Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 118

ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๒๕

เรื่องสถานที่แลวัดถุซ่ งึ สร้ างในรัชกาลที่ ๔

นายเซีย้ ง กรรณสูตร พิมพ์ ในงานปลงศพสนองคุณบิดา

เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๕
พิมพ์ที่โรงพิมพ์ โสภณพิพรรฒธนากร
คานา

นายเซี ้ยง กรรณสูต มาแจ้ งความยังหอพระสมุดวชิรญาณสําหรับ


พระนคร ว่าจะปลงศพนายฮะหยง กรรณสูต มีศรัทธาจะพิมพ์หนังสือ
เปนของแจกเนื่องในการกุศลทักษิณานุปทาน ซึง่ บําเพ็ญสนองคุณ
บิดาสักเรื่ อง ๑ ขอให้ กรรมการช่วยเลือกเรื่ องหนังสือในหอพระสมุด ฯ
ให้ พิมพ์ตามประสงค์ ข้ าพเจ้ าจึงได้ เลือกหนังสือประชุมพงศาวดาร
ภาคที่ ๒๕ ให้ พิมพ์
หนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่ ๒๕ นี ้ ว่าด้ วยการสร้ างวัดถุ
และสถานที่ตา่ ง ๆ เมื่อในรัชกาลที่ ๔ กรุงรัตนโกสินทร์ เปน
หนังสือซึง่ ข้ าพเจ้ าเรี ยบเรี ยงเอง เหตุที่จะเรี ยบเรี ยงหนังสือเรื่ องนี ้
เพราะได้ รูปต่าง ๆ อันหลวงอัคนีนฟมิตร (จิตร จิตราคนี) ได้ ถ่าย
ไว้ แต่ในรัชกาลที่ ๔ มีรูปสถานที่ซงึ่ ได้ รือ้ และเปลี่ยนแปลงไปไม่มี
อยูใ่ นเวลานี ้หลายรูป ผู้ที่ได้ เห็น ๆ แปลกปลาด มักกล่าวกันว่าเคย
ได้ ยินแต่วา่ แต่ก่อนมีสิ่งนัน้ ๆ แต่รูปสัณฐานจะเปนอย่างไรไม่เคยเห็น
กล่าวกันดังนี ้เนือง ๆ ข้ าพเจ้ าจึงนึกว่า ถ้ าได้ รวบรวมพิมพ์ขึ ้นเปนเล่ม
สมุด ให้ ได้ เห็นกันแพร่หลาย เห็นจะเปนประโยชน์ในทางความรู้ แต่
จะพิมพ์แต่รูปก็ไม่บริบรู ณ์ จึงได้ แต่งพรรณาถึงสถานที่และวัดถุตา่ ง ๆ
ซึง่ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ได้ ทรงสร้ าง เก็บความ
มาจากหนังสือพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๔ ซึง่ เจ้ าพระยาทิพากรวงศ์
ได้ แต่งไว้ เปนพื ้น ประกอบกับความที่ข้าพเจ้ ารู้เองเพิ่มเติมอิกบ้ าง ได้

ให้ พิมพ์หนังสือเรื่ องนี ้ขึ ้นสํารองไว้ ในหอพระสมุด ฯ พระเจ้ าบรมวงศเธอ
พระองค์เจ้ าวาณีรัตนกัญญา ได้ ทรงแบ่งไปประทานในงานพระชนมายุ
สมะมงคลส่วน ๑ แต่ยงั มีหนังสือเหลืออยูใ่ นหอพระสมุด ฯ เมื่อ
นายเซี ้ยง กรรณสูต มาขอให้ เลือกหนังสือที่จะพิมพ์แจกในงานศพบิดา
ข้ าพเจ้ านึกว่าผุ้ที่จะได้ รับแจก โดยมากคงจะไม่ซํ ้ากับที่ผ้ ซู งึ่ ได้ เคยรับ
หนังสือนี ้แล้ ว และหนังสือเรื่ องนี ้เข้ าใจว่าเจ้ านายก็ดี ข้ าราชการก็ดี
พ่อค้ าและคฤหบดีก็ดี แม้ ตลอดจนราษฎรได้ อา่ นคงเปนประโยชน์ ใน
ทางความรู้มิมากก็น้อยทัว่ ทุกชันบั ้ นดาศักดิ์ ข้ าพเจ้ าเห็นว่าดีกว่าที่จะ
พิมพ์หนังสือขึ ้นใหม่ ทังวั ้ นกํานดงานศพเวลาก็จวน ข้ าพเจ้ าจึงได้
แนะให้ นายเซี ้ยง กรรณสูต แจกหนังสือเรื่ องนี ้ในงานศพบิดา.
ข้ าพเจ้ าขออนุดมทนาในการกุศลบุญราษีทกั ษิณานุปทาน ซึง่
นายเซี ้ยง กรรณสูต ผู้บตุ ร ได้ กระทําปฏิการกิจปลงศพสนองคุณบิดา
และทังได้ ้ แจกหนังสือเรื่ องนี ้ให้ ได้ อา่ นกันแพร่หลาย ข้ าพเจ้ าหวังใจว่า
ผู้ที่ได้ รับสมุดเล่มนี ้ไป คงจะพอใจแลอนุโมทนาด้ วยทัว่ กัน.

สภานายก
หอพระสมุดวชิรญาณ
วันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๕
บาญชีรูป
พระบรมรู ปพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หวั กับสมเด็จเจ้ าฟ้า
กรมพระยาภาณุพนั ธุวงศ์วรเดช แลกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ น่า ต้ น
สกุณวัน เก๋งกรงนก ” ๔
โรงกระสาปน์เก่า ” ๑๐
พระพุทธมณเฑียร แลพระพุทธรัตนสถาน ” ๑๖
ประมาณแผนผังพระอภิเนาวนิเวศน์ ” ๒๒
ทางเข้ าพระที่นงั่ อนันตสมาคม ” ๒๘
พระที่นงั่ ภูวดลทัศไนย (หอนาฬิกา) ” ๓๔
เสานางเรี ยงที่ด้านถนนบํารุงเมือง ” ๔๐
ตึกดินตรงที่สร้ างพระราชวังสราญรมย์ถ่ายจากพระที่นงั่ ภูวดล
ทัศไนย ” ๔๖
ตึกแถวถนนเจริญกรุงแลหอกลอง ถ่ายจากพระที่นงั่ ภูวดล
ทัศไนย ” ๕๒
หลังคาพระที่นงั่ อภิเนาวนิเวศน์ ถ่ายจากพระที่นงั่ ภูวดลทัศไนย
แลเห็นโครงปราสาทแถวนอก ” ๕๘
พระพุทธมณเฑียร แลพระที่นงั่ จักรพรรดิพิมาน ถ่ายจากพระ
ที่นงั่ ภูวดลทัศไนย ” ๖๔
รูปท้ องสนามไชยถ่ายจากหอกลอง ” ๗๐
ท่าราชวรดิฐ ถ่ายในรัชการที่ ๕ แต่พระที่นงั่ เดิมยัง
บริบรู ณ์ ” ๗๖
เรื อพระที่นงั่ อรรคราชวรเดชลําแรก ” ๘๔
สารบาน

สิ่งซึง่ ทรงสร้ างในบริเวณพระที่นงั่ ดุสิตมหาปราสาท น่า ๑


สิ่งซึง่ ทรงสร้ าง ในบริเวณพระที่นงั่ อมรินทรวินิจฉัย ” ๒
พระที่นงั่ ราชฤดี ” ๔
เก๋งกรงนก สกุณวัน ” ๔
พระที่นงั่ สีตะลาภิรมย์ ” ๕
พระพุทธนิเวศน์ ” ๑๑
พระอภิเนาวนิเวศน์ ” ๑๑
สถานที่ตา่ ง ๆ ทรงสร้ างในบริเวณพระราชวังชันใน ้ ” ๑๖
สถานที่ตา่ ง ๆ ทรงสร้ างในบริเวณพระราชวังชันกลาง ้ ” ๑๗
สถานที่ตา่ ง ๆ ทรงสร้ างในบริเวณพระราชวังชันนอก ้ ” ๒๐
สถานที่ตา่ ง ๆ ทรงสร้ างรอบนอกพระราชวัง ” ๒๓
สถานที่ตา่ ง ๆ ทรงสร้ างในพระราชวังบวรสถานมงคล ” ๒๗
พระราชวังนันทยาน ” ๒๗
พระราชวังประทุมวัน ” ๒๙
พระราชวังสราญรมย์ ” ๓๑
คลองแลถนนสร้ างในจังหวัดพระนคร ” ๓๒
คลองทางไปมากับหัวเมือง ” ๔๐
สถานที่ตา่ ง ๆ ทรงสร้ างตามหัวเมือง ” ๔๓
ที่แขวงเมืองสมุทปราการ ” ๔๓
ที่แขวงกรุงศรี อยุทยา ” ๔๔
ที่แขวงเมืองลพบุรี น่า ๕๐
ที่แขวงเมืองพระพุทธบาท ” ๕๒
ศาลากลางเมืองเหนือ ” ๕๓
ที่แขวงเมืองปราจิณบุรี ” ๕๓
ที่แขวงเมืองชลบุรี ตําบลอ่างศิลา ” ๕๔
ที่แขวงเมืองนครไชยศรี ” ๕๕
ที่แขวงเมืองเพ็ชรบุรีนา่ ” ๕๖
หัวเมืองทรงตังใหม่
้ ” ๕๙
เมืองขึ ้นทรงตังใหม่
้ ” ๕๙
พระอารามหลวงทรงสร้ างใหม่ ” ๖๒
พระอารามหลวงในกรุงเทพ ฯ ที่ทรงปฏิสงั ขรณ์ ” ๖๔
พระอารามหลวงแลเจดีย์สถานในหัวเมืองที่ทรงสร้ างแลปฏิสงั ขรณ์ ” ๗๔
พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั
กับสมเด็จเจ้ าฟ้ากรมพระยาภาณุพนั ธวงศวรเดช แลกรมหลวงพรหมวรานุรักษ
เมื่อยังทรงพระเยาว์ ฉายที่ชาลาน่าพระที่นงั่ อนันตสมาคม
สถานที่ต่าง ๆ
ซึ่ง พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หวั ทรงสร้ าง
ภาคที่ ๑ ที่ทรงสร้ างในกรุงเทพ ฯ

ในบริเวณพระที่น่ ังดุสิตมหาปราสาท

ที่ในพระที่นงั่ ดุสิตมหาปราสาทโปรดให้ สร้ างพระที่นงั่ บุษบกมาลา


ขึ ้นตรงที่สดุ มุขด้ านใต้ เปนที่เสด็จออกข้ างใน แลให้ ทําฉากลงรักปิ ดทอง
เขียนลายเรื่ องอินทราภิเศกแลดาวดึงษ์สวรรค์ กันสกั ้ ดมุขใต้ แทนม่าน.
ที่บริ เวณพระมหาปราสาท โปรดให้ สร้ างปราสาทโถงบนกําแพง
แก้ วทางด้ านตวันออกองค์ ๑ พระราชทานนามว่า พระที่นงั่ อาภรณ์
พิโมกข์ปราสาท ทางด้ านตวันตกพระมหาปราสาท ตรงมุขกระสัน
ลงไปโปรดให้ ก่อเขาไกรลาศไว้ สําหรับเปนที่สรง พระองค์เจ้ าโสกันต์แล
หม่อมเจ้ าเกษา-กันต์ ประตูกําแพงแก้ วบริเวณพระมหาปราสาทเดิม
เปนประตูหชู ้ าง โปรดให้ สร้ างเปนประตูซ้ ุมยอดมณฑปเหมือนกัน
ทุกประตู ประตูพระราชวังชันใน ้ ๒ ข้ างพระมหาปราสาทโปรดให้ สร้ าง
เปนประตูพรหมภักต์ยอดปรางค์ อย่างประตูพระราชวังในกรุงเก่า
พระราชทานนามประตูข้างฝ่ ายตวันออกว่า ประตูพรหมโสภา ข้ างฝ่ าย
ตวันตกว่า ประตูพรหมศรี สวัสดิ.์


(สิง่ ซึง่ ทรงสร้ างในบริ เวณพระมหาปราสาท ยังคงอยู่จนทุกวันนี ้
ทุกอย่าง เว้ นแต่ฉากกันมุ ้ ขใต้ นนรื
ั ้ อ้ เมื่องานพระบรมศพพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั )
ในบริเวณพระที่น่ ังอมรินทรวินิจฉัย
พระที่นงั่ อมริ นทรวินิจฉัยแต่ก่อน พระแกลแลพระทวารเปนผนัง
เปล่า โปรดให้ ทําซุ้มจรนําเพิ่มขึ ้นทุกช่อง.
โปรดให้ รือ้ เก๋งบอกพระปริยตั ธิ รรมพระภิกษุสามเณรที่อยูร่ ิมหอ
พระปริต ย้ ายไปปลูกข้ างน่าวัดพระศรี รัตนาศาสดาราม ตรงที่เก๋งเดิม
ให้ ปลูกเก๋งสําหรับข้ าราชการพักขึ ้น ๒ หลัง.
( เก๋งบอกพระปริ ยตั ิธรรมข้ างพระที่นงั่ อมริ นทร ฯ เดิมเห็นจะมี
หลังเดียว จะสร้ างมาแต่ในรัชกาลที่ ๒ ฤาพึง่ มาสร้ างขึ ้นในรัชกาลที่
๓ หาทราบชัดไม่ ปรากฏแต่วา่ เมื่อในรัชกาลที่ ๓ พระภิกษุสามเณรเข้ า
มาเรี ยนหนังสือมากจนที่เก๋งไม่พอ จึงทรงพระราชศรัทธาโปรดให้ จดั
พระที่นงั่ ดุสติ มหาปราสาทเปนที่พระภิกษุสามเณรเล่าเรี ยนพระปริ ยตั ิ
ธรรมทั ้ง ๔ มุข มีอาจารย์บอกมุขละคน ครัน้ สิ ้นรัชกาลที่ ๓ พระมหา
ปราสาทต้ องเปนที่ประดิษฐานพระบรมศพ จึงย้ ายการบอกพระปริยตั ิ
ธรรมไปบอกที่พระรเบียงวัดพระศรี รัตนศาสดารามอยูช่ วั่ คราว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หวั ทรงพระราชดําริ ห์จะให้ การบอก
พระปริ ยตั ิ ธรรมประจําที่มนั่ คงเสมอไป จึงโปรดให้ รือ้ เก๋งเดิมไป
ปลูกที่นา่ วัดพระศรี รัตนศาสดาราม ทรงเพิ่มเติมให้ เปน ๔ หลังเท่า
จํานวนอาจารย์ซงึ่ เคยบอกบนพระมหาปราสาท พระภิกษุสามเณรเรี ยน
พระปริยตั ิธรรม

ที่เก๋งทั ้ง ๔ นั ้น ต่อมาจนรัชกาลที่ ๕ ถึง ร.ศ.๑๐๙ ( ปี ขาล พ.ศ.๒๔๓๓ )
จึงได้ ย้ายไปอยูท่ ี่มหาธาตุวิทยาลัย ตรงที่สร้ างหอพระสมุดสําหรับ
พระนครทุกวันนี ้ แลย้ ายไปอยูว่ ดั สุทศั น์ในเวลาต่อมา เก๋งที่สร้ าง
น่าวัดพระศรี รัตนศาสดารามยังปรากฏอยูจ่ นทุกวันนี ้ )
ที่กําแพงแก้ วพระที่นงั่ อมริ นทรวินิจฉัยทางด้ านตวันตก ( เดิม
เปนประตูช้าง ) โปรดให้ ทําประตูประดับสีลาย มีซ้ มุ ยอดประดับ
กระเบื ้องสี พระราชทานนามว่า พระทวารเทเวศร์ รักษา กําแพงแก้ ว
ทางด้ านเหนือพระที่นงั่ อมรินทรวินิจฉัย โปรดให้ สร้ างกําแพงแก้ วขึ ้น
ใหม่นอกกําแพงแก้ วเดิมออกไป ตรงกลางทําประตูยอดอิก ประตู ๑
พระราชทานนามว่า พระทวารเทวาภิบาล แนวกําแพงแก้ วด้ านเหนือ
ของเดิมรื อ้ ตรงกลาง สร้ างเปนพระที่นงั่ หลังขวางข้ างน่าพระที่นงั่ อมรินท
รวินิจฉัยขึ ้นหลัง ๑ เหลือกําแพงแก้ วเดิมไว้ ทงั ้ ๒ ข้ างต่อหลังขวางมา
จนตรงมุมพระที่นงั่ อัมรินทรวินิจฉัย ทํากําแพงแก้ วสกัดทัง้ ๒ ด้ าน มี
ประตูยอดพรหมภักตร์ ด้านละประตู ที่ตรงมุมกําแพงแก้ วเก่าใหม่ตอ่
กันนันทํ
้ าเปนซุ้มตะเกียงทัง้ ๒ บ้ าง กําแพงแก้ วด้ านเหนือของเดิม
เหลือนัน้ รื อ้ หมด.
( ของที่กล่าวนี ้ยังอยู่หมด เว้ นแต่ซ้ ุมตะเกียงรื อ้ เสียแล้ วทัง้ ๒ หลัง )
พระที่นงั่ ดุสิดาภิรมย์ เดิมมีเกยช้ างทางด้ านหุ้มกลองข้ างเหนือ
โปรดให้ แก้ เปนเกยพระราชยาน สร้ างเกยช้ างขึ ้นใหม่ทางด้ านตวันตก(
ยังอยูบ่ ริบรู ณ์ทงั ้ ๒ เกย )

พระที่น่ ังราชฤดี
โปรดให้ สร้ างพระที่นงั่ ขึ ้นข้ างด้ านตวันออกพระที่นงั่ อมริ นทรวินิจฉัย
องค์ ๑ เปนตึก ๒ ชันอย่ ้ างฝรั่ง เปนที่ประทับว่าราชการเวลาว่างออก
ขุนนาง พระราชทานนามว่า พระที่นงั่ ราชฤดี แลให้ ทําประตูลบั สําหรับ
เสด็จขึ ้นข้ างในจากพระที่นงั่ ราชฤดีทางหอพระสุราลัยพิมานได้ อีกทาง ๑.
( พระที่นงั่ ราชฤดี ถึงรัชกาลที่ ๕ ของเดิมชํารุด โปรดให้ รือ้
ปลูกใหม่ แก้ เปนเก๋งจีน ต่อมาชํารุดจึงโปรดให้ รือ้ เสียทีเดียว เอา
นามไปพระราชทานพระที่นงั่ โถงที่สร้ างใหม่ที่พระราชวังดุสิต พระที่นงั่
ราชฤดีเดิมอยูต่ รงที่สร้ างพระที่นงั่ จันทรทิพโยภาศทุกวันนี ้ )
สกุณวัน
ที่ชาลาน่าโรงช้ างในแถวกระถางต้ นไม้ ดดั เดิมเปนอ่างแก้ ว
สําหรับปลูกบัว โปรดให้ ถมสระสร้ างกรงใหญ่ ในนันก่ ้ อภูเขาแลปลูก
ต้ นไม้ สําหรับเลี ้ยงนก เรี ยกบริเวณนี ้ว่า “สกุณวัน” แล้ วสร้ างเก๋ง
รอบกรงด้ านละเก๋ง ด้ านตวันออกตรงพระทวารเทเวศร์ รักษาออกมาเป
นเก๋งที่ประทับ ชื่อว่าพระที่นงั่ ราชานุราชอาศน์เก๋ง ๑ เก๋งด้ านใต้ ชื่อว่า
เก๋ง วรนาฏนารี เสพ เปนที่นางในนัง่ เก๋ง ๑ เก๋งด้ านตวันตกชื่อว่า
เก๋ง วรเทพยสถาน ยาวกว่าทุกเก๋ง เปนที่ไว้ เทวรูป (แลชําระความ
ฎีกา)เก๋ง๑เก๋งด้ านเหนือชื่อว่าเก๋งสําราญมุขมาตย เปนที่ขนุ นางนัง่ เก๋ง
๑ มีเสาธงในบริเวณสกุณวันข้ างด้ านเหนือ ๒ เสา เสาทางด้ านตวัน
ตกเปน แบบเสาธงฝรั่ง กลางวันชักธงตราแผ่นดินเวลาเสด็จประทับอยู่
ในกรุง ฯ

ถ้ าเสด็จไม่อยูช่ กั ไอยราพต กลางคืนชักโคมทุกวัน เสาตวันออกเปน
เสาธงอย่างจีน ชักธงตราแผ่นดินก่อน ในวันทรงบําเพ็ญพระราชกุศล
อุทิศถวายสมเด็จพระเจ้ าอยูห่ วั ในรัชกาลก่อน ๆ.
( เมื่อรัชกาลที่ ๓ ทรงเลี ้ยงนกแลไก่ตา่ ง ๆ ข้ างในพระบรมมหา
ราชวัง จึงโปรดให้ ย้ายมาเลี ้ยงไว้ ในกรงที่สร้ างใหม่นี ้ ครัน้ ถึงรัชกาล
ที่ ๕ รื อ้ กรงนกสร้ างเก๋งใหญ่แทนกรงนกเก๋ง ๑ ชื่อว่าเก๋งวรสภา
ภิรมย์ เปนที่ประชุมว่าราชการแผ่นดินในเวลาเมื่อยังมีผ้ สู ําเร็จราชการ
แผ่นดิน เสาธงสําหรับชักธงตราแผ่นดินทําใหม่ที่ในสนามหญ้ าน่าพระ
ที่นงั่ ใหม่ ( คือหมูท่ ี่พระที่นงั่ จักรี ทกุ วันนี ้ ) รื อ้ เสาธงเก่าทัง้ ๒ เสา
ครัน้ เมื่อสร้ างพระที่นงั่ จักรี มหาปราสาท ย้ ายเสาธงไปไว้ นา่ หอรัษฎากร
พิพฒ ั น์ รื อ้ เก๋งในบริเวณสกุณวันทังหมดทํ
้ าสนามหญ้ า )
พระที่น่ ังสีตลาภิรมย์
ที่พระราชวังชันในโปรดให้
้ สร้ างพระที่นงั่ เย็น เปนตึกจีนสูง ๓ ชัน้
องค์ ๑ อยูใ่ นบริเวณพระตําหนักสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี
ใกล้ ประตูสนามราชกิจ พระราชทานนามว่า พระที่นงั่ สีตลาภิรมย์.
( ถึงรัชกาลที่ ๕ เมื่อจะทรงสร้ างพระที่นงั่ ใหม่ตรง ( หมู่พระที่นงั่
จักรี ) นั ้น โปรดให้ รือ้ พระที่นงั่ สีตลาภิรมย์ไปปลูกที่วดั ราชบพิธ ทรงอุทศิ
เปนเสนาศนะสําหรับเจ้ าอาวาศ กรมหมื่นชินวรศิริวฒ ั น์ได้ เสด็จอยู่บดั นี ้ )
พระพุทธนิเวศน์
พระที่นงั่ ทอง ๓ หลัง ซึง่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ านภาลัย
ทรงสร้ างไว้ ในสวนขวา ( ที่เรี ยกว่าสวนศิวาลัยบัดนี ้ ) โปรดบูรณะปฏิ


สังขรณ์ให้ คืนดี แล้ วทรงอุทิศถวายเปนพุทธบูชา พระราชทานนามว่า
พระพุทธมณเฑียร พระที่นงั่ องค์กลางเปนที่ประดิษฐานพระเจดีย์กาไหล่
ทองสูง ๗ ศอก พระที่นงั่ องค์ข้างเหนือเปนที่ทําพิธีสงฆ์ พระที่นงั่ องค์
ข้ างใต้ เปนที่ประดิษฐานพระพุทธสิหงิ ค์น้อยซึง่ ทรงสร้ างขึ ้นใหม่ ฝาพระที่
นัง่ เดิมปิ ดทองล่องชาดโปรดให้ ลงรักปิ ดทอง เขียนเรื่ องพระพุทธประ วัติ
อันปรากฏในพระสูตรต่าง ๆ ทัง้ ๓ หลัง ตรงน่าพระพุทธมณเฑียร
ทางด้ านตวันออกสร้ างพระวิหารขึ ้นหลัง ๑ เปนที่ประดิษฐานพระพุทธ
บุษยรัตน จักรพรรดิพิมลมณีมยั ซึง่ ได้ มาสูพ่ ระบารมีเมื่อในรัชกาลที่ ๒
พระราชทานนามว่า พระพุทธรัตนสถาน พระวิหารนี ้เสาแลฝาผนังพนัก
ล้ วนแล้ วด้ วยศิลา บานประตูหน้ าต่างประดับมุก พื ้นพระวิหารปูด้วย
เสื่อเงิน มีฐานชุกชีทําด้ วยงาช้ างชั ้น ๑ รองบุษบกทองคําประดับพลอย
ที่ตั ้งพระพุทธบุษยรัตน น่าพระวิหารออกไปมีหอระฆังยอดมณฑปประดับ
กระเบื ้อง ฐานประดับศิลา สองข้ างพระวิหารสร้ างเก๋งที่พกั ด้ านละหลัง
น่าเก๋งมีอา่ งแก้ วก่อเขาอ่างแก้ วทางด้ านใต้ ทําเปนแผนที่ทางทเล อ่าง
แก้ วทางด้ านเหนือทําเปนแผนที่ป่าเขา ตามทํานองแผนที่พระราชอาณา
เขตร ทางด้ านใต้ พระพุทธมณเฑียรโปรดให้ ซอ่ มแซมเก๋งที่ประชุมครัง้
รัชกาลที่ ๒ จัดเปนธรรมสภาคศาลา โปรดให้ เรี ยกว่าพระที่นงั่ ทรง
ธรรม เปนที่พระสงฆ์แสดงธรรมแก่ข้าราชการฝ่ ายใน ทางด้ าน
ตวันตกของพระพุทธมณเฑียรต่อกับที่ทรงบาตร โปรดให้ สร้ างปราสาท
น้ อยขึ ้นองค์ ๑ เฉลิมพระเกียรติยศรัชกาลที่ ๒ เปนที่ประดิษฐานพระ


พุทธรูปต่าง ๆ แลคัมภีร์พระไตรปิ ฎกในรัชกาลที่ ๒ พระราชทานนาม
ว่า มหิศรปราสาท แล้ วโปรดให้ กนบริ ั ้ เวณสวนขวาเดิมกึ่ง ๑ รวมเปน
เขตที่ซงึ่ ทรงพระราชอุทิศนี ้ โปรดให้ เรี ยกรวมทังเขตรว่
้ า “ พระพุทธ
นิเวศน์ ”
กระแสพระราชดําริห์ซงึ่ ทรงสร้ างพระพุทธนิเวศน์นี ้ มีแจ้ งอยูใ่ น
ประกาศเฉลิมพระอภิเนาวนิเวศน์ เมื่อปี มะแม พ.ศ. ๒๔๐๒ ดังนี ้
“ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หวั ฯ ทรงพระรํ าพึงถึงกาล
อันเปนบุรพภาคสมัย ในขณะเมื่อกรุงเทพทวาราวดีศรี อยุธยาเก่ายัง
ตังเปนปกติ
้ อยูน่ นั ้ สมเด็จบรมสยามมหาราชาธิราชเจ้ าผู้ประกอบด้ วย
อิศราธิปไตยยศ จะให้ ปรากฏพระนามตามบุรพราชสยามวงศ์ ให้ ทรง
จัดแจงสถาปนาพระราชวัง พระที่นงั่ มหาปราสาทราชมหาสถาน เพื่อ
จะเสด็จศุขสําราญในไตรพิธฤดูเปนหมู่ ๆ สามตําบลบ้ างสี่ตําบลบ้ าง
เปนเยี่ยงอย่างมาฉนี ้ ครัน้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์
เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ได้ ทรงจัดแจงกรุงเทพมหานคร อมรรัตน
โกสินทร มหินทรายุธยาใหม่นี ้ ในฝั่ งฟากบุรพทิศแห่งแม่นํ ้าเจ้ าพระยา
มหานทีสําเร็จแล้ ว จึงทรงสร้ างพระที่นงั่ สองหมู่ มีนามพระที่นงั่ ดุสิต
มหาปราสาท พระที่นงั่ พิมานรัตยา พระปรัศซ้ ายขวานันหมู ้ ห่ นึง่ ฝ่ าย
ตวันตก พระที่นงั่ จักรพรรดิพิมาน พระที่นงั่ ไพศาลทักษิณ พระที่ นงั่
อมรินทรวินิจฉัยนัน้ หมูห่ นึง่ ฝ่ ายตวันออก แลที่ในสวนขวาทิศตวันออก
พระที่นงั่ หมูต่ วันออกนี ้ ทรงสร้ างไว้ แต่พระตําหนักทองที่ประทับในสระนํ ้า
หลัง ๑ พลับพลาที่เสวยริมปากอ่างแก้ วน่าเขาฟองนํ ้าหลัง ๑ สวนนัน้


มีกําแพงแก้ วล้ อมรอบเปนบริเวณ ครัน้ มาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จ
พระพุทธเลิศหล้ านภาลัยทรงเห็นว่า พระตําหนักทองแลพลับพลานัน้
ย่อมนัก จึงโปรดให้ ขยายสวนแลสระให้ ใหญ่กว้ างออกไป ก่อกําแพง
ล้ อมชันนอกเปนวงใหญ่
้ แล้ วทรงสร้ างพระที่นงั่ ทองสามหลัง มีตกึ
อย่างจีนอย่างยุโรปต่าง ๆ มากกว่าร้ อย เรี่ ยรายประดับอยู่
โดยรอบเปนบริวาร เปนที่ประทับสําราญพระราชหฤไทยฯ ครัน้ มาใน
แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ทรงพระราชศรัทธาโปรด
ให้ รือ้ ตึกจีนตึกอย่างยุโรปทังปวงนั
้ นไซ้
้ ไปปลูกสร้ างถวายในพระ
อารามนัน้ ๆ เสียจนสิ ้น ศิลาก่อเขาศิลาปูพื ้นทังปวง ้ ก็ให้ ลากขนไป
ประดับประดาในพระอารามหลวงทังหมด ้ เปนการฉลองพระเดช
พระคุณในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ านภาลัย ยังเหลืออยูแ่ ต่
พระที่นงั่ ใหญ่สามองค์กบั พระที่นงั่ เย็น อ่างแก้ วแลโรงมหาสภากับซุ้ม
ประตูสามแห่ง ทรงดํารัสประภาษอยูว่ า่ จะรื อ้ ไปถวายในพระอารามบ้ าง
จะสร้ างเปนพระอารามบ้ าง แล้ วก็สงบไป การก็งดอยูจ่ นสิ ้นแผ่นดิน
นัน้ ครัน้ ล่วงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยู่หวั มาแล้ ว ถึง
แผ่นดินปั ตยุบนั นี ้ จึงทรงพระราชดําริห์วา่ ถ้ าจะให้ รือ้ พระที่นงั่ ใหญ่
สามองค์กบั ทังโรง ้ มหาสภาไปสร้ างในพระอารามใด ๆ ฤาจะสร้ างเปนพ
ระอารามใหม่ ตามพระราชดําริ ห์พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยู่หวั
นั ้นเล่า ก็ทรงรังเกียจอยู่ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือจะเปนที่เสื่อมเสีย
สาบสูญพระเกียรติยศแห่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ านภาลัย
ผู้เปนเจ้ าของเดิมได้ ทรงสร้ างไว้ เพราะพระราชมณเฑียรสถานที่ใหญ่
ๆ ปรากฏ มีกําหนดว่า


จะทรงสร้ างในแผ่นดินนัน้ จะไม่มีในพระราชวังนี ้เลย อย่างหนึง่
ทรงระแวงว่าพระราชดําริ ห์พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยู่หวั ว่าจะให้
รื อ้ ไปถวายฤาสร้ างเปนพระอารามดังนัน้ เกลือกชรอยเทพยดาที่เปนม
เหศรศักดานุภาพ ที่สิงสถิตย์อยูใ่ นพระที่นงั่ นันจะไม่
้ เห็นชอบด้ วย
กระมัง จึงบันดาลให้ การรอ ๆ รัง้ ๆ มาจนหาได้ รือ้ ไปไม่ดงั นี ้ ฯ เพราะฉนัน้
ครัน้ จะให้ รือ้ ใหม่บดั นี ้กลัวจะมีเหตุต่าง ๆ ไป ควรจะปฏิสงั ขรณ์ขึ ้นไว้ ในที่
เดิมจึงจะชอบ ถึงกระนั ้นก็ไม่ควรจะทําแลประกอบเปนพระราชมณเฑียร
สถาน เพราะพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ได้ ออกพระโอษฐใน
พระราชดําริห์วา่ จะถวายในพระพุทธสาสนาเปนพระราชอุทิศ เปนการ
ฉลองพระเดชพระคุณ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ านภาลัยนัน้
เพราะฉนั ้น จึงโปรดสถาปนาการแก้ ไขแลปฏิสงั ขรณ์ขึ ้นใหม่ให้ ดีกว่าเก่า
แล้ วขนานนามว่าพระพุทธมหามณเฑียร แล้ วทรงสถาปนาการสร้ าง
พระพุทธรัตนสถานหลัง ๑ เพิ่มเข้ าในทิศตวันออกพระราชมณเฑียร
ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ านภาลัยนัน้ แล้ วให้ ก่อกําแพงแก้ ว
กันเปนส่
้ วนหนึง่ ตังแต่
้ ที่กึ่งพระราชอุทยานสวนขวามาจนมุมทิศพายัพ
ยกเปนพุทธเจดียสถานอารามภายในพระราชวัง เปนที่ประดิษฐานตังพระ

สถูปทองสุวรรณสถูปบรรจุพระบรมพุทธสารี ริกธาตุ แลพระพุทธปฏิมากร
แก้ วผลึก แลพระพุทธรูปฉลองพระองค์พระเจ้ าอยูห่ วั ทุกพระองค์ แล
พระพุทธปฏิมารูปพิเศษต่าง ๆ ไว้ เปนที่นมัสการในพระราชวัง ดังวัด
พระศรี รัตนศาสดาราม ขนานนามว่าพระพุทธนิเวศน์อีกแห่งหนึง่ ” ดังนี ้

๑๐
ที่นอกกําแพงแก้ วบริ เวณพระพุทธมณเฑียรข้ างด้ านตวันออกโปรด
ให้ ทําสวนปลูกพรรณไม้ ดอกที่ได้ มาแต่ตา่ งประเทศ ในสวนนันสร้ ้ าง
ปราสาทน้ อยอิกองค์ ๑ เปนที่ประดิษฐานเทวะรูปแก้ วผลึกองค์สงู ๑๕ นิ ้ว
ทรงอุทิศเปนเทพารักษ์สําหรับพระราชวังชันใน ้
( ถึงรัชกาลที่ ๕ เมื่อ จะทรงผนวช โปรดให้ สร้ างพระที่นงั่ ทรง
ผนวชกับสังฆเสนาศนะขึ ้นในบริ เวณสวนดอกไม้ ตา่ งประเทศข้ างด้ านเหนือ
ต่อกําแพงแก้ วพระพุทธนิเวศน์ แลให้ ผกู พัทธสิมาพระวิหารพระพุทธรัตนส
ถานเปนพระอุโบสถที่ทรงทําสังฆกรรม ที่บริเวณสวนดอกไม้
ต่างประเทศข้ างด้ านตวันออก ก็สร้ างทิมดาบข้ าราชการอยูป่ ระจํา
ซอง แลแก้ ไขเปนชาลาลานน่าพระกุฎี เมื่อเสร็จการทรงผนวชแล้ ว
ที่วดั พระพุทธรัตนสถานเปนที่ข้างในทําพิธีพทุ ธบูชาต่อมา
ครัน้ ล่วงมาหลายปี พระพุทธมหามณเฑียรชํารุดมาก เพราะ
เมื่อสร้ างในรัชกาลที่ ๒ ทําเครื่ องไม้ เปนโครง ครัน้ นานมาไม้ ผุ
เสาขาดก็ทรุดโทรมลงจนพ้ นวิไสยที่จะซ่อมแซม ได้ แต่จะรื อ้ ของเดิม
แล้ วสร้ างของใหม่ขึ ้นแทนทังหมดจึ
้ งจะคืนดี ทรงพระราชดําริห์เห็นว่า
ประโยชน์ที่จะได้ ไม่ค้ มุ กับทุนที่จะต้ องลง จึงโปรดรื อ้ เสียทังพระพุ
้ ทธ
มหามณเฑียรแลพระที่นงั่ ทรงธรรม คงรักษาแต่มหิศรปราสาทไว้ เฉลิม
พระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ านภาลัย ส่วนพระที่นงั่
ทรงผนวชกับสังฆเสนาศนะนัน้ เมื่อทรงสร้ างวัดเบญจมบพิตรโปรดให้
รื อ้ ไปปลูกในวัดนัน้ แล้ วทรงอุทิศเปนเสนาศนะของเจ้ าอาวาศ พระ
พุทธรัตนสถานนันยั ้ งคงอยูจ่ นทุกวันนี ้ )
โรงกระสาปน์ (อยูต่ รงมุมบริเวณมหาปราสาท)

๑๑
พระอภิเนาวนิเวศน์
ในที่สวนขวาอันเหลือจากที่ทรงสร้ างพระพุทธนิเวศน์นนั ้ โปรดให้
สร้ างพระราชมณเฑียรขึ ้นใหม่หมู่ ๑ พระราชทานนามเรี ยกรวมทังหมด ้
ว่า พระอภิเนาวนิเวศน์เดิมโปรดให้ สมเด็จเจ้ าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ
เปนแม่กอง พอลงมือสร้ างได้ ไม่ช้าสมเด็จเจ้ าพระยา ฯ นันถึ ้ งพิราลัย
จึงโปรดให้ เจ้ าพระยาศรี สรุ ิยวงศ์เปนแม่กอง แลกรมขุนราชสีหวิกรม
เปนนายช่างสร้ างต่อมาจนสําเร็จ พระที่นงั่ แลสถานที่ตา่ ง ๆ ในพระ
อภิเนาวนิเวศน์ มีนามต่างกันเปน ๑๐ แห่ง คือ
๑ พระที่นงั่ อนันตสมาคม ( ๒ ชั ้น อยู่ตรงพระที่นงั่ สุทไธสวรรย์
เข้ ามา ) เปนท้ องพระโรง หันน่าไปทิศตวันออก มีมขุ ด้ านน่า ๓ มุข
มุขกลางยาว ๓ ห้ อง แต่มขุ เหนือมุขใต้ เปนมุขโถงห้ องห้ องเดียว
( ถึงรัชกาลที่ ๕ ต่อมุขกลางยาวออกไปหาพระที่นงั่ สุทไธสวรรย์ ไว้
ทางในระหว่างพระที่นงั่ ทัง้ ๒ พอเดินกระบวนแห่ แต่โดยปรกติทอด
ตะพานข้ ามทางนันเปนทางเสด็
้ จพระที่นงั่ สุทไธสวรรย์ )
๒ พระที่นงั่ บรมพิมาน ( ๓ ชัน้ ต่อพระที่นงั่ อนันตสมาคมเข้ าไป )
เปนพระมหามณเฑียรที่พระบรรธมแห่ง ๑ แลเปนทีรับแขกเมืองเฝ้าใน
ที่รโหฐานด้ วย (ถึงรัชกาลที่ ๕ เปนที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ตามที่ได้ ทรงสัง่ ไว้ ตลอด
อายุพระอภิเนาวนิเวศน์ )
๓ พระที่นงั่ นงคราญสโมสร ( ๒ ชัน้ อยู่ตอ่ พระที่นงั่ บรมพิมาน
เข้ าไป ) เปนท้ องพระโรงใน แลเปนที่เสวย.

๑๒
๔ พระที่นงั่ จันทรทิพโยภาศ ( ๓ ชัน้ อยูข่ ้ างด้ านใต้ พระที่นงั่
นงคราญสโมสร ) เปนพระวิมานที่พระบรรธมแห่ง ๑
๕ พระที่นงั่ ภาณุมาศจํารู ญ ( ๓ ชัน้ เหมือนพระที่นงั่ จันทร อยู่
ข้ างด้ านเหนือพระที่นงั่ นงคราญสโมสร ) เปนพระวิมานที่พระบรรธม
อิกแห่ง ๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หวั เสด็จสวรรคตที่พระนัง่
ภาณุมาศจํารูญนี ้
๖ พระที่นงั่ มูลมณเฑียร พระตําหนักเดิมซึง่ เสด็จประทับเมื่อ
ในรัชกาลที่ ๒ โปรดให้ รือ้ มาแก้ ไขเปนตึก ปลูกขึ ้นในระหว่างพระ
ที่นงั่ ภาณุมาศจํารูญกับบริเวณพระพุทธนิเวศน์ ( ในรัชกาลที่ ๕
ทรงพระราชศรัทธาโปรดให้ รือ้ ไปปลูกที่วดั เขมาภิรตาราม ทรงพระ
ราชอุทิศเปนโรงเรี ยน โดยทํานองเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั โปรดให้ รือ้ พระตําหนักของสมเด็จพระศรี สรุ ิเยน
ทราบรมราชินี พระบรมราชชนนี ไปสร้ างทรงพระราชอุทิศ
เปนเสนาศนะเจ้ าอาวาศ มาแต่ก่อนฉนัน้ พระที่นงั่ มูลมณเฑียรยังอยู่
จนทุกวันนี ้ )
๗ หอเสถียรธรรมปริต เปนที่พระสวดพระปริต อยูร่ ิมกําแพง
พระอภิเนาวนิเวศน์ตรงมุมตวันออกเฉียงเหนือข้ างน่าพระที่นงั่ อนันตสมาคม
๘ หอราชฤทธิรุ่งโรจน์ เปนที่ไว้ เครื่ องพระพิไชยสงคราม อยู่
ต่อหอเสถียรธรรมปริตมาทางตวันตก
๙ หอโภชนลีลาส เปนที่มีการเลี ้ยงโต๊ ะพระราชทาน คือ เลี ้ยง
แขกเมืองเปนต้ น อยูข่ ้ างด้ านใต้ พระที่นงั่ อนันตสมาคม

๑๓
๑๐ พระที่นงั่ ประพาศพิพิธภัณฑ์ เปน ( มิวเซียม ) ที่ไว้ สงิ่ ของ
ต่าง ๆ สําหรับทอด พระเนตร อยูข่ ้ างด้ านใต้ พระที่นงั่ อนันตสมาคม
( ในรัชกาลที่ ๕ รื อ้ พระที่นงั่ ประพาศพิพิธภัณฑ์ สร้ างพระที่นงั่ ศิวาลัย
มหาปราสาทตรงนัน้ )
๑๑ พระที่นงั่ ภวูดลทัศไนย ( นามขนานต่อสัมผัสข้ างน่าพระที่นงั่
สุทไธสวรรย์ อนันตสมาคม ) เปนพระที่นงั่ สูง ๕ ชัน้ ชันยอดมี ้ นาฬิกา
๔ ด้ าน สร้ างในสวนตรงน่าพระพุทธนิเวศน์
บริเวณพระอภิเนาวนิเวศน์ข้างด้ านตวันออก มีเขื่อนเพ็ชร์ เปน
เขตรข้ างน่าพระที่นงั่ อนันตสมาคม มีประตูเขื่อนเพ็ชร์ ตรงมุขพระที่นงั่
๓ ประตู ๆ ข้ างใต้ ชื่อประตูทกั ษิณสิงหร ประตูข้างเหนือชื่อประตูอดุ ร
สิงหาศน์ ประตูกลางชื่อประตูเทวราชดํารงศร ตัวเขื่อนเพ็ชร์ ระหว่าง
ประตูตอนเหนือเปนห้ องอาลักษณ ตอนใต้ เปนห้ องเครื่ องมหาดเล็ก นอก
เขื่อนเพ็ชร์ แถวนี ้ออกไปมีกําแพงสกัดแต่พระที่นงั่ สุทไธสวรรย์มาหาเขื่อน
เพ็ชร แลมีประตูไม้ โค้ งแทนประตูหชู ้ างอย่างเดิม ทังข้
้ างเหนือ แล
ข้ างใต้ ภายในเขื่อนเพ็ชรมีประตูอยู่ข้างด้ านเหนือพระที่นงั่ อนันตสมาคม
ประตู ๑ ชื่อประตูแถลงราชกิจ เปนเขตรฝ่ ายน่าต่อกับฝ่ ายใน ส่วน
บริเวณข้ างฝ่ ายในสร้ างแถวเต๊ งตามเขตรสวนขวาเดิมเปนเขตรทั ้ง ๓ ด้ าน
แลสร้ างฉนวนทางพระบิณฑบาตยาวตามทิศตวันออกไปตวันตก ปั น
เขตรที่ตอ่ กับพระพุทธนิเวศน์ตอน ๑ ฉนวนนันเลี
้ ้ยวหักไปข้ างใต้ ทาง
หลังพระที่นงั่ นงคราญสโมสร จนถนนประตูราชสําราญ เปนฉนวนที่
ปั นเขตรสวนที่ยงั คงอยูอ่ ิกตอน ๑

๑๔
พระอภิเนาวนิเวศน์ ลงมือสร้ างเมื่อปี ขาล พ.ศ. ๒๓๙๕ สร้ าง
อยู่ ๕ ปี ได้ เสด็จเฉลิมพระราชมณเฑียร เมื่อปี มะแม พ.ศ. ๒๔๐๐
กระแสพระราชดําริห์ที่ทรงสร้ างพระอภิเนาวนิเวศน์ มีปรากฏอยูใ่ น
ประกาศเทวดาในงานพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรดังนี ้
“ ทรงพระราชดําริห์ให้ สถาปนาพระที่นงั่ ราชมหามณเฑียรสถาน
ขึ ้นใหม่อีกหมู่ ๑ มีพระที่นงั่ หลายองค์เนื่องกัน คือพระที่นงั่ ภูวดลทัศไนย
ให้ เปนคูก่ บั พระที่นงั่ สุทไธสวรรย์ ของพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้ า
เจ้ าอยูห่ วั ซึง่ อยูบ่ นกําแพงพระราชวังข้ างทิศตวันออกนัน้ แลพระที่
นัง่ อนันตสมาคม พระที่นงั่ บรมพิมาน พระที่นงั่ สงคราญสโมสร พระที่
นัง่ จันทรทิพโยภาศ พระที่นงั่ ภาณุ มาศจํารูญ พระที่นงั่ มูลมณเฑี ยร มี
หอเสถียรธรรมปริ ต หอราชฤทธิ์รุ่งโรจน์ หอโภชนลีลาศ แลพระที่นงั่
ประพาศพิพิธภัณฑ์ตงอยู ั ้ ใ่ นสถานนัน้ ๆ ที่ควรโดยรอบคอบ พระที่นงั่
มหามณเฑียรอภิเนาวนิเวศน์นี ้ ทรงสถาปนาประดิษฐานขึ ้นทังนี ้ ้ ใช่จะ
ลุม่ หลงมัวเมาด้ วยเบญจพิธกามคุณฤดี ไม่เห็นพระไตรลักษณ์แล
ความชราพยาธิมรณสังเวควัตถุนนก็ ั ้ หามิได้ ซึง่ ทรงสร้ างขึ ้นทังนี
้ ้
หวังพระราชหฤทัยจะให้ เปนพระเกียรติยศแด่พระบารมีแผ่นดินประจุบนั นี ้
สืบไปภายน่า ดังหนึง่ พระที่นงั่ มหามณเฑียรเดิม แลหมูพ่ ระที่นงั่ ดุสติ
มหาปราสาท เปนพระเกียรติยศแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกย์ พระที่นงั่ พุทธมหามณเฑียรแลโรงช้ างเผือกทัง้ ๔ เปนพระ
เกียรติยศแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ านภาลัย แลพระที่นงั่

๑๕
สุทไธสวริยปราสาท เปนพระเกียรติยศแด่พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้ า
เจ้ าอยูห่ วั ฯ อนึง่ ในแผ่นดิน ประจุบนั นี ้ได้ มีทางพระราชไมตรี ด้วยพระ
มหานครใหญ่ ๆ ในแผ่นดินยุโรปแลทวีปอเมริกา ล้ วนบรรดาซึง่
เปนประเทศไม่ต้องขึ ้นแด่เมืองอื่นเมืองใดหลายพระนคร มีสิ่งของเครื่ อง
ราชบรรนาการมาถวาย เจริญทางพระราชไมตรี ล้วนดี ๆ หลายอย่าง
ต่าง ๆ ของจําพวกนี ้จะทรงพระราชศรัทธาถวายบูชาพระรัตนไตรยใน
พระอารามหลวงเสียก็หาควรไม่ เพราะทูตที่มาแต่เมืองเจ้ าของเครื่ อง
ราชบรรณาการเหล่านันก็ ้ เข้ ามาเนือง ๆ แล้ วถามว่าเครื่ องราชบรรณา
การเหล่านันยั ้ งคงเก็บไว้ เปนที่รฦกถึงทางพระราชไมตรี สืบไปฤา ครัน้
เมื่อจะจัดประดับประดาในพระที่นงั่ สร้ างอย่างสยามตามอย่างช่างโบราณ
ก็ดจู ะพานขัดพระเนตร เปนที่ยิ ้มเย้ ยของแขกเมืองที่มาแต่ประเทศยุโรป
จะพึงว่าได้ ว่าของสําหรับใช้ อย่างอื่นเอามาใช้ อย่างอื่นไป เพราะฉนัน้
จึงโปรดให้ ชา่ งสร้ างพระอภิเนาวนิเวศน์ โดยแบบอย่างท่วงทีละม้ าย
คล้ ายกับราชนิเวศน์ ซึง่ มีในมหานครข้ างโยรปิ ยปถพี เพื่อจะต้ องท่วงที
กับสิง่ เครื่ องประดับประดาที่ได้ มาแต่โยรปิ ยมหานครต่าง ๆ ไว้ สําหรับ
รับแขกเมือง แลรฦกถึงทางพระราชไมตรี ด้วยพระเจ้ าแผ่นดินใหญ่ใน
โยรปิ ยปถพี เพราะทอด พระเนตรเห็นของราชบรรณาการพิเศษที่กล่าว
มานี ้อยูเ่ นือง ๆ นัน้ ” ดังนี ้
( ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อสร้ างพระอภิเนาวนิเวศน์แล้ ว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั เสด็จประทับอยูท่ ี่พระอภิ
เนาวนิเวศน์เปนพื ้น เสด็จมาประทับพระราชมณเฑียรเดิม คือที่
หมูพ่ ระที่นงั่

๑๖
จักรพรรดิพิมานเปนครัง้ เปนคราว ครัน้ ถึงรัชกาลที่ ๕ เสด็จมาประทับที่
พระราชมณเฑียรเดิม แล้ วต่อมาสร้ างพระราชมณเฑียรขึ ้นที่พระ
ตําหนักเดิม คือหมูพ่ ระที่นงั่ จักรี เปนที่ประทับ ที่พระอภิเนาวนิเวศน์
เปนแต่ที่เสด็จออกมหาสันนิบาต แลทําการพระราชพิธีที่พระที่นงั่ อนันต
สมาคมเปนครัง้ เปนคราว เช่นเสด็จออกวันประชุมตราจุลจอมเกล้ า
แลการฉลองไตรปี เปนต้ น แลพระราชมณเฑียรทังปวงในหมู
้ พ่ ระ
อภิเนาวนิเวศน์นนสร้ ั ้ างด้ วยโครงเครื่ องไม้ ประกอบอิฐปูนเปนพื ้น อยูไ่ ด้
สัก ๓๐ ปี พอไม้ โครงผุก็ทรุดโทรมพ้ นวิสยั ที่จะซ่อมแซมให้ คืนดีได้
จึงต้ องรื อ้ หมดทังหมู ้ ่ แล้ วปราบที่ทําเปนสวนสืบมา )
สถานที่ต่าง ๆ ในบริเวณพระราชวังชัน้ ใน
เขื่อนเพ็ชรอันเปนเขตรพระราชวังชันใน ้ เดิมทําเปนทิมแถวชัน้
เดียว โปรดให้ ทําใหม่เปนเล่าเต๊ ง ๒ ชัน้ ทังด้ ้ านตวันออกแลตวันตก
แต่ด้านใต้ นนทรงพระราชดํ
ั้ าริห์วา่ พระราชวังชันในตอนที
้ ่ขยาย
ออกไปทางวัดพระเชตุพนเมื่อในรัชกาลที่ ๒ นัน้ ยังไม่ได้ สร้ างสิ่งใด
ขึ ้นเปนที่วา่ งร้ างอยูใ่ นพระบรมมหาราชวังกว้ างขวางนัก จึงโปรดให้ กนั ้
เขตรข้ างในพระราชวังเสียอิก คือให้ สร้ างเล่าเต๊ งเขื่อนเพ็ชร์ ขึ ้นเปน
แนวกําแพงด้ านใต้ ๒ ชัน้ ชันในเรี ้ ยกว่าเต๊ งแถวท่อ เพราะทําตาม
แนวท่อที่ไขนํ ้าเข้ าในวัง ท่อนี ้แต่เดิมเปนท่อเปิ ดเหมือนกับคลอง เป
นทางไขนํ ้าเข้ ามาใช้ ในพระราชวัง แลให้ นํ ้าไปลงสระสวนขวา
โปรดให้ ก่อปิ ดทําเปนพื ้นถนน เปิ ดเปนปากบ่อไว้ สําหรับตักนํ ้าใช้ เป
นระยะ
พระพุทธมณเฑียร พระพุทธรัตนสถานอยูซ่ ้ ายมือ

๑๗
นอกเต๊ งแถวท่อออกไปสร้ างเต๊ งอีกแถว ๑ ยาวแต่ตวันออกไปตวันตก
เหมือนกับเต๊ งแถวท่อ เรี ยกกันว่าเต๊ งแดง ( เพราะแต่แรกโบกปูนเปน
สีแดง ) ที่ระหว่างเต๊ งแถวท่อกับเต๊ งแดงเรี ยกว่าแถวกลางมีประตูที่
เต๊ งทัง้ ๒ แถว นอกเต๊ งแดงออกไปจนแถวทิมอันเปนเขตรพระราชวัง
ชันในของเดิ
้ มไว้ ที่อิกตอน ๑ เรี ยกว่าแถวนอก ในที่ตอนแถวนอกนี ้
โปรดให้ สร้ าง ปราสาทน้ อยขึ ้นองค์ ๑ ทรงพระราชดําริห์วา่ จะให้ เปน
ที่ประดิษฐานพระอัฐิเจ้ านายฝ่ ายใน มีศาลาที่พกั สําหรับผู้ไปบําเพ็ญ
การกุศลด้ วย ปราสาทนี ้สร้ างค้ างอยูจ่ นตลอดรัชกาล สําเร็จแต่
เต๊ งทัง้ ๒ แถวที่กล่าวมา ยังอยูจ่ นทุกวันนี ้
สถานที่ต่าง ๆ ที่ทรงสร้ างในบริเวณพระราชวังชัน้ กลาง
หอธรรมสังเวช
นอกกําแพงแก้ ว พระที่นงั่ ดุสิตมหาปราสาททางด้ านตวันตก
( ระหว่างประตูพรหมจนประตูศรี สนุ ทร )เดิมมีโรงสําหรับครูผ้ ชู ายหัด
ลครหลวง สร้ างไว้ แต่ในรัชกาลที่ ๒ โปรดให้ รือ้ โรงลครเสียสร้ างหอ
ที่ไว้ พระศพเจ้ านายฝ่ ายในหอ ๑ ขนานนามว่า หอธรรมสังเวช แลหอ
สําหรับทําพิธี คือกวนเข้ าทิพเปนต้ นต่อมาอิกหลัง ๑ ( ขนานนามใน
รัชกาลที่ ๕ ว่า หอนิเพทพิทยา รื อ้ ในรัชกาลปั ตยุบนั นี ้ทัง้ ๒ หอ )
หอพิธีพราหมณ์
นอกกําแพงแก้ วพระมหาปราสาทด้ านเหนือ ตรงมุมถนนออกประตู
สุวรรณบริ บาลฟากตวันตก โปรดให้ สร้ างตึกเปนหอพระไสยสาตรหลัง ๑

๑๘
เปนที่พราหมณ์ทําพิธี มิให้ ต้องปลูกโรงเครื่ องผูกทุกคราวงานพิธี เช่น
ตรุษสารทเปนต้ น ดังแต่ก่อน เรี ยกว่า หอพิธีพราหมณ์
(หอพิธีพราหมณ์นี ้ในรัชกาลที่ ๕ รื อ้ ย้ ายมาปลูกใหม่เมื่อสร้ าง
โรงกสาปน์ใหม่)
โรงกสาปน์
โปรดให้ สร้ างโรงเครื่ องจักรสําหรับทําเงินเหรี ยญขึ ้นที่น่าพระคลัง
มหาสมบัติ (ที่ทําเงินพด ด้ วงแต่ก่อน) ตรงมุมถนนนอกประตูสวุ รรณ
บริบาลข้ างตวันออก พระราชทานนามว่า โรงกสาปน์สิทธิการ
เหตุที่สร้ างโรงกสาปน์นี ้ได้ ความว่า ตังแต่ ้ ทําหนังสือสัญญา
ทางพระราชไมตรี กบั นานาประเทศเมื่อในรัชกาลที่ ๔ การค้ าขายกับ
ต่างประเทศเจริญขึ ้นรวดเร็ว พวกพ่อค้ ามาขอแลกเงินบาทพระคลัง
มหาสมบัตทิ ําเงินพดด้ วงโดยวิธีอย่างเก่าให้ ไม่ทนั เมื่อราชทูตไทยไป
เมืองอังกฤษคราวแรก เมื่อปี มะเสง พ.ศ. ๒๔๐๐ จึงโปรดให้ ไปซื ้อ
เครื่ องจักรมาสร้ างโรงกสาปน์ ทําเงินเหรี ยญบาทแลเงินสลึงเงินเฟื อ้ ง
จําหน่ายแทนเงินพดด้ วง แต่ปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓ แล้ วทําทองแดงซีก
แลเสี ้ยวแลอัฐตะกัว่ ใช้ แทนเบี ้ย แต่ปีจอ พ.ศ. ๒๔๐๕ เปนต้ นมา ถึง
รัชกาลที่ ๕ โรงกสาปน์นี ้เล็กไปไม่พอแก่การ โปรดให้ สร้ างโรง
กสาปน์ใหม่ทางข้ างตวันออกประตูสวุ รรณบริบาล โรงกสาปน์เก่าใช้
เปนโรงหมอตอน ๑ เหลือ นั ้นใช้ เปนคลังทหารมาจนปี ระกา พ.ศ. ๒๔๔๐
เกิดไฟใหม้ ตกึ โรงกสาปน์เก่าหมดทังหลั้ ง จึงแก้ ไขซ่อมแซมใช้ เปนคลัง
ชาวที่แต่นนมา
ั้

๑๙
โรงพระยาช้ างต้ น
โรงพระยาช้ างต้ นของเดิมมี ๔ โรง (อยูต่ รงที่สร้ างพระที่นงั่
จักรี มหาปราสาท) โปรดให้ สร้ างเพิ่มเติมขึ ้นที่ริมกําแพงชันกลางด้้ าน
เหนือพระมหาปราสาท ทางฝ่ ายตวันตกโรง ๑ ฝ่ ายตวันออกโรง ๑
โรงพระยาช้ างต้ นของเดิมใช้ แผ่นดินเปนพื ้นโรง โปรดให้ ยกพืน้ ปูกระดาน
ทังโรงช้
้ างเดิมแลที่สร้ างใหม่
(ถึงรัชกาลที่ ๕ เมื่อถึงพระที่นงั่ ใหม่หมูพ่ ระที่นงั่ จักรี โรงช้ าง
ต้ นของเดิมกีด จึงต้ องย้ ายออกไปสร้ างที่หลังศาลาลูกขุนทัง้ ๔ หลัง
ยังปรากฏอยู่บดั นี ้ โรงพระยาช้ างต้ นที่สร้ างในรัชกาลที่ ๔ ที่อยู่ด้านน่า
พระมหาปราสาท รื อ้ เมื่อสร้ างโรงกสาปน์ใหม่หลัง ๑ รื อ้ สร้ างโรง
เรี ยนราชกุมารหลัง ๑
หอนาฬิกา
โปรดให้ กรมขุนราชสีหวิกรมทรงคิดแบบสร้ างหอนาฬิกาขึ ้นที่ทมิ
ดาบโรงนาฬิกาเดิมหลัง๑ สูง ๑๐ วา มีนาฬิกาทั ้ง ๔ ด้ าน (หอนาฬิกานี ้
เห็นจะอยูต่ รงมุขเด็ดพระที่นงั่ จักรี ทีเดียว รื อ้ เสียเมื่อจะสร้ างทิมดาบ
ใหม่ในรัชกาลที่ ๕ )
สังฆาศนศาลา
โปรดให้ สร้ างตึก ๒ ชันขึ
้ ้นหลัง ๑ ในระหว่างทิมดาบกับฉนวนออก
วัดพระศรี รัตนศาสดาราม ขนานนามว่า สังฆาศนศาลา เปนที่พกั
พระสงฆ์ซงึ่ นิมนต์เข้ ามาในวัง ( สังฆาศนุศาลาอยูตรงโรงนาฬิกาเดี๋ยวนี ้
รื อ้ เสียเมื่อจะสร้ างทิมดาบใหม่รัชกาลที่ ๕ )

๒๐
ในบริเวณโรงแสงต้ น ( อยูใ่ นบริเวณพระที่นงั่ ภานุมาศจํารูญ
บัดนี ้ ) โปรดให้ สร้ างตึก ๒ ชัน้ เปนโรงพิมพ์หนังสือหลัง ๑
พระราชทานชื่อว่า โรงอักษรพิมพการ ข้ างเหนือโรงพิมพ์ตอ่ ไปสร้ างโรง
กลัน่ ลม ( แกส ) จุดประทีปในพระราชวัง ( โรงพิมพ์รือ้ เมื่อเลิกโรง
พิมพ์ หลวงในรัชการที่ ๕ ) โรงแกสนันย้ ้ ายไปตังที
้ ่ ( ตลาดเสาชิงช้ า )
น่าวัดสุทศั น์ รื อ้ เสียเมื่อใช้ ไฟฟ้า
สถานที่ต่างๆ ที่ทรงสร้ างในบริเวณพระราชวังชัน้ นอก
โรงปื นใหญ่
ศาลาลูกขุนในของเดิมเปน ๒ หลัง โปรดให้ สร้ างโรงใหญ่ที่
ระหว่างศาลาลูกขุนนั ้นหลัง ๑ เปนที่เก็บรักษาปื นใหญ่สําหรับเฉลิมพระ
เกียรติยศ คือปื นพระยาตานีเปนต้ น ที่สระนํ ้าน่าศาลาลูกขุนฝ่ าย
ขวาก็โปรดให้ ลงเขื่อนแลสร้ างเก๋งขึ ้นเปนเครื่ องประดับ
( โรงปื นแลสระรื อ้ แลถมเสียในรัชกาลที่ ๕ เมื่อสร้ างศาลาลูกขุน
รวมเปนหลังเดียวกัน )
โรงทหารรักษาพระองค์
ที่ริมกําแพงพระราชวังระหว่างประตูพิมานเทเวศร์ กบั ประตูวิเศษ
ไชยศรี นนั ้ เดิมมีทิมพล โปรดให้ รือ้ ทําโรงยาวสําหรับทหารรักษา
พระองค์อยู่
( ถึงรัชกาลที่ ๕ โปรดให้ รือ้ โรงทหารรักษาพระองค์นนสร้
ั ้ างเปน
ตึก ๒ ชัน้ สําหรับจะเปนที่นายทหารมหาดเล็กอยู่ ในเวลากําลัง

๒๑
สร้ างตึกนันอยู
้ ่ โปรดให้ จดั การพระคลังมหาสมบัติ จะต้ องมีที่วา่
การกระทรวงพระคลัง จึงพระราชทานตึกนันเปนที ้ ่วา่ การกระทรวงพระ
คลัง ขนานนามว่า หอรัษฎากรพิพฒ ั น์ )
ประตูพระราชวัง
โปรดให้ แก้ ประตูพระราชวังชันนอกทํ
้ าเปนยอดปรางค์ แลเพิ่ม
บานให้ เปน ๒ ชัน้ แต่หาทันแล้ วสําเร็จทุกประตูไม่
( ประตูพระราชวังชันนอกเมื
้ ่อแรกสร้ างในรัชกาลที่ ๑ ทําด้ วย
เครื่ องไม้ ยอดทรงมณฑป ถึงรัชกาลที่ ๓ สร้ างเปนเครื่ องก่ออิฐถือ
ปูน ทําเปนซุ้มฝรั่ง ตามแบบประตูพระราชวังชันนอกที ้ ่กรุงเก่า
เหมือนอย่างประตูรัตนพิศาลที่ยงั เหลืออยูบ่ ดั นี ้ ที่แก้ เปนยอดปรางค์
ในรัชกาลที่ ๔ ก็ถ่ายอย่างมาแต่ประตูพระราชวัง ( ชันกลาง ้ ) ครัง้
กรุงเก่าเหมือนกัน
ป้อมรอบพระราชวัง
โปรดให้ สร้ างป้อมที่กําแพงพระราชวังเพิ่มขึ ้นข้ างด้ านตวันออก ๓
ป้อม คือ ป้อมสัญจรใจวิง ตรงถนนบํารุงเมืองป้อม ๑ ป้อมขยันยิง
ยุทธ ริมพระที่นงั่ สุทไธสวรรย์ข้างเหนือป้อม ๑ ป้อมฤทธิรุตม์โรมรัน
ริมพระที่นงั่ สุทไธสวรรย์ข้างใต้ ป้อม ๑
โปรดให้ สร้ างพลับพลาบนป้อมขันธ์เขื่อนเพ็ชร์ ริมประตูวิเศษ
ไชยศรี เปนที่เสด็จออกทอดพระเนตรช้ างนํ ้ามันแห่ง ๑ สร้ างพระที่
นัง่ บนกําแพงพระราชวังตรงน่าวัดพระศรี รัตนศาสดาราม พระราชทาน

๒๒
นามว่า พระที่นงั่ ไชยชุมพลองค์ ๑. (นามพระที่นงั่ ไชยชุมพลสัมผัส
เข้ าลําดับต่อพระที่นงั่ อมริทร วินิจฉัย ต่อน่าพระที่นงั่ ภูวดลทัศไนย )
พระที่น่ ังสุทไธสวรรย์
โปรดให้ ปฏิสงั ขรณ์พระที่นงั่ สุทไธสวรรย์ ( เห็นจะคราวเดียวกับ
สร้ างพระอภิเนาวนิเวศน์ ) ของเดิมเปนฝาไม้ แก้ เปนตึกในครัง้ นี ้
พระที่นงั่ สุทไธสวรรย์นี ้เมื่อสร้ างขึ ้นในรัชกาลที่ ๑ เปนพลับพลา
โถงจตุรมุข ( เหมือนอย่างพลับพลาสูงวังน่าซึง่ สร้ างเมื่อในรัชกาลที่ ๔
นัน้ ) จึงเรี ยกว่าพลับพลาสูง ถึงรัชกาลที่ ๓ โปรด ฯ ให้ แก้ เปน
ปราสาทแต่ยงั เปนเครื่ องไม้ พระราชทานนามว่า พระที่นงั่ สุทธาสวรรย์
ถึงรัชกาลที่ ๔ ทรงเปลี่ยนนามเปนพระที่นงั่ สุทไธสวรรย์ ต่อมาถึง
รัชกาลที่ ๕ ได้ ซอ่ มแซมใหม่อิกครัง้ ๑ ในรัชกาลปั จจุบนั นี ้แก้ ไข
ข้ างในอีกบ้ างเล็กน้ อย
ตาหนักสวนกุหลาบ
ที่สวนกุหลาบข้ างด้ านใต้ พระอภิเนาวนิเวศน์ โปรดให้ แก้ ที่คลัง
ศุภรัตเดิมสร้ างเปนตําหนักพระราชทานเปนที่ประทับของพระบาทสม
เด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั เมื่อลาผนวชสามเณรแล้ วแห่ง ๑.
สถานที่ต่าง ๆ ที่ทรงสร้ างแลปฏิสงั ขรณ์ในวัดพระศรี รัตนศาสดา
ราม จะพรรณาในตอนว่าด้ วยพระอารามทังหลายที ้ ่ทรงสร้ างแลปฏิสงั
ขรณ์ อันจะปรากฏข้ างน่าต่อไป.
ประมาณแผนผังพระอภิเนาวนิเวศน์

๒๓
สถานที่ต่าง ๆที่ทรงสร้ างรอบนอกพระราชวัง
ท้ องสนามหลวง
ที่ทงุ่ ข้ างเหนือพระราชวัง เดิมเรี ยกว่าทุง่ พระเมรุ โปรดให้ เรี ยก
ว่าท้ องสนามหลวง แลตอนข้ างใต้ ในสนามนันโปรดให้ ้ สร้ างบริเวณ
สําหรับการพระราชพิธีพืชมงคลแลพิธีพรุณสาตร มีกําแพงแก้ ว
ล้ อมรอบ ข้ างในสร้ างหอพระเปนที่ประดิษฐานพระสําหรับการพิธี มีพระ
พุทธคันธารราฐเปนต้ น หลัง ๑ มีพลับพลาที่ทําการพระราชพิธีหลัง ๑
มีหอสําหรับดักลมลงที่พลับพลาหลัง ๑ ข้ างพลับพลามีโรงลครสําหรับ
เล่นบวงสรวงหลัง ๑ ข้ างด้ านเหนือมีพลับพลาน้ อยสร้ างบนกําแพง
แก้ ว สําหรับประทับทอดพระเนตรทํานาในทุง่ นันหลั ้ ง ๑ แลสร้ างฉาง
สําหรับไว้ เข้ านาหลวงในบริเวณนันด้ ้ วยอิกหลัง ๑.
( การทํานาที่ท่งุ พระเมรุ ที่กล่าวกันว่าตังต้
้ นทําเปนการหลวงเมื่อใน
รัชกาลที่ ๓ ประสงค์จะให้ ปรากฏไป ถึงนานาประเทศว่า เมืองไทย
บริบรู ณ์ด้วยเข้ าปลาอาหารมีไร่นาจนกระทัง่ ใกล้ ๆ พระราชวัง เพราะ
ไทยเอาใจใส่ในการสะสมเสบียงอาหารไว้ เปนกําลังบ้ านเมือง ด้ วยใน
สมัยนันมี
้ ทตู ญวนไปมาอยูก่ บั เมืองไทยเนือง ๆ จึงทํานาในท้ อง
สนามหลวงตลอดมาจนรัชกาลที่ ๔ ที่พลับพลาท้ องสนามหลวงเปนที่
ทําพระราชพิธีพืชมงคลแลพิธีพรุณสาตรมาจนในรัชกาลที่ ๕ ครัน้ เมื่อ
ทําสนามใหญ่ที่บริเวณนันกี
้ ดอยูใ่ นสนาม ทังสถานต่
้ าง ๆ มีพลับพลา
เปนต้ นชํารุดทรุดโทรม จึงโปรดให้ รือ้ เสียหมด )

๒๔
ท้ องสนามไชย
ทางด้ านตวันออกพระราชวัง ที่สนามน่าพระที่นงั่ สุทไธสวรรย์
ให้ ปักเสานางเรี ยงเปนเขตร ข้ างเหนือแถว ๑ ข้ างใต้ แถว ๑ ในบริเวณ
นันให้
้ เรี ยกว่าท้ องสนามไชย เอาพระที่นงั่ สุทไธสวรรย์เปนกึ่งกลาง
สร้ างแท่นเบญจาเปนที่ข้าราชการเฝ้าข้ างน่าพระที่นงั่ สุทไธสวรรย์ มีเกย
ช้ างอยูข่ ้ างเหนือ แลเกยพระราชยานอยูข่ ้ างใต้ ตรงน่าพระที่นงั่ สุทไธ
สวรรย์ ข้ ามฟากสนามหลวงโปรดให้ สร้ างตึก ๒ ชัน้ เปนที่สําหรับ
นายทหารอยูแ่ ถว ๑ ต่อไปข้ างเหนือ ( ตรงวังสราญรมย์ ) สร้ างโรง
ทหารแถว ๑
(สนามน่าพระที่นงั่ สุทไธสวรรย์ เดิมมักเรี ยกว่า “ สนามน่า
จักรวรรดิ” อย่างสนามน่าพระที่นงั่ จักรวรรดิไพชยนต์ในกรุงเก่า จึง
โปรดให้ ขนานนามว่า สนามไชย ตามตําราโบราณ ที่ปักเสานางเรี ยง
แลสร้ างแท่นเบญจานัน้ ก็ทําตามโบราณเหมือนกัน )
โรงม้ าแซง
เหนือสนามไชยไปถึงหัวถนนบํารุงเมืองซึง่ สร้ างใหม่ โปรดให้
สร้ างโรงม้ าแซง ๒ ข้ าง โรงโขน อยูก่ ลาง ตรงน่าพระที่นงั่ ไชยชุมพล
ศาลเทพารักษ์
แลที่ศาลหลักเมือง เดิมหลังคาเปนศาลา โปรดให้ ก่อเปนยอดปรางค์
ตามแบบอย่างศาลาที่กรุงเก่า แลที่ศาลพระเสื ้อเมือง ศาลพระทรงเมือง
ศาลพระกาฬ แลศาลเจ้ าเจตคุปต์ เดิมเปนหลังคาศาลา ก็โปรดให้
ก่อเปนยอดปรางค์เหมือนกับศาลาหลักเมือง

๒๕
หอกลอง
หอกลองที่นา่ หับเผย (ในบริเวณสวนเจ้ าเชตบัดนี ้ ) นัน้ โปรด
ให้ ซอ่ มแซมแล้ วแก้ ทรงหลังคา ของเดิมเปนทรงยอดเกี ย้ ว แก้ เปน
ยอดทรงมณฑป.
สิ่งซึง่ ทรงสร้ างในวัดพระเชตุพนจะงดไว้ พรรณาในตอนที่วา่ ด้ วยพระ
อารามใหญ่น้อยที่ทรงสร้ างแลบูรณปฏิสงั ขรณ์ตอ่ ไป.
ศาลต่ างประเทศ
ที่เหนือท่าเตียนโปรดให้ สร้ างตึกขึ ้น ๔ หลัง หลังใต้ เปนที่กรม
ท่ารับกงสุลต่างประเทศ แลต่อมาใช้ เป็ นศาลต่างประเทศด้ วย ตึกต่อ
ขึ ้นมาเปนที่สําหรับแขกเมือง แลเปนที่อยูข่ องฝรั่งที่รับราชการ.
( สถานที่ตา่ ง ๆ ซึง่ ทรงสร้ างด้ านตวันออกแลด้ านใต้ พระราชวัง
ดังกล่าวมานี ้ ยังคงอยู่บดั นี ้แต่ศาลหลักเมืองแลศาลเทพารักษ์ ที่ในบริ เวณ
สวนเจ้ าเชตอิก ๔ ศาล กับตึกแถว ๒ ชันที ้ ่นา่ พระที่นงั่ สุทไธสวรรย์
นอกจากนันรื
้ อ้ ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อสร้ างศาลาว่าการกระทรวงกระลาโหม
บ้ าง เมื่อขยายเขตรวังสราญรมย์บ้าง เมื่อแต่งท้ องสนามไชยบ้ าง
เมื่อย้ ายคุกไปที่คกุ ใหม่บ้าง )
ท่ าราชวรดิฐ
ด้ านตวันตกพระราชวัง ที่พระตําหนักนํ ้าเดิมเปนตําหนักปั กเสา
ลงในนํ ้า ทอดคานเหมือนอย่างเรื อนแพ แต่หลังคามุงกระเบื ้อง
โปรดให้ รือ้ ตําหนักของเดิมเสีย แล้ วลงเขื่อนถมที่ขึ ้นเสมอพื ้นแผ่นดิน

๒๖
สร้ างพระที่นงั่ ขึ ้นหมู่ ๑ เปนพลับพลาสูงตรงกลางองค์ ๑ พระราชทาน
นามว่า พระที่นงั่ ชลังคพิ มาน ต่อพลับพลาสูงเข้ าไปทางด้ านตวันออกมี
พระที่นงั่ สูงเปนที่ประทับองค์ ๑ พระราชทานนามว่าพระที่นงั่ ทิพยสถาน
เทพสถิตย์ พระที่นงั่ ข้ างเหนือลดพื ้นตํ่าลงมาเปนท้ องพระโรงฝ่ ายน่า
องค์ ๑ พระราชทานนามว่าพระที่นงั่ ราชกิจวินิจฉัย มีพระที่นงั่
ข้ างใต้ เหมือนกันกับองค์ข้างเหนือ เปนที่พกั ฝ่ ายในอิกองค์ ๑ พระ
ราชทานนามว่าพระที่นงั่ อนงค์ในสราญรมย์ ตรงน่าพระที่นงั่ ชลังคพิมาน
ใต้ ทา่ ทางเสด็จลงเรื อ ก่อเขื่อนทําสระเปนที่สรงสระ ๑ ก่อกําแพงเปนบ
ริเวณข้ างในทัง้ ๓ ด้ าน มีป้อมริมนํ ้าปลายแนวกําแพงด้ านเหนือ
พระราชทานชื่อว่า ป้อมพรหมอํานวยศิลป์ป้อม ๑ ป้อมข้ างใต้ ตรง
กันชื่อ ป้อมอินทร์ อํานวยศรป้อม ๑ โปรดให้ เรี ยกรวมกันทังบริ ้ เวณว่า
ท่าราชวรดิฐ ข้ างเหนือขึ ้นไปให้ ทําท่าสําหรับเรื อข้ าราชการอีกท่า ๑
โปรดให้ เรี ยกว่า ท่านิเวศน์วรดิฐ.
ประปา
ที่เหนือท่านิเวศน์วรดิษฐ โปรดให้ ตั ้งเครื่ องสูบนํ ้าด้ วยเครื่ องจักร
แลสร้ างถังสูงสําหรับขังนํ ้าที่สบู ขึ ้นไปจากแม่นํ ้า แล้ วฝั งท่อไขนํ ้าเข้ าไป
ใช้ ในพระราชวัง
( ประปาที่ยงั ใช้ มาจนตลอดรัชกาลที่ ๕ พึง่ เลิกเมื่อมีประปาสําหรับ
พระนคร )
( ในรัชกาลที่ ๕ พระที่นงั่ ในบริเวณท่าราชวรดิฐผุชํารุด โปรดให้
ซ่อมรักษาไว้ แต่พระที่นงั่ ราชกิจวินิจฉัย ยังคงอยูจ่ นบัดนี ้ นอกนันให้
้ รือ้
ปราบที่ทําสนามเมื่อขยายเขื่อนออกไปข้ างน่า)
๒๗
ประปา
ในบริเวณพระราชวังบวรสถานมงคล
ที่ในพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงสร้ างพระที่นงั่ เก๋งขึ ้นข้ าง
ด้ านเหนือพระวิมานองค์ ๑ พระราชทานนามว่า “ พระที่นงั บวรบริ วตั ร ”
เปนที่ประทับเวลาเสด็จขึ ้นไปพระบวรราชวัง เวลาเมื่อพระบาทสมเด็จ
พระปิ่ นเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั เสด็จสวรรคตแล้ ว.
( พระที่นงั่ เก๋งนี ้ พระบาทสมเด็จพระปิ่ นเกล้ าเจ้ าอยู่หวั ได้ ทรงเริ่ ม
สร้ างได้ หน่อยหนึง่ ค้ างอยูเ่ ปนแต่ทรงสร้ างให้ สําเร็จ ด้ วยเมื่อ
พระบาทสมเด็จพระปิ่ นเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั เสด็จสวรรคตแล้ ว ทรงพระ
ปริวิตกว่าพระบวรราชวังจะเปนวังร้ าง พระราชวงศ์ฝ่ายในทาง
พระราชวังบวรฯ ก็ยงั มีอยู่ทั ้ง ๔ รัชกาลจะทรงว้ าเหว่นกั จึงทรงพระ
อุสาหะเสด็จขึ ้นไปประทับเปนประธานอยูใ่ นพระบวรราชวังเปนครัง้ เปนค
ราว ด้ วยเหตุนี ้จึงโปรด ให้ สร้ างพระที่นงั่ บวรบริวตั รขึ ้นเปนที่ประทับ
พระที่นงั่ บวรบริวตั ยังอยูบ่ ริบรู ณ์ในบัดนี ้ )
พระราชวังนันทอุทยาน
โปรด ฯ ให้ ซื ้อสวนในคลองมอญทางฝั่ งเหนือตําบล ๑ แล้ วโปรด
ให้ สมเด็จเจ้ าพระยาบรมมหาพิไชยญาติเปนนายงาน สร้ างพระราชวัง
ขึ ้นในที่นนอิ
ั ้ กแห่ง ๑ พระราชทานนามว่า วังนันทอุทยาน มีพระ
ตําหนักที่เสด็จประทับแลตําหนักข้ างในอิกหลายหมู่ มีเขื่อนเพ็ชรล้ อม
แล้ วขุดคลองต่อจากคลองมอญเข้ าไปจนถึงที่ประทับที่สร้ างนัน้
ลงมือสร้ างได้ หน่อยหนึง่ สมเด็จเจ้ าพระยาบรมมหาพิไชยญาติถึงพิราลัย

๒๘
จึงโปรดให้ กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเปนนายงานต่อมา จนถึงปี ฉลู
พ.ศ. ๒๔๐๘ จึงหยุดการสร้ างวังนันทอุทยาน.
(วังนันทอุทยานลงมือสร้ างเมื่อปี มะเสง พ.ศ. ๒๔๐๐ เหตุที่ทรง
สร้ างวังนันทอุทยานนี ้ โดยทรงพระราชปรารภว่า ถ้ าพระองค์เสด็จ
สวรรคตลง พระราชโอรสธิดาแลเจ้ าจอมมารดาอยูใ่ นพระบรมมหา ราช
วังบางทีจะลําบาก ฤๅมิฉนันก็
้ กีดขวางแก่พระบาทสมเด็จพระปิ่ น
เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ซึง่ จะรับรัชทายาท จึงทรงสร้ างวังนันทอุทยานขึ ้นเปนที่
ประพาศ แลเตรี ยมไว้ สําหรับเปนที่อยูข่ องพระราชโอรสธิดา ในเวลา
เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ ว ครัน้ พระบาทสมเด็จพระปิ่ นเกล้ าเจ้ าอยู่หวั
เสด็จสวรรคตเสียก่อน ไม่มีข้อปั ญหาที่ทรงปรารภไว้ พอพระเจ้ าลูก
เธอพระองค์ชายทรงพระเจริ ญขึ ้นหลายพระองค์ ถึงเวลาที่จะต้ องสร้ างวัง
จึงโปรดให้ รือ้ ตําหนักฝ่ ายในที่วงั นันทอุทยานมาสร้ างตําหนักพระราชทาน
ที่วงั พระเจ้ าลูกเธอ คือ วังกรมหลวงพิชิตปรี ชากรแห่ง ๑ วังกรมหมื่น
ภูธเรศธํารงศักดิแ์ ห่ง ๑ วังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์แห่ง ๑ วังกรม
หมื่นราชศักดิส์ โมสรแห่ง ๑ วังกรมขุนศิริธชั สังกาศแห่ง ๑ ที่ไม่ได้
พระราชทานตําหนักนันทอุทยานมีบ้าง คือ วังกรมพระนเรศร์ วรฤทธิ
แห่ง ๑ เพราะเจ้ าพระยามหาโยธา ทอเรี ย คชเสนี ปู่ ของเจ้ าจอม
มารดากลิ่น ยกที่บ้านเรื อน (ตรงวังที่ประทับทุกวันนี ้) ถวายสมโภช
เมื่อประสูตร แลกรมหลวงอดิศรอุดมเดช กรมหลวงประจักษ์ศลิ ปาคม
ทัง้ ๒ พระองค์นี ้ ได้ พระราชทานวังเก่าอันมีตําหนักอยูแ่ ล้ ว ส่วนพระ
ทางเข้ าพระที่นงั่ อนันตสมาคม

๒๙
ตําหนักแลที่ประทับที่สวนนันทอุทยานทังตํ ้ าบลนัน้ พระราชทานแก่
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หวั ครัน้ เมื่อถึงในรัชกาลที่ ๕ ชั ้น
แรกพระราชทานที่พระตําหนักในนันทอุทยานให้ เปนโรงเรี ยนสอน
ภาษาอังกฤษ ครัน้ โรงเรี ยนนันย้ ้ ายมาตังที ้ ่โรงเรี ยนสุนนั ทาลัย (
อันเปนโรงเรี ยนราชินีบดั นี ้ ) จึงพระราชทานที่นนั ทอุทยานให้ ใช้
ราชการทหารเรื อ แต่นนมา ั้ )
สระปทุมวัน
เดิมมีที่นาหลวงอยู่ในทุง่ บางกะปิ ริ มคลองสามเสนแห่ง ๑ ( เห็น
จะจับไว้ แต่เมื่อขุดคลองไปบางขนากในรัชกาลที่ ๓ ) โปรดให้ สมเด็จ
เจ้ าพระยาบรมมหาพิไชยญาติเปนแม่กอง แลพระสามภพพ่ายหนูซึ่ง
ภายหลังได้ เปนพระยาเพ็ชรพิไชยเปนนายงาน สร้ างสระบัวที่เสด็จ
ประพาศแห่ง ๑ เหมือนที่มีเมื่อครัง้ กรุงเก่า ขุดสระใหญ่ ๒ สระติดต่อ
ถึงกัน สระในอยู่ข้างเหนือ เปนที่เสด็จประพาศ สระนอกอยู่ข้างใต้ เปนที่ม
หาชนไปเล่นเรื อ ดินที่ขดุ ขึ ้นจากสระทิ ้งทําเปนเกาะน้ อยใหญ่หลาย
เกาะ ที่ฝั่งก็ถมที่ทําเปนสวน แล้ วขุดคลองไขนํ ้าจากคลองแสนแสบ
ทําทางเรื อเข้ าในสระ ที่ฝั่งสระข้ างด้ านเหนือไปจนฝั่ งคลองแสนแสบ
ตั ้งบริเวณพลับพลาที่เสด็จประทับ มีพระที่นงั่ ๒ ชั ้นที่ประทับแรมอยู่ริม
สระแลมีพลับพลาที่เสด็จออกแลโรงลคร เรื อนข้ างใน ครบทุกอย่าง
พระราชทานให้ เรี ยกที่สระบัวซึง่ ทรงสร้ างใหม่รวมกันทังตํ ้ าบลว่า “ ปทุม
วัน ” แล้ วโปรดให้ สร้ างพระอารามขึ ้นที่ริมสระนอกข้ างด้ านตวันตกพระ

๓๐
อาราม ๑ พระราชทานนามว่า “ ปทุมวนาราม ” ให้ เปนวัดของ
สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี แลโปรดให้ อาราธนาพระสงฆ์ธรรม
ยุตกิ า มาอยูแ่ ต่แรกสร้ าง
( เมื่อแรกสร้ างปทุมวัน ยังไม่มีถนนออกไปจากในพระนคร
ต้ องเสด็จแต่ทางเรื อ จึงเหมือนหนึง่ เปนที่เสด็จอยูน่ อกพระนครห่างไกล
ครัง้ แรกเสด็จไปประทับแรมที่ปทุมวันเมื่อเดือน ๗ แรม ๔ คํ่า ปี มะเสง
พ.ศ.๒๔๐๐ ถึงเกณฑ์นอนกองรักษาพระนครเหมือนอย่างเสด็จประ
พาศ หัวเมือง หมายรับสัง่ ยังมีสําเนาปรากฏอยู่ ภายหลังได้ เริ่มสร้ าง
ถนน ต่อจากประตูพฤฒิบาศ เรี ยกว่าถนนบางกะปิ เคียงถนนเพ็ชรบุรี
เดี๋ยวนี ้ยังมีคนั ถนนเหลืออยูบ่ างแห่ง ภายหลังเลิกใช้ ถนนนัน้ เปลี่ยน
ต่อจากถนนบํารุงเมืองออกไป ที่เปนถนนพระราม ๑ เดี๋ยวนี ้ ไปเลียว
อ้ อมสระหรื อตรงกับแนวถนนราชดําริห์แต่ไม่ได้ ถมอิฐ มาทําเสร็จเมื่อ
รัชกาลที่ ๕ สระปทุมวันยังเปนที่ราษฎรไปเล่นแข่งเรื อกันในระดูนํ ้า
เดือน๑๑เดือน ๑๒ ทุกปี ได้ โปรด ฯ ให้ พระยานานาพิธภาษี บุตร
สมเด็จเจ้ าพระยาบรมมหาพิไชยญาติซงึ่ เปนกองเดิม เปนนายงาน
ปฏิสงั ขรณ์ปทุมวันครัง้ ๑ แต่นานมาสระตื ้นเสียหมด จึงพระราชทาน
ให้ เปนที่โรงทหารน่า ครัน้ ทหารย้ ายไปอยูท่ ี่อื่นแล้ ว จึงใช้ เปนแตที่มี
การสมาคมพิเศษ เช่น แสดงกสิกรรม เปนต้ นมาเนือง ๆ )

๓๑
วังสราญรมย์
ในปลายรัชกาลที่ ๔ เมื่อปี ขาล พ.ศ. ๒๔๐๙ โปรดให้ พระยา
บุรุษรัตนราชพัลลภ๑ เปนแม่กองสร้ างพระราชวังขึ ้นตรงที่ตกึ ดินเก่า
แห่ง ๑ พระราชทานนามว่า วังสราญรมย์ ยังอยูจ่ นบัดนี ้
( เหตุที่จะสร้ างวังสราญรมย์นี ้ ด้ วยพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอม
เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ทรงพระราชดําริห์วา่ เมื่อพระบาทสมเด็จฯ พระจุล
จอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั เจริญพระชัณษาได้ ทรงอุปสมบทแล้ ว จะทรงมอบ
เวนราชสมบัตพิ ระราชทาน ส่วนพระองค์จะเสด็จออกไปประทับอยูท่ ี่วงั
วังสราญรมย์ เปนตําแหน่งพระเจ้ าหลวงช่วยทรงแนะนําราชการแผ่นดินไป
จนตลอดพระชนมายุ แต่เสด็จสวรรคตเสียก่อน ในรัชกาลที่ ๕
พระราชทานวังสราญรมย์ ให้ เปนที่ประทับของสมเด็จเจ้ าฟ้ากรมพระ
ยาภาณุพนั ธุวงศ์วรเดช จนสร้ างวังบุรพาภิรมย์แล้ ว แลต่อมาเมื่อทรง
ตัง้ สมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการเปนเสนาบดีวา่ การกระทรวงต่างประเทศ
โปรดให้ ใช้ วงั สราญรมย์ เปนศาลาว่าการต่างประเทศอยูค่ ราว ๑ ต่อมา
จัดเปนที่สําหรับรับเจ้ าต่างประเทศ แล้ วพระราชทานให้ เปนที่ประทับ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมาจนตลอดรัชกาล
วังสราญรมย์แก้ ไขเมื่อในรัชการที่ ๕ หลายอย่าง แต่ตวั ตึกเป
นของเดิมโดยมาก ของสร้ างใหม่แต่มขุ บันไดด้ านใต้ อย่าง ๑ ตึกที่
บรรธมอยูด่ ้ านตวันออกหลัง ๑ แต่เดิมทางท้ องสนามไชยมีโรงทหาร
บังตลอด รื อ้ โรงทหารขยายเขตรวังสราญรมย์ออกมาต่อท้ องสนามไชย
อิกอย่าง ๑
๑ ได้ เปนเจ้ าพระยามหินทรศักดิ์ธํารงในรัชกาลที่ ๕
๓๒
ขุดคลองแลทาถนนในจังหวัดพระนคร
๑ คลองผดุงกรุงเกษม
เมื่อปี กุญ พ.ศ. ๒๓๙๔ โปรดให้ เจ้ าพระยาศรี สรุ ิ ยวงศ์ที่สมุหพระ
กลาโหมเปนแม่กอง ให้ เจ้ าหมื่นไวยวรนารถ ( วร ) เปนนายงานขุด
คลองแต่ลําแม่นํ ้าที่ใต้ วดั เทวราชกุญชรผ่านคลองมหานาคไปออกแม่นํ ้า ที่
เหนือวัดแก้ วแจ่มฟ้าคลอง๑ ๑ เปนคูพระนครชั ้นนอกกว้ าง ๑๐ วาลึก ๖
ศอก ยาว ๑๓๗ เส้ น ๑๐ วาสิ ้นค่าจ้ างขุดเปนเงิน๒๗,๕๐๐ บาท สําเร็จ
ในปี ขาล พ.ศ. ๒๓๙๗ ได้ เปิ ดคลองเมื่อณวันอาทิตย์ เดือนอ้ าย แรม
คํ่า ๑ พระราชทานนามว่า คลองผดุงกรุงเกษมแลมีงานมโหรศพ
ฉลอง ๓ วัน ต่อมาโปรดให้ สร้ างป้อมตามแนวคลองเปนระยะห่างกัน
ประมาณ ๑๒ เส้ น รวม ๘ ป้อม คือ
๑ ป้อมป้องปั จจามิตร อยูฝ่ ั่ งตวันตกที่ปากคลองสาร
๒ ป้อมปิ ดปั จนึก อยูท่ ี่ปากคลองผดุง ฯ ข้ างใต้
๓ ป้อมฮึกเหี ้ยมหาญ
๔ ป้อมผลาญไพรี ราบ อยูต่ รงตลาดหัวลําโพง
๕ ป้อมปราบสัตรูพา่ ย อยูท่ ี่ริมวัดพลับพลา ไชย
๖ ป้อมทําลายแรงปรปั กษ์ อยูต่ รงมุมถนนหลานหลวง
๗ ป้อมหักกําลังดัษกร อยูต่ รงถนนราชดําเนิน
๘ ป้อมพระนครรักษา อยูร่ ิมวัดนรนารถ
๑ วัดแก้ วแจ่มฟ้า เดิมอยู่ตรงหลังธนาคารฮ่องกงเซี่ยงไฮ้ ย้ ายไปอยู่ถนนสี่พระยา
เมื่อ ในรัชกาลที่ ๕

๓๓
( ป้อม ๘ ป้อมนันสร้
้ างไม่ทนั แล้ วหมด ถึงรัชกาลที่ ๕เมื่อเขตร
พระนครขยายต่อออกไปอิก ป้อมเหล่านันไม่ ้ เปนประโยชน์ดงั แต่ก่อน
จึงโปรดให้ รือ้ เอาที่สร้ างสถานที่ตา่ ง ๆ โดยมาก ยังเหลืออยูเ่ วลานี ้แต่
ป้อมป้องปั จจามิตรข้ างฝั่ งตวันตกที่ปากคลองสาร กับป้อมปิ ดปั จนึก
ข้ างฝั่ งตวันออกที่ปากคลองผดุง ฯ ข้ างใต้ ๒ ป้อมเท่านัน้ )
๒ คลองถนนตรง
เมื่อปี มะเสง พ.ศ. ๒๔๐๐ โปรดให้ เจ้ าพระยาทิพากรวงศ์ เป
นแม่กองขุดคลองต่อจากคลอง ผดุงกรุงเกษมฝั่ งนอก ตรงหัวลําโพงลง
ไป ต่อคลองพระโขนงคลอง ๑ กว้ าง ๖ วา ลึก ๖ ศอก ยาว ๒๐๗
เส้ น ๒ วา ๓ ศอก ทิ ้งดินที่ขดุ ขึ ้นแต่ทางฝั่ งคลองข้ างเหนือฝั่ งเดียว
แล้ วปราบทําเปนถนนลงไปจนตลอดคลอง สิ ้นค่าจ้ างทั ้งขุดคลองถมถนน
เบ็ดเสร็จเปนเงิน ๑๖,๖๓๓ บาท โปรดให้ เรี ยกชื่อคลองว่า “คลองถนน
ตรง” แล้ วแต่งคลองพระโขนงแต่ที่ตอ่ คลองนี ้ไปจนออกแม่นํ ้าด้ วย
(เหตุที่จะขุดคลองถนนตรงนั ้น ปรากฏว่าพวกฝรั่งที่เข้ ามาตั ้งห้ าง
ค้ าขายอยูใ่ นเวลานัน้ ทําเรื่ องราวเข้ าชื่อกันยื่นต่อกรมท่าว่า ที่ตงห้
ั ้ าง
ค้ าขายทางริมแม่นํ ้าข้ างใต้ พระนคร เรื อลูกค้ าจะขึ ้นมาค้ าขายถึงพระ
นครต้ องทวนนํ ้าเสียเวลาลําบาก พวกพ่อค้ าต่างประเทศคิดจะลงไปตั ้ง
ห้ างค้ าขายที่ใต้ ปากคลองพระโขนงลงไปจนบางนา ขอให้ รัฐบาลช่วย
สงเคราะห์ขดุ คลอง ( แลทําถนน ) เปนทางลัดให้ ไปมาค้ าขายถึงพระ
นครได้ โดยสดวก จึงโปรดให้ ขดุ คลองถนนตรง แต่ภายหลังมาจะ เป
นด้ วยเหตุใดหาปรากฏไม่ พวกฝรั่งหาได้ ย้ายลงไปทางห้ างตามที่คดิ ไว้
แต่เดิมไม่ )
๓๔
ถนนในจังหวัดพระนคร
๑ ถนนเจริญกรุง ตอนใต้
เมื่อปี ระกา พ.ศ. ๒๔๐๔ โปรดให้ เจ้ าพระยาศรี สรุ ิยงศ์ ที่สมุห
พระกลาโหมเปนแม่กอง พระอินทราธิบดีสีหราชรองเมืองเปนนายงาน
ตัดถนนตั ้งแต่คลองคูพระนครชั ้นใน ที่ริมวังเจ้ าเขมร ตรงลงไปต่อกับถนน
ตรงไปพระโขนง ที่คลองผดุงกรุงเกษมตรงหัวลําโพงสาย ๑ ตัดถนน
แยกจากถนนตัดใหม่ที่วา่ มาแล้ วที่เหนือวัดสามจีน ทําถนนลงไปข้ าม
คลองผดุง ฯ ที่ใต้ วดั ตะเคียน แล้ วตรงลงไปทางหลังบ้ านฝรั่งจนตก ฝั่ ง
แม่นํ ้าที่ตําบลดาวคนองสาย ๑ แล้ วให้ ขดุ คลองขวางแต่บางรักไปถึงถนน
ตรงตรงศาลา ( แดง ) ที่เจ้ าพระยาทิพากรวงศ์สร้ างไว้ ทิ ้งดินทางฝั่ งใต้
ทําเปนถนน ( ที่เรี ยกกันทุกวันนี ้ว่าถนนสีลม )อีกสาย ๑ ถนนทั ้ง ๓ สาย
นี ้ตัดกว้ าง ๕ วา ๒ ศอก ถนดินสูงกว่าพื ้นเดิม ๒ ศอกคืบ เปนระยะ
ทางยาวรวมกันทั ้ง ๓ สาย ๒๘๑ เส้ น ๕ วา ค่าจ้ างทําถนนเปนเงิน
๑๘,๐๓๘ บาท ค่าจ้ างขุดคลอง ( ถนนสีลม )เปนเงิน ๘,๑๙๔ บาท
แล้ วให้ รือ้ กําแพงทําประตูพระนครแลสร้ างสพานเหล็กข้ ามคลองคูพระ
นครที่ตรงถนนเข้ ามาต่อกับถนนในพระนคร.
การสร้ างถนน ๓ สายที่กล่าวมานี ้ จะต้ องทําสพานข้ ามคลอง
ที่ถนนผ่านไปหลายสพานด้ วย กันจึงโปรดให้ บอกบุญ มีผ้ ศู รัทธารับ
สร้ างสพานหลายแห่ง คือ
พระที่นงั่ ภูวดลทัศไนย (หอนาฬิกา)
๓๕
สพานถนนสาเพ็ง
๑ สพานหันเดิมเปลี่ยนเปนสพานเหล็ก ของหลวงทรงสร้ าง
จํานวนเงินหาปรากฏไม่
๒ สพานข้ ามคลองวัดจักรวรรดิ์ กรมหมื่นวิศณุนารถนิภาธร
ทรงสร้ าง เปนสพานไม้ สิ ้นเงิน ๘๐๐ บาท
๓ สพานข้ ามคลองศาลเจ้ าเก่า หลวงศรี ทรงยศสร้ าง สิ ้น
เงิน ๑,๖๐๐ บาท
สพานถนนเจริญกรุง
๑ สพานเหล็ก ( ดํารงสถิตย์ ) เจ้ าพระยาศรี สรุ ิยวงศ์สร้ าง สิ ้น
เงิน ๑๒,๘๐๐ บาท
๒ สพานข้ ามคลองวัดใหม่ ( กันมาตุยาราม ) นางกลีบผู้สร้ าง
วัดรับสร้ าง สิ ้นเงิน
๑,๒๘๐ บาท
๓ สพานข้ ามคลองวัดสามจีน หลวงจิตรจํานงวานิชสร้ าง สิ ้น
เงิน ๑,๒๐๐ บาท
๔ สพานเหล็ก ( พิทยเสถียร ) ข้ ามคลองผดุงกรุงเกษมที่ใต้
วัดตะเคียน เจ้ าพระยาศรี สรุ ิยวงศ์สร้ าง สิ ้นเงิน ๑๐,๔๐๐ บาท
๕ สพานตรงหลังบ้ านกงซุลอังกฤษ พระภาษีสมบัตบิ ริบรู ณ์
( ยิ ้ม ) สร้ าง สิ ้นเงิน
๑,๔๔๐ บาท
๖ สพานข้ ามคลองบางรัก หลวงพิศาลศุภผลสร้ าง สิ ้น
เงิน ๑,๒๘๐ บาท
๓๖
๗ สพานเหนือวัดยานนาวา พระยาโชฎึก ( จ๋อง ) สร้ าง สิ ้น
เงิน ๑,๖๐๐ บาท
๘ สพานใต้ วดั ยานนาวา หลวงนาวาเกณิกรสร้ าง สิ ้น
เงิน ๑,๔๔๐ บาท
๙ สพานข้ ามคลองวัดลาว ( สุทธิวราราม ) หลวงไมตรี วานิช
สร้ าง สิ ้นเงิน ๑,๓๖๐ บาท
๑๐ สพานเข้ าคลองบางขวาง หลวงภาษีวิเศษสร้ าง สิ ้น
เงิน ๑,๖๐๐ บาท
สพานถนนขวาง ( สีลม )
๑ สพานข้ ามปลายคลองบางขวางต่อถนนขวางที่ขดุ ใหเจ้ าพระ
ยาพลเทพ ( หลง ) สร้ างสิ ้นเงิน ๙๖๐ บาท
สพานคลองถนนตรง
๑ สพานข้ ามคลองถนนตรงที่ศาลาแดง เจ้ าพระยาทิพากรวงศ์
สร้ าง สิ ้นเงิน ๘๐๐ บาท
๒ สพานข้ ามคลองไปปทุมวัน๑ เจ้ าพระยาทิพากรวงศ์สร้ าง สิ ้น
เงิน ๑,๐๔๐ บาท
๒ ถนนเจริญกรุง ตอนใน
ถึงปี จอ พ.ศ. ๒๔๐๕ โปรดให้ เจ้ าพระยายมราชครุฑ เปนแม่ก
องพระพรหมบริรักษ์เปนนายงาน ขยายทางเดิมบ้ าง ตัดใหม่บ้าง
ทําเปน


คลองขุดแต่คลองถนนตรงไปปทุมวัน น่าจะขุดในครัง้ นันเหมื
้ อนกันจึงทํา
สพานที่กล่าวนี ้ แต่หาปรากฏในจดหมายเหตุไม่
๓๗
ถนนหลวงกว้ าง ๔ วา แต่ถนนน่าวัดพระเชตุพนไปออกประตู( สามยอด )
สพานเหล็กที่ทําใหม่ ต่อกับถนนใหม่ข้างตอนใต้ เปนระยะทาง
๒๕ เส้ น ๑๐ วา ๓ ศอก สิ ้นค่าจ้ างถมดินก่อคันถนนแลทําท่อนํ ้า ๒ ข้ าง
รวมเปนเงิน ๑๙,๗๐๐ บาท แล ๒ ฟากถนนตอนที่ทําใหม่นี ้โปรดให้
สร้ างตึกแถวพระราชทานพระราชโอรสธิดา
๓ ถนนบารุงเมือง
ถึงปี กุญพ.ศ. ๒๔๐๖ โปรดให้ พระพรหมบริ รักษ์ เปนนายงานขยาย
ทางไปเสาชิงช้ าเดิมทําเปนถนนกว้ าง ๓ วา ตั ้งแต่สนามไชยไปจนประตู
สําราญราษฎร์ ( ออกวัดสระเกษ ) เปนระยะทาง ๒๙ เส้ น ๑๔ วา ๓ ศอก
ค่าจ้ างพูนดินถมถนนแลก่ออิฐเปนคัน๒ข้ างถนนทั ้งทําท่อไขนํ ้าทั ้ง ๒ ข้ าง
รวมเบ็ดเสร็จเปนเงิน ๑๕,๐๙๒ บาท
๔ ถนนเฟื่ องนคร
ในคราวเดียวกับเมื่อทําถนนบํารุงเมืองนัน้ โปรดให้ พระพรหม
บริรักษ์ขยายทางเปนถนนกว้ าง ๑๐ ศอกอีกสาย ๑ ตังแต่ ้ กําแพงพระ
นครทิศใต้ ที่มมุ วังกรมหลวงเทเวศร์ วชั รินทร์ เปนถนนขวางผ่าน
บ้ านหม้ อ ( แลถนนเจริญกรุง ถนนบํารุงเมือง ) ไปจนวัดบวรนิเวศ
ถึงกําแพงพระนครด้ านเหนือที่ริมวัดบวรนิเวศ เปนระยะทาง ๕๐ เส้ น
สิ ้นเงินค่าถมที่คา่ ทําคันถนนแลท่อนํ ้าเบ็ดเสร็ จเปนเงิน ๒๐,๐๔ บาท แล้ ว
โปรดให้ สร้ างตึกแถวทรงพระราชอุทศิ เปนสมบัติของวัดบวรนิเวศแถว ๑
ของวัดราชประดิษฐ์ แถว ๑.
๓๘
การสร้ างถนนทังปวงที
้ ่กล่าวมา สําเร็จในปี ชวด พ.ศ. ๒๔๐๗
จึงโปรดให้ มีการฉลองถนน ๓ วัน ตังแต่ ้ เดือน ๖ ขึ ้น ๑๑ คํ่า เปนต้ น
ไป มีงานมโหรศพแลดอกไม้ ไฟตังรทาสู ้ ง ๑๒ วาที่นา่ พระที่นงั่ ไชยชุม
พล แลเสด็จประพาศถนนที่สร้ างใหม่นนทุ ั ้ กสาย พระราชทานนามถนน
ที่ตดั ใหม่ทงตอนในแลตอนนอกพระนครว่
ั้ า “ ถนนเจริญกรุง ” พระ
ราชทานนามถนนที่ตดั ไปทางตลาดเสาชิงช้ าว่า “ ถนนบํารุงเมือง ” แล
พระราชทานนามถนนที่ตดั ขวางในพระนครว่า“ ถนนเฟื่ องนคร ”
( เหตุที่จะสร้ างถนนเจริญกรุงตอนใต้ เจ้ าพระยาทิพากรวงศ์
กล่าวว่า เดิมกงซุลต่างประเทศเข้ าชื่อกันทําเรื่ องราวถวายว่า “ ชาว
ยุโรป เคยขี่รถขี่ม้าเที่ยวตากอากาศได้ ความสบายไม่มีไข้ เจ็บ เข้ ามา
อยูท่ ี่กรุง เทพพระมหานคร ไม่มีถนนหนทางที่จะขี่รถขี่ม้าพากันเจ็บ
ไข้ เนื่อง ๆ ได้ ทรงทราบหนังสือแล้ ว ทรงพระราชดําริห์เห็นว่า พวก
ยุโรปเข้ ามาอยู่ ในกรุงมากขึ ้นทุกปี ๆ ด้ วยประเทศบ้ านเมืองเขามีถนน
หนทางก็เรี ยบ รื่ นสอาดไปทุกบ้ านทุกเมือง บ้ านเมืองของเรามีแต่รก
เรี ย้ ว หนทาง ก็เปนตรอกเล็กซอกน้ อย หนทางใหญ่ก็เปรอะเปื อ้ น
ไม่เปนที่เจริญตา ขายหน้ าแก่ชาวนานาประเทศ เขาว่าเข้ ามาเปนการ
เตือนสติ เพื่อจะ ให้ บ้านเมืองงดงามขึ ้น ” ดังนี ้ จึงโปรดให้ สร้ างถนน
ขึ ้นดังกล่าวมา การที่สร้ างถนนครัง้ นันเข้ ้ าใจว่า คงกะแผนที่ถนน
พร้ อมกันหมดทุกสายเปนแต่ลงมือสร้ างก่อนแลทีหลังกันโดยลําดับ ที่
สร้ างถนนเจริญกรุง ตอนใต้ ก่อนตอนในเมือง ก็เพราะจะให้ ฝรั่งได้
มีที่ขี่ม้าเที่ยวแล่นไสม
๓๙
ปราถนาที่ได้ กราบทูลร้ องทุกข์ มีคําเล่ากันมาว่าเมืองแผนผังจะตัด
ถนนเจริญกรุงนัน้ เดิมขีดเส้ นแต่สามแยกตรงเข้ ามาในพระนคร
พระบาทสมเด็จพระปิ่ นเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ทรงทักท้ วงว่าผิดทางยุทธสาตร
เพราะถนนตรงเช่นนัน้ ถ้ ามีข้าศึกเอาปื นใหญ่ตงที ั ้ ่ในถนนก็อาจจะยิง
ทําลายประตูเมืองได้ ด้ วยเหตุนี ้จึงได้ แก้ ถนนให้ เลี ้ยวตรงเชิงสพาน
เหล็ก ( ดํารงสถิตย์ ) แล้ วทําป้อมขึ ้นที่กําแพงเมืองให้ ตรงสูนย์ถนน
ลงไปสามแยกป้อม ๑ ซึง่ พึง่ รื อ้ เมื่อในรัชกาลที่ ๕ )
( ชื่อถนนที่พระราชทานว่า ถนนเจริ ญกรุงแต่แรกคนเรี ยกกันแต่
ว่าถนนใหม่โดยมาก ต่อมามีฝรั่งคิดตังสี ้ ลมขึ ้นที่ถนนขวาง จึงพา
กันเรี ยกถนนนั ้นว่าถนนสีลม ส่วนถนนตรงนั ้นเรี ยกกันว่าถนนหัวลําโพง
ตามชื่อทุง่ ที่ถนนผ่านไป )
สพานเหล็กที่ข้ามคูพระนครแลคลองผดุงกรุงเกษม (คือสพานหัน
สพานดํารงสถิตย์ สพานพิทยเสถียร ) แต่แรกเสาแลคานเปนเครื่ องไม้
เปนเหล็กแต่โครง พื ้นสพานมีล้อข้ างล่าง ที่คานไม้ มีรางเหล็ก ถ้ า
จะเปิ ดสพานขันจักรเดินสพานแยกออกกันไปได้ เปลี่ยนสพานใหม่
เมื่อในรัชกาลที่ ๕
ประตูเมืองนันเมื
้ ่อแรกสร้ างพระนครทําเปนประตูไม้ ในรัชกาลที่ ๓
เปลี่ยนเปนเครื่ องก่ออิฐ หลังประตูทําเปนหอรบ ( เหมือนประตูเมืองใหม่ที่
ตําบลเนินวงเมืองจันทบุรี ) ถึงรัชกาลที่ ๕ ซ่อมกําแพงแลประตูพระนคร
เมื่อปี ระกา พ.ศ.๒๔๑๖ โปรดให้ เจ้ าพระยามหินทรศักดิธ์ ํารงเปนแม่ก
องแก้ เปนประตูยอด ( อย่างประตูลงท่าขุนนางยังเหลือประตู ๑ ) ต่อ

๔๐
มาเมื่อใช้ รถกันมากขึ ้น ตรงประตู ( ซึง่ เรี ยกกันว่าประตูใหม่ ) ถนน
เจริญกรุงรถมักโดยกันด้ วยประตูแคบนัก จึงโปรดให้ กรมหมื่นภูธเรศ
ธํารงศักดิเ์ วลานันทรงบั
้ ญชาการกรมเมือง เปนแม่กองสร้ างประตูใหม่
เปนประตู ๓ ช่อง คงทําเปนประตูยอดตามแบบเก่า จึงเรี ยกกันว่า
ประตูสามยอด รื อ้ เสียเมื่อขยายถนนทําตึกแถวถนนเจริญกรุงใหม่.
ตึกแลถนนเจริ ญกรุงที่สร้ างเมื่อในรัชกาลที่ ๔ นั ้นเปนตึกชั ้นเดียว
ว่าถ่ายแบบมาแต่เมืองสิงคโปร์ ตึกรูปนันยั ้ งเหลืออยูท่ ี่บ้านตนาว ซึง่
ทรงพระราชอุทิศเปนของวัดบวรนิเวศแลวัดราชประดิษฐ์ เปนแต่
ตึกแถวถนนเจริญกรุงเขื่องกว่า
ขุดคลองทางไปมากับหัวเมือง
๑ คลองมหาสวัสดิ์
เมื่อปี วอก พ.ศ. ๒๔๑๓ โปรดให้ เจ้ าพระยาทิพากรวงศ์ เปน
แม่กอง พระศิริสมบัตเิ ปนนายงาน ขุดคลองทางเรื อสาย ๑ แต่แม่นํ ้า
อ้ อมที่ริมวัดไชยพฤกษมาลา ไปทลุแม่นํ ้าเมืองนครไชยศรี ที่เหนือศาล
เจ้ าสุบิน คลองขุดใหม่ ๖๗๖ เส้ น ขุดแก้ คลองเก่า ๘ เส้ น รวมระยะทาง
๖๘๔ เส้ น คลองกว้ าง ๗ วา ลึก ๖ ศอก สิ ้นค่าจ้ างเปนเงิน ๘๘,๑๒๐ บาท
สําเร็จเมื่อปี วอก พ.ศ. ๒๔๐๓ พระราชทานนามว่า “ คลองมหาสวัสดิ์ ”
( เมื่อขุดคลองแล้ วสร้ างศาลาอาไศรยที่ริมคลอง ๑๐๐ เส้ นหลัง ๑
เปนระยะไป ที่ศาลหลังกลางย่านเจ้ าพระยาทิพากรวงศ์ให้ เขียนตํารายา
รักษาโรคต่าง ๆ ใส่แผ่นกระดานติดไว้ เปนการกุศล คนจึงได้ เรี ยก
เสานางเรี ยง ที่ด้านถนนบํารุงเมือง
๔๑
ศาลาหลังนันว่
้ า “ศาลายา” เลยเปนชื่อสถานีรถไฟอยูบ่ ดั นี ้ ศาลา
อิกหลัง๑เจ้ าพระยาทิพากรวงศ์สร้ างในการกุศลปลงศพคนของท่านคน ๑
จึงเรี ยกว่า “ศาลาทําศพ” เลยเปนชื่อสถานีรถไฟเหมือนกัน.
อนึง่ ที่ ๒ ฟากคลองมหาสวัสดิ์ เดิมเปนป่ าพงที่วา่ ง เมื่อขุด
คลองแล้ วพระราชทานให้ เปนที่นาของพระราชโอรสธิดา จึงเปนที่ของ
เจ้ านายโดยมากจนบัดนี ้

๒ คลองเจดีย์บูชา
เมื่อปี ฉลูพ.ศ.๒๓๙๖โปรดให้ สมเด็จเจ้ าพระยาบรมมหาประยูร
วงศ์เปนแม่กองทําการปฏิสงั ขรณ์พระปฐมเจดีย์ ได้ กะทางจะขุดคลอง
ทางเรื อแต่แม่นํ ้าเมืองนครไชยศรี เข้ าไปจนถึงบริเวณพระปฐมเจดีย์ แต่
การยังค้ างอยูจ่ นสมเด็จเจ้ าพระยาฯ ถึงพิราลัย จึงโปรดให้ เจ้ าพระยา
ทิพากรวงศ์ เปนแม่กองปฎิสงั ขรณ์พระปฐมเจดีย์ตอ่ มา จะได้ ลงมือขุด
คลองเมื่อไรไม่แน่ ขุดแต่ตําบลท่านาไปถึงพระราชวังซึง่ สร้ างใหม่
แล้ วเลี ้ยวแยกไปถึงเขตรวัดพระงามเปนที่สดุ รวมระยะทาง ๔๔๘ เส้ น
คลองกว้ างแต่ ๕ วาจน ๘ วาลึกประมาณ ๖ ศอกเปนกําหนด สิ ้น
ค่าจ้ างขุดรวมเปนเงิน ๖๔,๓๖๓ บาท พระราชทานนามว่า “คลอง
เจดีย์บชู า”
๓ คลองดาเนินสดวก
เมื่อปี ขาล พ.ศ. ๒๔๐๙ โปรดฯ ให้ เจ้ าพระยาศรี สรุ ิยวงศ์
ที่สมุหพระกลาโหมเปนแม่กองขุดคลองกว้ าง ๖ วาลึก ๖ ศอกแต่แม่นํ ้า
เมือง
๔๒
นครไชยศรี ที่ตําบลบางยางไปออกแม่นํ ้าเมืองราชบุรีที่ตําบลบางนก
แขวกเปนระยะทาง๘๔๐ เส้ นเจ้ าพระยาศรี สรุ ิยวงศ์( ได้ จบั ที่วา่ งทํานา
ในคลองนันจึ ้ ง ) ออกค่าขุดคลอง ๘๐,๐๐๐บาท เงินหลวงคงออก
๓๒,๐๐๐ บาท รวมเปนค่าขุดคลองสิ ้น๑๑๒,๐๐๐บาทการขุดคลองนี ้
สําเร็จได้ เปิ ดคลองเมื่อวันจันทร์ เดือน ๗ ขึ ้น ๔ คํ่าปี มโรง พ.ศ. ๒๔๑๑
พระราชทานนามว่า คลองดําเนินสดวก
๔ คลองภาษีเจริญ
เมื่อปี เถาะ พ.ศ. ๒๔๑๐ โปรดฯให้ พระภาษีบริบรู ณ์( ยิ ้ม )
เจ้ าภาษีฝิ่นเปนแม่กองขุดคลองกว้ าง ๗ วา ลึก ๕ ศอก แต่คลอง
บางกอกใหญ่ในกรุงเทพฯ ที่ริมวัดปากนํ ้าออกไปแม่นํ ้าเมืองนครไชย
ศรี ที่ตําบลดอนไก่ดี เปนระยะทาง ๖๒๐ เส้ น หักภาษีฝิ่น
พระราชทานเปนค่าจ้ างขุดคลอง ๑๑๒,๐๐๐ บาท พระราชทานนามว่า
“คลองภาษีเจริญ” แต่มาขุดแล้ วต่อในรัชกาลที่ ๕ ได้ เสด็จพระราช
ดําเนินเปิ ดคลองเมื่อเดือน ๖ ปี มะเมีย พ.ศ. ๒๔๑๕.
(คลองภาษีเจริญ คลองดําเนินสดวก ทัง้ ๒ คลองนี ้กะแผนที่
คราวเดียวกัน เปนแต่ลงมือขุดคลองดําเนินสดวกก่อน ขุดคลองภาษี
เจริญทีหลัง เปนทางสัญจรสําคัญมาแต่แรก แลในรัชกาลที่ ๕
ได้ ขดุ ซ่อมอิกครัง้ ๑ แล้ วทําประตูขงั นํ ้าให้ มีในคลองพอเรื อใหญ่เดิน
ได้ เสมอ )
๔๓
ภาคที่ ๒
สถานที่ต่าง ๆ ที่ทรงสร้ างตามหัวเมือง
พลับพลาที่ประทับณเมืองสมุทปราการ
โปรดให้ พนักงานการก่อสร้ างที่พระสมุทเจดีย์นนั ้ สร้ าง
พลับพลาเปนที่ประทับที่ริมนํ ้าข้ างเหนือเมืองสมุทปราการแห่ง ๑ มีที่
ประทับและเรื อนโรงหลายหลัง พระราชทานชื่อต่าง ๆ กัน คือ
พระที่นงั่ สมุทธาภิมขุ เปนท้ องพระโรงที่เสด็จออก
พระที่นงั่ ศุขไสยาศน์ ๒ ชัน้ เปนที่พระบรรธม
ตําหนักนาฎนารี รมย์ เปนที่พระประเทียบอยู่
เรื อนสนมนิกร เปนเรื อนแถวสําหรับพนักงาน
โรงสันถาคารสภา เปนโรงประชุมแลเปนที่เล่นลครโรง ๑
โรงศึกษาสงคราม เปนโรงทหารรักษาพระองค์
( พลับพลาที่เมืองสมุทปราการชํารุดรื อ้ เสียโดยมาก ยัง
เหลือแต่พระที่นงั่ สมุทธาภิมขุ กับพระที่นงั่ ศุขไสยาศน์ ใช้ เปนสถานีโทร
เลขอยูบ่ ดั นี ้ )
ประภาคารปากนา้
โปรดให้ เจ้ าพระยาศรี สรุ ิ ยวงศ์ทสมุหพระกลาโหม สังประภาคาร
เหล็กมาจากยุโรปสําหรับจะปลูกที่สนั ดอนปากนํ ้า จุดโคมไฟหมาย
ทางให้ เรื อเข้ าออกแห่ง ๑ แต่การสร้ างประภาคารมาสําเร็จต่อใน
รัชกาลที่ ๕.
๔๔
กรุ งศรี อยุธยา
วังจันทรเกษม
วังจันทรเกษมเดิมเปนวังพระมหาอุปราช แต่สมเด็จพระเจ้ าแผ่นดิน
ได้ เคยเสด็จอยู่เมื่อแผ่นดินสมเด็จพระนารายน์มหาราชคราว ๑ เมื่อ
แผ่นดินสมเด็จพระเจ้ าบรมโกษฐ์ คราว ๑ ตั ้งแต่เสียกรุงเก่าแล้ วก็หกั พังรก
ร้ างอยูจ่ นรัชกาลที่ ๔ มีพระราชประสงค์จะทรงสร้ างให้ กลับคืนดีขึ ้นดัง
เก่า ไว้ เปนที่ประทับในเวลาเสด็จขึ ้นไปประพาศกรุงศรี อยุธยา จึง
โปรด ฯ ให้ กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเปนแม่กอง กรมขุนราชสีหวิกรม
เปนนายช่าง สร้ างวังจันทรเกษม แลแผนผังที่กะการก่อสร้ างนัน้ จะ
สร้ างพระที่นงั่ พิมานรัถยาของเดิมขึ ้นเปนที่ประทับ จึงกะเอาพระที่นงั่
พิมานรัถยาเปนสูนย์กลาง วางแนวกําแพงเขตรวังซึง่ จะสร้ างใหม่แต่
พอสมควรแก่ที่ประทับชัว่ คราว ร่นแคบเข้ ามากว่าแนวกําแพงวังจันทร์
ครัง้ กรุงเก่ามาก
ในเวลาที่ก่อสร้ างวังจันทรเกษมนัน้ เสด็จพระราชดําเนินขึ ้นไป
กรุงเก่าบ่อย ๆ เพราะเริ่มมีเรื อไฟใช้ ราชการเสด็จได้ สดวกกว่าแต่ก่อน
จึงโปรดฯ ให้ สร้ างพลับพลาขึ ้นในวังจันทรเกษมทางริมกําแพงวังด้ าน
ตวันออก เปนที่ประทับไปกว่าพระที่นงั่ พิมานรัถยาจะสร้ างแล้ วเสร็ จ ครัน้
ลงมือก่อสร้ างมา พอก่อกําแพงวัง ( แลทําเขื่อนอิฐที่ริมนํ ้า ) แล้ ว
กรมหลวงวงศา ฯ ประชวรเปนอัมพาต จึงโปรดฯ ให้ พระยาราชวรา
นุกลู รอด ๑ เปนแม่กองต่อมา


คือเจ้ าพระยารัตนบดิทร์ ในรัชกาลที่ ๕
๔๕
สถานที่ตา่ ง ๆ ซึง่ สร้ างที่วงั จันทรเกษม ตอนพลับพลาที่ประทับ
ถมที่ขึ ้นเปนฐานมีไพรทีรอบ บนนันปลู ้ กพลับพลาจัตรุ มุขที่เสด็จประทับ
องค์ ๑ มีตําหนักข้ างในหลายหมูอ่ ยูข่ ้ างหลัง ข้ างน่ามีหอพระหลัง ๑
พลับพลาโถงสําหรับทอดพระเนตรลครหลัง ๑ ตรงน่าพลับพลาลงมามี
โรงลครแลใช้ เปนที่พกั ข้ าราชการด้ วยหลัง ๑ ต่อไปตามริมกําแพงวังมี
ห้ องเครื่ องมหาดเล็ก ทิมดาบตํารวจ แลโรงม้ าต้ นตลอดจนด้ าน
เหนือ
ทางหมูพ่ ระที่นงั่ พิมานรัถยา สร้ างเปนตึกถาวร มีพระที่นงั่ ที่
ประทับองค์ ๑ ปรัศซ้ ายขวา ๒ หลัง สร้ างตามแนวผนังเดิม
นอกจากนี ้ข้ างในมีตําหนักแลเรื อนจันทน์เรื อนแถวอิกหลายหลัง ข้ าง
น่าก็มีเขื่อนเพ็ชรเปนบริเวณชันในอิ ้ กชัน้ ๑ แลมีพลับพลาโถงที่ประทับ
ทอดพระเนตรกิฬาในสนามหลัง ๑
ต่อไปตามมุมวังด้ านตวันตกเฉียงใต้ เดิมมีหอสูง กล่าวกันว่า
สร้ างครัง้ สมเด็จพระนารายน์ มหาราช ยังเหลือแต่แนวผนัง โปรดให้
ก่อเสริมผนังขึ ้นไปตามแผนผังของเดิมจนถึงชันยอดแล้ ้ วพระราชทาน
นามว่าพระที่นงั่ พิไสยศัลลักษณ์ ทางนอกวังด้ านตวันตก สร้ างโรง
ช้ างต้ น ๒ โรง ทางนอกวังด้ านตวันออกมีทา่ เรื อพระที่นงั่ ท่า ๑
ท่าเรื อพระประเทียบมีฉนวนแต่ทา่ จนถึงประตูวงั ท่า ๑ มีพลับพลาโถงที่
ท่าเสด็จขึ ้นหลัง ๑ ศาลาพวกล้ อมวังรักษาประตูวงั ประตูละ ๒ หลังทัง้
๕ ประตู แลสร้ างตึกเปนห้ องเครื่ องอยูข่ ้ างฉนวนหลัง ๑ สร้ างตึก ๒ ชัน้
สําหรับเปนที่พกั เจ้ านายแลข้ าราชการที่ตามเสด็จที่ริมนํ ้าข้ างเหนือน่าวัง
๔๖
หลัง ๑ ข้ างใต้ หลัง ๑ แล้ วโปรดให้ ขดุ คลองต่อจากคลองมะขามเรี ยง
ข้ างใต้ กรุง ฯ แยกมาออกที่ใกล้ หวั รอสาย ๑
พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หวั ได้ เสด็จขึ ้นไปประทับ
ที่วงั จันทรเกษมหลายคราว แต่การสร้ างพระที่นงั่ พิมานรัถยายังไม่
สําเร็จจนตลอดรัชกาล
( ถึงรัชกาลที่ ๕ ได้ เสด็จไปประทับที่ วังจันทรเกษมหลายครัง้ จน
สร้ างพระราชวังบางปอินแล้ วจึงพระราชทานวังจันทรเกษมให้ เปนที่วา่
การมณฑลกรุงเก่า ได้ สร้ างพระที่นงั่ พิมานรัถยาต่อมาจนสําเร็จใช้ เปน
ที่วา่ การมณฑลมาจนทุกวันนี ้ สถานที่พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ า
เจ้ าอยูห่ วั ได้ ทรงสร้ างไว้ ที่ชํารุดหักพังรื อ้ เสียโดยมาก ยังบริบรู ณ์ดี
อยู่แต่พระที่นงั่ พิไสยศัลลักษณ์กบั พลับพลาจตุรมุขกับหอพระ ห้ องเครื่ อง
มหาดเล็กแลโรงม้ าต้ น พระยาโบราณราชธานินทร์ พร เดชะคุปต์
อุปราชมณฑลกรุงเก่า จัดเปนที่ทําการพิธีแลเปนพิพิธภัณฑ์สถานมาจน
ทุกวันนี ้. )
พระที่น่ ังสรรเพ็ชญ์ ปราสาท
โปรด ฯ ให้ กรมขุนราชสีหวิกรมเปนนายช่าง สร้ างปราสาท
ขนาดน้ อยองค์ ๑ กับพระปรัศซ้ ายขวา ๒ องค์ ขึ ้นบนฐานพระที่นงั่
สรรเพ็ชญ์ปราสาท ซึง่ ยังเหลืออยูใ่ นพระราชวังหลวงในกรุงศรี อยุธยาเป
นที่ทรงบวงสรวงสมเด็จพระอดีตมหาราช ที่ได้ เสวยราชย์ณกรุงศรี
อยุธยามาแต่ก่อน แต่การที่สร้ างค้ างมาตลอดรัชกาล
ตึกดิน ตรงที่สร้ างพระราชวังสราญรมย์
ถ่ายจากพระที่นงั่ ภูดลทัศไนย.
๔๗
กระแสพระราชดําริ ห์ที่ทรงสร้ างปราสาทที่ปรากฏอยู่ในประกาศ
เมื่อทรงสังเวยที่กรุงเก่าดังนี ้
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ ฯ พระจอมเกล้ า
เจ้ าอยู่หวั ฯ เสด็จพระราชดําเนินขึ ้นมาโดยกระบวนพยุหยาตราทาง
ชลมารคพร้ อมด้ วยราชบริพาร คือพระราชวงศานุวงค์แลข้ าทูลลอองธุลี
พระบาท ทังฝ่้ ายน่าฝ่ ายใน เสด็จประทับแรมราตรี ณที่พระพลากรที่
ประทับ จึง่ ได้ ทรงพระราชดําริ ห์ให้ สถาปนาสร้ างปราสาทขึ ้นใหม่ในที่สรร
เพ็ชญ์ปราสาทซึง่ เปนพระที่นงั่ ของพระเจ้ าแผ่นดินครัง้ กรุงพระมหานครศรี
อยุธยา ครอบครองมาจนแตกทําลายนั ้น จะให้ คืนคงเปนพระที่นงั่ ขึ ้นแล้ ว
จะได้ เปนที่จารึกพระนามพระเจ้ าแผ่นดินทังปวง ้ ซึง่ ได้ ครอบครองกร
พระมหานครศรี อยุธยามาแต่ก่อนไว้ เปนการสนองพระเดชพระคุณให้ เปนพ
ระเกียรติยศพระเจ้ าแผ่นดินทุกๆพระองค์ แลจะได้ ทรงสร้ างวังจันทร
เกษมขึ ้นไว้ เปนที่เสด็จประทับแรม แลจะให้ ปรากฎอยูส่ ิ ้นกาลนาน แล
จะได้ ทรงปฏิสงั ขรณ์พระอารามในจังหวัดกรุ งพระมหานครศรี อยุธยา
โบราณราชธานีแล้ ว จะได้ ทรงบําเพ็ญทานอุทิศส่วนพระราชกุศล แล
ให้ จดั เครื่ องกระยาพลีกรรมบวงสรวงสังเวยถวายพระเจ้ าแผ่นดินทังปวง ้
ซึง่ ได้ ครอบครองศิริราชสมบัตใิ นสยามประเทศแต่กาลก่อนทุกพระองค์
ดังนี ้
ในรัชกาลที่ ๕ โปรดให้ พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์)
เมื่อยังเปนข้ าหลวงเทศาภิบาล แผ้ วถางพระราชวังหลวงที่กรุงศรี
อยุธยา จัดการรักษาเปนโบราณวัตถุทงวั
ั ้ ง ได้ เสด็จประพาศเนือง ๆ
๔๘
แลได้ ทําการพระราชพิธีรัชมงคลที่ในพระราชวังครัง้ ๑ ปราสาทกับพระ
ปรัศที่สร้ างค้ างอยูแ่ ต่รัชกาลที่ ๔ จะรักษาไว้ ให้ ถาวรไม่ได้ จึง
พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ รือ้ เสีย
พเนียด
ที่พเนียดคล้ องช้ างเดิมไม่มีพลับพลา โปรดให้ สร้ าง
พลับพลาที่ประทับทอดพระเนตรคล้ องช้ างในวงพาดหลัง๑พลับพลาประทับ
ทอดพระเนตรคล้ องช้ างกลางแปลงหลัง ๑ พลับพลาฝ่ ายในดูคล้ องช้ าง
กลางแปลงหลัง ๑
(เมื่อกรุงศรี อยุธยาเปนราชธานี ที่พเนียดมีปราสาทที่ประทับ
ทอดพระเนตรคล้ องช้ าง แต่พม่าเผาเสียเมื่อล้ อมกรุง ฯ ถึงสมัยกรุง
รัตนโกสินทร ในรัชกาลก่อนๆ ไม่ได้ เสด็จไปทอดพระเนตรคล้ อง
ช้ าง จึงไม่ได้ สร้ างพลับพลาขึ ้นใหม่ ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๕ ได้ โปรดให้
กรมหมื่นปราบปรปั กษ์ซอ่ มพลับพลาที่พเนียดทังหมดครั ้ ง้ ๑ )
พระราชวังบางปะอิน
เมื่อทรงปฏิสงั ขรณ์วดั ชุมพลนิกายารามที่บางปะอินโปรดให้
เจ้ าพระยาพลเทพ (หลง) เปนแม่กองสร้ างตําหนักขึ ้น ๓ หลัง ใน
บริ เวณพระราชวังของสมเด็จพระเจ้ าปราสาททองที่เกาะบางปะอินใน แล
ปลูกพลับพลาโถงที่ไร่แตงเกาะบางปะอินนอกอิกหลัง ๑ เปนที่เสด็จ
ประพาศ จากกรุงเก่า
๔๙
( มีคําเล่ากันมาว่า เหตุที่จะสร้ างพระตําหนักที่บางปะอินเมื่อใน
รัชกาลที่ ๔นั ้น เดิมเสด็จผ่านไปทอดพระเนตรเห็นหมู่มะม่วง (อยู่ที่สนาม
หญ้ าน่าพระที่นงั่ วโรภาศทุกวันนี ้) ขึ ้นงามมาก เปนที่ต้องพระราช
หฤไทยจึงเสด็จแวะขึ ้นประพาศที่พระราชวังเก่า แล้ วมีรับสัง่ ให้ สร้ างพระ
ตําหนักขึ ้นณที่นนั ้ สิ่งซึง่ สมเด็จพระเจ้ าปราสาททองได้ ทรงสร้ างไว้ ยงั
เหลืออยู่ในเวลานั ้น คือ สระกว้ างเส้ น ๑ ยาว ๑๐ เส้ น ( คือตอนสระตรงที่
อยู่จนทุกวันนี ้ ) อย่าง ๑พระที่นงั่ ไอสวรรย์ทพิ อาศน์เปนปราสาทเครื่ องไม้
สร้ างไว้ ที่ปากสระอย่าง ๑ กล่าวกันว่าโครงปราสาท และเครื่ องบนยัง
มีอยู่ มาหักพังไปต่อทีหลัง ยังมีโคนเสาและคานปรากฏที่พื ้นสระข้ าง
ใต้ พระที่นงั่ วโรภาศพิมานจนทุกวันนี ้ ถึงรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จ
ฯ พระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั โปรดให้ สร้ างเปนพระราชวังที่ประพาศ
ต่อมา ชันแรกโปรดให้
้ สร้ างพระที่นงั่ ที่ประทับตรงตําหนักหลังกลางซึง่
สร้ างไว้ ในรัชกาลที่ ๔ พระราชทานนามว่า พระที่นงั่ ไอสวรรย์ทิพอาศน์
ตามนามปราสาทครัง้ กรุงเก่า สร้ างตําหนักข้ างในตรงที่ตําหนักหลัง
เหนือเปนที่พกั พระประเทียบ พระราชทานนาม ว่าตําหนัก วรนาฎ
เกษมสานต์สร้ างตําหนักหลังใต้ เปนตําหนักเจ้ านายข้ างน่า
พระราชทานนามว่า ตําหนักสภาคารราชประยูร ต่อมาจึงได้ ทรงสร้ าง
สถานที่ตา่ งๆ เพิ่มเติม เปลี่ยนระเบียบนามตามอย่างที่ปรากฏในบัดนี ้
๕๐
พระนารายน์ ราชนิเวศน์ เมืองลพบุรี
โปรดให้ เจ้ าพระยาศรี สรุ ิยวงศ์ที่สมุหพระกลาโหม เปนแม่กอง
พระนรินทรราชเสนีเปนกงสี พระยาพิไชยสงคราม พระยาวิชิตณรงค์เป
นแม่กองทําการสร้ างที่ประทับที่ในพระราชวังเมืองลพบุรี ซึง่ สมเด็จ
พระนารายน์มหาราชได้ ทรงสร้ างไว้ แลทิ ้งเปนที่รกร้ างมาแต่ครัง้ กรุง
เก่านัน้ ปฏิสงั ขรณ์ของเดิมที่ยงั จะพอซ่อมแซมได้ คือพระที่นงั่
จันทร พิศาลองค์ ๑ กับกําแพงแลประตูพระราชวังโดยรอบ แล้ ว
สร้ างพระที่นงั่ เปนที่ประทับขึ ้นหมู่ ๑ ในระหว่างพระที่นงั่ จันทรพิศาลกับ
พระที่นงั่ ดุสิตสวรรค์ธญ ั มหาปราสาทของเดิม เปนพระที่นงั่ ๓ ชัน้ ที่
พระบรรธมองค์ ๑ พระราชทานนามว่า พระที่นงั่ พิมานมงกุฎ ท้ อง
พระโรง ๒ ชัน้ ต่อมาทางทิศตวันออก นามพระที่นงั่ วิสธุ ิวินิจฉัย
พระที่นงั่ น้ อยอยูข่ ้ างน่าท้ องพระโรงอิก ๒ องค์เปนคู่กนั องค์ข้างใต้ นาม
พระที่นงั่ ไชยสาตรากร องค์ข้างด้ านเหนือนามพระที่นงั่ อักษรสาตรา
คม แลสร้ างตึกตําหนักข้ างในหลายหลัง ที่ข้างน่าก็สร้ างศาลาแล
เพิงพลสําหรับข้ าราชการที่ตามเสด็จพักอาไศรยอิกหลายหลัง
พระราชทานนามพระราชวังให้ เรี ยกรวมกันทังหมดว่ ้ า พระนารายน์
ราชนิเวศน์
(เหตุที่จะทรงสร้ างที่ประทับที่พระนารายน์ราชนิเวศน์นนปรากฎมา
ั้
ว่า เกิดแต่ปรารภขึ ้นในรัฐบาลว่า ถ้ าหากจะเกิดเหตุการณ์เปนอริ
ขึ ้นกับฝรั่ง กรุงเทพฯ ตังอยู้ ใ่ นทางที่เรื อรบอาจขึ ้นมาถึงได้ การ
ต่อสู้ศตั รูจะลําบาก ควรจะมีราชธานีเปนที่มนั่ ให้ หา่ งทางเรื อรบของ
ข้ าศึก

๕๑
อีกสักแห่ง ๑ เมื่อปฤกษาเลือกหาที่ซงึ่ จะเหมาะสําหรับเปนราชธานีใหม่
มีความเห็นกันว่า ควรจะเอาเมืองนครราชสิมาเปนราชธานีที่ ๒ จึง
โปรดให้ พระบาทสมเด็จ ฯ พระปิ่ นเกล้ าเจ้ าอยู่หวั เสด็จขึ ้นไปทอดพระเนตร
เมืองนครราชสิมากับเจ้ าพระยาศรี สรุ ิ ยวงศ์เมื่อปี มะโรงพ.ศ.๒๓๙๙ เห็น
พร้ อมกันว่าอัตคัดทังทางที
้ ่จะไปมากับกรุงเทพฯ ก็ลําบาก ไม่เหมาะ
ที่จะเปนราชธานี พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ทรง
รฦกถึงกระแสพระราชดําริ ห์ของสมเด็จพระนารายน์มหาราชซึง่ ทรงสร้ าง
เมืองลพบุรี เปนที่ประทับเมื่อครัง้ กรุงเก่า จึงโปรดให้ สร้ างที่ประทับ
ที่เมืองลพบุรี แต่พระบาทสมเด็จ ฯ พระปิ่ นเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั นันโปรดที ้ ่
เขาคอกแขวงเมืองสระบุรีวา่ เปนที่คบั ขัน จึงไปทรงสร้ างป้อมที่เขาคอก
แต่ตงที
ั ้ ่ประทับอยูเ่ พียงที่บ้านสีทา )
การสร้ างที่ประทับที่พระนารายน์ราชนิเวศน์ครัง้ นัน้
พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ทรงรู้สกึ ระแวงบาปอยู่
ด้ วยความ ปรากฎในหนังสือพระราชพงษาวดารว่า เมื่อสมเด็จพระนา
รายน์ประชวรหนักใกล้ จะสวรรคตที่เมืองลพบุรีนนั ้ พระเพทราชากับ
หลวงสรศักดิใ์ ห้ จบั พระปิ ยะซึง่ ผู้อยูป่ รนนิบตั พิ ระองค์ประหารชีวิตเสีย
สมเด็จพระนารายน์มหาราชทรงโทมนัสน้ อยพระหฤไทย แลเกรงว่าพระเพทราชา
กับหลวงสรศักดิจ์ ะทําอันตรายพวกข้ าราชการที่อยูป่ ระจําพระองค์เสีย
อิก จึงมีรับสัง่ ให้ พากันไปอุปสมบทเสียให้ พ้นภัย พวกข้ าราชการพา
กันกราบทูลว่าพระเพทราชากับหลวงสรศักดิ์ให้ จกุ ช่องล้ อมวง รักษาพระ
ราช

๕๒
วังไว้ จะออกไปไม่ได้ จึงมีรับสัง่ ให้ นิมนต์พระสงฆ์คณะปรกเข้ าไปแล้ วมี
รับสัง่ ขอให้ พระสงฆ์อปุ สมบทข้ าราชการที่ในพระราชวัง พระสงฆ์
ถวายพระพรว่า พระราชวังมิใช่เปนที่สิมาสงฆ์ จะทําสังฆกรรมขัดข้ อง
อยู่ สมเด็จพระนารายน์จงึ ออกพระโอษฐ์ ถวายบริเวณพระราชวังเปนที่
วิสงุ คามสิมา ให้ พระสงฆ์ให้ อปุ สมบทข้ าราชการในครัง้ นัน้ มีความ
ปรากฏมาดังนี ้ จึงทรงพระราชดําริห์ทําผาติกรรม โปรดให้ ซื ้อนาเปน
เนื ้อที่ ๔๐ ไร่ ๒ งาน ถวายเปนที่ธรณีสงฆ์เท่า เนื ้อที่บริ เวณพระนารายน์ ราช
นิเวศน์ แล้ วทรงบุรณปฏิสงั ขรณ์วดั ชุมพลนิกายารามที่บางปอิน
วัดเสนาสนารามที่กรุงเก่า แลวัดกวิศรารามที่เมืองลพบุรีรวม ๓ พระ
อารามใช้ แทนค่าสิ่งซึง่ ยังเหลืออยู่ ทรงไถ่พระนารายน์ราชนิเวศน์ให้ พ้น
จากที่วิสงุ คามแต่นนมา ั้ สิ่งซึง่ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ า
อยูห่ วั ทรงสร้ างที่พระนารายน์ราชนิเวศน์ยงั อยูห่ มดทุกสิ่ง พระที่นงั่
จันทรพิศาลซึง่ ปฏิสงั ขรณ์ค้างอยูเ่ มื่อรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ ก็โปรด
ให้ ทําต่อมาจนสําเร็จ
พระตาหนักที่พระพุทธบาท
เมื่อปี มะเสง พ.ศ.๒๔๐๐ ทรงปฏิสงั ขรณ์พระมณฑปพระพุทธบาท
จึงโปรดให้ สร้ างพระตําหนักในบริ เวณพระราชวังเก่าที่ท้ายพิกลุ ซึง่ เปนที่ร้าง
ว่างอยู่ ให้ มีที่ประทับแลเรื อนข้ างในข้ างน่าหลายหลัง
( พระตําหนักแลเรื อนในบริ เวณวังที่พระพุทธบาท ในรัชกาลที่ ๕
ได้ เสด็จไปประทับ ๒ ครัง้ ต่อมาชํารุดหักพังจะปลูกพลับพลาใหม่จงึ
รื อ้ หมด ไม่มีอไรเหลืออยู่ )
ตึกแถวถนนเจริญกรุงและหอกลองถ่ายจากพระที่นงั่ ภูวดลทัศไนย

๕๓
ศาลากลางเมืองเหนือ
เมื่อในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั
เสด็จประพาศหัวเมืองฝ่ ายเหนือหลายคราว ได้ เสด็จถึงเมืองพิศณุโลก
เปนที่สดุ ๑ ทอดพระเนตรเห็นศาลากลางตามหัวเมืองเลวทราม ไม่
สมควรจะเปนที่ทําราชการแผ่นดิน เพราะตามประเพณีแต่ก่อนมา
เมื่อผู้ใดได้ เปนตําแหน่งผู้วา่ ราชการเมืองใด ต้ องไปหาที่สร้ างจวนอยู่
เองแลปลูกศาลากลางขึ ้นที่นา่ จวนตามกําลังที่จะทําได้ จึงทรงพระ
กรุณาโปรดพระราชทานเงินหลวงให้ เจ้ าพระยานิกรบดินทร์ ที่สมุหนายก
ไปสร้ างศาลากลางขึ ้นตามหัวเมืองคิดเปนจํานวนเงินหลังละ ๑๐ ชัง่
โปรดให้ ทําแผ่นกระดานจําหลักลายพระมหามงกุฎแผ่น ๑ ลายรูปช้ าง
อยูใ่ นวงจักรแผ่น ๑ ( เหมือนตราเงินเหรี ยญบาทในรัชกาลที่ ๔ ทัง้ ๒
ด้ าน ) แลเปนรูปตราพระราชสีห์ แผ่น ๑ ติดไว้ เปนสําคัญทุกแห่ง
( ศาลากลางซึง่ สร้ างเมื่อรัชกาลที่ ๔ กับทั ้งแผ่นกระดานจําหลัก
ยังเหลืออยูจ่ นรัชกาลที่ ๕ บ้ าง ถึงรัชกาลที่ ๕ โปรดให้ สร้ างที่วา่
การเมือง แลที่อยูข่ องผู้วา่ ราชการแลกรมการในตําแหน่งเปนของหลวง
ครบหมดทุกเมือง )
ป้อมเมืองปราจิณบุรี
โปรดให้ สร้ างเมืองปราจิณเปนป้อมปราการอีกแห่ง ๑ เหมือนที่
เมืองพระตะบองเมืองเสียมราฐ แลเมืองฉะเชิงเทรา ซึง่ ได้ สร้ างขึ ้นแต่
ในรัชกาลที่ ๓
๑ แต่เมื่อยังทรงผนวชอยู่ในรัชกาลที่ ๓ ได้ เคยเสด็จธุดงค์จนถึงเมืองสวรรคโลก
เมืองศุโขไทย.
๕๔
ที่ประพาศที่อ่างศิลา
ทรงพระราชดําริห์วา่ ที่ชายทะเลตําบลอ่างศิลาแขวงเมืองชลบุรี
เปนที่อากาศดี ให้ ทําเปนที่เสด็จประทับแห่ง ๑ กับที่เขาสมมุขข้ างใต้
ตําบลอ่างศิลาก็โปรดให้ ทําพลับพลาเปนที่ประพาศ ด้ วย แต่การปลูก
สร้ างส่วนที่อ่างศิลาเปนแต่ได้ กะที่บนเนินไว้ สําหรับทําพลับพลาแลได้ ถม
ศิลาที่ชายทะเลก่อนเปนท่าเรื อจอด แต่ตําหนักของถาวรประจําที่ยงั หา
ได้ สร้ างไม่ ทําแต่พลับพลาที่สมมุข ต่อมาเจ้ าพระยาศรี สรุ ิยวงศ์
ที่สมุหพระกลาโหมสร้ างตึกอาไศรยสถาน (หลังใหญ่) ขึ ้นหลัง ๑
เจ้ าพระยาทิพากรวงศ์สร้ างตึกอาไศรยสถาน (หลังเล็ก) ขึ ้นหลัง ๑
ที่ปลายแหลม สําหรับให้ คนป่ วยไปพักรักษาตัวเปนการกุศล
ถึงรัชกาลที่ ๕ ได้ เสด็จไปประพาศอ่างศิลาหลายครัง้ ทําแต่
พลับพลารับเสด็จชัว่ คราว หาได้ ทําตําหนักของถาวรไม่ พลับพลา
ที่สมมุขนันนานมาก็
้ ผพุ งั ไปหมด แต่ตกึ อาไศรยสถาน ๒ หลังนันเมื ้ ่อ
สมเด็จพระศรี พชั รินทราบรมราชินีนารถ ทรงสําเร็จราชการแผ่นดินต่าง
พระองค์คราวเสด็จยุโรปเมื่อในรัชกาลที่ ๕ โปรด ฯ ให้ บรู ณปฏิสงั ขรณ์
ในการพระราชกุศลเฉลิมพระชัณษาพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้ า
เจ้ าอยูห่ วั แลตกแต่งเครื่ องใช้ สอยครบบริบรู ณ์แล้ วพระราชทานนาม
หลังใหญ่วา่ ตึกมหาราช นามหลังเล็กนันว่ ้ า ตึกราชินี ยังเปนที่
อาไศรยสถานมาจนทุกวันนี ้ )

๕๕
พระนครปฐมเมืองนครไชยศรี
เมื่อทรงบูรณปฏิสงั ขรณ์พระปฐมเจดีย์นั ้นโปรด ฯ ให้ เจ้ าพระยา
ทิพากรวงศ์เปนแม่กอง กรมขุนราชสีหวิกรมเปนนายช่าง สร้ าง
พระราชวังขึ ้นข้ างด้ านตวันออกพระปฐมเจดีย์แห่ง ๑ สําหรับเปนที่ประทับ
เวลาเสด็จออกไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ เหมือนอย่างพระราชวังซึง่
สมเด็จพระเจ้ าแผ่นดินครัง้ กรุงเก่าทรงสร้ างที่พระพุทธบาทฉนัน้
พระราชทานนามว่า พระนครปฐม มีพระที่นงั่ เปนตึก ๒ ชันที
้ ่
ประทับหลังใหญ่องค์ ๑ หลังเล็ก ๒ องค์มีท้องพระโรงแลพลับพลากับ
โรง ลครทั ้งตําหนักเรื อนจันทน์ฝ่ายในก่อกําแพงมีเพิงพลรอบเขตรพระราช
วังข้ างภายนอกพระราชวังมีโรงม้ าโรงช้ าง แลมีตกึ ที่ประทับสําหรับ
เจ้ านายและที่ข้าราชการผู้ใหญ่อยู่ ปลูกรายตามฝั่ งคลองเจดีย์บชู าอีก
หลายหลัง การที่สร้ างสําเร็จได้ เสด็จไปประทับแต่ในรัชกาลที่ ๔ ถึง
รัชกาลที่ ๕ เมื่อก่อสร้ างทางรถไฟก็ได้ เสด็จไปประทับหลายครัง้
( ในรัชกาลที่ ๕ ตั ้งที่ว่าการมณฑลนครไชยศรี ที่พระปฐมเจดีย์
แล้ วทําทางรถไฟผ่านไปทางนัน้ โปรดให้ สร้ างที่พระปฐมเจดีย์ขึ ้นเป
นเมือง ตึกแลเรื อนในบริเวณพระราชวังนครปฐมชํารุดจึงรื อ้ เสีย
โดยมาก ยังเหลืออยู่แต่พระที่นงั่ องค์ใหญ่ อันเปนที่ประทับปรากฏอยู่จน
ทุกวันนี ้ )
๕๖
พระนครคิรีเมืองเพ็ชรบุรี
โปรด ฯ ให้ เจ้ าพระยาศรี สรุ ิยวงศ์ ที่สมุหพระกลาโหมเปนแม่ก
องให้ จมื่นราชามาตย์ ท้ วม๑ ซึง่ ได้ เคยออกไปประเทศยุโรปกับ
ราชทูตที่ไปเมืองอังกฤษ เลื่อนเปนพระเพ็ชรพิไสยศรี สวัสดิ์ ตําแหน่ง
ปลัดเมืองเพ็ชรบุรีเปนนายงาน สร้ างพระราชวังขึ ้นที่บนเขามหาสมณ
แห่ง ๑ และเขามหาสมณนันมี ้ ๓ ยอด ยอดเหนือโปรดให้ สร้ างพระ
เจดีย์วิหารยอดกลางมีพระเจดีย์อยูแ่ ต่เดิมโปรดให้ บรู ณปฏิสงั ขรณ์ดงั จะ
กล่าว ในตอนที่วา่ ด้ วยพระเจดีย์วิหารซึง่ ทรงสร้ างต่อไปข้ างน่า ยอด
ข้ างใต้ นนโปรดให้
ั้ สร้ างพระราชวัง การที่ก่อสร้ างล้ วนเปนเครื่ องอิฐปูน
ของถาวรพระราชทานนามเรี ยกรวมกันว่า พระนครคิรี แลเขามหาสมณ
นันพระราชทานนามใหม่
้ วา่ เขามหาสวรรค์ พระที่นงั่ ในบริเวณพระ
นครคิรีมีหลายหลัง พระราชทานนามต่าง ๆ กัน คือ
พระที่นงั่ เพ็ชรภูมิไพโรจน์ เปนท้ องพระโรง
พระที่นงั่ ปราโมทย์มไหสวรรย์ เปนที่ประทับ
พระที่นงั่ เวชยันตวิเชียรปราสาท เปนปราสาทหลังน้ อยยอด
ปรางค์สร้ างขึ ้นโดยทรงพระราชดําริห์วา่ พระราชวังใหญ่แต่โบราณเช่น
พระนารายน์ราชนิเวศน์ที่เมืองลพบุรี ย่อมมีปราสาท จึงทรงสร้ างขึ ้น
เปนสังเขปที่พระนครคิรี
พระที่นงั่ ราชธรรมสภา เปนที่ทรงธรรมแลพระราชพิธีสงฆ์
ตําหนักสันถาคารสถาน เปนที่ประทับของเจ้ านายฝ่ ายใน

๑ คือเจ้ าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี.
๕๗
หอพิมานเพ็ชรมเหศวร์ เปนที่ทํานองศาลพระภูมิ
หอจัตเุ วทประดิษฐพจน์ เปนหอพระปริต
มีซ้ ุมตะเกียงใหญ่ที่ริมพระที่นงั่ ราชธรรมสภาซุ้ม ๑ จุดตะเกียง
แลเห็นได้ ถึงทเล พระราชทานนามว่า หอชัชวาลเวียงไชย ๑
ประตูรอบบริเวณพระราชวังมีชื่อขนานต่าง ๆ กัน ประตูบริเวณ
พระราชวัง ๔ ประตูชื่อ
ประตูนารี ประเวศ ๑
ประตูวิเศษราชกิจ ๑
ประตูราชฤทธิแรงปราบ ๑
ประตูอานุภาพเจริญ ๑
ประตูในบริเวณพระราชมณเฑียร ๓ ประตู ชื่อ
ประตูดําเนินทางสวรรค์ ๑
ประตูจนั ทร์ แจ่มจํารูญ ๑
ประตูสรู ย์แจ่มจํารัส ๑
ภายนอกพระราชวังมีป้อมตามไหล่เขารายรอบ ๕ ป้อม มีชื่อ
ป้อมธตรฐป้องปก ๑
ป้อมวิรุฬหกบริ รักษ์ ๑
ป้อมวิรูปักษ์ป้องกัน ๑
ป้อมเวศสวรรณรักษา ๑
ป้อมวัชรินทราภิบาล ๑
๑ มีหอพราหมณ์คกู่ บั หอพิมานเพ็ชรมเหศวว์อิกหลัง ๑ น่าจะมีชื่อรับสัมผัสมา
ต่อชัชวาลเวียงไชย แต่หาพบชื่อปรากฏไม่.
๕๘
และยังมีศาลาลูกขุนทิมดาบโรงม้ าและสถานที่ตา่ ง ๆ อิก
หลายอย่าง ถนนใหญ่ทําแต่เชิงเขาลงมาถึงท่านํ ้า พระราชทานนาม
ว่า ถนนราชวิถี และที่เมืองเพชรบุรีนนโปรดให้ ั้ สร้ างสพานช้ างก่ออิฐ
ถือปูนข้ ามลํานํ ้าสพาน ๑ สร้ างตึกแถวริมถนนตลาดเมืองเพ็ชรบุรี ๒
แถว สร้ างถนนแต่เชิงเขามหาสวรรค์ไปถึงเขาหลวงสาย ๑ ถนน
แต่เชิง สพานช้ างไปถึงเขาบันไดอิฐสาย ๑ ถนนขวางแต่ถนนราชวิถี
มาถึงถนนเขาบันไดอิฐสาย ๑ สร้ างประปามีเครื่ องสูบนํ ้าขึ ้นถังที่ริมลํา
นํ ้า ฝั งท่อให้ ไหลไปลงอ่างที่เชิงเขา ให้ คนตักหาบขึ ้นไปบนพระนคร
คิรี
เจ้ านายแลข้ าราชการที่ไปตามเสด็จสร้ างตึกที่พกั ขึ ้นที่ริมนํ ้า ๔
หลัง คือตึกของกรมหมื่นวิศณุนารถนิภาธรหลัง ๑ ของเจ้ าพระยาศรี สุ
ริยวงศ์หลัง ๑ ของเจ้ าพระยาทิพากรวงศ์หลัง ๑ ของพระยามนตรี สรุ ิ
ยวงศ์ชมุ่ หลัง ๑ การก่อสร้ างสําเร็จแต่รัชกาลที่ ๔ ได้ เสด็จไป
ประทับหลายคราว ในรัชกาลที่ ๕ ก็ได้ เสด็จไปประทับที่พระนครคิรี
หลายคราว
( ในรัชกาลที่๕ ได้ โปรด ฯ ให้ ปฏิสงั ขรณ์พระนครคิรีขึ ้นสําหรับ
รับแขกเมืองเจ้ าต่างประเทศ เพราะฉนันยั ้ งอยูบ่ ริบรู ณ์ดีหมดทุกอย่าง
ตึกที่พกั ที่ริมนํ ้าก็ยงั ใช้ เปนที่พกั ข้ าราชการอยู่ แต่ตกึ แถวที่ตลาดนัน้
ชํารุดทรุดโทรมมาก แล้ วไฟไหม้ เสียเมื่อในรัชกาลปั ตยุบนั นี ้ )
หลังคาพระที่นงั่ อภิเนาวนิเวศน์ ถ่ายจากพระที่นงั่ ภูวดลทัศไนย
(แลเห็นโครงปราสาทแถวนอก)
๕๙
เมืองที่ทรงตัง้ ในรั ชกาลที่ ๔
เมืองจัตวาขึน้ กรุงเทพฯ ๕ เมือง
๑ ตังบ้ ้ านคลองบางนางรม เปนเมืองประจวบคิรีขนั ธ์ ( เมืองนี ้
เมื่อรัชกาลที่ ๒ กะจะย้ ายเมืองคลองวาฬขึ ้นมาตังที้ ่อา่ วเกาะหลัก ด้ วย
อยูใ่ นทางข้ าศึกพม่าจะมาจากเมืองตะนาวศรี เรี ยกมาแต่ก่อนแต่วา่
เมืองใหม่ ยังหาได้ เปนหลักแหล่งไม่ )
๒ ตังบ้
้ านเกาะกง ( ใต้ เมืองตราษ ) เปนเมืองประจันตคิรีเขตร
๓ ตังบ้
้ านพยุแด่น ( ใต้ เมืองนครสวรรค์ ) เปนเมืองพยุหคิรี
๔ ตังบ้ ้ านสระบัว เปนเมืองกมลาไสย ( อยูใ่ นมณฑลร้ อยเอ็จ
บัดนี ้ )
๕ ตังบ้้ านยางใหญ่ เปนเมืองมหาสารคาม

เมืองขึน้ ทรงตัง้ ใหม่ ๑๙ เมือง


ขึน้ เมืองนครสวรรค์
ตังบ้
้ านหาดส้ มเสี ้ยว เปนเมืองบรรพตพิไสย
ขึน้ เมืองฉเชิงเทรา
ตังบ้
้ านท่าซ่าน เปนเมืองพนมสารคาม
ขึน้ เมืองอุบลราชธานี
ตังบ้
้ านกวางชโด เปนเมืองพิมลู มังษาหาร
๖๐
ตังบ้
้ านเวินไชย เปนเมืองมหาชนะไชย
ตังบ้
้ านยักขุ เปนเมืองชาณุมานมณฑล
ตังบ้
้ านสะพือ เปนเมืองตระการพืชผล
ขึน้ เมืองหนองคาย
ตังบ้
้ านหนองบัวลําภู เปนเมืองกุมทุ าไสย
ตังบ้
้ านหงษ์ทอง เปนเมืองธุรคมหงษ์สถิตย์
ขึน้ เมืองขุขันธ์
ตังบ้
้ านห้ วยลําแสน เปนเมืองกันทราลักษณ์
ตังบ้้ านอุทมุ พร เปนเมืองอุทมุ พรพิไสย
ขึน้ เมืองสกลนคร
ตังบ้ ้ านภูหว้ า เปนเมืองภูวดลสอาง
ตังบ้ ้ านกุดลิง เปนเมืองวานรนิวาศ
ตังบ้ ้ านโพธิ์สว่าง เปนเมืองสว่างแดนดิน
ขึน้ เมืองมุกดาหาร
ตังบ้ ้ านท่าทราย เปนเมืองพาลุกากรภูมิ
ขึน้ เมืองหนองหาร
ตังบ้ ้ านปลาเป้า เปนเมืองวาริชภูมิ
ขึน้ เมืองนครพนม
ตังบ้ ้ านท่าม่วง เปนเมืองอากาศอํานวย

๖๑
ขึน้ เมืองกมลาไสย
ตังบ้
้ านลําพัน เปนเมืองสหัสขันธ์
ขึน้ เมืองสุวรรณภูมิ
ตังบ้
้ านโป่ ง เปนเมืองพนมไพรแดนมฤค
ขึน้ เมืองนครเสียมราฐ
ตังบ้
้ านละลวด เปนเมืองสูตรนิคม
๖๒
ภาคที่ ๓
พระเจดีย์วิหารที่ทรงสถาปนาในรัชกาลที่ ๔
พระอารามหลวงทรงสร้ างใหม่ในกรุง ฯ ๕ พระอาราม
๑ วัดบรมนิวาศ ทรงสร้ างแต่ยงั ทรงผนวช เพื่อจะเปนที่
ประทับสําราญพระอิริยาบถ เดิมเรี ยกว่าวัดนอก ครัน้ ถวายเปนพระอา
รามหลวงในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จ ฯ พระนัง่ เกล้ า-เจ้ าอยูห่ วั
พระราชทานนามว่า วัดบรมนิวาศ
๒ วัดโสมนัศวิหาร ทรงสร้ างเมื่อปี ฉลู พ.ศ. ๒๓๙๖ อุทิศ
พระราชทานสมเด็จพระนาง-โสมนัศวัฒนาวดี ซึง่ สิ ้นพระชนม์เมื่อปี ชวด
พ.ศ. ๒๓๙๕
๓ วัดปทุมวนาราม ทรงสร้ างเมื่อปี มะเสง พ.ศ. ๒๔๐๐
พระราชทานเปนวัดของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี
๔ วัดราชประดิษฐ์ สถิตย์มหาสิมาราม ทรงสร้ างเมื่อปี ชวด
พ.ศ. ๒๔๐๗ ด้ วยพระราชทรัพย์สว่ นพระคลังข้ างที่ ทรงพระราชอุทิศ
เฉภาะพระสงฆ์คณะธรรมยุตกิ า โดยได้ เปนศิษานุศษิ ย์ศกึ ษาตามลัทธิ
ธรรม ซึง่ พระองค์ได้ ทรงเริ่มริชําระตกแต่งตังตํ
้ าราขึ ้น ถึงรัชกาลที่ ๕
ได้ โปรดให้ แบ่งพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั
ไปบรรจุในพระพุทธอาศน์เปนที่สกั การบูชาในวัดราชประดิษฐ์ นี ้ด้ วย

๖๓
การที่บรรจุพระบรมอัฐิเปนกระแสรับสัง่ ของพระบาทสมเด็จ ฯ พระ
จอมเกล้ าเจ้ าอยู่หวั ด้ วยเมื่อในรัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชดําริ ห์ว่า พระบรม
อัฐิสมเด็จพระเจ้ าอยู่หวั ๓ รัชกาลก่อน ซึง่ เปนส่วนของพระเจ้ าลูกเธอใน
รัชกาลนัน้ ๆ ได้ พระราชทานไป เมื่อเจ้ านายสิ ้นพระชนม์ไม่มีผ้ จู ะพิทกั ษ์
รักษา ได้ เชิญกลับมารักษาไว้ เปนของหลวงมีอยู่ ควรจะประดิษฐาน
ไว้ ให้ มหาชนกระทําสักการะบูชาแลบําเพ็ญกุศลสนองพระเดชพระคุณได้
โดยง่าย จึงโปรดให้ บรรจุพระบรมอัฐิในกล่องศิลา แล้ วเชิญพระบรม
อัฐิพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ ไปบรรจุไว้ ที่พระพุทธ
อาศน์พระประธานในพระอุโบสถวัดพระเชตุพน พระบรมอัฐิ
พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้ านภาไลย บรรจุไว้ ที่พระพุทธอาศน์พ
ประธานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จ ฯ
พระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยู่หวั บรรจุไว้ ที่พระพุทธอาศน์พระประธานในพระอุโบสถ
วัดราชโอรส แลมีรับสัง่ ไว้ วา่ ให้ บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์ที่วดั ราช
ประดิษฐ์ อย่างเดียวกัน
๕ วัดมงกุฏกระษัตริ ย์ ทรงก่อฤกษ์ เมื่อปี เถาะ พ.ศ. ๒๔๓๐ แต่
แรกพระราชทานนามว่าวัดมงกุฏกระษัตริ ย์ คนทั ้งหลายเห็นพ้ องกับพระ
ปรมาภิธยั ไม่ใคร่กล้ าเรี ยกนามวัด จึงทรงขนานนามใหม่วา่ วัดพระนาม
บัญญัติ แล้ วมีรับสัง่ ไว้ วา่ ถ้ าถึงรัชกาลหลังให้ เปลี่ยนนามเปนวัดมงกุฏ
กระษัตริย์ตามเดิม ถึงรัชกาลที่ ๕ จึงโปรดให้ เปลี่ยนนามตามกระแส
รับสัง่

๖๔
พระอารามหลวงในกรุง ฯ ที่ได้ ทรงบูรณปฏิสงั ขรณ์ คือ
๑ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
โปรดให้ ถมที่ตอ่ ฐานทักษิณพระมณฑปออกไปทังด้ ้ านตวันออก
แลด้ านตวันตก ทําพนักศิลา ล้ อมทัง้ ๒ ชัน้ สร้ างประตูซ้ ุมมณฑป
ประดับกระเบื ้องที่บรรไดขึ ้น ๖ ประตู แล้ วสร้ างพระระเบียงวัด ตรงด้ าน
สกัดฐานทักษิณที่ตอ่ ใหม่นนั ้ ต่อเปนคดขยายที่ออกไปทังด้ ้ านตวัน
ออกแลด้ าน ตวันตก ทางด้ านตวันออกทําประตูซ้ ุมมงกุฏ ประดับ
กระเบื ้องที่พระระเบียง แลมีพลับพลาเปลื ้องเครื่ องอยูข่ ้ างประตูข้างละ
หลัง ทางด้ าน ตวันตกทําประตูหลังคาจัตรุ มุขมีพลับพลาเปลื ้องเครื่ อง
ข้ างเหนือประตูหลัง ๑
บนลานทักษิ ณพระมณฑปที่ตอ่ ใหม่ทางด้ านตวันออกสร้ าง
ปราสาทยอดปรางค์องค์ ๑ประดับกระเบื ้องทังฝาผนั
้ งแลยอดปรางค์
พระราชทานนามว่าพระพุทธปรางค์ปราสาท ( คือปราสาทพระเทพบิดร
เดี๋ยวนี ้ ) ทรงก่อฤกษ์เมื่อเดือน ๖ แรม ๙ คํ่า ปี เถาะ พ.ศ. ๒๓๙๘
เดิมทรงพระราชดําริห์จะให้ เปนที่ประดิษฐานพระแก้ วมรกฎแต่เมื่อสร้ าง
ขึ ้นแล้ วเห็นไม่พอที่จะทําการพระราชพิธีตา่ ง ๆ จึงไม่ได้ เชิญพระแก้ วมร
กฎมาดังทรงพระราชดําริห์ไว้ แต่เดิม
ทางด้ านตวันตกพระมณฑปนัน้ โปรดให้ สร้ างเจดีย์ตามแบบ
พระมหาสถูปในวัดพระศรี -สรรเพ็ชญ์ที่กรุงเก่าองค์ ๑ ทรงก่อฤกษ์เมื่อ
เดือนยี่แรม ๑๑ คํ่า ปี เถาะ พ.ศ. ๒๓๙๘ทรงขนานนามว่าพระศรี รัตน
เจดีย์ ( แต่พงึ่ ประดับกระเบื ้องทองเมื่อในรัชกาลที่ ๕ )
พระพุทธมณเฑียร และพระที่นงั่ จักรพรรดิพิมาน.
ถ่ายจากพระที่นงั่ ภูดลทัศไนย.
๖๕
พระมณฑปของเดิมซึง่ สร้ างเมื่อรัชกาลที่ ๑ นัน้ โปรดให้ ซอ่ มแซม
เครื่ องบนใหม่ แลพื ้นข้ างในพระมณฑปเดิมคาดแผ่นเงิน โปรดให้ สาน
เปนเสื่อเงินปูแทน
ที่มมุ พระระเบียงข้ างน่าพระอุโบสถโปรดให้ สร้ างมณฑปยอดปรางค์
หลัง ๑ เปนที่ประดิษฐานพระเจดีย์โบราณ ซึง่ เชิญลงมาแต่เมืองเหนือ
ข้ างน่ามณฑปนันลงมาสร้
้ างหอพระยอดปรางค์อิกหลัง๑เปนที่ประดิษ
ฐานพระคันธารราษฎ ( แต่การประดับกระเบื ้องทําต่อเมื่อในรัชกาลที่ ๕ )
แล้ วโปรดให้ ทําแท่นปูแผ่นมะนังศิลาของสมเด็จพระร่ วงไว้ ข้างน่าหอพระนัน้
ทางด้ านใต้ พระอุโบสถโปรดให้ สร้ างหอระฆังใหม่ ( เข้ าใจว่า
ตรงที่หอระฆังเดิม )
ข้ างหลังพระอุโบสถโปรดให้ สร้ างมณฑปยอดปรางค์ประดับกระเบื ้อง
เปนที่ประดิษฐานพระปรางค์ของโบราณ พระราชทานนามว่า พระโพธิ
ธาตุพิมาน แลสร้ างหอพระข้ างละหลัง หลังข้ างเหนือเปนที่ไว้
พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ซึง่ ทรงพระราชอุทิศถวายสมเด็จพระเจ้ าแผ่นดิน
ครัง้ กรุงเก่า พระราชทานนามว่า หอราชกรมานุสร ฝาผนังข้ างใน
โปรดให้ พระอาจารย์อิน วัดราชบุรณะ ๑ เขียนเรื่ องพระราชพงษาวดาร
ครัง้ กรุงศรี อยุธยา หอข้ างใต้ เปนที่ไว้ พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ทรงพระราช
อุทิศถวายสมเด็จพระเจ้ าอยูห่ วั ในกรุงรัตนโกสินทร์ พระราชทานนามว่า
หอราชพง ศานุสร โปรดให้ พระอาจารย์อินเขียนเรื่ องพระราชพงษาว
ดารกรุงรัตนโกสินทร์

๑ เรี ยกกันว่า ขรัวอินโข่ง เปนช่างเขียนภาพไม่มีตวั สู้ในสมัยนัน.



๖๖
พระอุโบสถนัน้ โปรดให้ ซอ่ มตัวไม่เครื่ องบนแลเขียนภาพที่ฝาผนัง
ใหม่ แต่ภาพเรื่ องมาผจญด้ านหุ้มกลองข้ างน่านันคงของเดิ ้ มไว้ หาได้
เขียนใหม่ไม่ พื ้นพระอุโบสถเดิมปูเสื่อทองเหลืองโปรดให้ หล่อเปนแผ่น
อิฐทองเหลืองปูใหม่
ยังมีการอื่น ๆ ที่ได้ ทรงสถาปนาในวัดพระศรี รัตนศาสดารามอิก
หลายอย่าง ซึง่ ยังไม่ทราบรายการแน่
๒ วัดบวรนิเวศ
วัดบวรนิเวศทรงบูรณะมาแต่เมื่อทรงผนวชอยู่ ในรัชกาลที่ ๓
คือเชิญพระชินสีห์มาไว้ ในพระอุโบสถ แลสร้ างพระเจดีย์ที่หลังพระ
อุโบสถเปนต้ น ด้ วยเสด็จประทับอยูว่ ดั นันหลายปี ้ แล้ วทรงสร้ าง
เพิ่มเติมต่อมาในรัชกาลที่ ๔ อิกก็มาก มีของที่พระบาทสมเด็จ ฯ พระ
จอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ทรงสร้ างมากกว่าที่กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพล
เสพได้ ทรงสร้ างไว้ แต่เดิม
๓ วัดพระเชตุพน
เมื่อปี ฉลู พ.ศ. ๒๓๙๖ โปรดให้ ถ่ายอย่างพระเจดีย์ วัดสวน
หลวงสบสวรรค์ที่กรุงเก่ามาสร้ างในวัดพระเชตุพน เปนพระเจดีย์
ประจํารัชกาลที่ ๔ องค์ ๑ ประดับกระเบื ้องทังองค์ ้ แลโปรดให้ ตอ่
พระระเบียงที่ล้อมพระเจดีย์ ๓ องค์ ของเดิมขยายออกไปทางด้ าน
ตวันตกล้ อมพระเจดีย์ที่ทรงสร้ างใหม่ไว้ ในบริเวณเดียวกันด้ วย

๖๗
เมื่อทรงสร้ างพระเจดีย์นนได้
ั ้ มีรับสัง่ ไว้ วา่ ต่อไปในรัชกาลหลัง
อย่าให้ เอาเปนแบบอย่างที่จําจะต้ องสร้ างพระเจดีย์ประจํารัชกาลใน วัดพระ
เชตุพนต่อไปเลย เพราะสมเด็จพระเจ้ าอยูห่ วั ทัง้ ๔ รัชกาลแต่แรกนัน้
ได้ เคยทรงเห็นกันทั ้ง ๔ พระองค์ผิดกับสมเด็จพระเจ้ าแผ่นดินพระองค์อื่น
ด้ วยเหตุนี ้จึงมิได้ ทรงสร้ างเพิ่มเติมในรัชกาลหลังต่อมา
ที่ในพระอุโบสถนันโปรดให้
้ เชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จ ฯ พระ
พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ไปบรรจุไว้ ที่พระพุทธอาศน์ให้ มหาชนได้ กระทํา
สักการบูชา.
๔ วัดมหาธาตุ
วัดมหาธาตุพระบาทสมเด็จ ฯ พระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ทรงปฏิสงั ขรณ์
ใหม่ทงพระอาราม
ั้ การยังไม่เสร็จจนรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ
พระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั จึงทรงปฏิสงั ขรณ์ตอ่ มาจนสําเร็จ โปรดให้ เชิญ
รู ปสมเด็จพระสังฆราช สุก ญาณสังวร ซึ่งพระบาทสมเด็จ ฯ พระนัง่ เกล้ า
เจ้ าอยู่หวั โปรดให้ หล่อไว้ แห่จากหอพระนาคไปไว้ ในพระวิหารวัดมหาธาตุ
แล้ วโปรดให้ สร้ างพระวิหารน้ อยขึ ้นที่ตรงที่พระตําหนักซึง่ เสด็จประทับเมื่อ
แรกทรงผนวช อยู่ที่ริมต้ นโพธิ์ลงั กาหลัง ๑ มีกําแพงแก้ วเปนบริ เวณรอบ
๕ วัดชะนะสงคราม
วัดชะนะสงคราม พระบาทสมเด็จ ฯ พระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยู่หวั ทรง
ปฏิสงั ขรณ์คราวเดียวกับวัดมหาธาตุ การก็ยงั ค้ างอยู่ พระบาทสมเด็จ ฯ
พระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ได้ ทรงปฏิสงั ขรณ์ตอ่ มาจนสําเร็จ

๖๘
๖ วัดสุทัศน์ เทพวราราม
วัดสุทศั น์เทพวราราม โปรดให้ สร้ างพระพุทธรูปมีพระอสีติ
สาวกนัง่ ล้ อมที่ในพระอุโบสถ แลโปรดให้ เชิญพระศาสดาจากวัดประดู่
มาไว้ วัดสุทศั น์ ประดิษฐานไว้ ที่นา่ อุโบสถ ตังแต่ ้ ปีฉลู พ.ศ. ๒๓๙๖
จนถึงปี ชวด พ.ศ. ๒๔๐๗ จึงได้ ย้ายไปวัดบวรนิเวศ แลโปรดให้ สร้ าง
ศาลาบนกําแพงข้ างน่าวัด ๔ หลัง
๗ วัดสระเกษ
วัดสระเกษ พระบามสมเด็จ ฯ พระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ทรงสร้ าง
พระเจดีย์องค์ ๑ จะให้ เปนเจดีย์ใหญ่อย่างภูเขาทองที่กรุงเก่า แต่
ตรงที่สร้ างเปนชายคลองมหานาคแผ่นดินอ่อน ก่อพระเจดีย์ขึ ้นไปพอ
นํ ้าหนักมากก็ซุดลงทุกครัง้ แก้ ไม่หาย จึงต้ องหยุดการสร้ างพระเจดีย์นนั ้
ค้ าง อยูเ่ พียงแต่ฐานมาแต่รัชกาลที่ ๓พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอม
เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั โปรดให้ พระยาศรี พิพฒั น์ แพ ( บุตรของสมเด็จ
เจ้ าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ ซึง่ เปนผู้สร้ างพระเจดีย์นนเมื ั ้ ่อรัชกาลที่
๓ ) เปนแม่กอง ให้ พระยาราชสงครามเปนนายช่าง ซ่อมแปลงพระ
เจดีย์ที่ค้างอยูน่ นทํ
ั ้ าเปนภูเขาแลสร้ างพระเจดีย์ไว้ บนยอด มีบนั ไดเวียน
ทางขึ ้นไปได้ ถึงพระเจดีย์ ๒ทาง พระราชทานนามว่าบรมบรรพต แล
โปรดให้ สร้ างพระระเบียงรอบพระอุโบสถ ซึง่ ทําค้ างมาแต่รัชกาลที่ ๓
ให้ สําเร็จบริบรู ณ์
๘ วัดมหาพฤฒาราม
เมื่อขุดคลองผดุงกรุงเกษม คลองผ่านไปน่าทางวัดตะเคียน
เปนวัดโบราณ จึงทรงพระราชศรัทธาโปรดให้ กรมหมื่นภูมินทรภักดี
๖๙
เปนแม่กองทรงบุรณปฏิสงั ขรณ์ใหม่ทงพระอาราม
ั้ พระอุโบสถวิหาร
ของเดิมก็รือ้ สร้ างใหม่ แลเดิมมีพระปรางค์ ๔ องค์ อยูร่ ะหว่างพระ
อุโบสถกับพระวิหาร ก็โปรดให้ ก่อครอบใหม่ให้ ใหญ่ขึ ้น ทรงพระราช
อุทิศบูชาพระพุทธเจ้ าทัง้ ๔ พระองค์ แล้ วพระราชทานนามพระอาราม
ว่า วัดมหาพฤฒาราม แลขณะเมื่อเจ้ าเริ่มการปฏิสงั ขรณ์นนั ้ พระ
อาจารย์แก้ วผู้เปนอธิการมีอายุได้ ๑๐๗ ปี มีสติสมั ปชัญญะบริบรู ณ์
ทรงเลื่อมใสจึงทรงตังเปนราชาคณะที
้ ่พระมหาพฤฒาจารย์ด้วย
๙ วัดปทุมคงคา
วัดปทุมคงคา พระยาสวัสดิวารี ได้ รับพระราชทานพระราชา
นุญาตปฏิสงั ขรณ์เมื่อรัชกาลที่ ๓ การค้ างอยู่ ถึงรัชกาลที่ ๔
พระยาพิศาลศุภผล ชื่น ได้ รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต
ปฏิสงั ขรณ์ตอ่ ไป พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั จึงทรง
ช่วยในส่วนปฏิสงั ขรณ์พระประธานที่ในพระอุโบสถ โปรดให้ กรมขุนราช
สีหวิกรม เปนนายช่าง แก้ พระประธานเปนพระทรงเครื่ องต้ น แล้ วยก
พุทธอาศน์ให้ สงู ขึ ้น แลเสิมฐานชุกชีออกมาทําเทวรูปถือดอกไม้ ทอง
เงิน ๒ องค์
๑๐ วัดราชาธิวาศ
วัดสมอราย ได้ เริ่มทรงปฏิสงั ขรณ์มาแต่ยงั ทรงผนวช ครัง้ เสด็จ
ประทับอยูเ่ มื่อก่อนจะเสด็จมาประทับวัดบวรนิเวศ ถึงในรัชกาลที่ ๔
โปรดให้ พระยาเพ็ชรพิไชย หนู เมื่อยังเปนพระยาสามภพพ่ายเปนแม่ก
องทําการบุรณปฏิสงั ขรณ์ตอ่ มาคือต่อมุขขวางข้ างน่าและหลังพระอุโบสถ
๗๐
สร้ างพระเจดีย์ขึ ้นข้ างหลังพระอุโบสถ สร้ างเสนาศน์ใหม่ แลสร้ างเมรุ
ปูนกับศาลาบริเวณสําหรับทําการปลงศพขึ ้นข้ างน่าพระอาราม
พระราชทานนามพระอารามใหม่วา่ วัดราชาธิวาส
๑๑ วัดอรุณราชวราราม
วัดอรุณฯ เดิมมีนามว่า วัดอรุณราชธาราม ทรงแก้ เปนวัดอ
รุณราชวรารามแลทรงบูรณ ปฏิสงั ขรณ์หลายอย่าง คือโปรดให้ เชิญ
พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเลิศหล้ านภาลัยไปบรรจุที่ พระพุทธ
อาศน์ในพระอุโบสถ ให้ มหาชนได้ สกั การบูชา
แลที่พระอุโบสถนันโปรดให้
้ สร้ างบุษบกยอดปรางค์ขึ ้นริมผนัง
ทังด้
้ านน่าด้ านหลังพระอุโบสถ ด้ านน่าสําหรับจะประดิษฐาน
พระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้ า
นภาลัย ด้ านหลังสําหรับประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองพระองค์
พระบาทสมเด็จ ฯ พระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั กับพระพุทธรูปฉลอง
พระองค์สว่ นพระองค์เอง ( การประดิษฐานพระพุทธรูปค้ างอยูไ่ ด้
ประดิษฐานพระพุทธรูป ฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศ
หล้ านภาลัย เมื่อในรัชกาลที่ ๕ ) อนึง่ เดิมประดับกระเบื ้องเคลือบเปนลา
ยดอกไม้ ร่วงแต่ที่ฝาผนังข้ างนอกพระอุโบสถ โปรดให้ ประดับเพิ่มเติม
ต่อออกมาจนเสารายรอบพระอุโบสถ
ที่พระวิหาร เดิมฝาไม่ได้ ประดับกระเบื ้อง โปรดให้ ประดับ
ใหม่ทงหลั
ั้ ง
รูปท้ องสนามไชย ถ่ายจากหอกลาง
๗๑
๑๒ วัดกัลยาณมิตร
ที่วดั กัลยาณมิตรทรงสร้ างหอไตรหลัง ๑ สร้ างตรงที่ซงึ่ สมเด็จ
พระไอยิกา กรมพระศรี สดุ ารักษ์ จอดแพที่ประทับเมื่อครัง้ กรุง
ธนบุรีเปนราชธานี

๑๓ วัดบุบผาราม
วัดดอกไม้ ซึง่ สมเด็จเจ้ าพระยาบรมมหาศรี สรุ ิยวงศ์ กับเจ้ า
พระยาทิพากรวงศ์ บุรณปฏิสงั ขรณ์ ทรงช่วยในส่วนพระอุโบสถ แล้ ว
พระราชทานนามว่า วัดบุบผาราม
๑๔ วัดโมลีโลก
วัดโมลีโลก ทรงปฏิสงั ขรณ์ใหม่ทงพระอาราม
ั้ อนึง่ พระตําหนัก
เดิมของสมเด็จพระศรี สรุ ิเยนทราบรมราชินี ซึง่ รื อ้ ไปปลูกถวายเปน
กุฎิเจ้ าอาวาศที่วดั โมลีโลกเมื่อเสด็จสวรรคตนัน้ โปรดให้ ย้ายไป
ปลูกที่วดั เขมาภิรตาราม อันเปนวัดซึง่ สมเด็จพระศรี สรุ ิเยนทร์ ฯ ทรง
บูรณปฏิสงั ขรณ์ โปรดให้ สร้ างกฏิตกึ ถวายให้ เจ้ าอาวาศวัดโมลีโลก
ทังหมู
้ ่ แทนพระตําหนักที่รือ้ ย้ ายไปนัน้
๑๕ วัดหงษ์ รัตนาราม
วัดนี ้นามเดิมว่าวัดเจ้ าขรัวหงษ์ แล้ วเปลี่ยนมาเปนวัดหงษา
ราม สมเด็จพระศรี สรุ ิเยนทราบรมราชินีทรงบุรณปฏิสงั ขรณ์ด้วยกัน
กับวัดเขมาภิรตาราม ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ า
เจ้ าอยูห่ วั ทรงรับปฏิสงั ขรณ์วดั เขมา ฯ โปรดให้ พระบาทสมเด็จ ฯ
พระปิ่ นเกล้ า
๗๒
เจ้ าอยูห่ วั ทรงปฏิสงั ขรณ์วดั หงษ์ การยังไม่แล้ วเสร็จ พระบาทสมเด็จ ฯ
พระปิ่ นเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั สวรรคต พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ า
เจ้ าอยูห่ วั จึงทรงปฏิสงั ขรณ์ตอ่ มาจนสําเร็จ พระราชทานนามว่าวัดหงษ์
รัตนาราม
๑๖ วัดราชสิทธาราม
ที่วดั ราชสิทธาราม ทรงสร้ างพระเจดีย์ทรงเครื่ องข้ างน่าพระ
อาราม ๒ องค์ องค์ ๑ ขนานนามว่า พระศิราศนเจดีย์ อุทิศ
ถวายพระบาทสมเด็จ ฯ พระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั อีกองค์ ๑ ทรงขนาน
พระนามว่า พระศิรจุมพฏเจดีย์ เปนส่วนของพระองค์เอง เหตุด้วยได้
ทรงศึกษามาในสํานักสมเด็จพระสังฆราชสุก เมื่อยังเปนพระญาณ
สังวรเถรอยูว่ ดั ราชสิทธ ฯ นัน้ ทัง้ ๒ พระองค์
๑๗ วัดหิรัญรู จี
เดิมชื่อวัดน้ อยบางไส้ ไก่ เจ้ าขรัวเงินพระบิดาของสมเด็จพระศรี
สุริเยนทราบรมราชินีได้ ทรงสถาปนาไว้ เมื่อครัง้ กรุงธนบุรี โปรดให้
พระยาสีหราชเดโชไชยเปนแม่กองทําการปฏิสงั ขรณ์ทงพระอาราม ั้ แล้ ว
พระราชทานนามว่า วัดหิรัญรูจี
๑๘ วัดราชโอรส
วัดราชโอรส ซึง่ พระบาทสมเด็จ ฯ พระนัง่ เกล้ าเจ้ าอูห่ วั ทรง
สร้ างวัดจอมทองของโบราณไว้ เมื่อรัชกาลที่ ๒ ในรัชกาลที่ ๔
พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั โปรดให้ เชิญพระบรม
อัฐิพระบาท
๗๓
สมเด็จ ฯพระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ไปบรรจุไว้ ที่พระพุทธอาศน์ในพระ
อุโบสถให้ มหาชนได้ สกั การบูชา แลโปรดให้ ปฏิสงั ขรณ์วิหารโถงที่
ประดิษฐานพระสิทธารถของโบราณอยูท่ ี่ริมคลอง กับศาลารายที่
รินคลองรวม ๖ หลัง
๑๙ วัดวงศมูลวิหาร
วัดใหม่ กรมขันธิเบศร์ บวรทรงสร้ างขึ ้นข้ างหลังวัง ( คือ
บริ เวณที่วา่ การกระทรวงทหารเรื อทุกวันนี ้ เปนพระราชนิเวศน์เดิมของ
พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์เสด็จประทับเมื่อครัง้ กรุง
ธนบุรี ในรัชกาลที่ ๑ เมื่อโปรดให้ พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้ า
นภาลัยเสด็จไปประทับที่พระราชวังเดิม จึงพระราชทานพระนิเวศน์
เดิมให้ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ประทับ ถึงรัชกาลที่๒กรม
พระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์โปรดให้ กรมขุนธิเบศร์ บวรซึง่ เปนลูกเธอ
พระองค์ใหญ่ประทับต่อมา จึงได้ ทรงสร้ างวัดขึ ้นข้ างหลังวัง ) แต่
สร้ างค้ างอยูพ่ ระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั จึงโปรดให้ กรม
หมื่นอนันตการฤทธิ ซึง่ ได้ ประทับอยูท่ ี่วงั นันต่
้ อมา เปนแม่กองสร้ างวัด
ใหม่จนแล้ ว พระราชทานนามว่า วัดวงศมูลวิหาร

๒๐ วัดชิโนรสาราม
สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรสได้ ทรงสร้ างวัดในคลองมอญ
วัด ๑ สําหรับจะเปนที่ประทับสําราญพระอิริยาบถ ได้ ทรงสร้ างพร้ อม
กับเมื่อพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ทรงสร้ างวัดบรมนิ
วาศ ทรง
๗๔
รฦกถึงพระคุณของสมเด็จกรมพระปรมานุชิต ฯ จึงโปรดให้ สร้ างพระ
เจดีย์ขึ ้น ๒ องค์ แลโปรดให้ เขียนฝาผนังข้ างในพระอุโบสถพระราชทาน
เพิ่มเติม แล้ วพระราชทานนามว่า วัดชิโนรสาราม
๒๑ วัดศรีสุดาราม
วัดชีปะขาว ในคลองบางกอกน้ อย เปนวัดโบราณ สมเด็จเจ้ า
ฟ้ากรมพระศรี สดุ ารักษ์ ทรงบุรณปฏิสงั ขรณ์ เมื่อรัชกาลที่ ๑นานมานํ ้า
เซาะตลิ่งพังเข้ าไปทุกทีจนถึงน่าพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จ ฯ พระ
จอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั จึงโปรดให้ เจ้ าพระยามุขมนตรี เปนแม่กอง สร้ างพระ
อุโบสถใหม่ย้ายเข้ าไปให้ พ้นอันตราย แลให้ ลงเขื่อนกันที่นํ ้าเซาะ
แล้ วพระราชทานนามพระอารามว่า
วัดศรี สดุ าราม
๒๒ วัดบวรมงคล
วัดนี ้ เดิมชื่อวัดลิงขบอยูร่ ิมแม่นํ ้าฝั่ งตวันตก กรมพระราชวัง
บวรมหาเสนานุรักษ์ทรงบุรณปฏิสงั ขรณ์ในรัชกาลที่ ๒ ได้ พระราชทาน
นามว่า วัดบวรมงคล ถึงรัชกาลที่ ๔ ชํารุดทรุดโทรมทังพระอาราม ้
จึงโปรดให้ พระองค์เจ้ าใย ลูกเธอในกรมพระราชวังบวรพระองค์นนั ้
เปนแม่กองปฏิสงั ขรณ์ทงพระอาราม
ั้
วัดหัวเมือง แขวงจังหวัดนนทบุรี
๒๓ วัดไชยพฤกษมาลา
วัดไชยพฤกษ์ เปนวัดโบราณร้ างอยูเ่ มื่อสร้ างกรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้ านภาลัยโปรดให้ รือ้ อิฐมาสร้ าง
๗๕
กําแพงพระนคร ตอนซึง่ พระองค์ทรงเปนนายด้ าน ครัน้ ถึง
รัชกาลที่ ๒ ทรงสร้ างวัดไชยพฤกษ์ใช้ ยงั ไม่สําเร็จ มีรับสัง่ ให้
พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั แต่ยงั ไม่ได้ ทรงผนวชเป
นแม่กองทําเปนการหลวง การค้ างอยูต่ ลอดรัชกาลที่ ๓ ด้ วย
พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ทรงผนวช ครัน้ ถึงรัชกาลที่ ๔
จึงโปรดให้ พระเจ้ าลูก ยาเธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศเปนแม่ กอง
สร้ างต่อมา พระราชทานนามว่า วัดไชยพฤกษ์มาลา ( การสําเร็จ
บริบรู ณ์เมื่อในรัชกาลที่ ๕ )
๒๔ วัดเขมาภิรตาราม
วัดเขมาเปนวัดโบราณ สมเด็จพระศรี สรุ ิเยนทราบรมราชินีทรง
บุรณปฏิสงั ขรณ์ เมื่อรัชกาลที่ ๒ ครัน้ นานมาชํารุดทรุดโทรมไป ถึง
รัชกาลที่ ๔ จึงโปรดให้ กรมหมื่นมนตรี รักษาซึง่ เปนพระโอรสเจ้ าฟ้า
กรมหลวงพิทกั ษมนตรี เปนแม่กองทําการบุรณปฏิสงั ขรณ์ตอ่ มา
คือ
โปรดให้ ถ่ายอย่างพระเจดีย์ที่วดั ศรี อโยธยา ( คือวัดเดิม ) ใน
กรุงเก่ามาสร้ างข้ างหลังพระอุโบสถ สูง ๑๕ วา มีพระเจดีย์น้อยประจํา
ทิศ ๔ องค์
ที่ในพระอุโบสถโปรดให้ สร้ างพระพุทธรูปมีพระอสีตสิ าวกแล
เขียนฝาผนังทําบานประตูนา่ ต่างใหม่
สร้ างกําแพงแก้ วแลประตูรอบพระอุโบสถ แลสร้ างการเปรี ยญ
ศาลาทังปวงให้
้ บริบรู ณ์ทงพระอาราม
ั้
๗๖
โปรดให้ ย้ายพระตําหนักของสมเด็จพระศรี สรุ ิเยนทร์ ซึง่
ถวายไว้ ในวัดโมลีโลก มาปลูกเปนเสนาศน์สําหรับเจ้ าอาวาสวัดเขมา
แล้ วพระราชทานนามพระอารามว่า วัดเขมาภิรตาราม
๒๕ วัดเฉลิมพระเกียรดิ์
วัดเฉลิมพระเกียรดิน์ นั ้ พระบาทสมเด็จ ฯ พระนัง่ เกล้ า
เจ้ าอยูห่ วั โปรดให้ สร้ างที่จวนเดิมของพระยานนทบุรี ซึง่ เปนพระชนก
สมเด็จพระศรี สลุ าไลย พระพันปี หลวง การยังค้ างอยู่
พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั จึงทรงสร้ างต่อมา เปนการ
ทรงสนองพระเดชพระคุณในพระบาทสมเด็จ ฯ พระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั
โปรดให้ เจ้ าพระยาทิพากรวงศ์เปนแม่กองการบุรณจนสําเร็จทังพระ ้
อาราม
แขวงจังหวัดสมุทปราการ
๒๖ พระสมุทเจดีย์
พระสมุทเจดีย์นนในรั
ั ้ ชกาลที่ ๓ ทรงสร้ างเปนพระเจดีย์ไม้ สิบ
สอง สูง ๑๓ วา ๓ ศอก อยูก่ ลางเกาะ มีศาลาสี่ทิศ ถึงรัชกาลที่ ๔
เมื่อปี วอก พ.ศ. ๒๔๐๓ โปรดให้ เจ้ าพระยาทิพากรวงศ์เปนแม่กอง
พระยามหาอรรคนิกร พระอมรมหาเดช เปนนายงานทําการบุรณ
ปฏิสงั ขรณ์ให้ จดั ซื ้อศิลาถมขยายเกาะให้ กว้ างออกไป แล้ วถ่ายแบบ
พระเจดีย์ กลมที่กรุงเก่ามาสร้ างสวมพระเจดีย์ไม้ สิบสองของเก่าถาน
กว้ าง ๑๐ วา สูง ๒๐ วา ทํากําแพงและศาลารายสี่ทิศ สร้ างพระ
วิหารหลวงข้ าง
ท่าราชวรดิษฐ์ (ถ่ายในรัชกาลที่๕ แต่พระที่นงั่ ของเดิมยังอยูบ่ ริบรู ณ์)
๗๗
ด้ านใต้ พระเจดีย์หลัง ๑ สร้ างหอระฆังข้ างน่าพระวิหารหลวงแล
สร้ างวิหารน้ อยข้ างเหนือพระเจดีย์ ๒ หลังเปนที่สําหรับราษฎรฝาก
พระพุทธรูปแล้ วก่อกระถางปลูกพระศรี มหาโพธิ ซึง่ ทรงเพาะเมล็ด
พรรณพระศรี มหาโพธิที่ได้ มาแต่เมืองพุทธคยา ที่ขอบเกาะนันให้ ้ ทํา
เขื่อนแลคัน่ บันไดศิลาก่อเรื อนไฟแลหลักสําหรับผูกเรื อรายรอบทังเกาะ ้
การที่สร้ างสิ ้นเงินหลวง ๒๑,๒๔๒ บาท เงินมีผ้ ศู รัทธาเรี่ ยราย ๓,๕๐๒
บาท รวมทังสิ ้ ้นเปนเงิน ๒๔,๗๔๔ บาท แต่ของหลวงที่จา่ ยไม่ได้ คดิ ..
( การที่ทรงบุรณปฏิสงั ขรณ์พระสมุทเจดีย์นี ้ ปรากฎกระแส
พระราชดําริ ห์ในพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หวั อยู่ในประกาศ
ว่าเมื่อรัชกาลที่ ๒ ครัง้ สร้ างป้อมนารายน์ปราบศึก ป้อมพระกาฬ
ป้อมประโคนไชย แลป้อมผีเสื ้อสมุทนัน้ พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธ
เลิศหล้ านภาลัยเสด็จลงไปพระราชทานพระกฐิ นที่เมืองสมุทปราการเมื่อปี
มะแม พ.ศ. ๒๓๖๖ ทอดพระเนตรเห็นเกาะน้ อยมีอยูข่ ้ างเหนือป้อม
ผีเสื ้อสมุทเกาะ ๑ จึงทรงพระราชดําริ ห์จะสร้ างพระมหาสถูปขึ ้นที่เกาะนั ้น
สักองค์ ๑ เพื่อจะแสดงให้ เห็นว่าการที่ทรงสร้ างป้อมปราการขึ ้นที่เมือง
สมุทปราการขึ ้น เพื่อจะรักษาพระพุทธสาสนา จึงมีพระราชโองการ
ดํารัสสัง่ พระบาทสมเด็จ ฯ พระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั เมื่อยังดํารงพระยศ เป
นพระเจ้ าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ กับสมเด็จเจ้ าพระยา บรม
มหาประยูรวงศ์เมื่อยังเปนเจ้ าพระยาพระคลังให้ เปนแม่กองจัดการจ้ าง
เรื อลูกค้ าขนศิลามาถมที่เกาะนันให้
้ แน่นหนามัน่ คง ครัน้ การถม
๗๘
ศิลาเสร็จแล้ วจึงโปรดให้ กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ แต่ยงั
ดํารงพระยศเปนกรมหมื่นศักดิพลเสพ คิดอย่างเจดีย์ที่สร้ าง
ถวายทอดพระเนตร ทรงแก้ ไขตัวอย่างจนพอพระราชหฤไทยแล้ ว
แต่ยงั หาได้ ลงมือสร้ างไม่ ด้ วยทรงพระราชดําริห์วา่ ที่ดนิ พึง่ ถมใหม่
เกรงจะทรุด จะรอไว้ ให้ ที่ดนิ อยูต่ วั เสียก่อน เปนแต่ทรงขนานนาม
พระเจดีย์ไว้ วา่ พระสมุทเจดีย์ การค้ างอยูเ่ พียงนันก็
้ สิ ้นรัชกาลที่ ๒
ถึงรัชกาลที่ ๓ โปรดให้ สร้ างป้อมปราการที่ยงั ค้ างอยูใ่ ห้ สําเร็จ แลให้
สร้ างป้อมนาคราชขึ ้นที่เมืองสมุทปราการทางฝั่ งตวันตก สร้ างป้อม
คงกระพันขึ ้นที่ตําบลบางจะเกรง สร้ างป้อมตรี เพ็ชรขึ ้นที่ปากคลอง
บางปลากดรวม ๓ ป้อม ครัน้ ถึงปี กุญ พ.ศ. ๒๓๗๐ จึงโปรดให้
สมเด็จเจ้ าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ เมื่อยังเปนเจ้ าพระยาพระ
คลังเปน แม่กองสร้ างพระสมุท เจดีย์ขึ ้นตามกระแสพระราชดําริห์ใน
พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้ านภาลัย เปนพระเจดีย์รูปไม้ สิบ
สอง ( อย่างพระเจดีย์ที่วดั พระเชตุพน ) ขึ ้นกับศาลา ๔ หลัง พอสร้ าง
พระเจดีย์เสร็จแล้ วคนทังหลายก็
้ พากันไปบูชาเปนการนักขัตฤกษ์
ประจําปี ในเดือน ๑๑ แรม ๘ คํ่าเสมอมาไม่ขาด แลพระสมุทเจดีย์นี ้ต่อ
มาถึงรัชกาลที่ ๕ โปรดให้ สร้ างศาลาข้ างเหนือพระเจดีย์เพิ่มเติมขึ ้นอิก
หลัง ๑ )
๒๗ วัดเกาะสีชัง
เมื่อเสด็จประพาศที่เกาะสีชงั ทรงพระราชศรัทธาให้ เจ้ าพระยา
ทิพากรวงศ์เปนแม่กองสร้ างวัดพระราชทานสําหรับพวกชาวเกาะจะได้
๗๙
ประพฤติกิจในพระสาสนาวัด ๑ สร้ างพระอุโบสถก่ออิฐถือปูนบนเนิน
เขาข้ างปลายแหลมด้ านตวันออก ที่เชิงเนินสร้ างการเปรี ยญ แลกุฎี
สงฆ์เปนเครื่ องไม้ ครบทังวั้ ด
( วัดนี ้ย้ ายไปสร้ างใหม่ที่ไร่บนทางเหนือเกาะ พระราชทานนาม
ว่าวัดจุฑาทิศนธรรมสภาราม ฯ เมื่อในรัชกาลที่ ๕ )
จังหวัดพระนครศรี อยุธยา
๒๘ วัดสุวรรณดาราราม
วัดสุวรรณดาราม เปนวัดของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก
ต้ นพระบรมราชจักรี วงศ์ได้ ทรงสถาปนาไว้ เมื่อครัง้ กรุงศรี อยุธยาเปนราช
ธานีเปนวัดร้ างมาแต่เสียกรุงเก่า ถึงรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร
พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ กับกรมพระราชวัง
บวรมหาสุรสิงหนาททรงสถาปนาให้ คืนดีมีพระสงฆ์อยูอ่ ย่างเดิม
ถึงรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จ ฯ พระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ทรง
ปฏิสงั ขรณ์ แลโปรด ให้ สร้ างการเปรี ยญเสนาศน์ใหม่ ในรัชกาลที่
๔ ก็ทรงสร้ างเพิ่มเติม อิกหลายอย่างคือ
สร้ างพระเจดีย์ใหญ่สําหรับพระอารามองค์ ๑
สร้ างพระวิหารหลวงน่าพระเจดีย์หลัง ๑ โปรดให้ จําลองรูป
พระแก้ วมรกฎขยายส่วนให้ ใหญ่สร้ างเปนพระประธานในพระวิหาร
หลวง ( พระวิหารหลวงมาสําเร็จในรัชกาลที่ ๕ )
สร้ างศาลาโรงควงใหม่หลัง ๑ แลก่อกําแพงแก้ วล้ อมรอบ
บริเวณพระอุโบสถแลพระวิหาร
๘๐
โปรดให้ ขดุ คลองแต่คลองมขามเรี ยงผ่านวัดสุวรรณไปออกลํา
นํ ้าขื่อน่าพระนคร ให้ เปนทางเรื อไปมาถึงวัดได้ ด้วย
นามพระอารามนันเดิ ้ มเรี ยกในราชการว่า วัดสุวรรณดาราม
ทรงพระราชดําริห์วา่ ความยังเคลือบคลุม จึงทรงแก้ นามพระอาราม
เปนวัดสุวรรณดาราราม เพราะที่ในพระอุโบสถเพดานมีดาวทอง
จําหลัก ( เหมือนที่วดั พระศรี รัตนศาสดาราม ) ทําไว้ แต่รัชกาลที่ ๑
๒๙ วัดพระเจ้ าพนันเชิง
พระพุทธรูปพระเจ้ าพนันเชิงชํารุดร้ าวอยู่ ทรงพระราชดําริห์
ว่าวัดพระเจ้ าพนันเชิง พระบรรพบุรุษในพระบรมราชจักรี วงศ์ได้ เคยบุ
รณปฏิสงั ขรณ์มาแต่ครัง้ กรุงศรี อยุธยายังเปนราชธานี จึงโปรด
ให้ ปฎิสงั ขรณ์แล้ วลงรักปิ ดทองใหม่ทงพระองค์
ั้
๓๐ วัดขุนยวม
เมื่อครัง้ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ยังทรงผนวช
อยู่ ได้ เสด็จขึ ้นไปประพาศที่กรุงเก่าเนือง ๆ ในสมัยนันวั้ ดขุน
ยวนยังเปนวัดร้ าง มีรับสัง่ แก่พระธรรมราชา คุ้มวัดศาลาปูน ซึง่ เปน
เจ้ าคณะสงฆ์กรุงเก่า จะขอประทับอาไศรยที่วดั ขุนยวม พระธรรมราชา
คุ้ม ถวายอนุญาตแลจัดการทังปวงถวายตามพระประสงค์
้ ได้ โปรดให้
ปลูกตําหนักขึ ้นในวัดนัน้ แลทรงปฎิสงั ขรณ์ให้ กลับเปนวัดมีพระสงค์ขึ ้น
อย่างแต่ก่อน
๘๑
๓๑ วัดเสนาศนาราม
วัดเสนาศน์ เปนวัดโบราณ เดิมชื่อวัดเสื่อ เมื่อขยาย
เขตรวังจันทรเกษมในครัง้ กรุงเก่า เห็นจะเปนเมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระ
นารายน์ วัดเสื่ออยูใ่ นเขตกําแพงวังจึงเปนวัดไม่มีพระสงฆ์ตลอดสมัย
ครัง้ กรุงเก่า แล้ วเลยร้ างอยูก่ บั วังจันทร์ ฯ ด้ วยกัน จนถึงรัชกาล
ที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ทรงสร้ างวัง
จันทรเกษม แลพระนารายน์ราชนิเวศน์ มีพระราชประสงค์จะทรงสร้ าง
วัดเปนผาติกรรมไถ่พระราชวังเมืองลพบุรี ซึง่ สมเด็จพระนารายน์ได้
ทรงพระราชอุทิศเปนที่วิสงุ คามสิมาไว้ นนั ้ จึงโปรดให้ สร้ างวัดเสื่อขึ ้น
ใหม่ทงพระอาราม
ั้ ให้ เปนวัดพระสงฆ์ธรรมยุตกิ าวัดแรกจะมีในจังหวัด
กรุงศรี อยุธยา แลโปรดให้ รือ้ พระตําหนักเดิมที่วดั ขุนยวนมาปลูกเปน
ตําหนักสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แต่เมื่อยังดํารงพระ
ยศเปนกรมหมื่นบวรรังษีสรุ ิยพันธุ์นนด้ ั ้ วย แล้ วพระราชทานนามพระ
อารามว่า วัดเสนาศนาราม
๓๒ วัดขมิน้
วัดขมิ ้น เปนวัดโบราณอยู่ในบริเวณวังจันทรเกษมเหมือนวัด
เสื่อ โปรดให้ สร้ างพระราชทานเปนวัดของเจ้ าจอมมารดาเที่ยง แต่
การยังค้ างอยูห่ าได้ ทนั จะนิมนต์พระสงฆ์มาอยูไ่ ม่
๘๒
๓๓ วัดขันแสน
วัดขุนแสนนั ้นทรงพระราชดําริ ห์ว่า พระบุรพการี ของพระบรมราช
จักรี วงศ์ได้ ตงนิ
ั ้ วาศฐานอยูใ่ กล้ เคียง เมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวร
จึงโปรดให้ พระยาราชสงครามเปนนายงานสถาปนาอิกพระอาราม ๑ ได้
ก่อพระเจดีย์ใหญ่สวมพระเจดีย์ของเดิม แลสร้ างพระวิหารหลวงยังไม่
ได้ ยกเครื่ องบนการค้ างอยูเ่ พียงนัน้
๓๔ วัดชุมพลนิกายาราม
วัดชุมพล ฯ ที่บางปอิน เดิมสมเด็จพระเจ้ าปราสาททองทรงสร้ าง
ในที่มลู นิเวศฐานของพระพันปี หลวง พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ า
เจ้ าอยูห่ วั โปรดให้ เจ้ าพระยาพลเทพ หลง เปนแม่กองปฏิสงั ขรณ์
ใหม่ทงพระอาราม
ั้ นับในวัด ๑ ซึง่ ทรงสร้ างไถ่พระนารายน์ราชนิเวศน์
๓๕ พระพุทธบาท
ที่พระพุทธบาทนันได้
้ ทรงบุรณปฏิสงั ขรณ์หลายอย่าง คือ
พระมณฑปเล็กที่สวมรอยพระพุทธบาทองค์ที่สร้ างเมื่อรัชกาลที่ ๒
ไฟไหม้ มา่ นแล้ วเลยไหม้ พระมณฑปนันยั
้ บเยินไปแต่เมื่อรัชกาลที่ ๓ ถึง
รัชกาลที่ ๔ จึงโปรดให้ พระยาราชสงครามเปนนายงานสร้ างเปลี่ยนใหม่
พระมณฑปใหญ่เครื่ องเดิมชํารุด โปรด ฯ ให้ สมเด็จเจ้ าพระยา
บรมมหาพิไชยญาติเปนแม่กอง รื อ้ เครื่ องบนซ่อมแซมตัวไม้ ใหม่
ข้ างในพระมณฑปเดิมคาดด้ วยแผ่นเงินชํารุดไป โปรด ฯ ให้
กรมหลวงเทเวศร์ วชั รินทร์ เปนนายงานสานสื่อเงินปูใหม่
๘๓
พระวิหารหลวง พระอุโบสถ ศาลาโรงธรรม คลังเครื่ องพุทธ
บูชา แลกุฎีสงฆ์ ที่ชํารุดก็โปรดให้ ปฏิสงั ขรณ์ทวั่ ทุกแห่ง
แลโปรดให้ สร้ างพระตําหนักที่ประทับในพระราชวังเดิมที่ท้ายพิกลุ
ด้ วย ในการที่ทรงบุรณปฏิสงั ขรณ์พระพุทธบาทครัง้ นัน้ เจ้ านายแล
ข้ าราชการผู้ใหญ่มีศรัทธาสร้ างสถานต่างๆ โดยเสด็จในการพระราช
กุศลด้ วยก็หลายอย่าง คือ
กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ทรงบุรณปฏิสงั ขรณ์ตกึ เก่าที่นา่ วัด
พระพุทธบาท หลัง ๑
กรมหลวงมเหศวรศิววิลาศ ทรงซ่อมแซมสระสามเส้ นที่ขงั นํ ้า
สําหรับสัปรุษอาไศรยแห่ง ๑
สมเด็จเจ้ าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ สร้ างศาลาที่พกั ของสัปรุษ
ที่ทา่ เรื อ เปนเครื่ องก่ออิฐถือปูน ๓ หลัง ขุดบ่อนํ ้าทําศาลาเครื่ องไม้
ในระยะทางขึ ้นพระบาท ตังแต่ ้ บางโขมดจนถึงเขาตกหลายแห่ง สร้ าง
กุฎีสงฆ์ที่วดั ท้ ายพิกลุ ๗ หลัง ในบริเวณพระพุทธบาทสร้ างโรงธรรม
หลัง ๑ ศาลา ๙ ห้ อง หลัง ๑
เจ้ าพระยาศรี สรุ ิยวงศ์ที่สมุหกลาโหม บุรณตึกเก่าที่ริมบ่อ
โพงหลัง ๑
เจ้ าพระยาทิพากรวงศ์บรุ ณโรงเครื่ องริ มประตูยกั ษ์ หลัง ๑ สร้ าง
กุฎีสงฆ์ที่วดั ท้ ายพิกลุ หลัง ๑
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ได้ เสด็จพระราชดําเนิร
ขึ ้นไปยกยอดพระมณฑปเมื่อปี วอก พ.ศ. ๒๔๐๓
๘๔
จังหวัดลพบุรี
๓๖ วัดกระวิศราราม
วัดขวิด เปนวัดโบราณอยู่ข้างใต้ พระราชวังเมืองลพบุรี
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั โปรดให้ บรุ ณใหม่ทงพระ
ั้
อาราม นับในจํานวนวัดซึง่ ทรงสร้ างถ่ายพระนารายน์ราชนิเวศจากที่วิสุ
งคามสิมา พระราชทานนามว่า วัดกระวิศราราม แล้ วนิมนต์
พระสงฆ์รามัญนิกายมาอยู่ ด้ วยมีพระราชประสงค์จะให้ สวดพระปริต
สําหรับพระราชวัง
จังหวัดไชยนาท
๓๗ วัดธรรมามูล
วัดธรรมามูล เปนวัดโบราณอยูบ่ นไหล่เขา มีพระพุทธรูปเรี ยก
กันว่า “ พระธรรมจักร ”เพราะที่พระหัดถ์มีรอยสําหรับพิมพ์แผ่นขี ้ผึ ้ง
เปนดวงธรรมจักร เปนที่คนนับถือมาก พระบาทสมเด็จฯ พระจอม
เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ทรงบุรณปฏิสงั ขรณ์พระอุโบสถ แล้ วโปรดให้ ประดิษ
ฐานพระพุทธรูปโบราณ ซึง่ มีผ้ นู ํามาถวายจากเมืองนครสวรรค์นนั ้
ไว้ เปนพระประธาน.
จังหวัดนครสวรรค์
๓๘ วัดเขาบวชนาค
บนยอดเขาบวชนาค ข้ างฝั่ งตวันออกใต้ ปากนํ ้าโพธิ์ มีวดั โบราณ
วัด ๑ เปนที่นบั ถือของชาวเมือง พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ า
เจ้ าอยูห่ วั ทรงบุรณปฏิสงั ขรณ์ทงพระอุ
ั้ โบสถแลพระวิหาร
เรื อพระที่นงั่ อัคราชารเดช ลําแรก
๘๕
จังหวัดพิศณุโลก
๓๙ วัดมหาธาตุ
วัดมหาธาตุ เมืองพิศณุโลกอันเปนที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช
พระพุทธชินสีห์ แลพระศาสดา แต่เดิมนันวิ ้ หารพระชินสีห์แลวิหาร
พระศาสดาปรักหักพังจึงได้ เชิญพระพุทธรูปทัง้ ๒ พระองค์ นันลงมาไว้

ในกรุงเทพฯ แต่รัชกาลก่อน พระวิหารก็ทิ ้งหักพังอยูอ่ ย่างเดิม
พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หวั โปรดให้ บรุ ณพระวิหารนั ้นขึ ้น
ใหม่ทั ้ง ๒ หลัง แล้ วโปรดให้ ปัน้ จําลองพระพุทธชินสีห์แลพระศาสดาขึ ้น
ไว้ ณที่เดิมในวิหารนันด้
้ วย
จังหวัดอุตรดิฐ
๔๐ พระธาตุพระฝาง
พระฝาง คือพระมหาธาติเมืองสวางคบุรี พังลงเมื่อปี มโรง
พ.ศ. ๒๓๙๙ โปรดฯ ให้ สร้ างใหม่ให้ บริบรู ณ์อย่างเดิม
จังหวัดชลบุรี
๔๑ วัดบางพระ
วัดที่บางพระเปนวัดโบราณราษฎรในตําบลนันได้
้ อาไศรยบวชเรี ยน
และประกอบการกุศล พระอุโบสถเครื่ องบนผุหมด พวกชาวบ้ านไม่
สามารถจะซ่อมแซมให้ ดีอย่างเดิมได้ พระครูกนั ทราจารย์ถวายพระพร
ให้ ทรงทราบ จึงโปรดให้ เจ้ าพระยาทิพากรวงศ์เปนแม่กองปฏิสงั ขรณ์
พระอุโบสถวัดบางพระเสิมผนังขึ ้นไป ๒ ศอก ทําเครื่ องบนใหม่ แล
สร้ างพระเจดีย์สงู ๕ วา ขึ ้นหลังพระอุโบสถอิกองค์ ๑

๘๖
จังหวัดระยอง
๔๒ พระเจดีย์ช่องแสมสาร
เมื่อเสด็จประพาศหัวเมืองชายทเลตวันออกเมื่อปี มเสงพ.ศ. ๒๔๐๐
โปรดให้ สร้ างพระเจดีย์ขึ ้นไว้ บนไหล่เขาที่แหลมเทียนช่องแสมสารองค์ ๑
สําหรับเปนที่หมายปากช่องให้ เรื อแล่นไปได้ โดยสดวก
จังหวัดจันทบุรี
๔๓ พระเจดีย์วัดโยธานิมิตรแลเขาสระบาป
ในคราวเสด็จประพาศเมืองจันทบุรีเมื่อปี มะเสง พ.ศ. ๒๔๐๐ นั ้น
โปรดให้ สร้ างพระเจดีย์สงู ๘ วาไว้ ที่วดั โยธานิมิตรองค์ ๑ พระเจดีย์
สูง ๓ วาที่ธารนารายน์เขาสระบาปด้ วยองค์ ๑
จังหวัดนครไชยศรี
๔๔ พระปฐมเจดีย์
เมื่อพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หวั ยังทรงผนวชอยู่นั ้น
ได้ เสด็จไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ ทรงพระราชดําริห์วา่ เปนพระเจดีย์
ใหญ่โตแลสถานเก่าก่อนแห่งอื่น ๆ บรรดามีในประเทศสยามนี ้ สมควร
จะบุรณปฏิสงั ขรณ์ให้ คืนดีแล้ วรักษาไว้ ให้ เปนสําคัญในตํานานพระสาสนา
ในประเทศนี ้ ได้ ทรงนํากระแสพระราชดําริห์ทลู พระบาทสมเด็จ ฯ พระ
นัง่ เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั มีรับสัง่ ว่าพระปฐมเจดีย์อยูใ่ นป่ าดอนห่างไกล
๘๗
กรุงเทพ ฯ จะไปปฏิสงั ขรณ์ก็จะรักษาไว้ ไม่ได้ ก็ต้องทรงระงับ
พระราชดําริห์มาจนได้ เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ จึงโปรดให้ สมเด็จ
เจ้ าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์เปนแม่กอง ครัน้ สมเด็จเจ้ าพระยาองค์
นันถึ
้ งพิราลัย จึงโปรดให้ เจ้ าพระยาทิพากรวงศ์เปนแม่กอง ทําการ
ปฏิสงั ขรณ์พระปฐมเจดีย์มาจนตลอดรัชกาล
พระปฐมเจดีย์ เมื่อก่อนจะลงมือบุรณปฏิสงั ขรณ์เมื่อใน
รัชกาลที่ ๔ นัน้ ได้ โปรดให้ ขดุ ชัณสูตรพื ้นดินที่ในบริเวณ พบอิฐ
หลายขนาดสะสมกันอยูห่ ลายชัน้ ขุดลงไปจนลึกถึง ๒ ศอก ๓ ศอก
จึงถึงพื ้นเดิมซึง่ ปูดาดด้ วยอิฐแผ่นใหญ่ ขนาดยาวศอก๑ น่าใหญ่๑๒ นิ ้ว
น่าน้ อย ๖ นิ ้วเห็นได้ วา่ องค์พระเจดีย์เคยหักพังลงมาได้ มีผ้ ศู รัทธาเกลี่ย
อิฐให้ เปนเกาะขึ ้นแล้ วบุรณเปนพระเจดีย์อยู่บนนันครั ้ น้ นานมาทํานองยอด
จะหักลงมาอิกจะมีผ้ มู าศรัทธาปฏิสงั ขรณ์ขึ ้นอิกคราว ๑ จะเห็นว่าพระ
เจดีย์ยอดแหลมจะไม่ถาวรมัน่ คง จึงเกลี่ยให้ เสมอเพียงไหล่ที่ก่อองค์
ปรางค์ตอ่ ตังขึ้ ้นไปแทนยอด ที่ริมขอบไพรฑีก่อกําแพงแก้ วไว้ เปนที่
ทักษิณ ก่อบันไดลงมาถึงพื ้นเนินเก่า พิเคราะห์ดบู นั ไดก่อทับปะองค์
ระฆังเข้ าไว้ เห็นจะเปนของทําทีหลัง แต่วิหารมีอยูด่ ้ านตวันออกบน
เนินเรี ยงกันอยูท่ งั ้ ๔ วิหาร วิหารพระนาคปรกอยูข่ ้ างทิศตวันออกเฉียง
ใต้ หลัง ๑ ถัดมาถึงวิหารพระไสยาศน์หลัง ๑ วิหารไว้ พระพุทธรูป
ต่างๆ หลัง ๑ วิหารพระป่ าเลไลยที่สดุ ด้ านตวันออกเฉียงเหนือ
หลัง ๑ เปนแถวกันมา แล้ วมีพระเจดีย์ยอ่ มๆ เปนผีมือราษฎร
ชาวบ้ านทําเล็กๆ ใหญ่ ๆ เปนของ

๘๘
ทําทีหลังอิกหลายองค์ ที่เปนของเดิมแท้ นนมี ั ้ วิหารหลวงแลพระอุโบสถ
อยูท่ ี่พื ้นแผ่นดิน วิหารหลวง ( อยูต่ รงพลับพลาทรงโปรยลงไป ) เสา
ศิลาแลงมีปรากฏอยูห่ ลายต้ น พระอุโบสถนันก็ ้ ตรงพระอุโบสถเดี๋ยวนี ้
ลงไป กุฎีสงฆ์อยูน่ า่ กะเปาะข้ างทิศใต้ แลยังพบของสําคัญหลายอย่าง
คือสระนํ ้าแลถนนอิฐปูเปนพื ้น ที่จอมปลวกใหญ่ก็รือ้ ได้ พระพุทธรูปในนั ้น
ยังปรากฏอยู่ ได้ โปรดให้ วดั องค์พระปฐมเมื่อก่อนทรงปฏิสงั ขรณ์
ตังแต่
้ แผ่นดินขึ ้นไป ถึงหลังเกาะสูง ๔ วาบ้ าง ๕ วาบ้ าง ด้ วยแผ่นดิน
ไม่เสมอกัน ตังแต่ ้ หลังเกาะขึ ้นไปเปนองค์พระเจดีย์กลมสูง ๑๔ วา
๒ ศอก องค์ปรางค์สงู ๒๐ วา ยอดนพศูลขึ ้นไป ๘ ศอก รวมตังแต่ ้
หลังเกาะขึ ้นไปตลอดยอดนพศูลคิดได้ ๔๐ วา ๒ ศอก
การปฏิสงั ขรณ์นนั ้ ส่วนองค์พระปฐมเจดีย์ของเดิมเปนอย่างไร
โปรดให้ คงไว้ ให้ สร้ างพระมหาสถูปใหม่ห้ มุ องค์เดิมไว้ ข้างใน เดิม
คิดแบบพระมหาสถูปใหม่เปนอย่างพระเจดีย์กลมสามัญ ครัน้ ก่อขึ ้น
ไปได้ ถงึ ๑๗ วา พังลงมาเมื่อเดือน ๘ ขึ ้น ๑๕ คํ่า ปี วอก พ.ศ. ๒๔๐๓ จึง
ทรงคิดรูปพระมหาสถูปเปนรูปใหม่ให้ ฐานผายออกให้ มากกว่าแต่ก่อน
ไขส่วนสูงวัดด้ วยวาทองธานพระกร ตังแต่ ้ พื ้นดินขึ ้นไปเสมอพื ้นถมใหม่
ชันพระระเบี
้ ยงกลมสูง ๔ วา ๒ ศอกบ้ าง ๕ วาบ้ าง แต่พื ้นพระระเบียง
ขึ ้นไปถึงทักษิณที่หนึง่ สูง ๖ ศอกคืบ ๒ นิ ้ว ตังแต่้ พื ้นทักษิณที่หนึง่
ขึ ้นไปถึงฐานบัวควํ่าสูง ๘ ศอกคืบ ตังแต่
้ ทกั ษิณที่สองขึ ้นไปถึงปาก
ระฆังสูง ๙ วาคืบนิ ้ว องค์ระฆังสูง ๑๔ วา ๔ นิ ้ว บัลลังก์สงู ๓ วา

๘๙
คืบ ๖ นิ ้วตั ้งแต่บลั ลังก์ถึงหลังฝาละมีสงู ๕ วาคืบ ๑๑ นิ ้ว ปล้ อง
ฉนัย ๒๗ ปล้ อง สูง ๑๕ วา ๒ ศอกคืบ ๕ นิ ้ว บัลลังก์บวั แวงสูง ๓ วา
คืบ ๖ นิ ้ว ฐานทองเหลืองสูง ศอกคืบ ๒ นิ ้ว ยอดนพศูลขึ ้นไปตลอด
ยอดมงกุฏสูง ๓ วานิ ้ว คิดรวมตังแต่ ้ พื ้นดินขึ ้นไปตลอดยอดมงกุฏ
คิดได้ เปน ๓ เส้ นคืบ ๖ นิ ้ว ก่อฐานใหญ่รอบ ๕ เส้ น ๑๖ วา ๓ ศอก
ทักษิณที่หนึง่ ก่อออกมากว้ าง ๕ วา ตั ้งแต่ลกู แก้ วหลังบัวถลาขึ ้นไป ก่อ
กว้ าง ๔ วาบ้ าง ๔ วาเศษบ้ างตลอดถึงทักษิณที่องค์ปรางค์ตั ้งอยู่ ก่อ
กว้ าง ๗ วาบ้ าง ๗ วา ๒ ศอกบ้ าง ลดเข้ าไปทุกทีจนกระทัง่ ที่ตงไพรฑี ั้
ที่นนกว้
ั ้ าง ๓ วา ที่ปล้ องฉนัยนัน้ กว้ าง ๕ ศอกจนตลอดยอดปรางค์
ฐานล่างถึงจะชักเปน ๔ เหลี่ยมด้ านหนึง่ ยาว ๒ เส้ น ๗ วา เท่ากับ
ฐานกะเปาะทําไว้ ทงั ้ ๔ ด้ าน ครัน้ ตัวอย่างตกลงแล้ วได้ ก่อพระฤกษ์ เมื่อ
ณวันพฤหัศบดี เดือน ๑๑ ขึ ้น ๔ คํ่า ปี วอกโทศก พ.ศ.๒๔๐๓ ในบริเวณ
องค์พระนันได้
้ ก่อวิหารไว้ ที่ทิศ ประดิษฐานรูปพระปฏิมากรทัง้ ๔ ปาง
วิหารใหญ่ข้างทิศบูรพ์นั ้นห้ องนอกไว้ พระพุทธรูปมานวิไชยได้ ตรัสรู้ ห้ อง
ในไว้ พระพุทธอาศน์เปนแท่นที่นมัสการ มุขน่าไว้ พระพุทธรูปฉลอง
พระองค์ วิหารทิศทักษิณห้ องนอกไว้ พระเทศนาธรรมจักรโปรดปั ญจวัคคี
ห้ องหลังไว้ พระนาคปรกซึง่ เปนของเดิม มุขหลังไว้ รูปพระยาภาณ ทิศ
ประจิมนันทํ
้ าวิหารพระพุทธไสยาศน์ใช้ ของเก่าหลังหนึง่ พระพุทธ
ไสยาศน์องค์เดิมยาว ๔ วา องค์ใหม่ยาว ๘ วา ๒ ศอก วิหารห้ องเบื ้องหลัง
ไว้ พระนิพพานพระองค์หนึง่ วิหารทิศอุดรนันห้
้ องนอกไว้ พระประสูตร

๙๐
ห้ องเบื ้องหลังไว้ พระป่ าเลไลย์ซงึ่ เปนของเดิม มุขหลังไว้ รูปพระยากง
แล้ วชักระเบียงกลมล้ อมรอบถึงกันทัง๔ ้ ด้ าน จดจารึกกถาพระธรรม
บทไว้ ทกุ ห้ อง รอบนอกนันก่ ้ อหอระฆังรายรอบไปอิกชันหนึ ้ ง่ ชัน้
ล่างก่อกําแพงถมดินกะเปาะขึ ้นมาทังสี ้ ่ทิศ บนกะเปาะด้ านข้ างตวัน
ออกทําโรงธรรมข้ างหนึง่ โรงพระอุโบสถตรงพระอุโบสถเก่าขึ ้นมาข้ าง
หนึง่ ประดิษฐานพระคันธารราษฎร์ ซงึ่ ได้ มาแต่วดั ทุง่ พระเมรุ ด้ านใต้
บนกะเปาะจําลองรูปพระปฐมเจดีย์เดิมไว้ ข้างตวันออกองค์หนึง่ สูง ๙
วาคืบ ยอดนพศูลศอกคืบ ๒ นิ ้ว ตํ่ากว่าองค์เดิมอยู่ ๒๖ วาศอก ๒นิ ้ว
ข้ าง ตวันตกนันได้
้ จําลองรูปพระเจดีย์เมืองนครศรี ธรรมราช ซึง่
เรี ยกว่าพระบรมธาตุใหญ่ศกั ดิสิทธิทําขึ ้นไว้ เดิมสูง ๓๗ วา ๒ ศอกตลอด
ยอดพุม่ จําลองใหม่สงู ๑๐ วา ๒ ศอกคืบ ยอดนพศูลสามศอกนิ ้วกึ่ง
ตํ่ากว่าองค์เดิม ๒๖ วาคืบนิ ้วกึ่ง เพื่อให้ สปั รุษเห็นจะได้ สง่ ใจไป
นมัสการพระธาตุเมืองนคร กะเปาะด้ านตวันตกนันชั
้ นบนได้

ประดิษฐานพระมหาโพธิเมื่อครัง้ พระอาจารย์ดี พระอาจารย์เทพ
ออกไปเกาะลังกาได้ เข้ ามา ชันล่
้ างประดิษฐานไม้ สําคัญที่ควรจะ
กระทําสักการบูชาเปนที่ระฦก คือไม้ อชั ปาละนิโครธ แปลว่าไม้ ไทร ที่
พระพุทธเจ้ าฉันมธุปายาสได้ ตรัสแล้ วเสด็จไปเสวยวิมตุ ศิ ขุ อยูท่ ี่นั ้ นอิก
คราวหนึง่ ถึง ๗ วัน แล้ วเสด็จไปอาไศรย อยูใ่ ต้ ร่มไม้ มจุ ลินท์ คือไม้ จิก
คราวนันฝนตกหนั
้ ก พระยานาคขึ ้นมาทํากายวงล้ อมพระพุทธเจ้ าแล้ ว
เลิกพังพานปกเบื ้องบน ฝนก็ไม่รั่วนํ ้าก็ไม่ทว่ มเข้ าไปได้ พระองค์อยู่
ใต้ ร่มไม้ จิก ๗ วันแล้ วเสด็จมาประทับอยูใ่ ต้ ร่มไม้ ราชายัตน คือไม้
เกษ ครัง้ นันได้
้ รับสตูก้อนสตูผงของ
๙๑
นายตปุสสภัลลิกะพ่อค้ าเกวียน ตังแต่ ้ ได้ ตรัส ๔๘ วันมาเสวยพระ
กระยาหารในวันที่สี่สิบเก้ า แลไม้ พระหูบตุ นิโครธ คือไม้ กร่างที่
พระองค์ได้ พบพระมหากัสสปในร่มไม้ นนั ้ สาลรุกโข คือไม้ รังเปนท
พระองค์ได้ ประสูตรในร่มไม้ นนอย่
ั ้ างหนึง่ ปรินิพพานในใต้ ต้นรังอย่าง
หนึง่ เปนสองอย่างด้ วยกัน ไม้ ชมพู คือไม้ หว้ า เมื่อพระองค์ยงั เยาว์
อยูต่ ามเสด็จพระราชบิดาไปแรกนาขวัญได้ ประทับอยู่ ในร่มไม้ นนั ้ ก็ได้
พิจารณากรรมฐานถึงปฐมฌานเปนปฐมที่หนึง่ ครัง้ นันเกิ
้ ดอัศจรรย์
หลายอย่างจนแผ่นดินไหวเงาไม้ ก็มิได้ ย้ายไปตามพระอาทิตย์ ไม้ อมั พ
วา คือไม้ มะม่วงที่พระองค์ได้ กระทํายมกปาติหารในยอดไมมะม่วงนัน้
ไม้ ที่พรรณามานี ้ก็คล้ าย ๆ กันกับไม้ พระศรี มหาโพธิ เรี ยกว่า สัตตมหา
สถานจึงเอาประดิษฐานไว้ เปนที่รฦกด้ วย กะเปาะข้ างทิศเหนือนัน้
ทําเปนคลังหนึง่ โรงประโคมหลังหนึง่ ระหว่างกะเปาะทําเปนภูเขาไว้
ทังสี
้ ่ทิศ น่าภูเขาออกมามีรัว้ ล้ อมเหล็กล้ อมชันหนึ
้ ง่ น่ารัว้ เหล็กออกมาทําเปน
ฐานพระมหา โพธิทงสี ั ้ ่ทิศ ได้ ผลมาแต่เมืองพุทธคยาบุรีวา่ เปนหน่อเดิม
ที่พระได้ ตรัส พระมหาโพธิต้นนันมี ้ พระระเบียงล้ อมถึง ๗ ชัน้ พวก
พราหมณ์หวงแหนอยู่แน่นหนา เจ้ าเมืองอังกฤษจึงไปขอเอาผลและใบมา
ถวายเข้ ามาทรงเพาะได้ งอกงามดีประทานให้ ไปปลูกที่วดั หลวงทุกวัด
น่าชานพระมหาโพธิออกมาชักกําแพงปี กกามีหลังคาออกมาพอคนอาไศรยได้
บรรจบกะเปาะออกมาธงสิ่ทิศ ที่มมุ มีหอกลองหลัง ๑ หอระฆัง ๑
สลับกันทัง้ ๔ มุม คิดจะมิให้ ของโบราณเสื่อมสูญ ไปเที่ยวเก็บเอา
ศิลาใหญ่อยูใ่ นป่ าในรกเอามาไว้ ให้ ดทู กุ สิ่ง

๙๒
( พระมหาสถูปก่อเสร็จในรัชกาลที่ ๔ แต่ยงั ไม่ทนั ยกยอดสิ ้น
รัชกาลที่ ๔ เสียก่อน พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั
เสด็จพระราชดําเนิรไปยกยอดพระปฐมเจดีย์ เมื่อณวันพุฒ เดือน ๖
แรม ๑๑ คํ่า ปี มะเมีย พ.ศ. ๒๔๑๓ แล้ วทรงสถาปนาการต่อมา คือ
ประดับกระเบื ้องเคลือบพระมหาสถูปทังพระองค์้ แลสร้ างพระระเบียง
ชันนอกอิ
้ กชัน้ ๑ สิ่งซึง่ ทรงสร้ างในบริเวณพระปฐมเจดีย์ยงั บริบรู ณ์
ดีอยูเ่ กือบหมดทุกสิ่ง ในรัชกาลปั จจุบนั นี ้ทรงพระราชศรัทธาบุรณพระ
วิหารหลวง และทรงสร้ างวิหารประดิษฐานพระร่วง ซึง่ โปรดให้ เชิญมา
แต่เมืองสวรรคโลก แต่เมื่อยังเสด็จดํารงพระยศเปนสมเด็จพระ
ยุพราชนัน้ แล้ วทรงบุรณบันไดน่าซึง่ สมเด็จพระศรี พชั รินทราบรม
ราชินีนารถ พระบรมราชชนนีพนั ปี หลวง ได้ ทรงสร้ างไว้ แต่ก่อน
อิกอย่าง ๑ พระระเบียงชันนอกซึ
้ ง่ ทรงสร้ างไว้ ในรัชกาลที่ ๕ นันชํ
้ ารุด
ซุดโซมใปรดให้ แก้ ไขเปนกําแพงแก้ วรอบบริ เวณองค์พระปฐมเจดีย์ด้วย )

จังหวัดสุพรรณบุรี
๔๕ วัดพระป่ าเลไลย
พระพุทธรูป ป่ าเลไลยองค์ใหญ่ของโบราณซึง่ นับถือกันในเมือง สุพรรณ
บุรี วิหารชํารุดองค์พระก็ชํารุดไปบ้ าง โปรดให้ เจ้ าพระยานิกรบดินทร
ที่สมุหนายกเปนแม่กองปฏิสงั ขรณ์ทงพระวิ
ั้ หารและองค์พระพุทธรูปให้
บริบรู ณ์ดีอย่างเก่า

๙๓
จังหวัดสมุทสงคราม
๔๖ วัดอัมพวันเจติยาราม
วัดอัมพวา ซึง่ สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีทรงสร้ างในเขตร
พระนิเวศน์สถานเดิมนันชํ ้ ารุดซุดโซม พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้ า
เจ้ าอยูห่ วั โปรดให้ ปฏิสงั ขรณ์พระอุโบสถทังหลั
้ ง แล้ วสร้ างศาลาโรง
ธรรมขึ ้นข้ างน่าพระอารามหลัง ๑ แล้ วพระราชทานนามว่า วัดอัมพวัน
เจติยาราม

จังหวัดเพ็ชร์ บุรี
๔๗ วัดมหาสมณาราม
วัดมหาสมณ เปนวัดโบราณที่อยู่ไหล่เขามหาสมณ ซึง่ ทรงแปลง
นามว่าเขามหาสวรรค์นนั ้ เมื่อสร้ างพระนครคิรีโปรดให้ บรุ ณปฏิสงั ขรณ
วัดมหาสมณใหม่ทงพระอาราม
ั้ พระราชทานนามใหม่วา่ วัดมหา
สมณาราม
๔๘ พระธาตุจอมเพ็ชร์
ที่บนยอดเขามหาสวรรค์ยอดกลาง เดิมมีพระเจดีย์สร้ างไว้ แต่
โบราณองค์ ๑ โปรดให้ ก่อหุ้มพระเจดีย์เดิมนันให้
้ ใหญ่ขึ ้นกว่าแต่ก่อน
สูงเส้ น ๑ แล้ วทรงขนานนามว่า พระธาตุจอมเพ็ชร์
๔๙ พระสุทธเสลเจดีย์
ที่ยอดเขามหาสวรรค์ยอดใต้ โปรดให้ สร้ างพระเจดีย์ศลิ าทึบ
องค์ ๑ ทําศิลาเปนซีก ๆ ไปจากเกาะสีชงั ไปประกอบเปนพระเจดีย์

๙๔
ฐาน ๖ ศอก สูง ๔ วา ๒ ศอก ทรงขนานนามว่าพระสุทธเสลเจดีย์
แล้ วสร้ างพระวิหารน้ อยข้ างน่าพระเจดีย์หลัง ๑ มีหอระฆังอยูข่ ้ างน่า
วิหาร ชันตํ ้ ่าต่อวิหารลงมาสร้ างศาลาและพระปรางค์เขมรอิกองค์ ๑
๕๐ ถา้ เขาหลวง
ทีถ่ ํ ้าใหญ่เขาหลวงเมืองเพ็ชรบุรีมีพระพุทธรูปสร้ างไว้ แต่โบราณ
บ้ าง โปรดให้ แต่งถํ ้านันทํ้ าบันไดศิลาลงถํ ้าได้ อิกทาง ๑ โปรดให้
สร้ างพระพุทธรูปในถํ ้านั ้น ทรงพระราชอุทศิ ถวายสมเด็จพระเจ้ าอยู่หวั ใน
รัชกาลก่อน ๆ บ้ าง เปนส่วนของพระองค์เองบ้ าง พระราชทานพระบรม
ราชานุญาตให้ พระบรมวงศานุวงศ์แลเจ้ าจอมฝ่ ายในสร้ างบ้ าง ตกแต่ง
งดงามทังถํ ้ ้า

จังหวัดสงขลา
๕๑ พระเจดีย์บนยอดเขาตังกวน
ครัง้ เสด็จประพาศเมืองสงขลาเมื่อปี มะแมพ.ศ. ๒๔๐๒ เสด็จกลับ
แล้ วโปรดให้ พระยาสามภพพ่ายเปนนายช่าง เจ้ าพระยาสงขลา สังข์
เปนแม่กองสร้ างพระเจดีย์บนยอดเขาตัวกวนริมเมืองสงขลาองค์ ๑ สูง
๙ วา ๓ ศอก เปนที่รฦกในการที่เสด็จพระราชดําเนินนัน.้
สถานที่ต่าง ๆ และพระเจดีย์วิหารซึง่ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอม
เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ได้ ทรงสร้ างตามที่กล่าวมาในหนังสือนี ้ คัดจากจดหมาย
เหตุเจ้ าพระยาทิพากรวงศ์เป็ นพื ้น ที่ไม่ปรากฏในจดหมายเหตุของ

๙๕
เจ้ าพระยาทิพากรวงศ์ พบที่อื่นก็มีบ้าง การที่เรี ยบเรี ยงมีเวลาน้ อยเกรง
จะไม่ถกู ถ้ วนหมด และบางทีจะวิปลาศพลาดพลังบ้ ้ าง ถ้ าพลาดพลัง้
ไปต้ องขออภัยแก่ทา่ นผู้อา่ น
อนึง่ รูปต่าง ๆ ที่พิมพ์ในสมุดเล่มนี ้ เปนของหลวงอรรคนีนฤมิตร (
จิตร ) ถ่ายไว้ ได้ มาจากพระฉายาสาทิศกร ( สอาด จิตราคนี )
กรมแผนที่ทหารบกได้ จดั การพิมพ์สําหรับสมุดเล่มนี ้.

You might also like