Professional Documents
Culture Documents
3.1-Analytic Conic
3.1-Analytic Conic
3.1-Analytic Conic
เอกสารประกอบการสอน และแบบฝึกทักษะ
เรื่องเรขาคณิตวิเคราะห์และภาคตัดกรวย
เรียบเรียงโดย
ถนอมศักดิ์ เหล่ากุล
ครูวิชาการ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
MWIT S
2016
Department of mathematics
Mahidol Wittayanusorn School
Edited : October 2016
ii
คำนำ
เอกสารฉบับนี้มีวัตถุประสงค์หลักคือการสรุปเนื้อหาอย่างย่อ ในหัวข้อที่เกี่ยวกับเรขาคณิตวิเคราะห์และ
ภาคตัดกรวย พร้อมกับตัวอย่างกิจกรรมสำหรับครูผู้สอนที่สามารถนำไปใช้เป็นตัวอย่างกิจกรรมการเรียนการ
สอน นอกจากนี้ยังได้รวบรวมโจทย์ปัญหาซึ่งรวบรวมมาจากข้อสอบเก็บคะแนน ข้อสอบกลางภาคและข้อสอบ
ปลายภาค วิชาคณิตศาสตร์ ของโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ความสำเร็จของการจัดทำเอกสารฉบับนี้สำเร็จได้
ด้วยความวิริยะ อุตสาหะของครูสาขาวิชาคณิตศาสตร์ที่ได้รวบรวมโจทย์ปัญหา พร้อมการทำเฉลยคำตอบ
สาขาวิชาคณิตศาสตร์หวังว่าเอกสารฉบับนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับครูผู้สอนที่จะนำไปปรับใช้ในการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอน และเป็นประโยชน์แก่นักเรียนสำหรับการฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา หากมีข้อ
ผิดพลาดประการใด โปรดแจ้งแก่ทางสาขาวิชาคณิตศาสตร์เพื่อการแก้ไขต่อไป
สาขาวิชาคณิตศาสตร์
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
iv
สารบัญ
1 ประวัติศาสตร์ของภาคตัดกรวย
(History of Conic Section) 1
1.1 การขยายความรู้ของชาวกรีกโบราณในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา . . . . . . . . . . . . . . . . . 2
1.2 แรงจูงใจใหม่สำหรับการศึกษาเส้นโค้ง . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 2
1.3 ผลงานของเคปเลอร์ ที่เกี่ยวกับภาคตัดกรวย . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 3
3 พาราโบลา (Parabola) 25
3.1 Parabola Activities . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 26
3.1.1 การสร้างรูปพาราโบลา แบบที่ 1 : วิธีการพับกระดาษ (foading method) . . . . 26
vi สารบัญ
4 วงรี (Ellipse) 39
4.1 Ellipse Activities . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 40
4.1.1 การสร้างรูปวงรี แบบที่ 1 : วิธีการพับกระดาษ (foading method) . . . . . . . . 40
4.1.2 การสร้างรูปวงรี แบบที่ 2 : วิธีใช้วงกลมสองวง (two circle method) . . . . . . 41
4.1.3 การสร้างรูปวงรี แบบที่ 3 : วิธีใช้รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก (rectangular method) . . . 42
4.1.4 Ellipse Problem . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 44
4.2 สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับวงรี . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 45
4.2.1 สมการรูปมาตรฐานของวงรี ที่มีจุดศูนย์กลางที่จุดกำเนิด . . . . . . . . . . . . . 45
4.2.2 สมการรูปมาตรฐานของวงรี ที่มีจุดศูนย์กลางที่ (h, k) . . . . . . . . . . . . . . 46
4.2.3 ลาตัสเรกตัมของวงรี . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 46
4.2.4 เส้นไดเรกตริกซ์ของวงรี . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 47
4.2.5 สมการเส้นสัมผัสวงรี (Tangent line to an ellipse) . . . . . . . . . . . . . . . 47
4.2.6 สมบัติการสะท้อนของวงรี (Reflective Properties of an Ellipse) . . . . . . . . 49
4.3 โจทย์ฝึกทักษะและตัวอย่างข้อสอบ : วงรี (Ellipse) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 50
5 ไฮเพอร์โบลา (Hyperbola) 53
5.1 Hyperbola Activities . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 54
5.1.1 การสร้างรูปไฮเพอร์โบลา แบบที่ 1 : วิธีพับกระดาษ (foading method) . . . . . 54
5.1.2 การสร้างรูปไฮเพอร์โบลา แบบที่ 2 : วิธีใช้รูปวงกลม (the circle method) . . . . 55
สารบัญ vii
2.1 ระยะห่างระหว่างจุดสองจุด . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 10
2.2 จุดกึ่งกลางระหว่างจุดสองจุด . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 10
2.3 จุดแบ่งอัตราส่วนของเส้นตรง . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 11
2.4 ความเอียงของเส้นตรง . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 12
2.5 มุมระหว่างเส้นตรงสองเส้น . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 12
2.6 ระยะห่างระหว่างจุดกับเส้น . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 13
2.7 ระยะห่างระหว่างเส้นตรง . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 14
2.10 วงกลม . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 17
2.11 เส้นสัมผัสวงกลม . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 18
3.1 พาราโบลา . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 30
3.6 ความยาวของลาตัสเรกตัม . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 32
3.7 สมบัติสะท้อนของพาราโบลา . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 33
4.2 วงรี . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 45
4.3 วงรี ที่มีจุดศูนย์กลางที่ (h, k) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 46
4.4 ลาตัสเรกตัมของวงรี . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 46
4.5 เส้นไดเรกตริกซ์ของวงรี . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 47
4.6 เส้นสัมผัสวงรี . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 47
4.7 สมบัติสะท้อนของวงรี . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 49
5.1 ไฮเพอร์โบลาและส่วนประกอบต่างๆ . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 59
5.2 เส้นกำกับกราฟของไฮเพอร์โบลา . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 60
5.3 ลาตัสเรกตัมของไฮเพอร์โบลา . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 60
5.4 เส้นสัมผัสไฮเพอร์โบลา . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 61
ประวัติศาสตร์ของภาคตัดกรวย
(History of Conic Section)
1.1 การขยายความรู้ของชาวกรีกโบราณในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา
1.2 แรงจูงใจใหม่สำหรับการศึกษาเส้นโค้ง
ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา คือการปฏิวัติความรู้ทางดาราศาสตร์ ผล
งานของนิโคลัส โคเปอร์นิคัส (1473−1543) คือ De Revolutionibus Orbium Coelestium (On the
Revolution of the Heavenly Spheres) ที่เผยแพร่ในปี ค.ศ.1543 ได้แนะนำแนวคิดเกี่ยวกับโลกที่เคลื่อน
ที่รอบดวงอาทิตย์ ทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสได้รับการคัดค้านอย่างมากในตอนเริ่มต้น แต่ก็ได้รับการยอมรับ
อย่างกว้างขวางในช่วงปลายศตวรรษที่ 17
ในการค้นหาเส้นทางการค้าใหม่ไปยังภูมิภาคเอเชีย ซึ่งส่งผลให้เกิดการสำรวจทางภูมิศาสตร์ที่ตามมา ได้กระ
ตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในการทำแผนที่ การพัฒนาเกี่ยวกับการจัดทำแผนที่ได้รับอิทธิพลมาจาก
ผลงานของ Johannes Werner วิทยาการใหม่ๆ ที่สำคัญที่สุดของการกำหนดจุดพิกัดในยุคฟื้นฟูศิลป วิทยา
ได้ค้นพบโดย Gerhard Kremer หรือที่เรียกว่า Mercator (1512−1594) ภาพฉายแบบ Mercator คือแผน
ที่รูปทรงกระบอกแสดงเส้นขนานและเส้นเมอริเดียนเป็นเส้นตรง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการใช้ นำทาง
ภาคตัดกรวย ความเยื้องศูนย์กลาง
วงกลม d=p e=0
วงรี p/2 < d < p 0<e<1
พาราโบลา d = p/2 e=1
ไฮเพอร์โบลา d < p/2 e>1
เส้นตรง d=0 e=∞
Y
l
X
2.1 Analytic Geometry Activities 9
2.2 สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับเรขาคณิตวิเคราะห์
2.2.1 ระยะห่างระหว่างจุดสองจุด
p p √ √
PQ = (3 − (−2))2 + (4 − 1)2 = 52 + 32 = 25 + 9 = 34
√
ดังนั้นระยะระหว่างจุด P และ Q เท่ากับ 34 หน่วย
J
2.2.2 จุดกึ่งกลางระหว่างจุดสองจุด
P(x , y )
1 1 |x -x1| R(x, y ) 1
ดังนั้นจุดกึ่งกลางคือ (2, 0)
J
2.2.3 จุดแบ่งส่วนของเส้นตรงออกเป็นอัตราส่วน m : n
x,y)
T(
m
P(x , y )
1 1 R(x, y )1
S(x , y)
2
ดังนั้นจุดแบ่งที่ต้องการหาคือ (3, 3)
J
12 เรขาคณิตวิเคราะห์ (Analytic Geometry)
2.2.4 ความเอียง
O=0
O O O
X X X X
O O O O
2.2.5 มุมระหว่างเส้นตรงสองเส้น
จะได้ว่า
O2 O1
X
O tan θ1 − tan θ2 m1 − m2
tan θ = =
1 + tan θ1 tan θ2 1 + m1 m2
π 1
ตัวอย่าง 2.2.4 ถ้ามุมระหว่างเส้นตรงสองเส้นคือ และความชันของเส้นตรงเส้นหนึ่งคือ
4 2
จงหาความชันของเส้นตรงอีกเส้นหนึ่ง
1 m1 − m2
และ θ = π
แนวคิด ให้ m1 = , m2 = m จาก tan θ =
2 1 + m1 m2 4
จะได้ว่า
1
m −
π
2
1 = tan =
4 1
1 + m
2
1 1
m− m−
ดังนั้น 2 = 1 หรือ 2 = −1 นั่นคือ m = 3 หรือ m = − 1 J
1 1 3
1+ m 1+ m
2 2
2.2.6 ระยะห่างระหว่างจุดกับเส้น
B
y2 − y1 = (x2 − x1 ) (2.3)
A
B(Bx1 − Ay1 ) − AC
x2 =
A2 + B 2
A(−Bx1 + Ay1 ) − BC
y2 =
A2 + B 2
14 เรขาคณิตวิเคราะห์ (Analytic Geometry)
B(Bx1 − Ay1 ) − AC A(−Bx1 + Ay1 ) − BC
ดังนั้นพิกัดของจุด Q คือ ,
A2 + B 2 A2 + B 2
จะได้ระยะระหว่าง P และ Q คือ
p
P Q = (x2 − x1 )2 + (y2 − y1 )2
s 2 2
B(Bx1 − Ay1 ) − AC A(−Bx1 + Ay1 ) − BC
= − x 1 + − y 1
A2 + B 2 A2 + B 2
s
A2 (Ax1 + By1 + C)2 + B 2 (Ax1 + By1 + C)2
=
(A2 + B 2 )2
|Ax1 + By1 + C|
= √
A2 + B 2
J
2.2.7 ระยะระหว่างเส้นตรงสองเส้น
C(1, 8)
B(8, 6)
X
A(2, 0)
√ √ √
แนวคิด พิจารณา AB = (8 − 2)2 + (6 − 0)2 = 36 + 36 = 72 = 6 2 หน่วย
p
y2 − y1 6−0
ความชันของเส้นตรงที่ผ่านจุด A และ B คือ = =1
x2 − x1 8−2
ดังนั้นสมการเส้นตรงที่ผ่านจุด A และ B คือ
y − y1 = m(x − x1 )
y − 0 = 1(x − 2)
y = x − 2 หรือ x − y − 2 = 0
16 เรขาคณิตวิเคราะห์ (Analytic Geometry)
1 √
9
นั่นคือพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ABC เท่ากับ (6 2) √ = 27 ตาราหน่วย
J
2 2
(8, 1)
X
y − y1 = m(x − x1 )
y − 1 = m(x − 8)
y = mx − 8m + 1 หรือ mx − y + (1 − 8m) = 0
√
เนื่องจากระยะจากจุดกำเนิดมายังจุดสัมผัสวงกลมเท่ากับรัศมีของวงกลม ซึ่งเท่ากับ 20 หน่วย
√ |1 − 8m| 1 19
จะได้ว่า 20 = √ จากการแก้สมการ จะได้ m = − ,
m2 + 1 2 22
1
แต่จากรูปความชันของเส้นสัมผัสติดลบ นั่นคือ m = −
J
2
2.2 สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับเรขาคณิตวิเคราะห์ 17
2.2.8 วงกลม
x2 + y 2 = r 2
J
(x − h)2 + (y − k)2 = r2
จะได้ว่า
(x − 3)2 + (y − 4)2 = 52
หรือ (x2 − 6x + 9) + (y 2 − 8y + 16) = 25
x2 + y 2 − 6x − 8y = 0
ดังนั้นสมการรูปทั่วไปของวงกลม คือ x2 + y 2 − 6x − 8y = 0
J
18 เรขาคณิตวิเคราะห์ (Analytic Geometry)
x2 + y 2 + ax + by + c = 0
(x2 + ax) + (y 2 + by) = −c
2 !
a2 b2
a 2
2 2 b
x + ax + + y + by + = −c + +
2 2 4 4
หรือ
b 2 a2 + b2 − 4c
a 2 1p 2
x+ + y+ = = a + b2 − 4c
2 2 4 2
พิจารณาสมการวงกลม x2 + y 2 = r2
Y
ซึ่งมีจุดศูนย์กลางที่จุดกำเนิด รัศมีเท่ากับ r หน่วย
ดังรูปที่ (2.11) และให้ P (x1 , y1 ) เป็นจุดบนวง-
A กลม จะได้ว่า x21 + y12 = r2
P y1
พิจารณาความชันของ OP จะเท่ากับ และ
x1
เราทราบว่า OP ⊥AB ดังนั้นความชันของ AB
X x1
O B เท่ากับ −
y1
เพราะฉะนั้นสมการเส้นตรง AB คือ
x1
รูปที่ 2.11: เส้นสัมผัสวงกลม y − y1 = −
y1
(x − x1 )
∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗∗
2.3 โจทย์ฝึกทักษะและตัวอย่างข้อสอบ : เรขาคณิตวิเคราะห์ 19
5. ถ้า A(−1, 5), B(1, 9) และ C(5, 17) เป็นจุด 3 จุด บนระนาบ แล้วจะสามารถลากเส้นตรง
หนึ่งเส้นผ่านจุดทั้งสามจุดนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด (Q2,MATH30103,2553)
8. จงหาสมการรูปทั่วไปของเส้นตรงที่ผ่านจุดตัดของเส้นตรง 3x + 4y − 1 = 0 กับเส้นตรง
x + y − 11 = 0 และมีระยะจากจุดกำเนิดไปยังเส้นตรงนี้เป็นระยะมากสุด
(Final,MATH30103,2553)
√ √
9. มุมระหว่างเส้นตรง y = (2 − 3)x + 5 และ y = (2 + 3)x − 7 เท่ากับกี่องศา
(Q2,MATH30103,2554)
3π
10. กำหนดให้ l1 และ l2 เป็นเส้นตรง ถ้ามุมเอียงของ l1 เท่ากับ และมุมระหว่าง l1 และ
4
l2 เท่ากับ arctan 2 แล้วความชันของ l2 ที่เป็นไปได้ทั้งหมดเท่ากับเท่าใด
(Q2,MATH30103,2554)
11. กำหนดให้ A(−9, −5), B(3, 8) และ C(−11, 3) เป็นจุด 3 จุดบนระนาบ จงหาความชัน
ของเส้นตรงที่ผ่าน B และผ่านจุดกึ่งกลางระหว่าง A กับ C (Q2,MATH30103,2554)
20 เรขาคณิตวิเคราะห์ (Analytic Geometry)
14. ถ้า A(1, 1), B(2, −3) และ C(a, b) เป็นจุดบนเส้นตรงเดียวกัน และ AC = 3AB
แล้วจงหาค่าของ |a − b| (Q2,MATH30103,2554)
√
28. จงหาสมการรูปทั่วไปของเส้นตรง ซึ่งอยู่ห่างจากจุดกำเนิด 3 2 หน่วย และตั้งฉากกับ
เส้นตรงที่มีความเอียงเท่ากับ 135◦ (Final,MATH30103,2555)
x y
31. จงหาจุดบนแกน Y ที่อยู่ห่างจากเส้นตรง + = 1 เป็นระยะ 4 หน่วย
3 4
37. ให้ C เป็นวงกลมที่ผ่านจุด A1 (8, −2), A2 (6, 2) และ A3 (3, −7) ซึ่งสอดคล้องกับเงื่อนไข
ข้อ a) และ b) ดังต่อไปนี้
a) C ตัดกับเส้นตรง x + 1 = 0 ที่จุด P และ Q โดยที่ Q เป็นจุดในจตุภาคที่ 3
b) C ตัดกับเส้นตรง x − 6 = 0 ที่จุด R และ S โดยที่ R เป็นจุดในจตุภาคที่ 1
จงหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยม P QRS (Final,MATH30107,2558)
38. If the line 2x − 3y − 6 = 0 is reflected in the line y = −x, find the equation of
the image line.
39. If A(3, 5) and B(11, 11) are fixed points, find the point(s) P on the x−axis
such that the area of the triangle ABP equals 30.
41. A line has slope −2 and is a distance of 2 units from the origin. What is the area
of the triangle formed by this line and the axes?
42. A vertical line divides the triangle with vertices O(0, 0), C(9, 0) and D(8, 4) into
two regions of equal area. Find the equation of the line.
43. Find all values of c such that the line y = x+c is tangent to the circle x2 +y 2 = 8.
44. Find all values of k so that the circle with equation x2 + y 2 = k 2 will intersect
the circle (x − 5)2 + (y + 12)2 = 49 in exactly one point.
45. A circle intersects the axes at A(0, 10), O(0, 0) and B(8, 0). A line through
P (2, −3) cuts the circle in half. What is the y intercept of the line?
46. If triangle ABC has vertices A(0, 0), B(3, 3) and C(−4, 4), determine the
equation of the bisector of ∠CAB.
2.3 โจทย์ฝึกทักษะและตัวอย่างข้อสอบ : เรขาคณิตวิเคราะห์ 23
47. What are the length and the slope of the tangent(s) from the origin to the circle
(x − 3)2 + (y − 4)2 = 4?
48. Find the equation of the set of points equidistant from C(0, 3) and D(6, 0).
49. The point A is on the line 4x + 3y − 48 = 0 and the point B is on the line
x + 3y + 10 = 0. If the midpoint of AB is (4, 2), find the co-ordinates of A
and B.
∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗∗
24 เรขาคณิตวิเคราะห์ (Analytic Geometry)
บทที่ 3
พาราโบลา (Parabola)
The earliest known work on conic sections was by Menaechmus in the fourth
century BC. He discovered a way to solve the problem of doubling the cube using
parabolas. (The solution, however, does not meet the requirements imposed by compass
and straightedge construction). The area enclosed by a parabola and a line segment,
the so−called "parabola segment", was computed by Archimedes via the method of
exhaustion in the third century BC, in his The Quadrature of the Parabola. The name
"parabola" is due to Apollonius who discovered many properties of conic sections. It
means "application", referring to "application of areas" concept, that has a connection
with this curve, as Apollonius had proved. The focusdirectrix property of the parabola
and other conics is due to Pappus.
(ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/Parabola)
26 พาราโบลา (Parabola)
กิจกรรมต่อไปนี้เป็นตัวอย่างกิจกรรม เพื่อให้นักเรียนได้เข้าใจนิยามของพาราโบลา
วิธีการดำเนินกิจกรรม
F F F
P Crease
F
Q
directric
G
4. จากรูปด้านบนจะเห็นว่ารอยพับทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะรวมกันเป็นรูปพาราโบลา จากการสังเกตจากรูปที่
วาดขึ้นเพิ่มเติม จะพบว่า △F P Q ∼ △GP Q เมื่อ F คือโฟกัสของพาราโบลา P คือจุดที่อยู่บน
พาราโบลา G คือจุดที่อยู่บนเส้นไดเรกตริกซ์ (เส้นขอบล่างของกระดาษที่พับ) และจะได้ว่า P F = P G
นั่นหมายถึงระยะห่างจากจุดใด ๆ บนพาราโบลากับโฟกัส จะเท่ากับระยะจากจุดนั้นไปยังเส้นไดเรก-
ตริกซ์ ซึ่งก็คือนิยามของพาราโบลา
⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆
3.1 Parabola Activities 27
วัสดุ/อุปกรณ์ กระดาษ Construction parabola by line and circle method, ดินสอ หรือปากกา และไม้-
บรรทัด
วิธีการดำเนินกิจกรรม
แล้วลากเส้นตรงเส้นหนึ่งให้เป็นเส้นไดเรกตริกซ์ Directrix
ดังรูป
2. ลงจุดซึ่งเป็นจุดที่อยู่ห่างจากจุด F และห่างจาก
P
เส้นไดเรกตริกซ์เป็นระยะเท่ากัน แล้วลากเส้นโค้ง
เชื่อมระหว่างแต่ละจุด จะปรากฎดังรูป
T
Directrix
S Q
⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆
28 พาราโบลา (Parabola)
วิธีการดำเนินกิจกรรม
1. แบ่งกระดาษในแนวตั้งและแนวนอนออกเป็นส่วน B 7 6 5 4 3 2 1 C
2. ลงจุดตรงจุดตัดของเส้นที่ลากเชื่อมหมายเลขเดียวกัน B 7 6 5 4 3 2 1 C
เช่นหมายเลข 1 ในแนวตั้งตัดกับเส้นหมายเลข 1 1
ในแนวนอน แล้วลากเส้นเชื่อม และทำซ้ำในทำนอง 2
3. จากรูป (อธิบายการเกิดรูปพาราโบลา) 5
6
7
X Y
⋆ ⋆ ⋆ ⋆ ⋆ ⋆ ⋆ ⋆ ⋆ ⋆ ⋆ ⋆ ⋆ A⋆ ⋆ ⋆ ⋆ D
3.1 Parabola Activities 29
x=-1 x=1
y=1
X
O
y=-1
30 พาราโบลา (Parabola)
3.2 สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับพาราโบลา
พาราโบลา คือเซตของจุดบนระนาบซึ่งมีระยะ
Axis
จากเส้นไดเรกตริกซ์ (directrix) กับโฟกัส (focus)
เป็นระยะเท่ากัน
P
F
จากรูปที่ 3.1 ถ้า P เป็นจุดบนพาราโบลา จะ-
ได้ว่า P F = P Q เมื่อ P เป็นโฟกัส และ
V
Q เป็นจุดบน เส้นไดเรกตริกซ์ เส้นตรงที่ลากผ่าน
Directrix
Q F และตั้งฉาก กับเส้นไดเรกตริกซ์เรียกว่าแกนสม-
รูปที่ 3.1: พาราโบลา มาตร หรือแกน ของพาราโบลา (axis)และ V ซึ่ง-
เป็นจุดตัดของ
พาราโบลากับแกน เรียกว่าจุดยอด (vertex)*
*สังเกตว่าโฟกัสจะอยู่ภาย
ในพาราโบลา และเส้นได
เรกตริกซ์จะอยู่นอกพารา
โบลา 3.2.1 พาราโบลาที่มีจุดยอดที่จุดกำเนิด และแกนสมมาตรคือแกน Y
axis axis
Q y = -p
0
P(x, y)
F(0, p)
x-axis
F(0, p)
x-axis P(x, y)
0
y = -p
Q
p>0 p>0
จากรูปที่ 3.2 ในกรณีที่ p > 0 จะเห็นว่า (0, p) เป็นโฟกัส y = −p เป็นเส้นไดเรกตริกซ์ แกน Y เป็น
แกนสมมาตร และ (0, 0) เป็นจุดยอด จากนิยามของพาราโบลา จะได้ว่า P F = P Q
พิจารณา P F = x2 + (y − p)2 และ P Q = (y + p)2
p p
จะได้ว่า
p p
P F = P Q : x2 + (y − p)2 = (y + p)2
ยกกำลังสองทั้งสองข้าง จะได้ว่า
x2 + y 2 − 2py + p2 = y 2 + 2py + p2
x2 = 4py
y-axis y-axis
x= -p
Q(-p, y) P(x, y)
F(p, 0) 0 axis
axis 0 F(p, 0)
P(x, y) Q(-p, y) x= -p
p<0 p>0
(h, k)
F(0, p)
y=k-p
x-axis
0
y=-p
x= h-p
y-axis
x= -p
axis : y=k
(h,, k) F(h+p, k)
axis : y=0
(0, 0) F(p, 0)
3.2.5 คอร์ดของพาราโบลา
y-axis
p pQ
2p
x-axis
F(p, 0)
x=-p
สมบัติการสะท้อน เป็นสมบัติที่สำคัญข้อหนึ่ง-
y-axis
P ของพาราโบลา ซึ่งกล่าวว่าถ้าปล่อยลำแสงจากโฟ-
β กัส ของพาราโบลาไปกระทบจพื้นผิวที่เป็นรูปพารา-
โบลา แล้วลำแสงจะสะท้อนเป็นเส้นตรงขนานกับ-
Q α axis แกนของ พาราโบลา หรือในทางกลับกันถ้ามีแสง-
0 F(p, 0)
ที่มากระทบกับพื้นผิวของพาราโบลา แล้วแสงจะสะ-
ท้อนผ่าน โฟกัสเสมอ (α = β) ดังแสดงในรูปที่
4.7
พิจารณา
p
FP = (pm2 − p)2 + (2pm)2
p
= p2 m4 − 2p2 m2 + p2 + 4p2 m2
p
= p m4 − 2m2 + 1 + 4m2
p
= p m4 + 2m2 + 1
p
= p (m2 + 1)2
= p(m2 + 1)
∴ F P = p(m2 + 1) (3.1)
ดังนั้นสมการเส้นสัมผัสคือ x − ym + pm2 = 0
ต่อไปหาจุดตัดแกน X ของสมการโดยให้ y = 0 จะได้จุดตัดแกน X คือ (−pm2 , 0)
34 พาราโบลา (Parabola)
2. จงหาสมการรูปมาตรฐานของพาราโบลาที่มีแกนสมมาตรขนานกับแกน X มีจุดยอดอยู่ที่
(4, −1) และโฟกัสอยู่บนเส้นตรง x + y − 6 = 0 (Q2,MATH30103,2553)
6. จงหาสมการรูปมาตรฐานของพาราโบลาที่มีจุดยอดอยู่บนเส้นตรง y = 2x มีเส้นตรง y = 2
เป็นแกนสมมาตรและผ่านจุด (3, −2) (Final,MATH30103,2553)
11. จงหาสมการรูปมาตรฐานของพาราโบลาซึ่งมีกราฟสอดคล้องกับเงื่อนไขต่อไปนี้
(1) แกนของพาราโบลาตัดกับไดเรกตริกซ์ที่จุด (−5, 3)
(2) ลาตัสเรกตัมของพาราโบลาอยู่ห่างจากแกน Y เป็นระยะ 3 หน่วย
(Q2,MATH30103,2554)
36 พาราโบลา (Parabola)
13. ไฟสปอร์ตไลท์ดวงหนึ่งมีจานสะท้อนแสงเป็นทรงพาราโบลาโดยมีระยะจากขอบจานถึงก้นจาน
ลึก 5 นิ้ว และมีระยะจากโฟกัสถึงจุดยอดยาว 2 นิ้ว จงหารัศมีของขอบจานของสปอร์ตไลท์
ดวงนี้ (Q2,MATH30103,2554)
x
17. จงหาสมการรูปมาตรฐานของพาราโบลาที่มีโฟกัสอยู่ที่ (5, −1) จุดยอดอยู่บนเส้นตรง y =
2
และเส้นไดเรกตริกซ์ ขนานกับแกน X (Final,MATH30103,2554)
1
22. กำหนดให้ a, t เป็นจำนวนจริง P t, และ Q(3, t) เป็นจุดสองจุดบนพาราโบลา
9
y = ax2 จงหาสมการไดเรกตริกซ์ของพาราโบลาดังกล่าว
3.3 โจทย์ฝึกทักษะและตัวอย่างข้อสอบ : พาราโบลา (Parabola) 37
(0, 5)
(-5, 0)
X
(Final,MATH30103,2555)
38 พาราโบลา (Parabola)
(0, 0) X
(Final,MATH30103,2555)
∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗∗
บทที่ 4
วงรี (Ellipse)
Ellipses are the closed type of conic section: a plane curve that results from the
intersection of a cone by a plane. Ellipses have many similarities with the other two
forms of conic sections : the parabolas and the hyperbolas, both of which are open and
unbounded. The cross section of a cylinder is an ellipse, unless the section is parallel to
the axis of the cylinder.
Analytically, an ellipse can also be defined as the set of points such that the ratio
of the distance of each point on the curve from a given point (called a focus or focal
point) to the distance from that same point on the curve to a given line (directrix) is a
constant, called the eccentricity of the ellipse.
(ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/Ellipse)
40 วงรี (Ellipse)
กิจกรรมต่อไปนี้เป็นตัวอย่างกิจกรรม เพื่อให้นักเรียนได้เข้าใจนิยามของวงรี
วิธีการดำเนินกิจกรรม
C C
F F
F
C C P
G
Q
F F
3. สังเกตรอยพับที่เกิดขึ้น โดยอาจจะเขียนรูปเพิ่มเติมให้ชัดเจนขึ้น
จากวิธีการพับ และรอยพับที่เกิดขึ้น จะเห็นว่า △F P Q ∼ △GP Q ซึ่งทำให้ F P = GP
และจาก CG เป็นรัศมีวงกลมซึ่งคงที่ โดยที่ CG = CP + P G แต่ F P = GP
นั่นคือ CG = CP + P F หมายความว่าจุดใด ๆ บนวงรี (P ) จะมีผลรวมของระยะจากจุดนั้น
ไปยังจุดคงที่สองจุด (C และ F ) เท่ากับค่าคงที่ (CG : รัศมีวงกลม)
⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆
4.1 Ellipse Activities 41
วัสดุ/อุปกรณ์ กระดาษ Draw Ellipse by two circle method, ดินสอ หรือปากกา และไม้บรรทัด
วิธีการดำเนินกิจกรรม
1. ลงจุดบนเส้นรอบวงของวงกลมวงนอก โดยให้มี
ระยะห่างเท่าๆ กัน แล้วลากส่วนของเส้นตรงจาก
จุด C ไปยังจุดบนวงกลมวงนอก และหาจุดตัด
ของส่วนของเส้นตรงกับวงกลมวงใน ดังรูป
C
⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆
42 วงรี (Ellipse)
วิธีการดำเนินกิจกรรม
A Q
2. ลงจุดตัดของเส้นที่เป็นจุดแบ่งที่สมนัยกัน เช่นจุดตัดของเส้น B S
7
ที่ลากผ่านหมายเลข 1 จากจุด Q และจุดตัดของเส้นที่ลาก 6
ดังรูป
3
2
1
R 1 2 3 4 5 6 7 O
A Q
3. ทำซ้ำขั้นในทำนองเดียวกันกับอีก 3 ส่วนที่เหลือ จะได้รูปวงรี ดังรูป
B S G
7
6
5
4
3
2
1
R T
1 2 3 4 5 6 7 O
A Q D
4.1 Ellipse Activities 43
4. จากวิธีการสร้างและจุดตัดรวมกันเป็นรูปวงรี สามารถ S G
P3
แสดงได้ว่า แต่ละจุดจะสอดคล้องกับสมการของวงรี
D3
โดยอาจกำหนดจุดเพิ่มเติม เพื่อแสดงการพิสูจน์ โดย P2
D2
กำหนดให้ O เป็นจุดกำเนิด T = (a, 0), S = (0, b),
Q = (0, −b) และ G = (a, b) สมมติแบ่งด้าน OT P 1 D1
x2
และหารตลอดด้วย a2 b2 (n − k)2 + n2 จะได้ว่า 2 + yb2 = 1
2
a
⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆
44 วงรี (Ellipse)
F1 C F2
4.2 สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับวงรี
E E
B1
R R
V2 V1
F2 O F1
R R
B2
E E
วงรี คือเซตของจุดทุกจุดบนระนาบซึ่งผลบวกของระยะจากจุดเหล่านี้ไปยังจุดคงที่สองจุดมีค่าคงที่
1. จุดคงที่สองจุดเรียกว่าโฟกัส เขียนแทนด้วย F1 และ F2
4. ส่วนของเส้นตรง V1 V2 เรียกว่าแกนเอก
Y
จากรูปที่ 4.3 ถ้าให้ผลบวกของระยะจากจุด P
ถึงจุด F1 และ F2 เท่ากับ 2a ดังนั้น 2a > 2c > 0
P(x,y)
x2 y2
จะได้ P F1 + P F2 = 2a นั่นคือ 2 + 2 =1
a a − c2
X เนื่องจาก 2a > 2c > 0 จะได้ a > c > 0
V2 F2(-c,0) O F1(c,0) V1
ดังนั้นให้ a2 − c2 = b2 เป็นจำนวนจริงบวก
จะได้สมการรูปมาตรฐานของวงรีคือ
x2 y 2
+ 2 =1
รูปที่ 4.2: วงรี a2 b
46 วงรี (Ellipse)
V2 V1
F2 (h, k) F1
B
E D
X
O
4.2.3 ลาตัสเรกตัมของวงรี
Y
ลาตัสเรกตัมของวงรีคือ ส่วนของเส้นตรงที่มี
จุดปลายอยู่บนวงรี ตั้งฉากกับแกนเอกและผ่าน
R(c,y)
โฟกัส จากรูปที่ 4.4 จะเห็นว่า RR′ เป็นลาตัสเรก-
ตัม
X
V2 F2(-c,0) O F1(c,0) V1 เนื่องจาก R(c, y) เป็นจุดบนวงรี ดังนั้นแทนค่า
x2 y 2
x = c และ y = y ในสมการ 2 + 2 = 1
R a b
จะได้ว่า
รูปที่ 4.4: ลาตัสเรกตัมของวงรี 2b2
RR′ =
a
J
4.2 สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับวงรี 47
4.2.4 เส้นไดเรกตริกซ์ของวงรี
Y เส้นไดเรกตริกซ์ของวงรี คือเส้นตรงที่ทำให้
E D
อัตราส่วนของระยะจากจุดใด ๆ บนวงรีไปยังโฟกัส
P(x,y) ต่อระยะจากจุดใด ๆ บนวงรีไปยังเส้นตรงนั้นเป็นค่า
R
คงที่ (จะเรียกค่าคงที่นั้นว่าค่าความเยื้องศูนย์กลาง)
X จากรูปที่ 4.5 ถ้าให้ DD′ เป็นเส้นไดเรกตริกซ์ ซึ่ง
S2 F1(-c,0) O F2(c,0)
ขนานกับแกน Y และมีระยะจากจุดกำเนิดเท่ากับ
S1
p p
(x + c)2 + y 2 + (x − c)2 + y 2 = 2a
p p
(x − c)2 + y 2 = 2a (x + c)2 + y 2
p
(x − c)2 + y 2 = 4a2 − 4a (x + c)2 + y 2 + (x + c)2 + y 2
p
4a (x + c)2 + y 2 = 4a2 + 4cx
p c
∴ F1 P = (x + c)2 + y 2 = a + x
a
c
และจะได้ว่า F2 P = a − x
a
F2 P a − ex
ถ้าให้ e คือค่าความเยื้องศูนย์กลาง จะได้ว่า e = =
PR OS1 − x
e a
ดังนั้น OS1 = นั่นคือ x = เป็นสมการไดเรกตริกซ์ของวงรี
a e
x2 y 2
Y จากสมการวงรี + 2 = 1 จะได้ว่า
a2 b
Q(x1+h,y1+k)
b2 x 2 + a 2 y 2 = a 2 b2 (4.1)
P(x1,y1)
O
X ให้ P (x1 , y1 ) และ Q(x1 + h, y1 + k) เป็นจุด
บนวงรี ถ้าต้องการหาสมการเส้นสัมผัสวงรีที่จุด P
ทำได้ดังนี้
Tangent line
จะได้
b2 x21 + 2b2 hx1 + b2 h2 + a2 y12 + 2a2 ky1 + a2 k 2 = a2 b2 (4.3)
−b2 x1
y − y1 = (x − x1 )
a 2 y1
a2 y1 (y − y1 ) = −b2 x1 (x − x1 )
a2 y1 y − a2 y1 = −b2 x1 x + b2 x21
a2 y1 y + b2 x1 x = b2 x21 + a2 y1
a 2 y 1 y + b2 x 1 x = a 2 b2
xx1 yy1
ดังนั้น จะได้ว่า + 2 = 1 เป็นสมการเส้นสัมผัสวงรีที่จุด (x1 , y1 )
J
a2 b
x2 y2
แนวคิด จากสมการวงรี x2 + 3y 2 = 57 จะได้ + =1
57 19
3x 4y
นั่นคือ a2 = 57, b2 = 19 ดังนั้นสมการเส้นสัมผัสวงรีคือ = 1 หรือ x + 4y − 19 = 0
J
+
57 19
4.2 สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับวงรี 49
Y สมบัติที่สำคัญข้อหนึ่งของวงรี คือสมบัติการ
สะท้อน ซึ่งกล่าวว่า ถ้าคลื่นเสียงหรือแสง ที่ปล่อย
α
P(x,y) จากโฟกัสจุดหนึ่งของวงรีจะสะท้อนจากพื้นผิวที่เป็น
β
Tangent line รูปวงรีไปยังโฟกัสอีกจุดหนึ่ง จากรูปที่ 4.7 ถ้า-
F1(-c,0) O F2(c,0)
X คลื่นถูก
ปล่อยจากจุด F1 คลื่นจะเคลื่อนที่ไปกระทบกับผิว
ของวงรีแล้วสะท้อนผ่าน F2 เสมอ ซึ่งจะแสดงว่า
สมบัติข้อนี้เป็นจริง โดยการแสดงว่าค่าของมุมตก
รูปที่ 4.7: สมบัติสะท้อนของวงรี กระทบจะเท่ากับค่าของมุมสะท้อนเสมอ (α = β)
x2 y 2
ให้ P (x, y) เป็นจุดบนวงรี + 2 = 1 เมื่อ a > b และกำหนด m1 คือความชันของ P F1
a2 b
m2 คือความชันของ P F2 และ m3 คือความชันของเส้นสัมผัสที่จุด P
y y b2 x
จะได้ว่า m1 = , m2 = และ m3 = − 2 (ใช้ความรู้เรื่องอนุพันธ์ของฟังก์ชัน)
x+c x−c a y
m3 − m1 m2 − m3
เนื่องจาก tan α = และ tan β = (มุมระหว่างเส้นตรงสองเส้น)
1 + m1 m3 1 + m2 m3
พิจารณา
m3 − m1
tan α =
1 + m1 m3
−b2 x/a2 y − y/(x + c)
=
1 + (y/(x + c))(−b2 x/a2 y)
−b2 x(x + c) − a2 y 2
=
a2 y(x + c) − b2 xy
−b2 x2 − b2 cx − a2 y 2
=
a2 xy + a2 cy − b2 xy
−b2 cx − (x2 b2 + a2 y 2 )
=
xy(a2 − b2 ) + a2 cy
−b2 cx − a2 b2
=
xyc2 + a2 cy
−b2 (cx + a2 )
=
cy(cx + a2 )
−b2
=
cy
−b2
ในทำนองเดียวกัน จะได้ว่า tan β =
cy
นั่นคือ tan α = tan β
เพราะฉะนั้น α = β
J
∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗∗
50 วงรี (Ellipse)
(x − 1)2 (y + 2)2
4. จงหาพื้นที่ที่มากที่สุดของวงกลมซึ่งบรรจุอยุ่ในวงรี + =1
9 25
x2 y 2
6. จงหาระยะห่างระหว่างเส้นสัมผัสวงรี + = 1 ซึ่งขนานกับเส้นตรง 4x − 2y + 23 = 0
30 24
7. จงหาสมการรูปทั่วไปของวงกลมที่มีจุดศูนย์กลางที่จุดเดียวกับจุดศูนย์กลางของวงรี
9x2 + 25y 2 + 18x − 100y − 116 = 0 และมีรัศมีเท่ากับระยะจากจุดปลายแกนเอก
จุดหนึ่งไปยังจุดปลายแกนโทจุดหนึ่ง
F1 F2
10. วงรีรูปหนึ่งมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่จุดศูนย์กลางของวงกลม x2 + y 2 − 2x − 4y − 20 = 0
มีโฟกัสจุดหนึ่งอยู่ที่ โฟกัสของพาราโบลา y 2 − 4y − 12x + 16 = 0 และผลบวกของระยะ
จากจุดใดๆ บนวงรีไปยังโฟกัสทั้งสองเท่ากับ 10 หน่วย จงหาสมการรูปมาตรฐานของวงรีนี้
(Final,MATH30103,2553)
13. วงรีวงหนึ่งมีจุดศูนย์กลางร่วมกับจุดศูนย์กลางของวงกลม x2 + y 2 − 2x − 6y − 15 = 0
และสัมผัสกับวงกลมที่จุดยอดของวงรี ถ้าแกนเอกของวงรีนี้ขนานกับแกน X และมีโฟกัส
จุดหนึ่งอยู่ที่จุด (−3, 3) แล้วจงหา
(1) พิกัดของจุดศูนย์กลางของวงรี
(2) พิกัดของจุดยอดของวงรี
(3) พิกัดของจุดโฟกัสของวงรี
(4) ความยาวแกนเอก และความยาวแกนโท
(5) สมการรูปทั่วไปของวงรี
(Final,MATH30103,2553)
Y
(1, 8)
(1, -2)
∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗∗
บทที่ 5
ไฮเพอร์โบลา (Hyperbola)
In mathematics, a hyperbola (plural hyperbolas or hyperbolae) is a type of smooth
curve, lying in a plane, defined by its geometric properties or by equations for which it is
the solution set. A hyperbola has two pieces, called connected components or branches,
that are mirror images of each otherand resemble two infinite bows. The hyperbola is
one of the four kinds of conic section, formed by the intersection of a plane and a double
cone. (The other conic sections are the parabola, the ellipse, and the circle; the circle is
a special case of the ellipse). If the plane intersects both halves of the double cone but
does not pass through the apex of the cones, then the conic is a hyperbola.
1
Hyperbolas arise in many ways: as the curve representing the function f (x) =
x
in the Cartesian plane, as the appearance of a circle viewed from within it, as the path
followed by the shadow of the tip of a sundial, as the shape of an open orbit (as distinct
from a closed elliptical orbit), such as the orbit of a spacecraft during a gravity assisted
swing by of a planet or more generally any spacecraft exceeding the escape velocity of
the nearest planet, as the path of a single apparition comet (one travelling too fast ever
to return to the solar system), as the scattering trajectory of a subatomic particle, and so
on. (ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/Hyperbola)
54 ไฮเพอร์โบลา (Hyperbola)
กิจกรรมต่อไปนี้เป็นตัวอย่างกิจกรรม เพื่อให้นักเรียนได้เข้าใจนิยามของไฮเพอร์โบลา
วิธีการดำเนินกิจกรรม
Q crease
⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆
5.1 Hyperbola Activities 55
วิธีการดำเนินกิจกรรม
C1
C2
⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆
56 ไฮเพอร์โบลา (Hyperbola)
วิธีการดำเนินกิจกรรม
B H X C
7 6 5 4 3 2 1
1
2
3
4
5
6
7
Z
F G
A I Y D
B H X C
7 6 5 4 3 2 1
1
2
3
4
5
6
7
Z
F G
A I Y D
3. สรุปความสัมพันธ์ที่ได้
⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆
5.1 Hyperbola Activities 57
Problem H1. : A ship is traveling on a course parallel to and 60 miles from a straight shoreline.
Two transmitting stations, S1 and S2 , are located 200 miles apart on the shoreline. By timing
radio signals from the stations, the ship’s navigator determines that the ship is between the two
stations and 50 miles closer to S2 than to S1 . Find the distance from the ship to each station.
Round answers to one decimal place.
58 ไฮเพอร์โบลา (Hyperbola)
Loran navigation : One inportant application of hyperbolas concerns guidance systems, such
as LORAN (LOng RAnge Navigation). LORAN is a radio−communication system that can be
used to determine the location of a ship at sea, and the basis of LORAN is an understanding of
hyperbolic curves.
Plotting all points so that these distances remain constant produces two branches, p1 and p2 ,
of a hyperbola with foci S1 and S2 , and two branches, q1 and q2 , of a hyperbola with foci S2 and
S3 . It is easy to tell which branches the ship is on by comparing the signals from each station.
The intersection of a branch of each hyperbola locates the ship and the computer expresses this
in terms of longitude and latitude.
Problem H2. : Suppose two LORAN radio transmitters are 26 miles apart. A ship at sea receives
signals sent simultaneously from the two transmitters and is able to determine that the difference
between the distance from the ship to each of the transmitters is 24 miles. By positioning the two
transmitters on the y−axis, each 13 miles from the origin, find the equation for the hyperbola that
describes the set of possible locations for the ship.
5.2 สรุปสาระสำคัญ 59
5.2 สรุปสาระสำคัญ
5.2.1 สมการรูปมาตรฐานของไฮเพอร์โบลา
y 2 x2
กรณีแกนตามขวางทับแกน Y สมการรูปมาตรฐานคือ − = 1 เมื่อไฮเพอร์โบลาตัดแกน Y ที่จุด
a2 b2
(0, ±a) และจะได้ว่า ความยาวของแกนตามขวางเท่ากับ 2a และความยาวของแกนสังยุคเท่ากับ 2b
กรณีแกนตามขวางขนานกับแกน Y สมการรูปมาตรฐานคือ
(y − k)2 (x − h)2
− =1
a2 b2
J
60 ไฮเพอร์โบลา (Hyperbola)
5.2.2 สมการเส้นกำกับกราฟของไฮเพอร์โบลา
สมการเส้นกำกับพาราโบลาเมื่อแกนตามขวางขนานกับแกน X คือ
b
y = k ± (x − h)
a
สมการเส้นกำกับพาราโบลาเมื่อแกนตามขวางขนานกับแกน Y คือ
a
y = k ± (x − h)
b
5.2.3 ลาตัสเรกตัมของไฮเพอร์โบลา
y-axis
ลาตัสเรกตัมของไฮเพอร์โบลา คือส่วนของ
เส้นตรงซึ่งมีจุดปลายอยู่บนกราฟของไฮเพอร์โบลา
ที่ลากผ่านโฟกัส และตั้งฉากกับแกนตามขวาง
x-axis
F1(-c, 0) F2(c, 0)
จะได้
b2 x21 + 2b2 hx1 + b2 h2 − a2 y12 − 2a2 ky1 − a2 k 2 = a2 b2 (5.3)
b2 x1
y − y1 = (x − x1 )
a 2 y1
a2 y1 (y − y1 ) = b2 x1 (x − x1 )
a2 y1 y − a2 y1 = b2 x1 x + b2 x21
b2 x1 x − a2 y1 y = b2 x21 − a2 y12
b2 x1 x − a2 y1 y = a2 b2
xx1 yy1
ดังนั้น จะได้ว่า − 2 = 1 เป็นสมการเส้นสัมผัสไฮเพอร์โบลาที่จุด (x1 , y1 )
J
a2 b
∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗∗
62 ไฮเพอร์โบลา (Hyperbola)
1. "ไอเพอร์โบลาที่มีเส้นกำกับตั้งฉากกันเรียกว่าไฮเพอร์โบลามุมฉาก" จงหาสมการรูปมาตรฐาน
ของไฮเพอร์โบลามุมฉากที่มีโฟกัสอยุ่ที่จุด (6, 1) และ (−2, 1) (Final,MATH30102,2552)
√
7. จงหาสมการรูปมาตรฐานของวงรีที่มีโฟกัสที่ (± 2, 0) และมีแกนเอกเป็นแกนตามขวาง
ของไฮเพอร์โบลา 16x2 − 18y 2 = 288 (Final,MATH30103,2553)
ยอดของภาคตัดขวางดังกล่าว
Y
3
2,
3
X
( 2, 0) (2, 0)
−
(Final,MATH30102,2553)
ก) x2 + y 2 − 4x − 6y − 3 = 0
ข) 2x2 − 4y 2 + 8x + 4y + 15 = 0
ค) x2 − 4x − 8y + 2 = 0
ง) 4x2 + 3y 2 + 8x − 24y + 40 = 0
√
16. จงหาสมการรูปมาตรฐานของไฮเพอร์โบลาที่มีโฟกัสอยู่ที่ (± 28, 0) และมีแกนตามขวาง
เป็นแกนเอกของวงรี 3x2 + 4y 2 = 36 (Final,MATH30102,2555)
∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗∗
บทที่ 6
หรือเขียนใหม่ได้เป็น
(1 − e2 )x2 − 2x + y 2 = −1
1 1
(1 − e2 )x2 − 2x + 2
+ y2 = 2
−1
1 − e 1 − e
2x 1 1
(1 − e2 ) x2 − + + y2 = −1
1 − e2 (1 − e2 )2 1 − e2
2
1 1
2
(1 − e ) x − 2
+ y2 = −1 (6.2)
1−e 1 − e2
66 Special Properties of Conics
1
• จากสมการ (1) ถ้า e = 1 จะได้ว่า −2x + 1 + y2 = 0 หรือ y2 = −2 x − ซึ่งเป็นพาราโบลา
2
⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆
6.1.2 ดิสคริมิแนนต์ของภาคตัดกรวย
Ax2 + Bxy + Cy 2 + Dx + Ey + F = 0
แนวคิด
⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆
6.2 A Point Inside and Out 67
พาราโบลา: ระยะจากจุดที่อยู่ภายในพาราโบลาไปยังโฟกัสจะน้อยกว่าระยะจากจุดนั้นไปยังเส้นไดเรกตริกซ์
และระยะจากจุดที่อยู่ภายนอกพาราโบลาไปยังโฟกัสจะมากกว่าระยะจากจุดนั้นไปยังเส้นไดเรกตริกซ์
y-axis
X
W
F Z
S
x-axis
0
directrix
T Y
จากรูปที่ 6.2 ถ้า X เป็นจุดภายในของวงรี จะได้ว่า XF1 + XF2 < AB และถ้า S เป็นจุดภายนอก-
ของวงรี จะได้ว่า XF1 + XF2 > AB ซึ่งสามารถแสดงได้ ดังนี้
F1 F2
A B
X P
F1 F2
⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆⋆
เฉลยแบบฝึกหัด
เรขาคณิตวิเคราะห์ 19. 2x + 3y − 5 = 0
1.
9 20. 4x − 3y − 27 = 0 และ
5 4x − 3y + 33 = 0
2. (0, −3) และ (0, 7)
4
21. arctan
3. 3x − 4y − 3 = 0 และ 7
3x − 4y + 27 = 0 22. x − y = 0
4. x − 4y − 24 = 0 23. 6 หน่วย
30. 3
12. 2x + 5y − 9 = 0
8 32
9 31. 0, − , 0,
13. 3 3
13
32. k 2 ตารางหน่วย
14. 15
√ 33. 3x − y = 7, x + 3y = 9
15. 3 2 √
23 65
16. 84 34. หน่วย
18
35. 5x + 4y − 11 = 0
17. (−64, 37), (66, −41)
8 4
18. (−3, 6) 36. ,−
5 5
70 Special Properties of Conics
⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗⊗ 24. 1
√
พาราโบลา 25. 3 2 หน่วย
15
26.
1. 2x + y − 7 = 0 4
27. 2x + y + 6 = 0
2. (y + 1)2 = 12(x − 4)
√
28. 85
3. เท่ากัน
29. 2x + y − 7 = 0
4. 18 ตารางหน่วย
30. y 2 = 5(x + 5)
5. 3x − 2y + 3 = 0
31. y 2 − 4y − 8x + 20 = 0
6. (y − 2)2 = 8(x − 1)
⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗⊗
7. 6
วงรี
8. (y − 2)2 = 8(x + 1) และ
(y − 2)2 = −8(x − 3) 1. 7
(x − 4)2 (y − 2)2
9. 8 2. + =1
100 25
6.2 A Point Inside and Out 71
3. x + 2y + 1 = 0 ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗⊗
4. 9π ไฮเพอร์โบลา
x2 y2 (x − 2)2 (y − 1)2
5. + =1 1. − =1
9 5 8 8
√
24 5 2. k = 25
6.
5 x2 y2
3. − = 1 และ
256 320
26 9
7. ,− y 2 x 2
7 7 − =1
256 320
8. x2 + y 2 + 2x − 4y − 29 = 0 (y − 3)2 (x + 2)2
4. − =1
(x − 1)2 (y − 2)2 9 7
9. + =1 √
45 20 5. 2 + 8
(x − 1)2 (y − 2)2
10. + =1 6. 3x − 4y − 11 = 0 และ
25 16
3x + 4y + 5 = 0
11. (1) (1, 3)
x2 y2
(2) (−4, 3), (6, 3) 7. + =1
(3) (−3, 3), (5, 3) 18 16
(4) แกนเอก : 6 หน่วย 8.
41(x − 4)2 41(y + 2)2
− =1
แกนโท : 6 หน่วย 144 255
(5)9x2 + 25y 2 − 18x − 150y + 9 = 0 9. 4x − 3y − 2 = 0 และ
4x + 3y − 14 = 0
y2 x2
12. + =1 √
57502 57012 10. ( 3, 0)
√
7 11. ก), ง)
13.
4
√ 5
14. 2 10 หน่วย 12.
3
15. 1440 บาท 13. ก) วงกลม
ข) ไฮเพอร์โบลา
(x + 1)2 (y − 2)2
16. + =1 ค) พาราโบลา
25 9
1 ง) วงรี
17.
3 14. x2 − 3y 2 − 2x − 12y + 1 = 0
18. 12
(x − 1)2 (y − 1)2
(x − 1)2 (y −3)2 15. − =1
19. + =1 100 300
9 25
x2 y2
(x − 2)2 (y − 3)2 16. − =1
20. + =1 12 16
9 5
(x − 11)2 (y − 3)2
โฟกัส : (0, 3), (4, 3) 17. − =1
1 3
ความยาวแกนเอก : 6 หน่วย
√ 18. 5x − 4y − 7 = 0
ความยาวแกนโท : 2 5 หน่วย
2
ความเยื้องศูนย์กลาง : ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗ ⊗⊗
3
72 Special Properties of Conics
บรรณานุกรม
[1] Max A. Sobel and Norbert Lerner, Algebra and Trigonometry, 5th ed., A Simon&Schuster
Company, 1995.
[2] National council of educational research and training, Mathematics : Textbook for class
XI, 2006.
[3] Ron Larson and David C. Falvo, Precalculus, 8th ed., Brooks/cole cengage learning, 2007.
∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗ ∗∗