฟซึ่ ง
เกิดขึ้นจากการเผาไหมของเชื้อเพลิงที่ใชทําความรอนและความรอนสะสมไวที่ตัวเครื่อง
ถาเกิดการสัมผัส เปลวไฟหรือความรอนจากเครื่องทําความรอนกับเชื้อเพลิงบริเวณ
ใกลเคียงก็ยอมเกิดการลุกไหมได
ย
การลุ ก ไหม ด ว ยตั ว เอง เช น Bacteria Oxidation ในกองขยะ
น่า
การสะสมของสารบางชนิดจะกอใหเกิดความรอนขึ้นในตัวของมันเองจนกระทั่งอุณหภูมิ
สูงขึ้นจนถึงจุดติดไฟ เมื่ออยูรวมกับเชื้อเพลิงก็ยอมเกิดการลุกไหม
การวางเพลิง สามารถปองกันไดดวยการไมทําใหอาคารมีจุดออนดวย
ําห
การจัดเก็บของในหองหรือสถานที่ที่จัดเตรียมไวตามมาตรฐาน เพราะผูวางเพลิงมักจะ
วางเพลิงในจุ ดที่ไ มมี ร ะบบป องกั น อั คคีภั ย โดยเฉพาะบริ เวณรอบนอกอาคาร เช น
มจ
และแรงดันไฟฟาที่สูงผิดปกติ อาจทําใหเกิดประกายไฟแลวไปติดเชื้อเพลิงในบริเวณนั้น
ได ดังนั้น อาคารจะตองติดตั้งระบบปองกันฟาผา โดยมีตัวนําลอฟาติดตั้งอยูภายนอก
อาคาร และมีสายนําลงดินเชื่อมกันเปนระบบลงมายังหลักดินตามมาตรฐานที่เชื่อถือได
เชน มาตรฐานการปองกันฟาผาของ วสท.
การปองกันอัคคีภัย
ผูบริหารอาคาร จะตองนํานโยบายความปลอดภัยมาพิจารณาใหดี เพื่อกําหนด
เป า หมาย วางแผนดํ า เนิ น งานให ส อดคล อ งอย า งเป น รู ป ธรรม กํ า หนดตั ว ชี้ วั ด
ความสําเร็จ ตรวจสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแกไขใหดีขึ้นอยางตอเนื่อง
ในการก อ สร า งอาคาร ผู บ ริ ห ารอาคาร จะต อ งมั่ น ใจว า วิ ศ วกรที่ เ กี่ ย วข อ ง
ทุกสวน ตั้งแตวิศวกรหรือเจาหนาที่ฝายจัดซื้อจัดจาง สถาปนิกหรือวิศวกรที่ปรึกษา
202 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
โครงการ ผูออกแบบ ผูควบคุมงาน มีความเขาใจเรื่องมาตรการและวิธีการปองกัน
อัคคีภัยเปนอยางดี
ในการดูแลและใชอาคารผูบริหารอาคาร จะตองมั่นใจเชนเดียวกันวา วิศวกร
หรือเจาหนาที่ฝายจัดซื้อจัดจาง วิศวกรหรือชางประจําอาคาร ดูแลรักษา ตรวจตรา
ทดสอบ และซอมบํารุงอุปกรณและระบบประกอบอาคารรวมทั้งระบบปองกันอัคคีภัย
ตามแผนที่ไดวางไวอยางตอเนื่อง และมีความเขาใจเรื่องมาตรการและวิธีการปองกัน
อัคคีภัยเปนอยางดี นอกจากนี้ทุกอาคารจะตองมีแผนรองรับภาวะฉุกเฉิน เพื่อตอบโต
เหตุเพลิงไหมที่อาจเกิดขึ้น ไดตลอดเวลา ครอบคลุมการแจงหรือรายงานเหตุก ารณ
การอพยพ การดับเพลิงและกูภัย และการกลับคืนสูภาวะปกติ ผูบริหารอาคารจะตอง
มั่นใจวาทุกคนในอาคารและผูมีหนาที่ในแผนรองรับภาวะฉุกเฉิน มีความรูและเขาใจ
บทบาทของตนเองขณะเกิดเหตุฉุกเฉินเพื่อปฏิบัติตัวใหเกิดความปลอดภัยตอตนเองและ
ผูอื่น การปฏิบัติเรื่องอื่นๆ โดยบุคคลภายนอก เชน การตรวจสอบอาคารตามกฎหมาย
ย
การตรวจประเมินหรือการสํารวจความเสี่ยงอันตรายจากอัคคีภัย และการฝกอบรม
ความปลอดภัย เปนตน
น่า
การปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรกล พื้นที่อาคาร สารเคมี พนักงานใหม
จะตองมีระบบจัดการรองรับเพื่อใหเกิดมีการปรับเปลี่ยนแผนรองรับภาวะฉุกเฉิน แบบ
ําห
แปลนอาคาร ปายเตือน การอบรมเรื่องใหมๆ ใหพนักงานเดิม และอบรมพนักงานใหม
เชน พื้นฐานความปลอดภัย ความเสี่ยงอันตรายในโรงงาน และการเขาใจความจําเปน
มจ
และวิธีใชอุปกรณปลอดภัยสวนบุคคล เปนตน
ไมวาจะบริหารจัดการความปลอดภัยใหดีอยางไร อุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นไดเสมอ
เมื่อเกิดเพลิงไหมผูพบเห็นเพลิงไหมจะตองกระทําที่สําคัญสองสิ่งแรกที่จะตองระลึกถึง
ห้า
เสมอ คือ
กดปุมหรือดึงอุปกรณแจงเหตุเพลิงไหมทันที ไมวาขนาดของเพลิงนั้นจะ
เล็กหรือใหญ (แมคิดวาจะดับไฟไดก็ตาม)
พยายามดับเพลิงหรือควบคุมเพลิง ดวยเครื่องมือดับเพลิงที่เหมาะสมเพื่อ
ลดภัย อันเกิดจากเพลิงไหมใหเร็วที่สุด
หากไมสามารถควบคุมเพลิงได ใหหนีไฟทันที
ไมควรประมาทหรือใชดุลยพินิจสวนตัว เชน ดับไฟกอนแลวหากดับไมไดแลว
คอยดึงอุปกรณแจงเหตุเพลิงไหม หรือยังไมตองแจงสถานีดับเพลิงดับไฟกันเองกอน
เพราะกลัวเสียชื่อเสียง
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 203
มาตรการการปองกันอัคคีภัยที่จะกลาวถึงนี้ มีสาระสําคัญตางๆ ที่คัดยอมาจาก
มาตรฐานการประกอบวิชาชีพที่มีอยู ซึ่งวิศวกรทุกคนควรศึกษาและเรียนรูเพิ่มเติมเมื่อ
ตองปฏิบัติงานจริงไดจากสมาคมประกอบวิชาชีพ เชน วิศวกรรมสถานแหงประเทศไทย
ในพระบรมราชู ป ถั ม ภ ฯลฯ และให เ ป น ไปตามกรอบของ NFPA 550 ที่ อ ธิ บ ายถึ ง
องคประกอบสําคัญของเรื่องความปลอดภัยดานอัคคีภัย ทําใหสามารถแบงการปองกัน
อัคคีภัยออกเปน 6 มาตรการ ดังรูปที่ 14.22
ย
น่า
ําห
รูปภาพที่ 14.22 ภาพแสดงตนไมแหงความปลอดภัยดานอัคคีภัย
(Fire Safety Tree)
มจ
อุปกรณแจงเหตุเพลิงไหม
ห้า
อุปกรณแจงเหตุเพลิงไหมในสถานประกอบการ ตองตอเชื่อมกันเปนระบบ
อย า งน อ ยต อ งประกอบด ว ย แผงควบคุ ม ระบบ อุ ป กรณ แ จ ง เหตุ ด ว ยมื อ อุ ป กรณ
ตรวจจับเพลิงไหม และอุปกรณเตือนภัย โดยอุปกรณหรือระบบแจงเหตุเพลิงไหมจะตอง
ออกแบบ ติดตั้ง ตรวจตรา บํารุง รักษา ใหอยูในสภาพดี และเปน ไปตามมาตรฐาน
นอกจากนี้พนักงานทุกคนควรไดรับการแนะนําและฝกซอมตามกฎหมาย การโทรศัพท
แจงเหตุเพลิงไหมหากตื่นตกใจ และไมคุนเคย วิธีการรายงานจะทําใหเสียเวลา รวมทั้ง
การรายงานการเกิดเพลิงไหมวาควรทํารายงานวาเหตุเกิดขึ้น อยางไร เมื่อไร ที่ ไหน
มีผลกระทบและความสูญเสียอะไรบาง
อุปกรณแจงเหตุดวยมือจะตองติดตั้งอยางนอยบริเวณทางออกของแตละชั้น
และมีระยะหางไมเกินที่กฎหมายกําหนด อุปกรณเตือนภัยจะตองติดตั้งใหคนในอาคาร
ไดยินทั่วทุกพื้นที่ และเสียงเตือนภัย ตองดังกวาเสียงรบกวนเฉลี่ย ไมนอยกวา 15 dB
204 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
และสําหรับหองนอน ความดังของเสียงเตือนเมื่อวัด ที่หัวเตียงนอนตองดังไมต่ํากวา
65 dB หรือ 75 dB และหากสถานประกอบการมีคนพิการตามกฎหมายใหเพิ่มอุปกรณ
เตือนภัยดวยแสงทํางานรวมกับอุปกรณเตือนภัยดวยเสียงดวย กรณีมีเสียงดังเกินกวา
110 dB ใหใชอุปกรณเตือนภัยดวยแสงแทนอุปกรณเตือนภัยดวยเสียง
อุปกรณตรวจจับเพลิงไหม จะเปนอุปกรณที่ทํางานอัตโนมัติ เมื่อตรวจจับควัน
ความรอน หรือเปลวไฟได โดยมาตรฐานระบบแจงเหตุเพลิงไหมของวิศวกรรมสถาน
แหงประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ (วสท.) กําหนดใหติดตั้งอุปกรณตรวจจับควันใน
พื้นที่ดังตอไปนี้
หองนอน ทุกประเภทรวมทั้งหองนอนรวมในหอพัก
หองหรือพื้นที่กั้นระหวางหองที่มีผูใชสอยกับบันไดหนีไฟหรือทางออกนอก
อาคาร
หองที่ใชงานขณะเกิดเหตุฉุกเฉินหรือเพลิงไหม
ย
หองเก็บของที่เพลิงไหมลุกลามรุนแรง
น่า
อุปกรณตรวจจับเพลิงไหม สวิตชตรวจจับการไหลของน้ําดับเพลิง และสวิตช
ตรวจสอบสถานะเปด-ปดวาลวในระบบดับเพลิงทุกชุด ตองทดสอบภายหลังการติดตั้ง
ําห
เสร็จ และทดสอบเปนประจําทุกป ระหวางการทดสอบใหทดสอบอุปกรณเตือนภัยและ
อุปกรณควบคุมทุกชุด พรอมทั้งตรวจการแสดงผลการทํางานที่แผงควบคุมระบบ และ
มจ
เปดปดวาลวในระบบดับเพลิงใหทดสอบทุกๆ เดือน
สายสัญญาณที่ใชในการสั่งควบคุมจากแผงควบคุมเชื่อมตอไปยังอุปกรณ ไดแก
อุปกรณเตือนภัย อุปกรณประกอบอาคารที่เกี่ยวของ ในกรณีฉุกเฉินใหใชสายไฟฟาชนิด
ทนไฟ สายสัญญาณทั้งหมดในระบบแจงเหตุเพลิงไหมจะตองติดตั้งในทอรอยสายไฟ
เทานั้น และตองแยกออกจากระบบอื่นๆ
เครื่องดับเพลิงแบบมือถือ
เครื่อ งดับ เพลิ งแบบมือถื อจะตองออกแบบและติ ดตั้ง ใหครอบคลุมพื้ น ที่ทั้ ง
อาคาร โดยมีระยะทางเขาถึงและพื้นที่ครอบคลุมไมเกินกวาที่กฎหมายกําหนด ชนิดของ
เครื่องดับเพลิงที่ติดตั้งในแตละพื้นที่จะตองเหมาะกับประเภทของเพลิงไหม อาจแบงได
โดยสังเขปดังนี้
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 205
ประเภท A (Class A) เป น เพลิ ง ที่เ กิ ด ขึ้ น จากการลุ ก ไหม ของสารที่ เ ป น
เชื้อเพลิงธรรมดา เชน ไมกระดาษ หรือเสื้อผา เครื่องดับเพลิงสําหรับเพลิงชนิดนี้คือ น้ํา
หรือสารผสม ซึ่งมีน้ําเปนสวนประกอบสําคัญ
ประเภท B (Class B) เป น เพลิ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น จากการลุ ก ไหม ข องเชื้ อ เพลิ ง
ประเภทที่เปนของเหลว ยางเหนียว น้ํามัน สําหรับการดับเพลิงประเภทนี้ ทําใหโดยการ
ปองกันไมให มีอากาศเขาไปชวยในการลุกไหม ดังนั้นเครื่องดับเพลิงจึงเปนประเภท
สารเคมีที่หนักกวาอากาศ เมื่อฉีดเขาไปในเพลิงจะเปนตัวขัดขวางไมใหอากาศเขาไป
สัมผัสกับตนเพลิงอีก เชน กาซคารบอนไดออกไซดเหลว
ประเภท C (Class C) เป น เพลิ ง ที่ เ ริ่ ม ต น จากอุ ป กรณ ไ ฟฟ า สารที่ จ ะ
นํามาใชดับเพลิงตองเปนสารที่ไมเปนตัวนําไฟฟา และเนื่องจากเมื่อเกิดเพลิงแลว ตัวที่
ทําหนาที่เปนเชื้อเพลิงมักจะเปนเชื้อเพลิงประเภท A หรือ B ดังนั้นสารที่จะใชดับเพลิง
จะตองสามารถดับเพลิงสารประเภทอื่นไดดวย
ย
ประเภท D (Class D) เป น เพลิง ที่ เกิ ดขึ้ น จากเชื้ อเพลิง ที่เ ป น โลหะ เช น
น่า
แมกนีเซียม, ลิเทียม, และโซเดียม เครื่องดับเพลิงและวิธีใชจะตองเปนชนิดพิเศษ
ประเภท K (Class K) เปนเพลิงที่เกิดจากไขมันจากพืชหรือสัตวใชดับเพลิง
ําห
ในครัว และทอระบายควันในครัว
เสนทางหนีไฟ
มจ
อาคารที่มีความปลอดภัยจะตองมีความตอเนื่องและไมมีสิ่งกีดขวางหรืออุปสรรคใดๆ
หรือตองใชอุปกรณหรือเครื่องมือพิเศษใดๆ รวมทัง้ กุญแจ
1) ทางไปสูทางหนีไฟ
คือ เสนทางจากจุดใดๆ ในแตละชั้นถึงทางหนีไฟหรือบันไดหนีไฟของชั้นนั้น ซึ่ง
นับวาเสนทางนี้เปนสวนที่มีอันตรายมากที่สุดของการหนีไฟ เพราะตามหลักการในการ
ปองกันอัคคีภัยนั้น เมื่อทานไดเขาไปสูบันไดหนีไฟหรือทางหนีไฟแลว ถือวาทานไดเขาสู
พื้นที่ปลอดภัยและสามารถหนีออกสูภายนอกอาคารได โดยมีหลักเกณฑในการพิจารณา
เสนทางไปสูทางหนีไฟ ดังนี้
ทุกจุดในหองตองมีเ สนทางไปสูทางหนีไ ฟอยางนอยสองทาง ยกเวน การ
อนุโลมทางบังคับ หรือทางตัน เพราะในกรณีที่เสนทางใดเสนทางหนึ่งเกิดถูกปกคลุม
ดวยไฟหรือควัน ผูใชอาคารยังมีเสนทางเหลืออีกอยางนอย 1 เสนทาง เพื่อที่จะหนีไปสู
ทางหนีไฟได
206 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ในการออกแบบอาคารเพื่ อ ความปลอดภั ย จากอั ค คี ภั ย ที่ ถู ก ต อ งนั้ น ต อ ง
พยายามให แตละจุดในพื้นที่มีเสนทางสูทางหนีไฟที่สั้นที่สุดเพื่อลดอันตรายที่อาจจะ
เกิดขึ้นขณะหนีไฟ ดังนั้นบันไดหนีไฟตองกระจายอยูในตําแหนงที่เหมาะสมและไมอยู
ใกลกันเกินไป โดยหลักในการพิจารณาอยางงายนั้น คือ ตองหางกันไมนอยกวาครึ่งหนึ่ง
ของความยาวเสนทางทแยงมุมสูงสุดของหองหรือพื้นที่นั้นๆ นอกจากนี้บนเสนทางไปสู
ทางหนีไฟนี้จะตองมีระยะสัญจร ระยะทางบังคับ และระยะทางตันไมเกินที่มาตรฐาน
หรือกฎหมายกําหนด
เสนทางหนีไฟ ตองมีปายบอกทางหนีไฟใหชัดเจน ติดตั้งบริเวณทางแยกและ
เหนือประตูบนเสนทางหนีไฟ และตองแยกออกจากปายบอกเสนทางสัญจรในเวลาปกติ
โดยปายบอกทางหนีไฟนี้ตองมีแสงสวางตลอดเวลาขณะใชงานหรือเมื่อไฟดับ
2) ทางหนีไฟหรือบันไดหนีไฟ
บันไดหนีไฟเปนหัวใจหลักของเสนทางหนีไฟในอาคาร โดยมีหลักการที่สําคัญ
ย
คือ เมื่อผูใชเขามาสูบันไดหนีไฟถือวาปลอดภัยแลว ดังนั้นบันไดหนีไฟจึงตองมีระบบ
องคประกอบที่สําคัญหลายประการดังตอไปนี้
น่า
การปดลอมดวยผนังและประตูทนไฟ บันไดหนีไฟตองอยูในพื้นที่ที่สามารถ
ปองกันไฟที่ไหมอยูในบริเวณอื่นของอาคารได ดังนั้นผนังของปลองบันไดหนีไฟตองทํา
ําห
ดวยวัสดุ ที่สามารถทนไฟได เชน คอนกรีต ผนังอิฐ ผนังคอนกรีตบล็อก โดยตองแยก
จากสวนอื่นของอาคารอยางเด็ดขาด และประตูที่ผนังทนไฟนั้นตองสามารถทนไฟได
มจ
อาคารหรือติดกับผนังภายนอกอาคารบริเวณนั้นเปนวัสดุทนไฟ บันไดหนีไฟดังกลาวเปน
บันไดที่มีความปลอดภัยได เพราะมีการระบายอากาศตามธรรมชาติผานชองเปดไมนอย
กวา 1.4 ตารางเมตร กรณีเปนบันไดหนีไฟภายในตัวอาคาร มีลักษณะเหมือนเปนปลอง
บันได ซึ่งบันไดประเภทนี้ถาไมมีระบบอัดอากาศที่ดีและควันสามารถเขาสูปลองบันไดได
ก็จะเปนเหมือนปลองควันที่จะแพรกระจายความรอนและควันไฟไปสูสวนตางๆ ของ
อาคารดานบน และกอใหเกิดอันตรายแกผูใชอาคารเปนอยางมาก
3) ประตูหนีไฟ เสนทางเขาสูบันไดหนีไฟนั้น ตองปดกั้นดวยประตูหนีไฟที่มี
อัตราการทนไฟที่สอดคลองกับการทนไฟของผนังนั้นๆ และตองผานการทดสอบตาม
มาตรฐาน โดยสวนประกอบที่สําคัญของประตูหนีไฟ ไดแก
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 207
บานประตู อาจทําจากเหล็กหรือไมที่มีฉนวนกั้น ความรอนและทนไฟได
เปนแกนกลาง
Door Closer หรือตัวปดบานประตูอัตโนมัติ เพื่อทําหนาที่ดึงบานประตูให
ปดสนิทอยูตลอดเวลาเพื่อปองกันไมใหควันไฟสามารถเขาไปสูปลองบันไดหนีไฟหรือ
ผานผนังทนไฟได และชวยในการรักษาความดันในกรณีที่ปลองบันไดมีการอัดอากาศ
ขณะเกิดไฟไหม ประตูหนีไฟที่ไมมี Door Closer อาจถูกเปดคางไว ทําใหควันไหลเขา
ปลองบันไดได หรืออาจทําใหระบบอัดอากาศไมสามารถรักษาความดันตามที่ออกแบบ
ไวได
Panic Bar หรือ Push Bar เปนอุปกรณที่ใชผลักประตูใหเปดออก โดย
สามารถใชทอนแขนหรือลําตัวในการผลักใหประตูเปดออก โดยประตูหนีไฟไมควรเปน
ระบบลูกบิดธรรมดา เพราะอาจจะไมสะดวกในการหนีไฟเนื่องจากผูที่หนีไฟอาจไดรับ
บาดเจ็บที่มือจนไมสามารถเปดประตูได อาจมีการถือของ หรืออุมเด็กไว ทําใหการบิด
ย
ลูกบิดทําไดยาก หรืออาจมีคนที่หนีไฟอีกเปนจํานวนมากดันตอเนื่องมาจากดานหลังทํา
น่า
ใหไมสามารถบิดลูกบิดประตูได หากใชกับประตูทนไฟจะตองเปนชนิด Fire Exit Bar or
Hardware
ทิศทางในการเปดประตูหนีไฟนั้น จะตองเปนไปตามทิศทางการหนีไฟ เพื่อ
ําห
ทําใหสามารถเปดไดสะดวกในกรณีที่มีคนหนีไฟจํานวนมาก โดยในชั้นบนบานประตูตอง
เปดเขาสูปลองบันไดและขณะที่ในชั้นลางสุดบานประตูตองมีทิศทางเปดออกจากปลอง
มจ
บันไดออกสูพื้นที่ปลอดภัยภายนอกอาคาร สวนตัวเปดล็อกที่ประตูหนีไฟดานภายใน
ปลองบันไดจะตองมีดวย เพื่อการบรรเทาสาธารณภัยใหพนักงานดับเพลิงเปดเขามาชวย
ห้า
ผูประสพภัยและดับเพลิง เพราะพนักงานดับเพลิงจะขึ้นลิฟตพนักงานดับเพลิงมาชั้น
ใกลๆ แลวใชบันไดในการขึ้นไปยังชั้นที่เกิดเหตุเพลิงไหมแลวเปดประตูหนีไฟออกไป
ปฏิบัติงาน
ระบบโคมไฟฉุกเฉิน ในปลองบันได จะตองติดตั้งระบบโคมไฟฉุกเฉินเพื่อให
แสงสวางในกรณีที่เกิดไฟดับ โดยระบบไฟฉุกเฉินดังกลาวตองไดรับการดูแลใหอยูใน
สภาพดีและพรอมที่จะทํางานตลอดเวลา
ปายแสดงขอมูลของบันได ในปลองบันได จะตองมี ชื่อบันได เลขชั้นหนีขึ้น
หรือหนีลง และใชสัญจรไดตั้งแตชั้นใดถึงชั้นใด เปนตน
สวนประกอบอื่นๆ ภายในบันไดหนีไฟตองมีขั้นบันไดที่มีขนาดลูกตั้งลูกนอน ที่
สม่ําเสมอทุกขั้นและมีขนาดตามมาตรฐาน ตองมีราวจับตลอดทางควรมีทั้งสองดาน ตอง
มีราวกันตกหากบริเวณนั้นมีพื้นตางระดับ ตองมีชานพักขนาดตามมาตรฐาน ภายใน
208 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
บันไดหนีไฟตองมีที่เปดบานประตูทุกชั้นเพื่อหนีออกจากบันไดไดกรณีมีควันไฟเขาบันได
หนีไฟ และทิศทางเปดบานประตูตามทิศทางการหนีออกภายนอกอาคาร
ย
น่า
ําห
มุมมองด้
รูปที่ 14.23 แสดงส านข้าง (บันไดตรง)นได
วนประกอบของบั
มจ
4) ทางปลอยออก
เมื่อหนีไฟลงมาตามปลองบันไดหนีไฟ เสนทางนั้นตองนําไปสูภายนอกอาคารได
ท า ง ล ง
โดยทางปลอยออกที่ปลอดภัยนั้น จะตองมีลักษณะดังตอไปนี้
ปลองบันไดหนีไฟ จะตองเปดออกสูพื้นที่ปลอดภัยภายนอกอาคารโดยตรง
โดยผูที่หนีไฟตองสามารถออกจากบันไดหนีไฟสูพื้นที่ปลอดภัยภายนอกอาคารไดอยาง
ตอเนื่องและ ไมมีการล็อกประตูจากดานในหรือดานทิศทางการหนีไฟ กรณีจําเปนตอง
ท า ง ล ง
ปลอยออกจากปลองบันไดหนีไฟภายในอาคารไมอนุญาตใหเปดสูพื้นที่ภายในอาคารเกิน
รอยละ 50 ของทั
วกราวบั นได้ งจํานวนและขนาดของบันไดหนี ไฟทั้ง หมด และจะตอ งเปน พื้นที่ ที่
ติดตั้งหัวกลั
กระจายน้
บเข้าหาผนัํางดับเพลิงอัตโนมัติและตองไมเปนที่มีอันตราย เชน ตองมีการเดิน
ผานหองเก็บของ หรือ หองครัว
ย
บันไดไดตลอดเวลา และไมมีการติดตั้งกลอนทั้งดานในและดานนอก อาคารสูงหลาย
น่า
แหง มีการลอกประตูที่เปดออกจากปลองบันไดหนีไฟเนื่องจากกลัวเกี่ยวกับการรักษา
ความปลอดภัย ซึ่งการกระทําดังกลาวเปนอันตรายตอชีวิตของผูที่กําลังหนีไฟเปนอยาง
มาก
ําห
จุดรวมพล ขณะเกิดเพลิงไหมอาคารจะตองเปนพื้นที่ที่มีความปลอดภัยจาก
เศษกระจก หรือการวิบัติของโครงสรางอาคาร รวมทั้งเศษซากวัสดุกอสรางที่อาจตกลง
มจ
ใหคนกําลังอพยพตองขามถนนเพราะอาจทําใหเกิดจราจรติดขัด แลวสงผลกระทบตอ
การบรรเทาสาธารณภัยจากหนวยงานภายนอก หรืออาจเกิดอุบัติเหตุไดงาย
ระบบหัวกระจายน้ําดับเพลิงอัตโนมัติ
การออกแบบและคํานวณ ติดตั้งระบบหัวกระจายน้ําดับเพลิงอัตโนมัติ หรือ
ระบบสปริงเกลอรนั้น จะตองทําโดยวิศวกรที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางวิศวกรรม
เทานั้น โดยจะตองออกแบบและคํานวณ ติดตั้ง ทดสอบ และบํารุงรักษา ใหเปนไปตาม
มาตรฐาน
210 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
รูปที่ 14.24 แสดงระบบหัวกระจายน้ําดับเพลิงอัตโนมัติ ชนิดทอเปยก
ที่มา : มาตรฐาน NFPA 13, NATIONAL FIRE PROTECTION ASSOCIATION
ย
พื้นฐานการออกแบบที่สําคัญของระบบนี้ มีดังนี้
น่า
ใหติดตั้งหัวกระจายน้ําดับเพลิงทั่วทั้งอาคาร ยกเวนบางพื้นที่ที่กําหนดไวใน
มาตรฐาน
ําห
ใหติดตั้งระบบนี้ในอาคารสูง (สูงตั้งแต 23 เมตรขึ้นไป) หรืออาคารขนาด
ใหญพิเศษ (พื้นที่ตั้งแต 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป) และสถานบริการที่มีพื้นที่ใหบริการ
มจ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 211
ระยะหางของหัว กระจายน้ํ าดับ เพลิ งกับหั ว ขา งเคี ย ง ผนัง เพดาน หรื อ
สิ่งกีดขวาง จะตองออกแบบใหเปนไปตามมาตรฐาน
จุดปลายสุดของระบบนี้จะตองมีสถานีทดสอบและระบายน้ําออกจากระบบ
ได
แต ล ะโซนของระบบนี้ จ ะต อ งติ ด ตั้ ง อุ ป กรณ ต รวจจั บ การไหลของน้ํ า
(Water Flow Switch) เพื่อเตือนภัยและแสดงผลใหคนในอาคารทราบวาหัวกระจายน้ํา
หัวใดหัวหนึ่ง ไดทํางานแลว และขนาดแตละโซนตองมีขนาดพื้นที่ไมเกินคากําหนดไวใน
มาตรฐาน
วาลวทุกชุดในระบบสงน้ําดับเพลิงจะตองเปนชนิดบอกตําแหนงได และ
ติดตั้งอุปกรณตรวจสอบสถานะวาลวเปดหรือปด เรียกวา Supervisory Switch และ
สามารถเปดปดไดสะดวกจากพื้นและเขาถึงไดทันทีเมื่อเกิดเพลิงไหม
ย
น่า
ําห
มจ
ห้า
ย
ระบบทอยืนเปนระบบที่ใชจายน้ําดับเพลิงไปยังสวนตางๆ ในอาคาร เพื่อให
พนักงานดับเพลิงหรือผูใชอาคารสามารถใชอุปกรณที่ติดตั้งในระบบทอยืน เชน หัวและ
น่า
สายฉีดน้ําดับเพลิงในการดั บเพลิงได ตําแหนงที่ติดตั้ง วาลว สายฉีดน้ําดับเพลิงหรื อ
ตูดับเพลิงนี้ตองอยูในตําแหนงที่ปลอดภัยตอผูใชและสามารถใชสายฉีดน้ําดับเพลิงเขาไป
ําห
ยังพื้นที่เพลิงไหมได
ทอ ยื น ต อ งต อ ทอ เขา กั บระบบส ง น้ํา ดั บเพลิง ที่ เชื่ อ ถื อได เช น เครื่ อ งสู บ น้ํ า
มจ
ย
รางกาย เพื่อความปลอดภัยตอชีวิตของผูใชอาคาร และยังชวยทําใหพนักงานดับเพลิง
น่า
สามารถเห็นฐานไฟและผูประสบที่อาจนอนหมดสติอยู ทําใหสามารถควบคุมเพลิงไหม
และชวยเหลือผูประสบภัยไดอยางรวดเร็ว นอกจากชวยลดความหนาแนนของควั นไฟ
ําห
แลวยังชวยลดอุณหภูมิลงเพื่อความเปนอันตรายตอโครงสรางหลักของอาคาร
การอัดอากาศเปนระบบควบคุมควันไฟอยางหนึ่งสําหรับอาคารสูง (สูงตั้งแต
23 เมตรขึ้นไป) เพื่อปองกันไมใหควันไฟเขาไปภายในชองบันไดขณะมีคนกําลังเปดบาน
มจ
การสั่ งใหร ะบบพั ดลมควบคุ มควัน ไฟทํา งานทั้ งระบบอัด อากาศหรือ ระบบ
ย
ระบายควันไฟ มีความสําคัญมากเชนกัน โดยพื้นฐานตองสามารถสั่งให ทํางานไดอยาง
อัตโนมัติ (Automatic) และแบบใช มือ (Manual) การสั่ง ทํางานอยางอัตโนมัติ ตอ ง
น่า
พิจารณาอยางระมัดระวังเพราะอาจเปนการเติมออกซิเจนเขามาในอาคารโดยไมจําเปน
ทําใหอาจมีผลกระทบกับคนที่กําลังอพยพได และอาจสงผลกระทบตอการทํางานของ
ําห
ระบบหัวกระจายน้ําดับเพลิงอั ตโนมัติไดเชนกัน การสั่งใหระบบควบคุมทํางานอยาง
อัตโนมัตินั้น มาตรฐานหรือการปฏิบัติทั่วไปจะใชอุปกรณตรวจจับควัน ไฟที่ติดตั้งใน
มจ
ตําแหนงที่คาดวาควันไฟจะสงผลตอการอพยพ หรือเขาไปในชองบันไดหรือหองปลอด
ควันไฟ สวนการทํางานแบบใชมือไมวาจะเปนการเปดหรือปดพัดลม ควรจะติดตั้งสวิตช
ไฟฟาไวในศูนยสั่งการดับเพลิงหรือหองควบคุมอาคารที่ชั้นลาง
ห้า
การแบงสวนอาคาร (Compartment)
การแบงสวนอาคารสรางขึ้น เพื่อปองกัน มิใหอาคารมีขนาดพื้น ที่ใหญเกินไป
ทําใหควันไฟแพรกระจายออกไปเปนวงกวาง รวมทั้งการลุกลามของเพลิงไหม ทําใหยาก
ตอการควบคุมเพลิงไหมและใชดับเพลิงเปนเวลานานแลว รวมทั้งมีเวลาในการอพยพ
ออกจากพื้นที่หรือชั้นตนเพลิงนอยลงดวย การแบงสวนอาคารจะกั้นแยกจุดตนเพลิง
ออกจากสวนอื่นๆ ของอาคาร กรณีเปนพื้นทนไฟก็จะเปนการกั้นแยกพื้นที่แตละชั้นออก
จากกัน กรณีเปนผนังทนไฟ ก็จะเปนการกั้นแยกพื้นที่ในชั้นเดียวกัน ผนังทนไฟจะเปน
การปดกั้นตั้งแตพื้นถึงเพดาน และตั้งแตผนังภายนอกจนถึงผนังภายนอกอาคาร หรือ
จนถึงผนังทนไฟ และชวงเวลาในการทนไฟอาจเปน 1, 2, 3 หรือ 4 ชั่วโมงแลวแตกรณี
ชองเปดบนผนังทนไฟ เชน ประตู ชองทอ ทอลม จะตองไดรับการปองกันดวยวัสดุหรือ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 215
อุปกรณใหมีความสามารถในการทนไฟไดในระดับเดียวกับสวนทนไฟนั้นๆ เชน ประตู
ทนไฟ, ลิ้นกันไฟ, วัสดุอุดทนไฟ ฯลฯ
การแบงสวนอาคารมี 4 ลักษณะ ดังนี้
1. การแบงสวนตามกิจกรรมการใชงาน
2. การแบงสวนตามพื้นที่อันตราย
3. การแบงสวนเพื่อความปลอดภัยตอการหนีไฟ
4. การแบงสวนปองกันชองเปดแนวดิ่ง
การแบงสวนตามกิจกรรมการใชงาน เพื่อแยกพื้นที่ที่มีความเสี่ยงอันตรายที่มี
ลั ก ษณะแตกต า งกั น ทั้ ง ประเภทเชื้ อ เพลิ ง ประเภทคน และทางกายภาพ เช น
โรงภาพยนตร ในศูนยการคา และโรงแรมกับหองจัดเลี้ยง โรงงานกับโรงเก็บวัตถุดิบ
เปนตน ปกติจะกั้นแยกดวยชวงเวลาการทนไฟประมาณ 1, 2 หรือ 3 ชั่วโมงแลวแต
ย
กรณี แตมาตรฐานยอมใหเปดรวมปนกันได แตตองออกแบบโดยใชมาตรการที่เขมงวด
ที่สุดทั่วทั้งสองพื้นที่
น่า
การแบงสวนตามพื้นที่อันตราย เพื่อแยกพื้นที่เสี่ยงอันตรายออกจากสวนอื่นๆ
ในอาคาร เชนหองเครื่องหมอน้ํา หองเครื่องเมนไฟฟา หองเก็บสินคา และหองครัว เปน
ําห
ตน ปกติจะกั้นแยกดวยชวงเวลาการทนไฟประมาณ 1 ชั่วโมง
การแบงสวนเพื่อความปลอดภัยตอการหนีไฟ ไดแก ปดลอมบันไดหนีไฟดวย
มจ
ผนั ง ทนไฟ และผนั ง ทนไฟทั้ ง สองข า งของช อ งทางเดิ น (Corridor) หน า ห อ งพั ก ใน
คอนโดมิเนียมหรือโรงแรม เปนตน หรือการแบงสวนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอพยพ
ดว ยการกั้น แยกพื้ น ที่ ใ นชั้ น ที่ต อ งการให มีเ วลาในการอพยพนานขึ้ น โดยแบง พื้ น ที่
ห้า
216 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
รูปที่ 14.26 แสดงชองเปดพื้นทําใหเกิดชองแนวดิ่ง
ย
ที่สามารถแพรกระจายควันไฟไดงาย
น่า
ที่มา : หนังสือ FIRE SAFETY MANAGEMANT
อยางอัตโนมัติหรือแบบใชมือก็ได
ห้า
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 217
การควบคุมวัสดุ
ด ว ยเหตุ ก ารณ เ พลิ ง ไหม ที่ ผ า นมา จะพบว า วั ส ดุ ต กแต ง ภายในอาคาร
ที่ผนัง เพดาน ผามาน วัสดุปูพื้น และเฟอรนิเจอร สงผลกระทบตอความปลอดภัยตอ
ชีวิตมนุษยอยางมาก โดยเฉพาะวัสดุที่ทําจากโฟมพลาสติก ที่มักจะนํามาทําเปนฉนวน
กั้นความรอนหรือเสียงรบกวน กลุมวัสดุนี้สามารถผลิตพลังงานความรอนไดสูงเทียบเทา
น้ํามัน เบนซิน เลย รวมทั้งผลิตควัน ไฟออกมามากกวาวัสดุอื่น ๆ ดว ย ตามมาตรฐาน
ไมยอมใชวัสดุชนิดนี้โดยไมปดผิวดานในอาคารที่มีคุณสมบัติทนไฟไดระดับหนึ่ง และ
โฟมพลาสติกตองเปนวัสดุที่เติมสารหนวงไฟเพื่อทําใหดัชนีการลามไฟไมเกิน 25 และ
ดัชนีการเกิดควันไฟไมเกิน 450 ดวย
ผิวผนังหรือเพดานของหองหรือพื้นที่ที่สําคัญ จะตองใชวัสดุที่มีดัชนีการลามไฟ
และดัชนีการเกิดควันไฟต่ํา เชน บันไดหนีไฟ ชองทางเดิน เปนตน หลังคาที่บุฉนวนควร
เลือกใชวัสดุที่ไมติดไฟ เพราะมีพื้นที่ผิวขนาดใหญและเปนที่ที่ความรอนมารวมตัวสะสม
ย
ในบริเวณนี้ เมื่อติดไฟไดจะทําใหเกิดความสูญเสียคอนขางรุนแรงหรือทั้งหมดได สวนผิว
พื้นจะตองเลือกใชวัสดุ ที่ลุกติดไฟไดยาก
น่า
ขอปฏิบัติตนเมื่อเกิดไฟไหม
ําห
กรณีที่ทานตองอยูในเหตุการณไฟไหม เวลาทุกวินาทีมีคาและการตัดสินใจของ
ทานในเสี้ยววินาทีนั้นอาจมีผลตอชีวิตของทานและบุคคลอื่นอยางใหญหลวง ดังนั้นทาน
ควรมีการเตรียมตัวใหพรอมอยูเสมอ โดยมีแนวทางในการปฏิบัติตนดังนี้
มจ
เมื่อทราบวาเกิดไฟไหม ตองมีสติและประเมินสถานการณวาจะใชเสนทางใด
หนีไฟ
ห้า
ย
กรณีที่ทานติดอยูในหองและไมสามารถหนีออกมาได ใหปดประตูทุกบานให
น่า
สนิท และใชผาเช็ดตัว ผาหม หรือเทปกาว ปดรอยแยกตามประตูและผนังทุกจุด ใน
กรณีที่ทานอยูในอาคารสูงอยากระโดดออกทางหนาตางโดยเด็ดขาด ใหพยายามแจงให
ําห
เจ า หน า ที่ ดั บ เพลิ ง ทราบว า ท า นติ ด อยู ใ นห อ งโดยทางโทรศั พ ท หรื อ ให ผ า โบกทาง
หนาตาง
ถาเสื้อ ผาของทานติดไฟ อยา วิ่งเพราะจะทําให ไฟลุก มากขึ้ น เพราะเป น
มจ
ผืนใหญคลุมตัวเพื่อดับไฟ
กรณีที่มีบาดแผลไฟลวก ไมใหใชวัสดุที่มีลักษณะเปนน้ํามันทาแผล เพราะ
จะทําใหความรอนไมสามารถระบายออกและทําการบาดเจ็บเพิ่มมากขึ้น ควรทําให
บาดแผลเย็นลงดวยการปลอยใหน้ําเย็นไปผานแผลประมาณ 10-15 นาที และรีบไปพบ
แพทยทันที
กรณี ที่ ท านอาศั ย อยู ใ นอาคารสู ง แต ล ะอาคารอาจจะมี ขั้ น ตอนในการ
ปฏิบัติ เมื่อสัญญาณเตือนอัคคีภัยดังขึ้นที่แตกตางกัน ใหปรึกษาเจาหนาที่ผูรับผิดชอบ
ของอาคารใหเขาใจถึงขั้นตอนในการปฏิบัติที่ถูกตอง
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 219
o การปองกันและควบคุมอันตรายในงานกอสราง
1) อันตรายในงานกอสราง
อุบัติเหตุปองกันได ถาไมประมาท ยังเปนคํากลาวเตือนใจไดดีในกิจการแทบทุก
อยางที่เกี่ยวเนื่องกับอันตรายที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้น อันจะยังความเสียหายไมวา
ดานชีวิตและทรัพยสินมายังบุคคลที่เกี่ยวของโดยตรง หรือโดยออม หรือไมเกี่ยวของเลย
ก็เปนได เอกสารทางวิชาการเรื่อง อันตรายจากการกอสรางนี้ ไดรวบรวม สรุป และ
ถายทอดถึงอัน ตรายตางๆ จากการกอสราง รวมถึงชี้แนะถึงแนวทางในการป องกัน
อัน ตรายเหล านั้ น จุ ดมุ งหมายที่สํ าคั ญของเอกสารชุ ด นี้ก็ คือ การใหบุ ค คลทั่ว ๆ ไป
โดยเฉพาะบุ ค คลที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ วงการก อ สร า งได หั น มาตระหนั ก ถึ ง อั น ตรายและ
ความสําคัญในการปองกันอันตรายที่เกิดขึ้นในการกอสรางรวมทั้งการนํามาเปนหลัก
ปฏิบัติในภาคสนามอยางแทจริง การปองกันอุบัติเหตุรอยเปอรเซ็นตนั้นเปนไปไมได แต
การลดอุบัติเหตุใหนอยลงที่สุด งานที่ กาวหนาไปไดอยางรวดเร็ว ที่สุด และหมายถึง
ย
ผลตอบแทนที่ดีที่สุดตอทุกๆ คนในกิจกรรมการกอสรางนั้น
2) อันตรายจากงานตอกเสาเข็ม
น่า
งานฐานรากโดยเฉพาะงานตอกเสาเข็มจัดเปนงานกอสรางสวนที่สําคัญยิ่งอยาง
ําห
หนึ่ง ที่พึงตองใหความระมัดระวังอยางสูง งานตอกเสาเข็มหากทําดวยความประมาท
อาจจะสงผลใหงานอื่นๆ ลาชา และเกิดความสูญเสียตองานกอสร างสวนใหญไดมาก
มจ
กลาวถึงความปลอดภัยที่เกี่ยวกับงานฐานรากเสาเข็มและเครื่องตอกเสาเข็ม
2.1 เสาเข็ม นับแตการตั้งศูนยเสาเข็ม ควรไดแนวดิ่ง ยกเวนกําหนดเปน
อย า งอื่ น การตั้ ง เสาเข็ ม เอี ย งอาจมี ผ ลต อ การเสี ย สมดุ ล ของโครงสร า งทั้ ง หมด
นอกจากนั้น หากตอกเสาเข็มที่เอียงมากๆ เสาเข็มอาจหักทับคนงานได รูที่เกิดจาก
การตอกเสาเข็มเสร็จแลว (โดยทั่วๆ ไป จะมีความกวางประมาณ 30 - 40 ซม.) ตอง
กลบหรือปดทันทีเพื่อกันคนตกลงไป โดยเฉพาะในเวลากลางคืน การปองกันเด็กเล็กๆ ที่
รวมครอบครัวกับคนงานไมใหเขาไปในบริเวณดังกลาวนั้น ควรทําดวยความเขมงวด การ
ยืนบนเสาเข็มขณะชักลากเพื่อหาทางลัดในการขึ้นปนจั่นตองละเวนเด็ดขาด คนขั บ
ปนจั่นที่ไมชํานาญอาจสวิงเสาเข็ม ตีหรือสะบัดคนรวงลงมาได นอกจากนั้นหวงยกที่ฝง
ในเสาเข็มอาจหลุดทําใหเสาเข็มลมลงมาทับเปนอันตรายตอชีวิตได
2.2 เครื่ องตอกเสาเข็ ม นับ แต การปน ไต ดว ยตั ว เปล าโดยปราศจากสิ่ ง
อํานวยความปลอดภัย การตระเตรียมหมอนรองรับการกระแทกของตุม เชน ไมบน
220 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ครอบเหล็ก การใชสลักแทนนอตเสียบตุม ตองกระทําใหเรียบรอยและปลอดภัยกอนเริ่ม
ทํางาน แมแตเครื่องตอกเอง ตองกําลังตอกที่ดี รวมทั้งการทรงตัวขณะตอกและหลัง
ตอก ตองหามใชเครื่องตอกที่เกามากและเสียสมดุลในขณะใชงาน เนื่องจากอาจลมลงได
ลวดสลิงหอยตุมที่หมดสภาพการใชงาน จะตองเปลี่ยนทันที อันตรายจากการที่ลวดสลิง
ขาดขณะรับแรงดึงอยางสูงนั้นรายแรงมาก แมสะบัดถูกใครอาจเสียชีวิตไดในทันที
นอกเหนือจากความปลอดภัยที่เกี่ยวกับงานตอกเสาเข็มแลว ปจจัยอื่นที่ตอง
คํานึงถึงคือ ควัน เสียงรบกวน ความสั่นสะเทือนและการเคลื่อนตัวของดิน
2.3 ควัน เครื่องตอกชนิดดีเซล (Diesel Hammer) ที่ใชกันโดยมากกับงาน
ตอกเสาเข็มเหล็ก ควรเลือกชนิดใหเหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นอยูกับชนิดของเสาเข็มและระดับ
ดินที่ตอกลงไป เครื่องขับตุมตอกไมควรเกาจนกอใหเกิดควันดําอยางมากมาย สถานที่
ตอกนั้ นไมควรอยูใกลกัน เกิน ไป ซึ่งอาจจะทําใหควัน รวมตัว กัน มากขึ้น โดยปกติแลว
เครื่องจะทํางานเต็มที่มีการสันดาปสมบูรณ ควันนอย เมื่อเสาถูกตอกลงไปถึงชั้นดินแข็ง
ย
การใชเทคนิคผสม เชน ใชเครื่องตอกแบบไอน้ํา (Steam Hammer) หรือเครื่องตอก
ธรรมดา (Drop Hammer) ตอกเสาเข็มทอนแรกๆ จนถึงชั้นดินแข็ง กอนใชเครื่องตอก
น่า
ชนิดดีเซล สามารถชว ยลดควันลงไปไดมาก อีกทั้งยังเปน การถนอมรักษาเครื่องตอก
อีกดว ย การกั้น ผ าใบขึงกั้น รอบบริเวณใหสูงพอก็ส ามารถปองกัน ควัน และไอน้ํามิใ ห
ําห
รบกวนผูอาศัยในบริเวณใกลเคียงได ตามมาตรฐานสากล ควรจํากัดคาควันดําเฉลี่ยมิให
เกิน 0.140 มก./ม3 ตอ 24 ชั่วโมง
มจ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 221
สามารถดันใหพื้นชั้นลางของอาคารขางเคียงโกงขึ้นมาได และเรงการทรุดตัวของชั้นดิน
ออนไดเร็วขึ้น
3) อันตรายจากการทํารูเจาะขนาดใหญ
การทํารูเจาะขนาดใหญในงานกอสราง มักจะเปนงานที่ขุดลึกลงไปเปนปลอง
เพื่ อ เชื่ อ มกั บ อุ โ มงค ห รื อ งานใต ดิ น อื่ น ๆ รวมทั้ ง งานเสาเข็ ม การขุ ด เพื่ อ ซ อ มแซม
หัวเสาเข็มและเตรียมงานสําหรับทําฐานรากอาคาร เหลานี้มักมีจุดที่ทําใหเกิดอันตราย
ได มาก ฉะนั้น ควรมีม าตรการป องกัน อัน ตรายตา งๆ เพื่ อให เ กิด ความปลอดภัย ใน
การปฏิบัติงาน และสิ่งแรกที่ตองระมัดระวังก็คือ การควบคุมงานอยางใกลชิดตลอดเวลา
ที่มีคนงานทํางานอยู ผูควบคุมงานจะตองเปนผูที่รอบรูและมีประสบการณสูง สามารถ
ตัดสินใจไดรวดเร็ว แกปญหาเฉพาะหนาไดอยางทันทวงที หากจะใชผูควบคุมงานใหม
จะตองมีผทู ี่มีประสบการณและมีความชํานาญ คอยใหความชวยเหลือและคําแนะนําอยู
ดวยเสมอ
ย
ประการตอ มาในบริ เ วณที่ ไ มค อ ยมั่ น คง เช น ดิ น เหลวหรื อ มี น้ํ า ไหลเข า มา
น่า
ตลอดเวลาควรใชปลอกเหล็กชั่วคราวใหลึกพนชั้นดินออนเพื่อปองกันดินทับผนังรูเจาะ
พังทลายในกรณีที่ มีน้ําไหลเขาสว นลางของรูเจาะ ถาจะใหคนลงไปทํางานจะตองมี
ําห
เครื่องสูบน้ําที่มีประสิทธิภ าพสูงประจําตลอดเวลา ปกติ คนงานไมควรเสี่ยงลงไปใน
รูเจาะ เมื่อเห็นว าผนังรูเจาะอาจจะพังทลายลงมาได โดยเฉพาะถาไมใชปลอกเหล็ก
ชั่วคราวปองกัน แตในกรณีที่วิศวกรเห็นวาผนังรูเจาะจะสามารถคงสภาพอยูไดโดยไม
มจ
พังทลายเปนระยะเวลาพอสมควรและดินแข็งพอที่จะไมตองใชปลอกเหล็ก หรืออาจใช
เพียงทอนสั้นๆ ไวตรงปากรูเจาะ วิศวกรผูเชี่ยวชาญจะตองศึกษาและใหคํารับรองถึง
ห้า
ความมั่นคงของผนังรูเจาะ ซึ่งคนงานจะสามารถลงไปทํางานไดดวยความปลอดภัย
อยางไรก็ดี ไมควรใหคนลงไปทํางานในรูเจาะที่ปราศจากการปองกันดินพังเกิน
12 ชั่วโมง นับจากการเริ่มเจาะ หรือเกิน 3 ชั่วโมง หลังจากที่เจาะเสร็จ การดําเนินการ
จะตองควบคุมโดยผูเชี่ยวชาญที่มีประสบการณดานนี้โดยเฉพาะ และตองระมัดระวังให
เกิดความปลอดภัยทุกขั้นตอน เชน เตรียมอุปกรณสําหรับชวยเหลือทุกชนิดใหพรอมใน
กรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และไมควรปลอยทิ้งรูเจาะที่มีผนังไมแข็งแรงเหลานี้ไวนานจนเกินไป
เพราะอาจพังทลายไดทุกเวลา ควรเตรียมปลอกเหล็กที่มีขนาดและความยาวใหมากพอ
เพื่อเตรียมไวใชทันทีที่ตองการ
โดยทั่วไป เสาเข็มชนิดเจาะหลอในที่จะตองมีระยะหางระหวางตนไมนอยกวา
3 เทา ของเสน ผานศูนยกลางของเสาเข็ม ในทางปฏิบัติแลว จะไมยอมใหทําเสาเข็ม
ดังกลาวสองตนติดตอกัน โดยมีระยะหางกันนอยกวา 6 เทาของเสนผานศูนยกลางของ
222 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
เสาเข็ม แตในบางกรณีอาจมีความจําเปน ที่ จ ะตองทํารูเจาะสองรูติดตอกัน ในกรณี
เชนนั้น ไมควรอนุญาตใหคนลงไปในรูเจาะหนึ่งในขณะที่รูเจาะอีกรูหนึ่งยังมีน้ําหรือ
สารละลายเบนโทไนทหรือน้ําโคลนที่เกิดจากการเจาะหรือคอนกรีตที่ยังไมกอตัว
สําหรับขนาดรูเจาะที่ยอมใหคนลงไป ควรมีเสนผาศู นยกลางมากกวา 0.75
เมตรขึ้นไป และระยะเวลาทํางานในรู เจาะนั้นไมควรเกินหนึ่งชั่วโมง การสงคนลงไป
ทํางานในรูเจาะจะตองกระทําดวยความรอบคอบโดยทําเปนกรงเหล็กหรือเครื่องหิ้วตัว
และใชอุปกรณที่มีประสิทธิภาพสูง เชนปนจั่นกวานหรืออุปกรณอยางอื่นที่เหมาะสม
ขณะที่คนยังอยูในรูเจาะก็จะตองเตรียมอุปกรณดังกลาวไวใหพรอมตลอดเวลา โดย
ผูควบคุมที่มีความชํานาญ
การชวยเหลือคนที่อยูในรูเจาะเปนสิ่งสําคัญที่สุด ที่จะตองมีผูรับผิดชอบในดาน
ความปลอดภัยคอยประจําอยูตลอดเวลาบนพื้นดินบริเวณที่มีคนลงไปทํางานเพื่อดูวาคน
ที่อยูใน รูเจาะยังเปน ปกติดีห รือหมดสติไปแลว หากวาคนงานหมดสติ หรือเปน ลม
ย
หรื อ บาดเจ็ บ จะต อ งนํ า ออกมาจากรู เ จาะให เ ร็ ว ที่ สุ ด แต ต อ งกระทํ า อย า งนุ ม นวล
ขณะเดียวกันก็เรียกหนวยพยาบาลและหนวยฉุกเฉินตามความจําเปน เมื่อนําคนปวย
น่า
ขึ้น มาจากรูเจาะแลว ควรจะนําทุกคนที่อยูในนั้น ขึ้น มาใหห มดจนกวาจะตรวจสอบ
จนเปนที่แนใจวาปลอดภัยดีแลวจึงอนุญาตใหลงไปทํางานตอได
ําห
ในสถานที่กอสรางแตละแหง ควรมีหนวยพยาบาลและหนวยฉุกเฉิ น รวมทั้ง
หมายเลขโทรศัพทฉุกเฉิน สายตรงถึงโรงพยาบาลที่รับคนไขฉุกเฉินที่อยูใกลส ถานที่
มจ
4) อันตรายจากปนจั่นสําหรับยกของ
อั น ตรายจากป น จั่ น ที่ ใ ช สํ า หรั บ ยกของนั้ น ส ว นใหญ เ นื่ อ งมาจากความ
รูเทาไมถึงการณและความประมาทของผูที่ทํางานเกี่ยวของกับปนจั่นนั้นๆ อุบัติเหตุที่พบ
มากคือ อุบัติเหตุจากของที่ยกตกหลนมาจากปนจั่น กระแทกถูกโครงสรางของอาคาร
หรือสิ่งกอสรางเสีย หายและบางครั้งก็ห ลน ลงมาทับบุคคลซึ่ง กําลังปฏิบัติงานอยูใ น
บริเวณกอสรางหรือผูซึ่งไมมีสวนเกี่ยวของกับการทํางานของปนจั่นยกของนั้นเลย มีอยู
บางที่ตัวปนจั่นเองไมสามารถรับน้ําหนักของที่ยกขึ้นไปเกินกวาที่ตัวเองจะยกได ทําให
โครงหรือตัวปนจั่นหักลงมาทําความเสียหายใหแกทรัพยสินและชีวิตของบุคคลผูไมมี
สวนเกี่ยวของ รวมทั้งชิ้นสวนประกอบตัวปนจั่นที่ขาดการดูแลเอาใจใสหลวมหลุดและ
หลนลงไปสรางความเสียหายเปนอันตรายแกชีวิตและทรัพยสิน
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 223
สําหรับในกรณีที่ผูปฏิบัติง านเกี่ย วกับปน จั่น ยกของประสบอุบัติเหตุ เองนั้ น
มักจะเกิดจากความประมาท และขาดการดูแลเอาใจใสตอสวนประกอบตางๆทําใหพลัด
ตกลงมาถึงแกชีวิต แมแตปนจั่นลมลงมาทับตัวบุคคลที่ปฏิบัติงานอยูนั้นเสียชีวิตไปก็มี
อยูบางเชนกัน
โดยทั่ ว ๆ ไปในขณะนี้ ป น จั่ น ยกของที่ นิ ย มใช กั น อยู คื อ ป น จั่ น ชนิ ด หอสู ง
(Tower Crane) และรถปนจั่น (Mobile Crane) ซึ่งลักษณะในการปองกันอันตรายจาก
ปนจั่นยกของทั้งสองชนิดนี้ มีลักษณะคลายคลึงกัน นับแตการประกอบติดตั้งชิ้นสวน
ตางๆ เขาดวยกัน ลักษณะการใชงาน การตรวจสอบสภาพของชิ้นสวนหรือสวนประกอบ
ตา งๆ นั บแต ตัว โครง ตั ว ถว งน้ํา หนัก ลวดสลิ ง ที่ใ ช สํา หรับ ผูก ดึง ยกสิ่ งของต า งๆ
จนกระทั่งวิธีติดตั้งและวิธีรื้อถอนปนจั่น
ในการติดตั้ง รื้อถอน ปนจั่นยกของทั้งสองชนิดที่กลาวถึงนับวาเปนสวนสําคัญ
ประการที่ควรคํานึงถึงเปนอยางยิ่ง ทั้งนี้เพราะเปนปญหาแรกที่จะกอใหเกิดอุบัติเหตุ
ย
อันตรายในการใชปนจั่นที่ติดตั้งอยางไมมั่นคงแข็งแรงถูกตองตามลักษณะของการใชงาน
ฉะนั้นจึงจําเปนอยางยิ่งที่จะตองปฏิบัติตามคําแนะนําของผูผลิตอยางเครงครัด อานคูมือ
น่า
การใชใหเขาใจอยางถองแท การสรางฐานรองรับปนจั่นตองแข็งแรงและไดระดับ หรือ
การปรับพื้นบริเวณที่จ ะนํา ปนจั่นขับเคลื่อนเขาไปใชงาน การตรวจสอบชิ้นสวนหรือ
ําห
สวนประกอบตางๆของปนจั่นใหอยูในสภาพเรียบรอยแข็งแรงกอนจะนํามาประกอบ
ติดตั้ง
มจ
ประการสําคัญๆ ผูบังคับปนจั่นจะตองรายงานทันทีที่พบขอบกพรองแมเพียง
เล็ ก น อ ยในระหว า งการตรวจสอบก อ นเริ่ ม ปฏิ บั ติ ง าน เพื่ อ ให วิ ศ วกรที่ เ กี่ ย วข อ ง
ดําเนิน การตรวจสอบและแกไขอันจะเปน ประโยชนในการปองกันอันตรายที่อาจจะ
ห้า
เกิดขึ้นจากขอบกพรองนั้น
นอกจากนี้ สิ่งที่ตองระมัดระวังเพิ่มเติมสําหรับปนจั่นชนิดขับเคลื่อน ก็คือกอน
จะเคลื่อนปน จั่นควรจะล็อ คโครงสรางขางบนเสีย กอนเพื่อปองกัน การหมุน ตัว ขณะ
ปนจั่นเคลื่อนที่จะตองยึดน้ําหนักบรรทุกที่แขวนไวกับตัวปนจั่นใหแนนเพื่อปองกันมิให
แกวงได จะตองหิ้วน้ําหนักบรรทุกใหแนนหนากอนจะยกขึ้นควรจะทดลองยกน้ําหนัก
นอยๆ เสียกอนหากไมแนนจะไดผูกใหมจะตองไมใชลวดสลิงยาวกวาที่ผูผลิตกําหนดไว
เพราะจะทําพัน ไขวกัน และชํารุดเสีย หายไดโดยงาย และควรมีการตรวจสอบพื้น ที่
บริเวณที่จะเคลื่อนปนจั่นเขาไปทํางาน ถาเปนบริเวณดินออนอาจใชวิธีบดอัดใหแนนวาง
ลูกระนาดไม ปูแผนเหล็กทั่วบริเวณ หรือวิธีอื่นที่เหมาะสม และจําเปนอยางยิ่งที่จะตอง
จัดที่วางใหรอบปนจั่นไมนอยกวา 0.60 เมตรเพื่อไวใหคนหลบหลีกอันตรายจากการ
หมุนตัวของปนจั่นขับเคลื่อน
224 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
5) อันตรายจากลิฟตชั่วคราว
ในสถานที่กอสรางที่เปนอาคารสูง การยกยายสิ่งของวัสดุที่ใชงานกอสรางจาก
ชั้นลางขึ้นไปปฏิบัติงานบนชั้นสูงๆ นั้น นอกจากจะใชกําลังคนแบกหามหรือใชปนจั่น
ยกของแลวอาจใชลิฟตขนสงแทนก็ได ลิฟตที่ใชในงานกอสราง ควรแยกออกเปนลิฟต
สําหรับขนสงวัสดุอุปกรณโดยเฉพาะ และลิฟตที่ใชสําหรับคนงานขึ้นลงระหวางชั้นในตัว
อาคาร ลิฟตที่ใชสําหรับขนสงวัสดุไมควรใหคนงานใชโดยสารขึ้นลง เวนแตผูที่มีหนาที่
ควบคุมดูแลวัสดุที่ขนสงนี้เปนการเฉพาะคราว อันตรายที่เกิดจากลิฟตสวนใหญเกิดจาก
การบรรทุกน้ําหนักที่มากเกินอัตราที่จะรับได ขาดการดูแลเอาใจใสสภาพของชิ้นสวน
และอุปกรณของตัวลิฟต เช น นอตยืดตามขอตอตางๆ ของโครงลิฟ ต ลวดสลิงฉุดดึง
กะบะลิฟต เปนตน รวมทั้งความประมาทของผูขับลิฟต
การติดตั้งหอลิฟต ทั้งภายนอกอาคารและภายในอาคารควรใหผูชํานาญการ
ในการติดตั้งเปนผูดําเนินการติดตั้ง และมีวิศวกรควบคุมการติดตั้งอยางใกลชิด ฐานของ
ย
หอลิฟตจะตองใหกวางพอที่จะรับน้ําหนักของหอลิฟตและน้ําหนักบรรทุกในการขนสง
คนงานหรือวัสดุ ที่จะนําไปใชงานและควรกําหนดน้ําหนักที่แนนอนสําหรับการบรรทุก
น่า
น้ําหนักที่ ลิฟต สามารถรับไดไวอยางชัดเจน เพราะจะเปน การปองกัน อันตรายจาก
การบรรทุกน้ําหนักที่เกินอัตราไดในเบื้องตน
ําห
ตัวหอลิฟตจะตองยึดใหแข็งแรงกับตัวอาคารหรือยึดโยงดวยลวดสลิงกับแทน
ตอมอกันการแกวงตัวขณะมีการใชงานสวนบนสุดของหอลิฟต จะตองมีความแข็งแรง
มจ
พอที่จะรับน้ําหนักของรอกน้ําหนักหองบรรทุกหรือกะบะและน้ําหนักของที่จะยกในการ
สรางหอลิฟตที่สูงมากควรสรางเปนสวนๆ โดยการสรางสวนลางใหสูงพอเหมาะกับการ
ใชงานเมื่อสร างอาคารสูงขึ้ น จึงคอยสรา งหอลิฟต ใหสูง ขึ้น ตามเพื่อจะไดเสริมความ
ห้า
ย
ในการสรางนั่งรานไมวาจะเปนแบบแขวนลอยจากสิ่งมั่นคงเบื้องบนหรือรองรับ
น่า
จากพื้นจะตองรับน้ําหนักไดโดยปลอดภัยตามที่วิศวกรไดคํานวณออกแบบไว มีราวกัน
ตกตามแนวยาวดานนอกนั่งรานตลอดไปจนสุดปลายทางเดินบนนั่งราน เวนไวแตชองที่
ําห
จําเปนตองเปดเพื่อขนถายสิ่งของ เสานั่งรานตองตั้งใหอยูในแนวดิ่ง และมีค้ํายันรับ
ตามลําดับเพือ่ ใหเสามั่นคงและรักษาแนวดิ่งไวตงนัง่ รานจะตองวางอยูบนคานนั่งรานโดย
วางชิดแนบกับเสา ที่ใดซึ่งมีตงนั่งรานวางรับพื้นอยูไมตรงกับเสาจะตองเสริมไมคานชวย
มจ
รองรับตามความจําเปน
สําหรับนั่งรานแขวน เหล็กแขวนรับจะตองเปนแบบมาตรฐาน โดยมีฐานรับ
ห้า
ดานลางเพื่อยึดนั่งรานที่พับขึ้นเพื่อยึดรั้วกันตกมีหวงเพื่อรอยเชือกทําเปนราวกลาง ดาน
ปลายบนทําเปนขอหรือหวงไวแขวนกับขอเกี่ยว ซึ่งยึดไวกับสวนอาคารบนที่สูงที่แข็งแรง
ซึ่งยื่น ล้ําออกมานอกผนัง นั่ งรานทุกชนิด ควรมี ตาขายขึ งไวเพื่อดักวั ตถุที่ห ลน ลงมา
ตาขายนี้จะตองขึงใหระยะเลยแนวนั่งรานออกไป เพื่อปองวัตถุที่หลนลงมาจากขอบ
นั่งราน และติดตัวตะแกรงดานขางทางเดินบนนั่งรานเพื่อปองกันวัตถุหลนลงไป จนเปน
อันตรายตอผูปฏิบัติงานขางลาง และไมควรกองวัสดุหรือเก็บกองสิ่งของไวบนนั่งราน
เพราะจะเปนการเพิ่มน้ําหนักใหแกนั่งราน และไมเปนการปลอดภัยหากวัสดุหรือสิ่งของ
นั้น ตกลงไปถูกผู ปฏิบัติง านที่อยู ในชั้น ล าง วั ส ดุและเครื่องมือซึ่งกองบนพื้ น นั่งรา น
ควรเก็บใหเรียบรอยเมื่อเสร็จงานในแตละวัน
226 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
7) อันตรายจากไฟฟาและไฟไหม
อันตรายจากไฟฟา ไฟฟาชอต จากเครื่องมือหรืออุปกรณไฟฟาที่นํามาใชในงาน
กอสรางแลวเกิดชํารุดเสียหายทําใหเกิดไฟรั่วจากเครื่องมือเหลานี้ อาจทําใหผูใชอุปกรณ
นั้นถูกไฟดูดตายได ฉะนั้นอุปกรณไฟฟาตางๆ เชน สวานไฟฟาเครื่องสูบน้ําชนิดจุมลงไป
ในน้ําที่นิยมใชกันอยูอยางแพรหลาย กบไฟฟา เครื่องเชื่อมไฟฟา เหลานี้เปนตน หาก
อุปกรณไฟฟาที่นํามาใชงานนั้นเกาหรือชํารุด สายไฟฟาอาจรั่วอยูภายในหรือภายนอก
เขาสูรางกายของคนงาน ผลก็คือพิการหรือไมก็ถึงตายได
ฉะนั้นอุปกรณไฟฟาทุกชนิดที่จะนํามาใชงาน ควรจะไดมีการตรวจสอบสภาพ
ซอมแซมแกไขโดยผูรูหรือชางผูชํานาญโดยเฉพาะ ในบางกรณีที่ไมสามารถซอมแซม
ใหอยูในสภาพที่ดีไดก็ควรจะเปลี่ยนใหม ไมควรใชวิธีซอมหรือแกไขแบบชั่วคราวหรือขอ
ไปทีเชน ไฟรั่วที่สวานไฟฟาก็เอาผาเทปพันรอบมือจับอยางนี้เปนตน เพราะเปนการแกที่
ปลายเหตุควรจะตองหาสาเหตุของไฟฟารั่วนั้นใหพบ แลวแกไขจนกระทั่งไมรั่วอีกจึงจะ
ย
นําไปใชงานไดการเลือกใชอุปกรณไฟฟาจึงควรเลือกแตอุปกรณเครื่องมือที่ไดมาตรฐาน
และผานการทดสอบรับรองความปลอดภัยในการใชงานจากสถาบันที่ไดรับความเชื่อถือ
น่า
8) อันตรายจากการกอสรางและการรื้อถอนที่ผิดวิธีและหลักวิชา
ําห
การกอสรางที่ผิดวิธีและหลักวิชานั้น สวนมากมักเปนการกอสรางที่มีลักษณะ
โครงสรางพิเศษ เชน โครงสรางที่ใชระบบคอนกรีตอัดแรง โครงสรางสะพานโคง หรือ
โครงสรางหลังคาเปลือกบาง เปนตน ซึ่งการกอสรางจําเปนจะตองใชความระมัดระวัง
มจ
เป น พิ เ ศษ และต อ งปรึ ก ษาวิ ศ วกรผู อ อกแบบอย า งใกล ชิ ด เนื่ อ งจากการดึ ง ลวด
คอนกรีตอัดแรงมักจะไมมีการปองกันอันตรายในกรณีที่ลวดเกิดขาดขึ้นมาและถาลวดที่
ห้า
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 227
การรื้อถอนอาคารก็นับวามีอันตรายไมนอยกวาการกอสราง อาจจะมากกวา
ดวยซ้ํา เพราะผูที่รื้อมักจะไมทราบลักษณะที่แทจริงของโครงสรางอาคารที่ตนกําลังรื้อ
ทําใหเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นทั้งผูเกี่ยวของและผูที่ไมเกี่ยวของกับการรื้อถอนอยูบอยครั้ง
เชน การรื้อสะพานโคงที่ทําดวยคอนกรีต ถาคนงานเริ่มรื้อดวยการทุบสวนโคงกอน เมื่อ
สวนโคงถูกทุบออกเพียงบางสวน โครงสรางทั้งหมดก็จะพังทลายลงมาทันทีเปนเหตุให
คนงานตอ งบาดเจ็ บและถึงแกชีวิตได ทั้งนี้เพราะคนงานไมเขาใจถึงพฤติ กรรมของ
โครงสรางของสะพานนั้นแมในโครงสรางอาคารทั่วไป หากรื้อถอนไมถูกวิธีก็จะมีผ ล
เชนเดียวกัน
ความปลอดภัยของปนจั่น
1) ปนจั่นชนิดหอสูง (TOWER CRANE) เปนปนจั่นประเภทหนึ่งที่ตั้งอยูกับที่
ใชในการยกและยายของที่มีน้ําหนักมากๆ ภายในหนวยงานกอสรางทั่วไป การทํางาน
ของปนจั่นจะผานสลิงซึ่งทําดวยลวดเหล็กเสนเล็กๆ ถักสานเปนโครง ตัวปนจั่นเองมี
ย
โครงสรา งเป น เหล็ ก ถั ก (Steel truss) เพื่ อให ส ามารถรั บ น้ํ าหนั ก (Load) ได ต ามที่
น่า
ออกแบบ ทั้งนี้ในการยกวัสดุอุปกรณหรือสิ่งของใดๆ ก็ตามจําเปนตองรูขอมูลเบื้องตน
ของวัสดุอุปกรณหรือสิ่งของนั้น เพื่อใหเกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน
ําห
2) รถปนจั่น (MOBILE CRANE) ป จ จุ บั น ใ น ง า น ก อ ส ร า ง โ ร ง ง า น
อุตสาหกรรมขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ หรืองานกอสรางอื่นๆ มีความจําเปนในการใช
มจ
ปนจั่นที่ผูรับผิดชอบและผูปฏิบัติงานควรจะมีความรูและความเขาใจที่ถูกตอง
พิกัดน้ําหนักกับฐานของปนจั่น (CONFIGURATION OF CRANE BASE)
ความสามารถในการยกของป น จั่ น แต ล ะชนิ ด ที่ แ สดงอยู ใ นโหลดชาร ท นั้ น
จะต อ งดู ว า ฐานของป น จั่ น นั้ น ตั้ ง อยู ใ นลั ก ษณะอย า งไร สามารถแบ ง ออกได เ ป น
3 ลักษณะ
228 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ย
น่า
ําห
มจ
ห้า
ขอกําหนดทั่วไปในการใชปนจั่นในงานกอสราง
แผนงานกอนการปฏิบัติงานและวิธีปฏิบัติงานจะตองไดรับการตรวจสอบวา
มีความปลอดภัยจากหัวหนางาน
จะตองติดปายเตือน อันตราย หามเขาเขตกอสรางกอนไดรับอนุญาต และ
ทําการลอมรั้ว หรือการขึงเชือกโดยมีขอความใหเห็นเดนชัด
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 229
ทําการตรวจสอบสภาพความแข็งแรงของถนน และจะตองไมมีสิ่งกีดขวาง
ในกรณีที่สภาพความแข็งแรงของพื้นถนนไมเพียงพอ จะตองทําการเสริมพื้นใหสามารถ
รับน้ําหนักและมีขนาดความกวางเพียงพอสําหรับรถปนจั่น
รถปนจั่นและกวาน จะตองทําการล็อคหรือใสเบรคไวใหมั่นคง ในกรณีที่
ไมไดใชงาน
รถปน จั่น จะตองไดรับการตรวจสอบสภาพตามระยะเวลาตามกฎหมาย
ความปลอดภัย โดยมีวิศวกรเครื่องกลที่ไดรับอนุญาตระดับสามัญวิศวกร
รถปนจั่นและกวาน จะตองไดรับการตรวจสภาพทั่วไปเปนประจําเดือน
งานยกของจะเริม่ งานไดจะตองไดรับการตรวจสอบ และยืนยันถึงสภาพของ
ความปลอดภัยอยางเพียงพอโดยหัวหนางาน หรือวิศวกรควบคุมงาน
รถปน จั่น จะตองอยูในตําแหนงแนวราบและมั่น คง จะตองมีแผ นเหล็กที่
แข็ ง แรงเพี ย งพอรองรั บ Outrigger ของรถเครน Outrigger จะต อ งอยู ใ นตํ า แหน ง
ปลอดภัยและ Knob pins จะตองอยูในตําแหนงนิรภัย
ย
น่า
ผู ค วบคุ ม รถป น จั่ น จะต อ งอยู ป ระจํ า ที่ เ ครื่ อ งกว า นตลอดระยะเวลาที่
ปฏิบัติงาน
ําห
มุมยกของ Boom จะตองอยูในชว ง 30º - 80º นอกจากกําหนดไวตาม
คุณลักษณะของแตละบริษัทผูผลิต และในกรณีที่ตองใช Jib จะตองใหสั้นที่สุด
มจ
เมื่อเครนไมมีการใชงาน
ขณะขับเคลื่อนปนจั่น Boom จะตองอยูในตําแหนงต่ําสุดและจะตองจัดหา
ผูชวยผูควบคุมรถปนจั่นเพิ่มอีก 1 คน
ระยะหางปลอดภัยจากสายสงไฟฟาแรงสูง จะตองไมนอยกวา 3.00 เมตร
ในกรณีมีความจําเปนตองทํางานบริเวณสายสงไฟฟาแรงสู ง จะตองไดรับ
อนุญาตจากวิศวกร โดยสมควรจะใชระบบใบอนุญาต และดูแลเรื่องความปลอดภัยโดย
วิศวกรไฟฟา และจะตองทําการปองกันสายสงแรงสูงหรือทําการปลดวงจรไฟฟา
ทําการตรวจสอบความแข็ งแรงของพื้น ที่ที่ป น จั่ น จะทํ าการยกหรือ จอด
ถามีความแข็งแรงไมเพียงพอจะตองทําการเสริมพื้นหรือการใชแผนเหล็กเสริม
230 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ผูควบคุมรถปนจั่นจะตองผานการฝกอบรม และไดรับอนุญาตจากวิศวกร
ควบคุมงานของบริษัทฯ
ในขณะยกของโดยรถปนจั่นจะตองมีผูควบคุมงานและผูใหสัญญาณที่ไดรับ
มอบหมายใหปฏิบัติหนาที่ โดยวิศวกรควบคุมงานที่ทราบขั้นตอนของการปฏิบัติงาน
และจะต อ งยื น อยู ใ นตํา แหนง ที่ ส ามารถเห็ น ความเคลื่ อนไหวของสิ่ งของที่ ย ก และ
ผูควบคุมปนจั่นไดอยางชัดเจน
พิกัดของปน จั่นที่จ ะใชยกของจะตองไดรับการพิจารณาวาปลอดภัยโดย
วิศวกรควบคุมงาน
ขนาดน้ําหนักและจุดศูนยถวงของการยก จะตองไดรับการพิจารณาอยาง
รอบคอบและตองไดรับการตรวจสอบวาถูกตอง โดยผูควบคุมงานหรือวิศวกร
สัญญาณเตือนเมื่อยกน้ําหนักเกิน (Overload Alarm) และสัญญาณเตือน
ของระยะการยกจะตองมีประจํารถปนจั่นและใชงานได
ย
กอนลงมือปฏิบัติงานทุกครั้ง จะตองมีการตรวจสอบสภาพของการใชงาน
น่า
เกี่ ย วกั บระบบเบรค Limit Switch สลิ ง เชื อ ก อุ ปกรณ ก ารยก และจะต องทดลอง
ควบคุมรถปนจั่นโดยไมมี Load
ําห
ขณะทําการยกของจะตองทดสอบการยก โดยใชปนจั่นยกของขึ้นและคางไว
ที่ร ะยะประมาณ 10 ซม.จากพื้น แล วตรวจสอบสภาพตางๆ ของปน จั่น และอุปกรณ
เพื่อใหแนใจวาปลอดภัย
มจ
หามปฏิบัติการยกของโดยใชปนจั่น ในกรณีที่สภาพอากาศไมเอื้ออํานวย
เชน ในขณะที่ฝนตก ลมแรง ในเวลากลางคืน และถาจําเปนตองปฏิบัติงานภายใตภาวะ
ดังกลาวจะตองไดรับอนุญาต จากผูจัดการควบคุมโครงการ โดยใชระบบใบอนุญาต
ในการทํางานและจะตองจัดหามาตรการความปลอดภั ยเพิ่มเติมเชน ระบบแสงสวาง
ฯลฯ
จะตองไมใชงานเกินพิกัดน้ํา หนักที่ระบุไว และจะตองควบคุมการยกของ
ไมเกิน 90% ของพิกัดการยก ซึ่งอานไดจากเข็มบอกพิกัดน้ําหนักที่ปลอดภั ยจะตอง
คํานึงถึงน้ําหนักของสลิง ตะขอภายใตภาวะน้ําหนักตางๆ
หัวหนางานหรือวิศวกร จะตองควบคุมการยกของ ควบคุมของ ใหเคลื่อนที่
อยางชาๆ ราบเรียบและสม่ําเสมอ การคางน้ําหนักเกินควรหรือการยกของเกินพิกัดเปน
การทํางานผิด
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 231
ห า มทํ า การยกของในลั ก ษณะเยื้ อ งศู น ย ห รื อ ไม อ ยู ใ นแนวดิ่ ง พร อ มกั บ
การเคลื่อนที่ของสิ่งที่ยก
การเคลื่อนตัวของ Boom จะตองกระทําอยางชาๆ (Slow Rotation) เพื่อ
ปองกัน แรงหนีศูนย ที่จะทําใหปนจั่นเสียการทรงตัว
หามคนงานติดไปกับสิ่งของที่จะยกโดยปนจั่น
สลิงของปนจั่นจะตองทําการมวนกลับเขาที่จนหมด เมื่อเลิกปฏิบัติงาน
มาตรฐานของงานยก
งานยกของทุกชนิดจะกระทําไดก็ตอเมื่อไดรับอนุญาตจากหัวหนางานหรือ
ผูควบคุมงานที่เกี่ยวของเทานั้น
น้ําหนักสิ่งของที่จะทําการยกจะตองทําการรวมน้ําหนักของที่เกี่ยวของเปน
น้ําหนักรวม (Total Weight)
ย
สลิงที่จะใชงานจะตองไดรับการตรวจสอบเปนประจําทุกเดือน
น่า
สลิงและเชือกที่เกี่ยวของกับงานยกจะตองมีคุณภาพดี ปราศจากสนิมหรือ
สภาพของเสนลวดฉีกขาด และผลิตจากวัสดุที่มีความแข็งแรงและไดมาตรฐาน
ําห
สลิงหรือเชือก จะตองทําการเปลี่ยนใหมทันที เมื่อพบสภาพวิกฤตจํานวน
ของเสนลวดเกินกวา 10% ของทั้งหมด เสนผาศูนยกลางของสลิงหรือเชือกลดลง 5%
มจ
232 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
การตรวจสอบและการซอมบํารุง
การดูแลระบบหลอลื่นของอุปกรณที่มีการหมุนเวีย น หรือขอตอบานพับ
ตางๆ เปนประจํากอนลงมือปฏิบัตงิ านทุกวัน
ตรวจสอบทั่วไป เพื่อหาจุดบกพรอง หรือเสีย หายของระบบควบคุมเปน
ประจํากอนลงมือปฏิบัติงานทุกวัน
ตรวจสอบความปลอดภัยของปนจั่น ใชวิธีการดูดวยสายตาและการตรวจ
สภาพทางเครื่องกล ซึ่งจะตองอาศัยคูมือของปนจั่นจากบริษัทผูผลิตตางๆ เชน ระบบ
ควบคุมการใชไฮโดรลิกสและขอบังคับระบบเบรค อุปกรณนิรภัย ตุมน้ําหนัก สลัก หูหิ้ว
ตะขอ ระบบกระจายเสียง การตรวจสอบรอยแตกราวของอุปกรณการยก แทนหมุน
ประจํารถเครน อุปกรณควบคุมระบบไฟฟาระบบสงกําลัง โครงสรางที่รับน้ําหนักของรถ
ปนจั่นอุปกรณครอบเพื่อความปลอดภัยตางๆ อุปกรณดับเพลิงประจํารถปนจั่น เปนตน
เมื่อพบขอบกพรองตางๆ ในระหวางการตรวจสอบประจํา ผูที่ทําหนาที่ใน
ย
การตรวจสอบจะตองจัดทํารายงานใหแกผูควบคุมงานหรือวิศวกรผูควบคุม และจะตอง
น่า
ไดรับการแกไขใหอยูในสภาพที่สมบูรณจึงจะไดรับอนุ ญาตใหนํารถปนจั่นไปใชงานได
โดยจะติดใบอนุญาตการตรวจสอบและลงนามโดยวิศวกรทุกครั้ง การตรวจสอบจะ
กระทําทุกๆ 3 เดือน
ําห
การบํารุงรักษาทั่วๆ ไป เชน การเปลี่ยนถายน้ํามันเครื่อง น้ํามันใชไฮโดร
ลิกส ไสกรองตางๆ ใหเปนไปตามคูมือปฏิบัติประจํารถปนจั่นของแตละบริษัท และ
มจ
จะตองมีบันทึกไวที่รถปนจั่นสามารถตรวจสอบไดตลอดเวลา
เมื่อพบขอบกพรองตางๆ ขณะใชงาน ผูบังคับรถปนจั่นจะตองทํารายงานถึง
ห้า
ผูควบคุมทุกครั้งเพื่อแกไข
อุปกรณความปลอดภัยของรถปนจั่น
เพื่อความปลอดภัยและเปนการปองกัน การสูญเสีย ที่จะเกิดขึ้น อุปกรณ
ความปลอดภัยเปนสิ่งจําเปนและจะตองจัดหาตามสภาพของงานและวิศวกรผูควบคุม
งานจะตองกําหนดขึ้นนอกเหนือจากอุปกรณความปลอดภัยที่มีอยูในระบบการยก
ระบบควบคุมรถปนจั่น และพิกัดน้ําหนักจะตองทําการควบคุมดวยระบบ
Power Up และ Power Down
หามปลอยใหน้ําหนักตกลงเองดวยแรงโนมถวงของโลก
Boom และระบบ Swing Gear จะตองมีอุปกรณนิรภัย DOG ที่ปองกัน
มิใหน้ําหนักของที่จะยกเคลื่อนตัว
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 233
ระบบสงกําลังและระบบขับเคลื่อนตางๆ จะตองมีครอบนิรภัย
หามทําการปรับแตงเครื่องยนตหรือซอมบํารุงขณะที่รถปนจั่นทํางาน
อุ ป กรณ ค วามปลอดภั ย ประจํ า รถป น จั่ น ที่ จ ะต อ งจั ด ให มี Load Chart
Radius Chart พิกัดน้ําหนัก และเครื่องแสดงผลเข็มบอกรัศมีระยะทํางานอุปกรณนิรภัย
เมื่อ Boom เลื่อนขึ้นตําแหนงสูงสุด (Boom Up) และเมื่อ Boom อยูในตําแหนงต่ําสุด
(Boom Down)
ขอควรปฏิบัติขณะยกของโดยรถปนจั่น
Side Load เปนลักษณะของการลาก Load ขณะอยูบนพื้น และทําการยก
ของขึ้นทันที ลักษณะนี้จะเปนอันตรายอยางมาก ซึ่งตองไดรับการควบคุมการทํางาน
อยางใกลชิดจากวิศวกรควบคุมการทํางาน
Load Movement การเคลื่อน Load อยางรวดเร็วขณะทําการยก จะเกิด
ย
แรงอยางมากที่ตะขอยก โดยเฉพาะขณะที่เคลื่อน Load แลวเบรคกะทันหัน ซึ่งแรงอาจ
มากพอที่จะทําใหรถปนจั่นเสียการทรงตัว
น่า
มุมของการยกเปลี่ยนไป (Change in Load Radius) มุมหรือรัศมีของ
ําห
การยกอาจเปลี่ยนไปขณะทําการยก ซึ่งอาจจะเกินพิกัดของการยก หรืออาจทําใหเสีย
การสมดุลของจุดศูนยถวง การเปลี่ยนแปลงของมุมการยกอาจเกิดเนื่องจากในขณะ
เริ่มตนการยก เนื่องจาก Boom คดงอ หรือเสียรูปไป ขอควรระวังอีกเรื่องคือ ระหวาง
มจ
จะทํ า ให เ กิ ด การเพิ่ ม ขึ้ น ของรั ศ มี ก ารยกซึ่ ง ทํ า ให Boom ได รั บ ความเสี ย หายได
อันเนื่องมาจาก Side Load ได และบางครั้งอาจทําใหปนจั่นเกิดพลิกคว่ําได
แรงลม มีผลตอพิกัดการยก เชน ทําให Load ถูกผลักออกจากระยะการยก
ซึ่งอาจจะเลยระยะของ Load Radius หรือบางครั้ง Load อาจถูกแรงลมทําใหวิ่งเขาหา
ตัวรถปนจั่นหรือ Boom ซึ่งจะมีผลโดยตรงกับตะขอ
ระยะเวลาของการใชง านรถปน จั่น รถปน จั่น ที่ใ ชงานหนัก เชน ทํางาน
ติดตอกัน หลายชั่ ว โมง ในทางปฏิบั ติจ ะกําหนดใหพิกัดการยกสูงสุ ดประมาณ 80%
เนื่ อ งจากระบบไฮโดรลิ ก การหล อ ลื่ น หรื อ การหล อ เย็ น อาจทํ า งานได ไ ม เ ต็ ม
ประสิทธิภาพ
ขอควรปฏิบัติในการทํางานของปนจั่นใกลระบบไฟฟา
234 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ติดตอขอหุมสายไฟฟาชั่วคราว หรือขอยายสายชั่วคาว โดยประสานกับเขต
พื้นที่ของการไฟฟาทีป่ ฏิบัติงาน
จัดทํ าแผงกั้น ที่มี ความแข็ง แรงไมใ หบุค คลหรื อสิ่ งของไปสั มผั ส เกี่ย วกั บ
สายไฟฟา
จัดทําปายเตือนสําหรับผูปฏิบัติงานและผูที่เกี่ยวของ
จัด ฝ กอบรมให ความรู แ กพ นั ก งานและผูที่ เ กี่ ย วข องก อนปฏิ บัติ ง านใกล
สายไฟฟา
ระยะหางที่ปลอดภัยสําหรับตัวปนจั่นหรือวัสดุที่ยกคือ
- กําลังไฟฟาแรงดันไมเกิน 50,000 โวลต ตองหางไมนอยกวา 3.00 เมตร
- กําลังไฟฟาแรงดันไมเกิน 69,000 โวลต ตองหางไมนอยกวา 3.20 เมตร
- กําลังไฟฟาแรงดัน ไมเกิน 115,000 โวลต ตองหางไมนอยกวา 3.65
เมตร
ย
- กําลังไฟฟาแรงดัน ไมเกิน 230,000 โวลต ตองหางไมนอยกวา 4.80
เมตร
น่า
ความปลอดภัยสําหรับโครงสรางชั่วคราว
ําห
อันตรายจากนั่งราน มักจะพบเสมอในหนวยงานกอสราง เพราะมีการใชงาน
ตลอดเวลา ตั้งแตเริ่มตนจนสิ้นสุดงานกอสราง กลาวคือเมื่อเริ่มกอสรางชั้นที่สองขึ้นไป
มจ
ตองทํานั่งราน และค้ํายันจนกระทั่งโครงสรางทั้งหมดเสร็จจึงเริ่มงานตกแตงภายในและ
ภายนอกการตกแต ง ภายนอกต อ งตั้ ง นั่ ง ร า นจากชั้ น ล า งสุ ด จนกระทั่ ง ถึ ง ชั้ น บนสุ ด
ห้า
ถาโครงสรางสูงมากอาจใชนั่งรานชนิดแขวนเขาชวย เพื่อใหการตั้งนั่งรานจากขางลางไม
ตองตอชั้นไปสูงมากนัก อันตรายที่มักเกิดขึ้นกับผูปฏิบัติงานในการใชนั่งราน ไดแก
1). การพังของนั่งรานเปนสาเหตุที่ทําใหคนไดรับอันตรายอยางมาก การพัง
ของนั่งรานมีสาเหตุมากมาย เชน
รับน้ําหนักการบรรทุกมากเกินไป เปนเพราะคนงานขึ้นไปมากเกินไป
หรือกองวัสดุไวมากเกินไป
วัสดุที่นํามาใชไมสมบูรณ เชน ใชไมเกาจนเนื้อไมยุย หรือเปนเหล็กที่
คดงอเปนสนิม
การประกอบหรือติดตั้งไมถูกตอง ถาเปนนั่งรานไมมีการยึดดวยตะปู
นอยหรือไมถูกวิธี หรือนั่งรานเหล็กใชสวนประกอบไมครบ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 235
ฐานของนั่งรานไมมั่นคงแข็งแรง วางบนดินออน บนเศษไมผุ หรือวัสดุ
ที่ไมแข็งแรงพอที่จะรับน้ําหนักวัสดุได
จากการทํางานไมถูกวิธี เชน การเทพืน้ คอนกรีต โดยใชปมคอนกรีตจะ
ไมไหลตามทอและจะสุมเปนกอง ถาคนงานไมขยับปลายทอ เพื่อเปลี่ยนที่กองคอนกรีต
ใหม หรือเกิดจากคนงานโกยคอนกรีตไมทันก็จะมีคอนกรีตกองใหญ ซึ่งคอนกรีตนี้จะมี
น้ําหนักมาก (1 ลูกบาศกเมตรหนักประมาณ 2,400 กิโลกรัม) ถาคิดรวมกับน้ําหนักของ
คนงานที่ขึ้นไปปฏิบัติงานแลว จะทําใหค้ํายันบริเวณนั้นรับน้ําหนักเกินกวาที่ออกแบบไว
เปนสาเหตุใหค้ํายันพังทลาย
2) คนงานตกลงมาจากนั่งรา น ไมใชมีส าเหตุจ ากนั่งรานพังเทานั้นที่ ทําให
คนงานตกลงมา แตยังมีสาเหตุอื่นๆ อีก ที่ทําใหคนงานตกลงมาจากนั่งราน เชน
คนงานประมาทเลิ น เล อ เดิ น สะดุ ด วั ส ดุ บ นนั่ ง ร า นแล ว พลั ด
ตกลงมา
ย
คนงานทํางานเพลิน ทําใหกาวผิดเพราะไมทันสังเกตมองพื้นทางเดิน
น่า
บนนั่งราน เชน ถอยหลังเพื่อใหทํางานถนัดโดยไมดูวาตอนนี้ยืนอยูริมนั่งรานแลว
อาจจะเปนโรคปจจุบันทันดวน เชน เปนลม หนามืด ก็อาจจะทําใหตก
ําห
ลงมาได
เกิ ด จากการพั ด ของลมอย า งแรง เช น ขณะทํ า งานเกิ ด มี ฝ นตก
กะทั น หั น และลมพั ด แรง พั ด เอาคนงานตกลงมา กรณี เ ช น นี้ มี ค นงานก อ อิ ฐ
มจ
โดนลมพัดทัง้ คนทั้งกําแพงอิฐที่ยังกอไมเสร็จตกลงมาเสียชีวิต
3) การพังทลายของนั่งรานตกลงมาโดนอาคารที่อยูรอบขาง หรือบานพัก
ห้า
คนงานที่สรางอยูติดอาคารที่กําลังกอสราง เหตุการณเชนนี้พบในเขตชุมชนที่ตองสราง
อาคารสูงในพื้นที่ที่จํากัด โดยหลีกเลี่ยงไมได
4) คนงานไดรับอันตรายจากการเดินผานนั่งราน ในการทํางานคนงานตอง
เดินผานนั่งรานที่ตั้งอยูรอบอาคาร เพื่อเขาไปทํางานแลวตองเดินผานค้ํายันของชั้นที่เท
คอนกรีตเสร็จใหมๆ หรือขึ้นไปตั้งนั่งรานชั้นตอไป ถาหากการตั้งนั่งรานไมเปนระเบียบ
ระเกะระกะ มีปลายของชิ้นสวนนั่งรานโผลยื่นออกมา คนงานอาจจะโดนทิ่ม หรือเดิน
ชนสวนอันตรายเหลานั้น ทําใหไดรับบาดเจ็บได
236 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ประเภทของนั่งราน
1) นั่งรานไมไผ หมายถึง พื้นปฏิบัติงานที่วางบนตง รองรับดวยคานไมไผ ซึ่ง
ยึดแนนกับเสาไมไผเรียงสอง โดยไมไผเรียงสอง โดยมีไมค้ํายันทั้งแนวนอนและแนวขวาง
นั่งรานไมไผ อาจผูกติดกับอาคาร หรือใชไมค้ํายันดานนอก
2) นั่งรานเสาเรียงเดี่ยว (Single Pole Scaffold) หมายถึง พื้นที่ปฏิบัติงาน
ซึ่งรองรับดวยตงปลายดานนอกของตงรองรับดวยคาน ซึ่งยึดติดกับเสาลูกตั้งแถวเดียว
สวนปลายดานในของคานขวางวางไวดานบนผนัง หรือในรูผนัง
3) นั่งรานแบบใชทอเหล็ก หรือนั่งรานสําเร็จรูป หมายถึง นั่งรานที่ใชเหล็ก
ทําเปนโครงสรางนั่งราน เปนนั่งรานสําเร็จรูปที่นํามาตอกันเปนชั้นๆ โดยมากนิยมใชใน
งานกอสรางขนาดใหญ เชน งานอาคารสูง
มาตรฐานนั่งรานทอเหล็ก
ย
ขนาดทอเหล็ก วัดเสนผานศูนยกลางนอก
ต่ําสุด = 4.80 เซนติเมตร
น่า สูงสุด = 5.00 เซนติเมตร
ําห
ความหนาของทอเหล็ก ไมนอยกวา 4 มิลลิเมตร
น้ําหนักของทอเหล็ก ไมนอยกวา 4.46 กิโลกรัมตอเมตร
มจ
นั่งรานจะตองรับน้ําหนักได 2 เทาของน้ําหนักการใชงาน
ห้า
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 237
จะตองมีรูปแบบและรายละเอียดคํา นวณการรับน้ําหนักของนั่งราน และรายละเอียด
ประกอบแบบนั่งราน เพื่อใหเจาพนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได
ย
เมตร (40 ปอนดตอตารางฟุต) โดยมีอัตราสวนความปลอดภัยมากกวาหรือเทากับ 4
น่า
หามกองหิน อิฐ หรือวัสดุหนักๆ บนนั่งราน
นั่งรานแบบแขวนทุกแบบจะตองมีกวานไมเปนแบบติดกับนั่งราน หรือ
ําห
ติดอยูเบื้องบน
กวานที่นํามาติดกับนั่งรานแบบแขวนจะตองไดรับการตรวจสอบอนุมัติ
มจ
จากกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
พื้นนั่งรานตองแขวนดวยลวดสลิง โดยยึดติดกับคานตอยื่นหรือคานยื่น
ห้า
ของตัวอาคาร
คานตอยื่นหรือคานยื่นดังกลาว จะตองเปนรูปตัว I ซึ่งยึดติดกับโครง
อาคารดวยสลักรูปตัว U ลอดผานรูแผนประกับและขันแนนดวยแหวนสปริงและสลัก
เกลียว
ถาไมสามารถใชเหล็กรูปตัว U ได ใหใชเหล็กประกับตอคาน (Beam
Clamp Connection) แทน
ถาใชเหล็กรางน้ํา (Channel) แทนเหล็กรูปตัว I จะตองใชรางคู โดย
วางขนานกัน หันปกรางออกดานนอก ยึดติดเขาดวยกัน ดวยการใชเศษทอเล็กๆ แทรก
ตรงกลางและสอดสลัดเกลียวผานรู แลวขันใหแนน
238 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
คานตอยื่นจะตองมีความแข็งแรงเทากับเหล็กรูปตัว I มาตรฐานขนาด
กวาง 17.80 เซนติเมตร หนัก 6.90 กิโลกรัมและจะตองมีความยาวอยางนอย 4.60
เมตร
พื้นของสวนยกพื้นตองมีราวกันตกปองกันสูง 90-110 เซนติเมตร และ
ขอบกันตก (Toe Board) อยูโดยรอบ
นั่งรานแบบแขวนจะตองถูกตรึงไวอยางมั่นคง เพื่อปองกันการเคลื่อน
ตัวในแนวราบ
5) นั่ง ร า นชนิ ด เคลื่ อนที่ ไ ด เป น นั่ ง ร านท อ เหล็ ก ที่ ป ระกอบเป น ชุ ด นั่ ง ร า น
สําหรับปฏิบัติงานเคลื่อนที่ไดส ะดวกและคลองตัว โดยมีลอรองรับชุดนั่งรานพรอม
อุปกรณหามลอติดอยูดวย
ขอกําหนดทั่วไปของนั่งรานชนิดเคลื่อนที่ได
โครงนั่งร านควรได รับการค้ํา ยึดทแยงและเสริม ความแข็ ง แรง เพื่ อ
ปองกันการกระดกเอียงหรือการบิดตัวในขณะใชงาน
ย
น่า
หอนั่งรานจะตองมียกพื้นเพียงชั้นเดียวเทานั้น
ทุกครั้งที่มีการเคลื่อนยายจะตองไมมีคนหรือสิ่งของใชงานใดๆ อยูเลย
ําห
และเคลื่อนยายโดยการดันหรือดึงที่สวนฐานหอเทานั้น
ขณะใชงานจะตองผูกตรึงหอนั่งรานไวกับโครงสรางของสิ่งกอสรางที่
มจ
มั่นคง
ความสูงของยกพื้นของหอไมควรเกิน 3 เทาของขนาดของฐานที่เล็ก
ห้า
ที่สุด
บันไดที่ใชปนขึ้นไปยังยกพื้น ควรจะตรึงไวกับนั่งรานอยางมั่นคงและ
ตองจัดวางอยูในตําแหนงที่จะไมกอใหเกิดผลเสียตอความมั่นคงของนั่งราน
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 239
ย
น่า
รูปที่ 14.29 ภาพแสดงหอนั่งรานชนิดเคลื่อนที่ได
ําห
หลักการในการออกแบบนั่งราน
เลือกชนิดของนั่งรานใหเหมาะสมกับอาคาร และความสะดวกในการ
มจ
คิด หน ว ยแรงที่ เกิ ด ขึ้น ในชั้ น ต า งๆ ของนั่ ง รา น โดยคิ ดน้ํ าหนั กของ
นั่งรานใหเปนไปตามกฎกระทรวงมหาดไทย เชน 150 กิโลกรัมตอตารางเมตร
การออกแบบฐานรองรับ สมมุติวากําลังรับแรงแบกทานของพื้นดินใน
กรุงเทพมหานคร ใช 2 ตันตอตารางเมตร ในกรณีฐานแผ ไมสามารถรับน้ําหนักนั่งราน
เสาตองออกแบบเปนตั้งบนเข็ม คาแรงเสียดทาน C = 600 กิโลเมตรตอตารางเมตร
สําหรับดินในกรุงเทพมหานคร
การสรางฐานนั่งราน
ฐานรองรับนั่งรานควรพิจารณาถึงความมั่นคงแข็งแรงของดินที่จะรองรับนั่งราน
วา แข็งแรงเพียงพอที่จะรองรับน้ําหนักบรรทุกที่ถายลงมาจากเสานั่งราน โดยมีสวน
ความปลอดภัยเพียงพอหรือไม ขนาดของฐานควรออกแบบใหสัมพันธกับความสามารถ
240 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ของดิน ที่จ ะรับน้ําหนัก เชน ดินเหนีย วที่มีความสามารถในการรับน้ําหนัก 2 ตัน ตอ
ตารางเมตร โดยมีสวนความปลอดภัยเทากับ 2 หากน้ําหนักจากเสานั่งรานรวมกันแลว
ได 1 ตัน ก็ควรจัดขนาดฐานใหมีพื้นที่รวม 1 ตารางเมตรเปนอยางนอย เพื่อใหไดสวน
ความปลอดภัยในการรับน้ําหนักเทากับ 2 เปนตน หากไมสามารถทําไดเนื่องจากเหตุผล
ใด เชน สถานที่ ไม อํา นวย หรื อสภาพดิ น อ อนก็ค วรตอกเสาเข็ มรองรับ ให มี จํ านวน
เพียงพอวัสดุที่ใชรองรับเปนฐานนั่งรานควรออกแบบใหแข็งแรง และไมแอนตัวเมื่อรับ
น้ําหนัก ในกรณีที่ใชฐานแผวางบนดิน ควรลอกหนาดินออกเสียกอน ความแข็งแรงของ
ฐานรองรับ ควรออกแบบใหมีความแข็งแรงเทาๆ กัน หากจุดใดจุดหนึ่งมีความแข็งแรง
ดอยกวา อาจทําใหเกิดการทรุดตัวไมเทากัน จนอาจเกิดการวิบัติได
อุปกรณยึดเชื่อมตอของนั่งรานเหล็ก
อุปกรณเชื่อมตอสําหรับสวนตอเชื่อมตางๆ ของนั่งรานที่ทําดวยทอโลหะนั้น
ควรจะทํามาจากโลหะที่ผานการขึ้นรูป หรือวัสดุเทียบเทากัน มีลักษณะที่สวนตอเชื่อม
ย
ตางๆ ของนั่งรานที่อุปกรณยึดเชื่อมตอรองรับอยูนั้นจะตองสวมลง หรือวางลงไปพอดี
น่า
เต็มบนพื้นที่ของผิวหนา ที่ทําหนาที่รองรับอุปกรณยึดเชื่อมไมควรบิดงอเมื่อรับแรงขณะ
ใชงาน และเมื่อลักษณะการยึดเชื่อมตอของอุปกรณเกิดขึ้นจากแรงเสียดทานในการ
ําห
หนีบจับ แลวไมควรนําไปใชในการถายทอดแรงดึงอุปกรณยึดเชื่อมตอที่มีการใชสลัก
เกลียว และเปน เกลีย วนั้น ไมควรนํามาใช เวน เสีย แตวาแปน เกลีย วแตละตัวนั้น จะ
สามารถขับหมุนเขาไปในเกลียวของสลักเกลียวไดอยางสมบูรณเทานั้น
มจ
การตรวจสอบนั่งราน
ห้า
ย
11. นั่งรานอยูในสภาพที่สมบูรณหรือไม ซึ่งถายังไมสมบูรณแลว ควรจะมีการ
จัดการปองกันคนผานไปมาและแสดงปายบอกเตือนไดหรือยัง
น่า
อุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคลและอุปกรณใชประกอบนั่งราน
ําห
เข็มขัดนิรภัยและสายชวยชีวิต (Safety Belt & Life Line) เปนอุปกรณ
ปองกันอันตรายที่จําเปนสําหรับผูที่ทํางานบนนั่งราน และผูที่มีความเสี่ยงตอการที่จะตก
มจ
o การปองกันและควบคุมอันตรายจากสิ่งแวดลอมการทํางาน
การทํ า งานในสิ่ ง แวดล อ มที่ ไ ม เ หมาะสม เช น ความร อ น เสี ย งดั ง
การสั่นสะเทือน และรังสีเปนปจจัยที่มีสวนเกี่ยวของที่กอใหเกิดผลตอสุขภาพ ดังนั้น
จึงควรมีมาตรการปองกันและควบคุมที่เหมาะสม
242 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
การปองกันและควบคุมอันตรายจากเสียงดัง
เสียงดัง หมายถึง เสียงที่ไมพึงปรารถนาหรือเสียงที่กอใหเกิดการรบกวน
เสียงดังที่เกิดจากสิ่งแวดลอมในการทํางาน แบงไดเปน 4 ประเภท คือ
เสียงที่ดังสม่ําเสมอ เปนเสียงที่คอนขางคงที่ ไดแก เสียงเครื่องทอผา
เสียงเครื่องจักร เสียงพัดลม เสียงเครื่องยนต เปนตน
เสียงที่เปลี่ยนแปลงระดับเสมอ เปนเสียงที่มีความดังสูงๆ ต่ําๆ
ไดแก เสียงเลื่อยวงเดือน กบไสไมไฟฟา เสียงไซเรน เปนตน
เสียงที่ดังเปนระยะ เปนเสียงที่ดังไมตอเนื่อง รูปแบบที่เกิดไมแนชัด
ไดแก เสียงจากเครื่องอัดลม เสียงการจราจร เสียงเครื่องบินที่บินผานไปมา เปนตน
เสียงกระทบ เปนเสียงดังที่เกิดขึ้นแลวคอยๆ หายไป เสียงนี้อาจเกิด
ติดๆกัน หรืออาจเกิดขึ้นนานๆ ครั้งก็ได ไดแก เสียงตอกเสาเข็มในการกอสราง เสียงจาก
การตี หรือทุบโลหะ เสียงเครื่องย้ําหมุด เสียงระเบิด เปนตน
ย
อันตรายจากเสียงดัง เสียงดังมีผลตอสุขภาพ ดังนี้
น่า
ทําใหสูญเสียการไดยิน ไดแก
- สูญเสียการไดยินแบบชั่วคราว
ําห
- สูญเสียการไดยินแบบถาวร
ผลตอสุขภาพ เชน ทําใหคลื่นไส หัวใจเตนเร็วและแรงความดัน
มจ
โลหิตสูง ทางเดินอาหารเคลื่อนไหวไดนอยลง
ผลตอความปลอดภัย ไดแก
ห้า
- เกิดการรบกวนการพูดสนทนาการสื่อสารตางๆ ทําใหไดรับ
ข อ มู ล ที่ ไ ม ชั ด เจนหรื อ ไม ถู ก ต อ งเป น ผลให ก ารทํ า งาน
ผิดพลาด
- กลบเสียงสัญญาณตางๆ เชน สัญญาณเตือนภัย อาจทําให
ผูปฏิบัติงานไดรับอันตรายได
หลักการปองกันและควบคุมอันตรายจากเสียง
การปอ งกัน และควบคุม อั น ตรายจากเสี ย งนั้ น โดยทั่ว ไป จะมุ ง ดํา เนิน การ
ปองกันและควบคุม ที่แหลง หรือตนตอของเสียง และทางที่เสียงผานไปยังพนักงาน
และสุดทายคือที่ตัวพนักงานเอง
1) การควบคุมที่แหลงกําเนิดเสียงหรือตนตอของเสียง อาจทําไดโดย
การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและบํารุงรักษาเครื่องจักร เครื่องมือ ที่เปนตนกําเนิดเสียง
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 243
เพื่อใหมีความดังนอยที่สุด เชน จัดหาวัสดุรองเครื่องจักรใหมีสภาพดีอยูเสมอ ขันน็อต
หรือสกรูสวนที่หลวมใหแนนหรืออาจทํากลองครอบแหลงเสียง
2) การควบคุมทางผานของเสียง อาจทําไดโดยใชวัสดุกั้นระหวางแหลง
เสียงกับตัวพนักงาน หรือจัดใหพนักงานอยูหางแหลงเสียงใหมากที่สุด หรือใชวัสดุดูดซับ
เสีย ง บุผ นัง ปองกัน การสะทอนของเสีย ง หรือ ใหมีหองพิเ ศษกั้น แยกเฉพาะสําหรั บ
คนงานทํางาน
3) ควบคุมและปองกันที่ตัวผูปฏิบัติงาน อาจทําไดโดยการใชปลั๊กอุดหู
หรือที่ครอบหู แตมาตรการนี้ควรจะใชเปนมาตรการสุดทาย เวนเสียแตวาไมสามารถ
แกไข หรือควบคุมโดยวิธีการอื่น ใด อยางไรก็ตามหากจําเปนตองให ผูปฏิบัติงานใช
อุปกรณดังกลาว จะตองใหการอบรมแกผูปฏิบัติงานกอนเสมอ นอกจากนี้ ควรจัดใหมี
การทดสอบสมรรถภาพการได ยิน ของหู ในผู ปฏิ บัติ งานที่เ กี่ย วข องกับเสีย งดั งอยา ง
เหมาะสม นับตั้งแตการทดสอบตั้งแตเริ่มเขาทํางาน และทดสอบเปนระยะๆ เพื่อทราบ
ย
ภาวการณเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการไดยิน ที่เกิดขึ้นในผูปฏิบัติงาน
น่า
หลักการปองกันและควบคุมอันตรายจากความรอน
ความรอน เปนพลังงานรูปหนึ่งที่สามารถทําใหมนุษยรับรูไดโดยประสาทสัมผัส
ําห
ความร อ นที่ เ กิ ด ขึ้ น ในสิ่ ง แวดล อ มการทํ า งานในสถานประกอบกิ จ การ แบ ง เป น
2 ประเภท คือ
- ความรอนแหง เปนความรอนที่สัมผัสไดโดยความรอนเล็ดลอดจาก
มจ
244 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
การออนเพลีย จากความรอน เกิดเนื่องจากระบบหมุนเวียนของ
เลือดไมพอ เลือดไปเลี้ยงสมองไดไมเต็มที่ ผูปฏิบัติงานจะมีอาการ รูสึกออนเพลีย ปวด
ศีรษะ เปนลม หนามืด ชีพจรเตนออนลง คลื่นไส อาเจียน ตัวซีด
การเปนลม เกิดจากรางกายไดรับความรอนสูงทําใหอุณหภูมิใน
รางกายสูงมาก และระบบควบคุมของรางกายที่ส มองไมส ามารถทํางานไดเปนปกติ
ผูปฏิบัติงานจะมีอาการ คลื่นไส ตาพรา หมดสติ อุณหภูมิในรางกายสูงขึ้น มีอาการชัก
กระตุกและชีพจรเตนเบา
ผดผื่นคัน ตามบริเวณผิวหนัง เกิดจากความผิดปกติของระบบตอม
ขับเหงื่อทําใหมีผื่นขึ้น ผูปฏิบัติงานจะมีอาการคัน ทอซับเหงื่อมีการอุดตัน
ขาดน้ํา ผูปฏิบัติงานจะมีอาการกระหายน้ํา ผิวหนังแหง น้ําหนัก
ลด อุณหภูมิของรางกายจะสูงขึ้น ทําใหชีพจรเตนเร็ว รูสึกไมสบาย
เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
ย
เกิดการเจ็บปวยมากขึ้นเมื่อมีสิ่งแวดลอมอื่นในการทํางานรวม
น่า
ดวย เชน ทํางานในที่มีอุณหภูมิสูงและไดรับกาซคารบอนมอนอกไซด พบวาจะมีอาการ
ปวดศีรษะรุนแรงและไมสามารถทํางานไดนาน
ําห
มีผลกระทบตอจิตใจของผูปฏิบัติงาน อาการเหลานี้ประกอบดวย
ความวิตกกังวลไมสามารถที่จะตั้งใจอยางแนวแน ขาดสมาธิในการทํางาน ประสิทธิภาพ
ในการทํางานลดลง
มจ
การปองกันและควบคุมอันตรายจากความรอน มีดังนี้
ห้า
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 245
การปองกันที่ตัวผูปฏิบัติงาน ไดแก
- คัดเลือกคนที่เหมาะสม ปรับตัวเขากับความรอนไดดี
- จั ด ให มี ก ารดู แ ลทางการแพทย ตรวจสุ ข ภาพก อ นเข า
ทํางานและตรวจรางกายเปนระยะๆ
- การกํ าหนดมาตรฐานความปลอดภั ย ในการปฏิบั ติง าน
เชน มาตรฐานการปฏิบัติงานในที่รอน จํากัดระยะเวลา
ทํา งานและเวลาหยุ ด พั ก ไม ค วรใหผู ป ฏิ บั ติ งานทํ า งาน
ติ ด ต อ กั น โดยไม มี ก ารหยุ ด พั ก กํ า หนดระยะเวลา
การทํางานที่เหมาะสมกับความรอนที่ไดรับ
- การใชอุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล เชน เสื้อ
ถุงมือ หมวกแวนตา ชุดเสื้อคลุมปองกันความรอน
- สวัสดิการอื่นๆ ที่จําเปน เชน หองอาบน้ํา น้ําดื่มผสมเกลือ
ย
ที่เย็น น่า
การปองกันและควบคุมอันตรายจากการสั่นสะเทือน
การทํ างานที่ ผูป ฏิ บั ติง านต องสั ม ผั ส กั บ การสั่ น สะเทื อ นที่ อ าจเกิ ด จาก
ําห
เครื่องจักรกล เครื่องมือและอุปกรณ ตางๆ เชน ขับรถแทรกเตอร รถงา รถบรรทุ ก
ใชเครื่องเจาะถนน เลื่อยไฟฟา เครื่องย้ําหมุด เครื่องเจาะ เครื่องตัด เปนตน
มจ
ย
- ใชวัสดุที่เหมาะสมหรือเทคนิคในการออกแบบเหมาะสม
น่า
- ปองกันไมใหผูปฏิบัติงานไดรับการสั่นสะเทือนที่สงผานมา
ทางพื้นที่ยืนทํางาน
ําห
- ใชวัสดุปองกันการสั่นสะเทือนรองไวใตเครื่องจักร
- ใชวัสดุปองกันและดูดซับการสั่นสะเทือนหุมดามเครื่องมือ
มจ
การปองกันที่ตัวบุคคล เชน
- ใชถุงมือสองชั้น
- ใชรองเทาชนิดพิเศษ
- ที่นั่งควรมีการบุดวยวัสดุที่ปองกันการสั่นสะเทือน
- ตรวจตราการทํางานของผูปฏิบัติงานที่ใชเครื่องมืออยาง
ใกลชิด
จํากัดเวลาทํางาน โดยยึดหลักเชน
- พัก 20 นาที ทุกๆ ระยะเวลาทํางาน 2 ชั่วโมง
- ไมทํางานที่ใชเครื่องสั่นสะเทือนเกินกวา 2-4 ชั่วโมงตอวัน
การควบคุมทางการแพทย โดยการตรวจสุขภาพกอนเขาทํางาน
และตรวจเปนระยะๆ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 247
การปองกันและควบคุมอันตรายจากรังสี
รั ง สี เป น พลั ง งานในรู ป ของคลื่ น แม เ หล็ ก ไฟฟ า หรื อ อนุ ภ าคที่ มี
พลังงานสะสมอยู รังสีแบงเปน 2 ประเภท ตามคุณสมบัติทางกายภาพ คือ
1. รังสีที่ไมกอไอออน (Non Ionizing Radiation) เปนพลังงานในรูป
ของคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีพลังงานและความถี่ต่ํา ไมทําใหอากาศหรือตัวกลางที่รังสีผาน
ไปแตกตัวเปนไอออน ไดแก รังสีอัลตราไวโอเลต แสงสวาง หรือ แสงในชวงคลื่นที่ตา
มองเห็นได เลเซอร รังสีอินฟราเรด ไมโครเวฟ คลื่นวิทยุโทรทัศน
2. รังสีที่กอไอออน (Ionizing Radiation) เปนพลังงานในรูปของคลื่น
แมเหล็กไฟฟาที่สามารถกอใหเกิดการแตกตัวใหไอออนไดทั้งทางตรงหรือทางออมใน
ตัวกลางที่รังสีผานไป รังสีที่แตกตัวเปนไอออน ไดแก รังสีแอลฟา รังสีบีตา รังสีแกมมา
รังสีเอกซ อนุภาคนิวตรอน อิเล็กตรอน หรือโปรตอนที่มีความเร็วสูง
อันตรายจากรังสีที่ไมกอไอออน
ย
อันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลต หรือแสงเหนือมวง กลุม
น่า
ผูปฏิบัติงานที่เสี่ยงอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลต ไดแก การปฏิบัติงานเชื่อมโลหะ
กระบวนการผลิ ตที่ ใ ช รั ง สีอั ล ตราไวโอเลตฆ า เชื้ อโรค เกษตรกรที่ทํ า งานกลางแจ ง
ําห
คนงานก อ สร า งที่ ทํ า งานกลางแจ ง และชาวประมง อั น ตรายที่ เ กิ ด จากรั ง สี
อัลตราไวโอเลต ไดแก
- นัยนตาบวมอักเสบ อาการที่ปรากฏคือ นัยนตาจะแดง เยื่อบุใน
มจ
ชั้นตาดําอาจถูกทําลายทําใหเกิดการขุนมัวและมองเห็นไมชัด
ถาผูปฏิบัติงานไดสัมผัสตั้งแต 30 นาที ขึ้นไป จะมีความรูสึก
ห้า
248 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
การทํางานในแสงแดด ที่จา ผูปฏิบัติงานมักไดรับแสงใตแดงพรอมๆ กันกับแสงเหนือ
มวงและแสงสวางที่สามารถมองเห็นได
อันตรายที่เห็นไดชัดคือ อันตรายเกี่ยวกับผิวหนัง ผูปฏิบัติงานที่ทํางานในสภาพ
ที่มีจุดกําเนิดที่รอนจัดของแสงใตแดง ทําใหเกิดผิวหนังไหมอยางเฉียบพลัน เกิดการ
ขยายตั ว ของเส น เลื อ ดฝอยที่ อ ยู บ นผิ ว หนั ง และอาจทํ า ให เ ส น เลื อ ดฝอยนั้ น แตก
สีของผิวหนังอาจมีการเปลี่ยนแปลงไป ในกรณีที่มีการสัมผัสอยางตอเนื่องจะเกิดอาการ
คันและอักเสบเห็นไดชัด
อันตรายจากแสงสวางหรือแสงในชวงคลื่นที่ตามองเห็นได
แสงสวางหรือแสงในชวงคลื่นที่ตาสามารถมองเห็นได เปนสวนของคลื่นแมเหล็กไฟฟา
แสงที่เราเห็นเกิดจากอิเล็กตรอนในอะตอม หรือโมเลกุลเปลี่ยนสถานะของพลังงาน และ
สีตางๆ ที่เรามองเห็นนั้นเกิดจากคลื่น แมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่ตางกัน แสงสวางนี้มี
ความสําคัญมาก เพราะอาจทําใหเกิดผลกระทบตอทั้งคุณภาพและความแมนยําของงาน
ย
ได สภาพเสียงสวางที่ดีนั้นปกติแลวจะสงผลใหมีการเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ โดยมีของ
เสียนอยและเพิ่มผลผลิต ดังนั้น แสงสวางควรจะมีแสงสวางเพียงพอเพื่อชวยใหมองเห็น
งาย และไมกอใหเกิด "แสงจา"
น่า
อัน ตรายของแสงสวา งนั้น มีผ ลกระทบตอคนทํางาน ในกรณีแสงสวา งนอ ย
ําห
เกินไป จะมีผลเสียตอนัยนตาทําใหกลามเนื้อตาทํางานมากเกินไป เพราะตองบังคับให
รู ม า นตาเป ด กว า งขึ้ น เนื่ อ งจากการมองเห็ น นั้ น ไม ชั ด เจน ต อ งใช เ วลาในการมอง
มจ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 249
อัน ตรายจากแสงในชวงคลื่น ของวิทยุโทรทัศ น แสงในชว ง
คลื่นของวิทยุโทรทัศนรวมถึงคลื่นเรดารและไมโครเวฟดวย คนงานที่ทําอาชีพเกี่ยวกับ
คลื่ น ประเภทนี้ ได แ ก ช า งโทรเลข โทรพิ ม พ ผู ค วบคุ มเครื่ อ งส ง วิ ท ยุ และเทเลกซ
(Telex) ผูปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับไมโครเวฟ และเรดารทํางานเกี่ยวกับการสื่อสารบริเวณ
ทาอากาศยาน ทํางานเกี่ยวกับเตาอบขนาดใหญที่ใชไมโครเวฟ
ผลกระทบของรังสีในชวงคลื่นวิทยุที่มีตอระบบชีวภาพของมนุษย เมื่อทดลอง
ในสัตว พบวาการดูดกลืน ของรังสีในชว งคลื่น วิทยุส ามารถทําใหเกิดความรอนสูงใน
เนื้อเยื่อ ดังนั้น อวัยวะของรางกายที่ไมมีการบังคับการไหลเวียนของความรอนที่ดีก็จะ
เกิดอันตราย ไดมาก เชน ปอด อัณฑะ ถุงน้ําดี ทางเดินปสสาวะ และบางสวนของระบบ
ทางเดินอาหาร
การปองกันและควบคุมอันตรายจากรังสีที่ไมกอไอออน
ควรสํ า รวจสภาพการทํ า งานว า มี รั ง สี ป ระเภทนี้ ห รื อ ไม ถ า มี เ ป น
ย
ประเภทอะไรมีปริมาณเทาไร แลวจึงดําเนินการปองกันและควบคุม ดังนี้
น่า
การควบคุ ม ที่ จุ ด กํ า เนิ ด โดยพิ จ ารณาถึ ง ปริ ม าณของรั ง สี ที่
แพรกระจายออกมา ถามีการรั่วไหลถึงขีดอันตรายก็ตองจัดใหมีการควบคุมจุดกําเนิดนั้น
ําห
ปดกั้นหรืออาจจะสรางเปนหองพิเศษ และแยกกระบวนการนั้นออกไปใหหางจากกลุม
คนงาน หรือผูที่เกี่ยวของ
มจ
250 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
การเฝาควบคุมสิ่งแวดลอมในสถานประกอบการที่มีการใชรังสี
หรือคลื่นวิทยุ ควรจะมีการตรวจสภาพสิ่งแวดลอม ตรวจสอบบริเวณที่เสี่ยงตออันตราย
มากที่สุด และเฝาคุมเปนประจํา รวมถึงกําหนดชั่วโมงการทํางานที่เหมาะสม
การใหความรูดานความปลอดภัยในการทํางานเปนสิ่งที่สําคัญที่
ตองทําอยางตอเนื่อง
อันตรายจากรังสีที่กอไอออน
เกิดความผิดปกติของเซลลและอันตรายตอระบบอวัยวะตางๆ
ผลที่เกิดขึ้นจะเกิด 2 ลักษณะ คือ การเกิดผลแบบเฉียบพลัน คือ จะเกิดขึ้นอยางรวดเร็ว
ภายหลังไดรับรังสีซึ่งขึ้นกับปริมาณรังสีและอวัยวะที่ไดรับและการเกิดผลกระทบแบบที่
อาศัยระยะเวลาหนึ่งกอนปรากฏอาการซึ่งอาจใชเวลานานหลายป
เกิด ความผิด ปกติทางพัน ธุกรรม และรัง สียัง กอ ใหเ กิดความ
ย
ผิดปกติตอทารกในครรภถามารดาไดรับปริมาณรังสีสูงในขณะตั้งครรภ
ผลกระทบในการเกิดมะเร็ง ซึ่งจากการศึกษาวิจัยการเกิดมะเร็ง
น่า
ซึ่งเปนผลมาจากรังสีนั้น มักเกิดขึ้น 2 ลักษณะ คือ การเกิดมะเร็งของเม็ดเลือดขาว และ
เกิดมะเร็งของผิวหนังหรือเนื้องอกเปนไตแข็งที่เนื้อเยื่อตางๆ
ําห
การปองกันและควบคุมอันตรายจากรังสีที่กอไอออน
มจ
เนื่องจากอันตรายที่จะเกิดจากรังสีนั้นขึ้นกับเวลาที่ไดรับรังสี ปริมาณ
รังสี และระยะทางระหวางแหลงกําเนิดกับผูปฏิบัติงาน ดังนั้น สถานประกอบกิจการที่มี
การใชรังสีจึงควรดําเนินการบริหารจัดการเพื่อใหเกิดความปลอดภัยตอผูปฏิบัติงาน
ห้า
ไดแก
การกําหนดพื้นที่ควบคุมบริเวณที่มีอันตรายจาการใชรังสี
มีการติดเครื่องหมาย สัญลักษณ ปายเตือนอันตราย
กําหนดวิธีการทํางานและเวลาการทํางานรวมถึงจัดใหมีเครื่อง
บันทึกปริมาณรังสีสะสมเพื่อปองกันมิใหผูปฏิบัติงานไดรับปริมาณรังสีสะสมเกินเกณฑ
มาตรฐาน
หามหญิงมีครรภเขาไปในพื้นที่ควบคุม
มีแผนปองกันและระงับอันตรายจากรังสีในภาวะปกติและเมื่อ
เกิดเหตุฉุกเฉินและจัดใหมีการฝกซอมแผน
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 251
จัดอุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคลตามสภาพและ
ลักษณะงาน
จัดใหผูปฏิบัติงานไดรับการอบรมถึงอันตรายและวิธีการปองกัน
อันตรายจากรังสี
จัดใหมีกฎระเบียบ วาดวยความปลอดภัยในการทํางานเกี่ยวกับ
รังสี
ทั้งนี้ สถานประกอบกิจการที่มีการใชรังสีชนิดกอไอออนจะศึกษาเพิ่มเติมได
จากกฎหมายและมาตรฐานของหนวยงานที่เกี่ยวของ ไดแก พระราชบัญญัติพลังงาน
ปรมาณู เ พื่ อ สั น ติ พ.ศ. 2504 กฎกระทรวงกํ า หนดมาตรฐานในการบริ ห ารและ
การจัดการดานความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดลอมในการทํางานเกี่ยวกับ
รังสีชนิดกอไอออน พ.ศ. 2547 ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 27 (พ.ศ. 2535)
ย
มาตรฐานความปลอดภัยที่กําหนดโดย OSHA (Occupational Safety and Health
Association) มาตรฐานความปลอดภัยที่กําหนดโดย NIOSH (National Institute of
น่า
Occupational Safety and Health) และหนวยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวของ
ําห
o การปองกันและควบคุมอันตรายจากสารเคมี
สถานประกอบกิจการมีโอกาสที่จะสัมผัสกับสารเคมีในสิ่งแวดลอมการทํางาน
มจ
อันตรายจากสารเคมี
อันตรายจากสารเคมี
สารเคมีชนิดตางๆ ที่มีอยูในสถานประกอบกิจ การมีทั้งเปนวัตถุดิบ ผลผลิต
หรื อ เป น ของเสี ย ที่ ต อ งกํ า จั ด ออก สามารถก อ ให เ กิ ด ป ญ หาสุ ข ภาพอนามั ย ต อ
ผูปฏิบัติงานหรือผูที่เกี่ยวของในสถานประกอบกิจการได สารเคมีอาจจะอยูในรูปของ
กาซ ไอ ฝุนฟูม ควัน ละออง หรืออยูในรูปของเหลว เชน สารตัวทําละลาย (Solvents)
ตางๆ เปนตน
1) ทางเขาสูรางกายของสารเคมี
ทางการหายใจ การทํางานในสถานประกอบการทั่วๆ ไป ผูปฏิบัติงาน
สวนใหญจะไดรับสารเคมีเขาสูรางกายมากที่สุดโดยวิธีการหายใจ เมื่อสารเคมีผานเขาสู
ระบบทางเดินหายใจ สารเคมีเหลานั้นบางชนิดจะถูกละลายกลายเปนของเหลวแลวถูก
252 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
ดูดซึมเขาสูกระแสโลหิต แตส ารเคมีบางชนิดจะไมถูกละลายและไมถูกดูดซึม แตจ ะ
ตกคางอยูในปอด ซึ่งจะทําใหเกิดการระคายเคืองตอปอด เชน ฝุนทราย เปนตน
ทางการกิน โอกาสไดรับสารเคมีเขารางกายโดยวิธีการนั้นนอยมาก
นอกจากเป น อุ บั ติ เ หตุ การตั้ ง ใจฆ า ตั ว ตาย หรื อ การมี สุ ข วิ ท ยาส ว นบุ ค คลไม ดี คื อ
ปฏิบัติตน ผิดหลักความปลอดภัยในการทํางานเกี่ยวกับสารเคมี เชน กินอาหารหรือสูบ
บุหรี่ ขณะปฏิบัติงาน หรือไมลา งมือกอนรับประทานอาหาร เปนตน
ทางผิวหนัง การเขาสูรางกายของสารเคมีโดยวิธีการดูดซึมทางผิวหนัง
นับวาสําคัญรองลงมาจากการหายใจ ปกติผิวหนังจะมีชั้นไขมันทําหนาที่ปองกันการดูด
ซึมของสารเคมีเขาสูรางกาย แตมีสารเคมีบางชนิดสามารถที่จะทําลายชั้นไขมันเหลานั้น
ได เชน สารพวกตัวทําละลายทั้งหมด ตะกั่วอินทรีย ไซยาไนด สารฆาแมลง เปนตน
2) ความเปนพิษของสารเคมี อาจจําแนกสารเคมีเปนกลุมๆ ตามความเปน
พิษ ไดดังนี้
ย
สารที่ทําใหเกิดการระคายเคือง คัน แสบ รอน พุพอง เชน กรดตางๆ
น่า
กาซคลอรีน แอมโมเนีย ซัลเฟอรไดออกไซด
สารที่ทําใหหมดสติได เชน คารบอนไดออกไซด คารบอนมอนอกไซด
ไนโตรเจนไซยาไนด เนื่องจากสารเคมีนี้ไปแทนที่ออกซิเจนทําใหผูปฏิบัติงานขาดอากาศ
ําห
หายใจ
สารที่ทําอันตรายตอระบบประสาทและจัดเปนสารเสพติด เชน สาร
มจ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 253
สารกอมะเร็ง ทําใหส รางเซลลใหมขึ้ น มาเรื่อยๆ จนมากเกิน ความ
จําเปน ทําใหเกิดเนื้องอกชนิดไมรายแรงหรือรายแรง ตัวอยางสารที่ทําใหเกิดมะเร็ งได
เชน สารกัมมันตรังสี สารหนู แอสเบสตอส นิเกิล ไวนิลคลอไรด เบนซิน เปนตน
สารเคมีที่ทําใหทารกเกิดความพิการ คลอดออกมาแลวมีอวัยวะไม
ครบ เชน ปากแหวงเพดานโหว แขนดวน ขาดวน ตัวอยางของสารเคมีในกลุมนี้ ไดแก
ยาธาลิโดไมด สารตัวทําละลายบางชนิด ยาปราบศัตรูพืชบางชนิด
การปองกันและควบคุมอันตรายจากสารเคมี
ปองกันและควบคุมที่แหลงกําเนิดของสารเคมี ดังนี้
- ใชสารเคมีที่มีพิษนอยกวาแทน
- เปลี่ยนกระบวนการผลิตใหม เชน ใชระบบเปยกแทนระบบแหง
เพื่อมิใหเกิดฝุนฟุงกระจาย
- แยกกระบวนการผลิตที่มีอันตรายออกหางจากผูปฏิบัติงาน
ย
- สรางที่ปกปดกระบวนการผลิตใหมิดชิด เพื่อมิใหสารเคมีฟุงหรือ
ระเหยออกไป
น่า
ําห
ปองกันและควบคุมที่ทางผานของสารเคมี ดังนี้
- การดูแลรักษาสถานที่ทํางานใหสะอาดเรียบรอย
มจ
- การติดตั้งระบบระบายอากาศทั่วไป
- เพิ่มระยะหางระหวางผูปฏิบัติงานกับแหลงสารเคมี
- การตรวจวัดปริมาณสารเคมี และควบคุมไมใหเกิน คามาตรฐาน
ห้า
ปองกันและควบคุมที่ผูปฏิบัติงาน ดังนี้
- การใหการศึกษาและฝกอบรมใหผูปฏิบัติงานทราบถึงอันตรายและ
การปองกัน
- การลดชั่ว โมงการทํางานที่ผูปฏิบัติงานตองสัมผัส สารเคมีที่เปน
อันตรายใหนอยลง
- จัดใหมีการหมุนเวียนหรือสับเปลี่ยนหนาที่การปฏิบัติงาน
- จัดใหผูปฏิบัติงานทํางานอยูในหองควบคุมเปนพิเศษ
254 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
- จั ด ให มี ก ารตรวจสุ ข ภาพร า งกายก อ นรั บ เข า ทํ า งานและตรวจ
สุขภาพเปนระยะๆ
- จั ด อุ ป กรณ คุ ม ครองความปลอดภั ย ส ว นบุ ค คลให พ นั ก งาน
สวมใส
o การปองกันและควบคุมอันตรายจากการเคลื่อนยายและจัดเก็บวัสดุ
การเคลื่อนยายวัสดุที่ไมถูกวิธีและการจัดเก็บที่ไมเปนระเบียบอาจทําให
ห้า
ปญหาจากการเคลื่อนยายวัสดุ
การเคลื่ อ นย า ยและจั ด เก็ บ วั ส ดุ ที่ ไ ม ถู ก วิ ธี อาจทํ า ให ผู ป ฏิ บั ติ ง านเกิ ด การ
บาดเจ็บ ไดแก การปวดหลัง เคล็ด ขัดยอก ฟกช้ํา และกระดูกหัก การกระแทกหรือ
การชนกั บ วัส ดุ ที่ ยื่ น ออกมา การร ว งหล น หรื อ การล มของกองวัส ดุ การรั่ว ไหลของ
ของเหลวหรือสารเคมีที่ทําใหผูปฏิบัติงานไดรับอันตราย เปนตน สาเหตุจากการบาดเจ็บ
เหลานี้พบวาเนื่องมาจาก "การปฏิบัติงานที่ไมปลอดภัย" เปนตนวา การยกของที่ไมถูก
วิธี การยกของที่หนักเกินไป การจับวัส ดุที่ไมถูกตอง และไมสวมใสอุปกรณคุมครอง
ความปลอดภัยสวนบุคคล
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 255
อยางไรก็ดี เพื่อใหทราบถึงปญหาจากการเคลื่อนยายและเก็บรักษาวัสดุไดอยาง
ชัดเจน ผู รับผิ ดชอบดา นความปลอดภัย ในการทํา งานควรพิจ ารณาและทบทวนถึ ง
คําถามตอไปนี้ในเชิงการปฏิบัติและนโยบาย ซึ่งจะเปนจุดเริ่มตนของการประเมินสภาพ
ของปญหาและการแกไข ดังตอไปนี้
สามารถปรับปรุงดัดแปลงงานนั้นในเชิงวิศวกรรม เพื่อขจัดการยกยาย
วัสดุดวยมือเปลาไดหรือไม
การบาดเจ็ บ ที่ พ นั ก งานได รั บ จากการเคลื่ อ นย า ยวั ส ดุ นั้ น เกิ ด ขึ้ น
อยางไร และเกิดจากอะไร เชน วัสดุที่แหลมคม สารเคมี ฝุน ฯลฯ
สามารถจัดหาสิ่งอํานวยความสะดวกในการยกเพื่อชวยใหงานยกยาย
นั้นปลอดภัยขึ้นไดหรือไม เชน ทําถุงหิ้ว จัดหารถเข็นหรือตะขอ เปนตน
สามารถเคลื่อนยายวัสดุโดยการใชสายสะพาน หรืออุปกรณเครื่องมือ
กลอื่นๆ เพื่อลดการยกยายวัสดุดวยมือเปลาใหนอยลงไดหรือไม
ย
อุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคลจะชวยปองกันการบาดเจ็บ
จากการยกยายนั้นๆ ไดหรือไม
น่า
สามารถจัดการอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยในการยกยายวัสดุใหแก
ําห
พนักงานตางๆ เพื่อปองกันการบาดเจ็บไดหรือไม
มี ก ารควบคุ ม ดู แ ลในการยกย า ยวั ส ดุ ข องพนั ก งานอย า งเหมาะสม
หรือไม
มจ
มีก ารกํา หนดสถานที่ เก็ บ และระบบการจั ด เก็ บวั ส ดุแ ตล ะประเภท
หรือไม
ห้า
256 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
วัส ดุนั้ น จะล า ถา หากระยะทางที่ต องยกยา ยวั ส ดุ นั้น ไกลเกิน ไปโดยเฉพาะอย างยิ่ ง
ถาตองขึ้นบันไดหรือทางเอียงลาด ความลาจะยิ่งเกิดเร็วขึ้น
การวางวัสดุบนโตะ ควรจะคอยๆ วางวัสดุลงที่ขอบโตะเสียกอน แลว
จึงผลักใหเขาไปขางในเพื่อใหแนใจวาวัสดุนั้นจะไมรวงหลน วิธีการนี้จะชวยปองกันมิให
นิ้วมือถูกหนีบหรือถูกทับได
ที่รองรับวัสดุตองแข็งแรงที่สามารถรับน้ําหนักของวัสดุได และมีความ
มั่นคงจะไมลมหรือพังลงมา มีหลักวาควรจะใหวางอยูในความสูงระดับเอวเสมอ
การยกวัสดุขึ้นไหล ขั้นแรกจะตองยกวัสดุขึ้นมาที่ระดับเอวกอน แลว
พักวัสดุที่ขอบโตะ หรือชั้นวางของ หรือที่เอวหรือสะโพก หลังจากนั้นก็ตองจัดตําแหนง
มือใหเหมาะสมแลวยอตัวเล็กนอย เพื่อยกวัสดุขึ้นไหล พรอมกับยืดเขาใหตรง
การเปลี่ยนทิศทางขณะยกวัสดุ จะตองระลึกไวเสมอวา “อยาเอี้ยวหรือ
บิดตัว” เพราะจะทําใหเกิดการบาดเจ็บที่หลังได ในการเปลี่ยนทิศทางในขณะยกยาย
ย
วัสดุนั้น ทั้งรางกายและวัสดุที่ยกจะตองเปลี่ยนตําแหนงไปในทิศทางที่ตองการพรอมๆ
น่า
กันเสมอ
- ควรติดตั้งอุปกรณที่ทําใหตองใชคนบังคับตลอดเวลาจึงเคลื่อนหรือ
ทํางานได
ห้า
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 257
ปริมาตร ในเวลาการทํางาน 8 ชั่วโมงตอเนื่อง และอากาศ จะต อ ง
มีออกซิเจนอยูไมนอยกวา 19 %
- ในบริ เ วณที่ มี ก า ซหรื อ ไอที่ ติ ด ไฟได หรื อ บริ เ วณที่ มี ฝุ น เส น ใย
หรือสะเก็ดของสารตางๆคลุงอยูมากจนทําใหติ ดไฟไดงาย ควร
ใชรถที่ออกแบบมาเพื่อใชไดกับบริเวณดังกลาวเทานั้น
สายพานลําเลียง ขอกําหนดการใชสายพานลําเลียง มีดังนี้
- ไมปน นั่ง หรือยืน บนสายพานลําเลียง
- ตองไมลําเลียงสินคาหนักเกินไป
- ไมถอดฝาปดเฟองหรือโซออกในขณะเดินเครื่อง
- ตองรูจ ุดที่ติดตั้งระบบควบคุมสายพาน
- ตูระบบควบคุมสายพานตั้งอยูในตําแหนงที่เขาถึงไดสะดวก
- กอ นเริ่ ม เดิ น สายพาน พนั กงานทุ ก คนต องอยูห า งในตํา แหน ง ที่
ย
ปลอดภัย
- ผูควบคุมสายพานลําเลียงควรผานการอบรมมาแลว
น่า
- เมื่อพบเห็นสิ่งที่จะกอใหเกิดอันตรายใหรีบรายงานทันที
- บริเวณขางๆ สายพานลําเลียงตองไมวางของเกะกะ
ําห
- กอนซอมแซมตองแนใจวาระบบควบคุมไดล็อคไวแลว
- ระวังสวนของรางกายและเสื้อผาใหหางจากสายพานลําเลียง
มจ
- ชางซอมจะตองมีความชํานาญ
- ต อ งมี ส วิ ท ช ห ยุ ด ฉุ ก เฉิ น ไว ห ลายๆ จุ ด และต อ งติ ด ตั้ ง สั ญ ญาณ
เตือนเมื่อเกินพิกัด
ห้า
ย
สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานไดดวย น่า
การปองกันและควบคุมปญหาการยศาสตร (Ergonomics) ในสถานที่ทํางาน
นั้นอาจพิจารณาที่ปจจัยตอไปนี้
ําห
สถานีงาน (Work Station)
เลือกและปรับสถานีงานใหเหมาะสมตอผูปฏิบัติงานแตละคน อาทิ
มจ
ย
การทํางานกับอุปกรณที่ใชสําหรับการจัดการประมวลผล และแสดง
น่า
ขอมูลตางๆ (Visual Display Terminals) เชน งานปอนขอมูล งานตอโทรศัพท งานใน
หองควบคุม งานหนังสือพิมพ งานออกแบบ หรือควบคุมการผลิตโดยใชคอมพิวเตอร
ควรจั ด ให ไ ม มี ป ญ หาเรื่ อ งของแสงสะท อ นจากวั ต ถุ อื่ น มาเข า ตา มุ ม ในการมอง
ําห
จอคอมพิวเตอร ความสูงของจอคอมพิวเตอร เกาอี้ แปน พิมพใหเหมาะสมกับขนาด
ร า งกายผู ใ ช จั ด แสงสว า งของวั ต ถุ ที่ ม องขณะทํ า งานควรมี ค วามสว า งพอๆ กั น
มจ
จอคอมพิวเตอรตองไมอยูในตําแหนงที่สะทอนหลอดไฟหรือแสงสวางอื่นเขาตา เพราะ
จะทํ า ให เ กิ ด ป ญ หาแสงจ า ได อาจใช แ ผ น กรองแสงติ ด ที่ ห น า จอเพื่ อ ลดป ญ หา
ห้า
260 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
รูปที่ 14.30 การจัดสถานีงานสําหรับงานคอมพิวเตอร
ที่มา : คูมือการฝกอบรมหลักสูตรเจาหนาที่ความปลอดภัยในการทํางาน ฯ
ย
เกาอี้นั่ง (Chair)
น่า
เกาอี้นั่งที่ดี จะสามารถทําใหนั่งทํางานในอิริยาบถทาทางที่สะดวกสบายและ
ปรับเปลี่ยนอิริยาบถทาทางของรางกายไดโดยงาย โดยใหผูนั่งสามารถโนมตัวไปขางหนา
ําห
หรื อ หลั ง ได และลุ ก ขึ้ น ยื น หรื อ นั่ งลงได อ ย า งง า ยดาย ซึ่ ง เก า อี้ นั่ง ที่ ดี ค วรมี ลั ก ษณะ
ดังตอไปนี้
มจ
- มีพนักพิงหลังที่สามารถรองรับหลังสวนลางได
- ที่นั่งควรไมกอใหเกิดแรงกดที่ดานหลังของตนขาหรือหัวเขา
ห้า
- มีฐานที่มั่นคงแข็งแรง
- มีกลไกที่สามารถปรับระดับไดงาย
- มี ท า วแขนหรื อ ที่ ร องรั บ แขนส ว นล า ง ซึ่ ง ไม เ ป น อุ ป สรรคต อ การ
ทํางาน
- ใชวัสดุที่เหมาะสมสําหรับบุเกาอี้
สถานีงานสําหรับการยืนปฏิบัติงาน (Standing Work Station)
การยืนทํางานเปนระยะเวลานาน อาจทําใหขาบวม การไหลเวียนของโลหิต
ไมสะดวก เทาเปน แผลช้ําระบม กลามเนื้ อออนลา และเกิดอาการปวดหลัง เปนตน
ควรจัดใหมีเนื้อที่วางสําหรับขาและเขาอยางเพียงพอ เพื่อใหสามารถปรับเปลี่ยนระดับ
ความสูงของพื้นหนางานใหเหมาะสมกับงานที่ตองปฏิบัติ ทั้งนี้ขึ้นอยูกับ
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 261
- ระดับความสูงของขอศอกแตละคน
- ลั ก ษณะของงาน (งานปกติ ทั่ ว ไป งานละเอี ย ดที่ ต อ งใช ส ายตา
งานหนักที่ตองออกแรง)
- ขนาดของชิ้นงาน
- เครื่องมือและอุปกรณที่ใช
หากไมสามารถปรับระดับความสูงของพื้นหนางานไดควรจัดใหมียกพื้นสําหรับ
คนตัวเตี้ยและที่รองรับชิ้นงานใหสูงขึ้นสําหรับคนตัวสูง
การจัดใหมีที่วางพักเทา จะทําใหพนักงานสามารถสลับน้ําหนักตัวลงที่ขาขางใด
ขางหนึ่ง ซึ่งจะชวยลดอาการปวดเมื่อยที่มีตอระบบกลามเนื้อ กระดูกและขอตอที่ขา
และหลัง
การจั ด ให มี ที่ นั่ ง สํ า หรั บ ผู ที่ ต อ งยื น ทํ า งาน เพื่ อ ให ผู ป ฏิ บั ติ ง านสามารถ
ปรั บ เปลี่ ย นอิ ริ ย าบถท า ทางเป น การนั่ ง ได บ า ง ควรจั ด ระดั บ ความสู ง ของที่ นั่ ง ให
ย
เหมาะสมกับความยาวของขา ระดับความสูงของพื้นที่หนางาน และลักษณะงานที่ทํา
(งานปกติทั่วไป งานละเอียดที่ตองใชสายตา งานหนักที่ตองออกแรง)
น่า
รองเทาควรเปนแบบที่สวมใสสบาย และมีสนเตี้ย พื้นควรสะอาด ไมลื่นและ
เสมอไดระดับเทากัน
ําห
จงแนใจวาผูปฏิบัติงานอยูในอิริยาบถทาทางที่ดีดวย อาทิ หันหนาเขาหางานให
ลําตัวอยูใกลงานที่ตองปฏิบัติ หมุนเทาไปในทิศทางที่ตองการแทนการบิดเอี้ยวตัว
มจ
ย
แรงกดที่อาจเกิดขึ้นบริเวณฝามือ
เลือกใชเครื่องมือที่มีระยะหางระหวางดามไมมากเกินไป
น่า
อยาเลือกใชเครื่องมือที่มีดามเหมาะสําหรับมือเพียงขนาดเดียว
จงแนใจวามีการใชฉนวนหุมดาม เพื่อปองกันอันตรายจากไฟฟาและ
ําห
ความรอน
อยาเลือกใชเครื่องมือที่มีดามเปนสันของคม และลื่นตอการจับมือ
มจ
เลือกใชเครื่องมือที่ไมทําใหสวนของรางกายอยูในอิริยาบถทาทางที่ฝน
ธรรมชาติ เชน กางขอศอก บิดงอขอมือ
ห้า
เลื อ กใช เ ครื่อ งมื อที่ ส ามารถใช ก ล ามเนื้ อมั ด ใหญ ๆ ที่ไ หล และแขน
แทนที่จะใชกลามเนื้อมัดเล็กๆ ที่ขอมือและนิ้วมือ
การยกเคลื่อนยายดวยแรงคน (Manual Material Handling)
ควรมีการออกแบบงานที่ตองมีการยกเคลื่อนยายดวยแรงคน เพื่อใหมีการออก
แรงนอยที่สุด โดยเฉพาะอยางยิ่ง กลามเนื้อหลัง ปจจัยที่ควรพิจารณา ไดแก น้ําหนัก
ของวั ส ดุ สิ่ ง ของ ความถี่ ระยะในแนวดิ่ งและแนวนอน อิ ริ ย าบถ ท า ทางในการยก
เคลื่อนยาย ฯลฯ การลดความเสี่ยงตอการบาดเจ็บจากการยกเคลื่อนยายดวยแรงคน
อาจทําไดโดย
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 263
ลดน้ําหนักของวัสดุสิ่งของ เชน ลดขนาดของภาชนะบรรจุ ลดจํานวน
สิ่งของที่จะตองยกเคลื่อนยายในแตละครั้งมอบหมายใหมีจํานวนผูชวยยกเคลื่อนยาย
มากขึ้น
ทํา ให วัส ดุ สิ่ ง ของง ายต อ การจั บ ถื อ ยกเคลื่ อ นยา ย เช น ทํ าให วั ส ดุ
สิ่งของหรือภาชนะบรรจุมีที่จับหรือหูหิ้ว จัดวางวัส ดุสิ่งของใหอยูในระดับไมต่ํากวา
สะโพก เพื่อจะไดไมตองกมตัว ใชคนมากกวา 1 คนในการยกเคลื่อนยายของหนัก หรือ
ใชอุปกรณเครื่องกลชวยในการยกเคลื่อนยาย
ใชระบบการจัดเก็บที่งายตอการยกเคลื่อนยาย เชน จัดทําชั้นวางของ
ที่มีระดับความสูงที่เหมาะสมสําหรับจัดวางวัสดุสิ่งของ เพื่อจะไดไมตองกมตัว
ลดระยะทางในการยกเคลื่อนยาย เชน ปรับเปลี่ยนผังสถานที่ทํางาน
หนวยผลิต และสถานที่จัดเก็บ
ลดจํานวนครั้งในการยกเคลื่อนยาย เชน เพิ่มจํานวนคนที่ทําหนาที่ใน
ย
การยกเคลื่อนยายใหมากขึ้น ใชอุปกรณเครื่องกลชวยในการยกเคลื่อนยาย
น่า
ลดการบิดเอี้ยวตัวของรางกาย เชน จัดวางวัสดุสิ่งของใหอยูทางดาน
หนาของลําตัว ใหมีเนื้อที่วางมากพอ เพื่อใหสามารถหมุนไดทั้งตัว โดยใหวางเทาไปใน
ําห
ทิศทางที่ตองการแทนการบิดเอี้ยวเฉพาะลําตัวเทานั้น
อยางไรก็ตามหากมีการยกเคลื่อนยายของหนักดวยแรงคน จะตองคํานึงถึง
มจ
55 กิโลกรัม สําหรับลูกจางซึ่งเปนชาย
25 กิโลกรัม สําหรับลูกจางซึ่งเปนหญิง และลูกจางซึ่งเปน
เด็กชายอายุตั้งแต 15 ป แตยังไมถึง 18 ป
20 กิโลกรัม สําหรับลูกจางซึ่งเปนเด็กหญิง อายุตั้งแต 15 ปแตยัง
ไมถึง 18 ป
264 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร
หลักการเคลื่อนยายวัสดุดวยมืออยางปลอดภัย
พิจารณาเลือกวิธีการยกวัสดุที่จะเคลื่อนยาย
ย
น่า
ําห
มจ
สิ่งแวดลอมในการทํางาน
ได แ ก แสงสว า งที่ น อ ยเกิ น ไป หรื อ แสงจ า อุ ณ หภู มิ ที่ ร อ นหรื อ เย็ น เกิ น ไป
เสียงดัง ความสั่นสะเทือน สิ่งแวดลอม ในการทํางานเหลานี้มีผลตอสุขภาพรางกายของ
ผูปฏิบัติงาน ดังนั้น จึงตองมีการปรับปรุงสิ่งแวดลอมในการทํางานที่ไมเหมาะสมเพื่อ
การปองกันและลดปญหาสุขภาพอนามัยของผูปฏิบัติงาน
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 265
ตารางการทํางาน (Work Schedules)
ชั่วโมงการทํางาน มีผลกระทบที่สําคัญตอสุขภาพอนามัย และพึงพอใจในงาน
ที่ปฏิบัติ รวมไปถึงการทํางานกะ (Shift Work) ทั้งนี้เนื่องจากการทํางานกะ จะทําให
เกิดการเปลี่ย นแปลงจังหวะวงจรชีวิตในแตล ะวัน เชน อุณหภูมิของรางกาย อัตรา
การเตน ของหัว ใจและฮอรโ มน เปน ตน การทํางานกะจึง เปน การปรับเปลี่ ย นกลไก
ธรรมชาติของมนุษยซึ่งอาจกอใหเกิดผลกระทบตางๆ ตอรางกายได เชน เกิดความ
เหนื่อยลา เปน โรคกระเพาะอาหารและนอนไมห ลับ รวมทั้งยังสงผลกระทบตอการ
ดําเนินชีวิตในครอบครัวและสังคมอีกดวย ปญหาดังกลาวอาจลดลงไดโดย
- ลดจํานวนพนักงานที่ตองทํางานกะกลางคืน ใหมีจํานวนเทาที่จําเปน
เทานั้น
- แจงใหพนักงานทราบลวงหนาถึงกําหนดตารางเวลาการทํางานกะ
- จัดใหมีสวัสดิการตางๆ เชน บริการรถรับสงพนักงาน อาหาร
- ในชวงออกกะ พนักงานควรหลับใหเต็มที่ ในสถานที่เงียบและหลับได
สบาย
ย
น่า
- พนักงานควรใสใจรับประทานอาหารที่มีคุณคาทางโภชนาการ ออกกําลัง
กาย พอเหมาะเพื่อใหมีสุขภาพอนามัยที่ดี
ําห
o การใชอุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล
มจ
ย
ปลอกแขน งานที่ตองใชมือจับของหนัก ของแข็ง ของมีคม ของที่มีแงมุม ของที่รอนหรือ
ของที่ เ ป น พิษ ต อ ผิ ว หนัง งานที่ ตอ งใช มี ด ตัด เฉื อ น เจาะด ว ยของแข็ ง คม และงาน
เกี่ยวกับไฟฟา
น่า
9. อุ ป กรณ ป อ งกั น อื่ น ๆ ได แ ก ครี ม ป อ งกั น อั น ตรายต อ ผิ ว หนั ง (Barrier
ําห
Cream) เข็มขัดนิรภัย (Safety Belt) เชือกนิรภัย (Life Line)
ครีมปองกันอันตรายตอผิวหนัง (Barrier Cream) ลักษณะอาจเปน
มจ
กฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวของ
1. พ.ร.บ. ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดลอมในการทํางาน พ.ศ.
2554
2. กฎกระทรวง กําหนดมาตรฐานความปลอดภัย เกี่ยวกับรังสีกอไอออน พ.ศ.
2547
3. กฎกระทรวง กําหนดมาตรฐานความปลอดภัย เกี่ยวกับการทํางานในที่อับ
อากาศ พ.ศ. 2547
หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร 267
4. กฎกระทรวง กําหนดหลักเกณฑและวิธีการตรวจสุขภาพของลูกจาง พ.ศ.
2547
5. กฎกระทรวง กําหนดมาตรฐานความปลอดภัยเกี่ยวกับ ความรอน แสงสวาง
และเสียง พ.ศ. 2549
6. กฎกระทรวง กํ าหนดมาตรฐานความปลอดภัย เกี่ย วกับ เจ าหน าที่ค วาม
ปลอดภัย คณะกรรมการความปลอดภัยฯและหนวยงานความปลอดภัยฯ
7. กฎกระทรวง กํ า หนดมาตรฐานความปลอดภั ย ในการทํ า งานเกี่ ย วกั บ
เครื่องจักร ปนจั่น และหมอน้ํา
8. กฎกระทรวง กําหนดมาตรฐานความปลอดภัยในการทํางานเกี่ยวกับงาน
กอสราง พ.ศ. 2551
9. มาตรฐานการป อ งกั น อั ค คี ภั ย วิ ศ วกรรมสถานแห ง ประเทศไทย
ในพระบรมราชูปถัมภ
ย
10. มาตรฐานระบบแจ ง เหตุ เ พลิ ง ไหม วิ ศ วกรรมสถานแห ง ประเทศไทย
ในพระบรมราชูปถัมภ
น่า
11. มาตรฐานระบบหัวกระจายน้ําดับเพลิงของ NFPA 13, National Fire
Protection Association, USA.
ําห
12. มาตรฐานความปลอดภัยตอชีวิต NFPA 101 (Life Safety Code),
National Fire Protection Association, USA.
มจ
268 หมวดความปลอดภัยสําหรับวิศวกร